หลังจากปล่อย Ghostwire Tokyo ออกมาให้แฟนเกมได้ลุยปราบผีกันไปตั้งแต่ปีที่แล้ว Tango Gameworks กลับมาพร้อมเกมใหม่ที่เปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์แฟนเกม ด้วยการเปิดตัวเสร็จแล้วให้เล่นกันเลย ไม่ต้องรอนาน กับเกมแอ็คชั่นผสมบีทดนตรีสุดมันอย่าง Hi-Fi Rush ที่เรียกได้ว่าเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ไม่พอ ความสนุกของมันก็ยังมาแบบเซอร์ไพรส์อีกด้วย มันจะดียังไง มาดูรีวิวของเรากันได้
ความผิดพลาดที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความสนุก
Hi-Fi Rush เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ Chai (ชัย,ชาย) วัย 25 ปี ที่พิการแขนขวา แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดยั้งความฝันที่อยากจะเป็นร็อคสตาร์ชื่อดัง เขามาถึงมหาวิทยาลัย Vandelay Technologies โดยยื่นขอเป็นอาสาสมัครในโครงการ Project Armstrong ที่เป็นโครงการทดลองเปลี่ยนอวัยวะของผู้เข้าร่วม แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้กระบวนการเปลี่ยนอวัยวะของ Chai ผิดพลาด ทำให้เครื่องเล่นเพลงของเขาถูกฝังติดไว้กับตัวเขาเอง และทำให้เขารับรู้ถึงจังหวะดนตรีรอบตัว และ Chai ก็ถูกตามล่าโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยทันที และเขาต้องลุยเอาตัวรอดไปในพื้นที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีที่ดังมาจากตัวเขาเองและรอบ ๆ
เนื้อเรื่องของ Hi-Fi Rush นั้น ต้องบอกว่า ทำออกมาได้ตามมาตรฐานวิดีโอเกมทั่วไป เนื่องจากมันไม่ใช่เกมทุนหนา ทุนสูงอะไรนัก รวมไปถึงความตั้งใจในแง่ของการนำเสนอที่ตั้งใจจะให้เป็นแบบการ์ตูนของเด็ก ๆ ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องมันไม่ค่อยมีอะไรที่ซีเรียส หรือชวนเครียดจนเกินไป เป็นเนื้อเรื่องแบบสูตรสำเร็จ เด็กที่มีความฝัน กล้าคิด กล้าทำ กล้าท้าชนกับทุกสิ่ง ที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุจนทำให้มีความพิเศษอยู่ในตัวแบบบังเอิญ และต้องต่อสู้เปิดโปงความจริง พล็อตแบบนี้เราเห็นได้ตามสื่อหรือการ์ตูนทั่วไปกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความซับซ้อนของเนื้อเรื่องนั้น Hi-Fi Rush แทบจะเป็น 0 ซึ่งก็เหมาะสมกับการนำเสนอของตัวเกมดี ที่ไม่มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนใด ๆ เน้นสนุกไปกับบีทจังหวะของเสียงดนตรี ระหว่างทางเราก็อาจจะเจอกับตัวละครใหม่ ที่มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน ตามสไตล์การ์ตูนจ๋า ๆ และมันก็เล่าได้แบบสนุกสนาน อาจจะบอกได้ว่า Hi-Fi Rush ไม่ใช่เกมที่มีเนื้อเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรมาก แต่ก็ทำได้ดีกว่าที่เราคาดเอาไว้มากเลยทีเดียว
การนำเสนอที่โดดเด่นทั้งงานภาพและเสียงดนตรี
สำหรับคนที่เห็นการเปิดตัว Hi-Fi Rush และได้เห็นเนื้อเรื่องด้านบนกันไปแล้ว น่าจะเดากันได้ไม่ยากเลยว่าอะไรคือจุดสำคัญที่สุดของ Hi-Fi Rush แน่นอน เมื่อมันเป็นเกมที่มีจังหวะดนตรีเป็นหัวใจหลัก ก็ต้องเป็นเพลงประกอบ สำหรับเกมนี้ ทุกเพลงล้วนแต่งขึ้นมาใหม่หมด เป็น Original Soundtrack โดยได้ Shuichi Kobori ที่เป็นอดีตนักแต่งเพลงให้กับเกมในค่าย KONAMI และ Reo Uratani อดีตนักแต่งเพลงของ Capcom
และนอกจากจะมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเองแล้ว เกมยังใช้เพลงแบบถูกลิขสิทธิ์อีก 10 เพลงด้วยกัน เช่น Lonely Boy ของ The Black Keys, Wolfgang's 5th Symphony ของ Wolfgang Gartner และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครที่ฟังแล้วติดใจ ทาง Bethesda ก็ได้จัดเพลย์ลิสต์เพลงเหล่านี้ให้ได้ฟังกันใน Spotify ด้วย อินกับเกมไม่พอ ไปอินกับเพลงนอกจอกันต่อ แน่นอนว่าการเลือกใช้เพลงลิขสิทธิ์ในเกมตัวเอง อาจส่งผลกับพวกสตรีมเมอร์ หรือ YouTuber ได้ เกมจึงแก้ปัญหาด้วยการมีโหมดที่แทนที่เพลงลิขสิทธิ์ทั้งหมดด้วยท่วงทำนองที่คล้ายกัน โดยได้วง The Glass Pyramids มาบรรเลงให้ใหม่ โดยเสียงเพลง และดนตรีของเกมจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะเกี่ยวเนื่องกันไปยันส่วนของระบบการเล่นด้วย
ในด้านของกราฟิกและการนำเสนอนั้น Hi-Fi Rush ใช้กราฟิกแบบลายเส้นหนังสือการ์ตูนแบบขอบหนา และมีบางครั้งในช่วงคัทซีนที่เหมือนกับนำเสนอแบบการ์ตูน Stop Motion ส่วนโทนสีและการจัดวางองค์ประกอบ ต้องบอกว่ามันดูเป็นเกมที่สดใส ไร้พิษภัย เล่นได้ทุกเพศทุกวัยแน่นอน ด้วยการนำเสนอตัวเอกแบบบ้าพลังและมีความฝันสูงเหมือนกับการ์ตูนอนิเมะของญี่ปุ่น และเมื่อฉาก กับกราฟิกที่ดูสวยงามผสมผสานเข้ากับเพลงที่ยอดเยี่ยม ทั้งจากของต้นฉบับมีลิขสิทธิ์ และแบบที่เกมแต่งขึ้นมาเอง ทำให้ส่วนของการนำเสนอในเกมนี้เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ
แอ็คชั่นและแพลตฟอร์มผสานจังหวะ มันส์ไม่เหมือนใคร
Hi-Fi Rush มีเกมเพลย์ในรูปแบบของ Rhythm-Action หรือการต่อสู้แบบผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรี และไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่ฉากต่าง ๆ จะถูกออกแบบมาให้เข้ากับจังหวะดนตรีทั้งหมดด้วย ตามปกติแล้ว เกมแนวนี้มักจะถูกนำไปใส่ในเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น BPM: Bullet Per Minute หรือ Metal Hellsinger แต่ Hi-Fi Rush นำมันมาใส่เข้ากับเกมแนวผจญภัยทั่วไป
แต่ถึงอย่างนั้น เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบการเข้าจังหวะดนตรี เพราะอยากต่อสู้แบบสนุก ๆ มากกว่า ซึ่งเกมนี้ก็เปิดโอกาสเป็นทางเลือกให้ เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องโจมตีให้ตรงจังหวะ เพียงแต่หากเรากดถูกจังหวะ มันจะเป็นการได้รับดาเมจที่มากขึ้นเท่านั้น และว่ากันตรง ๆ ร่างกายมนุษย์และหูของคนเราก็ฒักจะจับจังหวะดนตรีได้ง่ายอยู่แล้วด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเลยในการเล่น
การคอมโบเป็นจังหวะดนตรีจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม ส่วนการ Parry นั้นจะทำให้ผู้เล่นสามารถสวนกลับการโจมตีได้ และนอกจากการโจมตีผสานจังหวะจะถูกนำมาใช้ในส่วนของการต่อสู้แล้วนั้น ยังมีพวกมินิเกม หรือฉากต่าง ๆ ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่ผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรีด้วย ฉาก อุปสรรค หรือแพลตฟอร์มที่ลอยได้ต่าง ๆ จะเป็นไปตามจังหวะดนตรีเกือบจะทั้งหมดด้วย
