ตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2017 ที่งาน Gamescom ประเทศเยอรมนี เกม Biomutant ก็ได้รับการจับตามองโดยสื่อและเกมเมอร์หลายๆ คนจากทั่วโลก ที่คาดหวังกับแนวคิดของเกมที่ผู้พัฒนาบรรยายว่าเป็น “เทพนิยายกังฟูในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย” แต่ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ที่เกมเปิดตัว ผู้พัฒนา Experiment 101 ก็ไม่ค่อยจะได้ปล่อยข้อมูลหรือข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเกมออกมาให้ติดตามกันบ่อยนัก จนทำให้หลายคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเกม Biomutant มันเป็นอย่างไรกันแน่
หลังจากที่ได้เล่นเกม Biomutant ไปแล้วราวๆ 25 ชั่วโมงบนเครื่อง PlayStation 5 ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณบริษัท THQ Nordic และ Epicsoft สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ต้องบอกว่า Biomutant ถือเป็นเกมที่มีจุดเด่นหลายจุด โดยเฉพาะในแง่ของเกมเพลย์และการพัฒนาตัวละคร ที่สามารถปรับแต่งความสามารถและค่า Stat ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น รวมไปถึงระบบการคราฟติ้ง (Crafting) ที่มีทางเลือกให้ปรับแต่งทั้งหน้าตาของไอเทมและตัวเลขความเสียหายได้อย่างไม่สิ้นสุด และยังมีโลก Open World ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเควสและความลับให้ค้นหาเต็มไปหมด ซึ่งน่าจะเข้าทางคนที่ชื่นชอบการเล่น RPG แนวผจญภัยเป็นอย่างมาก ตราบใดที่สามารถมองข้ามข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงของเกมได้
เรื่องราวของ Biomutant เกิดขึ้นในในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย หลังจากที่เหล่ามนุษย์ในโลกของเกมได้ละทิ้งดาวเคราะห์บ้านเกิดที่ถูกทำลายจากมลพิษและสารเคมี เหลือทิ้งไว้เพียงสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิดที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจากสารเคมีที่เหลือทิ้งเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้รวมตัวกันเป็นเผ่าต่างๆ 6 เผ่าที่ปกครองพื้นที่ของตัวเองอย่างสันติ โดยมีต้นไม้โลก (World Tree) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเผ่าทั้ง 6
แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ 4 ตัวที่เรียกว่าเหล่า World Eaters ได้ปรากฏตัวขึ้นจากทะเล และเริ่มจู่โจมรากของต้นไม้โลก ซึ่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ยังจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างเผ่าทั้ง 6 ที่ล้วนเตรียมตัวจะเปิดสงครามกับเผ่าอื่นๆ ได้ตลอดเวลาอีกด้วย
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นสัตว์กลายพันธุ์ตัวน้อย ผู้ซึ่งต้องเลือกว่าจะเป็นฮีโร่ที่ปราบสัตว์ประหลาดทั้ง 4 และนำสันติภาพมาสู่เผ่าทั้งหลาย หรือจะเป็นวายร้ายที่พยายามทำลายต้นไม้โลกเพื่อกวาดล้างทุกสิ่ง โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องและตอนจบของเกมจะเปลี่ยนแปลงไปตามทางเลือกมากมายที่ผู้เล่นเลือกระหว่างทางนั่นเอง
