หลังจากปล่อยให้แฟนเกมทั่วโลกที่ยอมเสียเงินไปดุเดือดกันในโหมด Multiplayer กันมาแล้ว คราวนี้แฟนเกมสายฟรีก็ถึงเวลาจะได้สัมผัสกับซีรีส์เกมยิงแห่งปีอย่าง Call of Duty กันบ้างใน Modern Warfare II ฉบับเล่นฟรี ที่มีให้เล่นกันถึง 2 โหมดอย่าง DMZ และ Warzone 2.0 ที่เป็นการยกเครื่องใหม่จาก Warzone ภาคแรก แต่ทั้งสองโหมดนี้มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน เราเล่นมาแล้ว เราจะมาเล่าและรีวิวให้ได้ดูกัน
เริ่มกันที่โหมดแรกที่มาในรูปแบบเล่นฟรีก่อนเลย คือโหมด DMZ หรือเรียกอย่างเป็นทางการได้ว่า Extraction Mode หากใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงพื้นที่ Dark Zone ในเกม The Division หรือเกมเพลย์การเล่นที่ "คล้าย" กันกับ Escape from Tarkov เป้าหมายของเกมนี้ไม่มีความตายตัวหรือแน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า อยากจะทำอะไรในโหมดนี้ แต่หลัก ๆ แล้ว จะมีภารกิจของ Faction ต่าง ๆ มาให้เราทำ และเราก็ต้องเข้าไปลูทของ หาของในฉาก จากนั้นพยายามหลบหนีออกมาจากแผนที่
Loadout ในโหมดนี้จะถูกแบ่งแยกออกมาจากเกมหลักและ Warzone เพราะรปแบบการเล่นที่ต่างกัน จึงใช้ระบบที่ต่างกัน ในโหมดนี้ ผู้เล่นจะได้รับอาวุธประเภท Contraband Weapon หรืออาวุธเถื่อน ได้จากการเข้าไปหาตามฉากเท่านั้น อาวุธประเภทนี้หากพลาดท่าตายขึ้นมาในเกมรอบนั้นจะหายไปเลย ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ ต้องไปหาใหม่เท่านั้น และอีกประเภทคือ Insured Weapon หรืออาวุธมีประกัน อาวุธประเภทนี้ก็จะเหมือนกับอาวุธใน Loadout ของเราที่สามารถเอาเข้าไปใช้ได้ แต่ถ้าพลาดท่าตายขึ้นมา มันจะไม่หายไป แต่จะติดคูลดาวน์ใช้งานไม่ได้ไป 2 ชั่วโมงแทน
สำหรับโหมดนี้จะรองรับผู้เล่นสูงสุด 3 คน แต่ใครคิดว่าแน่พอ สามารถไปลุยคนเดียวได้ ก่อนเริ่มเกมเราจะได้จัด Mission List ที่เราจะรับเข้าไปทำในเกม รวมไปถึงจัด Loadout สิ่งของที่เราจะพกเข้าไปได้ และเมื่อเข้าสู่เกมแล้ว ผู้เล่นอยากจะทำอะไร หรือเล่นแบบไหน ก็แล้วแต่ผู้เล่นจะกำหนดเองเลย
สำหรับแผนที่ในเกมนี้ก็คือ Al-Mazrah เป็นแผนที่ที่เราได้เล่นกันในโหมด Multiplayer หรือ Warzone อยู่ดี แต่จะไม่มีวงบีบ แต่มีเวลามาจำกัดแทน เกมการเล่นแต่ละรอบจะมีเวลาอยู่ที่ 25 นาที และเมื่อเวลาหมด 25 นาทีแล้ว หมอกพิษหรือวงบีบจะค่อย ๆ หดตัวเข้ามาในแผนที่ ซึ่งจะมีเวลาให้เราหาทางหลบหนีได้อีก 8 นาที รวม ๆ แล้วเกมการเล่น 1 รอบ ถ้าผู้เล่นเล่นแบบจัดเต็มก็จะใช้เวลาประมาณ 25 นาที แต่ถ้าเอ้อระเหยลอยชาย ลืมดูเวลา ก็อาจจะกินเวลาเป็นครึ่งชั่วโมง
