GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "รีวิว"
[Review] รีวิวเกม Marvel's Spider-man 2 "ภาคต่ออันน่าทึ่ง สนุกจนติดหนึบวางจอยไม่ลง"
ด้วยความสำเร็จของเกม Marvel’s Spider-man ภาคแรกในฐานะเกม Exclusive ยอดนิยมจากสมัย PlayStation 4 ที่ได้รับเสียงชมและคะแนนรีวิวสูงลิบลิ่วจากสื่อทั่วโลก ที่ยกย่องเกมให้เป็นทั้ง “เกมสไปเดอร์แมนที่ดีที่สุดที่เคยมีมา” และเป็นหนึ่งใน “เกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” แน่นอนว่าผู้พัฒนา Insomniac Games ย่อมต้องเผชิญกับโจทย์หินในการพัฒนาเกมภาคต่ออย่าง Marvel’s Spider-man 2 ที่ไม่เพียงต้องรักษามาตรฐานอันสูงลิบลิ่วของเกมภาคแรก แต่ยังต้องนำเสนอข้อปรับปรุงที่ใหญ่พอให้สมกับเป็นเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 5 อีกต่างหาก หลังจากที่ใช้เวลาเล่นเกมมาไม่น้อยกว่า 40 ชม. ต้องบอกว่าเกม Marvel’s Spider-man 2 สามารถทำได้เหนือกว่าความคาดหวังของผู้เขียนในส่วนทีสำคัญที่สุดอย่างเกมเพลย์การต่อสู้และการเดินทาง/โหนใย ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้สนุกและอิสระกว่าเดิมเป็นอย่างมาก และทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมมีความลื่นไหลจนเล่นลืมเวลาทั้งวันไปได้ง่ายๆ เลยแม้ว่าเกมอาจต้องเสียสละในส่วนของกราฟิกและเนื้อเรื่องไปบ้าง แต่ถ้าคุณชื่นชอบเกมเพลย์ของซีรีส์นี้เป็นพิเศษ เกม Marvel’s Spider-man 2 จะตอบสนองความต้องการทุกอย่างของคุณได้อย่างแน่นอนเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของ Marvel’s Spider-man 2 จะเริ่มขึ้น 9 เดือนหลังตอนจบของเกมภาค Miles Morales และติดตามการต่อสู้ระหว่างเหล่าฮีโร่แมงมุมทั้งสองกับวายร้าย คราเวน เดอะ ฮันเตอร์ ผู้ซึ่งนำกองกำลังทหารขนาดใหญ่เข้ารุกรานมหานครนิวยอร์ค เพื่อจุดประสงค์ในการ “ล่า” เหล่ายอดมนุษย์มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์แมนทั้งสองอีกด้วย โดยผู้ที่ติดตามสื่อการตลาดของเกมมาน่าจะทราบดีว่าคู่ปรับอันโด่งดังของสไปเดอร์แมนอย่าง วีน่อม เองก็จะมีบทบาทในเนื้อเรื่องด้วย (แต่จะเกี่ยวอย่างไร ให้ไปติดตามกันเอาเอง!)หากมองในภาพรวม แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะไม่ได้แย่เมื่อเทียบตามมาตรฐานของเกมทั่วไป แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามีความด้อยกว่าเนื้อเรื่องของเกมสองภาคที่ผ่านมาอย่างชัดเจน จากการที่เกมจำเป็นต้องแบ่งเวลาเพื่อเล่าปมเนื้อเรื่องของตัวเอกทั้งสองแยกกัน แตกต่างจากเกมสองภาคแรกที่เน้นเล่าเรื่องราวของตัวเอกคนใดคนหนึ่งอย่างเข้มข้น ซึ่งก็ทำให้เกมได้มีเวลาค่อยๆ เล่าหรือคลายปมในเนื้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ ผลของการแบ่งเวลาเช่นนี้ทำให้การเล่าเรื่องหลายๆ ส่วนในเกมรู้สึกรวบรัดเกินไปนิด ซึ่งก็ส่งผลให้ซีนอารมณ์ช่วงท้ายเกมหลายซีนรู้สึกเบาบางกว่าที่ควรจะเป็นไปด้วย ยังไม่นับรวมการที่เกมต้องพยายามวางปมให้กับตัวละครสมทบสำคัญๆ อย่าง แมรี่ เจน อีกด้วย ยิ่งดึงเวลาไปจากตัวเอกทั้งสองมากกว่าเดิมไปอีกที่สำคัญไม่แพ้ตัวเอกทั้งสองก็คือตัวร้ายใหญ่ที่มี 2 คนเช่นกันทั้ง คราเวน และ วีน่อม ซึ่งทั้งสองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวเอกนั่นค่อไม่ไดรับการพัฒนาเท่าที่ควร โดยเฉพาะในแง่ของแรงจูงใจซึ่งมีความเป็นการ์ตูนขาว-ดำไปซะหน่อย ผลลัพธ์คือเนื้อเรื่องหลักที่แม้จะไม่ได้แย่อะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีน้ำหนักหรืออารมณ์เข้มข้นเท่าภาคก่อนๆ เช่นกันนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมยังมีเนื้อเรื่องย่อยๆ ที่ให้ผู้เล่นค้นหาจากกิจกรรมเสริมในเกม ซึ่งมักพาผู้เล่นไปเจอกับตัวละครหรือวายร้ายคนอื่นๆ ในจักรวาลของสไปเดอร์แมนที่อาจไม่ได้ปรากฏในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนๆ ของจักรวาลสไปเดอร์แมนไม่น้อย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจรู้สึกน่าขัดใจบ้างเมื่อเส้นเรื่องเหล่านี้มักให้ความรู้สึกเหมือนจบกลางคัน และหากจะตามให้จบก็คงต้องจ่ายเงินซื้อ DLC เพิ่มในอนาคตเท่านั้นเกมเพลย์ตอนที่รับชมตัวอย่างเกมเพลย์ของ Marvel’s Spider-man 2 ในช่วงที่เกมเปิดตัว บอกตามตรงว่าผู้เขียนไม่ได้คาดหวังให้ประสบการณ์เกมเพลย์โดยรวมแตกต่างจากเกมภาคก่อนๆ มากนัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเกมเพลย์จากภาคเก่าๆ ก็ทำมาได้อย่างลงตัวมากๆ แล้วทั้งในแง่ของการต่อสู่และการโหนใยไปมา แต่เมื่อได้ลองเล่นเกมด้วยตัวเองจริงๆ แล้วจึงเข้าใจว่าข้อปรับปรุงทั้งหลายที่เห็นนั้นส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมมากขนาดไหนสิ่งแรกที่ผู้เขียนพบหลังจากที่เล่นเกมไปได้ไม่นาน คือ Spider-man 2 มีความ “ยาก” ขึ้นกว่าที่ผ่านมาพอสมควร ทั้งในแง่ของจำนวนศัตรูที่ต้องพบในแต่ละฉาก ชนิดของศัตรูอันหลากหลาย ไปจนถึงตัว A.I. ศัตรูที่ฉลาดขึ้น และมักใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของตัวเองในการจู่โจมผู้เล่นจากหลากหลายมุมพร้อมๆ กัน ศัตรูบางตัวยังสามารถโจมตีเป็นคอมโบด้วยการผสมผสานท่า “โจมตีหนัก” ที่ไม่สามารถหลบได้ (ต้องปัดป้องเอา) เข้ากับท่าโจมตีปกติ แถมบางตัวยังมีการดึงจังหวะให้เราหลบ/ปัดป้องพลาดเหมือนในเกม Souls อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเจอกับตัวเองถึงจะเห็นภาพว่ามันเปลี่ยนความรู้สึกเวลาเล่นไปแค่ไหนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังส่งเสริมแกมบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ทั้งแก๊ตเจตและความสามารถประจำตัวของสไปเดอร์แมนแต่ละคนอย่างฉลาดขึ้นเพื่อรับมือกับศัตรูไปด้วย ต่างจากในเกมภาคก่อนๆ ที่ผู้เขียนเองแทบไม่เคยใช้แก๊ตเจตใดๆ เลยด้วยซ้ำ โดยเกมยังมักจะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เข้ามาให้เราต้องรับมืออยู่เป็นระยะตลอดการดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้การต่อสู้ยังคงรู้สึกท้าทายอยู่เสมอแม้จะปลดล๊อกแก๊ตเจตและความสามารถจนครบแล้วก็ตามในส่วนของการโหนใย/เดินทางไปมา เกมได้เพิ่มข้อปรับปรุงที่สำคัญมากๆ เข้ามานั่นก็คือระบบ “เว็บวิง” หรือปีกที่ให้เราร่อนไปมาได้อย่างอิสระ ซึ่งทำให้การเดินทางในเกมมีความลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ เพราะจุดอ่อนใหญ่ของระบบการเดินทางในเกมคือพื้นที่แบนๆ ที่ไม่มีตึกสูงให้โหนใย โดยปีกเว็บวิงเหล่านี้สามารถทำให้ผู้เล่นบินข้ามพื้นที่เหล่านี้ได้โดยไม่เสียความเร็ว และทำให้การเดินทางในเกมมีความราบรื่นขึ้นไปด้วยแน่นอนว่าระบบเว็บวิงนี้ยังสอดรับกับแผนที่มหานครนิวยอร์คของเกม ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแผนที่ในเกมสองภาคที่ผ่านมารวมกันซะอีก แถมแต่ละเขตของเมืองนิวยอร์คยังมีส่วนสูงของอาคารที่อยู่ในพื้นที่และจุดสังเกตที่แตกต่างกันที่มักบังคับให้ผู้เล่นต้องเปลี่ยนวิธีหรือจังหวะในการโหนใยผ่าน ทำให้การเดินทางไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจและมีความสนุกท้าทายในแบบของตัวเอง โดยภายในเมืองมักจะมีกระแสลมที่ช่วยพัดให้ผู้เล่นสามารถบินว่อนไปมาทั่วไปเมืองได้อย่างรวดเร็ว จนเมื่อเล่นคล่องๆ ก็สามารถเดินทางทั่วแผนที่โดยที่เท้าไม่แตะพื้นได้เลยจริงๆรอบๆ เมืองนิวยอร์คยังมีกิจกรรมย่อยและมินิเกมเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ ให้ผู้เล่นได้เลือกทำได้ในกรณีที่ต้องการพักจากการต่อสู้ โดยการทำกิจกรรมเหล่านี้มักจะปลดล๊อคเหรียญตราหลากหลายชนิดไว้เพื่อปลดล๊อคชุดตกแต่งตัวละครให้กับทั้งปีเตอร์และไมล์ รวมไปถึงนำเสนอแง่มุมวิถีชีวิตของชาวนิวยอร์คให้เราไปด้วย ซึ่งก็ช่วยเสริมชีวิตชีวาให้กับเกมได้พอสมควรกราฟิกในช่วงที่ได้รับโค้ดเกมมารีวิวแรกๆ ผู้พัฒนาได้แจ้งสื่อทุกสำนักเอาไว้ล่วงหน้าว่ากราฟิกในเกมขณะนั้นอาจจะยังไม่อยู่ในระดับสมบูรณ์ 100% และผู้พัฒนาจะทำการปล่อยอัพเดทเพื่อปรับปรุงกราฟิกในเกมครั้งสุดท้ายไม่กี่วันก่อนจะถึงกำหนดรีวิว โดยผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมทั้งก่อนและหลังอัพเดทดังกล่าวแล้วแต่แม้ว่ากราฟิกโดยรวมของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะยังคงอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของแสงสีที่ได้เทคโนโลยี Ray Tracing เข้ามาเสริมให้รู้สึกสมจริงเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่ารายละเอียดบนใบหน้าตัวละครและพื้นผิวสิ่งของบางส่วนในเกมภาคใหม่นี้กลับดูไม่ละเอียดเท่าภาคเก่าอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการเพิ่ม Ray Tracing ที่ทำให้แสงเงาในเกมมีความนุ่มนวลขึ้นหรือเปล่า แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าผิวหน้าตัวละครแทบทุกตัวในเกมมีความ “เนียน” เกินจริง ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่เคยรู้สึกในเกมภาคก่อนๆในอีกมุมหนึ่ง การที่เกมมีขนาดใหญ่กว่าเกมภาคก่อนๆ อย่างมหาศาลอย่างที่กล่าวไปข้างต้น รวมไปถึงการที่เกมทำให้ผู้เล่นสามารถเดินทางเข้า-ออกอาคารบางแห่งได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอโหลดเกมเหมือนที่ผ่านมา ก็ทำให้รู้สึกยอมรับได้ถ้าเกมจะต้องปรับลดรายละเอียดบางส่วนลงมาบ้างเพื่อให้เกมยังคงรันได้อย่างลื่นไหล ซึ่งในจุดนั้นก็ถือว่าเกมยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผู้เขียนเล่นเกมในโหมด Performance ที่ให้เฟรมเรต 60 FPS อย่างเสถียรแทบจะตลอดทั้งเกม แม้ในขณะที่มีศัตรูและแสงสีเอฟเฟกต์ปลิวว่อนเต็มจอก็ตาม ซึ่งสำหรับผู้เขียนและเกมเมอร์หลายๆ คน น่าจะเป็นจุดที่สำคัญกว่าความละเอียดของผิวหน้าตัวละครคุณภาพซับไทยข่าวดีสำหรับแฟนๆ ชาวไทยก็คือการที่เกม Marvel's Spider-man 2 จะสนับสนุนภาษาไทยด้วย (ต้องเข้าไปตั้งค่าภาษาของเครื่อง PS5 เป็นไทยเท่านั้น เปลี่ยนในเกมไม่ได้) ซึ่งในภาพรวมก็ถือว่าทำได้ไม่แย่มาก แม้ว่าในแง่ของการใช้ภาษาอาจยังมีผิดๆ ถูกๆ และการแบ่งวรรคประโยคแปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ความหมายโดยรวมก็ครบถ้วนดี คำอธิบายต่างๆ ก็เข้าใจง่ายหากจะมีอะไรให้ตำหนิเป็นพิเศษ คงเป็นการที่ในบางช่วงคนแปลอาจไม่เข้าใจว่าตัวละครกำลังพูดกับใคร หรือพูดถึงใคร จึงมักใช้สรรพนามแปลกๆ เช่นเรียกบุคคลที่ไม่ควรเรียกว่า "มัน" หรือเรียกตัวละครผู้หญิงว่า "หมอนั่น" เป็นต้น แต่โดยรวมก็ไม่ได้เยอะมากจนรู้สึกว่าเป็นปัญหามากนักสรุปแม้จะมีรายละเอียดยิบย่อยให้จุกจิกอยู่บ้าง แต่ Marvel’s Spider-man 2 ก็ยังเป็นภาคต่ออันยอดเยี่ยมสำหรับหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของ PlayStation ซึ่งสามารถต่อยอดสูตรเกมเพลย์ของเกมดั้งเดิมได้มากกว่าที่ผู้เขียนคาดหวังเอาไว้ซะอีก แม้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจะมีเกมวางจำหน่ายหลายเกม แต่ Marvel’s Spider-man 2 เป็นเกมเดียวจริงๆ ที่ผู้เขียนเล่นแล้วรู้สึกว่าติดหนึบจนวางจอยไม่ลงเลย
16 Oct 2023
[Review] รีวิวเกม Assassin's Creed Mirage: หวนสู่เกมเพลย์นักฆ่าสูตรต้นตำหรับที่หลายคนต้องการ
หลังจากที่ผันตัวไปสู่แนวเกม RPG มาหลายปี ในที่สุด Assassin’s Creed ก็หวนคืนสู่ตัวตนดั้งเดิมในฐานะเกมนักฆ่าสไตล์ลอบเร้นอีกครั้งใน Assassin’s Creed: Mirage ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ จำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่าเกมภาค RPG ทั้งหลายดูจะตั้งใจหันหลังให้กับตัวตนที่ว่านี้ สำหรับผู้เขียน ในฐานะแฟนเดนตายที่ติดตามเล่นเกม Assassin’s Creed มาทุกภาคตั้งแต่ต้น ต้องยอมรับว่าในแง่หนึ่งผู้พัฒนามีความ “เข้าใจโจทย์” จริงๆ เพราะเกมให้ความรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปเล่นเกมภาคเก่าๆ ที่หลายคนจดจำในฐานะ “ยุคทอง” ของ Assassin’s Creed ตามที่ผู้พัฒนารับปากไว้ แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่ หวือหวา หรือน่าจดจำเป็นพิเศษก็ตามทีเนื้อเรื่องเรื่องราวของเกม Assassin’s Creed: Mirage จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นตัวละคร Basim Ibn Ishaq ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในเกมภาค Valhalla ก่อนหน้านี้ และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเนื้อเรื่อง โดยเกม Mirage จะติดตามเส้นทางชีวิตของ Basim จากจุดเริ่มต้นในฐานะโจรกระจอก ไปสู่ปรมาจารย์แห่งภาคีนักฆ่าที่เรารู้จัก โดยผู้ที่เล่นเกมภาค Valhalla มาก่อนน่าจะรู้ดีว่า Basim ยังมีบทบาทลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างอีกด้วยเมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม Assassin’s Creed หลายภาคที่ผ่านมา ข้อตำหนิหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันคือการที่เนื้อเรื่องเกมมีความยาวและซับซ้อนเกินจำเป็นไปมาก โดยเฉพาะในเกมภาค Valhalla ที่ให้ผู้เล่นต้องติดตามเนื้อเรื่องสงครามอันยุ่งเหยิงระหว่างแคว้นต่างๆ ทั่วแดนอังกฤษ ต่างจากเกมภาคเก่าๆ ที่เนื้อเรื่องมักโฟกัสอยู่กับเรื่องราวของตัวเอกเป็นหลัก การที่เกม Assassin’s Creed: Mirage จำกัดวงเนื้อเรื่องลงมาให้ติดตาม Basim อย่างใกล้ชิดจึงถือเป็นข้อดี ทำให้เนื้อเรื่องติดตามได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมากแต่แม้ว่าเนื้อเรื่องจะติดตามง่าย ผู้เขียนก็รู้สึกว่าตัวละคร Basim ไม่ค่อยจะมีเสน่ห์หรือบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในแบบเดียวกับตัวเอก Assassin’s Creed ยอดนิยมอย่าง Ezio Connor หรือ Edward ซึ่งล้วนมีอุปนิสัย เป้าหมาย และแรงขับที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้ผู้เขียนรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้จนอยากจะติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Mirage ไม่ดีหรืออย่างไร โดยแม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาจนรู้สึกติดขัดรำคาญใจเวลาเล่น และยังติดตามเป็นเรื่องเป็นราวง่ายกว่าเกมภาคที่ผ่านๆ มามาก  เกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกมเมอร์ที่เรียกร้องหา “เกมเพลย์สไตล์ดั้งเดิม” ของซีรีส์ Assassin’s Creed ก็ต้องยอมรับว่า Mirage ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในส่วนนี้ ผู้เขียนพูดได้เต็มปากเลยว่าการเล่นเกมนี้ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเล่นเกม Assassin’s Creed ภาคเก่าๆ ที่คิดถึงเหล่านั้นมาก ด้วยเกมเพลย์ที่เน้นการลอบเร้นอย่างเข้มข้นมากขึ้นในทุกระดับ รวมถึงการถอดระบบ RPG ใหญ่ๆ จากภาค Origin/Odyssey/Valhalla ออกแทบทั้งหมด โดยยังเหลือร่องรอยของ RPG มากพอในส่วนของอาวุธ ชุดเกราะที่ให้โบนัสพิเศษต่างกันเล็กน้อย ให้เกมรู้สึกมีความหลากหลายอยู่บ้างในการปั้นตัวละครพัฒนาการที่สำคัญที่สุดของภาค Mirage คงหนีไม่พ้นระบบต่อสู้ของเกม ซึ่งยังมีอิทธิพลจากเกมภาค RPG ทั้งสามอยู่มากในแง่ของการควบคุม แต่ก็ถูกปรับจูนให้เน้นหนักไปที่การหลบหลีกและปัดป้องการโจมตีและรอสวนกลับมากกว่าการเป็นฝ่ายรุกเสียเอง เพื่อขับเน้นความรู้สึกว่าการต่อสู้เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เท่านั้น เข้ากับแฟนตาซีของการเป็นนักฆ่ามืออาชีพเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ผู้เขียนรู้สึกเช่นนี้น่าจะเป็นตอนที่เล่นเกม Assassin’s Creed: Unity เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว แต่แม้ว่าระบบต่อสู้จะได้รับการพัฒนาขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเกมเพลย์การลอบเร้นกลับไม่ได้รู้สึกมีพัฒนาการเท่าที่ควร และยังคงมีจุดอ่อนเดิมๆ ที่เราเคยเห็นมาแล้วในเกมทุกภาคที่ผ่านมา อย่าง A.I. ศัตรูที่ไม่ค่อยฉลาด การออกแบบจุดหลบซ่อนที่จำเจ หรืออุปกรณ์เดิมอย่างระเบิดควัน มีดบิน หรือประทัด ที่ทำงานเหมือนในเกม Assassin’s Creed 2 เป๊ะๆ ซึ่งก็อาจถูกใจผู้เล่นบางกลุ่ม แต่สำหรับบางกลุ่มก็อาจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจำเจขึ้นมาบ้างจุดที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับระบบลอบเร้นของภาค Mirage คงเป็นระบบ Opportunity ที่ยืมมาจากภาค Unity ซึ่งมีลักษณะเป็นภารกิจย่อยๆ แทรกอยู่ในภารกิจใหญ่ที่มักเปิดโอกาสในการลอบสังหารเป้าหมายง่ายขึ้น เช่นการขโมยชุดยามเพื่อปลอมตัว หรือการสร้างความวุ่นวายรูปแบบต่างๆ เพื่อล่อเป้าหมายออกมาในที่แจ้ง ซึ่งก็ทำให้ภารกิจลอบสังหารรู้สึกน่าสนใจมากขึ้นเล็กน้อยในส่วนของการสำรวจ การที่เกมจำกัดแผนที่ลงมาให้ครอบคลุมอาณาเขตรอบๆ กรุงแบกแดด (Baghdad) ทำให้ผู้พัฒนาสามารถวางจุดสนใจต่างๆ ไว้ได้ใกล้กันมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลๆ ระหว่างจุดสนใจบนแผนที่ และช่วยให้ประสบการณ์เล่นเกมโดยรวมรู้สึกลื่นไหลมากขึ้นไปด้วย แม้ว่ากิจกรรมที่มีให้ทำจะไม่ได้หลากหลายเท่าไหร่ก็ตามทีกราฟิก/การนำเสนอจากการเล่นเกมในโหมด Performance บนเครื่อง PlayStation 5 หากจะมีองค์ประกอบใดของเกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าทำได้เกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้ คงจะเป็นในส่วนของกราฟิกเกม ซึ่งแม้ในภาพรวมอาจดีขึ้นจาก Assassin’s Creed Valhalla ไม่มากนัก แต่กลับให้ความรู้สึก “เนี๊ยบ” กว่ากันอย่างรู้สึกได้ (อย่างน้อยก็บน PS5) โดยแทบไม่เห็นบั๊คยิบย่อยที่พบได้ทั่วไปใน Valhalla เลย แถมเกมยังรักษาเฟรมเรต 60FPS ได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนเล่นด้วย (ยกเว้นในบางคัตซีนที่เหมือนจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 30FPS)หากจะมีอะไรให้ตำหนิ คงเป็นเรื่องที่ว่ากรุงแบกแดดของเกมไม่ค่อยมีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นให้รู้สึกน่าค้นหาเท่าไหร่ โดยเมืองแทบไม่รู้สึกแตกต่างจากเมืองทะเลทรายหลายแห่งที่เราเคยสำรวจมาแล้วในเกม Assassin’s Creed ภาคอื่นๆ เลย เมื่อรวมกับกิจกรรมในเกมที่มีให้ทำอยู่ไม่กี่อย่างจึงไม่ค่อยมีแรงจูงใจให้ผู้เขียนสำรวจเมืองเท่าไหร่ และมักใช้ระบบ Fast Travel หรือระบบ Follow Road เพื่อขี่อูฐไปยังภารกิจถัดไปโดยอัตโนมัติแทนการวิ่งไปมาในเมืองสรุปทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าข้อเท็จจริงหนึ่งที่ลืมไปไม่ได้ในการวิจารณ์ Assassin’s Creed: Mirage คือการที่ครั้งหนึ่งเกมเคยถูกวางแผนให้เป็นส่วนเสริม (expansion) ของเกมภาค Valhalla ก่อนที่จะแยกมาเป็นเกมของตัวเอง ซึ่งก็คงส่งผลไม่มากก็น้อยต่อโครงสร้างหรือรูปแบบในการนำเสนอองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของเกม ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องดูจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงปูพื้น/ประวัติของ Basim ที่รู้สึกรวบรัดรวดเร็วกว่าของตัวละครอื่นๆ มาก ราวกับว่าผู้พัฒนาคาดหวังให้ผู้เล่นรู้จักเขาอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มเกม เช่นเดียวกับระบบเกมเพลย์หรือการออกแบบเมืองแบกแดด ที่อาจไม่ได้มีการวางแผนอย่างลึกซึ้งหรือจริงจังเท่าเกมภาคหลักอื่นๆเมื่อคำนึงถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าแม้เกมจะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่เกมก็ยังประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ Assassin’s Creed สูตรต้นตำหรับที่หลายๆ คนน่าจะคิดถึงกัน ตามที่ผู้พัฒนา Ubisoft ว่าเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน สำหรับคนที่คาดหวังจะเห็นวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงก้าวต่อไปของซีรีส์จริงๆ คงต้องไปรอลุ้นเอาในผลงาน Assassin’s Creed: Red หรือ Hexe ที่กำลังพัฒนาอยู่แทน
04 Oct 2023
[Review] รีวิวเกม My Hero Ultra Rumble เหล่านักเรียนยูเอเปิดศึก Battle Royale กับคุณภาพเกมที่สนุกกว่าที่คิด
จากการ์ตูนชื่อดังของ Shonen Jump อย่าง My Hero Academia สู่เกม Battle Royale ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด มันมีอะไรที่น่าเล่นและแตกต่างกว่าเกมอื่น มาดูกันได้ในรีวิวนี้ของเราเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ อีกหนึ่งความแปลกใหม่ของเกม Battle Royale สำหรับเกมนี้ แน่นอนชัดเจนว่าไม่มีโหมดเนื้อเรื่อง หรือ Single Player เป็นเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยมีสไตล์เป็นเกม Battle Royale แบบจับทีม 3 คน ไม่มีโหมด Solo ดังนั้น การเจอคนนอกที่อาจจะเล่นได้เรื่องบ้าง หรือไม่ได้เรื่องบ้าง นับเป็นเรื่องปกติมาก ทางที่ดี ไหน ๆ ก็เป็นเกมฟรีอยู่แล้ว สามารถลองชวนเพื่อนให้โหลดมาเล่นด้วยกันครบทีมเลยก็ได้จะเวิร์คกว่า และนับตั้งแต่ PUBG จุดกระแสเกมแนว Battle Royale ตั้งแต่ปี 2017 เกมแนวนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอมา และพยายามฉีกตัวเองออกไป จากหาปืนยิงกัน ไปเป็นการสู้กันด้วยวิธีอื่นเรื่อย ๆ My Hero Academia ก็จะเข้าข่ายการต่อสู้กันที่ผสมผสานกันทั้งระยะประชิดและระยะไกล ข้อดีคือวัตถุดิบที่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว เพราะเกมนี้ตัวละครทุกตัวจะอิงตามการ์ตูน คือแต่ละคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า "อัตลักษณ์" ให้ใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นเกมอื่นมันก็เหมือนกับ Hero Shooter นั่นแหละ ดังนั้นรับรองว่าความสนุกไม่แพ้กับเกม Battle Royale อื่น ๆ แน่นอน โดยตัวเกมจะรองรับการเล่นแบบทีม 3 คนเท่านั้น แบ่งเป็น 8 ทีม รวมแล้ว 24 คนต่อเกม 1 รอบBattle Royale ยุคใหม่ เน้นเกมไว จบไว จัดเต็ม Live Services !นับตั้งแต่การมาถึงของ PUBG หลายคนอาจจะมองว่า PUBG เป็นเกม Battle Royale ที่ต้องใช้เวลาในการเล่นพอสมควร จะขยับตัวแต่ละทีก็ต้องวางแผน ป้องกันการส่งเสียง หรือกลัวศัตรูดัก แต่เกมสมัยใหม่จะเน้นให้ผู้เล่นเข้าปะทะกันมากกว่าที่จะมานั่งหลบ ๆ ซ่อน ๆ แน่นอนว่า My Hero Ultra Rumble เอง ด้วยฉากหลังที่เป็ฯโรงเรียนฮีโร่ จะมานั่งหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันก็ใช่เรื่อง เกมนี้เขาเลยเน้นสาดพลัง สู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย วัดกันไปเลยว่าใครเก่งกว่ากันสำหรับโหมดเกมตอนนี้จะมีอยู่เพียง 2 โหมด คือโหมด Unranked และ Ranked โดยเกมจะมีขั้นตอนการหาห้องที่ค่อนข้างแปลก นั่นคือเราจะต้อง Matchmaking หาสมาชิกร่วมทีมก่อน จากนั้นทุกคนจะต้องกด Ready เกมถึงจะเริ่มต้นค้นหาห้องการแข่งขันให้เรา โดยใน 1 ทีมจะมี 3 คน แต่เราไม่สามารถเลือกเล่นตัวละครตัวเดียวกันได้่ ต้องมีคนใดคนหนึ่งยอมเปลี่ยน และตามสไตล์เกม Battle Royale ยุคใหม่ นั่นคือเราไม่จำเป็นจะต้องโดดร่มลงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ในช่วงเริ่ม เกมจะให้เราเลือกจุดที่จะ Landing ลงไป และเมื่อเวลานับถอยหลังหมดลง เราจะเกิดตรงนั้นทันที พร้อมกับเผยตำแหน่งทีมศัตรูอื่น ๆ ในเกมด้วย ทำให้เราสามารถเลือกได้เลยว่า จะหนีไปฟาร์มของก่อน หรือจะงัดนัวศัตรูเลย ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนของผู้เล่นเองฮีโร่แต่ละตัวจะมีการโจมตีทั้งหมด 4 รูปแบบ คือการโจมตีปกติหรือ Melee ที่ทุกตัวสามารถทำได้ นอกนั้นอีก 3 สกิลจะเป็นสกิลอัตลักษณ์ของตัวเองทั้งสิ้น อัตลักษณ์ของฮีโร่แต่ละคนจะสามารถอัปเกรดระหว่างเกมได้สูงสุดที่เลเวล 9 ทุก ๆ การอัปเกรดเลเวล 5 กับ 9 จะส่งผลให้ขนาดของการโจมตีและพลังโจมตีพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเราสามารถอัปเกรดสกิลได้จากการตามหา Power Card ในระหว่างเกมการเล่น โดยมักจะเปิดได้จากหีบสมบัติสีทองที่ต้องใช้เวลาในการเปิด โดยจะสุ่มดรอป 1-3 ใบ แล้วแต่ดวง หรือถ้าเป็นหีบสมบัติขนาดใหญ่ก็มีโอกาสได้ไอเทมหลากหลายอย่าง เปรียบเสมือน Supply Drop ของเกมนี้ หัวใจสำคัญของเกมนี้คือการอัปเกรด Power Card เพราะฝีมือดีแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้การโจมตีที่รุนแรงและเหนือกว่าได้ หากเป็นเลเวลใกล้ ๆ กันยังพอว่า แต่ถ้าเป็นสกิลเลเวล 5 หรือ 9 ขึ้นไป ความแรงจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีสกิลและความสามารถพิเศษเฉพาะ ซึ่งก็จะอิงจากในการ์ตูนด้วย เช่น อุรารากะ โอชาโกะ ที่มีความสามารถในการลดแรงโน้มถ่วงให้กับทีม ทำให้กระโดดลอยตัวได้ หรืออาซุยที่ใช้ลิ้นกบเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้กับตัวเองเป็นต้น ดังนั้นเราแนะนำว่า ศึกษาความสามารถของแต่ละตัวละครเอาไว้ให้ดีก่อนหยิบเลือกตัวอะไรก็ตามนอกจาก Power Card แล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Ability Card สำหรับ Ability Card นั้น จะมาในรูปแบบของการ์ดตัวละครตัวต่าง ๆ ทั้งหมดในเกม โดยหากเป็นการ์ดตัวละครตัวเดียวกับที่เราเล่นอยู่ การเก็บ Ability Card จะเป็นการเพิ่มสกิลอัตลักษณ์ของเราทันที แต่ถ้าเป็น Ability Card ของตัวละครอื่นนั้น จะเป็นการเพิ่มบัฟพิเศษแบบกดใช้ให้เรา ยกตัวอย่างเช่น หากเราเก็บการ์ดของอีดะ เท็นยะ มา จะได้ความสามารถความเร็วเคลื่อนที่ 10% เมื่อกดใช้ และหากเราเก็บการ์ดใบเดิมซ้ำอีก ก็จะเป็นการอัปเกรดขั้นให้กับความสามารถนั้น ๆ แต่เชื่อเถอะว่า โอกาสเก็บซ้ำได้นั้น น้อยมาก เพราะตัวละครเกมนี้ถือว่าเยอะพอตัว จึงมีโอกาสสุ่มได้การ์ดที่แตกต่างกันไป และ Ability Card นี้ เราสามารถติดตั้งลง Shortcut ได้ 3 อย่าง แต่ปกติแล้ว อีกช่องนึงเราจะเผื่อไว้ใส่ยาฟื้นพลังมากกว่า ก็นับเป็น 2 ช่องไป เมื่อถึงเวลาก็อย่าลืมกดใช้งานก็พอและด้วยความที่เราเป็นนักเรียนโรงเรียน U.A. สิ่งที่ต้องทำคือ การช่วยเหลือประชาชน เพราะเราเป็นฮีโร่ ตรงนี้เกมก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ต้องบอกว่า เข้าใจคิดสุด ๆ ในเกมนี้ บางพื้นที่ที่เป็นพื้นที่อุบัติเหตุ อย่างเช่นโซนตึกถล่ม หรือตึกไฟไหม้ จะมีประชาชนทั่วไปที่บาดเจ็บ นอนโอดโอยอยู่ที่พื้น โดยหากเราเข้าไปช่วยเหลือจะได้รับไอเทมพิเศษ อย่างแรกคือ Potion ระดับเทพ Potion ที่ว่านี้ เมื่อเรากดใช้งาน ทั้งทีมจะได้ผลประโยชน์ไปด้วย ! แม้จะใช้เวลาในการใช้งานนานก็ตาม โดยจะเป็นการฟื้นค่าเกราะและพลังชีวิตแบบเต็ม 100% ดังนั้นต้องบอกว่า มีติดตัวไว้สักขวดสองขวด อุ่นใจแน่นอน หากใครสักคนบาดเจ็บระหว่างไฟท์ อีกคนสู้อยู่ เรากดใช้ เลือดเกราะเด้งเต็ม ยังไงก็ได้เปรียบกว่าเห็น ๆ ส่วนอีกอย่างที่ประชาชนจะมอบให้เราคือ Revive Card เจ้าการ์ดนี้เปรียบเสมือนเครื่องชุบชีวิตเพื่อนร่วมทีม โดย Revive Card จะมีสองแบบ สีดำกับสีชมพู ส่วนมากการช่วยประชาชนจะดรอปเป็นสีดำมาให้เป็นส่วนใหญ่ หากเราสะสมการ์ดสีดำได้ครบ 3 ใบ มันจะกลายเป็นสีชมพู 1 ใบทันที ซึ่งใบสีชมพูจะเป็นใบที่ใช้งานได้ อธิบายง่าย ๆ สีดำคือเศษนั่นแหละ สะสมครบก็ใช้งานได้แล้ว ส่วนของการชุบชีวิตเพื่อนที่ตายไปนั้นก็ทำได้ง่ายกว่าเกมอื่น ขอเพียงมี Revive Card สีชมพูติดตัวไว้ เราจะชุบชีวิตเพื่อนเราตรงไหนก็ได้ เป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เพราะเราสามารถไปหลบเนียน แอบชุบตามจุดต่าง ๆ ได้อย่างสบาย ๆ เป็นอีกระบบที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีในด้านภาพรวมของเกมการต่อสู้ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีและสนุกเอาเรื่องเลย เพียงแต่ว่ามันมั่วเกินไปเท่านั้น และสกิลของแต่ละตัวละครก็ถือว่าทำออกมาได้เดือดมาก อย่างเช่นการโจมตีของบาคุโก ที่เป็นเหมือนการยิงปืนสไนเปอร์ที่แรงมากออกไป แต่เกมนี้การโจมตีปกติจะมีคูลดาวน์ของมันเหมือนกับการยิงอาวุธ ดังนั้นหากเราใส่มั่ว กดมั่ว รับรองว่าถึงเวลาสำคัญ ไม่มีสกิลใช้งานแน่ ๆ และ Movement การเคลื่อนไหวของตัวละครก็ถือว่าเร็ว โดยเฉพาะตัวละครสาย Rapid อย่างอีดะที่เคลื่อนไหวได้เร็วมาก ๆ เกมนี้ต้องใช้สกิลเพลย์ในด้านการเล็งและการยิงอยู่พอสมควรเลยนอกจากนั้นตัวเกมก็จัดเต็มความเป็นเกม Live Services ด้วยระบบอย่าง Battle Pass ที่มาในรูปแบบของ License ที่จะมีทั้งไอเทมต่าง ๆ ให้ปลดล็อครวมไปถึงตัวละครและฮโร่บางคนด้วย และมีระบบเติมเงิน เพื่อปลดล็อคของแต่งตัว หรือกล่องกาชาที่มีสกินระดับ Limited ให้ได้เก็บสะสมกัน แต่ปัญหาของเกมนี้เองก็มีเยอะเอาเรื่องอย่างแรกเลยคือเรื่องของสกิน เกมนี้ถือเป็นเกมที่มีการออกแบบสกินห่วยมาก สกินระดับ 3 ดาวคือสกินที่เอาตัวละครมาคลุกฝุ่น บาดเจ็บ ซึ่งมันไม่น่าเก็บสะสมเอาซะเลย แถมยังใช้คูปองสุ่มที่เยอะกว่เากมอื่น ๆ ถ้าเทียบกับเกมแนวเดียวกัน และที่สำคัญเลยคือ UX/UI ของเกมนี้ออกแบบมาได้ค่อนข้างแย่ กว่าจะรู้เรื่องว่าอะไรคืออะไร เมนูที่เราอยากรู้ อยากเห็น หรือจำเป็นต้องใช้ อยู่ส่วนไหน ก็ทำเอางงกันไม่น้อยเลย ซึ่งตัวเกมน่าจะต้องขัดเกลากันอีกพอสมควรยังมีเรื่องของสมดุลฮีโร่ที่เรียกได้ว่ามีปัญหาอย่างชัดเจน บางตัวก็โหดเกินหน้าเกินตาตัวอื่น ๆ มาก อย่างเช่นบาคุโก ที่ยิงแรงเกินใคร หรือบางตัวที่เล่นได้ยากมาก อย่างเช่นดาบิเป็นต้น บางตัวเป็นฮีโร่สายสนับสนุน ถือว่าเอาตัวรอดได้ยากมาก เวลาคลุกวงใน ดู ๆ แล้วเกมนี้ต้องขัดเกลากันอีกเยอะในด้านของ Balance ตัวละครแต่ถึงอย่างไรก็ตาม My Hero Ultra Rumble ถือเป็นเกมที่มี Potential ค่อนข้างสูงมาก ต่อจากนี้อยู่ที่ทีมพัฒนาแล้ว ว่าจะใส่คอนเทนต์อะไรใหม่ ๆ เข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน และประคองยอดผู้เล่นไปให้ไกลได้มากน้อยเพียงใด แต่ตอนนี้ใครอยากลองโหลดมาเล่น จัดได้เลย ทั้งบน PC และ Console
29 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Daymare: 1994 Sandcastle ไอเดียดีงาม แต่ดันตกม้าตายซะงั้น
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนได้มีแฟนเกมกลุ่มนึงนามว่า Invader Studios ที่ได้ลองทำ Demo เกมสยองขวัญในอดีตชื่อดังอย่าง Resident Evil 2 ที่เป็นฉบับ Fanmade ซึ่งคลิปวิดีโอนั้นก็ทำให้ถูกพูดถึงไปทั่วโลก และสร้างกระแสอยากให้เกมนี้ออกมาจริง ๆ จนในที่สุดภายหลังทางผู้พัฒนาเกมอย่าง Capcom ก็ได้สั่งให้ทางสตูดิโอรายนี้ยุติการพัฒนาเพื่อที่ทางเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริงพัฒนาเกมเวอร์ชันจริงออกมา แต่ก็ยังให้ทาง Invader Studios ให้คำแนะนำจนในที่สุดตัวเกม Resident Evil 2 Remake ก็ได้วางจำหน่ายออกมาอย่างเป็นทางการในปี 2019 และมันก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นทาง Invader Studios ที่พัฒนาเกมตัวนี้มาระยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้นำโปรเจกต์นี้เปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นเกมที่ชื่อว่า Daymare: 1998 และตัวเกมก็ค่อนข้างได้รับคะแนนวิจารณ์บนร้านค้า Steam ในแง่บวกอย่างมาก จนในปี 2023 ตัวเกมภาคต่อก็กลับมาอีกครั้งโดยใช้ชื่อว่า Daymare: 1994 Sandcastle โดยจะเล่าเรื่องราวก่อนหน้าของเกมภาคแรก และในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบว่าตัวเกมนี้จะดีงามเท่าภาคแรกหรือไม่กราฟิกสำหรับตัวกราฟิกตัวเกมก็จะยังใช้ขุมพลังอย่าง Unreal Engine 4 ดั่งที่ใช้ในเกมภาคที่แล้ว ต้องยอมรับว่าตัวกราฟิกก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมใด ๆ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมซีรีส์นี้ก็คือการเล่นกับความมืด ความน่ากลัว ด้านของเสียงที่พร้อมจะทำให้เราตกใจได้ทุกเมื่อ ซึ่งในภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงสิ่งน่ากลัวเอาไว้ ส่วนสิ่งที่ทำได้ดีมากขึ้นจากเกมภาคก่อนก็คงจะเป็นด้านแอนิเมชันของศัตรูที่มันไม่ดูเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนในภาคแรกแล้ว ศัตรูค่อนข้างมีแอนิเมชันที่สมจริงมากขึ้น และดูน่ากลัวมากขึ้นด้วยเนื้อเรื่องสำหรับเรื่องราวของเกมจะย้อนกลับไป 4 ปีของเกมภาคแรก ติดตามเรื่องราวของ Dalila Reyes เจ้าหน้าที่หน่วย H.A.D.E.S ที่ได้รับหน้าที่ในการเข้าไปยังพื้นที่ Area 51 ศูนย์วิจัยลับของอเมริกาที่เกิดเหตุบางอย่าง และพวกเขาจะต้องพบเจอกับสิ่งน่ากลัวสุดสยองที่นั่นโดยการดำเนินเรื่องของตัวเกมก็จะมีความเรียบง่ายที่เรานั้นจะได้รับภารกิจบางอย่าง พบเจอกับศัตรูสุดเซอร์ไพรส์ และเรื่องราวก็จะค่อย ๆ เข้มข้นไปเรื่อย ๆ และเราเองก็จะรู้ความจริงไปเรื่อย ๆ ซึ่งตัวเนื้อเรื่องเองก็ทำออกมาได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย เกมเพลย์สำหรับเกมเพลย์ในภาคนี้ผู้พัฒนาทำการปรับเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างเยอะะมาก และแตกต่างจากเกมภาคแรกอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นศัตรูตัวใหม่ที่ในภาคนี้จะไม่ใช่ซอมบี้เหมือนในภาคที่แล้ว แต่จะเป็นเหมือนลูกไฟสายฟ้า ที่สามารถปลุกชีวิตศพให้เข้ามาโจมตีคุณได้ และศัตรูในภาคนี้ก็จะมีความดุร้ายมากกว่าเดิม ทั้งวิ่งเร็ว โจมตีเร็วจนเราแทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว หนึ่งในกลไกการต่อสู้ของเกมที่ถูกใส่เข้ามาเป็นฟีเจอร์หลักก็คืออุปกรณ์การพ่นไอเย็นแช่แข็งศัตรู อย่างที่กล่าวไปว่าศัตรูหลักของเกมนั้นคือลูกกลม ๆ สายฟ้า ที่มันนสามารถไปสิงศพให้ลุกมาไล่ตีเราได้ ซึ่งต่อให้เราจัดการศพเหล่านั้นได้ เจ้าลูกไฟฟ้าก็สามารถที่จะวิ่งไปสิงศพอื่นและเกิดขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน ทำให้จังหวะนั้นเราจำเป็นจะต้องใส่ไอเย็นในการโจมตีมันให้หายไปได้ด้วยนอกจากนี้ตัวลูกไฟฟ้าก็ยังมีตัวพิเศษที่จะเป็นไฟฟ้าสีแดง ซึ่งเราจะต้องใช้วิธีพืเศษในการจัดการกับพวกมัน เพราะศัตรูไฟฟ้าสีแดงจะทนทานต่อกระสุนต่าง ๆ ของเราถ้ายิงไปตรง ๆ แต่เราจะต้องใช้ไอเย็นในการแช่ให้ศัตรูแข็งเสียก่อน เราถึงจะสามารถจัดการมันได้นั่นเอง ทำให้การต่อสู้หลัก ๆ ของเกมนี้เราจะต้องผสมผสานการเล่นระหว่างการใช้อาวุธปืน และการใช้ที่แช่แข็งในการต่อสู้กับเหล่าศัตรูนอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีระบบการไขปริศนาต่าง ๆ ที่เราจะต้องไปหาอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนบางอย่างเพื่อทำการปลดล็อคพื้นที่ต่อไป หรือในระหว่างนั้นก็จะมีปริศนาให้เราได้ไข แก้ Puzzle บางอย่าง และมันก็ไม่ยากจนเกินไป ความรู้สึกหลังเล่นหลังจากที่เล่น Daymare: 1994 Sandcastle มาต้องยอมรับในด้านของบรรยากาศของเกมผู้พัฒนาทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลย ทั้งเสียงหลอดไฟระเบิดที่มันสามารถ Jump Scare เราได้ การเล่นกับความมืดที่ค่อนข้างดี แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็มีข้อเสียที่ค่อนข้างใหญ่มากก็คือแอนิเมชั่นของตัวละครที่ค่อนข้างเงอะงะ แถมศัตรูในเกมภาคนี้ก็ค่อนข้างที่จะวิ่งเร็ว จู่โจมเร็วกว่าเดิม ทำให้การเล่นต่าง ๆ มันค่อนข้างติดขัด ไม่สมูท และหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จนทำให้ไอเดียเกมเพลย์เจ๋ง ๆ กลายเป็นแย่เลยทีเดียว
26 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Lies of P จักรกลผจญเมืองคลั่ง เกมโซลแต่เปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวเองที่สนุกไม่แพ้กัน
หลังจากรอคอยกันมาอย่างยาวนาน เกม Souls-like ที่มีตัวเอกหน้าหล่อ แถมยังเป็นการหยิบเอาเรื่องราวของพินอคคิโอมาตีความใหม่แบบเข้มข้นขึ้นอย่าง Lies of P ก็ได้ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และเกมนี้จะเป็นยังไง คุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่ มาดูกันได้ในรีวิวของเรา ภารกิจผจญเมืองคลั่งปกติแล้วเกมสไตล์โซลแบบนี้ มักจะมีเนื้อเรื่องแบบดารค์แฟนตาซียุคกลาง แต่ Lies of P ขอแหวกด้วยการหยิบยืมเอานวนิยายชื่อดังของโลกอย่าง The Adventures of Pinocchio ที่เล่าเรื่องราวของ Pinocchio หุ่นเชิดที่แตกต่างจากหุ่นเชิดตัวอื่น ๆ ในเกมนี้ เหล่าหุ่นเชิดถูกประดิษฐ์ขึ้นในเมือง Krat เมืองนี้ได้ค้นพบแหล่งพลังงานที่เรียกว่า Ergo และหุ่นเชิดก็ถูกใช้เป็นแรงงานเยี่ยงทาสเพื่อให้ทำงานให้กับมนุษย์ และเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิด Geppetto จึงคอยสั่งสอนและโปรแกรมเหล่าหุ่นเชิด เพื่อไม่ให้โกหกหรือโจมตีพวกมนุษย์ แต่ท้ายที่สุดเหล่าหุ่นเชิดก็ก่อกบฎ เมือง Krat กลายเป็นนรกบนดิน ซ้ำร้ายยังเกิดโรคระบาดปริศนา ที่คนจะค่อย ๆ ตาบอด และกลายเป็นหิน แถมบางทีก็ทำให้กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดสุดสะพรึงได้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Pinocchio ที่ตื่นมาบนขบวนรถไฟร้าง ตอนนี้ในเมือง Krat โดนพวกหุ่นเชิดก่อกบฎและยึดเมืองนี้เอาไว้แล้ว เราจะได้เดินทางไปถึงโรงแรม Krat และเจอกับหญิงสาวชื่อ Sophia และเราจะได้เริ่มต้นการผจญภัยครั้งนี้ หลัก ๆ เลยคือการตามหาผู้สร้างของเราอย่าง Geppetto และหาตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อกบฎในครั้งนี้หากเทียบกับเกม Souls เกมอื่น ๆ หรือโดยเฉพาะกับต้นฉบับอย่าง FromSoftware นั้น Lies of P ถือว่าเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างกว่ามาก แต่เราอาจจะต้องใช้เวลาในการตามหาเอกสาร อ่านบทสนทนา หรือพยายามออกสำรวจมุมเล็ก ๆ ต่าง ๆ ของเมือง จะมีไฟล์เอกสาร และข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยบอกเล่าและขยายสถานการณ์ของตัวเกมและโลกในเกมเข้าไปให้ ดังนั้นขอแค่ผู้เล่นสำรวจ และอ่านให้เยอะ ยังไงก็รับรู้เรื่องราวของเกมแน่นอน ไม่ได้เหมือนเกมตระกูลโซลที่หลายอย่างจะปิดไว้ให้ผู้เล่นไปสำรวจ หรือตีความต่อเอาเอง และจังหวะการเล่าเรื่องของเกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี มีความสับสนน้อยกว่าเกมอื่น ๆ และเล่าเรื่องแบบเส้นตรงซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การจะเล่นเกมนี้ให้ครบจบสมบูรณ์นั้น จำเป็นจะต้องเล่นไม่ต่ำกว่า 3 รอบด้วยกัน และแต่ละรอบ การตัดสินใจสำคัญ ๆ จะมีส่วนที่ส่งผลกับตอนจบ ซึ่งการตัดสินใจสำคัญ ๆ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือความรากเลือดของเกมนี้ที่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน และนี่แหละคือระบบเกมเพลย์ของเกมนี้มนตร์เสน่ห์แห่งเมืองคลั่งที่ผสมความหลอนเอาไว้ได้อย่างลงตัวก่อนจะเข้าไปในเรื่องเกมเพลย์นั้น มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือเรื่องของบรรยากาศและการนำเสนอของเกมนี้ นับตั้งแต่เกมเปิดตัว หลายคนก็นำเกมนี้ไปเทียบกับสุดยอดเกม Souls-like ในตำนาน ที่อายุอานามใกล้ 10 ปีเข้าไปแล้ว อย่าง Bloodborne เพราะความเป็น Dark Fantasy หรือ Gothic มืด ๆ หม่น ๆ เหมือนกัน จนกระทั่งเกมเต็มออกวางจำหน่าย เราก็รู้สึกว่า เกมนี้มีหลายอย่างที่ได้ Bloodborne เป็นแรงบันดาลใจจริง ๆ นับตั้งแต่บรรยากาศไปจนถึง NPC บางตัวเมือง Krat ที่เป็นเมืองสมมติขึ้นมา แต่ดูแล้วก็น่าจะได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากยุควิคตอเรียนของอังกฤษ ทั้งสถาปัตยกรรมรูปแบบต่าง ๆ สิ่งของ ตึก อาคาร เหมือนเราได้ย้อนไปเที่ยวอังกฤษยุคเก่ากันอีกครั้ง ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ใครชอบเกมที่มีการดีไซน์ฉากหรือเมืองสวย ๆ รับรองว่าชอบเกมนี้ นอกจากนั้น แม้เกมนี้จะไม่มีระบบกลางวัน กลางคืนแบบ Fix แต่การไปในแต่ละสถานที่ อาจจะเกิดช่วงเวลาขึ้นแบบสุ่ม เช่นเป็นช่วงกลางคืนแบบเต็มตัว เป็นช่วงเย็นที่แสงอาทิตย์กำลังโพล้เพล้ หรือเป็นช่วงกลางวันที่เมฆหมอกหนา ระบบนี้ทำให้การเล่นเกมของเรามีอรรถรสมากยิ่งขึ้น หรือเปลี่ยน Mood ของเกมกันไปเลย อย่างเช่นการไปเจอศัตรูสุดสยองในช่วงเวลากลางคืนก็แทบจะเปลี่ยนให้เกมกลายไปเป็นเกม Horror เลยก็ว่าได้ หรือถ้าไปเจอฝูงศัตรูหุ่นยนต์ตอนกลางวัน ก็อาจจะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเกมแอ็คชั่นทั่วไป ระบบนี้ถือว่าเวิร์คมาก และอาจจะมีค่ายอื่น ๆ หยิบไปสานต่อเพิ่มในภายหลังได้ การออกแบบและดีไซน์แผนที่ ใครที่เคยเล่นพวกเกมตระกูล Souls ก็น่าจะเข้าใจได้ดี มันจะเป็นทางเดียวไปต่อเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะไปเจอบอสหรือศัตรูระดับ Elite ซึ่งถ้าเราจัดการมันลงได้ อาจจะเป็นการปลดล็อค Shortcut หรือทางลัดให้เส้นทางเชื่อมต่อกันอย่างง่าย ๆ ตามสไตล์ของเกมแนว Souls-like และนอกจากนั้น บางฉากยังดีไซน์ฉากแบบแนวดิ่ง ผสมแพลตฟอร์ม คือผู้เล่นจะต้องค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นที่สูงไปเรื่อย ๆ เพื่อไปต่อ และมีอุปสรรคเป็นฉาก รวมไปถึงศัตรู บางทีขึ้นไปสูงมาก แต่โดนสกัดตกลงมาตาย หรือร่วงลงมาที่แรก ก็แทบจะกลายเป็นความพยายามอันไร้ค่า นอกเสียจากการเรียนรู้ ทำให้เกมนี้ หัวอุ่นกับศัตรูไม่พอ ยังต้องมาหัวอุ่นกับฉากอีกด้วย และเกมนี้ค่อนข้างจะท้าทายฝีมือผู้เล่นอยู่พอสมควร เพราะจุด Stargazer ที่เปรียบเสมือนกับ Bonfire หรือ Checkpoint นั้น จะค่อนข้างอยู๋ไกลจากจุดไปต่อมากพอสมควร ดังนั้นในเรื่องความยากและความท้าทายนั้น Lies of P ไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ และใครที่หลงทางง่าย อาจจะมีปัญหากับระบบแผนที่ในเกมนี้กันซะหน่อย นอกจากเกมนี้จะไม่มีแผนที่เพราะเป็นปกติของเกมแนวนี้อยู่แล้ว แต่ในช่วงกลางเกมขึ้นไป แผนที่จะค่อนข้างมีความซับซ้อนมาก เราจำเป็นจะต้องอาศัยความจำของตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ อุปสรรคระหว่างฉากก็ไม่ได้มีแค่ศัตรู เราอาจจะเจอกับดัก เจอบ่อพิษ เจอศัตรูปาระเบิดไฟใส่จนติดสถานะต่าง ๆ เรียกได้ว่า กว่าจะฝ่าจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งได้ อาจรีดเอาพลังงานคนเล่นมาใช้จนหมดเลยทีเดียวแต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถือว่า Lies of P นั้น ออกแบบเกมมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในส่วนของบรรยากาศตัวเมือง และระบบการเล่น และส่วนต่อไปคือ Gameplay ที่ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยมเกินความคาดหมายแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม แต่ก็ใส่ความเป็นตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่ปกติแล้ว เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตระกูล Souls ส่วนมากจะหนีไม่พ้นเรื่องของความยากเป็นทุนเดิม และไม่ค่อยต่อยอดอะไรใหม่ ๆ เข้าไปมากนัก แต่ Lies of P สรรหาวิธีใหม่ ๆ ที่จะทำให้การเล่นของผู้เล่นสนุกขึ้น แต่ยังคงไว้ลายซึ่งความยากชนิดปาจอยทิ้งและชวนถอดใจอย่างมาก อย่างแรกที่ต้องเรียนรู้กันก่อนเลยก็คือ ระบบการป้องกันและการ Parry ของเกมนี้ ที่วัดฝีมือผู้เล่นอย่างมาก การกดป้องกันอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้ผู้เล่นรอดจากการโดนดาเมจ เพราะพลังชีวิตของเราจะลดลง และหลอดเลือดจะขึ้นเป็นสีเทา ๆ อยู่ ระบบนี้จะคล้าย ๆ กับ Bloodborne โดยหากเรารีบเข้าไปโจมตีคืนในช่วงที่หลอดพลังชีวิตเป็นสีเทา ๆ อยู่นั้น เราจะมีโอกาสได้พลังชีวิตคืน ดังนั้นหากคุณ Perfect Parry ไม่เก่ง หากโดนโจมตีแล้วก็ต้องรีบสวนคืนเพื่อชิงเอาพลังชีวิตคืนมาส่วนอีกแบบหนึ่งคือระบบ Perfect Parry การจะกดป้องกันด้วยระบบนี้ คือผู้เล่นจะต้องกดป้องกันในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ศัตรูโจมตีเข้ามาแบบเป๊ะ ๆ 100% ห้ามช้ากว่าหรือเร็วกว่า เสี้ยววินาทีก็ไม่ได้ หาก Perfect Parry ติดจะเกิดเป็นแสงและเสียงสีแดงที่เห็นได้ชัดเจนมาก การป้องกันประเภทนี้ผู้เล่นจะไม่ได้รับดาเมจใด ๆ เลย และมีโอกาสที่จะเป็นการทำลายอาวุธของศัตรูอีกด้วย แต่การ Perfect Parry นี้ก็ถือว่าทำได้ยากเอาเรื่อง สำหรับคนที่เป็นมือใหม่เกมตระกูลนี้ อาจจะต้องฝึกและเรียนรู้กันพอสมควร และเกมนี้ยังมีระบบหลากหลายอย่างที่เกมโซลเกมอื่นไม่มี ยกตัวอย่างเช่นระบบผสมอาวุธ โดยระหว่างการผจญภัย หากเราออกสำรวจหรือสังหารบอสลงได้ ก็มีโอกาสที่จะได้รับอาวุธเป็นเซ็ต โดยจะแบ่งเป็นส่วนของหัวอาวุธและด้ามอาวุธ เราสามารถสลับส่วนหัวและด้ามไปให้กับอาวุธชิ้นใดก็ได้แล้วแต่ความสะดวก แต่ก็ต้องดูเรื่องของการคำนวณค่าสเตตัสว่าเมื่อผสมอาวุธกันไปแล้ว จะยังสามารถใส่เพื่อใช้งานได้หรือไม่ ระบบนี้ทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่นเป็นอย่างมาก โดยอาวุธก็จะมีหลายแบบ ทั้งแบบคม แบบทื่อ แบบใหญ่ แบบเล็ก การใช้อาวุธที่ต่างกันจะส่งผลต่อน้ำหนักตัวละคร รวมไปถึงการใช้ Stamina ในแต่ละครั้งที่เราโจมตีด้วย นอกเหนือไปจากนั้นเราสามารถพกของใน Extra Bag ไปได้อีก 4 ชิ้น โดยจะเป็นทั้งของขว้างระยะไกลที่จะช่วยให้เรากำจัดศัตรูที่เกินระยะการโจมตี หรือจะเป็นไอเทมน้ำยาบัฟ หรือลบล้างสถานะต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นจะบริหารจัดการอย่างไรและเกมนี้เราจำเป็นจะต้องคอยซ่อมแซมอาวุธของตัวเองตลอดเวลา อย่าตีเพลินจนลืมดู เพราะถ้าอาวุธพังจนหลอดแดง เราจะไม่สามารถใช้เลื่อยยนต์ที่ติดตัวอยู่ซ่อมอาวุธได้ ต้องกลับไปซ่อมที่ Stargazer เท่านั้น แต่เราสามารถพกอาวุธติดตัวเอาไว้ได้ 2 ชิ้น และกดสลับได้ง่าย ๆ จากหน้าเมนูตัวละคร แต่ทางที่ดีอาวุธไหนใช้เป็นหลักก็พยายามอย่าให้มันพังระหว่างทางจะเล่นได้ง่ายกว่า และอีกทีเด็ดของเกมนี้คือระบบ Legion Arm หรืออาวุธแขนกลที่ติดอยู่ที่มือซ้ายของตัว Pinocchio โดย Legion Arm นี้จะมีหลายแบบให้เราได้เลือกใช้งาน และมันจะมีความสามารถที่ต่างกันออกไปด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ Arm ไหน โดย Arm แต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติในการใช้งานไม่เหมือนกัน บางประเภทเน้นทำดาเมจ บางประเภทเน้นขัดจังหวะศัตรูและสร้างสถานะพิเศษ ดังนั้นการคอมโบระหว่างอาวุธที่เหมาะสมกับ Arm ที่ดี อาจจะทำให้เกมนี้เล่นได้สะดวกสบายมากขึ้น และแน่นอนว่าทั้งอาวุธและ Legion Arm และทั้งอาวุธและ Legion Arm นั้น สามารถเก็บ Ergo หน่วยเงินของเกมนี้มาอัปเกรดได้ทั้งหมดสิ่งแรกที่เราแนะนำในการเข้ามาเหยียบเกมนี้เลยคือ พยายามเรียนรู้ที่จะใช้ Perfect Parry หรือการตั้งการ์ดก่อน เพราะเกมนี้จะมีระบบที่ต่างไปจากเกมโซลเกมอื่น ๆ หากเราเอาหน้าไถโดยไม่รู้อะไรเลย รับรองว่ายังไงก็ไม่รอด บอสไฟท์แต่ละตัวยังมาพร้อมกับมหึมายิ่งใหญ่ตามสไตล์เกมประเภทนี้ แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้าย การ Perfect Parry นั้น ถือว่าปรับปรุงมาได้ดีจากช่วง Demo รวมไปถึงมีจังหวะ i-Frame ให้ได้พักหายใจหายคอกันได้เยอะขึ้น แต่ยังคงต้องระวังค่าสถานะพิเศษที่มาจากแหล่งต่าง ๆ อย่างเช่นการ Overheat ที่มาจากการติดไฟ ที่จะลดพลังชีวิตเราไปเรื่อย ๆ หรือแสบมาก ๆ อย่าง Decay ที่เมื่อโดนจนเต็มหลอด มันจะกัดกร่อนความคงทนของอาวุธเราไปเรื่อย ๆ ดังนั้นก่อนออกรบจากจุด Checkpoint ที่ต้องเตรียมเลยคือพวกน้ำยาลบล้างสถานะต่าง ๆ เพราะถ้าโดนขึ้นมาแล้วไม่มียาแก้ เกมจะเล่นยากขึ้นอีกหลายเท่าลูกเล่นอื่น ๆ ที่ช่วยให้เราต่อสู้ได้ก็ยังมีทั้งการเคลือบธาตุอาวุธ โดยใช้ไอเทมพิเศษ ที่จะช่วยทำให้อาวุธของเราสามารถสร้างดีบัฟเอฟเฟกต์ให้กับศัตรูได้ด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นช็อตไฟฟ้า หรือเผาศัตรู ซึ่งสถานะส่วนมากก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ศัตรูทำใส่เราได้ เพียงแต่พอเราทำใส่ศัตรูบ้าง ก็เหมือนโดนเนิร์ฟลงซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ระบบนี้เป็นการบอกเราว่า หนทางชนะไม่ได้มีแค่การเอาหน้าเข้าไปไถ ปะทะกับศัตรูโดยตรง เราสามารถใช้ทริค เทคนิค Legion Arm และสกิลต่าง ๆ ผสมผสานกันเป็นสุดยอดการโจมตีที่หลากหลายได้ส่วนระบบการอัปเกรดตัวละครนั้น ก็จะยังคงใช้แบบเดียวกันกับเกมโซล นั่นคือการเก็บสะสม Ergo หรือแต้มเงินประจำเกมนี้ เจ้า Ergo นี้ได้จากการต่อสู้กบัมอนสเตอร์ทุกระดับ ทุกประเภท และยังมีโอกาสได้มาในรูปแบบของก้อนพลังให้กดใช้แล้วจะได้ทีละจำนวนมาก ๆ โดยเราสามารถกลับมาที่โรงแรม Krat ที่เป็นเหมือนกับ HUB ของเกมนี้ เราจะได้เจอกับ NPC สำคัญ ๆ อย่างเช่น Sophia ที่เอาไว้อัปเลเวลตัวละคร และแบ่งค่าสเตตัสที่เราเลือกได้ว่าจะเล่นสายใด ตีแรง แบกของเยอะ พลังชีวิตเยอะ หรือหลอดท่าพิเศษเยอะขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้ Pinocchio ของเรานั้น โดดเด่นในด้านใด และนอกเหนือไปจากนี้ ใครที่ผ่านประสบการณ์เกมโซลมาเยอะ ๆ ก็น่าจะรู้วิธีสู้ วิธีเอาชนะกันหมดแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของผู้เล่นแต่ละคน ว่าจะยอมโดนเกมนี้นวดอีกกี่ยกถึงจะเข้ามือLies of P ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างผิดคาด จากที่หลายคนแอบเผื่อใจไว้ว่ามันจะแป้ก แต่ท้ายที่สุดมันก็ทำออกมาได้ดีในทุกแง่มุม ยิ่งดูเครดิตรายชื่อผู้สร้าง จะเห็นว่านี่คือผลงานของสตูดิโอชาวเกาหลีล้วน ยิ่งทำให้เห็นว่า อีกไม่นาน เกาหลีอาจจะผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ ในวงการเกม เพราะเขารู้แล้วว่าอะไรคือจุดแข็ง อะไรคือจุดอ่อน และจะปรับยังไงให้มันสนุก และสมดุล งานนี้รอดูกันในอนาคตเลยว่า ทีมทำเกมจากเกาหลี หรือทีมนี้นี่แหละ จะมีงานอะไรเด่น ๆ ออกมาให้เราได้ว้าวกันอีกบ้าง
22 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Sea of stars ปัดฝุ่น Turn-Based ระบบเก่า ๆ มาปรับให้เล่นสนุกขึ้น แถมยังมี Style เป็นของตัวเอง
Sea of stars ของดีแห่งเดือนกันยายน จั่วมาแบบให้ความหวังกันเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ เอาฮะชีวิตคนเราต้องมีหวัง ผมได้เล่นเกมนี้จนจบไปแล้ว เล่นกันแบบที่ว่า Non Stop 3 วัน 3 คืน กันไปเลย (อันนี้ผมก็โม้เอาเท่ไปงั้น แต่ผมเท่จริ๊งงง ว้าวุ่นเลยทีนี้ 5555) เอาเป็นว่าผมก็ดำเนินเกมมาจนถึงจุดจบของมัน พลาดไอเทมในจุดลับบางอย่างไปบ้าง แต่ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายอยู่ในระดับที่ตัวผมเองพอใจ เนื่องจากผมไม่ได้เล่นเกมแนว RPG Turn-Based มานานเพราะเบื่อความซ้ำซากของเกมเพลย์ ต้องยืน ๆ ตี ๆ เลือก ๆ เมนูสกิลมั่ง ไอเทมมั่ง ฮีลมั่งอะไรมั่ง กว่าจะถึงเทิร์นตัวเมนของเรา แหม!!! มันช่างนานเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละครับ มันก็เป็นเสน่ห์ของเกมแนวนี้ที่ผมคิดถึง เห็น Sea of stars เปิดวางจำหน่ายแบบตัวเต็มเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2023 ผมเลยกดลงคลัง แล้วเล่นแบบยิงยาวมาเลย ปะไปดูกันดีกว่าว่าเนื้อเรื่อง เกมเพลย์ คอนเทนต์ต่าง ๆ ในเกมมันจะแจ่มว้าวขนาดไหน แต่บอกเลยเตรียมเงินไว้ด้วยนะครับ เพราะผมจะป้ายยาแน่นอน อิอิอิอิเนื้อเรื่องแบบมีหลากหลายความรู้สึก มีมิติในทุกทุกโมเมนต์ (สัญญาว่าจะสปอยล์นิดเดียว)ผมจะขอตัดช่วง Intro แบบเกริ่นนำโดย ผู้เดินทางข้ามกาลเวลา เป็นอัมตะ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ และเป็นนักเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างเดินทาง เอกสารสำคัญทางกาลเวลา เหตุการณ์ต่าง ๆ เขาคนนี้เป็นผู้เขียนและจัดเก็บไว้ทั้งหมด(เขาโม้มาแบบนั้นเลยนะ ฮ่า ๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่เขาจะเป็นผู้ร่วมทางกับเราในช่วงกลางเกมครับ) อะอะตัดออกไปก่อนเดียวจะสปอยล์ซะก่อน งั้นเดี๋ยวผมจะไปพูดถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นสักหน่อย เรื่องราวของเด็กที่มีพลังพิเศษ 2 คน Zale และ Valare ที่ถูกจัดส่งมาโดยนกอินทรีย์ และเราจะต้องเล่นเป็นพวกเขาครับจุดเริ่มต้นของตัวละครผมจะเล่าต่อจากด้านบนเลยนะ ผมจะเล่าแบบรวบรัดเลย รวมรัดเกมนี้เชื่อผมเถอะครับว่ายาวแน่ ๆ เพราะเนื้อเรื่องเกมนี้สนุกครับ ตัวละครหลาย ๆ ตัวจะมีปูมหลังกันมาหมด เราจะพูดถึงไอ้เด็กห้าวเป้ง 3 คน ในช่วงคัตซีนหลัง Intro เท่านั้นมั้ง 55555 เรื่องราวจะเริ่มต้นที่เด็ก 3 คน ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ได้แก่ Zale, Valare และ Garl Zale และ Valare เป็นเด็กที่มีพลังเวทมนตร์ หรือที่ในเกมเรียกว่า Children of the Solstice เด็ก ๆ เหล่านี้จะถูกส่งลงมาที่โลกของเราในทุก ๆ ศตวรรษ แต่ Zale และ Valare มีความแปลกกว่า Children of the Solstice คนอื่น ๆ ที่เคยถูกส่งลงมา เพราะพวกเขา 2 คน ถูกส่งมาภายในปีเดียวกันครับ เด็ก ๆ จะถูกตั้งชื่อโดยชาวเมือง และมีอาจารย์คอยฝึกเด็ก ๆ ให้เป็น Solstice Warriors เพื่อไปต่อสู้กับ The Fleshmancer และคอยสกัดกั้นทุกพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ The Fleshmancer ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (เราจะเลือกเล่นใครก็ได้ระหว่าง Zale หรือ Valere เพื่อที่จะให้เป็น Lead Party ครับ)ส่วน Garl เนี่ยเป็นเด็กธรรมดาในหมู่บ้านที่ Zale และ Valere อาศัยอยู่ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร อารมณ์แบบตัวโจ๊กเลย ฮ่า ๆ เขาจะตัวติดกับ Zale และ Valere ตลอดเวลา ก่อนที่ Zale และ Valere จะถูกอาจารย์ใหญ่ Moraine เรียกไปฝึกแบบจริงจังบน Zenith Academy ไอ้ไอเดียของเพื่อน Garl จอมเบียวของเรานั้นก็ได้เร่งให้ทุกอย่างมันดำเนินไปเร็วขึ้น เพราะไอ้ต้าว Garl พลังบวกมันพูดปลุกใจ Zale และ Valere ให้ไป Forbidden Cavern เพื่อที่จะโชว์ออฟว่าเด็ก ๆ อย่างเราน่ะเก่งและสามารถผ่านไปอีกฝั่งของถ้ำได้โดยที่ไม่ต้องฝึกครับ มันจะชวนเพื่อนหนีนั่นแหละ ฮ่า ๆพอมาจริง ๆ นูบก็คือนูบครับ 5555 เด็กน้อยสามคนที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกอะไรใดใดทั้งสิ้น เวทมนตร์ที่มีอยู่ก็เบ่งออกมาใช้ได้เหมือนลมตด ก็เลยทำให้พอเจอมอนสเตอร์ในถ้ำทำให้เด็กทั้ง 3 คนนั้นเป็น Panic ไอ้เด็กที่มีเวทมนตร์น่ะมันชวนกลับตั้งแต่เข้าถ้ำมาแล้ว แต่ไอ้เด็กเบียวน่ะมันปลุกใจอยู่ อะแต่ยังดีนะพอเจอภัยจริง ๆ ไอ้ Garl จอมพลังของเรานี่แหละครับ ที่รับดาเมจจากมอนสเตอร์แทนเพื่อน ๆ หายซ่าตาบอดไปข้าง โดนจับแยกกับเพื่อนอีกเป็นปีปี เพราะเพื่อนต้องขึ้นไปบนโรงเรียนลอยฟ้าเพื่อฝึกวิทยายุทธ เด็กสามคนไม่ได้เจอกันนานแรมปี พอ Zale และ Valere ฝึกวิชาจนครบหมดทุกกระบวนท่าและพร้อมจะออกเดินทางแล้ว จอมเบียวของเรามันก็เก่งขึ้นแล้วเหมือนกัน มันข้ามไปรอเราที่อีกด้านหนึ่งของถ้ำก่อน Solstice Warriors อี๊ก เอาสิใจมันได้ การผจญภัยของเด็กหนุ่มธรรมดา 1 คน ที่ทำอาหารเก่งมว๊ากกก และ 2 Solstice Warriors ก็ได้เริ่มต้นขึ้นตรงนี้แหละครับ ส่วนที่เหลือผมเล่ามาขนาดนี้แล้ว กดซื้อได้แล้วม้างงงงงงงง ฮ่า ๆ ๆเอาจริง ๆ สำหรับผมในด้านเนื้อเรื่อง ใจหนึ่งก็แอบคิดว่าเบียวนิด ๆ แหละ ฮ่า ๆ ฟีลคล้าย ๆ แบบตอนอ่านวันพีชสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก(จนตอนนี้จะ 40 อยู่แล้ว วันพีชยังไม่มีท่าทีจะจบสักที 5555) มิตรภาพดีงามพระรามแปด เพื่อพวกพ้อง ต้องร้องไห้ อะไรแบบนั้นเลยครับ แต่ก็ไม่ได้จะเบียวไปซะอย่างเดียว ยังมีจุดที่แบบเหมือนจะสวิตช์ความรู้สึกคนเล่นไป ๆ มา ๆ เพราะบางอย่างมันหักมุมจากที่เราคิด มันก็เลยทำให้สตอรีไลน์ในมุมคนเล่นอย่างผมนั้นได้เกิดการเซอร์ไพร์สอยู่บ่อย ๆ "อ้าว!!! สรุปใช้วิธีนี้ได้เหรอ? ไม่ต้องสู้ก็ได้เหรอ? อ้าว!!! ตีอยู่ตั้งนานเป็นสัตว์เลี้ยงมีหัวใจก็ไม่บอก สงสารน้อน 555"เดินเข้าห้องไปคุยกับ NPC บางทีเตรียมใจจะสู้ไว้แล้ว แต่ NPC ก็ยื่นไอเทมมาให้ง่าย ๆ ซะอย่างนั้นเลย บางทีมีมุกแบบเจ้าของบ้านเดือดดาลไล่ลูกน้องออกด้วย เพราะดันมาช่วยเรา (เจ้านายจ้างให้เฝ้าบ้าน แต่ดันมาช่วยผู้บุกรุกอย่างเราหน้าตาเฉย 5555) มุกอะไรต่าง ๆ ก็น่ารักทำให้อมยิ้มได้ โดยเฉพาะ Garl จอมเบียวของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะดูรักพวกพ้องจนน่ามั่นไส้ แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราได้พินิจพิเคราะห์ตัวละครนี้อย่างจริง ๆ จัง ๆ เราจะเห็นว่าเขาเป็นคนรูปแบบหนึ่งที่ถ้ามีในโลกของเราเยอะ ๆ จะทำให้ผู้คนยิ้มได้ ไม่มีพิษมีภัย เป็นมิตรกับทุกสิ่ง พยายามมองปัญหาในแง่บวก และแก้ปัญหาแบบบวกบวก การมีความคิดสร้างสรรค์ในเชิงบวก ก็ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้ดำเนินไปอย่างน่ารักจริง ๆเกมเพลย์บอกเลยว่าลืม RPG Turn-Based แบบง่วง ๆ ในอดีตไปซะอันนี้ดี อันนี้ชอบ อันนี้ปัง เป็นการเล่น Turn-Based ที่เพลย์เยอร์อย่างเราเราได้มีส่วนรวมในการต่อสู้ เนื้อเรื่องก็ไม่เนิบนาบ Puzzle ที่มีให้เล่นก็สนุก การซ่อนของต่าง ๆ ให้หาก็ไม่ได้ยากจนเกินไป มอนก็ไม่ได้ออกมาบังคับให้ต่อสู้จนน่ารำคาญ Movement ของตัวละครที่ไม่ได้ช้า และแมปต่าง ๆ ก็ไม่ได้กว้างมาก ทำให้การเล่นเกมเกิดความลงตัวและรู้สึกว่าแค่นี้แหละกำลังดี เดี๋ยวแยกเป็นหัวข้อให้อ่านกันเลย แต่อาจจะยกเอามาทั้งเกมไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมจะเอาอันที่เด่น ๆ และคอนเทนต์ที่ผมรู้สึกว่าดีกว่าเกมแนว Turn-Based ที่ผมเคยเล่นมาในอดีต เกมสุดท้ายที่ผมเล่นน่าจะเป็น Crono Cross ในเครื่อง PS1 นู่นเลยนะ นานจนจำอะไรไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องคืออะไร 55555 ซึ่งเกม Turn-Based ยุคเก่า ๆ มันก็จะมีความน่าเบื่อของมันอยู่ เดี๋ยวผมจะยกไปพูดรวมทีเดียวเลยในหัวข้อย่อยด้านล่างนะฮะ ถ้าใครอ่านแล้วมีไฟในใจแบบอยากเล่นแล้ว ไม่อยากอ่านต่อแล้ว ก็ไปซื้อเลยฮะ เกมโคตรดี ย้ำเลยว่าถึงจะเบียวแต่ดีครับ 55555ระบบการต่อสู้ - การต่อสู้ในรูปแบบของเกม Turn-Based โดยส่วนใหญ่ในทุก ๆ เกมที่ผมเล่นมานั้น จะแบ่งเป็นเทิร์น ๆ ให้ได้เล่น พอถึงเทิร์นตัวละครตัวไหนแล้ว ก็จะมีเมนูการต่อสู้มาให้เราเลือก ทำอยู่แบบนี้วน ๆ ไป น่าเบื่อมาก ๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรให้ทำนอกจากนี้เลย ถึงจะมีเอฟเฟกต์ให้ดูท่าไม้ตาย หรือการซัมมอนสัตว์อสูร แรก ๆ ก็ตื่นเต้นดีและอลังการหลัง ๆ ก็เริ่มเบื่อละได้ดูบ่อยเกิ๊น แล้วกินระยะเวลาเนิ่นนาน บอสบางตัวตีกันเป็นหลัก 20 นาที โดยที่เราไม่มีส่วนร่วมอะไรกับตัวละครเลย กด เลือก รอการต่อสู้ วนลูปมันอยู่ร่ำไป แต่เกมนี้ครับ Dev ดูเหมือนหรืออาจจะรับทราบถึงความน่าเบื่อตรงนั้น อัปเกรดระบบการต่อสู้มาให้เข้ากับอุปนิสัยของคนรุ่นใหม่ เราจะต้องคอยสังเกตท่าของเราและมอนสเตอร์ในการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเราต้องคอยบล็อกการโจมตีของมอนสเตอร์ในระหว่างที่เราเป็นฝ่ายตั้งรับ และการบล็อกทุกครั้งเราก็จะได้รับเกจไปสะสมเอาไว้เพื่อใช้ท่าคอมโบกับเพื่อนในทีม รวมถึงการใช้ Skill ต่าง ๆ ก็ต้องกดให้ตรงจังหวะเมื่อตัวละครของเราออกท่าทางการต่อสู้ไปแล้ว เมื่อเรากดตรงจังหวะเราก็จะได้รับโบนัสเป็น Mana คืนมา หรือได้รับเกจในส่วนของท่า Ultimate มาสะสมไว้ด้วยความสนุกไม่ได้มีเท่านี้ครับ ลูกเล่นในการต่อสู้ที่ผมคิดว่าดีมาก ๆ ของเกมนี้ยังมีอีกอย่างก็คือ การที่เราสามารถเบรกการต่อสู้ของมอนสเตอร์ได้ โดยการสังเกตสัญลักษณ์เอฟเฟกต์ท่าการต่อสู้ที่ขึ้นมาบนหัวของมอนสเตอร์ เราจะได้คิดทุกครั้งว่าเราจะต้องใช้คอมโบไหนเพื่อที่จะให้ครบตามสัญลักษณ์ที่แสดงขึ้นมาภายในเทิร์นที่กำหนด หรือถ้าเราทำได้ไม่ครบเพราะเทิร์นมันค่อนข้างสั้นแต่สัญลักษณ์แสดงขึ้นมา 8 อย่าง (ส่วนใหญ่จะเจอแบบนี้กับบอสครับ) เราสามารถตีมอนสเตอร์ตามสัญลักษณ์ต่าง ๆ เท่าที่เราทำได้เพื่อลดดาเมจในการโจมตีของมอนสเตอร์ลงได้ครับ บอกเลยว่าเป็น Turn-Based ที่ต้องคิดอยู่ตลอด และมันสร้างประสบการณ์การเล่นเกมแนว Turn-Based ที่ดีให้กับผมมาก ๆ มันทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในการต่อสู้ระหว่างเทิร์นด้วยครับอีกส่วนที่ทำให้ผมประทับใจก็น่าจะเป็นในส่วนของ Relics หาซื้อได้ตามร้านค้าตามเมืองต่าง ๆ ที่เราไป มันคือของที่ระลึกแต่มีเอฟเฟกต์ให้เราใช้ในการต่อสู้นั่นแหละครับ อย่างในรูปด้านล่างตอนที่เรายังไม่มีมัน หลังการต่อสู้ทุกครั้งเราต้องตั้งแคมป์นอนพักเพื่อฟื้นฟู HP ของเรา แต่หลังจากที่ผมได้ Relics ชิ้นนี้มาแล้วและเปิดใช้ ทุกครั้งหลังการต่อสู้เลือดของผมจะถูกรีโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องตั้งแคมป์ฟงแคมป์ไฟอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว และ Relics ที่เราหามาได้ทุกชิ้นสามารถเปิดใช้พร้อมกันได้ทั้งหมด แจ่มสุด ๆ มันช่วยลดความเสียเวลาให้เพลย์เยอร์ได้หลายสิ่งหลายอย่างเลยครับอีกอย่างที่ต้องชมก็เห็นจะเป็นเรื่องการอัปเลเวลของตัวละคร ซึ่งถึงแม้ตัวละครนั้นเราจะไม่ได้เลือกสลับลงไปร่วมสู้ด้วยเลย ก็ยังจะได้รับค่าเลเวลเหมือนเพื่อน ๆ อยู่ดี เวลาเลเวลอัปมันก็จะอัปพร้อมกันทุกตัวเลย ตรงนี้ผมมองว่าดี ไม่ต้องไปเสียเวลาปั้นตัวละคร บางทีก็นะมีตัวในใจไง มีเมนอยู่เลือกแต่ตัวเมนมาเล่นแหละ ตัวอื่นเลเวลไม่อัปกันเลย ฮ่า ๆ อันนี้ก็ได้ตัดเรื่องความลำเอียงตรงนั้นไป อัปมันให้หมดทุกตัวจะว่าไปก็ไม่ได้มีส่วนที่ผมชอบไปซะทั้งหมด มันก็มีจุดที่ผมไม่ชอบอยู่เหมือนกัน ในระบบปาร์ตี้ของเกมนี้เนี่ยเราจะมีเพื่อนร่วมเดินทางที่ต่อสู้กับเราได้เต็มที่คือ 5 คน แต่เวลาเราลงต่อสู้เนี่ย เกมนี้จะให้สู้ได้สูงสุดแค่ 3 คนครับ ซึ่งจะมีปุ่มให้สลับตัวละครไป ๆ มา ๆ เมืออยู่ในการต่อสู้ ซึ่งผมชอบระบบที่ปาร์ตี้แบบ 6-7 คนก็อัดกันลงมาได้เลยแบบใน Final Fantasy มากกว่า การพบเจอมอนสเตอร์ของเกมนี้ผมต้องขอลุกขึ้นยืนปรบมือให้เลยครับ ชอบมากกกกกกก ผมรู้สึกถึงการไม่บังคับให้สู้ มันยังเจอมอนนะ แต่ไม่ได้เจอเป็นวินาทีแบบหลาย ๆ เกมที่ผมเคยเล่นมา เอาแค่ตระกูล Final Fantasy เนี่ย เดินปุ๊บดึงเข้าสู้เลย โอเคมันกดหนีได้ถ้าไม่อยากสู้ แต่หลัง ๆ มันเบื่อจนหนีตลอดเลยอะ 5555 ส่วนใน Sea of stars ถ้าสู้หมดแล้วคือหมดเลย ไม่ต้องเจอมอนสเตอร์แล้ว จนกว่าจะเดินออกจากแมปนั้นไป แล้วกลับเข้ามาใหม่มอนถึงจะ Respawn กลับมา อันนี้ดี เกมเมื่อก่อนเนี่ยถ้าผมไม่มี Action Replay แล้วใส่โค้ดสูตร ไม่เจอมอน ขยับนิดหนึ่งมันก็ดึงเข้าไปสู้แล้วครับ สู้เสร็จเพิ่งออกมาจะเดินถึงเมืองอยู่แล้ว แหมมันวาร์ปให้เข้าไปสู้อีกละ ยังไม่ทันหายใจเลย เกมนี้คือดีผมไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้สู้ แล้วไม่ต้องสู้ถี่ให้ผู้เล่นอย่างผมมีเวลาวิ่งเล่นหาหงหาหีบบ้างอะไรบ้าง เพลิน ๆ ขอบพระคุณกับระบบนี้มาก ๆ ครับMovement - เป็นส่วนที่อยากจะกดไลก์หัวใจให้สัก 100 ดวง ตัวละครเกมนี้ไม่ได้เดินช้าอืดอาด อาจจะมีช้าบ้างตอนเดินอยู่ในแมปแบบ Bird eye view แต่พอเข้าฉากไปแล้วก็จะเดินแบบเอาใจสายซิ่งไปเลย จากเกมอื่น ๆ ที่เดินกันช้า ๆ กว่าจะเร็วขึ้นได้ต้องรอพาหนะก่อน อันนี้ไม่ต้องพอได้เรือมาแล้วก็ไว หลัง ๆ นี่แบบโดนใจวัยรุ่นไปเลย บินเองแม่งเลย 5555 แล้วบินไวด้วยนะ ผมนี่นึกว่า Miss Marvel พอบินได้ มันก็จะมีเกาะแก่งต่าง ๆ ในแผนที่เปิดให้เราเข้าไปเล่น Puzzle เพื่อหาของอี๊ก คือแบบเพื่อน ๆ ต้องซื้ออะ มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ ขนาดว่าเนื้อเรื่องหลักจบไปแล้ว ก็มีประตูลับเปิดตอนเกมจบให้เล่นอีก 680 บาทสำหรับผมคือโคตรคุ้มค่าPuzzle & Mini Game - หีบสมบัติเยอะมากกกกก แค่หาหีบบอกเลยแก้ปริศนากันสนุกมาก ๆ แล้ว เพราะมีซ่อนให้เราได้เข้าไปค้นไปหาได้ทุกซอกทุกมุมจริง ๆ เอาเป็นว่าเมืองบาดาลอะเข้าทุกบ้านเจอทุกบ้าน 5555 ยังไม่นับการผ่านประตูบางอย่างที่จะต้องแก้ปริศนา ย้ายก้อนหินไป ๆ มา ๆ มีทั้งระดับง่าย ๆ แบบเด็กอนุบาลก็เล่นได้ ไปจนถึงระดับที่ว่าต้องนั่งดันหินกันเป็นนาทีก็มี บางอย่างผมก็ปล่อยผ่านเพราะหาทางเข้าไปเอาของไม่เจอจริง ๆ ผมเห็นนะว่าอยู่ตรงไหนเดินหาทั่วทั้งแมปแล้วก็ไม่รู้จะเข้าทางไหน ได้แต่โบกมือลา แล้วไปสอยของที่ดีกว่าในเนื้อเรื่องถัดไป แต่บางอย่างสถานการณ์บังคับ ยังไงเราก็ต้องพยายามแก้ปริศนาให้ผ่านเพราะเราจะได้รับสกิลคอมโบใหม่ ๆ ซึ่งถ้าเราพลาดแล้วเนี่ยก็จะไม่สามารถหาซื้อได้ครับ ฉะนั้นบาง Puzzle อย่าเดินหนี พยายามใช้หมองนั่งมาธิแล้วแก้ให้ผ่านด้วยครับเพื่อน ๆมินิเกมจะมีให้เราเล่นตาม Tavern (โรงเตี๊ยม) ที่เราไปนอนนั่นแหละครับ บอกเลยว่าแรก ๆ ผมเล่นก็ยังงง ๆ กับกติกาของเกม แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะเอาตัวพิเศษ และเหรียญไปแข่งชิงแชมป์กับ อะผมลืมจริง ชื่ออะไรผมจำไม่ได้แล้ว แต่เขาอยู่บนหอนาฬิกาครับ เราต้องเล่นแบบชิงแชมป์ให้ชนะทุกคนก่อนถึงจะไปแข่งกับเขาได้ มินิเกมนี้มีชื่อว่า Wheels ครับ ซึ่งพอเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวหมากของเรามีให้เลือกเล่นเยอะขึ้น ก็จะยิ่งสนุกขึ้นซึ่งแต่ละตัวก็จะมีความสามารถแตกต่างกันไป แต่บอกเลยว่าผมเล่นจนติดมาก ๆ ผมอยู่กับไอ้โต๊ะ Wheels นี่วันวันเป็นชั่วโมง ถ้าเพื่อน ๆ ซื้อเกมแล้วลองเข้าไปเล่นดูฮะ แรก ๆ ก็จะยากหน่อย พอเข้าใจแล้วก็จะง่ายขึ้นมาก และก็จะวางแผนรูปแบบในการชนะได้ดีมากขึ้นด้วยครับBoss Fight - บอสบางตัวมีหลายเฟส หลายฟอร์มให้ได้กระหน่ำใส่นัวกัน ช่วงแรก ๆ อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะยังไม่มี Ultimate พอช่วงหลัง ๆ เก็บเกจอัลติได้ การต่อสู้กับบอสก็จะหย่นเวลาลงครับ และคัตซีนของอัลติเมตก็สวยงามตระการตามาก ๆ บอสตายง่ายขึ้น บอสเนี่ยแม้แต่เนื้อเรื่องรอง หรือใน Puzzle ต่าง ๆ ก็มีโผล่มาให้เราได้สู้อยู่อย่างต่อเนื่องครับ แม้กระทั่งในอารีน่า(อันนี้ช่วงหลัง ๆ เวลาเราพักในโรงแรมให้เดินไปคุยกับ B'st ถ้าเขาพูดถึงอารีน่า ก็แสดงว่าอารีน่าเปิดแล้วให้ไปได้เลย) การตกปลา ที่ดูไม่ค่อยมีความจำเป็นเกมนี้เราสามารถตกปลาได้นะครับ เราจะได้เนื้อปลา เนื้อกุ้งมาไว้ใช้สำหรับทำอาหารให้เรา การตกปลาเกมนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร แค่โยนเบ็ด รอปลากินเหยื่อ แล้วก็ดึงขึ้นมาตามกระแสน้ำ โดยที่เราบังคับทิศทางของปลาไปซ้ายหรือขวาตามกระแสน้ำที่เห็นครับ จริง ๆ ระบบนี้ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ผมเข้าใจว่าที่ Dev ต้องใส่ลงมาเพราะว่ามันมีระบบทำอาหารนี่แหละครับ ซึ่งสำหรับผมมันดูไม่จำเป็นทั้งสองอย่างนั่นแหละ เพราะว่าอาหารบางอย่างก็มีขายอยู่แล้ว แล้วเล่นมาทั้งเกมผมแทบจะไม่ได้แตะกับระบบพวกนี้เลย เพราะมีวัตถุดิบอย่างอื่นที่ใช้ทำอาหารแทนได้เช่นกัน และหาได้ง่ายกว่าปลา คือปลาเกมนี้เราต้องตั้งใจไปตกเท่านั้นเลย เพราะจะมีเป็นบ่อให้ตก ซึ่งถ้าตอนที่เรายังบินไม่ได้จะโคตรเสียเวลาเดินทางมาก ๆ ซึ่งพวกมะเขือเทศ มัน หรือหัวหอม มันหาได้ง่ายกว่าตามทาง และอาหารสามารถหาซื้อเอาได้ตามร้านค้าในเมือง ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะตกปลาไปทำไม นอกจากจะเก็บ Acheivement ใน Steamการเพิ่มเลือดด้วยอาหาร ถ้าเปลี่ยนเป็น Potion น่าจะดีกว่าที่ผมจั่วหัวมาแบบนี้มันก็มีเหตุผลนะครับ หลัก ๆ น่าจะเป็นที่ว่าอาหารเราจะได้สูตรมาตลอดการผจญภัยของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นเปิดหีบ ซื้อจากร้านค้าในเมืองต่าง ๆ หรือได้รางวัลมา คือสูตรเยอะมาก แต่อาหารที่ทำมาไม่ว่าจะหลากหลายขนาดไหนมันก็เพิ่มให้เราได้แค่ HP และ MP เท่านั้นครับ คือสกิลที่ให้ใช้อะมันก็มีสกิลฮีลอยู่เกือบจะทุกตัวละครอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มเล่นเกมจนจบเกม ผมกินอาหารน้อยมาก ๆ ส่วนใหญ่ก็อัดสกิลเลย เพราะมันเพิ่มเลือดได้เยอะกว่ากินอาหารมาก ผมอยากให้อาหารไปเพิ่มค่าสเตตัสให้ในส่วนอื่น ๆ มากกว่า เช่น เพิ่มพลังโจมตี, เพิ่ม DEF, เพิ่ม M.ATK, โจมตีบอสแรงขึ้นไรเงี้ย แต่มันไม่ใช่ไงครับ มันเลยแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ทำคอนเทนต์ของระบบปรุงอาหารมาน่ารักมาก แต่ผมแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากอาหารเท่าไหร่เลยเกมไซซ์เล็ก ๆ เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ แถมใช้ Game Pad ได้อีกด้วยถ้าใครหาเกมที่แบบไม่ต้องใช้ Spec เครื่องสูง ๆ แล้วชอบเล่นเกมแนว Turn-Based ผมบอกเลยว่าเพื่อน ๆ เทใจมาที่เกมนี้ได้เลย ภาพน่ารักสีสันสดใส แล้วตอนใช้อัลติภาพก็สวยงามงานดีมาก ๆ ถึงแม้มันจะเป็นเกมภาพ 2D ก็ตาม ผมมองว่ามันเป็น Turn-Based สมัยใหม่ ที่ปรับปรุงมาให้เราได้สนุกกับเกมมากขึ้น ถ้าใครอยากใช้จอยเล่นแบบผม ผมก็แนะนำเลยว่าให้ซื้อที่มี Analog และพวกปุ่ม LS RS ด้วย ส่วนผมอยากจะแบบย้อนวันวานไง ใช้จอย Game Pad ของ 8Bitdo รุ่น ที่ทำเลียนแบบจอย Super Famicom แล้วคือปุ่มมันไม่สามารถใช้ได้ทุกฟังก์ชันของเกม ผมก็เลยต้องใช้ปุ่มบางอย่างจากคีย์บอร์ดด้วย 5555 ถ้าใครจะใช้ก็ซื้อแบบปุ่มครบ ๆ มาเลย จะได้ไม่เซ็งเหมือนผม อยากจะอินวันวนวันวาน แต่ไม่ยอมดูสังขารของจอยเลยว่าไม่แมตช์ แต่ใช้ Game Pad เล่นได้ฮะสำหรับเกมนี้ และได้อรรถรสด้วย ไม่ต้อง Setting ให้วุ่นวาย Connect จอยปุ๊บมันตั้งค่าให้เราเลย เล่นแล้วได้ฟีลดีกว่าคีย์บอร์ดมาก ๆ ครับ และเราไม่เมื่อยด้วย ย้ำอีกทีถ้าอยากจะอินให้ซื้อตัวที่มี Analog นะฮะอันนี้คือตัวที่ผมใช้ ฟีลได้มาก ๆ เหมือน Super Famicom เลยครับ แต่ปุ่มใช้งานไม่พอ 5555สรุปSea of stars สำหรับผมนั้นมันเป็นเกม RPG Turn-Based ที่สร้างมุมมองที่ดีให้ผมมองเกมแนวนี้เปลี่ยนไป คือต้องบอกตรง ๆ ว่าเมื่อก่อนตอนเล่นเกมแนว Turn-Based ใหม่ ๆ ตอนยุคผมเด็ก ๆ นั้น ผมก็สนุกกับมันอยู่ช่วงหนึ่งแหละ เพราะผมต้องเอาไปคุยโม้กับเพื่อนที่โรงเรียนว่าผมเล่นถึงไหนแล้วไง 5555 เด็ก ๆ ในยุคของผมนั้นเรียกเกมแนวนี้ว่าเกมภาษา สิ่งที่ทำหลังเกมออกก็คือรอซื้อบทสรุป พูดแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นมาก ๆ ครับ (น้ำตาคลอเลย แอบเบียวเหมือน Garl ไปอี๊ก 55555) แต่เกม Turn-Based ในยุคนั้นคือมีให้เล่นเยอะมาก ๆ รูปแบบเกมมันก็จะวน ๆ ยิ่งตอนเจอมอนสเตอร์เนี่ย เจอถี่_ิบหาย มันจะถี่อะไรขนาดน้านนนน แบบโคตรน่าเบื่อ เกมนี้เนี่ยเหมือน Dev เกิดในยุคของผมอะ แล้วเป็นคนประเภทเดียวกัน ฉันเบื่ออะไรแบบนี้ พอมาทำเกมเอง Dev ได้แก้จุดบอดของเกมแนว Turn-Based เดิม ๆ ให้กลับมาเล่นได้สนุกขึ้น โดยการใส่ลูกเล่นระหว่างต่อสู้ มอนสเตอร์ที่ไม่ได้บังคับให้เราสู้อยู่ตลอดเวลา มันก็เลยทำให้การเล่นเกมดูผ่อนคลายขึ้น ถึงแม้เกมนี้จะไม่ได้แปลเป็นภาษาไทย แต่ภาษาอังกฤษที่ใช้ในเกมก็ไม่ได้ยากจนเกินไป บอกเลยว่าคุ้มค่ากับราคา 680 บาท ใครสนใจตามไปจิ้มมาเล่นเป็นเพื่อนผมได้เลยใน Steam คอนเทนต์ในเกมอัดมาให้เล่นแบบเยอะมาก แค่มินิเกมที่ชื่อว่า Wheel เนี่ยบอกเลยว่าเล่นเพลินได้เป็นชั่วโมง ถึงแม้ว่าการตกปลากับการทำอาหารที่ผมมองว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ เนื้อเรื่องและเกมเพลย์ของ Sea of stars ก็ทำให้ผมมองข้ามเรื่องความไม่สมเหตุสมผลของการทำอาหารและการหาปลาไปได้ ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องบางช่วงจะดูเบียว ๆ เหมือนตอนอ่านมังงะ อารมณ์ประมาณนั้นเลย 5555 แต่ผมเชื่อว่าคนเบียว ๆ แบบ Garl ถ้ามีอยู่ในโลกของเรียลลิตี้ก็คงน่ารักดี แต่ในมุมของผม อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเองแบบ Garl เลยครับ รักตัวเองก๊อนนนนน เอาเป็นว่า Sea of stars ถ้าใครชอบเสพเนื้อเรื่อง ชอบเล่นเกมแนว Turn-Based เพื่อน ๆ มาลองเปิดใจกับเกมนี้ดู ผมรับประกันว่าจะไม่ผิดหวังครับ กดคืนเงินไม่ทันหรอก แค่ต้นเรื่องตอนเล่าเรื่องไอ้เด็กห้าว 3 คนก็อ่านเพลินจนหมดเวลารีฟันด์แล้ว เขาเอา Turn-Based ระบบเก่า ๆ มาปรับให้เล่นสนุกขึ้น แถมยังมี Style เป็นของตัวเอง ใจคอยังจะขอรีฟันด์กันอีกเหรอ จิตใจทำด้วยอะไรอะฮะ ฮ่า ๆ ๆ ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1244090/Sea_of_Stars/ป้ายยาจอยเพื่อเติมช่องว่างในหัวใจใครสนใจเล่น Sea of Stars ผ่านจอยผมแนะนำรุ่นนี้เลย มี Analog 2 ข้าง มีปุ่ม L2 R2 ด้วย จับง่ายกระชับมือ แต่ถ้าสำหรับคนมือใหญ่ ๆ อาจจะรู้สึกค่อนข้างเล็กครับ Blutooth เชื่อมต่อง่าย ใช้ได้ทั้ง PC, มือถือ และ Nintendo Switch 8Bitdo ถ้าสั่งจากจีนมีของปลอมครับ ราคาถูกก็จริงแต่เราอาจจะโดนของปลอมได้ด้วย ใครอยากได้ตามไปตำร้านเดียวกับผมรับประกันว่าได้ของแท้แน่นอน เสียตังซื้อเกมมาแล้ว ซื้อจอยไปเอา Feeling ตอนเล่นเกมด้วย ถือว่าซื้อมาเล่นเป็นเพื่อนผมละกัน ป้ายยาเลยตัวนี้ ซื้อครั้งเดียวเล่นได้ทุกเกม เจ็บแต่จบ 5555สั่งซื้อจิ้มเลย 
07 Sep 2023
[Review] รีวิว Starfield เกม RPG ตะลุยอวกาศจาก Bethesda ที่สุดเจ๋งมากๆ แต่ต้องทนเล่นให้จบ 1 รอบก่อน!
หลังเปิดตัวนับตั้งแต่ปี 2018 ในที่สุดเกมใหม่แนว Open World RPG จากค่าย Bethesda อย่าง Starfield ก็ได้วางขายแล้วเสียที!!! โดยเกมนี้วางขายห่างจากเกมก่อนหน้าของค่ายอย่าง Fallout 4 นานมากถึง 8 ปีเลยทีเดียว ทำให้หลายๆ คนก็น่าจะคาดหวังความพัฒนา และสนุกขึ้นกว่า Fallout 4 จากเกมนี้กันเยอะมาก แต่มันจะเป็นแบบนั้นหรือแย่ลง ... วันนี้ทาง GameFever ก็จะขอรีวิวเกม Starfield มาให้ชมกัน!!! ดูกันได้ตามด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างเกมโหมโรงStarfield คือเกมอะไร?Starfield เป็นเกมเน้นประสบการณ์ Open World RPG ในยุคที่มนุษย์มียานอวกาศให้ขับเดินทางไปดาวต่างๆ ได้แล้ว เกมจะเน้นให้ผู้เล่นมาเจอเควสสุดน่าติดตาม และให้มาใช้ชีวิตในโลกอีกใบหนึ่ง โดยหลักๆ ก็คือการต้องมาเก็บเลเวลปลดล็อกสกิล หรือสร้างบ้านออกมาให้สวยๆ พร้อมอัปเกรดหรือไปฟาร์มอาวุธ, ชุดเกราะ หรือยานอวกาศเทพๆ มาขับกัน ซึ่ง Bethesda ถือเป็นค่ายที่ทำเกมแนวนี้ออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก และมักยังมีความเจ๋งด้าน Sandbox หรือให้ผู้เล่นได้ Roleplay รูปแบบการเล่นต่างๆ ได้หลากหลายสาย ทำให้มีแฟนหลายคนรอเล่นเกมนี้กันเยอะStoryเนื้อเรื่องเปิดมาแบบแสนง่ายมาก เพราะเริ่มเกมมาคุณนั้นคือ "นักขุดแร่ทีมงาน Argos Extractos" ที่กำลังมาทำงานขุดแร่บนดาวแห่งหนึ่ง แต่ชีวิตก็เล่นตลกอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ดีๆ คุณก็ได้ขุดไปเจอ "เศษวัตถุลึกลับ" ที่เมื่อจับก็ทำให้ตัวเองสลบ และเห็นภาพหลอนอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะมีคนจากองค์กรแห่งการไขปริศนาอวกาศ Constellation เดินทางมาซื้อเศษวัตถุลึกลับ และหลังเขาได้ทราบว่าคุณจับแล้วเห็นภาพหลอน ก็จึงทำให้เขาได้ส่งคุณมาร่วมองค์กรเพื่อไขปริศนาวัตถุลึกลับนี้ คุณจึงได้เปลี่ยนอาชีพกลายมาเป็นนักไขปริศนาแห่ง Constellation มีหน้าที่ผจญภัยเพื่อ "ตามหาเศษวัตถุลึกลับทุกชิ้นนำมาร่วมร่างกัน และไขปริศนาว่ามันคืออะไรกันแน่" โดยเป้าหมายนี้จะเป็นเควสหลักของคุณไปตลอดทั้งเกม แต่ระหว่างทางก็จะได้เจอสิ่งปริศนาที่มีทั้งน่าสนใจ และเป็นภัยร้ายสุดๆ... พร้อมกับจะได้พบเจอ NPC สุดพิสดารหลายคน หรือได้สร้างมิตรภาพร่วมกับ NPC บางคนจากองค์กร Constellation ที่เราสามารถให้เขาเป็นคู่หูเดินทางไปร่วมกับเราได้NPC คู่หูแต่ละคนจะมีความสามารถ และเนื้อเรื่องที่ต่างกันไป แถมเราสามารถจีบจนแต่งงานได้เลยทีเดียว!Starfield จะยังคงเป็นเกม RPG ที่ให้ผู้เล่นผจญภัยตามเนื้อเรื่องหลัก และระหว่างทางเราก็จะได้พบเนื้อเรื่องจากเควสเสริมในโลก Open World ที่มีเยอะไปหมดเช่นเคย แถมยังมีเนื้อหาแปลกใหม่น่าสนใจไม่เหมือนกันเยอะมาก และเกมนี้ก็จะยังให้ตัวเอก "มีเนื้อเรื่องก่อนเริ่มเกม" มากขึ้นด้วย เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าตัวเอกนั้นมี Background กับ Traits แบบไหน โดย Background คือการให้เลือกว่าตัวเอกเคยทำงานอะไรมาก่อน ถ้าเลือก "นักล่าค่าหัว" ก็จะทำให้เรามีสกิลขับยานล่าศัตรูเก่งมาก และเวลาเจอเควสที่เกี่ยวกับนักล่าค่าหัว เกมก็จะมีบทสนทนาพิเศษมาให้เลือกตอบ NPC และทำให้เราได้ข้อดีกว่าการตอบแบบทั่วไป ส่วน Traits คือชีวิตเราเคยผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง ยกตัวอย่างถ้าเลือก "ยังมีครอบครัว" ก็ทำให้เรายังสามารถไปเจอหน้าพ่อแม่ได้ แต่ทุกอาทิตย์ในเกมเราจะต้องส่งเงินให้เขาใช้ด้วย ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าสิ่งพวกนี้ไม่ได้แค่ทำให้ตัวเอกมีมิติมากขึ้น แต่ยังทำให้เนื้อเรื่องในเกมมีความแตกต่างน่าสนใจต่อการเล่นแต่ละรอบไปอีกBackground กับ Traits ก็มีให้เลือกเยอะสุดๆ แต่หลายคนน่าจะชอบ Traits "ฮีโร่" เพราะมันจะทำให้เรานั้นเป็นคนดัง และจะมีแฟนๆ คอยมาให้ของขวัญหรือขอผจญภัยไปกับเราได้อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องหลักภายในเกมนี้ก็กลับ "เบาบาง & ไม่น่าติดตาม" โดยเป็นเพราะเควสหลักช่วงแรกจนถึงกลางเกม ผู้พัฒนานั้นต้องการจะนำเสนอให้ผู้เล่นรู้สึก "อยากติดตามว่าไอ้วัตถุลึกลับนี้มันคืออะไร ทำให้ใช้วิธีการเล่าก็จะเแบบไร้ความชัดเจน ให้ผู้เล่นอยากรู้อยากเห็นแบบขั้นสุด" แต่ผู้เขียนนั้นกลับรู้สึกว่า "มันจืดชืดอ่ะ ไม่มีความอยากเล่นให้จบเพื่อรู้เลย แถมหลายเควสก็ไม่ได้มอบรางวัลดีๆ หรือทำให้รู้สึกคุ้มที่จบเควสนั้น" แม้ช่วงที่เราจะต้องไปตามหาวัตถุลึกลับแต่ละชิ้น เราจะได้พบกับ NPC ที่น่าสนใจ และการผจญภัยไปหลายๆ ดาวแล้วก็ตาม เหมือนกลับว่าผู้พัฒนา "ประสบความล้มเหลวที่จะเล่นมุขเนื้อเรื่องแบบนี้" แต่ยังดีที่ช่วงท้ายเกมมีการ "เปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องให้ชัดเจนขึ้น" ทำให้ผู้เล่นอยากเล่นจนจบเกมมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดทุกเควสมันก็ "ไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนของเกม RPG ก่อนๆ จาก Bethesda" เพราะงั้นถ้าใครจะเล่นเกมนี้แค่เฉพาะเนื้อเรื่องหลัก ผู้เขียนขอแนะนำว่ามันอาจจะเป็ความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเล่นเอาเนื้อหาเควสเสริม หรือมีเวลาเล่น New Game Plus อันนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาหน่อย เพราะเนื้อหาช่วงเควสเสริมทำออกมาน่าติดตามกว่ามากPresentationStarfield เป็นเกมที่จะให้ผู้เล่นได้ผจญภัยทั้งบนภาคพื้นดิน และใช้ยานอวกาศขับเพื่อไปดาวต่างๆ ที่มีมากกว่า 1 พันดวง โดยการเล่นหลักๆ ก็ยังคงให้ผู้เล่นไปรับเควส และก็ออกผจญภัยเพื่อทำเควสให้สำเร็จ พร้อมกับตอนเข้าสถานที่ทำเควส (ดันเจี้ยน) เราก็ต้องจับอาวุธสู้กับศัตรูแบบสุดมันส์ หรือตอนขับยานอยู่ก็อาจมีโจรสลัดมาให้เราบินยานสู้กัน ซึ่งหลังสู้เสร็จเราก็จะได้เก็บของจากศัตรูเพื่อนำมาใช้ให้ตัวเองเก่งขึ้น หรือจะนำไปขายเพื่อได้เงินไปทำอย่างอื่น แถมแน่นอนว่านี่คือเกมที่คุณไปเหยียบดวงดาวได้ถึง 1 พันดวง เกมก็จะมีให้เราได้สำรวจบนดาวต่างๆ ว่ามีสถานลึกลับอะไร และเก็บทรัพยากรต่างๆ มาหา "สร้างที่พักอาศัยสักแห่งบนดาวดวงหนึ่ง" ที่คุณยังสร้างโต๊ะเพื่อปรับแต่งปืนหรือชุดเกราะหรืออื่นๆ ได้หลายรูปแบบ แถมถ้าคุณมีเงินเยอะๆ ก็เอาไปซื้อยานลำใหม่ที่มีความเก่งต่างกันได้หลายชนิด หรือจะไปหาปล้นจากชาวบ้านเขาเอาก็ได้ รวมทั้งยานก็ยังมีระบบปรับแต่งรูปลักษณ์ได้อิสระ หรืออัปเกรดให้แข็งแกร่งขึ้นไปได้อีกการปรับแต่งรูปลักษณ์ยานจะให้เอา Part ส่วนต่างๆ มาประกอบรวมร่างกันได้ตามใจชอบเลย ทำให้เรายังสร้างยานแบบใน Star Wars ก็ได้ด้วยอย่าลืมว่าเกมมีให้เก็บเลเวลด้วย และหลังเลเวลอัปจะได้แต้มมาเลือก 1 สกิล โดยเกมนี้ก็มีสกิลน่าสนใจให้เลือกอัปไปหมด ไม่ว่าจะสกิลสายต่อสู้, สายคราฟ, สายขับยาน, สายลอบเร้น หรือสายอื่นๆ อีกเพียบในด้าน Presentation สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว้าวมากๆ เกี่ยวกับเกมนี้เลยคือระบบ "New Game Plus" โดยของเกมนี้จะไม่เหมือนของเกมทั่วไป ซึ่งถ้าผู้เขียนบอกว่ามันเป็นยังไงก็อาจทำให้ "สปอย" แต่เอาเป็นว่า New Game Plus สามารถทำให้คุณเล่นเกมนี้ได้เพลินๆ จนจบไปได้อีกไม่ต่ำกว่า "10 รอบ" แล้วผู้เขียนก็มองว่า New Game Plus คือจุดที่ทำให้เกมนี้ยอดเยี่ยม และเป็นเอกลักษณ์ปฎิวัติวงการเกมสุดๆ แถมมันช่วยให้ทุกส่วนในเกม Starfield น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก อีกส่วนที่ดีคือเกมนั้น "มีภารกิจสุ่มหรือกิจกรรมที่ให้ตัวเอก Roleplay ได้เป็นอย่างดี" ยกตัวอย่างในเมืองจะมีให้ผู้เล่นรับภารกิจสุ่มไปล่าค่าหัวอยู่ตลอด แถมการสุ่มภารกิจก็ทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง ส่งผลให้ใครเพิ่งได้ดูซีรี่ส์ Mandalorian พอมาเล่นเกมนี้ต่อก็จะอินมากถ้าคุณอยาก Roleplay เป็นทหารรับจ้าง, นักส่งของข้ามกาแล็กซี่, นักขุดแร่ขาย หรือนักค้าของเถื่อนแบบ Hans Solo เกมนี้ก็มีระบบ หรือภารกิจให้ทำแบบนั้นได้แน่นอน โดยอาจทำออกมาได้ไม่เจ๋งขนาดนั้น แต่ก็ช่วยตอบโจทย์ได้ดีเลยเกมนี้ยังจะเหมือนกับเกมก่อนอย่าง Skyrim ที่จะมีหลายๆ ฝ่ายให้ผู้เล่นไปเข้าร่วม และจะได้เจอภารกิจเนื้อเรื่องที่ต่างกันไปอีก ทำให้เรื่องเนื้อหาเกมนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะน้อยเท่าเกมหลัก Fallout 4 เยอะเท่าของ Skyrim แน่นอนแต่ถึงแม้ New Game Plus จะช่วยยกระดับให้เกมน่าสนใจมากขึ้น สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ "ในช่วงที่คุณเล่นเกมนี้ตอนรอบ 1 มันจะรู้สึกจืดสุดๆ" เพราะแม้เกมจะใส่ระบบเจ๋งๆ มาเยอะแยะไปหมด แต่ปัญหาก็คือระบบต่างๆ นั้นทำออกมาได้ไม่สุดหลายส่วนเลย ยกตัวอย่างระบบแต่งปืนของเกมนี้มันก็มีไว้ "ให้อัปเกรดความแข็งแกร่ง & ให้ดูเท่ขึ้นเฉยๆ" ขณะที่ถ้าของเกมก่อนอย่าง Fallout 4 มันยังสามารถทำสุดได้ระดับ "เปลี่ยนปืนพกเป็นปืนไรเฟิลได้" แล้วถ้าพูดถึงส่วนๆ อื่นจะรู้สึกได้เลยว่าทุกอย่างภายในเกมดูธรรมดาไปหมด ซึ่งผู้เขียนก็ถึงขั้นมองว่า "มันเหมือนเป็นเกม RPG ทั่วไปที่ผสมร่วมร่างกับเกม No Man's Sky ก็แค่นั้น" ส่งผลให้จุดนี้เป็นเรื่องที่ต้องเป็นบทเรียนให้ผู้พัฒนาเกมมากๆ เพราะเกมก่อนหน้าทั้งหมดมักจะต้องมีสักระบบที่ทำได้ดีสุด แต่ถ้าคุณสามารถทนเล่นได้ไปจนถึง New Game Plus ทุกส่วนในเกมก็จะเจ๋งขึ้นเอาเรื่องจริงๆ ขอแนะนำรีบโฟกัสเล่นเนื้อเรื่องหลักให้จบไวๆ เพื่อไป New Game Plus ไว้ก่อน แต่รวมๆ เกมนี้ก็อยู่ในขั้นที่ดีนะ ไม่ใช่เกมอยู่ในขั้นแย่ แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมประณีตแบบเกมก่อนๆ แล้วเควสหลักมีทั้งหมด 20 เควส ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 30 ชั่วโมง และช่วงหลังเควส 13 จะเล่นเพลินขึ้น เพราะภารกิจเริ่มมีเนื้อหาที่แปลกใหม่ตลอด แต่ก็ยังรู้สึกว่าทุกเควสมันจืดๆ ไม่ได้มีเนื้อหาน่าจดจำอยู่ดีGameplayStarfield จะเป็นเกมที่ให้ผู้เล่นได้ใช้เวลาเดินพื้นบนดวงดาวต่างๆ มากกว่าใช้เวลาขับยานอวกาศ เนื่องจากเกมนั้นต้องการเน้นให้ผู้เล่นได้สำรวจภาคพื้นดิน และพูดคุยกับ NPC โดยการสำรวจดาวต่างๆ ก็จะทำให้ผู้เล่นเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละดาวก็จะมีพืช, ทรัพยากร, เอเลี่ยน และสถานที่ลึกลับต่างกันไป ส่วน NPC หลายๆ คนก็จะมีให้ผู้เล่นเลือกตอบบทสนทนาได้หลายรูปแบบ แถมเกมนี้ยังมีระบบ Persuasion ให้ผู้เล่น "คุยโน้มน้าว NPC" แบบสุดเจ๋งกว่าเกมก่อนแบบสุดๆ เพราะก่อนจะโน้มน้าวผู้เล่นจะต้อง "สังเกตุนิสัย & ดูว่า NPC เป็นคนยังไงให้ดีๆ" แล้วเราต้องมาเลือกบทสนทนาที่มีโอกาสโน้มน้าว NPC ได้สำเร็จให้ได้แต้มครบตามที่กำหนด ถ้าผู้เล่นตอบผิดก็อาจทำให้โน้มน้าวไม่สำเร็จ หรือถ้าผู้เล่นดวงดีก็อาจโน้มน้าวเขาสำเร็จในคำตอบเดียว ซึ่งมันช่วยทำให้การ Persuasion สนุกขึ้นจากเกม Fallout 4 มากๆ เลยถ้าผู้เล่นไปหาเบาะแสจุดอ่อนของ NPC คนนั้นมาก่อนหน้า ตอนใช้ระบบ Persuasion ก็จะทำให้โอกาสสำเร็จง่ายขึ้นด้วย ส่งผลให้ผู้เล่นสายเจรจาจะฟินมากส่วนเรื่องระบบ "ต่อสู้" เกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเหมือนของเกม Fallout 4 ไม่ว่าจะตอนสู้ด้วยปืนหรือตอนขับยาน โดยตอนขับยานผู้เล่นนั้นยังจะต้อง "บริหารพลังงานว่าจะไปเน้นที่ระบบไหนไปด้วย" สมมุติเราสามารถลดพลังงานความเร็วของยานให้บินช้าลง แล้วเอาพลังไปเพิ่มให้ปืนของยานโจมตีแรงขึ้นได้ หรือเราจะถอดพลังงานทุกระบบออก และใส่พลังงานความเร็วเพียงแค่ระดับ 1 เพื่อทำให้ยาน "ลอบเร้นไม่ให้ศัตรูตรวจพบเจอ" ก็ทำได้เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจอีกอย่างมากๆ คือ "เกมมีระบบให้ผู้เล่นต้องรับมือหลายอย่างมาก" ยกตัวอย่างถ้าเราไปเดินบนดาวที่ไม่มีอ็อกซิเจน เราก็สามารถค่อยๆ พลังชีวิตลดแล้วตายได้ ถ้าหากไม่ใส่หมวกให้อ็อกซิเจน หรือเราสามารถป่วยแล้วมีอาการ "ไอ" ทำให้ Stealth แตกง่าย และต้องไปหายามารักษา (พวกอาการป่วยในเกมนี้มีหลากหลายแบบมาก) โดยจุดนี้อาจไม่ทำให้เกมเพลย์ท้าทายขึ้นขนาดนั้น แต่มันช่วยให้ผู้เล่นได้อรรถรสมนุษย์ยุคอวกาศเอาเรื่องเลยในเกมนี้มีอาวุธประชิต และอาวุธปืนให้เลือกใช้เยอะมาก รวมทั้งอย่าลืมว่าสามารถปรับแต่งได้ แถมปืนยุคมนุษย์ยังอยู่แค่บนโลกก็มีให้ใช้นะระบบชุดเกราะในเกมนี้จะมีทั้งแบบ "ชุดธรรมดา" กับ "ชุดเกราะสามารถป้องกันพิษอันตรายต่อร่างกาย" เราสามารถตั้งให้เวลาที่ตัวเอกอยู่บนดาวไม่อันตรายจะไม่ต้องใส่ชุดป้องกัน แล้วตอนไปอยู่บนดาวมีพิษก็ให้ใส่อัตโนมัติก็ได้ ซึ่งมันช่วยเพิ่มอรรถรสมากแม้เกมเพลย์ของ Starfield จะฟังดูดีไปหมด แต่ในส่วนนี้ก็มีข้อเสียที่ร้ายแรงเหมือนกัน อย่างแรกคือ "การผจญภัยในเกมนี้ทำได้ไม่ดี" โดยหลักๆ เป็นเพราะระบบขับยานในเกมนี้ส่วนใหญ่จะให้ผู้เล่น "Fast Travel เพื่อลงจอดพื้นดาวหรือบินขึ้นอวกาศ รวมถึงตอนจะไปดาวดวงใหม่ๆ ก็ใช้วิธี Fast Travel" ซึ่งฟังเหมือนดูดีที่ทำให้ผู้เล่นได้ประหยัดเวลา แต่ผู้เล่นก็จะไม่รู้สึกได้ผจญภัยด้วยยานอวกาศเลย แถมยังทำให้ผู้เล่นต้องมาพบเจอหน้าคัทซีท & หน้าโหลดเยอะจนไม่ฟิน รวมทั้งแม้ผู้เขียนจะบอกว่าระบบต่อสู้ทำได้ดี แต่มันก็มีการ Downgrade จากเกม Fallout 4 ที่ทำให้ช่วงท้ายๆ เกมก็รู้สึกระบบต่อสู้น่าเบื่อได้เช่นกัน เพราะระบบต่อสู้นั้นจะมีแค่ให้ผู้เล่นยิงๆ ศัตรูจนพลังชีวิตหมดหลอดแบบไม่ค่อยมีลูกเล่นให้ใช้ลูกเล่นพิเศษอะไรมาช่วย แถมก็ยิงแขนขาศัตรูขาดตอนตายแบบเกม Fallout 4 ไม่ได้แล้วเวลาจะ Fast Travel ไปลงจอดบนดาวต่างๆ ยังต้องเข้าเมนูของเกมที่ไม่ลื่นไหลด้วย เรียกว่านอกจากไม่ทำให้อินก็ยังทำให้เสียอารมณ์อีกส่วนการผจญภัยภาคพื้นดินบนดาวต่างๆ แม้เราจะได้ไปเจอสภาพแวดล้อม, พืช, ธาตุ และเอเลี่ยนต่างกัน แต่มันก็งั้นๆ มาก แถมถ้าผู้เล่นจะสำรวจหาดันเจี้ยนหรือจุดลึกลับ ก็ต้องเดินไปแบบน่าเบื่อหลายร้อยเมตร แทบไม่เจอเซอร์ไพร์สอะไรตลอดทาง ส่งผลให้การผจญภัยเกมนี้ไม่ดีเท่าเกมก่อนๆ เช่นกันPerformance & GraphicStarfield ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ก่อนวางขาย มีหลายคนนั้นกลัวมากๆ ว่า "เกมจะบั๊กเยอะ & เล่นไม่ลื่น" ตามสไตล์เกมก่อนๆ ของค่าย Bethesda แต่ทว่าเกมนี้ก็ถือว่าสร้างเซอร์ไพร์สมากๆ เพราะผู้เขียนนั้นแทบจะไม่พบเจอบั๊กในเกมเลย!!! ตั้งแต่เล่นมาเจอบั๊กที่ทำให้เล่นเควสต่อไม่ได้แค่ 1 ครั้งเท่านั้น ขณะที่พวกอาการ Crash หรือค้างบ่อยก็ไม่มีเลย สามารถเล่นได้ลื่นๆ อย่างมีความสุขบั๊กที่ผู้เขียนเจอคือกำลังจะไปคุยกับ NPC รับเควสหลัก แต่ NPC ดันบินขึ้นฟ้าหนีไปซะงั้น แต่แก้ไขได้ด้วยการโหลดก่อนมาเจอ NPC คนนี้นอกจากเกมจะลื่นๆ ปัญหาน้อย สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนถูกใจในเกมนี้มากๆ คือ "เกมมีการทำฉากได้สวยงานอลังจัดเต็ม" ไม่ว่าจะตอนที่ผู้เล่นไปลุยดันเจี้ยนต่างๆ หรือตอนเข้าไปในเมืองต่างๆ ตามหลายดาวของเกม ซึ่งในเมืองแรกนี่ก็จะเป็นเมืองใหญ่อลังมาก แต่ผู้เล่นยังเข้าไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ ได้เยอะด้วย แถมเกมยังมีการใส่ใจทำสถานที่ต่างๆ ออกมาให้ได้อรรถรส & พาผู้เล่นฟินสุดๆ ส่วนด้านกราฟิกเกมนี้ก็อาจไม่ได้สวยอันดับต้นๆ ของเกมยุคนี้ แต่พวก Texture นั้นก็ดูดี และเรื่องแสงภายในเกมก็ทำให้ภาพดูได้อลังเอาเรื่อง ส่งผลให้ด้าน Graphic นี่ถือว่าน่าประทับใจอยู่เช่นกันเมืองแรกสุดของเกม เชื่อว่าหลายคนต้องร้องว้าวแน่นอน แต่เกมก็ยังมีเมืองสวยอื่นๆ ให้เจออีกเพียบแต่ในด้าน Performance นั้นก็มีอย่างนึงคือเกมนั้น "กินสเปคการ์ดจอกับ CPU เอาเรื่องเลย" โดยผู้เขียนได้ใช้ซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ RTX 3070Ti สิ่งที่พบคือถ้าผู้เขียนจะเล่นลื่นๆ ที่ 40-60fps ก็ต้องปรับภาพกราฟิกอยู่ระดับ Medium ขณะที่ถ้าปรับ High หรือ Ultra ก็มีตกลงมาที่ 30fps เลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมบน XBOX Series X l S ถึงล็อกที่ 30fps ด้วยนั่นเองเกมนี้ไม่มีระบบ Ray Tracing และมีระบบ AMD FSR2 ที่ช่วยลดขนาดจอภาพของเกมเพื่อให้เล่นลื่นขึ้น แต่ภาพตอนเล่นก็ยังสวยเหมือนปกติ โดยใช้ได้ทั้งชาวการ์ดจอ Nvidia หรือ AMD หรือ IntelสรุปStarfield เป็นเกมที่อยู่ในระดับดี แต่มันก็อาจไม่ได้ดีระดับยอดเยี่ยมเป็นถึงขั้นเกมแห่งปี เนื่องด้วยที่เกมนั้นทำเนื้อเรื่องมาได้ไม่น่าติดตามช่วงต้นถึงกลางเกม และระบบที่ใส่มาเพียบไปหมด แต่ดันทำได้ไม่สุดหลายส่วนจนทำให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นเกมตะลุยอวกาศที่ไม่ได้มีความเจ๋งพิเศษ แต่ก็ด้วยความที่ในปัจจุบันมีเพียงเกม Starfield ที่ทำออกมาเป็นแนว Open World Action RPG ธีมยุคอวกาศ จึงส่งผลให้มันก็ยังถือเป็นเกมที่คุณไม่ควรพลาด หากเป็นคนชอบเล่นเกมแนว RPG หรือเกมที่ให้คุณได้เอาเวลาจำนวนมากไปใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกใบหนึ่ง รวมทั้งถ้าทนเล่นไปได้จนถึงช่วง New Game Plus คุณก็จะได้พบความเจ๋งที่ยังไม่เคยมีเกมไหนทำได้ขนาดนี้มาก่อน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมงนั่นเอง*ขอขอบคุณทาง Edelman Thailand ด้วยนะครับที่ส่งเกม Starfield มาให้พวกเราได้รีวิว*
05 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Atlas Fallen อีกหนึ่งความย่ำแย่ของผลงานวิดีโอเกมในปีนี้ ที่น่าผิดหวังในทุกภาคส่วน
ผลงานใหม่ของ Deck 13 เจ้าของผลงาน The Surge หันมาจับเกม Action RPG ทั่วไปกับเขาบ้าง เลยออกมาเป็น Atlas Fallen เกมนี้ แต่มันจะมีอะไรดี หรือน่าสนใจหรือไม่ วันนี้มาดูรีวิวของเรากันเรื่องราวแบบเหล้าเก่าในขวดใหม่อีกครั้ง ของคนไร้ชื่อที่บังเอิญได้กลายเป็นฮีโร่เรื่องราวของ Atlas Fallen เล่าถึงเทพผู้ต้องการพลังอย่าง The Essence ซึ่งพลังดังกล่าว ดันเติบโตและเก็บเกี่ยวได้บนโลกมนุษย์ เทพ Thelos เลยพยายามหาวิธีทำลายล้างโลกมนุษย์ด้วยการค่อย ๆ เก็บเกี่ยวพลังไปพร้อม ๆ กับวางแผนก่อการใหญ่ ในขณะที่ Nyaal วิญญาณลึกลับที่มีพลังได้สร้างถุงมือวิเศษขึ้นมา และขังตัวเองไว้ในนั้นจนกลายเป็นถุงมือพูดได้ (คุ้น ๆ ใช่หรือไม่ ?) และผู้ที่ได้พลังนั้นมาครอบครอง กลับเป็นตัวเอกไร้นาม (ที่ในเกมใช้ชื่อ The Unnamed) ที่กำลังเผชิญหน้ากับกองทหารรุกราน และต้องเอาตัวรอดจากไฟสงคราม แน่นอนว่าภารกิจครั้งนี้ ทั้งการเอาตัวรอดจากหายนะสงคราม และหายนะระดับโลกแดนดินจึงได้เริ่มต้นขึ้นอาจจะถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่ค่อนข้างพอเหมาะพอเจาะไปเสียหน่อย เมื่อ Atlas Fallen ดันมีพล็อตแบบถุงมือวิเศษพูดได้อย่าง The Gauntlet อยู่ในเกม เพราะเมื่อช่วงต้นปี เกมของ Square Enix อย่าง Forspoken ก็มีพล็อตจำพวกกำไลโบราณพูดมากแบบนี้อยู่ เพียงแต่ว่าถุงมือโบราณในเกมนี้ไม่ได้พูดมากน่ารำคาญเท่า และฉากหลังของเกมก็ไม่ได้พาผู้เล่นไป Isekai ต่างโลกแบบ Forspoken ด้วย ดังนั้นถ้าจะมีจุดเหมือนก็น่าจะแค่การมีวัตถุแปลก ๆ ปากมากในเลเวลที่ต่างกันเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนื้อหาที่ Atlas Fallen ตั้งใจจะนำเสนอมันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย มันยังคงเป็นเรื่องราวของคนไร้นามที่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นวีรบุรุษ หรืออาจจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาอะไรสักอย่าง ซึ่งในเกมนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องของบ้านเกิดเมืองนอน หรือแผ่นดินใหญ่อยู่ดี รวมไปถึงทางผู้สร้างเอง เขาก็ไม่ได้คิดที่จะพยายามนำเสนออะไรที่มันใหม่ไปมากกว่านี้ด้วย ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ตรงแบบสุด ๆ บวกกับบทสนทนาที่เหมือนขาดการขัดเกลา ตลอดเวลาการเล่น เราจะเห็นบทสนทนาง่าย ๆ ไม่ลึก ไม่ซับซ้อน ไม่คมคาย อารมณ์เหมือนกับเขียนบทมาให้มันจบ ๆ ไป ซึ่งถามว่ามันดีไหม มันก็อยู่ในระดับที่สนุกไปกับมันได้ แต่ก็ไม่ใช่ของใหม่ที่เราจะต้องว้าวกันอย่างแน่นอน ทำให้เนื้อหาของ Atlas Fallen เป็นอีกครั้งที่เราต้องใช้คำว่า "เหล้าเก่าในขวดใหม่"ระบบการนำเสนอและเกมเพลย์การเล่นที่ตกยุคแบบสุด ๆน่าเสียดายสำหรับใครที่ผิดหวังในส่วนของเนื้อเรื่องและจะมาหวังกับ Gameplay เราขอดักคอไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า น่าผิดหวังไม่ต่างกัน จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมบางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปีนี้มีเกมนี้ออกวางจำหน่ายด้วย สำหรับ Atlas Fallen นั้น ใช้เกมเพลย์แบบที่แฟน ๆ คุ้นเคยกันดีนั่นคือ Open World ผสมกับความเป็น Action RPG ที่แทบจะไม่มีอะไรใหม่ใส่เข้ามาด้วยเลย แต่การนำเสนอระบบแบบต่าง ๆ นั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงไป แต่ส่วนมากก็คือการหยิบเอาบางระบบนั่นแหละมาดัดแปลงใหม่ ใส่เป็นของตัวเอง ในแง่ของระบบเกมเพลย์การเล่น ใครที่เล่นเกม Action RPG มาเยอะ ๆ จับแปปเดียวก็น่าจะรู้เรื่อง มันคือเกมที่เราจะได้ออกลีลาวาดลวดลายต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์โดยเกมนี้เราจะได้ใช้ถุงมือที่มีพลังโบราณเป็นอาวุธ และมี Stance การต่อสู้ให้เลือกใช้สองแบบด้วยกันคือ Sandwhip และ Dunecleaver แต่เราสามารถสลับไปมาระหว่าง 2 Stance นี้ได้ง่าย ๆ ด้วยการคลิกซ้ายหรือคลิกขวาง่าย ๆ โดยแบบ Sandwhip จะมีความรวดเร็วและความคล่องตัวที่สูงกว่า ส่วนแบบ Dunecleaver จะมีพลังโจมตีสูงกว่าแต่ช้ากว่านอกจากนั้นตัวละครยังมีหลอด Momentum ที่เปรียบกับเกมอื่น ๆ แล้ว มันก็คือหลอดมานาสำหรับกดร่ายสกิลต่าง ๆ แต่สำหรับเกมนี้ก็ดูไม่มีค่าความสำคัญอะไรเลย นอกเสียจากการกดใช้เพื่อออกท่าโจมตีพิเศษที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยการเก็บหลอด Momentum นี้ก็ได้จากการโจมตีปกติทั่วไปตามสูตรเกมเดิม ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ นอกจากอาวุธสองโหมดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือระบบ Essence Stone การใส่หินนี้ให้กับตัวละคร จะทำให้การโจมตีรูปแบบต่าง ๆ ได้รับการอัปเกรด เช่นต่อยเป็นพายุหมัดทอร์นาโด หรือใช้ค้อนออกมาสองอันพร้อมกัน โดยหิน Essence Stone ก็ได้ทั้งจากการทำภารกิจหลัก และภารกิจรองต่าง ๆ และมันมีรูปแบบทั้งหมดที่เราสามารถเก็บได้ แต่เอาจริง ๆ ถึงเวลาเล่น เราก็จะเจอแบบที่ชอบอยู่แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นแหละ และบางสกิล ใส่ซ้อนกันก็ใช่ว่ามันจะทำงานพร้อมกันได้ดี สรุปก็คือแทบไม่มีความจำเป็นจะออกไปเก็บให้ครบ หาอันดี ๆ สักชุด แล้วอัปเกรดใช้งานไปเรื่อย ๆ ก็เพียงพอแล้วและเวลาต่อสู้กับมอนสเตอร์ ส่วนมากก็จะเป็นรูปแบบเดิม ๆ คือการพยายามหลบหลีกการโจมตีของศัตรูและสวนกลับเท่านั้น การจะหาหีบไอเทมที่เป็นวัตถุดิบสำหรับการอัปเกรดถุงมือหรือ Essence Stone ก็คล้ายกันหมด ทำให้เกมเพลย์นั้นรู้สึกซ้ำซากจำเจอย่างถึงที่สุด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมสตูดิโอที่เคยสร้างเกมเจ๋ง ๆ อย่าง The Surge ถึงมามือตกเอา และดูเหมือนเป็นเกมที่ไม่ได้รับความใส่ใจในการพัฒนาเลยแม้แต่น้อยโลกของเกมถูกนำเสนอเป็นแบบ Open World ก็จริง แต่ก็ไม่ได้กว้างขวาง หรือมีพื้นที่อะไรให้เราสำรวจมากมายนัก แต่จุดที่ต้องขอชม และชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือเรื่องของการเดินทางภายในเกมที่มีความคล้าย Forspoken อยู่อีกส่วน โดยในเกมนี้ หากเหยียบอยู่บนพื้นดินปกติ ก็จะเป็นการเดินทางแบบทั่วไป แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเหยียบไปบนพื้นทราย ตัวละครของเราจะเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวไปเป็นการขี่ทราย เหมือนกับการขี่เซิร์ฟบอร์ดบนน้ำทะเล เท่ใช้ได้ และที่สำคัญคือ เป็นการทำให้การเคลื่อนไหวของตัวละครค่อนข้างลื่นไหลกว่าที่คิด แต่ก็นั่นแหละ เพราะสุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมาก หากเดินทางบ่อย ๆ ในระยะไกล การใช้ Fast Travel ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้วที่น่าปวดใจก็คือ เกมนี้ขายความเป็น Open World ในระดับหนึ่ง แต่โลกของเกมมันช่างอ้างว้าง เงียบเหงา ไร้ซึ่งความน่าสนใจใด ๆ ด้วยความที่อยากจะขายฉากหลังเป็นเมืองท่ามกลางทะเลทรายอยู่แล้ว นอกเสียจากซากปรักหักพัง และเมืองที่ค่อนข้างแห้งแล้ง เกมก็ขาดความน่าสนใจในการออกสำรวจอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่ว่าถ้าไม่มีเควสท์หรือภารกิจใด ๆ ให้ทำก็แทบจะไม่อยากออกสำรวจ อยากจะดิ่งเนื้อเรื่องให้มันจบ ๆ ไป แถมดีไม่ดี บางคนอาจจะเล่นไม่จบด้วยซ้ำถ้าให้มองหาข้อดีนั้น อาจจะพอบอกได้ว่า Movement และบางช่วงของเกมก็สนุกดี จากการออกแบบระบบการเคลื่อนที่บนทราย และความสามารถในการ Double Jump หรือ Air-Dash แต่เกมอื่นเขาก็มีระบบแบบนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่เกมนี้เอามาใช้และทำให้มันสนุกได้ในบางช่วง ซึ่งก็นั่นแหละครับ ทุกอย่างล้วนตกยุค ผิดที่ผิดทางไปหมด ยิ่งภารกิจเนื้อเรื่องนี่ยิ่งงงหนัก ว่าทำไมต้องให้เราทำอะไรซับซ้อน เช่นการไปหาเศษถุงมือมาอัปเกรด รวมไปถึงไม่บอกตำแหน่งที่ชัดเจนด้วย ปล่อยให้ผู้เล่นคลำหากันเอง รับรองว่าใครเบื่อง่าย เจอเส้นเรื่องภารกิจหลักเข้าไป โอกาสเลิกจากตรงนี้ สูงมาก ๆ..หากเกมนี้ได้รับการโปรโมทที่ดังกว่านี้ มันอาจจะโด่งดังขึ้นมาในฐานะเกมยอดแย่ก็ได้ ซึ่งก็ดีแล้วที่มันไม่ดัง และเราคงอยากบอกคุณผู้อ่านที่สนใจเกมนี้ว่า เก็บเงินไว้รอซื้อเกมอื่น ๆ ยังน่าจะดีกว่ากดเกมนี้มาเล่น ต่อให้ลดราคา เราก็ไม่แนะนำ..
