GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
[บทความ] Final Fantasy XIV Online: Endwalker ความรู้สึกจากสัปดาห์แรก กับบทจบมหากาพย์ MMO หนึ่งทศวรรษ
ลงวันที่ 16/12/2021

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้ เขียนขึ้นจากข้อมูล ระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเปิด Early Access ของ Final Fantasy XIV: Endwalker จนถึงวันที่ 10 ธันวาคม รวมระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ โดยอาชีพหลัก Black Mage ที่เลเวล 90 และสองอาชีพใหม่ Reaper กับ Sage ที่เลเวล 85 พร้อมดำเนินเนื้อหาไปถึงดันเจียนที่สี่ ประกอบกับลองสกิลกับความเปลี่ยนแปลงของอาชีพอื่นๆ ที่เลเวล 80 ทั้งหมดที่มี

หมายเหตุ 2: บทความนี้ ใช้ภาพประกอบจากเว็บไซต์ Media ของ Final Fantasy XIV: Endwalker เพื่อป้องกันการเปิดเผยเนื้อหาภายในเกม และเป็นภาพที่ได้รับประชาสัมพันธ์จากงาน Fanfest ตลอดปี 2021 โดยไม่ได้เผยพื้นที่ในช่วงครึ่งหลัง

หมายเหตุ 3: มาถึงจุดนี้ เราไม่อยากจะทำตัวเป็นป้ายโฆษณาเดินได้ แต่ถ้ายังมีคนสงสัยและสนใจ ว่าทำไมคนแห่กันไปเล่น Final Fantasy XIV Online กันเยอะเหลือเกิน ก็ขอเชิญร่วมอ่านได้ในบทความ ชิ้นนี้

***************************************************************************************************

สำหรับ ‘เกมออนไลน์’ หรือ ‘MMORPG’ หนึ่งๆ แล้วนั้น การที่จะสร้างชิ้นงานให้เกิดขึ้น และเปิดให้บริการในก้าวแรก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากในธรรมชาติของมัน เพราะนี่คือประเภทของเกมที่แตกต่างไปจากเพื่อนร่วมสารบบอื่นๆ ทั้งในแง่ทางเทคนิค ที่ต้องใช้ฝีมือและการลงแรงอย่างมหาศาล จนถึงศิลป์ ที่ต้องสร้างโลกที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดให้ผู้เล่น ยอมทุ่มเทเวลา ไม่เพียงแค่หลักสิบ แต่เป็นหลักร้อย หลักพันชั่วโมง

และยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าเกมออนไลน์ที่ยืนระยะมาได้ยาวนานในเวลาเกือบ ‘หนึ่งทศวรรษ’ ที่ต้องทบเนื้อหาผ่านแพทช์ และภาคเสริมที่จะตามมา ดึงความสนใจของผู้เล่นเก่าให้คงอยู่ พร้อมเชิญชวนหน้าใหม่ให้เข้ามาสัมผัส มันก็เปรียบได้กับการสร้างเกมใหม่ ซ้ำๆ ในรอบระยะเวลาสองถึงสามปี ใครที่คิดจะกระโดดลงมาในสนาม MMORPG นี้ ถ้าไม่เตรียมใจให้พร้อมจริงๆ อาจจะม้วนเสื่อ กลับบ้าน เพราะต้านทานความกดดันและมรสุมที่เข้ามากระทบไม่ไหว


และ ‘Final Fantasy XIV’ ก็คือหนึ่งในการเดินทางที่อาจจะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ….

จากผลงานเวอร์ชัน ‘Legacy 1.0’ ที่เปิดตัวได้อย่างย่ำแย่ จนต้องได้รับการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ เป็น Naoki Yoshida ผู้ ‘พังเรือเก่า’ ทิ้ง และสร้างเรือลำใหม่เป็น ‘A Realm Reborn’ ฝ่าคลื่นลมและคำครหา จนมาถึง ‘Endwalker’ ภาคเสริมตัวที่สี่ ตัวล่าสุด ที่ได้รับความคาดหวังเป็นอย่างสูง และเป็น ‘บทจบ Saga Hydaelyn/Zodiark' ที่เดินเรื่องมาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อล้างกระดาน และสร้างการเดินทางครั้งใหม่ (ใช่… การเดินทางเก่าจบ แต่การเดินทางใหม่ ยังคงอยู่ เขาบอกกับเราเช่นนั้น)


หนึ่งในอีเวนท์ 'ปิดเกม' สุดอลังกาลแห่งแวดวง 'การระเบิดแห่งดวงจันทร์ Dalamud' ที่นำไปสู่ 'Final Fantasy XIV Online: A Realm Reborn'

และเมื่อตัวเกมเปิดให้บริการแบบ Early Access สำหรับผู้สั่งซื้อล่วงหน้า ในวันที่ 3 ธันวาคม ผู้เขียนก็ไม่รอช้า ที่จะรีบเข้าไปสัมผัส กับบทตอนถัดไป หลังจากระยะเวลาที่รอคอยมาเกือบสองปี และผ่านการเลื่อนวางจำหน่ายมาหนึ่งครั้ง เป็นเย็นย่ำที่ตั้งใจ ว่าจะตะลุยไปอย่างต่อเนื่อง รุดหน้า ไม่รอช้า และอาจจะ ‘ไม่หลับไม่นอน’ ให้สมกับที่รอคอย (และเป็นสิ่งที่กระทำมาตลอดทุกครั้งที่ภาคเสริมใหม่ออก ในระยะเวลา 8 ปีที่เล่นเกมนี้...)