เกมเพลย์การต่อสู้ของเกมนี้ ก็จะคล้ายกันกับเกมแอ็คชั่นทั่วไป และจะสนุกมากขึ้นเมื่อลุยไปตามจังหวะดนตรี จะให้ความรู้สึกว่าเราคือพระเอกสายร็อคสตาร์ตัวจริง แน่นอนว่าเกมแบบนี้ แม้จะไม่ใช่ RPG แต่ก็จะมีการอัปเกรดตัวละครให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเราสามารถใช้พวกเศษเหล็กที่เก็บมาได้ตามทาง เพื่อปลดล็อคท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ และสกิลใหม่ ๆ รวมไปถึงการอัปเกรดจำพวกถาวร เช่นเพิ่มพลังชีวิต และ Special Attack Bar เป็นต้น แม้จะไม่มีอะไรใหม่มากนัก แต่เมื่อเกมเพลย์ที่เข้ากับเสียงดนตรีถูกผสมผสานให้เหมาะสมกับความสนุกสนานที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เอาแค่การเปิดตัวแบบกะทันหันก็ได้ใจแฟนๆ มากพอแล้ว แต่เกมเพลย์จริงยังสนุกอีกด้วย
ส่วนของ Boss Fight นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้น่าตื่นเต้นดี โดยเกมจะแบ่งสเกลพลังชีวิตของบอสเอาไว้ชัดเจนมาก ๆ เมื่อโจมตีบอสจนพลังลดไปถึงระดับนึงแล้ว มันจะเริ่มมีท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ ให้เราได้หลบหลีก หรือต่อสู้ด้วย ซึ่งยิ่งมันใกล้ตายก็จะยิ่งสู้ด้วยยากขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับความยากที่เราเลือกเล่นด้วย สำหรับเกมนี้ก็เหมาะสมทั้งคนที่ชอบความยากและความง่าย เพราะมีตัวเลือกให้ตั้งค่าตามความเหมาะสมและความถนัดของผู้เล่น
ถ้าจะมีข้อเสียให้ได้ติกัน ก็คงบอกได้แค่ว่า มันมีความธรรมดามากจนเกินไป เรียกได้ว่าเกมนี้แทบไม่มีอะไรที่ใหม่ หรือมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เลย เป็นเหมือนเกม Hack & Slash ทั่วไปที่ผสมผสานจังหวะดนตรีเอาไว้ได้อย่างลงตัว และเล่นสนุก ๆ เท่านั้น แต่บางที ความสนุกนี่แหละ ที่เราอาจจะมองหาอยู่ก็ได้
เติมเต็มความยอดเยี่ยมด้วยปัญหาด้าน Performance ที่น้อยมาก ๆ
ส่งท้ายกันด้วยเรื่องของการรันเกมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC ผ่านระบบ Xbox Game Pass และเล่นบน PC ระดับกลาง ที่ใช้การ์ดจอ RTX 2070 ก็ถือว่าหายห่วง ตัวเกมสามารถรันได้ด้วย Setting ระดับ High แบบสบาย ๆ และระหว่างการเล่น ก็แทบไม่พบเจอบั๊ก หรืออาการแปลก ๆ อย่างเฟรมเรทตก หรือเกมค้าง แครชไปแบบหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าเป็นเกมที่มั่นใจกับการ Surprise Launch มาก ๆ และทำได้ดีมากจริง ๆ
เป็นการเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ และมอบความสนุกให้กับผู้เล่นแบบเซอร์ไพรส์ไม่แพ้กัน งานนี้ใครที่อยากลองสัมผัสเกมสีสันสดใส ที่มาพร้อมดนตรีจังหวะสนุก ๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด ตัวเกมมีให้เล่นบน Xbox Game Pass / PC Game Pass ด้วย และเล่นได้แล้ววันนี้
- เกมเพลย์สนุก และเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
- กราฟิกที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่แพ้เกมอื่น ๆ