อย่างที่บอกไปว่าเกมนี้ไม่มีการระบุชัดเจนว่าผู้เล่นต้องทำอะไร แต่สิ่งสำคัญคือการทำภารกิจ Faction ให้สำเร็จ เพราะภารกิจ Faction นั้น ให้รางวัลตอบแทนที่สูงมาก แต่ยิ่งทำไปไกลก็ยิ่งมีเงื่อนไขที่ยากขึ้น เช่นการบุกไปยังสถานที่เฉพาะ การค้นหาของและ Exfil หรือหลบหนีออกมาด้วย ผู้เล่นอาจจะเข้าไปเล่นโดยไม่ต้องวางแผนอะไรเลยก็ได้ แต่ถ้าคิดไว้ก่อนว่าจะทำอะไร จะดีกว่า เพราะแผนที่ภายในเกมนั้นใหญ่มาก หากเล่นโดยไม่วางแผนไว้ก่อน เราอาจจะไม่ค่อยได้อะไรกลับออกมาเลย นอกจากเงินเล็กน้อย และค่า EXP เท่านั้น แต่หากทำภารกิจ เรามีโอกาสได้ทั้งเงินและ EXP ที่สูงกว่า และอาจจะได้อาวุธ Contraband ใหม่ ๆ มาใช้ กรณีที่เราสามารถ Exfil หรือหลบหนีออกจากพื้นที่ได้ ไอเทมทั้งหมดที่ได้มา จะถูกเก็บไว้ใช้ในรอบต่อไป แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาของทั้งหมดไปใช้ เราอาจจะเลือกเก็บบางอย่างไว้ และเอาบางอย่างไปใช้ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเกมรอบนั้น ๆ
และโหมดนี้คือโหมดที่ผู้เล่นจะได้เจอทั้งศัตรูที่เป็น A.I. และศัตรูที่เป็นผู้เล่นด้วยกัน มันคือแนว PvPvE นั่นเอง แต่สำหรับคนที่เคยเล่น DMZ มาแล้ว น่าจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ทำให้เกมนี้น่ากลัวอย่างมาก คือ A.I. เพราะ A.I. เกมนี้มีหลากหลายแบบ แต่ความแม่นยำในการยิงผู้เล่นอย่างเรา ๆ นั้น เข้าขั้น Aimbot กันเลยก็ว่าได้ บางครั้งหลบอยู่หลัง Cover มันก็ยังยิงทะลุมาได้อยู่ดี แถมพวก A.I. ในพื้นที่โหด ๆ อย่าง Stronghold นั้น ถึงขั้นใส่เกราะหนา ชนิดที่ว่า สไนเปอร์ยิงหัวนัดเดียวแล้วยังไม่ตาย ดังนั้นโหมด DMZ นี้ หากคิดจะเล่นคนเดียวก็ถือว่ายากพอสมควร เพราะบอทโหดไม่พอ เจอผู้เล่นด้วยกันเองก็ตึงไม่แพ้กัน
แต่หัวใจสำคัญและไอเทมที่โดดเด่นในโหมดนี้คือ Weapon Caseสีทองที่ถูกระบุชัดเจนอยู่ในพื้นที่ หากมีทีมผู้เล่นคนใดก็ตามไปเอามาได้ จะถูกหมายหัวให้ผู้เล่นทั้งหมดที่เหลืออยู่ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ เอาง่าย ๆคือเราจะตกเป็นเป้าล่าของคนทั้งเกมในรอบนั้น ๆ ดังนั้นใครที่คิดจะไปเก็บ Weapon Case ก็ต้องใจถึงพึ่งได้กันทั้งทีม เพื่อหลบหนีออกมา ของตอบแทนก็จะเป็นสกินแบบพิเศษที่เท่โดนใจ คุ้มกับความยากลำบากในการฝ่าไปเอามันมาแน่ ๆ นอกจากนั้นอีกอย่างที่สำคัญคือ Radiation Zone ที่ตอนนี้เป็นพื้นที่ยอดฮิตในการเข้าไปเก็บอาวุธปืน Assault Rifle ที่เพิ่งอัปเดตเข้ามาในเกมอย่าง M13B Assault Rifle ด้วย
แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เอาแค่ภารกิจ Faction ที่เรารับมา การไปสู้กับบอท หาของไปขายในตอนจบ ก็ถือว่าเป็นโหมดที่สนุกและระทึกตื่นเต้นมาก ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า วินาทีที่เราพอใจกับรอบนั้นแล้ว และต้องไปยังจุดส่งตัว เพื่อหนีออกจากแผนที่ ในขณะเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ และรอลุ้นว่าจะโดนดักโจมตี หรือจ๊ะเอ๋กับผู้เล่นอื่นระหว่างรอหรือไม่ เมื่อผสมผสานกับเกมเพลย์อันดุเดือดของ Call of Duty คงบอกได้แค่ว่า Call of Duty นั้น ยืมจุดเด่นของเกมดัง ๆ และสไตล์เกมอื่น ๆ มาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างลงตัวจริง ๆ