02 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม CORNUCOPIA เกมทำฟาร์มมุมมอง Side Scrolling น่ารักเล่นเพลิน
CORNUCOPIA เกมแนว 2.5D ที่มีบรรยากาศแบบชนบท มี NPC กว่า 50 ตัว, มีระบบนวัตกรรมการทำปุ๋ย, ระบบการ์ดที่ไม่เหมือนใคร และสูตรอาหารกว่า 200 สูตร เจอเพื่อนพบปะแต่งงานและมีลูกกับ NPC 31 คน (คอนเซ็ปต์ดูเป็นไอ้ต้าวคนเจ้าชู้มาก ๆ ฮ่า ๆ) ร่วมงานเฉลิมฉลอง, เทรดสัตว์ที่การประมูล, ตกปลา, สร้างของ, ทำการเกษตร และเล่นมินิเกมต่าง ๆ มากมาย เอาจริง ๆ ในตอนแรกแค่อ่านคอนเซ็ปต์ของเกมผมแค่เริ่ม ๆ สนใจเองนะ ยังไม่ได้อยากลองเล่นอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นภาพของเกมเท่านั้นแหละกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาเลย เลยไปจัดตัวทดลองมาวอร์ม ๆ ดูก่อน ภาพเกมคือแบบทำให้คิดถึงเกมระดับตำนานอย่าง Kunio มาก ๆ เป็นเกมทำฟาร์มที่มีแนวการเล่นที่ดูแปลกใหม่ แปลกตา ถ้าให้ดูจากภาพเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการทำฟาร์มแบบ Side-scrolling น่าสนใจจุงเบย การตีหินตีไม้ก็มีค่าพลังขึ้นมาเหมือนเล่น Ragnarok ดูภาพตัวอย่างเกมไปก็ได้แต่ร้อง ว้าว ว้าว ว้าว ปะไปดูในเกมกันดีกว่าครับว่าจะบ้งไม่บ้ง มาฮะมา มาโดนผมป้ายยาซะดีดีเนื้อเรื่องแบบนี้หรือว่าเราจะเป็นกัปตัน? (ไม่สปอยล์ แค่เนื้อหาช่วง Intro)เราโดนพบเจอระหว่างที่โดนแช่แข็งอยู่ในเหมืองเก่า (นี่หรือเราจะเป็นกัปตันก้นสวย? 555) โดยคุณลุงชาวบ้านท่านหนึ่งชื่อว่า Rufus คุณลุงท่านนี้นี่แหละที่ไปตามคุณหมอ Andre มาดูอาการให้เรา คอยเป็นห่วงเป็นใยเราอยู่ตลอด ไม่มีใครคิดเลยครับว่าเราจะรอด จนคุณหมอได้ละลายน้ำแข็งและได้ยินเสียงหัวใจของเราเต้นครับ ทุกคนตกใจ ประหลาดใจ และดีใจมาก ๆ ที่เรารอด คุณลุงที่เป็นคนเจอเราได้พาเรานั่งรถเพื่อกลับเข้าเมืองเพื่อไปพักฟื้นที่บ้านของเขา ระหว่างทางก็จะมีอุปสรรคต่าง ๆ มาเป็น Toturial สอนเราใช้งานการบังคับปุ่มต่าง ๆ ภายในเกมครับ เมื่อถึงบ้านของคุณลุง เราจะได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของฟาร์ม เขาจะให้เราพักอาศัยอยู่กับเขาไปก่อนจนกว่าความทรงจำของเราจะฟื้นกลับมา แหมเนื้อเรื่อง Intro มันมาดีเว้ยเกมนี้ ระบบการเล่นอะไรก็ดูดี และแปลกใหม่อยู่เหมือนกัน อันนี้ผมวัดจากที่ผมลองเล่นจาก Toturial นะฮะ ปะเราไปดูด้านเกมเพลย์กันต่อดีกว่าครับทุกคนนนนน ผมนี่ตื่นเต้นเหมือนจะได้เจอเพชรเม็ดงาม ฮ่า ๆเกมเพลย์ดูดีมีลูกเล่นบางอย่างที่แตกต่างจากเกมแนวเดียวกันคอนเทนต์ในเกม CORNUCOPIA นั้นทำให้ผมได้เห็นว่า ถึงจะเป็นเกมแนวเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ เกมเพลย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเกมอื่นมากนักครับ เราจะได้ทำไร่ ทำฟาร์ม เลี้ยงสัตว์ แบบวนลูปอยู่ดี แต่ในเกมนี้นั้นผู้พัฒนาได้ใส่ลูกเล่น ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้เล่นอย่างเราได้สัมผัสกับประสบการณ์ในเกมที่แตกต่างจากเกมแนวนี้ในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นการถอนหญ้าด้วยมือ การเด็ดดอกไม้ การดึงเห็ด มันเลยทำให้การเล่นเกมสนุกมากขึ้นสัตว์ต่าง ๆ ในฟาร์มของเราเราสามารถนำน้อง ๆ มาช่วยเราทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการทุบหิน กำจัดวัชพืช ตัดไม้ เออก็สร้างความสะดวกให้กับผู้เล่นดี และก็แปลกตาไปมาก ๆ จากเกมอื่น ๆ เควสต่าง ๆ จาก NPC ที่มาเพิ่มความสนุกให้กับการเล่นเกม ต้องหาของ ต้องไปรังลับ ไหนจะต้องไปลงดันเจี้ยนเพื่อตีมอนสเตอร์อีก ก็เป็นอะไรที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้เล่นได้ การทำอาหารที่ต้องใส่วัตถุดิบเอง ต้มเอง ใส่น้ำเอง เบาไฟอะไรเอง เออมันแอบสร้างแรงดึงดูดในเกมเล่นเกมอยู่นะทำเล่นไป ฮ่า ๆ ปะเดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าในเกมมีอะไรน่าเล่นบ้าง เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างคอนเทนต์ในเกมมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะฮะ แต่ต้องขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ด้วยว่า อาจจะป้ายยาทุกระบบในเกมไม่ได้ เพราะลูกเล่นของเกมนี้เขาเยอะเกินกว่าที่ผมจะขนมาเขียนให้เพื่อน ๆ อ่านในบทความนี้ได้ ฉะนั้นถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ไปซื้อมาเล่นเป็นเพื่อนกันอีกสักเกมก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ ฮ่า ๆการทำฟาร์มมีลูกเล่นเป็นของตัวเองอยู่บ้างโดยทั่วไประบบการทำไร่ ไถนาของเกมนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเกมอื่นมากนักครับ แต่เมล็ดพืชพรรณต่าง ๆ เนี่ยก็จะดรอปมาจากเวลาเราดึง เราฟัน หรือเราเด็ดวัชพืช เกมนี้ก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่ผมมองว่า เราเดินเก็บนู่นเก็บนี่โยนตลาด เราก็รวยแล้วครับ เพราะต้นไม้ต่าง ๆ ในเกม มันโตเร็วมาก อาจจะไม่เร็วขนาด Orange season แต่ก็ถือว่าเร็วสำหรับผม ผลผลิตเกมนี้เราสามารถใช้อุปกรณ์เก็บเกี่ยวก็ได้ ใช้มือถอนออกมาก็ได้ ซึ่งการถอนในเกมนี้เนี่ยก็จะทำให้เราได้ไอเทมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นด้วย แต่แค่เราต้องเสียเวลากับการถอนมันทีละต้นครับการรดน้ำต้นไม้ ที่จะบอกว่าคือดี เกมนี้เราสามารถคราฟต์อุปกรณ์รดน้ำแบบออโต้ได้ตั้งแต่ต้นเกมเลยครับ แต่ใครจะใช้บัวรดน้ำก็ได้ มีมาให้ได้ใช้งานอยู่เหมือนกัน การรดก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเกมอื่น ก็เดินรดมันไปเรื่อย ๆ จนครบ น้ำหมดก็เดินไปตักน้ำ ก็เป็นสไตล์เดิม ๆ ที่เพลย์เยอร์อย่างเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วครับดินของเกม CORNUCOPIA นี่แหละครับ ที่ผมมองแล้วว่ามันดูแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ให้สังเกตจากสีของดินเวลาเราขุดเพื่อที่จะปลูกผัก ดินที่มีแร่ธาตุเนี่ยก็จะแตกต่างจากสีดินปกติครับ เมื่อเราปลูกผักในบริเวณนั้น ๆ ก็จะทำให้เราได้ผลผลิตที่เยอะเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเราใส่ปุ๋ยเพิ่มลงไปอีกนะ เราก็จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี เก็บเกี่ยวได้ในจำนวนที่มากขึ้น เวลาเราเอาผักไปโยนขาย เราก็จะได้กำไรมากขึ้นด้วยครับการเลี้ยงสัตว์น่ารักจัง เดินตามได้ด้วยเราก็แค่เล่นเกมตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเราจะได้สร้างฟาร์มครับ สัตว์ต่าง ๆ จะถูกเลี้ยงอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ตื่นเช้ามาก็ต้องแวะมาให้อาหาร คุยกับน้อนเพิ่มความรักความห่วงใยกันหน่อย เลี้ยงไปเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถได้ผลผลิตจากน้อน ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น นม ไข่ เราก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่นได้ จะเก็บไว้ทำอาหารเพื่อเพิ่มบัฟให้กับตัวเองก็ได้ หรือให้เป็นของขวัญกับชาวเมืองก็ได้อีกเช่นกันครับ แล้วความน่ารักไม่ได้จบแค่ที่ผมได้เล่ามา ถ้าเพื่อน ๆ มีสัตว์ตัวโปรด เราสามารถตั้งค่าน้อง ๆ ให้เดินตามเราได้ น้องจะช่วยงานเราครับ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ การช่วยเก็บผลผลิต การขุดดิน ฯลฯ แหม!!! มันน่ารักอย่างเดียวไม่พอ มันยังมีประโยชน์ให้กับเราอีกด้วยการต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์เกมนี้มีเลเวลตัวละครครับ เราสามารถมาฟาร์มมอนเพื่อเก็บค่าประสบการณ์ในเหมืองได้ด้วย ได้ทั้งแร่ ทั้งเลเวล มอนต่าง ๆ มีระดับเลเวลแตกต่างกันไปตามระดับความลึกของเหมือง ผมมองว่าการมาเข้าเหมือง เหมือนการเข้าดันเจี้ยนยังไงยังงั้นเลย เพราะมีบอสให้เราได้สู้ด้วย เราสามารถอัปสกิลต่าง ๆ ได้เมื่อเลเวลเราอัปครับ ถ้าเราอยากได้บัฟต่าง ๆ นั้น เราสามารถทำอาหารเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับตัวละครของเราได้ แถมยังพาสัตว์เลี้ยงตัวโปรดไปช่วยต่อสู้ได้ด้วย ผมลืมบอกไปว่ามอนสเตอร์นั้นไม่ได้มีอยู่แค่ในเหมืองเท่านั้นนะครับ เราสามารถเจอมอนได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา หรือแม้แต่บ้านของเรา ฮ่า ๆ และในเหมืองยังมีปริศนาต่าง ๆ ให้เราได้ไปแก้กันด้วยMinigameผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกมันว่ามินิเกม หรือการสุ่มดวงดี ฮ่า ๆ เมื่อเราทำฟาร์ม ทำเควส หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ได้รางวัล บางทีเราจะได้รับ หวยขูด (เรียกงี้ได้ไหมอะ ฮ่า ๆ) เออก็เพลิน ๆ ดีนะ ได้มาหลายใบ มีหลากหลายรางวัล รางวัลก็จะแตกต่างกันไปตามลักษณะรูปภาพ สมมติว่าเป็นรูปอาหาร เมื่อเราขูดล็อตโต้แล้ว รางวัลในล็อตโต้ที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัตถุดิบอาหาร ซึ่งมันสนุกดีที่ได้ลุ้นตลอดว่าแจ็กพ็อตจะแตกไหม ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ชีวิตจริงหวยกินยังไง ในเกมก็โดนอย่างนั้นแหละ ฮ่า ๆสรุปถึงแม้ปัจจุบันจะอยู่ในสถานะ Early Access น่าเสียดายที่เป็นเกมอินดี้ที่คนไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ เกมนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงหมาพูดได้, การทำเควส, การตกปลา และอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย ที่ผมไม่ได้ยกมาพูดถึงในบทความนี้ เพราะผมกลัวบทความจะยาวจนเกินไป ถ้าถามว่าควรซื้อไหม ผมก็มองว่าเกมนี้เนี่ยวัดดวงเลยครับ มันวัดดวงยังไง คือถ้าคนไม่ชอบเนี่ยก็คือจะไม่ชอบเลย ด้วยความที่มันเป็นการทำฟาร์มแบบ Side scrolling เดินซ้ายขวาบนล่างคล้าย ๆ กับเกม kunio แล้วแมปมันก็ไม่ได้กว้างและไม่ได้รวมกันอยู่ในพื้นที่เดียว เราต้องเดินเปลี่ยนฉากไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันทำให้ผมเกิด motion sickness อยู่บ่อยครั้ง ถ้าใครเมาเกมแบบผมผมบอกเลยว่า มันจะเกิดอาการเล่น ๆ หยุด ๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้การเล่นเกมขาดตอนครับ ครั้นพอจะมาเล่นอีกก็กลัวจะปวดหัว ส่วนถ้าใครที่เล่นแล้วชอบเนี่ย แล้วทนทางต่อแรง G มากกว่าผม ผมบอกเลยว่าเพื่อน ๆ จะหลงรักเกมนี้แน่นอนครับ ด้วยความที่เกมเพลย์มันแปลกใหม่แตกต่างจากเกมทำฟาร์มเดิม ๆ มีเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามว่าเราเป็นใครมาจากไหน ทำไมโดนแช่แข็งอยู่ในเหมือง ตื่นมาพร้อมกับความทรงจำที่หายไป แล้วมันหายไปได้ยังไงกันล่ะ? เรานี่แหละครับที่ต้องไปตามหาปริศนาในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละครของเรา ในเกมมีมินิเกมให้เราได้แก้ Puzzle กันอีกหลายภาคส่วน ใครสนใจผมบอกเลยว่าเป็นเกมอินดี้ที่น่ามีสะสมเอาไว้ครับ ราคาไม่แรงสามารถสั่งซื้อได้ผ่าน Steam สนนราคาเพียง 495 บาทเท่านั้น! ใครกลัวไม่คุ้มแนะนำรอลดครับ ใกล้จะถึงช่วงลดกระหน่ำท้ายปีแล้ว มีหลากหลาย Sale ให้เราได้รอไปจับจ่ายใช้สอยกันไม่ว่าจะเป็น Halloween Sale ช่วงเดือนตุลา, Autumn Sale ลากยาวกันไปจนถึง Black Friday Sale ในช่วงเดือนพฤศจิกา, แล้วไปปิดท้ายที่ Winter Sale ยาวไปจนถึงช่วง New Year Sale ผมคิดว่าไปรอซื้อช่วง Sale ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เราจะประหยัดเงินได้อีกหลายร้อยเลยสำหรับเกมนี้สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1681600/Cornucopia/
24 Aug 2023
[Review] รีวิวเกม ORANGE SEASON เกมทำฟาร์มภาพ Pixel ที่กำลังสร้าง มองข้ามไปก่อนก็ได้
ORANGE SEASON เกมทำฟาร์ม เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ สไตล์ Stardew Valley ตัวภาพมีความน่ารักคิกขุอาโนเนะ เปิดวางขายบน Steam มาตั้งแต่ 22 เมษายน 2017 ผมได้แต่นั่งมองนอนมองว่าเมื่อไหร่มันจะลดสักที จริง ๆ มันลดไปหลายรอบแล้วแต่ด้วยความที่ดองเกมไว้เยอะมาก ๆ เลยได้แต่เมียงมองไว้ก่อน ฮ่า ๆ จนวันนี้... อาจจะไม่ใช่วันที่เพื่อน ๆ มาอ่านนะฮะ อาจจะเลยไปนานแล้ว ถ้ามาอ่านช้าไปก็รอมันลดรอบต่อไปละกันนะฮะเพื่อน ๆ อะอะมาว่ากันต่อจนวันนี้ผมนั่งไถ ๆ ดูเกมใน Wishlist แล้วก็ได้สะดุดกึ้ก!!! มือไม้สั่นรีบเติมเงินเข้า Steam เพราะ ORANGE SEASON ลดอยู่ 30% ราคากำลังน่ารักน่าชังเลยกดมาลงคลังไว้สักหน่อย เอาจริง ๆ ไม่อยากจะคาดเดาอะไรทั้งนั้น แต่แอบมีคิดในหัวอยู่เบาเบาเหมือนกันว่ามันจะสู้ Stardew ได้ไหมน้าาา อยากจะป้ายยาเพื่อน ๆ แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สนุกขนาดนั้นน่ะสิ งั้นเอางี้ผมรีวิวตามจริงเลยละกัน ห้ามงอนกันนะถ้าผมไม่ได้อวย ฮ่า ๆเนื้อเรื่องเริ่มมาแบบง่าย ๆ พุ่งเข้าประเด็น ไม่เท้าความเนิบนาบปกติเกมแนวนี้ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดี เนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มมาเหมือน ๆ กันที่หนีชีวิตในเมือง หนีงาน หนีปัญหา มาทำไร่ ทำฟาร์ม เลี้ยงหมู เลี้ยงหมาไปวันวัน ได้รับมรดกจากโคตรเหง้าศักราช คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือแม้แต่คุณลุง ทั้งชวนมาอยู่ตอนมีชีวิตบ้าง จากโลกนี้ไปแล้วบ้าง ซ้ำซากจำเจวอแวอยู่กับเนื้อเรื่องแบบนี้กันมาทุกเกม แต่เกมนี้แตกต่างออกไป เริ่มเกมปุ๊บเข้าประเด็นปั๊บ...ตัวเอกที่เราบังคับเนี่ยซื้อฟาร์มมาครับ เราเนี่ยคิดว่าฟาร์มที่เราซื้อมาจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะถูกทิ้งร้างและได้มาในราคาถูก เนื้อเรื่องเริ่มต้นมามีเพียงเท่านี้ และไม่ได้เท้าความอะไรให้เยอะแยะครับ เปิดตัวมาเราจะยืนคุยอยู่กับ Julia นายกเทศมนตรีของเมือง Orange Season และน้องชายของเธอชื่อ Benjamin คุยกันไปกันมาจูเลียจะต้องไปทำธุระต่อที่อื่นจึงมอบหมายให้เบนจี้น้องชายของเธอดูแลเราต่อ และคอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ เบนจี้จะพาดูเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในฟาร์ม และสอนเราใช้งาน และเบนจี้จะมอบอุปกรณ์ทำฟาร์มเอาไว้ให้เรา ซึ่งเป็นของขวัญต้อนรับเราจากชาวเมืองครับ (เขาหุ้นกันซื้อมาให้เราเลยนะ) หลังจากนั้นเบนจี้ก็จะกลับไปและทิ้งเควสเอาไว้ให้เราฝึกฝีมือการเพาะปลูกเล็กน้อยไอ้รวบรัดอะมันก็ดี แต่นี่แทบไม่รู้เลยว่าตัวเอกเป็นใครมากจากไหน? ทำอะไรมา? ผมได้แต่นั่งงงว่าชาวเมืองเขาไม่อยากรู้หัวนอนปลายเท้าคนแปลกหน้าคนนี้เลยเหรอ? ฮ่า ๆ ในส่วนนี้ผมว่าดีตรงที่มันไม่ยืดยาดน่ารำคาญ คุยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วได้เล่นเกมเลย แต่ในมุมกลับกันมันก็น่าจะมีมิติของสตอรีไลน์อะไรให้ลุ้นมากกว่านี้หน่อย ให้เราอินกับตัวละครสักนิด เออนายมีปูมหลังมาแบบนี้นะ ไม่ใช่จบที่ว่าเบนจี้แค่อยากเผือกนิดหน่อย มีบทสนทนาก่อนเบนจี้จะกลับบ้าน...Benjamin : เออก่อนผมจะกลับ ผมอยากรู้ว่าทำไมนายถึงเลือกจะมาซื้อฟาร์มแล้วทิ้งทุกอย่างมาอยู่ที่เมืองชายขอบแบบนี้ล่ะ?Me : เหตุผลง่าย ๆ นิดเดียวเลยครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกถึงการมีชีวิตชีวิตโหดร้ายขนาดไหนกันวะเนี่ยยยยยย ก่อนหน้านี้คือตายล้วน? หยอกหยอก ฮ่า ๆ ๆ สรุปพวกเราก็ยังไม่ได้รู้อะไรอยู่ดีครับ เอาน่าเล่นไปเรื่อย ๆ อาจจะค่อย ๆ คลายปม หลังจากนี้ผมและเพื่อน ๆ ต้องต่างคนต่างเล่นแล้วนะฮะ ถ้าอยากรู้เรื่องราวต่อไปปะไปซื้อเกมกัน ป้ายยา ป้ายยา ว่าแต่ยาไม่ค่อยแรงเลย ฮ่า ๆเกมเพลย์เล่นไปเล่นมาติด Bug จนท้อบอกเลยว่าสำหรับเกมเพลย์และคอนเทนต์ต่าง ๆ ของเกมนี้ สร้างความหงุดหงิดใจและความน่าเบื่อให้ผมเลยตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่เริ่มเล่นเกม คอนเทนต์ที่หละหลวมและมีข้อบกพร่องให้พบเห็นค่อนข้างเยอะ Bug มากมายที่ไม่เป็นมิตรกับเพลย์เยอร์ เลยทำให้การเล่นเกมไม่มีความสมูตและลื่นไหล เสียดายที่ภาพของเกมทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ แต่ผมต้องพยายามเล่นมัน ที่ผมใช้คำว่าพยายามคือพยายามจริง ๆ นะฮะ ฝ่าฟันกับอภิมหา Bug การ Interact กับสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่รู้จะยากไปไหน ยากจนเศร้า คืออยากเล่นต่อ แต่กลายเป็นว่าต้องเล่นแบบฝืน ๆ เพราะอยากจะเอามารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน เดี๋ยวผมจะแยกย่อยตามหัวข้อต่าง ๆ ให้เห็นเลยว่า เราจะติดบัคกันในทุกอิริยาบถ ของทุก ๆ คอนเทนต์ในเกม ฮ่า ๆ ๆ ก่อนเข้าเกมผมบอกเลยว่าผมกะมาอวยยศให้เขาเลย พอเล่นแล้วยิ้มแห้ง แอบเสียดายเงินนิดนุง 555555การทำไร่ที่คุ้นเคย แต่ไม่อยากจะเอ่ยถึงบัวรดน้ำการทำฟาร์มของเกม ORANGE SEASON นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นมากนักครับ ใช้จอบขุดดิน โรยเมล็ดลงไป และขั้นตอนสุดท้ายก็คือการรดน้ำ แต่ที่จั่วหัวมาว่าไม่อยากพูดถึงพี่บัวรดน้ำก็เพราะ "มัน Bug ครับ" ไอ้แหล่งน้ำเกมนี้ต้องชมเลยว่ามันมีบ่อน้ำใกล้ ๆ กับแปลงผักของเรา ซึ่งเราจะไม่ต้องเดินไปตักน้ำไกล ๆ ให้เสียเวลา แต่ แต่ แต่ ไอ้พี่บัวรดน้ำของเราเนี่ย บางทีก็กรอกน้ำได้ บางทีก็กรอกน้ำไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ!!! ตอนเราเอาพี่เขามารดน้ำต้นไม้ น้ำมันดันไม่โดนต้นไม้เว้ยเพื่อน ๆ ขยับหามุมนิดหนึ่งยังไม่โดนต้นที่เราต้องการ รดจนน้ำหมด เดินไปกรอกน้ำใหม่ น้ำเข้าพี่บัวบ้างไม่เข้าพี่บัวบ้าง บางทีกดตักน้ำ แต่ไปยืนรดน้ำอยู่ตรงบ่อน้ำก็มี ฮ่า ๆ กลับมารดน้ำกันใหม่ ยืนเปลี่ยนมุมเปลี่ยนทิศทาง อห ได้สักที (อห ที่ไม่ได้แปลว่าโอ้โห ฮ่า ๆ) แค่เริ่มเกมมาทำเควสปลูกหัวไชเท้า ผมก็เซ็งแล้วฮะ ได้แต่นั่งทำตาปริบปริบ ว่า Dev ปล่อยออกมาขายแบบนี้ได้ยังไงกันฟระ ผ่าน QA Tester มาได้ยังไงก๊อนนนนน อะหรือไม่มี QA Tester ??? ผ่านไปแล้วกับการปลูกผัก นี่เพิ่งเริ่มเกมเองนะครับเพื่อน ๆ ไปครับไปนั่งงงเป็นเพื่อนผมกันต่อในหัวข้อถัดไปกันดีกว่าฉันนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง แปลกใจฉันจริงปลาไม่กินเหยื่อเอาจริง ๆ นะผมไม่แน่ใจเลยว่า Dev เขาอัประบบตกปลาเข้าเกมมาหรือยัง ? แต่มีเบ็ดให้นะ แล้วก็มีเหยื่อเป็นไส้เดือนให้เก็บด้วย แต่ แต่ แต่ สรุปว่าไม่มีช่องให้ใส่เหยื่อคือตกได้เลยโดยไม่ต้องใช้ไส้เดือนครับ แล้วไส้เดือนมีไว้ทำไม ขายทิ้ง? อะอะไม่เป็นไรใส่เหยื่อไม่ได้ไม่เป็นไร ไหนไหนลองกด Space Bar ตกเลยละกัน อุ๊ยปลากินเหยื่อแล้ว กด Space Bar อีกทีเพื่อดึงปลาขึ้นมา อ้าวปลาหนีไปแล้ว ตกอยู่เป็นสิบสิบรอบ รู้หมดว่าได้ปลาอะไร แต่แ_่งหนีหมดเลยเว้ยเพื่อน ๆ หนีเก่งเกิ๊นนนน ตกอยู่ 20 นาที ไม่ได้ปลาแ_่งสักตัว ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันมาทำอะไรที่นี่ ♪♫♬♩ คิดในแง่ดี เราอาจจะเล่นไม่เป็นเองก็ได้ ตัวเกมมีสอนแต่อาจจะลืมดูก็ได้ว่าเขาให้กดอะไร ฮ่า ๆ ๆ มามาลองใหม่กันอีกสักตั้ง 10 นาทีต่อมา... ตกได้โคลน 55555 ล้อกันเล่นใช่ไหมครับเนี่ยยยยยยย อะไรกันครับเนี่ย TT จุดนี้ผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าคอนเทนต์นี้มันยังไม่เปิดให้เล่น หรือว่าผมติดบัค แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะว่ามันมีเบ็ดมาให้เราตั้งแต่ต้นเกมเลยปลาเกมนี้จะมีจุดตกปลา เราจะไม่สามารถหย่อนเบ็ดตรงไหนก็ได้เหมือนใน Stardew หรือ Harvestmoon มันก็เลยทำให้ฟีเจอร์นี้ค่อนข้างขาดอิสระอยู่พอสมควรครับ แม่น้ำมีรอบเมืองเลย แต่ต้องเดินมาที่จุดตกเท่านั้น แล้วเดินมาไกลปลาก็ตกยากมาก ๆ และไม่มีมินิเกมให้เล่นเกมตอนตกปลา เราแค่หย่อนเบ็ดดึงขึ้นแล้วลุ้นเอาว่าได้หรือไม่ได้ ไม่มีเกจอะไรให้ได้มีส่วนร่วมกับการตกปลาเหมือนใน Stardew เลยแม้แต่น้อย เล่ามาถึงตรงนี้ผมก็ยังตกอะไรไม่ได้เลยนอกจากโคลน ฮ่า ๆเก็บแค่ของป่าก็รวยแล้ว ไม่ต้องทำฟาร์มให้เสียเวลาคอนเทนต์นี้ผมบอกเลยว่ามันทำให้ผมเริ่มหมดความอดทนในการเล่นเกม คือแบบมันเสียสมดุลตั้งแต่เริ่มเล่นกันไปเลย ของป่าแบบมีเยอะมาก ๆ เต็มพื้นที่ไปหมดทั้งที่ร่วงอยู่บนพื้นและออกผลอยู่บนต้น แล้วแตงโมมันขายได้ลูกละ 100 กว่า $ (ค่าเงินในเกม) บางฤดูมีเห็ด แล้วมันจะ Respawn ในวันรุ่งขึ้นอีกเยอะมาก ๆ คือผมเดินเก็บได้ทุกวัน เก็บแตงโมเก็บเห็ดขายอย่างเดียว ผมไม่ตองทำไรแล้วนะ ผักก็ไม่ต้องปลูก สัตว์นี่เลี้ยงเอาฮาเฉย ๆ ก็ได้ จริง ๆ เก็บแล้วมันควรหมดไปเหมือนเกมอื่น ๆ ไม่ใช่มีให้เก็บเป็นรายวัน ควรมีเวลาให้ออกดอกออกผลสักหน่อย แล้วไม่ต้องมีต้นที่ให้ผลเรี่ยราดเต็มแผนที่ไปหมดขนาดนี้ก็ได้ เดินไปทางไหนก็เจอ ผมไม่ต้องปลูกอะไรเองในฟาร์มของผมเลยยังได้ เดินเก็บเอาตามทาง พอหมดก็รอวันใหม่ แล้วมาเก็บวน ๆ ไป ผมเจอความไม่บาลานซ์นี้ ผมไม่มีแรงดึงดูดอะไรให้เล่นเกมนี้อีกเลยรูปนี้ผมไม่ได้ยืนรดน้ำต้นไม้นะครับ ผมจะกดเก็บแอปเปิลก็อย่างที่เห็นเก็บยากเก็บเย็น ระบบ Interact ของเกมนี้ผมขออนุญาตใช้คำว่า อนาถมาก ฮ่า ๆ ๆ ๆระบบหนังสือ คอนเทนต์อะไรก็ยังไม่เปิดให้เล่นเกมแนวนี้เกือบทุกเกมเราจะมีหนังสือหรือระบบ Information ที่เอาไว้ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ เรามีไก่กี่ตัว, รู้จักใครในหมู่บ้านบ้างแล้ว, เราตกปลาชนิดไหนได้บ้าง อารมณ์เหมือนหนังสือสะสมความสำเร็จ หรือสะสม Achievment ต่าง ๆ ส่วนเกมนี้เราเปิดไปตรงไหน อยากตรวจเช็กอะไรก็จะมีข้อความขึ้นมาแต่ว่า "ตัวเลือกนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ" เฮ้ย!!! ผมเข้าใจนะว่าเกมอยู่ในช่วง Early Access แต่พัฒนามาตั้งแต่ปี 2017 แล้วไง ผ่านมาแล้ว 6 ปี หัวข้อต่าง ๆ ในสมุดยังเป็น "อยู่ระหว่างดำเนินการ" คนซื้อแบบจ่ายเงินบอกตรง ๆ ว่าเสียความรู้สึกครับ ถ้าเทียบกับ Stardew ที่อัปเดตตลอดเวล่ำเวลาทั้ง ๆ ที่เป็นตัวเต็มแล้ว ส่วน Orange Season เดินไปทางไหนก็เจอแต่บัค สงสารตัวเองมาก ๆ ที่กดซื้อมาการ Interact ยากเหลือเกิน ไม่ว่ากับคน สัตว์ หรือสิ่งของอันนี้เป็นเรื่องที่ไม่เป็นมิตรกับเพลย์เยอร์เอาเสียเลย การเดินไปเก็บไอเทมต่าง ๆ, เก็บผลไม้ทั้งจากต้นหรือบนพื้น, การกดเพื่อพูดคุยกับคน, การกดให้อาหารสัตว์, การปลูกต้นไม้, การขุดดิน ฯลฯ เป็นอะไรที่ผมนั่งส่ายหัวอยู่หลายครั้ง เพราะมันทำได้ยากเหลือเกิน การเก็บผลไม้ต่าง ๆ และการพูดคุยกับชาวบ้าน บางครั้งต้องจิ้มเมาส์อยู่หลายทีกว่าจะเก็บผลผลิตหรือพูดคุยได้ ตอนแรกผมคิดว่าผมติด Bug และเป็นอยู่คนเดียว เลยเข้าไปอ่านคำวิจารณ์ใน Steam และค้นพบว่ามีเพื่อนผู้ประสบภัยมากมายที่เป็นเหมือนผมเต็มไปหมด ฮ่า ๆ ปัญหาและบัคเหล่านี้สร้างความเบื่อหน่ายในการเล่นเกมให้กับผม ทำให้ผมท้อหยุดเล่น และออกจากเกมมากด Refund เพื่อขอคืนเงิน กระบวนการเหล่านี้ผมแทบจะทำโดยไม่ต้องคิดอะไร เสียดายจริง ๆ ที่ตัวเกมน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ ภาพของเกมชวนเล่นมาก ๆ แต่ด้วยระบบ Interact แบบต้องคลิกหลายที มันก็ทำให้ผมค่อนข้างท้ออยู่พอสมควร ขอยกธงขาวครับ!!!ผมไม่ได้รดส้มนะครับ ผมกดเก็บไม่ได้ มันเลยรดน้ำอยู่แบบนั้น เพราะด้านขวาผมถือบัวรดน้ำอยู่ระบบขายของก็ทำให้มันยากเข้าไว้แหละบอกเลยว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่แย่กว่าเกมอื่น ๆ อยู่มาก ฮ่า ๆ เกมนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บอกผมได้แบบตะโกนเลยว่า "ถ้าเกมอื่นเขาทำระบบเอาไว้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องพยายามแตกต่าง" คือเวลาเราต้องการจะขายของแล้วไม่สามารถโยนของลงหีบได้ เราต้องมานั่งคอยกดขายทีละอัน ถึงแม้ว่าจะใส่จำนวนได้แต่เป็นอะไรที่ทำให้เสียเวลามากครับ นอกจากดับเบิลคลิกเพื่อขายไม่ได้แล้ว ก็ยังลากของไม่ได้อีกด้วย UI ต่าง ๆ ก็แทบจะไม่ได้อำนวยความสะดวกอะไรผู้เล่นอย่างผมเลย ระบบนี้ถ้าทำให้กด Enter ได้ผมมองว่ามันน่าจะสะดวกกับผู้เล่นมากขึ้น เพราะต้องเอาเมาส์จิ้มเพื่อคอนเฟิร์มการขายทุกออเดอร์ก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญอยู่พอสมควร ผมขอทิ้งความเจ็บช้ำเหล่านี้ไว้ที่หัวข้อสุดท้ายนี้แล้วกันนะครับ ไม่ไหวจะบ่นแล้ว ฮ่า ๆสรุปผมย้ำอีกทีเลยว่าตอนกดซื้อเกมนี้มาผมนี่กะจะเข้ามาอวยยศอย่างเต็มเหนี่ยวเลย เพราะภาพของเกมสีสันสดใสและน่ารักมาก ๆ เป็นแนวที่ผมชอบเล่นด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาบลัฟว่ามันไม่ดีหรือทำให้เสียเครดิตอะไรใดใดทั้งสิ้น แบบตั้งใจมาป้ายยาเพื่อน ๆ เลย แต่แบบว่าเกมเปิดให้เล่นมาตั้งแต่ปี 2017 ณ ตอนนี้ยังเป็น Early Access อยู่เลย ระบบอะไรหลาย ๆ อย่างก็ยังไม่เปิดให้เล่น กดไปตรงไหนก็ Unavailable คือยังไงนะ? จะไม่ทำต่อแล้วใช่ป่าว? คือมันเกินไป และผมก็จำเป็นต้องรีวิวอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ถ้าอวยไปนี่เพื่อน ๆ ซื้อไปเล่น เพื่อน ๆ ก็จะรู้ได้เองว่าผมอะสตรอว์เบอร์รีอย่างแน่นอน ถ้าผมอวยนอกจากผมจะโป๊ะแล้วผมก็จะทำให้เพื่อน ๆ เสียเงินฟรี ๆ กับเกมที่ยังแทบจะไม่พร้อมอะไรสักอย่าง อัปเดตที่ค่อนข้างช้าแพตช์ล่าสุดที่อัปเดตเข้ามาคือวันที่ 9 มิถุนายน 2023 แล้วคือ Bug ยังมีให้เห็นอยู่เลยถ้าถามถึงความคุ้มค่าสำหรับผม ผมคิดว่าเกมแนวนี้มีให้เลือกเล่นอย่างมากมายมหาศาลเลยครับในท้องตลาด ไปเล่นเกมอื่นกันเถอะ ฮ่า ๆ ผมโกรธจริง Dev ดูไม่ใส่ใจอะไรเลย ตั้งแต่ปี 2017 แล้วนะครับพี่ ใครที่คิดจะซื้อเกมนี้ผมขอบอกเป็นคำคมเลยครับว่า "กำลังสร้าง มองข้ามไปก่อน" 55555 เกมนี้ทำให้ทุกอย่างมันดูยากสำหรับผู้เล่นไปหมด การที่จะมาเล่นเกมแก้เครียดแต่ผมดันเครียดกว่าเดิม เพราะระบบต่าง ๆ ที่มันควรจะอำนวยความสะดวกให้กับเพลย์เยอร์มันดันสร้างความลำบากให้กับเรานี่แหละ แล้ว Bug แบบวิ่งไปทางไหนก็เจอ กับราคา 319 บาท ถึงแม้ตอนนี้มันจะลด 30% ก็เถอะ ผมขอคืนเงินไปกดเกมอื่นมาเล่นดีกว่า ส่วนใครไม่เชื่อผมแล้วอยากลองของด้วยตัวเอง สามารถกดซื้อผ่าน Steam ได้เลยครับ อย่างที่ผมเคยบอกไว้เสมอจริตการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกัน ผมมองว่าแย่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแย่ในสายตาเพื่อน ๆ ฉะนั้นไปกดมาลองเล่นเองดูก่อนถ้าสมมติว่าเพื่อน ๆ อยากเล่นจริง ๆ ถ้าความรู้สึกตรงกันกับผมก็อย่าเล่นเกิน 2 ชั่วโมงนะฮะ จะได้รีฟันได้จบปิ้งผมเดินอยู่บนขอบหินเลย เพราะผมติดบัคครับ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/416000/Orange_Season/?snr=1_5_1100__1100
23 Aug 2023
[Review] รีวิวเกม I Am Future กับการเอาชีวิตรอดสุดชิลล์ เหมาะสำหรับคนชอบเกมง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่คุณภาพคับแก้ว
ปี 2023 แล้ว แต่เกม Survival หรือแนวเอาตัวรอดก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เสมอ แถมเกมนี้มาแปลก ด้วยคอนเซปต์ Cozy Survival หรือเกมที่เน้นความสะดวกสบายเอาไว้ก่อน และหลังจากเราได้เล่นแล้ว ก็บอกเลยว่า นอกจากจะสะดวกสบายสมชื่อจริง ๆ แล้ว มันยังสนุกอีกด้วย ! เพราะอะไรเกมนี้ถึงถูกใจจนเราหยิบมาแนะนำ มาดูกันได้ในรีวิว I Am Futureเหมือนจะเล่นเอาสนุก แต่เนื้อเรื่องก็มีความลึกซ่อนเอาไว้เรื่องราวของตัวละครเอกที่ตื่นมาจากเครื่องหลับใหล แล้วก็พบว่าวันเวลาผ่านไปหลายปี เท่านั้นยังไม่พอ ยังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จนทั้งเมืองไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ แต่โชคดีที่เราอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเราตื่นขึ้นมาและพบว่าน้ำท่วมโลกไปแล้ว เราจึงต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ร่วมกับเหล่าหุ่นยนต์จิ๋ว และเหล่าหุ่นยนต์ที่เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นตู้เย็น หรือโดรน และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงหาคำตอบว่า ในระหว่างที่เราหลับลึกไปนานหลายปี เกิดอะไรขึ้นกันแน่ น้ำถึงได้ท่วมโลก เบาะแสต่าง ๆ จะอยู่ในทุกที่ที่เรากำลังไป และสำรวจ ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใส่ Backstory และเนื้อหาลงไปในเกมได้ดีมาก แต่ผู้เล่นก็ต้องขยันอ่านหน่อย เพราะเกมนี้มาแบบเกมอินดี้ทั่วไปอีกครั้ง คือ Text ล้วน ไม่มีเสียงพากย์หรือคำบรรยายใด ๆ แต่ตัวหนังสือในเกมนี้ก็ไม่ได้เยอะเกินกว่าที่คุณจะอ่านแน่นอน และเนื้อเรื่องเกมนี้ก็ทำออกมาได้น่าสนใจมากด้วย แนะนำให้ลองอ่านกันไว้ดีกว่าแม้จะดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องมันไม่ได้ลึกล้ำซับซ้อนอะไรมาก แต่ไม่แน่ว่าในการอัปเดตในอนาคต เราอาจจะได้เห็นความล้ำของเนื้อหาต่าง ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา และนี่คือปัญหาของเกม Early Access ที่ต้องทำใจว่า เนื้อเรื่องของเกมในตอนนี้จะยังไม่ได้ไปไหนไกลนัก และอาจจะต้องทิ้งช่วงกันสักพัก ใครที่อยากอิน อยากอิ่มทีเดียวก็น่าจะต้องรอกันไปก่อน แล้วค่อยซื้อทีหลัง หรือจะซื้อมาเล่นเอาระบบเกมสนุก ๆ อย่างเดียวเลยก็ได้เหมือนกัน แต่เชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่เกมอัปเดตเนื้อเรื่องใหม่เข้ามา รับรองว่าน่าสนใจแน่ ๆเอาตัวรอดสุดชิลล์ แบบที่ฉีกจากเกมอื่นไปเลย แม้ปกตินั้น เกมการเอาตัวรอดในปัจจุบัน จะมาพร้อมกับการที่เราจะต้องเอาตัวรอดด้วยการหาน้ำ หาอาหาร และสร้างที่พักของเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากอุปสรรคต่าง ๆ ภายในเกม และแม้ว่าเกมนี้จะมี Key Objective ที่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างกันจะอยู่ที่ความชิลล์ ที่เกมนี้ใส่ไว้ในชื่อเกมเลย กับสโลแกน Cozy Apocalypse Survival Game นั่นคือเล่นได้แบบชิลล์ ๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไรมากตัวละครหลักของเราจะติดตั้งแขนกลที่เป็นเลื่อยยนต์เอาไว้แทน โดยเราสามารถแยกชิ้นส่วนของทุกอย่างภายในเกมได้ ด้วยการเข้าไปกดตอบโต้กับสิ่งของต่าง ๆ แล้วเราจะสามารถย่อยสิ่งของต่าง ๆ ได้ เช่นถ้าไปตัดต้นไม้ก็จะได้ไม้ ตัดเศษเหล็กจะได้เหล็ก และหากเป็นวัตถุขนาดใหญ่ ก็จะได้วัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่นเสาไฟ ก็จะมีโอกาสได้หลอดไฟด้วย หรือถ้าเป็นพวกตู้กดน้ำอัตโนมัติก็จะมีโอกาสได้แผงวงจร หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพิ่มเติม และไอเทมทั้งหลายจะเชื่อมโยงกันเป็นลูป และนำไปต่อยอดกับสิ่งของใหม่ ๆ ได้แทบจะทั้งหมดรวมไปถึงโต๊ะอุปกรณ์ต่าง ๆ เราสามารถอัปเกรดต่อยอดได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Campfire หรือกองไฟ ที่เมื่ออัปเกรดแล้วแทบจะกลายเป็นโต๊ะทำอาหารหรือเครื่องครัวขนาดย่อม หรือ Workbench โต๊ะสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เมื่ออัปเกรดจะสามารถคราฟท์สิ่งของใหม่ ๆ เพิ่มเติมขึ้นได้ แต่กว่าจะเราจะอัปเกรดได้ ก็ต้องใช้เวลาในการหาทรัพยากร รวมไปถึงอัปเกรดด้วย อย่างเช่นการสร้าง Panel Foam นั้น จำเป็นจะต้องใช้เครื่องสร้างระดับ 2 รวมไปถึงใช้เวลาผลิตอีกชิ้นละ 2 นาทีเป็นต้นสิ่งที่เป็นจุดเด่นและเป็นทั้งฟีเจอร์ของเกมนี้เลยก็คือการใช้พลังงานจากธรรมชาติเข้ามาช่วยผลิตสิ่งของจำเป็น โดยเมื่อเราปลดล็อคสูตรคราฟท์ของต่าง ๆ เราจะสามรรถผลิตสกุลเงินแบบดิจิทัลใช้เองได้ โดยในเกมนี้คือ U-Coin แต่การที่เราจะผลิต U-Coin ขึ้นมาได้ ก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องปั่นไฟเพื่อจ่ายพลังงาน และทรัพยากรที่สำคัญก็คือการนำเอาเศษใบไม้แห้งมาเป็นแหล่งพลังงานนั่นเอง เหมือนเป็นการนำเสนอให้นำเอาทรัพยากรขยะมารีไซเคิลใหม่ในอีกต่อหนึ่ง ซึ่งทรัพยากรขยะนั้นก็เป็นอะไรที่หาได้ง่ายมากในเกมอยู่แล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า หากเป็นเกมแนวเอาชีวิตรอดในยุคที่น้ำท่วมโลก เหตุใดยังต้องใช้สกุลเงินดิจิทัลอย่าง U-Coin กันอยู่ นั่นเพราะมีสาเหตุจำเป็นบางอย่างที่โลกภายในเกมนี้ ยังมีผู้เหลือรอดชีวิตอยู่เป็นจำนวนมาก และล้วนแล้วต่างก็อาศัยอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงด้วยกันทั้งสิ้น ในการแลกเปลี่ยนนั้น พวกเขาก็จะใช้สกุลเงิน U-Coin ในการแลกเปลี่ยน โดยการส่งเจ้าหุ่นโดรนจิ๋วบินไปแลกเปลี่ยนกันและกัน ถือเป็นระบบที่ครีเอทีฟในด้านการออกแบบ เพราะถ้ามองจริง ๆ แล้ว มันก็คือการนำเอาระบบซื้อขายมาใส่ไว้ในเกมนั่นเอง สิ่งต่าง ๆ ที่เราปลดล็อคได้ จะเริ่มตั้งแต่โต๊ะคราฟท์ของทั่วไป รวมไปถึงหัวใจสำคัญคือ Tower Station ระบบนี้จะเป็นเหมือนกับเสาส่งสัญญาณที่ทำให้เราสามารถส่งโดรนจิ๋วบินออกไปสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงเป็นการปลดล็อคฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มในเกมได้ด้วย เพราะในเกมนี้ เราจะไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการทำเองทุกอย่าง เมื่อเล่นไปถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว เราจะสามารถสร้างไอเทมขึ้นมาอำนวยความสะดวกให้กับเราได้มากมาย และหัวใจสำคัญเลยคือหุ่นยนต์ผู้ช่วย ที่จะมาช่วยเราเก็บทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งเราจะสามารถสร้างได้ก็ต่อเมื่อผ่านภารกิจไปสักช่วงหนึ่ง และใช้ทรัพยากรสำคัญจากการสำรวจด้วย Tower Stationเจ้าหุ่นยนต์ผู้ช่วยนี้จะมีความสามารถในการเก็บไอเทมทุกอย่างที่เราทำหล่นเอาไว้ หรือแม้แต่ทรัพยากรที่ตกอยู่ตามฉาก โดยที่เราสามารถตั้งค่าเจ้าหุ่นยนต์ตัวต่าง ๆ ได้ เช่นให้มันเก็บของตามที่เรากำหนด หรือเลือกเก็บบางชิ้น และยังเลือกได้ด้วยว่าจะให้เจ้าหุ่นของเราเอาของไปเก็บไว้ที่หีบเก็บของใบไหน และไม่ใช่แค่นี้ ยังมีอีกหลายอย่างที่มันทำให้เกมนี้กลายเป็นเรื่องของการบริหารจัดการไปเลย ยกตัวอย่างเช่น การวางแหล่งจ่ายพลังงาน เพราะเจ้าหุ่นยนต์จำเป็นจะต้องใช้แท่นชาร์จพลังงานด้วย การที่เราจะสร้างแท่นชาร์จพลังงานได้ ก็ต้องมีแหล่งจ่ายไฟที่เพียงพอ และหาทรัพยากรมาให้เพียงพอ รวมไปถึงอุปกรณ์ในระดับสูงนั้น ล้วนต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้า จึงเป็นหน้าที่ของผู้เล่นว่าจะวางแผนอย่างไร ทั้งเรื่องการบริหารพลังงาน และการจัดวางพื้นที่ยังมีภารกิจย่อย ๆ ที่เราสามารถรับได้จากพวกตู้อัตโนมัติ โดยส่วนมากจะเป็นการนำเอาของที่ตู้ต้องการกลับมาส่ง และจะเป็นการปลดล็อคคีย์ไอเทมที่ทำให้เราสามารถเล่นคอนเทนต์หลักของเกมต่อได้ เช่น การสร้างเครื่องปั๊มน้ำที่ทำให้เราสามารถเก็บน้ำได้เลยโดยไม่ต้องถ่อลงไปถึงจุดตกปลา และที่สำคัญคือเกมนี้มีสิ่งที่คุณต้องกังวลน้อยมาก ศัตรูส่วนใหญ่ก็เป็นแค่หนอนแมลง ที่เราสามารถคราฟท์สเปรย์มาฉีดไล่ได้ และอาจจะทำลายรังมันได้ทีหลัง ในเกมจะมีอยู่แค่สองหลอด คือหลอดพลังชีวิตที่ได้จากการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งหากเราไปจับหนอนแมลงหรือสารพิษเข้า พลังชีวิตก็จะลดลง แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการนอนหลับ ส่วนอีกค่าที่จำเป็นคือค่าความหิว ที่ได้จากการกินอาหารเท่านั้น ในช่วงแรกเราอาจจะหาอาหารลำบาก แต่พอถึงจุดที่ปั๊มน้ำได้ รับรองว่าเหลือเฟือ เป็นเกมที่มีระบบ Cozy สมชื่อจริง ๆแม้ภาพรวมในด้านเนื้อเรื่องนั้น I Am Future จะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก เพราะยังคงเป็นเกม Early Access อยู่ แต่ในด้านระบบและเกมเพลย์การเล่น บอกเลยว่าเสียเงินหลักร้อย แต่เล่นได้หลายสิบชั่วโมงแน่นอน หรือใครที่อยากอัปเกรดของให้สุดทุกอย่างก็อาจจะเป็นร้อยชั่วโมงตามสไตล์เกมทำฟาร์มเลยก็ได้ ตอนนี้ซื้อมายังไงก็คุ้มแน่นอนสำหรับคนที่ชอบเกมสายนี้I Am Future วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน Steam
21 Aug 2023
[Review] รีวิวเกม Gravity Circuit แรงบันดาลใจจาก Mega Man แบบจัดเต็ม แต่ก็ยังมีความเป็นตัวเองที่โดดเด่นจนไม่ควรพลาด
Capcom มัวแต่ห่วงแฟรนไชส์อื่นจนหลายคนอาจจะคิดว่าลืม Mega Man ไปแล้ว แต่เกมเหล่านี้ การจะหาตัวแทนผู้สืบทอดจิตวิญญาณเอง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจาก 20xx และ 30xx เราอาจจะกำลังได้เกมแนวนี้ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ต้นฉบับ เกมนี้มีอะไรดี มาหาคำตอบกันในรีวิว Gravity Circuit  ภารกิจยับยั้งกองทัพไวรัส เนื้อเรื่องที่เห็นกันมาไม่รู้กี่รอบแล้วGravity Circuit ยังคงใช้ฉากหลังยอดนิยมของโลกวิดีโอเกม นั่นคือความเป็น post-Apocalypse หรือโลกหลังการล่มสลาย แต่โลกหลังการล่มสลายของเกมนี้จะเต็มไปด้วยเหล่าจักรกลที่มีความรู้สึกนึกคิดราวกับมนุษย์ โลกในตอนนี้ถูกคุกคามโดยศัตรูเก่าที่กองทัพ Guardian Cops เคยปราบไปในอดีต นั่นคือ Virus Army หรือกองทัพไวรัส ที่แสดงตัวตนอีกครั้ง โดยมาพร้อมเป้าหมายในการยึดครองโลกมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ แต่เพราะ Guardian Cops เองก็อ่อนแอลงอย่างมาก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปขอความช่วยเหลือจากวีรบุรุษสงครามจากการต่อสู้ครั้งก่อนอย่าง Kai ยอดนักสู้ที่ยังคงมีพลังในการควบคุมพลังเอาไว้ได้ ในฐานะที่เป็นวีรบุรุษคนสุดท้าย เขาจึงกลายเป็นความหวังเดียวของการต่อสู้ในครั้งนี้ต้องบอกว่า ใครที่เห็นสไตล์เกมภาพพิกเซลแบบนี้แล้วคาดหวังว่าจะมีเนื้อเรื่องล้ำ ๆ ก็อาจจะคิดผิด ทั้งรูปแบบการนำเสนอ ทั้งเนื้อหา ต่างทำให้เราหวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ สมัยเกม Arcade กำลังโด่งดัง เกมนี้ก็เน้นนำเสนอเรื่องราวที่เหมาะสมกันดี นั่นคือการมีเนื้อเรื่องที่เรียบง่าย ก็แค่มีตัวร้ายบุกโลก มีฝ่ายตัวดีที่มีฮีโร่ในตำนานและต้องออกโรงเอง เนื้อเรื่องของเกมนี้แทบไม่มีความซับซ้อนใด ๆ ดังนั้นใครที่คิดจะหาเนื้อเรื่องดี ๆ จากเกมนี้ ปล่อยจอยไปเกมอื่นได้เลยมนต์เสน่ห์แห่งเกมเก่า ที่เกมนี้รักษาเอาไว้ได้ครบถ้วนสิ่งแรกที่ต้องชมหลังได้สัมผัสเลยคือ ความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายคนที่เคยสัมผัสเกมแนวนี้ น่าจะกลับมาแบบครบถ้วน และเกมได้แรงบันดาลใจอย่างหนักเลยทีเดียว จากเกมแอ็คชั่นแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Mega Man หรือร็อคแมนที่เรารู้จักกันดี เอามาแทบจะทุกส่วนเลยก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่เกมก๊อปปี้แบบที่คิด แม้เราจะบอกว่าเอามาแทบทุกส่วน แต่มันเป็นการหยิบเอามาต่อยอด และทำให้มันมีเอกลักษณ์หรือลายเซ็นเป็นของตัวเอง บางส่วนที่เหมือน ก็เอามาดัดแปลงจนดูไม่น่าเกลียดเกินไปนัก และเป็นอะไรที่ให้อภัยกันได้ บางส่วนที่เราอาจจะรำคาญจาก Mega Man ภาคเก่า ๆ เกมนี้ก็หยิบมาปรับปรุงแก้ไข แต่ก็มีบางอย่างที่ Mega Man เป็นอย่างไร เกมนี้ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกันเริ่มจากระบบความสามารถของตัว Kai ที่ต่างไปจากตัว Mega Man อยู่บ้าง ตัว Mega Man นั้นจะใช้แขนปล่อยพลังโจมตีระยะไกล และชาร์จได้ ส่วนตัว Kai จะเป็นการเข้าไปต่อสู้ระยะประชิดด้วยหมัดติดตั้งอุปกรณ์ เอาแค่การโจมตีระยะประชิดนั้น ก็ทำให้รูปแบบเกมการเล่นต่างกันออกไปมากแล้ว แต่ก็ใช่ว่า Kai ของเราจะไม่มีอะไรเอาไว้ใช้เพิ่มระยะการต่อสู้เลย ตัวละคร Kai จะมีสาย Grappling Hook ที่เอาไว้ยึดเกี่ยวกับทุกสิ่ง รวมไปถึงตัว Kai เอง ยังสามารถกระโดดเกาะพื้นผิวต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหมดปัญหาเรื่องตกเหว ถ้าคุณไวพอ ก็สามารถปีนกำแพงกลับขึ้นมาได้ด้วยการกระโดดเกาะกำแพงรัว ๆ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกมการเล่นแตกต่างไปจาก Mega Manเพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่าง มันเป็นการยืมเอาระบบ Mega Man มาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การท้าประลองกับเหล่าบอสต่าง ๆ ที่มาเหมือนกันเป๊ะ คือเมื่อถึงห้องบอสจะมีจุด Checkpoint รอเราอยู่ด้านหน้า ถ้าเป็นเกมโซลก็คือรู้เลยว่าเป็นห้องบอส แต่ปัญหาของเกมนี้จากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นมาทั้งหมด น่าจะเป็นเรื่องของความยากที่แกว่งไปมาแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้ว่าในตอนเลือกฉาก เกมจะมีหลอดบอกระดับอยู่สองแบบ คือแบบ MAP และ POW โดยเข้าใจได้ว่า Map น่าจะหมายถึงกลไกความยากของแผนที่ในฉากนั้น และ POW น่าจะเป็นเรื่องของความยากในการสู้บอส แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้น ใครเก๋าเกมจริงก็เลือกตัวยาก ๆ แต่แรกเลยก็ได้ เกมมันไม่ได้ห้ามให้คุณสู้ข้ามขั้นอยู่แล้วนอกจากนั้น การดีไซน์ด่านยังมีการออกแบบฉากให้เข้ากับความสามารถของผู้เล่น เช่นการใช้ Grappling Hook ห้อยโหนตัวเพื่อหลบกับดักหนาม ซึ่งกับดักหนามนี้ถ้าเราโดน จะไม่ตายทันที แต่จะเสียพลังชีวิต และเราจะโดดดีดกลับไปยังจุด Checkpoint ใกล้ ๆ แทน และการดีไซน์ฉาก ยังมีความยากและท้าทายมาก ๆ เอาจริง ๆ แล้วมันอาจจะยิ่งกว่าการต่อสู้ด้วยซ้ำไป อย่างที่บอกไปว่า เราสามารถกระโดดเกาะกำแพง ยิงฮุคได้ ทำให้บางจุดเราจำเป็นจะต้องใช้ทักษะเหล่านี้ หรือบางจุดก็ต้องใช้แบบต่อเนื่องกันไปเลย ถึงจะเอาอยู่ ซึ่งบอกเลยว่าบางครั้งนี่ทำเอาปวดมือกันเลยทีเดียว เพราะต้องใช้ความรวดเร็วอย่างมากในการควบคุม ที่ผู้เขียนชอบ คือการออกแบบด่านที่โดดเด่นเป็นเอกเทศน์ของตัวเองมาก ๆ การที่คุณเล่นด่านก่อนหน้ามาอย่างคล่องแคล่ว ไปเจอด่านต่อไป คุณอาจจะตายกันรัว ๆ จนต้องพักการเล่นไปก่อนเลยก็ได้ เพราะแต่ละด่านถูกดีไซน์มาแบบเป็นเอกเทศ คุณไม่สามารถเอาความเชี่ยวชาญที่ได้จากด่านก่อนไปใช้กับด่านต่อไปได้ แถมการอัปเกรดพลังต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำให้เราเอาชนะบอสตัวใหม่ ๆ ได้เหมือน Mega Man ซะด้วย ซึ่งตรงนี้นี่แหละที่ทำให้ความยากแกว่ง บอสบางตัวจะมีรูปแบบการโจมตีสุดปวดหัว และรวดเร็ว กว่าเราจะจับทางได้ และเอาชนะ ก็อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งมีบรรยากาศและกลิ่นอายเกมเก่าอยู่เต็มไปหมด ใครคิดถึงเกมคลาสสิคที่ต้องใช้ฝีมือและความอดทนในการเรียนรู้จริง ๆ น่าจะชอบเกมนี้ได้ไม่ยากเรื่องของกราฟิกอาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่อยากลองเล่นเกมนี้ เพราะตัวเกมใช้การนำเสนอแบบเกม Retro ย้อนยุค กราฟิกจะถูกนำเสนอเป็นแบบพิกเซล 16 Bit และโทนสีจะไม่ได้มีมากเท่า ใครที่ชอบเกมสีสันจัดจ้าน อาจจะไม่ถูกใจเกมนี้ แต่นอกเหนือจากด้านการนำเสนอที่อาจเป็นเรื่องเฉพาะทางนั้น เกมนี้ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐาน คือการนำเอาของเก่ากลับทำใหม่ และให้แฟนเกมยุคปัจจุบันสนุกไปกับมันได้ด้วยความที่เป็นเกมอินดี้ ขายคุณภาพ เกมนี้จึงไม่ค่อยมีความยาว หรือ Replayable Value ในการเล่นซ้ำมากขนาดนั้น รวมไปถึงราคาที่ค่อนข้างสูงในโซนไทย ทำให้มันอาจจะเป็นราคาที่ต้องพิจารณากันเสียหน่อย ว่าควรค่าที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเก่า หรือเกมย้อนยุค รับรองว่าคุณจะถูกใจตั้งแต่ฉากเปิดเกมเลยก็ว่าได้Gravity Circuit วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PC (Steam, GOG)
28 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม Sun Haven เกมปลูกผักทำฟาร์มลูกผสม RPG ลากเพื่อนตัวดีไปบู๊ได้สูงสุดถึง 8 คน
Sun Haven เกมปลูกผักทำฟาร์มกึ่ง RPG ที่มีระบบเก็บเลเวลต่อสู้ สร้างฟาร์มและสานความสัมพันธ์กับชาวเมือง หรือลุยไปกับภารกิจแห่งเวทมนตร์ สัตว์ประหลาด และมังกร สาย Solo ผจญภัยคนเดียวก็เล่นได้สบาย ๆ สาย Party ลากเพื่อนไปร่วมวงตะลุมบอนมัน ๆ กับมอนสเตอร์ได้สูงสุดถึง 8 คน แค่คอนเซ็ปต์ของเกมผมบอกเลยว่าโคตรโดนใจ & น่าสนใจ ไหนจะมีสกิลให้อัป มีคลาสให้ปรับแต่ง แถมยังแต่งตัวละครได้ด้วย มีหรือผมจะพลาด เอาเงินผมไปเดี๋ยวนี้เล๊ยยยยยย!!!เกมนี้ลงวางจำหน่ายใน Steam มาตั้งแต่ 28 พ.ค. 2021 ในแบบ Early Access ดูจากผลตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะเป็นเกมใหม่มาแรงติดเทรนด์ใน Steam ณ ช่วงเวลานั้นครับ ผมกดเดย์วันมาเพราะตอนนั้นมันลดอยู่ 10% ด้วย แต่ก็ดองเอาไว้เพราะใจอยากรีวิวเกมอื่น ๆ ก่อน และแล้วตอนนี้ Sun Haven ได้มีการอัปเดตมาเป็นตัวเต็ม เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2023 ได้เวลาแล้วที่ผมจะเข้าไปวิ่งเล่นในเกม ดูตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อยเพื่อรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ จะได้โงหน้าออกจากเกมอีกทีเมื่อไหร่ ผมนี่แทบจะเดาไม่ได้เลย ดูดวิญญาณอีกแล้ว ชัวร์!!! ฮ่า ๆ ๆ ๆเนื้อเรื่องแค่เริ่มมาก็อบอุ่นหัวใจแล้ว สาวน้อยคนหนึ่งที่ต้องจากบ้านไปไกลแสนไกล (ไม่สปอยล์)เนื้อเรื่องเริ่มมาที่บทสนทนาของแม่ลูกคู่หนึ่ง Lynn ลูกสาวมีความกังวล เพราะเธอต้องเดินทางจากบ้านเกิดไปที่เมืองใหญ่เพียงคนเดียว เธอไม่อยากพลาดขบวนรถไฟ แม่ของเธอได้เห็นความผิดปกติของลูก เพราะดูกระวนกระวายและไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงได้เอ่ยปากถามออกไปว่า...Mom : เกิดอะไรขึ้นเหรอ Lynn?Lynn : ถ้าหนูย้ายไปอยู่เมืองที่ไกลแสนไกลอย่าง Sun Haven ก็กลัวจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกMom : โอ้, ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวพวกเราจะเก็บเงินไว้เยอะ ๆ แล้วไปเยี่ยมลูกเองLynn : แม่ต้องทำงานหนัก และไม่ได้ฉลองวันเกิดก็เพราะหนูMom : ที่ Sun Haven น่ะนะ มี Blacksmith ที่เลื่องชื่อ หนูจะสบายมากถ้าได้ไปทำงานอยู่กับเขา นอกจากนั้นยังจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายเลย หนูไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราเลยนะ ไปผจญภัยและพบเจอสิ่งใหม่ ๆ ซะ ใครจะไปรู้หนูอาจจะได้แต่งงานก็ได้!!!Lynn : แต่งงาน?Mom : ใช่ค่ะลูกกกก หนูจะไม่ได้โตขึ้นแค่ในด้านการเป็น Blacksmith เท่านั้นนะ แม่หมายถึงชีวิตในทุก ๆ ด้านของหนูก็จะโตขึ้นด้วย Sun Haven น่ะเป็นตำนาน เป็นเหตุผลที่คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่พวกเขาตามหาอยู่คุณแม่ได้เรียกเธอเข้าไปดูบางอย่าง ในเวลาต่อมา Lynn ได้รับของขวัญจากคุณแม่ของเธอเป็นเกราะอันเก่าของคุณยาย คุณแม่ของเธอให้เหตุผลกับเธอว่า...Mom : เมื่อลูกสวมใส่เกราะตัวนี้ลูกจะได้รู้ตัวเองเสมอว่าลูกเป็นใครมาจากไหน และลูกกำลังทำงานเพื่ออะไร ชุดนี้เปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น และตอนนี้มันก็เป็นของลูกแล้วนะคะLynn : พอดีเป๊ะเลยค่ะแม่ ขอบคุณค่ะ หนูจะจากไปโดยที่จะไม่ลืมทุก ๆ คนเลย คุณตา คุณยาย รวมถึงทุก ๆ คนในหมู่บ้านของเราด้วยค่ะMom : พวกเราทุกคนจะคิดถึงหนูเช่นกันจ่ะ อ่า!!! ได้เวลาแล้ว เราต้องไปกันแล้วนะคะลูกและเรื่องราวของเด็กสาวก็ได้ดำเนินต่อไป Lynn ได้ออกเดินทางขึ้นรถไฟจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเธอมุ่งหน้าสู่ Sun Haven ผมเชื่อว่าเมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุด ๆ นี้ เพื่อน ๆ ต้องอยากรู้อยากเห็นกันมากแน่ ๆ ว่าการเดินทางของ Lynn นั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป? แล้วเราจะได้รับบทเป็นใครในเกม? หมอกสีดำที่ปกคลุมพื้นที่รอบ ๆ Sun Haven คืออะไร? ผมต้องกราบเรียนให้เพื่อน ๆ ไปซื้อเกมมาเล่นเป็นเพื่อนผมเร็ว ๆ เลยฮะ เพราะถ้าเล่าหมด เดี๋ยวเพื่อน ๆ ไปเล่นเองแล้วจะอดลุ้นไปกับเรื่องราวของตัวละครว่ากว่าจะเป็น Lynn ที่แข่งแกร่ง น้องต้องเจอกับอะไรมาบ้าง!!! ใบ้ให้นิดหนึ่งว่าเธอกับเราจะเจอกันบนรถไฟขบวนนี้นี่แหละ แต่จะเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของเราทั้งสองคนอ๊ะเปล่า มาให้คุ้กกี้ทำนายกัน ผมเป็นปีศาจร้ายที่น่ารัก ระวังตัวไว้ละกันนะฮะสาวน้อย ฮ่า ๆด้วยแมปที่ใหญ่มาก ทำให้เกมเพลย์ดำเนินไปอย่างเนิบนาบเหลือเกินเอาเป็นว่าในช่วงแรก ๆ ที่เรายังอัปสกิลได้น้อยนิด ตัวละครของเราจะเดินช้าแบบช้าไปไหนก่อนนนน แม้ว่าเราจะซื้อ DLC ที่เพิ่มสัตว์ขี่เข้ามาด้วย ถึงมันจะเพิ่มความเร็วให้เราเพิ่มขึ้นมาอีก 30% นั่นก็ยังไม่สร้างความรู้สึกที่รวดเร็วขึ้นให้กับใจของผมเลย คือใจคนเล่นอะมันไปถึงที่หมายแล้วไง แต่ว่าในความเป็นจริงยังเดินอืด ๆ อยู่เลย ช่วงแรก ๆ คือถ้าใครใจร้อนบอกเลยว่าเกมนี้จะไม่เหมาะกับคุณอย่างรุนแรง ผมมองว่าแม้กระทั่งคนใจเย็นแบบผม ยังรู้สึกว่า Speed เริ่มแรกตัวละครของเรา ณ ช่วงเริ่มต้นของเกมนั้น มันดูจะสร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับการเล่นเกมของเราซะเหลือเกินครับ ด้วยแมปที่ใหญ่มากของเกมนี้ การเดินเปลี่ยนฉากตามแผนที่ ทุกอย่างมันดูเชื่องช้าไปหมด ต้องใช้ความอดทนสูงมาก ๆ กับทุกสิ่งทุกอย่าง จนกว่าเราจะอัป Speed ในขั้นที่ 5 ได้ นั่นหมายความว่าเราจะต้องใช้เวลาอืดอาดยืดยาดไปเรื่อย ๆ แม้เกมนี้จะมีอะไรให้ทำเยอะสิ่ง แต่ทุกกิจกรรมก็ต๊ะต่อนยอนมันไปซะหมดทุกอย่าง พิธีรีตรองมันทุกโมเมนต์ คัตซีนก็เยอะซะเหลือเกิน แทนที่จะผ่อนคลาย มันดันสร้างความอึดอัดให้กับผมอย่างบอกไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ใช่ตัวสลอธผมบอกเลยว่าให้มองข้ามเกมนี้ไปได้เลย ไม่ถูกจริตกับคนใจซิ่งอย่างแน่นอน ผมขอนั่งยัน ยืนยัน นอนยัน การันตีเลยว่าเบื่อแน่ ๆ ฮ่า ๆสามารถเลือกเผ่าตัวละครได้ และแนวทางสกิลที่หลากหลายถ้าคุณไม่ได้ติดกับเรื่องความเนิบนาบ เกมนี้มีตัวละครให้เราเล่นถึง 8 เผ่า มันไปเลย ได้แก่Human : เผ่ามนุษย์นั้นเราจะได้สกิลติดตัวตอนเริ่มเกมมาคือ Expert Crafter Effect เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นสายคราฟต์สิ่งของต่าง ๆ เพราะตัวละครของเราจะ Craft ทุกอย่างได้เร็วขึ้นกว่าเผ่าอื่น ๆ ครับElf : ถ้าเราเลือกที่จะเล่นเผ่าเอลฟ์เราจะได้รับ Elvan Eyes Effect จะทำให้การใช้ Crossbows ในการต่อสู้จะมีดาเมจที่แรงขึ้นกว่าเผ่าอื่น ๆ สายบู๊กับมอนสเตอร์ขอเรียนเชิญมาทางนี้Demon : เผ่าปีศาจจะมีเวทมนตร์ Shadow Rush Spell มาให้ใช้งานตั้งแต่เริ่มเกม คาถานี้ถ้าเรากดใช้จะช่วยเพิ่มความเร็วการเคลื่อนที่ให้เราช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งแบบแป๊บเดียวมาก ๆ แป๊บจนเซ็งว่าช้าอีกแล้วเหรอ ฮ่า ๆAngel : เผ่าเทวดานางฟ้านางสวรรค์ ซึ่งจะมี Miracle Spell ติดตัวมาให้ใช้ ซึ่งช่วงแรก ๆ แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หลัง ๆ พอได้บู๊กับมอนสเตอร์ก็ได้เห็นถึงประโยชน์อันมหาศาลของมัน เพราะเราจะสามารถเพิ่มเลือดให้กับตัวเองและเพื่อนบริเวณรอบ ๆ ตัวเราได้ สายซัปนี่คือสิ่งที่คุณต้องเลือก เหล่านางฟ้าของโผมมมมAmari : ผมไม่แน่ใจว่ามันคือเผ่าอะไร แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเผ่าภูติ อารมณ์เหมือนจิ้งจอกเก้าหางอะไรแบบนั้นเลย แบบผูกจิตวิญญาณกับธรรมชาติ เผ่านี้เราจะได้รับ Primal Nature effect เป็นสกิลติดตัวมา คล้าย ๆ ฮีลลิงของเผ่า Angel แต่ต่างกันตรงที่อันนี้ต้องต่อสู้ก่อน ถึงจะได้รับเลือดกลับมาฟื้นฟู HP ของเรา มันก็คือสกิลดูดเลือดนั่นแหละ ตอนต้นเกมไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน พอได้สู้ขึ้นมาน่ารักน่าเลิฟเลยทีเดียวElemental : เผ่าธาตุ ควรเน้นแต้มสกิลไปที่การอัปเกรดพลังโจมตีด้วยเวทมนตร์ คนเล่นจะได้ใช้สกิลเวทย์หนัก ๆ ในขณะต่อสู้ เพราะเป็นเผ่าที่เน้นการ Restore หรือ ฟื้นฟูมานาเป็นหลักครับ จะได้รับ Elemantal Tap Spell ติดตัวมา ในเกมจะมีให้อัปพวกสกิลเวทย์ของธาตุด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำ หรือ ไฟ ใครเน้นต่อสู้ด้วยเวทมนตร์ให้มากองรวมกันตรงนี้ได้เลยครับNaga : เผ่านาคหรือเงือก ซึ่งก็แล้วแต่คนจะอ่านตำราหรือตำนานไหนมา เอาเป็นว่าแล้วแต่เพื่อน ๆ เลยละกัน แต่ผมขอเรียกนาคตามรากศัพท์ของคำว่า Naga แล้วกันนะครับ เราจะได้รับ Mermaid's Touch Effect เพิ่มความสามารถให้เราอย่างมากมายขณะตกปลา เพราะไม่ว่าเราจะไปตรงไหน เหยื่อเราจะหวานสำหรับปลาเสมอ ทำให้เผ่านี้สามารถตกปลาได้ดีกว่าเผ่าอื่น ๆ ใครชอบตกปลาเป็นหลัก เผ่านี้คือที่ของคุณบอกเลยว่าในส่วนนี้ก็ทำให้ใจเบิกบานได้อยู่บ้างทดแทนกับความ Slow Life ของเกมได้ดี มีระบบให้อัปสกิลไม่ว่าจะเป็น การสำรวจ, การทำฟาร์ม, การขุดเหมือง, การต่อสู้, และการตกปลา ส่วนผมเนี่ยหาทางอัปอะไรก็ได้ให้มันไปถึงการอัป Speed การเคลื่อนที่ให้ได้ก่อน ไม่งั้นไม่ไหว มันช้าไปหมดทุกกิจกรรมเลย ไม่ว่าจะการทำเหมือง การสะสมวัตถุโบราณให้กับพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่มันเป็น Openworld ด้วย แมปในเมืองว่าใหญ่แล้ว โอโห้ยังมีแมปรอบ ๆ เมืองให้เดินเปิดอีก คิดดูนะถ้าเราไม่อัป Speed ก่อน แล้วต้องเดินเปิดแผนที่ไปด้วยเนี่ย ผมบอกเลยว่าอึดอัดจนอ้วกแทบอยากพุ่งแน่ ๆ ฮ่า ๆ แต่สายของสกิลมีให้เลือกเล่นเยอะมาก ๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเพื่อน ๆ เลยว่าอยากจะอัปมันไปในทิศทางไหน จะเด่นการต่อสู้, การทำฟาร์ม, การทำเหมือง, การตกปลา, ปลูกผลไม้, เลี้ยงสัตว์, ทำขนม หรือการสำรวจ ฯลฯ เพื่อน ๆ สามารถเลือกเส้นทางของตัวเองในเกมได้เลยครับ ตรงนี้ค่อนข้างอิสระและมีให้เลือกเล่นเยอะมากระบบแฟชั่นที่มากับ DLC เยอะจนไม่รู้จะใส่อะไรก่อนดีใครสายแฟชั่นแล้วเงินเหลือ ๆ เนี่ยผมแนะนำให้กด DLC มาได้เลยครับ บอกเลยว่ามีชุดให้เลือกใส่เยอะจนต้องคราฟต์กล่องเก็บของกันแบบเยอะแยะตั้งแต่ต้นเกม แล้วชุดที่ใส่ก็เป็นแค่แฟชั่นไม่ได้เพิ่มค่าสถานะอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วมันก็ไม่ได้สวยขนาดที่จำเป็นจะต้องเสียเงินซื้อ DLC คือใส่เอาสวยได้ครับ แต่ถ้าเป็นสาย Solo ชุดในเกมที่ NPC มันแจกตอนเราไปทำเควสหรืออะไรผมก็มองว่ามันก็เพียงพอแล้ว สัตว์ขี่ต่าง ๆ ที่แถมมากับ DLC หรือแม้แต่สัตว์ที่หาได้จากในเกม มันก็เพิ่มความเร็ว 30% เหมือนกัน ซึ่งพอเอามาใช้ก็เร็วกว่าเดินนิดเดียว มีไม่มีก็แทบไม่ต่างกันอยู่ดี แล้วช่วงแรกบ้านก็เล็กแต่งอะไรก็ไม่ได้ ของจึงนอนอยู่ในกล่องเก็บของซะส่วนใหญ่ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรสักนิดเสียดายเงินมาก ๆ กับพวกแพ็ก DLC สัตว์เลี้ยงที่ไม่รู้ให้มาทำไมตั้งมากตั้งมาย ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ระบบความรักกับสัตว์แบบที่เพิ่มหัวจงหัวใจแบบเกมอื่น ๆ ก็ไม่มี เดินกันรกแ_่งเต็มบ้านไปหมด แต่ไม่เห็นประโยชน์อะไร ถ้าไม่ใช่คนเงินเหลือ ๆ ผมแนะนำว่าเก็บเงินเอาไว้ซื้อเกมอื่นเล่นดีกว่า จากใจเลยครับเกษตรกรแบบทำซ้ำทำซากทำทำไม?การทำฟาร์มของเกมนี้ไม่แตกต่างจากเกมอื่น ๆ มากนักครับ ในส่วนที่ดีก็มีอย่างเช่นการถางหญ้าวัชพืชต่าง ๆ นั้นเราสามารถฟันทิ้งเป็นหมู่คณะได้เลย ซึ่งตรงนี้ผมชอบที่มันทำให้ผู้เล่นไม่เสียเวลาดีมีเกจค่าพลังให้ดูว่าต้นไม้ต่าง ๆ มีพลังอยู่เท่าไหร่ไม่ต้องมานั่งนับเป็นครั้ง ๆ แบบเกมอื่น ๆ ส่วนการรดน้ำไม่ต้องพูดถึงยืดยาดแน่นอนครับ เพราะเราต้องเดินไปตักน้ำเวลาน้ำหมด เสร็จแล้วก็เดินรดมันไปทีละต้น ส่วนเกมนี้การขุดดินช่อง Cell ที่มันแบ่งดินจะค่อนข้างแปลกประหลาดจากเกมอื่น ๆ เหมือนเราต้องขุดดินช่องละ 2 ที อะอันนี้ยังพอเข้าใจได้ไม่เสียเวลาเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้เสียเวลาผู้เล่นมาก ๆ คือหลังจากเราเก็บเกี่ยวผลผลิตนี่แหละครับ ซึ่งเราต้องขุดดินใหม่ทุกครั้งถ้าเราต้องการจะปลูกพืช โอโห้จะให้เล่นแบบนี้ไปตลอดทั้งเกมจริง ๆ บ่ หนิ? แล้วตัวละครเรามันเดินช้าไงครับ พอมันเดินช้ากิจกรรมทุกอย่างมันเลยพาน่าเวทนาไปหมด ฮ่า ๆ บอกเลยว่าใจเย็นจนเริ่มจะชา ด๊า ด๊า ดี ด่า ดาาาา  ♬ ♫ ♭  ♩ ♪ระบบพิพิธภัณฑ์ใช้งานไม่ยากแต่ไม่สะดวกสร้างความปวดหัวให้กับผมมาก ๆ เพราะต้องเดินหาตามแท่นวางว่าเราสามารถวางวัตถุโบราณที่เราเจอมาได้ที่แท่นไหนได้บ้าง คือของบางอย่างมันกำหนดหมวดหมู่ให้ไม่ได้และเราก็ไม่แน่ใจว่ามันควรอยู่ในหมวดหมู่ไหน เราก็ต้องเดินหาตามแท่นวางไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรจะทำให้เสียเวลาและสร้างความหงุดหงิดให้ผมขั้นสุด แทนที่เราจะคุยกับเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์แล้วฝากวางได้เลยเหมือนเกมอื่น ๆ ก็ทำไม่ได้ คือมันไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นเลยสักนิดเพราะมันไม่ได้มีแค่ห้องเดียว เราต้องเดินหามันทุกห้อง ไอเทมบางชิ้นที่เราได้มาก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถนำไปให้พิพิธภัณฑ์ได้ แต่พอเอามาจริง ๆ กลับไม่มีพื้นที่ให้แสดง ถึง Dev จะทำระบบแบบนี้เพื่อเอาใจสาย Collector แต่ผมเนี่ยก็สายนี้เหมือนกัน บอกกันตามตรงอะไรที่เกมอื่นเขาทำให้มันง่ายไว้อยู่แล้ว อย่าเอามาทำให้ยากนักเลยครับ มันเหนื่อย!!!เควสเยอะ แต่ระบบยังน้อยไม่เหมาะกับเกม Open world ยุคใหม่ผมชอบตรงที่มันมีเควสให้ทำเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากชาวเมือง หรือจากบอร์ดขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยความที่เกมมันเป็น Open world แล้วแมปที่โคตรจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่มันดันไม่มีระบบนำทางอะไรให้เลย ยิ่งเป็นเควสที่รับมาจากกระดานในหมู่บ้าน เราแทบจะต้องคลำเองมันไปทุกอย่าง ซึ่งเกมนี้ไม่มีภาษาไทยคนที่เล่นได้ ภาษาอังกฤษจะต้องพอได้ระดับหนึ่ง ไม่งั้นจะแทบหาอะไรไม่เจอเลย ออกเป็นแนว RPG โบราณที่ไม่มีการจับมือพาทำเควสอะไรทั้งนั้นเราจะต้องเดาปริศนาและตำแหน่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด เอาเป็นว่าถ้าใครคิดถึงเกมเก่า ๆ ก็คงจะสนุกไปกับการทำเควสของเกมนี้ แต่ผมแก่แล้ว อะไรที่มันช่วยหย่นระยะเวลาให้ผู้เล่นได้ก็ใส่มาเถอะครับ เวลาเล่นเกมผมมีน้อยระบบต่าง ๆ ภายในเกมSun Haven เป็นเกมทำฟาร์ม + RPG Open world ที่มีภาพแบบ Pixel Art 2D ที่มีความน่ารักแต่อาจจะไม่ถูกจริตสำหรับทุกคน ถ้าใครที่ชอบภาพแนวเกม AAA น่าจะไม่ชอบภาพสไตล์นี้ สามารถแต่งตัวให้กับตัวละครได้ มีเสื้อผ้าต่าง ๆ ให้สวมใส่มากมาย สายแฟชั่นน่าจะถูกใจกับสิ่งนี้แน่ ๆ ถึงแมปในเกมจะกว้างใหญ่ไพศาลสักแค่ไหน แต่เกมนี้เป็นเกมที่มีไซส์เล็ก ๆ เครื่องไม่ต้องแรงก็สามารถเล่นได้ เพียงแค่คุณต้องอดทนกับความอืดอาดยืดยาดของเกมได้ แล้วจะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคในการเล่นเกมนี้สำหรับคุณระบบการบังคับปุ่มต่าง ๆ ก็ใช้เหมือนกับเกมแนวเดียวกันในท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นปุ่ม W,A,S,D ที่ใช้บังคับทิศทางการเดินของตัวละคร หรือเมาส์เอาไว้จิ้ม ๆ กดเลือกเมนูต่าง ๆ แต่ระบบหลาย ๆ อย่างก็ไม่เป็นมิตรกับ Users เท่าไหร่ เพราะใช้งานค่อนข้างยาก จริง ๆ มันควรง่ายเหมือนเกมอื่น ๆ แหละ แต่ผมก็ไม่เข้าใจ Dev เหมือนกันว่าจะทำให้ยากกว่าเกมอื่นทำไม? ส่วนระบบการสอนการใช้งานระบบต่าง ๆ ภายในเกมไม่ต้องพูดถึงเลยครับ มีแต่น้อยมาก เน้นคลำเองเป็นหลัก แต่เอาว่าไม่ได้ยากขนาดที่เข้าใจไม่ได้ แต่เขาไม่ได้สอนแบบจับมือทำครับUser interface ในส่วนนี้ก็แบ่งเป็นระบบใช้งานง่ายดีไม่ว่าจะหน้าต่างตัวละคร เวลาแต่งตัวอะไรก็ลากไอเทมชุดอาวุธไปใส่ได้เลย ตารางสกิลที่ดูง่าย ช่องคีย์ลัดที่เอาไว้ใส่อุปกรณ์การทำฟาร์มหรืออาวุธของเราก็อยู่ด้านหน้าและดูง่าย แต่สิ่งที่ดูจะไม่สะดวกก็คงจะเป็นสัตว์ขี่ที่กดเลขในคีย์ลัดแล้ว ก็ยังต้องกดคลิกเมาส์ซ้ายเพื่อที่จะขี่ด้วย เลยทำให้ตรงนี้ดูยุ่งยากและซับซ้อนอยู่บ้างครับสำหรับผมสรุปแอบเสียดายเงินเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็น DLC หรือตัวเกม ผมมองว่าตัวผมค่อนข้างคาดหวังกับมันจนเกินไป แต่พอได้มาสัมผัสกับมันจริง ๆ แล้วความอืดอาดยืดยาดในการเคลื่อนที่ของตัวละครเป็นอะไรที่ทำให้ผมเบื่อเกมนี้อย่างรวดเร็วครับ ผมอาจจะไม่ได้เล่นจน Expert อะไรเลยสำหรับเกมนี้ เพราะผมรู้สึกอึดอัดในการเล่นจนไปต่อกับมันไม่ไหวจริง ๆ แต่ถ้าใครที่อดทนกับความเชื่องช้าของเกมนี้ได้ใจต้องรักมันจริง ๆ ด้วย ถ้าอยู่ได้เนื้อเรื่องเกมนี้ผมบอกเลยว่ามีอะไรให้น่าค้นหาติดตามอีกมาก ช่วงหลัง ๆ ของเกมก็มีอะไรให้เราทำและสนุกสนานกับระบบต่าง ๆ อีกเยอะ!!! ถ้าใครยังดึงดันจะเล่นต่อไปผมแนะนำให้อัป Movement Speed ไปให้ถึงขั้นที่ 5 เพราะถึงแม้เราจะเล่นเผ่า Demon สกิลที่ให้มาติดตัวนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่เพราะมันกดใช้งานได้แป๊บเดียวเท่านั้น หลังจากกดใช้งานไปแล้ว คูลดาวน์จะนานอะไรขนาดน้านนนนน ใครสนใจถ้าอยากไปสัมผัสการเล่นเกมแบบตัวสลอธสามารถไปกดซื้อได้ใน Steam เลย ราคาตอนนี้อยู่ที่ 319 บาท ซึ่งผมว่ากดบันเดิลคู่กับอีกเกมมาเลยจะคุ้มค่ากว่าเพราะมันลดราคาเพิ่มให้ด้วยอีก 10% ราคา Sun Haven + Sun Down Survivors Bundle จะอยู่ที่ 390.60 บาท เราจะได้เกมเนิบนาบมาเล่นถึง 2 เกมคุ้มค่าสุด ๆ ตกเกมละ 195.3 บาทเองครับ ถ้าใครจะทำตัวเชื่องช้าเหมือนเกมก็รอไปกดตอนลดราคาก็ได้ ตะโกนบอกกลับไปเลยว่าเราก็ไม่รีบ ฮ่า ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้รีวิวมานั้นมันเป็นความไม่ชอบโดยส่วนใหญ่ของผม ซึ่งไม่จำเป็นว่าเพื่อน ๆ จะต้องรู้สึกแบบเดียวกับผมนะครับ อย่างไรแล้วผมก็อยากให้เพื่อน ๆ ไปกดเล่นดูก่อน ถ้าไม่ถูกจริตก็อย่าเล่นเกิน 2 ชั่วโมง จะได้กดคืนเงินได้ ใครที่อ่านบทความมาจนถึงตรงนี้ก็ขอกราบขอบพระคุณที่อ่านสิ่งที่ผมบ่นมาจนจบ ขอบพระคุณที่ตามอ่านกันมาตลอดครับ ด้วยรัก xoxoสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1432860/Sun_Haven/
23 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม KINGDOMS AND CASTLES เกมสร้างเมืองเข้าถึงง่าย ระบบไม่ซับซ้อน เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
KINGDOMS AND CASTLES เกมนี้เราจะได้รับบทเป็นราชาที่ต้องมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ๆ ย้ายรกรากมาพร้อมกับลูกสมุนและไพร่พลจำนวนหนึ่ง เป็นเกมสร้างเมืองแบบยุคกลางที่มีสีสันสวยงามน่าสนใจมากสำหรับผมครับ เป็นเกมสร้างเมืองไซส์เล็ก ๆ ที่ผู้เขียนกดมาเพราะผมเห็นว่ามันลดราคาอยู่พอดิบพอดี เลยตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะราคาแค่ 143.40 บาทเท่านั้นเอง!!! ลงวางขายใน Steam มาตั้งแต่ 20 ก.ค. 2017 แต่คาดเดาด้วยสายตาแล้วว่ามันน่าจะไม่ต่างอะไรกับเกมอื่น ๆ มากนัก แต่ผมก็อยากจะลองเล่นมันดูจะได้รีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเพื่อตัดสินใจกันครับ ว่าลดราคารอบหน้าสายสร้างเมืองอย่างเรา ๆ จะซื้อมันมาสะสมลงคลังเอาไว้ดีไหม? เกมเพลย์หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร? ตามไปอ่านกันต่อดีกว่าครับเกมเพลย์เรียบง่าย แต่เล่นเพลินเกินราคาKINGDOMS AND CASTLES ผู้เขียนมองว่ามันเป็นเกมสร้างเมืองที่ค่อนข้างเล่นง่ายและไม่ซับซ้อน แค่เพียงคุณต้องบริหารและบาลานซ์ Demand & Supply ให้มันพอ ๆ กัน เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ง่าย ๆ ขึ้นนะครับ เช่นทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในเมืองของเราครับ การทำงานของประชากรของเราตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ตัวเกมจะส่งไปแบบอัตโนมัติ คือเราไม่ควรสร้างเมืองให้โตเร็วจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเมืองจะโตกว่าคนครับ (อารมณ์คล้าย ๆ สมัยที่เซี่ยงไฮ้เจริญมาก ๆ เทคโนโลยีแบบโตเร็วแบบหยุดไม่อยู่ แต่คนหรือประชากรโตไม่ทันเมือง) บางสถานที่ที่เราสร้างมาจึงไม่มีคนไปทำงาน ผลผลิตก็จะไม่ได้ ประชากรเรามีแค่ไหน เราก็ควรดูจำนวนคนที่ว่างงานให้มันดูเยอะพอสมควรก่อน แล้วค่อยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกชิ้นต่อไปครับ ส่วนถ้าเราสร้างบ้านเพื่อให้คนมาอาศัยเยอะเกินสิ่งปลูกสร้างเกินไป เกมนี้พื้นที่ต่าง ๆ นั้นจะถูกจำกัด เราไม่สามารถทำฟาร์มได้ทุกที่ที่เราต้องการ ผลผลิตทางด้านอาหารจึงมีจำกัด จึงทำให้อาหารไม่เพียงพอต่อประชากร และจำทำให้คนของเราล้มตายจากโรคภัยครับ นี่คือหัวใจหลักของเกมนี้เลย อารมณ์เหมือนว่าพวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ คือสิ่งสิ้นเปลือง ถ้าประชากรของเรายังไม่ร้องขอ เราก็ยังไม่จำเป็นตรงสร้างก็ได้ครับ  บอกเลยว่าแค่ผมนั่งวางแผนแค่เรื่องเหล่านี้ก็สร้างความเพลิดเพลินให้กับผมได้หลายชั่วโมง เล่นง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องคิดอะไรระหว่างเล่น เอาจริง ๆ ผมมองว่าเหมาะกับมือใหม่ที่อยากลองเล่นเกมสร้างเมือง เพราะ Ai ไม่ได้โหดอะไรขนาดนั้นครับระบบการป้องกันเมืองที่เหมือน Tower defense ทำให้เกมสนุกไปอีกแบบส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้เขียนชอบเป็นการส่วนตัวครับ การปกป้องเมืองที่เป็นแบบ Tower defense ในช่วงแรก ๆ ที่ไวกิ้ง หรือมังกรบุกเมือง บอกกันตามตรงเลยว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะป้องกันเมืองได้ยากมาก ๆ ด้วยตัวเกมบังคับให้ทุกอย่างต้องใช้ทรัพยากร และคนต้องทำงาน ตารางงานต่าง ๆ เราเลยต้องเป็นคนควบคุมเอง ซึ่งยังไงช่วงแรก ๆ เนี่ย เราจะยังไม่มีเงินอัปกำแพงเมือง หรืออัปกองกำลังทหารแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะไม่มีกำลังคน แล้วเราก็ไม่สามารถเดาได้ว่าฆ่าศึกหรือมังกรจะบุกมาจากทิศทางไหนด้วย ช่วงหลัง ๆ เมื่อเรามีเงินมีประชากรเพียงพอต่อการฝึกทหารได้แล้ว ก็สร้างป้อมยาว ๆ ล้อมเมืองเอาไว้ พอฆ่าศึกมาป้อมต่าง ๆ ก็จะเป็นคนยิงให้เอง เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย ผู้เขียนมองว่าเรียบง่าย แต่ก็สนุกดีตรงที่ได้บริหารจัดการไพร่พลนี่แหละครับ ว่าจะให้ชาวเมืองหยุดกิจกรรมการทำงานอะไรก่อนเพื่อมาป้องกันประเทศ แต่ถ้าศัตรูไม่เดินผ่านตรงป้อมที่เราวางไว้ เมืองก็จะถูกตีเละเทะ และอาจจะสูญเสียทรัพยากรบางส่วนรวมถึงเงินทองของเราด้วยครับหัวใจหลักคือจำนวนประชากรอย่างที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้วว่า เกมนี้หัวใจหลักของเราคือประชากร อยากได้คนเข้าเมืองมาเพิ่มก็ต้องสร้างบ้านเพิ่ม แล้วประชากรไม่ใช่มีแค่บ้านเพิ่มแล้วจะมีคนย้ายเข้ามา ค่าความสุขของประชากรในเมืองที่เราอยู่ก็ต้องเกิน 60 ขึ้นไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอยู่ครับ เพราะเราต้องบริหารจัดการผู้คนให้ไปทำงานด้วย สภาพแวดล้อมรอบ ๆ บ้านก็ต้องดีด้วย คือเอาง่าย ๆ ว่าปัจจัย 4 ต้องครบ แต่มันยากตรงที่ว่าถ้าให้ทุกอย่างครบ และค่าความสุขเพิ่มขึ้นสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็ต้องมีคนไปทำงาน ซึ่งมันสนุกตรงนี้นี่แหละครับ เพราะเราต้องคอยจัดคนให้พอดีกับงาน ผลผลิตยังได้รับปกติ คนของเราไม่อดตาย การต่อสู้ก็ต้องไม่ขาด แต่ถ้าช่วงไหนประชากรมีอยู่แค่เพียงหยิบมือ ก็คงต้องปล่อยตามมีตามเกิดไปก่อน ความยากอีกอย่างก็คือประชากรมีเกิดแล้วตาย ทั้งอุบัติเหตุ หมาป่ากัด มังกรบุก พวกไวกิ้งรุกราน หรือแม้แต่ตายตามธรรมชาติ พอมีการตายเกิดขึ้นปัญหาที่ตามมาคือ คนงานขาดแคลน ถ้าแพ้หรือมีคนตาย ค่าความสุขก็จะลดลงด้วย แล้วมันบุกกันมาบ่อยด้วย ฮ่า ๆ เอาจริง ๆ ระบบตรงนี้แรก ๆ ก็เพลินดี แต่หลัง ๆ พอสร้างเมืองจนครบ เราก็จะเจออะไรพวกนี้ซ้ำ ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่านี้อีกแล้ว ผู้เขียนมองว่าตัวเกมยังมีจุดตันอยู่ พอเราเล่นไปเรื่อย ๆ มาถึงจุดหนึ่งเราก็จะเบื่อครับ แต่ก็มองว่ากว่าจะเบื่อก็เล่นเกินราคาเกมไปแล้วสิ่งปลูกสร้างไม่มีเปลี่ยนยุค และของอัปเกรดค่อนข้างน้อยสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมนี้ยังมีน้อยเกินไปนั่นก็น่าจะเป็นระบบอัปเกรดของเกมครับ ของอัปเกรดมีค่อนข้างน้อย อันนี้ยังขอยืนยันเหมือนเดิมว่าผมยังชอบระบบอัปสิ่งปลูกสร้างตามยุคของเกม Foundation มากกว่า (ถ้าใครเคยอ่านรีวิวที่ผ่าน ๆ มาของผมมาบ้างแล้ว จะรู้ว่า Foundation คือนับบ้าวันในใจ ฮ่า ๆ) สิ่งที่ทำให้เกมค่อนข้างตันไวก็คงเป็นเพราะมันไม่มีอะไรมากมายให้อัปครับ แค่มีเงินก็สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ดีกว่าได้แล้ว เช่น ช่วงหลัง ๆ เราจะหาทรัพยากรต่าง ๆ ได้เยอะมาก เอาเป็นว่าเยอะจนชนิดที่ว่าล้นแล้วล้นอีก แต่คือเราก็ไม่สามารถอัปเกรด ยุ้งฉางและโรงเก็บของของของเราให้ใหญ่ขึ้นกว่าระดับ 2 ที่ตัวเกมมีให้สร้างได้ เอาง่าย ๆ ว่ามันมีแค่ให้เลือกระดับเล็กกับใหญ่ เราก็ต้องสร้างวน ๆ ไปจนแบบเยอะมาก ๆ ครับ ถ้ามีให้อัปเกรดเยอะกว่านี้อีกหน่อย เกมคงมีมิติมากขึ้นได้อีกระบบการค้าที่น้อยและยังไม่สุดระบบการซื้อขายของเกมนี้ มันไม่ซับซ้อนเลยและใช้งานง่ายมาก ๆ แต่มันติดนิดเดียวที่มันบังคับสินค้าที่ให้เราขายได้ค่อนข้างน้อย (อาจจะอิงมาจากเรื่องจริง เรื่องน้ำหนักของการเดินเรือ) แต่ผู้เขียนก็มองว่ามันน้อยกว่าเกมอื่น ๆ ไปมากครับ ของที่ขายได้ค่อนข้างน้อยทำให้การเงินของเรามีปัญหา และการขายสินค้าไม่สามารถช่วยให้สภาพคล่องทางการเงินของเราดีขึ้นได้ ส่วนระบบเทรดนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มี เสียดายมาก ๆ ที่ไม่สามารถเทรดสินค้าที่เรามีมากจนล้นกับเมืองอื่น ๆ ได้ ถ้าเกมไหนเราเพิ่ม Ai เพื่อเล่นเป็นอีกเมือง เราสามารถนำเรือของเราไปซื้อขายกับเมืองของ Ai ได้ แต่ถ้ารอบไหนมันสุ่มมาให้แบบไม่มีอีกเมือง เรือสินค้าของเราก็ทำบ้าอะไรไม่ได้เลยครับ เพราะมีระบบกำหนดจุด Node เส้นทางการเดินเรือ แล้วไม่รู้จะไปปัก Node ไว้ที่เมืองไหน เลยงงว่ามีเรือสินค้าไว้ทำไม??? ระบบต่าง ๆ ภายในเกมKINGDOMS AND CASTLES เป็นเกม 3D ภาพเหลี่ยม ๆ ที่มีสีสันสดใสครับ เป็นเกมสร้างเมืองยุคกลาง ระบบการเล่นทั่ว ๆ ไปจะคล้าย ๆ กับเกม Banished เพลงประกอบคืองานดียังกับอยู่ใน Game of thrones ตึง ตือ ดือ ดือ ดึง ตือ ดือ ดือ ดึง (ฮัมเพลงเป็นตัวหนังสือให้เพื่อน ๆ อ่าน ได้ยินเสียงไหมฮะ ฮ่า ๆ) เป็นเกมสร้างเมืองไซส์เล็ก ๆ ที่ควรมีสะสมไว้ในคลังครับระบบการบังคับโดยทั่ว ๆ ไปแล้วเหมือนกับเกมสร้างเมืองอื่น ๆ ตามท้องตลาด แต่ที่ดูจะประหลาดกว่าชาวบ้านเขา และสร้างความสับสนในการเล่นให้กับผมอยู่พอสมควรก็น่าจะเป็นเรื่องซูมเข้าออกนี่แหละครับ เกมนี้จะสลับกับเกมอื่น ๆ คือถ้าเราหมุนลูกกลิ้งเมาส์เข้าตัวคือคือซูมออก และถ้าเราหมุนลูกกลิ้งเมาส์ออกคือซูมเข้า ผมงงอยู่พักใหญ่ ๆ ฮ่า ๆUser interface เกมนี้ผมว่าก็ตามราคาแหละครับ หน้า Manage การจัดการงานของประชากรอาจจะต้องใช้ความเข้าใจอยู่บ้าง เพราะเราต้องดูจุดสำคัญของงานว่าเราให้ความสำคัญกับงานไหนของชาวเมือง จะมีตัวเลขให้เรียงลำดับความสำคัญอยู่ เล่นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะปรับตัวกับมันได้ส่วนเเรื่องระบบการสอนของเกมนี้ผมให้ไปในทางที่ค่อนข้างแย่มาก ๆ เพราะแทบจะไม่ได้สอนอะไรเลยครับ สอนแค่นิด ๆ หน่อย ๆ เอาเป็นว่าแค่มีบอกเฉย ๆ ว่าอันนี้วางตรงไหนได้หรือไม่ได้ ถ้าใครต้องการระบบสอนแบบจับมือทำให้มองข้ามเกมนี้ไปก่อนเลยครับ เพราะต้องใช้ความเข้าใจของตัวเองล้วน ๆ แต่เอาจริง ๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้นนะเพราะเกมมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมมองว่าถ้าคนเล่นฃคลำ ๆ ไป เดี๋ยวจะเข้าใจได้เอง มือใหม่ก็เล่นได้ จริ๊งงงงงง!!!สรุปสำหรับผมแล้วมันเป็นเกมสร้างเมืองที่ดีเกมหนึ่งเลยครับ แม้ส่วนตัวจะคิดว่าถ้าเพิ่มอะไรมามากกว่านี้อาจจะทำให้เกมมีมิติกว่านี้ได้อีก แต่เท่านี้ก็ถือว่าดีเกินคาดจากบรรทัดฐานในใจของผมก่อนเล่นไปมาก ๆ แล้ว อาจจะด้วยระบบอัปเกรดที่ไม่เป็นอย่างใจ ระบบขายสินค้าที่คอนเทนต์ดูน้อยไปหน่อย ก็เลยทำให้เกมนี้เสียเปรียบเกมอื่น ๆ ที่มีวางขายอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบในท้องตลาดยูนิตการต่อสู้ที่ไม่ซับซ้อนผมก็มองว่ามันต้องมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ ส่วนตัวผมไม่ได้ชอบการทำสงครามมากมายอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะชอบสร้าง ๆ เมือง และบริหารทรัพยากรไปเรื่อย ๆ การที่มันเป็นระบบ Tower defense ผมก็เลยชอบตรงที่ผมไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับกองทหารมาก ถึงแม้เมืองจะพังไปก็สามารถซ่อมให้กลับมาใหม่ได้ หลัง ๆ มี Ai คอยสร้างแบบออโต้ให้อีก ส่วนตัวแล้วผมชอบฮะ ฮ่า ๆ แต่ถ้าอยากเล่นระบบการทหารที่มีมิติมากกว่านี้ เกมนี้น่าจะไม่ตอบโจทย์จริตของผู้เล่นบางคนเช่นกันครับแต่ยังไงผู้เขียนก็มองว่าด้วยราคาเกมที่ไม่แรง และระบบการเล่นที่สนุกแบบไม่ซับซ้อน ถ้าเป็นมือใหม่ที่หาเกมสร้างเมืองดีดีเล่นสักเกม จะเลือกเกมนี้เป็นเกมแรก ๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีครับ หรือผู้ปกครองหาเกมให้ลูก ๆ หลาน ๆ เล่นฝึกทักษะการบริหารจัดการหรือวางผังเมือง ผมว่าเกมนี้น่าจะสนับสนุนพัฒนาการของน้อง ๆ หนูได้ไม่มากก็น้อย อีกทั้งราคาค่าตัวยังแค่ 239 บาทเท่านั้นเองครับ บอกเลยว่าเกมเพลย์ดีเกินราคาไปมาก มากแบบจึ้ง! เกมเล็กติ๊ดเดียว แต่คุณภาพยิ่งใหญ่เสียจริง (อวยอีกแล้ววววววว)สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/569480/Kingdoms_and_Castles/
16 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม HUMANKIND สร้างประวัติศาสตร์วัฒนธรรม อารยธรรม ศาสนา การเมือง ที่ชอบด้วยมือเรา
HUMANKIND เกมที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเดินทางข้ามยุคของมนุษยชาติ ไล่ตั้งแต่ยุคหินยันยุคอวกาศ เปลี่ยนผ่านเปลี่ยนแปลง กำเนิดอารยธรรม วัฒนธรรม ความเป็นมาเป็นไปของมนุษย์ คอนเซ็ปต์ก็ฟังดูคุ้นเคย จนอดคิดถึงเกมที่มีมามากมายหลายภาคอย่างตระกูล Civilization ไม่ได้จริง ๆ ครับผู้เขียนเชื่อว่าถ้าเพื่อน ๆ ได้เริ่มเล่นเกมนี้เมื่อไหร่ จะต้องอดใจเอามันไปเปรียบเทียบกับเกมเก่าที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เล่นเกมสาย Strategy อย่าง Civilization ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะดูจากรูปเกมลักษณะการเล่นเกมเพลย์ต่าง ๆ นั้นผมเชื่อว่า HUMANKIND ต้องได้แรงบันดาลใจหรืออิทธิพลมาจาก Civilization ไม่มากก็น้อยนั่นแหละHUMANKIND ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2021 ตอนนี้มันลดราคาอยู่ 80% ผู้เขียนจิ้มมันลงคลังอย่างรวดเร็ว เพราะราคาเหลือแค่ 249.8 บาทเท่านั้นเอง และถึงแม้ว่าถ้าผมเล่นแล้วรู้สึกฟินไม่เท่า Civilization อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่เสียดายเงินแหละครับงานนี้ ฮ่า ๆ ไทม์ไลน์ของวัฒรธรรม อาจจะไม่ถูกจริตกับผู้เล่นทุกคนเกมมีวัฒนธรรมหรือ Culture ให้เลือกเล่นเยอะมาก แบ่งออกเป็น 6 ยุค โดยเริ่มจากยุคหินแล้ววิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ แต่ละ Culture จะมีบัปพิเศษ สิ่งก่อสร้างพิเศษและยูนิตพิเศษให้มาอย่างละ 1 อัน สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบที่สุดในเกมนี้คือการที่เราไม่สามารถ Roleplay วัฒนธรรมเดียวไปได้เรื่อย ๆ จนจบเกมได้ ผมเลยมองว่ามันเหมาะกับคนที่เล่นแล้วชอบปรับตัวเองไปตามสถานการณ์ที่เกมสร้างขึ้นมาให้มากกว่า แต่สำหรับผมที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเกมแบบยาว ๆ ว่าอารยธรรมนี้มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร อยากจะสวมบทบาทแบบอินจ๋า ๆ ไปกับวัฒนธรรมของชนเผ่านั้น ๆ เลยจนจบเกมสำหรับเกมนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะตัวเกมจะมีเหตุการณ์ให้เราเลือกเส้นทางของอารยธรรมอยู่ตลอดเวลา มันดีตรงยืดหยุ่น แต่จะไม่สนุกถ้ามาเทียบกับไทม์ไลน์ของประวัติศาสตร์จริง ๆ ของมนุษย์เราครับระบบแพร่ขยายทุกขั้วอำนาจ ยังสร้างมาให้เล่นเหมือนขอไปทีระบบการทูต อิทธิพล ศาสนา ยังออกแบบมาได้ตื้นเขินมากกกกกกกครับ เหมือนแค่ให้มีไว้ประดับเกมเฉย ๆ อยู่ใกล้ ๆ เดี๋ยวมันก็เป็นพวกเราเองแหละ (ฮ๊ะ!!! อิหยังวะ) แต่พอประเทศข้าง ๆ ซึมซับอิทธิพล หรือ ศาสนาของเราไปแล้วก็เหมือนจะไม่มีผลอะไรเลย นอกจากได้รับแต้ม Leverage หรือ Faith ที่สูงขึ้น เล่นยันจบเกมก็ยังไม่รู้ว่ามีเอาไว้ทำอะไรจริง ๆ (อ๋อ ประกาศสงครามได้บ่อยขึ้นนิดนุง ฮ่า ๆ) จริง ๆ ยังมีอีกเยอะที่ผู้เขียนไม่ชอบ แต่ถ้าบ่นจนหมดก็คงไม่ได้พูดถึงข้อดีหรือไปบ่นหัวข้ออื่น ๆ ต่อแล้วยูนิตในเกมหลากหลายและลื่นไหลยูนิตแต่ละอย่างภายในเกมจะมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นยูนิตพิเศษของแต่วัฒนธรรม หรือยูนิตทั่วไปที่ปลดล็อกจากเทคโนโลยี ขนาดว่าข้ามยุคไปแล้วเรายังสามารถจ่ายเงินเพื่ออัปเกรดยูนิตได้ด้วย แล้วพวกยูนิตอย่าง Spy หรือ Settler สำหรับเกมนี้เราสามารถนำมาใช้งานอย่างอื่นนอกจากสู้รบได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นตัดไม้ Clear พื้นที่ เป็นต้น ซึ่งผมมองว่าตรงนี้แอบดูดีกว่า Civilization เพราะลื่นไหลและยืดหยุ่นกว่า เล่นสนุกกว่าโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเดินไปเจอยูนิตของฝั่งศัตรูแล้วจะเป็นหง่อยทำอะไรเขาไม่ได้เลย สามารถต่อสู้ สามารถล่าสัตว์ต่าง ๆ ได้ เลยทำให้การเล่นยูนิต Scout เป็นอะไรที่ไม่ต้องคอยเดินหลบหลีก บางครั้งถ้ามั่นใจเราสามารถเข้าไปบวกกับสัตว์ป่าได้เลย เลยทำให้ตรงนี้สำหรับผมค่อนข้างสนุกกับการเล่นเกมอยู่ครับเปลี่ยนยุคไวจัด การวิจัยก็ดีไม่สุดเกมมันข้ามยุคเร็วมาก ต่อให้เลือก Pace ของเกมให้ช้าที่สุดแต่ก็รู้สึกมันเร็วเกินไปอยู่ดี บางทีเราวิจัยปลดล็อคยูนิตพิเศษยังไม่เสร็จเลย หืม!!! พร้อมให้ขึ้นยุคใหม่แล้วจริง บ่ หนิ? ฮ่า ๆ บางคนอยากจะเอ็นจอยกับยุคโบราณหรือยุคกลางให้นาน ๆ สักหน่อย แต่ถ้าไม่รีบขึ้นยุคใหม่เดี๋ยวโดนฝ่ายอื่นแย่ง Culture ดี ๆ ไปหมดอีก ระบบ Tech สายวิทยาศาตร์ส่วนตัวผมมองว่ายังน้อย คือมันมีให้เลือกเล่นแหละ แต่ผมว่ามันยังน้อยเกินไปมากถ้าเทียบกับ Civilization เลยทำให้เกมดูเล่นง่ายไปหมด ดูเป็นเส้นตรงแปลก ๆ มันเลยทำให้เกมตรงนี้ดูขาดมิติไปเยอะมาก ๆ ครับอีเวนต์ของเกมสร้างฟีลลิ่งที่หลากหลายยังกับขั้วตรงข้ามผมค่อนข้างชอบระบบอีเวนต์ของเกมนี้มาก ถ้าเราได้ตามอ่านเนื้อหาจะยิ่งรู้สึกอินกับเกมมากขึ้น บางอีเวนต์ก็จะเกิดจากสิ่งที่เราทำลงไปด้วย เช่น อีเวนท์วาฬใกล้สูญพันธ์ เพราะเราสร้างสิ่งก่อสร้างท่าเรือล่าวาฬมากเกินไป หรืออีเวนต์ฝุ่นควัน PM 2.5 ปกคลุมเมืองเพราะเราสร้างโรงงานมากเกินไป (แล้วไอ้เมืองที่ผมเจออีเวนต์เนี่ยคือ Bangkok ซะด้วย ฮ่า ๆ)มลพิษทางอากาศ (Pollution) ถือเป็นเงื่อนไขจบเกมอย่างนึง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อทุกฝ่ายปล่อยควันมากเกินไปจนโลกอยู่ไม่ได้ แต่เราไม่รู้เลยว่ามลพิษมันเกิดจากจุดไหนบ้างและมีสูตรคำนวณยังไง เพราะไอ้หน้าต่าง UI มันแทบไม่บอกอะไรอีกแล้ว แถมดูแล้วไม่มีทางแก้ไขปัญหามลพิษได้ด้วย ต่อให้ปลูกป่าเยอะแค่ไหนก็ไม่เห็นมันจะยืดเวลาโลกแตกออกไปได้เลย คือใจคอจะให้ตายกันหมดโลกอยู่ดีว่างั้น ที่เห็นทางแก้ชั่วคราวมีแค่เทคโนโลยีอันสุดท้ายที่ลดปริมาณปล่อยมลพิษลงครึ่งหนึ่งแค่นั้น งงไปหมด ฮ่า ๆระบบต่าง ๆ ภายในเกมHUMANKIND เป็นเกมสร้างเมือง strategy ทีมีระบบภาพ และโมเดลที่สวยงามมาก ๆ ครับ ถ้าใครเครื่องเทพ ๆ ลองปรับภาพสูงสุดตอนช่วงท้ายเกมดูจะได้ร้องว้าวววววววว ผู้พัฒนาเก็บรายละเอียดสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ได้ดี เมืองต่าง ๆ เชื่อมกันหมดด้วยถนน สามารถซูมดูความสวยงามตอนคนเดินไปเดินมาได้ ยิ่งถ้าเมืองมี Wonder แลนด์มาร์กอย่างพีระมิดหรือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจะสวยงามตระการตามาก ๆ ครับการบังคับของเกมนี้ไม่ได้สร้างความยุ่งยากให้กับเราครับ ถ้าใครเคยเล่น Civilization จะปรับตัวกับเกมนี้ได้เลย แต่สิ่งที่ผมมองว่ามันสร้างความวุ่นวายให้กับเราน่าจะเป็นระบบการสอนของเกมที่โคตรเข้าใจยาก เพราะจะเป็นตัวหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการสาธิตให้ดู หรือจับมือเราทำเท่าไหร่นักครับ UI เกมนี้ค่อนข้างซับซ้อนและใช้งานยากสำหรับผู้เล่น ถ้ามือใหม่มาเล่นนี่บอกเลยว่ากลับไปเล่น Civilization ดีกว่าครับ การดูข้อมูลต่าง ๆ ที่ยากเกินไป แล้วก็ผลรวมบัปต่าง ๆ ที่เรามีก็ดูไม่ได้อีก ต้องไปเปิดย้อนดูเอาแต่ละยุคแทนว่าแจกบัปอะไรไว้บ้าง ต้องใช้ความเข้าใจกับมันเยอะมาก ๆ มากขนาดที่ว่าอาจจะต้องไปเปิดดูใน Google ช่วยอะครับ ว่าส่วนไหนเอาไว้ทำอะไรสรุปHUMANKIND ทางด้านเกมเพลย์ถือว่าเล่นสนุกใช้ได้เลย เราสามารถมีส่วนร่วมกับเกมได้เยอะดี จับยุคนั้นยุคนี้มาผสมผเสปนเปกัน แต่คอนเซ็ปต์ของเกมก็ถือว่าเป็นดาบสองคม เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเดินหน้าไปพร้อมกับความยืดหยุ่นของเกมในการแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า และเปลี่ยนวัฒนธรรมแบบฉีกมันไปเลย เลยทำให้เกมนี้มันไม่เหมาะสำหรับการเล่นแบบ Roleplay และอินไปกับบทบาททางวัฒนธรรม แถมมาด้วยระบบที่ทำร้ายผู้ใช้งานอย่าง UI ที่ไม่รู้ว่าจะต้องงมคลำขนาดไหน เพื่อที่จะหารายละเอียดต่าง ๆ ให้เจอ แต่ถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาค่อนข้าง Active เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ตอนนี้ตั้งแต่เกมออกวางจำหน่ายผ่านมาแล้วถึง 2 ปี ถ้าระบบยังคงเป็นแบบนี้อยู่ ถ้าอยากจะขึ้นมาเทียบชั้นกับ Civilization ผู้เขียนมองว่ายังคงเป็นไปไม่ได้สำหรับ ณ ช่วงเวลาปัจจุบันใครที่สนใจสั่งซื้อ HUMANKIND ผู้เขียนแนะนำว่าให้รอช่วงลดราคาวนกลับมาอีกรอบจะดีกว่าฮะ เพราะถ้าเพื่อน ๆ จะซื้อราคาเต็มที่ 1249 บาท ผมมองว่าจะไม่คุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าของเราเท่าไหร่ และอย่างน้อย ๆ ถ้าใครได้ราคาตอนลดราคา 80% มาเหมือนผมสิ่งที่ดีของเกมนี้ก็คือ เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์ทางวัฒธรรม อารยธรรม ศาสนา หรือการเมืองได้เลย โดยที่ไม่ต้องสิ้นหวังกับ สว. 250 คนสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1124300/HUMANKIND/
13 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม Park Beyond รับบทเป็นผู้บริหารสวนสนุกสุดแนว กับไอเดียการสร้างรถไฟเหาะที่ไร้ขีดจำกัด
ถ้าให้พูดถึงเกมแนวบริหารธุรกิจ หนึ่งในเกมแนวบริหารสวนสนุกก็มักจะเป็นเกมยอดนิยมอย่างมากต่อเหล่าเกมเมอร์ที่เรานั้นจะได้สร้างสวนสนุก ออกไอเดียรถไฟเหาะตีลังกาที่เราต้องการได้ และภายในปี 2023 นี้ก็ได้มีเกมแนวบริหารกิจการสวนสนุกตัวหนึ่งที่ถือว่าน่าจับตามองกับเกมอย่าง Park Beyond พัฒนาโดยทาง Limbic Entertainment และจัดจำหน่ายโดย Bandai Namco Europe S.A.S.ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกมนี้น่าสนใจมาก ๆ ก็คือการที่ตัวเกมจะเพิ่มความแฟนตาซีของเกมเข้าไป กับการเปิดโอกาสให้เรามีไอเดียในการสร้างสวนสนุกในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร มีเครื่องเล่นไอเดียสุดล้ำที่ชีวิตจริงไม่น่าจะทำได้ หรือเราจะสามารถสร้างเส้นทางสุดเจ๋งที่ไม่มีใครเคยทำก็ได้เช่นกัน และในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมาแนะนำตัวเกมนี้ให้ทุกท่านได้รู้จักกัน ว่าตัวเกมมีอะไรน่าสนใจบ้าง รวมถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบมีอะไรบ้างระบบการเล่นที่เข้าใจง่าย มีโหมดแคมเปญที่ค่อย ๆ สอนเราสำหรับเกมแนว Simulation ปัญหาหลัก ๆ ของหลาย ๆ เกมที่เราเจอนั้นก็คงจะเป็นความซับซ้อนของเกมที่มากจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นใหม่นั้นจะต้องค่อย ๆ คลำหาระบบต่าง ๆ อยู่หลายชั่วโมง แต่ผิดกับเกม Park Beyond ซึ่งจะมีระบบการเล่นที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่อยู่ในระดับหนึ่ง ทั้งความเข้าใจง่าย การที่ตัวเกมมีระบบ Tutorial หรือการสร้างเครื่องเล่นบางอย่างตัวเกมก็จะมีบอกเลยว่าเราจะเปิดให้บริการเครื่องเล่นนี้จะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ซึ่งถ้าหากใครไม่เข้าใจจริง ๆ ตัวเกมก็จะมีโหมดแคมเปญให้เราเข้าไปเล่นได้ ซึ่งตัวแคมเปญก็จะค่อย ๆ สอนระบบต่าง ๆ ให้เราเข้าใจ และจะค่อย ๆ เปิดระบบต่าง ๆ ให้เราเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ จนเราสามารถไปเล่นโหมด Sandbox ที่จะเปิดระบบทุกอย่างเต็มที่ออกแบบรถไฟเหาะสุดล้ำ สุดเกินจริงจุดเด่นของเกม Park Beyond ก็คงจะเป็นการออกแบบรถไฟเหาะที่เราสามารถทำได้อย่างอิสระ ที่เราสามารถออกแบบการเดินของรางรถไฟได้ตั้งแต่เมตรแรก ว่าเราจะให้มันวิ่งไปแบบไหน อยากให้มีการทำมุมโค้งแบบไหน หรือมีการตีลังกากี่ตลบก็ทำได้ รวมถึงเราสามารถวางตำแหน่งของรางให้สามารถลอดใต้อุโมง หรือจะทะลุใต้ดืนลงไป 50 เมตร 100 เมตรก็ยังสามารถทำได้ ตัวเกมค่อนข้างให้อิสระของคุณอย่างหนักมาก ๆ (หรือจะใช้แบบ Preset ของเกมที่มีให้ก็ได้)รวมถึงยังมีการวางจุดประสงค์ของเครื่องเล่นว่าอยากให้สร้างมารองรับผู้เล่นกลุ่มใด ถ้าเน้นครอบครัวก็อาจจะต้องเป็นเครื่องเล่นที่ไม่รุนแรงมาก หรือจะเหมาะสมกับวัยรุ่นก็จะต้องเน้นความเร็วและผาดโผน โดยการออกแบบทุกอย่างเราจะต้องทำตั้งแต่เริ่ม นอกจากนี้ตัวเกมยังมีดีไซน์รถไฟเหาะสุดแฟนตาซีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยิงปืนใหญ่แคนนอนที่เราสามารถยิงผู้เล่นไปยังจุดหนึ่งได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นของจริงคงไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ สามารถสร้างหอไฟเหาะสุดโหดสุดมันส์ เท่าที่คุณจะสามารถคิดได้เลย ก็ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังมีหลักของความเป็นจริงอยู่บ้าง ยังไงซะคุณเองก็จะต้องออกแบบรางรถไฟที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้เล่น หรือการทำทางโค้งที่ไม่หักมากเกินไปจนรถไฟตกรางสร้างและบริหารสวนสนุกในฝันแน่นอนว่านี่คือเกมบริหารสวนสนุก คุณก็จะได้รับบทเป็นผู้บริหารสวนสนุกที่จะได้เข้ามาออกแบบและดูแลสวนสนุกในฝันแห่งนี้ให้กลับมามีคนสนใจอีกครั้ง โดยเราจะเริ่มตั้งแต่การวางแผนออกแบบว่าเราอยากให้สวนสนุกแห่งนี้เป็นแบบใด มีธีมแบบใด หรือแม้กระทั่งการวางกลยุทธ์ ออกแบบว่าเครื่องเล่นของคุณนั้นจะเหมาะกับผู้เล่นกลุ่มใด (โดยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือครอบครัว วัยรุ่น และผู้ใหญ่) โดยในระหว่างการเล่นตัวเกมก็จะมีเควสตามฉากเพื่อให้เราปลด หรือก็จะมีเควสเล็ก ๆ ให้เราทำเพื่อผ่านเควสด้วย มีการวางจุดการขายของเพื่อทำยอดขายให้กับสวนสนุกของเรามากขึ้น หรือจะเป็นการดึงดูดผู้เล่นให้สนใจเครื่องเล่นบางตัวโดยการลดราคาค่าตั๋วเล่นลงมาก็ทำได้ นอกจากนี้เรายังมีการตรวจค่าความสนุกของเหล่าผู้มาเที่ยวว่าความรู้สึกของลูกค้าตอนนี้เป็นอย่างไร ที่พักเพียงพอหรือไม่ ร้านขายน้ำ ขายอาหารมากเพียงพอหรือไม่ หรือแม้กระทั่งมีเครื่องเล่นที่สามารถรองรับผู้เล่นบางกลุ่มได้หรือไม่ ? โดยเราจะต้องบริหารกำไร ทำยอดขายไม่ให้ล้มละลาย โดยการที่สวนสนุกของคุณมีผู้เข้ามาเล่นเยอะ มันก็จะทำให้คุณจะปลดเลเวลของสวนสนุกได้ โดยเลเวลก็จะนำไปวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เราสามารถเปิดกิจการร้านค้าใหม่ ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านน้ำ เราสามารถเปิดกิจการเครื่องเล่นใหม่ ๆ หรือรถไฟเหาะไอเดียใหม่ ๆ ได้เช่นกันนอกจากนี้ตัวเกมยังเปิดโอกาสให้เราได้ปรับแต่งภูมิทัศน์ของฉากได้อย่างอิสระ อย่างสร้างภูเขา สร้างแม่น้ำ ออกแบบสิ่งต่าง ๆ ให้สวนสนุกของคุณนั้นสวยงามมากขึ้น ก็สามารถทำได้เช่นกันความรู้สึกหลังเล่นต้องยอมรับว่าส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ได้เล่นเกมแนวนี้เยอะนัก (แต่ก็มีเล่นบ้าง) ยอมรับเลยว่า Park Beyond เป็นเกมที่ค่อนข้างเปิดโอกาสให้เรามีไอเดียสุดล้ำในการสร้างสวนสนุกได้มากมาย เราจะสามารถสร้างรถไฟเหาะตีลังกาด้วยท่วงท่าไหนก็สามารถทำได้ รวมถึงยังมีไอเดียสุดล้ำเกินจริงใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความหรรษาให้กับเกมด้วย นอกจากนี้ด้วยความที่เกมค่อนข้างเข้าใจง่าย เป็นเกมที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากลองเล่นเกมแนวนี้อย่างมาก เพราะตัวเกมเข้าใจง่าย ไม่ต้องศึกษาอะไรมากมายให้ซับซ้อนเลยแต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ตัวเกมเข้าใจง่าย มันก็อาจจะเป็นหนึ่งในข้อเสียด้วย เหตุเพราะว่าแฟนเกมแนวนี้ที่เล่นเกมบริหารสวนสนุกมาอย่างช่ำชองก็อาจจะคิดว่าตัวเกมค่อนข้างมีความตื้นมากเกินไป ในบางระบบที่ตัวเกมใส่เข้ามาก็แทบไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อเกมมากนัก การบริหารสิ่งต่าง ๆ ก็ค่อนข้างง่าย และแก้ไขปัญหาง่าย ซึ่งมันก็อาจจะทำให้ความท้าทายลดหายไปเยอะ ซึ่งพอเล่นไปนาน ๆ ก็อาจจะเกิดอาการเบื่อได้และอีกสิ่งที่อาจจะต้องติก็คงจะเป็นบัคจุกจิกของเกมที่พอมีให้เห็นบ้าง ดีหน่อยสำหรับผู้เล่นที่เล่นเกมนี้หลังจากเดย์วันทำให้ผู้เขียนไม่พบเจอบัคเท่าไร แต่ก็มีให้พบเห็นการขยับปากของตัวละครที่ผิดเพี๊ยนไม่สอดคล้องกับคำที่พูด หรือบัควางสร้างสิ่งปลูกสร้างบางอย่าง ที่อยู่ดี ๆ มันก็ซ้อนทับกันได้เฉย และต้องมาแก้กันใหม่แค่นั้น โดยรวมแล้วตัวเกมถือว่าทำออกมาไม่เลวเลย แต่มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมถ้าหากคุณเคยเล่นเกมแนวนี้มาเยอะแล้ว
03 Jul 2023
[Review] รีวิว Asus ROG Strix SCAR 18 โน้ตบุ๊คราคาหลักแสน เล่นเกมใหม่ลื่นๆ ได้อีกหลายปี!
