GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม Assassin's Creed Mirage: หวนสู่เกมเพลย์นักฆ่าสูตรต้นตำหรับที่หลายคนต้องการ
ลงวันที่ 04/10/2023

หลังจากที่ผันตัวไปสู่แนวเกม RPG มาหลายปี ในที่สุด Assassin’s Creed ก็หวนคืนสู่ตัวตนดั้งเดิมในฐานะเกมนักฆ่าสไตล์ลอบเร้นอีกครั้งใน Assassin’s Creed: Mirage ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ จำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่าเกมภาค RPG ทั้งหลายดูจะตั้งใจหันหลังให้กับตัวตนที่ว่านี้ 


สำหรับผู้เขียน ในฐานะแฟนเดนตายที่ติดตามเล่นเกม Assassin’s Creed มาทุกภาคตั้งแต่ต้น ต้องยอมรับว่าในแง่หนึ่งผู้พัฒนามีความ “เข้าใจโจทย์” จริงๆ เพราะเกมให้ความรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปเล่นเกมภาคเก่าๆ ที่หลายคนจดจำในฐานะ “ยุคทอง” ของ Assassin’s Creed ตามที่ผู้พัฒนารับปากไว้ แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่ หวือหวา หรือน่าจดจำเป็นพิเศษก็ตามที




เนื้อเรื่อง


เรื่องราวของเกม Assassin’s Creed: Mirage จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นตัวละคร Basim Ibn Ishaq ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในเกมภาค Valhalla ก่อนหน้านี้ และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเนื้อเรื่อง โดยเกม Mirage จะติดตามเส้นทางชีวิตของ Basim จากจุดเริ่มต้นในฐานะโจรกระจอก ไปสู่ปรมาจารย์แห่งภาคีนักฆ่าที่เรารู้จัก โดยผู้ที่เล่นเกมภาค Valhalla มาก่อนน่าจะรู้ดีว่า Basim ยังมีบทบาทลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างอีกด้วย

เมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม Assassin’s Creed หลายภาคที่ผ่านมา ข้อตำหนิหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันคือการที่เนื้อเรื่องเกมมีความยาวและซับซ้อนเกินจำเป็นไปมาก โดยเฉพาะในเกมภาค Valhalla ที่ให้ผู้เล่นต้องติดตามเนื้อเรื่องสงครามอันยุ่งเหยิงระหว่างแคว้นต่างๆ ทั่วแดนอังกฤษ ต่างจากเกมภาคเก่าๆ ที่เนื้อเรื่องมักโฟกัสอยู่กับเรื่องราวของตัวเอกเป็นหลัก การที่เกม Assassin’s Creed: Mirage จำกัดวงเนื้อเรื่องลงมาให้ติดตาม Basim อย่างใกล้ชิดจึงถือเป็นข้อดี ทำให้เนื้อเรื่องติดตามได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก



แต่แม้ว่าเนื้อเรื่องจะติดตามง่าย ผู้เขียนก็รู้สึกว่าตัวละคร Basim ไม่ค่อยจะมีเสน่ห์หรือบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในแบบเดียวกับตัวเอก Assassin’s Creed ยอดนิยมอย่าง Ezio Connor หรือ Edward ซึ่งล้วนมีอุปนิสัย เป้าหมาย และแรงขับที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้ผู้เขียนรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้จนอยากจะติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ 


ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Mirage ไม่ดีหรืออย่างไร โดยแม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาจนรู้สึกติดขัดรำคาญใจเวลาเล่น และยังติดตามเป็นเรื่องเป็นราวง่ายกว่าเกมภาคที่ผ่านๆ มามาก  



เกมเพลย์


อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกมเมอร์ที่เรียกร้องหา “เกมเพลย์สไตล์ดั้งเดิม” ของซีรีส์ Assassin’s Creed ก็ต้องยอมรับว่า Mirage ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในส่วนนี้ ผู้เขียนพูดได้เต็มปากเลยว่าการเล่นเกมนี้ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเล่นเกม Assassin’s Creed ภาคเก่าๆ ที่คิดถึงเหล่านั้นมาก ด้วยเกมเพลย์ที่เน้นการลอบเร้นอย่างเข้มข้นมากขึ้นในทุกระดับ รวมถึงการถอดระบบ RPG ใหญ่ๆ จากภาค Origin/Odyssey/Valhalla ออกแทบทั้งหมด โดยยังเหลือร่องรอยของ RPG มากพอในส่วนของอาวุธ ชุดเกราะที่ให้โบนัสพิเศษต่างกันเล็กน้อย ให้เกมรู้สึกมีความหลากหลายอยู่บ้างในการปั้นตัวละคร



