GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 15 มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ
ลงวันที่ 20/01/2021

            สวัสดีครับ! กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายเกม Dark Souls บทที่สิบห้า โดยเนื้อหาในบทนี้จะเน้นหนักไปยังแผนที่ Anor Londo ซึ่งจะมีเนื้อเรื่องเเยกย่อยมากมายให้กับตัวเอกของเราจะได้เผชิญหน้า อีกทั้งยังจะได้รับรู้ความจริงอันชั่วร้ายที่หมักหมมเอาไว้ใต้พรมโดยเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo ณ สถานที่ซึ่งเรียกว่า Painted World of Ariamis โลกแห่งการจองจำ ณ อีกฟากของมิติ

         พลังความศรัทธาของ Undead นิรนามจะถูกทดสอบด้วยคำถามที่จะสั่นคลอนคำทำนายแห่ง The First Flame เเละเปลี่ยนถึงมุมมองใหม่ต่อพลังความมืด... พลังซึ่งเดิมทีคือรากเหง้าของมนุษย์

เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบห้า “มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ”


( ภาพประกอบ : ที่ใดมีเเสงสว่างที่นั่นก็ย่อมมีเงา...เหล่าเทพเจ้าต่างตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ) 


< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 


บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่


บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด


บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง


บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่


 

คุกนรกเยือกแข็ง


         Undead นิรนามสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนพื้นหิมะสีขาวที่หนาวเหน็บเเละกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่ทราบเลยว่าตนเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ก็เพียงเเต่เขากำลังล่วงตกลงสู่พื้นภายในวิหารของ Anor Londo จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป

Undead นิรนามเดินเท้าลุยหิมะอย่างไร้จุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้พบกับปราสาทสีดำทมิฬแห่งหนึ่งที่มีสภาพเก่าพุพังคล้ายกับเพิ่งผ่านสงครามมามาด ๆ สภาพทางด้านหน้าได้มีการปักป้ายเตือนสุดพิสดารด้วยการนำศพของมนุษย์มาตั้งเรียงรายปักเด่นเป็นสง่า คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ริอาจก้าวเท้าเข้ามาเชียว

         แต่ทว่ามีหรือกลจิตวิทยาแค่นี้จะสั่นคลอนจิตใจของคนอย่าง Undead นิรนามได้ เขาเดินผ่านป้ายเตือนที่ทำจากซากศพราวกับว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง พระเอกของเราไม่ทราบหรอกว่าที่นี่มันจะอันตรายมากแค่ไหน แต่ถ้าหากยังยืนเก ๆ กัง ๆ อยู่ข้างนอกแบบนี้ละก็มีหวังคงได้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งทั้งยืนกันพอดี


( ภาพประกอบ : ทางเข้าสู่ปราสาทเเห่งความสิ้นหวังใน Painted World of Ariamis )


         บรรยากาศภายในปราสาทดูไม่แตกต่างอะไรจากเมืองของมนุษย์ซึ่งเกิดเหตุนองเลือดและล่มสลายเพราะ Curse of Undead โดยจะแปลกใหม่ก็เเค่ตรงที่มีกองหิมะสีขาวนวลคอยปกคลุมสุกซ่อนลอยเลือดสาดกับเศษภูเขาโครงกระดูกทั่วผืนดิน

         ในระหว่างที่ Undead นิรนามกำลังเดินสำรวจพื้นที่อยู่นั้น เขาก็ได้พบกับบุรุษปริศนาคนหนึ่งที่สวมหมวกสีเหลืองทองรูปทรงประหลาด ยืนตัวนิ่งอยู่ท่ามกลางลานหิมะซึ่งเต็มไปด้วยไม้เสียบลูกชิ้น(ซากศพ)มากมายนับไม่ถ้วน… ด้วยว่ารูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่เป็นมิตรผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ได้พบเจอกัน พระเอกเราตัดสินใจทันทีว่านั่นต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนเเละกระโจนเข้าห้ำหั่นอย่างไม่รีรอ


( ภาพประกอบ : Xanthous King, Jeremiah ในสภาพของ Red Phantom )


         เจ้าบุรุษปริศนาเข้าต่อสู้กับพระเอกของเราด้วยการใช้เวทย์เพลิงขั้นสูง Pyromancy ซึ่งมันก็ค่อนข้างมีฝีมืออยู่พอตัวจนสามารถต่อกรกับพระเอกของเราได้อย่างสูสี พวกเขาประลองฝีมืออยู่นานเเต่ก็ไม่มีผู้เเพ้ผู้ชนะสักทีจน Undead นิรนามเริ่มเหนื่อยหน่าย จึงได้ลดอาวุธลงพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้วาจาเพื่อคุยตอบโต้กับอีกฝ่าย

         เจ้าพ่อมดแนะนำตนเองว่ามันคือราชันทองคำ Jeremiah ส่วนสถานที่แห่งนี้ก็คือ Painted World of Ariamis คุกต่างโลกอันหนาวเหน็บซึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ใช้กักขังสิ่งต่าง ๆ ที่พวกมันหวาดกลัว (สถานที่ซุกขยะใต้พรมดี ๆ นี่เอง)

 


( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Chaos Storm ที่เจ้า Jeremiah ใช้เป็นเวทมนต์ขั้นสูงซึ่งมีเเต่คนตระกูลของเเม่มด Izalith เท่านั้นที่รู้  )


หลังได้ยินเช่นนั้นพระเอกของเราก็ถึงกับสงสัย เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนว่าเหล่าเทพเจ้าที่ทรงพลังนักทรงพลังหนา จะกวาดกลัวสิ่งใดเป็นด้วยน่ะเหรอ?...

เจ้า Jeremiah หัวเราะเสียงดังลั่นใส่ Undead นิรนามถึงความไม่ประสีประสา จากนั้นก็เริ่มสาธยายวีรกรรมของเทพเจ้าให้กับพระเอกของเราได้รับฟัง… Gwyn คือเทพชั่วร้ายผู้หลงมัวเมาในอำนาจ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้โดยไม่เกียงวิธี ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติผิดต่ออดีตพระชายา Velka และคนในครอบครัวของตนเอง, การอนุญาตให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath กระทำการทดลองอันโหดร้ายต่างต่างนานาต่อเหล่ามวลมนุษย์,  การอุปโลกน์ศาสนา Way of White เพื่อหลอกใช้ประโยชน์จาก Undead ให้มากทีสุด, ฯลฯ

         Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในคำพูดของเจ้าพ่อมดตัวเหลือง เพราะเขาเติบโตมากับการถูกสอนว่าเทพเจ้าคือสิ่งดีงาม Jeremiah จึงได้ถามพระเอกของเราว่ารู้จักกบฏทมิฬหรือไม่ ( Occult Rebellion ) ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องส่ายหัว


( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพี Velka ใน Painted World of Ariamis )


         Jeremiah เล่าว่าในครั้งอดีตเมื่อตอนที่ Curse of Undead เพิ่งปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ทั้งโลกต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวและหันหน้าไปพึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo... ทว่าพวกโง่เขลานั่นหารู้ไม่ว่าเทพเจ้าเองก็กำลังระส่ำระสายไม่เเพ้กัน

กบฏทมิฬซึ่งตอนนั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาเพลิงสีดำ Hexes โดยเทพี Velka ต่างก็ลงมติเห็นว่านี่นิมิตหมายอันดีที่จะโค่นล้ม Gwyn พวกเขาจึงเรียกรวบกำลังพลที่เคยส่งไปแทรกซึมตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อวางเเผนรอวันรอบสังหารที่เหมาะสม


( ภาพประกอบ : Vow of Silence เป็นหนึ่งในเวทมนต์สาย Hex ของ Velka โดยมันจะทำการผิดผนึกเวทมนต์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงพลัง Miracle ของเหล่าเทพเจ้าด้วยเช่นกัน )


