GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม Street Fighter 6 เกมต่อสู้รุ่นใหญ่ ที่ปูพรมต้อนรับเหล่านักสู้หน้าใหม่อย่างเต็มที่
ลงวันที่ 02/06/2023

เมื่อพูดถึงเกมแนวต่อสู้ (Fighting) แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยตรงกันว่าเป็นแนวเกมที่ใคร ๆ เล่นสนุกได้ไม่ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่เหล่านั้นมักเล่นเกมโดยไม่ได้คิดถึง "วิธีเล่น" เกมเหล่านั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเทคนิคและระบบ (Mechanic) ต่าง ๆ หรือแม้แค่กระทั่งการจำวิธีปล่อยท่าก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจนัก ซึ่งก็ทำให้กลุ่ม "ผู้เล่นเกมต่อสู้" ที่ใส่ใจต่อระบบในเกมอย่างจริงจังมีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เสมอมา โดยการดึงดูดผู้เล่นใหม่ ๆ ให้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ "วิธีเล่น" ของเกม จึงเป็นโจทย์ที่นักพัฒนาเกมต่อสู้แทบทุกค่ายต่างพยายามแก้กัน 

หลังจากที่ได้ใช้เวลาระยะหนึ่งกับสุดยอดเกมต่อสู้ระดับเรือธงของ Capcom อย่าง Street Fighter 6 ซึ่งกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยระบบเนื้อเรื่องและ "ปุ่มลัด" มากมายที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นมือใหม่สามารถเข้าถึงความลึกล้ำของระบบต่อสู้ของเกมได้ง่ายขึ้น ทำให้เกม Street Fighter 6 เป็นเกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าสู่สังเวียนเป็นครั้งแรก

ขอขอบคุณทาง SICOM AMUSEMENT ตัวแทนจำหน่ายเกมในเครือของ Capcom อย่างเป็นทางการ ที่ส่งเกมนี้ให้เรารีวิวครับ

โลกของนักสู้สายเลือดใหม่ ที่ทำออกมาได้ดีแต่แผลยังเยอะอยู่


เนื้อเรื่องในภาคนี้ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับภาคเดิม ๆ ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้เลย จะกล่าวว่านี่เป็น Soft Reboot ของซีรีส์ก็ได้ แต่ตัวละครต่าง ๆ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจะกลับมาอย่างครบถ้วน อย่าง Luke ที่เป็นตัวละครใน DLC ของภาค 5 มาภาคนี้เขาก็ถูกดันให้เป็นตัวละครหลักบนปกเกม และจะคอยมาเป็นพี่เลี้ยงของเราด้วย สำหรับเนื้อหาในภาคนี้ เราจะรับบทเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาเอง เป้าหมายก็คือฝึกฝนวิชาต่อสู้เพื่อแสวงหาคำตอบของคำว่า 'แข็งแกร่ง' เราจะได้เข้าไปยังคอร์สอบรมการต่อสู้ของ Luke และพาให้เราออกเดินทางไปทั่วโลก ค้นหาความหมายของความแข็งแกร่ง ผ่านการต่อสู้กับเหล่านักสู้คนต่าง ๆ และตัวละครที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ในโซนพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้เราได้สัมผัสการเล่าเรื่องของ Street Fighter ในแบบที่ไม่มีภาคไหนทำได้มาก่อน 

ระหว่างการผจญภัยในโหมดเนื้อเรื่อง เราจะได้พบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ตลกขำขันไปจนถึงซีเรียสจริงจัง ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติใหม่ที่แฟน ๆ Street Fighter ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพียงแต่ว่าการมีรสชาติใหม่ก็ใช่ว่ามันจะดี ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า มันเป็นการเริ่มต้นหาอะไรใหม่ ๆ ให้แฟรนไชส์ได้ยอดเยี่ยม และทำออกมาดีใช้ได้เลย แต่หลายอย่างมันก็ยังผิดแปลกไปซะหน่อย เหมือนทีมสร้างยังหาจุดลงตัวไม่เจอ ว่าจะทำให้เกม Fighting มีเนื้อเรื่องยังไง เล่าเรื่องแบบไหน และทำยังไงให้มันเหมาะสมกับความเป็นแนวเกมต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมองว่าเขายังทำได้ไม่ดีมากเท่าไรนัก จากตื่นเต้นช่วงแรก ๆ เล่นไปนาน ๆ จะเริ่มน่าเบื่อและดรอปความสนุกลงไปเรื่อย ๆ 


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียที่ดี ซึ่งหาก Street Fighter เขาจะทำเนื้อเรื่องเพิ่มในเกมภาคต่อไป ก็อยากให้เอาไอเดียหลายอย่างในภาคนี้ไปขัดเกลาเพิ่ม ไม่แน่ว่าเกมต่อสู้เกมอื่น ๆ อาจใช้ Street Fighter 6 เป็นมาตรฐานใหม่ของการมี Story Mode ก็เป็นได้

อัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แถมปูพรมต้อนรับมือใหม่อย่างเต็มที่