เมื่อเริ่มต้นเกม ผู้เล่นจะต้องสร้างตัวเอกสัตว์กลายพันธุ์ของตัวเอง ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่สายพันธุ์ รูปร่างหน้าตา ค่าสถานะต่างๆ รวมไปถึงคลาสหรืออาชีพเริ่มต้นของตัวละครด้วย โดยสายพันธุ์ของตัวละครจะกำหนดค่า Stat เบื้องต้นของตัวละครเช่นกำลัง (Strength) ความว่องไว (Agility) หรือปัญญา (Intellect) ในขณะที่คลาสจะกำหนดความสามารถติดตัวและอาวุธเริ่มต้นของตัวละคร แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เราจะสามารถอัปสกิลและค่า Stat ได้ตามใจชอบอยู่แล้ว และใช้อาวุธได้ทุกชนิดด้วย ทางเลือกทั้งหลายจึงสำคัญจริงๆ เฉพาะในช่วงไม่กี่ชั่วโมงแรกของเกมเท่านั้นเอง ส่วนคนที่กังวลเรื่องที่ค่า Stat ต่างๆ จะผูกกับรูปร่างหน้าตาของตัวละคร (เช่นถ้าค่า Strength หรือกำลังสูงก็จะทำให้ตัวละครมีรูปร่างบึกบึนโดยปริยาย ถ้ามีค่า Agility หรือว่องไวสูงก็จะตัวผอมๆ หน้าตาเจ้าเล่ห์โดยเลือกไม่ได้) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเล่นต่อไปไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะสามารถปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้อีกครั้งโดยไม่กระทบค่า Stat ของเราด้วย แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ให้ดีเพราะเปลี่ยนทีหลังไม่ได้
เมื่อสร้างตัวละครเสร็จและผ่านฉากต่อสู้ที่เกมใช้ฝึกสอนการควบคุม รวมไปถึงฉากคัตซีนย้อนอดีตที่ค่อนข้างยาว ผู้เล่นก็จะได้รับอิสระในการผจญภัยไปในโลกของ Biomutant ได้อย่างอิสระ โดยจะมีเควสเนื้อเรื่องกว้างๆ ให้เราเท่านั้นเช่น “หยุดสงครามระหว่างเผ่า” หรือ “รักษาต้นไม่โลก” ก่อนที่จะให้เราออกไปผจญภัยและรับเควสอื่นๆ จาก NPC เอาเอง ในจุดนี้ต้องยอมรับว่าโลกของเกมทำออกมาได้สวยและน่าสนใจมากๆ ผู้เล่นจะได้เห็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแปลกๆ ของสัตว์กลายพันธุ์กับซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่จากอารยธรรมมนุษย์ มีทั้งหุบเขาที่ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี หรือป่าที่มีน้ำมันรั่วไหลจนไฟโหมโชนตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นยังสามารถใช้ยานพาหนะหรือสัตว์ขี่หลากหลายชนิดเพื่อสำรวจได้อย่างอิสระ แม้ว่ากราฟิก Unreal Engine 4 ของเกมจะแลดูเก่าๆ ไปบ้างแต่ความหลากหลายของสภาพแวดล้อมบวกกับสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ก็พอจะทำให้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้บ้าง
แน่นอนว่าโลกของเกมย่อมเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งในรูปแบบของสัตว์ร้าย กลุ่มโจร หรือสมาชิกของเผ่าอริ ที่ผู้เล่นจะต้องปราบผ่านเกมเพลย์สไตล์แอคชั่นของเกม โดยเกมเพลย์แนวแอคชั่นของ Biomutant ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา ผู้เล่นจะต้องใช้การโจมตีเบาหรือหนักรวมไปถึงการโจมตีด้วยอาวุธปืนเพื่อต่อกันเป็นคอมโบ พร้อมกับการพุ่งหลบหรือปัดป้องการโจมตีของศัตรูไปด้วย โดยเมื่อปัดป้องได้ก็จะทำให้สามารถใช้ท่าสวนที่มีความรุนแรงมากๆ ได้ และมีระบบหลอดสตามิน่าที่จำกัดจำนวนครั้งที่เราสามารถพุ่งหลบติดต่อกันได้ ถือเป็นระบบแอคชั่น RPG มาตรฐานที่ไม่ซับซ้อนหรือท้าทายจนเกินไปโดยเฉพาะสำหรับคนที่ผ่านเกมแอคชั่นเดือดๆ ชนิด Devil May Cry หรือ Sekiro: Shadows Die Twice มาแล้ว
