ในยุคนี้หากพูดถึงค่าย FromSoftware คงมีเกมเมอร์น้อยรายนักที่จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของสตูดิโอที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานมหากาพย์ความยากที่คอยเสิร์ฟความทรมานให้กับเกมเมอร์ทั่วโลก
บ่อยครั้งที่เมื่อเราพูดถึงความยากในเกม สิ่งหนึ่งที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานก็คือ “มันยากเท่า Dark Souls ไหม?”
ซึ่งหากว่ากันตามตรงแล้ว เกมที่ยากยิ่งกว่าเกมตระกูล Souls นั้นมีอีกมากมาย ทว่าตัวเกมตระกูล Souls จากค่ายสัญชาติญี่ปุ่นค่ายนี้ สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วไปได้ง่ายกว่าเกมอื่น ๆ ที่มันยากกว่านั่นเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เวลาเกมเมอร์อยากจะพูดถึงความยาก พวกเขาจึงมักจะหยิบยก Dark Souls มาเสมอ เพราะมันทำให้ทุกคนสามารถนึกภาพตามได้ง่าย และทำให้เข้าใจตรงกันว่า อืม มันคือความยากในระดับนี้แหละ
แน่นอนว่า คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการพัฒนาตัวเกมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ FromSoftware ที่เรากล่าวถึงไปข้างต้น และหากจะให้เจาะจงไปกว่านั้น มันก็คือฝีมือของชายที่ชื่อว่า Hidetaka Miyazaki ที่นั่งแท่นผู้กำกับเกมตระกูล Souls ทั้งหลายจนทำให้ FromSoftware ประสบความสำเร็จจวบจนถึงปัจจุบัน
และในบทความนี้ เราจะมาย้อนรอยบริษัท FromSoftware กันว่า ก่อนที่พวกเขาจะสามารถขึ้นมาเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ประจำวงการเกมได้ พวกเขาเคยผ่านอะไรกันมาบ้าง
จุดเริ่มต้นคือบริษัทรับพัฒนาซอฟต์แวร์ ไม่ใช่พัฒนาเกมแบบทุกวันนี้
ย้อนกลับไปในปี 1986 นั่นคือปีแรกที่บริษัท FromSoftware ได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก โดยจุดมุ่งหมายและธุรกิจที่ทางบริษัททำในยุคนั้นก็คือการรับพัฒนาแอปพลิเคชัน ไปจนถึงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในเชิงธุรกิจนั่นเอง
จนกระทั่งมาถึงปี 1994 เป็นช่วงปีเดียวกันกับทาง Sony ที่เริ่มวางจำหน่าย PlayStation รุ่นแรกพอดิบพอดี ในยุคนั้นเครื่องเกมส่วนใหญ่มันจะใช้ตลับ (cartridge) ในการบรรจุเกมลงไปให้กับผู้บริโภค แต่ทาง PlayStation กลับเลือกที่จะริเริ่มใช้แผ่นดิสก์เป็นเจ้าแรก ๆ ประจวบเหมาะกับทาง FromSoftware ที่มักจะใช้ดิสก์ในการทำงานกันอยู่แล้ว ทางบริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสเหมาะในการลงทุนตรงนี้ พวกเขาจึงได้พัฒนาเกมแรกของบริษัทออกมา ภายใต้ชื่อ ‘King’s Field’ และวางจำหน่ายมันให้กับชาวญี่ปุ่นได้เล่นกัน เพียง 13 วันหลังจากเครื่อง PlayStation วางจำหน่ายเท่านั้น
ถึงแม้ King’s Field จะไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่ากับเกมตระกูล Souls แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ เนื้อแท้ของพวกมันแทบจะไม่ต่างกันเลย ด้วยความยากระดับสูงที่ไม่ปราณีกับผู้เล่น แถมตัวเกมยังเน้นระบบการต่อสู้มากกว่าการเล่าเรื่อง ดังนั้นหากจะพูดว่า King’s Field คือ Dark Souls ผู้มาก่อนกาลก็คงไม่ผิดมากนัก
ทั้งนี้ King’s Field ภาคแรกได้วางจำหน่ายแค่เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น แต่ด้วยความนิยมที่ล้นหลาม ภาค 2 และ 3 จึงได้เริ่มส่งออกสู่ต่างประเทศ ทว่าภายในต่างประเทศนั้น กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าภายในประเทศญี่ปุ่น
เริ่มมีชื่อเสียงจากเกมแนวหุ่นรบ