ปกติแล้ว เกมแนว Fighting มักจะขึ้นชื่อว่าจะเน้นหนักไปที่โหมดออนไลน์ซะเป็นส่วนใหญ่ แถมยิ่งเป็นแนวเกมต่อสู้ โอกาสที่จะดึงดูดแฟนเกมหน้าใหม่มานั้นถือว่ายาก แต่ Street Fighter 6 กำลังจะหาจุดตรงกลางที่พอดี ด้วยการ Launch ตัวเกมให้มีคอนเทนต์ที่อัดแน่นเพียงพอทั้งโหมดออนไลน์และออฟไลน์ โดยสำหรับโหมด World Tour หรือโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ เราจะได้ใช้เวลาไปกับตัวละครที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ออกผจญภัยไปในแผนที่กึ่งโลกเปิด คือมันไม่ได้กว้างใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ และซอกซอยให้เราแวะไปสำรวจอยู่บ้าง และการออกสำรวจก็ค่อนข้างจะสำคัญเสียด้วย เพราะในโหมดเนื้อเรื่อง มันได้เปลี่ยนเกม Street Fighter ให้กลายเป็นเกม Fighting RPG ไปเลย มีการเก็บเลเวล อัปเกรดสกิล กินอาหารบัฟ แต่งตัว และบอกเลยว่าเนื้อหาของโหมดเนื้อเรื่องนั้น มีความยาวชนิดที่ว่าอิ่มจุใจ คุ้มค่าแน่นอน แต่รายละเอียดตา่ง ๆ อาจมีปํญหาไปหน่อย ซึ่งเราจะอธิบายในหัวข้อถัดไป

ต่อมาคือคอนเทนต์หลักที่ทำให้เกมมีอายุยืนยาวอย่างโหมดออนไลน์ที่ภาคนี้จัดเต็มมาให้แบบครอบคลุมมาก ไม่ว่าคุณจะอยาก Matchmaking อยากออกไปหาคู๋แข่งตามเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเองผ่านระบบ Battle Hub หรือแม้แต่ต่อจอยสองเพิ่มเพื่อสนุกกับคนใกล้ชิด เกมนี้ออกแบบมาให้ครบ สำหรับระบบ Battle Hub ในภาคนี้ จะเป็นการที่เราจะเข้าไปยังพื้นที่ศูนย์กลางของเซิร์ฟเวอร์เกม โดยใช้ตัวละคร Avatar ของเรา ไปเล่นร่วมกับคนอื่นโดยการท้าประลองกันผ่านตู้ Arcade ถือว่าเป็นอะไรที่ครีเอทใช้ได้ แต่ปัญหาคือสำหรับการเล่นโหมดออนไลน์ในตอนนี้ ฟีเจอร์ Custom Room หรือสร้างห้องเล่นกันเองนั้น ยังไม่รองรับซะอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ Casual Match สามารถใช้วิธี Matchmaking กันได้ปกติ แต่การสร้างห้องตอนนี้ ยังต้องรอไปก่อน ซึ่งหากรองรับการเล่นแบบ Custom Room เราสามารถตั้งปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วไปลุยกับทีมอืนได้ น่าจะสนุกขึ้นอีกเยอะ 


สรุปคือตอนนี้คอนเทนต์ทั้งโหมดเนื้อเรื่องก็ยาวจุใจ โหมดออนไลน์ แม้จะไม่มี Custom Room แต่ความสนุกก็ไม่ได้ลดลง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงพีค หาห้องแปปเดียวก็เจอแล้ว หรือถ้าจะเอาชัวร์ ๆ เลยคือเข้า Battle Hub ในเซิร์ฟเวอร์ที่คนเยอะ ๆ ก็จะเจอคนให้ท้าประลองด้วยอย่างแน่นอน แต่ข้อเสียเดียวที่ผู้เขียนมองเห็นในตอนนี้คือตัวละครที่ยังมีน้อยมาก ๆ ณ เวลาที่เขียนรีวิวตัวนี้ Street Fighter 6 มีตัวละครให้เลือกเล่นเพียง 16 ตัวละครเท่านั้น แน่นอนว่าอนาคตตัวละครใหม่ ๆ มันมาแน่ ๆ แหละ แต่ก็หนีไม่พ้น DLC เสียเงินแน่นอน ใครที่ชอบความหลากหลายของตัวละครอาจจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อย แต่สำหรับฮาร์ดคอร์แฟนที่อยากจะลองฝึกเล่นสักตัวให้เก่ง ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วก็ได้

เกมเพลย์ที่พยายามเข้าถึงผู้เล่นทุกคนให้ได้มากที่สุด


ก่อนจะเริ่มเขียนรีวิวตัวนี้ หลายสื่อจากต่างประเทศต่างก็ชมว่า นี่คือเกมต่อสู้ที่เป็นมิตรกับหน้าใหม่มากที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ทิ้งผู้เล่นเก่า ก่อนจะไปในส่วนของโหมดการต่อสู้ เรามาดูที่โหมด World Tour หรือว่าโหมดเนื้อเรื่องกันก่อน สำหรับโหมดเนื้อเรื่องนี้ เราจะได้สร้างและออกแบบตัวละครของตัวเองขึ้นมา ซึ่งปรับแต่งได้ค่อนข้างละเอียดมาก แถมความยาวของแขนและขาจะส่งผลในการต่อสู้จริงด้วย เช่นถ้าแขนยาวก็มีระยะการโจมตีที่มากกว่าศัตรูนั่นเอง 

