GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "post-format-gallery"
แนะนำ 3 สมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” แบรนด์ดังที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยตอนนี้
ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีทองของมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” เพราะแบรนด์มือถือชื่อเสียงหลายเจ้าถือได้ว่าตีตลาดหนักเป็นอย่างมาก ทำให้เกมเมอร์ที่ต้องการมือถือเอาไว้เล่นเกมโดยเฉพาะมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น แถมเราไม่ต้องซื้อเครื่องหิ้วเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มาอีกแล้ว วันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักเกมมิ่งโฟนที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยกันค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าทุกรุ่นเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปทั้งหมดเลย จะแตกต่างก็ประสิทธิภาพ, ลูกเล่นแต่ละแบรนด์ แล้วก็ราคา เมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ รุ่นแรกที่เกวลินขอแนะนำก็คือ “ASUS ROG Phone 3” จะเรียกว่าเป็นสุดยอดเกมมิ่งโฟนอันดับต้น ๆ ที่มีขุนพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” ที่ทาง ASUS ยังได้ดันประสิทธิภาพด้วยการ OC ตัวชิปเซ็ต CPU และ GPU ให้มีความเร็วมากกว่าเกมมิ่งโฟนแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือมีการแถมตัวระบายความร้อนรุ่นใหม่อย่าง “GameCool 3” ที่ทำให้เราสามารถเล่นเกมได้ตลอดทั้งวันไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนมือ แล้วด้วยความที่เป็น ASUS ก็มีการดีไซน์ตัวเครื่องในส่วนต่าง ๆ เช่น มีตัวรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แม่นยำ, ตัวรับเสียงพูดของผู้ใช้งาน, เพิ่มปุ่ม AirTriggers 3 เข้ามาด้านข้างเครื่องเพื่อใช้ในการเล่นเกมประเภท FPS ได้ดีมากกว่าเดิม, ลำโพงที่จัดมาให้เต็ม ๆ รวมไปถึงเรายังสามารถที่จะชาร์จขนาดเล่นพร้อมเชื่อมต่อในการถ่ายทอดสดได้อีกด้วย ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ ASUS ยังได้ออกแบบอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ออกมาเพียบเลย สุดท้ายนี้ก็ยังสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G อีกด้วยค่ะ สเปกเครื่อง ASUS ROG Phone 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย ROG UI หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.59 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ ที่รองรับการแสดงผลในรูปแบบ HDR10+ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz แถมที่มีค่าดีเลยเพียงแค่ 1ms เท่านั้น รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus และ Snapdragon 865 สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1 ( ไม่สามารถเพิ่มความจุได้ ) กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682], เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP, เลนส์ Macro ความละเอียดสูงถึง 5MP กล้องหน้า: ความละเอียด 24MP การเชื่อมต่อ: WiFi 802.11 a/b/g/n/ac/ax Bluetooth 5.1, USB-C 3.1 กับ ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ระบบเสียง: เป็นระบบเสียง DTS X Sound เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ แบตเตอรี่: 6,000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30 วัตต์ สำหรับ ASUS ROG Phone 3 วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันค่ะ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกันมีดังต่อไปนี้ค่ะ ASUS ROG Phone 3 ในรุ่น Ram 12GB. และ Rom 512GB. สนนราคาอยู่ที่ 32,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ASUS ROG Phone 3 Strix Edition ในรุ่น Ram 8GB. และ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 24,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ROG Phone 3 Lighting Armor Case - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Clip - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Kunai 3 Gamepad - ราคาอยู่ที่ 3,990 บาท TwinView Dock 3 - ราคาอยู่ที่ 7,990 บาท โดย ASUS ROG Phone 3 สามารถหาซื้อได้ทั้ง ASUS Exclusive Store, ASUS Official Store ผ่านช่องทาง Shopee กับ lazada นอกจากนี้ยังสามารถซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ที่มีโปรโมชั่นลดราคาในแพ็คเกจพิเศษแล้วก็ยังสามารถสั่งซื้อผ่านร้านค้าชื่อดังทั้ง JIB Computer หรือ Banana ก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกันค่ะ ใครที่อยากจะได้สุดยอดเกมมิ่งโฟนห้ามพลาดเลยค่ะ! รุ่นต่อมาพึ่งประกาศวางจำหน่ายในบ้านเราแบบสด ๆ ร้อน ๆ กันเลยกับ “Legion Phone Duel” จากแบรนด์ Lenovo ที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของ ASUS ROG Phone 3 เลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โดย Legion Phone Duel ก็ถูกจัดอยู่ในสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่ใช้ซิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” เหมือนกัน แล้วจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ตรงที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเกมที่เล่นแบบแนวนอนเป็นหลัก ( ส่วนใหญ่เกมก็มักจะเป็นแนว ๆ นี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ ) ที่น่าสนใจอีกข้อก็คือมีการปรับปรุงปุ่ม Trigger ทั้งซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่แม่นยำขึ้น ใครที่ชอบเล่นเกมแนว FPS หรือ บางคนจะนำไปใช้กับเกมแนว MOBA ก็ได้เหมือนกันค่ะ โดยสองปุ่มนี้จะเป็นปุ่มที่เพิ่มคำสั่งต่าง ๆ ภายในเกมขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้เล่นต้องการตั้งค่าเพื่อให้ใช้งานรูปแบบไหน ที่เด็ดสุดก็คือทาง Lenovo ได้ออกแบบระบบสั่นเป็นมอเตอร์คู่อยู่ฝั่งซ้าย กับ ขวาของตัวเครื่องที่จะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมบนมือถือแบบใหม่ซะด้วยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ รุ่นนี้ก็รองรับเทคโนโลยี 5G ด้วยเช่นกันค่ะ สเปกเครื่อง Legion Phone Duel ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Legion OS และ ZUI12 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.65 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus  GPU: Adreno 650 RAM: 12GB. และ 16GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1  กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.89, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 16MP กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.2 เป็นรูปแบบป๊อปอัพด้านข้าง การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, มี USB-C ถึง 2 ช่องส่งผลทำให้เราสามารถที่จะชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมกับเล่นเกมไปด้วย ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และ มีระบบระบายความร้อนแบบ Dual-Liquid และ Mid-Thermal แบตเตอรี่: 5,000 mAh ที่ทาง Lenovo ออกแบบมาให้เป็น 2 ส่วนคือข้างละ 2,500 mAh เหตุผลก็เพราะเพื่อลดความร้อนระหว่างการชาร์จแบตเตอรี่ หรือ ลดความร้อนจากการที่เครื่องทำงานอย่างหนัก แล้วเด็ดที่สุดคือรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 90 วัตต์ที่เครมกันว่าสามารถชาร์จจาก 0 ไป 100% ในระยะเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น! โดย Legion Phone Duel วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน รุ่นแรกมี Ram 12GB. แล้วก็ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 23,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีน้ำเงินเท่านั้น และ รุ่นต่อมา Ram 16GB. แล้วก็ Rom 512GB. ราคาอยู่ที่ 30,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีแดงเท่านั้น ซึ่งถ้าใครที่อยากจะได้ในแพ็คเกจราคาพิเศษก็ซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ได้เลยค่ะ เพราะราคาถูกมาก ๆ เลย แล้วถ้าใครที่ใช้เบอร์ของ AIS มานานก็จะได้รับสิทธิ์ในการลดราคาเพิ่มเติมอีกด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกเหนือจากนี้ยังมีการวางจำหน่ายผ่านช่องทางอื่น ๆ อาทิเช่น IT City, JD.co.th, JIB Computer, Speed Computer, Banana และ BlueShop เป็นต้นค่ะ มาถึงอีกหนึ่งรุ่นที่เริ่มตีตลาดในบ้านเราได้ราว ๆ 2 ปีแล้วค่ะ กับ “Black Shark 3, Black Shark 3 Pro หรือ Black Shark 3S” หนึ่งในแบรนด์ลูกของ Xiaomi ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับจากเกมเมอร์เป็นอย่างดีเลยค่ะ เห็นชื่อแบรนด์หลายคนก็คงจะทราบเลยว่ามันคือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดา 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้เลยค่ะ แต่ก็ใช่ว่าประสิทธิภาพของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างนั้นนะคะ โดยต้องอธิบายก่อนว่าปัจจุบันทาง Xiaomi มีแค่ 2 รุ่นที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราก็คือ Black Shark 2 กับ Black Shark 3 ส่วน Black Shark 3 Pro กับ Black Shark 3S ที่เป็นรุ่นอัปเกรดเพิ่มประสิทธิภาพยังไม่มีตารางการนำเข้ามาวางจำหน่าย สำหรับ Black Shark 3 ทาง Xiaomi เลือกใช้ชิปเซ็ต “Snapdragon 865” แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่ได้แตกต่างจากชิปเซ็ตตัวท็อป “Snapdragon 865 Plus” ก็ตาม แต่ตัวนี้ก็สามารถรองรับเทคโนโลยี 5G และ Wi-Fi 6 ได้ด้วย มีการดีไซน์มีปุ่ม Shoulder Button ที่อยู่ทางซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องเหมือนกับ 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้ค่ะ ความเก๋ของมันก็คือเมื่อเวลาเล่นเกมปุ่มนี้จะเด้งขึ้นมาเพื่อให้ใช้งาน แต่เมื่อใดที่เราใช้งานแบบปกติมันก็จะกลับไปอยู่ในสภาพตามปกติค่ะ อีกทั้งยังเครมอีกว่ามันทนต่อแรงกด และ การหดตัวเวลาเก็บได้ถึง 300,000 ครั้ง ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยค่ะ นอกจากนี้ Black Shark 3 ยังมีลำโพงคู่ในรูปแบบระบบสเตริโอ รวมไปถึงยังรองรับระบบเสียงแบบ Hi-Res อีกด้วยค่ะ เท่านั้นยังไม่พอใครที่ใช้ชอบหูฟังที่เป็นรูปแบบ 3.5 มม. รุ่นนี้ก็กลับมาให้เราได้ใช้งานกันอีกครั้ง แถมตัวนี้ยังมีการชาร์จแบบแม่เหล็กที่แตะด้านหลังเครื่องได้ด้วย รวมไปถึงยัง สเปกเครื่อง Black Shark 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Joy UI 11 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.67 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 90Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz  CPU: Snapdragon 865 GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR4x ความจุ: 125GB. และ 256GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.0 กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.8, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.3 และ เลนส์ Depth ความละเอียด 5MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.2  กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.0 การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, USB-C ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แบตเตอรี่: 4,720 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 65 วัตต์ การชาร์จแบบแม่เหล็กด้านหลังเครื่อง 18 วัตต์ สำหรับ Black Shark 3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการผ่านช่องทาง Black Shark Official Store แพลตฟอร์ม lazada เท่านั้น! โดยสนนราคาอยู่ที่ 21,900 บาท ก็จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นระยะ ๆ ซึ่งในตอนที่เขียนบทความนี้ลดราคาเหลืออยู่ที่ 18,990 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกจากนี้ทาง Xiaomi ยังจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับ Black Shark 3 เพียบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเคส, พัดลมระบายความร้อน, หูฟัง, คีย์บอร์ดมือถือ หรือ คอนโทรลเลอร์ เป็นต้น ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ ได้ที่ ( คลิกที่นี่ )  นี่คือมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ไม่นับแบรนด์อื่น ๆ ที่วางจำหน่ายแล้วมีร้านค้าที่หิ้วนำเข้ามาขายในบ้านเรานะคะ ซึ่ง 3 แบรนด์นี้เกมเมอร์สามารถซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการประกันจากผู้ผลิต หรือใครที่ต้องการอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เลย งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเพื่อน ๆ ว่าอยากจะซื้อแบรนด์ไหนมาใช้งานกัน เพราะแต่ละรุ่นก็มีลูกเล่น, ประสิทธิภาพ แล้วก็ราคาที่แตกต่างกันออกไป เรียกว่าจะไปให้สุดแล้วหยุดที่สุดยอด หรือ จะเลือกประหยัดแต่ก็เล่นเกมได้เหมือนกันอยู่ที่เพื่อน ๆ ตัดสินใจเลยค่ะ แล้วพบกันใหม่กับบทความหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ!
