ประเด็นเรื่องวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาของเหล่านักพัฒนาเกม (อย่างน้อยก็ฝั่งตะวันตก) ถือเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาช้านานแล้ว ทั้งในแวดวงผู้พัฒนากันเอง สื่อมวลชน หรือกระทั่งในหมู่ผู้เล่น ที่ต่างมีความเห็นไม่ตรงกันในประเด็นนี้ บ้างก็มองว่าการทุ่มแรงกายแรงใจสุดชีวิต ถือเป็นสิ่งที่ต้องแลกมากับการสร้างผลงานอันเป็นเลิศ บ้างก็เชื่อว่าการที่วงการเกมบีบบังคับให้ผู้พัฒนาจำเป็นต้องบั่นทอนสุขภาพและชีวิตส่วนตัวของตัวเอง เพื่อแลกมาซึ่งผลงาน เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม และควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เหล่านักพัฒนาไฟแรงเหล่านี้หมดใจจะทำงานไปเสียก่อน
หัวข้อสนทนาเรื่องเวลาการทำงานของผู้พัฒนาเกมวนกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เมื่อล่าสุดผู้สื่อข่าว Jason Schreier แห่งเว็บ Kotaku ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทเกมชั้นแนวหน้าอย่าง Naughty Dog และวัฒนธรรมการทำงานของค่าย ที่แม้จะนำมาซึ่งผลงานอันเป็นตำนานอย่าง Uncharted และ The Last of Us แต่ก็แลกมากับการทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายของผู้พัฒนา
เมื่อมองจากภายนอกเข้าไป คนส่วนใหญ่ก็คงจะมองว่าการที่ได้ทำงานในบริษัท Naughty Dog น่าจะเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง เพราะจะได้มีโอกาสในการร่วมสร้างเกมที่ได้รับขนานนามเป็นตำนานประจำวงการ ซึ่งสำหรับพนักงานของค่ายจริงๆ ก็ยังรู้สึกเช่นนั้น และมองว่าการทำงานที่ Naughty Dog ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้เรียนรู้จากผู้พัฒนาระดับแนวหน้าของวงการ เพียงแต่ว่าจะต้องแลกมาด้วยเวลาทำงานไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงต่อวันเช่นกัน
"[ผู้บริหารของบริษัท] ก็พยายามจะดูแลพวกเราให้ดีนะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอาหารมาเลี้ยง หรือกระทั่งการพยายามเชียร์ให้คุณไปพักผ่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ยังมีความรู้สึกกดดันให้ ทำงานให้เสร็จให้ได้ทุกวิถีทาง อยู่เช่นกัน" อดีตผู้พัฒนาของค่ายคนหนึ่งกล่าวกับคุณ Jason โดยคุณ Jason รายงานต่อว่า วัฒนธรรมการทำงานของค่ายนี้เอง เป็นปัจจัยทำให้พนักงานตำแหน่งนักออกแบบระบบเกม (Designer) กว่า 70% ของค่ายต่างพากันลาออกในระยะเวลาไม่กี่ปี ตั้งแต่ที่วางจำหน่ายเกม Uncharted 4 ในปี 2016 ส่งผลให้การพัฒนาของเกม The Last of Us 2 มีความปั่นป่วนมาก จนทำให้แม้แต่เหล่าผู้พัฒนาระดับอาวุโสของค่ายหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับวัฒนธรรมการทำงานนี้
ผู้พัฒนาคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับ Naughty Dog มานาน กล่าวถึงการพัฒนาเกม The Last of Us 2 ว่า "เราคงจะทำงานกันแบบนี้ทุกครั้งที่เริ่มทำเกมใหม่ไม่ได้แน่ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณก็อดคิดไม่ได้ว่านับวันผมก็มีแต่จะแก่ตัวลงเรื่อยๆ ผมคงไม่สามารถฟิตทำงานโต้รุ่งแบบนี้ต่อไปไม่ไหว"
ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการทำงานนี้ เป็นผลมาจากการที่บริษัท Naughty Dog มักจะเลือกจ้างผู้พัฒนาที่มีความเป็น Perfectionist และยินดีที่จะทำงานล่วงเวลาเท่านั้น เมื่อผสมกับแนวคิดของค่าย ที่พยายามผลักดันให้พนักงานทุกคนสามารถเพิ่มหรือปรับไอเดียของตัวเองได้อย่างอิสระ ทำให้พนักงานหลายคนเลือกที่จะทำงานล่วงเวลาด้วยตัวเอง แต่เพราะงานพัฒนาเกมเป็นงานที่สัมพันธ์กันหลายส่วน ทำให้พนักงานฝ่ายอื่นมีร่วมงานกันรู้สึกกดดันให้ต้องอยู่ต่อไปด้วย เพราะไม่อยากให้งานของอีกฝ่ายต้องชะงักลง
