“ในที่สุดเราก็ได้พบกัน...”
“ผู้สืบเชื้อสายของนักพรตหญิง...”
“ท่าได้ยินเสียงข้าหรือไม่?”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้สืบเชื้อสายของนักพรตหญิงลืมตาขึ้น เธอเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กในชุดสีขาว ดวงไฟดวงน้อยกำลังที่ลอยอยู่คือสิ่งที่สนทนากับเธอ
“ท่านฟื้นแล้วสินะ...”
“อย่างน้อยก็คงไม่แย่ไปกว่านี้”
เด็กสาวค่อย ๆ ยันตัวขึ้น ทันใดนั้นดวงไฟดวงนั้นก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอัศวินในชุดเกราะที่ดูโกโรโกโส ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอ
“ข้าทำให้ท่านกลัวหรือ?”
เด็กสาวพยักหน้า
“การคงอยู่ของข้าขึ้นอยู่กับนักพรตเช่นท่าน”
“ท่านจำได้หรือไม่ว่าชะตาใดบังเกิดกับพื้นแผ่นดินแห่งนี้?”
หญิงสาวส่ายหัวน้อย ๆ ของเธอ
“แม้แต่ความทรงจำของท่านก็หายไปด้วยรึ...”
“อาจจะดีกว่าหากท่านได้เห็นสภาพภายนอกด้วยตาตนเอง”
บทสนทนาข้างตนคือการปูเรื่องราวสู่ ENDER LILIES: Quietus of the Knights เกมแนว 2D-Side Scrolling Metroidvania ที่เป็นที่ฮือฮากันในเดือนที่ผ่าน ทุก ๆ ฝ่ายต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมนี้เป็นเลิศทั้งงานศิลป์ ดนตรี และเกมเพลย์ ซึ่ง ณ จุดนี้ผู้เขียนเองก็ไม่ได้มีความเห็นที่ต่างไปจากกระแสสังคมนัก เพียงแต่คิดว่า ENDER LILIES: Quietus of the Knights ทำได้ดีเทียบชั้นเกม Metroidvania อื่น ๆ ทว่ายังไม่สามารถก้าวข้ามเหล่ารุ่นพี่ของมันได้ จึงอยากยกหัวข้อหลัก ๆ ที่ทำให้เกมนี้ดี แต่ก้าวข้ามเกมรุ่นก่อนไม่ได้มาให้ดูกัน
เด็กสาวและอัศวิน : Lilies And Knight(s)
เราได้รับบทเป็นเด็กสาวชื่อ Lily (หรือ Lilies) ที่ถูกเรียกว่านักพรตหญิง เธอมีความสามารถในการชำระล้าง Blight (คำสาป) ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดุร้าย หรือเปลี่ยนให้เป็นสัตว์ประหลาด สามารถเรียกใช้วิญญาณของผู้คนที่เธอชำระล้างออกมาโจมตี และสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ (จำกัดครั้ง รีเซ็ตเมื่อเซฟ) ระบบต่อสู้หลัก ๆ ของเกมก็มีเพียงโจมตี สวนกลับ และหลบ ซึ่งเพิ่มความหลากหลายด้วยชนิดของวิญญาณที่ปลดล็อคออกมาให้ใช้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งเกม โดยมีทั้งวิญญาณที่โจมตีธรรมดา สามารถใช้ได้ไม่จำกัด ปลดล็อคจากบอสเนื้อเรื่อง และวิญญาณที่โจมตีแบบพิเศษ เช่น ปล่อยพิษ ยิงคลื่นพลัง เรียกพรรคพวก วิญญาณแบบนี้จะใช้ได้จำกัดครั้ง รีเซ็ตเมื่อเซฟ และผู้เล่นต้องออกตามหาศัตรูระบบ MiniBoss ที่ดรอปวิญญาณนั้น ๆ โดยวิญญาณทุกชนิดสามารถอัปเกรดได้ด้วยการเก็บเศษวิญญาณตามที่ต่าง
การพัฒนาตัว Lily อีกอย่างคือการใส่ Relic ที่หาเก็บได้ทั่วแผนที่ Relic แต่ละชิ้นใช้พื้นที่ไม่เท่ากัน ผู้เล่นสามารถเพิ่มช่องใส่ Relic ได้ทั่วแผนที่อีกเช่นกัน เช่นเดียวกับพลังชีวิตและความแรงในการฮีลที่ต้องตามเก็บจากที่ต่าง ๆ และระบบเลเวลที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเล็ก ๆ น้อย ๆ
