แม้คำว่า Multiverse อาจจะเพิ่งได้รับความนิยมในช่วงนี้ จากภาพยนตร์อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness หรือ Everything Everywhere All at Once แต่อันที่จริงแนวคิดเกี่ยวกับพหุจักรวาลนั้น มีมานานมากแล้ว เพียงแต่การนำเสนอให้มันออกมาเป็นรูปธรรมนั้นค่อนข้างยากนั่นเอง
เพราะเรื่องราวของ Multiverse มันเป็นเหมือนกับดาบสองคม หากใครที่มีฝีมือมากพอ และสามารถหยิบจับมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม ตัวเนื้อเรื่องที่สอดแทรกความแนวคิดของ Multiverse ลงไป จะออกมาค่อนข้างล้ำยุคเป็นอย่างมาก ช่วยให้การเล่าเรื่องมีความหลากหลาย และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
กลับกัน ถ้าใครที่ไม่เชี่ยวชาญในการเล่าเรื่อง หรือดำเนินเนื้อเรื่องได้ไม่ดีพอ การเอาแนวคิดของ Multiverse เข้าใส่ยัดใส่นั้น จะเป็นเหมือนกับการระเบิดตัวเองโดยทันที เพราะทุกอย่างมันจะสับสน อลหม่านไปเสียหมด ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ขนาดคนเราใช้ชีวิตอยู่แค่จักรวาลเดียวยังยุ่งเหยิงเสียขนาดนี้ ถ้าต้องมาใช้ชีวิตในหลาย ๆ จักรวาลพร้อมกัน มันจะวินาศสันตะโรขนาดไหนกัน
ซึ่งในวันนี้ เราจะมาแนะนำวิดีโอเกมทั้ง 6 ที่สามารถสอดแทรกแนวคิดของ Multiverse และความเป็นไปได้ต่าง ๆ ลงไปอย่างแนบเนียน ช่วยยกระดับการเล่าเรื่องให้น่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น ฉีกออกจากเนื้อเรื่องตามขนบแบบเดิม ๆ ไปได้อย่างขาดลอย
BioShock Infinite
หากใครที่เคยติดตามซีรีส์ของ BioShock กันอย่างเหนียวแน่น ก็น่าจะพอทราบว่า จุดเด่นของเกมนี้นอกจากจะเป็น Gunplay ที่ดุเดือดถึงเลือดถึงเนื้อแล้ว ยังมีเรื่องราวสุดลึกล้ำและหักมุมตลบหลังผู้เล่นออกมาเฉลยให้อ้าปากค้างเมื่อถึงตอนจบกันได้เสมอ
ซึ่งเอกลักษณ์ทั้งสองสิ่งนี้ยังคงสืบทอดต่อไปจนครบ ยันภาคปิดของไตรภาคอย่าง BioShock Infinite กันเลยทีเดียว
โดยในภาค Inifinite นั้น ตัวเกมจะนำเสนอแนวคิดของ Multiverse กันแบบล้ำยุคล้ำสมัย ยากที่จะหาเกมไหนเทียบได้ในยุคนั้น ซึ่งเนื้อเรื่องของมันก็ยังคงได้รับการยกย่องมาจนถึงแทบทุกวันนี้
ทุกชุดความคิดของ Multiverse ล้วนถูกหยิบยกมานำเสนอกันครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ผลของการกระทำเล็ก ๆ ที่อาจจะดูไม่ได้มีความหมายอะไร แต่กลับส่งผลยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดอนาคตที่แตกต่าง หรือจะเป็นตัวตนในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มาจากต่างจักรวาล ก็มีให้เห็นภายในตัวเกมกันทั้งนั้น
นอกจากนี้ทางทีมพัฒนายังสอดแทรกแนวคิดของ Multiverse ลงไปในเกมการเล่นได้อย่างลื่นไหลอีกด้วย โดยตัวเกมจะมีจังหวะที่ผู้เล่นสามารถออกคำสั่งเพื่อนร่วมทาง ให้นำกระสุน ป้อมปืน หรือของฟื้นพลังต่าง ๆ มาจากมิติอื่นได้ เพียงแค่เรียกหา
The Legend of Zelda: A Link to the Past
