เชื่อว่า เกมเมอร์ทุกคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์ซื้อเกมมาแล้วไม่ได้เล่น หรือที่เรียกกันติดปาก “ดองเกม” กันบ้างไม่มากก็น้อย โดยหากพิจารณาอย่างใจเย็น การซื้อเกมมาเพื่อ "ดอง" ในหลายๆ ครั้งก็เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทำไมเราต้องซื้อเกมมาทั้งที่รู้ว่าจะไม่ได้เล่นกันนะ?
ในความเป็นจริงแล้ว นิสัยชอบดองเกมสามารถใช้จิตวิทยาช่วยอธิบายได้หลายทางด้วยกัน โดยหลักๆ วันนี้จึงอยากจะชวนเพื่อนๆ มาลองดูกันถึง "สาเหตุ" ทางจิตวิทยามากมายที่นำไปสู่การดองเกม ลองมาดูกันว่ามีข้อไหนตรงกับเพื่อนๆ บ้าง!
ส่วนที่หนึ่งคือธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะไม่ชอบตัดสินใจในทันที เพราะไม่มั่นใจว่าช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะตัดสินใจหรือยัง ยกตัวอย่างเช่น คุณซื้อไวน์มาขวดหนึ่ง คุณกะจะเปิดขวดในโอกาสพิเศษเพื่อเป็นการฉลอง แต่กลับยังไม่มีโอกาสไหนดีพอที่จะทำให้คุณเปิดขวดได้เลย หรือในตอนที่คุณกำลังจะเปิดขวดนั้น คุณอาจจะคิดว่า เก็บไว้ก่อนดีกว่าไหม หมักให้รสอร่อยขึ้น หรือจะเก็บเอาไว้ไปขายต่อให้ราคาดีขึ้น ซึ่งอาการลังเลลักษณะนี้จะไปกระตุ้นสมองส่วนที่คิดว่า “เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน”
อาการนี้เกิดได้กับการเล่นเกมเช่นกัน ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คุณอาจรู้สึกอยากลองเกมที่ซื้อเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่พอจะเข้าเกมจริงๆ คุณกลับคิดว่า ‘หรือจะรอให้ถึงช่วงวันหยุดยาวดี จะได้เล่นกันนานๆ เล่นทีเดียวให้จบเลย’ และเมื่อใจของคุณไขว้เขว สมองก็จะพาคุณไปส่วนที่เอาไว้เล่นทีหลัง ทำให้เกมที่ตั้งใจจะเล่นตั้งแต่ทีแรกถูกดองต่อไปทั้งแบบนั้น
ส่วนนี้จะเกี่ยวโยงมาจากส่วนที่หนึ่ง ในเมื่อเราไม่ได้เล่นเกมที่ซื้อมาสักที นั่นจะทำให้สมองเข้าใจผิดไปว่า เกมนี้มันสำคัญจนไม่ควรจะหยิบมาเล่นในวันธรรมดาๆ ทั่วไป ควรจะต้องรอโอกาสพิเศษถึงคู่ควรแก่การก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ กล่าวคือสมองของคุณดันให้ "ความสำคัญ" กับสิ่งนั้นมากจนเกินไป ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับคุณซื้อรองเท้าคู่ใหม่มา แต่คุณไม่อยากให้มันเปื้อน คุณเลยเก็บมันเอาไว้ รอใส่ในวันที่สำคัญอย่างไปเดตหรือใส่ในงานมงคลต่าง ๆ แต่จนแล้วจนรอด คุณก็ยังหาโอกาสหยิบรองเท้าคู่ใหม่มาใส่ไม่ได้เลยสักครั้ง
ยิ่งนานวันไป สมองจะเริ่มทำให้คุณเข้าใจผิด คิดไปว่ารองเท้าคู่นี้มันควรต้องใส่ในงานที่พิเศษมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คุณไม่มีโอกาสได้อวดโฉมมันกับโลกภายนอกเลยสักทีและด้วยสองส่วนผสมนี้เอง จึงพาเราไปสู่อาการ Specialness Spiral ที่เห็นของสิ่งหนึ่งสำคัญเกินไป จนไม่กล้าใช้งาน ทั้งสองส่วนผสมนี้จะทำให้เกิดเป็นวังวนที่ไม่สิ้นสุด จนกว่าคุณจะพยายามฝืนใจเอามันออกมาใช้ครั้งแรกจนได้นั่นแหละ
รู้ตัวอีกที...