"มันเหมือนมีสัญญาใจกันระหว่างลูกทีมพัฒนาไปแล้ว" ผู้พัฒนาที่ทำงานอยู่ที่ Naughty Dog ในปัจจุบันคนหนึ่งกล่าว "พนักงานของค่ายหลายคนรู้สึกภูมิใจมากที่พวกเขากำลังร่วมสร้างเกมที่จะกลายไปเป็น Game of the Year เกมต่อไป ซึ่งผมก็ไม่เถียงหรอกนะ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเขามองข้ามสิ่งที่เราต้องแลกไปหรือเปล่า"
แม้ว่าเกมจะโดนเลื่อนวันวางจำหน่ายไปแล้ว จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ไปเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมแทน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เหล่าผู้พัฒนาหายใจสะดวกขึ้นแต่อย่างใด โดยผู้พัฒนาปัจจุบันคนหนึ่งกล่าวว่า "คนมักจะคิดว่าการเลื่อนวันวางจำหน่าย จะทำให้ผู้พัฒนาทำงานได้สบายขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะสิ่งแรกที่ทีมบริหารพยายามทำให้เราเข้าใจคือ จะไม่มีการชะลองานลงแน่นอนตลอดสามเดือนนี้"
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้พัฒนาทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า The Last of Us 2 จะต้องเป็นเกมที่วิเศษแน่นอน และเผลอๆ จะเป็นเกมที่ดีที่สุดที่ Naughty Dog เคยผลิตออกมาอีกด้วย แต่ก็ยังมีผู้พัฒนากลุ่มเล็กๆ ในบริษัท ที่แอบหวังลึกๆ ว่าเกมจะไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อจะได้ส่งสัญญาณไปสู่เหล่าผู้บริหารว่าวัฒนธรรมการทำงานแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และอาจจะไม่คุ้มกับการที่ค่ายต้องเสียผู้พัฒนารุ่นใหญ่ มากประสบการณ์ไปทุกเดือนๆ
ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
ประเด็นเรื่องวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาของเหล่านักพัฒนาเกม (อย่างน้อยก็ฝั่งตะวันตก) ถือเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาช้านานแล้ว ทั้งในแวดวงผู้พัฒนากันเอง สื่อมวลชน หรือกระทั่งในหมู่ผู้เล่น ที่ต่างมีความเห็นไม่ตรงกันในประเด็นนี้ บ้างก็มองว่าการทุ่มแรงกายแรงใจสุดชีวิต ถือเป็นสิ่งที่ต้องแลกมากับการสร้างผลงานอันเป็นเลิศ บ้างก็เชื่อว่าการที่วงการเกมบีบบังคับให้ผู้พัฒนาจำเป็นต้องบั่นทอนสุขภาพและชีวิตส่วนตัวของตัวเอง เพื่อแลกมาซึ่งผลงาน เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม และควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เหล่านักพัฒนาไฟแรงเหล่านี้หมดใจจะทำงานไปเสียก่อน
หัวข้อสนทนาเรื่องเวลาการทำงานของผู้พัฒนาเกมวนกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เมื่อล่าสุดผู้สื่อข่าว Jason Schreier แห่งเว็บ Kotaku ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทเกมชั้นแนวหน้าอย่าง Naughty Dog และวัฒนธรรมการทำงานของค่าย ที่แม้จะนำมาซึ่งผลงานอันเป็นตำนานอย่าง Uncharted และ The Last of Us แต่ก็แลกมากับการทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายของผู้พัฒนา
เมื่อมองจากภายนอกเข้าไป คนส่วนใหญ่ก็คงจะมองว่าการที่ได้ทำงานในบริษัท Naughty Dog น่าจะเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง เพราะจะได้มีโอกาสในการร่วมสร้างเกมที่ได้รับขนานนามเป็นตำนานประจำวงการ ซึ่งสำหรับพนักงานของค่ายจริงๆ ก็ยังรู้สึกเช่นนั้น และมองว่าการทำงานที่ Naughty Dog ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้เรียนรู้จากผู้พัฒนาระดับแนวหน้าของวงการ เพียงแต่ว่าจะต้องแลกมาด้วยเวลาทำงานไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงต่อวันเช่นกัน
