ด้วยความสำเร็จของเกม Marvel’s Spider-man ภาคแรกในฐานะเกม Exclusive ยอดนิยมจากสมัย PlayStation 4 ที่ได้รับเสียงชมและคะแนนรีวิวสูงลิบลิ่วจากสื่อทั่วโลก ที่ยกย่องเกมให้เป็นทั้ง “เกมสไปเดอร์แมนที่ดีที่สุดที่เคยมีมา” และเป็นหนึ่งใน “เกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” แน่นอนว่าผู้พัฒนา Insomniac Games ย่อมต้องเผชิญกับโจทย์หินในการพัฒนาเกมภาคต่ออย่าง Marvel’s Spider-man 2 ที่ไม่เพียงต้องรักษามาตรฐานอันสูงลิบลิ่วของเกมภาคแรก แต่ยังต้องนำเสนอข้อปรับปรุงที่ใหญ่พอให้สมกับเป็นเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 5 อีกต่างหาก
หลังจากที่ใช้เวลาเล่นเกมมาไม่น้อยกว่า 40 ชม. ต้องบอกว่าเกม Marvel’s Spider-man 2 สามารถทำได้เหนือกว่าความคาดหวังของผู้เขียนในส่วนทีสำคัญที่สุดอย่างเกมเพลย์การต่อสู้และการเดินทาง/โหนใย ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้สนุกและอิสระกว่าเดิมเป็นอย่างมาก และทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมมีความลื่นไหลจนเล่นลืมเวลาทั้งวันไปได้ง่ายๆ เลย
แม้ว่าเกมอาจต้องเสียสละในส่วนของกราฟิกและเนื้อเรื่องไปบ้าง แต่ถ้าคุณชื่นชอบเกมเพลย์ของซีรีส์นี้เป็นพิเศษ เกม Marvel’s Spider-man 2 จะตอบสนองความต้องการทุกอย่างของคุณได้อย่างแน่นอน
เนื้อเรื่องของ Marvel’s Spider-man 2 จะเริ่มขึ้น 9 เดือนหลังตอนจบของเกมภาค Miles Morales และติดตามการต่อสู้ระหว่างเหล่าฮีโร่แมงมุมทั้งสองกับวายร้าย คราเวน เดอะ ฮันเตอร์ ผู้ซึ่งนำกองกำลังทหารขนาดใหญ่เข้ารุกรานมหานครนิวยอร์ค เพื่อจุดประสงค์ในการ “ล่า” เหล่ายอดมนุษย์มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์แมนทั้งสองอีกด้วย โดยผู้ที่ติดตามสื่อการตลาดของเกมมาน่าจะทราบดีว่าคู่ปรับอันโด่งดังของสไปเดอร์แมนอย่าง วีน่อม เองก็จะมีบทบาทในเนื้อเรื่องด้วย (แต่จะเกี่ยวอย่างไร ให้ไปติดตามกันเอาเอง!)