ถ้าคุณกำลังมองหาโน้ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีประสิทธิภาพสูง และมีดีไซน์พรีเมี่ยมดูแพงสุดๆ พร้อมไฟ RGB เพียบ Asus ROG Strix Scar 18 (2023) G834 อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณ และวันนี้ GameFever จะพามาดูรายละเอียดของเครื่องนี้กัน แต่แจ้งไว้ก่อนว่าใครจะจัดเครื่องนี้ต้องมีงบหลัก 1 แสน+ ขึ้นไปนะ!!!สเปคหน้าจอ: 18 นิ้ว, QHD+, 240Hz, 3msซีพียู: Intel Core i9-13980HXการ์ดจอ: Nvidia RTX 4090 VRAM 16GBRAM: 64GB DDR5ที่เก็บข้อมูล: SSD NVMe PCIe 4.0 2TBระบบเสียง: DTS:X Ultraการเชื่อมต่อ: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2, USB-C, USB-A, HDMI, DisplayPortความน่าประทับใจ: สเปคของ ROG Strix Scar 18 นี้เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก ด้วยการ์ดจอ RTX 4090 และซีพียู Intel Core i9 ที่อยู่อันดับต้นๆ ฮาร์ดแวร์ ทำให้มันดีกว่ารุ่นอื่นๆ ในตลาดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนักหรือเล่นเกม สเปคนี้สามารถรับมือได้ทุกสถานการณ์ ไม่ต้องกลัวว่าจะแรงสู้ตัวอื่นไม่ได้ พร้อม VRAM ที่มีมากถึง 16GB ก็การันตีว่าใช้เล่นเกมได้อีกนานหลายปีแน่นอน (ปัจจุบันควรมี VRAM 12GB อยู่เลย)การออกแบบ และวัสดุวัสดุ: โลหะอลูมิเนียมพร้อมลายเลเซอร์สวยงามคีย์บอร์ด: RGB Per-Key ที่สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบระบบระบายความร้อน: Liquid Metal และพัดลม AeroBlade 3Dน้ำหนัก: 2.9 กิโลกรัมการออกแบบของ ROG Strix Scar 18 นี้สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ด้วยวัสดุโลหะอลูมิเนียมที่คงทน และลายเลเซอร์ที่สวยงาม ทำให้เครื่องดูหรูและทันสมัยการออกแบบของ ROG Strix Scar 18 นี้ไม่เพียงแต่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังทำให้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนมาจากโลกอนาคต ด้วยไฟ RGB ที่ประกอบตัวเครื่อง สร้างความสวยงามและดุจริเล่นได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสีของคีย์บอร์ดหรือไฟที่ตัวเครื่อง ทุกอย่างดูเป็นระบบที่เชื่อมต่อกันได้สมบูรณ์แบบ (ไฟ RGB มีที่ด้านล่างตัวเครื่องเป็นแถบยาวๆ และตรงโลโก้บนเครื่องด้วย) อีกหนึ่งส่วนที่น่าชมมากคือตัวกล่องดีไซน์อลังการ ตอน Unbox จึงทำให้ฟินมาก ถ้าจะมีข้อเสียก็คงเรื่องดีไซน์นั้นทำให้ตัวเครื่องก็หนักมาก พกพาได้ยากการใช้งานระบบปฏิบัติการ: Windows 11 Proแบตเตอรี่: แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมงซอฟต์แวร์พิเศษ: Armoury Crate สำหรับการปรับแต่งและติดตามสถานะของเครื่องการใช้งานของ ROG Strix Scar 18 นี้ลื่นไหล และซอฟต์แวร์ Armoury Crate มีหน้าตาที่ดี และใช้งานปรับไฟ RGB ได้ง่าย ทำให้การปรับแต่งเครื่องสะดวกสบายหลังจากที่ผู้เขียนได้ใช้งาน ROG Strix Scar 18 นี้ระยะหนึ่ง รู้สึกประทับใจในทุกด้านที่มันสามารถนำมาใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการเล่นเกม ทุกอย่างดูลื่นไหล จนรู้สึกดีไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่น การเปิดแอปพลิเคชันหลากหลายตัวพร้อมกัน หรือการโหลดเกมขนาดใหญ่ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไม่มีสะดุด แถม Armoury Crate ก็เป็นโปรแกรมปรับแต่งที่หน้าตาดี และให้ความพรีเมี่ยมสูง พร้อมมีการปรับแต่งที่หลากหลายลูกเล่นมาก ทำให้การใช้งานได้ใจไปทุกด้าน (ควรเปิดโหมดพัดลมใช้งานแบบปกติ ถ้าเปิดโหมดเงียบทำให้เครื่องร้อนโหดมาก) อาจมีแอบขัดใจหน่อยคือแบตเตอรี่ไม่ได้ทนขนาดนั้นถ้าหากเล่นเกมแรงๆ ส่งผลให้ต้องเน้นเสียบปลั๊กเล่นมากกว่าการเล่นเกมประสิทธิภาพ: สามารถเล่นเกม AAA ในการตั้งค่า Ultra ได้แบบลื่นไหลระบบระบายความร้อน: มีประสิทธิภาพสูง ไม่มีปัญหาเรื่อง Overheating แม้ในการเล่นเกมที่มีกราฟิกสูงการแสดงผล: จอ QHD+ ทำให้ภาพเกมดูสวยงามและคมชัดการเล่นเกมบน ROG Strix Scar 18 นี้เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นเกม Cyberpunk 2077 ได้ภาพสวยระดับสูงสุด และเฟรมเรทสูง ทำให้การเล่นเกมเป็นเรื่องที่สนุกสนาน นอกจากการที่ผมได้ลองเล่นเกม Cyberpunk 2077 ผู้เขียนยังได้ใช้ Notebook ตัวนี้ไปลองเล่นเกม Hogwarts Legacy และ Resident Evil 4 Remake ด้วย และผลลัพธ์ที่ได้ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เล่นลื่นไหล ไม่มีสะดุด และภาพกราฟิกที่สวยงาม ทำให้ผู้เขียนจุ่มจิ้มในโลกของเกมได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจโลกวิเศษใน Hogwarts Legacy หรือการต่อสู้กับซอมบี้ใน Resident Evil 4 Remake ทุกสถานการณ์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างลงตัว ทำให้การเล่นเกมบนเครื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด (ตอนเล่นเกมไม่แนะนำให้เปิดโหมด Silence ใน Armoury Crate ไม่งั้นเครื่องร้อนโหดมาก ถ้าเล่นเกมก็ปล่อยให้พัดลมดังไปปกติดีกว่า)สรุปผ่านการใช้งานและการทดสอบจากผม สรุปได้ว่า Asus ROG Strix Scar 18 (2023) G834 นี้เป็นเครื่องที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การใช้งาน หรือการเล่นเกม ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่หลากหลาย และมีราคาที่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับ แน่นอนว่ามันคือตัวเลือกที่ดีสำหรับทุกคนที่ต้องการ Notebook ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีคุณภาพในการใช้งานแบบครบวงจร แต่ก็ด้วยราคาหลักแสนนั้นก็ทำให้เข้าถึงได้ยากหน่อย ขณะที่ใครเงินถึงก็ฟินไปหลายปีแน่นอน..............................พบเกม PC ลดราคาแรงตลอดปีที่ร้าน 2gameซื้อผ่านลิงก์ https://2game.com?ref=gamefeverth และใส่รหัสคูปอง Gamefever เพื่อรับส่วนลดเพิ่ม!
23 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Levistone Story ตั้งค่ายตะลุยดันเจี้ยนสุดแฟนตาซีบนมือถือภาพ Pixel สไตล์ Roguelike
คงไม่มีการผจญภัยไหนน่าตื่นเต้นไปกว่าพื้นที่ลึกลับ ยากจะเข้าถึง และเต็มไปด้วยความมืดรอบตัวอย่างใน "ดันเจี้ยน" จึงไม่น่าแปลกที่ช่วงหลังมานี้จะมีเกมที่สร้างพื้นที่ดันเจี้ยนขึ้นมาเป็น Gimmik หลักของการผจญภัยมากมายเช่นเดียวกับ Levistone story เกมผจญภัยแนว Roguelike บนมือถือ ที่มีพื้นที่สำรวจหลักก็ถือหุบเหวลึก แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เพราะกราฟฟิคของเขามาในแบบ Pixel สุดน่ารัก พร้อมฟังก์ชั่นต่าง ๆ มากมาย ตัวเกมจะเป็นอย่างไรบ้าง? มีระบบอะไรให้เล่น? ในบทความนี้เราจะเล่าให้ฟังเอง!เนื้อเรื่อง  เป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่ Prometheus พระเจ้าสูงสุดได้นำ Levistone มาให้ชาว Triberians ผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้ความสามารถของ Levistone พวกเขาสามารถใช้คริสตัลชิ้นนี้ร่ายเวทย์ทุกรูปแบบ แต่ไม่กี่ปีมานี้ Prometheus ได้หายไปใน Abyss โดยไม่ทราบสาเหตุ Central Council ได้ค้นพบความผิดปกติใน Triberias นี้ จึงได้ส่ง Levistone pillar มายังโลก  จากนั้น จึงได้มีการตั้งค่ายหน้า Abyss เพื่อทำภารกิจเคลียร์ดันเจี้ยนและค้นหาทรัพยากรจำเป็นในการดำรงชีพ จัดกำลังพลให้พร้อมแล้วออกไปผจญภัยกันเลย!รูปแบบการเล่น    ก่อนที่จะเริ่มผจญภัย เราก็ต้องมีทีมสำรวจกันก่อน โดยเราสามารถจ้างฮีโร่มาร่วมทีมได้ 3 คน โดยฮีโร่จะแบ่งเป็นการโจมตี 3 รูปแบบ คือ ระยะประชิด, ธนู และเวทย์ และแต่ละตัวก็จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป เช่น อบอุ่น, ใจร้อน, เย็นชา, ว่องไว, บอบบาง หรือสามัญธรรมดา เป็นต้น รวมประมาณ 36 แบบ ซึ่งนิสัยแต่ละแบบจะส่งผลต่อค่าสถานะความสามารถของตัวละครด้วย และยิ่งฮีโร่มีระดับที่สูงขึ้น จากสีเทา > เขียว > ม่วง > ส้ม > แดง ก็จะยิ่งเก่งและเป็นกำลังหลักที่ดีให้กับทีมอีกด้วย    เมื่อเราลงมาใน Abyss หรือที่เราน่าจะคุ้นปากว่า "ดันเจี้ยน" จะได้พบกับเหล่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลกใต้หุบเหวนี้ หน้าที่ของเหล่าฮีโร่คือกำจัดพวกมันเพื่อไปสำรวจห้องอื่นและลงไปยังชั้นถัดไป    ใน Abyss เราสามารถเก็บรวบรวมทรัพยากรเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นและอัปเกรดต่าง ๆ ภายในค่ายได้ รวมถึงเราสามารถหาอุปกรณ์สวมใส่รวมถึงยาฟื้นฟูได้จากภายในเหวลึกแห่งนี้ด้วย และพิเศษ หาเราเจอแท่นพลัง เราสามารถกดค้างเพื่อรับค่าความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพื่อให้เราผ่าน Abyss ภายใน Terminal แต่ละรอบได้ง่ายขึ้นด้วยอีกระบบหลักที่หลายคนอาจชอบใจก็คือ "ค่าย" ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราสามารถรับผลประโยชน์ต่าง ๆ จากระบบ Idel ของเกม ใช้คลังเก็บของ ว่าจ้างฮีโร่ ซื้อของจากร้านค้า และพบปะนักผจญภัยท่านอื่น เรียกได้ว่าทุกอย่างรวมไว้ในสถานที่พักผ่อนสุดสุขใจแห่งนี้ที่เดียวเลย  ระบบและฟังก์ชั่นพิเศษต่าง ๆ    นอกจากการสำรวจ Abyss และอัปเกรดค่ายแล้ว ในเกม Levistone Story ยังมีกิจกรรมให้ทำอีกหลากหลาย เพื่อความเพลิดเพลินและผ่อนคลายจากการผจญภัยอันเหนื่อยล้า ได้แก่...ปลูกผัก ทำอาหาร - มีค่ายแล้วก็ต้องมีอาหารยังชีพ โดยเราจะสามารถทำฟาร์มเพื่อปลูกผักภายในค่ายได้ และผลผลิตจากฟาร์มยังสามารถนำมาปรุงอาหารเพิ่มค่าประสบการณ์ให้ฮีโร่ของเราได้ด้วยภารกิจประจำวัน - ถ้าการลงดันเจี้ยนมันสูบพลังเกินไป ลองผจญภัยเล็ก ๆ ในภารกิจพิเศษซึ่งใช้เวลาทำไม่นาน โดยสามารถทำได้วันละ 4 ครั้ง ทำครบรับโบนัสพิเศษไปได้เลยWorld map - หากเราเข้าสู่ World Map เราจะได้พบพื้นที่ในการทำกิจกรรมมากขึ้น ทั้งผจญภัยในเหมือง หาแร่ ตกปลา และ Mirage Tower ที่เราสามารถทำภารกิจ co-op ร่วมกับเพื่อนได้สัตว์เลี้ยง - หนึ่งในของแจกที่เกมให้มาไม่อั้นก็คือ "ไข่สัตว์เลี้ยง" ที่เราสามารถนำไปฟักได้ในค่าย แล้วรอลุ้นว่าจะได้ตัวอะไร นา่รักแค่ไหน และมีความสามารถอย่างไร หากถูกใจสามารถให้น้องร่วมทีมกับเหล่าฮีโร่ในการผจญภัยและทำภารกิจต่าง ๆ ได้========================================================และทั้งหมดนี้ก็คือบรรยากาศภายในเกม จะเห็นได้ว่าต่อให้เราเปิดกราฟฟิคสูงสุดก็สามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น เพราะกราฟฟิคแบบ Pixel bit ที่ไม่เปลืองทรัพยากรเครื่องมากจนเกินไป การ Performance จึงตอบสนองได้ดีมากด้วยอีกหนึ่งความพิเศษที่มาคู่กับภาพ Pixel ก็คือเพลง 16 Bit ที่พาเราย้อนเวลาให้คิดถึงเกมเครื่อง Playstation รุ่นแรก หรือเกม PC ยุคบุกเบิก นับเป็นการประยุกต์งานศิลป์ที่เข้ากันดีมาก ๆ อีกทั้งเสียเอฟเฟคที่ไม่หวือหวามากเกินไป ทำให้ไม่รู้สึกว่ามีเสียงรบกวนจากการสั่งการต่าง ๆ ภายในเกมก็ขอแนะนำเลย โดยเฉพาะสาวกเกมคอนโซลยุคเก่า หากใครอยากตามไปลองเล่น ก็สามารถโหลดได้แล้วทั้งบน Google Play และ App Store เลยจ้า~
22 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Final Fantasy XVI: "ความพยายามเล่นใหญ่ ที่อาจแพ้ภัยความคาดหวัง"
ขอบคุณ SIE Singapore และ Square Enix สำหรับโค้ดรีวิว)***รีวิวนี้จะไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องเกมอย่างเฉพาะเจาะจง แต่อาจมีการออกความเห็นที่ผู้อ่านบางท่านถือเป็นการสปอยได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***เมือลองย้อนดูบทสัมภาษณ์มากมายจากทีมผู้พัฒนาเกม Final Fantasy XVI ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะสัมผัสได้ถึง “ความคาดหวัง” ที่ทีมงานมีให้กับเกม Final Fantasy XVI ในฐานะวิวัฒนาการใหม่ของซีรีส์ โดยโปรดิวเซอร์ใหญ่ประจำเกมอย่างคุณ Naoki Yoshida ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าต้องการให้เกมสามารถ “ยกระดับซีรีส์ Final Fantasy ให้กลายเป็นแฟรนไชส์ RPG ระดับแนวหน้าอีกครั้ง” หลังจากที่ความนิยมของซีรีส์ดูจะเสื่อมไปในหมู่เกมเมอร์ยุคใหม่คำสัมภาษณ์อันใหญ่โตมากมาย บวกกับเดโมสั้นของเกมที่ได้รับความนิยมล้นหลามจากทุกสารทิศ ก็ยิ่งทำให้ “ความคาดหวัง” ของกลุ่มผู้เล่นพุ่งกระโจนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเกมเพลย์แอคชันอันดุเดือด ฉากคัตซีนการต่อสู้ระหว่างเหล่า Eikon ร่างยักษ์ ไปจนถึงเนื้อเรื่องสไตล์ผู้ใหญ่ที่ดูจะเล่นกับประเด็นหนัก ๆ อย่างการเมือง แรงงานทาส การเหยียดชาติพันธุ์ ไปจนถึงความโหดร้ายของสงคราม ที่ล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่า Final Fantasy XVI จะสามารถตอบโจทย์ความคาดหวังอันใหญ่หลวงของผู้พัฒนาได้จริง ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดเช่นนั้นด้วยจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต้องรายงานว่าแม้เกม Final Fantasy XVI จะยังมีจุดแข็งอยู่ไม่น้อยในฐานะเกมแอคชัน และการนำเสนอแสง สี เสียง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนใหญ่ ๆ อีกมากมายที่ฉุดรั้งเกมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องและตัวละครที่น่าสับสน ความแห้งแล้งของโลกในเกม ไปจนถึงระบบ RPG ที่เบาบางมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าจะยังนับเกมนี้เป็น RPG ได้จริงหรือไม่…?“ไฟนอล DMC กับความเป็น RPG ที่หล่นหาย”สำหรับคนที่เล่นเดโมเกมมาแล้ว หรือได้ติดตามตัวอย่างเกมเพลย์มากมายที่ปล่อยออกมา น่าจะทราบกันดีว่าเกมเพลย์ของ Final Fantasy XVI มีความเป็นเกมแอคชันสูงมาก โดยหลาย ๆ คนเปรียบกับระบบต่อสู้ของ Devil May Cry หรือ Bayonetta (ซึ่งไม่น่าแปลกเพราะ FFXVI มีอดีตผู้พัฒนา DMC ร่วมทีมอยู่ด้วย) ที่ผสมผสานทักษะการโจมตีทั้งระยะประชิดและระยะไกล เข้ากับสกิลเวทมนต์ Eikon ทั้งหลายเพื่อประกอบกันเป็นคอมโบยาว ๆ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่เร็วไฟลุก ตามความตั้งใจของผู้พัฒนาที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาพจำแบบเทิร์นเบสของซีรีส์ Final Fantasy ที่สำหรับหลาย ๆ คนหากจะวัดกันในเรื่องของ “คุณภาพ” ล้วน ๆ ผู้เขียนพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าระบบการต่อสู้ของ Final Fantasy XVI ถือเป็นระบบแอคชันที่ยอดเยี่ยม มีการควบคุมที่ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่อาจจะเล่นเกมแอคชันสไตล์ DMC ไม่ค่อยคล่อง (อย่างผู้เขียน) ยังสามารถเรียนรู้ที่จะร้อยเรียงคอมโบต่าง ๆ ได้ในระดับที่รู้สึกน่าพอใจ โดยที่ไม่รู้สึกง่ายจนน่าเบื่อในเวลาเดียวกัน ยิ่งในการต่อสู้กับศัตรูระดับบอสที่มีระบบ Stagger เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เรามีช่องว่างในการทำคอมโบแบบจัดเต็มได้อย่างหนำใจสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์สไตล์นี้ ยังไม่นับการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเอฟเฟกต์พิเศษเวลาที่หลบการโจมตีศัตรูได้ในวินาทีสุดท้าย (Precision Dodge) ที่ทำให้การต่อสู้รู้สึกรวดเร็ว ดุเดือด มีน้ำหนักเสมอแต่ถึง Final Fantasy XVI จะเป็น “เกมแอคชันที่ดี” อย่างไม่ต้องสงสัย ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเกมอาจไม่ใช่ “แอคชัน RPG” ที่ดีนัก โดยแม้ว่าเกมจะมีระบบ RPG อย่างการอัพสกิล การสวมใส่อาวุธ/ชุดเกราะ/เครื่องประดับ รวมถึงการอัพเลเวล แต่ระบบเหล่านี้กลับมีอยู่ในระดับที่ผิวเผินที่สุดเท่านั้น แถมบางระบบยังส่งผลน้อยมาก ๆ จนแทบไม่สังเกตเลยด้วยซ้ำหากนึกถึงเกมแอคชัน RPG อันเป็นแรงบันดาลใจของเกมนี้อย่าง The Witcher จะเห็นว่าแม้เกมจะมีระบบต่อสู้ที่เน้นแอคชันคล้าย ๆ กัน แต่ผู้เล่นกลับมีตัวเลือกในการ “ปั้น” Geralt ของตัวเองได้หลากหลายพอสมควร บางคนอาจจะเน้นอัพสายฉาบพิษบนดาบ บางคนก็เน้นสายโด๊บยา ในขณะที่บางคนก็อัพสายควงดาบโต้ง ๆ ซึ่งทั้ง 3 สายล้วนมีสไตล์การเล่นรวมถึงสกิลและของสวมใส่ที่สนับสนุนแต่ละสายที่เลือกโดยตรง ยังไม่นับรวมเวทมนต์ที่อัพเกรดได้หลากหลาย จนบางครั้งเปลี่ยนวิธีการทำงานของเวทมนต์นั้น ๆ ไปเลยในทางกลับกัน ระบบต่าง ๆ ของเกม Final Fantasy XVI ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้คิดหรือตัดสินใจเท่าไหร่นัก เช่นระบบอาวุธชุดเกราะ ที่มีลักษณะเป็นการอัพเกรดตัวเลขเท่านั้น โดยดาบและของสวมใส่ทุกชิ้นที่ตัวละครได้รับในเกมจะไม่มีเอฟเฟกต์พิเศษใด ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อการเล่นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในขณะที่ระบบเครื่องประดับแต่ละชิ้นก็มักจะส่งผลต่อสกิล Eikon เพียงสกิลเดียวเท่านั้น และส่งผลในระดับที่เล็กมาก ๆ เช่นการเพิ่มดาเมจ 10% หรือการลดคูลดาวน์ 2 วินาที มีน้อยชิ้นมาก ๆ ที่จะส่งผลต่อการเล่น (เช่นชิ้นหนึ่งที่ทำให้ตัวละครชาร์จเวทมนต์โดยอัตโนมัติตลอดเวลา เป็นต้น) แม้แต่ระบบการอัพสกิล Eikon ที่อาจจะดูเป็นระบบที่ RPG ที่สุดก็ไม่ได้ลึกไปกว่า “เลือกอัพสกิลที่ชอบที่สุดจนเต็มเพื่อให้แรง/ใหญ่ขึ้น” เท่านั้น ไม่ได้มีการปรับแต่งเพื่อเสริมเอฟเฟกต์พิเศษให้ผู้เล่นได้ “ปั้น” ตัวละครอย่างหลากหลายอีกจุดที่ควรพูดถึงเกี่ยวกับ Final Fantasy XVI คือการที่เกมไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากการต่อสู้ แม้ว่าเกมจะมีระบบไซด์เควสอยู่ แต่เควส “ทั้งหมด” ในเกมมีลักษณะเป็น Fetch Quest ที่มักให้ผู้เล่นวิ่งไปมาเพื่อคุยกับ NPC เป็นหลัก และอาจมีการต่อสู้เพียงประปรายกับศัตรูชนิดเดิม ๆ ไม่กี่ชนิดที่มีอยู่ในเกม ซึ่งการทำเควสเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มีรางวัลให้เป็นเพียงเงิน (ซึ่งนอกจากเติม Potion แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร มีเหลือเฟือมาก) หรือทรัพยากรณ์สำหรับคราฟของ (ซึ่งก็ไม่รู้จะคราฟอะไรอีก) โดยมีเพียงหยิบมือหนึ่งที่อาจให้รางวัลที่น่าสนใจจริง ๆ เช่นการเพิ่มปริมาณ Potion ที่เราถือ หรือปลดล๊อคน้องนก Chocobo มาขี่ในขณะเดียวกัน แผนที่เกมส่วนใหญ่ก็มีลักษณะเป็นทางเดินแคบ ๆ ต่อ ๆ กันเป็นแผนที่ใหญ่ โดยที่ไม่มีอะไรให้สำรวจเลย ไม่มีดันเจี้ยนหรือเมืองลับให้หา จะมีก็เพียงศัตรูบอสเสริมจากระบบ Hunt Board เท่านั้นที่เกมจะให้พื้นที่กว้าง ๆ มาให้เราวิ่งหาเอาเอง แต่ด้วยความจำกัดของแผนที่ ทำให้บ่อยครั้งเพียงแค่เปิดแผนที่ใหญ่ขึ้นมาดูก็แทบจะเห็นได้ทันทีว่าบอสน่าจะอยู่ตรงไหน เพราะเกมมักมีทางเดินแยกไปสู่ห้องทรงกลมใหญ่ ๆ อยู่ประปรายในแทบทุกแผนที่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อตำหนิเกมเฉย ๆ แต่เพื่อบ่งชี้ให้เห็นว่าเกมยังขาดระบบหลายอย่างที่เรานึกถึงกันเวลาพูดถึงเกมแอคชัน RPG (หรือเกม RPG ทั่วไป) ซึ่งถ้ามองในฐานะเกมแอคชันเพียว ๆ แล้วเกมก็นับว่าสนุกสะใจตลอดทางตั้งแต่ต้นจนจบอยู่เหมือนกัน“เนื้อเรื่องดี ๆ ดันไปอยู่ที่เควสเสริม แต่…”เมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม FFXVI อาจเป็นจุดที่น่าผิดหวังมากที่สุดสำหรับผู้เขียนเลยก็เป็นได้ เพราะแม้ว่าโทนความเป็นผู้ใหญ่และพล๊อตสไตล์การเมืองของเกมจะดูน่าตื่นเต้นในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วเนื้อเรื่องของเกมก็ยังคงดำเนินไปตามสูตรของ JRPG ที่เราคุ้นเคยกันดี และยังคงติดกับดักต่าง ๆ ที่เป็นจุดอ่อนของเกมแนวนี้มาตลอดอีกด้วยอย่างแรก ผู้เขียนรู้สึกว่าผู้พัฒนามีความ “เล่นใหญ่” เกินจำเป็นด้วยการวางฐานเรื่องราวสงครามระหว่างอาณาจักรมากมายที่มาตัวละครและภูมิหลังของตัวเอง ซึ่งเมื่อรวมกับจังหวะการเล่าเรื่องที่มีการโดดไปโดดมาระหว่างสถานที่หลายแห่ง มีคู่ขัดแย้งหลายฝ่าย ทำให้การเล่าเรื่องในเกมบ่อยครั้งตามยากว่าสรุปใครเป็นใคร ใครเป็นพวกกับใคร ใครหักหลังใครอยู่ ฯลฯ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ ๆ มักเกิดขึ้น “นอกจอ” ในขณะที่ผู้เล่นกำลังติดตามตัวเอก Clive อยู่อีกด้วย และแม้จะมีระบบตัวช่วยอย่าง Active Time Lore มาเพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่บ้าง (รวมถึง NPC อีกบางคนที่ช่วยอธิบายอีกทาง) แต่ถ้าผู้เล่นไม่เปิดขึ้นมาอ่านเอง (หรือเดินไปคุยกับ NPC) ก็ยากจะเข้าใจ “ภาพรวม” ของเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีการเล่าเรื่องที่สะดวกเท่าไหร่นักสำหรับคนเล่นอีกจุดที่อาจทำให้เนื้อเรื่องติดตามยากขึ้นไปอีกสำหรับผู้เล่นชาวไทยหลายคนคือการที่เกมเลือกใช้ภาษาอังกฤษแบบสำบัดสำนวนสุดขีด แถมยังใช้คำแสลงหรือศัพท์โบราณอีกเพียบ จนขนาดที่มีซัพ (ภาษาอังกฤษ) ให้อ่านแล้วก็ยังงงไปหลายจังหวะเหมือนกันการ “เล่นใหญ่” ของเกมยังนำไปสู่จุดอ่อนอีกข้อ คือการที่เกมมีตัวละครเยอะเกินไปจนไม่มีเวลามากพอจะพัฒนาตัวละครตัวไหนได้จริง ๆ เพราะเกมไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานพอเพราะต้องดำเนินเส้นเรื่องหลักอยู่เสมอ ซึ่งก็ทำให้การตัดสินใจของตัวละครหลาย ๆ ตัวในเนื้อเรื่องมีความรู้สึกไร้เหตุผลหรือไร้น้ำหนัก มีแต่ตัวละครมิติเดียวที่ไม่ค่อยน่าจดจำ ซึ่งรวมถึงตัวร้ายหลักด้วย ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องรู้สึกขาดน้ำหนักไปด้วยโดยปริยายในอีกมุมหนึ่ง ใช่ว่าเกมจะสอบตกไปหมดในด้านเนื้อเรื่อง โดยผู้เขียนพบว่าเนื้อเรื่องส่วนที่น่าจดจำที่สุดในเกมมักถูกซ่อนอยู่ในเควสเสริม ซึ่งมีทั้งเควสสั้น ๆ ไปจนถึงเควสยาวที่เนื้อเรื่องติดต่อกัน ที่มักเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจแนวคิดผู้ใหญ่ที่เกมปูพื้นมา โดยเฉพาะประเด็นการเมืองอย่างสงครามและชาติพันธุ์ ถึงขนาดที่ทำเอาผู้เขียนเสียน้ำตาได้เลยในบางครั้ง แต่ก็ยังติดข้อเท็จจริงที่ว่าเกมเพลย์ของเควสเสริมเหล่านี้ไม่ได้น่าสนุกเท่าไหร่ แถมของรางวัลก็ไม่ได้ดีนัก ซึ่งก็อาจทำให้ผู้เล่นหลายคนเลือกที่จะข้ามเควสเหล่านี้ไปในที่สุด“ภาพและเสียงอลังการงานสร้างสมราคาคุย”หากจะมีองค์ประกอบใดที่รู้สึกว่าต้องชื่มชมเกมเป็นพิเศษ น่าจะเป็นงานกราฟิกและงานเสียงส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่คิดว่าน่าจดจำมากที่สุด และประสบความสำเร็จมาก ๆ ในการปกปิดหรือกลบเกลื่อนจุดอ่อนบางประการที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ในส่วนของงานภาพ เกมดูจะใช้ฐานกราฟิกเดียวกับผลงานของทีมพัฒนา Creative Business Unit 3 อย่าง Final Fantasy XIV (14) ซึ่งแม้จะทำให้อนิเมชันตัวละครนอกคัตซีนมีความแข็ง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เกมสามารถสร้างฉากหลังที่ยิ่งใหญ่ตระการตาได้ อย่างเช่นฉากเมืองหลวงของจักรวรรดิ Sanbreque ที่มีลักษณะเป็นปราสาทสูงตระหง่านฟ้า และมีฉากหลังเป็นคริสตัลสีน้ำเงินขนาดมหึมา ซึ่งการออกแบบฉากหลังเช่นนี้ส่งผลให้โลกของเกมรู้สึก “กว้างใหญ่” กว่าที่เป็นจริงอีกด้วยการใช้เอนจิ้นของเกมภาค 14 ในการพัฒนาเกมภาค 16 ยังส่งผลให้เกมสามารถใส่รายละเอียดลงไปในโมเดลตัวละครมอนส์เตอร์ได้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็ช่วยในการเสริมชีวิตชีวาให้โลกของเกมขึ้นมาได้บ้าง และทำให้โลกของเกมมีเอกลักษณ์ของ Final Fantasy อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ากราฟิกสุดตระการตานี้ก็อาจจะมีราคาที่ต้องจ่ายเล็กน้อย โดยแม้ว่าผู้เขียนเล่นเกมในโหมด Frame Rate ที่แสดงผล 60FPS ก็ยังพบว่ามีอาการเฟรมตกจนสังเกตได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยจนรู้สึกรำคาญ แถมผู้เขียนยังไม่พบบั๊กใด ๆ เลยด้วยระหว่างการเล่น ในแง่ของ Performance จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหานัก แต่ผู้พัฒนาก็บอกว่าจะมีแพทช์ Day One ออกมาเพื่อปรับปรุงจุดนี้อยู่แล้วด้วยในฝั่งของเสียง เกมได้รับการแต่งเพลงโดยคุณ Masayoshi Soken ผู้ซึ่งมีผลงานแต่งเพลงให้กับเกม Final Fantasy XIV มาช้านาน ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับคำชมเรื่องเพลงประกอบหนาหูมาตลอดเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของเพลงฉากต่อสู้ต่าง ๆ ที่เร้าใจมาก ยิ่งพวกฉาก Eikonic Battle ที่มีตัวละครแปลงร่างเป็นเทพ Eikon ขนาดยักษ์มาสู้ก่อนนี่บอกเลยว่าน่าโหลดมาเก็บไว้หลายเพลงทีเดียวเกมมีเสียงพากย์ให้กับคัตซีนเกือบทั้งหมด จึงเป็นเรื่องน่าชมที่เกมสามารถรักษามาตรฐานของเสียงพากย์อันยอดเยี่ยมเอาไว้ได้สำหรับตัวละครแทบทุกตัวในเกม โดยการที่เกมใช้สำเนียงภาษาอังกฤษหลากหลายก็ช่วยทำให้ตัวละครรู้สึกมีเอกลักษณ์มากขึ้น สามารถแยกตัวละครจากพื้นเพต่าง ๆ กันได้อีกทางหนึ่ง และเสริมอรรถรสแนวแฟนตาซีของเกมได้ด้วย แม้ว่าอาจจะฟังยากไปซะหน่อยในบางกรณี “ความคาดหวังที่น่าตั้งคำถามของ Square Enix”ตลอดระยะเวลาที่เล่นเกม Final Fantasy XVI ผู้เขียนมักนึกย้อนกลับไปถึงความตั้งใจและคำให้สัมภาษณ์ของผู้พัฒนาที่กล่าวไปในช่วงต้น ที่ต้องการให้เกมภาค XVI นี้ทำให้ Final Fantasy กลายเป็นที่กล่าวขานในฐานะสุดยอดซีรีส์ RPG อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจการตัดสินใจและการออกแบบองค์ประกอบหลาย ๆ ส่วนของเกม ที่แลดูต้องการจะตีตัวออกห่างจากนิยามของความเป็น RPG ในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจกัน จนอาจจะทำให้ความคาดหวังของผู้เล่นกลุ่มใหญ่ ๆ คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงที่เกมเป็นอย่างมากสุดท้ายนี้ สำหรับคนที่ลังเลว่าเกม Final Fantasy XVI จะเหมาะกับคุณหรือไม่ คำถามที่ควรถามอาจไม่ใช่ว่า “คุณชอบเกม Final Fantasy แค่ไหน” แต่เป็น “คุณชอบเกม Character Action อย่าง Devil May Cry หรือ Bayonetta แค่ไหน” มากกว่า
21 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Everdream Valley เกมทำฟาร์มแบบ Open World กิจกรรมเยอะ สัตว์เลี้ยงเพียบ
Everdream Valley เกมทำฟาร์มสุดน่ารัก ที่จะพาเราผจญภัยในโลกของเกมทำไร่ทำสวนในรูปแบบ Open World ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติในเกม ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2023 ผู้เขียนกดลงคลังไว้ตั้งแต่วันแรกเหมือนเดิม ตามดูตัวอย่างเกมมาสักพักผมก็คิดว่ามันต้องมีอะไรในเกมให้เราทำเยอะแน่ ๆ เลยตัดสินใจเอาเกมนี้มาเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ความน่ารักเนี่ยผมบอกเลยผมให้เต็ม 10 ส่วนระบบต่าง ๆ เกมเพลย์ ฟีลการเล่นจะเป็นยังไงนั้น ตามมาอ่านกันต่อที่ด้านล่างได้เลย ฝากให้เธอเลี้ยงดู ให้อยู่กับเธอแล้วกัน (เนื้อเรื่องคร่าว ๆ)เราจะได้รับบทเป็นเด็กคนหนึ่ง (เลือกเพศได้) ที่พ่อและแม่ของเรามีงานเข้า ประจวบเหมาะว่าเป็นช่วงวันหยุดของเราพอดี และไม่สามารถทิ้งให้เราอยู่บ้านคนเดียวได้ คุณแม่เลยพาเรามาฝากไว้ที่บ้านไร่ของคุณตาและคุณยายครับ คุณตาและคุณยายตบปากรับคำคุณแม่ไปว่า"ไม่ต้องห่วงนะ นี่จะเป็นวันหยุดที่สนุกของเราแน่นอน"และแล้วคุณแม่ก็กลับไป เหลืออยู่แค่เราและคุณตาคุณยายครับ ไอ้เราเนี่ยอยากให้พ่อกับแม่ของเรามารับบทชาวสวนชาวไร่ด้วย แต่พ่อแม่ของเรามาด้วยไม่ได้ ช่วงแรก ๆ หน้าก็เลยจะบูด ๆ ให้คุณตาถามตลอดว่า "ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ" ฮ่า ๆ แต่จุดเริ่มต้นความสนุกของเด็กน้อยอย่างเราก็จะเริ่มต้นขึ้นตรงนี้แหละฮะ คุณตาและคุณยายจะหาอะไรให้เราทำอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่จากนี้ไปมีระบบให้แต่งตัวด้วยอาจจะไม่ได้มีระบบการแต่งตัวอะไรให้เราเลือกมากนักนะครับ ก่อนเข้าเกมเราจะได้เลือกชุดเสื้อผ้า เลือกหน้าเลือกตาอยู่บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ตัวเกมใส่มาให้ แต่เมื่อเล่นเกมไปเรื่อย ๆ ถ้าเราทำเควสผ่าน หรือแม้แต่นอนเพื่อผ่านวัน อุปกรณ์การแต่งกายก็จะปลดล็อกออกมาเรื่อย ๆ จะมีข้อความแจ้งในเกม สามารถซื้อชุดสวมใส่ได้ที่คุณลุงพ่อค้า โดยการเอาผลผลิตจากฟาร์มของเราไปขายแลกเป็นเงิน แล้วนำเงินไปซื้อเสื้อผ้าได้ครับ เสียดายมีทรงผมให้เลือกน้อยไปหน่อยการเลี้ยงสัตว์ แบบคิวต์คิวต์ (สัตว์ที่ให้วัตถุดิบ)กุ๊กไก่ - เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่เราจะได้เลี้ยงในฟาร์มครับ คุณตาของเราจะให้ภารกิจไปตามไล่จับน้อน ๆ ที่หนีออกไปซุกซนอยู่ด้านนอกของฟาร์ม เพราะคุณตาไม่ได้เลี้ยงไว้นานแล้ว จะมีเล้าไก่พัง ๆ เราก็ต้องเป็นคนไปซ่อม ที่กกไข่ต่าง ๆ เรานี่แหละที่ต้องเป็นคนคราฟต์มันขึ้นมา ระบบตรงนี้คือน่ารักมาก ๆ ตัวเกมจะให้เราวิ่งไปหากุ๊กไก่ที่ซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ต่าง ๆ สอนให้เราดูแผนที่ ตรงไหนเป็นจุดเควสก็จะมีวงบอก อารมณ์เหมือนเล่นเกม MMORPG ในแบบทำฟาร์มเลยครับไก่เกมนี้จะมีทั้งตัวเมียตัวผู้นะครับ ตรงนี้จะมีเครื่องฟักไข่ให้เราเอาไข่ไก่มาวางไว้ได้ (เล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ จะได้เครื่องฟักมาครับ) เราสามารถเก็บไข่เพื่อเอาไปขายหรือทำอาหารได้ แต่ไก่เกมนี้ไม่ได้ไข่ทุกวัน หรือไม่แน่ใจว่าไข่ทุกวันไหมเพราะระบบตรงนี้ก็ยังค่อนข้างให้ความกำกวมกับผมอยู่ ไก่หรือสัตว์อื่น ๆ ต้องกินข้าว แต่ตัวเกมไม่ได้สอนครับว่าสัตว์แต่ละชนิดกินอาหารอะไร ตรงนี้ผมงมอยู่นานมาก และยังหาคำตอบไม่ได้ ก็เลยมองว่าระบบตรงนี้ค่อนข้างสร้างความสับสนให้ผู้เล่นอยู่พอสมควรพี่วัว - อันนี้จะอยู่ในเนื้อเรื่องที่คุณตาจะให้เราไปทำภารกิจเหมือนกัน พี่วัวชื่อ Willow เป็นวัวตัวโปรดของคุณยายที่หายไป คือแบบน่ารักมาก ที่ให้เด็กน้อยไปเป็นนักสืบกับเจ้าหมาคู่ใจ ตามหาพี่วัวที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผู้เขียนมองว่าเออเกมนี้มันมีฟีเจอร์อะไรต่าง ๆ เป็นกิมมิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้เล่นอย่างเราได้มีส่วนร่วมกับเกม แต่ผมก็ยังแอบไม่ชอบตรงที่มันสอนไม่ค่อยละเอียดนี่แหละ ว่าต้องเอาไอเทมไหนให้หมาก่อนหมาถึงจะรับคำสั่งจากเรา แล้วเดินออกตามหาพี่วัว ผมหาวิธีด้วยตัวเองอยู่สักพักเพราะระบบ Hint ก็หายากและบอกรายละเอียดที่ค่อนข้างสับสนครับวัวจะผลิตนมให้เรา ซึ่งก็ไม่ได้ให้นมทุกวันเหมือนกัน อันนี้ค่อนข้างแน่ใจว่ากินฟางแน่ ๆ มีระบบให้คราฟต์ฟางให้พี่วัวกินครับ ซึ่งแตกต่างจากไก่ ที่ผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าน้องกินอะไร การได้รับนมวัวจากเกมนี้เราต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่าเหยือก หาได้ตามฟาร์มนั่นแหละมีให้เก็บอยู่หลายจุด พอมีสัญลักษณ์เป็นป็อปอัปรูปเหยือกที่หัวพี่วัวเมื่อไหร่ เราก็สามารถเอาเหยือกไปใส่นมที่เต้านมของพี่วัวได้ จะมีมินิเกมเล็ก ๆ ให้เรารีดนมวัวใส่เหยือกของเรา บอกเลยว่าน่ารักและสนุกมาก ๆ เพราะสร้างความสมจริงให้กับตัวเกม ว่าการรีดนมวัวจริง ๆ มันก็จะประมาณนี้แหละจ้าาาาาา บอกเลยว่าเป็นเกมที่สอนวิธีการใช้ชีวิตในฟาร์มได้ดีมาก ๆแกะและอัลปาก้า - ผู้เขียนขออนุญาตเอาสัตว์ทั้ง 2 ชนิดมาใส่รวมกันไว้เลยนะครับ เพราะให้วัตถุดิบชนิดเดียวกันนั่นก็คือขน ตอนเราเจอแกะเราจะได้รับเควสจากคุณตาเพื่อไปฝึกน้องหมาของเราในการต้อนแกะ บอกเลยว่าการใช้หมาต้อนสัตว์ต่าง ๆ กลับฟาร์มในช่วงแรก ๆ นั้นยากมาก ๆ ในการบังคับ แต่พอจับจุดได้มันก็จะเข้าใจไปเอง แต่ผมมองว่ามันก็ยากเกินไปมาก ๆ ที่ต้องคอยชี้เป้าให้หมาของเราวิ่ง สุดท้ายพอถึงฟาร์มก็ต้องไปคอยลูบ ๆ ตัวแกะแล้วพาเขาคอกอยู่ดีครับส่วนอัลปาก้านั้น ผู้เขียนไปเจอเข้าด้วยความบังเอิญตอนไปสำรวจแผนที่ แล้วเจอว่าน้องมีสัญลักษณ์แปลก ๆ เป็นรูปปรอทอยู่ที่บนหัว หลังจากพากลับมาอยู่ที่ฟาร์มจึงได้รู้จากคุณยายว่านั่นคือสัตว์ป่วยครับ คุณยายจะสอนวิธีคราฟต์ยาให้กับเราและสอนว่าทำไมสัตว์ต่าง ๆ ถึงป่วย ส่วนคุณตาก็จะสอนวิธีสร้างเพิงเพื่อที่จะให้สัตว์ไม่โดนฝน เมื่อไม่ต้องอยู่กลางฝนสัตว์ก็จะมีที่พักพิงและไม่ป่วย สนุกและได้ความรู้เหมาะให้ลูก ๆ หลาน ๆ มาเล่นมว๊ากกกก ยังมีระบบอีกเยอะแยะมาก ๆ บทความยาวแน่ ๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนนะครับทุกคน สัตว์เลี้ยงที่ต้องคลุกคลีอยู่กับเราตลอด (สัตว์ใช้งาน)ในบทความนี้ผู้เขียนจะขอพูดถึงแค่น้องหมาและน้องแมวเท่านั้นนะครับ เพราะไม่งั้นบทความนี้จะยาวมาก ๆแมวส้ม - เจ้าแงวตัวนี้กับเราจะได้พบกันตั้งแต่ย่างเท่าเข้ามาในฟาร์มเลยครับ เป็นสัตว์เลี้ยงที่ยังมีอยู่และไม่ได้หนีหายไปของคุณตาคุณยาย ถ้าเราอยากใช้งานเจ้าเหมียว เราต้องไปตีซี้ทำตัวสนิทสนมกับน้องซะก่อน โดยการฝึกน้องเล่นลอดห่วงบ้าง หรือลูบเนื้อลูบตัวน้องไปเรื่อย ๆ เมื่อค่าการเรียนรู้ของเจ้าเหมียวเต็มแล้ว น้องจะวิ่งตามเราไปตลอด คอยช่วยจับหนูจับแมลงให้ครับระบบนี้แรก ๆ สำหรับผู้เขียนก็สร้างความตื่นเต้นได้นิด ๆ หน่อย ๆ เพราะเล่นไปเรื่อย ๆ ระบบการสอนสัตว์ก็ค่อนข้างจำเจไม่มีอะไรให้ทำ ผมไม่ชอบที่เกจการเรียนรู้ หรือความสนิทสนมสามารถลดได้ และเราต้องคอยฝึกน้องเรื่อย ๆ ถึงฝึกจนเต็มแล้วถึงแม้จะจับแมลงจับหนูให้เราบ่อยขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์น้องอีกว่าจะจับหรือไม่จับ แล้วก็วิ่งค่อนข้างมั่วไม่ได้ตามเราตลอดน้องหมา - เจ้าตูบตัวนี้เราจะได้มาจากลุงพ่อค้า เราสามารถเลือกสายพันธุ์ในการเลี้ยงได้ การฝึกน้องหมาบอกเลยว่าแทบจะไม่มีอะไรให้ทำ เราทำได้แต่นั่งลูบตัวน้องไปเรื่อย ๆ รอจนกว่าค่าความสนิทจะเต็ม คือตรงนี้จะไม่มีกิจกรรมมินิเกมให้เราเล่นเหมือนกับน้องแมว ลูบหัวลูบตัวหมาวน ๆ ไป ประโยชน์ก็แค่เอาไว้ใช้ตามรอยสัตว์ต่าง ๆ ที่หายไปจากฟาร์ม กับต้อนสัตว์ต่าง ๆ กลับฟาร์ม เอาจริง ๆ พอหลัง ๆ อยู่ดีดีก็ไม่มีอะไรให้ตามหา แล้วน้องหมาก็ดูจะมีประโยชน์น้อยกว่าน้องแมวไปซะอย่างนั้น หลัง ๆ ก็วิ่งตามเราอย่างเดียวแทบไม่มีอะไรให้เรียกใช้บริการน้องเลยระบบคราฟต์จริง ๆ ยังมีสัตว์ให้เลี้ยงอีกเยอะมาก ๆ ที่ผู้เขียนยังไม่ได้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็น เป็ด, ห่าน, หมู, ม้า, ผึ้ง, กวาง หรือแพะ ฯลฯ แต่ลักษณะการเลี้ยงก็จะคล้าย ๆ กันหมด ถ้าพูดถึงทุกชนิดเดี๋ยวเราจะไม่ได้พูดถึงหัวข้ออื่น ๆ กันเลย เพราะระบบเกมนี้มันมีอีกเยอะมาก ๆ ผู้เขียนเลยจะหยิบเอาตรงนั้นมานิด ตรงนี้มาหน่อย อยากให้ผู้อ่านเห็นภาพรวม ๆ ของความน่ารักของเกมนี้ครับการคราฟต์ของเกมนี้ไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่น ๆ เลย มีโต๊ะคราฟต์เหมือนกัน แต่เราต้องซ่อมมันให้เรียบร้อยก่อนมันถึงจะใช้ได้ และไม่ใช่ว่าซ่อมแล้วเราจะสามารถคราฟต์ได้ทุกอย่าง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราสามารถคราฟต์ได้นั้นจะปลดล็อกตามการสอนงานของคุณตาและคุณยาย ก็คือต้องรอคุณตาคุณยายอนุญาตและให้ความรู้กับเราก่อนนั่นแหละครับ ระบบใช้งานง่ายครับจะแจ้งหมดว่าเราต้องใช้วัตถุดิบอะไร จำนวนเท่าไหร่ การคราฟต์บางอย่างอาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อที่จะได้รับวัตถุดิบอย่างเช่น ไม้กระดาน เราต้องเอาท่อนซุงไปเลื่อยที่โต๊ะเลื่อย ซึ่งก็จะมีมินิเกมให้เราเล่น โดยการเลื่อนไปมาให้ตรงจังหวะ จะมีขีดให้เราดูว่าเราจะต้องเลื่อนไปทางไหน ช่วงแรก ๆ ก็เพลินดี แต่ช่วงหลังรู้สึกเสียเวลา เพราะเราต้องใช้วัตถุดิบที่ค่อนข้างเยอะครับ แต่ตัวเกมก็มีระบบรองรับให้กด E แล้วจะได้รับไม้กระดานเลย แต่จำนวนที่ได้จะได้น้อยกว่าเราเลื่อยเอง หลัง ๆ ผมก็กด E รัว ๆ ไป ไม่สนแล้วครับว่าจะได้ไม้มากหรือน้อยกว่า เซฟเวลา ฮ่า ๆระบบการทำอาหารแรก ๆ ดูดี เวลาเล่นทำอาหารจะมีมินิเกมให้ทำ อาหารต่าง ๆ ให้ค่า Energy กับเราเวลาเราใช้พลังงานจนหมด เมื่อพลังงานหมดจะทำให้เราเดินช้า เราก็สามารถอัดอาหารที่ทำมาเพื่อฟื้นฟูเกจ Energy ของเราได้เลย และอาหารสามารถนำไปขายที่ลุงพ่อค้าได้ค่อนข้างได้ราคาดี แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ หลังจากหมดแพชชันกับมันแล้ว จะรู้สึกเสียเวลากับการทำอาหารมาก ๆ เพราะเราก็ต้องทำวน ๆ อยู่แบบนั้น ไม่มีออปชันให้เลือกว่าจะทำกี่ชิ้น คือเราต้องทำมันไปทีละชิ้นเท่านั้น กด E เพื่อรับวัตถุดิบเลยแบบอุปกรณ์อื่น ๆ ก็ไม่ได้ บอกเลยว่ายืดยาดมาก ๆ ครับ อุปกรณ์การใช้งานต่าง ๆ ภายในฟาร์มทุกอย่างในฟาร์มเราสามารถเคลื่อนย้ายได้แบบอิสระเสรี อยากตบแต่งความสวยงามยังไง อยากให้โซนไหนอยู่ตรงไหน เราสามารถสร้างเองได้หมดครับ แต่ช่วงแรก ๆ ค่อนข้างมีความจำกัดเพราะวัตถุดิบของเราจะมีน้อย ส่วนใหญ่ผู้เขียนก็จะวางสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ที่เดิมของมันก่อน เพราะถ้าจะให้เริ่มมาสวยงามเลยสำหรับเกมนี้ผมมองว่ายากครับเพราะแมป หรือพื้นที่ของฟาร์มเราค่อนข้างใหญ่ หลัง ๆ จะมีบ้านต้นไม้ให้เราตบแต่งได้แบบเพลิน ๆ อยู่ครับผจญภัยความฝันถ้าเราเลือกนอนหลับเพื่อผ่านวัน หลังจากเราสร้างหุ่นไล่กาแล้ว เราจะมีความฝันแปลก ๆ ในทุก ๆ ครั้งที่เราเข้านอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับสัตว์ในฟาร์ม เราจะได้เบาะแสต่าง ๆ มากมายว่าเราจะหาสัตว์อะไรได้จากตรงไหน ได้คุยกับหุ่นไล่กา ได้เล่นมินิเกมต่าง ๆ ตื่นขึ้นมาก็จะได้รับรางวัลจากในฝันด้วย ผมมองว่าตัวเกมยัดเยียดมินิเกมให้ผู้เล่น เล่นจนเยอะเกินไป ผมชอบนะที่มีเนื้อเรื่องจากการฝันด้วย แบบได้ไปสืบเสาะเรื่องราวว่าสัตว์บางชนิดอยู่ตรงไหน แต่ไม่ค่อยชอบมินิเกมที่ดูพร่ำเพรื่อมาก ๆ มีอยู่แทบจะทุกอริยาบทในเกมการทำฟาร์มปลูกผักต่าง ๆ เหมือนเกมอื่น ๆ นั่นแหละครับ แต่เมล็ดพืชต่าง ๆ ไม่ต้องไปหาซื้อ แต่เราต้องไปหาผักจากในป่าเพื่อนำกลับมาปลูกที่บ้านของเรา มีรดน้ำ ขุดดินใส่ปุ๋ย เหมือนเกมแนวนี้ทั่ว ๆ ไปครับ แต่หลัง ๆ ตัวเกมบังคับให้เราติดสปริงเกอร์เพื่อรดน้ำต้นไม้แทน ผมก็ไม่ชอบเท่าไหร่ที่เดินสายยากมาก ต้องหาสายยางมาเดินสายให้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติถูกปั๊มขึ้นมาเพื่อรดน้ำในฟาร์ม คือบอกเลยว่าเก็บเงินซื้อของแต่ละอย่างเหนื่อยมาก ๆ เทศกาลงานรื่นเริงผู้เขียนแทบไม่เห็นการเปลี่ยนฤดูกาลของเกมนี้เลย เลยคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเกมที่ไม่มีฤดู เพราะว่าเด็กน้อยในเกมคุณแม่แค่มาฝากคุณตาคุณยายเลี้ยงแค่ในช่วงวันหยุดยาว งานสำคัญตั้งแต่ที่ผมเล่นมานั้นมีงานเดียวให้ได้เห็นน่าจะเป็นวันเกิดคุณยายครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมเป็นเกมทำฟาร์มสไตล์ Open World แมปกว้างมากสำหรับเกมทำฟาร์ม วิ่งเปิดแผนที่กันวน ๆ ไป เกมไม่ต้องใช้คอมระดับเทพก็เล่นได้ครับ ส่วนคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ ก็สามารถเล่นได้เพียงแต่อาจจะต้องปรับต่ำทั้งหมดเพื่อไม่ให้ภาพกระตุกจนเกินไปเฉกเช่นเครื่องผมเองระบบการบังคับก็เหมือนเกม MMORPG อื่น ๆ ทั่วไป แต่ปุ่ม Interact สิ่งของค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับผู้เล่นอยู่พอสมควร ไอ้เรื่องปุ่ม F เก็บของ หรือ E ใช้งานอุปกรณ์ แล้วไอ้ตัวรื้อถอนวัตถุที่ก่อสร้างเข้ากระเป๋า หรือเติมของเข้าเครื่องอุปกรณ์มันดันอยู่ปุ่ม F เหมือนกัน บางทีเผลอกด F ติด ๆ กันอุปกรณ์ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋า ค่าต่าง ๆ ที่ตั้งเอาไว้ก็โดนยกเลิกหมด สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผมมาก ตรงนี้ผมคิดว่า Dev ควรแยกปุ่มการใช้งานไปเลยส่วน UI ของเกมก็ออกแบบมาได้ดีน่ารัก ดูง่าย ช่องเก็บของต่าง ๆ ใช้งานได้ไม่ซับซ้อน มีเควสคอยสอนการใช้งานระบบต่าง ๆ ภายในเกม แต่ถ้าต้องการกลับไปดูวิธีการเล่นต่าง ๆ หา Guide หรือ How to ในเกมยากมาก ๆ ครับ จะขึ้นมาให้เราดูครั้งเดียวเวลาเราเจออะไรใหม่ ๆ การสอนของเกมนี้ค่อนข้างจะไม่ Clear บางอย่างเล่นไปสักพักแล้วก็ยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร หรือใช้งานอย่างไร ต้องงมอยู่เยอะพอสมควร ค่อนข้างเป็นอุปสรรคในการเล่นเกมในช่วงแรก ๆ อยู่บ้างครับสรุปEverdream Valley เป็นเกมที่มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ แต่ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่า หลาย ๆ อย่างก็ดูเกินความจำเป็นมากเกินไป มินิเกมที่เยอะแยะมากมายแม้ขณะนอนหลับ หรือบางอย่างที่ขาด ๆ เกิน ๆ อย่างระบบของน้องหมาที่อยู่ดีดีความสามารถช่วงต้นเกมก็แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ที่น่าเบื่ออีกอย่างคือการฝึกแล้วฝึกอีกฝึกมันอยู่นั่น แล้วก็เดินสะเปะสะปะจับแมลงให้บ้าง ไม่จับให้บ้าง และมันเป็นเกมที่เล่นมาสักพักแล้ว แต่เราก็ยังใช้งานอุปกรณ์บางอย่างไม่เป็น (หรือว่าเป็นที่ผมเอง ฮ่า ๆ) อย่างการให้น้องหมาหาของในช่วงแรก ๆ กว่าจะรู้ว่าต้องกดไอเทมชิ้นนี้ก่อน แล้วเอาชิ้นปริศนาให้น้องหมาดม ก็ใช้เวลาอยู่นานมาก ๆแต่เกมนี้สำหรับผมก็ยังเป็นเกมที่น่ารักมาก ๆ อยู่ดี เนื้อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ น่าติดตาม การมีสัตว์ให้ตามช่วยเยอะ ถึงแม้ว่าตอนพาสัตว์กลับฟาร์มจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ เพราะมันค่อนข้างที่จะต้องเดินทางไกล แต่ถ้าถามผมว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะซื้อไหมผมก็บอกเลยว่าผมจะซื้ออยู่ดี ใครที่ชอบความน่ารักเหมือนผมสามารถหาซื้อได้จากหลายแพลตฟอร์มเลยนะฮะ ไม่ว่าจะเป็น Epic Store, GOG.COM และ PS4-5 ส่วนผู้เขียนกดผ่าน Steam มาในราคา 495 บาท แค่เดินให้ครบในแผนที่ผมบอกเลยว่าเกินราคาไปแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าระบบอื่น ๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้นำมาพูดถึงในบทความนี้มีอะไรอีกบ้างไปซื้อมาเล่นเป็นเพื่อนผมได้ เพราะผมบอกเลยยังมีอะไรให้ผู้เล่นอย่างเราทำอีกเพียบ สิ่งที่ผมเอามารีวิววันนี้เป็นเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น!สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1403650/Everdream_Valley/
15 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Godlike Burger เปิดร้านอาหารสุดจิต เบอร์เกอร์รสเนื้อมนุษย์ต่างดาว
Godlike Burger คุณจะเปิดร้านอาหารบ้าคลั่งที่สุดในกาแล็กซี! ทำให้ลูกค้ามึนงง วางยา และฆ่าให้ตายด้วยวิธีมากมาย… แล้วเปลี่ยนเป็นเนื้อเบอร์เกอร์! ไม่ต้องกังวลไป เหล่าเอเลี่ยนจะเข้ามาเรื่อย ๆ หากคุณวางแผนอย่างชาญฉลาด ใครจะไปรู้ว่าการกินเนื้อเผ่าพันธุ์ตัวเองจะอร่อยถึงเพียงนี้!!!คอนเซ็ปต์เกมแบบอ่านแล้วยังไงก็ต้องซื้อ เพราะมันยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร เบอร์เกอร์มาก ๆ ที่เราจะต้องขายเบอร์เกอร์ไปด้วย ดักทุบลูกค้าไปด้วย เกมนี้ลงวางขายใน Steam มาตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. 2022 ผู้เขียนเห็นตัว Supporter Bundle ลดราคาอยู่ 5% เลยกดซื้อมาเลย เพราะจะเอามาลองเล่นและเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ตัวผมเนี่ยยังไม่รู้เหมือนกันว่าเกมเพลย์ หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ในเกมนั้นเป็นยังไง เดี๋ยวเราไปสัมผัสบรรยากาศในเกมพร้อมกันดีกว่าครับทุกอย่างมีที่มาที่ไป จากปมในหัวใจของชายคนหนึ่ง (เนื้อเรื่องแบบสปอลย์)เกมทำเบอร์เกอร์เบอร์ใจ ของคนหัวใจเฮิร์ต ๆ ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับวันหมอง ๆ กับชีวิตที่สุดแสนจะเฮงซวย อยู่ดีดีก็ตกงาน เกิดอุบัติเหตุขาขาด ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดนรังแกมาตลอด แม่ก็ดันมาตายจากโรคหัวใจอีก (เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเศร้าใจเป็นที่สุด) ก่อนคุณแม่จะตาย คุณแม่ของเขาเปิดร้านเบอร์เกอร์ที่โด่งดังไปทั่วทั้งกาแล็กซี เอเลี่ยนทั้งหลายต่างเคยแวะเวียนมาลิ้มรสชาติเบอร์เกอร์ร้านคุณแม่ของเขาทั้งนั้น แต่เมื่อคุณแม่ตายร้านนั้นก็ได้ปิดกิจการไปวันหนึ่งเขามีความตั้งใจที่แน่วแน่อยากจะกลับมาฟื้นฟูร้านเบอร์เกอร์ในตำนานของคุณแม่ให้กลับมาโชติช่วงชัชวาลอีกครั้ง แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยมีความรู้ด้านการทำเบอร์เกอร์เลย รสชาติช่วงแรกที่ทำออกมานั้นเลยโคตรห่วยแตก แบบแหลกไม่ได้ ทำให้ลูกค้าชาวเอเลี่ยนต่าง ๆ ที่คาดหวังว่าเบอร์เกอร์ของเขาจะต้องรสชาติเหมือนฝีมือคุณแม่นั้น ต่างผิดหวัง และพากันมารุมประณามเขาและแล้วก็ตู้มมมมมม!!!! God of galaxy ก็ปรากฎร่างขึ้นมา ฟาดงวงฟาดงาไล่ลูกค้าของเขาออกจากร้าน แล้วจับตัวเขาไว้ ถามความอยากจากก้นบึ้งของหัวใจ ของชายขายเบอร์เกอร์"นายอยากได้อะไรระหว่างความตาย และสูตรเบอร์เกอร์ขั้นเทพ?"เขาเลือกเบอร์เกอร์อย่างไม่ต้องคิด เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมใบแจ้งหนี้มากมายและวัตถุดิบในร้านก็เน่าเสียหมดแล้วรวมถึงเงินของเขาด้วย เหลือแต่เพียงซากศพของเอเลี่ยนมากมายที่นอนตายอยู่ในร้านของเขา ปิ๊ง!!! ไอเดียก็ผุดขึ้นมาจากความกดดันต่าง ๆ มากมาย ซากศพเหล่านั้นเป็นเพียงทางออกทางเดียวของเขาที่จะทำให้ร้านอยู่รอดต่อไปได้ จุดเริ่มต้นหยอง ๆ ของเบอร์เกอร์เนื้อเอเลี่ยนที่อร่อยที่สุดในกาแล็กซี!!!ไม่ได้ง่ายเหมือนภาพที่เห็น เกมเพลย์โหดหินกว่าที่คิดมากเห็นภาพเกมน่ารัก ๆ แบบนี้ เกมเพลย์จริง ๆ นั้นค่อนข้างต้องใช้ความเข้าใจสูงมาก ๆ ครับ อาจจะเพราะเนื้อหาต่าง ๆ แม้แต่เนื้อเรื่องคงไม่ได้ออกแบบมาให้เด็ก ๆ เล่น ระบบต่าง ๆ ที่ค่อนข้างกดดันกับเรื่องเวลา เรื่องผู้บริโภคจะหนีออกจากร้าน เงินอัปเกรดเพื่อเปลี่ยนด่าน หรือต้องทำเควสให้ผ่านทั้งหมดถึงจะเปลี่ยนไปเล่นด่านอื่น ๆ ได้ บอกเลยว่าเกมนี้มีทั้งความสนุกและความเครียดอยู่ในเกมเดียวกันเกมโหดถึงขนาดที่ว่าถ้าตัวละครตายเราจะต้องกลับไปเริ่มใหม่กันตั้งแต่ด่านแรกเลย ไม่ว่าเราจะเล่นไปได้ไกลแค่ไหนแล้วก็ตาม บอกเลยว่าไม่เหมาะกับคนหัวร้อนเป็นอย่างยิ่ง ช่วงแรก ๆ ที่เริ่มเกมผมยอมรับตรงนี้เลยว่าเป็นเกมที่ผมรีเซ็ตเพื่อเริ่มใหม่ตั้งแต่ด่านแรกบ่อยที่สุดตั้งแต่เคยเล่นเกมมา เพราะต้องการทำความเข้าใจกับระบบของเกมจริง ๆ การบังคับที่ต้องใช้คีย์บอร์ดมันก็ทำให้หลาย ๆ อย่างยากสำหรับเราคนเล่นด้วย บอกแบบตะโกนเลยครับว่ายากอิ๊บอ่าย ฮ่าๆ ส่วนรายละเอียดและฟีเจอร์ต่าง ๆ ของเกมนั้นมีอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะจำแนกแยกย่อยให้ได้อ่านกัน ตามมาฮะอาหารจานร้อน ร้อนมายันใจการทำอาหารของเกมนี้ถ้าใครเคยเล่น Diner Dash คงจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะลูกค้าจะเดินมาสั่งออเดอร์เอาไว้ก่อน เราก็ทำอาหารตามออเดอร์ทางด้านซ้ายมือของจอ อาหารสามารถเสียได้ถ้าเราไปทำภารกิจฆ่ามนุษย์ต่างดาวเพื่อเอาเนื้อไว้ขายต่อ ถ้าเราย่างเนื้อทิ้งไว้บอกเลยว่ามันจะไหม้ แล้วการเสียของเนื้อเกมนี้จะเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก ๆ เพราะเราต้องไปฆ่ามนุษย์ต่างดาวตัวอื่น รอเนื้อถูกชำแหละ จะมีเกจบอกเราว่ากระบวนการตอนนี้ไปถึงไหนแล้วสิ่งที่สร้างความหัวร้อนให้เราไม่ใช่แค่ความกดดันที่ลูกค้ากำลังจะหมดความอดทน หรือที่ต้องทำอาหารแข่งกับเวลา แต่เกมนี้มันมีระบบอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สามารถเสียได้และมันเสียแบบโคตรบ่อย ตอนที่เสียแบบได้จังหวะนี่ดีมาก ๆ อย่างช่วงที่เราแว๊บไปแอบหลอยมนุษย์ต่างดาวเพื่อเอาเนื้อ การซ่อมก็ไม่ได้ยากฮะแค่เตะอุปกรณ์ที่เสียไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมไอ้ตรงระบบการทำอาหารตรงนี้ช่วงแรกผู้เขียนมองว่ามันยังไม่ยากเท่าไหร่ครับ มันจะไปยากเมื่อเราเปลี่ยนด่านนี่แหละเพราะด่านแรกมนุษย์ต่างดาวมีชนิดเดียว พอด่านหลัง ๆ มันมีสปีชีส์ของเอเลียนที่มากขึ้น การกินเนื้อที่หลากหลายมากขึ้น บอกเลยว่าการเล่นเกมของผู้เล่นเนี่ยจะสะดุดไปเลยครับ ความกดดันที่เวลาเราตายจะเริ่มเกมใหม่ทันที พอเริ่มใหม่ซ้ำ ๆ ก็ทำให้เกมหมดสนุกไปเลยสำหรับผม ถึงแม้ว่าจะอยากรู้ว่าด่านหลัง ๆ มีอะไรใหม่ ๆ ให้เล่นบ้าง แต่ใจมันก็ไม่สู้แล้ว ฮ่า ๆไม่ทำเควส ก็ไม่ได้ไปไหนเงื่อนไขการผ่านด่านอีก 1 อย่าง ที่ผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกครั้ง ที่เปิดดูหลังจากตายมากแล้ว ฮ่า ๆ คือบางอันมันยากมากกกกก และจะทำให้การผ่านด่านของเราช้ามากยิ่งขึ้น แล้วด้วยความที่เกมนี้มันรีเซ็ตไม่ได้ ทางเลือกของผมก็มีแค่ 2 ข้อ คือเดินไปทุบลูกค้า 1 ทีแล้วให้ลูกค้าฆ่าผมซะเพื่อที่จะเริ่มเกมใหม่ ซึ่งมุกนี้จะใช้ได้แค่ด่านแรกเท่านั้น ถ้าเราไปใช้ที่ด่านหลัง ๆ มันก็จะวนกลับมาที่ด่านแรกใหม่ ทางเลือกที่สองของผมก็คือทนเล่นไปจนจบแล้วไปเสีย 2$ เพื่อรีเซ็ตเกมใหม่ทั้งหมด ซึ่งผมลองแล้วมันก็ทำได้แค่ด่านแรกเท่านั้น เพราะมันจะเริ่มใหม่ทั้งหมด คือเข้าใจนะครับว่าอยากให้เล่นแบบชาเลนจ์ตัวเอง แต่แบบถ้ามันต้องวนกลับมาเล่นด่านแรกบ่อย ๆ มันก็ทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่ายได้ ไอ้ที่เคยอยากรู้ พอเริ่มใหม่บ่อย ๆ ก็ไม่อยากรู้แล้วครับกลับมาพูดถึงเรื่องเควสกันต่อดีกว่าครับ เควสที่เราได้รับมาจะเป็นแบบสุ่ม ถ้าเราตายเควสก็จะรันมาใหม่ทันทีเลือกไม่ได้ เควสมีให้ทำหลากหลาย บางอันสนุกบางอันบ้งก็แล้วแต่ดวงของเราจะสุ่มได้มา แต่สำหรับผมผมชอบนะมันทำให้เราไม่ผ่านด่านเร็วจนเกินไปมีเวลาเก็บเงิน เพราะเราต้องมีค่าชื่อเสียงที่ถึงเป้าหมายด้วย และต้องทำให้เควสผ่านไปด้วย เราก็จะได้ทำความเข้าใจกับเกมได้มากขึ้นครับ แต่มันก็จะติดเหมือนเดิมนี่แหละถ้าเราตายบ่อย ๆ ทุกอย่างจะถูกรีเซ็ตไปที่ด่านแรก นี่แค่คิดก็เป็นเศร้าแล้วครับ ฮ่า ๆค่าชื่อเสียง สอดคล้องกับเควส เรื่องเควสเราได้คุยกันไปแล้ว ทีนี้มาถึงเรื่องค่าชื่อเสียงกันบ้าง ถ้าเราทำได้ไม่ถึงเป้าหมายของดาวดวงที่เราต้องการย้ายไปขายเบอร์เกอร์ เราก็จะไม่สามารถย้ายไปได้ ซึ่งค่าชื่อเสียงเนี่ยเราจะได้รับต่อเมื่อเอเลียนที่มากินเบอร์เกอร์ที่ร้านเรารอดจากการฆาตกรรมของเราออกวาร์ปไปได้แบบทุกอย่างต้องปกติ คือไม่โดนเราทำร้ายร่างกาย, ได้รับออเดอร์ที่ถูกต้อง, กินอาหารจนหมด, จ่ายเงิน และเดินออกวาร์ปไป ถ้ามีการตายเกิดขึ้นเราจะไม่ได้รับค่าชื่อเสียงครับระบบนี้ผมว่าสนุกดี เพราะเราจะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่จนกว่าเราจะอยากย้ายเมือง ผมอยากจะอยู่เล่นด่านแรกเก็บเงินอัปเกรดร้านของผมไปเรื่อย ๆ ก็ได้ พอเราพร้อมย้ายเมืองแล้วเราก็ไม่ต้องฆ่าลูกค้าของเรา แล้วขายของยาว ๆ ไปอย่างเดียว เราก็จะได้รับค่าชื่อเสียงแบบรัว ๆ เลย ผมชอบที่มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรานี่แหละ ว่าจะให้รูปเกมเป็นอย่างไร ณ ตอนนั้นการหลอยเอเลี่ยนอันนี้สนุกดีฮะ มีให้ทำหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นวางกับดักหรือจะฆ่าด้วยตัวเองกับดัก - มีให้เลือกมากมาย ลูกเล่นหลากหลาย ทั้งสตั๊นเหยื่อ ปลิดชีพเหยื่อ บางครั้งการจะให้เอเลี่ยนเดินไปที่กับดักของเรา เราอาจจะต้องวางยาในอาหารที่พวกเขาออเดอร์ไว้ ทำเสร็จเมื่อเอเลี่ยนทานอาหารของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะเดินไปตามบริเวณสรรพคุณของยาที่เราวางครับ เช่น ยาอยากบุหรี่ หรือยาถ่าย เป็นต้น เริ่มแรกจะมีแค่ปืนลูกซองให้ฟรีมา 1 กระบอก สามารถอัปเกรดความแรง ระบบออโต้ และระบบทำลายหลักฐานอัตโนมัติ (พอฆ่าเหยื่อเสร็จเหยื่อจะถูกวาร์ปไปเลยเราไม่ต้องเป็นคนไปจัดการเอง) อัปเกรดได้ที่ฐานลับของเราครับ ส่วนกับดักอื่น ๆ เราจะต้องไปซื้อเพิ่มเอาเอง ซื้อได้ที่ฐานลับของเราเช่นเคย หลังจากใช้กับดักจะมีเวลานับถอยหลังบอกเราอยู่ว่ากับดักจะพร้อมใช้อีกเมื่อไหร่การฆ่าเหยื่อด้วยตัวเอง - อีโต้ในมือของเรานั่นแหละคืออาวุธสังหารเอเลียนผู้เคราะห์ร้าย คนไหนดวงขาดเราก็จะเอาอีโต้นั่นแหละสับลงไปที่หัวของเอเลียน ค่าความทนทานหรือ HP ของแต่ละสปีชีส์นั้นก็ไม่เท่ากัน บางตัวฟาด 2 ที บางตัวฟาด 3 ที บางตัวก็ฆ่าด้วยอีโต้ไม่ได้ ต้องวางกับดักเท่านั้น ยิ่งด่านหลัง ๆ ก็จะต้องใช้ไหวพริบที่มากขึ้น สร้างความเพลิดเพลินให้กับผมเป็นอย่างมาก แต่ที่ยังไม่ชอบเหมือนเดิมก็คือถ้าเราพลาดท่าให้กับเหยื่อ หรือมีพยานเห็นเหตุการณ์ (บางสปีชีส์มารุมสู้เรา บางสปีชีส์โทรแจ้งตำรวจ) จะทำให้เราเล่นยากทันที เพราะถ้าตายคือกลับไปเริ่มใหม่ แล้วช่วงแรกเราสามารถทุบเหยื่อได้ 2 ที ถ้าทุบพลาดต้องวิ่งหนีจนกว่าพลังการต่อสู้จะถูกชาร์จจนเต็ม แล้วถึงวิ่งกลับมาทุบใหม่ได้ ก็ต้องคอยล้างเลือดที่เลอะตัวทุกครั้งไม่งั้นถ้ามีคนเห็นจะโดนแจ้งตำรวจหรือพวกเอเลียนจะพุ่งเข้าทำร้ายเราเพราะรู้ว่าเราทำร้ายเพื่อนพวกเขาครับฐานทัพลับ ๆ ของร้านเบอร์เกอร์นี่คือศูนย์รวมทุกสิ่งจำเป็นของเราเอาไว้ไม่ว่าจะเป็น การจ่ายบิล, การอัปเกรดร้าน, การซื้อวัตถุดิบ, ตู้เซฟสำหรับเก็บเงิน (เพราะตายแล้วเงินหายทั้งหมด), ผลิตยาพิษ, และการย้ายร้านไปขายที่ดาวดวงอื่นการจ่ายบิล - อันนี้จะพูดถึงช่วงด่านแรก ๆ นะครับ เพราะผมพยายามแล้วแต่เล่นไปด่านลึก ๆ ไม่ได้สักที เริ่มใหม่ตลอดไม่รู้จะยากไปไหน ที่เห็นหลัก ๆ จะมีบิลอยู่ 2 ประเภท คือ บิลค่าเช่า (จ่ายพวกค่าน้ำค่าไฟค่าแก๊ส) และจ่ายบิลค่าปรับให้คุณตำรวจ (มีพยานในเหตุการณ์เจอศพหรือตัวคุณเปื้อนเลือดแล้วไปห้ามคนปากโป้งไม่ทัน)การอัปเกรดร้าน - อัปเกรดได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น เพิ่มเตา, เพิ่มที่วางออเดอร์, เพิ่มความไวของเรา, เพิ่มความไวของการทำอาหาร, เพิ่มช่องสำหรับชำแหละวัตถุดิบ, เพิ่ม Status ให้เรา (HP, Stamina, Energy) เป็นต้น จริง ๆ มีเยอะกว่านี้นะครับ ที่เหลือเพื่อน ๆ ไปเล่นกันเองบ้างการซื้อวัตถุดิบ - พวกเนื้อต่าง ๆ ที่นี่จะไม่สามารถซื้อได้ เราต้องไปหาเนื้อเบอร์เกอร์เอาเองจากการฆ่าเหยื่อ ในส่วนนี้เราจะซื้อพวกขนมปังเบอร์เกอร์, ผัก, ชีส และพวกซอสต่าง ๆ ก็คือการซื้อวัตถุดิบในการทำเบอร์เกอร์นั่นแหละครับ สามารถหาซื้อได้จากตรงนี้ ส่วนนี้เราต้องคำนวณดีดี เราต้องพอจะคาดเดาได้บ้างว่าร้านจะคนเข้าเยอะไหม ถ้าของหมดตอนเปิดร้านเราจะซื้อใหม่ไม่ได้ เราต้องฆ่าลูกค้าทั้งหมดร้านนั่นแหละ เพราะไม่มีของให้ขายการย้ายดาว - ผู้เขียนจะไม่พูดถึงทุกอย่างทั้งหมดในฐานลับของเรานะครับ อันนี้จะเป็นหัวข้อสุดท้ายที่จะมาพูดถึงกัน การย้ายดาวเราจะต้อง มีค่าชื่อเสียงที่ถึงเป้าหมายตามที่เกมกำหนด บวกกับการทำเควสทั้ง 2 เควสให้ผ่านทั้งหมด และมียอดเงินที่ถึงกำหนดด้วยเช่นกัน เพราะเราต้องใช้เงินในการย้าย เมื่อย้ายไปแล้วก็ทำเหมือนเดิม ขายเบอร์เกอร์ เก็บเงิน ทำเควสให้ผ่าน และมีค่าชื่อเสียงที่ถึงเกณฑ์ ทำมันวน ๆ ไปจนถึงด่านสุดท้ายนั่นแหละ แต่ผมไปไม่ถึงนะ ขออนุญาตยกธงขาวไว้ ณ จุด ๆ นี้เหยื่อของเรานี่คือเรื่องสุดท้ายที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ ช่วงแรก ๆ จะง่ายเนื่องจากดาวดวงแรกมีเหยื่อแค่ชนิดเดียวและชอบกินเนื้อพวกเดียวกันเองครับ แต่ดาวหลัง ๆ นั้นจะมีเหยื่อหลายรูปแบบมาก ๆ และชอบกินเนื้อคนละชนิดกัน เราต้องคอยจำว่าสปีชีส์ไหนชอบกินเนื้อของสปีชีส์ไหน ถึงแม้ตัวเกมจะมีระบบให้เรากดจดจำความชอบของเอเลียน หรือเอเลียนสปีชีส์นี้ฆ่าได้ง่ายด้วยวิธีไหน ถึงกระนั้นมันก็สร้างความเสียเวลาในการเปิดดูให้เราอยู่ดี ซึ่งสำหรับผมการจดจำไว้ในหัวของเรา น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ จะมาเปิดดูข้อมูลจริง ๆ ในกรณีที่นึกยังไงก็นึกไม่ออก พูดง่าย ๆ คือลืมนั่นแหละครับ ฮ่า ๆระบบต่าง ๆ ภายในเกมGodlike Burger เป็นเกมแนว เสิร์ฟอาหาร เป็นเกมตลกร้ายที่มีการฆาตกรรมแล้วให้กินเนื้อพวกเดียวกันเอง มีภาพน่ารักแนวการ์ตูน แต่เนื้อหาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ เกมไซส์เล็กเครื่องไม่แรงก็เล่นได้ครับการบังคับของเกมนี้นั้นใช้คีย์บอร์ดอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้เมาส์ได้เลย ถามว่ายากไหมก็บางครั้งกดไม่ค่อยติด หรือต้องกดเลือกคำสั่งของกับดัก ก็ทำให้การเล่นเกมล่าช้าไปบ้าง แต่พอเล่น ๆ ไปเดี๋ยวก็จะคุ้นเคยกับมันครับUI น่ารักดีใช้งานง่าย ช่วงแรก ๆ จะมีสอนการเล่นเกม จะกด Skip โหมดฝึกสอน ไปหัดเอาเองในเกมเลยก็ได้ ถ้าเคยเล่นพวก Diner Dash มาแล้ว เพราะคล้ายกันเลยฮะ แต่ถ้ามือใหม่ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่ง Skip ให้ฝึกจากใน Toturial ไปก่อนสรุปGodlike Burger เธอจะยากไปไหน ฮ่า ๆ ถึงแม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะซื้อตัวได้ หรือได้รับพรจาก God Of Galaxy แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น ก็ตายเริ่มใหม่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผู้เขียนบอกเลยว่าถ้าใครหัวร้อนง่ายแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปเลยไม่ต้องซื้อมาเล่นครับ ขนาดผู้เขียนเป็นคนใจเย็น ผมยังเลิกเล่นแล้วเลยเพราะไม่สามารถดันตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ เนื้อเรื่องที่เคยอยากรู้พอตายบ่อย ๆ ก็หมดอารมณ์อยากรู้ไปซะดื้อ ๆ เลยส่วนใครที่คิดว่าเกมนี้ภาพน่ารักมีเอเลียนเอใจอยากซื้อให้ลูกเล่น ผมจะตีผู้ปกครองให้ด้วยนะ นี่แหนะ ๆ ฮ่า ๆ เนื้อหาไม่น่ารักสำหรับเยาวชนนะฮะผมบอกเลย 18+ มาก ๆ มีการฆ่า มีเลือด มีการวางกับดัก เอาเนื้อเอเลียนสปีชีส์เดียวกันมาขายให้สปีชีส์เดียวกันเองกิน ถ้าใจคอจะให้ลูกเล่นผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วนะ จริงงงงง ฮ่า ๆแต่ผมว่าถ้าเล่นไปได้เรื่อย ๆ แบบตอนที่ผมยังไม่ตาย เกมนี้เป็นเกมที่สนุกมาก เพลิน สามารถฆ่าเวลาได้ดี ถึงจะเป็นเกมที่จำเจ แต่ก็เป็นเกมที่มีกิมมิก ให้เราจดจำว่าเอเลียนตัวไหนชอบหรือไม่ชอบอะไร ต้องฆ่าแบบไหน หรือจะหลอกยังไงให้ไปยืนในที่ ๆ เราอยากให้ไปยืนเพื่อลอบฆ่าด้วยกับดัก คอนเซ็ปต์เกมคือดีมาก ๆ ไม่ได้เป็นฆาตกรรมที่อึดอัดขนาดนั้นเพราะเป็นเรื่องของชาวต่างดาว ถ้าใครหัวใจเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็งแนะนำให้กดมาเล่นเลยครับ ใน Steam สนนราคาอยู่ที่ 339 บาทเท่านั้นเอง!!!สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1432910/Godlike_Burger/
14 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Kingdoms Reborn สร้างอารยธรรมสู่ยุครุ่งเรือง เกมสร้างเมืองฝีมือคนไทย
Kingdoms Reborn พอผู้เขียนได้ยินมาว่ามันเป็นเกมของคนไทย ที่พัฒนาเกมนี้มา 3 ปี มิหนำซ้ำยังสร้างเกมนี้ขึ้นมาเพียงคนเดียว ผู้เขียนก็ตัดสินใจซื้อเกมนี้มาในทันทีแบบไม่ลังเลเลยครับ เพราะผมอยากจะสนับสนุนคนไทยด้วยกัน Kingdoms Reborn ลงวางขายใน Steam ในรูปแบบ Early Access มาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2020 แล้วผมดองเกมนี้เอาไว้ในคลังอยู่นานมาก ๆ เพราะเกมสร้างเมืองใน Account ผมมันช่างเยอะซะเหลือเกิน เลยยังไม่มีโอกาสได้เล่น Kingdoms Reborn สักที วันนี้ปัดฝุ่นเคลียร์คลังเช็กดูว่าเกมไหนยังไม่เคยแตะเคยเล่นบ้าง ก็หยิบมาเล่นดูเสียหน่อย เจอเกมเข้าท่าเข้าทีที่พัฒนาโดยคนไทยอย่าง Kingdoms Reborn ผู้เขียนก็เลยคิดว่า "เออ เอาเกมนี้แหละ"เผื่อมีคนมาตามอ่านบทความของผมแล้วสนใจเกมของคนไทยด้วยกัน จะได้ตามไปช่วย Dev อุดหนุนกันเยอะ ๆ ว่าแล้วอย่าเสียเวลาอารัมภบทให้ยืดยาว ตามไปอ่านเนื้อหาของเกมเพลย์ด้านล่างกันได้เลยยยย!!!เกมเพลย์ช่วงแรกเล่นโคตรเพลิน เลือกได้หมดว่าอยากเล่นอารยธรรมไหนเนื้อเรื่องของเกม Kingdoms Reborn มีเพียงนิดเดียวเท่านั้น คือ เราจะเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตจากยุคน้ำแข็งที่จะต้องมาลงหลักปักฐาน และเราจะต้องมาสร้างอารยธรรมของเราภายในเกมให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งครับ ตอนนี้ตัวเกมมีให้เลือกเล่น 4 อารยธรรมด้วยกัน ได้แก่ ดัชชี, เอมิเรตส์, นอร์สเม็น และสุดท้ายคือโชกุน ความยากง่ายของแมปในการเล่น โบนัสในเกม หรือทรัพยากร จะแตกต่างกันออกไปครับ ซึ่ง เอมิเรตส์ และนอร์สเม็นระดับความยากจะมากกว่าโชกุนและดัชชี ด้วยสภาพแวดล้อมของแมปไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย เพราะเอมิเรตส์เป็นพื้นที่ที่มีแต่ทะเลทราย ส่วนนอร์สเม็นมีแต่น้ำแข็งและหิมะก็เลยทำให้การเล่นเกมของเราเกิดความท้าทายมากขึ้น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ เดี๋ยวผมจะเขียนแยกเป็นหัวข้อให้ได้อ่านกันนะครับ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นการสร้างเมืองแบบมีเงื่อนไข - ในช่วงเริ่มเกมแรก ๆ นั้นสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของเราจะเป็นเลเวล 1 ทั้งหมด ถ้าเราอยากให้เมืองก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นเราจะต้องเก็บเกี่ยวค่าการเรียนรู้ของชาวเมืองครับ ในส่วนนี้เดี๋ยวผู้เขียนจะเก็บไว้พูดในหัวข้อการวิจัย ตอนนี้เรากลับมาพูดถึงสิ่งปลูกสร้างกันก่อนแล้วการสร้างเมืองแบบมีเงื่อนไขในเกมนี้ก็คือ สิ่งปลูกสร้างแบบอยู่อาศัยจะแบ่งเป็น Tier ครับ มันจะอัปเกรดให้เราเองเมื่อเปลี่ยนยุคสมัย แต่มันจะไม่อัปให้เราเลยถ้าสิ่งของหรือทรัพยากรยังไม่ตรงตามเงื่อนไขความต้องการครับ ซึ่งบ้านเลเวล 6 ขึ้นไปค่อนข้างยากมาก ๆ เพราะเราต้องสามารถเก็บเกี่ยวของมีค่าระดับ 3 ได้ 3 ชนิดขึ้นไป ถ้าเราทำไม่ได้ติดต่อกันไปนาน ๆ บ้านจะโดนดาวน์เกรดลงมาแต่ทั้งหมดทั้งมวลผู้เขียนดูแล้วว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของเราไปซะทั้งหมดครับ เหมือนจะเป็นบัคของตัวเกมด้วย เมื่อประชากรเริ่มเยอะ เครื่องมือต่าง ๆ ของเรา Ai มันไม่ยอมเดินเข้าไปทำงานทั้ง ๆ ที่ค่าความสุขสูงมาก ๆ และหลัง ๆ มันแทบจะไม่สร้างสิ่งก่อสร้างอะไรให้เราเลย และนั่นก็สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผมมาก ๆ ทรัพยากรต่าง ๆ พอ Ai มันไม่ทำงาน ก็หามาสร้างได้ไม่พอ บัคตรงนี้หรือระบบ Ai ที่เพี้ยน ๆ ก็ทำให้การเล่นเกมค่อนข้างลำบากมาก ๆ ในช่วงกลาง ๆ เกมครับระบบการ์ดที่มีทำไม? - เป็นระบบที่ช่วงต้นเกมสร้างสีสันและความสนุกให้กับผู้เขียนได้ดีทีเดียว แต่พอเล่น ๆ ไปแล้วระบบการ์ดนี่ก็สร้างความรำคาญให้กับผู้เขียนมาก ๆ เนื่องจากช่วงหลังการมีอยู่ของระบบนี้แทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อการเล่นเกมแล้ว ยังสร้างความล่าช้าให้แก่ผู้เล่นด้วย เพราะไอ้ระบบไวลด์การ์ดเนี่ยพอกดใช้การ์ดทุกใบที่เราวิจัยมาแล้วจะขึ้นมาให้เราเลือกทั้งหมด แต่ถึงจะมีระบบให้เสิร์ชหาการ์ดใบที่เราต้องการก็จริงแต่บางทีจำชื่อไม่ได้ไงครับ การ์ดมีเป็นสิบ ๆ ใบ จะให้จำชื่อทั้งหมดบางทีเหนื่อย และมีการพิเศษที่จะเพิ่มค่าโบนัสต่าง ๆ ให้แก่สิ่งปลูกสร้างของเรา โดยเอาการ์ดที่มีไปวางใน Slot Card ของสิ่งปลูกสร้าง เอาจริง ๆ นะ ทำเป็นอัปเกรดให้เลยดีกว่า ใช้การ์ดแบบนี้มันโคตรจะเสียเวลาที่ผู้เล่นต้องเอาการ์ดมาใส่ทีละใบทีละใบ แล้วหลัง ๆ สิ่งปลูกสร้างเยอะมาก ส่วนช่วงแรกก็ลุ้นหน่อยว่าเงินจะพอให้กดซื้อการ์ดใบที่เล็งเอาไว้ได้หรือไม่ ส่วนช่วงหลัง ๆ ก็มีเยอะจนใช้ไม่ทัน เพราะเงินเริ่มหาง่าย ระบบใช้การ์ดเผาเงินที่จะช่วยให้เกมบาลานซ์ นอกจากไม่ช่วยเรื่องเงินแบบที่ Dev ตั้งใจแล้ว มันยังสร้างความน่ารำคาญให้กับผู้เล่นโดยไม่จำเป็นด้วยครับระบบอัปเกรดที่เกือบดี - เอาจริง ๆ ผู้เขียนก็มองว่าระบบอัปเกรดของเกมนี้ไม่ได้แย่นะฮะ แต่รู้สึกว่าถ้าไม่ติดว่าบางอย่างต้องอัปเกรดโดยกดอัปที่สิ่งปลูกสร้างของเราโดยใช้ทรัพยากรบางส่วน เปลี่ยนไปให้มันอัปเกรดแบบออโต้โดยใช้เงื่อนไขว่าเมืองต้องมีอะไรเท่าไหร่แบบการอัปเกรดบ้าน (บ้านของชาวเมืองสามารถอัปเกรดได้เองตาม Tier ทรัพยากรที่เราหาได้) ผมมองว่ามันทำให้ผู้เล่นไม่ต้องตามเปิดดูสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพื่อคอยอัปเกรดครับ เพราะช่วงหลัง ๆ สิ่งปลูกสร้างชนิดเดียวกันจะเริ่มเยอะมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะกด Shift เพื่ออัปเกรดสิ่งปลูกสร้างชนิดเดียวกันแบบ All ได้ แต่ทรัพยากรที่หามาได้มันก็จะไม่พออยู่ดี ผู้เขียนมองว่าถ้าให้ Ai มันอัปเกรดได้เองแบบตามยุคของเมืองที่เราทำการวิจัยมาแล้ว มันน่าจะสะดวกกับผู้เล่นมากกว่า แต่ระบบนี้ก็โอเคครับเข้าใจได้ว่าอยากให้เกมบาลานซ์ ได้นำทรัพยากรที่มันล้น ๆ มาใช้งาน ถือว่ายังไม่แย่ แต่ผมมองว่ามันทำให้ดีกว่านี้ได้อีกระบบการวิจัย - เป็นระบบที่เราจะเก็บ Point ต่าง ๆ มาจากการเติบโตของเมือง เพื่อวิจัยให้เราก้าวสู่ยุคของโลกที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ในส่วนนี้ผู้เขียนมองว่าก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมสร้างเมืองอื่น ๆ มากนัก ถ้าเพื่อน ๆ ได้มาเล่นก็อาจจะทำความคุ้นเคยกับมันได้ไม่ยากครับ เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากให้เมืองของเราเด่นไปทิศทางไหน อุตสาหกรรม, เกษตรกรรม, ทุนนิยม, คอมมิวนิสต์, หรืออุตสาหกรรมเหมือง เราสามารถเลือกได้จากตรงนี้ครับเมื่อเราวิจัยมาจนถึงยุคเปลี่ยนผ่านจากเมืองยุคกลาง ไปเมืองยุคใหม่ ไปเมืองยุคอุตสาหกรรม ทุกการเปลี่ยนผ่านตรงนี้เราจะได้แต้มโบนัสพิเศษไปบรรจุเอาไว้ที่ศาลากลางของเมืองเราครับ ว่าเราอยากปกครองเมืองนี้ให้ไปในเส้นทางไหน แต่รูปแบบการปกครองของเมืองนี้ผู้เขียนมองว่ายังค่อนข้างน้อย เลยทำให้ความหลากหลายในการเล่น หรือกฎหมายต่าง ๆ ไม่มีให้เลือกเล่นมากเท่าที่ควรครับระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน - เศร้ามาก ๆ ในช่วงที่ทรัพยากรของเราเยอะมาก ๆ ครับ เพราะมันไม่สามารถระบายสินค้าได้ทันอย่างที่ใจเราหวังเลย เพราะมีการกำหนดจำนวนสินค้าในแต่ละรอบ ถ้าเรามีระบบการค้าขายแบบอัตโนมัติทุกอย่างจะถูกกำหนดเอาไว้ว่ารอบหนึ่งการส่งออก นำเข้า ต่อเดือนนั้น จะได้กี่ชิ้น ซึ่งที่ผู้เขียนเล่นมานั้นสามารถทำได้แค่หลักร้อยต่อโรงเรือนเท่านั้นครับ ถ้าอยากได้อีกก็มีความจำเป็นต้องสร้างติด ๆ กันเอาไว้ ซึ่งผมมองว่าอะไรที่ควรมีระบบอัปเกรดเพื่อเพิ่มจำนวนได้ก็ไม่มีครับ ฮ่า ๆ มันเลยทำให้สินค้าในเมืองผมค่อนข้างล้น แม้ผมจะสร้างเอาไว้ 5 แห่งแล้วแต่โชคยังดีที่มีระบบการค้าแบบอื่นอีกที่เราสามารถระบายสินค้าของเราได้บ่อยขึ้นหน่อยในระบบแมนนวล ซึ่งเราต้องสร้างท่าเรือสินค้าที่เอาไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับตลาดโลก สามารถอัปเกรดให้ส่งสินค้าได้มากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงครับ และช่วงหลัง ๆ เราก็ไปเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองรอบข้างเพื่อเปิดเส้นทางการค้า ชีวิตความเป็นอยู่ทางการเงิน และการระบายสินค้าของเราก็จะลื่นไหลมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีที่จะต้องมาคอยเปิดขายเองอยู่ตลอดการยึดเมือง - เราต้องสร้างการ์ดทหารที่ Town Hall ของเมืองก่อน ยิ่ง Tier ของทาวน์ฮอลล์เราสูงขึ้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะผลิตการ์ดทหารยิ่งเยอะมากขึ้นเท่านั้นครับ อย่างเช่นช่วง Tier 1 เราอาจจะสร้างการ์ดทหารได้เต็มที่ 6/6 เมื่อสร้างเสร็จแล้วเราสามารถไปกดที่เมืองที่เราต้องการจะเข้ายึดหรือโจมตี เราต้องสู้กับชาวบ้าน 2 รอบด้วยกัน รอบแรกจะเป็นการรุกรานเมืองเล็ก ๆ ที่เราต้องการจะให้เป็นอาณานิคมของเรา แต่เราจะไม่สามารถสร้างอะไรในบริเวณนั้นได้ ต้องพาทหารไปตีเมืองอีกรอบเพื่อไล่ชาวบ้านให้ออกไป ถ้าไม่อยากยึดก็สามารถสานสัมพันธไมตรีได้ ด้วยการให้เงิน ระบบก็ไม่มีอะไรมากแค่นั่งรอให้ทหารของเราสู้กับชาวบ้าน แล้วก็จะมีเลขนับถอยหลังให้ดูว่าเหลือชาวบ้านกี่คนแล้ว แค่นั้นเลยผู้เขียนมองว่าเหงาเกินไปมากสำหรับระบบนี้ เหมือนเอาส่วนดีของเกมอื่น ๆ มาใส่รวม ๆ กันไว้ให้มีอะไรทำระบบต่าง ๆ ภายในเกมเป็นเกม 3D แนวสร้างเมืองที่มีมุมมองจากด้านบนลงมา ที่สำคัญสร้างโดยคนไทยและมีภาษาไทยด้วยครับ ตัวเกมเป็นเกมไซส์เล็ก ๆ ที่ไม่กินเนื้อที่ของเครื่องเรามาก แต่ว่าพอเล่นไปจนเมืองใหญ่มาก ๆ แล้วสำหรับคนที่คอมไม่แรงมาก อาจจะเซ็ง ๆ หน่อยเรื่อง FPS ที่ค่อนข้างตก และทำให้การเล่นเกมมีความกระตุกอยู่เป็นระยะการบังคับและระบบควบคุมต่าง ๆ ถ้าเคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้วไม่ต้องกังวลเลยครับ เหมือนเกมอื่นเด๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็น W,A,S,D ใช้เลื่อนขึ้นลงซ้ายขวา Q,E ที่ใช้หมุนมุมกล้อง ลูกกลิ้งเมาส์ที่ใช้ซูมภาพเข้าออก แต่ผมก็ยังพบว่าการซูมภาพเข้าออกของเกมนี้ จะทำให้เกมในเครื่องของผมนั้นค้างไปเลยสักระยะหนึ่ง แต่ถ้าไม่ซูมก็สามารถเล่นได้ปกติ ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นบัคของตัวเกมไหม ถ้าใครเล่นแล้วก็ระวังตรงนี้นิดหนึ่งนะครับUI นั้นโอเคครับ สร้างมาให้ใช้งานง่าย แต่น่าเสียดายที่ตารางงานของชาวเมืองไม่ละเอียดอะไรมากนัก เราต้องไปกดที่ศูนย์หางานหรือทาวน์ฮอลล์ ซึ่งฟีเจอร์ตรงศูนย์หางานนี่แหละที่ค่อนข้างสร้างความสับสนและงงมาก คือเราไม่สามารถกดให้ชาวบ้านไปทำงานตรงไหนก็ได้ เหมือนมีเลขให้เราดูและจัดลำดับความสำคัญของงานที่จะให้ Ai เดินจากบ้านไปทำเท่านั้น แล้วช่วงหลัง ๆ บอกเลยว่า มันแทบจะไม่ทำงานเลยครับ ถึงแม้ว่าจะสร้างบ้านให้ใกล้กับอุตสาหกรรมที่เราต้องการให้ Ai ไปทำงานแค่ไหนมันก็ไม่ไปทำ ถึงแม้ว่าเราจะกด Favorite ว่าตรงนี้ต้องการแรงงานอย่างมาก มันก็ไม่ไปทำ ซึ่งบัคตรงนี้ก็ทำให้การเล่นเกมในช่วงหลังหมดความสนุกไปเยอะเลยสรุปKingdoms Reborn สำหรับผู้เขียนนั้นมองว่าเป็นเกมที่สนุกในช่วงแรก ๆ ที่เล่น และสร้างความน่าเบื่อหน่ายในช่วงหลัง ๆ ครับ ยิ่งยุคอุตสาหกรรมนี่ผมไม่สามารถดันเมืองไปให้ไกลกว่านี้ได้แล้ว เพราะ Ai แทบจะไม่ไปทำงานในส่วนที่ผมต้องการให้มันไปทำ หลัง ๆ ให้ไปสร้างบ้านขนาดว่าใส่คนก่อสร้างเอาไว้ 20 คน มันก็ไม่สร้างให้แล้ว แต่ช่วงหลัง ๆ เราสามารถใช้เงินกดสร้างอัตโนมัติได้เลยโดยการทำการวิจัยระบบสร้างอัตโนมัติ แต่ถึงยังไงเกมแนวนี้ผมก็อยากให้ประชากรในเมืองเป็นคนสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ อยู่ดี ไม่ใช่ว่าแก้ด้วยการเพิ่มระบบอัตโนมัติเข้ามาในการวิจัยแล้วระบบตารางงานต่าง ๆ ที่ไม่อำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่นอย่างเราเลย พอคนยิ่งเยอะผู้เขียนแทบจะไม่รู้แล้วว่า Ai ทำงานอยู่ตรงไหน และตรงไหนมันไม่ทำงาน แต่กดดูส่วนใหญ่มันแทบจะไม่ไปทำงานให้เราเลยด้วยซ้ำ จะเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อตอนอาหารขาดแคลน ทั้ง ๆ ที่มีฟาร์มหมูอยู่เต็มเมืองไปหมด แต่กดไปดูอีกที อ้าว...ไม่มีคนมาทำงานซะแล้ว ระบบเทรดก็ระบายของที่ผลิตได้ไม่ทัน ถึงแม้จะมีระบบเทรดให้อัตโนมัติ แต่เทรดได้เต็มที่แค่ 240/240 แต่ของมีเป็นหมื่น ๆ ชิ้น ที่เก็บของก็เต็มแล้วเต็มอีก และน่าเบื่อตรงที่ต้องนั่งกดขายของอยู่ตลอดเวลา ด้วยการสร้างท่าเรือเพื่อขายของไว้เป็นสิบ ๆ แห่ง มันโคตรจะแปลกเลยครับถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ ที่เขาให้อัปเกรดเอาระบบการวิจัยช่วงยุคท้าย ๆ ก็มีแต่อะไรที่ไม่จำเป็น เพิ่มค่าเงิน เพิ่มอิทธิพล ของแต่งเมืองแบบมีทำไม ฮ่า ๆ ซึ่งตอนหลัง ๆ แค่เดินยึดเมืองนี่ก็รวยไม่ไหวแล้วครับ ช่วงสุดท้ายการวิจัยพวกนี้ผมก็เลยยังไม่เห็นประโยชน์ของมันเลย แล้วการเกษตรบางอย่างก็ไม่สมเหตุสมผล เช่น พวกระบบแปรรูปต่าง ๆ ที่เราทำการเกษตรมาตั้งแต่ต้นเกม แต่มาแปรรูปได้ช่วงท้ายเกม แล้วเรื่อง Ai ไม่ทำงานมันก็ส่งผลกระทบกับ Tier ของบ้าน พอคนงานไม่ทำงานบ้านก็จะถูกลดระดับลงมา แล้วหลัง ๆ เมืองก็จะไปไหนไม่ได้วนลูปอยู่แบบนี้ ผู้เขียนแอบเสียดายที่เกมตอนเล่นแรก ๆ ดูดีกว่านี้มาก ๆ อาจจะเพราะ Dev ทำงานคนเดียวทั้งหมด อาจจะต้องค่อย ๆ แก้กันไป ตรงนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาบลัฟหรืออะไร ผมอยากเขียนรีวิวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ Dev เห็นจุดผิดพลาด แล้วนำไปแก้ไขให้เกมดียิ่งยิ่งขึ้นไป เพราะผมมองว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีมาก ๆ แต่มันยังดูไม่สุดกับอะไรสักทาง และผู้เขียนจะเป็นกำลังใจให้ Dev ด้วยการรอสนับสนุน DLC ที่อาจจะมีออกมาในอนาคตนะครับ ใครสนใจอยากตามไปสนับสนุนคนไทยด้วยกัน สามารถสั่งซื้อเกมได้ใน Steam ราคา 369 บาท เท่านั้นเอง ผมเชื่อว่าเกมนี้จะไปได้ไกลกว่านี้ครับ สู้ ๆ ครับ Devสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1307890/Kingdoms_Reborn/?l=thai
10 Jun 2023
[Review] รีวิว Diablo 4 ตำนานเกมถล่มปีศาจนรก Action RPG ที่ภาคนี้ทำได้ยอดเยี่ยมถูกใจแฟนๆ สักที!
วางขายแล้วสักทีสำหรับเกม Diablo 4 โดยภาคนี้คนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้ต้องรอพัฒนานานขนาดนั้น แต่สำหรับแฟนๆ เดนตายเชื่อได้เลยว่าพวกเขา 'ต้องรอกันนานมาก' เนื่องจากตอนเกมภาค 3 ก็ทำด้าน Gameplay ได้ไม่ถูกใจแฟนๆ หลายอย่าง (แฟนๆ เขาชอบ Gameplay แบบเกมภาค 2 แต่ภาค 3 นี่เปลี่ยนไปเกือบเป็นคนละเกม) และหลังภาค 3 ทางค่าย Blizzard ก็ดันไปจับมือ Netease เอาเวลาไปทำเกมมือถือ Diablo Immortals จนแฟนๆ ไม่พอใจกลายเป็นเรื่องราวดราม่าสุดใหญ่โต ซึ่งส่งผลให้ทาง Blizzard จึงได้รีบเข็นเกมภาค 4 มาวางขาย และเกมภาคนี้ก็จึงเป็นความหวังว่ามันจะกลับไปสนุกยอดเยี่ยมแบบภาค 2 มากที่สุด แต่มันจะทำได้ และคุ้มค่ากับการรอคอยมานานขนาดนี้หรือไม่ วันนี้ทาง GameFever จึงขอมารีวิวเกม Diablo 4 ให้รับชมกัน!!! สามารถดูเต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างเกมโหมโรงDiablo 4 คือเกมอะไร?เกมนี้เป็นแนว Isometric Action RPG โดยจะมีมุมมองอยู่ด้านบนตัวละคร และให้ผู้เล่นเลือกอาชีพ จากนั้นก็ต้องไปถล่มเหล่าฝูงมอนสเตอร์แบบสุดมันส์ ซึ่งผู้เล่นก็จะต้องเก็บเลเวลเพื่อมาอัปสกิลต่างๆ ได้หลายสาย รวมทั้งก็ต้องฟาร์มอาวุธกับชุดเกราะหรืออื่นๆ ให้ตัวละครสวมใส่แข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ส่งผลให้เกมนี้จะเน้นความสนุกด้าน RPG ให้ฟาร์มเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนเพื่อปั้นตัวละครให้แข็งแกร่ง รวมทั้งภาคนี้จะเป็นเกมออนไลน์ Live Service เต็มตัว ทำให้ผู้เล่นจะมีอะไรทำเรื่อยๆ ช่วงท้ายเกมพร้อมมีอัปเดตบ่อยๆ ในอนาคต รวมทั้งก็เจอเพื่อนกับผู้เล่นอื่นได้ตลอดเวลา Storyเกม Diablo 4 จะเล่าเรื่องต่อมาจากของเกมภาค 3 ที่แผ่นดิน Sanctuary ได้กลับมาเกิดความวุ่นวายเพราะปีศาจอีกครั้ง เนื่องจากปีศาจ Lilith ลูกสาวของ 1 ใน 3 ราชาปีศาจ Mephisto ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการถูกจองจำ โดย Lilith นั้นยังเรียนรู้ว่าถ้าเอาแต่ใช้กำลังเข้ายึดครอง Sanctuary จะส่งผลให้เธอนั้นต้องมีจุดจบเหมือน 3 ราชาปีศาจแน่นอน เธอจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 'เจ้าเล่ห์ & ปลุกปลั่น' จากที่ทุกทีจะต้องไปทำลายพวกมนุษย์หรือฝั่งสวรรค์ ก็เปลี่ยนเป็นไปทำให้พวกมนุษย์หลงผิดมาเข้าข้างฝั่งตัวเอง และทำให้พวกฝั่งสวรรค์มาติดกับดักสังหาร ซึ่งด้วยวิธีนี้ก็ทำให้แผ่นดิน Sanctuary นั้นเละกว่าเดิมแบบไร้อนาคตกว่าทุกที ส่วนคุณนั้นก็จะได้สวมบทเป็นคนโนเนมที่ตอนต้นเกมก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะพายุหิมะ แต่กลับมีสิ่งลึกลับตนหนึ่งได้ช่วยชีวิตคุณไว้ เพราะคุณนั้นถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith ให้โลกกลับมาสงบสุขได้เกมจะเริ่มมาในตอนที่ Lilith เริ่มป่วน Sanctuary จนเกือบเละไปแล้วทำให้การเปิดเรื่องเกมภาคนี้ทำมาได้แบบอารมณ์สิ้นหวังสุดๆ แต่ก็ยังมีหวังประมาณ 5 - 10%ในเกม Diablo ทุกภาค เราจะเห็นได้เลยว่าเกมก็มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และเข้มข้นอยู่ตลอด แม้เกมๆ นี้จะไม่ได้เน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่ยังไงในเกมทุกภาคมันก็จะมีความ 'ย่อยง่าย' ในรูปแบบที่เราจะได้เป็นผู้วิเศษแห่งโลก Sanctuary ออกผจญภัยไปกระทืบปีศาจทุกตัวให้ตาย พร้อมกับมีชาวเมืองคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขณะที่พอมาเป็นเกมภาค 4 เนื้อเรื่องจะมี 'ความซับซ้อน & พลิกแพลงไปมาบ่อยๆ & ชวนให้รู้สึกหดหู่แทน' เพราะแม้คุณจะคือผู้ถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith แต่เส้นทางจะไปปราบ Lilith ในภาคนี้มันช่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และหดหู่อย่างมาก เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าดินแดน Sanctuary นั้นได้เละไร้อนาคต แถม Lilith ก็ใช้วิธียึดครองโลกแบบใหม่สุดจีเนียสกว่าเดิม จึงส่งผลให้เราต้องเผชิญกับ 'กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือคุณไม่ได้ & ต้องการจะปราบคุณแทน' ทำให้ภาคนี้คุณแทบจะไม่รู้สึกว่าจะมีทางไปปราบ Llith ได้ง่ายๆ เลย แล้วยังมีเหตุการณ์ชวนทำตัวไม่ถูกให้เจอหลายรอบอีก แต่ท้ายที่สุดในจุดนี้ก็ถือว่า 'เป็นการนำเสนอเนื้อเรื่องที่มีเสน่ห์มาก' โดยถึงแม้มันอาจไม่ใช่ไอเดียเนื้อเรื่องแปลกใหม่ แต่พอเอามาใช้กับเกม Diablo ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า 'ทำไมไม่นำเสนอเนื้อเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนภาค 1' เพราะมันเข้ากับจักรวาลเกมนี้ และทำให้น่าติดตามกว่าเดิมมากเลย ส่งผลให้นี่จะไม่ใช่เกมเน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่มันก็ทำส่วนนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ในตัวเนื้อเรื่องก็อาจไม่ได้น่าสนใจ หรือรู้สึกเยี่ยมตลอดเวลาแต่ด้วยไอเดียการนำเสนอที่เข้ากับเกม Diablo แบบนี้ ก็จะทำให้คุณอยากติดตามเนื้อเรื่องไปจนจบแน่นอนอีกส่วนหนึ่งที่น่าชมในเนื้อเรื่องคือ 'เกมจะมีการเล่นมุมกล้องผ่านฉากคัทซีน'บางทีก็เป็นฉาก One Take สวยๆ จนคุณรู้สึกว่านอกจากน่าติดตามก็ยังรู้สึกมันเล่าเรื่องได้เจ๋งแปลกใหม่ดีอย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้เขียนนั้นเคยเล่นเกม Diablo มาแล้วทุกภาค สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนกลับรู้สึกถึงข้อเสียได้ในเนื้อเรื่องภาคที่ 4 คือ 'มันเล่าเรื่องได้ไม่กระชับเหมือนภาคก่อน' โดยมันอาจเป็นเพราะเกมภาคนี้เน้นให้เป็นเกมออนไลน์เต็มตัว และผู้เล่นต้องมาฟาร์มเลเวลให้ตันที่ 100 จึงส่งผลให้เกมพยายามทำเนื้อเรื่องยืดเยื้อมากๆ จนบางทีคุณอาจหงุดหงิดว่าทำไมเหตุการณ์นี้มันยาวนานจังกว่าจะจบ ถ้าไม่หาอะไรทำไปด้วยก็อาจเบื่อหรือหลับก่อนได้เลย แล้วอีกส่วนหนึ่งที่หายไปคือ 'ภาคนี้ไม่มีเนื้อเรื่องต่างกันของแต่ละอาชีพ' เพราะในภาค 3 ถ้าผู้เล่นเลือกอาชีพอาชีพหนึ่งก็จะมีบุคลิกต่างกันชัดเจน หรือมีที่มาก่อนเริ่มเกมต่างกันยังไง รวมทั้งเวลาเจอเหตุการณ์บางส่วนก็มีบทพูดต่างกัน ซึ่งมันช่วยให้ตัวละครเรามีความน่าติดตามขึ้นมาก แต่เกมภาคนี้เหมือน 'ทำไม่ทัน' เลยได้ตัดออกไป ถือเป็นส่วนที่น่าเสียดาย แต่ผู้เขียนก็ยังมองว่าเนื้อเรื่องภาค 4 ก็ทำออกมาอยู่ในระดับดี รวมทั้งเกมแบบนี้ เขาไม่ได้ให้เน้นเสพเนื้อเรื่องสักหน่อยนี่!!!Graphic / Soundในด้านภาพกราฟิก หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าแฟนๆ Diablo จะชอบแบบของเกมภาค 2 อย่างมาก เนื่องจากมันจะให้อารมณ์มืดๆ มัวหมองแฟนตาซี เหมือนเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ และไม่มีแสงสว่างให้โลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่พอมาเป็นเกมภาค 3 เกมก็กลับกลายเป็นภาพในรูปแบบ 'ฉากสว่างๆ เน้นสวย' จนแฟนเกมนั้นแอบรู้สึกว่าเอกลักษณ์มันหายไป (หนึ่งในเหตุผลให้คนไม่ชอบเกมภาค 3) ขณะที่เกมภาค 4 จะมีการทำฉากออกแนวมืดๆ มัวหมองเหมือนตอนภาค 2 แล้วนะ รวมทั้งนี่คือเกมฟอร์มยักษ์ที่วางขายตอนปี 2023 จึงทำให้มีภาพกราฟิกที่สวยคมอย่างมาก!!! เราจะได้เห็นดีเทลเล็กน้อยในฉากต่างๆ จนคุณจะรู้สึกฟินอยู่บ่อยๆ แถมรายละเอียดตัวละครก็ดูเหมือนคนจริงๆ เลย แต่แอบน่าเสียดายนิดๆ ที่ในเกมจะไม่ค่อยใส่สถานที่อลังๆ มาให้เห็นบ่อยครั้ง แถมพวกฉากในเมืองใหญ่ก็จะรู้สึกธรรมดาไม่ได้อลังอะไร ส่งผลให้แอบรู้สึกเสียดายที่ภาพมันสวยมากแต่ไม่ค่อยได้เห็นสถานที่อลังให้รู้สึกฟินขั้นสุด ผู้เขียนเห็นรีวิวเกมนี้หลายเจ้าก่อนวางขายชมว่า 'โลกในเกมนี้มันสวยงามมาก'โดยผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่มันคงจะยอดเยี่ยมกว่านี้ถ้ามีฉากอลังสวยๆ ให้เห็นบ่อยส่วนด้านเสียง ต้องบอกเลยว่าภาคนี้ออกแบบได้ดีทุกส่วน ไม่ว่าจะเรื่องเสียงประกอบหรือเสียงจากการต่อสู้ ตอนผู้เล่นใช้สกิลสายฟ้าลงมาโจมตีศัตรู เสียงของมันจะมีความทรงพลังหนักแน่นจนอยากใช้สกิลนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นต้น ขณะที่พวกเสียงพากย์ตัวละครต่างๆ ก็ชวนได้อารมณ์หนังยุคกลางแฟนตาซี ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเล่นหรือคัทซีน แถมเพลงประกอบภาคนี้ก็กลับมาทำเหมือนภาค 2 ที่จะให้ผู้เล่นรู้สึกหลอนๆ ผสมกับการกระตุ้นให้เราอยากผจญภัย ทำให้งานด้านศิลป์ของเกม Diablo 4 เรียกว่าอยู่ในระดับดีอันดับต้นๆ กลับไปเหมือนภาค 2 แน่นอนเสียงพากย์แต่ละตัวละครจะมีเสน่ห์ และพาจดจำตัวละครต่างๆ ที่บทอาจไม่เยอะได้ง่ายเลยPresentation เมื่อเริ่มเกม Diablo 4 เราจะได้เลือกเล่นเป็นอาชีพต่างๆ ทั้งหมดดังนี้Barbarian นักรบคนเถื่อน ชำนาญการใช้อาวุธประชิตทุกชนิด และยังถึกยืนแท้งค์ได้Rogue จอมโจรมีดคู่กับธนู เน้นเข้าโจมตีอย่างว่องไว เป็นอาชีพแห่งการตบบอสSorcerer จอมเวทย์ 3 ธาตุ เก่งด้านแก้ทางศัตรูทุกชนิดจากระยะไกลNecromancer จอมเวทย์ด้านความตาย เน้นปลุกปีศาจมาช่วยสู้ หรือใช้พลังเวทย์คำสาป Druid จอมเวทย์โบราณ แปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเข้าต่อสู้ระยะประชิต หรือเรียกพลังธรรมชาติมาโจมตีทั้ง 5 อาชีพ จะให้ผู้เล่นปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้ โดยอาจปรับแต่งได้ไม่เยอะ แต่ก็ถือว่าทำให้ผู้เล่นมีอิสระสร้างตัวละครในฝันพอสมควร จากนั้นเราก็จะได้เข้าสู่การเริ่มเนื้อเรื่อง และช่วงเก็บเลเวล ซึ่งเราจะได้พบว่าเกมนั้นก็จะแนวๆ รับเควสตามเนื้อเรื่องแบบเกม RPG ทั่วไปเลย แต่จะมีแผนที่ในรูปแบบ Open World ที่พอซูมออกมาจะรู้สึกว่ามัน 'กว้างใหญ่มาก' แล้วพอเลเวลอัปก็จะได้พบกับระบบอัปสกิล Skill Tree ที่ 'มีความหลากหลายให้เลือกอัปเอาเรื่อง' แถมผู้เล่นใหม่ก็จะไม่รู้สึกปวดหัว เนื่องจาก Skill Tree นั้นทำออกมาอธิบายให้ผู้เล่นเข้าใจง่ายมาก และมันก็ไม่ซับซ้อนที่จะเลือกอัป แล้วยังรีฟันตอนไหนก็ได้อีกด้วย!!! (ถ้าช่วงหลังๆ การรีฟันจะต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่เยอะให้รู้สึกต้องระแวงว่าเลือกอัปอันไหนดี)Skill Tree จะคล้ายๆ ของภาค 3 ที่มีการแบ่งหมวดเป็นสกิลโจมตีปกติ, สกิลหลัก, สกิลป้องกัน หรือสกิลไม้ตายแต่ผู้เล่นต้องเลือกอัปเองด้วยแต้มที่จำกัด และแต่ละสกิลยังมีให้อัปด้านย่อยๆ ไปได้ 2 รูปแบบเมื่อเล่นไปได้สักพักประมาณเลเวล 15 ผู้เล่นก็จะพบว่าเกมจะยังมีอีก 1 ระบบสกิลในชื่อ Specialization ที่ระบบสกิลตรงนี้จะ 'ต่างกันไปตามแต่ละอาชีพ' ยกตัวอย่างของอาชีพ Druid จะเป็นระบบสกิลติดตัวพิเศษที่ได้จากการฆ่ามอนแล้วนำวิญญาณไปถวายเทพสัตว์ทั้ง 4 ขณะที่ของ Barbarian จะเป็นสกิลติดตัวเพิ่มความแข็งแกร่งให้อาวุธประชิตต่างๆ จากการใช้อาวุธประชิตชนิดนั้นๆ จนเลเวลอัป หรือของ Sorcerer ก็จะเป็นระบบให้เอาสกิลกดใช้งานมาแปลงเป็นสกิลติดตัว ถ้าเป็นสกิลใช้งานเรียกฟ้าผ่าก็จะกลายเป็นสุ่มเรียกฟ้าผ่าลงมาใส่ศัตรูแทน โดยตรงนี้ช่วยให้การเล่นแต่ละอาชีพนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก แถมแค่นั้นยังไม่พอนะ เพราะตอนเลเวล 50 ผู้เล่นก็จะได้ปลดล็อกระบบสกิลที่มีชื่อว่า Paragon ที่จะให้ผู้เล่นมาเลือกอัปสกิลติดตัวยาวเป็นแถวในกระดานจนกว่าจะถึงเลเวล 100 แต่ถ้าผู้เล่นอัปครบเงื่อนไขของ Paragon กระดานที่ 1 เกมก็ยังมี 'สกิล Paragon กระดานที่ 2' ให้ผู้เล่นได้เลือกด้วยว่าอยากได้สกิลติดตัวแนวๆ ไหน ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าระบบสกิลภาคนี้มันจัดเต็มมาก และทำให้ผู้เล่นอยากฟาร์มมาปลดสกิลใหม่เรื่อยๆ Paragon กระดานที่ 2 ต่อ 1 อาชีพจะมีประมาณ 7 รูปแบบส่งผลให้ภาคนี้ปั้นตัวละครได้หลายสายเอาเรื่องจริงๆส่วนในโลก Open World นอกจากผู้เล่นจะได้ผจญภัยเพื่อทำภารกิจหลัก เกมก็ยังมีพวก 'เควสเสริม' จำนวนมากเหมือนเกม Open World RPG เน้นเนื้อเรื่องอีกต่างหาก แถมหลายๆ เควสก็ทำเนื้อหาออกมาได้น่าสนใจมาก แล้วในโลก Open World ก็ยังมีกิจกรรมให้ผู้เล่นไปสำรวจหาดันเจี้ยนลับ หรือไปหาทรัพยากรมาอัปเกรดไอเทมหรือขวดยาเพิ่มเลือดหรือสร้างขวดยาไว้ใช้บัฟตัวละครหลายสถานการณ์ แล้วช่วงคอนเทนต์ท้ายเกม Endgame ก็จะมีเควสสุ่มให้ผู้เล่นไปตามหาแต้มเพื่อแลกรับของรางวัลเรื่อยๆ รวมทั้งยังมีให้ไปหาวิธีปลดล็อก 'ดันเจี้ยนระดับยากสุด' แถมยิ่งเก็บเลเวลไปถึงระดับหนึ่งก็มีการให้ปลดล็อก World Tier เพิ่มความยากให้ตัวเกมรวมๆ ได้มากขึ้นถึงระดับ 4 แล้วยิ่งระดับสูงขึ้นก็จะทำให้ 'ไอเทมระดับสีสูงสุดในเกมมีโอกาสตกมาให้ผู้เล่น' ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าเกมภาคนี้จัดเต็มด้านคอนเทนต์เอามากๆ อย่างกับเกมภาค 3 ที่มีการใส่คอนเทนต์ภาคเสริมมาให้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าช่วงท้ายเกมจะไม่มีอะไรทำเลย!แผนที่ Open World ตอนซูมครั้งแรกสุดจะไม่รู้ว่าพื้นที่มีความใหญ่ยังไงบ้าง (เพราะมีหมอกบังอยู่)แต่ก็สัมผัสได้เลยว่ามันใหญ่สุดๆ ไม่รู้จะสำรวจครบตอนเล่นไปกี่ชั่วโมงเกมยังมีกิจกรรมยิบย่อยอีกเพียบนะ ไม่ว่าจะ World Event ให้ไปทำเควสสุ่มร่วมกับผู้เล่นอื่นหรือเควส World Boss ให้ไปร่วมมือกับผู้เล่นอื่นตบบอสสุดท้าย แล้วไหนเกมจะมีระบบ Clan อีกรวมทั้งระบบ Battle Pass ที่ให้ฟาร์มแต่ละซีซั่นปลดของตกแต่งยาวๆ ไปอย่างไรก็ตาม แม้คอนเทนต์เกมนี้จะดูมีเยอะมาก แต่ด้วยความที่เกมนี้มีเควสเสริม ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันไปทำให้เควสหลักดู "สั้น" แล้วทำให้เนื้อเรื่องหลักนั้นดูไม่สุดอยู่เช่นกัน (แล้วก็อย่างที่บอกปว่าเควสหลักมันยืดเยื้ออีก กว่าจะจบแต่ละเหตุการณ์) และแม้ขนาดแผนที่จะใหญ่มหึมา แต่ว่าความใหญ่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรให้รู้สึกดีขนาดนั้น เหมือนทำใหญ่เพื่อให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาเดินทางไปดันเจี้ยนต่างๆ ที่มีหลายแห่งเฉยๆ (แล้วสถานที่สวยๆ ก็ไม่ค่อยมีให้พบอย่างที่บอกไป) ซึ่งถึงแม้ในบางพื้นที่จะมีสภาพแวดล้อมหรือชนิดศัตรูที่ต่างกันเยอะมาก แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างแปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แถมหลายดันเจี้ยนก็ไม่ได้มีความต่างอะไรกันเยอะอีกนอกจากรูปลักษณ์สถานที่ ส่งผลให้บางทีผู้เล่นก็จะรู้สึกว่าเกมมันมีความกว้างใหญ่กิจกรรมให้ทำเยอะ แต่ 'คุณภาพความยอดเยี่ยมไม่ได้มีเยอะตาม' (ที่จะสื่อคือถ้าเกมย่อขนาดแผนที่ให้เล็กลง ลดจำนวนดันเจี้ยนให้น้อยลง มันอาจดูดีกว่านี้)อีกส่วนที่น่าพูดถึงคือระบบต่างๆ แม้จะดูทำออกมาดี แต่ถ้าเทียบกับเกมคู่แข่งอื่นๆ ก็อาจดูธรรมดาไปหน่อยทำให้คนที่ผ่านเกมคู่แข่งอื่นๆ มาเยอะ ก็อาจไม่ชอบเกมนี้ หรือเล่นได้แปปๆ ก็ไปเล่นเกมคู่แข่งอื่นGameplayจริงๆ ตอนช่วง Beta ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมภาคนี้มีระบบต่อสู้ที่ 'อืด' จนอาชีพอย่าง Barbarian หรือ Druid นี่คือเล่นไม่ไหวเลย เนื่องจากมันทั้งเดินช้าแล้วสกิลก็โจมตีช้าจนจะหลับ แต่มาในตัวเกมที่วางขายจริงๆ ระบบต่อสู้นั้นได้มีปรับความรวดเร็วไม่อืดได้อารมณ์แบบภาค 3 แล้ว!!! ทำให้ผู้เขียนนั้นได้หยิบ Druid มาเล่นเป็นตัวแรกเสียเลย แล้วก็พบว่าอาชีพนี้เล่นมันส์มาก ไม่ว่าจะตอนกดโจมตีหรือตอนใช้สกิล โดยผู้เขียนได้ลองเน้นปั้น Druid ทั้งสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี, เรียกก้อนหินมาโจมตี, แปลงร่างเป็นหมาป่า และแปลงร่างเป็นหมี ผลปรากฎว่าการเล่นทุกสายนั้นมีความแตกต่าง และได้อรรถรสเอาเรื่อง เพราะอย่างสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี มันก็มีกลไกที่ผู้เล่นต้องทำตามแต่ละสกิลเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด (ยกตัวอย่างต้องทำให้ศัตรูติดสถานะเปราะบาง เวลาผ่าจะได้ฟื้นฟูพลังชีวิต) และเวลาได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมามันก็สะใจ แต่พอไปเล่นสายหมี มันก็มีกลไกที่ต้องทำตามเพื่อให้ได้ค่าสถานะ 'ลดความรุนแรงจากการถูกโจมตี' แล้วเวลาใช้หมีกดสกิลทุบพื้นก็ได้อารมณ์มันส์สะใจ ทำให้ใครเคยเล่นช่วง Beta แล้วรู้สึกระบบต่อสู้น่าเบื่อ ผู้เขียนอยากแนะนำให้ลองเปิดใจใหม่ เพราะตอนแรกผู้เขียนก็คิดแบบนั้นแต่พอได้เล่นจริงกลับมันส์กว่าเดิมมากสายต่างๆ ของแต่ละอาชีพก็ไม่ได้มีความตายตัวนะเพราะเกมจะมีสกิลให้เล่นเป็นสายผสม ส่งผลให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์สายแปลกๆ ได้อยู่ส่วนในช่วงผจญภัยโลก Open World ตอนช่วงแรกๆ ผู้เขียนนี่แอบรู้สึกเบื่อการผจญภัยเลย เพราะด้วยความที่แผนที่มันใหญ่มาก แต่เกมกลับให้ผู้เล่น 'ผจญภัยด้วยการเดินเท้าอย่างเดียว' จนกว่าจะถึงแต่ละสถานที่ ขณะที่พอเล่นเนื้อเรื่องหลักไปช่วงกลางๆ เกมจะมีการให้ 'ม้า' ไว้ใช้เดินทางอย่างรวดเร็ว โดยตรงนี้ก็ขอแนะนำให้ทุกคนเล่นเนื้อเรื่องมาถึงตรงนี้ก่อน ไม่งั้นจะเหนื่อยมากเวลาผจญภัย รวมทั้งในช่วงก่อนจะถึงเลเวล 50 ผู้เล่นนั้นจะสามารถเลือกความยาก World Tier ได้เพียง 2 ระดับเท่านั้น โดยระดับ 1 นั้นจะเล่นได้ชิลๆ ระดับนึง แต่ระดับ 2 นั้นจะยากระดับที่ผู้เล่นต้องพยายามหลบการโจมตีที่รุนแรงด้วยการกดสกิล Dodge แล้วสกิลนี้เวลากดใช้ 1 ครั้งก็จะมีคูลดาวน์ประมาณ 5 วินาที ทำให้ผู้เล่นต้องหาจังหวะใช้ให้ดีๆ และตรงนี้เป็นการนำแนวเกม Souls-like มาประยุกต์ใช้กับเกมแนวนี้ได้ดีมาก แต่ด้วยความที่เกมดีไซน์มาแบบนี้ ผู้เขียนกลับรู้สึกพวกอาชีพที่โจมตีระยะไกลจะเหนื่อยน้อยกว่าอาชีพที่โจมตีระยะใกล้สุดๆ แถมผู้เขียนก็รู้สึกว่าความสมดุลของเกมนี้ก็แปลกๆ เนื่องจากผู้เขียนลองปั้น Druid ทุกสายแบบให้ดีสุดในช่วงเวลานั้น แต่พอเอาไปสู้บอส World Tier 2 ก็กลับแพ้แบบราบคาบ ขณะที่คนเล่น Sorcerer หรือ Rogue นั้นกลับโซโล่บอสต้อง Coop ระดับสูงๆ ได้อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดเลยว่าบางอาชีพในเกมนี้อ่อนแอเกินเหตุแม้เป็นคอนเทนต์ PvE!เกมภาคนี้ยังมีบอสให้สู้เพียบด้วย มีเกิน 10 ตัวแน่นอน แล้วยังมีมินิบอสอีกเพียบแต่ว่ามันมีแค่บอสกับมินิบอสบางตัวเท่านั้นที่สู้สนุก และน่าจดจำ ใส่มาเยอะแต่คุณภาพไม่เยอะตามอีกแล้วPerformanceถ้าใครยังจำกันได้ ผู้เขียนได้บอกไปว่า Diablo 4 นั้นถือเป็นเกมที่ภาพสวยสมยุค 2023 แล้วพวกดีเทลก็ยังทำออกมาดีอีก แต่ในส่วนนี้ก็ยังมีเรื่องให้น่าชมเพิ่มด้วย เนื่องจากเกมนั้นจะไม่กินเสปค PC แบบเห็นได้ชัด ผู้เขียนได้ลองทั้งคอมพิวเตอร์แรงระดับกลางๆ อย่างซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ GTX 3070 Ti ผลปรากฎว่าสามารถปรับภาพระดับ Ultra ได้อย่างสบายๆ ที่ 1440p60fps แล้วก็ได้ลองใช้คอมที่เกือบอยู่ระดับล่างๆ ซีพียู Ryzen 9 6900HS กับการ์ดจอ GTX 3050 Laptop GPU ก็ยังสามารถปรับที่ Medium เล่นได้สบายๆ ที่ 1080p60fps เช่นกัน แถมเกมก็มีการรองรับปรับกราฟิกได้หลายแบบระดับหนึ่ง และก็มี DLSS หรือ Freesync ให้ใช้งานอีกต่างหาก ส่วนคอมที่เสปคต่ำกว่านี้ ผู้เขียนมองว่าสามารถเล่นได้ลื่นๆ ที่ 30fps อยู่แน่นอนอย่างไรก็ตาม แม้เกมจะทำมาให้เล่นลื่นมากๆ แต่ตอนนี้ปัญหา Performance ที่ผู้เขียนพบเจอขั้นรุนแรงคือ 'Video Memory Leak' หรือก็คือเกมจัดการ VRAM ของ PC ผู้เล่นได้ไม่ดี และจะมีการกินเกินความจำเป็น ทำให้ผู้เขียนถ้าจะเล่นเกมนี้นานๆ ก็จะปรับ High หรือ Ultra ไม่ได้เลย เพราะการ์ดจอ GTX 3070 Ti มี VRAM เพียง 8GB เท่านั้น แต่เกมก็กินเกิน 8GB บ่อยมาก (ถ้า VRAM 12GB อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้) ส่งผลให้ต้องปรับลงมาที่ Medium ถึงเล่นได้ยาวๆ ไม่งั้นเกมจะกระตุกเล่นไม่ไหวเลย หรืออีกวิธีนึงคือผู้เขียนต้องกด Reset การตั้งค่ากราฟิกบ่อยๆ เพื่อให้ VRAM เลิกกินเกิน แถมปัญหานี้ผู้เขียนก็รอมาเกิน 1 อาทิตย์แต่เกมก็ยังไม่มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ส่งผลให้ก็เป็นเรื่องน่าขัดใจอยู่เหมือนกันสรุปเห็นได้ชัดเลยว่าในที่สุด Diablo 4 นี่คือภาคที่สร้างมาตอบโจทย์แฟนๆ แล้วสักที แถมยังมีความเจ๋งเพิ่มคือด้านเนื้อเรื่อง และคอนเทนต์ที่มีให้ไปเล่นยาวๆ เยอะมาก แถมยังเล่นลื่นกับ PC ในสเปคหลายรูปแบบอีก โดยแม้คอนเทนต์จะเยอะแล้วคุณภาพไม่ค่อยมี รวมทั้งระบบต่างๆ มันอาจดูธรรมดาไปหน่อยถ้าเทียบกับเกมคู่แข่ง แต่ Diablo 4 ก็คือหนึ่งในเกมที่ 'ยอดเยี่ยมผสมเล่นเพลิน' ของใครหลายคนแน่นอน ใครที่เป็นสาย RPG ยังไงก็ควรซื้อไปเล่นยาวๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ใช่สาย RPG ก็ไม่ต้องกลัว เพราะเกมภาคนี้ออกแบบมาให้เล่นง่ายกว่าเกมอื่นๆ ถ้ามาเริ่มที่เกมนี้ก็อาจกลายเป็นสาย RPG ก็เป็นได้!