ปราสาท : Castle
พื้นที่หลักที่เราจะได้ผจญภัยไปตลอดการเล่นคือปราสาทและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งนี่เป็นอะไรที่ฉีกตัวเกมให้โดดเด่นกว่าเกมอื่นในตลาดเลยทีเดียว การใช้งานศิลป์โทน Dark Fantasy สามารถถ่ายทอดความตายและการล่มสลายซึ่งเป็นธีมหลักของเกมได้เป็นอย่างเต็มประสิทธิภาพ และดนตรีที่แม้จะไม่ติดหู แต่ก็พูดได้ว่าไพเราะเสนาะหู และเมื่อยิ่งเล่น ยิ่งเข้าไปในส่วนที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ ดนตรีก็ยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ (ในทางที่ดี) สื่อถึงความบิดเบี้ยวของสิ่งที่ตัวเกมจะสื่อถึง
วิญญาณ : Souls
ไม่รู้ว่าการนำเสนอแบบ Dark Souls ที่ไม่ค่อยจะเล่าอะไรมากมาย เน้นทิ้งปริศนาไว้ในคำพูด ไอเทม และชื่อบอส ให้ผู้เล่นได้ปะติดปะต่อไขความลับแก้ปริศนากันเอาเองเป็นที่นิยมตั้งแต่เมื่อไร แต่การนำเสนอแบบนี้กลับเหมาะกับเกมแนว Dark Fantasy ทั้งหลาย (Salt & Sanctuary, Hollow Kinght, Blasphemous) เหลือเกิน ซึ่ง ENDER LILIES ก็ทำออกมาได้ไม่น่าเหลียดและไม่ยัดเยียดจนเกินไป แต่หากเล่นจบโดยไม่อ่านเอกสารก็จะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ทำให้คนที่ไม่อ่านเอกสารหรือเก็บเอกสารไว้อ่านทีหลัง ไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ในเกมและอินไปกับเนื้อเรื่องได้
อย่างที่ได้เกริ่นไปว่า แม้ ENDER LILIES จะได้แรงบันดาลใจหลาย ๆ ด้านมาจากเกมรุ่นพี่ทั้งหลาย เช่น เกมเพลย์จาก Hollow Kinght และ Castlevania งานศิลป์และการเล่าเรื่องโทน Dark Fantasy สไตล์ Dark Souls แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าและความสุดยอดของ ENDER LILIES ไปเลยแม้แต่หน่วยเดียว กลับกัน สิ่งที่เกมนี้หยิบมาใช้แสดงให้เห็นถึงความ “ใหม่” ที่ซ่อนอยู่ในเกมเก่า ๆ ทั้งหลาย ตอกย้ำว่าไม่มีระบบใดที่เก่าเกินไปหากถูกหยิบมาใช้อย่างพอเหมาะและผสมกันอย่างพอดี
“ในที่สุดเราก็ได้พบกัน...”
“ผู้สืบเชื้อสายของนักพรตหญิง...”
“ท่าได้ยินเสียงข้าหรือไม่?”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้สืบเชื้อสายของนักพรตหญิงลืมตาขึ้น เธอเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กในชุดสีขาว ดวงไฟดวงน้อยกำลังที่ลอยอยู่คือสิ่งที่สนทนากับเธอ
“ท่านฟื้นแล้วสินะ...”
“อย่างน้อยก็คงไม่แย่ไปกว่านี้”
เด็กสาวค่อย ๆ ยันตัวขึ้น ทันใดนั้นดวงไฟดวงนั้นก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอัศวินในชุดเกราะที่ดูโกโรโกโส ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอ
“ข้าทำให้ท่านกลัวหรือ?”
เด็กสาวพยักหน้า
“การคงอยู่ของข้าขึ้นอยู่กับนักพรตเช่นท่าน”
“ท่านจำได้หรือไม่ว่าชะตาใดบังเกิดกับพื้นแผ่นดินแห่งนี้?”
หญิงสาวส่ายหัวน้อย ๆ ของเธอ
“แม้แต่ความทรงจำของท่านก็หายไปด้วยรึ...”