จนกระทั่งได้พบกับอุปสรรคสำคัญ ความท้าทายแรกที่ไม่ได้พบเจอมานานนับตั้งแต่ภาคเสริมตัวที่สามอย่าง Stormblood เป็นต้นมา …… จำนวนคนเข้าเกม


นี่คือ 'จำนวนคนในวันเปิด Early Access' เวลา 17.00 น ของวันที่ 3 ธันวาคม ... และผู้เขียนใช้เวลากว่าสองชั่วโมงครึ่ง กว่าที่จะเข้าเกมได้ (เพื่อที่สุดท้าย เซิร์ฟเวอร์ Tonberry จะเกิดการ Overload ถีบผู้เล่น ไปต่อคิวใหม่...)

จำนวนคนเข้าเกมระดับหลักสี่พันบวก …. ที่พร้อมทะลักแย่งกันเข้ามาเล่นในวันแรกที่เกมเปิดให้บริการ คือสิ่งที่ผู้เขียนพอจะคาดเดาไว้ได้บ้างในเบื้องต้น แต่ความสาหัสในระดับที่ต่อคิวแล้วหลุดจนต้องต่อใหม่ เข้าเกมไม่ได้ หรือเปิดแม้กระทั่ง Launcher ไม่ได้ นับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่พอสมควร ถ้าจะมองในแง่บวก มันสะท้อนถึงความสนใจของผู้คนที่อยากจะเข้ามาสัมผัสโลกแห่ง Final Fantasy XIV ที่มากกว่าเคย แต่ในระยะยาว กว่าที่ปัญหานี้จะคลี่คลาย ภายใต้สภาวะที่การเดินทางและการทำงานในแบบ On-Site ยังถูกจำกัดจากการระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น มันน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นต้องอยู่กับมันอีกพักใหญ่ๆ


(กระนั้น จากวันที่ 3 ธันวาคมเป็นต้นมา อาการและจำนวนคนในคิวในการเข้าเล่นก็ลดน้อยลง แม้ยังต้องระวังช่วง ‘Prime Time’ ของคนญี่ปุ่น คือเวลา 16.00 น ถึง 20.00 น ตามเวลาประเทศไทย บน Date Center ฝั่ง JP อย่าง Elemental และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซิร์ฟเวอร์ประชากรหนาแน่นอย่าง Tonberry….)

อย่างไรก็ดี ถ้าไม่นับปัญหาในทางเทคนิคที่เป็นเรื่องที่ต้องพบเจออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเข้าไปถึงตัวเกมและเปิดเนื้อหาแรก เบิกโรงสู่ Endwalker มันสานต่อเรื่องราวที่ทิ้งค้างจากแพทช์ 5.55 อันเป็นบทตอนสุดท้ายของ Shadowbringers ได้อย่างไม่เสียเวลา วิกฤติแห่งดวงดาว แผนร้ายที่ซุกซ่อน และพื้นที่ใหม่อย่าง Old Sharlayan ที่ได้รับการประชาสัมพันธ์มาแต่แรกเริ่ม ถูกนำเสนอให้กลายเป็นอีกหนึ่ง Hub หลัก ที่ค่อนข้างจะสวยงามน่าเดิน คลอด้วยเสียงเพลงและบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกชิล ก่อนพาไปสู่ Labyrinthos พื้นที่เรือนกระจกเบื้องล่าง เป็นจังหวะ ‘ผ่อนคลาย’ เพื่อให้ผู้เล่นได้ทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ใหม่ได้อย่างน่าสนใจ


แต่มันก็เพียงไม่นาน เพราะช่วงเวลา Downtime ถูกทดแทนด้วยการถีบของเนื้อหา นำส่งความระทึก ความลับ และนำพาผู้เล่นไปสู่ Thavnair หมู่เกาะทางตอนใต้ของ Othard ที่บรรยากาศแบบเขตร้อน สีสันอันฉูดฉาด และกลิ่นอายแบบบาหลีผสมศรีลังกากับอินเดีย ช่วยตัดอารมณ์ให้รู้สึกคึกคักขึ้น กับเรื่องราวการผจญภัยในดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในบรรดาไอเทมเกือบทุกภาค แต่เป็น Endwalker ที่ผู้เล่นได้มีโอกาสเดินทางมาสัมผัสด้วยตนเอง และใช้เวลาอีกสักพัก ที่เนื้อหาขมวดปม และพาไปสู่ Hub ใหม่อย่าง Radz-at-Han เมืองหลวงของเกาะ


