GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 17 ผู้กล้าที่ไม่มีตัวตน
ลงวันที่ 09/07/2021

                สวัสดีครับ กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเจ็ด ซึ่งก็ตามที่สัญญากันไว้ บทนี้จะเป็นส่วนของ DLC “Artorias of the Abyss” โดยภายในจะมีการคลายปมเนื้อเรื่องที่ผมเคยวางเอาไว้เมื่อแสนนานมาแล้ว... เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็ไปรับชมพร้อมๆกันเลยกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเจ็ด “ผู้กล้าที่ไม่มีตัวตน”

 < ลิงค์บทความก่อนหน้า > 

บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่

บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด

บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง

บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่ l บทที่สิบห้า l บทที่สิบห


บุรุษต่างมิติ

         หลังจากที่ Undead นิรนามสามารถปราบเจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath และยึดเอาเศษเสี้ยว Lord Soul มาได้สำเร็จ เขาก็ดำเนินภารกิจต่อไปในทันที โดยคร่านี้จะต้องลงไปยังเมืองบาดาลข้างใต้ Firelink Shrine อันเป็นเมืองที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นทรวงสวรรค์ที่เหล่ามนุษย์และ Undead จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ... เมืองที่ว่านั่นก็คือนครคนตาย New Londo

(ภาพประกอบ: เมือง New Londo ถูกตั้งชื่อให้คล้ายคลึงกับ Anor Londo ด้วยความจงใจ เนื่องจากเทพพระเจ้าต้องการให้เหล่ามนุษย์ระลึกถึงบุญคุณของพวกตน)

         ทันทีที่พระเอกของเราก้าวเข้ามาในเมืองนี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถมองเห็นได้ก็คือความมืดมิด...ดูเหมือนว่าทั้งตัวเมืองจะถูกหลังคาอะไรบางอย่างสร้างครอบทับเอาไว้ จนดูเหมือนกับว่าทั้งมหานครจมอยู่ใต้ท้องฟ้ายามราตรีอยู่ตลอดเวลา จะมีก็แต่เพียงแสงจากรูเล็ก ๆ ไม่กี่แห่งที่ทอดยาวฉายลงมาเหมือนกับลำแสงดวงจันทร์

         บริเวณไม่ไกลนักจากจุดที่ Undead นิรนามยืนอยู่ ได้มีฝูง Undead ระยะสุดท้าย( Hollow )มากมายนั่งร้องห่มร้องห่มร้องไห้หันหน้าเข้าหาบ้านเมืองที่จมอยู่กลางหนองน้ำ เเต่ดูเหมือนว่า Undead พวกนี้จะไม่จู่โจมเขา เว้นเสียเเต่ตัวหนึ่งที่จู่ ๆ ก็วิ่งปรี่เข้ามาหา!

พระเอกของเรารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้าผีตนนั้นเป็นอย่างมาก ใช่แล้ว! เจ้า Hollow ตนนั้นก็คือ Crestfallen Warrior ชายผู้สิ้นหวังที่เคยเอาแต่กล่าวทับทมว่าคำทำนายไม่มีทางสำเร็จ แต่พระเอกของเราก็สามารถพิสูจน์ให้มันได้เห็น เจ้า Crestfallen Warrior จึงอับอายขายขี้หน้าจนต้องหนีลงมาอยู่ที่นี่

( ภาพประกอบ : เจ้า Crestfallen Warrior ที่กลายเป็น Hollow )

         Crestfallen Warrior ถูกพระเอกของเราฆ่าทิ้งเหมือนกับว่ามันสวะเป็นเเค่ตัวหนึ่ง Undead นิรนามไม่ต้องการจะเสียเวลาไปจดจำชื่อของคนขี้ขลาดพันธุ์นี้ เขาเดินต่อไปในความมืดจนบังเอิญได้ยินเสียงเรียกปริศนาจากห้องขังแห่งหนึ่งระหว่างทาง

         เจ้าของเสียงปริศนาก็คือพ่อมดนามว่า Rickert โดยเขาเป็นหนึ่งในอดีตนักเรียนเวทมนตร์ของโรงเรียน Vinheim อันโด่งดัง แต่ศาสตร์ที่เขาเชียวชาญนั้นมิใช่การรีดพลังเฉกเช่นพ่อมด Logan หรือ Griggs แต่จะเก่งไปในทางลงอาคมใส่อาวุธซะมากกว่า

         Rickert เล่าว่าที่ตัวมันติดอยู่ในห้องขังแบบนี้ หาใช่เพราะว่าตนกระทำความผิดไม่ ทว่ากลับกันเลย! ก็คุกเหม็น ๆ แห่งนี้นี่แหละที่คอยปกป้องมันจากสิ่งชั่วร้ายภายนอก ซึ่งมันได้แนะนำให้พระเอกของเราหาเครื่องรางที่เรียกว่า Transient Curse หรือก็คือมือของศพที่ตายจากเหตุน้ำท่วมในเมือง New Londo นำติดตัวเอาไว้ด้วย โดยสิ่งนี้จะช่วยให้ Undead นิรนามปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ได้ 

( ภาพประกอบ : เเม้จะอยู่ในกรงขังเเต่ผู้เล่นก็สามารถโจมตี Rickert ได้ ด้วยการใช้หอกยาวหรือเวทมนตร์บางประเภท )

( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นไม่สามารถหา Transient Curse ได้ ผู้เล่นสามารถซ์้อมันจาก NPC Undead Female Merchant )

         สัญชาตญาณได้บอกให้ Undead นิรนามเชื่อใจเจ้าเจ้าพ่อมด เขาเดินลงตลิ่งไปหาศพที่มีสภาพดูขาวซีดเเต่กลับไม่เน่าเปื่อยอย่างน่าประหลาด จัดการหั่นมือทั้งสองข้างของศพเอามาเก็บไว้ในกระเป๋า เเล้วก็เดินข้ามสะพานไม้สภาพพุพังตรงเข้าเข้าสู่ใจกลางเมือง

         ในระหว่างทางเสียงกระทบของแผ่นไม้ที่พุพังค่อย ๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ ๆ ไม่ต่างอะไรกับอุณหภูมิซึ่งหนาวเย็นขึ้นในทุก ๆ ก้าวที่เข้าใกล้ปลายทาง พระเอกของเราได้ลองมองลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างที่มีสีดำสนิท… ซึ่งเเม้จะมองไม่เห็นก้นบ่อเเต่เขากลับสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องกลับมายังเขาด้วยดวงตาชวนขนหัวลุก

( ภาพประกอบ : ภาพ New Londo ในสภาพเเสงสว่างซึ่งได้มาจากการการ Hack )

         Undead นิรนามเข้ามายังซากปรักหักพังสีขาวกลางหนองน้ำของ New Londo ซึ่ง ณ ตรงนี้เป็นสถานที่ที่เงียบสนิทเสียจนเเม้เเต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยินชัดเจน... ดันจู่ ๆ ก็ปรากฏเสียงผู้หญิงร่ำไห้ดังออกมาจากกำแพงสีซีดตรงหน้า

         ดาบสั้นถูกชักออกมาเตรียมตัวฟาดเข้าใส่อะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่หลังกำเเพง เนื่องจาก Undead นิรนามสันนิษฐานว่านั้นคือกำแพงเวทมนตร์ เขาค่อย ๆ บรรจงว่างหูแนบลงบนกำแพงพร้อมกับกั้นลมหายใจสุดฤทธิ์เพื่อตั้งใจฟังเสียงผู้หญิงร้องไห้...

         ดวงตากลมโตสีแดงบนใบหน้าที่ซีดเสียวเหมือนกระดาษ โผล่ยื่นออกมาจากกำแพงเเละสบตามองพระเอกของเราในระยะประชิด ปากกรามล่างของมันอ้ากว้างจนหลุดแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้ม เเต่กลับมีเสียงร้องโหยห้วนอันน่าขนลุกดังออกมาจากปาก เจ้าสิ่งน่าประหลาดพวกนี้ก็คือ The Ghost หรือผีตายโหง

(ภาพประกอบ: ภายในเกมพวก Ghost สามารถไล่ตามผู้เล่นไปได้เป็นระยะทางที่ไกลมาก ๆ มีนจึงเป็นการดีกว่าที่ผู้เล่นจะฆ่ามันทีละตัว ทีละตัว)

         ในครั้งที่เมือง New Londo ถูกน้ำท่วม ประชาชนตาดำ ๆ มากมายต่างต้องสังเวยชีวิตไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเหล่าหญิงสาวที่ตอนครั้งยังมีชีวิตอยู่เคยต้องคำสาปบางอย่าง เมื่อตายลงพวกนางจึงมิอาจไปผุดไปเกิดได้ กลายเป็นวิญาณเฮี้ยนที่คอยระบายความคับแค้นให้แก่ใครก็ตามที่ริอาจย่างกรายเข้ามา

         Undead นิรนามตกใจจนสติหลุดไปช่วงหนึ่ง เขารีบเหวี่ยงดาบในเข้าใส่กลุ่มควันวิญญาณสีขาว ทว่าปลายดาบกลับแหวกผ่านร่างของมันไปเหมือนกับฟันอากาศ สวนทางกับมือของเหล่าผี ผี ที่สามารถยื่นออกมาทำร้ายร่างกาย Undead นิรนามได้อย่างน่าฉงน

         มาบัดนี้! พระเอกของเราได้รับรู้แล้วว่าทำไมพวก Hollow ถึงเอาแต่ร้องห่มร้องไห้เเต่ไม่ยอมเข้ามาในเมือง New Londo ก็คงเป็นฝีมือของพวก The Ghost เนี่ยแหละที่คอยหลอกหลอนพวกจนต้องหนีออกมา

( ภาพประกอบ : อีกสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของพวก Ghost ก็คือมันสามารถโจมตีทะลุกำเเพงได้ ซึ่งมันทำให้เราไม่สามารถตอบโต้ได้เลย )

         พระเอกเรานึกถึงคำแนะของเจ้า Rickert เกี่ยวกับมือของศพคนตาย เขาจึงหยิบมือคู่นั้นออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องรางต่อสู้กับเหล่าผีร้าย ทำให้ดาบที่เคยวืดผ่านตัวไปตอนนี้กลับสามารถทำร้ายดวงวิญญาณอาฆาตได้พอสมควร ทว่ากระนั้นด้วยความที่ดวงวิญญาณสามารถลอยทะลุกำแพงได้ พวกมันจึงใช้วิธีการหลบอยู่ใต้กำแพงและคอยผลุบ ๆ โผล่ ๆ ออกมาเล่นงานพระเอกของเราเป็นช่วง ๆ

         ด้วยสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง Undead นิรนามได้เร่งฝีเท้าเพื่อออกไปจากบริเวณทุ้งสังหารให้เร็วที่สุด แต่ก็ยังไม่วายถูกพวกมันพุดขึ้นมาเล่นงานจากพื้นใต้เท้า ประกอบความที่ไม่ชินเส้นทาง พระเอกเราก็กระเสือกกระสนวิ่งหนีไปมาอย่างไร้ทิศทาง จนกระทั่งมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนดังออกมาจากอาคารใกล้ ๆ

         ชายปริศนาในชุดแดงกวักมือเรียกพระเอกของเรา พร้อมกับร่ายเวทมนตร์ขับไล่เจ้าพวกผีร้ายออกไป เปิดทางให้เขาสามารถหลบหนีขึ้นไปหาชายปริศนาคนนั้นได้

( ภาพประกอบ :ด้วยความที่  Ingward นั้นเป็นพ่อมดอัคคี เเละหากดูจากการเเต่งตัวที่ค่อนข้างแต่งตัวซอมซ่อ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่ได้มีพื้นเพอยู่ใน Anor Londo หากเเต่น่าจะมาจาก Blighttown )

         ชายปริศนาในชุดแดงแนะนำตนเองว่าเขาชื่อ Ingward ซึ่งตนเป็นหนึ่งในบรรดานักเวทย์ที่คอยเฝ้าดูแลสถานที่สุดเฮี้ยนเเห่งนี้(คนอื่นทิ้งหน้าที่ไปเเล้ว) โดยตามปกติเเล้วจะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่ เจ้า Ingward จึงรู้สึกถูกชะตาเเละได้ซักถามพระเอกเราจนรู้ว่าเขานิแหละคือผู้ถูกเลือกโดยเหล่าเทพเจ้า

         Ingward เล่าว่าเหล่า Four Kings หรือจตุราชาผู้ปกครอง New Londo ได้ถูกพลังเเห่งความมืดจาก The Abyss เข้ายั่วยวน ทำให้สถานที่แห่งนี้ต้องถูกสังเวยให้จมอยู่ใต้น้ำ เพื่อผนึกเหล่ากองทัพนักรบ Darkwraiths แห่งความมืดเอาไว้ ซึ่งถ้าหาก Undead นิรนามจะต้องการปราบจตุราชา เขาก็ยินดีจะช่วยเหลือ… แต่ด้วยว่าพลังของ The Abyss ในที่นี่ช่างรุนแรงยิ่งนัก Undead นิรนามจึงต้องไปค้นหาเครื่องรางช่วยปกป้องเสียก่อน

เจ้าเครื่องรางนั้นว่ากันว่าเป็นสมบัติสุดล้ำค้าของอัศวินหมาป่า Artorias อันเป็นบุคคลในตำนานผู้ปราบ The Abyss ในครั้งอดีตกาล...หากว่าปราศจากเครื่องรางที่ว่า การปล่อยน้ำออกจากเมืองก็เท่ากับเป็นการปลดผนึกให้เหล่า Darkwraiths ให้ออกมาอาละวาดเปล่า ๆ

 

( ภาพประกอบ : Ingward มีมุมมองว่าเรื่องการสังเวยเมือง New Londo ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขามักจะเลือกใช้คำพูดที่ดูดีเพื่อทำให้เห็นว่าเรื่องเน่าเหม็นพวกนี้เป็นสิ่งจิ๊บจ๊อย )

         เมื่อได้ยินดังนั้น Undead นิรนามก็จำใจต้องเดินเท้ากลับไปอย่างมือเปล่า เขาได้จัดการไล่ถามผู้คนตามสถานที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับตำนานเครื่องรางของอัศวิน Artorias จนปรากฏความว่ามันได้ถูกซุกซ่อนอยู่ในป่าลึก Darkroot Garden ซึ่งวิธีการจะเข้าไปในนั้น เขาจะต้องยอมจ่าย Soul ซื้อกุญแจ Crest of Artorias จากตาเฒ่าช่างตีเหล็ก Andre เสียก่อน เพื่อเปิดผนึกประตูเข้าส่วนลึกของป่า

         ก่อนจะจากกัน ตาเฒ่า Andre ก็ได้เตือนว่ามีมนุษย์หลายคนพยายามจะเดินตามรอเท้าของอัศวิน Artorias ทว่าก็หาได้มีใครเคยประสบความสำเร็จไม่ เพราะว่ากันว่าข้างในนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ธรรมชาติอันโหดร้ายที่จ้องจะคร่าชีวิตเรา หากแต่ยังมีกลุ่มนักฆ่าปริศนาคอยปกป้องป่าแห่งนั้นอาไว้ด้วย ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี

( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นสามารถฆ่า Andre เพื่อชิง Crest of Artorias มาใช้ได้เเบบฟรี ๆ เเต่นั่นก็ต้องเเลกมาด้วยการที่เราไม่สามารถอัพเกรดอาวุธกับ Andre ได้อีกต่อไป  )

 

         แม้ Undead นิรนามได้กำหนดจุดมุ่งหมายต่อไปเอาไว้แล้ว แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแวะกล่าวทักทายหญิงงามนางหนึ่ง ผู้ซึ่งเคยถูกเขาช่วยไว้ ณ หนองน้ำภายใน Darkroot Basin ชื่อของนางก็คือกุลสตรี Dusk

         เมื่อเดินทางไปถึงยังตลิ่งหนองน้ำ Undead นิรนามก็ร้องขานเรียกหานางอยู่นานสองนาน ทว่ากลับหาเบาะแสไม่พบแม้แต่เงา... และในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ Undead นิรนามกำลังจะถอดใจเดินทางกลับ จู่ ๆ เครื่องราง Broken Pendant ก็เปล่งพลังงานปริศนาออกมา! มันชักจูงล่อใจให้พระเอกของเราเดินลุยน้ำลึกเข้าไปยังซอกภูเขาใกล้ ๆ

         ภายใต้เงาที่ทอดลงมาจากเทือกเขา Undead นิรนามมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับท่อนไม้ลอยอยู่ปริ่มน้ำ เขาค่อย ๆ จวงเท้าแหวงคลื่นน้ำตรงไปทางหามัน จนกระทั่งได้พบว่าสิ่งนั้นหาใช่ตอไม้ไม่! หากแต่เป็นร่างอันไร้วิญญาณของกุลสตรี Dusk

( ภาพประกอบ : ศพของ Dusk ใน Darkroot Basin )

         พระเอกของเรารีบพลิกศพกุลสตรี Dusk ขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ทว่าก็ไม่ทันการเสียแล้ว... ตามร่างกายของนางนั้นปราศจากรอยฟกช้ำหรือบาดแผลจากการต่อสู้ ซึ่งขัดกับดวงตาของเธอที่เบิกโพลงกว้างคล้ายกับคนที่กลัวสุดขีด

         ในระหว่างท่ามกลางความสูญเสีย จู่ ๆ เครื่องราง Broken Pendant ก็เริ่มสั่นพร้อมกับปลดปล่อยพลังสีดำออกมาเป็นปริมาณมหาศาล ด้วยความตกใจพระเอกของเรารีบขว้างมันทิ้งลงไปในน้ำ  เเต่ดูเหมือนว่า Broken Pendant มันได้ขยายพลังเเละกลายสภาพประตูมิติสีดำขึ้นมาเเทน

         โดยมิอาจทันจะได้ตั้งข้อสงสัยหรือแม้แต่จะสูดลมหายใจ ทันใดนั้นก็ปรากฏอุ้งมือสีดำขนาดใหญ่เท่าตัวคน พุ่งออกมาจากประตูมิติคว้าร่างของ Undead นิรนามหายลับไปอย่างเป็นปริศนา

( ภาพประกอบ : Broken Pendant ทำหน้าที่เป็นเหมือนเสารับสัญญาณต่อกุลสตรี Dusk… เดิมทีทั้งสองถูกสะกดพลังไว้ใน Crystal Golem เพื่อไม่ให้ติดต่อเชื่อมโยงถึงกัน หรือจะให้สรุปง่าย ๆ ก็คือการตายของ Dusk นั้นเกิดจากการที่ผู้เล่นไปช่วยเธอออกมานั่นเอง )

         เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็มิทราบ Undead นิรนามได้ฟื้นขึ้นมาและพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยหนองน้ำ เขาเดินออกมาข้างนอกอยากมึนงงพร้อมกับตั้งคำถามมากมายภายในหัว...ใครกันที่สังหารผู้หญิงตัวเล็กอย่าง Dusk ได้ลงคอ? เเล้วเจ้ามือประหลาดสีดำนั่นมันคือตัวอะไรกันแน่ ?