บ่อยครั้งที่เกมในแฟรนไชส์ของ The Legend of Zelda มักจะมีการใช้ช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป เพราะแก่นหลักของตัวซีรีส์นี้ มักจะเป็นการวนเวียนอยู่ระหว่าง 3 ตัวละครที่เกิด ตาย วนเวียน มาพบกันใหม่แทบไม่รู้จบในทุกชาติภพแห่งอาณาจักร Hyrule ได้แก่ เจ้าหญิง Zelda, อัศวินประจำกาย Link และจอมวายร้าย Ganon นั่นเอง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ A Link to The Past นั้นแตกต่างจากตัวเกมในภาคอื่น ๆ ก็คือ ระบบการเล่นใหม่ที่นำเสนอการสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสองโลกอย่าง Light World และ Dark World ช่วยให้เกมการเล่นมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แถมมันยังนำเสนอแนวคิดของโลกคู่ขนาน ที่ค่อนข้างใหม่มากในอุตสาหกรรมของวิดีโอเกมในสมัยนั้นด้วย
Dark World จะเป็นสถานที่ที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับ Hyrule แบบปกติ มันเป็นจักรวาลที่ Ganon สามารถครอบครอง Trifocre และใช้เปลี่ยนแปลงจนโลกมาสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้สำเร็จ ซึ่งทางทีมพัฒนาก็ได้นำแนวคิดของเนื้อเรื่องนี้มาประยุกต์ใช้กับระบบการเล่นได้อย่างชาญฉลาด
ผู้เล่นจะสามารถสลับไประหว่าง Light World และ Dark World ได้ ซึ่งในการสลับไปมาระหว่างสองมิตินั้น มันจะทำให้สภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัว Link เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เช่น ใน Light World คุณอาจจะเดินมาเจอเข้ากับทางตัน แต่เมื่อลองสลับเปลี่ยนไปเป็น Dark World ทางลับกลับเกิดขึ้นมาตรงหน้าคุณซะอย่างนั้น
แน่นอนว่า ระบบ Light and Dark World dichotomy ได้รับคำชมจากแฟนเกมและนักวิจารณ์ในสมัยนั้นกันอย่างล้นหลาม เพราะมันช่วยให้โลกกว้างของ Hyrule มีความน่าค้นหาขึ้นแบบเท่าตัวเลยทีเดียว
Spider-Man: Shattered Dimensions
เชื่อว่าคนที่เป็นแฟน Comics ของการ์ตูนเรื่อง Spider-Man หรือเป็นแฟนการ์ตูนพวกซูเปอร์ฮีโร่ของทางตะวันตก น่าจะคุ้นเคยกับคำว่าพหุจักรวาล หรือ Multiverse กันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์ของทาง Marvel Studios ช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มจับผู้ชมพาเข้าสู่โลกของจักรวาลอื่น ๆ กันมากขึ้น ซึ่งตัว Spiderman ก็นับเป็นซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งคนที่มีจักรวาลคู่ขนานที่หลากหลาย โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man: No Way Home กับแอนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse ที่นำเสนอตัวละคร Spider-Man จากจักรวาลอื่น เข้ามาช่วยเพิ่มรสชาติใหม่ ๆ ให้กับผู้ชมนั่นเอง
