GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls กับ Lore และ ตำนานภายในเกมบทที่ 3
ลงวันที่ 18/11/2019

สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานของเกม Dark Souls ซึ่งเราก็เดินทางมาถึงบทที่สามกันเเล้ว สำหรับใครที่อยากจะทบทวนหรืออยากลองอ่านบทความก่อนหน้านี้ก็สามารถคลิกลิ้งค์ข้างล่างได้เลย ส่วนใครที่พอรู้เนื้อเรื่องอยู่เเล้วก็สามารถข้ามส่วนนี้ไปได้เลย

- บทที่ 1 - บทที่ 2 -


ในครั้งก่อนเราได้รู้เรื่องของ Nito กับแม่มดแห่ง Izalith กันไปแล้ว เเต่ในบทนี้เราจะพูดถึง Gwyn กับอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็ไปเริ่มกันเลยกับ บทที่สาม “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง”  

ดินแดนอันเหลื่อมล้ำ Lordran




Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito  และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น  ณ ใจกลางของดินแดน Lordran 

เมือง Anor Londo เป็นเหมือนมหานครในอุดมคติ ทุกอย่างในเAvailable Toolsมืองนั้นดีเลิศเเละดูสวยงามไปหมด ทำให้เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของทั้งโลก เหล่านักเดินทางทั้งหลายต่างหมายปองที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาเพื่อเคารพสักการระเหล่าเทพเจ้า ,มาเพื่อการค้าขาย ,หรือแม้แต่มาด้วยเหตุผลทางการทูต เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญสุดๆกันไปเลย  แต่เมืองที่มันศิวิไลซ์เช่นนี้ก็มักจะซ่อนเอาความฟอนเฟะเอาไว้ใต้พรม ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ที่เป็นประชากรชั้นสองของดินเเดนเเห่งนี้นั่นเอง


( ภาพประกอบ : Blight Town หนึ่งในที่อยู่อาศัยของมนุษย์ )


สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์  ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด


( ภาพประกอบ : หนึ่งในป้อมปราการที่ในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า Undead Burg )


ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน


( ภาพประกอบ : The Dukes Archives ที่ภายในเก็บรักษาตำราเเละความรู้ต่างๆเอาไว้มากมาย )


แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง



( ภาพประกอบ : ผลการทดลองที่ใช้มนุษย์ของ Seath  )


 โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า  Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก 


( ภาพประกอบ : รูปปั้นที่เเสดงหน้าตาอันหล่อเหลาของ Frampt เผ่าพันธุ์ Primordial Serpent )


Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก  ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก


( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพเจ้า Gwyn ที่กำลังมอบมงกุฎให้กับ Pygmy Lord ภายใน Ringed City )


คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ 


( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์บนตัว Ringed Knight ที่ Gwyn มอบให้ )


เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย

 พงศาวดารเเห่งเทพเจ้า


ย้อนกลับไปในยุคที่ Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร การมีทายาทที่แข็งแกร่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ และแน่นอนว่า Gwyn จะต้องมีพระชายาอยู่เคียงข้าง นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งความผิดบาป Velka แต่ประวัติศาสตร์กลับไม่ได้จารึกชื่อของนางเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า Gwyn ไม่อยากให้ Velka เข้ามามีบทบทบาทในการปกครองก็เป็นได้  สำหรับ Gwyn พระชายามีหน้าที่แค่ให้กำเนิดทายาทที่ทรงพลังเพียงเท่านั้น โดยโอรสคนเเรกของ Gwyn กับ Velka เป็นนักรบที่เเข็งเเกร่งเเละห้าวหาญ อาวุธคู่กายของเขาเป็นหอกยาวเล่มใหญ่ซึ่งมีพลังของสายฟ้าสถิตอยู่ข้างใน ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารทำให้เกิดลมพายุหมุนที่รุนเเรงได้ เขาได้ใช้มันปลิดชีพเหล่ามังกรมาแล้วนับไม่ถ้วนเพราะเขาถูกสอนว่าเหล่ามังกรคือรากเหง้าเเห่งชั่วร้ายเเละต้องถูกกำจัดทิ้ง 


( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่จะปรากฏตัวในอีกหลายพันปีต่อมา )