สิ่งที่ทำให้เกมเพลย์ของ Biomutant รู้สึกสนุกขึ้นมาคือระบบสกิลประจำอาวุธของเกม รวมไปถึงระบบ Wung-Fu อีกด้วย โดยอาวุธแต่ละชนิดในเกม Biomutant ทั้งระยะประชิดและระยะไกล จะมีท่วงท่าคอมโบที่เรียกว่า Special Attack ของตัวเองที่จะต้องใช้แต้มสกิลในการปลดล๊อค และเมื่อเราใช้ท่า Special Attack ที่ไม่ซ้ำกัน 3 ครั้งจะทำให้ตัวละครเข้าสู่โหมดจอมยุทธ Wung-Fu ที่มาพร้อมท่าโจมตีพิเศษของตัวเองอีก การต่อสู้ในเกม Biomutant จึงมักจะเป็นเหมือนการร่ายระบำที่เต็มไปด้วยกระสุนและคมดาบ ในขณะที่ผู้เล่นพยายามหาช่องในการใช้ท่า Special Move ให้ครบ 3 ครั้ง และเผด็จศึกศัตรูด้วยโหมด Wung-Fu แบบเท่ๆ นั่นเอง ยังไม่นับรวมการสลับไปมาระหว่างอาวุธพิเศษอีกหลายชนิดที่หาได้ตามเนื้อเรื่อง ซึ่งมาพร้อมคอมโบของตัวเองเช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากวรยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น เกมยังมีระบบพลังพิเศษอีกสองชนิดที่เรียกว่า Mutations และ Psi-Powers อีกด้วย โดย Mutations หรือการกลายพันธุ์มักจะเป็นความสามารถที่เน้นการสนันสนุนมากกว่า เช่นการเรียกเห็ดออกมาเหยียบเพื่อให้กระโดดสูงขึ้น หรือการพ่นพิษให้ศัตรูเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่อง ในขณะที่ Psi-Powers จะมีลักษณะเป็นเหมือนพลังจิตหรือเวทย์มนตร์ เช่นการปาลูกไฟ หรือการเทเลพอร์ตระยะสั้นเป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเสริมให้เกมเพลย์แนวแอคชั่นนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก
องค์ประกอบเกมเพลย์ที่สำคัญอย่างสุดท้ายที่น่าชมคือเรื่องของการคราฟติ้ง (Crafting) ที่เปิดให้ผู้เล่นใช้ชิ้นส่วนชนิดต่างๆ ที่หาได้ในเกมมาประกอบกันเป็นอาวุธ ซึ่งทำให้สามารถสร้างอาวุธชุดเกราะหน้าตาพิศดารๆ มาใช้ได้ไม่รู้จบ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งความสามารถของปืนได้มากมายผ่านการเลือกชิ้นส่วนที่มีค่า Stat ต่างๆ มาประกอบกัน ตั้งแต่คันท้าย ด้ามจับ ลำกล้อง หรือกระทั่งซองใส่กระสุน ซึ่งการไล่ตามหาชิ้นส่วนระดับสูงๆ เพื่อพัฒนาขีดจำกัดของปืนขึ้นไปเรื่อยๆ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเกมแนว RPG ที่จะได้ปรับแต่งอาวุธและชุดเกราะของตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยผู้เล่นยังสามารถอัปเกรดไอเทมที่ชอบให้พัฒนาจากระดับเริ่มต้นไปเป็นระดับสูงได้ด้วย ฉะนั้นถ้าเจอชุดไอเทมที่ถูกใจก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้จนเบื่อเลยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น กล่าวถึงข้อดีหลายๆ อย่างของเกมไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้พูดถึงจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของเกม ซึ่งก็คือเรื่องของเนื้อเรื่องและการนำเสนอ ที่แลดูจะผ่านการใส่ใจมาไม่มากเท่ากับระบบเกมเพลย์ต่างๆ เลยแม้แต่น้อย ในระดับที่ไม่ใช่แค่ว่าไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับเกม แต่กลับทำร้ายประสบการณ์การเล่นด้วยสำหรับผู้เขียน
ถ้าจะให้พูดกันตามตรง เนื้อเรื่องของเกม Biomutant น่าจะเป็นจุดที่อ่อนที่สุดเกี่ยวกับเกมซะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเสมอเวลากล่าวถึงเกม RPG โลกเปิดยาวๆ ที่มีเนื้อเรื่องเป็นจุดขายหลักข้อหนึ่งเช่นเกมนี้ ปัญหาโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มาจากโครงเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซะทีเดียว (ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าดีนะ) แต่เป็นวิธีที่เกมใช้ในการนำเสนอเหตุการณ์เหล่านั้นมากกว่า เช่นการที่ตัวละครในเกมจะพูดกันเป็นภาษาสัตว์มั่วๆ โดยมีเสียงสวรรค์คอยแปลภาษานั้นให้เราฟังอีกที ส่งผลให้บทสนทนาหนึ่งลากยาวออกไปนานกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เพราะต้องรอให้พวกสัตว์พูดซะก่อนแล้วค่อยฟังนักบรรยายแปลทีละประโยคๆ
