GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม The Last of Us Part I กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดเกมซอมบี้ตลอดกาล ด้วยขุมพลังกราฟิกอันทันสมัย
ลงวันที่ 28/08/2022


เป็นเกมที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากเมื่อปี 2013 สำหรับเกม The Last of Us จากทางผู้พัฒนา Naughty Dog และได้รับคำชมมากกับการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้อยู่แล้วเพราะเคยทำเกมอย่าง Uncharted มา จนทำให้ The Last of Us ได้คะแนน 10/10 จากสำนักสื่อต่าง ๆ มากมาย และตัวเกมก็กลายเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 3 เลยทีเดียว จนในปี 2020 พวกเขานั้นก็ได้สร้างเกมภาคต่อกับ The Last of Us Part II ที่ตัวเกมก็ยังสร้างมาตรฐานในด้านของเนื้อเรื่องเอาไว้ได้อย่างดี ได้รับคำชมมากมายและสุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมจากงาน The Game Awards ปี 2020 ไปครองจนได้

และเนื่องจากความสำเร็จของเกม The Last of Us Part II ในปี 2022 นี้ทางผู้พัฒนาเลยได้ทำการ Remake เกมภาคแรกอีกครั้งและใช้ชื่อว่า The Last of Us Part I เพื่อเสิร์ฟให้กับคนที่อาจจะไม่เคยเล่นภาคแรก เพื่อให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่า The Last of Us Part I เหมาะในการที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ และเหมาะกับใคร!?


ยกระดับขุมพลังด้วยกราฟิกของเกม The Last of Us Part II

ต้องพูดถึงจุดเด่นของเกม The Last of Us Part I ก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ทางผู้พัฒนานั้นได้ทำการปั้นโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจาก Engine ขั้นเทพของเกม The Last of Us Part II สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเครื่อง PlayStation 5 เราจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในด้านโมเดลและแอนิเมชันของเกมที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับในด้านกราฟิกว่าสวยงามมากจริง ๆ 


ทั้งในด้านแสงหรือบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น แต่ในบางโมเดลของตัวละครอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากภาคแรกอย่างเช่นตัวละคร Tess ที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาไป และในเวอร์ชันนี้ตัวเธอนั้นดูมีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในด้านเทคโนโลยีที่หน้าตาเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้การคำนวนต่าง ๆ นั้นเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทาง Sony ก็เคยเปลี่ยนหน้าตาของ Peter Parker ในเกม Marvel's Spider-Man Remastered มาแล้ว


ภายในเกมยังมีให้เราปรับกราฟิกอยู่สองแบบคือโหมดประสิทธิภาพ ที่จะรันกราฟิกได้สูงถึง 1440p (สำหรับคนใช้จอความละเอียดสูง) และจะสามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 60FPS และอีกอันก็คือโหมดแม่นยำ ที่จะมีกราฟิกที่คมชัดมากกว่า แต่จะรันเฟรมเรทได้เพียงแค่ 30 FPS ซึ่งจากที่ได้ลองแล้วนั้น ในบางฉากโหมดแม่นยำจะสามารถทำกราฟิกที่สดใสกว่า รายละเอียดในฉากระยะไกลก็จะคมชัดทั้งหมด แสงเงาต่าง ๆ จะทำได้ดีกว่ามาก ต่างจากโหมดประสิทธิภาพที่ภาพบางฉากจะมัวเพื่อให้เครื่องเกมสามารถรันเฟรมเรทได้อย่างคงที่ ซึ่งส่วนตัวนั้นถนัดในโหมดประสิทธิภาพและรัน 60FPS มากกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าโหมดแม่นยำเองก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร ใครที่สามารถเล่น 30 FPS ได้ส่วนตัวแนะนำเลย