07 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Ravenous Devils เปิดร้านธุรกิจเชือด ล้วง ลับ ลวง พราง อาจจะเป็นรสชาติของคนคุ้นเคย
Ravenous Devils เกมฆาตกรรมอำพราง เอาเนื้อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาทำอาหารขาย อารมณ์บรรยากาศของเกมเหมือนหนังเรื่อง Sweeney Todd The Demon Barber of Fleet Street ของ ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับคู่บุญของป๋า จอห์นนี เดปป์ เกมนี้บางฉากผู้เขียนขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนและน้อง ๆ หนู ๆ ที่ยังไม่สามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะได้เป็นอย่างยิ่ง มีฉากฆาตรกรรมที่รุนแรง และค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน ไม่ว่าจะเป็น ฉากการฆ่า การเชือด การหั่นศพ การบดศพ การปั่นศพ สารพัดวิธี คิดซะว่ามันเป็น Diner Dash เวอร์ชันเลือดสาดละกัน ฮ่า ๆ เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2022 ผู้เขียนดองเอาไว้ในคลังมาเป็นปีปี บวกกับไม่ค่อยชอบเล่นเกมแนวนี้เท่าไหร่ เพราะผมรู้สึกว่าต้องทำเหมือนว่ามันปกติ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ปกติ ถึงแม้เรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น และเป็นแค่เกมที่นำมาสร้างอรรถรสในการเล่นให้เราเพียงเท่านั้น แต่ยังไงมันค่อนข้างสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับผมอยู่ดี ผมเลยอยู่แต่กับเกมสร้างบ้านสร้างเมืองบริหารจัดการมาโดยตลอด งั้นวันนี้ขอลองเปลี่ยนแนวมาเป็นไอ้ต้าวคนโรคจิตดูบ้าง และจะรีวิวอย่างเป็นกลางที่สุดสัญญาครับ ฮ่า ๆเนื้อเรื่องของคนโรคจิตกับคนโรคจิตกว่า (สปอยล์นิดหน่อย)Ravenous Devils เนื้อเรื่องเล่าถึงตัวละครหลักที่เป็นคู่สามีภรรยา ตัวสามีนั้นมีนามว่าเพอร์ซิวาล และภรรยาสุดที่รักของเขานามว่าฮิลเดรด ย้ายมาอยู่ที่เมือง Londoned (ชื่อเมืองในเกม) ตัวสามีนั้นเปิดร้านขายเสื้อและเป็นช่างตัดเสื้อ และจะเป็นคนที่คอยเชือดเหยื่อเพื่อส่งศพไปให้ภรรยาของเขาทำอาหารที่ห้องครัวด้านล่าง ส่วนเสื้อผ้าของศพนั้นเพอร์ซิวาลก็จะเอามาตัดเย็บใหม่เพื่อขายในร้านเสื้อผ้าของเขาครับ ส่วนฮิลเดรดเมื่อได้เนื้อมา นางก็จะเอามาทำอาหารเพื่อเสิร์ฟให้กับลูกค้าของนางในส่วนของร้านอาหารด้านล่างเนื้อเรื่องไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่สองสามีภรรยานั้นหาเงินด้วยการฆ่าคน ยังมีโรคจิตอีกคนที่มี AKA ว่า J เขาชอบลิ้มลองเนื้อมนุษย์เป็นที่สุดแบบหาจุดหยุดไม่ได้ จึงคอยส่งจดหมายแบล็กเมลมาเร้าหรือข่มขู่สองผัวเมีย อีกทั้งยังคอยส่งเหยื่อมาให้เพอร์ซิวาลเชือดเพราะต้องการกินเนื้อคนเหล่านั้นแต่ตัวเองดั๊นไม่ต้องการมือเปื้อนเลือดเพราะเป็นคนมีชื่อเสียงในเมือง และเหยื่อที่เขาส่งมาให้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนเขาเกือบทั้งสิ้น ยังมีเนื้อเรื่องยิบย่อยของเกมที่จะทำให้เราตกตะลึงเกี่ยวกับตรรกะต่าง ๆ ของคนจิต ๆ ที่มีชุดความคิดป่วย ๆ อีกเยอะแยะมากมายครับ แต่ผู้เขียนจะขอหยุดไว้ ณ ตรงนี้ก่อนเพราะไม่งั้นได้สปอยล์เนื้อเรื่องจนจบแน่เกมเพลย์คือดี แต่บางทีแอบคิดว่าไม่สุดในมุมมองของใครหลาย ๆ คนเกมนี้เป็นเกมที่สร้างความเพลินและฆ่าเวลาได้ดีมาก ๆ จากที่ผมได้ตามอ่านรีวิวต่าง ๆ ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็มีความคิดไปในทิศทางนี้เหมือนกันครับในช่วงแรกที่เล่นเกม แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่เราต้องทำอะไรจำเจ เนื้อเรื่องสั้น การ interact ที่อืดอาด และบัคที่เยอะมาก ๆ ค่อนข้างสร้างความหัวเสียให้ผู้เขียนระดับที่คิดว่า"เออไม่เล่นแล้วก็ได้" ตัวเกมเพลย์คล้าย ๆ เกมตระกูล Diner Dash แต่การบังคับตัวละคร หรือการ Interact กับสิ่งของในเกมบอกเลยว่ายังสู้เขาไม่ได้ เดี๋ยวผมจะจำแนกหัวข้อต่าง ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านและเห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้นครับการแบ่งหน้าที่กันระหว่างสองผัวเมียบอกเลยว่าเป็นคู่รักที่ศีลเสมอกันแบบไม่มีอะไรมากั้น เป็น Bad Romantic ที่ลงตัว ระหว่างฮิลเดรดและเพอร์ซิวาล มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานตามความถนัดของคนทั้งคู่ แต่ความหลงไหลหลักของทั้งสองคนก็คือการฆ่า ศพ และเงิน งั้นเราจะให้เกียรติด้วยการพูดถึงฝ่ายหญิงก่อนละกัน (Lady First)Hildred (ฮิลเดรด) - ตัวภรรยามือวางอันดับ 1 ด้านการทำอาหารจากเนื้อคน เพราะคู่แข่งส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นปุ๋ยหรืออาหารไปแล้ว คนปกติเขาก็คงไม่มาแข่งอะไรแบบนี้ด้วย ฮ่า ๆ ส่วนใหญ่ถ้าเราสวิตช์มาเล่นฮิลเดรดเราจะอยู่ในห้องครัวที่ชั้นใต้ดินเป็นหลัก รอสามีของนางหลอกเหยื่อมาสังหารจากชั้นบน และคอยโยนศพลงมาให้ภรรยาทำการแล่เนื้อและปรุงอาหารที่ชั้นล่าง อุปกรณ์ในช่วงแรก ๆ นั้นจะมีแค่เครื่องบดเนื้อ เตาอบ และแป้ง ถ้าอยากได้มากกว่านี้เราต้องคอยอัปเกรดไปเรื่อย ๆ โดยใช้เงินจากการขายอาหารและเสื้อผ้าครับหลังจากฮิลเดรดทำอาหารเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องกดเดินเพื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 ส่วนนี้จะเป็นร้านอาหาร เราต้องเอาอาหารที่เราทำไปจัดใส่ชั้นวางอาหารให้เรียบร้อย ช่วงแรก ๆ เราสามารถวางได้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น เมื่ออัปเกรดไปจนสุดจะสามารถวางได้ 12 ชิ้นครับห้องครัว - มีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ    • เตาอบ - สามารถอัปเกรดให้อบอาหารเร็วขึ้นได้ และซื้อเพิ่มได้เต็มที่ 3 เตา    • เครื่องบดเนื้อ - สามารถนำศพมาบดได้ อัปเกรดให้บดเร็วขึ้นได้ สามารถบดและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • เครื่องทำไส้กรอก - สามารถเอาศพมาแปรรูปเป็นไส้กรอก สามารถแปรรูปและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • เครื่องหั่น - สยดสยองที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ทั้งหมด จะเห็นการหั่น การควัก การล้วงศพชัดเจนที่สุด ผลิตเนื้อแดงไว้สำหรับทำอาหาร ผลิตและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • แมว - เป็นทาสในชีวิตจริงไม่พอ ต้องตามมาเป็นทาสมันในเกมด้วย ฮ่า ๆ สามารถสั่งให้ไปจับหนูมาทำอาหารให้ได้แบบไม่จำกัด    • ลิฟต์ - หลังจากเล่นตามเนื้อเรื่องไป จนมีเด็กรับใช้มาคอยช่วยเหลือเราแล้ว ระบบลิฟต์จะเปิดให้ใช้งานครับ ทีนี้เราก็จะขลุกอยู่แต่ในห้องครัว และส่งอาหารขึ้นไปให้เด็กรับใช้ของเราจัดการเสิร์ฟ และจัดเรียงเข้าชั้นวางได้เลย เด็กรับใช้ราคา 70 ปอนด์    • วัตถุดิบในการทำอาหารที่ไม่ใช้เนื้อ - ผู้เขียนเห็นมันมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 5 อย่าง ได้แก่ แป้ง (มีไม่จำกัด), หอม (10/10), มะเขือเทศ (10/10), มันฝรั่ง (10/10) และไข่ (10/10) หอม มะเขือเทศ มันฝรั่ง หลังจากที่เราปลดล็อกในหน้าต่างอัปเกรดแล้ว เพอร์ซิวาลจะขึ้นไปใช้ห้องเรือนกระจกที่ดาดฟ้าเพื่อปลูกผักสวนครัวครับ แล้วคอยส่งวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวมาให้ฮิลเดรดผ่านทางลิฟต์ส่งของ ส่วนไข่นั้นอยู่ที่โรงเพาะปลูกเหมือนกัน จากที่อ่านดูน่าจะเป็นไข่นกพิราบ แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันบัคหรือเปล่า ผมอัปเกรดบ้านนกแล้วด้วย แต่ก็ไม่มีนกมาอาศัยหรือวางไข่เลย เป็นเศร้า TTร้านอาหาร - ร้านของเราจะอยู่ที่ชั้น 2 ของตัวบ้านครับ ช่วงแรก ๆ จะเป็นร้านแบบ Take away (ซื้อกลับบ้าน) เท่านั้น ลูกค้าจะเดินเข้าร้านจ่ายเงินแล้วหยิบอาหารของเราออกไป เราต้องคอยทำอาหารมาเติมที่ชั้นวางเรื่อย ๆ ไม่ให้ขาด เพราะถ้าไม่มีอาหารแล้วลูกค้ายืนรอเป็นเวลานาน ๆ ลูกค้าจะไม่พอใจแล้วเดินออกจากร้านไป แล้วค่าความนิยมของร้านเราจะติดลบครับ เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ พอเรามีเงินซื้อโต๊ะมาจัดร้านแล้ว บอกเลยว่าฉุดทุกอย่างให้ช้าไปหมด เพราะต้องทำอาหารตามออเดอร์ ลูกค้าจะมีค่าความอดทน ในช่วงแรกตอนที่เรายังไม่ได้อัปเกรดของตบแต่งร้านเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับลูกค้า หรือเสิร์ฟเหล้าจินเพื่อช่วยทำให้ลูกค้าอารมณ์ดี บอกเลยว่าหลอดความอดทนลดไวมาก ๆ ไวจนผู้เขียนกดรีเกมใหม่ซื้อแค่โต๊ะเดียวก่อน สูตรทำอาหาร - สูตรอาหารในหนังสือจะถูกเพิ่มเข้ามาเมื่อเราอัปเกรดอุปกรณ์ เช่น ถ้าเราซื้อเครื่องทำไส้กรอก หลังจากเปิดดูในหนังสือ Recipe (สูตรอาหาร) ทางด้านซ้ายมือบนของจอ จะมีอาหารเกี่ยวกับไส้กรอกเพิ่มเป็นสูตรเข้ามาให้เราดูว่าเวลาจะทำต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง ถ้าทำอาหารโดยที่ยังไม่ได้รับสูตรมาอาหารจะเน่าและใช้ไม่ได้Percival (เพอร์ซิวาล) - สามีแห่งชาติรักเมียมาก เมียแซะก็งอนบ้างไรบ้าง แล้วเดี๋ยวก็ไปง้อเองอะไรเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ และคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นโรคจิต มีกรรไกรคู่ใจที่ใช้เป็นอาวุธในการสังหารเหยื่อ ลับคมอยู่ตลอด เพอร์ซิวาลนั้นจะสิงอยู่ที่ชั้น 3 เป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นช่างตัดเสื้อ เปิดร้านตัดเสื้ออยู่ด้านบนร้านอาหารของฮิลเดรด ถ้าเราสวิตช์ไปเล่นเพอร์ซิวาลนั้นเราจะต้องคอยหาเหยื่อเพื่อโยนไปให้ฮิลเดรดทำอาหาร เหยื่อจะเดินเข้ามาที่ห้องวัดตัวของเพอร์ซิวาลเองครับ จังหวะที่เพอร์ซิวาลทำท่าทีวัดสัดส่วนให้ลูกค้านี่แหละ ก็หยิบกรรไกรขึ้นมา ยุบ ย่อ ชิด ยก จิ้ม จ้วง แทงสวบเข้าให้ เพอร์ซิวาลจะทำลายหลักฐานของเหยื่อแม้กระทั่งเสื้อผ้า ปลดออกมาจากศพแล้วตัดเย็บใหม่นำไปใส่หุ่นตั้งขายที่หน้าร้าน ได้ทั้งขึ้นทั้งร่องสนองนี๊ดการอยากฆ่าคนอื่นของตัวเอง แถมยังได้เงินมาใช้อีก แล้วหลักฐานอะไรก็ไม่เหลือเพราะอยู่ในท้องของลูกค้าร้านอาหารไปหมดแล้วนอกจากหน้าที่การตัดเย็บเสื้อผ้า ฆ่าเหยื่อ และหาเนื้อสดให้ฮิลเดรดทำอาหารแล้ว หน้าที่ของเพอร์ซิวาลอีกอย่างก็คือ ต้องคอยปลูกผักที่โรงเพาะปลูกบนดาดฟ้า โดยใช้ศพนี่แหละครับไปทำเป็นปุ๋ยโรยต้นไม้ของเรา หลังจากได้ผลผลิตแล้วก็ส่งให้ฮิลเดรดทางลิฟต์ห้องวัดตัว - มีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ     • จุดเชือด - จะอยู่บริเวณกระจก เพอร์ซิวาลจะใช้กรรไกรแทงเหยื่อ    • กองผ้า - เมื่อฆ่าเหยื่อแล้วเพอร์ซิวาลจะปลดเสื้อผ้าของเหยื่อออก แล้วโยนไปไว้ที่กองผ้า ช่วงแรก ๆ จะได้แค่ 1 ชิ้น / 1 ศพ เมื่ออัปเกรดจนสุดแล้วจะปลดได้ผ้า 3 ชิ้น / 1ศพ สามารถปลดและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • จักรเย็บผ้า - นำผ้าจากกองผ้าไปเย็บ มีเกจเวลาบอก เมื่อเย็บเสร็จแล้วสามารถนำเสื้อที่เย็บเสร็จไปสวมที่หุ่นโชว์    • ไม้ถูพื้น - ต้องนำมาเช็ดเลือดของเหยื่อบริเวณพื้น ถ้าเราไม่เช็ดเหยื่อใหม่จะไม่เดินเข้ามาในห้องห้องขายเสื้อ - เราสามารถนำเสื้อที่ตัดเย็บเสร็จแล้วมาสวมหุ่นโชว์ได้เลย ในช่วงแรกนั้นจะมีหุ่นแค่ตัวเดียวเท่านั้น หลังจากที่เราเล่นไปเรื่อย ๆ เราสามารถนำเงินไปซื้อหุ่นโชว์เพิ่มได้อีก สามารถเพิ่มได้เต็มที่คือ 4/4 โรงเพาะปลูก - มีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ    • มะเขือเทศ - จะมีกระบะให้เราปลูก ต้องซื้อที่หน้าต่างอัปเกรดก่อนถึงจะสามารถปลูกได้ หลังจากซื้อมะเขือเทศแล้วจะปลดล็อกผัดสวนครัวอีก 2 ชนิด คือ หอม และ มันฝรั่ง    • หอม - จะสามารถซื้อได้หลังจากซื้อมะเขือเทศมาปลูก จะมีกระบะสำหรับปลูกหอม ปลูกได้ไม่จำกำกัดตราบใดที่ปุ๋ยยังเหลือ    • มันฝรั่ง - เหมือนหอมทุกอย่าง มาหลังมะเขือเทศ มีกระบะเป็นของตัวเอง ถ้าปุ๋ยยังเหลือก็ปลูกได้    • บ้านนก - ผู้เขียนติดบัค นกไม่มาและไม่มีไข่ให้เก็บ แต่จากที่อ่านรายละเอียดสิ่งที่เกมจะให้เราเลี้ยงมันคือนกพิราบครับ เลี้ยงเพื่อเอาไข่ สามารถเก็บเกี่ยวแล้วเอาใส่ลิฟต์ส่งให้ฮิลเดรดทำอาหารขายได้    • อ่างปุ๋ย - เป็นอ่างอาบน้ำ ที่เราจะเอาศพมาหมักเป็นปุ๋ยไว้ครับ เก็บปุ๋ยได้เต็มที่ 10/10    • ต้นไม้ประหลาด - เพอร์ซิวาลเจอเมล็ดที่ลูกค้าทำตกไว้ เลยเอามาลองปลูก มีเนื้อเรื่องในส่วนนี้แต่ผมยังให้ปุ๋ยมันไม่โตสักทีเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยกับต้นไม้ครับสรุปRavenous Devils บอกเลยว่าการทำอาหาร การแบกศพ การจัดการกับศพ การปลูกต้นไม้ การตัดเสื้อผ้า การฆ่าเหยื่อ เอเวอร์รี่ติง จิงเกอเบล ที่เราจะต้องทำในเกม สร้างความอึดอัดใจให้กับผมมาก ไม่ใช่ว่าภาพมีความน่าสะอิดสะเอียนหรือสยดสยอง เพราะมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นครับ แต่สิ่งที่สร้างความอึดอัดให้กับผมก็คือความล่าช้าในการทำขั้นตอนต่าง ๆ ภายในเกม (ไม่มีให้เร่งให้ความเร็วของเกมด้วย) หรือการ Interact กับสิ่งของ บางทีก็กดได้บ้างกดไม่ติดบ้าง ต้องกดหลาย ๆ ครั้ง และอีกทั้งมันยังไม่สามารถกดแบบต่อเนื่องเป็น To do list ไว้ก่อนได้ แบบ Diner Dash มันก็เลยสร้างความล่าช้าในการทำสิ่งต่าง ๆ และถึงแม้ว่าบางอย่างจะอัปเกรดได้ แต่ความเร็วดูแทบจะไม่ได้กระดิกเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่ ส่วนตัวละครไม่ต้องพูดถึงครับอัปเกรดอะไรไม่ได้ มีแต่สกินเสื้อผ้าให้เปลี่ยนเล่น ๆ เท่านั้นเอง เดินช้ายังไง ก็ช้าอย่างนั้น มือมีตั้ง สองมือแต่ถือวัตถุดิบต่าง ๆ ได้ทีละชิ้น อห ที่แปลว่า โอโห้ นั่นแหละครับ ฮ่า ๆ โคตรเสียเวลาจัด ๆ กว่าจะทำอาหารได้แต่ละที ถ้าเป็นเรื่องจริงคนคงไปหมดร้านแล้ว ไหนจะต้องคอยสลับไปบังคับตัวละครอีกตัวด้วย ช่วงหลัง ๆ ก็ยังดีหน่อย ยังจ้างเด็กรับใช้มาช่วยงานได้ด้วยเงิน 70 ปอนด์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก คอยเสิร์ฟอาหาร จัดอาหารเข้าชั้นให้ แลกกับการห้ามไปหาใบสะระแหน่ที่ชั้นอื่น ๆ (อยู่ได้แค่ตรงเคาน์เตอร์เท่านั้น) Bug ที่มีก็เป็น Critical Bug แบบตะโกนเลย แต่ผู้พัฒนาก็ไม่แก้ไขมัน หลังจากจบเกม จริง ๆ จะต้องมีเนื้อเรื่องต่อไปอีกนิดหน่อย พอจบ End credit ปุ๊บ ฮิลเดรดของผมตัวแข็งปั๊บ ขยับไม่ได้ ยืนค้าง ๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ขายอาหารนั่นแหละไม่ขยับเขยื้อน พอฮิลเดรดติด Bug ก็ทำอาหารไม่ได้ เกมก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ผมพยายามแก้ดูแล้ว ทำยังไง๊ยังไงก็แก้ไม่ได้ ผมเลยตัดใจปิดเกมและนอนหลับแบบหัวอุ่น ๆ เพราะเนื้อเรื่องเกมนี้บอกเลยว่าน่าติดตามมาก ๆ ผมเซ็งที่ไม่ได้รู้ว่าเนื้อเรื่องที่มีมาต่อหลัง End credit เฉลยปมต่าง ๆ แบบไหน ครั้นจะให้เล่นใหม่ตั้งแต่ต้นก็กลัวว่าสุดท้ายก็จะมาค้างมันที่เดิมอยู่ดี เดี๋ยวจะเกรี้ยวกราดไปกันใหญ่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ แต่ถึงผู้เขียนจะบ่นมาซะเยอะแยะแต่เกมเพลย์โดยรวมของเกมนี้สนุก ถ้าตัดความล่าช้าต่าง ๆ และความจำเจออกไป ก็ถือว่าเป็นเกมที่เล่นเพลิน ๆ เกมหนึ่งเลยฮะ ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อเรื่องที่มีปมเข้มข้นน่าติดตาม แถมอ่านแล้วยังเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดแจ่มแจ๋วเพราะตัวเกมมีภาษาไทย แต่บอกเลยว่าเกมนี้ไม่เหมาะกับเด็ก ๆ แบบตะโกนเลยครับ เพราะภาพในเกมไม่ค่อยน่าดู ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของเนื้อเรื่อง ความโรคจิตของตัวละครต่าง ๆ การใช้กำลัง มีศพมากมาย การที่เด็กคนหนึ่งแม่หายไปแล้วกลับมาตามหาที่ร้านแล้วต้องมากินเนื้อแม่ตัวเองนี่คงไม่จรรโลงใจวัยเยาว์เท่าไหร่นักนะครับ (ผู้ปกครองแสกนนิดหนึ่ง) ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราเรา ก่อนเล่นเกมใช้วิจารณญาณเยอะ ๆ เลยฮะในการเล่น ใครสนใจตัวเกมวางขายอยู่ใน Steam ราคาแบบจับต้องได้ 99 บาท เท่านั้นเอง!!! ราคาแบบสะกดจิตสะกดใจ เล่นแล้วอย่าเอาตรรกะของเพอร์ซิวาลมาใช้นะฮะ เสพแค่เนื้อเรื่องก็พอ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1615290/Ravenous_Devils/
02 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Street Fighter 6 เกมต่อสู้รุ่นใหญ่ ที่ปูพรมต้อนรับเหล่านักสู้หน้าใหม่อย่างเต็มที่
เมื่อพูดถึงเกมแนวต่อสู้ (Fighting) แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยตรงกันว่าเป็นแนวเกมที่ใคร ๆ เล่นสนุกได้ไม่ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่เหล่านั้นมักเล่นเกมโดยไม่ได้คิดถึง "วิธีเล่น" เกมเหล่านั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเทคนิคและระบบ (Mechanic) ต่าง ๆ หรือแม้แค่กระทั่งการจำวิธีปล่อยท่าก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจนัก ซึ่งก็ทำให้กลุ่ม "ผู้เล่นเกมต่อสู้" ที่ใส่ใจต่อระบบในเกมอย่างจริงจังมีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เสมอมา โดยการดึงดูดผู้เล่นใหม่ ๆ ให้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ "วิธีเล่น" ของเกม จึงเป็นโจทย์ที่นักพัฒนาเกมต่อสู้แทบทุกค่ายต่างพยายามแก้กัน หลังจากที่ได้ใช้เวลาระยะหนึ่งกับสุดยอดเกมต่อสู้ระดับเรือธงของ Capcom อย่าง Street Fighter 6 ซึ่งกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยระบบเนื้อเรื่องและ "ปุ่มลัด" มากมายที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นมือใหม่สามารถเข้าถึงความลึกล้ำของระบบต่อสู้ของเกมได้ง่ายขึ้น ทำให้เกม Street Fighter 6 เป็นเกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าสู่สังเวียนเป็นครั้งแรกขอขอบคุณทาง SICOM AMUSEMENT ตัวแทนจำหน่ายเกมในเครือของ Capcom อย่างเป็นทางการ ที่ส่งเกมนี้ให้เรารีวิวครับโลกของนักสู้สายเลือดใหม่ ที่ทำออกมาได้ดีแต่แผลยังเยอะอยู่เนื้อเรื่องในภาคนี้ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับภาคเดิม ๆ ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้เลย จะกล่าวว่านี่เป็น Soft Reboot ของซีรีส์ก็ได้ แต่ตัวละครต่าง ๆ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจะกลับมาอย่างครบถ้วน อย่าง Luke ที่เป็นตัวละครใน DLC ของภาค 5 มาภาคนี้เขาก็ถูกดันให้เป็นตัวละครหลักบนปกเกม และจะคอยมาเป็นพี่เลี้ยงของเราด้วย สำหรับเนื้อหาในภาคนี้ เราจะรับบทเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาเอง เป้าหมายก็คือฝึกฝนวิชาต่อสู้เพื่อแสวงหาคำตอบของคำว่า 'แข็งแกร่ง' เราจะได้เข้าไปยังคอร์สอบรมการต่อสู้ของ Luke และพาให้เราออกเดินทางไปทั่วโลก ค้นหาความหมายของความแข็งแกร่ง ผ่านการต่อสู้กับเหล่านักสู้คนต่าง ๆ และตัวละครที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ในโซนพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้เราได้สัมผัสการเล่าเรื่องของ Street Fighter ในแบบที่ไม่มีภาคไหนทำได้มาก่อน ระหว่างการผจญภัยในโหมดเนื้อเรื่อง เราจะได้พบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ตลกขำขันไปจนถึงซีเรียสจริงจัง ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติใหม่ที่แฟน ๆ Street Fighter ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพียงแต่ว่าการมีรสชาติใหม่ก็ใช่ว่ามันจะดี ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า มันเป็นการเริ่มต้นหาอะไรใหม่ ๆ ให้แฟรนไชส์ได้ยอดเยี่ยม และทำออกมาดีใช้ได้เลย แต่หลายอย่างมันก็ยังผิดแปลกไปซะหน่อย เหมือนทีมสร้างยังหาจุดลงตัวไม่เจอ ว่าจะทำให้เกม Fighting มีเนื้อเรื่องยังไง เล่าเรื่องแบบไหน และทำยังไงให้มันเหมาะสมกับความเป็นแนวเกมต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมองว่าเขายังทำได้ไม่ดีมากเท่าไรนัก จากตื่นเต้นช่วงแรก ๆ เล่นไปนาน ๆ จะเริ่มน่าเบื่อและดรอปความสนุกลงไปเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียที่ดี ซึ่งหาก Street Fighter เขาจะทำเนื้อเรื่องเพิ่มในเกมภาคต่อไป ก็อยากให้เอาไอเดียหลายอย่างในภาคนี้ไปขัดเกลาเพิ่ม ไม่แน่ว่าเกมต่อสู้เกมอื่น ๆ อาจใช้ Street Fighter 6 เป็นมาตรฐานใหม่ของการมี Story Mode ก็เป็นได้อัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แถมปูพรมต้อนรับมือใหม่อย่างเต็มที่ปกติแล้ว เกมแนว Fighting มักจะขึ้นชื่อว่าจะเน้นหนักไปที่โหมดออนไลน์ซะเป็นส่วนใหญ่ แถมยิ่งเป็นแนวเกมต่อสู้ โอกาสที่จะดึงดูดแฟนเกมหน้าใหม่มานั้นถือว่ายาก แต่ Street Fighter 6 กำลังจะหาจุดตรงกลางที่พอดี ด้วยการ Launch ตัวเกมให้มีคอนเทนต์ที่อัดแน่นเพียงพอทั้งโหมดออนไลน์และออฟไลน์ โดยสำหรับโหมด World Tour หรือโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ เราจะได้ใช้เวลาไปกับตัวละครที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ออกผจญภัยไปในแผนที่กึ่งโลกเปิด คือมันไม่ได้กว้างใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ และซอกซอยให้เราแวะไปสำรวจอยู่บ้าง และการออกสำรวจก็ค่อนข้างจะสำคัญเสียด้วย เพราะในโหมดเนื้อเรื่อง มันได้เปลี่ยนเกม Street Fighter ให้กลายเป็นเกม Fighting RPG ไปเลย มีการเก็บเลเวล อัปเกรดสกิล กินอาหารบัฟ แต่งตัว และบอกเลยว่าเนื้อหาของโหมดเนื้อเรื่องนั้น มีความยาวชนิดที่ว่าอิ่มจุใจ คุ้มค่าแน่นอน แต่รายละเอียดตา่ง ๆ อาจมีปํญหาไปหน่อย ซึ่งเราจะอธิบายในหัวข้อถัดไปต่อมาคือคอนเทนต์หลักที่ทำให้เกมมีอายุยืนยาวอย่างโหมดออนไลน์ที่ภาคนี้จัดเต็มมาให้แบบครอบคลุมมาก ไม่ว่าคุณจะอยาก Matchmaking อยากออกไปหาคู๋แข่งตามเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเองผ่านระบบ Battle Hub หรือแม้แต่ต่อจอยสองเพิ่มเพื่อสนุกกับคนใกล้ชิด เกมนี้ออกแบบมาให้ครบ สำหรับระบบ Battle Hub ในภาคนี้ จะเป็นการที่เราจะเข้าไปยังพื้นที่ศูนย์กลางของเซิร์ฟเวอร์เกม โดยใช้ตัวละคร Avatar ของเรา ไปเล่นร่วมกับคนอื่นโดยการท้าประลองกันผ่านตู้ Arcade ถือว่าเป็นอะไรที่ครีเอทใช้ได้ แต่ปัญหาคือสำหรับการเล่นโหมดออนไลน์ในตอนนี้ ฟีเจอร์ Custom Room หรือสร้างห้องเล่นกันเองนั้น ยังไม่รองรับซะอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ Casual Match สามารถใช้วิธี Matchmaking กันได้ปกติ แต่การสร้างห้องตอนนี้ ยังต้องรอไปก่อน ซึ่งหากรองรับการเล่นแบบ Custom Room เราสามารถตั้งปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วไปลุยกับทีมอืนได้ น่าจะสนุกขึ้นอีกเยอะ สรุปคือตอนนี้คอนเทนต์ทั้งโหมดเนื้อเรื่องก็ยาวจุใจ โหมดออนไลน์ แม้จะไม่มี Custom Room แต่ความสนุกก็ไม่ได้ลดลง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงพีค หาห้องแปปเดียวก็เจอแล้ว หรือถ้าจะเอาชัวร์ ๆ เลยคือเข้า Battle Hub ในเซิร์ฟเวอร์ที่คนเยอะ ๆ ก็จะเจอคนให้ท้าประลองด้วยอย่างแน่นอน แต่ข้อเสียเดียวที่ผู้เขียนมองเห็นในตอนนี้คือตัวละครที่ยังมีน้อยมาก ๆ ณ เวลาที่เขียนรีวิวตัวนี้ Street Fighter 6 มีตัวละครให้เลือกเล่นเพียง 16 ตัวละครเท่านั้น แน่นอนว่าอนาคตตัวละครใหม่ ๆ มันมาแน่ ๆ แหละ แต่ก็หนีไม่พ้น DLC เสียเงินแน่นอน ใครที่ชอบความหลากหลายของตัวละครอาจจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อย แต่สำหรับฮาร์ดคอร์แฟนที่อยากจะลองฝึกเล่นสักตัวให้เก่ง ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วก็ได้เกมเพลย์ที่พยายามเข้าถึงผู้เล่นทุกคนให้ได้มากที่สุดก่อนจะเริ่มเขียนรีวิวตัวนี้ หลายสื่อจากต่างประเทศต่างก็ชมว่า นี่คือเกมต่อสู้ที่เป็นมิตรกับหน้าใหม่มากที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ทิ้งผู้เล่นเก่า ก่อนจะไปในส่วนของโหมดการต่อสู้ เรามาดูที่โหมด World Tour หรือว่าโหมดเนื้อเรื่องกันก่อน สำหรับโหมดเนื้อเรื่องนี้ เราจะได้สร้างและออกแบบตัวละครของตัวเองขึ้นมา ซึ่งปรับแต่งได้ค่อนข้างละเอียดมาก แถมความยาวของแขนและขาจะส่งผลในการต่อสู้จริงด้วย เช่นถ้าแขนยาวก็มีระยะการโจมตีที่มากกว่าศัตรูนั่นเอง สำหรับโหมดเนื้อเรื่อง จะเป็นการพาเราไปยังพื้นที่เปิดต่าง ๆ เราสามารถเดินทาง ออกสำรวจ และทำตามภารกิจหลักเนื้อเรื่อง หรือบางช่วงก็จะมีภารกิจย่อยเข้ามา โหมดเนื้อเรื่องจะใส่ความเป็นเกม RPG เข้ามาในตัวเองเลย คือมีระบบเลเวล ค่าประสบการณ์ ไอเทมบัฟ และผังทักษะหรือ Skill Tree วิธีการเพิ่มเลเวลก็คือออกไปทำาภรกิจเนื้อเรื่อง หรือภารกิจรอง และท้าสู้กับเหล่านักสู้ข้างทาง ต้องบอกเลยว่าเกมนี้นี่ทุกคนมีเลือดนักสู้กันเยอะมาก ท้าสู้ได้เกือบจะทุกคน และนักสู้แต่ละคนจะมีเงื่อนไขพิเศษ ถ้าทำได้ก็มีรางวัลเพิ่มให้อีกด้วย และ Skill Tree หรือผังทักษะนั้น เราไม่สามารถอัปเกรดทุกสกิลได้ แต่จะเลือกได้เพียง 1 สกิล และปลดล็อคขึ้นไปสูงขึ้น ๆ จนถึงระดับสูงสุดก็จะปลดสกิลชุดใหม่มาให้และในเมื่อเราเป็นตัวละครสร้างเอง กระบวนท่าต่อสู้ของเราในช่วงแรกก็จะเหมือนกับพวกนักสู้ข้างถนน จนเราได้เจอกับเหล่าตัวละครที่เป็นปรมาจารย์ในการต่อสู้ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่ก็เป็นพวกตัวละครหลักในเกม Street Fighter นี่แหละ อย่างเช่นช่วงแรก เราก็จะเป็นลูกศิษย์ของ Luke เราก็จะสามารถใช้ท่าของ Luke ในการต่อสู้ได้ แต่ถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ เจออาจารย์คนใหม่เรื่อย ๆ ก็จะสามารถสลับสับเปลี่ยนเอาท่าตัวละครนั้น ๆ มาใช้ โดยการใช้ท่าของอาจารย์คนไหน เมื่อชนะการต่อสู้ได้ ก็จะได้ค่าประสบการณ์ของอาจารย์คนนั้น ๆ ช่วยทำให้เราปลดล็อคท่าใหม่ ๆ ได้ และหากเราเก็บไอเทมพิเศษมา ก็สามารถนำไปมอบเป็นของขวัญให้อาจารย์คนนั้น และปลดล็อคสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วยนอกจากนั้นตัวละครของเรายังสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ และไม่ใช่แค่แต่งเอาสวยเอาหล่อเท่านั้น เพราะเครื่องแต่งกายต่าง ๆ จะบวกค่าสเตตัสบางอย่างให้สูงขึ้น เช่นเตะแรงขึ้น ต่อยแรงขึ้น โดยเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ก็มีวิธีการได้รับที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำภารกิจเนื้อเรื่อง ภารกิจรอง หรือใช้เงินซื้อจากร้านค้าโดยตรง แต่ช่วงแรกชุดแต่งตัวเราจะน้อยมาก ๆ จนดูเหมือนจะแต่งตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาในการเล่นเพื่อปลดล็อคไปก่อน ซึ่งก็ไม่แน่ว่ามันจะมาในรูปแบบของ DLC ด้วยหรือไม่ด้วยความที่เป็นเกมแบบ Open Area มีพื้นที่ให้สำรวจ จะให้ทั้งเมืองมีแต่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปท้าสู้ได้ก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย เกมนี้เลยมีพวก Mad Gear หรือแก๊งตัวร้ายอยู่ในเมืองนี้ด้วย และใช่แล้ว หากใครเคยเล่นเกมค่าย Capcom มา จะคุ้นชื่อแก๊งนี้ เพราะมันเป็นแก๊งในเกม Final Fight นั่นเอง พวก Mad Gear จะเป็นเหมือนกับศัตรูประเภท Aggressive ที่จะโจมตีเราก่อน เราจะวิ่งหนีก็ได้ หรือจะสู้กับมันไปเลยเพื่อเก็บเลเวลก็ทำได้ แต่บอกเลยว่าหลัง ๆ มันจะเยอะจนน่ารำคาญเลยทีเดียว โดยทุกครั้งหากเราเริ่มการต่อสู้กับใครก็ตาม จากการเล่นแบบเกม Open World มุมมอง TPS ทั่วไป เกมจะตัดฉากเข้าสู่รูปแบบเกม Fighting ทันที ซึ่งตอนแรกมันก็ว้าว แต่หลัง ๆ มาไอ้พวก Mad Gear นี่มันเยอะมาก เยอะจนเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้การโดนโจมตี หรือถูกบังคับให้เข้าโจมตีแบบนี้เสียเวลาในการเล่นไปไม่ใช่น้อยพื้นที่ภารกิจเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้มีแค่เมืองเดียว เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จะมีการ Fast Travel หรือออกเดินทางไปที่อื่น ซึ่งเป็นประเทศสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ในโลกได้ด้วย ทำให้โดยรวมแล้ว คอนเทนต์ของ Street Fighter 6 ในโหมดเนื้อเรื่องนั้น ถือว่าคุ้มค่าและเต็มอิ่มมาก เพียงแต่ว่าระบบหลายอย่างมันยังดูแปลก ๆ เช่นการสนทนาหรือคัทซีนที่ชวนง่วง ภารกิจดีไซน์เดิม ๆ ที่เน้นการวิ่งคุยกลับไปกลับมา ใครเบื่อง่าย อาจจะเล่นไม่จบเอาก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าภาคนี้เขาวางโครงระบบไว้ดีมาก ก็หวังว่าภาคแรกเราจะได้เห็นการปรับปรุงและพัฒนาในส่วนของเนื้อเรื่องให้ดีมากกว่านี้ทีนี้ข้ามมาดูโหมดไฮไลท์ของเกมกันบ้าง กับโหมดออนไลน์ ต้องบอกว่าโหมดออนไลน์กับเนื้อเรื่องนั้น จะมีการยืมระบบมาใช้กันเล็กน้อย แต่สบายใจได้ ไม่ใช่ระบบ RPG ระบบที่ว่าก็คือระบบใหม่แกะกล่องของภาคนี้อย่างระบบ Drive Gauge โดยระบบนี้จะเป็นหลอดพลังพิเศษที่อยู่ใต้พลังชีวิตของเรา และเป็นหลอดที่เป็นหัวใจสำคัญในเกมภาคนี้ ทุกครั้งที่เราโจมตี หลอดนี้จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าป้องกันหลอดนี้จะลดลง และเมื่อหลอดนี้โดนเบิร์นจนหมดอาจจะทำให้ตัวละครเข้าสู่สภาวะ Burnout หรือสูญเสียการป้องกันชั่วคราว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเกมต่อสู้เอาซะเลย ดังนั้นระบบการต่อสู้ของเกมภาคนี้จึงเป็นการเชิญชวนให้ผู้เล่นเดินหน้าเข้าปะทะกันมากกว่าที่จะเล่นเชิง ตั้งแง่หรือกดป้องกันรอสวนอย่างเดียว และ Drive Gauge เองนี่แหละที่จะมาช่วยในเรื่องของการโจมตีพิเศษที่มีสองแบบคือ Special Moves - Special Moves นี้จะเป็นคอมโบต่อเนื่องอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่วนอีกรูปแบบคือ Super Arts ที่จำเป็นจะต้องใช้เกจพลังสะสมที่อยู่ด้านล่างจอ การใช้ Special Moves จะอิงจากหลอด Drive Gauge ทำให้เราต้องบริหารให้ดี จะรับหรือจะรุก จะบล็อคหรือป้องกัน หรือสวนไปเลย เพราะท่า Special Moves สามารถทะลวงการป้องกันไปเบิร์นหลอด Drive Gauge ฝั่งศัตรูได้ด้วย แต่ถ้าอีกฝั่ง Parry ได้ก็มีโอกาสโดนสวนกลับเช่นกัน ยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เล่นเข้ามาแลกหมัดแลกเท้ากันมากขึ้นกว่าเดิมทีนี้มาดูที่ระบบปุ่มทั้งสองแบบ คือแบบ Modern และแบบ Classic ซึ่งเป็นชุดควบคุมที่ถูกออกแบบมาให้กับทั้งสองฐานผู้เล่น แบบ Modern นั้นจะมีความซับซ้อนในการคอมโบและโจมตีที่น้อยกว่า กดง่ายกว่า ส่วนแบบ Classic จะเป็นแบบปกติที่แฟน ๆ Street Fighter เล่นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความแตกต่างก็คือ พวกท่า Special Moves หรือ Super Arts ต่าง ๆ คนที่ใช้แบบ Modern จะกดติดง่ายก็จริง แต่ความแรงจะไม่เท่ากับคนที่ใช้ปุ่มแบบ Classic ซึ่งก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม กดติดง่ายกว่า แต่เบากว่า อีกฝั่งกดติดยากกว่า ก็แลกมากับความแรงเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้แรงถึงขั้นเสียสมดุลไปเลย ด้วยระบบนี้ผสมผสานกับ Drive Gauge ทำให้ภาคนี้เป็นการผสมผสานและเชื้อเชิญให้ผู้เล่นหน้าเก่า หน้าใหม่มาลองสู้กัน และหาวิธีการเก่งขึ้นในแบบฉบับของตัวเอง จะฝึกกับคนจริง ๆ แพ้ซ้ำ ๆ หรือจะเข้าไปฝึกเองในห้องเทรนก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าภาคนี้ เขาทำให้เกมมันเข้าถึงได้กับทุกคนจริง ๆสำหรับโหมด PvP หรือโหมดออนไลน์ของเกมนี้ ต้องบอกว่านอกจากการออนไลน์ไปสู้กับคนอื่นและการไต่แรงค์ในตอนนี้ยังแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจเท่าไร และมันเป็นการหยิบเอาอะไรเดิม ๆ มาขัดเกลา ปรับปรุง ต่อยอด และปรับให้คนเล่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อนาคตคอนเทนต์ของโหมดออนไลน์อาจจะต้องรอดูกันที่ตัวละครใหม่ ระบบฤดูกาลหรือซีซั่นที่จะเพิ่มเข้ามาในระยะยาว แต่เอาแค่ตอนนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว และสำหรับมือใหม่ที่ลังเล อยากลองก้าวขาเข้ามาสู่วงการเกมต่อสู้ เกมนี้ถือเป็นเกมรับน้องที่ดี แต่อย่าลืมว่า การฝึกปรือก็สำคัญเช่นกัน ลองล้มลุกคลุกคลานกับเกมนี้ดู สนุก ไม่เสียหายแน่นอนStreet Fighter 6 ถือเป็นเกมที่ยังคงทำให้ชื่อของ Capcom นั้น อยู่ในอันดับค่ายเกมคุณภาพเบอร์ต้น ๆ และมันน่าจะดึงดูดฐานแฟนหน้าใหม่เข้ามาได้อีกมาก จนกว่าจะมีภาคใหม่ตามออกมาดูรายชื่อร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเกมได้ ที่นี่
02 Jun 2023
[Review] รีวิว Etrian Odyssey Origins Collection ตำนานเกม JRPG สวมบทหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยฉบับ Remaster จากผู้พัฒนาเกม Persona
เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่รู้จักเกมซีรี่ส์นี้ แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในเกมจากทีมพัฒนา Atlus เจ้าของผลงานซีรี่ส์เกมชื่อดังอย่าง Persona เลยนะ!!! โดยจริงๆ เกม Etrian Odyssey นั้นได้วางขายครั้งแรกไปแล้วนับตั้งแต่ปี 2007 บนเครื่องคอนโซลพกพา Nintendo DS แต่ทางค่ายผู้จัดจำหน่าย SEGA ได้กำลังจะนำเกม Etrian Odyssey ภาค 1-3 กลับมา HD Remaster มัดรวมวางขายใหม่ในชื่อ 'Etrian Odyssey Origins Collection' ในวันที่ 1 มิถุนายน 2023 บน PC กับ Nintendo Switch ใครที่อยากรู้ว่าเกมนี้สนุกยังไง และการ Remastered จะทำให้เกมดีขึ้นยังไงบ้าง วันนี้ทางเรา GameFever ก็ขอมารีวิวเกมทั้ง 3 ภาคฉบับ Remaster มาให้ชมกันหลังจากได้เล่นก่อนไปหลายชั่วโมง!!! ดูรีวิวเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างดูก่อนโหมโรงEtrian Odyssey คือเกมอะไรเกมซีรี่ส์นี้จะเป็นแนว Simulation ผสม Turn-Based RPG โดยจุดเด่นหลักของเกมนี้ก็คือการที่เราต้องมา 'สร้างกิลด์นักผจญภัย' พร้อมต้องเกณฑ์คนเข้ากิลด์ และปั้นให้พวกเขาแข็งแกร่ง เพื่อไปรับเควสผจญภัยสุดอันตรายต่างๆ ที่อาจต้องไปเจอมอนสเตอร์โหดๆ ซึ่งความสนุกเกมนี้ก็คือการที่นักผจญภัยของกิลด์เราจะมีได้หลายอาชีพ และเราก็อัปเลเวลปั้นพวกเขาให้เก่งได้หลายสาย พร้อมกับเวลาผจญภัยจะเป็นแนว Dungeon Crawler Classic แบบตำนานเกมเกมอย่าง Wizardy อีกต่างหาก เชื่อว่าหลายคนคงเกิดไม่ทันมาเล่นตำนานเกมอย่าง Wizardyแต่ใครที่อยากรู้ว่า Dungeon Crawler Classic มันเป็นแนวยังไง ให้ดูตามคลิปตัวอย่างด้านล่างส่วนใน Etrian Odyssey Origins Collection จะมีเกมภาคที่นำมา HD Remaster ประกอบไปด้วยดังนี้Etrian Odyssey ภาค 1 วางขายครั้งแรกตอนปี 2007 บน Nintendo DSEtrian Odyssey ภาค 2 วางขายครั้งแรกตอนปี 2008 บน Nintendo DSEtrian Odyssey ภาค 3 วางขายครั้งแรกตอนปี 2010 บน Nintendo DS* จริงๆ เกมยังมีภาค 4-6 แล้วก็มีเกมภาค 1-2 ฉบับ Remake อีกต่างหาก ทำให้อนาคตน่าจะมีการ Remaster มัดรวมมาขายเพิ่มStory + Presentation + Gamepalyต้องขอบอกก่อนว่าเกม Etrian Odyssey ทั้ง 3 ภาคแรก นั้นจะไม่ใช่เกมเน้นเนื้อเรื่องนะ โดยถ้าเป็นภาคอื่นๆ จะมีการเน้นเนื้อเรื่องหลักเข้ามาด้วย แต่เกมทั้ง 3 ภาคแรกเริ่มมาผู้เล่นจะได้ "ตั้งชื่อกิลด์" แล้วทำการไปเกณฑ์นักผจญภัย และพาออกไปทำเควสทันที ไม่ได้มีเนื้อเรื่องหลักมาผลักดันว่าผู้เล่นจะตั้งกิลด์ไปทำไม หรือนักผจญภัยที่เราเอาเข้ากิลด์ก็ไม่ได้มีเบื้องหลังเนื้อเรื่องอะไรเช่นกัน แต่เกมนั้นก็จะมี 'เนื้อเรื่องเสริม' ที่แอบเล่าเนียนๆ ให้เราอินกับจักรวาล หรือการผจญภัยในดันเจี้ยนต่างๆ อยู่ด้วย รวมทั้งในเกมภาค 3 พวกเนื้อเรื่องเสริมตรงนี้ก็จะให้ผู้เล่น 'สามารถจบเกมได้หลายรูปแบบ' แต่ท้ายที่สุดแล้วซีรี่ส์เกมนี้ก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องเด็ดระดับเกม Persona เพราะงั้นใครจะเล่นเกมนี้ก็ควรจะคาดหวังไปที่ 'ระบบการเล่น + เกมเพลย์' เสียมากกว่านะทั้ง 3 ภาค จะมี NPC ให้พบเจอหลากหลายคนอย่างมาก และทุกคนจะมีประโยชน์กับเราต่างกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเสน่ห์ผ่านเนื้อเรื่องหรือบทสนทนาให้ผูกพันธ์อะไรขนาดนั้นหลังจากผู้เล่นตั้งชื่อกิลด์เรียบร้อย ผู้เล่นจะได้เกณฑ์นักผจญภัยมาร่วมกิลด์ได้แบบตามใจชอบมาก เพราะเกมจะให้เราเลือกได้ฟรีๆ เลยว่าจะเอานักผจญภัยอาชีพอะไร และมีหน้าตายังไงบ้าง โดยระบบตรงนี้จะเหมือนกับระบบ 'สร้างตัวละคร + เลือกอาชีพ' แบบในเกม RPG ทั่วไปเสียมากกว่า แต่ว่าการเลือกหน้าตาตัวละครจะเป็นเพียงภาพ Portrait เท่านั้น (ไม่มีเป็นโมเดล 3 มิติให้เห็นเลย) และกิลด์นึงจะมีนักผจญภัยได้สูงสุด 30 คน ขณะที่เวลาผจญภัยจะพาไปได้สูงสุดรอบละ 5 คน และหลังจากนั้นเราจะได้ 'จัดตำแหน่งทีม' ว่าจะเอาใครอยู่ตำแหน่งด้านหน้า (เพื่อให้เป็นแท้งค์หรือใช้อาวุธระยะใกล้) หรือตำแหน่งด้านหลัง (เพื่อโจมตีหรือสร้างประโยชน์จากระยะไกล) รวมทั้งต้องเอาเงินทุนตอนแรกไปซื้อ 'อาวุธ, อุปกรณ์ และไอเทม' ให้นักผจญภัยอาชีพต่างๆ จากนั้นเราก็จะได้รับภารกิจ และออกผจญภัยดันเจี้ยนต่างๆ นั่นเองแต่ละอาชีพจะมี Stat ความเก่งตัวละครต่างกัน และมีอาวุธกับชุดเกราะที่ใช้ต่างกัน รวมทั้งแต่ละอาชีพก็มีสกิลหรือสายการเล่นต่างกันไป แล้วเราก็ต้องจัดทีมที่มีอาชีพต่างกัน นำมาให้ต่อสู้ได้ทีมเวิร์คกัน แถมเกมภาค 1 ก็มีมากถึง 9 อาชีพแล้วในช่วงออกผจญภัยดันเจี้ยน เราจะต้องควบคุมนักผจญภัยทั้ง 5 คนออกเดินทางไปตามจุดต่างๆ แบบเกมแนว Dungeon Crawler Classic โดยตอนแรกเราจะไม่รู้เลยว่าต้องไปจุดไหน เนื่องจากในแผนที่จะไม่ขึ้นบอกว่ามีพื้นที่อยู่ตรงไหนบ้าง ทำให้เราต้องออกสำรวจว่ามีพื้นที่ตรงไหนที่ไปได้ และตรงไหนคือจุดที่เราจะทำเควสได้สำเร็จ แถมเกมยังมีระบบ 'วาดแผนที่' ที่ทำให้เราต้องมาวาดว่าทางแยกของพื้นที่ต่างๆ มีจุดไหนบ้าง หรือตรงไหนที่เป็นทางตันหรือมีสมบัติ ส่งผลให้มันช่วยเพิ่มอรรถรสการผจญภัยมากๆ เลยระบบการวาดแผนที่ จริงๆ มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายๆ ผ่านระบบ Touchscreen ของ Nintendo DS แต่พอมามีการปรับเปลี่ยนให้ใช้งานบน PC ผู้เขียนรู้สึกว่ามันใช้งานยากลำบากมาก แม้จะใช้ด้วยเม้าส์ก็ตาม แถมถ้าใช้จอยเล่นนี่คืออนาจเลย ถ้าบน Nintendo Switch ไม่มี Touchscreen ก็น่าทำหลายคนปวดหัวกับระบบนี้น่าดูส่วนระบบต่อสู้ Turn Based RPG อันนี้ก็เหมือนเกม JRPG ทั่วไปที่เราต้องผลัดกันโจมตีกับศัตรู และวางแผนว่าจะโจมตีปกติ, ใช้สกิล หรือหนี ขณะที่ 1 อาชีพก็มีสกิลให้เลือกอัปเยอะมากหลายสายตามที่ได้บอกไป โดยผู้เล่นต้องปลดล็อก 1 เลเวลแล้วมาปลดได้ 1 สกิล ซึ่งสกิลยังมีให้อัปเกรดความแข็งแกร่ง หรืออัปเกรดเพื่อให้ปลดล็อกสกิลที่แข็งแกร่งกว่าอีกหนึ่งส่วนที่น่าพูดถึงมากๆ คือนี่เป็นเกมบน Nintendo DS แล้วพอมา Remaster ก็ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรนอกจากทำให้เล่นบน PC หรือ Nintendo Switch ได้ดีขึ้น ขณะที่เกมบน Nintendo DS มันก็ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรเยอะ เนื่องจากข้อจำกัดของ Hardware หรือการจุไฟล์ได้ไม่เกิน 256mb ส่งผลให้เกมจะไม่ได้มีรายละเอียดเล็กน้อยให้พบเจอประทับใจสู้เกมก่อนที่ Remaster แล้วมีรายละเอียดเล็กน้อยให้ประทับใจกว่าสมัยนี้หลังจากเราผจญภัยจนนักผจญภัยทั้ง 5 คนมีพลังชีวิตหรือมานา TP น้อยจนไม่น่าไปต่อไหว สิ่งที่เราควรทำก็คือเดินทางกลับสู่เมือง เพื่อพานักผจญภัยทั้ง 5 ไปนอนพักผ่อนเติมพลังได้ แต่ก็อย่าลืมว่าตอนเราเดินทางกลับจะมีโอกาสเจอมอนเข้าโจมตีด้วย ทำให้เราต้องวางแผนให้ดีๆ ซึ่งนี่ก็คือทั้งหมดของการเล่นหลักๆ เกม Etrian Odyssey และมันก็ทำให้เราเห็นได้เลยว่าเกมนี้มีระบบการเล่นที่ยังแตกต่างจาก RPG หลายๆ เกม แถมทั้ง 3 ภาคก็มีให้เราพบเจอการผจญภัยที่สนุก, ท้าทาย และเพลินเล่นติดไปหลายวันสุดๆ จนผ่านไป 1 เดือนคุณก็อาจยังไม่หยุด เนื่องจากเกมแต่ละภาคที่ออกแบบเกมมาแบบนี้ ก็ยังให้ผู้เล่นเล่นซ้ำไปซ้ำมาได้ไม่น่าเบื่ออีกความแตกต่างทั้ง 3 ภาคในเกม Etrian Odyssey ภาค 1 - ตัวเกม และระบบการเล่นต่างๆ จะเหมือนตามที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ทั้งหมดตามด้านบนเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เล่นควรเตรียมใจตอนได้เริ่มเล่นภาคนี้คือเกมจะ "ดำเนินอย่างเชื่องช้า" ในช่วงแรกของการเล่น เนื่องจากเกมพยายามจะสอนคนเล่นให้เข้าใจระบบแบบ 100% แต่มันก็เป็นเกมภาคเดียวที่ผู้เขียนมองว่ามอบอรรถรสการผจญภัยได้ดีที่สุดแล้ว ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่ JRPG ก็ควรมาเริ่มเล่นภาคนี้ก่อนได้เลยเกมภาคนี้มีทั้งหมด 9 อาชีพ และแต่ละอาชีพจะเล่นต่างกันเป็นสายๆ ได้นิดหน่อย แต่นั่นก็เพียงพอให้กิลด์เราอยากมีนักผจญภัยอาชีพซ้ำกัน และไปมีสายการเล่นต่างกันส่วนในเกม Etrian Odyssey ภาค 2 - ตัวเกมจะมีหลายอย่างที่ไม่ต่างจากภาคแรก แต่เกมก็จะมีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ให้ระบบต่อสู้หรือการผจญภัยสนุกกว่าเดิม ยกตัวอย่างการเพิ่มระบบ 'สกิลไม้ตาย' ให้แต่ละอาชีพต้องทำหน้าที่ให้ดีสุดๆ เพื่อใช้สกิลสุดโหดของแต่ลอาชีพ และมีการปรับให้เวลาผจญภัยไม่ดำเนินอย่างเชื่องช้าแล้ว แต่ผู้เขียนมองว่ายังไงผู้เล่นก็ควรไปเริ่มที่ภาค 1 มาก่อนจะดีกว่าเกมภาคนี้มีทั้งหมด 12 อาชีพ โดยอาชีพจากภาคก่อนก็ยังมีอยู่ครบ แต่ด้าน Portrait ตัวละครต่างๆ จะดูสวยหล่อกว่าเดิม รวมทั้งทำให้ผู้เล่นอยากอัปสกิลต่างๆ ที่ได้ส่งผลต่อไม้ตายด้วยในเกม Etrian Odyssey ภาค 3 - ตัวเกมจะยังเล่นเหมือน 2 ภาคแรก แต่รอบนี้จะมีการอัปเกรดระบบต่างๆ และเปลี่ยนการนำเสนอไปหลายส่วนเลย โดยหลักๆ คืออาชีพจะมีการเปลี่ยนไปทั้งหมด และยังใส่ระบบให้อารมณ์ 'อาชีพเสริม' ให้แต่ละอาชีพมีการเล่นต่างกันได้หลายสายมากขึ้นไปอีก รวมทั้งภาคนี้จะมีการผจญภัยรูปแบบ 'ใช้เรือ' ที่ผู้เล่นต้องใช้ไปผจญภัยที่เกาะต่างๆ หรือไปสู้กับเรือลำอื่น ทำให้การเล่นจะแปลกใหม่ไปเยอะเลยเกมภาคนี้มีทั้งหมด 12 อาชีพ แต่อาชีพจะไม่เหมือนภาค 1 กับ 2 และไม่ได้เป็นอาชีพตรงตัวด้วย ยกตัวอย่างภาคก่อนจะเป็นอาชีพตรงตัวแบบ 'คุณหมอ' ที่เป็นสายฮีลล้วนๆ แต่ภาคนี้จะเป็นอาชีพ 'พระ' ที่เราเล่นสายฮีลหรือสายโจมตีหรือสายผสมก็ได้Performanceถ้าให้ย้อนวันวานไปตอนสมัย Nintendo DS ผู้เขียนจำได้เลยว่า Etrian Odyssey ถือเป็นเกมที่เล่นได้ลื่นไหลไม่มีสะดุดมาก โดยนั่นก็คงเป็นเพราะภาพในเกมมันไม่ค่อยมีอะไรเป็น 3 มิติสวยๆ แถมส่วนใหญ่ก็ใช้ภาพ 2 มิติมาประกอบเสียมากกว่า แต่สิ่งที่ผู้เขียนกลัวก่อนรีวิวมากๆ คือถ้าลองมองเกมจากฝั่งญี่ปุ่นที่เอามาวางขาย PC ใหม่อีกรอบ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเกมที่ปรับภาพกราฟิกได้ไม่เยอะ หรือมีปัญหาทางเทคนิคของการพอร์ทลง PC แต่สำหรับเกม Etrian Odyssey ทั้ง 3 ภาคนั้นจะมีตัวเลือกให้ปรับภาพกราฟิกบน PC ได้ระดับหนึ่งสำหรับคนคอมไม่แรง หรือคนคอมแรงเลย แถมเกมก็ยังให้ใช้ FPS Limit ได้สูงกว่า 60fps ได้ด้วย!!! รวมทั้งการได้เห็นฉากต่างๆ ก็รู้สึกได้เลยว่ามันคมชัดกว่าตอน Nintendo DS แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่เกมภาพสวยอะไร แต่การที่มันเล่นได้ลื่นเหมือนตอน Nintendo DS ก็ถือว่าน่าดีใจแล้วของเกมภาค 1 กับ 2 จะไม่ค่อยได้ให้เราเห็นฉากสวยๆ แต่ตอนภาค 3 จะมีฉากที่ดูดีหรือมีรายละเอียดที่เพิ่มอรรถรสการเล่นอยู่สรุปEtrian Odyssey ถือเป็นเกมที่แฟน JRPG ควรหามาเล่นมากจริงๆ เพราะผ่านมาหลายปี เกมก็ยังสดใหม่เล่นได้สนุกอยู่เลย และก็แน่นอนว่าด้วยตัวเกมที่ทำมาแบบนี้ก็ทำให้เล่นวนๆ ซ้ำทั้ง 3 ภาคได้หลายรอบมาก แถมก็ทำมาเล่นได้ลื่นรองรับกับ PC หลายรูปแบบ อาจมีให้ขัดใจหน่อยคือเรื่องการวาดแผนที่ไม่ลื่นไหลเหมือนตอน Nintendo DS แต่ปัญหาใหญ่ก็แน่นอนคือเกมสมัยนี้หรือเกม JRPG นั้นมีให้เราเลือกเล่นในยุคนี้เยอะมากๆ แถมมันก็มีภาพสวยหรือระบบการเล่นที่ก็แปลกน่าโดนใจเหมือนกัน ทำให้ชุดรวม Etrian Odyssey Origins Collection ที่จะขายราคาใกล้ๆ กับเกมฟอร์มยักษ์สมัยนี้ จึงทำให้หลายคนอาจอยากซื้อเกมนี้มาเล่นตอนไม่มีเกมอะไรจะเล่นแล้วนั่นเอง (ยกเว้นคุณจะเป็นแฟนเกม JRPG จริงๆ ถึงคงอยากซื้อมาเล่น เพราะยังไงก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเกมนี้คุณภาพเยี่ยมมาก)
30 May 2023
[Review] รีวิวเกม Crime Boss: Rockay City เกมแอ็คชั่นรวมดาราดัง ที่มาผิดที่ผิดเวลาแบบสุด ๆ
Crime Boss: Rockay City เป็นเกมแนว FPS Shooting จากทาง INGAME STUDIOS ที่เปิดตัวอย่างน่าสนใจ เพราะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ขนพลังดารายุค 90 มาใช้อย่างจัดหนักจัดเต็ม แต่พอหลังจากที่เกมวางจำหน่าย ต่อให้มีพลังดารามหาศาล มันกลับไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะอะไรรีวิว Crime Boss: Rockay City ของเรา GameFever TH มีคำตอบเนื้อเรื่องผิดยุคผิดสมัย แถมเล่าได้น่าเบื่อสุด ๆเรื่องราวของ Crime Boss: Rockay City จะว่าด้วยตัวละคร Travis Baker หัวหน้าแก๊งที่หวังจะโค่นเจ้าพ่อทั้งหมดในเมือง Rockay เพื่อขึ้นเป็นใหญ่ในวงการอาชญากรรมแทน ทำให้เขาค่อย ๆ เริ่มออกปล้นเล็กน้อย หาเงินไปซื้อตัวสมาชิกแก๊งเพิ่ม และค่อย ๆ ก่อการใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีสองสมาชิกร่วมอย่าง Casey ที่รับหน้าที่ช่วยเป็ฯเลขาและจัดการบัญชีแก๊ง กับ Nasara ที่มาเป็นคนคอยช่วยเหลือการวางแผนด้วย แต่การจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งในเมืองนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากแก๊งต่าง ๆ จะมีขุมกำลังเป็นของตัวเองที่ยากจะต่อกรด้วยแล้ว เมืองนี้ยังมีสุดยอดนายอำเภออย่าง Norris ที่พร้อมจะเด็ดหัวทุกแก๊งที่ก่อความไม่สงบอยู่ด้วย ภารกิจของ Travis Baker จึงไม่หมูอย่างที่คิดไว้ ต้องบอกว่านี่เป็นเกมที่มีดาราฮอลลีวูดมาร่วมแสดงกันอย่างคับคั่ง ทั้งใบหน้าแบบ Motion Capture และการให้เสียงพากย์ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เหมือนเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับส่วนของเนื้อเรื่องในเกมนี้เลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ Core Story ที่เบาบางมาก ๆ เอาง่าย ๆ มันคือเส้นทางการไต่เต้าขึ้นเป็นสุดยอดอาชญากรรมเบอร์หนึ่ง ที่เน้นการเล่าเรื่องแบบเส้นตรง นอกจากนั้นก็คือการใส่บทสนทนาสุด Cringe ที่ไม่ควรจะเห็นในยุคนี้แล้ว แต่ถ้าเอามันไปไว้ในช่วงปี 90 หรือปี 2000 คิดว่าน่าจะยังเหมาะสม แต่กับปัจจุบันก็คงได้แต่ส่ายหน้าหรือไม่ก็แค่หัวเราะเบา ๆ เท่านั้น คงไม่มีใครแก้ปัญหาด้วยกันหยิบปืนมาไล่ยิงกันกลางเมืองแบบนี้อีกแล้ว ทั้งส่วนของการทำคัทซีน ตัดสลับไปมาแบบงง ๆ ฉากนึงมีตัวละครสองตัวคุยอยู่ ตัดไปอีกฉาก ก็เป็นสองตัวเดิม แค่เปลี่ยนสถานที่ คือดูแล้วสัมผัสได้ว่า ทีมสร้างเกมนี้เขาไม่ได้อยากจะทำเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย เลยทำมาแบบสุกเอาเผากินเท่านั้น ใครหวังจะได้เห็นเกม Gangster ดุ ๆ บอกเลย ผิดหวังแน่ ๆ จุดขายคือเหล่าดารานักแสดงอันโด่งดัง (ในอดีต) จนน่าจะหมดงบไปกับส่วนนี้ไม่ใช่น้อยสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนมีความสุข คือการได้เห็นเหล่าดาราชื่อดังกลับมารวมทีมอยู่ในเกมนี้กันเป็นจำนวนมาก แต่ต้องบอกว่าเป็นอดีตซะเป็นส่วนมาก เพราะในปัจจุบัน แม้ดาราเหล่านี้จะยังคงมีผลงานการแสดงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจฮิตระเบิด เทียบเท่านักแสดงรุ่นใหม่แล้ว อย่างตัวเอกของเกมนี้อย่าง Travis Baker ก็ได้ Michael Madsen นักแสดงคู่บุญของ Quentin Tarantino มาแสดงนำ / Kim Basinger นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ ที่มาในเกมนี้ก็ถูกลดอายุจนเป็นตัวละครสาวทรงเสน่ห์ที่เป็นผู้ช่วยของ Travis และเกมยังมีนักแสดงอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น Michael Rooker (ยอนดู จาก Guardians of the Galaxy) Danny Trejoi (มาเชเต้) Danny Glover (Lethal Weapon) รวมไปถึงไฮไลท์เลยคือนักแสดงที่เป็นมีมระดับตำนานอย่าง Chuck Norris ที่มารับบทนายอำเภอ Norris งานนี้ไม่รู้คนสร้างเกมไปทาบทามอีท่าไหน เขาถึงตอบรับงานนี้ เพราะ Chuck Norris แทบไม่รับงานแสดงเลย นับตั้งแต่ The Expendables 2 เมื่อปี 2012 อยู๋ดี ๆ มารับเชิญทั้งให้เสียงพากย์และโมชั่นแคปเจอร์เกมนี้เฉยแต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่นักแสดงคับเกมขนาดนี้ เชื่อเหลือเกินว่าทีมพัฒนาเกมน่าจะหมดงบส่วนหนึ่งไปกับการจ้างเหล่าดารามาอยู่ในเกมมากมาย ส่งผลให้ส่วนอื่น ๆ ภายในเกมมันดูแปลกพิกลไปแทบจะทั้งหมด สำหรับคอนเทนต์หลักของเกมนี้จะมีทั้งโหมด Campaign ที่เป็นเนื้อเรื่องหลักที่เล่าถึงการขยายอำนาจของแก๊ง Travis Baker ที่จะเล่าเรื่องราวแบบเป็นเส้นตรง สลับกับพาไปดูมุมมองจากตัวละครอื่น ๆ บ้าง โดยโหมดเนื้อเรื่องนี้ยังรองรับการ Co-op ด้วยการชวนผู้เล่นอื่นเข้ามาแจมด้วยได้ นอกจากนั้นยังมีโหมดออนไลน์แยกโดยเฉพาะ ให้เราได้ตั้งทีมปล้นกับเพื่อน ออกไปปล้นแก๊งศัตรูหรือตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งบอกเลยว่ามันเหมือนกับ Payday แทบจะทุกกระเบียด แต่อยู่ในบริบทที่ย่ำแย่กว่าในทุก ๆ ด้านในด้านกราฟิกของเกม อันนี้ต้องชื่นชมเลยว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่เกมทุนสูง แต่กราฟิกของเกมและคัทซีนนั้น ถือว่าทำมาได้ดีสมราคามาก อย่างน้อยตอนนี้ถ้าเอไปเทียบกับเกมอย่าง Redfall กราฟิกของ Crime Boss ยังถือว่าชนะขาด รวมไปถึงใบหน้าและโมเดลของตัวละครก็ทำออกมาได้ดี ภาพรวมของ Crime Boss: Rockay City จึงเป็นเหมือนผลงานสร้างเอามันส์ สร้างนองนีดใครก็ตามที่ชื่นชอบดารายุคเก่า จึงจับเอาพวกเขาและเธอมารวมตัวกันกลายเป็นเกมนี้ มันอาจจะโอเคในแง่ของพลังดารา แต่ในความเป็นเกมนั้นถือว่ามีปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะกับเกมเพลย์ที่วางการออกแบบมาดี แต่มีบาดแผลเยอะเหลือเกิน ซึ่งเรากำลังจะบอกทั้งหมดในหัวข้อถัดไปออกแบบระบบเกมดี แต่เกมเพลย์ดันหลงทิศหลงทางไปหมดมันน่าเสียดายจริง ๆ ที่ Crime Boss: Rockay City นั้น ออกแบบระบบเกมการเล่นมาได้น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งเราจะเล่าให้ฟังทีละอย่าง อย่างที่บอกไว้ในส่วนของเนื้อเรื่อง เกมนี้เป้าหมายของเราคือการขยายอาณาเขตแก๊งให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยตอนแรกเราจะมีพื้นที่อยู่เพียงหยิบมือ การจะขยายพื้นที่ได้ เราจำเป็นจะต้องส่งสมาชิกแก๊งออกไปลุย ซึ่งในแผนที่หลัก เราจะได้เห็นว่าพื้นที่นั้น มีสมาชิกแก๊งใดครอบครองอยู่ และจะมีภารกิจขึ้นมาให้เราทำ แต่ละภารกิจก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น เปิดวอร์กับแก๊งศัตรู ขโมยของ ปล้นของ หรือไล่ถล่มแก๊งศัตรูจนพื้นที่ตรงนั้นไม่มีใครควบคุม เราก็นำกองกำลังแก๊งเราเข้าไปยึดพื้นที่ และรับเงินแบบ Passive Income ต่อวันซะเองเกมนี้จะมีความเป็นเกมกาชา + บริหารจัดการทรัพยากรอยู่ กาชาที่ว่าก็คือ การที่เราจะหาสมาชิกแก๊งที่มีประสิทธิภาพสูง เราจะสามารถหาได้จากการสุ่มด้วยเงินทุนที่เรามี เมื่อเราสุ่มเจอสมาชิกที่ชอบ มีค่าสเตตัสที่โอเค เราก็ค่อยจ้างเข้ามาอยู่ในแก๊งเรา โดยสมาชิกแก๊งแต่ละคนจะมีอาวุธประชิดและอาวุธปืนติดตัว รวมไปถึงหากนำไปออกลุยบ่อย ๆ เราจะสามารถเลื่อนขั้นให้สมาชิกแก๊งคนนั้นได้ด้วย เงื่อนไขก็คือสมาชิกแก๊งแต่ละคน จะออกไปทำภารกิจได้เพียง 1 ครั้งต่อวัน และต้องพักผ่อนจึงจะใช้ได้ใหม่อีกรอบ นั่นหมายความว่าเราต้องบริหารจัดการให้ดี ภารกิจไหนยาก ๆ ก็ต้องเอาตัวที่มีความสามารถสูง ๆ ไป หรือด่านไหนที่จำเป็นจะต้องใช้คนเยอะ ๆ ถึงจะเอาพวกที่มีความสามารถกลาง ๆ รวมทีมกันไปลุยรูปแบบภารกิจต่าง ๆ จะมีตั้งแต่การลักลอบเข้าไปปล้นของแบบเงียบ ๆ ซึ่งตรงนี้ผู้เล่นจะซุ่มเงียบแบบ Payday ก็ทำได้ เพราะเกมสามารถสั่งการบอทร่วมทีมได้อย่างเต็มรูปแบบในกรณีที่เราไม่มีเพื่อนเล่นด้วย เราสามารถสั่งให้ตัวประกันคุกเข่า ใช้เคเบิลไทด์มัดมือ และหลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิด ทุบตู้กระจก เครื่องคิดเงิน แล้วขโมยเงินหรือของมีค่าก่อนหลบหนีออกไปเงียบ ๆ หรือเราจะไม่สนใจ ชักปืนยิงโป้ง หรือตะโกนบอกว่า ข้ามาปล้น ก็ได้ แต่ตำรวจจะเริ่มแห่แหนเข้ามาจนเรารับมือไม่ไหว ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรก็ลองคิดให้ดี ทั้งตอนที่เล่นกับบอทหรือตอนที่เล่นกับเพื่อนด้วยกันเอง อีกภารกิจที่ค่อนข้างชอบ คือภารกิจชิงพื้นที่ โดยอันนี้เกมจะเปลี่ยนโหมดไปเป็นแบบ Team Deathmatch กันเลยทีเดียว ก่อนเริ่มภารกิจนี้เราจำเป็นจะต้องมีสมาชิกแก๊งที่มากเพียงพอก่อน แล้วตั้งเป็น Army (กองกำลัง) จากนั้นเลือกพื้นที่ที่เราจะไปบุกยึด เราก็บุกยิงแก๊งตรงข้ามให้หมด ถ้าสำเร็จก็จะยึดพื้นที่นั้นได้ และเราสามารถทำเงินแบบ Daily Income จากพื้นที่ที่เรายึดมาได้ด้วย ส่วนบางภารกิจก็จะเป็นการบุกไปป่วน ปล้น ทำลายของ และอื่น ๆ ที่จะทำให้เราขยายพื้นที่เข้ายึดครองได้ฟังดูเหมือนจะดี แต่อย่างที่บอกว่าระบบเกมดี แต่เกมเพลย์มันหมดสีสันสุด ๆ เพราะนอกจากการยิงแล้ว เกมเพลย์ก็แทบไม่มีอะไรเลย แถมการดีไซน์ต่าง ๆ ยังดูซ้ำซากอย่างเหลือเชื่อ อย่างเช่นฉากหลังของภารกิจที่บางฉากนั้น ซ้ำกันให้เห็นแบบโต้ง ๆ กันเลยทีเดียว รวมไปถึงกลไกการปรับแต่งทั้งตัวละครสมาชิกแก๊ง และอาวุธของเราก็มีน้อยมาก ๆ เรียกได้ว่าแทบจะ Fix กันแบบตายตัวเลยว่าตัวนี้ใช้อาวุธนี้เท่านั้น ทำให้ความหลากหลายของมันมีน้อยมาก เล่นได้ไม่นานก็รู้สึกว่าเราเจอแต่อะไรเดิม ๆ ไปหมดแล้ว ทำให้น่าเสียดายที่มีการวางระบบของเกมมาดี แต่ซ้ำซากเร็วไปมาก สไตล์การเล่นหลาย ๆ อย่างก็จะมีความคล้ายคลึงกับ Payday แทบจะหมด ไม่ว่าจะเป็นการเจาะสว่าน การโกยของมีค่า หรือเงินเข้ากระเป๋าและหลบหนี แต่เหมือนทุกอย่างถูกดาวน์เกรดลงมาให้ทำกันได้ง่าย ๆ โกยของ ขึ้นรถ หนี ไม่มีคัทซีน บางทีตำรวจยิงถล่มอยู่ด้านหลัง เราก็วิ่งหนีขึน้รถ จบภารกิจได้ง่าย ๆ ซะอย่างนั้น ระบบการหาเงินแบบ Daily Income หรือการทำธุรกิจผิดกฎหมาย แค่เห็นเกมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เขาวางคอนเซปต์เกมมาดี แต่มือไม่ถึงที่จะทำ มันเลยกลายเป็นเหมือนระบบเกมมือถือง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ทั่วไป ลากเมาส์ขายของ หาเงินเข้าตัวเองจบ นอกจากนั้นเกมยังมีโหมดออนไลน์ แต่ถือว่าเป็นโหมดออนไลน์ที่จืดชืดมาก ผู้เล่นจะได้ร่วมมือกับคนอื่น ๆ ในการทำภารกิจที่มีเงื่อนไขแบบเดียวกันกับโหมดเนื้อเรื่อง ยิ่งทำให้เกมการเล่นจบไวมาก เรียกได้ว่าหาห้องนานกว่าเล่นซะอีก เพราะหากสุ่มเข้าไปเจอคนเล่นเป็นงาน หรือรู้เส้นทาง อาจจะจบเกมได้ภายในเวลา 2-3 นาทีด้วยซ้ำไป หรือบางห้องก็ไม่สนใจทำตาม Objective เน้นชักปืนมายิงแหลก ทำให้อรรถรสของโหมดเกมบางเกมหายไปซะดื้อ ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็โทษคนเล่นไม่ได้ เพราะตัวเกมไม่มีระบบอะไรมารองรับเลยว่าถ้าทำนอกกติกาแล้วรางวัลจะลดลง ทำให้คนเล่นส่วนใหญ่ ชักปืนยิงแหลกมากกว่าลอบเร้นจนได้ฟีลแก๊งโจร เพราะสุดท้ายของรางวัลมันก็เท่ากันอยู่ดี เนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี มาเจอกับเกมเพลย์ที่อยู่ในระดับกลาง ๆ อย่างน้อยก็ทำให้ประสบการณ์ของ Crime Boss: Rockay City ไม่ใช่อะไรที่เลวร้ายจนเกินไปนัก แต่หากมองถึงมาตรฐานเกมปี 2023 เกมนี้ก็ถือว่าทำได้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ซึ่งก็น่าจะเป็นผลจากการที่ทีมพัฒนาเอางบไปลงกับทีมนักแสดงจนเกือบหมดนั่นแหละ น่าเสียดายตรงจุดจุดนี้แทนมาก ๆ ประสิทธิภาพเกมที่ลื่นไหลเกินกว่าที่คาดไว้เหนือสิ่งอืนใดที่ดูเหมือนว่าเกมนี้จะทำได้ดีกว่าเกมอื่น ๆ ดันเป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการรันเกม นอกจากกราฟิกที่ไม่ได้แย่อะไรแล้ว เกมยังสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลมาก ๆ มากชนิดที่ว่าไม่คิดว่าจะทำได้ดีขนาดนี้ แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเกมนี้ไม่ได้มีฉากเป็นโลกเปิดกว้าง แต่เป็นฉากพื้นที่ปิดธรรมดา ทำให้สามารถจัดการปรับปรุงและขัดเกลาให้ตัวเกมลื่นไหลได้ ในขณะเดียวกันตัวเกมก็ใส่การปรับปรุงและการตั้งค่ารูปแบบต่าง ๆ เข้ามาได้เยอะพอสมควร ดังนั้นใครที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านสเปคขั้นต่ำก็น่าจะเล่นเกมนี้ได้อย่างสบาย ๆ แม้ว่าหน้าเกมจะดูไม่น่าสนใจ แต่หลังจากได้ลองเล่นมาแล้ว ตัวเกมมีการวางโครงสร้างและระบบที่ดีมาก ซึ่งก็ย่าเสียดายอีกยกที่เกมเพลย์มันถูกออกแบบมาอย่างตื่นเขิน ซึ่งน่าจะเอาทุนไปลงกับนักแสดงและกราฟิกซะหมด งานนี้ก็ถือว่าน่าจับตามอง หากสตูดิโอนี้จะมีผลงานใหม่ออกมาในอนาคต เพราะถ้ามีทุน มีเวลาให้มากกว่านี้ ทีมนี้อาจทำผลงานคุณภาพออกมาเลยก็ได้
25 May 2023
[Review] รีวิวเกม Havendock สร้างชุมชนกลางน้ำสุดหรรษา สวรรค์แห่งใหม่สำหรับยุคน้ำท่วมโลก
Havendock เป็นเกมที่ผู้เขียนต้องใช้เวลาศึกษาระบบต่าง ๆ ของตัวเกมอยู่นานมาก ๆ เพราะระบบเยอะ กิจกรรมแน่น กว่าจะได้มาเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ก็ล่วงเลยมาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เกมลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2023 นี่ขนาดว่าเป็นช่วง Early Access เท่านั้นนะครับ ผมก็ประเมินดูแล้วว่าไม่น่าจะสามารถยกทุกระบบของเกมมารีวิวในบทความนี้ได้ เพราะจะทำให้บทความนี้ยาวจนเกินไป จึงกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย บอกเลยว่าชุมชนสวรรค์กลางน้ำของเรา สำหรับผู้เล่นมันคือนรกดีดีนี่เอง ฮ่า ๆเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ เพราะมีแค่ที่บอกนี้จริง ๆเรารับบทเป็นผู้ประสบภัยท่านหนึ่งที่เรือแตกหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงบนเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเรียกเกาะได้ไหม ? น่าจะเป็นกองทรายมากกว่า กะด้วยสายตาแล้วว่า "อ่า...มันอยู่ได้คนเดียวเท่านั้นครับ"เมื่อได้สติเต็มที่ก็ได้มองไปยังพื้นที่รอบ ๆ เราจะพบว่าเราอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แต่มองไปก็จะเห็นเกาะอื่น ๆ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ หรือแม้แต่ติดเกาะอยู่อย่างเหงา ๆ อยู่กับความเดียวดายยยเรื่องราวของเราจะเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ครับ ตัวเกมจะเริ่มสอนให้เราสร้างชุมชนกลางน้ำของเราเองขึ้นมาโดยหยิบสิ่งของต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวที่ลอยมาเกยตื้น เราก็หยิบวัตถุดิบเหล่านั้นนั่นแหละครับมาเริ่มสร้างไปเรื่อย ๆ ตามเควสที่ตัวเกมคอยป้อนมาให้ จบแล้วครับสำหรับเนื้อเรื่องอันเล็กน้อยของเรา ฮ่า ๆ มีระบบสร้างตัวละครด้วยนะเธอตัวละครที่เราสร้างในเกมนี้เราสามารถเลือกเพศได้นะครับ และสามารถตบแต่งหน้าตาได้ แต่สำหรับตอนนี้ผู้เขียนมองว่า ชุดต่าง ๆ ยังมีให้เลือกใส่น้อยมาก ๆ หน้าตาของตัวละครก็ยังมีให้เลือกไม่สะใจเท่าไหร่ และยังมีไอเทมพิเศษให้สวมใส่ จะเพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ ให้เราเล็กน้อยครับระบบในส่วนนี้เราสามารถตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนเล่นเกมได้ ไม่ว่าจะเป็น ผู้อาศัยสามารถตายได้ หรือสามารถไล่ผู้อาศัยได้ ซึ่งตัวผมก็เลือกเล่นเกมตามค่าเริ่มต้นของมันเลย ซึ่งจะไม่มีคนตายและไม่สามารถไล่คนบนชุมชนกลางน้ำของเราออกไปได้ครับวุ่นวายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว มันจะเรือแตกอะไรกันเยอะแยะ (เกมเพลย์)ตัวเกมจากที่ผู้เขียนได้ลองเล่น เส้นทางของเกมหนักไปทาง Manage (การจัดการ) เพราะเราจะมี คน สัตว์ หรือแม้แต่หุ่นยนต์มาช่วยเราทำงานบนท่าเรือแห่งนี้ ยิ่งรับคนมาเยอะทรัพยากรพวกน้ำหรืออาหาร ก็ต้องใช้เยอะขึ้น แล้วผมบอกเลยว่าคนยิ่งเยอะชีวิตของเราก็ยิ่งวุ่นวาย ด้วยความที่มันยังเป็น Early Access เลยทำให้ระบบการจัดการบางอย่างมันไม่ค่อยสมเหตุสมผล เดี๋ยวผู้เขียนจะจำแนกหัวข้อต่าง ๆ ออกไปให้เพื่อน ๆ ได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของระบบต่าง ๆ ได้มากขึ้นนะครับการเอาตัวรอดขั้นเริ่มต้น - เราต้องเก็บไอเทมที่ลอยตามน้ำมา ไม่ว่าจะเป็น ไม้, ใบไม้, ปลา หรือแม้แต่กล่องซัปพลาย ซึ่งในกล่องจะมีไอเทมเป็นจำนวนมากกว่าที่เราเก็บเองทีละชิ้นครับ และไอเทมบางอย่างในช่วงแรก ๆ เนี่ยเราจะยังผลิตมันไม่ได้ ก็อาศัยจากเจ้ากล่องซัปพลายเนี่ยแหละครับ ที่ทำให้เราอยู่รอดได้ในช่วงแรก ๆ ของทุกอย่างใช้จำนวนของวัตถุดิบในการสร้าง และบางอย่างต้องใช้ไอเทมผสมกันเพื่อสร้าง เช่น ปั๊มดูดน้ำทะเล และหม้อเปลี่ยนน้ำเค็มเป็นน้ำจืด ทั้ง 2 อย่างที่ผมพูดถึงนั้นเป็นไอเทมสำคัญในช่วงแรก ๆ ที่เราจำเป็นต้องสร้างเลยครับ เพราะตัวละครของเรามีเกจการกระหาย และเกจค่าความหิวเราต้องนำไม้มาสร้างพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย จะมีเป็น Cell ให้เราวาง ในส่วนของบางพื้นที่ที่สร้างเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเกาะ เราจำเป็นต้องใช้ Iron ในการสร้างสะพาน ซึ่งช่วงแรกเราจะได้ Iron จากการเก็บไม้ที่ลอยน้ำมา และได้จากกล่องซัปพลายครับ ถ้าเราต้องการหาวัตถุดิบด้วยตัวเอง เราจะต้องสร้างโต๊ะ Workshop เพื่อ Research (วิจัย) ก่อนการวิจัยเพื่อสิ่งที่ดีกว่า - นี่คือหัวใจหลักของเกมนี้เลย เพราะสิ่งปลูกสร้างหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ในชุมชนคนเราจะต้องเริ่มต้นที่โต๊ะตัวนี้ครับ ตัวเกมจะแนะนำให้เราสร้างโต๊ะ Workshop ฮะ เมื่อเราสร้างเรียบร้อยแล้ว จะมี Tree diagram (แผนภูมิต้นไม้) ใช้ไอเทมวัตถุดิบต่าง ๆ จากการแปรรูปจากอุปกรณ์ที่เรามีครับ การวิจัยจะถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ จากระยะเวลาในการเล่นเกม เพราะไอเทมบางอย่างต้องรอ Trader หรือพ่อค้าต่าง ๆ ที่แวะเวียนกันมาขายไอเทมให้กับเรา พ่อค้าแม่ค้าแต่ละคนจะมีคีย์ไอเทมที่นำมาขายแตกต่างกันไป และไอเทมที่เราต้องนำมาใช้ในการวิจัยบอกเลยฮะว่าแต่ละชิ้นนี่ราคาสร้างบ้านมาก ๆ ฮ่า ๆหลังจากวิจัยไปเรื่อย ๆ นอกจากเราจะได้อุปกรณ์เครื่องมือบนบกที่สามารถผลิตวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราและผู้อาศัยเอาตัวรอดดำเนินไปจนถึงจุดหนึ่งของเกมได้แล้ว เราจะสามารถวิจัยเรือดำน้ำได้ครับ และเราจะไปทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต่อที่ใต้ทะเลกัน (มีงานให้ทำเพิ่มมากขึ้น) ในโลกใต้ทะเลนี้จะมีไอเทมที่สำคัญมาก ๆ เป็นคีย์ไอเทมที่จะช่วยให้เราวิจัยเครื่องมือในขั้นที่สูงขึ้นได้ และยังมีไอเทมอีกเยอะแยะมากมายที่เราจะต้องค้นคว้าเพื่อปลดล็อกกันต่อไป และในส่วนนี้เพื่อน ๆ ต้องไปเล่นเพื่อเสพความสนุกกันเอง ถ้าผู้เขียนบอกหมดจะเล่นไม่สนุกแล้วนะฮะการซื้อขายแลกเปลี่ยน - เราต้องสร้างชุมชนกลางน้ำของเราไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงในส่วนที่เราสามารถจะสร้างประภาคารได้ซึ่งมันก็ไม่อยากเย็นอะไรนักครับ ในช่วงแรก ๆ ของเกมถ้าเราสะสมวัตถุดิบต่าง ๆ จากท้องทะเลได้มากพอ เราจะสามารถสร้างประภาคารได้ไวมาก ๆ หลังจากเราสร้างประภาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาติดต่อซื้อขายกับเราอยู่ตลอดครับ เมื่อเทรดเดอร์เดินทางมาถึงจะมีเสียงแตรและข้อความ Pop-Up แจ้งเตือนขึ้นมาครับ บอกขนาดที่ว่าพ่อค้าหรือแม่ค้าคนไหนที่เดินทางมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับเรา ถ้าเราไม่ต้องการซื้อของกับคนไหน เราก็ทำงานของเราต่อไปได้ เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าแต่ละคนจะมีเวลานับถอยหลัง เมื่อหมดเวลาพวกเขาก็จะแล่นเรือจากเราไปเองครับ แต่ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะไปแล้วไปเลยนะฮะ เขาวกกลับมาขายให้เราอยู่เรื่อย ๆ นั่นแหละ ส่วนของที่ใช้แลกเปลี่ยนก็คือไอเทมต่าง ๆ ที่เราฟาร์มมาจากอุตสาหกรรมบนชุมชนกลางน้ำของเรานั่นแหละครับ จะมีราคาแลกเปลี่ยนบอกหมดเลยว่าอะไรเท่าไหร่ และจะมีไอเทมคีย์ที่เราจะเป็นต้องนำมาใช้เพื่อการวิจัย เราจำเป็นต้องผูกมิตรกับพ่อค้าแม่ค้าเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความสนิทของหัวใจครับ โดยการอัดสิ่งแลกเปลี่ยนของเราให้เยอะกว่าราคาขาย เงินเท่านั้นที่ Knock everything ฮ่า ๆการรับผู้รอดชีวิต - นี่จะเป็นหัวข้อสุดท้ายที่ผู้เขียนจะพูดถึงนะครับ เพราะว่าระบบต่าง ๆ ของเกมนี้ยังมียิบย่อยอีกเยอะมาก ๆ นี่ขนาดแค่ช่วง Ealry Access เองนะเนี่ย ยังมีอะไรให้ทำจนแทบจะไม่ได้นอนกันเลย ผู้รอดชีวิตจะนั่งแพมาขอเราอาศัยอยู่บนชุมชนกลางน้ำของเราด้วยหลังจากที่เราได้ทำการสร้างท่าจอดเรือเรียบร้อยแล้วฮะหลังจากเรารับผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ มาอยู่บนชุมชนกลางน้ำของเราแล้วชีวิตของเราจะดีขึ้นเป็นอย่างมากกกก เพราะมีคนคอยช่วยงานเราแล้วครับ เย้!!! ผู้มาขออาศัยบางคนจะมีสกิลติดตัวมาด้วยไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำเก่งกว่าชาวบ้าน, กินน้อยกว่า, ทำอาหารเก่งกว่า, เป็นนักชงน้ำที่สุดยอดแห่งท้องทะเล, เป็นนักรบ หรือแม้แต่เป็นกัปตันที่เชี่ยวชาญการขับเรือเป็นที่สุด ตรงนี้เราก็ต้อง Manage หน้าที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสมสำหรับผู้อาศัยครับ และเรายังสามารถเพิ่มไอเทมสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับผู้อยู่อาศัยของเราได้อีกด้วย!ส่วนหน้าที่ต่าง ๆ เราสามารถตั้งค่าให้ผู้รอดชีวิตคนไหนทำ หรือไม่ทำอะไรก็ได้จะมีตารางให้เราจัดการตารางงานของคนในชุมชนของเราครับ แต่ผมก็ให้ทำมันทุกอย่างนั่นแหละ และที่สำคัญเราต้องสร้างบ้านให้พอดีกับจำนวนผู้รอดชีวิตของเราด้วยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมHavendock มีงานอาร์ตเป็นภาพ 3D ที่น่ารักมาก ๆ เป็นเกมบริหารจัดการสร้างชุมชนกลางน้ำให้กับผู้ที่รอดชีวิตหลังโลกประสบปัญหาน้ำท่วมโลก มีมุมมองจากด้านบนลงมา หมุนภาพได้ 360 องศา ตัวเกมใช้พื้นที่ของเครื่องไม่เยอะเป็นเกมไซส์เล็ก ๆ ที่อาจจะพบปัญหาการกระตุกหน่อย ๆ ถ้าเครื่องของเราไม่แรงมากครับ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดถ้าเราปรับทุกอย่างให้ต่ำสุด เราก็จะเล่นเกมนี้ได้แบบไม่ตะกุกตะกักการบังคับต่าง ๆ ทำให้เราได้เล่นเกมอย่างลื่นไหล แทบจะไม่ต้องปรับตัวกับปุ่มต่าง ๆ เพราะมันเหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราเคยเล่นมาเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น W,A,S,D ที่ใช้บังคับทิศทางในการเดินของตัวละคร Q,E หมุนมุมกล้อง ลูกกลิ้งซูมภาพเข้าออก และผู้เขียนมองว่าถ้าเลือกเกมนี้ให้ลูก ๆ หลาน ๆ เล่นก็สามารถเข้าใจกับเกมเพลย์และการควบคุมได้ไม่อยากเลยครับ เพราะมีเควสคอยสอนระบบการใช้งานต่าง ๆ ให้อย่างครบครันUI ต่าง ๆ ออกแบบมาให้ผู้เล่นใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นการ Manage กระจายงานให้กับคนในชุมชน ก็มีตารางและรูปภาพบอกเลยว่าอยากให้ใครไปทำอะไรหรือไม่ทำอะไรครับ มีปุ่ม ALL ให้ปิดไปทั้งหมดก่อน เพื่อสะดวกในการเลือกงานให้กับผู้รอดชีวิต แต่สิ่งที่ผมค่อนข้างไม่จอยเท่าไหร่น่าจะเป็นระบบของอุปกรณ์บางอย่างที่สามารถเพิ่มคนให้ทำงานได้ แต่บางอย่างเพิ่มไม่ได้ ซึ่งผมงงมากว่าทำไมถึงไม่ให้ทุกอย่างสามารถเพิ่มคนทำงานได้สรุปHavendock สำหรับผู้เขียนนั้นบอกเลยว่าเป็นเกมที่มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ สนุกสนานและน่าสนใจ ปลุกความอยากรู้อยากเห็นในตัวคุณ "เกาะตรงนั้นมีไรอะ?" "อุ๊ยแล้วเกาะด้านนู้นเราไปได้ไหมนะ พายเรือไปดีกว่า" พายมาจนถึงสุดท้ายเข้าไม่ได้ ฮ่า ๆ เพราะเลเวลเรือของเรานั้น Noob กว่าเกาะที่อยากขึ้นไปครับ เนี่ยมันมีอะไรแบบนี้ซ่อนเอาไว้ให้ทำเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นไอเทมคีย์ต่าง ๆ ที่มีขายในร้านค้าของเหล่าเทรดเดอร์ที่ปรารถนาเวียนวน อยากจะนำเสนอของมาขายให้เราอยู่ตลอดเวล่ำเวลา ใครที่ยังลังเลว่าจะซื้อดีหรือไม่ซื้อดีบอกเลยไปซื้อเลยครับ ตอนนี้ลด 10% เหลือ 314.1 บาทเท่านั้นเอง !!! แต่ถึงจะเป็นราคาเต็ม 349 บาท ก็ไม่ถือว่าเป็นราคาที่รุนแรงอะไรเหมาะสมกับคุณภาพของเกมมาก ๆ ฮะ แถมเกมนี้ยังเหมาะกับผู้เล่นทุกเพศทุกวัย ถ้าอยากซื้อให้น้อง ๆ หนู ๆ ที่เป็นลูก ๆ หลาน ๆ ของเราเล่นผมมองว่าจะสามารถฝึกจินตนาการให้เด็ก ๆ ได้ และยังได้ความรู้เกี่ยวกับบริหารจัดการอีกด้วย และที่สำคัญมันมีภาษาไทยด้วยครับทุกคนนนนนส่วนด้านไม่ดีของเกมนี้ที่ผู้เขียนมองเห็นหลัก ๆ สำหรับผมนั้นก็คือ Bug ที่ค่อนข้างเยอะมาก ๆ แต่ Dev ก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ตามอัปแพตช์แก้ไขให้อยู่ตลอดจนผมสงสัยว่า เขานอนบ้างหรือเปล่า? ฮ่า ๆ และการจัดสรรคนไปทำงานกับอุปกรณ์บางอย่างไม่สามารถทำได้ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะทำได้เหมือนกันในทุกอุปกรณ์ อันนี้ก็สร้างความรำคาญใจให้กับผมอยู่พอสมควร เพราะอุปกรณ์ไหนที่เรา Assign แรงงานเข้าไปไม่ได้ เราต้องเดินมาทำเองอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ทำให้การผลิตต่าง ๆ ของเราหยุดชะงักหากเราลืมบ่อย ๆ ครับ และการสร้างห้องเล่นกับเพื่อนนั้นก็หลุดบ่อยจนคิดว่า "โอเค๊เล่นคนเดียวก็ได้"สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/2020710/Havendock/
22 May 2023
[Review] รีวิว The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom เกมภาคล่าสุดที่สนุก ยอดเยี่ยม และยกระดับความเจ๋งด้วยของเล่นใหม่!
The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom เป็นเกมภาคล่าสุดที่มีเนื้อหาต่อมาจากภาค Breath of the Wild ที่เขย่าวงการเกมอย่างมากตอนปี 2017 โดยที่เกมภาคล่าสุดนี้ก็ยังคงมีให้เล่นบนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch เหมือนเดิม และก็ยังคงเป็นเกมแนว Action Open World เน้นการให้แก้ปริศนาแบบเพลินๆ เช่นกัน ซึ่งใครที่อยากรู้ว่าเกมภาคใหม่นี้จะมีความเจ๋ง และยอดเยี่ยมเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมอย่างไรบ้าง วันนี้ทางพวกเรา GameFever ก็ได้มารีวิวให้ชมกันแล้ว!!! รับชมเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างเกมให้ดูโหมโรงStoryในเกม The Legend of Zelda ภาค Tears of the Kingdom นั้นจะเล่าเรื่องหลังฉากจบของเกมภาค Breath of the Wild เป็นเวลา 'ผ่านไปแล้วหลายปี' โดยก็เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตสงบสุข และกำลังบูรณะดินแดง Hyrule ให้กลับมาน่าอยู่อีกครั้ง เนื่องจากไม่มีปีศาจตัวฉกาจของเกมทุกภาคอย่าง Ganon ที่ป่วนโลกมาเป็นเวลาถึง 100 ปีอีกแล้ว ขณะที่เจ้าหญิง Zelda กับตัวเอก Link ก็ได้ออกผจญภัยตามหาความลับต่างๆ เกี่ยวกับดินแดน Hyrule จนดันไปเผลอเจอเข้ากับ 'ร่างของราชาปีศาจ Ganondorf' ที่เหมือนจะกำลังหลับไหลอยู่ และ Zelda ก็ดันเผลอไปทำให้ร่างปีศาจนี้ตื่นขึ้นกลับมาสร้างความวายป่วนให้โลกอีกครั้งซะงั้น รวมทั้งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ Link นั้นต้องสูญเสียพลังทุกอย่างรวมไปถึงการต้องพลัดพรากจาก Zelda อีกแล้ว ทำให้ Link นั้นจะต้องมาวนลูปตามหาเจ้าหญิง Zelda และหาวิธีปราบ Ganondorf ให้สำเร็จเพื่อให้โลกกลับมาสงบสุขเหมือนทุกภาคจริงๆ เกมทุกภาคก็เป็นการให้ Link ต้องตามหา Zelda และไปปราบ Ganondorf เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว แต่ภาคนี้ผู้เขียนแอบขัดใจการปูเนื้อเรื่องช่วงต้นเกม อารมณ์เหมือนเกมควรจะปูด้วยเหตุผลที่น่าสนใจหรือยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่นี่ก็หมายถึงช่วงต้นเกมก่อนเริ่มผจญภัยเท่านั้นนะ รวมทั้งทางเราจะไม่เล่าอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเพิ่มเติมแล้ว ไม่งั้นเป็นการสปอยหนักมากการดำเนินเรื่องของเกมภาค Tears of the Kingdom จะมีความคล้ายคลึงกับของเกม Breath of the Wild นั่นก็คือการเล่าแบบตัวเอก Link ที่ตื่นขึ้นมาแบบไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ต้องออกผจญภัยตามหาเจ้าหญิง Zelda และช่วงผจญภัยก็จะได้พบเนื้อเรื่องเจ๋งๆ มากมายที่ไม่ได้มีอยู่แค่ในเนื้อเรื่องหลัก โดยคนที่เคยเล่นภาค Breath of the Wild จะรู้สึกได้เลยว่าช่วงแรก 'มันดำเนินคล้ายคลึงกับของภาคก่อนมากไปหรือเปล่า' แต่หลังจากเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่ามันก็มีการใช้มุกใหม่ๆ อย่างน่าสนใจ และทำให้คนเล่นผูกพันธ์กับดินแดน Hyrule มากขึ้นไปอีก แถมเมื่อเราเล่นไปจนถึงช่วงกลางเกม เราก็จะได้พบการเล่าเนื้อเรื่องแบบใหม่ที่ "เจ๋งมากๆ ตามชื่อเกมภาคนี้" ก่อนที่เราจะได้ไปเจอฉากจบของเกมที่ "ยอดเยี่ยมอลังการกว่าเดิม" และอีกจุดเจ๋งหนึ่งคือภาคนี้ก็ยังคง 'เล่าเรื่องแบบทำให้การผจญภัยโลก Open World น่าสนใจมากขึ้นด้วย' แถมนอกจากฉากจบของเกมจะยอดเยี่ยมอลังการกว่าเดิม เกมก็ยังมีการปั้นเนื้อเรื่องเนียนๆ ตั้งแต่ช่วงแรกของเกมเพื่อให้คนเล่นอินกับฉากจบมากขึ้นไปอีก เพราะงั้นในด้านเนื้อเรื่องยังไงมันก็ยังคงความเป็น Masterpiece ของเกมสไตล์ Zelda และทำให้รู้ด้วยว่าผู้พัฒนานั้นยังใส่ใจทำเกมแต่ละภาคออกมาให้ยอดเยี่ยม ไม่ได้ทำมาลวกๆเกมภาคนี้ยังให้โอกาสผู้เล่นสามารถจบแบบ 'ไปตีบอสตัวสุดท้ายตั้งแต่ช่วงต้นเกม' ได้เหมือนเดิม แต่ก็ต้องเตือนไว้เลยว่าช่วงบอสฉากจบภาคนี้สู้เหนื่อยกว่าของภาค Breath of the Wild มากๆ เตรียมใจกันให้ดีส่วน NPC เกมภาคนี้ที่เราจะได้พบเจอ ส่วนใหญ่จะเป็น NPC ที่มีตัวตนอยู่ในภาคก่อน และบางคนที่บทในภาคก่อนไม่ได้เยอะ มาในภาคนี้อาจกลายเป็นตัวละครสำคัญในเนื้อเรื่องหลักด้วยGraphic & Musicใครที่เคยซื้อเกมภาค Breath of the Wild มาเล่นตอนเครื่อง Nintendo Switch วางขายใหม่ๆ ก็น่าจะจำกันได้ว่านี่เป็นเกมที่มีฉากสวยๆ เยอะมาก และก็มีการทำเสียงประกอบหรือดนตรีได้ดี จนเป็นหนึ่งในเหตุผลให้หลายคนต้องตกหลุมรักเครื่องเกม Nintendo Switch แต่หลังจากนั้นชาวนินก็ได้มาพบว่าเราแทบไม่ค่อยได้เห็นเกมทำฉากสวยๆ แบบนี้อีกเลย เนื่องจากเกมค่ายแบบ Third Party ส่วนใหญ่ที่พอร์ทเกมมาลงก็มีเรื่องข้อจำกัดด้านภาพสวย หรือเกมค่าย Nintendo ส่วนใหญ่ก็ไปเน้นเรื่อง Gameplay มากกว่าจะทำฉากสวยๆ แบบนี้ แต่ The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom จะเป็นเกมที่พาคุณกลับมารู้สึกอะไรแบบนี้อีกครั้งแล้วนะ! เพราะแทบหลายฉากภายในเกมนี้ สิ่งที่เราจะสัมผัสได้เลยคือมันสวยอลังมากๆ จนบางคนอาจลืมไปแล้วว่าเครื่อง Nintendo Switch นั้นก็ทำเกมภาพสวยแบบนี้ได้นอกจากนี้ เกมภาค Tears of the Kingdom ก็จะมีให้เราได้ 'เหาะเหินบนอากาศ' หรือ 'ผจญภัยบนเกาะลอยฟ้า' อยู่บ่อยครั้งมากๆ จึงทำให้เราจะได้เห็นวิวที่สวยไปอีกแบบหนึ่ง แถมพวกงานเสียงกับดนตรีนั้นก็ยังทำมา 'รู้สึกผ่อนคลายชิลๆ' อย่างเป็นเอกลักษณ์น่าจดจำเหมือนเดิม ถ้าจะให้ติเตียนก็คือเรื่องที่แม้เกมจะทำฉากได้สวยๆ แต่ก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าภาพกราฟิกภาคนี้มันมีการลดคุณภาพ "ความละเอียดคมชัด" ลงจากภาค Breath of the Wild จนทำให้ถ้าเราตั้งใจดูที่ภาพดีๆ จะรู้สึกเบลอหรือรู้สึกภาพหยักๆ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเกมมีการใส่พื้นที่ใหม่ๆ หรือใส่เอฟเฟ็กต์กราฟิกที่กินเสปคเครื่องกว่าเดิม เพราะในเกมภาค Tears of the Kingdom หลายๆ ฉากมันดูมีดีเทลเยอะกว่าของภาค Breath of the WildPresentationจากที่ได้บอกไปว่าเกมภาคนี้จะดำเนินเรื่องคล้ายคลึงของภาค Breath of the Wild จึงทำให้แน่นอนว่าการนำเสนอในเกมภาคนี้ก็จะเหมือนกันด้วย เพราะเราจะเริ่มมาแบบเป็น 0 ทุกด้าน และก็ต้องออกไปผจญภัยในโลก Open World เพื่อหาทำกิจกรรมให้ตัวละครเก่งขึ้น และหาคุยกับ NPC เรื่อยๆ เพื่อรู้ว่าต้องทำอะไรเป็นสิ่งต่อไปจนกว่าจะจบเกม โดยกิจกรรมในภาคนี้ก็ไม่ต่างกันด้วย อย่างการที่เกมจะมีดันเจี้ยนให้ไปแก้ปริศนาจำนวนมาก หรือการต้องไปตามหาเจ้า Korok เพื่อได้ของไปแลกเป็นกระเป๋าเก็บของได้เพิ่มเติม รวมทั้งตามพื้นที่ต่างๆ ในเกมก็จะมีเจ้ามอนสเตอร์ที่จะขวางทางเรา หรือเราอยากไปฆ่ามันเพื่อหาไอเทมดีๆ แถมแผนที่ในเกมภาคนี้จริงๆ ก็ยกมาจากของภาค Breath of the Wild เลยด้วย แต่ก็จะมีการเปลี่ยนกับเพิ่มสถานที่ใหม่ๆ อย่างพวกเกาะลอยฟ้าตามที่ได้บอกไป สถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ ยกตัวอย่างเมืองใหญ่ทั้ง 4 ก็จะมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกับของภาค Breath of the Wild หลายส่วนเลย หรือพวกมอนสเตอร์ตามทางก็คล้ายคลึงกับของภาค Breath of the Wild แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะซ้ำซาก สิ่งพวกนี้จะมีเซอร์ไพร์สให้รู้สึกแตกต่างแน่นอนส่วนหลายระบบกิจกรรมแม้จะมีวิธีการต้องทำแบบเดิมๆ แต่บางกิจกรรมก็มีการต่อยอดมาเป็นภารกิจใหม่ๆ หรือเป็นภารกิจแนวใหม่อยู่พอสมควรด้วย ทำให้ถ้าจะเล่นเกมนี้จบ 100% ก็ต้องใช้เวลายิ่งกว่าภาค Breath of the Wildจากด้านบน เห็นได้ชัดเลยการนำเสนอเกมภาคนี้จะดูไม่ได้แค่คล้ายคลึง แต่เหมือนแอบยกของภาคก่อนมาให้เล่นต่อกันเลยแบบเห็นได้ชัด โดยสำหรับแฟน Zelda ก็คงไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะเกมเพลย์แบบเดิมมันก็สนุกมากๆ อย่างไม่น่าเบื่ออยู่แล้ว ขณะที่คนไม่ใช่แฟน Zelda ก็จะกังวลว่าเกมเหมือนภาค Breath of the Wild มากไปจนดูเป็นเกมภาคเสริมมากกว่าหรือเปล่า ซึ่งท้ายที่สุดผู้เขียนก็ขอบอกเลยว่าแม้จะคล้ายกันขนาดนี้ แต่ตอนได้เล่นยังไงก็ไม่รู้สึกเหมือนกัน แถมเกมยังใส่ลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาเยอะจนคุณรู้สึกถึงความแปลกใหม่ และยกระดับความยอดเยี่ยมของเกมมากไปอีก โดยเฉพาะระบบสกิล "Ultrahand" ที่จะให้ผู้เล่นเอาวัตถุต่างๆ มาประกอบรวมร่างกันจนเป็นสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ หรือยานพาหนะสุดมีประโยชน์ได้ แถมเกมก็ให้อิสระผู้เล่นสร้างสรรค์ขึ้นมาได้เยอะระดับนึงเลย จนตอนนี้ก็มีคนทำคลิปอวดยานพาหนะเดือดๆ อย่างรถถังหรือหุ่นยนต์ยักษ์ถล่มฝูงมอนให้ชมกัน แต่เกมก็ยังมีระบบ "Fuse" ที่ให้เอาอาวุธกับอุปกรณ์รวมร่างกันจนสร้างประโยชน์แปลกๆ ได้ด้วยนะ ยกตัวอย่างโล่ + จรวดก็จะทำให้เราได้ Jetpack เอาไว้ขึ้นที่สูงได้ไวๆ เร็วๆ หรือเอาบูมเมอแรง + ป้อมปืนพ่นไฟ เวลาปาบูมเมอแรงก็จะพ่นไฟออกมาเผาฝูงศัตรูแบบสุดโหดระบบ Ultrahand นั้นถือว่าช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่นทุกรูปแบบมากจริงๆ ไม่ว่าจะด้านการให้เราสร้างอะไรมากำจัดศัตรูง่ายๆ หรือช่วยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ยกตัวอย่างถ้าเรากำลังทำเควสหาปลาล่องหนมาคราฟชุดเกราะล่องหน ในเมื่อเรามองไม่เห็นปลาก็สร้างแพ + ป้อมปืนช็อตไฟฟ้าฆ่าปลาทั้งบ่อน้ำนั้นไปเลยสิ!เกมยังมีระบบสกิล Autobuild ที่พอเราสร้างสิ่งประดิษฐ์หรือยานพาหนะอะไรขึ้นมา ก็สามารถเซฟเอาไว้ไปสร้างตอนหลังๆ แบบให้อัตโนมัติได้ แถมตอนสร้างนั้นก็เข้าใจง่าย และไม่ยุ่งยากอะไร ส่งผลให้คนเล่นเกมไม่เก่งก็จะสร้างอะไรเจ๋งๆ ขึ้นมาได้แน่นอนอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพูดถึงคือระบบสกิล Recall ที่ให้ผู้เล่นสามารถย้อนเวลาวัตถุต่างๆ กลับไปได้ระยะหนึ่ง ยกตัวอย่างถ้ากดใส่ลูกตุ้มที่กำลังตกเขา เราก็สามารถใช้ Recall ให้มันกลับขึ้นไปบนเขาได้ และสิ่งนี้พอผสมกับระบบ Ultrahand ก็ทำให้ผู้เล่นสร้างสรรค์อะไรบางอย่างเพิ่มได้อีก แถมยังมีระบบสกิลอื่นๆ อย่าง Ascend หรืออย่างอื่นที่เจ๋งๆ แบบนี้ด้วยอย่างไรก็ตาม การใส่ระบบ Ultrahand กับ Fuse หรือสกิลอื่นๆ เข้ามาก็ทำให้เกมถอดสกิลจากภาค Breath of the Wild ออกไปบางส่วน ยกตัวอย่างสกิลสร้างระเบิดมาสแปมใส่ศัตรู หรือสกิลสร้างแท่งน้ำแข็งบนพื้นน้ำได้ ทำให้แอบรู้สึกได้อย่างเสียอย่างนิดๆ รวมทั้งเกมภาคนี้ยังมีระบบลูกเล่นใหม่ๆ ที่ถ้าเราบอกจะเป็นการสปอย แต่ระบบลูกเล่นนั้นก็จะแลกกับลูกเล่นภาคก่อนเช่นกันGameplayตอนเกมภาค Breath of the Wild เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าจุดสนุกหลักๆ ของเกมซีรี่ส์ The Legend of Zelda คือการแก้ปริศนาเพลินๆ เป็นซักส่วนใหญ่ แม้แต่การสู้บอสก็จะเน้นให้เราไปใช้เวลาแก้ปริศนา หรือหาวิธีเอาชนะอย่างชาญฉลาดเสียมากกว่า ขณะที่เกมภาค Tears of the Kingdom ก็ยังคงเป็นแบบนั้น แต่กลับทำได้ดีกว่าเดิมทั้งระบบแก้ปริศนาและระบบต่อสู้ด้วย เพราะอย่างที่บอกไปว่าเกมภาคนี้มีของเล่นใหม่ทั้ง Ultrahand หรือ Recall เป็นต้น การแก้ปริศนาในเกมนี้จึงมีความหลากหลายมากกว่าเดิม และเราก็ใช้วิธีได้มากกว่าเดิมต่อ 1 ปริศนาด้วย ส่วนระบบการต่อสู้ที่เรานั้นจะสร้างยานพาหนะโหดๆ หรืออาวุธสุดเถื่อนได้ บางทีมอนสเตอร์จึงจะมาเป็นฝูงพร้อมมินิบอส หรือบางมอนก็โจมตีเราโหดมากๆ ทำให้เกมนั้นจะมีให้เราอยากควักความเจ๋งของเกมไปใช้สู้อย่างเต็มอิ่มบ่อยๆ ซึ่งมันยกระดับจากภาค Breath of the Wild มากจนต้องยกนิ้วให้เลยดันเจี้ยนปริศนาในเกมภาคนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่าเราไม่ได้มีแค่ 1 ทางในการแก้ปริศนา ยกตัวอย่างดันเจี้ยนที่ให้เราต้องหาวิธีข้ามไปที่อีกฝั่งนึง เราก็อาจจะสร้างเครื่องบินเพื่อข้าม หรือใช้จรวดติดโล่พุ่งตัวเองขึ้นที่สูง และจากนั้นค่อยใช้เครื่องร่อนบินมาข้ามฝั่งก็ได้เป็นต้นนอกจากศัตรูบางทีจะมาเป็นฝูง หรือโจมตีได้รุนแรงอย่างมาก บางทีมันก็จะมาพร้อมยานพาหนะขนาดยักษ์เหมือนกัน ทำให้เราก็ต้องสร้างยานพาหนะไปต่อสู้ด้วยนั่นเองอีกส่วนหนึ่งที่น่าพูดชมมากๆ ในด้านเกมเพลย์คือ 'การทำให้เราสนุกที่จะผจญภัยในโลก Open World อย่างมาก' เพราะจากด้านบนทั้งหมดที่พูดมา การที่เราจะสร้างยานพาหนะหรืออาวุธเจ๋งๆ ก็จะต้องมีการไปตามหาวัสดุในพื้นที่ต่างๆ เสียก่อน โดยเกมก็จะยังมีลูกเล่นให้การตามหานั้นสนุกขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างบางวัสดุนั้นเราจะต้องหาของไปเปิดจาก 'ตู้กาชา' เพื่อสุ่มให้ได้วัสดุนั้นๆ (ไม่มีให้เติมเงินจริงๆ เพื่อเปิดนะ ไม่ต้องกลัว) แล้วพอมันมาบวกกับพวกกิจกรรมที่เกมมีอยู่แบบภาคก่อนๆ ก็ทำให้เกมน่าผจญภัย และได้ใช้เวลาออกสำรวจโลกแบบไม่น่าเบื่อมากขึ้นไปอีก แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วเกมภาคนี้ก็ไม่ได้จะเจาะตลาดผู้เล่น Casual มากขึ้นนะ เพราะระหว่างเล่นเกมก็จะมีการ 'ไม่บอกจุดเควสตรงๆ' เพื่อให้เราไปตามหาวิธีผ่านเควสเอาเอง หรือต้องใช้เวลาเยอะมากๆ ในการจะทำสิ่งต่างๆ เพราะงั้นถ้าคุณเคยเล่นภาค Breath of the Wild แล้วรู้สึกไม่ชอบหรือไม่ไหวกับอะไรแบบนี้ ภาคนี้ก็อาจทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นเหมือนเดิมนอกจากเรื่องวัสดุ หรือระบบกาชา การที่เราจะใช้สิ่งประดิษฐ์หรือยานพาหนะก็ยังจำเป็นต้อง 'ใช้งานแบตเตอรี่' โดยเกมจะมีไอเทมให้หาเก็บเพื่อเติมแบตเตอรี่ และทำให้หลอดแบตเตอรี่ยาวขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้ก็แน่นอนว่าเราจะมีกิจกรรมให้ทำเพิ่มยาวๆ อีกเช่นกันอีกเรื่องที่น่าพูดถึงคือเกมภาคนี้ไม่มีให้ปีนหอคอยเปิดหมอกแผนที่แล้วนะ แต่จะมีให้ตามหอคอยที่จะยิงเราขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเปิดหมอกแผนที่แทน และเรายังใช้ประโยชน์ตอนบินบนฟ้าด้วยการเดินทางไปที่ไหนไวๆ ได้ ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าเกมก็สนใจปรับปรุงเรื่อง QoL แบบเจ๋งมากๆPerformanceตอนเกมภาค Breath of the Wild วางขายใหม่ๆ หลายคนในเวลานั้นจะไม่ได้ว้าวกันเท่าไหร่ที่เกมสามารถเล่นได้ลื่นที่ช่วงเฟรมเรท 30FPS อยู่บ่อยๆ แต่มาในภาคนี้ที่มีการใส่สถานที่ใหม่ๆ แบบอลังกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่เป็นต้น ผู้เขียนมองว่าเราควรจะว้าวกับเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะเกมนั้นก็ยังสามารถเล่นได้ที่ช่วงเฟรมเรท 30FPS อยู่บ่อยๆ เหมือนเดิมเลย!!! จะมีเฟรมตกแค่ช่วงเอฟเฟ็กต์เยอะๆ อย่างการที่เราใช้ป้อมปืนไฟเผาศัตรูจำนวนมาก หรือตอนที่อยู่ใกล้กับเมืองใหญ่ๆ แถมตลอดการเล่นก็ไม่มีอาการค้างหรือปัญหาของเครื่อง Nintendo Switch ให้พบเจอเลย แล้วอย่าลืมว่าเกมนั้นก็ทำฉากสวยๆ มาให้เจอบ่อยมากเลยนะ เพราะงั้นนอกจากคุณภาพของเกมที่ดีมากๆ ทางผู้พัฒนาก็ยังคงใส่ใจ่เรื่องให้เล่นลื่นเหมือนเดิมเกมภาคนี้ตอนต่อ Docked จะเป็นแบบ Dynamic 900p ส่วนแบบ Handheld จะเป็นแบบ 720p ซึ่งทั้ง 2 แบบจะมีแค่โหมด 30fps ถ้าเล่นตอนต่อ Docked จะทำให้เฟรมเรทเสถียรมากขึ้น ถ้าตกมากสุดจะอยู่ที่ต้นๆ 20fpsสรุปThe Legend of Zelda: Tears of the Kingdom คือเกมภาคที่สมการรอคอยมากๆ มันคือภาคที่ทำให้คนเล่นรู้สึกว่า "อัปเกรด" ความยอดเยี่ยมไปเยอะขึ้นสุดๆ เลย แม้จะมีการถอดระบบหรือลูกเล่นบางส่วนจากภาคก่อน โดยภาคนี้อาจไม่ถึงขั้นเขย่าวงการเกมแบบ Breath of the Wild เพราะการดำเนินเรื่องหรือการนำเสนอก็ไม่ได้ต่างกันเยอะ แต่ใครที่ตกหลุมรักเกมภาคก่อน หรืออยากเล่นเกมที่สามารถทำให้เล่นบน Nintendo Switch ได้ดีที่สุด ยังไงก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลยจริงๆ แถมของเล่นใหมอย่าง Ultrahand กับ Fuse ก็สามารถทำให้คุณเล่นวนซ้ำๆ ได้นานกว่าภาคก่อนง่ายๆ เลย* ขอขอบคุณผู้ใจดีที่ส่งเกมนี้มาให้พวกเราได้รีวิวกันด้วยนะครับ *
20 May 2023
[Review] รีวิวเกม SD Shin Kamen Rider Rumble เกมสำหรับแฟน ๆ คาเมนไรเดอร์ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด
มาสค์ไรเดอร์ หรือคาเมนไรเดอร์ สุดยอดฮีโร่ประจำประเทศญี่ปุ่นที่ชาวไทยรู้จักกันดี และแม้ว่าจะได้ดูกันช้าไปหน่อย แต่ประเทศไทยเรากำลังจะได้สัมผัสกับ Shin Kamen Rider ผลงานตีความใหม่ของ Anno Hideaki กันแล้ว และจริง ๆ แล้ว นอกจากตัวภาพยนตร์ที่เข้าฉายไปในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2022 มันก็มีวิดีโอเกมตามออกมาด้วยเพื่อส่งเสริมกันและกัน นั่นคือ SD Shin Kamen Rider Rumble แต่ตัวเกมนี้จะเป็นยังไง คุ้มค่าที่จะลองเล่นหรือไม่ หรือแค่ทำมาโปรโมทหนังเฉย ๆ วันนี้เรามีคำตอบในรีวิวตัวนี้เนื้อหาสปอยล์ตัวหนังอย่างเต็มพิกัดจริง ๆ แค่ข้อแรก เราก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไงดี แต่เราคงบอกได้ว่า หากคิดจะไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรง ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อเกมนี้มาเล่น เพราะเนื้อหาของ SD Shin Kamen Rider Rumble จะเป็นการหยิบยกเอาเนื้อเรื่องหลักของหนัง Shin Kamen Rider มานำเสนอเป็นเนื้อเรื่องหลักในวิดีโอเกม สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Kamen Rider คือตัวละครแนวซเปอร์ฮีโร่ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องราวของฮอนโก ทาเคชิ นักแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ถูกองค์กรก่อการร้ายอย่าง Shocker พาไปดัดแปลงร่างกาย เพื่อหวังจะให้กลายเป็นขุมกำลังขององค์กร แต่การผ่าตัดเกิดผิดพลาด ทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์ดัดแปลง หรือคาเมนไรเดอร์ และเขาเลือกที่จะใช้พลังนั้นในการปกป้องโลกสำหรับเนื้อหาในเกมกับหนังนั้น แทบจะตรงกันแบบเป๊ะ ๆ และเป็นแบบเดียวกับที่กล่าวมาด้านบน แต่ระหว่างทางของตัวเกมและตัวหนังจะเป็นยังไง ชาวไทยก็รอติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์ ดังนั้นเอาเป็นว่าทั้งหนังและเกม ใช้เนื้อเรื่องแบบเดียวกัน แค่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเป็นคนละสื่อนั่นก็คือเกมและหนังนั่นเอง ซึ่งวันที่บทความรีวิวตัวนี้ลง เชื่อว่าแฟน ๆ คาเมนไรเดอร์ก็คงได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ Shin Kamen Rider กันในโรงมาแล้วการนำเสนอในรูปแบบ SD ตัวการ์ตูนสุดน่ารักตัวหนังมาอย่างโหด แต่ตัวเกมมาแบบน่ารักมาก เพราะเกมนี้ใช้กราฟิกและการนำเสนอแบบ SD หรือ Super Deformed หรือจะเรียกว่า Chibi ก็ได้ ทำให้มันเป็นรูปแบบการนำเสนอที่ต่างไปจากตัวหนังโดยสิ้นเชิง แต่ก็ถือว่าทำให้บุกตลาดได้ง่ายขึ้นมาหน่อย เพราะกราฟิกและภาพที่น่ารัก ยังไงก็ดึงคนได้แน่ ๆ แม้แต่คนที่ไม่สนใจคาเมนไรเดอร์ก็ตาม สำหรับเกมนี้จะเป็นแบบ Single Player ที่มีแต่โหมดเนื้อเรื่องเท่านั้น รูปแบบของเกมการเล่นจะเป็น Beat 'em up เดินหน้าซัดแหลก ตะลุยด่านไปเรื่อย ๆ โดยฉากต่าง ๆ ก็จะอิงมาจากหนัง Shin Kamen Rider ตามที่ได้บอกไปแล้ว ดังนั้นความยาวของเกมนี้จึงมีไม่มากเท่าที่ควร หลัก ๆ แล้วถ้าคุณเล่นเก่ง ๆ 4-5 ชั่วโมงก็อาจจะจบเกมได้ แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายจนถอดสมองเล่นได้ขนาดนั้นเหมือนกันและที่เจ๋งมาก ๆ คือเรื่องของดนตรีประกอบ ใน SD Shin Kamen Rider Rumble ก็จะใช้เพลงประกอบธีมเดียวกันกับหนัง และคาเมนไรเดอร์ในช่วงยุคโชวะ เอาแค่หน้าเข้าเกมนี่แฟน ๆ ไรเดอร์ก็คงฟินกันตาแตกแล้ว อย่างผู้เขียนนี่คือนั่งฟังเพลงจนเต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยกดเริ่มเกม และพวกฉากคัทซีน หรือบทสนทนาต่าง ๆ เขาก็เอาใจแฟน ๆ สายโชวะไรเดอร์กันอย่างเต็มที่ ประโยคที่คุ้นหู คุ้นตา สู้ต่อไปทาเคชิ สู้ต่อไป คาเมนไรเดอร์ จะมีมาให้เราได้เห็นกันตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะตอนลุย หรือตอนที่เราพ่ายแพ้จนเกมโอเวอร์ก็ตามแต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ด้วยความที่เกมมันก็ไม่ได้ยาวอะไรมาก บวกกับระบบของเกมที่ตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุด หากคุณไม่ใช่แฟนของคาเมนไรเดอร์ หรือ Shin Kamen Rider ตัวเกมในราคา 790 บาทก็ถือว่าเป็นราคาที่ตึงมืออยู่เหมือนกัน อาจจะรอลดราคาเอาก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่ลองมาดูหัวข้อเกมเพลย์เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเพิ่มเกมเพลย์แบบ Beat 'em up ที่อีกนิดก็น่าจะเลยเถิดไปเป็น Musouเกมเพลย์ของ SD Shin Kamen Rider Rumble นั้นต้องบอกเลยว่าง่ายแสนง่ายอย่างที่สุด มันคือการเดินหน้าลุยแหลก กระทืบเหล่ากีกี้และตัวหัวหน้าจากองค์กรช็อคเกอร์ให้ราบคาบ โดยเกมเพลย์จะเป็นรูปแบบเกมสมัยเก่า คือ Action Side Scrolling ที่เราจะเดินจากซ้ายไปขวา และกำจัดศัตรูให้หมดไปเรื่อย ๆ จนถึงบอสเป็นอันจบฉาก โดยระหว่างทางเราก็จะมีไอเทมช่วยเหลือ มีเงินให้เก็บ มีแต้ม Skill Point ให้เอากลับไปอัปเกรดที่ฐานทัพของเรา แต่ตามปกติแล้วตัวเกมในสไตล์ Beat 'em up นั้น จะมาในรูปแบบที่พอเหมาะ ให้เราได้สู้กันแบบสนุกสนาน แต่กับเกมนี้ เรียกได้ว่าอีกนิดก็เลยเถิดไปเป็นเกม Musou แล้ว เพราะปริมาณศัตรูที่อัดเข้ามาในหน้าจอนั้น เพียงพอต่อการรัวคอมโบได้ถึง 300-400 คอมโบเลยทีเดียว ถ้าเราไม่พลาดท่าทำคอมโบหลุดซะเอง และการทำคอมโบจะส่งผลต่อ Ranking Score ที่อยู่มุมขวาบนของหน้าจอด้วย ยิ่งทำ Ranking Score ได้ดี ผลตอบแทน รางวัลที่ได้ก็จะยิ่งสูงขึ้น แต่จำนวนศัตรูที่มากขนาดนี้ การจะเลี้ยงคอมโบไม่ให้หลุดเลยก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายใช่เล่นตัวละครคาเมนไรเดอร์ของเรานั้นจะมีท่าโจมตีอยู่สองแบบ แต่ผสมผสานกับท่วงท่าอื่น ๆ ได้อีกมากมาย คือการโจมตีหนักและเบา ทั้งสองแบบจะสามารถผสมผสานกับการจับทุ่มศัตรู การกระโดดโจมตี ที่หากกดเบาก็จะออกอีกท่า กดหนักก็จะเป็นอีกท่า ท่าโจมตีแบบพิเศษเองก็จะไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งมันส่งผลกับระยะการโจมตี แต่ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับดาเมจสักเท่าไร เอาแบบตรง ๆ เลยคือ จะกดอะไรก็กดไปเถอะ ค่าเท่ากัน แต่ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่า ท่ากระโดดต่อย กับกระโดดเหยียบหัว มันทำให้จังหวะเราเสียหลายครั้งมาก ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง คอมโบหลุดเพราะจังหวะพลาดหลายทีแล้ว ทีนี้มันไม่ใช่แค่เกม Beat 'em up ทั่วไป แต่เกมยังใส่ความแปลกใหม่อย่าง Roguelite เข้ามาในเกมด้วย (แปลกใหม่ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นคนทำเกมนี้ เพราะปกติเขาจะเน้นทำง่าย ขายง่ายไว้ก่อน) แต่ระบบ Roguelite ของเกมนี้จะไม่ใช่การสุ่มฉากหรือศัตรู แต่จะเป็นการสุ่มไอเทมที่ได้ในแต่ละฉากแทน ในทุก ๆ ครั้งที่เราเคลียร์ฉากได้ ระบบจะสุ่มอาหารเข้ามาให้เราเลือกกิน เลือกดื่มกัน โดยส่วนมากเมนูอาหารก็จะเป็นพวกอาหารที่คนญี่ปุ่นกินกันนั่นแหละ โดยจะมีบัฟที่ต่างกันหลายแบบ เช่นการโจมตีด้วยท่านี้แรงขึ้น โจมตีใส่ศัตรูที่มีเกราะแรงขึ้น หรือฟื้นพลังมากขึ้นเป็นต้น เราอยากจะได้บัฟแบบไหนก็เลือกเอาเลย และหลังจากเลือกบัฟแล้ว ก็จะมีทางไปต่อให้เลือก 2 ทางคือบนกับล่าง เราก็ดูที่ป้ายว่า รางวัลในด่านหน้าจะเป็นอะไร ก็เลือกเข้าได้เลย แต่บางทีก็มาแบบวัดดวง เป็นเครื่องหมายปริศนาทั้งสองทาง งานนี้ก็ลุ้นดวงเอาอย่างเดียวในช่วงท้ายฉากก่อนเปลี่ยนด่าน จะยังมีตัวช่วยเข้ามาเพิ่ม เช่นตู้เอทีเอ็มที่เอาไว้ฝากเงินทั้งหมดที่เราหามาได้ เพราะเกมนี้หากเราพลาดท่าตาย ถือเงินอยู่ก็อาจจะดรอปหายไปด้วย บางฉากจะเป็น Vending Machine หรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่จะขายไอเทมแบบสุ่ม 3 ชิ้นให้เรา อาจจะเป็นเครื่องดื่มฟื้นพลัง หรือบัฟชั่วคราว เราจะยอมเสียเงินซื้ออะไรก็แล้วแต่เลย หรือจะฝากเงินทั้งหมดไว้ในตู้เอทีเอ็มก็ได้ เพราะเกมนี้การจะอัปเกรดสกิล จำเป็นจะต้องใช้ทั้งอัญมณี Skill Point และเงินด้วยนั่นเอง และเห็นว่าศัตรูมาเยอะ สู้ง่าย อย่าคิดว่ามันจะง่ายยันจบเกม เพราะจากที่ลองเล่นมา แม้จะเลือกโหมดง่ายสุด แต่สิ่งที่ทำให้ใครหลายคนอาจจะสะดุดได้นั่นก็คือบอส บอสไฟท์ของเกมนี้ก็๗ะมีรูปแบบการโจมตีที่ค่อนข้างหลากหลาย และกวนประสาทมาก แต่ถึงอย่างนั้น การโจมตีของมันก็จะมีจังหวะที่ชัดเจน และมีแพทเทิร์นวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่แบบ วิธีรับมือคือสติเท่านั้น และระหว่างการต่อสู้ บอสเกือบทุกตัวจะเรียกลูกน้องออกมากวนเราเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้าสติไม่แน่นพอ ดังนั้นเชื่อว่าคนเล่นทุกคน ถ้าไม่เซียนจริง อย่างน้อยก็น่าจะตายก่อน 1 รอบถึงจะพอจับทางทั้งหมดได้ทีนี้มาดูระบบการอัปเกรดกันบ้าง สำหรับเกมนี้จะมีการอัปเกรดอยู่สองอย่าง คือตัวละคร และมอเตอร์ไซค์ แน่นอนว่าไม่มีความซับซ้อน การอัปเกรดก็จะบอกถึงสิ่งที่จะได้โดยตรง นั่นคือโจมตีแรงขึ้น พลังชีวิตเยอะขึ้น พลังป้องกันสูงขึ้น แต่ใครไม่รู้จะอัปอะไรก่อน ก็กดออโต้ไปเลย ระบบจะคำนวณให้เองว่าแต้มสกิลเท่านี้ เงินเท่านี้ อัปเกรดอะไรถึงจะเวิร์คที่สุด ส่วนของมอเตอร์ไซค์นั้น ตอนแรกก็งงว่าเกมมีให้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยหรือ แต่คำตอบก็คือ มันจะช่วยเป็นค่าสเตตัสแฝงให้กับตัวละครเรา และที่สำคัญคือมันสามารถใช้ลัดฉากได้ เช่น หากเราผ่าน Stage 1 ของเกมไปแล้วพลาดท่าตายขึ้นมา ถ้าอัปเกรดมอเตอร์ไซค์ไว้ ก็จะไปเริ่มที่ Stage 2 ได้เลย แถมได้โบนัสเพิ่มอีก เห็นแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้เห็นว่าการอัปเกรดมอเตอร์ไซค์ของเกมนี้ สำคัญจริง ๆทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถูกออกแบบมาให้เกมการเล่นนั้น สนุกสนานได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะแฟน ๆ คาเมนไรเดอร์ ที่นาน ๆ ที จะมีเกมที่ไม่ได้ทำออกมาลวก ๆ ให้ได้เล่นกัน แม้จะไม่ใช่เกม AAA ฟอร์มใหญ่อะไรแต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว ส่วนเรื่องของราคาก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะสะดวกจ่ายหรือไม่เท่านั้นถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใจพอสมควร ที่คราวนี้ไม่ได้ทำเกมออกมาลวก ๆ เพื่อโปรโมทหนัง อาจจะมีข้อเสียตรงที่เกมมันสั้นไป แถม Replayble Value นั้น น้อยมาก ๆ แตุ่ถ้าคุณเป็นแฟนคาเมนไรเดอร์ ก็จัดเลยครับ สนุกแน่นอน
18 May 2023
[Review] รีวิวเกม FABLEDOM มาสร้างดินแดนเทพนิยายในฝันกันเถอะ !
