เกมแข่งรถสุดน่ารักที่อยู่คู่กับบริษัทสัญชาติเกาหลีอย่าง Nexon มานานอย่าง KartRider กำลังจะเปิดให้บริการภาคใหม่ภายใต้ชื่อ KartRider: Drift ซึ่งทางผู้เขียนก็ได้เข้าไปสัมผัสกับตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta มาด้วยตัวเอง วันนี้เลยมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง
ตัวเกมยังคงใช้งานภาพสไตล์สดใส น่ารัก ที่เป็นจุดเด่นของเกม KartRider เอาไว้เหมือนเช่นเคย ซึ่งใน KartRider: Drift นี้ได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการพัฒนาอีกด้วย เพราะฉะนั้นรับรองเรื่องความสวยงามรวมไปถึงเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้เลย
ในขณะเดียวกัน คงไม่ต้องบอกว่าหากใครที่ชอบภาพแนวสมจริง เกม KartRider: Drift คงไม่เหมาะกับคุณสักเท่าไร เพราะตัวเกมไม่ได้มีการให้แสงเงาที่สมจริงหรือโดดเด่นขนาดนั้น แต่ก็แลกกลับมาด้วยการกินแรงเครื่องที่น้อยลงเช่นกัน โดยตัวเกมต้องการ RAM เพียง 8 GB และการ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง GTX 780 ti หรือ RX 5500 XT เท่านั้นเอง
การควบคุมที่ไม่ซับซ้อน
การควบคุมในเกม KartRider: Drift นั้นใช้ปุ่มเพียงแค่ 7 ปุ่ม นั่นคือปุ่มลูกศร ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ทั้ง 4 ปุ่มในการควบคุมทิศทาง ไปจนถึงการเร่งความเร็วและการเบรก ปุ่ม Shift ใช้ในการดริฟต์ ปุ่ม Ctrl ใช้ในการกดใช้ไอเทม และปุ่ม Alt ใช้ในการสับเปลี่ยนไอเทม แม้การควบคุมอาจจะฟังดูง่าย แต่พอได้ลองจับเองแล้ว จะรู้สึกว่ามันยากกว่าที่คิดทันที
ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะ Ping จากการเชื่อมต่อกับผู้เล่นอื่นๆ ที่มาจากทางไกล หรือว่าเพราะตัวเกมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จังหวะในการขับรถมักจะรู้สึกถึงอาการหน่วงๆ อยู่เสมอ จึงทำให้บังคับตัวรถไม่ได้ดั่งใจนึกเท่าไรนัก
และตัวเกมยังได้ใส่ระบบช่วยมองข้างหลังมาด้วย ซึ่งช่วยเอาไว้ให้ผู้เล่นรับรู้สถานการณ์ แถมยังช่วยให้สามารถขัดขวางเส้นทางของคู่แข่งที่พยายามแซงเราได้ด้วย
โหมดต่างๆ ของตัวเกม
สิ่งที่ทำให้ KartRider: Drift นั้นโดดเด่นจากเกมแข่งรถทั่วไปนั่นคือการใช้ไอเทม ที่ช่วยส่งเสริมให้เกมนี้เข้าถึงผู้คนง่ายมากยิ่งขึ้น และ Item Mode ยังเป็นระบบการเล่นหลักของตัวเกมอีกด้วย โดย Item Mode นี้จะมีทั้ง Solo 1 คน, Duo 2 คน ไปจนถึง Squad 4 คนเลย ซึ่งภายในหนึ่งห้อง จะมีผู้เล่นทั้งหมดรวมกัน 8 คนด้วยกัน
ไอเทมต่างๆ จะสามารถเก็บได้จากการขับชนกล่องไอเทมตามฉาก โดยตัวไอเทมจะมีหลากหลายประเภทแตกต่างกันไปตามลำดับของผู้เล่นที่เก็บได้ ณ ตอนนั้น เช่น หากผู้เล่นอยู่ในลำดับท้ายๆ ตัวผู้เล่นมักจะได้ไอเทมประเภทเร่งความเร็วที่ช่วยให้สามารถไล่กวดผู้เล่นอันดับต้นๆ ได้ทัน
ถ้าผู้เล่นอยู่ในอันดับกลางๆ ก็มักจะได้ไอเทมประเภทที่ใช้ปั่นป่วนคู่ต่อสู้ และถ้าอยู่อันดับต้นๆ ก็มักจะได้ไอเทมที่ช่วยป้องกัน ทำให้เกมการเล่นมีจังหวะชิงไหวชิงพริบระหว่างผู้เล่นอยู่เสมอ อีกทั้งตัวผู้เล่นยังสามารถเก็บไอเทมได้ 2 ช่อง ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไอเทมนี้ในช่วงเวลาไหน
โดยไอเทมต่างๆ มีรายชื่อดังนี้ (ไอเทมบางชนิดจะมีในเฉพาะโหมดทีมอีกด้วย)