และด้วยความที่นักบรรยายมักจะแปลจากมุมมองบุคคลที่สามเสมอ ทำให้บางครั้งก็งงๆ ว่าสรุปตอนนี้กำลังพูดถึงใครอะไรยังไง แถมเกมยังมีศัพท์แสลงในโลกของตัวเองที่ใช้เรียกสิ่งของทั่วไปเช่น “เงิน” (Money) ในเกมใช้คำว่า Green หรือ “น้ำ” (Water) ในเกมใช้คำว่า “Goo” ซึ่งขนาดคนฟังภาษาอังกฤษออกยังต้องมาตีความอีกขั้น และบางครั้งตัวนักบรรยายเองก็มีความสำบัดสำนวนเหมือนกำลังอ่านนิทานอีก สุดท้ายจึงทำให้การตามเนื้อเรื่องทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องเสริมต่างๆ มีความติดขัดน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ โมเดลตัวละครในเกมแทบทุกตัวยังออกแบบมาได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้ชวนให้มองหรือจดจำตัวใดๆ ในทางที่ดีเท่าไหร่เลย แถมอนิเมชั่นยังทำออกมาแข็งๆ ราวกับเป็นเกมจากสมัย PS3 ซะอีก ซึ่งก็ทำให้การตัดสินใจของผู้พัฒนาในการใช้ฉากคัตซีนแบบ In-Engine (ใช้โมเดลเดียวกับในเกม มากกว่าการทำคัตซีนเป็นวิดีโอ CG) แทบจะ 100% เหมือนการวางยาตัวเองไปด้วย เพราะไม่สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกหรือท่าทางที่ซับซ้อนใดๆ ได้เลย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องในเกมนี้ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย
องค์ประกอบเนื้อเรื่องสุดท้ายคือระบบความดี-ความเลวหรือที่เกมเรียกว่า “Aura” นั่นเอง โดยในระหว่างการสนทนากับ NPC บางตัว ผู้เล่นมักจะได้รับตัวเลือกที่จะเพิ่มออร่าความดีหรือความเลวให้กับเราเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกำหนดพลัง Psi-Powers ที่เราเข้าถึงได้และยังส่งผลต่อท่าที่ของ NPC ที่คุยกับเรา รวมไปถึงตอนจบของเนื้อเรื่องด้วย แน่นอนว่าเราจะไม่ขอพูดถึงตอนจบของเนื้อเรื่องเพื่อกันสปอย แต่เราพบว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปของ NPC ต่อตัวละครที่มีออร่าด้านสว่างและด้านมืด เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทางเลือกที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องจริงๆ มักจะมีการแจ้งบอกก่อนเสมอ จึงมีอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ทางเลือกตลอดทั้งเกม
กล่าวโดยสรุป เกม Biomutant เป็นเกมที่วางพื้นฐานมาได้ดีพอสมควร แม้เกมจะสนุกเสมอในขณะที่กำลังท่องโลกกว้าง หรือเวลาที่หมกมุ่นอยู่กับการปั้นตัวละครผ่านระบบ RPG แต่ระบบเนื้อเรื่องของเกมทั้งหมดกลับทำออกมาแปลกมากจนทำให้เสียอารมณ์ไปได้เลยอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หากคุณไม่ใช่คนที่ชื่นชอบเกม RPG มากพอจะมองข้ามข้อเสียที่ว่าไปนี้ เกม Biomutant คงไม่ได้น่าสนใจนักสำหรับคุณ
อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเกมได้รับเงินทุนหรือมีเวลาออกแบบระบบเนื้อเรื่องและการนำเสนอให้ดีกว่านี้ เช่นการเพิ่มเสียงพากย์ หรือการออกแบบตัวละครในเกมใหม่ให้น่ารักหรือน่าดึงดูดขึ้น น่าจะไปได้ไกลกว่าสภาพปัจจุบันมากมายนัก และเราอาจจะได้ซีรีส์แอคชั่น RPG ที่น่าจับตามองมาอีกซักเกมก็เป็นได้
เกมเพลย์แอคชั่นเข้าถึงง่าย แต่พลิกแพลงได้หลากหลาย
ระบบ RPG ลึกซึ้ง เหมาะสำหรับคนที่ชอบการปรับแต่งตัวเลข
