เกมแนว Survival Horror เป็นแนวเกมที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าที่หลายคนคาดคิด ตั้งแต่ยุคสมัยที่การพัฒนาอุตสาหกรรมเกมยังมีข้อจำกัด แต่ด้วยความมุ่งมั่นคงทีมพัฒนาที่อยากให้ผู้เล่นได้สัมผัสความสยองด้วยเทคโนโลยีที่มีในขณะนั้น จึงกำเนิดเป็นผลงานมากมายที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นได้สัมผัสความสยองจนแทบไม่กล้าไปเล่น ถึงกราฟฟิคหรือความอิสระในการควบคุมจะไม่ได้ดีเหมือนในปัจจุบัน แต่ก็พูดได้เต็มปากเลยว่ามันมีเสน่ห์บางอย่างที่เกมหลายเกมในปัจจุบันได้หลงลืมไปเสียแล้ว
บทความนี้จะมาเล่าเรื่องถึงวิวัฒนาการของแนวคิดเบื้องหลังเกมแนวสยองขวัญ + เอาตัวรอดหรือ Survival Horror ว่ามีที่มาอย่างไร และพัฒนาการของเกมแนวนี้จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงการตอบคำถามว่าทำไมเกมที่น่ากลัวและกดดัน กลับทำให้เราอยากกลับมาเล่นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
=========================================
จากที่ผู้เขียนเองชื่นชอบเล่นเกมแนว Survival Horror อย่างมากแม้จะเป็นคนที่กลัวอะไรสยองขวัญน่ากลัวก็ตาม ทำให้พอเข้าใจความหมายของเกมแนว Pure Horror และ Survival Horror โดยทั้งจะมีหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน เช่นการบริหารทรัพยากรหรือสถานะต่างๆ ที่เรามีอย่างเช่นค่าความเหนื่อยหรือกระสุน หรือจะเป็นกับดักและปริศนาที่รอเราอยู่ อาจมีข้อจำกัดด้านเวลาที่บีบบังคับ ยังไม่รวมเหล่าสิ่งน่ากลัวชวนขนลุกที่ไล่จ้องจะเล่นงานเราให้สยองพองเกล้ากันในเกมเหล่านี้
แต่สิ่งที่ทำให้แนวเกมทั้งสองนี้มีข้อแตกต่างเลยก็คือ 'การตอบโต้' ซึ่งหากเป็น Pure Horror นั้นจะเน้นความน่ากลัว ความขนลุกโดยที่ผู้เล่นตอบโต้ไม่ได้เลย อย่างมากอาจจะมีสิ่งของที่ทำให้ศัตรูหยุดตามล่าหรือจู่โจมเราชั่วคราวเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่พวกมันก็จะไม่หยุดไล่ล่าหรือหลอกหลอนผู้เล่นจนกว่าจะ Game Over กันไปข้างหนึ่ง หรือมีคัตซีนที่ทำให้พวกมันมีอันเป็นไปเสียเอง
แต่กลับกันหากเป็น Survival Horror เรายังพอที่สามารถ 'ตอบโต้' กับสิ่งที่เรากลัวได้ เช่นอาวุธหรืออุปกรณ์ต่างๆ สามารถฆ่าศัตรูให้ตายหรือหยุดยั้งการไล่ล่าของมันได้ แต่ว่าของที่เราใช้มักจะมีจำกัด จึงเป็นการสร้างความกดดันให้กับผู้เล่นอย่างมาก เพราะถ้าไอเทมสำหรับป้องกันตัวหมดแล้ว มันจะกลายเป็น Horror แทบจะทันทีเพราะเราไม่มีอะไรที่ตอบโต้ศัตรูได้นั่นเอง
(คลิปโดย: all that is retro)
เอาจริง ๆ แล้วเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดหรือ Survival Horror มีจุดเริ่มต้นและมีเค้าโครงมาจากเกม Sweet Home ของเครื่องคอนโซลแฟมิคอมในปี 1989 ซึ่งทาง Capcom ผู้พัฒนาในขณะนั้นยังเรียกเกมนี้ว่าเป็นแนว RPG Action Adventure ในธีมผีอยู่ เกมมีเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่ายสไตล์เกมยุคปี 80's ที่ติดตามกลุ่มนักเดินทางที่ต้องการจะมาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยพวกเขาพบกับคฤหาสน์หลังหนึ่งระหว่างเดินทางจึงได้เข้าไปข้างใน และได้เจอดีกับสิ่งเหนือธรรมชาติมากมาย ซึ่งเนื้อเรื่องเกมทั้งหมดก็นำเค้าโครงจากหนังเรื่อง Sweet Home มาดัดแปลงอีกที
เกมมีตัวละครให้เล่นถึงห้าตัว แต่ว่าสามารถเลือกสำรวจแต่ละรอบได้ราวๆ 2-3 คนต่อรอบ ซึ่งแต่ละคนจะมีไอเทมติดตัวไม่เหมือนกันเพื่อใช้แก้ปริศนาและสำรวจคฤหาสน์ หากตัวละครไหนตายก็จะตายเลยไม่มีการฟื้นคืนชีพ กลับจุดเซฟ หรือรีสตาร์ทเกมใหม่ จัดได้ว่าเป็นเกมที่เล่นยากเอาเรื่อง ถึงกับต้องซื้อบทสรุปมาเล่นกันเลย ที่สำคัญมันน่ากลัวมาก ( ก.ล้านตัว ) สำหรับเด็กหนวดยุคแฟมิคอมทั้งหลาย