ชื่อของ FromSoftware ยังคงไม่คุ้นหูกับชาวต่างชาติมากนัก จนกระทั่งการมาถึงของ Armored Core ในปี 1997 หนึ่งในเกมแนวหุ่นรบ (Mech) ที่สร้างออกมาได้ล้ำยุคมากในสมัยนั้น ด้วยจุดเด่นที่ระบบการต่อสู้แบบรวดเร็ว สะใจ บวกกับการปรับแต่งหุ่นได้หลากหลายรูปแบบ แม้ด้านเนื้อเรื่องจะยังคงอ่อนแอเหมือนเดิม แต่ชื่อของ Armored Core ก็ได้แพร่สะพัดสู่หูของเกมเมอร์ทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ต่อมาในปี 1999 ทาง FromSoftware ได้ลองของใหม่ กับการเปิดตัวเกมแนว Survival Horror เกมแรกของทางค่ายในชื่อ Echonight แม้ตัวเกมอาจจะไม่ได้นำเสนออะไรใหม่มากนัก แต่เกมนี้ได้สร้างอีกหนึ่งรากฐานให้กับเกมต่อ ๆ มา นั่นก็คือฉากจบที่หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่น ไปจนถึงบรรยากาศความอึมครึมปนสยอง ที่ได้ถูกนำมาสานต่อในอีกหลายเกมต่อจากนี้
และในปี 2000 ทาง FromSoftware ก็ยังคงเชื่อมั่นในของ Sony พวกเขาได้เข้าร่วมตลาดซอฟต์แวร์ PlayStation 2 อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งวางขาย Eternal Ring เป็นครั้งแรก ด้านตัวเกมนั้นมีรีวิวที่ผสมปนเปกันไป เกมเมอร์บางคนชื่นชมในเรื่องกราฟิกที่สวยงาม แถมเนื้อเรื่องที่มีพัฒนาการมากขึ้น แต่บางคนก็กล่าวว่านี่มันคือ King’s Field ที่อัปเกรดภาพให้สวยขึ้น แถมเพิ่มเวทมนตร์เข้าไปเท่านั้นเองนี่หว่า จึงทำให้เกมนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก
จนมาถึงในปี 2002 นี่เป็นครั้งแรกที่ทางบริษัทได้เริ่มพัฒนาเกมให้กับเครื่อง GameCube ของ Nintendo และเครื่อง Xbox ของ Microsoft นับว่าเป็นครั้งแรกที่ FromSoftware เริ่มพัฒนาเกมของตัวเองบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ช่วยขยายฐานแฟนเกมของพวกเขาให้กว้างไปยิ่งขึ้น
ในปีเดียวกันนั้นทางค่ายยังได้วางขาย Armored Core 2 อีกด้วย ซึ่งในภาคนี้ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลกไม่ต่างจากภาคแรก ด้วยระบบต่อสู้ที่ยังคงรวดเร็ว สะใจดังเดิม พ่วงมาด้วยระบบการปรับแต่งหุ่นรบดั่งใจนึก ตบท้ายด้วยภาพกราฟิกที่เรียกได้ว่าเป็นชั้นแถวหน้าในยุคนั้นเลย
จุดเริ่มต้นของผู้พัฒนามือทองผู้จะพลิกโฉมหน้าของบริษัทและวงการเกม
เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2004 ในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่า นี่จะเป็นอีกหนึ่งปีที่จะถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของทางบริษัท เพราะชายที่ได้สร้างตำนานเกมแห่งความยากอย่าง Hidetaka Miyazaki ได้ยื่นใบสมัครเข้าสู่บริษัท FromSoftware ในตำแหน่งนักออกแบบเกมเป็นครั้งแรก
หากจะย้อนกลับไปสักหน่อย เดิม Hidetaka Miyazaki เคยเป็นพนักงานบริษัททั่วไป เขาใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งมีเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของเขาได้นำเกม ICO มาให้เขาได้ลองเล่น ซึ่งเกมนั้นมันได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล Miyazaki ได้รับรู้ถึงความทรงพลัง และความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดที่วิดีโอเกมสามารถทำได้เหนือกว่าสื่ออื่น ๆ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เป้าหมายในชีวิตของเขา ก็คือการทำเกมที่จะเทียบเท่า หรือเหนือยิ่งกว่า ICO นั่นเอง
ด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงของ Miyazaki เขาจึงได้นั่งแท่นตำแหน่ง Project Manager ของเกมชื่อดังของค่ายอย่าง Armored core last raven ด้วยความรวดเร็ว และหลังจากนั้น เขาก็ยังได้นั่งแท่น Director ของ Armored Core 4 และ Armored Core: For Answer อีกด้วย