สำหรับโหมดเนื้อเรื่อง จะเป็นการพาเราไปยังพื้นที่เปิดต่าง ๆ เราสามารถเดินทาง ออกสำรวจ และทำตามภารกิจหลักเนื้อเรื่อง หรือบางช่วงก็จะมีภารกิจย่อยเข้ามา โหมดเนื้อเรื่องจะใส่ความเป็นเกม RPG เข้ามาในตัวเองเลย คือมีระบบเลเวล ค่าประสบการณ์ ไอเทมบัฟ และผังทักษะหรือ Skill Tree วิธีการเพิ่มเลเวลก็คือออกไปทำาภรกิจเนื้อเรื่อง หรือภารกิจรอง และท้าสู้กับเหล่านักสู้ข้างทาง ต้องบอกเลยว่าเกมนี้นี่ทุกคนมีเลือดนักสู้กันเยอะมาก ท้าสู้ได้เกือบจะทุกคน และนักสู้แต่ละคนจะมีเงื่อนไขพิเศษ ถ้าทำได้ก็มีรางวัลเพิ่มให้อีกด้วย และ Skill Tree หรือผังทักษะนั้น เราไม่สามารถอัปเกรดทุกสกิลได้ แต่จะเลือกได้เพียง 1 สกิล และปลดล็อคขึ้นไปสูงขึ้น ๆ จนถึงระดับสูงสุดก็จะปลดสกิลชุดใหม่มาให้


และในเมื่อเราเป็นตัวละครสร้างเอง กระบวนท่าต่อสู้ของเราในช่วงแรกก็จะเหมือนกับพวกนักสู้ข้างถนน จนเราได้เจอกับเหล่าตัวละครที่เป็นปรมาจารย์ในการต่อสู้ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่ก็เป็นพวกตัวละครหลักในเกม Street Fighter นี่แหละ อย่างเช่นช่วงแรก เราก็จะเป็นลูกศิษย์ของ Luke เราก็จะสามารถใช้ท่าของ Luke ในการต่อสู้ได้ แต่ถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ เจออาจารย์คนใหม่เรื่อย ๆ ก็จะสามารถสลับสับเปลี่ยนเอาท่าตัวละครนั้น ๆ มาใช้ โดยการใช้ท่าของอาจารย์คนไหน เมื่อชนะการต่อสู้ได้ ก็จะได้ค่าประสบการณ์ของอาจารย์คนนั้น ๆ ช่วยทำให้เราปลดล็อคท่าใหม่ ๆ ได้ และหากเราเก็บไอเทมพิเศษมา ก็สามารถนำไปมอบเป็นของขวัญให้อาจารย์คนนั้น และปลดล็อคสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย

นอกจากนั้นตัวละครของเรายังสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ และไม่ใช่แค่แต่งเอาสวยเอาหล่อเท่านั้น เพราะเครื่องแต่งกายต่าง ๆ จะบวกค่าสเตตัสบางอย่างให้สูงขึ้น เช่นเตะแรงขึ้น ต่อยแรงขึ้น โดยเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ก็มีวิธีการได้รับที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำภารกิจเนื้อเรื่อง ภารกิจรอง หรือใช้เงินซื้อจากร้านค้าโดยตรง แต่ช่วงแรกชุดแต่งตัวเราจะน้อยมาก ๆ จนดูเหมือนจะแต่งตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาในการเล่นเพื่อปลดล็อคไปก่อน ซึ่งก็ไม่แน่ว่ามันจะมาในรูปแบบของ DLC ด้วยหรือไม่


ด้วยความที่เป็นเกมแบบ Open Area มีพื้นที่ให้สำรวจ จะให้ทั้งเมืองมีแต่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปท้าสู้ได้ก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย เกมนี้เลยมีพวก Mad Gear หรือแก๊งตัวร้ายอยู่ในเมืองนี้ด้วย และใช่แล้ว หากใครเคยเล่นเกมค่าย Capcom มา จะคุ้นชื่อแก๊งนี้ เพราะมันเป็นแก๊งในเกม Final Fight นั่นเอง พวก Mad Gear จะเป็นเหมือนกับศัตรูประเภท Aggressive ที่จะโจมตีเราก่อน เราจะวิ่งหนีก็ได้ หรือจะสู้กับมันไปเลยเพื่อเก็บเลเวลก็ทำได้ แต่บอกเลยว่าหลัง ๆ มันจะเยอะจนน่ารำคาญเลยทีเดียว โดยทุกครั้งหากเราเริ่มการต่อสู้กับใครก็ตาม จากการเล่นแบบเกม Open World มุมมอง TPS ทั่วไป เกมจะตัดฉากเข้าสู่รูปแบบเกม Fighting ทันที ซึ่งตอนแรกมันก็ว้าว แต่หลัง ๆ มาไอ้พวก Mad Gear นี่มันเยอะมาก เยอะจนเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้การโดนโจมตี หรือถูกบังคับให้เข้าโจมตีแบบนี้เสียเวลาในการเล่นไปไม่ใช่น้อย

พื้นที่ภารกิจเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้มีแค่เมืองเดียว เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จะมีการ Fast Travel หรือออกเดินทางไปที่อื่น ซึ่งเป็นประเทศสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ในโลกได้ด้วย ทำให้โดยรวมแล้ว คอนเทนต์ของ Street Fighter 6 ในโหมดเนื้อเรื่องนั้น ถือว่าคุ้มค่าและเต็มอิ่มมาก เพียงแต่ว่าระบบหลายอย่างมันยังดูแปลก ๆ เช่นการสนทนาหรือคัทซีนที่ชวนง่วง ภารกิจดีไซน์เดิม ๆ ที่เน้นการวิ่งคุยกลับไปกลับมา ใครเบื่อง่าย อาจจะเล่นไม่จบเอาก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าภาคนี้เขาวางโครงระบบไว้ดีมาก ก็หวังว่าภาคแรกเราจะได้เห็นการปรับปรุงและพัฒนาในส่วนของเนื้อเรื่องให้ดีมากกว่านี้