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไมตรีจิตที่ดีทำให้เป็นที่รักและนับถือของเหล่านักรบมากมาย  Gwyn ปราบปลื้มในตัวลูกชายคนแรกของเขาอย่างมาก ถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็น God of War หรือเทพแห่งสงคราม ซึ่งต่อมาแม้สงครามมังกรจะได้จบลง เขาก็ยังทำหน้าที่เป็นแม่ทัพให้กับ Gwyn เสมอ ไม่ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นที่ใดเขาจะเป็นคนแรกที่นำเหล่าทหารกล้าเข้าสู่สมรภูมิ เเละด้วยความสามารถที่รอบด้านเเบบนี้ เเน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่าง Gwyn จะต้องตักตวงผลประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด โดย Gwyn ได้จัดตั้ง Warrior of Sunlight  หรือกลุ่มนักรบแห่งเเสงตะวันขึ้นมา เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตวิญญาณให้กับเหล่านักรบทั้งหลายโดยเฉพาะพวกที่เป็นมนุษย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีจิตใจใฝ่หา Dark Soul ในตัว 


( ภาพประกอบ : รูปปั้นโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่ถูกบูชาโดย Warrior of Sunlight )


บุตรของ Gwyn คนถัดมานั้นเป็นเพศหญิง ซึ่งมีรูปร่างและหน้าตาที่สะสวย(มาก)นามว่า Gwynevere อันเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีบุตร…ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิดหรอก หน้าที่ของเธอคือการสร้างลูกหลานที่มีเชื้อสายเทพเจ้าให้คงอยู่สืบต่อไป ส่วนคนถัดมาก็เป็นเพศหญิงอีกเช่นกันนามของเธอก็คือ Filianore โดยเธอเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนต์แห่งแสงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่เธอสามารถควบคุมกาลเวลาได้เลย แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นลูกของ Gwyn เธอก็เหมือนกับถูกขีดชะตากรรมเอาไว้อยู่เเล้ว Filianore ต้องออกเดินทางไปยังเมือง Ringed City เพื่อทำภารกิจบางอย่าง Gwyn มอบหมายให้กับเธอ


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Gwyneveret ภายในเกม Dark Souls  )


( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Filianore จากเกม Dark Souls 3  )


บุตรทุกคนของ Gwyn ต่างเกิดมาพร้อมกับพลังเฉพาะตัว ซึ่ง Gwyn ก็อยากให้บุตรคนต่อไปมีพลังที่เหล่าทวยเทพยังไม่เคยมี ซึ่งเรื่องมันเริ่มขึ้นในขณะที่ Velka กำลังตั้งครรภ์บุตรคนสุดท้าย Gwyn อยากให้เด็กที่จะเกิดมามีพลังของ Sorcery เพราะเป็นพลังที่ยังไม่มีเทพองค์ใดใช้มันได้อย่างชำนาญ เขาได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษา Seath ซึ่งเป็นบิดาเเห่งศาสตร์ Sorcery 



( ภาพประกอบ : รูปร่างหน้าของ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด เเละบิดาเเห่ง Sorcery )

เมื่อ Gwyn  ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับ Seath ฟัง เจ้ามังกรเจ้าเล่ห์ก็ได้ยอมตกลงที่จะช่วยเเต่มีข้อเเม้หนึ่งประการ ว่าในอนาคต Seath จะขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเทพเจ้าเป็นรางวัลตอบเเทน ซึ่ง Gwyn ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาไปตามนั้นเพราะคิดว่า Seath คงไม่กล้าขออะไรที่มันเกินตัว โดยเมื่อทั้งสองเห็นชอบดังนั้น Seath ก็ได้แอบร่ายเวทมนต์ใส่ครรภ์ของ Velka โดยเมื่อถึงเวลานางก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายนามว่า Gwyndolin  ขึ้นมา ซึ่งทารกก็มีพลัง Sorcery อย่างที่ Gwyn ต้องการแต่ทว่ากลับมีขาที่เป็นงู จึงทำให้ Velka รู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของ Seath ด้วยความที่นางไม่ชอบหน้า Seath เป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเลยยิ่งทำให้โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมเเละได้นำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องยัง Gwyn เร่งให้เขาจัดการเจ้ามังกรวิปลาสตัวนี้เสียที แต่ Velka กลับต้องใจสลายเมื่อได้รู้ว่า Gwyn เป็นตัวการออกคนสั่งในเรื่องนี้เสียเอง เท่านั้นยังไม่พอ Gwyn ยังพรากเอาตัว Gwyndolin ผู้เป็นบุตรคนสุดท้องไปจากนางและสั่งไม่ให้ข้องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอีก นั่นทำให้ Velka เคียดแค้นเป็นอย่างมาก นางจึงได้สาบานว่าจะชำระเเค้นกับ Gwyn ให้สาสมกับบาปที่เขาได้ก่อ



( ภาพประกอบ : Gwyndolin เเละขาที่เป็นงูของเขา )