รวมถึงตัวเกมนี้ยังรองรับฟังชันต่าง ๆ ของจอย DualSense ด้วยทั้งระบบ Addictive trigger ที่จะเพิ่มประสบการณ์ให้เราในขณะที่ใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นการใช้ธนูเวลากด R2 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเราง้างธนูจริง ๆ อยู่ หรือระบบการสั่นที่จะสั่นตามสถานการณ์ของเกมซึ่งมันสามารถมอบประสบการณ์ทียอดเยี่ยมให้เราในเวลาเล่นอย่างมาก รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่อง PlayStation 5 ที่จะสามารถโหลดฉากต่าง ๆ ของเกมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยพลังของ SSD 


นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่เรียกว่าการเข้าถึง ที่สามารถปรับแต่งเกมเพลย์ตามสไตล์ของเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัด Input ของเกมใหม่ เช่นสามารถเลือกได้ว่าเวลาวิ่งจะกดค้าง หรือเป็นกดเปิด/ปิด การปรับตัวช่วยเล็ง การปรับหยิบอุปกรอัตโนมัติ หรือจะตั้งค่าให้เปลี่ยนอาวุธอัตโนมัติถ้าหากกระสุนหมดก็ได้ การปรับ Motion Sick ระยะมุมมอง หรือแม้กระทั่งการปรับแต่งระดับความยาก ที่เราสามารถลดความแม่นยำของศัตรูได้ ลดความสามารถรับรู้ของศัตรูได้เป็นต้น  


ให้คุณได้ซึมซับเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยม

ในด้านของความเนื้อเรื่องเราคงจะไม่ได้เจาะลึกมากในบทความนี้ เพราะ The Last of Us Part I ก็จะยังเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับในเวอร์ชันดั้งเดิมของเกมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กับการเล่าเรื่องราวของ Joel นักลักลอบของเถื่อนที่ได้รับงานในกาส่งเด็กน้อยจอมแก่นคนหนึ่งนามว่า Ellie และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง และเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่

โดยเราจะได้รับรู้สึกความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่พึ่งรู้จักกันจนทั้งคู่คือคนสำคัญของกันละกัน เราจะได้เห็นถึงพัฒนาการแรกเริ่มของตัวละคร Ellie ในความไร้เดียงสาของภาคนี้ สู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพบเจอกับเหตุการร์สำคัญที่มันได้สานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้นในเกม The Last of Us Part II นั่นเอง


รวมถึงในภาคนี้ทางผู้พัฒนายังรวมนำเอา DLC อย่าง Left Behind ที่เราเรื่องราวของ Ellie และเพื่อนสนิทของเธอ Riley ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเกมภาคหลักด้วย (แต่ทางผู้พัฒนากล่าวว่าควรจะเล่นเกมหลักก่อน เพราะเรื่องราวใน Left Behind จะมีการสปอยส์เนื้อหาสำคัญในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง) แน่นอนว่าใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดังเดิมมาก่อน เนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Last of Us Part I ก็จะยังคงเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย 


เกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมจากภาคแรก

จากที่ได้เล่นมาถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาจะกล่าวว่าตัวเกมนั้นมีการยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ทั้งหมดก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามวลเกมเพลย์โดยรวมนั้นก็จะยังให้ความรู้สึกที่คงเดิม ศัตรูต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราเองสามารถรับรู้ได้ถึงแอนิเมชันของตัวละคร หรือฟิลลิงในการยิงปืนบางอย่างที่อาจจะรู้สึกแตกต่างบ้าง แต่ใครที่เคยเล่นเวอร์ชันปี 2013 มาก่อน และคาดหวังว่าตัวเกมจะให้อะไรที่แปลกใหม่ ท่านก็อาจจะต้องผิดหวังในเรื่องนี้


แต่แน่นอนว่าถึงแม้เกมเพลย์ของ The Last of Us Part I จะยังคงเดิม แต่นี่ก็ยังเป็นเกม Action Adventure ที่ทำออกมาได้อย่างละเมียดละมัย ในด้านเกมเพลย์ ความตืนเต้น การลอบเร้น A.I. ศัตรูก็มีความฉลาด รู้จักโอบล้อมไม่ให้ผู้เล่นอยู่ในจุด ๆ เดียวมากเกินไป การที่เราจะต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีในการสังหารศัตรูให้หมด ความตื่นเต้นนี้จะยังคงอยู่ รวมถึงระบบที่หายไปในเกม The Last of Us Part II ก็คือระบบการปรับแต่งปืน ซึ่งเป็นความสามารถของ Joel ที่ในเวอร์ชันนี้ก็ยังอยู่ และส่วนตัวชอบมันมาก


