Cyberpunk: Edgerunners ได้ขึ้นแท่นกลายเป็นอนิเมะจากเกมที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ด้วยการออกอากาศฉายบน Netflix ด้วยจำนวนเพียง 10 ตอน พร้อมกับทำให้กระแสของเกมต้นฉบับอย่าง Cyberpunk 2077 กลับมาคืนชีพได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกครั้ง โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งใหญ่นี้ก็คือสตูดิโอ TRIGGER สตูดิโออนิเมะจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีผลงานชื่อดังมากมายอาทิเช่น Kill la Kill, SSSS.GRIDMAN, Promare
สตูดิโออนิเมะจากญี่ปุ่น TRIGGER และสตูดิโอเกมจากโปแลนด์ CD Projekt Red ล้วนเป็นสตูดิโอที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งการทำงานและวัฒนธรรม แต่พวกเขามีแนวคิดอย่างไรจึงทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นอนิเมะแห่งปีที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด นี่คือข้อมูลเบื้องหลังที่จะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญภายในอนิเมะ ที่จะทำให้คุณได้พบกับเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน ในการกำเกิดเรื่องราวอันเป็นตำนานของอนิเมะที่มีชื่อว่า Cyberpunk: Edgerunners
จุดเริ่มต้นของอนิเมะ Cyberpunk: Edgerunners มาจากการที่ CD Projekt Red ได้เกิดความคิดอยากจะทำอนิเมะที่มีเรื่องราวอยู่ในโลกของเกม Cyberpunk 2077 และได้มีตัวเลือกของสตูดิโออนิเมะญี่ปุ่นระหว่าง Production I.G กับ TRIGGER แต่ในตอนนั้น Production I.G กำลังมีงานล้นมือถึง 5-6 โปรเจ็กต์ด้วยกัน ทำให้ความหวังเดียวจึงได้ตกมาอยู่ที่สตูดิโอ TRIGGER
CD Projekt Red ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตแอนิเมชั่นมาก่อนเลยสักนิดเดียว พวกเขาจึงมีเพียงความคิดที่เรียบง่ายว่า “ถ้าหากมีเนื้อเรื่องที่สนุก ก็สามารถสร้างอนิเมะที่สนุกได้” จากนั้นจึงได้เริ่มคิดคอนเซ็ปต์เนื้อเรื่องทั้งหมดเอง ก่อนที่จะติดต่อไปหาสตูดิโอ TRIGGER เพื่อขอให้ช่วยทำเป็นอนิเมะให้
ทว่า สตูดิโอ TRIGGER ได้ตอบกลับมาว่าคอนเซ็ปต์เรื่องที่ทาง CD Projekt Red เสนอมาให้นั้นสามารถทำเป็นเกมได้สนุกแน่นอน แต่ไม่สามารถทำให้เป็นอนิเมะที่สนุกได้ ทำให้ CDPR ได้แก้สคริปต์บทใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกว่า 4 สคริปต์ด้วยกัน แต่ก็ยังไม่ผ่านตากรรมการจนต้องยอมยกให้ทาง TRIGGER เป็นผู้จัดการเองทั้งหมด ในขณะที่พวกเขาจะเป็นผู้เสนอข้อเรียกร้องที่ ๆ ที่อยากให้มีเพิ่มเติม การสร้างอนิเมะจึงเสียเวลาอยู่นานกว่า 2 ปี เพื่อทำการเปลี่ยนสคริปต์เรื่องใหม่ทั้งหมด พร้อมกับคิดว่าจะนำเสนออนิเมะไปในทิศทางไหน
ด้วยความที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำอนิเมะมาก่อน CD Projekt Red จึงมักจะขอให้สตูดิโอ TRIGGER ทำในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในอนิเมะ และทำให้ทาง TRIGGER ต้องอธิบายออกมาตรง ๆ ว่าอะไนที่ทำไม่ได้ และเพราะอะไรถึงทำไม่ได้ เนื่องจากการทำอนิเมะนั้นมีความแตกต่างกับการทำเกมแบบตรงข้ามกันมาก แต่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายในระหว่างการทำงานนั้น ก็ล้วนมาจากความตั้งใจที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจะสร้าง “อนิเมะที่ดี” ออกมาให้ได้
สตูดิโอ TRIGGER มีความมั่นใจในเรื่องงานภาพที่มีผลงานมานานกว่า 10 ปี และมีฝีมือความสามารถของทีมงานที่ยังคงพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดมาตลอด สิ่งที่พวกเขาต้องทำในอนิเมะ Cyberpunk: Edgerunners คือการถ่ายทอดภาพของเมือง Night City จากในภาพ 3DCG ของเกมมาสู่อนิเมะ และท้าทายกับการสร้างความสมดุลในสิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาด้วยการดัดแปลงเนื้อหาของเกมให้มาเป็นอนิเมะ ที่มีการตอบโต้ของผู้ชมแตกต่างกับการเล่นเกม
CD Projekt Red ได้ทำการรวบรวมวัตถุดิบจำนวนมหาศาลมากจากในเกม ส่งไปให้ทาง TRIGGER ได้นำมาใช้ประกอบการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเส้นทางคมนาคม, หน้าจอเมนู Interface ต่าง ๆ, อาวุธที่ใช้, เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์หรือเครื่องยนตร์, หรือข้อมูล 3DCG ของเมือง Night City ทำให้ทาง TRIGGER มีไอเดียที่เปิดกว้างในการหยิบสิ่งต่าง ๆ มาใช้
