GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "5g"
อัปเดตรายชื่อ Smart Phone ที่เหมาะจะซื้อมาเล่นเกมมากที่สุด (ต้นปี 2021)
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะครับว่าเกมมือถือเข้ามามีบทบาทในวงการเรามากมายจริงๆ (เผลอๆ จะตลาดใหญ่เท่ากับวงการเกม Console แล้วด้วย) โดยเฉพาะฝั่งกี่ฬา Esport ที่แข่งขันกันอย่างจริงจังในบ้านเรา และมีเงินรางวัลมากกว่าเงินเดือนของผมทั้งปีเสียอีก (แหม่พูดแล้วก็เศร้า) ด้วยความที่ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทางฝั่งผู้พัฒนาเองก็หันมาให้ความสนใจแข่งกันพัฒนาเกมดีๆ มาลงให้กับฝั่งมือถือมากมายไปด้วย ส่งผลในปัจจุบันเกมมือถือเริ่มใช้สเปคที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเล่นเกมในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ที่นี้เราจะได้รู้ได้ยังไงว่าควรซื้อมือถือเครื่องไหน ถึงจะสามารถเล่นเกมที่เราอยากเล่นได้ทั้งหมด? ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่งเทียบสเปคของแต่ละรุ่น ก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากอีก ดังนั้นวันนี้ผมจะมีชี้เป้าให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันว่าปัจจุบันในตลาดบ้านเรา มือถือรุ่นไหนเหมาะจะซื้อมาใช้เล่นเกมมากที่สุดครับ! แต่ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอออกตัวก่อนว่าการจัดอันดับใน บทความนี้ จะวัดจาก ความสามารถของตัวเครื่อง, จำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานได้, ฟังก์ชั่นสำหรับเกมเมอร์ และราคาเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับความแรงของ CPU และ GPU ผมอ้างอิงจาก 2 แหล่งคือ Nanoreview กับ Techcenturion ส่วนราคาจะมาจากเว็บ Siamphone ครับ มือถือ Gaming ที่โดยรวมยอดเยี่ยมมากที่สุด : Asus ROG Phone 3 หน้าจอขนาด : 6.59 นิ้ว  (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Plus Octa Core (แรงอันดับ 8 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) ,หน่วยความจำ : RAM 12 GB / ROM 512 GB, แบตเตอรี่ : 6,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 26,000 บาท หน้าจอไม่ใหญ่เกินไป, มี Refresh Rate สูงถึง 144Hz, ใช้ชิปประมวลผลที่แรง 8 ของโลก, แบตเตอรี่อึดใช้งานได้นาน, มาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, ทั้งยังสามารถตั้งค่า Macro หรือ ชุดคำสั่งเพื่อให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คงต้องบอกว่าไม่มีโทรศัพท์เครื่องไหนในโลกจะตอบโจทย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องของราคา 26,000 ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเช่นกัน จุดเด่นหลักๆ ของ ROG Phone 3 คือเรื่องของ AeroActive Cooler 3 อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการระบายความร้อน กับ Airtrigger 3 บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง ที่ทำงานเหมือนปุ่ม L1, R1 ของจอยเครื่อง Console แต่ต่างกันตรงที่บนมือถือนี้จะเป็นเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกที่ใช้รับสัมผัสแทน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเองได้เลยว่าจะให้การสัมผัสแบบไหน ส่งผลแบบไหนในเกม พูดแล้วอาจจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าดูในวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ มือถือ Gaming ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด : Nubia Red Magic 5G หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 320 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 5G Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 - 16 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,500 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 17,900. บาท Red Magic 5G อาจไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา แต่เจ้าตัวนี้ก็เรียกได้ว่ามาพร้อมกับสเปคที่แรงน้อยกว่า ROG Phone 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้ Touch Sampling Rate ที่สูงกว่ามาแทน กับ RAM ของเครื่องที่ให้มาแบบเยอะถึง 16 GB แต่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ถือว่าถูกมากๆ หากเทียบกับสเปคครับ ในเรื่องของการระบายความร้อน Red Magic 5G ก็มาพร้อมกับ Active Liquid-Cooling with Turbo Fan 3.0 ที่ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นทั่วไปที่มีในตลาด แน่นอนว่าเจ้าเครื่องนี้เองก็มี Trigger หรือปุ่มสำหรับใส่ชุดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมก็มีมาให้ 2 ปุ่มเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตั้งคำสั่งความละเอียดสูงแบบ เขย่าหน้าจอ หรือสไลด์ซ้าย กับขวา แบบเดียวกับ ROG Phone 3 ได้ครับ มือถือ Gaming ที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมยอดเยี่ยมที่สุด : Xiaomi Black Shark 3 Pro หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว),  CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 256 - 512 GB, แบตเตอรี่ : 5,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 19,900. บาท Black Shark ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่น Gaming จากทาง Xiaomi ที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว โดยในเรื่องของความแรงเจ้า Black Shark 3 Pro จะเทียบเท่ากันกับ Red Magic 5G เลย แต่ได้ในเรื่องของอุปกรณ์เสริม ที่เยอะกว่ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง, ชุดระบายความร้อน, จอยควบคุมสำหรับต่อใช้งาน, คีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของปุ่มคำสั่งพิเศษ รุ่นนี้ก็มีมาให้ทางด่านขวาบน กับขวาล่างเช่นกัน เพียงแต่ของ Black Shark 3 Pro จะเป็นปุ่มที่อยู่ภายในหน้าจอ Touch Screen ทำให้อาจใช้งานได้ยากกว่า 2 รุ่นข้างบนเล็กน้อย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็สามารถทำได้ดีมากๆ เช่นกันด้วย Sandwich Liquid Cooling และจะดีขึ้นไปอีกเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมครับ มือถือทั่วไปที่เหมาะจะเอามาเล่นเกมมากที่สุด แม้ว่ามือถือ Gaming จะเกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่างแท้จริง แต่ในเรื่องของดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวเกินไปเลยอาจทำให้หลายคนอาจรู้ไม่ชอบเครื่อง 3 รุ่นข้างต้นนี้ ดังนั้นผมจึงได้จัดอันดับมือถือทั่วไป ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมมากที่สุดมาให้ด้วย ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะได้ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปที่ดีกว่ามาทดแทนครับ Mi 11 หน้าจอขนาด : 6.81 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 480 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core (แรงอันดับ 2 ของโลก), GPU : Adreno 660 (แรงอันดับ 2 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,600 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 22,300. บาท เรือธงตัวใหม่จากทาง Xiaomi ที่เพิ่งวางขายไปเลยช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้คือหน่วยประมวลผลที่แรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในตอนนี้ทั้ง CPU และ GPU กับ Touch Sampling Rate ที่สูงแบบอลังการงานสร้าง 480 Hz แต่กลับมีราคากลางเพียงแค่ 22,300 บาท ซึ่งถูกกว่า ROG Phone 3 เสียอีก แม้จะไม่มีฟังก์ชันหรืออุปกรณ์เสริมดีๆ สำหรับ Gaming โดยเฉพาะมาด้วย แต่ในเรื่องของการระบายความร้อน Mi 11 ถือว่าทำได้ดีมาก อุณหภูมิเครื่องจะอยู่ที่ 35 - 37 องศาเท่านั้นหากเล่น ROV ในห้องแอร์ 25 องศา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ ครับ Samsung S21 Plus (S21+) หน้าจอขนาด : 6.7 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Exynos 2100 Octa Core (แรงอันดับ 3 ของโลก), GPU : Mali-G78 MP14 (แรงอันดับ 7 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,800 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 31,800. บาท อีกหนึ่งเรือธงใหม่จากทาง Samsung ที่มาพร้อมกับ CPU ที่แรงอันดับ 3 กับ GPU ที่อยู่อันดับ 7 ทำให้ เจ้า S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่จากปากผู้ใช้งานเหมือนจะหมดเร็วมากๆ แม้จะมีขนาดถึง 4,800 mAh ก็ตาม โชคยังดีที่รุ่นนี้สามารถชาร์จได้เร็วมากครับ อีกหนึ่งข้อเสียของ S21+ คือเรื่องการระบายความร้อนที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก จากคำรีวิวของผู้ใช้งานดูเหมือนว่าแค่เปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานานตัวเครื่องก็จะร้อนมากๆ แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อร้อนมากๆ CPU / GPU ก็จะลดความสามารถในการทำงานลง แต่ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ และสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งมือถือดีไซน์สวยที่ไม่ควรพลาดครับ iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 60Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 120 Hz หน่วย (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) ,CPU : Apple A14 Bionic Hexa Core (แรงอันดับ 1 ของโลก), GPU : A14 Bionic’s GPU (แรงอันดับ 1 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 6 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : Li-Ion 2815 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 36,400. บาท เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ CPU และ GPU แรงอันดับ 1 ของโลกแล้วสำหรับ iPhone 12 แต่น่าเสียดายที่หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับ Refresh Rate เพียงแค่ 60 Hz กับ Touch Sampling Rate แค่ 120 Hz ทำให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มือถือที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมขนาดนั้น ในเรื่องของการระบายความร้อนเอง ก็ถือได้ว่ายังมีปัญหาอยู่เช่นกัน จากคำรีวิวของผู้ใช้งานเหมือนว่าจะร้อนมากๆ หากใช้เล่นเกมไประยะเวลาหนึ่ง และในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเล่นเกมทั้งวันเช่นกัน ข้อดีก็คือมีฟังก์ชันการใช้งานที่เยอะมากๆ (โดยเฉพาะการอัดวิดีโอ และการถ่ายภาพ) หากปกติเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปเยอะ และเล่นเกมเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น iPhone 12 ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ One Plus 8 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core(แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก), หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,510 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 28,100. บาท แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ CPU / GPU ที่แรงเมื่อเทียบกับราคา แต่ One Plus อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือที่มีระบบปฏิบัติการ Android ที่เสถียรมากที่สุด (OxygenOS 10.0 based on Android 10.0) ส่งผลให้เป็นโทรศัพท์ที่จะเกิดบัค หรือเหตุการณ์แบบเกมปิดตัวดื้อๆ น้อยครั้งที่สุดครับ ในส่วนของการระบายความร้อนก็ทำได้แบบปานกลาง ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับมือถือ Gaming แต่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง โดยที่หลุดมาไกลถึงตรงนี้ เป็นเพราะเรื่องราคาที่สูงไปนิด เมื่อเทียบกับ MI 11 แล้วเจ้าตัวนี้เลยน่าซื้อน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
08 Mar 2021
มาดูกันซิ! ชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง Snapdragon 888 มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
กำลังจะเข้าสู่ปี 2021 นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคใหม่กันแล้วค่ะ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “มือถือสมาร์ทโฟน” ยุคถนัดไปจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้งานรู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเดิม ยกตัวอย่างการยืดหดของหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยที่ตัวหน้าจอกลมกลืนไปกับตัวหน้าจอ โดยคอนเซ็ปต์นี้ทาง OPPO เปิดตัวก่อนเป็นอันดับแรกเลยค่ะ อย่างไรก็ตามสิ่งที่มันจะต้องมาควบคู่กันก็คือ “ชิปเซ็ตประมวลผล” คงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ จะเลือกดูเป็นอันดับแรกก่อนใช่ไหมคะ!? แล้วชิปเซ็ตที่เกมเมอร์มักจะเลือกใช้มากที่สุดก็คือ “ตระกูล Snapdragon จากผู้พัฒนา Qualcomm”  ชิปเซ็ตตัวนี้ถูกกล่าวถึงจากผู้ใช้งานมากที่สุดในเรื่องของประสิทธิภาพที่ทำงานได้ดีเยี่ยม ใช้งานแล้วแบตเตอรี่ไม่ไหลเหมือนน้ำ หรือ เรื่องความร้อนที่ทำออกมาได้ดี จึงไม่แปลกเลยที่ชิปเซ็ตตัวท็อปจะกลายเป็นตัวเลือกสำคัญในการเป็นขุมพลังของสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ล่าสุดทาง Qualcomm ก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตรุ่นใหม่ประจำปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Snapdragon 888” ความน่าสนใจอันดับแรกเลยก็คือมันคือชิปเซ็ตที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 มิลลิเมตรที่มีการทำงานยอดเยี่ยมรวมไปถึงเป็นชิปเซ็ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้ด้วย เอาละวันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักชิปเซ็ตตัวนี้ให้มากยิ่งขึ้นค่ะ ในด้านขุมพลังส่วนของ CPU ตัวชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm ได้อธิบายรูปแบบการทำงานของส่วน CPU เอาไว้ว่ามันจะเป็นหน่วยประมวลผลที่เรียกว่า Kryo 680 ที่จะมีแกนประมวลผลถึง 8 แกนหลัก ๆ ด้วยกันเริ่มจากไปด้วย “Cortex-X1” ที่มีความเร็วสูงถึง 2.84GHz ก็มีการเครมว่าการทำงานด้านประมวลผลจะดีกว่า Cortex-A78 มากถึง 33% ตามมาด้วย “Cortex-A78” มีความเร็วอยู่ที่ 2.4GHz จะมีทั้งหมด 3 แกน และ “Cortex-A55” มีความเร็วอยู่ที่ 1.8GHz มีแกนทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน  แน่นอนว่ามันก็จะมีคำถามเกิดขึ้นมา “เพ่! ทำไมมันต้องมีตัวประมวลผลอะไรเยอะแยะขนาดนั้น!” โอเคเกวลินจะอธิบายให้ทราบค่ะ การที่มีแกนประมวลผลหลายตัวในชิปเซ็ตเดียวกันมันจะช่วยในการแบ่งเบาภาระการทำงานเพื่อไม่ให้มันไปตกอยู่แกนใด แกนหนึ่งมากจนเกินไป จนเกินปัญหาที่มีอาการค้างต่าง ๆ แล้วปัจจัยหลัก ๆ เลยการทำงานจะลื่นไหลและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยทาง Qualcomm ยืนยันว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีความแรงมากกว่าชิปเซ็ต Snapdragon 865 ตัวท็อปของปี 2020 มากถึง 25% แถมยังกินพลังงานน้อยลง 25% ด้วยนะ ขุมพลังการแสดงผลกราฟฟิกของ GPU พูดถึงขุมพลังของตัว CPU ในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” กันไปแล้วก็ต้องมาพูดถึงประสิทธิภาพการทำงานของการประมวลผลกราฟฟิกหรือที่เรียกว่า GPU กันบ้างค่ะ โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกคือ Adreno 660 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากรุ่นก่อน 1 ก้าว อ่า...อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนบอกว่า “พี่มันพัฒนามาแค่ 1 รุ่นมันจะแรงกว่ารุ่นก่อนยังไง!” ใจเย็น ๆ ค่ะ จะอธิบายให้ฟังทาง Qualcomm เผยว่ามันมีประสิทธิภาพในการเรนเดอร์สูงกว่า Adreno 650 มากถึง 35% แล้วเมื่อทำงานเต็มประสิทธิภาพยืนยันว่าจะประหยัดพลังงานมากกว่า 20% โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกตัวนี้จะตอบสนองเกมเมอร์ไม่มากก็น้อยค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมกราฟฟิกสูง ๆ แล้วปรับรายละเอียดภายในเกมได้สุดเฟรมเรตต้องดี หรือ ค่า Latency ( ถ้าพูดคำว่า Ping น่าจะรู้จักและคุ้นชื่อมากกว่า ) ต่ำ ๆ เพื่อให้เล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด บอกเลยว่าหน่วยประมวลผลรุ่นนี้คือสิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องการเลยค่ะ แถมยังสามารถให้ผู้ผลิตแบรนด์สมาร์ทโฟนรีดเฟรมเรตหรือรีเฟรชเรทได้สูงสุด 144Hz ทาง Qualcomm ก็ยังได้เสริมรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในหน่วยประมวลผลกราฟฟิก Adreno 660 ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Variable Rate Shadeing” หยิบนำมาใช้บนสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรก มันจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรนเดอร์ภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น แล้วก็ยังให้การทำงานด้านประมวลผลเต็มที่ที่สุด จุดไหนที่ระบบมองเห็นว่าการทำงานไม่ต้องหนักมากมันจะทำการลดประสิทธิภาพในส่วนนั้น ๆ ลงเพื่อไม่ให้ตัว GPU ทั้งหมดทำงานหนักจนเกินความจำเป็นและแน่นอนว่ามันก็ทำให้การกินแบตเตอรี่หรือพลังงานต่าง ๆ น้อยลงไปด้วย แล้วสิ่งที่เพิ่มมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะก็คือ “Game Quick Touch” เทคโนโลยีที่จะมาช่วยทำให้ความหน่วงของการทัชต่าง ๆ ถูกลดลงมากถึง 20% ในช่วงระยะเวลาที่เล่นเกมเฟรมเรตสูง ๆ แต่ถ้าอยากจะให้การทัชดีขึ้นมันจะแสดงผลชัดเจนในเฟรมเรต 60fps มากกว่า นั้นหมายความว่าความแม่นยำในการทัชบนหน้าจอจะดีขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปลดล็อคเฟรมเรตให้แสดงผลสูงอีกต่อไปค่ะ สุดท้ายนี้ยังรองรับ HDR10, ลดการแสดงผลเรื่องแสงกับสีที่ไม่เที่ยงตรง และ ปัญหาเรื่องรอยหยักต่าง ๆ ก็จะทำงานได้ดีมากขึ้น  การทำงานด้านถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ บางคนอาจจะบอกว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย เพราะการถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอการทำงานมันจะอยู่ที่เลนส์กล้องที่แบรนด์นั้น ๆ เลือกใช้มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วชิปเซ็ตก็มีส่วนที่จะทำให้การถ่ายรูปและวีดีโอออกมาได้ดีขึ้นเหมือนกันนะคะ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีชุดประมวลผลด้านภาพที่เรียกว่า Spectra 580 มันจะมีทั้งหมด 3 ตัวที่จะไปช่วยทำหน้าที่ในการจับภาพเวลาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอแบบพร้อมกันได้เลย มันจะมีประโยชน์อย่างมาก เช่น เวลาที่เราสลับการถ่ายรูปแบบโหมดปกติไปเป็นโหมดอื่น ๆ อย่าง Ultra-Wide หรือ Telephoto ที่จะไม่เสียจังหวะใด ๆ แล้วถ้าเราต้องเก็บภาพแบบ HDR มันก็จะช่วยทำให้คุณภาพที่ได้ดีมากขึ้น รวมไปถึงยังเก็บภาพแบบ HDR ในรูปแบบ HEIF ได้ด้วยส่วนในด้านถ่ายวีดีโอชิปเซ็ต “Snapdragon 888” รองรับความละเอียด 4K/120fps ได้สักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนตัวท็อป ๆ จะสามารถบันทึกวีดีโอแล้วเฟรมเรตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 24fps - 30fps แล้วเมื่อถ้าเราบันทึกภาพถ่ายสามารถเก็บรูปได้ 120 ภาพต่อวินาทีในความละเอียด 12MP เชื่อหรือยังจ๊ะว่าชิปเซ็ตก็มีผลต่อการทำงานด้านถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอเหมือนกันนะ การทำงานของ AI ในชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 สำหรับชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm เผยว่าในส่วนการประมวลผลของระบบ AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 กันแล้วมีชื่อเรียกว่า Hexagon 780 การทำงานของระบบ AI จะมาช่วยในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้อง, เป็นผู้ช่วยที่ดีต่อผู้ที่ใช้งาน, การเชื่อมต่อเมื่อเราเล่นเกม หรือ การประมวลผลในการออกคำสั่งต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็มีการเครมว่าการประมวลผลด้วยคำสั่งต่าง ๆ สามารถทำได้มากถึง 26 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีกันเลยนะคะ แม้ว่าจะทำงานดีแบบนี้แต่มันก็ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี แล้วภายใน AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 ยังมี Sensing Hub ที่พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 มันจะเป็นหน่วยประมวลผล AI ให้ใช้พลังงานที่ต่ำเมื่อทำงานทั่ว ๆ ไป เรียกว่าต่อไปการประมวลผลหลักระบบ AI Engine จะช่วยใน ในด้านความปลอดภัยที่ดีมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะมองว่าด้านความปลอดภัยมันจะต้องอยู่ที่ระบบปฏิบัติการของแบรนด์นั้น ๆ มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วตัวชิปเซ็ตก็มีระบบป้องกันอยู่ภายในตัว โดยชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Qualcomm Wireless Edge Service มันจะช่วยตรวจสอบความปลอดภัยจากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์ ตามมาด้วยระบบ Type-1 Hypervisor ที่จะทำให้อุปกรณ์ของเราสามารถรันได้หลากหลายระบบปฏิบัติการมากยิ่งขึ้นโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ หรือ การเลือกใช้งานแอพพลิเคชั่นของระบบปฏิบัติการที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันรูปถ่ายที่เราเก็บไว้เพื่อไม่ให้เข้าถึงข้อมูลในส่วนนั้น ๆ ได้ง่าย ๆ ที่อยู่ภายใต้การป้องกัน Content Authenticity Initiative ของ Adobe เข้าสู่การเชื่อมต่อยุคเทคโนโลยี 5G ที่แท้จริง เรามาเก็บตกรายละเอียดส่วนอื่น ๆ อีกสักนิดก็แล้วกันค่ะ อย่างที่เกวลินได้อธิบายไปในตอนต้นว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ที่ออกแบบมาเพื่อเทคโนโลยี 5G โดยเฉพาะ มันคือชิปเซ็ตตัวแรกที่เลือกใช้โมเด็ม Snapdragon X60 5G ฝังอยู่ภายในเรียบร้อยแล้วค่ะ ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่การรองรับคลื่นความถี่แบบ Sub-6GHz และ mmWave ในเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดรองรับสูงสุด 7.5Gbps และ อัปโหลดรองรับสูงสุด 3Gbps ได้อย่างสบาย ๆ ในด้าน Wi-Fi รองรับคลื่นความถี่ 6GHz ที่รองรับความเร็วสูงสุด 3.6Gbps  นอกจากนี้ “Wi-Fi 6E” คือมาตรฐานใหม่ที่จะช่วยลดค่าความหน่วง Latency ได้ดีเยี่ยมมาก มันถูกออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมไปด้วยและสตรีมเกมเชื่อมต่อจาก PC หรือจากระบบอื่น ๆ ของสมาร์ทโฟนได้ดีมากกว่าเดิม เช่นเดียวกันชิปเซ็ตตัวนี้ยังรองรับเทคโนโลยี Bluetooth 5.2 และ aptX ทำให้คนที่ใช้หูฟังไร้สายเชื่อมต่อแบบไม่มีสะดุดแล้วเสพย์เสียงต่าง ๆ ที่ดีเยี่ยมมากขึ้นไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดกลางคันขณะเล่นเกมอย่างแน่นอนค่ะ รองรับการชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปกติแล้วเรื่องระบบการชาร์จเร็วมันไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ภายในเท่านั้น ชิปเซ็ตก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วตามที่ต้องการ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง “Snapdragon 888” จะรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่เรียกว่า Quick Charge 5 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว มันจะช่วยกระจายกำลังไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เข้าได้สูงสุดถึง 100 วัตต์ รวมไปถึงเตอนที่เราชาร์จมันจะช่วยการระบายความร้อนได้ดี ทั้งนี้ต้องรองรับมาตรฐานการชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะด้วยนะ อย่างไรก็ตามตัว Quick Charge รุ่นเก่า ๆ ก็สามารถนำมาชาร์จได้ก็จะรองรับจนถึง Quick Charge 2.0 เลยค่ะ แล้วนี่คือรายละเอียดทั้งหมดของชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง “Snapdragon 888” จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้แบรนด์ชั้นนำหลายเจ้าเตรียมนำชิปเซ็ตนี้ไปใช้กับสมาร์ทโฟนตัวเรือธงของปีหน้ากันแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามเกวลินคิดว่าทาง Qualcomm อาจจะผลิตชิปเซ็ตตัวใหม่ออกมาอีกในอนาคต อาจจะเป็นทั้งตัวท็อปกว่านี้ หรือ รุ่นรองลงมาเพื่อนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นกลาง ๆ ก็เป็นได้ค่ะ ใครที่คิดอยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ถ้าจะให้ดีรออีกสัก 2 - 3 เดือนเราคงจะได้เห็นแบรนด์ดังเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ที่ใช้ชิปเซ็ตตัวนี้ที่มีประสิทธิภาพและราคาใกล้เคียงกับรุ่นที่กำลังวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดณ.ขนาดนี้ก็เป็นได้ค่ะ Source: Qualcomm Snapdragon เรียบเรียงบทความโดย: KaelynVT
22 Dec 2020
ถึงเวลาแล้วหรือยัง!? ที่เราจะเปลี่ยนมือถือใหม่เพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G ในบ้านเราเวลานี้
ในช่วงระยะเวลาประมาณ 6 - 9 เดือนที่ผ่านมาเทคโนโลยี 5G ก็เข้ามาสู่ชีวิตของเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาในบ้านเราเองแบรนด์สมาร์ทโฟนชื่อดังหลายเจ้าก็เปิดตัวมือถือที่รองรับเทคโนโลยี 5G หลากหลายตัวกันเลยค่ะ ก็มีตั้งแต่ราคาหลักพัน, หลักหมื่น ไปจนถึงหลายหมื่นกันเลย ซึ่งมันก็อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเราว่ามีมาก มีน้อยมากแค่ไหน แล้วตรงนี้ละค่ะมันก็ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า “ปัจจุบันผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ทุกคนพร้อมกับเทคโนโลยี 5G จริง ๆ หรือเปล่า!?” วันนี้เกวลินผู้ที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G และ ใช้เครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการรายใหญ่เจ้าหนึ่ง มาเล่าให้ฟังกันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้งานเป็นยังไงบ้างแล้วมันถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนมาใช้มือถือให้รองรับกับเทคโนโลยี 5G ในเวลานี้ค่ะ เทคโนโลยี 5G คืออะไร!? สำหรับเทคโนโลยี 5G มันคือเครือข่ายไร้สายที่ในอนาคตอันใกล้มันจะมาแทนที่ 4G ในยุคปัจจุบันที่เรายังคงใช้งานกันอยู่ แถมความพิเศษมันอยู่ตรงที่คลื่นความถี่ของ 5G ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับมือถือสมาร์ทโฟนอีกต่อไปนะคะ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เลยทำให้มันกลายเป็นนวัตกรรมครั้งใหม่ที่จะพาเราก้าวขีดจำกัดของเทคโนโลยี หลายคนก็คงอยากจะรู้ว่าแล้วเทคโนโลยี 5G มันดีกว่า 4G ยังไงกันบ้างจะอธิบายให้เข้าใจคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ ความเร็วในการส่งและรับข้อมูลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น - ปกติแล้วความเร็วในการส่งและรับข้อมูลของ 4G จะรองรับความเร็วคร่าว ๆ อยู่ที่ประมาณ 100Mbps ถ้าย้อนกลับไปที่ 3G รองรับความเร็วอยู่ที่ 42Mbps ส่วน 5G รองรับความเร็วสูงสุด 10Gbps ขึ้นไป เรียกว่าแรงกว่า 4G หลายเท่าเลยทีเดียวค่ะ การตอบสนองในการทำงานที่ดีขึ้น - ด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูลจึงทำให้การทำงาน หรือ การออกคำสั่งต่าง ๆ แม่นยำและรวดเร็ว แถมความหน่วงที่ต่ำจึงทำให้การตอบสนองรวดเร็วดั่งใจนึกเลยค่ะ รองรับการใช้งานของผู้คนในจำนวนมาก ๆ ได้ - เทคโนโลยี 5G จะมาช่วยตอบสนองในการใช้งานของผู้คนให้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ในพื้นที่ผู้คนพลุกพล่านก็สามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพ ความแรงระดับนี้สายเล่นเกม ดูหนังจัดไป! - ต้องบอกว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีความเร็วกว่า 4G จึงทำให้การเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ส่วนถ้าดูหนัง หรือ คลิปวีดีโอที่มีความละเอียดสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 4K, 8K หรือ วีดีโอความละเอียดสูงในรูปแบบ VR ก็สามารถดูได้ลื่นไหลมาก ๆ เทสมากับตัวเองเลยค่ะ ความเชื่อผิด ๆ สำหรับบางคนเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G เกวลินมีเรื่องจะเม้าส์ค๊าาาา! เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G กันเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า “ฉันยังไม่อยากใช้อะ! รอเขาปลดล็อคความถี่ให้ฉันทีหลังก็ได้ใช้ 4G ไปก่อน” ซึ่งความจริงแล้วการสมาร์ทโฟนของเราจะรับคลื่นความถี่ 5G ได้ สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ “ชิปเซ็ตภายในต้องรองรับด้วยเช่นกัน!” เพราะถ้าชิปเซ็ตภายในไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับ 5G ก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ต่อให้เราสมัครแพ็คเกจ 5G แล้วก็ตาม ดังนั้นผู้ที่อยากจะใช้งานจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือสมาร์ทโฟนของตัวเองให้รองรับเทคโนโลยี 5G ก่อนค่ะ  “ชิปเซ็ตก็คือหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญที่จะรองรับ 5G ได้” อีกทั้งเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยนะคะว่าชิปเซ็ตตัวนั้นรองรับคลื่นความถี่ที่เครือข่ายผู้ให้บริการบ้านเราใช้อยู่หรือเปล่า เพราะจะมีร้านค้าที่ขายมือถือสมาร์ทโฟนบางแห่งที่จะมีการนำมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในต่างประเทศมาขายให้คนที่สนใจได้เป็นเจ้าของกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ชิปเซ็ตที่ผลิตแล้ววางจำหน่ายในต่างประเทศจะออกแบบมาให้รับคลื่นความถี่ของประเทศนั้น