เกมนี้เหมาะกับใคร

ถ้าให้พูดว่า The Last of Us Part I นั้นเหมาะกับใคร ส่วนตัวมองว่าถ้าหากคุณนั้นเล่นเกมเวอร์ชันปี 2013 มาก่อนแล้ว จริง ๆ ในเกมเวอร์ชันนี้กลิ่นอายทั้งหมดแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง หรือเกมเพลย์ ตัวเกมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และอยากจะลองสัมผัสสุดยอดเกมที่ทั้งเนื้อเรื่องและเกมเพลย์อันดีงามแบบนี้สักครั้ง หรือคนที่เคยเล่นแต่เกมภาค 2 การกลับมาเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันใหม่ก็จะทำให้คุณเข้าใจถึงเนื้อเรื่อง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Joel และ Ellie ยิ่งขึ้น ทำให้คุณได้รู้ว่าทำไม Joel ถึงสำคัญกับ Ellie มากขนาดนั้น


หรือใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และยังภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน การกลับมาเล่นภาคนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเกมภาค 2 ให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ลึกซึ่งมากขึ้น โดยตัวเกมวางขายอยู่ที่ราคา 2,290 บาท ในเวอร์ชันปกติ และ 2,590 บาท ในเวอร์ชัน Deluxe ที่เราจะสามารถปลดล็อคความสามารถ หรือปลดล็อคโหมดบางโหมดเช่น Speed Run โดยที่ไม่ต้องเล่นจนจบเกมก็ได้ สั่งซื้อเกมได้ที่

7
ข้อดี

เนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยมดั่งในเวอร์ชันต้นฉบับ

กราฟิกยกระดับใหม่ทั้งหมด สวยงามกว่าเดิมหลายเท่า

เกมเพลย์ยอดเยี่ยม

ตัวเกมรองรับภาษาไทย

ข้อเสีย

ไม่เหมาะกับคนที่เล่นเวอร์ชันปี 2013 จนเชี่ยวชาญแล้ว เพราะกลิ่นอายทั้งหมดคงเดิม

9
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม The Last of Us Part I กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดเกมซอมบี้ตลอดกาล ด้วยขุมพลังกราฟิกอันทันสมัย
28/08/2022


เป็นเกมที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากเมื่อปี 2013 สำหรับเกม The Last of Us จากทางผู้พัฒนา Naughty Dog และได้รับคำชมมากกับการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้อยู่แล้วเพราะเคยทำเกมอย่าง Uncharted มา จนทำให้ The Last of Us ได้คะแนน 10/10 จากสำนักสื่อต่าง ๆ มากมาย และตัวเกมก็กลายเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 3 เลยทีเดียว จนในปี 2020 พวกเขานั้นก็ได้สร้างเกมภาคต่อกับ The Last of Us Part II ที่ตัวเกมก็ยังสร้างมาตรฐานในด้านของเนื้อเรื่องเอาไว้ได้อย่างดี ได้รับคำชมมากมายและสุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมจากงาน The Game Awards ปี 2020 ไปครองจนได้

และเนื่องจากความสำเร็จของเกม The Last of Us Part II ในปี 2022 นี้ทางผู้พัฒนาเลยได้ทำการ Remake เกมภาคแรกอีกครั้งและใช้ชื่อว่า The Last of Us Part I เพื่อเสิร์ฟให้กับคนที่อาจจะไม่เคยเล่นภาคแรก เพื่อให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่า The Last of Us Part I เหมาะในการที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ และเหมาะกับใคร!?


