GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "บทความพิเศษ"
เจาะลึกรายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra พร้อมราคาขายในบ้านเรา!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของแบรนด์กิมจิอย่าง “Samsung” โดยรอบนี้จะเป็นตระกูล Galaxy S21 Series แถมบ้านเราเองก็เปิดให้สั่งจองพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว วันนี้เกวลินเองก็เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ Galaxy S21 Series ในแต่ละรุ่นมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน รวมไปถึงราคาในแต่ละรุ่นว่าในบ้านเราวางจำหน่ายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วมีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่อยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ Samsung Galaxy S21 Series อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็เป็นได้ค่ะ ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Samsung Galaxy S21 Series ที่เปิดตัวมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันประกอบไปด้วย Samsung Galaxy S21, Samsung Galaxy S21+ และ Samsung Galaxy S21 Ultra โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกภายในที่แตกต่างกันพอสมควรเริ่มจากขนาดหน้าจอกันก่อนเลยค่ะ เริ่มจาก Galaxy S21 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.2 นิ้วไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไปถือกำลังเหมาะมือเลยค่ะ ตามมาด้วย Galaxy S21+ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้วถือว่าใหญ่ใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลยนะคะ ทั้งสองรุ่นนี้ตัวหน้าจอจะไม่ได้เป็นจอโค้งนะคะ สุดท้าย S21 Ultra มีขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว เล็กกว่า Note 20 Ultra 1 นิ้วค่ะ แต่ความพิเศษของ S21 Ultra อยู่ตรงที่ความละเอียดของหน้าจอเป็นรูปแบบ WQHD+ ทำให้เราสามารถรับชมวีดีโอคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถขับรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz อีกด้วย หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง “รีเฟรชเรท” ว่าถ้ามือถือสมาร์ทโฟนยิ่งมีค่านี้สูงมันดียังไง!? มันจะดีตรงที่เวลาเราเลื่อนสไลด์หน้าจอมันจะดูลื่นไหลไม่ปวดตา แล้วถ้าเราดูพวกวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่ง หรือ ดู Youtube ที่มีความละเอียดสูง ๆ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนด้วย แต่ทั้งนี้การเปิดใช้งานรีเฟรชเรทสูงก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ดังนั้นแนะนำให้ตั้งค่าปรับอัตโนมัติดีที่สุดค่ะ เกือบลืมบอกไปตัวท็อปอย่าง S21 Ultra สามารถตั้งค่ารีเฟรทเรชแบบต่ำสุด 10Hz ได้ด้วย เพื่อใช้งานกับการทำงานบางอย่างเพื่อลดการกินแบตเตอรี่ได้ดีในส่วนหนึ่งค่ะ แล้วด้วยตัวหน้าจอ Samsung Galaxy S21 Series ทุกรุ่นใช้หน้าจอ “Dynamic AMOLED 2X” จะมีความสว่างสูงทำให้เมื่อเราใช้งานกลางแดดก็สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดหน้าจอได้อย่างสบาย ๆ โดย Galaxy S21 และ S21+ จะมีค่าความสว่างที่ปรีับได้สูงสุดอยู่ที่ 1,300 nits ส่วนตัวท็อปสุด Galaxy S21 Ultra ค่าความสว่างก็ดันได้มากถึง 1,500 nits แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือหน้าจอจะแบนไม่ได้มีวิถีจอโค้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ใครที่รู้สึกว่าจอโค้งใช้งานลำบากาฟิล์มติดก็ยาก หรือเคสที่บางทีติดฟิล์มกระจกแล้วมีการดันฟิล์มออก โอ๊ย...ปัญหาเยอะแบบนี้ก็ลองมาเล่นรุ่นนี้ดูกันได้ค่ะ แม้ว่า CPU ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะไม่ใช่ Snapdragon เหมือนกับประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม แต่ชิปเซ็ตขุมพลังตัวใหม่อย่าง “Exynos 2100” ก็มีความแตกตางจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เริ่มจากสายการผลิตเป็นสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร เล็กแบบนี้แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก ภายในชิปเซ็ตมีโมเด็ม 5G ในทุก ๆ รุ่นของ Samsung Galaxy S21 Series ในด้านของ GPU หรือตัวประมวลผลกราฟฟิกรอบนี้มาแปลกนิดหน่อยค่ะ เพราะเขาเลือกใช้ “Mali-G78 MP14” จากปกติแล้วจะเป็นตระกูล Adreno ทำให้เมื่อนำมาทดสอบกับการเล่นเกมพบว่า  “เกมส่วนใหญ่สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยกเว้นเกมที่จะต้องปรับรายละเอียดกราฟฟิกหรือประมวลผลสูง ๆ อย่าง Genshin Impact ยังมีเฟรมเรตดรอปเป็นระยะ ๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร”  ในด้านของความร้อนเมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ สื่อที่ได้ลองเทสก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนจนเกินไป แล้วถ้าปล่อยให้เครื่องทำงานปกติแบบไม่ต้องทำอะไรใช้ระยะเวลาไม่กี่นาทีเครื่องก็จะกลับสู่ในอุณหภูมิสภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม Samsung Galaxy S21 Series ไม่ได้ดูออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียวนะคะ แต่หน้าที่หลัก ๆ ของมันก็คือ “สมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง” ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจในส่วนนี้กันด้วยนะคะ ตามมาด้วยหน่วยความจำหรือ Ram กันหน่อยค่ะ Galaxy S21 และ S21+ ทาง Samsung จัดมาให้แค่ 8GB. เท่านั้น ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ทั้งหมด 2 รุ่นคือ 12GB. กับ 16GB. ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ ทั้งนี้เกวลินก็คิดว่า Ram แค่ 8GB. ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไปหรือในการเล่นเกมแล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะเอาไว้เยอะ ๆ ก่อนก็ได้เหมือนกันถ้างบเพื่อน ๆ ถึงนะคะ จุดต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง “เลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป” ก็ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S21 Series ทำเอารุ่นพี่ที่อยู่ในมือของเกวลินอย่าง Galaxy Note 20 Ultra 5G สั่นไปหมดเลยค่ะ เพราะมีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้น ( ชิ! น้อยใจซะจริงเลย ) โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วนะคะว่า Galaxy S21 Ultra จัดไปเลยเรื่องเลนส์กล้องเหนือกว่า Galaxy S21 และ S21+ ชนิดที่ไม่เห็นฝุุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้ติดอะไร ฉันมีงบเพียงแค่นี้จะเล่นรุ่นเล็ก รุ่นกลางก็ได้ทั้งนั้นค่ะ โดยทั้งสองรุ่นนี้ในเรื่องของสเปกเลนส์กล้องจะเหมือนกันนั้นก็คือเลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto คุณพระ! จัดความละเอียดมาให้ 64MP เลยค๊าคุณผู้อ่าน! แถมยังสามารถซูม Hybrid Optic ได้ถึง 3 เท่าแล้วก็ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาด้วย ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra สเปกเลนส์กล้องอัดมาให้เน้น ๆ เลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) มีความละเอียด 108MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto ที่จัดมาให้ถึง 2 ตัว โดยเราจะสามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 กับ 10 เท่า แล้วก็ยังสามารถดันซูมในรูปแบบ Digital ได้ถึง 100 เท่ากันไปเลย ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นั้นมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาให้กับเลนส์ตัวนี้ทั้ง 2 ตัวเลยค่ะ สุดท้ายก็ยังมี Laser AF มาช่วยโฟกัสภาพที่แม่นยำและไวมากยิ่งขึ้น  ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Series จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควรค่ะ เริ่มจากน้องเล็กสุด Galaxy S21 มีขนาดแบตเตอรี่ 4,000 mAh ตามมาด้วยพี่รอง Galaxy S21+ มีขนาดแบตเตอรี่ 4,800 mAh และ พี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ถึง 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ก็ยังเครมเอาไว้ว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียกว่าอยู่ได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่เราก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะ ถ้าผู้ใช้งานเปิดการทำงานเต็มที่ของเครื่องไม่ว่าจะเป็นรีเฟรชเรท 120Hz แล้วก็ 5G ไปด้วยมันก็อาจจะซูมแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาเครมมาแบบนี้ก็ต้องลองเทสด้วยตนเองแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามพก Power Bank ดี ๆ สักตัวติดไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทราบกันก่อนก็คือ Samsung Galaxy S21 Series จะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้เราอีกแล้ว ซึ่งถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเพิ่มเติมแล้วก็สามารถใช้อะแดปเตอร์จากรุ่นก่อนหน้านี้ชาร์จได้ ซึ่งทั้ง 3 รุ่นในซีรีส์นี้รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charging สูงสุด 25 วัตต์ ส่วนเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ แล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์อื่น ๆ มาชาร์จกับตัวเครื่องของเราก็จะได้ความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 4.5 วัตต์ ฟังดูอาจจะน้อยแต่ทาง Samsung เข้ามาเพื่อใช้ในกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในเวลาที่จำเป็น นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดคร่าว ๆ ของ Samsung Galaxy S21 Series ทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S21 Ultra มีปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับของ Galaxy Note 20 Ultra 5G เพียงแต่ว่าปากกาเล่มดังกล่าวจะไม่มีที่เก็บเหมือนกับของ Note นะคะ ซึ่งทาง Samsung ก็ออกแบบเคสพิเศษสำหรับใช้ในการเก็บปากกาพร้อมกับป้องกันตัวของเราจากการกระแทกได้ดีซะด้วยค่ะ รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีมาตรฐานป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 มีระบบลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้วการสแกนลายนิ้วมือก็เป็นแบบ Ultrasonic ตัวใหม่จากทาง Qualcomm อีกด้วย ท้ายสุดนี้เราไปดูราคาเครื่องของแต่ละที่กันหน่อยดีกว่าค่ะ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก AIS ( สำหรับลูกค้า Serenade ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 19,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 38,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 30,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย AIS ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก DTAC ( สำหรับลูกค้า Platinum Blue Member ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 19,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 13,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 17,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 11,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 17,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 31,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 26,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย DTAC ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก TrueMove H ( สำหรับลูกค้าที่ใช้อยู่ปัจจุบัน, เปิดเบอร์ใหม่ และ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท *18,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 20,400 บาท * 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 18,900 บาท *13,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 22,900 บาท *17,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 21,400 บาท *16,400 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท * 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 23,900 บาท *19,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท *28,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 28,900 บาท *25,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท *21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 25,900 บาท *20,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 34,400 บาท *31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 31,900 บาท *28,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 29,900 บาท * 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 27,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 36,400 บาท *33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 33,900 บาท *30,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 31,900 บาท *26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 29,900 บาท *24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 40,400 บาท *37,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 37,900 บาท *34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 35,900 บาท *30,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 33,900 บาท *28,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย TrueMove H ได้ที่ คลิกที่นี่
04 Feb 2021
ส่องลูกเล่นใหม่ ๆ ของ One UI 3.0 และ Android 11 ที่อัปเดตให้กับ Samsung A I S I Note I Z Series
อัปเดตมาได้ราว ๆ เกือบจะ 1 เดือนเห็นจะได้แล้วค่ะ สำหรับ Android 11 และ One UI 3.0 ของแบรนด์ Samsung ที่มาการทยอยอัปเดตให้ในแต่ละรุ่น โดยทางเกวลินเองได้ใช้ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ก็เลยทำการอัปเดตแล้วทดลองใช้งานดูตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วันนี้เลยจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาว่ามันมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมกันบ้างค่ะ ส่วนใครที่ใครแบรนด์นี้อยู่แล้วแต่เป็นรุ่นที่รองท็อปลงมาก็จะมีการอัปเดตให้ในแต่ละเดือน ( ส่วนนี้เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ทราบในช่วงท้ายบทความนะคะ ) เอาละเมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ ต้องเข้าใจ “การอัปเดตในครั้งนี้ก่อน!” สำหรับ “One UI 3.0” คือระบบปฏิบัติการที่มาพร้อมกับ Android 11 เพื่อที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงตอนนี้ทาง Samsung ก็ได้ไล่อัปเดตมาตั้งแต่ Series A, Series M, Galaxy Note 20 Series, Galaxy S20 Series, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Flip, Galaxy Note 10 Series, Galaxy Fold และ Galaxy S10 Series ทั้งนี้ก็ต้องแจ้งให้ทราบกันก่อนว่ามันคือการไล่อัปเดตในแต่ละรุ่นตามลำดับนะคะ แล้ว “One UI 3.0” มันมีอะไรที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมก่อนหน้านี้บ้าง!? อันดับแรกที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือพวกไอคอนต่าง ๆ ที่เราใช้งานจะไม่แตกต่างจาก One UI 2.5 เลยค่ะ ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมาเรียนรู้ในส่วนนี้ใหม่แต่อย่างใดนะคะ แต่ที่จะต้องมาศึกษาอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยก็คือ “ระบบการแจ้งเตือน” ที่ตรงนี้ทาง Samsung ได้มีการดีไซน์ใหม่คือบอกระบุชัดเจนว่าการแจ้งเตือนนั้นมาจากของอะไร จากเดิมเวอร์ชั่นก่อนที่ไม่มีการแบ่งหมวดหมู่ในเวอร์ชั่นนี้ก็จะทำให้เราทราบแล้วว่าที่เด้ง ๆ แจ้งเตือนนั้นมาจากแอพพลิเคชั่นอะไรค่ะ รวมไปถึงมีการปรับโทนสีของโซนแสดงผลจากเดิมที่เป็นแบบสีขาวทึบแต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 ในส่วนนี้จะทำให้ดูโปร่งแสงมากขึ้น ความรู้สึกส่วนตัวก็คือมันดูสบายตามากกว่าเวอร์ชั่นก่อนเยอะเลย ตามมาด้วยเหล่าไอคอนด้านบนพวกนี้ก็มีการออกแบบไอคอนบางส่วนใหม่รวมไปถึงปรับปรุงระบบการใช้งานบางส่วนให้ดีมากขึ้น นอกจากนี้พวกรายละเอียดเวลา, วัน และ เดือนก็จะมีการขยับมาให้เราได้เห็นชัดเจน โดยย้ายมาอยู่ตรงกลางแทนจากเดิมที่อยู่บริเวณมุมซ้ายบนของหน้าจอ แล้วพวกปุ่มเปิดปิดหรือค้นหาก็จะย้ายไปอยู่ด้านมุมขวาบนสุดของเครื่องก็เรียกว่าเป็นการจัดระเบียบที่ดูสวยงามไม่ใช่น้อยค่ะ ต่อมาก็คือ “ระบบ Reset แอพพลิเคชั่น” ปกติแล้วเรากดไอคอนที่เป็น “III” เมื่อกดแล้วตอนเราเลื่อนมันจะดูไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ แต่พออัปเดตเป็น One UI 3.0 ก็มีการปรับให้เวลาเราเลื่อนหน้าต่างส่วนพวกนี้ดูเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น ส่วนถ้าต้องการอยากจะปิดแอพพลิเคชั่นนั้นก็ทำเหมือนเดิมคือปัดขึ้นหรือกดปุ่มปิดทั้งหมดเลยก็ได้ แล้วระบบที่ถูกปรับปรุงอีกส่วนหนึ่งก็คือ “ระบบเพิ่ม-ลดเสียง” ที่ออกแบบมาใหม่ เมื่อเรากดปุ่มเพิ่มหรือลดเสียงมันจะมีแถบสีขาวขึ้นมาที่หน้าจอ ซึ่งเราสามารถเลื่อนขึ้น เลื่อนลงเพื่อปรับระดับเสียงตามที่ต้องการหรือจะแตะที่ไอคอนลำโพงเพื่อเปิดปิดโหมดใช้เสียงหรือโหมดสั่นได้ด้วย แล้วไอคอน “...” เมื่อกดเข้ามาก็ยังสามารถตั้งค่าในการปรับแต่งการใช้เสียงหรือสั่นในโหมดการใช้งานที่ต้องการได้ตลอดเวลาค่ะ แล้วเมื่อเรากดเข้ามาที่ตั้งค่า “เหล่าไอคอนต่าง ๆ” ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกันค่ะ แต่เรื่องการใช้งานต่าง ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเปลี่ยนแปลงไอคอนไปแล้วระบบการทำงานจะเปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้ในส่วนของโปรไฟล์ของเราใน One UI 2.5 จะมีขนาดเล็กแต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ก็มีการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นแล้วเมื่อเรากดเข้ามาจะเห็นรายละเอียดในการเชื่อมต่อกับ “Samsung Account” ตรงนี้เราสามารถตั้งค่ารายละเอียดเชิงลึกของบัญชีโปรไฟล์ตัวเองได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ เรามาพูดถึงลูกเล่นต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน One UI 3.0 กันบ้างดีกว่าค่ะ อันดับแรกเลยก็คือ “Dynamic Lock Screen” ที่มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาจากเดิมมีเพียงไม่กี่อันเท่านั้น บางคนอาจจะไม่เข้าใจมันคืออะไร เมื่อเราตั้งค่าเรียบร้อยแล้วจะทำให้ทุก ๆ ครั้งที่เราเปิดปิดหน้าจอภาพที่แสดงผลจะเปลี่ยนแปลงไปตามธีมที่เราได้ตั้งค่าเอาไว้ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตั้งรูปวอลเปเปอร์ในแบบที่เราต้องการได้ ตามมาด้วยฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ “การปิดหน้าจอด้วยการแตะเพียงแค่ 2 ครั้ง” ใน One UI 2.5 และ Android 10 ถ้าเราจะต้องการเปิดหน้าจอเพียงแค่เราแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งมันจะทำการเปิดหน้าจอขึ้นมาทันที แต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 และ Android 11 ได้เพิ่มลูกเล่นการปิดหน้าจอเข้ามาด้วยการแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งตัวเครื่องก็จะปิดหน้าจอให้ทันทีเลยค่ะ แอบแปลกใจว่าทำไมไม่ทำมาตั้งแต่แรกนะเนี่ย จุดต่อมาที่ปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “ตัวสแกนลายนิ้วมือ” ที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ตัวเกวลินเองเป็นคนที่จะใช้นิ้วที่ใหญ่ก็จะใช้นิ้วโป้งในการสแกนเพื่อเปิดเครื่อง ผลที่ได้ก็คือมันก็ช่วยให้การสแกนง่ายขึ้นเร็วขึ้นจากเดิมพอสมควรเลยค่ะ แต่ถ้าเราติดพวกกระจกหรือฟิล์มกันรอยที่มีความหนาก็อาจจะสแกนยากเล็กน้อย ดังนั้นเมื่ออัปเดตแล้วขอแนะนำให้ไปตั้งค่าในการสแกนลายนิ้วมือใหม่อีกครั้งจะดีมากเลยค่ะ ตามมาด้วยเพิ่มลูกเล่น “พื้นหลังการโทร” ที่เราสามารถปรับแต่งได้จะเปลี่ยนพื้นหลังเป็นรูปหรือวีดีโอที่ต้องการได้ แถมเรายังกำหนดให้เสียงจากวีดีโอที่เก็บเอาไว้มาเป็นเสียงเรียกเข้าได้อีกด้วย ใครที่อยากได้เสียงพี่เอก HRK เป็นเสียงเรียกเข้าก็ทำได้นะ แล้วสิ่งที่หลายคนชื่นชอบคงหนีไม่พ้นเรื่อง “การถ่ายรูปหรือวีดีโอ” ตัวแพทช์ One UI 3.0 และ Android 11 ก็มีการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ให้กับการถ่ายรูปด้วยนั้นก็คือระบบที่เรียกว่า “Lock Focus” ปกติแล้วถ้าเราแตะเบา ๆ 1 ครั้งมันจะเป็นการ Focus ภาพแม้ว่าจะเคลื่อนจอไปทางไหนมันก็จะตามจุดที่เราต้องการเอาไว้ แต่บางครั้งแสงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการแถมจะมีแถบให้เลื่อนปรับแต่ง แต่สักพักมันก็จะเปลี่ยนแสงกลับไปสภาพเดิมทำให้ระบบใหม่นี้จะมาช่วยแก้ไขในส่วนนี้ค่ะ เมื่อเราแตะค้างเอาไว้มันจะขึ้นเป็นวงกลมมีลูกแม่กุญแจเราสามารถลากเพื่อปรับแสงในแบบที่เราต้องการได้จากนั้นกดล็อค ก็เป็นระบบที่จะช่วยให้การถ่ายภาพของเราสนุกขึ้นไปอีกขั้นเลยค่ะ แล้วฟังก์ชั่นที่เพิ่มเติมเข้ามาก็ยังมีลูกเล่นที่เรียกว่า “AR Emoji” ที่ทำให้เราสามารถสร้างตัวละคร AR ของตัวเองขึ้นมาได้ โดยตัวละครพวกนี้มีความสามารถในการแสดงสีหน้า ท่าทางต่าง ๆ ของเราได้แบบเรียล์ไทม์เลยนะคะ แถมยังเปลี่ยนชุดของพวกเขาในแบบที่เราต้องการอีกด้วย แล้วตัวละครที่เราสร้างขึ้นมายังสามารถนำไปใช้เป็น AR Sticker ได้อีกด้วย สรุปหลังจากการใช้งานจริงร่วม 1 เดือน! จริง ๆ แล้วรายละเอียดของการอัปเดต One UI 3.0 และ Android 11 ยังมีมากกว่านี้มาก แต่เกวลินขอหยิบที่น่าสนใจมาพูดก็แล้วกันนะคะ หลังจากนี้จะเป็นสิ่งที่เห็นว่ามันเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นอย่างมากเลยค่ะ ซึ่งรุ่นที่ใช้เป็น CPU “Samsung Exynos 990 Octa Core” ที่บางคนอาจจะบอกว่าใช้ไปนาน ๆ แล้วร้อน ส่วนตัวเมื่อมีการอัปเดตเรื่องความร้อนดีขึ้นถูกแก้ไขให้ดีขึ้นเยอะ ก่อนอัปเดตเวลาถ่ายรูปนาน ๆ ตัวกล้องจะร้อนเร็วมาก แต่พออัปเดตปัญหานี้ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่งค่ะ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่อง “สแกนคิวอาร์โค้ด” ต่าง ๆ ที่ดูแม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมมาก ๆ แค่เปิดกล้องขึ้นมายังอ่านคิวอาร์โค้ดนั้นไม่เต็มจอก็เข้าสู่รหัสนั้นอย่างรวดเร็วเลยค่ะ  นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการใช้งาน One UI 3.0 และ Android 11 ใครที่ใช้มือถือแบรนด์ Samsung รุ่นไหนอยู่เตรียมตัวรอการอัปเดตได้เลย รายละเอียดดังต่อไปนี้ ( แต่ละรุ่นอาจจะมีการอัปเดตอาจจะเลื่อนมาเร็วขึ้นหรือช้าขึ้นอยู่กับทาง Samsung อีกทีค่ะ ) มกราคม Galaxy S10 Lite Galaxy S20 FE Galaxy S20 FE 5G Galaxy Note 10 Galaxy Note 10+ Galaxy Z Flip Galaxy Z Flop 2 5G กุมภาพันธ์ Galaxy S10e Galaxy S10 Galaxy S10+ Galaxy Fold มีนาคม Galaxy M30s Galaxy XCover Pro Galaxy A51 Galaxy Note 10 Lite Galaxy M31 Galaxy M31 Galaxy A71 5G Galaxy Tab S7 Galaxy Tab S7+ เมษายน Galaxy A50 Galaxy A50s Galaxy M51 พฤภาคม Galaxy A70 Galaxy A80 Galaxy Tab S6 Galaxy A71 Galaxy A31 Galaxy A21s Galaxy A42 5G Galaxy Tab S6 Lite มิถุนายน Galaxy A01 Galaxy A11 Galaxy A12 Galaxy M11 Galaxy Tab A Galaxy Tab Active 3 Galaxy A02s กรกฎาคม Galaxy A10 Galaxy A10s Galaxy A20 Galaxy A30 Galaxy XCover 4s Galaxy Tab S5e สิงหาคม Galaxy A20s Galaxy A30s Galaxy Tab A8 Plus (2019) Galaxy Tab A8 (2019) Galaxy Tab A10.1 (2019) Galaxy Tab Active Pro Galaxy A01 Core
19 Jan 2021
ก่อนจะมีเครื่อง PlayStation 5 ไปส่องหา TV หรือ Monitor รุ่นไหนเหมาะใช้ในการเล่นเกมที่สุดกันบ้าง!
