เปิดให้ทดสอบในรอบ CBT อยู่ตอนนี้สำหรับ Diablo Immortal ซึ่งแม้ว่าจะใช้ชื่อว่าเป็น Diablo เหมือนกัน แต่การพัฒนาเกมให้ออกมาเป็นแบบ Free to Pay ย่อมมีโครงสร้าง และระบบที่แตกต่างไปจากเกมแบบ Pay to Play หรือ Diablo ภาคต้นฉบับ โดยตัวเกมฉบับ Immortal นี้ แม้จะไม่ใช้ภาคยอดเยี่ยมสุดน่าตื่นเต้น แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งภาคที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
หลังจากผู้เขียนมีโอกาสได้เล่น Diablo Immortal เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ก็สังเกตได้ถึงระบบดั้งเดิมที่เราเคยเห็นมาแล้วในตัวเกมภาคก่อน กับระบบใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นเกมแนว Free to Play ผสมกันไป และเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนก็คงมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างระหว่างตัวเกมฉบับมือถือนี้กันไม่มากก็น้อยว่า "แตกต่างจาก Diablo ปกติที่เราเคยเล่นกันยังไง" ซึ่งวันนี้ผู้เขียนกะว่าจะมาเล่าถึงส่วนนี้ให้ได้รู้กัน
ระบบ Paragon ใหม่
Paragon Level ถูกนำเสนอเข้ามาครั้งแรกในเกม Diablo 3 เพื่อความไร้ขีดจำกัดให้กับผู้เล่นได้เก็บเลเวลเพื่อนำมาอัปสกิลพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวละครได้แบบไม่จบสิ้น ในเกมภาค Diablo Immortal เองมีการนำระบบ Paragon มาใช้เช่นกัน แต่แตกต่างจาก Diablo 3 ที่สกิลซึ่งอัปได้จะมอบความสามารถโดยรวมให้กับตัวละคร (เลือด, ความเร็วในการวิ่ง, เกราะ, อัตราการรีเลือด ฯลฯ ) Paragon ของภาค Immortal จะถูกแบ่งออกเป็นหลายสายซึ่งในแต่ละสายจะมอบความสามารถที่เฉพาะเจาะจงให้กับตัวละคร หมายความว่าต่อให้เล่นตัวละครเดียวกัน แต่อัปสกิล Paragon ไปคนละสาย ตัวละครก็จะเก่งไปคนละทางกัน
Paragon ถูกแบ่งออกเป็น 5 สาย ในตอนนี้คือ Survivor, Treasure Hunter, Gladiator, Vanquisher และ Soilder เป็นไปตามชื่อ Survivor จะมอบความสามารถในการเอาตัวรอดให้กับตัวละคร ในขณะที่ Treasure Hunter นั้นช่วยให้สามารถฟาร์มไอเทมได้ดีขึ้น, ในขณะที่ 3 สายที่เหลือจะเกี่ยวกับการต่อสู้แทบทั้งหมด เรียกได้ว่าสร้างความหลากหลายในการเล่นกับให้เราพอสมควรเลย
ระบบสกิลที่ไม่ยุ่งยาก
หนึ่งในเสน่ห์ของ Diablo ที่มีมาตลอดทุกภาค คือระบบสกิลที่หลากหลาย เล่นได้หลายแบบแม้ว่าจะเป็นอาชีพเดียวกัน แน่นอนว่า Diablo Immortal นั้นมีสกิลให้เลือกเล่นมากมายในแต่ละคลาส เพียงแต่การอัปสกิลในเวอร์ชันนี้จะไม่ได้ยุ่งยาก หรือจำเป็นต้องทำความเข้าใจเยอะเหมือนกับภาคที่ผ่านๆ มา
