ปกติแล้วลิขสิทธิ์คือสิ่งที่มีไว้ขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิในการครอบครอง ไม่ให้คนอื่นมาขโมย ทำซ้ำหรือดัดแปลงแล้วอ้างว่าเป็นของตนเอง ( ทั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนลิขสิทธิ์ก็ได้ แต่หากเกิดปัญหาเราต้องยืนยันให้ได้ว่าเราเป็นผู้ริเริ่มแต่แรกจริง ๆ ) และบางทีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในทุก ๆ อุตสาหกรรมมักใช้ช่องทางนี้เพื่อทั้งป้องกันตนเองและโจมตีผู้ที่อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจของตน ซึ่งอันนี้จริง ๆ เป็นเรื่องปกติของผู้แข็งแกร่งถึงจะอยู่รอดในวงการนี้ ดังนั้นเราจะโทษพวกเขาว่า " หน้าเลือด " ไม่ได้
แต่ประเด็นหนึ่งเลยคือเมื่อเกิดการประจันหน้ากันบนชั้นศาลระหว่างผู้ฟ้องร้องและคู่กรณี มันต้องมีฝ่ายแพ้หรือถอยออกไปก่อนเสมอ เช่นเดียวกับบริษัทเกมตำนานชื่อดังที่มีเสียงเล่าลือว่าพวกเขาขี้ฟ้องและไม่ยอมเล็ดลอดลิขสิทธิ์ที่จะทำกำไรให้ตัวพวกเขาเองแม้แต่น้อยอย่าง Nintendo
ถึงแม้มันอาจจะดูขี้งก เพราะการกระทำของนินเทนโดเช่นการไม่ยอมให้เกมของพวกเขาเองนั้นสามารถสตรีมหรืออัดคลิปวิดีโอลงช่องทางสื่ออย่าง YouTube ( ก่อนจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเปลี่ยนให้ลงได้แต่เงินเข้าเป๋าเรานะ ) แต่เราก็จะไม่ได้ปกปิดว่ามันมีหลาย ๆ ครั้งที่ปู่นินของเราที่ปะทะกับชาวบ้านบนชั้นศาล แล้วแพ้เจ็บตัวกลับมาอีกด้วย ! ไปดูกัน !
เมื่อย้อนกลับไปในยุคปี 1990 เดือนเมษายน ที่เกมทั้งหลายมักอยู่บนแพลตฟอร์มที่คนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นช่างหรือโปรแกรมเมอร์จะสามารถเข้าไปยุ่งระบบหรือแฮกเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Gameboy, Super NES, Sega Genesis และ Game Gear ต่างเป็นระบบปิดตายที่เราต้องนั่งฝืนเอาชนะด้วยตนเองทั้งนั้น จนบางทีเราอาจจะลัดเพื่อเข้าถึงในส่วนที่ต้องการแต่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงมีนักพัฒนาหัวใสนาม gamemasters และจัดจำหน่ายโดย galoob สร้างอุปกรณ์ขึ้นมาในชื่อ Game Genie เพื่อเสียบและเข้าไปแฮกเกมที่ต้องการผ่านการกรอกโค้ดที่จะแถมมากับนิตยสารทั่วไปที่พวกเขาเป็นหุ้นส่วน
แน่นอน Nintendo ไม่ยอมหรอกที่จะให้เกมยาก ๆ ของพวกเขามาโดนป่นปี้ด้วยเครื่องที่ไหนอะไรไม่รู้ในราคาแค่ 50$ หรือประมาณ 1500 บาท ( ทั้งนี้บริษัทคู่แข่ง SEGA เล็งเห็นว่ายังไงซะ ถ้าจะโกงเกมเขาก็ต้องซื้อเกมเขาอยู่ดีนี่? พวกเขาจึงไม่ได้ทำอะไร )
ปู่นินจึงเดินเรื่องรุดหน้าสั่งฟ้องทันทีในปีเดียวกันกับที่ Game Genie วางขาย แต่ห่างกันแค่สามเดือนหรือเดือนกรกฎาคม 1990 นั่นเอง การสั่งฟ้องในชั้นศาลครั้งนี้ ทำให้ศาลสั่งให้บริษัท Galoob ต้องหยุดจำหน่ายเครื่องแฮกของพวกเขาในระหว่างการขึ้นทำคดี ส่วนทาง Nintendo เองก็ต้องจ่ายค่าค้ำประกันชั้นศาลไว้ 100,000$ เช่นกัน
