GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม Warhammer 40,000: Darktide ความมันส์ระดับ 10/10 แม้องค์ประกอบอื่นจะยังดิบไปหน่อยก็ตาม...
ลงวันที่ 07/12/2022

แม้จะไม่ได้โด่งดังแพร่หลายเท่าแฟรนไชส์ไซไฟชื่อก้องโลกหลาย ๆ แฟรนไชส์ แต่จักรวาลหรือแฟรนไชส์ Warhammer ทั้ง Fantasy และ 40,000 ก็นับเป็นแฟรนไชส์สุดอมตะที่อยู่คู่กับสังคมเกมเมอร์มาช้านาน และมีเกมออกมาให้ได้เล่นกันหลายภาคหลายแนวตลอดระยะเวลานับทศวรรษที่ผ่านมา โดยหนึ่งในผลงานเด่นที่หลายคนอาจจะรู้จักจากจักรวาลนี้ก็คือเกมแอคชัน FPS สุดระห่ำอย่าง Warhammer: Vermintide ของผู้พัฒนา Fatshark นั่นเอง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้พัฒนา Fatshark ก็ได้กลับมาอีกครั้ง โดยคราวนี้พวกเขาเลือกที่จะแฟรนไชส์ Warhammer อีกครั้งในรูปแบบของ Warhammer 40,000: Darktide เกม FPS Co-op สาดกระสุนสุดมันส์ ที่เพิ่งจะเปิดให้เล่นผ่าน PC (Steam และ Xbox Game Pass) ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผลงานใหม่นี้จะมาทำให้ซีรีส์นี้พัฒนาขึ้นไปในแนวทางไหน วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกันกับ Warhammer 40,000: Darktide

เนื้อเรื่องของตัวละครที่ต่างที่มาที่ไป และเรากำหนดเองได้


Warhammer 40,000: Darktide จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของกลุ่ม Inquistorial Agents ที่คอยสืบสวนและป้องกันการแทรกซึมของกองกำลัง Chaos ที่อาจสร้างหายนะให้กับดาว Atoma Prime แถมยังมีพวก Undead จำนวนมากบุกโจมตีดวงดาวอีกด้วย สำหรับใครที่มาเล่นเกมนี้แล้วรู้สึกว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ซีรีส์ต้นฉบับของ Warhammer 40,000 จริง ๆ แล้วคือบอร์ดเกมยอดนิยม และถูกนำมาดัดแปลงเป็นวิดีโอเกมออกมาเรื่อย ๆ ส่วนซีรีส์ 40,000 นี้ ส่วนมากจะถูกดัดแปลงออกมาเป็นเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น Necromunda Hired Gun, Space Hulk เป็นต้น


เรื่องราวของตัวละครที่เราจะสร้าง จะมีที่มาที่ไปต่างกัน ที่เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครแล้วว่าอยากให้ตัวละครของเราเกิดมามีปูมหลังยังไง และเป็นคนประเภทไหน ก่อนที่จะเริ่มเนื้อเรื่องหลักของเกมตามเหตุการณ์ที่เราเกริ่นไว้ข้างบนเกี่ยวกับดาว Atoma Prime เพียงแต่ด้วยรูปแบบการเล่นแบบ FPS Co-op แบบนี้ ทำให้มันเป็นข้อเสียในแง่ของการเล่าเรื่อง เพราะมันไม่สามารถเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรงแบบเกมอื่น ๆ ได้ ผู้เล่นอาจจะต้องปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง ซึ่งจากเดิมที่ใครงงเกี่ยวกับจักรวาล Warhammer อยู่แล้ว เจอการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบนี้เข้าไป อาจจะงงหนักกว่าเดิมก็เป็นได้


เอาเป็นว่าในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ไม่ใช่ปัญหา แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวและโลกของ Warhammer หรือ Warhammer 40,000 ดีสักเท่าไร แต่เราก็สามารถที่จะสนุกไปกับตัวเกมได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้อินในส่วนของเนื้อเรื่องนัก แต่ที่บอกว่าไม่ใ่ชปัญหา เพราะเกมเพลย์และ Progression ของเกมนี้ก็ถือว่าสนุก เข้มข้นไม่แพ้เกม FPS Co-op เกมอื่น ๆ เลยด้วย

อีกหนึ่งรสชาติความสนุกของเกมแนว FPS Co-op ภายใต้ฉากหลังของโลก Warhammer


ความโดดเด่นของ Darktide ที่แตกต่างไปจากเกมอื่น ๆ คือการหยิบยืมเอาฉากหลังและโลกภายในจักรวาลของ Warhammer 40,000 มานำเสนอ ในภาคนี้แม้จะมีกลิ่นอายแบบ Sci-Fi ผสมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ Sci-Fi ล้ำอนาคต แต่เป็นเหมือนกับยุค Dystopian มากกว่า ใครทไม่ค่อยชอบความมืด ความอึมครึม และบรรยากาศที่น่าอึดอัด อาจจะไม่ถูกจริตกับเกมนี้ เพราะหาสถานที่สว่าง ๆ สดใสแทบจะไม่ได้เลย หลากหลายฉากภายในเกมจะเป็นพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิดโล่งเพียงเล็กน้อย เอื้อต่อการทำภารกิจบางอย่างกับเราเพียงเท่านั้น 