มาต่อกันอีกทีอีกโหมดที่ชาวเกมสายฟรีได้สัมผัสกันกับ Warzone 2.0 แน่นอนว่าชื่อของ Warzone นั้นอยู่คู่กับซีรีส์ Call of Duty มาได้กว่า 2 ปีแล้ว นับตั้งแต่ภาค Modern Warfare 2019 ลากยาวมาจนถึงภาค Vanguard ซึ่ง Warzone 2.0 นั้น จะแยกตัวออกมา และพ่วงกับตัวเกมภาค Modern Warfare II (2022) นี้แทน
สำหรับโหมดนี้ ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เริ่มจากเรื่องของแผนที่ ยังคงเป็น Al-Mazrah เหมือนกับโหมด DMZ สำหรับแผนที่นี้ก็ถือว่าเป็นแผนที่ที่เล่นสนุกอยู่เหมือนกัน เพราะมีรูปแบบดีไซน์แผนที่ที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ตัวเมืองขนาดเล็ก ที่มีอาคารชั้นเดียว หรือตัวเมืองขนาดใหญ่ที่มีอาคารหลากหลายชั้น ทำให้เกมเพลย์การเล่นในรูปแบบ Battle Royale ของ Warzone 2.0 นั้น มีหลากหลายสถานการณ์ให้เราปะทะด้วยอย่างน่าตื่นเต้น
อย่างแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยคือ เรื่องของ Loadout ที่เหมือนจะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นสายฟรี กับผู้เล่นที่มีเกมเต็ม เพราะคราวนี้ Loadout ที่แต่งมาอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมีวิธีในการเข้าถึงที่หลากหลายกว่า แต่ก็ยากกว่า อย่างภาคแรก ผู้เล่นสามารถกดซื้อได้จาก Buy Station ได้เลย แต่ภาคนี้ การซื้อจาก Buy Station จะได้เพียงอาวุธชิ้นแรกใน Loadout นั้นเท่านั้น การจะได้ Loadout แบบเต็ม ๆ ที่เราแต่งไว้ จะต้องไปวิ่งหาจาก Loadout Drop Incoming ที่เหมือนกับ Airdrop ในเกมอื่น ๆ และอีกวิธีคือการบุกตี Stronghold ที่เป็นฐานที่มั่นของพวก A.I. แต่ก็มีความเสี่ยงในการโดนผู้เล่นอื่นบุกมาตลบหลังอีกทีด้วย
นอกจากนั้น Buy Station แต่ละจุดยังมีไอเทมที่มีความสำคัญขายอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่น UAV ที่เป็นไอเทมสแกนพื้นที่รอบ ๆ เพื่อเปิดเผยตำแหน่งของศัตรู หากตรงไหนมีคนซื้อไปแล้ว ก็จะไม่สามารถซื้อซ้ำอีกได้ ทำให้เราอาจจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ Landing ลงพื้นแล้วว่าจะลงตรงไหน เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ดีที่สุดให้กับเราหรือทีม
อีกส่วนสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนเลยคือเรื่องของคุก Gulag จากที่เป็นการดวล Gunfight 1vs1 แต่ในภาคนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเป็นการจับคู่กับคนอื่นแบบ 2vs2 แทน ถ้าเกิดเรากับเพื่อนในทีมตายมาด้วยกันหรือพร้อมกันก็จะได้จับคู่กันแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่เราก็จะได้จับทีมกับผู้เล่นอื่นแบบสุ่ม และได้อาวุธแบบสุ่มมาใช้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นปืนพก จากนั้นการต่อสู้ก็จะเริ่มต้นขึ้น และหากภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งสองทีมยังไม่สามารถจัดการกันเองได้ ก็จะมี Jailer หรือผู้คุมคุกออกมา คราวนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะร่วมมือกับทีมศัตรู แล้วโค่นผู้คุมคุกและหนีออกไปด้วยกันทั้ง 4 คน หรือจะฆ่ากันให้ตายเหมือนเดิมแล้วออกมาทีมเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกทางเลือที่สนุกและสร้างสีสันให้ไม่น้อย
