GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "hyperx"
รีวิว HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ถ้าชอบใช้แรงกดน้อยต้องตัวนี้เลย
Alloy Origins นับเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งตัวใหม่จากทาง HyperX ที่มีดีไซน์สวยงาม ที่มาพร้อมกับไฟ RGB สีสันสวยงาม และมีสวิตช์ให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ ประกอบด้วย Red (Linear), Blue (Clicky) และ Aqua (Tactile) โดยก่อนหน้านี้ทางเราได้มีการรีวิวตัว Blue ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณทาง HyperX ที่ได้มีการส่งตัว Aqua มาให้เราทดลองใช้อีกตัวครับ ซึ่งวันนี้ผมจะมีรีวิวให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของคีย์บอร์ดตัวนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้กัน แอบบอกก่อนเลยว่าสวิตช์ตัวนี้ "พิมพ์สนุกมาก" จะเป็นยังไงไปดูกันครับ รายละเอียด Switch HyperX Aqua Operation Style - Tactile ควมแรงในการกด - 45 G ระยะสั่งการ - 1.8 mm ระยะการเคลื่อนที่ - 3.8 mm จำนวนการกด - 80 ล้านครั้ง ถ้าหากจะให้พูดถึงข้อดีของเจ้า Aqua (Tactile) ตัวนี้ คงจะเป็นในเรื่องที่มีจังหวะสะดุดเล็กน้อย ทำให้ตอนใช้งานจะรู้สึกได้ว่ากดปุ่มลงไปแล้วจริงๆ หรือไม่ ทั้งยังใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G จึงทำให้การสั่งการผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ สามารถทำได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วมากกว่าคีย์บอร์ดทั่วไปที่มีอยุ่ในตลาดครับ จากประสบการณ์ใช้งานตรง ผมพบว่าสวิตช์รูปแบบนี้เหมาะสมเวลาใช้พิมพ์ข้อความเป็นอย่างมาก เนื่องจากจังหวะสะดุดเล็กน้อยนั้นช่วยให้แน่ใจว่าพิมพ์ตัวอักษรแต่ละตัวไปแล้วจริงๆ ทั้งยังใช้แรงในการกดไม่มากเท่าไหร่นัก ส่งผลให้ไม่เกิดอาการเจ็บนิ้วเวลาใช้งานนานๆ ครับ ในด้านของการเล่นเกม Aqua (Tactile) ถือว่าตอบโจทย์เมื่อเอาไปใช้กับแนวเกมที่ต้องการความถูกต้องในการสั่งการ และความเร็วอย่างแนว RTS หรือ MOBA เป็นอย่างมาก การใช้งานกับเกมตระกูล FPS เองก็ค่อนข้างเหมาะสมเช่นกัน เอาจริงๆ สามารถใชได้กับเกมทุกแนวครับ แต่เนื่องจากว่าใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G เท่านั้น ผู้ใช้งานอาจจำเป็นต้องระวังในเรื่องของการกดไปโดนปุ่มข้างๆ เล็กน้อยครับ! วัสดุและดีไซน์ HyperX Alloy Origins มีโครงสร้างของตัวคีย์บอร์ดเป็นอลูมิเนียม และมีตัวปุ่มกดเป็นพลาสติกแข็งเกรดดี จึงทำให้มีน้ำหนักเบา สามารถพกพาได้สะดวกทั้งยังแข็งแรงทนทาน อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นอลูมิเนียมผิวดำ ถึงทำให้เกิดรอยขีดข่วนจากเล็บ หรือของมีคมได้ง่ายเช่นกัน ถ้าอยากให้คีย์บอร์ดสวยงามอยู่ตลอดเวลา ตอนใช้งานก็อาจจำเป็นต้องตัดเล็บให้สั้นไว้ก่อนดีกว่าครับ ในส่วนของดีไซน์ Alloy Origins ตัวนี้นับว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ถ้าเปรียบเทียบกับคีย์บอร์ด Full Size ตัวอื่นๆ ในตลาด