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีที่การต่อสู้นี้ยืดเยื้อ ท้ายที่สุดมันก็จบลง ในเดือนกรกฎา 1991 ปีต่อมา ทางศาลตัดสินว่าทาง Galoob และ Game Genie ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่บริษัท Nintendo แต่อย่างใด แต่เป็นเพียง " ตัวช่วยข้ามเรื่องราวในหนังสือ " เท่านั้น ดังนั้นปู่นินจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องเสียค่าเสียหายที่ทาง Game Genie เสียรายได้ไปเป็นเวลาหนึ่งปีรวมกับเงินเก่าค่าค้ำประกันศาลแล้วอยู่ที่ 15 ล้านดอลลาร์
ถ้าใครยังทันในยุคอินเทอร์เน็ตยังไม่รุ่งเรือง ก็คงจะรู้จัก "ร้านเช่าหนัง" ที่เรามักจะเข้าไปจ่ายเงิน 30 บาทแลกแผ่นมานั่งดูที่บ้านแน่นอน ( ก่อนจะลืมเอาไปคืนและโดนปรับเพิ่ม ฮา ) แต่สำหรับฝรั่งเขาจะมีร้านเช่าหนังชื่อดังก่อนจะดับไปไม่นานนี้เพราะพิษโควิดอย่าง Blockbuster ที่จะให้เช่าหนัง หรือจะแลกเปลี่ยนเช่าวิดีโอเกมกับทางร้าน
กล่าวกันว่า ในวันที่ 31 กรกฎาคมปี 1989 นินเทนโดได้ยื่นฟ้องกับศาลเนื่องจากทาง Blockbuster ได้เปิดให้มีการเช่าแผ่นเกมของ Gameboy ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนั้น สร้างความเสียหายต่อรายได้พวกเขาและเปรียบมันเหมือนการเอาเกมพวกเขา " ไปโดนลงแขกรุมโทรม " เปิดโอกาสให้หลายคนโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม และหวังจะให้พวกเขายุติการเช่าเหล่านี้ในฝั่งยุโรปเหมือนกับที่พวกเขาทำสำเร็จในกฎหมายห้ามการเช่าเกมและเพลงของฝั่งญี่ปุ่น
จนเดือนถัดมา 4 สิงหาคม ทางศาลก็พิจารณาว่าการกระทำของทาง Blockbuster ไม่ได้ส่งผลให้กับนินเทนโดขนาดนั้นเพราะลูกค้าก็ยืมได้แค่ทีละคนและก็อันเดิมชิ้นเดิมเท่านั้น ทำให้นินเทนโดต้องทำการยอมจำนนถอนฟ้องไป แต่ยังโชคดีที่ทางศาลยังเห็นใจและมอบสิทธิ์ในเกมรุ่นต้นฉบับของนินเทนโดต่าง ๆ จะไม่ถูกขายให้ Blockbuster และร้านเช่าหนังนี้จะปล่อยเช่าได้แค่เวอร์ชันก๊อบปี้เท่านั้น
คราวนี้ย้อนศรกันบ้าง เพราะปกตินินเทนโดจะไปฟ้องเขาแต่รอบนี้โดนเขาฟ้อง ในปี 2013 บริษัท iLife Technologies หรือที่รู้จักกันในบริษัทผลิตนวัตกรรมพยุงชีพผู้สูงอายุ ได้ยื่นฟ้องตัว Nintendo ว่าพวกเขาโดนละเมิดลิขสิทธิ์เพราะปู่นินเอาสิทธิบัตรรหัส 769 ของพวกเขาที่มีพิมพ์เขียวอุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับการล้มลงของผู้สูงอายุได้ นำไปดัดแปลงเป็นอุปกรณ์เสริม รีโมตของเครื่อง Wii และ Wii U นั่นเอง
ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2017 หรือห้าปีที่ผ่านมา คณะลูกขุนก็ตัดสินว่าทางนินเทนโดนั้นทำผิดจริงและต้องชำระค่าเสียหายถึง 10 ล้านดอลลาร์ ตามการคำนวณรายได้ตัวเครื่อง Wii และ Wii U ที่วางขายต่อเครื่องละ 4$ ดอลลาร์