- เพลงประกอบทั้งจากลิขสิทธิ์และแบบแต่งเอง ดีแทบทุกเพลง
- ความยาวเกมอยู่ในระดับพอดี เต็มอิ่ม ไม่ขาด ไม่เกิน
- ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ใครคาดหวังความแปลกใหม่ อาจผิดหวัง
หลังจากปล่อย Ghostwire Tokyo ออกมาให้แฟนเกมได้ลุยปราบผีกันไปตั้งแต่ปีที่แล้ว Tango Gameworks กลับมาพร้อมเกมใหม่ที่เปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์แฟนเกม ด้วยการเปิดตัวเสร็จแล้วให้เล่นกันเลย ไม่ต้องรอนาน กับเกมแอ็คชั่นผสมบีทดนตรีสุดมันอย่าง Hi-Fi Rush ที่เรียกได้ว่าเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ไม่พอ ความสนุกของมันก็ยังมาแบบเซอร์ไพรส์อีกด้วย มันจะดียังไง มาดูรีวิวของเรากันได้
ความผิดพลาดที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความสนุก
Hi-Fi Rush เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ Chai (ชัย,ชาย) วัย 25 ปี ที่พิการแขนขวา แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดยั้งความฝันที่อยากจะเป็นร็อคสตาร์ชื่อดัง เขามาถึงมหาวิทยาลัย Vandelay Technologies โดยยื่นขอเป็นอาสาสมัครในโครงการ Project Armstrong ที่เป็นโครงการทดลองเปลี่ยนอวัยวะของผู้เข้าร่วม แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้กระบวนการเปลี่ยนอวัยวะของ Chai ผิดพลาด ทำให้เครื่องเล่นเพลงของเขาถูกฝังติดไว้กับตัวเขาเอง และทำให้เขารับรู้ถึงจังหวะดนตรีรอบตัว และ Chai ก็ถูกตามล่าโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยทันที และเขาต้องลุยเอาตัวรอดไปในพื้นที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีที่ดังมาจากตัวเขาเองและรอบ ๆ
เนื้อเรื่องของ Hi-Fi Rush นั้น ต้องบอกว่า ทำออกมาได้ตามมาตรฐานวิดีโอเกมทั่วไป เนื่องจากมันไม่ใช่เกมทุนหนา ทุนสูงอะไรนัก รวมไปถึงความตั้งใจในแง่ของการนำเสนอที่ตั้งใจจะให้เป็นแบบการ์ตูนของเด็ก ๆ ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องมันไม่ค่อยมีอะไรที่ซีเรียส หรือชวนเครียดจนเกินไป เป็นเนื้อเรื่องแบบสูตรสำเร็จ เด็กที่มีความฝัน กล้าคิด กล้าทำ กล้าท้าชนกับทุกสิ่ง ที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุจนทำให้มีความพิเศษอยู่ในตัวแบบบังเอิญ และต้องต่อสู้เปิดโปงความจริง พล็อตแบบนี้เราเห็นได้ตามสื่อหรือการ์ตูนทั่วไปกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความซับซ้อนของเนื้อเรื่องนั้น Hi-Fi Rush แทบจะเป็น 0 ซึ่งก็เหมาะสมกับการนำเสนอของตัวเกมดี ที่ไม่มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนใด ๆ เน้นสนุกไปกับบีทจังหวะของเสียงดนตรี ระหว่างทางเราก็อาจจะเจอกับตัวละครใหม่ ที่มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน ตามสไตล์การ์ตูนจ๋า ๆ และมันก็เล่าได้แบบสนุกสนาน อาจจะบอกได้ว่า Hi-Fi Rush ไม่ใช่เกมที่มีเนื้อเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรมาก แต่ก็ทำได้ดีกว่าที่เราคาดเอาไว้มากเลยทีเดียว
การนำเสนอที่โดดเด่นทั้งงานภาพและเสียงดนตรี