ลักษณะของ The Diderot Effect จะเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกับคนที่ติดอยู่ในวังวนของ Specialness Spiral เพราะในขณะที่คนในกลุ่มแรกจะยึดติดกับสิ่งของชิ้นหนึ่งเป็นระยะเวลานาน คนกลุ่มนี้จะมีใจที่ใฝ่หาของใหม่ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่น คุณได้รองเท้าใหม่มา แต่คุณกลับพบว่า ไม่มีชุดที่ดีพอจะใส่คู่กับรองเท้านี้ได้เลย คุณจึงตัดสินใจช็อปปิ้งเพิ่มอีกหน่อย เพื่อหาชุดให้เข้าคู่กับรองเท้า ทว่าหลังจากที่ได้ชุดแล้วคุณยังไม่หยุดแค่นั้น คุณต้องการเครื่องประดับที่จะช่วยยกระดับการแต่งตัวของคุณขึ้นไปอีก และการเสริมของใหม่เข้าไปเรื่อยๆ จะนำไปสู่สภาวะวิกฤตทางการเงินของคุณได้ง่ายๆ เช่นกัน
ซึ่งหากจะเทียบเป็นการซื้อเกม ก็อาจจะเหมือนกับเวลาที่เราซื้อคอมหรือเครื่องคอนโซลมาใหม่ที่แรงกว่าเดิม ก็อาจจะมีความรู้สึกว่าอยากจะมีเกมแรงๆ ไว้เล่นบนคอมหรือคอนโซลนั้นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็เลยตะบี้ตะบันซื้อเกมใหม่มาเล่น และเมื่อมีเกมใหม่ที่ภาพสวยกว่าออกมาอีก คุณก็พร้อมจะทิ้งเกมเดิมไปซื้อเกมใหม่ แม้จะยังเล่นเกมที่ซื้อมาตอนแรกไม่หมด เพียงเพื่อให้รู้สึก "คุ้มค่า" กับคอมหรือ PC เครื่องใหม่ที่ได้มา จนกลายเป็นมีเกมที่เล่นไม่จบดองเอาไว้เพียบไปหมดนั่นเอง
พอมีเครื่อง ก็เริ่มมีอย่างอื่นงอกตามมา...
อาการ Fear of Missing Out น่าจะเป็นอาการที่หลายคนเคยประสบมาแล้ว คุณอาจจะเคยตัดสินใจดูหนังหรือซีรีส์เกาหลีที่เพื่อนๆ พูดถึงกันไม่หยุด แม้จะไม่เคยนึกอยากดูมาก่อน เพียงเพื่อให้เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกันเป็นต้น แน่นอนว่าเราสามารถแทนหนังหรือซีรีส์เก่าหลีเป็นวิดีโอเกมก็ได้ หากคุณนั่งฟังเพื่อนในกลุ่มพูดถึงเกม Final Fantasy XIV ว่าสุดยอดอย่างงั้นอย่างงี้ไปทุกวัน ไม่ช้าก็เร็วคุณก็อาจจะเริ่มมีความคิดว่า "...หรือตูกำลังพลาดอะไรไปล่ะ?" ซึ่งนั่นแหละคือความ FOMO แบบเต็มๆ เลย
อาการ FOMO ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากคนใกล้ตัวเสมอไปด้วย ยิ่งในยุคนี้ที่การสตรีมเกมและการสร้างคอนเทนต์ทางช่องทางต่างๆ มีความแพร่หลายมากขึ้น คุณก็ยิ่งมีเหตุให้รู้สึกถึงอาการ FOMO มากขึ้นไปด้วย คุณอาจเห็นพี่เหยกเล่นเกมๆ หนึ่งที่คุณสนใจ ก็เลยไปซื้อมาลองเล่นบ้างจะได้รู้ว่าพี่แกพูดถึงอะไรอยู่ในคลิป ทั้งที่คุณอาจจะมีเกมที่เล่นค้างอยู่ก็ได้
สตรีมเมอร์และยูทูบเบอร์ทั้งหลายเป็นต้นเหตุของอาการ FOMO ได้เช่นกัน
แม้ว่าคงจะไม่ได้ช่วยให้เกมในคลังของท่านผู้อ่านทั้งหลายเบาบางลงไป และก็ไม่ปฏิเสธว่าการฉวยโอกาสซื้อเกมที่อยากเล่นเมื่อมีการลดราคาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ก็หวังว่าอย่างน้อยบทความนี้จะช่วยใครก็ตามที่หนักใจกับคลังเกมที่ล้นปรี่ของตัวเองได้มีโอกาสทำความเข้าใจและสำรวจพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยกันซักนิด อย่างน้อยก็เพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นนะจ๊ะ
อ้างอิง:
https://www.thexboxhub.com/we-huge-backlog-games/
https://www.inverse.com/mind-body/psychology-of-buying-things-we-dont-need
https://www.wministry.com/th/the-diderot-effect-marie-kondo/
https://www.verywellmind.com/how-to-cope-with-fomo-4174664
เชื่อว่า เกมเมอร์ทุกคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์ซื้อเกมมาแล้วไม่ได้เล่น หรือที่เรียกกันติดปาก “ดองเกม” กันบ้างไม่มากก็น้อย โดยหากพิจารณาอย่างใจเย็น การซื้อเกมมาเพื่อ "ดอง" ในหลายๆ ครั้งก็เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทำไมเราต้องซื้อเกมมาทั้งที่รู้ว่าจะไม่ได้เล่นกันนะ?