ตัวละครแต่ละคลาสจะมีสกิลให้เลือกใช้ได้ประมาณ 10 - 12 สกิล โดยปลดล็อกไปเรื่อยๆ เมื่อมีเลเวลที่มากขึ้น จึงทำให้การเล่นในภาคนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในส่วนของสกิลมากมายนัก สามารถเอาเวลาไปหาของ เก็บเลเวล หรือศึกษาวิธีการปราบบอสได้เลย จุดที่แตกต่างกันระหว่างผู้เล่นสองคนที่เล่นตัวละครคลาสเดียวกัน จะเป็นในส่วนของสกิล Paragon ที่อัป กับไอเทมที่สวมใส่อยู่มากกว่า
การทำบิ้วยังสนุก แต่ถ้าขี้เกียจคิดเกมช่วยคุณได้
เมื่อพูดถึงการปั้นตัวละครหนึ่งตัวในเกม Diablo แล้ว นอกจากการอัป และผสมผสานสกิลแล้ว ยังมีในส่วนของไอเทมสวมใส่ซึ่งช่วยบวกความแรงให้กับสกิล, ลด Cooldown, หรือส่งผลดีต่อสกิลที่เราใช้มากขึ้น ซึ่งระบบที่กล่าวมานี้ยังมีอยู่ในเกม Diablo Immortal แต่ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้เล่นใหม่เหมือนภาคก่อนๆ เนื่องจากครั้งนี้ Blizzard ได้มีการใส่ข้อมูลบิ้วต่างๆ มาให้เลยในเกม
ด้านบนของหน้าไอเทมส่วมใส จะมีหน้าที่บอกเราด้วยว่าในเกมตอนนี้มีบิ้วสกิลแบบไหนสามารถเล่นได้บ้างในแต่ละคลาส ซึ่งในหน้าบิ้วดังกล่าวจะมีการใส่ข้อมูลไอเทมที่จำเป็นต้องหามาให้เลย ผู้เขียนมองว่าระบบนี้ถือเป็นข้อดี สำหรับผู้เล่นที่มาใหม่ หรือเพิ่งเริ่มเล่นมากๆ เนื่องจากจะได้เห็นภาพว่าจำเป็นต้องไปหาไอเทมชิ้นไหน ที่ไหนมาใส่เพื่อให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำลายความหลากหลาย ที่ให้ผู้เล่นเปิดเอาไอเทม ต่างๆ มาผสมทำบิ้วเป็นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
กล่าวสรุปในส่วนของการพัฒนาตัวละครของ Diablo Immortal กับเกมภาคก่อนหน้านี้ได้ง่ายๆ ว่า ตัวเกมนั้นถูกออกแบบมาให้สามารถเล่นได้ง่ายมากกว่าสำหรับผู้ที่เริ่มเล่นใหม่ และไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับแนวทางของเกม Diablo หรือประสบการณ์มาก่อนเลย ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เอาเสน่ห์ดั้งเดิมของเกมซีรีส์นี้ในแง่ของการทำบิ้วออกไปนั้นเอง
เน้นให้เข้ามาเล่นทุกวัน แต่ไม่เห็นเล่นหนึ่งวันนานๆ
อีกหนึ่งจุดที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนคือระบบเควสของเกมที่มีการเพิ่มเควสรายวัน ซึ่งจะมอบ Currency พิเศษให้กับผู้เล่นเพื่อไปใช้สำหรับซื้อรูน หรีอไอเทมเฉพาะต่างๆ การเปิด Rift ที่จำเป็นต้องใช้ไอเทม นอกจากนี้ยังมีการลิมิตเพดานของเลเวล Paragon ที่เราสามารถเก็บได้ในแต่ละวันอีกด้วย ระบบ และข้อจำกัดเหล่านี้จึงเป็นการลดความสำคัญในการฟาร์มมาราธอนลง และเพิ่มเหตุผลให้เราเข้ามา Log-in เล่นเกมทุกวันมากขึ้น ดังนั้นแนวทางการเล่นจึงจะออกไปในแนวทางเข้ามาเล่นทำภารกิจรายวัน สะสมของให้ตัวละครเก่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเกม MMORPG มือถือที่เราเห็นในตลาดปัจจุบัน