ทว่าก่อนที่ภาพยนตร์เหล่านั้นจะฉายเกือบนับทศวรรษ ตัวเกม Spider-Man: Shattered Dimensions ได้นำเสนอแนวคิดของ Multiverse มาสู่สายตาของแฟนเกมมาตั้งแต่ปี 2010 ก่อนแล้ว โดยในเกมนั้นจะให้ผู้เล่นรับบทเป็นไอ้แมงมุมจากจักวรลอื่น ๆ ถึง 4 คนด้วยกัน ตั้งแต่ Amazing Spider-Man, Spider-Man Noir, Spider-Man 2099 ไปจนถึง Ultimate Spider-Man
สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ การนำเสนอจักรวาลคู่ขนานออกมาได้อย่างถึงรสชาติ ด้วยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของตัวละคร Spider-Man ที่ผู้เล่นควบคุมอยู่ ทั้งฉากหลังของอดีตใช้ภาพโทนขาวดำถอดแบบมาจากหนังสือการ์ตูน หรือจะเป็นภาพของเมืองในโลกอนาคตปี 2099 ก็ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจสำหรับเกมเมื่อ 12 ปีที่แล้ว
ถึงจะมีจุดที่น่าเสียดายอยู่บ้าง ที่ตัวเกมไม่ได้มีจังหวะให้ผู้เล่นสามารถกระโดดข้ามไปยังมิติต่าง ๆ ด้วยตัวเองเหมือนกับเกมที่อ้างอิง Multiverse อื่น ๆ และมีเพียงฉากตัดสลับของเนื้อเรื่องแต่ละจักรวาลต่าง ๆ ดำเนินควบคู่กันไปเท่านั้น
แต่แฟนเกมหลายคนก็ยังยกย่องให้ Spider-Man: Shattered Dimensions เป็นหนึ่งในเกมที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนคอมิกที่ยอดเยี่ยมกันอยู่ดี
Nier Gestalt และ Nier Replicant
แต่เดิมเกม Nier ถูกตั้งใจสร้างขึ้นให้เป็นเพียงเกม Spin-off ของเกม Drakengard ภาคแรกเพียงเท่านั้น ทว่าด้วยเสียงตอบรับที่ดีเกิดคาด ไปจนถึงการนำเสนอโลกในจักรวาลของเกมต้นฉบับที่แตกต่างไปจากเดิม จึงทำให้ Nier ได้รับการสร้างภาคต่อ และดำเนินเนื้อเรื่องแยกย่อยของตัวเองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง
เรื่องราวของ Nier จะมีจุดเริ่มต้นมาจากฉากจบ E ของ Drakengard อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่เส้นเรื่องของ Nier จะดำเนินต่อเนื่องมาในเวลาอีกนานแสนนานหลังจากฉากจบของ Drakengard ที่โลกเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรค White Chlorination Syndrome จึงส่งผลให้มนุษยชาติแทบจะล่มสลายกันเลยทีเดียว
ทางผู้พัฒนาได้แบ่งแยกตัวเกมออกเป็นสองเวอร์ชันนับตั้งแต่ภาคแรกของซีรีส์ โดยแบ่งออกเป็น Nier Gestalt ที่จำหน่ายไปทั่วโลกในฉบับภาษาอังกฤษ และ Nier Replicant ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น
ซึ่งทางทีมพัฒนายังได้แอบใส่กิมมิคเล็ก ๆ เข้าไปในแต่ละเวอร์ชัน นั่นก็คือการที่ Nier ในภาค Gestalt นั้นจะมีอายุที่มากกว่า Nier ในภาค Replicant และมันส่งผลให้ตัวละคร Nier วางตัวต่อ Yonah เด็กสาวที่ร่วมทางไปตลอดทั้งเกมแตกต่างกันอีกด้วย
Nier ในภาค Gestalt จะวางตัวคล้ายกับพ่อต่อ Yonah ส่วน Nier ในภาค Replicant จะวางตัวแบบพี่ชายมากกว่า ทว่าในส่วนของเหตุการณ์อื่น ๆ ตลอดทั้งเกมนั้น จะเกิดเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เรียกได้ว่าเป็นจักรวาลคู่ขนานกันเลยก็ว่าได้