หากมองในภาพรวม แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะไม่ได้แย่เมื่อเทียบตามมาตรฐานของเกมทั่วไป แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามีความด้อยกว่าเนื้อเรื่องของเกมสองภาคที่ผ่านมาอย่างชัดเจน จากการที่เกมจำเป็นต้องแบ่งเวลาเพื่อเล่าปมเนื้อเรื่องของตัวเอกทั้งสองแยกกัน แตกต่างจากเกมสองภาคแรกที่เน้นเล่าเรื่องราวของตัวเอกคนใดคนหนึ่งอย่างเข้มข้น ซึ่งก็ทำให้เกมได้มีเวลาค่อยๆ เล่าหรือคลายปมในเนื้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลของการแบ่งเวลาเช่นนี้ทำให้การเล่าเรื่องหลายๆ ส่วนในเกมรู้สึกรวบรัดเกินไปนิด ซึ่งก็ส่งผลให้ซีนอารมณ์ช่วงท้ายเกมหลายซีนรู้สึกเบาบางกว่าที่ควรจะเป็นไปด้วย ยังไม่นับรวมการที่เกมต้องพยายามวางปมให้กับตัวละครสมทบสำคัญๆ อย่าง แมรี่ เจน อีกด้วย ยิ่งดึงเวลาไปจากตัวเอกทั้งสองมากกว่าเดิมไปอีก
ที่สำคัญไม่แพ้ตัวเอกทั้งสองก็คือตัวร้ายใหญ่ที่มี 2 คนเช่นกันทั้ง คราเวน และ วีน่อม ซึ่งทั้งสองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวเอกนั่นค่อไม่ไดรับการพัฒนาเท่าที่ควร โดยเฉพาะในแง่ของแรงจูงใจซึ่งมีความเป็นการ์ตูนขาว-ดำไปซะหน่อย ผลลัพธ์คือเนื้อเรื่องหลักที่แม้จะไม่ได้แย่อะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีน้ำหนักหรืออารมณ์เข้มข้นเท่าภาคก่อนๆ เช่นกัน
นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมยังมีเนื้อเรื่องย่อยๆ ที่ให้ผู้เล่นค้นหาจากกิจกรรมเสริมในเกม ซึ่งมักพาผู้เล่นไปเจอกับตัวละครหรือวายร้ายคนอื่นๆ ในจักรวาลของสไปเดอร์แมนที่อาจไม่ได้ปรากฏในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนๆ ของจักรวาลสไปเดอร์แมนไม่น้อย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจรู้สึกน่าขัดใจบ้างเมื่อเส้นเรื่องเหล่านี้มักให้ความรู้สึกเหมือนจบกลางคัน และหากจะตามให้จบก็คงต้องจ่ายเงินซื้อ DLC เพิ่มในอนาคตเท่านั้น
ตอนที่รับชมตัวอย่างเกมเพลย์ของ Marvel’s Spider-man 2 ในช่วงที่เกมเปิดตัว บอกตามตรงว่าผู้เขียนไม่ได้คาดหวังให้ประสบการณ์เกมเพลย์โดยรวมแตกต่างจากเกมภาคก่อนๆ มากนัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเกมเพลย์จากภาคเก่าๆ ก็ทำมาได้อย่างลงตัวมากๆ แล้วทั้งในแง่ของการต่อสู่และการโหนใยไปมา แต่เมื่อได้ลองเล่นเกมด้วยตัวเองจริงๆ แล้วจึงเข้าใจว่าข้อปรับปรุงทั้งหลายที่เห็นนั้นส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมมากขนาดไหน
สิ่งแรกที่ผู้เขียนพบหลังจากที่เล่นเกมไปได้ไม่นาน คือ Spider-man 2 มีความ “ยาก” ขึ้นกว่าที่ผ่านมาพอสมควร ทั้งในแง่ของจำนวนศัตรูที่ต้องพบในแต่ละฉาก ชนิดของศัตรูอันหลากหลาย ไปจนถึงตัว A.I. ศัตรูที่ฉลาดขึ้น และมักใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของตัวเองในการจู่โจมผู้เล่นจากหลากหลายมุมพร้อมๆ กัน ศัตรูบางตัวยังสามารถโจมตีเป็นคอมโบด้วยการผสมผสานท่า “โจมตีหนัก” ที่ไม่สามารถหลบได้ (ต้องปัดป้องเอา) เข้ากับท่าโจมตีปกติ แถมบางตัวยังมีการดึงจังหวะให้เราหลบ/ปัดป้องพลาดเหมือนในเกม Souls อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเจอกับตัวเองถึงจะเห็นภาพว่ามันเปลี่ยนความรู้สึกเวลาเล่นไปแค่ไหน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังส่งเสริมแกมบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ทั้งแก๊ตเจตและความสามารถประจำตัวของสไปเดอร์แมนแต่ละคนอย่างฉลาดขึ้นเพื่อรับมือกับศัตรูไปด้วย ต่างจากในเกมภาคก่อนๆ ที่ผู้เขียนเองแทบไม่เคยใช้แก๊ตเจตใดๆ เลยด้วยซ้ำ โดยเกมยังมักจะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เข้ามาให้เราต้องรับมืออยู่เป็นระยะตลอดการดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้การต่อสู้ยังคงรู้สึกท้าทายอยู่เสมอแม้จะปลดล๊อกแก๊ตเจตและความสามารถจนครบแล้วก็ตาม
ในส่วนของการโหนใย/เดินทางไปมา เกมได้เพิ่มข้อปรับปรุงที่สำคัญมากๆ เข้ามานั่นก็คือระบบ “เว็บวิง” หรือปีกที่ให้เราร่อนไปมาได้อย่างอิสระ ซึ่งทำให้การเดินทางในเกมมีความลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ เพราะจุดอ่อนใหญ่ของระบบการเดินทางในเกมคือพื้นที่แบนๆ ที่ไม่มีตึกสูงให้โหนใย โดยปีกเว็บวิงเหล่านี้สามารถทำให้ผู้เล่นบินข้ามพื้นที่เหล่านี้ได้โดยไม่เสียความเร็ว และทำให้การเดินทางในเกมมีความราบรื่นขึ้นไปด้วย
แน่นอนว่าระบบเว็บวิงนี้ยังสอดรับกับแผนที่มหานครนิวยอร์คของเกม ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแผนที่ในเกมสองภาคที่ผ่านมารวมกันซะอีก แถมแต่ละเขตของเมืองนิวยอร์คยังมีส่วนสูงของอาคารที่อยู่ในพื้นที่และจุดสังเกตที่แตกต่างกันที่มักบังคับให้ผู้เล่นต้องเปลี่ยนวิธีหรือจังหวะในการโหนใยผ่าน ทำให้การเดินทางไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจและมีความสนุกท้าทายในแบบของตัวเอง โดยภายในเมืองมักจะมีกระแสลมที่ช่วยพัดให้ผู้เล่นสามารถบินว่อนไปมาทั่วไปเมืองได้อย่างรวดเร็ว จนเมื่อเล่นคล่องๆ ก็สามารถเดินทางทั่วแผนที่โดยที่เท้าไม่แตะพื้นได้เลยจริงๆ
รอบๆ เมืองนิวยอร์คยังมีกิจกรรมย่อยและมินิเกมเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ ให้ผู้เล่นได้เลือกทำได้ในกรณีที่ต้องการพักจากการต่อสู้ โดยการทำกิจกรรมเหล่านี้มักจะปลดล๊อคเหรียญตราหลากหลายชนิดไว้เพื่อปลดล๊อคชุดตกแต่งตัวละครให้กับทั้งปีเตอร์และไมล์ รวมไปถึงนำเสนอแง่มุมวิถีชีวิตของชาวนิวยอร์คให้เราไปด้วย ซึ่งก็ช่วยเสริมชีวิตชีวาให้กับเกมได้พอสมควร
