ในงาน State of Unreal ที่ผ่านมา อีกหนึ่งข่าวที่น่าสนใจก็คือ การที่ตัวเกมภาคใหม่ในแฟรนไชส์ The Witcher ได้ประกาศจะใช้ Unreal Engine 5 ในการพัฒนาทดแทน REDengine ตัวเดิมที่เคยใช้ทำเกม The Witcher มาตั้งแต่ภาค The Witcher 2: Assassins of Kings นั่นเอง
โดย Jason Slama ผู้กำกับเกมซีรีส์ The Witcher ประจำ CD Projekt RED ได้ออกมากล่าวถึงเบื้องหลังที่เขาเลือกใช้ Unreal Engine 5 ในการพัฒนาตัวเกมภาคใหม่ว่า ด้วยตัว Engine ที่ Epic Games จะเป็นคนดูแล มันจะทำให้ CD Projekt RED สามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาเกมได้มากยิ่งขึ้น ผู้เล่นสามารถสำรวจในทุก ๆ ที่ได้ตามใจอยาก และเราก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การกระทำใด ๆ ก็ตาม มันจะไม่ส่ดงผลให้อีก 1,600 สถานที่อื่น ๆ ภายในเกมต้องพังลง หรือเกิดบั๊กขึ้น
ซึ่งหากเราพิจารณาคำพูดของ Jason ให้ดีแล้ว นี่อาจจะเป็นการบอกใบ้ถึงขนาดแผนที่ รวมไปถึงการเป็นเกมโลกเปิดแบบกลาย ๆ ก็เป็นได้
เพราะทั้งคำว่า การสำรวจทุก ๆ ที่ได้ตามใจอยาก จะสื่อถึงเกมแนว Open-world แล้ว จำนวนสถานที่ 1,600 แห่งนั้นยังช่วยสื่อถึงขนาดแผนที่ที่กว้างใหญ่ได้อีกด้วย
และถึงแม้ตัวเกม The Witcher ภาคใหม่จะใช้ Engine ของ Epic Games ในการพัฒนา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องขายเกมนี้แบบ Exclusive บน Epic Games Stroe แต่เพียงเท่านั้น
ทั้งนี้คาดว่าตัวเกมน่าจะวางจำหน่ายบนเครื่องคอนโซลยุคใหม่อย่าง Xbox Series X/S และ PS5 ไปจนถึง PC อย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวเกม ก็ยังต้องรอติดตามข่าวสารกันต่อไปนะครับ
แหล่งข้อมูล: gamingbolt
ในงาน State of Unreal ที่ผ่านมา อีกหนึ่งข่าวที่น่าสนใจก็คือ การที่ตัวเกมภาคใหม่ในแฟรนไชส์ The Witcher ได้ประกาศจะใช้ Unreal Engine 5 ในการพัฒนาทดแทน REDengine ตัวเดิมที่เคยใช้ทำเกม The Witcher มาตั้งแต่ภาค The Witcher 2: Assassins of Kings นั่นเอง
โดย Jason Slama ผู้กำกับเกมซีรีส์ The Witcher ประจำ CD Projekt RED ได้ออกมากล่าวถึงเบื้องหลังที่เขาเลือกใช้ Unreal Engine 5 ในการพัฒนาตัวเกมภาคใหม่ว่า ด้วยตัว Engine ที่ Epic Games จะเป็นคนดูแล มันจะทำให้ CD Projekt RED สามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาเกมได้มากยิ่งขึ้น ผู้เล่นสามารถสำรวจในทุก ๆ ที่ได้ตามใจอยาก และเราก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การกระทำใด ๆ ก็ตาม มันจะไม่ส่ดงผลให้อีก 1,600 สถานที่อื่น ๆ ภายในเกมต้องพังลง หรือเกิดบั๊กขึ้น
ซึ่งหากเราพิจารณาคำพูดของ Jason ให้ดีแล้ว นี่อาจจะเป็นการบอกใบ้ถึงขนาดแผนที่ รวมไปถึงการเป็นเกมโลกเปิดแบบกลาย ๆ ก็เป็นได้
เพราะทั้งคำว่า การสำรวจทุก ๆ ที่ได้ตามใจอยาก จะสื่อถึงเกมแนว Open-world แล้ว จำนวนสถานที่ 1,600 แห่งนั้นยังช่วยสื่อถึงขนาดแผนที่ที่กว้างใหญ่ได้อีกด้วย
และถึงแม้ตัวเกม The Witcher ภาคใหม่จะใช้ Engine ของ Epic Games ในการพัฒนา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องขายเกมนี้แบบ Exclusive บน Epic Games Stroe แต่เพียงเท่านั้น
ทั้งนี้คาดว่าตัวเกมน่าจะวางจำหน่ายบนเครื่องคอนโซลยุคใหม่อย่าง Xbox Series X/S และ PS5 ไปจนถึง PC อย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวเกม ก็ยังต้องรอติดตามข่าวสารกันต่อไปนะครับ
แหล่งข้อมูล: gamingbolt