ถึง Nier อาจจะไม่ได้นำเสนอเรื่องราวของ Multiverse กันแบบลึกซึ้ง แต่การแอบใส่เรื่องของจักรวาลคู่ขนานมาเล็กน้อย พร้อมกับใช้การต่อยอดหนึ่งในฉากจบที่ผู้เล่นเลือกจากเกมอื่น ก็ช่วยทำให้เกมนี้ สามารถนำเสนอเรื่องราวที่หลุดกรอบได้มากกว่าเกมอื่น ๆ นั่นเอง
Detroit: Become Human
แม้ Detroit: Become Human อาจจะไม่ได้มีการพูดถึง Multiverse กันแบบตรง ๆ แต่ตัวเกมประเภทที่ใช้เนื้อเรื่องขับเคลื่อนพร้อมกับตัวเลือกที่หลากหลาย มักจะทำให้คนเล่นอดคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่ได้เลือกไปตั้งแต่แรกเสียไม่ได้
ซึ่งหากจะพูดกันแบบเอาสีข้างเข้าถูหน่อย ก็ต้องบอกว่าตัวเลือกหลายแบบนี้ มันค่อนข้างที่จะคล้ายกับเหตุการณ์ของ Multiverse ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น หากผู้เล่นเลือกที่จะหยิบขวดน้ำให้ตัวละคร A ตั้งแต่ฉากแรก ๆ มันอาจจะส่งผลไปทำให้ตัวละคร A กลับมาช่วยผู้เล่นให้รอดตายในภายหลังก็ได้ เหมือนกับการกระทำที่เล็ก ๆ น้อย ๆ และอาจจะไม่ได้มีใครสนใจ แต่มันกลับส่งผลยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากนั้น เกิดเป็นไทม์ไลน์ใหม่ ๆ ขึ้นมา เหมือนกับจักรวาล Multiverse นั่นเอง
นอกจากนี้ Detroit: Become Human ยังมีการนำ Flowchart มาแสดงเมื่อถึงตอนจบของแต่ละ Chapter อีกด้วย
ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเห็นถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ภายในตัวเลือก และยังทำให้เห็นถึงผลของการกระทำที่อาจจะเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลระดับยักษ์ใหญ่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
What Lies in the Multiverse
หนึ่งในเกมอินดี้ ที่นำเสนอเรื่องราวและแนวคิดของพหุจักรวาลกันแบบตรง ๆ แถมตัวเกมยังแนวคิดของ Multiverse มาปรับใช้กับเกมการเล่นได้อย่างแนบเนียน
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเด็กหนุ่มนิรนามที่กำลังพยายามเขียนโปรแกรมในการคำนวณความเป็นไปได้ต่าง ๆ บนโลกอยู่
แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ราวกับมีช่องว่างของมิติเกิดขึ้น จนมันส่งตัวเอกที่เราจะค้องควบคุมเข้าไปยังจักรวาลอื่นโดนปริยาย
ตัวเอกของเราจะตื่นมาในต่างมิติ และพบเข้ากับชายปริศนาใส่หมวกทรงสูงสีม่วงเด่นสะดุดตานามว่า Everett โดยเขาได้บอกเล่าเรื่องราวของ Multiverse ให้ตัวเอกฟัง ก่อนที่จะเอ็ดว่าโปรแกรมที่ตัวเอกเขียนนั้น มันสร้างผลกระทบในจักรวาลต่าง ๆ จนเขาต้องมาตามเก็บกวาดความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น
เกมจะให้ตัวเอกสามารถโดดสลับไปมาระหว่างจักรวาลได้ ซึ่งระบบการเล่นตรงนี้ ก็จะถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปริศนา หาทางไปต่อ รวมไปจนถึงดำเนินเนื้อเรื่องอีกด้วย แม้จะคล้ายกับระบบของ The Legend of Zelda: A Link to the Past ไปอยู่บ้าง แต่ก็นับว่า ทางผู้พัฒนาสามารถประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเกมของตัวเองได้เป็นอย่างดี