         พระเอกของเรายืนหยุดนิ่งฉงนอยู่กลางหนองน้ำ เขาก้มหน้ามองเงาสะท้อนซึ่งค่อย ๆ สว่างขึ้น สว่างขึ้น สว่างเสียจนดูคล้ายกับว่ามีพระอาทิตย์สีเหลืองมาลอยอยู่เหนือศีรษะ... จากนั้นภายในเสี้ยวอึดใจเดียวร่างของ Undead นิรนามก็รู้สึกปวดร้าวราวกับถูกไฟไหลผ่านตัว ใช่แล้ว! นี่มันคือความรู้สึกของสายฟ้าที่กำลังไหลผ่านร่างกาย

         การโจมตีดังกล่าวเป็นของอสูร Sanctuary Guardian มันถือกำเนิดมาจากการทดลองผสมผสานทางเวทมนตร์ ทำให้รูปร่างของมันดูคล้ายสัตว์หลายชนิดที่ถูกปะติดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะหัวเเละลำตัวที่เป็นสิงโตขนเผือก ส่วนด้านหลังก็มีปีกของหงส์งอกออกมาถึงสองคู่ ตบท้ายด้วยหางยาวซึ่งเป็นของแมงป่อง

 ( ภาพประกอบ : Sanctuary Guardian มีรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับคิเมร่าใเทพของโลกเเห่งความเป็นจริง )

         เมื่อได้สติ พระเอกของเราก็หันมองรอบ ๆ เพื่อหาพื้นดิน ด้วยหมายจะหนีให้พ้นจากสมรภูมิผิวน้ำอันเป็นจุดอ่อนต่อสายฟ้า จนได้พบกับย่อมรากไม้เล็ก ๆ ซึ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เเต่เเค่นี้มันก็ดีพอแล้วที่จะไม่โดนสายฟ้าเล่นงานเหมือนเมื่อครู่

         Undead นิรนามจัดการคดตัวนั่งลงบนรากไม้ เเล้วก็หยิบโล่ขึ้นมาปักหลักป้องกันสายฟ้าจากเจ้า Sanctuary Guardian... ตอนนี้เขาได้พยายามทำตัวให้เหมือนกับก้อนหินที่กำลังปะทะกับแรงลม อดทนรอให้เจ้าสัตว์อสูรโจมตีตามสัญชาตญาณจนกว่ามันหมดแรง จากนั้นจึงอาศัยโอกาสที่ว่าพุ่งตัวเข้าไปตัดคอมันอย่างง่ายดาย



( ภาพประกอบ : เเท้จริงเเล้ว Sanctuary Guardian นั้นมีสามตัว โดยผู้เล่นจะได้พบที่เหลือก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง)

         หลังปลิดชีพเจ้าอสูร พระเอกของเราก็ค้นหาเส้นทางจนสามารถออกมาจากหนองน้ำได้สำเร็จ เเละพบว่าตนเองได้มาปรากฎในสถานที่อันเต็มไปด้วยก้อนหินรูปร่างคล้ายกับคนตัวใหญ่ ถูกจัดเรียงให้เป็นวงกลมล้อมรอบ Bonfire ของสถานที่เเห่งนี้ จนดูคล้ายกับว่านี่คือลานพิธีกรรมปลุกเสกเวทมนตร์อะไรสักอย่าง

        

( ภาพประกอบ : ลานพิธีกรรมใน Sanctuary )

         Undead นิรนามยิ่งรู้สึกฉงนมากขึ้นไปอีก เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเวทมนตร์ของกุลสตรี Dusk ซึ่งน่าจะตายไปแล้ว แถมมันยังผสมปนเปเข้ากับพลังความมืดเเต่ไม่ใช่เเบบเดียวกับที่ New Londo… ซึ่งในระหว่างที่กำลังขบคิดถึงคำตอบ จู่ ๆ ก็มีเสียงของหญิงชราร้องเรียกเขามาจากกำแพงใกล้ ๆ

Undead นิรนามมองไปจุดที่มาของเสียงและได้พบว่าเจ้าสิ่งที่เรียกเขากลับเป็นเห็ดยักษ์พูดได้ มันแนะนำชื่อตนเองว่า Elizabeth ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากเวทมนตร์ของกุลสตรี Dusk เเละยังบอกอีกว่านางได้เคยทำนายไว้ ว่าวันหนึ่งจะมี Undead จากห้วงเวลาเเห่งอนาคตอันแสนไกล มาปรากฏขึ้นมาเพื่อปราบ The Abyss ภายใน Oolacile

( ภาพประกอบ : ภาพด้านซ้ายคือ Elizabeth ซึ่งเเตกต่างกับเห็ดเดินได้ทางภาพด้านขวาในโลกอนาคต ที่มันจะมีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก)

         Elizabeth แสดงกิริยาที่เป็นมิตรพร้อมกับขอร้องให้พระเอกของเราไปช่วยกุลสตรี Dusk ซึ่งตอนนี้ถูกปีศาจชั่วร้ายนามว่า Manus จับตัวไป เจ้าเห็ดได้เล่าว่า The Abyss นั้นถือกำเนิดขึ้นมาจาก Manus อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายต้นต่อแห่งเหล่ามวลมนุษย์(The Furtive Pygmy) มันได้ปลดปล่อยพลังเเห่งความมืดกลืนกินมนานครอันยิ่งใหญ่ จนล่มสลายลงภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ผู้คนในเมืองที่หนีไม่ทันล้วนกลายสภาพเป็นปีศาจกระหายเลือด

         ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้มีผู้กล้ามากมายพยายามลงไปปราบ The Abyss แต่ก็ถูกพลังความมืดครอบงำ...แม้แต่สี่สุดยอดขุนพลอย่าง Artorias ก็พาลหายตัวไปไม่ทราบข่าวคราว

( ภาพประกอบ : ประชากรส่วนใหญ่ของเมือง Oolacile นั้นสูญสิ้นไปตั้งเเต่วันเเรกที่ The Abyss ระเบิดพลังออกมาครั้งเเรก ส่วนประชากรดั่งเดิมที่รอดชีวิต ตอนนี้ก็ได้อพยพหนีไปเรียบร้อยเเล้ว )

         หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมด จนสรุปได้ว่าตนเองถูกพาตัวมายังอดีต เขากล่าวขอบคุณเจ้าเห็ดสำหรับคำแนะนำ และเริ่มออกเดินมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกตรงสู่มหานคร Oolacile

เเต่ก่อนที่จะจากกัน Elizabeth ก็ได้เตือนเขาว่าจงระวังผู้กล้าอีกคนที่ข้ามเวลามาก่อนหน้าเขา เนื่องจากไอ้หมอนั้นมันมีกลิ่นสาปที่ไม่ชอบมาพากลติดตัวเต็มไปหมด...โปรดจงระวังอย่าได้หลงเชื่อใจมันง่าย ๆ

( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นเกิดฆ่า Dusk ขึ้นมา นั้นก็จะทำให้เวทมนตร์ที่อยู่ใน Elizabeth เสื่อมสะลายตามไปด้วยเเละตายลงในที่สุด )

         พระเอกของเราจำเป็นต้องเดินทางผ่านป่า Royal Wood ซึ่งต้องเจอกับ Stone Guardian เหล่าอัศวินหินผู้ปกป้องสถานที่เห่งนี้ เนื่องจากสำหรับพวกมันเขาเป็นคือคนเเปลกหน้าที่พยายามจะบุกรุกเมือง แถมยังต้องเผชิญหน้ากับพวกหุ่นไล่กา Scarecrow ซึ่งเดิมทีมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นคนสวนคอยเก็บกวาดใบไม้ ทว่าด้วยพลังแห่งความมืดของ The Abyss พวกมันจึงหันมาเก็บกวาดมนุษย์เเทน

( ภาพประกอบ : ด้านซ้ายคือ Stone Guardian ที่มีสภาพดูเหมือนใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับด้านขวา Stone Knight จากในอนาคต )

( ภาพประกอบ : ด้านซ้ายคือพวก Scarecrow ที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็น Ents )

Undead นิรนามได้ต่อสู้ฝ่าฟันผ่านป่าดิบจนกระทั่งได้พบกับสะพานหินเก่า ๆ เเสนธรรมดาทั่วไป เเต่พอเขากำลังจะข้ามไปเท่านั้นเเหละ จู่ ๆ ก็มีมังกรตัวหนึ่งบินมาขว้างทางเขาเอาไว้ 

         ขนาดร่างกายของมันมีขนาดใหญ่พอพอกับอสูรกาย Gaping Dragon เเละมีความยาวตั้งเเต่หัวจรดหางเกือบเท่ามังกรแดงภายใน Undead Parish เเต่สิ่งเดียวที่พอจะทำให้มันแตกต่างจากบรรดาญาติตัวอื่น ๆ เห็นทีก็คงจะเป็นใบหน้าที่แหลมเรียวยาวราวกับหอก และดวงตาสีแดงเพลิงหนึ่งดวงอันบังเกิดอยู่กลางหน้าผากสีดำเถ้าถ่าน

         เจ้ามังกรทมิฬหันมามองพระเอกของเราประหนึ่งกับรู้ว่าเขามิใช่คนจากห้วงเวลานี้ แต่มันก็มิได้ลงมือทำอันตรายเขาแต่อย่างใด หากเเต่แค่กระพือปีกบินหนีหายลับไปในซอกเขา... เอาจริง ๆ เหมือนกับแค่ Undead นิรนามบังเอิญไปรบกวนเวลาพักผ่อนของมันเท่านั้นเอง

( ภาพประกอบ : เหตุการณ์ครั้งเเรกที่ผู้เล่นได้เจอกับ Kalameet )

         Undead นิรนามเดินลึกเข้าไปจนเริ่มมองเห็นตัวเมือง Oolacile อันมีสภาพทรุดโทรมรกร้าง กลิ่นอายของพลังความมืดเหม็นโชยลอยหึ่งปกคลุ่มไปทั่ว มันได้กลืนกินพืชผักกับสัตว์น้อยใหญ่ตลอดจนถึงเม็ดดินทุกก้อนกันเลยทีเดียว

         ทว่าเชื่อหรือไม่! แม้นคร Oolacile ได้ล้มสะลายไปเเล้ว เเต่ที่เเห่งนี้ยังคงมีขุมสมบัติและเวทมนตร์อันเลอค้ามากมายถูกเก็บซ้อนเอาไว้ เเละดึงดูดความโลภภายในตัวเหล่าบรรดานักล่าสมบัติ จนหลายคนต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้มากต่อมาก...เว้นเสียเเต่ชายปริศนาผู้สวมหน้ากากแปลกประหลาดคนหนึ่ง เขาจะคอยยืนขายสัมภาระจำเป็นให้เเก่บรรดาผู้กล้าตอนขาเข้าและรอเก็บของมีค่าจากศพตอนขาออก... Marvellous Chester คือชื่อของพ่อค้าความตายผู้นี้

( ภาพประกอบ : หลังจากเกม Bloodborne วางจำหน่ายออกมา ได้มีการสร้างทฤษฎีสมคบคิดว่าเกมนี้เป็นส่วนกับจักวาลเกม Dark Souls ด้วยการเชื่อมโยงการเเต่งกายของตัวละคร Chester... )

         Chester ดักคอยพระเอกของเราก่อนจะข้ามสะพานเข้าสู่ตัวเมือง และด้วยเหตุผลบางประการมันจึงสัมผัสได้ทันทีว่า Undead นิรนามก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกมือสีดำลากตัวมาจากอนาคตเหมือนกัน ต่างก็ตรงแค่ Chester นั่นมิได้มีความพยายามที่จะไปช่วยกุลสตรี Dusk เลย

         พ่อค้าความตายเล่าว่านคร Oolacile ได้ล้มสลายอย่างน่าสมเพสด้วยน้ำมือตัวเอง( เล่าต่างจาก Elizabeth  ) เพราะผู้คนภายในเมืองต่างโหยหาพลังที่ตนมิอาจควบคุมได้ เป็นเหตุทำให้ถูกหลอกใช้โดยพวกอสรพิษ Primordial Serpent ตนหนึ่ง ให้ขุดเอาพลังความมืดอันแสนคลุ้มคลั่งของ Manus ขึ้นมา เเล้วทุกอย่างก็บรรลัยอย่างที่เห็น

         ทว่ากระนั่นเจ้า Chester ก็มิได้ห้ามปรามพระเอกของเราแต่อย่างใด มันเพียงแค่กล่าวเตือนว่าในลานประลองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มีทางเข้าอันจะนำไปสู่ใจกลางความมืดได้… เเต่มันถูกเฝ้าระวังไว้โดยอัศวิน Artorias ซึ่งตอนนี้มิอาจจะแยกเเยะมิตรหรือศัตรูได้อีกแล้ว

( ภาพประกอบ : รูปร่างกายของ Chester ที่ไม่ได้ถูกใช้เมื่อเกมออกวางจำหน่าย )

         Undead นิรนามได้กลิ่นคำพูดตอแหลจากเจ้า Chester ลอยมาแต่ไกล เเต่เขาก็ทำเป็นพูดเออ-ออไปโดยไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปยังลานประลองเพื่อเข้าสู่ตัวเมือง

         ณ ที่สถานที่เเห่งนั้นพระเอกของเราก็ได้พบกับสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดสุดสยดสยองตัวหนึ่ง สภาพของมันนอกจากส่วนขาและลำตัวที่ยังพอดูออกว่าเป็นมนุษย์เเล้ว ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ถูกแปลเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น ท่อนแขนของพวกมันกางยืดยาวออกไปจรดพื้นดิน ด้านศีรษะก็มีลักษณะโปงพองขรุขระเฉกเช่นผลไม้ที่กำลังเน่า ซึ่งถูกประดับเพิ่มด้วยดวงตาสีแดงเพลิงอีกหลายสบดวงบนหน้า...นี่คือลักษณะโดยรวมของผู้คนในเมืองที่ถูกความมืดกลืนกินไปแล้ว

( ภาพประกอบ : ด้วยเหตุผลบางอย่างปีศาจพวกนี้ยังคงหลงเหลือความรู้สึกเเละอารมณ์ภายในตัว บางครั้งพวกมันก็หัวเราะออกมาราวกับว่ากำลังคุยเรื่องสนุก ๆ กันอยู่ )

         Undead นิรนามหยิบดาบและโล่คู่กายขึ้นมาหมายเตรียมตัวจะต่อสู้ เเต่ทว่าก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยแรงปะทะอันมหาศาลที่บริเวณพื้นจนเขาตัวลอยกระเด็นไปติดผนัง มารู้สึกตัวเอาอีกทีก็มองเห็นเจ้าตัวประหลาดถูกดาบยักษ์บดขยี้ทะลุลงพื้น จากนั้นศพของมันก็ถูกเหวี่ยงหมุนเป็นวงกลมในอากาศเเละขว้างเข้าใส่พระเอกของเรา

         เจ้าสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะ มันสวมใส่ชุดเกราะพุพังสีเงินสะท้อนแสงซึ่งถูกตกเเต่งด้วยผ้าพันคอสีน้ำเงินที่มีสภาพขาดรุ่งริ่ง หมวกทรงอันดูคล้ายกับจะงอยของปากเหยี่ยวบนหัวมัน ได้แสดงเห็นถึงความเอกลักษณ์ที่หาได้ยากจากอัศวินทั่วไป... ถูกต้อง! เจ้าสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะ Undead นิรนามนั้น ก็คือหนึ่งในสี่สุดยอดขุนพลแห่ง Gwyn อัศวินหมาป่า Artorias

 

( ภาพประกอบ : แม้ Artorias จะถูกกลืนกินไปแล้ว แต่จิตวิญญาณส่วนหนึ่งภายในร่างยังคงต่อสู้กับความมืด เพื่อใช้มันต่อสู้สังหารเหล่าปีศาจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ )

             ตอนนี้ร่างกาย  Artorias ได้อยู่ในสภาพทรุดโทรมจนเรียกได้ว่ากึ่งเป็นกึ่งตาย ตามร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลตั้งแต่หัวจรดเท้า แขนซ้ายอันเคยเป็นเเขนข้างที่ถนัดบัดนี้กลับถูกหักจนไม่เหลือชิ้นดี จึงต้องใช้อีกข้างเพื่อประคองดาบยักษ์ขึ้นบนบ่า... ดูเหมือนว่าเจ้าอัศวินหมาป่าต้องทนอยู่ในสภาพนี้ตลอดมานับตั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับ Manus

         Artorias ที่ถูกความมืดกลืนกินเขาพยายามร้องตะโกนบอกให้ Undead นิรนามถอยออกไป ทว่าเสียงที่ส่งไปถึง Undead นิรนามกลับมีเพียงเเค่เสียงคำรามอันน่ากลัวของปีศาจร้าย ปีศาจที่ต้องถูกกำจัดเพื่อให้โลกนี้ดีขึ้นในมุมมองของ Undead นิรนาม...

         ร่างกายซึ่งมิอาจควบคุมได้ตามใจนึก เริ่มขยับไปเองตามประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากสมรภูมิในอดีตนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าตีลังกาตะวัดดาบกลับหลัง หรือกระบวนท่าหมุนตัวจู่โจมกลางเวหา 3 ตลบ ทั้งหมดล้วนได้ถูกความมืดช่วงชิงเอามาใช้สังหาร Undead นิรนาม

( ภาพประกอบ : หากนับเฉพาะในเกม Dark Souls ภาคเเรก Artorias เป็นหนึ่งในศัตรูไม่กี่ตัวที่มีระบบเล็งเป้าหมายระหว่างอนิเมชันการโจมตี ซึ่งเเตกต่างจากศัตรูทั่วไปที่จะเล็งเป้าตั้งเเต่ก่อนเริ่มจู่โจมด้วยซ้ำ นั่นส่งผลทำให้ผู้เล่นต้องใจเเข็งพอที่จะไม่กลิ้งหลบไปก่อนจังหวะอันเหมาะสม โดยระบบนี้ต่อมาได้ถูกสานต่อในภาคสองเเละสามจนเป็นเรื่องปกติ)

         ฝีมือการต่อสู้ของ Artorias ยังคงสูงล้ำแม้ว่าเขาจะถูกกลืนกินไปแล้วก็ตาม ประจวบกับการที่นักรบทั้งสองต้องมาต่อสู้กันภายลานประลอง อันเป็นสถานที่ซึ่งถูกสร้างมาสำหรับการฆ่าฟันโดยเฉพาะ ณ ที่เเห่งนี้ไม่มีเสายักษ์ให้คอยใช้หลบเลี่ยงลี่หนีภัย ไม่มีหลุมไม่มีบ่อให้ใช้เป็นกลอุบายสกปรกเพื่อดักเล่นงานศัตรู อีกทั้งยังปราศจากพลังมิตรภาพจากเหล่าเพื่อน ๆ... ว่าง่ายง่าย Undead นิรนามจะต้องเอาชนะอัศวินในตำนานด้วยฝีมือของตนเพียงเท่านั้น

             เสียงปะทะกันระหว่างโลหะกล้าดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วตัวเมืองที่เคยเงียบสงัด ประหนึ่งการตีระฆังประกาศกร้าวถึงสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ ว่ากำลังมีใครบางคนอาจหาญกล้าท้าท้ายกับ Artorias... ธรรมดาแล้วเสียงเหล่านี้มักจะดังอยู่เพียงไม่นาน จากนั้นก็เงียบไปพร้อมกับข้อสรุปเดิม ๆ ว่าไม่มีใครโค่นอัศวินหมาป่าได้...แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ เสียงโลหะปะทะจะดังยาวขึ้นนานกว่าปกติหลายชั่วโมง

( ภาพประกอบ : เมื่อเราต่อสู้กับ Artorias ไปสักระยะเขาจะรวบรวมพลังเเห่งความมืดเข้ามาหาตัว ซึ่งนั้นทำให้การโจมตีของเขารุนเเรงขึ้นเกือบเท่าตัว )

         ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากลานประลอง ได้มีหอคอยโดดเดี่ยวตั้งตระหง่านนอยู่เหนือตัวเมือง… อันที่จริงจะบอกว่าเป็นหอคอยก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขุมขังยักษ์ตนหนึ่งโดยเฉพาะ ยักษ์ผู้ซึ่งเป็นมิตรกับมนุษย์อย่างสุดหัวใจ แต่ต้องลงเอยด้วยการถูกมองว่าโง่เง่าไร้ค่า... นามของยักษ์ตนนั้นก็คือตาเหยี่ยว Gough หนึ่งในสี่สุดยอดขุนพลเเห่ง Gwyn 

         นับตั้งแต่ก่อนที่ Oolacile จะล้มสลาย Gough ก็ติดอยู่ภายในหอคอยแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว และแม้เบื้องหน้าเขาจะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม(ถูกปิดตาไว้) เเต่หูอันเฉียบคมของเขาก็ยังคงเฝ้าสดับรับฟังเหตุการณ์ทุกอย่างภายในเมือง... ซึ่ง ณ จุดนี้เขาก็มิได้ฝันเฟื่องถึงอิสรภาพหรือดวงตาที่มองเห็นอีกแล้ว เขาเฝ้าเเต่หวังขอให้อดีตสหายอย่าง Artorias ถูกปลดปล่อยออกจากความมืดมิดเสียที

( ภาพประกอบ : ตำเเหน่งสีเเดงในภาพคือหอคอยที่ Gough ถูกขัง  )

         กลับมายังสนามประลอง ที่ Undead นิรนามกำลังประมือต่อสู้กับ Artorias อย่างสูสี และถึงเเม้ตัวเขาจะสังเกตเห็นว่าแขนซ้ายของอัศวินหมาป่านั้นหัก ทว่านั่นก็หาใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการอ้อมมือไม่! เนื่องจากในการต่อสู้ที่เสี่ยงแบบเสี่ยงตายเช่นนี้ ผลประโยชน์ย่อมจะตกเเก่ผู้ที่เตรียมตัวมาดีที่สุด

         พระเอกของเราพยายามจี้จุดอ่อนอันเป็นมุมอับในวิถีดาบของ Artorias ให้มากที่สุด ซึ่งมันก็ฟังดูง่ายกว่าตอนปฏิบัติมาก เพราะ Artorias เองก็ไม่ใช่หุ่นลองเสื้อที่จะยืนอยู่เฉย ๆ เจ้าอัศวินหมาป่าแก้เกมด้วยการหมุนตัวด้วยปลายเท้าเพื่อปิดกั้นจุดบอด ทำให้การต่อสู้ระหว่างทั้งสองถูกดำเนินไปในรูปแบบของการหักเหลี่ยมแก้กระบวนยุทธ์กัน ทุก ๆ ครั้งที่ Undead หยิบลูกเล่นใหม่ออกมา Artorias ก็จะนำเขาอยู่หนึ่งก้าวเสมอเสมอ

         Artorias ซึ่งเเม้ตอนนี้จะควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ เเต่ดวงจิตของเขานั้นถูกใช้เพื่ออธิษฐานขอให้บุรุษตรงหน้าหนีไปจากการต่อสู้ เเต่ความคิดดังกล่าวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาเห็นว่านักรบผู้นี้สามารถต่อกรกับเขาได้ Artorias เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ความอบอุ่นของแสงสว่างท่ามกลางความมืดซึ่งเรียกว่าความหวัง... แม้ตนว่าจะล้มเหลวในภารกิจกำราบ The Abyss แต่อย่างน้อยเขาก็ขอเป็นเเค่หนึ่งในขั้นบันไดสำหรับนักรบคนนี้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