โลกสวยงามและหลากหลาย น่าสำรวจ
ระบบเสียงสวรรค์ที่ทำให้เกมเสียอรรถรส
เนื้อเรื่องติดตามยาก
ตัวละครไม่น่าสนใจ
ตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2017 ที่งาน Gamescom ประเทศเยอรมนี เกม Biomutant ก็ได้รับการจับตามองโดยสื่อและเกมเมอร์หลายๆ คนจากทั่วโลก ที่คาดหวังกับแนวคิดของเกมที่ผู้พัฒนาบรรยายว่าเป็น “เทพนิยายกังฟูในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย” แต่ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ที่เกมเปิดตัว ผู้พัฒนา Experiment 101 ก็ไม่ค่อยจะได้ปล่อยข้อมูลหรือข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเกมออกมาให้ติดตามกันบ่อยนัก จนทำให้หลายคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเกม Biomutant มันเป็นอย่างไรกันแน่
หลังจากที่ได้เล่นเกม Biomutant ไปแล้วราวๆ 25 ชั่วโมงบนเครื่อง PlayStation 5 ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณบริษัท THQ Nordic และ Epicsoft สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ต้องบอกว่า Biomutant ถือเป็นเกมที่มีจุดเด่นหลายจุด โดยเฉพาะในแง่ของเกมเพลย์และการพัฒนาตัวละคร ที่สามารถปรับแต่งความสามารถและค่า Stat ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น รวมไปถึงระบบการคราฟติ้ง (Crafting) ที่มีทางเลือกให้ปรับแต่งทั้งหน้าตาของไอเทมและตัวเลขความเสียหายได้อย่างไม่สิ้นสุด และยังมีโลก Open World ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเควสและความลับให้ค้นหาเต็มไปหมด ซึ่งน่าจะเข้าทางคนที่ชื่นชอบการเล่น RPG แนวผจญภัยเป็นอย่างมาก ตราบใดที่สามารถมองข้ามข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงของเกมได้
เรื่องราวของ Biomutant เกิดขึ้นในในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย หลังจากที่เหล่ามนุษย์ในโลกของเกมได้ละทิ้งดาวเคราะห์บ้านเกิดที่ถูกทำลายจากมลพิษและสารเคมี เหลือทิ้งไว้เพียงสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิดที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจากสารเคมีที่เหลือทิ้งเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้รวมตัวกันเป็นเผ่าต่างๆ 6 เผ่าที่ปกครองพื้นที่ของตัวเองอย่างสันติ โดยมีต้นไม้โลก (World Tree) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเผ่าทั้ง 6
แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ 4 ตัวที่เรียกว่าเหล่า World Eaters ได้ปรากฏตัวขึ้นจากทะเล และเริ่มจู่โจมรากของต้นไม้โลก ซึ่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ยังจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างเผ่าทั้ง 6 ที่ล้วนเตรียมตัวจะเปิดสงครามกับเผ่าอื่นๆ ได้ตลอดเวลาอีกด้วย
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นสัตว์กลายพันธุ์ตัวน้อย ผู้ซึ่งต้องเลือกว่าจะเป็นฮีโร่ที่ปราบสัตว์ประหลาดทั้ง 4 และนำสันติภาพมาสู่เผ่าทั้งหลาย หรือจะเป็นวายร้ายที่พยายามทำลายต้นไม้โลกเพื่อกวาดล้างทุกสิ่ง โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องและตอนจบของเกมจะเปลี่ยนแปลงไปตามทางเลือกมากมายที่ผู้เล่นเลือกระหว่างทางนั่นเอง