ๆ เอาไว้ ซึ่งเราสามารถสอบถามกับร้านค้าที่ขายได้ค่ะ ทางร้านไม่ปิดเป็นความลับอยู่แล้วดังนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะ ข้อเสียของเทคโนโลยี 5G ที่มองเห็นในปัจจุบัน! สำหรับปัจจุบันเทคโนโลยี 5G ต้องยอมรับว่าผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H ต่างพยายามเต็มที่ที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถรับคลื่นสัญญาณความถี่ 5G ได้อย่างทั่วถึงกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่นอกโซนเมือง นอกเขตต่าง ๆ ก็ตาม แต่โดยรวมแล้วในเวลานี้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ผู้ใช้งานที่อยู่นอกโซนที่ไม่ได้อยู่ภายในตัวเมืองสามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก ขนาดตัวเกวลินเองอยู่จังหวัดเชียงใหม่ นอกโซนตัวอำเภอเมือง โชคยังดีที่เสาส่งสัญญาณ 5G อยู่ใกล้บ้านเลยทำให้รับสัญญาณได้ แต่เมื่อเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ก็ยังพบปัญหาต่าง ๆ อยู่เช่น สัญญาณ 5G ยังไม่ทั่วถึงสักเท่าไหร่แล้วตัวระบบก็จะตัดไปใช้งาน 4G หรือ 4G+ อยู่บ่อยครั้ง โดยสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ก็คือ “Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G” เรียกว่าเป็นตัวท็อปสุดของปีนี้ในแบรนด์ Samsung แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทั้ง 3 ผู้ให้บริการเครือข่ายกำลังพยายามติดตั้งเสาสัญญาณเพื่อเพิ่มความถี่ของคลื่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ 5G ได้เต็มประสิทธิภาพไม่ใช่สลับไปมาแบบนี้  รวมไปถึงปัญหาใหญ่ ๆ เลยก็คือถ้าเราพักอาศัยอยู่ในคอนโด หรือ ตึกที่มีความหนาแน่นสูง คลื่นความถี่ 5G ก็จะทะลุทะลวงเข้ามาภายในตึกทำให้เรารับสัญญาณได้ยาก วิธีแก้ไขก็อยู่ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายจะมาเพิ่มสัญญาณในจุดนั้นหรือเปล่า ซึ่งเราสามารถดูได้จากจังหวัดใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือ เชียงใหม่ ในพื้นที่ผู้คนเยอะตึกราบ้านช่องสูง ๆ ก็จะเห็นมีเสาสัญญาณ 5G กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดก็ได้แต่หวังว่าในปี 2563 หรือปีถัด ๆ ไปผู้คนจะสามารถใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้เต็มประสิทธิภาพแล้วทั่วถีงกันสักที แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นจุดทุรกันดารแค่ไหนก็ตามเพื่อให้บุคลากรใช้งาน 5G ในด้านการเรียน การสอน แล้วแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย แล้วถ้าจะเปลี่ยนมือถือเพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G มันคุ้มไหมในเวลานี้!? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เกวลินได้มาจากเพื่อน ๆ หลายคนที่บอกว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่านะที่จะเสียเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่เพื่อให้รองรับเทคโนโลยี 5G ถ้าให้ตอบแบบเป็นกลางก็คือ “อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเพื่อน ๆ และ ลองชั่งน้ำหนักว่าถ้าเปลี่ยนแล้วเราจะใช้ 5G ในด้านไหนบ้าง!?” เพราะตอนนี้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G แล้ววางจำหน่ายในบ้านเราก็มีหลายราคาเริ่มตั้งแต่ราคาหลักไม่เกิน 10,000 บาทลากยาวไปถึง 20,000 บาทขึ้นไป  ปัจจัยหลักสำคัญมันอยู่ที่สเปกเครื่องและฟังก์ชั่นการใช้งานของมือถือรุ่นนั้น ๆ ว่าทำอะไรได้บ้าง ถ่ายรูปเก๋ไหม เล่นเกมได้ดีหรือเปล่าจริงไหมคะ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ในปีนี้บางรุ่นยังมีปัญหาเมื่อเปิดใช้งาน 5G เช่น แบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ถ้าจะให้ดีรออีกสักนิดไปดูกลาง ๆ ปีหน้าก็ดีเหมือนกันนะคะ “ภาพบนความเร็ว Wi-Fi 5G ภาพล่างความเร็ว AIS 5G บริเวณท่าแพเชียงใหม่” แล้วสิ่งที่เราจะต้องคิดตามมาก็คือ “ความคุ้มค่าในการใช้งาน 5G” แพ็คเกจส่วนใหญ่ของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H จะถูกออกแบบมาในรูปแบบรายเดือนเป็นหลัก ซึ่งราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ราว ๆ 699 บาท ซึ่งก็จะมีการจำกัดการใช้งาน แต่ถ้าอยากจะใช้แบบไม่จำกัดก็จะเป็นแพ็คเกจราคา 1,199 บาทขึ้นไป แน่นอนว่าผู้ให้บริการเครือข่ายก็จะมีการแข่งขันในด้านของโปรโมชั่นอันนี้เพื่อน ๆ ก็ต้องไปพิจารณากันดูค่ะ ซึ่งถ้าใครที่มักจะเล่นเกม หรือ ใช้เน็ตบนโน๊ตบุ๊คแล้วเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถืออยู่บ่อย ๆ การจัดโปรแบบใช้ไม่จำกัดมันก็ดูจะคุ้มค่าที่สุดแล้วนั่นเองค่ะ ดูรายละเอียดแพ็คเกจ 5G ของผู้ให้บริการเครือข่ายในบ้านเราได้ที่ : AIS , Dtac และ TrueMove H   เกวลินเองก็ได้แต่คาดหวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่ลังเลว่า “ฉันควรเปลี่ยนมือถือใหม่แล้วมาใช้ 5G ตอนนี้เลยดีไหม” ไม่มากก็น้อยค่ะ ส่วนตัวเทคโนโลยี 5G ในบ้านเรายังจะต้องพัฒนากันอีกมาก เพราะในหลากหลายพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง รวมไปถึงรูปแบบการส่งสัญญาณมันจะต้องใช้เสาในการติดตั้งที่มากกว่า 4G จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ปีนี้เราเลยยังไม่เห็นจังหวัดอื่น ๆ ไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ หรือถ้าใช้ได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าจะให้ดีปีหน้าอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมก็ได้นะคะ เพราะผู้พัฒนาชิปเซ็ตเจ้าดังก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตตัวใหม่ที่จะใช้กับมือถือแบรนด์ดังต่าง ๆ แถมยังมีประสิทธิภาพในการรองรับ 5G ที่เหนือชั้นว่าชิปเซ็ตประจำปีนี้ด้วย ดังนั้นยังไม่ต้องรีบเร่งก็ได้ค่ะ เพราะพูดตรง ๆ ทุกวันนี้ก็เกวลินก็ยังใช้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปสักเท่าไหร่เลย T-T
17 Dec 2020
เปิดตัว HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่พาคุณก้าวกระโดดไปข้างหน้าสู่โลกอนาคต
กรุงเทพมหานคร, 3 ธันวาคม 2563  - หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัว สมาร์ทโฟนเรือธงซีรีส์สูงสุดแห่งปี HUAWEI Mate 40 Series ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ กับคอนเซ็ปต์ “Leap Further Ahead” การก้าวกระโดดไปข้างหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของวงการสมาร์ทโฟนเรือธงที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากหัวเว่ย ประเดิมเปิดตัวด้วยรุ่นโปร HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่มาพร้อมชิปเซ็ตทรงประสิทธิภาพ Kirin 9000 ครั้งแรกของโลกที่ใช้ชิปเซ็ต 5G SoC ขนาด 5 นาโนเมตร เร็ว แรง เต็มประสิทธิภาพ รองรับสัญญาณ 5G ครบถ้วนทุกย่านความถี่ ทุกผู้ให้บริการ และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหว ด้วยโซลูชันระบบกล้อง Leica ที่ทำงานผสานกับเทคโนโลยี AI สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้เทียบชั้นภาพยนตร์ โดย HUAWEI Mate 40 Pro 5G วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 34,990 บาท พร้อมโปรโมชันสุดคุ้มสำหรับผู้ที่ซื้อระหว่างวันที่ 3 - 31 ธันวาคม 2563 รับฟรีทันทีของสมนาคุณรวมมูลค่า 7,970 บาท พร้อมบริการหลังการขายสุดพิเศษอีกมากมาย มร.เกวิน เฉิง ผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า “หากย้อนมองวิวัฒนาการของ HUAWEI Mate Series หรือตระกูลสมาร์ทโฟนเรือธงสูงสุดของหัวเว่ยจะเห็นได้ว่า หัวเว่ยมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง เราเป็นผู้นำทั้งในด้านความอึดของแบตเตอรี่ เทคโนโลยีชาร์จไว และหน้าจอขนาดใหญ่ความละเอียดสูง อีกทั้งยังเป็นแบรนด์แรกที่ผสานการประมวลผล AI เข้ากับ NPU และเรายังเป็นแบรนด์แรกที่เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงที่ใช้ชิปเซ็ตแบบ 5G SoC ในโมเดล HUAWEI Mate 30 Series เส้นทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมใน HUAWEI Mate Series ของเราจะยังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ วันนี้ HUAWEI Mate 40 Series จะพาเราก้าวกระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง ด้วยการแนะนำ Mate ที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งจะกลายมาเป็นหมุดหมายใหม่ให้กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้ยกระดับประสบการณ์ขึ้นไปอีกขั้น กับ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยและวางจำหน่ายในวันนี้” “ในฐานะบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี หัวเว่ยมุ่งมั่นและทุ่มเทด้านการวิจัยและพัฒนาเสมอมา ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเราลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาไปกว่า 6 แสนล้านหยวน (ราว 2.7 ล้านล้านบาท) และด้วยการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาระบบและอีโคซิสเต็ม ทำให้ล่าสุดในปี 2020 นี้หัวเว่ยมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนหัวเว่ย (HMS smartphone) แล้วมากกว่า 700 ล้านคนทั่วโลก ในลำดับถัดไป เราจะมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ ‘ชีวิตเอไอไร้รอยต่อ’ (Seamless AI Life) หรือ โซลูชันส์เทคโนโลยีเอไอในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของหัวเว่ย ที่จะช่วยแก้ปัญหาการใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ในปัจจุบัน พร้อมยกระดับและอำนวยความสะดวกให้แก่ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ในอนาคต” มร. เกวิน เฉิง กล่าวเสริม ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้วยชิปเซ็ต Kirin 9000 นิยามใหม่ของการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพ ขุมพลัง Kirin 9000 ที่มากับ HUAWEI Mate 40 Pro 5G นับเป็นชิปเซ็ตที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ Mate Series อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ชิปเซ็ตแบบ 5G SoC มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 1.53 หมื่นล้านตัว ทำให้การประมวลผลยิ่งเร็ว แรง และทรงประสิทธิภาพ ได้รับการออกแบบโครงสร้าง CPU ให้ทรงพลังและประหยัดพลังงานถึง 3 ระดับ ประมวลผลแบบ 8 แกน ด้วยแกนหลักที่มีความเร็วสูงสุด 3.13 กิกะเฮิร์ตซ์ และ 24-Core Mali-G78 GPU ซึ่งเป็น GPU ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาในดีไวซ์ของหัวเว่ย สามารถรองรับการประมวลผลขั้นสูงและการใช้งานแบบ multi-tasking ที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด สอดรับกับมาตรฐาน “ชีวิตไอเอไร้รอยต่อ” (Seamless AI Life) ที่หัวเว่ยมุ่งเน้น เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับอย่างแท้จริงให้กับผู้ใช้  ระบบกล้องจาก Leica จัดเต็มนวัตกรรม AI Camera 3 ตัว กล้องหลักของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นกล้องเลนส์กว้างพิเศษที่ถ่ายภาพแบบซีเนมาติก หรือให้มุมกล้องเสมือนภาพยนตร์ ที่มีชื่อเรียกว่า Ultra Vision Cine Camera มาพร้อมความละเอียดจัดเต็ม 50 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวได้คุณภาพสูง ให้คุณไม่พลาดการบันทึกทุกช่วงเวลาพิเศษ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องเลนส์กว้าง Super Sensing Wide Camera และกล้องซูม Periscope Telephoto Camera ที่ซูมแบบออปติคัลได้ที่ 5x และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดถึง 50x ส่วนกล้องด้านหน้าเป็น Ultra Vision Selfie Camera ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง 3D Depth Sensing Camera สามารถถ่ายวิดีโอได้ในความละเอียดสูงระดับ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที (fps) นอกจากนี้ยังมาพร้อมโหมด Super Steady Shot ถ่ายวิดีโอได้ไม่สั่นแม้เคลื่อนไหว รองรับการถ่ายวิดีโอพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง โดยเพิ่มโหมด Story Creator ที่จะทำให้ทุกการถ่ายวิดีโอหรือ Vlog เป็นเรื่องง่ายและสนุกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ยุคดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเป็น Creator ถ่าย Vlog ได้อย่างมือโปรด้วยตนเอง ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์กับการวางกล้องแบบวงแหวน Space Ring Design และรับสายด้วย Smart Gesture Control อีกหนึ่งไฮไลต์ที่เน้นย้ำอัตลักษณ์ของ HUAWEI Mate Series ที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์ คือการออกแบบวงแหวน Space Ring Design ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง โดยได้แรงบันดาลใจจากการอยู่ท่ามกลางจักรวาลและดวงดาว ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้วยังตอบโจทย์ในแง่ของฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างลงตัว ด้วยการวางกล้องบนวงแหวนที่สมมาตร ส่วนหน้าจอ HUAWEI Horizon Display โค้ง 88 องศา ทำให้รับชมภาพได้เต็มตาสมจริง ขอบจอโค้งมนหยิบจับใช้งานถนัดมือ กันน้ำและฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP 68  นอกจากนี้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังโดดเด่นด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่อัดแน่นมาเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 3D Face Unlock หรือการปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้าแบบสามมิติ หรือฟีเจอร์สุดล้ำอย่าง Smart Gesture Control ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องสัมผัส เพียงวางมือไว้เหนือสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องแตะก็สามารถเปิดหน้าจอหรือเลื่อนซ้าย-ขวา บน-ล่าง ได้ทันที และยังสามารถรับสายด้วยการใช้มือทำท่าแตะได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Eyes on Display นวัตกรรมที่เข้ามาแทนการเปิดหน้าจอแบบ Always On โดยฟีเจอร์นี้จะตรวจจับได้อัตโนมัติเมื่อสายตาเรามองไปที่หน้าจอ และหน้าจอก็จะติดขึ้นมา พร้อมให้เราใช้งานได้ทันที ระบบการชาร์จที่เร็วที่สุดแห่งยุคด้วย HUAWEI SuperChargeTM 66 วัตต์ เพื่อรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ที่ทั้งแรง เร็ว และทรงประสิทธิภาพ HUAWEI Mate 40 Pro 5G จึงมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4,400 mAh และที่สุดของนวัตกรรมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว HUAWEI SuperChargeTM รองรับกำลังไฟฟ้าที่สูงสุด 66 วัตต์ เมื่อชาร์จแบบใช้ร่วมกับสายและอะแดปเตอร์ SuperCharge ของหัวเว่ย และรองรับการชาร์จไร้สาย Wireless HUAWEI