( ภาพประกอบ : เเม้ภายในเกม Artorias จะไม่ได้พูดอะไร เเต่ในเกมก็มีไฟล์เสียงของเขาเก็บเอาไว้โดยไม่ได้ใช้ ซึ่งบทพูดส่วนมากจะไปในทางเตือนผู้เล่นถึงความอันตรายของ The Abyss )

         Undead นิรนามได้เอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลบวีถีดาบเป็นแนวราบ จากมุมนี้เขาสามารถมองเห็นสนิมบนปลายดาบที่ลอยผ่านหน้าเขาไปได้อย่างชัดเจน...เเต่น่าเเปลกเขากลับรู้สึกว่าการเหวี่ยงดาบเมื่อครู่ได้ถูกชะลอความเร็วลงอย่างกะทันหัน แต่นี่ก็หาใช่เวลามานั่งคิดเล็กคิดน้อยไม่ Undead นิรนามอาศัยจังหวะที่เหมือนกับพระเจ้าประทานมาให้ กระโจนแทงดาบเข้าใส่ลำคอของอัศวินหมาป่าอย่างจัง

         ของเหลวปริศนาซึ่งดูเหมือนกับโลหิตสีดำ พุ่งกระจายออกมาจากปากแผลเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในอากาศ Undead นิรนามยังคงกระหน่ำแทงดาบเข้าใส่ร่าง Artorias จนถอยหลังไปติดกำแพง เเละมารู้สึกตัวเอาอีกทีเขาก็เผลอเปิดช่องโหว่ทำให้ Artorias สามารถโจมตีเขาได้... ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเเละ Undead นิรนามมองเห็นภาพของตนเองที่ถูกสับออกเป็นสองเสี่ยง เเต่ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น พระเองของเรารู้สึกเพียงปลายนิ้วมือสัมผัสเบา ๆ ของ Artorias ที่ตบลงบนบ่า

         โดยไม่ต้องมิปริปากพูดสักคำ Undead นิรนามทราบทันทีว่านี่คือการส่งต่อความหวังเเละภาระอันหนักอึ้งให้แก่เขา ดูเหมือนว่าพวกพลังแห่งความมืดจะได้ละทิ้งร่างอันไร้ประโยชน์นี้ไปเเล้ว ปล่อยให้อัศวินหมาใช้ช่วงวินาทีสุดท้ายสิ้นใจลงอย่างสงบในฐานะผู้เสียสละเเห่งนคร Oolacile

( ภาพประกอบ : Soul ของ  Artorias นั้นสามารถนำมาเเลกเป็นดาบ Abyss Greatsword ได้ ซึ่งผู้เล่นจะได้อนิเมชันการโจมตีมาด้วย )

 

มังกรดำ และเหล่าเศษซากจากอดีต

         หลังการวายชนม์ลงของอัศวินหมาป่า Undead นิรนามก็เริ่มออกสำรวจทั่วอาคารลานประลอง จนเขาได้ไปพบกับบานประตูปริศนาซึ่งถูกล็อกเอาไว้ด้วยพลังเวทมนตร์ พระเอกของเราจึงรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ประตูธรรมดาอย่างเเน่นอน แถมจู่ ๆ ก็มีก้อนหินลอยข้ามเพดานออกมาจากข้างใน ก้อนหินพวกนั้นจะส่งเสียงเป็นคำพูดกำกวมโทนต่ำในทุก ๆ ครั้งที่มันตกกระทบกับพื้น...ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่ขว้างมันออกมา จะต้องการสื่อสารกับพระเอกของเราเป็นเเน่เเท้

         Undead นิรนามได้พยายามค้นหากุญแจในบริเวณใกล้เคียงแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงเดินกลับไปยังลานประลองและพบว่าเจ้า Chester ได้มายืนรอตนอยู่แล้ว เจ้าพ่อค้าความตายไม่รีรอที่จะยื่นข้อเสนอขอร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อแลกกับการที่ทั้งคู่จะต้องแบ่งสมบัติภายในเมืองให้เท่ากัน… แน่นอนว่า Undead นิรนามก็ไม่ปฏิเสธแม้นจะรู้อยู่แล้วว่าเขาอาจจะถูกหักหลังได้ทุกเมื่อ

( ภาพประกอบ : การที่หอคอยซึ่งขัง  Gough เอาไว้นั้นมีประตูขนาดเท่ากับมนุษย์ มันก็เเสดงให้เห็นว่าบางครั้งผู้คนใน Oolacile ยังคงต้องงพึงเขาเป็นครั้งคร่าว  )

         ทั้งสองเดินทางเขามาภายในนคร Oolacile ที่มีสภาพกลายเป็นซากประหลักหักพักจนไม่เหลือชิ้นดี  บอกตามตรงพระเอกของเราไม่สามารถจินตนาการถึงสภาพก่อนหน้านี้ของเมืองได้เลย มองจากมุมนี้เขาเพียงเเค่เห็นหน้าผาที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยความมืดซึ่งอัดเเน่นราวกับน้ำวนสีดำ ประหนึ่งกับว่าทั้งเมืองถูกธรณีสูบสู่ขุมนรกก็ไม่ปาน

         ตลอดทางพวกเขาต้องเจอกับเหล่าประชากรที่ถูกกลื่นกินโดยความมืด พวกมันต่างวิ่งกรูกันเข้ามาจะทำร้ายไม่ก็ร่ายเวทมนตร์แห่งความมืดโจมตีเข้าใส่พวกเขา ทว่าเหตุผลดังกล่าวก็หาใช่เป็นสาเหตุที่ทำให้การเดินทางล่าช้าไม่ แต่มันกลับเป็นเพราะว่าพระเอกของเราต้องมานั่งรอเจ้า Chester ที่ออกสำรวจบ้านทีละหลังทีละหลังเพื่อหาสมบัติ

( ภาพประกอบ : เจ้า Chester ในร่าง Red Phantom )

         ทั้งสองเดินทางต่อไปจนพบเข้ากับหีบสมบัติใบหนึ่ง และภายในนั้นปัจจุบันกุญแจซึ่งเปล่งพลังงานเวทมนตร์ที่คล้ายกับบานประตูปริศนาในลานประลอง ด้านฝั่ง Undead นิรนามจึงได้ตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับขึ้นไป ขัดกับเจ้า Chester ที่ไม่เห็นด้วย แถมมันกล่าวหาว่าพระเอกของเราต้องการจะหุบสมบัติไว้คนเดียว

         Chester ยิงหน้าไม้คู่กายเข้าใส่พระเอกของเราในยามที่เขาไม่ระวังตัว แต่ทว่าความเร็วของลูกดอกนั้นช่างช้ายิ่งนักหากเทียบกับฝีเท้าของอัศวินหมาป่า Undead นิรนามหลบมันได้อย่างสบาย ๆ ด้วยการกลิ้งเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็พุ่งตัวปรี่เข้าไปชกหน้าของ Chester จนลงไปนอนกองกับพื้น

         Undead นิรนามยืนอยู่เหนือตัวมันและมองลงมาด้วยสายตาที่เหมือนกับราชสีห์ เขากล่าวเตือนเจ้าพ่อค้าความตายว่าอย่าได้ริอาจหันคมดาบใส่เขาอีกเป็นอันขาด… เพราะตัวเขามิได้ไร้เกียรติเฉกเช่นมัน มิได้สนใจช่วงชิงสิ่งของมีค่าหรือเงินตราจากคนตาย หากแค่ต้องการจะช่วยกุลสตรี Dusk เเละหาทางกลับคืนสู่ปัจจุบันเท่านั้นเอง ว่าแล้วพระเอกของเราก็เดินจากไป ปล่อยให้เจ้า Chester นอนจมความอับอายของมันภายใต้ความมืดมิดอย่างโดดเดี่ยว

( ภาพประกอบ : รู้หรือไม่ว่าเจ้า Chester ขาย Item ของมันในราคาที่เเพงกว่า NPC ตนอื่นถึงสองเท่า!...สมเเล้วกับที่เป็นพ่อค้าความตาย )

         พอขึ้นมาถึงลานประลอง Undead นิรนามเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายในชุดสีน้ำเงินมิดชิด เเละสวมใส่หน้ากากสีขาวปิดบังใบหน้า เธอนั่งคุกเขาภาวนาใกล้ ๆ กับตรงจุดที่อัศวิน Artorias ตาย พระเอกของเราจึงเข้าไปถามไถ่และได้ทราบว่าชื่อของนางก็คือ Ciaran ตัวเธอค่อยเฝ้ามองสถานการณ์มานานแล้ว เเละกล่าวขอบใจพระเอกของเราที่ช่วยปลดปล่อยสหายเก่าของเธอจากชะตากรรมอันโหดร้าย

         Ciaran ได้เสนอขอแลกกระบี่คู่ของเธอกับดวงวิญญาณของ Artorias โดยกระบี่เล่มเเรกนั้นเป็นกระบี่อับแสง Dark Silver Tracer ส่วนกระบี่เล่มที่สองคือกระบี่เข็มทอง Gold Tracer ซึ่งทั้งสองเป็นกระบี่อันเลื่องชื่อที่สังหารบุคคลสำคัญมาแล้วมากมาย เเต่ทว่าตอนนี้นางมิได้ต้องการมันอีกแล้ว ขอเพียงก็แต่ Undead นิรนามยอมแลกดวงวิญญาณของ Artorias มาก็พอ

         ความจริงพระเอกของเราเป็นคนที่เห็นใจผู้หญิงมาเเต่ไหนเเต่ไร และต้องการจะมอบดวงวิญญาณให้เเก่เธอฟรี ๆ อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขากลับรู้สึกว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีขาวเผือกของหญิงสาว กำลังแพร่รังสีอัมหิตออกมาปานจะฆ่าจะแกงกัน… มาคิดดูดี ๆ การที่จู่ ๆ Ciaran มาเล่าประวัติเปื้อนเลือดของกระบี้ให้ฟัง มันอาจจะเป็นคำขู่กราย ๆ ก็ได้หากการตกลงไม่สำเร็จ

( ภาพประกอบ : Ciaran ที่ได้สร้างหลุมศพเล็ก ๆ ให้เเก่ Artorias เเละนั่งคุกเข่าไว้อาลัย )

         Undead นิรนามยอมมอบดวงวิญญาณของ Artorias ให้เเก่นางแต่โดยดี เพราะถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลักอยู่แล้ว ตัวเขาต้องการที่จะเปิดประตูปริศนาเพื่อช่วยคนที่อยู่ในนั้นออกมาต่างหาก พระเอกของเราได้ทำการไขกุญแจเวทมนตร์ และพบว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นยักษ์ตนหนึ่งนามว่า Gough ซึ่งกำลังแกะสลักหินพูดได้ด้วยท่าทางสงบนิ่งคล้ายกับคนชรา

         Gough กล่าวทักทายพระเอกของเราทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้อง ทั้งยังบอกอีกว่าหูทิพย์ของมันได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว และขอบคุณ Undead นิรนามที่ช่วยปลดปล่อยสหายเก่า Artorias ให้หายจากความทรมาน

( ภาพประกอบ :  ผู้เล่นสามารถได้ชุดเกราะของ Gough ด้วยการฆ่าเขา หากทว่าชุดเกราะนี้จะลดพลังฟื้นฟู Stamina ของผ้เล่นเล็กน้อย )

         หลังพบว่าเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ซึ่งโกหกไม่เป็น Undead นิรนามจึงเริ่มเอ่ยถามถึงความจริงในเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุวิบัติแห่งความมืดครั้งนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่ ทั้งสองได้นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จนเริ่มรู้สึกถูกคอ Gough เลยเอ่ยถามพระเอกของเราว่าอยากลองสังหารมังกรดำ Kalameet หรือไม่?

         Kalameet มังกรนิดรตัวสุดท้ายแห่งดินแดน Lordran (ตามความเข้าใจของ Gough ) มันถูกความมืดขับไล่ออกมาจากที่พำนักใต้พิภพ...ซึ่งครั่นจะปล่อยเอาไว้ก็คงเป็นอันตรายต่อผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่ เเต่ด้วยตัวเขานั่นแก่ชรามากแล้วจะให้ไปสู้เหมือนตอนยุคบรรพกาลก็คงไม่ไหว แต่ถ้าหากว่าได้ Undead นิรนามมาช่วย ความสงบสุขก็จะกลับคืนมาสู่ป่าแห่งนี่อีกครั้งหนึ่ง

( ภาพประกอบ : Gough นั้นมีอายุมานานหลายพันปีหรืออาจะหมื่นปีเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาอยู่มาตั้งเเต่สมัยที่  Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดรฃ )

        

        

เมื่อมีคนมาขอร้องดีดีเช่นนี้ มีหรือที่พระเอกของเราจะเบือนหน้าหนี หลังเขาตอบรับความประสงค์ Gough ก็หยิบคันธนูซึ่งมีขนาดใหญ่พอพอกับทั้งตัวมันขึ้นมา เจ้ายักษ์ชราสัมผัสได้ถึงแรงตึงอันคุ้นเคยของสายธนูผ่านท่อนแขน ในขณะที่สติค่อย ๆ กำหนดเพ่งฟังเสียงของสายลม สายลมที่เคลื่อนที่ได้รุนแรงดุจพายุกลางเวหา ภาพเรือนร่างของมังกรถูกกระตุ้นด้วยความทรงจำจากสนามรบเหมือนครั้งอดีตกาล ชวนให้เจ้ายักษ์ชราตัวนี้อดไม่ได้ที่จะคุยโวก่อนปล่อยลูกธนูออกจากนิ้วมือ

“จงเบิ่งตาดูให้ดี...นี่แหละคือวิธีที่ข้าล่ามังกร”

         พูดเสร็จเจ้ายักษ์ก็ปล่อยให้ลูกธนูลอยพุ่งเเหวกไปในอากาศ พลังความเร็วของมันเป็นสิ่งที่แตกต่างกับพลังจากเหล่า Silver Knight อย่างไม่ต้องสงสัย...ลูกธนูยักษ์ได้ลอยหายลับไปด้านหลังเนินเขา ทำให้ Undead นิรนามพยายามจะปีนขึ้นระเบียงเพื่อไปดูตำแหน่งตก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะปีนถึงด้านบนก็ได้บังเกิดเสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วป่า

เจ้ายักษ์ชรากล่าวว่ามังกรดำ Kalameet ได้ถูกเด็ดปีกลงแล้ว นับจากจุดนี้เขาคงต้องพึ่งเเรงของ Undead นิรนามช่วยในการสานต่อภารกิจ

( ภาพประกอบ : ตัวของ Gough นั้นนิยมชมชอบในการล่ามังกรเป็นอย่างมาก เเต่ในเมื่อไม่มีเหยื่อเขาจึงต้องจำใจเกษียรตัวเอง  )

         Undead นินามออกเดินทางไปยังทิศทางที่ลูกธนูหายลับไป จนกระทั่งเข้ามาถึงยังหุบเขากลางป่าเเละได้พบกับเจ้า Kalameet กำลังนอนพักเพราะบาดแผลจากลูกธนูอยู่ รอบ ๆ ตัวของมันเต็มไปด้วยซากศพเหล่าบรรดาผู้กล้ามากมายที่หมายจะพิชิตมันก่อนหน้าพระเอกของเรา นอนนิ่งดำสนิทเป็นถ่านไม้กระจัดกระจายกันไปทั่ว

         ด้วย8;k,mujขนาดร่างกายของเจ้า Kalameet ซึ่งจัดได้ว่าเล็กเมื่อเทียบกับมังกรสายพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นร่างกายของมันจึงมีความรวดเร็วปราดเปรียวเป็นพิเศษ และถึงต่อให้มีพละกำลังน้อยกว่าเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ เเต่ทว่านั่นก็มากพอเเล้วที่จะสังหารมนุษย์ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว

( ภาพประกอบ : เจ้า Kalameet ที่มีผิวหนังสีเทาตัวนี้เป็นอีกหนึ่งในผลงานที่ถูกขัดออก  )

         จากประสบการณ์ของ Undead นิรนาม เขาได้เรียนรู้ว่ามังกรทุกตัวนั้นแตกต่างกัน พวกมีนิสัยส่วนตัวและอากัปกิริยาที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งดูเหมือนในกรณีของ Kalameet  จะเป็นดวงตาสีแดงเพลิงกลางหน้าผากที่อาจจะเป็นได้ทั้งจุดแข็งเเละจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน

         พระเอกของเราอาศัยมุมอับสายตา พยามเคลื่อนตัวคลานเข้าไปใกล้ เเต่เนตรทิพย์ของ Kalameet ก็มองเห็นเขาเสียก่อน มันจึงจัดการพ่นเพลิงสีดำที่แค่ดูก็รู้ว่าถึงตายออกมา กดดันไล่ให้พระเอกของเราต้องรีบวิ่งหางจุดตูดออกจากรัศมีทมิฬ

         เจ้า Kalameet เริ่มไล่ล่าพระเอกของเราทันทีเหมือนกับอินทรีที่กำลังไล่ล่าหนู มันกระโจนขึ้นไปบนฟ้าและพุ่งตัวโฉบลงมาเป็นหอกยักษ์ กวาดเอาก้อนหินเเละเศษดินรวมไปถึง Undead นิรนาม จนเขาต้องกระเด็นกระดอนหัวทิ่มไม่เป็นท่า 


( ภาพประกอบ : เพลิงสีดำที่เกิดจากการปรัสมของ The Abyss )

         Undead นิรนามพยายามตั้งตัวขึ้นเเละออกวิ่งไปรอบ ๆ เจ้ามังกรเป็นวงกลม เพื่อล่อหลอกให้มันพุ่งตัวมาอีกครั้งหนึ่งตามเเผนที่คิดไว้ในหัว แต่คราวนี้ Kalameet กลับลดความเร็วลงกลางอากาศ เเละใช้ดวงตาสีแดงเพลิงที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น สว่างขึ้น จ้องมองไปยัง Undead นิรนาม

         เเละในบัดดล! จู่ ๆ พระเอกของเราก็รู้สึกว่าแขนขาของตนนั้นไร้น้ำหนักอย่างผิดปกติ ปลายเท้าที่เคยตั้งมั่นบนพื้นบัดนี้กลับสัมผัสผิวดินไม่ได้ ราวกับว่าทั้งตัวกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำที่เป็นอากาศ... ใช่แล้ว!นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของ Kalameet เนตรสีเพลิงของมันสามารถตรึงศัตรูไว้บนอากาศ และเผาพลาญดวงวิญญาณเหยื่อจนมอดไหม้จากข้างในจิต

         Undead นิรนามรู้สึกปวดหัวอย่างแสนสาหัส มันเจ็บเหมือนกับมีคนเอาเเท่งเหล็กร้อน ๆ จี้เเช่ลงไปที่สมองเขาตรง ๆ ความรู้สึกนี้มันเเย่ซะยิ่งกว่าถูกเพลิง Chaos ตัดผ่านร่างเสียอีก เพราะร่างกายของเขาไม่ได้บาดเจ็บไปด้วย (ตายช้า ๆ อย่างทรมาน) 

( ภาพประกอบ : พลังจากดวงตาที่สามของเจ้า Kalameet  )

         ในขณะที่ Undead นิรนามกำลังค่อย ๆ สิ้นสติลงไปเรื่อย ๆ เจ้ามังกรที่อยู่ในท่ายืนสองขาก็ได้เเผ่ปีกสีดำทมิฬของมันออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ร้องคำรามเสียงดังสนั่นกลางหุบเหวอย่างน่ากลัว ราวกับจะประกาศว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งศพที่ต้องสังเวยเพราะความไม่เจียมตัว

         แต่ทว่าในช่วงเวลาเสี้ยวอึดใจเดียวก่อนที่พระเอกของเรากำลังจะตาย จู่ ๆ ก็มีลูกธนูยักษ์ลอยมาปักลงกลางหน้าอกเจ้ามังกรดำ! ส่งผลให้มนต์ดำของมันถูกคลายออกอย่างฉับพลัน… ด้านพระเอกของเราแม้จะกลิ้งล้มหัวคะมำเเละมีอาการบาดเจ็บสะสม เเต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับอีกฝ่ายที่มีรูอยู่กลางตัวถึงสองรู เขารีบถือดาบเดินตรงไปหามันอย่างโซซัดโซเซ กระหน่ำแทงเข้าใส่เนตรทิพย์จนกลายเป็นรูโบ๋รูที่สาม

         Kalameet ที่ตอนนี้ปราศจากดวงตาอันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง มันได้รู้สึกหวาดกลัวเเละลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทาง เดี๋ยวก็พุ่งชนภูผาด้านซ้ายทีเดี๋ยวก็อัดกระแทกกับก้อนหินด้านขวาที ว่าง่าย ๆ มันมีสภาพน่าสังเวชเหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นเช้ามาแล้วพบว่าตัวเองาบอด... เจ้ามังกรได้วิ่งกรีดร้องคำรามไปเรื่อย ๆ จนล่วงหล่นลงไปตายยังหุบเหวสีดำใต้พื้นพิภพ หุบเหวอันเดียวกับที่มันหนีอออกมา