“อาจจะดีกว่าหากท่านได้เห็นสภาพภายนอกด้วยตาตนเอง”
บทสนทนาข้างตนคือการปูเรื่องราวสู่ ENDER LILIES: Quietus of the Knights เกมแนว 2D-Side Scrolling Metroidvania ที่เป็นที่ฮือฮากันในเดือนที่ผ่าน ทุก ๆ ฝ่ายต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมนี้เป็นเลิศทั้งงานศิลป์ ดนตรี และเกมเพลย์ ซึ่ง ณ จุดนี้ผู้เขียนเองก็ไม่ได้มีความเห็นที่ต่างไปจากกระแสสังคมนัก เพียงแต่คิดว่า ENDER LILIES: Quietus of the Knights ทำได้ดีเทียบชั้นเกม Metroidvania อื่น ๆ ทว่ายังไม่สามารถก้าวข้ามเหล่ารุ่นพี่ของมันได้ จึงอยากยกหัวข้อหลัก ๆ ที่ทำให้เกมนี้ดี แต่ก้าวข้ามเกมรุ่นก่อนไม่ได้มาให้ดูกัน
เด็กสาวและอัศวิน : Lilies And Knight(s)
เราได้รับบทเป็นเด็กสาวชื่อ Lily (หรือ Lilies) ที่ถูกเรียกว่านักพรตหญิง เธอมีความสามารถในการชำระล้าง Blight (คำสาป) ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดุร้าย หรือเปลี่ยนให้เป็นสัตว์ประหลาด สามารถเรียกใช้วิญญาณของผู้คนที่เธอชำระล้างออกมาโจมตี และสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ (จำกัดครั้ง รีเซ็ตเมื่อเซฟ) ระบบต่อสู้หลัก ๆ ของเกมก็มีเพียงโจมตี สวนกลับ และหลบ ซึ่งเพิ่มความหลากหลายด้วยชนิดของวิญญาณที่ปลดล็อคออกมาให้ใช้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งเกม โดยมีทั้งวิญญาณที่โจมตีธรรมดา สามารถใช้ได้ไม่จำกัด ปลดล็อคจากบอสเนื้อเรื่อง และวิญญาณที่โจมตีแบบพิเศษ เช่น ปล่อยพิษ ยิงคลื่นพลัง เรียกพรรคพวก วิญญาณแบบนี้จะใช้ได้จำกัดครั้ง รีเซ็ตเมื่อเซฟ และผู้เล่นต้องออกตามหาศัตรูระบบ MiniBoss ที่ดรอปวิญญาณนั้น ๆ โดยวิญญาณทุกชนิดสามารถอัปเกรดได้ด้วยการเก็บเศษวิญญาณตามที่ต่าง
การพัฒนาตัว Lily อีกอย่างคือการใส่ Relic ที่หาเก็บได้ทั่วแผนที่ Relic แต่ละชิ้นใช้พื้นที่ไม่เท่ากัน ผู้เล่นสามารถเพิ่มช่องใส่ Relic ได้ทั่วแผนที่อีกเช่นกัน เช่นเดียวกับพลังชีวิตและความแรงในการฮีลที่ต้องตามเก็บจากที่ต่าง ๆ และระบบเลเวลที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเล็ก ๆ น้อย ๆ
ปราสาท : Castle
พื้นที่หลักที่เราจะได้ผจญภัยไปตลอดการเล่นคือปราสาทและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งนี่เป็นอะไรที่ฉีกตัวเกมให้โดดเด่นกว่าเกมอื่นในตลาดเลยทีเดียว การใช้งานศิลป์โทน Dark Fantasy สามารถถ่ายทอดความตายและการล่มสลายซึ่งเป็นธีมหลักของเกมได้เป็นอย่างเต็มประสิทธิภาพ และดนตรีที่แม้จะไม่ติดหู แต่ก็พูดได้ว่าไพเราะเสนาะหู และเมื่อยิ่งเล่น ยิ่งเข้าไปในส่วนที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ ดนตรีก็ยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ (ในทางที่ดี) สื่อถึงความบิดเบี้ยวของสิ่งที่ตัวเกมจะสื่อถึง
วิญญาณ : Souls
ไม่รู้ว่าการนำเสนอแบบ Dark Souls ที่ไม่ค่อยจะเล่าอะไรมากมาย เน้นทิ้งปริศนาไว้ในคำพูด ไอเทม และชื่อบอส ให้ผู้เล่นได้ปะติดปะต่อไขความลับแก้ปริศนากันเอาเองเป็นที่นิยมตั้งแต่เมื่อไร แต่การนำเสนอแบบนี้กลับเหมาะกับเกมแนว Dark Fantasy ทั้งหลาย (Salt & Sanctuary, Hollow Kinght, Blasphemous) เหลือเกิน ซึ่ง ENDER LILIES ก็ทำออกมาได้ไม่น่าเหลียดและไม่ยัดเยียดจนเกินไป แต่หากเล่นจบโดยไม่อ่านเอกสารก็จะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ทำให้คนที่ไม่อ่านเอกสารหรือเก็บเอกสารไว้อ่านทีหลัง ไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ในเกมและอินไปกับเนื้อเรื่องได้
อย่างที่ได้เกริ่นไปว่า แม้ ENDER LILIES จะได้แรงบันดาลใจหลาย ๆ ด้านมาจากเกมรุ่นพี่ทั้งหลาย เช่น เกมเพลย์จาก Hollow Kinght และ Castlevania งานศิลป์และการเล่าเรื่องโทน Dark Fantasy สไตล์ Dark Souls แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าและความสุดยอดของ ENDER LILIES ไปเลยแม้แต่หน่วยเดียว กลับกัน สิ่งที่เกมนี้หยิบมาใช้แสดงให้เห็นถึงความ “ใหม่” ที่ซ่อนอยู่ในเกมเก่า ๆ ทั้งหลาย ตอกย้ำว่าไม่มีระบบใดที่เก่าเกินไปหากถูกหยิบมาใช้อย่างพอเหมาะและผสมกันอย่างพอดี