แม้คำว่า Multiverse อาจจะเพิ่งได้รับความนิยมในช่วงนี้ จากภาพยนตร์อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness หรือ Everything Everywhere All at Once แต่อันที่จริงแนวคิดเกี่ยวกับพหุจักรวาลนั้น มีมานานมากแล้ว เพียงแต่การนำเสนอให้มันออกมาเป็นรูปธรรมนั้นค่อนข้างยากนั่นเอง
เพราะเรื่องราวของ Multiverse มันเป็นเหมือนกับดาบสองคม หากใครที่มีฝีมือมากพอ และสามารถหยิบจับมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม ตัวเนื้อเรื่องที่สอดแทรกความแนวคิดของ Multiverse ลงไป จะออกมาค่อนข้างล้ำยุคเป็นอย่างมาก ช่วยให้การเล่าเรื่องมีความหลากหลาย และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
กลับกัน ถ้าใครที่ไม่เชี่ยวชาญในการเล่าเรื่อง หรือดำเนินเนื้อเรื่องได้ไม่ดีพอ การเอาแนวคิดของ Multiverse เข้าใส่ยัดใส่นั้น จะเป็นเหมือนกับการระเบิดตัวเองโดยทันที เพราะทุกอย่างมันจะสับสน อลหม่านไปเสียหมด ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ขนาดคนเราใช้ชีวิตอยู่แค่จักรวาลเดียวยังยุ่งเหยิงเสียขนาดนี้ ถ้าต้องมาใช้ชีวิตในหลาย ๆ จักรวาลพร้อมกัน มันจะวินาศสันตะโรขนาดไหนกัน
ซึ่งในวันนี้ เราจะมาแนะนำวิดีโอเกมทั้ง 6 ที่สามารถสอดแทรกแนวคิดของ Multiverse และความเป็นไปได้ต่าง ๆ ลงไปอย่างแนบเนียน ช่วยยกระดับการเล่าเรื่องให้น่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น ฉีกออกจากเนื้อเรื่องตามขนบแบบเดิม ๆ ไปได้อย่างขาดลอย
BioShock Infinite
หากใครที่เคยติดตามซีรีส์ของ BioShock กันอย่างเหนียวแน่น ก็น่าจะพอทราบว่า จุดเด่นของเกมนี้นอกจากจะเป็น Gunplay ที่ดุเดือดถึงเลือดถึงเนื้อแล้ว ยังมีเรื่องราวสุดลึกล้ำและหักมุมตลบหลังผู้เล่นออกมาเฉลยให้อ้าปากค้างเมื่อถึงตอนจบกันได้เสมอ
ซึ่งเอกลักษณ์ทั้งสองสิ่งนี้ยังคงสืบทอดต่อไปจนครบ ยันภาคปิดของไตรภาคอย่าง BioShock Infinite กันเลยทีเดียว
โดยในภาค Inifinite นั้น ตัวเกมจะนำเสนอแนวคิดของ Multiverse กันแบบล้ำยุคล้ำสมัย ยากที่จะหาเกมไหนเทียบได้ในยุคนั้น ซึ่งเนื้อเรื่องของมันก็ยังคงได้รับการยกย่องมาจนถึงแทบทุกวันนี้
ทุกชุดความคิดของ Multiverse ล้วนถูกหยิบยกมานำเสนอกันครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ผลของการกระทำเล็ก ๆ ที่อาจจะดูไม่ได้มีความหมายอะไร แต่กลับส่งผลยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดอนาคตที่แตกต่าง หรือจะเป็นตัวตนในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มาจากต่างจักรวาล ก็มีให้เห็นภายในตัวเกมกันทั้งนั้น
นอกจากนี้ทางทีมพัฒนายังสอดแทรกแนวคิดของ Multiverse ลงไปในเกมการเล่นได้อย่างลื่นไหลอีกด้วย โดยตัวเกมจะมีจังหวะที่ผู้เล่นสามารถออกคำสั่งเพื่อนร่วมทาง ให้นำกระสุน ป้อมปืน หรือของฟื้นพลังต่าง ๆ มาจากมิติอื่นได้ เพียงแค่เรียกหา
The Legend of Zelda: A Link to the Past
