GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ข่าวเกม
[Review] รีวิว HyperX Pulsefire Haste 2 เมาส์น้ำหนักเบาสะใจเพื่อชาว FPS ที่รอบนี้ดีไซน์สวยโดนใจทุกคน!
ลงวันที่ 28/03/2023

HyperX Pulsefire Haste 2 เป็นเมาส์รุ่นใหมจากทางค่ายคุณภาพ HyperX รุ่นต่อมาจาก Pulsefire Haste 1 ที่มีความเจ๋งคือน้ำหนักจะเบาสะใจสุดๆ และใช้งานแบบสะบัดได้ไหลลื่นจนเหมาะสำหรับเกมเมอร์สาย FPS อย่างมาก ขนาดเคยเป็นที่ฮือฮาในวงการ Esports อยู่ช่วงหนึ่ง แต่พูดกันตรงๆ ตอนรุ่น 1 นั้นจะมีสิ่งที่อาจขัดใจเกมเมอร์คือ 'ดีไซน์เต็มไปด้วยรูระบายอากาศที่อาจดูไม่ถูกใจบางคน' ขณะที่รุ่น 2 ถ้าดูผ่านๆ ก็มีดีไซน์สวยงามขึ้นมาก แต่มันจะใช้งานดีขนาดไหน มาชมรีวิวจากทางพวกเรากันเถอะ!!!

สเปคคร่าวๆ


HyperX Pulsefire Haste 2 จะเป็นเมาส์ที่มีให้เลือกซื้ออยู่ด้วยกัน 2 สี ได้แก่สีขาวกับสีดำ และก็จะมีให้เลือกระหว่างแบบมีสายหรือไร้สาย โดยทางเราก็จะรีวิวถึงตัวสีขาวสวยสุดจี๊ดแบบมีสายให้ชมกัน พร้อมกับมีไฟ RGB ที่ตรงปุ่มกดกลางเมาส์ด้วย ส่วนความเจ๋งด้านองค์ประกอบของตัวเมาส์มีทั้งหมดดังนี้


  • รุ่นมีสายจะมีน้ำหนัก 61 กิโลกรัม ส่วนรุ่นไร้สายจะมีน้ำหนักเพียง 53 กิโลกรัม เห็นได้ชัดเลยว่าน้ำหนักเบามาก


  • ใช้ระบบเซ็นเซอร์ HyperX 26K ทำให้การตอบสนองจะสูงถึง 8000Hz polling rate และปรับ DPI ได้สูงสุดถึง 26,000 DPI ส่วนความเร็วด้าน IPS ก็อยู่ที่ 650 ทำให้เป็นเมาส์ที่มีความแม่นยำ และตอบสนองได้เยี่ยมเหมือนเมาส์เทพๆ ในปัจจุบัน รวมทั้งมีปุ่มเปลี่ยน DPI ให้ 4 ระดับเหมือนเมาส์อื่นๆ


  • ใช้ระบบแผ่นปุ่มกดที่รองรับให้คลิกได้เกิน 100 ล้านครั้ง และยังกันฝุ่นเข้าให้ด้วย รวมทั้งได้เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์เมาส์แบบทั่วไปของ HyperX ทำให้ไม่มีรู และดูพรีเมี่ยมสวยงามแล้ว


  • แบตเตอรี่ 100% ของรุ่นไร้สายจะรองรับให้ใช้งานได้สูงสุดถึง 100 ชั่วโมง และยังมีให้เลือกเชื่อมต่อกับ PC ได้ทั้งแบบ 2.4 GHz Wireless หรือ Bluetooth


  • มี Software ให้ไปดาวน์โหลดมาตั้งค่า และปรับแต่งเมาส์ได้


  • ของแถมประกอบไปด้วย Grip Tape ให้ติดตรงปุ่มคลิกซ้ายกับขวาให้กดถนัดนุ่มมือขึ้น แล้วก็ยังมีให้ติดตรงด้านซ้ายกับขวาของเมาส์ให้จับได้นุ่มด้วย อีกอย่างคือ Mouse Skate ให้ติดใต้เมาส์แล้วทำให้ใช้กับพื้นที่ไม่มีที่รองเมาส์ได้ลื่นไหลไม่ติดขัด เรียกว่าซื้อเมาส์นี้แล้วได้ของครบจบเลย



สำหรับด้านเสปค ก็ถือว่าทำได้ดี และมีของแถมอย่าง Grip Tape มาให้จนดูคุ้มค่า โดยก็สมกับเป็นแบรนด์คุณภาพอย่าง HyperX นั่นแหละ แต่สำหรับใครที่มีเมาส์รุ่นที่ 1 ก็จะรู้สึกอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ 'มันแทบไม่ได้ต่างกันเลยยกเว้นเรื่องของดีไซน์' เนื่องจากด้านเสปคจะต่างกันแค่เพียงรุ่น 2 นั้นจะกดคลิกได้ 100 ล้านครั้ง และสามารถปรับแต่ง DPI ได้สูงขึ้นถึงตั้งแต่ระดับ 0 จนถึง 26000 DPI รวมทั้งรุ่น 2 ในฉบับไร้สายจะมีน้ำหนักเบากว่าเป็น 53 กิโลกรัม ทำให้คนที่มีรุ่น 1 ในมือก็จะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้ และไปรอรุ่น 3 หรือรุ่นอื่นในอนาคตที่มีความสำคัญกว่านี้แทน


  • ของรุ่น 1 จะกดคลิกได้ 80 ล้านครั้ง ไม่มีให้ปรับแต่ง DPI และฉบับไร้สายจะมีน้ำหนักเบากว่าเป็ฯ 59 กิโลกรัม แต่แบบมีสายจะน้ำหนักเท่ารุ่น 2 นั่นคือ 61 กิโลกรัม



ความรู้สึกหลังใช้งาน


จริงๆ ผู้เขียนแอบกลัวเมาส์ตัวนี้มาก เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนมือใหญ่ และเคยจับเมาส์ที่มีขนาดเน้นเล็กๆ เบาๆ แล้วรู้สึกไม่ถนัดมือเลย แต่เจ้าเมาส์ตัวนี้แม้จะมีน้ำหนักเบา ผู้เขียนกลับจับมันได้ถนัดมือกว่าเมาส์ขนาดใหญ่ๆ กว่านี้เสียอีก!!! ปุ่มคลิกซ้าย, คลิกขวา และคลิกเมาส์กลางนั้นมีพื้นผิวให้กดได้นิ่มกำลังดี ทำให้รู้สึกว่าใช้นานแค่ไหนก็ไม่เจ็บนิ้ว ส่วนลูกกลิ้งเมาส์กลางก็ลื่นไหล ไม่รู้สึกมีปัญหาให้ขัดใจตอนกดเลื่อน ขณะที่พวกอีก 2 ปุ่มกดพิเศษด้านซ้ายของเมาส์ก็ทำได้ดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกวิเศษกว่าของเมาส์อื่นๆ รวมทั้งเรื่องที่เป็นจุดขายของเมาส์อย่าง 'การสะบัด' เพื่อให้หันเล็งยิงในเกม FPS ได้คล่องแคล่วนั้นก็ทำได้ดีลื่นไหลจริงๆ ไม่เจอปัญหาเรื่องเซ็นเซอร์ใต้เมาส์อะไรเลย และรู้สึกว่าเล็งยิงเกมแนว FPS ได้เทพขึ้นอย่างมาก รวมทั้งถ้าเล่นเกมไหนที่ต้องสะบัดเมาส์บ่อยๆ นานๆ ก็ไม่รู้สึกเมื่อยเหมือนเมาส์ปกติ แถมไฟ RGB ที่อยู่ตรงปุ่มกลางเมาส์ก็มีความสวยงามเอาเรื่อง จนผู้เขียนรู้สึกว่าถ้าจะซื้อมาเน้นความสวยงาม ไม่ได้เน้นแข่งเกมอย่างซีเรียส มันก็ตอบโจทย์เอาเรื่องเหมือนกันนะ

  • ส่วนตอนแกะกล่อง Unbox ก็รู้สึกประทับใจเหมือนกัน เพราะตัวกล่องมีความพรีเมี่ยม และดูเรียบง่าย แถมตอนแกะออกมาก็มีการจัดระเบียบของไว้มากมายอย่างสวยงาม และนำสิ่งต่างๆ ออกมาใช้งานได้ไม่ยุ่งยาก รวมทั้งยังใส่ใจคนซื้อด้วย ยกตัวอย่างพวก Grip Tape จะมีเก็บไว้ให้ในซองอย่างดี 


แต่ผู้เขียนก็พบเจอข้อเสียของเมาส์ตัวนี้อยู่ด้วยกันถึง 2 อย่าง อย่างแรกคือปุ่มเปลี่ยนความเร็ว DPI ได้ 4 ระดับของเมาส์นั้นทำมาเล็ก และต้องออกแรงกดเยอะมากถ้ามือของคุณอยู่ในท่าจับเมาส์ ทำให้ถ้าใครมีเรื่องต้องเปลี่ยน DPI บ่อยๆ ก็อาจแอบรู้สึกตะหงิดหน่อยถ้าเทียบกับเมาส์ตัวอื่น ส่วนอีกเรื่องนึงคือผู้เขียนรู้สึกว่าสายของเมาส์มันอาจบางไปจนทำให้ผู้ใช้งานต้องจัดสายให้ดีๆ เพราะอย่างของผู้เขียนถ้าจัดสายไม่ดี เวลาปล่อยเมาส์จะมีอาการมันเคลื่อนที่ไปหาจุดเสียบสาย USB ขณะที่เมาส์ตัวอื่นที่เคยใช้ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ให้พบเจอเลย


คุณภาพ Software


เมาส์ตัวนี้จะใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า HyperX NGENUITY ในการปรับแต่งสิ่งต่างๆ และไฟ RGB โดยโปรแกรมนี้ทำมาให้ปรับแต่งได้ทุก Hardware เกมมิ่งเกียร์ของ HyperX ผู้ใช้งานสามารถไปหาดาวน์โหลดได้บน Microsoft Store ที่เป็นแอปติดเครื่องมากับ Windows 11 ซึ่งเมื่อโหลดเสร็จก็สามารถเข้าแอป และอัปเดตนิดหน่อยก็ใช้ปรับได้ทันที ซึ่งการปรับจะมีทั้งเรื่องไฟ RGB, เปลี่ยนคำสั่งปุ่ม และความเร็ว DPI ได้อิสระตั้งแต่ 0 จนถึง 26000 แถมการปรับแต่ละอย่างนั้นทำได้อิสระหลากหลายมาก ยกตัวอย่างการปรับความเร็วไฟหรือจะให้มีเอฟเฟ็กต์แบบไหนหรือสว่างระดับไหน แล้วยังมีให้สร้างโปรไฟล์สลับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ รวมทั้งยังมีระบบ LightSync ให้ไฟของเมาส์ตัวนี้มี RGB เป็นเหมือนกับเกมมิ่งเกียร์อื่นๆ ของ HyperX ทำให้โปรแกรมนี้ดีเรื่องความสะดวกสบายทุกด้านเลย


  • หน้าตาการปรับแต่งในแอป จะเห็นได้เลยว่าทำมาให้ใช้งานง่าย และเข้าใจง่ายมาก



ส่วนข้อเสียของ Software นี้ก็มีเหมือนกัน นั่นคือชื่อ HyperX NGENUITY นั้นมันจำยากมาก ทำให้คุณอาจต้องมาเปิดดูชื่อมันบ่อยๆ ขณะหาดาวน์โหลดหรือตอนจะเปิดมาปรับแต่งอะไรต่างๆ แถมตัวโปรแกรมก็ไม่น่าจำกัดว่าต้องไปดาวน์โหลดแค่บน Microsoft Store ควรจะมีให้หาดาวน์โหลดได้บนเว็บไซต์หลักเพื่อไม่ยุ่งยากด้วยนั่นเอง

คุ้มราคาไหม?


HyperX Pulsefire Haste 2 จะมีราคาอยู่ที่ 1,590 บาท โดยถ้าดูจากสิ่งที่ได้นั้นก็ถือว่าเมาส์ตัวนี้คุ้มราคามากๆ ไม่ว่าจะเกมเมอร์สายแข่งขัน และสายเน้นความสวยงาม มันอาจไม่ได้ยอดเยี่ยมเต็ม 10 ในทุกด้านขนาดนั้น แต่มันก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยมให้คนซื้อรู้สึกประทับใจเอาเรื่อง แถมก็มี Software ที่ใช้งานได้ดี แม้ชื่อจะจำยากไปหน่อย ทำให้เกมเมอร์คนไหนกำลังหาซื้อเมาส์ใหม่ เจ้าตัวนี้จาก HyperX ถือว่าน่าจัดเอาเรื่องเลย!!! แต่ถ้าคุณมีรุ่น 1 อยู่ในมือ ทางเราก็คงต้องพูดตามตรงว่าด้านการใช้งานมันก็ไม่ได้ต่างกันมาก ที่ต่างหนักๆ คือเรื่องรูปลักษณ์ที่ดูสวยถูกใจหลายคนกว่าเดิมเท่านั้น ทำให้ถ้ามีเรื่องต้องใช้เงินก็อาจมองข้ามไปรอรุ่น 3 หรือรุ่นอนาคตแทน

* ขอขอบคุณทาง HyperX ด้วยที่ให้เราได้รีวิวเมาส์ตัวนี้กันนะครับ *

7
ข้อดี

น้ำหนักเบาสะใจจริงๆ

ดีไซน์ และไฟ RGB ยังสวยด้วย

ใช้งานได้คล่องแคล่ว สะบัดได้แบบไร้ปัญหา

Software ยังทำมาดี และใช้งานเข้าใจง่าย

ข้อเสีย

การใช้งานไม่ค่อยต่างจากรุ่น 1

ปุ่ม DPI ทำมาให้เปลี่ยนอย่างว่องไวได้ยาก

ต้องจัดสายดีๆ ไม่งั้นพอปล่อยเมาส์แล้วขยับเอง

ชื่อ Software จำยาก

9

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิว HyperX Pulsefire Haste 2 เมาส์น้ำหนักเบาสะใจเพื่อชาว FPS ที่รอบนี้ดีไซน์สวยโดนใจทุกคน!
28/03/2023

HyperX Pulsefire Haste 2 เป็นเมาส์รุ่นใหมจากทางค่ายคุณภาพ HyperX รุ่นต่อมาจาก Pulsefire Haste 1 ที่มีความเจ๋งคือน้ำหนักจะเบาสะใจสุดๆ และใช้งานแบบสะบัดได้ไหลลื่นจนเหมาะสำหรับเกมเมอร์สาย FPS อย่างมาก ขนาดเคยเป็นที่ฮือฮาในวงการ Esports อยู่ช่วงหนึ่ง แต่พูดกันตรงๆ ตอนรุ่น 1 นั้นจะมีสิ่งที่อาจขัดใจเกมเมอร์คือ 'ดีไซน์เต็มไปด้วยรูระบายอากาศที่อาจดูไม่ถูกใจบางคน' ขณะที่รุ่น 2 ถ้าดูผ่านๆ ก็มีดีไซน์สวยงามขึ้นมาก แต่มันจะใช้งานดีขนาดไหน มาชมรีวิวจากทางพวกเรากันเถอะ!!!

สเปคคร่าวๆ


HyperX Pulsefire Haste 2 จะเป็นเมาส์ที่มีให้เลือกซื้ออยู่ด้วยกัน 2 สี ได้แก่สีขาวกับสีดำ และก็จะมีให้เลือกระหว่างแบบมีสายหรือไร้สาย โดยทางเราก็จะรีวิวถึงตัวสีขาวสวยสุดจี๊ดแบบมีสายให้ชมกัน พร้อมกับมีไฟ RGB ที่ตรงปุ่มกดกลางเมาส์ด้วย ส่วนความเจ๋งด้านองค์ประกอบของตัวเมาส์มีทั้งหมดดังนี้


  • รุ่นมีสายจะมีน้ำหนัก 61 กิโลกรัม ส่วนรุ่นไร้สายจะมีน้ำหนักเพียง 53 กิโลกรัม เห็นได้ชัดเลยว่าน้ำหนักเบามาก


  • ใช้ระบบเซ็นเซอร์ HyperX 26K ทำให้การตอบสนองจะสูงถึง 8000Hz polling rate และปรับ DPI ได้สูงสุดถึง 26,000 DPI ส่วนความเร็วด้าน IPS ก็อยู่ที่ 650 ทำให้เป็นเมาส์ที่มีความแม่นยำ และตอบสนองได้เยี่ยมเหมือนเมาส์เทพๆ ในปัจจุบัน รวมทั้งมีปุ่มเปลี่ยน DPI ให้ 4 ระดับเหมือนเมาส์อื่นๆ


  • ใช้ระบบแผ่นปุ่มกดที่รองรับให้คลิกได้เกิน 100 ล้านครั้ง และยังกันฝุ่นเข้าให้ด้วย รวมทั้งได้เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์เมาส์แบบทั่วไปของ HyperX ทำให้ไม่มีรู และดูพรีเมี่ยมสวยงามแล้ว


  • แบตเตอรี่ 100% ของรุ่นไร้สายจะรองรับให้ใช้งานได้สูงสุดถึง 100 ชั่วโมง และยังมีให้เลือกเชื่อมต่อกับ PC ได้ทั้งแบบ 2.4 GHz Wireless หรือ Bluetooth


  • มี Software ให้ไปดาวน์โหลดมาตั้งค่า และปรับแต่งเมาส์ได้


  • ของแถมประกอบไปด้วย Grip Tape ให้ติดตรงปุ่มคลิกซ้ายกับขวาให้กดถนัดนุ่มมือขึ้น แล้วก็ยังมีให้ติดตรงด้านซ้ายกับขวาของเมาส์ให้จับได้นุ่มด้วย อีกอย่างคือ Mouse Skate ให้ติดใต้เมาส์แล้วทำให้ใช้กับพื้นที่ไม่มีที่รองเมาส์ได้ลื่นไหลไม่ติดขัด เรียกว่าซื้อเมาส์นี้แล้วได้ของครบจบเลย



สำหรับด้านเสปค ก็ถือว่าทำได้ดี และมีของแถมอย่าง Grip Tape มาให้จนดูคุ้มค่า โดยก็สมกับเป็นแบรนด์คุณภาพอย่าง HyperX นั่นแหละ แต่สำหรับใครที่มีเมาส์รุ่นที่ 1 ก็จะรู้สึกอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ 'มันแทบไม่ได้ต่างกันเลยยกเว้นเรื่องของดีไซน์' เนื่องจากด้านเสปคจะต่างกันแค่เพียงรุ่น 2 นั้นจะกดคลิกได้ 100 ล้านครั้ง และสามารถปรับแต่ง DPI ได้สูงขึ้นถึงตั้งแต่ระดับ 0 จนถึง 26000 DPI รวมทั้งรุ่น 2 ในฉบับไร้สายจะมีน้ำหนักเบากว่าเป็น 53 กิโลกรัม ทำให้คนที่มีรุ่น 1 ในมือก็จะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้ และไปรอรุ่น 3 หรือรุ่นอื่นในอนาคตที่มีความสำคัญกว่านี้แทน


  • ของรุ่น 1 จะกดคลิกได้ 80 ล้านครั้ง ไม่มีให้ปรับแต่ง DPI และฉบับไร้สายจะมีน้ำหนักเบากว่าเป็ฯ 59 กิโลกรัม แต่แบบมีสายจะน้ำหนักเท่ารุ่น 2 นั่นคือ 61 กิโลกรัม



ความรู้สึกหลังใช้งาน


จริงๆ ผู้เขียนแอบกลัวเมาส์ตัวนี้มาก เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนมือใหญ่ และเคยจับเมาส์ที่มีขนาดเน้นเล็กๆ เบาๆ แล้วรู้สึกไม่ถนัดมือเลย แต่เจ้าเมาส์ตัวนี้แม้จะมีน้ำหนักเบา ผู้เขียนกลับจับมันได้ถนัดมือกว่าเมาส์ขนาดใหญ่ๆ กว่านี้เสียอีก!!! ปุ่มคลิกซ้าย, คลิกขวา และคลิกเมาส์กลางนั้นมีพื้นผิวให้กดได้นิ่มกำลังดี ทำให้รู้สึกว่าใช้นานแค่ไหนก็ไม่เจ็บนิ้ว ส่วนลูกกลิ้งเมาส์กลางก็ลื่นไหล ไม่รู้สึกมีปัญหาให้ขัดใจตอนกดเลื่อน ขณะที่พวกอีก 2 ปุ่มกดพิเศษด้านซ้ายของเมาส์ก็ทำได้ดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกวิเศษกว่าของเมาส์อื่นๆ รวมทั้งเรื่องที่เป็นจุดขายของเมาส์อย่าง 'การสะบัด' เพื่อให้หันเล็งยิงในเกม FPS ได้คล่องแคล่วนั้นก็ทำได้ดีลื่นไหลจริงๆ ไม่เจอปัญหาเรื่องเซ็นเซอร์ใต้เมาส์อะไรเลย และรู้สึกว่าเล็งยิงเกมแนว FPS ได้เทพขึ้นอย่างมาก รวมทั้งถ้าเล่นเกมไหนที่ต้องสะบัดเมาส์บ่อยๆ นานๆ ก็ไม่รู้สึกเมื่อยเหมือนเมาส์ปกติ แถมไฟ RGB ที่อยู่ตรงปุ่มกลางเมาส์ก็มีความสวยงามเอาเรื่อง จนผู้เขียนรู้สึกว่าถ้าจะซื้อมาเน้นความสวยงาม ไม่ได้เน้นแข่งเกมอย่างซีเรียส มันก็ตอบโจทย์เอาเรื่องเหมือนกันนะ

  • ส่วนตอนแกะกล่อง Unbox ก็รู้สึกประทับใจเหมือนกัน เพราะตัวกล่องมีความพรีเมี่ยม และดูเรียบง่าย แถมตอนแกะออกมาก็มีการจัดระเบียบของไว้มากมายอย่างสวยงาม และนำสิ่งต่างๆ ออกมาใช้งานได้ไม่ยุ่งยาก รวมทั้งยังใส่ใจคนซื้อด้วย ยกตัวอย่างพวก Grip Tape จะมีเก็บไว้ให้ในซองอย่างดี 


แต่ผู้เขียนก็พบเจอข้อเสียของเมาส์ตัวนี้อยู่ด้วยกันถึง 2 อย่าง อย่างแรกคือปุ่มเปลี่ยนความเร็ว DPI ได้ 4 ระดับของเมาส์นั้นทำมาเล็ก และต้องออกแรงกดเยอะมากถ้ามือของคุณอยู่ในท่าจับเมาส์ ทำให้ถ้าใครมีเรื่องต้องเปลี่ยน DPI บ่อยๆ ก็อาจแอบรู้สึกตะหงิดหน่อยถ้าเทียบกับเมาส์ตัวอื่น ส่วนอีกเรื่องนึงคือผู้เขียนรู้สึกว่าสายของเมาส์มันอาจบางไปจนทำให้ผู้ใช้งานต้องจัดสายให้ดีๆ เพราะอย่างของผู้เขียนถ้าจัดสายไม่ดี เวลาปล่อยเมาส์จะมีอาการมันเคลื่อนที่ไปหาจุดเสียบสาย USB ขณะที่เมาส์ตัวอื่นที่เคยใช้ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ให้พบเจอเลย


คุณภาพ Software


เมาส์ตัวนี้จะใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า HyperX NGENUITY ในการปรับแต่งสิ่งต่างๆ และไฟ RGB โดยโปรแกรมนี้ทำมาให้ปรับแต่งได้ทุก Hardware เกมมิ่งเกียร์ของ HyperX ผู้ใช้งานสามารถไปหาดาวน์โหลดได้บน Microsoft Store ที่เป็นแอปติดเครื่องมากับ Windows 11 ซึ่งเมื่อโหลดเสร็จก็สามารถเข้าแอป และอัปเดตนิดหน่อยก็ใช้ปรับได้ทันที ซึ่งการปรับจะมีทั้งเรื่องไฟ RGB, เปลี่ยนคำสั่งปุ่ม และความเร็ว DPI ได้อิสระตั้งแต่ 0 จนถึง 26000 แถมการปรับแต่ละอย่างนั้นทำได้อิสระหลากหลายมาก ยกตัวอย่างการปรับความเร็วไฟหรือจะให้มีเอฟเฟ็กต์แบบไหนหรือสว่างระดับไหน แล้วยังมีให้สร้างโปรไฟล์สลับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ รวมทั้งยังมีระบบ LightSync ให้ไฟของเมาส์ตัวนี้มี RGB เป็นเหมือนกับเกมมิ่งเกียร์อื่นๆ ของ HyperX ทำให้โปรแกรมนี้ดีเรื่องความสะดวกสบายทุกด้านเลย


  • หน้าตาการปรับแต่งในแอป จะเห็นได้เลยว่าทำมาให้ใช้งานง่าย และเข้าใจง่ายมาก



ส่วนข้อเสียของ Software นี้ก็มีเหมือนกัน นั่นคือชื่อ HyperX NGENUITY นั้นมันจำยากมาก ทำให้คุณอาจต้องมาเปิดดูชื่อมันบ่อยๆ ขณะหาดาวน์โหลดหรือตอนจะเปิดมาปรับแต่งอะไรต่างๆ แถมตัวโปรแกรมก็ไม่น่าจำกัดว่าต้องไปดาวน์โหลดแค่บน Microsoft Store ควรจะมีให้หาดาวน์โหลดได้บนเว็บไซต์หลักเพื่อไม่ยุ่งยากด้วยนั่นเอง

คุ้มราคาไหม?


HyperX Pulsefire Haste 2 จะมีราคาอยู่ที่ 1,590 บาท โดยถ้าดูจากสิ่งที่ได้นั้นก็ถือว่าเมาส์ตัวนี้คุ้มราคามากๆ ไม่ว่าจะเกมเมอร์สายแข่งขัน และสายเน้นความสวยงาม มันอาจไม่ได้ยอดเยี่ยมเต็ม 10 ในทุกด้านขนาดนั้น แต่มันก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยมให้คนซื้อรู้สึกประทับใจเอาเรื่อง แถมก็มี Software ที่ใช้งานได้ดี แม้ชื่อจะจำยากไปหน่อย ทำให้เกมเมอร์คนไหนกำลังหาซื้อเมาส์ใหม่ เจ้าตัวนี้จาก HyperX ถือว่าน่าจัดเอาเรื่องเลย!!! แต่ถ้าคุณมีรุ่น 1 อยู่ในมือ ทางเราก็คงต้องพูดตามตรงว่าด้านการใช้งานมันก็ไม่ได้ต่างกันมาก ที่ต่างหนักๆ คือเรื่องรูปลักษณ์ที่ดูสวยถูกใจหลายคนกว่าเดิมเท่านั้น ทำให้ถ้ามีเรื่องต้องใช้เงินก็อาจมองข้ามไปรอรุ่น 3 หรือรุ่นอนาคตแทน

* ขอขอบคุณทาง HyperX ด้วยที่ให้เราได้รีวิวเมาส์ตัวนี้กันนะครับ *


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header