Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 13 เมืองเเห่งความสิ้นหวัง และเส้นทางของเหล่ามังกรที่สาบสูญ
สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสาม โดยในบทนี้เราจะไปดูสองสถานที่ซึ่งตัวผมเคยกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ Blighttown เมืองแห่งเหล่าคนจร และ Ash Lake ทะเลสาบดึกดำบรรพ์
วันนี้เราจะได้รู้กันว่าเหตุใดผู้คนถึงหวาดกลัว Blighttown ยิ่งกว่าสุสานใต้ดิน Catacomb และทำไมถึงมีคนบางสวนยอมบูชามังกรนิรันดรอันเป็นศัตรูตัวฉกาจของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสาม “ เมืองเเห่งความสิ้นหวัง และเส้นทางของเหล่ามังกรที่สาบสูญ ”
< ลิงค์บทความก่อนหน้า >
บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่
บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด
บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l lบทที่สิบสอง
เหมืองนรก
Undead นิรนามของเราได้ปีนบันไดไม้เก่าๆที่มีสภาพจะพังแหล่ไม่พังแลลงไปยังหลุมลึกใต้ดินอันมืดมิด พลังงานแห่งความตายลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วสถานแห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง แตกต่างกับ Catacomb และ Tomb of Giants อันเป็นสถานพักผ่อนของคนตาย และก็ไม่เหมือนกับ The Depth ซึ่งแม้จะดูน่าสะอิดสะเอียนมากกว่า แต่อย่างน้อยก็ยังมีวงจรชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน มีการเกิด, การสืบพันธุ์, และการตายตามธรรมชาติ
ความสิ้นหวัง คงกจะเป็นนิยามอันเหมาะสมที่สุดเเล้วสำหรับเมืองที่อัดแน่นไปด้วยจิตมุ่งร้ายเเเละความตายที่เจ็บปวดเเห่งนี้...
( ภาพประกอบ : ประตูสู่ขุมนรก Blighttown )
เมื่อเนินนานมาแล้วนับตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้ายังคงทำสงครามกับเหล่ามังกร ผู้คนได้มีการค้นพบแร่เหล็กล้ำค่า Titanite ซึ่งมีคุณสมบัติคงทนและสามารถนำมาแปลรูปได้หลากหลาย ทว่าข้อเสียก็คือแร่พวกนี้จะก่อตัวภายในดินที่เป็นพิษ ทำให้การขุดมันออกมาเป็นเรื่องอันตรายต่อสุขภาพของเหล่าคนงานเหมืองอย่างมาก
Gwyn ผู้นิยามเผ่าพันธุ์ของตัวเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันประเสริฐที่สุดในโลก สนใจเพียงแค่การขุดเอาแร่ Titanite ขึ้นมาทำเป็นอาวุธและชุดเกราะให้กับกองทัพของตน โดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของเหล่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย Gwyn มอบหมายงานพวกนี้ให้แก่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยอย่างมนุษย์ไปหาวิธีอะไรก็ได้ขอแค่ให้ผลลัพธ์ออกมาที่สุดก็พอ...นั่นเป็นต้นกำเนิดของธุรกิจค้าทาสอันป่าเถื่อน ณ หุบเหวใต้ดินซึ่งต่อมาจะถูกเรียกว่า Blighttown
( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Blighttown )