และอีกหนึ่งเกมที่คิดว่า น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Survivor Horror ในยุคหลังๆ ก็คงเป็นเกม Alone in the Dark ในปี 1992 เกมอาจไม่ได้ให้ความรู้สึกสยองขวัญขนาดนั้นหากมาเทียบกับผลงานในปัจจุบัน แต่สำหรับยุคนั้นถือว่ากดดันพอตัว และเป็นเกทมแรกๆ ที่่ใช้ระบบ Camera View (กล้องวงจรปิด) ซึ่งที่จริงมันเป็นข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์เกม PlayStation ในยุคนั้น ทำให้ไม่สามารถสร้างมุมมองการเล่นอันเป็นอิสระได้ แต่ข้อจำกัดนี้กลับกลายเป็นข้อดี โดยมุมกล้องแบบนี้ทำให้เกิดมุมอับสายตาในบางจุดที่สร้างความกดดันได้เป็นอย่างดี เพราะไม่รู้ว่ามุมอับนั้นเราจะมีตัวอะไรรอเราอยู่หากไม่เดินเข้าไป
ต่อมาในปี 1997 เชื่อว่าไม่มีเกมเมอร์คนไหนที่ไม่รู้จักเกมนี้ นั่นก็คือ 'Resident Evil' หรือ 'Biohazard' และเรียกตัวเองว่าเป็นเกมแนว Survival Horror เกมแรกของโลก (เอาจริงๆ มีเกมอื่นก่อนหน้านั้นหลายเกมที่อาจจัดอยู่ในหมวดเดียวกันได้ เพียงแค่ไม่ได้คิดชื่อนี้ออกมาเรียกแนวเกมตัวเอง) โดยได้ไอเดียมุมกล้องของ Alone in the Dark และความสยองขวัญน่ากลัวจาก Sweet Home เอามาพัฒนาต่อยอด โดยใช้ธีมใหม่ในคอนเซ็ปต์ 'การทดลองอาวุธชีวภาพ' ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับยุคนั้น แม้คำอวดอ้างว่าเป็น "เกม Survival Horror เกมแรกของโลก" อาจเป็นที่ถกเถียงได้ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ 'Resident Evil' นี่แหละที่ทำให้แนวเกมนี้กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายในกระแสหลัก
ในวัยเด็กเมื่อผู้เขียนได้ลองเล่นเกมครั้งแรก ก็กรี๊ดแตกแล้วไม่กล้าเล่นอีกเลยหลังจากเจอฉากคัตซีนซอมบี้หันหัวมา แถมเก็บมาหลอกหลอนในฝันอีกต่างหาก แต่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นความชื่นชอบเกมแนวสยองขวัญเอาตัวรอดตั้งแต่นั้นมา
กระแสอันโด่งดังของเกมแนว Survivor Horror กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเพราะการมาของ Resident Evil ในฐานะเกมที่น่ากลัวและกดดันอย่างถึงที่สุด แต่ทว่าในอีกสองปีต่อมา Konami ได้เข็นเกม Silent Hill เกมแนว Survivor Horror ที่มีธีมเกี่ยวกับความเชื่อและบาปของตัวเองแถมออกมาสู้ โดยพวกศัตรูนั้นก็เน้นความกลัว ความขยะแขยงจากร่างกายมนุษย์ ส่วนเนื้อหาก็คมคาย ลุ่มลึกและซับซ้อน แต่ก็คงไม่ขอเทียบกับอีกเกมหนึ่งเพราะว่าธีมมันคนละอย่างกัน
อีกจุดเด่นของเกมนี้ที่ไม่คิดว่าจะใช้ข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์เครื่องเล่น PlayStation ในขณะนั้นมาเป็นสิ่งที่สร้างความกลัวให้กับผู้เล่นนั่นก็คือหมอก หมอกนี้แทบจะลดทัศนวิสัยของผู้เล่นชนิดที่ว่ากว่าจะเห็นศัตรูก็แทบจะเข้าใกล้เราแล้ว ซึ่งจริงๆ การสร้างหมอกนี้มีเหตุผลก็คือเกม Silent Hill ออกแบบมาให้มีมุมมองแบบบุคคลที่สามบนแผนที่ขนาดใหญ่ ซึ่งจะใช้พลังการเรนเดอร์ที่สูงมากจนเครื่อง PlayStation เรนเดอร์ฉากได้ช้าหรือรับภาระมากเกินไป จึงต้องมีการใช้หมอกเพื่อบดบังภาพฉากระยะไกลที่กำลังเรนเดอร์อยู่นั่นเอง
และทั้งสองเกมนี้นับได้ว่าเป็นจ้าวแห่งเกมแนว Survivor Horror ที่ขับเคี่ยวกันมานานหลายปีตั้งแต่นั้น
เหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 2001 คือการมาของคอนโซล PlayStation 2 ที่ทำให้คุณภาพกราฟฟิคในเกมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับคอนโซลก่อนหน้า และก็ได้มีเกมที่เรียกได้ว่า Pure Horror ในคราบ Survival Horror เน้นความน่ากลัวของผีจากตำนานญี่ปุ่น ซึ่งทีมพัฒนาอย่าง Tecmo ในสมัยนั้นทำออกมาได้น่ากลัวและวังเวงจริงๆ นั่นก็คือเกมตระกูลถ่ายติดผี Fatal Frame นั่นเอง
จุดเด่นของเกมซีรีส์นี้คือการมีกล้องถ่ายวิญญาณที่มีความสามารถในการขับไล่ผีได้ และเป็นอาวุธหลักของผู้เล่นในการเอาตัวรอด ซึ่งความน่ากลัวของเกม บอกเลยว่าคนที่เล่นครั้งแรกแล้วใจแข็งไม่พออาจจะหลอนและฝันร้ายเทียบได้กับ Pure Horror เลยทีเดียว
แต่สุดท้าย ด้วยความที่เกมน่ากลัวมากๆ บวกด้วยเนื้อหาของเกมที่เน้นตำนานญี่ปุ่น แม้ว่ายอดขายจะค่อนข้างดี และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่จดจำความน่ากลัวของเกมได้ แต่สุดท้ายเกมก็เฉพาะทางไปเสียหน่อย จนกลายเป็นเพียงหนึ่งในซีรีส์เกมจากยุคทองที่หลายคนคิดถึงในที่สุด
หลังจากผ่านไปหลายปี กระแสของเกมแนว Survivor Horror ก็ย่อมมีถึงจุดแผ่วลงมาบ้างในช่วงยุคปี 2000 ถึงช่วงต้น 2010 ที่ผ่านมา ซึ่งมันก็มีสาเหตุหลาย ๆ อย่าง ให้ชวนขบคิดอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของเหล่า Gamer หน้าใหม่ ซึ่งสมัยนั้นก็ชอบอะไรที่เล่นง่าย ๆ เข้าถึงง่าย ๆ ต่างจากยุคก่อน ๆ ที่เน้นความยาก Puzzle สูง หรือมีความน่ากลัว เพราะเวลาผู้เล่นเคลียร์เกมพวกนี้ได้ มันจะรู้สึกว่าตัวเองมีความภาคภูมิเล่าได้ยันลูกบวช แต่ในสมัยนี้มันไม่ใช่ ( แต่ไม่ทั้งหมดนะ ) Gamer ชอบอะไรที่เข้าถึงง่ายและมีความเป็น Action สูงขึ้นโดยที่ไม่ยากเกินไป จึงทำให้ซีรี่ย์ของ Resident Evil ได้เคยเปลี่ยนแนวทางช่วงหนึ่งจากที่มีความน่ากลัวจ๋า เน้นปริศนาก็น้อยลงหรือแบบมันง่ายไปเลย เนื้อเรื่องและการเล่นก็มีความเป็น Action อย่างมาก หรือไม่ก็ใส่ระบบลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ไปทำลายเอกลักษณ์หรือทำลายความน่ากลัวบางอย่างลงไป
ผลที่ตอบรับคือ Gamer สายเดนตายหรือแฟนเกมที่อยู่มานานก็ไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่แลกกับเม็ดเงินและการเข้าถึงของคนหน้าใหม่ที่มากขึ้นอย่างมาก ถึงแม้จะมีหลายเกมที่พยายามทำแนว Survivor Horror ที่มีความน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ก็ยังใส่ความ Action และความง่ายเข้าไปเหมือนกัน ตอนนั้นทางเราก็ยังเรียกติดปากแล้วว่ามันไม่ใช่ Survivor Horror แล้ว นี่มัน Action Horror มากกว่า
ในระหว่างที่กระแสเกม Survivor Horror กำลังจางลง หรือไม่ก็มีความสยองขวัญบ้างแต่ก็ถูกความเป็น Action กลบจนมากเกินไปเสียหน่อย...แต่ไม่ใช่กับเกมซีรี่ส์ Metro เป็นเกมสัญชาติรัสเซียขนานแท้ โดยภาคแรกใช้ชื่อ Metro วางจำหน่ายในปี 2010 ซึ่งเป็นเกมที่มีความเป็น Action Adventure และความเป็น Survivor Horror ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่มีเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง จึงทำให้ผู้เล่นจดจำและชื่นชอบในฐานะเกมที่ดีอีกเกมหนึ่งในแง่ความตื่นเต้น กดดัน และน่ากลัวในโลกหลังสงครามนิวเคลียร์ที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตภายใต้สถานีรถไฟใต้ดินของรัสเซีย ผ่านการเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งพร้อมกับภารกิจที่ยิ่งใหญ่กับการผจญภัยในสถานีรถไฟใต้ดินและสภาพโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยกัมมันตรังสีและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