ในช่วงที่ได้รับโค้ดเกมมารีวิวแรกๆ ผู้พัฒนาได้แจ้งสื่อทุกสำนักเอาไว้ล่วงหน้าว่ากราฟิกในเกมขณะนั้นอาจจะยังไม่อยู่ในระดับสมบูรณ์ 100% และผู้พัฒนาจะทำการปล่อยอัพเดทเพื่อปรับปรุงกราฟิกในเกมครั้งสุดท้ายไม่กี่วันก่อนจะถึงกำหนดรีวิว โดยผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมทั้งก่อนและหลังอัพเดทดังกล่าวแล้ว
แต่แม้ว่ากราฟิกโดยรวมของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะยังคงอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของแสงสีที่ได้เทคโนโลยี Ray Tracing เข้ามาเสริมให้รู้สึกสมจริงเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่ารายละเอียดบนใบหน้าตัวละครและพื้นผิวสิ่งของบางส่วนในเกมภาคใหม่นี้กลับดูไม่ละเอียดเท่าภาคเก่าอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการเพิ่ม Ray Tracing ที่ทำให้แสงเงาในเกมมีความนุ่มนวลขึ้นหรือเปล่า แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าผิวหน้าตัวละครแทบทุกตัวในเกมมีความ “เนียน” เกินจริง ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่เคยรู้สึกในเกมภาคก่อนๆ
ในอีกมุมหนึ่ง การที่เกมมีขนาดใหญ่กว่าเกมภาคก่อนๆ อย่างมหาศาลอย่างที่กล่าวไปข้างต้น รวมไปถึงการที่เกมทำให้ผู้เล่นสามารถเดินทางเข้า-ออกอาคารบางแห่งได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอโหลดเกมเหมือนที่ผ่านมา ก็ทำให้รู้สึกยอมรับได้ถ้าเกมจะต้องปรับลดรายละเอียดบางส่วนลงมาบ้างเพื่อให้เกมยังคงรันได้อย่างลื่นไหล ซึ่งในจุดนั้นก็ถือว่าเกมยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผู้เขียนเล่นเกมในโหมด Performance ที่ให้เฟรมเรต 60 FPS อย่างเสถียรแทบจะตลอดทั้งเกม แม้ในขณะที่มีศัตรูและแสงสีเอฟเฟกต์ปลิวว่อนเต็มจอก็ตาม ซึ่งสำหรับผู้เขียนและเกมเมอร์หลายๆ คน น่าจะเป็นจุดที่สำคัญกว่าความละเอียดของผิวหน้าตัวละคร
ข่าวดีสำหรับแฟนๆ ชาวไทยก็คือการที่เกม Marvel's Spider-man 2 จะสนับสนุนภาษาไทยด้วย (ต้องเข้าไปตั้งค่าภาษาของเครื่อง PS5 เป็นไทยเท่านั้น เปลี่ยนในเกมไม่ได้) ซึ่งในภาพรวมก็ถือว่าทำได้ไม่แย่มาก แม้ว่าในแง่ของการใช้ภาษาอาจยังมีผิดๆ ถูกๆ และการแบ่งวรรคประโยคแปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ความหมายโดยรวมก็ครบถ้วนดี คำอธิบายต่างๆ ก็เข้าใจง่าย
หากจะมีอะไรให้ตำหนิเป็นพิเศษ คงเป็นการที่ในบางช่วงคนแปลอาจไม่เข้าใจว่าตัวละครกำลังพูดกับใคร หรือพูดถึงใคร จึงมักใช้สรรพนามแปลกๆ เช่นเรียกบุคคลที่ไม่ควรเรียกว่า "มัน" หรือเรียกตัวละครผู้หญิงว่า "หมอนั่น" เป็นต้น แต่โดยรวมก็ไม่ได้เยอะมากจนรู้สึกว่าเป็นปัญหามากนัก