ทาส, เฉลยศึก, หรือเหล่าผู้คนซึ่งไม่มีใครต้องการ ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยน(ลักพาตัว)เพื่อนำมาใช้เป็นแรงงานขุดเหมืองนรกแห่งนี้ ใครก็ตามที่ย่างก้าวเข้ามาจะไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกต่อไป นั่งร้านไม้เก่าๆอันทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาถูกสร้างให้ยึดติดเข้ากับผนังของถ้ำด้วยเทคนิควิศวกรรมประหลาด มันสามารถประคองน้ำหนักและถ่ายเทแรงเสียดสานไปยังส่วนต่างๆได้อย่างปาฏิหาริย์...ทว่าในทางกลับกันมันก็หมายความว่าสถานที่เเห่งฝันร้ายจะไม่มีวันพังทลายไปตลอดกาล
เหล่าผู้คุมถูกกำชับให้เร่งผลการผลิตแร่ Titanite จากคนงานอย่างบ้าคลั่งข้ามวันข้ามคืน จนมันค่อยๆทำให้จิตใจของพวกเขาบิดเบี้ยวเย็นชาเป็นอมนุษย์ที่ไร้ความปราณี นี่ยังไม่รวมถึงพิษจาก Titanite ซึ่งทำให้เหล่าคนงานต้องเจ็บป่วยทรมานอย่างช้าๆ ศพเเล้วศพเล่าถูกโยนทิ้งลงไปยังก้นเหวเบื้องล่างเเละก็แทนที่ด้วยคนงานชุดใหม่อย่างรวดเร็ว สินแร่ที่ขุดได้ก็จะถูกนำมาชะล้างยังบึงน้ำใกล้ๆเพื่อรอการขนส่งผ่านกังหันขนาดใหญ่กลับขึ้นไปสู่ทางออกลับ
( ภาพประกอบ : ทางผู้พัฒนาได้เเอบใส่มุขตลกเล็กๆด้วยการใส่สุนัขตัวเล็กๆ คอยเดินขับเคลื่อนกังหันขนาดใหญ่ )
หนองน้ำพิษเบื้องล่างถูกเรียกขานโดยผู้คนว่า Great Swamp มันไม่สามารถใช้ดื่มใช้กินอะไรได้เลยเนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษในดิน เรียกง่ายๆว่าสถานที่แห่งนี้คือขุมนรกอเวจีตั้งแต่ก่อนที่ Curse of Undead จะปรากฏตัวออกมาเสียอีก..
ในยามที่ Curse of Undead ปรากฏตัวออกมา ความทุกข์ทรมานของเหล่าคนงานเหมืองก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณ เพราะความตายไม่อาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้อีกต่อไปกลายเป็นวัฏจักรของการเกิดตายวนเวียนอย่างไม่รู้จบ ข้าวสารอาหารแห้งที่เคยได้กินพอประทังชีวิตถูกริบเก็บไปจนหมดเพราะต่อให้พวกเขาขาดสารอาหารจนตาย สุดท้ายก็จะกลับชาติมาเกิดใหม่อยู่ดี
( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของเหล่าผู้คุมที่มีจิตใจป่าเถื่อนเเละบิดเบี้ยว )
( ภาพประกอบ : ศัตรูตัวฉกาจอันน่ารำคาญ ซึ่งมันจะคอยเป่าลูกดอกอาบยาพิษโจมตีมาจากระยะไกล )
ท่ามกลางช่วงเวลาเเห่งความสิ้นหวังอันไร้จุดจบ จู่ๆวันหนึ่งก็เกิดพลังงานความร้อนปริศนาใต้พื้นโลกเเละตามมาด้วยเหล่าผู้อพยพมาจากนคร Izalith ซึ่งพวกเขาบางคนเลือกจะปักหลักอยู่ใน Great Swamp และใช้เวลาที่เหลือถ่ายทอดวิชาศาสตร์แห่งเพลิง(Pyromancy) และบอกเล่าตำนานความยิ่งใหญ่ของนคร Izalith ต่อไป ศาสตร์แห่งเพลิงได้จุดประกายความหวังให้เเก่เหล่าผู้คนที่อ่อนล้าที่การหลบหนีออกไปจาก Blighttown (ตัวอย่างเช่นเจ้า Laurentius )
ทว่าช่วงเวลาที่ดีมันมักจะอยู่ได้ไม่นานเพราะ Chaos Flame ก็ได้ตามติดเหล่าผู้อพยพออกมาจากนคร Izalith ด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งนับวันร่างกายของพวกเขาก็เริ่มกลายสภาพเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว ข่าวลือเรื่องนี้ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ทำให้เขารีบจัดกองทัพไปปราบนคร Izalith โดยเร็ว แต่ไม่ใช่เพื่อปกป้องเหล่าผู้คนใน Blighttown หากแต่เป็นเพราะสนใจในพลังของ Chaos Flame ต่างหาก
สงครามระหว่างอดีตพันธมิตรจบลงด้วยการที่ Gwyn ถอยทัพกลับไปมือเปล่า ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมอำนาจของเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo
( ภาพประกอบ : มนุษย์ที่กลายร่างอย่างช้าๆเพราะพลังของ Chaos พวกเขาจะหากินทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้เพื่อต่อลมหายใจในชีวิตอันเเสนทรมาน )
( ภาพประกอบ : เเม้สุนัขธรรมดาๆที่ติดเชื้อ Chaos ก็ยังสามารถพ่นไฟได้ )
ต่อมาเมื่อเทพเจ้า Gwyn ได้สละชีพของตนเองเพื่อต่อยุคแห่งไฟ อุปสงค์และอุปทานที่เคยมีต่อแร่ Titanite ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เหมืองใน Blighttown ค่อยๆกลายสภาพเป็นแค่ถังขยะมนุษย์และทางผ่านที่ใกล้สุดซึ่งจะนำไปสู่นคร Izalith ที่สาบสูญ ผู้คนไม่น้อยเลือกที่สันจรผ่านเส้นทางลัดอันแสนอันตรายเเห่งนี้เพื่อเหตุผลต่างๆของตนเอง โดยมีตั้งแต่นักสำรวจอับโชคไปจนถึงนักรบเงาจากดินแดนอันห่างไกลทางตะวันออก
Blighttown ในตอนนั้นถูกมองว่าเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจากวันดีคืนดีก็มีสัตว์ประหลาดปีนป่ายกลับขึ้นมาจากหลุมลึกเน่าๆ ขึ้นมาสร้างความเดือดร้อนให้เเก่เหล่าผู้คนบนผิวโลกจึงนำไปสู่การสร้างประตูกั้นใน The Depth นั่นเอง
( ภาพประกอบ : ชุด Shadow Set เเละ Wanderer Set ที่สามารถพบได้ใน Blighttown )
ด้วยเหตุผลข้างต้น Blighttown จึงถูกทิ้งให้เน่าตาย ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เหลือตัวเลือกเพียงสองทาง คือหนึ่ง!ยอมทนทุกข์ทรมานในร่างอัปลักษณ์ต่อไปเรื่อยๆเเละเกิดตายวนเวียนจนกว่าจะHollow สอง!ก็คือยอมรับพลังของ Chaos ไปตรงๆเเละเข้าร่วมลัทธิบูชาอสูรแห่ง Izalith…
โลกดึกดำบรรพ์ใต้พิภพ
Undead นิรนามเราเดินทางผ่านสถานที่อันบิดเบี้ยวอย่าง Blighttown มาได้อย่างไม่ยากเย็นเเละเข้าสู่เขตแดนของบึงพิษ Great Swamp กลิ่นสารเคมีที่เหม็นจนแสบจมูกลอยออกมาจากผืนดินซึ่งเป็นพิษอันตรายจนสามารถคร่าชีวิตของมนุษย์ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีฝูงยุงดูดเลือดน่ารำคาญเเละอสูรเเมลงประหลาดที่สามารถร่ายเพลิง Chaos Flame ออกมาใช้โจมตีได้
( ภาพประกอบ : Cragspider อสูรชั้นต่ำที่เกิดจากไข่ )
ทว่าภัยอันตรายทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นมันก็ยังเป็นเพียงแค่ออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อย...ถ้าหากท่านผู้ชมยังจำกันได้ผมเคยกล่าวว่ามีผู้คนบางส่วนพยายามเรียนรู้ศาสตร์แห่งไฟ Pyromancy เพื่อหนีออกไปจาก Blighttown ซึ่งมันก็คงจะฟังดูเป็นเทพนิยายเกินไปหน่อยหากจะบอกว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ศาสตร์แห่งเพลิงได้สำเร็จ
แน่นอนว่าชะตากรรมของผู้ที่ล้มเหลวก็จำต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าไม่ตายเพราะโรคร้ายก็ต้องตายเพราะถูกดูดเลือดจนหมดตัว เเต่ทว่าก็ยังมีบางคนที่ร่างกายสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายได้ เเละหันมาดื่มกินเลือดเนื้อเเบบสัตว์ใน Great Swamp เพื่อความอยู่รอด
( ภาพประกอบ : ปลิงเเละยุงยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นในบึงพิษ )
( ภาพประกอบ : สภาพเเวดล้อมเบื้องล่างเเทบจะไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก )
แต่ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นสาปของความตายมากแค่ไหนก็ตาม เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบึงพิษ Great Swamp เป็นสถานที่ซึ่งธรรมชาติไม่ได้ถูกลบกวนมากที่สุดเเห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบ้านของสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณที่แตกหน่อต่อผลขึ้นมาจากใต้พื้นดิน... นามของเจ้าสิ่งนั้นก็คือคือต้นไม้บรรพกาล Archtree ชื่อซึ่งถูกลบด้วยกองขี้เถ้าจากสงครามในอดีต
คนส่วนมากที่ได้เห็นต้น Archtree ภายใน Great Swamp มักจะทึกทักเอาเองว่านี่เป็นโคนของต้นไม้ ทว่าหารู้ไม่นี่ยังเป็นแค่เพียงปลายยอดเล็กๆที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือพื้นดิน
( ภาพประกอบ : ส่วนปลายยอดเล็กๆของต้นไม้ Arctree )
ย้อนกลับไปในอดีตต้น Archtree เคยแตกหน่อชอนไชไปทั่วดินแดน Lordran ขนาดที่แท้จริงของมันไม่มีใครสามารถประมาณการเป็นตัวเลขได้...ชนิดที่ว่าให้อธิบายเป็นคำพูดยังง่ายซะกว่า
จุดยอดสูงสุดของต้น Archtree พุ่งขึ้นไปจนแตะกับผิวของก้อนเมฆบนฟากฟ้า ลำต้นอันใหญ่มหึมาได้กลายเป็นบ้านให้เเก่สิ่งมีชีวิตมากมายหลายสายพันธ์ุ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือมังกรนิรันดรชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก...พวกมันเคยใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะท่ามกลางยุคสมัยแห่งหมอกควันตลอดหลายพันหรืออาจจะหลายล้านปี
ทว่าภาพลวงตาที่ดูเหมือนจะเป็นอนันต์ก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบเมื่อ The First Flame ปรากฏตัวขึ้น เหล่าพันธมิตรแห่งเทพเจ้ายุคใหม่นำโดย Gwyn, Nito, แม่มดแห่ง Izalith ได้รวมหัวกันล้างบางเหล่ามังกรมังกรนิรันดรและทำการเผาทำลายต้น Archtree จนกลายเป็นเถ้าถ่าน จะเหลือเอาไว้ก็แต่ ณ ทะเลสาบลับแลซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ดินหลายกิโลเมตร
( ภาพประกอบ : ภาพของ Ash Lake ซึ่งกว้างใหญ่ราวกับว่าเป็นโลกอีกใบ )
Ash lake หรือทะเลสาบแห่งเฒ่าธุลี เป็นสถานที่มายาซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ Great Swamp ทัศนียภาพของมันเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีเทาลอยปกคลุ้มไปทั่วเหนือผืนน้ำ...ไม่มีใครรู้ว่าทะเลสาบแห่งนี้มีความลึกแท้จริงอยู่ที่เท่าไร แต่เมื่อดูจากต้นไม้ Archtree ซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาเหนือผืนน้ำ เราก็พอจะประมาณการได้ว่าความลึกของก้นทะเลสาบคงไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองร้อยเมตรเเน่ๆ อีกทั้งทะเลสาบแห่งนี้ยังได้รับแสงสว่างจากทะเลหมอกด้านบนอยู่ตลอดเวลา จึงไม่จำเป็นต้องง้อเเสงพระอาทิตย์ของเทพบนโลกเบื้องบนเลยเเม้เเต่น้อย
( ภาพประกอบ : Ash Lake ทะเลสาบที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมตลอดหลายหมื่นปี )
ทว่าการที่ Ash Lake อยู่ห่างจากน้ำมืออันสกปรกของเหล่ามนุษย์ มันก็ย่อมทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นบ้านสงบอันสงบร่มเย็นของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ตัวอย่างเช่นเชื้อรากลายพันธุ์ซึ่งวิวัฒนาการตนเองจนมีแขนขาเหมือนกับมนุษย์