แต่เหมือนระฆังมวยจะช่วยไว้ เพราะในชั้นยื่นอุทธรณ์ ทางปู่นินออกมาบอกว่าตัว iLife Technologies ยังไม่ได้เขียนและวางจำหน่ายเป็นชิ้นเป็นอัน เราจะไม่ยอม! จึงส่งผลให้ศาลยกฟ้องและนินเทนโดไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายที่ติดค้างไว้กว่า 10 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะพูดส่งท้ายการต่อสู้อันยาวนานนี้ไว้อย่างเท่ ๆ ว่า
" Nintendo นั้นมีประวัติการพัฒนาสินค้าใหม่และเป็นตนเองมายาวนาน และเรายินดีในเรื่องนั้นมาก ๆ หลังจากการต่อสู้อย่างยาวนาน ศาลก็เห็นใจนินเทนโดเสียที เราจะมุ่งมั่นป้องกันนวัตกรรมของเราจากบริษัทอื่น ๆ ที่จ้องจะหากำไรจากสิ่งที่พวกเขาไม่ได้สร้างต่อไป " ( แซะแรงมากอันนี้ยอมรับ )
อย่างที่เราอ่านมาจะเห็นได้ว่าถึงแม้คุณจะเป็นยักษ์ใหญ่แค่ไหน แต่การจะไปจ้องจะเล่นคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่กลับกันสิ่งที่เราควรทำคือการปกป้องสิทธิและเสรีภาพที่เรามีไว้อย่างไม่ย่อท้อ ดังนั้นอย่าเลือกที่จะเก็บเงียบหรือยอมแพ้ในสิ่งที่เราไม่ได้ผิด แล้วสักวันเรื่องที่เราออกมาปกป้องตนเองเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเราเองโดยไม่นึกเสียดายเลยก็ได้
ปกติแล้วลิขสิทธิ์คือสิ่งที่มีไว้ขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิในการครอบครอง ไม่ให้คนอื่นมาขโมย ทำซ้ำหรือดัดแปลงแล้วอ้างว่าเป็นของตนเอง ( ทั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนลิขสิทธิ์ก็ได้ แต่หากเกิดปัญหาเราต้องยืนยันให้ได้ว่าเราเป็นผู้ริเริ่มแต่แรกจริง ๆ ) และบางทีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในทุก ๆ อุตสาหกรรมมักใช้ช่องทางนี้เพื่อทั้งป้องกันตนเองและโจมตีผู้ที่อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจของตน ซึ่งอันนี้จริง ๆ เป็นเรื่องปกติของผู้แข็งแกร่งถึงจะอยู่รอดในวงการนี้ ดังนั้นเราจะโทษพวกเขาว่า " หน้าเลือด " ไม่ได้
แต่ประเด็นหนึ่งเลยคือเมื่อเกิดการประจันหน้ากันบนชั้นศาลระหว่างผู้ฟ้องร้องและคู่กรณี มันต้องมีฝ่ายแพ้หรือถอยออกไปก่อนเสมอ เช่นเดียวกับบริษัทเกมตำนานชื่อดังที่มีเสียงเล่าลือว่าพวกเขาขี้ฟ้องและไม่ยอมเล็ดลอดลิขสิทธิ์ที่จะทำกำไรให้ตัวพวกเขาเองแม้แต่น้อยอย่าง Nintendo
ถึงแม้มันอาจจะดูขี้งก เพราะการกระทำของนินเทนโดเช่นการไม่ยอมให้เกมของพวกเขาเองนั้นสามารถสตรีมหรืออัดคลิปวิดีโอลงช่องทางสื่ออย่าง YouTube ( ก่อนจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเปลี่ยนให้ลงได้แต่เงินเข้าเป๋าเรานะ ) แต่เราก็จะไม่ได้ปกปิดว่ามันมีหลาย ๆ ครั้งที่ปู่นินของเราที่ปะทะกับชาวบ้านบนชั้นศาล แล้วแพ้เจ็บตัวกลับมาอีกด้วย ! ไปดูกัน !
