GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "สยองขวัญ"
10 เกมสยองขวัญ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีเลือดก็น่ากลัวได้
ปัจจุบันมีเกมสยองขวัญมากมายที่ถูกพัฒนามาให้เราเห็นมากมาย แต่เกมสยองขวัญส่วนใหญ่จะชูโรงฉากนองเลือดและความรุนแรง แต่มันก็จะมีเกมสยองขวัญอีกประเภทหนึ่งที่เน้นไปที่ความลึกลับ บรรยากาศ เสียงดนตรีหรืออย่างอื่นอีกมากมายที่จะทำให้เรารู้สึกหลอนและกลัว ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ขอพาทุกคนมาพบกับ 10 เกมสยองขวัญที่จะพิสูจน์ให้เราเห็นว่าไม่มีเลือดก็น่ากลัวได้! ( บางเกมอาจจะมีเลือดนะครับ แต่เกมเหล่านี้ไม่ได้โฟกัสที่เลือดและความรุนแรงจะโฟกัสที่ส่วนอื่นมากว่า ) 1.Five Nights At Freddy’s ซีรี่ส์ Five Night At Freddy ถือว่าเป็นเกนแนวสยองขวัญแนวใหม่ที่มีกระแสอยู่ช่วงหนึ่งเลย โดยผู้เล่นจะต้องคอยสอดส่องพื้นที่ต่างๆ ผ่านกล้องวงเจอปิดและต้องเอาชีวิตรอดให้พ้นไปในแต่ละคืน ซึ่งผมบอกเลยว่าเกมนี้มันทำให้เราตกใจได้หลายรอบมากโดยที่ไม่ต้องเอาเลือดมาให้เห็นแม้แต้หยดเดียว และทำให้เกิดอาการหลอนอยู่ตลอดเวลากับตุ๊กตาหุ่นน่ารักๆ ที่ผู้พัฒนาเอามาทำให้มากลายเป็นตัวละครที่หลายๆ คนกลัวกันอยู่ช่วงหนึ่งเลย 2.The Exorcist: Legion VR ปัจจุบันนวัฒกรรม VR นั้นไปพัฒนาไปไกลอย่างก้าวกระโดด ซึ่งหนึ่งในสิ้นที่น่าสนใจนั้นคือเกมแนวสยองขวัญที่เล่นผ่านแว่น VR หนึ่งในนั้นก็มีเกม  The Exorcist: Legion VR เกมที่จะพาเราไปอยู่ในโลกของความสยองขวัญและให้ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับปีศาจในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปีศาจนั้นจะมาในรูปแบบคล้ายๆ ภาพยนต์เรื่อง The Exorcist ที่เน้นความลึกลับความหลอน โดยไม่พึ่งความรุนแรงหรือเลือดก็ทำให้ผู้เล่นหลอนกันได้.   3.Little Nightmares Little Nightmares ของค่าย Tarsies Studio เป็นเกมสยองขัญแนวไขปริศนาที่ให้ความแตกต่างจากเกมอื่นๆ ซึ่งแค่ชื่อเราก็น่าจะรู้แล้วว่ามันคือฝันร้ายในคราบของการ์ตูน ซึ่งดูผิดเผินเกมนี้เหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ แต่เกมนี้มักจะทำให้ผู้เล่นต้องรู้สึกระแวงตลอดเวลาและบวกกับงานออกแบบศิลปะที่น่าสนใจไม่เหมือนชาวบ้านเขา โดยเกมจะมอบหมายให้เรารับบทเป็นซิกซ์ในการหลบหนีจากโลกดิสโทเปียที่ทำกับเด็กเหมือนเป็นนักโทษ นี่แหละครับนิยามของคำว่า ไม่ม่เลือดก็สยองได้.   4.Amnesia: The Dark Descent ซีรี่ส์ Amnesia นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เราได้เห็นว่าบรรยากาศของเกมนั้นสำคัญเพราะสามารถทำให้เกมน่ากลัวขึ้นได้และยังเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับคำชมว่าทำให้จิตตกได้อันดับต้นๆ ของหมวดเกมสยองขวัญเลย แต่ที่เกมนี้พิเศษกว่าเกมอื่นๆ เพราะว่าทุกภาคในซีรี่ส์เกมนี้จะมีสเน่ห์เฉพาะตัวอยู่ สำหรับภาคนี้ผู้เล่นจะไปเข้าไปในปราสาทลึกลับที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่คอยมาทำให้เราหลอนตลอดเวลา ไหนจะเพลงและบรรยากาศอีก เห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้พูดถึงเลือดหรือความรุนแรงเลยแต่เกมก็ดูน่ากลัวมากๆ นะครับ   5.Alien: Isolation ส่วนใหญ่เกม Alien นั้นจะหนักไปในทางแอ็คชั่นและเดินหน้ายิงมากกว่าที่จะเป็นเกมสยองขวัญ แต่ไม่ใช่สำหรับ Alien: Isolation ที่ได้นิยามเกมแนวนี้ใหม่ให้กลายเป็นเกมที่สุดแสนจะตึงเครียดละลุ้นระทึกระหว่างผู้เล่นกับเจ้า Xenomorph ซึ่งเกมนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึงเลยโดยผู้พัฒนาทำให้เจ้า Xenomorph ถึกโหดและมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ น่ากลัวขนาดที่เราได้ยินเสียงเมื่อไหร่ ก็ต้องวิ่งเข้าไปหาทีหลบทันที และที่สำคัญผมเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเป็นเหมือนผมที่โดนเจ้าเอลี่ยนบ้านี่ฆ่าตายไปเป็นสิบๆ ครั้งๆ   6.Layers Of Fear Layers of Fear นั้นเป็นเกมแนวสยองขวัญที่เล่นกับศิลปะได้ดีมากๆ ซึ่งอาจจะมีเลือดให้เห็นนิดๆ หน่อยๆ แต่จุดเด่นหลักของเกมคือบรรยากาศ ศิลปะ และเสียนดนตรี ผมเคยมีโอกาสได้ไปเล่นเพราะมีช่วงที่ Epic Store นั้นได้ปล่อยเกมนีั้มาเล่นกันฟรีๆ บอกเลยว่ามันน่ากลัวจริงครับ แต่มันก็เพลินด้วยเพราะเกมไม่ได้ทำให้เราหลอนอย่างเดียว เราต้องเข้าไปไขปริศนาต่างๆ และหาคำตอบสำหรับเคลียร์เกมด้วย.   7.SOMA ค่ายเกม Frictional Games ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าเป็นผู้พัฒนาเกมสยองขวัญมาแรงในยุครุ่งเรื่องของเกมสมัยใหม่มากๆ โดยเกม SOMA นี้ถือเป็นเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยจะหลักๆ ที่เกมนี้เจาะจงนั่นคือการเล่นกับความกลัวทางจิตใจมากกว่าที่จะทำเสนอฉากเลือดสาดหรือฉากรุนแรง และยังมีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนมากๆ ที่พีคกว่านั้นคือการนำเอามนุษย์กับเครื่องจักร์ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีปริศนนมากมายให้เราแก้อีกด้วย   8.Alan Wake Alan Wake เป็นหนึ่งในเกมสยองขวัญที่เล่นกับฝันร้ายที่น่าสนใจทั้งพล็อตเรื่องและเกมเพลย์ โดยเราจะไก้รับบทเป็นนักเขียนผู้ตามหาเบาะแสของภรรยาที่หายไป และเรื่องราวของนิยายที่เขาเคยเขียนก็ดันกลายเป็นจริงขึ้นมา แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือนี่ไม่ใช่เกมสยองขวัญแนวยิงผีธรรมดา เพราะนอกจากกระสุนที่จำกัดแล้ว เกมยังเพิ่มความลุ้นระทึกให้เราด้วยการต้องส่องไฟฉายให้แสงโดนพวกมันก่อนเพื่อทำลายม่านความมือ จากนั้นจึงจะสามารถสังหารพวกมันได้ และจากประสบการณ์ที่ลองเล่นมามันจะมีช่วงที่ผีนั้นโถมเข้ามาหาเราเป็นสิบๆ ตัวแล้วแต่ละตัวก็มีความสามารถที่แตกต่างกันอี๊กบอกเลยว่าลุ้นกันแทบฉี่ราด!.   9.Dead By Daylight ดบดล หรือ Dead By Daylight นั้นถือเป็นเกมสยองขวัญออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในยุคนี้ ซึ่งเกมก็ได้ตีตลาดด้วยการนำตัวละครสยองขวัญมากมายเข้ามาแจมในเกม เช่น  Halloween, The Blair Witch Project, Sawและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในที่นี้จะขอพูดถึงฝ่ายผู้เอาชีวิตรอดที่ผู้เล่นต้องคอยซ่อมเครื่องปั่นไปเพื่อหาทางเปิดประตู ซึ่งขอขัดนิดหนึ่งตรงที่เกมนี้อาจจะมีเลือดเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม แต่เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ได้กลัวตรงจุดนั้น เพราะเรากลัวแสงไฟเวลาที่ผีมันจี้ตามเรามาข้างหลังเป็นอะไรที่ระทึกมากๆ และผีนักล่าบางตัวมีสกิลหายตัว สกิลวิ่ง สารพัดความวายป่วงบอกเลยว่าถ้าเล่นคนเดียวอาจจะมีตกใจและช็อคกันบ้างแหละ!   10.Ju-On The Grudge: Haunted House Simulator อีกหนึ่งเกมน่าสนใจบนเครื่องเกม Wii ของทาง Nintendo ซึ่งเกมนี้มันมีจุดหน้าสนใจมากๆ เพราะเกมจะจำลองเหตุการณ์ให้ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับผีต่างๆ ผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเกมก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่สถานที่ บรรยากาศ ดนตรี จังหวะที่ผีโผล่ออกมาเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ ดังนั้นใครที่มีเครื่อง Wii ไม่ควรพลาเกมนี้เด็ดขาด! Credit : GAMERANT
17 Dec 2020
รีวิว Stifled (PS4) พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!
