เป็นเกมที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากเมื่อปี 2013 สำหรับเกม The Last of Us จากทางผู้พัฒนา Naughty Dog และได้รับคำชมมากกับการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้อยู่แล้วเพราะเคยทำเกมอย่าง Uncharted มา จนทำให้ The Last of Us ได้คะแนน 10/10 จากสำนักสื่อต่าง ๆ มากมาย และตัวเกมก็กลายเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 3 เลยทีเดียว จนในปี 2020 พวกเขานั้นก็ได้สร้างเกมภาคต่อกับ The Last of Us Part II ที่ตัวเกมก็ยังสร้างมาตรฐานในด้านของเนื้อเรื่องเอาไว้ได้อย่างดี ได้รับคำชมมากมายและสุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมจากงาน The Game Awards ปี 2020 ไปครองจนได้
และเนื่องจากความสำเร็จของเกม The Last of Us Part II ในปี 2022 นี้ทางผู้พัฒนาเลยได้ทำการ Remake เกมภาคแรกอีกครั้งและใช้ชื่อว่า The Last of Us Part I เพื่อเสิร์ฟให้กับคนที่อาจจะไม่เคยเล่นภาคแรก เพื่อให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่า The Last of Us Part I เหมาะในการที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ และเหมาะกับใคร!?
ยกระดับขุมพลังด้วยกราฟิกของเกม The Last of Us Part II
ต้องพูดถึงจุดเด่นของเกม The Last of Us Part I ก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ทางผู้พัฒนานั้นได้ทำการปั้นโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจาก Engine ขั้นเทพของเกม The Last of Us Part II สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเครื่อง PlayStation 5 เราจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในด้านโมเดลและแอนิเมชันของเกมที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับในด้านกราฟิกว่าสวยงามมากจริง ๆ
ทั้งในด้านแสงหรือบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น แต่ในบางโมเดลของตัวละครอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากภาคแรกอย่างเช่นตัวละคร Tess ที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาไป และในเวอร์ชันนี้ตัวเธอนั้นดูมีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในด้านเทคโนโลยีที่หน้าตาเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้การคำนวนต่าง ๆ นั้นเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทาง Sony ก็เคยเปลี่ยนหน้าตาของ Peter Parker ในเกม Marvel's Spider-Man Remastered มาแล้ว
ภายในเกมยังมีให้เราปรับกราฟิกอยู่สองแบบคือโหมดประสิทธิภาพ ที่จะรันกราฟิกได้สูงถึง 1440p (สำหรับคนใช้จอความละเอียดสูง) และจะสามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 60FPS และอีกอันก็คือโหมดแม่นยำ ที่จะมีกราฟิกที่คมชัดมากกว่า แต่จะรันเฟรมเรทได้เพียงแค่ 30 FPS ซึ่งจากที่ได้ลองแล้วนั้น ในบางฉากโหมดแม่นยำจะสามารถทำกราฟิกที่สดใสกว่า รายละเอียดในฉากระยะไกลก็จะคมชัดทั้งหมด แสงเงาต่าง ๆ จะทำได้ดีกว่ามาก ต่างจากโหมดประสิทธิภาพที่ภาพบางฉากจะมัวเพื่อให้เครื่องเกมสามารถรันเฟรมเรทได้อย่างคงที่ ซึ่งส่วนตัวนั้นถนัดในโหมดประสิทธิภาพและรัน 60FPS มากกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าโหมดแม่นยำเองก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร ใครที่สามารถเล่น 30 FPS ได้ส่วนตัวแนะนำเลย