เนื่องจากคีย์บอร์ดตัวนี้ถูกออกแบบมาให้แทบจะไม่มีขอบเลย จึงส่งผลให้ขนาดโดยรวมเล็กกว่าตัวอื่นๆ ที่มีในตลาดประมาณ 10 - 20% ดังนั้นสำหรับใครที่มีพื้นที่ระหว่างขอบโต๊ะกับหน้าจอน้อย Alloy Origin อาจเป็นตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์ของคุณได้ครับ แสงและไฟ อีกหนึ่งฟังก์ชันที่เหล่าเกมเมอร์ให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งคือในเรื่องของแสงสีที่สวยงาม ซึ่ง Hyper X Alloy Origin ได้มีการใช้ไฟแบบ RGB LED ที่จะแสดงผลแสงสีได้สวยงาม โดนเฉพาะเวลาอยู่ในที่มืด นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมไฟ RGB ให้แสดงผลได้ตามต้องการผ่านโปรแกรม HyperX NGENUITY ด้วย เท่าที่ตัวผมเองได้ลองตั้งค่าไฟเล่นดู พบว่าคีย์บอร์ดตัวนี้สามารถแสดงผลรูปแบบไฟ RGB ได้ไม่น้อยหน้าแบรนด์ Gaming Gear ชั้นนำอื่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไฟแบบ Wave, Breathing, Starlight, Riptide, Static, หรือ All Random ก็สามารถทำได้ครับ สรุป เท่าที่ได้ลองใช้งานมา 2 อาทิตย์กว่าๆ ตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าตัวผมเองได้ตกหลุมรักเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Aqua Switch ] ตัวนี้ไปเสียแล้วเพราะไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์, ไฟ หรือสัมผัส ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ตอนนี้มันได้กลายเป็นคีย์บอร์ดหลัก ที่ใช้ทั้งพิมพ์งาน และเล่นเกมในบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะพูดถึงข้อเสียของเจ้าตัวนี้คิดว่าคงมีอย่างเดียว คือยังไม่มีภาษาไทยบนคีย์บอร์ดครับ ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดโดยที่ไม่มีมองได้ อาจจะลำบากพอสมควรเลยในการใช้งานเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ตัวนี้ แต่ส่วนหนึ่งคิดว่า อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้ยังไม่ได้ถูกนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการด้วยครับ ซึ่งคิดว่าถ้าเข้ามาแล้วน่าจะมีตัว เวอร์ชันภาษาไทยให้เพื่อนๆ ได้เลือกซื้อกันด้วย คงต้องรอดูกันต่อไป
27 Oct 2020
รีวิวคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins [ Mechanical Blue Switch ]
ถ้าให้พูดถึงหนึ่งในแบรนด์เกมมิ่งเกียร์ที่หลายๆ คนให้ความไว้วางใจ หนึ่งในชื่อที่จะต้องถูกพูดถึงมาเป็นอันดับแรกๆ ก็น่าจะเป็นแบรนด์อย่าง HyperX ที่เข้ามาตีตลาดบ้านเรามาหลายปีแล้ว แต่หนึ่งในโปรดักส์ที่หลายๆ คนชอบนั่นก็คือตัวคีย์บอร์ดเกมมิ่งเกียร์ Mechanical ที่วัสดุอันทนทานแข็งแรง และตัวคีย์บอร์ดรุ่นใหม่ที่ทาง HyperX ส่งมาให้เรารีวิวนั่นก็คือ HyperX Alloy Origins ที่เป็นรุ่นอัพเกรดจากคีย์บอร์ด Hyperx Alloy FPS ที่เคยออกมาขายในปี 2017 แต่ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกับไฟ RGB สุดสวยงามที่มีลูกเล่นให้ปรับได้เยอะและละเอียดมากด้วย Software ที่ใช่คู่กัน ใครอยากรู้ประสิทธิภาพของคีบอร์ดตัวนี้ ตามพวกเรามาเลยครับ HyperX Alloy Origins จริงๆ แล้วภายในรุ่นนี้จะมีให้เลือก Switch ทั้งหมด 3 แบบนั่นคือ Clicky (Blue Switch), Linear (Red Switch) และ Tactile (Green Switch) แต่ตัวที่เราได้รับมานั่นคือตัว Blue Switch ซึ่งเป็นสไตล์ที่เกมเมอร์ในท้องตลาดส่วนใหญ่เลือกใช้ ด้วยปุ่ม Mechanical ที่ทาง HyperX ผลิตขึ้นมาเอง รวมถึงยังมีความทนทานรองรับการกดได้มากถึง 80 ล้านครั้งเลยทีเดียว รายละเอียด Switch HyperX Blue Operation Style - Clicky ควมแรงในการกด - 50g ระยะสั่งการ - 1.8 mm ระยะการเคลื่อนที่ - 3.8 mm จำนวนการกด - 80 million วัสดุและดีไซน์ ในด้านของวัสดุที่ทำตัว Body ของตัวคีย์บอร์ดนั้นจะเป็นอัลลูมีเนียมทั้งหมด ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่แข็งแรงทนทาน แต่น้ำหนักของตัวมันเอง เอาจริงๆ มันไม่ได้หนักมากจนเกินไป ถ้าให้เปรียบเทียบกับคีย์บอร์ดอื่นๆ ที่ผู้เขียนได้ลองสัมผัสมา รวมถึงในด้านของดีไซน์ตัว Body เองจะเป็นหน้าตาแบบไร้ขอบ ซึ่งข้อดีของมันคือการดึงปุ่มกดออกมาง่าย รวมถึงการทำความสะอาดที่เพียงแค่เขย่าๆ ฝุ่นก็ออกมาทั้งหมดแล้ว ด้านการกด เรามาดูเรื่องของปุ่มกดกันก่อนดิกว่า โดยตัวผู้เขียนนั้นได้ลองเอามาใช้ในที่ทำงาน ได้ลองทั้งเล่นเกมและพิมพ์งานด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าจากที่เคยได้ใช้ปุ่มคีย์บอร์ดยาง หรือคีย์บอร์ดจาก Notebook ความรู้สึกที่ได้ค่อนข้างแตกต่างจากเดิมเยอะมาก การกดพิมพ์งานหรือเล่นเกมตัวคีย์บอร์ดค่อนข้างตอบสนองได้ดีพอสมควร รวมถึงระยะห่างของคีย์บอร์ดเองอยู่ในระดับที่พอดี ทำให้เราพิมพ์ไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่าในเรื่องของการพิมพ์งาน HyperX Alloy Origins [ Mechanical Blue Switch ] ค่อนข้างพิมพ์ได้ดีมากกว่าคีย์บอร์ดที่ใช้ Switch ของ Cherry ทั่วไปเสียอีก เพราะ Switch ของ HyperX มันใช้น้ำหนักในการกดที่น้อยกว่าถึง 10 กรัมเลยทีเดียว ตัวคีบอร์ดมาพร้อมกันสาย USB Type-C ที่ถึงแม้ว่าผู้พัฒนาจะดีไซน์มาให้ถอดเสียบได้ แต่ตัวคีย์บอร์ดไม่ได้เป็นแบบ Wireless เราจะต้องเสียบไฟอยู่ตลอดเวลาในการใช้งาน แต่ที่ตัวคีย์บอร์มีสาย Type-C ให้เสียบเพราะเพื่อการส่งข้อมูลที่ไวกว่าเดิมนั่นเอง ไฟ RGB และเรามาพูดถึงจุดขายของตัวคีย์บอร์ดนี้กันดีกว่าครับ นั่นคือในเรื่องของไฟ RGB ที่สามารถปรับได้ค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียวด้วย Software ที่ชื่อว่า HyperX NGENUITY ซึ่งมันค่อนข้างปรับรายละเอียดได้เยอะมากๆ ซึ่งประกอบไปด้วย Effect สีของปุ่ม Breathing - เหมือนการหายใจเข้าออก ค่อยๆ ดับ ค่อยๆ สว่าง Confetti - สีทุกปุ่มเปลี่ยน Random Swipe - เกรดจากอีกสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง (ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบบคลื่น) Twilight - สีกระพริบบางจุดแบบ Random Wave - สีออกมาเป็นแบบคลื่น Sun - สีแบบดวงอาทิตย์พื้นเป็นสีส้ม บางปุ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง Effect ในการกด