ถ้าพูดถึงเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “PlayStation 5” บอกตรงๆ ว่าเกมเมอร์ชาวไทยหลายคนแอบหงุดหงิดมากว่าสรุปแล้ว “ประเทศไทยจะวางจำหน่ายตอนไหนกันแน่!?” ในวันที่เขียนบทความนี้คือวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ทาง Sony Interactive Entertainment หรือ PlayStation Asia ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหลใด ๆ เลย แม้จะมีข่าวลือหลุดออกมาว่ามีความเป็นไปได้ที่ PlayStation 5 ศูนย์ไทยจะวางจำหน่ายช่วงต้นเดือนมกราคมก็ตาม ซึ่งตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ได้วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ตามมาด้วยประเทศอินโดนีเซียจะวางจำหน่ายในวันที่ 22 มกราคมที่จะถึงนี้   แล้วถ้าเพื่อน ๆ ที่เล็งเอาไว้แล้วว่า “ฉันจะซื้อ PlayStation 5 มาเล่นอย่างแน่นอน!” แล้วถ้าอยากจะสัมผัสกราฟฟิกสวย ๆ แบบจัดเต็มของเกมบนเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ สิ่งที่จะต้องมีก็คือ “ทีวี หรือ จอมอนิเตอร์” ที่เหมาะเพื่อใช้ในการเล่นเกมด้วยค่ะ เพราะด้วยตัวเครื่อง PlayStation 5 เขาเครมเอาไว้เลยว่าสามารถรันกราฟฟิกออกมาในความละเอียดสูงสุดถึง 4K/60fps ( แต่ตัวกล่องมีโลโก้ 8K ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเกมอะไรรองรับบ้างด้วย ) ได้อย่างสบาย ๆ วันนี้เกวลินเองก็เลยขอคัดเลือกทีวีหรือไม่ก็จอมอนิเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมจากเครื่อง PlayStation 5 ได้รู้จักกันค่ะ   Sony BRAVIA X90H/XH90 Series สำหรับ “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” ถือว่าเป็นทีวี Full Array LED ที่มีความละเอียดอยู่ที่ 4K แถมยังพัฒนาออกมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 โดยเฉพาะเลยค่ะ ก็มีการผลิตออกมาหลากหลายขนาดเริ่มจาก 55 นิ้ว, 65 นิ้ว, 75 นิ้ว และ 85 นิ้ว จากข้อมูลของ Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA X90H มีทั้งหมด 2 ขนาดประกอบไปด้วยคือ 65 นิ้วราคาอยู่ที่ 39,990 บาท และ ขนาด 85 นิ้วราคาอยู่ที่ 89,990 บาท โดยดีไซน์ตัวเครื่องอาจจะดูไม่สวยถูกใจบางคนเท่าไหร่ แต่บอกไว้ก่อนว่าประสิทธิภาพของทีวีตัวนี้ไม่ธรรมดานะคะ โดยขุมพลังชิปเซ็ตภายในตัวนี้เลือกใช้ “Sony X1 4K HDR Processor” ที่เป็นตัวประมวลผลภาพแบบเรียลไทม์ในความละเอียด 4K ที่ดีเยี่ยมาก ๆ แถมยังรองรับ HDR ที่มันจะทำให้ภาพปรากฎบนจอดูสมจริงและคมชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยว่าสีและคอนทราสต่าง ๆ จะดูสมจริงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชิปเซ็ตตัวนี้ยังทำให้ภาพที่มีความละเอียด 1080p [Full HD] หรือ 1440p [2K] ก็สามารถอัปสเกลให้ใกล้เคียงความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยระบบที่มีชื่อว่า “4K X-Reality PRO” แล้วที่พิเศษสุดก็คือมันเป็นทีวีในรูปแบบ Android TV แล้วก็ยังสามารถขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz แล้วก็ยังแสดงผล Respond Time อยู่ที่ 7.2 ms ที่เรียกว่าน้อยพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ ซึ่งต้องบอกว่า “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายในบ้านเรามาได้พักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ ซึ่งก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ซื้อทีวีตัวนี้ไปล่วงหน้ากันแล้วค่ะ ส่วนตัวมองว่าทีวีขนาด 65 นิ้วแสดงผลในความละเอียด 4K/60fps ได้อย่างสบาย ๆ แถมยังทำค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 120Hz แล้ว Respond Time ก็น้อยอีก ในราคา 39,990 บาทถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นอย่างมากเลยนะคะ เพราะเราสามารถนำไปเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ใครที่มีคอมสเปกสูง ๆ รันเกมความละเอียด 4K ได้สบาย ๆ จอตัวนี้นอกจากเอาไว้ใช้กับการเล่นเกมคอนโซลแล้วก็ยังเอาไว้ รวมไปถึงทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode, Full Array Local Dimming, รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ด้วยค่ะ   Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series นอกเหนือจาก “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายแล้วทาง Sony ก็ได้เปิดตัวทีวี Full Array LED ตัวท็อปออกมาอีก 1 รุ่นที่มีชื่อว่า “Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series” ทาง Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA Z8H มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 85 นิ้วสนนราคาอยู่ที่ 299,990 บาท เห็นราคาแบบนี้ก็เกิดคำถามมากมายว่าทำไมมันถึงมีราคาแพงขนาดนี้ อย่างแรงเพื่อน ๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าทีวีรุ่นนี้มีความละเอียดสูงถึง 8K ที่สามารถรันเฟรมเรทได้สูงสุด 60fps แล้วถ้าเลือกรันความละเอียด 4K ก็จะขับเฟรมเรตได้สูงสุด 120fps เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ว่าขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz ดังนั้นถ้าใช้เล่นเกมแนะนำว่าเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Game Mode ด้วยนะคะ โดยทีวีตัวนี้เลือกใช้ชิปเซ็ตที่มีชื่อว่า “Sony X1 Ultimate” ชิปเซ็ตประมวลผลภาพตัวนี้ถือว่าเป็นตัวท็อปสุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ มันมีประสิทธิภาพในการแสดงสีและคอนทราสในความละเอียดสูงที่ยอดเยี่ยม แล้วยังเพิ่มความละเอียดที่เหนือชั้นเข้าไปอีกเพื่อให้เราสามารถรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้มีความใกล้เคียง 8K แท้ ๆ ได้เลย โดยชิปเซ็ตตัวนี้ยังวิเคราะห์และประมวลผลที่แม่นยำมาก ๆ ทั้งในเรื่องฉากที่มีความลึก, พื้นผิว และ รายละเอียดต่าง ๆ ก็ดูสมบูรณ์แบบมาก ๆ แม้ว่าภาพที่ถ่ายทอดออกมาจะมีความละเอียดอยู่ที่ 1440p [2K] หรือ 4K ก็ตาม ซึ่งเราสามารถเพิ่มสเกลของภาพให้มีระดับ 8K ด้วยเทคโนโลยี “8K X-Reality PRO”  แล้วด้วยความที่ทีวีในรูปแบบ Android TV ทำให้เราเสพย์คอนเทนต์ต่าง ๆ ในความละเอียด 4K ไปจนถึง 8K ได้อย่างสบาย ๆ ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple TV, YouTube หรือ Prime Video เป็นต้น นอกจากนี้ระบบเสียงของ Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series จะขับเคลื่อนในรูปแบบ Dolby Atmos เสียงที่ออกมาจะรู้สึกเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์ที่ปรากฎตัวอยู่บนหน้าจอเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น S-Force Front Surround ที่เสียงจะมารอบ ๆ ทิศทางเสมือนเรามีลำโพงเซอร์ราวด์รอบทิศทางภายในทีวีของเราเลยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ ทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode และ Full Array Local Dimming   LG 48CX เราพูดถึงแบรนด์ Sony ผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 กันไปแล้ว มาพูดถึงแบรนด์คู่แข่งที่ประสิทธิภาพภายในน่าสนใจไม่ใช่น้อยด้วยค่ะ แล้วที่เกวลินเลือกมาก็คือ “LG 48CX” ซึ่งมันคือทีวีในรูปแบบ OLED ที่ถูกจับตามองจากผู้ใช้งานทั่วโลกเป็นอย่างมาก มันเป็นทีวี OLED ที่รองรับความละเอียด 4K เต็มรูปแบบมาก ๆ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ประมาณ 48 นิ้วแถมราคาที่วางจำหน่ายในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 45,000 บาทขึ้นไป ความน่าสนใจของทีวีรุ่นนี้ก็คือมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ออกแบบมาให้กับเกมเมอร์สายพีซีอีกด้วยค่ะ โดย “LG 48CX” มาพร้อมกับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่เกมเมอร์ฝั่งพีซีที่ใช้การ์ดจอของค่ายเขียวเมื่อนำมาเชื่อมต่อแล้วเปิดใช้งานจะทำให้เมื่อเวลาเล่นเกมเฟรมเรทมีกราฟฟิกสูงสุดด้วย อ่ะ ๆ แต่คนที่ใช้การ์ดจอค่ายแดง AMD ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ก็รองรับด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้กับตัวเครื่องก่อนค่ะ เท่านั้นยังไม่พอทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ Dolby Vision หรือที่เรารู้จักในชื่อ “HDR10” ด้วยนะ แล้ว LG ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ทีวีรุ่นนี้มีความหนาแน่นของพิกเซลพอ ๆ กับทีวีที่มีความละเอียด 8K ขนาด 96 นิ้วได้เลย ส่วนถ้าเล่นจริง ๆ จะแสดงผลในความละเอียด 4K/120fps ใครที่เป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ทีวีรุ่นนี้ไม่ควรพลาดเลยค่ะ สุดท้าย “LG 48CX” เป็นทีวี OLED ที่ออกแบบมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะจริง ๆ รองรับการแสดงผลของ HDMI 2.1 แล้วก็ยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Dolby Atmos, Dolby Vision IQ, Filmmaker Mode และ ยังมีโหมดที่จะช่วยลดความหน่วงของการแสดงผลให้เองแบบอัตโนมัติอีกด้วย รวมไปถึงมีระบบรีเฟรชเรตแบบแปรผัน [VRR] ที่จะทำให้เมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น PlayStation 5 หรือ Xbox Series X มีการแสดงผลได้ดีพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ตัวท็อปเลยค่ะ   Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7 เราพูดถึงทีวีกันไป 3 รุ่นแล้วรุ่นต่อมาจะเป็น “จอมอนิเตอร์” กันบ้างค่ะ ปกติแล้วจอพวกนี้จะใช้ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่รุ่นที่เกวลินหยิบมาแนะนำสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่นี้ได้เหมือนกันนั้นก็คือ “Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7” สำหรับหน้าจอมอนิเตอร์ถูกจัดเป็นประเภท QLED ทาง Samsung เครมเลยว่าหน้าจอตัวนี้จะแสดงผลเรื่องแสง, สี, เงาคอนทราสต์ที่เป็นธรรมชาติ แล้วสีดำก็จะแสดงผลแบบดำสนิทอีกด้วยค่ะ  โดยเกวลินจะแนะนำรุ่น Samsung Odyssey G9 กันก่อนค่ะ สนนราคารุ่นนี้อยู่ที่ 45,990 บาท มันคือจอมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทาง Samsung ผลิตออกมาเลยค่ะ มีขนาดอยู่ที่ 49 นิ้ว แล้วดีไซน์ของเขาก็เก๋ไก๋มาก ๆ สวยงามมาก ๆ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า Samsung เขาออกแบบหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีดีไซน์โค้งมาแล้วหลายตัว โดยรุ่นนี้ความโค้งของตัวหน้าจอจะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R ซึ่งสูงที่สุดในโลกณ.ตอนนี้แล้วค่ะ อ่ะ...มีคำถามใช่ไหมคะว่าทำไมมันต้องโค้งอะไรขนาดนั้น!? คำตอบก็คือระยะการโค้งของหน้าจอมันจะเข้ากับระยะสายตาของมนุษย์ ทำให้เราได้รับประสบการณ์ในการเล่นเกมแบบเต็มตาที่สุดเท่าที่จอมอนิเตอร์เคยมีมาบนโลกนี้เลยค่ะ โดย Samsung Odyssey G9 มีอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 32:9 ซึ่งตรงนี้เกมเมอร์ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเกมที่รองรับอัตราส่วนของหน้าจอในเวลานี้ยังมีน้อยเกมนะคะ แต่ถ้าพูดถึงการทำงานมันสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้ทำงานได้สูงสุด 6 จอเลยค่ะ ส่วนใครที่กังวลเรื่องความหน่วงของหน้าจอ Respond Time ต่ำมาก ๆ เพียงแค่ 1 ms หรือ 0.001 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และยังรองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่จะช่วยปลดล็อคให้แสดงเฟรมเรตได้สูงสุด ลดอาการภาพสั่น หรือ ภาพแตก แต่ถ้าเพื่อน ๆ คิดว่ารุ่นนี้ขนาดหน้าจออาจจะใหญ่เกินไปพื้นที่อาจจะไม่เพียงพอ ทาง Samsung ก็ได้ผลิตอีกหนึ่งรุ่นออกมาที่สเปกเท่ากับรุ่น Samsung Odyssey G9 นั้นก็คือ “Samsung Odyssey G7” ที่มีขนาดให้เลือก 27 นิ้วราคาอยู่ที่ 18,900 บาท และ 32 นิ้วราคาจะอยู่ที่ 20,900 บาท เป็นขนาดหน้าจอความละเอียด 1440p [2K] แล้วอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 16:9 ส่วนสเปกของเครื่องนี้หลายส่วนมีความคล้ายกับตัวท็อปเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวหน้าจอที่เป็น QLED, จะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R, รองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA, ความหน่วงของหน้าจอ Respond Time อยู่ที่ 1 ms หรือ 0.001 วินาที, ปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และ รองรับเทคโนโลยี HDR600    BenQ EW3280U มาถึงรุ่นสุดท้ายที่เกวลินเลือกมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้เอาไปตัดสินใจกันนั้นก็คือ “BenQ EW3280U” จอมอนิเตอร์จากแบรนด์คุณภาพที่ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะเป็น IPS ก็เถอะนะ แต่มันก็ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเชื่อมต่อเพื่อเล่นเกมบนพีซีและเครื่องเกมคอนโซลได้เต็มประสิทธิภาพเลยค่ะ ขนาดหน้าจอตัวนี้อยู่ที่ 32 นิ้วเป็นความละเอียดแบบ 4K ที่จะมอบรายละเอียดที่จะปรากฎบนจออย่างคมชัดเลยค่ะ ไม่ว่าเราจะเอามาดูภาพยนตร์ หรือ เล่นเกมกราฟฟิกสวย ๆ แล้วปรับสุดภาพที่ปรากฎบนจอก็จะสวยงามไร้ที่ติกันเลยค่ะ ตัว “BenQ EW3280U” ยังได้เพิ่มเทคโนโลยี Dolby Vision หรือ HDR10 เข้ามาด้วย ทำให้โทนสีที่แสดงผลออกมาแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน แล้วถ้าใครเป็นเกมเมอร์สายพีซีที่ใช้การ์ดจอของ AMD ยิ้มได้เลยค่ะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ด้วย แถมการเชื่อมต่อก็รองรับ DisplayPort 1.4 และ HDMI 2.0 ที่จะช่วยปล่อยสัญญาณภาพในความละเอียด 4K/60Hz ถ้าพูดถึงการนำมาเชื่อมต่อเพื่อเล่นเครื่องเกมคอนโซลผลทดสอบออกมาเป็นยังไง จากสื่อที่ได้ลองนำมาเยี่ยมต่อดูพบว่าระยะการมองเห็นที่ไม่ต้องใหญ่มากมันทำให้เราเห็นรายละเอียดภายในเกมที่ปรากฎได้อย่างชัดเจน ทำให้เราสามารถที่จะบังคับตัวละครได้ถูกต้องมากกว่าที่จะเล่นเกมบนจอใหญ่ ๆ ข้อดีอีกอย่างของ “BenQ EW3280U” คงเป็นเรื่องเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus จากของ BenQ ที่มันจะช่วยปรับโทนแสงและภาพให้เองอัตโนมัติ สิ่งที่ได้คือแสงที่ปรากฎผ่านหน้าจอจะไม่มีแสงที่สว่างจนเกินไปใครที่เล่นเกมนาน ๆ แล้วเกิดอาการปวดตาหรือเมื่อยล้าบริเวณรอบ ๆ ดวงตา เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถเล่นเกมได้นานขึ้น เพราะมันจะลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาลง สุดท้ายในเรื่องของราคาอยู่ที่ 27,900 บาท ถ้าถามถึงความคุ้มค่าส่วนตัวมองว่ามันดันค่ารีเฟรชเรตได้เพียงแค่ 60Hz มันเลยดูน้อยไปหน่อยถ้าใครที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์ที่สเปกสูง ๆ ค่ะ จอนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะเท่าไหร่ แต่ถ้าใครที่จะเอามาใช้ในการเล่นเกมคอนโซลรุ่นใหม่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยค่ะ จบกันไปแล้วค่ะ กับบทความแนะนำทีวีหรือจอมอนิเตอร์ที่ใช้สำหรับเล่นเกมจากเครื่องคอนโซลรุ่นใหม่ทั้ง PlayStation 5 หรือ Xbox Series XIS รวมไปถึงถ้าเพื่อน ๆ เป็นเกมเมอร์กระเป๋าหนักจะเอามาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ของเราก็ทำได้เหมือนกัน เพราะแต่ละรุ่นที่แนะนำไปไม่ใช่แค่นำมาใช้กับเครื่องเกมคอนโซลอย่างเดียวนะคะ บางคนก็อาจจะถามว่าพี่แล้วแบบนี้จอของผมที่เป็นรุ่นเก่าที่รันความละเอียด 1080p หรือ 1440p สามารถใช้งานได้ไหม!? ก็ตอบเลยว่าได้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะไหน ๆ เขาก็ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมความละเอียด 4K แล้วมันก็ต้องจัดเต็มกันหน่อยเนอะ ส่วนเกวลินขอเก็บเงินอีกสักนิดแล้วรอโปรลดราคาก็คงจะจัดสักเครื่องมาเอาไว้เล่นเกมเหมือนกันค่ะ
23 Dec 2020
มาดูกันซิ! ชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง Snapdragon 888 มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
กำลังจะเข้าสู่ปี 2021 นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคใหม่กันแล้วค่ะ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “มือถือสมาร์ทโฟน” ยุคถนัดไปจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้งานรู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเดิม ยกตัวอย่างการยืดหดของหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยที่ตัวหน้าจอกลมกลืนไปกับตัวหน้าจอ โดยคอนเซ็ปต์นี้ทาง OPPO เปิดตัวก่อนเป็นอันดับแรกเลยค่ะ อย่างไรก็ตามสิ่งที่มันจะต้องมาควบคู่กันก็คือ “ชิปเซ็ตประมวลผล” คงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ จะเลือกดูเป็นอันดับแรกก่อนใช่ไหมคะ!? แล้วชิปเซ็ตที่เกมเมอร์มักจะเลือกใช้มากที่สุดก็คือ “ตระกูล Snapdragon จากผู้พัฒนา Qualcomm”  ชิปเซ็ตตัวนี้ถูกกล่าวถึงจากผู้ใช้งานมากที่สุดในเรื่องของประสิทธิภาพที่ทำงานได้ดีเยี่ยม ใช้งานแล้วแบตเตอรี่ไม่ไหลเหมือนน้ำ หรือ เรื่องความร้อนที่ทำออกมาได้ดี จึงไม่แปลกเลยที่ชิปเซ็ตตัวท็อปจะกลายเป็นตัวเลือกสำคัญในการเป็นขุมพลังของสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ล่าสุดทาง Qualcomm ก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตรุ่นใหม่ประจำปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Snapdragon 888” ความน่าสนใจอันดับแรกเลยก็คือมันคือชิปเซ็ตที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 มิลลิเมตรที่มีการทำงานยอดเยี่ยมรวมไปถึงเป็นชิปเซ็ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้ด้วย เอาละวันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักชิปเซ็ตตัวนี้ให้มากยิ่งขึ้นค่ะ ในด้านขุมพลังส่วนของ CPU ตัวชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm ได้อธิบายรูปแบบการทำงานของส่วน CPU เอาไว้ว่ามันจะเป็นหน่วยประมวลผลที่เรียกว่า Kryo 680 ที่จะมีแกนประมวลผลถึง 8 แกนหลัก ๆ ด้วยกันเริ่มจากไปด้วย “Cortex-X1” ที่มีความเร็วสูงถึง 2.84GHz ก็มีการเครมว่าการทำงานด้านประมวลผลจะดีกว่า Cortex-A78 มากถึง 33% ตามมาด้วย “Cortex-A78” มีความเร็วอยู่ที่ 2.4GHz จะมีทั้งหมด 3 แกน และ “Cortex-A55” มีความเร็วอยู่ที่ 1.8GHz มีแกนทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน  แน่นอนว่ามันก็จะมีคำถามเกิดขึ้นมา “เพ่! ทำไมมันต้องมีตัวประมวลผลอะไรเยอะแยะขนาดนั้น!” โอเคเกวลินจะอธิบายให้ทราบค่ะ การที่มีแกนประมวลผลหลายตัวในชิปเซ็ตเดียวกันมันจะช่วยในการแบ่งเบาภาระการทำงานเพื่อไม่ให้มันไปตกอยู่แกนใด แกนหนึ่งมากจนเกินไป จนเกินปัญหาที่มีอาการค้างต่าง ๆ แล้วปัจจัยหลัก ๆ เลยการทำงานจะลื่นไหลและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยทาง Qualcomm ยืนยันว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีความแรงมากกว่าชิปเซ็ต Snapdragon 865 ตัวท็อปของปี 2020 มากถึง 25% แถมยังกินพลังงานน้อยลง 25% ด้วยนะ ขุมพลังการแสดงผลกราฟฟิกของ GPU พูดถึงขุมพลังของตัว CPU ในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” กันไปแล้วก็ต้องมาพูดถึงประสิทธิภาพการทำงานของการประมวลผลกราฟฟิกหรือที่เรียกว่า GPU กันบ้างค่ะ โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกคือ Adreno 660 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากรุ่นก่อน 1 ก้าว อ่า...อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนบอกว่า “พี่มันพัฒนามาแค่ 1 รุ่นมันจะแรงกว่ารุ่นก่อนยังไง!” ใจเย็น ๆ ค่ะ จะอธิบายให้ฟังทาง Qualcomm เผยว่ามันมีประสิทธิภาพในการเรนเดอร์สูงกว่า Adreno 650 มากถึง 35% แล้วเมื่อทำงานเต็มประสิทธิภาพยืนยันว่าจะประหยัดพลังงานมากกว่า 20% โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกตัวนี้จะตอบสนองเกมเมอร์ไม่มากก็น้อยค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมกราฟฟิกสูง ๆ แล้วปรับรายละเอียดภายในเกมได้สุดเฟรมเรตต้องดี หรือ ค่า Latency ( ถ้าพูดคำว่า Ping น่าจะรู้จักและคุ้นชื่อมากกว่า ) ต่ำ ๆ เพื่อให้เล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด บอกเลยว่าหน่วยประมวลผลรุ่นนี้คือสิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องการเลยค่ะ แถมยังสามารถให้ผู้ผลิตแบรนด์สมาร์ทโฟนรีดเฟรมเรตหรือรีเฟรชเรทได้สูงสุด 144Hz ทาง Qualcomm ก็ยังได้เสริมรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในหน่วยประมวลผลกราฟฟิก Adreno 660 ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Variable Rate Shadeing” หยิบนำมาใช้บนสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรก มันจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรนเดอร์ภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น แล้วก็ยังให้การทำงานด้านประมวลผลเต็มที่ที่สุด จุดไหนที่ระบบมองเห็นว่าการทำงานไม่ต้องหนักมากมันจะทำการลดประสิทธิภาพในส่วนนั้น ๆ ลงเพื่อไม่ให้ตัว GPU ทั้งหมดทำงานหนักจนเกินความจำเป็นและแน่นอนว่ามันก็ทำให้การกินแบตเตอรี่หรือพลังงานต่าง ๆ น้อยลงไปด้วย แล้วสิ่งที่เพิ่มมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะก็คือ “Game Quick Touch” เทคโนโลยีที่จะมาช่วยทำให้ความหน่วงของการทัชต่าง ๆ ถูกลดลงมากถึง 20% ในช่วงระยะเวลาที่เล่นเกมเฟรมเรตสูง ๆ แต่ถ้าอยากจะให้การทัชดีขึ้นมันจะแสดงผลชัดเจนในเฟรมเรต 60fps มากกว่า นั้นหมายความว่าความแม่นยำในการทัชบนหน้าจอจะดีขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปลดล็อคเฟรมเรตให้แสดงผลสูงอีกต่อไปค่ะ สุดท้ายนี้ยังรองรับ HDR10, ลดการแสดงผลเรื่องแสงกับสีที่ไม่เที่ยงตรง และ ปัญหาเรื่องรอยหยักต่าง ๆ ก็จะทำงานได้ดีมากขึ้น  การทำงานด้านถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ บางคนอาจจะบอกว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย เพราะการถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอการทำงานมันจะอยู่ที่เลนส์กล้องที่แบรนด์นั้น ๆ เลือกใช้มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วชิปเซ็ตก็มีส่วนที่จะทำให้การถ่ายรูปและวีดีโอออกมาได้ดีขึ้นเหมือนกันนะคะ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีชุดประมวลผลด้านภาพที่เรียกว่า Spectra 580 มันจะมีทั้งหมด 3 ตัวที่จะไปช่วยทำหน้าที่ในการจับภาพเวลาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอแบบพร้อมกันได้เลย มันจะมีประโยชน์อย่างมาก เช่น เวลาที่เราสลับการถ่ายรูปแบบโหมดปกติไปเป็นโหมดอื่น ๆ อย่าง Ultra-Wide หรือ Telephoto ที่จะไม่เสียจังหวะใด ๆ แล้วถ้าเราต้องเก็บภาพแบบ HDR มันก็จะช่วยทำให้คุณภาพที่ได้ดีมากขึ้น รวมไปถึงยังเก็บภาพแบบ HDR ในรูปแบบ HEIF ได้ด้วยส่วนในด้านถ่ายวีดีโอชิปเซ็ต “Snapdragon 888” รองรับความละเอียด 4K/120fps ได้สักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนตัวท็อป ๆ จะสามารถบันทึกวีดีโอแล้วเฟรมเรตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 24fps - 30fps แล้วเมื่อถ้าเราบันทึกภาพถ่ายสามารถเก็บรูปได้ 120 ภาพต่อวินาทีในความละเอียด 12MP เชื่อหรือยังจ๊ะว่าชิปเซ็ตก็มีผลต่อการทำงานด้านถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอเหมือนกันนะ การทำงานของ AI ในชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 สำหรับชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm เผยว่าในส่วนการประมวลผลของระบบ AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 กันแล้วมีชื่อเรียกว่า Hexagon 780 การทำงานของระบบ AI จะมาช่วยในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้อง, เป็นผู้ช่วยที่ดีต่อผู้ที่ใช้งาน, การเชื่อมต่อเมื่อเราเล่นเกม หรือ การประมวลผลในการออกคำสั่งต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็มีการเครมว่าการประมวลผลด้วยคำสั่งต่าง ๆ สามารถทำได้มากถึง 26 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีกันเลยนะคะ แม้ว่าจะทำงานดีแบบนี้แต่มันก็ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี แล้วภายใน AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 ยังมี Sensing Hub ที่พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 มันจะเป็นหน่วยประมวลผล AI ให้ใช้พลังงานที่ต่ำเมื่อทำงานทั่ว ๆ ไป เรียกว่าต่อไปการประมวลผลหลักระบบ AI Engine จะช่วยใน ในด้านความปลอดภัยที่ดีมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะมองว่าด้านความปลอดภัยมันจะต้องอยู่ที่ระบบปฏิบัติการของแบรนด์นั้น ๆ มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วตัวชิปเซ็ตก็มีระบบป้องกันอยู่ภายในตัว โดยชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Qualcomm Wireless Edge Service มันจะช่วยตรวจสอบความปลอดภัยจากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์ ตามมาด้วยระบบ Type-1 Hypervisor ที่จะทำให้อุปกรณ์ของเราสามารถรันได้หลากหลายระบบปฏิบัติการมากยิ่งขึ้นโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ หรือ การเลือกใช้งานแอพพลิเคชั่นของระบบปฏิบัติการที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันรูปถ่ายที่เราเก็บไว้เพื่อไม่ให้เข้าถึงข้อมูลในส่วนนั้น ๆ ได้ง่าย ๆ ที่อยู่ภายใต้การป้องกัน Content Authenticity Initiative ของ Adobe เข้าสู่การเชื่อมต่อยุคเทคโนโลยี 5G ที่แท้จริง เรามาเก็บตกรายละเอียดส่วนอื่น ๆ อีกสักนิดก็แล้วกันค่ะ อย่างที่เกวลินได้อธิบายไปในตอนต้นว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ที่ออกแบบมาเพื่อเทคโนโลยี 5G โดยเฉพาะ มันคือชิปเซ็ตตัวแรกที่เลือกใช้โมเด็ม Snapdragon X60 5G ฝังอยู่ภายในเรียบร้อยแล้วค่ะ ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่การรองรับคลื่นความถี่แบบ Sub-6GHz และ mmWave ในเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดรองรับสูงสุด 7.5Gbps และ อัปโหลดรองรับสูงสุด 3Gbps ได้อย่างสบาย ๆ ในด้าน Wi-Fi รองรับคลื่นความถี่ 6GHz ที่รองรับความเร็วสูงสุด 3.6Gbps  นอกจากนี้ “Wi-Fi 6E” คือมาตรฐานใหม่ที่จะช่วยลดค่าความหน่วง Latency ได้ดีเยี่ยมมาก มันถูกออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมไปด้วยและสตรีมเกมเชื่อมต่อจาก PC หรือจากระบบอื่น ๆ ของสมาร์ทโฟนได้ดีมากกว่าเดิม เช่นเดียวกันชิปเซ็ตตัวนี้ยังรองรับเทคโนโลยี Bluetooth 5.2 และ aptX ทำให้คนที่ใช้หูฟังไร้สายเชื่อมต่อแบบไม่มีสะดุดแล้วเสพย์เสียงต่าง ๆ ที่ดีเยี่ยมมากขึ้นไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดกลางคันขณะเล่นเกมอย่างแน่นอนค่ะ รองรับการชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปกติแล้วเรื่องระบบการชาร์จเร็วมันไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ภายในเท่านั้น ชิปเซ็ตก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วตามที่ต้องการ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง “Snapdragon 888” จะรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่เรียกว่า Quick Charge 5 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว มันจะช่วยกระจายกำลังไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เข้าได้สูงสุดถึง 100 วัตต์ รวมไปถึงเตอนที่เราชาร์จมันจะช่วยการระบายความร้อนได้ดี ทั้งนี้ต้องรองรับมาตรฐานการชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะด้วยนะ อย่างไรก็ตามตัว Quick Charge รุ่นเก่า ๆ ก็สามารถนำมาชาร์จได้ก็จะรองรับจนถึง Quick Charge 2.0 เลยค่ะ แล้วนี่คือรายละเอียดทั้งหมดของชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง “Snapdragon 888” จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้แบรนด์ชั้นนำหลายเจ้าเตรียมนำชิปเซ็ตนี้ไปใช้กับสมาร์ทโฟนตัวเรือธงของปีหน้ากันแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามเกวลินคิดว่าทาง Qualcomm อาจจะผลิตชิปเซ็ตตัวใหม่ออกมาอีกในอนาคต อาจจะเป็นทั้งตัวท็อปกว่านี้ หรือ รุ่นรองลงมาเพื่อนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นกลาง ๆ ก็เป็นได้ค่ะ ใครที่คิดอยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ถ้าจะให้ดีรออีกสัก 2 - 3 เดือนเราคงจะได้เห็นแบรนด์ดังเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ที่ใช้ชิปเซ็ตตัวนี้ที่มีประสิทธิภาพและราคาใกล้เคียงกับรุ่นที่กำลังวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดณ.ขนาดนี้ก็เป็นได้ค่ะ Source: Qualcomm Snapdragon เรียบเรียงบทความโดย: KaelynVT