         ทว่าก็โชคร้ายแผนการดังได้เกิดรั่วไหลขึ้นเสียก่อน เหล่ามนุษย์ผู้ต้องสงสัยมากมายต่างถูกจับกุมเเละสังหารทิ้ง ณ ตรงนั้นโดยเหล่า Silver Knight อย่างโหดเหี้ยม จนเหตุการณ์บานปลายเกิดเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ไปช่วงเวลาหนึ่ง

         ผลลัพธ์จบลงด้วยการที่เหล่ากบฏทมิฬรังเเตก! พวกบรรดาสายลับเเละผู้มีส่วนเกี้ยวข้องกับ Velka ต่างถูกจับมาสืบสวนเพื่อสาวไส้หาต้นต่อ ซึ่งปรากฏว่ามีทั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูง ไปจนถึงวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เป็นนับหน้าถือตาในสังคม  Gwyn จึงมิอาจตัดสินลงโทษคนเหล่านี้เเบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และมันอาจจะกลายเป็นน้ำผึ่งหยดเดียวอันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองก็เป็นได้

         Gwyn จึงออกอุบายหลอกให้คนเหล่านั้นเข้ามาอาศัยอยู่ใน Painted World of Ariamis โดยอ้างว่าเป็นสถานกักบริเวณชั่วคราวเพื่อรอวันที่ทุกคนจะได้เเก่ต่างให้ตนเองในชั้นศาล

**ต้องชี้แจงก่อนว่ามิใช่ทุกคนที่นับถือเทพี Velka แล้วจะเป็นพวกกบฏทมิฬไปซะหมด หลายคนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่บูชา Velka แต่ก็ถูกจับตัวมาด้วย**


( ภาพประกอบ : The bloodshield หรือโล่โลหิต โดยมันเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ระดับตำนานที่สามารถพบเห็นได้เฉพาะใน  Painted World of Ariamis เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยมีบุคคลระดับตำนานอยู่ในนี้จริง ๆ )


         เเต่ทว่าคนบ้าอำนาจอย่าง Gwyn มีหรือจะเชื่อใจได้ สาวกของ Velka ถูกหลอกให้เฝ้ารอวันพิพากษาที่ไม่มีวันมาถึง เฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาจึงได้พากันละทิ้งความหวังในการออกไปสู่โลกภายนอก และหันมาสร้างอารยธรรมใหม่ของตนเองขึ้นบนดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้

         เหล่าผู้ถูกทิ้งเริ่มสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่สำคัญขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ทางร่วมจิตใจอย่างโบสถ์บูชาเทพี Velka, โรงตีเหล็กที่เอาไว้ใช้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ซึกกร่อนเสียหาย, โรงเหล้าสำหรับดื่มย้อมใจเพื่อให้ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ในความทรงจำ... ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งเหนือผืนหิมะที่หนาวเหน็บ


( ภาพประกอบ : Black Set คือชุดเครื่องเเบบของนักบวชที่นับถือ Velka ซึ่งหาพบได้เฉพาะใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )



( ภาพประกอบ : Dark Ember เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างอาวุธธาตุมืด...เเละก็เช่นเคยมันอยู่ใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )


         เเต่ทว่าโปรดอย่าลืม!ว่านี่คือเกม Dark Soul ฉะนั้นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจึงไม่มีอยู่จริง... หากโลกภายนอกมีความมืดที่คอยกัดกินแสงสว่างอยู่แล้วละก็ ในโลกของ Painted World of Ariamis ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความเน่าเปื่อยซึ่งมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน!

         เหล่าผู้คนเริ่มก็สังเกตถึงเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยหลุดลอกจากร่างกาย บางก็มีตุ่มน้ำหนองน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาตามผิวหนัง มันเป็นโรคร้ายที่สร้างความทรมานให้แก่ร่างต้นพาหะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย เเต่โชคร้าย Curse of Undead ทำความตายมิอาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้ เศษเสี้ยวของ Dark Soul ที่ยังคงหลงเหลือในวิญญาณ ได้บังคับให้พวกเขาเกิดและตายวนเวียนไปมาไม่รู้จบ โดยต้องทนทุกข์เป็นสองเท่าจากการกลายเป็น Hollow(เสียสติ) และการเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน

         สังคมสงบสุขที่อุตสาห์บากบันสร้างมาด้วยความฝัน บัดนี้กลับล้มครืนไม่เป็นท่าราวกับปราสาททรายที่ไม่เคยมีอยู่จริง


( ภาพประกอบ : Engorged Hollow หรือ Hollow ที่เน่าเปื่อย พวกนี้จะระเบิดร่างปล่อยควันพิษออกมาเมื่อตายลง )


         พวกมนุษย์ที่สิ้นหวังเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี Velka ทุกวี่ทุกวันขอนางให้ช่วยนำพาความทุกข์ทรมานออกไปจากร่างกายนี้เสียที แต่ด้วย Painted World of Ariamis คือโลกต่างมิติดังนั้นจึงมีเพียงเเค่เหล่าสาวกที่ศรัทธาพระนางอย่างบริสุทธ์ใจเท่านั้น จึงได้รับพรให้กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ซึ่งเรียกว่า Crow Demon หรือปีศาจอีกา ครึ่งคนครึ่งที่สามารถโบยบินเพื่อหนีจากคำสาปเน่าเปื่อยบนพื้นดินได้


( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวก Crow Demon )


         ปาฏิหาริย์พลังแห่ง Velka เป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนเชื่อว่าจะช่วยพวกเขาได้ ทว่ามันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไปเสียหมด พวกคนที่สวดอ้อนวอนแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยเพราะกลัวความตาย ร่างกายของคนพวกเขาก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับความเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน ทำให้กลายร่างเป็นก้อนเนื้อพิลึกพิลั่นที่ตามจำนวนพลังศรัทธา


( ภาพประกอบ : เหล่าสาวกของ Velka ที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยจนกลายเป็นก้อนเนื้อ เเต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังคงปกป้องเเละภาวนาต่อนาง )


        เมื่อสนทนามาจนถึงจุดนี้พระเอกของเราก็เริ่มสงสัยในตัวเจ้า Jeremiah ว่ามันอยู่ในช่วงเวลาไหนของเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งเจ้า Jeremiah ก็อ้างเเบบข้าง ๆ คู ๆว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งจึงมีภูมิต้านทานต่อคำสาป(โกหก) และมักจะใช้เวลาว่างในการสังหารพวก Hollow เพื่อสร้างสรรค์ป้ายบอกทางก่อนหน้านี้

         Undead นิรนามเเกล้งพยักหน้ารับเหมือนกับว่าเชื่อลมปากดังกล่าว ทว่าความจริงเขาก็ทราบดีว่าใครก็ตามที่ใช้เวทมนตร์ Pyromancy จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกจอมเวทย์เพลิงใน Great Swamp หรือไม่ก็อสูรแห่ง Izalith ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงยังคงระวังตัวต่อไป...