FABLEDOM เป็นเกมสร้างเมืองที่มีเกมเพลย์ที่น่ารักฟรุ้งฟริ้ง แบบที่เราจะเข้าไปท่องอยู่บนโลกแห่งเทพนิยายปรัมปรา แค่คอนเซปต์ของเกมผู้เขียนก็วาดฝันไว้ในใจเลยว่ามันต้องน่ารักตะมุตะมิแน่ ๆ สายแบ๊วจะต้องไม่ผิดหวัง ไปแอบดูภาพตัวอย่างของเกมมาเล็กน้อย แล้วกดลงคลังมาดองรอเล่นเอาไว้ก่อน ที่ผู้เขียนยังไม่รีบเพราะตัวเกมนั้นเป็นแบบ Early Access ลงวางจำหน่ายใน Steam เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2023 (ขนาดบอกว่าไม่รีบผมก็ยังกดซื้อมันมาตั้งแต่ Day One) ตัวเกมยังไม่ปล่อยฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้เล่นแบบเต็มสูบเท่าไหร่นัก ยังมีระบบต่าง ๆ อีกเยอะแยะมากมายก่ายกองที่ยังกั๊กรอปล่อยอัปเดตตาม Roadmap อยู่ครับ แต่ดูจากภาพของเกมและแผนการอัปเดตของ Dev ผมบอกเลยว่าต้องมาลองกันก่อนที่มันจะปล่อยตัวเต็มสักหน่อย (ความน่ารักมันดึงดูดอย่างรุนแรง)"ปะ ไปดูบรรยากาศภายในเกมกันดีกว่าครับ"เนื้อเรื่องแบบพอให้เห็นภาพเนื้อเรื่องเกมนี้สั้น กระชับ ฉับไว คือเราเป็นเจ้าชาย หรือ เจ้าหญิง (เลือกเพศได้) เกิดมาชีวิตดีเลย มีพ่อเป็นคิงส์แม่เป็นควีนส์ เส้นทางดูโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็นะ...ในเทพนิยายในท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่มีอะไรราบรื่นหรอกฮะ ถึงเวลาที่ตัวเอกอย่างเราต้องถูกพ่อและแม่ส่งไปสำรวจดินแดนใหม่ ออกไปต่อสู้ดิ้นรนเจอทั้งทุกข์และสุขด้วยตัวเองและผู้บรรยายในนิทานบอกเราว่า เราสามารถสร้างเรื่องราวของเราเองได้ ไม่ว่าจะครองรักกับเจ้าหญิง มีซัมติงกับเจ้าชาย หรือแม้แต่จะเป็นบ้าระรานอาณาจักรอื่น ๆ ก็สุดแล้วแต่กมลสันดานของเรา ตัวเกมจะไปจบที่ตรงไหนคุณนั่นแหละเป็นผู้สร้าง นิทานเรื่องนี้เป็นของคุณ! (ทำเสียงเป็นผู้วิเศษแบบในเกมด้วยครับจะได้เห็นภาพ ฮ่า ๆ)เหมือนหลุดมาจากนิทานได้บริหารสร้างเมืองสไตล์เจ้าหญิงเจ้าชาย จะเริศ จะเชิด ก็ได้ (เกมเพลย์)FABLEDOM จะมี 2 โหมดให้เราเลือกเล่นนะครับ ได้แก่Standard Mode - บริหารจัดการและสร้างเมืองไปตามเนื้อเรื่องของเกมครับ จะมีเสียงกระซิบจากผู้วิเศษคนหนึ่งที่คอยบอกเราตลอดทั้งเกม มีเควสให้ทำ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ปลดล็อกตามค่า milestone ในเกมCreative Mode - โหมดนี้ให้ความอิสระกับเรามาก ๆ สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างที่มีในเกมจะปลดล็อกให้เราหมดแล้ว เหมือนเราเล่นเพื่อมาเน้นสร้างความสวยงามมากกว่าแผนที่ต่าง ๆ - มีให้เลือกเล่นหลากหลายมากครับ เราสามารถกดสุ่มภูมิประเทศไปเรื่อย ๆ เพื่อหาสถานที่ที่ถูกใจที่สุดได้ เมื่อได้จุดภูมิศาสตร์ที่ถูกใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรต่าง ๆ, จุดที่ตั้ง, หรือสภาพแวดล้อม เราก็กดเลือกว่าเรากำลังมองหาอะไร เจ้าชาย หรือเจ้าหญิง หรือจะหามันทั้งหมดนั่นแหละก็ได้ เพราะตัวเกมเปิดกว้างเรื่องทางเพศครับการเอาชีวิตรอด - เมื่อได้ตำแหน่งที่ต้องการแล้ว ตัวเกมจะมีกลุ่มคนมาให้เรากลุ่มหนึ่งครับ เราต้องสร้าง Workplace และจัดสรรประชากร 2 คน ให้เป็นคนงาน เพื่อที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด ภายในบริเวณพื้นที่ที่กำหนด (ตอนแรกจะมีให้ Cell เดียว ต้องเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาเงินมาขยายพื้นที่)ที่อยู่อาศัย - เมื่อสร้างเกมไปเรื่อย ๆ ตัวเกมจะเริ่มมีสิ่งที่คนรักความเท่าเทียมจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ นั่นก็คือระบบแบ่งชนชั้นครับ งานบางอย่างต้องชนชั้นแรงงานเท่านั้นถึงจะทำได้ เช่น งานปศุสัตว์ หรืองานทำฟาร์ม ส่วนงานในโรงพยาบาลนั้นต้องเป็นชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นถึงจะทำได้ เป็นต้น (ซึ่งในเกมตอนนี้มีแค่ 2 ชนชั้นนะครับ)แม้แต่ที่อยู่อาศัยก็มีการเหยียดชนชั้นกันอย่างชัดเจน คอนโดมิเนียมชนชั้นกลางเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ และบ้านของชนชั้นล่างต้องสร้างให้ห่างจากคอนโดมิเนียมของชนชั้นกลางด้วยนะ เพราะไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ไม่มีความสุข (ก็คนเหมือนกันจะยี้ไรหนักหนา ฮ่า ๆ) ส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ถ้ามีเสียงดังไม่ใช่ว่าสร้างในระแวกที่อยู่อาศัยไม่ได้ แต่ว่าไม่ควรสร้างเพราะจะสร้างเสียงรบกวนให้ประชากรของเรา และทำให้ค่าความนิยมของเราลดลงครับ เมื่อลดลงตัวเกมก็จะไม่พาเราไปจุดที่ผ่าน Milestone อุปกรณ์ในลำดับต่อไปก็จะไม่ปลดล็อก แล้วก็จะเกิดปัญหาเรื่องการหาทรัพยากรต่าง ๆ ตามมาครับ ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ตัวเกมก็มีความบาลานซ์ดี แต่ไม่ชอบเรื่องการอัปเกรดสิ่งปลูกสร้างไม่ได้นี่แหละครับ ชนชั้นล่างก็จนมันอยู่แบบนั้นไม่ได้ขึ้นมาลำดับกลางสักที หึ!การผลิตอาหาร - ยิ่งคนเยอะยิ่งมีปัญหา เนื่องจากเกมนี้ระบบต่าง ๆ ยังอัปเดตมาค่อนข้างน้อย การหาอาหารให้เพียงพอต่อประชากรในเมืองก็ค่อนข้างมีปัญหาในช่วงหลังเอามาก ๆ ครับ เพราะทรัพยากรไม่พอ ทั้ง ๆ ที่มีฟาร์ม และมีโรงทำขนมปังเยอะมาก ๆ แต่ด้วยความที่มันดันอัปเกรดอะไรไม่ได้เลย จึงทำให้การทำงานของโรงงานบางอย่างผลิตวัตถุดิบให้เราได้ช้าลง และไม่เพียงพอเช่น โรงงานทำขนมปังของเราจะสามารถจ้างลูกจ้างได้แค่คนเดียว และทำขนมปังได้แค่ 1 ชิ้น ถ้าอยากได้ไวไวก็ต้องสร้างโรงงานขนมปังเพิ่มไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางทีพื้นที่ว่างหรือแรงงานเราไม่พอ ก็จะมีไซด์เอฟเฟกต์ให้ได้เห็นทันทีในช่วงฤดูหนาว เพราะเราจะทำการเกษตรไม่ได้เลย ถ้าของในคลังที่เราเก็บเกี่ยวไว้มีไม่พอ (ซึ่งมันจะไม่พอแน่ ๆ ครับเพราะระบบเทรดยังไม่มา) ประชากรของผู้เขียนจะอดข้าวตายเป็นเบือเลยฮะในช่วงฤดูหนาวถ้าบอกว่าจะหวังจากการทำปศุสัตว์ บอกเลยว่ายิ่งหนักกันเข้าไปใหญ่ เพราะเกมนี้ไม่ใช่ว่าตรงพื้นที่นั้น ๆ มีสัตว์แล้วเราจะออกไปล่าเอาเนื้อมากินได้ตลอด 1 ฝูงสัตว์จะเท่ากับว่าเราจะสร้างคอกสำหรับเลี้ยงได้ 1 คอก ซึ่งต้องเปิดพื้นที่หาสัตว์ไปเรื่อย ๆ ถ้าเจอในพื้นที่ถัดไปเราถึงจะสามารถสร้างได้อีกคอก และสามารถสร้างติดกับคอกเดิมได้ ระบบตรงนี้สร้างความอึดอัดให้ผมอยู่พอสมควร เพราะสัตว์มีน้อยมาก ๆ และอาหารก็จะขาดแคลนอยู่ดี มีหรือไม่มีแทบไม่ต่างกัน เป็นเศร้าการทำเควส - เควสจะอยู่ในช่วงแรก ๆ ของเกมเท่านั้นครับ เล่นไปเรื่อย ๆ พอทำเควสจนหมดแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลย ผู้เขียนเลยมองว่า น่าจะมีเพื่อเอาไว้สอนการเล่นเกมมากกว่า รางวัลที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเงินและทรัพยากรต่าง ๆ ในเกมครับ นอกจากเควสของระบบก็ยังมีเควสของตัวเกมที่จะเด้งผ่านมาตามจดหมายหรือการแจ้งเตือนต่าง ๆ อันนี้จะเป็นเควสวน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกมีปัญหาเราจะแก้ไขอย่างไร (ตรงนี้มีตัวเลือกให้เราเลือก)ในอนาคตผู้เขียนก็แอบหวังว่าถ้าตัวเกมมีการอัปเดต Dev อาจจะใส่เควสต่าง ๆ มาให้เพื่อสร้างความท้าทายและเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมของเราให้มากขึ้น ผมคาดหวังไว้หนัก ๆ เลย เพราะตอนนี้ถ้าให้ตอบตามจริงเลยคือเควสมันน้อยไปมากกกกกก พอไม่มีเป้าหมายก็แอบเคว้งอยู่เหมือนกันครับคำสาป - ผมบอกเลยว่าส่วนนี้ยังมาไม่สุด ฮ่า ๆ ขาดไปเยอะเลยครับ ตรงนี้ผู้เขียนมองว่าน่ารักดีที่ผู้พัฒนาหยิบกิมมิกตรงนี้จากนิทานหรือเทพนิยายมาใช้ครับ เพราะโลกของหนังสือที่เริ่มต้นด้วย Once upon a time... มักต้องอยู่คู่เคียงเบียดกันมากับแม่มดจอมอิจฉาริษยา แต่เกมนี้มีเพียงนางเดียวเท่านั้นแล้วสาปแบบเดิมตลอด คือสาปให้ชาวเมืองของเราเป็นโครงกระดูกเดินได้ แต่ไม่กี่วันก็หายไป อาจจะส่งผลกระทบกับค่าความเชื่อมั่นของชาวเมือง แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้มากมายอะไร และแทบจะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเลยนอกเสียจากประชาชนของเราไม่มีผิวหนัง ผมก็ยังคาดหวังเหมือนเดิมว่าในอนาคตขอให้ Dev สาปชุดใหญ่ ๆ มาเลย ไม่ครณามือหรอก!นี่มันหาพันธมิตรหรือเกมเกมหาคู่ - อ่านไม่ผิดหรอกครับ ฮ่า ๆ มันรวม 2 อย่างเอาไว้ด้วยกันนั่นแหละ เราสามารถที่จะทำการปรองดองกับพื้นที่หรือเมืองใกล้ ๆ เราได้ครับ พอเราส่งทูตของเราไปเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ถ้าเราสนใจเจ้าหญิงหรือเจ้าชายจากเมืองไหน เราสามารถให้ของขวัญเพื่อจีบได้ แต่ถ้าเราไปให้ของขวัญเมืองข้าง ๆ ด้วย เจ้าเมืองที่เราเคยไปเต๊าะเอาไว้จะโกรธทันทีและหัวใจก็จะลดลงไปถึงขีดสีแดง และสามารถสร้างความบาดหมางในอนาคตได้ และลุกลามไปจนถึงขั้นเปิดศึกสงครามที่มาจากความหึงหวงครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ (หล่อไม่ไหว)ส่วนถ้านิสัยเราเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงที่อันธพาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราจะชักศึกเข้าบ้านมันตั้งแต่เริ่มเลยก็ได้ โดยการส่งจดหมายไปกวนบาทาเจ้าเมืองต่าง ๆ ได้เลย ไม่นานเกินรอได้รบกันจริง แต่ช่วงแรก ๆ เราจะไม่มีทหารไว้สู้กับเขาสักคน ฮ่า ๆ ๆ ๆ ในส่วนนี้ของเกมผมมองว่าน่ารักดีต่างจากเกมอื่น ๆ มีให้จีบกันได้ เจ้าหญิงหรือเจ้าชายจะมีท่าทีเคอะเขินให้เรามั่นไส้อยู่บ่อย ๆ ผมเบะปากให้กับจริตของท่านชายและท่านหญิงในเกมอยู่บ่อยครั้ง ระบบต่าง ๆ ภายในเกมเป็นเกมสร้างเมืองแนวเทพนิยายที่มีภาพเป็นตัวการ์ตูน 3D น่ารัก ๆ แถมมาด้วยสีสันที่สดใสเล่นแล้วใจฟูเวรีมัช มีมุมมองจากด้านบนลงมา ใช้พื้นที่ในเครื่องไม่มากมายตัวเกมไซส์เล็ก ๆ เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับส่วนการบังคับของเกมนี้ไม่ซับซ้อนอะไร เหมือนเกมสร้างเมืองทั่ว ๆ ไป ใครเคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้วอาจจะไม่ต้องปรับตัวมากนักครับ ใช้ W,A,S,D ในการเคลื่อนย้ายมุมกล้อง ใช้ลูกกลิ้งเมาส์ซูมเข้าออก Q,E หมุนภาพซ้ายขวา เป็นต้น ส่วนใครที่เป็นมือใหม่กับเกมแนวนี้ หรือผู้ปกครองอยากหาเกมดีดีให้เด็ก ๆ เล่น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นไม่เป็นฮะ ตัวเกมมีเควสคอยสอนอยู่ตลอดว่าให้กดปุ่มไหนหรือทำอะไร รับรองว่าถ้าเล่นตามเควสไปยังไงก็เล่นได้แน่นอนUI ของเกมนี้ออกแบบมาน่ารักเหมือนภาพของเกมนั่นแหละครับ ใช้งานง่าย ตัวการ์ตูนน่ารักไม่รกตา และไม่ซับซ้อนอะไรเลย การเพิ่มคนงานลดคนงาน ย้ายจากอีกจุดไปอีกจุดก็มีหน้าต่างแยกออกมาให้ทำเลย เพราะช่วงหลัง ๆ ประชากรในเมืองเราจะเยอะ และค่อนข้างดูยากตัวเกมก็ใส่ตรงนี้มาเป็น Shortcut ให้เรา และอยู่ในจุดที่หาง่ายด้วยครับสรุปFABLEDOM สำหรับผมแล้วบอกเลยว่าเป็นเกมที่ดูดีมีอนาคตมาก ๆ ใครที่ต้องการเล่นเกมสร้างเมืองที่มันไม่เครียดจนเกินไป ผมมองว่าเกมนี้ก็สร้างความเพลิดเพลินให้ได้ระดับหนึ่งเลย ด้วยความที่ธีมของเกมเป็นโลกเทพนิยายแฟนตาซี ผู้เขียนมองว่าเกมนี้จะต่อยอดได้อีกไกลครับ ไม่ว่าจะเป็นแฟร์รี พิกซี โทรลล์ โกเลม แม่มด หรือแม้แต่ยักษ์ ก็สามารถยัดลงมาเป็นคอนเทนต์ให้กับเกมนี้ได้มันยังมีอะไรให้ต่อยอดไปอีกเยอะมาก แล้วยังมีกิมมิกเล็ก ๆ อย่างเสียงคนบรรยายที่มีลักษณะเสียงเป็นผู้วิเศษที่คอยไกด์เราอยู่ข้างหู มีมุกต่าง ๆ ในการพูดเล่นกับเราอยู่ตลอด ประกอบกับเสียงเพลงที่ไม่สร้างความรำคาญให้กับผมเลย (ปกติผู้เขียนจะชอบปิดเสียงเพลง) เลยทำให้การเล่นเกมไม่อึดอัดและสร้างเมืองไปได้เรื่อย ๆ ชิล ๆ มองนาฬิกาอีกทีก็เช้าแล้ว และเกมนี้ผู้เขียนมองว่าถ้าจะซื้อให้เด็ก ๆ เล่นฝึกทักษะการวางแผน บริหารจัดการ วางผังเมือง ผมมองว่าก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่เหมาะให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้เริ่มต้นครับ อาจจะฝึกทักษะบางอย่างให้น้อง ๆ ได้เจอตัวเอง (เริ่มจากเป็นสถาปนิกตัวน้อย ๆ ในเกมไปก่อน)พูดถึงข้อดึไปเยอะแล้ว มาดูในส่วนที่ผมไม่ค่อยชอบกันบ้างดีกว่า ด้วยความที่มันเป็น Early Access ตัวเกมจบคอนเทนต์ไปค่อนข้างไวมาก ๆ ครับ ไวจนรู้สึกว่าใส่อะไรมาให้อีกหน่อยก่อนได้ไหม อีกสักนิดก็ยังดี ฮ่า ๆ แต่ดูจาก Roadmap มีบอกช่วงเวลาจะอัปเดตสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ ผมก็หวังว่า Dev จะทำได้ตาม Roadmap เพราะผมมองว่าถ้าอัปเดตมาจนสุดได้เล่นกันเพลินกว่านี้แน่ ๆ ส่วนอีกเรื่องที่ผมมองว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นั่นก็คือการอัปเดตสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ตรงนี้แอบสร้างความน่าเบื่อเล็กน้อยให้กับการเล่นเกมอยู่เหมือนกันฮะ เช่น ถนน สมมติถ้าเราใช้ถนนเป็นทางดินธรรมดาแล้วเราต้องการอัปเกรดให้เป็นถนนหินซึ่งเราปูทับที่เดิมไม่ได้ เราต้องลบถนนเดิมแล้วสร้างใหม่ ตรงนี้ผมมองว่ามันค่อนข้างเสียเวลาอยู่ครับ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ก็อัปเกรดไม่ได้ อยากได้เพิ่มก็ต้องสร้างเพิ่ม ซึ่งทำให้ค่อนข้างกินเนื้อที่ ตอนนี้เราก็คงทำได้แค่นั่งรออัปเดตในอนาคตฮะ และก็ราคา 445 บาท ก็ยังถือว่าแอบแรงไปนิด แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ยอมจ่าย เพราะถือว่าเกมดูจะไปได้อีกไกล ผมประทับใจคอนเซปต์ของเกมนี้มาก ที่จะมาสร้างเทพนิยายด้วยตัวผมเองเนี่ย ใครสนใจตามไปกดได้ใน Steam เลยครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1651560/Fabledom/
17 May 2023
[Review] รีวิวเกม Terra Nil ให้โลกเราสวย พวกเรามาช่วยกัน
Terra Nil เป็นเกมจากผู้พัฒนาเดียวกันกับ The Wandering Village เกมที่เคยโด่งดังอยู่พักหนึ่งในช่วงเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมาครับ ที่เราจะต้องไปสร้างเมืองกันบนหลังไคจูตัวยักษ์ที่เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ไปโลดเล่นในเกมกันมาบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงเกมใหม่ล่าสุดจากค่ายนี้กันครับหลังจากเกมลงวางขายเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2023 ผู้เขียนกดซื้อมันมาเลยอย่างไม่รีรอ เพราะผมตามเสพตัวอย่าง trailer ของเกมจากช่องทางต่าง ๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว วันนี้มีโอกาสได้เล่นมันสักที เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของเกมเพลย์ที่ผมได้สัมผัสให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ (ที่สำคัญตัวเกมมีภาษาไทยด้วยนะฮะทุกคน)ฟื้นฟูระบบนิเวศ จากปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลากหลายพื้นที่ ที่มีความแตกต่างกันทางชีวภาพ (เกมเพลย์)Terra Nil ไม่ได้มีโหมดเนื้อเรื่องที่จริงจังมากนักครับ ตัวเกมจะปูทางให้เราได้ทราบว่า โลกเราเดินทางมาถึงจุดที่ว่าสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกแล้ว เราคนเล่นเนี่ยต้องรับบทเป็นผู้รอดชีวิตและเข้ามารับหน้าที่ฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมในจุดต่าง ๆ ให้สามารถกลับมาอาศัยอยู่ได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการนำสัตว์ต่าง ๆ กลับมาในพื้นที่, ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว, การกำจัดสารพิษ, สร้างสภาพอากาศให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย รวมไปถึงการรีไซเคิลสิ่งต่าง ๆ ที่จะสร้างมลพิษให้เราลำบากใจในอนาคต Terra Nil มาในรูปแบบของเกมวางแผนกึ่ง Puzzle ที่เราจะต้องจัดวางสัดส่วนต่าง ๆ ให้ได้เปอร์เซ็นต์ตามพื้นที่สีเหลี่ยมที่ตัวเกมกำหนดครับ สร้างอะไรมากไปก็ไม่ได้เพราะพื้นที่อาจจะไม่พอยิ่งช่วงหลัง ๆ ความยากของเกมจะถูกยกระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ แอบต้องรีสตาร์ตเกมด่านนั้น ๆ เล่นกันใหม่อยู่บ่อย ๆ สักแผนที่ที่ 3 ถ้าใครเล่นความยากระดับกลาง (นักนิเทศวิทยา) ขึ้นไปก็เริ่มจะท้อแล้วฮะ บอกเลยว่าเดือดเหมือนลาวาในแมปนั้นนั่นแหละเกมนี้แบ่งออกเป็น 3 ระดับให้เราได้เลือกเล่นครับ ได้แก่ชาวสวน (Easy Mode) - เล่นง่าย ๆ เพลินๆ เพราะให้ทรัพยากรเริ่มต้นมาเยอะแยะ เล่นแป๊บ ๆ ก็ผ่าน เหมาะกับผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นเกมด้านนี้มาก่อนนักนิเทศวิทยา (Normal Mode) - ทรัพยากรเริ่มต้นมีให้เราน้อยลง ต้องเริ่มวางแผนในการใช้งานมากขึ้นกว่าโหมดชาวสวน ถึงแม้ผู้เขียนจะมีประสบการณ์กับเกมแนวนี้มาบ้าง แต่นับจากแผนที่ที่ 3 เป็นต้นไป ก็ไม่ค่อยได้พักสมองอีกเลย ฮ่า ๆวิศกรสิ่งแวดล้อม (Hard Mode) - เหมาะสำหรับผู้เล่นที่เก่งเกินมนุษย์มนา เกิดมามีความอัจฉริยะในการวางแผนจัดสรรทรัพยากร ทรัพยากรเริ่มต้นที่ให้มามีน้อยที่สุดในบรรดาทุกโหมด เลยต้องวางแผนในการใช้งานครับ***หมายเหตุ : เราสามารถเปลี่ยนระดับความยากง่ายไปมาภายในเกมได้เลยนะครับ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มง่ายไปละ อยากจะเป็นวิศกรสิ่งแวดล้อม เราสามารถตั้งค่าได้เลยในเมนูตัวเลือกครับ***การเริ่มฟื้นฟูธรรมชาติTerra Nil เป็นเกมที่ไม่มีอะไรซับซ้อน มีแมปให้เล่นเพียง 4 แมปเท่านั้น หลังเล่นจบมีแมปเสริมปลดล็อกหลัง End Credit อีก 4 แมป ทั้งเกมมีให้เราเล่นแค่เพียงเท่านี้เลยครับ สร้างวนลูปจนครบทุกอย่างที่เควสในเกมมอบหมายให้เราทำ และเกมเพลย์ค่อนข้างจบเร็วมาก เร็วจนผมงง เพราะแอบรู้สึกไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเท่าไหร่ เดี๋ยวผู้เขียนจะแยกวังวนของเกมนี้ ขยายความแยกย่อยให้เพื่อน ๆ ได้เห็นภาพว่าหลักการเล่นมันประมาณไหนนะครับไฟฟ้า - การเริ่มต้นในทุก ๆ แมปที่เราเข้าไปเล่นนั้น จะต้องเริ่มจากการสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น พลังงานลม (กังหัน), พลังงานน้ำ (กังหันน้ำ) และพลังงานนิวเคลียร์ ที่ใช้งานแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่ผลลัพธ์เหมือนกันครับ ตัวเกมจะกำหนดจุดสำหรับวางสิ่งปลูกสร้างประเภทนี้ไว้ให้ เราไม่สามารถวางตามใจเราได้ และมีระยะทางการจ่ายไฟครับ กำจัดสารพิษ - หลังจากได้พลังงานไฟฟ้ามาแล้ว สิ่งที่ต้องทำอันดับต่อไปสำหรับเกมนี้ก็คือ การกำจัดสารพิษตกค้างในพื้นดินบริเวณรอบ ๆ ครับ จริง ๆ มันตกค้างทั้งแมปเลยนั่นแหละ แต่จุดที่เคลียร์ได้มันค่อนข้างจำกัด เพราะไอ้ตัวกำเนิดไฟของเรามันสามารถวางได้เป็นจุด ๆ  และจำกัด 1 เครื่องกำเนิดไฟสามารถวางสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ เต็มที่ได้เพียง 6 หรือ 8 ชิ้นเท่านั้น (แล้วแต่แมป และการกำหนดกติกาของด่านนั้น ๆ) แถมมันยังวางติด ๆ กันไม่ได้อีก นี่แหละครับ เลยทำให้การเล่นเกมค่อนข้างต้องวางแผน เพราะเราจำเป็นต้องทำให้ที่ตรงนั้นถูกเคลียร์ให้ได้เยอะที่สุด เพื่อขั้นตอนถัดไปครับ เพราะทุกอย่างในเกมนี้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ บางทีถ้าช่องว่างเหลือเยอะ ๆ ก็อาจจะทำให้ปูพื้นที่สีเขียวได้ไม่ครบตามจำนวนที่เกมต้องการ และเราจะผ่านไปเล่นในขั้นตอนต่อไปไม่ได้ครับ ปูพื้นที่สีเขียว - หลังจากกำจัดสารพิษในพื้นดินแล้ว ทีนี้เราก็จะมาวุ่นวายกับการปูหน้าดินครับ ไอ้ตรงนี้แหละก็เป็นส่วนสำคัญมาก ๆ เพราะเราจะได้ทรัพยากรใบไม้ในเกมมาใช้ซื้อของได้ ในเกมจะมีเปอร์เซ็นต์ให้ดูว่าเราปูพื้นที่ไปได้ถึงกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ครบ 100 เมื่อไหร่ ตัวเกมก็จะมีภารกิจการปลูกต้นไม้หรือสร้างสิ่งแวดล้อมประจำภูมิภาคนั้น ๆ ครับ บางแมปอาจจะไม่ใช่แค่การปูพื้นที่สีเขียวอย่างเดียว แมปหลัง ๆ เราอาจจะต้องเคลียร์สภาพน้ำให้สะอาดควบคู่ไปกับการปูหน้าดินด้วย เราถึงจะสามารถบรรลุภารกิจได้ครับการสร้างระบบนิเวศประจำถิ่น - เราจะมาเตรียมพื้นที่ให้เหมาะกับสภาพอากาศในโซนที่เราเล่นครับ ตรงนี้จะมีตารางเปอร์เซ็นต์ให้เราดูอยู่ทางด้านขวามือในเกม ว่าเราจะต้องเพิ่มอุหณภูมิหรือลดอุณหภูมิให้อยู่ที่เท่าไหร่, ในพื้นที่ควรมีป่าแบบไหนบ้าง, ควรมีบึงหรือมีป่าชายเลน ตัวเกมจะบอกเราหมดครับว่าต้องสร้างอะไรเป็นจำนวนเท่าไหร่ จะมีเกจบอกอยู่ว่าเราสร้างพื้นที่ป่าชนิดนี้เพียงพอแล้ว หลังจากทำครบทีนี้ตัวเกมจะให้เราไปพาสิ่งมีชีวิตมาอยู่อาศัยในพื้นที่ครับการส่องสัตว์ - เป็นระบบที่สนุกดีครับ คือเราจะต้องสร้างหอสังเกตการณ์สัตว์ขึ้นมาก่อน แล้วก็ต้องตามส่องมันในระบบนิเวศที่เราเพิ่งฟื้นฟูกลับขึ้นมาครบ 100% ตัวเกมจะมีรูปปริศนาพร้อมคำใบ้ครับ ว่าเจ้าสัตว์น้อยน่ารักพวกนี้มันชอบอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน เมื่อเราพอจะรู้แล้วก็เอาเมาส์ไปจิ้มบริเวณที่เราเดาว่าสัตว์ชนิดนั้นจะอาศัยอยู่ได้เลย ถ้าเราเดาถูกทั้งหมดสัตว์พวกนั้นก็จะปรากฎขึ้นมาบนแผนที่ในบริเวณที่เราจิ้มไปครับ ใน 1 การทาย ต้องทายให้ถูกครบทั้งหมด จะ 2 หรือ 3 อย่างก็ขึ้นอยู่แต่ละชนิดของสัตว์ครับ เช่นผู้เขียนอยากหาหมีขั้วโลก เริ่มต้นมานั้นผมยังไม่รู้หรอกว่าหมีขั้วโลกต้องอยู่แบบไหน ผมก็จะเดา ๆ จากคำใบ้ ว่ามันต้องมีลานหิมะนะยู เท่านั้นยังไม่พอต้องติดกับน้ำแข็งด้วย แถมให้ด้วยอะตรงนั้นต้องมีกวางเรนเดียร์ด้วย เพราะต้องเป็นอาหารพี่หมี อันดับแรกเลยแสดงว่าเราต้องหากวางให้เจอก่อนครับ แล้วเราก็ไปสร้างลานหิมะ แถว ๆ ตรงที่มันมีลานน้ำแข็ง ที่พูดมานี่เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนะฮะ สัตว์บางชนิดถ้าวางแผนการสร้างตั้งแต่เริ่มต้นมาไม่ดี บอกเลยบางทีได้กดเริ่มเล่นใหม่กันเลยครับแต่ถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้เป็นสายสะสมแบบผู้เขียนที่จะต้องเก็บสัตว์ให้ครบทุกชนิด จริง ๆ ตัวเกมมันให้หาแค่ 3 ตัว เราก็สามารถผ่านภารกิจได้แล้วครับการรีไซเคิล - อันนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะผ่านไปแมปต่อไปครับ เราแค่รื้อทุกสิ่งที่เราสร้างมาออก โดยการใช้เรือ รถไฟ หรือโดรนสำหรับรีไซเคิลครับ สิ่งปลูกสร้างของเราต่าง ๆ เราจะต้องเอาออกให้หมดก่อนถีงจะสามารถผ่านไปได้ ขั้นตอนนี้เราต้องสร้างญาณสำหรับย้ายที่รอไว้ด้วยครับ ไม่เช่นนั้นเราจะสร้างโรงรีไซเคิลไม่ได้ พอเก็บทุกอย่างออกจากระบบนิเวศที่เราฟื้นฟูกลับมาจนครบทุกชิ้น จะมีปุ่มสีแดงให้กด กดเมื่อไหร่ยานเราจะออกสตาร์ตไปด่านต่อไปทันทีครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมTerra Nil เป็นเกมวางแผนการบริหารทรัพยากร ภาพ 2.5 มิติ น่ารักตะมุตะมิ มีมุมมองจากด้านบนลงมา หมุนภาพไม่ได้ และสามารถเล่นได้คนเดียว ระบบการบังคับต่าง ๆ ไม่มีอะไรยุ่งยากเลยครับ เพราะใช้เมาส์เป็นหลัก เมาส์แบบออนลี ไม่มีคีย์บอร์ดมาเป็นแสตนด์อินใด ๆ นอกจากว่าเราจะอยากใช้ครับ ฮ่า ๆ ระบบ Toturial มีแทรกสอนอยู่ในเกมตลอดในช่วงแรกUI ต่าง ๆ ใช้งานง่ายครับ มีบางอย่างอาจจะน่ารำคาญไปบ้าง อย่างระบบส่องสัตว์ เพราะตอนส่องปิดเมนูไม่ได้ เลยทำให้มันบดบังทัศนียภาพในการหาสัตว์อยู่พอสมควรครับสรุปTerra Nil สำหรับผมนั้นมันยังไม่ใช่เกมสร้างเมืองในช่วงหลังโลกล่มสลายอย่างที่ผมวาดภาพในหัวเอาไว้ แต่มันเป็นเกมแนวบริหารทรัพยากรที่ต้องใช้หัวคิดอยู่พอสมควรครับ เกมไม่ได้ยากหรือง่ายเกินไป แต่ถามว่าตึงไหม มันจะเริ่มไปตึง ๆ แบบต้องกดเริ่มเกมใหม่อยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่แมป 3 เป็นต้นไป ผู้เขียนจัดวางระบบนิเวศบางส่วนไม่ดีจึงทำให้เปอร์เซ็นต์ต่าง ๆ มันขาดอยู่บ่อยครั้งครับ เกมยังมีบัคต่าง ๆ ให้ได้พบชวนงงอยู่บ้าง หรือผู้เขียนไม่แน่ใจว่า Dev เขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้หรือเปล่า สมมติถ้าเราเลือกเล่นโหมด Easy และเราได้ทรัพยากรเริ่มต้นมา 1000 แล้วเราปรับเป็น Hard ในเกม ตัวเกมก็จะยังให้ทรัพยากรเรา 1000 ไม่ได้ลดลงไปอยู่ที่ 500 เหมือนที่มันควรจะเป็น ตรงนี้ผมว่ามันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ราคาเกม 549 บาท กับ 4 แมป + อีก 4 แมปที่ปลดล็อกหลังจบเกม ผมมองว่ามันยังดูว่ามันแพงเกินไป เล่นไปจนถึงแมป 4 ก็คิดว่ามันจะต้องมีแมป 5 สรุปว่า End Credit ขึ้นมา ผมนี่ ห๊ะ!!! จบแล้วเหรอ??? เพราะผมรู้สึกว่าเพิ่งเล่นได้แป๊บเดียวเอง จบซะละ  ฮ่า ๆ แต่ไม่เป็นไรครับ เกมนี้เขาแบ่ง 8% จากยอดขายไปบริจาคให้กับองค์กรปกป้องถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า ที่ตั้งอยู่ในแอฟริกาด้วย เอองั้นโอเคผมยอมก็ได้ ถือว่าช่วยน้อน ๆ สัตว์ป่า และก็ถือว่ามันเป็นเกมที่เล่นได้เพลิน ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเลยด้วย ให้อภัยก็ได้ (แต่จบไวไปหน่อยอะมุแง้)สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1593030/Terra_Nil/
08 May 2023
[Review] รีวิวเกม Big Ambitions สวมวิญญาณ CEO บริหารธุรกิจแบบสมจริง
Big Ambitions เป็นเกมที่เราจะต้องมารับบทเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่ครับ เริ่มตั้งแต่ทำงานเล็ก ๆ ตามร้านค้าทั่วไป ทำงานหาเงินในเกมจนขยับขยายชีวิตตัวเองไปจนถึงจุดที่ว่าเราจะกลายเป็นนักธุรกิจท่านหนึ่ง ตัวเกมจะให้เราสวมบทบาทเล่นตามเนื้อเรื่องที่สมมติขึ้นมาเพื่อจำลองให้เราได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ของการมีชีวิต ให้ได้รู้กันไปเลยว่ากว่าจะประสบผลสำเร็จได้มันต้องประกอบไปด้วยตัวแปรอะไรบ้าง นี่แค่ไปดูข้อมูลมานิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนเล่นก็ได้แต่ร้องว้าวซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ฮ่า ๆ วันนี้ผมตั้งใจเลยว่าจะต้องเล่นมันให้ได้ แต่ไม่รู้ว่าเกมเพลย์จะเป็นอย่างที่ใจหวังไว้ไหมBig Ambitions ลงวางขายใน Steam แบบ Early Access เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2023 เกมเพิ่งออกมาได้ไม่กี่เดือนเองฮะ มาดูกันดีกว่าว่าถ้าได้ไปเล่นมันด้วยตัวเอง มันจะดึงดูดผู้เขียนได้สักแค่ไหนกันเชียว (คาดหวัง ๆ)เกมเพลย์ต้องว่างจริง ๆ ถึงเล่นได้Big Ambitions เป็นเกม Life Sims แบบ RPG ผู้เขียนเลือกเล่นแบบ Story Mode นะครับ เพราะ Custom Mode นั้นไม่เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่ เริ่มต้นมาเราจะได้เล่นเป็นเด็กหนุ่ม / เด็กสาว (แล้วแต่เราจะเลือกสร้างตัวละครครับ) อายุ 18 คนหนึ่ง ที่คุณย่าของเขาได้จากไป และในงานศพนั้นจะมีลุงของเขายื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่หลงทางอย่างเรา ว่าจะต้องเริ่มทำธุรกิจอย่างไร ช่วงแรกลุงจะเป็นคนแนะนำและไกด์ให้เราทุกอย่างเลยครับ ตั้งแต่ให้เริ่มไปสมัครงานก่อน เพื่อที่จะได้มีรายได้ที่สม่ำเสมอ และยื่นกู้กับธนาคารได้ เล่นมาถึงตรงนี้ผมนี่ว้าวเลยฮะ ทุกอย่างสมจริงเป็นอย่างมาก มีการสร้างสเตทมง เสตทเมนต์ ฮ่า ๆ หลังจากกู้เงินผ่านแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง ลุงแกก็สอนเราแบบไม่หวงวิชาเลยสักนิด เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันว่าหลังจากเรากู้เงินธนาคารมาแล้ว เราสามารถเอาชีวิตรอดไปกับโลกทุนนิยมของเกมได้ไหม ตามไปอ่านต่อกันได้เลย(เรากับลุงไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เด็กหนุ่มเลือกที่จะไว้วางใจลุงของเขา เพราะยังไงก็คือญาติกัน และเขาต้องการยืนด้วยลำแข้งของตัวเองครับ)ที่อยู่อาศัย - เริ่มแรกเราต้องเช่าห้องพักสำหรับอยู่อาศัยครับ ในเริ่มต้นนั้นเราจะได้เงินสำหรับการตั้งตัวมา 10,000$ หลังจากนั้นเราต้องเปิดแผนที่ตามที่ลุงสอน และเลือกห้องพักที่ถูกใจ (ตรงนี้ทำตามเควสไปเรื่อย ๆ ได้เลยครับ)ในห้องพักเราจำเป็นต้องมีตู้เย็นเอาไว้ใส่อาหารครับ เพื่อที่จะได้มีข้าวกินสำหรับเพิ่มพลังงาน (ลุงจะแนะนำให้เราไปซื้อ) ในส่วนนี้เราสามารถตบแต่งห้องของเราได้ แต่เราต้องไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก่อนครับ (อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกขายอยู่ในร้านเดียวกัน ตรงนี้เดี๋ยวลุงจะสอนเราว่าร้านไหนขายอะไรบ้าง)เช่น อย่างตู้เย็นเราอาจจะต้องไปซื้อที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า, โต๊ะเก้าอี้เราอาจจะต้องไปซื้อที่ร้านอุปกรณ์ออฟฟิซ ซึ่งบอกเลยว่าเกมนี้เราจะหมดเวลาไปกับการเดิน เดิน และเดิน เอาง่าย ๆ ว่าเดินจนเบื่อจะเล่นอะครับ ฮ่า ๆ เตียงนอนนั้นจะมีมาให้เราอยู่แล้ว เอาไว้มานอนเวลาเราต้องการจะ Skip เวลาในเกมให้มันไวขึ้นครับ สามารถตั้งปลุกไปในช่วงเวลาที่เราต้องการในวันถัดไปได้ และก็เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับตัวละครของเราด้วยเราสามารถโยกย้ายที่พักอาศัยได้ตามกำลังทรัพย์ และความสะดวกในพื้นที่ เอาเป็นว่าถ้าเราเริ่มมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว ควรเช่าตึกสำหรับทำธุรกิจของเราให้อยู่ใกล้ ๆ กับที่พักอาศัย ไม่เช่นนั้นเราจะเบื่อเกมนี้เร็วมาก ๆ เดินกันให้มันเป็นเส้นเลือดขอดไปเล้ยยยยการซื้อของ การสต็อกของ - ผมรวมเอามาไว้ด้วยกันเลย เพราะทำทุกอย่างเหมือนกันครับ การซื้อของใส่ตู้เย็นเพื่อเก็บเอาไว้กินนั้นเราสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Supermarket หรือ มินิมาร์ต เมื่อเข้าร้านไปอย่างแรกที่ต้องทำเลยคือหยิบตระกร้า เพราะยังไงเราต้องซื้อมากกว่า 1 ชิ้นอยู่แล้ว ถ้าเราจะถือของในมือ มันจะจำกัดแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นครับ เมื่อได้ของแล้วก็ถือถุงเดินกลับบ้าน หรือจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านก็ได้ แต่เสียเงินและต้องรอแท็กซี่ผ่านมาครับส่วนการซื้อของไปทำธุรกิจนั้นก็ต้องไปตามร้านขายส่งต่าง ๆ ซื้อตู้เย็นสำหรับขายโซดา, เตาเบอร์เกอร์, ตู้สำหรับวางเครื่องคิดเงิน, เครื่องคิดเงิน, ชั้นขายของ, และอุปกรณ์การทำความสะอาด การสต็อกของเราก็นำของที่ซื้อเดินไปใกล้ ๆ กับอุปกรณ์ครับ เช่นตู้น้ำโซดา - เอาโซดาแล้วเดินไปกดที่ตู้ โซดาทั้งหมดที่ซื้อมาจะถูกสต็อกอยู่ภายในตู้ให้ลูกค้าซื้อ หลังจากหมดแล้วเราต้องไปซื้อของมาเติมใส่ตู้ใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หลัง ๆ จะสะดวกขึ้นมาหน่อยตอนเรามี Warehouse แล้วของจะถูกเติมให้เองแบบอัตโนมัติเตาเบอร์เกอร์ เตาไส้กรอก ชั้นวางของสำหรับขายของขวัญ เราก็ทำเหมือนกับตู้โซดาได้เลยครับพาหนะ - เล่นไปเรื่อย ๆ ลุงของเราจะให้รถคันเก่าของเขามาใช้ครับ บอกเลยว่าไม่ค่อยปลื้มระบบขับรถเท่าไหร่ เพราะสมจริงมาก ๆ มันทำให้การเล่นเกมโคตรจะเสียเวลา ตอนแรกก็คิดว่าจะช่วยให้เร็วขึ้นครับ แต่นั่งแท็กซี่บอกเลยว่าไวกว่าเยอะ จอดไม่ดีก็เสียค่าปรับ ชนอะไรก็ไม่ได้เพราะค่าซ่อมแพงมาก ๆ ถึงแม้จะฝ่าไฟแดงได้เพราะในตอนนี้ยังไม่โดนใบสั่งจากการทำผิดกฎจราจร แต่ถ้าโดนรถคันอื่นชนขึ้นมาก็ไม่คุ้มกับค่าซ่อมอยู่ดีครับ บางทีรถติด เราก็ต้องติดอยู่กับมันแบบนั้นด้วย ในชีวิตจริงก็เบื่อแย่แล้วเรื่องรถติด ต้องตามมาเจอในเกมอีก สมจริงสุด ๆ ถึงแม้รถของเราจะขนของได้เยอะ แต่เราก็ต้องเดินมาขนออกจากรถทีละกล่อง ทีละกล่อง ซึ่งมันเป็นอะไรที่เสียเวลาชีวิตมากครับ แท็กซี่จึงตอบโจทย์ผู้เขียนมากกกกกกสำหรับเกมนี้ คือดีตรงที่ว่าเราสามารถเข็นรถเข็นออกมาจากร้านค้าต่าง ๆ ได้เลย แล้วเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งตามจุดที่เราต้องการ พอลงรถรถเข็นก็จะมากับเราด้วย (ซึ่งตรงนี้ไม่รู้ว่าเป็นบัคหรืออะไร) เข็นรถเข้าไปในร้านของเราได้เลย แล้วก็ค่อย ๆ หยิบกล่องสินค้าที่เราซื้อมาทีละกล่องไปลงสต็อกในร้านของเรา บอกเลยว่าแท็กซี่สะดวกกว่าขับเองเป็นอย่างมาก แต่แค่ต้องเสียค่าโดยสารอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็เลือกใช้วิธีเดินบ้าง เรียกแท็กซี่บ้างตามสถานการณ์การเงินในตอนนั้นครับการจ้างพนักงาน - เราจะต้องไปเรียนหลักสูตรการจัดการขั้นพื้นฐานจนจบหลักสูตรครบ 100% เสียก่อน ในส่วนนี้ถึงจะปลดล็อกครับ หลังจากเรียนจบแล้วให้ไปที่ศูนย์จัดหางาน แจ้งความจำนงค์ต่อเจ้าหน้าที่ไปครับว่าเราต้องการพนักงานอะไรบ้าง เพื่อไปทำงานที่ร้านไหนของเรา เจ้าหน้าที่เขาจะขอเวลาหาคนครับ เมื่อหาได้แล้วจะมี SMS แจ้งเราเข้ามาทางโทรศัพท์ ในครั้งแรกเราจะต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์จัดหางานก่อนครับ หลังจากนั้นถ้าเราต้องการรับสมัครพนักงานเพิ่ม เพื่อไปทำงานร้านอื่น ๆ ของเรา ก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่านมือถือของเราได้เลยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมBig Ambitions เป็นเกมแนว Life Sims บริหารจัดการแบบ RPG ได้เดินผจญภัยไปตามเมืองแมนฮัตตัน (ในเกมมีเขียนว่าเป็นย่านนั้นนะครับ) มีมุมมองจากด้านบนลงมา หมุนได้ 360 องศา ภาพเป็นการ์ตูน 3D บังคับตัวละครได้อิสระการบังคับในเกมใช้เมาส์ในการบังคับตัวละครครับ จิ้มให้เดินไปตามทิศทางที่ต้องการ ส่วนถ้าตอนเราขับรถจะใช้ปุ่ม W,A,S,D ในการบังคับทิศทาง ซึ่งสร้างความสับสนให้ผมตลอดทั้งเกม ระบบ Toturial มีสอนระบบต่าง ๆ ให้เราอยู่ตลอด โดยลุงของเราเองUI ต่าง ๆ สวยงามดีครับ ใช้งานง่ายไม่ว่าจะเป็นระบบเปิดปิดร้าน จัดตารางเวลาลูกจ้าง การขายอสังหาริมทรพย์ แผนที่อะไรต่าง ๆ ออกแบบมาให้ใช้งานไม่ยาก และดูไม่รกตาครับสรุปBig Ambitions สำหรับผู้เขียนนั้นต้องขอบอกกันตามตรงว่าเป็นเกมที่น่าเบื่อมาก ๆ เหมือนเกมโฟกัสไปในจุดที่ไม่ควรโฟกัส เพราะด้วยความที่มันไม่สุดไปสักทาง จะเป็น Life Sims ก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะมีระบบให้ตบแต่งห้องนอน ร้านค้าต่าง ๆ ของเราก็จริง แต่ก็ไม่รู้จะแต่งไปทำไม ตัวเลือกของตบแต่งก็มีน้อย ทำอะไรกับตัวละครก็ไม่ได้ ได้แค่กินกับเดินไปเดินมา เอาจริง ๆ ผมไปเล่นเดอะซิมส์ยังได้ฟีลลิงที่ดีกว่า ถ้าบอกว่าเกมนี้ไม่ใช่เดอะซิมส์แต่เป็นเกมทำธุรกิจ ก็เป็นธุรกิจที่ไม่ได้เจาะลึกอะไรมากมาย เล่นง่าย ๆ เหมือนเด็กเล่นขายของ ถึงจะเปิดร้านที่เป็นธุรกิจคนละประเภทกัน แต่การทำธุรกิจซื้อของอะไรต่าง ๆ เข้าร้าน มันดันทำออกมาเป็นแนวเดียวกันเลย การเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจก็ไม่ลึกมาก สร้างความเบื่อหน่ายเวลาไปซื้อของมาสต็อก ซึ่งช่วงหลัง ๆ อาจจะดีขึ้นหน่อยตรงที่มี Warehouse ซึ่งของเติมให้เองการสต็อกของน่าเบื่อเกิดจากอะไร เกิดจากการที่ต้องขับรถถูกกฎจราจร ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะต้องตรงเป๊ะตลอดเวลาในเกม ชีวิตจริงรถติดก็เครียดจะตายอยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมาเจอในเกมอีก ต้องกังวลว่าจะชนเพราะค่าซ่อมแพง ต้องจอดให้ดีเพราะโดนค่าปรับ แต่ยังดียังมีแท็กซี่ให้เรียก ช่วงได้รถมาใหม่ ๆ ผมนี่เดินล้วนครับไม่ไหวจะซ่อม ฮ่า ๆเอาเป็นว่านี่เป็นแค่ระบบในเกมส่วนหนึ่งที่ผมเอามายกตัวอย่างเพื่อเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้คัดกรองเกี่ยวกับเกมนี้เบื้องต้นว่าควรซื้อดีหรือไม่ซื้อดี ในส่วนนี้มันเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น เพื่อน ๆ ไปเล่นอาจจะมองอีกมุมมองหนึ่งก็ได้ คนเราชอบไม่เหมือนกันครับ ถามว่าเกมแย่ไหมก็ไม่ได้แย่แค่มันไม่ถูกกับจริตของผมเท่านั้นเอง ใครสนใจสามารถไปสั่งซื้อใน Steam ได้ 455.39 บาท แต่ผมว่าราคาแอบแรงไปหน่อย ใครรอได้ไปรอซื้อตอนลดราคาดีกว่าครับ อาจจะเพราะด้วยความที่มันเป็น Early Access ตัวเกมมันก็อาจจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ถ้า Dev Update ต่าง ๆ ได้ตาม Roadmap ที่วางไว้ หรือแก้ไขส่วนที่ไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง ในอนาคตเกมนี้อาจจะเป็นเกมที่สนุกกว่านี้ก็ได้ครับสำหรับผมสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1331550/Big_Ambitions/
05 May 2023
[พรีวิว] XDefiant เกมยิงเล่นฟรี ความหวังใหม่ของเกมออนไลน์จากค่าย Ubisoft
ต้องบอกว่าทาง Ubisoft ไม่เคยย่อท้อในการผลักดันเกมออนไลน์ประเภท Live Services หลังจากล้มเหลวไปแล้วกับ Hyper Scape เมื่อปี 2021 ตอนนี้ Ubisoft กลับมาอีกครั้งกับ XDefiant เกมยิงเล่นฟรีที่มาในสไตล์ Call of Duty แถมได้กระแสตอบรับที่ดีซะด้วย หลังจากเปิดทดสอบไปแล้ว ตัวเกมจะเป็นยังไง มาดูพรีวิวจากทางเรากันก่อนจะมาเป็น 'XDefiant'ย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2021 ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ Hyper Scape เปิดตัว Ubisoft ได้ประกาศเปิดตัว Tom Clancy's XDefiant ซึ่งมีคอนเซปต์เป็นการนำเอากลุ่ม Factions ต่าง ๆ จากเกมซีรีส์ Tom Clancy มารวมกันเป็นเกมยิงแบบ Team Base Shooter แน่นอนว่าตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ไปในแง่ลบซะส่วนมาก พร้อมโดนติติงว่า เหมือนเอาชื่อ Tom Clancy มาหากินเฉย ๆ ทำให้ทาง Ubisoft ตัดสินใจเลื่อนการเปิดทดสอบออกไป และหายเข้ากลีบเมฆไปยาวกว่า 1 ปีเต็มในปี 2022 Ubisoft ประกาศสั่งยกเลิกเกมหลายเกมในโครงการไปเพียบ แต่หนึ่งในเกมที่ยังอยู่รอดก็คือ XDefiant โดยประกาศว่าตัวเกมจะเปลี่ยนชื่อเกมใหม่ โดยตัด Tom Clancy ออก เหลือไว้เพียงคำว่า XDefiant ก่อนจะประกาศว่าจะมีการทดสอบภายใน ในช่วงต้นปี 2023 และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา XDefiant ก็พร้อมเปิดให้เล่นช่วง Beta Test โดยแจกโค้ดเข้าร่วมทดสอบตามสื่อต่าง ๆ และที่น่าเหลือเชื่อคือตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวความมุ่งมั่นจะเป็นเกม Live Services และกลิ่นอาย Call of DutyXDefiant เป็นผลงานเกมที่ได้สองผู้กำกับมากฝีมือมากำกับ คนแรกคือ Mark Rubin อดีตทีมงานของ Infinity Ward ที่เคยทำเกมดัง ๆ อย่าง Call of Duty: Modern Warfare ต้นฉบับทั้งสองภาค และอีกคนคือ Jason Schroeder ดังนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าใครที่เคยผ่านไปเห็นเกมเพลย์แล้วมีความรู้สึกว่ามันช่างคล้ายคลึงกับ Call of Duty เสียเหลือเกิน เหมือนเดิมกับที่ Ubisoft หมายมั่นปั้นมือไว้ ก็คือพวกเขาพยายามจะหาเกมสักเกมที่สามารถขายได้ในระยะยาวผ่านการอัปเดตเป็นฤดูกาล แต่อย่างที่เรารู้กัน สมัยนี้เกม Live Services ตัวโหดก็ยึดบัลลังก์ไว้แทบหมด ไม่ว่าจะเป็น PUBG, Apex Legends, Fortnite และนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Hyper Scape มันล้มเหลวในตอนแรก ทำให้คราวนี้ พวกเขาเลือกที่จะทำให้เกมเข้าถึงง่ายด้วยเกมเพลย์แบบ Old School เน้นยิงกันมัน ตายกันไว เกิดก็ไว ให้ผู้เล่นเอ็นจอยกับตัวเกมได้ง่ายที่สุด และเป็นสิ่งที่ Call of Duty ภาค Modern Ware ทั้งสองภาคทำได้ ก็คือเกมเพลย์ที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ให้ผู้เล่นสนุกไปกับตัวเกม ใครที่ได้ลองช่วงทดสอบมาแล้วจะรู้เลยว่า นี่คือกลิ่นอายของ Call of Duty ภาคเก่า ๆ จริง ๆ  แต่น่าแปลกใจที่แม้เกมจะเปิดต้วช้ามาก เรียกได้ว่ากว่าจะได้เล่นกันจริง ๆ ก็เกือบสองปีจากประกาศแรก แต่ฟีดแบคจากผู้เล่นนั้น ค่อนข้างไปในทางที่ดี ซึ่งเราจะเล่าประสบการณ์เกมเพลย์ในช่วงเบต้าให้ได้ดูกันโหมดเกมสุดคลาสสิค ระบบการเล่นสุดคลาสสิคและร่วมสมัยในเวลาเดียวกันในขณะที่เกม Shooter สมัยใหม่ พยายามจะแหวกแนวด้วยอะไรก็ตาม Ubisoft เลือกที่จะนำความ Old School กลับสู่เกมนี้ ด้วยกลิ่นอายความคลาสสิคทั้งระบบและโหมดเกมเพลย์การเล่น แต่ใส่ความร่วมสมัยเข้าไป อย่างเช่น Role ของตัวละคร โดยเกมนี้แบ่งออกเป็น 5 หน่วยรบ อ้างอิงจากหน่วยรบต่าง ๆ ในจักรวาลเกมของ Ubisoft ได้แก่ กองกำลัง Libertad จากเกม Far Cry 6 / หน่วยรบ Phantoms จาก Ghost Recon / หน่วย Echolon จาก Splinter Cell / Cleaners จาก The Division และ DedSec จาก Watch Dogs โดยหน่วย DedSec ไม่ได้เปิดให้เล่นในช่วงทดลองนี้ แต่ละหน่วยเองก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่น Libertad จะมีความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับทีม หรือ Phantoms สามารถสร้างโล่และเสริมความแข็งแกร่งชั่วคราวได้ ทำให้หากอธิบายภาพรวมให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น มันก็คือเกม Call of Duty ที่มีสกิลให้กดใช้งาน และรุกรับพลิกผันกันด้วยจังหวะการใช้สกิลด้วย แต่หลัก ๆ แล้ว ใครยิงคมกว่าก็ได้เปรียบอยู่ดี เพียงแต่ในเกมนี้ ปัจจุบันยังไม่มีระบบกดคนเล่นใหม่ซะยับเยินแบบ Killstreak หรือ Scorestreakในด้านโหมดการเล่น ในช่วงทดสอบหลัก ๆ จะมีให้เล่นกันอยู่ 4 โหมดคือ Escort โหมดการคุ้มกันหุ่นยนต์ไปให้ถึงที่หมาย คล้าย ๆ การดัน Payload ใน Overwatch / Zone Control โหมดยึดพื้นที่คล้าย ๆ โหมด Domination แต่จะมีพื้นที่ทั้งหมด 5 จุดให้ยึด / โหมด Domination อันนี้แฟนเกม Call of Duty ทุกคนต้องเคยเล่นกันอยู่แล้ว และ Occupy ที่คล้าย Domination แต่จะมีจุดเดียวให้ยึด สลับกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งยังมีโหมดแยกย่อยที่หมุนเปลี่ยนเวียนมาให้ได้เล่นกันอย่างต่อเนื่อง ใครอยากเล่นโหมดไหนก็ไปทางโหมดนั้นได้เลยสำหรับเกมเพลย์การเล่น ก็จะเป็นการแบ่งทีมแล้วสู้กันตามเงื่อนไขของโหมดนั้น ๆ ในด้านของ Gunplay ต้องบอกเลยว่า ใครเล่น Call of Duty มาก่อน จะปรับตัวได้ไม่ยาก แต่ในด้าน Movement และการเคลื่อนไหวนั้น จะค่อนข้างใช้ของเกมยุคเก่า ยังมีการสไลด์ตัวอยู่ ตัวละครแต่ละตัวจะมีสกิลและความสามารถให้กดใช้ รวมไปถึงท่าไม้ตายประจำคลาสนั้น ๆ การจะเร่งใช้ท่าไม้ตายหรือสกิล คือการยิงกำจัดศัตรู ทำให้ระบบตรงนี้มีความคล้ายคลึงกับ Scorestreak อยู่บ้าง แต่ความสามารถของเราจะไม่โกงขนาดนั้น แค่การใช้สกิลได้บ่อยขึ้น ไม่ได้ทำให้เราเก่งขึ้น เพราะสกิลของแต่ละหน่วยมีความสามารถไม่เหมือนกัน แต่จากการเล่นรอบทดสอบ บอกได้เลยว่า หลายสิ่งหลายอย่าง อาจจะต้องมีการปรับสมดุลและบาลานซ์กันพอสมควร โดยเฉพาะการฟื้นฟูพลังชีวิตของหน่วย Libertad ที่เลือดเด้งได้แบบโหดมาก ยิงไม่ตาย เอากันไม่ลงสักทีภาพรวมของ XDefiant นั้น ถือว่าออกแบบ Gunplay มาได้ค่อนข้างสนุก ด้วย TTK (Time to Kill) ที่ค่อนข้างต่ำมาก ยิงตายกันไวเป็นใบไม้ร่วง แต่ก็เกิดใหม่กันไวมาก ไม่มีจังหวะไหนที่รู้สึกว่าสะดุดเลย แต่ใครที่ไม่ชินกับเกมเพลย์เร็ว ๆ อาจจะต้องปรับตัวกันสักหน่อย เกมนี้ความเร็วในการยิงปะทะกันนั้น ระดับน้อง ๆ Call of Duty เลยก็ว่าได้ระบบ Progression ของตัวปืนในแบบของ Call of Dutyก็สมกับที่เป็นอดีตคนทำ Call of Duty มาทำเกมใหม่ทั้งที นอกจากเกมเพลย์จะมีความเหมือนกันแล้ว ระบบ Progression หรือแม้กระทั่งความคืบหน้าเองก็ยังเอาของ Call of Duty มาต่อยอดด้วย นั่นคือระบบที่จะทำให้คุณ Grinding กันแบบยับ ๆ เพื่อปลดล็อค Attachment ของปืนกระบอกนั้น ๆ โดยวิธีการอัปเลเวลปืน ก็คือการเอาปืนกระบอกนั้นไปใช้งานด้วยการยิงคน ทำสกอร์เยอะ ๆ เบื้องต้นเกมไม่ได้ระบุชัดเจนว่า การทำ Objective นั้น ได้คะแนนเสริมด้วยหรือไม่ แต่หลัก ๆ คือการใช้ปืนนั้น เอาไปเล่นให้บ่อย เมื่อเลเวลปืนอัปแล้ว เราจะสามารถเข้าถึง Attachment หรือของแต่งปืนใหม่ ๆ ได้มากมาย ซึ่งจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นอยากแต่งปืนของตัวเองให้ออกมาเป็นแบบไหน แต่แน่นอนว่าในตอนนี้ ของแต่งปืน และอุปกรณ์ทั้งหลาย ยังไม่เทียบเท่ากับอื่น ๆ แน่นอน เพราะอยู่ในช่วงทดสอบ และคาดว่าระบบนี้น่าจะมีการปรับปรุงกันอีกเยอะพอสมควรเลยทีเดียว เพราะลำพังแค่การปลดล็อคอาวุธอาจไม่มีแรงจูงใจพอให้คนอยู่กับมันได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เกมนี้เหมือนเป็นการโคลนนิ่งระบบต่าง ๆ ของเกอื่น ๆ มาแทบจะทั้งหมด ทำให้เกิดข้อเสียที่คิดไม่ถึงเลยคือ เราเหมือนไม่ได้เล่นเกมใหม่เลย เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่มากกว่าทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอดูกันไปว่า ในช่วงเปิดให้บริการจริงของ XDefiant นั้น จะออกมาเป็นยังไง แต่อย่างน้อยฟีดแบคของเกมนี้ก็ออกมาในทางที่ดี ซึ่งอาจจะทำให้ Ubisoft ชื่นใจขึ้นมาบ้าง หลังจากผลงานในยุคหลังโดนคำครหาไปเยอะพอสมควร เอาไว้ตอนเกมเปิดจริง ๆ เรามารอดูกันอีกทีว่าเกมนี้จะเป็นยังไงในอนาคต
29 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม Star Wars Jedi: Survivor ภาคต่อเกมเจได Souls Like ถึงไม่ใหม่ แต่เร้าใจไม่แพ้เก่า
ถ้าให้ยกหนึ่งในเกมจากแฟรนไชส์ Star Wars ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ ชื่ออันดับต้น ๆ ในลิสต์ก็คงจะเป็น Star Wars Jedi: Fallen Order เกมแนว Action Adventure จากทาง Respawn Entertainment ค่ายเกมดังที่สร้าง Titanfall และ Apex Legends จัดจำหน่ายโดยทาง EA ซึ่งอ้างอิงจากทางร้านค้า Steam ตัวเกมได้คะแนนคำวิจารณ์ในทางบวกสูงถึง 85% เหตุผลก็เพราะว่าตัวเกมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ใส่กลิ่นอายของความเป็นเกมแนว Souls Like เข้าไปและมันกลับกลายเป็นดีอย่างมาก เพราะเราจะต้องเรียนรู้การโจมตีของศัตรู ต้องใช้ไหวพริบในการต่อสู้มากกว่าเกมก่อน ๆ ของแฟรนไชส์ที่เน้นการฟัน ๆ แบบ Hack and Slash และในปี 2023 ทางผู้พัฒนาก็ได้ต่อยอดความสำเร็จสร้างเกมภาคต่อในชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมนี้จนจบแล้วและจะมีรีวิวตัวเกมนี้ว่ามันจะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมภาคแรกหรือไม่กราฟิก / การนำเสนอสำหรับตัวกราฟิก ในภาคนี้ก็จะยังใช้โมเดลเดิมดั่งในภาคแรก แน่นอนว่าพอดูด้วยตาเปล่าก็อาจจะ แต่ผู้พัฒนาก็ได้ใส่รายละเอียดเพิ่มเติมทั้งในแง่ของแสงเงาที่มากขึ้น รายละเอียดที่มากขึ้น ยิ่งในช่วงของฉาก Cutscene เหล่าตัวละครนี่แทบจะเป็นเหมือนคนจริง ๆ แล้ว อีกสิ่งทีน่าสนใจก็คงจะเป็นในด้านแอนิเมชั่นของตัวละครที่การขยับตัวท่าทางต่าง ๆ จะมีรายละเอียดที่มากขึ้นด้วยรวมถึงขนาดของแผนที่ที่ใหญ่มากกว่าเดิมถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ Open World แต่ตัวแผนที่จะมีโซนพื้นที่กว้างให้เราสำรวจได้เยอะมาก ๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงจะเป็นการ Optimise ตัวเกม ซึ่งผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 เป็นคอนโซลรุ่นปัจจุบัน แต่ตัวเกมไม่สามารถรันเฟรมเรทนิ่ง ๆ 60 FPS ได้เลย ยิ่งในเวลาที่อยู่ในพื้นที่กว้างเราจะเห็นการกระตุกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันค่อนข้างส่งผลต่อการเล่นพอสมควร เพราะว่าเกมที่มีกลิ่นอาย Souls Like ถ้ากระตุก หรือบังคับไม่ได้ดั่งใจนิดเดียว มันอาจจะส่งผลทำให้เราตายได้เลย เนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของเกม Star Wars Jedi: Survivor จะเล่าเรื่องราวหลังจาก 5 ปีของเกมภาคแรก ซึ่งไทม์ไลน์จะอยู่ระหว่างภาพยนตร์ภาค 3 และ 4 ยังติตตามตัวละครเดิมอย่าง Cal Kestis เจไดหนุ่มที่ยังทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเหล่า Empire มาตลอด แต่ในภาคนี้พวกเขานั้นก็ได้มีจุดหมายใหม่ในการค้นหาดวงดาวใหม่อย่าง Tannalor ที่อาจจะเป็นความหวังของการอยู่รอดของเหล่าเจไดจากที่ได้ลองเล่นมาเนื้อเรื่องหลักของเกมมากกว่า 70% จะเป็นการตามล่าหาเข็มทิศที่เป็นอุปกรณ์ในการไปยังดวงดาวแห่งนี้ ซึ่งยอมรับตามตรงว่าตัวเนื้อเรื่องทำออกมาได้ค่อนข้างจืดชืดเป็นอย่างมาก การผจญภัยต่าง ๆ ก็ดูค่อนข้างรวบรัดมากเกินไป สิ่งเดียวที่น่าสนใจก็คงจะเป็นมิติของตัวร้ายที่ทำออกมาได้ไม่แย่เลย พวกเขานั้นมีอุดมการณ์และมีเหตุผลในสิ่งที่ทำ ถึงแม้ว่าบทของบางตัวละครจะมีไม่เยอะมากก็เถอะแต่พอเกมดำเนินเรื่องราวมาถึงช่วง 3-4 ชั่วโมงท้าย กราฟต์ความสนุกและความเข้มข้นของเกมก็พุ่งสูงปรี๊ดดดดด และสุดท้ายก็ทำให้เราเข้าใจถึงแง่ประเด็นจริง ๆ ที่ผู้พัฒนาต้องการจะเล่า ที่จะพูดถึงการอยู่รอดของเหล่าเจไดจากการตามไล่ล่าของ Empire ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการของตัวเอง หรือเหตุผลของตัวเองแตกต่างกันไป นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเกมภาคนี้ถึงใช้ชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor จากตอนแรกที่รู้สึกผิดหวังกับเนื้อเรื่อง กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ไม่เลวเลยเกมเพลย์ระบบการต่อสู้สำหรับใครที่เคยเล่นเกมภาคแรก ตัวเกมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมแต่ใดเลย กับสไตล์เกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น Souls Like เข้ามา การต่อสู้แต่ละครั้งตัวเรานั้นจะต้องจับจังหวะการโจมตีของศัตรู เราจะต้องใช้ดาบบล็อคการโจมตี หรือแดชหลบ การต่อสู้แต่ละครั้งเราจะต้องตั้งสติและพยายามให้ตัวเองเสียเลือดน้อยที่สุด ถือว่าเป็นแฟรนไชส์ที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ผู้พัฒนาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับคนที่เล่นเกมแนวนี้ไม่เก่งนะครับ เพราะตัวเกมยังมีระดับตัวเลือกความยากให้เรานั้นสามารถเข้าไปสนุกกับเนื้อเรื่อง รวมถึงยังสามารถสนุกกับเกมในโหมดที่ง่ายขึ้นได้ รวมถึงทางผู้พัฒนายังมีระบบตัวเลือกใหม่อย่าง Jedi Padawan ซึ่งจะเป็นระดับที่ต่ำกว่า Jedi Knight ที่ภาคที่แล้วเป็นระดับความง่ายรองลงมาจาก Story Mode เพราะผู้พัฒนาเผยว่ามีหลายคนที่ได้เล่นโหมดนี้แล้วยังยากเกินไปนั่นเองสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอีกก็คือรูปแบบของ Lightsaber ที่ในภาคนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีท่วงท่าการต่อสู้ ประสิทธิภาพแตกต่างกันไป Single Blade ดาบสไตล์ปกติที่จะมีประสิทธิภาพอยู่ระหว่างกลางในทุกอย่าง, Dual Blade ดาบคู่เป็นอาวุธที่เน้นโจมตีแบบรวดเร็ว, Double Bladed ดาบปลายหัวท้ายที่จะเน้นโจมตีแบบหมู่, Cross Guard Blade จะเป็นอาวุธที่ตีช้า แต่รุนแรงมาก และ Bluster and Blade เป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ดาบและปืน ซึ่งจะสามารถทำดาเมจได้ไกล แต่จะทำดาเมจเบา โดยเราจะสามารถเลือกรูปแบบดาบไปใช้ในการต่อสู้ได้เพียงแค่ 2 รูปแบบเท่านั้น แต่ถ้าเจอจุดเซฟเราก็สามารถเปลี่ยนตรงนั้นได้เลย รวมถึงตัวเกมยังมีระบบการอัพเกรดที่เราสามารถอัพเกรดท่าต่าง ๆ ของรูปแบบขออาวุธที่เราอยากเล่นได้ด้วยและระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบ Companions ที่ในบางฉากตัวเราจะมีเพื่อนร่วมทางที่จะมาช่วยเราต่อสู้ด้วย และความสามารถของตัวละครเพื่อนนั้นไม่ได้ขี้เหร่เบน พวกเขาสามารถทำดาเมจใส่ศัตรูได้เยอะมาก ๆ และที่สำคัญก็คือเราสามารถสั่งให้เพื่อนให้สกิลพิเศษที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เพื่อนวางระเบิดสตั๊นให้เราเวลาเจอกับศัตรูที่ถึกได้เป็นต้นฉากสำรวจภายในเกมนี้ ตัวเกมจะยังพาเราไปผจญภัยตามดวงดาวต่าง ๆ เช่นเดิม โดยดวงดาวหลัก ๆ ที่เราจะได้ไปผจญภัยนั้นจะมีอยู่ด้วยกันราว ๆ 2 - 3 ดาว (ไม่รวมดาวอื่น ๆ ที่อาจจะมีภารกิจเดียว) แต่แน่นอนอย่างที่กล่าวไปว่าขนาดของแผนที่นั้นจะมีความกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น ซึ่งใหญ่ขึ้นราว ๆ 2 - 3 เท่าของภาคที่แล้ว และจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน ๆ แต่สำหรับบางพื้นที่เราอาจจะยังไปไม่ได้ในตอนแรก เพราะข้อจำกัดในความสามารถบางอย่างของตัวละครเราที่อาจจะต้องเล่นเนื้อเรื่องไปจุดหนึ่งก่อนถึงจะปลดล็อคไปยังพื้นที่ใหม่นอกจากนี้ตัวเกมยังมีดวงดาวที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งภายในนั้นก็จะมีอะไรให้เราทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปรับแต่งทรงผม หนวดเคราของตัวละคร ซื้อของที่จำเป็น การทำสวน หรือแม้กระทั่งการรับภารกิจเสริม (เรียกว่า Rumour) ที่จะให้เราได้ไปทำภารกิจต่าง ๆ อย่างเช่นการล่าค่าหัว การไปยังพื้นที่นอกเหนือจากเนื้อเรื่อง ซึ่งจะทำให้เราได้ของรางวัลพิเศษมา อีกหนึ่งจุดเด่นนอกจากระบบการต่อสู้นั่นก็คือการสำรวจ ที่เราจะต้องเข้าไปยังดินแดนลับ หรือดินแดนต้องห้ามต่าง ๆ แน่นอนว่าระบบการปีนป่าย ไต่กำแพงต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ในภาคที่แล้วก็ยังมีอยู่เช่นเคย แต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ได้ใส่ลูกเล่นอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เราไม่เกิดความรู้สึกจำเจ ซึ่งตัวไอเดียก็มีเยอะมากไม่ว่าจะเป็นการขี่นกร่อนไปบนอากาศ การวาร์ปทะลุกำแพงเลเซอร์ การกระโดดขึ้นบอลลูนเพื่อส่งแรงกระโดดให้สูงขึ้นเป็นต้น ความรู้สึกหลังเล่นเริ่มจากตัวเกมเพลย์ แน่นอนว่ารูปแบบโดยรวมนี่ก็ยังเป็นเกม Star Wars Jedi: Fallen Order ที่ตัวเกมยังมีความท้าทายเช่นเดิม ซึ่งใครที่ชอบเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะติดใจอะไร แต่การที่เรามีรูปแบบดาบไลท์เซเบอร์ให้เลือกเล่นถึง 5 แบบก็ทำให้เกมเพลย์มีความไม่จำเจมากยิ่งขึ้นไปด้วย และสิ่งที่ผู้เล่นไม่ชอบเกมภาคที่แล้วมาก ๆ ก็คือการที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ภายในโลกมากเกินไป ลองคิดว่าเราเองนั้นเป็นแฟนเกมสตาร์วอรส์เราเองก็อยากต่อสู้กับเหล่า Stormtrooper หรือหุ่นยนต์ Droids มากกว่า แต่ในภาคนี้เราจะมีโอกาสได้ต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้มากขึ้น บอกเลยว่าประทับใจจริง ๆและอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตั้งแต่ช่วงแรกของเกม เลยไปจนถึงกลางเกม ตัวเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างมีความจืดชืดมาก ๆ ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องการผจญภัย ตามหาของต่าง ๆ แน่นอนว่าเกมเพลย์ที่สนุกก็สามารถทดแทนกันได้ แต่พอเข้าถึงจุดไคล์แม็ก ตัวเนื้อเรื่องนั้นกลับเข้มข้น เล่าประเด็นที่อยากเล่าอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าสุดท้ายตัวเนื้อเรื่องจะยังคงสูตรสำเร็จไว้ แต่ก็มีบางประเด็นที่น่าสนใจ และทำให้เราอยากติดตามแฟรนไชส์นี้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย แถมสุดท้ายตัวเกมก็ยังมีซีนเซอร์วิสให้แฟน ๆ สตาร์วอส์ แถมยังเป็นเซอร์วิสที่ใกล้ชิดมากกว่าเซอร์วิสของภาคแรกด้วยแหละแต่สิ่งที่ไม่โอเคเลยกับเกมนี้ก็คงจะเป็นปัญหาด้าน Optimise ที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ขนา่ดคอนโซลเจนใหม่ยังไม่สามารถเล่นเกมนี้แบบ 60 FPS ได้ เวลาที่ตัวเกมต้องเรนเดอร์ฉากที่มีขนาดใหญ่ ทำให้อรรธรสในการเล่นน้อยลงเยอะ แต่ก็ต้องรอดูในอนาคตว่าผู้พัฒนาอาจจะมีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็ได้
26 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม Tchia ผจญภัยสุดหรรษา บนเกาะทะเลใต้ที่อ้างอิงมาจากประเทศ New Caledonia
อากาศร้อนๆ แบบนี้อยากเที่ยวเกาะเที่ยวทะเลเสียเหลือเกิน และดูเหมือนว่าจะมีเกมหนึ่งที่เพิ่งปล่อยมาไม่นานนี้สามารถมอบประสบการณ์ดังกล่าวได้นั่นก็คือ Tchia นั่นเอง ซึ่งเป็นเกมที่ออกตัวอย่างชัดเจนเลยว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศที่มีอยู่จริงอย่าง New Caledonia แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักนักแต่ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ถือว่าสวยงามและน่าจดจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะได้พบเห็นในเกมนี้ด้วย แค่เห็นก็อยากล่องเรือและโดดลงน้ำทะเลแล้ว รีรออะไรกันเล่ารีบไปผจญภัยกับน้อง Tchia กันดีกว่า!แรงบันดาลใจที่หล่อหลอมออกมาเป็นเกมนี้เมื่อเรากดเริ่มเกม เราจะได้อ่านข้อความจากทีมพัฒนาว่า เกมดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศ New Caledonia ไม่ว่าจะเรื่องภูมิประเทศ พืชกับสัตว์ต่างๆ วัฒนธรรม อาหาร ดนตรี ภาษา หรือแม้แต่เรื่องเล่าพื้นบ้าน การได้เล่นเกมนี้เหมือนได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศนี้คร่าวๆ เลยทีเดียว (ถึงกระนั้นเกมก็มีการปรุงเสริมเติมแต่งตามจินตนาการด้วยเพื่อความสนุกสนานในการเล่น)ซึ่ง Tchia เป็นเกมที่สวยมาก ไม่ว่าจะใต้ผืนน้ำ หาดทราย ภูเขา ป่าไม้ แค่ได้เดินทอดน่องชมวิวไปเรื่อยๆ หัวใจก็ได้รับการเยียวยาโดยธรรมชาติแล้วTchia สาวน้อยกับพลังเหนือธรรมชาติเราจะไม่สปอยล์ว่าน้องมีพลังนี้ได้อย่างไร แต่นี่คือพลังที่เราจะได้รับมาก่อนที่จะออกผจญภัยนั่นก็คือ Soul jumping เป็นความสามารถที่เราจะสามารถสิ่งสู่สัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่สิ่งของ เช่น สิงนกเพื่อบินบนฟ้า สิงปลาเพื่อว่ายน้ำได้เร็วขึ้น เป็นต้น ทำให้เราสามาถเดินเหินไปทั่วเกาะทั้งสองได้อย่างสนุกสนานนอกเหนือไปจากการใช้สองเท้า ผ้าร่อนและล่องเรือ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดก็มีความสามารถเฉพาะด้วยที่สามารถช่วยแก้ Puzzle ต่างๆ ในเกมได้อีกด้วยนอกจากตัวเธอเอง เครื่องดนตรีอูคูเลเล่คู่ใจเธอนั้น นอกจากจะสามารถเล่นตรีได้ตามปกติแล้วยังสามารถบรรเลงบทเพลง Soul-Melodies ที่มีพลังพิเศษหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนช่วงเวลาของวัน การเรียกกับหยุดฝน หรืออัญเชิญสัตว์ต่างๆ มาให้เราใช้งาน (ไม่เช่นนั้นคงต้องเดินหากันจนเหนื่อย) ซึ่งบทเพลงพวกนี้จะได้มาจากการตั้งสมดุลหิน เป็นหนึ่งในมินิเกมที่เราจะได้พบเจอในโลกอันกว้างใหญ่โลก Open World ที่แสนอิสระในโลกของ Tchia จะมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ให้เราได้สำรวจ จะปีนขึ้นยอดเขาหรือดำลงไปใต้น้ำก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทำเนื้อเรื่องหลักเพราะข้างนอกนั่นมีอะไรให้ทำเยอะมาก ไม่ว่าจะมินิเกมอย่างการยิงเป้า วิ่งเข้าเส้นชัยก่อนหมดเวลาหรือกระโดดน้ำ การไล่เก็บของต่างๆ อย่างผลไม้เพิ่มสตามิน่า หอยมุก ปลาตะเพียน (เป็นเกมที่มีอะไรให้เก็บเยอะเหลือเกิน)แนะนำว่าการเปิด Viewpoint เป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรทำเพราะจะทำให้เราเห็นของต่างๆ บนแผนที่ เช่นเดียวกับท่าเรือที่ทำให้เราสามารถ Fast Travel ระหว่างท่าได้กิจกรรมเยอะแยะมากมายจริงๆระบบแผนที่ที่เหมือนเราลงไปเดินทางด้วยตัวเองเกมนี้มีเพียงแผนที่และเข็มทิศเท่านั้นที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ที่แห่งใด เพราะเราไม่สามารถรู้ตำแหน่งปัจจุบันได้โดยทันทีด้วยการเปิดแผนที่ ถึงกระนั้นเราสามารถใช้ความช่วยเหลือของ Tchia ให้เธอบอกขอบเขตที่เราอยู่อย่างคร่าวๆ ได้ หากเจอป้ายบอกทางก็จะทำให้พอรู้ด้วยว่าอยู่ตรงไหน ชวนให้นึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังไม่มี Google Map เลยทีเดียว แอบให้ความรู้สึกแปลกใหม่ (ทั้งที่เป็นสิ่งที่เก่าในชิวิตจริง) ยังไงชอบกลแฟชั่นที่แต่งได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า อูคูเลเล่ไปจนถึงเรือความสวยงามน่ะเรื่องใหญ่! และเกมนี้ก็จัดเต็มเรื่องชุดที่เราสามารถจับ Tchia แต่งตัวได้ ซึ่งของ Cosmetic จะได้มาจากการเปิดกล่องเก็บของ อยู่บนเกาะบ้างอยู่ในทะเลบ้าง รวมถึงการทลายแคมป์ด้วยการใช้วัตถุระเบิด ...อะไรนะ? ใช่ ได้ยินถูกต้องแล้ว เพราะเกมนี้มีระบบการต่อสู้นั่นก็คือการเผาเจ้าวายร้ายเศษผ้าให้สลายกลายเป็นจุณเกมนี้ไม่ใช่เกมสำหรับเด็กสักเท่าไหร่ แต่ก็อบอุ่นและน่าประทับใจแม้ภาพจะดูสดใสและตัวเอกเป็นเด็กสาวตัวน้อย ทว่าเพียงไม่กี่นาทีแรกที่เราเล่นเกมนี้ก็พอจะทำให้รู้ว่าเกมนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็ก (และยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเห็นความจริงข้อนี้)ถึงกระนั้น เนื้อเรื่องก็ถือว่าน่าสนใจ เราจะได้พบเจอกับคนอื่นๆ เพื่อผูกมิตรช่วยเหลือกันและกัน ได้รับรู้ความจริงทีละนิดละน้อยเกี่ยวกับพลังของ Tchia และครอบครัวของเธอ ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้น.. คงต้องให้ทุกท่านได้ลองเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองเป็นเด็กเป็นเล็กหัดเล่นระเบิดนะสรุป: เป็นประสบการณ์การเล่นที่ชวนอินไปกับโลกของเกม Tchia แต่ก็ยังแอบตื้นเขินในบางจุดด้วยความที่ตัวเกมได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศที่มีอยู่จริง สิ่งที่หล่อหลอมตัวเกมขึ้นมาจึงทำให้เรารู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในโลกนี้จริงๆ ได้ไม่ยากเลย พวกมินิเกมหรือสิ่งต่างๆ ที่เราสามารถทำได้ในโลก Open World ก็ถือว่าเยอะและหลากหลายแต่ด้วยความที่ระบบเกมไม่ได้ลึกนัก เราจึงแอบเสียดายระบบ Soul jumping ที่น่าจะทำอะไรได้มากกว่าการสิงเพื่อกระทำบางสิ่งแล้วจบ บทบาทในพัซเซิลก็มีบ้างแต่น้อยนิดนัก ส่วนมากระบบนี้จึงถูกใช้ในการเดินทางในโลกอันกว้างใหญ่เสียมากกว่า เกมมีบัคบ้างประปรายจนเสียอรรถรสในบางจังหวะในส่วนของเนื้อเรื่องบางจุดค่อนข้างจะเบาและนำเสนอแบบเล่นง่ายไปหน่อย ตัวละครบางตัวมีบทบาทน้อยแบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจนไม่เป็นที่จดจำสักเท่าใด แต่โดยรวมแล้วทุกอย่างล้วนคลี่คลายในตอนจบได้กลมกล่อมดีไม่มีอะไรค้างคาค่ะโดยรวมแล้ว Tchia เป็นเกมโลกเปิดที่ถือว่าสนุกและมีอะไรให้ทำเพลินๆ แบบมากมายก่ายกอง หากใครกำลังมองหาเกมที่ไม่ยากมากเพื่อผ่อนคลายจากวันอันเหนื่อยล้าไปกับโลกเกาะทะเลใต้อันแสนงดงาม เกมนี้ก็เป็นเกมที่แนะนำค่ะ ผู้เขียนใช้เวลาราวๆ 8 ชั่วโมงในการจบเนื้อเรื่องหลัก (ขนาดมีเถลไถลบ้างแล้วนะ) และ 16 ชั่วโมงในการเก็บ 100% หากใครสมัคร PlayStation Plus ระดับ Extra สามารถโหลดเกมนี้มาลองได้ค่ะแพลตฟอร์มเกม: PlayStation 5, PlayStation 4, Microsoft Windows (Exclusive Epic Games Store)
22 Apr 2023
[Review] รีวิว Acer Nitro 5 โน๊ตบุ๊คสุดคุ้มที่เล่นเกมใหม่ๆ ได้ และยังมีไฟ RGB สวยหลากสี!
ถ้าคุณกำลังตามหาโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่เล่นเกมใหม่ๆ ออกวางขายในช่วงปี 2023 หรือหลังจากนี้ลื่นแบบ 'เน้นประหยัดคุ้มราคากำลังดี' และขอดีไซน์สวยๆ กับมีไฟ RGB งามสะใจ ACER Nitro 5 จะถือว่าตอบโจทย์ตรงใจคุณอย่างมาก และวันนี้ทางเราขอมารีวิวให้ชมกันว่าเจ้าโน๊ตบุ๊คตัวนี้มีข้อดีหรือข้อเสียยังไงบ้าง รับชมได้ที่ด้านล่างเลย!สเปคตัวที่เรานำมารีวิวคือ Acer Nitro 5 AN515-46-R8TG ที่วางขายครั้งแรกช่วงปี 2022 มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 50,990 บาท โดยตัวนี้ดูเหมือนว่าจะทำมาตอบโจทย์เกมเมอร์ที่อยากเล่นเกมยุคปี 2023 ได้ลื่นแบบ 'ราคาประหยัดคุ้มที่สุด' และต้องการโน๊ตบุ๊คมีไฟ RGB สวยๆ ให้รู้สึกฟิน ซึ่งสเปคจะมีแบบสรุปได้ดังนี้ซีพียูตัวท็อปอย่าง AMD Ryzen 7 6800H ส่วนการ์ดจอตัวระดับกลางอย่าง Nvidia RTX 3060VRAM อาจมีเพียง 6GB แต่ RAM นั้นมีถึง 16GB และเป็น DDR5 อีกต่างหาก แถมใส่แรมเพิ่มได้เป็น 32GBSSD M.2 PCle ขนาด 512GB และยังมี SSD M.2 PCle อีกช่องให้ใส่เพิ่มได้จอ IPS ที่รองรับสูงถึง 165 Hz และยังตอบสนองเร็ว 3ms มี FreeSync Premiumช่องเสียบ USB 3.2 Type A มากถึง 3 ช่อง และช่อง USB 3.2 Type C 1 ช่อง รวมทั้งต่อออก HDMI ได้ 1 ช่องเช่นเคยรองรับ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6Eจากด้านบน จะเห็นได้เลยว่าเจ้าโน้ตบุ๊กตัวนี้มีความคุ้มราคามาก เนื่องจากถ้าเทียบตัวอื่นในราคาใกล้ๆ กันจะไม่ได้จอ Hz สูงขนาดนี้ แต่ ACER Nitro 5 จะยกให้คุณไปเลยถึง 165 Hz ช่วยให้การเล่นเกมได้อรรถรสลื่นไหลมากขึ้นไปอีก และผู้เขียนเชื่อว่างบระดับนี้ ใครๆ ก็คงเล็ง ACER Nitro 5 เพราะระดับ Hz ที่สูงกว่าชาวบ้านเนี่ยแหละ แต่ถ้าจะให้ติก็คงเรื่องซื้อโน๊ตบุ๊คตัวนี้แล้วคุณจะยังไม่รู้สึกจบ เนื่องจากผู้เขียนเชื่อว่า SSD เพียง 512GB นั้นไม่พอสำหรับใครหลายๆ คนแน่นอน และ RAM 16GB กับเกมใหม่ๆ นั้นก็เริ่มจะไม่ดีแล้ว ส่งผลให้คุณจะรู้สึกอยากควักเงินเพิ่มนั่นเองการออกแบบ และวัสดุนอกจากเสปคที่สุดจะคุ้ม อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจมากคือ ACER Nitro 5 มีการดีไซน์โน๊ตบุ๊คมาให้ฝุ่นเข้ายากมาก และมันก็ยังส่งผลให้ตัวเครื่องนั้นดูสวยงามล้ำยุคอารมณ์แบบ Modern Gaming ทำนองนี้ด้วย อาจมีขัดใจอยู่นิดนึงคือดีไซน์ขอบจอนั้นทำมาดูบ้านๆ เหมือนพวกโน๊ตบุ๊คสายทำงาน หรือตรงขอบด้านหลังตัวเครื่องก็จะใช้ลวดลายสีแดงเข้มที่ทำให้คนชอบสีดำกลมกลืนไปเลยจะรู้สึกแปลกๆ แต่หลังจากที่คุณเปิดใช้งาน ACER Nitro 5 แล้วเจอเข้ากับ 'ไฟ RGB ของปุ่มคีย์บอร์ด' คุณจะลืมอะไรที่ขัดใจทิ้งทันที เพราะไฟ RGB นั้นทำมาสวยอลังหลากสีมาก และก็ยังปรับให้เป็นสีรุ้งเปลี่ยนกันไปมาอย่างสง่างาม แม้ตัวแป้นจะไม่ได้ดูพรีเมี่ยมกว่าโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งตัวอื่นๆ เพราะงั้นถ้าใครที่ไม่ได้คิดจะมองโน๊ตบุ๊คนอกจากจอภาพ และตรงไฟคีย์บอร์ดเป็นหลัก ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์เลยส่วนพวกวัสดุอันนี้ก็ดูแข็งแรง ไม่ว่าจะส่วนต่างๆ และส่วนตัวยึดจอให้พับขึ้นลงได้ และด้านหลังตัวเครื่องยังมี 'ที่รองพื้น' ช่วยกันฝุ่นให้เข้าจากทางด้านล่างไปอีก ส่งผลให้ดีต่อใจจริงๆ โดยเราลองเอาโน้ตบุ๊คตัวนี้ไปลุยฝุ่นมาด้วย ผลปรากฎว่าฝุ่นหรือสิ่งสกปรกจะติดที่ด้านหลังของจอ หรือแค่ที่วางขาด้านหลังของตัวเครื่องเท่านั้น ส่วนอื่นรอดฝุ่นสบายๆสายชาร์จ 180W ออกแบบมาสวยด้วยเช่นกัน และด้วย USB ที่เสียบชาร์จอยู่ด้านหลังตัวเครื่อง ทำให้ไม่เกะกะอย่างมากสำหรับใครที่จะอัปเกรด RAM กับ SSD ด้วยตัวเอง ด้านภายในตัวเครื่องก็สามารถทำให้ใส่ได้อย่างไม่ยุ่งยากนะ ส่วนอันนี้คือรูปด้านข้างสำหรับช่อง USB ที่มีให้เสียบการใช้งานหลังจากเปิดเครื่องขึ้นมา และว้าวกับเรื่องไฟ RGB กันไปแล้ว เราจะพบว่าเจ้าเครื่องตัวนี้จะมีการติดตั้ง Software น่าสนใจประกอบไปด้วยดังนี้AMD Adrenalin เอาไว้ใช้ปรับลูกเล่นต่างๆ ให้เล่นเกมได้ลื่นไหลขึ้นDTS ช่วยให้เสียงมีมิติมากขึ้นNitroSense โปรแกรมเฉพาะของ ACER Nitroสำหรับ NitroSense จะเป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์เยอะมากๆ โดยเมื่อคุณเข้ามาจะพบว่ามันเอาไว้เช็คการทำงานของ CPU & GPU และยังสามารถเลือกปรับแต่งพัดลมการทำงานได้หลายรูปแบบอีกต่างหาก แล้วเจ้าโปรแกรมตัวนี้ยังให้เราปรับพวกไฟ RGB บนคีย์บอร์ดได้ตามใจชอบ ยกตัวอย่างปรับให้เป็นสีฟ้าล้วนๆ หรือปรับเป็นคลื่นสายรุ้ง รวมทั้งเจ้าโปรแกรมนี้ก็ใช้งานได้ไม่ยาก ส่งผลให้นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดน่าสนใจของโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งจาก ACER Nitroเจ้าโน้ตบุ๊คตัวนี้ก็ยังคงมีลำโพงติดเครื่องมาด้วยเช่นเคย และเสียงของมันก็คุณภาพดี ไม่รู้สึกเสียงแตกอะไรแบบนั้นปรับความสว่างของจอได้สว่างจ้ามาก ถ้าเล่นนอกสถานที่ถือว่ามองเห็นชัดอยู่ รวมทั้งตอนในสถานที่ บางทีผู้เขียนต้องปรับแสงที่ 0% ไม่งั้นแสบตาส่วนการใช้งานทั่วไปผ่าน Windows 11 ตัวเครื่องก็ลื่นไหลไม่มีปัญหาให้ต้องไปตั้งค่าอะไรก่อนเลยการเล่นเกมพูดตรงๆ การ์ดจอ GTX 3060 แม้จะขึ้นชื่อเรื่องความแรงในระดับภาพ 1080p แต่ปัจจุบันก็ไม่สามารถใช้ปรับภาพสูงๆ ในเกมใหม่ๆ ได้ไหวแล้ว แต่ก็ด้วยเจ้าโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้มีการจูนปรับแต่งการกินไฟได้ดีมากๆ บางเกมนั้นจะกลับรีด FPS ได้สูงกว่าการเล่นเกมด้วยการ์ดจอ GTX 3060 ปกติ ยกตัวอย่างเกม Hogwarts Legacy ก็สามารถปรับ High แล้วเล่นได้ FPS ที่ไม่แย่เลย ส่งผลให้การเล่นเกมปี 2023 นั้นก็อยู่ในระดับลื่นอยู่ แต่ก็มีเรื่องให้ติอย่างหนักเหมือนกันคือ VRAM ที่จะทำให้คุณต้องเลือกปรับที่ Low หรือ Medium ในเกมใหม่ๆ ช่วงปี 2023 เนื่องจากปีนี้ VRAM 8GB ก็อยู่ในระดับที่แทบไม่พอแล้ว แต่เจ้า ACER Nitro 5 จะมี VRAM เพียง 6GB เท่านั้น ถ้าอย่างเกม The Last of Us Part 1 นี่แทบจะเล่นแบบ Low อย่างยากลำบากเลย เพราะเกมกิน VRAM สูงมากๆ ส่งผลให้คุณต้องไปนั่งหาวิธีปรับภาพให้ดีสุด ก็ถือว่าเป็นจุดน่าคิดว่าคุณชอบไหมว่าถ้าปรับเกมใหม่ๆ ได้แค่ Low หรือ Medium กับต้องมานั่งปรับเพื่อให้เล่นลื่นแต่ถ้าเกมฟอร์มยักษ์ต่ำกว่าปี 2023 เป็นต้นไป อันนี้ถือว่าเล่นลื่นทุกเกม ถ้าเกมอย่าง Forza Horizon 5 ปรับ Ultra เล่นได้สบายเลย แล้วยังได้ FPS เยอะแบบไม่น่าเชื่อถ้าคุณซื้อมาเล่นเกมออนไลน์สายแข่ง PvP หรือเกม Eposrts อันนี้ถือว่าเล่นลื่นสบายไปอีกหลายปีแน่นอน เนื่องจากเสปคนี้จะสูงกว่าที่เกมเหล่านั้นต้องการอยู่หลายเท่า รวมทั้งจอที่มี Refresh Rate สูงมากๆ จึงทำให้เล่นได้ภาพลื่นไหลเอาชนะอีกฝั่งง่ายๆ ยกตัวอย่างเกม Dota 2 กับ Valorant อันนี้สบายลื่นไหลสุดๆสรุปเห็นได้ชัดๆ ว่า ACER Nitro 5 ไม่ใช่โน้ตบุ๊กระดับเทพ ซื้อแล้วเล่นเกมฟอร์มยักษ์ AAA ยุคนี้หรือในอนาคตไปได้อีกยาวสบายๆ อะไรทำนองนั้น แต่มันคือโน๊ตบุ๊คสำหรับสายที่อยากเล่นเกมยุคนี้ได้ไหวอยู่ในราคาถูกที่สุด หรือสายที่ชอบเล่นเกมสายแข่ง PvP หรือเกม Esports เพราะเจ้าเครื่องนี้นอกจากจะเล่นได้ภาพสวยๆ ก็ยังมี Refresh Rate ที่สูงจนทำให้ภาพลื่นสะใจอย่างมากเหมือนพวกมอนิเตอร์ตั้งโต๊ะ ส่งผลถ้าใครอยากเล่นเกมฟอร์มยักษ์ AAA ได้ภาพระดับ High หรือ Ultra รวมทั้งซื้อแล้วรู้สึกจบเลย อันนี้ทางเราก็ขอแนะนำให้ต้องขยับงบขึ้นไปสัก 70,000 - 100,000 จะดีกว่า แต่ถ้าใครมองว่า Low หรือ Medium ก็ไม่ได้มีปัญหาจริงๆ ก็สามารถไปหาจัดกันได้เลยในราคา 50,990 บาท* ขอขอบคุณทาง ACER ที่ให้เราได้รีวิวโน๊ตบุ๊คดีๆ แบบนี้ด้วยนะครับ *
20 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม DREDGE มาเป็นชาวประมง ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องปลาปลา
DREDGE เป็นเกมตกปลาที่ผู้เขียนอย่างผมกด Wishlist รอเอาไว้มาอย่างยาวนาน และเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2023 ที่ผ่านมา DREDGE ได้ลงวางขายใน Steam อย่างเป็นทางการครับ ผมได้มีโอกาสดูตัวอย่างของเกมนี้ที่สะดุดตาด้วยภาพออกแนวการ์ตูนน่ารัก ๆ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและแอบน่ากลัวนิด ๆ DREDGE เป็นเกมแนว Horror ที่เราจะต้องมารับบทเป็นชาวประมงดวงซวยที่มาติดแหง็กอยู่ที่เมือง Greater Marrow แค่ตัวอย่างของเกมก็ทำให้ผมนั้นเนื้อเต้นจนต้องกด Wishlish มารอเอาไว้ สงกรานต์คนอื่นได้หยุดแต่ไม่ผมไม่ได้หยุด และในตอนนี้ผมก็มีโอกาสได้หยุดยาวกับเขาสักทีผมจะเสพเกมนี้ให้ชุ่มในหัวใจไปเลยฮะ มาดูกันว่าบทบาทที่ได้รับ เนื้อเรื่อง เกมเพลย์ของเกมนี้นั้นจะพาเราท่องโลกท้องทะเลตกปลาไปด้วย และแอบมีเรื่องลึกลับให้ได้สืบเสาะกันด้วยนั้นมันจะเป็นยังไง ตามผมมาเล่นเกมไปด้วยกันเลย ทาด๊าาาาาาเนื้อเรื่องหยอง ๆ ที่เกินสองบรรทัดเราจะได้รับบทเป็นชายชาวประมงคนหนึ่งที่เรืออับปางเพราะขับเรือชนโขดหินแถว ๆ ประภาคารเพราะไม่รู้ว่าใจลอยมาจากไหน เราจะมาฟื้นที่ท่าเรือของเมือง Greater Marrow และได้ของแถมมาเป็นโรคความจำเสื่อม (เล่นเกมไหนเขาก็พากันความจำเสื่อมไปหมดเลย ฮ่า ๆ)หลังจากเราลืมตาตื่นขึ้นมาจะมีนายกเทศมนตรีของเมืองมายืนรอต้อนรับเรา และบอกเราว่า"ไอ้หนุ่มเรือนายชนแถว ๆ ประภาคาร และโชคดีของนายจริง ๆ ที่ตอนนี้หมู่บ้านเรากำลังขาดคนหาปลาอยู่พอดี ตำแหน่งนี้ว่าง นายก็รับงานนี้ไปเลยละกันนะ เพราะเรือนายพังไปแล้ว เรามีเรือเก่า ๆ ให้ใช้งาน แล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันทีหลังเกี่ยวกับเรือลำนี้ (สุดท้ายแล้วนายกเทศมนตรีก็จะบอกเราว่าเรือของเราที่เอาไปชนมานั้นได้รับความเสียหายมากเกินกว่าจะซ่อมได้ ก็นั่นแหละฮะท่านผู้อ่าน ก็ตามคาดเอาเรือลำใหม่ไปและก็ทำงานใช้หนี้ให้เขาซะ!) ""แล้วย้ำเลยนะไอ้หนุ่ม นายต้องกลับเข้าเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนที่หมอกจะลง ไม่งั้นล่ะสยองแน่ ๆ"แหม...ขู่ขนาดนี้ ไม่อยากทำก็ไม่ได้โดนมัดมือชก ฮ่า ๆนายกเทศมนตรีน่ะ เขาบอกครับ แต่...เขาบอกไม่หมด! เขาบอกแค่ให้กลับก่อนพระอาทิตย์ตก ไม่งั้นจะเจอเรื่องไม่ดี แต่ที่จริงแล้วมันมีเรื่องลึกลับที่ซ่อนอยู่มากกว่านั้น อย่างแรกเลยนายกเทศมนตรีหมกเม็ดเรื่องราวของชาวประมงคนก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ และอย่างที่ 2 3 4 5 6 นั้นนายกเทศมนตรีก็ไม่ได้บอกว่าถ้าเรากลับไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินจะเจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดชวนมะลึกกึกกึ๋ย อย่างเช่น มีเรือประหลาดเมื่อเราขับไปใกล้ ๆ ก็จะหายไปดื้อ ๆ, โขดหินที่อยู่ดีดีนึกจะโผล่ก็โผล่ขึ้นมาให้เราเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ แม้แต่เรือที่อยู่ดีดีกลายเป็นปลายักษ์ที่พยายามจะหลอกกินเรา ความลี้ลับ สิ่งปริศนาต่าง ๆ เหล่านี้ มันจะค่อย ๆ ถูกยกระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามช่วงจังหวะของเกมที่เราเล่น เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อนั้นเพื่อน ๆ ต้องไปเล่นกันเองแล้วแหละครับ เล่าหมดนี่ไม่ต้องเล่นเองกันแล้ว ฮ่า ๆเกมเพลย์มีอะไรให้ทำเยอะ เล่นเพลิน ๆ ดูดเวลาชีวิตเอาง่าย ๆ ว่าตั้งแต่เราเรือชนแล้วลืมตาฟื้นขึ้นมาเนี่ย ก็ไม่มีเวลาให้เราได้พักหายใจกันเลยครับ นายกเทศมนตรีจะมอบเควสแรกให้เราทำ และมีเควสอื่น ๆ มากมายต่อแถวรอจากชาวเมืองคนอื่น ๆ อีกเพียบ เวลากลางคืนถึงแม้ว่ามันจะน่ากลัวและนายกเทศมนตรีเตือนเราเอาไว้แล้วว่าไม่ควรออกทะเล แต่บางภารกิจ มินิพัซเซิล หรือแม้แต่ปลาบางชนิด เราก็มีความจำเป็นต้องออกเรือเพื่อไปในเวลากลางคืนเท่านั้นครับ เกมเพลย์สำคัญ ๆ ของเกมนี้มีอะไรบ้างนั้น เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันการหาปลา - เกมนี้อุปกรณ์ตกปลาจะแบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ Coastal, Shallow, Oceanic, Abyssal,Hadal, Volcanic และ Mangraove ส่วน Dredge นั้นจะเป็นเกี่ยวกับการหาสมบัติหรือวัตถุดิบต่าง ๆ ในทะเลครับ (จะได้รับ Dredge เมื่อเราทำเควสไปเรื่อย ๆ) ในช่วงแรก ๆ อุปกรณ์ตกปลาของเรานั้นจะยังไม่สามารถหาปลาได้หลากหลายมากนัก เราจะหาได้เพียง Coastal และ Shallow เท่านั้น เต็มที่ถ้าอัปเกรดเรือไวไว ก็จะได้เบ็ดที่สามารถตกปลาประเภท Oceanic (เราสามารถสังเกตว่าตอนนี้เราสามารถตกปลาประเภทไหนได้บ้าง ได้ที่หมวด Cargo ครับ)เมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเกมจะพาไปเจอ NPC ในต่างพื้นที่ และปลาในต่างพื้นที่ก็จะแตกต่างกันออกไปครับ พวกปลาน้ำลึกอย่าง Abyssal และ Hadal นั้นเราจะต้องเล่นไปเรื่อย ๆ และทำเควสให้ผ่านและเราจะได้รับรางวัลมาเป็นเบ็ดที่ใช้ตกปลาประเภท Abyssal และถ้าเรามีเฟืองสำหรับวิจัยอุปกรณ์ตกปลาเหลือ ก็สามารถทำการวิจัยสำหรับเบ็ดประเภท Abyssal+Hadal เพราะใช้เฟืองแค่เพียง 1 อันเท่านั้น เราก็จะสามารถซื้อเบ็ดที่สามารถตกปลาประเภท Abyssal+Hadal ได้ (ทุกครั้งที่ทำการวิจัย อุปกรณ์ต่าง ๆ จะถูกเพิ่มลงร้านค้าของ NPC ในเมือง เราสามารถซื้ออุปกรณ์ได้ที่ NPC)เมื่อถึงเวลาต้องออกเรือไปตกปลา เกมนี้ไม่ได้มีระบบการตกปลาที่ซับซ้อนอะไร ตัวเกมแยกปลาเป็นประเภทเหมือนที่ผมได้อธิบายเอาไว้แล้วด้านบน เราแค่ต้องอัปเกรดเรือ และหาเบ็ดตามประเภทปลาเพื่อมาตกครับ ตอนตกเราก็แค่แล่นเรือไปจอดตรงที่มีปลาแล้วกด F เล่นมินิเกมที่มีขึ้นมา หลังจากนั้นก็จัดวางปลาตามช่องที่มี ถ้าช่องเต็มก็เอาปลากลับไปขายที่เมืองก่อน ง่าย ๆ แค่นี้เลยครับ และช่วงหลัง ๆ จะมีอวนให้เราใช้งาน แต่จำกัดเป็นวันพอครบวันแล้วต้องเอาไปซ่อม ส่วนปลาจะสุ่มจับขึ้นมาให้ ผมว่าตกเองสนุกกว่าระบบอัปเกรด - หลัก ๆ แล้วก็จะเป็นการเพิ่มคุณภาพให้เรือเราครับ โดยใช้วัตถุดิบที่เราดึงขึ้นมาจากทะเล ไม่ว่าจะเป็นไม้ แผ่นเหล็ก ผ้า หรือโลหะวัตถุต่าง ๆ เราต้องเล่นเกมทำเควสไปเรื่อย ๆ ก่อนเราถึงจะได้รับเครื่องมือที่ใช้ในการดึงของจากทะเลขึ้นมา เมื่อได้มาแล้วสถานะใน Cargo จะมีขึ้นมาว่า Dredge แสดงว่าเราสามารถ ลากวัตถุดิบที่เราเจอในทะเลขึ้นมาได้แล้วครับ อันนี้รวมไปถึงพวกสมบัติหรือของมีค่าต่าง ๆ ที่จมอยู่ในทะเลด้วย การอัปเกรดจะเพิ่มช่องต่าง ๆ ให้เรือของเรา ไม่ว่าจะเป็นช่องการติดตั้งเบ็ด, เครื่องยนต์, ไฟส่องทาง และขยายช่องเก็บของ (เราสามารถขนปลากลับมาได้เยอะขึ้น) เราเพียงแค่เอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มาใส่ตามช่องให้ตรงกับเงา เมื่อครบแล้วก็กดจ่ายเงิน ช่องต่าง ๆ ก็จะอัปเกรดให้เราเลยแบบอัตโนมัติ ในส่วนนี้สำหรับผมก็ไม่มีอะไรยุ่งยากและไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรกับมันมากนัก ซึ่งความไม่ซับซ้อนของเกมนี้นี่แหละ ที่ทำให้มันดูมีเสน่ห์เอามาก ๆระบบการวิจัย - เป็นการวิจัยอุปกรณ์ตบแต่งเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับเรือของเราครับ เราจะสามารถอัปเกรดได้เมื่อเราได้รับไอเทมที่เป็นเฟือง แต่ละอุปกรณ์จะใช้เฟืองในการอัปไม่เท่ากัน ยิ่งความสามารถของอุปกรณ์ดีเท่าไหร่ เราก็ต้องใช้เฟืองในการวิจัยมากขึ้นครับเฟืองสามารถหาได้จากการกู้ซากในทะเล การทำเควสต่าง ๆ บางครั้ง NPC ก็จะให้มันเป็นรางวัลกับเรา การไปค้นซากเรืออับปางที่มาเกยตื้นตามเกาะต่าง ๆ หรือจากที่อยู่อาศัยที่ร้างไปแล้วเมื่อหาเฟืองมาวิจัยได้ครบตามเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ไอเทมต่าง ๆ จะถูกนำไปขายในร้านของ NPC โดยอัตโนมัติครับ เราสามารถใช้เงินที่ขายปลามา นำมาซื้ออุปกรณ์ที่เราต้องการได้เลย อุปกรณ์บางอย่างค่อนข้างแพง ผู้เขียนแนะนำให้หาเงินไว้ก่อน โดยการจับปลาไปขายรอไว้เลยครับการต่อสู้กับสัตว์ร้ายในท้องทะเล - ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเราสามารถตอบโต้สัตว์ร้ายเหล่านั้นกลับได้ไหม แต่ที่ผมเล่นมาผมไม่สามารถสู้มันกลับได้ครับ อาศัยขับเรือหลบหนีเอาเพราะหลัง ๆ นั้นเรือของผมถูกอัปเกรดจนความไวเข้าขั้นว่าตามตัวจับผมยากแล้ว ฮ่า ๆ แต่พวกโขดหินที่โผล่มาแบบลึกลับในตอนกลางคืนก็เป็นเรื่องที่นักซิ่งอย่างผมก็ต้องระวังอยู่ดี เพราะตอนกลางวันไม่มีแต่ตอนกลางคืนนึกจะโผล่ก็โผล่ครับ ฉะนั้นไฟเรือก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แต่เปิดนานก็ไม่ได้เพราะจะเจอพลังงานลึกลับ ที่ถ้าโดนไฟจากเรือของเรามันจะเปลี่ยนตัวเองเป็นพายุ แล้วไล่ชนเรือเราไม่หยุดหย่อน (เป็นคนหาปลานี่มันเหนื่อยจริงจริ๊งงงง)ถึงแม้ว่าเราจะต่อสู้กับอสูรหรือสัตว์ในท้องทะเลไม่ได้ แต่ถ้าเราหลบเลี่ยงมันไม่ได้เราสามารถได้รับดาเมจและทำให้เรือเราพังได้ครับ ขึ้นอยู่ว่าเราอัปเกรดเรือไปถึง Tier ไหนแล้ว อย่างเช่น เรือของผู้เขียนตอนนี้อยู่ Tier 3 ผมสามารถโดนดาเมจได้เต็มที่ 5 ครั้ง ถ้าโดนครบ 5 ครั้งเรือผมจะจมครับ แล้วจะโดนพากลับไปที่จุดเซฟ ของที่เราได้มาก่อนหน้านี้ก็จะอันตรธานหายไป แม้แต่ของเควสต่าง ๆ ก็ต้องทำการฟาร์มกันใหม่แล้วการโดนดาเมจของเกมนี้นั้น ผู้เขียนว่า Dev ออกแบบมาได้ดีมาก ๆ ครับ เช่น บางครั้งเราโดนปลายักษ์โจมตี แต่ก็ต้องรอลุ้นว่าส่วนไหนของเรือจะได้รับความเสียหาย ถ้าโดนเครื่องยนต์ก็จะทำให้เรือไปได้ช้าลง (ซึ่งตรงนี้สร้างความรำคาญให้กับผมนิดหน่อยถ้าเครื่องยนต์เสีย เพราะมันจะแล่นช้ามาก) วิธีแก้คือผมใส่เครื่องยนต์สำรองเอาไว้อีกตัว ถึงแม้มันจะไม่ได้เร็วมาก แต่ดีกว่าไม่มีเลย ถ้าไม่มีเหมือนเราแล่นไปตามลม กว่าจะถึงที่ซ่อมคือหลับได้หลายตื่นมาก ๆ ไหนจะคราเคน ไหนจะอีกาที่มาคอยฉกปลาในคลังของเราไปกิน แถมบางวันออกเรือยังมีสายตาปริศนาที่จับจ้องเต็มไปหมด บอกเลยว่าถ้าขี้เกียจซ่อมเรือบ่อย ๆ ช่วงกลางคืนคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะกับการเดินเรือ และถึงแม้ว่าจะเลี่ยงไปเดินทางตอนกลางวันอย่างเดียว ในบางพื้นที่สัตว์ทะเลหรืออสูร เช่น คราเคน หรือปลาแห่งภูเขาไฟมันดันไม่นอนกลางวัน ผ่านมันนิดหน่อยทำเป็นชนเรือ โถ่...ขอผ่านนิดเดียวก็ไม่ได้ ฮ่า ๆเควส - นี่จะเป็นเรื่องสุดท้ายในบทความนี้นะครับ เพื่อไม่ให้บทความยาวจนเกินไป และกันสปอยล์ต่าง ๆ (ไปเล่นเองกันบ้าง เกมเขาออกจะดี หยอก ๆ นะครับ) เควสเกมนี้จะเน้นไปที่เนื้อเรื่องในแต่ละพื้นที่ครับ จะมีเควสจากชาวเมืองให้ทำงานสัพเพเหระ เช่น หาปลา, ไปส่งคนนู้นคนนี้, เจอคนติดเกาะพามาส่ง เป็นต้นเควสจากคนในผ้าคลุมปริศนา มีทั้งหมด 4 คนด้วยกัน เขาจะอยากได้ปลาเยอะมาก ๆ เราต้องคอยไปจับปลาชนิดที่พวกเขาต้องการแล้วขับเรือเอากลับมาให้ บางคนอยากได้ปลาที่อยู่อีกฟากจากจุดที่ตัวเองอยู่เลย แต่ก็นะผมเป็นพวกเห็นแก่รางวัลไกลแค่ไหนก็สู้ เควสที่เราจะได้รับรางวัลเป็นอุปกรณ์ของเรือ หรืออุปกรณ์ลากจูงสมบัติในทะเล เพราะบางจุดที่เราต้องไปทำเควสถ้าไม่มีอุปกรณ์บางอย่างจะไม่สามารถทำได้ เช่น จุดที่เราต้องไปตกปลาน้ำลึกให้นักวิจัย ตอนพูดคุยกันเราต้องบอกเขาไปว่าเราไม่มีอุปกรณ์ในการตกปลาน้ำลึก เขาก็จะให้อุปกรณ์พื้นฐานมาให้เราใช้งาน หลังจากนั้นเราก็สามารถไปทำการวิจัยเพื่ออัปเกรดให้ตกปลาน้ำลึกอีกประเภทหนึ่งได้ครับเควสพิเศษจากคนขายปลาบนโป๊ะ ที่เราต้องไปไล่ตามหาปลาในตำนานให้เขาครับ บางตัวเจอง่ายบางตัวเจอยากแล้วแต่เวรกรรมที่เราทำมา รางวัลที่ได้ก็จะได้รับเฟือง 2 อัน หลังจากส่งเควส (2 เฟืองต่อปลา 1 ตัว ผมก็มองว่าคุ้มอยู่ครับ)เควสจากนักสะสมสมบัติในตำนาน ผมมองว่าเหมือนเป็นเควสหลักที่ทำให้เกมเดินไปเรื่อย ๆ ครับ เพราะเราต้องไปตามหาชิ้นส่วนสมบัติให้กับเขาตามจุดมาร์กที่เขาส่งเราไป และเขาก็เป็นคนลึกลับคนหนึ่งที่เราพยายามจะสืบเสาะเรื่องต่าง ๆ จากเขาครับ ว่านายกเทศมนตรีน่ะเขาเป็นคนยังไง, ชาวประมงคนก่อนหายไปไหน, ทำไมหนังสือที่คุณถือมันถึงได้ดูแปลกจัง ช่วงแรกเราจะยังไม่ได้คำตอบอะไรจากเขาหรอกครับ แล้วเขาก็จะบอกว่าไม่ต้องถามเยอะ (ก็มันมีหัวข้อให้ถามอะ)แต่เราก็จะถามเขาทุกครั้งหลังจากที่ส่งสมบัติให้เขาเพราะหนังสือที่เขาถือจะมีเหมือนเวทย์มนตร์อะไรสักอย่าง ถ้าเป็นผมผมก็ถาม ฮ่า ๆ ส่วนรายละเอียดเควสยิบย่อยผมบอกเลย เพื่อน ๆ ต้องไปเล่นด้วยตัวเอง เกมสนุกมากเรียบง่ายแต่เล่นได้เรื่อย ๆ ระบบต่าง ๆ ภายในเกมDREDGE เป็นเกมที่เราจะต้องล่องเรือออกทะเลเพื่อไปตกปลาครับ เกมอาจจะไม่ใช่เกมตกปลาที่จริงจังอะไรขนาดนั้น เป็นการตกปลาง่าย ๆ สืบเสาะเรื่องราวลึกลับ มีภาพ 3D ที่น่ารักชวนเล่น คอมธรรมดาบ้าน ๆ ก็สามารถปรับสุดเล่นเกมนี้ได้ครับส่วนระบบการบังคับก็ไม่ได้สร้างมาให้ผู้เล่นเข้าใจยากแต่อย่างใด ปุ่มการบังคับทิศทางก็ยังเป็นปุ่มที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าง W,A,S,D กด Tab เพื่อเปิดช่องเก็บของของเรือ ใช้เมาส์ในการจัดวางปลา และทุกอย่างมี Toturial คอยแทรกสอนเราอยู่ในเกมทั้งหมดครับ แต่ถ้าใครเวียนหัวง่ายหรือเมาเรือเตรียมใจไว้หน่อยก็ดีฮะ เพราะผมก็เมาเรือบนบกตอนเล่นเกมนี้ ฮ่า ๆUser interface เรียบง่ายแต่ดี๊ดี คือใช้งานง่าย พัซเซิลในการตกปลารูปแบบก็เปลี่ยนไปตามแต่ละพื้นที่ การจัดวางของต่าง ๆ ใน Cargo กับปลาที่ตกได้ทำให้เข้าใจได้ทันทีเลยว่าเราต้องคอยจัดช่องเก็บของให้ดี เพราะเป็นกึ่งพัซเซิลหน่อย ๆ เอาเป็นว่าใช้งานง่ายมาก ๆ ส่วนที่ไว้ให้เปิดใช้งาน Cargo ก็วางเอาไว้ในจุดที่มันควรจะอยู่ มันก็เลยไม่ดึงตาและบดบังทัศนียภาพในการเล่นเกม โดนใจผมมาก ๆสรุปDREDGE เป็นเกมที่คู่ควรกับที่ผมกด Wishlist รอไว้มาอย่างยาวนาน เกมมีอะไรให้ทำเยอะ อาจจะน่ารำคาญหน่อย ๆ ช่วงเวลากลางคืนเพราะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ การออกแบบให้มีอุปกรณ์พังได้ ก็ทำให้เราได้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เกมค่อย ๆ ปล่อยให้ผู้เล่นอย่างเราได้ค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ในเกมไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแผนที่ การหาสมบัติ การซ่อนเรื่องราวไว้ตามเกาะต่าง ๆ การให้ได้ลุ้นว่าถ้าเราแล่นเรือไปไกลกว่านี้เราจะเจอกับอะไร ถ้าวางกับดักไว้ตรงนี้จะมีปูชนิดอื่น ๆ ไหม การไปตามล่าหาปลาโบราณ มันเลยทำให้เกมนี้มีอะไรน่าค้นหาเต็มไปหมด ผมจะนิยามมันว่า "เรียบง่ายแต่ไม่อึดอัด" เล่นได้เรื่อย ๆ เนื้อหาน่าสนใจ ไม่สั้นไม่ยาวกำลังดี ผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้มาลองเล่นด้วยกันจังDREDGE ลงวางขายอยู่ในหลายแพลตฟอร์มมาก ๆ แต่ผมซื้อใน Steam มาสนนราคาอยู่ที่ 750 บาทถ้วน! เกมไซส์เล็ก ๆ แต่ราคาแอบแรงอยู่เหมือนกัน แต่ผมบอกเลยว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ถ้าใครไม่รีบรอไปจัดช่วงลดราคาก็ได้ครับ น่าจะได้ราคาที่เบากว่านี้อีกหน่อย แต่ถ้าใครลังเลว่าจะซื้อดีไม่ดี? ซื้อเหอะครับแล้วคุณจะเพลิดเพลินไปกับมัน ถึงแม้ว่าตอนเครื่องยนต์พังจะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ก็ตาม ฮ่า ๆ
19 Apr 2023
[แนะนำเกม] Wytchwood แม่มดผจญภัย ออกเดินทางเก็บส่วนผสมมาปรุงน้ำยา
Wytchwood เป็นเกมที่เราจะได้เล่นเป็นแม่มด แน่นอนว่าเกมนี้เขาเน้นเรื่องคราฟต์ และการทำเควสเป็นหลักครับ แต่ผมจะเล่าไว้แค่นี้ก่อนมันเพิ่งจะหัวเรื่องเอง รับประกันว่าเกมนี้คุ้มค่ากับเงินหลักร้อยเหมือนเดิมฮะWytchwood ลงวางขายอย่างเป็นทางการใน Steam เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2021 ผมซื้อมันดองไว้ตั้งแต่ Winter Sale แต่ยังไม่มีเวลาได้โหลดมาเล่นสักทีครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างเยอะ และป่วยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เลยหลับตาจิ้มเกมที่ดอง ๆ ไว้ ผลลัพธ์หลังลืมตาออกมา ก็คือ...Wytchwood นี่แหละฮะ ภาพที่สดใสในเกมคงมาช่วยผ่อนคลายใจหมอง ๆ ของผมออกได้บ้าง (เกมที่ดีจะฮีลใจ คาดหวัง ๆ ฮ่า ๆ)มาดูกันดีกว่าว่าเรื่องราวในเกมจะเป็นยังไง น่าเล่นขนาดไหน ว่าแล้วก็ไปเล่นกันดีกว่าครับเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์เราจะได้รับบทเป็นแม่มดที่มีเครื่องแต่งกายประหลาด อาศัยอยู่ในบ้านที่ประหลาด ท่ามกลางบึงและสวนที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ในบ้านแม่มดมีเก้าอี้ที่ประหลาดตัวหนึ่งที่เธอได้เผลอหลับไป หลังจากตื่นขึ้นมา...ความทรงจำของเธอก็หายไป แล้วยังมาเจอกับแพะประหลาดตัวหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในบ้านของเธอ เธอตกใจและเตะโด่งแพะตัวนั้นออกจากบ้านของเธอไปครับ หลังจากที่เธอเดินเข้าไปในสวน เธอได้เห็นแพะตัวเดิม และได้มีการพูดคุยกันกับแพะตัวดังกล่าว เธอได้ค้นพบว่าเธอกับแพะนั้นเป็นเพื่อนกัน และเพื่อนของเธอได้กลับมาทวงสัญญาที่เธอได้ทำไว้กับเขาครับ จุดเริ่มต้นของการผจญภัยมันก็เริ่มมาจากตรงนี้ ตรงที่เราต้องไปทำตามสัญญาที่เราเคยรับปากกับเพื่อนแพะไว้ เราจะต้องไปตามล่าวิญญาณของสัตว์ต่าง ๆ แต่เพื่ออะไรนั้นตัวเราเองก็ยังไม่รู้ เพราะเพื่อนแพะก็ไม่ยอมบอก...การผจญภัยเพื่อตามหาส่วนประกอบของสิงสาราสัตว์ (เกมเพลย์)หลังจากที่เราคุยกับเพื่อนแพะเรียบร้อยแล้ว เราต้องเอากรรไกรไปตัดเถาวัลย์ ทางเข้าทางวาร์ปไปโซนต่าง ๆ ครับ พื้นที่การตามเก็บสะสมส่วนประกอบที่เราจะไปตามหาจะแบ่งออกเป็นโซน ๆ เช่น ป่า บึง ไร่ ฯลฯ เราจะมาแยกย่อยให้เห็นภาพชัด ๆ ทีละสัดส่วนนะครับการคราฟต์ - อย่างที่เกริ่น ๆ ไปบ้างแล้ว เกมนี้เราจะเน้นคราฟต์เป็นหลัก และจะต้องนำของที่คราฟต์ไป Interact กับสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกม เช่น คราฟต์กับดักมาจับสัตว์, คราฟต์ยาเพื่อกลับบ้าน, หรือคราฟต์คนโทเพื่อไปใส่น้ำ เป็นต้น ผสมตรงนู้นมาใช้กับตรงนี้ หรือผสมของบางอย่างเพื่อไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ของที่นำมาคราฟต์เราสามารถเก็บสะสมได้ตามทางที่เราผจญภัยไม่ว่าจะเป็น กิ่งไม้, ใบไม้, ก้อนหิน, ดิน, โคลน ฯลฯ เมื่อได้ครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว สามารถกด H เพื่อเข้าหน้าต่างการผสมวัตถุดิบ แล้วคราฟต์สด ๆ กันตรงนั้นได้เลยครับการได้รับไอเทมจำเป็นต่าง ๆ - ไอเทมจำเป็นในที่นี้ผมหมายถึงไอเทมที่เราต้องใช้ในการหาของไปคราฟต์ เช่น ขวาน, เสียม, ตาข่าย หรือกรรไกร เป็นต้น สิ่งของพวกนี้เราจะได้รับจาก NPC ภายในเกม ต้องทำตามความประสงค์ของ NPC ถึงจะได้รับของเป็นรางวัล อย่างเช่น การจับหิ่งห้อยให้ครบ 5 ตัว แต่ไอเทมส่วนใหญ่เราแค่คุยกับ NPC ที่เจอตามทางบางทีเขาก็ให้เรามาใช้งานเลยครับไอเทมเหล่านี้จะเอาไว้ใช้จับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ตัดขน เก็บเกี่ยว ถ้าเราไม่มีไอเทมเหล่านี้เราจะไม่สามารถเก็บสะสมไอเทมบางชนิดได้ครับ สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับชนิดของวัตถุดิบที่เจอ เช่น ก้อนดินใช้เสียมในการขุด, ขอนไม้ใช้ขวานในการตัด, หิ่งห้อยหรือแฟร์รีใช้ตาข่ายในการจับ และสัตว์บางตัวต้องใช้ไอเทม 2 ชนิดในการจับเราถึงจะสามารถไปเก็บเกี่ยววัตถุดิบบนตัวสัตว์นั้น ๆ ได้ เป็นต้น ถ้าเราไม่แน่ใจเราสามารถกด G เพื่อดูรายละเอียดได้ครับการต่อสู้ - ถ้าให้พูดถึงการต่อสู้แบบซึ่ง ๆ หน้าของเกมนี้จากที่ผู้เขียนเล่นมานั้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะต้องใช้ดาบ หรืออะไรไปสู้กับเหล่าสัตว์หรือแฟร์รีต่าง ๆ ภายในเกมครับ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถโดนสัตว์เหล่านั้นทำร้ายได้ สัตว์บางชนิดเราจำเป็นต้องใช้ทริกหรือเทคนิคในการล่อลวงจากการคราฟต์ของขึ้นมา เช่น หมาเฝ้าบ้านเราต้องโยนเศษเนื้อที่ผสมกับยานอนหลับให้กินแล้วเข้าไปตัดขนของมันเพื่อใช้ในการผ่านวัตถุประสงค์ของเควส ซึ่งถ้าเราเดินเข้าไปเลยจะโดนมันกัดแล้วหัวใจของเราสามารถลดได้ พอลดครบ 3 ดวงเมื่อไหร่ตัวเราก็จะแตกและของก็จะดรอปแล้วเราก็จะตายกลับจุดเกิด และเราต้องเริ่มต้นเดินทางใหม่จากบ้านของเราครับเควสง่าย ๆ กับปริศนาที่แก้ไม่ยากเกมนี้อย่างที่ผู้เขียนได้บอกเอาไว้ตลอดว่าเน้นการคราฟต์ แต่ตัวเกมนั้นจะเดินเรื่องไปตามเควสครับ ในเควสนั้นเราต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อไปเก็บรวบรวมสิ่งของให้เพื่อนแพะของเราไม่ว่าจะเป็น ขนหมา, ขนนก, เหมือกกบ และหินระยิบระยับ ฯลฯ สุดแล้วแต่เควสจะมอบวัตถุประสงค์มาให้ เราก็เพียงแต่ทำงานตามเควสไป จับนู่นมาผสมนี่ เพื่อแก้ปริศนาหรือใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาจากสัตว์ป่า ส่วนปริศนาเกมนี้ที่ผมบอกว่าแก้ไม่ยากก็เพราะว่าถ้าผสมของตามเควสเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าแก้ปริศนาต่าง ๆ ได้แล้วครับ หรือ NPC จะมอบหมายงานเล็ก ๆ ให้แม่มดอย่างเราทำ บางครั้งเราก็จะได้รับสิ่งของเป็นการตอบแทนครับ (แม้ว่าบางทีแค่เข้าไปคุยด้วยเฉย ๆ ก็ได้รางวัลมาแบบงง ๆ ฮ่า ๆ)ระบบต่าง ๆ ภายในเกมWytchwood เกม 2.5 มิติ ที่เน้นไปที่การคราฟต์ สำรวจผจญภัยแก้ปริศนา ใช้การคลิกเป็นหลัก ผู้เขียนมองว่าภาพเกมค่อนข้างสดใสสีสันสวยงาม การเล่าเรื่องเหมือนเราได้อ่านนิทานแบบที่มีเพลงบรรเลงประกอบให้ได้ฟังเพลิน ๆ เป็นเกมที่เล่นได้ทุกเพศทุกวัยการบังคับภายในเกมเราสามารถใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ดก็ได้ตามถนัด ในเกมมีการสอนใช้งานปุ่มต่าง ๆ สมมติว่าถึงเกมนี้จะไม่มีการสอนเล่นเกมใดใดเลย ผมยังคงมองว่าเกมนี้ยังเป็นเกมที่เล่นง่ายมาก ๆ  แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบการ Interact กับสิ่งของของเกมนี้สักเท่าไหร่ เพราะมองค่อนข้างยาก และบางครั้งก็กดใช้งานไม่ค่อยติดกดเก็บของแต่ตัวละครเรามันเดินเฉย ๆ ก็สร้างความน่ารำคาญให้กับผมอยู่เล็กน้อยส่วน UI ของเกมใช้งานไม่ยากครับ แค่กดคลิก ๆ เอา แต่ตรงเควสที่ขึ้นด้านขวาบน ตัวหนังสือก็จมไปกับสีของภาพ ก็อาจจะทำให้อ่านยากอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเปิดดูจากคีย์ลัดแทนได้ เพียงแค่กดตัว H แล้วเลือกที่ Tab JournalสรุปWytchwood เหมาะกับทุกเพศทุกวัยไหม ? ผู้เขียนมองว่าเกมนี้น่าจะเหมาะกับเด็ก ๆ มากกว่าครับ ภาพของเกมและเนื้อเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนกำลังอ่านนิทานอยู่ แต่ถึงแม้ว่าจะมีตัวเลือกระหว่างคุยกับ NPC แต่มันก็ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนักในการหาไอเทม ถ้าผู้ใหญ่เล่นก็อาจจะมีเบื่อ ๆ ไปบ้าง เพราะเกมถูกขับเคลื่อนด้วยข้อความเป็นหลัก อาจจะตอบโจทย์เด็ก ๆ มากกว่าผู้ใหญ่อย่างเราครับ ผู้เขียนมองว่าถ้าอยากจะหาเกมดีดีให้ลูกเริ่มเล่นสักเกม ผมก็มองว่า Wytchwood เป็นตัวเลือกที่ดีมาก ๆ สำหรับเด็ก ๆ ครับใครกำลังมองหาเกมให้เด็ก ๆ เริ่มเล่น เกมนี้วางขายอยู่ใน Steam ราคาไม่แรง 289 บาทเท่านั้นเอง! และเครื่องไม่ต้องแรงมากก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แบบไม่กระตุกเลยสักนิด ด้วยความที่มันไม่มีอะไรซับซ้อนเนื้อเรื่องน่ารัก เพลงบรรเลงเพราะ ๆ เกมนี้จะเป็นสิ่งที่เหมาะมาก ๆ ให้เราได้ใช้เวลากับลูก ๆ ของเราครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/729000/Wytchwood/
17 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม The Last of Us Part 1 บน PC เมื่อคุณต้องเอาชีวิตรอดจากทั้งเชื้อรา และปัญหาเล่นไม่ลื่น!