22 Dec 2020
ถึงเวลาแล้วหรือยัง!? ที่เราจะเปลี่ยนมือถือใหม่เพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G ในบ้านเราเวลานี้
ในช่วงระยะเวลาประมาณ 6 - 9 เดือนที่ผ่านมาเทคโนโลยี 5G ก็เข้ามาสู่ชีวิตของเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาในบ้านเราเองแบรนด์สมาร์ทโฟนชื่อดังหลายเจ้าก็เปิดตัวมือถือที่รองรับเทคโนโลยี 5G หลากหลายตัวกันเลยค่ะ ก็มีตั้งแต่ราคาหลักพัน, หลักหมื่น ไปจนถึงหลายหมื่นกันเลย ซึ่งมันก็อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเราว่ามีมาก มีน้อยมากแค่ไหน แล้วตรงนี้ละค่ะมันก็ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า “ปัจจุบันผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ทุกคนพร้อมกับเทคโนโลยี 5G จริง ๆ หรือเปล่า!?” วันนี้เกวลินผู้ที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G และ ใช้เครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการรายใหญ่เจ้าหนึ่ง มาเล่าให้ฟังกันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้งานเป็นยังไงบ้างแล้วมันถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนมาใช้มือถือให้รองรับกับเทคโนโลยี 5G ในเวลานี้ค่ะ เทคโนโลยี 5G คืออะไร!? สำหรับเทคโนโลยี 5G มันคือเครือข่ายไร้สายที่ในอนาคตอันใกล้มันจะมาแทนที่ 4G ในยุคปัจจุบันที่เรายังคงใช้งานกันอยู่ แถมความพิเศษมันอยู่ตรงที่คลื่นความถี่ของ 5G ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับมือถือสมาร์ทโฟนอีกต่อไปนะคะ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เลยทำให้มันกลายเป็นนวัตกรรมครั้งใหม่ที่จะพาเราก้าวขีดจำกัดของเทคโนโลยี หลายคนก็คงอยากจะรู้ว่าแล้วเทคโนโลยี 5G มันดีกว่า 4G ยังไงกันบ้างจะอธิบายให้เข้าใจคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ ความเร็วในการส่งและรับข้อมูลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น - ปกติแล้วความเร็วในการส่งและรับข้อมูลของ 4G จะรองรับความเร็วคร่าว ๆ อยู่ที่ประมาณ 100Mbps ถ้าย้อนกลับไปที่ 3G รองรับความเร็วอยู่ที่ 42Mbps ส่วน 5G รองรับความเร็วสูงสุด 10Gbps ขึ้นไป เรียกว่าแรงกว่า 4G หลายเท่าเลยทีเดียวค่ะ การตอบสนองในการทำงานที่ดีขึ้น - ด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูลจึงทำให้การทำงาน หรือ การออกคำสั่งต่าง ๆ แม่นยำและรวดเร็ว แถมความหน่วงที่ต่ำจึงทำให้การตอบสนองรวดเร็วดั่งใจนึกเลยค่ะ รองรับการใช้งานของผู้คนในจำนวนมาก ๆ ได้ - เทคโนโลยี 5G จะมาช่วยตอบสนองในการใช้งานของผู้คนให้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ในพื้นที่ผู้คนพลุกพล่านก็สามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพ ความแรงระดับนี้สายเล่นเกม ดูหนังจัดไป! - ต้องบอกว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีความเร็วกว่า 4G จึงทำให้การเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ส่วนถ้าดูหนัง หรือ คลิปวีดีโอที่มีความละเอียดสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 4K, 8K หรือ วีดีโอความละเอียดสูงในรูปแบบ VR ก็สามารถดูได้ลื่นไหลมาก ๆ เทสมากับตัวเองเลยค่ะ ความเชื่อผิด ๆ สำหรับบางคนเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G เกวลินมีเรื่องจะเม้าส์ค๊าาาา! เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G กันเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า “ฉันยังไม่อยากใช้อะ! รอเขาปลดล็อคความถี่ให้ฉันทีหลังก็ได้ใช้ 4G ไปก่อน” ซึ่งความจริงแล้วการสมาร์ทโฟนของเราจะรับคลื่นความถี่ 5G ได้ สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ “ชิปเซ็ตภายในต้องรองรับด้วยเช่นกัน!” เพราะถ้าชิปเซ็ตภายในไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับ 5G ก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ต่อให้เราสมัครแพ็คเกจ 5G แล้วก็ตาม ดังนั้นผู้ที่อยากจะใช้งานจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือสมาร์ทโฟนของตัวเองให้รองรับเทคโนโลยี 5G ก่อนค่ะ  “ชิปเซ็ตก็คือหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญที่จะรองรับ 5G ได้” อีกทั้งเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยนะคะว่าชิปเซ็ตตัวนั้นรองรับคลื่นความถี่ที่เครือข่ายผู้ให้บริการบ้านเราใช้อยู่หรือเปล่า เพราะจะมีร้านค้าที่ขายมือถือสมาร์ทโฟนบางแห่งที่จะมีการนำมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในต่างประเทศมาขายให้คนที่สนใจได้เป็นเจ้าของกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ชิปเซ็ตที่ผลิตแล้ววางจำหน่ายในต่างประเทศจะออกแบบมาให้รับคลื่นความถี่ของประเทศนั้น ๆ เอาไว้ ซึ่งเราสามารถสอบถามกับร้านค้าที่ขายได้ค่ะ ทางร้านไม่ปิดเป็นความลับอยู่แล้วดังนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะ ข้อเสียของเทคโนโลยี 5G ที่มองเห็นในปัจจุบัน! สำหรับปัจจุบันเทคโนโลยี 5G ต้องยอมรับว่าผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H ต่างพยายามเต็มที่ที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถรับคลื่นสัญญาณความถี่ 5G ได้อย่างทั่วถึงกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่นอกโซนเมือง นอกเขตต่าง ๆ ก็ตาม แต่โดยรวมแล้วในเวลานี้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ผู้ใช้งานที่อยู่นอกโซนที่ไม่ได้อยู่ภายในตัวเมืองสามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก ขนาดตัวเกวลินเองอยู่จังหวัดเชียงใหม่ นอกโซนตัวอำเภอเมือง โชคยังดีที่เสาส่งสัญญาณ 5G อยู่ใกล้บ้านเลยทำให้รับสัญญาณได้ แต่เมื่อเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ก็ยังพบปัญหาต่าง ๆ อยู่เช่น สัญญาณ 5G ยังไม่ทั่วถึงสักเท่าไหร่แล้วตัวระบบก็จะตัดไปใช้งาน 4G หรือ 4G+ อยู่บ่อยครั้ง โดยสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ก็คือ “Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G” เรียกว่าเป็นตัวท็อปสุดของปีนี้ในแบรนด์ Samsung แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทั้ง 3 ผู้ให้บริการเครือข่ายกำลังพยายามติดตั้งเสาสัญญาณเพื่อเพิ่มความถี่ของคลื่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ 5G ได้เต็มประสิทธิภาพไม่ใช่สลับไปมาแบบนี้  รวมไปถึงปัญหาใหญ่ ๆ เลยก็คือถ้าเราพักอาศัยอยู่ในคอนโด หรือ ตึกที่มีความหนาแน่นสูง คลื่นความถี่ 5G ก็จะทะลุทะลวงเข้ามาภายในตึกทำให้เรารับสัญญาณได้ยาก วิธีแก้ไขก็อยู่ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายจะมาเพิ่มสัญญาณในจุดนั้นหรือเปล่า ซึ่งเราสามารถดูได้จากจังหวัดใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือ เชียงใหม่ ในพื้นที่ผู้คนเยอะตึกราบ้านช่องสูง ๆ ก็จะเห็นมีเสาสัญญาณ 5G กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดก็ได้แต่หวังว่าในปี 2563 หรือปีถัด ๆ ไปผู้คนจะสามารถใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้เต็มประสิทธิภาพแล้วทั่วถีงกันสักที แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นจุดทุรกันดารแค่ไหนก็ตามเพื่อให้บุคลากรใช้งาน 5G ในด้านการเรียน การสอน แล้วแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย แล้วถ้าจะเปลี่ยนมือถือเพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G มันคุ้มไหมในเวลานี้!? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เกวลินได้มาจากเพื่อน ๆ หลายคนที่บอกว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่านะที่จะเสียเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่เพื่อให้รองรับเทคโนโลยี 5G ถ้าให้ตอบแบบเป็นกลางก็คือ “อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเพื่อน ๆ และ ลองชั่งน้ำหนักว่าถ้าเปลี่ยนแล้วเราจะใช้ 5G ในด้านไหนบ้าง!?” เพราะตอนนี้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G แล้ววางจำหน่ายในบ้านเราก็มีหลายราคาเริ่มตั้งแต่ราคาหลักไม่เกิน 10,000 บาทลากยาวไปถึง 20,000 บาทขึ้นไป  ปัจจัยหลักสำคัญมันอยู่ที่สเปกเครื่องและฟังก์ชั่นการใช้งานของมือถือรุ่นนั้น ๆ ว่าทำอะไรได้บ้าง ถ่ายรูปเก๋ไหม เล่นเกมได้ดีหรือเปล่าจริงไหมคะ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ในปีนี้บางรุ่นยังมีปัญหาเมื่อเปิดใช้งาน 5G เช่น แบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ถ้าจะให้ดีรออีกสักนิดไปดูกลาง ๆ ปีหน้าก็ดีเหมือนกันนะคะ “ภาพบนความเร็ว Wi-Fi 5G ภาพล่างความเร็ว AIS 5G บริเวณท่าแพเชียงใหม่” แล้วสิ่งที่เราจะต้องคิดตามมาก็คือ “ความคุ้มค่าในการใช้งาน 5G” แพ็คเกจส่วนใหญ่ของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H จะถูกออกแบบมาในรูปแบบรายเดือนเป็นหลัก ซึ่งราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ราว ๆ 699 บาท ซึ่งก็จะมีการจำกัดการใช้งาน แต่ถ้าอยากจะใช้แบบไม่จำกัดก็จะเป็นแพ็คเกจราคา 1,199 บาทขึ้นไป แน่นอนว่าผู้ให้บริการเครือข่ายก็จะมีการแข่งขันในด้านของโปรโมชั่นอันนี้เพื่อน ๆ ก็ต้องไปพิจารณากันดูค่ะ ซึ่งถ้าใครที่มักจะเล่นเกม หรือ ใช้เน็ตบนโน๊ตบุ๊คแล้วเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถืออยู่บ่อย ๆ การจัดโปรแบบใช้ไม่จำกัดมันก็ดูจะคุ้มค่าที่สุดแล้วนั่นเองค่ะ ดูรายละเอียดแพ็คเกจ 5G ของผู้ให้บริการเครือข่ายในบ้านเราได้ที่ : AIS , Dtac และ TrueMove H   เกวลินเองก็ได้แต่คาดหวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่ลังเลว่า “ฉันควรเปลี่ยนมือถือใหม่แล้วมาใช้ 5G ตอนนี้เลยดีไหม” ไม่มากก็น้อยค่ะ ส่วนตัวเทคโนโลยี 5G ในบ้านเรายังจะต้องพัฒนากันอีกมาก เพราะในหลากหลายพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง รวมไปถึงรูปแบบการส่งสัญญาณมันจะต้องใช้เสาในการติดตั้งที่มากกว่า 4G จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ปีนี้เราเลยยังไม่เห็นจังหวัดอื่น ๆ ไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ หรือถ้าใช้ได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าจะให้ดีปีหน้าอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมก็ได้นะคะ เพราะผู้พัฒนาชิปเซ็ตเจ้าดังก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตตัวใหม่ที่จะใช้กับมือถือแบรนด์ดังต่าง ๆ แถมยังมีประสิทธิภาพในการรองรับ 5G ที่เหนือชั้นว่าชิปเซ็ตประจำปีนี้ด้วย ดังนั้นยังไม่ต้องรีบเร่งก็ได้ค่ะ เพราะพูดตรง ๆ ทุกวันนี้ก็เกวลินก็ยังใช้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปสักเท่าไหร่เลย T-T
17 Dec 2020
ทำไม!? Marvel’s Avengers เกมฟอร์มยักษ์ที่เปิดตัวอลังการแต่กระแสเกมดันตรงกันข้าม
ถ้าพูดถึงเกมฟอร์มยักษ์!? ในความคิดของเพื่อน ๆ มันจะต้องออกมาแบบไหน สำหรับเกวลินเองมันเริ่มต้นจากเหล่า ๆ อย่างเหมือนกันนะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่จะนำเสนอออกมา, ทีมผู้พัฒนาเกมที่จะสร้างเกมนั้น ๆ และ คอนเทนต์หลังจากที่เกมวางจำหน่ายออกไป ( นี่เป็นแค่ปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ) แต่มันมีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่เปิดตัวไปช่วง 3 ปีที่แล้วสร้างความฮือฮาระดับโลกเป็นอย่างมากนั้นก็คือ “The Avengers Project” ที่ทาง Marvel Entertainment ได้ออกมาประกาศว่าเกมดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การดูแลของค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Square-Enix ที่เนื้อหาจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่และไม่มีความเกี่ยวข้องกับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe   แล้วในช่วงเวลาจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe กำลังมาถึงช่วงปิด Phase 3 ก็จะประกอบไปด้วย Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ที่ตอนนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมันก็จึงไม่แปลกเลยที่กระแสของตัว “The Avengers Project” จะได้รับความสนใจจากเกมเมอร์ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเวลาต่อมาในงานมหกรรมเกมโชว์สุดยิ่งใหญ่ E3 2018 ทาง Square-Enix ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการ “Marvel’s Avengers” ซึ่งกระแสตอบรับกลับมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในเวลาเดียวกัน   สาเหตุที่คนไม่ปลื้ม “Marvel’s Avengers” จากตัวอย่างและเกมเพลย์แรกที่ออกมาคงเป็นเรื่องการดีไซน์ตัวละครที่เกวลินเชื่อว่า 70% เขาอยากเห็นการดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ในฉบับคนแสดงมากกว่า อีกทั้งยอมรับตรง ๆ ว่าการดีไซน์ในตัวอย่างแรกไม่ดีเท่าที่ควรจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละคร Thor ที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชุดมันดูตลกซะไม่มีเลย โชคยังดีที่ทางทีมผู้พัฒนา Crystal Dynamics, Eidos-Montréal และ Nixxes ต่างรับฟังความคิดเห็นจากเกมเมอร์แล้วได้นำไปปรับปรุงแก้ไข หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นข่าวการอัปเดตของเกมนี้อีกเลย แม้แต่งานเกมใหญ่ ๆ Demo ที่มีการนำมาให้ผู้เล่นได้ทดสอบก็ยังเป็นเวอร์ชั่นจากงาน E3 2018 ทั้งหมดเลย เกวลินยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นหนึ่งในคนที่อวยเกมนี้ตั้งแต่มีการเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีหลายต่อหลายครั้งที่นั่งพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมด้วยกันแล้วมักจะบอกว่า “เราเชื่อว่าเกม Marvel’s Avengers มันจะไปได้ดี” เพื่อน ๆ ของเกวลินมักจะติดภาพจำมาจากเหตุการณ์สมัยที่ Square-Enix พัฒนาเกม Final Fantasy XV ที่เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่ามันพัฒนาไม่เสร็จทั้งที่ตัวเกมครึ่งแรกทำออกมาดี แต่ช่วงท้ายเหมือนพยายามเร่งให้จบแล้วดูเหมือนเนื้อเรื่องช่วงท้ายสัมผัสถึงการเขียนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ “ตราบาปที่ทำให้เกมเมอร์กลัวประวัตศาสตร์จะซ้ำรอย!” ส่งผลทำให้ทางผู้พัฒนาเกมต้องออกแพทช์เนื้อหาเสริม [DLC] มาภายหลังรวมไปถึงแพทช์แก้ไขตัวเกมอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ตัวเกมวางจำหน่ายออกไป แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อตอนแรก Final Fantasy XV วางแผนจะอัปเดตเนื้อหาให้ครบแต่ผู้กำกับคุณ “ฮาจิเมะ ทาบาตะ” ตัดสินใจลาออกจากบริษัททำให้ Square-Enix พับโปรเจกต์ทั้งหมดสร้างความไม่พอใจต่อเกมเมอร์จำนวนมาก แล้วนี่ก็ทำให้เกมเมอร์จำนวนไม่น้อยต่างกลัวว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับเกมฟอร์มยักษ์ที่เกมเมอร์ทั่วโลกต่างคาดหวัง” แล้วมันก็ดูเหมือนจะส่อแววมายังเกม Marvel’s Avengers ที่ปัจจุบันตัวเกมกลับมีกระแสในด้านลบอย่างมาก อะไรทำให้เกมฟอร์มยักษ์ในสายตาเกมเมอร์หลาย ๆ คนอย่าง “Marvel’s Avengers” ที่ทาง 3 ทีมพัฒนาเกมที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Square-Enix แล้วก็ผ่านการพัฒนาเกมคุณภาพมามากมาย กลายเป็นเกมที่เกิดคำถามจากเกมเมอร์ว่ามันจะไปรอดไหมในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าพาร์ทเนอร์อย่าง Marvel Entertainment ที่ยังคงมั่นใจว่า “พวกเขาจะนำพาเกมนี้ไปจุดสูงสุดอย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ได้” ก็ตาม วันนี้เกวลินก็เลยจะมารวบรวมข้อมูลว่าทำไมเกม Marvel’s Avengers ถึงกลายเป็นเกมที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้กันค่ะ เกมที่มาพร้อมกับความคาดหวังจากเกมเมอร์! เอาจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะคะที่เกมเมอร์จะคาดหวังเกมนั้น ๆ เพื่อให้ออกมาดีที่สุด แถมเป็นเกมที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ด้วย มันก็ไม่แปลกเลยที่ “Marvel’s Avengers” จะมีเกมเมอร์จำนวนมากต่างคาดหวังที่เกมมันจะออกในแบบที่พวกเขาต้องการ ( เกวลินก็เป็นหนึ่งในนั้น ) แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก ๆ ก่อนก็คือ “เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเกม Marvel’s Avengers ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe หรือ จักรวาล Marvel Comic” เพราะอันนี้ได้เขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแต่จะอ้างอิงตัวละครจาก Marvel Comic เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าถามเรื่องเนื้อเรื่องและการนำเสนอพวกเขาทำออกมาได้ดีมากเลยนะคะ ( ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ) เรียกว่าเปิดตัวมาก็มีฉากอลังการงานสร้างระเบิดสะพาน ระเบิดเมืองกันเลยทีเดียว! แต่สิ่งที่เกมเมอร์คาดหวังเอาไว้ก็คือเราสามารถเล่นเป็นตัวละครอะไรก็ได้ รวมไปถึงโลกภายในเกมจะต้องเปิดโลกกว้างแล้วมอบอิสระให้กับผู้เล่นเหมือนกับเกม Marvel’s Spider Man จากทีมผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ทำออกมาได้ดี แต่ผลสุดท้ายคือการดำเนินเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรงแล้วถ้าเราต้องการอยากจะออกไปทำเควสต์เสริมก็จะแบ่งจุดเพื่อให้เราไปทำอีกแบบ แล้วสถานที่ก็มักจะอยู่แต่ภายในยานแล้วเวลาจะเริ่มภารกิจเกมก็จะพาผู้เล่นไปจุดดังกล่าวทันที นี่คงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้เล่นรู้สึกไม่ประทับใจ รวมไปถึงเควสต์เนื้อเรื่องหลักในตอนแรกที่เกวลินและเพื่อนต่างคาดหวังว่าเราจะสามารถเล่นออนไลน์ร่วมกันได้ สุดท้ายระบบที่นำมาใช้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดก็เลยทำให้ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาจุกจิกกวนใจที่ได้รับการแก้ไขแต่ก็ยังโผล่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตัวเกวลินเองได้เล่นเกม “Marvel’s Avengers” นี้บนแพลตฟอร์ม PC สิ่งที่พบตั้งแต่ Day One ก็คือปัญหาจุกจิกกวนใจเรื่อง Bug ต่าง ๆ ถ้าให้จัดลำดับก็เป็นเกมฟอร์มยักษ์ที่มีปัญหาพวกนี้เยอะใช้ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่กินทรัพยากรเครื่องเกินความจำเป็นอย่างมาก แม้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นจะเกินจากสเปกที่แนะนำเอาไว้มากก็ตาม พูดเลยว่าวันแรกจะเล่นไปแล้วถ่ายทอดสดลงเฟสบุ๊คไปด้วยลำบากมากเลยค่ะ ดีว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีแพทช์ออกมาแก้ไขเรื่องการกินทรัพยากรลง  แต่มันก็มีปัญหาส่วนอื่น ๆ เข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่เกมนี้จะบังคับให้เราออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าต้องการเล่นเควสต์รองก็จะต้องเข้าไปในโหมด Avengers Initiative ซึ่งเกมนี้ดันวางระบบเอาไว้ว่าถ้าจะเสพย์เนื้อเรื่องอย่างเดียวจะต้องไปเล่นในโหมดเนื้อเรื่องอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนโหมดออนไลน์ก็จะทำแยกออกมาแล้วทั้งสองโหมดก็จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แล้วถ้าวันไหนที่เซิร์ฟเวอร์เกม หรือ อินเทอร์เน็ตมีปัญหาก็จะทำให้เข้าเกมไม่ได้เลย กลายเป็นระบบที่เหมือนดาบสองคมแล้วเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบในส่วนนี้ด้วย ( เกวลินเองก็ไมชอบนะเอาจริง ๆ เฮ้อ… ) ระบบเกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น RPG ที่มันออกแบบมาไม่ลงตัว คือต้องบอกว่าเกม “Marvel’s Avengers” ส่วนตัวมีระบบเกมเพลย์ที่น่าสนใจนะคะ เพราะพวกเขาเลือกที่จะให้ตัวเกมมีความเป็นเกม Action ที่เต็มรูปแบบ แล้วนำความเป็นเกม RPG มาผสมผสานกัน ถามว่าทำออกมาดีไหมมันทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้าคุณอยากจะแข็งแกร่งภายในเกมการที่จะเล่นในโหมดเนื้อเรื่องแล้วให้แข็งแกร่งมันเป็นไปได้ยากมาก แล้วถ้าผู้เล่นต้องการก็ต้องไปโหมดออนไลน์แล้วเล่นเควสต์รองเพื่อฟาร์มเลเวลหรือของจนกว่าตัวเองจะพอใจ ทั้งนี้บางอย่างผู้เล่นจะต้องดำเนินเนื้อเรื่องหลักไปให้ถึงในจุดต่าง ๆ เพื่อปลดล็อคตัวละครแล้วเข้าถึงเควสต์นั้น ๆ ได้   ฟังดูแล้วเพื่อน ๆ รู้สึกยังไงบ้างคะ!? เกวลินรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ “มันไม่มอบความอิสระให้แก่ผู้เล่นเลย” ตัวเกมออกแบบมาเพื่อบังคับผู้เล่นทำในแบบที่ทีมผู้พัฒนาต้องการ และที่สำคัญมันตลกตรงที่ว่าถ้าเราเล่นโหมดเนื้อเรื่องจบไปแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยจนกว่าเนื้อหาใหม่ ๆ จะอัปเดตเข้ามาในอนาคต หลังจากนั้นถ้าผู้เล่นจะไปไล่เก็บเควสต์รองต้องไปเล่นโหมดออนไลน์ [Avengers Initiative] อย่างเดียวเท่านั้น! แล้วถ้าเราไล่เก็บครบทุกเควสต์ก็จะพบกับฉากจบที่แท้จริง สุดท้ายส่วนตัวเกวลินมองว่าในด้านเกมเพลย์ทำออกมาดีนะคะ แต่ในเนื้อหาเชิงลึกทำออกมาไม่ดีเท่าที่ควร หลายจุดเหมือนยัดนู่น ยัดนี้เข้ามาจนลืมดูความเหมาะสมที่เกมควรจะเป็น คอนเทนต์ที่ถูกปูทางเอามาไว้แล้ว...มันจะช่วยได้จริงไหม!? อย่างที่ทราบกันว่าทาง Marvel Entertainment และ Square-Enix กำลังเตรียมอัปเดตเนื้อหาเสริม [DLC] ตัวแรกเป็นตัวละคร “Kate Bishop” หรือที่รู้จักอีกนามก็คือ “Hawkeye” เธอคือตัวละครใหม่ตัวแรกของเกมนี้ หลังจากที่เลื่อนการอัปเดตมาครั้งหนึ่ง แล้วคนที่จะตามมาก็คือ “Clint Barton” ที่มีกำหนดการณ์อัปเดตในช่วงต้นปี 2021 รวมไปถึงมีข่าวลือหลุดออกมาก่อนหน้านี้ว่ายังมีตัวละครอื่น ๆ ที่เตรียมอัปเดตรวม ๆ มากกว่า 10 กว่าตัวเลยค่ะ ยังไม่นับเนื้อเรื่องใหม่ที่มีการพัฒนากันอยู่ คำถามก็คือ “คอนเทนต์เหล่านี้จะสามารถกู้หน้าให้เกมนี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า!?”   “หนึ่งในตัวละครแรกที่จะอัปเดตในเดือนธันวาคมนี้ค่ะ” ตอบได้เลยว่าคอนเทนต์พวกนี้จะสามารถกู้หน้าได้ก็ต่อเมื่อการอัปเดตอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทิ้งระยะห่างนานหลายเดือนจนเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเขาคิดว่าอยากจะให้จักรวาลของเกม “Marvel’s Avengers” ไปไกลเหมือนที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรกมันจะกลายเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะไม่เกิดขึ้นจริงแล้วผลที่ได้ก็คือมันจะไปตกอยู่ที่เกมเมอร์ที่ยังคง “ศรัทธา” เกมนี้อยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งตัวเกวลินเองก็ยังคงได้แต่คาดหวังว่าสักวันทีมผู้พัฒนาเกมจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาภายในเพื่อให้ตัวเกมดีในแบบที่มันควรจะเป็นมากกว่าปัจจุบันนี้ค่ะ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของตัวเกวลินเท่านั้น ซึ่งก็เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนที่ซื้อเกม “Marvel’s Avengers” ไปเล่นในวันแรก ๆ ปัจจุบันก็เลิกเล่นไปแล้วก็ได้แต่เฝ้ารอการอัปเดตคอนเทนต์ต่าง ๆ ในอนาคต รวมไปถึงข่าวที่มีออกมาก่อนหน้านี้ว่าตัวเกมมียอดผู้เล่นที่ลดลงเหลือเพียงแค่หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ทำให้ตอนนี้ Square-Enix ขาดทุนอย่างหนักเพราะยอดขายที่ไม่ได้ตามเป้า แล้วพวกเขาได้ใช้เงินในการลงทุนด้านการตลาดที่สูงมาก แถมปีนี้วงการเกมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เลยทำให้สิ่งที่วางแผนเอาไว้ผิดพลาดไปหมด ก็ต้องมาดูกันว่าในอนาคตเกมฟอร์มยักษ์เกมนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งหรือไม่!