เมื่อเริ่มต้นเกม ผู้เล่นจะต้องสร้างตัวเอกสัตว์กลายพันธุ์ของตัวเอง ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่สายพันธุ์ รูปร่างหน้าตา ค่าสถานะต่างๆ รวมไปถึงคลาสหรืออาชีพเริ่มต้นของตัวละครด้วย โดยสายพันธุ์ของตัวละครจะกำหนดค่า Stat เบื้องต้นของตัวละครเช่นกำลัง (Strength) ความว่องไว (Agility) หรือปัญญา (Intellect) ในขณะที่คลาสจะกำหนดความสามารถติดตัวและอาวุธเริ่มต้นของตัวละคร แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เราจะสามารถอัปสกิลและค่า Stat ได้ตามใจชอบอยู่แล้ว และใช้อาวุธได้ทุกชนิดด้วย ทางเลือกทั้งหลายจึงสำคัญจริงๆ เฉพาะในช่วงไม่กี่ชั่วโมงแรกของเกมเท่านั้นเอง ส่วนคนที่กังวลเรื่องที่ค่า Stat ต่างๆ จะผูกกับรูปร่างหน้าตาของตัวละคร (เช่นถ้าค่า Strength หรือกำลังสูงก็จะทำให้ตัวละครมีรูปร่างบึกบึนโดยปริยาย ถ้ามีค่า Agility หรือว่องไวสูงก็จะตัวผอมๆ หน้าตาเจ้าเล่ห์โดยเลือกไม่ได้) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเล่นต่อไปไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะสามารถปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้อีกครั้งโดยไม่กระทบค่า Stat ของเราด้วย แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ให้ดีเพราะเปลี่ยนทีหลังไม่ได้
เมื่อสร้างตัวละครเสร็จและผ่านฉากต่อสู้ที่เกมใช้ฝึกสอนการควบคุม รวมไปถึงฉากคัตซีนย้อนอดีตที่ค่อนข้างยาว ผู้เล่นก็จะได้รับอิสระในการผจญภัยไปในโลกของ Biomutant ได้อย่างอิสระ โดยจะมีเควสเนื้อเรื่องกว้างๆ ให้เราเท่านั้นเช่น “หยุดสงครามระหว่างเผ่า” หรือ “รักษาต้นไม่โลก” ก่อนที่จะให้เราออกไปผจญภัยและรับเควสอื่นๆ จาก NPC เอาเอง ในจุดนี้ต้องยอมรับว่าโลกของเกมทำออกมาได้สวยและน่าสนใจมากๆ ผู้เล่นจะได้เห็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแปลกๆ ของสัตว์กลายพันธุ์กับซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่จากอารยธรรมมนุษย์ มีทั้งหุบเขาที่ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี หรือป่าที่มีน้ำมันรั่วไหลจนไฟโหมโชนตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นยังสามารถใช้ยานพาหนะหรือสัตว์ขี่หลากหลายชนิดเพื่อสำรวจได้อย่างอิสระ แม้ว่ากราฟิก Unreal Engine 4 ของเกมจะแลดูเก่าๆ ไปบ้างแต่ความหลากหลายของสภาพแวดล้อมบวกกับสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ก็พอจะทำให้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้บ้าง
แน่นอนว่าโลกของเกมย่อมเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งในรูปแบบของสัตว์ร้าย กลุ่มโจร หรือสมาชิกของเผ่าอริ ที่ผู้เล่นจะต้องปราบผ่านเกมเพลย์สไตล์แอคชั่นของเกม โดยเกมเพลย์แนวแอคชั่นของ Biomutant ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา ผู้เล่นจะต้องใช้การโจมตีเบาหรือหนักรวมไปถึงการโจมตีด้วยอาวุธปืนเพื่อต่อกันเป็นคอมโบ พร้อมกับการพุ่งหลบหรือปัดป้องการโจมตีของศัตรูไปด้วย โดยเมื่อปัดป้องได้ก็จะทำให้สามารถใช้ท่าสวนที่มีความรุนแรงมากๆ ได้ และมีระบบหลอดสตามิน่าที่จำกัดจำนวนครั้งที่เราสามารถพุ่งหลบติดต่อกันได้ ถือเป็นระบบแอคชั่น RPG มาตรฐานที่ไม่ซับซ้อนหรือท้าทายจนเกินไปโดยเฉพาะสำหรับคนที่ผ่านเกมแอคชั่นเดือดๆ ชนิด Devil May Cry หรือ Sekiro: Shadows Die Twice มาแล้ว