ในแง่ของเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างชวนติดตาม แม้อะไรบางอย่างจะดูแข็งและเป็นเส้นตรงไปเสียหน่อย สุดท้ายแล้วเกม Metro ก็ได้สื่อถึงความน่ากลัวที่แท้จริง ไม่ใช่จากฝีมือสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ไม่ใช่จากผีและสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ
เมื่อกาลเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนก็เริ่มรู้สึกว่า เกมการเข้าถึงง่ายเกินไป มันอาจจะไม่ได้เป็นที่โจทย์จำ และช่วงกระแสเกมยากกับคติที่ว่า "หากผ่านเกมยากได้แล้วรู้สึกภูมิใจในชีวิต" ไม่ว่าจะเป็นเกมตระกูล Soul ทั้งหลายหรือเกมที่เน้นความยากได้เป็นกระแสเริ่มแทนที่ จึงทำให้ทีมพัฒนาเกมที่เคยทำเกมแนว Survivor Horror มาอยย่างยาวนาน กลับมาเน้นความน่ากลัว ความยากและความกดดันขึ้นมาอีกครั้ง
และด้วยกราฟิคในเกมช่วงปัจจุบันมีความสวยงดงามแทบจะเหมือนจริงแล้ว ยิ่งเสริมความน่ากลัวเข้าไปใหญ่ แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นที่จดจำเหมือนสมัยก่อน แต่ทุกคนที่ได้เล่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บรรยากาศความน่ากลัว สยองขวัญและขยะแขยงได้กลับมาอีกครั้ง
นอกเหนือจากเกม Resident Evil และ Silent Hill สองเกมที่กล่าวถึงมานั้นก็ยังมีเกมอินดี้หรือเกมแปลก ๆ เกมอื่นที่อาจจะมองว่าไม่ค่อยมีอะไรแต่แอบใส่ความเป็น Survivor Horror เข้ามาอย่าง Subnautica, Barotauma หรือ Raft ซึ่งทั้งสามเกมเล่นไปแบบปกติมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ ทั้งสามเกมเล่นประเด็นกับความกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร นี่แหละความสยองขวัญกับความน่ากลัวมันอยู่ตรงนี้
กลายเป็นว่า เกมแนว Survivor Horror กลายเป็นเกมแนวที่มีความกว้างมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตที่ถูกทดลองหรือกับเล่นสิ่งเหนือธรรมชาติ สามารถเล่นกับสิ่งที่เราไม่รู้ก็สามารถทำให้คนกลัวได้เช่นกัน และจุดนี้เองทำให้เกมอินดี้หรือทีมพัฒนาอื่น ๆ ที่อยากลองสร้างอะไรแนวนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพความสยยองความน่าขนลุกให้สมจริงก็เป็นอันใช้ได้
====================================
ในปัจจุบัน เกมแนว Survivor Horror ก็ไม่ได้ถูกจำกัดว่า ต้องสยองจ๋าเมื่อเจอกับภูติผีปีศาจ ปริศนาที่ต้องยากจนเปิดพลังสมองแบบ 300% หรือทรัพยากรที่มีอยุ่อย่างจำกัดเสียอย่างเดียว แต่มันคือการเล่นกับสิ่งที่เราไม่รู้ ความอึดอัดและความคับแคบ โดยมีเงื่อนไขว่าจะมีอะไรตอบโต้เราได้บ้าง แม้อาจจะไม่ได้พูดถึงมากมายเหมือนแต่ก่อน เพราะถูกแทนที่ด้วยแนวเกมที่เล่นง่ายและเป็นทีม จบไว เพราะสังคมสมัยใหม่สามารถเล่นเกมได้ผ่านมือถือได้่ทุกที่ทุกเวลา ต่างจากเกมสมัยก่อนที่จะต้องมีเวลาเล่นพอตัว
เกมแนว Survivor Horror มันไม่เคยตาย แม้จะน่ากลัวจนเราหัวหด แต่ก็ยังอยากกลับมาเล่นให้จบ ( แต่ก็มีบางคนที่ไม่กลับมาเล่นอีกเลยก็มีเพราะน่ากลัวเกินไป ) เพราะความรู้สึกมันเรียกร้องว่า อยากเคลียร์ มันค้างคา แล้วมันจะค่อย ๆ เพิ่มความกล้าสลายความกลัวจนสุดท้ายเราก็ผ่านไปได้ในที่สุด
หากมีเกมแนว Survivor Horror อื่น ๆ ที่อยากแนะนำ สามารถพูดคุยและเล่าประสบการณ์ความสยองกันได้เลย เพราะทั้งหมดนี้เป็นบทความที่เขียนจากประสบการณ์ของคนที่ชื่นชอบเล่นเกมแนวสยองขวัญหรือเล่นกับความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ อาจจะมีอะไรตกลงบ้าง แต่หากมีเกมแนะนำเข้ามาแล้วบอกว่าสนุก สยองมากๆ ขอให้รู้ว่าคุณคือคอร์เกมเดียวกัน