และเมื่อสองเนื้อหาบรรจบ…. ก็ถึงเวลาเปิดดันเจียนแรก

โดยโครงสร้างแล้ว ดันเจียนแรกอย่าง ‘Tower of Zot’ ที่ได้รับการเปิดเผยจากตอนรอบสื่อ Media Tour และ Streamer นั้น แม้เพลงกับบรรยากาศ การออกแบบงานศิลป์ เนื้อหาเกริ่นก่อนเข้าพื้นที่ รวมถึง Boss Fight จะค่อนข้างน่าสนใจ แต่ก็โดยรวมในแง่การจัดวาง โครงสร้างของการเล่นยังไม่ได้มีจุดที่แปลกใหม่ หรือมี Mechanic การเล่นที่ซับซ้อนมากนัก คนที่คุ้นชินกับเกมแนว MMORPG และ Final Fantasy XIV มาก่อน ก็สามารถฝ่าอุปสรรคได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่จุดที่น่าสนใจคือระบบ ‘Trust’ หรือการลุยดันเจียนด้วยลูกทีม AI ตามเนื้อเรื่อง ที่ถูกปรับปรุงขึ้น ทั้งในแง่อารมณ์ร่วมตามเนื้อหา จนถึง ‘ความสมจริง’ กล่าวคือ พวกเขาจะไม่ได้มีความ ‘เป๊ะ’ แบบไร้ข้อผิดพลาดเหมือนตอน Shadowbringers แต่จะมีบุคลิก เทคนิค และจังหวะที่ทำให้ต้องลุ้นอยู่เพื่อความท้าทาย แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังคงเป็นระบบที่ดี เพื่อใช้ศึกษา Boss Fight ก่อนจะใช้ระบบ Duty Finder (หรือใครจะเรียนรู้หน้างานกับผู้เล่นคนอื่นทันที ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด)

พูดถึงการลุยดันเจียนและการต่อสู้แล้ว อาจจะต้องขอวกกลับไปพูดถึงสองอาชีพใหม่ที่ได้รับการเปิดเผยตามระยะเวลาอย่าง Reaper และ Sage ที่เป็น Melee DPS และ Healer ใหม่ตามลำดับ แน่นอน อาชีพโจมตีระยะใกล้ที่ใช้ ‘เคียว’ คือสิ่งที่ผู้เล่นคาดหวังและเรียกร้องกันมานาน ซึ่ง Reaper ก็ตอบโจทย์ในจุดนี้ 

เมื่อไต่ระดับ Reaper ไปจนถึงเลเวล 80 'การอัญเชิงวิญญาณสิงร่าง' ช่วยเปิดลูกเล่นการโจมตีเร่งแดเมจจังหวะสาม ซึ่งไปกันได้ดีกับ Flow ของสกิลเดิมที่มี และเล่นได้สนุกมาก

ช่วงแรก ผู้เขียนกลัวว่านี่จะเป็นอีกอาชีพที่เล่นได้ยาก เพราะต้องมีการสะสม Resource เพื่อออกท่าพิเศษแบ่งเป็นสามจังหวะ โจมตีธรรมดาเพื่อเก็บ Soul Guage เมื่อถึงระดับ ใช้ท่าจังหวะสองเพื่อเก็บ Shroud Guage ก่อนจะเรียก Avatar มา ‘สิงร่าง’ และโจมตีท่าใหญ่ ฟังดูยุ่งยาก แต่เมื่อได้ลองจับไปจนถึงเลเวล 85 ก็พบว่า มันเรียบง่ายกว่าที่คิด ทุกอย่างลื่นไหลและไปตาม Flow อีกทั้งยังมี Utility สำหรับรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ค่อนข้างดี เชื่อว่าน่าจะเป็นอีกอาชีพที่เป็นตัวเร่งแดเมจได้หนักๆ ใน Raid Content ที่จะตามมาอย่างแน่นอน

ใส่เกราะ ติดบัฟ งัดเลือดฉุกเฉิน คือบทบาทสำคัญของ Sage 'DPS ที่ฮีลได้' ที่ต้องล้างความเข้าใจใหม่สำหรับคนเล่นสายฮีล แม้จะมีความใกล้เคียงกับ Scholar ก็ตาม