17 Dec 2020
รู้ก่อนซื้อ! ถ้าต้องเปลี่ยนการ์ดจอใหม่ตอนนี้เป็น NVIDIA GeForce RTX 30 Series จะเลือกรุ่นไหนดี
ปีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีในการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่เห็นเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ก็เปิดตัวไปแล้ว ( แต่เมืองไทยยังไม่ประกาศวันวางจำหน่ายก็ตาม ) นอกจากนี้เกมเมอร์ฝั่ง PC ก็คงได้เห็นการเปิดตัวการ์ดจอ [GPU] ของทั้งค่ายเขียว NVIDIA และ ค่ายแดง AMD ในซีรีส์ใหม่กันไปแล้วเรียกว่ากระแสตอบรับดีทั้งสองค่ายเลย แต่เหมือนปีนี้จะหนักไปทางค่ายเขียว NVIDIA ซะมากกว่า เพราะดูเหมือนว่า “GeForce RTX 30 Series” ที่เวลานี้ได้วางจำหน่ายออกมาแล้วทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกันไล่มาตั้งแต่ตัวท็อป GeForce RTX 3090, GeForce RTX 3080, GeForce RTX 3070 และ GeForce RTX 3060 Ti นี่ยังไม่นับรวมรุ่นอื่น ๆ ของซีรีส์นี้ที่มีแผนจะเปิดตัวในปีหน้าด้วย วันนี้เกวลินเลยจะมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักการ์ดจอของแต่ละรุ่นว่าอันไหนเหมาะกับเพื่อน ๆ กันบ้างค่ะ   GeForce RTX 3090 เป็นรุ่นท็อปสุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้สำหรับ “GeForce RTX 3090” การ์ดจอรุ่นนี้ทาง NVIDIA ได้อธิบายเอาไว้ว่ามันคือนวัตกรรมใหม่ที่พัฒนามาจากการ์ดจอรุ่น GeForce GTX TITAN เพราะว่าหลังจากนี้ไปการ์ดจอตระกูล TITAN ทาง NVIDIA ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกพัฒนาแล้วหันมาใช้เป็นเลขรหัสแทน โดยพวกเขาได้เครมเอาไว้ว่าประสิทธิภาพของการ์ดจอตัวนี้สามารถเล่นเกมในความละเอียด 8K ได้อย่างสบาย ๆ ด้วย Ampere สถาปัตยกรรม RTX รุ่นที่ 2 ที่ทำให้เมื่อผู้เล่นเปิดใช้งาน Ray Tracing และ AI การทำงานจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากผลการทดสอบแสดงให้เห็นแล้วว่า “เมื่อผู้ใช้งานเปิด DLSS กับ Ray Tracing เฟรมเรตจะสูงขึ้นมากกว่าตอนปิดการใช้งานเสียอีก!” ด้วยความที่มันเป็นการ์ดจอตัวท็อปสุดของ “GeForce RTX 30 Series” จึงไม่แปลกที่จะเกิดคำถามมากมายต่อเกมเมอร์ว่า “เราควรซื้อการ์ดจอตัวนี้ใช้งานเลยดีไหม!?” เพราะราคาก็เริ่มต้นอยู่ที่ 52,000 บาทขึ้นไป ( แล้วแต่แบรนด์ แต่รุ่นกันด้วย ) ซึ่งจัดอยู่ในราคาที่สูงมาก เราก็ต้องมาดูกันก่อนว่าถ้าเราซื้อการ์ดจอ GeForce RTX 3090 คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าเอามาแค่เล่นเกมกับสตรีมถ่ายทอดสดอย่างเดียว บอกเลยว่ามันดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ตัวการ์ดรุ่นนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดกินพื้นที่ในการติดตั้งไปมากกว่า 3 ช่อง ถ้าเคสคอมพิวเตอร์ของเราเป็นขนาดเล็กก็ต้องมีการจัดวางระบบภายในใหม่ทั้งหมดเพื่อให้การระบายความร้อนได้ดีขึ้น แล้วสิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากก็คือการ์ดจอ GeForce RTX 3090 กินไฟสูงใช้ได้เลยค่ะ ถ้า Power Supply ของเรามีกำลังวัตต์น้อยจนเกินไปก็ไม่สามารถใช้การ์ดจอตัวนี้ได้นะคะ ซึ่งทาง NVIDIA ได้อธิบายเอาไว้ว่า Power Supply ขั้นต่ำจะต้องอยู่ที่ประมาณ 750 วัตต์ขึ้นไป อย่างไรก็ตามมันก็อยู่กับว่าอุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ ว่าเราใช้ CPU ตัวไหนแล้วมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเกี่ยวกับไฟฟ้าบ้าง เพราะบางครั้งกำลังวัตต์ที่แนะนำไปอาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งผู้ใช้งานก็จะต้องควักเงินเพื่อเปลี่ยน Power Supply ให้สูงขึ้นแล้วก็เผื่อเอาไว้ด้วย แล้วถ้าใช้ Power Supply รุ่นเก่าอาจจะต้องเปลี่ยนเพื่อจัดการจ่ายไฟอย่างเหมาะสม เพราะการ์ดจอรุ่นใหม่นี้ต้องใช้ขั้วต่อสายไฟเสริมอยู่ที่ PCle 8 Pin ถึง 2 ตัวด้วยกัน “ใครสเปกคอมพิวเตอร์ภายในสูง ๆ จัดเยอะ ๆ ไว้ก็ดีนะ” แล้วถ้าเพื่อน ๆ ยังคงเล่นเกมบนหน้าจอที่มีความละเอียดเพียงแค่ 1080p ( หรือต่ำกว่านั้น ) การ์ดจอตัวนี้ไม่เหมาะอย่างรุนแรงค่ะ เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้เล่นในความละเอียด 1440p ไปจนถึง 4K มากกว่าค่ะ ซึ่งทาง NVIDIA เครมว่ามันสามารถรันถึงความละเอียด 8K ได้เลยนะคะ แต่จากผลทดสอบของสื่อต่างประเทศและผู้ที่ใช้งานจริงพบว่า GeForce RTX 3090 สามารถที่จะรันเกมที่ใช้กราฟฟิกสูงพร้อมเปิดใช้งาน Ray Tracing, DLSS หรือ รันเกมบน DirectX 12 ในความละเอียด 4K แล้วเฟรมเรตทะลุ 60fps ได้อย่างสบาย ๆ อย่างไรก็ตามการ์ดจอตัวนี้นอกจากจะใช้เล่นเกมที่มีรายละเอียดสูงได้แล้ว สิ่งหนึ่งก็คือใครที่ทำงานสายออกแบบกราฟฟิก หรือ ตัดต่อวีดีโอก็ทำได้ด้วยเช่นกันค่ะ  สรุปแล้ว GeForce RTX 3090 ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? ราคาที่สูงเกินไป เป็นการ์ดจอที่ขนาดใหญ่, น้ำหนักเยอะ และ ใช้พื้นที่เยอะ ถ้าผู้ใช้ซื้อมาแล้วใช้งานไม่คุ้มค่าอาจจะรู้สึกเสียดายเงินก็เป็นได้ ผู้ใช้จะต้องปัจจัยส่วนอื่น ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ของเราด้วย เพราะการ์ดจอกินไฟสูงมาก อาจจะต้องมีการเพิ่มงบเพื่อให้สามารถใช้การ์ดจอตัวนี้เต็มประสิทธิภาพ การ์ดออกแบบมาเพื่อให้เราใช้ในการทำงานด้านกราฟฟิกและเล่นเกมในความละเอียด 4K หรือมากกว่า GeForce RTX 3080 ในเมื่อการ์ดจอตัวท็อปอย่าง GeForce RTX 3090 มีราคาที่สูงเกินไปทาง NVIDIA ก็มีการออกแบบการ์ดจอรองท็อปของ “GeForce RTX 30 Series” โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “GeForce RTX 3080” มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 31,000 บาทขึ้นไป ( เช่นเดียวกันค่ะ แล้วแต่แบรนด์และรุ่นที่วางจำหน่าย ) ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่การ์ดจอตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมโดยเฉพาะเลยค่ะ ราคานี้อาจจะสูงไปสำหรับเกมเมอร์บางคน แต่ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่ชื่นชอบการเล่นเกมกราฟฟิกสวย ๆ ในความละเอียดสูง ๆ แล้วมีสเปกคอมพิวเตอร์ที่สูงอยู่แล้วพร้อมกับกําลังทรัพย์มันเป็นหนึ่งในการ์ดจอที่ขอแนะนำเลยค่ะ ขนาดการ์ดจอของ GeForce RTX 3080 จะเล็กกว่า GeForce RTX 3090 นิดหน่อยค่ะ โดยจะกินพื้นที่ประมาณ 2 ช่องเพื่อใช้ในการติดตั้งเช่นเดียวกันค่ะ การเคลียร์พื้นที่ของเคสก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันเพื่อที่จะไม่ให้เคสมีความแออัดเกินไปจนทำให้เกิดความร้อนภายในเคส แต่ถ้าใครที่เคสขนาดใหญ่อยู่แล้วมีพัดลมระบายอากาศที่ดีก็ถือว่ารอดตัวไปค่ะ ในเรื่องของ Power Supply ก็คล้าย ๆ กับการ์ดจอตัวท็อปพอสมควรค่ะ ด้วยความที่ว่าขั้วต่อสายไฟเสริมก็จะใช้ PCle 8 Pin ถึง 2 เหมือนกันดังนั้นเราจะต้องคำนวนเรื่องการจ่ายไฟของระบบให้ดี ถึงแม้ว่าจะมีการอธิบายเอาไว้แล้วว่าขั้นต่ำควรใช้ Power Supply 750 วัตต์ แต่มันก็มีกรณีที่ไฟไม่เพียงพอ ถ้าจะให้เกวลินแนะนำจริง ๆ ควรประมาณ 850 วัตต์ขึ้นไปจะดีมาก ๆ เลยค่ะ ก็เรียกว่าหลังจากที่ประกาศวางจำหน่ายในบ้านเราในช่วงแรกไป กลายเป็นการ์ดจอรุ่นที่ได้รับความนิยมจากเกมเมอร์ผู้ที่สนใจเป็นอย่างมาก มันคือการ์ดจอตัวรองท็อปที่มีราคาไม่สูงจนเกินไปแต่แลกมากับประสิทธิภาพที่ถ้าให้เทียบกับรุ่น GeForce RTX 2000 Series การตอบรับยังไม่เท่านี้เลยค่ะ ซึ่งเพื่อนของเกวลินที่สนิทกันเขาตัดสินใจเปลี่ยนการ์ดจอจากเดิมใช้ GeForce GTX TITAN X มาเป็น GeForce RTX 3080 ผลที่ได้ก็คือ “ใช้งานได้ดีกว่าการ์ดตัวเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน” โดยเกมที่เขาเลือกลองทดสอบก็คือ Cyberpunk 2077 เริ่มทดสอบในความละเอียด 1080p ที่ปรับรายละเอียดกราฟฟิกสูงสุดพร้อมเปิดใช้งาน DLSS กับ Ray Tracing พบว่าเฟรมเรตสูงมาก ๆ แล้วจากนั้นลองสตรีมถ่ายทอดสดไปด้วยสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน “การ์ดจอตัวท็อปที่เล่นเกมปัจจุบันได้ลื่นไหล แต่ก็สู้อะไรใหม่ ๆ ใน 30 Series ไม่ได้เลย!” จากนั้นก็มีการขยับผลการทดสอบมาเทสในความละเอียด 2K หรือ 1440p แบบปรับรายละเอียดกราฟฟิกสูงสุดพร้อมเปิดใช้งาน DLSS กับ Ray Tracing เฟรมเรตก็ยังอยู่ในระดับที่ดีมาก ๆ แล้วตามมาด้วยการลองสตรีมถ่ายทอดสดบน Youtube ในความละเอียด 1440p/60fps ก็ทำได้ดีแถมยังเหลือ ๆ อีกด้วย บ่งบอกได้เลยว่าการ์ดจอ GeForce RTX 3080 ที่ทาง NVIDIA เครมเอาไว้เลยว่า “มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมในความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย ๆ” มันสามารถทำได้ตามที่เขาพูดเอาไว้จริง ๆ ค่ะ ดังนั้นถ้าสเปกภายในเครื่องของเราไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ Ram ของเราเป็นตัวท็อป ๆ การ์ดจอรุ่นนี้คุ้มค่าที่คุณจะยอมเสียเงินเป็นอย่างมากค่ะ สรุปแล้ว GeForce RTX 3080 ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? เรื่องของราคาก็จัดอยู่ในระดับที่สูงเหมือนกัน แต่ถ้าคุณมีเงินมากพอแล้วอยากจะเล่นเกมแบบลื่นไหลมันก็น่าลงทุน การ์ดจอตัวนี้ก็ยังคงกินไฟสูงเหมือนกัน ดังนั้นต้องคำนวนการจ่ายไฟของ Power Supply กันด้วยนะคะ ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่มีสเปกส่วนอื่น ๆ ก็สูงอยู่แล้ว การ์ดจอตัวนี้จัดไป เป็นการ์ดจอที่รองรับการเล่นเกมทั้งความละเอียด 1080p , 1440p และ 4K ได้อย่างสบาย ๆ GeForce RTX 3070 เราพูดถึงการ์ดจอตัวท็อปและรองท็อปของ “GeForce RTX 30 Series” กันไปแล้ว เรามาพูดถึงตัวกลาง ๆ ที่แท้ทรูกันบ้างค่ะ โดยรุ่นนี้มีชื่อว่า “GeForce RTX 3070” สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 18,900 บาทขึ้นไป ( ราคานี้ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์และรุ่นที่วางจำหน่ายด้วย ) โดยทาง NVIDIA เผยว่าการ์ดจอตัวนี้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า GeForce RTX 2080 Ti ที่เป็นตัวท็อปของรุ่นที่แล้ว ความพิเศษของรุ่นนี้คงเป็นเรื่องของราคาที่ดูสมเหตุ สมผลมากจริง ๆ ซึ่งเมื่อพอไปเทียบราคากับรุ่นก่อนที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราว ๆ 37,000 บาทขึ้นไปมันแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยค่ะ รุ่นก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่าปัญหาเรื่องการกินไฟของ Power Supply พอสมควร แต่ GeForce RTX 3070 จะกินไฟขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 650 วัตต์ การเลือกใช้ Power Supply ให้เหมาะสมก็ยังคงเป็นปัจจัยหลักสำคัญอยู่ดีค่ะ ถ้าจะให้แนะนำควรใช้ Power Supply อยู่ที่ประมาณ 850 วัตต์กำลังดีค่ะ แถมการ์ดจอรุ่นนี้ยังใช้ขั้วต่อสายไฟเสริมในรูปแบบ PCle 8 Pin เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น ตัวการ์ดจอมีขนาดที่ใหญ่พอตัวจะกินพื้นที่อยู่ประมาณ 2 ช่อง ผู้ใช้งานเองก็จำเป็นต้องเคลียร์พื้นที่ของเคสด้วย แล้วถ้าเคสมีขนาดเล็กไปก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่เพื่อที่เราจะสามารถจัดสายไฟแล้วการระบายความร้อนที่อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการประกอบคอมพิวเตอร์ที่ดีนั่นเองค่ะ มาพูดในเรื่องของประสิทธิภาพในการใช้งานกันหน่อยค่ะ GeForce RTX 3070 เป็นการ์ดจอระดับกลางที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในการเล่นเกมได้ทั้งความละเอียด 1080p, 1440p และ 4K ได้เหมือนกัน แต่จะทำได้ขนาดนั้น อุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น CPU, Ram และ Mainboard ด้วย เพราะมันจะเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อให้การทำงานของการ์ดจอเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากผลการทดสอบเกวลินก็พบว่ามันสามารถรันในความละเอียด 1080p กับ 1440p ได้อย่างสบาย ๆ เฟรมเรตที่ได้จากเกมอยู่ที่ 150 - 200fps กันเลยทีเดียว ส่วนเกมที่ใช้ในการรันความละเอียด 4K จะขับเฟรมเรตออกมาได้อยู่ที่ 59 - 65fps ทั้งนี้ก็อยู่ว่าเกมนั้น ๆ กินทรัพยากรมากน้อยแค่ไหน  ถ้าถามถึงความคุ้มค่า GeForce RTX 3070 มันเป็นการ์ดจอระดับกลางที่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี ใครที่มีสเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ แล้วกำลังมองหาการ์ดจอดี ๆ สักตัวในราคาที่ไม่แรงมากจนเกินไปมันก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่ใช่น้อยเลยค่ะ  สรุปแล้ว GeForce RTX 3070 ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? เหมือนทาง NVIDIA เดินเกมถูกมากเพราะมันคือการ์ดจอระดับกลางที่มีราคาจับต้องได้ เป็นการ์ดจอที่กินไฟน้อยกว่า 2 ตัวท็อปก่อนหน้านี้ แต่ยังไงก็ต้องคำนวนการจ่ายไฟของ Power Supply อยู่ดี คนที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์สเปกกลาง ๆ แล้วอยากเปลี่ยนการ์ดจอเพื่อใช้เล่นเกมได้ลื่นขึ้น ตัวนี้ก็เหมาะดี เป็นการ์ดจอที่รองรับการเล่นเกมทั้งความละเอียด 1080p , 1440p และ 4K ได้อย่างลื่นไหล GeForce RTX 3060 Ti มาถึงการ์ดจอตัวสุดท้ายของ “GeForce RTX 30 Series” ที่พึ่งประกาศเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ เลยรุ่นที่มีชื่อว่า “GeForce RTX 3060 Ti” สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 14,900 บาทขึ้นไป ( เหมือนเดิมค่ะ ราคาก็จะอยู่ที่แบรนด์และรุ่นที่วางจำหน่าย ) สำหรับการ์ดจอตัวนี้ยังถือได้ว่าเป็นการ์ดจอระดับกลางที่ถูกปรับสภาพลดลงมาจาก GeForce RTX 3070 เล็กน้อย ทาง NVIDIA ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่าตัวการ์ดจอรุ่นนี้ออกแบบมาให้เกมเมอร์ทั้งคนที่มีสเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ หรือ ระดับที่ต่ำลงมาอีกนิดสามารถเป็นเจ้าของการ์ดจอตระกูล GeForce RTX 30 Series ได้ไม่ยาก สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีกว่าการ์ดจอรุ่นเก่าของ GeForce RTX ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน สำหรับ “GeForce RTX 3060 Ti” ถือได้ว่าเป็นการ์ดจอที่กินพลังงานไฟน้อยมาก ๆ เพราะทาง NVIDIA อธิบายเอาไว้ว่า Power Supply ที่เหมาะสมในการใช้งานที่สุดอยู่ที่ประมาณ 600 วัตต์ นั้นหมายความว่าถ้าจะให้ดีผู้ที่ใช้การ์ดจอตัวนี้ต้องเลือก Power Supply อยู่ที่ประมาณ 700 - 800 วัตต์กำลังดีค่ะ เพราะส่วนใหญ่คนที่มีสเปกคอมพิวเตอร์กลาง ๆ ก็คงไม่ได้ตกแต่งอะไรมากก็จะใช้กำลังไฟอยู่ที่ราว ๆ นี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ส่วนการ์ดจอ “GeForce RTX 3060 Ti” มีการทดสอบออกมาเรียบร้อยแล้วว่าเหมาะกับการใช้งานในการเล่นเกมระดับความละเอียด 1080p กับ 1440p ที่สามารถปรับสุดแล้วเปิดใช้งาน DLSS กับ Ray Tracing เฟรมเรตที่ได้ก็อยู่ในระดับที่เกินคาดเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ถ้าเราเผลอเปิดใช้งานเทคโนโลยี RTX เฟรมเรตอาจจะดรอปลงไปบ้างเพราะมันจะรีดประสิทธิภาพการ์ดจอให้ทำงานเกือบ 100% ดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ ที่คิดว่าจะซื้อการ์ดจอตัวนี้มาเล่นเกมแบบปรับสุดทุกอย่างแล้วก็เปิด RTX พร้อมกับสตรีมถ่ายทอดสดไปด้วย สิ่งที่เราจะต้องคำนึกถึงก็คือว่า “สเปกภายในเครื่องของเราเพียงพอหรือเปล่า!?” ทั้ง CPU ที่เราใช้งานอยู่เป็นระดับไหน แล้วก็ Ram ที่มีอยู่ภายในเครื่อง แม้ว่าจะติดตั้งเอาไว้ 16 GB. แต่บางทีก็ต้องคำนึกถึงตอนเราเล่นเกม ตอนเปิดโปรแกรมต่าง ๆ เอาไว้ด้วย เพราะปัจจุบัน Ram 16 GB. มันกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่งั้นตอนสตรีมถ่ายทอดสดเปิดอาการกระตุกจนคนดูไม่สนุกแน่นอนค่ะ แล้วถ้าถามว่าการ์ดจอ “GeForce RTX 3060 Ti” เหมาะกับเกมเมอร์ประเภทไหน จริง ๆ แล้วมันคล้าย ๆ กับรุ่นก่อนหน้านี้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่มีสเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ CPU ไม่ได้ตัวท็อปอะไรมาก ( หรือเป็นตัวท็อปจากรุ่นก่อน ๆ ) มี Ram อยู่ในตัวเครื่องสัก 16GB. ขึ้นไป แล้วการ์ดจอที่ใช้เป็นรุ่นเก่ามากแล้วรันเกมกราฟฟิกหนัก ๆ ในยุค 2018 - 2020 ที่เฟรมเรตได้ราว ๆ  45 - 50fps แถมกราฟฟิกปรับสุดก็ไม่ได้ แปลว่าเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่ควรจะเปลี่ยนการ์ดจอมาสู่ยุคสมัยใหม่ได้แล้วค่ะ แล้วยิ่งเงินในกระเป๋าไม่ได้มากพอที่จะไปเล่นตัว GeForce RTX 3070 หรือตัวรองท็อปอย่าง GeForce RTX 3080 รุ่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสำหรับเกมเมอร์สายกระเป๋าแบนแฟนทิ้งได้ไม่ยากเลยค่ะ สรุปแล้ว GeForce RTX 3060 Ti ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? เป็นการ์ดจอระดับกลางที่ราคาจับต้องได้เหมาะสำหรับคนที่มีทุนไม่มากนัก การ์ดจอตัวนี้กินไฟน้อยมาก ถ้าซื้อมาแล้วยังไงก็ต้องจัดการระบบไฟฟ้าให้ดีไม่งั้นอาจจะไม่เพียงพอ คนที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ หรือ ต่ำลงมา แล้วใช้การ์ดจอรุ่นเก่าที่รันเกมในช่วง 2 - 3 ปีนี้แบบปรับสุดไม่ได้ มันก็เหมาะที่จะเปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้นะ เป็นการ์ดจอที่รองรับในการเล่นเกมทั้งความละเอียด 1080p กับ 1440p ได้สบาย ๆ แต่ระดับ 4K เฟรมเรตอาจจะไม่ได้ดีเท่าที่คาดหวังหนัก ต้องบอกไว้ก่อนนะคะว่าตอนนี้ทาง NVIDIA เตรียมเปิดตัวการ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ของตระกูล “GeForce RTX 30 Series” ในปี 2021 เพิ่มเติมอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น GeForce RTX 3080 Ti, GeForce RTX 3070 Ti, GeForce RTX 3060 และ GeForce RTX 3050 ใครที่ลังเลว่าจะรอตัวใหม่ ๆ ดีหรือเปล่าอันนี้ก็มาดูกันอีกทีว่าเรื่องของราคา, ความคุ้มค่า และ สเปกภายในเมื่อใช้งานจริง ทดสอบจริงแล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง แต่ที่เกวลินทราบมาก็คือมันก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนมากเท่าไหร่ แต่มีการเพิ่มความเร็วนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ก็เพิ่ม Ram ความจุให้สูงขึ้นเป็นต้น ก็หวังว่าบทความนี้คงจะช่วยเพื่อน ๆ ที่กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนการ์ดจอช่วงนี้ได้ไม่มากก็น้อยค่ะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าสวัสดีค่ะ!