การนำเสนอและโหมดการเล่นของเกมนี้จะคล้าย ๆ กับเกม FPS Co-op ทั่วไป คือเราจะหาห้องที่ผู้เล่นอื่นสร้างไว้ หรือเราจะสร้างขึ้นมาเองแล้วรอคนอื่นมา Join ก็ได้ ถ้าระหว่างนั้นไม่มีคนมา Join เล่นด้วย ก็จะเป็น Bot หรือ A.I. มาควบคุมแทน หรือถ้าใครหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมทีมไม่เป็นงาน จะล็อกเป็น Private Game ลุยไปกับบอทเฉย ๆ เลยก็ทำได้ บอทเกมนี้ถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ แล้วก็ถือว่ามีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์หนัก ๆ ก็อาจจะยังไม่ได้เรื่องได้ราวนัก แต่ถ้าเอาไว้เล่นฟาร์ม เก็บเลเวล หรือลุยเนื้อเรื่องคนเดียวก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่ดี


กราฟิก อาจจะเป็นจุดที่หลายคนต้องมานั่งถกเถียงกันว่า สรุปแล้วมันสวยหรือไม่สวยกันแน่ ในช่วงของเกมเพลย์การเล่นนั้น ไม่มีปัญหา ตัวเกมแสดงให้เห็นว่าภาพของเกมยุคปัจจุบันนี้จะออกมาเป็นยังไง สวยงามสมยุคสมัยแน่นอน แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกแปลก ๆ คือเรื่องของฉากคัทซีต ที่มันมีการแสดงผล และมีความแปลกในส่วนของงานภาพ ที่ดูจะมีเส้นสีขาว ๆ เป็นเฉดหนาอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทีแรกก็นึกว่าบั๊กกราฟิก แต่ที่ไหนได้ มันเป็นแบบนี้ทั้งเกม และดูจากของผู้เล่นอื่น ก็เป็นเหมือนกัน สำหรับส่วนนี้เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล แต่สำหรับผู้เขียน รู้สึกว่ามันแปลกตาไปบ้าง


คอนเทนต์และเกมการเล่นตอนนี้ส่วนมากจะเป็นการตะลุยไปตามด่าน ทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นรับของรางวัล และอัปเกรดเลเวลตัวละครให้สูงขึ้น เพื่อปลดล็อคประสิทธิภาพและสกิลใหม่ ๆ ทำให้เกมการเล่นสะดวกขึ้น และกลับไปลุยด่านเดิม ๆ ซ้ำเพื่ออัปเกรดเป็นลูปวนไป ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้อยู่แล้ว ใครที่ชอบก็จะชอบไปเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบ เบื่อง่าย หรือไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ก็อาจจะไม่ชอบไปเลยเช่นกัน ซึ่งปกติแล้วเกมแนวนี้ หากเก็บ Progression ได้ตามที่ต้องการแล้ว ถ้าคอนเทนต์ช่วง Endgame ไม่น่าสนใจ หรือไม่น่าดึงดูดพอก็อาจจะรั้งผู้เล่นไว้ได้ยากสักหน่อย แต่สำหรับทีม Fatshark ผู้ดูแล Vermintide 2 มาอย่างยาวนานกว่า 4 ปีเต็ม ก็เชื่อมือได้เลยว่าพวกเขาน่าจะทำแบบเดียวกันกับ Darktide นี้ด้วย

ดุเดือด นัว ระทึก มันส์ทั้งยิง และสู้ประชิด


สำหรับเกมเพลย์ของ Darktide ต้องบอกว่า ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้มันรู้สึกน่าเล่น ตื่นเต้น น่าเข้าไปลองเหมือนเกมอื่น ๆ เพราะหากคุณเป็นผู้เล่นเกม FPS Co-op มาแต่ไหนแต่ไร ผ่านเกมเด็ด ๆ มามากอย่าง Left 4 Dead, World War Z หรือแม้แต่ Back 4 Blood คุณก็น่าจะเข้าใจกฎกติการ และเกมการเล่นของเกมแนวนี้ดีอยู๋แล้ว หลัก ๆ คือจะเป็นการ Co-op ร่วมมือกันเอาตัวรอด ฝ่าด่านฝูงศัตรูที่เป็นพวก Undead และพวก Specialist สุดโหด ทำภารกิจและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ได้ เพื่อจบภารกิจและรับรางวัลสูงสุด

สิ่งที่ต้องเรียนรู้กันก่อนคือเรื่องของคลาสตัวละครที่มีให้เลือกต่างกันถึง 4 คลาส และแต่ละคลาสก็จะเชี่ยวชาญความสามารถ และมีสกิลที่แตกต่างกันออกไป คลาสทั้งหมดแบ่งเป็น Psyker ที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้กับศัตรูประเภท Elite หรือ Specialist - Veteran ที่เชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล - Zealot เชี่ยวชาญการโจมตีประชิดและฟื้นฟูพลังชีวิต + สู้กับศัตรูประเภทเกราะได้ดี - Ogryn เชี่ยวชาญการต่อสู้ตะลุมบอน และเหมาะกับการรับมือ Horde หรือฝูงศัตรู


จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 คลาสเชี่ยวชาญการต่อสู้ในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ที่จริงแล้วทุกสถานการณ์ที่แต่ละคลาสเชี่ยวชาญนั้น มักจะเจอแบบทุกอย่างในเกมการเล่นรอบเดียว หรือหนักกว่านั้นคือ ทั้ง 4 สถานการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ความโกลาหล และความวุ่นวายนี้ เป็นบรรยากาศเดียวกันกับเกม FPS Co-op รุ่นพี่เกมอื่น ๆ แต่ก็ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้ามา ยกตัวอย่างเช่นในบางเงื่อนไข จะต้องใช้เครื่องมือกดตัวอักษรให้ถูก ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดัน ทั้งฝูงศัตรู ทั้งเพื่อนร่วมทีมที่อาจจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว บางอย่างของเกมนี้ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเองแบบนี้

ความช่วยเหลือต่าง ๆ จะถูกวางไว้ระหว่างทางการเล่นของเกม และเกมนี้หากคุณเล่นคลาสที่ไม่ใช้อาวุธปืน มันจะกินกระสุนเยอะมาก เยอะเกินความจำเป็น อย่างเช่นตัวผู้เขียนที่เลือกเล่นคลาส Zealot ที่เน้นการโจมตีระยะประชิด อาวุธรองก็จะเป็นปืนกลเบา ที่มีความสามารถในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่า Veteran หากเจอศัตรูระดับ Elite การเข้าถึงตัวพวกมันก็จะเป็นเรื่องยาก ทำให้ Veteran โดดเด่นขึ้นมา หรือเมื่อเจอฝูง Horde ที่มากันแบบมืดฟ้ามัวดิน จึงเป็นหน่าที่ของ Ogryn ที่สามารถจัดการเวฟศัตรูได้รวดเร็ว Zealot เองอาจจะมีบทบาทในการล่อศัตรูเพราะพลังชีวิตเยอะ และเคลียร์ศัตรูได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นสูตรสำเร็จของเกม FPS Co-op ที่แต่ละตัวละครจะมีความสามารถที่ชัดเจน แต่อุปสรรคเองก็พร้อมจะสู้เรากลับเช่นกัน


ระบบการบาดเจ็บของเกมนี้จะทำงานคล้าย ๆ กับ Back 4 Blood ตัวละครของผู้เล่นจะมีค่าพลังสองอย่าง อย่างแรกคือค่าเกราะ เมื่อเราถูกโจมตี ดาเมจจะไปลดตรงค่าเกราะก่อนเป็นอย่างแรก และค่าเกราะ หากไม่ถูกโจมตีสักระยะหนึ่ง มันจะรีเจ็นฟื้นขึ้นมาเองได้ จะมีความสามารถพิเศษของ Zealot ที่เวลาใช้การโจมตีประชิดสังหารศัตรูได้ จะช่วยฟื้นค่าเกราะให้ด้วย และหากเกราะหมด ความเสียหายก็จะไปหักลบพลังชีวิตแทน แต่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการโจมตีแบบพิเศษ จำพวกสารพิษ หรือการโจมตีหนักจากศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่จะไปลดพลังชีวิตสูงสุดของเราโดยตรง และถ้าพลังชีวิตสูงสุดของเราลดลงก็จะเป็นปัญหาทันที เพราะเราจะรับดาเมจได้น้อยลง วิธีเดียวที่จะฟื้นฟูพลังชีวิตสูงสุดของเราให้กลับคืนมาเต็มเหมือนเดิมได้ก็คือหาตู้ฟื้นพลังชีวิตที่อยู่ตามฉาก ซึ่งก็จะมีน้อยมาก และใน 1 ตู้จะใช้ได้ 4 ครั้ง เทียบเท่ากับจำนวนสมาชิกสูงสุดของทีม คล้าย ๆ Medical Cabinet ใน Back 4 Blood

ในด้านความหลากหลายของศัตรู ก็ถือว่าเป็นการเอาของเก่าจากเกมอื่น ๆ มาต่อยอด ไม่ว่าจะเป็น Poxbuster ที่เหมือน Boomer ในเกมอื่น ๆ Pox Hound ที่จะทำให้เราล้มลงและตอบโต้อะไรไม่ได้ ต้องให้เพื่อนช่วยเท่านั้น ซึ่งตัวประเภท Pox Hound นั้น ยังมีอีกมากมาย เช่นศัตรูที่ใช้ตาข่ายไฟฟ้ารัดเราไว้ ต้องรอเพื่อนมาช่วยอย่างเดียว กล่าวคือเกมนี้ หัวใจสำคัญยังคงเป็นความพยายามในการผ่านด่านแบบร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดแน่ ๆ แม้จะดูว่ามันมักง่ายไปหน่อยที่เอาของจากเกมอื่นมาใส่เป็นของตัวเอง แต่ก็ถือว่ายังเป็นมาตรฐานเกมที่เล่นสนุกได้อยู่ดี