คุณ Imaishi Hiroyuki ได้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับของอนิเมะ โดยที่ทางสตูดิโอ TRIGGER ต้องการผู้กำกับที่มีแนวคิดในการนำเสนอที่ชัดเจน และมีวิสัยทัศน์ที่จะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ผลงานที่มาของเขาอย่าง Gurren Lagann, Kill la Kill, Promare ล้วนเป็นผลงานที่มีการนำเสนอที่ชัดเจนให้เห็นตามที่ต้องการ แต่นอกจากสิ่งที่เคยทำมาแล้ว ผู้กำกับ Imaishi ก็ต้องการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ในผลงานเรื่องนี้ด้วย
ในการวาดสตอรี่บอร์ด ผู้กำกับ Imaishi ต้องการแสดงให้เห็นการแสดงความรู้สึกของตัวละคร ทำให้ผู้ชมจะได้เห็นฉากที่เน้นการแสดงออกถึงสีหน้าของตัวละครในแต่ละเหตุการณ์ ได้อย่างชัดเจนอยู่หลายฉาก
การแสดงสีของแสงเงาสะท้อนในแต่ละฉาก ก็เป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่และเป็นความท้าทายใหม่ของผู้กำกับ Imaishi เป็นอย่างมาก ผู้ชมจะเห็นได้ว่าในบางฉากนั้นจะมีการใช้แสงสะท้อนสีชมพู สีแดง หรือสีเขียว แตกต่างกันไปตามสถานที่ภายในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟนีออนนี้ เพื่อการแสดงการสะท้อนของสีออกมาได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้ต้องมีการทดลองด้วยการเซ็ตฉากเปิดแสงสะท้อนของไฟสีต่าง ๆ ใส่คนจริง ๆ ก่อนที่จะนำมาเป็นแบบอ้างอิงในอนิเมะ และยังมีขั้นตอนการแก้ไขอย่างละเอียดเพื่อให้แสงเงาสะท้อนออกมาได้อย่างเหมาะสมที่สุด นี่จึงเป็นการนำเสนอของเทคนิคงานภาพ ที่แทบจะไม่เคยมีในอนิเมะของญี่ปุ่นมาก่อน
ภายในอนิเมะ จะมีฉากต่อสู้ที่ใช้เอฟเฟ็กต์ระเบิดหรือเอฟเฟ็กต์ควันอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งระเบิดเหล่านั้นผู้กำกับ Imaishi ได้เป็นคนวาดมือขึ้นมาด้วยตัวเอง จากการที่เขามักจะใช้เวลาว่างในการวาดแอนิเมชั่นของเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ เก็บเอาไว้มาตลอดหลายปี ในบางฉากนั้นอาจจะมีภาพของการระเบิดเกิดขึ้นเพียง 3 วินาที แต่ก็ต้องใช้การวาดภาพต่อเนื่องถึง 24 ภาพ เพื่อทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของการระเบิดออกมาได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด
ผู้กำกับ Imaishi รู้สึกชื่นชมในความพยายามที่ทาง CD Projekt Red สามารถออกแบบโครงสร้างของเมือง Night City อันเป็นเมืองในอนาคตได้โดยมีความละเอียดสูงมาก ตั้งแต่สัญญาณจราจร ถนน ป้ายไฟ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าถ้าถูกขอให้วาดด้วยมือก็คงทำไม่ได้แน่ ๆ
การออกแบบตัวละครของ David ได้เปลี่ยนแปลงไปจากตอนแรกเล็กน้อย ในขณะที่ Lucy มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเยอะมาก
ในการออกแบบตัวละคร คุณ Yoh Yoshinari ผู้เป็น Character Design ต้องคำนึงถึงว่า David เป็นตัวละครแบบไหน เขาเติบโตมาอย่างไร ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร เป้าหมายของเขาคืออะไร และเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องได้อย่างไร ทำให้ David ออกมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าตัวละครคนอื่น ๆ และได้เข้าไปพัวพันกับความรุนแรงในสังคม ซึ่งเป็นการออกแบบที่ทำได้ยากในตอนแรก
คุณ Yoh ยอมรับว่า Lucy เป็นตัวละครที่ออกแบบได้ยากกว่า David มาก เธอเป็นตัวละครที่มีความแตกต่างหลาย ๆ อย่างตรงข้ามกับ David โดยเฉพาะเรื่องของความลึกลับที่มีเสน่ห์ แต่ก็ยังต้องการให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงได้ในแบบตัวละครของอนิเมะญี่ปุ่น โดยที่ระวังไม่ทำให้เธอดูเป็นตัวละครที่มีความชั่วร้ายมากเกินไป
Lucy มีชื่อจริงว่า Lucy Kushinada เธอเป็นลูกครึ่งโปแลนด์กับญี่ปุ่น และถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นตัวละครสำคัญที่จะพา David และผู้ชม ไปสู่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่าง ๆ เธอจึงเป็นเหมือนกับคนที่สอนให้รู้ว่าการทำเรื่องที่ไม่ดีคืออะไร ในขณะเดียวกันก็ยังมีความลับบางอย่างที่เธอปิดบังเอาไว้