12 Nov 2020
รู้ก่อนซื้อ! PlayStation 5 เครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ซื้อรุ่นไหนและข้อมูลอัปเดตล่าสุด
อีกไม่กี่วันทาง Sony Interactive Entertainment ก็จะวางจำหน่ายเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “PlayStation 5” ให้กลุ่มประเทศแรกกันแล้วค่ะ ซึ่งบ้านเราเองก็ได้แต่รอลุ้นว่าจะวางจำหน่ายตามกำหนดการณ์เดิมคือวันที่ 19 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้หรือเปล่า แถมตอนนี้ก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยมีคำถามเกิดขึ้นว่า “สรุปแล้วเราจะต้องเลือกซื้อ PlayStation 5 รุ่นไหนดี!?” เพราะมีการผลิตออกมาทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน วันนี้เกวลินจะมาสรุปและวิเคราะห์ให้เพื่อน ๆ เข้าใจเพื่อได้ตัดสินใจถูกว่าควรซื้อรุ่นไหนดี อัปเดตข่าวล่าสุดของ PlayStation 5 กันก่อน! ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องสเปกและรายละเอียดต่าง ๆ ของเครื่อง PlayStation 5 เรามาพูดถึงข้อมูลล่าสุดกันก่อนค่ะ เพราะตอนนี้สื่อต่างประเทศรวมไปถึงยูทูปเบอร์ชื่อดังหลายคน ( ส่วนใหญ่ทั้งหมดจะเป็นของต่างประเทศ ) ได้ออกมารีวิวพูดถึงความรู้สึกแรกหลังจากที่แกะกล่อง แล้วได้ลองทดสอบในการเล่นเกมต่าง ๆ ผลที่ได้รับจากผู้ใช้ก็คือ “เทคโนโลยีใหม่ ๆ บนเครื่อง PlayStation 5 ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก” เพราะมันได้มอบประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีกว่าเครื่องเกมรุ่นเก่าอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย สิ่งที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ “การโหลดเข้าเกม” ที่รวดเร็วภายในระยะไม่กี่วินาที ยกตัวอย่างเช่นเกม Marvels Spider-Man: Miles Morales อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าโหลดฉากตั้งแต่หน้าเมนูยันหน้าเข้าเกมใช้เวลาเพียงแค่แว่บเดียวจริง ๆ ถ้าย้อนไปสมัยก่อนกว่าจะเข้าเกมได้ต้องโหลดนั้น โหลดนี้ใช้เวลาร่วมนาทีเลยค่ะ  อีกสิ่งที่ได้รับคำชมไม่แพ้กันก็คือ “DualSense Controller” เพราะเขาได้อธิบายเอาไว้ว่าตัวจอยมีขนาดใหญ่จับกระชับมือ อีกทั้งมันยังมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเล่นเกม เราจะสัมผัสถึงแรงต้านในการกดแต่ละระดับหรือที่เรียกว่า Adaptive Triggers และ ระบบการสั่น Haptic Feedback ที่เมื่ออยู่ในมือผู้ใช้งานจะรู้สึกถึงแรงสั่นที่ให้ความสมจริงตามอิริยาบถของตัวละครที่ปรากฎอยู่ภายในเกม แต่เมื่อมาเทสกับเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Marvels Spider-Man: Miles Morales สองฟีเจอร์นี้ยังตอบสนองไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนระบบ 3D AudioTech ยังทำออกมาไม่ได้โดดเด่นมากนัก เพราะสื่อต่างประเทศก็บอกว่าตอนนี้ใช้งานได้ตอนเชื่อมต่อกับหูฟังเท่านั้น! นอกจากเรื่องการโหลดเข้าเกมที่รวดเร็วถูกใจเกมเมอร์แล้ว “เสียงพัดลม” ตอนระบายความร้อนก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ซึ่งถ้านำไปเทียบกับเครื่อง PlayStation 4 Pro ตอนทำงานแบบปกติระดับเสียงจะอยู่ที่ 45 dB แล้วถ้าทำงานแบบเต็มประสิทธิภาพเสียงจะดังสูงถึง 54 bB ตรงกันข้ามกับเครื่อง PlayStation 5 ที่แม้ว่าจะทำงานหนักแต่เสียงพัดลมดังแค่ 38 dB เท่านั้น! แม้ว่าจะถูกชมมากน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เหมือนถูกพูดถึงมากที่สุดเลยก็คือ “SSD M.2” ที่ติดมากับตัวเครื่องที่ให้มา 825GB. แต่เมื่อมีการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ที่เครื่องจำเป็นต้องใช้ก็จะเหลือเนื้อที่อยู่ประมาณ 667GB. ที่ดูน้อยไปหน่อย แถมตอนนี้ตัวเครื่องยังไม่รองรับ SSD M.2 ในช่องที่เครื่องมีให้ติดตั้ง อีกทั้งยังไม่สามารถนำเกมจากเครื่อง PlayStation 5 ไปติดตั้งอยู่ใน External HDD เพื่อใช้เก็บตัวเกม หรือ ใช้เล่นเหมือนสมัยเครื่อง PlayStation 4 ทั้งนี้ถ้าต้องการจะเล่นเกมจาก PlayStation 4 ที่มีอยู่ใน External HDD สามารถเล่นได้ตามปกติค่ะ สเปกเครื่อง PlayStation 5 อย่างเป็นทางการ CPU: AMD Zen 2-based CPU with 8 cores at 3.5GHz. GPU: 10.28 TFLOPs, 36 CUs at 2.23GHz. GPU Architecture: Custom RDNA 2 Memory Interface: 16GB. GDDR6 / 256-bit Memory Bandwidth: 448GB/s Internal Storage: Custom 825GB. SSD M.2 Usable Storage: 667.2GB. IO Throughput: 5.5GB/s (Raw), typical 8-9GB/s (Compressed) Expandable Storage: NVMe SSD Slot External Storage: USB HDD Support แค่เกมจากแพลตฟอร์ม PlayStation 4 เท่านั้น Optical Drive: 4K UHD Blu-ray Drive เห็นสเปกเครื่องกันแล้วก็ต้องมาพูดให้เข้าใจกันก่อนว่าทาง Sony Interactive Entertainment วางจำหน่ายเครื่อง PlayStation 5 ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ รุ่นแบบมี 4K UHD Blu-ray Drive และ Digital Edition ความแตกต่างมันมีส่วนไหนบ้าง!? คำตอบก็คือ “แตกต่างแค่มี 4K UHD Blu-ray Drive กับ ไม่มีเท่านั้นเองค่ะ!” เพราะสเปกภายในส่วนอื่น ๆ ทั้ง CPU, GPU และ Ram ไม่มีการปรับหรือลดสเปกเครื่องลงมาเหมือนกับ Xbox Series X กับ Xbox Series S ที่สเปกภายในแตกต่างกันพอสมควร โดยรุ่น 4K UHD Blu-ray Drive เราสามารถใส่แผ่นเกมเข้าไปในเครื่อง PlayStation 5 หลังจากนั้นจะมีการติดตั้งเกมบางส่วนลงไปใน SSD M.2 ด้วยเพื่อลดระยะเวลาในการดาวน์โหลดเข้าเกม ซึ่งเมื่อเราได้แกะตัวเครื่องออกจะมีช่องให้ติดตั้ง SSD M.2 เพิ่มได้อีก 1 ตัวแล้วจากข้อมูลที่ยืนยันแล้วก็คือ “จะต้องเป็น SSD M.2 Gen 4 เท่านั้น!” แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยว่ามีรุ่นไหน แบรนด์ไหนบ้างที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งก็คงต้องรอทาง Sony ประกาศอย่างเป็นทางการเพิ่มเติมอีกครั้งค่ะ ตามมาด้วยรุ่น Digital Edition รุ่นนี้ได้ตัดเอาส่วน “4K UHD Blu-ray Drive” ออกไปทำให้ตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กลงจากเดิมเล็กน้อย ( เล็กน้อยจริง ๆ ค่ะ ) แต่อย่างที่บอกไปว่าสเปกภายในเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่ว่าถ้าเราต้องการจะเล่นเกมจะต้องซื้อเกมจาก PlayStation Store แล้วดาวน์โหลดมาติดตั้งใน SSD M.2 ที่อยู่ภายในเครื่องที่เหลือเนื้อที่อยู่ประมาณ 667GB. บางคนถามว่า “เพ่แล้วมันจะเพียงพอหรอ!?” ตอบเลยว่าถ้าไม่ใช่เกมที่มีขนาดใหญ่มันก็สามารถติดตั้งเกมได้มากถึง 5 - 6 เกมเลยนะคะ ไม่นับเกมที่กินทรัพยากรเครื่องอย่าง Call of Duty: Modern Warfare ที่กินไปมากกว่า 200GB. ก็อาจจะทำให้ติดตั้งเกมได้น้อยลง สิ่งที่เกวลินเจอปัญหาก่อนหน้านี้ก็คือ “การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในรูปแบบ Wi-Fi” สมัยดาวน์โหลดเกมบนเครื่อง PlayStation 4 Pro ในรูปแบบ Wi-Fi แม้ว่าตัวเครื่องจะตั้งอยู่ใกล้กับเลาเตอร์เลยก็ตาม แต่รู้สึกว่าความเร็วที่ดาวน์โหลดเกมดูช้าผิดปกติ แถมตอนที่เรา Test Speed แล้วก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่นัก ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Wi-Fi ของเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 จะปรับปรุงการเชื่อมต่อสัญญาณให้ดีขึ้นเพื่อที่จะช่วยลดระยะเวลาในการดาวน์โหลดเกมไม่มากก็น้อยค่ะ เมื่อสเปกภายในเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ “ราคา” ใช่ค่ะ ทาง Sony Interactive Entertainment ได้มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการออกมาแล้วว่าเครื่องเกม PlayStation 5 ทั้งรุ่น 4K UHD Blu-ray Drive และ Digital Edition ออกมาเรียบร้อยแล้ว ประกอบไปด้วย $499.99 เหรียญสหรัฐฯ หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 15,300 บาท ( รุ่น 4K UHD Blu-ray Drive ) และ $399.99 เหรียญสหรัฐฯ หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 12,240 บาท ( รุ่น Digital Edition ) โดยค่าเงินบาทอ้างอิงในปัจจุบัน  แต่ก็ต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่าในวันที่เกวลินเขียนบทความนี้ทาง PlayStation Thailand และ Sony Thailand ก็ยังไม่มีการประกาศราคาของเครื่องศูนย์ไทยแต่อย่างใดนะคะ แต่ก็แอบได้ยินมานิด ๆ ว่า “ราคาเครื่องก็จะไม่ได้แตกต่างจากที่เปิดตัวอย่างแน่นอน!” แต่ถ้าราคาเครื่องหิ้วที่แอบไปส่อง ๆ มาก็เห็นว่าราคากระโดดสูงถึง 30,000 - 50,000 บาทแล้วแต่กรณีด้วยค่ะ ก็เอาเป็นว่าใครที่จะรอเครื่องศูนย์ไทยที่มีประกันก็ต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งค่ะ สรุป จากข้อมูลที่เกวลินหยิบยกมานี้ทั้งเครื่องสเปกเครื่อง, ราคา, ความแตกต่าง และ ข้อมูลอัปเดตล่าสุดจากสื่อต่างประเทศที่ได้สัมผัสเครื่อง PlayStation 5 มาเล่าสู่กันฟัง แล้วถ้าให้พูดว่าสรุปแล้วควรเลือกซื้อเครื่องรุ่นไหนดีระหว่าง 4K UHD Blu-ray Drive และ Digital Edition ก็คงตอบว่า “แล้วแต่กำลังทรัพย์และรูปแบบไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมากกว่า” เพราะบางคนอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบการสะสมแผ่นเกมก็มักจะใช้ซื้อเครื่องที่ช่องใส่แผ่น แต่ด้วยยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้หลายคนหันมาซื้อแบบดิจิตอลดาวน์โหลดมากยิ่งขึ้น โดยตัวเกวลินเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะจะซื้อเกมแบบดิจิตอลดาวน์โหลดมากกว่า มันสามารถเก็บไว้ในบัญชีของเราได้ ไม่มีวันหายแล้วก็สามารถนำไปใช้กับเครื่องอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา แถมปัจจุบันก็มีการมีแอพพลิเคชั่น PlayStation App ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อเข้ากับบัญชีของตนเอง จะสั่งซื้อเกม, อัปเดตข่าวสารใหม่ ๆ หรือ ดูว่าเพื่อน ๆ ของเราเล่นเกมอะไรอยู่ก็สะดวก สบายกว่าเมื่อก่อนมาก เลยคิดว่าเรื่องราคาและรูปแบบเครื่องไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของเรามากกว่าค่ะ ถ้าให้เกวลินเลือกซื้อรุ่น Digital Edition แน่นอน! แล้วเพื่อน ๆ ละคะจะซื้อรุ่นไหนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ แล้วพบกันใหม่กับบทความหน้าค่ะ
12 Nov 2020
รู้ก่อนซื้อ! Devil May Cry 5: Special Edition แตกต่างจากเวอร์ชั่นเก่ายังไงบ้าง
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วค่ะ ที่เกมเมอร์จะได้สัมผัสเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ “PlayStation 5” กันแล้วค่ะ โดยประเทศกลุ่มแรกที่จะเป็นเจ้าของกันก่อนก็ประกอบไปด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, แคนาดา, เม็กซิโก, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และ เกาหลีใต้ แล้วเกมที่น่าจับตามองและวางจำหน่ายในวันเดียวกันกับเครื่องก็คือ “Devil May Cry 5: Special Edition” เกมแนว Action Hack & Slash สุดมันส์จากค่าย Capcom มันก็สร้างคำถามมากมายแก่เกมเมอร์ว่า “ตัวเกมเวอร์ชั่นนี้มันแตกต่างจากก่อนหน้านี้ยังไง!?” วันนี้เกวลินก็เลยจะมาเล่าสู่กันฟังว่าตัวเกมเวอร์ชั่นนี้น่าสนใจกว่าตัวเดิมมากน้อยแค่ไหนกันค่ะ! ปรับปรุงกราฟฟิกด้วยเทคโนโลยี Ray Tracing ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ “เทคโนโลยี Ray Tracing” ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่คอมพิวเตอร์ที่มีสเปกสูงและอุปกรณ์สำคัญอย่าง “การ์ดจอ” จะต้องรองรับด้วย แต่ทั้งนี้เกมต่าง ๆ ก็ต้องรองรับด้วย แล้วสิ่งที่ได้ก็คือมันจะช่วยทำให้แสง, สี หรือ เงาสะท้อนกระทบต่อวัตถุดูสวยงาม แล้วมีความสมจริงมากขึ้น แล้วด้วยเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องเกมคอนโซลทั้ง PlayStation 5 และ Xbox Series X ทาง Capcom ก็เลยเพิ่มโหมดนี้มาส่งผลทำให้กราฟฟิกภายในเกม Devil May Cry 5: Special Edition มีรายละเอียดกราฟฟิกที่สวยมากยิ่งขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน Ray Tracing โดยทาง Capcom ได้ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า Ray Tracing ของเกม Devil May Cry 5: Special Edition สามารถเปิดใช้งานในความละเอียด 1080p หรือ 4K ได้ แต่เฟรมเรตก็จะแตกต่างกัน โดยความละเอียด 1080p จะสามารถปลดล็อคเฟรมเรตได้สูงสุด 60 - 120fps ส่วนความละเอียด 4K สามารถรีดเฟรมเรตออกมาอยู่ที่ 30fps ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีการออกแพทช์อัปเดตเพื่อให้สามารถรีดเฟรมเรต 60fps ได้หรือเปล่า ซึ่งก็มีเผยภาพแบบเปรียบเทียบกันเลยว่าความแตกต่างระหว่างการปิด และ เปิดใช้ Ray Tracing แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน จากภาพก็จะเห็นว่าถ้าเราเปิด Ray Tracing แสง, สี และ เงาจะดูดีขึ้น ด้านสีจะดูเข้มมากขึ้น แสงจะดูสว่าง ( แต่ไม่ได้สว่างจ้าอะไรนะคะ ) อย่างเหมาะสม และ เงาสะท้อนที่เห็นจากผิวน้ำ หรือ สะท้อนจากกระจก เราจะเห็นอย่างชัดเจนแม้แต่ตอนที่ตัวละครของเราเคลื่อนไหวแล้วมีการสะท้อนออกมาให้เราได้เห็นด้วย