เมื่อเล่นจบในแต่ละรอบ เราจะได้รับ EXP ที่เอามาอัปเลเวล การอัปเลเวลจะทำให้เราปลดล็อคสกิลและความสามารถต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และสุ่มได้รับอาวุธอุปกรณ์ใหม่ ๆ มา เราสามารถเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ในตัวได้ว่าชิ้นไหนดีกว่า แม้บางชิ้นจะมีค่าพลังที่สูงกว่า แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ดังนั้นก่อนเปลี่ยนอุปกรณ์ต้องศึกษาดูให้ดี อย่ามองแค่ว่าตัวเลขพลังเยอะแล้วจะดีกว่า นอกจากนั้นเมื่อเลเวลเราสูงขึ้น จะปลดล็อคระบบต่าง ๆ ภายใน HUB หรือศูนย์กลางของผู้เล่น ที่จะมีการนำเอาอาวุธเก่าไปแลกเปลี่ยนเป็นของใหม่ หรือใช้เงินซื้อของดี ๆ มาใช้โดยตรงได้เลยด้วย

ข้อเสียของเกมนี้ที่ผู้เขียนสัมผัสได้คือ การใช้เวลาในการเคลียร์ฉากแต่ละฉากของเกมนี้จะนานกว่าเกมอื่น ๆ มาก อย่างต่ำเลยก็ 20 นาที ถ้ารอบไหนตึงมือ หรือเจอคนเล่นไม่เป็นงานก็อาจจะอยู่ที่ 30 นาทีขึ้นไปด้วยซ้ำ ยังไม่รวมมหากาพย์ระหว่างทาง ที่อาจจะเจอวิบากกรรมในการเล่นตลอดเวลา แต่อย่างน้อย หากมีผู้เล่นหลุดระหว่างเกมการเล่น เราสามารถที่จะ Reconnect กลับเข้ามาในเกมได้ตลอดเวลา แต่กับเกมแนว FPS Co-op ด้วยกันแล้ว เกมนี้ถือว่าใช้เวลาในการเล่นนานกว่ามาก

การ์ดจออาจไม่ต้องสุด แต่ CPU คุณต้องแรงพอ


ส่งท้ายกันด้วยเรื่องประสิทธิภาพของตัวเกมกันหน่อย เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เตือน ส่วนของการ์ดจอนั้น แม้ตัวเกมจะต้องการสูงถึง RTX 2060 แต่การ์ดต่ำกว่านั้นก็สามารถเล่นได้ แถมไม่ได้กินแรงการ์ดจอมากขนาดนั้นด้วย แต่ที่มันกินหนักจริง ๆ คือ CPU อาจจะเพราะจำนวนพวก Undead ที่ปรากฎตัวออกมาอย่างล้นหลามในฉากเดียว รวมไปถึงการต่อสู้กับบอสและฉากใหญ่ ๆ นั้น มีค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ฉากในเกมส่วนมากเป็นฉากปิด ไม่ใช่ Open World มันจึงไม่ได้กินแรงการ์ดจอเยอะ แต่กิน CPU มากเป็นพิเศษ ดังนั้นใครคิดจะเล่นเกมนี้ก็อยากให้เช็ค CPU มาเป็นอันดับแรก ส่วนการ์ดจอกลาง ๆ ยังไงก็ไหวแน่ ๆ 

และเป็นธรรมเนียมของเกมยุคสมัยใหม่ไปแล้ว ที่มักจะเกิดปัญหาตอนเกมเปิดตัวเสมอ Darktide นั้น เปิดให้เล่นกันมา 1 สัปดาห์ก่อนวันวางจำหน่ายจริง แต่ตัวเกมกลับมีปัญหาในด้าน Performance ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการเฟรมเรทดรอป หรือกระตุก และบั๊กการแสดงผลกราฟิกต่าง ๆ แม้จะไมไ่ด้เละมากจนเล่นไม่ได้ แต่ก็โดนแฟนเกมวิจารณ์กันพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับปัญหานี้

สรุปว่า Warhammer 40,000: Darktide อาจไม่ใช่แนวเกมที่สดใหม่จนห้ามพลาด แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมแนว FPS Co-op ชอบบรรยากาศ กลิ่นอาย Dystopian ชอบบู๊แหลกไปกับคนอื่น ๆ มันก็ยังเป็นอีกเกมที่ถือว่าสนุก แต่อาจจะไม่น่าจดจำเท่าไรนัก และสำหรับสมาชิก Xbox Game Pass สามารถโหลดมาเล่นกันได้เลยด้วย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