เกมแนว Survival Horror เป็นแนวเกมที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าที่หลายคนคาดคิด ตั้งแต่ยุคสมัยที่การพัฒนาอุตสาหกรรมเกมยังมีข้อจำกัด แต่ด้วยความมุ่งมั่นคงทีมพัฒนาที่อยากให้ผู้เล่นได้สัมผัสความสยองด้วยเทคโนโลยีที่มีในขณะนั้น จึงกำเนิดเป็นผลงานมากมายที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นได้สัมผัสความสยองจนแทบไม่กล้าไปเล่น ถึงกราฟฟิคหรือความอิสระในการควบคุมจะไม่ได้ดีเหมือนในปัจจุบัน แต่ก็พูดได้เต็มปากเลยว่ามันมีเสน่ห์บางอย่างที่เกมหลายเกมในปัจจุบันได้หลงลืมไปเสียแล้ว
บทความนี้จะมาเล่าเรื่องถึงวิวัฒนาการของแนวคิดเบื้องหลังเกมแนวสยองขวัญ + เอาตัวรอดหรือ Survival Horror ว่ามีที่มาอย่างไร และพัฒนาการของเกมแนวนี้จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงการตอบคำถามว่าทำไมเกมที่น่ากลัวและกดดัน กลับทำให้เราอยากกลับมาเล่นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
=========================================
จากที่ผู้เขียนเองชื่นชอบเล่นเกมแนว Survival Horror อย่างมากแม้จะเป็นคนที่กลัวอะไรสยองขวัญน่ากลัวก็ตาม ทำให้พอเข้าใจความหมายของเกมแนว Pure Horror และ Survival Horror โดยทั้งจะมีหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน เช่นการบริหารทรัพยากรหรือสถานะต่างๆ ที่เรามีอย่างเช่นค่าความเหนื่อยหรือกระสุน หรือจะเป็นกับดักและปริศนาที่รอเราอยู่ อาจมีข้อจำกัดด้านเวลาที่บีบบังคับ ยังไม่รวมเหล่าสิ่งน่ากลัวชวนขนลุกที่ไล่จ้องจะเล่นงานเราให้สยองพองเกล้ากันในเกมเหล่านี้
แต่สิ่งที่ทำให้แนวเกมทั้งสองนี้มีข้อแตกต่างเลยก็คือ 'การตอบโต้' ซึ่งหากเป็น Pure Horror นั้นจะเน้นความน่ากลัว ความขนลุกโดยที่ผู้เล่นตอบโต้ไม่ได้เลย อย่างมากอาจจะมีสิ่งของที่ทำให้ศัตรูหยุดตามล่าหรือจู่โจมเราชั่วคราวเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่พวกมันก็จะไม่หยุดไล่ล่าหรือหลอกหลอนผู้เล่นจนกว่าจะ Game Over กันไปข้างหนึ่ง หรือมีคัตซีนที่ทำให้พวกมันมีอันเป็นไปเสียเอง
แต่กลับกันหากเป็น Survival Horror เรายังพอที่สามารถ 'ตอบโต้' กับสิ่งที่เรากลัวได้ เช่นอาวุธหรืออุปกรณ์ต่างๆ สามารถฆ่าศัตรูให้ตายหรือหยุดยั้งการไล่ล่าของมันได้ แต่ว่าของที่เราใช้มักจะมีจำกัด จึงเป็นการสร้างความกดดันให้กับผู้เล่นอย่างมาก เพราะถ้าไอเทมสำหรับป้องกันตัวหมดแล้ว มันจะกลายเป็น Horror แทบจะทันทีเพราะเราไม่มีอะไรที่ตอบโต้ศัตรูได้นั่นเอง
(คลิปโดย: all that is retro)
เอาจริง ๆ แล้วเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดหรือ Survival Horror มีจุดเริ่มต้นและมีเค้าโครงมาจากเกม Sweet Home ของเครื่องคอนโซลแฟมิคอมในปี 1989 ซึ่งทาง Capcom ผู้พัฒนาในขณะนั้นยังเรียกเกมนี้ว่าเป็นแนว RPG Action Adventure ในธีมผีอยู่ เกมมีเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่ายสไตล์เกมยุคปี 80's ที่ติดตามกลุ่มนักเดินทางที่ต้องการจะมาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยพวกเขาพบกับคฤหาสน์หลังหนึ่งระหว่างเดินทางจึงได้เข้าไปข้างใน และได้เจอดีกับสิ่งเหนือธรรมชาติมากมาย ซึ่งเนื้อเรื่องเกมทั้งหมดก็นำเค้าโครงจากหนังเรื่อง Sweet Home มาดัดแปลงอีกที
เกมมีตัวละครให้เล่นถึงห้าตัว แต่ว่าสามารถเลือกสำรวจแต่ละรอบได้ราวๆ 2-3 คนต่อรอบ ซึ่งแต่ละคนจะมีไอเทมติดตัวไม่เหมือนกันเพื่อใช้แก้ปริศนาและสำรวจคฤหาสน์ หากตัวละครไหนตายก็จะตายเลยไม่มีการฟื้นคืนชีพ กลับจุดเซฟ หรือรีสตาร์ทเกมใหม่ จัดได้ว่าเป็นเกมที่เล่นยากเอาเรื่อง ถึงกับต้องซื้อบทสรุปมาเล่นกันเลย ที่สำคัญมันน่ากลัวมาก ( ก.ล้านตัว ) สำหรับเด็กหนวดยุคแฟมิคอมทั้งหลาย