Water Wisp: ภูติน้ำที่ช่วยล็อกเป้าผู้เล่นคนอื่นที่อยู่อันดับเหนือกว่าผู้ใช้หนึ่งคน และขังอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่ง
Water Bomb: ระเบิดน้ำที่จะสร้างกับดักเป็นพื้นที่กว้าง หากใครขับไปชนมันระหว่างที่แสดงผลอยู่ ะทำให้ติดอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน
Magnet: แม่เหล็กที่สามารถเลือกเป้าหมายด้านหน้าได้ ตัวผู้ใช้กับเป้าหมาย จะถูกดึงดูดเข้าหากัน (หากผู้ใช้ดูดจนแซงหน้าเป้าหมายไปแล้ว ผู้ใช้จะถูกชลอความเร็วลงแทน)
Missile: ยิงจรวดใส่เป้าหมาย ต้องเลือกเป้าหมายเอง หากเล็งไม่ดีอาจจะพลาดเป้าได้
Seeker Missile: จรวดติดตามเป้าหมาย ไม่มีทางพลาดเป้า เพียงแค่กดยิง ก็จะพุ่งไปหาเป้าที่ใกล้ที่สุดโดยทันที
UFO: ทำให้อันดับที่ 1 ลอยขึ้นบนฟ้าชั่วครู่ ช่วยชลอความเร็ว
Shield: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นคนอื่นได้ 1 ครั้ง
Angel Armour: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นทีมอื่นได้ 1 ครั้ง แสดงผลทั้งทีม
Banana: วางเปลือกกล้วยเอาไว้บนทาง คนที่เหยียบจะทำให้รถหมุน เสียการควบคุม
Barricade: วางสิ่งกีดขวางเอาไว้ด้านหน้าสามจุด คนที่ขับไปชน จะถูกลดความเร็วลง
Lighting: สร้างเมฆสายฟ้าขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง และผ่าผู้เล่นทุกคน ทำให้ความเร็วลดลง
Lock: ทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถใช้ไอเทมได้ชั่วคราว
Boost: เพิ่มความเร็วในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
นอกจาก Item Mode แล้ว สำหรับคนที่อยากจะประลองฝีมือแบบจริงจังก็ยังมี Speed Mode ที่จะปลดล็อกหลังจากผู้เล่นสอบ License ระดับ Intermediate ผ่าน โดยโหมดนี้จะไม่มีไอเทม จะเป็นการวัดฝีมือในการขับขี่ ลัดเลาะทางโค้ง รวมถึงใช้ฝีมือในการดริตฟ์เพื่อเก็บเกจบูสแข่งกันเท่านั้น
และสำหรับใครที่อยากจะท้าทายตัวเองก็ยังมีโหมด Time Attack ที่จะเป็นการเล่นคนเดียว จับเวลาว่าผู้เล่นจะสามารถทำเวลาที่ดีที่สุดได้เท่าไร โหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยทำความคุ้นเคยกับสนามแข่งได้ดี โดยหากใครอยากเทียบสถิติกับผู้เล่นคนอื่นในเซิร์ฟเวอร์ ตัวเกมก็มี Time Attack แบบ Ranked Challenge ที่จะเก็บสถิติเวลาของคนทั้งเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ และเอามาเทียบกันได้อีกด้วย
ส่วนใครที่อยากจะสร้างห้องเล่นเกมขำๆ กับเพื่อน ตัวเกมก็ยังรองรับด้วย Custom Race ที่ให้สร้างห้อง เลือกด่าน ได้ตามใจชอบ เหมาะสำหรับคนที่อยากเฮฮากับเพื่อนๆ เฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องไปสุ่มเจอกับคนอื่นในตัวเกมให้เสียอารมณ์เปล่าๆ
ต้องยอมรับว่า หากเกม KartRider ตัดระบบการใช้ไอเทมออกไป มันจะกลายเป็นเหมือนกับเกมแข่งรถดาดๆ ที่มีดีแค่ภาพน่ารัก ดึงดูดสาย Casual เท่านั้นเอง ซึ่งหากว่ากันตามตรง ระบบการใช้ไอเทมก็พอจะให้ความบันเทิงกับผู้เล่นได้อยู่บ้าง มีบ่อยครั้งที่ผู้เล่นสามารถพลิกกลับมาจากอันดับสุดท้าย กลายเป็นอันดับที่ 1 ได้ หากวางแผนใช้ไอเทมที่เก็บมาอย่างชาญฉลาด ซึ่งตรงจุดนี้ตัวเกมก็นำเสมอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ตัวเกมอาจจะมีการควบคุม และเกมการเล่นที่ไม่ซับซ้อน แต่การเล่นให้ชำนาญก็ถือว่ายากเอาเรื่องเช่นกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “เล่นให้เป็นง่าย แต่เล่นให้เก่งยาก”