ต่อกันที่ในปี 2009 ตัว Miyazaki เริ่มได้รับความไว้วางใจจากบริษัทมากขึ้น จนเขาริเริ่มที่จะอยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน นั่นก็คือ การนำเอาโปรเจกต์ที่เคยล้มเหลวไปแล้ว ขุดขึ้นมาพัฒนาใหม่ให้สำเร็จ แน่นอนว่าด้วยผลงานที่เขาเคยทำไว้ จึงทำให้ทาง FromSoftware อนุญาตให้เขาลองทำอย่างว่าง่าย เพราะแต่เดิมนั้นหากเขาทำพลาดมันก็ไม่ได้มีใครที่คาดหวังกับโปรเจกต์นี้สักเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกัน ตัวของ Miyazaki กลับมองว่าถ้าเขาสามารถทำสำเร็จได้ นี่จะเป็นอีกหนึ่งขั้นบันไดที่ช่วยให้เขาเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น
และผลลัพธ์ของโปรเจกต์ที่ไม่มีใครเชื่อมั่นนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของตำนานเกม Action-RPG ที่จะมาบัญญัติแนวเกมของตัวเองขึ้นใหม่อย่าง Demon's Souls นั่นเอง
ในตอนแรกตัวเกม Demon's Souls เปิดตัวได้ไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก แต่ด้วยเสียงบอกเล่าแบบปากต่อปากของบรรดาเกมเมอร์ในแดนปลาดิบถึงความยากที่นรกแตก บวกกับความสนุกในระบบต่อสู้ จึงทำให้เกมมียอดขายที่กระเตื้องขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นทาง Sony ก็ปฏิเสธที่จะวางจำหน่ายเกมนี้ในระดับนานาชาติอยู่ดี ร้อนไปถึงทาง Atlus ได้เข้ามารับช่วงต่อในการเผยแพร่เกม Demon's Souls สู่สายตาของนานาชาติ และท้ายที่สุดสิทธิ์ในการวางขายทั่วโลกก็ตกไปอยู่ในมือของ Bandai Namco อีกที ซึ่งตัวเกมปฐมบทของซีรีส์ Souls เกมนี้ ได้เริ่มจุดเชื้อไฟ และวางฐานแฟนคลับทั่วโลกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เวลาผ่านเลยไปจนกระทั่งเข้าสู่ปี 2011 ซึ่งคือปีที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ FromSoftware ไปตลอดกาล จากค่ายพัฒนาเกมระดับกลางที่พอจะมีชื่อเสียงแค่ภายในญี่ปุ่น กลับกลายเป็นหนึ่งในสตูดิโอพัฒนาเกมที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเกมระดับแนวหน้าของโลกปัจจุบัน เพราะนี่คือปีที่ Dark Souls ภาคแรกออกวางจำหน่ายนั่นเอง
ด้วยความยาก ความสนุก ไปจนถึงเนื้อเรื่องที่เล่าออกมาแบบให้ผู้เล่นสืบค้นเอง จึงทำให้เกมเมอร์ทั่วโลกต่างติดพัน ชนิดที่วางกันแทบไม่ลง และมันยังได้เป็นอีกต้นกำเนิดแนวเกม (Genre) ใหม่ขึ้นในวงการวิดีโอเกมอีกด้วย โดยประเภทนั้นจะถูกเรียกกันติดปากว่า Soulslike หรือแปลตรงตัวว่า "เกมเสมือน Souls" ซึ่งมักใช้เรียกเกมแอ็กชันที่มีความยากแสนสาหัส ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมตระกูลนี้
Dark Souls ภาคแรก เป็นหนึ่งในเกมที่ทำยอดขายขึ้นหิ้งของ Bandai Namco ไปโดยปริยาย ด้วยยอดขายถึง 13 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ที่บอกว่าไอเดียสุดมาโซคิสต์ของ Miyazaki นั้นใช้ได้ดีกับเกมแนวแอ็กชันผจญภัยทำนองนี้มากแค่ไหน
มาถึงในปี 2014 ทาง FromSoftware ได้ปล่อยตัวเกม Dark Souls 2 ออกมา ทว่าในภาคนี้ทาง Miyazaki กลับไม่ได้รับหน้าที่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการพัฒนาเลย แต่เป็นผลงานกำกับของ Tomohiro Shibuya และ Yui Tanimura แทน โดยแม้จะไร้เงาของ Miyazaki แต่ตัวเกม Dark Souls 2 ก็ยังพอทำยอดขายได้บ้างถึง 2.5 ล้านชุด แต่ทว่ามันคงไม่ได้ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ยอดเยี่ยมมากเท่าไรนัก เพราะหากเราลองไปถามแฟนเกม Dark Souls แล้ว คงมีน้อยคนนักที่จะบอกว่าชอบภาค 2 มากที่สุด
ถึงจะเป็นใหญ่ แต่ก็ไม่เคยทิ้งสิ่งที่ใฝ่ฝัน
การปล่อยมือของ Miyazaki ใน Dark Souls 2 ได้ส่งผลตอบแทนอย่างไม่คาดคิดในรูปแบบของผลงาน Exclusive ของเครื่อง PlayStation 4 ในชื่อ Bloodborne ซึ่งจะกลับมาตอกย้ำว่าแนวเกม Soulslike ที่คุณ Miyazaki ให้กำเนิดนั้น ยังสามารถเติบโตและวิวัฒนาการไปได้อีกมาก