เป็นเกมที่หลายคนรอคอยลง PC กันเยอะมากแน่นอน แต่ก็อย่างที่เห็นกันว่าหลังวางขายบน PC ก็โดนคนไม่ปลื้มกันเยอะมาก เนื่องจากตัวเกมมีปัญหาประสิทธิภาพจากด้านการพอร์ท แต่ใครที่อยากรู้ว่ามันมีปัญหาประสิทธิภาพยังไงบ้าง และตอนนี้น่าซื้อบน PC มาเล่นหรือยัง ก็มารับชมรีวิวจากทางพวกเรา GameFever กันเถอะ!คลิปตัวอย่างเกม เอาไว้ดูโหมโรงThe Last of Us Part 1 คือเกมอะไร?เกมนี้เป็นแนว Survival Horror ให้อารมณ์แบบ Resident Evil แต่ธีมเกมนี้จะเปลี่ยนจากซอมบี้เป็นเชื้อรามีความสามารถสิงร่างมนุษย์ และด้วยความมนุษย์ตั้งตัวรับมือไม่ทันจึงถูกมันสิงร่างไปจำนวนมาก ส่งผลให้โลกล่มสลายแบบสิ้นหวังไม่มีทางป้องกัน แต่แล้ววันหนึ่งความหวังของ 'การสร้างวัคซีน' ก็เกิดขึ้น เราจะได้รับบทเป็น Joel ชายวัยรุ่นพ่อที่เสียลูกไปจากเหตุการณ์เชื้อราระบาดนี้ พร้อมกับต้องพาเด็กสาว Ellie เดินทางไปผลิตยารักษาให้สำเร็จ แต่ระหว่างทางก็ต้องพบเจอกับโจรหรือผู้ติดเชื้อ แถมก็ยังเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องอบอุ่นกับปวดใจ โดยเกมนี้ยังเป็นเวอร์ชั่น Remake จากเกม The Last of Us ภาค 1 ที่วางขายในปี 2013 ทำให้มีภาพกราฟิกสวยน่าเล่นในยุคนี้ด้วย และเกมเวอร์ชั่นนี้ยังรองรับ 'ภาษาไทย' อีกต่างหากด้านคุณภาพของเกมในบทความนี้เราจะไม่เล่าเยอะ ขอเน้นไปเล่าที่ด้านประสิทธิภาพบน PC แทน ซึ่งสรุปด้านนี้ให้ง่ายๆ เลยคือเกมนี้คุณภาพยอดเยี่ยมมากในด้านเนื้อเรื่อง และมีการเล่นประเด็นความสัมพันธ์ตัวละครเป็นจุดแข็งเอกลักษณ์ของเกมเลย รวมทั้งเกมเพลย์ก็มีจุดแข็งคืออนิเมชั่นที่ลื่นไหลเหมือนกำลังดูหนัง และมีรายละเอียดเล็กน้อยเยอะมาก แถมพวกระบบการเล่นหลักก็ทำได้สนุก เราจะต้องหาทรัพยากรมาเอาชีวิตรอดไปให้ถึงจุดสำเร็จ และก็มีให้อัปเกรดสิ่งต่างๆ ได้หลากหลายส่วน แต่ด้วยที่ทั้งพวกโจรกับผู้ติดเชื้อจะบุกมาฆ่าเราเป็นฝูง จึงส่งผลให้เราต้องวางแผนใช้กลยุทธ์จัดการมันให้ดีๆ ทั้งตอนบู๊หรือลอบเร้น รวมทั้งยังเข้าถึงผู้เล่นได้หลากหลายรูปแบบ เนื่องจากเกมปรับความยากได้ตั้งแต่เล่นง่ายระดับให้เด็กเล่นไปจนถึงระดับยากจนไม่กล้าตาย ส่งผลให้สาย Survival Horror ถูกใจเกมนี้เป็นอันดับต้นๆ แน่นอน และเกมมฉบับ Remake ยังมีช่วงฉากสวยๆ ให้พบหลายรอบด้วย>>> อ่านรีวิวเต็มๆ ด้านคุณภาพเกมได้ที่นี่
14 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม DREDGE ล่องเรือผจญภัยในน่านน้ำสยองขวัญ อีกหนึ่งเกมม้ามืดประจำปีที่ไม่ควรพลาด
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการล่องเรือหาปลา มีอะไรมากกว่านั้น และมีความสยองบางอย่างซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ นี่เป็นอีกเกมอินดี้ระดับคุณภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอะไรเราถึงคิดว่ามันเจ๋ง นี่คือรีวิว DREDGEDREDGE ว่าด้วยเรื่องราวของชาวประมงคนหนึ่งที่ล่องเรือไปยังชายฝั่งเมือง Greater Marrow ที่อยู่ในหมู่เกาะอันห่างไกล โดยเขาได้รับข้อเสนอให้เป็นคนตกปลาประจำเมือง แต่ที่เมืองแห่งนี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อในช่วงเวลากลางคืนจะเกิดหมอกปริศนา และหินลึกลับที่งอกขึ้นมาตามชายฝั่ง แถมยังพ่วงด้วยเรือผีสิง สัตว์ป่าสุดอันตราย ทั้งบนบก ทั้งในน้ำ เรียกได้ว่างานนี้การมารับงานที่นี่ อาจเป็นเรื่องที่ชาวประมงรายนี้คิดผิดก็เป็นได้ และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเกริ่นไว้ในช่วงคัทซีนเริ่มต้นเกมเท่านั้น เนื้อเรื่องส่วนที่เหลือ ผู้เล่นจะต้องไปตามเก็บข้อความในขวดแก้วที่ลอยอยู่ตามทะเล เพื่ออ่านเนื้อหาหลักของเกม โดยจะเป็นข้อความที่ภรรยาของตัวเองเขียนบันทึกเอาไว้ ซึ่งเป็นช่วงที่เธอเดินทางมาเยือนหมู่เกาะแห่งนี้ใหม่ ๆ ซึ่งใครที่อยากติดตามเนื้อเรื่องก็ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะมีการบอกรายละเอียดและบรรยายไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าเหตุใด สถานที่ หรือหมู่เกาะแห่งนี้จึงกลายเป็นสภาพอย่างที่เราได้เห็นกันในเกมเนื้อเรื่องของเกมนี้ถือว่าลึกลับและน่าสนใจ แต่ปัญหาที่ไม่น่าจะนับเป็นปัญหา ก็คือรูปแบบการนำเสนอเกมในสไตล์เกมอินดี้ คือจะไม่มีคัทซีน หรืออนิเมชั่นเคลื่อนไหวใด ๆ ให้เราได้ชมหรือติดตาม ส่วนมากจะเป็นเพียงบทสนทนาให้เราได้อ่านกัน และเกมนี้ยังมีการเลือกคำถามต่าง ๆ ที่ถ้าหากว่าเราอยากรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นก็สามารถเลือกถามได้ แต่ต้องอ่านกันจนตาเหลือกถึงจะรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นปูมหลัง สถานที่ หรือแม้แต่อดีตของตัวละครต่าง ๆ ที่เราไปพบเจอด้วย ใครที่อยากเก็บเนื้อหา และอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของโลกในเกม ก็เก็บให้ครบเลยก็ได้ แต่นี่ถือเป็นเกมอินดี้ที่ทุ่มเทมากในการสร้างโลกและเนื้อเรื่องในเกมขึ้นมา และทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวการผจญภัยในน่านน้ำสยองขวัญกับเรือลำน้อยรูปแบบเกมเพลย์การเล่นของ DREDGE จะเป็นเกมแนวผจญภัยผสมผสานกับเกมเอาตัวรอดที่ขีเนื้อเรื่องเป็นตัวขับเคลื่อน ผู้เล่นจะได้อาศัยอยู่บนเรือลำเล็ก ๆ โดยเราสามารถขับไปบนน่านน้ำ และแวะเทียบท่าตามเมืองต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกับ NPC รับภารกิจ และอื่น ๆ ด้วย แต่ตัวละครเราจะไม่ได้ลงมาจากเรือ การนำเรือไปจอดเทียบท่า จะเด้งเป็นหน้าเมนูขึ้นมา ว่าเราจะ Interact กับ NPC หรือร้านค้าร้านไหนเท่านั้น เรียกได้ว่าเกมนี้คือการใช้ชีวิตอยู่บนเรือแบบ 100% เราจะมีแผนที่ขนาดใหญ่และมีหมู่เกาะให้ล่องเรือไปหา แต่ในช่วงแรกเราจะอยู่ที่เกาะเดิม เพราะค่อนข้างจะครบเครื่องที่สุดแล้ว สามารถซื้อขาย อัปเกรดเรือ หรือพักผ่อนได้ที่นี่เลย แต่หลัง ๆ ผู้เล่นอาจจะต้องจำท่าเรือต่าง ๆ ให้แม่น เพราะไม่ใช่ทุกเกาะจะมีท่าเรือ และท่าเรือจะมีความสำคัญมากในการนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืน เพราะเกมเพลย์ช่วงกลางคืน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนให้เกมนี้มีความสยองขวัญเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลยทีเดียว ในน่านน้ำอันกว้างใหญ่ หลัก ๆ จะมีจุดเกิดของปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ อยู่ โดยการตกปลานี่แหละที่เป็นหัวใจสำคัญในการทำภารกิจและหาเงินมาอัปเกรดเรือของเรา เราจะมีสมุด Encyclopedia ที่เอาไว้บันทึกข้อมูลปลาที่ตกมาได้ โดยหากเราตกปลาตัวนั้นได้ จะมีบอกไว้ในสมุดนี้ ว่ามันคือสายพันธุ์อะไร พบเจอได้เวลาไหน และแถบใด ทำให้การหาปลาตัวนี้ในครั้งต่อ ๆ ไปเป็นเรื่องง่ายขึ้น ส่วนปลาที่เราตกมาได้ก็สามารถนำไปขาย หรือใช้ทำภารกิจได้ แต่จะเก็บไว้นานไม่ได้ เพราะปลาจะเน่าเสียนั่นเอง โดยการตกปลาทำได้โดยการไปยังจุดตกปลา เลือกเบ็ดให้ตรงกับพื้นที่ปลาชนิดนั้นแล้วเล่นมินิเกมแบบ Quick Time Event อีกเล็กน้อยก็สามารถตกปลาได้แล้ว โดยปลาจะมีมากมายหลายสายพันธุ์ ทั้งแบบน้ำตื้น น้ำลึก และสายพันธุ์ที่ต้องใช้เบ็ดพิเศษที่อัปเกรดแล้ว ถึงจะตกได้และที่เจ๋งมาก ๆ คือเกมนี้มีการบริหารจัดการช่องเก็บของด้วย ปลาแต่ละสายพันธุ์จะกินพื้นที่ Inventory ไม่เท่ากัน รวมไปถึงใช้พื้นที่แบบแปลก ๆ ซะด้วย ปลาสายพันธุ์แรก ๆ อาจจะใช่พื้นที่ไม่เยอะ แต่ปลาสายพันธุ์หลัง ๆ ที่เริ่มหายากก็จะค่อย ๆ กินพื้นที่เยอะ แถมแปลกด้วย เช่นครีบของมันอาจกินพื้นที่ซ้ายขวาเพิ่มอีกอย่างละ 1 ช่อง ทำให้การออกเรือแต่ละรอบ เราต้องบริหารทั้งเวลา พื้นที่ช่องเก็บของ และอีกหลาย ๆ อย่างเลยทีเดียว ช่วงแรกอาจจะรู้สึกลำบากไปสักหน่อย แต่ถ้าจับจุดได้ นี่เป็นอีกเกมบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมมาก และถ้าเราขับเรือไปชนอะไรก็ตาม เรือจะพังแบบสุ่ม เรือที่พังจะทำให้พื้นที่เก็บของของเราพังแบบสุ่มด้วย ยิ่งทำให้การบริหารจัดการมันยากมากยิ่งขึ้นนอกจากปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ แล้ว อีกอย่างที่เราตกได้ก็จะเป็นพวกทรัพยากร ที่เราจำเป็นจะต้องนำมาใช้เพื่ออัปเกรดเรือของเรา ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก เศษผ้า และฟันเฟืองที่ทำหน้าที่เป็น Research Point ที่จะพัฒนาเรือของเรา รวมไปถึงอุปกรณ์ที่รองรับให้ดีขึ้นได้ด้วย โดยพวกอุปกรณ์ต่าง ๆ จะพบเจอได้ตามจุดเฉพาะ เช่นซากเรือ ซากเมือง จะเจอทรัพยากรเหล่านี้เยอะเป็นพิเศษ โดยทรัพยากรเหล่านี้ก็ถือว่าจำเป็นมาก ๆ เพราะจะทำให้เรือของเราอัปเกรดได้ไวขึ้นถ้าเจอ มันก็โยงกลับไปหาส่วนแรกก็คือ ใน 1 วัน ผู้เล่นต้องเลือกว่าวันนี้จะไปทำอะไร จะไปทำภารกิจย่อย ช่วยเหลือเหล่า NPC ทำตามคำขอ หรือจะออกไปล่าปลาหาเงิน หรือจะไปหาพวกทรัพยากรอัปเกรดเรือก็ได้และความเพลิดเพลินก็คือการพยายามหาของต่าง ๆ มาอัปเกรดเรือ การอัปเกรดเรือจะแบ่งออกเป็นสองส่วน แบบแรกคือการอัปเกรดการวิจัยตัวเรือ การอัปเกรดประเภทนี้จะทำให้เราสามารถเข้าถึงอุปกรณ์สนับสนุนเรือประเภทใหม่ได้ เช่นเบ็ดตกปลา เครื่องยนต์เรือ ไฟส่องปลา และอื่น ๆ และการอัปเกรดอีกแบบจะเป็นการอัปเกตดตัวเรือโดยตรง การอัปเกรดประเภทนี้จะเพิ่มพื้นที่เก็บของบนเรือ ขนาดของตัวเรือ ซึ่งเราต้องทำทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไป การผจญภัยถึงจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นแต่อย่างที่บอก จุดเด่นของเกมนี้นอกเหนือไปจากการล่องเรือล่าปลาแล้ว มันยังมีทีเด็ดคือความสยองขวัญ ที่เราบอกไปในส่วนเนื้อเรื่องคือส่วนของหมอกปริศนาที่จะทำให้เกมมีความเป็นเกมสยองขวัญขึ้น โดยในช่วงเวลากลางคืน หากเรายังไม่ยอมกลับไปเทียบท่าและล่องเรืออยู่กลางน่านน้ำ เรามีโอกาสเจอเข้ากับสิ่งมีชีวิตลึกลับและปลาปีศาจขนาดยักษ์ที่จะส่งผลกับค่า Insanity หรือสภาพจิตใจ ที่อยู่นานไม่ได้ ไม่งั้นเดี้ยงแน่นอน ทางที่ดีคือช่วงเวลาใกล้ค่ำ ให้หาเรือไปจอดตามท่า แล้วกดนอนหลับพักผ่อนก็ได้ แต่ความสนุกในช่วงเวลากลางคืนเองก็มีอยู่เหมือนกัน เพราะปลาบางสายพันธุ์นั้นจะหาได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น โดยวิธีการที่เราจะออกไปหาปลาพันธุ์กลางคืนก็มีแต่ต้องยอมเสี่ยงตายออกไป แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีตัวช่วยเลย เพราะหนึ่งในของตกแต่งเรือของเราก็คือไฟส่องปลา ที่มีหลากหลายประเภท จะมีทั้งไฟที่ช่วยส่องแสงสว่างในเวลากลางคืน และไฟที่ทำให้ค่า Insanity ของเราลดช้าลงผู้เล่นจะได้ติดอยู่ในลูปการออกเรือ ทำภารกิจ ตามหาของ แวะน่านน้ำและหมู่เกาะต่าง ๆ ไปจนถึงการดำเนินเนื้อเรื่อง เพื่อหาไอเทมลับ และล่าปลาไปขายทำเงินที่ใช้ในการอัปเกรดเรือ ที่ต้องชมเพิ่มอีกอย่างคือบรรยากาศของโลกภายในเกมนี้ ที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะให้เราใช้ชีวิตอยู่บนเรือ แต่สภาพภูมิประเทศหรือ Biome ก็หลากหลายมาก ๆ จากน่านน้ำปกติที่มีคนอยู่อาศัย ไปโซนบึงพิษ โซนกึ่งภูเขาไฟ และมีปลาประหลาดว่ายน้ำมาไล่เรา บอกเลยว่าเจ๋งมาก ๆวงการเกมของปี 2023 เป็นอีกปีที่คึกคัก จะเกมฟอร์มเล็ก ฟอร์มใหญ่ ล้วนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี DREDGE เองก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เป็นเพชรเม็ดงามประจำปีนี้ และทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมในฐานะเกมทุนเล็ก ใครงบถึง หรือรอลดราคา บอกเลยว่าไม่ควรพลาด
13 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม Contraband Police ชีวิตตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่ใส่ใจในเกมเพลย์และออกมาดูดีกว่าที่คิด !
เป็นเรื่องปกติของเกมแนว Simulator ที่ปัจจุบันนี้ มีการจำลองสายอาชีพที่หลากหลายมาก ๆ ให้กับเกมเมอร์ได้ลองเป็นอาชีพนั้น ๆ ดู และอาชีพของ Contraband Police ก็ถือว่าเป็นอาชีพที่หลายคนน่าจะสงสัย ว่าเขาทำงานกันยังไง เกมนี้เลยจำลองสถานการณ์นั้นขึ้นมาให้เราได้เล่นกัน และงานของตำรวจตรวจชายแดนนั้น วัน ๆ หนึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกันในรีวิวของ Contraband Policeหน้าที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในประเทศที่เต็มไปด้วยการเมืองฉากหลังของเกมนี้คือช่วงปี 1981 ผู้เล่นจะรับบทเป็นนายตำรวจชายแดนคนใหม่ ที่มารับหน้าที่ประจำการยังชายแดนเข้าเมืองประเทศสมมติที่ชื่อ อคาริสตัน ประเทศแห่งนี้กำลังอยู่ในระหว่างสงครามการเมืองระหว่างรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านที่ชื่อกลุ่มกำปั้นโลหิต และดูเหมือนจะมีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นในหมู่ตำรวจด้วยกัน จนกระทั่งเพื่อนของคุณถูกฆ่าตายจากเหตุการณ์บุกจับการแลกเปลี่ยนของผิดกฎหมาย เพื่อตามสืบสาวเรื่องราวและตัวการหลักให้ได้ เราจึงทำหน้าที่อยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง คอยจับพวกลักลอบขนของเถื่อนเข้าประเทศที่อาจเป็นชนวนไปสู่ไฟสงครามในอคาริสตัน และต้องเลือกฝ่ายอย่างชัดเจน ว่าสถานการณ์ที่คุณเจออยู่ตอนนี้ คุณจะเลือกเข้าข้างรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้าน ที่จะส่งผลต่อฉากจบของเกมด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องในเกมนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนัก นอกจากให้เราได้เห็นแนวคิดของรัฐบาลและฝ่ายต่อต้าน ซึ่งผู้เล่นจะเลือกฉากไหนก็แล้วแต่ความชอบเลย เพราะถึงแม้จะบอกว่ามันส่งผลต่อฉากจบ แต่ระหว่างทางหรือเกมเพลย์การเล่นนั้น แทบไม่มีผลอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกความพยายามของทีมพัฒนาเกม ที่อย่างน้อยก็หาเนื้อเรื่องมาใส่ไว้ในเกมจนได้ชีวิตหน้าด่าน และบริเวณชายแดนสุดเถื่อนสิ่งที่เกมนี้นำเสนอ ต้องบอกว่าเป็นการผสมผสานกันเล็กน้อยระหว่างการจับเจ่าอยู่กับพื้นที่หน้าด่านชายแดน กับการนำเสนอแบบกึ่ง Open World ที่ผู้เล่นจะได้ขับรถไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกของเกมด้วย เพื่อไปทำภารกิจหรือไปหาระบบอื่น ๆ ของเกมที่ไม่ได้มีแค่การตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น พื้นที่ภายในเกมที่ผู้เล่นจะได้ใช้ชีวิตอยู่ตลอดเกม คือส่วนของป้อมตรวจที่เราอยู่ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ อยู่ด้วย และพื้นที่นอกด่าน ที่จะเป็นเหมือนกับบริเวณชายแดนของอคาริสตันทั้งหมด ส่วนนี้จะมีทั้งโรงไม้ ร้านอาหาร ร้านขายของ เหมือง ที่จะเกี่ยวพันกับระบบเกมทั้งหมด แต่ถึงแม้จะมีโซนกึ่งโลกเปิดก็ตาม แต่ชีวิตส่วนใหญ่ของเกมนี้ ผู้เล่นจะได้อยู่กับหน้าด่านซะเป็นส่วนมาก เพื่อรอรับคนเข้าประเทศ และตรวจตราเอกสารต่าง ๆ ที่คนขอเข้าประเทศจะยื่นเอกสารมาให้ โดยหลัก ๆ แล้วสิ่งที่เราจะต้องคอยตรวจก็คือ การเช็คชื่อ หมายเลขหนังสือเดินทาง วันหมดอายุของหนังสือเดินทาง เอาง่าย ๆ ชีวิตจริงเราโดนตรวจอะไรบ้าง ในเกมเราก็จะต้องตรวจแบบนั้น แต่จะต้องมีความละเอียดมากขึ้นตามเงื่อนไขของเกมยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ เงื่อนไขก็จะยิ่งสลับซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เราต้องอาศัยการจดจำมากขึ้น เช่น ต้องตรวจสิ่งของที่คนนำเข้ามา แบ่งแยกประเภทตามวัสดุ ตรวจดูรุ่นของรถ ป้ายทะเบียนรถ ไปจนถึงช่วงพีคสุดที่จะมีการตรวจวัคซีนหรือจำนวนโควต้าสิ่งของแต่ละประเภท บอกเลยว่าเรื่องความละเอียดของเกมนี้ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ทำให้ผู้เล่นอาจจะต้องมีโฟกัสและสมาธิอยู่กับเกมนี้สักหน่อย แต่รับรองว่าสนุกนอกจากการเฝ้าด่าน ผู้เล่นยังจะได้เจอกับเกมเพลย์แบบกึ่ง Open World ที่เราสามารถขับรถออกไปสำรวจนอกป้อมได้ แต่เอาจริง ๆ ก็เหมือนกับเป็นเกมเส้นตรงอยู่ดี เพราะพื้นที่ต่าง ๆ ในเกม แม้จะมีหลากหลาย แต่ถ้าไม่ได้ไปทำภารกิจเนื้อเรื่อง มันก็แทบไม่มีอะไรให้โต้ตอบด้วยเลย จะมีก็แค่บางพื้นที่ เช่นร้านค้าเท่านั้น ที่สามารถแวะไปซื้อของได้เท่านั้น ซึ่งก็พอเข้าใจได้ในฐานะเกมอินดี้ ว่าคงทำได้สุด ๆ เพียงเท่านี้ เอาแค่ระบบที่เกมใส่มาก็น่าประทับใจมากแล้ว ซึ่งเราจะเอาไว้ว่ากันในช่วงของเกมเพลย์การเล่นและที่ต้องพูดถึงกันอีกข้อคือเรื่องของการภาษาไทยภายในเกม ที่ต้องบอกเลยว่าอย่าได้คาดหวัง เพราะจากที่ลองเล่นมา ชัดเจนเลยว่ามันคือการโยนภาษาอังกฤษต้นฉบับไปให้ Google Translate แปล แล้วเอามาใส่ในเกมเลยโดยไม่มีการขัดเกลาหรือเรียบเรียงแต่อย่างใด ซึ่งก็น่าจะเหตุผลในด้านทุนสร้างของตัวเกมอยู่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าในด้านเนื้อหาของเกมที่มีการอ้างอิงการเมืองหรือใช้คำศัพท์ยาก ๆ การแปลแบบ Translate นี้ก็ช่วยได้เยอะ ดังนั้นใครที่อ่านแล้วเรียบเรียงเก่ง อาจไม่ใช่ปัญหา แต่ใครอ่านภาษาอังกฤษเก่งอยู่แล้ว สลับไปใช้ภาษาอังกฤษน่าจะดีกว่าเกมเพลย์ที่เน้นความรอบคอบเป็นหลัก แต่ก็มีความหลากหลายชวนให้เล่นได้ในระยะยาวแม้ว่าเกมนี้เราจะรับบทเป็นตำรวจประจำการที่ป้อมตรวจคนเข้าเมือง แต่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เราได้ทำกันมากกว่านั้น เริ่มจากการตรวจคนเข้าเมือง หากผู้เล่นมั่นใจว่าสายตาของตัวเองแม่นยำพอ และไม่ขาดตกบกพร่องใด ๆ เราสามารถใช้สายตาเปล่าของเราตรวจได้เลยโดยไม่ต้องคลิกเชื่อมโยงข้อมูล การคลิกเชื่อมโยงข้อมูล จะทำให้ข้อมูลถูกต้องแม่นยำจากการใช้ระบบตรวจสอบ แต่จะเสียค่าพลังงานแทน ค่าพลังงานจะมีจำกัด ยิ่งตรวจสอบเยอะ พลังงานก็ใกล้หมด การตรวจสอบจะกินเวลามากขึ้น พลังงานนี้จะฟื้นฟูได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อเราได้อัปเกรดที่พักให้ดีพอเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ การตรวจของเราจะค่อนข้างยากและต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น ในป้อมของเราจะมีกระดานแจ้งข่าว ที่จะเป็นตัวกำหนดว่า วันนั้น หรือช่วงเวลานั้นจะมีกฎหมายแบบใดในการควบคุม เช่นในวันนี้ เราอาจจะห้ามรับคนจากประเทศที่กำหนดเข้ามา เราก็ต้องมาตรวจสอบกันอย่างละเอียดตามระเบียบการ ข้อดีก็คือ เกมจะไม่จำกัดระยะเวลาในการตรวจสอบ เราอยากจะตรวจนานแค่ไหน เอาจนกว่าจะมั่นใจก็สามารถทำได้ ทำให้เกมเล่นง่ายพอสมควรทีนี้ความสนุกจะอยู่ที่การจับตัวคนร้าย และการปฏิเสธคนไม่ให้เข้าเมือง หากรเาตรวจสอบเอกสารแล้ว มีการทำผิดระเบียบ เช่น ชื่อบนบัตรประชาชนกับหนังสือเดินทางไม่ตรงกัน หนังสือเดินทางหมดอายุ หรือประชาชนคนนั้นทำผิดระเบียบนำเข้า เราก็ต้องปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าประเทศเราได้ หากเราปฏิเสธหรืออนุมัติการเข้าเมืองได้ถูกต้องก็จะได้รับเงินรางวัล มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แบบในการตรวจตรา ในกรณีที่เราตรวจเจอของเถื่อนซุกซ่อนอยู่ในรถ เราจำเป็นจะต้องจับคนนั้นเข้าคุก หรือถ้ายึดของเถื่อนมาได้ ก็ต้องเอาไปเก็บไว้ที่โกดัง ซึ่งทั้งคุกและโกดังนั้น ถ้ายังไม่อัปเกรดก็จะจุได้น้อยมาก ทำให้เราต้องคอยขับรถไปส่งนักโทษและนำของเถื่อนที่เราจับได้ไปส่งที่สำนักงานตำรวจด้วย โดยเราสามารถขับรถไปส่งเองได้ หรือโทรเรียกให้รถขายของกับรถจากสำนักงานใหญ่ได้ แต่ในช่วงแรกที่รายได้เราน้อยมาก การโทรเรียกอาจจะไม่คุ้ม ขับไปส่งเอง ยอมเสียเวลาจะดีกว่า แต่ระยะหลังหากมีรายได้จากการตรวจที่แม่นยำมากพอแล้ว ก็จะสามารถใช้บริการเหล่านี้ได้การตรวจหาของเถื่อน จำเป็นจะต้องใ้ชอุปกรณ์เสริมในการเปิดสิ่งของเช่น มีด ชะแลง ของเหล่านี้จะมีค่าความคงทนอยู่ด้วย ใช้บ่อย ๆ ก็พัง ก็ต้องขับรถไปซื้อใหม่เหมือนกัน รวมไปถึงอาวุธปืนและกระสุนด้วย อาวุธแต่ละเกรด อุปกรณ์แต่ละชิ้นก็จะมีความทนทานไม่เท่ากัน อันไหนดี ๆ หน่อยก็จะแพง ซึ่งทำให้เราต้องบริหารจัดการเงินให้ดี เพราะเงินเรายังต้องนำไปใช้อัปเกรดป้อม และที่พัก รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ในป้อมของเราด้วยเกมเพลย์การเล่นยังมีส่วนของการขับรถไล่ล่าผู้ร้ายที่พยายามแหกด่านหนี รวมไปถึงภารกิจเนื้อเรื่องที่จะมาในรูปแบบบังคับให้เราไปเข้าร่วมแบบวันต่อวัน (นึกภาพคล้าย ๆ Far Cry 5) ซึ่งเนื้อเรื่องก็พอจะมีความน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ในระดับหนึ่ง และอย่างที่บอกว่าเราอาจจะต้องเล่นกันสองรอบเพื่อเก็บ Achievement แต่หากใครเบื่อจริง ๆ รอบเดียวก็เกินพอแล้ว ในด้านของเกมเพลย์การยิงที่ใส่เข้ามาในบางช่วง บอกเลยว่าเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก เหมือนทีมงานนี้ไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำเกมยิงมาก่อน เราวางตรงเป้าแล้ว แต่ยิงไม่โดนก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้ว เกมเพลย์ส่วนของการยิงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหลบหลังกำบัง ออกไปยิงให้หมด ไม่ได้ลึกล้ำอะไรนัก ก็ตามประสาเกมอินดี้ความสนุกในการตรวจตราสิ่งของ และบริหารจัดการทรัพยากร หากเอาให้จบเนื้อเรื่องของมันก็อาจจะกินเวลาอยู่ที่ 8-10 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากมองว่านี่คือเกมอินดี้ เกมนี้ถือว่าเป็นเกมอินดี้ระดับคุณภาพ แต่ข้อเสียหลัก ๆ เลยคือ มันเป็ฯเกมที่กินสเปคสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว หากจะเล่นเกมนี้ลื่น ๆ ผู้เล่นจะต้องใช้ Intel i7 Gen 9 ขึ้นไป ไม่แน่ใจว่ามันหนักการประมวลผลอะไรกันแน่ แถมการ์ดจอยังต้องใช้ระดับ 2060 ขึ้นไปอีกด้วย ในฐานะที่เป็นเกมอินดี้ ก็ต้องบอกว่ากินสเปคเอาเรื่องแต่นอกจากส่วนของสเปค นี่เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ระดับคุณภาพ ที่ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมมันใช้เวลาในการพัฒนานานมากขนาดนี้ ได้เล่นเองก็พบคำตอบแล้ว
08 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม 9 Years of Shadow อินดี้ระดับคุณภาพที่มาพร้อมงานศิลป์อันโดดเด่นจนเราไม่อยากให้พลาด
จริงอยู่ว่าปีนี้ เกมในช่วงต้นปี เรามีเกม AAA ฟอร์มยักษ์มากมายมาให้เราได้เล่นกัน แต่ฝั่งเกมอินดี้เองก็ใช่ย่อย และ 9 Years of Shadow ถือเป็นเกมม้ามืดที่เราแนะนำอย่างมาก เพราะนอกจากเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างดีแล้ว ความโดดเด่นของมันคือ Presentation ระดับเทพและการออกแบบงานศิลป์ งานออกแบบที่เราชอบมาก ๆ แต่ภาพรวมเกมเป็นยังไง วันนี้มาดูรีวิวของเรากับ 9 Years of Shadowดินแดนที่ถูกดูดกลืนสีสันนานมาแล้วในดินแดนแห่งหนึ่ง คำสาปลึกลับเข้ากลืนกินอาณาจักร สีสันถูกดูดกลินหายไปด้วย ผู้เล่นจะรับบทเป็น Europa เด็กสาวที่ต่อสู้เพื่อทวงคืนอาณาจักรและพ่อแม่ที่สูญเสียไปของเธอกลับคืนมา แต่เธอสู้มาตลอด 9 ปีเต็มก็ไม่มีทีท่าว่าจะชนะ ในขณะที่เธอกำลังจะถอดใจยอมรับความตาย ตุ๊กตาหมีสุดน่ารักก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมมอบพลังใหม่ให้เธอ และการกำจัดศัตรูทำให้เธอคืนสีสันให้กับอาณาจักรแห่งนี้ด้วย เมื่อความหวังใหม่เกิดขึ้น เธอจึงลุกขึ้นสู้ และมุ่งหน้าสู่ปราสาท Talos ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปอีกครั้งสำหรับเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ค่อนข้าง Cliche หรือเห็นได้ซ้ำ ๆ ทั่วไปตามประสาเกมอินดี้ และการเล่าเรื่องราวของเกม Metroidvania มักจะไม่ได้เล่าตรง ๆ แต่เล่าผ่านฉาก ไอเทม และ NPC ตัวต่าง ๆ ที่เราไปพบเจอด้วย ในขณะเดียวกัน NPC ที่พร้อมจะให้ข้อมูลด้านเนื้อเรื่องกับเรา ก็จะมีส่วนในระบบและเกมเพลย์ด้วย แต่ข้อดีของเกมนี้เลยคือ เนื้อเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไปนัก ในเกมอินดี้อื่น ๆ พยายามจะทำให้เนื้อเรื่องล้ำจนเข้าใจยาก แต่ไม่ใ่ชกับเกมนี้ มันเป็นเพียงการกอบกู้ดินแดนจากคำสาปชั่วร้ายของหญิงสาวที่มีโชคชะตาเป็นวีรบุรุษนี้เท่านั้น ซึ่งจะว่าดี มันก็ดี แต่มันก็ธรรมดาไปหน่อย แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่น นอกจากเนื้อเรื่องอันเรียบง่ายคือส่วนของการนำเสนอและเกมเพลย์การเล่นที่เราจะพูดถึงต่อจากนี้การออกแบบ ดีไซน์ และงานศิลป์ที่เหนือล้ำจนชวนให้เราเล่นต่อความโดดเด่นของ 9 Years of Shadow ที่สะดุดตาเราตั้งแต่แรก คือเรื่องของงานออกแบบ ที่เตะตาตั้งแต่โลโก้เลข 9 ที่มีโทนสีสว่าง อย่างสีม่วงตัดฟ้า โดยการใช้โทนสีนี้เองก็บ่งบอกถึงเรื่องราวในเกม โดยจะเป็นชุดที่นางเอกของเกมใส่ด้วย และเมื่อได้เข้าไปเล่นเกมก็จะพบว่า โลโก้นั้นยังเบา ๆ เพราะงานศิลป์ในเกมนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากมาก ทั้งการออกแบบฉาก ตัวละคร อาวุธ ชุดเกราะที่เราใช้ หรือแม้กระทั่งตัวศัตรูและบอส มันเป็นงานศิลป์ที่สวยงามโดดเด่นเหนือเกมอื่น ๆ ชนิดที่ถ้าเอามาวางเทียบกัน ยังไงเกมนี้ก็ต้องเตะตาคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยในขณะที่เกมอื่นนั้น การทำเกม Metroidvania จะเน้นความเป็นดาร์คแฟนตาซี แต่เกมนี้จะเน้นความสดใส สวยงาม สบายตา แม้จะมีดีไซน์ศัตรูที่ดูน่ากลัว น่าขนลุกอยู่บ้าง แต่มันก็ซอฟท์กว่าเกมอื่นเยอะ แถมศัตรูในเกมนี้ยังมีความหลากหลายมากทั้งพวกลูกกระจ๊อกและบอส มีทั้งสัตว์อสูร สิ่งมีชีวิตลึกลับแบบดาร์คแฟนตาซี อัศวินใส่เกราะ และประเภทอื่น ๆ อีกเพียบตลอดการเล่น ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการผจญภัยที่เจอแต่อะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา มันมีผลต่อความรู้สึกในการเล่นและสำหรับคนที่เล่นเกม Metroidvania จะคุ้นชินกับสไตล์เกมแบบนี้ นั่นคือเส้นทางของเกมจะไม่ใช่เส้นตรง ผู้เล่นอาจจะเจอทางไปต่อ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้ในตอนแรก อาจจะต้องเลยไปก่อน หรือหาทางแยกอีกทาง เพื่อไปเจอคีย์ไอเทม ปราบบอส ได้พลังใหม่ แล้วกลับมาไปต่อทางเดิมตามเนื้อเรื่องหลักเรื่อย ๆ พื้นที่ในเกมจะแบ่งเป็น Section แต่ละ Section จะมีสภาพภูมิประเทศที่ต่างกันออกไป เราอาจจะยังเข้าถึงไม่ได้ในทันที แต่ต้องปราบบอสประจำ Section เพื่อเข้าถึงคีย์ไอเทมก่อน และในพื้นที่นั้น ๆ ก็จะมีห้องเซฟ มีห้องของเหล่า NPC ที่เอาไว้อัปเกรด หรือเพิ่มพลังต่าง ๆ ได้ ใครที่ชื่นชอบการสำรวจ ไปทุกซอกทุกมุมของเกม เกมนี้อาจจะทำให้คุณเสียเวลากับมันได้หลายชั่วโมงแน่ ๆ เกมเพลย์ที่ทับเส้นระหว่างความยากและแฟร์อีกจุดที่เซอร์ไพรส์สำหรับเกมนี้คือระบบเกมเพลย์การเล่นที่ไม่คิดว่าจะออกแบบมาได้ดีขนาดนี้ เกมเพลย์ของ 9 Years of Shadow จะเป็นแบบ Action Side Scrolling ที่ตัวเอกอย่าง Europa จะมีอาวุธประเภทเดียวคือขวาน แต่สิ่งที่ทำให้รูปแบบการต่อสู้ของ Europa ต่างกันออกไป คือชุดเกราะที่อ้างอิงจากตำนานเทพกรีก โดยเกมนี้จะมีชุดเกราะให้เราปลดได้ทั้งหมด 3 เกราะด้วยกัน นอกจากจะทำให้รูปแบบการโจมตีของเราเปลี่ยนไปแล้ว ยังมีกลไกที่ช่วยให้เราผ่านด่านต่าง ๆ ได้ยกตัวอย่างเช่นเกราะโพไซดอนสีฟ้า ที่มีความสามารถในการแปลงร่างเป็นเงือกเพื่อว่ายน้ำในน้ำได้ เกราะไกอาสีเขียว ที่ทำให้เราดำดินลัดไปตามฉาก เกราะเฮลิออสสีแดงที่เน้นการโจมตีธาตุไฟ เกราะเหล่านี้คือ Elemental Armor ที่จะได้ตามเนื้อเรื่อง ดังนั้นเราจะได้สัมผัสทุกเกราะแน่นอน และแต่ละเกราะจะทำให้เราผ่านฉากต่าง ๆ ได้ตามเนื้อหาของมัน ในขณะที่อาวุธนั้นมีเพียงแบบเดียวคือขวานยาว แต่การโจมตีและรูปแบบของสกิลจะเปลี่ยนไปตามเกราะที่ใช้ด้วย บางเกราะอาจใช้พลังโจมตีช้า บางเกราะอาจโจมตีเร็ว นอกจากนั้น ประเภทของเกราะยังส่งผลให้เราโจมตีศัตรูบางประเภทเข้า หรือไม่เข้าได้ด้วย โดยวัดจากขอบสีของศัตรู ซึ่งเราต้องเปลี่ยนเกราะตามนอกจากขวานแล้วยังมีการโจมตีอีกแบบ คือการใช้ตุ๊กตาหมียิงพลังออกไป และระบบการใช้พลังงานของเกมนี้ค่อนข้างแปลกไปจากเกมอื่น พลังที่เราใช้ในการยิงพลัง กับพลังชีวิตจะใช้หลอดเดียวกัน แต่เกมนี้จะไม่มีไอเทมฟื้นพลังโดยตรง หลอดสีฟ้าที่เป็นพลังหลัก จะแทนทั้งพลังชีวิตและหลอดพลัง โดยเมื่อหลอดพลังหมด เราสามารถกดกอดเจ้าตุ๊กตาหมี เพื่อชาร์จพลังได้ แต่มันจะกินเวลานานมาก กับอีกวิธีคือหากโดนโจมตี จะมี Quick Time Event ขึ้นมาให้กด เพื่อฟื้นพลังแบบเต็มหลอดเลย แต่ส่วนมากจะเร็วจนเรากดแทบไม่ทัน เพราะฉากแอ็คชั่นในเกมก็ค่อนข้างเร็วอยู่แล้วด้วยปัญหาอีกอย่างของเกมนี้คือความยากที่ค่อนข้างแกว่ง ในเกมการเล่นตามฉากปกติ ศัตรูจะรับมือได้ไม่ค่อยยาก และแพทเทิร์นในการเล่นจะค่อนข้างเดิม ๆ แต่พอเป็นบอส เชื่อว่าผู้เล่นส่วนมาก ยังไงก็ตายแน่ ๆ เพราะไม่มีทางคาดเดารูปแบบการโจมตีได้เลย ยังไงก็ต้องตายสักรอบ ถึงจะพอสู้ได้ และคำเตือนสำหรับเกมนี้ พยายามหาห้องเซฟทุกครั้ง และเมื่อฆ่าบอสได้พยายามกลับไปห้องเซฟก่อน เพราะเกมนี้จะเซฟก็ต่อเมื่อเรากดเซฟเกมที่ห้องเซฟ ผู้เขียนเคยประสบปัญหาฆ่าบอสตายแล้วไปต่อ แต่ดันพลาดท่าตาย ย้อนกลับมาต้องสู้บอสอีกรอบ หัวแทบไหม้ ด้วยความยากที่ค่อนข้างแกว่งเลยอาจเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ถนัดเกมแนวนี้ แต่ในด้านความท้าทายและชวนให้เล่นเกมต่อ ความยากของเกมนี้ไม่ถึงระดับกับชวนหัวร้อน แต่ทำได้ดีเลยทีเดียว และถือว่าแฟร์ดีถือว่าเป็นปีทองของวงการเกมเลยก็ว่าได้ จะเกมเล็กเกมใหญ่ ปีนี้ทำได้ดีแบบเหลือเชื่อจริง ๆ สำหรับ 9 Years of Shadow ใครกำลังมองหาเกมอินดี้ดี ๆ ก็ไม่ควรพลาด
06 Apr 2023
[พรีวิว] Exoprimal เกมใหม่จากทาง Capcom กับการปะทะฝูงไดโนเสาร์นับพันตัวในเวลาเดียวกัน !
หลังจากหากินอยู่กับภาค Remake และแฟรนไชส์เดิม ๆ มานาน ปีนี้ Capcom ได้ออก IP ใหม่ แต่เจือปนไปด้วยกลิ่นอายของเกมเก่าอย่าง Dino Crisis อยู่ด้วย และนี่คือ Exoprimal เกม TPS Co-op ที่มาพร้อมฝูงไดโนเสาร์ถล่มโลก โดยผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในผู้สวมชุด Exo Suit และต่อสู้กับไดโนเสาร์เพื่อปกป้องโลก โดยตัวเกมมีการเปิดทดสอบรอบ Network Test กันไปเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเราได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ด้วย ประสบการณ์แรกจากการเล่นเกมนี้จะเป็นยังไง วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังกันฝ่าวิกฤติกองทัพไดโนเสาร์ กับเทคโนโลยีล้ำอนาคตของเหล่ามนุษย์เรื่องราวของ Exoprimal จะเล่าถึงโลกในอนาคตที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เกิดประตูมิติเกิดขึ้นและประตูมิตินั้นก็เกิดฝูงไดโนเสาร์จำนวนมากทะลักออกมาจนโลกเข้าสู่ความโกลาหล ผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในมนุษย์ปกติที่สมัครเข้าร่วมโครงการ Exo Suit ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง และสวม Exo Suit เข้าต่อสู้ปกป้องโลกเอาไว้ สิ่งที่ยังไม่อาจบอกได้ในตอนนี้ เนื่องจากในช่วง Network Test ที่ผ่านมา ตัวเกมไม่ได้เปิดเผยเนื้อเรื่องแบบละเอียดมากนัก เปิดเผยเพียงพล็อตคร่าว ๆ เท่านั้น แถมไม่มีโหมดเนื้อเรื่องหรือ PvE ให้ได้เล่นกันอีกต่างหาก คาดว่าเพื่อไม่ให้เป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องโดยตรง บวกกับเป็นการทดสอบระบบ Network ทำให้ทาง Capcom เลือกเปิดทดสอบแค่โหมดออนไลน์เท่านั้น ในโหมดที่ชื่อว่า Wargame และมันจะเป็นยังไง มาดูข้อมูลกันการผสมผสานแบบไฮบริดของเกมแนว PvEvP สู้กับมอนฯก่อน แล้วไปดวลกันในตอนท้ายโหมด Wargame หรือ PvEvP ของเกมนี้ จะมีรูปแบบการเล่นแบบไฮบริดที่ผู้เล่นจะแบ่งออกเป็นทีม แต่ละทีมมีสมาชิก 5 คน ใน Phase แรกของเกมการเล่น ผู้เล่นในทีมจะต้องร่วมมือกัน ต่อสู้กับฝู.ไดโนเสาร์ที่มีมากมายหลายแบบ หลายเงื่อนไข โดยเป็นการแข่งขันทำเวลากับอีกฝ่ายแบบเรียลไทม์ คือเราจะไม่ได้เจอกบัทีมศัตรู แต่เราจะเห็นทุกการกระทำของทีมศัตรูว่าอีกฝั่งทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว ผ่านทางหน้าจอแสดงผล และภาพโฮโลแกรม ใน Phase ของการแข่งขันนี้จะสนุกตรงที่ แต่ละทีมจะต้องประสานงาน และร่วมมือกันอย่างมาก มันไม่ใช่แค่การสแปมยิงไดโนเสาร์ให้จบ ๆ ไป แต่มันมีผลตั้งแต่พื้นที่ยืน ไปจนถึงชุด Exo Suit ที่เราเลือกใช้ การกำจัดไดโนเสาร์ จะมีทั้งการสแปมสกิล ยิงยับ หรือเน้นจุดอ่อน ซึ่งการเน้นจุดอ่อนก็ต้องอาศัยทีมเวิร์คและการรู้งานของคนทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตรงนี้นี่แหละที่แม้ว่ามันจะไม่ได้ฟาดฟันกับผู้เล่นอื่น แต่ก็เป็นการวัดทีมเวิร์คกันว่า ทีมเวิร์คใครจะเจ๋งกว่าโดยเมื่อผ่าย Phase แรกที่มีทั้งหมด 4 ภารกิจไปได้ Phase ต่อไป จะเป็นการสุ่มว่าจะได้เล่นแบบ PvP หรือไม่ ซึ่งจากที่ผู้เขียนทดสอบมานั้น ก็เจอแบบผสมปน ๆ กันไป ทั้งแบบ PvP และแบบ PvE โดยจะมีทั้งการแข่งขันชาร์จค้อน โดยผู้เล่นจะต้องถือค้อนไว้ และยิงฝูงไดโนเสาร์ให้เยอะที่สุดเพื่อชาร์จ เมื่อชาร์จจนเต็มแล้ว ให้นำค้อนไปทำลายแกนพลังงาน ทีมไหนทำลายได้ครบ 3 ครั้งก่อนก็ชนะไปโหมด PvP เพียว ๆ อย่างการแข่งขันเก็บคอร์พลังงาน อันนี้จะเป็นการ PvP ผู้เล่นแต่ละฝ่ายจะต้องแย่งกันเก็บคอร์พลังงานให้ได้ถึงคะแนนสูงที่สุดเพื่อจบเกม แต่นอกจากจะโดนฝูงไดโนเสาร์ถล่มและปั่นป่วนแล้ว อีกฝ่ายจะสามารถมาขัดขวาง และต่อสู้กับเราได้ เปลี่ยนให้มันกลายเป็นเกม PvP เต็มตัว เพราะถ้าพลาดท่าโดนฆ่าตาย คอร์พลังงานที่เก็บมาก็จะหล่นไปให้อีกฝ่าย แต่คอร์พลังงานเหล่านี้จะมีจุดเกิดด้วย เราสามารถเล่นแบบประสานงาน สื่อสารกันได้ ให้ใครคอยขัดขวาง ให้ใครไปเก็บคอร์ เพื่อคว้าชัยชนะร่วมกัน เป็นโหมดผสมผสานที่สนุกมาก ๆ คาดว่าในช่วงเกมเต็ม จะยังมีโหมดการเล่นอื่น ๆ ตามมาด้วย แต่สิ่งที่แฟน ๆ ฟีดแบคกลับไปหาทีมงานในช่วงทดสอบก็คือ อยากรู้และสัมผัสกับโหมดเนื้อเรื่องมากกว่า เพราะดีไซน์เกมเพลย์นั้น ค่อนข้างชัดเจนว่า เล่นแบบ PvE หรือแคมเปญเนื้อเรื่องน่าจะสนุกกว่าจริง ๆ Exo Suit ที่ทำหน้าที่แบ่งตำแหน่งผู้เล่น และเป็นความหลากหลายในการเล่นจุดเด่นสำคัญของ Exoprimal เลยก็คือระบบ Exo Suit ที่ทำหน้าที่เหมือนการแบ่งสายอาชีพภายในเกมนี้ โดยจะแบ่งออกเป็น Role ที่มีทั้งหมด 3 Role ดังนี้- Assault สูทประเภทนี้จะเน้นไปที่การสร้างความเสียหายให้กับศัตรู ทั้งระยะใกล้ กลาง ไกล มีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกันออกไปตามสูทแต่ละประเภท- Tank มีความสามารถในด้านพลังป้องกันและพลังชีวิตสูงมาก และมีสกิลยั่วยุไดโนเสาร์ให้หันไปรุมเขาได้ เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมโจมตีศัตรูได้อย่างเต็มที่- Support มีความสามารถในการช่วยเหลือทีม และมีความจำเป็นอย่างสูงที่สุด เป็น Suit ประเภทเดียวที่อาวุธและความสามารถช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตเพื่อนร่วมทีม และยังเพิ่มบัฟให้ทีม และสร้างดีบัฟให้ทีมศัตรูนอกจากนั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่า RIGS ที่เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Exo Suit ที่สามารถติดตั้งเสริมได้รอบละ 1 อย่างเท่านั้น ทำให้รูปแบบการเล่นของผู้เล่นแต่ละคน จะต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับ Exo Suit และ RIGS ที่ผู้เล่นคนนั้น ๆ ใส่มา ทำให้เกมเพลย์การเล่นในช่วงทดสอบของผู้เขียนนั้น เรียกได้ว่าสัมผัสถึงความหลากหลายได้เยอะเลยทีเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อปัจจัยสำคัญของเกมคือการแข่งขันทำความเร็ว ก็คงหนีไม่พ้น Meta ชุด และ RIGS ที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งก็อยู่ที่ทาง Capcom จะจัดการปัญหาบาลานซ์นี้ได้หรือไม่RE Engine โชว์ความเทพอีกครั้งนับตั้งแต่ Capcom เปิดตัว RE Engine เป็นครั้งแรกกับเกม Resident Evil 7 ในปี 2017 มันก็แทบจะกลายเป็นเอนจิ้นหลักของทาง Capcom มาตลอด เพราะเกมใหม่ ๆ ต่อจากนั้นทั้ง Resident Evil 2, 3, Village รวมไปถึง Monster Hunter และ Devil May Cry และเกมในอนาคตอย่าง Street Fighter 6, Pragmata และ Dragon's Dogma II ล้วนจะใช้ขุมพลังของ RE Engine ด้วยกันทั้งสิ้นฟีเจอร์หลัก ๆ และความสามารถของ RE Engine อยู่ที่การปรับปรุงต่อยอดจาก MT Framework และลบรอยหยักกับการเพิ่มแสงสว่างเชิงปริมาตรแบบใหม่ และมีเครื่องมือที่เอื้อต่อทีมพัฒนามากมาย จนทำให้มันกลายเป็นเอนจิ้นระดับเทพของ Capcomใน Exoprimal เองก็ใช้ RE Engine ตัวนี้ และมันก็โชว์ความเจ๋งของมันได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะจากที่ผู้เขียนทดสอบเล่นเกมนี้ แม้จะเป็นฉากที่มีไดโนเสาร์แห่เกิดออกมาพร้อมกันกว่า 1,000 ตัว ก็ยังแทบจะไม่เกิดปัญหาอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งเฟรมเรทดรอป ซึ่งถือว่าเป็นจุดพีคของ RE Engine ที่ได้ภาพที่สวยงาม แต่ก็ไม่ได้กินสเปคเครื่องจนเกินงาม แต่งานนี้ต้องรอดูว่าตอนเกมเปิดจริงจะเป็นยังไงต้องบอกเลยว่า Exoprimal ถือเป็นอีกหนึ่งความสุ่มเสี่ยงของทาง Capcom ด้วยความที่ขายเกมในราคาระดับ AAA แถมยังเป็นเกมแบบ Live Services ที่มีการขายอย่างอื่นภายในเกมด้วย เช่นระบบ Battle Pass และคอนเทนต์อัปเดตอีกมากมาย ในยุคที่เกม Live Services ร่วงกันเป็นใบไม้ งานนี้ต้องรอดูกันแล้วว่าจะเป็นยังไงสำหรับ IP ใหม่เกมนี้ 
30 Mar 2023
[Review] รีวิว Atomic Heart เกม FPS สู้ฝูงหุ่นยนต์ยุคโซเวียด ที่ควรถูกทำเป็นหนังมากกว่าเกม!
หนึ่งในเกมที่หลายคนจับตามองในปี 2023 เนื่องจากภาพกราฟิกในตัวอย่างมันสวยมากๆ และก็มีการนำเสนอที่ดูน่าสนใจต่างจากเกมอย่าง DOOM หรือ Wolfenstein พอสมควร แถมก็ยังไปทำให้สาวกเกม System Shock ถูกใจอีก วันนี้ทางเรา GameFever ขอพามาชมรีวิวเกม Atomic Heart ว่ามันจะเป็นเกมน้องใหม่ที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ ดูเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลย!!!คลิปตัวอย่างเกมก่อนไปชมรีวิวAtomic Heart คือเกมอะไรเกมนี้ถูกหลายคนจับตามอง เนื่องจากเป็นเกมจากทางค่ายรัสเซีย และก็มีเรื่องราวอยู่ในช่วงยุคโซเวียด พร้อมยังมีภาพกราฟิกสวยมากๆ และก็เป็นแนว FPS ให้ถลมฝูงศัตรูแบบเลือดสาด โดยเกมนี้ยังได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานเกม System Shock ที่ใครหลายคนรอภาค Remake กันในตอนนี้ แถมจุดเจ๋งอีกอย่างนึงของ Atomic Heart นับตั้งแต่ก่อนวางขายคือผู้พัฒนาแจ้งว่าเขาใส่ใจ่ทำให้เกมเล่นลื่น และคอมเก่ามากก็เล่นได้ รวมทั้งยังมีบน Game Pass อีกต่างหากด้านเนื้อเรื่องเกมเปิดเรื่องมาอยู่ในช่วงหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปแล้ว 10 ปี และเล่าแต่งเติมว่าทางโซเวียดนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำยุคกว่าทุกประเทศมากๆ จนถึงขนาดสร้างกองทัพหุ่นยนต์มาช่วยงานมนุษย์ได้ ส่วนตัวเอกนั้นก็เป็นทหารที่ผ่านมาหลายสงคราม แต่ดันพลาดท่าในสงครามหนึ่งแล้วถูกเทคโนโลยีล้ำยุคของโซเวียดช่วยชีวิตเอาไว้ (แต่ก็แลกกับความจำเสื่อม) เกมเริ่มเรื่องด้วยการที่ตัวเอกมาร่วมงานฉลองของคนที่ช่วยชีวิตเขา แต่งานฉลองนั้นก็ดันมีเหตุการณ์ที่ทำให้กองทัพหุ่นยนต์คลั่งอยากฆ่ามนุษย์ และเกิดเหตุร้ายอีกเพียบในศูนย์วิจัยของโซเวียด ทำให้ตัวเอกจึงต้องหาทางหยุดเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ให้ได้ เนื้อเรื่องของ Atomic Heart จะมีความซับซ้อนหักมุมอยู่บ่อยครั้งเอาเรื่อง และก็ยังนำเสนอเทคโนโลยีล้ำยุคด้วยไอเดียน่าสนใจเต็มไปหมด รวมทั้งยังมีการเอาเรื่อง 'คอมมิวนิสต์' มาขยี้ว่ามันดีหรือแย่ยังไง ทำให้คนที่ชอบพวกเนื้อเรื่องวิทยาศาสตร์ Sci-Fi หรือการเมืองก็จะสนใจในเกมนี้ แต่ว่าพอได้มาเล่นจริงๆ สิ่งที่คุณจะรู้สึกต่อจากนั้นก็คือ 'มันงั้นๆ ไปป่ะ?' เพราะคนส่วนใหญ่ก็คงเคยสัมผัสเนื้อเรื่องวิบัติของพวกหุ่นยนต์กันมาเยอะแล้ว และเกมนี้มันก็ไม่ได้มีแนวเรื่องให้รู้สึกว้าวแตกต่างจากเนื้อเรื่องวิบัติหุ่นยนต์อื่นๆ (ถ้าแตกต่างต้องแบบเกม Detroit Become Human) ยังดีหน่อยที่ถ้าคุณไม่เคยศึกษาเรื่องคอมมิวนิสต์ คุณจะว้าวกับเรื่องราวจักรวาลในเกมนี้มาก แต่ถ้าคุณเคยศึกษามาก่อนหน้าแล้ว คุณก็จะรู้สึกว่ามันก็ธรรมดาเหมือนกัน แถมเกมนี้ยังพยายามทำเป็น 'หนังเกรด B' ที่เนื้อเรื่องบางช่วงจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่เมคเซ้นส์แบบสุดโด่งเกินไป ส่งผลให้บางคนนั้นถ้าไม่รักเกมนี้ ก็อาจ 'เกลียดเนื้อเรื่องเกมนี้ไปเลย'เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์เกมนี้จะมีหลากหลายอย่างให้พบเจอแบบน่าสนใจทั้งนั้น แถมนอกจากกองทัพหุ่นยนต์ เราก็จะยังได้พบเจอ 'สิ่งทดลองจำนวนมาก' ในศูนย์วิจัยที่จะทำให้คุณช้อคกับที่มาที่ไปของมัน และสิ่งทดลองพวกนี้ก็ยังทำให้เห็นความน่ากลัวของโซเวียดหรือคอมมิวนิสต์ด้วยความเป็น 'หนังเกรด B' ของเกมนี้ น่าจะทำให้ใครหลายคนปรับตัวกับความสมเหตุสมผลของเกมไม่ทัน เพราะบางทีเกมก็ดูจะจริงจังในการเล่าเรื่องแบบสมจริง แต่เราก็ต้องมาพบเจอตัวเอกที่เท่เกินความสมเหตุสมผล หรือคุณยายโหดเหนือมนุษย์ จับปืนสู้ฝูงหุ่นยนต์แบบซุปเปอร์ฮีโร่ ถ้าคุณปรับตัวเข้าหาความไม่เมคเซ้นส์แบบสุดโด่งไม่ได้ คุณจะรู้สึกไม่ถูกใจเนื้อเรื่องในเกมนี้พวกบทสนทนาในเกมก็ดูจะทำได้ไม่ค่อยดีด้วย เพราะหลายทีก็มีบทพูดไม่น่าสนใจมาให้เห็น และบางทีก็เล่นมุกแป้กอีก รวมทั้งบางตัวละครยกตัวอย่าง 'AI ตู้อัปเกรดอาวุธ' ที่บทพูดจะอารมณ์น่าหงุดหงิดเหมือน 'จาจาบิงจาก Star Wars' แต่ถ้าคนชอบอะไรรั่วๆ ก็อาจถูกใจเหมือนกันด้านภาพ & เสียงในปี 2023 เราอาจไม่ได้เห็นเกมไหนที่สามารถทำภาพกราฟิกสวยได้เท่าเกม Atomic Heart เกมนี้เปิดมาด้วยฉากที่สวยอลังมาก นึกว่ากำลังอยู่ในโลกความเป็นจริงเลยทีเดียว และเกมนี้ก็ทำฉากได้สวยอลังตลอดจริงๆ พร้อมบรรยากาศมันก็ได้อรรถรสมาก รวมทั้งการดีไซน์ทุกอย่างก็ละเอียดสวยงาม ขณะที่พวกเสียงประกอบก็น่าประทับใจ โดยเฉพาะพวกเพลงประกอบที่ฟังได้เพลินมากๆ และยังมีเอกลักษณ์ตรงเป็นเพลงภาษารัสเซีย ส่งผลให้ด้านนี้คือจุดน่าจดจำของเกมเลยก็ว่าได้ และต่อไปนี้เกม Atomic Heart ก็น่าจะติดอยู่ในรายชื่อ 'ภาพสวยอันดับต้นๆ' ต่อไปอีกหลายปี แถมอีกหนึ่งสิ่งที่น่าชมคือธีมภาพในเกมจะดูมืดๆ ผสมกับบรรยากาศธรรมชาติสีสันสวยงาม ซึ่งนอกจากมันจะเข้ากันจนเป็นเอกลักษณ์แนวภาพแบบใหม่ ก็ยังส่งผลให้เรารู้สึกถึงความเป็นยุค 50 อีกด้วย! แต่แม้ถึงฉากจะสวยอลังมาก ใครที่เล่นเกมใหม่ๆ ในยุคนี้จะรู้สึกกับเกมนี้ได้เลยว่า 'มันไม่ค่อยมีชีวิตชีวา' พวกต้นไม้หรือหญ้าในเกมจะแทบไม่ค่อยขยับ หรือพวกของประกอบฉากก็ไม่ค่อยใส่ฟิสิกส์มาอีก ส่งผลให้คนชอบสังเกตุจะเสียอรรถรสจนรู้สึกว่าโลกในเกมมันปลอมมากๆ ได้เหมือนกันตอนเปิดเกมมา เราก็จะได้เจอฉากสวยอลังตั้งแต่ต้นเลย และก็จะได้เจอตลอดทั้งเกม ใครปรับได้ภาพสุดก็คือรู้สึกฟินแน่นอนถ้าใครเคยเห็นสิ่งก่อสร้าง หรือความเป็นยุค 50 จะเห็นเลยว่าเกมนี้ทำออกมาได้อรรถรสเหมือนยุคนั้นเลย และด้วยธีมภาพแบบนี้ก็สร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้านนำเสนอเกมนี้จะให้เราเล่นผ่านด่านไปตามฉาก และจะมีช่วงที่เป็นแนวกึ่ง Open World ให้เราออกสำรวจพื้นที่อย่างอิสระ โดยหลายช่วงก็จะมีทั้งให้เราสู้กับศัตรู และช่วงที่ต้องแก้ปริศนา แต่ด้วยความที่เกมนี้ยังมีความเป็น RPG ระดับเป็น 'แนวหลัก' ก็ทำให้การสำรวจผู้เล่นนั้นจะไม่ได้แค่ต้องผ่านภารกิจ แต่ยังต้องหาฟาร์มวัสดุมาอัปเกรดอาวุธ และสกิล ซึ่งผู้เล่นจะมีอาวุธทั้งแบบเป็นประชิต และปืนให้เลือกใช้เยอะมาก รวมทั้งจะมี 'ถุงมือ' ที่ให้ผู้เล่นใช้เทคโนโลยีอย่างกับพวกพลังเวทย์ได้ ยกตัวอย่างปล่อยพลังไฟฟ้าใส่ศัตรู หรือพลังน้ำแข็งแช่แข็งศัตรู แล้วเกมก็ยังมีระบบช่องเก็บของที่ทำให้เราต้องบริหารให้ดีว่าจะพกอาวุธกี่ชิ้น หรือเอายาไปกี่อัน ซึ่งในจุดนี้ข้อดีคือเกมทำพวกปริศนามาได้น่าสนใจ และก็เป็นการนำเสนอวิทยาศาสตร์ไอเดียแปลกๆ มาใส่เข้ากันให้คนเล่นว้าวด้วย และพวกการอัปเกรดอาวุธหรือถุงมือแต่ละชิ้นก็มีหลากหลายสายมาก แถมด้วยดีไซน์กึ่ง Open World ก็ทำให้การฟาร์มในเกมนี้จะสนุก เพราะวัสดุเกมนี้ก็มีหลายชนิด และก็ต้องไปหาได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น แต่คุณก็จะรู้สึกว่าแต่ละระบบมันก็ไม่ได้แปลกไปจากเกมอื่น และอาจรู้สึกเบื่อได้ด้วย รวมทั้งระบบเกมนี้แม้ใส่มาให้เยอะ แต่ว่าส่วนใหญ่มันก็ทำมาไม่สุด ยกตัวอย่างระบบช่องเก็บของที่รู้สึกได้เลยว่าไม่ต้องใส่มาก็ได้ และด้วยระบบที่เยอะหลากหลายก็ทำให้ 'คนเล่นต้องปรับตัวมากๆ ในช่วงแรก' โดยเฉพาะสาย FPS ที่ไม่ค่อยเล่นเกมแนว RPG มีมึนหัวแน่นอนอาวุธเกมนี้ 1 อาวุธจะอัปเกรดได้หลายสาย ยกตัวอย่างขวานยาวที่เลือกอัปด้าน 'ใบมีดขวาน' ไปเน้นชาร์จโจมตีแรงๆ หรือโจมตีเพื่อฟื้นฟูพลังงานให้ตัวละครเอาไปใช้เป็นกระสุนพิเศษได้ แล้วก็ยังมีให้เลือกอัปด้าน 'อุปกรณ์พิเศษประกอบใบมีดขวาน' ไปเน้นโจมตีเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิต หรือทำให้เวลาชาร์จโจมตีจะหมุนตัวโจมเป็นฝูงได้ แถมบางอาวุธอย่างขวานจะมีอัปเกรดให้ใส่ 'ขวดพลังธาตุ' เพื่อใส่ขวดธาตุไฟ หรือธาตุไฟฟ้า แล้วจะสามารถโจมตีเป็นธาตุนั้นๆ ได้ถุงมือจะมีให้อัปพลังธาตุมาใช้โจมตีได้ ยกตัวอย่างโจมตีด้วยพลังไฟฟ้า หรือพลังน้ำแข็งที่แช่แข็งศัตรูได้ด้วย แล้วแต่ละธาตุจะมีให้อัปเกรดเพิ่มลูกเล่นสกิลหรือความแรงได้ด้วย รวมทั้งยังมีให้อัปสกิลด้านติดตัวพิเศษอีกเพียบ แผนที่เกมนี้สร้างมามีพื้นที่ซับซ้อน และมีให้สำรวจเยอะแยะไปหมด รวมทั้งเราจะอยากไปสำรวจทุกที่ เพื่อให้ได้ทรัพยากรต่างๆ มาอัปเกรดนั่นเองด้านเกมเพลย์Atomic Heart ถือเป็นเกมที่จะให้เราได้ใช้หรือทำอะไรหลายอย่าง โดยพวกอาวุธก็มีทั้งประชิตกับปืน และถุงมือใช้พลังธาตุ แล้วเราก็ยังได้มาฟาร์มทรัพยากรกับคราฟสิ่งต่างๆ หรืออัปเกรดอาวุธตามที่บอกไป แถมนอกจากเนื้อเรื่องที่พาเราไปสู้ฝูงหุ่นยนต์กับบอส เกมนี้ก็ยังมีการใส่ 'การให้แก้ปริศนา' เพื่อผ่านด่านเข้ามาเยอะมากๆ และบางด่านก็มาพร้อมไอเดียเจ๋งๆ หรือความอลังการด้วย แต่ด้วยความที่เกมใส่ระบบต่างๆ เข้ามาเยอะขนาดนี้ แล้วทีมงานเกมนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีประสบการณ์ทำเกมมาเยอะ สิ่งที่คุณจะรู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกมเลยคือ 'มันใส่เข้ามาเยอะ แต่ไม่รู้สึกว่าตรงไหนทำมาสุดสักอย่างเลย' พวกอาวุธจะใช้ได้มันส์อยู่ และเวลาโจมตีก็มีฟิสิกส์สมจริง (ตัวขาดอะไรแบบนี้) ให้เห็นอยู่นะ แต่มันก็รู้สึกไม่หนักแน่น และเชื่องช้าจนรู้สึกว่ามันส์ไม่เต็มอิ่ม รวมทั้งพวกการคราฟหรืออัปเกรดสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้จะทำให้คุณรู้สึก 'สนุกมากขึ้น' ส่วนใหญ่ถ้าจะสนุกขึ้นก็เป็นการได้เจออาวุธใหม่ๆ เสียมากกว่า แต่อาวุธเกมนี้ก็ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น ทำให้คุณจะอิ่มกับความบันเทิงระบบพวกนี้ไวมาก ส่วนปริศนาเกมนี้แม้จะสร้างสรรค์ แต่บางทีมันก็เป็นปริศนา 'ยืดเยื้อ' จนคุณรู้สึกหงุดหงิดได้เลย ขณะที่พวกบอสในเกมหรือศัตรูนั้นทำให้เกมสู้เพลินๆ อยู่ แต่พวกบอสที่น่าติมากเลยคือ 'มันดีไซน์ได้บ้านๆ ไปนะ' ส่งผลให้ด้านเกมเพลย์ของเกมนี้มัน 'อ่อนเปียก' ไปเสียหน่อยถ้าเทียบกับเกมอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้จะบอกว่ามันอยู่ในขั้นแย่นะ แต่มันทำได้ธรรมดาพื้นฐานไปหน่อยจนน่าจะตัดระบบอะไรไป และเอาเวลาไปทำระบบใดระบบหนึ่งให้มันสุดมากๆ จนว้าวได้ยันจบเกมดีกว่าพวกพลังธาตุที่ปล่อยมาจากถุงมือ ช่วงแรกๆ คุณจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่นะ ยกตัวอย่างตอนได้ใช้ถุงมือน้ำแข็งแล้วแช่แข็งศัตรูได้ มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก แต่สักพักก็จะรู้สึกเบื่ออย่างรวดเร็วอาวุธเกมนี้ดีไซน์อ้างอิงจากยุคโซเวียดส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างปืน Ak-47 ก็มีนะ แต่ว่าทุกปืนจะมีการอัปเกรดให้ล้ำยุคขึ้นให้เข้ากับจักรวาลเกมยุคนี้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าระบบต่อสู้มันไม่หนักแน่น ถึงจะใช้มันส์แต่ก็ไม่รู้สึกสุดขนาดนั้นอีกส่วนที่น่าบ่นคือเรื่อง QoL หลายคนคงเห็นลูกเล่นเจ๋งๆ ของเกมนี้อย่างถุงมือที่จะมีแม่เหล็กดูดไอเทมมาเก็บเข้าตัวได้ง่ายๆ แต่จริงๆ แล้วระบบนี้มันก็ทำให้เกมซ้ำซากไปด้วย เพราะเวลาคุณฟาร์มก็ต้องมานั่งเสียเวลากดแบบนี้จนเบื่อ ถ้าเปิดตู้แล้วเก็บให้อัตโนมัติเหมือนเกมอื่นๆ น่าจะดีกว่าด้านประสิทธิภาพในขณะที่เกมยุคนี้มีปัญหาด้านประสิทธิภาพตอนวางขายใหม่ๆ ให้เห็นกันเยอะมาก แต่เกม Atomic Heart กลับไม่เอาด้วยเหมือนเกมอื่นๆ และผู้พัฒนาก็แจ้งเลยว่าพวกเขาจะทำให้เกมนี้เล่นได้ลื่นตั้งแต่วันแรก โดยมันก็เป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ซึ่งทางผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บน PC แต่ก็มีไปแวะเล่นบน PS4 ของเพื่อนแล้วก็พบว่า 'เกมสามารถเล่นได้ลื่น และภาพสวยอย่างไม่น่าเชื่อ' กลับมาที่บน PC ตัวเกมนั้นก็เล่นลื่นเช่นกัน และไม่มีปัญหาเฟรมตกให้เห็นแม้จะอยู่ในฉากใหญ่ๆ สวยอลังเลย (สเปคผู้เขียนคือซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ GTX 3070Ti) แถมเกมยังมีระบบรองรับคนเล่นบน HDD อีกด้วย ส่งผลให้คนคอมเก่ามากๆ ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลอยู่ แต่ประเด็นคือเกมนี้ใช้ Unreal Engine 4 ส่งผลให้การเล่นบน PC จะมีปัญหา 'กระตุกค้างเหมือนโหลดฉากไม่ทัน' ซึ่งนี่เป็นปัญหา Shader ที่เป็นทุกเกมที่ใช้ Unreal Engine 4 และแม้เกมนี้จะมีระบบ Pre Shader ปัจจุบันเกมก็ยังมีช่วงค้างให้เห็นอยู่ดี แต่ก็ยังดีที่มันจะค้างแบบไม่น่าขัดใจบ่อยขนาดนั้นปัจจุบันเกมยังอัปเดตเพิ่มระบบ FOV ปรับได้จนถึง 110 มาแล้วด้วย ตอนแรกไม่มีนี่คือแอบรู้สึกเสียอารมณ์ และทำให้การเล่นมึนหัวนิดๆ แต่ตอนนี้คือทำให้เกมภาพสวยอลังขึ้นไปอีกสุดท้ายนี้ถ้าหาก Atomic Heart ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ มันอาจจะออกมายอดเยี่ยมระดับ Avatar เพราะมีหลายฉากที่สวยอลังน่าจดจำ และก็เต็มไปด้วยไอเดียน่าสนใจ อาจมีปัญหาหน่อยคือด้านเนื้อเรื่องธรรมดาจนถึงขั้นย่ำแย่ ซึ่งคนดูก็คงไม่ซีเรียสได้เพราะเข้าโรงไปเสพความฉากตระการตาล้วนๆ แต่ก็เพราะมันถูกสร้างมาให้เป็นเกม และมันดันใส่ระบบเกมเพลย์เยอะแยะไปหมด แล้วก็ดันทำได้ไม่สุดสักอย่าง เกมเพลย์มันจึงธรรมดาไปจนไม่รู้สึกเกมฟอร์มยักษ์อื่นๆ ในช่วงนี้ได้ แต่ก็ยังดีที่ด้าน Performance มันใส่ใจมากระดับ PC เก่าๆ ก็เล่นได้ลื่น จึงส่งผลให้มันยังมีจุดขายคือการน่าซื้อมาเสพงานศิลป์ หรือความภาพสวยอยู่นั่นเอง* ขอขอบคุณทางผู้พัฒนาเกมด้วยนะครับ ที่ส่งเกมมาให้พวกเราได้รีวิวกัน *
29 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Wanted: Dead แตกต่างแบบแปลก ๆ กับเกมที่หาความสนุกไม่ได้ตั้งแต่เริ่มจนจบเกม !
จากความหวังที่มันจะเป็นเกมแอ็คชั่นม้ามืดรับต้นปี แต่กลับกลายเป็นเกมที่มีแต่ความแปลกและความ Cringe อยู่เต็มไปหมด เพราะอะไรมันถึงได้เป็นแบบนี้ ก็ลองมาหาคำตอบกันดูได้ กับรีวิว Wanted: Dead ซึ่งเราขอกระซิบบอกว่า มันแปลกตั้งแต่เนื้อเรื่องเกม ยันระบบเกมการเล่นกันเลยทีเดียวการรวมตัวของคนชั่วที่ต้องมารับใช้กฎหมายเรื่องราวของ Wanted: Dead มีฉากหลังอยู่ที่ประเทศฮ่องกง โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Hannah Stone นักโทษสาว ที่ได้รับโอกาสกลับเนื้อกลับตัวและกลายมาเป็นหัวหน้าทีมตำรวจฮ่องกงที่ชื่อ Zombie Squad ที่เป็นการรวมตัวเหล่าอาชญากรโทษสถานหนัก ให้มารับใช้กฎหมายภายใต้การดูแลของรัฐบาล ในขณะที่กำลังเฮฮาปาร์ตี้อยู่กับทีมของเธอ เธอก็ได้รับภารกิจให้ไปตรวจสอบ Dauer Synthetics แต่แทนที่จะรอกำลังเสริมและได้รับอนุญาตก่อน เธอก็บุกเข้าไปในอาคาร ก่อนจะพบว่าผู้บุกรุกไม่ใช่โจรกระจอก แต่เป็นทหารรับจ้างที่มาพร้อมอาวุธล้ำสมัย ผลจากการละเมิดคำสั่ง ทำให้เธอถูกเบื้องบนตำหนิอย่างหนัก แถมยังกลายเป็นอริกับบริษัท Dauer งานนี้พวก Hannah มีหรือจะยอม ปฏิบัติการวางแผนสืบหาความจริงที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ทั่วเกาะฮ่องกงจึงได้เริ่มต้นขึ้นพล็อตแบบนี้หากให้พูดตรง ๆ เลยคือมันแทบจะไม่ต่างอะไรกับหนังเกรดบี ประวัติที่มาที่ไปของตัวละครที่ง่ายและอ่อนยุบยับ จนทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะกดข้ามทุกคัทซีนเพื่อไปนั่งเล่นเกมให้มันรู้แล้วรู้รอด จะเกิดขึ้นกับเกมนี้บ่อยมาก หรือถ้าหากคุณคิดว่าจะตั้งใจดูคัทซีนเพื่อซึมซับเรื่องราว คุณอาจจะยิ่งผิดหวัง และนั่งอุทานกับความแปลกประหลาดของมัน ของการกระทำตัวละคร ของบทพูด เช่นฉากกินอาหารร่วมกันบนโต๊ะในซีนแรก ที่ชัดเจนว่าไม่มีความสำคัญใด ๆ แถมยังใส่ฉากวาบหวิว (และซ้ำซาก) เข้ามาโดยไม่จำเป็นอีกต่างหาก เรียกได้ว่าใครไม่ชอบความแปลก ความ Cringe คุณอาจจะทนฉากเปิดตัวไม่ได้ด้วยซ้ำไปและเพราะนี่คือเรื่องราวของ Zombie Squad ทีมของนางเอกอย่าง Hannah แต่สมาชิกร่วมทีมก็ขาดเอกลักษณ์และความน่าจดจำ แต่มีนิสัยแปลก ๆ แบบ Cringe (อีกแล้ว) แทบจะทุกตัว เช่น Herzog ที่บ้าผู้หญิงแบบสุดขั้ว หรือ The Beast ที่ชอบเสพยาปาร์ตี้ และทำให้ตัวละครเอกอย่าง Hannah ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาทันที จะบอกว่าเป็นการเชิดชูตัวละครหญิงทางอ้อมก็เป็นได้ แต่โชคดีที่มันไม่ชัดเจนและโจ่งแจ้งหรือยัดเยียดจนเกินไป แต่บอกเลยว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ รับรองปวดตับเพราะความห่วยของมันแน่ ๆ วิธีแก้ก็คือ Skip ไปเลย หรือใครอยากลองอะไรแปลก ๆ ก็ลองนั่งดูกันได้แปลกไปหมดทุกอย่าง จนหาความสนุกไม่ได้หากคุณผ่านช่วงเนื้อเรื่อง และคัทซีนช่วง Intro มาได้แล้ว คุณคิดว่าจะหมดสิ้นความแปลกแล้ว คุณอาจจะต้องปวดหัวหนักกว่าเดิมเมื่อได้เริ่มเล่นเกม หรืออาจจะปวดหัวกันตั้งแต่ตอน Tutorial เลยก็ว่าได้ สิ่งที่มีปัญหาอย่างหนักอย่างแรกคือเรื่องของการวาง Layout ของปุ่มควบคุม ซึ่งไม่รู้ว่าทีมพัฒนาคิดอย่างไรถึงวางการออกแบบปุ่มมาแบบนี้ สำหรับตัวละคร Hannah Stone นั้น ก็เหมือนกับพระเอกเกมแอ็คชั่นหรือหนังแอ็คชั่นทั่วไป โดยเธอมีความสามารถในการใช้ดาบคาทานะ ปืนพก และปืนไรเฟิลจู่โจม แต่ในขณะที่เกมอื่น จะเป็นการสลับอาวุธด้วยการกดปุ่มตัวเลข แต่เกมนี้กลับมีการจัดวางปุ่มที่แปลกมาก ๆ ใครที่เคยเล่นเกม FPS หรือเกม Shooting มาเยอะ จะรู้ดีกว่า ปกติแล้วการควบคุมของเกมแนวนี้จะไม่สลับซับซ้อน แต่กับเกมนี้วางปุ่มได้เพี้ยนไปหมด เช่นปุ่มวิ่ง เอาไปวางไว้ที่ Ctrl ที่ควรจะเป็นปุ่มย่อตัว ปุ่ม Spacebar ที่ควรจะเอาไว้กระโดดก็กลายเป็นการป้องกันไปแทน หรือการโจมตีด้วยอาวุธ คลิกขวา คลิกซ้ายเป็นการใช้ปืนจู่โจม แต่การใช้ดาบกลับเป็นลูกกลิ้งเมาส์กลาง บอกเลยว่าใครมาเล่นเกมนี้ ช่วงแรกคุณจะตายรัว ๆ เพราะงงกับการควบคุมนี่แหละ ยกเว้นแต่จะเสียบจอยเล่นและอีกระบบที่ต้องบอกว่าปวดหัวมาก ๆ คือเรื่องของการ Take Cover ถ้าเป็นเกมต้นตำรับอย่างพวก Gears of War นั้น จะมีปุ่ม Take Cover ให้กด เพื่อที่ให้เราเลือกว่าจังหวะนี้ หรือสถานการณ์นี้ จะหลบหรือออกไปสู้ได้ แต่กับเกมนี้กลับใช้จุดยืนของตัวละครในการทำให้ตัวละครเลือกที่จะหลบหรือไม่หลบแทน ดังนั้นเราจะมีโมเมนท์แปลก ๆ ในระหว่างการเล่นเกมนี้เยอะมาก เช่นตั้งใจจะหลบ แต่ก็โดนยิง โดนฟันแบบเต็มข้อ ไม่ใช่แค่การวางปุ่มควบคุมที่แปลกจนอดสงสัยไม่ได้ แต่การใช้ปุ่ม และเมนูต่าง ๆ ก็พามึนงงไปหมด เหมือนทีมพัฒนาเกมนี้เขาอยากจะแหวกแนวกว่าเกมอื่น ๆ อย่างการที่ปุ่มถอยกลับ หรือยกเลิก ต้องไปกด Backspace หรือการกดตกลงก็ต้องกด Enter ทั้ง ๆ ที่เกมก็รองรับเมาส์และคีย์บอร์ด เราอาจจะสับแหลกในด้านของปุ่มควบคุมเยอะไปหน่อย แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ลองเล่นเกมนี้ จะเข้าใจได้เองว่าเพราะเหตุใดเราถึงต้องสับขนาดนี้ระบบการต่อสู้ในเกมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเกมแอ็คชั่นทั่วไปเลย การนำเสนอของเกมเป็นเพียงการเดินหน้าลุยเป็นเส้นตรง กำจัดศัตรูให้หมด แล้วทะลุไปยังด่านต่อไป เจอบอสก็เข้าไปอัด ๆ ๆ ให้มันพ้นทางแล้วก็ไปต่อ แต่เกมพยายามจะเพิ่มความหลากหลาย และชวนให้ผู้เล่นรู้จักโลกในเกมมากขึ้นเล็กน้อย ก็คือการเก็บไฟล์เอกสารภายในเกม นอกจากจะรับรู้เรื่องราวของเกมมากขึ้นแล้ว (ถ้าคุณไม่ขี้เกียจอ่าน) ทุกไฟล์เอกสารในเกม จะทำให้คุณได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเติมด้วยเมื่อพูดถึงระบบนี้ ก็ต้องอธิบายกันอีกเล็กน้อย ระบบค่าประสบการณ์ในเกมนี้จะได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นกำจัดศัตรูได้ และค่าประสบการณ์จะถูกนำมาใช้ในการปลดล็อคสกิลที่มีทั้งหมด 3 สาย นั่นคือ Offense เน้นการโจมตีและเพิ่มลีลาท่าทางเพิ่มเข้ามา Defense เน้นเพิ่มพลังป้องกัน และโอกาสการเอาตัวรอด และ Utility เน้นการเพิ่มอรรถประโยชน์ที่ช่วยในการต่อสู้ เช่นเก็บระเบิด เก็บกระสุนได้มากขึ้นเป็นต้น จริง ๆ แล้วจะเลือกอัปเกรดสายใดก่อนก็แทบมองไม่เห็นความต่าง เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณก็สามารถอัปเกรดได้ครบอยู่ดีเกมเพลย์ของ Wanted: Dead นั้น แทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือมีอะไรให้น่าพูดถึงเลย มันเต็มไปด้วยความจำเจในแบบที่เกมแอ็คชั่นเกมอื่นเคยทำมานักต่อนักแล้ว แม้จะมีความสนุกอยู่บ้างในลีลาท่าทางฉากแอ็คชั่น เช่นตอน Finish Move ที่เกมนี้ถือว่าทำออกมาได้เท่มาก แต่ความเท่ของท่านี้อย่างเดียวแน่นอนว่ามันจะไปพอใช้งานอะไรได้ เพราะอย่างอื่นของเกมมันชวนติดขัดไปซะหมด นอกจากนั้นระบบอัปเกรดและการปลดล็อคพาร์ทอาวุธใหม่ ๆ มาให้ใช้งานก็ยังดูขาดแรงดึงดูด ผสมกับที่มันออกแบบหน้าต่างการเล่นเกมมาได้ชวนงงมาก และเมื่อความแปลกทุกอย่างไหลมารวมกันกลายเป็นเกม Wanted: Dead ก็เชื่อเหลือเกินว่าน้อยคนนักที่จะทำใจเล่นมันได้ (อย่างน้อยก็ผู้เขียนแล้ว 1 คน แต่ช่างเป็นการเล่นที่ไม่มีความสุขเอาซะเลยพูดไปก็แทบไม่เชื่อว่านี่คือผลงานของอดีตผู้สร้างเกมระดับตำนานอย่าง Ninja Gaiden มันขาดเสน่ห์ ขาดความพิเศษ ขาดแรงดึงดูดให้เล่น แถมมันยังมาในราคาระดับ A-AA ที่คิดว่ากำเงินไปซื้อเกมอื่นน่าจะได้อะไรที่ยอดเยี่ยมกว่านี้มาก หากคุณอยากลองของแปลก มันอาจจะเป็นของแปลกที่แพงจนเกินไปด้วยซ้ำ แนะนำว่าเกมนี้ หนีได้ก็หนีเถิด เอาเวลาไปเล่นเกมอื่นอาจเกิดประโยชน์กว่า
27 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Resident Evil 4 Remake นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซของแฟรนไชส์ผีชีวะ สนุก ระทึกทุกวินาที
เป็นแฟรนไชส์ที่หลาย ๆ คนคาดหวังสูงอย่างมากสำหรับแฟรนไชส์ผีชีวะ Resident Evil ผู้พัฒนาได้เลือกทำการ Remake เกมตั้งแต่ภาคแรก และก็ได้รับคำชมมาในทุก ๆ ภาค และนี่มันก็ถึงคิวของ Resident Evil 4 Remake ที่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งในด้านเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง รวมถึงยกระดับกราฟิกใหม่ทั้งหมด แถมยังได้สองผู้กำกับมือดีอย่างคุณ Yasuhiro Anpo และคุณ Kazunori Kadoi ที่เคยสร้างความหลอนในเกม Resident Evil 2 Remake มาแล้ว !! โดยในวันนี้พวกเราก็จะมารีวิวตัวเกมให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Resident Evil 4 Remake จะยังสามารถคงมาตรฐานความยอดเยี่ยมที่เคยทำในภาคก่อน ๆ ได้หรือไม่ และทางเรา GameFever TH ก็ขอขอบคุณทาง Sicom Amusement ตัวแทนจำหน่ายเกม Capcom อย่างเป็นทางการที่ได้ส่งเกมนี้ให้กับเราได้รีวิวครับกราฟิก และการนำเสนอสำหรับเกม Resident Evil 4 Remake ในภาคนี้ตัวเกมก็จะยังใช้ขุมพลัง RE Engine ที่เคยสร้างเกมภาคก่อน ๆ มาใช้ แต่สิ่งที่ภาคนี้ทำออกมาได้ดีกว่านั่นก็คือการเพิ่มเติมเรื่องแสงเงาที่ค่อนข้างสมจริงมากขึ้น ทั้งในแง่ของเงาตกกระทบ หรือรอยเท้ารวมถึงบรรยากาศของตัวเกมที่ทางผู้พัฒนาเลือกที่จะปรับเปลี่ยน Mood & Tone ให้มันดูมีความมืด ต่างจากเกมเวอร์ชันต้นฉบับที่จะมีภาพที่สว่างมาก ๆ ทำให้ตัวเกมภาคนี้มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ฉากเลือด ศพ เครื่องในจัดเต็มอย่างที่คุณเคยเล่นเกม Resident Evil 2 Remake เลยทีเดียวซึ่งส่วนตัวนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PC นะครับสิ่งที่น่าประทับใจมากก็คงจะเป็นในด้านของการ Optimize ทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก ๆ โดยคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้เล่นนั้นก็คือ Intel i5 - 8400 และการ์ดจอ Nvidia RTX 2070 Super สามารถเล่นเกมนี้ได้สูงตั้งแต่ 80 - 100 เฟรมเรท ใน Setting แบบ High ได้อย่างสบาย ๆ และเชื่อว่าคนที่มีสเปกคอมต่ำกว่านี้สามารถเล่นได้อย่างสบาย ๆ เพราะตัวเกมนั้นมีรายละเอียดให้ปรับได้เยอะมาก ๆ ทั้งในแง่ของแสงเงา รายละเอียดภาพ หรือจะสามารถเลือกลบรายละเอียดบางอย่างเช่นศพของศัตรูที่นอนกองที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เห็นในฉากเยอะหรือน้อย เพื่อลดแรงการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ได้ส่วนในด้านโมเดลของตัวละครก็ถือว่าทำออกมาได้สมจริงมาก ๆ รวมถึงยังมีการดีไซน์ตัวละครใหม่บางตัวให้มีความน่ากลัวมากขึ้น ดูสมจริงกับบรรยากาศมากขึ้น หรือจะเป็นการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของบางตัวละครให้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงอย่างเช่นตัวละคร Gatling Man ศัตรูที่ถือปืนกลแก็ตลิง ก็ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น Brute (Pig Head) เป็นคนใส่หัวหมูป่า ถือหน้าไม้ออโต้ยิงเราแทน หรือจะเป็นตัวละครใหม่อย่าง Brute (Cow Head) ที่จะเป็นคนใส่หัววัวคือฆ้อนใหญ่ก็มี ซึ่งมันจะสามารถนำเสนอความโรคจิต ผิดมนุษย์มนาของลัทธินี้มากขึ้นนั่นเองเนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของภาคนี้เราจะได้กลับมาเล่นเป็นตัวละครเอกพ่อสุดหล่ออย่าง Leon S. Kenedy ที่หลังจากรอดชีวิตจากเกมภาคสอง ตัวเขานั้นก็ได้เข้าร่วมกับหน่วยงานลับรัฐบาล ฝึกฝนตัวเองจนกลายเป็นสุดยอดเอเจนท์ ซึ่งในภาคนี้เขาเองก็ได้รับภารกิจในการตามหา Ashley Graham ลูกสาวของประธานาธิบดีที่ถูกทางลัทธิ Los Iluminados ที่นำโดยทาง Osmund Saddler จับตัวไปเป็นเชลย เพื่อเอาไปเป็นข้อต่อรองกับทางรัฐบาลอเมริกาโครงของเรื่องโดยรวมของเกมภาคนี้ก็จะยังมีเค้าโครงที่เหมือนเวอร์ชันต้นฉบับเกือบทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นในด้านของรายละเอียดภายในก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างอย่างเช่นการปรากฏตัวของบางตัวละครที่ในเกมเวอร์ชันเก่าเราอาจจะเห็นเขาเจอกันตั้งแต่ในช่วงต้นเกมแล้ว แต่สำหรับภาคนี้เราอาจจะได้เห็นเขาปรากฏในช่วงกลางเกม หรือบางตัวก็อาจจะปรากฏในช่วงท้าย ๆ เกมแล้ว อาจจะเป็นเพราะความอรรถรส เพิ่มชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่เวอร์ชั่นต้นฉบับมันอาจจะดูทื่อ ๆ ไป ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจพอสมควร ส่วนเนื้อเรื่องนั้นก็ยังเป็นไปตามเรื่องราวของเกม Resident Evil ที่มันก็ไม่อะไรที่ซับซ้อนครับ ผจญภัยไปในสถานที่ที่น่ากลัว ความสนุกของเกมคือความน่ากลัวที่เราคาดไม่ถึง หรือไม่คาดฝันของเหล่าลิทธิ แต่ถ้าใครอยากจะรู้เรื่องราวของเกมที่ละเอียดมากขึ้น เราก็สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากเอกสารภายในเกมได้ในการเล่นเกมทั้งหมดของภาคนี้ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นจบหนึ่งครั้งราว ๆ 10-12 ชั่วโมงนะครับ ซึ่งการเล่นครั้งแรกก็อาจจะเล่นนานกว่านั้นก็ได้ถ้าหลงทางเหมือนผมนะฮ่า ๆ โดยเกมภาคนี้ส่วนตัวคิดว่าน่าจะยาวมากกว่า Resident Evil Village เลยด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมภาคนี้จะยาว มันก็ไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย อาจจะมีดรอปลงไปบ้างนิดหน่อยบางฉาก แต่มันก็แบบเดียวก็กลับมาระทึกเหมือนเดิมโดยฉากของเกมนี้จะแบ่งฉากออกเป็นสามโซนซึ่งจะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปนั่นก็คือโซนหมู่บ้านที่มันจะให้ความรู้สึกในการเจอศัตรูที่เป็นคนผิดปกติ เป็นโซนที่พบเจอกับจุดเริ่มต้นของความพิศวง โซนปราสาทที่จะเน้นหนักที่มีความวังเวงและน่ากลัว ห้องทดลองสุดวิปริต มีความกังวลในทุกมุมห้องที่พบเจอ ซึ่งโซนนี้จะเป็นโซนที่ใช้เวลาเล่นมากที่สุด ส่วนโซนสุดท้ายก็จะเป็นโซนเกาะที่ความน่ากลัวอาจจะเบาลงมาที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นความระทึก ความโหดของศัตรูที่เยอะไม่แพ้กันเลยเกมเพลย์ในด้านของมุมกล้องภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ยังเลือกที่จะใช้มุมมองบุคคลที่สามเช่นเดิมเหมือนในเวอร์ชันต้นฉบับ ซึ่งในเวอร์ชันดั้งเดิมถึงแม้ว่าตัวเกมเพลย์จะเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งเวลาเล็งเราไม่สามารถที่จะเดินได้ แถมเวลาเดินเราก็จะทำได้เพียงแค่การเดินเป็นเส้นตรง (เดินหน้า ถอยหลัง) เท่านั้น แต่สำหรับภาคนี้จะใช้การเคลื่อนไหวแบบ Resident Evil 2 Remake และ Resident Evil 3 Remake ที่เวลาเล็งเราจะสามารถเดินได้อย่างอิสระ ซึ่งส่วนตัวชอบมาก ๆ เพราะผู้เขียนเองไม่ชินกับการหันมุมกล้องแบบเก่า แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็อย่าดีใจไป เพราะเกมเพลย์แบบใหม่ มันก็แลกมากับการที่ตัวเกมจะมีสปีดการเล่นที่เร็วมากขึ้น ทั้งในแง่ของศัตรูที่จะเดินเข้ามาหาเราเร็วมากกว่าภาคก่อน ๆ ส่วนศัตรูในภาคนี้เราจะไม่ได้เจอเหล่าซอมบี้เหมือนในเกมภาคสอง แต่เรานั้นจะต้องเจอกับเหล่าชาวบ้านที่ติดเชื้อปรสิตไล่ล่าเรา โดยศัตรูธรรมดาในภาคนี้จะไม่ได้ถึกยิงตายยากเหมือนซอมบี้ที่เราเคยเจอในเกมภาคก่อน ๆ (อ้างอิงจากภาค 2 ศัตรูบางตัวกว่าจะตายอาจจะต้องยิงเป็นแม็กเลย) แต่มันก็แลกมากับการที๋ศัตรูจะเยอะกว่าปกติ และสำหรับคนที่เคยเล่นภาคเก่า ๆ ต้องยอมรับว่ากระสุนที่มีให้เก็บนั้นค่อนข้างเยอะมาก ๆ มีให้ใช้แทบจะไม่มีวันหมด แต่เนื่องจากที่เกมเพลย์การบังคับของเกมภาคนี้ที่มันง่ายกว่า พวกของใช้ต่าง ๆ อย่างอาวุธหรือยา เราก็จะต้องประหยัดและคิดทุกครั้งในการใช้เช่นเดิม และสิ่งที่ทำให้เกมนี้มันน่าสนใจอย่างมากก็คงจะเป็นในด้านของเหล่าศัตรูของภาคนี้ที่เราจะได้เจอแบบหลากหลายมาก ๆ ทั้งชาวบ้านปกติ ศัตรูอย่าง Chainsaw Man ที่ถือเลื่อยวิ่งใส่เรา ศัตรูสุดโหดที่พร้อมจะฆ่าเราแบบ One Shot Kill สัตว์ประหลาดในน้ำ ศัตรูตาบอดสุดโหดที่ถ้าหากเราทำเสียงนิดเดียวมีเจ็บแน่นอน หรือที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นศัตรูอย่าง Regenerador ซึ่งมันจะเป็นศัตรูที่เราจะต้องจัดการจุดตายของมันเท่านั้น ต่อให้ยิงหัว หรือยิงแขนขาให้ขาด มันก็สามารถงอกใหม่ได้ ซึ่งในการเจอครั้งแรกมันเป็นอะไรที่น่ากลัวและยากมาก ๆ หรือจะเป็นศัตรูอย่าง Verdugo ที่มันจะสามารถมุดวิ่งไปตามท่อและจะโผล่มาจัดการเราได้ ซึ่งความสนุกของเกมภาคนี้ก็คือความรู้สึกตื่นเต้น ระทึกทุกครั้งที่เราจะต้องเจอศัตรูตัวใหม่ ๆ นั่นเองโดยตัวละคร Leon ที่เราได้เล่นในเกมภาคนี้ เขาจะไม่ได้เป็นมือใหม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตัวลีออนสามารถจัดการศัตรูได้หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการยิงศัตรูให้เซ และทำการเตะศัตรูให้ล้ม นอกจากนี้การใช้มีดสำหรับภาค Remake ก็ยังมีการปรับปรุงรายละเอียดให้ดีขึ้นมากกว่าภาคต้นฉบับที่ตัว Leon สามารถแทงศัตรูได้หลายท่าทางมากขึ้น มีการแทงแบบฟัน หรือแทงศัตรูแบบตรง ตัวเกมยังเพิ่มกลไกลอย่างการลอบเร้นและเข้าไปใช้มีดสังหารศัตรูภายหลัง รวมถึงเรายังสามารถใช้มีดในการ Parry การโจมตีของศัตรูได้ หรือสามารถใช้มีดในการโจมตีสวนศัตรูที่จะเข้ามาโจมตีเราได้เหมือนในภาคก่อน ๆ เช่นกัน ซึ่งมีดของเกมภาคนี้ค่อนข้างสารพัดประโยชน์มาก แต่มันก็แลกมาด้วยการที่มีดนั้นมีวันพัง ซึ่งเราก็จะต้องหาเก็บมีดเพิ่มตามฉาก หรือซ่อมที่ร้านค้าหนึ่งในจุดเด่นของเกมภาคนี้ก็คือตัวพ่อค้าปริศนา ที่จะปรากฏตามฉากให้เรานั้นได้ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ต่าง ๆ ปืนใหม่ ๆ ที่ในภาคนี้ปืนส่วนใหญ่จะต้องซื้อจากร้านค้าเท่านั้น มีการอัปเกรดความสามารถของปืนเพิ่มดาเมจ เพิ่มจุกระสุนเป็นต้น โดยเราสามารถหาเงินมาซื้อได้จากการจัดการศัตรูซึ่งมันจะดรอปเงิน หรือตามแผนที่จะก็มีพวกเพชรหรือสมบัติที่สามารถเอาของมาขายได้ รวมถึงระบบช่องเก็บของในภาคนี้ก็จะคล้าย ๆ กับเกมในทุก ๆ ภาคที่เราจะต้องบริหารจัดการทรัพยากรของเราในการออกไปลุย นอกจากนี้เรายังสามารถซื้อช่องเพิ่มกระเป๋าของเราได้จากร้านค้า รวมถึงเรายังสามารถเปลี่ยนสีกระเป๋าที่จะเพิ่มสเตตัสมากขึ้นอย่างเช่นกระเป๋าสีทองจะเพิ่มอัตราการดรอปเงินมากขึ้น ส่วนกระเป๋าธรรมดาจะเพิ่มอัตราการดรอปกระสุนมากขึ้นเป็นต้น รวมถึงระบบ Charm ติดกระเป๋าที่จะเพิ่มโบนัสบางอย่างด้วยอย่างเช่นเพิ่มโบนัสการคราฟต์ของเป็นต้น แต่สิ่งที่น่าปวดหัวของเกมภาคนี้ก็คือเรานั้นไม่สามารถเอากระสุนต่าง ๆ เก็บใส่ในช่องเก็บของได้ และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในภาคนี้ก็คือระบบ Side Quest ที่ตามฉากมันจะมีภารกิจย่อยมาให้เราทำระหว่างทางในการผจญภัย ซึ่งมันก็เป็นภารกิจง่าย ๆ ครับอย่างเช่นการไล่ยิงตราสัญลักษณ์ตามฉาก การขายเศษซากงูให้ครบจำนวนที่ต้องการ ซึ่งเราก็จะได้แต้มมาแลกกับทางพ่อค้าได้ ซึ่งมันก็มีของแลกเยอะแยะเลยครับไม่ว่าจะเป็นแผนที่สมบัติในด่านนั้น ๆ ของแต่งปืนต่าง ๆ ซึ่งใครอยากใช้อุปกรณ์ Laser ช่วยยิงปืนพก ก็ต้องใช้ของแต่งปืนที่แลกได้จากฟังชันนี้เช่นกัน ซึ่งตัว Side Quest ท่านจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้ครับ ถ้าทำคุณก็จะมีของแต่งปืนมากขึ้น แต่ถ้าไม่ทำก็สามารถเล่นจนจบได้ ซึ่งผมเองก็ทำบ้างไม่ทำบ้างครับอย่างที่กล่าวไปว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือแม่สาวน้อย Ashley Graham ซึ่งมันก็จะมีซีนที่เราจะได้ผจญภัยไปทำสาวน้อยคนนี้ ใครที่เคยเล่นเกมหรือติดตามมีมของเกมภาคเก่ามาบ้าง ท่านก็น่าจะรู้ว่าน้อง Ashley นี้ค่อนข้างเป็นภาระมาก ๆ เพราะตัวเธอก็จะค่อนข้างเกะกะ เวลาศัตรูอยู่ใกล้ ๆ ก็จะก้มหมอบลง และเวลาถูกศัตรูโจมตีตัวเธอก็จะตะโกนเสียงแหบ ๆ ดัง ๆ ว่า Help !! Leon แต่สำหรับภาคนี้ตัวเกมจะมีปุ่มให้ Ashley สามารถเดินตามเรา อยู่ให้รออยู่กับที่ก็ได้ รวมถึงตัว Ashley ก็จะไม่ได้มีเสียงที่น่ารำคาญเหมือนภาคต้นฉบับแบบ เสียงน้องมีความนุ่มนวลมากขึ้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะหลงรักตัวละครนี้ในเวอร์ชันนี้อย่างมากเลย ในด้านของปริศนาตัวเกม สำหรับภาคนี้ก็อาจจะมีไม่เยอะ ซึ่งมันก็คล้าย ๆ กับเกมเวอร์ชันต้นฉบับนั่นแหละครับ แต่ถึงอย่างนั้นปริศนาของเกมก็ค่อนข้างทำออกมาได้ดีเลย รวมถึงปริศนายังมีการเปลี่ยนวิธีการเล่นนิดหน่อย ซึ่งมันก็ไม่ยากไป หรือไม่ง่ายจนเกินไป พอมีปริศนาให้คิดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่เยอะครับสรุปต้องบอกเลยว่านี่คืออีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ Resident Evil ที่ทางผู้พัฒนาไม่ทำให้เราผิดหวังเลย ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเกมที่ใช้เวลาเล่นที่นานที่สุดถ้าให้เปรียบเทียบภาคเก่า ๆ แต่ความระทึก ความตื่นเต้นของเกมมาแบบจัดเต็มไม่มีพักเลย อีกสิ่งที่ชอบก็คงจะเป็นด้าน Mood & Tone ที่ปรับปรุงให้มีความน่ากลัวมากขึ้น จนสามารถลบคำสบประมาทคำว่าเกมภาค 4 ไม่ค่อยน่ากลัวได้เลย เกมเพลย์การ Movement ที่ทันสมัยไม่เก้ ๆ กัง ๆ เหมือนก่อน Resident Evil 4 Remake คือหนึ่งในเกมภาคที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยโดยเกม Resident Evil 4 Remake วางจำหน่ายแล้วบนเครื่อง PC, PS4, PS5 และ Xbox Series X/Sคะแนน 10/10
27 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Chef Life: A Restaurant Simulator สุดยอดเกมทำอาหารที่ละเอียดและใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด
หลายคนอาจจะชื่นชอบการกินมากกว่าการทำอาหาร เพราะการทำอาหารถือว่าเป็นอีกศิลปะระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ ในขณะที่เกมอื่น ๆ การเข้าครัวปรุงอาหาร อาจเป็นการจำลองสถานการณ์ทั่วไป แต่กับ Chef Life: Restaurant Simulator นั้น ถือว่าเป็นอีกเกมทำอาหารที่ให้อารมณ์ร่วมสุด ๆ ทั้งความสมจริงของระบบเกมและกราฟิกที่เรียกได้ว่าเล่นไป หิวไป เลยก็ว่าได้ แต่เกมจริงจะเป็นยังไง มาดูกันได้ในรีวิว Chef Life ของเราเรื่องราวของ Chef Life นั้น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก เราจะรับบทเป็นเชฟมือใหม่ที่เข้ามาช่วยเหลือภัตตาคารที่กำลังจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราจึงต้องรับหน้าที่เป็นเชฟปรุงอาหารและพาร้านไปสู่ความรุ่งเรืองให้ได้ และเราเองก็จะเติบโตเป็นเชฟฝีมือเยี่ยมประจำร้านด้วย เส้นทางสู่เชฟมือทองจึงได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์ของเกมแนว Simulator ที่มักจะเขียนเนื้อเรื่องขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีเหตุผลไปสนับสนุนเกมเพลย์การเล่น ดังนั้นจุดประสงค์ของคนที่จะเล่นเกมแนวนี้ยังไงก็คงไม่ใช่เนื้อเรื่องสุดล้ำอะไรอยู่แล้ว แต่เป็นการเข้าครัวทำอาหาร ที่มาพร้อมระบบสุดล้ำ และเกมนี้มันทำได้ยังไง ?สำหรับเกมเพลย์และระบบการเล่นของ Chef Life นั้น ต้องบอกว่าถ้าจะหาเกมทำอาหารที่สมจริงและใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดเล่น ณ นาทีนี้ ไม่น่าจะมีเกมไหนเกินเกมนี้แล้ว เพราะชีวิตหลังครัว กว่าจะมาเป็นอาหารสักจานให้เราได้รับประทานกันนั้น ต้องผ่านความประณีตแค่ไหน เกมนี้สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดเตรียมวัตถุดิบ การปรุง การจัดจาน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ต้องจริงจังเสมอในการปรุงอาหารในเกมนี้ Workstation หรือพื้นที่ทำงานของเราในเกมนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นห้องครัวเป็นหลัก โดยครัวในเกมนี้จะมีอุปกรณ์ทำอาหารแทบจะทุกอย่าง รวมไปถึงหนังสือสูตรอาหารที่เอาไว้ และด้านหลังของครัวก็จะเป็นพื้นที่ Store Room หรือห้องเก็บวัตถุดิบต่าง ๆ และยังมี Shelf หรือชั้นและตู้เก็บวัตถุดิบที่เราพร้อมจะหยิบมาใช้ตลอดเวลา แน่นอนว่าอุปกรณ์เครื่องครัวต่าง ๆ ทั้งหม้อ กะทะ ตะหลิวก็มาครบ และเราต้องเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับอาหารและการเตรียมวัตถุดิบที่ใช้ด้วยเมื่อเริ่มเล่นเกม ระบบจะสอนเราด้วย Tutorial ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญมาก ๆ ผู้เขียนแนะนำว่าหากใครอยากจะเล่นเกมนี้ พยายามอย่าข้าม Tutorial และเก็บทุกรายละเอียด เพื่อซึมซับข้อมูลทั้งหมด เพราะหากข้ามไปเราอาจไม่เข้าใจระบบหรือขั้นตอนการทำอาหารได้ และ Tutorial ของเกมนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เพราะถึงแม้คุณจะตกหล่นข้อมูล หรือจำอะไรไม่ได้ขึ้นมา ตัวเกมสามารถเข้าถึงหน้าเมนู Tutorial ได้ ผ่านเมนู Codex ในหน้าการ Setting การทำอาหารในเกมนี้ต้องบอกว่าละเอียดทุกขั้นตอน ใน Recipe Book นั้นจะมีขั้นตอนการจัดเตรียมวัตถุดิบและการปรุงไว้เรียบร้อย แม้จะฟังดูเหมือนว่ามันเป็นการให้ผู้เล่นทำตามขั้นตอนเป๊ะ ๆ เหมือนจะไม่ยากอะไร แต่เกมนี้ใส่รายเอียดเข้ามาชนิดที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด ในการเล่นช่วง Tutorial อาจจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่มีการกำหนดเวลา แต่เมื่อเข้าสู่เกมจริง ผู้เล่นจะต้องทำ Order อาหารให้ทันเวลาด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความกดดันที่เกิดขึ้นจริงแน่นอนในห้องครัวและการทำอาหารอยู่แล้วระบบเกมเพลย์การเล่นที่จะทำให้คุณรู้จักชีวิตของเชฟอย่างแท้จริงและที่ต้องบอกว่า Chef Life เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ก็คือตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบแล้ว ในเกมนี้เราจะต้อง Stock วัตถุดิบเอาไว้ใน Store Room และนำมาจัดวางบนชั้น เพื่อที่จะให้พร้อมนำไปปรุงต่อ และผู้เล่นสามารถปรุงวัตถุดิบเบื้องต้นเก็บเอาไว้ในตู้เย็นได้ เมื่อออร์เดอร์เข้ามาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตระเตรียมวัตถุดิบจนนานเกิน มันก็คือทางลัดในการส่งมอบอาหารได้เลย การทำอาหารในเกมนี้ก็เหมือนชีวิตจริงส่วนหนึ่ง คือรเาต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม มันฝรั่ง ต้องสับ ปลาต้องแล่เอาก้างออก หรือเนื้อหาก็ต้องสับให้ละเอียด จะต้ม ผัด แกง ทอด ใส่เครื่องปรุงก็ต้องทำให้พอดี แม้เกมจะมีกำหนดเอาไว้ก็จริง แต่หลัก ๆ เกมจะอาศัยประสบการณ์ของผู้เล่นเป็นส่วนมาก แม้จะสามารถเดินไปดูคู่มือซ้ำได้ แต่จะดีกว่าถ้าเราฝึกทำอาหารจานนั้นบ่อย ๆ จนเชี่ยวชาญแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินมา ในขณะที่เวลาการรอของออร์เดอร์ก็ลดลงไปทุกทีการปรุงอาหารทุกอย่างจะไม่มีระบบอัตโนมัติ และใช้เวลาในการรอคอยพอ ๆ กับชีวิตจริง และในระหว่างการรอ เกมก็ใส่เงื่อนไขต่าง ๆ เข้ามา เช่นการใช้ Chef Sense เพื่อดูว่า ควรใส่เครื่องเทศอะไรลงไปเพิ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่ยอดเยี่ยม หรืออย่างเช่นการทอดเนื้อ ก็ต้องคอยพลิกเนื้อทั้งให้มีความสุกที่เท่ากันทั้งสองฝั่ง หรือการทำอาหารที่มีความเหนียวติดหม้อหรือกะทะ เราก็ต้องคอยขนไม่ให้มันเหนียวเกินไป กล่าวได้ว่า นี่เป็นเกมทำอาหารที่เราต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับมันจริง ๆ ถ้าเล่นแบบเรื่อย ๆ ชิล ๆ อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไรนัก และเมื่อปรุงอาหารจนเสร็จแล้ว การตกแต่งอาหารจานนั้นให้ดูสวยงามน่ารับประทาน เกมจึงใส่ระบบตกแต่งจานอาหารเข้ามาให้ด้วย โดยผู้เล่นสามารถเลือกตกแต่งได้ตามใจชอบ เอาให้สวยงาม หรือเละจนดูไม่น่ากินก็ทำได้ แต่มันจะมีผลกับ Techinal Score หรือการประเมินคะแนนในช่วงท้ายด้วย ซึ่งจะส่งผลกับค่าประสบการณ์และชื่อเสียงร้านที่ได้ แน่นอนว่าเมื่อมีการสะสมค่าประสบการณ์ก็จะมีการอัปเลเวล โดยการอัปเลเวลจะเป็นการปลดล็อคสูตรอาหารใหม่ ๆ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ ให้ได้ใช้งานด้วยและจะเป็นเกม Simulator ไม่ได้เลย หากขาด Design Mode โหมดที่เราสามารถปรับแต่งร้านอาหารของตัวเราเองได้ โดยในช่วงแรกอาจจะยังปรับแต่งได้น้อย แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เราสามารถปรับแต่งร้านของเราได้ ราวกับเรามีร้านอาหารเป็นของตัวเองจริง ๆ กันเลยทีเดียว รวมไปถึงยังปรับที่ตั้งของอุปกรณ์ เครื่องครัวต่าง ๆ ได้ จะเปลี่ยนจากพื้นที่ว่าง เป็นเตาไฟฟ้า ที่วางกระทะ ที่หั่นผัก หรือชั้นวางเครื่องเทศ ล้วนปรับแต่งได้ตามใจชอบ ต้องบอกว่าครั้งแรกที่เราเห็นการเปิดตัวของเกม Chef Life ในราคาที่สูงถึง 590 บาท เราก็แอบตกใจอยู่ว่าราคามันแพงเกินไปหรือไม่ แต่หลังจากได้เข้าไปลองเล่น ได้เสพบรรยากาศ ได้สัมผัสกับระบบเกมและการทำอาหารที่เหนือล้ำกว่าเกมอื่น ๆ นี่เป็นอีกเกมที่คนอยากมีร้านอาหาร อยากทำอาหาร หรือชอบทำอาหาร ไม่ควรพลาด และเป็นอีกเกมฟอร์มเล็กที่น่าประทับใจมาก เปิดปี 2023 นี้เลยทีเดียว
25 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม A Little to the Left เกม Puzzle เรียงของสุดฟินที่สนองความ Perfectionist ในหัวใจ
A Little to the Left เป็นเกมอินดี้แนว Puzzle ที่ให้เราได้จัดเรียงข้าวของต่างๆ เสียใหม่ให้เข้าที่เข้าทางยิ่งกว่าเดิม ดังชื่อเกมที่แปลแบบน่ารักๆ ได้ว่า 'ขยับซ้ายนิดนึงแล้วกัน'คุณเคยขัดใจไหมที่ของมันไม่ได้เรียงอย่างที่ควรจะเป็น? คุณเคยเรียงดินสอสีไม้ให้เข้าที่แล้วนั่งชื่นชมในความสวยงามของมันไหม? ขอแค่ได้เรียงของใหม่ ไม่ว่าจะไล่สี เรียงตามขนาด วางซ้ายขวาสมมาตรหรือใส่ของไว้ในช่องแบบเป๊ะๆ ทั้งหมดที่ว่ามานี้มันทำให้ความ Perfectionist ในใจคุณมันรู้สึกฟินเสียไม่มี.. เกมนี้คือคำตอบค่ะเรียงของเข้าที่!เกมแนว Puzzle จ๋า เล่นง่ายแค่คลิกเม้าส์ลากวางแต่ละด่านล้วนไม่ได้บอกอะไรเรามากนักนอกจากเอาของมากองไว้ตรงหน้า ให้ผู้เล่นอย่างเราได้ใช้เซ้นส์นำพาลากๆ วางๆ มันไปไว้ในจุดที่ใจคิดว่าใช่ อาจจะเป็นการไล่สี เรียงตามขนาด ความสูงและอื่นๆ ตามแต่สิ่งของที่มีให้ อยู่ที่ว่าเราจะมองออกไหมว่าต้องจัดเรียงแบบไหนเกมมีการแบ่งย่อยเป็น 5 Chapter ซึ่งจะแยกเป็นธีมๆ ไป และด้วยจำนวนด่านโดยรวมที่มากกว่า 80 ด่านจึงมีความหลากหลายในระดับหนึ่ง (บางด่านมีวิธีผ่านมากกว่า 1 แบบด้วย) รวมไปถึงความยากง่ายที่สลับกันไป บางด่านอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่บางทีก็ต้องหยุดครุ่นคิดนานหน่อย ให้เราได้ใช้เวลาลองผิดลองถูกไปกับการโยกย้ายสิ่งของเรียงใหม่ให้หัวใจพองโตด้วยความฟินภาพประกอบโทนสีนวลตาและเพลงฟังสบายด้วยสไตล์อาร์ตที่มีเท็กเจอร์แบบดินสอสีไม้ ประกอบกับการออกแบบที่เรียบง่าย มินิมอลไร้ UI บดบังทัศนวิสัย เราจึงจะได้เห็นสิ่งของในฉากแบบเต็มจอเลยทีเดียว ทำให้ทุกครั้งที่ด่านใหม่ปรากฏขึ้นตรงหน้าล้วนแล้วน่าแคปเก็บไว้มากๆ (โดยเฉพาะตอนที่เรียงของเสร็จแล้ว) เพลงภายในเกมก็ช่วยเสริมอารมณ์ในการจัดของเป็นอย่างดีเป๊ะแบบไม่มีอะไรมากั้นดูสีที่ไล่กันอย่างสวยงามนั่นสิ.. ด่านนี้สามารถเรียงได้อีกแบบนึงด้วยนะ ดูออกกันไหม?ไม่เหงาเพราะเรา.. มีแมว!ทว่าเกมนี้ก็ไม่ได้ปล่อยให้เราได้จัดของอย่างสบายใจ เจ้าเหมียวตัวแสบก็ไม่วางเข้ามาก่อกวนให้ของที่เราตั้งใจเรียงหลุดไปจากตำแหน่ง แต่มีหรือจะโกรธได้ลงน่ะ (เจ้านายทำอะไรก็เอ็นดู) ซึ่งน้องจะมาแวะเวียนกวนเราอยู่เป็นพักๆ ให้หายเหงาใจสรุป: เกมจัดของชวนฟิน.. แต่ไม่ชิลล์เสียทีเดียวแม้เกมนี้จะจั่วหัวว่าเป็นเกมเรียงของ ทว่ามันเป็นเกมที่ใช้ความคิดอยู่ แม้ว่าเราจะพอรู้แล้วว่าจุดประสงค์หลักๆ ของเกมนี้คือการเรียงของให้เข้าที่ตามรูปแบบใดแบบหนึ่ง แต่บางทีกว่าเราจะมองออกว่าต้องทำอะไรก็ต้องคิดสักพักใหญ่เลยก็มี หรือแม้แต่การวางที่ต้องการความเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว (ก็สมกับเป็นเกมนี้ดี) ฉะนั้นใครที่มองหาเกมจัดของเล่นง่ายๆ เรียงเข้าที่ไปไม่ต้องคิดอะไรเยอะแบบ Unpacking เกมนี้อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณมองหาโดยรวมแล้วเกม A Little to the Left เป็นเกมที่คอเกม Puzzle น่าจะถูกใจ ด้วยจำนวนด่านที่อัดแน่นขนาดนี้คือเล่นกันแบบยาวๆ 3 ชั่วโมงได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถเข้ามาเล่นย้อนหลังในด่านที่สามารถเล่นผ่านได้หลายรอบด้วย (ในเกมคือการเก็บดาว) รวมถึงมีด่านประจำวันที่หน้าตาต่างจากปกติเล็กน้อยแพลตฟอร์มเกม: Windows, macOS, Nintendo Switchได้รับรีวิวระดับ Very Positive บนหน้าร้านค้า Steam พร้อมติดแท็ก Wholesome, Puzzle, Casual, Relaxing, Cute
24 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon ต้นกำเนิดการผจญภัยของแม่มดสาวซ่า
ในช่วงตอนแรกที่ตัวเกม Bayonetta ภาคที่ 3 แฟนเกมรวมถึงตัวคนเขียนเองก็ตื่นตาและเพลิดเพลินไปกับความสนุกแบบเต็มอิ่มโดยไม่คาดหวังอะไรเพิ่มสมการรอคอยมาตลอดห้าปี แต่ใครจะไปนึกว่าในช่วงเวลานี้ทางค่าย Platinum Games จะแอบสร้างโปรเจกต์เนื้อเรื่องย่อยของซีรีส์นี้ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังใส่ DEMO ตัวเกมไว้อย่างลับ ๆ ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon นี่เองถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยที่เกม Hack&Slash แอ็กชันจ๋า ๆ อย่าง Bayonetta จะถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นเกมปริศนา ผจญภัยภาพสวยงามดั่งนิทานก่อนนอน ถึงแม้มันจะฟังดูแปลก ๆ แต่ทางผู้พัฒนาก็รังสรรค์มันออกมาได้อย่างดี เติมความฝันของแฟนเกมและยังเปิดโลกใหม่ของจักรวาลซีรีส์ที่เพิ่งเล่นเรื่องราวมัลติเวิร์สอีกด้วย!สำหรับใครที่คิดว่าตัวเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon นั้นเป็น Spin-Off ออกมา แล้วกังวลว่าถ้าไม่เล่นเกมภาคหลักมาเสียก่อนจะไม่รู้เรื่องก็หายห่วงได้เลย! เพราะตัวเกมในเวอร์ชันนี้จะไม่ได้กล่าวถึงตัวเกมที่เคยมีมาแบบโต้ง ๆ เนื่องจากเป็นเนื้อเรื่องในอดีตช่วงที่แม่มดสาวนาม Cereza ของเรา ยังเป็นเด็กอายุสิบขวบที่ต้องการช่วยแม่ของเธอจากคุกสุดโดดเดี่ยวด้วยพลังอันเล็กน้อยที่เธอมีในตอนนั้นกับปีศาจหลงทางที่ดันไปสิงตุ๊กตาของเล่นชื่อ Cheshire ก่อนจะออกผจญภัยไปในป่าต้องห้ามที่มีความลึกลับซ่อนไว้อยู่จากที่กล่าวมาตามเนื้อเรื่องของเกมนั้น ผู้เล่นจะได้รับรู้เรื่องราวตัวละครแม่มดสาวน้อย Cereza และปีศาจตุ๊กตาแมว Cheshire ผ่านระบบการเล่าเรื่องแบบ 'นิทานภาพ' ที่มีเสียงพากย์เต็มรูปแบบและน่ารักมาก ดังนั้นหากใครจะหยิบเกมมาเล่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตามเนื้อหาไม่ทันเพราะเขาจะเล่าให้เราฟังเพลิน ๆ และหากยิ่งเป็นแฟนเกมหรือเคยเล่นซีรีส์เกมนี้มาก่อนก็จะมีความอิ่มเอมในด้านการเติมเต็มเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและที่มามากขึ้นอีกขั้น นับได้ว่าทาง Nintendo คงเล็งเห็นในส่วนนี้และให้พัฒนาเกมที่เหมาะกับทุกช่วงวัยและผู้เล่นมากขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่เนื้อหาเกมจะไม่สามารถย้อนความกลับไปรับชมได้หลังจากเกิดคัตซีนไปแล้วการแสดงผลของเกมจะมีรูปแบบเป็นสามมิติ ล็อกมุมกล้องเพื่อให้ผู้เล่นได้ใช้สายตาสอดส่องมากกว่าเกมปริศนาทั่วไปในการค้นหาไอเทมลับอย่างหีบสมบัติ จดหมายเหตุ ยา และบันทึกที่จะเปิดโลกเวทมนตร์ในจักรวาลนี้ให้กว้างขึ้นไปอีกขั้น สำหรับใครที่เป็นผู้เล่นสายสะสมของในเกมให้ครบ 100% ก็มีสิ่งให้วิ่งหาหลากหลายอย่างตั้งแต่ประวัติตัวละคร สำรวจแผนที่ ช่วยเหลือเหล่าวิญญานหลงทาง ไปถึงไอเทมทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้นถ้าให้พูดถึงรูปแบบเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon ก็กล่าวได้ว่ามันได้เปิดรูปแบบการเล่นใหม่บนเครื่อง Nintendo Switch อีกด้วย เพราะตัวเกมจะใช้ในส่วนของ Joy-Con ฝั่งซ้ายและขวาแบบแยกการควบคุมระหว่างตัวแม่มดน้อยและปีศาจ หมายความว่าในขณะที่ผู้เล่นทำการควบคุม ต้องใช้โสตประสาทบังคับทั้งสาวน้อยและปีศาจด้วยมือสองข้างและสมองสองซีกในการผ่านปริศนา พัซเซิล หรือแม้แต่การต่อสู้กับเหล่า "แฟรี่" ศัตรูหน้าใหม่ที่เราจะได้พบเจอในตัวเกม และทั้งสองไม่สามารถห่างกันไกลเกินกว่าที่เกมกำหนด (ไม่มีการแบ่งจอเล่น จะเป็นการซูมภาพเข้าและออกเท่านั้น)โดย Joy-Con ฝั่งซ้าย ตัวจอยสติ๊กจะเป็นการควบคุม Cereza ในการเดิน วิ่ง หลบ, ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ผ่านปุ่ม L และเน้นหนักไปที่เวทมนตร์ผ่านปุ่ม ZL ที่เราจะใช้ในการ "เต้นอัญเชิญ" เลื่อนจอยให้ตรงตามจังหวะและทิศทางเพื่อขยายพันธุ์พืชนรก, เปิดทางลวงตา และล็อกขาศัตรูให้มึนงง ตรึงอยู่กับที่เป็นเป้านิ่งชั่วขณะ (ปุ่มลูกศรจะเป็นคีย์ลัดใช้ไอเทม)ในขณะที่ Joy-Con ฝั่งขวา จะเป็นตัวควบคุม Cheshire ซึ่งต่างกันเล็กน้อยตรงที่ปุ่ม R จะสามารถใช้ปัดความเสียหายในการต่อสู้และใช้ "พลังธาตุ" พืช, หิน, น้ำ, ไฟ ที่เราต้องพลิกแพลงการใช้งานตามปริศนาหรือศัตรูที่เราเจอ รวมถึงปุ่ม ZR ที่จะเป็นการโจมตี (ปุ่ม Y, X, B, A จะเป็นปุ่มเลือกธาตุที่ต้องการใช้)นั่นหมายความว่าถึงแม้เกมจะเป็นรูปแบบปริศนา ผจญภัยก็จริง แต่ผู้เล่นจะได้เผชิญระบบแอ็กชันจากการควบคุมสองตัวละครพร้อม ๆ กันให้เข้าที่เข้าทาง ตัว Cereza จะมีหน้าที่ช่วยเหลือและเติมพลังเวทให้ Cheshire เช่นเดียวกับที่มันต้องโจมตีและระวังไม่ให้เจ้านายของมันได้รับบาดเจ็บ เพราะตัวมันจะมีหลอดพลังเวท เมื่อโจมตีหรือโดนโจมตีจะลดชาร์จพลัง หากหมดลงมันจะกลายร่างเป็นตุ๊กตาและต้องให้ Cereza มากอดเติมพลังในส่วนนี้สักพักก่อนกลับไปสู้ใหม่ได้ ในทางกลับกัน เกมจะโอเวอร์ทันทีหากพลังชีวิตของเธอหมดลง ดังนั้นคุณผู้หญิงต้องมาก่อนเสมอ!อย่าห่วงไป! เพราะทุกคนย่อมมีการพัฒนาเช่นเดียวกับตัวละครตามเนื้อเรื่อง ผู้เล่นสามารถใช้อัญมณีกุหลาบและคริสทัลอัปเกรดความสามารถ สกิล คอมโบของตัวละครได้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเก็บยา, เวลาและจำนวนศัตรูที่ Cereza สามารถตรึงได้มากขึ้น, การโจมตีปิดฉากของ Cheshire และอื่น ๆ อีกมากมายในรูปแบบ Skill Tree ให้เราได้ไปต่อสู้อย่างดุเดือดอีกขั้นซึ่งพอพูดถึงระบบการต่อสู้ ก็ต้องขอยอมรับว่าการเผชิญหน้ากับเหล่าบอสเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ ถึงมากที่สุด เพราะนอกจากที่เราจะต้องโจมตีและหลบเลี่ยงแล้ว ผู้เล่นยังต้องใช้ทักษะแก้ไขพัซเซิลไปด้วยในเวลาเดียวกัน และแน่นอนตัวบอสและมอนสเตอร์ทุกตัวย่อมมีหน้าที่ พลัง และความสามารถต่างกัน เราจึงต้องมีสติในการใช้พลังธาตุตามที่กล่าวไปในข้างต้นให้ถูกต้องตามสถานการณ์อนึ่ง การควบคุมทั้งสองตัวละครพร้อมกันมันอาจจะยากเกินไป ตัวเกมก็มีระบบกดอัตโนมัติไว้ให้ผู้เล่นที่ต้องการจะเสพเนื้อเรื่องเพลิน ๆ เล่นง่ายขึ้นก็มีเสริมมาให้เพิ่มอีกด้วย หรือจะใช้วิธีกำปั้นทุบดินอย่างการแบ่งจอยให้เพื่อนเล่นคนละฝั่ง ตกลงกันเองว่าใครจะเป็น Cereza หรือ Cheshire ก็ได้เช่นกัน เพราะทั้งสองตัวละครนี้ไม่ได้มีปุ่มที่ต้องกดทำคอมโบข้าม Joy-Con เลย ขอแค่เรารู้หน้าที่ที่ต้องทำก็พอและในส่วนสิ่งที่จะไม่กล่าวถึงนอกเหนือจากภาพสไตล์กระดาษสีที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงามเป็นบุญตาจนสามารถถ่ายมาเป็นภาพพื้นหลังได้เยอะมาก ๆ ไม่ได้เลยก็คือเพลงประกอบที่สร้างความขนลุกให้ผู้เขียนได้ไม่น้อย เนื่องจากการนำเพลงในซีรีส์ภาคก่อนที่มีแนวดนตรีรวดเร็ว มัน ๆ เหมาะกับเกมต่อสู้ มาดัดแปลงให้เหมาะเข้ากับจังหวะเกมปริศนานี้ได้อย่างไร้ที่ติ ช่างเป็นความเพลินอันรื่นหูอย่างบอกไม่ถูกเอาเป็นว่าใครที่เป็นแฟนเกม Bayonetta อยู่แล้ว หรืออยากลองเกมเนื้อเรื่องที่มีปริศนา ผจญภัย แอ็กชัน ครบทุกอารมณ์ละก็ เกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ชาวเกมเมอร์ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว! โดยหากใครสนใจก็สามารถดูวิดีโอตัวอย่างเกมด้านล่างนี้ และดิ่งเข้าร้านค้าของ Nintendo Switch สั่งซื้อตั้งแต่วันนี้หรือทดลองเล่นได้ทันที! (ทั้งนี้ ตัวเกมนั้นมีไว้สำหรับแพลตฟอร์ม Nintendo Switch เท่านั้น ไม่มีการพอร์ตลงแพลตฟอร์มอื่นตราบใดที่ทาง Nintendo ไม่อนุมัติ ฉะนั้นอย่ารอช้าเลย!)