สนามแข่งที่มีให้เลือกมากมายถึง 33 รูปแบบ
ในตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta นั้น มาพร้อมกับสนามแข่งทั้งหมด 33 แห่ง โดยแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ และความยากที่แตกต่างกันไป โดยสนามที่ง่ายๆ นั้นเส้นทางจะไม่ซับซ้อน มีการหักโค้งไม่เยอะเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางตรงเสียมากกว่า และสำหรับในด่านที่ยากขึ้นนั้น เส้นทางจะค่อนข้างซับซ้อนและคดเคี้ยวมากกว่าเดิม ทำให้การควบคุมรถจะต้องใช้ฝีมือของผู้เล่นมากยิ่งขึ้น ความยากง่ายของแต่ละสนามจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งแน่นอนว่า สนามระดับ 1 ที่ง่ายสุด มีจำนวนให้เล่นเยอะที่สุดเช่นกัน
การออกแบบสนามแข่งของเกม KartRider: Drift นั้นก็มีความหลากหลาย บางสนามจะมีรถรางมาคอยวิ่งตัดหน้าผู้เล่น บางสนามก็จะมีเนินเล็กๆ ให้ผู้เล่นเร่งความเร็วเพื่อดีดตัวขึ้นไปกลางอากาศได้ ซึ่งหากผู้เล่นคนไหนสามารถดึงจุดเด่นของแต่ละสนามออกมาใช้ได้ดี ผู้เล่นคนนั้นย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งอย่างแน่นอน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การออกแบบสนามแข่งทำออกมาค่อนข้างสร้างสรรค์ ผู้เล่นจะได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ต่อให้สุ่มไปเจอสนามเดิม แต่การขับรถก็จะเปลี่ยนไป เพราะไอเทมที่เจอ ผู้เล่นคนอื่น มันเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นี่จึงช่วยทำให้ KartRider: Drift สามารถดึงผู้เล่นที่ชื่นชอบความเร็วให้ติดหนึบอยู่กับหน้าจอได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ความหลากหลายของยานพาหนะ
ในตอน Closed Beta อาจจะยังมีรถให้เลือกไม่มากนัก แต่รถที่มีระดับต่างกัน ก็ให้สเตตัสที่ต่างกันอีกด้วย
โดยสเตตัสของตัวรถจะถูกแบ่งออกเป็น 7 อย่าง ได้แก่
ความเร็งสูงสุด
อัตราเร่ง
ประสิทธิภาพในการดริฟต์
ความแรงในการออกตัว
ระยะเวลาบูสต์
พลังของบูสเตอร์
การควบคุม
เท่าที่เห็นในตอนนี้ รถที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะมีสเตตัสที่เหมือนกัน ถึงจะเป็นรถคนละแบบก็ตาม นี่จึงกลายเป็นคำถามว่า ‘แล้วจะทำรถคันอื่นๆ มาทำไมถ้ามันให้ค่าพลังที่เหมือนกัน’ หากจะอ้างว่ามันเป็นแฟชั่นก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเท่าไรนัก เพราะตัวเกมก็มีระบบแต่งรถมาให้อยู่แล้ว โดยปรับได้ตั้งแต่ล้อ ยันไฟจากเกจบูสต์ ดังนั้นตัวเกมในเวอร์ชัน Open Beta อาจจะมีอะไรที่้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็เป็นได้
ไร้วี่แววของระบบร้านค้า
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจที่ภายในเกม KartRider: Drift ไม่มีระบบร้านค้าเข้ามา โดยทางผู้พัฒนาได้เขียนอธิบายตัวเกมใน Steam เอาไว้ว่า “ท้าทายกับเพื่อนของคุณข้ามผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยที่ไม่มีพรมแดน และไม่มีกำแพงของการจ่ายเงินเพื่อเก่งกว่า (Pay to Win) ทำให้ทุกคนสามารถมีช่วงเวลาที่สนุกกับเกมนี้ได้ แม้กำลังแข่งขันกับเพื่อตำแหน่งอันดับต้นๆ ของเซิร์ฟเวอร์ก็ตาม ”
ซึ่งนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเกมตัดระบบร้านค้าออกไป ส่วนไอเทมต่างๆ ที่จะมาใช้แต่งรถนั้นจะได้มาจากการทำเควส หรือการเติม Racing Pass ที่ยิ่งเล่น ก็จะยิ่งปลดล็อก โดยไอเทมที่ได้มานั้นจะไม่มีผลใดๆ ต่อตัวค่าพลังของรถเลย