ในทางกลับกัน Sage กลับเป็นอาชีพสายฮีลที่ผู้เล่นสายฮีลต้องปรับความเข้าใจกันเกือบหมด เพราะแม้ฟังก์ชันหลักจะคล้ายกับ Scholar ในฐานะ ‘นักใส่เกราะ’ แต่ด้วยความที่ทุกการโจมตี จะแปรเปลี่ยนเป็นค่าฮีลให้กับคนที่ Sage ทำการมาร์คสัญลักษณ์ด้วยสกิล Kardia ทำให้รูปแบบทั้งหลายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งไม่นับรวม Utility จำนวนมหาศาลที่มีในมือ และความแรงของท่าฮีลปกติที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสายฮีลอื่นๆ มันจึงเป็น Healer ที่ผู้เล่นต้องตื่นตัวตลอดเวลา เล่นชำนาญได้ค่อนข้างยาก แต่ถ้าจับอยู่มือ นี่คืออาชีพที่ลื่นไหล และน่าจะสร้างความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์สาย End Game ได้ค่อนข้างดี

นี่คือตัวอย่างแผงสกิลเลเวล 90 ของ Black Mage ที่เป็นอาชีพหลักของผู้เขียน ซึ่งท่าที่เพิ่มเข้ามา มีเพียง 'สองท่า' ส่วนที่เหลือ คือการอัพเกรดจาก Trait ให้ท่าเดิมมีประสิทธิภาพ และอาชีพอื่นก็ไม่ต่างกัน

ในส่วนอาชีพอื่นนั้น ความเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปธรรมแบบพลิกกลับไม่ได้มีให้เห็น แต่จะมาในรูปแบบของการบูสต์สกิลเดิมผ่าน Trait และปรับสมดุลของท่าต่างๆ อย่าง Black Mage ที่เป็นอาชีพเมนหลักของผู้เขียน ในเลเวล 90 มีความคล่องตัวที่มากขึ้น และสกิลต่างๆ ก็ปรับให้สะดวกขึ้น เช่น Timer ของท่าที่นานกว่าเดิม ท่าร่ายคาถาทันทีที่เก็บเป็น Stack และอื่นๆ ส่วนอาชีพอื่น ก็ถูกปรับท่าให้สามารถทำคอมโบต่อเนื่องดีขึ้น เปิดทางเลือกในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เป็นต้น

Summoner คืออาชีพที่ได้รับการยกเครื่องยกชุด บอกลา Damage over Time เพราะคราวนี้ มาเพื่อ 'เผา' และ 'เผา' ที่น่าจะสะใจหน้าเก่า และเล่นได้ง่ายสำหรับหน้าใหม่ (ภาพจากวิดีโอ Job Action โดย SQEN)

ยกเว้น Summoner …. ที่ถูกยกเครื่องใหม่ ที่คราวนี้ เป็นคลาสของการทำลายล้างอย่างจริงจัง หมุนสกิลวนทำลายหมู่ แทนที่จะเป็นการใส่ Damage over Time ซึ่งเชื่อว่า ผู้เล่นใหม่น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก และผู้เล่นเก่าที่เรียกร้องให้อาชีพนี้ได้รับการปรับปรุง คงสมใจอยากกันในที่สุด

มาถึงจุดนี้ ผู้เขียนดำเนินเนื้อหาไปจนถึงเรื่องราวดันเจียนที่สี่ (วันที่ 10 ธันวาคม) ที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อและสถานที่ได้ (เพราะเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ได้มีในการโฆษณาในที่ใดๆ มาก่อน) แต่เนื้อหาทั้งหมดนั้น เข้มข้น จัดหนัก และมีจุดพลิกผันที่ทำให้ต้องร้องอุทานอยู่บ่อยครั้ง แต่ …. มันมีช่วง Downtime ระหว่างจังหวะที่ค่อนข้างสูง และความ ‘หนืด’ ของการบอกเล่าเรื่องราวที่หนักกว่าทุกภาคเสริมที่ผ่านมา จนชวนให้กังวลอยู่ไม่น้อย ว่า Pace ของมัน จะทำให้ผู้เล่นตกหล่นระหว่างทางหรือไม่

แต่โดยภาพรวม Impression ของผู้เขียนในช่วงหนึ่งสัปดาห์ของ Final Fantasy XIV: Endwalker นั้น ค่อนข้างเป็นไปได้อย่างน่าพึงพอใจ แม้จะยังมีจุดที่คิดว่ายังต้องติ และยังคงลุ้นต่อว่ามันจะปิดฉากลง ณ จุดใด แต่ถ้าถามว่าภาคเสริมนี้คุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่

ถ้ามันคือภาคที่จะปิดจบ Saga ของเนื้อหาที่ผู้เขียนและผู้เล่น XIV อยู่ด้วยกันมาเกือบทศวรรษ ก็คิดว่ามันน่าจะมีปลายทางที่น่าพึงพอใจ สมกับเวลาที่รอคอย และควรค่ากับความรู้สึกที่มีให้กับเรื่องราวกับความผูกพันที่มีมานั่นล่ะครับ


GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[บทความ] Final Fantasy XIV Online: Endwalker ความรู้สึกจากสัปดาห์แรก กับบทจบมหากาพย์ MMO หนึ่งทศวรรษ
16/12/2021

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้ เขียนขึ้นจากข้อมูล ระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเปิด Early Access ของ Final Fantasy XIV: Endwalker จนถึงวันที่ 10 ธันวาคม รวมระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ โดยอาชีพหลัก Black Mage ที่เลเวล 90 และสองอาชีพใหม่ Reaper กับ Sage ที่เลเวล 85 พร้อมดำเนินเนื้อหาไปถึงดันเจียนที่สี่ ประกอบกับลองสกิลกับความเปลี่ยนแปลงของอาชีพอื่นๆ ที่เลเวล 80 ทั้งหมดที่มี

หมายเหตุ 2: บทความนี้ ใช้ภาพประกอบจากเว็บไซต์ Media ของ Final Fantasy XIV: Endwalker เพื่อป้องกันการเปิดเผยเนื้อหาภายในเกม และเป็นภาพที่ได้รับประชาสัมพันธ์จากงาน Fanfest ตลอดปี 2021 โดยไม่ได้เผยพื้นที่ในช่วงครึ่งหลัง

หมายเหตุ 3: มาถึงจุดนี้ เราไม่อยากจะทำตัวเป็นป้ายโฆษณาเดินได้ แต่ถ้ายังมีคนสงสัยและสนใจ ว่าทำไมคนแห่กันไปเล่น Final Fantasy XIV Online กันเยอะเหลือเกิน ก็ขอเชิญร่วมอ่านได้ในบทความ ชิ้นนี้

***************************************************************************************************

สำหรับ ‘เกมออนไลน์’ หรือ ‘MMORPG’ หนึ่งๆ แล้วนั้น การที่จะสร้างชิ้นงานให้เกิดขึ้น และเปิดให้บริการในก้าวแรก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากในธรรมชาติของมัน เพราะนี่คือประเภทของเกมที่แตกต่างไปจากเพื่อนร่วมสารบบอื่นๆ ทั้งในแง่ทางเทคนิค ที่ต้องใช้ฝีมือและการลงแรงอย่างมหาศาล จนถึงศิลป์ ที่ต้องสร้างโลกที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดให้ผู้เล่น ยอมทุ่มเทเวลา ไม่เพียงแค่หลักสิบ แต่เป็นหลักร้อย หลักพันชั่วโมง

และยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าเกมออนไลน์ที่ยืนระยะมาได้ยาวนานในเวลาเกือบ ‘หนึ่งทศวรรษ’ ที่ต้องทบเนื้อหาผ่านแพทช์ และภาคเสริมที่จะตามมา ดึงความสนใจของผู้เล่นเก่าให้คงอยู่ พร้อมเชิญชวนหน้าใหม่ให้เข้ามาสัมผัส มันก็เปรียบได้กับการสร้างเกมใหม่ ซ้ำๆ ในรอบระยะเวลาสองถึงสามปี ใครที่คิดจะกระโดดลงมาในสนาม MMORPG นี้ ถ้าไม่เตรียมใจให้พร้อมจริงๆ อาจจะม้วนเสื่อ กลับบ้าน เพราะต้านทานความกดดันและมรสุมที่เข้ามากระทบไม่ไหว


และ ‘Final Fantasy XIV’ ก็คือหนึ่งในการเดินทางที่อาจจะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ….

จากผลงานเวอร์ชัน ‘Legacy 1.0’ ที่เปิดตัวได้อย่างย่ำแย่ จนต้องได้รับการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ เป็น Naoki Yoshida ผู้ ‘พังเรือเก่า’ ทิ้ง และสร้างเรือลำใหม่เป็น ‘A Realm Reborn’ ฝ่าคลื่นลมและคำครหา จนมาถึง ‘Endwalker’ ภาคเสริมตัวที่สี่ ตัวล่าสุด ที่ได้รับความคาดหวังเป็นอย่างสูง และเป็น ‘บทจบ Saga Hydaelyn/Zodiark' ที่เดินเรื่องมาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อล้างกระดาน และสร้างการเดินทางครั้งใหม่ (ใช่… การเดินทางเก่าจบ แต่การเดินทางใหม่ ยังคงอยู่ เขาบอกกับเราเช่นนั้น)


หนึ่งในอีเวนท์ 'ปิดเกม' สุดอลังกาลแห่งแวดวง 'การระเบิดแห่งดวงจันทร์ Dalamud' ที่นำไปสู่ 'Final Fantasy XIV Online: A Realm Reborn'

และเมื่อตัวเกมเปิดให้บริการแบบ Early Access สำหรับผู้สั่งซื้อล่วงหน้า ในวันที่ 3 ธันวาคม ผู้เขียนก็ไม่รอช้า ที่จะรีบเข้าไปสัมผัส กับบทตอนถัดไป หลังจากระยะเวลาที่รอคอยมาเกือบสองปี และผ่านการเลื่อนวางจำหน่ายมาหนึ่งครั้ง เป็นเย็นย่ำที่ตั้งใจ ว่าจะตะลุยไปอย่างต่อเนื่อง รุดหน้า ไม่รอช้า และอาจจะ ‘ไม่หลับไม่นอน’ ให้สมกับที่รอคอย (และเป็นสิ่งที่กระทำมาตลอดทุกครั้งที่ภาคเสริมใหม่ออก ในระยะเวลา 8 ปีที่เล่นเกมนี้...)