พัฒนาการที่สำคัญที่สุดของภาค Mirage คงหนีไม่พ้นระบบต่อสู้ของเกม ซึ่งยังมีอิทธิพลจากเกมภาค RPG ทั้งสามอยู่มากในแง่ของการควบคุม แต่ก็ถูกปรับจูนให้เน้นหนักไปที่การหลบหลีกและปัดป้องการโจมตีและรอสวนกลับมากกว่าการเป็นฝ่ายรุกเสียเอง เพื่อขับเน้นความรู้สึกว่าการต่อสู้เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เท่านั้น เข้ากับแฟนตาซีของการเป็นนักฆ่ามืออาชีพเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ผู้เขียนรู้สึกเช่นนี้น่าจะเป็นตอนที่เล่นเกม Assassin’s Creed: Unity เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว 



แต่แม้ว่าระบบต่อสู้จะได้รับการพัฒนาขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเกมเพลย์การลอบเร้นกลับไม่ได้รู้สึกมีพัฒนาการเท่าที่ควร และยังคงมีจุดอ่อนเดิมๆ ที่เราเคยเห็นมาแล้วในเกมทุกภาคที่ผ่านมา อย่าง A.I. ศัตรูที่ไม่ค่อยฉลาด การออกแบบจุดหลบซ่อนที่จำเจ หรืออุปกรณ์เดิมอย่างระเบิดควัน มีดบิน หรือประทัด ที่ทำงานเหมือนในเกม Assassin’s Creed 2 เป๊ะๆ ซึ่งก็อาจถูกใจผู้เล่นบางกลุ่ม แต่สำหรับบางกลุ่มก็อาจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจำเจขึ้นมาบ้าง



จุดที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับระบบลอบเร้นของภาค Mirage คงเป็นระบบ Opportunity ที่ยืมมาจากภาค Unity ซึ่งมีลักษณะเป็นภารกิจย่อยๆ แทรกอยู่ในภารกิจใหญ่ที่มักเปิดโอกาสในการลอบสังหารเป้าหมายง่ายขึ้น เช่นการขโมยชุดยามเพื่อปลอมตัว หรือการสร้างความวุ่นวายรูปแบบต่างๆ เพื่อล่อเป้าหมายออกมาในที่แจ้ง ซึ่งก็ทำให้ภารกิจลอบสังหารรู้สึกน่าสนใจมากขึ้นเล็กน้อย



ในส่วนของการสำรวจ การที่เกมจำกัดแผนที่ลงมาให้ครอบคลุมอาณาเขตรอบๆ กรุงแบกแดด (Baghdad) ทำให้ผู้พัฒนาสามารถวางจุดสนใจต่างๆ ไว้ได้ใกล้กันมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลๆ ระหว่างจุดสนใจบนแผนที่ และช่วยให้ประสบการณ์เล่นเกมโดยรวมรู้สึกลื่นไหลมากขึ้นไปด้วย แม้ว่ากิจกรรมที่มีให้ทำจะไม่ได้หลากหลายเท่าไหร่ก็ตามที



กราฟิก/การนำเสนอ


จากการเล่นเกมในโหมด Performance บนเครื่อง PlayStation 5 หากจะมีองค์ประกอบใดของเกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าทำได้เกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้ คงจะเป็นในส่วนของกราฟิกเกม ซึ่งแม้ในภาพรวมอาจดีขึ้นจาก Assassin’s Creed Valhalla ไม่มากนัก แต่กลับให้ความรู้สึก “เนี๊ยบ” กว่ากันอย่างรู้สึกได้ (อย่างน้อยก็บน PS5) โดยแทบไม่เห็นบั๊คยิบย่อยที่พบได้ทั่วไปใน Valhalla เลย แถมเกมยังรักษาเฟรมเรต 60FPS ได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนเล่นด้วย (ยกเว้นในบางคัตซีนที่เหมือนจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 30FPS)