สีผมของ Lucy ในตอนแรก ได้ถูกออกแบบโดยใช้สีที่มีความสดใส ซึ่งอ้างอิงมาจากนกฟินส์ และได้ลองปรับเปลี่ยนเป็นสีอื่น ๆ มาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วก็มาจบที่สีผมที่ดูเรียบง่าย แต่ก็ดูมีความสง่างามเข้ากันมากที่สุด
ระหว่างการออกแบบตัวละคร คุณ Yoh ได้กลัวว่าภาพลักษณ์ของตัวละครที่เขานึกภาพเอาไว้ จะออกมาเหมือนกับไอเดียของตัวละครอนิเมะในยุค 90 มากเกินไป ซึ่ง Lucy ก็เกือบจะมีความคล้ายกับตัวละคร Motoko Kusanagi จากเรื่อง Ghost in the Shell ที่ถือเป็นหนึ่งในอนิเมะ Sci-fi ในตำนาน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของคุณ Yoh Yoshinari ในฐานะ Character Design ที่ต้องออกแบบตัวละครให้มีความแตกต่างกันกับผลงานที่เคยมีชื่อเสียงอยู่แล้ว
คุณ Kaneko Yuto เป็นผู้ช่วยผู้ออกแบบตัวละครคนอื่น ๆ อย่าง Rebecca และสมาชิกในกลุ่มของ David ซึ่งเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ร่วมทำงานกับผู้กำกับ Imaishi Hiroyuki และคุณ Yoh Yoshinari มาตั้งแต่ปี 2012 นี่จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เขาได้มีส่วนร่วมหลังจากที่สั่งสมพัฒนาความสามารถมาแล้วมากมาย จนเป็นที่ไว้วางใจของทีมงานทุกคนมากพอแล้ว
Rebecca เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ได้รับความนิยมมาก จากความแตกต่างของเธอกับตัวละครอื่น รูปร่างของเธอดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่น่ารัก แต่กลับมีความก้าวร้าว และมีการใช้คำพูดที่รุนแรง รวมถึงชอบถือปืนอยู่เสมอ ซึ่งนี่เป็นตัวละครที่คุณ Kaneko Yuto ตั้งใจออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นความสนุกในตัวละครของอนิเมะแบบญี่ปุ่น
ทว่า ทาง CD Projekt Red ไม่ค่อยพอใจกับตัวละครที่ทาง TRIGGER ออกแบบมาให้ และขอให้ทำการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ตัวละครใหม่เพราะคิดว่า “หากมีตัวละครที่น่ารัก จะทำให้โลกของ Cyberpunk 2077 พังไปด้วย” แต่สตูดิโอ TRIGGER ผู้มากประสบการณ์ในการทำอนิเมะ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตัวละครเหล่านี้ได้กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้จริง ๆ ความเห็นตรงกันข้ามในตอนแรกนั้นจึงเป็นเพียงแค่เรื่องความแตกต่างของวัฒนธรรมเท่านั้น
สาเหตุที่ Rebecca เป็นตัวละครเด็กผู้หญิงตัวเล็ก เป็นเพราะแนวคิดในการนำเสนอที่สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก นั่นก็คือการที่ทาง TRIGGER ต้องการให้ผู้ชมอนิเมะสามารถแยกตัวละครออกได้โดยง่าย ถ้าหากมีตัวละครที่มีส่วนสูงในระดับใกล้เคียงกันหมด ต่อให้มีหน้าตาหรือสีที่แตกต่างกัน แต่ก็จะดูเหมือนกันหมดมากเกินไป
บทของ Rebecca ได้จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ผู้ชมไม่ทันตั้งตัว นั่นก็เป็นสิ่งที่ทีมงานตั้งใจให้มีความเชื่อมโยงกับพี่ชายของเธอที่ตายโดยไม่คาดคิดเช่นกัน ซึ่งถ้าหากตัวละครนั้นไม่มีความน่าจดจำ ผู้ชมก็จะไม่มีความประทับใจอะไรในฉากนี้เลย
แนวคิดเริ่มต้นในการทำอนิเมะของ CD Projekt Red ได้เกิดขึ้นในปี 2017 ก่อนที่ทางสตูดิโอ TRIGGER จะได้เริ่มต้นงานในปี 2018 ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาอยากจะสัมผัสกับตัวเกมจริง ๆ เพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาได้อย่างถ่องแท้ แต่ในตอนนั้นทาง CDPR ยังทำเกมออกมาไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาต้องปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ จากข้อมูลเท่าที่มีในช่วงแรกเอาเอง และทำให้มีไอเดียที่ถูกตัดออกเนื่องจากแนวคิดที่ไม่เข้ากันอย่างช่วยไม่ได้อยู่เยอะ