Stifled เป็นเกมสยองขวัญบน Playstation 4 ที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ด้วยการใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในเกม โดยมีคำโปรยต่อท้ายชื่อเกมว่า THEY HEAR YOU FEAR (พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!) เพื่อนๆ สามารถใช้ Playstation VR และไมโครโฟนเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ตัวเกมออกไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาลง PSN โซนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยการกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทยอีกด้วย ไปดูกันเลยว่าทีมงาน GameFever มีความเห็นอย่างไรหลังจากเล่นเกมที่ได้รับรางวัลด้านความสร้างสรรค์มากมายเกมนี้จนจบ ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เนื้อเรื่องเริ่มต้นของเกมมีแค่นั้นจริงๆ โดยผู้เล่นจะรู้เรื่องราวที่เหลือจากการเล่นเกม ผ่านบันทึก จดหมาย เสียงข้อความที่เพื่อนบ้านฝากไว้กับโทรศัพท์ และสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถสำรวจได้ เกมแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นฉากภายในอาคารซึ่งเป็นส่วนที่เราจะได้เดินสำรวจ ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้มีการใช้ฟังก์ชันเสียงของเกมเท่าไหร่นัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าผู้เล่นไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ต้องการในการเล่นผ่านส่วนนี้จริงๆ ก็คือการเดินไปถึงจุดที่กำหนด รวมถึงสำรวจอะไรที่เกมกำหนดไว้ ส่วนที่สองของเกมคือส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ เป็นส่วนที่ผู้เล่นจะได้ใช้ฟังก์ชันเสียงของเกม เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นลุ้นระทึกกว่า เนื่องจากเป็นส่วนที่เราจะต้องคอยหลบหนีศัตรู รวมทั้งรอบกายเรายังเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยภาพในเกมจะเปลี่ยนเป็นฉากสีดำและเราจะเห็นสิ่งรอบกายเป็นเพียงโครงร่างสีขาวในระยะการมองเห็นที่จำกัดมากๆ จุดนี้เราจะต้องใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง (Echolocation) โดยเราสามารถหยิบข้าวของที่อยู่ตามพื้นเพื่อปาให้เกิดเสียง หรือใช้การส่งเสียงของเราเองผ่านไมโครโฟน (หรือใช้ปุ่มบนจอยในกรณีที่ไม่มีไมโครโฟน) ซึ่งเสียงที่เกิดจากการกระทำทั้งสองอย่างจะไปสะท้อนกับสิ่งรอบตัวเรา ปรากฏเป็นโครงร่างสีขาวขึ้นมา ทำให้พื้นที่การมองเห็นของเรามากขึ้นกว่าเดิม เราจะต้องใช้การสำรวจด้วยเสียงภายในฉากแบบนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่เราใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทางนั้นเราจะต้องคอยระวังว่าเสียงของเราจะไปถึงเหล่าปีศาจภายในเกมด้วย โดยศัตรูจะมองไม่เห็นเรา แต่หากเราส่งเสียงเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเพียงเสียงเดิน ศัตรูที่เดินอยู่จะพุ่งเข้าโจมตีเราทันที และเราไม่สามารถที่จะจู่โจมกลับได้ ส่วนนี้เราจะต้องหาทางหลอกล่อศัตรูให้ไปทางอื่นด้วยเสียง แบบเดียวกับที่เราใช้เพื่อสำรวจฉาก รูปแบบการเล่นในส่วนนี้ซึ่งเป็นจุดขายของเกมนี้ซึ่งดูเหมือนจะน่าสนใจ เอาเข้าจริงๆ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนของเกมเพราะทำมาได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะบอกว่าเราใช้เสียงเพื่อสำรวจฉากแต่เอาเข้าจริงๆ เรายังต้องใช้การมองเห็นเป็นส่วนหลักของเกมอยู่ดี การส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางน่าสนุกอยู่ในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพูดหรือตะโกนซ้ำๆ เพื่อทำให้ตัวละครเรามองเห็นฉากเท่านั้นเอง ถึงแม้เสียงเบาหรือดังจะมีผลต่อระยะการมองเห็นแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ การหยิบของตามพื้นเพื่อปาล่อศัตรูไปที่อื่นนั้นมีประโยชน์และได้ผลดีกว่ามาก และการสำรวจฉากส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปด้วยการพูดเสียงปกติเนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่การมองเห็นที่มากขึ้นด้วยการพูดเสียงดัง เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาภาพที่เรามองเห็นก็จะกลับมามืดเหมือนเดิมและต้องส่งเสียงใหม่อยู่ดี และการพูดเสียงเบาก็ให้พื้นที่ในการมองเห็นน้อยเกินไป กลายเป็นว่าการสำรวจฉากด้วยวิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการย้ายฟังก์ชันที่อยู่ในปุ่มมาทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง เกมนี้เป็นเกมสยองขวัญที่แทบไม่มีความน่ากลัวเลย สาเหตุอย่างแรกก็คือกราฟิกที่มีคุณภาพต่ำ ความประทับใจแรกที่ผู้เล่นจะได้พบเมื่อสวมแว่น VR เพื่อดำดิ่งเข้าสู่โลกของเกมก็คือสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับเป็นของปลอม และเพราะแบบนั้นประสบการณ์ร่วมจากการคิดว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริงๆ จึงลดลงอย่างมาก ในส่วนที่เราต้องคอยหลบศัตรูซึ่งถึงแม้จะตื่นเต้นกว่าแต่เนื่องด้วยกราฟิกที่เปลี่ยนเป็นสไตล์แบบภาพโครงร่างของสิ่งรอบตัวทำให้เหล่าปีศาจในเกมแทบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย ความตกใจที่เกิดขึ้นเป็นแบบความตกใจแบบที่เกิดขึ้นเวลามีเพื่อนแอบแกล้งให้เราตกใจแค่นั้นเอง ซึ่งพอผู้เล่นปรับตัวให้เข้ากับความตกใจแบบนั้นได้ การเจอศัตรูแต่ละครั้งก็กลายเป็นความรำคาญมากกว่าความล้นระทึก เหล่าปีศาจกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อที่คอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อมากกว่าที่จะเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เราขนลุก และเนื่องจากเราไม่ค่อยจะตกใจกลัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการที่ศัตรูสัมผัสความกลัวจากเสียงตกใจของเราได้จึงแทบไม่ได้ทำงานเลย เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ได้เห็นเกมที่มีทั้งเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทย เมื่อคิดถึงความรู้สึกร่วมที่มากขึ้นและความเข้าใจเนื้อเรื่องที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับเกมที่ส่วนหนึ่งของเกมคือการค่อยๆ เผยเนื้อเรื่องจากการอ่าน การฟังสิ่งต่างๆ ในเกม คำบรรยายของเกมทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือพวกเอกสารหรือบันทึกต่างๆ ในเกมที่สามารถกดดูคำแปลได้หมด ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องราวในเกมได้ง่ายขึ้นมาก ส่วนเสียงพากย์นั้นถือว่าทำได้น่าผิดหวังพอสมควร นั่นเพราะเสียงของตัวละครหลักมีการเลือกนักพากย์มาได้ไม่เข้ากับตัวละครเลย และน้ำเสียงค่อนข้างขัดกับบรรยากาศอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเล่นแบบไม่ใช้ไมโครโฟน เราจะได้ยินเสียงตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาเมื่อกดปุ่มให้ตัวละครส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง จากบรรยากาศที่ควรจะน่ากลัวก็กลายเป็นว่าตลกไปเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้ใช้เฉพาะคำบรรยายภาษาไทยแต่ใช่เสียงพากย์ต้นฉบับได้ หากอยากเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นก็ต้องแลกมากับเสียงพากย์แบบนี้ สรุปคะแนน: 6.5/10 Stifled เป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ บวกกับกราฟิกที่ทำให้เราไม่อินไปกับเกมความน่ากลัวที่ปรับตัวให้ชินได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อเรื่องที่เราต้องปะติดปะต่อเอาเองก็ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ทำให้เกมนี้สนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ ความคุ้มค่าในการเล่นกับ VR: 2/5 การเล่นกับ VR ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นกว่าการเล่นแบบปกติ หากใครมี VR อยู่แล้วและสนใจเล่นเกมนี้ แนะนำให้เล่นด้วย VR ไปเลย แต่หากยังไม่มี VR มาก่อน เกมนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผลในการซื้อหามาเล่น เพราะทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก
11 May 2018
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "สยองขวัญ"
10 เกมสยองขวัญ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีเลือดก็น่ากลัวได้
ปัจจุบันมีเกมสยองขวัญมากมายที่ถูกพัฒนามาให้เราเห็นมากมาย แต่เกมสยองขวัญส่วนใหญ่จะชูโรงฉากนองเลือดและความรุนแรง แต่มันก็จะมีเกมสยองขวัญอีกประเภทหนึ่งที่เน้นไปที่ความลึกลับ บรรยากาศ เสียงดนตรีหรืออย่างอื่นอีกมากมายที่จะทำให้เรารู้สึกหลอนและกลัว ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ขอพาทุกคนมาพบกับ 10 เกมสยองขวัญที่จะพิสูจน์ให้เราเห็นว่าไม่มีเลือดก็น่ากลัวได้! ( บางเกมอาจจะมีเลือดนะครับ แต่เกมเหล่านี้ไม่ได้โฟกัสที่เลือดและความรุนแรงจะโฟกัสที่ส่วนอื่นมากว่า ) 1.Five Nights At Freddy’s ซีรี่ส์ Five Night At Freddy ถือว่าเป็นเกนแนวสยองขวัญแนวใหม่ที่มีกระแสอยู่ช่วงหนึ่งเลย โดยผู้เล่นจะต้องคอยสอดส่องพื้นที่ต่างๆ ผ่านกล้องวงเจอปิดและต้องเอาชีวิตรอดให้พ้นไปในแต่ละคืน ซึ่งผมบอกเลยว่าเกมนี้มันทำให้เราตกใจได้หลายรอบมากโดยที่ไม่ต้องเอาเลือดมาให้เห็นแม้แต้หยดเดียว และทำให้เกิดอาการหลอนอยู่ตลอดเวลากับตุ๊กตาหุ่นน่ารักๆ ที่ผู้พัฒนาเอามาทำให้มากลายเป็นตัวละครที่หลายๆ คนกลัวกันอยู่ช่วงหนึ่งเลย 2.The Exorcist: Legion VR ปัจจุบันนวัฒกรรม VR นั้นไปพัฒนาไปไกลอย่างก้าวกระโดด ซึ่งหนึ่งในสิ้นที่น่าสนใจนั้นคือเกมแนวสยองขวัญที่เล่นผ่านแว่น VR หนึ่งในนั้นก็มีเกม  The Exorcist: Legion VR เกมที่จะพาเราไปอยู่ในโลกของความสยองขวัญและให้ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับปีศาจในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปีศาจนั้นจะมาในรูปแบบคล้ายๆ ภาพยนต์เรื่อง The Exorcist ที่เน้นความลึกลับความหลอน โดยไม่พึ่งความรุนแรงหรือเลือดก็ทำให้ผู้เล่นหลอนกันได้.   3.Little Nightmares Little Nightmares ของค่าย Tarsies Studio เป็นเกมสยองขัญแนวไขปริศนาที่ให้ความแตกต่างจากเกมอื่นๆ ซึ่งแค่ชื่อเราก็น่าจะรู้แล้วว่ามันคือฝันร้ายในคราบของการ์ตูน ซึ่งดูผิดเผินเกมนี้เหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ แต่เกมนี้มักจะทำให้ผู้เล่นต้องรู้สึกระแวงตลอดเวลาและบวกกับงานออกแบบศิลปะที่น่าสนใจไม่เหมือนชาวบ้านเขา โดยเกมจะมอบหมายให้เรารับบทเป็นซิกซ์ในการหลบหนีจากโลกดิสโทเปียที่ทำกับเด็กเหมือนเป็นนักโทษ นี่แหละครับนิยามของคำว่า ไม่ม่เลือดก็สยองได้.   4.Amnesia: The Dark Descent ซีรี่ส์ Amnesia นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เราได้เห็นว่าบรรยากาศของเกมนั้นสำคัญเพราะสามารถทำให้เกมน่ากลัวขึ้นได้และยังเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับคำชมว่าทำให้จิตตกได้อันดับต้นๆ ของหมวดเกมสยองขวัญเลย แต่ที่เกมนี้พิเศษกว่าเกมอื่นๆ เพราะว่าทุกภาคในซีรี่ส์เกมนี้จะมีสเน่ห์เฉพาะตัวอยู่ สำหรับภาคนี้ผู้เล่นจะไปเข้าไปในปราสาทลึกลับที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่คอยมาทำให้เราหลอนตลอดเวลา ไหนจะเพลงและบรรยากาศอีก เห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้พูดถึงเลือดหรือความรุนแรงเลยแต่เกมก็ดูน่ากลัวมากๆ นะครับ   5.Alien: Isolation ส่วนใหญ่เกม Alien นั้นจะหนักไปในทางแอ็คชั่นและเดินหน้ายิงมากกว่าที่จะเป็นเกมสยองขวัญ แต่ไม่ใช่สำหรับ Alien: Isolation ที่ได้นิยามเกมแนวนี้ใหม่ให้กลายเป็นเกมที่สุดแสนจะตึงเครียดละลุ้นระทึกระหว่างผู้เล่นกับเจ้า