หากจะมีอะไรให้ตำหนิ คงเป็นเรื่องที่ว่ากรุงแบกแดดของเกมไม่ค่อยมีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นให้รู้สึกน่าค้นหาเท่าไหร่ โดยเมืองแทบไม่รู้สึกแตกต่างจากเมืองทะเลทรายหลายแห่งที่เราเคยสำรวจมาแล้วในเกม Assassin’s Creed ภาคอื่นๆ เลย เมื่อรวมกับกิจกรรมในเกมที่มีให้ทำอยู่ไม่กี่อย่างจึงไม่ค่อยมีแรงจูงใจให้ผู้เขียนสำรวจเมืองเท่าไหร่ และมักใช้ระบบ Fast Travel หรือระบบ Follow Road เพื่อขี่อูฐไปยังภารกิจถัดไปโดยอัตโนมัติแทนการวิ่งไปมาในเมือง



สรุป


ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าข้อเท็จจริงหนึ่งที่ลืมไปไม่ได้ในการวิจารณ์ Assassin’s Creed: Mirage คือการที่ครั้งหนึ่งเกมเคยถูกวางแผนให้เป็นส่วนเสริม (expansion) ของเกมภาค Valhalla ก่อนที่จะแยกมาเป็นเกมของตัวเอง ซึ่งก็คงส่งผลไม่มากก็น้อยต่อโครงสร้างหรือรูปแบบในการนำเสนอองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของเกม ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องดูจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงปูพื้น/ประวัติของ Basim ที่รู้สึกรวบรัดรวดเร็วกว่าของตัวละครอื่นๆ มาก ราวกับว่าผู้พัฒนาคาดหวังให้ผู้เล่นรู้จักเขาอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มเกม เช่นเดียวกับระบบเกมเพลย์หรือการออกแบบเมืองแบกแดด ที่อาจไม่ได้มีการวางแผนอย่างลึกซึ้งหรือจริงจังเท่าเกมภาคหลักอื่นๆ

เมื่อคำนึงถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าแม้เกมจะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่เกมก็ยังประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ Assassin’s Creed สูตรต้นตำหรับที่หลายๆ คนน่าจะคิดถึงกัน ตามที่ผู้พัฒนา Ubisoft ว่าเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน สำหรับคนที่คาดหวังจะเห็นวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงก้าวต่อไปของซีรีส์จริงๆ คงต้องไปรอลุ้นเอาในผลงาน Assassin’s Creed: Red หรือ Hexe ที่กำลังพัฒนาอยู่แทน


7
ข้อดี

เกมเพลย์สไตล์คลาสสิคที่หลายคนถวิลหา

ระบบต่อสู้

ภาพสวยกว่าที่คิด

เนื้อเรื่องติดตามง่าย

ข้อเสีย

ไม่ค่อยมีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้น

เมืองแอบน่าเบื่อ


8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม Assassin's Creed Mirage: หวนสู่เกมเพลย์นักฆ่าสูตรต้นตำหรับที่หลายคนต้องการ
04/10/2023

หลังจากที่ผันตัวไปสู่แนวเกม RPG มาหลายปี ในที่สุด Assassin’s Creed ก็หวนคืนสู่ตัวตนดั้งเดิมในฐานะเกมนักฆ่าสไตล์ลอบเร้นอีกครั้งใน Assassin’s Creed: Mirage ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ จำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่าเกมภาค RPG ทั้งหลายดูจะตั้งใจหันหลังให้กับตัวตนที่ว่านี้ 


สำหรับผู้เขียน ในฐานะแฟนเดนตายที่ติดตามเล่นเกม Assassin’s Creed มาทุกภาคตั้งแต่ต้น ต้องยอมรับว่าในแง่หนึ่งผู้พัฒนามีความ “เข้าใจโจทย์” จริงๆ เพราะเกมให้ความรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปเล่นเกมภาคเก่าๆ ที่หลายคนจดจำในฐานะ “ยุคทอง” ของ Assassin’s Creed ตามที่ผู้พัฒนารับปากไว้ แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่ หวือหวา หรือน่าจดจำเป็นพิเศษก็ตามที




เนื้อเรื่อง


เรื่องราวของเกม Assassin’s Creed: Mirage จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นตัวละคร Basim Ibn Ishaq ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในเกมภาค Valhalla ก่อนหน้านี้ และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเนื้อเรื่อง โดยเกม Mirage จะติดตามเส้นทางชีวิตของ Basim จากจุดเริ่มต้นในฐานะโจรกระจอก ไปสู่ปรมาจารย์แห่งภาคีนักฆ่าที่เรารู้จัก โดยผู้ที่เล่นเกมภาค Valhalla มาก่อนน่าจะรู้ดีว่า Basim ยังมีบทบาทลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างอีกด้วย

เมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม Assassin’s Creed หลายภาคที่ผ่านมา ข้อตำหนิหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันคือการที่เนื้อเรื่องเกมมีความยาวและซับซ้อนเกินจำเป็นไปมาก โดยเฉพาะในเกมภาค Valhalla ที่ให้ผู้เล่นต้องติดตามเนื้อเรื่องสงครามอันยุ่งเหยิงระหว่างแคว้นต่างๆ ทั่วแดนอังกฤษ ต่างจากเกมภาคเก่าๆ ที่เนื้อเรื่องมักโฟกัสอยู่กับเรื่องราวของตัวเอกเป็นหลัก การที่เกม Assassin’s Creed: Mirage จำกัดวงเนื้อเรื่องลงมาให้ติดตาม Basim อย่างใกล้ชิดจึงถือเป็นข้อดี ทำให้เนื้อเรื่องติดตามได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก



แต่แม้ว่าเนื้อเรื่องจะติดตามง่าย ผู้เขียนก็รู้สึกว่าตัวละคร Basim ไม่ค่อยจะมีเสน่ห์หรือบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในแบบเดียวกับตัวเอก Assassin’s Creed ยอดนิยมอย่าง Ezio Connor หรือ Edward ซึ่งล้วนมีอุปนิสัย เป้าหมาย และแรงขับที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้ผู้เขียนรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้จนอยากจะติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ 


ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Mirage ไม่ดีหรืออย่างไร โดยแม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาจนรู้สึกติดขัดรำคาญใจเวลาเล่น และยังติดตามเป็นเรื่องเป็นราวง่ายกว่าเกมภาคที่ผ่านๆ มามาก  



เกมเพลย์


อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกมเมอร์ที่เรียกร้องหา “เกมเพลย์สไตล์ดั้งเดิม” ของซีรีส์ Assassin’s Creed ก็ต้องยอมรับว่า Mirage ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในส่วนนี้ ผู้เขียนพูดได้เต็มปากเลยว่าการเล่นเกมนี้ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเล่นเกม Assassin’s Creed ภาคเก่าๆ ที่คิดถึงเหล่านั้นมาก ด้วยเกมเพลย์ที่เน้นการลอบเร้นอย่างเข้มข้นมากขึ้นในทุกระดับ รวมถึงการถอดระบบ RPG ใหญ่ๆ จากภาค Origin/Odyssey/Valhalla ออกแทบทั้งหมด โดยยังเหลือร่องรอยของ RPG มากพอในส่วนของอาวุธ ชุดเกราะที่ให้โบนัสพิเศษต่างกันเล็กน้อย ให้เกมรู้สึกมีความหลากหลายอยู่บ้างในการปั้นตัวละคร



พัฒนาการที่สำคัญที่สุดของภาค Mirage คงหนีไม่พ้นระบบต่อสู้ของเกม ซึ่งยังมีอิทธิพลจากเกมภาค RPG ทั้งสามอยู่มากในแง่ของการควบคุม แต่ก็ถูกปรับจูนให้เน้นหนักไปที่การหลบหลีกและปัดป้องการโจมตีและรอสวนกลับมากกว่าการเป็นฝ่ายรุกเสียเอง เพื่อขับเน้นความรู้สึกว่าการต่อสู้เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เท่านั้น เข้ากับแฟนตาซีของการเป็นนักฆ่ามืออาชีพเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ผู้เขียนรู้สึกเช่นนี้น่าจะเป็นตอนที่เล่นเกม Assassin’s Creed: Unity เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว 



แต่แม้ว่าระบบต่อสู้จะได้รับการพัฒนาขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเกมเพลย์การลอบเร้นกลับไม่ได้รู้สึกมีพัฒนาการเท่าที่ควร และยังคงมีจุดอ่อนเดิมๆ ที่เราเคยเห็นมาแล้วในเกมทุกภาคที่ผ่านมา อย่าง A.I. ศัตรูที่ไม่ค่อยฉลาด การออกแบบจุดหลบซ่อนที่จำเจ หรืออุปกรณ์เดิมอย่างระเบิดควัน มีดบิน หรือประทัด ที่ทำงานเหมือนในเกม Assassin’s Creed 2 เป๊ะๆ ซึ่งก็อาจถูกใจผู้เล่นบางกลุ่ม แต่สำหรับบางกลุ่มก็อาจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจำเจขึ้นมาบ้าง