แม้จะมีรายละเอียดยิบย่อยให้จุกจิกอยู่บ้าง แต่ Marvel’s Spider-man 2 ก็ยังเป็นภาคต่ออันยอดเยี่ยมสำหรับหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของ PlayStation ซึ่งสามารถต่อยอดสูตรเกมเพลย์ของเกมดั้งเดิมได้มากกว่าที่ผู้เขียนคาดหวังเอาไว้ซะอีก แม้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจะมีเกมวางจำหน่ายหลายเกม แต่ Marvel’s Spider-man 2 เป็นเกมเดียวจริงๆ ที่ผู้เขียนเล่นแล้วรู้สึกว่าติดหนึบจนวางจอยไม่ลงเลย
ระบบต่อสู้พัฒนาขึ้นจากเก่ามาก
ระบบโหนใยลื่นไหลไร้ที่ติ
กราฟิกระดับแถวหน้าของวงการ
เนื้อเรื่องรวบรัดไปหน่อย
ด้วยความสำเร็จของเกม Marvel’s Spider-man ภาคแรกในฐานะเกม Exclusive ยอดนิยมจากสมัย PlayStation 4 ที่ได้รับเสียงชมและคะแนนรีวิวสูงลิบลิ่วจากสื่อทั่วโลก ที่ยกย่องเกมให้เป็นทั้ง “เกมสไปเดอร์แมนที่ดีที่สุดที่เคยมีมา” และเป็นหนึ่งใน “เกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” แน่นอนว่าผู้พัฒนา Insomniac Games ย่อมต้องเผชิญกับโจทย์หินในการพัฒนาเกมภาคต่ออย่าง Marvel’s Spider-man 2 ที่ไม่เพียงต้องรักษามาตรฐานอันสูงลิบลิ่วของเกมภาคแรก แต่ยังต้องนำเสนอข้อปรับปรุงที่ใหญ่พอให้สมกับเป็นเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 5 อีกต่างหาก
หลังจากที่ใช้เวลาเล่นเกมมาไม่น้อยกว่า 40 ชม. ต้องบอกว่าเกม Marvel’s Spider-man 2 สามารถทำได้เหนือกว่าความคาดหวังของผู้เขียนในส่วนทีสำคัญที่สุดอย่างเกมเพลย์การต่อสู้และการเดินทาง/โหนใย ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้สนุกและอิสระกว่าเดิมเป็นอย่างมาก และทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมมีความลื่นไหลจนเล่นลืมเวลาทั้งวันไปได้ง่ายๆ เลย
แม้ว่าเกมอาจต้องเสียสละในส่วนของกราฟิกและเนื้อเรื่องไปบ้าง แต่ถ้าคุณชื่นชอบเกมเพลย์ของซีรีส์นี้เป็นพิเศษ เกม Marvel’s Spider-man 2 จะตอบสนองความต้องการทุกอย่างของคุณได้อย่างแน่นอน
เนื้อเรื่องของ Marvel’s Spider-man 2 จะเริ่มขึ้น 9 เดือนหลังตอนจบของเกมภาค Miles Morales และติดตามการต่อสู้ระหว่างเหล่าฮีโร่แมงมุมทั้งสองกับวายร้าย คราเวน เดอะ ฮันเตอร์ ผู้ซึ่งนำกองกำลังทหารขนาดใหญ่เข้ารุกรานมหานครนิวยอร์ค เพื่อจุดประสงค์ในการ “ล่า” เหล่ายอดมนุษย์มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์แมนทั้งสองอีกด้วย โดยผู้ที่ติดตามสื่อการตลาดของเกมมาน่าจะทราบดีว่าคู่ปรับอันโด่งดังของสไปเดอร์แมนอย่าง วีน่อม เองก็จะมีบทบาทในเนื้อเรื่องด้วย (แต่จะเกี่ยวอย่างไร ให้ไปติดตามกันเอาเอง!)