( ภาพประกอบ : คนที่ทำเรื่องเเบบนี้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าได้ลงคอ คงจะต้องเป็นคนมีสันดานดิบเป็นเเน่เเท้ )


         หลังได้แลกเปลี่ยนวาทะกันพอสมควร Undead นิรนามก็ถามถึงวิธีในการออกไปสู่โลกภายนอก เพราะว่าตนเองยังมีภารกิจที่ยังต้องไปสานต่อ เจ้า Jeremiah จึงบอกว่าวิธีจะออกไปน่ะมันไม่รู้หรอกเพราะตนเองก็ติดอยู่ที่นี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวเพราะยังมีหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งมันยังไม่เคยเข้าไปสำรวจ โดยทางเข้าจะถูกเเบ่งออกเป็นสองทางด้วยกัน คือทางด้านบนเเละทางด้านล่าง


( ภาพประกอบ : เส้นทางที่จะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยว )


         ทางด้านบน ได้ถูกปกปักรักษาไว้โดยมังกรยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยยักษ์ ส่วนทางด้านล่างก็หินไม่แพ้กันเพราะต้องลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยพวกผีดิบกรงล้อ Wheel Skeleton (แบบเดียวกับใน Catacomb) เพื่อกดสวิตช์เปิดประตูลับ

         เจ้า Jeremiah หลงคิดว่าพระเอกของเรานั้นจะเป็นพวกสิ้นหวังเหมือนกับคนอื่น ๆ ทว่าหารู้ไม่ว่าพระเอกของเราเคยทำอะไรมาบ้าง(สังหารมังกรตัวเป็น ๆ ก็เคยทำมาแล้วฉะนั้นเรื่องแค่นี้ถือว่าง่ายมาก) Undead นิรนามได้พาเจ้า Jeremiah บุกไปสังหารมังกรเน่าเปื่อยจนสำเร็จ แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอเขายังได้สำแดงฝีมือด้วยการลงไปเปิดสวิตช์ประตูในชั้นใต้ดิน เเล้วกลับออกมาโดยไร้ซึ่งรอยขีดขวน ซึ่งวีรกรรมพวกนี้ก็ค่อย ๆ สร้างความเคารพนับถือภายในใจของมันทีละเล็กทีละน้อย


( ภาพประกอบ : ประตูลับที่จะเปิดก็ต่อเมื่อลงไปเสี่ยงยังใต้ดินอันสุดเเสนอันตราย )



( ภาพประกอบ : มังกรผู้พิทักษ์ที่ร่างกายเน่าเปื่อยเเต่ก็ไม่สามารถตายได้สักที )



( ภาพประกอบ : ลำตัวท่อนล่างที่ขาดลงชองมังกรเน่าเปื่อย )


         เผลอเเป๊บเดียวจ้า Jeremiah ก็มายืนอยู่ต่อหน้าประตูหอคอยซึ่งมันไม่เคยมาถึง ทว่าส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกระอายที่ปราศจากความกล้าในแบบ Undead นิรนามมี อันตัวมันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงกษัตริย์ย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่ไม่น้อย

         ผู้กล้าทั้งสองเดินเข้าไปในหอคอยโดดเดี่ยวและได้พบสาวน้อย(ร่างใหญ่)ปริศนาคนหนึ่ง นามว่า Priscilla เธอมีหน้าซะสวยประดุจเทพีนางฟ้า ทว่าร่างกายกลับมีขนสีขาวขึ้นตามตัวเหมือนกับสัตว์...ซึ่งดูร่วม ๆ ก็งดงามสะดุดตาดี...

*เรื่องต้นกำเนิดของ Priscilla มันค่อนข้างจะยืดยาวและเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายเหตุการณ์ ตัวผมได้เคยอธิบายไว้แล้วในบทแรก ๆ แต่ถ้าหากจะให้สรุปง่าย ๆ นางก็คือลูกผสมข้ามสายพันธุ์ของเทพเจ้า Gwynevere และมังกรวิปลาส Seath *


( ภาพประกอบ : Priscilla สาวน้อยผู้ไร้เดียงเเละโดดเดี่ยวที่สุดในเกม Dark Souls ) 


         Priscilla กล่าวทักทายผู้กล้าทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ในมือของนางกลับง้างเคียวเล่มยักษ์ขึ้นเตรียมพร้อมจะฟาดฟันได้ทุกเมื่อ ( เพราะตอนเด็ก ๆ นางเคยถูกลอบสังหารหลายครั้ง ) Priscilla กล่าวว่าถ้าหากพวกเขาทั้งสองต้องการจะออกไปจากโลกอันหนาวเหน็บแห่งนี้ ก็เชิญกระโดดลงไปในเหวลึกที่อยู่ตรงหน้าได้เลย นางจะไม่ขัดขวางหรือทำอะไรทั้งสิ้น


( ภาพประกอบ : หน้าผาที่ Priscilla บอกให้กระโดดขึ้นไปเลย )


         ในตอนแรก Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ Priscilla พูดเลยสักคำ เพราะนางเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้จู่ ๆ จะมาบอกให้เขากระโดดลงหน้าผาได้ยังไง? คง0tมีแต่พวกบ้าจี้ไม่ก็มือใหม่เท่านั้นแหละหลงกล... ซึ่งแตกต่างกับทางฝั่งของเจ้า Jeremiah มันคิดว่านางเป็นเพียงแค่เด็กสาว(ตัวใหญ่)ผู้ไร้เดียงสาคนหนึ่ง คนแบบนี้ไม่มีทางโกหกใครได้หรอก

         หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และหยิบยกเอาประเด็นข้อกังขาเรื่องเวทมนตร์ Pyromancy ออกมาซักถามเจ้าพ่อมดเหลือง เพราะ Pyromancy เป็นศาสตร์ที่ต้องหาเรียนจากผู้เท่านั้นซึ่งอาศัยอยู่ Great Swarm แถมเพลิงที่มันใช้ยังมีความคล้ายคลึงกับเหล่าอสูรนรกแห่ง Izalith อีกต่างหาก! Undead นิรนามจะไม่ยอมร่วมทางกับคนที่เขาไม่รู้ตัวตนที่เเท้จริงอีกเด็ดขาด... เพราะเขาอาจจะโดนหักหลังได้ทุกเมื่อ


( ภาพประกอบ : ในเเผนที่ Lost Izalith ได้มีศัตรูตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Daughter of Chaos ซึ่งใช้เวทมนต์เเบบเดียวกับ Jeremiah )


         เมื่อหลักฐานเห็นตำตาเจ้า Jeremiah ก็ยอมจำนนในที่สุด มันรับสารภาพว่าตนเองเคยเป็นถึงอดีตพระสวามีของแม่มดแห่ง Izalith ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเพราะนางหมกมุ่นอยู่กับพลังของเพลิง Chaos จึงกลายเป็นบ้าในที่สุด ตัวเขากับลูก ๆ และประชาชนอีกบางส่วนได้หลบลี้หนีภัยออกมาจากนคร Izalith

         อันตัวเขามิอาจยอมรับชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้ จึงไปขอพึ่งใบบุญของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ทว่าก็ถูกจับโยนเข้ามาในมิตินรกเยือกแข็งแห่งนี้แทน แต่กระนั้นในส่วนเรื่องที่มันอ้างว่าตนเองมีภูมิคุมกันต่อพลังเน่าเปื่อยนั้นเป็นจริงทุกถ้อยคำ

         Jeremiah เตรียมใจเฝ้ารอให้ร่างกายของตนเองเน่าเปื่อยมานานแล้ว ทว่ามันกลับไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเสียที ซึ่งถ้าหากจะให้สันนิษฐานดูเหมือนว่าพลังเน่าเปื่อยใน Painted World of Ariamis อาจจะพ่ายแพ้ต่อความร้อนจากเพลิงเวทมนตร์ Pyromancy ของมัน (เหมือนกับ Curse of Undead ที่แพ้ต่อแสงของ The First Flame)


( ภาพประกอบ : Painted World of Ariamis ก็เหมือนกับโลกภายนอก มันสามารถถูกชุบชีวิตได้ด้วยไฟ... จะต่างกันก็เเค่ไม่คนคอยสืบทอดอำนาจเเบบ Gwyn ดังนั้นโลกใบนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ทุก ๆ ครั้งที่มันเกิด ) 


         เมื่อกล่าวความจริงออกมาหมดสิ้นเจ้า Jeremiah ก็เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราถึงโลกภายนอก ว่าเหล่าประชาชนแห่ง Izalith นั้นมีความเป็นอยู่เช่นไร? เเล้วพระชายาของเขา(แม่มดแห่ง Izalith)นางควบคุมเพลิง Chaos ได้ดั่งใจรึยัง? 