จุดที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับระบบลอบเร้นของภาค Mirage คงเป็นระบบ Opportunity ที่ยืมมาจากภาค Unity ซึ่งมีลักษณะเป็นภารกิจย่อยๆ แทรกอยู่ในภารกิจใหญ่ที่มักเปิดโอกาสในการลอบสังหารเป้าหมายง่ายขึ้น เช่นการขโมยชุดยามเพื่อปลอมตัว หรือการสร้างความวุ่นวายรูปแบบต่างๆ เพื่อล่อเป้าหมายออกมาในที่แจ้ง ซึ่งก็ทำให้ภารกิจลอบสังหารรู้สึกน่าสนใจมากขึ้นเล็กน้อย



ในส่วนของการสำรวจ การที่เกมจำกัดแผนที่ลงมาให้ครอบคลุมอาณาเขตรอบๆ กรุงแบกแดด (Baghdad) ทำให้ผู้พัฒนาสามารถวางจุดสนใจต่างๆ ไว้ได้ใกล้กันมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลๆ ระหว่างจุดสนใจบนแผนที่ และช่วยให้ประสบการณ์เล่นเกมโดยรวมรู้สึกลื่นไหลมากขึ้นไปด้วย แม้ว่ากิจกรรมที่มีให้ทำจะไม่ได้หลากหลายเท่าไหร่ก็ตามที



กราฟิก/การนำเสนอ


จากการเล่นเกมในโหมด Performance บนเครื่อง PlayStation 5 หากจะมีองค์ประกอบใดของเกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าทำได้เกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้ คงจะเป็นในส่วนของกราฟิกเกม ซึ่งแม้ในภาพรวมอาจดีขึ้นจาก Assassin’s Creed Valhalla ไม่มากนัก แต่กลับให้ความรู้สึก “เนี๊ยบ” กว่ากันอย่างรู้สึกได้ (อย่างน้อยก็บน PS5) โดยแทบไม่เห็นบั๊คยิบย่อยที่พบได้ทั่วไปใน Valhalla เลย แถมเกมยังรักษาเฟรมเรต 60FPS ได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนเล่นด้วย (ยกเว้นในบางคัตซีนที่เหมือนจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 30FPS)



หากจะมีอะไรให้ตำหนิ คงเป็นเรื่องที่ว่ากรุงแบกแดดของเกมไม่ค่อยมีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นให้รู้สึกน่าค้นหาเท่าไหร่ โดยเมืองแทบไม่รู้สึกแตกต่างจากเมืองทะเลทรายหลายแห่งที่เราเคยสำรวจมาแล้วในเกม Assassin’s Creed ภาคอื่นๆ เลย เมื่อรวมกับกิจกรรมในเกมที่มีให้ทำอยู่ไม่กี่อย่างจึงไม่ค่อยมีแรงจูงใจให้ผู้เขียนสำรวจเมืองเท่าไหร่ และมักใช้ระบบ Fast Travel หรือระบบ Follow Road เพื่อขี่อูฐไปยังภารกิจถัดไปโดยอัตโนมัติแทนการวิ่งไปมาในเมือง



สรุป


ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าข้อเท็จจริงหนึ่งที่ลืมไปไม่ได้ในการวิจารณ์ Assassin’s Creed: Mirage คือการที่ครั้งหนึ่งเกมเคยถูกวางแผนให้เป็นส่วนเสริม (expansion) ของเกมภาค Valhalla ก่อนที่จะแยกมาเป็นเกมของตัวเอง ซึ่งก็คงส่งผลไม่มากก็น้อยต่อโครงสร้างหรือรูปแบบในการนำเสนอองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของเกม ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องดูจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงปูพื้น/ประวัติของ Basim ที่รู้สึกรวบรัดรวดเร็วกว่าของตัวละครอื่นๆ มาก ราวกับว่าผู้พัฒนาคาดหวังให้ผู้เล่นรู้จักเขาอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มเกม เช่นเดียวกับระบบเกมเพลย์หรือการออกแบบเมืองแบกแดด ที่อาจไม่ได้มีการวางแผนอย่างลึกซึ้งหรือจริงจังเท่าเกมภาคหลักอื่นๆ

เมื่อคำนึงถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าแม้เกมจะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่เกมก็ยังประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ Assassin’s Creed สูตรต้นตำหรับที่หลายๆ คนน่าจะคิดถึงกัน ตามที่ผู้พัฒนา Ubisoft ว่าเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน สำหรับคนที่คาดหวังจะเห็นวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงก้าวต่อไปของซีรีส์จริงๆ คงต้องไปรอลุ้นเอาในผลงาน Assassin’s Creed: Red หรือ Hexe ที่กำลังพัฒนาอยู่แทน



บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header