รวมถึงตัวเกมนี้ยังรองรับฟังชันต่าง ๆ ของจอย DualSense ด้วยทั้งระบบ Addictive trigger ที่จะเพิ่มประสบการณ์ให้เราในขณะที่ใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นการใช้ธนูเวลากด R2 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเราง้างธนูจริง ๆ อยู่ หรือระบบการสั่นที่จะสั่นตามสถานการณ์ของเกมซึ่งมันสามารถมอบประสบการณ์ทียอดเยี่ยมให้เราในเวลาเล่นอย่างมาก รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่อง PlayStation 5 ที่จะสามารถโหลดฉากต่าง ๆ ของเกมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยพลังของ SSD
นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่เรียกว่าการเข้าถึง ที่สามารถปรับแต่งเกมเพลย์ตามสไตล์ของเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัด Input ของเกมใหม่ เช่นสามารถเลือกได้ว่าเวลาวิ่งจะกดค้าง หรือเป็นกดเปิด/ปิด การปรับตัวช่วยเล็ง การปรับหยิบอุปกรอัตโนมัติ หรือจะตั้งค่าให้เปลี่ยนอาวุธอัตโนมัติถ้าหากกระสุนหมดก็ได้ การปรับ Motion Sick ระยะมุมมอง หรือแม้กระทั่งการปรับแต่งระดับความยาก ที่เราสามารถลดความแม่นยำของศัตรูได้ ลดความสามารถรับรู้ของศัตรูได้เป็นต้น
ให้คุณได้ซึมซับเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยม
ในด้านของความเนื้อเรื่องเราคงจะไม่ได้เจาะลึกมากในบทความนี้ เพราะ The Last of Us Part I ก็จะยังเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับในเวอร์ชันดั้งเดิมของเกมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กับการเล่าเรื่องราวของ Joel นักลักลอบของเถื่อนที่ได้รับงานในกาส่งเด็กน้อยจอมแก่นคนหนึ่งนามว่า Ellie และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง และเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่
โดยเราจะได้รับรู้สึกความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่พึ่งรู้จักกันจนทั้งคู่คือคนสำคัญของกันละกัน เราจะได้เห็นถึงพัฒนาการแรกเริ่มของตัวละคร Ellie ในความไร้เดียงสาของภาคนี้ สู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพบเจอกับเหตุการร์สำคัญที่มันได้สานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้นในเกม The Last of Us Part II นั่นเอง
รวมถึงในภาคนี้ทางผู้พัฒนายังรวมนำเอา DLC อย่าง Left Behind ที่เราเรื่องราวของ Ellie และเพื่อนสนิทของเธอ Riley ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเกมภาคหลักด้วย (แต่ทางผู้พัฒนากล่าวว่าควรจะเล่นเกมหลักก่อน เพราะเรื่องราวใน Left Behind จะมีการสปอยส์เนื้อหาสำคัญในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง) แน่นอนว่าใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดังเดิมมาก่อน เนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Last of Us Part I ก็จะยังคงเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
เกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมจากภาคแรก
จากที่ได้เล่นมาถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาจะกล่าวว่าตัวเกมนั้นมีการยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ทั้งหมดก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามวลเกมเพลย์โดยรวมนั้นก็จะยังให้ความรู้สึกที่คงเดิม ศัตรูต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราเองสามารถรับรู้ได้ถึงแอนิเมชันของตัวละคร หรือฟิลลิงในการยิงปืนบางอย่างที่อาจจะรู้สึกแตกต่างบ้าง แต่ใครที่เคยเล่นเวอร์ชันปี 2013 มาก่อน และคาดหวังว่าตัวเกมจะให้อะไรที่แปลกใหม่ ท่านก็อาจจะต้องผิดหวังในเรื่องนี้