ยกระดับขุมพลังด้วยกราฟิกของเกม The Last of Us Part II

ต้องพูดถึงจุดเด่นของเกม The Last of Us Part I ก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ทางผู้พัฒนานั้นได้ทำการปั้นโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจาก Engine ขั้นเทพของเกม The Last of Us Part II สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเครื่อง PlayStation 5 เราจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในด้านโมเดลและแอนิเมชันของเกมที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับในด้านกราฟิกว่าสวยงามมากจริง ๆ 


ทั้งในด้านแสงหรือบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น แต่ในบางโมเดลของตัวละครอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากภาคแรกอย่างเช่นตัวละคร Tess ที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาไป และในเวอร์ชันนี้ตัวเธอนั้นดูมีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในด้านเทคโนโลยีที่หน้าตาเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้การคำนวนต่าง ๆ นั้นเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทาง Sony ก็เคยเปลี่ยนหน้าตาของ Peter Parker ในเกม Marvel's Spider-Man Remastered มาแล้ว


ภายในเกมยังมีให้เราปรับกราฟิกอยู่สองแบบคือโหมดประสิทธิภาพ ที่จะรันกราฟิกได้สูงถึง 1440p (สำหรับคนใช้จอความละเอียดสูง) และจะสามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 60FPS และอีกอันก็คือโหมดแม่นยำ ที่จะมีกราฟิกที่คมชัดมากกว่า แต่จะรันเฟรมเรทได้เพียงแค่ 30 FPS ซึ่งจากที่ได้ลองแล้วนั้น ในบางฉากโหมดแม่นยำจะสามารถทำกราฟิกที่สดใสกว่า รายละเอียดในฉากระยะไกลก็จะคมชัดทั้งหมด แสงเงาต่าง ๆ จะทำได้ดีกว่ามาก ต่างจากโหมดประสิทธิภาพที่ภาพบางฉากจะมัวเพื่อให้เครื่องเกมสามารถรันเฟรมเรทได้อย่างคงที่ ซึ่งส่วนตัวนั้นถนัดในโหมดประสิทธิภาพและรัน 60FPS มากกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าโหมดแม่นยำเองก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร ใครที่สามารถเล่น 30 FPS ได้ส่วนตัวแนะนำเลย


รวมถึงตัวเกมนี้ยังรองรับฟังชันต่าง ๆ ของจอย DualSense ด้วยทั้งระบบ Addictive trigger ที่จะเพิ่มประสบการณ์ให้เราในขณะที่ใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นการใช้ธนูเวลากด R2 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเราง้างธนูจริง ๆ อยู่ หรือระบบการสั่นที่จะสั่นตามสถานการณ์ของเกมซึ่งมันสามารถมอบประสบการณ์ทียอดเยี่ยมให้เราในเวลาเล่นอย่างมาก รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่อง PlayStation 5 ที่จะสามารถโหลดฉากต่าง ๆ ของเกมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยพลังของ SSD 


นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่เรียกว่าการเข้าถึง ที่สามารถปรับแต่งเกมเพลย์ตามสไตล์ของเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัด Input ของเกมใหม่ เช่นสามารถเลือกได้ว่าเวลาวิ่งจะกดค้าง หรือเป็นกดเปิด/ปิด การปรับตัวช่วยเล็ง การปรับหยิบอุปกรอัตโนมัติ หรือจะตั้งค่าให้เปลี่ยนอาวุธอัตโนมัติถ้าหากกระสุนหมดก็ได้ การปรับ Motion Sick ระยะมุมมอง หรือแม้กระทั่งการปรับแต่งระดับความยาก ที่เราสามารถลดความแม่นยำของศัตรูได้ ลดความสามารถรับรู้ของศัตรูได้เป็นต้น  


ให้คุณได้ซึมซับเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยม

ในด้านของความเนื้อเรื่องเราคงจะไม่ได้เจาะลึกมากในบทความนี้ เพราะ The Last of Us Part I ก็จะยังเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับในเวอร์ชันดั้งเดิมของเกมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กับการเล่าเรื่องราวของ Joel นักลักลอบของเถื่อนที่ได้รับงานในกาส่งเด็กน้อยจอมแก่นคนหนึ่งนามว่า Ellie และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง และเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่