ทีนี้ข้ามมาดูโหมดไฮไลท์ของเกมกันบ้าง กับโหมดออนไลน์ ต้องบอกว่าโหมดออนไลน์กับเนื้อเรื่องนั้น จะมีการยืมระบบมาใช้กันเล็กน้อย แต่สบายใจได้ ไม่ใช่ระบบ RPG ระบบที่ว่าก็คือระบบใหม่แกะกล่องของภาคนี้อย่างระบบ Drive Gauge โดยระบบนี้จะเป็นหลอดพลังพิเศษที่อยู่ใต้พลังชีวิตของเรา และเป็นหลอดที่เป็นหัวใจสำคัญในเกมภาคนี้ ทุกครั้งที่เราโจมตี หลอดนี้จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าป้องกันหลอดนี้จะลดลง และเมื่อหลอดนี้โดนเบิร์นจนหมดอาจจะทำให้ตัวละครเข้าสู่สภาวะ Burnout หรือสูญเสียการป้องกันชั่วคราว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเกมต่อสู้เอาซะเลย ดังนั้นระบบการต่อสู้ของเกมภาคนี้จึงเป็นการเชิญชวนให้ผู้เล่นเดินหน้าเข้าปะทะกันมากกว่าที่จะเล่นเชิง ตั้งแง่หรือกดป้องกันรอสวนอย่างเดียว 


และ Drive Gauge เองนี่แหละที่จะมาช่วยในเรื่องของการโจมตีพิเศษที่มีสองแบบคือ Special Moves - Special Moves นี้จะเป็นคอมโบต่อเนื่องอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่วนอีกรูปแบบคือ Super Arts ที่จำเป็นจะต้องใช้เกจพลังสะสมที่อยู่ด้านล่างจอ การใช้ Special Moves จะอิงจากหลอด Drive Gauge ทำให้เราต้องบริหารให้ดี จะรับหรือจะรุก จะบล็อคหรือป้องกัน หรือสวนไปเลย เพราะท่า Special Moves สามารถทะลวงการป้องกันไปเบิร์นหลอด Drive Gauge ฝั่งศัตรูได้ด้วย แต่ถ้าอีกฝั่ง Parry ได้ก็มีโอกาสโดนสวนกลับเช่นกัน ยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เล่นเข้ามาแลกหมัดแลกเท้ากันมากขึ้นกว่าเดิม

ทีนี้มาดูที่ระบบปุ่มทั้งสองแบบ คือแบบ Modern และแบบ Classic ซึ่งเป็นชุดควบคุมที่ถูกออกแบบมาให้กับทั้งสองฐานผู้เล่น แบบ Modern นั้นจะมีความซับซ้อนในการคอมโบและโจมตีที่น้อยกว่า กดง่ายกว่า ส่วนแบบ Classic จะเป็นแบบปกติที่แฟน ๆ Street Fighter เล่นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความแตกต่างก็คือ พวกท่า Special Moves หรือ Super Arts ต่าง ๆ คนที่ใช้แบบ Modern จะกดติดง่ายก็จริง แต่ความแรงจะไม่เท่ากับคนที่ใช้ปุ่มแบบ Classic ซึ่งก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม กดติดง่ายกว่า แต่เบากว่า อีกฝั่งกดติดยากกว่า ก็แลกมากับความแรงเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้แรงถึงขั้นเสียสมดุลไปเลย ด้วยระบบนี้ผสมผสานกับ Drive Gauge ทำให้ภาคนี้เป็นการผสมผสานและเชื้อเชิญให้ผู้เล่นหน้าเก่า หน้าใหม่มาลองสู้กัน และหาวิธีการเก่งขึ้นในแบบฉบับของตัวเอง จะฝึกกับคนจริง ๆ แพ้ซ้ำ ๆ หรือจะเข้าไปฝึกเองในห้องเทรนก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าภาคนี้ เขาทำให้เกมมันเข้าถึงได้กับทุกคนจริง ๆ


สำหรับโหมด PvP หรือโหมดออนไลน์ของเกมนี้ ต้องบอกว่านอกจากการออนไลน์ไปสู้กับคนอื่นและการไต่แรงค์ในตอนนี้ยังแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจเท่าไร และมันเป็นการหยิบเอาอะไรเดิม ๆ มาขัดเกลา ปรับปรุง ต่อยอด และปรับให้คนเล่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อนาคตคอนเทนต์ของโหมดออนไลน์อาจจะต้องรอดูกันที่ตัวละครใหม่ ระบบฤดูกาลหรือซีซั่นที่จะเพิ่มเข้ามาในระยะยาว แต่เอาแค่ตอนนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว และสำหรับมือใหม่ที่ลังเล อยากลองก้าวขาเข้ามาสู่วงการเกมต่อสู้ เกมนี้ถือเป็นเกมรับน้องที่ดี แต่อย่าลืมว่า การฝึกปรือก็สำคัญเช่นกัน ลองล้มลุกคลุกคลานกับเกมนี้ดู สนุก ไม่เสียหายแน่นอน

Street Fighter 6 ถือเป็นเกมที่ยังคงทำให้ชื่อของ Capcom นั้น อยู่ในอันดับค่ายเกมคุณภาพเบอร์ต้น ๆ และมันน่าจะดึงดูดฐานแฟนหน้าใหม่เข้ามาได้อีกมาก จนกว่าจะมีภาคใหม่ตามออกมา