แล้วมันก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมเครื่องเกมคอนโซลยุคเก่าถึงไม่มีแพ็คเกจนี้ขายนั่นเองค่ะ ปรับปรุงเกมเพลย์ให้ลื่นไหลกว่าเดิมด้วย Turbo Mode จริง ๆ แล้วตัวเกม Devil May Cry 5 ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีเกมเพลย์แอ็คชั่นรวดเร็วอยู่แล้ว ยิ่งถ้าคนที่เล่นจนกลายเป็น “โปรเพลเยอร์” ก็สามารถทำคอมโบของตัวละครแบบเทพ ๆ ชนิดที่สร้างคอมโบแบบแปลก ๆ ทำแรงค์ได้ระดับ SSS ตลอดเวลาแถมไม่โดนการโจมตีแล้วก็ปิดการสังหารได้อย่างรวดเร็ว แต่ใน Devil May Cry 5: Special Edition ทาง Capcom ได้เพิ่มโหมดที่มีชื่อว่า “Turbo Mode” เข้ามา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการเคลื่อนไหวของตัวละครจะรวดเร็วมากกว่าเวอร์ชั่นปกติ อีกทั้งเกมเพลย์จะลื่นไหลมากขึ้นมีการลดแอนิเมชั่นของการโจมตีตัวละครลงทำให้เราสามารถทำคอมโบต่าง ๆ ได้ง่ายมากขึ้น ใครที่เล่นเก่ง ๆ อยู่แล้วคงสนุกกับการทำคอมโบมากกว่าเดิม เพิ่มศัตรูให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยโหมดที่หลายคนรอคอย Legendary Dark Knight ต้องบอกว่าทุกภาคของ Devil May Cry ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนก็ตาม “Legendary Dark Knigh Mode” โหมดที่เกวลินคิดว่าทำออกมาเอาใจเกมเมอร์บางกลุ่มที่อยากจะให้ฉากต่อสู้มีมอนสเตอร์มากกว่าปกติ เช่นเดียวกันกับภาค Devil May Cry 5: Special Edition ทาง Capcom ก็หยิบนำโหมดนี้ใส่เข้ามาด้วย ต้องอธิบายให้เข้าใจกันก่อนค่ะ ตัวเกม Devil May Cry ในทุก ๆ ภาคจะมีโหมดที่เรียกว่า “Legendary Dark Knigh Mode” จะเพิ่มมอนสเตอร์เข้ามาในฉากนั้น ๆ มากกว่าปกติ บางฉากก็อาจจะมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเข้ามาผสมกับมอนสเตอร์ระดับล่าง ๆ ปะบนอยู่ในนั้นด้วย ทำให้เราสามารถกวาดจัดการมอนสเตอร์ทีละมาก ๆ เพื่อเก็บ Red Orbs ทีละมาก ๆ ได้ โดยใน Devil May Cry 5: Special Edition จะมีความแตกต่างตรงที่ยิ่งฉากด่านเริ่มยากขึ้นเมื่อไหร่ ศัตรูที่แข็งแกร่งก็จะปรากฎตัวออกมาพร้อมกันทีละหลายตัวมากขึ้น ความมันส์ก็จะเริ่มจากตรงนี้ที่เกมเพลย์ถูกปรับให้รวดเร็วขึ้นแล้ว การเจอมอนสเตอร์เยอะ ๆ ก็ทำให้ผู้เล่นสามารถฝึกฝนเกมเพลย์ให้ก้าวสู่ “โปรเพลเยอร์” สายเกมแอ็คชั่นได้ไม่ยากเลยค่ะ การกลับมารอบที่ล้านเพิ่มตัวละครลูกรักประจำซีรีส์ Vergil พี่ชายของ Dante ก็ต้องบอกว่าทุกครั้งที่เกม Devil May Cry ไม่ว่าจะภาคไหนก็ตามแล้ววางจำหน่ายในแพ็คเกจ Special Edition สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาแน่นอนก็คือ “ตัวละคร Vergil” พี่ชายของ Dante ที่มีรูปแบบเกมเพลย์แตกต่างจากตัวละครอื่น ๆ ของซีรีส์นี้ในหลาย ๆ จุด ไม่ว่าจะเป็นพลังทำลายล้างที่เรียกว่าสูงที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมด แถมอาวุธที่ใช้โจมตีในระยะประชิดก็มีหลากหลายแบบ แล้วถ้าใครที่เล่นเกม Devil May Cry 5 เวอร์ชั่นบน PC ก็จะมี Mod ที่เราสามารถนำตัวละครนี้ได้ด้วย แต่ถึงกระนั้นมันก็มีความแตกต่างจากตัวเกมเวอร์ชั่น Devil May Cry 5: Special Edition มากเลยละค่ะ แตกต่างตรงที่ใน Devil May Cry 5: Special Edition ทาง Capcom ได้ออกแบบเกมเพลย์และดีไซน์ใหม่ ๆ ของตัวละคร Vergil แบบที่ตัวเกมในเวอร์ชั่นเดิมไม่มี ซึ่งตัวละครนี้เราสามารถเลือกเล่นได้ตั้งแต่แรกเลย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในเวลานี้ก็คือ “ตัวละคร Vergil คือตัวละครที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเล่นในฉากต่าง ๆ แต่จะไม่มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองเหมือนเดิม” แต่อย่างไรก็ตามก็จะมีฉากคัทซีนใหม่ ๆ ที่จะให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของตัวละครนี้ จริง ๆ ก็แอบเสียดายเหมือนกันอยากให้ Capcom จริงจังในส่วนของเนื้อเรื่องและเกมเพลย์มากกว่านี้หน่อย ในด้านของเกมเพลย์ที่ทาง Capcom ได้ดีไซน์ให้ Vergil ยอมรับว่าแต่ละท่าน่าสนใจไม่น้อยเลย อาวุธที่เราได้เห็นก็ประกอบไปด้วย “ดาบ Yamato” ดาบคู่กาย่ของ Vergil รูปแบบการโจมตีของดาบนี้จะยากกว่าอาวุธชนิดอื่น ๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็มีพลังทำลายล้างที่สูงมาก แล้วถ้าเราฝึกฝนจนชำนาญมันจะกลายเป็นอาวุธทำลายล้างที่น่ากลัวมากจริง ๆ, “สนับมือและสนับเท้า Beowolf” อาวุธที่ตามติดตัว Vergil มาตั้งแต่ Devil May Cry 3 มันคืออาวุธที่มีความแข็งแกร่งสามารถตัดหรือทำลายเกราะที่แข็งแกร่งของศัตรูได้อย่างสบาย ๆ และ “ดาบ Force Edge” ที่มีพลังทำลายล้างระดับกลาง แต่สามารถทำคอมโบได้ดีกว่าอาวุธชนิดอื่น ๆ เป็นต้น  แล้วใน Devil May Cry 5: Special Edition ก็มีการเพิ่มท่าพิเศษเข้ามาด้วย อาทิเช่น การเรียกตัวตนอีกด้านอย่าง  ออกมาแล้วอัญเชิญู Griffon, Shadow และ Nightmare ออกมาเพื่อโจมตีทำลายล้างศัตรูที่รุนแรงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวค่ะ หรือ จะเป็นการเรียกร่างแยกออกมาช่วยในการโจมตี เป็นต้น   คอนเทนต์ใน Devil May Cry 5: Special Edition มีอะไรบ้าง!? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยว่า “Devil May Cry 5: Special Edition ซื้อมาแล้วจะได้อะไรในนี้บ้าง!?” เกวลินจะเฉลยให้ทราบก็คือ มันคือตัวเกมแพ็คเกจ Deluxe Edition ที่เราจะได้คอนเทนต์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นได้รับ Red Orbs จำนวน 100,000 Point, เพิ่มเสียง Alt Style Rank ตอนที่เราทำแรงค์ต่าง ๆ, ฉากคัทซีทแบบ Live Action Cutscenes เข้ามา, เพิ่มเพลงประกอบจาก Devil May Cry 1 - 4 ให้เราเปลี่ยนได้, เพิ่มอุปกรณ์พิเศษ Gerbera GP01, Pasta Breaker, Sweet Surrender, Mega Buster และ Cavaliere R ดังนั้นก็คือซื้อทีเดียวจบค่ะ แล้วนี่คือรายละเอียด “รู้ก่อนซื้อเกม Devil May Cry 5: Special Edition” ที่มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้บนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 และ Xbox Series X เท่านั้นนะคะ ส่วนคนที่ถามว่า “พี่แล้วทำไมแพลตฟอร์มเก่า และ พีซีถึงไม่มี!?” คำตอบก็คือ หลาย ๆ ฟีเจอร์เครื่องคอนโซลรุ่นเก่าไม่สามารถรองรับได้ ส่วนเวอร์ชั่น PC ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะวางจำหน่ายแพ็คเกจนี้ในอนาคตไหม แต่ที่ประกาศออกมาแล้วก็คือ “จะอัปเดตในวันที่ 15 ธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยจะเพิ่มตัวละคร Vergil อย่างเดียว” บนแพลตฟอร์ม PC, PlayStation 4 และ Xbox One อีกทั้ง Devil May Cry 5: Special Edition ไม่มีตัวละคร Trish และ Lady ให้เราได้เล่นเหมือนกับ Devil May Cry 4: Special Edition นะคะ แอบเสียดายเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าทาง Capcom จะมีการอัปเดตออกมาเพื่อเรียกเสียงฮือฮาอีกครั้งหรือเปล่า โดยตอนนี้ตัวเกมได้เปิดวางจำหน่ายล่วงหน้าแล้วนะคะ อ้างอิงราคาจากแพลตฟอร์ม PlayStation 5 สนนราคาอยู่ที่ 1,212 บาท ใครจะสั่งซื้อได้แล้ววันนี้ค่ะ ( คลิปที่นี่ ) แต่อย่างไรก็ตามบ้านเราจะวางจำหน่ายเครื่อง PlayStation 5 ตามกำหนดเดิมคือ “วางจำหน่ายทั่วโลกวันที่ 19 พฤศจิกายน ศกนี้” ตามกำหนดเดิมที่ประกาศหรือเปล่าก็ได้แต่รอลุ้นค่ะ ตัวเกวลินเองก็สั่งจองเครื่องไปแล้วนะเนี่ย ฮือ ๆ เอาไว้ถ้าได้เครื่องและเกมจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะคะ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อนแล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ บะบุย ๆ
12 Nov 2020
ร้อนๆ หนาวๆ! สื่อต่างประเทศเทสประสิทธิภาพการทำงาน iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro แบบจัดเต็ม
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาสำหรับ “iPhone 12 Series” มือถือสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ดังระดับโลก Apple ที่ในรุ่นนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องดีไซน์ครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ แถมออกมาหลากหลายรุ่นให้ผู้ที่เป็นแฟนได้เลือกซื้อ เลือกใช้อย่างเหมาะสมก็จะมีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัรประกอบไปด้วย iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งทั้ง 4 รุ่นความแตกต่างกันอยู่ตรงที่กล้อง, แบตเตอรี่, ดีไซน์ตัวเครื่อง และ วัตถุที่ใช้จะไม่เหมือนกัน แต่ชิปเซ็ตภายในทุกรุ่นเป็น “A14 Bionic” ที่กลายเป็นชิปเซ็ตที่มีขนาดเล็กที่สุดคือ 5 นาโนเมตรเท่านั้น! ความน่าสนใจของ “iPhone 12 Series” ก็เลยอยู่ที่ชิปเซ็ตเพราะทุกรุ่นใช้ตัวเดียวกันทั้งไม่ว่าจะเป็นทั้ง CPU หรือ GPU ที่ทาง Apple ยังออกมาเครมว่ามันมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ยอดเยี่ยมกว่าชิปเซ็ตของฝั่ง Android มากถึง 50% แถมยังประหยัดพลังงานมากกว่า ในทางกลับกันด้านการเล่นเกมอันนี้ก็ต้องยอมรับว่า iPhone ที่เป็นตัวท็อป ๆ มักจะสามารถเล่นเกมต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหล ปรับกราฟฟิกได้สูงสุดแทบทุกเกม โดย iPhone 12 Series จะมีรูปแบบการทำงานเป็น Neural Engine 16-Core ผ่านระบบ Machine Learning จุดนี้ละที่ทำให้รุ่นนี้การทำงานเวลาเล่นเกมลื่นไหลไม่มีสะดุดนั่นเองค่ะ แต่สิ่งที่น่าจับตามองของ “iPhone 12 Series” คือเรื่องแบตเตอรี่เพราะถ้ามอง ๆ แล้วถือว่าให้มาน้อยมากกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก โดยสื่อต่างประเทศอย่าง Phonearena ได้เปิดเผยออกมาว่าจากข้อมูลที่มีการตรวจสอบพบว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro แบตเตอรี่เท่ากันคือ “2,815 mAh” เอาจริง ๆ มันน้อยมาก ๆ ถ้าเทียบกับฝั่ง Android ที่บางรุ่นทะลุไปถึง 6,000 mAh แล้วถ้าไปเทียบค่าแบตเตอรี่รุ่นก่อนหน้านี้อย่าง iPhone 11 อยู่ที่ “3,110 mAh” และ iPhone 11 Pro อยู่ที่ “3,046 mAh” งานนี้ก็เลยพวกเขาก็เลยขอหยิบนำ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มาทดสอบในการทำงานรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเล่นเกม หรือ การใช้งานต่าง ๆ ว่าแบตเตอรี่แค่นี้จะอยู่ได้ราว ๆ กี่ชั่วโมงกัน การทดสอบแบตเตอรี่เมื่อนำมาเล่นเกมแบบต่อเนื่อง ทางเว็บไซต์ Phonearena ได้นำเครื่อง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มาทดสอบในการเล่นเกมแล้วมีการปรับรายละเอียดกราฟฟิกสูงสุด โดยหยิบนำเกม Call of Duty: Mobile และ Minecraft มาใช้ในการเทส ผลที่ได้ก็คือแบตเตอรี่อยู่ได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมงเศษ ๆ เท่านั้น ที่สำคัญเมื่อเล่นเกมไปสักระยะรู้สึกได้เลยว่าเครื่องมีความร้อนพอสมควร แล้วจากการเทสก็พบว่าพอเครื่องเริ่มมีความร้อนสูงแบตเตอรี่ก็กินมากขึ้นตามทวีคูณเลยค่ะ แต่ตรงกันข้ามกับ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ที่สามารถเล่นเกมได้นานมากถึง 6 - 7 ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่ามันแตกต่างจากรุ่นก่อนเป็นอย่างมากเลยค่ะ ใครที่คิดอยากจะซื้อ “iPhone 12 Series” เพื่อมาเล่นเกมโดยเฉพาะคงต้องคิดหน้าคิดหลังดี ๆ นะคะ การทดสอบแบตเตอรี่เมื่อนำมาดู YouTube แบบต่อเนื่อง หลังจากที่ทางเว็บไซต์ Phonearena ได้นำเครื่อง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ได้นำมาทดสอบในการเล่นเกมแล้ว พวกเขาก็เลยตัดสินใจที่จะนำมาทดสอบในส่วนของการเปิดรับชมวีดีโอผ่าน YouTube พบที่ได้ก็คือสามารถรับชมได้ต่อเนื่องยาวนานมากถึง 6 ชั่วโมงกับอีก 38 - 48 นาทีโดยประมาณ ถ้าเปรียบเทียบกับ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ก็มีความใกล้เคียงกันพอสมควรค่ะ ซึ่งถ้ามองแบบเชิงวิเคราะห์ก็ถือว่ายังคงประสิทธิภาพในการทำงานส่วนนี้ได้ดีค่ะ การทดสอบแบตเตอรี่เมื่อนำมาดูเว็บไซต์ต่าง ๆ แบบต่อเนื่อง มาถึงการทดสอบครั้งสุดท้ายของ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro นั้นก็คือการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ดูข่าวสาร นู่นนี้นั้น ผลการทดสอบทาง Phonearena ได้เปิดเผยว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมงได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งถ้าให้ไปเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง iPhone 11 อยู่ที่ราว ๆ 11 ชั่วโมงนิด ๆ กับ iPhone 11 Pro ที่ใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมงกว่า ๆ แบตเตอรี่ถึงจะหมด ก็เรียกว่าประสิทธิภาพในการทำงานส่วนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ค่ะ ถ้าให้เกวลินสรุปเนี่ยจากผลการทดสอบของเว็บไซต์ Phonearena ทำให้เราได้เห็นว่าแม้แบตเตอรี่ของ iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro เทียบกับ iPhone 11 กับ iPhone 11 Pro อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมา แต่เมื่อนำมาใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมที่เห็นได้ชัดเจนว่าแค่เล่นเกมที่กราฟฟิกอาจจะยังไม่สุดอย่าง