7
ข้อดี

ดัดแปลงเอาจักรวาล Warhammer มาใส่ไว้ในเกมแนวนี้ได้อย่างดี

ใครชอบความมันจากการยิงแหลกแจกกระสุน เกมนี้ตอบโจทย์

อุปกรณ์และอาวุธหลากหลายมาก

แต่ละคลาสมีบทบาทหน้าที่ของตัวเอง

ข้อเสีย

กินสเปคเครื่องมาก โดยเฉพาะ CPU

ใครไม่ชอบความมืด ความอึมครึมที่เป็นธีมหลักของเกมอาจเล่นไม่สนุก

ทีมเวิร์คสำคัญไม่แพ้เกมไหน ๆ เล่นห้อง Public อาจมีหัวร้อน

7
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม Warhammer 40,000: Darktide ความมันส์ระดับ 10/10 แม้องค์ประกอบอื่นจะยังดิบไปหน่อยก็ตาม...
07/12/2022

แม้จะไม่ได้โด่งดังแพร่หลายเท่าแฟรนไชส์ไซไฟชื่อก้องโลกหลาย ๆ แฟรนไชส์ แต่จักรวาลหรือแฟรนไชส์ Warhammer ทั้ง Fantasy และ 40,000 ก็นับเป็นแฟรนไชส์สุดอมตะที่อยู่คู่กับสังคมเกมเมอร์มาช้านาน และมีเกมออกมาให้ได้เล่นกันหลายภาคหลายแนวตลอดระยะเวลานับทศวรรษที่ผ่านมา โดยหนึ่งในผลงานเด่นที่หลายคนอาจจะรู้จักจากจักรวาลนี้ก็คือเกมแอคชัน FPS สุดระห่ำอย่าง Warhammer: Vermintide ของผู้พัฒนา Fatshark นั่นเอง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้พัฒนา Fatshark ก็ได้กลับมาอีกครั้ง โดยคราวนี้พวกเขาเลือกที่จะแฟรนไชส์ Warhammer อีกครั้งในรูปแบบของ Warhammer 40,000: Darktide เกม FPS Co-op สาดกระสุนสุดมันส์ ที่เพิ่งจะเปิดให้เล่นผ่าน PC (Steam และ Xbox Game Pass) ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผลงานใหม่นี้จะมาทำให้ซีรีส์นี้พัฒนาขึ้นไปในแนวทางไหน วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกันกับ Warhammer 40,000: Darktide

เนื้อเรื่องของตัวละครที่ต่างที่มาที่ไป และเรากำหนดเองได้


Warhammer 40,000: Darktide จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของกลุ่ม Inquistorial Agents ที่คอยสืบสวนและป้องกันการแทรกซึมของกองกำลัง Chaos ที่อาจสร้างหายนะให้กับดาว Atoma Prime แถมยังมีพวก Undead จำนวนมากบุกโจมตีดวงดาวอีกด้วย สำหรับใครที่มาเล่นเกมนี้แล้วรู้สึกว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ซีรีส์ต้นฉบับของ Warhammer 40,000 จริง ๆ แล้วคือบอร์ดเกมยอดนิยม และถูกนำมาดัดแปลงเป็นวิดีโอเกมออกมาเรื่อย ๆ ส่วนซีรีส์ 40,000 นี้ ส่วนมากจะถูกดัดแปลงออกมาเป็นเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น Necromunda Hired Gun, Space Hulk เป็นต้น


เรื่องราวของตัวละครที่เราจะสร้าง จะมีที่มาที่ไปต่างกัน ที่เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครแล้วว่าอยากให้ตัวละครของเราเกิดมามีปูมหลังยังไง และเป็นคนประเภทไหน ก่อนที่จะเริ่มเนื้อเรื่องหลักของเกมตามเหตุการณ์ที่เราเกริ่นไว้ข้างบนเกี่ยวกับดาว Atoma Prime เพียงแต่ด้วยรูปแบบการเล่นแบบ FPS Co-op แบบนี้ ทำให้มันเป็นข้อเสียในแง่ของการเล่าเรื่อง เพราะมันไม่สามารถเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรงแบบเกมอื่น ๆ ได้ ผู้เล่นอาจจะต้องปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง ซึ่งจากเดิมที่ใครงงเกี่ยวกับจักรวาล Warhammer อยู่แล้ว เจอการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบนี้เข้าไป อาจจะงงหนักกว่าเดิมก็เป็นได้


เอาเป็นว่าในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ไม่ใช่ปัญหา แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวและโลกของ Warhammer หรือ Warhammer 40,000 ดีสักเท่าไร แต่เราก็สามารถที่จะสนุกไปกับตัวเกมได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้อินในส่วนของเนื้อเรื่องนัก แต่ที่บอกว่าไม่ใ่ชปัญหา เพราะเกมเพลย์และ Progression ของเกมนี้ก็ถือว่าสนุก เข้มข้นไม่แพ้เกม FPS Co-op เกมอื่น ๆ เลยด้วย

