ถ้าให้พูดถึง Gaming Gears หนึ่งในแบรนด์ที่การันตรีคุณภาพและอยู่กับเราชาวไทยมาหลายปี ชื่อของ HyperX ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น และอุปกรณ์ที่แบรนด์นี้ค่อนข้างโดดเด่นมาก ๆ ก็คงจะเป็นหูฟัง Head Set ที่ทางผู้พัฒนานั้นออกมาด้วยกันหลายรุ่น การันตรีคุณภาพเสียง มาก ๆ และล่าสุดทางแบรนด์ก็ได้ออกหูฟังโปรดักษ์ใหม่อย่าง HyperX Cloud III ซึ่งเป็นหูฟังรุ่นอัพเกรดคุณภาพจาก HyperX Cloud II อันโด่งดังที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิว และพูดถึงสรรพคุณของหูฟังตัวนี้ ว่ามันมีจุดเด่นอะไรบ้าง ซึ่งเราเราก็ขอบคุณทาง HyperX ที่ส่งหูฟังนี้ให้เราได้ลองใช้ครับ
-----------------------
เริ่มจากพูดถึงดีไซน์ของตัวหูฟังกันก่อน แน่นอนว่าดีไซน์โดยรวมก็ยังเป็นสีดำตัดแสงตามเอกลักษณ์ของซีรีส์ Cloud แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็มีรายละเอียดที่แตกต่างจากเดิม โดยตรง Headband ของหูฟังจะให้ความรู้สึกที่หนาและเด้งมากกว่าตัวเดิม
รวมถึงทาง Ear Pads (ฟองน้ำรองหู) ก็จะมีความหนาและนุ่มมากขึ้น รวมถึงความกว้างของ Ear Pads เองก็จะกว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าในระดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับคนหูใหญ่ เพราะมันจะครอบหูคุณได้ครบทั้งหมด แน่นอนว่าในรุ่นก่อนหน้าที่ลองใช้ เวลาใส่นาน ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหูอยู่แล้ว แต่คุณภาพของ HyperX Cloud III จะทำให้เรานั้นใส่สบายมากขึ้นกว่าเดิม และเหมาะกับผู้คนหลากหลายขึ้นด้วย
โดยรุ่นที่เปิดตัวออกมานั้นยังเป็นรุ่นที่มีสายอยู่ ซึ่งตัวสายนั้นเป็นสายถักที่ค่อนข้างแข็งแรงมาก ๆ แถมยังมีความเด้งที่ไม่ทำให้สายพันกันง่ายด้วย โดยตัวสายที่ติดอยู่กับหูฟังนั้นจะเป็นสาย 3.5 mm ซึ่งเราสามารถเสียบกับอุปกรณ์ที่รองรับได้ (อย่างเช่นในการเสียบกับรูหูฟังตรงหน้าจอ) แต่ถึงอย่างนั้นตัวหูฟังก็มีการพ่วงอะแดปเตอร์สายเชื่อมต่อ จากการส่งสัญญาณแบบ Analog ให้กลายเป็นหูฟังแบบ Digital ด้วย USB-C ได้ แต่ก็มีปลั๊กที่แปลงจาก USB-C เป็น USB ธรรมดาเพื่อเสียบคอมได้เช่นกัน และส่วนตัวก็ลองใช้แล้วตัวหูฟังนี้สามารถรองรับโทรศัพท์ หรือ Taplet ที่รองรับ USB-C ได้เช่นกัน รวมถึงความยาวของสายก็มีความยาวที่มากขึ้นถึง 2.5 m แต่น้ำหนักของหูฟังที่อาจจะมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเป็น 300g
ในด้านของเสียงนั้น ถ้าหากเราเสียบหูฟังแบบ 3.5 กับการใช้อะแดปเตอร์ ส่วนตัวมองว่าเสียงแบบ Analog ของ 3.5 จะค่อนข้างมีเสียงที่ใสกว่าประมาณนึง (แน่นอนเป็นที่รู้กันว่าสัญญาณ Analog จะต้องเสียงดีกว่า Digital อยู่แล้ว) แต่เสียงของ Digital ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ รวมถึงย่านการรับสัญญาณของเสียงนั้นก็มากขึ้นกว่าหูฟังรุ่น HyperX Cloud II มาก ๆ ตัวเสียงค่อนข้างอยู่ในระดับบาลานซ์ที่ดี รวมถึงเวลาฟังเพลงเราจะรู้สึกว่าเสียงของหูฟังที่ออกมาค่อนข้างกว้าง และรายละเอียดได้ครบกว่าเดิมมาก