22 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Scars Above เกมขายความเนิร์ดวิทยาศาสตร์ของทีมพัฒนา แต่ทั้งเกมเพลย์และเนื้อหา กลับธรรมดาจนไม่ควรค่ากับการเล่น
ไม่น่าเชื่อว่าในขณะที่ช่วงต้นปี 2023 ที่มีแต่เกมเกรดดี คุณภาพสูงออกมาไม่ขาดสาย แต่ทุกแสงสว่างย่อมมีเงา มีดีก็ต้องมีแย่ โชคดีที่คราวนี้มันไม่ใ่ชเกมที่โปรโมทหนักจนทุกคนคาดหวัง แต่ขนาดเราไม่คาดหวังแล้ว ยังผิดหวังกับมันได้อีก เพราะอะไร หาคำตอบได้ในรีวิว Scars Above ของเราพล็อตสุดแสนจะธรรมดา แต่โชว์ความเนิร์ดวิทยาศาสตร์เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Kate นักวิทยาศาสตร์สาวที่เป็นสมาชิกทีม Sentient Contact Assessment and Response (SCAR) โดยเธอได้รับเลือกให้ศึกษาโครงสร้างของ Metahedron วัตถุลึกลับที่มีโครงสร้างผิดแผกไปจากที่วิทยาการบนโลกจะเข้าถึงได้ แต่ในขณะที่กำลังศึกษา Metahedron กันอยู่นั้น มันกลับลากเอายานของ Kate และทีมไปยังดาวเคราะห์ลึกลับ Kate ได้ตื่นขึ้นมาบนดาวเคราะห์ที่มีสภาพแวดล้อมสุดอันตราย เธอจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับยานและเพื่อนร่วมงานทั้งหมดของเธอ งานนี้ Kate ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผจญภัยบนดาวเคราะห์แห่งนี้เพื่อสืบหาเบาะแส และรวบรวมสมาชิกในทีม รวมไปถึงจัดการกับ Metahedron ให้ได้เนื้อเรื่องของ Scars Above กล่าวได้ว่าเป็นการหยิบเอาสูตรสำเร็จของนวนิยายหรือหนังแนวไซไฟวิทยาศาสตร์ไป มาดัดแปลงให้เป็นวิดีโอเกม และใส่ความเป็นแอ็คชั่นและการเล่าเรื่องลงไปในแบบครึ่ง ๆ และลงตัวได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ไม่ได้เล่าแบบตรง ๆ ผ่านคัทซีนทุกฉาก แต่จะมีไฟล์เอกสาร มีร่องรอยบางอย่างที่เล่าเรื่องให้เราได้เห็น โดยต้องสังเกตให้ดี หรือสำรวจให้มากพอ ซึ่งก็เป็นสิ่งปกติที่เกมระดับกลาง ๆ จะใช้วิธีนี้ในการเล่าเรื่อง แต่คุณภาพเนื้อเรื่องของเกมนี้อยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น ใครคาดหวังว่ามันจะเป็นเกมเนื้อเรื่องขั้นเทพ ก็อาจจะต้องผิดหวังกันไป แต่ส่วนที่เกมนี้ทำได้ค่อนข้างดี คือใครที่ชอบอ่าน และเป็นเนิร์ดวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เกมนี้มีระบบสแกนสิ่งของ และบันทึกข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ไว้ด้วย ซึ่งบทพูดของตัวละคร Kate ในการบรรยายข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี แถมบางช่วงยังเหมือนว่าโลกในเกมจะถูกขยายและอธิบายมากขึ้นในบทพูดของ Kate ด้วย ดังนั้นใครรักการอ่านและไม่ได้มีสกิลภาษาอังกฤษที่แย่เกินไปนัก คุณอาจจะอินกับโลกภายในเกมนี้ก็ได้และที่น่าเสียดายอีกจุดคือความเป็นเส้นตรงของตัวเกม ไม่มี Plot Twist ไม่มีจุดหักมุม ไม่มีอะไรที่คนเล่นเกมมาเยอะ ๆ จะคาดเดาไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มันมีศักยภาพพอที่จะทำ แต่ด้วยความที่เป็นเกมเกรดกลาง ๆ ทำให้เหมือนทีมงานจะไม่ค่อยสนใจ หรือขัดเกลาส่วนของเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าพอจะให้อภัยกันได้อยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยก็อย่างที่บอก ว่ามันไม่ได้แย่จนรับไม่ได้การนำเสนอแสนน่าเบื่อ ที่เล่นรอบเดียวก็อาจเพียงพอ หรือเอาให้จบยังลำบากเกมเพลย์ของ Scars Above ในตอนแรกดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่เมื่อลองเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะรู้สึกถึงความแปลก ซึ่งไม่ใช่ความแปลกในทางที่ดีนัก แต่มันแปลกเพราะมันเหมือนพยายามจะใส่ความหลากหลายเข้ามาในตัวเกม แต่กลับไม่กลมกล่อมเอาซะเลย และบางครั้งมันก็พาลทำให้เกมน่าเบื่อไปโดยปริยายด้วย เพราะมันเหมือนกับความพยายามจะเอาหลาย ๆ เกมมารวม ๆ กัน แต่ดันปรุงแต่งออกมาได้ไม่ดีพอรูปแบบเกมการเล่นของ Scars Above จะเป็นเกม Action Adventure แบบตะลุยด่านผจญภัยไปข้างหน้า แต่มีการดีไซน์แผนที่ให้มีความซับซ้อน วกวนเล็กน้อย แต่หากลองเดินสำรวจ ลองวิ่งดูทุกซอกทุกมุมจริง ๆ จะเห็นว่ามันก็ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น บางช่วงคือบอกเลยว่าเป็นงานเผาก็ว่าได้ หรือบางฉากก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใส่มาทำไม เหมือนอยากใส่ให้มันดูใหญ่ไว้เฉย ๆ เพราะบางจุดไอเทมก็ใช่ว่าจะสำคัญอะไรมาก กล่าวเลยว่านี่คือเกมเส้นตรงแบบเพียว ๆ ไม่มีเลี้ยวสำรวจ ต่อให้ดูเหมือนจะมี สิ่งที่ได้ก็ไม่ใช่ของสำคัญอะไรมากอาวุธภายในเกมก็มีให้เล่นหลัก ๆ อยู่แค่สองอย่าง คืออาวุธระยะประชิด กับอาวุธระยะไกลที่เป็นอาวุธหลักของเราอย่างปืนพลังงานที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ธาตุคือไฟฟ้า ไฟ น้ำแข็งและพิษ โดยปืนธาตุทั้ง 4 แบบจะส่งผลต่อเกมเพลย์การเล่นทั้งการต่อสู้และการใช้เปิดทางหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่เทียบกับเกมอื่นแล้ว เกมนี้ถือว่ามีอาวุธน้อยจนน่าใจหายเลยก็ว่าได้ เหมือนเป็นเกมทำมาทดสอบฝีมือ และไอเดียว่าพอจะใส่อะไรลงไปได้บ้าง นอกจากอาวุธแล้ว ตัวเกมจะมีอุปกรณ์เสริม เช่นยาลบล้างสถานะผิดปกติ ยาเสริมเกราะชั่วคราว ซึ่งมันจะทำให้เราเล่นเกมนี้ได้ง่ายขึ้นแบบไร้ซึ่งปัญหาและอุปสรรคใด ๆ จะกลัวศัตรูมีพิษไปทำไม ในเมื่อมียาแก้พิษพร้อมใช้ตลอดเวลา จะกลัวเลือดน้อยไปทำไมในเมื่อมีโล่สำรอง แต่ถึงจะพูดแบบนี้สิ่งที่ทำให้เกมนี้ดูยากและท้าทาย ก็เป็นการออกแบบเกมเพลย์ของมันเอง แต่บอกไว้เลยว่า มันไม่ใช่เกมเพลย์ที่ดีและชวนเล่นให้จบเอาซะเลย ก็ตามที่หัวข้อนี้บอก อย่าว่าแต่เล่นรอบเดียวแล้วพอ เอาให้จบยังรู้สึกว่ายาก ยากที่จะทำใจเล่นต่อให้จบเนี่ยแหละการออกแบบเกมเพลย์สุดเรียบง่ายจนน่าเบื่อปัญหาหลัก ๆ ของเกมนี้อาจไม่ใช่การนำเสนอหรือเนื้อเรื่องที่ดูเรียบง่ายของมัน แต่มันเรียบง่ายยันเกมเพลย์การเล่นจนน่าเบื่อไปเลย ใครกัดฟันทนเล่นได้สัก 3-4 ชั่วโมงโดยไม่ถอดใจเลิก คุณอาจจะมีความสนุกกับเกมการเล่นที่เน้นแอ็คชั่นแบบโยนตรรกะและสมองทิ้งไป แต่เกมอื่นที่ทำได้แบบนี้ และดีกว่านี้ มันก็มีให้เห็นเยอะแยะไปอย่างที่บอกว่าตัวละคร Kate ของเรานั้น มีอาวุธหลัก ๆ ให้ใช้เพียง 4 แบบ คือปืน 4 ธาตุเท่านั้น และแต่ละธาตุนั้นก็จะแบ่งหน้าที่ที่ต่างกันอย่างชัดเจน ปืนหลักคือปืนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทำดาเมจเป็นหลัก ปืนไฟจะใช้ในการยิงจุดอ่อน ปืนน้ำแข็งจะเอาไว้สร้างทางเดินและช่วยสโลว์ศัตรูและท้ายที่สุดกับปืนพิษที่ใช้ในการต่อสู้ทั่วไปและลดความสามารถศัตรู เราจะได้ใช้อาวุธ 4 ประเภทนี้วนกันไปมาตลอดทั้งเกม ในขณะที่ศัตรูก็ไม่ได้มีหลายแบบมาก เป็นศัตรูมาตรฐานตามวิดีโอเกมทั่วไป บางตัวจะมาพร้อมจุดอ่อนที่สังเกตง่ายมาก คือนอกจากจะใหญ่จนมองเห็นได้ชัดแล้ว มันยังถูกไฮไลท์สีให้ตรงกับอาวุธของเรา เพื่อที่จะได้ใช้อาวุธจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกมการเล่นขาดความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะวิธีในการรับมือศัตรูมีอยู่ไม่กี่แบบเท่านั้นความท้าทายของเกมนี้จึงอยู่ที่จังหวะกับการเรียนรู้แพทเทิร์นการโจมตีของศัตรู โดยเฉพาะพวกตัวใหญ่ ๆ ที่เป็นเหมือนมินิบอสหรือพวก Elite ที่หลบได้ค่อนข้างยาก และรวดเร็วกว่าตัวอื่น ๆ แต่มันกลับเป็นความยากที่ไม่ได้ทำให้เกมสนุก แต่น่ารำคาญเสียมากกว่า แต่เกมยังพยายามสร้างความหลากหลายด้วยการทำให้ระบบสภาพอากาศมีผลกับการต่อสู้ เช่นหากบางพื้นที่มีสภาพอากาศฝนตก การใช้ปืนน้ำแข็งก็จะทำให้ศัตรูถูกแช่แข็งได้ไวขึ้นเป็นต้น ฟังดูเหมือนจะทำให้เกมสนุกขึ้นแต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเลยอยู่ดีส่วนของการอัปเกรด เราสามารถอัปเกรดสกิลและความสามารถของ Kate ได้ ที่จะทำให้เกมการเล่นง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนการ Reload ให้มีลูกเล่น Perfect Reload หรือความสามารถอื่น ๆ เช่นขยายหลอดพลังชีวิต หรือ Stamina ที่ใช้ในการกลิ้งหลบ ซึ่งการอัปเกรดตัวละคร จะได้จากการสะสมค่าประสบการณ์ในการกำจัดศัตรู ส่วน Equipment หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น จะได้จากการตามหาในฉากและแผนที่ หากคุณอ่านหัวข้อแล้ว อ่านมาจนถึงตรงนี้ต่อ น่าจะมองเห็นแล้วว่า ท้ายที่สุดแล้วเกมนี้แทบไม่มีอะไรสดใหม่ มันขาดความเป็นตัวเองแบบสุด ๆ ตั้งแต่เนื้อเรื่องไปจนถึงเกมเพลย์และระบบการเล่น เรียกได้ว่า มันมีแต่ความธรรมดาและความเป็นกลางอย่างไม่น่าเชื่อทั้งหมดนี้คือความธรรมดาเกินกว่าที่คนเล่นเกมยุคปัจจุบันจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่า เพราะทั้งเนื้อเรื่อง กราฟิก ระบบเกมเพลย์การเล่น ล้วนเป็นสิ่งที่แฟนเกมหลายคนน่าจะเคยสัมผัสมาจากเกมเก่า ๆ ทั้งหลาย และดีไม่ดี เกมอื่น ๆ ยังอาจจะทำได้ดีกว่าเกมนี้ด้วยซ้ำ ในความยาก และความเล่นซ้ำของมัน แว่บแรกที่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันเหมือนกันมาก ก็คือเกม AAA ของ PlayStation อย่าง Returnal เกมนี้อาจจะผิดที่ผิดเวลาเพราะดันมาออกชนกันกับที่ตัวเกม Returnal พอร์ตมาลง PC พอดีด้วยและคุณจะยิ่งตกใจเมื่อรู้ว่าความธรรมดาของเกมนี้ มีราคาสูงถึง 1,099 บาท ทั้ง ๆ ที่กราฟิกก็ไม่ได้ล้ำสมัย ระบบเกมเพลย์การเล่นก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ดังนั้นหากคุณสนใจเกมนี้จริง ๆ เราแนะนำว่าเก็บเงินเพิ่มอีกนิดแล้วไปซื้อ Returnal เลย ยังจะได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก ๆ
20 Mar 2023
[Review] รีวิว Wo Long: Fallen Dynasty เกมสามก๊ก Souls-like ที่ภาพดูตกยุค แต่เล่นสนุกเพลินมาก!
ทุกวันนี้เรามีเกมแนว Souls-like หรือเกมแนว Action RPG สุดยากท้าทายแบบ Elden Ring ให้เล่นแบบหลากหลายธีมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธีมซามูไรอย่างเกม Nioh หรือธีมกังฟูอย่างเกม Sifu หรือธีมยุคอนาคตสวมเกราะ Exoskeleton อย่างเกม The Surge โดยทุกเกมนั้นก็ดูจะทำให้เกมเมอร์ชอบ และขายดีกันมาจนถึงปัจจุบันด้วย ทำให้ทางค่าย Koei Tecmo ที่มีประสบการณ์ทำเกม Nioh มาถึง 2 ภาค ล่าสุดนี้ก็ได้วางขายเกมใหม่ในชื่อ Wo Long: Fallen Dynasty ที่มาในฉบับ 'สามก๊ก Souls-like' ให้เล่นกันแล้วนะ แต่ว่าเกมจะคุณภาพเยี่ยมเหมือนกับ Nioh หรือไม่ ก็มารับชมรีวิวจากทางเรากันเถอะ!!!คลิปตัวอย่างให้โหมโรงก่อนชมรีวิวคุณคือจอมยุทธเหนือมนุษย์ยุคสามก๊กเกมนี้จะเล่าเรื่องอ้างอิงจากวรรณกรรมสามก๊กมาเลย แต่ก็จะดัดแปลงใส่เหตุการณ์แฟนตาซีด้วย ยกตัวอย่างการมีพวกปีศาจให้พบเจอ และพลังกำลังภายในใช้สู้ศัตรูได้อย่างเวทย์มนต์ เรื่องราวของคุณนั้นคือคนปกติที่เผลอมาช่วยชาวบ้านถูกกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองบุกในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง (โจรพวกนี้มีจริงๆ ในช่วงเริ่มเรื่องสามก๊ก) และดันเจอคนแปลกหน้ามอบพลังวิเศษให้ ทำให้ต้องกลายเป็นจอมยุทธสามารถใช้พลังกำลังภายในได้ตามที่บอกไป แล้วเกมก็ยังคงจะอ้างอิงตามสามก๊กที่มีการแบ่งเมืองจีนออกเป็น 2 ถึง 3 ฝ่าย แต่ว่าเหตุการณ์ส่วนใหญ่จะให้เราไปช่วยรบกับฝ่ายธรรมมะ หรือไปช่วยทุกฝ่ายให้กำจัดผู้มีพลังปีศาจไม่หวังดีต่อโลกออกไปจากบ้านเมือง แล้วเราก็จะได้เจอตัวละครจากสามก๊กดังๆ อย่างโจโฉ, เล่าปี่ หรือกวนอูด้วย ซึ่งต้องขอชมว่าเกมเก็บรายละเอียดเอาพวกความเป็นสามก๊กหรือตำนานจีนมาเล่าเกี่ยวข้องกันได้ดีมาก ถ้าใครเคยอ่านวรรณกรรมหรือรู้เรื่องพวกตำนานจีนมาเยอะ คุณจะรู้สึกฟินเซอร์ไพร์สเกมนี้เอาเรื่องเลย* ผู้เล่นจะสามารถสร้างตัวละครแบบเลือกเพศ และปรับแต่งหน้าตาได้โดยของเกมนี้ปรับได้ละเอียดเอาเรื่อง ยกตัวอย่างปรับความยาวของเส้นผมเฉพาะด้านหน้าได้ ** พวกชุดเกราะหรืออาวุธ แน่นอนว่าอ้างอิงมาจากตอนจีนยุคกลางด้วยขณะที่บางชุดจะมีการทำให้มันดูแฟนตาซีสุดเท่มากขึ้น ** เกมขนตัวละครจากสามก๊กมากันเพียบ แม้ตัวนั้นๆ จะไม่ได้ดัง แถมหลายๆ ด่าน จะมีให้ตัวพวกนี้มาช่วยเราสู้ด้วย หรือเราเรียกมาช่วยเองก็ได้ต่างหาก *อย่างไรก็ตาม คุณก็ไม่ควรไปคาดหวังอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย เพราะเกมจะเล่าเรื่องตัดฉากไปมาแบบพามึนมาก อารมณ์แบบงบการสร้างนั้นไม่พอ หรือคนสร้างเกมต้องการจะบอกว่าไม่ได้ใส่ใจให้สนเนื้อเรื่องขนาดนั้น จะขายเกมเพลย์ยอดเยี่ยมเป็นหลักล้วนๆ โดยมันก็เป็นเรื่องที่น่ามองข้ามได้ตามสไตล์เกม Action RPG Souls-like แต่ก็แอบน่าเสียดายนิดๆ เนื่องจากเกมใส่เซอร์ไพร์สเรื่องราวสามก๊กหรือตำนานจีนไว้เยอะมาก แต่การเล่าเรื่องในเกมก็ไม่ได้ใส่ใจอธิบายว่าทำไมเราต้องสนใจตัวละครนั้นๆ หรือทำให้ต้องตื่นเต้นจนเป็นภาพจำอะไรในหัว ทั้งๆ ที่เกมนี้จะให้คุณได้ความรู้จากเรื่องราวสามก๊กตั้งแต่ต้นจบวรรณกรรมเลยแท้ๆ* ตัวละครทุกตัวในเกมนี้ ยังสร้างเสน่ห์ให้เราจำได้ว่าใครเป็นใครดีมากๆ ด้วยแต่ด้วยความที่เกมไม่เน้นใส่ใจเล่าเรื่อง แถมบางตัวก็โผล่มาแปปเดียว หรือแค่ด่านเดียว *นี่คือเกมที่ระบบ RPG ไอเดียดีมาก และยังทำให้หลากหลายเกมนี้จะยังคงเล่นเหมือนเกมแนว Souls-like อื่นๆ นั่นคือการผจญภัยตีมอนสุดท้าทายเรื่อยๆ และก็จะได้ไปเจอบอสที่ทำให้คุณต้องตายบ่อยๆ ส่งผลให้คุณต้องหาวิธีปราบ พร้อมกับเก็บแต้มมาอัปเลเวลให้ตัวละครเก่งขึ้นด้านใดด้านหนึ่ง แล้วก็หาฟาร์มชุดเกราะกับอาวุธให้ทรงพลัง โดยเกมนี้จะยังมีการเอาระบบการเล่นจาก Nioh ยกมาทั้งหมดเลย แต่ก็มีการปรับใหม่ให้คนเล่นเข้าใจง่ายขึ้น แถมน่าสนใจมากขึ้นอีก โดยอย่างแรกคือระบบอัป Stat ที่จะมีให้เลือก 5 รูปแบบ ยกตัวอย่างแบบ 'ธาตุไม้' ที่จะทำให้ได้ Stat ด้าน HP เพิ่มขึ้นเยอะมาก แล้วก็ยังได้พวกแต้มบล็อกการโจมตีได้บ่อยขึ้น ส่วนแบบธาตุน้ำจะทำให้เราลอบเร้นง่ายขึ้น และใช้อาวุธระยะไกลได้แรงขึ้น แล้วการอัปแต่ละธาตุยังจะทำให้เราปลดล็อกสกิลใหม่ๆ ของธาตุนั้นมาใช้ต่อสู้ได้ด้วย!!! เป็นอะไรที่ทำให้เกมหลากหลายกลับมาเล่นได้หลายรอบขึ้นมาก* ถ้าคุณเน้นอัปธาตุไม้เป็นหลัก ก็สามารถปลดสกิลเรียกฟ้าผ่ามาโจมตีศัตรูหรือจะทำให้เรียกลมมาสร้างบัฟโจมตีแล้วดูดพลังชีวิตศัตรูได้เป็นต้น ** เกมนี้ยังมีอาวุธมากถึง 16 ชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีความเจ๋ง และสกิลโจมตีพิเศษต่างกันไป 2 แบบแล้วการใช้ชนิดอาวุธไหนให้โจมตีได้แรงมากๆ ก็ขึ้นอยู่กับธาตุที่คุณใช้ ** ส่วนพวกชุดเกราะจะไม่มีระบบธาตุมาเกี่ยว แต่ก็มีชุดหลายแบบ พร้อมใส่เพื่อเพิ่มความต้านทานกับต้านพลังธาตุแล้วก็มีเรื่องน้ำหนัก ที่ถ้าเราใส่หนักน้อยๆ ก็สามารถหลบหลีกได้คล่องแคล่วดีกว่า *อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีในหลายเกม Souls-like คือ 'กองไฟจุด Checkpoint' ที่จะให้เราเกิดใหม่จุดนั้นได้เมื่อตาย หรือไว้ Fast Travel โดยของเกมนี้ก็ยังคงมีพร้อมคุณสมบัติแบบเกม Souls-like อื่นๆ แต่ได้เปลี่ยนใหม่ให้เป็น 'ธง' ที่เราจะปักแล้วไว้ใช้อัปเกรดตัวละคร, ปรับแต่งสกิล, ซื้อขายไอเทม, ตั้งห้อง Coop หรือไปบุกโลกชาวบ้าน และไว้ใช้เรียก AI มาช่วยสู้ได้ถึง 2 คน (ตามที่แจ้งไปว่าเราเรียกตัวละครจากโลกสามก๊กมาช่วยสู้ได้) ซึ่งที่มันมีประโยชน์เยอะขนาดนี้ก็เพราะเกมจะแบ่งเป็นด่านๆ ตายตัวไปเลย แต่ก็ยัง Fast Travel ไปด่านอื่นๆ หรือกลับหมู่บ้านไปอัปเกรดไอเทมได้ตลอดเวลา แล้วเกมจะยังมีระบบ 'ธงเล็ก' ที่ซ่อนอยู่ตามทุกด่านให้ผู้เล่นไปหาปักเพื่อเพิ่มคะแนน 'ขั้นต่ำของกำลังใจ' ซึ่งเรื่องคะแนนกำลังใจ Morale เราจะพูดถึงกันอีกทีภายหลัง แต่เจ้าระบบธงเล็กก็ทำให้เกมน่าสำรวจแผนที่มากขึ้น และแผนที่เกมนี้ก็ทำมาดีหลายด่านเลยทีเดียว* ด่านเกมนี้จะมีความกว้างใหญ่พอสมควร และมีพื้นที่ลึกลับให้พบเจอหลายเส้นทางทำให้ผู้สร้างเกมจะเอาธงเล็กไปซ่อนตามด่านต่างๆ ที่บางทีผู้เล่นต้องวนไปมาถึงหาเจอ ** แต่ละด่านในเกมนี้ยังส่งผลให้ผู้เล่นจะได้เจอความท้าทายไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างด่านอู่เรือที่เราเสี่ยงตกน้ำตายได้บ่อยๆหรือด่านที่มีสารพิษระบาด ถ้าโดนจะทำให้ตัวละครแรงหมดเรื่อยๆ แล้วเราก็ต้องไปโดนสารพิษเพื่อสู้มอนบ่อยๆ *พวกระบบสวมใส่ของตัวละครในเกมนี้ก็จะไม่มีความซับซ้อนอะไรด้วย เพราะผู้เล่นจะใส่อาวุธประชิตได้ 2 ช่อง, อาวุธโจมไกล 2 ช่อง, อุปกรณ์สร้างความได้เปรียบ 2 ช่อง, ชุดเกราะ 4 ช่อง, เครื่องราง 2 ช่อง และไอเทมไว้ใช้เพิ่มพลังชีวิต หรืออื่นๆ อีกหลายช่อง โดย UI ถือว่าทำมาได้เข้าใจง่ายเลย รวมทั้ง UI อธิบายคุณสมบัติอาวุธกับชุดเกราะก็เข้าใจไม่ยาก แต่ปัญหาเดียวที่พบคือไอเทมทั่วไปในเกมนี้มันเยอะมาก และ UI ของเกมก็อธิบายประโยชน์ของมันได้ไม่ดีเท่าไหร่ คุณจะต้องอ่านข้อมูลไอเทมนั้นๆ ด้วยตัวหนังสืออันยาวเยื้อย แล้วต้องอ่านไปอ่านมาถึงจะเข้าใจว่ามันคือ 'ไอเทมเพิ่มจำนวนยาเพิ่มเลือด' เป็นต้น ซึ่งผู้สร้างเกมน่าจะอธิบายง่ายๆ กว่านี้หน่อย มันทำให้คนเล่นหงุดหงิดต้องมานั่งอ่าน!!!* หน้าตา UI ช่องใส่ไอเทมรวม และช่องอธิบาย Stat ตัวละคร ** หน้าตา UI ที่เราต้องมานั่งอ่านคุณสมบัติไอเทมทั่วไปที่มีเยอะมากๆ แต่อธิบายซะยาวเยื้อย *ระบบต่อสู้ที่หลากหลาย และเป็นจุดขายเอาเรื่องเกมนี้จะมีระบบต่อสู้ที่เข้าใจง่ายมาก แต่ก็มีวิธีการต่อสู้หลายแบบเอาเรื่อง โดยท่าโจมตีปกติก็มีให้ใช้ทั้งรูปแบบโจมไวกับโจมช้าเหมือนของเกมอื่นๆ แต่ว่าผู้เล่นก็จะมีค่าความเหนื่อยจากการปล่อยท่าโจมตี (เป็นหลอดอยู่ใต้หลอดเลือด) และจะได้รับการฟื้นฟูทันทีหากโจมตีโดนศัตรู ซึ่งระบบนี้ก็เป็นมาตรฐานของทั้งตัวละครเรากับศัตรูด้วย ทำให้ถ้าศัตรูโจมเราตอนค่าความเหนื่อยเหลือ 0 เราก็จะติดสถานมึนทำอะไรไม่ได้ชั่วขณะ แล้วถ้าเราโจมศัตรูตอนค่าความเหนื่อยเหลือ 0 ก็จะได้ผลลัพธ์ให้ศัตรูติดสถานะมึนทำอะไรไม่ได้ชั่วขณะแทน แต่เกมยังจะให้ตัวละครเรามีความสามารถใช้ท่าโจมตีพิเศษได้อีก 1-2 แบบตามชนิดอาวุธที่เลือกใช้ (ถ้าใช้ดาบก็มีท่ากระโดดโจมตี หรือตีแล้วถอยหลังไวๆ เป็นต้น) โดยการใช้ก็จะต้องเสีย 'ค่าความเหนื่อย' เช่นกัน และการใช้สกิลที่ได้รับจากพลังธาตุต่างๆ ที่เราได้บอกไปแล้วก็ต้องเสียค่าความเหนื่อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกมนี้ให้รางวัลการเสี่ยงเข้าโจมตีรัวๆ สูงมาก แล้วไม่ได้มาเน้นป้องกันเหมือนเกมอื่นๆ เพราะถ้าเราโจมตีโดนศัตรูรัวๆ ก็จะได้ใช้ท่าโจมตีพิเศษหรือสกิลบ่อยๆ นั่นเอง* เกมยังมีหลอดค่าความเหนื่อยสีน้ำเงิน และจะได้รับตอนเราฟื้นฟูค่าความเหนื่อยเกินหลอดปกติสีส้มของตัวเองหลอดนี้ยังเอามาแปลงเพิ่มค่าโจมตีแรงๆ ตอนใช้ท่าโจมช้าปกติได้ด้วย *อย่างไรก็ตาม เกมก็จะมีการให้กดป้องกันอยู่ทั้ง 3 แบบได้แก่ 1. เอาอาวุธบล็อกการโจมตี 2. แพรี่ 3. กลิ้งหลบ โดยการแพรี่จะเหมือนกับของเกม Sekiro ที่เราต้องกดให้พอดีตอนศัตรูโจมมาใส่ และถ้าแพรี่ได้จะทำให้เราได้รับการฟื้นฟูค่าความเหนื่อยเช่นกัน แต่ศัตรูทุกตัวยังจะมีวิธีการ 'โจมตีรุนแรงเป็นพลังปีศาจสีแดง' ที่เราจะบล็อกการโจมตีไม่ได้ ต้องกลิ้งหลบเท่านั้น หรือถ้าเราแพรี่ได้ตอนศัตรูโจมตีรุนแรงเป็นพลังปีศาจสีแดง จะส่งผลให้เราใช้ท่าทำให้ศัตรูเสียหลักจนมึนงงชั่วขณะทันทีด้วย ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าการแพรี่ในเกมนี้ก็มีข้อดีมากๆ รวมทั้งทำให้เราต้องฝึกเอาไว้ เพราะถ้ารวมกับการที่เกมให้รางวัลเข้าโจมตีรัวๆ ก็ทำให้เราโจมตีศัตรูได้แบบไม่ต้องกลัวอะไรเลย!* เกมยังมีระบบลอบเร้นด้วย ถ้าเราโจมตีช้าปกติจากด้านหลังจะทำให้เป็นการโจมตีลอบฆ่าที่รุนแรงมากส่งผลให้สายลอบเร้นก็จะสนุกกับเกมนี้เหมือน Sekiro * นอกจากนี้ เกมยังมีระบบใหญ่ๆ ที่ชื่อว่า 'ค่าพลังใจ' โดยมันจะเหมือนเลเวลของผู้เล่น และจะอัปเลเวลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกำจัดศัตรูหรือไป 'ปักธงขนาดเล็ก' ที่ซ่อนอยู่ในจุดแผนที่ต่างๆ ตามที่เราเล่าให้ฟัง ซึ่งระบบนี้มันสำคัญมาก เพราะถ้าเลเวลศัตรูสูงกว่าจะทำให้มันโหดกว่าเรา แต่ถ้าเราสูงกว่าก็จะทำให้เราโหดกว่าศัตรู แล้วเลเวลตรงนี้จะเสียไปทั้งหมดถ้าเราตายหรือเล่นจบด่าน รวมทั้งถ้าเราโดนศัตรูโจมตีรุนแรงเป็นพลังปีศาจสีแดงใส่ก็จะเสีย 1 เลเวล ทำให้ผู้เล่นต้องพยายามไม่โดนหรือตายภายในเกมนี้เลย หรือถ้าเราไปตายตรงบอส ก่อนไปฆ่าบอสอีกรอบก็ต้องมานั่งฟาร์มแต้มตรงนี้ให้น่าไปสู้กัน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ท้าทายคนเล่นให้ต้องเก็บแต้มนี้ไว้ได้เยอะๆ ถ้าหัวร้อนพาตัวละครตายบ่อยก็เสียเวลาเล่นด่านนั้นอีกยาว* ถ้าผู้เล่นปักธงขนาดเล็ก มันจะช่วยเพิ่มค่าพลังใจเลเวลขั้นต่ำให้ด้วย ยกตัวอย่างถ้าตายก็จะมาเริ่มที่เลเวล 7 ไม่ใช่ 0 ใหม่หมด *ส่วนศัตรูในเกมนี้ก็ทำออกมาดี ศัตรูทหารจอมยุทธบางคนจะเข้าสู้กับเราเหมือน 'ในหนังจอมยุทธ' พวกมันจะบล็อก และมีการหลบท่าโจมตีของเราแบบเท่มากๆ จะบอกว่าผู้สร้างใส่ใจทำอนิเมชั่นให้ดีด้วยก็ว่าได้ เพราะการสู้ในเกมนี้มันทั้งเท่ทั้งมันส์ รวมทั้งหลายๆ ด่านก็จะมีศัตรูไปแอบในที่สุดน่ากำหมัด หรือเป็นด่านหน้าประตูปราสาท ทำให้ศัตรูจะอยู่บนกำแพงคอยโจมเราจากระยะไกล และเราก็หาวิธีเอาชนะได้ยากมาก แต่ท้ายที่สุดตรงนี้ก็มีข้อเสียหนักๆ อยู่ เนื่องจากก็มีศัตรูหลายตัวเลยที่ปราบง่ายมาก รวมไปถึงบอสหลายตัวในเกมนี้ก็ปราบง่ายแบบคุณอาจไม่ได้ตายเลย หรือตายอย่างมากแค่ 1-2 รอบ!!! ซึ่งจะบอกว่าเพราะผู้พัฒนาทำบอสมากระจอกก็คงไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะการที่เกมให้รางวัลผู้เล่นจากการเข้าโจมตีรัวๆ หรือการแพรี่มากจนโกงเกินไปเสียมากกว่า ส่งผลให้ถ้าคุณเคยผ่านเกม Souls-like มาก่อน คุณก็ไม่ควรจะหวังว่าเกมนี้จะยากท้าทายอะไรแบบนั้น และอาจแปลกใจด้วยซ้ำว่าทำไมแทบไม่ตายเลย แล้วควรมองว่ามันคือเกมเก็บเวล RPG สนุกมากๆ ไปแทน* บอสหลายตัวในเกมนี้ง่าย แต่ก็มีบอสบางตัวสู้ยากเอาเรื่องอยู่ ยกตัวอย่างลิโป้รวมทั้งการสู้บอสส่วนใหญ่ก็ให้ฉากเท่ๆ เหมือนดูหนังจอมยุทธเช่นกัน ** อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้บอสง่ายก็เพราะเราเรียกตัวละครจากสามก๊กมาช่วยสู้ได้รอบละ 2 คนเนี่ยแหละให้ 2 คนนี้ไปแท้งค์ให้ และเราก็หลอยโจมตีห่างๆ บอสแต่ละตัวเลยปราบง่ายเกินไป *คอนเทนต์ที่คุณจะได้พบในเกมนี้จนอิ่มใจขึ้นชื่อเกมค่าย Koei Tecmo แน่นอนว่ามีคอนเทนต์ให้ฟาร์มยาวมันส์ๆ จนอิ่มแน่นอน โดยอย่างแรกที่เราพูดให้ทราบไปแล้วคือระบบอัป stat ไปตามธาตุต่างๆ ที่ทำให้เกมต้องฟาร์มปลดทุกสกิลธาตุ หรือทำให้การเล่นใหม่แต่ละรอบไม่ซ้ำกัน แต่พวกระบบอาวุธกับชุดเกราะมันจะยังมีความลุ่มลึกกว่านั้นด้วย เนื่องจากเกมนี้จะมีการสุ่มอาวุธกับชุดเกราะที่มี 'เกรดดาว' กับ 'สกิลติดตัว' ให้ผู้เล่นไม่เหมือนกันตลอดเวลา ถ้าอยากได้อาวุธหรือชุดเกราะดีสุดคือต้องหาแบบ 5 ดาว แล้วพวกสกิลติดตัวต่อไอเทม 1 ชิ้นก็มีได้หลายสกิลอีก ส่งผลให้แค่นี้ผู้เล่นก็ต้องมาฟาร์มกันข้ามอาทิตย์แล้ว* อาวุธกับชุดเกราะยังเอาไปอัปเกรดตีบวกได้หลายชั้น และเปลี่ยนสกิลติดตัวได้ด้วยแต่ก็ต้องใช้วัตถุดิบที่เราก็ต้องไปหาฟาร์มมาอีกยาวๆ *ส่วนถ้าถามว่าแล้วหลังเล่นเนื้อเรื่องหลักจบจะมีอะไรให้ทำอีกบ้าง? แน่นอนว่าด้วยความที่เกมนี้เป็นแนว Souls-like สิ่งที่มีแน่นอนคือโหมด New Game Plus ให้ผู้เล่นกลับมาเริ่มผจญภัยใหม่อีกรอบ แต่มีของที่เคยฟาร์มมาให้ใช้ครบทุกอย่าง และช่วง New Game Plus ก็จะทำให้เกมยากสูงขึ้นกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัดด้วย (แต่พวกบอสก็ยังปราบง่ายเหมือนเดิม) ซึ่งก่อนจะไป New Game Plus เกมจะยังมีพวกเควสเสริมที่มีบอสต่างกันให้พบเจออีกจำนวนเยอะมาก ส่งผลให้เกมนี้จะพาคุณเล่นเกิน 100 ชั่วโมงได้สบายๆ แน่นอน* เกมยังมีระบบชื่อเสียงฉายา ให้เราปลดล็อกชื่อเสียงต่างๆ ด้วยการทำเควสสะสมสิ่งต่างๆ ให้ครบซึ่งก็มีอีกหลายเควสเลย ไม่ต้องกลัวว่าเล่นจบแล้วไม่มีอะไรทำไว *อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกมนี้เพิ่งวางจำหน่ายไปเท่านั้น และแจ้งด้วยว่าจะมีการขาย Season Pass ส่งผลให้เอาจริงๆ คอนเทนต์ช่วงท้ายเกมก็ยังไม่ได้หลากหลายมากถ้าเทียบกับเกม Souls-like อื่นๆ หรือ Nioh แล้วก็ต้องมารออัปเดตอีกเรื่อยๆ เลย แต่ผู้เขียนเชื่อว่าหลังผ่านไป 1 ปี เกมจะมีคอนเทนต์ท้ายเกมให้เล่นยาวเกิน 500 ชั่วโมงได้แน่นอน เนื่องจากผลงานเก่าๆ อย่างเกม Nioh นั้นคนซัดไปเกิน 1,000 ชั่วโมงยังมีเลยนะ!!!ประสิทธิภาพยังคงตามสไตล์เกมค่าย Koei Tecmoอย่างที่ใครหลายคนคงเห็นกันแล้ว ว่าเกมนี้ได้คะแนนรีวิวบน Steam อยู่ในระดับ 'แง่ลบเป็นส่วนมาก' เนื่องจากปัญหาการพอร์ทเกมที่ไม่ดีเลย และเล่นไม่ลื่นหรือมีอาการกระตุก โดยผู้เขียนก็ขอเป็นอีกหนึ่งคนที่ยืนยันว่าเกมนี้พอร์ทได้ไม่ดี แต่ถ้าเทียบกับ Wild Hearts (เกมที่ Koei Tecmo เพิ่งวางขายไปใกล้ๆ กับเกมนี้) มันก็ถือว่ากระตุกน้อยกว่ามากๆ เนื่องจากผู้เขียนจะไปกระตุกแค่ช่วงโหลดฉากหรือเริ่มฉากอะไรพวกนี้เท่านั้น แต่ปัญหาเรื่องเฟรมเรทคือหนักสุดๆ เพราะเสปคที่ผู้เขียนใช้คือ i5-12400f กับ RTX 3070Ti ที่เล่นเกมฟอร์มยักษ์อื่นยังได้สบายๆ แต่กลับเกมนี้ถ้าปรับกราฟิกสุดที่ระดับภาพ 2K เฟรมเรทหลายด่านจะอยู่ที่ 40-60 เฟรม ซึ่งด้วยความที่เป็นเกมต้องจับจังหวะแพรี่ดีๆ ด้วย การเล่นไม่ลื่นจึงส่งผลร้ายแรงอย่างมาก แต่โชคดีที่พอปรับกราฟิกปานกลาง หลายด่านจะนิ่งที่ 60 เฟรม แต่ความน่าแปลกคือเกมนี้มันก็ไม่ได้ภาพสวยอะไรขนาดนั้น ภาพในเกมจะอารมณ์เหมือนตอนยุค PS3 ทำให้เห็นได้ชัดว่าพอร์ทมาไม่ดีจริงๆ* แต่ถึงภาพไม่สวย เกมก็ยังทำหลายฉากให้ดูรู้สึกฟินเอาเรื่องอยู่ *ส่วนประสิทธิภาพโหมดออนไลน์ อันนี้ก็ทำได้ตามฉบับเกม Souls-like อื่นๆ เช่นกัน โดยก็ถือว่าอยู่ในขั้นดี เนื่องจากมีเซิร์ฟเวอร์เสถียร ทำให้ไม่มีปัญหาหลุดตอน Coop อะไรแบบนั้น แต่ก็แน่นอนว่าตอน PvP ปัญหาที่เราต้องไปเจอคือปิงคนเล่นไม่เสถียรก็ยังอยู่เช่นกัน ทำให้ผู้เล่นฝั่งศัตรูจะวาร์ปมาจ้วงหลังเราแบบงงๆ ได้สรุปWo Long: Fallen Dynasty เป็นอีกหนึ่งเกมแนว Action RPG ที่แปลกใหม่ และยอดเยี่ยมอย่างมาก พร้อมกับมีคอนเทนต์ให้ชาว RPG ได้ไปฟาร์มกันแบบอิ่มอกอิ่มใจแน่นอน แต่มันก็มีจุดปัญหาหลักๆ คือมันก็เป็นเกมแนว Souls-like แต่มันกลับไม่ได้ท้าทายให้ตายบ่อยเหมือนเกมอื่นๆ เพราะเกมดันทำให้ผู้เล่นเก่งกว่าบอสเกินไป ทั้งๆ ที่ในเกม Nioh ก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้ง่ายจนต้องแปลกใจขนาดนี้ โดยเอาจริงๆ ก็เป็นเรื่องมองข้ามไปได้ถ้าคุณชอบเกมที่ระบบ RPG หลากหลายมากกว่าจะต้องสู้กับศัตรูยากๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วก่อนซื้อคุณก็ต้องถามตัวเองต่ออีกว่า 'คุณโอเคที่จะเล่นเกม RPG ระดับเทพ แต่ภาพเหมือนเกมสมัย PS3 และยังกินเสปคระดับเกมยุคนี้หรือไม่?'ส่วนใครที่อยากได้เกมนี้แบบเป็นแผ่นไว้เล่นหรือสะสม ก็สามารถไปดูรายชื่อรวมร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในไทยได้ตามลิงก์นี้เลย : https://softsourcegame.weebly.com/where-to-buy.html #softsourcegames* ขอขอบคุณทางผู้จัดจำหน่ายเกมด้วย ที่ส่งเกมนี้มาให้พวกเราได้เล่น และรีวิวกันนะครับ *
07 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม SEASON : A Letter to the Future ส่งต่อความทรงจำของมนุษยชาติยุคปัจจุบันสู่อนาคต
ในช่วงต้นปี 2023 นี้ ถือว่าเป็นปีที่วงการเกมกลับมาคึกคักอีกครั้ง เกมฟอร์มยักษ์ล้วนออกมาดี และประสบความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน เกมอินดี้ที่กลายเป็น Hidden Gem กันตั้งแต่ต้นปีเองก็มีเช่นกัน เกมที่ว่าคือ SEASON: A Letter to the Future เกมอินดี้สุดลึก ที่จะสอนให้คุณสัมผัสกับสิ่งของและผู้คนรอบตัว ก่อนที่โลกจะสูญสิ้น นี่คือเกมแนว Post-Apocalypse แบบใหม่ที่เราไม่ต้องสวมบทเป็นฮีโร่ แต่ให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในช่วงโค้งสุดท้าย และเกมนี้จะเป็นยังไง มาดูรีวิวของเรากันได้ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกคน เราเลือกจะทำอะไร ?SEASON: A Letter to the Future ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นหญิงสาวที่ชื่อ Estelle ที่เกิดและเติบโตมาในเมือง Caro ครอบครัวและเมืองของเธอรับรู้ถึงหายนะที่กำลังจะพัดพาทุกสิ่งบนโลกให้หายไป ในขณะที่ทุกคนเตรียมสังสรรค์และใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนที่รักในครั้งสุดท้ายของชีวิต Estelle ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดเป็นครั้งแรก โดยเป้าหมายของเธอคือบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เธอได้เจอ สถานที่ที่ไป ผู้คนที่ได้คุย เพื่อส่งต่อให้กับมนุษย์รุ่นถัดไปในอนาคตเนื้อเรื่องของ SEASON: A Letter to the Future นั้น ปูมาให้เราแค่นี้ ส่วนที่เหลือต้องอาศัยการผจญภัย การตีความของผู้เล่น แต่เกมมันก็ไม่ใช่การนำเสนอความลึกอะไรขนาดนั้น ทุกสิ่งอย่างรอบตัวของฉากในเกม จะเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราว เพียงแต่ผู้เล่นจะต้องขยันสำรวจ และตั้งใจอ่าน และสังเกตสิ่งของรอบตัว เพื่อเข้าใจว่าสถานที่ที่ Estelle เดินทางผ่านนั้น มันมีเรื่องราว มีเหตุการณ์อะไรซ่อนอยู่ และเกมจะเล่าสลับตัดกับเหตุการณ์ก่อนที่ Estelle จะออกเดินทาง ที่เธอได้พบเจอ และพูดคุยกับตัวละครต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นเนื้อเรื่องที่ทำให้เราหันกลับมาตั้งคำถามและมองตัวเองได้อีกแง่ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ ตัวเราจะตัดสินใจแบบไหน จะออกเดินทางหรือไม่ หรือจะใช้เวลาสุดท้ายร่วมกันกับทุกคนที่รักสำหรับเกมนี้ต้องบอกว่าเป็นเกม Story Rich อย่างแท้จริง เกมจะเต็มไปด้วยเนื้อหาทั้งจากตัวละครหลักและตัวละครเสริมในเกม และเป็นเนื้อเรื่องที่ผู้เล่นต้องทำความเข้าใจด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่อินกับโลกในเกมนี้เลย แต่สำหรับใครกำลังมองหาความแปลกใหม่ในการเสพสื่ออย่างวิดีโอเกม SEASON: A Letter to the Future ถือว่าทำออกมาได้ดีและลึกล้ำมาก ๆ แต่ด้วยความที่เป็นเกมนำเสนอแบบเน้นเนื้อหา ใครหวังจะได้เล่นเกมสนุก ๆ อาจจะต้องปล่อยผ่านเกมนี้ไป ซึ่งเรากำลังจะเล่าให้เข้าใจกันในส่วนของเกมเพลย์การนำเสนอและงานภาพที่อาจทำให้คุณแคปภาพเก็บไว้ทุกนาทีที่เล่นก่อนจะเข้าสู่เรื่องของเกมเพลย์ จุดขายที่เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์มาก ๆ ของเกมนี้เลยคือเรื่องของการนำเสนอและงานศิลป์กับภาพกราฟิก จริงอยู่ว่าเกมนี้ไม่ได้เน้นกราฟิกที่อลังการงานสร้างนัก แต่ด้วยขุมพลังของ Unreal Engine ทำให้เกมนี้ยังสามารถรังสรรค์งานภาพแบบการ์ตูนและโทนสีที่มีเอกลักษณ์มาก  นอกจากนั้น ในการดีไซน์โลกและพื้นที่ต่าง ๆ ของเกมก็ทำออกมาได้ดี อย่างเช่นเมือง Caro ที่เหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองที่มีอยู่จริง และเอาแค่ช่วงแรกที่มีการขี่จักรยานออกจากเมือง เพื่อเริ่มต้นการเดินทาง เราก็สามารถแคปรูปภาพสกรีนช็อตได้เป็นสิบรูปแล้ว เรียกได้ว่าใครชื่นชอบงานภาพสไตล์นี้ บอกเลยว่าเกมนี้มอบประสบการณ์การเสพงานภาพที่เต็มอิ่มและคุ้มค่าให้กับผู้เล่นแต่ถึงจะเป็นการออกเดินทางไปยังโลกกว้าง แต่ตัวเกมก็ไม่ได้นำเสนอเกมการเล่นในแบบ Open World แต่อย่างใด เมื่อถึงสถานที่สำคัญต่าง ๆ ผู้เล่นจะสามารถจอดรถจักรยาน และลงไปเดินสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ได้ หากพยายามจะออกนอกลู่นอกทาง จะเจอกำแพงลมเหมือนที่เกมอื่น ๆ ชอบใช้กัน และเกมนำเสนอเกมการเล่นแบบเส้นตรงเพียว ๆ ดังนั้นเกมนี้จะเป็นการปล่อยให้ผู้เล่นดื่มด่ำกับเนื้อหาแบบเต็ม ๆ และไปใช้สมองกับการตีความเนื้อหาและทำความเข้าใจเนื้อเรื่องกับเหตุการณ์ในโลกแทนแม้จะเป็นส่วนน้อยในด้านการนำเสนอ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันโดดเด่นมาก แทบไม่มีเกมไหนที่ใช้วิธีการนำเสนอแบนนี้ ในด้านงานภาพและการเล่าเรื่อง ยิ่งเดินทางผ่านไปเรื่อย ๆ เราจะยิ่งอิน ยิ่งอยากรู้ อยากสำรวจ อยากทำความเข้าใจว่า โลกที่ Estelle กำลังไปเจอ จะเป็นแบบไหน และเราจะได้สัมผัสอะไรจากมันบ้าง ใครกำลังมองหาเกมที่เหมือนกับศิลปะดี ๆ สักชิ้น บอกเลยว่านี่แหละคือคำตอบ แต่ใครไม่อิน อยากบู๊ อยากลุย นี่ไม่ใช่เกมแบบนั้นแน่นอน เกมเพลย์ที่เน้นการเก็บสะสมเรื่องราวและบรรยากาศจนเหมือนไม่ใช่ "วิดีโอเกม"ไม่รู้ว่าเกมเมอร์ยุคนี้ยังคุ้นเคยกับแนวเกม Point & Click อยู่หรือไม่ เกมแนวนี้ผู้เล่นจะไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากใช้เมาส์คลิก ๆ ไปตามฉากเพื่อสำรวจและเก็บของ แต่เกมนี้ไม่ใช่ Point & Click 100% เพราะมันยังมีหลายฉากที่ผู้เล่นต้องควบคุมด้วยคีย์บอร์ด เช่นการควบคุมตัวละคร Estelle หรือการใช้กล้องถ่ายรูปและเครื่องอัดเสียงเพื่อบันทึกเรื่องราวและความทรงจำแต่ที่เราบอกว่าเกมเพลย์มันเป็นแนว Point & Click นั้น เพราะเกือบ 70-80% มันจะเป็นแบบนั้น เมื่อเราอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เราสามารถที่จะโต้ตอบกับสิ่งของและวัตถุต่าง ๆ ในฉากนั้นได้ โดยสิ่งของในฉากต่าง ๆ ก็จะเป็นจดหมาย เป็นคำบอกเล่า เป็นอะไรก็ตามที่จะเล่าเรื่องราวหรือที่มาที่ไปในสถานที่นั้น ๆ หัวใจสำคัญของเกมนี้คือการสะสมเรื่องราวที่จะเป็นแรงบันดาลใจ (Inspiration) โดยนำเอาสิ่งของต่าง ๆ ที่เก็บได้ มาจดหรือแปะลงในสมุดบันทึกของเรา เมื่อได้ค่า Inspiration จนเต็ม เราจะได้ของตกแต่งมาตกแต่งสมุดเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเราจะบอกว่าทั้งเกมมันมีแค่นี้จริง ๆ หลายคนก็อาจจะยังไม่เชื่อ แต่ขอให้เชื่อว่านี่คือทั้งหมดของเกมเพลย์เกมนี้แล้ว เพราะหลัก ๆ เกมนี้จะให้เราดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และเสพเนื้อเรื่องในพื้นที่ต่าง ๆ จริงอยู่ว่ามีช่วงที่เราจะได้ปั่นจักรยานออกสำรวจพื้นที่ และอย่างที่บอกว่าเกมนี้ไม่มี Free Roam หรือการสำรวจใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่านี่อาจจะเป็นเหมือนการจดบันทึกก่อนโลกล่มสลาย แต่ไม่ใช่ในชีวิตจริง แต่เป็นวิดีโอเกม และทำให้มันดูเหมือนจะไม่ใช่เกมด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่คิดจะซื้อเกมนี้มาเล่น บอกเลยว่าต้องชอบการเสพบรรยากาศและการอ่านเท่านั้น เพราะจากที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นมา นี่เป็นอีกเกมที่มีวลีกินใจ และคำคมชวนฉุกคิดอยู่เป็นจำนวนมากตลอดการเดินทาง ซึ่งหากจะมองว่ามันทำได้ดี มันก็ดีแน่นอน แต่การที่มันนำเสนอตัวเองเป็นวิดีโอเกม อาจทำให้ใครหลายคนผิดหวังพอสมควร แต่หลังจากที่เราเก็บรวบรวมเรื่องราวลงในสมุดให้เป็นรูปแบบต่าง ๆ ได้แล้ว เกมจะตัดเข้าคัทซีนที่ค่อย ๆ เล่าเรื่องราวที่เราเก็บสะสมมาได้ เหมือนเป็นการระลึกถึงมัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดต่อไป ก็ถือว่าเป็นการนำเสนอในรูปแบบวิดีโอเกมที่ดีในด้านของประสิทธิภาพตัวเกม ดว้ยความที่ใช้ Unreal Engine ซึ่งมีเสถียรภาพของมันเองอยู่แล้ว และเกมนี้ยังสามารถขับภาพกราฟิกได้ด้วยการลบรอยหยักและใช้ประสิทธิภาพจากเทคโนโลยี DLSS ได้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ภาพดูสดใส สวยงามขึ้น แม้จะเป็นแค่กราฟิกแบบการ์ตูน แต่ก็ยังคงได้ภาพที่น่าประทับใจ และเป็นมิตรต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่พอจะเล่นเกมยุคปัจจุบันนี้ได้SEASON: A Letter to the Future เป็ฯอีกหนึ่งเกมที่ไม่ใช่วิดีโอเกม มันเป็นเหมือนงานศิลป์ เป็นจดหมายที่ผู้พัฒนา ตั้งใจส่งถึงผู้เล่นให้ลองคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่าถ้าเกิดวันนึงโลกเรามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ คำตอบแบบไหนที่เราจะตอบกับตัวเอง แม้เกมจะมีเรื่องราวที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง แต่หลายครั้งระหว่างเล่นที่เราอาจจะมานั่งคิดกับตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะมันมีช่องว่างของเกมเพลย์ที่ไม่ได้เป็นเกมขนาดนั้นให้เราคิดอยู่เสมอ
03 Mar 2023
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
***ขอขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment สำหรับอุปกรณ์ PS VR2 และเกมสำหรับรีวิว***หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ผู้เขียนได้มีโอกาสรีวิวเครื่องอุปกรณ์ PlayStation VR รุ่นแรก ที่แม้จะมีข้อจำกัดในด้านการใช้งานและศักยภาพอยู่มาก แต่ก็เป็นตัวเลือกเดียวสำหรับเกมเมอร์สายคอนโซลที่ต้องการจะสัมผัสกับประสบการณ์เกม VR โดยไม่ต้องลงทุนกับคอมพิวเตอร์ราคาแพง ยังไม่รวมอุปกรณ์ VR สำหรับ PC ในขณะนั้น ที่ล้วนมีราคาสูงกว่าเครื่อง PS VR อย่างมากหลังจากที่เวลาล่วงเลยมา 6 ปี ทาง Sony ก็ได้กลับมาอีกครั้งกับอุปกรณ์ PS VR2 ซึ่งแลดูจะเป็นการพลิกบทบาทจากเครื่อง PS VR รุ่นแรกไปอย่างสิ้นเชิง ในฐานะอุปกรณ์ VR คุณภาพสูงที่มีราคาแพงกว่าอุปกรณ์ของคู่แข่งอย่าง Oculus/Meta หรือกระทั่งราคาของเครื่องคอนโซลที่ต้องใช้ร่วมกันอย่าง PlayStation 5 ไปแล้ว ซึ่งก็ยิ่งทำให้คำถามเรื่อง “ความคุ้มค่า” ของอุปกรณ์กลายเป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงได้ยากขึ้นไปด้วยจากที่มีโอกาสทดลองใช้อุปกรณ์ PlayStation VR2 มาระยะหนึ่ง ต้องยอมรับว่า Sony ได้ปรับปรุงคุณภาพและประสบการณ์การใช้ขึ้นจากรุ่นแรกในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะในแง่ของภาพ เสียง ความละเอียดในการจับการเคลื่อนที่ และความสะดวกสบายในการติดตั้งและใช้งาน จนพูดได้เต็มปากว่าอุปกรณ์ PS VR2 สามารถมอบประสบการณ์เกม VR ระดับสูงได้อย่างแท้จริง แม้คำถามเรื่องความคุ้มค่าของตัวอุปกรณ์จะยังคงตอบยากในขณะนี้ ในขณะเดียวกันนั้น เกม Horizon: Call of the Mountain ที่วางจำหน่ายพร้อมอุปกรณ์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้ในการพูดถึงประเด็นเรื่อง “ความคุ้มค่า” ของอุปกรณ์ด้วย เราจึงจะทำการรีวิวเกมสั้นๆ ไปพร้อมกันในบทความนี้ฮาร์ดแวร์และการติดตั้งสำหรับเจ้า PS VR2 นี้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากอุปกรณ์ VR อื่นๆ ในตลาดนัก ซึ่งมีส่วนประกอบหลักๆ สองส่วนคือหน้าจอ/แว่นตา VR ที่ฉายภาพเข้าสู่ตาของผู้ใช้ และสายรัดเพื่อสวมใส่บนหัวนั่นเอง โดยตรงแว่นตา VR จะมีปุ่มที่ให้ผู้ใช้เลื่อนตัวแว่นตาเข้าหาหรือออกห่างจากลูกตาของตัวเองได้ รวมไปถึงหน้าปัดเพื่อใช้ปรับระยะห่างของเลนส์ภายในตัวแว่นให้เข้ากับสายตาของผู้ใช้ ในขณะที่สายรัดหัวเองก็มีจุดที่สามารถหมุนปรับความแน่นของสายรัด และยังมีช่องไว้เชื่อมต่อหูฟัง 3.5mm แบบพิเศษที่แถมมากับอุปกรณ์อยู่บริเวณด้านใต้ ทำให้การสวมและถอดเครื่อง PS VR2 มีความสะดวกสบายและรวดเร็วไม่น้อยลูกเล่นใหม่อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือปุ่ม Function บริเวณด้านใต้ส่วนแว่นตา VR ที่จะทำให้อุปกรณ์ฉายภาพสภาพแวดล้อมที่บันทึกโดยกล้อง 4 เลนส์ที่อยู่ด้านหน้าของตัวแว่นเข้าสู่สายตาของผู้ใช้ ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องถอดแว่น VR ออก ซึ่งก็ช่วยในเรื่องความสะดวกสบายในการใช้เป็นอย่างมากนอกจากนี้ แม้ว่าส่วนแว่นตา VR จะมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่สายรัดได้ถูกออกแบบมาให้ถ่ายน้ำหนักส่วนนั้นไปไว้ด้านบนของหัว ตัวแว่น VR จึงไม่ได้หนักไปทางด้านหน้าอย่างที่คิด และสามารถสวมใส่เป็นระยะเวลานานได้โดยไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของตัวอุปกรณ์มากนัก ยกเว้นเวลาที่ต้องเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนซึ่งจะทำให้น้ำหนักของส่วนแว่นกดลงมาทับลงมาบนหน้าตรงๆ โดยอาจไม่เป็นปัญหานักสำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ต้องใส่แว่น VR ครอบแว่นสายตาอีกที (อย่างผู้เขียน) ก็อาจจะโดนแว่น VR กดทับแว่นตาจนเจ็บได้เช่นกัน แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของ PS VR2 จะไม่ต่างจากรุ่นแรกนัก แต่สิ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างมหาศาลก็คือความสะดวกสบายในการใช้อุปกรณ์ โดยผู้ที่เคยใช้เครื่อง PS VR รุ่นแรกมาก่อนจะทราบดีถึงความลำบากในการใช้แต่ละครั้ง ไหนจะต้องเชื่อมตัวอุปกรณ์ VR เข้ากับกล่อง adapter ก่อนต่อเข้าคอนโซล แล้วยังต้องเซ็ตตัวกล้อง PS Camera ที่มีระยะเซ็นเซอร์เพียงแคบๆ จะเล่นแต่ละครั้งจึงมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงตอนที่เล่นเสร็จแล้วต้องเก็บทุกอย่างเข้าที่อีก ซึ่งความไม่สะดวกเหล่านี้ก็ส่งผลให้เกิดรู้สึกเหมือนมี “แรงต้าน” เวลานึกจะหยิบอุปกรณ์ออกมาเล่น แต่สำหรับเครื่อง PS VR2 ต้องใช้เพียงสาย USB-Type C ความยาว 4.5 เมตรจากตัวอุปกรณ์เข้าสู่คอนโซล PS5 เส้นเดียวเท่านั้นก็เล่นได้เลยทันที ทำให้แรงต้านในการหยิบใช้อุปกรณ์ลดน้อยลงจากรุ่นแรกอย่างมากหลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าเมื่อไม่มีกล้อง PS Camera มาคอยจับการเคลื่อนไหวแล้ว อุปกรณ์ PS VR2 จะติดตามการเคลื่อนที่ของผู้เล่นอย่างไร? คำตอบคือในขณะที่อุปกรณ์ VR ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการวางเซนเซอร์ไว้รอบห้องเพื่อคอยจับการกระทำของผู้เล่น เจ้า PS VR2 กลับใช้เทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหวด้วยการใช้กล้องขนาดเล็กด้านหน้าของตัวแว่น VR ในการแสกนสภาพแวดล้อมและจับตำแหน่งของจอยทั้งสองข้างไปด้วยแทนข้อดีของการใช้กล้องเซนเซอร์ในลักษณะนี้ ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการกำหนดพื้นที่การเล่นของตัวเองได้อย่างยืดหยุ่นมาก โดยเราสามารถใช้จอยเพื่อลากปรับขนาดหรือรูปทรงของพื้นที่ที่เราต้องการให้เซนเซอร์คอยจับ ซึ่งอุปกรณ์จะคอยเตือนเมื่อผู้เล่นก้าวออกจากพื้นที่ที่ตั้งไว้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เราไปเดินชนข้าวของขณะเล่นเกมเพลินๆ นั่นเอง ซึ่งความอิสระในการกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่เราต้องการเช่นนี้ก็สามารถช่วยให้ผู้ใช้ PS VR2 สามารถเล่นเกมที่อาจต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกายในพื้นที่จำกัดได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น จอยเกม PS VR2 Controller และการใช้งานโดยรวมอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากก็คือตัวจอย PS VR2 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ แทนที่จะใช้อุปกรณ์รีโมท PlayStation Move ที่ต้องซื้อแยกกัน โดยนอกจากจอย PS VR2 จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Haptic Feedback และ Adaptive Trigger จากจอย DualSense ของเครื่อง PS5 แล้ว กรอบทรงกลมที่ครอบส่วนด้ามจับของจอยยังทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์ที่ช่วยจับตำแหน่งมือของผู้เล่นอย่างแม่นยำตลอดเวลาอีกด้วยจอย PS VR2 Controller ยังสามารถจับการเคลื่อนไหวของนิ้วผู้เล่นได้ในระดับหนึ่งด้วย ผ่านการตรวจจับว่าผู้เล่นวางนิ้วไว้บนปุ่มหรือแกนอนาล๊อคบนจอยหรือเปล่า ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีผลต่อการเล่นเกมหรือการใช้จริงเท่าไหร่ แต่ก็นับเป็นรายละเอียดสนุกๆ ที่ช่วยเสริมความรู้สึกสมจริงของอุปกรณ์มากขึ้นไปด้วยแน่นอนว่าข้อปรับปรุงที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลต่อการเล่นเกมด้วย เช่นในระหว่างเล่นเกม Horizon: Call of the Mountain ที่จอยมักจะสั่นเบาๆ ทุกครั้งที่ผู้เขียนเอื้อมไปจับโขดหินเพื่อดึงตัวเองขึ้นในระหว่างที่ปีนเขาเพื่อจำลองความรู้สึกการเกร็งของข้อมือ หรือในจังหวะที่ง้างธนูค้างไว้ ที่จอยจะค่อยๆ สั่นเพื่อจำลองความล้าของแขน แม้แต่สายครอบหัวของ PS VR2 ก็ยังสั่นเพื่อจำลองความรู้สึกเหมือนมีอะไรลอยผ่านหัวไปเมื่อก้มหลบการโจมตีศัตรู ซึ่งเมื่อรวมกับคุณภาพกราฟิกของตัวอุปกรณ์ ก็เพียงพอจะหลอกสมองของผู้เขียนให้ “ลืม” ไปชั่วขณะเหมือนกันว่าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆในส่วนของกราฟิก เครื่อง PS VR2 มาพร้อมกับเลนส์ OLED ที่มีความละเอียดสูงถึงข้างละ 2,000 x 2,040 พิกเซลต่อตาหนึ่งข้าง ที่มีความเร็วถึง 120 Hz แถมยังสนับสนุนเทคโนโลยี HDR อีกต่างหาก ซึ่งถือว่าสูงกว่าอุปกรณ์ VR ที่ราคาเทียบเท่ากันยี่ห้ออื่นๆ พอสมควร ส่งผลให้การแสดงผลภาพที่เราเห็นนั้นมีความละเอียดสูงแทบไม่ต่างจากการดูภาพในทีวีจอแบนปกติเลยในบางจังหวะ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือเฟรมเรตที่สูงและเสถียรอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกมเพลย์รู้สึกลื่นไหลเป็นธรรมชาติแล้ว ยังทำให้รายละเอียดเล็กน้อยในฉากอย่างใบหญ้าที่ปลิวไหวไปตามลมรอบๆ ตัวผู้เล่นรู้สึกมีชีวิตชีวาสมจริงขึ้นมาเช่นกัน การที่ PS VR2 เชื่อมต่อกับเครื่อง PS5 ยังหมายความว่าผู้เล่นจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเสียง 3D Audio อันยอดเยี่ยมของคอนโซล ซึ่งก็ยิ่งเสริมความรู้สึกสมจริงในขณะเล่นเกมได้ โดยการเล่นเกม VR ที่ให้ผู้เล่นเข้าไปยืนอยู่ในสภาพแวดล้อมเหล่านี้จริงๆ ยิ่งเป็นการดึงเอาศักยภาพของเทคโนโลยีเสียงสามมิตินี้ออกมาได้มากยิ่งกว่าการนั่งเล่นเกมหน้าจอทีวีเฉยๆ อย่างไม่ต้องสงสัยหากจะต้องมีอะไรให้ตำหนิในจุดนี้ คงเป็นการที่จอย PS VR2 Controller ดูจะแบตหมดค่อนข้างเร็ว โดยการชาร์จจนเต็มแต่ละครั้งจะสามารถใช้งานได้ราว 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมการชาร์จจอยก็อาจจะมีความยุ่งยากอยู่บ้าง เพราะภายในชุด PS VR2 ให้สายชาร์จ USB-to-USB-Type C มาแค่เส้นเดียว ผู้ที่ไม่มีสายชาร์จสำรองอีกเส้นและ/หรือไม่มีหัวปลั๊กไว้เสียบ USB ก็มีทางเลือกเพียงเสียบชาร์จจอยกับ PS5 ทีละข้างเท่านั้น โดยคนที่คิดจะลงทุนซื้อเครื่อง PS VR2 อยู่แล้ว ก็อาจจะพิจารณาเพิ่มเงินอีกซักนิดเพื่อซื้อแท่นชาร์จจอยมาซะด้วยเลยเพื่อตัดรำคาญตรงจุดนี้Horizon: Call of the Mountain และความคุ้มค่าของเครื่อง PS VR2อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะพอเห็นภาพแล้วว่าผู้เขียนประเมิน “คุณภาพ” ของอุปกรณ์ PS VR2 อย่างไรบ้าง แต่นั่นก็เป็นคนละประเด็นกับ “ความคุ้มค่า” ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบได้ยากกว่ากันมาก โดยเกมเรือธงของอุปกรณ์ที่วางจำหน่ายพร้อมกันอย่าง Horizon: Call of the Mountain ที่ย่อมได้รับการสนับสนุนในแง่ของงบประมาณและเทคนิคมากเป็นพิเศษ อาจเป็นตัวชี้วัดที่ดีถึงศักยภาพหรือทิศทางของเกม “ระดับพรีเมียม” ที่เราอาจจะได้เห็นในอนาคตสำหรับ PS VR2 ในแง่หนึ่ง Horizon: Call of the Mountain อาจจะเป็นเกม VR เกมแรกที่ผู้เขียนเล่น ที่ให้ความรู้สึกของ “เกม AAA” ต่างจากเกม VR ส่วนใหญ่ที่คนนึกถึงทุกวันนี้ที่มีลักษณะเป็น “ประสบการณ์” (เช่น Dreams) หรือเป็น “มินิเกม” (เช่น Beat Saber) มากกว่าจะเป็นเกมเต็มรูปแบบในความหมายเดียวกับเกม PC/คอนโซลระดับ AAA ที่เรานึกถึงกัน โดยแม้ว่าระยะเวลาราว 6-7 ชั่วโมงที่ใช้ในการจบเนื้อเรื่องจะไม่ได้ยืดยาวนัก แต่เกมก็มีระบบการพัฒนาตัวละคร มีกลไก (Mechanic) เฉพาะตัวของตัวเองที่ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน และมีเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและน่าติดตามจากต้นจนจบ ซึ่งก็เป็นพัฒนาการที่รู้สึกได้จากเกมที่เคยเล่นในเครื่อง PS VR รุ่นแรกอย่างชัดเจนกราฟิกโคตรจ๊าบ ยกนิ้วให้!ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นเกม VRการเล่นเกม Horizon: Call of the Mountain สามารถแบ่งออกเป็น 2 ขาหลักๆ นั่นก็คือการปีนเขาและการต่อสู้ ซึ่งอย่างที่หลายคนพอจะเดาออกในฐานะเกม VR การปีนเขานั้นผู้เล่นจะต้องทำท่าทางปีนเขาจริงๆ ด้วยการเอื้อมมือ (ทั้งในเกมและในชีวิตจริง) ออกไปจับโขดหินและทำท่าดึงตัวเองขึ้นไป ก่อนที่จะเอื้อมมืออีกข้างไปจับโขดหินไปเรื่อยๆ โดยอาจจะมีบางช่วงที่ต้องเล่นพัซเซิล Platforming เล็กๆ มาขั้นบ้างประปราย เมื่อถึงเวลาต้องต่อสู้ เกมจะให้ผู้เล่นเผชิญหน้ากับเหล่าเครื่องจักรที่คุ้นเคยจากซีรีส์ Horizon ด้วยการยิงธนู ควบคู่ไปกับการหลบหลีกการโจมตีของเครื่องจักรไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นเองก็ต้องทำท่าทางตามตั้งแต่การถือคันธนู การเอื้อมไปหยิบลูกศรจากด้านหลัง การง้างและปล่อยคันธนู ไปจนถึงการก้มหลบท่าโจมตีบางท่าของเครื่องจักร โดยผู้เล่นจะสามารถสร้างและใช้ลูกธนูธาตุ รวมไปถึงเล็งยิงชิ้นส่วนของเครื่องจักรให้กระเด็นหลุดออกจากตัวมันได้ เช่นเดียวกับในเกมซีรีส์หลักอีกด้วยสำหรับผู้อ่านหลายๆ ท่าน (และผู้เขียนด้วย) การจะได้เล่นเกม Horizon ในรูปแบบ VR โดยที่ให้เราต้องปีนเขาเอง และเล็งยิงธนูเอง อาจจะฟังดูเหมือนเรื่องที่น่าสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย และผู้เขียนก็ยอมรับว่าเกมยังสามารถมอบช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างที่เราควรจะคาดหวังได้จากเกม Horizon ฉบับ VR แต่ในภาพรวมแล้วก็พบว่าการต้องยกแขนขึ้นลงเพื่อจำลองการปีนเขาหรือง้างคันธนูซ้ำๆ กันเป็นระยะเวลานาน ก็อาจจะส่งผลให้ล้าหรือปวดไหล่ได้แม้จะไม่ต้องออกแรงเหมือนของจริงก็ตาม ซึ่งก็อาจทำให้บางคนไม่สามารถนั่งเล่นเกมติดต่อกันได้เหมือนเกมปกติทั่วไป ยังไม่ต้องพูดถึงการพยายามก้มหลบการโจมตีของศัตรู ซึ่งคนที่มีพื้นที่ไม่พอจะยืนเล่นอาจจะต้องทุลักทุเลกันซักหน่อยนอกจากนี้ แม้ว่าผู้เขียนจะไม่ได้มีอาการเวียนหัวจาก “การเคลื่อนที่” ในเกม VR อย่างที่หลายคนอาจจะเป็น แต่ก็พบว่า “การหันกล้อง” ไปมาด้วยแกนอนาล๊อคกลับทำให้ผู้เขียนรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทุกครั้ง ซึ่งก็หมายความว่าคนที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่ไม่สามารถหันร่างกายได้แบบ 360 องศาเพื่อมองไปรอบตัว อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ว่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตลอดระยะเวลาที่เล่นข้อจำกัดทางกายภาพของผู้เล่นแต่ละคนย่อมสามารถส่งผลให้ประสบการณ์เล่นเกมของผู้เล่นสองคนแตกต่างกันอย่างมาก โดยผู้เล่นที่มีพื้นที่โล่งๆ มากพอจะเล่นเกมในโหมด Roomscale ที่ทำให้สามารถขยับตัวไปมาได้อย่างอิสระ (ใช้พื้นที่ราว 2x2 เมตร) ก็จะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากคนที่เล่นเกมบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ หรือคนที่เล่นเกมบนโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งความแตกต่างในประสบการณ์ที่ว่ามานี้ก็ควรถูกคำนึงถึงในการพยายามประเมินความคุ้มค่าของตัวอุปกรณ์ PS VR2 เช่นกันแม้ว่าเกม Horizon: Call of the Mountain จะมีช่วงเวลาที่น่าจดจำอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการได้เห็นเครื่องจักรขนาดยักษ์ล้มกลิ้งลงไปเพราะลูกธนูที่เราเป็นคนง้าง เล็ง และยิงเอง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นทุกครั้ง แต่เกมก็อาจมีข้อจำกัดทางกายภาพทั้งในแง่ของพื้นที่ที่ต้องใช้ในการเล่น ซึ่งอาจส่งผลต่อประสบการณ์เกมอย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงสภาพร่างกายของผู้เล่นแต่ละคนที่อาจเอื้อต่อการควบคุมเกมด้วยท่าทาง (Motion Control) มากน้อยแตกต่างกัน และเมื่อคำนึงถึงว่าการควบคุมเกมด้วยร่างกายเช่นนี้มีแต่จะถูกพัฒนาให้ซับซ้อนและสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อจำกัดเหล่านี้ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นไปด้วยในอนาคต โดยเฉพาะในเกมระดับพรีเมียมที่เป็นจุดดึงดูดสำหรับคนส่วนใหญ่ประเด็นเรื่อง “เกม” ที่จะมีให้เล่นบนเครื่อง PS VR2 ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา ซึ่งในขณะนี้เครื่อง PS VR2 ยังมีเกมที่เล่นได้จริงๆ ไม่มากขนาดนั้น เพราะเกมสำหรับ PS VR รุ่นแรกมาก่อนจะไม่สามารถนำเกมมาเล่นใน PS VR2 ได้ โดยแม้ว่าทาง Sony จะยืนยันว่าเกมส่วนใหญ่จะได้รับการวางจำหน่ายสำหรับ PS VR2 อย่างแน่นอนในอนาคต แต่เกมเหล่านี้ส่วนใหญ่ๆ ก็เล่นได้ในอุปกรณ์ VR อื่นอยู่แล้ว ในขณะที่เกม AAA ระดับเดียวกับ Horizon: Call of the Mountain ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาให้เล่นกันอีกเมื่อไหร่ ซึ่งก็อาจทำให้หลายคนไม่กล้าซื้อเครื่องในช่วงนี้ แต่ในทางกลับกัน การที่ยอดขายเครื่องไม่กระดิกก็อาจส่งผลให้ผู้พัฒนาเกมไม่อยากจะลงทุนสร้างเกมสำหรับเครื่องเช่นกัน นี่จึงยังเป็นอีกจุดที่ต้องดูกันต่อไปว่าวงการเกมโดยรวมจะสนับสนุนเจ้า PS VR2 แค่ไหนในอนาคตที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้ต้องการจะตำหนิตัวเครื่อง PS VR2 หรือเกม Horizon: Call of the Mountain แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า “ความสนุก” หรือ “ความน่าซื้อ” ของอุปกรณ์อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกราฟิกหรือตัวเกมเพียงอย่างเดียว แต่อาจต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ที่เรามีอยู่ หรือร่างกายของเรานั้นพร้อมรองรับประสบการณ์ VR เต็มรูปแบบที่เครื่อง PS VR2 พร้อมจะมอบให้หรือไม่ ซึ่งต่อให้มีเงินพร้อมก็อาจยังไม่น่าซื้อถ้าพื้นที่หรือร่างกายไม่เอื้อให้เราสามารถใช้งานมันอย่างเต็มประสิทธิภาพจริงๆสุดท้ายนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องเกม PS VR2 ถือเป็นอุปกรณ์เสริมคุณภาพสูง ที่มีศักยภาพในการมอบประสบการณ์เกม VR ระดับชั้นนำได้อย่างแน่นอน โดยเกม Horizon: Call of the Mountain ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ศักยภาพของอุปกรณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม หากคุณตัดสินใจแล้วว่าอยากหาอุปกรณ์ VR มาเล่นดูซักเครื่องให้ได้ ตัว PS VR2 ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับคนที่ยังสองจิตสองใจอยู่ ก็อาจต้องค่อยๆ หาคำตอบให้ตัวเองกันต่ออีกระยะหนึ่ง
22 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม DYSMANTLE หนียังไงให้รอด จากเกาะที่เต็มไปด้วยซอมบี้
DYSMANTLE เกมเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย และเต็มไปด้วย Zombie นานาชนิด ลงวางจำหน่ายใน Steam เมื่อ 16 พ.ย. 2021 จากผู้พัฒนา 10tons Ltd ผู้เขียนได้เกมนี้มาตอนช่วง Steam Winter Sale ราคากำลังน่ารัก ด้วยงานอาร์ตคิวต์ คิวต์ ของเกมนี้ ทำให้ผมนั้นตัดสินใจกดซื้อมันมาอย่างไปต้องชั่งใจมากนัก เน้นไปที่การผจญภัยต่อสู้กับเหล่าซอมบี้ ฟาร์มวัตถุดิบต่าง ๆ คราฟต์ของ เพื่ออัปเลเวลการเอาชีวิตรอดของเรา ให้ต่อสู้ไปจนถึงจุดจบของเกมครับ เนื้อหาในเกมเป็นยังไงนั้น ตามผมมาอ่านรีวิวได้เหมือนเดิมเลยยยยจุดเริ่มต้นของการผจญภัย (เนื้อเรื่อง)เราจะได้รับบทเป็นชายคนหนึ่งซึ่งมีนิสัยที่จะต้องเตรียมพร้อม กักตุนน้ำ อาหาร เผื่อวันใดวันหนึ่งโลกประสบภัยพิบัติ เขาจะสามารถยังอยู่รอดได้สักระยะภายในหลุมหลบภัยของเขา แล้ววันที่เขาเตรียมพร้อมแต่ไม่ได้รอคอยก็มาถึง...ตัวเอกของเราอาศัยอยู่ภายในหลุมหลบภัยนานหลายปี จนกระทั่งทรัพยากรที่เขากักตุนเอาไว้เริ่มร่อยหรอ เขาเลยจำเป็นต้องขึ้นจากหลุมหลบภัยมายังพื้นดินอีกครั้ง เพื่อหาทางหลบหนีออกจากเกาะที่เต็มไปด้วยซอมบี้ และต้องรีบหาทางไปที่ยานลี้ภัยเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะพาตัวละครของเราหนีออกจากเกาะแห่งนี้ครับคนเล่นอย่างเรานั้นจะต้องพาตัวละครผจญภัย ไปยังจุดหมายต่าง ๆ ตามเควส ไม่ว่าจะต้องฟาร์มหาของซ่อมนู่น นี่ นั่น บุกป่าฝ่าดงซอมบี้เราก็ต้องไป มาดูกันดีกว่าว่าผมจะพาตัวละครของผมรอดจากเกาะไปได้หรือไม่ ซอมบี้ที่เราต้องพบเจอนั้นจะโหดขนาดไหน ตามมาอ่านได้เลยครับการผจญภัยแสนเพลิน มีทั้งระบบเควส และมินิพัซเซิลเกมนี้สิ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบมาก ๆ คือ การผจญภัยตามเควสครับ มีให้ได้ทำหลากหลาย และบางเควสต้องใช้หมองกันสักหน่อยในการหาคีย์ไอเทมต่าง ๆ เกมนี้จะมีเควสคล้าย ๆ เกมเนื้อเรื่องทั่ว ๆ ไป คือจะมี Main Quest และ Side QuestMain Quest - จะเดินเป็นเส้นตรงไปที่ยานลี้ภัยเลยครับ ทุกเควสที่ให้มาคือเราต้องหาของเปิดประตู เปิดเส้นทางต่าง ๆ ไปที่ยานลี้ภัย จะมีสอนใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ และต้องคราฟต์ของตลอดทางเพื่อนำไปใช้เพื่อให้ผ่านเควสครับ ต้องอาศัยการเก็บเลเวลเพื่อที่จะให้ตัวละครของเราเก่งขึ้น เพราะเมื่อเลเวลอัปเราจะสามารถอัปสกิลติดตัวให้ตัวละครของเราได้ครับSide Quest - หาได้ตามทางที่เราเดินผ่านครับ ให้สังเกตเครื่องหมาย ! ตามแผนที่ เควสส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปริศนาต่าง ๆ จากคนที่เคยมีชีวิตและอาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างภายในเกม มีตั้งแต่การซ่อนสมบัติไปถึงการให้เราปราบปรามซอมบี้ให้ทันเวลาที่กำหนด เราจะได้รับรางวัลเป็น EXP ในเกมครับการต่อสู้ การฟาร์ม สกิล การอัปเลเวล และการอัปเกรดที่ผู้เขียนเอามาอยู่ในหัวข้อเดียวกันนั้น เพราะทุกอย่างในนี้เกี่ยวข้องกันหมดครับ เกมนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็จะได้ค่า EXP เพื่อมาอัปเลเวลของเรา เดี๋ยวเราจะมาแยกย่อยให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นครับการต่อสู้ - มีอาวุธให้เลือกใช้สอยมากมาย แต่เราต้องมีเลเวลมากพอที่จะปลดล็อกอาวุธบางประเภทครับ ระหว่างทางเราจะได้เจอซอมบี้มากมายหลายชนิด จะเริ่มเจอชนิดที่สู้ยากมากขึ้นเมื่อเราเดินทางไปพื้นที่ที่ไกลขึ้นในจุดเริ่มต้นตัวเกมจะมี Starter Pack ให้เราใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ ชุดต่าง ๆ ใช้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่อยากเปลี่ยน อาวุธหรือชุดที่เราใช้ เราสามารถอัปเกรดได้ครับเมื่อเลือดหมด เลเวลอัป เปลี่ยนชุดสวมใส่ หรือต้องการจะอัปสกิล เราสามารถทำได้ที่แคมป์ไฟที่เราเจอตามทางได้เลย แต่ทุกครั้งที่เราใช้แคมป์ไฟ ซอมบี้ที่เราเคยไล่ฆ่าไปทั้งหมด จะ Respawn กลับมาใหม่ครับที่แคมป์ไฟจะมีกล่องเก็บของ เนื่องจากเกมนี้ของที่เราฟาร์มมาจะเต็มค่อนข้างไว เราสามารถไปเปิดแค่กล่องเพื่อเก็บของได้ โดยไม่ต้องนั่งที่แคมป์ไฟ ในกรณีที่เรายังไม่พร้อมจะตีกับเหล่าซอมบี้ที่ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่การฟาร์ม - ในเกมนี้ของที่เราฟาร์มส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่เราเอาอาวุธของเราไปทำลายให้พังครับ (ทำลายข้าวของรอบตัวต่าง ๆ) แล้วเราก็จะได้รับวัตถุดิในการคราฟต์ หรือนำไปใช้อัปตาราง Survival ของเราเพื่อปลดล็อกสิ่งของอำนวยความสะดวกมาใช้ครับและสิ่งสำคัญในการฟาร์มของเรา คือเราต้องฟาร์มหาของเพื่อทำเควสหนีออกจากเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเสาสัญญาณต่าง ๆ (พอเปิดเสาแล้ว เราสามารถใช้ Fast travel และตั้งค่าเสาเพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่เราฆ่าไปแล้วภายในบริเวณนั้นกลับมาเกิดใหม่ได้ครับ) เปิดใช้งานเรดาร์ หรือการซ่อมประตูด่านกักกัก ไอเทมต่าง ๆ ที่เราฟาร์มมาทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ต้องกลัวเลยครับว่าจะไม่ได้ใช้ บอกเลยว่ามีเท่าไหร่ก็ไม่พอเราจะต้องอัปเกรดอาวุธของเราไปเรื่อย ๆ เพราะอาวุธของเราถ้าไม่อัปเกรดจะไม่สามารถทำลายของบางอย่างได้ครับ crowbar (ชะแลง) เป็นอาวุธชิ้นแรกที่ตัวเกมจะให้เราไว้ครับ แต่ถึงแม้อัปชะแลงจนเลเวลสูงสุดแล้ว เราก็ยังไม่สามารถใช้มันทำลายข้าวของบางอย่างได้ เช่น รถ หรือ barrier เราจึงจำเป็นต้องหาของ และอัปเลเวลของตัวละครของเราให้ถึงเป้าหมายที่ตัวเกมกำหนด เพื่อที่จะปลดล็อกขวานหรือค้อนมาใช้งานครับการอัปเลเวลและสกิล - เมื่อเลเวลอัปเราสามารถไปกดอัปสกิลได้ที่แคมป์ไฟเท่านั้น เราสามารถเล่นไปเรื่อย ๆ ได้ครับ เพราะเลเวลเกมนี้ช่วงหลัง ๆ ค่อนข้างขึ้นช้า เมื่อเราไปนั่งที่แคมป์ไฟแล้วจะมีสกิลให้เราเลือก 3 สกิลครับ เลือกได้เลยตามความชอบ ผู้เขียนแบบผมเป็นสายฟาร์ม เลยจะเน้นไปที่ช่องกระเป๋าล้วน ๆ ถ้าช่วงไหนไม่มีให้ผมเลือกจริง ๆ ผมก็จะเน้นอัปเลือดครับ ฮ่า ๆนอกจากนั้นยังมีในส่วนของตารางการคราฟต์ต่าง ๆ ที่สามารถคราฟต์ได้เมื่อเลเวลถึงเท่านั้น แยกเป็น ของสวมใส่, เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ, หยูกยา, และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครับ เมื่อของครบเลเวลถึง แล้วกดอัปสิ่งที่ต้องการ สกิลก็จะติดตัวถาวรไปเลย ส่วนของบางอย่าง เช่น ยา หรือมีดสั้น มันจะเป็นของใช้ที่หมดไป ถ้าเราต้องการจะเติมเราต้องมานั่งที่แคมป์ไฟเท่านั้น แล้วของที่หมดจะถูกเติมโดยอัตโนมัติครับ สะดวกสบายจริงจริ๊งการอัปเกรด - เราสามารถอัปเกรดอุปกรณ์เครื่องใช้ของเราได้ทุกส่วนเลยครับ สิ่งที่เราจำเป็นต้องอัปที่สุดของเกมนี้ผมมองว่าคงจะเป็นอาวุธ Malee ของเรานี่แหละ เพราะนอกจากจะฟาดศัตรูได้แรงขึ้นแล้ว ยังสามารถทำให้อาวุธของเราทำลายของในเลเวลที่สูงขึ้นได้อีกด้วย การฟาร์มของเราก็จะง่ายขึ้นครับอย่างอาวุธรองหรือยาต่าง ๆ ถ้าเราไม่อัปเราจะพกไปได้น้อย แต่เมื่อเราอัปแล้วเราจะพกมันไปได้มากขึ้น และถ้าเป็นอาวุธตอนเราไปปาใส่ซอมบี้จะแรงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ เสื้อผ้าบางชุดค่า Status ต่าง ๆ อาจจะบวกค่าพลังอาวุธประเภทปา ถ้าเราอัปเกรดเสื้อผ้าด้วย การปามีดใส่ซอมบี้ อาจจะทำให้ซอมบี้ขิตได้เลยใน 1 กระบวนท่า (ฤทธิ์มีดสั้นของแท้ ฮ่า ๆ)การอัปเกรดนั้นเราสามารถทำได้ที่แคมป์ไฟของเรา หรือถ้าเราไม่อยากนั่งแคมป์ไฟเพราะมันจะ Respawn เหล่าซอมบี้กลับมาใหม่ แต่เรายังไม่พร้อมจะบวก บางสถานที่จะมีโต๊ะคราฟต์ตามบ้านหรือโรงรถให้เราครับ แต่ว่ามันค่อนข้างจะหายากและมีน้อยมาก ๆ การตกปลา การทำสวน และการทำอาหารเกมนี้อาจจะไม่ได้เน้นไปที่การตกปลา หรือการทำสวนเท่าไหร่นักนะครับ แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบบางอย่างเพื่อนำมาทำอาหาร เพิ่มบัฟเพิ่มเลือดให้กับเราอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การตกปลา - ไม่มีอะไรยากเลยครับสำหรับเกมนี้ เมื่อเราเก็บเวเวลถึงกำหนด เราก็แค่ไปกดอัปเกรดสกิลในตารางสกิล แล้วก็มายืนริมน้ำ (ยืนดีดีนะครับ เกมนี้ถ้าตกน้ำเราตาย ฮ่า ๆ) เมื่อกดตกปลาจะเป็นการตกปลาแบบอัตโนมัติ ตัวละครของเราก็จะตกปลาไปเรื่อย ๆ จนกว่าปลาบริเวณนั้นจะหมด ถ้าหมดก็แค่ย้ายที่แค่นั้นเลยไม่มีอะไรยุ่งยากและซับซ้อนการทำสวน - เราจะต้องเดินทางไปจนถึงสถานที่ที่ชื่อว่า Packard Family Farm และจำเป็นต้องมีเลเวลถึงเกณฑ์ที่จะอัปจอบ, บัวรดน้ำ, และถุงเมล็ดพืช มาใช้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ไม่มีอะไรมาก ใช้จอบขุดดิน เอาเมล็ดหว่านลงไป ปิดจ็อบด้วยบัวรดน้ำแค่นั้นเลยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมDYSMANTLE เป็นเกม 3D สำรวจโลกแบบ Open World เอาตัวรอดในเกาะที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ภาพแนวการ์ตูนน่ารัก ภาพไม่จริงจังมาก ใครที่ชอบแนวนี้เหมือนผู้เขียนนี่บอกเลยว่าเล่นได้เพลิน ๆ ครับ สเปกเครื่องไม่ต้องสูงก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แบบลื่น ๆการบังคับต่าง ๆ ของเกมไม่ต้องปรับตัวกับมันมาก ใช้ W, A, S, D ในการบังคับทิศทาง ส่วนใครที่เล่นในมือถือก็กดลากตัวละครของเราได้เลย มีระบบสอนการใช้งานระบบต่าง ๆ แบบเข้าใจง่ายมาก ๆ ครับUI ของเกมออกแบบมาให้เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก สวยงาม แต่อาจจะงง ๆ หน่อยตรงระบบเปลี่ยนอาวุธ หรือของใช้ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ จะคุ้นมือไปเองครับ แต่โดยรวมแล้วผมชอบมาก ๆ สรุปDYSMANTLE สำหรับผมนั้นบอกได้เลยเป็นเกมที่ดีมาก ๆ เลยเกมหนึ่งครับ เพราะผมชอบเล่นเกมที่ภาพออกแนวการ์ตูน เห็นภาพน่ารัก ๆ แบบนี้ แต่พวกซอมบี้ต่าง ๆ ก็ไม่ได้ง่ายในการฆ่านะฮะ บางตัวอาจจะต้องใช้สเตปอยู่พอสมควร (ถ้าตอนนั้นเรายังไม่มีอุปกรณ์ที่มากนัก) การเปิดแผนที่ต่าง ๆ ก็มีเควสที่น่าสนใจให้ทำตลอดการเดินทาง การผจญภัยของเราและตัวละครก็เลยดูดเวลาชีวิตมาก ๆ ส่วนที่ผมไม่ชอบมาก ๆ สำหรับเกมนี้ก็คงมีแค่ระบบการเดินทางที่ไม่มีตัวเลือกมากนัก ถึงแม้จะมี Fast Travel แต่เสาแต่ละต้นกับรัศมีรอบ ๆ ที่เราต้องเดินไปที่เสาก็ค่อนข้างไกลอยู่ดีครับ แล้วกว่าเราจะเปิดเสาจนครบ คือเราเดินไกลแบบมาก ๆ ตรงนี้เลยทำให้เกมค่อนข้างน่าเบื่อไปบ้าง เพราะเดินเป็นหลัก แล้วบางทีจุดแคมป์ไฟค่อนข้างหายาก เจอซอมบี้ระหว่างทางตบตายอยู่บ่อย ๆ หลังจากนั้นต้องกลั้นใจเดินกลับมาใหม่จากจุดเซฟ ซึ่งไกลมากกกกกกก ถ้ามีระบบช่วยเรื่องการเดินทาง เกมนี้อาจจะสนุกได้มากกว่านี้อีกครับระบบ Co-op กับเพื่อนก็มีให้ได้เล่น แต่เป็นการแบ่งหน้าจอกัน ก็โอเคครับดีกว่าไม่มี ฮ่า ๆ ใครสนใจซื้อมาเล่น เกมนี้เขาเปิดจำหน่ายในหลาย Platform มาก ๆ ให้ถามตัวเองให้ดีก่อนว่า Lifestyle เราเหมาะกับแพลตฟอร์มไหน ก็ซื้อได้เลยตามสะดวกครับสั่งซื้อSteam : https://store.steampowered.com/app/846770/DYSMANTLE/Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.the10tons.dysmantle&hl=th&gl=USApp Store : https://apps.apple.com/th/app/dysmantle/id1403738209?l=th
20 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Definitely Not Fried Chicken เปิดร้านขายไก่บังหน้า แต่ข้างหลังทำธุรกิจสีดำ
Definitely Not Fried Chicken เป็นเกมแนวบริการกิจการ ที่มี Concept สุดเจ๋ง กับเบื้องหน้าที่เราจะได้เปิดร้านขายไก่ทอด แต่เบื้องหลังจะได้ทำธุรกิจมืดต่าง ๆ ซึ่งพอเห็นแนวคิดของเกมสุดเจ๋งขนาดนี้ ผู้เขียนก็ได้ซื้อลงคลังไว้ตั้งแต่วันที่เกมลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2023 ผมเนี่ยซื้อมันดองไว้นานมาก ๆ ไม่ว่างเล่นสักที ตอนนี้ได้หยุดงานแบบคนอื่นเขาบ้าง เลยได้ฤกษ์โหลดเกมมาเล่นครับ เย้!ผมได้ดู Trailer ของเกม Definitely Not Fried Chicken แล้วค่อนข้างที่จะสนใจมันมาก ๆ ด้วยความที่เกมออกแนวกวนบาทา มีไร่กัญชง กัญชา ให้เราได้ปลูกเพื่อนำไปผสมลงในไก่ทอดสูตรเด็ดของร้านที่เราจะบริหาร แค่ไอ้ชื่อเกมที่ย้อนแย้ง ในเกมบอกขายไก่ทอด แต่ชื่อเกมบอกเปล่านะ "ตูไม่ได้ขายอย่างแน่นอนเฟ้ย!!!" (แล้วสรุปขายอะไร๊???)สร้างความอยากรู้อยากเห็นทำให้ต่อมเผือกทำงานอย่างหนัก ในหัวเหมือนโดนสะกดจิตไว้ตลอด ว่าไม่ขายไก่แล้วมันขายอะไรของมันฟร๊ะ ???กุ๊กไก่ขายถูก ๆ ไม่ได้แถมกระดูกกับคนขายไก่ (เกมเพลย์มีธุรกิจอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย)เราไม่ได้ขายไก่ทอด จริง ๆ นะ เชื่อหรือไม่ครับว่านี่คือชื่อกิจการของเราในเกมนี้ โดยจดทะเบียนแบบ Incorporated (ห้างหุ้นส่วนจำกัด) เมื่อเราเข้าไป เราจะบริหารร้านไก่ทอด ที่ชื่อเกมบอกไม่ได้ทอดไก่ขาย อะ งง งง งงล่ะสิ ผู้เขียนก็งงเหมือนกันครับ ฮ่า ๆ เริ่มเกมมาตัวเกมจะพาเราเข้ามาที่ Toturial Mode ก่อน (สามารถเอาติ๊กถูกออกได้ ถ้าไม่อยากเล่น) ซึ่งมันจะสอนเราเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปและระบบต่าง ๆ การซื้อของเอยอะไรเอย มีเนื้อเรื่องให้เล่นไปเรื่อย ๆ เมื่อผ่านเควสก็จะมีเควสต่อไปมาสอนเราทันทีครับ เดี๋ยวผมจะยกรายละเอียดไปคุยกันในหัวข้อด้านล่างนะครับ (แรก ๆ อะสอนขายไก่ทอดจริง หลัง ๆ อะเริ่มไม่ใช่ไก่ละ ฮ่า ๆ ๆ)บังหน้าด้วยร้านรวงต่าง ๆเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเกมจะเริ่มพาเราเข้าสู่ด้านมืด แรก ๆ ทอดไก่ หลัง ๆ เดินยาครับ ฮ่า ๆ ธุรกิจหลักของเราในเกมนั้นแท้จริงแล้วเป็นธุรกิจสีดำ เราจะได้จำลองสถานการณ์เปิดร้านที่หลากหลายเพื่อบดบังฉากหลังอันดำมืดของเราครับ ไม่ว่าจะเป็น ร้านซักรีด, ร้านขายไก่ทอด, ร้านขายโดนัท, ร้านขายอาหารทะเล, ไนท์คลับ และโคสิโนการเปิดร้านต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีดีนึกอยากเปิดก็เปิดได้นะครับ เราต้องนำเงินไปจ่ายเพื่อขอใบอนุญาตในการเปิดร้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถเปิดร้านได้ตามใบอนุญาติที่ถือครองอยู่เท่านั้นการสร้างร้านค้าต่าง ๆเมื่อเรามีใบอนุญาตแล้ว เราก็จะได้รับที่ดินสำหรับสร้างร้านของเราด้วยครับ ถ้าเล่นตามเนื้อเรื่องของเควสไปที่ดินบางพื้นที่เราจะได้รับมาเลยเป็นรางวัลจากเควส หรือสามารถซื้อที่ดินได้ถูกกว่าราคาเดิมครับ หลัง ๆ ถ้าเราต้องการขยายร้านสามารถซื้อที่ดินบริเวณรอบ ๆ ได้เมื่อเริ่มก่อสร้างร้านค้า เราต้องสร้างห้องตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการจะใช้ครับ เช่นผู้เขียนต้องการสร้างร้านขายไก่ทอด - ผมก็เริ่มจากสร้างห้องครัว ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเล้าเลี้ยงไก่ (สร้างมันในห้องครัวกันไปเลยครับ ฮ่า ๆ และอุปกรณ์ที่อยู่ในเมนูของห้องครัวจะไม่สามารถไปติดตั้งที่ห้องอื่น ๆ ของร้านได้ครับ) อุปกรณ์ทอดไก่, อุปกรณ์ปั่นไก่ (บอกเลยว่าใครที่รักสัตว์อาจจะไม่ค่อยเอ็นจอยในส่วนนี้เท่าไหร่ เพราะมันหยิบไก่เป็น ๆ ไปปั่นเลย) หลังจากเซ็ตของในครัวเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องสร้างห้องน้ำให้พนักงาน และลูกค้า (ซึ่งในส่วนนี้ห้องน้ำแยกกัน), สร้างห้องสำหรับพักผ่อนให้พนักงาน, สร้างห้องสำหรับรับประทานอาหารให้พนักงาน เป็นต้น ซึ่งในส่วนห้อง, อุปกรณ์ต่าง ๆ และการจ้างพนักงานจะแตกต่างกันไปในแต่ละร้านครับการจ้างพนักงานไม่ได้เหมือนกันในทุก ๆ ร้านส่วนนี้ในเกม Definitely Not Fried Chicken สำหรับผู้เขียนถือว่าทางผู้พัฒนาทำออกมาได้ดีนะครับ ไม่ใช่ว่าทุกร้านจำเป็นต้องมีพนักงานในตำแหน่งนี้ ซึ่งถ้าเราทำร้านทั่ว ๆ ไปที่ใช้สำหรับการฟอกเงินอย่างเช่น ร้านซักรีด เราก็ไม่จำเป็นต้องจ้างการ์ดเพื่อมาป้องกันร้านของเรา พนักงานของเราก็จะมีตำแหน่งแบบในเกมทั่ว ๆ ไป เช่น  ช่างซ่อม, พนักงานคิดเงิน, พนักงานขนของ และพนักงานทำความสะอาด เราสามารถกำหนดหน้าที่ให้กับลูกจ้างของเราได้ มีปุ่มให้ติ๊ก ให้ตั้งค่าการพัก หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของลูกจ้างสร้างความสะดวกให้กับเรามาก ๆ ถ้าเราทำธุรกิจสีเทา อย่างพวกไนท์คลับ คาสิโน และธุรกิจหลักของเราที่เป็นสีดำ (ค้ายา) การจ้างพนักงานของเราจะต้องมีการ์ด หรือลูกน้องที่โหด ๆ หน่อยไว้คอยป้องกันธุรกิจของเราด้วย เพราะว่าจะมีคู่แข่งทางการค้ามาคอยก่อกวน หรือยกพวกมาถล่มเราจนลูกน้องของเราตายเกลื่อนถนนผมก็เห็นมาแล้ว ในส่วนนี้เมื่อเราปลดล็อกตามเควสในเกมไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถไปซื้ออาวุธที่ดีขึ้นได้ที่ร้านขายปืนครับ เมื่อซื้ออาวุธมาแล้วเราสามารถติดตั้งให้บรรดาลูกน้องของเราได้เลย หรือพวกชุดป้องกันก็สามารถสวมใส่ให้ได้เลยเช่นกันครับ มี Status บอกเราหมดว่าจะเพิ่มอัตราการต่อสู้เท่าไหร่ หรืออุปกรณ์สวมใส่มีออฟชันเสริมอะไรบ้าง บอกเลยว่าเพลินมาก ๆ ครับHotline สายด่วน ส่งตรงถึงบ้านระบบของเกมนี้ จะมีการส่งยาแบบ Delivery ครับ ซึ่งเราจะต้องสร้างโรงรถขึ้นมาก่อน และเราต้องไปซื้อเสาสัญญาณโทรศัพท์ ทำตามเควสไปได้เรื่อย ๆ เลยครับ เราจะได้เสามา 1 ต้นก่อน สามารถอัปเกรดได้เมื่อเราได้เสาสัญญาณมาแล้ว เราจะต้องกดเปิดระบบ เมื่อเปิดแล้ว ไรเดอร์ของเราจะทำการไปส่งของให้กับลูกค้าที่โทรสั่งเข้ามา ตรงนี้เราต้องกดอนุญาตในแผนที่ด้วยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมDefinitely Not Fried Chicken เป็นเกมวางแผนจำลองสถานการณ์การขายยา และการฟอกเงิน มีภาพแบบ 3D ครับ ภาพในเกมอาจจะไม่ได้สวยงามตรงใจเท่าไหร่ จะน่ารัก? ผมก็มองว่าไม่ แต่เวลาบู๊ หรือลูกจ้างได้รับอุบัติเหตุจากอุปกรณ์ ก็จะได้เห็นเลือดสาด แบบไม่รุนแรงอยู่ครับ ฮ่า ๆ ตัวเกมไม่ได้กิน Spec ฉะนั้นคอมบ้าน ๆ ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้ แต่ถ้าเป็น Notebook เครื่องอาจจะร้อนหน่อย ๆการบังคับของเกมก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใดก็เหมือนเกมจำลองสถานการณ์ทั่ว ๆ ไป W,A,S,D ใช้เลื่อนภาพ Q,E ใช้หมุนมุมกล้อง R ใช้หมุนสิ่งก่อสร้าง Toturial มีสอนการใช้งานกันตั้งแต่ต้นเกม แต่เหมือนสอนไม่ดีเท่าที่ควร อยู่ ๆ ก็ทิ้งกันไปแล้วโยนเควสมาให้ทำเลย งงไปแป๊บหนึ่งUI ต่าง ๆ ผู้เขียนมองว่าบางส่วนออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรหน้าที่ให้กับพนักงาน หรือการกดตอบรับ Delivery แต่ที่ผู้เขียนไม่ชอบเลยก็คือไม่มีปุ่มให้ออกไปหน้า Main Menu ครับ มันเป็นสิ่งที่ควรมี ผู้พัฒนาลืมหรือยังไงอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เวลาผมอยากจะเล่นใหม่ ผมต้องกดออกเกมแล้วเข้าเกมใหม่เพื่อที่จะไปหน้า Menu คือมันไม่สมเหตุสมผลปะครับ Dev? (หรือมันซ่อนอยู่ในเมนูอื่น ๆ ซึ่งผมพยายามหาแล้วแต่หาไม่เจอจริง ๆ ครับ)สรุปDefinitely Not Fried Chicken ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก ๆ ครับ นี่ที่ผู้เขียนเอามาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เป็นแค่เพียงบางส่วนในเกมเท่านั้น ร้านขายไก่ทอดของเรานั้นไซร์ก็เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งในการฟอกเงินของเรานั่นเอง เกมนี้หลัก ๆ แล้วคือเราเป็นพ่อค้ายานั่นแหละครับ มีการต่อสู้กับคู่แข่งต่าง ๆ ซึ่งก็สร้างความเพลิดเพลินไปอีกแบบแต่ถ้าจะให้เทียบกับเกมที่ผู้เขียนเคยเล่นอย่าง Deadwater Saloon ผมมองว่า Definitely Not Fried Chicken ยังครบเครื่องไม่เท่าเขาครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งยา การหนีตำรวจ การต่อสู้ของแก๊งต่าง ๆ หรือแม้แต่การฟอกเงิน Deadwater Saloon จะให้เรามีส่วนร่วมในเกมที่มากกว่า เนื้อเรื่องเข้มขนกว่า (อันนี้เป็นแค่ความคิดเห็นและความชอบส่วนตัวของผมนะครับ)ถ้าถามว่า Definitely Not Fried Chicken เป็นเกมที่แย่ไหม? ผู้เขียนก็ตอบได้ว่ามันไม่แย่เลย สนุกและกวนประสาทดีครับ ก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้ไปลองด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเป็นเกมที่ควรสะสมไว้ในคลัง แต่ถ้าถามเรื่องราคาผมมองว่าก็ยังแพงเกินไปกับคุณภาพของมัน ราคา 495 บาท ผมมองว่ากำเงินไปซื้อตอนลดราคาดีกว่า แต่ถ้าใครอยากเล่นราคาเต็มก็จัดได้เลยตามฐานะเอาที่เราสะดวก แต่ด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างไปในทางที่ไม่ดี ผู้เขียนมองว่าเกมนี้ไม่น่าจะเหมาะกับทุกคน ใช้วิจารณญาณในการเล่นกันด้วยนะครับเด็ก ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1036240/Definitely_Not_Fried_Chicken/
20 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Hi-Fi Rush เปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ และสนุกแบบเซอร์ไพรส์ !