หากมองในภาพรวม แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะไม่ได้แย่เมื่อเทียบตามมาตรฐานของเกมทั่วไป แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามีความด้อยกว่าเนื้อเรื่องของเกมสองภาคที่ผ่านมาอย่างชัดเจน จากการที่เกมจำเป็นต้องแบ่งเวลาเพื่อเล่าปมเนื้อเรื่องของตัวเอกทั้งสองแยกกัน แตกต่างจากเกมสองภาคแรกที่เน้นเล่าเรื่องราวของตัวเอกคนใดคนหนึ่งอย่างเข้มข้น ซึ่งก็ทำให้เกมได้มีเวลาค่อยๆ เล่าหรือคลายปมในเนื้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลของการแบ่งเวลาเช่นนี้ทำให้การเล่าเรื่องหลายๆ ส่วนในเกมรู้สึกรวบรัดเกินไปนิด ซึ่งก็ส่งผลให้ซีนอารมณ์ช่วงท้ายเกมหลายซีนรู้สึกเบาบางกว่าที่ควรจะเป็นไปด้วย ยังไม่นับรวมการที่เกมต้องพยายามวางปมให้กับตัวละครสมทบสำคัญๆ อย่าง แมรี่ เจน อีกด้วย ยิ่งดึงเวลาไปจากตัวเอกทั้งสองมากกว่าเดิมไปอีก
ที่สำคัญไม่แพ้ตัวเอกทั้งสองก็คือตัวร้ายใหญ่ที่มี 2 คนเช่นกันทั้ง คราเวน และ วีน่อม ซึ่งทั้งสองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวเอกนั่นค่อไม่ไดรับการพัฒนาเท่าที่ควร โดยเฉพาะในแง่ของแรงจูงใจซึ่งมีความเป็นการ์ตูนขาว-ดำไปซะหน่อย ผลลัพธ์คือเนื้อเรื่องหลักที่แม้จะไม่ได้แย่อะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีน้ำหนักหรืออารมณ์เข้มข้นเท่าภาคก่อนๆ เช่นกัน
นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมยังมีเนื้อเรื่องย่อยๆ ที่ให้ผู้เล่นค้นหาจากกิจกรรมเสริมในเกม ซึ่งมักพาผู้เล่นไปเจอกับตัวละครหรือวายร้ายคนอื่นๆ ในจักรวาลของสไปเดอร์แมนที่อาจไม่ได้ปรากฏในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนๆ ของจักรวาลสไปเดอร์แมนไม่น้อย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจรู้สึกน่าขัดใจบ้างเมื่อเส้นเรื่องเหล่านี้มักให้ความรู้สึกเหมือนจบกลางคัน และหากจะตามให้จบก็คงต้องจ่ายเงินซื้อ DLC เพิ่มในอนาคตเท่านั้น
ตอนที่รับชมตัวอย่างเกมเพลย์ของ Marvel’s Spider-man 2 ในช่วงที่เกมเปิดตัว บอกตามตรงว่าผู้เขียนไม่ได้คาดหวังให้ประสบการณ์เกมเพลย์โดยรวมแตกต่างจากเกมภาคก่อนๆ มากนัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเกมเพลย์จากภาคเก่าๆ ก็ทำมาได้อย่างลงตัวมากๆ แล้วทั้งในแง่ของการต่อสู่และการโหนใยไปมา แต่เมื่อได้ลองเล่นเกมด้วยตัวเองจริงๆ แล้วจึงเข้าใจว่าข้อปรับปรุงทั้งหลายที่เห็นนั้นส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมมากขนาดไหน
สิ่งแรกที่ผู้เขียนพบหลังจากที่เล่นเกมไปได้ไม่นาน คือ Spider-man 2 มีความ “ยาก” ขึ้นกว่าที่ผ่านมาพอสมควร ทั้งในแง่ของจำนวนศัตรูที่ต้องพบในแต่ละฉาก ชนิดของศัตรูอันหลากหลาย ไปจนถึงตัว A.I. ศัตรูที่ฉลาดขึ้น และมักใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของตัวเองในการจู่โจมผู้เล่นจากหลากหลายมุมพร้อมๆ กัน ศัตรูบางตัวยังสามารถโจมตีเป็นคอมโบด้วยการผสมผสานท่า “โจมตีหนัก” ที่ไม่สามารถหลบได้ (ต้องปัดป้องเอา) เข้ากับท่าโจมตีปกติ แถมบางตัวยังมีการดึงจังหวะให้เราหลบ/ปัดป้องพลาดเหมือนในเกม Souls อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเจอกับตัวเองถึงจะเห็นภาพว่ามันเปลี่ยนความรู้สึกเวลาเล่นไปแค่ไหน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังส่งเสริมแกมบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ทั้งแก๊ตเจตและความสามารถประจำตัวของสไปเดอร์แมนแต่ละคนอย่างฉลาดขึ้นเพื่อรับมือกับศัตรูไปด้วย ต่างจากในเกมภาคก่อนๆ ที่ผู้เขียนเองแทบไม่เคยใช้แก๊ตเจตใดๆ เลยด้วยซ้ำ โดยเกมยังมักจะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เข้ามาให้เราต้องรับมืออยู่เป็นระยะตลอดการดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้การต่อสู้ยังคงรู้สึกท้าทายอยู่เสมอแม้จะปลดล๊อกแก๊ตเจตและความสามารถจนครบแล้วก็ตาม
ในส่วนของการโหนใย/เดินทางไปมา เกมได้เพิ่มข้อปรับปรุงที่สำคัญมากๆ เข้ามานั่นก็คือระบบ “เว็บวิง” หรือปีกที่ให้เราร่อนไปมาได้อย่างอิสระ ซึ่งทำให้การเดินทางในเกมมีความลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ เพราะจุดอ่อนใหญ่ของระบบการเดินทางในเกมคือพื้นที่แบนๆ ที่ไม่มีตึกสูงให้โหนใย โดยปีกเว็บวิงเหล่านี้สามารถทำให้ผู้เล่นบินข้ามพื้นที่เหล่านี้ได้โดยไม่เสียความเร็ว และทำให้การเดินทางในเกมมีความราบรื่นขึ้นไปด้วย
แน่นอนว่าระบบเว็บวิงนี้ยังสอดรับกับแผนที่มหานครนิวยอร์คของเกม ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแผนที่ในเกมสองภาคที่ผ่านมารวมกันซะอีก แถมแต่ละเขตของเมืองนิวยอร์คยังมีส่วนสูงของอาคารที่อยู่ในพื้นที่และจุดสังเกตที่แตกต่างกันที่มักบังคับให้ผู้เล่นต้องเปลี่ยนวิธีหรือจังหวะในการโหนใยผ่าน ทำให้การเดินทางไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจและมีความสนุกท้าทายในแบบของตัวเอง โดยภายในเมืองมักจะมีกระแสลมที่ช่วยพัดให้ผู้เล่นสามารถบินว่อนไปมาทั่วไปเมืองได้อย่างรวดเร็ว จนเมื่อเล่นคล่องๆ ก็สามารถเดินทางทั่วแผนที่โดยที่เท้าไม่แตะพื้นได้เลยจริงๆ
รอบๆ เมืองนิวยอร์คยังมีกิจกรรมย่อยและมินิเกมเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ ให้ผู้เล่นได้เลือกทำได้ในกรณีที่ต้องการพักจากการต่อสู้ โดยการทำกิจกรรมเหล่านี้มักจะปลดล๊อคเหรียญตราหลากหลายชนิดไว้เพื่อปลดล๊อคชุดตกแต่งตัวละครให้กับทั้งปีเตอร์และไมล์ รวมไปถึงนำเสนอแง่มุมวิถีชีวิตของชาวนิวยอร์คให้เราไปด้วย ซึ่งก็ช่วยเสริมชีวิตชีวาให้กับเกมได้พอสมควร
ในช่วงที่ได้รับโค้ดเกมมารีวิวแรกๆ ผู้พัฒนาได้แจ้งสื่อทุกสำนักเอาไว้ล่วงหน้าว่ากราฟิกในเกมขณะนั้นอาจจะยังไม่อยู่ในระดับสมบูรณ์ 100% และผู้พัฒนาจะทำการปล่อยอัพเดทเพื่อปรับปรุงกราฟิกในเกมครั้งสุดท้ายไม่กี่วันก่อนจะถึงกำหนดรีวิว โดยผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมทั้งก่อนและหลังอัพเดทดังกล่าวแล้ว