17 Dec 2020
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "บทความพิเศษ"
เจาะลึกรายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra พร้อมราคาขายในบ้านเรา!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของแบรนด์กิมจิอย่าง “Samsung” โดยรอบนี้จะเป็นตระกูล Galaxy S21 Series แถมบ้านเราเองก็เปิดให้สั่งจองพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว วันนี้เกวลินเองก็เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ Galaxy S21 Series ในแต่ละรุ่นมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน รวมไปถึงราคาในแต่ละรุ่นว่าในบ้านเราวางจำหน่ายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วมีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่อยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ Samsung Galaxy S21 Series อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็เป็นได้ค่ะ ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Samsung Galaxy S21 Series ที่เปิดตัวมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันประกอบไปด้วย Samsung Galaxy S21, Samsung Galaxy S21+ และ Samsung Galaxy S21 Ultra โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกภายในที่แตกต่างกันพอสมควรเริ่มจากขนาดหน้าจอกันก่อนเลยค่ะ เริ่มจาก Galaxy S21 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.2 นิ้วไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไปถือกำลังเหมาะมือเลยค่ะ ตามมาด้วย Galaxy S21+ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้วถือว่าใหญ่ใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลยนะคะ ทั้งสองรุ่นนี้ตัวหน้าจอจะไม่ได้เป็นจอโค้งนะคะ สุดท้าย S21 Ultra มีขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว เล็กกว่า Note 20 Ultra 1 นิ้วค่ะ แต่ความพิเศษของ S21 Ultra อยู่ตรงที่ความละเอียดของหน้าจอเป็นรูปแบบ WQHD+ ทำให้เราสามารถรับชมวีดีโอคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถขับรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz อีกด้วย หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง “รีเฟรชเรท” ว่าถ้ามือถือสมาร์ทโฟนยิ่งมีค่านี้สูงมันดียังไง!? มันจะดีตรงที่เวลาเราเลื่อนสไลด์หน้าจอมันจะดูลื่นไหลไม่ปวดตา แล้วถ้าเราดูพวกวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่ง หรือ ดู Youtube ที่มีความละเอียดสูง ๆ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนด้วย แต่ทั้งนี้การเปิดใช้งานรีเฟรชเรทสูงก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ดังนั้นแนะนำให้ตั้งค่าปรับอัตโนมัติดีที่สุดค่ะ เกือบลืมบอกไปตัวท็อปอย่าง S21 Ultra สามารถตั้งค่ารีเฟรทเรชแบบต่ำสุด 10Hz ได้ด้วย เพื่อใช้งานกับการทำงานบางอย่างเพื่อลดการกินแบตเตอรี่ได้ดีในส่วนหนึ่งค่ะ แล้วด้วยตัวหน้าจอ Samsung Galaxy S21 Series ทุกรุ่นใช้หน้าจอ “Dynamic AMOLED 2X” จะมีความสว่างสูงทำให้เมื่อเราใช้งานกลางแดดก็สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดหน้าจอได้อย่างสบาย ๆ โดย Galaxy S21 และ S21+ จะมีค่าความสว่างที่ปรีับได้สูงสุดอยู่ที่ 1,300 nits ส่วนตัวท็อปสุด Galaxy S21 Ultra ค่าความสว่างก็ดันได้มากถึง 1,500 nits แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือหน้าจอจะแบนไม่ได้มีวิถีจอโค้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ใครที่รู้สึกว่าจอโค้งใช้งานลำบากาฟิล์มติดก็ยาก หรือเคสที่บางทีติดฟิล์มกระจกแล้วมีการดันฟิล์มออก โอ๊ย...ปัญหาเยอะแบบนี้ก็ลองมาเล่นรุ่นนี้ดูกันได้ค่ะ แม้ว่า CPU ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะไม่ใช่ Snapdragon เหมือนกับประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม แต่ชิปเซ็ตขุมพลังตัวใหม่อย่าง “Exynos 2100” ก็มีความแตกตางจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เริ่มจากสายการผลิตเป็นสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร เล็กแบบนี้แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก ภายในชิปเซ็ตมีโมเด็ม 5G ในทุก ๆ รุ่นของ Samsung Galaxy S21 Series ในด้านของ GPU หรือตัวประมวลผลกราฟฟิกรอบนี้มาแปลกนิดหน่อยค่ะ เพราะเขาเลือกใช้ “Mali-G78 MP14” จากปกติแล้วจะเป็นตระกูล Adreno ทำให้เมื่อนำมาทดสอบกับการเล่นเกมพบว่า  “เกมส่วนใหญ่สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยกเว้นเกมที่จะต้องปรับรายละเอียดกราฟฟิกหรือประมวลผลสูง ๆ อย่าง Genshin Impact ยังมีเฟรมเรตดรอปเป็นระยะ ๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร”  ในด้านของความร้อนเมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ สื่อที่ได้ลองเทสก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนจนเกินไป แล้วถ้าปล่อยให้เครื่องทำงานปกติแบบไม่ต้องทำอะไรใช้ระยะเวลาไม่กี่นาทีเครื่องก็จะกลับสู่ในอุณหภูมิสภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม Samsung Galaxy S21 Series ไม่ได้ดูออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียวนะคะ แต่หน้าที่หลัก ๆ ของมันก็คือ “สมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง” ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจในส่วนนี้กันด้วยนะคะ ตามมาด้วยหน่วยความจำหรือ Ram กันหน่อยค่ะ Galaxy S21 และ S21+ ทาง Samsung จัดมาให้แค่ 8GB. เท่านั้น ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ทั้งหมด 2 รุ่นคือ 12GB. กับ 16GB. ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ ทั้งนี้เกวลินก็คิดว่า Ram แค่ 8GB. ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไปหรือในการเล่นเกมแล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะเอาไว้เยอะ ๆ ก่อนก็ได้เหมือนกันถ้างบเพื่อน ๆ ถึงนะคะ จุดต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง “เลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป” ก็ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S21 Series ทำเอารุ่นพี่ที่อยู่ในมือของเกวลินอย่าง Galaxy Note 20 Ultra 5G สั่นไปหมดเลยค่ะ เพราะมีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้น ( ชิ! น้อยใจซะจริงเลย ) โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วนะคะว่า Galaxy S21 Ultra จัดไปเลยเรื่องเลนส์กล้องเหนือกว่า Galaxy S21 และ S21+ ชนิดที่ไม่เห็นฝุุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้ติดอะไร ฉันมีงบเพียงแค่นี้จะเล่นรุ่นเล็ก รุ่นกลางก็ได้ทั้งนั้นค่ะ โดยทั้งสองรุ่นนี้ในเรื่องของสเปกเลนส์กล้องจะเหมือนกันนั้นก็คือเลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto คุณพระ! จัดความละเอียดมาให้ 64MP เลยค๊าคุณผู้อ่าน! แถมยังสามารถซูม Hybrid Optic ได้ถึง 3 เท่าแล้วก็ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาด้วย ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra สเปกเลนส์กล้องอัดมาให้เน้น ๆ เลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) มีความละเอียด 108MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto ที่จัดมาให้ถึง 2 ตัว โดยเราจะสามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 กับ 10 เท่า แล้วก็ยังสามารถดันซูมในรูปแบบ Digital ได้ถึง 100 เท่ากันไปเลย ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นั้นมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาให้กับเลนส์ตัวนี้ทั้ง 2 ตัวเลยค่ะ สุดท้ายก็ยังมี Laser AF มาช่วยโฟกัสภาพที่แม่นยำและไวมากยิ่งขึ้น  ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Series จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควรค่ะ เริ่มจากน้องเล็กสุด Galaxy S21 มีขนาดแบตเตอรี่ 4,000 mAh ตามมาด้วยพี่รอง Galaxy S21+ มีขนาดแบตเตอรี่ 4,800 mAh และ พี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ถึง 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ก็ยังเครมเอาไว้ว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียกว่าอยู่ได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่เราก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะ ถ้าผู้ใช้งานเปิดการทำงานเต็มที่ของเครื่องไม่ว่าจะเป็นรีเฟรชเรท 120Hz แล้วก็ 5G ไปด้วยมันก็อาจจะซูมแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาเครมมาแบบนี้ก็ต้องลองเทสด้วยตนเองแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามพก Power Bank ดี ๆ สักตัวติดไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทราบกันก่อนก็คือ Samsung Galaxy S21 Series จะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้เราอีกแล้ว ซึ่งถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเพิ่มเติมแล้วก็สามารถใช้อะแดปเตอร์จากรุ่นก่อนหน้านี้ชาร์จได้ ซึ่งทั้ง 3 รุ่นในซีรีส์นี้รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charging สูงสุด 25 วัตต์ ส่วนเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ แล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์อื่น ๆ มาชาร์จกับตัวเครื่องของเราก็จะได้ความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 4.5 วัตต์ ฟังดูอาจจะน้อยแต่ทาง Samsung เข้ามาเพื่อใช้ในกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในเวลาที่จำเป็น นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดคร่าว ๆ ของ Samsung Galaxy S21 Series ทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S21 Ultra มีปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับของ Galaxy Note 20 Ultra 5G เพียงแต่ว่าปากกาเล่มดังกล่าวจะไม่มีที่เก็บเหมือนกับของ Note นะคะ ซึ่งทาง Samsung ก็ออกแบบเคสพิเศษสำหรับใช้ในการเก็บปากกาพร้อมกับป้องกันตัวของเราจากการกระแทกได้ดีซะด้วยค่ะ รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีมาตรฐานป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 มีระบบลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้วการสแกนลายนิ้วมือก็เป็นแบบ Ultrasonic ตัวใหม่จากทาง Qualcomm อีกด้วย ท้ายสุดนี้เราไปดูราคาเครื่องของแต่ละที่กันหน่อยดีกว่าค่ะ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก AIS ( สำหรับลูกค้า Serenade ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 19,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 38,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 30,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย AIS ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก DTAC ( สำหรับลูกค้า Platinum Blue Member ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 19,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 13,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 17,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 11,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 17,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 31,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 26,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย DTAC ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก TrueMove H ( สำหรับลูกค้าที่ใช้อยู่ปัจจุบัน, เปิดเบอร์ใหม่ และ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท *18,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 20,400 บาท * 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 18,900 บาท *13,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 22,900 บาท *17,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 21,400 บาท *16,400 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท * 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 23,900 บาท *19,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท *28,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 28,900 บาท *25,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท *21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 25,900 บาท *20,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 34,400 บาท *31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 31,900 บาท *28,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 29,900 บาท * 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 27,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 36,400 บาท *33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 33,900 บาท *30,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 31,900 บาท *26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 29,900 บาท *24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 40,400 บาท *37,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 37,900 บาท *34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 35,900 บาท *30,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 33,900 บาท *28,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย TrueMove H ได้ที่ คลิกที่นี่
04 Feb 2021
ส่องลูกเล่นใหม่ ๆ ของ One UI 3.0 และ Android 11 ที่อัปเดตให้กับ Samsung A I S I Note I Z Series
อัปเดตมาได้ราว ๆ เกือบจะ 1 เดือนเห็นจะได้แล้วค่ะ สำหรับ Android 11 และ One UI 3.0 ของแบรนด์ Samsung ที่มาการทยอยอัปเดตให้ในแต่ละรุ่น โดยทางเกวลินเองได้ใช้ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ก็เลยทำการอัปเดตแล้วทดลองใช้งานดูตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วันนี้เลยจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาว่ามันมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมกันบ้างค่ะ ส่วนใครที่ใครแบรนด์นี้อยู่แล้วแต่เป็นรุ่นที่รองท็อปลงมาก็จะมีการอัปเดตให้ในแต่ละเดือน ( ส่วนนี้เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ทราบในช่วงท้ายบทความนะคะ ) เอาละเมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ ต้องเข้าใจ “การอัปเดตในครั้งนี้ก่อน!” สำหรับ “One UI 3.0” คือระบบปฏิบัติการที่มาพร้อมกับ Android 11 เพื่อที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงตอนนี้ทาง Samsung ก็ได้ไล่อัปเดตมาตั้งแต่ Series A, Series M, Galaxy Note 20 Series, Galaxy S20 Series, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Flip, Galaxy Note 10 Series, Galaxy Fold และ Galaxy S10 Series ทั้งนี้ก็ต้องแจ้งให้ทราบกันก่อนว่ามันคือการไล่อัปเดตในแต่ละรุ่นตามลำดับนะคะ แล้ว “One UI 3.0” มันมีอะไรที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมก่อนหน้านี้บ้าง!? อันดับแรกที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือพวกไอคอนต่าง ๆ ที่เราใช้งานจะไม่แตกต่างจาก One UI 2.5 เลยค่ะ ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมาเรียนรู้ในส่วนนี้ใหม่แต่อย่างใดนะคะ แต่ที่จะต้องมาศึกษาอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยก็คือ “ระบบการแจ้งเตือน” ที่ตรงนี้ทาง Samsung ได้มีการดีไซน์ใหม่คือบอกระบุชัดเจนว่าการแจ้งเตือนนั้นมาจากของอะไร จากเดิมเวอร์ชั่นก่อนที่ไม่มีการแบ่งหมวดหมู่ในเวอร์ชั่นนี้ก็จะทำให้เราทราบแล้วว่าที่เด้ง ๆ แจ้งเตือนนั้นมาจากแอพพลิเคชั่นอะไรค่ะ รวมไปถึงมีการปรับโทนสีของโซนแสดงผลจากเดิมที่เป็นแบบสีขาวทึบแต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 ในส่วนนี้จะทำให้ดูโปร่งแสงมากขึ้น ความรู้สึกส่วนตัวก็คือมันดูสบายตามากกว่าเวอร์ชั่นก่อนเยอะเลย ตามมาด้วยเหล่าไอคอนด้านบนพวกนี้ก็มีการออกแบบไอคอนบางส่วนใหม่รวมไปถึงปรับปรุงระบบการใช้งานบางส่วนให้ดีมากขึ้น นอกจากนี้พวกรายละเอียดเวลา, วัน และ เดือนก็จะมีการขยับมาให้เราได้เห็นชัดเจน โดยย้ายมาอยู่ตรงกลางแทนจากเดิมที่อยู่บริเวณมุมซ้ายบนของหน้าจอ แล้วพวกปุ่มเปิดปิดหรือค้นหาก็จะย้ายไปอยู่ด้านมุมขวาบนสุดของเครื่องก็เรียกว่าเป็นการจัดระเบียบที่ดูสวยงามไม่ใช่น้อยค่ะ ต่อมาก็คือ “ระบบ Reset แอพพลิเคชั่น” ปกติแล้วเรากดไอคอนที่เป็น “III” เมื่อกดแล้วตอนเราเลื่อนมันจะดูไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ แต่พออัปเดตเป็น One UI 3.0 ก็มีการปรับให้เวลาเราเลื่อนหน้าต่างส่วนพวกนี้ดูเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น ส่วนถ้าต้องการอยากจะปิดแอพพลิเคชั่นนั้นก็ทำเหมือนเดิมคือปัดขึ้นหรือกดปุ่มปิดทั้งหมดเลยก็ได้ แล้วระบบที่ถูกปรับปรุงอีกส่วนหนึ่งก็คือ “ระบบเพิ่ม-ลดเสียง” ที่ออกแบบมาใหม่ เมื่อเรากดปุ่มเพิ่มหรือลดเสียงมันจะมีแถบสีขาวขึ้นมาที่หน้าจอ ซึ่งเราสามารถเลื่อนขึ้น เลื่อนลงเพื่อปรับระดับเสียงตามที่ต้องการหรือจะแตะที่ไอคอนลำโพงเพื่อเปิดปิดโหมดใช้เสียงหรือโหมดสั่นได้ด้วย แล้วไอคอน “...” เมื่อกดเข้ามาก็ยังสามารถตั้งค่าในการปรับแต่งการใช้เสียงหรือสั่นในโหมดการใช้งานที่ต้องการได้ตลอดเวลาค่ะ แล้วเมื่อเรากดเข้ามาที่ตั้งค่า “เหล่าไอคอนต่าง ๆ” ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกันค่ะ แต่เรื่องการใช้งานต่าง ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเปลี่ยนแปลงไอคอนไปแล้วระบบการทำงานจะเปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้ในส่วนของโปรไฟล์ของเราใน One UI 2.5 จะมีขนาดเล็กแต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ก็มีการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นแล้วเมื่อเรากดเข้ามาจะเห็นรายละเอียดในการเชื่อมต่อกับ “Samsung Account” ตรงนี้เราสามารถตั้งค่ารายละเอียดเชิงลึกของบัญชีโปรไฟล์ตัวเองได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ เรามาพูดถึงลูกเล่นต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน One UI 3.0 กันบ้างดีกว่าค่ะ อันดับแรกเลยก็คือ “Dynamic Lock Screen” ที่มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาจากเดิมมีเพียงไม่กี่อันเท่านั้น บางคนอาจจะไม่เข้าใจมันคืออะไร เมื่อเราตั้งค่าเรียบร้อยแล้วจะทำให้ทุก ๆ ครั้งที่เราเปิดปิดหน้าจอภาพที่แสดงผลจะเปลี่ยนแปลงไปตามธีมที่เราได้ตั้งค่าเอาไว้ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตั้งรูปวอลเปเปอร์ในแบบที่เราต้องการได้ ตามมาด้วยฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ “การปิดหน้าจอด้วยการแตะเพียงแค่ 2 ครั้ง” ใน One UI 2.5 และ Android 10 ถ้าเราจะต้องการเปิดหน้าจอเพียงแค่เราแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งมันจะทำการเปิดหน้าจอขึ้นมาทันที แต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 และ Android 11 ได้เพิ่มลูกเล่นการปิดหน้าจอเข้ามาด้วยการแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งตัวเครื่องก็จะปิดหน้าจอให้ทันทีเลยค่ะ แอบแปลกใจว่าทำไมไม่ทำมาตั้งแต่แรกนะเนี่ย จุดต่อมาที่ปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “ตัวสแกนลายนิ้วมือ” ที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ตัวเกวลินเองเป็นคนที่จะใช้นิ้วที่ใหญ่ก็จะใช้นิ้วโป้งในการสแกนเพื่อเปิดเครื่อง ผลที่ได้ก็คือมันก็ช่วยให้การสแกนง่ายขึ้นเร็วขึ้นจากเดิมพอสมควรเลยค่ะ แต่ถ้าเราติดพวกกระจกหรือฟิล์มกันรอยที่มีความหนาก็อาจจะสแกนยากเล็กน้อย ดังนั้นเมื่ออัปเดตแล้วขอแนะนำให้ไปตั้งค่าในการสแกนลายนิ้วมือใหม่อีกครั้งจะดีมากเลยค่ะ ตามมาด้วยเพิ่มลูกเล่น “พื้นหลังการโทร” ที่เราสามารถปรับแต่งได้จะเปลี่ยนพื้นหลังเป็นรูปหรือวีดีโอที่ต้องการได้ แถมเรายังกำหนดให้เสียงจากวีดีโอที่เก็บเอาไว้มาเป็นเสียงเรียกเข้าได้อีกด้วย ใครที่อยากได้เสียงพี่เอก HRK เป็นเสียงเรียกเข้าก็ทำได้นะ แล้วสิ่งที่หลายคนชื่นชอบคงหนีไม่พ้นเรื่อง “การถ่ายรูปหรือวีดีโอ” ตัวแพทช์ One UI 3.0 และ Android 11 ก็มีการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ให้กับการถ่ายรูปด้วยนั้นก็คือระบบที่เรียกว่า “Lock Focus” ปกติแล้วถ้าเราแตะเบา ๆ 1 ครั้งมันจะเป็นการ Focus ภาพแม้ว่าจะเคลื่อนจอไปทางไหนมันก็จะตามจุดที่เราต้องการเอาไว้ แต่บางครั้งแสงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการแถมจะมีแถบให้เลื่อนปรับแต่ง แต่สักพักมันก็จะเปลี่ยนแสงกลับไปสภาพเดิมทำให้ระบบใหม่นี้จะมาช่วยแก้ไขในส่วนนี้ค่ะ เมื่อเราแตะค้างเอาไว้มันจะขึ้นเป็นวงกลมมีลูกแม่กุญแจเราสามารถลากเพื่อปรับแสงในแบบที่เราต้องการได้จากนั้นกดล็อค ก็เป็นระบบที่จะช่วยให้การถ่ายภาพของเราสนุกขึ้นไปอีกขั้นเลยค่ะ แล้วฟังก์ชั่นที่เพิ่มเติมเข้ามาก็ยังมีลูกเล่นที่เรียกว่า “AR Emoji” ที่ทำให้เราสามารถสร้างตัวละคร AR ของตัวเองขึ้นมาได้ โดยตัวละครพวกนี้มีความสามารถในการแสดงสีหน้า ท่าทางต่าง ๆ ของเราได้แบบเรียล์ไทม์เลยนะคะ แถมยังเปลี่ยนชุดของพวกเขาในแบบที่เราต้องการอีกด้วย แล้วตัวละครที่เราสร้างขึ้นมายังสามารถนำไปใช้เป็น AR Sticker ได้อีกด้วย สรุปหลังจากการใช้งานจริงร่วม 1 เดือน! จริง ๆ แล้วรายละเอียดของการอัปเดต One UI 3.0 และ Android 11 ยังมีมากกว่านี้มาก แต่เกวลินขอหยิบที่น่าสนใจมาพูดก็แล้วกันนะคะ หลังจากนี้จะเป็นสิ่งที่เห็นว่ามันเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นอย่างมากเลยค่ะ ซึ่งรุ่นที่ใช้เป็น CPU “Samsung Exynos 990 Octa Core” ที่บางคนอาจจะบอกว่าใช้ไปนาน ๆ แล้วร้อน ส่วนตัวเมื่อมีการอัปเดตเรื่องความร้อนดีขึ้นถูกแก้ไขให้ดีขึ้นเยอะ ก่อนอัปเดตเวลาถ่ายรูปนาน ๆ ตัวกล้องจะร้อนเร็วมาก แต่พออัปเดตปัญหานี้ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่งค่ะ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่อง “สแกนคิวอาร์โค้ด” ต่าง ๆ ที่ดูแม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมมาก ๆ แค่เปิดกล้องขึ้นมายังอ่านคิวอาร์โค้ดนั้นไม่เต็มจอก็เข้าสู่รหัสนั้นอย่างรวดเร็วเลยค่ะ  นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการใช้งาน One UI 3.0 และ Android 11 ใครที่ใช้มือถือแบรนด์ Samsung รุ่นไหนอยู่เตรียมตัวรอการอัปเดตได้เลย รายละเอียดดังต่อไปนี้ ( แต่ละรุ่นอาจจะมีการอัปเดตอาจจะเลื่อนมาเร็วขึ้นหรือช้าขึ้นอยู่กับทาง Samsung อีกทีค่ะ ) มกราคม Galaxy S10 Lite Galaxy S20 FE Galaxy S20 FE 5G Galaxy Note 10 Galaxy Note 10+ Galaxy Z Flip Galaxy Z Flop 2 5G กุมภาพันธ์ Galaxy S10e Galaxy S10 Galaxy S10+ Galaxy Fold มีนาคม Galaxy M30s Galaxy XCover Pro Galaxy A51 Galaxy Note 10 Lite Galaxy M31 Galaxy M31 Galaxy A71 5G Galaxy Tab S7 Galaxy Tab S7+ เมษายน Galaxy A50 Galaxy A50s Galaxy M51 พฤภาคม Galaxy A70 Galaxy A80 Galaxy Tab S6 Galaxy A71 Galaxy A31 Galaxy A21s Galaxy A42 5G Galaxy Tab S6 Lite มิถุนายน Galaxy A01 Galaxy A11 Galaxy A12 Galaxy M11 Galaxy Tab A Galaxy Tab Active 3 Galaxy A02s กรกฎาคม Galaxy A10 Galaxy A10s Galaxy A20 Galaxy A30 Galaxy XCover 4s Galaxy Tab S5e สิงหาคม Galaxy A20s Galaxy A30s Galaxy Tab A8 Plus (2019) Galaxy Tab A8 (2019) Galaxy Tab A10.1 (2019) Galaxy Tab Active Pro Galaxy A01 Core
19 Jan 2021
ก่อนจะมีเครื่อง PlayStation 5 ไปส่องหา TV หรือ Monitor รุ่นไหนเหมาะใช้ในการเล่นเกมที่สุดกันบ้าง!