นอกจากนั้น สิ่งที่ยังคงอยู่ แต่ถูกเพิ่มเข้ามา หรือปรับเปลี่ยนบาลานซ์ให้เหมาะสมขึ้น ก็คือเรื่องของ Contract Mission หรือภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเกม ในภาคนี้หากคิดจะหาเงินในเกมให้ได้เยอะขึ้น การทำภารกิจดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด จากในภาคที่แล้ว การหาเงินจะทำได้ง่าย ๆ โดยการเปิดกล่องลูทของตามฉาก แต่ภาคนี้ การได้เงินจะยากขึ้นมาก ทำให้การชุบเพื่อน การซื้อของชิ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลามากขึ้น แต่การทำพวก Contract Mission จะทำให้ได้เงินมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงกับการเจอผู้คนมากขึ้นด้วย
สำหรับ Warzone 2.0 นั้น อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างจากภาคแรกมากนัก แต่เป็นการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ ส่วน ให้ดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีเกมเต็มกับเล่นฟรีในภาคแรก บอกได้เลยว่า Call of Duty: Modern Warfare II ปีนี้ จัดเต็มทั้งเกมหลัก และเกมแยกสำหรับคนเล่นฟรีจริง ๆ ใครกำลังมองหาเกมฟรีเล่นอยู่ บอกเลยว่า จัดเต็มสำหรับเกมนี้
- เป็นเกมฟรีที่มีคุณภาพสูงมากทั้ง 2 โหมด
- Progression ของอาวุธตามไปต่อที่เกมเต็มด้วย ซื้อเกมเต็มเพิ่มทีหลังก็ได้
- คุณภาพอัดแน่น ดีกว่าเกมฟรีในหลาย ๆ เกม
- สนุก ติดพัน ต่อให้ไม่คิดจะซื้อเกมเต็มก็สนุกได้ต่อเนื่อง
- บั๊กเล็กน้อย และอาการเกมแครช
หลังจากปล่อยให้แฟนเกมทั่วโลกที่ยอมเสียเงินไปดุเดือดกันในโหมด Multiplayer กันมาแล้ว คราวนี้แฟนเกมสายฟรีก็ถึงเวลาจะได้สัมผัสกับซีรีส์เกมยิงแห่งปีอย่าง Call of Duty กันบ้างใน Modern Warfare II ฉบับเล่นฟรี ที่มีให้เล่นกันถึง 2 โหมดอย่าง DMZ และ Warzone 2.0 ที่เป็นการยกเครื่องใหม่จาก Warzone ภาคแรก แต่ทั้งสองโหมดนี้มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน เราเล่นมาแล้ว เราจะมาเล่าและรีวิวให้ได้ดูกัน
เริ่มกันที่โหมดแรกที่มาในรูปแบบเล่นฟรีก่อนเลย คือโหมด DMZ หรือเรียกอย่างเป็นทางการได้ว่า Extraction Mode หากใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงพื้นที่ Dark Zone ในเกม The Division หรือเกมเพลย์การเล่นที่ "คล้าย" กันกับ Escape from Tarkov เป้าหมายของเกมนี้ไม่มีความตายตัวหรือแน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า อยากจะทำอะไรในโหมดนี้ แต่หลัก ๆ แล้ว จะมีภารกิจของ Faction ต่าง ๆ มาให้เราทำ และเราก็ต้องเข้าไปลูทของ หาของในฉาก จากนั้นพยายามหลบหนีออกมาจากแผนที่