แต่แม้ว่ากราฟิกโดยรวมของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะยังคงอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของแสงสีที่ได้เทคโนโลยี Ray Tracing เข้ามาเสริมให้รู้สึกสมจริงเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่ารายละเอียดบนใบหน้าตัวละครและพื้นผิวสิ่งของบางส่วนในเกมภาคใหม่นี้กลับดูไม่ละเอียดเท่าภาคเก่าอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการเพิ่ม Ray Tracing ที่ทำให้แสงเงาในเกมมีความนุ่มนวลขึ้นหรือเปล่า แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าผิวหน้าตัวละครแทบทุกตัวในเกมมีความ “เนียน” เกินจริง ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่เคยรู้สึกในเกมภาคก่อนๆ
ในอีกมุมหนึ่ง การที่เกมมีขนาดใหญ่กว่าเกมภาคก่อนๆ อย่างมหาศาลอย่างที่กล่าวไปข้างต้น รวมไปถึงการที่เกมทำให้ผู้เล่นสามารถเดินทางเข้า-ออกอาคารบางแห่งได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอโหลดเกมเหมือนที่ผ่านมา ก็ทำให้รู้สึกยอมรับได้ถ้าเกมจะต้องปรับลดรายละเอียดบางส่วนลงมาบ้างเพื่อให้เกมยังคงรันได้อย่างลื่นไหล ซึ่งในจุดนั้นก็ถือว่าเกมยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผู้เขียนเล่นเกมในโหมด Performance ที่ให้เฟรมเรต 60 FPS อย่างเสถียรแทบจะตลอดทั้งเกม แม้ในขณะที่มีศัตรูและแสงสีเอฟเฟกต์ปลิวว่อนเต็มจอก็ตาม ซึ่งสำหรับผู้เขียนและเกมเมอร์หลายๆ คน น่าจะเป็นจุดที่สำคัญกว่าความละเอียดของผิวหน้าตัวละคร
ข่าวดีสำหรับแฟนๆ ชาวไทยก็คือการที่เกม Marvel's Spider-man 2 จะสนับสนุนภาษาไทยด้วย (ต้องเข้าไปตั้งค่าภาษาของเครื่อง PS5 เป็นไทยเท่านั้น เปลี่ยนในเกมไม่ได้) ซึ่งในภาพรวมก็ถือว่าทำได้ไม่แย่มาก แม้ว่าในแง่ของการใช้ภาษาอาจยังมีผิดๆ ถูกๆ และการแบ่งวรรคประโยคแปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ความหมายโดยรวมก็ครบถ้วนดี คำอธิบายต่างๆ ก็เข้าใจง่าย
หากจะมีอะไรให้ตำหนิเป็นพิเศษ คงเป็นการที่ในบางช่วงคนแปลอาจไม่เข้าใจว่าตัวละครกำลังพูดกับใคร หรือพูดถึงใคร จึงมักใช้สรรพนามแปลกๆ เช่นเรียกบุคคลที่ไม่ควรเรียกว่า "มัน" หรือเรียกตัวละครผู้หญิงว่า "หมอนั่น" เป็นต้น แต่โดยรวมก็ไม่ได้เยอะมากจนรู้สึกว่าเป็นปัญหามากนัก
แม้จะมีรายละเอียดยิบย่อยให้จุกจิกอยู่บ้าง แต่ Marvel’s Spider-man 2 ก็ยังเป็นภาคต่ออันยอดเยี่ยมสำหรับหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของ PlayStation ซึ่งสามารถต่อยอดสูตรเกมเพลย์ของเกมดั้งเดิมได้มากกว่าที่ผู้เขียนคาดหวังเอาไว้ซะอีก แม้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจะมีเกมวางจำหน่ายหลายเกม แต่ Marvel’s Spider-man 2 เป็นเกมเดียวจริงๆ ที่ผู้เขียนเล่นแล้วรู้สึกว่าติดหนึบจนวางจอยไม่ลงเลย