( ภาพประกอบ : เเม้ Kalameet จะถูก The Abyss กลืนกินไปเเล้วทั้งตัว เเต่มันกลับยังคงรักษาสติเอาไว้ได้อย่างเเปลกประหลาด...ดูเหมือนว่าเผ่ามังกรบางตัวจะสามารถต้านทานพลังเเห่งความมืดได้เป็นพิเศษ )

         ด้าน Undead นิรนามที่เเม้ว่าจะชนะศึก เเต่เขาก็ถูกเจ้ามังกรเหยียบตาย ณ ตรงนั้นตามไปด้วย จึงได้กลับมาเกิดใหม่ยัง Bonfire ในลานพิธีกรรม ซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกเจ้าเห็ด Elizabeth ทักถามขึ้นถึงความคืบหน้าในภารกิจ

เจ้าเห็ดยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พระเอกของเราสามารถปราบมังกรดำลงได้ เเละมีเป้าหมายต่อไปคือการช่วยกุลสตรี Dusk เเต่ทว่าก่อนที่จะจากกัน มันก็กล่าวขอร้องเเก่พระเอกของเรา ว่าให้เรื่องราวทั้งหมดนี้กลายเป็นความดีความชอบเเก่อัศวิน Artorias ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Time Paradox (ความขัดแย้งของเส้นเวลา)

         Undead นิรนามรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่เจตนาอันบริสุทธิ์ของเขาได้ถูกบิดเบือนไป โดยมันเป็นเพราะที่ผ่านมา เขาเริ่มได้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์อันเป็นเหมือนเหรียญอีกด้านของฝ่ายเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo… ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่า Elizabeth ต้องการจะช่วยเขาจริง ๆ หรือเเค่ต้องการไม่ให้มีมนุษย์ถูกบันทึกวีรกรรมไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กันแน่

( ภาพประกอบ : ภายในตัวเกม ผู้เล่นสามารถจัดการกับ Kalameet ก่อนที่จะไปพบกับ Gough ก็ได้ เเต่จะต้องมีการตระเตรียมวิธีสักหน่อย... หากใครสนใจก็สามารถหาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Youtube )

 

บิดาแห่งความมืดทั้งปวง

         “นรก” คำอันมีหมายถึงสถานที่ที่น่ากลัวและทุกข์ทรมาน บางก็เชื่อว่ามันเป็นจุดจบสำหรับคนบาปที่ไม่เชื่อในพระเจ้า บางก็ว่ามันคือโทษทันตลอดกาลของคนชั่วช้า… เเต่นั่นก็เป็นแค่คำนิยามซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฐานความเชื่อจากเหล่าเทพเจ้า

         คำสอนที่ว่าแสงสว่างคือสรวงสวรรค์และความมืดมิดคือนรก มันจะจริงแค่ไหนกันเชียว? เเละหากเป็นเช่นนั้นไฉนเลยผู้คนถึงต่างพากันหลบหนีจากมหานครสวรรค์อย่าง Anor Londo ทำไมเหล่าสาวกพระผู้เป็นเจ้าถึงต้องถูกส่งไปทำภารกิจฆ่าตัวตาย... ความอดอยาก, ความเศร้า, การกดขี่ สิ่งเหล่านี้กลับเกิดขึ้นโดยทั่วไปในดินเเดนที่อยู่ใต้รัศมีของเทพเจ้า มันหาได้เเตกต่างจากนิยามคำว่านรกอย่างที่เขาเล่าลือไม่

         The Abyss ในนคร Oolacile อาจจะมิใช่สถานที่อันดีเลิศ เเม้พลังความบ้าคลั่งของมันจะได้ทำลายเมืองจนราบเป็นหน้ากอง แต่ทว่า ณ ใจกลางของสถานที่แห่งนี้ ก็มิได้มีความยากลำบากหิวโหยเฉกเช่นเมืองมนุษย์ มิได้มีคราบน้ำตาจากความสูญเสียเเบบในสนามรบ... ความเงียบสงัดอันเเสนเย็นยะเยือก คือสิ่งเดียวที่สถานที่นี่จะมอบให้ มันคงจะเป็นสรวงสวรรค์เลยละสำหรับเหล่าผู้ที่ปรารถนาความสงบ

( ภาพประกอบ : ภายใต้จุดที่มิดมิดที่สุดของโลก มันปราศจากทั้งเเสงว่างเเละเงาดำ เป็นดินเเดนอันไร้ขอบเขตที่เเม้เเต่พระเจ้าก็ยังหวาดกลัว )

         ภายใต้ภูมิศาสตร์ที่มืดมิด Undead นิรนามต่างถูกไล่ล่าจากกลุ่มก้อนพลังงาน Humanity บริสุทธิ์ พวกมันเป็นจิตวิญญาณที่มิอาจเเตกดับเเละต้องการหาร่างกายเพื่อสิ่งสู่! กลุ่มควันสีดำพวกนี้ค่อย ๆ ลอยเข้ามาโอบล้อมพระเอกของเราที่กำลังเหวี่ยงดาบอย่างไร้ทิศทาง เนื่องจากถูกพวกมันปิดกั้นสัมผัสพลังอันน้อยนิดของกุลสตรี Dusk เอาไว้ ซึ่งเป็นเข็มทิศเพียงหนึ่งเดียวภายในสถานที่เเห่งนี้

ในระหว่างที่พระเอกของเรากำลังระเเวงหน้าระเเวงหลังอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงแหล่งพลังงานที่ต่างออกไป สัญชาตญาณผลักดันให้สายตาทั้งสองออกมองไปรอบ ๆ จนไปสะดุดเข้ากับแมวสีขาวตัวหนึ่งที่ปรากฏตัวมาอย่างเป็นปริศนา

         Undead นิรนามพยายามแหวกฝ่าฝูงก้อนพลังงาน Humanity วิ่งไล่ตามเจ้าแมวปริศนาไปเรื่อย ๆ จนมาถึงยังพื้นวงแหวนสีทอง ซึ่งดูเหมือนจะสามารถป้องกันพลังความมืดจากภายนอกได้... ณ จุดนี้เจ้าแมวเหมียวสีขาวก็ได้หายตัวไปแล้ว เหลือเอาไว้ก็แต่ลูกสุนัขป่าขนเงินตัวหนึ่งที่กำลังนอนบาดเจ็บกองอยู่กับพื้น เเละโล่ปริศนาที่เปล่งเเสงสีทองออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

( ภาพประกอบ : เจ้าเเมวปริศนาที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาใน The Abyss  )

         เเทบจะไม่ต้องสงสัยเลย! พระเอกของเราสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ Artorias จากทั้งสองสิ่งนี้ และดูเหมือนว่าเจ้าลูกสุนัขตัวจ้อยก็ได้กลิ่นนั้นเช่นเดียวกัน มันก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเเสดงถึงความรู้สึกเศร้าสร้อย ก่อนจะพยายามลุกขึ้นมายืนด้วยท่าทางขากะเผลก

         Undead นิรนามเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเจ้าลูกสุนัขป่าในทันที เขากล่าวด้วยภาษามนุษย์เพื่อบอกให้มันอยู่เฉย ๆ เพราะความเป็นห่วง แต่ทว่าเจ้าสุนัขกลับคาบดาบที่อยู่ข้างกายขึ้นมาไว้ในปาก...ดวงตาที่ส่องสะท้อนเป็นแสงสีทองของมัน จ้องมองกลับมายัง Undead นิรนามเพื่อบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในวิญญาณ ราวกับจะบอกว่าตัวมันยืนยันที่จะตามพระเอกของเราไปด้วย แม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ตาม

( ภาพประกอบ : เจ้าลูกหมาป่าตนนี้มีนามว่า Sif… ซึ่งมันมีชะตากำเกี่ยวข้องกับ Undead นิรนาม )

         ขบวนเหล่าผู้กล้าเดินทางลึกลงไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของดินเเดนนี้ พลังความมืดของที่นี่มันหนาแน่นเสียยิ่งกว่าอากาศหายใจเสียอีก ชนิดที่ว่าหากสูดดมเข้าไป ปอดของพวกเขาก็คงจะกลายเป็นสีดำสนิทเป็นเเน่

         เจ้าลูกสุนัขเริ่มเเสดงท่าทีที่ดุร้ายพร้อมกับส่งเสียงขู่ไปยังความมืดตรงหน้า ประหนึ่งต้องการบอกเเก่พระเอกของเราว่ามีบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา... เเละท่ามกลางความเงียบสงัดที่แม้แต่การหายใจก็ยังดังสนั่น ได้บังเกิดสียงอุ้งเท้าค่อย ๆ เดินลากตามความมืด ค่อย ๆ เคลื่อนคัวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนปรากฏโฉมหน้าจ้าวแห่งอสูรทมิฬ Manus ออกมา

         ร่างกายของ Manus มีขนสีดำม่วงขึ้นปกคลุมทั้งร่างกาย ตัวมันนั้นใหญ่พอ ๆ กับพวกยักษาขนาดเล็ก ทว่ากลับมีสัดส่วนร่างกายที่ผิดรูปผิดร่าง เนื่องจากรยางค์เเขนต่างใหญ่ข้างเล็กข้าง ส่งผลให้ Manus ต้องเดินลากมือเหมือนกับคนไม่สมประกอบและต้องอาศัยไม้คฑาช่วยพยุงตัวอยู่ตลอดเวลา บนใบหน้าของมันมีดวงตาสีแดงหลายคู่เฉกเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ที่กลายร่าง เเต่ว่าจะมีเขาปลายแหลมคล้ายกับเขากว้างจำนวนนับไม่ถ้วนพุดชี้ขึ้นด้านบน…

( ภาพประกอบ : สาระรูปของ Manus ที่เกิดจากพลังความมืด... อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นร่างที่กลายพันธุ์จากศพของ Manus มากกว่า  )

         พระเอกของเราสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกุลสตรี Dusk จากในตัวเจ้า Manus เขาสรุปว่าหากอยากจะช่วยนางออกมาเป็น ๆ เห็นทีคงต้องจัดการปลดอาวุธเจ้านี่เสียก่อน ด้วยการเล็งเข้าจู่โจมที่บริเวณเเขนเเต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก… เพราะ Manus มักจะปัดป้องการโจมตีไว้ได้ทัน จนทำให้ Undead นิรนามต้องมองหาวิธีอื่น

         ท่ามกลางช่วงเวลาตะลุมบอล Undead นิรนามเหลือบมองไปเห็นเจ้าลูกสุนัขที่พยายามสู้อย่างสุดกำลังเเม้ว่าขาจะบาดเจ็บ รูปเเบบการจู่โจมของมันดูคล้ายกับอัศวิน Artorias เป็นอย่างมาก สิ่งนั้นได้ทำให้เขาเข้าใจถึงวิธีการต่อสู้ได้ในทันที...ใช่เเล้ว! เขาต้องทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของฝูงหมาป่าในยามออกล่า

         Undead นิรนามเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำในการต่อสู้กับ Artorias เขากระโจนเข้าไปร่วมบรรเลงเพลงดาบเหมือนกับตนหมาป่าตัวหนึ่ง เปลี่ยนเเปลงทั้งกายเเละใจเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าลูกสุนัขป่า คอยยกโล่ขึ้นมาป้องกันมิตรสหายในยามที่อีกคนมีช่องโหว่ เเบ่งรับเเบ่งสู้เป็นเช่นนี้ไปจน Manus เริ่มเสียสมาธิ

( ภาพประกอบ : อย่างที่เคยบอกว่า Sif นั้นกำลังบาดเจ็บ ดังนั้นมันจึงล้มลงพื้นเป็นครั้งคราว )

         อสูรร้าย Manus หมดความอดทนต่อการโจมตีจากทั้งสอง มันได้เสกฝนดาวตกทมิฬล่วงหล่นลงมาจากอากาศเพื่อควบขุมพื้นที่สังเวียน ส่งผลให้พระเอกของเราต้องรีบยกโล่ขึ้นป้องกันเหนือศีรษะ... เเต่ก็กับเหมือนฟ้าดลใจ Undead นิรนามสังเกตเห็นว่าเจ้าอสูรนั้นกำลังร่ายมนต์จนไร้กายป้องกัน เขาจึงได้อาศัยจังหวะนั้นวิ่งฝ่าดงฝนทมิฬหมายจะเข้าไปตัดหัวมัน

ทว่าโปรดอย่าลืม! ว่าตัว Manus นั้นก็เคยเอาชนะกระบวนท่าประสานเขี้ยวของอัศวิน  Artorias  มาแล้ว มันตั้งใจที่จะหลอกล่อให้พระเอกของเราวิ่งเข้ามาใกล้ ๆ จากนั้นก็ดูดพลังความมืดเข้าหาตัวเองจากบริเวณรอบ ๆ สังเวียรการต่อสู้ ซึ่งเเน่นอนว่ามันต้องชนเข้าใส่ด้านหลังของ Undead นิรนามอย่างเเน่นอน พระเอกของเราได้เเต่เหลือบตาหันกลับไปมองความตายที่กำลังวิ่งมาใกล้ ๆ ...เเต่เเล้ว! ในช่วงเวลาสุดท้าย กลับมีประกายแสงสีเงินพุ่งเข้ามารับการโจมตีเอาไว้แทน นั่นก็คือเจ้าลูกหมาป่านั่นเอง

         เจ้าสหายผู้ซื่อสัตว์จงใจใช้ตัวเองเป็นโล่กำบังพระเอกของเรา ประหนึ่งราวคล้ายจะบอกว่ามันไม่ต้องการที่จะเห็นสหายร่วมรบจากไปอีกคน การเสียสละในครั้งนี้ได้กลายเป็นเหมือนเชื้อเพลิงทำให้ Undead นิรนามถึงกับโกรธจัด เขารวบความแค้นจากภาพของทุกสิ่งทุกอย่างตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะบ้านเมืองหรือคนบริสุทธิ์ที่ต้องล้มหายตายจาก เเละภาพของเหล่าวีระบุรุษที่เสียสละส่งเขามาจนถึงจุดนี้! Undead นิรนามพุ่งตัวด้วยพลังทั้งหมดแทงปลายดาบเข้าใส่คางเจ้า  Manus อย่างจัง

( ภาพประกอบ : Manus เป็นเหมือนร่างสถิตของอารมณ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้มาจาก Dark Soul… หากปราศจากมันมนุษย์ก็จะกลายเป็นเพียงร่างไร้สติอย่าง Hollow เหมือนครั้งบรรพกาล )

         ดาบคู่กายของ Undead นิรนามพุ่งปักลึกเข้าไปในบาดเเผลเปิด สวนทางกับกลุ่มควันสีดำที่พุ่งออกมาจากร่างกาย Manus อย่างไม่หยุดไม่หย่อน… ซึ่งมันก็คงจะดีไม่ใช่น้อยหากว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปีศาจคำนวณเอาไว้เเล้ว! กลุ่มควันสีดำค่อย ๆ ล้อมรอบตัวพระเอกของเราจนกลายเป็นเหมือนกับโซ่ตรึงร่างเขาติดกับเจ้าปีศาจ Manus กำลังใช้พลังความมืดเข้ากลืนกินพระเอกของเราอยู่นั้นเอง!

         Undead นิรนามพยามดิ้นรนขัดขืนด้วยเเรงทั้งหมดเเต่ก็ไร้ประโยชน์ ตัวเขาจมเข้าไปในร่าง Manus เเละถูกความมืดชอนไชเข้ามาใต้ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย… ทว่าช่างเเปลกนัก เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับพลังควมมืดนี้เสียเหลือเกิน ทั้งอารมณ์ความเศร้า, ความเกลียดชัง,  ความโลภโมโทสัน, เเละอารมณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ต่างถูกกระตุ้นจนพลุ่งพล่านทะลักออกมาจากเศษเสี้ยว Dark Soul ภายในกาย

( ภาพประกอบ : หลุมศพของ Manus ที่ถูกเหล่านักเวทย์ที่กระหายใคร่รู้ขุดขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่!  )

         เเละนี่แหละ! ก็คือจุดแตกต่างระหว่าง  Artorias กับ Undead นิรนาม… ด้วยเหตุที่ว่าเจ้าอัศวินหมาป่านั้นเป็นเผ่าพันธุ์ยักษา(ยักษาสายพันธุ์เทพเจ้า) จึงมิอาจทานทนต่อพลังของ The Abyss ได้ แตกต่างกับพระเอกของเราซึ่งยังพอจะควบคุมสติสัมปชัญญะได้อยู่บ้าง เเละที่สำคัญเขาคือ Undead ผู้ถูกเลือก

         ตลอดการเดินทาง Undead นิรนามได้ดูดซับทั้ง Soul และ Humanity เอาไว้มากมาย ตอนนี้ร่างกายของเขามิใช้คนอ่อนแอเหมือนครั้งที่ติดอยู่ใน Undead Asylum อีกแล้ว... หากเเต่มีทั้งพลังมหาศาลเฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขา บรรพบุรุษที่เคยใช้ความต่อมืดต่อกรกับเหล่ามังกรนิรันดร

( ภาพประกอบ : ในสังคม Online ได้มีการถกเถียงว่าเหตุใดกัน Chosen Undead ถึงไม่ถูกพลังของ Manus เข้ากลืนกิน…โดยในบรรดาข้อมูลพวกนั้น เหตุผลที่ว่า  Chosen Undead เป็นมนุษย์ที่มี Dark Soul เเข็งเเกร่งได้ถูกยอมรับมากที่สุด  )

         พลังเเห่งความมืดค่อย ๆ หวนย้อนกลับเหมือนกับสายลมที่กำลังเปลี่ยนทิศ พระเอกของเราใช้พลังนี้พุ่งเข้าไปในร่าง Manus เพื่อค้นหากุลสตรี Dusk จากนั้นก็ยื้อยุดฉุดกระฉากนางออกมาจากร่างกายเจ้าปีศาจที่กำลังขัดขืน ซึ่งผลสุดท้ายมันก็เลือกที่จะปล่อย Dusk เเละพระเอกของเราไป จากนั้นก็พยายามจะคลานหนีกลับไปในความมืด ซึ่งมีหรือที่ขารีบเล็กแบบนั้นจะสามารถวิ่งหนีพ้น พระเอกของเราไล่ตามไปและลงมือหั่นร่างของ Manus ออกเป็นชิ้น ๆ จนตาย

         ....และแล้วในที่สุด! ตำนานเรื่องเล่าของนคร Oolacile ก็เดินทางมาถึงตอนจบ เวทมนตร์กาลเวลาซึ่งถูกร่ายเอาไว้ตั้งเเต่ต้น บัดนี้ก็พลันเริ่มทำงานเมื่อเงื่อนไขครบตามองค์ประกอบ ร่างกายของ Undead นิรนามค่อย ๆ จางหายเหมือนกับวิญญาณซึ่งไม่ควรจะมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลานี้

         สิ่งสุดท้ายที่เขาทำ ก็คือการหันหน้าไปมองกุลสตรี Dusk ผู้กำลังฟุบตัวนอนอยู่กับพื้น ซึ่งดูเหมือนนางจะมองเห็นแต่เพียงชุดเกราะสีเงินสะดุดตา กับกลิ่นอายพลังที่จะจดจำมันเอาไว้ตลอดชีวิต… 

( ภาพประกอบ : ตอนที่ Dusk เพิ่งหลุดออกมาจากร่างของ Manus สติของเธอยังคงสะลึมสะลือ จึงจำไม่ได้ว่าใครมาช่วย  )

เรื่องราวต่อจากนี้ก็กลายเป็นอย่างที่เจ้าเห็ด Elizabeth เคยเตือนพระเอกของเราไว้ มันโกหกกับ Dusk ว่าเธอถูกช่วยโดย Artorias เเละเขาก็กลายเป็นวีระบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถพิชิต The Abyss ได้ ตำนานจอมปลอมนี้จะถูกเล่าขานในชื่อว่า “Artorias the Abysswalker” … ทำเหมือนกับว่า Undead นิรนามไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

 

คุยกันหลังเรื่องเล่า

         ก็จบกันลงไปเเล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเจ็ด “ผู้กล้าที่ไม่มีตัวตน” นี่เป็นบทที่ผมใช้เวลาเขียนนานมากกกก เนื่องจากด้วยเหตุผลชีวิตส่วนตัวประกอบกับการที่ผมอยากให้มันออกมาดีที่สุด เนื่องจากในระหว่างที่กำลังเขียนก็เกิดเหตุการณ์หน้าเศร้าขึ้น นั่นก็คือการจากไปของอาจารย์ เค็นตาโร มิอูระ ผู้แต่งเรื่อง Berserk อันเป็นการ์ตูนที่มีอิทธิพลต่อเกม Dark Souls อย่างมาก

         เอาละครับ ขณะนี้ก็ได้เวลาจากกันแล้ว(เหนื่อย) เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า…สวัสดีครับ

 



GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 17 ผู้กล้าที่ไม่มีตัวตน
09/07/2021

                สวัสดีครับ กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเจ็ด ซึ่งก็ตามที่สัญญากันไว้ บทนี้จะเป็นส่วนของ DLC “Artorias of the Abyss” โดยภายในจะมีการคลายปมเนื้อเรื่องที่ผมเคยวางเอาไว้เมื่อแสนนานมาแล้ว... เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็ไปรับชมพร้อมๆกันเลยกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเจ็ด “ผู้กล้าที่ไม่มีตัวตน”

 < ลิงค์บทความก่อนหน้า > 

บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่

บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด

บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง

บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่ l บทที่สิบห้า l บทที่สิบห


บุรุษต่างมิติ

         หลังจากที่ Undead นิรนามสามารถปราบเจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath และยึดเอาเศษเสี้ยว Lord Soul มาได้สำเร็จ เขาก็ดำเนินภารกิจต่อไปในทันที โดยคร่านี้จะต้องลงไปยังเมืองบาดาลข้างใต้ Firelink Shrine อันเป็นเมืองที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นทรวงสวรรค์ที่เหล่ามนุษย์และ Undead จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ... เมืองที่ว่านั่นก็คือนครคนตาย New Londo

(ภาพประกอบ: เมือง New Londo ถูกตั้งชื่อให้คล้ายคลึงกับ Anor Londo ด้วยความจงใจ เนื่องจากเทพพระเจ้าต้องการให้เหล่ามนุษย์ระลึกถึงบุญคุณของพวกตน)

         ทันทีที่พระเอกของเราก้าวเข้ามาในเมืองนี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถมองเห็นได้ก็คือความมืดมิด...ดูเหมือนว่าทั้งตัวเมืองจะถูกหลังคาอะไรบางอย่างสร้างครอบทับเอาไว้ จนดูเหมือนกับว่าทั้งมหานครจมอยู่ใต้ท้องฟ้ายามราตรีอยู่ตลอดเวลา จะมีก็แต่เพียงแสงจากรูเล็ก ๆ ไม่กี่แห่งที่ทอดยาวฉายลงมาเหมือนกับลำแสงดวงจันทร์

         บริเวณไม่ไกลนักจากจุดที่ Undead นิรนามยืนอยู่ ได้มีฝูง Undead ระยะสุดท้าย( Hollow )มากมายนั่งร้องห่มร้องห่มร้องไห้หันหน้าเข้าหาบ้านเมืองที่จมอยู่กลางหนองน้ำ เเต่ดูเหมือนว่า Undead พวกนี้จะไม่จู่โจมเขา เว้นเสียเเต่ตัวหนึ่งที่จู่ ๆ ก็วิ่งปรี่เข้ามาหา!

พระเอกของเรารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้าผีตนนั้นเป็นอย่างมาก ใช่แล้ว! เจ้า Hollow ตนนั้นก็คือ Crestfallen Warrior ชายผู้สิ้นหวังที่เคยเอาแต่กล่าวทับทมว่าคำทำนายไม่มีทางสำเร็จ แต่พระเอกของเราก็สามารถพิสูจน์ให้มันได้เห็น เจ้า Crestfallen Warrior จึงอับอายขายขี้หน้าจนต้องหนีลงมาอยู่ที่นี่

( ภาพประกอบ : เจ้า Crestfallen Warrior ที่กลายเป็น Hollow )

         Crestfallen Warrior ถูกพระเอกของเราฆ่าทิ้งเหมือนกับว่ามันสวะเป็นเเค่ตัวหนึ่ง Undead นิรนามไม่ต้องการจะเสียเวลาไปจดจำชื่อของคนขี้ขลาดพันธุ์นี้ เขาเดินต่อไปในความมืดจนบังเอิญได้ยินเสียงเรียกปริศนาจากห้องขังแห่งหนึ่งระหว่างทาง

         เจ้าของเสียงปริศนาก็คือพ่อมดนามว่า Rickert โดยเขาเป็นหนึ่งในอดีตนักเรียนเวทมนตร์ของโรงเรียน Vinheim อันโด่งดัง แต่ศาสตร์ที่เขาเชียวชาญนั้นมิใช่การรีดพลังเฉกเช่นพ่อมด Logan หรือ Griggs แต่จะเก่งไปในทางลงอาคมใส่อาวุธซะมากกว่า

         Rickert เล่าว่าที่ตัวมันติดอยู่ในห้องขังแบบนี้ หาใช่เพราะว่าตนกระทำความผิดไม่ ทว่ากลับกันเลย! ก็คุกเหม็น ๆ แห่งนี้นี่แหละที่คอยปกป้องมันจากสิ่งชั่วร้ายภายนอก ซึ่งมันได้แนะนำให้พระเอกของเราหาเครื่องรางที่เรียกว่า Transient Curse หรือก็คือมือของศพที่ตายจากเหตุน้ำท่วมในเมือง New Londo นำติดตัวเอาไว้ด้วย โดยสิ่งนี้จะช่วยให้ Undead นิรนามปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ได้ 

( ภาพประกอบ : เเม้จะอยู่ในกรงขังเเต่ผู้เล่นก็สามารถโจมตี Rickert ได้ ด้วยการใช้หอกยาวหรือเวทมนตร์บางประเภท )

( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นไม่สามารถหา Transient Curse ได้ ผู้เล่นสามารถซ์้อมันจาก NPC Undead Female Merchant )

         สัญชาตญาณได้บอกให้ Undead นิรนามเชื่อใจเจ้าเจ้าพ่อมด เขาเดินลงตลิ่งไปหาศพที่มีสภาพดูขาวซีดเเต่กลับไม่เน่าเปื่อยอย่างน่าประหลาด จัดการหั่นมือทั้งสองข้างของศพเอามาเก็บไว้ในกระเป๋า เเล้วก็เดินข้ามสะพานไม้สภาพพุพังตรงเข้าเข้าสู่ใจกลางเมือง

         ในระหว่างทางเสียงกระทบของแผ่นไม้ที่พุพังค่อย ๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ ๆ ไม่ต่างอะไรกับอุณหภูมิซึ่งหนาวเย็นขึ้นในทุก ๆ ก้าวที่เข้าใกล้ปลายทาง พระเอกของเราได้ลองมองลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างที่มีสีดำสนิท… ซึ่งเเม้จะมองไม่เห็นก้นบ่อเเต่เขากลับสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องกลับมายังเขาด้วยดวงตาชวนขนหัวลุก

( ภาพประกอบ : ภาพ New Londo ในสภาพเเสงสว่างซึ่งได้มาจากการการ Hack )

         Undead นิรนามเข้ามายังซากปรักหักพังสีขาวกลางหนองน้ำของ New Londo ซึ่ง ณ ตรงนี้เป็นสถานที่ที่เงียบสนิทเสียจนเเม้เเต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยินชัดเจน... ดันจู่ ๆ ก็ปรากฏเสียงผู้หญิงร่ำไห้ดังออกมาจากกำแพงสีซีดตรงหน้า

         ดาบสั้นถูกชักออกมาเตรียมตัวฟาดเข้าใส่อะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่หลังกำเเพง เนื่องจาก Undead นิรนามสันนิษฐานว่านั้นคือกำแพงเวทมนตร์ เขาค่อย ๆ บรรจงว่างหูแนบลงบนกำแพงพร้อมกับกั้นลมหายใจสุดฤทธิ์เพื่อตั้งใจฟังเสียงผู้หญิงร้องไห้...

         ดวงตากลมโตสีแดงบนใบหน้าที่ซีดเสียวเหมือนกระดาษ โผล่ยื่นออกมาจากกำแพงเเละสบตามองพระเอกของเราในระยะประชิด ปากกรามล่างของมันอ้ากว้างจนหลุดแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้ม เเต่กลับมีเสียงร้องโหยห้วนอันน่าขนลุกดังออกมาจากปาก เจ้าสิ่งน่าประหลาดพวกนี้ก็คือ The Ghost หรือผีตายโหง

(ภาพประกอบ: ภายในเกมพวก Ghost สามารถไล่ตามผู้เล่นไปได้เป็นระยะทางที่ไกลมาก ๆ มีนจึงเป็นการดีกว่าที่ผู้เล่นจะฆ่ามันทีละตัว ทีละตัว)

         ในครั้งที่เมือง New Londo ถูกน้ำท่วม ประชาชนตาดำ ๆ มากมายต่างต้องสังเวยชีวิตไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเหล่าหญิงสาวที่ตอนครั้งยังมีชีวิตอยู่เคยต้องคำสาปบางอย่าง เมื่อตายลงพวกนางจึงมิอาจไปผุดไปเกิดได้ กลายเป็นวิญาณเฮี้ยนที่คอยระบายความคับแค้นให้แก่ใครก็ตามที่ริอาจย่างกรายเข้ามา

         Undead นิรนามตกใจจนสติหลุดไปช่วงหนึ่ง เขารีบเหวี่ยงดาบในเข้าใส่กลุ่มควันวิญญาณสีขาว ทว่าปลายดาบกลับแหวกผ่านร่างของมันไปเหมือนกับฟันอากาศ สวนทางกับมือของเหล่าผี ผี ที่สามารถยื่นออกมาทำร้ายร่างกาย Undead นิรนามได้อย่างน่าฉงน

         มาบัดนี้! พระเอกของเราได้รับรู้แล้วว่าทำไมพวก Hollow ถึงเอาแต่ร้องห่มร้องไห้เเต่ไม่ยอมเข้ามาในเมือง New Londo ก็คงเป็นฝีมือของพวก The Ghost เนี่ยแหละที่คอยหลอกหลอนพวกจนต้องหนีออกมา

( ภาพประกอบ : อีกสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของพวก Ghost ก็คือมันสามารถโจมตีทะลุกำเเพงได้ ซึ่งมันทำให้เราไม่สามารถตอบโต้ได้เลย )

         พระเอกเรานึกถึงคำแนะของเจ้า Rickert เกี่ยวกับมือของศพคนตาย เขาจึงหยิบมือคู่นั้นออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องรางต่อสู้กับเหล่าผีร้าย ทำให้ดาบที่เคยวืดผ่านตัวไปตอนนี้กลับสามารถทำร้ายดวงวิญญาณอาฆาตได้พอสมควร ทว่ากระนั้นด้วยความที่ดวงวิญญาณสามารถลอยทะลุกำแพงได้ พวกมันจึงใช้วิธีการหลบอยู่ใต้กำแพงและคอยผลุบ ๆ โผล่ ๆ ออกมาเล่นงานพระเอกของเราเป็นช่วง ๆ

         ด้วยสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง Undead นิรนามได้เร่งฝีเท้าเพื่อออกไปจากบริเวณทุ้งสังหารให้เร็วที่สุด แต่ก็ยังไม่วายถูกพวกมันพุดขึ้นมาเล่นงานจากพื้นใต้เท้า ประกอบความที่ไม่ชินเส้นทาง พระเอกเราก็กระเสือกกระสนวิ่งหนีไปมาอย่างไร้ทิศทาง จนกระทั่งมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนดังออกมาจากอาคารใกล้ ๆ

         ชายปริศนาในชุดแดงกวักมือเรียกพระเอกของเรา พร้อมกับร่ายเวทมนตร์ขับไล่เจ้าพวกผีร้ายออกไป เปิดทางให้เขาสามารถหลบหนีขึ้นไปหาชายปริศนาคนนั้นได้

( ภาพประกอบ :ด้วยความที่  Ingward นั้นเป็นพ่อมดอัคคี เเละหากดูจากการเเต่งตัวที่ค่อนข้างแต่งตัวซอมซ่อ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่ได้มีพื้นเพอยู่ใน Anor Londo หากเเต่น่าจะมาจาก Blighttown )

         ชายปริศนาในชุดแดงแนะนำตนเองว่าเขาชื่อ Ingward ซึ่งตนเป็นหนึ่งในบรรดานักเวทย์ที่คอยเฝ้าดูแลสถานที่สุดเฮี้ยนเเห่งนี้(คนอื่นทิ้งหน้าที่ไปเเล้ว) โดยตามปกติเเล้วจะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่ เจ้า Ingward จึงรู้สึกถูกชะตาเเละได้ซักถามพระเอกเราจนรู้ว่าเขานิแหละคือผู้ถูกเลือกโดยเหล่าเทพเจ้า

         Ingward เล่าว่าเหล่า Four Kings หรือจตุราชาผู้ปกครอง New Londo ได้ถูกพลังเเห่งความมืดจาก The Abyss เข้ายั่วยวน ทำให้สถานที่แห่งนี้ต้องถูกสังเวยให้จมอยู่ใต้น้ำ เพื่อผนึกเหล่ากองทัพนักรบ Darkwraiths แห่งความมืดเอาไว้ ซึ่งถ้าหาก Undead นิรนามจะต้องการปราบจตุราชา เขาก็ยินดีจะช่วยเหลือ… แต่ด้วยว่าพลังของ The Abyss ในที่นี่ช่างรุนแรงยิ่งนัก Undead นิรนามจึงต้องไปค้นหาเครื่องรางช่วยปกป้องเสียก่อน

เจ้าเครื่องรางนั้นว่ากันว่าเป็นสมบัติสุดล้ำค้าของอัศวินหมาป่า Artorias อันเป็นบุคคลในตำนานผู้ปราบ The Abyss ในครั้งอดีตกาล...หากว่าปราศจากเครื่องรางที่ว่า การปล่อยน้ำออกจากเมืองก็เท่ากับเป็นการปลดผนึกให้เหล่า Darkwraiths ให้ออกมาอาละวาดเปล่า ๆ

 

( ภาพประกอบ : Ingward มีมุมมองว่าเรื่องการสังเวยเมือง New Londo ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขามักจะเลือกใช้คำพูดที่ดูดีเพื่อทำให้เห็นว่าเรื่องเน่าเหม็นพวกนี้เป็นสิ่งจิ๊บจ๊อย )

         เมื่อได้ยินดังนั้น Undead นิรนามก็จำใจต้องเดินเท้ากลับไปอย่างมือเปล่า เขาได้จัดการไล่ถามผู้คนตามสถานที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับตำนานเครื่องรางของอัศวิน Artorias จนปรากฏความว่ามันได้ถูกซุกซ่อนอยู่ในป่าลึก Darkroot Garden ซึ่งวิธีการจะเข้าไปในนั้น เขาจะต้องยอมจ่าย Soul ซื้อกุญแจ Crest of Artorias จากตาเฒ่าช่างตีเหล็ก Andre เสียก่อน เพื่อเปิดผนึกประตูเข้าส่วนลึกของป่า

         ก่อนจะจากกัน ตาเฒ่า Andre ก็ได้เตือนว่ามีมนุษย์หลายคนพยายามจะเดินตามรอเท้าของอัศวิน Artorias ทว่าก็หาได้มีใครเคยประสบความสำเร็จไม่ เพราะว่ากันว่าข้างในนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ธรรมชาติอันโหดร้ายที่จ้องจะคร่าชีวิตเรา หากแต่ยังมีกลุ่มนักฆ่าปริศนาคอยปกป้องป่าแห่งนั้นอาไว้ด้วย ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี

( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นสามารถฆ่า Andre เพื่อชิง Crest of Artorias มาใช้ได้เเบบฟรี ๆ เเต่นั่นก็ต้องเเลกมาด้วยการที่เราไม่สามารถอัพเกรดอาวุธกับ Andre ได้อีกต่อไป  )

 

         แม้ Undead นิรนามได้กำหนดจุดมุ่งหมายต่อไปเอาไว้แล้ว แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแวะกล่าวทักทายหญิงงามนางหนึ่ง ผู้ซึ่งเคยถูกเขาช่วยไว้ ณ หนองน้ำภายใน Darkroot Basin ชื่อของนางก็คือกุลสตรี Dusk

         เมื่อเดินทางไปถึงยังตลิ่งหนองน้ำ Undead นิรนามก็ร้องขานเรียกหานางอยู่นานสองนาน ทว่ากลับหาเบาะแสไม่พบแม้แต่เงา... และในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ Undead นิรนามกำลังจะถอดใจเดินทางกลับ จู่ ๆ เครื่องราง Broken Pendant ก็เปล่งพลังงานปริศนาออกมา! มันชักจูงล่อใจให้พระเอกของเราเดินลุยน้ำลึกเข้าไปยังซอกภูเขาใกล้ ๆ

         ภายใต้เงาที่ทอดลงมาจากเทือกเขา Undead นิรนามมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับท่อนไม้ลอยอยู่ปริ่มน้ำ เขาค่อย ๆ จวงเท้าแหวงคลื่นน้ำตรงไปทางหามัน จนกระทั่งได้พบว่าสิ่งนั้นหาใช่ตอไม้ไม่! หากแต่เป็นร่างอันไร้วิญญาณของกุลสตรี Dusk

( ภาพประกอบ : ศพของ Dusk ใน Darkroot Basin )

         พระเอกของเรารีบพลิกศพกุลสตรี Dusk ขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ทว่าก็ไม่ทันการเสียแล้ว... ตามร่างกายของนางนั้นปราศจากรอยฟกช้ำหรือบาดแผลจากการต่อสู้ ซึ่งขัดกับดวงตาของเธอที่เบิกโพลงกว้างคล้ายกับคนที่กลัวสุดขีด

         ในระหว่างท่ามกลางความสูญเสีย จู่ ๆ เครื่องราง Broken Pendant ก็เริ่มสั่นพร้อมกับปลดปล่อยพลังสีดำออกมาเป็นปริมาณมหาศาล ด้วยความตกใจพระเอกของเรารีบขว้างมันทิ้งลงไปในน้ำ  เเต่ดูเหมือนว่า Broken Pendant มันได้ขยายพลังเเละกลายสภาพประตูมิติสีดำขึ้นมาเเทน

         โดยมิอาจทันจะได้ตั้งข้อสงสัยหรือแม้แต่จะสูดลมหายใจ ทันใดนั้นก็ปรากฏอุ้งมือสีดำขนาดใหญ่เท่าตัวคน พุ่งออกมาจากประตูมิติคว้าร่างของ Undead นิรนามหายลับไปอย่างเป็นปริศนา

( ภาพประกอบ : Broken Pendant ทำหน้าที่เป็นเหมือนเสารับสัญญาณต่อกุลสตรี Dusk… เดิมทีทั้งสองถูกสะกดพลังไว้ใน Crystal Golem เพื่อไม่ให้ติดต่อเชื่อมโยงถึงกัน หรือจะให้สรุปง่าย ๆ ก็คือการตายของ Dusk นั้นเกิดจากการที่ผู้เล่นไปช่วยเธอออกมานั่นเอง )

         เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็มิทราบ Undead นิรนามได้ฟื้นขึ้นมาและพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยหนองน้ำ เขาเดินออกมาข้างนอกอยากมึนงงพร้อมกับตั้งคำถามมากมายภายในหัว...ใครกันที่สังหารผู้หญิงตัวเล็กอย่าง Dusk ได้ลงคอ? เเล้วเจ้ามือประหลาดสีดำนั่นมันคือตัวอะไรกันแน่ ?