Call of Duty: Mobile และ Minecraft ก็สามารถสูบแบตเตอรี่ได้มากมายขนาดนี้ เพราะจาก 100% เล่นไปเหลือ 0% ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง งานนี้คนที่คิดจะนำไปใช้งานตอนสตรีมเกมแบบถ่ายทอดสดก็คงจะต้องคำนวนการใช้งานอย่างเหมาะสมด้วยนะคะเนี่ย เพราะถ้าทำงานจริงตัวเครื่องก็ยังทำงานแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ แบตเตอรี่อาจจะหมดเร็วกว่านี้ก็เป็นได้ค่ะ  อย่างไรก็ตามตอนนี้สื่อไอทีบางเจ้าในบ้านเราตอนนี้ก็มีการจัดเครื่องหิ้วมาเทสกันเพียบเลยค่ะ ส่วนคนที่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่ Apple Thailand จะประกาศวันวางจำหน่ายในประเทศไทยสักที เกวลินก็ตอบไม่ได้ค่ะ แต่ที่รู้แน่ชัดก็คือหน้าเว็บไซต์หลักมีการปล่อยข้อมูลออกมาให้เราได้ทราบสเปกเครื่องของ “iPhone 12 Series” ทั้ง 4 รุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเจ้าแรกที่เปิดตัวก่อนเลยก็คือ “AIS” ที่ออกมาโฆษณาว่าจะเปิดให้สั่งจองในเร็ว ๆ นี้ ใครที่เป็นแฟนมือถือสมาร์ทโฟนแบรนด์นี้ยังไงก็อดใจรอกันหน่อยนะคะ คาดว่าบ้านเราน่าจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไม่เกินสิ้นปีนี้แน่นอนค่ะ  ก่อนจะจากกันถ้าถามเกวลินว่าควรซื้อ “iPhone 12 Series” รุ่นไหนดี อันนี้อยู่ที่เงินในกระเป๋าของเพื่อน ๆ เลยค่ะ เพราะทุกรุ่นในเรื่องของชิปเซ็ตที่ใช้งานเหมือนกันทุกประการจะแตกต่างก็คือเรื่องกล้อง ยิ่งตัวท็อป ๆ ก็จะมีเลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป หรือ ถ่ายวีดีโอได้ยอดเยี่ยมมากกว่า ถ้าคุณเป็นสายถ่ายรูป ทำคอนเทนต์แล้วใช้ iPhone ในการทำบล็อกเกอร์มาโดยตลอดเนี่ยก็จัดตัว iPhone 12 Pro หรือ iPhone 12 Pro Max น่าจะเหมาะที่สุดแล้วค่ะ ทั้งนี้เราเองก็ต้องสำรองพวกพาวเวอร์แบงค์สำรองติดตัวไว้ด้วยนะคะ ส่วนเรื่องของราคาก็ต้องมารอลุ้นกันว่าบ้านเราจะขายแต่ละรุ่นอยู่ที่เท่าไหร่กันบ้าง เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ iPhone 12 Series ได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) และ ( คลิกที่นี่ ) Source: Phonearena ( เรียบเรียงโดย KaelynVT )
06 Nov 2020
10 โมเม้นชวนคิดถึงของ Ragnarok ผู้เล่นเก่าใครจำเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง
ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกสุดของ Ragnarok Online คงจะมีความทรงจำต่างๆมากมายเกี่ยวกับเกมนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งความทรงจำและโมเม้นเหล่านั้นต้องพูดเลยว่ามีเฉพาะคนรุ่นเก่าเท่านั้น มาดูกันว่าความทรงจำ เด็ดๆ เก่าๆเหล่านั้นมีอะไรบ้าง1.หักไม้ผีในเมือง บางคนสงสัย นั่งอยู่ในเมืองตั้งขายของ ออกไปกินข้าว กลับมาตัวละครนอนเฉย อย่าได้สงสัยไปเพราะไม้ผีที่คนหักเล่นอย่างไรละ วันดีคืนดี มีคนโชคดีหักไม้ได้มอนเก่งๆมาก คือเมืองสะอาดเลยจ้า นอนกันระนาว ตัวใครตัวมัน ต้องรอให้ผู้กล้าที่แข็งแกร่งหน่อยมาช่วยเหลือให้เมืองกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง 2.วาร์ปแถม เอบี หนึ่งในธุรกิจหลักที่เฟื่องฟูมากของพระในเกม คือการขายวาร์ป ยิ่งวาร์ปสถานที่เก็บเลเวลต่างๆยิ่งได้รับความนิยม การตลาดของพระบางเจ้าคือมีเพิ่มบัพต่างๆก่อนวาร์ปไปเก็บเลเวลให้อีกด้วย แข่งขันกันสุดๆ อย่างว่าแหละเป็นพระก็ต้องกินต้องใช้ 3.Chit Chat เรื่องหลัก เก็บเลเวลเรื่องรอง เกมนี้ใครเข้าเก็บเลเวลกัน การนั่งในเมือง ได้พูดคุยและรู้จักเพื่อนใหม่คืองานหลักต่างหาก เป็นเกมแห่งมิตรภาพที่แท้จริง บางคนก็ได้เพื่อน ได้แฟนในชีวิตจริงกลับไปด้วยนะ 4.รับ DC และ OC สาย DC จะรับซื้อของจาก NPC ในราคาถูก กินกำไรนิดหน่อยและขายให้กับผู้เล่น ส่วนมากจะเป็นการขายน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตต่างๆเพราะมีผู้เล่นต้องการจำนวนมากและถูกกว่าซื้อจาก NPC โดยตรง ส่วนสาย OC นั้นจะนั่งในแหล่งเก็บเลเวลเพื่อรับของจากผู้เล่น และไปขาย NPC ในราคาแพง ธุรกิจนี้สำหรับพ่อค้าเท่านั้น 5.ไก่จ๊วบ และน้องขิง เรียกได้ว่าเป็นดาราในโลกของ Ragnarok เลยก็ว่าได้สำหรับ 2 คนนี้ ใครมีโอกาสเจอและได้ลงคอลั้มในนิตยสาร ก็คือเป็นเกียรติแก่วงตระกูล มีคอลั้มและเรื่องราวน่ารักออกมาให้อ่านทุกสัปดาห์ 6.ชุบทีมีใบ เมื่อตายในดัน แล้วขี้เกียดวาร์ปมาอีกรอบ ทางเลือกสุดท้ายคือการตั้งห้อง ชุบทีใมีใบ หวังว่าคนจะผ่านมาและชุบให้ แต่ถ้าเจอพระใจดีเขาก็ชุบให้ฟรีเลยนะ 7.ตั้งชื่อต้องมีสัญลักษณ์ การตั้งชื่อตัวละครต้องมีสัญลักษณ์หัวท้าย เมื่อก่อนบ่งบอกถึงความเท่เลยทีเดียว ยิ่งสัญลักษณ์แปลกประหลาดคนเขียนตามยากเท่าไร ยิ่งเท่มากขึ้นเท่านั้น 55555555+ 8.รับของร้อน การรับซื้อไอเท็มหายากในราคาที่ถูกมากกว่าราคาตลาด ถือเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูมาก เพราะกำไรดีมากๆ แต่อาจต้องใช้เวลาซักหน่อย เพราะต้องอยู่หน้าจอตลอดเวลาและต้องมีความอดทน ที่เรียกว่ารับของร้อนเพราะมาจากการที่ผู้เล่นที่เอาไอเท็มหายากมาขายนั้นร้อนเงินนั่นเอง 9.สิ่งพิมพ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Guide Book นิตยสารรายสัปดาห์ ต้องซื้อทุกอาทิตย์ รวมถึงรวมเล่มการ์ตูน ก็ต้องสะสม 10.บัตรเติมเงิน ถือเปิดประสบการณ์การเติมเงินเพื่อเล่นเกมในยุคแรกๆเลยก็ว่าได้ มีทั้งบัตรรายชั่วโมงและรายวัน บางคนถึงขั้นสะสมบัตรไว้ด้วยเพราะลายต่างๆสวยงาม สมัยนั้นใครเล่นในร้านเน็ตนอกจากต้องเสียค่าเล่นเกมส์ในร้านแล้ว ต้องเสียค่าเกมซื้อชั่วโมงเล่น Ragnarok ด้วยนะ ก็จบไปแล้วสำหรับการระลึกความหลังของเกม Ragnarok เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ตอนนี้ได้แต่อดใจรอให้เซิฟเปิดเร็วๆ เชื่อว่าหลายๆคนอยากกลับเล่นเพราะคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆแน่นอน
27 Apr 2020
Acer จัดการแข่งขัน PUBG ภายใต้ชื่อ Thailand Predator League 2020!
ตลาดเกมนั้นกำลังเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจ E-Sports ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็อยากจะเข้ามาลุงทุนในตลาดนี้ด้วยเช่นกัน บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง Acer ก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงได้มีการจัดแข่งขัน E-Sports ขึ้นในชื่อ Predator League โดยจัดงานอยู่หลายครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านนี้  และการแข่งขันครั้งใหม่ ก็กำลังจะมีขึ้นเร็วๆ นี้! Thailand Predator League 2020 คือชื่อของงานแข่งขันครั้งใหม่นี้ รอบนี้เป็นการแข่งขันในเกม Playerunknowns Battlegrounds (PUBG) ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท! ซึ่งจะเปิดรับสมัครในวันที่ 10 - 25 ตุลาคมนี้ โดยรอบชิง จะจัดขึ้นที่ Thailand E-Sport Arena @ The Street Ratchada ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ทีมที่ได้ 2 อันดับแรก ยังได้สิทธิไปแข่งต่อในระดับภูมิภาค ที่ประเทศฟิลิปปินส์อีด้วย งานนี้เพลเยอร์สาย E-Sport ห้ามพลาด สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่นี้ >>> Click <<< ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการแข่งขันได้ที่ Facebook : Predator League TH ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
10 Oct 2019
รีวิว Secret Neighbor (Beta) ล้วงความลับ จับเพื่อนบ้าน
เกม Free to Play ที่มาแรงของ Steam ในขณะนี้ คงต้องยกให้ซีรี่ส์ภาคต่อจากเกม Hello Neighbor ที่เพิ่มความสนุกในการค้นหาความลับของเพื่อนบ้านมากขึ้นในชื่อ “Secret Neighbor” ที่ได้เปิดตัว Beta ให้ลองเล่นกันแล้วจ้า โดยคอนเซปต์ของเกมนี้ ยังคงเป็นการเข้าไปในบ้านของลุงข้างบ้าน เพื่อสืบหาปริศนาอะไรบางอย่างถูกซ่อนไว้ แต่คราวนี้ไม่ใช่การเล่นเดินเนื้อเรื่องเหมือนอย่างเคย ใน Secret Neighbor เราจะต้องร่วมเล่นกับผู้เล่นอื่นๆถึง 6 คน ในกลุ่มของพวกเราจะมีหนึ่งคนที่เป็นลุงเจ้าของบ้านปลอมตัวมา หน้าที่ของเหล่าเด็กๆนอกจากจะต้องหากุญแจมาไขห้องลับใต้ดินของเพื่อนบ้านแล้ว ยังต้องคอยระวังการขัดขวางจากเจ้าของบ้านที่ปลอมตัวปะปนในหมู่พวกเราด้วย ได้อารมณ์การเล่น Dead by daylight ผสมกับ Deceit (แต่ภาพน่ารักกว่ามากนะ) ที่ได้ทั้งความระทึกใจและทำลายมิตรภาพไปพร้อมๆกันในเกมเดียว อย่างที่บอกว่าภารกิจหลักของเกม คือการที่กลุ่มเด็กจอมซนเข้าไปในบ้างของลุงเพื่อนบ้าน ซึ่งชาวแก๊งค์จะแบ่งออกได้ 6 คาแรคเตอร์ ซึ่งแต่ละคนก็มีความสามารถติดตัวที่ต่างกันออกไป ซึ่งใครเป็นสายไหนในกลุ่ม ก็สามารถเลือกได้ตามชอบ Bagger หมูอ้วนกับกระเป๋าของเขา สามารถเก็บของได้มากกว่าคนอื่น Leader ที่คอยเชียร์เพื่อนๆ ช่วยให้ตื่นตัวและเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น Detective พร้อมกล้องถ่ายรูปที่จะช่วยหาเบาะแสว่ากุญแจอยู่ตรงไหน Inventor ผู้สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยเด็กๆในการต่อกรกับลุงข้างบ้านได้ดียิ่งขึ้น Scout ลูกเสือสายลุยกับหนังสติ๊กคู่ใจ และสกิลความไวในการเคลื่อนที่ และ Brave สาวเบสบอลสายบวก ที่ยิ่งทำดาเมจ จะได้สกิลหนีจากการโดนจับเป็นของแถม มาทางฝั่งของเพื่อนบ้าน ในตัว Beta นี้จะมีให้เลือก 2 คาแรคเตอร์ คือ คุณลุง ที่เราเคยเจอใน Hello Neighbor นั่นแหละ และตัวตลก ที่ฝีมือไม่ตลกเลย ซึ่งแต่ละตัวก็มีสกิลที่คอยปั่นป่วนทีมได้ อย่างกับดักของคุณลุง หรือการแปลงร่างเป็นไอเท็มในเกมของตัวตลก อีกทั้ง เรายังสามารถจำกัดพื้นที่การเล่นโดยการโยกนาฬิกาเพื่อเปิด-ทางได้ด้วย ก็แน่สิ! นี่บ้านของฉันนะ!! โดยหากเริ่มเกมแล้วเราได้รับเลือกให้เป็น Neighbor เราสามารถสลับระหว่างร่างเด็กและร่างของ Neighbor ได้ ภารกิจของฝ่าย Neighbor คือจับเด็กๆทุกคนให้หายสาบสูญ โดยเมื่อมีเด็กเข้ามาใกล้ สามารถดึงอีกฝ่ายเข้ามาและทำให้กลายเป็นตุ๊กตาจนสลายกลายเป็นใบประกาศเด็กหาย จึงจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ถึงระบบเกมจะรวมจุดเด่นจากหลายแนวเกม แต่การควบคุมนั้นถือว่าง่ายมาก เพราะในเกมจะมีคำแนะนำอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเก็บของ, แปลงร่าง, ใช้สกิลของตัวละคร ให้กดที่ปุ่มไหน เมื่อเจอกุญแจก็มีเสียง กริ๊ง! เป็นสัญญาณ ไม่ต้องกลัวเด๋อให้โดนเพื่อนด่าฟรี รวมไปถึงไอเทมที่เก็บได้ในเกม นอกจากจะมีไว้ปาใส่คนกับหน้าต่างแล้ว บางไอเทมจะมีข้อมูลบอกว่าสามารถกดปุ่มไหน จะใช้ฟังชั่นก์ใดได้บ้างอีกด้วย ถือว่าสะดวกสบาย แม้ไม่ใช่สายเกม PC ก็เล่นเป็นได้อย่างง่ายดาย อย่าลืมลองเล่นไอเท็มให้ครบทุกชิ้น รับรองว่าสนุกสนานเฮฮาจนลืมภารกิจกันเลยทีเดียว     ถึงพื้นที่การเล่นจะดูไม่เยอะ แต่ด้วยไอเท็มที่มีให้เลือกหยิบเยอะเหลือเกิน ทำให้วิ่งอยู่ดีๆก็หลงทางในบ้านได้เหมือนกัน ระหว่างที่หลงก็ลุ้นไปกับเสียงเปิดประตู เสียงเพื่อนวิ่ง เสียงแจ้งเตือนทางเปิดหรือไขกุญแจชั้นใต้ดิน ทำเอากังวลจนต้องเหลียวไปดูว่ามีใครตามมาหรือเปล่า ถ้าได้เป็นฝ่ายเพื่อนบ้านก็ต้องลุ้นอีก ว่าจะโดนเพื่อนปาของสุ่มจับผิดหรือเปล่า จะจับเด็กได้ก่อนหรือโดนจับได้ก่อน เอาเป็นว่าทำเอาใจเต้นพอๆกันไม่ว่าจะถูกเลือกให้เล่นฝ่ายไหน ยิ่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนสนิท ยิ่งปั่นกันมากขึ้น ยิ่งคูณความสนุกไปอีกเป็นเท่าตัว! จึงไม่น่าแปลกเลยที่ Secret Neighbor จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีตั้งแต่วันเปิดตัวในงาน E3 ปี 2018 เพราะแม้จะเป็นตัว Beta แต่ระบบการเล่นและเนื้อหาเกมกลับมีทั้งความโหด มันส์ ฮา จนทำให้ประทับใจได้ขนาดนี้ มารอดูกันว่าตัวเต็มจะสนุกขนาดไหน สำหรับใครที่สนใจ สามารถไปโหลดได้เลยที่ LINK ทดลองเล่นได้ถึงวันที่ 19 สิงหาคมนี้เท่านั้นนะจ๊ะ
13 Aug 2019
มาชมผลงานจากผู้ชนะการประกวดถ่ายรูปจากเกม God of War
เมื่อเร็วๆ นี้ โซนี่ได้จัดงานประกวดภาพถ่ายจากเกม God of War ขึ้น ซึ่งเปิดให้ผู้เล่นจากทั่วโลกส่งผลงานการแชะภาพด้วย Photo Mode ของเกม ล่าสุด ทางโซนี่ได้ออกมาประกาศรายชื่อผู้ชนะงานประกวดทั้ง 9 คน พร้อมกับนำผลงานสุดตระการตาของเขาเหล่านั้นมาให้ชมกันทางเว็บไซต์ จะสวยขนาดไหนไปชมกันได้เลย! (ขอบคุณ Sony สำหรับภาพ) ผลงานโดยคุณ: @NINJERELLO ผลงานโดยคุณ: IAN L. ผลงานโดยคุณ: @THEHUNTERVICTOR ผลงานโดยคุณ: @THE_MACEBOOK ผลงานโดยคุณ: @LINALYX_ ผลงานโดยคุณ: @LIBRAA_SANDRA1 ผลงานโดยคุณ: @GATIROSHO ผลงานโดยคุณ: JOHN L. ผลงานโดยคุณ: @_ROSAPEXA เกม God of War กำลังจะได้รับโหมด New Game+ ด้วยในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เพื่อฉลองวันครบรอบ 4 เดือนตั้งแต่วางจำหน่ายเกม
09 Aug 2018
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "post-format-gallery"
แนะนำ 3 สมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” แบรนด์ดังที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยตอนนี้
ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีทองของมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” เพราะแบรนด์มือถือชื่อเสียงหลายเจ้าถือได้ว่าตีตลาดหนักเป็นอย่างมาก ทำให้เกมเมอร์ที่ต้องการมือถือเอาไว้เล่นเกมโดยเฉพาะมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น แถมเราไม่ต้องซื้อเครื่องหิ้วเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มาอีกแล้ว วันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักเกมมิ่งโฟนที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยกันค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าทุกรุ่นเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปทั้งหมดเลย จะแตกต่างก็ประสิทธิภาพ, ลูกเล่นแต่ละแบรนด์ แล้วก็ราคา เมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ รุ่นแรกที่เกวลินขอแนะนำก็คือ “ASUS ROG Phone 3” จะเรียกว่าเป็นสุดยอดเกมมิ่งโฟนอันดับต้น ๆ ที่มีขุนพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” ที่ทาง ASUS ยังได้ดันประสิทธิภาพด้วยการ OC ตัวชิปเซ็ต CPU และ GPU ให้มีความเร็วมากกว่าเกมมิ่งโฟนแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือมีการแถมตัวระบายความร้อนรุ่นใหม่อย่าง “GameCool 3” ที่ทำให้เราสามารถเล่นเกมได้ตลอดทั้งวันไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนมือ แล้วด้วยความที่เป็น ASUS ก็มีการดีไซน์ตัวเครื่องในส่วนต่าง ๆ เช่น มีตัวรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แม่นยำ, ตัวรับเสียงพูดของผู้ใช้งาน, เพิ่มปุ่ม AirTriggers 3 เข้ามาด้านข้างเครื่องเพื่อใช้ในการเล่นเกมประเภท FPS ได้ดีมากกว่าเดิม, ลำโพงที่จัดมาให้เต็ม ๆ รวมไปถึงเรายังสามารถที่จะชาร์จขนาดเล่นพร้อมเชื่อมต่อในการถ่ายทอดสดได้อีกด้วย ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ ASUS ยังได้ออกแบบอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ออกมาเพียบเลย สุดท้ายนี้ก็ยังสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G อีกด้วยค่ะ สเปกเครื่อง ASUS ROG Phone 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย ROG UI หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.59 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ ที่รองรับการแสดงผลในรูปแบบ HDR10+ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz แถมที่มีค่าดีเลยเพียงแค่ 1ms เท่านั้น รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus และ Snapdragon 865 สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1 ( ไม่สามารถเพิ่มความจุได้ ) กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682], เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP, เลนส์ Macro ความละเอียดสูงถึง 5MP กล้องหน้า: ความละเอียด 24MP การเชื่อมต่อ: WiFi 802.11 a/b/g/n/ac/ax Bluetooth 5.1, USB-C 3.1 กับ ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ระบบเสียง: เป็นระบบเสียง DTS X Sound เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ แบตเตอรี่: 6,000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30 วัตต์ สำหรับ ASUS ROG Phone 3 วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันค่ะ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกันมีดังต่อไปนี้ค่ะ ASUS ROG Phone 3 ในรุ่น Ram 12GB. และ Rom 512GB. สนนราคาอยู่ที่ 32,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ASUS ROG Phone 3 Strix Edition ในรุ่น Ram 8GB. และ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 24,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ROG Phone 3 Lighting Armor Case - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Clip - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Kunai 3 Gamepad - ราคาอยู่ที่ 3,990 บาท TwinView Dock 3 - ราคาอยู่ที่ 7,990 บาท โดย ASUS ROG Phone 3 สามารถหาซื้อได้ทั้ง ASUS Exclusive Store, ASUS Official Store ผ่านช่องทาง Shopee กับ lazada นอกจากนี้ยังสามารถซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ที่มีโปรโมชั่นลดราคาในแพ็คเกจพิเศษแล้วก็ยังสามารถสั่งซื้อผ่านร้านค้าชื่อดังทั้ง JIB Computer หรือ Banana ก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกันค่ะ ใครที่อยากจะได้สุดยอดเกมมิ่งโฟนห้ามพลาดเลยค่ะ! รุ่นต่อมาพึ่งประกาศวางจำหน่ายในบ้านเราแบบสด ๆ ร้อน ๆ กันเลยกับ “Legion Phone Duel” จากแบรนด์ Lenovo ที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของ ASUS ROG Phone 3 เลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โดย Legion Phone Duel ก็ถูกจัดอยู่ในสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่ใช้ซิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” เหมือนกัน แล้วจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ตรงที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเกมที่เล่นแบบแนวนอนเป็นหลัก ( ส่วนใหญ่เกมก็มักจะเป็นแนว ๆ นี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ ) ที่น่าสนใจอีกข้อก็คือมีการปรับปรุงปุ่ม Trigger ทั้งซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่แม่นยำขึ้น ใครที่ชอบเล่นเกมแนว FPS หรือ บางคนจะนำไปใช้กับเกมแนว MOBA ก็ได้เหมือนกันค่ะ โดยสองปุ่มนี้จะเป็นปุ่มที่เพิ่มคำสั่งต่าง ๆ ภายในเกมขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้เล่นต้องการตั้งค่าเพื่อให้ใช้งานรูปแบบไหน ที่เด็ดสุดก็คือทาง Lenovo ได้ออกแบบระบบสั่นเป็นมอเตอร์คู่อยู่ฝั่งซ้าย กับ ขวาของตัวเครื่องที่จะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมบนมือถือแบบใหม่ซะด้วยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ รุ่นนี้ก็รองรับเทคโนโลยี 5G ด้วยเช่นกันค่ะ สเปกเครื่อง Legion Phone Duel ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Legion OS และ ZUI12 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.65 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus  GPU: Adreno 650 RAM: 12GB. และ 16GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1  กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.89, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 16MP กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.2 เป็นรูปแบบป๊อปอัพด้านข้าง การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, มี USB-C ถึง 2 ช่องส่งผลทำให้เราสามารถที่จะชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมกับเล่นเกมไปด้วย ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และ มีระบบระบายความร้อนแบบ Dual-Liquid และ Mid-Thermal แบตเตอรี่: 5,000 mAh ที่ทาง Lenovo ออกแบบมาให้เป็น 2 ส่วนคือข้างละ 2,500 mAh เหตุผลก็เพราะเพื่อลดความร้อนระหว่างการชาร์จแบตเตอรี่ หรือ ลดความร้อนจากการที่เครื่องทำงานอย่างหนัก แล้วเด็ดที่สุดคือรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 90 วัตต์ที่เครมกันว่าสามารถชาร์จจาก 0 ไป 100% ในระยะเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น! โดย Legion Phone Duel วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน รุ่นแรกมี Ram 12GB. แล้วก็ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 23,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีน้ำเงินเท่านั้น และ รุ่นต่อมา Ram 16GB. แล้วก็ Rom 512GB. ราคาอยู่ที่ 30,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีแดงเท่านั้น ซึ่งถ้าใครที่อยากจะได้ในแพ็คเกจราคาพิเศษก็ซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ได้เลยค่ะ เพราะราคาถูกมาก ๆ เลย แล้วถ้าใครที่ใช้เบอร์ของ AIS มานานก็จะได้รับสิทธิ์ในการลดราคาเพิ่มเติมอีกด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกเหนือจากนี้ยังมีการวางจำหน่ายผ่านช่องทางอื่น ๆ อาทิเช่น IT City, JD.co.th, JIB Computer, Speed Computer, Banana และ BlueShop เป็นต้นค่ะ มาถึงอีกหนึ่งรุ่นที่เริ่มตีตลาดในบ้านเราได้ราว ๆ 2 ปีแล้วค่ะ กับ “Black Shark 3, Black Shark 3 Pro หรือ Black Shark 3S” หนึ่งในแบรนด์ลูกของ Xiaomi ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับจากเกมเมอร์เป็นอย่างดีเลยค่ะ เห็นชื่อแบรนด์หลายคนก็คงจะทราบเลยว่ามันคือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดา 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้เลยค่ะ แต่ก็ใช่ว่าประสิทธิภาพของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างนั้นนะคะ โดยต้องอธิบายก่อนว่าปัจจุบันทาง Xiaomi มีแค่ 2 รุ่นที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราก็คือ Black Shark 2 กับ Black Shark 3 ส่วน Black Shark 3 Pro กับ Black Shark 3S ที่เป็นรุ่นอัปเกรดเพิ่มประสิทธิภาพยังไม่มีตารางการนำเข้ามาวางจำหน่าย สำหรับ Black Shark 3 ทาง Xiaomi เลือกใช้ชิปเซ็ต “Snapdragon 865” แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่ได้แตกต่างจากชิปเซ็ตตัวท็อป “Snapdragon 865 Plus” ก็ตาม แต่ตัวนี้ก็สามารถรองรับเทคโนโลยี 5G และ Wi-Fi 6 ได้ด้วย มีการดีไซน์มีปุ่ม Shoulder Button ที่อยู่ทางซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องเหมือนกับ 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้ค่ะ ความเก๋ของมันก็คือเมื่อเวลาเล่นเกมปุ่มนี้จะเด้งขึ้นมาเพื่อให้ใช้งาน แต่เมื่อใดที่เราใช้งานแบบปกติมันก็จะกลับไปอยู่ในสภาพตามปกติค่ะ อีกทั้งยังเครมอีกว่ามันทนต่อแรงกด และ การหดตัวเวลาเก็บได้ถึง 300,000 ครั้ง ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยค่ะ นอกจากนี้ Black Shark 3 ยังมีลำโพงคู่ในรูปแบบระบบสเตริโอ รวมไปถึงยังรองรับระบบเสียงแบบ Hi-Res อีกด้วยค่ะ เท่านั้นยังไม่พอใครที่ใช้ชอบหูฟังที่เป็นรูปแบบ 3.5 มม. รุ่นนี้ก็กลับมาให้เราได้ใช้งานกันอีกครั้ง แถมตัวนี้ยังมีการชาร์จแบบแม่เหล็กที่แตะด้านหลังเครื่องได้ด้วย รวมไปถึงยัง สเปกเครื่อง Black Shark 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Joy UI 11 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.67 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 90Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz  CPU: Snapdragon 865 GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR4x ความจุ: 125GB. และ 256GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.0 กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.8, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.3 และ เลนส์ Depth ความละเอียด 5MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.2  กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.0 การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, USB-C ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แบตเตอรี่: 4,720 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 65 วัตต์ การชาร์จแบบแม่เหล็กด้านหลังเครื่อง 18 วัตต์ สำหรับ Black Shark 3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการผ่านช่องทาง Black Shark Official Store แพลตฟอร์ม lazada เท่านั้น! โดยสนนราคาอยู่ที่ 21,900 บาท ก็จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นระยะ ๆ ซึ่งในตอนที่เขียนบทความนี้ลดราคาเหลืออยู่ที่ 18,990 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกจากนี้ทาง Xiaomi ยังจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับ Black Shark 3 เพียบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเคส, พัดลมระบายความร้อน, หูฟัง, คีย์บอร์ดมือถือ หรือ คอนโทรลเลอร์ เป็นต้น ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ ได้ที่ ( คลิกที่นี่ )  นี่คือมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ไม่นับแบรนด์อื่น ๆ ที่วางจำหน่ายแล้วมีร้านค้าที่หิ้วนำเข้ามาขายในบ้านเรานะคะ ซึ่ง 3 แบรนด์นี้เกมเมอร์สามารถซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการประกันจากผู้ผลิต หรือใครที่ต้องการอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เลย งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเพื่อน ๆ ว่าอยากจะซื้อแบรนด์ไหนมาใช้งานกัน เพราะแต่ละรุ่นก็มีลูกเล่น, ประสิทธิภาพ แล้วก็ราคาที่แตกต่างกันออกไป เรียกว่าจะไปให้สุดแล้วหยุดที่สุดยอด หรือ จะเลือกประหยัดแต่ก็เล่นเกมได้เหมือนกันอยู่ที่เพื่อน ๆ ตัดสินใจเลยค่ะ แล้วพบกันใหม่กับบทความหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ!