ดูรายชื่อร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเกมได้ ที่นี่

7
ข้อดี

โหมดเนื้อเรื่องแบบใหม่ที่น่าสนใจ

เกมเพลย์ที่เป็นมิตรกับมือใหม่

กราฟิกมีสไตล์ ดูไม่เบื่อ

ข้อเสีย

คุณภาพเนื้อเรื่องยังอ่อนไปนิด

คอนเทนต์เสริมที่น่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม

8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม Street Fighter 6 เกมต่อสู้รุ่นใหญ่ ที่ปูพรมต้อนรับเหล่านักสู้หน้าใหม่อย่างเต็มที่
02/06/2023

เมื่อพูดถึงเกมแนวต่อสู้ (Fighting) แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยตรงกันว่าเป็นแนวเกมที่ใคร ๆ เล่นสนุกได้ไม่ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่เหล่านั้นมักเล่นเกมโดยไม่ได้คิดถึง "วิธีเล่น" เกมเหล่านั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเทคนิคและระบบ (Mechanic) ต่าง ๆ หรือแม้แค่กระทั่งการจำวิธีปล่อยท่าก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจนัก ซึ่งก็ทำให้กลุ่ม "ผู้เล่นเกมต่อสู้" ที่ใส่ใจต่อระบบในเกมอย่างจริงจังมีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เสมอมา โดยการดึงดูดผู้เล่นใหม่ ๆ ให้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ "วิธีเล่น" ของเกม จึงเป็นโจทย์ที่นักพัฒนาเกมต่อสู้แทบทุกค่ายต่างพยายามแก้กัน 

หลังจากที่ได้ใช้เวลาระยะหนึ่งกับสุดยอดเกมต่อสู้ระดับเรือธงของ Capcom อย่าง Street Fighter 6 ซึ่งกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยระบบเนื้อเรื่องและ "ปุ่มลัด" มากมายที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นมือใหม่สามารถเข้าถึงความลึกล้ำของระบบต่อสู้ของเกมได้ง่ายขึ้น ทำให้เกม Street Fighter 6 เป็นเกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าสู่สังเวียนเป็นครั้งแรก

ขอขอบคุณทาง SICOM AMUSEMENT ตัวแทนจำหน่ายเกมในเครือของ Capcom อย่างเป็นทางการ ที่ส่งเกมนี้ให้เรารีวิวครับ

โลกของนักสู้สายเลือดใหม่ ที่ทำออกมาได้ดีแต่แผลยังเยอะอยู่


เนื้อเรื่องในภาคนี้ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับภาคเดิม ๆ ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้เลย จะกล่าวว่านี่เป็น Soft Reboot ของซีรีส์ก็ได้ แต่ตัวละครต่าง ๆ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจะกลับมาอย่างครบถ้วน อย่าง Luke ที่เป็นตัวละครใน DLC ของภาค 5 มาภาคนี้เขาก็ถูกดันให้เป็นตัวละครหลักบนปกเกม และจะคอยมาเป็นพี่เลี้ยงของเราด้วย สำหรับเนื้อหาในภาคนี้ เราจะรับบทเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาเอง เป้าหมายก็คือฝึกฝนวิชาต่อสู้เพื่อแสวงหาคำตอบของคำว่า 'แข็งแกร่ง' เราจะได้เข้าไปยังคอร์สอบรมการต่อสู้ของ Luke และพาให้เราออกเดินทางไปทั่วโลก ค้นหาความหมายของความแข็งแกร่ง ผ่านการต่อสู้กับเหล่านักสู้คนต่าง ๆ และตัวละครที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ในโซนพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้เราได้สัมผัสการเล่าเรื่องของ Street Fighter ในแบบที่ไม่มีภาคไหนทำได้มาก่อน 

ระหว่างการผจญภัยในโหมดเนื้อเรื่อง เราจะได้พบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ตลกขำขันไปจนถึงซีเรียสจริงจัง ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติใหม่ที่แฟน ๆ Street Fighter ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพียงแต่ว่าการมีรสชาติใหม่ก็ใช่ว่ามันจะดี ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า มันเป็นการเริ่มต้นหาอะไรใหม่ ๆ ให้แฟรนไชส์ได้ยอดเยี่ยม และทำออกมาดีใช้ได้เลย แต่หลายอย่างมันก็ยังผิดแปลกไปซะหน่อย เหมือนทีมสร้างยังหาจุดลงตัวไม่เจอ ว่าจะทำให้เกม Fighting มีเนื้อเรื่องยังไง เล่าเรื่องแบบไหน และทำยังไงให้มันเหมาะสมกับความเป็นแนวเกมต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมองว่าเขายังทำได้ไม่ดีมากเท่าไรนัก จากตื่นเต้นช่วงแรก ๆ เล่นไปนาน ๆ จะเริ่มน่าเบื่อและดรอปความสนุกลงไปเรื่อย ๆ 


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียที่ดี ซึ่งหาก Street Fighter เขาจะทำเนื้อเรื่องเพิ่มในเกมภาคต่อไป ก็อยากให้เอาไอเดียหลายอย่างในภาคนี้ไปขัดเกลาเพิ่ม ไม่แน่ว่าเกมต่อสู้เกมอื่น ๆ อาจใช้ Street Fighter 6 เป็นมาตรฐานใหม่ของการมี Story Mode ก็เป็นได้

อัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แถมปูพรมต้อนรับมือใหม่อย่างเต็มที่