จนกระทั่งได้พบกับอุปสรรคสำคัญ ความท้าทายแรกที่ไม่ได้พบเจอมานานนับตั้งแต่ภาคเสริมตัวที่สามอย่าง Stormblood เป็นต้นมา …… จำนวนคนเข้าเกม


นี่คือ 'จำนวนคนในวันเปิด Early Access' เวลา 17.00 น ของวันที่ 3 ธันวาคม ... และผู้เขียนใช้เวลากว่าสองชั่วโมงครึ่ง กว่าที่จะเข้าเกมได้ (เพื่อที่สุดท้าย เซิร์ฟเวอร์ Tonberry จะเกิดการ Overload ถีบผู้เล่น ไปต่อคิวใหม่...)

จำนวนคนเข้าเกมระดับหลักสี่พันบวก …. ที่พร้อมทะลักแย่งกันเข้ามาเล่นในวันแรกที่เกมเปิดให้บริการ คือสิ่งที่ผู้เขียนพอจะคาดเดาไว้ได้บ้างในเบื้องต้น แต่ความสาหัสในระดับที่ต่อคิวแล้วหลุดจนต้องต่อใหม่ เข้าเกมไม่ได้ หรือเปิดแม้กระทั่ง Launcher ไม่ได้ นับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่พอสมควร ถ้าจะมองในแง่บวก มันสะท้อนถึงความสนใจของผู้คนที่อยากจะเข้ามาสัมผัสโลกแห่ง Final Fantasy XIV ที่มากกว่าเคย แต่ในระยะยาว กว่าที่ปัญหานี้จะคลี่คลาย ภายใต้สภาวะที่การเดินทางและการทำงานในแบบ On-Site ยังถูกจำกัดจากการระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น มันน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นต้องอยู่กับมันอีกพักใหญ่ๆ


(กระนั้น จากวันที่ 3 ธันวาคมเป็นต้นมา อาการและจำนวนคนในคิวในการเข้าเล่นก็ลดน้อยลง แม้ยังต้องระวังช่วง ‘Prime Time’ ของคนญี่ปุ่น คือเวลา 16.00 น ถึง 20.00 น ตามเวลาประเทศไทย บน Date Center ฝั่ง JP อย่าง Elemental และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซิร์ฟเวอร์ประชากรหนาแน่นอย่าง Tonberry….)

อย่างไรก็ดี ถ้าไม่นับปัญหาในทางเทคนิคที่เป็นเรื่องที่ต้องพบเจออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเข้าไปถึงตัวเกมและเปิดเนื้อหาแรก เบิกโรงสู่ Endwalker มันสานต่อเรื่องราวที่ทิ้งค้างจากแพทช์ 5.55 อันเป็นบทตอนสุดท้ายของ Shadowbringers ได้อย่างไม่เสียเวลา วิกฤติแห่งดวงดาว แผนร้ายที่ซุกซ่อน และพื้นที่ใหม่อย่าง Old Sharlayan ที่ได้รับการประชาสัมพันธ์มาแต่แรกเริ่ม ถูกนำเสนอให้กลายเป็นอีกหนึ่ง Hub หลัก ที่ค่อนข้างจะสวยงามน่าเดิน คลอด้วยเสียงเพลงและบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกชิล ก่อนพาไปสู่ Labyrinthos พื้นที่เรือนกระจกเบื้องล่าง เป็นจังหวะ ‘ผ่อนคลาย’ เพื่อให้ผู้เล่นได้ทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ใหม่ได้อย่างน่าสนใจ


แต่มันก็เพียงไม่นาน เพราะช่วงเวลา Downtime ถูกทดแทนด้วยการถีบของเนื้อหา นำส่งความระทึก ความลับ และนำพาผู้เล่นไปสู่ Thavnair หมู่เกาะทางตอนใต้ของ Othard ที่บรรยากาศแบบเขตร้อน สีสันอันฉูดฉาด และกลิ่นอายแบบบาหลีผสมศรีลังกากับอินเดีย ช่วยตัดอารมณ์ให้รู้สึกคึกคักขึ้น กับเรื่องราวการผจญภัยในดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในบรรดาไอเทมเกือบทุกภาค แต่เป็น Endwalker ที่ผู้เล่นได้มีโอกาสเดินทางมาสัมผัสด้วยตนเอง และใช้เวลาอีกสักพัก ที่เนื้อหาขมวดปม และพาไปสู่ Hub ใหม่อย่าง Radz-at-Han เมืองหลวงของเกาะ