อีกหนึ่งรสชาติความสนุกของเกมแนว FPS Co-op ภายใต้ฉากหลังของโลก Warhammer


ความโดดเด่นของ Darktide ที่แตกต่างไปจากเกมอื่น ๆ คือการหยิบยืมเอาฉากหลังและโลกภายในจักรวาลของ Warhammer 40,000 มานำเสนอ ในภาคนี้แม้จะมีกลิ่นอายแบบ Sci-Fi ผสมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ Sci-Fi ล้ำอนาคต แต่เป็นเหมือนกับยุค Dystopian มากกว่า ใครทไม่ค่อยชอบความมืด ความอึมครึม และบรรยากาศที่น่าอึดอัด อาจจะไม่ถูกจริตกับเกมนี้ เพราะหาสถานที่สว่าง ๆ สดใสแทบจะไม่ได้เลย หลากหลายฉากภายในเกมจะเป็นพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิดโล่งเพียงเล็กน้อย เอื้อต่อการทำภารกิจบางอย่างกับเราเพียงเท่านั้น 

การนำเสนอและโหมดการเล่นของเกมนี้จะคล้าย ๆ กับเกม FPS Co-op ทั่วไป คือเราจะหาห้องที่ผู้เล่นอื่นสร้างไว้ หรือเราจะสร้างขึ้นมาเองแล้วรอคนอื่นมา Join ก็ได้ ถ้าระหว่างนั้นไม่มีคนมา Join เล่นด้วย ก็จะเป็น Bot หรือ A.I. มาควบคุมแทน หรือถ้าใครหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมทีมไม่เป็นงาน จะล็อกเป็น Private Game ลุยไปกับบอทเฉย ๆ เลยก็ทำได้ บอทเกมนี้ถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ แล้วก็ถือว่ามีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์หนัก ๆ ก็อาจจะยังไม่ได้เรื่องได้ราวนัก แต่ถ้าเอาไว้เล่นฟาร์ม เก็บเลเวล หรือลุยเนื้อเรื่องคนเดียวก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่ดี


กราฟิก อาจจะเป็นจุดที่หลายคนต้องมานั่งถกเถียงกันว่า สรุปแล้วมันสวยหรือไม่สวยกันแน่ ในช่วงของเกมเพลย์การเล่นนั้น ไม่มีปัญหา ตัวเกมแสดงให้เห็นว่าภาพของเกมยุคปัจจุบันนี้จะออกมาเป็นยังไง สวยงามสมยุคสมัยแน่นอน แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกแปลก ๆ คือเรื่องของฉากคัทซีต ที่มันมีการแสดงผล และมีความแปลกในส่วนของงานภาพ ที่ดูจะมีเส้นสีขาว ๆ เป็นเฉดหนาอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทีแรกก็นึกว่าบั๊กกราฟิก แต่ที่ไหนได้ มันเป็นแบบนี้ทั้งเกม และดูจากของผู้เล่นอื่น ก็เป็นเหมือนกัน สำหรับส่วนนี้เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล แต่สำหรับผู้เขียน รู้สึกว่ามันแปลกตาไปบ้าง


คอนเทนต์และเกมการเล่นตอนนี้ส่วนมากจะเป็นการตะลุยไปตามด่าน ทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นรับของรางวัล และอัปเกรดเลเวลตัวละครให้สูงขึ้น เพื่อปลดล็อคประสิทธิภาพและสกิลใหม่ ๆ ทำให้เกมการเล่นสะดวกขึ้น และกลับไปลุยด่านเดิม ๆ ซ้ำเพื่ออัปเกรดเป็นลูปวนไป ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้อยู่แล้ว ใครที่ชอบก็จะชอบไปเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบ เบื่อง่าย หรือไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ก็อาจจะไม่ชอบไปเลยเช่นกัน ซึ่งปกติแล้วเกมแนวนี้ หากเก็บ Progression ได้ตามที่ต้องการแล้ว ถ้าคอนเทนต์ช่วง Endgame ไม่น่าสนใจ หรือไม่น่าดึงดูดพอก็อาจจะรั้งผู้เล่นไว้ได้ยากสักหน่อย แต่สำหรับทีม Fatshark ผู้ดูแล Vermintide 2 มาอย่างยาวนานกว่า 4 ปีเต็ม ก็เชื่อมือได้เลยว่าพวกเขาน่าจะทำแบบเดียวกันกับ Darktide นี้ด้วย

ดุเดือด นัว ระทึก มันส์ทั้งยิง และสู้ประชิด


สำหรับเกมเพลย์ของ Darktide ต้องบอกว่า ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้มันรู้สึกน่าเล่น ตื่นเต้น น่าเข้าไปลองเหมือนเกมอื่น ๆ เพราะหากคุณเป็นผู้เล่นเกม FPS Co-op มาแต่ไหนแต่ไร ผ่านเกมเด็ด ๆ มามากอย่าง Left 4 Dead, World War Z หรือแม้แต่ Back 4 Blood คุณก็น่าจะเข้าใจกฎกติการ และเกมการเล่นของเกมแนวนี้ดีอยู๋แล้ว หลัก ๆ คือจะเป็นการ Co-op ร่วมมือกันเอาตัวรอด ฝ่าด่านฝูงศัตรูที่เป็นพวก Undead และพวก Specialist สุดโหด ทำภารกิจและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ได้ เพื่อจบภารกิจและรับรางวัลสูงสุด