         พระเอกของเราลังเลนิดหน่อยที่จะตอบคำถาม(ก็เเน่ละ...พี่เเกเล่นฆ่าลูกสาวเจ้า Jeremiah ไปถึงสองคน) ทว่าสุดท้ายก็ยอมเล่าความจริงจนได้ ประชากรแห่งนคร Izalith ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัวกันไปหมดแล้ว แถมลูกสาวสองคนของเเม่มดเเห่ง Izalith ยังเป็นปีศาจร้ายจับผู้คนไปทรมานเพื่อวางไข่ขยายพันธุ์อสูร

ส่วนโลกภายนอกน่ะเหรอ? มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่นี่นักหรอก Hollow เดินเตร่ ๆ เต็มท้องถนน, ซากศพมากมายที่กองทับกันเป็นภูเขา, มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง Humanity… พูดง่าย ๆ ว่ากองหิมะคือสิ่งเดียวที่เเตกต่างจากตลกภายนอก


( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Painted World of Ariamis / เดิมทีสถานนี้เคยถูกผู้พัฒนากำหนดให้เป็นสถานที่เริ่มต้นเกม เเต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปใช้ Northern Undead Asylum เเทน ) 


         ความจริงเป็นสิ่งที่มิอาจจะวิ่งนี้ได้ Jeremiah เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวเขาที่เคยสูญเสียบ้านเกิดเมืองนอนมาแล้วครั้งหนึ่ง(นคร Izalith) มาบัดนี้กลับต้องเห็นภาพเดิมเกิดขึ้นซ้ำกับ Painted World of Ariamis... พอแล้ว พอกันที บุรุษผู้นี้มิอาจจะยอมรับความปวดร้าวได้อีกต่อไป ความหวังเป็นเพียงเเค่ภาพหลวงตาบนอากาศเมื่อถูกลมพัดก็อันตรธานหายไปในบัดดล

         Jeremiah เริ่มสำผัสได้ว่าสติของตนเองกำลังเลือนลางเเละตระหนักได้ว่านี่เป็นสัญญาณแรกสู่ภาวะ Hollow เจ้าพ่อมดเหลืองจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยอมจบชีวิตตนเสียที่นี่ ดีกว่าจะกลายเป็น Hollow และต้องมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเหยื่อหลายคนที่มันฆ่า

เพลิง Chaos ซึ่งร้อนดั่งไฟนรกถูกร่ายขึ้นมาล้อมรอบร่างกายของเจ้า Jeremiah เพื่อเผาเศษดวงวิญญาณชิ้นสุดท้ายในกายให้มอดไหม้ แต่ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะดับลง Jeremiah ก็ได้หันกล่าวเตือนพระเอกของเราเอาไว้เรื่องหนึ่ง

เหล่าเทพเจ้านั้นปลิ้นปล้อน จงอย่าเชื่อใจพวกมัน



( ภาพประกอบ : ศพของราชันทองคำ Jeremiah )


         คำพูดสุดท้ายของคนตายมันมักจะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ...  Undead นิรนามเริ่มเอะใจกับคำพูดดังกล่าวเเละค่อย ๆ ตั้งคำถามถึงบางสิ่งที่เขาเคยมองข้าม

หากการต่ออายุของ The First Flame เป็นหน้าที่อันทรงเกียรติจริง ๆ ละก็ เหตุไฉนจึงใช้ให้มนุษย์ตัวจ้อยไปกระทำมันด้วยเล่า? ทำไมเทพเจ้าถึงไม่ทำมันซะเองละ Gwyn ก็เเสดงให้ดูเเล้วนี่ว่าทำได้?

และถ้าหากว่ามาคิดดูดี ๆ ขนาดเทพเจ้า Gwyn ได้เผาตนเองตายไปแล้วหนึ่งครั้งแต่ไฟก็ยังคงดับอยู่ดี นี่ก็หมายความว่าวิธีนี่มันไม่ยั่งยืนน่ะสิ? หรือมันยังคงมีหนทางอื่นในการเอาชนะ Curse of Undead...หนทางที่มนุษย์จะสามารถอยู่ร่วมกับมืดได้อย่างสงบสุข


( ภาพประกอบ : ในอนาคตอันแสนไกลจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เฟ้นหาการหลุดพ้นจากวงจรเเห่ง The First Flame พวกเขาจะเรียกตัวเองว่า Church of London )


         Undead นิรนามนั่งขบคิดถึงคำถามมากมายที่อยู่ในหัวโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า Priscilla กำลังย่องเข้ามาจากข้างหลัง ซึ่งถ้าหากว่านางตัดสินใจฟาดเคียวลงใส่เขาลงตอนนี้ Undead นิรนามก็คงไม่รอดชีวิต เผลอ ๆ อาจจะถูกนางดูดกินวิญญาณเสียด้วยซ้ำ… แต่ทว่ารางสังหรของเจ้า Jeremiah นั้นแม่นยำ สาวน้อยในร่างใหญ่ทำเพียงแค่เขย่าหลังของ Undead นิรนามเบา ๆ ด้วยสงสัยตามประสาเด็ก ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอได้เตือนสติเขาถึง Bonfire อันโชติช่วงของ Anastacia

         พระเอกของเราจึงได้หันไปถาม Priscilla อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าการกระโดดหน้าผาคือออกไปจาก Painted World of Ariamis จริง ๆ โดยนางก็ผงกหัวและส่งยิ้มตอบกลับมา(ประมาณว่ายืนยันคำพูด) เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีก Undead นิรนามก็กลั้นใจทำตามที่นางบอก เขากระโดดโถมร่างกายลงสู่ความมืดอันไร้จุดสิ้นสุด ภาพทุกอย่างค่อย ๆ ถูกลบเลือนหายไปในความมืดอย่างช้า ๆ


( ภาพประกอบ : ภาพ Cutscene ในตอนที่ออกมาจาก Painted World of Ariamis  )


 

สหายผู้ทรยศ


         Undead นิรนามข้ามมิติกลับมายังวิหารหลังใหญ่ใน Anor Londo วิหารซึ่งเดิมทีเขากับเจ้า Tarkus เคยล่วงตกลงมาพร้อมกันแต่ก็มีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ เกร็ดหิมะที่กำลังละลายบนชุดเกราะของเขาคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนว่า Painted World of Ariamis นั้นไม่ใช่ความฝัน

ไม่รู้ทำไมพระเอกของเรารู้สึกว่าเเสงสว่างอันอบอุ่นในเมืองหลวง Anor Londo มันไม่เหมือนเดิมอีกเเล้ว… สิ่งที่ได้รับรู้มามันได้สั่นคลอนความเชื่อในทุก ๆ ที่เขาเดินไปข้างหน้า 


( ภาพประกอบ : ศพของเจ้า Tarkus ที่ตกลงมาตาย )


Undead นิรนามมองดูเหล่า Silver Knight ที่ตั้งเเถวประจันหน้าเตรียมยิงมหาคันธนู(Great Bow) เข้ามาใส่ ชุดเกราะอันส่องสว่างดุจดวงดาวใต้พระอาทิตย์ของพวกมัน ไม่ได้มอบความรู้สึกภาคภูมิเเละเกียรติยศเเก่หัวใจของ Undead นิรนามอีกต่อไป เขาเริ่มค่อย ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงเเค่คนโง่เคราที่เต็มใจยอมทำตามคำสั่งราวกับเป็นหุ่นเชิดไร้วิญญาณ


( ภาพประกอบ : Silver Knight ภายใน Anor Londo ถือเป็นศัตรูที่น่ารำคาญมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยเพราะว่ามันมักจะอยู่ในที่ ๆ เราสามารถพลาดพลังได้ง่าย )


         ส่วนพวกยักษ์ Sentinel ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่หลอกด้วยคำสัญญากลวง ๆ พวกมันเชื่อมั่นว่าเทพเจ้าเป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ถึงขนาดสามารถร่ายเวทมนต์ Miracle ขั้นสูงอย่าง Wrath of the Gods และ Healing อันเป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้แรงศรัทธาได้ (Faith) เผลอ ๆ พวกมันอาจจะมีเเรงศรัทธามากกว่าเหล่า Silver Knight หรือนักบวชของ Way of White บางคนเสียอีก!