บ่อยครั้งที่เกมในแฟรนไชส์ของ The Legend of Zelda มักจะมีการใช้ช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป เพราะแก่นหลักของตัวซีรีส์นี้ มักจะเป็นการวนเวียนอยู่ระหว่าง 3 ตัวละครที่เกิด ตาย วนเวียน มาพบกันใหม่แทบไม่รู้จบในทุกชาติภพแห่งอาณาจักร Hyrule ได้แก่ เจ้าหญิง Zelda, อัศวินประจำกาย Link และจอมวายร้าย Ganon นั่นเอง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ A Link to The Past นั้นแตกต่างจากตัวเกมในภาคอื่น ๆ ก็คือ ระบบการเล่นใหม่ที่นำเสนอการสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสองโลกอย่าง Light World และ Dark World ช่วยให้เกมการเล่นมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แถมมันยังนำเสนอแนวคิดของโลกคู่ขนาน ที่ค่อนข้างใหม่มากในอุตสาหกรรมของวิดีโอเกมในสมัยนั้นด้วย
Dark World จะเป็นสถานที่ที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับ Hyrule แบบปกติ มันเป็นจักรวาลที่ Ganon สามารถครอบครอง Trifocre และใช้เปลี่ยนแปลงจนโลกมาสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้สำเร็จ ซึ่งทางทีมพัฒนาก็ได้นำแนวคิดของเนื้อเรื่องนี้มาประยุกต์ใช้กับระบบการเล่นได้อย่างชาญฉลาด
ผู้เล่นจะสามารถสลับไประหว่าง Light World และ Dark World ได้ ซึ่งในการสลับไปมาระหว่างสองมิตินั้น มันจะทำให้สภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัว Link เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เช่น ใน Light World คุณอาจจะเดินมาเจอเข้ากับทางตัน แต่เมื่อลองสลับเปลี่ยนไปเป็น Dark World ทางลับกลับเกิดขึ้นมาตรงหน้าคุณซะอย่างนั้น
แน่นอนว่า ระบบ Light and Dark World dichotomy ได้รับคำชมจากแฟนเกมและนักวิจารณ์ในสมัยนั้นกันอย่างล้นหลาม เพราะมันช่วยให้โลกกว้างของ Hyrule มีความน่าค้นหาขึ้นแบบเท่าตัวเลยทีเดียว
Spider-Man: Shattered Dimensions
เชื่อว่าคนที่เป็นแฟน Comics ของการ์ตูนเรื่อง Spider-Man หรือเป็นแฟนการ์ตูนพวกซูเปอร์ฮีโร่ของทางตะวันตก น่าจะคุ้นเคยกับคำว่าพหุจักรวาล หรือ Multiverse กันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์ของทาง Marvel Studios ช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มจับผู้ชมพาเข้าสู่โลกของจักรวาลอื่น ๆ กันมากขึ้น ซึ่งตัว Spiderman ก็นับเป็นซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งคนที่มีจักรวาลคู่ขนานที่หลากหลาย โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man: No Way Home กับแอนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse ที่นำเสนอตัวละคร Spider-Man จากจักรวาลอื่น เข้ามาช่วยเพิ่มรสชาติใหม่ ๆ ให้กับผู้ชมนั่นเอง