ภายในเกมนี้ เขาได้ใส่สิ่งที่ตัวเองชอบลงไปแบบจัดเต็ม ทั้งแนวคิด Great Old One ของ H. P. Lovecraft การปูฉากหลังของเรื่องให้ดูมืดมนและเข้มข้นตามแบบฉบับ George R. R. Martin ไปจนถึงการใช้เรื่องราว และงานศิลป์ในยุคกลางที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Dracula ของ Bram Stoker
ด้วยการต่อสู้ที่รวดเร็ว ดุดันยิ่งกว่าเกมตระกูล Souls ภาคที่แล้ว ๆ มา ซึ่งคงเสน่ห์ทั้งหมดของเกมต้นตระกูลเอาไว้ได้ พร้อมกับนำเสนอองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่ทำให้เกมยังคงมีตัวตนของตัวเองที่แตกต่างจาก Dark Souls อย่างชัดเจน จึงทำให้หลายคนถึงกับยกให้ Bloodborne เป็นเกม Soulslike ที่พวกเขาชื่นชอบที่สุดกันเลยทีเดียว
ย่างเข้าสู่ปี 2016 Miyazaki ได้กลับมาสานต่อสิ่งที่ตัวเองเริ่มเอาไว้ นั่นคือการนั่งแท่นผู้กำกับของเกม Dark Souls 3
หากใครได้ลองสัมผัสกับตัวเกมทั้ง 3 ภาค คุณน่าจะพอรู้ว่าเกมนั้นค่อนข้างมีเซอร์ไพรส์ที่ทำให้แฟน ๆ จากภาคแรกต้องยิ้มกันแทบไม่หุบ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการจากลาอย่างสวยงามสำหรับซีรีส์เกมที่มีแฟน ๆ รักไปทั่วโลก
และจากผลงานทั้งหมดที่ผ่านมา รวมไปถึงการปิดฉากไตรภาคอันสวยงาม จึงทำให้ Miyazaki ได้เลื่อนขั้นจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในฐานะนักออกแบบเกมคนหนึ่งในทีม กลายเป็นหนึ่งในประธาน (President) ของค่ายพัฒนา FromSoftware ไปโดยไร้เสียงคัดค้าน
ถึงจะกลายเป็นประธานแล้ว แต่ความฝันของ Miyazaki ก็ยังคงดำเนินต่อไป ในปี 2019 เขาได้นั่งแท่นกำกับเกม Sekiro: Shadow Die Twice ซึ่งเป็นเกม Soulslike เกมแรกของ Miyazaki ที่นำเสนอฉากหลังออกมาในธีมตะวันออก แทนเกมก่อน ๆ ของเขาที่มักจะมุ่งเน้นไปในธีมตะวันตกเสียมากกว่า
ด้วยระบบแปลกใหม่อย่าง Posture ที่ให้รางวัลสำหรับผู้เล่นที่ปัดป้องได้ การตัดระบบ Stamina ออกไป และระบบใหม่ที่ให้ผู้เล่นตายได้สองครั้งตามชื่อเกม นี่จึงทำให้ตัวเกมซัดความยากที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมใส่ผู้เล่นได้ไม่ยั้ง อีกทั้งการเล่าเรื่องภายในเกมนี้นับว่าย่อยง่ายยิ่งกว่าเกมที่ผ่านมา ๆ ของตัว Miyazaki เอง ทั้งหมดนี้จึงทำให้ Sekiro: Shadow Die Twice สามารถทำยอดขายสูงถึง 2 ล้านชุดหลังวางขายได้เพียง 10 วันเท่านั้น และยังกวาดรางวัลสาขาต่าง ๆ จากแทบทุกเวที รวมไปถึงรางวัล "Game of the Year" (เกมแห่งปี) จากเวทีประกาศรางวัลใหญ่ The Game Awards 2019 โดยเป็นเกมจากผู้พัฒนาญี่ปุ่นเกมแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าวไปเลยทีเดียว
แม้จะโลดแล่นในวงการเกมมากว่า 18 ปี แล้ว แต่ดูเหมือนเชื้อไฟในการทำเกมที่จะเทียบเคียง ICO ได้ของเขาจะยังไม่หมดไป Miyazaki กลับมาพร้อมเกมใหม่ ที่สร้างปรากฎการณ์ Hype ไปทั่วโลกอย่าง Elden Ring ที่สามารถกวาดรางวัลต่าง ๆ ไปได้รวมถึง 8 รางวัล ตั้งแต่ตัวเกมยังไม่ออก และได้รับขนานนามให้เป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้วในขณะนี้
ชัดเจนว่าผู้พัฒนา FromSoftware ภายใต้การนำของคุณ Miyazaki ยังมีของดีมาให้แฟนเกมอย่างเราได้เชยชมกันไปอีกนาน
แหล่งข้อมูล: https://www.youtube.com/watch?v=xPFmZQh9t-8&ab_channel=NPCGamingGroup
https://en.wikipedia.org/wiki/FromSoftware
https://www.ign.com/articles/2015/03/16/the-history-of-from-software
ในยุคนี้หากพูดถึงค่าย FromSoftware คงมีเกมเมอร์น้อยรายนักที่จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของสตูดิโอที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานมหากาพย์ความยากที่คอยเสิร์ฟความทรมานให้กับเกมเมอร์ทั่วโลก
บ่อยครั้งที่เมื่อเราพูดถึงความยากในเกม สิ่งหนึ่งที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานก็คือ “มันยากเท่า Dark Souls ไหม?”