ทางทีมงานของ TRIGGER ได้พูดคุยกับ CD Projekt Red โดยตรงเสมอ อย่างเช่นการที่พวกเขาบอกว่าชอบอะไรในเกม และได้กลายมาเป็นวัตถุดิบที่ถูกนำมาใส่ในอนิเมะ หรือการที่พวกเขาต้องการจะทำอะไร ก็จะทำการเสนอไอเดียไปก่อนที่จะได้รับการตอบตกลงกลับมา การที่นำฉากสถานที่ในเกมให้มาอยู่ในอนิเมะ ก็เป็นแนวคิดของการตามรอยสถานที่เหมือนที่แฟน ๆ ของอนิเมะชอบทำกันด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่า CD Projekt Red จะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอหลาย ๆ อย่างในตอนแรก เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องการทำอนิเมะมาก่อน แต่หลังจากที่ภาพของ Cyberpunk: Edgerunners เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มตื่นเต้นมากขึ้นกับสิ่งที่สตูดิโอ TRIGGER ทำขึ้นมาแบบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ภายในอนิเมะ ได้มีฉากที่เต็มไปด้วยความดิบเถื่อนของเลือด และชิ้นส่วนที่ขาดกระเด็นอยู่มากมาย ซึ่งผู้กำกับ Imaishi ไม่ได้ชื่นชอบความดิบเถื่อนอะไรแบบนั้น เพียงแต่เขาต้องยอมรับที่จะถ่ายทอดให้เห็นความเป็นจริงอันโหดร้ายภายในโลกของ Cyberpunk ออกมา
ทาง CDPR ต้องการให้ตัวเอกใช้อุปกรณ์ไซเบอร์แวร์ที่ช่วยเพิ่มความเร็วได้ Sandevistan จึงเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์ที่ถูกเลือกมา แต่ก็สร้างความลำบากให้กับการวาดเป็นแอนิเมชั่น เมื่อทาง TRIGGER ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพื่อทำให้ภาพออกมาเป็นการเคลื่อนไหวแบบบสโลว์โมชั่น และทำให้ฉากต่อสู้ที่เคยต้องวาดภาพเพียงแค่ 3 แผ่น กลับต้องวาดเพิ่มขึ้นถึง 40 แผ่น เลยทีเดียว
ทาง CD Projekt Red ได้ทำการเรียกร้องข้อเสนอเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าพวกเขาอยากได้อนิเมะแนว Film Noir หรือภาพยนตร์แนว Gangster แบบสมัยก่อน ทำให้ตัวละครเอก David ที่ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นตัวเอกที่หาได้ยากมากในภาพยนตร์แนว Gangster
เช่นเดียวกัน การกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องจักร, ฉากจบอันน่าเศร้า, และความพ่ายแพ้ของเหล่าตัวเอกในอนิเมะ ก็เป็นสิ่งที่ CD Projekt Red ได้กำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ความประทับใจส่วนใหญ่ของเรื่องนั้นมาจากความคิดของทาง TRIGGER ที่ได้เป็นผู้เขียนบทส่วนใหญ่เอง
ความพ่ายแพ้ของเหล่าตัวเอกในตอนจบ เป็นสิ่งที่ทาง TRIGGER ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาได้เป็นคนขอให้ใส่ตัวร้ายอย่าง Adam Smasher ลงไปในอนิเมะเอง และมันก็ได้ผลเป็นอย่างมากเมื่อผู้ชมที่ได้ดูอนิเมะจบแล้ว ต่างพากันตามไปเล่นเกมต่อเพื่อไปตามหา Adam Smasher กันเป็นจำนวนมาก
ฉากการมองเห็นอดีตของ Maine เป็นแนวคิดที่ทีมงาน TRIGGER ได้เสนอไอเดียเอาไว้ และได้ถูกนำมาใช้เพราะผู้กำกับ Imaishi เห็นว่าน่าสนใจมาก ถนนที่มองเห็นคืออะไร? สถานที่รกร้างนั้นคือที่ที่เขาเคยอยู่รึเปล่า? นั่นเป็นแนวคิดของความทรงจำที่ผสมปนเปกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ตีความหมายกันเอง
แท้ที่จริงแล้ว Lucy ได้ล้มเลิกความคิดที่จะไปดวงจันทร์กลางทางแล้ว แต่ David กลับเป็นคนที่ตั้งเป้าหมายจะทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงขึ้นมาอีกครั้ง
ตามที่ผู้กำกับ Imaishi วางบทเอาไว้ ฉากที่ทำให้ David เริ่มตกหลุมรัก Lucy คือฉากตอนที่ Lucy ทำการควบคุมเตียงพยาบาลที่เขากำลังนอนอยู่ และทำการหลบหลีกรถบนถนนที่วิ่งสวนไปมา ซึ่งนี่เป็นฉากที่แสดงความโดดเด่นของ Lucy ออกมาอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก และยังมีอารมณ์ความแฟนตาซีที่โลดแล่นออกมาต่างกับฉากอื่น ๆ ภายในเรื่อง
ฉากจบที่ทาง CD Projekt Red เสนอเอาไว้ มีความโหดร้ายรุนแรงกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก เรียกได้ว่าฉากจบของทาง TRIGGER นั้นลดความรุนแรงลงมาแล้ว แต่เพิ่มเติมคือมีความประทับใจและมีความเป็นอนิเมะมากที่สุด
ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Braindance ทำให้ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนความทรงจำร่วมกันได้ แนวคิดนี้จึงทำให้เกิดฉากที่ David ได้ไปดวงจันทร์ในความฝันของ Lucy จนกลายเป็นฉากรักโรแมนติกที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีได้ในโลกของ Cyberpunk 2077 นี่ถือเป็นฉากที่สำคัญมากที่สุด ที่ได้ช่วยขยายโลกของ Cyberpunk ให้กว้างไกลออกไปมากขึ้นกว่าเดิม และกลายเป็นที่จดจำของผู้ชมไปตลอดกาล
ที่มา: NHK, Famitsu, GameWatch, Skill Up