ซึ่งในตอนนี้ผู้เขียนใช้หูฟัง HyperX Cloud II Wireless เป็นหลัก แน่นอนว่ามันตอบโจทย์สำหรับการใช้งานที่สะดวกสบาย ไม่มี่สายที่กวนใจ แต่พอหลังจากได้ลองใช้หูฟัง HyperX Cloud III และแทบไม่อยากกลับไปใช้ตัวเดิมอีกเลย (ต่อให้มีสายก็ยอม เพราะคุณภาพเสียงดีมาก)
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ถือว่าอเมซิ่งของหูฟังตัวนี้มาก ๆ ก็คือไมค์โครโฟนที่มีการอัปเกรดได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ปกติแล้วหูฟัง Gaming Gear ที่ราคาไม่แพงมากนั้น ส่วนใหญ่สิ่งที่ต้องแลกมากับเสียงที่ดีก็คือคุณภาพของไมค์ที่ค่อนข้างแย่มาก ๆ แต่ผิดกับหูฟัง HyperX Cloud III ตัวไมค์ค่อนข้างมีเสียงที่ชัดเจนแทบไม่แพ้กับไมค์โครโฟน Condenser ดี ๆ ได้เลย มีการปรับปรุงความคมชัดของเสียงได้ดีขึ้น
ซึ่งผู้เขียนเองได้มีหูฟัง HyperX Quadcast ทดสอบ อยากจะบอกว่าไมค์ตัวนี้ทำออกมาได้คุณได้ใกล้เคียงจริง ๆ อาจจะติดตรงที่หูฟังตัวนี้อาจจะไม่สามารถตัด Noise ได้ละเอียดเท่าไมค์โครโฟนตั้งโต๊ะ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ แล้ว นอกจากนี้ในเรื่องของดีไซน์ ตัว Pop Fliter ก็ถูก Build In อยู่ภายในหูฟังเลย ไม่ใช่ฟองน้ำสวมเหมือนรุ่นก่อน ๆ ซึ่งก็ทำให้ดีไซน์ดูเท่มากขึ้น
HyperX Cloud III ถือว่าเป็นหูฟังที่ตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับผู้ที่มีงบในการซื้อหูฟังที่ไม่สูงมากนัก เพราะตัวหูฟังมีราคาเพียงแค่ 3,090 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นหูฟังที่มาราคาที่ดีมาก ๆ แน่นอนว่าดีไซน์ตัวหูฟังอาจจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาก แต่ไส้ในที่ถูกอัพเกรดนั้นในราคานี้ถือว่าถูกไปเลย ทั้งในการรับเสียงที่กว้างขึ้น แน่นอนว่าการเล่นเกมนั้นหูฟังนี้ทำได้ดีมาก ๆ แต่ในเรื่องของการฟังเพลงตัวหูฟังก็ทำออกมาได้ดียิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้กับคุณภาพของไมค์โครโฟนที่ดีพอจะสามารถเอาไปใช้อัดเสียง หรือไลฟ์สตรีมได้เลย สำหรับคนที่อยากทำคอนเทนต์ต่าง ๆ บางทีการซื้อหูฟังตัวนี้ก็แทบจะใช้งานได้ครบเลย
หูฟัง HyperX Cloud III จะวางจำหน่ายในวันที่ 6 มิถุนายน 2023 ผ่านร้าน HyperX Flagship Store ในแพลตฟอร์มออนไลน์และช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ของ HyperX โดยมีราคาอยู่ที่ 3,090 บาท
โดยราคาทั้งหมดและหน้าร้านจะถูกอัปเดตในวันที่ 6 มิถุนายน 2023 เป็นต้นไป