ทีนี้บางคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วแบบนี้คนตามาเล่นทีหลังจะไม่เสียเปรียบหรือ?" คือตอบคือไม่ขนาดนั้น เนื่องจากผู้พัฒนาได้มีการเพิ่มระบบ World Paragon System ขึ้นมาเพื่อการนี้ ระบบดังกล่าวคือตัวจำกัดเพดานเลเวล Paragon ที่เราเก็บได้ในแต่ละวัน ทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราคูณ Xp ให้กับผู้ที่มีเลเวลน้อยกว่าเลเวล Paragon ของโลกด้วย กล่าวคือคนที่เล่นก่อนจะมีลิมิตในการเล่น ในขณะที่คนมาทีหลังจะได้รับบัฟให้ตามคนที่เลเวลสูงๆ ได้ทันง่ายขึ้นนั้นเอง
เกมเพลย์ที่เน้น Co-Op มากกว่าเคย
Diablo นั้นแม้ว่าจะเป็นที่ได้ชื่อว่า Co-Op ได้ แต่ปกติผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะเล่นเกมนี้คนเดียว ไม่ค่อยชวนเพื่อนๆ ไปฟาร์มด้วยกันเท่าไหร่นัก แต่มันไม่เหมือนกันใน Diablo Immortal เนื่องจากดันเจี้ยนในเกมภาคนี้ออกแบบมาให้การลงแบบ Party มีความหมายมากขึ้น ทั้งยังมีดันเจี้ยน Raid ยากๆ ที่สามารถพาเพื่อนไปลงได้พร้อมกันถึง 8 คน ด้วย ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้ คือดันเจี้ยนกลุ่มที่ต้องลง 8 คน จะยากมาก และต้องอาศัยความร่วมมือกันเพื่อที่จะผ่าน และเก็บไอเทมเทพๆ มาอัปตัวละครต่อ
ในส่วนของดันเจี้ยนธรรมดาเองก็จะสามารถฟาร์ม EXP ของสวมใส่ ได้ดีกว่าหากลงเป็น Party เช่นเดียวกัน เท่าที่ทราบตอนนี้คือ EXP ที่ทำได้ต่อ 1 ชั่วโมงในการฟาร์มจะต่างกันมากระหว่างเล่นคนเดียวกับ Party เนื่องจากพอมีหลายคนก็ช่วยกันทำ Combo รับ Bonus EXP จำนวนมากได้ง่ายขึ้น กล่าวแบบง่ายๆ ก็คือมีการใส่ความเป็น MMORPG เข้ามาแบบจัดเต็มสุดๆ เลยนั้นเอง
คอนเทนต์แข่งขันที่ชัดเจนกว่า
ได้ชื่อว่าเป็นเกม MMORPG แล้ว คอนเทนต์ที่ให้ผู้เล่นแข่งขันกันก็ถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่างมากกว่า Diablo ภาคที่ผ่านๆ มา ซึ่งใน Diablo ภาคนี้จะมีการแข่งขัน PvP รายสัปดาห์ ที่เป็นการชิ่งความเป็นหนึ่งระหว่างผู้เล่นระดับท็อป เพื่อชิงตำแหน่ง Immortal และเข้าไปเล่นต่อในดันเจี้ยนพิเศษซึ่งมีของรางวัลพิเศษรออยู่ได้
กล่าวคือในภาคนี้มีการพัฒนาระบบ PvP รวมถึงของรางวัลที่ได้หากผู้เล่นใช้เวลาไปกับการเพิ่ม Rank การ PvP ให้สูง มอบรูปแบบการเล่น และคอนเทนต์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีครับ
ทั้งหมดนี้คือจุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่าง Diablo Immortal กับ Diablo ภาคก่อนๆ โดยรวมอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ได้ว่ามีความเป็นเกมแบบ Free to Play คือเน้นให้ผู้เล่น Log-In เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เพิ่มคอนเทนต์แข่งขันที่มีรางวัลชัดเจนเข้ามากระตุ้นให้ผู้เล่นอยากแข่งขันกัน โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นการลองทำอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจดี แล้วเพื่อนๆ มีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ?