Cyberpunk: Edgerunners ได้ขึ้นแท่นกลายเป็นอนิเมะจากเกมที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ด้วยการออกอากาศฉายบน Netflix ด้วยจำนวนเพียง 10 ตอน พร้อมกับทำให้กระแสของเกมต้นฉบับอย่าง Cyberpunk 2077 กลับมาคืนชีพได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกครั้ง โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งใหญ่นี้ก็คือสตูดิโอ TRIGGER สตูดิโออนิเมะจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีผลงานชื่อดังมากมายอาทิเช่น Kill la Kill, SSSS.GRIDMAN, Promare
สตูดิโออนิเมะจากญี่ปุ่น TRIGGER และสตูดิโอเกมจากโปแลนด์ CD Projekt Red ล้วนเป็นสตูดิโอที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งการทำงานและวัฒนธรรม แต่พวกเขามีแนวคิดอย่างไรจึงทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นอนิเมะแห่งปีที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด นี่คือข้อมูลเบื้องหลังที่จะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญภายในอนิเมะ ที่จะทำให้คุณได้พบกับเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน ในการกำเกิดเรื่องราวอันเป็นตำนานของอนิเมะที่มีชื่อว่า Cyberpunk: Edgerunners
จุดเริ่มต้นของอนิเมะ Cyberpunk: Edgerunners มาจากการที่ CD Projekt Red ได้เกิดความคิดอยากจะทำอนิเมะที่มีเรื่องราวอยู่ในโลกของเกม Cyberpunk 2077 และได้มีตัวเลือกของสตูดิโออนิเมะญี่ปุ่นระหว่าง Production I.G กับ TRIGGER แต่ในตอนนั้น Production I.G กำลังมีงานล้นมือถึง 5-6 โปรเจ็กต์ด้วยกัน ทำให้ความหวังเดียวจึงได้ตกมาอยู่ที่สตูดิโอ TRIGGER
CD Projekt Red ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตแอนิเมชั่นมาก่อนเลยสักนิดเดียว พวกเขาจึงมีเพียงความคิดที่เรียบง่ายว่า “ถ้าหากมีเนื้อเรื่องที่สนุก ก็สามารถสร้างอนิเมะที่สนุกได้” จากนั้นจึงได้เริ่มคิดคอนเซ็ปต์เนื้อเรื่องทั้งหมดเอง ก่อนที่จะติดต่อไปหาสตูดิโอ TRIGGER เพื่อขอให้ช่วยทำเป็นอนิเมะให้
ทว่า สตูดิโอ TRIGGER ได้ตอบกลับมาว่าคอนเซ็ปต์เรื่องที่ทาง CD Projekt Red เสนอมาให้นั้นสามารถทำเป็นเกมได้สนุกแน่นอน แต่ไม่สามารถทำให้เป็นอนิเมะที่สนุกได้ ทำให้ CDPR ได้แก้สคริปต์บทใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกว่า 4 สคริปต์ด้วยกัน แต่ก็ยังไม่ผ่านตากรรมการจนต้องยอมยกให้ทาง TRIGGER เป็นผู้จัดการเองทั้งหมด ในขณะที่พวกเขาจะเป็นผู้เสนอข้อเรียกร้องที่ ๆ ที่อยากให้มีเพิ่มเติม การสร้างอนิเมะจึงเสียเวลาอยู่นานกว่า 2 ปี เพื่อทำการเปลี่ยนสคริปต์เรื่องใหม่ทั้งหมด พร้อมกับคิดว่าจะนำเสนออนิเมะไปในทิศทางไหน
ด้วยความที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำอนิเมะมาก่อน CD Projekt Red จึงมักจะขอให้สตูดิโอ TRIGGER ทำในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในอนิเมะ และทำให้ทาง TRIGGER ต้องอธิบายออกมาตรง ๆ ว่าอะไนที่ทำไม่ได้ และเพราะอะไรถึงทำไม่ได้ เนื่องจากการทำอนิเมะนั้นมีความแตกต่างกับการทำเกมแบบตรงข้ามกันมาก แต่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายในระหว่างการทำงานนั้น ก็ล้วนมาจากความตั้งใจที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจะสร้าง “อนิเมะที่ดี” ออกมาให้ได้
สตูดิโอ TRIGGER มีความมั่นใจในเรื่องงานภาพที่มีผลงานมานานกว่า 10 ปี และมีฝีมือความสามารถของทีมงานที่ยังคงพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดมาตลอด สิ่งที่พวกเขาต้องทำในอนิเมะ Cyberpunk: Edgerunners คือการถ่ายทอดภาพของเมือง Night City จากในภาพ 3DCG ของเกมมาสู่อนิเมะ และท้าทายกับการสร้างความสมดุลในสิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาด้วยการดัดแปลงเนื้อหาของเกมให้มาเป็นอนิเมะ ที่มีการตอบโต้ของผู้ชมแตกต่างกับการเล่นเกม
CD Projekt Red ได้ทำการรวบรวมวัตถุดิบจำนวนมหาศาลมากจากในเกม ส่งไปให้ทาง TRIGGER ได้นำมาใช้ประกอบการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเส้นทางคมนาคม, หน้าจอเมนู Interface ต่าง ๆ, อาวุธที่ใช้, เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์หรือเครื่องยนตร์, หรือข้อมูล 3DCG ของเมือง Night City ทำให้ทาง TRIGGER มีไอเดียที่เปิดกว้างในการหยิบสิ่งต่าง ๆ มาใช้