งานนี้ต้องมาดูกันว่า ระบบเกมที่ไร้ร้านค้าแบบนี้จะรุ่งหรือจะร่วงกันแน่
เล่นฟรีทุกแพลตฟอร์ม
เป็นอีกหนึ่งเกม Cross Platform ที่น่าจะค่อนข้างยุติธรรม เพราะไม่มีแพลตฟอร์มไหนได้เปรียบพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเล่นเกม FPS แบบข้ามแพลตฟอร์ม ผู้เล่นที่ใช้จอยมักจะเล็งเป้าละเอียดสู้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์ไม่ได้ และถ้าทางผู้พัฒนาใส่ระบบช่วยเล็งมาให้ผู้เล่นที่ใช้จอย บางทีก็จะแม่นจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์หัวร้อนได้เช่นกัน แต่เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับ KartRider: Drift อย่างแน่นอน เนื่องจากตัวเกมทำออกมาในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ควบคุมง่าย ทำให้ทุกแพลตฟอร์มสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุกสนาน เท่าเทียมกัน
ควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?
KartRider: Drift เป็นเกมที่มีระบบเข้าถึงง่าย ทั้งการควบคุมที่ไม่ซับซ้อน ประกอบกับภาพที่น่ารักสดใส เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ถึงกระนั้นตัวเกมก็ไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือแตกต่างไปจากเกมในประเภทเดียวกัน ไอเทมที่เป็นจุดชูโรงของตัวเกม ล้วนเคยถูกนำเสนอในเกมแข่งรถสายแคชชวลมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Mario Kart หรือ Speed Drifter ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เกมพวกนี้ล้วนหยิบยืมไอเดียกันไปมาอยู่เสมอๆ
ด้านภาพกราฟิกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา อาจจะเพราะต้องการทำให้ทุกคนและทุกแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงง่าย ทางทีมพัฒนาเลยไม่ได้ใส่ทุกอย่างแบบจัดเต็ม และเลือกนำเสนอในรูปแบบที่พื้นๆ แต่ยังคงความน่ารักของแฟรนไชส์เอาไว้แทนที่ ซึ่งก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรนัก แต่ถ้าคนที่ชอบภาพแนวสมจริง คงจะต้องขอโบกมือลาเกมนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดของตัวเกมก็คงหนีไม่พ้น การเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างลื่นไหล ตลอดการเล่นช่วง Closed Beta ตัวผู้เขียนมักจะเห็นผู้เล่นจากแพลตฟอร์มอื่นอยู่เสมอ โดยตัวเกมได้ขึ้นบอกเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องคอนโซลนั้นๆ ที่มุมซ้ายบนของจอ ทั้งนี้อาจจะเพราะยังเป็นช่วง Closed Beta อยู่ จึงทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นผู้เล่นจากเครื่องคอนโซลเยอะขนาดนั้นก็เป็นได้
สำหรับใครที่กำลังมองหาเกมสนุกๆ ภาพน่ารัก เอาไว้เล่นกับเพื่อน เล่นกับแฟน หรือเอาไว้เล่นฆ่าเวลา KartRider: Drift ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ด้วยองค์ประกอบของเกมฟรี เข้าถึงง่าย เล่นเป็นง่าย โหมดที่รองรับคนหลากหลายประเภท ทั้ง Speed Mode ที่วัดฝีมือการขับรถกันเพียวๆ หรือ Time Attack ที่เน้นความท้าทายกับผู้เล่น
แถมยังตัวเกมยังรองรับหลายแพลตฟอร์ม และไร้ระบบ Pay To Win เกมแข่งรถสายแคชชวลเกมนี้ก็น่าจับตามอง และเชื่อว่าในเกมเวอร์ชั่นเต็มน่าจะปรับแก้ข้อบกพร่องต่างๆ ได้ไม่มากก็น้อย