แต่แน่นอนว่าถึงแม้เกมเพลย์ของ The Last of Us Part I จะยังคงเดิม แต่นี่ก็ยังเป็นเกม Action Adventure ที่ทำออกมาได้อย่างละเมียดละมัย ในด้านเกมเพลย์ ความตืนเต้น การลอบเร้น A.I. ศัตรูก็มีความฉลาด รู้จักโอบล้อมไม่ให้ผู้เล่นอยู่ในจุด ๆ เดียวมากเกินไป การที่เราจะต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีในการสังหารศัตรูให้หมด ความตื่นเต้นนี้จะยังคงอยู่ รวมถึงระบบที่หายไปในเกม The Last of Us Part II ก็คือระบบการปรับแต่งปืน ซึ่งเป็นความสามารถของ Joel ที่ในเวอร์ชันนี้ก็ยังอยู่ และส่วนตัวชอบมันมาก
เกมนี้เหมาะกับใคร
ถ้าให้พูดว่า The Last of Us Part I นั้นเหมาะกับใคร ส่วนตัวมองว่าถ้าหากคุณนั้นเล่นเกมเวอร์ชันปี 2013 มาก่อนแล้ว จริง ๆ ในเกมเวอร์ชันนี้กลิ่นอายทั้งหมดแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง หรือเกมเพลย์ ตัวเกมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และอยากจะลองสัมผัสสุดยอดเกมที่ทั้งเนื้อเรื่องและเกมเพลย์อันดีงามแบบนี้สักครั้ง หรือคนที่เคยเล่นแต่เกมภาค 2 การกลับมาเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันใหม่ก็จะทำให้คุณเข้าใจถึงเนื้อเรื่อง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Joel และ Ellie ยิ่งขึ้น ทำให้คุณได้รู้ว่าทำไม Joel ถึงสำคัญกับ Ellie มากขนาดนั้น
หรือใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และยังภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน การกลับมาเล่นภาคนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเกมภาค 2 ให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ลึกซึ่งมากขึ้น โดยตัวเกมวางขายอยู่ที่ราคา 2,290 บาท ในเวอร์ชันปกติ และ 2,590 บาท ในเวอร์ชัน Deluxe ที่เราจะสามารถปลดล็อคความสามารถ หรือปลดล็อคโหมดบางโหมดเช่น Speed Run โดยที่ไม่ต้องเล่นจนจบเกมก็ได้ สั่งซื้อเกมได้ที่
เนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยมดั่งในเวอร์ชันต้นฉบับ
กราฟิกยกระดับใหม่ทั้งหมด สวยงามกว่าเดิมหลายเท่า
เกมเพลย์ยอดเยี่ยม
ตัวเกมรองรับภาษาไทย
ไม่เหมาะกับคนที่เล่นเวอร์ชันปี 2013 จนเชี่ยวชาญแล้ว เพราะกลิ่นอายทั้งหมดคงเดิม
เป็นเกมที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากเมื่อปี 2013 สำหรับเกม The Last of Us จากทางผู้พัฒนา Naughty Dog และได้รับคำชมมากกับการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้อยู่แล้วเพราะเคยทำเกมอย่าง Uncharted มา จนทำให้ The Last of Us ได้คะแนน 10/10 จากสำนักสื่อต่าง ๆ มากมาย และตัวเกมก็กลายเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 3 เลยทีเดียว จนในปี 2020 พวกเขานั้นก็ได้สร้างเกมภาคต่อกับ The Last of Us Part II ที่ตัวเกมก็ยังสร้างมาตรฐานในด้านของเนื้อเรื่องเอาไว้ได้อย่างดี ได้รับคำชมมากมายและสุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมจากงาน The Game Awards ปี 2020 ไปครองจนได้
และเนื่องจากความสำเร็จของเกม The Last of Us Part II ในปี 2022 นี้ทางผู้พัฒนาเลยได้ทำการ Remake เกมภาคแรกอีกครั้งและใช้ชื่อว่า The Last of Us Part I เพื่อเสิร์ฟให้กับคนที่อาจจะไม่เคยเล่นภาคแรก เพื่อให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่า The Last of Us Part I เหมาะในการที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ และเหมาะกับใคร!?
ยกระดับขุมพลังด้วยกราฟิกของเกม The Last of Us Part II
ต้องพูดถึงจุดเด่นของเกม The Last of Us Part I ก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ทางผู้พัฒนานั้นได้ทำการปั้นโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจาก Engine ขั้นเทพของเกม The Last of Us Part II สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเครื่อง PlayStation 5 เราจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในด้านโมเดลและแอนิเมชันของเกมที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับในด้านกราฟิกว่าสวยงามมากจริง ๆ
ทั้งในด้านแสงหรือบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น แต่ในบางโมเดลของตัวละครอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากภาคแรกอย่างเช่นตัวละคร Tess ที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาไป และในเวอร์ชันนี้ตัวเธอนั้นดูมีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในด้านเทคโนโลยีที่หน้าตาเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้การคำนวนต่าง ๆ นั้นเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทาง Sony ก็เคยเปลี่ยนหน้าตาของ Peter Parker ในเกม Marvel's Spider-Man Remastered มาแล้ว
ภายในเกมยังมีให้เราปรับกราฟิกอยู่สองแบบคือโหมดประสิทธิภาพ ที่จะรันกราฟิกได้สูงถึง 1440p (สำหรับคนใช้จอความละเอียดสูง) และจะสามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 60FPS และอีกอันก็คือโหมดแม่นยำ ที่จะมีกราฟิกที่คมชัดมากกว่า แต่จะรันเฟรมเรทได้เพียงแค่ 30 FPS ซึ่งจากที่ได้ลองแล้วนั้น ในบางฉากโหมดแม่นยำจะสามารถทำกราฟิกที่สดใสกว่า รายละเอียดในฉากระยะไกลก็จะคมชัดทั้งหมด แสงเงาต่าง ๆ จะทำได้ดีกว่ามาก ต่างจากโหมดประสิทธิภาพที่ภาพบางฉากจะมัวเพื่อให้เครื่องเกมสามารถรันเฟรมเรทได้อย่างคงที่ ซึ่งส่วนตัวนั้นถนัดในโหมดประสิทธิภาพและรัน 60FPS มากกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าโหมดแม่นยำเองก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร ใครที่สามารถเล่น 30 FPS ได้ส่วนตัวแนะนำเลย
รวมถึงตัวเกมนี้ยังรองรับฟังชันต่าง ๆ ของจอย DualSense ด้วยทั้งระบบ Addictive trigger ที่จะเพิ่มประสบการณ์ให้เราในขณะที่ใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นการใช้ธนูเวลากด R2 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเราง้างธนูจริง ๆ อยู่ หรือระบบการสั่นที่จะสั่นตามสถานการณ์ของเกมซึ่งมันสามารถมอบประสบการณ์ทียอดเยี่ยมให้เราในเวลาเล่นอย่างมาก รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่อง PlayStation 5 ที่จะสามารถโหลดฉากต่าง ๆ ของเกมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยพลังของ SSD
นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่เรียกว่าการเข้าถึง ที่สามารถปรับแต่งเกมเพลย์ตามสไตล์ของเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัด Input ของเกมใหม่ เช่นสามารถเลือกได้ว่าเวลาวิ่งจะกดค้าง หรือเป็นกดเปิด/ปิด การปรับตัวช่วยเล็ง การปรับหยิบอุปกรอัตโนมัติ หรือจะตั้งค่าให้เปลี่ยนอาวุธอัตโนมัติถ้าหากกระสุนหมดก็ได้ การปรับ Motion Sick ระยะมุมมอง หรือแม้กระทั่งการปรับแต่งระดับความยาก ที่เราสามารถลดความแม่นยำของศัตรูได้ ลดความสามารถรับรู้ของศัตรูได้เป็นต้น
ให้คุณได้ซึมซับเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยม
ในด้านของความเนื้อเรื่องเราคงจะไม่ได้เจาะลึกมากในบทความนี้ เพราะ The Last of Us Part I ก็จะยังเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับในเวอร์ชันดั้งเดิมของเกมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กับการเล่าเรื่องราวของ Joel นักลักลอบของเถื่อนที่ได้รับงานในกาส่งเด็กน้อยจอมแก่นคนหนึ่งนามว่า Ellie และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง และเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่