         พระเอกของเรายืนหยุดนิ่งฉงนอยู่กลางหนองน้ำ เขาก้มหน้ามองเงาสะท้อนซึ่งค่อย ๆ สว่างขึ้น สว่างขึ้น สว่างเสียจนดูคล้ายกับว่ามีพระอาทิตย์สีเหลืองมาลอยอยู่เหนือศีรษะ... จากนั้นภายในเสี้ยวอึดใจเดียวร่างของ Undead นิรนามก็รู้สึกปวดร้าวราวกับถูกไฟไหลผ่านตัว ใช่แล้ว! นี่มันคือความรู้สึกของสายฟ้าที่กำลังไหลผ่านร่างกาย

         การโจมตีดังกล่าวเป็นของอสูร Sanctuary Guardian มันถือกำเนิดมาจากการทดลองผสมผสานทางเวทมนตร์ ทำให้รูปร่างของมันดูคล้ายสัตว์หลายชนิดที่ถูกปะติดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะหัวเเละลำตัวที่เป็นสิงโตขนเผือก ส่วนด้านหลังก็มีปีกของหงส์งอกออกมาถึงสองคู่ ตบท้ายด้วยหางยาวซึ่งเป็นของแมงป่อง

 ( ภาพประกอบ : Sanctuary Guardian มีรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับคิเมร่าใเทพของโลกเเห่งความเป็นจริง )

         เมื่อได้สติ พระเอกของเราก็หันมองรอบ ๆ เพื่อหาพื้นดิน ด้วยหมายจะหนีให้พ้นจากสมรภูมิผิวน้ำอันเป็นจุดอ่อนต่อสายฟ้า จนได้พบกับย่อมรากไม้เล็ก ๆ ซึ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เเต่เเค่นี้มันก็ดีพอแล้วที่จะไม่โดนสายฟ้าเล่นงานเหมือนเมื่อครู่

         Undead นิรนามจัดการคดตัวนั่งลงบนรากไม้ เเล้วก็หยิบโล่ขึ้นมาปักหลักป้องกันสายฟ้าจากเจ้า Sanctuary Guardian... ตอนนี้เขาได้พยายามทำตัวให้เหมือนกับก้อนหินที่กำลังปะทะกับแรงลม อดทนรอให้เจ้าสัตว์อสูรโจมตีตามสัญชาตญาณจนกว่ามันหมดแรง จากนั้นจึงอาศัยโอกาสที่ว่าพุ่งตัวเข้าไปตัดคอมันอย่างง่ายดาย



( ภาพประกอบ : เเท้จริงเเล้ว Sanctuary Guardian นั้นมีสามตัว โดยผู้เล่นจะได้พบที่เหลือก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง)

         หลังปลิดชีพเจ้าอสูร พระเอกของเราก็ค้นหาเส้นทางจนสามารถออกมาจากหนองน้ำได้สำเร็จ เเละพบว่าตนเองได้มาปรากฎในสถานที่อันเต็มไปด้วยก้อนหินรูปร่างคล้ายกับคนตัวใหญ่ ถูกจัดเรียงให้เป็นวงกลมล้อมรอบ Bonfire ของสถานที่เเห่งนี้ จนดูคล้ายกับว่านี่คือลานพิธีกรรมปลุกเสกเวทมนตร์อะไรสักอย่าง

        

( ภาพประกอบ : ลานพิธีกรรมใน Sanctuary )

         Undead นิรนามยิ่งรู้สึกฉงนมากขึ้นไปอีก เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเวทมนตร์ของกุลสตรี Dusk ซึ่งน่าจะตายไปแล้ว แถมมันยังผสมปนเปเข้ากับพลังความมืดเเต่ไม่ใช่เเบบเดียวกับที่ New Londo… ซึ่งในระหว่างที่กำลังขบคิดถึงคำตอบ จู่ ๆ ก็มีเสียงของหญิงชราร้องเรียกเขามาจากกำแพงใกล้ ๆ

Undead นิรนามมองไปจุดที่มาของเสียงและได้พบว่าเจ้าสิ่งที่เรียกเขากลับเป็นเห็ดยักษ์พูดได้ มันแนะนำชื่อตนเองว่า Elizabeth ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากเวทมนตร์ของกุลสตรี Dusk เเละยังบอกอีกว่านางได้เคยทำนายไว้ ว่าวันหนึ่งจะมี Undead จากห้วงเวลาเเห่งอนาคตอันแสนไกล มาปรากฏขึ้นมาเพื่อปราบ The Abyss ภายใน Oolacile

( ภาพประกอบ : ภาพด้านซ้ายคือ Elizabeth ซึ่งเเตกต่างกับเห็ดเดินได้ทางภาพด้านขวาในโลกอนาคต ที่มันจะมีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก)

         Elizabeth แสดงกิริยาที่เป็นมิตรพร้อมกับขอร้องให้พระเอกของเราไปช่วยกุลสตรี Dusk ซึ่งตอนนี้ถูกปีศาจชั่วร้ายนามว่า Manus จับตัวไป เจ้าเห็ดได้เล่าว่า The Abyss นั้นถือกำเนิดขึ้นมาจาก Manus อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายต้นต่อแห่งเหล่ามวลมนุษย์(The Furtive Pygmy) มันได้ปลดปล่อยพลังเเห่งความมืดกลืนกินมนานครอันยิ่งใหญ่ จนล่มสลายลงภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ผู้คนในเมืองที่หนีไม่ทันล้วนกลายสภาพเป็นปีศาจกระหายเลือด

         ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้มีผู้กล้ามากมายพยายามลงไปปราบ The Abyss แต่ก็ถูกพลังความมืดครอบงำ...แม้แต่สี่สุดยอดขุนพลอย่าง Artorias ก็พาลหายตัวไปไม่ทราบข่าวคราว

( ภาพประกอบ : ประชากรส่วนใหญ่ของเมือง Oolacile นั้นสูญสิ้นไปตั้งเเต่วันเเรกที่ The Abyss ระเบิดพลังออกมาครั้งเเรก ส่วนประชากรดั่งเดิมที่รอดชีวิต ตอนนี้ก็ได้อพยพหนีไปเรียบร้อยเเล้ว )

         หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมด จนสรุปได้ว่าตนเองถูกพาตัวมายังอดีต เขากล่าวขอบคุณเจ้าเห็ดสำหรับคำแนะนำ และเริ่มออกเดินมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกตรงสู่มหานคร Oolacile

เเต่ก่อนที่จะจากกัน Elizabeth ก็ได้เตือนเขาว่าจงระวังผู้กล้าอีกคนที่ข้ามเวลามาก่อนหน้าเขา เนื่องจากไอ้หมอนั้นมันมีกลิ่นสาปที่ไม่ชอบมาพากลติดตัวเต็มไปหมด...โปรดจงระวังอย่าได้หลงเชื่อใจมันง่าย ๆ

( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นเกิดฆ่า Dusk ขึ้นมา นั้นก็จะทำให้เวทมนตร์ที่อยู่ใน Elizabeth เสื่อมสะลายตามไปด้วยเเละตายลงในที่สุด )

         พระเอกของเราจำเป็นต้องเดินทางผ่านป่า Royal Wood ซึ่งต้องเจอกับ Stone Guardian เหล่าอัศวินหินผู้ปกป้องสถานที่เห่งนี้ เนื่องจากสำหรับพวกมันเขาเป็นคือคนเเปลกหน้าที่พยายามจะบุกรุกเมือง แถมยังต้องเผชิญหน้ากับพวกหุ่นไล่กา Scarecrow ซึ่งเดิมทีมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นคนสวนคอยเก็บกวาดใบไม้ ทว่าด้วยพลังแห่งความมืดของ The Abyss พวกมันจึงหันมาเก็บกวาดมนุษย์เเทน

( ภาพประกอบ : ด้านซ้ายคือ Stone Guardian ที่มีสภาพดูเหมือนใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับด้านขวา Stone Knight จากในอนาคต )

( ภาพประกอบ : ด้านซ้ายคือพวก Scarecrow ที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็น Ents )

Undead นิรนามได้ต่อสู้ฝ่าฟันผ่านป่าดิบจนกระทั่งได้พบกับสะพานหินเก่า ๆ เเสนธรรมดาทั่วไป เเต่พอเขากำลังจะข้ามไปเท่านั้นเเหละ จู่ ๆ ก็มีมังกรตัวหนึ่งบินมาขว้างทางเขาเอาไว้ 

         ขนาดร่างกายของมันมีขนาดใหญ่พอพอกับอสูรกาย Gaping Dragon เเละมีความยาวตั้งเเต่หัวจรดหางเกือบเท่ามังกรแดงภายใน Undead Parish เเต่สิ่งเดียวที่พอจะทำให้มันแตกต่างจากบรรดาญาติตัวอื่น ๆ เห็นทีก็คงจะเป็นใบหน้าที่แหลมเรียวยาวราวกับหอก และดวงตาสีแดงเพลิงหนึ่งดวงอันบังเกิดอยู่กลางหน้าผากสีดำเถ้าถ่าน

         เจ้ามังกรทมิฬหันมามองพระเอกของเราประหนึ่งกับรู้ว่าเขามิใช่คนจากห้วงเวลานี้ แต่มันก็มิได้ลงมือทำอันตรายเขาแต่อย่างใด หากเเต่แค่กระพือปีกบินหนีหายลับไปในซอกเขา... เอาจริง ๆ เหมือนกับแค่ Undead นิรนามบังเอิญไปรบกวนเวลาพักผ่อนของมันเท่านั้นเอง

( ภาพประกอบ : เหตุการณ์ครั้งเเรกที่ผู้เล่นได้เจอกับ Kalameet )

         Undead นิรนามเดินลึกเข้าไปจนเริ่มมองเห็นตัวเมือง Oolacile อันมีสภาพทรุดโทรมรกร้าง กลิ่นอายของพลังความมืดเหม็นโชยลอยหึ่งปกคลุ่มไปทั่ว มันได้กลืนกินพืชผักกับสัตว์น้อยใหญ่ตลอดจนถึงเม็ดดินทุกก้อนกันเลยทีเดียว

         ทว่าเชื่อหรือไม่! แม้นคร Oolacile ได้ล้มสะลายไปเเล้ว เเต่ที่เเห่งนี้ยังคงมีขุมสมบัติและเวทมนตร์อันเลอค้ามากมายถูกเก็บซ้อนเอาไว้ เเละดึงดูดความโลภภายในตัวเหล่าบรรดานักล่าสมบัติ จนหลายคนต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้มากต่อมาก...เว้นเสียเเต่ชายปริศนาผู้สวมหน้ากากแปลกประหลาดคนหนึ่ง เขาจะคอยยืนขายสัมภาระจำเป็นให้เเก่บรรดาผู้กล้าตอนขาเข้าและรอเก็บของมีค่าจากศพตอนขาออก... Marvellous Chester คือชื่อของพ่อค้าความตายผู้นี้

( ภาพประกอบ : หลังจากเกม Bloodborne วางจำหน่ายออกมา ได้มีการสร้างทฤษฎีสมคบคิดว่าเกมนี้เป็นส่วนกับจักวาลเกม Dark Souls ด้วยการเชื่อมโยงการเเต่งกายของตัวละคร Chester... )

         Chester ดักคอยพระเอกของเราก่อนจะข้ามสะพานเข้าสู่ตัวเมือง และด้วยเหตุผลบางประการมันจึงสัมผัสได้ทันทีว่า Undead นิรนามก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกมือสีดำลากตัวมาจากอนาคตเหมือนกัน ต่างก็ตรงแค่ Chester นั่นมิได้มีความพยายามที่จะไปช่วยกุลสตรี Dusk เลย

         พ่อค้าความตายเล่าว่านคร Oolacile ได้ล้มสลายอย่างน่าสมเพสด้วยน้ำมือตัวเอง( เล่าต่างจาก Elizabeth  ) เพราะผู้คนภายในเมืองต่างโหยหาพลังที่ตนมิอาจควบคุมได้ เป็นเหตุทำให้ถูกหลอกใช้โดยพวกอสรพิษ Primordial Serpent ตนหนึ่ง ให้ขุดเอาพลังความมืดอันแสนคลุ้มคลั่งของ Manus ขึ้นมา เเล้วทุกอย่างก็บรรลัยอย่างที่เห็น

         ทว่ากระนั่นเจ้า Chester ก็มิได้ห้ามปรามพระเอกของเราแต่อย่างใด มันเพียงแค่กล่าวเตือนว่าในลานประลองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มีทางเข้าอันจะนำไปสู่ใจกลางความมืดได้… เเต่มันถูกเฝ้าระวังไว้โดยอัศวิน Artorias ซึ่งตอนนี้มิอาจจะแยกเเยะมิตรหรือศัตรูได้อีกแล้ว

( ภาพประกอบ : รูปร่างกายของ Chester ที่ไม่ได้ถูกใช้เมื่อเกมออกวางจำหน่าย )

         Undead นิรนามได้กลิ่นคำพูดตอแหลจากเจ้า Chester ลอยมาแต่ไกล เเต่เขาก็ทำเป็นพูดเออ-ออไปโดยไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปยังลานประลองเพื่อเข้าสู่ตัวเมือง

         ณ ที่สถานที่เเห่งนั้นพระเอกของเราก็ได้พบกับสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดสุดสยดสยองตัวหนึ่ง สภาพของมันนอกจากส่วนขาและลำตัวที่ยังพอดูออกว่าเป็นมนุษย์เเล้ว ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ถูกแปลเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น ท่อนแขนของพวกมันกางยืดยาวออกไปจรดพื้นดิน ด้านศีรษะก็มีลักษณะโปงพองขรุขระเฉกเช่นผลไม้ที่กำลังเน่า ซึ่งถูกประดับเพิ่มด้วยดวงตาสีแดงเพลิงอีกหลายสบดวงบนหน้า...นี่คือลักษณะโดยรวมของผู้คนในเมืองที่ถูกความมืดกลืนกินไปแล้ว

( ภาพประกอบ : ด้วยเหตุผลบางอย่างปีศาจพวกนี้ยังคงหลงเหลือความรู้สึกเเละอารมณ์ภายในตัว บางครั้งพวกมันก็หัวเราะออกมาราวกับว่ากำลังคุยเรื่องสนุก ๆ กันอยู่ )

         Undead นิรนามหยิบดาบและโล่คู่กายขึ้นมาหมายเตรียมตัวจะต่อสู้ เเต่ทว่าก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยแรงปะทะอันมหาศาลที่บริเวณพื้นจนเขาตัวลอยกระเด็นไปติดผนัง มารู้สึกตัวเอาอีกทีก็มองเห็นเจ้าตัวประหลาดถูกดาบยักษ์บดขยี้ทะลุลงพื้น จากนั้นศพของมันก็ถูกเหวี่ยงหมุนเป็นวงกลมในอากาศเเละขว้างเข้าใส่พระเอกของเรา

         เจ้าสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะ มันสวมใส่ชุดเกราะพุพังสีเงินสะท้อนแสงซึ่งถูกตกเเต่งด้วยผ้าพันคอสีน้ำเงินที่มีสภาพขาดรุ่งริ่ง หมวกทรงอันดูคล้ายกับจะงอยของปากเหยี่ยวบนหัวมัน ได้แสดงเห็นถึงความเอกลักษณ์ที่หาได้ยากจากอัศวินทั่วไป... ถูกต้อง! เจ้าสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะ Undead นิรนามนั้น ก็คือหนึ่งในสี่สุดยอดขุนพลแห่ง Gwyn อัศวินหมาป่า Artorias

 

( ภาพประกอบ : แม้ Artorias จะถูกกลืนกินไปแล้ว แต่จิตวิญญาณส่วนหนึ่งภายในร่างยังคงต่อสู้กับความมืด เพื่อใช้มันต่อสู้สังหารเหล่าปีศาจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ )

             ตอนนี้ร่างกาย  Artorias ได้อยู่ในสภาพทรุดโทรมจนเรียกได้ว่ากึ่งเป็นกึ่งตาย ตามร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลตั้งแต่หัวจรดเท้า แขนซ้ายอันเคยเป็นเเขนข้างที่ถนัดบัดนี้กลับถูกหักจนไม่เหลือชิ้นดี จึงต้องใช้อีกข้างเพื่อประคองดาบยักษ์ขึ้นบนบ่า... ดูเหมือนว่าเจ้าอัศวินหมาป่าต้องทนอยู่ในสภาพนี้ตลอดมานับตั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับ Manus

         Artorias ที่ถูกความมืดกลืนกินเขาพยายามร้องตะโกนบอกให้ Undead นิรนามถอยออกไป ทว่าเสียงที่ส่งไปถึง Undead นิรนามกลับมีเพียงเเค่เสียงคำรามอันน่ากลัวของปีศาจร้าย ปีศาจที่ต้องถูกกำจัดเพื่อให้โลกนี้ดีขึ้นในมุมมองของ Undead นิรนาม...

         ร่างกายซึ่งมิอาจควบคุมได้ตามใจนึก เริ่มขยับไปเองตามประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากสมรภูมิในอดีตนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าตีลังกาตะวัดดาบกลับหลัง หรือกระบวนท่าหมุนตัวจู่โจมกลางเวหา 3 ตลบ ทั้งหมดล้วนได้ถูกความมืดช่วงชิงเอามาใช้สังหาร Undead นิรนาม

( ภาพประกอบ : หากนับเฉพาะในเกม Dark Souls ภาคเเรก Artorias เป็นหนึ่งในศัตรูไม่กี่ตัวที่มีระบบเล็งเป้าหมายระหว่างอนิเมชันการโจมตี ซึ่งเเตกต่างจากศัตรูทั่วไปที่จะเล็งเป้าตั้งเเต่ก่อนเริ่มจู่โจมด้วยซ้ำ นั่นส่งผลทำให้ผู้เล่นต้องใจเเข็งพอที่จะไม่กลิ้งหลบไปก่อนจังหวะอันเหมาะสม โดยระบบนี้ต่อมาได้ถูกสานต่อในภาคสองเเละสามจนเป็นเรื่องปกติ)

         ฝีมือการต่อสู้ของ Artorias ยังคงสูงล้ำแม้ว่าเขาจะถูกกลืนกินไปแล้วก็ตาม ประจวบกับการที่นักรบทั้งสองต้องมาต่อสู้กันภายลานประลอง อันเป็นสถานที่ซึ่งถูกสร้างมาสำหรับการฆ่าฟันโดยเฉพาะ ณ ที่เเห่งนี้ไม่มีเสายักษ์ให้คอยใช้หลบเลี่ยงลี่หนีภัย ไม่มีหลุมไม่มีบ่อให้ใช้เป็นกลอุบายสกปรกเพื่อดักเล่นงานศัตรู อีกทั้งยังปราศจากพลังมิตรภาพจากเหล่าเพื่อน ๆ... ว่าง่ายง่าย Undead นิรนามจะต้องเอาชนะอัศวินในตำนานด้วยฝีมือของตนเพียงเท่านั้น

             เสียงปะทะกันระหว่างโลหะกล้าดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วตัวเมืองที่เคยเงียบสงัด ประหนึ่งการตีระฆังประกาศกร้าวถึงสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ ว่ากำลังมีใครบางคนอาจหาญกล้าท้าท้ายกับ Artorias... ธรรมดาแล้วเสียงเหล่านี้มักจะดังอยู่เพียงไม่นาน จากนั้นก็เงียบไปพร้อมกับข้อสรุปเดิม ๆ ว่าไม่มีใครโค่นอัศวินหมาป่าได้...แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ เสียงโลหะปะทะจะดังยาวขึ้นนานกว่าปกติหลายชั่วโมง

( ภาพประกอบ : เมื่อเราต่อสู้กับ Artorias ไปสักระยะเขาจะรวบรวมพลังเเห่งความมืดเข้ามาหาตัว ซึ่งนั้นทำให้การโจมตีของเขารุนเเรงขึ้นเกือบเท่าตัว )

         ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากลานประลอง ได้มีหอคอยโดดเดี่ยวตั้งตระหง่านนอยู่เหนือตัวเมือง… อันที่จริงจะบอกว่าเป็นหอคอยก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขุมขังยักษ์ตนหนึ่งโดยเฉพาะ ยักษ์ผู้ซึ่งเป็นมิตรกับมนุษย์อย่างสุดหัวใจ แต่ต้องลงเอยด้วยการถูกมองว่าโง่เง่าไร้ค่า... นามของยักษ์ตนนั้นก็คือตาเหยี่ยว Gough หนึ่งในสี่สุดยอดขุนพลเเห่ง Gwyn 

         นับตั้งแต่ก่อนที่ Oolacile จะล้มสลาย Gough ก็ติดอยู่ภายในหอคอยแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว และแม้เบื้องหน้าเขาจะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม(ถูกปิดตาไว้) เเต่หูอันเฉียบคมของเขาก็ยังคงเฝ้าสดับรับฟังเหตุการณ์ทุกอย่างภายในเมือง... ซึ่ง ณ จุดนี้เขาก็มิได้ฝันเฟื่องถึงอิสรภาพหรือดวงตาที่มองเห็นอีกแล้ว เขาเฝ้าเเต่หวังขอให้อดีตสหายอย่าง Artorias ถูกปลดปล่อยออกจากความมืดมิดเสียที

( ภาพประกอบ : ตำเเหน่งสีเเดงในภาพคือหอคอยที่ Gough ถูกขัง  )

         กลับมายังสนามประลอง ที่ Undead นิรนามกำลังประมือต่อสู้กับ Artorias อย่างสูสี และถึงเเม้ตัวเขาจะสังเกตเห็นว่าแขนซ้ายของอัศวินหมาป่านั้นหัก ทว่านั่นก็หาใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการอ้อมมือไม่! เนื่องจากในการต่อสู้ที่เสี่ยงแบบเสี่ยงตายเช่นนี้ ผลประโยชน์ย่อมจะตกเเก่ผู้ที่เตรียมตัวมาดีที่สุด

         พระเอกของเราพยายามจี้จุดอ่อนอันเป็นมุมอับในวิถีดาบของ Artorias ให้มากที่สุด ซึ่งมันก็ฟังดูง่ายกว่าตอนปฏิบัติมาก เพราะ Artorias เองก็ไม่ใช่หุ่นลองเสื้อที่จะยืนอยู่เฉย ๆ เจ้าอัศวินหมาป่าแก้เกมด้วยการหมุนตัวด้วยปลายเท้าเพื่อปิดกั้นจุดบอด ทำให้การต่อสู้ระหว่างทั้งสองถูกดำเนินไปในรูปแบบของการหักเหลี่ยมแก้กระบวนยุทธ์กัน ทุก ๆ ครั้งที่ Undead หยิบลูกเล่นใหม่ออกมา Artorias ก็จะนำเขาอยู่หนึ่งก้าวเสมอเสมอ

         Artorias ซึ่งเเม้ตอนนี้จะควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ เเต่ดวงจิตของเขานั้นถูกใช้เพื่ออธิษฐานขอให้บุรุษตรงหน้าหนีไปจากการต่อสู้ เเต่ความคิดดังกล่าวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาเห็นว่านักรบผู้นี้สามารถต่อกรกับเขาได้ Artorias เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ความอบอุ่นของแสงสว่างท่ามกลางความมืดซึ่งเรียกว่าความหวัง... แม้ตนว่าจะล้มเหลวในภารกิจกำราบ The Abyss แต่อย่างน้อยเขาก็ขอเป็นเเค่หนึ่งในขั้นบันไดสำหรับนักรบคนนี้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