และเมื่อสองเนื้อหาบรรจบ…. ก็ถึงเวลาเปิดดันเจียนแรก

โดยโครงสร้างแล้ว ดันเจียนแรกอย่าง ‘Tower of Zot’ ที่ได้รับการเปิดเผยจากตอนรอบสื่อ Media Tour และ Streamer นั้น แม้เพลงกับบรรยากาศ การออกแบบงานศิลป์ เนื้อหาเกริ่นก่อนเข้าพื้นที่ รวมถึง Boss Fight จะค่อนข้างน่าสนใจ แต่ก็โดยรวมในแง่การจัดวาง โครงสร้างของการเล่นยังไม่ได้มีจุดที่แปลกใหม่ หรือมี Mechanic การเล่นที่ซับซ้อนมากนัก คนที่คุ้นชินกับเกมแนว MMORPG และ Final Fantasy XIV มาก่อน ก็สามารถฝ่าอุปสรรคได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่จุดที่น่าสนใจคือระบบ ‘Trust’ หรือการลุยดันเจียนด้วยลูกทีม AI ตามเนื้อเรื่อง ที่ถูกปรับปรุงขึ้น ทั้งในแง่อารมณ์ร่วมตามเนื้อหา จนถึง ‘ความสมจริง’ กล่าวคือ พวกเขาจะไม่ได้มีความ ‘เป๊ะ’ แบบไร้ข้อผิดพลาดเหมือนตอน Shadowbringers แต่จะมีบุคลิก เทคนิค และจังหวะที่ทำให้ต้องลุ้นอยู่เพื่อความท้าทาย แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังคงเป็นระบบที่ดี เพื่อใช้ศึกษา Boss Fight ก่อนจะใช้ระบบ Duty Finder (หรือใครจะเรียนรู้หน้างานกับผู้เล่นคนอื่นทันที ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด)

พูดถึงการลุยดันเจียนและการต่อสู้แล้ว อาจจะต้องขอวกกลับไปพูดถึงสองอาชีพใหม่ที่ได้รับการเปิดเผยตามระยะเวลาอย่าง Reaper และ Sage ที่เป็น Melee DPS และ Healer ใหม่ตามลำดับ แน่นอน อาชีพโจมตีระยะใกล้ที่ใช้ ‘เคียว’ คือสิ่งที่ผู้เล่นคาดหวังและเรียกร้องกันมานาน ซึ่ง Reaper ก็ตอบโจทย์ในจุดนี้ 

เมื่อไต่ระดับ Reaper ไปจนถึงเลเวล 80 'การอัญเชิงวิญญาณสิงร่าง' ช่วยเปิดลูกเล่นการโจมตีเร่งแดเมจจังหวะสาม ซึ่งไปกันได้ดีกับ Flow ของสกิลเดิมที่มี และเล่นได้สนุกมาก

ช่วงแรก ผู้เขียนกลัวว่านี่จะเป็นอีกอาชีพที่เล่นได้ยาก เพราะต้องมีการสะสม Resource เพื่อออกท่าพิเศษแบ่งเป็นสามจังหวะ โจมตีธรรมดาเพื่อเก็บ Soul Guage เมื่อถึงระดับ ใช้ท่าจังหวะสองเพื่อเก็บ Shroud Guage ก่อนจะเรียก Avatar มา ‘สิงร่าง’ และโจมตีท่าใหญ่ ฟังดูยุ่งยาก แต่เมื่อได้ลองจับไปจนถึงเลเวล 85 ก็พบว่า มันเรียบง่ายกว่าที่คิด ทุกอย่างลื่นไหลและไปตาม Flow อีกทั้งยังมี Utility สำหรับรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ค่อนข้างดี เชื่อว่าน่าจะเป็นอีกอาชีพที่เป็นตัวเร่งแดเมจได้หนักๆ ใน Raid Content ที่จะตามมาอย่างแน่นอน

ใส่เกราะ ติดบัฟ งัดเลือดฉุกเฉิน คือบทบาทสำคัญของ Sage 'DPS ที่ฮีลได้' ที่ต้องล้างความเข้าใจใหม่สำหรับคนเล่นสายฮีล แม้จะมีความใกล้เคียงกับ Scholar ก็ตาม