ถ้าพูดถึงเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “PlayStation 5” บอกตรงๆ ว่าเกมเมอร์ชาวไทยหลายคนแอบหงุดหงิดมากว่าสรุปแล้ว “ประเทศไทยจะวางจำหน่ายตอนไหนกันแน่!?” ในวันที่เขียนบทความนี้คือวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ทาง Sony Interactive Entertainment หรือ PlayStation Asia ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหลใด ๆ เลย แม้จะมีข่าวลือหลุดออกมาว่ามีความเป็นไปได้ที่ PlayStation 5 ศูนย์ไทยจะวางจำหน่ายช่วงต้นเดือนมกราคมก็ตาม ซึ่งตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ได้วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ตามมาด้วยประเทศอินโดนีเซียจะวางจำหน่ายในวันที่ 22 มกราคมที่จะถึงนี้   แล้วถ้าเพื่อน ๆ ที่เล็งเอาไว้แล้วว่า “ฉันจะซื้อ PlayStation 5 มาเล่นอย่างแน่นอน!” แล้วถ้าอยากจะสัมผัสกราฟฟิกสวย ๆ แบบจัดเต็มของเกมบนเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ สิ่งที่จะต้องมีก็คือ “ทีวี หรือ จอมอนิเตอร์” ที่เหมาะเพื่อใช้ในการเล่นเกมด้วยค่ะ เพราะด้วยตัวเครื่อง PlayStation 5 เขาเครมเอาไว้เลยว่าสามารถรันกราฟฟิกออกมาในความละเอียดสูงสุดถึง 4K/60fps ( แต่ตัวกล่องมีโลโก้ 8K ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเกมอะไรรองรับบ้างด้วย ) ได้อย่างสบาย ๆ วันนี้เกวลินเองก็เลยขอคัดเลือกทีวีหรือไม่ก็จอมอนิเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมจากเครื่อง PlayStation 5 ได้รู้จักกันค่ะ   Sony BRAVIA X90H/XH90 Series สำหรับ “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” ถือว่าเป็นทีวี Full Array LED ที่มีความละเอียดอยู่ที่ 4K แถมยังพัฒนาออกมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 โดยเฉพาะเลยค่ะ ก็มีการผลิตออกมาหลากหลายขนาดเริ่มจาก 55 นิ้ว, 65 นิ้ว, 75 นิ้ว และ 85 นิ้ว จากข้อมูลของ Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA X90H มีทั้งหมด 2 ขนาดประกอบไปด้วยคือ 65 นิ้วราคาอยู่ที่ 39,990 บาท และ ขนาด 85 นิ้วราคาอยู่ที่ 89,990 บาท โดยดีไซน์ตัวเครื่องอาจจะดูไม่สวยถูกใจบางคนเท่าไหร่ แต่บอกไว้ก่อนว่าประสิทธิภาพของทีวีตัวนี้ไม่ธรรมดานะคะ โดยขุมพลังชิปเซ็ตภายในตัวนี้เลือกใช้ “Sony X1 4K HDR Processor” ที่เป็นตัวประมวลผลภาพแบบเรียลไทม์ในความละเอียด 4K ที่ดีเยี่ยมาก ๆ แถมยังรองรับ HDR ที่มันจะทำให้ภาพปรากฎบนจอดูสมจริงและคมชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยว่าสีและคอนทราสต่าง ๆ จะดูสมจริงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชิปเซ็ตตัวนี้ยังทำให้ภาพที่มีความละเอียด 1080p [Full HD] หรือ 1440p [2K] ก็สามารถอัปสเกลให้ใกล้เคียงความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยระบบที่มีชื่อว่า “4K X-Reality PRO” แล้วที่พิเศษสุดก็คือมันเป็นทีวีในรูปแบบ Android TV แล้วก็ยังสามารถขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz แล้วก็ยังแสดงผล Respond Time อยู่ที่ 7.2 ms ที่เรียกว่าน้อยพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ ซึ่งต้องบอกว่า “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายในบ้านเรามาได้พักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ ซึ่งก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ซื้อทีวีตัวนี้ไปล่วงหน้ากันแล้วค่ะ ส่วนตัวมองว่าทีวีขนาด 65 นิ้วแสดงผลในความละเอียด 4K/60fps ได้อย่างสบาย ๆ แถมยังทำค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 120Hz แล้ว Respond Time ก็น้อยอีก ในราคา 39,990 บาทถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นอย่างมากเลยนะคะ เพราะเราสามารถนำไปเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ใครที่มีคอมสเปกสูง ๆ รันเกมความละเอียด 4K ได้สบาย ๆ จอตัวนี้นอกจากเอาไว้ใช้กับการเล่นเกมคอนโซลแล้วก็ยังเอาไว้ รวมไปถึงทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode, Full Array Local Dimming, รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ด้วยค่ะ   Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series นอกเหนือจาก “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายแล้วทาง Sony ก็ได้เปิดตัวทีวี Full Array LED ตัวท็อปออกมาอีก 1 รุ่นที่มีชื่อว่า “Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series” ทาง Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA Z8H มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 85 นิ้วสนนราคาอยู่ที่ 299,990 บาท เห็นราคาแบบนี้ก็เกิดคำถามมากมายว่าทำไมมันถึงมีราคาแพงขนาดนี้ อย่างแรงเพื่อน ๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าทีวีรุ่นนี้มีความละเอียดสูงถึง 8K ที่สามารถรันเฟรมเรทได้สูงสุด 60fps แล้วถ้าเลือกรันความละเอียด 4K ก็จะขับเฟรมเรตได้สูงสุด 120fps เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ว่าขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz ดังนั้นถ้าใช้เล่นเกมแนะนำว่าเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Game Mode ด้วยนะคะ โดยทีวีตัวนี้เลือกใช้ชิปเซ็ตที่มีชื่อว่า “Sony X1 Ultimate” ชิปเซ็ตประมวลผลภาพตัวนี้ถือว่าเป็นตัวท็อปสุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ มันมีประสิทธิภาพในการแสดงสีและคอนทราสในความละเอียดสูงที่ยอดเยี่ยม แล้วยังเพิ่มความละเอียดที่เหนือชั้นเข้าไปอีกเพื่อให้เราสามารถรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้มีความใกล้เคียง 8K แท้ ๆ ได้เลย โดยชิปเซ็ตตัวนี้ยังวิเคราะห์และประมวลผลที่แม่นยำมาก ๆ ทั้งในเรื่องฉากที่มีความลึก, พื้นผิว และ รายละเอียดต่าง ๆ ก็ดูสมบูรณ์แบบมาก ๆ แม้ว่าภาพที่ถ่ายทอดออกมาจะมีความละเอียดอยู่ที่ 1440p [2K] หรือ 4K ก็ตาม ซึ่งเราสามารถเพิ่มสเกลของภาพให้มีระดับ 8K ด้วยเทคโนโลยี “8K X-Reality PRO”  แล้วด้วยความที่ทีวีในรูปแบบ Android TV ทำให้เราเสพย์คอนเทนต์ต่าง ๆ ในความละเอียด 4K ไปจนถึง 8K ได้อย่างสบาย ๆ ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple TV, YouTube หรือ Prime Video เป็นต้น นอกจากนี้ระบบเสียงของ Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series จะขับเคลื่อนในรูปแบบ Dolby Atmos เสียงที่ออกมาจะรู้สึกเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์ที่ปรากฎตัวอยู่บนหน้าจอเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น S-Force Front Surround ที่เสียงจะมารอบ ๆ ทิศทางเสมือนเรามีลำโพงเซอร์ราวด์รอบทิศทางภายในทีวีของเราเลยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ ทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode และ Full Array Local Dimming   LG 48CX เราพูดถึงแบรนด์ Sony ผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 กันไปแล้ว มาพูดถึงแบรนด์คู่แข่งที่ประสิทธิภาพภายในน่าสนใจไม่ใช่น้อยด้วยค่ะ แล้วที่เกวลินเลือกมาก็คือ “LG 48CX” ซึ่งมันคือทีวีในรูปแบบ OLED ที่ถูกจับตามองจากผู้ใช้งานทั่วโลกเป็นอย่างมาก มันเป็นทีวี OLED ที่รองรับความละเอียด 4K เต็มรูปแบบมาก ๆ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ประมาณ 48 นิ้วแถมราคาที่วางจำหน่ายในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 45,000 บาทขึ้นไป ความน่าสนใจของทีวีรุ่นนี้ก็คือมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ออกแบบมาให้กับเกมเมอร์สายพีซีอีกด้วยค่ะ โดย “LG 48CX” มาพร้อมกับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่เกมเมอร์ฝั่งพีซีที่ใช้การ์ดจอของค่ายเขียวเมื่อนำมาเชื่อมต่อแล้วเปิดใช้งานจะทำให้เมื่อเวลาเล่นเกมเฟรมเรทมีกราฟฟิกสูงสุดด้วย อ่ะ ๆ แต่คนที่ใช้การ์ดจอค่ายแดง AMD ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ก็รองรับด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้กับตัวเครื่องก่อนค่ะ เท่านั้นยังไม่พอทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ Dolby Vision หรือที่เรารู้จักในชื่อ “HDR10” ด้วยนะ แล้ว LG ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ทีวีรุ่นนี้มีความหนาแน่นของพิกเซลพอ ๆ กับทีวีที่มีความละเอียด 8K ขนาด 96 นิ้วได้เลย ส่วนถ้าเล่นจริง ๆ จะแสดงผลในความละเอียด 4K/120fps ใครที่เป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ทีวีรุ่นนี้ไม่ควรพลาดเลยค่ะ สุดท้าย “LG 48CX” เป็นทีวี OLED ที่ออกแบบมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะจริง ๆ รองรับการแสดงผลของ HDMI 2.1 แล้วก็ยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Dolby Atmos, Dolby Vision IQ, Filmmaker Mode และ ยังมีโหมดที่จะช่วยลดความหน่วงของการแสดงผลให้เองแบบอัตโนมัติอีกด้วย รวมไปถึงมีระบบรีเฟรชเรตแบบแปรผัน [VRR] ที่จะทำให้เมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น PlayStation 5 หรือ Xbox Series X มีการแสดงผลได้ดีพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ตัวท็อปเลยค่ะ   Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7 เราพูดถึงทีวีกันไป 3 รุ่นแล้วรุ่นต่อมาจะเป็น “จอมอนิเตอร์” กันบ้างค่ะ ปกติแล้วจอพวกนี้จะใช้ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่รุ่นที่เกวลินหยิบมาแนะนำสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่นี้ได้เหมือนกันนั้นก็คือ “Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7” สำหรับหน้าจอมอนิเตอร์ถูกจัดเป็นประเภท QLED ทาง Samsung เครมเลยว่าหน้าจอตัวนี้จะแสดงผลเรื่องแสง, สี, เงาคอนทราสต์ที่เป็นธรรมชาติ แล้วสีดำก็จะแสดงผลแบบดำสนิทอีกด้วยค่ะ  โดยเกวลินจะแนะนำรุ่น Samsung Odyssey G9 กันก่อนค่ะ สนนราคารุ่นนี้อยู่ที่ 45,990 บาท มันคือจอมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทาง Samsung ผลิตออกมาเลยค่ะ มีขนาดอยู่ที่ 49 นิ้ว แล้วดีไซน์ของเขาก็เก๋ไก๋มาก ๆ สวยงามมาก ๆ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า Samsung เขาออกแบบหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีดีไซน์โค้งมาแล้วหลายตัว โดยรุ่นนี้ความโค้งของตัวหน้าจอจะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R ซึ่งสูงที่สุดในโลกณ.ตอนนี้แล้วค่ะ อ่ะ...มีคำถามใช่ไหมคะว่าทำไมมันต้องโค้งอะไรขนาดนั้น!? คำตอบก็คือระยะการโค้งของหน้าจอมันจะเข้ากับระยะสายตาของมนุษย์ ทำให้เราได้รับประสบการณ์ในการเล่นเกมแบบเต็มตาที่สุดเท่าที่จอมอนิเตอร์เคยมีมาบนโลกนี้เลยค่ะ โดย Samsung Odyssey G9 มีอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 32:9 ซึ่งตรงนี้เกมเมอร์ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเกมที่รองรับอัตราส่วนของหน้าจอในเวลานี้ยังมีน้อยเกมนะคะ แต่ถ้าพูดถึงการทำงานมันสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้ทำงานได้สูงสุด 6 จอเลยค่ะ ส่วนใครที่กังวลเรื่องความหน่วงของหน้าจอ Respond Time ต่ำมาก ๆ เพียงแค่ 1 ms หรือ 0.001 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และยังรองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่จะช่วยปลดล็อคให้แสดงเฟรมเรตได้สูงสุด ลดอาการภาพสั่น หรือ ภาพแตก แต่ถ้าเพื่อน ๆ คิดว่ารุ่นนี้ขนาดหน้าจออาจจะใหญ่เกินไปพื้นที่อาจจะไม่เพียงพอ ทาง Samsung ก็ได้ผลิตอีกหนึ่งรุ่นออกมาที่สเปกเท่ากับรุ่น Samsung Odyssey G9 นั้นก็คือ “Samsung Odyssey G7” ที่มีขนาดให้เลือก 27 นิ้วราคาอยู่ที่ 18,900 บาท และ 32 นิ้วราคาจะอยู่ที่ 20,900 บาท เป็นขนาดหน้าจอความละเอียด 1440p [2K] แล้วอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 16:9 ส่วนสเปกของเครื่องนี้หลายส่วนมีความคล้ายกับตัวท็อปเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวหน้าจอที่เป็น QLED, จะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R, รองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA, ความหน่วงของหน้าจอ Respond Time อยู่ที่ 1 ms หรือ 0.001 วินาที, ปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และ รองรับเทคโนโลยี HDR600    BenQ EW3280U มาถึงรุ่นสุดท้ายที่เกวลินเลือกมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้เอาไปตัดสินใจกันนั้นก็คือ “BenQ EW3280U” จอมอนิเตอร์จากแบรนด์คุณภาพที่ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะเป็น IPS ก็เถอะนะ แต่มันก็ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเชื่อมต่อเพื่อเล่นเกมบนพีซีและเครื่องเกมคอนโซลได้เต็มประสิทธิภาพเลยค่ะ ขนาดหน้าจอตัวนี้อยู่ที่ 32 นิ้วเป็นความละเอียดแบบ 4K ที่จะมอบรายละเอียดที่จะปรากฎบนจออย่างคมชัดเลยค่ะ ไม่ว่าเราจะเอามาดูภาพยนตร์ หรือ เล่นเกมกราฟฟิกสวย ๆ แล้วปรับสุดภาพที่ปรากฎบนจอก็จะสวยงามไร้ที่ติกันเลยค่ะ ตัว “BenQ EW3280U” ยังได้เพิ่มเทคโนโลยี Dolby Vision หรือ HDR10 เข้ามาด้วย ทำให้โทนสีที่แสดงผลออกมาแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน แล้วถ้าใครเป็นเกมเมอร์สายพีซีที่ใช้การ์ดจอของ AMD ยิ้มได้เลยค่ะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ด้วย แถมการเชื่อมต่อก็รองรับ DisplayPort 1.4 และ HDMI 2.0 ที่จะช่วยปล่อยสัญญาณภาพในความละเอียด 4K/60Hz ถ้าพูดถึงการนำมาเชื่อมต่อเพื่อเล่นเครื่องเกมคอนโซลผลทดสอบออกมาเป็นยังไง จากสื่อที่ได้ลองนำมาเยี่ยมต่อดูพบว่าระยะการมองเห็นที่ไม่ต้องใหญ่มากมันทำให้เราเห็นรายละเอียดภายในเกมที่ปรากฎได้อย่างชัดเจน ทำให้เราสามารถที่จะบังคับตัวละครได้ถูกต้องมากกว่าที่จะเล่นเกมบนจอใหญ่ ๆ ข้อดีอีกอย่างของ “BenQ EW3280U” คงเป็นเรื่องเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus จากของ BenQ ที่มันจะช่วยปรับโทนแสงและภาพให้เองอัตโนมัติ สิ่งที่ได้คือแสงที่ปรากฎผ่านหน้าจอจะไม่มีแสงที่สว่างจนเกินไปใครที่เล่นเกมนาน ๆ แล้วเกิดอาการปวดตาหรือเมื่อยล้าบริเวณรอบ ๆ ดวงตา เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถเล่นเกมได้นานขึ้น เพราะมันจะลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาลง สุดท้ายในเรื่องของราคาอยู่ที่ 27,900 บาท ถ้าถามถึงความคุ้มค่าส่วนตัวมองว่ามันดันค่ารีเฟรชเรตได้เพียงแค่ 60Hz มันเลยดูน้อยไปหน่อยถ้าใครที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์ที่สเปกสูง ๆ ค่ะ จอนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะเท่าไหร่ แต่ถ้าใครที่จะเอามาใช้ในการเล่นเกมคอนโซลรุ่นใหม่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยค่ะ จบกันไปแล้วค่ะ กับบทความแนะนำทีวีหรือจอมอนิเตอร์ที่ใช้สำหรับเล่นเกมจากเครื่องคอนโซลรุ่นใหม่ทั้ง PlayStation 5 หรือ Xbox Series XIS รวมไปถึงถ้าเพื่อน ๆ เป็นเกมเมอร์กระเป๋าหนักจะเอามาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ของเราก็ทำได้เหมือนกัน เพราะแต่ละรุ่นที่แนะนำไปไม่ใช่แค่นำมาใช้กับเครื่องเกมคอนโซลอย่างเดียวนะคะ บางคนก็อาจจะถามว่าพี่แล้วแบบนี้จอของผมที่เป็นรุ่นเก่าที่รันความละเอียด 1080p หรือ 1440p สามารถใช้งานได้ไหม!? ก็ตอบเลยว่าได้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะไหน ๆ เขาก็ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมความละเอียด 4K แล้วมันก็ต้องจัดเต็มกันหน่อยเนอะ ส่วนเกวลินขอเก็บเงินอีกสักนิดแล้วรอโปรลดราคาก็คงจะจัดสักเครื่องมาเอาไว้เล่นเกมเหมือนกันค่ะ
23 Dec 2020
มาดูกันซิ! ชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง Snapdragon 888 มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
กำลังจะเข้าสู่ปี 2021 นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคใหม่กันแล้วค่ะ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “มือถือสมาร์ทโฟน” ยุคถนัดไปจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้งานรู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเดิม ยกตัวอย่างการยืดหดของหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยที่ตัวหน้าจอกลมกลืนไปกับตัวหน้าจอ โดยคอนเซ็ปต์นี้ทาง OPPO เปิดตัวก่อนเป็นอันดับแรกเลยค่ะ อย่างไรก็ตามสิ่งที่มันจะต้องมาควบคู่กันก็คือ “ชิปเซ็ตประมวลผล” คงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ จะเลือกดูเป็นอันดับแรกก่อนใช่ไหมคะ!? แล้วชิปเซ็ตที่เกมเมอร์มักจะเลือกใช้มากที่สุดก็คือ “ตระกูล Snapdragon จากผู้พัฒนา Qualcomm”  ชิปเซ็ตตัวนี้ถูกกล่าวถึงจากผู้ใช้งานมากที่สุดในเรื่องของประสิทธิภาพที่ทำงานได้ดีเยี่ยม ใช้งานแล้วแบตเตอรี่ไม่ไหลเหมือนน้ำ หรือ เรื่องความร้อนที่ทำออกมาได้ดี จึงไม่แปลกเลยที่ชิปเซ็ตตัวท็อปจะกลายเป็นตัวเลือกสำคัญในการเป็นขุมพลังของสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ล่าสุดทาง Qualcomm ก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตรุ่นใหม่ประจำปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Snapdragon 888” ความน่าสนใจอันดับแรกเลยก็คือมันคือชิปเซ็ตที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 มิลลิเมตรที่มีการทำงานยอดเยี่ยมรวมไปถึงเป็นชิปเซ็ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้ด้วย เอาละวันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักชิปเซ็ตตัวนี้ให้มากยิ่งขึ้นค่ะ ในด้านขุมพลังส่วนของ CPU ตัวชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm ได้อธิบายรูปแบบการทำงานของส่วน CPU เอาไว้ว่ามันจะเป็นหน่วยประมวลผลที่เรียกว่า Kryo 680 ที่จะมีแกนประมวลผลถึง 8 แกนหลัก ๆ ด้วยกันเริ่มจากไปด้วย “Cortex-X1” ที่มีความเร็วสูงถึง 2.84GHz ก็มีการเครมว่าการทำงานด้านประมวลผลจะดีกว่า Cortex-A78 มากถึง 33% ตามมาด้วย “Cortex-A78” มีความเร็วอยู่ที่ 2.4GHz จะมีทั้งหมด 3 แกน และ “Cortex-A55” มีความเร็วอยู่ที่ 1.8GHz มีแกนทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน  แน่นอนว่ามันก็จะมีคำถามเกิดขึ้นมา “เพ่! ทำไมมันต้องมีตัวประมวลผลอะไรเยอะแยะขนาดนั้น!” โอเคเกวลินจะอธิบายให้ทราบค่ะ การที่มีแกนประมวลผลหลายตัวในชิปเซ็ตเดียวกันมันจะช่วยในการแบ่งเบาภาระการทำงานเพื่อไม่ให้มันไปตกอยู่แกนใด แกนหนึ่งมากจนเกินไป จนเกินปัญหาที่มีอาการค้างต่าง ๆ แล้วปัจจัยหลัก ๆ เลยการทำงานจะลื่นไหลและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยทาง Qualcomm ยืนยันว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีความแรงมากกว่าชิปเซ็ต Snapdragon 865 ตัวท็อปของปี 2020 มากถึง 25% แถมยังกินพลังงานน้อยลง 25% ด้วยนะ ขุมพลังการแสดงผลกราฟฟิกของ GPU พูดถึงขุมพลังของตัว CPU ในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” กันไปแล้วก็ต้องมาพูดถึงประสิทธิภาพการทำงานของการประมวลผลกราฟฟิกหรือที่เรียกว่า GPU กันบ้างค่ะ โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกคือ Adreno 660 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากรุ่นก่อน 1 ก้าว อ่า...อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนบอกว่า “พี่มันพัฒนามาแค่ 1 รุ่นมันจะแรงกว่ารุ่นก่อนยังไง!” ใจเย็น ๆ ค่ะ จะอธิบายให้ฟังทาง Qualcomm เผยว่ามันมีประสิทธิภาพในการเรนเดอร์สูงกว่า Adreno 650 มากถึง 35% แล้วเมื่อทำงานเต็มประสิทธิภาพยืนยันว่าจะประหยัดพลังงานมากกว่า 20% โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกตัวนี้จะตอบสนองเกมเมอร์ไม่มากก็น้อยค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมกราฟฟิกสูง ๆ แล้วปรับรายละเอียดภายในเกมได้สุดเฟรมเรตต้องดี หรือ ค่า Latency ( ถ้าพูดคำว่า Ping น่าจะรู้จักและคุ้นชื่อมากกว่า ) ต่ำ ๆ เพื่อให้เล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด บอกเลยว่าหน่วยประมวลผลรุ่นนี้คือสิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องการเลยค่ะ แถมยังสามารถให้ผู้ผลิตแบรนด์สมาร์ทโฟนรีดเฟรมเรตหรือรีเฟรชเรทได้สูงสุด 144Hz ทาง Qualcomm ก็ยังได้เสริมรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในหน่วยประมวลผลกราฟฟิก Adreno 660 ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Variable Rate Shadeing” หยิบนำมาใช้บนสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรก มันจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรนเดอร์ภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น แล้วก็ยังให้การทำงานด้านประมวลผลเต็มที่ที่สุด จุดไหนที่ระบบมองเห็นว่าการทำงานไม่ต้องหนักมากมันจะทำการลดประสิทธิภาพในส่วนนั้น ๆ ลงเพื่อไม่ให้ตัว GPU ทั้งหมดทำงานหนักจนเกินความจำเป็นและแน่นอนว่ามันก็ทำให้การกินแบตเตอรี่หรือพลังงานต่าง ๆ น้อยลงไปด้วย แล้วสิ่งที่เพิ่มมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะก็คือ “Game Quick Touch” เทคโนโลยีที่จะมาช่วยทำให้ความหน่วงของการทัชต่าง ๆ ถูกลดลงมากถึง 20% ในช่วงระยะเวลาที่เล่นเกมเฟรมเรตสูง ๆ แต่ถ้าอยากจะให้การทัชดีขึ้นมันจะแสดงผลชัดเจนในเฟรมเรต 60fps มากกว่า นั้นหมายความว่าความแม่นยำในการทัชบนหน้าจอจะดีขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปลดล็อคเฟรมเรตให้แสดงผลสูงอีกต่อไปค่ะ สุดท้ายนี้ยังรองรับ HDR10, ลดการแสดงผลเรื่องแสงกับสีที่ไม่เที่ยงตรง และ ปัญหาเรื่องรอยหยักต่าง ๆ ก็จะทำงานได้ดีมากขึ้น  การทำงานด้านถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ บางคนอาจจะบอกว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย เพราะการถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอการทำงานมันจะอยู่ที่เลนส์กล้องที่แบรนด์นั้น ๆ เลือกใช้มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วชิปเซ็ตก็มีส่วนที่จะทำให้การถ่ายรูปและวีดีโอออกมาได้ดีขึ้นเหมือนกันนะคะ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีชุดประมวลผลด้านภาพที่เรียกว่า Spectra 580 มันจะมีทั้งหมด 3 ตัวที่จะไปช่วยทำหน้าที่ในการจับภาพเวลาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอแบบพร้อมกันได้เลย มันจะมีประโยชน์อย่างมาก เช่น เวลาที่เราสลับการถ่ายรูปแบบโหมดปกติไปเป็นโหมดอื่น ๆ อย่าง Ultra-Wide หรือ Telephoto ที่จะไม่เสียจังหวะใด ๆ แล้วถ้าเราต้องเก็บภาพแบบ HDR มันก็จะช่วยทำให้คุณภาพที่ได้ดีมากขึ้น รวมไปถึงยังเก็บภาพแบบ HDR ในรูปแบบ HEIF ได้ด้วยส่วนในด้านถ่ายวีดีโอชิปเซ็ต “Snapdragon 888” รองรับความละเอียด 4K/120fps ได้สักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนตัวท็อป ๆ จะสามารถบันทึกวีดีโอแล้วเฟรมเรตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 24fps - 30fps แล้วเมื่อถ้าเราบันทึกภาพถ่ายสามารถเก็บรูปได้ 120 ภาพต่อวินาทีในความละเอียด 12MP เชื่อหรือยังจ๊ะว่าชิปเซ็ตก็มีผลต่อการทำงานด้านถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอเหมือนกันนะ การทำงานของ AI ในชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 สำหรับชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm เผยว่าในส่วนการประมวลผลของระบบ AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 กันแล้วมีชื่อเรียกว่า Hexagon 780 การทำงานของระบบ AI จะมาช่วยในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้อง, เป็นผู้ช่วยที่ดีต่อผู้ที่ใช้งาน, การเชื่อมต่อเมื่อเราเล่นเกม หรือ การประมวลผลในการออกคำสั่งต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็มีการเครมว่าการประมวลผลด้วยคำสั่งต่าง ๆ สามารถทำได้มากถึง 26 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีกันเลยนะคะ แม้ว่าจะทำงานดีแบบนี้แต่มันก็ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี แล้วภายใน AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 ยังมี Sensing Hub ที่พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 มันจะเป็นหน่วยประมวลผล AI ให้ใช้พลังงานที่ต่ำเมื่อทำงานทั่ว ๆ ไป เรียกว่าต่อไปการประมวลผลหลักระบบ AI Engine จะช่วยใน ในด้านความปลอดภัยที่ดีมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะมองว่าด้านความปลอดภัยมันจะต้องอยู่ที่ระบบปฏิบัติการของแบรนด์นั้น ๆ มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วตัวชิปเซ็ตก็มีระบบป้องกันอยู่ภายในตัว โดยชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Qualcomm Wireless Edge Service มันจะช่วยตรวจสอบความปลอดภัยจากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์ ตามมาด้วยระบบ Type-1 Hypervisor ที่จะทำให้อุปกรณ์ของเราสามารถรันได้หลากหลายระบบปฏิบัติการมากยิ่งขึ้นโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ หรือ การเลือกใช้งานแอพพลิเคชั่นของระบบปฏิบัติการที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันรูปถ่ายที่เราเก็บไว้เพื่อไม่ให้เข้าถึงข้อมูลในส่วนนั้น ๆ ได้ง่าย ๆ ที่อยู่ภายใต้การป้องกัน Content Authenticity Initiative ของ Adobe เข้าสู่การเชื่อมต่อยุคเทคโนโลยี 5G ที่แท้จริง เรามาเก็บตกรายละเอียดส่วนอื่น ๆ อีกสักนิดก็แล้วกันค่ะ อย่างที่เกวลินได้อธิบายไปในตอนต้นว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ที่ออกแบบมาเพื่อเทคโนโลยี 5G โดยเฉพาะ มันคือชิปเซ็ตตัวแรกที่เลือกใช้โมเด็ม Snapdragon X60 5G ฝังอยู่ภายในเรียบร้อยแล้วค่ะ ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่การรองรับคลื่นความถี่แบบ Sub-6GHz และ mmWave ในเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดรองรับสูงสุด 7.5Gbps และ อัปโหลดรองรับสูงสุด 3Gbps ได้อย่างสบาย ๆ ในด้าน Wi-Fi รองรับคลื่นความถี่ 6GHz ที่รองรับความเร็วสูงสุด 3.6Gbps  นอกจากนี้ “Wi-Fi 6E” คือมาตรฐานใหม่ที่จะช่วยลดค่าความหน่วง Latency ได้ดีเยี่ยมมาก มันถูกออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมไปด้วยและสตรีมเกมเชื่อมต่อจาก PC หรือจากระบบอื่น ๆ ของสมาร์ทโฟนได้ดีมากกว่าเดิม เช่นเดียวกันชิปเซ็ตตัวนี้ยังรองรับเทคโนโลยี Bluetooth 5.2 และ aptX ทำให้คนที่ใช้หูฟังไร้สายเชื่อมต่อแบบไม่มีสะดุดแล้วเสพย์เสียงต่าง ๆ ที่ดีเยี่ยมมากขึ้นไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดกลางคันขณะเล่นเกมอย่างแน่นอนค่ะ รองรับการชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปกติแล้วเรื่องระบบการชาร์จเร็วมันไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ภายในเท่านั้น ชิปเซ็ตก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วตามที่ต้องการ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง “Snapdragon 888” จะรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่เรียกว่า Quick Charge 5 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว มันจะช่วยกระจายกำลังไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เข้าได้สูงสุดถึง 100 วัตต์ รวมไปถึงเตอนที่เราชาร์จมันจะช่วยการระบายความร้อนได้ดี ทั้งนี้ต้องรองรับมาตรฐานการชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะด้วยนะ อย่างไรก็ตามตัว Quick Charge รุ่นเก่า ๆ ก็สามารถนำมาชาร์จได้ก็จะรองรับจนถึง Quick Charge 2.0 เลยค่ะ แล้วนี่คือรายละเอียดทั้งหมดของชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง “Snapdragon 888” จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้แบรนด์ชั้นนำหลายเจ้าเตรียมนำชิปเซ็ตนี้ไปใช้กับสมาร์ทโฟนตัวเรือธงของปีหน้ากันแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามเกวลินคิดว่าทาง Qualcomm อาจจะผลิตชิปเซ็ตตัวใหม่ออกมาอีกในอนาคต อาจจะเป็นทั้งตัวท็อปกว่านี้ หรือ รุ่นรองลงมาเพื่อนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นกลาง ๆ ก็เป็นได้ค่ะ ใครที่คิดอยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ถ้าจะให้ดีรออีกสัก 2 - 3 เดือนเราคงจะได้เห็นแบรนด์ดังเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ที่ใช้ชิปเซ็ตตัวนี้ที่มีประสิทธิภาพและราคาใกล้เคียงกับรุ่นที่กำลังวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดณ.ขนาดนี้ก็เป็นได้ค่ะ Source: Qualcomm Snapdragon เรียบเรียงบทความโดย: KaelynVT