Fade - กดปุ่มไหน ปุ่มนั้นจะเปลี่ยนสี Explosion กดแล้วจะเกิดคลื่นออกข้างๆ ไปจนถึงปุ่มสุดท้าย Flame - กดแล้วจะเกิดคลื่นเปลี่ยนสีในระยะสั้นๆ เหมือนกระกายไฟ หรือจะเป็นการตั้งไฟแบบเฉพาะจุดที่เราสามารถกำหนดเลือกได้เองเลยว่าเราอยากให้ปุ่มนี้สีอะไร สามารถตั้งได้อย่างใจชอบเลยทีเดียว รวมถึงยังสามารถตั้งค่า Preset ไว้บนคีย์บอร์ดได้ถึง 3 แบบ เวลาเราเอาคีย์บอร์ดตัวนี้ไปเสียบที่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เราเองก็สามารถใช้ Preset ที่เคยตั้งมาได้อย่างอัตโนมัติเลยทีเดียว แต่ถ้าให้พูดถึงจุดสังเกตุเกี่ยวกับคีย์บอร์ดตัวนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของดีไซน์ ที่ตัวคีย์บอร์ดจะเป็นดีไซน์ไร้ขอบซึ่งข้อดีของมันคือการทำความสะอาดที่สามารถเคาะฝุ่นออกได้อย่างง่ายได้แต่ข้อเสียคือมันไม่ได้สวยงามในด้านของดีไซน์เสียเท่าไร ถ้าให้เปรียบเทียบกับคีย์บอร์ดที่มีขอบ ส่วนตัวคิดว่ามันอาจจะสวยงามกว่า แต่ถ้าให้ดูในเรื่องของฟังชั่นก็ต้องบอกเลยว่า HyperX Alloy Origins มีลูกเล่นทุกอย่างที่ค่อนข้างครบครัน และเหมาะสมกับราคา 3290 บาทเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นคีย์บอร์ดราคาสบายกระเป๋า ใครอยากได้คีย์บอร์ด Mechanical จากแบรนด์ชั้นนำ ต้องบอกเลยว่า HyperX Alloy Origins น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของทุกท่านได้ไม่ยาก โดย HyperX Alloy Origins สามารถหาซื้อได้แล้วตามร้าน Gaming Gears ชั้นนำ
16 Oct 2020
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "hyperx"
รีวิว HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ถ้าชอบใช้แรงกดน้อยต้องตัวนี้เลย
Alloy Origins นับเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งตัวใหม่จากทาง HyperX ที่มีดีไซน์สวยงาม ที่มาพร้อมกับไฟ RGB สีสันสวยงาม และมีสวิตช์ให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ ประกอบด้วย Red (Linear), Blue (Clicky) และ Aqua (Tactile) โดยก่อนหน้านี้ทางเราได้มีการรีวิวตัว Blue ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณทาง HyperX ที่ได้มีการส่งตัว Aqua มาให้เราทดลองใช้อีกตัวครับ ซึ่งวันนี้ผมจะมีรีวิวให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของคีย์บอร์ดตัวนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้กัน แอบบอกก่อนเลยว่าสวิตช์ตัวนี้ "พิมพ์สนุกมาก" จะเป็นยังไงไปดูกันครับ รายละเอียด Switch HyperX Aqua Operation Style - Tactile ควมแรงในการกด - 45 G ระยะสั่งการ - 1.8 mm ระยะการเคลื่อนที่ - 3.8 mm จำนวนการกด - 80 ล้านครั้ง ถ้าหากจะให้พูดถึงข้อดีของเจ้า Aqua (Tactile) ตัวนี้ คงจะเป็นในเรื่องที่มีจังหวะสะดุดเล็กน้อย ทำให้ตอนใช้งานจะรู้สึกได้ว่ากดปุ่มลงไปแล้วจริงๆ หรือไม่ ทั้งยังใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G จึงทำให้การสั่งการผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ สามารถทำได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วมากกว่าคีย์บอร์ดทั่วไปที่มีอยุ่ในตลาดครับ จากประสบการณ์ใช้งานตรง ผมพบว่าสวิตช์รูปแบบนี้เหมาะสมเวลาใช้พิมพ์ข้อความเป็นอย่างมาก เนื่องจากจังหวะสะดุดเล็กน้อยนั้นช่วยให้แน่ใจว่าพิมพ์ตัวอักษรแต่ละตัวไปแล้วจริงๆ ทั้งยังใช้แรงในการกดไม่มากเท่าไหร่นัก ส่งผลให้ไม่เกิดอาการเจ็บนิ้วเวลาใช้งานนานๆ ครับ ในด้านของการเล่นเกม Aqua (Tactile) ถือว่าตอบโจทย์เมื่อเอาไปใช้กับแนวเกมที่ต้องการความถูกต้องในการสั่งการ และความเร็วอย่างแนว RTS หรือ MOBA เป็นอย่างมาก การใช้งานกับเกมตระกูล FPS เองก็ค่อนข้างเหมาะสมเช่นกัน เอาจริงๆ สามารถใชได้กับเกมทุกแนวครับ แต่เนื่องจากว่าใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G เท่านั้น ผู้ใช้งานอาจจำเป็นต้องระวังในเรื่องของการกดไปโดนปุ่มข้างๆ เล็กน้อยครับ! วัสดุและดีไซน์ HyperX Alloy Origins มีโครงสร้างของตัวคีย์บอร์ดเป็นอลูมิเนียม และมีตัวปุ่มกดเป็นพลาสติกแข็งเกรดดี จึงทำให้มีน้ำหนักเบา สามารถพกพาได้สะดวกทั้งยังแข็งแรงทนทาน อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นอลูมิเนียมผิวดำ ถึงทำให้เกิดรอยขีดข่วนจากเล็บ หรือของมีคมได้ง่ายเช่นกัน ถ้าอยากให้คีย์บอร์ดสวยงามอยู่ตลอดเวลา ตอนใช้งานก็อาจจำเป็นต้องตัดเล็บให้สั้นไว้ก่อนดีกว่าครับ ในส่วนของดีไซน์ Alloy Origins ตัวนี้นับว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ถ้าเปรียบเทียบกับคีย์บอร์ด Full Size ตัวอื่นๆ ในตลาด เนื่องจากคีย์บอร์ดตัวนี้ถูกออกแบบมาให้แทบจะไม่มีขอบเลย จึงส่งผลให้ขนาดโดยรวมเล็กกว่าตัวอื่นๆ ที่มีในตลาดประมาณ 10 - 20% ดังนั้นสำหรับใครที่มีพื้นที่ระหว่างขอบโต๊ะกับหน้าจอน้อย Alloy Origin อาจเป็นตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์ของคุณได้ครับ แสงและไฟ อีกหนึ่งฟังก์ชันที่เหล่าเกมเมอร์ให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งคือในเรื่องของแสงสีที่สวยงาม ซึ่ง Hyper X Alloy Origin ได้มีการใช้ไฟแบบ RGB LED ที่จะแสดงผลแสงสีได้สวยงาม โดนเฉพาะเวลาอยู่ในที่มืด นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมไฟ RGB ให้แสดงผลได้ตามต้องการผ่านโปรแกรม HyperX NGENUITY ด้วย เท่าที่ตัวผมเองได้ลองตั้งค่าไฟเล่นดู พบว่าคีย์บอร์ดตัวนี้สามารถแสดงผลรูปแบบไฟ RGB ได้ไม่น้อยหน้าแบรนด์ Gaming Gear ชั้นนำอื่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไฟแบบ Wave, Breathing, Starlight, Riptide, Static, หรือ All Random ก็สามารถทำได้ครับ สรุป เท่าที่ได้ลองใช้งานมา 2 อาทิตย์กว่าๆ ตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าตัวผมเองได้ตกหลุมรักเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Aqua Switch ] ตัวนี้ไปเสียแล้วเพราะไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์, ไฟ หรือสัมผัส ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ตอนนี้มันได้กลายเป็นคีย์บอร์ดหลัก ที่ใช้ทั้งพิมพ์งาน