คุณ Imaishi Hiroyuki ได้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับของอนิเมะ โดยที่ทางสตูดิโอ TRIGGER ต้องการผู้กำกับที่มีแนวคิดในการนำเสนอที่ชัดเจน และมีวิสัยทัศน์ที่จะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ผลงานที่มาของเขาอย่าง Gurren Lagann, Kill la Kill, Promare ล้วนเป็นผลงานที่มีการนำเสนอที่ชัดเจนให้เห็นตามที่ต้องการ แต่นอกจากสิ่งที่เคยทำมาแล้ว ผู้กำกับ Imaishi ก็ต้องการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ในผลงานเรื่องนี้ด้วย
ในการวาดสตอรี่บอร์ด ผู้กำกับ Imaishi ต้องการแสดงให้เห็นการแสดงความรู้สึกของตัวละคร ทำให้ผู้ชมจะได้เห็นฉากที่เน้นการแสดงออกถึงสีหน้าของตัวละครในแต่ละเหตุการณ์ ได้อย่างชัดเจนอยู่หลายฉาก
การแสดงสีของแสงเงาสะท้อนในแต่ละฉาก ก็เป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่และเป็นความท้าทายใหม่ของผู้กำกับ Imaishi เป็นอย่างมาก ผู้ชมจะเห็นได้ว่าในบางฉากนั้นจะมีการใช้แสงสะท้อนสีชมพู สีแดง หรือสีเขียว แตกต่างกันไปตามสถานที่ภายในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟนีออนนี้ เพื่อการแสดงการสะท้อนของสีออกมาได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้ต้องมีการทดลองด้วยการเซ็ตฉากเปิดแสงสะท้อนของไฟสีต่าง ๆ ใส่คนจริง ๆ ก่อนที่จะนำมาเป็นแบบอ้างอิงในอนิเมะ และยังมีขั้นตอนการแก้ไขอย่างละเอียดเพื่อให้แสงเงาสะท้อนออกมาได้อย่างเหมาะสมที่สุด นี่จึงเป็นการนำเสนอของเทคนิคงานภาพ ที่แทบจะไม่เคยมีในอนิเมะของญี่ปุ่นมาก่อน
ภายในอนิเมะ จะมีฉากต่อสู้ที่ใช้เอฟเฟ็กต์ระเบิดหรือเอฟเฟ็กต์ควันอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งระเบิดเหล่านั้นผู้กำกับ Imaishi ได้เป็นคนวาดมือขึ้นมาด้วยตัวเอง จากการที่เขามักจะใช้เวลาว่างในการวาดแอนิเมชั่นของเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ เก็บเอาไว้มาตลอดหลายปี ในบางฉากนั้นอาจจะมีภาพของการระเบิดเกิดขึ้นเพียง 3 วินาที แต่ก็ต้องใช้การวาดภาพต่อเนื่องถึง 24 ภาพ เพื่อทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของการระเบิดออกมาได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด
ผู้กำกับ Imaishi รู้สึกชื่นชมในความพยายามที่ทาง CD Projekt Red สามารถออกแบบโครงสร้างของเมือง Night City อันเป็นเมืองในอนาคตได้โดยมีความละเอียดสูงมาก ตั้งแต่สัญญาณจราจร ถนน ป้ายไฟ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าถ้าถูกขอให้วาดด้วยมือก็คงทำไม่ได้แน่ ๆ
การออกแบบตัวละครของ David ได้เปลี่ยนแปลงไปจากตอนแรกเล็กน้อย ในขณะที่ Lucy มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเยอะมาก
ในการออกแบบตัวละคร คุณ Yoh Yoshinari ผู้เป็น Character Design ต้องคำนึงถึงว่า David เป็นตัวละครแบบไหน เขาเติบโตมาอย่างไร ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร เป้าหมายของเขาคืออะไร และเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องได้อย่างไร ทำให้ David ออกมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าตัวละครคนอื่น ๆ และได้เข้าไปพัวพันกับความรุนแรงในสังคม ซึ่งเป็นการออกแบบที่ทำได้ยากในตอนแรก
คุณ Yoh ยอมรับว่า Lucy เป็นตัวละครที่ออกแบบได้ยากกว่า David มาก เธอเป็นตัวละครที่มีความแตกต่างหลาย ๆ อย่างตรงข้ามกับ David โดยเฉพาะเรื่องของความลึกลับที่มีเสน่ห์ แต่ก็ยังต้องการให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงได้ในแบบตัวละครของอนิเมะญี่ปุ่น โดยที่ระวังไม่ทำให้เธอดูเป็นตัวละครที่มีความชั่วร้ายมากเกินไป
Lucy มีชื่อจริงว่า Lucy Kushinada เธอเป็นลูกครึ่งโปแลนด์กับญี่ปุ่น และถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นตัวละครสำคัญที่จะพา David และผู้ชม ไปสู่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่าง ๆ เธอจึงเป็นเหมือนกับคนที่สอนให้รู้ว่าการทำเรื่องที่ไม่ดีคืออะไร ในขณะเดียวกันก็ยังมีความลับบางอย่างที่เธอปิดบังเอาไว้