ทว่าก่อนที่ภาพยนตร์เหล่านั้นจะฉายเกือบนับทศวรรษ ตัวเกม Spider-Man: Shattered Dimensions ได้นำเสนอแนวคิดของ Multiverse มาสู่สายตาของแฟนเกมมาตั้งแต่ปี 2010 ก่อนแล้ว โดยในเกมนั้นจะให้ผู้เล่นรับบทเป็นไอ้แมงมุมจากจักวรลอื่น ๆ ถึง 4 คนด้วยกัน ตั้งแต่ Amazing Spider-Man, Spider-Man Noir, Spider-Man 2099 ไปจนถึง Ultimate Spider-Man
สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ การนำเสนอจักรวาลคู่ขนานออกมาได้อย่างถึงรสชาติ ด้วยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของตัวละคร Spider-Man ที่ผู้เล่นควบคุมอยู่ ทั้งฉากหลังของอดีตใช้ภาพโทนขาวดำถอดแบบมาจากหนังสือการ์ตูน หรือจะเป็นภาพของเมืองในโลกอนาคตปี 2099 ก็ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจสำหรับเกมเมื่อ 12 ปีที่แล้ว
ถึงจะมีจุดที่น่าเสียดายอยู่บ้าง ที่ตัวเกมไม่ได้มีจังหวะให้ผู้เล่นสามารถกระโดดข้ามไปยังมิติต่าง ๆ ด้วยตัวเองเหมือนกับเกมที่อ้างอิง Multiverse อื่น ๆ และมีเพียงฉากตัดสลับของเนื้อเรื่องแต่ละจักรวาลต่าง ๆ ดำเนินควบคู่กันไปเท่านั้น
แต่แฟนเกมหลายคนก็ยังยกย่องให้ Spider-Man: Shattered Dimensions เป็นหนึ่งในเกมที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนคอมิกที่ยอดเยี่ยมกันอยู่ดี
Nier Gestalt และ Nier Replicant
แต่เดิมเกม Nier ถูกตั้งใจสร้างขึ้นให้เป็นเพียงเกม Spin-off ของเกม Drakengard ภาคแรกเพียงเท่านั้น ทว่าด้วยเสียงตอบรับที่ดีเกิดคาด ไปจนถึงการนำเสนอโลกในจักรวาลของเกมต้นฉบับที่แตกต่างไปจากเดิม จึงทำให้ Nier ได้รับการสร้างภาคต่อ และดำเนินเนื้อเรื่องแยกย่อยของตัวเองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง
เรื่องราวของ Nier จะมีจุดเริ่มต้นมาจากฉากจบ E ของ Drakengard อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่เส้นเรื่องของ Nier จะดำเนินต่อเนื่องมาในเวลาอีกนานแสนนานหลังจากฉากจบของ Drakengard ที่โลกเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรค White Chlorination Syndrome จึงส่งผลให้มนุษยชาติแทบจะล่มสลายกันเลยทีเดียว
ทางผู้พัฒนาได้แบ่งแยกตัวเกมออกเป็นสองเวอร์ชันนับตั้งแต่ภาคแรกของซีรีส์ โดยแบ่งออกเป็น Nier Gestalt ที่จำหน่ายไปทั่วโลกในฉบับภาษาอังกฤษ และ Nier Replicant ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น
ซึ่งทางทีมพัฒนายังได้แอบใส่กิมมิคเล็ก ๆ เข้าไปในแต่ละเวอร์ชัน นั่นก็คือการที่ Nier ในภาค Gestalt นั้นจะมีอายุที่มากกว่า Nier ในภาค Replicant และมันส่งผลให้ตัวละคร Nier วางตัวต่อ Yonah เด็กสาวที่ร่วมทางไปตลอดทั้งเกมแตกต่างกันอีกด้วย
Nier ในภาค Gestalt จะวางตัวคล้ายกับพ่อต่อ Yonah ส่วน Nier ในภาค Replicant จะวางตัวแบบพี่ชายมากกว่า ทว่าในส่วนของเหตุการณ์อื่น ๆ ตลอดทั้งเกมนั้น จะเกิดเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เรียกได้ว่าเป็นจักรวาลคู่ขนานกันเลยก็ว่าได้