SuperChargeTM ที่ 50 วัตต์ ซึ่งเมื่อประกอบกับชิปเซ็ต Kirin 9000 5G SoC แล้วจะทำให้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่องยาวนานไม่มีสะดุด อัปเดตล่าสุดกับ EMUI 11 มั่นใจกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวบน Huawei Mobile Service  ซอฟต์แวร์ EMUI 11 ซึ่งได้รับการอัปเดตใหม่ล่าสุดจากหัวเว่ยได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงจากมนุษย์ปัจจัย (Human Factors) หรือหลักการยศาสตร์ ผสานความลงตัวระหว่างสุนทรียศาสตร์และความสะดวกในการใช้งาน มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Window แสดงผลหลายแอปพลิเคชันพร้อมกัน โดยให้แต่ละแอปพลิเคชันลอยอยู่บนหน้าจอได้อย่างอิสระ รวมถึงสามารถใช้ฟีเจอร์ Multi-screen Collaboration เมื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของหัวเว่ยเพื่อให้จอสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนจอแล็ปท็อป และสามารถควบคุมสมาร์ทโฟนผ่านจอแล็ปท็อปได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับการทำงานแบบ Multi-tasking มีระบบ Trusted Execution Environment ซึ่งได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยสูงในระดับ CC EAL5+ ถือว่าเป็นระดับสูงสุด ผู้ใช้สามารถปกปิดข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนบนไฟล์ เช่น สถานที่ เวลาและรายละเอียดของเครื่อง ก่อนที่จะส่งให้ผู้อื่นได้  HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนในระบบ Huawei Mobile Services (HMS) ที่มาพร้อมกับ HUAWEI AppGallery สำหรับดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันซึ่งการันตีความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ด้วยกลไกตรวจสอบและป้องกันความปลอดภัยถึง 4 ขั้นตอน รวมถึงบริการ Petal Search เครื่องมือค้นหาที่จะช่วยเปิดประตูสู่แอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งมาพร้อมระบบที่ช่วยคัดกรองความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ในตัว ปัจจุบัน HUAWEI AppGallery มีผู้ใช้บริการกว่า 700 ล้านรายทั่วโลก รวมถึงมีแอปพลิเคชันพร้อมให้ใช้งานครอบคลุมถึง 18 ประเภท โดยปัจจุบันแอปพลิเคชันยอดฮิตของไทยกว่า 95% ได้รับการบรรจุไว้ใน HUAWEI AppGallery แล้ว ไม่ว่าจะเป็น LINE, TikTok, Foodpanda, Shopee, Lazada, JD Central, เป๋าตัง, แอปพลิเคชันของธนาคารชั้นนำ เกมยอดนิยม และอื่นๆ อีกมากมาย  HUAWEI Mate 40 Pro 5G วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมีให้เลือก 2 สีคือ Black และ Mystic Silver มาพร้อมหน่วยความจำ ROM 256 GB + RAM 8 GB ในราคา 34,990 บาท  พิเศษสุดสำหรับผู้ที่ซื้อระหว่างวันที่ 3 - 31 ธันวาคม 2563 ผ่านทางหน้าร้าน HUAWEI Experience Store ทุกสาขา และเว็บไซต์ HUAWEI Online Store โฉมใหม่ รวมถึงร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รับฟรีทันทีของสมนาคุณมูลค่ารวม 7,970 บาท ประกอบด้วย ปากกา HUAWEI M-Pen 2, เคสไฟวงแหวน HUAWEI Ring Light Case และแท่นชาร์จเร็วไร้สาย HUAWEI SuperChargeTM Wireless Charger Stand พร้อมบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากหัวเว่ยมูลค่า 1,619 บาท อันได้แก่ บริการซ่อมบำรุงถึงบ้าน (Door to Door service), บริการบำรุงรักษาเครื่อง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี, HUAWEI CLOUD STORAGE 5GB ตลอดชีพ + 50GB ให้ใช้ภายในระยะเวลา 1 ปี รวมถึงฟรีค่าใช้บริการ HUAWEI VDO 1 เดือน และเช่าหนังฟรี 5 เรื่องใน HUAWEI Movie Pass โปรดติดตามข้อมูลข่าวสารที่อัปเดตล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEIMobileTH , ยูทูป HUAWEIMobileTH, เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ และ official account ในไลน์ HUAWEI Mobile Thailand รวมถึงสามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://consumer.huawei.com/th/shop/product/huawei-mate-40-pro/ 
07 Dec 2020
สมาร์ทโฟน 5G สุดคุ้ม “Galaxy A42 5G” จากซัมซุง เร็วแรงพร้อมลุยทุกการใช้งาน ในราคาหมื่นต้น
ใครว่าเงินหมื่นต้นจะซื้อมือถือสเปคเทพไม่ได้แต่ซัมซุงไม่คิดแบบนั้นเพราะด้วยสเปคและประสิทธิภาพความเร็วแรงที่เหนือราคา ทำให้ Galaxy A42 5G เป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในเวลานี้กับราคาค่าตัวเพียง 11,990 บาท เพราะนอกจากจะรองรับการเชื่อมต่อบนสัญญาน 5G คุณภาพแล้ว ซัมซุงยังจัดเต็มด้วยชิปเซ็ตทรงพลัง Snapdragon 750G ที่มีการประมวลผลเร็วแรงแบบ Octa-core และให้ RAM มาสูงถึง 8GB ช่วยเพิ่มสมรรถนะการใช้งานอย่างเต็มพิกัด ตอบโจทย์ทั้งสายเกมเมอร์และสายคอนเทนต์อย่างลงตัว หมดปัญหาเรื่องเครื่องช้า เล่นเกมแล้วกระตุก หรือสตรีมมิ่งคอนเทนต์ไม่ทันใจ ที่สำคัญ Galaxy A42 5G ยังคงเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy A ไว้ด้วยฟีเจอร์หลักคุณภาพคับแก้ว จอ-กล้อง-แบต ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอใหญ่คมชัดแบบ Super AMOLED กล้องสวยเลนส์ครบ พร้อมแบตเตอรี่ทรงพลังถึง 5,000 mAh มาดูกันว่า ประสิทธิภาพเหนือราคาของ Galaxy A42 5G เครื่องนี้จะตอบโจทย์และโดนใจสายสปีดขนาดไหน นอกจากนี้ ลูกค้า Galaxy A42 5G ยังได้รับเอกสิทธิ์พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การใช้งาน YouTube Premium ฟรี 2 เดือน รวมถึงสิทธิประโยชน์จาก Galaxy Gift พร้อมบริการช่วยเหลือพิเศษระดับ Galaxy Butler Blue จองคิว เข้ารับบริการที่ศูนย์ล่วงหน้าได้ ผ่านแอปพลิเคชัน Samsung Members พร้อมบริการเครื่องสำรองระหว่างรอการซ่อม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/butler/ สัมผัสประสบการณ์ความเร็วแรงของ Galaxy A42 5G (กาแลคซี่ เอ 42 5G) สมาร์ทโฟนสายพันธุ์สปีด แรงทุกสเปค ได้แล้ววันนี้ ที่ Samsung Experience Store, Samsung Online Store และผู้ให้บริการเครือข่าย มาพร้อมตัวเลือก 3 สีสุดโมเดิร์น ได้แก่ Prism Dot Black, Prism Dot White และ Prism Dot Gray ในราคาเพียง 11,990 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของซัมซุง Galaxy A42 5G ได้ที่ https://bit.ly/3kxWquf
02 Dec 2020
วันพลัสเปิดตัวสมาร์ทโฟนพรีเมียมแฟลกชิป “OnePlus 8T 5G” Ultra Fast. Ultra Smooth.
OnePlus เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นพรีเมียมใหม่ล่าสุด OnePlus 8T 5G อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปท์ Ultra Fast. Ultra Smooth. พร้อมมอบความเร็วแรง และลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด ด้วยการยกระดับเทคโนโลยีชาร์จเร็วอย่าง Warp Charge 65 และหน้าจอ 120Hz แบบ Fluid AMOLED display ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดของประสบการณ์การใช้งานบน OnePlus 8T 5G ทลายทุกขีดจำกัดในตัวคุณ ที่คอเกมเมอร์ไม่ควรพลาด กับชิปเซ็ท Qualcomm® SnapdragonTM 865 รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์สายไหนก็เร็วแรงทรงพลัง ลื่นสุด ๆ ไม่มีสะดุด ด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ 120Hz Fluid AMOLED  ขนาด 6.55 นิ้ว บนความละเอียดสูง FHD+ ภาพสวยเนียนตา ลื่นไหลทุกการสัมผัส สมูททุกการปัด เอาใจสายโซเซียลตัวจริง ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการออกเดินทางท่องเที่ยวกับชุดกล้องหลัง 4 ตัวแบบ Quad Camera ความสามารถที่หลากหลาย เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ ด้วยกล้องหลักความคมชัดสูงสุด 48 MP พร้อมระบบกันสั่น  ขยายขอบเขตให้กว้างขึ้นด้วยเลนส์อัลตร้าไวด์ มุมมองการรับภาพกว้างที่สุดถึง 123 องศา ความคมชัด 16 MP ให้ภาพที่สวยคมชัด ในสภาพแสงที่หลากหลาย แม้ในเวลากลางคืนหรือที่แสงน้อยกับโหมด Nightscape  เลนส์ Macro ความคมชัด 5 MP ถ่ายชัดใกล้สุดในระยะ 3 เซนติเมตร และเลนส์ Monochrome ความคมชัด 2MP ให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพแบบสตูดิโอได้อย่างที่เป็นตัวคุณ พร้อมระบบป้องกันการสั่นไหวที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นและการถ่ายวิดีโอแบบโบเก้ รวมถึงการถ่ายในที่มีแสงน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกช่วงเวลาบันทึกไว้ได้สวยงามและง่ายดาย กับรายละเอียดที่สะกดทุกสายตาได้อย่างน่าทึ่ง บอกลาการชาร์จข้ามคืนด้วย Warp Charge 65 การชาร์จเร็วเท่าที่เคยมีมาของ OnePlus ในความจุแบตเตอรี่อึดถึง 4,500 mAh สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม ใช้เวลาเพียง 39 นาที ให้คุณออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน หมดห่วงเรื่องแบตหมดระหว่างวันไปได้เลย  ที่มาพร้อมกับ OxygenOS 11 ใหม่ล่าสุดบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง กับประสบการณ์การใช้งานซอฟต์แวร์ในรูปแบบที่ได้รับการอัพเดต รวมถึงการออกแบบที่โดดเด่น และมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อการใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นใหม่ ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพให้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งาน และความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของคุณได้ นอกจากนี้ OxygenOS 11 ยังมีแอนิเมชันและท่านำทางต่าง ๆ ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นใหม่ ตลอดจนการปรับแต่งมากมายเช่น ตัวเลือกนาฬิกา Always On Display ใหม่ให้เลือกสร้างสรรค์ได้ตามใจชอบอีกด้วย พร้อมด้วยการปรับปรุงการควบคุมท่าทางด้วยมือเดียวที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น และ Zen Mode 2.0 รูปลักษณ์หน้าตาการใช้งาน ที่ดูสะอาดตาช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มความคล่องตัวในชีวิตประจำวัน ให้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานที่ละเอียดอ่อนและเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น สำหรับ OnePlus 8T 5G เปิดตัวด้วยกันถึง 2 รุ่น ดังนี้ RAM 8GB ROM 128GB สี Lunar Silver ราคาอยู่ที่ 24,990 บาท RAM 12GB ROM 256GB สี Aquamarine Green ราคา 29,990 บาท มั่นใจยิ่งขึ้นกับการบริการหลังการขายทาง OnePlus ซึ่งได้ร่วมจับมือกับ OPPO โดยผู้ใช้งานสามารถเข้ามาใช้รับบริการหลังการขาย ซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ หรือตรวจเช็คสภาพเครื่องผ่าน OnePlus Service Center ที่ MBK Center ชั้น 5 และศูนย์บริการ OPPO Service Center รวมทั้งหมด 42 สาขาทั่วประเทศ  สามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ได้ทันทีทั้ง 12 สาขา OnePlus Service Center ศูนย์การค้ามาบุญครอง (MBK Center) ชั้น 5 ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลพระราม 2 ศูนย์บริการออปโป้สาขาฟิวเจอร์พาร์ครังสิต  ศูนย์บริการออปโป้สาขาอิมพีเรียลฯ สำโรง ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลเวสต์เกต ศูนย์บริการออปโป้สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาอยุธยาพาร์ค ศูนย์บริการออปโป้สาขาชลบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลนครราชสีมา ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลอุบลราชธานี ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลเชียงใหม่ แอร์พอร์ท ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลหาดใหญ่ และสาขาที่สามารถนำไป Drop-off เพื่อรอส่งซ่อมต่อไปได้ทั้ง 29 สาขา ดังนี้ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเดอะมอลล์บางแค ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลบางนา ศูนย์บริการออปโป้สาขาซีคอนฯ ศรีนครินทร์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ จุดบริการออปโป้สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ศูนย์บริการออปโป้สาขากาญจนบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาลพบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขานครปฐม ศูนย์บริการออปโป้สาขาโรบินสันปราจีนบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาระยอง ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลศาลายา ศูนย์บริการออปโป้สาขาโรบินสันสระบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาบุรีรัมย์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลขอนแก่น ศูนย์บริการออปโป้สาขาร้อยเอ็ด ศูนย์บริการออปโป้สาขาสกลนคร ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลอุดรธานี ศูนย์บริการออปโป้สาขาเชียงราย ศูนย์บริการออปโป้สาขาลำปาง ศูนย์บริการออปโป้สาขานครสวรรค์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลพิษณุโลก ศูนย์บริการออปโป้สาขาโรบินสัน กำแพงเพชร ศูนย์บริการออปโป้สาขาชุมพร ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลภูเก็ต ศูนย์บริการออปโป้สาขานครศรีธรรมราช ศูนย์บริการออปโป้สาขาปัตตานี ศูนย์บริการออปโป้สาขาสุราษฎ์ธานี หากท่านใดไม่สะดวกเดินทางไปยังศูนย์ซ่อมที่แจ้งมาข้างต้น สามารถติดต่อ Call-Center OnePlus Thailand ผ่านทางเบอร์โทรศัพท์ 02-793-3818 เพื่อติดต่อและขอใช้บริการส่งซ่อมผ่าน Kerry Express ได้ (สงวนสิทธิ์การให้บริการเฉพาะเครื่องศูนย์ไทยเท่านั้น) OnePlus 8T 5G เปิดสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 21 – 29 ตุลาคม 2563 ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พิเศษเมื่อสั่งจองล่วงหน้ารับฟรี!! E-VIP Card ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง นาน 1 ปี พร้อมกระเป๋าเดินทาง OnePlus Luggage และขวดน้ำสุดพรีเมียม OnePlus Water Bottle รวมมูลค่า 15,170 บาท และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ พิเศษ!! โปรโมชันสำหรับช่องทางผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS, DTAC และ Truemove H รับข้อเสนอสุดพิเศษในช่วงสั่งจองล่วงหน้า OnePlus 8T ในราคาเริ่มต้นเพียง 12,490 บาทเท่านั้น หรือสั่งจองผ่านช่องทางหน้าร้านได้ที่ Banana IT, CSC, IT City, Jaymart, TG Fone  และช่องทางออนไลน์ได้พร้อมกันทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น LAZADA, JD Central, Shopee และ Thisshop พร้อมของสมนาคุณตามแต่ละช่องทางอีกมากมาย ดูรายละเอียดหรือติดต่อสอบถามข้อมูลผ่านทาง OnePlus Thailand ได้ที่ ช่องทาง Official Website >>> https://www.oneplus.com/th ช่องทาง Facebook Fanpage >>> https://www.facebook.com/oneplusthailand  ช่องทาง Instagram  >>> https://www.instagram.com/oneplus_thai/  หรือติดต่อสอบถาม OnePlus Call Center ได้ที่เบอร์ 02-793-3818