ปกติแล้ว เกมแนว Fighting มักจะขึ้นชื่อว่าจะเน้นหนักไปที่โหมดออนไลน์ซะเป็นส่วนใหญ่ แถมยิ่งเป็นแนวเกมต่อสู้ โอกาสที่จะดึงดูดแฟนเกมหน้าใหม่มานั้นถือว่ายาก แต่ Street Fighter 6 กำลังจะหาจุดตรงกลางที่พอดี ด้วยการ Launch ตัวเกมให้มีคอนเทนต์ที่อัดแน่นเพียงพอทั้งโหมดออนไลน์และออฟไลน์ โดยสำหรับโหมด World Tour หรือโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ เราจะได้ใช้เวลาไปกับตัวละครที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ออกผจญภัยไปในแผนที่กึ่งโลกเปิด คือมันไม่ได้กว้างใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ และซอกซอยให้เราแวะไปสำรวจอยู่บ้าง และการออกสำรวจก็ค่อนข้างจะสำคัญเสียด้วย เพราะในโหมดเนื้อเรื่อง มันได้เปลี่ยนเกม Street Fighter ให้กลายเป็นเกม Fighting RPG ไปเลย มีการเก็บเลเวล อัปเกรดสกิล กินอาหารบัฟ แต่งตัว และบอกเลยว่าเนื้อหาของโหมดเนื้อเรื่องนั้น มีความยาวชนิดที่ว่าอิ่มจุใจ คุ้มค่าแน่นอน แต่รายละเอียดตา่ง ๆ อาจมีปํญหาไปหน่อย ซึ่งเราจะอธิบายในหัวข้อถัดไป

ต่อมาคือคอนเทนต์หลักที่ทำให้เกมมีอายุยืนยาวอย่างโหมดออนไลน์ที่ภาคนี้จัดเต็มมาให้แบบครอบคลุมมาก ไม่ว่าคุณจะอยาก Matchmaking อยากออกไปหาคู๋แข่งตามเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเองผ่านระบบ Battle Hub หรือแม้แต่ต่อจอยสองเพิ่มเพื่อสนุกกับคนใกล้ชิด เกมนี้ออกแบบมาให้ครบ สำหรับระบบ Battle Hub ในภาคนี้ จะเป็นการที่เราจะเข้าไปยังพื้นที่ศูนย์กลางของเซิร์ฟเวอร์เกม โดยใช้ตัวละคร Avatar ของเรา ไปเล่นร่วมกับคนอื่นโดยการท้าประลองกันผ่านตู้ Arcade ถือว่าเป็นอะไรที่ครีเอทใช้ได้ แต่ปัญหาคือสำหรับการเล่นโหมดออนไลน์ในตอนนี้ ฟีเจอร์ Custom Room หรือสร้างห้องเล่นกันเองนั้น ยังไม่รองรับซะอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ Casual Match สามารถใช้วิธี Matchmaking กันได้ปกติ แต่การสร้างห้องตอนนี้ ยังต้องรอไปก่อน ซึ่งหากรองรับการเล่นแบบ Custom Room เราสามารถตั้งปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วไปลุยกับทีมอืนได้ น่าจะสนุกขึ้นอีกเยอะ 


สรุปคือตอนนี้คอนเทนต์ทั้งโหมดเนื้อเรื่องก็ยาวจุใจ โหมดออนไลน์ แม้จะไม่มี Custom Room แต่ความสนุกก็ไม่ได้ลดลง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงพีค หาห้องแปปเดียวก็เจอแล้ว หรือถ้าจะเอาชัวร์ ๆ เลยคือเข้า Battle Hub ในเซิร์ฟเวอร์ที่คนเยอะ ๆ ก็จะเจอคนให้ท้าประลองด้วยอย่างแน่นอน แต่ข้อเสียเดียวที่ผู้เขียนมองเห็นในตอนนี้คือตัวละครที่ยังมีน้อยมาก ๆ ณ เวลาที่เขียนรีวิวตัวนี้ Street Fighter 6 มีตัวละครให้เลือกเล่นเพียง 16 ตัวละครเท่านั้น แน่นอนว่าอนาคตตัวละครใหม่ ๆ มันมาแน่ ๆ แหละ แต่ก็หนีไม่พ้น DLC เสียเงินแน่นอน ใครที่ชอบความหลากหลายของตัวละครอาจจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อย แต่สำหรับฮาร์ดคอร์แฟนที่อยากจะลองฝึกเล่นสักตัวให้เก่ง ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วก็ได้

เกมเพลย์ที่พยายามเข้าถึงผู้เล่นทุกคนให้ได้มากที่สุด


ก่อนจะเริ่มเขียนรีวิวตัวนี้ หลายสื่อจากต่างประเทศต่างก็ชมว่า นี่คือเกมต่อสู้ที่เป็นมิตรกับหน้าใหม่มากที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ทิ้งผู้เล่นเก่า ก่อนจะไปในส่วนของโหมดการต่อสู้ เรามาดูที่โหมด World Tour หรือว่าโหมดเนื้อเรื่องกันก่อน สำหรับโหมดเนื้อเรื่องนี้ เราจะได้สร้างและออกแบบตัวละครของตัวเองขึ้นมา ซึ่งปรับแต่งได้ค่อนข้างละเอียดมาก แถมความยาวของแขนและขาจะส่งผลในการต่อสู้จริงด้วย เช่นถ้าแขนยาวก็มีระยะการโจมตีที่มากกว่าศัตรูนั่นเอง 