ในความเป็นจริงแล้ว นิสัยชอบดองเกมสามารถใช้จิตวิทยาช่วยอธิบายได้หลายทางด้วยกัน โดยหลักๆ วันนี้จึงอยากจะชวนเพื่อนๆ มาลองดูกันถึง "สาเหตุ" ทางจิตวิทยามากมายที่นำไปสู่การดองเกม ลองมาดูกันว่ามีข้อไหนตรงกับเพื่อนๆ บ้าง!
ส่วนที่หนึ่งคือธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะไม่ชอบตัดสินใจในทันที เพราะไม่มั่นใจว่าช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะตัดสินใจหรือยัง ยกตัวอย่างเช่น คุณซื้อไวน์มาขวดหนึ่ง คุณกะจะเปิดขวดในโอกาสพิเศษเพื่อเป็นการฉลอง แต่กลับยังไม่มีโอกาสไหนดีพอที่จะทำให้คุณเปิดขวดได้เลย หรือในตอนที่คุณกำลังจะเปิดขวดนั้น คุณอาจจะคิดว่า เก็บไว้ก่อนดีกว่าไหม หมักให้รสอร่อยขึ้น หรือจะเก็บเอาไว้ไปขายต่อให้ราคาดีขึ้น ซึ่งอาการลังเลลักษณะนี้จะไปกระตุ้นสมองส่วนที่คิดว่า “เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน”
อาการนี้เกิดได้กับการเล่นเกมเช่นกัน ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คุณอาจรู้สึกอยากลองเกมที่ซื้อเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่พอจะเข้าเกมจริงๆ คุณกลับคิดว่า ‘หรือจะรอให้ถึงช่วงวันหยุดยาวดี จะได้เล่นกันนานๆ เล่นทีเดียวให้จบเลย’ และเมื่อใจของคุณไขว้เขว สมองก็จะพาคุณไปส่วนที่เอาไว้เล่นทีหลัง ทำให้เกมที่ตั้งใจจะเล่นตั้งแต่ทีแรกถูกดองต่อไปทั้งแบบนั้น
ส่วนนี้จะเกี่ยวโยงมาจากส่วนที่หนึ่ง ในเมื่อเราไม่ได้เล่นเกมที่ซื้อมาสักที นั่นจะทำให้สมองเข้าใจผิดไปว่า เกมนี้มันสำคัญจนไม่ควรจะหยิบมาเล่นในวันธรรมดาๆ ทั่วไป ควรจะต้องรอโอกาสพิเศษถึงคู่ควรแก่การก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ กล่าวคือสมองของคุณดันให้ "ความสำคัญ" กับสิ่งนั้นมากจนเกินไป ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับคุณซื้อรองเท้าคู่ใหม่มา แต่คุณไม่อยากให้มันเปื้อน คุณเลยเก็บมันเอาไว้ รอใส่ในวันที่สำคัญอย่างไปเดตหรือใส่ในงานมงคลต่าง ๆ แต่จนแล้วจนรอด คุณก็ยังหาโอกาสหยิบรองเท้าคู่ใหม่มาใส่ไม่ได้เลยสักครั้ง
ยิ่งนานวันไป สมองจะเริ่มทำให้คุณเข้าใจผิด คิดไปว่ารองเท้าคู่นี้มันควรต้องใส่ในงานที่พิเศษมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คุณไม่มีโอกาสได้อวดโฉมมันกับโลกภายนอกเลยสักทีและด้วยสองส่วนผสมนี้เอง จึงพาเราไปสู่อาการ Specialness Spiral ที่เห็นของสิ่งหนึ่งสำคัญเกินไป จนไม่กล้าใช้งาน ทั้งสองส่วนผสมนี้จะทำให้เกิดเป็นวังวนที่ไม่สิ้นสุด จนกว่าคุณจะพยายามฝืนใจเอามันออกมาใช้ครั้งแรกจนได้นั่นแหละ
รู้ตัวอีกที...