21 Oct 2020
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "5g"
อัปเดตรายชื่อ Smart Phone ที่เหมาะจะซื้อมาเล่นเกมมากที่สุด (ต้นปี 2021)
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะครับว่าเกมมือถือเข้ามามีบทบาทในวงการเรามากมายจริงๆ (เผลอๆ จะตลาดใหญ่เท่ากับวงการเกม Console แล้วด้วย) โดยเฉพาะฝั่งกี่ฬา Esport ที่แข่งขันกันอย่างจริงจังในบ้านเรา และมีเงินรางวัลมากกว่าเงินเดือนของผมทั้งปีเสียอีก (แหม่พูดแล้วก็เศร้า) ด้วยความที่ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทางฝั่งผู้พัฒนาเองก็หันมาให้ความสนใจแข่งกันพัฒนาเกมดีๆ มาลงให้กับฝั่งมือถือมากมายไปด้วย ส่งผลในปัจจุบันเกมมือถือเริ่มใช้สเปคที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเล่นเกมในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ที่นี้เราจะได้รู้ได้ยังไงว่าควรซื้อมือถือเครื่องไหน ถึงจะสามารถเล่นเกมที่เราอยากเล่นได้ทั้งหมด? ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่งเทียบสเปคของแต่ละรุ่น ก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากอีก ดังนั้นวันนี้ผมจะมีชี้เป้าให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันว่าปัจจุบันในตลาดบ้านเรา มือถือรุ่นไหนเหมาะจะซื้อมาใช้เล่นเกมมากที่สุดครับ! แต่ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอออกตัวก่อนว่าการจัดอันดับใน บทความนี้ จะวัดจาก ความสามารถของตัวเครื่อง, จำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานได้, ฟังก์ชั่นสำหรับเกมเมอร์ และราคาเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับความแรงของ CPU และ GPU ผมอ้างอิงจาก 2 แหล่งคือ Nanoreview กับ Techcenturion ส่วนราคาจะมาจากเว็บ Siamphone ครับ มือถือ Gaming ที่โดยรวมยอดเยี่ยมมากที่สุด : Asus ROG Phone 3 หน้าจอขนาด : 6.59 นิ้ว  (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Plus Octa Core (แรงอันดับ 8 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) ,หน่วยความจำ : RAM 12 GB / ROM 512 GB, แบตเตอรี่ : 6,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 26,000 บาท หน้าจอไม่ใหญ่เกินไป, มี Refresh Rate สูงถึง 144Hz, ใช้ชิปประมวลผลที่แรง 8 ของโลก, แบตเตอรี่อึดใช้งานได้นาน, มาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, ทั้งยังสามารถตั้งค่า Macro หรือ ชุดคำสั่งเพื่อให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คงต้องบอกว่าไม่มีโทรศัพท์เครื่องไหนในโลกจะตอบโจทย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องของราคา 26,000 ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเช่นกัน จุดเด่นหลักๆ ของ ROG Phone 3 คือเรื่องของ AeroActive Cooler 3 อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการระบายความร้อน กับ Airtrigger 3 บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง ที่ทำงานเหมือนปุ่ม L1, R1 ของจอยเครื่อง Console แต่ต่างกันตรงที่บนมือถือนี้จะเป็นเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกที่ใช้รับสัมผัสแทน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเองได้เลยว่าจะให้การสัมผัสแบบไหน ส่งผลแบบไหนในเกม พูดแล้วอาจจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าดูในวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ มือถือ Gaming ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด : Nubia Red Magic 5G หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 320 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 5G Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 - 16 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,500 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 17,900. บาท Red Magic 5G อาจไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา แต่เจ้าตัวนี้ก็เรียกได้ว่ามาพร้อมกับสเปคที่แรงน้อยกว่า ROG Phone 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้ Touch Sampling Rate ที่สูงกว่ามาแทน กับ RAM ของเครื่องที่ให้มาแบบเยอะถึง 16 GB แต่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ถือว่าถูกมากๆ หากเทียบกับสเปคครับ ในเรื่องของการระบายความร้อน Red Magic 5G ก็มาพร้อมกับ Active Liquid-Cooling with Turbo Fan 3.0 ที่ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นทั่วไปที่มีในตลาด แน่นอนว่าเจ้าเครื่องนี้เองก็มี Trigger หรือปุ่มสำหรับใส่ชุดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมก็มีมาให้ 2 ปุ่มเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตั้งคำสั่งความละเอียดสูงแบบ เขย่าหน้าจอ หรือสไลด์ซ้าย กับขวา แบบเดียวกับ ROG Phone 3 ได้ครับ มือถือ Gaming ที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมยอดเยี่ยมที่สุด : Xiaomi Black Shark 3 Pro หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว),  CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 256 - 512 GB, แบตเตอรี่ : 5,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 19,900. บาท Black Shark ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่น Gaming จากทาง Xiaomi ที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว โดยในเรื่องของความแรงเจ้า Black Shark 3 Pro จะเทียบเท่ากันกับ Red Magic 5G เลย แต่ได้ในเรื่องของอุปกรณ์เสริม ที่เยอะกว่ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง, ชุดระบายความร้อน, จอยควบคุมสำหรับต่อใช้งาน, คีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของปุ่มคำสั่งพิเศษ รุ่นนี้ก็มีมาให้ทางด่านขวาบน กับขวาล่างเช่นกัน เพียงแต่ของ Black Shark 3 Pro จะเป็นปุ่มที่อยู่ภายในหน้าจอ Touch Screen ทำให้อาจใช้งานได้ยากกว่า 2 รุ่นข้างบนเล็กน้อย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็สามารถทำได้ดีมากๆ เช่นกันด้วย Sandwich Liquid Cooling และจะดีขึ้นไปอีกเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมครับ มือถือทั่วไปที่เหมาะจะเอามาเล่นเกมมากที่สุด แม้ว่ามือถือ Gaming จะเกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่างแท้จริง แต่ในเรื่องของดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวเกินไปเลยอาจทำให้หลายคนอาจรู้ไม่ชอบเครื่อง 3 รุ่นข้างต้นนี้ ดังนั้นผมจึงได้จัดอันดับมือถือทั่วไป ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมมากที่สุดมาให้ด้วย ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะได้ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปที่ดีกว่ามาทดแทนครับ Mi 11 หน้าจอขนาด : 6.81 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 480 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core (แรงอันดับ 2 ของโลก), GPU : Adreno 660 (แรงอันดับ 2 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,600 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 22,300. บาท เรือธงตัวใหม่จากทาง Xiaomi ที่เพิ่งวางขายไปเลยช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้คือหน่วยประมวลผลที่แรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในตอนนี้ทั้ง CPU และ GPU กับ Touch Sampling Rate ที่สูงแบบอลังการงานสร้าง 480 Hz แต่กลับมีราคากลางเพียงแค่ 22,300 บาท ซึ่งถูกกว่า ROG Phone 3 เสียอีก แม้จะไม่มีฟังก์ชันหรืออุปกรณ์เสริมดีๆ สำหรับ Gaming โดยเฉพาะมาด้วย แต่ในเรื่องของการระบายความร้อน Mi 11 ถือว่าทำได้ดีมาก อุณหภูมิเครื่องจะอยู่ที่ 35 - 37 องศาเท่านั้นหากเล่น ROV ในห้องแอร์ 25 องศา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ ครับ Samsung S21 Plus (S21+) หน้าจอขนาด : 6.7 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Exynos 2100 Octa Core (แรงอันดับ 3 ของโลก), GPU : Mali-G78 MP14 (แรงอันดับ 7 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,800 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 31,800. บาท อีกหนึ่งเรือธงใหม่จากทาง Samsung ที่มาพร้อมกับ CPU ที่แรงอันดับ 3 กับ GPU ที่อยู่อันดับ 7 ทำให้ เจ้า S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่จากปากผู้ใช้งานเหมือนจะหมดเร็วมากๆ แม้จะมีขนาดถึง 4,800 mAh ก็ตาม โชคยังดีที่รุ่นนี้สามารถชาร์จได้เร็วมากครับ อีกหนึ่งข้อเสียของ S21+ คือเรื่องการระบายความร้อนที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก จากคำรีวิวของผู้ใช้งานดูเหมือนว่าแค่เปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานานตัวเครื่องก็จะร้อนมากๆ แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อร้อนมากๆ CPU / GPU ก็จะลดความสามารถในการทำงานลง แต่ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ และสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งมือถือดีไซน์สวยที่ไม่ควรพลาดครับ iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 60Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 120 Hz หน่วย (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) ,CPU : Apple A14 Bionic Hexa Core (แรงอันดับ 1 ของโลก), GPU : A14 Bionic’s GPU (แรงอันดับ 1 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 6 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : Li-Ion 2815 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 36,400. บาท เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ CPU และ GPU แรงอันดับ 1 ของโลกแล้วสำหรับ iPhone 12 แต่น่าเสียดายที่หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับ Refresh Rate เพียงแค่ 60 Hz กับ Touch Sampling Rate แค่ 120 Hz ทำให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มือถือที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมขนาดนั้น ในเรื่องของการระบายความร้อนเอง ก็ถือได้ว่ายังมีปัญหาอยู่เช่นกัน จากคำรีวิวของผู้ใช้งานเหมือนว่าจะร้อนมากๆ หากใช้เล่นเกมไประยะเวลาหนึ่ง และในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเล่นเกมทั้งวันเช่นกัน ข้อดีก็คือมีฟังก์ชันการใช้งานที่เยอะมากๆ (โดยเฉพาะการอัดวิดีโอ และการถ่ายภาพ) หากปกติเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปเยอะ และเล่นเกมเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น iPhone 12 ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ One Plus 8 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core(แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก), หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,510 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 28,100. บาท แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ CPU / GPU ที่แรงเมื่อเทียบกับราคา แต่ One Plus อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือที่มีระบบปฏิบัติการ Android ที่เสถียรมากที่สุด (OxygenOS 10.0 based on Android 10.0) ส่งผลให้เป็นโทรศัพท์ที่จะเกิดบัค หรือเหตุการณ์แบบเกมปิดตัวดื้อๆ น้อยครั้งที่สุดครับ ในส่วนของการระบายความร้อนก็ทำได้แบบปานกลาง ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับมือถือ Gaming แต่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง โดยที่หลุดมาไกลถึงตรงนี้ เป็นเพราะเรื่องราคาที่สูงไปนิด เมื่อเทียบกับ MI 11 แล้วเจ้าตัวนี้เลยน่าซื้อน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
08 Mar 2021
มาดูกันซิ! ชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง Snapdragon 888 มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
กำลังจะเข้าสู่ปี 2021 นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคใหม่กันแล้วค่ะ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “มือถือสมาร์ทโฟน” ยุคถนัดไปจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้งานรู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเดิม ยกตัวอย่างการยืดหดของหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยที่ตัวหน้าจอกลมกลืนไปกับตัวหน้าจอ โดยคอนเซ็ปต์นี้ทาง OPPO เปิดตัวก่อนเป็นอันดับแรกเลยค่ะ อย่างไรก็ตามสิ่งที่มันจะต้องมาควบคู่กันก็คือ “ชิปเซ็ตประมวลผล” คงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ จะเลือกดูเป็นอันดับแรกก่อนใช่ไหมคะ!? แล้วชิปเซ็ตที่เกมเมอร์มักจะเลือกใช้มากที่สุดก็คือ “ตระกูล Snapdragon จากผู้พัฒนา Qualcomm”  ชิปเซ็ตตัวนี้ถูกกล่าวถึงจากผู้ใช้งานมากที่สุดในเรื่องของประสิทธิภาพที่ทำงานได้ดีเยี่ยม ใช้งานแล้วแบตเตอรี่ไม่ไหลเหมือนน้ำ หรือ เรื่องความร้อนที่ทำออกมาได้ดี จึงไม่แปลกเลยที่ชิปเซ็ตตัวท็อปจะกลายเป็นตัวเลือกสำคัญในการเป็นขุมพลังของสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ล่าสุดทาง Qualcomm ก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตรุ่นใหม่ประจำปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Snapdragon 888” ความน่าสนใจอันดับแรกเลยก็คือมันคือชิปเซ็ตที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 มิลลิเมตรที่มีการทำงานยอดเยี่ยมรวมไปถึงเป็นชิปเซ็ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้ด้วย เอาละวันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักชิปเซ็ตตัวนี้ให้มากยิ่งขึ้นค่ะ ในด้านขุมพลังส่วนของ CPU ตัวชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm ได้อธิบายรูปแบบการทำงานของส่วน CPU เอาไว้ว่ามันจะเป็นหน่วยประมวลผลที่เรียกว่า Kryo 680 ที่จะมีแกนประมวลผลถึง 8 แกนหลัก ๆ ด้วยกันเริ่มจากไปด้วย “Cortex-X1” ที่มีความเร็วสูงถึง 2.84GHz ก็มีการเครมว่าการทำงานด้านประมวลผลจะดีกว่า Cortex-A78 มากถึง 33% ตามมาด้วย “Cortex-A78” มีความเร็วอยู่ที่ 2.4GHz จะมีทั้งหมด 3 แกน และ “Cortex-A55” มีความเร็วอยู่ที่ 1.8GHz มีแกนทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน  แน่นอนว่ามันก็จะมีคำถามเกิดขึ้นมา “เพ่! ทำไมมันต้องมีตัวประมวลผลอะไรเยอะแยะขนาดนั้น!” โอเคเกวลินจะอธิบายให้ทราบค่ะ การที่มีแกนประมวลผลหลายตัวในชิปเซ็ตเดียวกันมันจะช่วยในการแบ่งเบาภาระการทำงานเพื่อไม่ให้มันไปตกอยู่แกนใด แกนหนึ่งมากจนเกินไป จนเกินปัญหาที่มีอาการค้างต่าง ๆ แล้วปัจจัยหลัก ๆ เลยการทำงานจะลื่นไหลและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยทาง Qualcomm ยืนยันว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีความแรงมากกว่าชิปเซ็ต Snapdragon 865 ตัวท็อปของปี 2020 มากถึง 25% แถมยังกินพลังงานน้อยลง 25% ด้วยนะ ขุมพลังการแสดงผลกราฟฟิกของ GPU พูดถึงขุมพลังของตัว CPU ในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” กันไปแล้วก็ต้องมาพูดถึงประสิทธิภาพการทำงานของการประมวลผลกราฟฟิกหรือที่เรียกว่า GPU กันบ้างค่ะ โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกคือ Adreno 660 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากรุ่นก่อน 1 ก้าว อ่า...อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนบอกว่า “พี่มันพัฒนามาแค่ 1 รุ่นมันจะแรงกว่ารุ่นก่อนยังไง!” ใจเย็น ๆ ค่ะ จะอธิบายให้ฟังทาง Qualcomm เผยว่ามันมีประสิทธิภาพในการเรนเดอร์สูงกว่า Adreno 650 มากถึง 35% แล้วเมื่อทำงานเต็มประสิทธิภาพยืนยันว่าจะประหยัดพลังงานมากกว่า 20% โดยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกตัวนี้จะตอบสนองเกมเมอร์ไม่มากก็น้อยค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมกราฟฟิกสูง ๆ แล้วปรับรายละเอียดภายในเกมได้สุดเฟรมเรตต้องดี หรือ ค่า Latency ( ถ้าพูดคำว่า Ping น่าจะรู้จักและคุ้นชื่อมากกว่า ) ต่ำ ๆ เพื่อให้เล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด บอกเลยว่าหน่วยประมวลผลรุ่นนี้คือสิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องการเลยค่ะ แถมยังสามารถให้ผู้ผลิตแบรนด์สมาร์ทโฟนรีดเฟรมเรตหรือรีเฟรชเรทได้สูงสุด 144Hz ทาง Qualcomm ก็ยังได้เสริมรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในหน่วยประมวลผลกราฟฟิก Adreno 660 ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Variable Rate Shadeing” หยิบนำมาใช้บนสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรก มันจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรนเดอร์ภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น แล้วก็ยังให้การทำงานด้านประมวลผลเต็มที่ที่สุด จุดไหนที่ระบบมองเห็นว่าการทำงานไม่ต้องหนักมากมันจะทำการลดประสิทธิภาพในส่วนนั้น ๆ ลงเพื่อไม่ให้ตัว GPU ทั้งหมดทำงานหนักจนเกินความจำเป็นและแน่นอนว่ามันก็ทำให้การกินแบตเตอรี่หรือพลังงานต่าง ๆ น้อยลงไปด้วย แล้วสิ่งที่เพิ่มมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะก็คือ “Game Quick Touch” เทคโนโลยีที่จะมาช่วยทำให้ความหน่วงของการทัชต่าง ๆ ถูกลดลงมากถึง 20% ในช่วงระยะเวลาที่เล่นเกมเฟรมเรตสูง ๆ แต่ถ้าอยากจะให้การทัชดีขึ้นมันจะแสดงผลชัดเจนในเฟรมเรต 60fps มากกว่า นั้นหมายความว่าความแม่นยำในการทัชบนหน้าจอจะดีขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปลดล็อคเฟรมเรตให้แสดงผลสูงอีกต่อไปค่ะ สุดท้ายนี้ยังรองรับ HDR10, ลดการแสดงผลเรื่องแสงกับสีที่ไม่เที่ยงตรง และ ปัญหาเรื่องรอยหยักต่าง ๆ ก็จะทำงานได้ดีมากขึ้น  การทำงานด้านถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ บางคนอาจจะบอกว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย เพราะการถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอการทำงานมันจะอยู่ที่เลนส์กล้องที่แบรนด์นั้น ๆ เลือกใช้มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วชิปเซ็ตก็มีส่วนที่จะทำให้การถ่ายรูปและวีดีโอออกมาได้ดีขึ้นเหมือนกันนะคะ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าในชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีชุดประมวลผลด้านภาพที่เรียกว่า Spectra 580 มันจะมีทั้งหมด 3 ตัวที่จะไปช่วยทำหน้าที่ในการจับภาพเวลาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอแบบพร้อมกันได้เลย มันจะมีประโยชน์อย่างมาก เช่น เวลาที่เราสลับการถ่ายรูปแบบโหมดปกติไปเป็นโหมดอื่น ๆ อย่าง Ultra-Wide หรือ Telephoto ที่จะไม่เสียจังหวะใด ๆ แล้วถ้าเราต้องเก็บภาพแบบ HDR มันก็จะช่วยทำให้คุณภาพที่ได้ดีมากขึ้น รวมไปถึงยังเก็บภาพแบบ HDR ในรูปแบบ HEIF ได้ด้วยส่วนในด้านถ่ายวีดีโอชิปเซ็ต “Snapdragon 888” รองรับความละเอียด 4K/120fps ได้สักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนตัวท็อป ๆ จะสามารถบันทึกวีดีโอแล้วเฟรมเรตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 24fps - 30fps แล้วเมื่อถ้าเราบันทึกภาพถ่ายสามารถเก็บรูปได้ 120 ภาพต่อวินาทีในความละเอียด 12MP เชื่อหรือยังจ๊ะว่าชิปเซ็ตก็มีผลต่อการทำงานด้านถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอเหมือนกันนะ การทำงานของ AI ในชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 สำหรับชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ทาง Qualcomm เผยว่าในส่วนการประมวลผลของระบบ AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 กันแล้วมีชื่อเรียกว่า Hexagon 780 การทำงานของระบบ AI จะมาช่วยในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้อง, เป็นผู้ช่วยที่ดีต่อผู้ที่ใช้งาน, การเชื่อมต่อเมื่อเราเล่นเกม หรือ การประมวลผลในการออกคำสั่งต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็มีการเครมว่าการประมวลผลด้วยคำสั่งต่าง ๆ สามารถทำได้มากถึง 26 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีกันเลยนะคะ แม้ว่าจะทำงานดีแบบนี้แต่มันก็ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี แล้วภายใน AI Engine เป็นรุ่นที่ 6 ยังมี Sensing Hub ที่พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 มันจะเป็นหน่วยประมวลผล AI ให้ใช้พลังงานที่ต่ำเมื่อทำงานทั่ว ๆ ไป เรียกว่าต่อไปการประมวลผลหลักระบบ AI Engine จะช่วยใน ในด้านความปลอดภัยที่ดีมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะมองว่าด้านความปลอดภัยมันจะต้องอยู่ที่ระบบปฏิบัติการของแบรนด์นั้น ๆ มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วตัวชิปเซ็ตก็มีระบบป้องกันอยู่ภายในตัว โดยชิปเซ็ต “Snapdragon 888” จะมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Qualcomm Wireless Edge Service มันจะช่วยตรวจสอบความปลอดภัยจากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์ ตามมาด้วยระบบ Type-1 Hypervisor ที่จะทำให้อุปกรณ์ของเราสามารถรันได้หลากหลายระบบปฏิบัติการมากยิ่งขึ้นโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ หรือ การเลือกใช้งานแอพพลิเคชั่นของระบบปฏิบัติการที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันรูปถ่ายที่เราเก็บไว้เพื่อไม่ให้เข้าถึงข้อมูลในส่วนนั้น ๆ ได้ง่าย ๆ ที่อยู่ภายใต้การป้องกัน Content Authenticity Initiative ของ Adobe เข้าสู่การเชื่อมต่อยุคเทคโนโลยี 5G ที่แท้จริง เรามาเก็บตกรายละเอียดส่วนอื่น ๆ อีกสักนิดก็แล้วกันค่ะ อย่างที่เกวลินได้อธิบายไปในตอนต้นว่าชิปเซ็ต “Snapdragon 888” ที่ออกแบบมาเพื่อเทคโนโลยี 5G โดยเฉพาะ มันคือชิปเซ็ตตัวแรกที่เลือกใช้โมเด็ม Snapdragon X60 5G ฝังอยู่ภายในเรียบร้อยแล้วค่ะ ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่การรองรับคลื่นความถี่แบบ Sub-6GHz และ mmWave ในเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดรองรับสูงสุด 7.5Gbps และ อัปโหลดรองรับสูงสุด 3Gbps ได้อย่างสบาย ๆ ในด้าน Wi-Fi รองรับคลื่นความถี่ 6GHz ที่รองรับความเร็วสูงสุด 3.6Gbps  นอกจากนี้ “Wi-Fi 6E” คือมาตรฐานใหม่ที่จะช่วยลดค่าความหน่วง Latency ได้ดีเยี่ยมมาก มันถูกออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมไปด้วยและสตรีมเกมเชื่อมต่อจาก PC หรือจากระบบอื่น ๆ ของสมาร์ทโฟนได้ดีมากกว่าเดิม เช่นเดียวกันชิปเซ็ตตัวนี้ยังรองรับเทคโนโลยี Bluetooth 5.2 และ aptX ทำให้คนที่ใช้หูฟังไร้สายเชื่อมต่อแบบไม่มีสะดุดแล้วเสพย์เสียงต่าง ๆ ที่ดีเยี่ยมมากขึ้นไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดกลางคันขณะเล่นเกมอย่างแน่นอนค่ะ รองรับการชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปกติแล้วเรื่องระบบการชาร์จเร็วมันไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ภายในเท่านั้น ชิปเซ็ตก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วตามที่ต้องการ โดยทาง Qualcomm ได้อธิบายเอาไว้ว่าชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง “Snapdragon 888” จะรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่เรียกว่า Quick Charge 5 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว มันจะช่วยกระจายกำลังไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เข้าได้สูงสุดถึง 100 วัตต์ รวมไปถึงเตอนที่เราชาร์จมันจะช่วยการระบายความร้อนได้ดี ทั้งนี้ต้องรองรับมาตรฐานการชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะด้วยนะ อย่างไรก็ตามตัว Quick Charge รุ่นเก่า ๆ ก็สามารถนำมาชาร์จได้ก็จะรองรับจนถึง Quick Charge 2.0 เลยค่ะ แล้วนี่คือรายละเอียดทั้งหมดของชิปเซ็ตตัวท็อปประจำปี 2021 อย่าง “Snapdragon 888” จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้แบรนด์ชั้นนำหลายเจ้าเตรียมนำชิปเซ็ตนี้ไปใช้กับสมาร์ทโฟนตัวเรือธงของปีหน้ากันแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามเกวลินคิดว่าทาง Qualcomm อาจจะผลิตชิปเซ็ตตัวใหม่ออกมาอีกในอนาคต อาจจะเป็นทั้งตัวท็อปกว่านี้ หรือ รุ่นรองลงมาเพื่อนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นกลาง ๆ ก็เป็นได้ค่ะ ใครที่คิดอยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ถ้าจะให้ดีรออีกสัก 2 - 3 เดือนเราคงจะได้เห็นแบรนด์ดังเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ที่ใช้ชิปเซ็ตตัวนี้ที่มีประสิทธิภาพและราคาใกล้เคียงกับรุ่นที่กำลังวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดณ.ขนาดนี้ก็เป็นได้ค่ะ Source: Qualcomm Snapdragon เรียบเรียงบทความโดย: KaelynVT
22 Dec 2020
ถึงเวลาแล้วหรือยัง!? ที่เราจะเปลี่ยนมือถือใหม่เพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G ในบ้านเราเวลานี้
ในช่วงระยะเวลาประมาณ 6 - 9 เดือนที่ผ่านมาเทคโนโลยี 5G ก็เข้ามาสู่ชีวิตของเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาในบ้านเราเองแบรนด์สมาร์ทโฟนชื่อดังหลายเจ้าก็เปิดตัวมือถือที่รองรับเทคโนโลยี 5G หลากหลายตัวกันเลยค่ะ ก็มีตั้งแต่ราคาหลักพัน, หลักหมื่น ไปจนถึงหลายหมื่นกันเลย ซึ่งมันก็อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเราว่ามีมาก มีน้อยมากแค่ไหน แล้วตรงนี้ละค่ะมันก็ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า “ปัจจุบันผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ทุกคนพร้อมกับเทคโนโลยี 5G จริง ๆ หรือเปล่า!?” วันนี้เกวลินผู้ที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G และ ใช้เครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการรายใหญ่เจ้าหนึ่ง มาเล่าให้ฟังกันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้งานเป็นยังไงบ้างแล้วมันถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนมาใช้มือถือให้รองรับกับเทคโนโลยี 5G ในเวลานี้ค่ะ เทคโนโลยี 5G คืออะไร!? สำหรับเทคโนโลยี 5G มันคือเครือข่ายไร้สายที่ในอนาคตอันใกล้มันจะมาแทนที่ 4G ในยุคปัจจุบันที่เรายังคงใช้งานกันอยู่ แถมความพิเศษมันอยู่ตรงที่คลื่นความถี่ของ 5G ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับมือถือสมาร์ทโฟนอีกต่อไปนะคะ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เลยทำให้มันกลายเป็นนวัตกรรมครั้งใหม่ที่จะพาเราก้าวขีดจำกัดของเทคโนโลยี หลายคนก็คงอยากจะรู้ว่าแล้วเทคโนโลยี 5G มันดีกว่า 4G ยังไงกันบ้างจะอธิบายให้เข้าใจคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ ความเร็วในการส่งและรับข้อมูลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น - ปกติแล้วความเร็วในการส่งและรับข้อมูลของ 4G จะรองรับความเร็วคร่าว ๆ อยู่ที่ประมาณ 100Mbps ถ้าย้อนกลับไปที่ 3G รองรับความเร็วอยู่ที่ 42Mbps ส่วน 5G รองรับความเร็วสูงสุด 10Gbps ขึ้นไป เรียกว่าแรงกว่า 4G หลายเท่าเลยทีเดียวค่ะ การตอบสนองในการทำงานที่ดีขึ้น - ด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูลจึงทำให้การทำงาน หรือ การออกคำสั่งต่าง ๆ แม่นยำและรวดเร็ว แถมความหน่วงที่ต่ำจึงทำให้การตอบสนองรวดเร็วดั่งใจนึกเลยค่ะ รองรับการใช้งานของผู้คนในจำนวนมาก ๆ ได้ - เทคโนโลยี 5G จะมาช่วยตอบสนองในการใช้งานของผู้คนให้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ในพื้นที่ผู้คนพลุกพล่านก็สามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพ ความแรงระดับนี้สายเล่นเกม ดูหนังจัดไป! - ต้องบอกว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีความเร็วกว่า 4G จึงทำให้การเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ส่วนถ้าดูหนัง หรือ คลิปวีดีโอที่มีความละเอียดสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 4K, 8K หรือ วีดีโอความละเอียดสูงในรูปแบบ VR ก็สามารถดูได้ลื่นไหลมาก ๆ เทสมากับตัวเองเลยค่ะ ความเชื่อผิด ๆ สำหรับบางคนเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G เกวลินมีเรื่องจะเม้าส์ค๊าาาา! เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G กันเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า “ฉันยังไม่อยากใช้อะ! รอเขาปลดล็อคความถี่ให้ฉันทีหลังก็ได้ใช้ 4G ไปก่อน” ซึ่งความจริงแล้วการสมาร์ทโฟนของเราจะรับคลื่นความถี่ 5G ได้ สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ “ชิปเซ็ตภายในต้องรองรับด้วยเช่นกัน!” เพราะถ้าชิปเซ็ตภายในไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับ 5G ก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ต่อให้เราสมัครแพ็คเกจ 5G แล้วก็ตาม ดังนั้นผู้ที่อยากจะใช้งานจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือสมาร์ทโฟนของตัวเองให้รองรับเทคโนโลยี 5G ก่อนค่ะ  “ชิปเซ็ตก็คือหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญที่จะรองรับ 5G ได้” อีกทั้งเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยนะคะว่าชิปเซ็ตตัวนั้นรองรับคลื่นความถี่ที่เครือข่ายผู้ให้บริการบ้านเราใช้อยู่หรือเปล่า เพราะจะมีร้านค้าที่ขายมือถือสมาร์ทโฟนบางแห่งที่จะมีการนำมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในต่างประเทศมาขายให้คนที่สนใจได้เป็นเจ้าของกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ชิปเซ็ตที่ผลิตแล้ววางจำหน่ายในต่างประเทศจะออกแบบมาให้รับคลื่นความถี่ของประเทศนั้น