และเล่นเกมในบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะพูดถึงข้อเสียของเจ้าตัวนี้คิดว่าคงมีอย่างเดียว คือยังไม่มีภาษาไทยบนคีย์บอร์ดครับ ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดโดยที่ไม่มีมองได้ อาจจะลำบากพอสมควรเลยในการใช้งานเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ตัวนี้ แต่ส่วนหนึ่งคิดว่า อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้ยังไม่ได้ถูกนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการด้วยครับ ซึ่งคิดว่าถ้าเข้ามาแล้วน่าจะมีตัว เวอร์ชันภาษาไทยให้เพื่อนๆ ได้เลือกซื้อกันด้วย คงต้องรอดูกันต่อไป
27 Oct 2020
รีวิวคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins [ Mechanical Blue Switch ]
ถ้าให้พูดถึงหนึ่งในแบรนด์เกมมิ่งเกียร์ที่หลายๆ คนให้ความไว้วางใจ หนึ่งในชื่อที่จะต้องถูกพูดถึงมาเป็นอันดับแรกๆ ก็น่าจะเป็นแบรนด์อย่าง HyperX ที่เข้ามาตีตลาดบ้านเรามาหลายปีแล้ว แต่หนึ่งในโปรดักส์ที่หลายๆ คนชอบนั่นก็คือตัวคีย์บอร์ดเกมมิ่งเกียร์ Mechanical ที่วัสดุอันทนทานแข็งแรง และตัวคีย์บอร์ดรุ่นใหม่ที่ทาง HyperX ส่งมาให้เรารีวิวนั่นก็คือ HyperX Alloy Origins ที่เป็นรุ่นอัพเกรดจากคีย์บอร์ด Hyperx Alloy FPS ที่เคยออกมาขายในปี 2017 แต่ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกับไฟ RGB สุดสวยงามที่มีลูกเล่นให้ปรับได้เยอะและละเอียดมากด้วย Software ที่ใช่คู่กัน ใครอยากรู้ประสิทธิภาพของคีบอร์ดตัวนี้ ตามพวกเรามาเลยครับ HyperX Alloy Origins จริงๆ แล้วภายในรุ่นนี้จะมีให้เลือก Switch ทั้งหมด 3 แบบนั่นคือ Clicky (Blue Switch), Linear (Red Switch) และ Tactile (Green Switch) แต่ตัวที่เราได้รับมานั่นคือตัว Blue Switch ซึ่งเป็นสไตล์ที่เกมเมอร์ในท้องตลาดส่วนใหญ่เลือกใช้ ด้วยปุ่ม Mechanical ที่ทาง HyperX ผลิตขึ้นมาเอง รวมถึงยังมีความทนทานรองรับการกดได้มากถึง 80 ล้านครั้งเลยทีเดียว รายละเอียด Switch HyperX Blue Operation Style - Clicky ควมแรงในการกด - 50g ระยะสั่งการ - 1.8 mm ระยะการเคลื่อนที่ - 3.8 mm จำนวนการกด - 80 million วัสดุและดีไซน์ ในด้านของวัสดุที่ทำตัว Body ของตัวคีย์บอร์ดนั้นจะเป็นอัลลูมีเนียมทั้งหมด ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่แข็งแรงทนทาน แต่น้ำหนักของตัวมันเอง เอาจริงๆ มันไม่ได้หนักมากจนเกินไป ถ้าให้เปรียบเทียบกับคีย์บอร์ดอื่นๆ ที่ผู้เขียนได้ลองสัมผัสมา รวมถึงในด้านของดีไซน์ตัว Body เองจะเป็นหน้าตาแบบไร้ขอบ ซึ่งข้อดีของมันคือการดึงปุ่มกดออกมาง่าย รวมถึงการทำความสะอาดที่เพียงแค่เขย่าๆ ฝุ่นก็ออกมาทั้งหมดแล้ว ด้านการกด เรามาดูเรื่องของปุ่มกดกันก่อนดิกว่า โดยตัวผู้เขียนนั้นได้ลองเอามาใช้ในที่ทำงาน ได้ลองทั้งเล่นเกมและพิมพ์งานด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าจากที่เคยได้ใช้ปุ่มคีย์บอร์ดยาง หรือคีย์บอร์ดจาก Notebook ความรู้สึกที่ได้ค่อนข้างแตกต่างจากเดิมเยอะมาก การกดพิมพ์งานหรือเล่นเกมตัวคีย์บอร์ดค่อนข้างตอบสนองได้ดีพอสมควร