22 Dec 2020
ถึงเวลาแล้วหรือยัง!? ที่เราจะเปลี่ยนมือถือใหม่เพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G ในบ้านเราเวลานี้
ในช่วงระยะเวลาประมาณ 6 - 9 เดือนที่ผ่านมาเทคโนโลยี 5G ก็เข้ามาสู่ชีวิตของเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาในบ้านเราเองแบรนด์สมาร์ทโฟนชื่อดังหลายเจ้าก็เปิดตัวมือถือที่รองรับเทคโนโลยี 5G หลากหลายตัวกันเลยค่ะ ก็มีตั้งแต่ราคาหลักพัน, หลักหมื่น ไปจนถึงหลายหมื่นกันเลย ซึ่งมันก็อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเราว่ามีมาก มีน้อยมากแค่ไหน แล้วตรงนี้ละค่ะมันก็ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า “ปัจจุบันผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ทุกคนพร้อมกับเทคโนโลยี 5G จริง ๆ หรือเปล่า!?” วันนี้เกวลินผู้ที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G และ ใช้เครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการรายใหญ่เจ้าหนึ่ง มาเล่าให้ฟังกันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้งานเป็นยังไงบ้างแล้วมันถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนมาใช้มือถือให้รองรับกับเทคโนโลยี 5G ในเวลานี้ค่ะ เทคโนโลยี 5G คืออะไร!? สำหรับเทคโนโลยี 5G มันคือเครือข่ายไร้สายที่ในอนาคตอันใกล้มันจะมาแทนที่ 4G ในยุคปัจจุบันที่เรายังคงใช้งานกันอยู่ แถมความพิเศษมันอยู่ตรงที่คลื่นความถี่ของ 5G ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับมือถือสมาร์ทโฟนอีกต่อไปนะคะ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เลยทำให้มันกลายเป็นนวัตกรรมครั้งใหม่ที่จะพาเราก้าวขีดจำกัดของเทคโนโลยี หลายคนก็คงอยากจะรู้ว่าแล้วเทคโนโลยี 5G มันดีกว่า 4G ยังไงกันบ้างจะอธิบายให้เข้าใจคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ ความเร็วในการส่งและรับข้อมูลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น - ปกติแล้วความเร็วในการส่งและรับข้อมูลของ 4G จะรองรับความเร็วคร่าว ๆ อยู่ที่ประมาณ 100Mbps ถ้าย้อนกลับไปที่ 3G รองรับความเร็วอยู่ที่ 42Mbps ส่วน 5G รองรับความเร็วสูงสุด 10Gbps ขึ้นไป เรียกว่าแรงกว่า 4G หลายเท่าเลยทีเดียวค่ะ การตอบสนองในการทำงานที่ดีขึ้น - ด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูลจึงทำให้การทำงาน หรือ การออกคำสั่งต่าง ๆ แม่นยำและรวดเร็ว แถมความหน่วงที่ต่ำจึงทำให้การตอบสนองรวดเร็วดั่งใจนึกเลยค่ะ รองรับการใช้งานของผู้คนในจำนวนมาก ๆ ได้ - เทคโนโลยี 5G จะมาช่วยตอบสนองในการใช้งานของผู้คนให้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ในพื้นที่ผู้คนพลุกพล่านก็สามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพ ความแรงระดับนี้สายเล่นเกม ดูหนังจัดไป! - ต้องบอกว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีความเร็วกว่า 4G จึงทำให้การเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ส่วนถ้าดูหนัง หรือ คลิปวีดีโอที่มีความละเอียดสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 4K, 8K หรือ วีดีโอความละเอียดสูงในรูปแบบ VR ก็สามารถดูได้ลื่นไหลมาก ๆ เทสมากับตัวเองเลยค่ะ ความเชื่อผิด ๆ สำหรับบางคนเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G เกวลินมีเรื่องจะเม้าส์ค๊าาาา! เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G กันเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า “ฉันยังไม่อยากใช้อะ! รอเขาปลดล็อคความถี่ให้ฉันทีหลังก็ได้ใช้ 4G ไปก่อน” ซึ่งความจริงแล้วการสมาร์ทโฟนของเราจะรับคลื่นความถี่ 5G ได้ สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ “ชิปเซ็ตภายในต้องรองรับด้วยเช่นกัน!” เพราะถ้าชิปเซ็ตภายในไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับ 5G ก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ต่อให้เราสมัครแพ็คเกจ 5G แล้วก็ตาม ดังนั้นผู้ที่อยากจะใช้งานจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือสมาร์ทโฟนของตัวเองให้รองรับเทคโนโลยี 5G ก่อนค่ะ  “ชิปเซ็ตก็คือหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญที่จะรองรับ 5G ได้” อีกทั้งเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยนะคะว่าชิปเซ็ตตัวนั้นรองรับคลื่นความถี่ที่เครือข่ายผู้ให้บริการบ้านเราใช้อยู่หรือเปล่า เพราะจะมีร้านค้าที่ขายมือถือสมาร์ทโฟนบางแห่งที่จะมีการนำมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในต่างประเทศมาขายให้คนที่สนใจได้เป็นเจ้าของกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ชิปเซ็ตที่ผลิตแล้ววางจำหน่ายในต่างประเทศจะออกแบบมาให้รับคลื่นความถี่ของประเทศนั้น ๆ เอาไว้ ซึ่งเราสามารถสอบถามกับร้านค้าที่ขายได้ค่ะ ทางร้านไม่ปิดเป็นความลับอยู่แล้วดังนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะ ข้อเสียของเทคโนโลยี 5G ที่มองเห็นในปัจจุบัน! สำหรับปัจจุบันเทคโนโลยี 5G ต้องยอมรับว่าผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H ต่างพยายามเต็มที่ที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถรับคลื่นสัญญาณความถี่ 5G ได้อย่างทั่วถึงกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่นอกโซนเมือง นอกเขตต่าง ๆ ก็ตาม แต่โดยรวมแล้วในเวลานี้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ผู้ใช้งานที่อยู่นอกโซนที่ไม่ได้อยู่ภายในตัวเมืองสามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก ขนาดตัวเกวลินเองอยู่จังหวัดเชียงใหม่ นอกโซนตัวอำเภอเมือง โชคยังดีที่เสาส่งสัญญาณ 5G อยู่ใกล้บ้านเลยทำให้รับสัญญาณได้ แต่เมื่อเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ก็ยังพบปัญหาต่าง ๆ อยู่เช่น สัญญาณ 5G ยังไม่ทั่วถึงสักเท่าไหร่แล้วตัวระบบก็จะตัดไปใช้งาน 4G หรือ 4G+ อยู่บ่อยครั้ง โดยสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ก็คือ “Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G” เรียกว่าเป็นตัวท็อปสุดของปีนี้ในแบรนด์ Samsung แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทั้ง 3 ผู้ให้บริการเครือข่ายกำลังพยายามติดตั้งเสาสัญญาณเพื่อเพิ่มความถี่ของคลื่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ 5G ได้เต็มประสิทธิภาพไม่ใช่สลับไปมาแบบนี้  รวมไปถึงปัญหาใหญ่ ๆ เลยก็คือถ้าเราพักอาศัยอยู่ในคอนโด หรือ ตึกที่มีความหนาแน่นสูง คลื่นความถี่ 5G ก็จะทะลุทะลวงเข้ามาภายในตึกทำให้เรารับสัญญาณได้ยาก วิธีแก้ไขก็อยู่ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายจะมาเพิ่มสัญญาณในจุดนั้นหรือเปล่า ซึ่งเราสามารถดูได้จากจังหวัดใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือ เชียงใหม่ ในพื้นที่ผู้คนเยอะตึกราบ้านช่องสูง ๆ ก็จะเห็นมีเสาสัญญาณ 5G กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดก็ได้แต่หวังว่าในปี 2563 หรือปีถัด ๆ ไปผู้คนจะสามารถใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้เต็มประสิทธิภาพแล้วทั่วถีงกันสักที แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นจุดทุรกันดารแค่ไหนก็ตามเพื่อให้บุคลากรใช้งาน 5G ในด้านการเรียน การสอน แล้วแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย แล้วถ้าจะเปลี่ยนมือถือเพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G มันคุ้มไหมในเวลานี้!? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เกวลินได้มาจากเพื่อน ๆ หลายคนที่บอกว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่านะที่จะเสียเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่เพื่อให้รองรับเทคโนโลยี 5G ถ้าให้ตอบแบบเป็นกลางก็คือ “อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเพื่อน ๆ และ ลองชั่งน้ำหนักว่าถ้าเปลี่ยนแล้วเราจะใช้ 5G ในด้านไหนบ้าง!?” เพราะตอนนี้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G แล้ววางจำหน่ายในบ้านเราก็มีหลายราคาเริ่มตั้งแต่ราคาหลักไม่เกิน 10,000 บาทลากยาวไปถึง 20,000 บาทขึ้นไป  ปัจจัยหลักสำคัญมันอยู่ที่สเปกเครื่องและฟังก์ชั่นการใช้งานของมือถือรุ่นนั้น ๆ ว่าทำอะไรได้บ้าง ถ่ายรูปเก๋ไหม เล่นเกมได้ดีหรือเปล่าจริงไหมคะ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ในปีนี้บางรุ่นยังมีปัญหาเมื่อเปิดใช้งาน 5G เช่น แบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ถ้าจะให้ดีรออีกสักนิดไปดูกลาง ๆ ปีหน้าก็ดีเหมือนกันนะคะ “ภาพบนความเร็ว Wi-Fi 5G ภาพล่างความเร็ว AIS 5G บริเวณท่าแพเชียงใหม่” แล้วสิ่งที่เราจะต้องคิดตามมาก็คือ “ความคุ้มค่าในการใช้งาน 5G” แพ็คเกจส่วนใหญ่ของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H จะถูกออกแบบมาในรูปแบบรายเดือนเป็นหลัก ซึ่งราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ราว ๆ 699 บาท ซึ่งก็จะมีการจำกัดการใช้งาน แต่ถ้าอยากจะใช้แบบไม่จำกัดก็จะเป็นแพ็คเกจราคา 1,199 บาทขึ้นไป แน่นอนว่าผู้ให้บริการเครือข่ายก็จะมีการแข่งขันในด้านของโปรโมชั่นอันนี้เพื่อน ๆ ก็ต้องไปพิจารณากันดูค่ะ ซึ่งถ้าใครที่มักจะเล่นเกม หรือ ใช้เน็ตบนโน๊ตบุ๊คแล้วเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถืออยู่บ่อย ๆ การจัดโปรแบบใช้ไม่จำกัดมันก็ดูจะคุ้มค่าที่สุดแล้วนั่นเองค่ะ ดูรายละเอียดแพ็คเกจ 5G ของผู้ให้บริการเครือข่ายในบ้านเราได้ที่ : AIS , Dtac และ TrueMove H   เกวลินเองก็ได้แต่คาดหวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่ลังเลว่า “ฉันควรเปลี่ยนมือถือใหม่แล้วมาใช้ 5G ตอนนี้เลยดีไหม” ไม่มากก็น้อยค่ะ ส่วนตัวเทคโนโลยี 5G ในบ้านเรายังจะต้องพัฒนากันอีกมาก เพราะในหลากหลายพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง รวมไปถึงรูปแบบการส่งสัญญาณมันจะต้องใช้เสาในการติดตั้งที่มากกว่า 4G จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ปีนี้เราเลยยังไม่เห็นจังหวัดอื่น ๆ ไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ หรือถ้าใช้ได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าจะให้ดีปีหน้าอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมก็ได้นะคะ เพราะผู้พัฒนาชิปเซ็ตเจ้าดังก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตตัวใหม่ที่จะใช้กับมือถือแบรนด์ดังต่าง ๆ แถมยังมีประสิทธิภาพในการรองรับ 5G ที่เหนือชั้นว่าชิปเซ็ตประจำปีนี้ด้วย ดังนั้นยังไม่ต้องรีบเร่งก็ได้ค่ะ เพราะพูดตรง ๆ ทุกวันนี้ก็เกวลินก็ยังใช้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปสักเท่าไหร่เลย T-T
17 Dec 2020
ทำไม!? Marvel’s Avengers เกมฟอร์มยักษ์ที่เปิดตัวอลังการแต่กระแสเกมดันตรงกันข้าม
ถ้าพูดถึงเกมฟอร์มยักษ์!? ในความคิดของเพื่อน ๆ มันจะต้องออกมาแบบไหน สำหรับเกวลินเองมันเริ่มต้นจากเหล่า ๆ อย่างเหมือนกันนะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่จะนำเสนอออกมา, ทีมผู้พัฒนาเกมที่จะสร้างเกมนั้น ๆ และ คอนเทนต์หลังจากที่เกมวางจำหน่ายออกไป ( นี่เป็นแค่ปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ) แต่มันมีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่เปิดตัวไปช่วง 3 ปีที่แล้วสร้างความฮือฮาระดับโลกเป็นอย่างมากนั้นก็คือ “The Avengers Project” ที่ทาง Marvel Entertainment ได้ออกมาประกาศว่าเกมดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การดูแลของค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Square-Enix ที่เนื้อหาจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่และไม่มีความเกี่ยวข้องกับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe   แล้วในช่วงเวลาจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe กำลังมาถึงช่วงปิด Phase 3 ก็จะประกอบไปด้วย Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ที่ตอนนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมันก็จึงไม่แปลกเลยที่กระแสของตัว “The Avengers Project” จะได้รับความสนใจจากเกมเมอร์ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเวลาต่อมาในงานมหกรรมเกมโชว์สุดยิ่งใหญ่ E3 2018 ทาง Square-Enix ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการ “Marvel’s Avengers” ซึ่งกระแสตอบรับกลับมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในเวลาเดียวกัน   สาเหตุที่คนไม่ปลื้ม “Marvel’s Avengers” จากตัวอย่างและเกมเพลย์แรกที่ออกมาคงเป็นเรื่องการดีไซน์ตัวละครที่เกวลินเชื่อว่า 70% เขาอยากเห็นการดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ในฉบับคนแสดงมากกว่า อีกทั้งยอมรับตรง ๆ ว่าการดีไซน์ในตัวอย่างแรกไม่ดีเท่าที่ควรจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละคร Thor ที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชุดมันดูตลกซะไม่มีเลย โชคยังดีที่ทางทีมผู้พัฒนา Crystal Dynamics, Eidos-Montréal และ Nixxes ต่างรับฟังความคิดเห็นจากเกมเมอร์แล้วได้นำไปปรับปรุงแก้ไข หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นข่าวการอัปเดตของเกมนี้อีกเลย แม้แต่งานเกมใหญ่ ๆ Demo ที่มีการนำมาให้ผู้เล่นได้ทดสอบก็ยังเป็นเวอร์ชั่นจากงาน E3 2018 ทั้งหมดเลย เกวลินยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นหนึ่งในคนที่อวยเกมนี้ตั้งแต่มีการเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีหลายต่อหลายครั้งที่นั่งพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมด้วยกันแล้วมักจะบอกว่า “เราเชื่อว่าเกม Marvel’s Avengers มันจะไปได้ดี” เพื่อน ๆ ของเกวลินมักจะติดภาพจำมาจากเหตุการณ์สมัยที่ Square-Enix พัฒนาเกม Final Fantasy XV ที่เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่ามันพัฒนาไม่เสร็จทั้งที่ตัวเกมครึ่งแรกทำออกมาดี แต่ช่วงท้ายเหมือนพยายามเร่งให้จบแล้วดูเหมือนเนื้อเรื่องช่วงท้ายสัมผัสถึงการเขียนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ “ตราบาปที่ทำให้เกมเมอร์กลัวประวัตศาสตร์จะซ้ำรอย!” ส่งผลทำให้ทางผู้พัฒนาเกมต้องออกแพทช์เนื้อหาเสริม [DLC] มาภายหลังรวมไปถึงแพทช์แก้ไขตัวเกมอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ตัวเกมวางจำหน่ายออกไป แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อตอนแรก Final Fantasy XV วางแผนจะอัปเดตเนื้อหาให้ครบแต่ผู้กำกับคุณ “ฮาจิเมะ ทาบาตะ” ตัดสินใจลาออกจากบริษัททำให้ Square-Enix พับโปรเจกต์ทั้งหมดสร้างความไม่พอใจต่อเกมเมอร์จำนวนมาก แล้วนี่ก็ทำให้เกมเมอร์จำนวนไม่น้อยต่างกลัวว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับเกมฟอร์มยักษ์ที่เกมเมอร์ทั่วโลกต่างคาดหวัง” แล้วมันก็ดูเหมือนจะส่อแววมายังเกม Marvel’s Avengers ที่ปัจจุบันตัวเกมกลับมีกระแสในด้านลบอย่างมาก อะไรทำให้เกมฟอร์มยักษ์ในสายตาเกมเมอร์หลาย ๆ คนอย่าง “Marvel’s Avengers” ที่ทาง 3 ทีมพัฒนาเกมที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Square-Enix แล้วก็ผ่านการพัฒนาเกมคุณภาพมามากมาย กลายเป็นเกมที่เกิดคำถามจากเกมเมอร์ว่ามันจะไปรอดไหมในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าพาร์ทเนอร์อย่าง Marvel Entertainment ที่ยังคงมั่นใจว่า “พวกเขาจะนำพาเกมนี้ไปจุดสูงสุดอย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ได้” ก็ตาม วันนี้เกวลินก็เลยจะมารวบรวมข้อมูลว่าทำไมเกม Marvel’s Avengers ถึงกลายเป็นเกมที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้กันค่ะ เกมที่มาพร้อมกับความคาดหวังจากเกมเมอร์! เอาจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะคะที่เกมเมอร์จะคาดหวังเกมนั้น ๆ เพื่อให้ออกมาดีที่สุด แถมเป็นเกมที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ด้วย มันก็ไม่แปลกเลยที่ “Marvel’s Avengers” จะมีเกมเมอร์จำนวนมากต่างคาดหวังที่เกมมันจะออกในแบบที่พวกเขาต้องการ ( เกวลินก็เป็นหนึ่งในนั้น ) แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก ๆ ก่อนก็คือ “เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเกม Marvel’s Avengers ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe หรือ จักรวาล Marvel Comic” เพราะอันนี้ได้เขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแต่จะอ้างอิงตัวละครจาก Marvel Comic เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าถามเรื่องเนื้อเรื่องและการนำเสนอพวกเขาทำออกมาได้ดีมากเลยนะคะ ( ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ) เรียกว่าเปิดตัวมาก็มีฉากอลังการงานสร้างระเบิดสะพาน ระเบิดเมืองกันเลยทีเดียว! แต่สิ่งที่เกมเมอร์คาดหวังเอาไว้ก็คือเราสามารถเล่นเป็นตัวละครอะไรก็ได้ รวมไปถึงโลกภายในเกมจะต้องเปิดโลกกว้างแล้วมอบอิสระให้กับผู้เล่นเหมือนกับเกม Marvel’s Spider Man จากทีมผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ทำออกมาได้ดี แต่ผลสุดท้ายคือการดำเนินเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรงแล้วถ้าเราต้องการอยากจะออกไปทำเควสต์เสริมก็จะแบ่งจุดเพื่อให้เราไปทำอีกแบบ แล้วสถานที่ก็มักจะอยู่แต่ภายในยานแล้วเวลาจะเริ่มภารกิจเกมก็จะพาผู้เล่นไปจุดดังกล่าวทันที นี่คงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้เล่นรู้สึกไม่ประทับใจ รวมไปถึงเควสต์เนื้อเรื่องหลักในตอนแรกที่เกวลินและเพื่อนต่างคาดหวังว่าเราจะสามารถเล่นออนไลน์ร่วมกันได้ สุดท้ายระบบที่นำมาใช้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดก็เลยทำให้ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาจุกจิกกวนใจที่ได้รับการแก้ไขแต่ก็ยังโผล่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตัวเกวลินเองได้เล่นเกม “Marvel’s Avengers” นี้บนแพลตฟอร์ม PC สิ่งที่พบตั้งแต่ Day One ก็คือปัญหาจุกจิกกวนใจเรื่อง Bug ต่าง ๆ ถ้าให้จัดลำดับก็เป็นเกมฟอร์มยักษ์ที่มีปัญหาพวกนี้เยอะใช้ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่กินทรัพยากรเครื่องเกินความจำเป็นอย่างมาก แม้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นจะเกินจากสเปกที่แนะนำเอาไว้มากก็ตาม พูดเลยว่าวันแรกจะเล่นไปแล้วถ่ายทอดสดลงเฟสบุ๊คไปด้วยลำบากมากเลยค่ะ ดีว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีแพทช์ออกมาแก้ไขเรื่องการกินทรัพยากรลง  แต่มันก็มีปัญหาส่วนอื่น ๆ เข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่เกมนี้จะบังคับให้เราออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าต้องการเล่นเควสต์รองก็จะต้องเข้าไปในโหมด Avengers Initiative ซึ่งเกมนี้ดันวางระบบเอาไว้ว่าถ้าจะเสพย์เนื้อเรื่องอย่างเดียวจะต้องไปเล่นในโหมดเนื้อเรื่องอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนโหมดออนไลน์ก็จะทำแยกออกมาแล้วทั้งสองโหมดก็จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แล้วถ้าวันไหนที่เซิร์ฟเวอร์เกม หรือ อินเทอร์เน็ตมีปัญหาก็จะทำให้เข้าเกมไม่ได้เลย กลายเป็นระบบที่เหมือนดาบสองคมแล้วเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบในส่วนนี้ด้วย ( เกวลินเองก็ไมชอบนะเอาจริง ๆ เฮ้อ… ) ระบบเกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น RPG ที่มันออกแบบมาไม่ลงตัว คือต้องบอกว่าเกม “Marvel’s Avengers” ส่วนตัวมีระบบเกมเพลย์ที่น่าสนใจนะคะ เพราะพวกเขาเลือกที่จะให้ตัวเกมมีความเป็นเกม Action ที่เต็มรูปแบบ แล้วนำความเป็นเกม RPG มาผสมผสานกัน ถามว่าทำออกมาดีไหมมันทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้าคุณอยากจะแข็งแกร่งภายในเกมการที่จะเล่นในโหมดเนื้อเรื่องแล้วให้แข็งแกร่งมันเป็นไปได้ยากมาก แล้วถ้าผู้เล่นต้องการก็ต้องไปโหมดออนไลน์แล้วเล่นเควสต์รองเพื่อฟาร์มเลเวลหรือของจนกว่าตัวเองจะพอใจ ทั้งนี้บางอย่างผู้เล่นจะต้องดำเนินเนื้อเรื่องหลักไปให้ถึงในจุดต่าง ๆ เพื่อปลดล็อคตัวละครแล้วเข้าถึงเควสต์นั้น ๆ ได้   ฟังดูแล้วเพื่อน ๆ รู้สึกยังไงบ้างคะ!? เกวลินรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ “มันไม่มอบความอิสระให้แก่ผู้เล่นเลย” ตัวเกมออกแบบมาเพื่อบังคับผู้เล่นทำในแบบที่ทีมผู้พัฒนาต้องการ และที่สำคัญมันตลกตรงที่ว่าถ้าเราเล่นโหมดเนื้อเรื่องจบไปแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยจนกว่าเนื้อหาใหม่ ๆ จะอัปเดตเข้ามาในอนาคต หลังจากนั้นถ้าผู้เล่นจะไปไล่เก็บเควสต์รองต้องไปเล่นโหมดออนไลน์ [Avengers Initiative] อย่างเดียวเท่านั้น! แล้วถ้าเราไล่เก็บครบทุกเควสต์ก็จะพบกับฉากจบที่แท้จริง สุดท้ายส่วนตัวเกวลินมองว่าในด้านเกมเพลย์ทำออกมาดีนะคะ แต่ในเนื้อหาเชิงลึกทำออกมาไม่ดีเท่าที่ควร หลายจุดเหมือนยัดนู่น ยัดนี้เข้ามาจนลืมดูความเหมาะสมที่เกมควรจะเป็น คอนเทนต์ที่ถูกปูทางเอามาไว้แล้ว...มันจะช่วยได้จริงไหม!? อย่างที่ทราบกันว่าทาง Marvel Entertainment และ Square-Enix กำลังเตรียมอัปเดตเนื้อหาเสริม [DLC] ตัวแรกเป็นตัวละคร “Kate Bishop” หรือที่รู้จักอีกนามก็คือ “Hawkeye” เธอคือตัวละครใหม่ตัวแรกของเกมนี้ หลังจากที่เลื่อนการอัปเดตมาครั้งหนึ่ง แล้วคนที่จะตามมาก็คือ “Clint Barton” ที่มีกำหนดการณ์อัปเดตในช่วงต้นปี 2021 รวมไปถึงมีข่าวลือหลุดออกมาก่อนหน้านี้ว่ายังมีตัวละครอื่น ๆ ที่เตรียมอัปเดตรวม ๆ มากกว่า 10 กว่าตัวเลยค่ะ ยังไม่นับเนื้อเรื่องใหม่ที่มีการพัฒนากันอยู่ คำถามก็คือ “คอนเทนต์เหล่านี้จะสามารถกู้หน้าให้เกมนี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า!?”   “หนึ่งในตัวละครแรกที่จะอัปเดตในเดือนธันวาคมนี้ค่ะ” ตอบได้เลยว่าคอนเทนต์พวกนี้จะสามารถกู้หน้าได้ก็ต่อเมื่อการอัปเดตอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทิ้งระยะห่างนานหลายเดือนจนเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเขาคิดว่าอยากจะให้จักรวาลของเกม “Marvel’s Avengers” ไปไกลเหมือนที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรกมันจะกลายเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะไม่เกิดขึ้นจริงแล้วผลที่ได้ก็คือมันจะไปตกอยู่ที่เกมเมอร์ที่ยังคง “ศรัทธา” เกมนี้อยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งตัวเกวลินเองก็ยังคงได้แต่คาดหวังว่าสักวันทีมผู้พัฒนาเกมจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาภายในเพื่อให้ตัวเกมดีในแบบที่มันควรจะเป็นมากกว่าปัจจุบันนี้ค่ะ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของตัวเกวลินเท่านั้น ซึ่งก็เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนที่ซื้อเกม “Marvel’s Avengers” ไปเล่นในวันแรก ๆ ปัจจุบันก็เลิกเล่นไปแล้วก็ได้แต่เฝ้ารอการอัปเดตคอนเทนต์ต่าง ๆ ในอนาคต รวมไปถึงข่าวที่มีออกมาก่อนหน้านี้ว่าตัวเกมมียอดผู้เล่นที่ลดลงเหลือเพียงแค่หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ทำให้ตอนนี้ Square-Enix ขาดทุนอย่างหนักเพราะยอดขายที่ไม่ได้ตามเป้า แล้วพวกเขาได้ใช้เงินในการลงทุนด้านการตลาดที่สูงมาก แถมปีนี้วงการเกมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เลยทำให้สิ่งที่วางแผนเอาไว้ผิดพลาดไปหมด ก็ต้องมาดูกันว่าในอนาคตเกมฟอร์มยักษ์เกมนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งหรือไม่!
