GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
รีวิว Stifled (PS4) พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!
ลงวันที่ 11/05/2018

Stifled เป็นเกมสยองขวัญบน Playstation 4 ที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ด้วยการใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในเกม โดยมีคำโปรยต่อท้ายชื่อเกมว่า THEY HEAR YOU FEAR (พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!) เพื่อนๆ สามารถใช้ Playstation VR และไมโครโฟนเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ตัวเกมออกไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาลง PSN โซนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยการกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทยอีกด้วย ไปดูกันเลยว่าทีมงาน GameFever มีความเห็นอย่างไรหลังจากเล่นเกมที่ได้รับรางวัลด้านความสร้างสรรค์มากมายเกมนี้จนจบ



ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เนื้อเรื่องเริ่มต้นของเกมมีแค่นั้นจริงๆ โดยผู้เล่นจะรู้เรื่องราวที่เหลือจากการเล่นเกม ผ่านบันทึก จดหมาย เสียงข้อความที่เพื่อนบ้านฝากไว้กับโทรศัพท์ และสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถสำรวจได้

เกมแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นฉากภายในอาคารซึ่งเป็นส่วนที่เราจะได้เดินสำรวจ ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้มีการใช้ฟังก์ชันเสียงของเกมเท่าไหร่นัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าผู้เล่นไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ต้องการในการเล่นผ่านส่วนนี้จริงๆ ก็คือการเดินไปถึงจุดที่กำหนด รวมถึงสำรวจอะไรที่เกมกำหนดไว้




ส่วนที่สองของเกมคือส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ เป็นส่วนที่ผู้เล่นจะได้ใช้ฟังก์ชันเสียงของเกม เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นลุ้นระทึกกว่า เนื่องจากเป็นส่วนที่เราจะต้องคอยหลบหนีศัตรู รวมทั้งรอบกายเรายังเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยภาพในเกมจะเปลี่ยนเป็นฉากสีดำและเราจะเห็นสิ่งรอบกายเป็นเพียงโครงร่างสีขาวในระยะการมองเห็นที่จำกัดมากๆ จุดนี้เราจะต้องใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง (Echolocation) โดยเราสามารถหยิบข้าวของที่อยู่ตามพื้นเพื่อปาให้เกิดเสียง หรือใช้การส่งเสียงของเราเองผ่านไมโครโฟน (หรือใช้ปุ่มบนจอยในกรณีที่ไม่มีไมโครโฟน) ซึ่งเสียงที่เกิดจากการกระทำทั้งสองอย่างจะไปสะท้อนกับสิ่งรอบตัวเรา ปรากฏเป็นโครงร่างสีขาวขึ้นมา ทำให้พื้นที่การมองเห็นของเรามากขึ้นกว่าเดิม เราจะต้องใช้การสำรวจด้วยเสียงภายในฉากแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

แต่ในขณะที่เราใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทางนั้นเราจะต้องคอยระวังว่าเสียงของเราจะไปถึงเหล่าปีศาจภายในเกมด้วย โดยศัตรูจะมองไม่เห็นเรา แต่หากเราส่งเสียงเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเพียงเสียงเดิน ศัตรูที่เดินอยู่จะพุ่งเข้าโจมตีเราทันที และเราไม่สามารถที่จะจู่โจมกลับได้ ส่วนนี้เราจะต้องหาทางหลอกล่อศัตรูให้ไปทางอื่นด้วยเสียง แบบเดียวกับที่เราใช้เพื่อสำรวจฉาก

รูปแบบการเล่นในส่วนนี้ซึ่งเป็นจุดขายของเกมนี้ซึ่งดูเหมือนจะน่าสนใจ เอาเข้าจริงๆ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนของเกมเพราะทำมาได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะบอกว่าเราใช้เสียงเพื่อสำรวจฉากแต่เอาเข้าจริงๆ เรายังต้องใช้การมองเห็นเป็นส่วนหลักของเกมอยู่ดี การส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางน่าสนุกอยู่ในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพูดหรือตะโกนซ้ำๆ เพื่อทำให้ตัวละครเรามองเห็นฉากเท่านั้นเอง ถึงแม้เสียงเบาหรือดังจะมีผลต่อระยะการมองเห็นแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ การหยิบของตามพื้นเพื่อปาล่อศัตรูไปที่อื่นนั้นมีประโยชน์และได้ผลดีกว่ามาก และการสำรวจฉากส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปด้วยการพูดเสียงปกติเนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่การมองเห็นที่มากขึ้นด้วยการพูดเสียงดัง เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาภาพที่เรามองเห็นก็จะกลับมามืดเหมือนเดิมและต้องส่งเสียงใหม่อยู่ดี และการพูดเสียงเบาก็ให้พื้นที่ในการมองเห็นน้อยเกินไป กลายเป็นว่าการสำรวจฉากด้วยวิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการย้ายฟังก์ชันที่อยู่ในปุ่มมาทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง







เกมนี้เป็นเกมสยองขวัญที่แทบไม่มีความน่ากลัวเลย สาเหตุอย่างแรกก็คือกราฟิกที่มีคุณภาพต่ำ ความประทับใจแรกที่ผู้เล่นจะได้พบเมื่อสวมแว่น VR เพื่อดำดิ่งเข้าสู่โลกของเกมก็คือสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับเป็นของปลอม และเพราะแบบนั้นประสบการณ์ร่วมจากการคิดว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริงๆ จึงลดลงอย่างมาก

ในส่วนที่เราต้องคอยหลบศัตรูซึ่งถึงแม้จะตื่นเต้นกว่าแต่เนื่องด้วยกราฟิกที่เปลี่ยนเป็นสไตล์แบบภาพโครงร่างของสิ่งรอบตัวทำให้เหล่าปีศาจในเกมแทบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย ความตกใจที่เกิดขึ้นเป็นแบบความตกใจแบบที่เกิดขึ้นเวลามีเพื่อนแอบแกล้งให้เราตกใจแค่นั้นเอง ซึ่งพอผู้เล่นปรับตัวให้เข้ากับความตกใจแบบนั้นได้ การเจอศัตรูแต่ละครั้งก็กลายเป็นความรำคาญมากกว่าความล้นระทึก เหล่าปีศาจกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อที่คอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อมากกว่าที่จะเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เราขนลุก และเนื่องจากเราไม่ค่อยจะตกใจกลัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการที่ศัตรูสัมผัสความกลัวจากเสียงตกใจของเราได้จึงแทบไม่ได้ทำงานเลย







เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ได้เห็นเกมที่มีทั้งเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทย เมื่อคิดถึงความรู้สึกร่วมที่มากขึ้นและความเข้าใจเนื้อเรื่องที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับเกมที่ส่วนหนึ่งของเกมคือการค่อยๆ เผยเนื้อเรื่องจากการอ่าน การฟังสิ่งต่างๆ ในเกม

คำบรรยายของเกมทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือพวกเอกสารหรือบันทึกต่างๆ ในเกมที่สามารถกดดูคำแปลได้หมด ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องราวในเกมได้ง่ายขึ้นมาก

ส่วนเสียงพากย์นั้นถือว่าทำได้น่าผิดหวังพอสมควร นั่นเพราะเสียงของตัวละครหลักมีการเลือกนักพากย์มาได้ไม่เข้ากับตัวละครเลย และน้ำเสียงค่อนข้างขัดกับบรรยากาศอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเล่นแบบไม่ใช้ไมโครโฟน เราจะได้ยินเสียงตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาเมื่อกดปุ่มให้ตัวละครส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง จากบรรยากาศที่ควรจะน่ากลัวก็กลายเป็นว่าตลกไปเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้ใช้เฉพาะคำบรรยายภาษาไทยแต่ใช่เสียงพากย์ต้นฉบับได้ หากอยากเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นก็ต้องแลกมากับเสียงพากย์แบบนี้






สรุปคะแนน: 6.5/10


Stifled เป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ บวกกับกราฟิกที่ทำให้เราไม่อินไปกับเกมความน่ากลัวที่ปรับตัวให้ชินได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อเรื่องที่เราต้องปะติดปะต่อเอาเองก็ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ทำให้เกมนี้สนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ



ความคุ้มค่าในการเล่นกับ VR: 2/5
การเล่นกับ VR ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นกว่าการเล่นแบบปกติ หากใครมี VR อยู่แล้วและสนใจเล่นเกมนี้ แนะนำให้เล่นด้วย VR ไปเลย แต่หากยังไม่มี VR มาก่อน เกมนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผลในการซื้อหามาเล่น เพราะทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก








บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
รีวิว Stifled (PS4) พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!
11/05/2018

Stifled เป็นเกมสยองขวัญบน Playstation 4 ที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ด้วยการใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในเกม โดยมีคำโปรยต่อท้ายชื่อเกมว่า THEY HEAR YOU FEAR (พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!) เพื่อนๆ สามารถใช้ Playstation VR และไมโครโฟนเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ตัวเกมออกไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาลง PSN โซนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยการกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทยอีกด้วย ไปดูกันเลยว่าทีมงาน GameFever มีความเห็นอย่างไรหลังจากเล่นเกมที่ได้รับรางวัลด้านความสร้างสรรค์มากมายเกมนี้จนจบ



ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เนื้อเรื่องเริ่มต้นของเกมมีแค่นั้นจริงๆ โดยผู้เล่นจะรู้เรื่องราวที่เหลือจากการเล่นเกม ผ่านบันทึก จดหมาย เสียงข้อความที่เพื่อนบ้านฝากไว้กับโทรศัพท์ และสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถสำรวจได้

เกมแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นฉากภายในอาคารซึ่งเป็นส่วนที่เราจะได้เดินสำรวจ ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้มีการใช้ฟังก์ชันเสียงของเกมเท่าไหร่นัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าผู้เล่นไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ต้องการในการเล่นผ่านส่วนนี้จริงๆ ก็คือการเดินไปถึงจุดที่กำหนด รวมถึงสำรวจอะไรที่เกมกำหนดไว้




ส่วนที่สองของเกมคือส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ เป็นส่วนที่ผู้เล่นจะได้ใช้ฟังก์ชันเสียงของเกม เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นลุ้นระทึกกว่า เนื่องจากเป็นส่วนที่เราจะต้องคอยหลบหนีศัตรู รวมทั้งรอบกายเรายังเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยภาพในเกมจะเปลี่ยนเป็นฉากสีดำและเราจะเห็นสิ่งรอบกายเป็นเพียงโครงร่างสีขาวในระยะการมองเห็นที่จำกัดมากๆ จุดนี้เราจะต้องใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง (Echolocation) โดยเราสามารถหยิบข้าวของที่อยู่ตามพื้นเพื่อปาให้เกิดเสียง หรือใช้การส่งเสียงของเราเองผ่านไมโครโฟน (หรือใช้ปุ่มบนจอยในกรณีที่ไม่มีไมโครโฟน) ซึ่งเสียงที่เกิดจากการกระทำทั้งสองอย่างจะไปสะท้อนกับสิ่งรอบตัวเรา ปรากฏเป็นโครงร่างสีขาวขึ้นมา ทำให้พื้นที่การมองเห็นของเรามากขึ้นกว่าเดิม เราจะต้องใช้การสำรวจด้วยเสียงภายในฉากแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

แต่ในขณะที่เราใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทางนั้นเราจะต้องคอยระวังว่าเสียงของเราจะไปถึงเหล่าปีศาจภายในเกมด้วย โดยศัตรูจะมองไม่เห็นเรา แต่หากเราส่งเสียงเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเพียงเสียงเดิน ศัตรูที่เดินอยู่จะพุ่งเข้าโจมตีเราทันที และเราไม่สามารถที่จะจู่โจมกลับได้ ส่วนนี้เราจะต้องหาทางหลอกล่อศัตรูให้ไปทางอื่นด้วยเสียง แบบเดียวกับที่เราใช้เพื่อสำรวจฉาก

รูปแบบการเล่นในส่วนนี้ซึ่งเป็นจุดขายของเกมนี้ซึ่งดูเหมือนจะน่าสนใจ เอาเข้าจริงๆ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนของเกมเพราะทำมาได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะบอกว่าเราใช้เสียงเพื่อสำรวจฉากแต่เอาเข้าจริงๆ เรายังต้องใช้การมองเห็นเป็นส่วนหลักของเกมอยู่ดี การส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางน่าสนุกอยู่ในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพูดหรือตะโกนซ้ำๆ เพื่อทำให้ตัวละครเรามองเห็นฉากเท่านั้นเอง ถึงแม้เสียงเบาหรือดังจะมีผลต่อระยะการมองเห็นแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ การหยิบของตามพื้นเพื่อปาล่อศัตรูไปที่อื่นนั้นมีประโยชน์และได้ผลดีกว่ามาก และการสำรวจฉากส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปด้วยการพูดเสียงปกติเนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่การมองเห็นที่มากขึ้นด้วยการพูดเสียงดัง เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาภาพที่เรามองเห็นก็จะกลับมามืดเหมือนเดิมและต้องส่งเสียงใหม่อยู่ดี และการพูดเสียงเบาก็ให้พื้นที่ในการมองเห็นน้อยเกินไป กลายเป็นว่าการสำรวจฉากด้วยวิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการย้ายฟังก์ชันที่อยู่ในปุ่มมาทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง







เกมนี้เป็นเกมสยองขวัญที่แทบไม่มีความน่ากลัวเลย สาเหตุอย่างแรกก็คือกราฟิกที่มีคุณภาพต่ำ ความประทับใจแรกที่ผู้เล่นจะได้พบเมื่อสวมแว่น VR เพื่อดำดิ่งเข้าสู่โลกของเกมก็คือสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับเป็นของปลอม และเพราะแบบนั้นประสบการณ์ร่วมจากการคิดว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริงๆ จึงลดลงอย่างมาก

ในส่วนที่เราต้องคอยหลบศัตรูซึ่งถึงแม้จะตื่นเต้นกว่าแต่เนื่องด้วยกราฟิกที่เปลี่ยนเป็นสไตล์แบบภาพโครงร่างของสิ่งรอบตัวทำให้เหล่าปีศาจในเกมแทบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย ความตกใจที่เกิดขึ้นเป็นแบบความตกใจแบบที่เกิดขึ้นเวลามีเพื่อนแอบแกล้งให้เราตกใจแค่นั้นเอง ซึ่งพอผู้เล่นปรับตัวให้เข้ากับความตกใจแบบนั้นได้ การเจอศัตรูแต่ละครั้งก็กลายเป็นความรำคาญมากกว่าความล้นระทึก เหล่าปีศาจกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อที่คอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อมากกว่าที่จะเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เราขนลุก และเนื่องจากเราไม่ค่อยจะตกใจกลัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการที่ศัตรูสัมผัสความกลัวจากเสียงตกใจของเราได้จึงแทบไม่ได้ทำงานเลย







เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ได้เห็นเกมที่มีทั้งเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทย เมื่อคิดถึงความรู้สึกร่วมที่มากขึ้นและความเข้าใจเนื้อเรื่องที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับเกมที่ส่วนหนึ่งของเกมคือการค่อยๆ เผยเนื้อเรื่องจากการอ่าน การฟังสิ่งต่างๆ ในเกม

คำบรรยายของเกมทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือพวกเอกสารหรือบันทึกต่างๆ ในเกมที่สามารถกดดูคำแปลได้หมด ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องราวในเกมได้ง่ายขึ้นมาก

ส่วนเสียงพากย์นั้นถือว่าทำได้น่าผิดหวังพอสมควร นั่นเพราะเสียงของตัวละครหลักมีการเลือกนักพากย์มาได้ไม่เข้ากับตัวละครเลย และน้ำเสียงค่อนข้างขัดกับบรรยากาศอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเล่นแบบไม่ใช้ไมโครโฟน เราจะได้ยินเสียงตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาเมื่อกดปุ่มให้ตัวละครส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง จากบรรยากาศที่ควรจะน่ากลัวก็กลายเป็นว่าตลกไปเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้ใช้เฉพาะคำบรรยายภาษาไทยแต่ใช่เสียงพากย์ต้นฉบับได้ หากอยากเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นก็ต้องแลกมากับเสียงพากย์แบบนี้






สรุปคะแนน: 6.5/10


Stifled เป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ บวกกับกราฟิกที่ทำให้เราไม่อินไปกับเกมความน่ากลัวที่ปรับตัวให้ชินได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อเรื่องที่เราต้องปะติดปะต่อเอาเองก็ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ทำให้เกมนี้สนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ



ความคุ้มค่าในการเล่นกับ VR: 2/5
การเล่นกับ VR ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นกว่าการเล่นแบบปกติ หากใครมี VR อยู่แล้วและสนใจเล่นเกมนี้ แนะนำให้เล่นด้วย VR ไปเลย แต่หากยังไม่มี VR มาก่อน เกมนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผลในการซื้อหามาเล่น เพราะทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก









บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header