เมื่อย้อนกลับไปในยุคปี 1990 เดือนเมษายน ที่เกมทั้งหลายมักอยู่บนแพลตฟอร์มที่คนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นช่างหรือโปรแกรมเมอร์จะสามารถเข้าไปยุ่งระบบหรือแฮกเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Gameboy, Super NES, Sega Genesis และ Game Gear ต่างเป็นระบบปิดตายที่เราต้องนั่งฝืนเอาชนะด้วยตนเองทั้งนั้น จนบางทีเราอาจจะลัดเพื่อเข้าถึงในส่วนที่ต้องการแต่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงมีนักพัฒนาหัวใสนาม gamemasters และจัดจำหน่ายโดย galoob สร้างอุปกรณ์ขึ้นมาในชื่อ Game Genie เพื่อเสียบและเข้าไปแฮกเกมที่ต้องการผ่านการกรอกโค้ดที่จะแถมมากับนิตยสารทั่วไปที่พวกเขาเป็นหุ้นส่วน
แน่นอน Nintendo ไม่ยอมหรอกที่จะให้เกมยาก ๆ ของพวกเขามาโดนป่นปี้ด้วยเครื่องที่ไหนอะไรไม่รู้ในราคาแค่ 50$ หรือประมาณ 1500 บาท ( ทั้งนี้บริษัทคู่แข่ง SEGA เล็งเห็นว่ายังไงซะ ถ้าจะโกงเกมเขาก็ต้องซื้อเกมเขาอยู่ดีนี่? พวกเขาจึงไม่ได้ทำอะไร )
ปู่นินจึงเดินเรื่องรุดหน้าสั่งฟ้องทันทีในปีเดียวกันกับที่ Game Genie วางขาย แต่ห่างกันแค่สามเดือนหรือเดือนกรกฎาคม 1990 นั่นเอง การสั่งฟ้องในชั้นศาลครั้งนี้ ทำให้ศาลสั่งให้บริษัท Galoob ต้องหยุดจำหน่ายเครื่องแฮกของพวกเขาในระหว่างการขึ้นทำคดี ส่วนทาง Nintendo เองก็ต้องจ่ายค่าค้ำประกันชั้นศาลไว้ 100,000$ เช่นกัน
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีที่การต่อสู้นี้ยืดเยื้อ ท้ายที่สุดมันก็จบลง ในเดือนกรกฎา 1991 ปีต่อมา ทางศาลตัดสินว่าทาง Galoob และ Game Genie ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่บริษัท Nintendo แต่อย่างใด แต่เป็นเพียง " ตัวช่วยข้ามเรื่องราวในหนังสือ " เท่านั้น ดังนั้นปู่นินจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องเสียค่าเสียหายที่ทาง Game Genie เสียรายได้ไปเป็นเวลาหนึ่งปีรวมกับเงินเก่าค่าค้ำประกันศาลแล้วอยู่ที่ 15 ล้านดอลลาร์
ถ้าใครยังทันในยุคอินเทอร์เน็ตยังไม่รุ่งเรือง ก็คงจะรู้จัก "ร้านเช่าหนัง" ที่เรามักจะเข้าไปจ่ายเงิน 30 บาทแลกแผ่นมานั่งดูที่บ้านแน่นอน ( ก่อนจะลืมเอาไปคืนและโดนปรับเพิ่ม ฮา ) แต่สำหรับฝรั่งเขาจะมีร้านเช่าหนังชื่อดังก่อนจะดับไปไม่นานนี้เพราะพิษโควิดอย่าง Blockbuster ที่จะให้เช่าหนัง หรือจะแลกเปลี่ยนเช่าวิดีโอเกมกับทางร้าน
กล่าวกันว่า ในวันที่ 31 กรกฎาคมปี 1989 นินเทนโดได้ยื่นฟ้องกับศาลเนื่องจากทาง Blockbuster ได้เปิดให้มีการเช่าแผ่นเกมของ Gameboy ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนั้น สร้างความเสียหายต่อรายได้พวกเขาและเปรียบมันเหมือนการเอาเกมพวกเขา " ไปโดนลงแขกรุมโทรม " เปิดโอกาสให้หลายคนโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม และหวังจะให้พวกเขายุติการเช่าเหล่านี้ในฝั่งยุโรปเหมือนกับที่พวกเขาทำสำเร็จในกฎหมายห้ามการเช่าเกมและเพลงของฝั่งญี่ปุ่น