เปิดให้ทดสอบในรอบ CBT อยู่ตอนนี้สำหรับ Diablo Immortal ซึ่งแม้ว่าจะใช้ชื่อว่าเป็น Diablo เหมือนกัน แต่การพัฒนาเกมให้ออกมาเป็นแบบ Free to Pay ย่อมมีโครงสร้าง และระบบที่แตกต่างไปจากเกมแบบ Pay to Play หรือ Diablo ภาคต้นฉบับ โดยตัวเกมฉบับ Immortal นี้ แม้จะไม่ใช้ภาคยอดเยี่ยมสุดน่าตื่นเต้น แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งภาคที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
หลังจากผู้เขียนมีโอกาสได้เล่น Diablo Immortal เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ก็สังเกตได้ถึงระบบดั้งเดิมที่เราเคยเห็นมาแล้วในตัวเกมภาคก่อน กับระบบใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นเกมแนว Free to Play ผสมกันไป และเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนก็คงมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างระหว่างตัวเกมฉบับมือถือนี้กันไม่มากก็น้อยว่า "แตกต่างจาก Diablo ปกติที่เราเคยเล่นกันยังไง" ซึ่งวันนี้ผู้เขียนกะว่าจะมาเล่าถึงส่วนนี้ให้ได้รู้กัน
ระบบ Paragon ใหม่
Paragon Level ถูกนำเสนอเข้ามาครั้งแรกในเกม Diablo 3 เพื่อความไร้ขีดจำกัดให้กับผู้เล่นได้เก็บเลเวลเพื่อนำมาอัปสกิลพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวละครได้แบบไม่จบสิ้น ในเกมภาค Diablo Immortal เองมีการนำระบบ Paragon มาใช้เช่นกัน แต่แตกต่างจาก Diablo 3 ที่สกิลซึ่งอัปได้จะมอบความสามารถโดยรวมให้กับตัวละคร (เลือด, ความเร็วในการวิ่ง, เกราะ, อัตราการรีเลือด ฯลฯ ) Paragon ของภาค Immortal จะถูกแบ่งออกเป็นหลายสายซึ่งในแต่ละสายจะมอบความสามารถที่เฉพาะเจาะจงให้กับตัวละคร หมายความว่าต่อให้เล่นตัวละครเดียวกัน แต่อัปสกิล Paragon ไปคนละสาย ตัวละครก็จะเก่งไปคนละทางกัน
Paragon ถูกแบ่งออกเป็น 5 สาย ในตอนนี้คือ Survivor, Treasure Hunter, Gladiator, Vanquisher และ Soilder เป็นไปตามชื่อ Survivor จะมอบความสามารถในการเอาตัวรอดให้กับตัวละคร ในขณะที่ Treasure Hunter นั้นช่วยให้สามารถฟาร์มไอเทมได้ดีขึ้น, ในขณะที่ 3 สายที่เหลือจะเกี่ยวกับการต่อสู้แทบทั้งหมด เรียกได้ว่าสร้างความหลากหลายในการเล่นกับให้เราพอสมควรเลย
ระบบสกิลที่ไม่ยุ่งยาก
หนึ่งในเสน่ห์ของ Diablo ที่มีมาตลอดทุกภาค คือระบบสกิลที่หลากหลาย เล่นได้หลายแบบแม้ว่าจะเป็นอาชีพเดียวกัน แน่นอนว่า Diablo Immortal นั้นมีสกิลให้เลือกเล่นมากมายในแต่ละคลาส เพียงแต่การอัปสกิลในเวอร์ชันนี้จะไม่ได้ยุ่งยาก หรือจำเป็นต้องทำความเข้าใจเยอะเหมือนกับภาคที่ผ่านๆ มา