สิ่งที่ทำให้เกมเพลย์ของ Biomutant รู้สึกสนุกขึ้นมาคือระบบสกิลประจำอาวุธของเกม รวมไปถึงระบบ Wung-Fu อีกด้วย โดยอาวุธแต่ละชนิดในเกม Biomutant ทั้งระยะประชิดและระยะไกล จะมีท่วงท่าคอมโบที่เรียกว่า Special Attack ของตัวเองที่จะต้องใช้แต้มสกิลในการปลดล๊อค และเมื่อเราใช้ท่า Special Attack ที่ไม่ซ้ำกัน 3 ครั้งจะทำให้ตัวละครเข้าสู่โหมดจอมยุทธ Wung-Fu ที่มาพร้อมท่าโจมตีพิเศษของตัวเองอีก การต่อสู้ในเกม Biomutant จึงมักจะเป็นเหมือนการร่ายระบำที่เต็มไปด้วยกระสุนและคมดาบ ในขณะที่ผู้เล่นพยายามหาช่องในการใช้ท่า Special Move ให้ครบ 3 ครั้ง และเผด็จศึกศัตรูด้วยโหมด Wung-Fu แบบเท่ๆ นั่นเอง ยังไม่นับรวมการสลับไปมาระหว่างอาวุธพิเศษอีกหลายชนิดที่หาได้ตามเนื้อเรื่อง ซึ่งมาพร้อมคอมโบของตัวเองเช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากวรยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น เกมยังมีระบบพลังพิเศษอีกสองชนิดที่เรียกว่า Mutations และ Psi-Powers อีกด้วย โดย Mutations หรือการกลายพันธุ์มักจะเป็นความสามารถที่เน้นการสนันสนุนมากกว่า เช่นการเรียกเห็ดออกมาเหยียบเพื่อให้กระโดดสูงขึ้น หรือการพ่นพิษให้ศัตรูเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่อง ในขณะที่ Psi-Powers จะมีลักษณะเป็นเหมือนพลังจิตหรือเวทย์มนตร์ เช่นการปาลูกไฟ หรือการเทเลพอร์ตระยะสั้นเป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเสริมให้เกมเพลย์แนวแอคชั่นนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก
องค์ประกอบเกมเพลย์ที่สำคัญอย่างสุดท้ายที่น่าชมคือเรื่องของการคราฟติ้ง (Crafting) ที่เปิดให้ผู้เล่นใช้ชิ้นส่วนชนิดต่างๆ ที่หาได้ในเกมมาประกอบกันเป็นอาวุธ ซึ่งทำให้สามารถสร้างอาวุธชุดเกราะหน้าตาพิศดารๆ มาใช้ได้ไม่รู้จบ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งความสามารถของปืนได้มากมายผ่านการเลือกชิ้นส่วนที่มีค่า Stat ต่างๆ มาประกอบกัน ตั้งแต่คันท้าย ด้ามจับ ลำกล้อง หรือกระทั่งซองใส่กระสุน ซึ่งการไล่ตามหาชิ้นส่วนระดับสูงๆ เพื่อพัฒนาขีดจำกัดของปืนขึ้นไปเรื่อยๆ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเกมแนว RPG ที่จะได้ปรับแต่งอาวุธและชุดเกราะของตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยผู้เล่นยังสามารถอัปเกรดไอเทมที่ชอบให้พัฒนาจากระดับเริ่มต้นไปเป็นระดับสูงได้ด้วย ฉะนั้นถ้าเจอชุดไอเทมที่ถูกใจก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้จนเบื่อเลยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น กล่าวถึงข้อดีหลายๆ อย่างของเกมไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้พูดถึงจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของเกม ซึ่งก็คือเรื่องของเนื้อเรื่องและการนำเสนอ ที่แลดูจะผ่านการใส่ใจมาไม่มากเท่ากับระบบเกมเพลย์ต่างๆ เลยแม้แต่น้อย ในระดับที่ไม่ใช่แค่ว่าไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับเกม แต่กลับทำร้ายประสบการณ์การเล่นด้วยสำหรับผู้เขียน
ถ้าจะให้พูดกันตามตรง เนื้อเรื่องของเกม Biomutant น่าจะเป็นจุดที่อ่อนที่สุดเกี่ยวกับเกมซะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเสมอเวลากล่าวถึงเกม RPG โลกเปิดยาวๆ ที่มีเนื้อเรื่องเป็นจุดขายหลักข้อหนึ่งเช่นเกมนี้ ปัญหาโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มาจากโครงเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซะทีเดียว (ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าดีนะ) แต่เป็นวิธีที่เกมใช้ในการนำเสนอเหตุการณ์เหล่านั้นมากกว่า เช่นการที่ตัวละครในเกมจะพูดกันเป็นภาษาสัตว์มั่วๆ โดยมีเสียงสวรรค์คอยแปลภาษานั้นให้เราฟังอีกที ส่งผลให้บทสนทนาหนึ่งลากยาวออกไปนานกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เพราะต้องรอให้พวกสัตว์พูดซะก่อนแล้วค่อยฟังนักบรรยายแปลทีละประโยคๆ