จนเดือนถัดมา 4 สิงหาคม ทางศาลก็พิจารณาว่าการกระทำของทาง Blockbuster ไม่ได้ส่งผลให้กับนินเทนโดขนาดนั้นเพราะลูกค้าก็ยืมได้แค่ทีละคนและก็อันเดิมชิ้นเดิมเท่านั้น ทำให้นินเทนโดต้องทำการยอมจำนนถอนฟ้องไป แต่ยังโชคดีที่ทางศาลยังเห็นใจและมอบสิทธิ์ในเกมรุ่นต้นฉบับของนินเทนโดต่าง ๆ จะไม่ถูกขายให้ Blockbuster และร้านเช่าหนังนี้จะปล่อยเช่าได้แค่เวอร์ชันก๊อบปี้เท่านั้น
คราวนี้ย้อนศรกันบ้าง เพราะปกตินินเทนโดจะไปฟ้องเขาแต่รอบนี้โดนเขาฟ้อง ในปี 2013 บริษัท iLife Technologies หรือที่รู้จักกันในบริษัทผลิตนวัตกรรมพยุงชีพผู้สูงอายุ ได้ยื่นฟ้องตัว Nintendo ว่าพวกเขาโดนละเมิดลิขสิทธิ์เพราะปู่นินเอาสิทธิบัตรรหัส 769 ของพวกเขาที่มีพิมพ์เขียวอุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับการล้มลงของผู้สูงอายุได้ นำไปดัดแปลงเป็นอุปกรณ์เสริม รีโมตของเครื่อง Wii และ Wii U นั่นเอง
ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2017 หรือห้าปีที่ผ่านมา คณะลูกขุนก็ตัดสินว่าทางนินเทนโดนั้นทำผิดจริงและต้องชำระค่าเสียหายถึง 10 ล้านดอลลาร์ ตามการคำนวณรายได้ตัวเครื่อง Wii และ Wii U ที่วางขายต่อเครื่องละ 4$ ดอลลาร์
แต่เหมือนระฆังมวยจะช่วยไว้ เพราะในชั้นยื่นอุทธรณ์ ทางปู่นินออกมาบอกว่าตัว iLife Technologies ยังไม่ได้เขียนและวางจำหน่ายเป็นชิ้นเป็นอัน เราจะไม่ยอม! จึงส่งผลให้ศาลยกฟ้องและนินเทนโดไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายที่ติดค้างไว้กว่า 10 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะพูดส่งท้ายการต่อสู้อันยาวนานนี้ไว้อย่างเท่ ๆ ว่า
" Nintendo นั้นมีประวัติการพัฒนาสินค้าใหม่และเป็นตนเองมายาวนาน และเรายินดีในเรื่องนั้นมาก ๆ หลังจากการต่อสู้อย่างยาวนาน ศาลก็เห็นใจนินเทนโดเสียที เราจะมุ่งมั่นป้องกันนวัตกรรมของเราจากบริษัทอื่น ๆ ที่จ้องจะหากำไรจากสิ่งที่พวกเขาไม่ได้สร้างต่อไป " ( แซะแรงมากอันนี้ยอมรับ )
อย่างที่เราอ่านมาจะเห็นได้ว่าถึงแม้คุณจะเป็นยักษ์ใหญ่แค่ไหน แต่การจะไปจ้องจะเล่นคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่กลับกันสิ่งที่เราควรทำคือการปกป้องสิทธิและเสรีภาพที่เรามีไว้อย่างไม่ย่อท้อ ดังนั้นอย่าเลือกที่จะเก็บเงียบหรือยอมแพ้ในสิ่งที่เราไม่ได้ผิด แล้วสักวันเรื่องที่เราออกมาปกป้องตนเองเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเราเองโดยไม่นึกเสียดายเลยก็ได้