Gwyndolin นอกจากมีพลังของ Sorcery ที่เเข็งเเกร่ง เขายังเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังได้รับพลังจากพระจันทร์ โดยในความเชื่อของเทพเจ้าได้เปรียบเทียบสตรีเพศว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มันเลยทำให้ Gwyndolin ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกผู้หญิงทั้งในด้านพฤติกรรมและด้านการใช้ชีวิต  โดยเมื่อมีงานราชพิธีที่เขาต้องแสดงตัวต่อหน้าผู้คน Gwyndolin ก็จะซ่อนขาที่เป็นงูเอาไว้ใต้กระโปงยาว จะมีก็แค่ตอนที่อยู่กับพี่สาวอย่าง Gwynevere ที่เขาจะทำตัวได้อย่างตามสบาย ซึ่งทั้งสองก็สนิทกันมากชนิดที่ว่ารู้นิสัยใจขอกันเป็นอย่างดี

ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด

 คุยกันหลังเรื่องเล่า


             ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สาม  “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง” ท่านผู้ชมรู้สึกยังไงกันบ้าง คิดว่าการกระทำของ Gwyn เป็นสิ่งที่ผิดจนไม่น่าให้อภัย หรือคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันก็สมควรแล้ว เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะกลัวการสูญเสียสิ่งที่สำคัญเเละจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้ ผมพูดถูกไหมครับ…. แต่อย่าคิดมากกันไปเลย เนื้อเรื่องในเกมนี้มันจะเป็นซะแบบนี้ทุกภาค มันจะดูดาร์คๆหน่อย แถมมี plot หลายอย่างที่หยิบเอามาจากความเชื่อหรือตำนานในโลกเเห่งความจริง เช่น Primordial Serpent ก็ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากความเชื่อที่ว่างูเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย โดยมันจะคอยล่อลวงให้มนุษย์กระทำความชั่ว 

ในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่า เทพเจ้าที่พยายามฝืนลิขิตโลกจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร เเละก็การมาถึงของคำสาปที่จะกัดกินดินเเดนเเห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์


( ภาพประกอบ : Dark Sign ตราบาปที่จะอยู่บนร่างของมนุษย์ไปตลอดกาล )


บทความเขียนโดย Thong Baithong


GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls กับ Lore และ ตำนานภายในเกมบทที่ 3
18/11/2019

สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานของเกม Dark Souls ซึ่งเราก็เดินทางมาถึงบทที่สามกันเเล้ว สำหรับใครที่อยากจะทบทวนหรืออยากลองอ่านบทความก่อนหน้านี้ก็สามารถคลิกลิ้งค์ข้างล่างได้เลย ส่วนใครที่พอรู้เนื้อเรื่องอยู่เเล้วก็สามารถข้ามส่วนนี้ไปได้เลย

- บทที่ 1 - บทที่ 2 -


ในครั้งก่อนเราได้รู้เรื่องของ Nito กับแม่มดแห่ง Izalith กันไปแล้ว เเต่ในบทนี้เราจะพูดถึง Gwyn กับอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็ไปเริ่มกันเลยกับ บทที่สาม “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง”  

ดินแดนอันเหลื่อมล้ำ Lordran




Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito  และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น  ณ ใจกลางของดินแดน Lordran 

เมือง Anor Londo เป็นเหมือนมหานครในอุดมคติ ทุกอย่างในเAvailable Toolsมืองนั้นดีเลิศเเละดูสวยงามไปหมด ทำให้เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของทั้งโลก เหล่านักเดินทางทั้งหลายต่างหมายปองที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาเพื่อเคารพสักการระเหล่าเทพเจ้า ,มาเพื่อการค้าขาย ,หรือแม้แต่มาด้วยเหตุผลทางการทูต เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญสุดๆกันไปเลย  แต่เมืองที่มันศิวิไลซ์เช่นนี้ก็มักจะซ่อนเอาความฟอนเฟะเอาไว้ใต้พรม ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ที่เป็นประชากรชั้นสองของดินเเดนเเห่งนี้นั่นเอง


( ภาพประกอบ : Blight Town หนึ่งในที่อยู่อาศัยของมนุษย์ )


สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์  ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด


( ภาพประกอบ : หนึ่งในป้อมปราการที่ในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า Undead Burg )


ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน


( ภาพประกอบ : The Dukes Archives ที่ภายในเก็บรักษาตำราเเละความรู้ต่างๆเอาไว้มากมาย )


แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง



( ภาพประกอบ : ผลการทดลองที่ใช้มนุษย์ของ Seath  )


 โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า  Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก 


( ภาพประกอบ : รูปปั้นที่เเสดงหน้าตาอันหล่อเหลาของ Frampt เผ่าพันธุ์ Primordial Serpent )


Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก  ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก


( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพเจ้า Gwyn ที่กำลังมอบมงกุฎให้กับ Pygmy Lord ภายใน Ringed City )


คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ 


( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์บนตัว Ringed Knight ที่ Gwyn มอบให้ )


เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย

 พงศาวดารเเห่งเทพเจ้า


ย้อนกลับไปในยุคที่ Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร การมีทายาทที่แข็งแกร่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ และแน่นอนว่า Gwyn จะต้องมีพระชายาอยู่เคียงข้าง นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งความผิดบาป Velka แต่ประวัติศาสตร์กลับไม่ได้จารึกชื่อของนางเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า Gwyn ไม่อยากให้ Velka เข้ามามีบทบทบาทในการปกครองก็เป็นได้  สำหรับ Gwyn พระชายามีหน้าที่แค่ให้กำเนิดทายาทที่ทรงพลังเพียงเท่านั้น โดยโอรสคนเเรกของ Gwyn กับ Velka เป็นนักรบที่เเข็งเเกร่งเเละห้าวหาญ อาวุธคู่กายของเขาเป็นหอกยาวเล่มใหญ่ซึ่งมีพลังของสายฟ้าสถิตอยู่ข้างใน ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารทำให้เกิดลมพายุหมุนที่รุนเเรงได้ เขาได้ใช้มันปลิดชีพเหล่ามังกรมาแล้วนับไม่ถ้วนเพราะเขาถูกสอนว่าเหล่ามังกรคือรากเหง้าเเห่งชั่วร้ายเเละต้องถูกกำจัดทิ้ง 


( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่จะปรากฏตัวในอีกหลายพันปีต่อมา )


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไมตรีจิตที่ดีทำให้เป็นที่รักและนับถือของเหล่านักรบมากมาย  Gwyn ปราบปลื้มในตัวลูกชายคนแรกของเขาอย่างมาก ถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็น God of War หรือเทพแห่งสงคราม ซึ่งต่อมาแม้สงครามมังกรจะได้จบลง เขาก็ยังทำหน้าที่เป็นแม่ทัพให้กับ Gwyn เสมอ ไม่ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นที่ใดเขาจะเป็นคนแรกที่นำเหล่าทหารกล้าเข้าสู่สมรภูมิ เเละด้วยความสามารถที่รอบด้านเเบบนี้ เเน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่าง Gwyn จะต้องตักตวงผลประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด โดย Gwyn ได้จัดตั้ง Warrior of Sunlight  หรือกลุ่มนักรบแห่งเเสงตะวันขึ้นมา เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตวิญญาณให้กับเหล่านักรบทั้งหลายโดยเฉพาะพวกที่เป็นมนุษย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีจิตใจใฝ่หา Dark Soul ในตัว 


( ภาพประกอบ : รูปปั้นโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่ถูกบูชาโดย Warrior of Sunlight )


บุตรของ Gwyn คนถัดมานั้นเป็นเพศหญิง ซึ่งมีรูปร่างและหน้าตาที่สะสวย(มาก)นามว่า Gwynevere อันเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีบุตร…ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิดหรอก หน้าที่ของเธอคือการสร้างลูกหลานที่มีเชื้อสายเทพเจ้าให้คงอยู่สืบต่อไป ส่วนคนถัดมาก็เป็นเพศหญิงอีกเช่นกันนามของเธอก็คือ Filianore โดยเธอเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนต์แห่งแสงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่เธอสามารถควบคุมกาลเวลาได้เลย แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นลูกของ Gwyn เธอก็เหมือนกับถูกขีดชะตากรรมเอาไว้อยู่เเล้ว Filianore ต้องออกเดินทางไปยังเมือง Ringed City เพื่อทำภารกิจบางอย่าง Gwyn มอบหมายให้กับเธอ


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Gwyneveret ภายในเกม Dark Souls  )


( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Filianore จากเกม Dark Souls 3  )


บุตรทุกคนของ Gwyn ต่างเกิดมาพร้อมกับพลังเฉพาะตัว ซึ่ง Gwyn ก็อยากให้บุตรคนต่อไปมีพลังที่เหล่าทวยเทพยังไม่เคยมี ซึ่งเรื่องมันเริ่มขึ้นในขณะที่ Velka กำลังตั้งครรภ์บุตรคนสุดท้าย Gwyn อยากให้เด็กที่จะเกิดมามีพลังของ Sorcery เพราะเป็นพลังที่ยังไม่มีเทพองค์ใดใช้มันได้อย่างชำนาญ เขาได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษา Seath ซึ่งเป็นบิดาเเห่งศาสตร์ Sorcery 