สิ่งที่ต้องเรียนรู้กันก่อนคือเรื่องของคลาสตัวละครที่มีให้เลือกต่างกันถึง 4 คลาส และแต่ละคลาสก็จะเชี่ยวชาญความสามารถ และมีสกิลที่แตกต่างกันออกไป คลาสทั้งหมดแบ่งเป็น Psyker ที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้กับศัตรูประเภท Elite หรือ Specialist - Veteran ที่เชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล - Zealot เชี่ยวชาญการโจมตีประชิดและฟื้นฟูพลังชีวิต + สู้กับศัตรูประเภทเกราะได้ดี - Ogryn เชี่ยวชาญการต่อสู้ตะลุมบอน และเหมาะกับการรับมือ Horde หรือฝูงศัตรู


จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 คลาสเชี่ยวชาญการต่อสู้ในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ที่จริงแล้วทุกสถานการณ์ที่แต่ละคลาสเชี่ยวชาญนั้น มักจะเจอแบบทุกอย่างในเกมการเล่นรอบเดียว หรือหนักกว่านั้นคือ ทั้ง 4 สถานการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ความโกลาหล และความวุ่นวายนี้ เป็นบรรยากาศเดียวกันกับเกม FPS Co-op รุ่นพี่เกมอื่น ๆ แต่ก็ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้ามา ยกตัวอย่างเช่นในบางเงื่อนไข จะต้องใช้เครื่องมือกดตัวอักษรให้ถูก ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดัน ทั้งฝูงศัตรู ทั้งเพื่อนร่วมทีมที่อาจจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว บางอย่างของเกมนี้ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเองแบบนี้

ความช่วยเหลือต่าง ๆ จะถูกวางไว้ระหว่างทางการเล่นของเกม และเกมนี้หากคุณเล่นคลาสที่ไม่ใช้อาวุธปืน มันจะกินกระสุนเยอะมาก เยอะเกินความจำเป็น อย่างเช่นตัวผู้เขียนที่เลือกเล่นคลาส Zealot ที่เน้นการโจมตีระยะประชิด อาวุธรองก็จะเป็นปืนกลเบา ที่มีความสามารถในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่า Veteran หากเจอศัตรูระดับ Elite การเข้าถึงตัวพวกมันก็จะเป็นเรื่องยาก ทำให้ Veteran โดดเด่นขึ้นมา หรือเมื่อเจอฝูง Horde ที่มากันแบบมืดฟ้ามัวดิน จึงเป็นหน่าที่ของ Ogryn ที่สามารถจัดการเวฟศัตรูได้รวดเร็ว Zealot เองอาจจะมีบทบาทในการล่อศัตรูเพราะพลังชีวิตเยอะ และเคลียร์ศัตรูได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นสูตรสำเร็จของเกม FPS Co-op ที่แต่ละตัวละครจะมีความสามารถที่ชัดเจน แต่อุปสรรคเองก็พร้อมจะสู้เรากลับเช่นกัน


ระบบการบาดเจ็บของเกมนี้จะทำงานคล้าย ๆ กับ Back 4 Blood ตัวละครของผู้เล่นจะมีค่าพลังสองอย่าง อย่างแรกคือค่าเกราะ เมื่อเราถูกโจมตี ดาเมจจะไปลดตรงค่าเกราะก่อนเป็นอย่างแรก และค่าเกราะ หากไม่ถูกโจมตีสักระยะหนึ่ง มันจะรีเจ็นฟื้นขึ้นมาเองได้ จะมีความสามารถพิเศษของ Zealot ที่เวลาใช้การโจมตีประชิดสังหารศัตรูได้ จะช่วยฟื้นค่าเกราะให้ด้วย และหากเกราะหมด ความเสียหายก็จะไปหักลบพลังชีวิตแทน แต่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการโจมตีแบบพิเศษ จำพวกสารพิษ หรือการโจมตีหนักจากศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่จะไปลดพลังชีวิตสูงสุดของเราโดยตรง และถ้าพลังชีวิตสูงสุดของเราลดลงก็จะเป็นปัญหาทันที เพราะเราจะรับดาเมจได้น้อยลง วิธีเดียวที่จะฟื้นฟูพลังชีวิตสูงสุดของเราให้กลับคืนมาเต็มเหมือนเดิมได้ก็คือหาตู้ฟื้นพลังชีวิตที่อยู่ตามฉาก ซึ่งก็จะมีน้อยมาก และใน 1 ตู้จะใช้ได้ 4 ครั้ง เทียบเท่ากับจำนวนสมาชิกสูงสุดของทีม คล้าย ๆ Medical Cabinet ใน Back 4 Blood

ในด้านความหลากหลายของศัตรู ก็ถือว่าเป็นการเอาของเก่าจากเกมอื่น ๆ มาต่อยอด ไม่ว่าจะเป็น Poxbuster ที่เหมือน Boomer ในเกมอื่น ๆ Pox Hound ที่จะทำให้เราล้มลงและตอบโต้อะไรไม่ได้ ต้องให้เพื่อนช่วยเท่านั้น ซึ่งตัวประเภท Pox Hound นั้น ยังมีอีกมากมาย เช่นศัตรูที่ใช้ตาข่ายไฟฟ้ารัดเราไว้ ต้องรอเพื่อนมาช่วยอย่างเดียว กล่าวคือเกมนี้ หัวใจสำคัญยังคงเป็นความพยายามในการผ่านด่านแบบร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดแน่ ๆ แม้จะดูว่ามันมักง่ายไปหน่อยที่เอาของจากเกมอื่นมาใส่เป็นของตัวเอง แต่ก็ถือว่ายังเป็นมาตรฐานเกมที่เล่นสนุกได้อยู่ดี