( ภาพประกอบ : Mushroom People มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากๆ จนสามารถใช้หมัดเปล่าๆต่อยทะลุเหล็กกล้าได้ง่ายๆ )
สัตว์อีกชนิดซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ มีร่างกายที่น่ากลัวราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย...นั่นก็คือหอยปีศาจ Man-Eater Shell โดยหากดูจากภายนอกมันจะมีรูปร่างคล้ายกับหอยยักษ์ทั่วๆไป แต่แน่นอนละเมื่อมันได้ชื่อว่าหอยปีศาจมีหรือจะเป็นแค่หอยธรรมดา เราลองมาจินตนาการภาพกันดูเล่นๆถ้าวันหนึ่งคุณกำลังเดินอยู่บนชายหาดในยามค่ำคืน...แล้วจู่ๆก็มีหอยยักษ์ห้าขาวิ่งไล่ล่าจะเขมือบคุณ... ใช่ครับเจ้าสัตว์ตัวนี้มันไม่นั่งรอให้อาหารเข้ามาใกล้ๆแต่จะลุกขึ้นจากกองทรายเเละวิ่งไล่ล่าคุณ
( ภาพประกอบ : หอยจอมเขมือบ Man-Eater Shel )
แต่ถึงกระนั้นเจ้าหอยกินคนที่แสนอันตรายตัวนี้ ก็มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ทำให้มันถูกล่าโดยเหล่าพ่อค้ามากมาย ซึ่งก็คือแร่ที่มีชื่อว่า Twinkling Titanite อันเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างแร่ธาตุ Titanite ตามพื้นดินเเละน้ำเข้ากับสารเคมีเฉพาะภายในปาก สกัดออกมาเป็นแร่บริสุทธิ์ล่ำค่าซึ่งสามารถใช้เพิ่มพลังให้แก่อาวุธวิเศษที่ Titanite ธรรมดาไม่อาจทำได้
( ภาพประกอบ : Twinkling Titanite เเร่ที่มีไว้สำหรับอัพเกรดอาวุธบางประเภทโดยเฉพาะ )
สัตว์ตัวต่อไปเป็นสัตว์ที่หาได้ยากยิ่งแต่ Undead นิรนามของเรากลับเคยเผชิญหน้ากับมันมาแล้วครั้งหนึ่ง เเละยังเป็นลูกหลานของเหล่าผู้พ่ายแพ้สงครามแห่งอดีตกาล นามของมันก็คือมังกรน้ำ 7 หัว Hydra
บรรพบุรุษของ Hydra เลือกจะละทิ้งท้องฟ้าซึ่งถูกช่วงชิงไปโดยเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo และลงไปอาศัยอยู่ในน้ำอย่างหลบๆซ่อนๆ… Hydra ตัวก่อนหน้านี้ที่พระเอกของเราได้สังหารไปมันมีความเชื่องช้าเนื่องมาจากอยู่ในสถานอันคับแคบ แต่ทว่าสำหรับตัวที่อยู่ใน Ash Lake อันเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เจ้ามังกรน้ำตัวนี้จะใช้อวัยวะพิเศษพ่นแรงดันน้ำมหาศาลจากใต้ท้องเพื่อพุ่งทะยานไปบนอากาศ ตามไล่ล่าเหยื่อของมันจากระยะไกล
( ภาพประกอบ : สารภาพเลยว่าตอนที่ผมได้เห็นเจ้า Hydra บินเป็นครั้งเเรก ตัวผมถึงกับสบถคําหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว )
( ภาพประกอบ : กะโหลกยักษ์ประหลาดใน Ash Lake… ซึ่งยังคงมีการถกเถี่ยงกันอยู่ว่ามันเป็นเพียงเเค่ Easter Egg หรือไม่ เเต่ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นเเค่ของประดับฉากเพื่อเเสดงให้เห็นว่าโลกยุคดึกดำบรรพ์เคยมีไอ้ของเเบบนี้อยู่มากมาย )
วิถีแห่งการหลุดพ้น
ในครั้งแรกที่โลกได้เผชิญหน้ากับคำสาปร้าย Curse of Undead เหล่าผู้คนที่หวาดหวั่นต่างพากันหันหน้าไปพึ่งศาสนา Way of White และสวดอ้อนวอนขอให้ยุคแห่งไฟยังคงยืนหยัดต่อไป...จะมีแต่ก็แค่กลุ่มคนเพียงหยิบมือซึ่งล่วงรู้ความจริงของชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาไม่ต้องการจะมีสภาพกลายเป็น Hollow แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจจะยึดถือวิธีอันหลอกลวงของ Gwyn ได้ เพราะมันเป็นแค่การประวิงเวลาของจุดจบออกไปเพียงชั่วคราว