ในทางกลับกัน Sage กลับเป็นอาชีพสายฮีลที่ผู้เล่นสายฮีลต้องปรับความเข้าใจกันเกือบหมด เพราะแม้ฟังก์ชันหลักจะคล้ายกับ Scholar ในฐานะ ‘นักใส่เกราะ’ แต่ด้วยความที่ทุกการโจมตี จะแปรเปลี่ยนเป็นค่าฮีลให้กับคนที่ Sage ทำการมาร์คสัญลักษณ์ด้วยสกิล Kardia ทำให้รูปแบบทั้งหลายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งไม่นับรวม Utility จำนวนมหาศาลที่มีในมือ และความแรงของท่าฮีลปกติที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสายฮีลอื่นๆ มันจึงเป็น Healer ที่ผู้เล่นต้องตื่นตัวตลอดเวลา เล่นชำนาญได้ค่อนข้างยาก แต่ถ้าจับอยู่มือ นี่คืออาชีพที่ลื่นไหล และน่าจะสร้างความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์สาย End Game ได้ค่อนข้างดี

นี่คือตัวอย่างแผงสกิลเลเวล 90 ของ Black Mage ที่เป็นอาชีพหลักของผู้เขียน ซึ่งท่าที่เพิ่มเข้ามา มีเพียง 'สองท่า' ส่วนที่เหลือ คือการอัพเกรดจาก Trait ให้ท่าเดิมมีประสิทธิภาพ และอาชีพอื่นก็ไม่ต่างกัน

ในส่วนอาชีพอื่นนั้น ความเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปธรรมแบบพลิกกลับไม่ได้มีให้เห็น แต่จะมาในรูปแบบของการบูสต์สกิลเดิมผ่าน Trait และปรับสมดุลของท่าต่างๆ อย่าง Black Mage ที่เป็นอาชีพเมนหลักของผู้เขียน ในเลเวล 90 มีความคล่องตัวที่มากขึ้น และสกิลต่างๆ ก็ปรับให้สะดวกขึ้น เช่น Timer ของท่าที่นานกว่าเดิม ท่าร่ายคาถาทันทีที่เก็บเป็น Stack และอื่นๆ ส่วนอาชีพอื่น ก็ถูกปรับท่าให้สามารถทำคอมโบต่อเนื่องดีขึ้น เปิดทางเลือกในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เป็นต้น

Summoner คืออาชีพที่ได้รับการยกเครื่องยกชุด บอกลา Damage over Time เพราะคราวนี้ มาเพื่อ 'เผา' และ 'เผา' ที่น่าจะสะใจหน้าเก่า และเล่นได้ง่ายสำหรับหน้าใหม่ (ภาพจากวิดีโอ Job Action โดย SQEN)

ยกเว้น Summoner …. ที่ถูกยกเครื่องใหม่ ที่คราวนี้ เป็นคลาสของการทำลายล้างอย่างจริงจัง หมุนสกิลวนทำลายหมู่ แทนที่จะเป็นการใส่ Damage over Time ซึ่งเชื่อว่า ผู้เล่นใหม่น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก และผู้เล่นเก่าที่เรียกร้องให้อาชีพนี้ได้รับการปรับปรุง คงสมใจอยากกันในที่สุด

มาถึงจุดนี้ ผู้เขียนดำเนินเนื้อหาไปจนถึงเรื่องราวดันเจียนที่สี่ (วันที่ 10 ธันวาคม) ที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อและสถานที่ได้ (เพราะเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ได้มีในการโฆษณาในที่ใดๆ มาก่อน) แต่เนื้อหาทั้งหมดนั้น เข้มข้น จัดหนัก และมีจุดพลิกผันที่ทำให้ต้องร้องอุทานอยู่บ่อยครั้ง แต่ …. มันมีช่วง Downtime ระหว่างจังหวะที่ค่อนข้างสูง และความ ‘หนืด’ ของการบอกเล่าเรื่องราวที่หนักกว่าทุกภาคเสริมที่ผ่านมา จนชวนให้กังวลอยู่ไม่น้อย ว่า Pace ของมัน จะทำให้ผู้เล่นตกหล่นระหว่างทางหรือไม่

แต่โดยภาพรวม Impression ของผู้เขียนในช่วงหนึ่งสัปดาห์ของ Final Fantasy XIV: Endwalker นั้น ค่อนข้างเป็นไปได้อย่างน่าพึงพอใจ แม้จะยังมีจุดที่คิดว่ายังต้องติ และยังคงลุ้นต่อว่ามันจะปิดฉากลง ณ จุดใด แต่ถ้าถามว่าภาคเสริมนี้คุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่

ถ้ามันคือภาคที่จะปิดจบ Saga ของเนื้อหาที่ผู้เขียนและผู้เล่น XIV อยู่ด้วยกันมาเกือบทศวรรษ ก็คิดว่ามันน่าจะมีปลายทางที่น่าพึงพอใจ สมกับเวลาที่รอคอย และควรค่ากับความรู้สึกที่มีให้กับเรื่องราวกับความผูกพันที่มีมานั่นล่ะครับ


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header