เกมแข่งรถสุดน่ารักที่อยู่คู่กับบริษัทสัญชาติเกาหลีอย่าง Nexon มานานอย่าง KartRider กำลังจะเปิดให้บริการภาคใหม่ภายใต้ชื่อ KartRider: Drift ซึ่งทางผู้เขียนก็ได้เข้าไปสัมผัสกับตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta มาด้วยตัวเอง วันนี้เลยมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง
ตัวเกมยังคงใช้งานภาพสไตล์สดใส น่ารัก ที่เป็นจุดเด่นของเกม KartRider เอาไว้เหมือนเช่นเคย ซึ่งใน KartRider: Drift นี้ได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการพัฒนาอีกด้วย เพราะฉะนั้นรับรองเรื่องความสวยงามรวมไปถึงเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้เลย
ในขณะเดียวกัน คงไม่ต้องบอกว่าหากใครที่ชอบภาพแนวสมจริง เกม KartRider: Drift คงไม่เหมาะกับคุณสักเท่าไร เพราะตัวเกมไม่ได้มีการให้แสงเงาที่สมจริงหรือโดดเด่นขนาดนั้น แต่ก็แลกกลับมาด้วยการกินแรงเครื่องที่น้อยลงเช่นกัน โดยตัวเกมต้องการ RAM เพียง 8 GB และการ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง GTX 780 ti หรือ RX 5500 XT เท่านั้นเอง
การควบคุมที่ไม่ซับซ้อน
การควบคุมในเกม KartRider: Drift นั้นใช้ปุ่มเพียงแค่ 7 ปุ่ม นั่นคือปุ่มลูกศร ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ทั้ง 4 ปุ่มในการควบคุมทิศทาง ไปจนถึงการเร่งความเร็วและการเบรก ปุ่ม Shift ใช้ในการดริฟต์ ปุ่ม Ctrl ใช้ในการกดใช้ไอเทม และปุ่ม Alt ใช้ในการสับเปลี่ยนไอเทม แม้การควบคุมอาจจะฟังดูง่าย แต่พอได้ลองจับเองแล้ว จะรู้สึกว่ามันยากกว่าที่คิดทันที
ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะ Ping จากการเชื่อมต่อกับผู้เล่นอื่นๆ ที่มาจากทางไกล หรือว่าเพราะตัวเกมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จังหวะในการขับรถมักจะรู้สึกถึงอาการหน่วงๆ อยู่เสมอ จึงทำให้บังคับตัวรถไม่ได้ดั่งใจนึกเท่าไรนัก
และตัวเกมยังได้ใส่ระบบช่วยมองข้างหลังมาด้วย ซึ่งช่วยเอาไว้ให้ผู้เล่นรับรู้สถานการณ์ แถมยังช่วยให้สามารถขัดขวางเส้นทางของคู่แข่งที่พยายามแซงเราได้ด้วย
โหมดต่างๆ ของตัวเกม
สิ่งที่ทำให้ KartRider: Drift นั้นโดดเด่นจากเกมแข่งรถทั่วไปนั่นคือการใช้ไอเทม ที่ช่วยส่งเสริมให้เกมนี้เข้าถึงผู้คนง่ายมากยิ่งขึ้น และ Item Mode ยังเป็นระบบการเล่นหลักของตัวเกมอีกด้วย โดย Item Mode นี้จะมีทั้ง Solo 1 คน, Duo 2 คน ไปจนถึง Squad 4 คนเลย ซึ่งภายในหนึ่งห้อง จะมีผู้เล่นทั้งหมดรวมกัน 8 คนด้วยกัน
ไอเทมต่างๆ จะสามารถเก็บได้จากการขับชนกล่องไอเทมตามฉาก โดยตัวไอเทมจะมีหลากหลายประเภทแตกต่างกันไปตามลำดับของผู้เล่นที่เก็บได้ ณ ตอนนั้น เช่น หากผู้เล่นอยู่ในลำดับท้ายๆ ตัวผู้เล่นมักจะได้ไอเทมประเภทเร่งความเร็วที่ช่วยให้สามารถไล่กวดผู้เล่นอันดับต้นๆ ได้ทัน
ถ้าผู้เล่นอยู่ในอันดับกลางๆ ก็มักจะได้ไอเทมประเภทที่ใช้ปั่นป่วนคู่ต่อสู้ และถ้าอยู่อันดับต้นๆ ก็มักจะได้ไอเทมที่ช่วยป้องกัน ทำให้เกมการเล่นมีจังหวะชิงไหวชิงพริบระหว่างผู้เล่นอยู่เสมอ อีกทั้งตัวผู้เล่นยังสามารถเก็บไอเทมได้ 2 ช่อง ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไอเทมนี้ในช่วงเวลาไหน
โดยไอเทมต่างๆ มีรายชื่อดังนี้ (ไอเทมบางชนิดจะมีในเฉพาะโหมดทีมอีกด้วย)