ๆ เอาไว้ ซึ่งเราสามารถสอบถามกับร้านค้าที่ขายได้ค่ะ ทางร้านไม่ปิดเป็นความลับอยู่แล้วดังนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะ ข้อเสียของเทคโนโลยี 5G ที่มองเห็นในปัจจุบัน! สำหรับปัจจุบันเทคโนโลยี 5G ต้องยอมรับว่าผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H ต่างพยายามเต็มที่ที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถรับคลื่นสัญญาณความถี่ 5G ได้อย่างทั่วถึงกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่นอกโซนเมือง นอกเขตต่าง ๆ ก็ตาม แต่โดยรวมแล้วในเวลานี้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ผู้ใช้งานที่อยู่นอกโซนที่ไม่ได้อยู่ภายในตัวเมืองสามารถใช้งาน 5G ได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก ขนาดตัวเกวลินเองอยู่จังหวัดเชียงใหม่ นอกโซนตัวอำเภอเมือง โชคยังดีที่เสาส่งสัญญาณ 5G อยู่ใกล้บ้านเลยทำให้รับสัญญาณได้ แต่เมื่อเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ก็ยังพบปัญหาต่าง ๆ อยู่เช่น สัญญาณ 5G ยังไม่ทั่วถึงสักเท่าไหร่แล้วตัวระบบก็จะตัดไปใช้งาน 4G หรือ 4G+ อยู่บ่อยครั้ง โดยสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ก็คือ “Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G” เรียกว่าเป็นตัวท็อปสุดของปีนี้ในแบรนด์ Samsung แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทั้ง 3 ผู้ให้บริการเครือข่ายกำลังพยายามติดตั้งเสาสัญญาณเพื่อเพิ่มความถี่ของคลื่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ 5G ได้เต็มประสิทธิภาพไม่ใช่สลับไปมาแบบนี้  รวมไปถึงปัญหาใหญ่ ๆ เลยก็คือถ้าเราพักอาศัยอยู่ในคอนโด หรือ ตึกที่มีความหนาแน่นสูง คลื่นความถี่ 5G ก็จะทะลุทะลวงเข้ามาภายในตึกทำให้เรารับสัญญาณได้ยาก วิธีแก้ไขก็อยู่ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายจะมาเพิ่มสัญญาณในจุดนั้นหรือเปล่า ซึ่งเราสามารถดูได้จากจังหวัดใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือ เชียงใหม่ ในพื้นที่ผู้คนเยอะตึกราบ้านช่องสูง ๆ ก็จะเห็นมีเสาสัญญาณ 5G กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดก็ได้แต่หวังว่าในปี 2563 หรือปีถัด ๆ ไปผู้คนจะสามารถใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้เต็มประสิทธิภาพแล้วทั่วถีงกันสักที แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นจุดทุรกันดารแค่ไหนก็ตามเพื่อให้บุคลากรใช้งาน 5G ในด้านการเรียน การสอน แล้วแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย แล้วถ้าจะเปลี่ยนมือถือเพื่อมาใช้เทคโนโลยี 5G มันคุ้มไหมในเวลานี้!? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เกวลินได้มาจากเพื่อน ๆ หลายคนที่บอกว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่านะที่จะเสียเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่เพื่อให้รองรับเทคโนโลยี 5G ถ้าให้ตอบแบบเป็นกลางก็คือ “อยู่ที่กําลังทรัพย์ของเพื่อน ๆ และ ลองชั่งน้ำหนักว่าถ้าเปลี่ยนแล้วเราจะใช้ 5G ในด้านไหนบ้าง!?” เพราะตอนนี้มือถือสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G แล้ววางจำหน่ายในบ้านเราก็มีหลายราคาเริ่มตั้งแต่ราคาหลักไม่เกิน 10,000 บาทลากยาวไปถึง 20,000 บาทขึ้นไป  ปัจจัยหลักสำคัญมันอยู่ที่สเปกเครื่องและฟังก์ชั่นการใช้งานของมือถือรุ่นนั้น ๆ ว่าทำอะไรได้บ้าง ถ่ายรูปเก๋ไหม เล่นเกมได้ดีหรือเปล่าจริงไหมคะ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ในปีนี้บางรุ่นยังมีปัญหาเมื่อเปิดใช้งาน 5G เช่น แบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ถ้าจะให้ดีรออีกสักนิดไปดูกลาง ๆ ปีหน้าก็ดีเหมือนกันนะคะ “ภาพบนความเร็ว Wi-Fi 5G ภาพล่างความเร็ว AIS 5G บริเวณท่าแพเชียงใหม่” แล้วสิ่งที่เราจะต้องคิดตามมาก็คือ “ความคุ้มค่าในการใช้งาน 5G” แพ็คเกจส่วนใหญ่ของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เจ้าดังไม่ว่าจะเป็น AIS, Dtac และ TrueMove H จะถูกออกแบบมาในรูปแบบรายเดือนเป็นหลัก ซึ่งราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ราว ๆ 699 บาท ซึ่งก็จะมีการจำกัดการใช้งาน แต่ถ้าอยากจะใช้แบบไม่จำกัดก็จะเป็นแพ็คเกจราคา 1,199 บาทขึ้นไป แน่นอนว่าผู้ให้บริการเครือข่ายก็จะมีการแข่งขันในด้านของโปรโมชั่นอันนี้เพื่อน ๆ ก็ต้องไปพิจารณากันดูค่ะ ซึ่งถ้าใครที่มักจะเล่นเกม หรือ ใช้เน็ตบนโน๊ตบุ๊คแล้วเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถืออยู่บ่อย ๆ การจัดโปรแบบใช้ไม่จำกัดมันก็ดูจะคุ้มค่าที่สุดแล้วนั่นเองค่ะ ดูรายละเอียดแพ็คเกจ 5G ของผู้ให้บริการเครือข่ายในบ้านเราได้ที่ : AIS , Dtac และ TrueMove H   เกวลินเองก็ได้แต่คาดหวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่ลังเลว่า “ฉันควรเปลี่ยนมือถือใหม่แล้วมาใช้ 5G ตอนนี้เลยดีไหม” ไม่มากก็น้อยค่ะ ส่วนตัวเทคโนโลยี 5G ในบ้านเรายังจะต้องพัฒนากันอีกมาก เพราะในหลากหลายพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง รวมไปถึงรูปแบบการส่งสัญญาณมันจะต้องใช้เสาในการติดตั้งที่มากกว่า 4G จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ปีนี้เราเลยยังไม่เห็นจังหวัดอื่น ๆ ไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ หรือถ้าใช้ได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าจะให้ดีปีหน้าอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมก็ได้นะคะ เพราะผู้พัฒนาชิปเซ็ตเจ้าดังก็ได้เปิดตัวชิปเซ็ตตัวใหม่ที่จะใช้กับมือถือแบรนด์ดังต่าง ๆ แถมยังมีประสิทธิภาพในการรองรับ 5G ที่เหนือชั้นว่าชิปเซ็ตประจำปีนี้ด้วย ดังนั้นยังไม่ต้องรีบเร่งก็ได้ค่ะ เพราะพูดตรง ๆ ทุกวันนี้ก็เกวลินก็ยังใช้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปสักเท่าไหร่เลย T-T
17 Dec 2020
เปิดตัว HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่พาคุณก้าวกระโดดไปข้างหน้าสู่โลกอนาคต
กรุงเทพมหานคร, 3 ธันวาคม 2563  - หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัว สมาร์ทโฟนเรือธงซีรีส์สูงสุดแห่งปี HUAWEI Mate 40 Series ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ กับคอนเซ็ปต์ “Leap Further Ahead” การก้าวกระโดดไปข้างหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของวงการสมาร์ทโฟนเรือธงที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากหัวเว่ย ประเดิมเปิดตัวด้วยรุ่นโปร HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่มาพร้อมชิปเซ็ตทรงประสิทธิภาพ Kirin 9000 ครั้งแรกของโลกที่ใช้ชิปเซ็ต 5G SoC ขนาด 5 นาโนเมตร เร็ว แรง เต็มประสิทธิภาพ รองรับสัญญาณ 5G ครบถ้วนทุกย่านความถี่ ทุกผู้ให้บริการ และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหว ด้วยโซลูชันระบบกล้อง Leica ที่ทำงานผสานกับเทคโนโลยี AI สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้เทียบชั้นภาพยนตร์ โดย HUAWEI Mate 40 Pro 5G วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 34,990 บาท พร้อมโปรโมชันสุดคุ้มสำหรับผู้ที่ซื้อระหว่างวันที่ 3 - 31 ธันวาคม 2563 รับฟรีทันทีของสมนาคุณรวมมูลค่า 7,970 บาท พร้อมบริการหลังการขายสุดพิเศษอีกมากมาย มร.เกวิน เฉิง ผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า “หากย้อนมองวิวัฒนาการของ HUAWEI Mate Series หรือตระกูลสมาร์ทโฟนเรือธงสูงสุดของหัวเว่ยจะเห็นได้ว่า หัวเว่ยมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง เราเป็นผู้นำทั้งในด้านความอึดของแบตเตอรี่ เทคโนโลยีชาร์จไว และหน้าจอขนาดใหญ่ความละเอียดสูง อีกทั้งยังเป็นแบรนด์แรกที่ผสานการประมวลผล AI เข้ากับ NPU และเรายังเป็นแบรนด์แรกที่เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงที่ใช้ชิปเซ็ตแบบ 5G SoC ในโมเดล HUAWEI Mate 30 Series เส้นทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมใน HUAWEI Mate Series ของเราจะยังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ วันนี้ HUAWEI Mate 40 Series จะพาเราก้าวกระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง ด้วยการแนะนำ Mate ที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งจะกลายมาเป็นหมุดหมายใหม่ให้กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้ยกระดับประสบการณ์ขึ้นไปอีกขั้น กับ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยและวางจำหน่ายในวันนี้” “ในฐานะบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี หัวเว่ยมุ่งมั่นและทุ่มเทด้านการวิจัยและพัฒนาเสมอมา ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเราลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาไปกว่า 6 แสนล้านหยวน (ราว 2.7 ล้านล้านบาท) และด้วยการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาระบบและอีโคซิสเต็ม ทำให้ล่าสุดในปี 2020 นี้หัวเว่ยมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนหัวเว่ย (HMS smartphone) แล้วมากกว่า 700 ล้านคนทั่วโลก ในลำดับถัดไป เราจะมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ ‘ชีวิตเอไอไร้รอยต่อ’ (Seamless AI Life) หรือ โซลูชันส์เทคโนโลยีเอไอในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของหัวเว่ย ที่จะช่วยแก้ปัญหาการใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ในปัจจุบัน พร้อมยกระดับและอำนวยความสะดวกให้แก่ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ในอนาคต” มร. เกวิน เฉิง กล่าวเสริม ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้วยชิปเซ็ต Kirin 9000 นิยามใหม่ของการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพ ขุมพลัง Kirin 9000 ที่มากับ HUAWEI Mate 40 Pro 5G นับเป็นชิปเซ็ตที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ Mate Series อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ชิปเซ็ตแบบ 5G SoC มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 1.53 หมื่นล้านตัว ทำให้การประมวลผลยิ่งเร็ว แรง และทรงประสิทธิภาพ ได้รับการออกแบบโครงสร้าง CPU ให้ทรงพลังและประหยัดพลังงานถึง 3 ระดับ ประมวลผลแบบ 8 แกน ด้วยแกนหลักที่มีความเร็วสูงสุด 3.13 กิกะเฮิร์ตซ์ และ 24-Core Mali-G78 GPU ซึ่งเป็น GPU ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาในดีไวซ์ของหัวเว่ย สามารถรองรับการประมวลผลขั้นสูงและการใช้งานแบบ multi-tasking ที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด สอดรับกับมาตรฐาน “ชีวิตไอเอไร้รอยต่อ” (Seamless AI Life) ที่หัวเว่ยมุ่งเน้น เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับอย่างแท้จริงให้กับผู้ใช้  ระบบกล้องจาก Leica จัดเต็มนวัตกรรม AI Camera 3 ตัว กล้องหลักของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นกล้องเลนส์กว้างพิเศษที่ถ่ายภาพแบบซีเนมาติก หรือให้มุมกล้องเสมือนภาพยนตร์ ที่มีชื่อเรียกว่า Ultra Vision Cine Camera มาพร้อมความละเอียดจัดเต็ม 50 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวได้คุณภาพสูง ให้คุณไม่พลาดการบันทึกทุกช่วงเวลาพิเศษ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องเลนส์กว้าง Super Sensing Wide Camera และกล้องซูม Periscope Telephoto Camera ที่ซูมแบบออปติคัลได้ที่ 5x และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดถึง 50x ส่วนกล้องด้านหน้าเป็น Ultra Vision Selfie Camera ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง 3D Depth Sensing Camera สามารถถ่ายวิดีโอได้ในความละเอียดสูงระดับ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที (fps) นอกจากนี้ยังมาพร้อมโหมด Super Steady Shot ถ่ายวิดีโอได้ไม่สั่นแม้เคลื่อนไหว รองรับการถ่ายวิดีโอพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง โดยเพิ่มโหมด Story Creator ที่จะทำให้ทุกการถ่ายวิดีโอหรือ Vlog เป็นเรื่องง่ายและสนุกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ยุคดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเป็น Creator ถ่าย Vlog ได้อย่างมือโปรด้วยตนเอง ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์กับการวางกล้องแบบวงแหวน Space Ring Design และรับสายด้วย Smart Gesture Control อีกหนึ่งไฮไลต์ที่เน้นย้ำอัตลักษณ์ของ HUAWEI Mate Series ที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์ คือการออกแบบวงแหวน Space Ring Design ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง โดยได้แรงบันดาลใจจากการอยู่ท่ามกลางจักรวาลและดวงดาว ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้วยังตอบโจทย์ในแง่ของฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างลงตัว ด้วยการวางกล้องบนวงแหวนที่สมมาตร ส่วนหน้าจอ HUAWEI Horizon Display โค้ง 88 องศา ทำให้รับชมภาพได้เต็มตาสมจริง ขอบจอโค้งมนหยิบจับใช้งานถนัดมือ กันน้ำและฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP 68  นอกจากนี้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังโดดเด่นด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่อัดแน่นมาเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 3D Face Unlock หรือการปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้าแบบสามมิติ หรือฟีเจอร์สุดล้ำอย่าง Smart Gesture Control ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องสัมผัส เพียงวางมือไว้เหนือสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องแตะก็สามารถเปิดหน้าจอหรือเลื่อนซ้าย-ขวา บน-ล่าง ได้ทันที และยังสามารถรับสายด้วยการใช้มือทำท่าแตะได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Eyes on Display นวัตกรรมที่เข้ามาแทนการเปิดหน้าจอแบบ Always On โดยฟีเจอร์นี้จะตรวจจับได้อัตโนมัติเมื่อสายตาเรามองไปที่หน้าจอ และหน้าจอก็จะติดขึ้นมา พร้อมให้เราใช้งานได้ทันที ระบบการชาร์จที่เร็วที่สุดแห่งยุคด้วย HUAWEI SuperChargeTM 66 วัตต์ เพื่อรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ที่ทั้งแรง เร็ว และทรงประสิทธิภาพ HUAWEI Mate 40 Pro 5G จึงมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4,400 mAh และที่สุดของนวัตกรรมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว HUAWEI SuperChargeTM รองรับกำลังไฟฟ้าที่สูงสุด 66 วัตต์ เมื่อชาร์จแบบใช้ร่วมกับสายและอะแดปเตอร์ SuperCharge ของหัวเว่ย