Loadout ในโหมดนี้จะถูกแบ่งแยกออกมาจากเกมหลักและ Warzone เพราะรปแบบการเล่นที่ต่างกัน จึงใช้ระบบที่ต่างกัน ในโหมดนี้ ผู้เล่นจะได้รับอาวุธประเภท Contraband Weapon หรืออาวุธเถื่อน ได้จากการเข้าไปหาตามฉากเท่านั้น อาวุธประเภทนี้หากพลาดท่าตายขึ้นมาในเกมรอบนั้นจะหายไปเลย ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ ต้องไปหาใหม่เท่านั้น และอีกประเภทคือ Insured Weapon หรืออาวุธมีประกัน อาวุธประเภทนี้ก็จะเหมือนกับอาวุธใน Loadout ของเราที่สามารถเอาเข้าไปใช้ได้ แต่ถ้าพลาดท่าตายขึ้นมา มันจะไม่หายไป แต่จะติดคูลดาวน์ใช้งานไม่ได้ไป 2 ชั่วโมงแทน
สำหรับโหมดนี้จะรองรับผู้เล่นสูงสุด 3 คน แต่ใครคิดว่าแน่พอ สามารถไปลุยคนเดียวได้ ก่อนเริ่มเกมเราจะได้จัด Mission List ที่เราจะรับเข้าไปทำในเกม รวมไปถึงจัด Loadout สิ่งของที่เราจะพกเข้าไปได้ และเมื่อเข้าสู่เกมแล้ว ผู้เล่นอยากจะทำอะไร หรือเล่นแบบไหน ก็แล้วแต่ผู้เล่นจะกำหนดเองเลย
สำหรับแผนที่ในเกมนี้ก็คือ Al-Mazrah เป็นแผนที่ที่เราได้เล่นกันในโหมด Multiplayer หรือ Warzone อยู่ดี แต่จะไม่มีวงบีบ แต่มีเวลามาจำกัดแทน เกมการเล่นแต่ละรอบจะมีเวลาอยู่ที่ 25 นาที และเมื่อเวลาหมด 25 นาทีแล้ว หมอกพิษหรือวงบีบจะค่อย ๆ หดตัวเข้ามาในแผนที่ ซึ่งจะมีเวลาให้เราหาทางหลบหนีได้อีก 8 นาที รวม ๆ แล้วเกมการเล่น 1 รอบ ถ้าผู้เล่นเล่นแบบจัดเต็มก็จะใช้เวลาประมาณ 25 นาที แต่ถ้าเอ้อระเหยลอยชาย ลืมดูเวลา ก็อาจจะกินเวลาเป็นครึ่งชั่วโมง
อย่างที่บอกไปว่าเกมนี้ไม่มีการระบุชัดเจนว่าผู้เล่นต้องทำอะไร แต่สิ่งสำคัญคือการทำภารกิจ Faction ให้สำเร็จ เพราะภารกิจ Faction นั้น ให้รางวัลตอบแทนที่สูงมาก แต่ยิ่งทำไปไกลก็ยิ่งมีเงื่อนไขที่ยากขึ้น เช่นการบุกไปยังสถานที่เฉพาะ การค้นหาของและ Exfil หรือหลบหนีออกมาด้วย ผู้เล่นอาจจะเข้าไปเล่นโดยไม่ต้องวางแผนอะไรเลยก็ได้ แต่ถ้าคิดไว้ก่อนว่าจะทำอะไร จะดีกว่า เพราะแผนที่ภายในเกมนั้นใหญ่มาก หากเล่นโดยไม่วางแผนไว้ก่อน เราอาจจะไม่ค่อยได้อะไรกลับออกมาเลย นอกจากเงินเล็กน้อย และค่า EXP เท่านั้น แต่หากทำภารกิจ เรามีโอกาสได้ทั้งเงินและ EXP ที่สูงกว่า และอาจจะได้อาวุธ Contraband ใหม่ ๆ มาใช้ กรณีที่เราสามารถ Exfil หรือหลบหนีออกจากพื้นที่ได้ ไอเทมทั้งหมดที่ได้มา จะถูกเก็บไว้ใช้ในรอบต่อไป แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาของทั้งหมดไปใช้ เราอาจจะเลือกเก็บบางอย่างไว้ และเอาบางอย่างไปใช้ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเกมรอบนั้น ๆ
และโหมดนี้คือโหมดที่ผู้เล่นจะได้เจอทั้งศัตรูที่เป็น A.I. และศัตรูที่เป็นผู้เล่นด้วยกัน มันคือแนว PvPvE นั่นเอง แต่สำหรับคนที่เคยเล่น DMZ มาแล้ว น่าจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ทำให้เกมนี้น่ากลัวอย่างมาก คือ A.I. เพราะ A.I. เกมนี้มีหลากหลายแบบ แต่ความแม่นยำในการยิงผู้เล่นอย่างเรา ๆ นั้น เข้าขั้น Aimbot กันเลยก็ว่าได้ บางครั้งหลบอยู่หลัง Cover มันก็ยังยิงทะลุมาได้อยู่ดี แถมพวก A.I. ในพื้นที่โหด ๆ อย่าง Stronghold นั้น ถึงขั้นใส่เกราะหนา ชนิดที่ว่า สไนเปอร์ยิงหัวนัดเดียวแล้วยังไม่ตาย ดังนั้นโหมด DMZ นี้ หากคิดจะเล่นคนเดียวก็ถือว่ายากพอสมควร เพราะบอทโหดไม่พอ เจอผู้เล่นด้วยกันเองก็ตึงไม่แพ้กัน