ถ้าให้พูดถึง Gaming Gears หนึ่งในแบรนด์ที่การันตรีคุณภาพและอยู่กับเราชาวไทยมาหลายปี ชื่อของ HyperX ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น และอุปกรณ์ที่แบรนด์นี้ค่อนข้างโดดเด่นมาก ๆ ก็คงจะเป็นหูฟัง Head Set ที่ทางผู้พัฒนานั้นออกมาด้วยกันหลายรุ่น การันตรีคุณภาพเสียง มาก ๆ และล่าสุดทางแบรนด์ก็ได้ออกหูฟังโปรดักษ์ใหม่อย่าง HyperX Cloud III ซึ่งเป็นหูฟังรุ่นอัพเกรดคุณภาพจาก HyperX Cloud II อันโด่งดังที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิว และพูดถึงสรรพคุณของหูฟังตัวนี้ ว่ามันมีจุดเด่นอะไรบ้าง ซึ่งเราเราก็ขอบคุณทาง HyperX ที่ส่งหูฟังนี้ให้เราได้ลองใช้ครับ
-----------------------
เริ่มจากพูดถึงดีไซน์ของตัวหูฟังกันก่อน แน่นอนว่าดีไซน์โดยรวมก็ยังเป็นสีดำตัดแสงตามเอกลักษณ์ของซีรีส์ Cloud แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็มีรายละเอียดที่แตกต่างจากเดิม โดยตรง Headband ของหูฟังจะให้ความรู้สึกที่หนาและเด้งมากกว่าตัวเดิม
รวมถึงทาง Ear Pads (ฟองน้ำรองหู) ก็จะมีความหนาและนุ่มมากขึ้น รวมถึงความกว้างของ Ear Pads เองก็จะกว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าในระดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับคนหูใหญ่ เพราะมันจะครอบหูคุณได้ครบทั้งหมด แน่นอนว่าในรุ่นก่อนหน้าที่ลองใช้ เวลาใส่นาน ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหูอยู่แล้ว แต่คุณภาพของ HyperX Cloud III จะทำให้เรานั้นใส่สบายมากขึ้นกว่าเดิม และเหมาะกับผู้คนหลากหลายขึ้นด้วย
โดยรุ่นที่เปิดตัวออกมานั้นยังเป็นรุ่นที่มีสายอยู่ ซึ่งตัวสายนั้นเป็นสายถักที่ค่อนข้างแข็งแรงมาก ๆ แถมยังมีความเด้งที่ไม่ทำให้สายพันกันง่ายด้วย โดยตัวสายที่ติดอยู่กับหูฟังนั้นจะเป็นสาย 3.5 mm ซึ่งเราสามารถเสียบกับอุปกรณ์ที่รองรับได้ (อย่างเช่นในการเสียบกับรูหูฟังตรงหน้าจอ) แต่ถึงอย่างนั้นตัวหูฟังก็มีการพ่วงอะแดปเตอร์สายเชื่อมต่อ จากการส่งสัญญาณแบบ Analog ให้กลายเป็นหูฟังแบบ Digital ด้วย USB-C ได้ แต่ก็มีปลั๊กที่แปลงจาก USB-C เป็น USB ธรรมดาเพื่อเสียบคอมได้เช่นกัน และส่วนตัวก็ลองใช้แล้วตัวหูฟังนี้สามารถรองรับโทรศัพท์ หรือ Taplet ที่รองรับ USB-C ได้เช่นกัน รวมถึงความยาวของสายก็มีความยาวที่มากขึ้นถึง 2.5 m แต่น้ำหนักของหูฟังที่อาจจะมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเป็น 300g
ในด้านของเสียงนั้น ถ้าหากเราเสียบหูฟังแบบ 3.5 กับการใช้อะแดปเตอร์ ส่วนตัวมองว่าเสียงแบบ Analog ของ 3.5 จะค่อนข้างมีเสียงที่ใสกว่าประมาณนึง (แน่นอนเป็นที่รู้กันว่าสัญญาณ Analog จะต้องเสียงดีกว่า Digital อยู่แล้ว) แต่เสียงของ Digital ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ รวมถึงย่านการรับสัญญาณของเสียงนั้นก็มากขึ้นกว่าหูฟังรุ่น HyperX Cloud II มาก ๆ ตัวเสียงค่อนข้างอยู่ในระดับบาลานซ์ที่ดี รวมถึงเวลาฟังเพลงเราจะรู้สึกว่าเสียงของหูฟังที่ออกมาค่อนข้างกว้าง และรายละเอียดได้ครบกว่าเดิมมาก