และด้วยความที่นักบรรยายมักจะแปลจากมุมมองบุคคลที่สามเสมอ ทำให้บางครั้งก็งงๆ ว่าสรุปตอนนี้กำลังพูดถึงใครอะไรยังไง แถมเกมยังมีศัพท์แสลงในโลกของตัวเองที่ใช้เรียกสิ่งของทั่วไปเช่น “เงิน” (Money) ในเกมใช้คำว่า Green หรือ “น้ำ” (Water) ในเกมใช้คำว่า “Goo” ซึ่งขนาดคนฟังภาษาอังกฤษออกยังต้องมาตีความอีกขั้น และบางครั้งตัวนักบรรยายเองก็มีความสำบัดสำนวนเหมือนกำลังอ่านนิทานอีก สุดท้ายจึงทำให้การตามเนื้อเรื่องทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องเสริมต่างๆ มีความติดขัดน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ โมเดลตัวละครในเกมแทบทุกตัวยังออกแบบมาได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้ชวนให้มองหรือจดจำตัวใดๆ ในทางที่ดีเท่าไหร่เลย แถมอนิเมชั่นยังทำออกมาแข็งๆ ราวกับเป็นเกมจากสมัย PS3 ซะอีก ซึ่งก็ทำให้การตัดสินใจของผู้พัฒนาในการใช้ฉากคัตซีนแบบ In-Engine (ใช้โมเดลเดียวกับในเกม มากกว่าการทำคัตซีนเป็นวิดีโอ CG) แทบจะ 100% เหมือนการวางยาตัวเองไปด้วย เพราะไม่สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกหรือท่าทางที่ซับซ้อนใดๆ ได้เลย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องในเกมนี้ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย
องค์ประกอบเนื้อเรื่องสุดท้ายคือระบบความดี-ความเลวหรือที่เกมเรียกว่า “Aura” นั่นเอง โดยในระหว่างการสนทนากับ NPC บางตัว ผู้เล่นมักจะได้รับตัวเลือกที่จะเพิ่มออร่าความดีหรือความเลวให้กับเราเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกำหนดพลัง Psi-Powers ที่เราเข้าถึงได้และยังส่งผลต่อท่าที่ของ NPC ที่คุยกับเรา รวมไปถึงตอนจบของเนื้อเรื่องด้วย แน่นอนว่าเราจะไม่ขอพูดถึงตอนจบของเนื้อเรื่องเพื่อกันสปอย แต่เราพบว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปของ NPC ต่อตัวละครที่มีออร่าด้านสว่างและด้านมืด เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทางเลือกที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องจริงๆ มักจะมีการแจ้งบอกก่อนเสมอ จึงมีอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ทางเลือกตลอดทั้งเกม
กล่าวโดยสรุป เกม Biomutant เป็นเกมที่วางพื้นฐานมาได้ดีพอสมควร แม้เกมจะสนุกเสมอในขณะที่กำลังท่องโลกกว้าง หรือเวลาที่หมกมุ่นอยู่กับการปั้นตัวละครผ่านระบบ RPG แต่ระบบเนื้อเรื่องของเกมทั้งหมดกลับทำออกมาแปลกมากจนทำให้เสียอารมณ์ไปได้เลยอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หากคุณไม่ใช่คนที่ชื่นชอบเกม RPG มากพอจะมองข้ามข้อเสียที่ว่าไปนี้ เกม Biomutant คงไม่ได้น่าสนใจนักสำหรับคุณ
อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเกมได้รับเงินทุนหรือมีเวลาออกแบบระบบเนื้อเรื่องและการนำเสนอให้ดีกว่านี้ เช่นการเพิ่มเสียงพากย์ หรือการออกแบบตัวละครในเกมใหม่ให้น่ารักหรือน่าดึงดูดขึ้น น่าจะไปได้ไกลกว่าสภาพปัจจุบันมากมายนัก และเราอาจจะได้ซีรีส์แอคชั่น RPG ที่น่าจับตามองมาอีกซักเกมก็เป็นได้