แล้วตอนนี้ยังเหลือตัวเลือกอะไรอีก? นั่นเป็นคำถามที่ผลักดันให้กลุ่มคนเหล่านี้ลองย้อนมองกลับไปสู่อดีต...สู่โลกที่ปราศจากทั้ง The First Flame และความมืด ถูกต้อง! สิ่งมีชีวิตเดียวซึ่งอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล พวกมันทั้งทรงสติปัญญาและมีพละกำลังมหาศาลจนแม้แต่พระเจ้าของโลกยุคใหม่ยังต้องผนึกกำลังกันเพื่อปรามมัน...นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตมายามังกรนิรันดร
( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Everlasting Dragon หรือมังกรนิรันดร )
โชคชะตาได้นำเหล่าผู้คนที่สิ้นหวังต่อเทพเจ้าไปพบเข้ากับมังกรนิรันดรตัวหนึ่งที่กำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ใน Ash Lake อย่างสงบ พวกเขาพบว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่มีท่าทางดุร้ายเลยแม้แต่น้อยซึ่งแตกต่างจากเรื่องเล่าในนิทานของเทพเจ้าอย่างสิ้นเชิง
เจ้ามังกรสื่อสารกับพวกเขาด้วยพลังจิตและชี้ให้เห็นสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยงในกายหยาบ มันบอกว่าทุกสรรพสิ่งล้วนถูกรั้งเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าโลก ความตายก็เป็นเพียงแค่บันไดขั้นหนึ่งของวัฏจักรที่เรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือเป็นความทุกข์ทรมานอันไร้จุดสิ้นสุด
ดังนั้นการทำให้จิตวิญญาณ(Soul)ได้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนดังกล่าว จึงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของความเชื่อนี้ โดยภายหลังจะถูกเรียกขานกันว่า Path of the Dragon หรือหนทางแห่งมังกร
**ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริง Path of the Dragon ค่อนข้างที่จะคล้ายกับความเชื่อเรื่องนิพพานในศาสนาพุทธ**
( ภาพประกอบ : มังกรนิรันดรสายพันธุ์เเท้ทุกตัวไม่ได้มีความเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างที่คิด พวกมันทรงสติปัญญาเเละมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง )
มังกรนิรันดรถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ พวกมันกำเนิดมาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพา The First Flame และมีพลังวิเศษซึ่งไม่ใช่ทั้งเวทมนต์ Sorcery หรือพลังปาฏิหาริย์ Miracle พวกมันใช้พลัง;bเศษดังกล่าวเปลี่ยนให้ก่อนหินธรรมดาๆกลายเป็นเครื่องราง Dragon Head Stone และ Dragon Torso Stone อันสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นกลายร่างเป็นกึ่งมังกร เพื่อช่วยให้เหล่าสาวกเข้าถึงสัจธรรมแห่งการหลุดพ้นได้มากขึ้น
( ภาพประกอบด้านซ้าย : Dragon Torso Stone เเปลงร่างเป็นมังกรเต็มตัว ผู้เล่นจะได้พลังวิเศษเพิ่มพลังโจมตีเเต่เเลกกับการปลดชุดเกราะทั้งตัว )
( ภาพประกอบด้านขวา : Dragon Head Stone เเปลงร่างเป็นมังกรเเค่หัว ผู้เล่นจะได้พลังพ่นไฟเเต่เเลกกับการปลดชุดเกราะส่วนหัว )