ตัวละครแต่ละคลาสจะมีสกิลให้เลือกใช้ได้ประมาณ 10 - 12 สกิล โดยปลดล็อกไปเรื่อยๆ เมื่อมีเลเวลที่มากขึ้น จึงทำให้การเล่นในภาคนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในส่วนของสกิลมากมายนัก สามารถเอาเวลาไปหาของ เก็บเลเวล หรือศึกษาวิธีการปราบบอสได้เลย จุดที่แตกต่างกันระหว่างผู้เล่นสองคนที่เล่นตัวละครคลาสเดียวกัน จะเป็นในส่วนของสกิล Paragon ที่อัป กับไอเทมที่สวมใส่อยู่มากกว่า
การทำบิ้วยังสนุก แต่ถ้าขี้เกียจคิดเกมช่วยคุณได้
เมื่อพูดถึงการปั้นตัวละครหนึ่งตัวในเกม Diablo แล้ว นอกจากการอัป และผสมผสานสกิลแล้ว ยังมีในส่วนของไอเทมสวมใส่ซึ่งช่วยบวกความแรงให้กับสกิล, ลด Cooldown, หรือส่งผลดีต่อสกิลที่เราใช้มากขึ้น ซึ่งระบบที่กล่าวมานี้ยังมีอยู่ในเกม Diablo Immortal แต่ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้เล่นใหม่เหมือนภาคก่อนๆ เนื่องจากครั้งนี้ Blizzard ได้มีการใส่ข้อมูลบิ้วต่างๆ มาให้เลยในเกม
ด้านบนของหน้าไอเทมส่วมใส จะมีหน้าที่บอกเราด้วยว่าในเกมตอนนี้มีบิ้วสกิลแบบไหนสามารถเล่นได้บ้างในแต่ละคลาส ซึ่งในหน้าบิ้วดังกล่าวจะมีการใส่ข้อมูลไอเทมที่จำเป็นต้องหามาให้เลย ผู้เขียนมองว่าระบบนี้ถือเป็นข้อดี สำหรับผู้เล่นที่มาใหม่ หรือเพิ่งเริ่มเล่นมากๆ เนื่องจากจะได้เห็นภาพว่าจำเป็นต้องไปหาไอเทมชิ้นไหน ที่ไหนมาใส่เพื่อให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำลายความหลากหลาย ที่ให้ผู้เล่นเปิดเอาไอเทม ต่างๆ มาผสมทำบิ้วเป็นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
กล่าวสรุปในส่วนของการพัฒนาตัวละครของ Diablo Immortal กับเกมภาคก่อนหน้านี้ได้ง่ายๆ ว่า ตัวเกมนั้นถูกออกแบบมาให้สามารถเล่นได้ง่ายมากกว่าสำหรับผู้ที่เริ่มเล่นใหม่ และไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับแนวทางของเกม Diablo หรือประสบการณ์มาก่อนเลย ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เอาเสน่ห์ดั้งเดิมของเกมซีรีส์นี้ในแง่ของการทำบิ้วออกไปนั้นเอง
เน้นให้เข้ามาเล่นทุกวัน แต่ไม่เห็นเล่นหนึ่งวันนานๆ
อีกหนึ่งจุดที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนคือระบบเควสของเกมที่มีการเพิ่มเควสรายวัน ซึ่งจะมอบ Currency พิเศษให้กับผู้เล่นเพื่อไปใช้สำหรับซื้อรูน หรีอไอเทมเฉพาะต่างๆ การเปิด Rift ที่จำเป็นต้องใช้ไอเทม นอกจากนี้ยังมีการลิมิตเพดานของเลเวล Paragon ที่เราสามารถเก็บได้ในแต่ละวันอีกด้วย ระบบ และข้อจำกัดเหล่านี้จึงเป็นการลดความสำคัญในการฟาร์มมาราธอนลง และเพิ่มเหตุผลให้เราเข้ามา Log-in เล่นเกมทุกวันมากขึ้น ดังนั้นแนวทางการเล่นจึงจะออกไปในแนวทางเข้ามาเล่นทำภารกิจรายวัน สะสมของให้ตัวละครเก่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเกม MMORPG มือถือที่เราเห็นในตลาดปัจจุบัน