( ภาพประกอบ : Royal Sentinel ที่กำลังร่ายเวทมนตร์ Miracle )


        

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 15 มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ
20/01/2021

            สวัสดีครับ! กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายเกม Dark Souls บทที่สิบห้า โดยเนื้อหาในบทนี้จะเน้นหนักไปยังแผนที่ Anor Londo ซึ่งจะมีเนื้อเรื่องเเยกย่อยมากมายให้กับตัวเอกของเราจะได้เผชิญหน้า อีกทั้งยังจะได้รับรู้ความจริงอันชั่วร้ายที่หมักหมมเอาไว้ใต้พรมโดยเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo ณ สถานที่ซึ่งเรียกว่า Painted World of Ariamis โลกแห่งการจองจำ ณ อีกฟากของมิติ

         พลังความศรัทธาของ Undead นิรนามจะถูกทดสอบด้วยคำถามที่จะสั่นคลอนคำทำนายแห่ง The First Flame เเละเปลี่ยนถึงมุมมองใหม่ต่อพลังความมืด... พลังซึ่งเดิมทีคือรากเหง้าของมนุษย์

เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบห้า “มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ”


( ภาพประกอบ : ที่ใดมีเเสงสว่างที่นั่นก็ย่อมมีเงา...เหล่าเทพเจ้าต่างตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ) 


< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 


บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่


บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด


บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง


บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่


 

คุกนรกเยือกแข็ง


         Undead นิรนามสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนพื้นหิมะสีขาวที่หนาวเหน็บเเละกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่ทราบเลยว่าตนเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ก็เพียงเเต่เขากำลังล่วงตกลงสู่พื้นภายในวิหารของ Anor Londo จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป

Undead นิรนามเดินเท้าลุยหิมะอย่างไร้จุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้พบกับปราสาทสีดำทมิฬแห่งหนึ่งที่มีสภาพเก่าพุพังคล้ายกับเพิ่งผ่านสงครามมามาด ๆ สภาพทางด้านหน้าได้มีการปักป้ายเตือนสุดพิสดารด้วยการนำศพของมนุษย์มาตั้งเรียงรายปักเด่นเป็นสง่า คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ริอาจก้าวเท้าเข้ามาเชียว

         แต่ทว่ามีหรือกลจิตวิทยาแค่นี้จะสั่นคลอนจิตใจของคนอย่าง Undead นิรนามได้ เขาเดินผ่านป้ายเตือนที่ทำจากซากศพราวกับว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง พระเอกของเราไม่ทราบหรอกว่าที่นี่มันจะอันตรายมากแค่ไหน แต่ถ้าหากยังยืนเก ๆ กัง ๆ อยู่ข้างนอกแบบนี้ละก็มีหวังคงได้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งทั้งยืนกันพอดี


( ภาพประกอบ : ทางเข้าสู่ปราสาทเเห่งความสิ้นหวังใน Painted World of Ariamis )


         บรรยากาศภายในปราสาทดูไม่แตกต่างอะไรจากเมืองของมนุษย์ซึ่งเกิดเหตุนองเลือดและล่มสลายเพราะ Curse of Undead โดยจะแปลกใหม่ก็เเค่ตรงที่มีกองหิมะสีขาวนวลคอยปกคลุมสุกซ่อนลอยเลือดสาดกับเศษภูเขาโครงกระดูกทั่วผืนดิน

         ในระหว่างที่ Undead นิรนามกำลังเดินสำรวจพื้นที่อยู่นั้น เขาก็ได้พบกับบุรุษปริศนาคนหนึ่งที่สวมหมวกสีเหลืองทองรูปทรงประหลาด ยืนตัวนิ่งอยู่ท่ามกลางลานหิมะซึ่งเต็มไปด้วยไม้เสียบลูกชิ้น(ซากศพ)มากมายนับไม่ถ้วน… ด้วยว่ารูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่เป็นมิตรผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ได้พบเจอกัน พระเอกเราตัดสินใจทันทีว่านั่นต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนเเละกระโจนเข้าห้ำหั่นอย่างไม่รีรอ


( ภาพประกอบ : Xanthous King, Jeremiah ในสภาพของ Red Phantom )


         เจ้าบุรุษปริศนาเข้าต่อสู้กับพระเอกของเราด้วยการใช้เวทย์เพลิงขั้นสูง Pyromancy ซึ่งมันก็ค่อนข้างมีฝีมืออยู่พอตัวจนสามารถต่อกรกับพระเอกของเราได้อย่างสูสี พวกเขาประลองฝีมืออยู่นานเเต่ก็ไม่มีผู้เเพ้ผู้ชนะสักทีจน Undead นิรนามเริ่มเหนื่อยหน่าย จึงได้ลดอาวุธลงพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้วาจาเพื่อคุยตอบโต้กับอีกฝ่าย

         เจ้าพ่อมดแนะนำตนเองว่ามันคือราชันทองคำ Jeremiah ส่วนสถานที่แห่งนี้ก็คือ Painted World of Ariamis คุกต่างโลกอันหนาวเหน็บซึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ใช้กักขังสิ่งต่าง ๆ ที่พวกมันหวาดกลัว (สถานที่ซุกขยะใต้พรมดี ๆ นี่เอง)

 


( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Chaos Storm ที่เจ้า Jeremiah ใช้เป็นเวทมนต์ขั้นสูงซึ่งมีเเต่คนตระกูลของเเม่มด Izalith เท่านั้นที่รู้  )


หลังได้ยินเช่นนั้นพระเอกของเราก็ถึงกับสงสัย เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนว่าเหล่าเทพเจ้าที่ทรงพลังนักทรงพลังหนา จะกวาดกลัวสิ่งใดเป็นด้วยน่ะเหรอ?...

เจ้า Jeremiah หัวเราะเสียงดังลั่นใส่ Undead นิรนามถึงความไม่ประสีประสา จากนั้นก็เริ่มสาธยายวีรกรรมของเทพเจ้าให้กับพระเอกของเราได้รับฟัง… Gwyn คือเทพชั่วร้ายผู้หลงมัวเมาในอำนาจ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้โดยไม่เกียงวิธี ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติผิดต่ออดีตพระชายา Velka และคนในครอบครัวของตนเอง, การอนุญาตให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath กระทำการทดลองอันโหดร้ายต่างต่างนานาต่อเหล่ามวลมนุษย์,  การอุปโลกน์ศาสนา Way of White เพื่อหลอกใช้ประโยชน์จาก Undead ให้มากทีสุด, ฯลฯ

         Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในคำพูดของเจ้าพ่อมดตัวเหลือง เพราะเขาเติบโตมากับการถูกสอนว่าเทพเจ้าคือสิ่งดีงาม Jeremiah จึงได้ถามพระเอกของเราว่ารู้จักกบฏทมิฬหรือไม่ ( Occult Rebellion ) ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องส่ายหัว


( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพี Velka ใน Painted World of Ariamis )


         Jeremiah เล่าว่าในครั้งอดีตเมื่อตอนที่ Curse of Undead เพิ่งปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ทั้งโลกต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวและหันหน้าไปพึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo... ทว่าพวกโง่เขลานั่นหารู้ไม่ว่าเทพเจ้าเองก็กำลังระส่ำระสายไม่เเพ้กัน

กบฏทมิฬซึ่งตอนนั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาเพลิงสีดำ Hexes โดยเทพี Velka ต่างก็ลงมติเห็นว่านี่นิมิตหมายอันดีที่จะโค่นล้ม Gwyn พวกเขาจึงเรียกรวบกำลังพลที่เคยส่งไปแทรกซึมตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อวางเเผนรอวันรอบสังหารที่เหมาะสม


( ภาพประกอบ : Vow of Silence เป็นหนึ่งในเวทมนต์สาย Hex ของ Velka โดยมันจะทำการผิดผนึกเวทมนต์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงพลัง Miracle ของเหล่าเทพเจ้าด้วยเช่นกัน )