แต่หัวใจสำคัญและไอเทมที่โดดเด่นในโหมดนี้คือ Weapon Caseสีทองที่ถูกระบุชัดเจนอยู่ในพื้นที่ หากมีทีมผู้เล่นคนใดก็ตามไปเอามาได้ จะถูกหมายหัวให้ผู้เล่นทั้งหมดที่เหลืออยู่ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ เอาง่าย ๆคือเราจะตกเป็นเป้าล่าของคนทั้งเกมในรอบนั้น ๆ ดังนั้นใครที่คิดจะไปเก็บ Weapon Case ก็ต้องใจถึงพึ่งได้กันทั้งทีม เพื่อหลบหนีออกมา ของตอบแทนก็จะเป็นสกินแบบพิเศษที่เท่โดนใจ คุ้มกับความยากลำบากในการฝ่าไปเอามันมาแน่ ๆ นอกจากนั้นอีกอย่างที่สำคัญคือ Radiation Zone ที่ตอนนี้เป็นพื้นที่ยอดฮิตในการเข้าไปเก็บอาวุธปืน Assault Rifle ที่เพิ่งอัปเดตเข้ามาในเกมอย่าง M13B Assault Rifle ด้วย
แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เอาแค่ภารกิจ Faction ที่เรารับมา การไปสู้กับบอท หาของไปขายในตอนจบ ก็ถือว่าเป็นโหมดที่สนุกและระทึกตื่นเต้นมาก ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า วินาทีที่เราพอใจกับรอบนั้นแล้ว และต้องไปยังจุดส่งตัว เพื่อหนีออกจากแผนที่ ในขณะเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ และรอลุ้นว่าจะโดนดักโจมตี หรือจ๊ะเอ๋กับผู้เล่นอื่นระหว่างรอหรือไม่ เมื่อผสมผสานกับเกมเพลย์อันดุเดือดของ Call of Duty คงบอกได้แค่ว่า Call of Duty นั้น ยืมจุดเด่นของเกมดัง ๆ และสไตล์เกมอื่น ๆ มาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างลงตัวจริง ๆ
มาต่อกันอีกทีอีกโหมดที่ชาวเกมสายฟรีได้สัมผัสกันกับ Warzone 2.0 แน่นอนว่าชื่อของ Warzone นั้นอยู่คู่กับซีรีส์ Call of Duty มาได้กว่า 2 ปีแล้ว นับตั้งแต่ภาค Modern Warfare 2019 ลากยาวมาจนถึงภาค Vanguard ซึ่ง Warzone 2.0 นั้น จะแยกตัวออกมา และพ่วงกับตัวเกมภาค Modern Warfare II (2022) นี้แทน
สำหรับโหมดนี้ ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เริ่มจากเรื่องของแผนที่ ยังคงเป็น Al-Mazrah เหมือนกับโหมด DMZ สำหรับแผนที่นี้ก็ถือว่าเป็นแผนที่ที่เล่นสนุกอยู่เหมือนกัน เพราะมีรูปแบบดีไซน์แผนที่ที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ตัวเมืองขนาดเล็ก ที่มีอาคารชั้นเดียว หรือตัวเมืองขนาดใหญ่ที่มีอาคารหลากหลายชั้น ทำให้เกมเพลย์การเล่นในรูปแบบ Battle Royale ของ Warzone 2.0 นั้น มีหลากหลายสถานการณ์ให้เราปะทะด้วยอย่างน่าตื่นเต้น
อย่างแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยคือ เรื่องของ Loadout ที่เหมือนจะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นสายฟรี กับผู้เล่นที่มีเกมเต็ม เพราะคราวนี้ Loadout ที่แต่งมาอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมีวิธีในการเข้าถึงที่หลากหลายกว่า แต่ก็ยากกว่า อย่างภาคแรก ผู้เล่นสามารถกดซื้อได้จาก Buy Station ได้เลย แต่ภาคนี้ การซื้อจาก Buy Station จะได้เพียงอาวุธชิ้นแรกใน Loadout นั้นเท่านั้น การจะได้ Loadout แบบเต็ม ๆ ที่เราแต่งไว้ จะต้องไปวิ่งหาจาก Loadout Drop Incoming ที่เหมือนกับ Airdrop ในเกมอื่น ๆ และอีกวิธีคือการบุกตี Stronghold ที่เป็นฐานที่มั่นของพวก A.I. แต่ก็มีความเสี่ยงในการโดนผู้เล่นอื่นบุกมาตลบหลังอีกทีด้วย
นอกจากนั้น Buy Station แต่ละจุดยังมีไอเทมที่มีความสำคัญขายอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่น UAV ที่เป็นไอเทมสแกนพื้นที่รอบ ๆ เพื่อเปิดเผยตำแหน่งของศัตรู หากตรงไหนมีคนซื้อไปแล้ว ก็จะไม่สามารถซื้อซ้ำอีกได้ ทำให้เราอาจจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ Landing ลงพื้นแล้วว่าจะลงตรงไหน เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ดีที่สุดให้กับเราหรือทีม
อีกส่วนสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนเลยคือเรื่องของคุก Gulag จากที่เป็นการดวล Gunfight 1vs1 แต่ในภาคนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเป็นการจับคู่กับคนอื่นแบบ 2vs2 แทน ถ้าเกิดเรากับเพื่อนในทีมตายมาด้วยกันหรือพร้อมกันก็จะได้จับคู่กันแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่เราก็จะได้จับทีมกับผู้เล่นอื่นแบบสุ่ม และได้อาวุธแบบสุ่มมาใช้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นปืนพก จากนั้นการต่อสู้ก็จะเริ่มต้นขึ้น และหากภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งสองทีมยังไม่สามารถจัดการกันเองได้ ก็จะมี Jailer หรือผู้คุมคุกออกมา คราวนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะร่วมมือกับทีมศัตรู แล้วโค่นผู้คุมคุกและหนีออกไปด้วยกันทั้ง 4 คน หรือจะฆ่ากันให้ตายเหมือนเดิมแล้วออกมาทีมเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกทางเลือที่สนุกและสร้างสีสันให้ไม่น้อย
นอกจากนั้น สิ่งที่ยังคงอยู่ แต่ถูกเพิ่มเข้ามา หรือปรับเปลี่ยนบาลานซ์ให้เหมาะสมขึ้น ก็คือเรื่องของ Contract Mission หรือภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเกม ในภาคนี้หากคิดจะหาเงินในเกมให้ได้เยอะขึ้น การทำภารกิจดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด จากในภาคที่แล้ว การหาเงินจะทำได้ง่าย ๆ โดยการเปิดกล่องลูทของตามฉาก แต่ภาคนี้ การได้เงินจะยากขึ้นมาก ทำให้การชุบเพื่อน การซื้อของชิ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลามากขึ้น แต่การทำพวก Contract Mission จะทำให้ได้เงินมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงกับการเจอผู้คนมากขึ้นด้วย
สำหรับ Warzone 2.0 นั้น อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างจากภาคแรกมากนัก แต่เป็นการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ ส่วน ให้ดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีเกมเต็มกับเล่นฟรีในภาคแรก บอกได้เลยว่า Call of Duty: Modern Warfare II ปีนี้ จัดเต็มทั้งเกมหลัก และเกมแยกสำหรับคนเล่นฟรีจริง ๆ ใครกำลังมองหาเกมฟรีเล่นอยู่ บอกเลยว่า จัดเต็มสำหรับเกมนี้