Water Wisp: ภูติน้ำที่ช่วยล็อกเป้าผู้เล่นคนอื่นที่อยู่อันดับเหนือกว่าผู้ใช้หนึ่งคน และขังอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่ง
Water Bomb: ระเบิดน้ำที่จะสร้างกับดักเป็นพื้นที่กว้าง หากใครขับไปชนมันระหว่างที่แสดงผลอยู่ ะทำให้ติดอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน
Magnet: แม่เหล็กที่สามารถเลือกเป้าหมายด้านหน้าได้ ตัวผู้ใช้กับเป้าหมาย จะถูกดึงดูดเข้าหากัน (หากผู้ใช้ดูดจนแซงหน้าเป้าหมายไปแล้ว ผู้ใช้จะถูกชลอความเร็วลงแทน)
Missile: ยิงจรวดใส่เป้าหมาย ต้องเลือกเป้าหมายเอง หากเล็งไม่ดีอาจจะพลาดเป้าได้
Seeker Missile: จรวดติดตามเป้าหมาย ไม่มีทางพลาดเป้า เพียงแค่กดยิง ก็จะพุ่งไปหาเป้าที่ใกล้ที่สุดโดยทันที
UFO: ทำให้อันดับที่ 1 ลอยขึ้นบนฟ้าชั่วครู่ ช่วยชลอความเร็ว
Shield: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นคนอื่นได้ 1 ครั้ง
Angel Armour: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นทีมอื่นได้ 1 ครั้ง แสดงผลทั้งทีม
Banana: วางเปลือกกล้วยเอาไว้บนทาง คนที่เหยียบจะทำให้รถหมุน เสียการควบคุม
Barricade: วางสิ่งกีดขวางเอาไว้ด้านหน้าสามจุด คนที่ขับไปชน จะถูกลดความเร็วลง
Lighting: สร้างเมฆสายฟ้าขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง และผ่าผู้เล่นทุกคน ทำให้ความเร็วลดลง
Lock: ทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถใช้ไอเทมได้ชั่วคราว
Boost: เพิ่มความเร็วในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
นอกจาก Item Mode แล้ว สำหรับคนที่อยากจะประลองฝีมือแบบจริงจังก็ยังมี Speed Mode ที่จะปลดล็อกหลังจากผู้เล่นสอบ License ระดับ Intermediate ผ่าน โดยโหมดนี้จะไม่มีไอเทม จะเป็นการวัดฝีมือในการขับขี่ ลัดเลาะทางโค้ง รวมถึงใช้ฝีมือในการดริตฟ์เพื่อเก็บเกจบูสแข่งกันเท่านั้น
และสำหรับใครที่อยากจะท้าทายตัวเองก็ยังมีโหมด Time Attack ที่จะเป็นการเล่นคนเดียว จับเวลาว่าผู้เล่นจะสามารถทำเวลาที่ดีที่สุดได้เท่าไร โหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยทำความคุ้นเคยกับสนามแข่งได้ดี โดยหากใครอยากเทียบสถิติกับผู้เล่นคนอื่นในเซิร์ฟเวอร์ ตัวเกมก็มี Time Attack แบบ Ranked Challenge ที่จะเก็บสถิติเวลาของคนทั้งเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ และเอามาเทียบกันได้อีกด้วย
ส่วนใครที่อยากจะสร้างห้องเล่นเกมขำๆ กับเพื่อน ตัวเกมก็ยังรองรับด้วย Custom Race ที่ให้สร้างห้อง เลือกด่าน ได้ตามใจชอบ เหมาะสำหรับคนที่อยากเฮฮากับเพื่อนๆ เฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องไปสุ่มเจอกับคนอื่นในตัวเกมให้เสียอารมณ์เปล่าๆ
ต้องยอมรับว่า หากเกม KartRider ตัดระบบการใช้ไอเทมออกไป มันจะกลายเป็นเหมือนกับเกมแข่งรถดาดๆ ที่มีดีแค่ภาพน่ารัก ดึงดูดสาย Casual เท่านั้นเอง ซึ่งหากว่ากันตามตรง ระบบการใช้ไอเทมก็พอจะให้ความบันเทิงกับผู้เล่นได้อยู่บ้าง มีบ่อยครั้งที่ผู้เล่นสามารถพลิกกลับมาจากอันดับสุดท้าย กลายเป็นอันดับที่ 1 ได้ หากวางแผนใช้ไอเทมที่เก็บมาอย่างชาญฉลาด ซึ่งตรงจุดนี้ตัวเกมก็นำเสมอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ตัวเกมอาจจะมีการควบคุม และเกมการเล่นที่ไม่ซับซ้อน แต่การเล่นให้ชำนาญก็ถือว่ายากเอาเรื่องเช่นกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “เล่นให้เป็นง่าย แต่เล่นให้เก่งยาก”