         ทว่าก็โชคร้ายแผนการดังได้เกิดรั่วไหลขึ้นเสียก่อน เหล่ามนุษย์ผู้ต้องสงสัยมากมายต่างถูกจับกุมเเละสังหารทิ้ง ณ ตรงนั้นโดยเหล่า Silver Knight อย่างโหดเหี้ยม จนเหตุการณ์บานปลายเกิดเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ไปช่วงเวลาหนึ่ง

         ผลลัพธ์จบลงด้วยการที่เหล่ากบฏทมิฬรังเเตก! พวกบรรดาสายลับเเละผู้มีส่วนเกี้ยวข้องกับ Velka ต่างถูกจับมาสืบสวนเพื่อสาวไส้หาต้นต่อ ซึ่งปรากฏว่ามีทั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูง ไปจนถึงวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เป็นนับหน้าถือตาในสังคม  Gwyn จึงมิอาจตัดสินลงโทษคนเหล่านี้เเบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และมันอาจจะกลายเป็นน้ำผึ่งหยดเดียวอันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองก็เป็นได้

         Gwyn จึงออกอุบายหลอกให้คนเหล่านั้นเข้ามาอาศัยอยู่ใน Painted World of Ariamis โดยอ้างว่าเป็นสถานกักบริเวณชั่วคราวเพื่อรอวันที่ทุกคนจะได้เเก่ต่างให้ตนเองในชั้นศาล

**ต้องชี้แจงก่อนว่ามิใช่ทุกคนที่นับถือเทพี Velka แล้วจะเป็นพวกกบฏทมิฬไปซะหมด หลายคนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่บูชา Velka แต่ก็ถูกจับตัวมาด้วย**


( ภาพประกอบ : The bloodshield หรือโล่โลหิต โดยมันเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ระดับตำนานที่สามารถพบเห็นได้เฉพาะใน  Painted World of Ariamis เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยมีบุคคลระดับตำนานอยู่ในนี้จริง ๆ )


         เเต่ทว่าคนบ้าอำนาจอย่าง Gwyn มีหรือจะเชื่อใจได้ สาวกของ Velka ถูกหลอกให้เฝ้ารอวันพิพากษาที่ไม่มีวันมาถึง เฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาจึงได้พากันละทิ้งความหวังในการออกไปสู่โลกภายนอก และหันมาสร้างอารยธรรมใหม่ของตนเองขึ้นบนดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้

         เหล่าผู้ถูกทิ้งเริ่มสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่สำคัญขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ทางร่วมจิตใจอย่างโบสถ์บูชาเทพี Velka, โรงตีเหล็กที่เอาไว้ใช้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ซึกกร่อนเสียหาย, โรงเหล้าสำหรับดื่มย้อมใจเพื่อให้ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ในความทรงจำ... ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งเหนือผืนหิมะที่หนาวเหน็บ


( ภาพประกอบ : Black Set คือชุดเครื่องเเบบของนักบวชที่นับถือ Velka ซึ่งหาพบได้เฉพาะใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )



( ภาพประกอบ : Dark Ember เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างอาวุธธาตุมืด...เเละก็เช่นเคยมันอยู่ใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )


         เเต่ทว่าโปรดอย่าลืม!ว่านี่คือเกม Dark Soul ฉะนั้นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจึงไม่มีอยู่จริง... หากโลกภายนอกมีความมืดที่คอยกัดกินแสงสว่างอยู่แล้วละก็ ในโลกของ Painted World of Ariamis ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความเน่าเปื่อยซึ่งมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน!

         เหล่าผู้คนเริ่มก็สังเกตถึงเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยหลุดลอกจากร่างกาย บางก็มีตุ่มน้ำหนองน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาตามผิวหนัง มันเป็นโรคร้ายที่สร้างความทรมานให้แก่ร่างต้นพาหะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย เเต่โชคร้าย Curse of Undead ทำความตายมิอาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้ เศษเสี้ยวของ Dark Soul ที่ยังคงหลงเหลือในวิญญาณ ได้บังคับให้พวกเขาเกิดและตายวนเวียนไปมาไม่รู้จบ โดยต้องทนทุกข์เป็นสองเท่าจากการกลายเป็น Hollow(เสียสติ) และการเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน

         สังคมสงบสุขที่อุตสาห์บากบันสร้างมาด้วยความฝัน บัดนี้กลับล้มครืนไม่เป็นท่าราวกับปราสาททรายที่ไม่เคยมีอยู่จริง


( ภาพประกอบ : Engorged Hollow หรือ Hollow ที่เน่าเปื่อย พวกนี้จะระเบิดร่างปล่อยควันพิษออกมาเมื่อตายลง )


         พวกมนุษย์ที่สิ้นหวังเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี Velka ทุกวี่ทุกวันขอนางให้ช่วยนำพาความทุกข์ทรมานออกไปจากร่างกายนี้เสียที แต่ด้วย Painted World of Ariamis คือโลกต่างมิติดังนั้นจึงมีเพียงเเค่เหล่าสาวกที่ศรัทธาพระนางอย่างบริสุทธ์ใจเท่านั้น จึงได้รับพรให้กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ซึ่งเรียกว่า Crow Demon หรือปีศาจอีกา ครึ่งคนครึ่งที่สามารถโบยบินเพื่อหนีจากคำสาปเน่าเปื่อยบนพื้นดินได้


( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวก Crow Demon )


         ปาฏิหาริย์พลังแห่ง Velka เป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนเชื่อว่าจะช่วยพวกเขาได้ ทว่ามันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไปเสียหมด พวกคนที่สวดอ้อนวอนแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยเพราะกลัวความตาย ร่างกายของคนพวกเขาก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับความเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน ทำให้กลายร่างเป็นก้อนเนื้อพิลึกพิลั่นที่ตามจำนวนพลังศรัทธา


( ภาพประกอบ : เหล่าสาวกของ Velka ที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยจนกลายเป็นก้อนเนื้อ เเต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังคงปกป้องเเละภาวนาต่อนาง )


        เมื่อสนทนามาจนถึงจุดนี้พระเอกของเราก็เริ่มสงสัยในตัวเจ้า Jeremiah ว่ามันอยู่ในช่วงเวลาไหนของเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งเจ้า Jeremiah ก็อ้างเเบบข้าง ๆ คู ๆว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งจึงมีภูมิต้านทานต่อคำสาป(โกหก) และมักจะใช้เวลาว่างในการสังหารพวก Hollow เพื่อสร้างสรรค์ป้ายบอกทางก่อนหน้านี้

         Undead นิรนามเเกล้งพยักหน้ารับเหมือนกับว่าเชื่อลมปากดังกล่าว ทว่าความจริงเขาก็ทราบดีว่าใครก็ตามที่ใช้เวทมนตร์ Pyromancy จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกจอมเวทย์เพลิงใน Great Swamp หรือไม่ก็อสูรแห่ง Izalith ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงยังคงระวังตัวต่อไป...