สำหรับคนที่เห็นการเปิดตัว Hi-Fi Rush และได้เห็นเนื้อเรื่องด้านบนกันไปแล้ว น่าจะเดากันได้ไม่ยากเลยว่าอะไรคือจุดสำคัญที่สุดของ Hi-Fi Rush แน่นอน เมื่อมันเป็นเกมที่มีจังหวะดนตรีเป็นหัวใจหลัก ก็ต้องเป็นเพลงประกอบ สำหรับเกมนี้ ทุกเพลงล้วนแต่งขึ้นมาใหม่หมด เป็น Original Soundtrack โดยได้ Shuichi Kobori ที่เป็นอดีตนักแต่งเพลงให้กับเกมในค่าย KONAMI และ Reo Uratani อดีตนักแต่งเพลงของ Capcom
และนอกจากจะมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเองแล้ว เกมยังใช้เพลงแบบถูกลิขสิทธิ์อีก 10 เพลงด้วยกัน เช่น Lonely Boy ของ The Black Keys, Wolfgang's 5th Symphony ของ Wolfgang Gartner และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครที่ฟังแล้วติดใจ ทาง Bethesda ก็ได้จัดเพลย์ลิสต์เพลงเหล่านี้ให้ได้ฟังกันใน Spotify ด้วย อินกับเกมไม่พอ ไปอินกับเพลงนอกจอกันต่อ แน่นอนว่าการเลือกใช้เพลงลิขสิทธิ์ในเกมตัวเอง อาจส่งผลกับพวกสตรีมเมอร์ หรือ YouTuber ได้ เกมจึงแก้ปัญหาด้วยการมีโหมดที่แทนที่เพลงลิขสิทธิ์ทั้งหมดด้วยท่วงทำนองที่คล้ายกัน โดยได้วง The Glass Pyramids มาบรรเลงให้ใหม่ โดยเสียงเพลง และดนตรีของเกมจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะเกี่ยวเนื่องกันไปยันส่วนของระบบการเล่นด้วย
ในด้านของกราฟิกและการนำเสนอนั้น Hi-Fi Rush ใช้กราฟิกแบบลายเส้นหนังสือการ์ตูนแบบขอบหนา และมีบางครั้งในช่วงคัทซีนที่เหมือนกับนำเสนอแบบการ์ตูน Stop Motion ส่วนโทนสีและการจัดวางองค์ประกอบ ต้องบอกว่ามันดูเป็นเกมที่สดใส ไร้พิษภัย เล่นได้ทุกเพศทุกวัยแน่นอน ด้วยการนำเสนอตัวเอกแบบบ้าพลังและมีความฝันสูงเหมือนกับการ์ตูนอนิเมะของญี่ปุ่น และเมื่อฉาก กับกราฟิกที่ดูสวยงามผสมผสานเข้ากับเพลงที่ยอดเยี่ยม ทั้งจากของต้นฉบับมีลิขสิทธิ์ และแบบที่เกมแต่งขึ้นมาเอง ทำให้ส่วนของการนำเสนอในเกมนี้เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ
แอ็คชั่นและแพลตฟอร์มผสานจังหวะ มันส์ไม่เหมือนใคร
Hi-Fi Rush มีเกมเพลย์ในรูปแบบของ Rhythm-Action หรือการต่อสู้แบบผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรี และไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่ฉากต่าง ๆ จะถูกออกแบบมาให้เข้ากับจังหวะดนตรีทั้งหมดด้วย ตามปกติแล้ว เกมแนวนี้มักจะถูกนำไปใส่ในเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น BPM: Bullet Per Minute หรือ Metal Hellsinger แต่ Hi-Fi Rush นำมันมาใส่เข้ากับเกมแนวผจญภัยทั่วไป
แต่ถึงอย่างนั้น เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบการเข้าจังหวะดนตรี เพราะอยากต่อสู้แบบสนุก ๆ มากกว่า ซึ่งเกมนี้ก็เปิดโอกาสเป็นทางเลือกให้ เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องโจมตีให้ตรงจังหวะ เพียงแต่หากเรากดถูกจังหวะ มันจะเป็นการได้รับดาเมจที่มากขึ้นเท่านั้น และว่ากันตรง ๆ ร่างกายมนุษย์และหูของคนเราก็ฒักจะจับจังหวะดนตรีได้ง่ายอยู่แล้วด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเลยในการเล่น