Xenomorph ซึ่งเกมนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึงเลยโดยผู้พัฒนาทำให้เจ้า Xenomorph ถึกโหดและมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ น่ากลัวขนาดที่เราได้ยินเสียงเมื่อไหร่ ก็ต้องวิ่งเข้าไปหาทีหลบทันที และที่สำคัญผมเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเป็นเหมือนผมที่โดนเจ้าเอลี่ยนบ้านี่ฆ่าตายไปเป็นสิบๆ ครั้งๆ   6.Layers Of Fear Layers of Fear นั้นเป็นเกมแนวสยองขวัญที่เล่นกับศิลปะได้ดีมากๆ ซึ่งอาจจะมีเลือดให้เห็นนิดๆ หน่อยๆ แต่จุดเด่นหลักของเกมคือบรรยากาศ ศิลปะ และเสียนดนตรี ผมเคยมีโอกาสได้ไปเล่นเพราะมีช่วงที่ Epic Store นั้นได้ปล่อยเกมนีั้มาเล่นกันฟรีๆ บอกเลยว่ามันน่ากลัวจริงครับ แต่มันก็เพลินด้วยเพราะเกมไม่ได้ทำให้เราหลอนอย่างเดียว เราต้องเข้าไปไขปริศนาต่างๆ และหาคำตอบสำหรับเคลียร์เกมด้วย.   7.SOMA ค่ายเกม Frictional Games ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าเป็นผู้พัฒนาเกมสยองขวัญมาแรงในยุครุ่งเรื่องของเกมสมัยใหม่มากๆ โดยเกม SOMA นี้ถือเป็นเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยจะหลักๆ ที่เกมนี้เจาะจงนั่นคือการเล่นกับความกลัวทางจิตใจมากกว่าที่จะทำเสนอฉากเลือดสาดหรือฉากรุนแรง และยังมีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนมากๆ ที่พีคกว่านั้นคือการนำเอามนุษย์กับเครื่องจักร์ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีปริศนนมากมายให้เราแก้อีกด้วย   8.Alan Wake Alan Wake เป็นหนึ่งในเกมสยองขวัญที่เล่นกับฝันร้ายที่น่าสนใจทั้งพล็อตเรื่องและเกมเพลย์ โดยเราจะไก้รับบทเป็นนักเขียนผู้ตามหาเบาะแสของภรรยาที่หายไป และเรื่องราวของนิยายที่เขาเคยเขียนก็ดันกลายเป็นจริงขึ้นมา แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือนี่ไม่ใช่เกมสยองขวัญแนวยิงผีธรรมดา เพราะนอกจากกระสุนที่จำกัดแล้ว เกมยังเพิ่มความลุ้นระทึกให้เราด้วยการต้องส่องไฟฉายให้แสงโดนพวกมันก่อนเพื่อทำลายม่านความมือ จากนั้นจึงจะสามารถสังหารพวกมันได้ และจากประสบการณ์ที่ลองเล่นมามันจะมีช่วงที่ผีนั้นโถมเข้ามาหาเราเป็นสิบๆ ตัวแล้วแต่ละตัวก็มีความสามารถที่แตกต่างกันอี๊กบอกเลยว่าลุ้นกันแทบฉี่ราด!.   9.Dead By Daylight ดบดล หรือ Dead By Daylight นั้นถือเป็นเกมสยองขวัญออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในยุคนี้ ซึ่งเกมก็ได้ตีตลาดด้วยการนำตัวละครสยองขวัญมากมายเข้ามาแจมในเกม เช่น  Halloween, The Blair Witch Project, Sawและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในที่นี้จะขอพูดถึงฝ่ายผู้เอาชีวิตรอดที่ผู้เล่นต้องคอยซ่อมเครื่องปั่นไปเพื่อหาทางเปิดประตู ซึ่งขอขัดนิดหนึ่งตรงที่เกมนี้อาจจะมีเลือดเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม แต่เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ได้กลัวตรงจุดนั้น เพราะเรากลัวแสงไฟเวลาที่ผีมันจี้ตามเรามาข้างหลังเป็นอะไรที่ระทึกมากๆ และผีนักล่าบางตัวมีสกิลหายตัว สกิลวิ่ง สารพัดความวายป่วงบอกเลยว่าถ้าเล่นคนเดียวอาจจะมีตกใจและช็อคกันบ้างแหละ!   10.Ju-On The Grudge: Haunted House Simulator อีกหนึ่งเกมน่าสนใจบนเครื่องเกม Wii ของทาง Nintendo ซึ่งเกมนี้มันมีจุดหน้าสนใจมากๆ เพราะเกมจะจำลองเหตุการณ์ให้ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับผีต่างๆ ผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเกมก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่สถานที่ บรรยากาศ ดนตรี จังหวะที่ผีโผล่ออกมาเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ ดังนั้นใครที่มีเครื่อง Wii ไม่ควรพลาเกมนี้เด็ดขาด! Credit : GAMERANT
17 Dec 2020
รีวิว Stifled (PS4) พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!