และอีกหนึ่งเกมที่คิดว่า น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Survivor Horror ในยุคหลังๆ ก็คงเป็นเกม Alone in the Dark ในปี 1992 เกมอาจไม่ได้ให้ความรู้สึกสยองขวัญขนาดนั้นหากมาเทียบกับผลงานในปัจจุบัน แต่สำหรับยุคนั้นถือว่ากดดันพอตัว และเป็นเกทมแรกๆ ที่่ใช้ระบบ Camera View (กล้องวงจรปิด) ซึ่งที่จริงมันเป็นข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์เกม PlayStation ในยุคนั้น ทำให้ไม่สามารถสร้างมุมมองการเล่นอันเป็นอิสระได้ แต่ข้อจำกัดนี้กลับกลายเป็นข้อดี โดยมุมกล้องแบบนี้ทำให้เกิดมุมอับสายตาในบางจุดที่สร้างความกดดันได้เป็นอย่างดี เพราะไม่รู้ว่ามุมอับนั้นเราจะมีตัวอะไรรอเราอยู่หากไม่เดินเข้าไป
ต่อมาในปี 1997 เชื่อว่าไม่มีเกมเมอร์คนไหนที่ไม่รู้จักเกมนี้ นั่นก็คือ 'Resident Evil' หรือ 'Biohazard' และเรียกตัวเองว่าเป็นเกมแนว Survival Horror เกมแรกของโลก (เอาจริงๆ มีเกมอื่นก่อนหน้านั้นหลายเกมที่อาจจัดอยู่ในหมวดเดียวกันได้ เพียงแค่ไม่ได้คิดชื่อนี้ออกมาเรียกแนวเกมตัวเอง) โดยได้ไอเดียมุมกล้องของ Alone in the Dark และความสยองขวัญน่ากลัวจาก Sweet Home เอามาพัฒนาต่อยอด โดยใช้ธีมใหม่ในคอนเซ็ปต์ 'การทดลองอาวุธชีวภาพ' ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับยุคนั้น แม้คำอวดอ้างว่าเป็น "เกม Survival Horror เกมแรกของโลก" อาจเป็นที่ถกเถียงได้ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ 'Resident Evil' นี่แหละที่ทำให้แนวเกมนี้กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายในกระแสหลัก
ในวัยเด็กเมื่อผู้เขียนได้ลองเล่นเกมครั้งแรก ก็กรี๊ดแตกแล้วไม่กล้าเล่นอีกเลยหลังจากเจอฉากคัตซีนซอมบี้หันหัวมา แถมเก็บมาหลอกหลอนในฝันอีกต่างหาก แต่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นความชื่นชอบเกมแนวสยองขวัญเอาตัวรอดตั้งแต่นั้นมา
กระแสอันโด่งดังของเกมแนว Survivor Horror กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเพราะการมาของ Resident Evil ในฐานะเกมที่น่ากลัวและกดดันอย่างถึงที่สุด แต่ทว่าในอีกสองปีต่อมา Konami ได้เข็นเกม Silent Hill เกมแนว Survivor Horror ที่มีธีมเกี่ยวกับความเชื่อและบาปของตัวเองแถมออกมาสู้ โดยพวกศัตรูนั้นก็เน้นความกลัว ความขยะแขยงจากร่างกายมนุษย์ ส่วนเนื้อหาก็คมคาย ลุ่มลึกและซับซ้อน แต่ก็คงไม่ขอเทียบกับอีกเกมหนึ่งเพราะว่าธีมมันคนละอย่างกัน
อีกจุดเด่นของเกมนี้ที่ไม่คิดว่าจะใช้ข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์เครื่องเล่น PlayStation ในขณะนั้นมาเป็นสิ่งที่สร้างความกลัวให้กับผู้เล่นนั่นก็คือหมอก หมอกนี้แทบจะลดทัศนวิสัยของผู้เล่นชนิดที่ว่ากว่าจะเห็นศัตรูก็แทบจะเข้าใกล้เราแล้ว ซึ่งจริงๆ การสร้างหมอกนี้มีเหตุผลก็คือเกม Silent Hill ออกแบบมาให้มีมุมมองแบบบุคคลที่สามบนแผนที่ขนาดใหญ่ ซึ่งจะใช้พลังการเรนเดอร์ที่สูงมากจนเครื่อง PlayStation เรนเดอร์ฉากได้ช้าหรือรับภาระมากเกินไป จึงต้องมีการใช้หมอกเพื่อบดบังภาพฉากระยะไกลที่กำลังเรนเดอร์อยู่นั่นเอง
และทั้งสองเกมนี้นับได้ว่าเป็นจ้าวแห่งเกมแนว Survivor Horror ที่ขับเคี่ยวกันมานานหลายปีตั้งแต่นั้น
เหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 2001 คือการมาของคอนโซล PlayStation 2 ที่ทำให้คุณภาพกราฟฟิคในเกมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับคอนโซลก่อนหน้า และก็ได้มีเกมที่เรียกได้ว่า Pure Horror ในคราบ Survival Horror เน้นความน่ากลัวของผีจากตำนานญี่ปุ่น ซึ่งทีมพัฒนาอย่าง Tecmo ในสมัยนั้นทำออกมาได้น่ากลัวและวังเวงจริงๆ นั่นก็คือเกมตระกูลถ่ายติดผี Fatal Frame นั่นเอง
จุดเด่นของเกมซีรีส์นี้คือการมีกล้องถ่ายวิญญาณที่มีความสามารถในการขับไล่ผีได้ และเป็นอาวุธหลักของผู้เล่นในการเอาตัวรอด ซึ่งความน่ากลัวของเกม บอกเลยว่าคนที่เล่นครั้งแรกแล้วใจแข็งไม่พออาจจะหลอนและฝันร้ายเทียบได้กับ Pure Horror เลยทีเดียว
แต่สุดท้าย ด้วยความที่เกมน่ากลัวมากๆ บวกด้วยเนื้อหาของเกมที่เน้นตำนานญี่ปุ่น แม้ว่ายอดขายจะค่อนข้างดี และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่จดจำความน่ากลัวของเกมได้ แต่สุดท้ายเกมก็เฉพาะทางไปเสียหน่อย จนกลายเป็นเพียงหนึ่งในซีรีส์เกมจากยุคทองที่หลายคนคิดถึงในที่สุด
หลังจากผ่านไปหลายปี กระแสของเกมแนว Survivor Horror ก็ย่อมมีถึงจุดแผ่วลงมาบ้างในช่วงยุคปี 2000 ถึงช่วงต้น 2010 ที่ผ่านมา ซึ่งมันก็มีสาเหตุหลาย ๆ อย่าง ให้ชวนขบคิดอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของเหล่า Gamer หน้าใหม่ ซึ่งสมัยนั้นก็ชอบอะไรที่เล่นง่าย ๆ เข้าถึงง่าย ๆ ต่างจากยุคก่อน ๆ ที่เน้นความยาก Puzzle สูง หรือมีความน่ากลัว เพราะเวลาผู้เล่นเคลียร์เกมพวกนี้ได้ มันจะรู้สึกว่าตัวเองมีความภาคภูมิเล่าได้ยันลูกบวช แต่ในสมัยนี้มันไม่ใช่ ( แต่ไม่ทั้งหมดนะ ) Gamer ชอบอะไรที่เข้าถึงง่ายและมีความเป็น Action สูงขึ้นโดยที่ไม่ยากเกินไป จึงทำให้ซีรี่ย์ของ Resident Evil ได้เคยเปลี่ยนแนวทางช่วงหนึ่งจากที่มีความน่ากลัวจ๋า เน้นปริศนาก็น้อยลงหรือแบบมันง่ายไปเลย เนื้อเรื่องและการเล่นก็มีความเป็น Action อย่างมาก หรือไม่ก็ใส่ระบบลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ไปทำลายเอกลักษณ์หรือทำลายความน่ากลัวบางอย่างลงไป
ผลที่ตอบรับคือ Gamer สายเดนตายหรือแฟนเกมที่อยู่มานานก็ไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่แลกกับเม็ดเงินและการเข้าถึงของคนหน้าใหม่ที่มากขึ้นอย่างมาก ถึงแม้จะมีหลายเกมที่พยายามทำแนว Survivor Horror ที่มีความน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ก็ยังใส่ความ Action และความง่ายเข้าไปเหมือนกัน ตอนนั้นทางเราก็ยังเรียกติดปากแล้วว่ามันไม่ใช่ Survivor Horror แล้ว นี่มัน Action Horror มากกว่า
ในระหว่างที่กระแสเกม Survivor Horror กำลังจางลง หรือไม่ก็มีความสยองขวัญบ้างแต่ก็ถูกความเป็น Action กลบจนมากเกินไปเสียหน่อย...แต่ไม่ใช่กับเกมซีรี่ส์ Metro เป็นเกมสัญชาติรัสเซียขนานแท้ โดยภาคแรกใช้ชื่อ Metro วางจำหน่ายในปี 2010 ซึ่งเป็นเกมที่มีความเป็น Action Adventure และความเป็น Survivor Horror ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่มีเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง จึงทำให้ผู้เล่นจดจำและชื่นชอบในฐานะเกมที่ดีอีกเกมหนึ่งในแง่ความตื่นเต้น กดดัน และน่ากลัวในโลกหลังสงครามนิวเคลียร์ที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตภายใต้สถานีรถไฟใต้ดินของรัสเซีย ผ่านการเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งพร้อมกับภารกิจที่ยิ่งใหญ่กับการผจญภัยในสถานีรถไฟใต้ดินและสภาพโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยกัมมันตรังสีและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