สนามแข่งที่มีให้เลือกมากมายถึง 33 รูปแบบ
ในตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta นั้น มาพร้อมกับสนามแข่งทั้งหมด 33 แห่ง โดยแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ และความยากที่แตกต่างกันไป โดยสนามที่ง่ายๆ นั้นเส้นทางจะไม่ซับซ้อน มีการหักโค้งไม่เยอะเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางตรงเสียมากกว่า และสำหรับในด่านที่ยากขึ้นนั้น เส้นทางจะค่อนข้างซับซ้อนและคดเคี้ยวมากกว่าเดิม ทำให้การควบคุมรถจะต้องใช้ฝีมือของผู้เล่นมากยิ่งขึ้น ความยากง่ายของแต่ละสนามจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งแน่นอนว่า สนามระดับ 1 ที่ง่ายสุด มีจำนวนให้เล่นเยอะที่สุดเช่นกัน
การออกแบบสนามแข่งของเกม KartRider: Drift นั้นก็มีความหลากหลาย บางสนามจะมีรถรางมาคอยวิ่งตัดหน้าผู้เล่น บางสนามก็จะมีเนินเล็กๆ ให้ผู้เล่นเร่งความเร็วเพื่อดีดตัวขึ้นไปกลางอากาศได้ ซึ่งหากผู้เล่นคนไหนสามารถดึงจุดเด่นของแต่ละสนามออกมาใช้ได้ดี ผู้เล่นคนนั้นย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งอย่างแน่นอน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การออกแบบสนามแข่งทำออกมาค่อนข้างสร้างสรรค์ ผู้เล่นจะได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ต่อให้สุ่มไปเจอสนามเดิม แต่การขับรถก็จะเปลี่ยนไป เพราะไอเทมที่เจอ ผู้เล่นคนอื่น มันเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นี่จึงช่วยทำให้ KartRider: Drift สามารถดึงผู้เล่นที่ชื่นชอบความเร็วให้ติดหนึบอยู่กับหน้าจอได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ความหลากหลายของยานพาหนะ
ในตอน Closed Beta อาจจะยังมีรถให้เลือกไม่มากนัก แต่รถที่มีระดับต่างกัน ก็ให้สเตตัสที่ต่างกันอีกด้วย
โดยสเตตัสของตัวรถจะถูกแบ่งออกเป็น 7 อย่าง ได้แก่
ความเร็งสูงสุด
อัตราเร่ง
ประสิทธิภาพในการดริฟต์
ความแรงในการออกตัว
ระยะเวลาบูสต์
พลังของบูสเตอร์
การควบคุม
เท่าที่เห็นในตอนนี้ รถที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะมีสเตตัสที่เหมือนกัน ถึงจะเป็นรถคนละแบบก็ตาม นี่จึงกลายเป็นคำถามว่า ‘แล้วจะทำรถคันอื่นๆ มาทำไมถ้ามันให้ค่าพลังที่เหมือนกัน’ หากจะอ้างว่ามันเป็นแฟชั่นก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเท่าไรนัก เพราะตัวเกมก็มีระบบแต่งรถมาให้อยู่แล้ว โดยปรับได้ตั้งแต่ล้อ ยันไฟจากเกจบูสต์ ดังนั้นตัวเกมในเวอร์ชัน Open Beta อาจจะมีอะไรที่้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็เป็นได้
ไร้วี่แววของระบบร้านค้า
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจที่ภายในเกม KartRider: Drift ไม่มีระบบร้านค้าเข้ามา โดยทางผู้พัฒนาได้เขียนอธิบายตัวเกมใน Steam เอาไว้ว่า “ท้าทายกับเพื่อนของคุณข้ามผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยที่ไม่มีพรมแดน และไม่มีกำแพงของการจ่ายเงินเพื่อเก่งกว่า (Pay to Win) ทำให้ทุกคนสามารถมีช่วงเวลาที่สนุกกับเกมนี้ได้ แม้กำลังแข่งขันกับเพื่อตำแหน่งอันดับต้นๆ ของเซิร์ฟเวอร์ก็ตาม ”
ซึ่งนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเกมตัดระบบร้านค้าออกไป ส่วนไอเทมต่างๆ ที่จะมาใช้แต่งรถนั้นจะได้มาจากการทำเควส หรือการเติม Racing Pass ที่ยิ่งเล่น ก็จะยิ่งปลดล็อก โดยไอเทมที่ได้มานั้นจะไม่มีผลใดๆ ต่อตัวค่าพลังของรถเลย