"[ผู้บริหารของบริษัท] ก็พยายามจะดูแลพวกเราให้ดีนะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอาหารมาเลี้ยง หรือกระทั่งการพยายามเชียร์ให้คุณไปพักผ่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ยังมีความรู้สึกกดดันให้ ทำงานให้เสร็จให้ได้ทุกวิถีทาง อยู่เช่นกัน" อดีตผู้พัฒนาของค่ายคนหนึ่งกล่าวกับคุณ Jason โดยคุณ Jason รายงานต่อว่า วัฒนธรรมการทำงานของค่ายนี้เอง เป็นปัจจัยทำให้พนักงานตำแหน่งนักออกแบบระบบเกม (Designer) กว่า 70% ของค่ายต่างพากันลาออกในระยะเวลาไม่กี่ปี ตั้งแต่ที่วางจำหน่ายเกม Uncharted 4 ในปี 2016 ส่งผลให้การพัฒนาของเกม The Last of Us 2 มีความปั่นป่วนมาก จนทำให้แม้แต่เหล่าผู้พัฒนาระดับอาวุโสของค่ายหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับวัฒนธรรมการทำงานนี้
ผู้พัฒนาคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับ Naughty Dog มานาน กล่าวถึงการพัฒนาเกม The Last of Us 2 ว่า "เราคงจะทำงานกันแบบนี้ทุกครั้งที่เริ่มทำเกมใหม่ไม่ได้แน่ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณก็อดคิดไม่ได้ว่านับวันผมก็มีแต่จะแก่ตัวลงเรื่อยๆ ผมคงไม่สามารถฟิตทำงานโต้รุ่งแบบนี้ต่อไปไม่ไหว"
ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการทำงานนี้ เป็นผลมาจากการที่บริษัท Naughty Dog มักจะเลือกจ้างผู้พัฒนาที่มีความเป็น Perfectionist และยินดีที่จะทำงานล่วงเวลาเท่านั้น เมื่อผสมกับแนวคิดของค่าย ที่พยายามผลักดันให้พนักงานทุกคนสามารถเพิ่มหรือปรับไอเดียของตัวเองได้อย่างอิสระ ทำให้พนักงานหลายคนเลือกที่จะทำงานล่วงเวลาด้วยตัวเอง แต่เพราะงานพัฒนาเกมเป็นงานที่สัมพันธ์กันหลายส่วน ทำให้พนักงานฝ่ายอื่นมีร่วมงานกันรู้สึกกดดันให้ต้องอยู่ต่อไปด้วย เพราะไม่อยากให้งานของอีกฝ่ายต้องชะงักลง
"มันเหมือนมีสัญญาใจกันระหว่างลูกทีมพัฒนาไปแล้ว" ผู้พัฒนาที่ทำงานอยู่ที่ Naughty Dog ในปัจจุบันคนหนึ่งกล่าว "พนักงานของค่ายหลายคนรู้สึกภูมิใจมากที่พวกเขากำลังร่วมสร้างเกมที่จะกลายไปเป็น Game of the Year เกมต่อไป ซึ่งผมก็ไม่เถียงหรอกนะ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเขามองข้ามสิ่งที่เราต้องแลกไปหรือเปล่า"
แม้ว่าเกมจะโดนเลื่อนวันวางจำหน่ายไปแล้ว จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ไปเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมแทน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เหล่าผู้พัฒนาหายใจสะดวกขึ้นแต่อย่างใด โดยผู้พัฒนาปัจจุบันคนหนึ่งกล่าวว่า "คนมักจะคิดว่าการเลื่อนวันวางจำหน่าย จะทำให้ผู้พัฒนาทำงานได้สบายขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะสิ่งแรกที่ทีมบริหารพยายามทำให้เราเข้าใจคือ จะไม่มีการชะลองานลงแน่นอนตลอดสามเดือนนี้"
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้พัฒนาทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า The Last of Us 2 จะต้องเป็นเกมที่วิเศษแน่นอน และเผลอๆ จะเป็นเกมที่ดีที่สุดที่ Naughty Dog เคยผลิตออกมาอีกด้วย แต่ก็ยังมีผู้พัฒนากลุ่มเล็กๆ ในบริษัท ที่แอบหวังลึกๆ ว่าเกมจะไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อจะได้ส่งสัญญาณไปสู่เหล่าผู้บริหารว่าวัฒนธรรมการทำงานแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และอาจจะไม่คุ้มกับการที่ค่ายต้องเสียผู้พัฒนารุ่นใหญ่ มากประสบการณ์ไปทุกเดือนๆ
ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่