ซึ่งหากว่ากันตามตรงแล้ว เกมที่ยากยิ่งกว่าเกมตระกูล Souls นั้นมีอีกมากมาย ทว่าตัวเกมตระกูล Souls จากค่ายสัญชาติญี่ปุ่นค่ายนี้ สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วไปได้ง่ายกว่าเกมอื่น ๆ ที่มันยากกว่านั่นเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เวลาเกมเมอร์อยากจะพูดถึงความยาก พวกเขาจึงมักจะหยิบยก Dark Souls มาเสมอ เพราะมันทำให้ทุกคนสามารถนึกภาพตามได้ง่าย และทำให้เข้าใจตรงกันว่า อืม มันคือความยากในระดับนี้แหละ
แน่นอนว่า คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการพัฒนาตัวเกมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ FromSoftware ที่เรากล่าวถึงไปข้างต้น และหากจะให้เจาะจงไปกว่านั้น มันก็คือฝีมือของชายที่ชื่อว่า Hidetaka Miyazaki ที่นั่งแท่นผู้กำกับเกมตระกูล Souls ทั้งหลายจนทำให้ FromSoftware ประสบความสำเร็จจวบจนถึงปัจจุบัน
และในบทความนี้ เราจะมาย้อนรอยบริษัท FromSoftware กันว่า ก่อนที่พวกเขาจะสามารถขึ้นมาเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ประจำวงการเกมได้ พวกเขาเคยผ่านอะไรกันมาบ้าง
จุดเริ่มต้นคือบริษัทรับพัฒนาซอฟต์แวร์ ไม่ใช่พัฒนาเกมแบบทุกวันนี้
ย้อนกลับไปในปี 1986 นั่นคือปีแรกที่บริษัท FromSoftware ได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก โดยจุดมุ่งหมายและธุรกิจที่ทางบริษัททำในยุคนั้นก็คือการรับพัฒนาแอปพลิเคชัน ไปจนถึงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในเชิงธุรกิจนั่นเอง
จนกระทั่งมาถึงปี 1994 เป็นช่วงปีเดียวกันกับทาง Sony ที่เริ่มวางจำหน่าย PlayStation รุ่นแรกพอดิบพอดี ในยุคนั้นเครื่องเกมส่วนใหญ่มันจะใช้ตลับ (cartridge) ในการบรรจุเกมลงไปให้กับผู้บริโภค แต่ทาง PlayStation กลับเลือกที่จะริเริ่มใช้แผ่นดิสก์เป็นเจ้าแรก ๆ ประจวบเหมาะกับทาง FromSoftware ที่มักจะใช้ดิสก์ในการทำงานกันอยู่แล้ว ทางบริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสเหมาะในการลงทุนตรงนี้ พวกเขาจึงได้พัฒนาเกมแรกของบริษัทออกมา ภายใต้ชื่อ ‘King’s Field’ และวางจำหน่ายมันให้กับชาวญี่ปุ่นได้เล่นกัน เพียง 13 วันหลังจากเครื่อง PlayStation วางจำหน่ายเท่านั้น
ถึงแม้ King’s Field จะไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่ากับเกมตระกูล Souls แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ เนื้อแท้ของพวกมันแทบจะไม่ต่างกันเลย ด้วยความยากระดับสูงที่ไม่ปราณีกับผู้เล่น แถมตัวเกมยังเน้นระบบการต่อสู้มากกว่าการเล่าเรื่อง ดังนั้นหากจะพูดว่า King’s Field คือ Dark Souls ผู้มาก่อนกาลก็คงไม่ผิดมากนัก
ทั้งนี้ King’s Field ภาคแรกได้วางจำหน่ายแค่เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น แต่ด้วยความนิยมที่ล้นหลาม ภาค 2 และ 3 จึงได้เริ่มส่งออกสู่ต่างประเทศ ทว่าภายในต่างประเทศนั้น กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าภายในประเทศญี่ปุ่น
เริ่มมีชื่อเสียงจากเกมแนวหุ่นรบ
ชื่อของ FromSoftware ยังคงไม่คุ้นหูกับชาวต่างชาติมากนัก จนกระทั่งการมาถึงของ Armored Core ในปี 1997 หนึ่งในเกมแนวหุ่นรบ (Mech) ที่สร้างออกมาได้ล้ำยุคมากในสมัยนั้น ด้วยจุดเด่นที่ระบบการต่อสู้แบบรวดเร็ว สะใจ บวกกับการปรับแต่งหุ่นได้หลากหลายรูปแบบ แม้ด้านเนื้อเรื่องจะยังคงอ่อนแอเหมือนเดิม แต่ชื่อของ Armored Core ก็ได้แพร่สะพัดสู่หูของเกมเมอร์ทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ต่อมาในปี 1999 ทาง FromSoftware ได้ลองของใหม่ กับการเปิดตัวเกมแนว Survival Horror เกมแรกของทางค่ายในชื่อ Echonight แม้ตัวเกมอาจจะไม่ได้นำเสนออะไรใหม่มากนัก แต่เกมนี้ได้สร้างอีกหนึ่งรากฐานให้กับเกมต่อ ๆ มา นั่นก็คือฉากจบที่หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่น ไปจนถึงบรรยากาศความอึมครึมปนสยอง ที่ได้ถูกนำมาสานต่อในอีกหลายเกมต่อจากนี้