( ภาพประกอบ : เเม้ภายในเกม Artorias จะไม่ได้พูดอะไร เเต่ในเกมก็มีไฟล์เสียงของเขาเก็บเอาไว้โดยไม่ได้ใช้ ซึ่งบทพูดส่วนมากจะไปในทางเตือนผู้เล่นถึงความอันตรายของ The Abyss )

         Undead นิรนามได้เอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลบวีถีดาบเป็นแนวราบ จากมุมนี้เขาสามารถมองเห็นสนิมบนปลายดาบที่ลอยผ่านหน้าเขาไปได้อย่างชัดเจน...เเต่น่าเเปลกเขากลับรู้สึกว่าการเหวี่ยงดาบเมื่อครู่ได้ถูกชะลอความเร็วลงอย่างกะทันหัน แต่นี่ก็หาใช่เวลามานั่งคิดเล็กคิดน้อยไม่ Undead นิรนามอาศัยจังหวะที่เหมือนกับพระเจ้าประทานมาให้ กระโจนแทงดาบเข้าใส่ลำคอของอัศวินหมาป่าอย่างจัง

         ของเหลวปริศนาซึ่งดูเหมือนกับโลหิตสีดำ พุ่งกระจายออกมาจากปากแผลเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในอากาศ Undead นิรนามยังคงกระหน่ำแทงดาบเข้าใส่ร่าง Artorias จนถอยหลังไปติดกำแพง เเละมารู้สึกตัวเอาอีกทีเขาก็เผลอเปิดช่องโหว่ทำให้ Artorias สามารถโจมตีเขาได้... ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเเละ Undead นิรนามมองเห็นภาพของตนเองที่ถูกสับออกเป็นสองเสี่ยง เเต่ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น พระเองของเรารู้สึกเพียงปลายนิ้วมือสัมผัสเบา ๆ ของ Artorias ที่ตบลงบนบ่า

         โดยไม่ต้องมิปริปากพูดสักคำ Undead นิรนามทราบทันทีว่านี่คือการส่งต่อความหวังเเละภาระอันหนักอึ้งให้แก่เขา ดูเหมือนว่าพวกพลังแห่งความมืดจะได้ละทิ้งร่างอันไร้ประโยชน์นี้ไปเเล้ว ปล่อยให้อัศวินหมาใช้ช่วงวินาทีสุดท้ายสิ้นใจลงอย่างสงบในฐานะผู้เสียสละเเห่งนคร Oolacile

( ภาพประกอบ : Soul ของ  Artorias นั้นสามารถนำมาเเลกเป็นดาบ Abyss Greatsword ได้ ซึ่งผู้เล่นจะได้อนิเมชันการโจมตีมาด้วย )

 

มังกรดำ และเหล่าเศษซากจากอดีต

         หลังการวายชนม์ลงของอัศวินหมาป่า Undead นิรนามก็เริ่มออกสำรวจทั่วอาคารลานประลอง จนเขาได้ไปพบกับบานประตูปริศนาซึ่งถูกล็อกเอาไว้ด้วยพลังเวทมนตร์ พระเอกของเราจึงรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ประตูธรรมดาอย่างเเน่นอน แถมจู่ ๆ ก็มีก้อนหินลอยข้ามเพดานออกมาจากข้างใน ก้อนหินพวกนั้นจะส่งเสียงเป็นคำพูดกำกวมโทนต่ำในทุก ๆ ครั้งที่มันตกกระทบกับพื้น...ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่ขว้างมันออกมา จะต้องการสื่อสารกับพระเอกของเราเป็นเเน่เเท้

         Undead นิรนามได้พยายามค้นหากุญแจในบริเวณใกล้เคียงแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงเดินกลับไปยังลานประลองและพบว่าเจ้า Chester ได้มายืนรอตนอยู่แล้ว เจ้าพ่อค้าความตายไม่รีรอที่จะยื่นข้อเสนอขอร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อแลกกับการที่ทั้งคู่จะต้องแบ่งสมบัติภายในเมืองให้เท่ากัน… แน่นอนว่า Undead นิรนามก็ไม่ปฏิเสธแม้นจะรู้อยู่แล้วว่าเขาอาจจะถูกหักหลังได้ทุกเมื่อ

( ภาพประกอบ : การที่หอคอยซึ่งขัง  Gough เอาไว้นั้นมีประตูขนาดเท่ากับมนุษย์ มันก็เเสดงให้เห็นว่าบางครั้งผู้คนใน Oolacile ยังคงต้องงพึงเขาเป็นครั้งคร่าว  )

         ทั้งสองเดินทางเขามาภายในนคร Oolacile ที่มีสภาพกลายเป็นซากประหลักหักพักจนไม่เหลือชิ้นดี  บอกตามตรงพระเอกของเราไม่สามารถจินตนาการถึงสภาพก่อนหน้านี้ของเมืองได้เลย มองจากมุมนี้เขาเพียงเเค่เห็นหน้าผาที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยความมืดซึ่งอัดเเน่นราวกับน้ำวนสีดำ ประหนึ่งกับว่าทั้งเมืองถูกธรณีสูบสู่ขุมนรกก็ไม่ปาน

         ตลอดทางพวกเขาต้องเจอกับเหล่าประชากรที่ถูกกลื่นกินโดยความมืด พวกมันต่างวิ่งกรูกันเข้ามาจะทำร้ายไม่ก็ร่ายเวทมนตร์แห่งความมืดโจมตีเข้าใส่พวกเขา ทว่าเหตุผลดังกล่าวก็หาใช่เป็นสาเหตุที่ทำให้การเดินทางล่าช้าไม่ แต่มันกลับเป็นเพราะว่าพระเอกของเราต้องมานั่งรอเจ้า Chester ที่ออกสำรวจบ้านทีละหลังทีละหลังเพื่อหาสมบัติ

( ภาพประกอบ : เจ้า Chester ในร่าง Red Phantom )

         ทั้งสองเดินทางต่อไปจนพบเข้ากับหีบสมบัติใบหนึ่ง และภายในนั้นปัจจุบันกุญแจซึ่งเปล่งพลังงานเวทมนตร์ที่คล้ายกับบานประตูปริศนาในลานประลอง ด้านฝั่ง Undead นิรนามจึงได้ตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับขึ้นไป ขัดกับเจ้า Chester ที่ไม่เห็นด้วย แถมมันกล่าวหาว่าพระเอกของเราต้องการจะหุบสมบัติไว้คนเดียว

         Chester ยิงหน้าไม้คู่กายเข้าใส่พระเอกของเราในยามที่เขาไม่ระวังตัว แต่ทว่าความเร็วของลูกดอกนั้นช่างช้ายิ่งนักหากเทียบกับฝีเท้าของอัศวินหมาป่า Undead นิรนามหลบมันได้อย่างสบาย ๆ ด้วยการกลิ้งเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็พุ่งตัวปรี่เข้าไปชกหน้าของ Chester จนลงไปนอนกองกับพื้น

         Undead นิรนามยืนอยู่เหนือตัวมันและมองลงมาด้วยสายตาที่เหมือนกับราชสีห์ เขากล่าวเตือนเจ้าพ่อค้าความตายว่าอย่าได้ริอาจหันคมดาบใส่เขาอีกเป็นอันขาด… เพราะตัวเขามิได้ไร้เกียรติเฉกเช่นมัน มิได้สนใจช่วงชิงสิ่งของมีค่าหรือเงินตราจากคนตาย หากแค่ต้องการจะช่วยกุลสตรี Dusk เเละหาทางกลับคืนสู่ปัจจุบันเท่านั้นเอง ว่าแล้วพระเอกของเราก็เดินจากไป ปล่อยให้เจ้า Chester นอนจมความอับอายของมันภายใต้ความมืดมิดอย่างโดดเดี่ยว

( ภาพประกอบ : รู้หรือไม่ว่าเจ้า Chester ขาย Item ของมันในราคาที่เเพงกว่า NPC ตนอื่นถึงสองเท่า!...สมเเล้วกับที่เป็นพ่อค้าความตาย )

         พอขึ้นมาถึงลานประลอง Undead นิรนามเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายในชุดสีน้ำเงินมิดชิด เเละสวมใส่หน้ากากสีขาวปิดบังใบหน้า เธอนั่งคุกเขาภาวนาใกล้ ๆ กับตรงจุดที่อัศวิน Artorias ตาย พระเอกของเราจึงเข้าไปถามไถ่และได้ทราบว่าชื่อของนางก็คือ Ciaran ตัวเธอค่อยเฝ้ามองสถานการณ์มานานแล้ว เเละกล่าวขอบใจพระเอกของเราที่ช่วยปลดปล่อยสหายเก่าของเธอจากชะตากรรมอันโหดร้าย

         Ciaran ได้เสนอขอแลกกระบี่คู่ของเธอกับดวงวิญญาณของ Artorias โดยกระบี่เล่มเเรกนั้นเป็นกระบี่อับแสง Dark Silver Tracer ส่วนกระบี่เล่มที่สองคือกระบี่เข็มทอง Gold Tracer ซึ่งทั้งสองเป็นกระบี่อันเลื่องชื่อที่สังหารบุคคลสำคัญมาแล้วมากมาย เเต่ทว่าตอนนี้นางมิได้ต้องการมันอีกแล้ว ขอเพียงก็แต่ Undead นิรนามยอมแลกดวงวิญญาณของ Artorias มาก็พอ

         ความจริงพระเอกของเราเป็นคนที่เห็นใจผู้หญิงมาเเต่ไหนเเต่ไร และต้องการจะมอบดวงวิญญาณให้เเก่เธอฟรี ๆ อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขากลับรู้สึกว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีขาวเผือกของหญิงสาว กำลังแพร่รังสีอัมหิตออกมาปานจะฆ่าจะแกงกัน… มาคิดดูดี ๆ การที่จู่ ๆ Ciaran มาเล่าประวัติเปื้อนเลือดของกระบี้ให้ฟัง มันอาจจะเป็นคำขู่กราย ๆ ก็ได้หากการตกลงไม่สำเร็จ

( ภาพประกอบ : Ciaran ที่ได้สร้างหลุมศพเล็ก ๆ ให้เเก่ Artorias เเละนั่งคุกเข่าไว้อาลัย )

         Undead นิรนามยอมมอบดวงวิญญาณของ Artorias ให้เเก่นางแต่โดยดี เพราะถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลักอยู่แล้ว ตัวเขาต้องการที่จะเปิดประตูปริศนาเพื่อช่วยคนที่อยู่ในนั้นออกมาต่างหาก พระเอกของเราได้ทำการไขกุญแจเวทมนตร์ และพบว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นยักษ์ตนหนึ่งนามว่า Gough ซึ่งกำลังแกะสลักหินพูดได้ด้วยท่าทางสงบนิ่งคล้ายกับคนชรา

         Gough กล่าวทักทายพระเอกของเราทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้อง ทั้งยังบอกอีกว่าหูทิพย์ของมันได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว และขอบคุณ Undead นิรนามที่ช่วยปลดปล่อยสหายเก่า Artorias ให้หายจากความทรมาน

( ภาพประกอบ :  ผู้เล่นสามารถได้ชุดเกราะของ Gough ด้วยการฆ่าเขา หากทว่าชุดเกราะนี้จะลดพลังฟื้นฟู Stamina ของผ้เล่นเล็กน้อย )

         หลังพบว่าเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ซึ่งโกหกไม่เป็น Undead นิรนามจึงเริ่มเอ่ยถามถึงความจริงในเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุวิบัติแห่งความมืดครั้งนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่ ทั้งสองได้นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จนเริ่มรู้สึกถูกคอ Gough เลยเอ่ยถามพระเอกของเราว่าอยากลองสังหารมังกรดำ Kalameet หรือไม่?

         Kalameet มังกรนิดรตัวสุดท้ายแห่งดินแดน Lordran (ตามความเข้าใจของ Gough ) มันถูกความมืดขับไล่ออกมาจากที่พำนักใต้พิภพ...ซึ่งครั่นจะปล่อยเอาไว้ก็คงเป็นอันตรายต่อผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่ เเต่ด้วยตัวเขานั่นแก่ชรามากแล้วจะให้ไปสู้เหมือนตอนยุคบรรพกาลก็คงไม่ไหว แต่ถ้าหากว่าได้ Undead นิรนามมาช่วย ความสงบสุขก็จะกลับคืนมาสู่ป่าแห่งนี่อีกครั้งหนึ่ง

( ภาพประกอบ : Gough นั้นมีอายุมานานหลายพันปีหรืออาจะหมื่นปีเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาอยู่มาตั้งเเต่สมัยที่  Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดรฃ )

        

        

เมื่อมีคนมาขอร้องดีดีเช่นนี้ มีหรือที่พระเอกของเราจะเบือนหน้าหนี หลังเขาตอบรับความประสงค์ Gough ก็หยิบคันธนูซึ่งมีขนาดใหญ่พอพอกับทั้งตัวมันขึ้นมา เจ้ายักษ์ชราสัมผัสได้ถึงแรงตึงอันคุ้นเคยของสายธนูผ่านท่อนแขน ในขณะที่สติค่อย ๆ กำหนดเพ่งฟังเสียงของสายลม สายลมที่เคลื่อนที่ได้รุนแรงดุจพายุกลางเวหา ภาพเรือนร่างของมังกรถูกกระตุ้นด้วยความทรงจำจากสนามรบเหมือนครั้งอดีตกาล ชวนให้เจ้ายักษ์ชราตัวนี้อดไม่ได้ที่จะคุยโวก่อนปล่อยลูกธนูออกจากนิ้วมือ

“จงเบิ่งตาดูให้ดี...นี่แหละคือวิธีที่ข้าล่ามังกร”

         พูดเสร็จเจ้ายักษ์ก็ปล่อยให้ลูกธนูลอยพุ่งเเหวกไปในอากาศ พลังความเร็วของมันเป็นสิ่งที่แตกต่างกับพลังจากเหล่า Silver Knight อย่างไม่ต้องสงสัย...ลูกธนูยักษ์ได้ลอยหายลับไปด้านหลังเนินเขา ทำให้ Undead นิรนามพยายามจะปีนขึ้นระเบียงเพื่อไปดูตำแหน่งตก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะปีนถึงด้านบนก็ได้บังเกิดเสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วป่า

เจ้ายักษ์ชรากล่าวว่ามังกรดำ Kalameet ได้ถูกเด็ดปีกลงแล้ว นับจากจุดนี้เขาคงต้องพึ่งเเรงของ Undead นิรนามช่วยในการสานต่อภารกิจ

( ภาพประกอบ : ตัวของ Gough นั้นนิยมชมชอบในการล่ามังกรเป็นอย่างมาก เเต่ในเมื่อไม่มีเหยื่อเขาจึงต้องจำใจเกษียรตัวเอง  )

         Undead นินามออกเดินทางไปยังทิศทางที่ลูกธนูหายลับไป จนกระทั่งเข้ามาถึงยังหุบเขากลางป่าเเละได้พบกับเจ้า Kalameet กำลังนอนพักเพราะบาดแผลจากลูกธนูอยู่ รอบ ๆ ตัวของมันเต็มไปด้วยซากศพเหล่าบรรดาผู้กล้ามากมายที่หมายจะพิชิตมันก่อนหน้าพระเอกของเรา นอนนิ่งดำสนิทเป็นถ่านไม้กระจัดกระจายกันไปทั่ว

         ด้วย8;k,mujขนาดร่างกายของเจ้า Kalameet ซึ่งจัดได้ว่าเล็กเมื่อเทียบกับมังกรสายพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นร่างกายของมันจึงมีความรวดเร็วปราดเปรียวเป็นพิเศษ และถึงต่อให้มีพละกำลังน้อยกว่าเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ เเต่ทว่านั่นก็มากพอเเล้วที่จะสังหารมนุษย์ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว

( ภาพประกอบ : เจ้า Kalameet ที่มีผิวหนังสีเทาตัวนี้เป็นอีกหนึ่งในผลงานที่ถูกขัดออก  )

         จากประสบการณ์ของ Undead นิรนาม เขาได้เรียนรู้ว่ามังกรทุกตัวนั้นแตกต่างกัน พวกมีนิสัยส่วนตัวและอากัปกิริยาที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งดูเหมือนในกรณีของ Kalameet  จะเป็นดวงตาสีแดงเพลิงกลางหน้าผากที่อาจจะเป็นได้ทั้งจุดแข็งเเละจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน

         พระเอกของเราอาศัยมุมอับสายตา พยามเคลื่อนตัวคลานเข้าไปใกล้ เเต่เนตรทิพย์ของ Kalameet ก็มองเห็นเขาเสียก่อน มันจึงจัดการพ่นเพลิงสีดำที่แค่ดูก็รู้ว่าถึงตายออกมา กดดันไล่ให้พระเอกของเราต้องรีบวิ่งหางจุดตูดออกจากรัศมีทมิฬ

         เจ้า Kalameet เริ่มไล่ล่าพระเอกของเราทันทีเหมือนกับอินทรีที่กำลังไล่ล่าหนู มันกระโจนขึ้นไปบนฟ้าและพุ่งตัวโฉบลงมาเป็นหอกยักษ์ กวาดเอาก้อนหินเเละเศษดินรวมไปถึง Undead นิรนาม จนเขาต้องกระเด็นกระดอนหัวทิ่มไม่เป็นท่า 


( ภาพประกอบ : เพลิงสีดำที่เกิดจากการปรัสมของ The Abyss )

         Undead นิรนามพยายามตั้งตัวขึ้นเเละออกวิ่งไปรอบ ๆ เจ้ามังกรเป็นวงกลม เพื่อล่อหลอกให้มันพุ่งตัวมาอีกครั้งหนึ่งตามเเผนที่คิดไว้ในหัว แต่คราวนี้ Kalameet กลับลดความเร็วลงกลางอากาศ เเละใช้ดวงตาสีแดงเพลิงที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น สว่างขึ้น จ้องมองไปยัง Undead นิรนาม

         เเละในบัดดล! จู่ ๆ พระเอกของเราก็รู้สึกว่าแขนขาของตนนั้นไร้น้ำหนักอย่างผิดปกติ ปลายเท้าที่เคยตั้งมั่นบนพื้นบัดนี้กลับสัมผัสผิวดินไม่ได้ ราวกับว่าทั้งตัวกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำที่เป็นอากาศ... ใช่แล้ว!นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของ Kalameet เนตรสีเพลิงของมันสามารถตรึงศัตรูไว้บนอากาศ และเผาพลาญดวงวิญญาณเหยื่อจนมอดไหม้จากข้างในจิต

         Undead นิรนามรู้สึกปวดหัวอย่างแสนสาหัส มันเจ็บเหมือนกับมีคนเอาเเท่งเหล็กร้อน ๆ จี้เเช่ลงไปที่สมองเขาตรง ๆ ความรู้สึกนี้มันเเย่ซะยิ่งกว่าถูกเพลิง Chaos ตัดผ่านร่างเสียอีก เพราะร่างกายของเขาไม่ได้บาดเจ็บไปด้วย (ตายช้า ๆ อย่างทรมาน) 

( ภาพประกอบ : พลังจากดวงตาที่สามของเจ้า Kalameet  )

         ในขณะที่ Undead นิรนามกำลังค่อย ๆ สิ้นสติลงไปเรื่อย ๆ เจ้ามังกรที่อยู่ในท่ายืนสองขาก็ได้เเผ่ปีกสีดำทมิฬของมันออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ร้องคำรามเสียงดังสนั่นกลางหุบเหวอย่างน่ากลัว ราวกับจะประกาศว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งศพที่ต้องสังเวยเพราะความไม่เจียมตัว

         แต่ทว่าในช่วงเวลาเสี้ยวอึดใจเดียวก่อนที่พระเอกของเรากำลังจะตาย จู่ ๆ ก็มีลูกธนูยักษ์ลอยมาปักลงกลางหน้าอกเจ้ามังกรดำ! ส่งผลให้มนต์ดำของมันถูกคลายออกอย่างฉับพลัน… ด้านพระเอกของเราแม้จะกลิ้งล้มหัวคะมำเเละมีอาการบาดเจ็บสะสม เเต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับอีกฝ่ายที่มีรูอยู่กลางตัวถึงสองรู เขารีบถือดาบเดินตรงไปหามันอย่างโซซัดโซเซ กระหน่ำแทงเข้าใส่เนตรทิพย์จนกลายเป็นรูโบ๋รูที่สาม

         Kalameet ที่ตอนนี้ปราศจากดวงตาอันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง มันได้รู้สึกหวาดกลัวเเละลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทาง เดี๋ยวก็พุ่งชนภูผาด้านซ้ายทีเดี๋ยวก็อัดกระแทกกับก้อนหินด้านขวาที ว่าง่าย ๆ มันมีสภาพน่าสังเวชเหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นเช้ามาแล้วพบว่าตัวเองาบอด... เจ้ามังกรได้วิ่งกรีดร้องคำรามไปเรื่อย ๆ จนล่วงหล่นลงไปตายยังหุบเหวสีดำใต้พื้นพิภพ หุบเหวอันเดียวกับที่มันหนีอออกมา