และรองรับการชาร์จไร้สาย Wireless HUAWEI SuperChargeTM ที่ 50 วัตต์ ซึ่งเมื่อประกอบกับชิปเซ็ต Kirin 9000 5G SoC แล้วจะทำให้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่องยาวนานไม่มีสะดุด อัปเดตล่าสุดกับ EMUI 11 มั่นใจกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวบน Huawei Mobile Service  ซอฟต์แวร์ EMUI 11 ซึ่งได้รับการอัปเดตใหม่ล่าสุดจากหัวเว่ยได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงจากมนุษย์ปัจจัย (Human Factors) หรือหลักการยศาสตร์ ผสานความลงตัวระหว่างสุนทรียศาสตร์และความสะดวกในการใช้งาน มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Window แสดงผลหลายแอปพลิเคชันพร้อมกัน โดยให้แต่ละแอปพลิเคชันลอยอยู่บนหน้าจอได้อย่างอิสระ รวมถึงสามารถใช้ฟีเจอร์ Multi-screen Collaboration เมื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของหัวเว่ยเพื่อให้จอสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนจอแล็ปท็อป และสามารถควบคุมสมาร์ทโฟนผ่านจอแล็ปท็อปได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับการทำงานแบบ Multi-tasking มีระบบ Trusted Execution Environment ซึ่งได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยสูงในระดับ CC EAL5+ ถือว่าเป็นระดับสูงสุด ผู้ใช้สามารถปกปิดข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนบนไฟล์ เช่น สถานที่ เวลาและรายละเอียดของเครื่อง ก่อนที่จะส่งให้ผู้อื่นได้  HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนในระบบ Huawei Mobile Services (HMS) ที่มาพร้อมกับ HUAWEI AppGallery สำหรับดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันซึ่งการันตีความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ด้วยกลไกตรวจสอบและป้องกันความปลอดภัยถึง 4 ขั้นตอน รวมถึงบริการ Petal Search เครื่องมือค้นหาที่จะช่วยเปิดประตูสู่แอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งมาพร้อมระบบที่ช่วยคัดกรองความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ในตัว ปัจจุบัน HUAWEI AppGallery มีผู้ใช้บริการกว่า 700 ล้านรายทั่วโลก รวมถึงมีแอปพลิเคชันพร้อมให้ใช้งานครอบคลุมถึง 18 ประเภท โดยปัจจุบันแอปพลิเคชันยอดฮิตของไทยกว่า 95% ได้รับการบรรจุไว้ใน HUAWEI AppGallery แล้ว ไม่ว่าจะเป็น LINE, TikTok, Foodpanda, Shopee, Lazada, JD Central, เป๋าตัง, แอปพลิเคชันของธนาคารชั้นนำ เกมยอดนิยม และอื่นๆ อีกมากมาย  HUAWEI Mate 40 Pro 5G วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมีให้เลือก 2 สีคือ Black และ Mystic Silver มาพร้อมหน่วยความจำ ROM 256 GB + RAM 8 GB ในราคา 34,990 บาท  พิเศษสุดสำหรับผู้ที่ซื้อระหว่างวันที่ 3 - 31 ธันวาคม 2563 ผ่านทางหน้าร้าน HUAWEI Experience Store ทุกสาขา และเว็บไซต์ HUAWEI Online Store โฉมใหม่ รวมถึงร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รับฟรีทันทีของสมนาคุณมูลค่ารวม 7,970 บาท ประกอบด้วย ปากกา HUAWEI M-Pen 2, เคสไฟวงแหวน HUAWEI Ring Light Case และแท่นชาร์จเร็วไร้สาย HUAWEI SuperChargeTM Wireless Charger Stand พร้อมบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากหัวเว่ยมูลค่า 1,619 บาท อันได้แก่ บริการซ่อมบำรุงถึงบ้าน (Door to Door service), บริการบำรุงรักษาเครื่อง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี, HUAWEI CLOUD STORAGE 5GB ตลอดชีพ + 50GB ให้ใช้ภายในระยะเวลา 1 ปี รวมถึงฟรีค่าใช้บริการ HUAWEI VDO 1 เดือน และเช่าหนังฟรี 5 เรื่องใน HUAWEI Movie Pass โปรดติดตามข้อมูลข่าวสารที่อัปเดตล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEIMobileTH , ยูทูป HUAWEIMobileTH, เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ และ official account ในไลน์ HUAWEI Mobile Thailand รวมถึงสามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://consumer.huawei.com/th/shop/product/huawei-mate-40-pro/ 
07 Dec 2020
สมาร์ทโฟน 5G สุดคุ้ม “Galaxy A42 5G” จากซัมซุง เร็วแรงพร้อมลุยทุกการใช้งาน ในราคาหมื่นต้น
ใครว่าเงินหมื่นต้นจะซื้อมือถือสเปคเทพไม่ได้แต่ซัมซุงไม่คิดแบบนั้นเพราะด้วยสเปคและประสิทธิภาพความเร็วแรงที่เหนือราคา ทำให้ Galaxy A42 5G เป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในเวลานี้กับราคาค่าตัวเพียง 11,990 บาท เพราะนอกจากจะรองรับการเชื่อมต่อบนสัญญาน 5G คุณภาพแล้ว ซัมซุงยังจัดเต็มด้วยชิปเซ็ตทรงพลัง Snapdragon 750G ที่มีการประมวลผลเร็วแรงแบบ Octa-core และให้ RAM มาสูงถึง 8GB ช่วยเพิ่มสมรรถนะการใช้งานอย่างเต็มพิกัด ตอบโจทย์ทั้งสายเกมเมอร์และสายคอนเทนต์อย่างลงตัว หมดปัญหาเรื่องเครื่องช้า เล่นเกมแล้วกระตุก หรือสตรีมมิ่งคอนเทนต์ไม่ทันใจ ที่สำคัญ Galaxy A42 5G ยังคงเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy A ไว้ด้วยฟีเจอร์หลักคุณภาพคับแก้ว จอ-กล้อง-แบต ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอใหญ่คมชัดแบบ Super AMOLED กล้องสวยเลนส์ครบ พร้อมแบตเตอรี่ทรงพลังถึง 5,000 mAh มาดูกันว่า ประสิทธิภาพเหนือราคาของ Galaxy A42 5G เครื่องนี้จะตอบโจทย์และโดนใจสายสปีดขนาดไหน นอกจากนี้ ลูกค้า Galaxy A42 5G ยังได้รับเอกสิทธิ์พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การใช้งาน YouTube Premium ฟรี 2 เดือน รวมถึงสิทธิประโยชน์จาก Galaxy Gift พร้อมบริการช่วยเหลือพิเศษระดับ Galaxy Butler Blue จองคิว เข้ารับบริการที่ศูนย์ล่วงหน้าได้ ผ่านแอปพลิเคชัน Samsung Members พร้อมบริการเครื่องสำรองระหว่างรอการซ่อม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/butler/ สัมผัสประสบการณ์ความเร็วแรงของ Galaxy A42 5G (กาแลคซี่ เอ 42 5G) สมาร์ทโฟนสายพันธุ์สปีด แรงทุกสเปค ได้แล้ววันนี้ ที่ Samsung Experience Store, Samsung Online Store และผู้ให้บริการเครือข่าย มาพร้อมตัวเลือก 3 สีสุดโมเดิร์น ได้แก่ Prism Dot Black, Prism Dot White และ Prism Dot Gray ในราคาเพียง 11,990 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของซัมซุง Galaxy A42 5G ได้ที่ https://bit.ly/3kxWquf
02 Dec 2020
วันพลัสเปิดตัวสมาร์ทโฟนพรีเมียมแฟลกชิป “OnePlus 8T 5G” Ultra Fast. Ultra Smooth.
OnePlus เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นพรีเมียมใหม่ล่าสุด OnePlus 8T 5G อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปท์ Ultra Fast. Ultra Smooth. พร้อมมอบความเร็วแรง และลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด ด้วยการยกระดับเทคโนโลยีชาร์จเร็วอย่าง Warp Charge 65 และหน้าจอ 120Hz แบบ Fluid AMOLED display ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดของประสบการณ์การใช้งานบน OnePlus 8T 5G ทลายทุกขีดจำกัดในตัวคุณ ที่คอเกมเมอร์ไม่ควรพลาด กับชิปเซ็ท Qualcomm® SnapdragonTM 865 รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์สายไหนก็เร็วแรงทรงพลัง ลื่นสุด ๆ ไม่มีสะดุด ด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ 120Hz Fluid AMOLED  ขนาด 6.55 นิ้ว บนความละเอียดสูง FHD+ ภาพสวยเนียนตา ลื่นไหลทุกการสัมผัส สมูททุกการปัด เอาใจสายโซเซียลตัวจริง ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการออกเดินทางท่องเที่ยวกับชุดกล้องหลัง 4 ตัวแบบ Quad Camera ความสามารถที่หลากหลาย เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ ด้วยกล้องหลักความคมชัดสูงสุด 48 MP พร้อมระบบกันสั่น  ขยายขอบเขตให้กว้างขึ้นด้วยเลนส์อัลตร้าไวด์ มุมมองการรับภาพกว้างที่สุดถึง 123 องศา ความคมชัด 16 MP ให้ภาพที่สวยคมชัด ในสภาพแสงที่หลากหลาย แม้ในเวลากลางคืนหรือที่แสงน้อยกับโหมด Nightscape  เลนส์ Macro ความคมชัด 5 MP ถ่ายชัดใกล้สุดในระยะ 3 เซนติเมตร และเลนส์ Monochrome ความคมชัด 2MP ให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพแบบสตูดิโอได้อย่างที่เป็นตัวคุณ พร้อมระบบป้องกันการสั่นไหวที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นและการถ่ายวิดีโอแบบโบเก้ รวมถึงการถ่ายในที่มีแสงน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกช่วงเวลาบันทึกไว้ได้สวยงามและง่ายดาย กับรายละเอียดที่สะกดทุกสายตาได้อย่างน่าทึ่ง บอกลาการชาร์จข้ามคืนด้วย Warp Charge 65 การชาร์จเร็วเท่าที่เคยมีมาของ OnePlus ในความจุแบตเตอรี่อึดถึง 4,500 mAh สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม ใช้เวลาเพียง 39 นาที ให้คุณออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน หมดห่วงเรื่องแบตหมดระหว่างวันไปได้เลย  ที่มาพร้อมกับ OxygenOS 11 ใหม่ล่าสุดบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง กับประสบการณ์การใช้งานซอฟต์แวร์ในรูปแบบที่ได้รับการอัพเดต รวมถึงการออกแบบที่โดดเด่น และมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อการใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นใหม่ ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพให้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งาน และความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของคุณได้ นอกจากนี้ OxygenOS 11 ยังมีแอนิเมชันและท่านำทางต่าง ๆ ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นใหม่ ตลอดจนการปรับแต่งมากมายเช่น ตัวเลือกนาฬิกา Always On Display ใหม่ให้เลือกสร้างสรรค์ได้ตามใจชอบอีกด้วย พร้อมด้วยการปรับปรุงการควบคุมท่าทางด้วยมือเดียวที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น และ Zen Mode 2.0 รูปลักษณ์หน้าตาการใช้งาน ที่ดูสะอาดตาช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มความคล่องตัวในชีวิตประจำวัน ให้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานที่ละเอียดอ่อนและเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น สำหรับ OnePlus 8T 5G เปิดตัวด้วยกันถึง 2 รุ่น ดังนี้ RAM 8GB ROM 128GB สี Lunar Silver ราคาอยู่ที่ 24,990 บาท RAM 12GB ROM 256GB สี Aquamarine Green ราคา 29,990 บาท มั่นใจยิ่งขึ้นกับการบริการหลังการขายทาง OnePlus ซึ่งได้ร่วมจับมือกับ OPPO โดยผู้ใช้งานสามารถเข้ามาใช้รับบริการหลังการขาย ซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ หรือตรวจเช็คสภาพเครื่องผ่าน OnePlus Service Center ที่ MBK Center ชั้น 5 และศูนย์บริการ OPPO Service Center รวมทั้งหมด 42 สาขาทั่วประเทศ  สามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ได้ทันทีทั้ง 12 สาขา OnePlus Service Center ศูนย์การค้ามาบุญครอง (MBK Center) ชั้น 5 ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลพระราม 2 ศูนย์บริการออปโป้สาขาฟิวเจอร์พาร์ครังสิต  ศูนย์บริการออปโป้สาขาอิมพีเรียลฯ สำโรง ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลเวสต์เกต ศูนย์บริการออปโป้สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาอยุธยาพาร์ค ศูนย์บริการออปโป้สาขาชลบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลนครราชสีมา ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลอุบลราชธานี ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลเชียงใหม่ แอร์พอร์ท ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลหาดใหญ่ และสาขาที่สามารถนำไป Drop-off เพื่อรอส่งซ่อมต่อไปได้ทั้ง 29 สาขา ดังนี้ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเดอะมอลล์บางแค ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลบางนา ศูนย์บริการออปโป้สาขาซีคอนฯ ศรีนครินทร์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ จุดบริการออปโป้สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ศูนย์บริการออปโป้สาขากาญจนบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาลพบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขานครปฐม ศูนย์บริการออปโป้สาขาโรบินสันปราจีนบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาระยอง ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลศาลายา ศูนย์บริการออปโป้สาขาโรบินสันสระบุรี ศูนย์บริการออปโป้สาขาบุรีรัมย์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลขอนแก่น ศูนย์บริการออปโป้สาขาร้อยเอ็ด ศูนย์บริการออปโป้สาขาสกลนคร ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลอุดรธานี ศูนย์บริการออปโป้สาขาเชียงราย ศูนย์บริการออปโป้สาขาลำปาง ศูนย์บริการออปโป้สาขานครสวรรค์ ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลพิษณุโลก ศูนย์บริการออปโป้สาขาโรบินสัน กำแพงเพชร ศูนย์บริการออปโป้สาขาชุมพร ศูนย์บริการออปโป้สาขาเซ็นทรัลภูเก็ต ศูนย์บริการออปโป้สาขานครศรีธรรมราช ศูนย์บริการออปโป้สาขาปัตตานี ศูนย์บริการออปโป้สาขาสุราษฎ์ธานี หากท่านใดไม่สะดวกเดินทางไปยังศูนย์ซ่อมที่แจ้งมาข้างต้น สามารถติดต่อ Call-Center OnePlus Thailand ผ่านทางเบอร์โทรศัพท์ 02-793-3818 เพื่อติดต่อและขอใช้บริการส่งซ่อมผ่าน Kerry Express ได้ (สงวนสิทธิ์การให้บริการเฉพาะเครื่องศูนย์ไทยเท่านั้น) OnePlus 8T 5G เปิดสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 21 – 29 ตุลาคม 2563 ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พิเศษเมื่อสั่งจองล่วงหน้ารับฟรี!! E-VIP Card ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง นาน 1 ปี พร้อมกระเป๋าเดินทาง OnePlus Luggage และขวดน้ำสุดพรีเมียม OnePlus Water Bottle รวมมูลค่า 15,170 บาท และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ พิเศษ!! โปรโมชันสำหรับช่องทางผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS, DTAC และ Truemove H รับข้อเสนอสุดพิเศษในช่วงสั่งจองล่วงหน้า OnePlus 8T ในราคาเริ่มต้นเพียง 12,490 บาทเท่านั้น หรือสั่งจองผ่านช่องทางหน้าร้านได้ที่ Banana IT, CSC, IT City, Jaymart, TG Fone  และช่องทางออนไลน์ได้พร้อมกันทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น LAZADA, JD Central, Shopee และ Thisshop พร้อมของสมนาคุณตามแต่ละช่องทางอีกมากมาย ดูรายละเอียดหรือติดต่อสอบถามข้อมูลผ่านทาง OnePlus Thailand ได้ที่ ช่องทาง Official Website >>> https://www.oneplus.com/th ช่องทาง Facebook Fanpage >>> https://www.facebook.com/oneplusthailand  ช่องทาง Instagram  >>> https://www.instagram.com/oneplus_thai/  หรือติดต่อสอบถาม OnePlus Call Center ได้ที่เบอร์ 02-793-3818
21 Oct 2020