และในปี 2000 ทาง FromSoftware ก็ยังคงเชื่อมั่นในของ Sony พวกเขาได้เข้าร่วมตลาดซอฟต์แวร์ PlayStation 2 อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งวางขาย Eternal Ring เป็นครั้งแรก ด้านตัวเกมนั้นมีรีวิวที่ผสมปนเปกันไป เกมเมอร์บางคนชื่นชมในเรื่องกราฟิกที่สวยงาม แถมเนื้อเรื่องที่มีพัฒนาการมากขึ้น แต่บางคนก็กล่าวว่านี่มันคือ King’s Field ที่อัปเกรดภาพให้สวยขึ้น แถมเพิ่มเวทมนตร์เข้าไปเท่านั้นเองนี่หว่า จึงทำให้เกมนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก
จนมาถึงในปี 2002 นี่เป็นครั้งแรกที่ทางบริษัทได้เริ่มพัฒนาเกมให้กับเครื่อง GameCube ของ Nintendo และเครื่อง Xbox ของ Microsoft นับว่าเป็นครั้งแรกที่ FromSoftware เริ่มพัฒนาเกมของตัวเองบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ช่วยขยายฐานแฟนเกมของพวกเขาให้กว้างไปยิ่งขึ้น
ในปีเดียวกันนั้นทางค่ายยังได้วางขาย Armored Core 2 อีกด้วย ซึ่งในภาคนี้ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลกไม่ต่างจากภาคแรก ด้วยระบบต่อสู้ที่ยังคงรวดเร็ว สะใจดังเดิม พ่วงมาด้วยระบบการปรับแต่งหุ่นรบดั่งใจนึก ตบท้ายด้วยภาพกราฟิกที่เรียกได้ว่าเป็นชั้นแถวหน้าในยุคนั้นเลย
จุดเริ่มต้นของผู้พัฒนามือทองผู้จะพลิกโฉมหน้าของบริษัทและวงการเกม
เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2004 ในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่า นี่จะเป็นอีกหนึ่งปีที่จะถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของทางบริษัท เพราะชายที่ได้สร้างตำนานเกมแห่งความยากอย่าง Hidetaka Miyazaki ได้ยื่นใบสมัครเข้าสู่บริษัท FromSoftware ในตำแหน่งนักออกแบบเกมเป็นครั้งแรก
หากจะย้อนกลับไปสักหน่อย เดิม Hidetaka Miyazaki เคยเป็นพนักงานบริษัททั่วไป เขาใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งมีเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของเขาได้นำเกม ICO มาให้เขาได้ลองเล่น ซึ่งเกมนั้นมันได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล Miyazaki ได้รับรู้ถึงความทรงพลัง และความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดที่วิดีโอเกมสามารถทำได้เหนือกว่าสื่ออื่น ๆ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เป้าหมายในชีวิตของเขา ก็คือการทำเกมที่จะเทียบเท่า หรือเหนือยิ่งกว่า ICO นั่นเอง
ด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงของ Miyazaki เขาจึงได้นั่งแท่นตำแหน่ง Project Manager ของเกมชื่อดังของค่ายอย่าง Armored core last raven ด้วยความรวดเร็ว และหลังจากนั้น เขาก็ยังได้นั่งแท่น Director ของ Armored Core 4 และ Armored Core: For Answer อีกด้วย