งานนี้ต้องมาดูกันว่า ระบบเกมที่ไร้ร้านค้าแบบนี้จะรุ่งหรือจะร่วงกันแน่
เล่นฟรีทุกแพลตฟอร์ม
เป็นอีกหนึ่งเกม Cross Platform ที่น่าจะค่อนข้างยุติธรรม เพราะไม่มีแพลตฟอร์มไหนได้เปรียบพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเล่นเกม FPS แบบข้ามแพลตฟอร์ม ผู้เล่นที่ใช้จอยมักจะเล็งเป้าละเอียดสู้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์ไม่ได้ และถ้าทางผู้พัฒนาใส่ระบบช่วยเล็งมาให้ผู้เล่นที่ใช้จอย บางทีก็จะแม่นจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์หัวร้อนได้เช่นกัน แต่เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับ KartRider: Drift อย่างแน่นอน เนื่องจากตัวเกมทำออกมาในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ควบคุมง่าย ทำให้ทุกแพลตฟอร์มสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุกสนาน เท่าเทียมกัน
ควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?
KartRider: Drift เป็นเกมที่มีระบบเข้าถึงง่าย ทั้งการควบคุมที่ไม่ซับซ้อน ประกอบกับภาพที่น่ารักสดใส เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ถึงกระนั้นตัวเกมก็ไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือแตกต่างไปจากเกมในประเภทเดียวกัน ไอเทมที่เป็นจุดชูโรงของตัวเกม ล้วนเคยถูกนำเสนอในเกมแข่งรถสายแคชชวลมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Mario Kart หรือ Speed Drifter ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เกมพวกนี้ล้วนหยิบยืมไอเดียกันไปมาอยู่เสมอๆ
ด้านภาพกราฟิกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา อาจจะเพราะต้องการทำให้ทุกคนและทุกแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงง่าย ทางทีมพัฒนาเลยไม่ได้ใส่ทุกอย่างแบบจัดเต็ม และเลือกนำเสนอในรูปแบบที่พื้นๆ แต่ยังคงความน่ารักของแฟรนไชส์เอาไว้แทนที่ ซึ่งก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรนัก แต่ถ้าคนที่ชอบภาพแนวสมจริง คงจะต้องขอโบกมือลาเกมนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดของตัวเกมก็คงหนีไม่พ้น การเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างลื่นไหล ตลอดการเล่นช่วง Closed Beta ตัวผู้เขียนมักจะเห็นผู้เล่นจากแพลตฟอร์มอื่นอยู่เสมอ โดยตัวเกมได้ขึ้นบอกเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องคอนโซลนั้นๆ ที่มุมซ้ายบนของจอ ทั้งนี้อาจจะเพราะยังเป็นช่วง Closed Beta อยู่ จึงทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นผู้เล่นจากเครื่องคอนโซลเยอะขนาดนั้นก็เป็นได้
สำหรับใครที่กำลังมองหาเกมสนุกๆ ภาพน่ารัก เอาไว้เล่นกับเพื่อน เล่นกับแฟน หรือเอาไว้เล่นฆ่าเวลา KartRider: Drift ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ด้วยองค์ประกอบของเกมฟรี เข้าถึงง่าย เล่นเป็นง่าย โหมดที่รองรับคนหลากหลายประเภท ทั้ง Speed Mode ที่วัดฝีมือการขับรถกันเพียวๆ หรือ Time Attack ที่เน้นความท้าทายกับผู้เล่น
แถมยังตัวเกมยังรองรับหลายแพลตฟอร์ม และไร้ระบบ Pay To Win เกมแข่งรถสายแคชชวลเกมนี้ก็น่าจับตามอง และเชื่อว่าในเกมเวอร์ชั่นเต็มน่าจะปรับแก้ข้อบกพร่องต่างๆ ได้ไม่มากก็น้อย