การคอมโบเป็นจังหวะดนตรีจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม ส่วนการ Parry นั้นจะทำให้ผู้เล่นสามารถสวนกลับการโจมตีได้ และนอกจากการโจมตีผสานจังหวะจะถูกนำมาใช้ในส่วนของการต่อสู้แล้วนั้น ยังมีพวกมินิเกม หรือฉากต่าง ๆ ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่ผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรีด้วย ฉาก อุปสรรค หรือแพลตฟอร์มที่ลอยได้ต่าง ๆ จะเป็นไปตามจังหวะดนตรีเกือบจะทั้งหมดด้วย
เกมเพลย์การต่อสู้ของเกมนี้ ก็จะคล้ายกันกับเกมแอ็คชั่นทั่วไป และจะสนุกมากขึ้นเมื่อลุยไปตามจังหวะดนตรี จะให้ความรู้สึกว่าเราคือพระเอกสายร็อคสตาร์ตัวจริง แน่นอนว่าเกมแบบนี้ แม้จะไม่ใช่ RPG แต่ก็จะมีการอัปเกรดตัวละครให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเราสามารถใช้พวกเศษเหล็กที่เก็บมาได้ตามทาง เพื่อปลดล็อคท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ และสกิลใหม่ ๆ รวมไปถึงการอัปเกรดจำพวกถาวร เช่นเพิ่มพลังชีวิต และ Special Attack Bar เป็นต้น แม้จะไม่มีอะไรใหม่มากนัก แต่เมื่อเกมเพลย์ที่เข้ากับเสียงดนตรีถูกผสมผสานให้เหมาะสมกับความสนุกสนานที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เอาแค่การเปิดตัวแบบกะทันหันก็ได้ใจแฟนๆ มากพอแล้ว แต่เกมเพลย์จริงยังสนุกอีกด้วย
ส่วนของ Boss Fight นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้น่าตื่นเต้นดี โดยเกมจะแบ่งสเกลพลังชีวิตของบอสเอาไว้ชัดเจนมาก ๆ เมื่อโจมตีบอสจนพลังลดไปถึงระดับนึงแล้ว มันจะเริ่มมีท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ ให้เราได้หลบหลีก หรือต่อสู้ด้วย ซึ่งยิ่งมันใกล้ตายก็จะยิ่งสู้ด้วยยากขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับความยากที่เราเลือกเล่นด้วย สำหรับเกมนี้ก็เหมาะสมทั้งคนที่ชอบความยากและความง่าย เพราะมีตัวเลือกให้ตั้งค่าตามความเหมาะสมและความถนัดของผู้เล่น
ถ้าจะมีข้อเสียให้ได้ติกัน ก็คงบอกได้แค่ว่า มันมีความธรรมดามากจนเกินไป เรียกได้ว่าเกมนี้แทบไม่มีอะไรที่ใหม่ หรือมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เลย เป็นเหมือนเกม Hack & Slash ทั่วไปที่ผสมผสานจังหวะดนตรีเอาไว้ได้อย่างลงตัว และเล่นสนุก ๆ เท่านั้น แต่บางที ความสนุกนี่แหละ ที่เราอาจจะมองหาอยู่ก็ได้
เติมเต็มความยอดเยี่ยมด้วยปัญหาด้าน Performance ที่น้อยมาก ๆ
ส่งท้ายกันด้วยเรื่องของการรันเกมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC ผ่านระบบ Xbox Game Pass และเล่นบน PC ระดับกลาง ที่ใช้การ์ดจอ RTX 2070 ก็ถือว่าหายห่วง ตัวเกมสามารถรันได้ด้วย Setting ระดับ High แบบสบาย ๆ และระหว่างการเล่น ก็แทบไม่พบเจอบั๊ก หรืออาการแปลก ๆ อย่างเฟรมเรทตก หรือเกมค้าง แครชไปแบบหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าเป็นเกมที่มั่นใจกับการ Surprise Launch มาก ๆ และทำได้ดีมากจริง ๆ
เป็นการเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ และมอบความสนุกให้กับผู้เล่นแบบเซอร์ไพรส์ไม่แพ้กัน งานนี้ใครที่อยากลองสัมผัสเกมสีสันสดใส ที่มาพร้อมดนตรีจังหวะสนุก ๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด ตัวเกมมีให้เล่นบน Xbox Game Pass / PC Game Pass ด้วย และเล่นได้แล้ววันนี้