สำหรับโหมดเนื้อเรื่อง จะเป็นการพาเราไปยังพื้นที่เปิดต่าง ๆ เราสามารถเดินทาง ออกสำรวจ และทำตามภารกิจหลักเนื้อเรื่อง หรือบางช่วงก็จะมีภารกิจย่อยเข้ามา โหมดเนื้อเรื่องจะใส่ความเป็นเกม RPG เข้ามาในตัวเองเลย คือมีระบบเลเวล ค่าประสบการณ์ ไอเทมบัฟ และผังทักษะหรือ Skill Tree วิธีการเพิ่มเลเวลก็คือออกไปทำาภรกิจเนื้อเรื่อง หรือภารกิจรอง และท้าสู้กับเหล่านักสู้ข้างทาง ต้องบอกเลยว่าเกมนี้นี่ทุกคนมีเลือดนักสู้กันเยอะมาก ท้าสู้ได้เกือบจะทุกคน และนักสู้แต่ละคนจะมีเงื่อนไขพิเศษ ถ้าทำได้ก็มีรางวัลเพิ่มให้อีกด้วย และ Skill Tree หรือผังทักษะนั้น เราไม่สามารถอัปเกรดทุกสกิลได้ แต่จะเลือกได้เพียง 1 สกิล และปลดล็อคขึ้นไปสูงขึ้น ๆ จนถึงระดับสูงสุดก็จะปลดสกิลชุดใหม่มาให้


และในเมื่อเราเป็นตัวละครสร้างเอง กระบวนท่าต่อสู้ของเราในช่วงแรกก็จะเหมือนกับพวกนักสู้ข้างถนน จนเราได้เจอกับเหล่าตัวละครที่เป็นปรมาจารย์ในการต่อสู้ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่ก็เป็นพวกตัวละครหลักในเกม Street Fighter นี่แหละ อย่างเช่นช่วงแรก เราก็จะเป็นลูกศิษย์ของ Luke เราก็จะสามารถใช้ท่าของ Luke ในการต่อสู้ได้ แต่ถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ เจออาจารย์คนใหม่เรื่อย ๆ ก็จะสามารถสลับสับเปลี่ยนเอาท่าตัวละครนั้น ๆ มาใช้ โดยการใช้ท่าของอาจารย์คนไหน เมื่อชนะการต่อสู้ได้ ก็จะได้ค่าประสบการณ์ของอาจารย์คนนั้น ๆ ช่วยทำให้เราปลดล็อคท่าใหม่ ๆ ได้ และหากเราเก็บไอเทมพิเศษมา ก็สามารถนำไปมอบเป็นของขวัญให้อาจารย์คนนั้น และปลดล็อคสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย

นอกจากนั้นตัวละครของเรายังสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ และไม่ใช่แค่แต่งเอาสวยเอาหล่อเท่านั้น เพราะเครื่องแต่งกายต่าง ๆ จะบวกค่าสเตตัสบางอย่างให้สูงขึ้น เช่นเตะแรงขึ้น ต่อยแรงขึ้น โดยเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ก็มีวิธีการได้รับที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำภารกิจเนื้อเรื่อง ภารกิจรอง หรือใช้เงินซื้อจากร้านค้าโดยตรง แต่ช่วงแรกชุดแต่งตัวเราจะน้อยมาก ๆ จนดูเหมือนจะแต่งตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาในการเล่นเพื่อปลดล็อคไปก่อน ซึ่งก็ไม่แน่ว่ามันจะมาในรูปแบบของ DLC ด้วยหรือไม่


ด้วยความที่เป็นเกมแบบ Open Area มีพื้นที่ให้สำรวจ จะให้ทั้งเมืองมีแต่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปท้าสู้ได้ก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย เกมนี้เลยมีพวก Mad Gear หรือแก๊งตัวร้ายอยู่ในเมืองนี้ด้วย และใช่แล้ว หากใครเคยเล่นเกมค่าย Capcom มา จะคุ้นชื่อแก๊งนี้ เพราะมันเป็นแก๊งในเกม Final Fight นั่นเอง พวก Mad Gear จะเป็นเหมือนกับศัตรูประเภท Aggressive ที่จะโจมตีเราก่อน เราจะวิ่งหนีก็ได้ หรือจะสู้กับมันไปเลยเพื่อเก็บเลเวลก็ทำได้ แต่บอกเลยว่าหลัง ๆ มันจะเยอะจนน่ารำคาญเลยทีเดียว โดยทุกครั้งหากเราเริ่มการต่อสู้กับใครก็ตาม จากการเล่นแบบเกม Open World มุมมอง TPS ทั่วไป เกมจะตัดฉากเข้าสู่รูปแบบเกม Fighting ทันที ซึ่งตอนแรกมันก็ว้าว แต่หลัง ๆ มาไอ้พวก Mad Gear นี่มันเยอะมาก เยอะจนเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้การโดนโจมตี หรือถูกบังคับให้เข้าโจมตีแบบนี้เสียเวลาในการเล่นไปไม่ใช่น้อย

พื้นที่ภารกิจเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้มีแค่เมืองเดียว เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จะมีการ Fast Travel หรือออกเดินทางไปที่อื่น ซึ่งเป็นประเทศสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ในโลกได้ด้วย ทำให้โดยรวมแล้ว คอนเทนต์ของ Street Fighter 6 ในโหมดเนื้อเรื่องนั้น ถือว่าคุ้มค่าและเต็มอิ่มมาก เพียงแต่ว่าระบบหลายอย่างมันยังดูแปลก ๆ เช่นการสนทนาหรือคัทซีนที่ชวนง่วง ภารกิจดีไซน์เดิม ๆ ที่เน้นการวิ่งคุยกลับไปกลับมา ใครเบื่อง่าย อาจจะเล่นไม่จบเอาก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าภาคนี้เขาวางโครงระบบไว้ดีมาก ก็หวังว่าภาคแรกเราจะได้เห็นการปรับปรุงและพัฒนาในส่วนของเนื้อเรื่องให้ดีมากกว่านี้