12 Nov 2020
รู้ก่อนซื้อ! PlayStation 5 เครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ซื้อรุ่นไหนและข้อมูลอัปเดตล่าสุด
อีกไม่กี่วันทาง Sony Interactive Entertainment ก็จะวางจำหน่ายเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “PlayStation 5” ให้กลุ่มประเทศแรกกันแล้วค่ะ ซึ่งบ้านเราเองก็ได้แต่รอลุ้นว่าจะวางจำหน่ายตามกำหนดการณ์เดิมคือวันที่ 19 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้หรือเปล่า แถมตอนนี้ก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยมีคำถามเกิดขึ้นว่า “สรุปแล้วเราจะต้องเลือกซื้อ PlayStation 5 รุ่นไหนดี!?” เพราะมีการผลิตออกมาทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน วันนี้เกวลินจะมาสรุปและวิเคราะห์ให้เพื่อน ๆ เข้าใจเพื่อได้ตัดสินใจถูกว่าควรซื้อรุ่นไหนดี อัปเดตข่าวล่าสุดของ PlayStation 5 กันก่อน! ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องสเปกและรายละเอียดต่าง ๆ ของเครื่อง PlayStation 5 เรามาพูดถึงข้อมูลล่าสุดกันก่อนค่ะ เพราะตอนนี้สื่อต่างประเทศรวมไปถึงยูทูปเบอร์ชื่อดังหลายคน ( ส่วนใหญ่ทั้งหมดจะเป็นของต่างประเทศ ) ได้ออกมารีวิวพูดถึงความรู้สึกแรกหลังจากที่แกะกล่อง แล้วได้ลองทดสอบในการเล่นเกมต่าง ๆ ผลที่ได้รับจากผู้ใช้ก็คือ “เทคโนโลยีใหม่ ๆ บนเครื่อง PlayStation 5 ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก” เพราะมันได้มอบประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีกว่าเครื่องเกมรุ่นเก่าอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย สิ่งที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ “การโหลดเข้าเกม” ที่รวดเร็วภายในระยะไม่กี่วินาที ยกตัวอย่างเช่นเกม Marvels Spider-Man: Miles Morales อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าโหลดฉากตั้งแต่หน้าเมนูยันหน้าเข้าเกมใช้เวลาเพียงแค่แว่บเดียวจริง ๆ ถ้าย้อนไปสมัยก่อนกว่าจะเข้าเกมได้ต้องโหลดนั้น โหลดนี้ใช้เวลาร่วมนาทีเลยค่ะ  อีกสิ่งที่ได้รับคำชมไม่แพ้กันก็คือ “DualSense Controller” เพราะเขาได้อธิบายเอาไว้ว่าตัวจอยมีขนาดใหญ่จับกระชับมือ อีกทั้งมันยังมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเล่นเกม เราจะสัมผัสถึงแรงต้านในการกดแต่ละระดับหรือที่เรียกว่า Adaptive Triggers และ ระบบการสั่น Haptic Feedback ที่เมื่ออยู่ในมือผู้ใช้งานจะรู้สึกถึงแรงสั่นที่ให้ความสมจริงตามอิริยาบถของตัวละครที่ปรากฎอยู่ภายในเกม แต่เมื่อมาเทสกับเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Marvels Spider-Man: Miles Morales สองฟีเจอร์นี้ยังตอบสนองไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนระบบ 3D AudioTech ยังทำออกมาไม่ได้โดดเด่นมากนัก เพราะสื่อต่างประเทศก็บอกว่าตอนนี้ใช้งานได้ตอนเชื่อมต่อกับหูฟังเท่านั้น! นอกจากเรื่องการโหลดเข้าเกมที่รวดเร็วถูกใจเกมเมอร์แล้ว “เสียงพัดลม” ตอนระบายความร้อนก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ซึ่งถ้านำไปเทียบกับเครื่อง PlayStation 4 Pro ตอนทำงานแบบปกติระดับเสียงจะอยู่ที่ 45 dB แล้วถ้าทำงานแบบเต็มประสิทธิภาพเสียงจะดังสูงถึง 54 bB ตรงกันข้ามกับเครื่อง PlayStation 5 ที่แม้ว่าจะทำงานหนักแต่เสียงพัดลมดังแค่ 38 dB เท่านั้น! แม้ว่าจะถูกชมมากน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เหมือนถูกพูดถึงมากที่สุดเลยก็คือ “SSD M.2” ที่ติดมากับตัวเครื่องที่ให้มา 825GB. แต่เมื่อมีการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ที่เครื่องจำเป็นต้องใช้ก็จะเหลือเนื้อที่อยู่ประมาณ 667GB. ที่ดูน้อยไปหน่อย แถมตอนนี้ตัวเครื่องยังไม่รองรับ SSD M.2 ในช่องที่เครื่องมีให้ติดตั้ง อีกทั้งยังไม่สามารถนำเกมจากเครื่อง PlayStation 5 ไปติดตั้งอยู่ใน External HDD เพื่อใช้เก็บตัวเกม หรือ ใช้เล่นเหมือนสมัยเครื่อง PlayStation 4 ทั้งนี้ถ้าต้องการจะเล่นเกมจาก PlayStation 4 ที่มีอยู่ใน External HDD สามารถเล่นได้ตามปกติค่ะ สเปกเครื่อง PlayStation 5 อย่างเป็นทางการ CPU: AMD Zen 2-based CPU with 8 cores at 3.5GHz. GPU: 10.28 TFLOPs, 36 CUs at 2.23GHz. GPU Architecture: Custom RDNA 2 Memory Interface: 16GB. GDDR6 / 256-bit Memory Bandwidth: 448GB/s Internal Storage: Custom 825GB. SSD M.2 Usable Storage: 667.2GB. IO Throughput: 5.5GB/s (Raw), typical 8-9GB/s (Compressed) Expandable Storage: NVMe SSD Slot External Storage: USB HDD Support แค่เกมจากแพลตฟอร์ม PlayStation 4 เท่านั้น Optical Drive: 4K UHD Blu-ray Drive เห็นสเปกเครื่องกันแล้วก็ต้องมาพูดให้เข้าใจกันก่อนว่าทาง Sony Interactive Entertainment วางจำหน่ายเครื่อง PlayStation 5 ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ รุ่นแบบมี 4K UHD Blu-ray Drive และ Digital Edition ความแตกต่างมันมีส่วนไหนบ้าง!? คำตอบก็คือ “แตกต่างแค่มี 4K UHD Blu-ray Drive กับ ไม่มีเท่านั้นเองค่ะ!” เพราะสเปกภายในส่วนอื่น ๆ ทั้ง CPU, GPU และ Ram ไม่มีการปรับหรือลดสเปกเครื่องลงมาเหมือนกับ Xbox Series X กับ Xbox Series S ที่สเปกภายในแตกต่างกันพอสมควร โดยรุ่น 4K UHD Blu-ray Drive เราสามารถใส่แผ่นเกมเข้าไปในเครื่อง PlayStation 5 หลังจากนั้นจะมีการติดตั้งเกมบางส่วนลงไปใน SSD M.2 ด้วยเพื่อลดระยะเวลาในการดาวน์โหลดเข้าเกม ซึ่งเมื่อเราได้แกะตัวเครื่องออกจะมีช่องให้ติดตั้ง SSD M.2 เพิ่มได้อีก 1 ตัวแล้วจากข้อมูลที่ยืนยันแล้วก็คือ “จะต้องเป็น SSD M.2 Gen 4 เท่านั้น!” แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยว่ามีรุ่นไหน แบรนด์ไหนบ้างที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งก็คงต้องรอทาง Sony ประกาศอย่างเป็นทางการเพิ่มเติมอีกครั้งค่ะ ตามมาด้วยรุ่น Digital Edition รุ่นนี้ได้ตัดเอาส่วน “4K UHD Blu-ray Drive” ออกไปทำให้ตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กลงจากเดิมเล็กน้อย ( เล็กน้อยจริง ๆ ค่ะ ) แต่อย่างที่บอกไปว่าสเปกภายในเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่ว่าถ้าเราต้องการจะเล่นเกมจะต้องซื้อเกมจาก PlayStation Store แล้วดาวน์โหลดมาติดตั้งใน SSD M.2 ที่อยู่ภายในเครื่องที่เหลือเนื้อที่อยู่ประมาณ 667GB. บางคนถามว่า “เพ่แล้วมันจะเพียงพอหรอ!?” ตอบเลยว่าถ้าไม่ใช่เกมที่มีขนาดใหญ่มันก็สามารถติดตั้งเกมได้มากถึง 5 - 6 เกมเลยนะคะ ไม่นับเกมที่กินทรัพยากรเครื่องอย่าง Call of Duty: Modern Warfare ที่กินไปมากกว่า 200GB. ก็อาจจะทำให้ติดตั้งเกมได้น้อยลง สิ่งที่เกวลินเจอปัญหาก่อนหน้านี้ก็คือ “การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในรูปแบบ Wi-Fi” สมัยดาวน์โหลดเกมบนเครื่อง PlayStation 4 Pro ในรูปแบบ Wi-Fi แม้ว่าตัวเครื่องจะตั้งอยู่ใกล้กับเลาเตอร์เลยก็ตาม แต่รู้สึกว่าความเร็วที่ดาวน์โหลดเกมดูช้าผิดปกติ แถมตอนที่เรา Test Speed แล้วก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่นัก ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Wi-Fi ของเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 จะปรับปรุงการเชื่อมต่อสัญญาณให้ดีขึ้นเพื่อที่จะช่วยลดระยะเวลาในการดาวน์โหลดเกมไม่มากก็น้อยค่ะ เมื่อสเปกภายในเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ “ราคา” ใช่ค่ะ ทาง Sony Interactive Entertainment ได้มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการออกมาแล้วว่าเครื่องเกม PlayStation 5 ทั้งรุ่น 4K UHD Blu-ray Drive และ Digital Edition ออกมาเรียบร้อยแล้ว ประกอบไปด้วย $499.99 เหรียญสหรัฐฯ หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 15,300 บาท ( รุ่น 4K UHD Blu-ray Drive ) และ $399.99 เหรียญสหรัฐฯ หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 12,240 บาท ( รุ่น Digital Edition ) โดยค่าเงินบาทอ้างอิงในปัจจุบัน  แต่ก็ต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่าในวันที่เกวลินเขียนบทความนี้ทาง PlayStation Thailand และ Sony Thailand ก็ยังไม่มีการประกาศราคาของเครื่องศูนย์ไทยแต่อย่างใดนะคะ แต่ก็แอบได้ยินมานิด ๆ ว่า “ราคาเครื่องก็จะไม่ได้แตกต่างจากที่เปิดตัวอย่างแน่นอน!” แต่ถ้าราคาเครื่องหิ้วที่แอบไปส่อง ๆ มาก็เห็นว่าราคากระโดดสูงถึง 30,000 - 50,000 บาทแล้วแต่กรณีด้วยค่ะ ก็เอาเป็นว่าใครที่จะรอเครื่องศูนย์ไทยที่มีประกันก็ต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งค่ะ สรุป จากข้อมูลที่เกวลินหยิบยกมานี้ทั้งเครื่องสเปกเครื่อง, ราคา, ความแตกต่าง และ ข้อมูลอัปเดตล่าสุดจากสื่อต่างประเทศที่ได้สัมผัสเครื่อง PlayStation 5 มาเล่าสู่กันฟัง แล้วถ้าให้พูดว่าสรุปแล้วควรเลือกซื้อเครื่องรุ่นไหนดีระหว่าง 4K UHD Blu-ray Drive และ Digital Edition ก็คงตอบว่า “แล้วแต่กำลังทรัพย์และรูปแบบไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมากกว่า” เพราะบางคนอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบการสะสมแผ่นเกมก็มักจะใช้ซื้อเครื่องที่ช่องใส่แผ่น แต่ด้วยยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้หลายคนหันมาซื้อแบบดิจิตอลดาวน์โหลดมากยิ่งขึ้น โดยตัวเกวลินเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะจะซื้อเกมแบบดิจิตอลดาวน์โหลดมากกว่า มันสามารถเก็บไว้ในบัญชีของเราได้ ไม่มีวันหายแล้วก็สามารถนำไปใช้กับเครื่องอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา แถมปัจจุบันก็มีการมีแอพพลิเคชั่น PlayStation App ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อเข้ากับบัญชีของตนเอง จะสั่งซื้อเกม, อัปเดตข่าวสารใหม่ ๆ หรือ ดูว่าเพื่อน ๆ ของเราเล่นเกมอะไรอยู่ก็สะดวก สบายกว่าเมื่อก่อนมาก เลยคิดว่าเรื่องราคาและรูปแบบเครื่องไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของเรามากกว่าค่ะ ถ้าให้เกวลินเลือกซื้อรุ่น Digital Edition แน่นอน! แล้วเพื่อน ๆ ละคะจะซื้อรุ่นไหนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ แล้วพบกันใหม่กับบทความหน้าค่ะ
12 Nov 2020
รู้ก่อนซื้อ! Devil May Cry 5: Special Edition แตกต่างจากเวอร์ชั่นเก่ายังไงบ้าง
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วค่ะ ที่เกมเมอร์จะได้สัมผัสเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ “PlayStation 5” กันแล้วค่ะ โดยประเทศกลุ่มแรกที่จะเป็นเจ้าของกันก่อนก็ประกอบไปด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, แคนาดา, เม็กซิโก, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และ เกาหลีใต้ แล้วเกมที่น่าจับตามองและวางจำหน่ายในวันเดียวกันกับเครื่องก็คือ “Devil May Cry 5: Special Edition” เกมแนว Action Hack & Slash สุดมันส์จากค่าย Capcom มันก็สร้างคำถามมากมายแก่เกมเมอร์ว่า “ตัวเกมเวอร์ชั่นนี้มันแตกต่างจากก่อนหน้านี้ยังไง!?” วันนี้เกวลินก็เลยจะมาเล่าสู่กันฟังว่าตัวเกมเวอร์ชั่นนี้น่าสนใจกว่าตัวเดิมมากน้อยแค่ไหนกันค่ะ! ปรับปรุงกราฟฟิกด้วยเทคโนโลยี Ray Tracing ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ “เทคโนโลยี Ray Tracing” ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่คอมพิวเตอร์ที่มีสเปกสูงและอุปกรณ์สำคัญอย่าง “การ์ดจอ” จะต้องรองรับด้วย แต่ทั้งนี้เกมต่าง ๆ ก็ต้องรองรับด้วย แล้วสิ่งที่ได้ก็คือมันจะช่วยทำให้แสง, สี หรือ เงาสะท้อนกระทบต่อวัตถุดูสวยงาม แล้วมีความสมจริงมากขึ้น แล้วด้วยเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องเกมคอนโซลทั้ง PlayStation 5 และ Xbox Series X ทาง Capcom ก็เลยเพิ่มโหมดนี้มาส่งผลทำให้กราฟฟิกภายในเกม Devil May Cry 5: Special Edition มีรายละเอียดกราฟฟิกที่สวยมากยิ่งขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน Ray Tracing โดยทาง Capcom ได้ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า Ray Tracing ของเกม Devil May Cry 5: Special Edition สามารถเปิดใช้งานในความละเอียด 1080p หรือ 4K ได้ แต่เฟรมเรตก็จะแตกต่างกัน โดยความละเอียด 1080p จะสามารถปลดล็อคเฟรมเรตได้สูงสุด 60 - 120fps ส่วนความละเอียด 4K สามารถรีดเฟรมเรตออกมาอยู่ที่ 30fps ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีการออกแพทช์อัปเดตเพื่อให้สามารถรีดเฟรมเรต 60fps ได้หรือเปล่า ซึ่งก็มีเผยภาพแบบเปรียบเทียบกันเลยว่าความแตกต่างระหว่างการปิด และ เปิดใช้ Ray Tracing แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน จากภาพก็จะเห็นว่าถ้าเราเปิด Ray Tracing แสง, สี และ เงาจะดูดีขึ้น ด้านสีจะดูเข้มมากขึ้น แสงจะดูสว่าง ( แต่ไม่ได้สว่างจ้าอะไรนะคะ ) อย่างเหมาะสม และ เงาสะท้อนที่เห็นจากผิวน้ำ หรือ สะท้อนจากกระจก เราจะเห็นอย่างชัดเจนแม้แต่ตอนที่ตัวละครของเราเคลื่อนไหวแล้วมีการสะท้อนออกมาให้เราได้เห็นด้วย แล้วมันก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมเครื่องเกมคอนโซลยุคเก่าถึงไม่มีแพ็คเกจนี้ขายนั่นเองค่ะ ปรับปรุงเกมเพลย์ให้ลื่นไหลกว่าเดิมด้วย Turbo Mode จริง ๆ แล้วตัวเกม Devil May Cry 5 ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีเกมเพลย์แอ็คชั่นรวดเร็วอยู่แล้ว ยิ่งถ้าคนที่เล่นจนกลายเป็น “โปรเพลเยอร์” ก็สามารถทำคอมโบของตัวละครแบบเทพ ๆ ชนิดที่สร้างคอมโบแบบแปลก ๆ ทำแรงค์ได้ระดับ SSS ตลอดเวลาแถมไม่โดนการโจมตีแล้วก็ปิดการสังหารได้อย่างรวดเร็ว แต่ใน Devil May Cry 5: Special Edition ทาง Capcom ได้เพิ่มโหมดที่มีชื่อว่า “Turbo Mode” เข้ามา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการเคลื่อนไหวของตัวละครจะรวดเร็วมากกว่าเวอร์ชั่นปกติ อีกทั้งเกมเพลย์จะลื่นไหลมากขึ้นมีการลดแอนิเมชั่นของการโจมตีตัวละครลงทำให้เราสามารถทำคอมโบต่าง ๆ ได้ง่ายมากขึ้น ใครที่เล่นเก่ง ๆ อยู่แล้วคงสนุกกับการทำคอมโบมากกว่าเดิม เพิ่มศัตรูให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยโหมดที่หลายคนรอคอย Legendary Dark Knight ต้องบอกว่าทุกภาคของ Devil May Cry ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนก็ตาม “Legendary Dark Knigh Mode” โหมดที่เกวลินคิดว่าทำออกมาเอาใจเกมเมอร์บางกลุ่มที่อยากจะให้ฉากต่อสู้มีมอนสเตอร์มากกว่าปกติ เช่นเดียวกันกับภาค Devil May Cry 5: Special Edition ทาง Capcom ก็หยิบนำโหมดนี้ใส่เข้ามาด้วย ต้องอธิบายให้เข้าใจกันก่อนค่ะ ตัวเกม Devil May Cry ในทุก ๆ ภาคจะมีโหมดที่เรียกว่า “Legendary Dark Knigh Mode” จะเพิ่มมอนสเตอร์เข้ามาในฉากนั้น ๆ มากกว่าปกติ บางฉากก็อาจจะมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเข้ามาผสมกับมอนสเตอร์ระดับล่าง ๆ ปะบนอยู่ในนั้นด้วย ทำให้เราสามารถกวาดจัดการมอนสเตอร์ทีละมาก ๆ เพื่อเก็บ Red Orbs ทีละมาก ๆ ได้ โดยใน Devil May Cry 5: Special Edition จะมีความแตกต่างตรงที่ยิ่งฉากด่านเริ่มยากขึ้นเมื่อไหร่ ศัตรูที่แข็งแกร่งก็จะปรากฎตัวออกมาพร้อมกันทีละหลายตัวมากขึ้น ความมันส์ก็จะเริ่มจากตรงนี้ที่เกมเพลย์ถูกปรับให้รวดเร็วขึ้นแล้ว การเจอมอนสเตอร์เยอะ ๆ ก็ทำให้ผู้เล่นสามารถฝึกฝนเกมเพลย์ให้ก้าวสู่ “โปรเพลเยอร์” สายเกมแอ็คชั่นได้ไม่ยากเลยค่ะ การกลับมารอบที่ล้านเพิ่มตัวละครลูกรักประจำซีรีส์ Vergil พี่ชายของ Dante ก็ต้องบอกว่าทุกครั้งที่เกม Devil May Cry ไม่ว่าจะภาคไหนก็ตามแล้ววางจำหน่ายในแพ็คเกจ Special Edition สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาแน่นอนก็คือ “ตัวละคร Vergil” พี่ชายของ Dante ที่มีรูปแบบเกมเพลย์แตกต่างจากตัวละครอื่น ๆ ของซีรีส์นี้ในหลาย ๆ จุด ไม่ว่าจะเป็นพลังทำลายล้างที่เรียกว่าสูงที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมด แถมอาวุธที่ใช้โจมตีในระยะประชิดก็มีหลากหลายแบบ แล้วถ้าใครที่เล่นเกม Devil May Cry 5 เวอร์ชั่นบน PC ก็จะมี Mod ที่เราสามารถนำตัวละครนี้ได้ด้วย แต่ถึงกระนั้นมันก็มีความแตกต่างจากตัวเกมเวอร์ชั่น Devil May Cry 5: Special Edition มากเลยละค่ะ แตกต่างตรงที่ใน Devil May Cry 5: Special Edition ทาง Capcom ได้ออกแบบเกมเพลย์และดีไซน์ใหม่ ๆ ของตัวละคร Vergil แบบที่ตัวเกมในเวอร์ชั่นเดิมไม่มี ซึ่งตัวละครนี้เราสามารถเลือกเล่นได้ตั้งแต่แรกเลย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในเวลานี้ก็คือ “ตัวละคร Vergil คือตัวละครที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเล่นในฉากต่าง ๆ แต่จะไม่มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองเหมือนเดิม” แต่อย่างไรก็ตามก็จะมีฉากคัทซีนใหม่ ๆ ที่จะให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของตัวละครนี้ จริง ๆ ก็แอบเสียดายเหมือนกันอยากให้ Capcom จริงจังในส่วนของเนื้อเรื่องและเกมเพลย์มากกว่านี้หน่อย ในด้านของเกมเพลย์ที่ทาง Capcom ได้ดีไซน์ให้ Vergil ยอมรับว่าแต่ละท่าน่าสนใจไม่น้อยเลย อาวุธที่เราได้เห็นก็ประกอบไปด้วย “ดาบ Yamato” ดาบคู่กาย่ของ Vergil รูปแบบการโจมตีของดาบนี้จะยากกว่าอาวุธชนิดอื่น ๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็มีพลังทำลายล้างที่สูงมาก แล้วถ้าเราฝึกฝนจนชำนาญมันจะกลายเป็นอาวุธทำลายล้างที่น่ากลัวมากจริง ๆ, “สนับมือและสนับเท้า Beowolf” อาวุธที่ตามติดตัว Vergil มาตั้งแต่ Devil May Cry 3 มันคืออาวุธที่มีความแข็งแกร่งสามารถตัดหรือทำลายเกราะที่แข็งแกร่งของศัตรูได้อย่างสบาย ๆ และ “ดาบ Force Edge” ที่มีพลังทำลายล้างระดับกลาง แต่สามารถทำคอมโบได้ดีกว่าอาวุธชนิดอื่น ๆ เป็นต้น  แล้วใน Devil May Cry 5: Special Edition ก็มีการเพิ่มท่าพิเศษเข้ามาด้วย อาทิเช่น การเรียกตัวตนอีกด้านอย่าง  ออกมาแล้วอัญเชิญู Griffon, Shadow และ Nightmare ออกมาเพื่อโจมตีทำลายล้างศัตรูที่รุนแรงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวค่ะ หรือ จะเป็นการเรียกร่างแยกออกมาช่วยในการโจมตี เป็นต้น   คอนเทนต์ใน Devil May Cry 5: Special Edition มีอะไรบ้าง!? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยว่า “Devil May Cry 5: Special Edition ซื้อมาแล้วจะได้อะไรในนี้บ้าง!?” เกวลินจะเฉลยให้ทราบก็คือ มันคือตัวเกมแพ็คเกจ Deluxe Edition ที่เราจะได้คอนเทนต์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นได้รับ Red Orbs จำนวน 100,000 Point, เพิ่มเสียง Alt Style Rank ตอนที่เราทำแรงค์ต่าง ๆ, ฉากคัทซีทแบบ Live Action Cutscenes เข้ามา, เพิ่มเพลงประกอบจาก Devil May Cry 1 - 4 ให้เราเปลี่ยนได้, เพิ่มอุปกรณ์พิเศษ Gerbera GP01, Pasta Breaker, Sweet Surrender, Mega Buster และ Cavaliere R ดังนั้นก็คือซื้อทีเดียวจบค่ะ แล้วนี่คือรายละเอียด “รู้ก่อนซื้อเกม Devil May Cry 5: Special Edition” ที่มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้บนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 และ Xbox Series X เท่านั้นนะคะ ส่วนคนที่ถามว่า “พี่แล้วทำไมแพลตฟอร์มเก่า และ พีซีถึงไม่มี!?” คำตอบก็คือ หลาย ๆ ฟีเจอร์เครื่องคอนโซลรุ่นเก่าไม่สามารถรองรับได้ ส่วนเวอร์ชั่น PC ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะวางจำหน่ายแพ็คเกจนี้ในอนาคตไหม แต่ที่ประกาศออกมาแล้วก็คือ “จะอัปเดตในวันที่ 15 ธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยจะเพิ่มตัวละคร Vergil อย่างเดียว” บนแพลตฟอร์ม PC, PlayStation 4 และ Xbox One อีกทั้ง Devil May Cry 5: Special Edition ไม่มีตัวละคร Trish และ Lady ให้เราได้เล่นเหมือนกับ Devil May Cry 4: Special Edition นะคะ แอบเสียดายเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าทาง Capcom จะมีการอัปเดตออกมาเพื่อเรียกเสียงฮือฮาอีกครั้งหรือเปล่า โดยตอนนี้ตัวเกมได้เปิดวางจำหน่ายล่วงหน้าแล้วนะคะ อ้างอิงราคาจากแพลตฟอร์ม PlayStation 5 สนนราคาอยู่ที่ 1,212 บาท ใครจะสั่งซื้อได้แล้ววันนี้ค่ะ ( คลิปที่นี่ ) แต่อย่างไรก็ตามบ้านเราจะวางจำหน่ายเครื่อง PlayStation 5 ตามกำหนดเดิมคือ “วางจำหน่ายทั่วโลกวันที่ 19 พฤศจิกายน ศกนี้” ตามกำหนดเดิมที่ประกาศหรือเปล่าก็ได้แต่รอลุ้นค่ะ ตัวเกวลินเองก็สั่งจองเครื่องไปแล้วนะเนี่ย ฮือ ๆ เอาไว้ถ้าได้เครื่องและเกมจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะคะ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อนแล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ บะบุย ๆ
12 Nov 2020
ร้อนๆ หนาวๆ! สื่อต่างประเทศเทสประสิทธิภาพการทำงาน iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro แบบจัดเต็ม
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาสำหรับ “iPhone 12 Series” มือถือสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ดังระดับโลก Apple ที่ในรุ่นนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องดีไซน์ครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ แถมออกมาหลากหลายรุ่นให้ผู้ที่เป็นแฟนได้เลือกซื้อ เลือกใช้อย่างเหมาะสมก็จะมีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัรประกอบไปด้วย iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งทั้ง 4 รุ่นความแตกต่างกันอยู่ตรงที่กล้อง, แบตเตอรี่, ดีไซน์ตัวเครื่อง และ วัตถุที่ใช้จะไม่เหมือนกัน แต่ชิปเซ็ตภายในทุกรุ่นเป็น “A14 Bionic” ที่กลายเป็นชิปเซ็ตที่มีขนาดเล็กที่สุดคือ 5 นาโนเมตรเท่านั้น! ความน่าสนใจของ “iPhone 12 Series” ก็เลยอยู่ที่ชิปเซ็ตเพราะทุกรุ่นใช้ตัวเดียวกันทั้งไม่ว่าจะเป็นทั้ง CPU หรือ GPU ที่ทาง Apple ยังออกมาเครมว่ามันมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ยอดเยี่ยมกว่าชิปเซ็ตของฝั่ง Android มากถึง 50% แถมยังประหยัดพลังงานมากกว่า ในทางกลับกันด้านการเล่นเกมอันนี้ก็ต้องยอมรับว่า iPhone ที่เป็นตัวท็อป ๆ มักจะสามารถเล่นเกมต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหล ปรับกราฟฟิกได้สูงสุดแทบทุกเกม โดย iPhone 12 Series จะมีรูปแบบการทำงานเป็น Neural Engine 16-Core ผ่านระบบ Machine Learning จุดนี้ละที่ทำให้รุ่นนี้การทำงานเวลาเล่นเกมลื่นไหลไม่มีสะดุดนั่นเองค่ะ แต่สิ่งที่น่าจับตามองของ “iPhone 12 Series” คือเรื่องแบตเตอรี่เพราะถ้ามอง ๆ แล้วถือว่าให้มาน้อยมากกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก โดยสื่อต่างประเทศอย่าง Phonearena ได้เปิดเผยออกมาว่าจากข้อมูลที่มีการตรวจสอบพบว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro แบตเตอรี่เท่ากันคือ “2,815 mAh” เอาจริง ๆ มันน้อยมาก ๆ ถ้าเทียบกับฝั่ง Android ที่บางรุ่นทะลุไปถึง 6,000 mAh แล้วถ้าไปเทียบค่าแบตเตอรี่รุ่นก่อนหน้านี้อย่าง iPhone 11 อยู่ที่ “3,110 mAh” และ iPhone 11 Pro อยู่ที่ “3,046 mAh” งานนี้ก็เลยพวกเขาก็เลยขอหยิบนำ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มาทดสอบในการทำงานรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเล่นเกม หรือ การใช้งานต่าง ๆ ว่าแบตเตอรี่แค่นี้จะอยู่ได้ราว ๆ กี่ชั่วโมงกัน การทดสอบแบตเตอรี่เมื่อนำมาเล่นเกมแบบต่อเนื่อง ทางเว็บไซต์ Phonearena ได้นำเครื่อง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มาทดสอบในการเล่นเกมแล้วมีการปรับรายละเอียดกราฟฟิกสูงสุด โดยหยิบนำเกม Call of Duty: Mobile และ Minecraft มาใช้ในการเทส ผลที่ได้ก็คือแบตเตอรี่อยู่ได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมงเศษ ๆ เท่านั้น ที่สำคัญเมื่อเล่นเกมไปสักระยะรู้สึกได้เลยว่าเครื่องมีความร้อนพอสมควร แล้วจากการเทสก็พบว่าพอเครื่องเริ่มมีความร้อนสูงแบตเตอรี่ก็กินมากขึ้นตามทวีคูณเลยค่ะ แต่ตรงกันข้ามกับ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ที่สามารถเล่นเกมได้นานมากถึง 6 - 7 ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่ามันแตกต่างจากรุ่นก่อนเป็นอย่างมากเลยค่ะ ใครที่คิดอยากจะซื้อ “iPhone 12 Series” เพื่อมาเล่นเกมโดยเฉพาะคงต้องคิดหน้าคิดหลังดี ๆ นะคะ การทดสอบแบตเตอรี่เมื่อนำมาดู YouTube แบบต่อเนื่อง หลังจากที่ทางเว็บไซต์ Phonearena ได้นำเครื่อง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ได้นำมาทดสอบในการเล่นเกมแล้ว พวกเขาก็เลยตัดสินใจที่จะนำมาทดสอบในส่วนของการเปิดรับชมวีดีโอผ่าน YouTube พบที่ได้ก็คือสามารถรับชมได้ต่อเนื่องยาวนานมากถึง 6 ชั่วโมงกับอีก 38 - 48 นาทีโดยประมาณ ถ้าเปรียบเทียบกับ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ก็มีความใกล้เคียงกันพอสมควรค่ะ ซึ่งถ้ามองแบบเชิงวิเคราะห์ก็ถือว่ายังคงประสิทธิภาพในการทำงานส่วนนี้ได้ดีค่ะ การทดสอบแบตเตอรี่เมื่อนำมาดูเว็บไซต์ต่าง ๆ แบบต่อเนื่อง มาถึงการทดสอบครั้งสุดท้ายของ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro นั้นก็คือการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ดูข่าวสาร นู่นนี้นั้น ผลการทดสอบทาง Phonearena ได้เปิดเผยว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมงได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งถ้าให้ไปเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง iPhone 11 อยู่ที่ราว ๆ 11 ชั่วโมงนิด ๆ กับ iPhone 11 Pro ที่ใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมงกว่า ๆ แบตเตอรี่ถึงจะหมด ก็เรียกว่าประสิทธิภาพในการทำงานส่วนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ค่ะ ถ้าให้เกวลินสรุปเนี่ยจากผลการทดสอบของเว็บไซต์ Phonearena ทำให้เราได้เห็นว่าแม้แบตเตอรี่ของ iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro เทียบกับ iPhone 11 กับ iPhone 11 Pro อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมา แต่เมื่อนำมาใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมที่เห็นได้ชัดเจนว่าแค่เล่นเกมที่กราฟฟิกอาจจะยังไม่สุดอย่าง Call of Duty: Mobile และ Minecraft ก็สามารถสูบแบตเตอรี่ได้มากมายขนาดนี้ เพราะจาก 100% เล่นไปเหลือ 0% ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง งานนี้คนที่คิดจะนำไปใช้งานตอนสตรีมเกมแบบถ่ายทอดสดก็คงจะต้องคำนวนการใช้งานอย่างเหมาะสมด้วยนะคะเนี่ย เพราะถ้าทำงานจริงตัวเครื่องก็ยังทำงานแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ แบตเตอรี่อาจจะหมดเร็วกว่านี้ก็เป็นได้ค่ะ  อย่างไรก็ตามตอนนี้สื่อไอทีบางเจ้าในบ้านเราตอนนี้ก็มีการจัดเครื่องหิ้วมาเทสกันเพียบเลยค่ะ ส่วนคนที่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่ Apple Thailand จะประกาศวันวางจำหน่ายในประเทศไทยสักที เกวลินก็ตอบไม่ได้ค่ะ แต่ที่รู้แน่ชัดก็คือหน้าเว็บไซต์หลักมีการปล่อยข้อมูลออกมาให้เราได้ทราบสเปกเครื่องของ “iPhone 12 Series” ทั้ง 4 รุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเจ้าแรกที่เปิดตัวก่อนเลยก็คือ “AIS” ที่ออกมาโฆษณาว่าจะเปิดให้สั่งจองในเร็ว ๆ นี้ ใครที่เป็นแฟนมือถือสมาร์ทโฟนแบรนด์นี้ยังไงก็อดใจรอกันหน่อยนะคะ คาดว่าบ้านเราน่าจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไม่เกินสิ้นปีนี้แน่นอนค่ะ  ก่อนจะจากกันถ้าถามเกวลินว่าควรซื้อ “iPhone 12 Series” รุ่นไหนดี อันนี้อยู่ที่เงินในกระเป๋าของเพื่อน ๆ เลยค่ะ เพราะทุกรุ่นในเรื่องของชิปเซ็ตที่ใช้งานเหมือนกันทุกประการจะแตกต่างก็คือเรื่องกล้อง ยิ่งตัวท็อป ๆ ก็จะมีเลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป หรือ ถ่ายวีดีโอได้ยอดเยี่ยมมากกว่า ถ้าคุณเป็นสายถ่ายรูป ทำคอนเทนต์แล้วใช้ iPhone ในการทำบล็อกเกอร์มาโดยตลอดเนี่ยก็จัดตัว iPhone 12 Pro หรือ iPhone 12 Pro Max น่าจะเหมาะที่สุดแล้วค่ะ ทั้งนี้เราเองก็ต้องสำรองพวกพาวเวอร์แบงค์สำรองติดตัวไว้ด้วยนะคะ ส่วนเรื่องของราคาก็ต้องมารอลุ้นกันว่าบ้านเราจะขายแต่ละรุ่นอยู่ที่เท่าไหร่กันบ้าง เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ iPhone 12 Series ได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) และ ( คลิกที่นี่ ) Source: Phonearena ( เรียบเรียงโดย KaelynVT )
06 Nov 2020
10 โมเม้นชวนคิดถึงของ Ragnarok ผู้เล่นเก่าใครจำเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง
ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกสุดของ Ragnarok Online คงจะมีความทรงจำต่างๆมากมายเกี่ยวกับเกมนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งความทรงจำและโมเม้นเหล่านั้นต้องพูดเลยว่ามีเฉพาะคนรุ่นเก่าเท่านั้น มาดูกันว่าความทรงจำ เด็ดๆ เก่าๆเหล่านั้นมีอะไรบ้าง1.หักไม้ผีในเมือง บางคนสงสัย นั่งอยู่ในเมืองตั้งขายของ ออกไปกินข้าว กลับมาตัวละครนอนเฉย อย่าได้สงสัยไปเพราะไม้ผีที่คนหักเล่นอย่างไรละ วันดีคืนดี มีคนโชคดีหักไม้ได้มอนเก่งๆมาก คือเมืองสะอาดเลยจ้า นอนกันระนาว ตัวใครตัวมัน ต้องรอให้ผู้กล้าที่แข็งแกร่งหน่อยมาช่วยเหลือให้เมืองกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง 2.วาร์ปแถม เอบี หนึ่งในธุรกิจหลักที่เฟื่องฟูมากของพระในเกม คือการขายวาร์ป ยิ่งวาร์ปสถานที่เก็บเลเวลต่างๆยิ่งได้รับความนิยม การตลาดของพระบางเจ้าคือมีเพิ่มบัพต่างๆก่อนวาร์ปไปเก็บเลเวลให้อีกด้วย แข่งขันกันสุดๆ อย่างว่าแหละเป็นพระก็ต้องกินต้องใช้ 3.Chit Chat เรื่องหลัก เก็บเลเวลเรื่องรอง เกมนี้ใครเข้าเก็บเลเวลกัน การนั่งในเมือง ได้พูดคุยและรู้จักเพื่อนใหม่คืองานหลักต่างหาก เป็นเกมแห่งมิตรภาพที่แท้จริง บางคนก็ได้เพื่อน ได้แฟนในชีวิตจริงกลับไปด้วยนะ 4.รับ DC และ OC สาย DC จะรับซื้อของจาก NPC ในราคาถูก กินกำไรนิดหน่อยและขายให้กับผู้เล่น ส่วนมากจะเป็นการขายน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตต่างๆเพราะมีผู้เล่นต้องการจำนวนมากและถูกกว่าซื้อจาก NPC โดยตรง ส่วนสาย OC นั้นจะนั่งในแหล่งเก็บเลเวลเพื่อรับของจากผู้เล่น และไปขาย NPC ในราคาแพง ธุรกิจนี้สำหรับพ่อค้าเท่านั้น 5.ไก่จ๊วบ และน้องขิง เรียกได้ว่าเป็นดาราในโลกของ Ragnarok เลยก็ว่าได้สำหรับ 2 คนนี้ ใครมีโอกาสเจอและได้ลงคอลั้มในนิตยสาร ก็คือเป็นเกียรติแก่วงตระกูล มีคอลั้มและเรื่องราวน่ารักออกมาให้อ่านทุกสัปดาห์ 6.ชุบทีมีใบ เมื่อตายในดัน แล้วขี้เกียดวาร์ปมาอีกรอบ ทางเลือกสุดท้ายคือการตั้งห้อง ชุบทีใมีใบ หวังว่าคนจะผ่านมาและชุบให้ แต่ถ้าเจอพระใจดีเขาก็ชุบให้ฟรีเลยนะ 7.ตั้งชื่อต้องมีสัญลักษณ์ การตั้งชื่อตัวละครต้องมีสัญลักษณ์หัวท้าย เมื่อก่อนบ่งบอกถึงความเท่เลยทีเดียว ยิ่งสัญลักษณ์แปลกประหลาดคนเขียนตามยากเท่าไร ยิ่งเท่มากขึ้นเท่านั้น 55555555+ 8.รับของร้อน การรับซื้อไอเท็มหายากในราคาที่ถูกมากกว่าราคาตลาด ถือเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูมาก เพราะกำไรดีมากๆ แต่อาจต้องใช้เวลาซักหน่อย เพราะต้องอยู่หน้าจอตลอดเวลาและต้องมีความอดทน ที่เรียกว่ารับของร้อนเพราะมาจากการที่ผู้เล่นที่เอาไอเท็มหายากมาขายนั้นร้อนเงินนั่นเอง 9.สิ่งพิมพ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Guide Book นิตยสารรายสัปดาห์ ต้องซื้อทุกอาทิตย์ รวมถึงรวมเล่มการ์ตูน ก็ต้องสะสม 10.บัตรเติมเงิน ถือเปิดประสบการณ์การเติมเงินเพื่อเล่นเกมในยุคแรกๆเลยก็ว่าได้ มีทั้งบัตรรายชั่วโมงและรายวัน บางคนถึงขั้นสะสมบัตรไว้ด้วยเพราะลายต่างๆสวยงาม สมัยนั้นใครเล่นในร้านเน็ตนอกจากต้องเสียค่าเล่นเกมส์ในร้านแล้ว ต้องเสียค่าเกมซื้อชั่วโมงเล่น Ragnarok ด้วยนะ ก็จบไปแล้วสำหรับการระลึกความหลังของเกม Ragnarok เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ตอนนี้ได้แต่อดใจรอให้เซิฟเปิดเร็วๆ เชื่อว่าหลายๆคนอยากกลับเล่นเพราะคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆแน่นอน
27 Apr 2020
Acer จัดการแข่งขัน PUBG ภายใต้ชื่อ Thailand Predator League 2020!
ตลาดเกมนั้นกำลังเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจ E-Sports ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็อยากจะเข้ามาลุงทุนในตลาดนี้ด้วยเช่นกัน บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง Acer ก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงได้มีการจัดแข่งขัน E-Sports ขึ้นในชื่อ Predator League โดยจัดงานอยู่หลายครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านนี้  และการแข่งขันครั้งใหม่ ก็กำลังจะมีขึ้นเร็วๆ นี้! Thailand Predator League 2020 คือชื่อของงานแข่งขันครั้งใหม่นี้ รอบนี้เป็นการแข่งขันในเกม Playerunknowns Battlegrounds (PUBG) ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท! ซึ่งจะเปิดรับสมัครในวันที่ 10 - 25 ตุลาคมนี้ โดยรอบชิง จะจัดขึ้นที่ Thailand E-Sport Arena @ The Street Ratchada ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ทีมที่ได้ 2 อันดับแรก ยังได้สิทธิไปแข่งต่อในระดับภูมิภาค ที่ประเทศฟิลิปปินส์อีด้วย งานนี้เพลเยอร์สาย E-Sport ห้ามพลาด สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่นี้ >>> Click <<< ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการแข่งขันได้ที่ Facebook : Predator League TH ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
10 Oct 2019
รีวิว Secret Neighbor (Beta) ล้วงความลับ จับเพื่อนบ้าน
เกม Free to Play ที่มาแรงของ Steam ในขณะนี้ คงต้องยกให้ซีรี่ส์ภาคต่อจากเกม Hello Neighbor ที่เพิ่มความสนุกในการค้นหาความลับของเพื่อนบ้านมากขึ้นในชื่อ “Secret Neighbor” ที่ได้เปิดตัว Beta ให้ลองเล่นกันแล้วจ้า โดยคอนเซปต์ของเกมนี้ ยังคงเป็นการเข้าไปในบ้านของลุงข้างบ้าน เพื่อสืบหาปริศนาอะไรบางอย่างถูกซ่อนไว้ แต่คราวนี้ไม่ใช่การเล่นเดินเนื้อเรื่องเหมือนอย่างเคย ใน Secret Neighbor เราจะต้องร่วมเล่นกับผู้เล่นอื่นๆถึง 6 คน ในกลุ่มของพวกเราจะมีหนึ่งคนที่เป็นลุงเจ้าของบ้านปลอมตัวมา หน้าที่ของเหล่าเด็กๆนอกจากจะต้องหากุญแจมาไขห้องลับใต้ดินของเพื่อนบ้านแล้ว ยังต้องคอยระวังการขัดขวางจากเจ้าของบ้านที่ปลอมตัวปะปนในหมู่พวกเราด้วย ได้อารมณ์การเล่น Dead by daylight ผสมกับ Deceit (แต่ภาพน่ารักกว่ามากนะ) ที่ได้ทั้งความระทึกใจและทำลายมิตรภาพไปพร้อมๆกันในเกมเดียว อย่างที่บอกว่าภารกิจหลักของเกม คือการที่กลุ่มเด็กจอมซนเข้าไปในบ้างของลุงเพื่อนบ้าน ซึ่งชาวแก๊งค์จะแบ่งออกได้ 6 คาแรคเตอร์ ซึ่งแต่ละคนก็มีความสามารถติดตัวที่ต่างกันออกไป ซึ่งใครเป็นสายไหนในกลุ่ม ก็สามารถเลือกได้ตามชอบ Bagger หมูอ้วนกับกระเป๋าของเขา สามารถเก็บของได้มากกว่าคนอื่น Leader ที่คอยเชียร์เพื่อนๆ ช่วยให้ตื่นตัวและเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น Detective พร้อมกล้องถ่ายรูปที่จะช่วยหาเบาะแสว่ากุญแจอยู่ตรงไหน Inventor ผู้สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยเด็กๆในการต่อกรกับลุงข้างบ้านได้ดียิ่งขึ้น Scout ลูกเสือสายลุยกับหนังสติ๊กคู่ใจ และสกิลความไวในการเคลื่อนที่ และ Brave สาวเบสบอลสายบวก ที่ยิ่งทำดาเมจ จะได้สกิลหนีจากการโดนจับเป็นของแถม มาทางฝั่งของเพื่อนบ้าน ในตัว Beta นี้จะมีให้เลือก 2 คาแรคเตอร์ คือ คุณลุง ที่เราเคยเจอใน Hello Neighbor นั่นแหละ และตัวตลก ที่ฝีมือไม่ตลกเลย ซึ่งแต่ละตัวก็มีสกิลที่คอยปั่นป่วนทีมได้ อย่างกับดักของคุณลุง หรือการแปลงร่างเป็นไอเท็มในเกมของตัวตลก อีกทั้ง เรายังสามารถจำกัดพื้นที่การเล่นโดยการโยกนาฬิกาเพื่อเปิด-ทางได้ด้วย ก็แน่สิ! นี่บ้านของฉันนะ!! โดยหากเริ่มเกมแล้วเราได้รับเลือกให้เป็น Neighbor เราสามารถสลับระหว่างร่างเด็กและร่างของ Neighbor ได้ ภารกิจของฝ่าย Neighbor คือจับเด็กๆทุกคนให้หายสาบสูญ โดยเมื่อมีเด็กเข้ามาใกล้ สามารถดึงอีกฝ่ายเข้ามาและทำให้กลายเป็นตุ๊กตาจนสลายกลายเป็นใบประกาศเด็กหาย จึงจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ถึงระบบเกมจะรวมจุดเด่นจากหลายแนวเกม แต่การควบคุมนั้นถือว่าง่ายมาก เพราะในเกมจะมีคำแนะนำอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเก็บของ, แปลงร่าง, ใช้สกิลของตัวละคร ให้กดที่ปุ่มไหน เมื่อเจอกุญแจก็มีเสียง กริ๊ง! เป็นสัญญาณ ไม่ต้องกลัวเด๋อให้โดนเพื่อนด่าฟรี รวมไปถึงไอเทมที่เก็บได้ในเกม นอกจากจะมีไว้ปาใส่คนกับหน้าต่างแล้ว บางไอเทมจะมีข้อมูลบอกว่าสามารถกดปุ่มไหน จะใช้ฟังชั่นก์ใดได้บ้างอีกด้วย ถือว่าสะดวกสบาย แม้ไม่ใช่สายเกม PC ก็เล่นเป็นได้อย่างง่ายดาย อย่าลืมลองเล่นไอเท็มให้ครบทุกชิ้น รับรองว่าสนุกสนานเฮฮาจนลืมภารกิจกันเลยทีเดียว     ถึงพื้นที่การเล่นจะดูไม่เยอะ แต่ด้วยไอเท็มที่มีให้เลือกหยิบเยอะเหลือเกิน ทำให้วิ่งอยู่ดีๆก็หลงทางในบ้านได้เหมือนกัน ระหว่างที่หลงก็ลุ้นไปกับเสียงเปิดประตู เสียงเพื่อนวิ่ง เสียงแจ้งเตือนทางเปิดหรือไขกุญแจชั้นใต้ดิน ทำเอากังวลจนต้องเหลียวไปดูว่ามีใครตามมาหรือเปล่า ถ้าได้เป็นฝ่ายเพื่อนบ้านก็ต้องลุ้นอีก ว่าจะโดนเพื่อนปาของสุ่มจับผิดหรือเปล่า จะจับเด็กได้ก่อนหรือโดนจับได้ก่อน เอาเป็นว่าทำเอาใจเต้นพอๆกันไม่ว่าจะถูกเลือกให้เล่นฝ่ายไหน ยิ่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนสนิท ยิ่งปั่นกันมากขึ้น ยิ่งคูณความสนุกไปอีกเป็นเท่าตัว! จึงไม่น่าแปลกเลยที่ Secret Neighbor จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีตั้งแต่วันเปิดตัวในงาน E3 ปี 2018 เพราะแม้จะเป็นตัว Beta แต่ระบบการเล่นและเนื้อหาเกมกลับมีทั้งความโหด มันส์ ฮา จนทำให้ประทับใจได้ขนาดนี้ มารอดูกันว่าตัวเต็มจะสนุกขนาดไหน สำหรับใครที่สนใจ สามารถไปโหลดได้เลยที่ LINK ทดลองเล่นได้ถึงวันที่ 19 สิงหาคมนี้เท่านั้นนะจ๊ะ
13 Aug 2019
มาชมผลงานจากผู้ชนะการประกวดถ่ายรูปจากเกม God of War
เมื่อเร็วๆ นี้ โซนี่ได้จัดงานประกวดภาพถ่ายจากเกม God of War ขึ้น ซึ่งเปิดให้ผู้เล่นจากทั่วโลกส่งผลงานการแชะภาพด้วย Photo Mode ของเกม ล่าสุด ทางโซนี่ได้ออกมาประกาศรายชื่อผู้ชนะงานประกวดทั้ง 9 คน พร้อมกับนำผลงานสุดตระการตาของเขาเหล่านั้นมาให้ชมกันทางเว็บไซต์ จะสวยขนาดไหนไปชมกันได้เลย! (ขอบคุณ Sony สำหรับภาพ) ผลงานโดยคุณ: @NINJERELLO ผลงานโดยคุณ: IAN L. ผลงานโดยคุณ: @THEHUNTERVICTOR ผลงานโดยคุณ: @THE_MACEBOOK ผลงานโดยคุณ: @LINALYX_ ผลงานโดยคุณ: @LIBRAA_SANDRA1 ผลงานโดยคุณ: @GATIROSHO ผลงานโดยคุณ: JOHN L. ผลงานโดยคุณ: @_ROSAPEXA เกม God of War กำลังจะได้รับโหมด New Game+ ด้วยในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เพื่อฉลองวันครบรอบ 4 เดือนตั้งแต่วางจำหน่ายเกม
09 Aug 2018