ต่อกันที่ในปี 2009 ตัว Miyazaki เริ่มได้รับความไว้วางใจจากบริษัทมากขึ้น จนเขาริเริ่มที่จะอยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน นั่นก็คือ การนำเอาโปรเจกต์ที่เคยล้มเหลวไปแล้ว ขุดขึ้นมาพัฒนาใหม่ให้สำเร็จ แน่นอนว่าด้วยผลงานที่เขาเคยทำไว้ จึงทำให้ทาง FromSoftware อนุญาตให้เขาลองทำอย่างว่าง่าย เพราะแต่เดิมนั้นหากเขาทำพลาดมันก็ไม่ได้มีใครที่คาดหวังกับโปรเจกต์นี้สักเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกัน ตัวของ Miyazaki กลับมองว่าถ้าเขาสามารถทำสำเร็จได้ นี่จะเป็นอีกหนึ่งขั้นบันไดที่ช่วยให้เขาเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น
และผลลัพธ์ของโปรเจกต์ที่ไม่มีใครเชื่อมั่นนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของตำนานเกม Action-RPG ที่จะมาบัญญัติแนวเกมของตัวเองขึ้นใหม่อย่าง Demon's Souls นั่นเอง
ในตอนแรกตัวเกม Demon's Souls เปิดตัวได้ไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก แต่ด้วยเสียงบอกเล่าแบบปากต่อปากของบรรดาเกมเมอร์ในแดนปลาดิบถึงความยากที่นรกแตก บวกกับความสนุกในระบบต่อสู้ จึงทำให้เกมมียอดขายที่กระเตื้องขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นทาง Sony ก็ปฏิเสธที่จะวางจำหน่ายเกมนี้ในระดับนานาชาติอยู่ดี ร้อนไปถึงทาง Atlus ได้เข้ามารับช่วงต่อในการเผยแพร่เกม Demon's Souls สู่สายตาของนานาชาติ และท้ายที่สุดสิทธิ์ในการวางขายทั่วโลกก็ตกไปอยู่ในมือของ Bandai Namco อีกที ซึ่งตัวเกมปฐมบทของซีรีส์ Souls เกมนี้ ได้เริ่มจุดเชื้อไฟ และวางฐานแฟนคลับทั่วโลกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เวลาผ่านเลยไปจนกระทั่งเข้าสู่ปี 2011 ซึ่งคือปีที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ FromSoftware ไปตลอดกาล จากค่ายพัฒนาเกมระดับกลางที่พอจะมีชื่อเสียงแค่ภายในญี่ปุ่น กลับกลายเป็นหนึ่งในสตูดิโอพัฒนาเกมที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเกมระดับแนวหน้าของโลกปัจจุบัน เพราะนี่คือปีที่ Dark Souls ภาคแรกออกวางจำหน่ายนั่นเอง
ด้วยความยาก ความสนุก ไปจนถึงเนื้อเรื่องที่เล่าออกมาแบบให้ผู้เล่นสืบค้นเอง จึงทำให้เกมเมอร์ทั่วโลกต่างติดพัน ชนิดที่วางกันแทบไม่ลง และมันยังได้เป็นอีกต้นกำเนิดแนวเกม (Genre) ใหม่ขึ้นในวงการวิดีโอเกมอีกด้วย โดยประเภทนั้นจะถูกเรียกกันติดปากว่า Soulslike หรือแปลตรงตัวว่า "เกมเสมือน Souls" ซึ่งมักใช้เรียกเกมแอ็กชันที่มีความยากแสนสาหัส ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมตระกูลนี้
Dark Souls ภาคแรก เป็นหนึ่งในเกมที่ทำยอดขายขึ้นหิ้งของ Bandai Namco ไปโดยปริยาย ด้วยยอดขายถึง 13 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ที่บอกว่าไอเดียสุดมาโซคิสต์ของ Miyazaki นั้นใช้ได้ดีกับเกมแนวแอ็กชันผจญภัยทำนองนี้มากแค่ไหน
มาถึงในปี 2014 ทาง FromSoftware ได้ปล่อยตัวเกม Dark Souls 2 ออกมา ทว่าในภาคนี้ทาง Miyazaki กลับไม่ได้รับหน้าที่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการพัฒนาเลย แต่เป็นผลงานกำกับของ Tomohiro Shibuya และ Yui Tanimura แทน โดยแม้จะไร้เงาของ Miyazaki แต่ตัวเกม Dark Souls 2 ก็ยังพอทำยอดขายได้บ้างถึง 2.5 ล้านชุด แต่ทว่ามันคงไม่ได้ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ยอดเยี่ยมมากเท่าไรนัก เพราะหากเราลองไปถามแฟนเกม Dark Souls แล้ว คงมีน้อยคนนักที่จะบอกว่าชอบภาค 2 มากที่สุด
ถึงจะเป็นใหญ่ แต่ก็ไม่เคยทิ้งสิ่งที่ใฝ่ฝัน
การปล่อยมือของ Miyazaki ใน Dark Souls 2 ได้ส่งผลตอบแทนอย่างไม่คาดคิดในรูปแบบของผลงาน Exclusive ของเครื่อง PlayStation 4 ในชื่อ Bloodborne ซึ่งจะกลับมาตอกย้ำว่าแนวเกม Soulslike ที่คุณ Miyazaki ให้กำเนิดนั้น ยังสามารถเติบโตและวิวัฒนาการไปได้อีกมาก