สีผมของ Lucy ในตอนแรก ได้ถูกออกแบบโดยใช้สีที่มีความสดใส ซึ่งอ้างอิงมาจากนกฟินส์ และได้ลองปรับเปลี่ยนเป็นสีอื่น ๆ มาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วก็มาจบที่สีผมที่ดูเรียบง่าย แต่ก็ดูมีความสง่างามเข้ากันมากที่สุด
ระหว่างการออกแบบตัวละคร คุณ Yoh ได้กลัวว่าภาพลักษณ์ของตัวละครที่เขานึกภาพเอาไว้ จะออกมาเหมือนกับไอเดียของตัวละครอนิเมะในยุค 90 มากเกินไป ซึ่ง Lucy ก็เกือบจะมีความคล้ายกับตัวละคร Motoko Kusanagi จากเรื่อง Ghost in the Shell ที่ถือเป็นหนึ่งในอนิเมะ Sci-fi ในตำนาน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของคุณ Yoh Yoshinari ในฐานะ Character Design ที่ต้องออกแบบตัวละครให้มีความแตกต่างกันกับผลงานที่เคยมีชื่อเสียงอยู่แล้ว
คุณ Kaneko Yuto เป็นผู้ช่วยผู้ออกแบบตัวละครคนอื่น ๆ อย่าง Rebecca และสมาชิกในกลุ่มของ David ซึ่งเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ร่วมทำงานกับผู้กำกับ Imaishi Hiroyuki และคุณ Yoh Yoshinari มาตั้งแต่ปี 2012 นี่จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เขาได้มีส่วนร่วมหลังจากที่สั่งสมพัฒนาความสามารถมาแล้วมากมาย จนเป็นที่ไว้วางใจของทีมงานทุกคนมากพอแล้ว
Rebecca เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ได้รับความนิยมมาก จากความแตกต่างของเธอกับตัวละครอื่น รูปร่างของเธอดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่น่ารัก แต่กลับมีความก้าวร้าว และมีการใช้คำพูดที่รุนแรง รวมถึงชอบถือปืนอยู่เสมอ ซึ่งนี่เป็นตัวละครที่คุณ Kaneko Yuto ตั้งใจออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นความสนุกในตัวละครของอนิเมะแบบญี่ปุ่น
ทว่า ทาง CD Projekt Red ไม่ค่อยพอใจกับตัวละครที่ทาง TRIGGER ออกแบบมาให้ และขอให้ทำการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ตัวละครใหม่เพราะคิดว่า “หากมีตัวละครที่น่ารัก จะทำให้โลกของ Cyberpunk 2077 พังไปด้วย” แต่สตูดิโอ TRIGGER ผู้มากประสบการณ์ในการทำอนิเมะ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตัวละครเหล่านี้ได้กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้จริง ๆ ความเห็นตรงกันข้ามในตอนแรกนั้นจึงเป็นเพียงแค่เรื่องความแตกต่างของวัฒนธรรมเท่านั้น
สาเหตุที่ Rebecca เป็นตัวละครเด็กผู้หญิงตัวเล็ก เป็นเพราะแนวคิดในการนำเสนอที่สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก นั่นก็คือการที่ทาง TRIGGER ต้องการให้ผู้ชมอนิเมะสามารถแยกตัวละครออกได้โดยง่าย ถ้าหากมีตัวละครที่มีส่วนสูงในระดับใกล้เคียงกันหมด ต่อให้มีหน้าตาหรือสีที่แตกต่างกัน แต่ก็จะดูเหมือนกันหมดมากเกินไป
บทของ Rebecca ได้จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ผู้ชมไม่ทันตั้งตัว นั่นก็เป็นสิ่งที่ทีมงานตั้งใจให้มีความเชื่อมโยงกับพี่ชายของเธอที่ตายโดยไม่คาดคิดเช่นกัน ซึ่งถ้าหากตัวละครนั้นไม่มีความน่าจดจำ ผู้ชมก็จะไม่มีความประทับใจอะไรในฉากนี้เลย
แนวคิดเริ่มต้นในการทำอนิเมะของ CD Projekt Red ได้เกิดขึ้นในปี 2017 ก่อนที่ทางสตูดิโอ TRIGGER จะได้เริ่มต้นงานในปี 2018 ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาอยากจะสัมผัสกับตัวเกมจริง ๆ เพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาได้อย่างถ่องแท้ แต่ในตอนนั้นทาง CDPR ยังทำเกมออกมาไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาต้องปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ จากข้อมูลเท่าที่มีในช่วงแรกเอาเอง และทำให้มีไอเดียที่ถูกตัดออกเนื่องจากแนวคิดที่ไม่เข้ากันอย่างช่วยไม่ได้อยู่เยอะ