เมื่อเล่นจบในแต่ละรอบ เราจะได้รับ EXP ที่เอามาอัปเลเวล การอัปเลเวลจะทำให้เราปลดล็อคสกิลและความสามารถต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และสุ่มได้รับอาวุธอุปกรณ์ใหม่ ๆ มา เราสามารถเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ในตัวได้ว่าชิ้นไหนดีกว่า แม้บางชิ้นจะมีค่าพลังที่สูงกว่า แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ดังนั้นก่อนเปลี่ยนอุปกรณ์ต้องศึกษาดูให้ดี อย่ามองแค่ว่าตัวเลขพลังเยอะแล้วจะดีกว่า นอกจากนั้นเมื่อเลเวลเราสูงขึ้น จะปลดล็อคระบบต่าง ๆ ภายใน HUB หรือศูนย์กลางของผู้เล่น ที่จะมีการนำเอาอาวุธเก่าไปแลกเปลี่ยนเป็นของใหม่ หรือใช้เงินซื้อของดี ๆ มาใช้โดยตรงได้เลยด้วย

ข้อเสียของเกมนี้ที่ผู้เขียนสัมผัสได้คือ การใช้เวลาในการเคลียร์ฉากแต่ละฉากของเกมนี้จะนานกว่าเกมอื่น ๆ มาก อย่างต่ำเลยก็ 20 นาที ถ้ารอบไหนตึงมือ หรือเจอคนเล่นไม่เป็นงานก็อาจจะอยู่ที่ 30 นาทีขึ้นไปด้วยซ้ำ ยังไม่รวมมหากาพย์ระหว่างทาง ที่อาจจะเจอวิบากกรรมในการเล่นตลอดเวลา แต่อย่างน้อย หากมีผู้เล่นหลุดระหว่างเกมการเล่น เราสามารถที่จะ Reconnect กลับเข้ามาในเกมได้ตลอดเวลา แต่กับเกมแนว FPS Co-op ด้วยกันแล้ว เกมนี้ถือว่าใช้เวลาในการเล่นนานกว่ามาก

การ์ดจออาจไม่ต้องสุด แต่ CPU คุณต้องแรงพอ


ส่งท้ายกันด้วยเรื่องประสิทธิภาพของตัวเกมกันหน่อย เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เตือน ส่วนของการ์ดจอนั้น แม้ตัวเกมจะต้องการสูงถึง RTX 2060 แต่การ์ดต่ำกว่านั้นก็สามารถเล่นได้ แถมไม่ได้กินแรงการ์ดจอมากขนาดนั้นด้วย แต่ที่มันกินหนักจริง ๆ คือ CPU อาจจะเพราะจำนวนพวก Undead ที่ปรากฎตัวออกมาอย่างล้นหลามในฉากเดียว รวมไปถึงการต่อสู้กับบอสและฉากใหญ่ ๆ นั้น มีค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ฉากในเกมส่วนมากเป็นฉากปิด ไม่ใช่ Open World มันจึงไม่ได้กินแรงการ์ดจอเยอะ แต่กิน CPU มากเป็นพิเศษ ดังนั้นใครคิดจะเล่นเกมนี้ก็อยากให้เช็ค CPU มาเป็นอันดับแรก ส่วนการ์ดจอกลาง ๆ ยังไงก็ไหวแน่ ๆ 

และเป็นธรรมเนียมของเกมยุคสมัยใหม่ไปแล้ว ที่มักจะเกิดปัญหาตอนเกมเปิดตัวเสมอ Darktide นั้น เปิดให้เล่นกันมา 1 สัปดาห์ก่อนวันวางจำหน่ายจริง แต่ตัวเกมกลับมีปัญหาในด้าน Performance ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการเฟรมเรทดรอป หรือกระตุก และบั๊กการแสดงผลกราฟิกต่าง ๆ แม้จะไมไ่ด้เละมากจนเล่นไม่ได้ แต่ก็โดนแฟนเกมวิจารณ์กันพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับปัญหานี้

สรุปว่า Warhammer 40,000: Darktide อาจไม่ใช่แนวเกมที่สดใหม่จนห้ามพลาด แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมแนว FPS Co-op ชอบบรรยากาศ กลิ่นอาย Dystopian ชอบบู๊แหลกไปกับคนอื่น ๆ มันก็ยังเป็นอีกเกมที่ถือว่าสนุก แต่อาจจะไม่น่าจดจำเท่าไรนัก และสำหรับสมาชิก Xbox Game Pass สามารถโหลดมาเล่นกันได้เลยด้วย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header