ลักษณะของ The Diderot Effect จะเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกับคนที่ติดอยู่ในวังวนของ Specialness Spiral เพราะในขณะที่คนในกลุ่มแรกจะยึดติดกับสิ่งของชิ้นหนึ่งเป็นระยะเวลานาน คนกลุ่มนี้จะมีใจที่ใฝ่หาของใหม่ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่น คุณได้รองเท้าใหม่มา แต่คุณกลับพบว่า ไม่มีชุดที่ดีพอจะใส่คู่กับรองเท้านี้ได้เลย คุณจึงตัดสินใจช็อปปิ้งเพิ่มอีกหน่อย เพื่อหาชุดให้เข้าคู่กับรองเท้า ทว่าหลังจากที่ได้ชุดแล้วคุณยังไม่หยุดแค่นั้น คุณต้องการเครื่องประดับที่จะช่วยยกระดับการแต่งตัวของคุณขึ้นไปอีก และการเสริมของใหม่เข้าไปเรื่อยๆ จะนำไปสู่สภาวะวิกฤตทางการเงินของคุณได้ง่ายๆ เช่นกัน
ซึ่งหากจะเทียบเป็นการซื้อเกม ก็อาจจะเหมือนกับเวลาที่เราซื้อคอมหรือเครื่องคอนโซลมาใหม่ที่แรงกว่าเดิม ก็อาจจะมีความรู้สึกว่าอยากจะมีเกมแรงๆ ไว้เล่นบนคอมหรือคอนโซลนั้นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็เลยตะบี้ตะบันซื้อเกมใหม่มาเล่น และเมื่อมีเกมใหม่ที่ภาพสวยกว่าออกมาอีก คุณก็พร้อมจะทิ้งเกมเดิมไปซื้อเกมใหม่ แม้จะยังเล่นเกมที่ซื้อมาตอนแรกไม่หมด เพียงเพื่อให้รู้สึก "คุ้มค่า" กับคอมหรือ PC เครื่องใหม่ที่ได้มา จนกลายเป็นมีเกมที่เล่นไม่จบดองเอาไว้เพียบไปหมดนั่นเอง
พอมีเครื่อง ก็เริ่มมีอย่างอื่นงอกตามมา...
อาการ Fear of Missing Out น่าจะเป็นอาการที่หลายคนเคยประสบมาแล้ว คุณอาจจะเคยตัดสินใจดูหนังหรือซีรีส์เกาหลีที่เพื่อนๆ พูดถึงกันไม่หยุด แม้จะไม่เคยนึกอยากดูมาก่อน เพียงเพื่อให้เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกันเป็นต้น แน่นอนว่าเราสามารถแทนหนังหรือซีรีส์เก่าหลีเป็นวิดีโอเกมก็ได้ หากคุณนั่งฟังเพื่อนในกลุ่มพูดถึงเกม Final Fantasy XIV ว่าสุดยอดอย่างงั้นอย่างงี้ไปทุกวัน ไม่ช้าก็เร็วคุณก็อาจจะเริ่มมีความคิดว่า "...หรือตูกำลังพลาดอะไรไปล่ะ?" ซึ่งนั่นแหละคือความ FOMO แบบเต็มๆ เลย
อาการ FOMO ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากคนใกล้ตัวเสมอไปด้วย ยิ่งในยุคนี้ที่การสตรีมเกมและการสร้างคอนเทนต์ทางช่องทางต่างๆ มีความแพร่หลายมากขึ้น คุณก็ยิ่งมีเหตุให้รู้สึกถึงอาการ FOMO มากขึ้นไปด้วย คุณอาจเห็นพี่เหยกเล่นเกมๆ หนึ่งที่คุณสนใจ ก็เลยไปซื้อมาลองเล่นบ้างจะได้รู้ว่าพี่แกพูดถึงอะไรอยู่ในคลิป ทั้งที่คุณอาจจะมีเกมที่เล่นค้างอยู่ก็ได้
สตรีมเมอร์และยูทูบเบอร์ทั้งหลายเป็นต้นเหตุของอาการ FOMO ได้เช่นกัน
แม้ว่าคงจะไม่ได้ช่วยให้เกมในคลังของท่านผู้อ่านทั้งหลายเบาบางลงไป และก็ไม่ปฏิเสธว่าการฉวยโอกาสซื้อเกมที่อยากเล่นเมื่อมีการลดราคาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ก็หวังว่าอย่างน้อยบทความนี้จะช่วยใครก็ตามที่หนักใจกับคลังเกมที่ล้นปรี่ของตัวเองได้มีโอกาสทำความเข้าใจและสำรวจพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยกันซักนิด อย่างน้อยก็เพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นนะจ๊ะ
อ้างอิง:
https://www.thexboxhub.com/we-huge-backlog-games/
https://www.inverse.com/mind-body/psychology-of-buying-things-we-dont-need
https://www.wministry.com/th/the-diderot-effect-marie-kondo/
https://www.verywellmind.com/how-to-cope-with-fomo-4174664