อย่างไรก็ตามหนทางสู่การหลุดพ้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะขนาดเจ้ามังกรยังต้องใช้เวลาพำเพ็ญเพียรนับพันปีและต้องผ่านความรู้สึกสูญเสียจากสงครามนับไม่ถ้วน จึงได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต... ดังนั้นเหล่าสาวกแห่ง Path of the Dragon ก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์เเบบนี้เช่นเดียวกัน
พวกเขาแต่ละคนจะได้รับเครื่องราง Dragon Eye ซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับเฟ้นหาผู้คนที่ต้องการเรียนรู้คุณค่าของชีวิตผ่านการต่อสู้ เหล่าบุรุษแปลกหน้าจะต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยปราศจากขุ่นเคือง, ความโกรธแค้น, และความลังเล เพื่อที่จะเข้าใกล้ความซาบซึ้งในการมีชีวิต
คนที่ชนะก็จะได้รับ Dragon Scale หรือเกล็ดมังกรเป็นรางวัล อันเป็นเหมือนการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ายิ่งพวกเขาครอบครองมันมากเท่าไร จิตวิญญาณก็จะยิ่งเข้าใกล้การหลุดพ้นมากขึ้นเท่านั้น
( ภาพประกอบ : Dragon Scale ของสำหรับใช้อัพเกรดอาวุธบางประเภท เเละใช้เลื่อนขั้นใน Path of the Dragon )
ในสมัยที่เหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ยังคงเรืองอำนาจ Path of the Dragon ถือเป็นความเชื่อนอกรีต(โดยเฉพาะกับ Gwyn) เหล่าบรรดาสาวกต้องเหยียบความลับเรื่อง Ash Lake เอาไว้ให้สนิท ด้วยการร่ายมนต์สร้างกำแพงภาพลวงตาขึ้นมาปิดกั้นเส้นทางเข้าออกเอาไว้
ทว่าปัจจุบันหลังเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ได้สูญเสียอำนาจปกครองไปหมดแล้ว เหล่าความเชื่อนอกรีตทั้งหลายเริ่มก้าวเท้าออกมายังแสงสว่าง Path of the Dragon ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน เหล่าสาวกค่อยๆกระจายข่าวลือเรื่องวิถีแห่งการหลุดพ้น และใช้เส้นทางที่ยากลำบากเป็นบททดสอบความมุ่งหมันก่อนเข้าสู่ลัทธิ
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Path of Dragon สามารถยั้งรากลึกเข้าไปในใจของผู้คน(โดยเฉพาะกับอัศวิน) ก็คือสาวกคนสำคัญที่เป็นถึงอดีตเทพเจ้าแห่งสงคราม Nameless King พระองค์ได้อุปถัมภ์ความเชื่อนี้และเผยแพร่มันให้เเก่เหล่านักรบซึ่งยังคงศรัทธาในตนเอง ด้วยหวังเพียงการไถ่บาปในอดีตที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรตามคำสั่งของผู้เป็นพ่ออย่าง Gwyn
( ภาพประกอบ : ว่ากันว่าเจ้ามังกรตัวนี้คือกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนแนวคิดของ Nameless King ไปตลอดกาล )
( ภาพประกอบ : Great Magic Barrier หนึ่งในเวทมนต์ของ Way of White ที่พบใน Ash Lake ซึ่งเเสดงให้เห็นว่าสาวกของ Path of the Dragon มีเเม้กระทั่งคนใกล้ชิดของเทพเจ้า )
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนทั่วๆไป คำว่าหลุดพ้นมันก็ดูจะยากเเละเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ ผู้คนส่วนมากยังคงยึดติดอยู่กับคำหลอกลวงที่เรียกว่า The First Flame
นางพญาแมงมุม
กลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบันที่พระเอกเรากำลังเดินลุยบึงพิษ Great Swamp ด้วยความยากลำบาก เขาได้บังเอิญไปพบกับแม่มดไฟคนหนึ่งนามว่า Quelana โดยนางอ้างว่าตนเองเป็นถึงลูกแท้ๆของแม่มดแห่ง Izalith ซึ่งหนีออกมาพร้อมๆกับเหล่าผู้อพยพคนอื่นๆ นอกจากนี้นางยังได้ขอร้องให้ Undead นิรนามปลดปล่อยครอบครัวของนางที่ถูกพลังของ Chaos Flame กลืนกิน(บอกให้ไปฆ่านั่นแหละ)
( ภาพประกอบ : Quelana ใน Great Swamp เเละใบหน้าจริงๆของนางภายใต้ผ้าคลุม )
ที่ผ่านมา Undead นิรนามก็เคยเจอผู้คนมาเเล้วมากมายทั้งดีทั้งชั่ว แต่ยังไม่เคยพบใครร่ำร้องขอให้ไปฆ่าคนในครอบครัวแบบ Quelana มาก่อน นางไปยกมือขึ้นชี้ไปยังสถานซึ่งดูเหมือนกับรังแมงมุมขนาดใหญ่ และบอกว่าพี่ๆของเธออาศัยอยู่ในนั้น
Undead นิรนามของเราออกปากรับไปแบบงงๆ ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างดลใจ...ก่อนที่สมองจะทันคิดถึงความน่าสงสัยในตัวของ Quelana
( ภาพประกอบ : เวทมนต์ล่อลวง Undead Rapport เป็นเวทมนต์ชั้นสูงของ Quelana...ลือกันว่านางใช้มนต์ดังกล่าวเพื่อล่อลวง Undead ที่ผ่านทางมาให้ทำตามในสิ่งที่นางต้องการ )
( ภาพประกอบ : Quelaag Domain หรืออาณาจักรของ Quelaag ในอดีตมันเคยเป็นป้อมสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเหล่าอสูร เเต่ปัจจุบันกลับถูกควบคุมด้วยอสูรเสียเอง )
พระเอกของเราออกเดินลุยบึงพิษอีกครั้งหนึ่งและจัดการพวกอมนุษย์ซึ่งเป็นยามเฝ้าปากทางเข้าจนหมด แต่ทว่าฉับพลันก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปอยู่ๆก็มีมือปริศนามาล็อคคอเอาไว้แน่น เขาพยายามเอี้ยวตัวไปข้างหน้าจากนั้นก็ใช้บันท้ายดันเจ้าสิ่งขึ้นไปบนแผ่นหลังแล้วทุ่มมันกลับลงมาอย่างรุนแรง เจ้าสิ่งนั้นพยายามตะเกียดตะกายคลานหนีแต่ก็ถูก Undead นิรนามเหยียบที่ฝ่ามือจนมันต้องร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด
Undead นิรนามเงื้อดาบขึ้นเตรียมจะตัดคอของเจ้าสิ่งนั้นแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อนเพราะได้ยินเสียงมันร้องขอชีวิต พระเอกของเราเพ่งพิจารณารูปร่างที่คล้ายกับผู้หญิงตัวอ้วนของมันเเละลองถามชื่อเสียงเรียงนามดูเพื่อทดสอบว่าเป็น Hollow หรือไม่ ซึ่งมันก็ตอบได้อย่างทันควันว่าตนชื่อจอมกินเนื้อมนุษย์ Mildred
( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นสามารถเอาชนะ Mildred ได้เธอก็จะกลายเป็น Phantom คอยช่วยเราปราบบอสของ Blighttown )
พระเอกของเราขมวดคิ้วและกำลังจะใช้ดาบแทง Mildred อีกครั้งเพราะคิดว่านางเป็นแค่พวกเสียสติกินคนเเบบเดียวกับใน Undead Burg แต่เจ้า Mildred กลับร้องห่มร้องไห้เสียงดังและกล่าวว่าจะยอมช่วย Undead นิรนามกำจัดเจ้าอสูรที่อยู่ในรังแมงมุม เนื่องจากพวกนั้นก็แย่งอาหาร(มนุษย์)ของนางไปเช่นกัน
หลังจากได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกลังเลเพราะถ้าหากไม่นับเรื่องกินคน Mildred ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆที่เขาเคยเจอ นางมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและยังสามารถสื่อสารได้ในรูปแบบที่เป็นมิตรซึ่งถือว่ายังหากไกลกับคำว่า Hollow อยู่หลายขุม
Dark Souls