ในแง่ของเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างชวนติดตาม แม้อะไรบางอย่างจะดูแข็งและเป็นเส้นตรงไปเสียหน่อย สุดท้ายแล้วเกม Metro ก็ได้สื่อถึงความน่ากลัวที่แท้จริง ไม่ใช่จากฝีมือสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ไม่ใช่จากผีและสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ
เมื่อกาลเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนก็เริ่มรู้สึกว่า เกมการเข้าถึงง่ายเกินไป มันอาจจะไม่ได้เป็นที่โจทย์จำ และช่วงกระแสเกมยากกับคติที่ว่า "หากผ่านเกมยากได้แล้วรู้สึกภูมิใจในชีวิต" ไม่ว่าจะเป็นเกมตระกูล Soul ทั้งหลายหรือเกมที่เน้นความยากได้เป็นกระแสเริ่มแทนที่ จึงทำให้ทีมพัฒนาเกมที่เคยทำเกมแนว Survivor Horror มาอยย่างยาวนาน กลับมาเน้นความน่ากลัว ความยากและความกดดันขึ้นมาอีกครั้ง
และด้วยกราฟิคในเกมช่วงปัจจุบันมีความสวยงดงามแทบจะเหมือนจริงแล้ว ยิ่งเสริมความน่ากลัวเข้าไปใหญ่ แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นที่จดจำเหมือนสมัยก่อน แต่ทุกคนที่ได้เล่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บรรยากาศความน่ากลัว สยองขวัญและขยะแขยงได้กลับมาอีกครั้ง
นอกเหนือจากเกม Resident Evil และ Silent Hill สองเกมที่กล่าวถึงมานั้นก็ยังมีเกมอินดี้หรือเกมแปลก ๆ เกมอื่นที่อาจจะมองว่าไม่ค่อยมีอะไรแต่แอบใส่ความเป็น Survivor Horror เข้ามาอย่าง Subnautica, Barotauma หรือ Raft ซึ่งทั้งสามเกมเล่นไปแบบปกติมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ ทั้งสามเกมเล่นประเด็นกับความกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร นี่แหละความสยองขวัญกับความน่ากลัวมันอยู่ตรงนี้
กลายเป็นว่า เกมแนว Survivor Horror กลายเป็นเกมแนวที่มีความกว้างมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตที่ถูกทดลองหรือกับเล่นสิ่งเหนือธรรมชาติ สามารถเล่นกับสิ่งที่เราไม่รู้ก็สามารถทำให้คนกลัวได้เช่นกัน และจุดนี้เองทำให้เกมอินดี้หรือทีมพัฒนาอื่น ๆ ที่อยากลองสร้างอะไรแนวนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพความสยยองความน่าขนลุกให้สมจริงก็เป็นอันใช้ได้
====================================
ในปัจจุบัน เกมแนว Survivor Horror ก็ไม่ได้ถูกจำกัดว่า ต้องสยองจ๋าเมื่อเจอกับภูติผีปีศาจ ปริศนาที่ต้องยากจนเปิดพลังสมองแบบ 300% หรือทรัพยากรที่มีอยุ่อย่างจำกัดเสียอย่างเดียว แต่มันคือการเล่นกับสิ่งที่เราไม่รู้ ความอึดอัดและความคับแคบ โดยมีเงื่อนไขว่าจะมีอะไรตอบโต้เราได้บ้าง แม้อาจจะไม่ได้พูดถึงมากมายเหมือนแต่ก่อน เพราะถูกแทนที่ด้วยแนวเกมที่เล่นง่ายและเป็นทีม จบไว เพราะสังคมสมัยใหม่สามารถเล่นเกมได้ผ่านมือถือได้่ทุกที่ทุกเวลา ต่างจากเกมสมัยก่อนที่จะต้องมีเวลาเล่นพอตัว
เกมแนว Survivor Horror มันไม่เคยตาย แม้จะน่ากลัวจนเราหัวหด แต่ก็ยังอยากกลับมาเล่นให้จบ ( แต่ก็มีบางคนที่ไม่กลับมาเล่นอีกเลยก็มีเพราะน่ากลัวเกินไป ) เพราะความรู้สึกมันเรียกร้องว่า อยากเคลียร์ มันค้างคา แล้วมันจะค่อย ๆ เพิ่มความกล้าสลายความกลัวจนสุดท้ายเราก็ผ่านไปได้ในที่สุด
หากมีเกมแนว Survivor Horror อื่น ๆ ที่อยากแนะนำ สามารถพูดคุยและเล่าประสบการณ์ความสยองกันได้เลย เพราะทั้งหมดนี้เป็นบทความที่เขียนจากประสบการณ์ของคนที่ชื่นชอบเล่นเกมแนวสยองขวัญหรือเล่นกับความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ อาจจะมีอะไรตกลงบ้าง แต่หากมีเกมแนะนำเข้ามาแล้วบอกว่าสนุก สยองมากๆ ขอให้รู้ว่าคุณคือคอร์เกมเดียวกัน