( ภาพประกอบ : คนที่ทำเรื่องเเบบนี้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าได้ลงคอ คงจะต้องเป็นคนมีสันดานดิบเป็นเเน่เเท้ )


         หลังได้แลกเปลี่ยนวาทะกันพอสมควร Undead นิรนามก็ถามถึงวิธีในการออกไปสู่โลกภายนอก เพราะว่าตนเองยังมีภารกิจที่ยังต้องไปสานต่อ เจ้า Jeremiah จึงบอกว่าวิธีจะออกไปน่ะมันไม่รู้หรอกเพราะตนเองก็ติดอยู่ที่นี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวเพราะยังมีหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งมันยังไม่เคยเข้าไปสำรวจ โดยทางเข้าจะถูกเเบ่งออกเป็นสองทางด้วยกัน คือทางด้านบนเเละทางด้านล่าง


( ภาพประกอบ : เส้นทางที่จะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยว )


         ทางด้านบน ได้ถูกปกปักรักษาไว้โดยมังกรยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยยักษ์ ส่วนทางด้านล่างก็หินไม่แพ้กันเพราะต้องลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยพวกผีดิบกรงล้อ Wheel Skeleton (แบบเดียวกับใน Catacomb) เพื่อกดสวิตช์เปิดประตูลับ

         เจ้า Jeremiah หลงคิดว่าพระเอกของเรานั้นจะเป็นพวกสิ้นหวังเหมือนกับคนอื่น ๆ ทว่าหารู้ไม่ว่าพระเอกของเราเคยทำอะไรมาบ้าง(สังหารมังกรตัวเป็น ๆ ก็เคยทำมาแล้วฉะนั้นเรื่องแค่นี้ถือว่าง่ายมาก) Undead นิรนามได้พาเจ้า Jeremiah บุกไปสังหารมังกรเน่าเปื่อยจนสำเร็จ แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอเขายังได้สำแดงฝีมือด้วยการลงไปเปิดสวิตช์ประตูในชั้นใต้ดิน เเล้วกลับออกมาโดยไร้ซึ่งรอยขีดขวน ซึ่งวีรกรรมพวกนี้ก็ค่อย ๆ สร้างความเคารพนับถือภายในใจของมันทีละเล็กทีละน้อย


( ภาพประกอบ : ประตูลับที่จะเปิดก็ต่อเมื่อลงไปเสี่ยงยังใต้ดินอันสุดเเสนอันตราย )



( ภาพประกอบ : มังกรผู้พิทักษ์ที่ร่างกายเน่าเปื่อยเเต่ก็ไม่สามารถตายได้สักที )



( ภาพประกอบ : ลำตัวท่อนล่างที่ขาดลงชองมังกรเน่าเปื่อย )


         เผลอเเป๊บเดียวจ้า Jeremiah ก็มายืนอยู่ต่อหน้าประตูหอคอยซึ่งมันไม่เคยมาถึง ทว่าส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกระอายที่ปราศจากความกล้าในแบบ Undead นิรนามมี อันตัวมันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงกษัตริย์ย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่ไม่น้อย

         ผู้กล้าทั้งสองเดินเข้าไปในหอคอยโดดเดี่ยวและได้พบสาวน้อย(ร่างใหญ่)ปริศนาคนหนึ่ง นามว่า Priscilla เธอมีหน้าซะสวยประดุจเทพีนางฟ้า ทว่าร่างกายกลับมีขนสีขาวขึ้นตามตัวเหมือนกับสัตว์...ซึ่งดูร่วม ๆ ก็งดงามสะดุดตาดี...

*เรื่องต้นกำเนิดของ Priscilla มันค่อนข้างจะยืดยาวและเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายเหตุการณ์ ตัวผมได้เคยอธิบายไว้แล้วในบทแรก ๆ แต่ถ้าหากจะให้สรุปง่าย ๆ นางก็คือลูกผสมข้ามสายพันธุ์ของเทพเจ้า Gwynevere และมังกรวิปลาส Seath *


( ภาพประกอบ : Priscilla สาวน้อยผู้ไร้เดียงเเละโดดเดี่ยวที่สุดในเกม Dark Souls ) 


         Priscilla กล่าวทักทายผู้กล้าทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ในมือของนางกลับง้างเคียวเล่มยักษ์ขึ้นเตรียมพร้อมจะฟาดฟันได้ทุกเมื่อ ( เพราะตอนเด็ก ๆ นางเคยถูกลอบสังหารหลายครั้ง ) Priscilla กล่าวว่าถ้าหากพวกเขาทั้งสองต้องการจะออกไปจากโลกอันหนาวเหน็บแห่งนี้ ก็เชิญกระโดดลงไปในเหวลึกที่อยู่ตรงหน้าได้เลย นางจะไม่ขัดขวางหรือทำอะไรทั้งสิ้น


( ภาพประกอบ : หน้าผาที่ Priscilla บอกให้กระโดดขึ้นไปเลย )


         ในตอนแรก Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ Priscilla พูดเลยสักคำ เพราะนางเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้จู่ ๆ จะมาบอกให้เขากระโดดลงหน้าผาได้ยังไง? คง0tมีแต่พวกบ้าจี้ไม่ก็มือใหม่เท่านั้นแหละหลงกล... ซึ่งแตกต่างกับทางฝั่งของเจ้า Jeremiah มันคิดว่านางเป็นเพียงแค่เด็กสาว(ตัวใหญ่)ผู้ไร้เดียงสาคนหนึ่ง คนแบบนี้ไม่มีทางโกหกใครได้หรอก

         หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และหยิบยกเอาประเด็นข้อกังขาเรื่องเวทมนตร์ Pyromancy ออกมาซักถามเจ้าพ่อมดเหลือง เพราะ Pyromancy เป็นศาสตร์ที่ต้องหาเรียนจากผู้เท่านั้นซึ่งอาศัยอยู่ Great Swarm แถมเพลิงที่มันใช้ยังมีความคล้ายคลึงกับเหล่าอสูรนรกแห่ง Izalith อีกต่างหาก! Undead นิรนามจะไม่ยอมร่วมทางกับคนที่เขาไม่รู้ตัวตนที่เเท้จริงอีกเด็ดขาด... เพราะเขาอาจจะโดนหักหลังได้ทุกเมื่อ


( ภาพประกอบ : ในเเผนที่ Lost Izalith ได้มีศัตรูตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Daughter of Chaos ซึ่งใช้เวทมนต์เเบบเดียวกับ Jeremiah )


         เมื่อหลักฐานเห็นตำตาเจ้า Jeremiah ก็ยอมจำนนในที่สุด มันรับสารภาพว่าตนเองเคยเป็นถึงอดีตพระสวามีของแม่มดแห่ง Izalith ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเพราะนางหมกมุ่นอยู่กับพลังของเพลิง Chaos จึงกลายเป็นบ้าในที่สุด ตัวเขากับลูก ๆ และประชาชนอีกบางส่วนได้หลบลี้หนีภัยออกมาจากนคร Izalith

         อันตัวเขามิอาจยอมรับชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้ จึงไปขอพึ่งใบบุญของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ทว่าก็ถูกจับโยนเข้ามาในมิตินรกเยือกแข็งแห่งนี้แทน แต่กระนั้นในส่วนเรื่องที่มันอ้างว่าตนเองมีภูมิคุมกันต่อพลังเน่าเปื่อยนั้นเป็นจริงทุกถ้อยคำ

         Jeremiah เตรียมใจเฝ้ารอให้ร่างกายของตนเองเน่าเปื่อยมานานแล้ว ทว่ามันกลับไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเสียที ซึ่งถ้าหากจะให้สันนิษฐานดูเหมือนว่าพลังเน่าเปื่อยใน Painted World of Ariamis อาจจะพ่ายแพ้ต่อความร้อนจากเพลิงเวทมนตร์ Pyromancy ของมัน (เหมือนกับ Curse of Undead ที่แพ้ต่อแสงของ The First Flame)


( ภาพประกอบ : Painted World of Ariamis ก็เหมือนกับโลกภายนอก มันสามารถถูกชุบชีวิตได้ด้วยไฟ... จะต่างกันก็เเค่ไม่คนคอยสืบทอดอำนาจเเบบ Gwyn ดังนั้นโลกใบนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ทุก ๆ ครั้งที่มันเกิด ) 


         เมื่อกล่าวความจริงออกมาหมดสิ้นเจ้า Jeremiah ก็เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราถึงโลกภายนอก ว่าเหล่าประชาชนแห่ง Izalith นั้นมีความเป็นอยู่เช่นไร? เเล้วพระชายาของเขา(แม่มดแห่ง Izalith)นางควบคุมเพลิง Chaos ได้ดั่งใจรึยัง? 