Stifled เป็นเกมสยองขวัญบน Playstation 4 ที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ด้วยการใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในเกม โดยมีคำโปรยต่อท้ายชื่อเกมว่า THEY HEAR YOU FEAR (พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!) เพื่อนๆ สามารถใช้ Playstation VR และไมโครโฟนเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ตัวเกมออกไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาลง PSN โซนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยการกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทยอีกด้วย ไปดูกันเลยว่าทีมงาน GameFever มีความเห็นอย่างไรหลังจากเล่นเกมที่ได้รับรางวัลด้านความสร้างสรรค์มากมายเกมนี้จนจบ ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เนื้อเรื่องเริ่มต้นของเกมมีแค่นั้นจริงๆ โดยผู้เล่นจะรู้เรื่องราวที่เหลือจากการเล่นเกม ผ่านบันทึก จดหมาย เสียงข้อความที่เพื่อนบ้านฝากไว้กับโทรศัพท์ และสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถสำรวจได้ เกมแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นฉากภายในอาคารซึ่งเป็นส่วนที่เราจะได้เดินสำรวจ ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้มีการใช้ฟังก์ชันเสียงของเกมเท่าไหร่นัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าผู้เล่นไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ต้องการในการเล่นผ่านส่วนนี้จริงๆ ก็คือการเดินไปถึงจุดที่กำหนด รวมถึงสำรวจอะไรที่เกมกำหนดไว้ ส่วนที่สองของเกมคือส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ เป็นส่วนที่ผู้เล่นจะได้ใช้ฟังก์ชันเสียงของเกม เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นลุ้นระทึกกว่า เนื่องจากเป็นส่วนที่เราจะต้องคอยหลบหนีศัตรู รวมทั้งรอบกายเรายังเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยภาพในเกมจะเปลี่ยนเป็นฉากสีดำและเราจะเห็นสิ่งรอบกายเป็นเพียงโครงร่างสีขาวในระยะการมองเห็นที่จำกัดมากๆ จุดนี้เราจะต้องใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง (Echolocation) โดยเราสามารถหยิบข้าวของที่อยู่ตามพื้นเพื่อปาให้เกิดเสียง หรือใช้การส่งเสียงของเราเองผ่านไมโครโฟน (หรือใช้ปุ่มบนจอยในกรณีที่ไม่มีไมโครโฟน) ซึ่งเสียงที่เกิดจากการกระทำทั้งสองอย่างจะไปสะท้อนกับสิ่งรอบตัวเรา ปรากฏเป็นโครงร่างสีขาวขึ้นมา ทำให้พื้นที่การมองเห็นของเรามากขึ้นกว่าเดิม เราจะต้องใช้การสำรวจด้วยเสียงภายในฉากแบบนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่เราใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทางนั้นเราจะต้องคอยระวังว่าเสียงของเราจะไปถึงเหล่าปีศาจภายในเกมด้วย โดยศัตรูจะมองไม่เห็นเรา แต่หากเราส่งเสียงเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเพียงเสียงเดิน ศัตรูที่เดินอยู่จะพุ่งเข้าโจมตีเราทันที และเราไม่สามารถที่จะจู่โจมกลับได้ ส่วนนี้เราจะต้องหาทางหลอกล่อศัตรูให้ไปทางอื่นด้วยเสียง แบบเดียวกับที่เราใช้เพื่อสำรวจฉาก รูปแบบการเล่นในส่วนนี้ซึ่งเป็นจุดขายของเกมนี้ซึ่งดูเหมือนจะน่าสนใจ เอาเข้าจริงๆ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนของเกมเพราะทำมาได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะบอกว่าเราใช้เสียงเพื่อสำรวจฉากแต่เอาเข้าจริงๆ เรายังต้องใช้การมองเห็นเป็นส่วนหลักของเกมอยู่ดี การส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางน่าสนุกอยู่ในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพูดหรือตะโกนซ้ำๆ เพื่อทำให้ตัวละครเรามองเห็นฉากเท่านั้นเอง ถึงแม้เสียงเบาหรือดังจะมีผลต่อระยะการมองเห็นแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ การหยิบของตามพื้นเพื่อปาล่อศัตรูไปที่อื่นนั้นมีประโยชน์และได้ผลดีกว่ามาก และการสำรวจฉากส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปด้วยการพูดเสียงปกติเนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่การมองเห็นที่มากขึ้นด้วยการพูดเสียงดัง เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาภาพที่เรามองเห็นก็จะกลับมามืดเหมือนเดิมและต้องส่งเสียงใหม่อยู่ดี และการพูดเสียงเบาก็ให้พื้นที่ในการมองเห็นน้อยเกินไป กลายเป็นว่าการสำรวจฉากด้วยวิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการย้ายฟังก์ชันที่อยู่ในปุ่มมาทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง เกมนี้เป็นเกมสยองขวัญที่แทบไม่มีความน่ากลัวเลย สาเหตุอย่างแรกก็คือกราฟิกที่มีคุณภาพต่ำ ความประทับใจแรกที่ผู้เล่นจะได้พบเมื่อสวมแว่น VR เพื่อดำดิ่งเข้าสู่โลกของเกมก็คือสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับเป็นของปลอม และเพราะแบบนั้นประสบการณ์ร่วมจากการคิดว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริงๆ จึงลดลงอย่างมาก ในส่วนที่เราต้องคอยหลบศัตรูซึ่งถึงแม้จะตื่นเต้นกว่าแต่เนื่องด้วยกราฟิกที่เปลี่ยนเป็นสไตล์แบบภาพโครงร่างของสิ่งรอบตัวทำให้เหล่าปีศาจในเกมแทบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย ความตกใจที่เกิดขึ้นเป็นแบบความตกใจแบบที่เกิดขึ้นเวลามีเพื่อนแอบแกล้งให้เราตกใจแค่นั้นเอง ซึ่งพอผู้เล่นปรับตัวให้เข้ากับความตกใจแบบนั้นได้ การเจอศัตรูแต่ละครั้งก็กลายเป็นความรำคาญมากกว่าความล้นระทึก เหล่าปีศาจกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อที่คอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อมากกว่าที่จะเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เราขนลุก และเนื่องจากเราไม่ค่อยจะตกใจกลัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการที่ศัตรูสัมผัสความกลัวจากเสียงตกใจของเราได้จึงแทบไม่ได้ทำงานเลย เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ได้เห็นเกมที่มีทั้งเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทย เมื่อคิดถึงความรู้สึกร่วมที่มากขึ้นและความเข้าใจเนื้อเรื่องที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับเกมที่ส่วนหนึ่งของเกมคือการค่อยๆ เผยเนื้อเรื่องจากการอ่าน การฟังสิ่งต่างๆ ในเกม คำบรรยายของเกมทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือพวกเอกสารหรือบันทึกต่างๆ ในเกมที่สามารถกดดูคำแปลได้หมด ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องราวในเกมได้ง่ายขึ้นมาก ส่วนเสียงพากย์นั้นถือว่าทำได้น่าผิดหวังพอสมควร นั่นเพราะเสียงของตัวละครหลักมีการเลือกนักพากย์มาได้ไม่เข้ากับตัวละครเลย และน้ำเสียงค่อนข้างขัดกับบรรยากาศอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเล่นแบบไม่ใช้ไมโครโฟน เราจะได้ยินเสียงตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาเมื่อกดปุ่มให้ตัวละครส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง จากบรรยากาศที่ควรจะน่ากลัวก็กลายเป็นว่าตลกไปเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้ใช้เฉพาะคำบรรยายภาษาไทยแต่ใช่เสียงพากย์ต้นฉบับได้ หากอยากเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นก็ต้องแลกมากับเสียงพากย์แบบนี้ สรุปคะแนน: 6.5/10 Stifled เป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ บวกกับกราฟิกที่ทำให้เราไม่อินไปกับเกมความน่ากลัวที่ปรับตัวให้ชินได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อเรื่องที่เราต้องปะติดปะต่อเอาเองก็ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ทำให้เกมนี้สนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ ความคุ้มค่าในการเล่นกับ VR: 2/5 การเล่นกับ VR ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นกว่าการเล่นแบบปกติ หากใครมี VR อยู่แล้วและสนใจเล่นเกมนี้ แนะนำให้เล่นด้วย VR ไปเลย แต่หากยังไม่มี VR มาก่อน เกมนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผลในการซื้อหามาเล่น เพราะทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก
11 May 2018