ทีนี้บางคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วแบบนี้คนตามาเล่นทีหลังจะไม่เสียเปรียบหรือ?" คือตอบคือไม่ขนาดนั้น เนื่องจากผู้พัฒนาได้มีการเพิ่มระบบ World Paragon System ขึ้นมาเพื่อการนี้ ระบบดังกล่าวคือตัวจำกัดเพดานเลเวล Paragon ที่เราเก็บได้ในแต่ละวัน ทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราคูณ Xp ให้กับผู้ที่มีเลเวลน้อยกว่าเลเวล Paragon ของโลกด้วย กล่าวคือคนที่เล่นก่อนจะมีลิมิตในการเล่น ในขณะที่คนมาทีหลังจะได้รับบัฟให้ตามคนที่เลเวลสูงๆ ได้ทันง่ายขึ้นนั้นเอง
เกมเพลย์ที่เน้น Co-Op มากกว่าเคย
Diablo นั้นแม้ว่าจะเป็นที่ได้ชื่อว่า Co-Op ได้ แต่ปกติผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะเล่นเกมนี้คนเดียว ไม่ค่อยชวนเพื่อนๆ ไปฟาร์มด้วยกันเท่าไหร่นัก แต่มันไม่เหมือนกันใน Diablo Immortal เนื่องจากดันเจี้ยนในเกมภาคนี้ออกแบบมาให้การลงแบบ Party มีความหมายมากขึ้น ทั้งยังมีดันเจี้ยน Raid ยากๆ ที่สามารถพาเพื่อนไปลงได้พร้อมกันถึง 8 คน ด้วย ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้ คือดันเจี้ยนกลุ่มที่ต้องลง 8 คน จะยากมาก และต้องอาศัยความร่วมมือกันเพื่อที่จะผ่าน และเก็บไอเทมเทพๆ มาอัปตัวละครต่อ
ในส่วนของดันเจี้ยนธรรมดาเองก็จะสามารถฟาร์ม EXP ของสวมใส่ ได้ดีกว่าหากลงเป็น Party เช่นเดียวกัน เท่าที่ทราบตอนนี้คือ EXP ที่ทำได้ต่อ 1 ชั่วโมงในการฟาร์มจะต่างกันมากระหว่างเล่นคนเดียวกับ Party เนื่องจากพอมีหลายคนก็ช่วยกันทำ Combo รับ Bonus EXP จำนวนมากได้ง่ายขึ้น กล่าวแบบง่ายๆ ก็คือมีการใส่ความเป็น MMORPG เข้ามาแบบจัดเต็มสุดๆ เลยนั้นเอง
คอนเทนต์แข่งขันที่ชัดเจนกว่า
ได้ชื่อว่าเป็นเกม MMORPG แล้ว คอนเทนต์ที่ให้ผู้เล่นแข่งขันกันก็ถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่างมากกว่า Diablo ภาคที่ผ่านๆ มา ซึ่งใน Diablo ภาคนี้จะมีการแข่งขัน PvP รายสัปดาห์ ที่เป็นการชิ่งความเป็นหนึ่งระหว่างผู้เล่นระดับท็อป เพื่อชิงตำแหน่ง Immortal และเข้าไปเล่นต่อในดันเจี้ยนพิเศษซึ่งมีของรางวัลพิเศษรออยู่ได้
กล่าวคือในภาคนี้มีการพัฒนาระบบ PvP รวมถึงของรางวัลที่ได้หากผู้เล่นใช้เวลาไปกับการเพิ่ม Rank การ PvP ให้สูง มอบรูปแบบการเล่น และคอนเทนต์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีครับ
ทั้งหมดนี้คือจุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่าง Diablo Immortal กับ Diablo ภาคก่อนๆ โดยรวมอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ได้ว่ามีความเป็นเกมแบบ Free to Play คือเน้นให้ผู้เล่น Log-In เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เพิ่มคอนเทนต์แข่งขันที่มีรางวัลชัดเจนเข้ามากระตุ้นให้ผู้เล่นอยากแข่งขันกัน โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นการลองทำอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจดี แล้วเพื่อนๆ มีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ?