สวัสดีครับ! กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายเกม Dark Souls บทที่สิบห้า โดยเนื้อหาในบทนี้จะเน้นหนักไปยังแผนที่ Anor Londo ซึ่งจะมีเนื้อเรื่องเเยกย่อยมากมายให้กับตัวเอกของเราจะได้เผชิญหน้า อีกทั้งยังจะได้รับรู้ความจริงอันชั่วร้ายที่หมักหมมเอาไว้ใต้พรมโดยเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo ณ สถานที่ซึ่งเรียกว่า Painted World of Ariamis โลกแห่งการจองจำ ณ อีกฟากของมิติ
พลังความศรัทธาของ Undead นิรนามจะถูกทดสอบด้วยคำถามที่จะสั่นคลอนคำทำนายแห่ง The First Flame เเละเปลี่ยนถึงมุมมองใหม่ต่อพลังความมืด... พลังซึ่งเดิมทีคือรากเหง้าของมนุษย์
เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบห้า “มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ”

( ภาพประกอบ : ที่ใดมีเเสงสว่างที่นั่นก็ย่อมมีเงา...เหล่าเทพเจ้าต่างตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ )
< ลิงค์บทความก่อนหน้า >
บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่
บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด
บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง
บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่
คุกนรกเยือกแข็ง
Undead นิรนามสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนพื้นหิมะสีขาวที่หนาวเหน็บเเละกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่ทราบเลยว่าตนเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ก็เพียงเเต่เขากำลังล่วงตกลงสู่พื้นภายในวิหารของ Anor Londo จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป
Undead นิรนามเดินเท้าลุยหิมะอย่างไร้จุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้พบกับปราสาทสีดำทมิฬแห่งหนึ่งที่มีสภาพเก่าพุพังคล้ายกับเพิ่งผ่านสงครามมามาด ๆ สภาพทางด้านหน้าได้มีการปักป้ายเตือนสุดพิสดารด้วยการนำศพของมนุษย์มาตั้งเรียงรายปักเด่นเป็นสง่า คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ริอาจก้าวเท้าเข้ามาเชียว
แต่ทว่ามีหรือกลจิตวิทยาแค่นี้จะสั่นคลอนจิตใจของคนอย่าง Undead นิรนามได้ เขาเดินผ่านป้ายเตือนที่ทำจากซากศพราวกับว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง พระเอกของเราไม่ทราบหรอกว่าที่นี่มันจะอันตรายมากแค่ไหน แต่ถ้าหากยังยืนเก ๆ กัง ๆ อยู่ข้างนอกแบบนี้ละก็มีหวังคงได้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งทั้งยืนกันพอดี
( ภาพประกอบ : ทางเข้าสู่ปราสาทเเห่งความสิ้นหวังใน Painted World of Ariamis )
บรรยากาศภายในปราสาทดูไม่แตกต่างอะไรจากเมืองของมนุษย์ซึ่งเกิดเหตุนองเลือดและล่มสลายเพราะ Curse of Undead โดยจะแปลกใหม่ก็เเค่ตรงที่มีกองหิมะสีขาวนวลคอยปกคลุมสุกซ่อนลอยเลือดสาดกับเศษภูเขาโครงกระดูกทั่วผืนดิน
ในระหว่างที่ Undead นิรนามกำลังเดินสำรวจพื้นที่อยู่นั้น เขาก็ได้พบกับบุรุษปริศนาคนหนึ่งที่สวมหมวกสีเหลืองทองรูปทรงประหลาด ยืนตัวนิ่งอยู่ท่ามกลางลานหิมะซึ่งเต็มไปด้วยไม้เสียบลูกชิ้น(ซากศพ)มากมายนับไม่ถ้วน… ด้วยว่ารูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่เป็นมิตรผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ได้พบเจอกัน พระเอกเราตัดสินใจทันทีว่านั่นต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนเเละกระโจนเข้าห้ำหั่นอย่างไม่รีรอ
( ภาพประกอบ : Xanthous King, Jeremiah ในสภาพของ Red Phantom )
เจ้าบุรุษปริศนาเข้าต่อสู้กับพระเอกของเราด้วยการใช้เวทย์เพลิงขั้นสูง Pyromancy ซึ่งมันก็ค่อนข้างมีฝีมืออยู่พอตัวจนสามารถต่อกรกับพระเอกของเราได้อย่างสูสี พวกเขาประลองฝีมืออยู่นานเเต่ก็ไม่มีผู้เเพ้ผู้ชนะสักทีจน Undead นิรนามเริ่มเหนื่อยหน่าย จึงได้ลดอาวุธลงพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้วาจาเพื่อคุยตอบโต้กับอีกฝ่าย
เจ้าพ่อมดแนะนำตนเองว่ามันคือราชันทองคำ Jeremiah ส่วนสถานที่แห่งนี้ก็คือ Painted World of Ariamis คุกต่างโลกอันหนาวเหน็บซึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ใช้กักขังสิ่งต่าง ๆ ที่พวกมันหวาดกลัว (สถานที่ซุกขยะใต้พรมดี ๆ นี่เอง)

( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Chaos Storm ที่เจ้า Jeremiah ใช้เป็นเวทมนต์ขั้นสูงซึ่งมีเเต่คนตระกูลของเเม่มด Izalith เท่านั้นที่รู้ )
หลังได้ยินเช่นนั้นพระเอกของเราก็ถึงกับสงสัย เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนว่าเหล่าเทพเจ้าที่ทรงพลังนักทรงพลังหนา จะกวาดกลัวสิ่งใดเป็นด้วยน่ะเหรอ?...
เจ้า Jeremiah หัวเราะเสียงดังลั่นใส่ Undead นิรนามถึงความไม่ประสีประสา จากนั้นก็เริ่มสาธยายวีรกรรมของเทพเจ้าให้กับพระเอกของเราได้รับฟัง… Gwyn คือเทพชั่วร้ายผู้หลงมัวเมาในอำนาจ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้โดยไม่เกียงวิธี ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติผิดต่ออดีตพระชายา Velka และคนในครอบครัวของตนเอง, การอนุญาตให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath กระทำการทดลองอันโหดร้ายต่างต่างนานาต่อเหล่ามวลมนุษย์, การอุปโลกน์ศาสนา Way of White เพื่อหลอกใช้ประโยชน์จาก Undead ให้มากทีสุด, ฯลฯ
Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในคำพูดของเจ้าพ่อมดตัวเหลือง เพราะเขาเติบโตมากับการถูกสอนว่าเทพเจ้าคือสิ่งดีงาม Jeremiah จึงได้ถามพระเอกของเราว่ารู้จักกบฏทมิฬหรือไม่ ( Occult Rebellion ) ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องส่ายหัว
( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพี Velka ใน Painted World of Ariamis )
Jeremiah เล่าว่าในครั้งอดีตเมื่อตอนที่ Curse of Undead เพิ่งปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ทั้งโลกต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวและหันหน้าไปพึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo... ทว่าพวกโง่เขลานั่นหารู้ไม่ว่าเทพเจ้าเองก็กำลังระส่ำระสายไม่เเพ้กัน
กบฏทมิฬซึ่งตอนนั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาเพลิงสีดำ Hexes โดยเทพี Velka ต่างก็ลงมติเห็นว่านี่นิมิตหมายอันดีที่จะโค่นล้ม Gwyn พวกเขาจึงเรียกรวบกำลังพลที่เคยส่งไปแทรกซึมตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อวางเเผนรอวันรอบสังหารที่เหมาะสม

( ภาพประกอบ : Vow of Silence เป็นหนึ่งในเวทมนต์สาย Hex ของ Velka โดยมันจะทำการผิดผนึกเวทมนต์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงพลัง Miracle ของเหล่าเทพเจ้าด้วยเช่นกัน )
ทว่าก็โชคร้ายแผนการดังได้เกิดรั่วไหลขึ้นเสียก่อน เหล่ามนุษย์ผู้ต้องสงสัยมากมายต่างถูกจับกุมเเละสังหารทิ้ง ณ ตรงนั้นโดยเหล่า Silver Knight อย่างโหดเหี้ยม จนเหตุการณ์บานปลายเกิดเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ไปช่วงเวลาหนึ่ง
ผลลัพธ์จบลงด้วยการที่เหล่ากบฏทมิฬรังเเตก! พวกบรรดาสายลับเเละผู้มีส่วนเกี้ยวข้องกับ Velka ต่างถูกจับมาสืบสวนเพื่อสาวไส้หาต้นต่อ ซึ่งปรากฏว่ามีทั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูง ไปจนถึงวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เป็นนับหน้าถือตาในสังคม Gwyn จึงมิอาจตัดสินลงโทษคนเหล่านี้เเบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และมันอาจจะกลายเป็นน้ำผึ่งหยดเดียวอันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองก็เป็นได้
Gwyn จึงออกอุบายหลอกให้คนเหล่านั้นเข้ามาอาศัยอยู่ใน Painted World of Ariamis โดยอ้างว่าเป็นสถานกักบริเวณชั่วคราวเพื่อรอวันที่ทุกคนจะได้เเก่ต่างให้ตนเองในชั้นศาล
**ต้องชี้แจงก่อนว่ามิใช่ทุกคนที่นับถือเทพี Velka แล้วจะเป็นพวกกบฏทมิฬไปซะหมด หลายคนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่บูชา Velka แต่ก็ถูกจับตัวมาด้วย**
( ภาพประกอบ : The bloodshield หรือโล่โลหิต โดยมันเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ระดับตำนานที่สามารถพบเห็นได้เฉพาะใน Painted World of Ariamis เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยมีบุคคลระดับตำนานอยู่ในนี้จริง ๆ )
เเต่ทว่าคนบ้าอำนาจอย่าง Gwyn มีหรือจะเชื่อใจได้ สาวกของ Velka ถูกหลอกให้เฝ้ารอวันพิพากษาที่ไม่มีวันมาถึง เฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาจึงได้พากันละทิ้งความหวังในการออกไปสู่โลกภายนอก และหันมาสร้างอารยธรรมใหม่ของตนเองขึ้นบนดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้
เหล่าผู้ถูกทิ้งเริ่มสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่สำคัญขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ทางร่วมจิตใจอย่างโบสถ์บูชาเทพี Velka, โรงตีเหล็กที่เอาไว้ใช้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ซึกกร่อนเสียหาย, โรงเหล้าสำหรับดื่มย้อมใจเพื่อให้ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ในความทรงจำ... ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งเหนือผืนหิมะที่หนาวเหน็บ

( ภาพประกอบ : Black Set คือชุดเครื่องเเบบของนักบวชที่นับถือ Velka ซึ่งหาพบได้เฉพาะใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )
( ภาพประกอบ : Dark Ember เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างอาวุธธาตุมืด...เเละก็เช่นเคยมันอยู่ใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )
เเต่ทว่าโปรดอย่าลืม!ว่านี่คือเกม Dark Soul ฉะนั้นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจึงไม่มีอยู่จริง... หากโลกภายนอกมีความมืดที่คอยกัดกินแสงสว่างอยู่แล้วละก็ ในโลกของ Painted World of Ariamis ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความเน่าเปื่อยซึ่งมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน!
เหล่าผู้คนเริ่มก็สังเกตถึงเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยหลุดลอกจากร่างกาย บางก็มีตุ่มน้ำหนองน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาตามผิวหนัง มันเป็นโรคร้ายที่สร้างความทรมานให้แก่ร่างต้นพาหะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย เเต่โชคร้าย Curse of Undead ทำความตายมิอาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้ เศษเสี้ยวของ Dark Soul ที่ยังคงหลงเหลือในวิญญาณ ได้บังคับให้พวกเขาเกิดและตายวนเวียนไปมาไม่รู้จบ โดยต้องทนทุกข์เป็นสองเท่าจากการกลายเป็น Hollow(เสียสติ) และการเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน
สังคมสงบสุขที่อุตสาห์บากบันสร้างมาด้วยความฝัน บัดนี้กลับล้มครืนไม่เป็นท่าราวกับปราสาททรายที่ไม่เคยมีอยู่จริง
( ภาพประกอบ : Engorged Hollow หรือ Hollow ที่เน่าเปื่อย พวกนี้จะระเบิดร่างปล่อยควันพิษออกมาเมื่อตายลง )
พวกมนุษย์ที่สิ้นหวังเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี Velka ทุกวี่ทุกวันขอนางให้ช่วยนำพาความทุกข์ทรมานออกไปจากร่างกายนี้เสียที แต่ด้วย Painted World of Ariamis คือโลกต่างมิติดังนั้นจึงมีเพียงเเค่เหล่าสาวกที่ศรัทธาพระนางอย่างบริสุทธ์ใจเท่านั้น จึงได้รับพรให้กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ซึ่งเรียกว่า Crow Demon หรือปีศาจอีกา ครึ่งคนครึ่งที่สามารถโบยบินเพื่อหนีจากคำสาปเน่าเปื่อยบนพื้นดินได้
( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวก Crow Demon )
ปาฏิหาริย์พลังแห่ง Velka เป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนเชื่อว่าจะช่วยพวกเขาได้ ทว่ามันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไปเสียหมด พวกคนที่สวดอ้อนวอนแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยเพราะกลัวความตาย ร่างกายของคนพวกเขาก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับความเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน ทำให้กลายร่างเป็นก้อนเนื้อพิลึกพิลั่นที่ตามจำนวนพลังศรัทธา
( ภาพประกอบ : เหล่าสาวกของ Velka ที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยจนกลายเป็นก้อนเนื้อ เเต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังคงปกป้องเเละภาวนาต่อนาง )
เมื่อสนทนามาจนถึงจุดนี้พระเอกของเราก็เริ่มสงสัยในตัวเจ้า Jeremiah ว่ามันอยู่ในช่วงเวลาไหนของเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งเจ้า Jeremiah ก็อ้างเเบบข้าง ๆ คู ๆว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งจึงมีภูมิต้านทานต่อคำสาป(โกหก) และมักจะใช้เวลาว่างในการสังหารพวก Hollow เพื่อสร้างสรรค์ป้ายบอกทางก่อนหน้านี้
Undead นิรนามเเกล้งพยักหน้ารับเหมือนกับว่าเชื่อลมปากดังกล่าว ทว่าความจริงเขาก็ทราบดีว่าใครก็ตามที่ใช้เวทมนตร์ Pyromancy จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกจอมเวทย์เพลิงใน Great Swamp หรือไม่ก็อสูรแห่ง Izalith ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงยังคงระวังตัวต่อไป...
( ภาพประกอบ : คนที่ทำเรื่องเเบบนี้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าได้ลงคอ คงจะต้องเป็นคนมีสันดานดิบเป็นเเน่เเท้ )
หลังได้แลกเปลี่ยนวาทะกันพอสมควร Undead นิรนามก็ถามถึงวิธีในการออกไปสู่โลกภายนอก เพราะว่าตนเองยังมีภารกิจที่ยังต้องไปสานต่อ เจ้า Jeremiah จึงบอกว่าวิธีจะออกไปน่ะมันไม่รู้หรอกเพราะตนเองก็ติดอยู่ที่นี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวเพราะยังมีหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งมันยังไม่เคยเข้าไปสำรวจ โดยทางเข้าจะถูกเเบ่งออกเป็นสองทางด้วยกัน คือทางด้านบนเเละทางด้านล่าง
( ภาพประกอบ : เส้นทางที่จะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยว )
ทางด้านบน ได้ถูกปกปักรักษาไว้โดยมังกรยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยยักษ์ ส่วนทางด้านล่างก็หินไม่แพ้กันเพราะต้องลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยพวกผีดิบกรงล้อ Wheel Skeleton (แบบเดียวกับใน Catacomb) เพื่อกดสวิตช์เปิดประตูลับ
เจ้า Jeremiah หลงคิดว่าพระเอกของเรานั้นจะเป็นพวกสิ้นหวังเหมือนกับคนอื่น ๆ ทว่าหารู้ไม่ว่าพระเอกของเราเคยทำอะไรมาบ้าง(สังหารมังกรตัวเป็น ๆ ก็เคยทำมาแล้วฉะนั้นเรื่องแค่นี้ถือว่าง่ายมาก) Undead นิรนามได้พาเจ้า Jeremiah บุกไปสังหารมังกรเน่าเปื่อยจนสำเร็จ แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอเขายังได้สำแดงฝีมือด้วยการลงไปเปิดสวิตช์ประตูในชั้นใต้ดิน เเล้วกลับออกมาโดยไร้ซึ่งรอยขีดขวน ซึ่งวีรกรรมพวกนี้ก็ค่อย ๆ สร้างความเคารพนับถือภายในใจของมันทีละเล็กทีละน้อย
( ภาพประกอบ : ประตูลับที่จะเปิดก็ต่อเมื่อลงไปเสี่ยงยังใต้ดินอันสุดเเสนอันตราย )
( ภาพประกอบ : มังกรผู้พิทักษ์ที่ร่างกายเน่าเปื่อยเเต่ก็ไม่สามารถตายได้สักที )
( ภาพประกอบ : ลำตัวท่อนล่างที่ขาดลงชองมังกรเน่าเปื่อย )
เผลอเเป๊บเดียวจ้า Jeremiah ก็มายืนอยู่ต่อหน้าประตูหอคอยซึ่งมันไม่เคยมาถึง ทว่าส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกระอายที่ปราศจากความกล้าในแบบ Undead นิรนามมี อันตัวมันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงกษัตริย์ย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่ไม่น้อย
ผู้กล้าทั้งสองเดินเข้าไปในหอคอยโดดเดี่ยวและได้พบสาวน้อย(ร่างใหญ่)ปริศนาคนหนึ่ง นามว่า Priscilla เธอมีหน้าซะสวยประดุจเทพีนางฟ้า ทว่าร่างกายกลับมีขนสีขาวขึ้นตามตัวเหมือนกับสัตว์...ซึ่งดูร่วม ๆ ก็งดงามสะดุดตาดี...
*เรื่องต้นกำเนิดของ Priscilla มันค่อนข้างจะยืดยาวและเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายเหตุการณ์ ตัวผมได้เคยอธิบายไว้แล้วในบทแรก ๆ แต่ถ้าหากจะให้สรุปง่าย ๆ นางก็คือลูกผสมข้ามสายพันธุ์ของเทพเจ้า Gwynevere และมังกรวิปลาส Seath *
( ภาพประกอบ : Priscilla สาวน้อยผู้ไร้เดียงเเละโดดเดี่ยวที่สุดในเกม Dark Souls )
Priscilla กล่าวทักทายผู้กล้าทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ในมือของนางกลับง้างเคียวเล่มยักษ์ขึ้นเตรียมพร้อมจะฟาดฟันได้ทุกเมื่อ ( เพราะตอนเด็ก ๆ นางเคยถูกลอบสังหารหลายครั้ง ) Priscilla กล่าวว่าถ้าหากพวกเขาทั้งสองต้องการจะออกไปจากโลกอันหนาวเหน็บแห่งนี้ ก็เชิญกระโดดลงไปในเหวลึกที่อยู่ตรงหน้าได้เลย นางจะไม่ขัดขวางหรือทำอะไรทั้งสิ้น
( ภาพประกอบ : หน้าผาที่ Priscilla บอกให้กระโดดขึ้นไปเลย )
ในตอนแรก Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ Priscilla พูดเลยสักคำ เพราะนางเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้จู่ ๆ จะมาบอกให้เขากระโดดลงหน้าผาได้ยังไง? คง0tมีแต่พวกบ้าจี้ไม่ก็มือใหม่เท่านั้นแหละหลงกล... ซึ่งแตกต่างกับทางฝั่งของเจ้า Jeremiah มันคิดว่านางเป็นเพียงแค่เด็กสาว(ตัวใหญ่)ผู้ไร้เดียงสาคนหนึ่ง คนแบบนี้ไม่มีทางโกหกใครได้หรอก
หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และหยิบยกเอาประเด็นข้อกังขาเรื่องเวทมนตร์ Pyromancy ออกมาซักถามเจ้าพ่อมดเหลือง เพราะ Pyromancy เป็นศาสตร์ที่ต้องหาเรียนจากผู้เท่านั้นซึ่งอาศัยอยู่ Great Swarm แถมเพลิงที่มันใช้ยังมีความคล้ายคลึงกับเหล่าอสูรนรกแห่ง Izalith อีกต่างหาก! Undead นิรนามจะไม่ยอมร่วมทางกับคนที่เขาไม่รู้ตัวตนที่เเท้จริงอีกเด็ดขาด... เพราะเขาอาจจะโดนหักหลังได้ทุกเมื่อ
( ภาพประกอบ : ในเเผนที่ Lost Izalith ได้มีศัตรูตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Daughter of Chaos ซึ่งใช้เวทมนต์เเบบเดียวกับ Jeremiah )
เมื่อหลักฐานเห็นตำตาเจ้า Jeremiah ก็ยอมจำนนในที่สุด มันรับสารภาพว่าตนเองเคยเป็นถึงอดีตพระสวามีของแม่มดแห่ง Izalith ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเพราะนางหมกมุ่นอยู่กับพลังของเพลิง Chaos จึงกลายเป็นบ้าในที่สุด ตัวเขากับลูก ๆ และประชาชนอีกบางส่วนได้หลบลี้หนีภัยออกมาจากนคร Izalith
อันตัวเขามิอาจยอมรับชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้ จึงไปขอพึ่งใบบุญของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ทว่าก็ถูกจับโยนเข้ามาในมิตินรกเยือกแข็งแห่งนี้แทน แต่กระนั้นในส่วนเรื่องที่มันอ้างว่าตนเองมีภูมิคุมกันต่อพลังเน่าเปื่อยนั้นเป็นจริงทุกถ้อยคำ
Jeremiah เตรียมใจเฝ้ารอให้ร่างกายของตนเองเน่าเปื่อยมานานแล้ว ทว่ามันกลับไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเสียที ซึ่งถ้าหากจะให้สันนิษฐานดูเหมือนว่าพลังเน่าเปื่อยใน Painted World of Ariamis อาจจะพ่ายแพ้ต่อความร้อนจากเพลิงเวทมนตร์ Pyromancy ของมัน (เหมือนกับ Curse of Undead ที่แพ้ต่อแสงของ The First Flame)
( ภาพประกอบ : Painted World of Ariamis ก็เหมือนกับโลกภายนอก มันสามารถถูกชุบชีวิตได้ด้วยไฟ... จะต่างกันก็เเค่ไม่คนคอยสืบทอดอำนาจเเบบ Gwyn ดังนั้นโลกใบนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ทุก ๆ ครั้งที่มันเกิด )
เมื่อกล่าวความจริงออกมาหมดสิ้นเจ้า Jeremiah ก็เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราถึงโลกภายนอก ว่าเหล่าประชาชนแห่ง Izalith นั้นมีความเป็นอยู่เช่นไร? เเล้วพระชายาของเขา(แม่มดแห่ง Izalith)นางควบคุมเพลิง Chaos ได้ดั่งใจรึยัง?
พระเอกของเราลังเลนิดหน่อยที่จะตอบคำถาม(ก็เเน่ละ...พี่เเกเล่นฆ่าลูกสาวเจ้า Jeremiah ไปถึงสองคน) ทว่าสุดท้ายก็ยอมเล่าความจริงจนได้ ประชากรแห่งนคร Izalith ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัวกันไปหมดแล้ว แถมลูกสาวสองคนของเเม่มดเเห่ง Izalith ยังเป็นปีศาจร้ายจับผู้คนไปทรมานเพื่อวางไข่ขยายพันธุ์อสูร
ส่วนโลกภายนอกน่ะเหรอ? มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่นี่นักหรอก Hollow เดินเตร่ ๆ เต็มท้องถนน, ซากศพมากมายที่กองทับกันเป็นภูเขา, มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง Humanity… พูดง่าย ๆ ว่ากองหิมะคือสิ่งเดียวที่เเตกต่างจากตลกภายนอก

( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Painted World of Ariamis / เดิมทีสถานนี้เคยถูกผู้พัฒนากำหนดให้เป็นสถานที่เริ่มต้นเกม เเต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปใช้ Northern Undead Asylum เเทน )
ความจริงเป็นสิ่งที่มิอาจจะวิ่งนี้ได้ Jeremiah เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวเขาที่เคยสูญเสียบ้านเกิดเมืองนอนมาแล้วครั้งหนึ่ง(นคร Izalith) มาบัดนี้กลับต้องเห็นภาพเดิมเกิดขึ้นซ้ำกับ Painted World of Ariamis... พอแล้ว พอกันที บุรุษผู้นี้มิอาจจะยอมรับความปวดร้าวได้อีกต่อไป ความหวังเป็นเพียงเเค่ภาพหลวงตาบนอากาศเมื่อถูกลมพัดก็อันตรธานหายไปในบัดดล
Jeremiah เริ่มสำผัสได้ว่าสติของตนเองกำลังเลือนลางเเละตระหนักได้ว่านี่เป็นสัญญาณแรกสู่ภาวะ Hollow เจ้าพ่อมดเหลืองจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยอมจบชีวิตตนเสียที่นี่ ดีกว่าจะกลายเป็น Hollow และต้องมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเหยื่อหลายคนที่มันฆ่า
เพลิง Chaos ซึ่งร้อนดั่งไฟนรกถูกร่ายขึ้นมาล้อมรอบร่างกายของเจ้า Jeremiah เพื่อเผาเศษดวงวิญญาณชิ้นสุดท้ายในกายให้มอดไหม้ แต่ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะดับลง Jeremiah ก็ได้หันกล่าวเตือนพระเอกของเราเอาไว้เรื่องหนึ่ง
“เหล่าเทพเจ้านั้นปลิ้นปล้อน จงอย่าเชื่อใจพวกมัน”
( ภาพประกอบ : ศพของราชันทองคำ Jeremiah )
คำพูดสุดท้ายของคนตายมันมักจะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ... Undead นิรนามเริ่มเอะใจกับคำพูดดังกล่าวเเละค่อย ๆ ตั้งคำถามถึงบางสิ่งที่เขาเคยมองข้าม
หากการต่ออายุของ The First Flame เป็นหน้าที่อันทรงเกียรติจริง ๆ ละก็ เหตุไฉนจึงใช้ให้มนุษย์ตัวจ้อยไปกระทำมันด้วยเล่า? ทำไมเทพเจ้าถึงไม่ทำมันซะเองละ Gwyn ก็เเสดงให้ดูเเล้วนี่ว่าทำได้?
และถ้าหากว่ามาคิดดูดี ๆ ขนาดเทพเจ้า Gwyn ได้เผาตนเองตายไปแล้วหนึ่งครั้งแต่ไฟก็ยังคงดับอยู่ดี นี่ก็หมายความว่าวิธีนี่มันไม่ยั่งยืนน่ะสิ? หรือมันยังคงมีหนทางอื่นในการเอาชนะ Curse of Undead...หนทางที่มนุษย์จะสามารถอยู่ร่วมกับมืดได้อย่างสงบสุข
( ภาพประกอบ : ในอนาคตอันแสนไกลจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เฟ้นหาการหลุดพ้นจากวงจรเเห่ง The First Flame พวกเขาจะเรียกตัวเองว่า Church of London )
Undead นิรนามนั่งขบคิดถึงคำถามมากมายที่อยู่ในหัวโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า Priscilla กำลังย่องเข้ามาจากข้างหลัง ซึ่งถ้าหากว่านางตัดสินใจฟาดเคียวลงใส่เขาลงตอนนี้ Undead นิรนามก็คงไม่รอดชีวิต เผลอ ๆ อาจจะถูกนางดูดกินวิญญาณเสียด้วยซ้ำ… แต่ทว่ารางสังหรของเจ้า Jeremiah นั้นแม่นยำ สาวน้อยในร่างใหญ่ทำเพียงแค่เขย่าหลังของ Undead นิรนามเบา ๆ ด้วยสงสัยตามประสาเด็ก ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอได้เตือนสติเขาถึง Bonfire อันโชติช่วงของ Anastacia
พระเอกของเราจึงได้หันไปถาม Priscilla อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าการกระโดดหน้าผาคือออกไปจาก Painted World of Ariamis จริง ๆ โดยนางก็ผงกหัวและส่งยิ้มตอบกลับมา(ประมาณว่ายืนยันคำพูด) เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีก Undead นิรนามก็กลั้นใจทำตามที่นางบอก เขากระโดดโถมร่างกายลงสู่ความมืดอันไร้จุดสิ้นสุด ภาพทุกอย่างค่อย ๆ ถูกลบเลือนหายไปในความมืดอย่างช้า ๆ
( ภาพประกอบ : ภาพ Cutscene ในตอนที่ออกมาจาก Painted World of Ariamis )
สหายผู้ทรยศ
Undead นิรนามข้ามมิติกลับมายังวิหารหลังใหญ่ใน Anor Londo วิหารซึ่งเดิมทีเขากับเจ้า Tarkus เคยล่วงตกลงมาพร้อมกันแต่ก็มีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ เกร็ดหิมะที่กำลังละลายบนชุดเกราะของเขาคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนว่า Painted World of Ariamis นั้นไม่ใช่ความฝัน
ไม่รู้ทำไมพระเอกของเรารู้สึกว่าเเสงสว่างอันอบอุ่นในเมืองหลวง Anor Londo มันไม่เหมือนเดิมอีกเเล้ว… สิ่งที่ได้รับรู้มามันได้สั่นคลอนความเชื่อในทุก ๆ ที่เขาเดินไปข้างหน้า
( ภาพประกอบ : ศพของเจ้า Tarkus ที่ตกลงมาตาย )
Undead นิรนามมองดูเหล่า Silver Knight ที่ตั้งเเถวประจันหน้าเตรียมยิงมหาคันธนู(Great Bow) เข้ามาใส่ ชุดเกราะอันส่องสว่างดุจดวงดาวใต้พระอาทิตย์ของพวกมัน ไม่ได้มอบความรู้สึกภาคภูมิเเละเกียรติยศเเก่หัวใจของ Undead นิรนามอีกต่อไป เขาเริ่มค่อย ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงเเค่คนโง่เคราที่เต็มใจยอมทำตามคำสั่งราวกับเป็นหุ่นเชิดไร้วิญญาณ
( ภาพประกอบ : Silver Knight ภายใน Anor Londo ถือเป็นศัตรูที่น่ารำคาญมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยเพราะว่ามันมักจะอยู่ในที่ ๆ เราสามารถพลาดพลังได้ง่าย )
ส่วนพวกยักษ์ Sentinel ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่หลอกด้วยคำสัญญากลวง ๆ พวกมันเชื่อมั่นว่าเทพเจ้าเป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ถึงขนาดสามารถร่ายเวทมนต์ Miracle ขั้นสูงอย่าง Wrath of the Gods และ Healing อันเป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้แรงศรัทธาได้ (Faith) เผลอ ๆ พวกมันอาจจะมีเเรงศรัทธามากกว่าเหล่า Silver Knight หรือนักบวชของ Way of White บางคนเสียอีก!
( ภาพประกอบ : Royal Sentinel ที่กำลังร่ายเวทมนตร์ Miracle )
นอกเหนือจากพวกที่กล่าวมาค้างต้นแล้ว ยังมียักษ์อีกตนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นช่างโลหะ(คนสุดท้าย)แห่งเมืองหลวง Anor Londo ทว่านามของเขาน่ะได้สูญหายไปเนิ่นนานแล้ว... อันที่จริงมันก็ไม่สำคัญเลยด้วยซ้ำเพราะเมื่อเผ่าพันธุ์ยักษาได้ปฏิญาณตนให้แก่ใคร มันก็เท่ากับขายวิญญาณให้กับคน ๆ นั้นไปตลอดชีวิตจนกว่าจะตาย
เจ้ายักษาตนนี้มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยสงครามมังกร โดยทำหน้าที่เป็นลูกมือให้กับเทพเจ้าเเห่งงานช่างโลหะ ทว่าปัจจุบันมันได้รับหน้าเป็นคนสร้างอาวุธเวทมนต์ตามคำสั่งของมังกรไร้เกล็ด Seath
( ภาพประกอบ : เจ้าช่างตีเหล็กยักษ์ตนนี้เคยเป็นเพื่อนสนิทของ Hawkeye Gough ผู้เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดขุนพลของ Gwyn )
( ภาพประกอบ : หน้าที่แท้จริงของเจ้าช่างตีเหล็กยักษ์ )
Undead นิรนามต่อสู้บุกป่าฝ่าดง Silver Knight เข้ามาจนถึงส่วนเรือนรับรองของหวังหลวง ซึ่งมีไว้ใช้ต้อนรับแขกอาคันตุกะของเหล่าเทพเจ้า สถานที่แห่งนี้ประกอบด้วยห้องประเภทต่าง ๆ มากมาย ตัวอย่างเช่นสวดภาวนาต่อเหล่าเทพเจ้า, ห้องจัดแสดงหัวมังกรที่ Gwyn และโอรสคนแรกเคยออกล่าเป็นงานอดิเรก, คลังเก็บสมบัติของมีค่าต่าง ๆ , ตลอดจนถึงห้องลับของพวกกบฏทมิฬซึ่งเอาไว้ใช้เก็บอาวุธลับที่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ใช้
( ภาพประกอบ : ห้องภาวนาที่ถูกปกป้องด้วย Titannite Demon )
( ภาพประกอบ : ห้องประดับหัวมังกรที่ส่วนมากเป็นพวก Drake )
( ภาพประกอบ : ห้องลับของเหล่ากบฏทมิฬที่เต็มไปด้วยปีศาจ Mimic )
แต่ทว่าในบรรดาห้องที่กล่าวมาข้างต้น กลับมีอยู่บางห้องที่ดูจะเป็นประเด็นให้ถกเถียงอยู่มากพอสมควร นั่นก็คือห้องนอนขนาดใหญ่ปริศนาสองห้องซึ่งดันมีทางเข้าออกลับเชื่อมต่อไปมาหาสู่กัน... ในเว็บบอร์ดต่างประเทศได้มีการตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับเจ้าสองห้องนี้ไว้มากมาย แต่ผมจะขอหยิบยกมาให้ชมแค่สามสมมุติฐานแล้วกัน
( ภาพประกอบ : ห้องนอนเจ้าปัญหา )
แนวคิดที่หนึ่งมันคือห้องนอนของสองพี่น้อง Gwynerve และ Gwyndolin เพราะว่าทั้งสองต่างก็เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันมากอยู่แล้ว จึงไม่แปลกนักหากจะแอบมานั่งคุยจิบชาปรับทุกข์กันตามประสาผู้หญิง (Gwyndolin เป็นผู้ชายใจหญิง)
ส่วนข้อสองมันคือห้องของ Gwynerve และห้องของแขกอาคันตุกะ โดยเส้นทางลับอาจจะเป็นเส้นทางที่พระนางเอาไว้ใช้หาเสพหาเลยกับเหล่าแขกคนสำคัญอย่างลับ ๆ ก็เป็นได้ (Gwynerve เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเจริญพันธุ์ )
ส่วนข้อสามซึ่งตัวผมคิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด มันคือห้องธรรมดา... เนื่องจากในห้องทั้งสองเต็มไปด้วยรูปภาพแขวนผนังที่เป็น Concept Art ของเกม มันจึงไม่แปลกนักที่ผู้พัฒนาอาจจะขี้เกียจ และหยิบเอารูปภาพต่าง ๆ มาใช้เป็นของตกแต่งห้องเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น!
( ภาพประกอบ : รูปภาพภายในห้องนอน )
หลังบุกเข้ามาภายในเรือนรับรอง Undead นินามก็ได้พบกับอัศวินผู้ซื่อสัตย์แห่งดวงตะวัน Solaire เพื่อนเก่าเพื่อนเเก่ที่ร่วมต่อสู้ฝ่าฟันกันมา หลังพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันพอสมควร พระเอกของเราได้ปรับทุกข์ถึงเรื่องของเจ้าคนทรยศ Lautrec ผู้บังอาจสังหาร Fire Keeper เพียงคนเดียวใน Firelink Shrine อีกทั้งยังช่วงชิงดวงวิญญาณของนางไว้กับตนไม่ยอมให้ได้กลับมาเกิดใหม่
Solaire แถบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ Undead นิรนามเอ่ยปาก เพราะก่อนหน้านี้มันเพิ่งจะพูดคุยกับเจ้า Lautrec ไปหยก ๆ ซึ่งดูท่าทางเเล้วก็ไม่มีพิรุธอะไรเลย... นอกเสียจากมันได้พบกับสหายร่วมทางกลุ่มก็ใหม่ก็เท่านั้นเอง ฉะนั้นดูเหมือนว่าวิธีเดียวที่จะหาคำตอบได้ก็คือต้องติดตาม Undead นิรนามไปเผชิญหน้ากับเจ้า Lautrec ตรง ๆ และถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
( ภาพประกอบ : อัศวิน Solaire ที่กำลังนั่งพักผ่อนในอาคารรับรองของ Anor Londo )
คู่หูผู้กล้าได้เร่งฝีเท้าติดตามเจ้า Lautrec อย่างสุดกำลัง แต่ทว่าเส้นทางภายในเรือนรับรองกลับวกวนไปมาจนน่าปวดหัว แถมยังมีกองกำลัง Silver Knight และปีศาจ Mimic อยู่ยั้วเยี้ยตามรายทางเต็มไปหมด จึงทำให้การเดินทางค่อนข้างที่จะประจบปัญหาและล้าช้ามากพอสมควร มิหนำซ้ำพวกเขายังต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่ง ๆ ของเจ้า Siegmeyer ที่ดันทะเล่อทะล่าถูกพวก Silver Knight จับตัวเอาไว้ ร้อนถึงคนดีอย่าง Undead ต้องลำบากไปช่วยมันออกมา
เจ้า Siegmeyer กล่าวชมและขอบคุณนักรบทั้งสองที่ได้ช่วยเหลือตัวมันเอาไว้ แต่ว่าเขาคงจะไม่สามารถเดินทางลึกเข้าไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะการที่ถูกช่วยเหลือจากคนอื่นก็เท่ากับว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติมากพอสำหรับที่นี่ ฉะนั้นตัวเขาจะเดินทางกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อวางแผนการผจญภัยครั้งใหม่ต่อไป
( ภาพประกอบ : แม้จะเป็นคนอัธยาศัยดี แต่ลึก ๆ Siegmeyer ก็ละอายเป็นอย่างมากที่จะรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น... )
หลังจบเรื่องวุ่น ๆ Undead นิรนามกับอัศวิน Solaire ก็บุกฝ่าเข้ามาถึงบริเวณโถงทางเดินของวังหลวงจนได้ พระเอกของเราสามารถรู้สึกได้เลยว่า Black Eye Orb ที่นำติดตัวมาด้วยนั้น กำลังสงเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดอันเป็นสัญญาณว่าเจ้า Lautrec กำลังอยู่ไม่ไกลนัก... ทั้งคู่รีบสาววิ่งลงมาตามบันไดจนได้พบกับเจ้า Lautrec และบรรดาเพื่อน ๆ ใหม่ของมันในที่สุด
Undead นิรนามเริ่มกล่าวถามเพื่อนเก่าถึงเหตุผลในการปลิดชีพ Anastacia แต่ทว่ามีหรือที่ฆาตกรต่อเนื่องจะสำหนึกได้ มันได้ก่นด่าสาปแช่งและใส่ความพระเอกของเราว่าเป็นโจรห้าร้อย แถมยังยุยงบอกให้เพื่อนใหม่ของมันคิดว่า Undead นิรนามเป็นตัวอันตรายที่ต้องกำจัด
ทางด้านอัศวิน Solaire ก็ถึงกับยืนงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนทั้งสองที่เคยร่วมรบกันมา บัดนี้กลับแตกคอถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน... เเต่ทว่าครันจะให้ยืนดู Undead นิรนามถูกรุมประชาทันมันก็กระไรอยู่ เขาจึงเลือกที่จะช่วยฝั่งเสียเปรียบเข้าต่อสู้
( ภาพประกอบ : Lautrec และก๊วนใหม่ของมัน ซึ่งหนึ่งคนเป็นนักเวทย์ฝึกหัดเเละอีกคนเป็นนักรบผู้อ่อนต่อโลก )
แม้นที่ผ่านมา Undead นิรนามจะเคยปราบสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งยักษ์, มังกร, หรือปีศาจ แต่ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายเป็นเป็นอดีตมิตรสหายร่วมรบและเป็นจอมเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทำให้ Undead นิรนามเกิดความลังเลบางอย่างภายในจิตใจ เขาได้พยายามเกลี้ยกล่อม Lautrec อยู่หลายหนเเต่มันก็ไม่ยอมเชื่อฟังสักที จนกระทั่ง Solaire สามารถปราบเหล่าปลาซิวปลาสร้อยได้สำเร็จ จึงทำให้เจ้า Lautrec ยอมยกธงขาวรับความพ่ายเเพ้ในที่สุด เเละเเสดงความจริงใจด้วยการคุกเข้าก้มหัวขอขมาพระเอกของเรา...
ทว่าคนสับปลับก็คือคนสับปลับอยู่วันยังค่ำ มันอาศัยที่พระเอกเรากำลังเดินเข้ามาใกล้ คว้าดาบเคียวคู่กายเหวี่ยงเข้าใส่ Undead นิรนามหมายจะตัดศีรษะเขาให้ขาดสะบั้นภายในดาบเดียว
( ภาพประกอบ : อาวุธที่เจ้า Lautrec ใช้มีชื่อว่า Shotel โดยมันมีท่าโจมตีที่สามารถทะลุโล่ได้ )
เจ้า Lautrec ยิ้มเริงร่าเมื่อเห็นโลหิตสีแดงพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศ ดาบเคียวในมือของมันได้ทำหน้าที่ตัดสิ่งสำคัญลงได้สำเร็จ! ทว่าสิ่งนั้นมิใช้ต้นคอของ Undead นิรนามหากแต่เป็นฟางเส้นสุดท้ายแห่งมิตรภาพ... Undead นิรนามสามารถปัดป้องการโจมตีจากอดีตสหายผู้ทรยศได้ทันเวลา และตอบแทนคำให้อภัยด้วยการปักคมดาบลงสู่กลางอกของเจ้า Lautrec ทำให้เลือดสาดกระเซ็นขึ้นไปบนอากาศ
พระเอกของเราทราบดีว่าเมื่อมนุษย์กลายเป็น Undead พวกเขาจะได้รับความสามารถตายแล้วเกิดใหม่ ซึ่งมองในแง่ดีนี่ก็คือการให้โอกาสคนเราได้เรียนรู้และปรับตัว ทว่าในทางกลับกันมันก็ทำให้คนชั่วบางส่วนเลิกคิดกลัวตาย พวกเขาจะไม่ยอมแก้ไขทัศนคติหรือพฤติกรรมแย่ ๆ ของตนเอง รังแต่จะดำดิ่งลงลึกสู่ความชั่วไปเรื่อย ๆ เฉกเช่นเจ้า Lautrec
( ภาพประกอบ : คุณมิยาซากิผู้สร้างเกม Dark Souls ได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงตัวละคร Lautrec ว่าเขาต้องการให้ผู้เล่นเชื่อใจตัวละครนี้มาก ๆ เพื่อที่จะได้สร้างปมขัดเเย้งให้กับผู้เล่น เเต่ด้วยกำหนดเวลาของการสร้างเกม เขาจึงไม่สามารถถ่ายทอดทุกอย่างลงไปในตัวละครนี้ได้หมด )
ฆาตกรต่อเนื่อง, สหายร่วมรบ, คนทรยศ, หรือ Lautrec พระเอกของเราไม่รู้ว่าจะเรียกขานชายผู้นี้ว่าอะไรดี เขาได้แต่มองมันนอนล้มลงจมกองเลือด ทว่านัยน์ตากลับยังเริงร่าอย่างมีความสุขราวกับเป็นคนเสียสติ มันได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกล่าวสาปแช่ง Undead นิรนาม และรำพึงรำพันว่าสักวันหนึ่งมันจะกลับมาเกิดใหม่ แล้วก็จะออกตามหาหญิงงามเพื่อฆ่าไปเรื่อย ๆ มันชอบเสียงกรีดร้อง ชอบจริงน้ำตา โดยเฉพาะกับกับสตรีที่เต็มไปด้วยแรงศรัทธา ยิ่งเห็นเท่าไรก็ยิ่งกระสันอยากจะสังหารจนควบคุมตัวเองไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็รู้สึกทั้งโกรธและเวทนาในเดียวกัน ทว่ายังไงเขาก็ต้องเอาวิญญาณของ Fire Keeper กลับมา พระเอกของเราปักดาบลงไปบนท้องของเจ้าคนทรยศเเล้วก็ใช้มือแหวกพุงผ่ากลางหน้าท้อง ล้วงมือเข้าไปเอาดวงวิญญาณของ Anastacia กลับออกมาทั้ง ๆ ที่เจ้า Lautrec ยังคงหัวเราะด้วยความดีใจราวกับเป็นผู้ชนะ... ก่อนที่เสียงนั่นจะค่อย ๆ เบาลง เบาลง จนไม่เหลือสิ่งใดเลยนอกจากเสียงหยดน้ำตา
( ภาพประกอบ : ผู้เล่นสามารถดูดกลืน Fire Keeper Soul ของ Anastacia ได้ เเต่ทว่า Bonfire ใน Firelink Shrine ก็จะดับไปตลอดการเล่นในรอบนั้น )
ผู้ปกป้องคนสุดท้ายแห่ง Anor Londo
ทั้ง Undead นิรนามและอัศวิน Solaire ต่างก็รู้สึกทุกข์ใจเเสนสาหัสที่ต้องสังหารอดีตสหายร่วมรบ แต่ทว่าเบื้องหน้ายังคงมีภารกิจสำคัญที่กำลังรอพวกเขาอยู่ นั่นก็คือการทดสอบประลองยุทธ์กับสองยอดฝีมือแห่งเมืองหลวง Anor Londo(เพราะทั้งเมืองเหลืออยู่แค่สองคน) ได้แก่อัศวินราชสีห์ Orenstein และมือเพชฌฆาต Smough
( ภาพประกอบ : Ornstein กับ Smough เคยกลายเป็นมุขตลกเสียดสีของต่างประเทศอยู่ช่วงหนึ่ง โดยจะถูกเรียกว่าคู่หู Slam Jam หรือคู่หูนักบาส )
ภายใต้สังเวียนเลือดเหล่านักรบต่างก็รู้ดีว่าคำพูดเวิ่นเว้อนั้นช่างไร้ความหมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนใครต่างหากที่ชนะ... ไม่มีการเเนะนำตัวไม่การสรรเสริญเยินยอ เหล่านักรบต่างเหวี่ยงดาบเข้าห้ำหั่นกันจนกว่าอีกฝ่ายจะลุกไม่ขึ้นเป็นพอ!
การประลองเริ่มต้นด้วยฝ่าย Undead นิรนามกับเจ้า Solaire ใช้วิธีลองเชิงรบด้วยการหลบลี้หนีไปมารอบ ๆ วิหาร เพื่ออ่านกระบวนท่าการเคลื่อนไหวของศัตรูให้แตกฉาน... และหลังจากสังเวยชีวิตไปหลายหน พระเอกของเราก็สามารถสรุปได้ว่า Orenstein มีฝีเท้าและเพลงดาบที่เฉียบคมอย่างมาก โดยถ้าหากเผลอเปิดช่องโหว่เพียงแค่แวบเดียวตัวเขาก็อาจจะกลายเป็นลูกชิ้นเสียบไม้ได้ง่าย ๆ คนต่อมาก็คือทางด้าน Smough ที่แม้จะขยับได้เชื่องช้าแต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาล ทำให้ค้อนยักษ์ของมันอันตรายเสียจนสามารถสังหารมนุษย์ได้ภายในการเหวี่ยงค้อนแค่ครั้งเดียว
( ภาพประกอบ : Ornstein ที่เราเจอใน Anor Londo เป็นเพียงเเค่ร่างปลอมที่เกิดจากเวทมนตร์ของ Gwyndolin ส่วนตัวจริงได้ละทิ้งหน้าที่เเละออกเดินทางเพื่อตามหา Nameless King )
หากดูเผิน ๆ ฝ่าย Orenstein กับ Smough จะดูได้เปรียบไปเสียซะทุกทางไม่ว่าจะทั้งพลังและความเร็ว แต่มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ Undead นิรนามสังเกตเห็น นั่นก็คือในยามที่เจ้า Smough เหวี่ยงค้อนยักษ์เข้าโจมตี มันไม่เคยที่จะคำหนึ่งถึงความปลอดภัยของฝ่ายเดียวกันเลยแม้แต่น้อย Orenstein จะต้องเป็นคนหลบออกจากวิถีโจมตีเองทุกครั้ง
ด้วยเหตุนี้เองทั้ง Undead นิรนามและ Solaire จึงคิดเเผนทุบหม้อข้าวหม้อแกง ตัดสินใจเดินหมากครั้งสำคัญที่จะเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก...
( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นจะไม่มีทางได้ชุดเกราะของทั้งสองคนพร้อมกันในการเล่นหนึ่งรอบ ชุดเกราะที่ได้จะขึ้นอยู่กับว่าใครตายทีหลัง )
Undead นิรนามอาสาว่าจะรับหน้าที่เป็นตัวหลอกล่อเจ้า Smough ส่วนอัศวิน Solaire ก็คอยแบ่งรับแบ่งสู้ ร่ายเพลงดาบปะทะเพลงทวนกับ Orenstein การต่อสู้ได้ดำเนินจนกระทั่งถึงจังหวะที่เจ้าอัศวินราชสีห์พุ่งทวนหมายจะเเทงเข้าใส่ Solaire ทว่าเเทนที่ Solaire จะกลิ้งหลบมันกลับยืนอ้าแขนยอมให้หอกยาวแทงทะลุผ่านร่างมันไป
อัศวิน Solaire ซึ่งตอนนี้กำลังบาดเจ็บปางตาย รีบใช้พลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดคว้าข้อมือของ Orenstein เอาไว้แน่น... ส่งผลให้เจ้าอัศวินราชสีห์ยืนนิ่งฉงนไปเสี้ยววินาที ก่อนจะพลันนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นกับดัก! ใช่แล้วทั้งหมดมันคือแผนการของ Undead นิรนาม เขาได้อาศัยแค่ช่วงเสี้ยววินาทีที่ Orenstein เผลอ วิ่งพุ่งชนเข้าอัดก็อปปี้จากด้านหลังทำให้มันเสียหลักจนไม่สามารถวิ่งหนีได้ทัน… ถ้าหากยังจำกันได้ Undead นิรนามคือคนที่รับหน้าที่หลอกล่อเจ้า Smough ซึ่งนั่นก็หมายความว่าค้อนยักษ์ของเจ้า Smough ได้ลอยติดตามหลังเขามาด้วย!
ทั้งสามหน่อถูกการโจมตีของ Smough ฟาดเข้าเต็ม ๆ อย่างรุนแรง ทั้งพระเอกของเราและอัศวิน Solaire ต่างก็เสียชีวิตคาค้อนในทันที เเต่ทางฝั่ง Orenstein ค่อนข้างที่จะบาดเจ็บหนักมากพอสมควรแต่เขาก็ยังพอสู้ไหว
( ภาพประกอบ : เนื่องจากการต่อสู้กับ Boss สองตัวที่มีการโจมตีระยะประชิดเหมือนกัน ระบบ AI จึงสั่งให้ Orenstein หลบออกจากวิถีโจมตีของ Smough เสมอเพื่อป้องกันไม่ให้บังการโจมตีซึ่งกันเเละกัน )
อ่านมาจนถึงจุดนี้ท่านผู้ชมคงพอจะจับสังเกตได้แล้วว่าทำไม Gwyn ถึงหวาดกลัวจนต้องกวาดล้างบางเหล่ากบฏทมิฬ(Occult Rebellion) ใช่แล้วครับ! สิ่งมีชีวิตใดที่ไม่ใช่มนุษย์ก็จะมิอาจต้องคำสาป Curse of Undead ได้…
Orenstein มิอาจรักษาบาดแผลให้หายขาดได้ภายในระยะเวลาอันสั่น และไหนต้องทนรับการมาเยือนของสอง Undead ที่หมายจะเล่นงานทำให้เขาบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุด Orenstein ก็ล้มคุกเข่าลงจนได้
เมื่อร่างกายมิอาจจะตอบสนองความต้องการของจิตใจได้อีกต่อไป ทั้ง Undead นิรนามและอัศวิน Solaire ต่างก็รับรู้ว่านี่คือการขอยอมแพ้แบบอ้อม ๆ พวกเขาจึงไว้ชีวิตของเจ้าอัศวินราชสีห์ ทว่ายังไม่ทันที่ควันไฟจะมอดลงเจ้า Smough ก็ได้ทำในสิ่งที่พระเอกของเราไม่คาดคิด นั่นก็คือการสำเร็จโทษสหายร่วมรบผู้ไร้ประโยชน์ด้วยมือตนเอง
( ภาพประกอบ : แม้นจะดูโหดร้ายและป่าเถื่อน แต่ว่าการกระทำนี้ถือเป็นประเพณีเสียสละเพื่อให้คนที่ยังรอดชีวิตแข็งแกร่งขึ้น )
พลังสายฟ้าของ Orenstein ถูกถ่ายทอดมายังค้อนยักษ์ของ Smough ทว่ามันก็ไม่ทำให้จุดด้อยเรื่องความเร็วนั้นหายไป กลับกันเเย่ขึ้นเสียด้วยซ้ำเมื่อไม่มีเพื่อนคอยระวังหลังให้… สายลมแห่งชัยชนะกำลังเริ่มเปลี่ยนทิศเเล้ว
Smough ถูกอัศวินทั้งสองปั่นหัวด้วยลูกล่อลูกชนจนเกิดบ้าคลั่งดีเดือด วิ่งพุ่งชนเข้าใส่กำแพงอย่างรุนแรงจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น เจ้ายักษ์ใหญ่รู้สึกมึนงงเเละปวดศีรษะตุบ ๆ ดวงตาที่หันชี้ขึ้นฟ้าของมันมองไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากแสงสว่างอันอบอุ่น... ใช่แล้ว แสงสว่างนั้นคือแสงสว่างของเทพเจ้า Gwyn บุรุษที่มองข้ามรูปกายภายนอกอันอัปลักษณ์ และมอบจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตให้แก่เขา
Smough ไม่เคยต้องการการยอมรับจากพวกคนกลับกรอกที่ละทิ้งเมืองหลวง Anor Londo ไx เพชฌฆาตโสมมผู้นี้คือคนเดียวที่ยังยืนยัดทำหน้าตามคำสั่งทุกกระเบียดนิ้ว เขาอยู่ปกปักรักษาเเละยอมพลีชีพเป็นทดสอบด้านสุดท้าย เคียงข้างกับร่างเงาของ Orenstein ซึ่งเกิดจากภาพลวงตา... จนกระทั่งบุคคลนั้นปรากฏตัวออกมา บุคคลที่ครั้งหนึ่งเทพเจ้า Gwyn เคยบอกกับเขาว่าจะช่วยเหลือยุคแห่งไฟเอาไว้... บัดนี้หน้าที่ได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้วคงถึงคราวต้องบอกลาและกลายเป็นอิสระเสียที
( ภาพประกอบ : ถ้า Smough ตายก่อน Ornstein ผลลัพธ์ก็จะกลับกัน ซึ่งจะกลายเป็นทำให้เจ้านักล่ามังกรตัวโตมากขึ้น )
Undead นิรนามและอัศวิน Solaire รีบใช้โอกาสที่มีอยู่อันน้อยนิด ปีนป่ายขึ้นไปบนร่างเจ้ายักษ์ใหญ่เตรียมตัวหมายจะใช้ดาบแทงเข้าลูกตามัน แต่กลับต้องยั้งมือเอาไว้หลังพบว่ามันได้ขาดลมหายใจลงเสียแล้ว
เเม้จะเพิ่งฆ่ากันมาหยก ๆ เหล่าอัศวินก็มิได้รู้สึกแค้นเคืองหรือถือโทษโกรธอะไรกันแต่อย่างใด เพราะต่างก็รู้ดีว่านักรบคนไหนที่ยอมต่อสู้จนตัวตายเพื่ออะไรสักอย่าง พวกเขาก็ย่อมก็ได้รับเกียรติเเม้นจะอยู่ในสภาพที่ไร้วิญญาณ
( ภาพประกอบ : หัวที่ยืดสูงขึ้นไปของ Smough เเท้จริงเป็นเพียงเเค่ชุดเกราะเท่านั้น ดวงตาจริง ๆ จะอยู่ต่ำลงมาบริเวณต้นคอ )
เมื่อไม่มีสิ่งขีดขว้างอีกต่อไป ประตูบานสุดท้ายแห่ง Anor Londo ก็ได้ถูกเปิดออก เหล่าผู้กล้าทั้งสองได้เข้าเฝ้าเทพu Gwynevere ผู้มีรูปโฉมงดงามหยดย้อยดุจดวงตะวันค้างฟ้า ผิวกายภายนอกของนางช่างดูเรียบเนียนขาวราวผ้าไหมชั้นดีซึ่งถูกทักทออย่างประณีต สมแล้วกับที่เป็นเทพีแห่งการเจริญพันธุ์... จะเสียก็แต่เพียงอย่างเดียวคือนางตัวใหญ่มาก ๆ ตัวใหญ่ยิ่งกว่ายักษ์เสียอีก
( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์อันทรงเสน่ห์ของ Gwynevere… ใครเห็นก็เป็นต้องตะลึง )
Gwynevere กล่าวชม Undead นิรนามที่บุกป่าฝ่าดงอุปสรรคมาจนถึงจุดนี้ เขาคงต้องลำบากที่จะกลายเป็นตัวแทนแห่งความหวังในการฟื้นคืนชีพของ The First Flame นางได้ประทาน Lordvessel อุปกรณ์ซึ่งเป็นเหมือนกุญแจปลดล็อกพลังของ Bonfire และเปิดเส้นทางอันจะนำไปสู่ Lord Soul ทั้งสาม ได้แก่เทพแห่งความตาย Nito, แม่มดแห่ง Izalith, และมังกรไร้เกร็ด Seath
( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นเลือกที่จะฆ่า Gwynevere เเล้วละก็ เวทมนต์ภาพลวงตาทั้งหมดใน Anor Londo ก็จะคลายออก เเละพวก Darkmoon Blade ก็จะออกตามล่าผู้เล่น )
อัศวิน Solaire รู้ปลาบปลื้มจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันเอาแต่ร้องไห้และก้มหัวคำนับ Gwynevere ราวกับว่านี่เป็นมงคลที่สุดในชีวิต ซึ่งแตกต่างกับพระเอกของเรา… ตัวเขาที่เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาหลายอย่างในช่วงระยะเวลาอันสั่น ทำให้เริ่มคิดกระวนกระวายฟุ้งซานไปมาภายในหัว จนไม่ได้ยินเเม้เเต่เสียงของ Gwynevere ที่เอาแต่ยกยอปั้นคำพูดบอกให้เขาเสียสละตนเองลูกเดียว
การเดินทางตามคำทำนายอันศักดิ์สิทธิ์ มันควรจะชำระล้างและมอบความบริสุทธิ์ให้แก่ดวงวิญญาณของเขามิใช่หรือ? แต่เหตุไฉนเลยเมื่อยิ่งเวลาผ่านไปมากขึ้นเท่าไร หัวใจกลับยิ่งรู้สึกแปดเปื้อนมากขึ้นเท่านั้น...
เทพเจ้ากำลังหลอกหลวงมนุษย์?
Undead นิรนามเริ่มตั้งคำถามดังกล่าวภายในใจอย่างจริงจัง พร้อมกับค่อย ๆ เเง่นมองประกายแสงที่อยู่เบื้องหลัง Gwynevere... ความอบอุ่นจากพระอาทิตย์ดวงนั้นมันเป็นของจริงรึเปล่ากันนะ?

( ภาพประกอบ : เมื่อเเสงสว่างมิใช่ความดีงามฉันใด เงามืดก็มิใช่ความชั่วร้ายเสมอไปฉันนั้น )
คุยกันหลังเรื่องเล่า
ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบห้า “มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ” ในที่สุดบทความนี้ก็เดินมาถึงครึ่งทางของเกมภาคที่หนึ่งจนได้ ผมขอสารภาพตามตรงด้วยว่าปี 2020 เป็นปีที่เกิดเรื่องหลายอย่างขึ้น ผมจึงมิอาจจะใช้เวลาในการประพันธ์เนื้อหาได้มากพอสมควร ผนวกกับความที่บทนี้ค่อนข้างจะมีเนื้อหาหลายอย่างซึ่งคาบเกี้ยวกันไปมาระหว่าง NPC จากบทเก่า ๆ ผมจึงถือวิสาสะตัดข้อมูลที่เคยกล่าวถึงในอดีตออกไป เพื่อกระชับเนื้อหาให้สั่นลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เอาละครับ!ตอนนี้ก็ได้เวลาเหมาะสมแล้ว ผมขอให้ทุกท่านเจอแต่ดีนับจากนี้ ไว้เจอกันใหม่ในปี 2021 สวัสดีครับ