รวมถึงระยะห่างของคีย์บอร์ดเองอยู่ในระดับที่พอดี ทำให้เราพิมพ์ไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่าในเรื่องของการพิมพ์งาน HyperX Alloy Origins [ Mechanical Blue Switch ] ค่อนข้างพิมพ์ได้ดีมากกว่าคีย์บอร์ดที่ใช้ Switch ของ Cherry ทั่วไปเสียอีก เพราะ Switch ของ HyperX มันใช้น้ำหนักในการกดที่น้อยกว่าถึง 10 กรัมเลยทีเดียว ตัวคีบอร์ดมาพร้อมกันสาย USB Type-C ที่ถึงแม้ว่าผู้พัฒนาจะดีไซน์มาให้ถอดเสียบได้ แต่ตัวคีย์บอร์ดไม่ได้เป็นแบบ Wireless เราจะต้องเสียบไฟอยู่ตลอดเวลาในการใช้งาน แต่ที่ตัวคีย์บอร์มีสาย Type-C ให้เสียบเพราะเพื่อการส่งข้อมูลที่ไวกว่าเดิมนั่นเอง ไฟ RGB และเรามาพูดถึงจุดขายของตัวคีย์บอร์ดนี้กันดีกว่าครับ นั่นคือในเรื่องของไฟ RGB ที่สามารถปรับได้ค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียวด้วย Software ที่ชื่อว่า HyperX NGENUITY ซึ่งมันค่อนข้างปรับรายละเอียดได้เยอะมากๆ ซึ่งประกอบไปด้วย Effect สีของปุ่ม Breathing - เหมือนการหายใจเข้าออก ค่อยๆ ดับ ค่อยๆ สว่าง Confetti - สีทุกปุ่มเปลี่ยน Random Swipe - เกรดจากอีกสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง (ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบบคลื่น) Twilight - สีกระพริบบางจุดแบบ Random Wave - สีออกมาเป็นแบบคลื่น Sun - สีแบบดวงอาทิตย์พื้นเป็นสีส้ม บางปุ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง Effect ในการกด Fade - กดปุ่มไหน ปุ่มนั้นจะเปลี่ยนสี Explosion กดแล้วจะเกิดคลื่นออกข้างๆ ไปจนถึงปุ่มสุดท้าย Flame - กดแล้วจะเกิดคลื่นเปลี่ยนสีในระยะสั้นๆ เหมือนกระกายไฟ หรือจะเป็นการตั้งไฟแบบเฉพาะจุดที่เราสามารถกำหนดเลือกได้เองเลยว่าเราอยากให้ปุ่มนี้สีอะไร สามารถตั้งได้อย่างใจชอบเลยทีเดียว รวมถึงยังสามารถตั้งค่า Preset ไว้บนคีย์บอร์ดได้ถึง 3 แบบ เวลาเราเอาคีย์บอร์ดตัวนี้ไปเสียบที่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เราเองก็สามารถใช้ Preset ที่เคยตั้งมาได้อย่างอัตโนมัติเลยทีเดียว แต่ถ้าให้พูดถึงจุดสังเกตุเกี่ยวกับคีย์บอร์ดตัวนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของดีไซน์ ที่ตัวคีย์บอร์ดจะเป็นดีไซน์ไร้ขอบซึ่งข้อดีของมันคือการทำความสะอาดที่สามารถเคาะฝุ่นออกได้อย่างง่ายได้แต่ข้อเสียคือมันไม่ได้สวยงามในด้านของดีไซน์เสียเท่าไร ถ้าให้เปรียบเทียบกับคีย์บอร์ดที่มีขอบ ส่วนตัวคิดว่ามันอาจจะสวยงามกว่า แต่ถ้าให้ดูในเรื่องของฟังชั่นก็ต้องบอกเลยว่า HyperX Alloy Origins มีลูกเล่นทุกอย่างที่ค่อนข้างครบครัน และเหมาะสมกับราคา 3290 บาทเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นคีย์บอร์ดราคาสบายกระเป๋า ใครอยากได้คีย์บอร์ด Mechanical จากแบรนด์ชั้นนำ ต้องบอกเลยว่า HyperX Alloy Origins น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของทุกท่านได้ไม่ยาก โดย HyperX Alloy Origins สามารถหาซื้อได้แล้วตามร้าน Gaming Gears ชั้นนำ
16 Oct 2020