         พระเอกของเราลังเลนิดหน่อยที่จะตอบคำถาม(ก็เเน่ละ...พี่เเกเล่นฆ่าลูกสาวเจ้า Jeremiah ไปถึงสองคน) ทว่าสุดท้ายก็ยอมเล่าความจริงจนได้ ประชากรแห่งนคร Izalith ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัวกันไปหมดแล้ว แถมลูกสาวสองคนของเเม่มดเเห่ง Izalith ยังเป็นปีศาจร้ายจับผู้คนไปทรมานเพื่อวางไข่ขยายพันธุ์อสูร

ส่วนโลกภายนอกน่ะเหรอ? มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่นี่นักหรอก Hollow เดินเตร่ ๆ เต็มท้องถนน, ซากศพมากมายที่กองทับกันเป็นภูเขา, มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง Humanity… พูดง่าย ๆ ว่ากองหิมะคือสิ่งเดียวที่เเตกต่างจากตลกภายนอก


( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Painted World of Ariamis / เดิมทีสถานนี้เคยถูกผู้พัฒนากำหนดให้เป็นสถานที่เริ่มต้นเกม เเต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปใช้ Northern Undead Asylum เเทน ) 


         ความจริงเป็นสิ่งที่มิอาจจะวิ่งนี้ได้ Jeremiah เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวเขาที่เคยสูญเสียบ้านเกิดเมืองนอนมาแล้วครั้งหนึ่ง(นคร Izalith) มาบัดนี้กลับต้องเห็นภาพเดิมเกิดขึ้นซ้ำกับ Painted World of Ariamis... พอแล้ว พอกันที บุรุษผู้นี้มิอาจจะยอมรับความปวดร้าวได้อีกต่อไป ความหวังเป็นเพียงเเค่ภาพหลวงตาบนอากาศเมื่อถูกลมพัดก็อันตรธานหายไปในบัดดล

         Jeremiah เริ่มสำผัสได้ว่าสติของตนเองกำลังเลือนลางเเละตระหนักได้ว่านี่เป็นสัญญาณแรกสู่ภาวะ Hollow เจ้าพ่อมดเหลืองจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยอมจบชีวิตตนเสียที่นี่ ดีกว่าจะกลายเป็น Hollow และต้องมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเหยื่อหลายคนที่มันฆ่า

เพลิง Chaos ซึ่งร้อนดั่งไฟนรกถูกร่ายขึ้นมาล้อมรอบร่างกายของเจ้า Jeremiah เพื่อเผาเศษดวงวิญญาณชิ้นสุดท้ายในกายให้มอดไหม้ แต่ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะดับลง Jeremiah ก็ได้หันกล่าวเตือนพระเอกของเราเอาไว้เรื่องหนึ่ง

เหล่าเทพเจ้านั้นปลิ้นปล้อน จงอย่าเชื่อใจพวกมัน



( ภาพประกอบ : ศพของราชันทองคำ Jeremiah )


         คำพูดสุดท้ายของคนตายมันมักจะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ...  Undead นิรนามเริ่มเอะใจกับคำพูดดังกล่าวเเละค่อย ๆ ตั้งคำถามถึงบางสิ่งที่เขาเคยมองข้าม

หากการต่ออายุของ The First Flame เป็นหน้าที่อันทรงเกียรติจริง ๆ ละก็ เหตุไฉนจึงใช้ให้มนุษย์ตัวจ้อยไปกระทำมันด้วยเล่า? ทำไมเทพเจ้าถึงไม่ทำมันซะเองละ Gwyn ก็เเสดงให้ดูเเล้วนี่ว่าทำได้?

และถ้าหากว่ามาคิดดูดี ๆ ขนาดเทพเจ้า Gwyn ได้เผาตนเองตายไปแล้วหนึ่งครั้งแต่ไฟก็ยังคงดับอยู่ดี นี่ก็หมายความว่าวิธีนี่มันไม่ยั่งยืนน่ะสิ? หรือมันยังคงมีหนทางอื่นในการเอาชนะ Curse of Undead...หนทางที่มนุษย์จะสามารถอยู่ร่วมกับมืดได้อย่างสงบสุข


( ภาพประกอบ : ในอนาคตอันแสนไกลจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เฟ้นหาการหลุดพ้นจากวงจรเเห่ง The First Flame พวกเขาจะเรียกตัวเองว่า Church of London )


         Undead นิรนามนั่งขบคิดถึงคำถามมากมายที่อยู่ในหัวโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า Priscilla กำลังย่องเข้ามาจากข้างหลัง ซึ่งถ้าหากว่านางตัดสินใจฟาดเคียวลงใส่เขาลงตอนนี้ Undead นิรนามก็คงไม่รอดชีวิต เผลอ ๆ อาจจะถูกนางดูดกินวิญญาณเสียด้วยซ้ำ… แต่ทว่ารางสังหรของเจ้า Jeremiah นั้นแม่นยำ สาวน้อยในร่างใหญ่ทำเพียงแค่เขย่าหลังของ Undead นิรนามเบา ๆ ด้วยสงสัยตามประสาเด็ก ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอได้เตือนสติเขาถึง Bonfire อันโชติช่วงของ Anastacia

         พระเอกของเราจึงได้หันไปถาม Priscilla อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าการกระโดดหน้าผาคือออกไปจาก Painted World of Ariamis จริง ๆ โดยนางก็ผงกหัวและส่งยิ้มตอบกลับมา(ประมาณว่ายืนยันคำพูด) เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีก Undead นิรนามก็กลั้นใจทำตามที่นางบอก เขากระโดดโถมร่างกายลงสู่ความมืดอันไร้จุดสิ้นสุด ภาพทุกอย่างค่อย ๆ ถูกลบเลือนหายไปในความมืดอย่างช้า ๆ


( ภาพประกอบ : ภาพ Cutscene ในตอนที่ออกมาจาก Painted World of Ariamis  )


 

สหายผู้ทรยศ


         Undead นิรนามข้ามมิติกลับมายังวิหารหลังใหญ่ใน Anor Londo วิหารซึ่งเดิมทีเขากับเจ้า Tarkus เคยล่วงตกลงมาพร้อมกันแต่ก็มีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ เกร็ดหิมะที่กำลังละลายบนชุดเกราะของเขาคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนว่า Painted World of Ariamis นั้นไม่ใช่ความฝัน

ไม่รู้ทำไมพระเอกของเรารู้สึกว่าเเสงสว่างอันอบอุ่นในเมืองหลวง Anor Londo มันไม่เหมือนเดิมอีกเเล้ว… สิ่งที่ได้รับรู้มามันได้สั่นคลอนความเชื่อในทุก ๆ ที่เขาเดินไปข้างหน้า 


( ภาพประกอบ : ศพของเจ้า Tarkus ที่ตกลงมาตาย )


Undead นิรนามมองดูเหล่า Silver Knight ที่ตั้งเเถวประจันหน้าเตรียมยิงมหาคันธนู(Great Bow) เข้ามาใส่ ชุดเกราะอันส่องสว่างดุจดวงดาวใต้พระอาทิตย์ของพวกมัน ไม่ได้มอบความรู้สึกภาคภูมิเเละเกียรติยศเเก่หัวใจของ Undead นิรนามอีกต่อไป เขาเริ่มค่อย ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงเเค่คนโง่เคราที่เต็มใจยอมทำตามคำสั่งราวกับเป็นหุ่นเชิดไร้วิญญาณ


( ภาพประกอบ : Silver Knight ภายใน Anor Londo ถือเป็นศัตรูที่น่ารำคาญมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยเพราะว่ามันมักจะอยู่ในที่ ๆ เราสามารถพลาดพลังได้ง่าย )


         ส่วนพวกยักษ์ Sentinel ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่หลอกด้วยคำสัญญากลวง ๆ พวกมันเชื่อมั่นว่าเทพเจ้าเป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ถึงขนาดสามารถร่ายเวทมนต์ Miracle ขั้นสูงอย่าง Wrath of the Gods และ Healing อันเป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้แรงศรัทธาได้ (Faith) เผลอ ๆ พวกมันอาจจะมีเเรงศรัทธามากกว่าเหล่า Silver Knight หรือนักบวชของ Way of White บางคนเสียอีก!


( ภาพประกอบ : Royal Sentinel ที่กำลังร่ายเวทมนตร์ Miracle )


        
บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header