( ภาพประกอบ : รูปร่างหน้าของ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด เเละบิดาเเห่ง Sorcery )

เมื่อ Gwyn  ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับ Seath ฟัง เจ้ามังกรเจ้าเล่ห์ก็ได้ยอมตกลงที่จะช่วยเเต่มีข้อเเม้หนึ่งประการ ว่าในอนาคต Seath จะขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเทพเจ้าเป็นรางวัลตอบเเทน ซึ่ง Gwyn ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาไปตามนั้นเพราะคิดว่า Seath คงไม่กล้าขออะไรที่มันเกินตัว โดยเมื่อทั้งสองเห็นชอบดังนั้น Seath ก็ได้แอบร่ายเวทมนต์ใส่ครรภ์ของ Velka โดยเมื่อถึงเวลานางก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายนามว่า Gwyndolin  ขึ้นมา ซึ่งทารกก็มีพลัง Sorcery อย่างที่ Gwyn ต้องการแต่ทว่ากลับมีขาที่เป็นงู จึงทำให้ Velka รู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของ Seath ด้วยความที่นางไม่ชอบหน้า Seath เป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเลยยิ่งทำให้โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมเเละได้นำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องยัง Gwyn เร่งให้เขาจัดการเจ้ามังกรวิปลาสตัวนี้เสียที แต่ Velka กลับต้องใจสลายเมื่อได้รู้ว่า Gwyn เป็นตัวการออกคนสั่งในเรื่องนี้เสียเอง เท่านั้นยังไม่พอ Gwyn ยังพรากเอาตัว Gwyndolin ผู้เป็นบุตรคนสุดท้องไปจากนางและสั่งไม่ให้ข้องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอีก นั่นทำให้ Velka เคียดแค้นเป็นอย่างมาก นางจึงได้สาบานว่าจะชำระเเค้นกับ Gwyn ให้สาสมกับบาปที่เขาได้ก่อ



( ภาพประกอบ : Gwyndolin เเละขาที่เป็นงูของเขา )

Gwyndolin นอกจากมีพลังของ Sorcery ที่เเข็งเเกร่ง เขายังเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังได้รับพลังจากพระจันทร์ โดยในความเชื่อของเทพเจ้าได้เปรียบเทียบสตรีเพศว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มันเลยทำให้ Gwyndolin ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกผู้หญิงทั้งในด้านพฤติกรรมและด้านการใช้ชีวิต  โดยเมื่อมีงานราชพิธีที่เขาต้องแสดงตัวต่อหน้าผู้คน Gwyndolin ก็จะซ่อนขาที่เป็นงูเอาไว้ใต้กระโปงยาว จะมีก็แค่ตอนที่อยู่กับพี่สาวอย่าง Gwynevere ที่เขาจะทำตัวได้อย่างตามสบาย ซึ่งทั้งสองก็สนิทกันมากชนิดที่ว่ารู้นิสัยใจขอกันเป็นอย่างดี

ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด

 คุยกันหลังเรื่องเล่า


             ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สาม  “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง” ท่านผู้ชมรู้สึกยังไงกันบ้าง คิดว่าการกระทำของ Gwyn เป็นสิ่งที่ผิดจนไม่น่าให้อภัย หรือคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันก็สมควรแล้ว เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะกลัวการสูญเสียสิ่งที่สำคัญเเละจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้ ผมพูดถูกไหมครับ…. แต่อย่าคิดมากกันไปเลย เนื้อเรื่องในเกมนี้มันจะเป็นซะแบบนี้ทุกภาค มันจะดูดาร์คๆหน่อย แถมมี plot หลายอย่างที่หยิบเอามาจากความเชื่อหรือตำนานในโลกเเห่งความจริง เช่น Primordial Serpent ก็ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากความเชื่อที่ว่างูเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย โดยมันจะคอยล่อลวงให้มนุษย์กระทำความชั่ว 

ในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่า เทพเจ้าที่พยายามฝืนลิขิตโลกจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร เเละก็การมาถึงของคำสาปที่จะกัดกินดินเเดนเเห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์


( ภาพประกอบ : Dark Sign ตราบาปที่จะอยู่บนร่างของมนุษย์ไปตลอดกาล )


บทความเขียนโดย Thong Baithong


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header