โดยเราจะได้รับรู้สึกความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่พึ่งรู้จักกันจนทั้งคู่คือคนสำคัญของกันละกัน เราจะได้เห็นถึงพัฒนาการแรกเริ่มของตัวละคร Ellie ในความไร้เดียงสาของภาคนี้ สู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพบเจอกับเหตุการร์สำคัญที่มันได้สานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้นในเกม The Last of Us Part II นั่นเอง


รวมถึงในภาคนี้ทางผู้พัฒนายังรวมนำเอา DLC อย่าง Left Behind ที่เราเรื่องราวของ Ellie และเพื่อนสนิทของเธอ Riley ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเกมภาคหลักด้วย (แต่ทางผู้พัฒนากล่าวว่าควรจะเล่นเกมหลักก่อน เพราะเรื่องราวใน Left Behind จะมีการสปอยส์เนื้อหาสำคัญในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง) แน่นอนว่าใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดังเดิมมาก่อน เนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Last of Us Part I ก็จะยังคงเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย 


เกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมจากภาคแรก

จากที่ได้เล่นมาถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาจะกล่าวว่าตัวเกมนั้นมีการยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ทั้งหมดก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามวลเกมเพลย์โดยรวมนั้นก็จะยังให้ความรู้สึกที่คงเดิม ศัตรูต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราเองสามารถรับรู้ได้ถึงแอนิเมชันของตัวละคร หรือฟิลลิงในการยิงปืนบางอย่างที่อาจจะรู้สึกแตกต่างบ้าง แต่ใครที่เคยเล่นเวอร์ชันปี 2013 มาก่อน และคาดหวังว่าตัวเกมจะให้อะไรที่แปลกใหม่ ท่านก็อาจจะต้องผิดหวังในเรื่องนี้


แต่แน่นอนว่าถึงแม้เกมเพลย์ของ The Last of Us Part I จะยังคงเดิม แต่นี่ก็ยังเป็นเกม Action Adventure ที่ทำออกมาได้อย่างละเมียดละมัย ในด้านเกมเพลย์ ความตืนเต้น การลอบเร้น A.I. ศัตรูก็มีความฉลาด รู้จักโอบล้อมไม่ให้ผู้เล่นอยู่ในจุด ๆ เดียวมากเกินไป การที่เราจะต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีในการสังหารศัตรูให้หมด ความตื่นเต้นนี้จะยังคงอยู่ รวมถึงระบบที่หายไปในเกม The Last of Us Part II ก็คือระบบการปรับแต่งปืน ซึ่งเป็นความสามารถของ Joel ที่ในเวอร์ชันนี้ก็ยังอยู่ และส่วนตัวชอบมันมาก


เกมนี้เหมาะกับใคร

ถ้าให้พูดว่า The Last of Us Part I นั้นเหมาะกับใคร ส่วนตัวมองว่าถ้าหากคุณนั้นเล่นเกมเวอร์ชันปี 2013 มาก่อนแล้ว จริง ๆ ในเกมเวอร์ชันนี้กลิ่นอายทั้งหมดแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง หรือเกมเพลย์ ตัวเกมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และอยากจะลองสัมผัสสุดยอดเกมที่ทั้งเนื้อเรื่องและเกมเพลย์อันดีงามแบบนี้สักครั้ง หรือคนที่เคยเล่นแต่เกมภาค 2 การกลับมาเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันใหม่ก็จะทำให้คุณเข้าใจถึงเนื้อเรื่อง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Joel และ Ellie ยิ่งขึ้น ทำให้คุณได้รู้ว่าทำไม Joel ถึงสำคัญกับ Ellie มากขนาดนั้น


หรือใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และยังภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน การกลับมาเล่นภาคนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเกมภาค 2 ให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ลึกซึ่งมากขึ้น โดยตัวเกมวางขายอยู่ที่ราคา 2,290 บาท ในเวอร์ชันปกติ และ 2,590 บาท ในเวอร์ชัน Deluxe ที่เราจะสามารถปลดล็อคความสามารถ หรือปลดล็อคโหมดบางโหมดเช่น Speed Run โดยที่ไม่ต้องเล่นจนจบเกมก็ได้ สั่งซื้อเกมได้ที่


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header