ถึง Nier อาจจะไม่ได้นำเสนอเรื่องราวของ Multiverse กันแบบลึกซึ้ง แต่การแอบใส่เรื่องของจักรวาลคู่ขนานมาเล็กน้อย พร้อมกับใช้การต่อยอดหนึ่งในฉากจบที่ผู้เล่นเลือกจากเกมอื่น ก็ช่วยทำให้เกมนี้ สามารถนำเสนอเรื่องราวที่หลุดกรอบได้มากกว่าเกมอื่น ๆ นั่นเอง
Detroit: Become Human
แม้ Detroit: Become Human อาจจะไม่ได้มีการพูดถึง Multiverse กันแบบตรง ๆ แต่ตัวเกมประเภทที่ใช้เนื้อเรื่องขับเคลื่อนพร้อมกับตัวเลือกที่หลากหลาย มักจะทำให้คนเล่นอดคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่ได้เลือกไปตั้งแต่แรกเสียไม่ได้
ซึ่งหากจะพูดกันแบบเอาสีข้างเข้าถูหน่อย ก็ต้องบอกว่าตัวเลือกหลายแบบนี้ มันค่อนข้างที่จะคล้ายกับเหตุการณ์ของ Multiverse ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น หากผู้เล่นเลือกที่จะหยิบขวดน้ำให้ตัวละคร A ตั้งแต่ฉากแรก ๆ มันอาจจะส่งผลไปทำให้ตัวละคร A กลับมาช่วยผู้เล่นให้รอดตายในภายหลังก็ได้ เหมือนกับการกระทำที่เล็ก ๆ น้อย ๆ และอาจจะไม่ได้มีใครสนใจ แต่มันกลับส่งผลยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากนั้น เกิดเป็นไทม์ไลน์ใหม่ ๆ ขึ้นมา เหมือนกับจักรวาล Multiverse นั่นเอง
นอกจากนี้ Detroit: Become Human ยังมีการนำ Flowchart มาแสดงเมื่อถึงตอนจบของแต่ละ Chapter อีกด้วย
ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเห็นถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ภายในตัวเลือก และยังทำให้เห็นถึงผลของการกระทำที่อาจจะเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลระดับยักษ์ใหญ่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
What Lies in the Multiverse
หนึ่งในเกมอินดี้ ที่นำเสนอเรื่องราวและแนวคิดของพหุจักรวาลกันแบบตรง ๆ แถมตัวเกมยังแนวคิดของ Multiverse มาปรับใช้กับเกมการเล่นได้อย่างแนบเนียน
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเด็กหนุ่มนิรนามที่กำลังพยายามเขียนโปรแกรมในการคำนวณความเป็นไปได้ต่าง ๆ บนโลกอยู่
แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ราวกับมีช่องว่างของมิติเกิดขึ้น จนมันส่งตัวเอกที่เราจะค้องควบคุมเข้าไปยังจักรวาลอื่นโดนปริยาย
ตัวเอกของเราจะตื่นมาในต่างมิติ และพบเข้ากับชายปริศนาใส่หมวกทรงสูงสีม่วงเด่นสะดุดตานามว่า Everett โดยเขาได้บอกเล่าเรื่องราวของ Multiverse ให้ตัวเอกฟัง ก่อนที่จะเอ็ดว่าโปรแกรมที่ตัวเอกเขียนนั้น มันสร้างผลกระทบในจักรวาลต่าง ๆ จนเขาต้องมาตามเก็บกวาดความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น
เกมจะให้ตัวเอกสามารถโดดสลับไปมาระหว่างจักรวาลได้ ซึ่งระบบการเล่นตรงนี้ ก็จะถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปริศนา หาทางไปต่อ รวมไปจนถึงดำเนินเนื้อเรื่องอีกด้วย แม้จะคล้ายกับระบบของ The Legend of Zelda: A Link to the Past ไปอยู่บ้าง แต่ก็นับว่า ทางผู้พัฒนาสามารถประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเกมของตัวเองได้เป็นอย่างดี