ทีนี้ข้ามมาดูโหมดไฮไลท์ของเกมกันบ้าง กับโหมดออนไลน์ ต้องบอกว่าโหมดออนไลน์กับเนื้อเรื่องนั้น จะมีการยืมระบบมาใช้กันเล็กน้อย แต่สบายใจได้ ไม่ใช่ระบบ RPG ระบบที่ว่าก็คือระบบใหม่แกะกล่องของภาคนี้อย่างระบบ Drive Gauge โดยระบบนี้จะเป็นหลอดพลังพิเศษที่อยู่ใต้พลังชีวิตของเรา และเป็นหลอดที่เป็นหัวใจสำคัญในเกมภาคนี้ ทุกครั้งที่เราโจมตี หลอดนี้จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าป้องกันหลอดนี้จะลดลง และเมื่อหลอดนี้โดนเบิร์นจนหมดอาจจะทำให้ตัวละครเข้าสู่สภาวะ Burnout หรือสูญเสียการป้องกันชั่วคราว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเกมต่อสู้เอาซะเลย ดังนั้นระบบการต่อสู้ของเกมภาคนี้จึงเป็นการเชิญชวนให้ผู้เล่นเดินหน้าเข้าปะทะกันมากกว่าที่จะเล่นเชิง ตั้งแง่หรือกดป้องกันรอสวนอย่างเดียว 


และ Drive Gauge เองนี่แหละที่จะมาช่วยในเรื่องของการโจมตีพิเศษที่มีสองแบบคือ Special Moves - Special Moves นี้จะเป็นคอมโบต่อเนื่องอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่วนอีกรูปแบบคือ Super Arts ที่จำเป็นจะต้องใช้เกจพลังสะสมที่อยู่ด้านล่างจอ การใช้ Special Moves จะอิงจากหลอด Drive Gauge ทำให้เราต้องบริหารให้ดี จะรับหรือจะรุก จะบล็อคหรือป้องกัน หรือสวนไปเลย เพราะท่า Special Moves สามารถทะลวงการป้องกันไปเบิร์นหลอด Drive Gauge ฝั่งศัตรูได้ด้วย แต่ถ้าอีกฝั่ง Parry ได้ก็มีโอกาสโดนสวนกลับเช่นกัน ยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เล่นเข้ามาแลกหมัดแลกเท้ากันมากขึ้นกว่าเดิม

ทีนี้มาดูที่ระบบปุ่มทั้งสองแบบ คือแบบ Modern และแบบ Classic ซึ่งเป็นชุดควบคุมที่ถูกออกแบบมาให้กับทั้งสองฐานผู้เล่น แบบ Modern นั้นจะมีความซับซ้อนในการคอมโบและโจมตีที่น้อยกว่า กดง่ายกว่า ส่วนแบบ Classic จะเป็นแบบปกติที่แฟน ๆ Street Fighter เล่นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความแตกต่างก็คือ พวกท่า Special Moves หรือ Super Arts ต่าง ๆ คนที่ใช้แบบ Modern จะกดติดง่ายก็จริง แต่ความแรงจะไม่เท่ากับคนที่ใช้ปุ่มแบบ Classic ซึ่งก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม กดติดง่ายกว่า แต่เบากว่า อีกฝั่งกดติดยากกว่า ก็แลกมากับความแรงเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้แรงถึงขั้นเสียสมดุลไปเลย ด้วยระบบนี้ผสมผสานกับ Drive Gauge ทำให้ภาคนี้เป็นการผสมผสานและเชื้อเชิญให้ผู้เล่นหน้าเก่า หน้าใหม่มาลองสู้กัน และหาวิธีการเก่งขึ้นในแบบฉบับของตัวเอง จะฝึกกับคนจริง ๆ แพ้ซ้ำ ๆ หรือจะเข้าไปฝึกเองในห้องเทรนก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าภาคนี้ เขาทำให้เกมมันเข้าถึงได้กับทุกคนจริง ๆ


สำหรับโหมด PvP หรือโหมดออนไลน์ของเกมนี้ ต้องบอกว่านอกจากการออนไลน์ไปสู้กับคนอื่นและการไต่แรงค์ในตอนนี้ยังแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจเท่าไร และมันเป็นการหยิบเอาอะไรเดิม ๆ มาขัดเกลา ปรับปรุง ต่อยอด และปรับให้คนเล่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อนาคตคอนเทนต์ของโหมดออนไลน์อาจจะต้องรอดูกันที่ตัวละครใหม่ ระบบฤดูกาลหรือซีซั่นที่จะเพิ่มเข้ามาในระยะยาว แต่เอาแค่ตอนนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว และสำหรับมือใหม่ที่ลังเล อยากลองก้าวขาเข้ามาสู่วงการเกมต่อสู้ เกมนี้ถือเป็นเกมรับน้องที่ดี แต่อย่าลืมว่า การฝึกปรือก็สำคัญเช่นกัน ลองล้มลุกคลุกคลานกับเกมนี้ดู สนุก ไม่เสียหายแน่นอน

Street Fighter 6 ถือเป็นเกมที่ยังคงทำให้ชื่อของ Capcom นั้น อยู่ในอันดับค่ายเกมคุณภาพเบอร์ต้น ๆ และมันน่าจะดึงดูดฐานแฟนหน้าใหม่เข้ามาได้อีกมาก จนกว่าจะมีภาคใหม่ตามออกมา

ดูรายชื่อร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเกมได้ ที่นี่


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header