โดยเราจะได้รับรู้สึกความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่พึ่งรู้จักกันจนทั้งคู่คือคนสำคัญของกันละกัน เราจะได้เห็นถึงพัฒนาการแรกเริ่มของตัวละคร Ellie ในความไร้เดียงสาของภาคนี้ สู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพบเจอกับเหตุการร์สำคัญที่มันได้สานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้นในเกม The Last of Us Part II นั่นเอง
รวมถึงในภาคนี้ทางผู้พัฒนายังรวมนำเอา DLC อย่าง Left Behind ที่เราเรื่องราวของ Ellie และเพื่อนสนิทของเธอ Riley ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเกมภาคหลักด้วย (แต่ทางผู้พัฒนากล่าวว่าควรจะเล่นเกมหลักก่อน เพราะเรื่องราวใน Left Behind จะมีการสปอยส์เนื้อหาสำคัญในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง) แน่นอนว่าใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดังเดิมมาก่อน เนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Last of Us Part I ก็จะยังคงเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
เกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมจากภาคแรก
จากที่ได้เล่นมาถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาจะกล่าวว่าตัวเกมนั้นมีการยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ทั้งหมดก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามวลเกมเพลย์โดยรวมนั้นก็จะยังให้ความรู้สึกที่คงเดิม ศัตรูต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราเองสามารถรับรู้ได้ถึงแอนิเมชันของตัวละคร หรือฟิลลิงในการยิงปืนบางอย่างที่อาจจะรู้สึกแตกต่างบ้าง แต่ใครที่เคยเล่นเวอร์ชันปี 2013 มาก่อน และคาดหวังว่าตัวเกมจะให้อะไรที่แปลกใหม่ ท่านก็อาจจะต้องผิดหวังในเรื่องนี้
แต่แน่นอนว่าถึงแม้เกมเพลย์ของ The Last of Us Part I จะยังคงเดิม แต่นี่ก็ยังเป็นเกม Action Adventure ที่ทำออกมาได้อย่างละเมียดละมัย ในด้านเกมเพลย์ ความตืนเต้น การลอบเร้น A.I. ศัตรูก็มีความฉลาด รู้จักโอบล้อมไม่ให้ผู้เล่นอยู่ในจุด ๆ เดียวมากเกินไป การที่เราจะต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีในการสังหารศัตรูให้หมด ความตื่นเต้นนี้จะยังคงอยู่ รวมถึงระบบที่หายไปในเกม The Last of Us Part II ก็คือระบบการปรับแต่งปืน ซึ่งเป็นความสามารถของ Joel ที่ในเวอร์ชันนี้ก็ยังอยู่ และส่วนตัวชอบมันมาก
เกมนี้เหมาะกับใคร
ถ้าให้พูดว่า The Last of Us Part I นั้นเหมาะกับใคร ส่วนตัวมองว่าถ้าหากคุณนั้นเล่นเกมเวอร์ชันปี 2013 มาก่อนแล้ว จริง ๆ ในเกมเวอร์ชันนี้กลิ่นอายทั้งหมดแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง หรือเกมเพลย์ ตัวเกมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และอยากจะลองสัมผัสสุดยอดเกมที่ทั้งเนื้อเรื่องและเกมเพลย์อันดีงามแบบนี้สักครั้ง หรือคนที่เคยเล่นแต่เกมภาค 2 การกลับมาเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันใหม่ก็จะทำให้คุณเข้าใจถึงเนื้อเรื่อง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Joel และ Ellie ยิ่งขึ้น ทำให้คุณได้รู้ว่าทำไม Joel ถึงสำคัญกับ Ellie มากขนาดนั้น
หรือใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และยังภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน การกลับมาเล่นภาคนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเกมภาค 2 ให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ลึกซึ่งมากขึ้น โดยตัวเกมวางขายอยู่ที่ราคา 2,290 บาท ในเวอร์ชันปกติ และ 2,590 บาท ในเวอร์ชัน Deluxe ที่เราจะสามารถปลดล็อคความสามารถ หรือปลดล็อคโหมดบางโหมดเช่น Speed Run โดยที่ไม่ต้องเล่นจนจบเกมก็ได้ สั่งซื้อเกมได้ที่