ทางทีมงานของ TRIGGER ได้พูดคุยกับ CD Projekt Red โดยตรงเสมอ อย่างเช่นการที่พวกเขาบอกว่าชอบอะไรในเกม และได้กลายมาเป็นวัตถุดิบที่ถูกนำมาใส่ในอนิเมะ หรือการที่พวกเขาต้องการจะทำอะไร ก็จะทำการเสนอไอเดียไปก่อนที่จะได้รับการตอบตกลงกลับมา การที่นำฉากสถานที่ในเกมให้มาอยู่ในอนิเมะ ก็เป็นแนวคิดของการตามรอยสถานที่เหมือนที่แฟน ๆ ของอนิเมะชอบทำกันด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่า CD Projekt Red จะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอหลาย ๆ อย่างในตอนแรก เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องการทำอนิเมะมาก่อน แต่หลังจากที่ภาพของ Cyberpunk: Edgerunners เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มตื่นเต้นมากขึ้นกับสิ่งที่สตูดิโอ TRIGGER ทำขึ้นมาแบบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ภายในอนิเมะ ได้มีฉากที่เต็มไปด้วยความดิบเถื่อนของเลือด และชิ้นส่วนที่ขาดกระเด็นอยู่มากมาย ซึ่งผู้กำกับ Imaishi ไม่ได้ชื่นชอบความดิบเถื่อนอะไรแบบนั้น เพียงแต่เขาต้องยอมรับที่จะถ่ายทอดให้เห็นความเป็นจริงอันโหดร้ายภายในโลกของ Cyberpunk ออกมา
ทาง CDPR ต้องการให้ตัวเอกใช้อุปกรณ์ไซเบอร์แวร์ที่ช่วยเพิ่มความเร็วได้ Sandevistan จึงเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์ที่ถูกเลือกมา แต่ก็สร้างความลำบากให้กับการวาดเป็นแอนิเมชั่น เมื่อทาง TRIGGER ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพื่อทำให้ภาพออกมาเป็นการเคลื่อนไหวแบบบสโลว์โมชั่น และทำให้ฉากต่อสู้ที่เคยต้องวาดภาพเพียงแค่ 3 แผ่น กลับต้องวาดเพิ่มขึ้นถึง 40 แผ่น เลยทีเดียว
ทาง CD Projekt Red ได้ทำการเรียกร้องข้อเสนอเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าพวกเขาอยากได้อนิเมะแนว Film Noir หรือภาพยนตร์แนว Gangster แบบสมัยก่อน ทำให้ตัวละครเอก David ที่ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นตัวเอกที่หาได้ยากมากในภาพยนตร์แนว Gangster
เช่นเดียวกัน การกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องจักร, ฉากจบอันน่าเศร้า, และความพ่ายแพ้ของเหล่าตัวเอกในอนิเมะ ก็เป็นสิ่งที่ CD Projekt Red ได้กำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ความประทับใจส่วนใหญ่ของเรื่องนั้นมาจากความคิดของทาง TRIGGER ที่ได้เป็นผู้เขียนบทส่วนใหญ่เอง
ความพ่ายแพ้ของเหล่าตัวเอกในตอนจบ เป็นสิ่งที่ทาง TRIGGER ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาได้เป็นคนขอให้ใส่ตัวร้ายอย่าง Adam Smasher ลงไปในอนิเมะเอง และมันก็ได้ผลเป็นอย่างมากเมื่อผู้ชมที่ได้ดูอนิเมะจบแล้ว ต่างพากันตามไปเล่นเกมต่อเพื่อไปตามหา Adam Smasher กันเป็นจำนวนมาก
ฉากการมองเห็นอดีตของ Maine เป็นแนวคิดที่ทีมงาน TRIGGER ได้เสนอไอเดียเอาไว้ และได้ถูกนำมาใช้เพราะผู้กำกับ Imaishi เห็นว่าน่าสนใจมาก ถนนที่มองเห็นคืออะไร? สถานที่รกร้างนั้นคือที่ที่เขาเคยอยู่รึเปล่า? นั่นเป็นแนวคิดของความทรงจำที่ผสมปนเปกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ตีความหมายกันเอง
แท้ที่จริงแล้ว Lucy ได้ล้มเลิกความคิดที่จะไปดวงจันทร์กลางทางแล้ว แต่ David กลับเป็นคนที่ตั้งเป้าหมายจะทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงขึ้นมาอีกครั้ง
ตามที่ผู้กำกับ Imaishi วางบทเอาไว้ ฉากที่ทำให้ David เริ่มตกหลุมรัก Lucy คือฉากตอนที่ Lucy ทำการควบคุมเตียงพยาบาลที่เขากำลังนอนอยู่ และทำการหลบหลีกรถบนถนนที่วิ่งสวนไปมา ซึ่งนี่เป็นฉากที่แสดงความโดดเด่นของ Lucy ออกมาอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก และยังมีอารมณ์ความแฟนตาซีที่โลดแล่นออกมาต่างกับฉากอื่น ๆ ภายในเรื่อง
ฉากจบที่ทาง CD Projekt Red เสนอเอาไว้ มีความโหดร้ายรุนแรงกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก เรียกได้ว่าฉากจบของทาง TRIGGER นั้นลดความรุนแรงลงมาแล้ว แต่เพิ่มเติมคือมีความประทับใจและมีความเป็นอนิเมะมากที่สุด
ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Braindance ทำให้ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนความทรงจำร่วมกันได้ แนวคิดนี้จึงทำให้เกิดฉากที่ David ได้ไปดวงจันทร์ในความฝันของ Lucy จนกลายเป็นฉากรักโรแมนติกที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีได้ในโลกของ Cyberpunk 2077 นี่ถือเป็นฉากที่สำคัญมากที่สุด ที่ได้ช่วยขยายโลกของ Cyberpunk ให้กว้างไกลออกไปมากขึ้นกว่าเดิม และกลายเป็นที่จดจำของผู้ชมไปตลอดกาล
ที่มา: NHK, Famitsu, GameWatch, Skill Up