ภายในเกมนี้ เขาได้ใส่สิ่งที่ตัวเองชอบลงไปแบบจัดเต็ม ทั้งแนวคิด Great Old One ของ H. P. Lovecraft การปูฉากหลังของเรื่องให้ดูมืดมนและเข้มข้นตามแบบฉบับ George R. R. Martin ไปจนถึงการใช้เรื่องราว และงานศิลป์ในยุคกลางที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Dracula ของ Bram Stoker
ด้วยการต่อสู้ที่รวดเร็ว ดุดันยิ่งกว่าเกมตระกูล Souls ภาคที่แล้ว ๆ มา ซึ่งคงเสน่ห์ทั้งหมดของเกมต้นตระกูลเอาไว้ได้ พร้อมกับนำเสนอองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่ทำให้เกมยังคงมีตัวตนของตัวเองที่แตกต่างจาก Dark Souls อย่างชัดเจน จึงทำให้หลายคนถึงกับยกให้ Bloodborne เป็นเกม Soulslike ที่พวกเขาชื่นชอบที่สุดกันเลยทีเดียว
ย่างเข้าสู่ปี 2016 Miyazaki ได้กลับมาสานต่อสิ่งที่ตัวเองเริ่มเอาไว้ นั่นคือการนั่งแท่นผู้กำกับของเกม Dark Souls 3
หากใครได้ลองสัมผัสกับตัวเกมทั้ง 3 ภาค คุณน่าจะพอรู้ว่าเกมนั้นค่อนข้างมีเซอร์ไพรส์ที่ทำให้แฟน ๆ จากภาคแรกต้องยิ้มกันแทบไม่หุบ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการจากลาอย่างสวยงามสำหรับซีรีส์เกมที่มีแฟน ๆ รักไปทั่วโลก
และจากผลงานทั้งหมดที่ผ่านมา รวมไปถึงการปิดฉากไตรภาคอันสวยงาม จึงทำให้ Miyazaki ได้เลื่อนขั้นจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในฐานะนักออกแบบเกมคนหนึ่งในทีม กลายเป็นหนึ่งในประธาน (President) ของค่ายพัฒนา FromSoftware ไปโดยไร้เสียงคัดค้าน
ถึงจะกลายเป็นประธานแล้ว แต่ความฝันของ Miyazaki ก็ยังคงดำเนินต่อไป ในปี 2019 เขาได้นั่งแท่นกำกับเกม Sekiro: Shadow Die Twice ซึ่งเป็นเกม Soulslike เกมแรกของ Miyazaki ที่นำเสนอฉากหลังออกมาในธีมตะวันออก แทนเกมก่อน ๆ ของเขาที่มักจะมุ่งเน้นไปในธีมตะวันตกเสียมากกว่า
ด้วยระบบแปลกใหม่อย่าง Posture ที่ให้รางวัลสำหรับผู้เล่นที่ปัดป้องได้ การตัดระบบ Stamina ออกไป และระบบใหม่ที่ให้ผู้เล่นตายได้สองครั้งตามชื่อเกม นี่จึงทำให้ตัวเกมซัดความยากที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมใส่ผู้เล่นได้ไม่ยั้ง อีกทั้งการเล่าเรื่องภายในเกมนี้นับว่าย่อยง่ายยิ่งกว่าเกมที่ผ่านมา ๆ ของตัว Miyazaki เอง ทั้งหมดนี้จึงทำให้ Sekiro: Shadow Die Twice สามารถทำยอดขายสูงถึง 2 ล้านชุดหลังวางขายได้เพียง 10 วันเท่านั้น และยังกวาดรางวัลสาขาต่าง ๆ จากแทบทุกเวที รวมไปถึงรางวัล "Game of the Year" (เกมแห่งปี) จากเวทีประกาศรางวัลใหญ่ The Game Awards 2019 โดยเป็นเกมจากผู้พัฒนาญี่ปุ่นเกมแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าวไปเลยทีเดียว
แม้จะโลดแล่นในวงการเกมมากว่า 18 ปี แล้ว แต่ดูเหมือนเชื้อไฟในการทำเกมที่จะเทียบเคียง ICO ได้ของเขาจะยังไม่หมดไป Miyazaki กลับมาพร้อมเกมใหม่ ที่สร้างปรากฎการณ์ Hype ไปทั่วโลกอย่าง Elden Ring ที่สามารถกวาดรางวัลต่าง ๆ ไปได้รวมถึง 8 รางวัล ตั้งแต่ตัวเกมยังไม่ออก และได้รับขนานนามให้เป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้วในขณะนี้
ชัดเจนว่าผู้พัฒนา FromSoftware ภายใต้การนำของคุณ Miyazaki ยังมีของดีมาให้แฟนเกมอย่างเราได้เชยชมกันไปอีกนาน
แหล่งข้อมูล: https://www.youtube.com/watch?v=xPFmZQh9t-8&ab_channel=NPCGamingGroup
https://en.wikipedia.org/wiki/FromSoftware
https://www.ign.com/articles/2015/03/16/the-history-of-from-software