17 Dec 2020
รู้ก่อนซื้อ! ถ้าต้องเปลี่ยนการ์ดจอใหม่ตอนนี้เป็น NVIDIA GeForce RTX 30 Series จะเลือกรุ่นไหนดี
ปีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีในการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่เห็นเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ก็เปิดตัวไปแล้ว ( แต่เมืองไทยยังไม่ประกาศวันวางจำหน่ายก็ตาม ) นอกจากนี้เกมเมอร์ฝั่ง PC ก็คงได้เห็นการเปิดตัวการ์ดจอ [GPU] ของทั้งค่ายเขียว NVIDIA และ ค่ายแดง AMD ในซีรีส์ใหม่กันไปแล้วเรียกว่ากระแสตอบรับดีทั้งสองค่ายเลย แต่เหมือนปีนี้จะหนักไปทางค่ายเขียว NVIDIA ซะมากกว่า เพราะดูเหมือนว่า “GeForce RTX 30 Series” ที่เวลานี้ได้วางจำหน่ายออกมาแล้วทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกันไล่มาตั้งแต่ตัวท็อป GeForce RTX 3090, GeForce RTX 3080, GeForce RTX 3070 และ GeForce RTX 3060 Ti นี่ยังไม่นับรวมรุ่นอื่น ๆ ของซีรีส์นี้ที่มีแผนจะเปิดตัวในปีหน้าด้วย วันนี้เกวลินเลยจะมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักการ์ดจอของแต่ละรุ่นว่าอันไหนเหมาะกับเพื่อน ๆ กันบ้างค่ะ   GeForce RTX 3090 เป็นรุ่นท็อปสุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้สำหรับ “GeForce RTX 3090” การ์ดจอรุ่นนี้ทาง NVIDIA ได้อธิบายเอาไว้ว่ามันคือนวัตกรรมใหม่ที่พัฒนามาจากการ์ดจอรุ่น GeForce GTX TITAN เพราะว่าหลังจากนี้ไปการ์ดจอตระกูล TITAN ทาง NVIDIA ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกพัฒนาแล้วหันมาใช้เป็นเลขรหัสแทน โดยพวกเขาได้เครมเอาไว้ว่าประสิทธิภาพของการ์ดจอตัวนี้สามารถเล่นเกมในความละเอียด 8K ได้อย่างสบาย ๆ ด้วย Ampere สถาปัตยกรรม RTX รุ่นที่ 2 ที่ทำให้เมื่อผู้เล่นเปิดใช้งาน Ray Tracing และ AI การทำงานจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากผลการทดสอบแสดงให้เห็นแล้วว่า “เมื่อผู้ใช้งานเปิด DLSS กับ Ray Tracing เฟรมเรตจะสูงขึ้นมากกว่าตอนปิดการใช้งานเสียอีก!” ด้วยความที่มันเป็นการ์ดจอตัวท็อปสุดของ “GeForce RTX 30 Series” จึงไม่แปลกที่จะเกิดคำถามมากมายต่อเกมเมอร์ว่า “เราควรซื้อการ์ดจอตัวนี้ใช้งานเลยดีไหม!?” เพราะราคาก็เริ่มต้นอยู่ที่ 52,000 บาทขึ้นไป ( แล้วแต่แบรนด์ แต่รุ่นกันด้วย ) ซึ่งจัดอยู่ในราคาที่สูงมาก เราก็ต้องมาดูกันก่อนว่าถ้าเราซื้อการ์ดจอ GeForce RTX 3090 คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าเอามาแค่เล่นเกมกับสตรีมถ่ายทอดสดอย่างเดียว บอกเลยว่ามันดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ตัวการ์ดรุ่นนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดกินพื้นที่ในการติดตั้งไปมากกว่า 3 ช่อง ถ้าเคสคอมพิวเตอร์ของเราเป็นขนาดเล็กก็ต้องมีการจัดวางระบบภายในใหม่ทั้งหมดเพื่อให้การระบายความร้อนได้ดีขึ้น แล้วสิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากก็คือการ์ดจอ GeForce RTX 3090 กินไฟสูงใช้ได้เลยค่ะ ถ้า Power Supply ของเรามีกำลังวัตต์น้อยจนเกินไปก็ไม่สามารถใช้การ์ดจอตัวนี้ได้นะคะ ซึ่งทาง NVIDIA ได้อธิบายเอาไว้ว่า Power Supply ขั้นต่ำจะต้องอยู่ที่ประมาณ 750 วัตต์ขึ้นไป อย่างไรก็ตามมันก็อยู่กับว่าอุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ ว่าเราใช้ CPU ตัวไหนแล้วมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเกี่ยวกับไฟฟ้าบ้าง เพราะบางครั้งกำลังวัตต์ที่แนะนำไปอาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งผู้ใช้งานก็จะต้องควักเงินเพื่อเปลี่ยน Power Supply ให้สูงขึ้นแล้วก็เผื่อเอาไว้ด้วย แล้วถ้าใช้ Power Supply รุ่นเก่าอาจจะต้องเปลี่ยนเพื่อจัดการจ่ายไฟอย่างเหมาะสม เพราะการ์ดจอรุ่นใหม่นี้ต้องใช้ขั้วต่อสายไฟเสริมอยู่ที่ PCle 8 Pin ถึง 2 ตัวด้วยกัน “ใครสเปกคอมพิวเตอร์ภายในสูง ๆ จัดเยอะ ๆ ไว้ก็ดีนะ” แล้วถ้าเพื่อน ๆ ยังคงเล่นเกมบนหน้าจอที่มีความละเอียดเพียงแค่ 1080p ( หรือต่ำกว่านั้น ) การ์ดจอตัวนี้ไม่เหมาะอย่างรุนแรงค่ะ เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้เล่นในความละเอียด 1440p ไปจนถึง 4K มากกว่าค่ะ ซึ่งทาง NVIDIA เครมว่ามันสามารถรันถึงความละเอียด 8K ได้เลยนะคะ แต่จากผลทดสอบของสื่อต่างประเทศและผู้ที่ใช้งานจริงพบว่า GeForce RTX 3090 สามารถที่จะรันเกมที่ใช้กราฟฟิกสูงพร้อมเปิดใช้งาน Ray Tracing, DLSS หรือ รันเกมบน DirectX 12 ในความละเอียด 4K แล้วเฟรมเรตทะลุ 60fps ได้อย่างสบาย ๆ อย่างไรก็ตามการ์ดจอตัวนี้นอกจากจะใช้เล่นเกมที่มีรายละเอียดสูงได้แล้ว สิ่งหนึ่งก็คือใครที่ทำงานสายออกแบบกราฟฟิก หรือ ตัดต่อวีดีโอก็ทำได้ด้วยเช่นกันค่ะ  สรุปแล้ว GeForce RTX 3090 ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? ราคาที่สูงเกินไป เป็นการ์ดจอที่ขนาดใหญ่, น้ำหนักเยอะ และ ใช้พื้นที่เยอะ ถ้าผู้ใช้ซื้อมาแล้วใช้งานไม่คุ้มค่าอาจจะรู้สึกเสียดายเงินก็เป็นได้ ผู้ใช้จะต้องปัจจัยส่วนอื่น ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ของเราด้วย เพราะการ์ดจอกินไฟสูงมาก อาจจะต้องมีการเพิ่มงบเพื่อให้สามารถใช้การ์ดจอตัวนี้เต็มประสิทธิภาพ การ์ดออกแบบมาเพื่อให้เราใช้ในการทำงานด้านกราฟฟิกและเล่นเกมในความละเอียด 4K หรือมากกว่า GeForce RTX 3080 ในเมื่อการ์ดจอตัวท็อปอย่าง GeForce RTX 3090 มีราคาที่สูงเกินไปทาง NVIDIA ก็มีการออกแบบการ์ดจอรองท็อปของ “GeForce RTX 30 Series” โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “GeForce RTX 3080” มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 31,000 บาทขึ้นไป ( เช่นเดียวกันค่ะ แล้วแต่แบรนด์และรุ่นที่วางจำหน่าย ) ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่การ์ดจอตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมโดยเฉพาะเลยค่ะ ราคานี้อาจจะสูงไปสำหรับเกมเมอร์บางคน แต่ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่ชื่นชอบการเล่นเกมกราฟฟิกสวย ๆ ในความละเอียดสูง ๆ แล้วมีสเปกคอมพิวเตอร์ที่สูงอยู่แล้วพร้อมกับกําลังทรัพย์มันเป็นหนึ่งในการ์ดจอที่ขอแนะนำเลยค่ะ ขนาดการ์ดจอของ GeForce RTX 3080 จะเล็กกว่า GeForce RTX 3090 นิดหน่อยค่ะ โดยจะกินพื้นที่ประมาณ 2 ช่องเพื่อใช้ในการติดตั้งเช่นเดียวกันค่ะ การเคลียร์พื้นที่ของเคสก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันเพื่อที่จะไม่ให้เคสมีความแออัดเกินไปจนทำให้เกิดความร้อนภายในเคส แต่ถ้าใครที่เคสขนาดใหญ่อยู่แล้วมีพัดลมระบายอากาศที่ดีก็ถือว่ารอดตัวไปค่ะ ในเรื่องของ Power Supply ก็คล้าย ๆ กับการ์ดจอตัวท็อปพอสมควรค่ะ ด้วยความที่ว่าขั้วต่อสายไฟเสริมก็จะใช้ PCle 8 Pin ถึง 2 เหมือนกันดังนั้นเราจะต้องคำนวนเรื่องการจ่ายไฟของระบบให้ดี ถึงแม้ว่าจะมีการอธิบายเอาไว้แล้วว่าขั้นต่ำควรใช้ Power Supply 750 วัตต์ แต่มันก็มีกรณีที่ไฟไม่เพียงพอ ถ้าจะให้เกวลินแนะนำจริง ๆ ควรประมาณ 850 วัตต์ขึ้นไปจะดีมาก ๆ เลยค่ะ ก็เรียกว่าหลังจากที่ประกาศวางจำหน่ายในบ้านเราในช่วงแรกไป กลายเป็นการ์ดจอรุ่นที่ได้รับความนิยมจากเกมเมอร์ผู้ที่สนใจเป็นอย่างมาก มันคือการ์ดจอตัวรองท็อปที่มีราคาไม่สูงจนเกินไปแต่แลกมากับประสิทธิภาพที่ถ้าให้เทียบกับรุ่น GeForce RTX 2000 Series การตอบรับยังไม่เท่านี้เลยค่ะ ซึ่งเพื่อนของเกวลินที่สนิทกันเขาตัดสินใจเปลี่ยนการ์ดจอจากเดิมใช้ GeForce GTX TITAN X มาเป็น GeForce RTX 3080 ผลที่ได้ก็คือ “ใช้งานได้ดีกว่าการ์ดตัวเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน” โดยเกมที่เขาเลือกลองทดสอบก็คือ Cyberpunk 2077 เริ่มทดสอบในความละเอียด 1080p ที่ปรับรายละเอียดกราฟฟิกสูงสุดพร้อมเปิดใช้งาน DLSS กับ Ray Tracing พบว่าเฟรมเรตสูงมาก ๆ แล้วจากนั้นลองสตรีมถ่ายทอดสดไปด้วยสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน “การ์ดจอตัวท็อปที่เล่นเกมปัจจุบันได้ลื่นไหล แต่ก็สู้อะไรใหม่ ๆ ใน 30 Series ไม่ได้เลย!” จากนั้นก็มีการขยับผลการทดสอบมาเทสในความละเอียด 2K หรือ 1440p แบบปรับรายละเอียดกราฟฟิกสูงสุดพร้อมเปิดใช้งาน DLSS กับ Ray Tracing เฟรมเรตก็ยังอยู่ในระดับที่ดีมาก ๆ แล้วตามมาด้วยการลองสตรีมถ่ายทอดสดบน Youtube ในความละเอียด 1440p/60fps ก็ทำได้ดีแถมยังเหลือ ๆ อีกด้วย บ่งบอกได้เลยว่าการ์ดจอ GeForce RTX 3080 ที่ทาง NVIDIA เครมเอาไว้เลยว่า “มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมในความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย ๆ” มันสามารถทำได้ตามที่เขาพูดเอาไว้จริง ๆ ค่ะ ดังนั้นถ้าสเปกภายในเครื่องของเราไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ Ram ของเราเป็นตัวท็อป ๆ การ์ดจอรุ่นนี้คุ้มค่าที่คุณจะยอมเสียเงินเป็นอย่างมากค่ะ สรุปแล้ว GeForce RTX 3080 ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? เรื่องของราคาก็จัดอยู่ในระดับที่สูงเหมือนกัน แต่ถ้าคุณมีเงินมากพอแล้วอยากจะเล่นเกมแบบลื่นไหลมันก็น่าลงทุน การ์ดจอตัวนี้ก็ยังคงกินไฟสูงเหมือนกัน ดังนั้นต้องคำนวนการจ่ายไฟของ Power Supply กันด้วยนะคะ ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่มีสเปกส่วนอื่น ๆ ก็สูงอยู่แล้ว การ์ดจอตัวนี้จัดไป เป็นการ์ดจอที่รองรับการเล่นเกมทั้งความละเอียด 1080p , 1440p และ 4K ได้อย่างสบาย ๆ GeForce RTX 3070 เราพูดถึงการ์ดจอตัวท็อปและรองท็อปของ “GeForce RTX 30 Series” กันไปแล้ว เรามาพูดถึงตัวกลาง ๆ ที่แท้ทรูกันบ้างค่ะ โดยรุ่นนี้มีชื่อว่า “GeForce RTX 3070” สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 18,900 บาทขึ้นไป ( ราคานี้ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์และรุ่นที่วางจำหน่ายด้วย ) โดยทาง NVIDIA เผยว่าการ์ดจอตัวนี้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า GeForce RTX 2080 Ti ที่เป็นตัวท็อปของรุ่นที่แล้ว ความพิเศษของรุ่นนี้คงเป็นเรื่องของราคาที่ดูสมเหตุ สมผลมากจริง ๆ ซึ่งเมื่อพอไปเทียบราคากับรุ่นก่อนที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราว ๆ 37,000 บาทขึ้นไปมันแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยค่ะ รุ่นก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่าปัญหาเรื่องการกินไฟของ Power Supply พอสมควร แต่ GeForce RTX 3070 จะกินไฟขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 650 วัตต์ การเลือกใช้ Power Supply ให้เหมาะสมก็ยังคงเป็นปัจจัยหลักสำคัญอยู่ดีค่ะ ถ้าจะให้แนะนำควรใช้ Power Supply อยู่ที่ประมาณ 850 วัตต์กำลังดีค่ะ แถมการ์ดจอรุ่นนี้ยังใช้ขั้วต่อสายไฟเสริมในรูปแบบ PCle 8 Pin เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น ตัวการ์ดจอมีขนาดที่ใหญ่พอตัวจะกินพื้นที่อยู่ประมาณ 2 ช่อง ผู้ใช้งานเองก็จำเป็นต้องเคลียร์พื้นที่ของเคสด้วย แล้วถ้าเคสมีขนาดเล็กไปก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่เพื่อที่เราจะสามารถจัดสายไฟแล้วการระบายความร้อนที่อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการประกอบคอมพิวเตอร์ที่ดีนั่นเองค่ะ มาพูดในเรื่องของประสิทธิภาพในการใช้งานกันหน่อยค่ะ GeForce RTX 3070 เป็นการ์ดจอระดับกลางที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในการเล่นเกมได้ทั้งความละเอียด 1080p, 1440p และ 4K ได้เหมือนกัน แต่จะทำได้ขนาดนั้น อุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น CPU, Ram และ Mainboard ด้วย เพราะมันจะเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อให้การทำงานของการ์ดจอเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากผลการทดสอบเกวลินก็พบว่ามันสามารถรันในความละเอียด 1080p กับ 1440p ได้อย่างสบาย ๆ เฟรมเรตที่ได้จากเกมอยู่ที่ 150 - 200fps กันเลยทีเดียว ส่วนเกมที่ใช้ในการรันความละเอียด 4K จะขับเฟรมเรตออกมาได้อยู่ที่ 59 - 65fps ทั้งนี้ก็อยู่ว่าเกมนั้น ๆ กินทรัพยากรมากน้อยแค่ไหน  ถ้าถามถึงความคุ้มค่า GeForce RTX 3070 มันเป็นการ์ดจอระดับกลางที่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี ใครที่มีสเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ แล้วกำลังมองหาการ์ดจอดี ๆ สักตัวในราคาที่ไม่แรงมากจนเกินไปมันก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่ใช่น้อยเลยค่ะ  สรุปแล้ว GeForce RTX 3070 ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? เหมือนทาง NVIDIA เดินเกมถูกมากเพราะมันคือการ์ดจอระดับกลางที่มีราคาจับต้องได้ เป็นการ์ดจอที่กินไฟน้อยกว่า 2 ตัวท็อปก่อนหน้านี้ แต่ยังไงก็ต้องคำนวนการจ่ายไฟของ Power Supply อยู่ดี คนที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์สเปกกลาง ๆ แล้วอยากเปลี่ยนการ์ดจอเพื่อใช้เล่นเกมได้ลื่นขึ้น ตัวนี้ก็เหมาะดี เป็นการ์ดจอที่รองรับการเล่นเกมทั้งความละเอียด 1080p , 1440p และ 4K ได้อย่างลื่นไหล GeForce RTX 3060 Ti มาถึงการ์ดจอตัวสุดท้ายของ “GeForce RTX 30 Series” ที่พึ่งประกาศเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ เลยรุ่นที่มีชื่อว่า “GeForce RTX 3060 Ti” สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 14,900 บาทขึ้นไป ( เหมือนเดิมค่ะ ราคาก็จะอยู่ที่แบรนด์และรุ่นที่วางจำหน่าย ) สำหรับการ์ดจอตัวนี้ยังถือได้ว่าเป็นการ์ดจอระดับกลางที่ถูกปรับสภาพลดลงมาจาก GeForce RTX 3070 เล็กน้อย ทาง NVIDIA ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่าตัวการ์ดจอรุ่นนี้ออกแบบมาให้เกมเมอร์ทั้งคนที่มีสเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ หรือ ระดับที่ต่ำลงมาอีกนิดสามารถเป็นเจ้าของการ์ดจอตระกูล GeForce RTX 30 Series ได้ไม่ยาก สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีกว่าการ์ดจอรุ่นเก่าของ GeForce RTX ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน สำหรับ “GeForce RTX 3060 Ti” ถือได้ว่าเป็นการ์ดจอที่กินพลังงานไฟน้อยมาก ๆ เพราะทาง NVIDIA อธิบายเอาไว้ว่า Power Supply ที่เหมาะสมในการใช้งานที่สุดอยู่ที่ประมาณ 600 วัตต์ นั้นหมายความว่าถ้าจะให้ดีผู้ที่ใช้การ์ดจอตัวนี้ต้องเลือก Power Supply อยู่ที่ประมาณ 700 - 800 วัตต์กำลังดีค่ะ เพราะส่วนใหญ่คนที่มีสเปกคอมพิวเตอร์กลาง ๆ ก็คงไม่ได้ตกแต่งอะไรมากก็จะใช้กำลังไฟอยู่ที่ราว ๆ นี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ส่วนการ์ดจอ “GeForce RTX 3060 Ti” มีการทดสอบออกมาเรียบร้อยแล้วว่าเหมาะกับการใช้งานในการเล่นเกมระดับความละเอียด 1080p กับ 1440p ที่สามารถปรับสุดแล้วเปิดใช้งาน DLSS กับ Ray Tracing เฟรมเรตที่ได้ก็อยู่ในระดับที่เกินคาดเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ถ้าเราเผลอเปิดใช้งานเทคโนโลยี RTX เฟรมเรตอาจจะดรอปลงไปบ้างเพราะมันจะรีดประสิทธิภาพการ์ดจอให้ทำงานเกือบ 100% ดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ ที่คิดว่าจะซื้อการ์ดจอตัวนี้มาเล่นเกมแบบปรับสุดทุกอย่างแล้วก็เปิด RTX พร้อมกับสตรีมถ่ายทอดสดไปด้วย สิ่งที่เราจะต้องคำนึกถึงก็คือว่า “สเปกภายในเครื่องของเราเพียงพอหรือเปล่า!?” ทั้ง CPU ที่เราใช้งานอยู่เป็นระดับไหน แล้วก็ Ram ที่มีอยู่ภายในเครื่อง แม้ว่าจะติดตั้งเอาไว้ 16 GB. แต่บางทีก็ต้องคำนึกถึงตอนเราเล่นเกม ตอนเปิดโปรแกรมต่าง ๆ เอาไว้ด้วย เพราะปัจจุบัน Ram 16 GB. มันกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่งั้นตอนสตรีมถ่ายทอดสดเปิดอาการกระตุกจนคนดูไม่สนุกแน่นอนค่ะ แล้วถ้าถามว่าการ์ดจอ “GeForce RTX 3060 Ti” เหมาะกับเกมเมอร์ประเภทไหน จริง ๆ แล้วมันคล้าย ๆ กับรุ่นก่อนหน้านี้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่มีสเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ CPU ไม่ได้ตัวท็อปอะไรมาก ( หรือเป็นตัวท็อปจากรุ่นก่อน ๆ ) มี Ram อยู่ในตัวเครื่องสัก 16GB. ขึ้นไป แล้วการ์ดจอที่ใช้เป็นรุ่นเก่ามากแล้วรันเกมกราฟฟิกหนัก ๆ ในยุค 2018 - 2020 ที่เฟรมเรตได้ราว ๆ  45 - 50fps แถมกราฟฟิกปรับสุดก็ไม่ได้ แปลว่าเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่ควรจะเปลี่ยนการ์ดจอมาสู่ยุคสมัยใหม่ได้แล้วค่ะ แล้วยิ่งเงินในกระเป๋าไม่ได้มากพอที่จะไปเล่นตัว GeForce RTX 3070 หรือตัวรองท็อปอย่าง GeForce RTX 3080 รุ่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสำหรับเกมเมอร์สายกระเป๋าแบนแฟนทิ้งได้ไม่ยากเลยค่ะ สรุปแล้ว GeForce RTX 3060 Ti ผู้ใช้งานต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง!? เป็นการ์ดจอระดับกลางที่ราคาจับต้องได้เหมาะสำหรับคนที่มีทุนไม่มากนัก การ์ดจอตัวนี้กินไฟน้อยมาก ถ้าซื้อมาแล้วยังไงก็ต้องจัดการระบบไฟฟ้าให้ดีไม่งั้นอาจจะไม่เพียงพอ คนที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ หรือ ต่ำลงมา แล้วใช้การ์ดจอรุ่นเก่าที่รันเกมในช่วง 2 - 3 ปีนี้แบบปรับสุดไม่ได้ มันก็เหมาะที่จะเปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้นะ เป็นการ์ดจอที่รองรับในการเล่นเกมทั้งความละเอียด 1080p กับ 1440p ได้สบาย ๆ แต่ระดับ 4K เฟรมเรตอาจจะไม่ได้ดีเท่าที่คาดหวังหนัก ต้องบอกไว้ก่อนนะคะว่าตอนนี้ทาง NVIDIA เตรียมเปิดตัวการ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ของตระกูล “GeForce RTX 30 Series” ในปี 2021 เพิ่มเติมอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น GeForce RTX 3080 Ti, GeForce RTX 3070 Ti, GeForce RTX 3060 และ GeForce RTX 3050 ใครที่ลังเลว่าจะรอตัวใหม่ ๆ ดีหรือเปล่าอันนี้ก็มาดูกันอีกทีว่าเรื่องของราคา, ความคุ้มค่า และ สเปกภายในเมื่อใช้งานจริง ทดสอบจริงแล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง แต่ที่เกวลินทราบมาก็คือมันก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนมากเท่าไหร่ แต่มีการเพิ่มความเร็วนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ก็เพิ่ม Ram ความจุให้สูงขึ้นเป็นต้น ก็หวังว่าบทความนี้คงจะช่วยเพื่อน ๆ ที่กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนการ์ดจอช่วงนี้ได้ไม่มากก็น้อยค่ะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าสวัสดีค่ะ!
17 Dec 2020