ซึ่งในตอนนี้ผู้เขียนใช้หูฟัง HyperX Cloud II Wireless เป็นหลัก แน่นอนว่ามันตอบโจทย์สำหรับการใช้งานที่สะดวกสบาย ไม่มี่สายที่กวนใจ แต่พอหลังจากได้ลองใช้หูฟัง HyperX Cloud III และแทบไม่อยากกลับไปใช้ตัวเดิมอีกเลย (ต่อให้มีสายก็ยอม เพราะคุณภาพเสียงดีมาก)
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ถือว่าอเมซิ่งของหูฟังตัวนี้มาก ๆ ก็คือไมค์โครโฟนที่มีการอัปเกรดได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ปกติแล้วหูฟัง Gaming Gear ที่ราคาไม่แพงมากนั้น ส่วนใหญ่สิ่งที่ต้องแลกมากับเสียงที่ดีก็คือคุณภาพของไมค์ที่ค่อนข้างแย่มาก ๆ แต่ผิดกับหูฟัง HyperX Cloud III ตัวไมค์ค่อนข้างมีเสียงที่ชัดเจนแทบไม่แพ้กับไมค์โครโฟน Condenser ดี ๆ ได้เลย มีการปรับปรุงความคมชัดของเสียงได้ดีขึ้น
ซึ่งผู้เขียนเองได้มีหูฟัง HyperX Quadcast ทดสอบ อยากจะบอกว่าไมค์ตัวนี้ทำออกมาได้คุณได้ใกล้เคียงจริง ๆ อาจจะติดตรงที่หูฟังตัวนี้อาจจะไม่สามารถตัด Noise ได้ละเอียดเท่าไมค์โครโฟนตั้งโต๊ะ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ แล้ว นอกจากนี้ในเรื่องของดีไซน์ ตัว Pop Fliter ก็ถูก Build In อยู่ภายในหูฟังเลย ไม่ใช่ฟองน้ำสวมเหมือนรุ่นก่อน ๆ ซึ่งก็ทำให้ดีไซน์ดูเท่มากขึ้น
HyperX Cloud III ถือว่าเป็นหูฟังที่ตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับผู้ที่มีงบในการซื้อหูฟังที่ไม่สูงมากนัก เพราะตัวหูฟังมีราคาเพียงแค่ 3,090 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นหูฟังที่มาราคาที่ดีมาก ๆ แน่นอนว่าดีไซน์ตัวหูฟังอาจจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาก แต่ไส้ในที่ถูกอัพเกรดนั้นในราคานี้ถือว่าถูกไปเลย ทั้งในการรับเสียงที่กว้างขึ้น แน่นอนว่าการเล่นเกมนั้นหูฟังนี้ทำได้ดีมาก ๆ แต่ในเรื่องของการฟังเพลงตัวหูฟังก็ทำออกมาได้ดียิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้กับคุณภาพของไมค์โครโฟนที่ดีพอจะสามารถเอาไปใช้อัดเสียง หรือไลฟ์สตรีมได้เลย สำหรับคนที่อยากทำคอนเทนต์ต่าง ๆ บางทีการซื้อหูฟังตัวนี้ก็แทบจะใช้งานได้ครบเลย
หูฟัง HyperX Cloud III จะวางจำหน่ายในวันที่ 6 มิถุนายน 2023 ผ่านร้าน HyperX Flagship Store ในแพลตฟอร์มออนไลน์และช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ของ HyperX โดยมีราคาอยู่ที่ 3,090 บาท
โดยราคาทั้งหมดและหน้าร้านจะถูกอัปเดตในวันที่ 6 มิถุนายน 2023 เป็นต้นไป