( ภาพประกอบ : เเม้ Kalameet จะถูก The Abyss กลืนกินไปเเล้วทั้งตัว เเต่มันกลับยังคงรักษาสติเอาไว้ได้อย่างเเปลกประหลาด...ดูเหมือนว่าเผ่ามังกรบางตัวจะสามารถต้านทานพลังเเห่งความมืดได้เป็นพิเศษ )

         ด้าน Undead นิรนามที่เเม้ว่าจะชนะศึก เเต่เขาก็ถูกเจ้ามังกรเหยียบตาย ณ ตรงนั้นตามไปด้วย จึงได้กลับมาเกิดใหม่ยัง Bonfire ในลานพิธีกรรม ซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกเจ้าเห็ด Elizabeth ทักถามขึ้นถึงความคืบหน้าในภารกิจ

เจ้าเห็ดยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พระเอกของเราสามารถปราบมังกรดำลงได้ เเละมีเป้าหมายต่อไปคือการช่วยกุลสตรี Dusk เเต่ทว่าก่อนที่จะจากกัน มันก็กล่าวขอร้องเเก่พระเอกของเรา ว่าให้เรื่องราวทั้งหมดนี้กลายเป็นความดีความชอบเเก่อัศวิน Artorias ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Time Paradox (ความขัดแย้งของเส้นเวลา)

         Undead นิรนามรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่เจตนาอันบริสุทธิ์ของเขาได้ถูกบิดเบือนไป โดยมันเป็นเพราะที่ผ่านมา เขาเริ่มได้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์อันเป็นเหมือนเหรียญอีกด้านของฝ่ายเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo… ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่า Elizabeth ต้องการจะช่วยเขาจริง ๆ หรือเเค่ต้องการไม่ให้มีมนุษย์ถูกบันทึกวีรกรรมไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กันแน่

( ภาพประกอบ : ภายในตัวเกม ผู้เล่นสามารถจัดการกับ Kalameet ก่อนที่จะไปพบกับ Gough ก็ได้ เเต่จะต้องมีการตระเตรียมวิธีสักหน่อย... หากใครสนใจก็สามารถหาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Youtube )

 

บิดาแห่งความมืดทั้งปวง

         “นรก” คำอันมีหมายถึงสถานที่ที่น่ากลัวและทุกข์ทรมาน บางก็เชื่อว่ามันเป็นจุดจบสำหรับคนบาปที่ไม่เชื่อในพระเจ้า บางก็ว่ามันคือโทษทันตลอดกาลของคนชั่วช้า… เเต่นั่นก็เป็นแค่คำนิยามซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฐานความเชื่อจากเหล่าเทพเจ้า

         คำสอนที่ว่าแสงสว่างคือสรวงสวรรค์และความมืดมิดคือนรก มันจะจริงแค่ไหนกันเชียว? เเละหากเป็นเช่นนั้นไฉนเลยผู้คนถึงต่างพากันหลบหนีจากมหานครสวรรค์อย่าง Anor Londo ทำไมเหล่าสาวกพระผู้เป็นเจ้าถึงต้องถูกส่งไปทำภารกิจฆ่าตัวตาย... ความอดอยาก, ความเศร้า, การกดขี่ สิ่งเหล่านี้กลับเกิดขึ้นโดยทั่วไปในดินเเดนที่อยู่ใต้รัศมีของเทพเจ้า มันหาได้เเตกต่างจากนิยามคำว่านรกอย่างที่เขาเล่าลือไม่

         The Abyss ในนคร Oolacile อาจจะมิใช่สถานที่อันดีเลิศ เเม้พลังความบ้าคลั่งของมันจะได้ทำลายเมืองจนราบเป็นหน้ากอง แต่ทว่า ณ ใจกลางของสถานที่แห่งนี้ ก็มิได้มีความยากลำบากหิวโหยเฉกเช่นเมืองมนุษย์ มิได้มีคราบน้ำตาจากความสูญเสียเเบบในสนามรบ... ความเงียบสงัดอันเเสนเย็นยะเยือก คือสิ่งเดียวที่สถานที่นี่จะมอบให้ มันคงจะเป็นสรวงสวรรค์เลยละสำหรับเหล่าผู้ที่ปรารถนาความสงบ

( ภาพประกอบ : ภายใต้จุดที่มิดมิดที่สุดของโลก มันปราศจากทั้งเเสงว่างเเละเงาดำ เป็นดินเเดนอันไร้ขอบเขตที่เเม้เเต่พระเจ้าก็ยังหวาดกลัว )

         ภายใต้ภูมิศาสตร์ที่มืดมิด Undead นิรนามต่างถูกไล่ล่าจากกลุ่มก้อนพลังงาน Humanity บริสุทธิ์ พวกมันเป็นจิตวิญญาณที่มิอาจเเตกดับเเละต้องการหาร่างกายเพื่อสิ่งสู่! กลุ่มควันสีดำพวกนี้ค่อย ๆ ลอยเข้ามาโอบล้อมพระเอกของเราที่กำลังเหวี่ยงดาบอย่างไร้ทิศทาง เนื่องจากถูกพวกมันปิดกั้นสัมผัสพลังอันน้อยนิดของกุลสตรี Dusk เอาไว้ ซึ่งเป็นเข็มทิศเพียงหนึ่งเดียวภายในสถานที่เเห่งนี้

ในระหว่างที่พระเอกของเรากำลังระเเวงหน้าระเเวงหลังอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงแหล่งพลังงานที่ต่างออกไป สัญชาตญาณผลักดันให้สายตาทั้งสองออกมองไปรอบ ๆ จนไปสะดุดเข้ากับแมวสีขาวตัวหนึ่งที่ปรากฏตัวมาอย่างเป็นปริศนา

         Undead นิรนามพยายามแหวกฝ่าฝูงก้อนพลังงาน Humanity วิ่งไล่ตามเจ้าแมวปริศนาไปเรื่อย ๆ จนมาถึงยังพื้นวงแหวนสีทอง ซึ่งดูเหมือนจะสามารถป้องกันพลังความมืดจากภายนอกได้... ณ จุดนี้เจ้าแมวเหมียวสีขาวก็ได้หายตัวไปแล้ว เหลือเอาไว้ก็แต่ลูกสุนัขป่าขนเงินตัวหนึ่งที่กำลังนอนบาดเจ็บกองอยู่กับพื้น เเละโล่ปริศนาที่เปล่งเเสงสีทองออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

( ภาพประกอบ : เจ้าเเมวปริศนาที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาใน The Abyss  )

         เเทบจะไม่ต้องสงสัยเลย! พระเอกของเราสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ Artorias จากทั้งสองสิ่งนี้ และดูเหมือนว่าเจ้าลูกสุนัขตัวจ้อยก็ได้กลิ่นนั้นเช่นเดียวกัน มันก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเเสดงถึงความรู้สึกเศร้าสร้อย ก่อนจะพยายามลุกขึ้นมายืนด้วยท่าทางขากะเผลก

         Undead นิรนามเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเจ้าลูกสุนัขป่าในทันที เขากล่าวด้วยภาษามนุษย์เพื่อบอกให้มันอยู่เฉย ๆ เพราะความเป็นห่วง แต่ทว่าเจ้าสุนัขกลับคาบดาบที่อยู่ข้างกายขึ้นมาไว้ในปาก...ดวงตาที่ส่องสะท้อนเป็นแสงสีทองของมัน จ้องมองกลับมายัง Undead นิรนามเพื่อบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในวิญญาณ ราวกับจะบอกว่าตัวมันยืนยันที่จะตามพระเอกของเราไปด้วย แม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ตาม

( ภาพประกอบ : เจ้าลูกหมาป่าตนนี้มีนามว่า Sif… ซึ่งมันมีชะตากำเกี่ยวข้องกับ Undead นิรนาม )

         ขบวนเหล่าผู้กล้าเดินทางลึกลงไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของดินเเดนนี้ พลังความมืดของที่นี่มันหนาแน่นเสียยิ่งกว่าอากาศหายใจเสียอีก ชนิดที่ว่าหากสูดดมเข้าไป ปอดของพวกเขาก็คงจะกลายเป็นสีดำสนิทเป็นเเน่

         เจ้าลูกสุนัขเริ่มเเสดงท่าทีที่ดุร้ายพร้อมกับส่งเสียงขู่ไปยังความมืดตรงหน้า ประหนึ่งต้องการบอกเเก่พระเอกของเราว่ามีบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา... เเละท่ามกลางความเงียบสงัดที่แม้แต่การหายใจก็ยังดังสนั่น ได้บังเกิดสียงอุ้งเท้าค่อย ๆ เดินลากตามความมืด ค่อย ๆ เคลื่อนคัวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนปรากฏโฉมหน้าจ้าวแห่งอสูรทมิฬ Manus ออกมา

         ร่างกายของ Manus มีขนสีดำม่วงขึ้นปกคลุมทั้งร่างกาย ตัวมันนั้นใหญ่พอ ๆ กับพวกยักษาขนาดเล็ก ทว่ากลับมีสัดส่วนร่างกายที่ผิดรูปผิดร่าง เนื่องจากรยางค์เเขนต่างใหญ่ข้างเล็กข้าง ส่งผลให้ Manus ต้องเดินลากมือเหมือนกับคนไม่สมประกอบและต้องอาศัยไม้คฑาช่วยพยุงตัวอยู่ตลอดเวลา บนใบหน้าของมันมีดวงตาสีแดงหลายคู่เฉกเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ที่กลายร่าง เเต่ว่าจะมีเขาปลายแหลมคล้ายกับเขากว้างจำนวนนับไม่ถ้วนพุดชี้ขึ้นด้านบน…

( ภาพประกอบ : สาระรูปของ Manus ที่เกิดจากพลังความมืด... อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นร่างที่กลายพันธุ์จากศพของ Manus มากกว่า  )

         พระเอกของเราสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกุลสตรี Dusk จากในตัวเจ้า Manus เขาสรุปว่าหากอยากจะช่วยนางออกมาเป็น ๆ เห็นทีคงต้องจัดการปลดอาวุธเจ้านี่เสียก่อน ด้วยการเล็งเข้าจู่โจมที่บริเวณเเขนเเต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก… เพราะ Manus มักจะปัดป้องการโจมตีไว้ได้ทัน จนทำให้ Undead นิรนามต้องมองหาวิธีอื่น

         ท่ามกลางช่วงเวลาตะลุมบอล Undead นิรนามเหลือบมองไปเห็นเจ้าลูกสุนัขที่พยายามสู้อย่างสุดกำลังเเม้ว่าขาจะบาดเจ็บ รูปเเบบการจู่โจมของมันดูคล้ายกับอัศวิน Artorias เป็นอย่างมาก สิ่งนั้นได้ทำให้เขาเข้าใจถึงวิธีการต่อสู้ได้ในทันที...ใช่เเล้ว! เขาต้องทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของฝูงหมาป่าในยามออกล่า

         Undead นิรนามเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำในการต่อสู้กับ Artorias เขากระโจนเข้าไปร่วมบรรเลงเพลงดาบเหมือนกับตนหมาป่าตัวหนึ่ง เปลี่ยนเเปลงทั้งกายเเละใจเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าลูกสุนัขป่า คอยยกโล่ขึ้นมาป้องกันมิตรสหายในยามที่อีกคนมีช่องโหว่ เเบ่งรับเเบ่งสู้เป็นเช่นนี้ไปจน Manus เริ่มเสียสมาธิ

( ภาพประกอบ : อย่างที่เคยบอกว่า Sif นั้นกำลังบาดเจ็บ ดังนั้นมันจึงล้มลงพื้นเป็นครั้งคราว )

         อสูรร้าย Manus หมดความอดทนต่อการโจมตีจากทั้งสอง มันได้เสกฝนดาวตกทมิฬล่วงหล่นลงมาจากอากาศเพื่อควบขุมพื้นที่สังเวียน ส่งผลให้พระเอกของเราต้องรีบยกโล่ขึ้นป้องกันเหนือศีรษะ... เเต่ก็กับเหมือนฟ้าดลใจ Undead นิรนามสังเกตเห็นว่าเจ้าอสูรนั้นกำลังร่ายมนต์จนไร้กายป้องกัน เขาจึงได้อาศัยจังหวะนั้นวิ่งฝ่าดงฝนทมิฬหมายจะเข้าไปตัดหัวมัน

ทว่าโปรดอย่าลืม! ว่าตัว Manus นั้นก็เคยเอาชนะกระบวนท่าประสานเขี้ยวของอัศวิน  Artorias  มาแล้ว มันตั้งใจที่จะหลอกล่อให้พระเอกของเราวิ่งเข้ามาใกล้ ๆ จากนั้นก็ดูดพลังความมืดเข้าหาตัวเองจากบริเวณรอบ ๆ สังเวียรการต่อสู้ ซึ่งเเน่นอนว่ามันต้องชนเข้าใส่ด้านหลังของ Undead นิรนามอย่างเเน่นอน พระเอกของเราได้เเต่เหลือบตาหันกลับไปมองความตายที่กำลังวิ่งมาใกล้ ๆ ...เเต่เเล้ว! ในช่วงเวลาสุดท้าย กลับมีประกายแสงสีเงินพุ่งเข้ามารับการโจมตีเอาไว้แทน นั่นก็คือเจ้าลูกหมาป่านั่นเอง

         เจ้าสหายผู้ซื่อสัตว์จงใจใช้ตัวเองเป็นโล่กำบังพระเอกของเรา ประหนึ่งราวคล้ายจะบอกว่ามันไม่ต้องการที่จะเห็นสหายร่วมรบจากไปอีกคน การเสียสละในครั้งนี้ได้กลายเป็นเหมือนเชื้อเพลิงทำให้ Undead นิรนามถึงกับโกรธจัด เขารวบความแค้นจากภาพของทุกสิ่งทุกอย่างตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะบ้านเมืองหรือคนบริสุทธิ์ที่ต้องล้มหายตายจาก เเละภาพของเหล่าวีระบุรุษที่เสียสละส่งเขามาจนถึงจุดนี้! Undead นิรนามพุ่งตัวด้วยพลังทั้งหมดแทงปลายดาบเข้าใส่คางเจ้า  Manus อย่างจัง

( ภาพประกอบ : Manus เป็นเหมือนร่างสถิตของอารมณ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้มาจาก Dark Soul… หากปราศจากมันมนุษย์ก็จะกลายเป็นเพียงร่างไร้สติอย่าง Hollow เหมือนครั้งบรรพกาล )

         ดาบคู่กายของ Undead นิรนามพุ่งปักลึกเข้าไปในบาดเเผลเปิด สวนทางกับกลุ่มควันสีดำที่พุ่งออกมาจากร่างกาย Manus อย่างไม่หยุดไม่หย่อน… ซึ่งมันก็คงจะดีไม่ใช่น้อยหากว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปีศาจคำนวณเอาไว้เเล้ว! กลุ่มควันสีดำค่อย ๆ ล้อมรอบตัวพระเอกของเราจนกลายเป็นเหมือนกับโซ่ตรึงร่างเขาติดกับเจ้าปีศาจ Manus กำลังใช้พลังความมืดเข้ากลืนกินพระเอกของเราอยู่นั้นเอง!

         Undead นิรนามพยามดิ้นรนขัดขืนด้วยเเรงทั้งหมดเเต่ก็ไร้ประโยชน์ ตัวเขาจมเข้าไปในร่าง Manus เเละถูกความมืดชอนไชเข้ามาใต้ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย… ทว่าช่างเเปลกนัก เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับพลังควมมืดนี้เสียเหลือเกิน ทั้งอารมณ์ความเศร้า, ความเกลียดชัง,  ความโลภโมโทสัน, เเละอารมณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ต่างถูกกระตุ้นจนพลุ่งพล่านทะลักออกมาจากเศษเสี้ยว Dark Soul ภายในกาย

( ภาพประกอบ : หลุมศพของ Manus ที่ถูกเหล่านักเวทย์ที่กระหายใคร่รู้ขุดขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่!  )

         เเละนี่แหละ! ก็คือจุดแตกต่างระหว่าง  Artorias กับ Undead นิรนาม… ด้วยเหตุที่ว่าเจ้าอัศวินหมาป่านั้นเป็นเผ่าพันธุ์ยักษา(ยักษาสายพันธุ์เทพเจ้า) จึงมิอาจทานทนต่อพลังของ The Abyss ได้ แตกต่างกับพระเอกของเราซึ่งยังพอจะควบคุมสติสัมปชัญญะได้อยู่บ้าง เเละที่สำคัญเขาคือ Undead ผู้ถูกเลือก

         ตลอดการเดินทาง Undead นิรนามได้ดูดซับทั้ง Soul และ Humanity เอาไว้มากมาย ตอนนี้ร่างกายของเขามิใช้คนอ่อนแอเหมือนครั้งที่ติดอยู่ใน Undead Asylum อีกแล้ว... หากเเต่มีทั้งพลังมหาศาลเฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขา บรรพบุรุษที่เคยใช้ความต่อมืดต่อกรกับเหล่ามังกรนิรันดร

( ภาพประกอบ : ในสังคม Online ได้มีการถกเถียงว่าเหตุใดกัน Chosen Undead ถึงไม่ถูกพลังของ Manus เข้ากลืนกิน…โดยในบรรดาข้อมูลพวกนั้น เหตุผลที่ว่า  Chosen Undead เป็นมนุษย์ที่มี Dark Soul เเข็งเเกร่งได้ถูกยอมรับมากที่สุด  )

         พลังเเห่งความมืดค่อย ๆ หวนย้อนกลับเหมือนกับสายลมที่กำลังเปลี่ยนทิศ พระเอกของเราใช้พลังนี้พุ่งเข้าไปในร่าง Manus เพื่อค้นหากุลสตรี Dusk จากนั้นก็ยื้อยุดฉุดกระฉากนางออกมาจากร่างกายเจ้าปีศาจที่กำลังขัดขืน ซึ่งผลสุดท้ายมันก็เลือกที่จะปล่อย Dusk เเละพระเอกของเราไป จากนั้นก็พยายามจะคลานหนีกลับไปในความมืด ซึ่งมีหรือที่ขารีบเล็กแบบนั้นจะสามารถวิ่งหนีพ้น พระเอกของเราไล่ตามไปและลงมือหั่นร่างของ Manus ออกเป็นชิ้น ๆ จนตาย

         ....และแล้วในที่สุด! ตำนานเรื่องเล่าของนคร Oolacile ก็เดินทางมาถึงตอนจบ เวทมนตร์กาลเวลาซึ่งถูกร่ายเอาไว้ตั้งเเต่ต้น บัดนี้ก็พลันเริ่มทำงานเมื่อเงื่อนไขครบตามองค์ประกอบ ร่างกายของ Undead นิรนามค่อย ๆ จางหายเหมือนกับวิญญาณซึ่งไม่ควรจะมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลานี้

         สิ่งสุดท้ายที่เขาทำ ก็คือการหันหน้าไปมองกุลสตรี Dusk ผู้กำลังฟุบตัวนอนอยู่กับพื้น ซึ่งดูเหมือนนางจะมองเห็นแต่เพียงชุดเกราะสีเงินสะดุดตา กับกลิ่นอายพลังที่จะจดจำมันเอาไว้ตลอดชีวิต… 

( ภาพประกอบ : ตอนที่ Dusk เพิ่งหลุดออกมาจากร่างของ Manus สติของเธอยังคงสะลึมสะลือ จึงจำไม่ได้ว่าใครมาช่วย  )

เรื่องราวต่อจากนี้ก็กลายเป็นอย่างที่เจ้าเห็ด Elizabeth เคยเตือนพระเอกของเราไว้ มันโกหกกับ Dusk ว่าเธอถูกช่วยโดย Artorias เเละเขาก็กลายเป็นวีระบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถพิชิต The Abyss ได้ ตำนานจอมปลอมนี้จะถูกเล่าขานในชื่อว่า “Artorias the Abysswalker” … ทำเหมือนกับว่า Undead นิรนามไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

 

คุยกันหลังเรื่องเล่า

         ก็จบกันลงไปเเล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเจ็ด “ผู้กล้าที่ไม่มีตัวตน” นี่เป็นบทที่ผมใช้เวลาเขียนนานมากกกก เนื่องจากด้วยเหตุผลชีวิตส่วนตัวประกอบกับการที่ผมอยากให้มันออกมาดีที่สุด เนื่องจากในระหว่างที่กำลังเขียนก็เกิดเหตุการณ์หน้าเศร้าขึ้น นั่นก็คือการจากไปของอาจารย์ เค็นตาโร มิอูระ ผู้แต่งเรื่อง Berserk อันเป็นการ์ตูนที่มีอิทธิพลต่อเกม Dark Souls อย่างมาก

         เอาละครับ ขณะนี้ก็ได้เวลาจากกันแล้ว(เหนื่อย) เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า…สวัสดีครับ

 



บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header