หลังจากปล่อย Ghostwire Tokyo ออกมาให้แฟนเกมได้ลุยปราบผีกันไปตั้งแต่ปีที่แล้ว Tango Gameworks กลับมาพร้อมเกมใหม่ที่เปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์แฟนเกม ด้วยการเปิดตัวเสร็จแล้วให้เล่นกันเลย ไม่ต้องรอนาน กับเกมแอ็คชั่นผสมบีทดนตรีสุดมันอย่าง Hi-Fi Rush ที่เรียกได้ว่าเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ไม่พอ ความสนุกของมันก็ยังมาแบบเซอร์ไพรส์อีกด้วย มันจะดียังไง มาดูรีวิวของเรากันได้ความผิดพลาดที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความสนุกHi-Fi Rush เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ Chai (ชัย,ชาย) วัย 25 ปี ที่พิการแขนขวา แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดยั้งความฝันที่อยากจะเป็นร็อคสตาร์ชื่อดัง เขามาถึงมหาวิทยาลัย Vandelay Technologies โดยยื่นขอเป็นอาสาสมัครในโครงการ Project Armstrong ที่เป็นโครงการทดลองเปลี่ยนอวัยวะของผู้เข้าร่วม แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้กระบวนการเปลี่ยนอวัยวะของ Chai ผิดพลาด ทำให้เครื่องเล่นเพลงของเขาถูกฝังติดไว้กับตัวเขาเอง และทำให้เขารับรู้ถึงจังหวะดนตรีรอบตัว และ Chai ก็ถูกตามล่าโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยทันที และเขาต้องลุยเอาตัวรอดไปในพื้นที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีที่ดังมาจากตัวเขาเองและรอบ ๆ เนื้อเรื่องของ Hi-Fi Rush นั้น ต้องบอกว่า ทำออกมาได้ตามมาตรฐานวิดีโอเกมทั่วไป เนื่องจากมันไม่ใช่เกมทุนหนา ทุนสูงอะไรนัก รวมไปถึงความตั้งใจในแง่ของการนำเสนอที่ตั้งใจจะให้เป็นแบบการ์ตูนของเด็ก ๆ ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องมันไม่ค่อยมีอะไรที่ซีเรียส หรือชวนเครียดจนเกินไป เป็นเนื้อเรื่องแบบสูตรสำเร็จ เด็กที่มีความฝัน กล้าคิด กล้าทำ กล้าท้าชนกับทุกสิ่ง ที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุจนทำให้มีความพิเศษอยู่ในตัวแบบบังเอิญ และต้องต่อสู้เปิดโปงความจริง พล็อตแบบนี้เราเห็นได้ตามสื่อหรือการ์ตูนทั่วไปกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความซับซ้อนของเนื้อเรื่องนั้น Hi-Fi Rush แทบจะเป็น 0 ซึ่งก็เหมาะสมกับการนำเสนอของตัวเกมดี ที่ไม่มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนใด ๆ เน้นสนุกไปกับบีทจังหวะของเสียงดนตรี ระหว่างทางเราก็อาจจะเจอกับตัวละครใหม่ ที่มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน ตามสไตล์การ์ตูนจ๋า ๆ และมันก็เล่าได้แบบสนุกสนาน อาจจะบอกได้ว่า Hi-Fi Rush ไม่ใช่เกมที่มีเนื้อเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรมาก แต่ก็ทำได้ดีกว่าที่เราคาดเอาไว้มากเลยทีเดียวการนำเสนอที่โดดเด่นทั้งงานภาพและเสียงดนตรีสำหรับคนที่เห็นการเปิดตัว Hi-Fi Rush และได้เห็นเนื้อเรื่องด้านบนกันไปแล้ว น่าจะเดากันได้ไม่ยากเลยว่าอะไรคือจุดสำคัญที่สุดของ Hi-Fi Rush แน่นอน เมื่อมันเป็นเกมที่มีจังหวะดนตรีเป็นหัวใจหลัก ก็ต้องเป็นเพลงประกอบ สำหรับเกมนี้ ทุกเพลงล้วนแต่งขึ้นมาใหม่หมด เป็น Original Soundtrack โดยได้ Shuichi Kobori ที่เป็นอดีตนักแต่งเพลงให้กับเกมในค่าย KONAMI และ Reo Uratani อดีตนักแต่งเพลงของ Capcom และนอกจากจะมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเองแล้ว เกมยังใช้เพลงแบบถูกลิขสิทธิ์อีก 10 เพลงด้วยกัน เช่น Lonely Boy ของ The Black Keys, Wolfgang's 5th Symphony ของ Wolfgang Gartner และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครที่ฟังแล้วติดใจ ทาง Bethesda ก็ได้จัดเพลย์ลิสต์เพลงเหล่านี้ให้ได้ฟังกันใน Spotify ด้วย อินกับเกมไม่พอ ไปอินกับเพลงนอกจอกันต่อ แน่นอนว่าการเลือกใช้เพลงลิขสิทธิ์ในเกมตัวเอง อาจส่งผลกับพวกสตรีมเมอร์ หรือ YouTuber ได้ เกมจึงแก้ปัญหาด้วยการมีโหมดที่แทนที่เพลงลิขสิทธิ์ทั้งหมดด้วยท่วงทำนองที่คล้ายกัน โดยได้วง The Glass Pyramids มาบรรเลงให้ใหม่ โดยเสียงเพลง และดนตรีของเกมจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะเกี่ยวเนื่องกันไปยันส่วนของระบบการเล่นด้วย ในด้านของกราฟิกและการนำเสนอนั้น Hi-Fi Rush ใช้กราฟิกแบบลายเส้นหนังสือการ์ตูนแบบขอบหนา และมีบางครั้งในช่วงคัทซีนที่เหมือนกับนำเสนอแบบการ์ตูน Stop Motion ส่วนโทนสีและการจัดวางองค์ประกอบ ต้องบอกว่ามันดูเป็นเกมที่สดใส ไร้พิษภัย เล่นได้ทุกเพศทุกวัยแน่นอน ด้วยการนำเสนอตัวเอกแบบบ้าพลังและมีความฝันสูงเหมือนกับการ์ตูนอนิเมะของญี่ปุ่น และเมื่อฉาก กับกราฟิกที่ดูสวยงามผสมผสานเข้ากับเพลงที่ยอดเยี่ยม ทั้งจากของต้นฉบับมีลิขสิทธิ์ และแบบที่เกมแต่งขึ้นมาเอง ทำให้ส่วนของการนำเสนอในเกมนี้เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ๆแอ็คชั่นและแพลตฟอร์มผสานจังหวะ มันส์ไม่เหมือนใครHi-Fi Rush มีเกมเพลย์ในรูปแบบของ Rhythm-Action หรือการต่อสู้แบบผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรี และไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่ฉากต่าง ๆ จะถูกออกแบบมาให้เข้ากับจังหวะดนตรีทั้งหมดด้วย ตามปกติแล้ว เกมแนวนี้มักจะถูกนำไปใส่ในเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น BPM: Bullet Per Minute หรือ Metal Hellsinger แต่ Hi-Fi Rush นำมันมาใส่เข้ากับเกมแนวผจญภัยทั่วไปแต่ถึงอย่างนั้น เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบการเข้าจังหวะดนตรี เพราะอยากต่อสู้แบบสนุก ๆ มากกว่า ซึ่งเกมนี้ก็เปิดโอกาสเป็นทางเลือกให้ เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องโจมตีให้ตรงจังหวะ เพียงแต่หากเรากดถูกจังหวะ มันจะเป็นการได้รับดาเมจที่มากขึ้นเท่านั้น และว่ากันตรง ๆ ร่างกายมนุษย์และหูของคนเราก็ฒักจะจับจังหวะดนตรีได้ง่ายอยู่แล้วด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเลยในการเล่นการคอมโบเป็นจังหวะดนตรีจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม ส่วนการ Parry นั้นจะทำให้ผู้เล่นสามารถสวนกลับการโจมตีได้ และนอกจากการโจมตีผสานจังหวะจะถูกนำมาใช้ในส่วนของการต่อสู้แล้วนั้น ยังมีพวกมินิเกม หรือฉากต่าง ๆ ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่ผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรีด้วย ฉาก อุปสรรค หรือแพลตฟอร์มที่ลอยได้ต่าง ๆ จะเป็นไปตามจังหวะดนตรีเกือบจะทั้งหมดด้วยเกมเพลย์การต่อสู้ของเกมนี้ ก็จะคล้ายกันกับเกมแอ็คชั่นทั่วไป และจะสนุกมากขึ้นเมื่อลุยไปตามจังหวะดนตรี จะให้ความรู้สึกว่าเราคือพระเอกสายร็อคสตาร์ตัวจริง แน่นอนว่าเกมแบบนี้ แม้จะไม่ใช่ RPG แต่ก็จะมีการอัปเกรดตัวละครให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเราสามารถใช้พวกเศษเหล็กที่เก็บมาได้ตามทาง เพื่อปลดล็อคท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ และสกิลใหม่ ๆ รวมไปถึงการอัปเกรดจำพวกถาวร เช่นเพิ่มพลังชีวิต และ Special Attack Bar เป็นต้น แม้จะไม่มีอะไรใหม่มากนัก แต่เมื่อเกมเพลย์ที่เข้ากับเสียงดนตรีถูกผสมผสานให้เหมาะสมกับความสนุกสนานที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เอาแค่การเปิดตัวแบบกะทันหันก็ได้ใจแฟนๆ มากพอแล้ว แต่เกมเพลย์จริงยังสนุกอีกด้วยส่วนของ Boss Fight นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้น่าตื่นเต้นดี โดยเกมจะแบ่งสเกลพลังชีวิตของบอสเอาไว้ชัดเจนมาก ๆ เมื่อโจมตีบอสจนพลังลดไปถึงระดับนึงแล้ว มันจะเริ่มมีท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ ให้เราได้หลบหลีก หรือต่อสู้ด้วย ซึ่งยิ่งมันใกล้ตายก็จะยิ่งสู้ด้วยยากขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับความยากที่เราเลือกเล่นด้วย สำหรับเกมนี้ก็เหมาะสมทั้งคนที่ชอบความยากและความง่าย เพราะมีตัวเลือกให้ตั้งค่าตามความเหมาะสมและความถนัดของผู้เล่นถ้าจะมีข้อเสียให้ได้ติกัน ก็คงบอกได้แค่ว่า มันมีความธรรมดามากจนเกินไป เรียกได้ว่าเกมนี้แทบไม่มีอะไรที่ใหม่ หรือมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เลย เป็นเหมือนเกม Hack & Slash ทั่วไปที่ผสมผสานจังหวะดนตรีเอาไว้ได้อย่างลงตัว และเล่นสนุก ๆ เท่านั้น แต่บางที ความสนุกนี่แหละ ที่เราอาจจะมองหาอยู่ก็ได้เติมเต็มความยอดเยี่ยมด้วยปัญหาด้าน Performance ที่น้อยมาก ๆส่งท้ายกันด้วยเรื่องของการรันเกมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC ผ่านระบบ Xbox Game Pass และเล่นบน PC ระดับกลาง ที่ใช้การ์ดจอ RTX 2070 ก็ถือว่าหายห่วง ตัวเกมสามารถรันได้ด้วย Setting ระดับ High แบบสบาย ๆ และระหว่างการเล่น ก็แทบไม่พบเจอบั๊ก หรืออาการแปลก ๆ อย่างเฟรมเรทตก หรือเกมค้าง แครชไปแบบหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าเป็นเกมที่มั่นใจกับการ Surprise Launch มาก ๆ และทำได้ดีมากจริง ๆ เป็นการเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ และมอบความสนุกให้กับผู้เล่นแบบเซอร์ไพรส์ไม่แพ้กัน งานนี้ใครที่อยากลองสัมผัสเกมสีสันสดใส ที่มาพร้อมดนตรีจังหวะสนุก ๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด ตัวเกมมีให้เล่นบน Xbox Game Pass / PC Game Pass ด้วย และเล่นได้แล้ววันนี้
19 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Like a Dragon: Ishin! เกมยากูซ่าสวมสกินซามูไร เลือดสาดสะใจในแบบที่คุณคุ้นเคย
สำหรับแฟนๆ ของเกมซีรีส์ Yakuza หลายคน อาจจะเคยได้ยินชื่อเกม Yakuza: Ishin! มาก่อน ในฐานะเกมภาคสปินออฟที่นำสูตรเกมเพลย์เฉพาะตัวของซีรีส์มาคู่กับฉากหลังญี่ปุ่นโบราณ ให้ผู้เล่นได้จับดาบคาตานะฟาดฟันกับศัตรูแทนการต่อสู้ด้วยกำปั้น แต่น่าเสียดายที่เกมวางจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014 เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น และไม่เคยได้รับการแปลภาษาเพื่อวางจำหน่ายในภูมิภาคอื่นๆ ทำให้แฟนเกมนอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถสัมผัสเกมได้จนถึงบัดนี้ เมื่อเกมได้รับการรีเมคภายใต้ชื่อใหม่อย่าง Like a Dragon: Ishin! นั่นเองหลังจากที่ได้เล่นเกมมาเป็นระยะเวลาราวๆ 35 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) บอกได้ว่าเกม Like a Dragon: Ishin! ยังคงสามารถมอบประสบการณ์แอคชัน RPG ที่เพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ด้วยระบบต่อสู้อันเรียบง่ายแต่เร้าใจ เนื้อเรื่องอันเข้มข้นน่าติดตาม รวมไปถึงกิจกรรมเสริมและไซด์เควสจำนวนมาก แม้ว่าเกมจะยังมีองค์ประกอบที่น่าขัดใจหลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึกเก่ากว่าที่ควรเปลี่ยนสกินซามูไร แต่ยังไม่ทิ้งลายดราม่าสืบสวนในเกม Like a Dragon: Ishin! ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Sakamoto Ryoma (ซากาโมโตะ เรียวมะ) ซามูไรหนุ่มผู้แทรกซึมเข้าสู่องค์กรซามูไร Shinsengumi เพื่อตามหานักดาบปริศนาผู้ปลิดชีพพ่อบุญธรรมของเขา ส่งผลให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวการปฏิวัติทางการเมืองครั้งใหญ่อีกด้วยเอาเข้าจริงแล้ว เนื้อเรื่องของเกมภาค Ishin! ก็ไม่ได้ต่างจากเนื้อเรื่องของเกม Yakuza ภาคอื่นๆ ที่ผ่านมานัก กล่าวคือเป็นเนื้อเรื่องดราม่าแนวสืบสวนสอบสวนคล้ายๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนฉากหลังหรือธีมจากยากูซ่า/นักเลง มาเป็นซามูไรเท่านั้นเอง ซึ่งเกมก็ยังคงรักษามาตรฐานเนื้อเรื่องอันเข้มข้นของซีรีส์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังคงมาพร้อมกับจุดอ่อนใหญ่ๆ ที่อยู่คู่กับซีรีส์มาตลอดเช่นเดียวกัน เช่นการที่เกมมักจะเล่าเรื่องผ่านคัตซีนบทสนทนาทีละ 5-10 นาทีโดยกดข้ามไม่ได้ ซึ่งนานๆ เข้าก็อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกเบื้อไปก่อนได้แต่เนื้อเรื่องหลักของเกมซีรีส์นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของเกมเท่านั้น โดยเนื้อเรื่องเสริมมากมายที่พบในไซด์เควสก็ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของซีรีส์เช่นกัน และ Ishin! ก็รักษามตารฐานในจุดนี้เอาไว้ได้ โดยแม้ว่าเนื้อเรื่องเสริมที่ผู้เขียนพบ (จากที่เล่นมาเพิ่งพบไปราว 50% เท่านั้น) จะไม่ได้มีเควสที่กาวสุดทางเหมือนในเกมซีรีส์หลักมากนัก แต่ก็ยังมีหลายเควสที่ทำให้ขำออกเสียงออกมา ไปจนถึงเควสที่ทำเอาซึ้งน้ำตาซึมก็มี บอกตามตรงว่าสำหรับผู้เขียนแล้ว การวิ่งเก็บไซด์เควสในเกมยังเพลินกว่าเล่นเควสหลักเสียอีกปัญหาอีกอย่างที่ผู้เล่นชาวไทยหลายคนอาจจะพบเมื่อเล่นเกมนี้ คือการที่เกมมักใช้ภาษาอังกฤษแบบติดสำเนียงหรือใช้คำภาษาถิ่นอันหลากหลาย เพื่อสื่อถึงพื้นเพที่แตกต่างกันของตัวละคร ซึ่งในบางครั้งก็อาจทำให้คนที่ไม่เป๊ะภาษาอังกฤษจริงๆ อาจจะเจอคำพูดหรือประโยคภาษาถิ่นที่ชวนงงได้ ยังไม่นับรวมศัพท์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจำนวนมากมายที่ถูกใช้อยู่ตลอดเวลาเกมเพลย์ที่ไม่ได้ไม่สนุก แต่ให้ความรู้สึกย้อนยุคสมธีมเกมอย่างที่กล่าวไปข้างต้น จะบอกว่าเกมเพลย์ของ Like a Dragon: Ishin! ถือเป็นการนำเกม Yakuza ภาคก่อนๆ มาสวมสกินซามูไรก็คงไม่เกินจริงไปนัก โดยผู้เล่นจะได้เดินสำรวจเมือง Kyo ของเกมอย่างอิสระเพื่อพูดคุยกับชาวเมือง กินอาหาร ซื้อขายของ หรือเล่นมินิเกม และในระหว่างสำรวจเมืองก็จะมีกลุ่มศัตรูเดินเข้ามาหาเรื่องเราอยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับเกม Yakuza เป๊ะๆสำหรับการต่อสู้ในเกม Ishin! จะใช้ระบบแอคชันอันเรียบง่ายที่เน้นการโจมตีหนัก-เบาเป็นคอมโบ ควบคู่ไปกับการหลบหลีกและป้องกันการโจมตีของศัตรู รวมไปถึงการหาโอกาสในการใช้ท่าพิเศษ Heat Action เพื่อสร้างความเสียหายทีละมากๆ ใส่ศัตรู โดยใน Ishin! ผู้เล่นจะสามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสไตล์การต่อสู้ 4 แบบคือ Brawler (กำปั้น) Swordsman (ดาบ) Gunman (ปืน) และ Wild Dancer (ดาบ+ปืน) ซึ่งล้วนมีความสามารถและจุดเด่นในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป โดยการสลับสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสไตล์การต่อสู้ทั้ง 4 ก็ช่วยทำให้เกมมีความหลากหลายขึ้นเช่นกันนอกจากเกมเพลย์ต่อสู้ขั้นพื้นฐานตามสูตร Yakuza แล้ว ระบบที่เพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษในเกมภาค Ishin! ก็คือระบบ Trooper Card ที่ให้เราเลือกสวมใส่ “การ์ดทหาร” เพื่อรับความสามารถพิเศษต่างๆ เช่นบัฟเพิ่มพลังโจมตี บัฟฟื้นฟู HP ไปจนถึงท่าโจมตีพิศตารๆ ปั่นๆ อีกจำนวนมาก ตั้งแต่การปล่อยสายฟ้าจากมือไปช๊อตศัตรู ไปจนถึงการปล่อยพลังคลื่นเต่า โดยเหล่าทหาร Trooper Card เหล่านี้ยังมีแขกรับเชิญสนุกๆ อย่างนักมวยปล้ำ Kenny Omega หรือ VTuber Nyatasha Nyanners ให้สะสมอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ช่วยทำให้เกมมีความหลากหลายและน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปด้วยสำหรับผู้เขียน เพราะอยากจะปลดล๊อค Trooper Card แปลกๆ มาลองใช้อยู่ตลอดเวลาทั้งนี้ แม้ว่าระบบต่อสู้ในเกม Ishin! จะสนุกตามมาตรฐาน แต่เกมกลับมีระบบเล็กน้อยหลายๆ อย่างที่ออกแบบมาไม่ค่อยดีนัก ซึ่งพอรวมกันมากๆ เข้าก็ส่งผลให้การเล่นเกมในบางแง่บางมุมให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเกมยุคเก่าที่มาพร้อมปัญหาจุกจิกติดขัดจำนวนมาก โดยปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เขียนคือการที่เกมดูจะเลือกแสดงตำแหน่งของไซด์เควสบางเควส แต่กลับไม่แสดงตำแหน่งของเควสอื่นๆ ซึ่งในหลายกรณีเป็นเควสที่ต้องวนกลับมาหา NPC ตัวเดิมหลายครั้ง ส่งผลให้ผู้เขียนจำเป็นต้องคอยจำตำแหน่งของ NPC หลายๆ ตัวเอาเอง ไม่งั้นก็ต้องวิ่งหาทั่วเมือง เมื่อรวมกับระบบวาร์ปที่จำกัดมากๆ ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนจำเป็นต้องวิ่งไปมาทั่วเมืองตลอดเวลาเพื่อเก็บเควสเสริม เสียเวลาโดยใช่เหตุกันไปยิ่งไปกว่านั้น เกม Like a Dragon: Ishin! ยังมีระบบ RPG ที่ให้ผู้เล่นต้องคอยพัฒนาอาวุธ ชุดเกราะ และสกิลของตัวละครอยู่เสมอ โดยเกมจะคอยเพิ่มเลเวลของศัตรูที่พบเจอได้ทั่วไปในตามการดำเนินเรื่องของผู้เล่น ยิ่งเล่นไปไกลก็ยิ่งเวลสูง แต่ปัญหาคือเกมกลับไม่บอกผู้เล่นเลยว่าควรจะมีเลเวลเท่าไหร่ก่อนที่จะเล่นภารกิจเนื้อเรื่อง ส่งผลให้ผู้เขียนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลเวลหรือไอเทมตามเกมไม่ทันโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะภารกิจที่ให้เราต่อสู้กับบอสระดับสูงโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเลยว่าเลเวลของเราถึงหรือยังกราฟิกไม่น่าประทับใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้คอมแรง…แม้ว่าเมือง Kyo ของเกมภาค Ishin! จะมีรายละเอียดและชีวิตชีวาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าคุณภาพกราฟิกของเกมยังไม่สามารถเทียบเท่ากับเกมระดับ AAA ทั่วไปได้ โดยรายละเอียดพื้นผิว (Texture) ต่างๆ ในเกมยังมีความหยาบอยู่มาก แถมอนิเมชันตัวละครส่วนใหญ่ก็ยังมีความติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าหลุดออกมาจากยุค PS3 อย่างไงอย่างงั้น ซึ่งหลายคนก็ยกให้เป็นเสน่ห์แปลกๆ ของเกมซีรีส์ Yakuza ไปแล้วในปัจจุบันนอกจากนี้ การเปลี่ยนสถานที่ตั้งจากเมืองยุคปัจจุบันอย่าง Kamurocho มาสู่เมืองญี่ปุ่นโบราณอย่าง Kyo ทำให้เกมสูญเสียแสงสีย่านกลางคืนอันเป็นจุดเด่นของซีรีส์ Yakuza ไป แถมอาคารและบ้านช่องสไตล์ญี่ปุ่นโบราณเหล่านี้ยังแอบมีความคล้ายกันไปหมด ทำให้ในบางครั้งก็จำสถานที่ผิดๆ ถูกๆ อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งนำมารวมกับระบบแผนที่ของเกมที่เลือกแสดงตำแหน่งของเควสแค่บางเควส ยิ่งทำให้การเดินทางในเมืองลำบากเข้าไปใหญ่แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนมาสู่ธีมซามูไรที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธอย่างดาบหรือปืน ก็ทำให้การต่อสู้ของเกมรู้สึกดุเดือด เลือดสาด โดยเฉพาะเมื่อนำมารวมกับระบบท่าปลิดชีพ Heat Action ซึ่งก็เสริมความสนุกให้เกมได้ไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับเกมซีรีส์ Yakuza ที่ผ่านๆ มา และแม้ว่าเกมอาจจะเสียคะแนนไปบ้างในส่วนของภาพ แต่เกมก็ทำได้ดีมากในส่วนของเสียง ตั้งแต่เสียงพากย์ เสียงดนตรี ไปจนถึงซาวด์เอฟเฟกต์ประกอบทั้งหลาย ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของเกมได้มากอีกข้อดีหนึ่งของภาพกราฟิกที่เรียบง่ายของเกมก็คือการที่เกมสามารถทำงานได้ดีมากบน PC โดยผู้เขียนได้เล่นเกมบนคอมพิวเตอร์แลปทอปที่มาพร้อมการ์ดจอ RTX 3060 / CPU i7-11370H / RAM 12GB ซึ่งก็เพียงพอจะปรับกราฟิกระดับสูงสุดได้โดยยังคงเฟรมเรต 60FPS เอาไว้ได้ในระหว่างเกมเพลย์ ในขณะที่ฉากคัตซีนทั้งหมดของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 30FPS เท่านั้นกล่าวโดยสรุป เกม Like a Dragon: Ishin! ถือเป็นการนำเสนอสูตรเกมเพลย์ของซีรีส์ Yakuza ภายใต้ “ลุค” ใหม่ โดยแม้ว่าระบบและโครงสร้างเกมหลายๆ จุดจะเริ่มรู้สึกล้าสมัยอยู่ไม่น้อย แต่ตัวตนของซีรีส์ที่ผู้คนชื่นชอบอย่างเนื้อเรื่องดราม่าอันเข้มข้น หรือการต่อสู้สไตล์แอคชันอันตรงไปตรงมา ก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้อย่างครบถ้วน น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถขัดเกลาข้อด้อยต่างๆ ของซีรีส์ไปด้วยได้ ส่งผลให้ Like a Dragon: Ishin! รู้สึกเหมือนเป็นการย่ำอยู่กับที่ของซีรีส์นี้ มากกว่าจะเป็นก้าวต่อไปที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
17 Feb 2023
[Review] Wild Hearts เกมล่าแย้น้องใหม่ที่ยอดเยี่ยมจนสมควรได้เป็น "คู่แข่งเบอร์ 1 ของมอนฮัน"
Wild Hearts เกมแนว Action RPG สไตล์เกมล่าแย้แบบ Monster Hunter แต่มาจากทีมพัฒนา Koei Tecmo ผู้เคยสร้างเกม Nioh หรือ Toukiden กับ EA Originals ผู้ให้ทุนสร้างเกมนี้ โดยเกมจะวางขายบน PC ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2023 ส่วนบนคอนโซลจะเริ่มให้เล่นวันที่ 17 ตอนเที่ยงคืนเป็นต้นไป แต่ใครที่ไม่กล้าซื้อเกมนี้มาเล่น เพราะไม่รู้ว่ามันจะสนุก หรือมันจะน่าถูกใจเหมือนของเกม Monster Hunter หรือไม่ วันนี้ทาง GameFever ที่เล่นเกม Wild Hearts ไปจนจบภายในเวลา 40 ชั่วโมง ก็ได้มาทำการรีวิวเกมนี้ให้ชมภายในบทความนี้แล้ว!!! รับชมกันได้ที่ด้านล่างเลย* ขอขอบคุณทาง Koei Tecmo กับ EA Originals ผู้ให้เกมนี้มารีวิวก่อนวางขายกันด้วยนะครับ *จักรวาลน่าสนใจ แต่เนื้อเรื่องธรรมดาเกินWild Hearts คือเกมที่ให้ผู้เล่นสวมเป็นซามูไรนักล่า Kemono (ชื่อเรียกของพวกมอนสเตอร์ในเกม) โดยงานของเราก็คือการต้องแข็งแกร่งเพื่อปราบมอนให้ได้ทุกชนิด และไปรับภารกิจจาก NPC ต่างๆ เพื่อช่วยให้หมู่บ้านเติบโตขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเนื้อเรื่องสูตรสำเร็จแบบ Monster Hunter แต่เกมนี้ก็มีเอกลักษณ์เนื้อเรื่องให้พบเห็นอย่างตัวเราที่ดูเป็นซามูไรมากๆ ทั้งพวกชุดที่ใส่หรืออารยธรรมต่างๆ ที่ส่งผลไปถึงการปฎิบัติตอนล่า แถมเกมนี้ยังเล่าเรื่องเริ่มมาแบบให้ 'เราไม่รู้อะไรเลย' ก่อนที่เราจะได้ผจญภัยเรียนรู้จักรวาลในเกมเรื่อยๆ แล้วก็ยังจะได้พบ NPC ที่มีเสน่ห์น่าสนใจ และเกมก็ยังออกแบบ NPC ทุกคนมาดีขนาดให้ฟิลเป็นเพื่อนหรือครอบครัวของเรา รวมทั้งเกมก็ยังให้เราได้อินความเป็นตัวเอกสุดๆ เพราะเราจะได้สร้างตัว + เลือกตอบบทสนากับ NPC ได้ตลอดทั้งเกม * เกมมีให้สร้างตัวละครด้วย เลือกเพศได้ และก็ปรับแต่งได้เยอะเหมือน Monster Hunter ** ชุดในเกมให้อารมณ์ซามูไร, นินจา หรือนักรบกับแม่ทัพหลายรูปแบบตามอารยธรรมญี่ปุ่น ** พื้นที่ต่างๆ ในเกมจะมีความเป็นญี่ปุ่น ยกตัวอย่างพื้นที่มีต้นซากุระงามๆ แถมตอนล่าก็จะได้ใช้วิชาต่อสู้แนวนักรบญี่ปุ่น หรือต้องปลิดชีพมอนแล้วทำท่าเคารพสไตล์ซามูไร** การเลือกบทสนาอาจไม่ระดับเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์เป็นคนละเส้นทางแต่มันจะทำให้อินกับการเป็นตัวเอก เพราะเราจะได้เลือกความรู้สึกหรือเลือกว่าตัวเองมีที่มาอย่างไร *จากด้านบนจะเห็นว่าเกมนี้ดูจะทำด้านเนื้อเรื่องออกมาได้ดี และให้พูดกันตามตรงคือจักรวาลก็ทำออกมาได้น่าสนใจพร้อมมีเรื่องราวให้น่าศึกษาเยอะเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะกลับไม่ทำให้คุณร้องว้าว เพราะเนื้อเรื่องหลักของเกมมันกลับทำธรรมดามากๆ มันดูไร้ประเด็นน่าสนใจหรือมีการหักมุมที่น่าจดจำ โดยจริงๆ มันก็มีเนื้อเรื่องช่วงนึงที่สร้างภาพประทับใจได้อยู่ แต่ก็ด้วยความที่ช่วงนั้นมันดันไป 'เหมือนเนื้อเรื่องของ Monster Hunter ภาค World' ก็ทำให้เรารู้สึกวามันประทับใจได้ไม่สุด และจุดพวกนี้แหละที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าแม้จักรวาลดีหรือ NPC จะมีเสน่ห์น่าสนใจขนาดไหน ท้ายที่สุดถ้าเนื้อเรื่องไม่ดีก็ดูจืดไปหมดเลย* จริงๆ เกมนี้ยังทำคัทซีนออกมาได้สวยงาม และดูดีจนพอเป็นภาพจำได้บ้าง แต่มันก็สวนทางกับด้านเนื้อเรื่องจนรู้สึกว่ามันดีงามไม่สุดอยู่ดี ** แม้ท้ายที่สุดเกมแนวล่าแย้จะไม่จำเป็นต้องมีเนื้อเรื่องดีๆแต่ของเกมนี้มันส่งผลให้มอนดูจืดไม่มีอะไรน่าจดจำไปด้วยในด้านการออกแบบหรือประวัติ ** อีกอย่างคือแม้เกมเล่าเรื่องแบบค่อยๆ ให้เรียนรู้จักรวาล จนอินกับเกมง่ายๆ เพราะเรียนรู้ไปพร้อมตัวเอกแต่ช่วงแรกที่เราไม่รู้อะไรเลย เกมก็ดูไม่มีอะไรน่าสนใจหรือน่าติดตามไปด้วย ทำให้คนอาจเผลอกดรีฟันก่อน *จุดแข็งคือการนำเสนอแปลกใหม่ และมันก็สดใหม่ตลอดเวลาเลยWild Hearts จะมอบประสบการณ์เล่นในเบื้องต้นเหมือนกับ Monster Hunter ทุกอย่างไม่ว่าจะลูปเกมให้เราทำสิ่งต่างๆ เตรียมตัวก่อนล่า และพอถึงตอนล่าก็ต้องศึกษาหรือหาวิธีจัดการมอนตัวนั้นให้ง่ายๆ แล้วพอล่าสำเร็จก็จะได้ทรัพยากรดีๆ จากมอนแต่ละชนิดมาอัปเกรดตัวละครเพิ่ม แล้วก็ยังหยิบยืมพวกระบบต่างๆ อย่างคู่หูที่ในมอนฮันจะเป็นเจ้าแมวน้อย แต่เกมนี้จะเป็นเจ้าหุ่นตัวน้อย หรือระบบมอนมีชีวิตที่สามารถหนีหรือโกรธ และเราตัดอวัยวะมันได้ แล้วมันก็ถึงระดับทำให้คิดว่าเกมนี้ใช้เอนจิ้นเดียวกันหรือเป็นเกมภาคต่อ Monster Hunter ภาค World เลยทีเดียว แต่เกมนี้จะไม่ได้เอาระบบไอเทมพกพามาด้วย ทำให้เกมไม่มีกินอาหารเพิ่มค่าความเหนื่อยหรือเอาหินขัดให้อาวุธคม แล้วเกมก็จะใส่ระบบที่เรียกว่า Karakuri มาแทน โดยมันคืออุปกรณ์ติดแขนไว้ใช้สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งมันสร้างได้หลายอย่างมาก พร้อมผู้เล่นต้องปลดล็อกเรื่อยๆ ทำให้ตลอดทั้งเกมเราจะได้เจออะไรสดใหม่อยู่ตลอดกับพวกสิ่งก่อสร้างไว้ใช้เพิ่มความสะดวกสบาย หรือใช้ช่วยสู้มอนเป็นต้น แล้วระบบนี้มันดีระดับทำให้เกมมีความอิสระสูง และกลายเป็นเกมแนว Sandbox พร้อมให้ผู้เล่นได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสู้มอนได้ แล้วที่ต้องแจ้งเลยคือมันใช้งานง่ายมาก!!! * หมวดแรกที่ Karakuri สร้างได้คือสถานที่ให้ความสะดวก ยกตัวอย่างใช้บินไปพื้นที่สูงๆ หรือยานพาหนะสิ่งพวกนี้สร้างได้ตรงไหนก็ได้ทุกแผนที่ และมีให้ปลดล็อกมาสร้างความสะดวกใหม่ๆ ตลอดทั้งเกม** หมวดสองคืออุปกรณ์ช่วยสู้มอน ยกตัวอย่างบล็อกสี่เหลี่ยมป้องกันการโจมตี หรือสปริงให้เราพุ่งตัวหลบการโจมแล้วยังมีสูตรให้สร้างผสมกันเป็นสถานที่ช่วยสู้มอน แล้วก็สร้างตรงไหนก็ได้ และมีให้ปลดใหม่เรื่อยๆ ** เจ้าหุ่นตัวน้อยจะช่วยนักล่าทั้งการโจมตี, ช่วงแท้งค์, ช่วยเติมพลังชีวิต หรือช่วยเติมของให้สร้าง Karakuri ได้แล้วผู้เล่นยังไปเก็บเจ้าหุ่นตัวน้อยอื่นๆ ที่ซ่อนในแผนที่มาอัปเกรดให้หุ่นตัวน้อยเราเก่งขึ้นได้ด้วย *จากด้านบนทั้งหมด เราจึงเห็นได้ว่าเกมนี้มีจุดการนำเสนอที่น่าสนใจ และแปลกใหม่จาก Monster Hunter อย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีหลายอย่างที่ใส่เข้ามาเหมือนกันเยอะมาก แต่เกมนี้กลับมีสิ่งนึงที่หลายคนได้เล่นจะรู้สึกเหมือนกันคือ 'ภาพไม่สวย' เพราะมันมีหลายพื้นที่ที่ Texture ดูหยาบหรือเป็นดินน้ำมันมาก และภาพก็ดูไม่ค่อยมีความละเอียดอะไรแบบนั้น จนเป็นอีกเหตุผลให้บางคนรู้สึกอยากรีฟันเกมตั้งแต่ช่วงแรก แต่ถึงอย่างงั้นเกมก็ออกแบบฉากในแผนที่ต่างๆ ได้ดูดีอลังมากเลยนะ แถมพวกเสียงเพลงประกอบกับอนิเมชั่นก็ทำออกมาดี พร้อมระบบ Karakuri ที่ให้ความสดใหม่ทั้งเกมก็ทำให้คุณสามารถลืมเรื่อง Texture หยาบๆ หรือภาพที่ดูไม่สวยได้เลยนะ!* ถ้าคุณดูภาพนี้ผ่านๆ จะเห็นว่าเกมภาพสวยนะ แต่ถ้าสังเกตุหลายๆ จุดจะเห็นว่ามีความหยาบอยู่ ** แต่ว่าทุกแผนที่ในเกมนี้ มันรับประกันต้องมีฉากสวยๆ แบบนี้ตลอดเลย *เกมเพลย์ก็ทำมาดี แต่ที่ดีต่อใจสุดๆ คือคอนเทนต์ระบบต่อสู้เกมนี้ก็จะคล้าย Monster Hunter โดยเราจะได้เลือกอาวุธหลักถึง 8 ชนิด และทุกอาวุธจะมีกลไกการต่อสู้ไม่เหมือนกัน และเกมก็จะมีระบบการโจมตีธาตุหลายแบบที่บางธาตุจะโจมมอนได้รุนแรงหรือเบากว่าแบบธรรมดา พร้อมพวกมอนสเตอร์ก็จะมีชนิดต่างกันที่ทำให้เราต้องศึกษารับมือท่าแปลกใหม่เรื่อยๆ แต่เกมนี้ยังมาพร้อมความ 'ท้าทายนึกว่า Dark Souls' เพราะระบบต่อสู้จะรวดเร็วทันใจกว่ามอนฮัน ทั้งด้านตัวนักล่ากับมอนสเตอร์ แล้วมอนสเตอร์มันจะเน้นโจมตีเร็วแบบไม่มีช่วงเวลาพักเลย แถมเกมนี้ยังไม่มีโล่หรืออาวุธที่ใช้บล็อกการโจมตีได้ มากสุดมีเพียงแค่การบล็อกหรืออาวุธร่ม Wagasa ที่ Parry ได้อยู่ แต่อาวุธทุกชนิดยังไงผู้เล่นก็ต้องฝึก 'กลิ้งหลบ' การโจมตีเป็นหลักเลย แล้วกลไกอาวุธส่วนใหญ่ยังเน้นให้เรา 'เข้าโจมมอนไม่พักเพื่อสามารถใช้ไม้ตายได้' ขณะที่ถ้าเผลอโดนมอนโจม 1-2 ตีก็ตายได้เลย ส่งผลให้เกมนี้มันท้าทายแบบน่าสนใจจากมอนฮันอย่างมาก* มอนช่วงแรกๆ จะไม่โหด แต่พอมาถึงตัว Lavaback ตามภาพ และหลังจากนี้มันจะเริ่มโหดท้ายนึกว่าเล่นเกมแนว Souls-like ** ภาพตัวอย่างว่ามอนตัวนึงจะมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน, แพ้ธาตุอะไร, แพ้การโจมตีกายภาพแบบไหนหรือสามารถติดสถานอะไรได้ง่าย  *นอกจากนี้เกมยังมีคอนเทนต์ให้ฟาร์มเยอะไปหมดเลย และคอนเทนต์หลายตัวยังมีลูกเล่นให้เพลินได้เกิน 100 ชั่วโมงสบายๆ ยกตัวอย่างระบบ 'อัปเกรดอาวุธ' ที่ถ้าอาวุธ 1 ชิ้นใน Monster Hunter จะมีให้เราเลือกสายธาตุการโจมตี และอัปเกรดจนถึงขั้นสุดท้ายหรือเปลี่ยนสายได้ไปนิดหน่อย แต่ของเกมนี้ 1 ชิ้นสามารถอัปได้ทุกสายเพื่อ 'เอาสกิลมาผสมกันกับอาวุธสายอื่น' โดยแค่นี้คนเล่นก็จะรู้สึกแล้วว่า 'ถ้าจะครอบครองอาวุธทุกสายที่ดีที่สุดคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า  500 ชั่วโมง' ส่วนข้อเสียด้านเกมเพลย์คือมอนจริงๆ มีต่างกันแค่ 10 ชนิดเอง แล้วมอนตัวอื่นยังมาเป็นแบบย้อมสีเพียบเลย ซึ่งเล่นเกมนี้ไปถึงช่วง 'กลางเกม' ก็ต้องมาเจอมอนหน้าตาซ้ำๆ กันแล้ว แต่ยังดีที่เกมนี้จะมีอัปเดตฟรีเพิ่มมอนหรืออย่างอื่นเรื่อยๆ พร้อมตอนนี้เกมก็มี 'มอนระดับเก่งกว่า' หรือ 'มอนกลายพันธุ์' แต่ละชนิดให้สู้ด้วย* ภาพตัวอย่างการอัปเกรดอาวุธชนิดดาบ ที่เราอัปได้หลายสาย และเราเอาสกิลติดอาวุธแต่ละสายมาผสมกันได้ตรงนี้เป็นหนึ่งในคอนเทนต์ให้ฟาร์มยันตอนท้ายเกม และช่วงท้ายเกมมีอะไรให้ทำอีกเพียบจัดๆ ** ระบบเกราะนอกจากมีให้หาใส่หลายแบบ ก็ยังมีให้อัปเกรดเป็นเกราะสายมนุษย์นักล่า หรือปีศาจนักล่าโดยแต่ละสายจะสามารถได้รับสกิลพิเศษมาใช้งานได้ไม่เหมือนกัน *ประสิทธิภาพเกมคือตัวปัญหาใหญ่พูดกันตามตรง เกมนี้ดูเหมือนว่า 'มันสร้างเสร็จแล้ว แต่เหมือนทีมพัฒนาไม่เคยทำเกมฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ หรือเวลาปรับปรุงไม่พอ' เพราะตัวเกมนั้นกินเสปคอย่างมาก บน Console ถ้าจะเล่นภาพแบบ 60fps จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 1080 เท่านั้น ทั้งๆ ที่เกมภาพแบบนี้ควรจะได้ระดับ 2K หรือ 4K สบายๆ เลย ส่วนบน PC แม้จะมีเสปคเกินความต้องการขั้นแนะนำอย่างผู้เขียนที่ใช้ i5-12400f & 3070Ti ก็ยังเล่นเกมนี้ได้ไม่ลื่นเลย พร้อมกับเกมก็ยังมีบั๊กน่าหงุดหงิด และบน PC ยังมีบั๊กที่ Option ในเกมไม่ทำงานหรือมีปัญหา แต่ล่าสุดนี้ผู้สร้างแจ้งแล้วว่าตัวเกมบน PC จะมีแก้ปัญหาในอาทิตย์หน้าหลังเกมวางขายให้เล่นลื่นขึ้นนอกจากนี้คือคุณจะดูออกเลยว่าทำไมเกมกินเสปค โดยมันก็เป็นเพราะเกมนั้นดูทำมาเสเกลใหญ่มากในเรื่องแผนที่มีฉากอลังเยอะๆ แต่ดันปรับปรุงให้เล่นลื่นไม่ได้นั่นเอง แถมผู้เขียนขอแชร์เรื่องนึงคือผู้เล่นไม่สามารถเข้าเล่นเกมนี้ไปได้ 2 วันเพราะ 'บั๊กไอดี Microsoft Account ที่ใช้ล็อกอินกับ Windows' ซึ่งผู้เขียนไม่คิดไม่ฝันว่าเกมจะเข้าเล่นไม่ได้เพราะอะไรแบบนี้ แต่หลังลองเปลี่ยนดูก็กลับมาเล่นได้ปกติถึงปัจจุบันจนทำให้สงสัย 'Microsoft Account มันทำให้เข้าเกมไม่ได้ด้วยหรอ เล่นเกมมาเกิน 20 ปีเพิ่งเคยพบเคยเจอ?'มาสรุปกันเถอะถ้ามองในรูปแบบเกมๆ หนึ่ง Wild Hearts อาจไม่ใช่เกมต้องหาเล่นให้ได้ในชีวิตหรือเกมท้าชิงยอดเยี่ยมแห่งปี 2023 แต่ถ้าพูดในรูปแบบเกมล่าแย้ แค่มันทำได้จนนึกว่าเป็นเกมภาคต่อ Monster Hunter ก็ดีมากแล้ว แต่เกมยังทำระบบ Karakuri ออกมาดีสุดๆ และยังยอดเยี่ยมสดใหม่ให้คนเคยเล่นเกมแนวล่าแย้จนเอียนๆ ก็ยังกลับมาเล่นเกมแนวนี้สนุกได้ มันอาจมีเรื่องน่าขัดใจหน่อยคือด้านการเล่าเรื่องดูทำมาดี แต่ตกม้าตายเพราะเนื้อเรื่องธรรมดา หรือมอนที่ยังมีไม่เยอะมาก แล้วต้องรออัปเดตเรื่อยๆ หรือประสิทธิภาพที่ก็ต้องรอแก้ไขให้เล่นลื่นขึ้น แต่สิ่งพวกนี้อย่าลืมว่ามัน 'แก้ไขได้ในอนาคต' ทำให้อนาคตมันอาจเป็นเกมคู่ควรกับคะแนน 9/10 หรือ 10/10 ได้เลย แต่ปัจจุบันทางเราก็ขอให้คะแนนมันเท่านี้ไปก่อน
16 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Hogwarts Legacy นี่คือเกมที่สร้างมาเพื่อแฟน Harry Potter อย่างแท้จริง !!
ถ้าให้พูดถึงหนึ่งในนิยายที่มีอิทธิพลและเป็นที่รู้จักในหมู่วัยรุ่น เชื่อว่าชื่อของนิยาย Harry Potter นั้นก็คงจะเป็นหนึ่งในลิสต์ที่ว่าไป เพราะเนื้อเรื่องจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์อันน่าทึ่ง และมันก็ได้เสริมสร้างจินตนาการให้กับคนอ่านอย่างมาก บวกกับยังมีการเอานิยายมาดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์ ให้เราได้เห็นโรงเรียนฮอกวอตส์ที่จินตนาการไว้อย่างเต็ม ๆ ตา และทำให้แฟรนไชส์นี้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าในสมัยที่ภาพยนตร์ปล่อยออกมา ทางผู้พัฒนาก็ได้เคยสร้างวิดีโอเกมจากแฟรนไชส์ Harry Potter ขึ้นมาโปรโมทอยู่ตลอด แต่หลังจากที่ภาพยนตร์จบลงไปในปี 2011 เราเองก็ไม่ได้เห็นวิดีโอเกมจากซีรีส์นี้อีกเลย แต่ในปี 2023 ก็ได้มีเกมใหม่จากซีรีส์นี้อย่าง Hogwarts Legacy ที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนฮอกวอตส์ในอดีตร้อยปีก่อนเนื้อเรื่องหลัก ตัวเกมจะให้คุณได้เข้าไปสัมผัสโลกของ Wizarding World ด้วยตัวของคุณเอง กับกราฟิกสุดอลังการงานสร้าง รวมถึงยังจะให้คุณได้สำรวจพื้นที่อื่น ๆ ของเกมอีกด้วย โดยในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Hogwarts Legacy จะยอดเยี่ยมเหมือนที่เคยได้ดูในหนังหรืออ่านในนิยายหรือไม่เนื้อเรื่องโดยเรื่องราวของเกม Hogwarts Legacy จะย้อนกลับไปราว ๆ หนึ่งร้อยปีจากในนิยายและภาพยนตร์ โดยเราจะได้เล่นเป็นตัวละครที่เราสร้าง เป็นนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนฮอกวอตส์ในชั้นปีที่ห้า แต่ประเด็นก็คือเรานั้นกลับมีพลังพิเศษในการมองเห็นเวทมนตร์ลึกลับโบราณ และทำให้เราจะต้องเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เนื้อเรื่องหลักของเกมนั้นจะก็จะเล่าเกี่ยวกับตัวเราที่จะต้องหาความจริงเกี่ยวกับเวมมนตร์โบราณนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเราจะก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวภายในโรงเรียนผ่านเควสเนื้อเรื่องเช่นกัน เข้าเรียนวิชาต่าง ๆ พบเจอกับนักเรียนคนอื่นมากมาย และเราก็จะได้รู้เรื่องราวของพวกเขามากขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบเกี่ยวกับ Companions หรือคู่หูของเรา ที่เราจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไปอย่าง Naisai Onai จากบ้านกริฟฟินดอร์ ที่เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้คน, Poppy Sweeting จากบ้านฮัฟเฟอร์พัฟ จะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเหล่าสัตว์วิเศษที่โดนเหล่า The Poacher จับไปแบบผิดกฏหมาย หรือจะเป็น Sebastian Sallow จากบ้านสลิธีรินที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสตร์มืดซึ่งจากที่เล่นมาก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่เลวเลย แต่มันก็อาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับในภาพยนตร์ รวมถึงเนื้อเรื่องของเหล่า Companions แต่ละคนก็ทำออกมาได้อย่างแน่สนใจไม่แพ้เนื้อเรื่องหลักเลยทีเดียว  เผลอ ๆ ส่วนตัวผู้เขียนชอบเนื้อเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์มืดของ Sebastian Sallow มากกว่าเนื้อเรื่องหลักอีก (ฮ่า ๆ) นอกจากนี้ตัวเกมยังมี Side Quest ที่จะให้เราได้สำรวจโรงเรียน หรือเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยภายในโรงเรียนนี้อีกมากมายแต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อาจจะรู้สึกเสียดายกับเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องความเป็นเส้นตรงของเกม ที่ถึงแม้ว่าการกระทำ หรือการตอบคำถามบางอย่างของเราอาจจะส่งผลต่อการโต้ตอบของ NPC หรือมีเนื้อเรื่องแตกต่างนิดหน่อย แต่ใครที่คาดหวังว่าเนื้อเรื่องมันจะเปลี่ยนแปลงไปเลยแบบสุดขั่วตัวเกมก็อาจจะยังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น เพราะสุดท้ายเรื่องราวของคุณก็จะถูกวางเอาไว้ให้เป็นวีรบุรุษในการกอบกู้โลกแห่งเวทมนตร์อยู่ดี ต่อให้คุณอยากเลือกที่จะเล่นเป็นคนที่ฝักใฝ่ในศาสตร์มืด แต่มันก็ไม่ขนาดจะทำให้คุณต้องกลายเป็นผู้ทำลายฮอกวอตส์ อาจจะมีปฏิกริยาของโลกและ NPC ต่าง ๆ ที่จะเปลี่ยนไปเท่านั้นกราฟิก / การนำเสนอสำหรับโลกของ Hogwarts Legacy จะนำเสนอพื้นที่โรงเรียนฮอกวอตส์ที่คุณจินตนาการเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ทั้งรายละเอียดหลาย ๆ อย่างอยู่ครบถ้วน เราจะได้เห็นห้องเรียนต่าง ๆ ทั้งห้องวิชาปรุงยา ห้องวิชาสมุนไพร ห้องป้องกันตัวจากศาสตร์มืด สนามควิชดิช ห้องพักศาสตราจารย์ใหญ่ หรือห้องโถงกินข้าว ซึ่งมันจะเสริมสร้างจิตนาการได้อย่างยอดเยี่ยม คุณจะได้สำรวจโรงเรียนฮอกวอตส์ในทุกซอกทุกมุมเท่าที่ทำได้ (แต่แรก ๆ อาจจะหลงหน่อยนะ ฮ่า ๆ)รวมถึงเรายังจะได้สำรวจพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับโรงเรียนอย่างหมู่บ้าน Hogsmeade ซึ่งทำออกมาได้สวยงามมาก ๆ ไม่แพ้กัน ซึ่งในนี้ก็จะเป็นศูนย์รวมในการขายของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายไม้กายสิทธิ์ของ Olivander ร้านตัดผมที่จะให้คุณได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของคุณได้ ร้านขายไม้กวาด หรือร้านขายพีชพันธุ์หรือสูตรปรุงยาก็มีแต่ถึงอย่างนั้นสำหรับคนที่เสพงาน Harry Potter แค่ในฉบับภาพยนตร์คุณอาจจะต้องทำใจไว้ก่อน เพราะรายละเอียดของ Hogwarts Legacy จะมีการดีไซน์ทุกอย่างใหม่ทั้งหมด  โดยมีการเอาดีไซน์จากในหนังสือและภาพยนตร์รวมกันนั่นเอง ทำให้รายละเอียดบางอย่างของโรงเรียนนั้นจะแตกต่างจากในภาพยนตร์ที่เคยดู ยกตัวอย่างหน้าตาของบันไดแปรสภาพที่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน รวมถึงเพิงโหยหวน หรือต้นวิลโล่จอมหวดก็ยังไม่มีนะครับ เพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้จะเกิดก่อนที่เขาจะปลูกต้นไม้นี้ขึ้นมาเป็นต้น แต่ไม่ต้องกลัวไปเพราะภายในเกมจะมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายมาทดแทน และต้องยอมรับว่าฮอกวอตส์ของเกมนี้มีงานศิลปะที่สวยงามและน่าทึ่งที่สุดส่วนในด้าน Performance สำหรับผู้เขียนนั้นโชคดีหน่อยเพราะเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันของ PlayStation 5 ซึ่งตอนปรับโหมดเร่งเฟรมเรทตัวเกมก็สามารถรันเกมได้อย่างลื่นไหล 60 FPS นิ่ง ๆ โดยไม่มีอาการเฟรมเรทดรอปตอนเอฟเฟกต์เยอะ ๆ อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นทางผู้เขียนก็ลองปรับกราฟิกแบบเน้นภาพสวยปรากฏว่าเฟรมเรทของเกมดรอปกระจายจนถึงขั้นไม่ควรเล่นเลย (เหมาะสำหรับการถ่ายรูปสวย ๆ น่าจะดีกว่านะ) ส่วนในเรื่องบัคก็อาจจะเกิดบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่บัคร้ายแรงขนาดต้องรีเกม มีมาแค่แวบ ๆ เท่านั้นแต่สำหรับคนที่เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC คุณก็อาจจะต้องลุ้นหน่อย เพราะมีเพื่อน ๆ ของผู้เขียนบางคนที่เล่นเกมนี้บนเครื่องคอมพิวเตอร์และเกิดปัญหามากมายอย่างเช่นอยู่ดี ๆ เกมเด้งบ่อยมาก ๆ เสียงหาย ทั้ง ๆ ที่เครื่องคอมของเพื่อนคนนั้นจัดอยู่ในเกณฑ์ที่แรงพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีบางคนที่ยังเล่นเกมนี้ได้ปกติเช่นกัน และประสิทธิภาพก็ทำออกมาได้ดีเลยด้วยส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็คงจะเป็นงานเรื่องความละเอียดของโลกในเกมสำหรับ NPC ทั่วไป ที่โอเคว่าภายในโรงเรียนจะมีนักเรียนให้เดินพลุกพล่านไปทั่วในตอนเช้า แต่ในตอนกลางคืนเราไม่เห็นตัวละครเหล่านักเรียนเดินไปมา หรือมีคนตรวจตราในตอนกลางคืนเลย หรือแม้กระทั่งในตอนกลางคืนเองเราก็ไม่เห็นนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนเลยด้วยซ้ำ รวมถึงกิจกรรมภายในโรงเรียนก็มีให้ทำน้อยมาก นอกจากการเดินเควสต่าง ๆ หรือการเดินหาปริศนา มันก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลย ส่วนตัวอยากให้กิจกรรมภายในโรงเรียนมากกว่านี้อีกหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ที่ทางผู้พัฒนาน่าจะสร้างระบบตรงนี้ไม่ทัน เพราะต้องไปสร้างส่วนอื่น ๆ เป็นหลักเกมเพลย์สำหรับการเล่นส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการที่เราจะต้องไปทำเควสต่าง ๆ จาก NPC ภายในโรงเรียนซึ่งก็จะมีทั้งเควสหลัก เควสรอง ซึ่งนอกจากเควสหลักเกี่ยวกับการหาความจริงเกี่ยวกับความลับโบราณ หรือเควสเนื้อเรื่องของ Companions แล้วนั้น เควสส่วนใหญ่ก็จะจำลองให้คุณนั้นได้เป็นนักเรียนในโรงเรียนฮอกวอตส์แห่งนี้ ตัวเกมจะมีเควสให้คุณได้เข้าเรียน ปลดล็อกคาถาใหม่ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ในการต่อสู้ได้ ซึ่งตัวคาถาก็จะค่อย ๆ ปลดล็อกไปเรื่อย ๆ (เล่นจนเกือบจบเกมถึงจะปลดล็อกได้หมด) มีเควสที่จะให้คุณได้ผจญภัยไปในสถานที่ต่าง ๆ มากมายรวมถึงในเควสเสริมก็จะมีให้คุณได้ทำซึ่งความน่าสนใจก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้เควสหลักเลย ไม่ว่าจะเป็นเควสที่จะให้ไปช่วยถล่มรังโจร เควสค้นหาปริศนาต่าง ๆ หรือเควสการผจญภัยเข้าไปในที่ที่ลึกลับ หรือบางเควสอาจจะมีการเซอร์วิสแฟน ๆ อย่างสถานที่ลับไปหมู่บ้าน Hogsmeade หลังรูปปั้นแม่มด ที่จะให้เราไปช่วยซ่อมทางเดินเป็นต้น  รวมถึงหลัง ๆ เราเองก็จะต้องทำเควสเสริมเพราะจต้องเรียนคาถาต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย ไม่ว่าจะเป็นคาถาสะเดาะกลอน คาถาโจมตีบางคาถา หรือคาถาเกี่ยวกับศาสตร์มืดก็จะต้องทำในเควสเสริม หรือจะเป็นการอัปเกรดไม้กวาดบินได้ก็จะต้องทำผ่านเควสเสริมเช่นกันส่วนระบบการต่อสู้นั้นจะอ้างอิงจากคาถาที่มีอยู่จริงตามที่เขียนในนิยาย และผลข้างเคียงของคาถาแทบจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ ส่วนระบบการต่อสู้นั้นถ้าให้พูดง่าย ๆ ถ้าคุณเคยเล่นเกมอย่าง Marvel's Spider-Man หรือ Battle Arkham ตัวระบบการต่อสู้จะมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก แค่เปลี่ยนจากการต่อเตะ เป็นการร่ายคาถาต่าง ๆ ใส่กัน นอกจากนี้ตัวเกมยังมีการใส่ลูกเล่นและความท้าทายออกมาให้เราไม่เบื่อด้วย อย่างเช่นระบบเกราะป้องกันของศัตรู ที่จะแบ่งออกเป็นสี ๆ (แดง ม่วง เหลือง) ซึ่งวิธีแก้ก็คือคุณจะต้องร่ายคาถาโจมตีสีเดียวกันกับโล่ของศัตรู มันจะเป็นการแก้ทางและทำให้โล่ศัตรูเสียหายทันทีเป็นต้น เราสามารถจัดสรรคาถาต่าง ๆ และใช้เพื่อคอมโบกันด้วยอย่างเช่นให้คาถาดึงให้ศัตรูมาใกล้ ๆ และทำดาเมจไฟใส่ หรือคาถาที่ทำให้ศัตรูลอยและโจมตีด้วยคาถาปลดอาวุธเป็นต้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบการปัดป้องคาถาหรือหลบการโจมตีของศัตรูได้ด้วย โดยข้อดีของการปัดป้องคาถาก็คือเราจะสามารถใช้คาถาในการโจมตีสวนกลับศัตรูได้ง่าย แต่ถ้ากดไม่ตรงจังหวะก็อาจจะปัดป้องไม่ได้ ส่วนการกระโดดหลบนั้นเอาไว้ใช้หลบการโจมตีบางอย่างที่ปัดป้องไม่ได้ ซึ่งการหลบแทบจะหลบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะเสียจังหวะในการโจมตีสวนกลับนั่นเอง และถึงแม้ว่า Slot การใส่คาถาจะมีให้เราใส่เพียงแค่ 4 ช่องในตอนแรก แต่พอเราเล่นไปสักพักเราก็จะสามารถปลดช่อง Slot เพิ่มเติมเอาไว้ใส่สกิลได้รวมถึงคาถาต่าง ๆ ก็จะสามารถ และเนื่องจากเกมนี้ที่มีองค์ประกอบความเป็น RPG ทำให้ตัวเกมจะมีระบบสวมใส่เพื่อเพิ่มสเตตัสให้กับตัวละครเราด้วย ซึ่งไอเท็มสวมใส่หรือ Gearrs ซึ่งก็จะมีทั้งผ้าคลุม ผ้าพันคอ ชุดด้านใด หรือว่าหมวก แต่เป็นมั้ยครับที่บางครั้งชุดที่ใส่มันอาจจะพวกพลังป้องกัน หรือพลังโจมตีที่เยอะมาก ๆ แต่ชุดนั้นมันดันไม่สวยเลย ซึ่งทางผู้พัฒนาเองก็น่าจะรู้ในจุดนี้ครับ พวกเขาก็เลยทำการใส่ระบบสกินเข้ามาซึ่งเรียกว่า Apperance โดยถ้าหากเราเคยดรอปชุดใด ๆ มาในคลังแล้วครั้งนึง ต่อให้ชุดนั้นจะมีค่าสเตตัสที่น้อย หรือต่อให้เราจะขายชุดลงร้านค้าไปแล้ว ชุดพวกนั้นก็จะเข้าไปอยู่ในระบบสกินแทน ทำให้เราสามารถเปลี่ยนชุดเท่ ๆ ตามที่ตรงการได้อย่างอิสระเลย เพราะส่วนตัวชอบใส่ชุดที่มันเหมือนนักเรียนทั่วไปแบบ NPC คนอื่น ๆ (อาจจะมีใส่ผ้าพันคอ และหมวกเท่านั้น) เพื่อที่จะได้อินมากขึ้น ฮ่า ๆและภายในเกมก็ยังมีลูกเล่นในการนำสิ่งอื่น ๆ มาช่วยสู้ได้ไม่ว่าจะเป็นการใช้ต้น Mandrake มาทำให้ศัตรูชะงักการเสกต้นกระหล่ำ หรือต้นพืชมีหนามมาช่วยทำดาเมจได้เช่นกัน รวมถึงตัวเกมยังมีน้ำยาที่จะเพิ่มความสามารถต่าง ๆ ให้คุณด้วย อย่างน้ำยาที่จะเสกฟ้าผ่ามาใกล้ ๆ ตัวและทำดาเมจใส่ศัตรูที่อยู่รอบ ๆ น้ำยาเพิ่มเลือด น้ำยาเพิ่มพลังป้องกันหรือดาเมจก็มีเช่นกันแต่ในช่วงแรก ๆ ถ้าหากคุณอยากที่จะปรุงยา หรือปลูกสมุนไพร คุณก็อาจจะต้องจุกจิกที่จะต้องวิ่งไปตามห้องเรียนต่าง ๆ อยากไปปรุงน้ำยาก็ต้องไปห้องปรุงยา อยากไปปลูกพีชก็ต้องไปห้องสมุนไพร แต่เรื่องน่าปวดหัวนี้จะหมดไป เพราะตัวเกมนั้นมีระบบ Room of Requirement (ห้องต้องประสงค์) ซึ่งจะเป็นห้องที่คุณสามารถใช้มันเป็นห้องส่วนตัวลับของคุณได้ ภายในนั้นคุณจะสามารถสร้างเครื่องปรุงยา สร้างเครื่องปลูกสมุนไพรได้ และถ้าหากคุณจะสร้างของต่าง ๆ มากขึ้น คุณก็จะต้องไปซื้อสูตรทำน้ำยาที่หมู่บ้าน Hogsmeade ตัวห้องยังมีการจับสัตว์วิเศษต่าง ๆ ตามแผนที่ และเอากลับมาเลี้ยงภายในห้องของเราได้ด้วย ซึ่งเราก็จะต้องทำการแปรงขน และให้อาหารพวกมัน โดยสัตว์เหล่านี้ก็จะมีดรอปวัตถุดิปที่จะให้เราสามารถอัปเกรดสเตตัส หรือเพิ่มออฟชันบางอย่างให้กับชุดที่เราสวมใส่ได้นั่นเอง รวมถึงเรายังสามารถเพาะพันธุ์เหล่าสัตว์วิเศษ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ดีมาได้รวมถึงภายในและนอกโรงเรียนก็จะมีปริศนาให้เราทำเยอะมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการไปไล่หาตุ๊กตา Demiguise Moon เพื่อทำเควสเพิ่มเลเวลคาถาสะเดาะกลอนในห้องที่ล็อกอยู่เพื่อหาของสวมใส่ดี ๆ มาใช้ การทำปริศนา Merlin ซึ่งจะเพิ่มช่องเก็บชุดสวมใส่เป็นต้น การหา Field Guide Page ที่ในนั้นจะมีการบอกเล่าเรื่องราวของโรงเรียนฮอกวอสต์และภายนอกโรงเรียน และได้รับ EXP มากขึ้น การทำภารกิจขี่ไม้กวาดบินชนบอลลูนบนฟ้า เพื่อจะได้รับของพิเศษคือไม้กวาดลายใหม่ ๆ หรือจะสามารถไล่จับสัตว์วิเศษ เพื่อที่จะเอาไปเลี้ยง ในห้องต้องประสงค์ หรือจะเอาไปขายเอาเงินก็ได้เช่นกันความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เล่นเกม Hogwarts Legacy มาต้องยอมรับว่านี่คือเกมจากซีรีส์ Harry Potter ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าจะให้พูดว่าตัวเกมนั้นยอดเยี่ยมขนาดที่จะไปเปรียบเทียบสุดยอดเกม Open World อื่น ๆ อย่าง The Witcher 3, GTA V หรือ Red Dead Redemption 2 ไหมก็อาจจะต้องยอมรับว่าตัวเกมอาจจะยังไม่ได้ละเอียดถึงขั้นนั้น เพราะในแง่ของความมีชีวิตชีวาของเกมก็ยังไม่ได้มีให้เห็น หรือการแตกแขนงของเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับเกม The Witcher 3 ทั้งที่ตัวเกมน่าจะมีศักยภาพที่จะทำได้ ในด้านเนื้อเรื่องทางผู้พัฒนาก็ทำออกมาได้ในระดับที่ค่อนข้างดี มีเนื้อเรื่องหลายอย่างที่เล่าทั้งเควสหลัก หรือเควสของคู่หู  ซึ่งทั้งหมดก็มีความน่าสนใจในตัวของมันเอง รวมถึงเควสเสริมบางอย่างด้วย เสียดายที่ส่วนตัวอยากให้มันมีการแตกแขนงเรื่องราวและผลลัพธิ์ที่มากกว่านี้ แต่ในแง่ของเกมเพลย์ตัวเกมนี้ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ความเป็นเกม Action สุดมันส์ !! ก็ต้องจัดให้เกมนี้ยอดเยี่ยมระดับเทียบเท่ากับเกม Marvel's Spider-Man ได้เลย ทั้งระบบการต่อสู้ที่มีความท้าทายอย่างมาก (ยิ่งเล่นโหมดยากยิ่งสนุก) เราจะรู้สึกท้าทายทุกครั้งในการต่อสู้ รวมถึงคาถาต่าง ๆ ก็มีให้ใช้ได้หลากหลาย แน่นอนว่าบางคาถาผลลัพธิ์มันอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนั่นคือการสร้างดาเมจให้แก่ศัตรู แต่มันคือคาถาที่ใช้จริงในนิยาย Harry Potter ซึ่งแค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วและต้องยอมรับเลยว่า Hogwarts Legacy นั้นเป็นเกมที่ถูกสร้างมาเพื่อแฟน ๆ Harry Potter ที่แท้จริง เพราะผู้พัฒนาพยายามจะใส่หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมาเอาใจแฟน ๆ นิยาย และภาพยนตร์อย่างเต็มที่ โดยที่พวกเขาไม่มีการกั๊กอะไรเอาไว้เผื่อภาคต่อเลย นอกจากโรงเรียนฮอกวอตส์อันสวยงามที่จะให้คุณได้สำรวจได้แบบทุกซอกทุกมุมแล้วนั้น เขายังให้เราทำอะไรมากมายอีกหลายอย่าง คุณอยากไปหมู่บ้าน Hogsmeade ก็ให้ไป อยากให้ไปเลือกไม้กายสิทธิ์ร้าน Olivander ก็ได้เลือก อยากเลี้ยงสัตว์วิเศษ ขี่สัตว์ ขี่ไม้กวาด ปรุงยา ปลูกสมุนไพร คุณก็ได้ทำภายในเกมนี้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าบางระบบของเกมที่ใส่มาอาจจะไม่ลึกซึ้งก็เถอะ แต่แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมและเติมเต็มความฝันของแฟน ๆ มากเพียงพอแล้ว นี่ยังไม่นับตัวละครบางตัวที่เป็นบรรพบุรุษของตัวละครสำคัญในเรื่องราวในนิยายภาคหลักด้วยอย่างเช่นคนในนามสกุล Weasley หรือคนในนามสกุล Black เป็นต้น
12 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Wylde Flowers เสกคาถาทำฟาร์ม สืบเสาะเรื่องลึกลับ ไปในโลกแห่งเวทมนตร์
ระหว่างที่รอ Hogwarts legacy เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ ผู้เขียนไปไถ ๆ เจอเกมที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Wylde Flowers อ่านคอนเซปต์คร่าว ๆ ดูก็คือการผจญภัยไขปริศนาในเมือง Fairhaven มีการทำฟาร์ม ตกปลา หาแร่ควบคู่ไปด้วย ตัดสินเอาเองว่า"เออ ก็เกมปลูกผัก อีกเกมหนึ่ง อย่างนั้นสินะ"ไล่ ๆ ดู Trailer ต่าง ๆ ของเกมมีความสะกดจิต สะกดใจ ให้อยากซื้อมาเล่นมาก ๆ ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2022 เกมยังไม่เก่ามากด้วย เลยตัดสินใจหวดลงคลัง Steam มาลองเล่นดูครับ เล่น ๆ ไป กลับกลายเป็นว่านี่มันเปฺ็นเกมที่เน้นไปที่เนื้อเรื่อง การทำฟาร์มหรือระบบต่าง ๆ เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของเกม Wylde Flowers เท่านั้นเอง! เกมมันดันสนุกเพราะเนื้อเรื่องของเกม ที่เราต้องรับบทเป็นแม่มดหน้าใหม่ที่มารับไม้ต่อจากคุณย่าของเธอ เรื่องราวจะเข้มขนน่าติดตามขนาดไหน มาตามอ่านกันได้เลยครับเนื้อเรื่องน่าสนใจ ได้ผจญภัยในโลกเวทมนตร์Wylde Flowers เราจะได้รับบทให้เล่นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อ Tara ซึ่งในช่วงที่ Tara ยังเป็นเด็กอยู่นั้นเธอเคยมาเที่ยวเล่นที่ฟาร์มของคุณย่าครับ เมื่อมาถึงเมืองเธอจะคุ้น ๆ กับสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงผู้คนในเมืองด้วย มาถึงเราจะต้องไปแนะนำตัวกับนายกเทศมนตรีของเมือง Fairhaven และเราจะได้รับเควสแรกของเกมจากนายกเทศมนตรีของเมือง เราจะต้องไปแนะนำตัวกับชาวเมืองให้ครบทุกคน และกลับมารับรางวัลครับอยู่ไปอยู่มาตัวเกมจะเริ่มเฉลยปมตัวละครต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกันในเมือง Fairhaven เริ่มจากคุณย่า Hazel Wylde ซึ่งเป็นไม้ใกล้ฝั่งมาก ๆ จึงอยากให้ Tara Wylde มารับไม้ต่อในเรื่องฟาร์มของเธอครับ แต่จริง ๆ แล้วคุณย่ามีอะไรแอบแฝงมากกว่านั้น ซึ่งในเกม Tara จะต้องคอยตามสืบจนรู้ความจริง แต่เอาจริง ๆ เหมือนคุณย่าตั้งใจให้รู้ความลับซะมากกว่า เพราะต้องการให้ Tara มารับไม้ต่อทางด้านการเป็นแม่มดเพื่อปกป้องเมืองแทนเธอครับ (เจ้าคือทายาทคนต่อไป)ตัว Tara เองก็กลัวว่าจะทำฟาร์มต่อจากคุณย่าไม่ได้เพราะเธอไม่เคยทำงานหนักแบบนี้มาก่อน และก็ไม่เคยได้ฝึกการเป็นแม่มดมาเลย แต่ก็ได้ลั่นวาจาสัญญากับคุณย่าเอาไว้แล้ว ในเกมมีให้เราเลือกคำตอบได้ครับ และผมเลือกตอบสิ่งที่คุณย่าอยากได้ยินทั้งหมด เพราะพอจะเดาเรื่องเศร้าในเกมออก และคุณย่าจะสอนเราทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำฟาร์ม หรือการเป็นแม่มดก่อนที่คุณย่าจะจากไปตลอดกาลครับส่วนปมของ Tara ที่ยอมมาอยู่ที่เมือง Fairhaven ทั้ง ๆ ที่เธอชอบชีวิตในเมืองใหญ่มากกว่านั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องความรักของเธอ เธอบอกกับคุณย่าว่ากำลังจะแต่งงานกับคน ๆ นั้นอยู่แล้ว ทุกอย่างมันดีมาก แต่ตื่นมาวันหนึ่งเธอพบจดหมายจากว่าที่สามีของเธอว่าไม่ต้องการจะไปต่อกับเธออีกแล้ว! ซึ่งคุณย่าที่เป็นคนฟังก็บอกว่านั่นเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดมาก ๆ ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นด้วยกับคุณย่าแค่บางส่วนครับ ถ้าตอนรักกันยังเผชิญหน้าเพื่อบอกรักกันได้ การจากลากับใครสักคนเราก็ควรจะทำเช่นนั้นด้วย เพื่อให้โอกาสอีกคนได้มูฟออน และได้อ่านสีหน้าว่าเราไม่ได้รู้สึกกับเขาแบบเดิมอีกต่อไปแล้วจริง ๆ แต่ในบางกรณี ในโลกจริง ๆ นั้น คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจครับ การจะบอกเลิกใครก็ต้องดูนิสัยของคนรักของเราด้วย ว่าควรบอกต่อหน้าหรือไม่? โดนแทงขึ้นมาก็ไม่คุ้มเหมือนกันครับ ฮ่า ๆ (มีตัวอย่างให้เห็นในข่าว) เรื่องราวของ Tara ที่เราต้องไปตามสืบยังมีอีกเยอะแยะมากมายเลยครับ ผู้เขียนอยากให้เพื่อน ๆ ได้ไปเล่นและสืบเรื่องลึกลับด้วยตัวเอง ว่าใครเป็นพ่อมดแม่มดในเมือง Fairhaven บ้าง แล้วพวกเขาตั้งสมาคมลึกลับมาเพื่ออะไร? ใครเป็นตัวโกง? เพื่อน ๆ ต้องไปเปิดโปงบางอย่างด้วยตัวเอง ถ้าผมเล่าหมดนี่เพื่อน ๆ เล่นเองไม่สนุกแล้วนะฮะ ฮ่า ๆเกมเพลย์ไม่ได้หนักไปที่การทำฟาร์มจนเกินไปอย่างที่ผู้เขียนได้เล่าไปบ้างแล้ว เกมนี้การทำฟาร์ม การตกปลา การหาแร่ เป็นแค่ส่วนประกอบให้ได้เล่นสนุกระหว่างสืบความจริงเท่านั้นเองครับ เดี๋ยวผมจะไปขยายระบบของเกมแยกให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเป็นหัวข้อ หัวข้อ ไปนะครับ เพื่อน ๆ จะได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเนื้อหาของเกมค่อนข้างยาวและมีระบบต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะ ผู้เขียนยังปลดล็อกออกมาได้ไม่หมด ดังนั้นผมจะหยิบหยกแค่ระบบสำคัญ ๆ ของเกมมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน เนื้อหาต่าง ๆ จะได้ไม่ยาวจนเกินไปการปลูกพืช - เราสามารถซื้อพืชผักได้จาก Lina Dahl-Johnson การทำไร่ของเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราต้องขุดดินเพื่อปลูกพืชผักต่าง ๆ แต่เกมนี้เราจะต้องสร้างกระบะไม้เป็นบล็อกขึ้นมา เราต้องหาวัตถุดิบให้ครบแล้วสร้างกระบะที่โต๊ะคราฟต์ เมื่อสร้างเสร็จตัวเกมจะมีพื้นที่ให้เราจัดวางแบบจำกัดครับ ถึงแม้ตอนหลังเราจะอัปเกรดขยายพื้นที่ เราก็ยังมีพื้นที่ที่จำกัดอยู่ดี เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ที่ถูกนำมาวางขายในร้านของ Lina จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูในเกมครับ1 กระบะสามารถปลูกได้ 4 ต้น แต่ใช้เมล็ดจากที่เราซื้อมาจะนับแค่ 1 เช่น ผู้เขียนซื้อมะเขือเทศมา 4 ถุง จากร้านของ Lina แล้วนำมาปลูก เมล็ดจะถูกโยนลงกระบะของเราไป 4 เมล็ด แต่หักจากถุงมะเขือเทศของเราที่ซื้อมา 4 ถุง ไป แค่ 1 ถุงเท่านั้นครับ ผมล่ะอย่างชอบเลยไม่ต้องมานั่งปลูกทีละ 1 ต้นเหมือนเกมอื่น ๆ ตอนเราจะปลูกแค่เราเดินไปยืนชิด ๆ กับกระบะ จะมีสัญลักษณ์รูปต้นกล้าขึ้นมา เราก็กดแล้วเลือกเมล็ดพืชที่ต้องการปลูกครับ หลังปลูกเสร็จ เราสามารถกดดูเวลาได้ว่าพืชที่เราปลูกใช้เวลาโตกี่วัน หลัง ๆ เมื่อเราใช้เวทมนตร์ได้แล้ว เราสามารถปรุงน้ำยาในหม้อปรุง เพื่อมาเสกต้นไม้หย่นระยะเวลาให้โตไวขึ้น หรือเสกให้ได้ผลผลิต x2 ได้อีกด้วย ในส่วนของการใช้เวทมตร์เดี๋ยวผู้เขียนจะไปเขียนในหัวข้อแยกนะครับพืชบางอย่างที่นำไปแปรรูปเป็นสาธารณูปโภคประเภทอื่น ๆ เช่น Cotton เราต้องไปซื้อที่ Thomas Lightfoot ที่เป็นเพื่อนบ้านคนสนิทของตระกูล Wylde ของเรา ฟาร์มของเขาอยู่ด้านล่างฟาร์มของเราครับ เราสามารถเอา Cotton ไปทอเป็นผ้า เพื่อนำไปขายได้ แล้วได้เงินดีซะด้วย ผมใช้วิธีนี้ในการหาเงิน เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ จะถูกนำมาขายเปลี่ยนไปตามฤดูของเกมครับส่วนต้นไม้ที่ให้ผลต่าง ๆ เช่น ส้ม, มะนาว, หรือแอปเปิล เราต้องไปซื้อเมล็ดที่ Kai Hoapili ของจะไม่ได้มีตลอด ช่วงไหนเจอต้นไม้ก็ให้สอยมาไว้ได้เลย ข้อดีของต้นไม้ที่ให้ผลก็คือไม่ต้องรดน้ำ สามารถโตเองได้ เราไม่ต้องเสียเวลาไปดูแลอะไรมันมาก หาซื้อได้ทุกฤดูการรดน้ำของเกมนี้ในช่วงแรก ๆ ยังคงสร้างความเบื่อหน่ายให้เราเหมือนเกมปลูกผักเกมอื่น ๆ นั่นแหละครับ ฮ่า ๆ เรายังต้องเดินรดไปทีละกระบะอยู่ดี แต่หลังจากที่เราอัปเกรดบัวรดน้ำของเราแล้ว เราก็แค่ยืนที่กระบะกลางสุดแล้วเราก็กดรดน้ำ กระบะด้านซ้ายและขวาของเราจะถูกรดไปด้วย มหัศจรรย์จริง ๆ เมื่อน้ำหมดและเราต้องการจะเติมน้ำ ถึงแม้จะมีแม่น้ำเยอะแยะรายล้อมมากมาย แต่เราก็ไม่สามารถเดินเอาบัวรดน้ำของเราไปจุ่มเพื่อเติมน้ำจากแม่น้ำลำธารต่าง ๆ ได้ เกมนี้เราสามารถเติมน้ำได้ที่บ่อน้ำเท่านั้น และมีเพียงบ่อเดียวอยู่ที่แปลงผักเริ่มต้นของเราครับการตกปลา - เราจะได้อุปกรณ์ตกปลาหลังจากที่เราไปคุยกับลุง Bruno Soft บอกเลยตาลุงคนนี้สร้างความเชื่อให้ผมว่าจริง ๆ แล้วแกเป็นพ่อมด แต่ที่ไหนได้ไม่ได้ใกล้เคียงเลยยยยยย ผมใบ้ ๆ แค่คนนี้นะ คนอื่นผมไม่บอกหรอก ฮ่า ๆ พอเราได้เบ็ดมาแล้ว เราสามารถนำไปตกปลาในทะเลก็ได้ ลำธารก็ได้ ทะเลสาบก็ได้ แต่การตกปลาเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราสามารถยืนตกตรงไหนก็ได้ Wylde Flowers จะมีจุดตกครับ ให้สังเกตจากเงาของปลา ตรงไหนเงาของปลาขึ้นให้ไปยืนตรงนั้น มันจะมีสัญลักษณ์ตะขอเบ็ดขึ้นมา แสดงว่าเราสามารถตกปลาตรงนั้นได้ปลาที่ให้ตกมีไซส์เล็ก ไซส์กลาง ไซส์ใหญ่ และสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากปลา ให้เราสังเกตจากเงาของปลาในน้ำ เล่นไปเรื่อย ๆ จะเข้าใจได้เองว่าเงาไหนจะได้อะไรครับ และที่สำคัญเกมนี้ต้องใช้เหยื่อในการตกปลา หาซื้อได้ที่ลุง Bruno อีกเช่นกันครับแผนที่ - ในเกมเราต้องทำเควสตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ บางสถานที่จึงจะปลดล็อกให้เราครับ และบางส่วนเราสามารถเดินสำรวจเพื่อปลดล็อกได้เลย พอเราปลดล็อกแล้วก้อนเมฆในแผนที่ก็จะหายไปครับตรงนี้ผมก็อยากให้หาชาวเมืองได้แบบ Coral island อยู่เหมือนกัน เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าใครอยู่ตรงไหน และถึงแม้ว่าเรารู้จักบ้านตัวละคร แต่บ้านตัวละครเกมนี้เข้าไปในบ้านไม่ได้ ต้องรอให้ตัวละครเดินออกจากบ้านมาก่อน ดีนะที่เกาะไม่ได้กว้างมาก ไม่งั้นเดินกันขาฉีกเลยครับ ฮ่า ๆการขุดแร่ - พอเล่นไปเรื่อย ๆ Natalia Kuznetsova จะเดินมาบอกเราว่าให้ไปหาวัตถุดิบให้กับ Parker Johnson เพื่อซ่อมแซมทางเข้าเหมืองที่พังครับ หลังจากซ่อมเสร็จ Natalia จะให้ Pickaxe เรามา ส่วนพลั่ว (shovel) นั้นเราต้องเก็บเงินเพื่อซื้อกับ Natalia เองครับ แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันเมื่อเข้าไปในเหมืองแล้วจะมีหินให้เราขุดหาแร่ เราก็ใช้ Pickaxe ที่เราได้จาก Natalia นั่นแหละครับขุดไปเรื่อย ๆ ถ้าเราอยากลงชั้นต่อไป เราก็ต้องขุดไปจนกว่าจะเจอกุญแจ ช่วงแรกเราจะขุดได้สูงสุดถึงแค่ชั้น 14 เท่านั้น จะต้องรอเนื้อเรื่อง เราถึงจะได้กุญแจชั้น 15 ครับแร่ต่าง ๆ จะมี Iron (เหล็ก), Copper (ทองแดง), Silver (เงิน), Gold (ทอง) และไอเทมชนิดอื่น ๆ ที่ไว้ทำเครื่องประดับ หรือเป็นส่วนผสมในการทำอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ทราย หรือดินเหนียว (ต้องเอาพลั่ว Shovel ไปขุด)เราสามารถนำแร่ที่ได้มาไปหลอม หรืออัปเกรดได้ที่ร้าน Natalia ครับเควส - เควสต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการขอความช่วยเหลือจากชาวเมืองครับ และเควสจากสมาคมลึกลับของเรา ที่เราจะต้องคอยไปทำเควสเพื่อฝึกการเป็นแม่มดของเรา ส่วนใหญ่เควสต่าง ๆ จะมีมาให้ตามเนื้อเรื่องที่เราเล่นไปถึง ทำเสร็จก็จะปลดล็อกระบบต่าง ๆ อย่างเช่น การลงเหมืองชั้น 15 หรือการไปเมืองคู่ขนานอย่าง Ravenwood Hollow ส่วนเควสรองจะอยู่ที่กระดานทั้ง 2 เมือง รางวัลก็จะได้เป็นเงินและค่าความสนิทสมาคมลับ - อันนี้คือส่วนสำคัญของเนื้อเรื่องเลยครับ คุณย่าของเราลากเรามาที่เมืองก็เพราะเรื่องนี้ เนื่องจากคุณย่าของเราต้องการผู้สืบทอดในตำแหน่งของตัวเอง ช่วงแรกที่เข้าไปเราจะยังได้ตำแหน่ง Novice อยู่ สังเกตได้จากที่เพื่อน ๆ ในสมาคมเรียกเรา เราจะต้องทำเควสต่าง ๆ ที่ทางสมาคมมอบให้เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและไว้ใจ เมื่อคนใดไว้ใจเราแล้วเขาจะเผยโฉมให้เรารู้ว่าเขาเป็นใครครับ ความสนุกจะเริ่มจากตรงนี้ที่เราต้องไปไขปริศนานี่แหละ ว่าคนที่เราได้รับเควสมาเป็นใคร เราจะต้องเอาของที่เขาสั่งทำจากตอนกลางคืนในสมาคมลับของเราไปให้เขาในตอนกลางวัน และบอกเขาว่า"ฉันเนี่ยมั่นใจเลยแหละว่าเธอเป็นพ่อมดหรือแม่มดในสมาคม" ถ้าทายผิดของก็จะหายไป ต้องไปทำมาใหม่และหากันใหม่ ถ้าทายถูกเขาจะเผยโฉมให้เราเห็นในตอนกลางคืนเมื่อเราไปสมาคม และเราจะได้รับของเควสคืนครับ พวกเขาเป็นใครกันนะ? เพื่อน ๆ ต้องไปหาคำตอบเอาเองนะครับ ผู้เขียนจะไม่ลงรูปเยอะ เดี๋ยวรู้กันหมดแล้วจะเล่นกันเองไม่สนุก แต่ผมน่ะรู้แล้วแต่ไม่บอกหรอก อิอิอิการซื้อขาย - Wylde Flowers จะไม่มีกล่องให้เราโยนวัตถุดิบเหมือนเกมอื่น ๆ เพื่อขายของครับ เราต้องนำของที่ได้ไปขายตามร้านของตัวละครต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และแต่ละร้านจะรับซื้อของไม่เหมือนกันครับ เช่น ร้านของ Lina Dahl-Johnson จะรับซื้อผลผลิตต่าง ๆ ที่ได้จากฟาร์มเรา แบบที่กินได้ อย่างเช่น ไข่ไก่, ผัก, ผลไม้, หรือนมวัว เป็นต้นร้านของ ตาลุง Bruno จะรับซื้อปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ประมาณนี้ครับ และเมื่อเราขายของให้ NPC เยอะเท่าไหร่ ตัวเกมจะมีเกจปลดล็อกของขายในร้านของตัวละครด้วยครับ จะมีดาวบอกทางขวามือว่าเราปลดล็อกร้านค้าของ NPC ร้านนี้ถึงระดับไหน มีตั้งแต่ไม่มีดาวไปจนถึง 5 ดาวกันเลย พอครบ 5 ดาวแล้วจะมีของขายในร้านที่หลากหลายขึ้นครับการทำอาหาร - ไม่ต้องหาซื้อเครื่องครัวให้วุ่นวาย เพราะคุณย่าซื้อไว้ให้หมดแล้ว ทำอาหารกันได้ตั้งแต่เริ่มเกมกันเลยครับ เพียงแค่เราต้องไปหา Recipe (สูตรอาหาร) จากที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การตกปลา, ขุดดินบนเขา, ซื้อจากร้านต่าง ๆ ของตัวละครในเมือง, หรือแม้แต่เปิดหีบในเหมือง เราจะมีโอกาสได้รับสูตรอาหาร อาหารแต่ละอย่างก็เพิ่มเกจพลังงานแตกต่างกันไปครับ และอาหารเราต้องพกไว้ตลอดเนื่องจากเกมนี้พลังงานในช่วงแรก ๆ หมดค่อนข้างไวนอกจากเพิ่มพลังงานได้แล้ว เราสามารถนำอาหารไปให้ของขวัญกับชาวเมืองเพื่อเพิ่มหัวใจได้ด้วยครับ ถ้าเราให้ของที่เขาชอบมาก ๆ รูปอาหารจะไปแสดงในประวัติส่วนตัวของตัวละครนั้น ๆ ด้วยครับว่าเขาเลิฟอะไรเวทมนตร์เพิ่มบัฟ - คุณย่าจะแกล้ง ๆ หลุดความลับว่ามีประตูอยู่ใต้พรมครับ แล้วมันก็จะสร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับ Tara เหลือเกิน จนคุณย่าจะต้องทำเป็นเผยความลับ ฮ่า ๆเมื่อลงไปในห้องใต้พรมจะมีหม้อของเราตั้งอยู่ตรงกลางห้องเลยครับ (คุณย่าบอกว่านั่นคือหม้อปรุงยาประจำตัวของเรา) คุณย่าและพ่อมดแม่มดในสมาคมลับจะคอยสอนวิธีปรุงยาให้เราครับ บัฟต่าง ๆ เช่น วิ่งเร็วขึ้น, หรือเก็บของเข้ากระเป๋าให้เราเลย จะไม่อยู่ถาวร แต่จะเพิ่มความสามารถให้เราแค่ 4 วันเท่านั้น หลังจากนั้นต้องไปผลิตใหม่ หรือเราจะหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตไว้เยอะ ๆ ก็ได้ครับ แล้วมาผลิตรวม ๆ กันทีเดียวจะได้มีใช้เรื่อย ๆในห้องใต้พรมจะมีโต๊ะคราฟต์อุปกรณ์ครับ เราสามารถสร้างอุปกรณ์ผลิตเวทมนตร์ของเราไปเรื่อย ๆ ได้ตามเควสที่สมาคมลับมอบหมายให้เราทำได้เลย และการใช้เวทมนตร์ทุกครั้งจะมีเกจสีม่วง เราใช้หมดหลอดเมื่อไหร่เราจะไม่สามารถผลิตของเกี่ยวกับเวทมนตร์เพิ่มขึ้นได้ เราต้องนำของไปบริจาคในหม้อของสมาคมของเราเพื่อเติมเกจเวทมนตร์ ใช้ดอกไม้จะเพิ่มพลังงานให้เราได้เยอะที่สุด ส่วนถ้าใครขี้เกียจเดินไปสมาคมบ่อย ๆ สามารถคราฟต์ของมึนเมาต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเกจเวทมนตร์ได้ แต่เกจค่าพลังงานการใช้ชีวิตของเราจะลดลงไปด้วยสัตว์เลี้ยง - มาถึงข้อนี้ผู้เขียนเริ่มเหนื่อยล้า ระบบเยอะแยะมากมายไปหมด ฮ่า ๆ มาพูดถึงน้องแงวววว ตัวเดียวที่มีอยู่ในเกมดีกว่า เราต้องหมั่นคอยให้ความรักกับน้องทุกวันครับ ช่วงแรกผู้เขียนก็ยังไม่รู้ว่าน้องมีประโยชน์อะไรพอเล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ เท่านั้นแหละครับ อ๋อ!!! น้องมีไว้สิงเพื่อไปสืบเรื่องราวต่าง ๆ ในเมือง ใช่ครับ Tara ของเราจะเสกตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวน้อนแมว วิ่งอย่างแว้นเลย ผมเลยชอบให้ Tara สิงน้อนแต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องสร้างความคุ้นเคยจนสนิทสนมกับน้องก่อน ถึงเวลาเล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ สมาคมจะให้เราถามน้องว่าน้องยินดีจะร่วมเดินทางไปกับเราไหม ถ้าน้องรักเราแล้วน้องก็จะยินยอมแต่โดยดีครับ ในส่วนนี้จะเชื่อมโยงกับเวทมนตร์บัฟ เพราะเราต้องสร้างใบสกิลที่ห้องใต้พรมเพื่อสิงน้องครับ (นี่แม่มดหรือผี ฮ่า ๆ ๆ)ปศุสัตว์ - ในส่วนนี้ตอนแรกจะไม่สามารถใช้งานได้นะครับ จะมีโรงนาพัง ๆ อยู่บริเวณพื้นที่ของเรา และต้องเล่นเกมไปเรื่อย ๆ จนกว่าเกมจะมีเควสมาให้สร้างโรงเลี้ยงไก่ เราก็ต้องไปฟาร์มหาวัตถุดิบให้ครบตามจำนวน แล้วเอาไปให้ Parker สร้างให้เราครับ หลังจากสร้างเสร็จเควสก็จะนำพา Marty Emerson สุดจะกวนบาทาเราตลอดเวลาเข้ามาอยู่ในเมือง เราต้องหาวัตถุดิบตามคำร้องขอของนายกเทศมนตรีของเมือง และ Thomas สร้างโรงนาให้กับ Marty ครับเมื่อ Marty ย้ายเข้ามาเขาจะจ่ายเงินค่าสร้างโรงนาให้เราครึ่งหนึ่งและจะขายไก่ตัวแรกให้กับเรา เขาจะพูดจากวนประสาทเราและถามเราว่าอยากตั้งชื่อไก่ตัวแรกว่าอะไร ซึ่งผมตอบไปว่า Marty ครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆซึ่งหลังจากเราสร้างโรงเลี้ยงไก่แล้ว เควสจะมีให้เราสร้างโรงนาสำหรับเลี้ยงวัวอีกครับ และเราสามารถซื้อวัว แกะ และอาหารสัตว์ได้ที่ตา Marty เช่นกันการเลี้ยงสัตว์ของเกมนี้ก็เหมือนกับเกมอื่น ๆ เราต้องให้อาหาร ให้ความรัก ซึ่งผมเลือกเลี้ยงแค่อย่างละสองตัวเท่านั้น เพราะใช้เวลาให้อาหารและแสดงความรักค่อนข้างนาน ผลผลิตก็ขายได้ราคาไม่แพง เพราะส่วนใหญ่ต้องไปใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารให้เราซะมากกว่าฤดูกาล - เกมนี้ฤดูกาลจะไม่เปลี่ยนไปแบบอัตโนมัติ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทางสมาคมลับของเราเริ่มรู้สึกว่าเราควรเปลี่ยนฤดูได้แล้ว หัวหน้าสมาคมจะแจ้งให้เราทำครับ โดยจะมีเควสเปลี่ยนฤดูมาให้ ส่วนเราต้องไปเตรียมวัตถุดิบให้ครบ เพื่อที่จะให้พ่อมดและแม่มดของเมืองเรา มารวมตัวกันเพื่อร่ายเวทย์เปลี่ยนฤดูครับ ส่วนถ้าเรายังไม่พร้อมเปลี่ยนก็เล่นเพื่อสะสมวัตถุดิบต่าง ๆ ของฤดูเดิมไปก่อนจนกว่าจะพอใจแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้ครับRavenwood Hollow - เป็นเมืองที่ภูติ หรือสัตว์ในเทพนิยายอาศัยอยู่ Tara โดนวาร์ปไปเมืองนี้โดยบังเอิญ และพยายามหาทางกลับมาเมืองนี้ด้วยตัวเองอีกครั้ง นั่นคือการซ่อมแซมเรือเก่าของคุณย่าของเธอเพื่อไปเมือง Ravenwood Hollow สิ่งมีชีวิตในเทพนิยายก็จะช่วย Tara ซ่อมไม้กวาดของคุณย่าให้กลับมาบินได้ (ต้องเล่นตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ ก่อน) Tara พยายามถามว่าเมืองนี้คือส่วนหนึ่งของ Fairhaven ใช่ไหม ชาวเมืองของเมืองนี้ก็จะตอบว่าไม่ใช่ มันไกลกว่านั้น แต่ Fairhaven เป็นประตูมิติที่เปิดทางมาที่นี่ เมืองนี้ก็จะมีเควสสำคัญต่าง ๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์ให้เราทำตลอด ส่วนใครอยากได้แฟนเป็นมนุษย์หมาป่า สามารถมาจีบ Westley Vuk ได้ที่เมืองนี้ครับ ตัวละครนี้จะโผล่มาตอนงานศพคุณย่าของเราสรุปโอ้โห! นี่แค่คร่าว ๆ นะครับ ตัวเกมยังมีระบบอีกเยอะมาก ๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้หยิบมาพูดถึงเพราะผมเองก็ยังเล่นไปไม่ถึงตรงนั้นอย่างเช่น ระบบแต่งงานของตัวละคร แต่จากการคาดเดาคือ ชาวเมืองที่มีหัวใจ 7 ดวง สามารถจีบเพื่อมาเป็นสามีหรือภรรยาเราได้ ผู้พัฒนาเกมนี้สนับสนุนเรื่องเพศหลากหลาย (LGBTQ+) เราสามารถแต่งงานกับตัวละครเพศใดก็ได้ ผู้เขียนชอบที่ Dev ใส่ตรงนี้เข้ามาด้วยครับ และเพิ่มความแฟนตาซีลงไปโดยที่เราสามารถแต่งงานกับมนุษย์หมาป่าก็ได้ เจ๋งเป๋งไปเลย (ขออินแบบ Y2K ฮ่า ๆ)ตัวเกมไม่สร้างความเสียเวลาในการปลูกผักทำฟาร์มมากมาย เหมือนเป็นแค่ส่วนเสริมเพื่อมีเอาไว้ผลิตวัตถุดิบให้เราไปใช้กับเควส, การทำอาหาร, การปรุงยาบัฟตัวละคร, หรือการนำไปคราฟต์ของเพื่อนำไปขายให้ NPC ซึ่งพอทุกสิ่งเหล่านี้มันเชื่อมโยงกันมันก็ทำให้เกิดความสนุกในการเล่นเกมมาก ๆ เราไม่ต้องไปใส่ใจกับการทำฟาร์มมาก เพราะเราจะสนใจเนื้อเรื่องของเกมมากกว่าครับ ระบบต่าง ๆ ในเกมเหมือนมีไว้เพื่อให้เราและ Tara ใช้ในการผ่านเควสและเรื่องราวภายในเกม ผลผลิตต่าง ๆ ที่ได้ก็จะใช้ปรุงยา ทำใบเวทมนตร์ ให้เรานำไปใช้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่เนื้อเรื่องของเกมก็สนุก มีให้แก้ปริศนาและค่อย ๆ คลายปมตัวละคร ให้เราได้ไขความลับว่าพ่อมดแม่มดในผ้าคลุมคนนี้คือใครในเมือง ให้เราผลิตใบเวทมนตร์ต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนฤดู หรือนำไปใช้ประโยชน์ในการปลูกพืช ขุดแร่ หรือแม้แต่เปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืน ขนาดเสกฝน Tara ก็ทำมาแล้ว คือตอนแรกผู้เขียนเห็นเกมมันไซส์เล็กนิดเดียวก็ไม่คิดว่าจะดูดวิญญาณผมได้ขนาดนี้เหมือนกันราคาก็ไม่แพงวางขายอยู่ใน Steam เพียง 319 บาทเท่านั้นเอง ใครอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้ ต้องซื้อมาเล่นเองแล้วแหละครับ บอกเลยเพื่อน ๆ จะไม่เสียดายเงินแน่นอน การเดินเรื่องต่าง ๆ ทำให้คนเล่นอย่างเราอยากรู้มาก ๆ ว่าจะเป็นยังไงต่อ การคลายปมแต่ละอย่างทำได้ดี มีให้ได้ลุ้นตลอด บางทีก็ไม่คิดว่าคน ๆ นี้จะเป็นพ่อมดก็ดันมาเป็นกับเราด้วย ฮ่า ๆส่วนใครไขปริศนาไม่เก่งเกมนี้ก็มีแฟน ๆ ทำข้อมูลต่าง ๆ ลงเว็บไซต์ fandom wiki ไว้ให้ได้หาข้อมูลกันด้วยครับ https://wylde-flowers.fandom.com/wikiสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1896700/Wylde_Flowers/
04 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Dead Space Remake การกลับมาทวงบัลลังก์ของตำนาน Sci-fi สยองขวัญ
ถ้าให้พูดตามตรงหนึ่งในธีมเกมที่ไม่เคยตกยุค และได้รับความนิยมในทุกยุคทุกสมัย เราเองก็ต้องพูดถึงเกมสยองขวัญต่าง ๆ ซึ่งผู้พัฒนาแต่ละคนก็ได้สร้างเรื่องราวสุดสยองขวัญอันมากมายของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการหนีจากซอมบี้ของเกม Resident Evil, หนีจากปีศาจร้ายอย่าง Silent Hill และถ้าจะให้พูดถึงเกมสยองขวัญที่เราจะต้องเอาตัวรอดจากมนุษย์กลายพันธุ์สุดโหด เชื่อว่าหนึ่งในเกมที่สร้างความกลัวให้เราอย่างมาก ชื่อของ Dead Space ภาคแรกในปี 2008 ก็น่าจะอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน กับการที่คุณจะต้องเอาตัวรอดในสถานีอวกาศที่มีพื้นที่อันคับแคบ และสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะโผล่มาฆ่าคุณทุกเมื่อ ซึ่งตัวเกมได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ คะแนนบนเครื่อง PC จากนักวิจารณ์บนเว็บไซต์ Metacritic ได้คะแนนสูงถึง 89/100 เลยทีเดียวและถึงแม้ว่าภายหลังจากสตูดิโออย่าง Visceral Games จะถูกปิดตัวลงไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทางเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง EA ก็ได้ตัดสินใจที่จะ Remake เกมนี้อีกครั้ง โดยให้ทางสตูดิโออย่าง Motive Studio ที่เคยสร้างเกมอย่าง Star Wars Battlefront II มาเป็นผู้ชุบชีวิตเกมนี้กลับมาอีกครั้ง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Dead Space Remake จะดีงามเหมือนต้นฉบับอีกหรือไม่!?กราฟิก / การนำเสนอสำหรับ Dead Space Remake ทางผู้พัฒนาได้สร้างตัวเกมขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยขุมพลังอย่าง Frostbite Engine โดยเราจะได้เห็นกราฟิกที่สมจริงมากขึ้น มีแสงเงาที่ทำออกมาได้ดีมากขึ้น ซึ่งจากที่ได้เล่นมาในด้านกราฟิกทางผู้พัฒนาทำออกมาได้ดีมาก ๆ และทำให้บรรยากาศของเกมน่ากลัวกว่าเดิมมากพอสมควร ซึ่งถ้าหากใครที่เคยเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันดั้งเดิมมาก่อน ท่านจะทราบว่าภาพของตัวเกมจะมีความสว่างในระดับหนึ่ง แต่ในเกม Dead Space Remake ในค่า Preset ของ Brightness ที่ถูกตั้งเข้ามาระดับ 50% ตัวเกมจะมีความมืดมากกว่าเดิมเยอะมาก ซึ่งมันเพิ่มบรรยากาศความน่ากลัวของเกมในระดับหนึ่งเลย (แต่ถ้าหากใครที่อยากได้ภาพที่สว่างเหมือนเวอร์ชันปกติ ท่านอาจจะปรับ Brightness ให้เป็น 75 - 100% ก็ได้เช่นกัน)หรือจะเป็นในด้านของบรรยากาศอื่น ๆ โดยรวมไม่ว่าจะเป็นด้านเสียงรอบทิศทางที่ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่ากำลังอยู่คนเดียว เพลงประกอบอันน่าตื่นเต้น หรือจะเป็นสคริปต์ของเหล่าศัตรูที่บางครั้งก็จะโผล่ออกมาโจมตีเราแบบไม่ทันตั้งตัว บางตัวอยู่ดี ๆ ก็กระโดดขึ้นไปบนเพดานและโผล่มาโจมตีเราในอีกทางก็มี หรือจะเป็นศัตรูบางตัวที่เราไม่สามารถฆ่ามันได้ เราทำได้เพียงแค่หนีเท่านั้นซึ่งมันก็เป็นอีกวิธีที่สร้างความกลัวได้เช่นกัน โดยก่อนหน้านี้มีผู้อำนวยการด้านเทคนิคของเกมนี้อย่างคุณ David Robillard ได้กล่าวว่าตัวเกมนั้นน่ากลัวเกินไปที่จะเล่นตอนกลางคืนและใส่หูฟังเล่น ซึ่งเขานั้นไม่ได้พูดเกินจริงเลยแต่สิ่งเดียวที่ไม่ชอบเกี่ยวกับหัวข้อนี้ก็คงจะเป็นในด้านของการ Optimise และการกินสเปกของเกมที่มันค่อนข้างกิน CPU ที่หนักมาก ๆ โดยตัวเกมต้องการสเปกขั้นต่ำก็คือ Ryzen 5 2600x หรือ Core i5 8600 ซึ่งสำหรับผู้เขียนนั้นใช้ CPU เพียงแค่ Core i5 8400 กับการ์ดจอ RTX 2070super ซึ่งเวลาเล่นถึงแม้ว่าจะรันเกมได้แต่มันก็จะเกิดอาการเกมกระตุกเป็นช่วง ๆ เพราะประมวลผลไม่ทัน (แต่พอเล่นได้ด้วยกราฟิกระดับ Low) แน่นอนว่าหลาย ๆ คนอาจจะโทษตัวผมเองที่เอาสเปกคอมรุ่นเก่ามาเล่น แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่าเกมทั่วไปในสมัยนี้หลาย ๆ เกม มันก็ยังไม่ได้กินสเปกโหดขนาดนี้เลย เหตุผลมันก็อาจจะเป็นเพราะตัวเกมไม่ได้มีการโหลดฉากใด ๆ ในเกมเลย ทำให้ตัวเกมอาจจะต้องประมวลผลตลอดเวลา ซึ่งถ้าท่านอยากจะซื้อเกมเวอร์ชัน PC ตรวจสอบให้ดีว่าคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านขั้นต่ำหรือไม่!? หรือทางที่ดีถ้าหากมี PS5 หรือ Xbox Series X/S แนะนำให้เล่นบน Console ดีกว่าเนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของ Dead Space Remake ก็จะยังคงเหมือนกับเวอร์ชันต้นฉบับทุกอย่าง โดยจะติดตามตัวละครอย่าง Isaac Clarke วิศวกรอวกาศที่ได้รับหน้าที่ในการเข้าไปยังยานอวกาศ USG Ishimura เพื่อซ่อมแซมระบบ แต่ถึงพอเข้ามาเขาและทีมจะต้องพบเจอกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เข้ามาไล่ล่าสังหารพวกเขา ซึ่งมันก็ทำให้เขาจะต้องหาทางรอดให้ได้ ซึ่งจากที่ได้อ่านพล็อตคร่าว ๆ พูดตามตรงตัวเกมมันก็มีเนื้อเรื่องที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์สยองขวัญต่าง ๆ ที่โยนผู้เล่นไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราไม่เข้าใจพร้อมกับมีสิ่งมีชีวิตปริศนาคอยไล่ล่า ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์อย่าง Alien ซึ่งเรื่องราวโดยรวมเราก็จะได้ติดตามตัวละครเอกที่จะต้องเอาชีวิตรอดไปเรื่อย ๆ มีภารกิจบางอย่างกับผู้รอดชีวิตคนอื่น พร้อมเรื่องราวก็ค่อย ๆ เฉลยมากยิ่งขึ้นแน่นอนว่าเรื่องราวโดยรวมอาจจะมีการวางหลวม ๆ และเน้นการผจญภัย การเอาตัวรอดในด้านเกมเพลย์เป็นหลัก แต่ถ้าหากเราอยากเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ของเกมมากขึ้น เราเองก็อาจจะต้องหาอ่านเอกสารของเกมที่พบเจอได้ตลอดเวลา ซึ่งมันก็จะทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับเกมมากยิ่งขึ้นทั้งสิ่งมีชีวิตปริศนานี้คืออะไร มาจาไหน เรื่องราวของสถาปัตยกรรมต่างดาวต่าง ๆ รวมถึงยังมีการใส่ปมเกี่ยวกับตัวละครเอกเข้ามาอีก ซึ่งถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของเกมจริง ๆ ตัวเกมมันก็มีเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้น่าสนใจพอสมควรเลยส่วนปัญหาเดียวก็อาจจะเป็นเนื่องจากตัวเกมนี้ได้คงการเล่าเรื่องแบบคลาสสิคดั้งเดิมเอาไว้ ทำให้ตัวเกมไม่ได้มี Cutscene ให้เราติดตามเนื้อเรื่องจริง ๆ จัง ๆ แต่ส่วนใหญ่การเล่าเรื่องก็จะมาจากบทสนทนาผ่านวิทยุของตัวเอกและตัวละครอื่นเป็นต้นเกมเพลย์ในด้านเกมเพลย์สำหรับใครที่เคยเล่นเกม Dead Space เวอร์ชันดั้งเดิมมา แน่นอนว่ารูปแบบเกมเพลย์มันก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ถึงอย่างนั้นระบบการเล่นของมันก็ไม่ได้มีความตกยุคแต่อย่างใด แต่ต้องยอมรับเลยว่าทางผู้พัฒนาที่คิดเกมนี้ในสมัยก่อนนั้นวางระบบการเล่นของเกมมาดีมาก โดยตัวเกม Dead Space จะอยู่ก้ำกึ่งระหว่างเกม Survival และกลิ่นอายความเป็น Action อยู่เล็กน้อย โดยภายในเกมนี้ตัวเกมจะไม่ใจร้ายกับเหล่าผู้เล่นเหมือนเกมสยองขวัญอื่น ๆ ที่จะต้องประหยัดกระสุน บริหารกระสุนให้ดี เพราะตัวเกมค่อนข้างมีกระสุนแจกเราอยู่มากพอสมควร แน่นอนว่าเราก็อาจจะต้องบริหารบางส่วนด้วย เพราะเวลาคับขันอาจจะลำบากได้ แต่กระสุนมันก็มีให้เราได้ใช้มากมาย แถมยังหาซื้อได้อีกด้วยแต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่มันต้องแลกมาด้วยความเท่าเทียมก็คือศัตรูที่มักจะแห่มากันทีหลาย ๆ ตัว ซึ่งมันจะสามารถผลาญกระสุนพอมากพอสมควร รวมถึงศัตรูแต่ละตัวก็มีดาเมจที่แรงและโหดมาก ๆ โดยผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้ในระดับกลาง มอนส์เตอร์ระดับธรรมดาก็สามารถฆ่าเราได้ด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ทีเท่านั้น ทำให้ความน่ากลัวของเกมนี้นอกจากบรรยากาศความหลอนแล้วนั้น ความกลัวที่จะถูกโจมตีจนตายมันก็สร้างความสยองขวัญได้ดีไม่แพ้กันและหนึ่งในลูกเล่นของเกมนี้ที่ทำให้เรารู้สึกไม่เบื่อเลยก็คงจะเป็นอาวุธต่าง ๆ ของเกมที่มีให้เลือกเล่นกว่า 6 ชิ้นซึ่งมันจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นปืนพลาสม่า ปืนไฟ ปืนกล ปืนยิง Beam หรืออื่น ๆ อีกมากมาย แถมปืนแต่ละชนิดก็จะมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันไปอีก อยากเช่นปืนกลที่สามารถยิงลูกระเบิดได้ ปืนไฟสามารถยิงลูกไฟไปในระยะไกลได้ด้วย รวมถึงเรายังสามารถอัปเกรดอาวุธต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มดาเมจ บรรจุกระสุนเพิ่ม ลดรีโหลดกระสุน หรือเราจะสามารถซื้อของปรับแต่งอาวุธนั้น ๆ ให้เราสามารถอัพเกรดความสามารถมากขึ้นไปอีกก็ได้เช่นกัน รวมถึงยังมีอุปกรณ์จากถุงมือของเราไม่ว่าจะเป็นพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ หรือจะเป็นพลังที่เอาไว้ศัตรูติดสโลว์โมชันก็มี ซึ่งมันทำให้ไม่เบื่อเลยนอกจากนี้ในระหว่างการเดินทางเราก็จะมีโอกาสในการหาเงินจากพื้นที่ต่าง ๆ หรือของเอามาขายในร้านค้า ซึ่งตัวร้านค้าก็จะมีของอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็นการซื้อกระสุน ยาเพิ่มเลือด (ที่อาจจะต้องหาซื้อมากกว่ากระสุนอีก) ชุดเกราะต่าง ๆ หรือแม้แต่เราจะสามารถซื้อของแต่งปืนในร้านค้าก็ได้เช่นกันความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เล่นมาตัวเกม Dead Space Remake ก็จะยังคงความน่ากลัวตามแบบฉบับเดิมไว้เป๊ะ แน่นอนว่าคนที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดั้งเดิมมาแล้ว ต้องยอมรับว่ามันแทบไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใดในด้านเกมเพลย์ แต่สิ่งที่ทำให้ส่วนตัวทึ่งก็คงจะเป็นในด้านของบรรยากาศที่น่ากลัวมาก ๆ หรือจะเป็นการเล่นในด้านความมึดของเกมที่ผมมองว่าต่อให้คุณเคยเล่นเกมเวอร์ชันแรกมาแล้ว คุณไม่เคยพบเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อนแน่นอน ในด้านเกมเพลย์พูดตามตรงว่าทางผู้พัฒนาดีไซน์มันออกมาโดยไม่มีที่ติเลย ทั้งอาวุธที่มีให้เล่นเยอะ มันทำให้เรามีความหลากหลายในการเล่น ไม่เบื่อกลางคันเลย ความโหดของศัตรูที่จะทำให้เราจะต้องระมัดระวังในการเดินแต่ละครั้ง เพราะไม่รู้ว่าศัตรูจะเข้ามาหาเราเมื่อไร การบริหารทรัพยากรถึงแม้ว่าภายในเกมเราก็ก็ยังจะต้องทำ แต่มันก็ไม่โหดร้ายถึงขนาดที่คุณจะต้องประหยัดกระสุนให้ได้ทุกนัด (ยกเว้นแต่คุณจะเล่นระดับยาก) สิ่งเดียวที่รู้สึกติดก็คงจะเป็นการที่ตัวเกมใช้สเปกในการเล่นที่สูงมากเกินไปนิด แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ก็สามารถที่จะเล่นเกมนี้ได้อย่างสบาย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็กินสเปกมากกว่าเกมในสมัยนี้ทั่วไปในระดับหนึ่งเลย และทำให้ตัวผู้เขียนกลับมาย้อนคิดแบบงง ๆ ว่า เอ๊ะ !! คอมเรามันเก่าไปแล้วหรือนี่ !? แต่บางเกมที่เคยเล่นไม่กี่เดือนก่อนก็เล่นได้แบบสบาย ๆ เลยนี่นา.... ก็นะ Frostbite Engine ของ EA มันไม่เคยปราณีใครอยู่แล้ว ดูอย่างเกม Battlefield ภาคล่าสุดสิ
25 Jan 2023
[Review] รีวิวเกม Endzone - A World Apart สร้างอาณานิคมในโลกที่ล่มสลาย อยู่รอดให้ได้หลังนิวเคลียร์ถล่มโลก
Endzone - A World Apart เป็นเกมที่เตะตาผู้เขียนเป็นอย่างมาก (โอ๊ยเจ็บใครเตะตา ตึ่งโป๊ะ!!!) ดีนะผมไม่ได้เล่นมุกเตะย่าเตะยาย กลัวเพื่อน ๆ จะขำจนอ่านต่อไม่ไหว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าออกทะเลกันตั้งแต่เริ่มเลย ที่ผมว่ามันเตะยายผมเนี่ย ถุ๊ย!!! ที่ผมว่ามันเตะตาผมเนี่ยเพราะความประทับใจเมื่อแรกเจอคือ ราคาที่ลด 75% ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยครับ ผมกดซื้อมาโดยยังไม่ได้อ่านคอนเซปต์ของเกมเลยด้วยซ้ำ แต่เห็นรูปโปรโมตของเกมมาแล้วนิดหน่อยครับ พอได้มาตั้งใจอ่านคอนเซปต์ของมันจริง ๆ "เออแฮะ มันน่าสนใจมาก ๆ ที่เราจะต้องมาสร้างเมืองในโลกพัง ๆ ให้กับผู้รอดชีวิตที่ประสบภัยนิวเคลียร์"อ่านเนื้อหาเสร็จผมโหลดเกมลงเครื่องเดี๋ยวนั้นเลย (ผมนี่วัน ๆ เล่นแต่เกมสร้างเมือง ใจมันรัก ฮ่า ๆ ๆ ๆ) ลืมบอกไปว่าเกมนี้เขาวางขายอยู่บน Steam มาตั้งแต่ 18 มี.ค. 2021 ตอนนี้เป็นเกมตัวเต็มแล้วนะครับ ไม่ใช่แบบ Early Access เดี๋ยวเราไปดูในเกมกันดีกว่าว่ามีเกมเพลย์อะไรน่าสนใจบ้างระบบต่าง ๆ ในเกมEndzone - A World Apart เป็นเกมแนว Survival/City Builder คือเราไม่ได้มาสร้างเกมเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมาเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ในเกมด้วยครับ อย่างเรื่องของการจัดหาน้ำและอาหารให้กับชาวเมือง การเก็บกู้ซากสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำมาผลิตเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการยังชีพ อย่างชุดกันรังสี ผ้าคลุม ที่กรองน้ำดื่ม เป็นต้นตัวเกมเป็นเกมก่อสร้างเมืองแบบมองจากด้านบนลงมา เรารับบทเป็นหัวหน้าของเมืองที่ทุกครั้งเวลามีเควส ชาวเมืองจะมาปรึกษาเราและเรียกเราว่า Chife (หัวหน้า) ครับ เกมเพลย์โหดกว่าที่คิด ต้องค่อย ๆ แก้ไปทีละเปราะEndzone - A World Apart เมื่อเข้าเกมไปจะมีโหมดให้เราได้เลือกเล่นอยู่ 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่Tutorial Mode - เป็นโหมดฝึกสอนที่จะคอยแนะนำเกี่ยวกับการเล่น และระบบต่าง ๆ ในเกมครับ ผู้เขียนแนะนำเลยว่าให้มาฝึกเล่นก่อน เพราะตัวเกมเพลย์ค่อนข้างเล่นยากอยู่พอสมควร ในโหมดนี้ก็มี Achievement ให้เราได้สะสมด้วยครับSurvival Mode - เป็นโหมดที่ให้อิสระเหมือน Free Play นะครับสำหรับเกมนี้ มีเควสจากชาวเมืองบ้าง มีให้เราได้แก้ปัญหาจากสภาพอากาศ ช่วงหน้าแล้งเกมนี้น้ำจะแห้งไปเลย หรือถ้าเราตุนอาหารไว้ไม่พอชาวเมืองก็จะพากันหนีออกจากเมืองหรือล้มตาย พอแก้เรื่องอาหารได้ ก็จะมีเรื่องการบาดเจ็บล้มตายแทรกเข้ามา ไม่ได้ให้พักกันเลยสำหรับโหมดนี้ครับ ผมเลือกเล่นแค่ระดับ Normal ซึ่งเป็นระดับที่มีความบาลานซ์ของเกมที่สุด แต่มรสุมก็รุมเร้าตลอด ได้ Restart เกมอยู่เรื่อย ๆ ครับ ฮ่า ๆScenarios Mode - เป็นโหมดที่ให้เราเล่นตามเควสเลยครับ มีเป้าหมายให้เราทำตลอดเวลาในการเล่นเกม เกมจะจบหลังจากที่เราปลดล็อกภารกิจทุกอย่างที่ NPC มอบหมายให้เราทำจนครบทั้งหมดครับการเอาตัวรอดต่าง ๆ ในเกมEndzone - A World Apart เมื่อเราสร้างระบบต่าง ๆ ในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็น ฟาร์มเลี้ยงสัตว์, ฟาร์มปลูกพืช, โรงทอ, โรงหาแร่, สถานกักเก็บน้ำ, การหาของป่า, การล่าสัตว์, การตกปลา, และอื่น ๆ อีกมากมาย เราต้องจัดสรรคนเพื่อไปทำอาชีพต่าง ๆ ด้วยครับ ถ้าประชากรเราขาด (ซึ่งขาดบ่อยเหลือเกิน) ทุกอย่างก็จะหยุดชะงักไปเป็นทอด ๆ ครับ แล้วกว่าจะหาคนกลับมาได้อีกคือเหนื่อยมาก ๆ สำหรับเกมนี้บอกเลยว่าเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเกมไม่ได้ใจดีให้เราได้พักหายใจขนาดนั้น เราจะเผชิญปัญหาน้ำขาด อาหารขาด ชุดขาด เครื่องมือขาด คนก็ขาด ขาดมันหมดทุกอย่างจนเราอยากจะร้องขอชีวิต (ไม่อยากเล่นใหม่แล้วโว้ยยยย ฮ่า ๆ) เรามาดูกันดีกว่าว่าระบบของการเอาตัวรอดในเกมนี้ทางผู้พัฒนาได้ใส่อะไรมาให้เราได้เล่นกันบ้างการหาน้ำ - เป็นสิ่งแรกในเกมเลยที่จำเป็นต้องสร้างครับ เพราะในเกมนี้จะมีช่วงหน้า Season(ฤดู) ที่แล้งน้ำครับ ไม่ได้แล้งธรรมดานะฮะ มันเหือดแห้งแบบไม่มีน้ำให้เราสักหยด ตัวเกมจึงออกแบบเครื่องมือในการหาน้ำให้เราหลากหลายแบบครับ ไม่ว่าจะเป็น การหาน้ำจากหยดน้ำค้าง, การรองน้ำฝน, การตักน้ำจากแหล่งน้ำหรือทะเลสาบ ห้วย หนอง คลอง บึง, ในแต่ละแบบใช้วัตถุดิบในการสร้างแตกต่างกันไป ในส่วนนี้เราต้องมีเครื่องมือรีไซเคิลผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้เราก่อนครับ และสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะดีขึ้นทันสมัยขึ้นจากการทำการวิจัย เราก็จะได้ระบบการผลิตน้ำที่ดียิ่งขึ้น หลัง ๆ เราจะผลิตน้ำด้วยไฟฟ้าแทนแรงงานคน แค่เรื่องระบบน้ำก็นันทนาการกันสุด ๆ แล้วครับสำหรับเกมนี้สภาพอากาศ - เกมนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลายครับ รวมไปถึงการมาของรังสีนิวเคลียร์ ช่วงแล้งบางทีน้ำก็แห้งไปเลย ช่วงมีฝนบางทีก็จะเป็นฝนพิษด้วยครับ ทำให้บริเวณต่าง ๆ ของเรามีพิษของสารนิวเคลียร์ที่ตกค้างไปด้วย ตรงนี้มีส่วนของเจ้าหน้าที่ที่ทำความสะอาดตรงนี้อยู่ แต่เราต้องสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ครบก่อนเราถึงจะสร้างหน่วยเก็บกู้ได้ครับ และยังมีพายุทรายที่พอพัดมาเราก็จะมองไม่เห็นอะไรเลย ประชากรของเราส่วนใหญ่จะป่วยเมื่อพบเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ในส่วนนี้ควรสร้างโรงพยาบาล หรือเก็บเกี่ยวสมุนไพรเอาไว้ เพื่อเอาไว้ใช้รักษาชาวเมืองครับ ไม่งั้นถ้ามีคนตายเราก็จะขาดคนงานในการทำสิ่งต่าง ๆ และเหมือนที่ผมได้บอกไปที่หัวข้อก่อนหน้านี้ พอคนขาดแล้วทุกอย่างก็จะหยุด เพราะทุก ๆ หน้าที่เกี่ยวโยงกันหมดครับ เราสามารถเช็คสภาพอากาศได้ล่วงหน้าที่แถบด้านล่างในตัวเกมจะมีบอก ค่อนข้างอำนวยความสะดวกให้คนเล่นอยู่เหมือนกัน ว่าวัน ๆ ต้องเจอกับอะไร ฮ่า ๆการหาอาหาร - อันนี้ก็สร้างความลำบากลำบนในเกมให้กับผมเหลือเกิน ฮ่า ๆ ๆ เข้าเกมมาหลังจากเราสร้างทุกอย่างเกี่ยวกับน้ำหมดแล้ว หลังจากนั้นเราต้องพยายามสร้างทุกอย่างเกี่ยวกับอาหารเอาไว้ให้ได้เยอะที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การล่าสัตว์, การจับปลา, การหาของป่า, การทำฟาร์มสัตว์ (เราต้องล่าสัตว์ก่อนถึงจะสามารถเอาสัตว์เข้ามาเลี้ยงในฟาร์มได้), การปลูกพืชผักผลไม้ เป็นต้น ถึงแม้ว่าเราจะสะสมกักตุนอาหารไว้มากมายขนาดไหน ตัวเกมก็จะสร้างความท้าทายให้กับเราอยู่เรื่อย ๆ คือ อาหารไม่พอ และคนก็จะล้มตาย หรือหนีออกจากเมืองของเราไปครับ ซึ่งคนที่หายไปถ้าหายไปแค่ 4-5 คนก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่เล่นหายไปครึ่งต่อครึ่ง จึงทำให้การผลิตทุกอย่างขาดตอน และเราต้องมาจัดสรรปันส่วนหน้าที่การงานให้คนที่ยังเหลืออยู่กันใหม่ แล้วกว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ พอเริ่มเป็นปกติมันก็จะเริ่มหาปัญหามาให้เราวน ๆ ไปแบบนี้ครับ เพื่อให้เกมไม่น่าเบื่อและมีอะไรให้เราทำ ถึงแม้อาหารที่เราหามาจะดูเยอะ แต่ถ้ามีพายุหรือประชากรเยอะ ๆ บอกเลยว่าพริบตาเดียวเท่านั้นครับ หันมาอีกทีช่องอาหารของเราแดงซะแล้ว เป็นเศร้า ฮืออออออการวิจัย - มีมาให้ได้เล่นกันทุกเกมครับ กับระบบนี้ เกมนี้วัตถุดิบ หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มีมาให้สร้างในตอนเริ่มเกมนั้นจะยังเป็นการประดิษฐ์จากการหาทรัพยากรจากซากต่าง ๆ มาดัดแปลง และยังไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือสิ่งปลูกสร้างที่ซับซ้อนอะไรครับ หลัง ๆ ถ้าเราทำการวิจัยแล้ว จะได้สิ่งปลูกสร้างและเครื่องมือที่มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ก็ต้องอัปในการวิจัยเสียก่อน เราถึงจะนำระบบไฟฟ้ามาใช้กับเมืองเราได้ สิ่งปลูกสร้างบางอย่างถ้าไม่มีไฟฟ้าเราก็จะไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนั้นเมื่อมีกำลังไฟฟ้าแล้ว เราก็ต้องเดินสายไฟให้ไฟนั้นกระจายไปตามบ้านเรือนของชาวเมืองซึ่งตรงนี้เกมสร้างความสนุกให้กับผมเป็นอย่างมาก เพราะเราต้องวางแผนผังเมืองอยู่พอสมควรครับ เพราะถ้าเราลากสายไม่ดี ไฟฟ้าก็จะไม่ทำงาน ต้องคอยเปิดดูเมนูในส่วนของไฟฟ้าเทียบด้วยว่าไฟเข้าบริเวณนั้นหรือเปล่า บอกเลยว่าถ้าใครชอบแนวเดียวกับผมนี่เพลินจิตเพลินใจสุด ๆการส่งคนไปหาของ - เกมนี้จะมีระบบ Scount ครับ เราจะเกณฑ์คนจำนวนหนึ่งออกไปขนของกลับมาที่เมืองของเราครับ เราจะไปรื้อค้นตามซากเมืองต่าง ๆ โรงพยาบาลร้าง, โรงงานร้าง, บ้านร้าง, เป็นต้น หลังจากเราได้เป้าหมายแล้ว ตัวเกมจะให้เราคัดคนไปขนของกลับมาได้เต็มที่ 5 คน ซึ่งไม่ต้องเอาไปจนเต็มจำนวนก็ได้ครับ เพราะมันต้องใช้ Point ในการค้นหา ซึ่งจะมีให้เพียง 1 Point เท่านั้นในช่วงแรก ซึ่งกดหาได้ครั้งเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็ต้องกลับมารอบหน้าเพื่อสำรวจอีกรอบ ทำแบบนี้วน ๆ ไปจนกว่าจะหาของในพื้นที่นั้น ๆ จนครบ 100% ครับ ส่วนของที่ได้ก็จะเป็นวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการก่อสร้าง ยา อาหาร เป็นต้นซึ่งก็จะช่วยเราได้ดีในช่วงที่เราหาไอเทมไม่ทันใช้ ถึงแม้ว่าของที่ได้กลับมาจะไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่ก็ถือว่าแก้ขัดได้ดี ทำให้เกมดำเนินต่อไปได้แบบถูไถไปก่อน โหดจริง ๆ ไม่จกตาเลยครับสำหรับเกมนี้ตัวเกมนั้นไม่ได้กินทรัพยากรของเครื่องมากนัก คอมไม่แรงหรือคอมเก่าแบบผมก็สามารถปรับภาพ High ได้ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ สิ่งปลูกสร้างในเกมเริ่มเยอะจะส่งผลถึง Frame rate ที่ค่อนข้างตกอย่างเห็นได้ชัดครับ หลัง ๆ นี่ถ้าเครื่องไม่แรงเกมค่อนข้างกระตุกครับ ถ้าเปรียบเทียบกับ Floodland ซึ่งอันนั้นภาพแทบจะไม่กระตุกเลยTutorial มีโหมดแยกไปให้ฝึก ผมคิดว่าเกมนี้ค่อนข้างเล่นยากครับ เพราะมีกลิ่นอายของ Banished อยู่เต็ม ๆ แค่เปลี่ยนธีมของเกมเป็นหลังโลกล่มสลาย ใครที่เล่น Banished มาอยู่แล้วคงจะค่อนข้างคุ้นชินกับตัวเกมครับ แต่ถ้ามือใหม่ผมแนะนำให้ไปฝึกในโหมดฝึกก่อน ไม่เช่นนั้นคุณจะงงกับมันมาก ๆ เพราะทุกอย่างการสร้างอะไรต่าง ๆ ค่อนข้างเชื่อมโยงกันหมดครับ และทุกอย่างทำงานเหมือนสายพาน ถ้าตรงไหนติดขัดส่วนอื่น ๆ ก็จะหยุดชะงักไปด้วย ถ้าลืมจุดไหนว่าใช้งานยังไงตัวเกมยังใส่ Survival Guide ให้ได้เข้าไปอ่านพร้อมภาพประกอบช่วยทวนความจำตอนเล่นจริงอีกด้วยการบังคับต่าง ๆ ไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นครับ ตรงนี้คนที่เล่นเกมแนวนี้มาแล้วแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย UI ของเกมก็ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวกกับผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดสิ่งปลูกสร้าง, การเพิ่มจำนวนคนงาน, การส่ง Scount ไปสำรวจ, หรือการลากจุดหาของต่าง ๆ ใช้งานไม่ยากอำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่น และเมนูต่าง ๆ ออกแบบได้สวยงามดีครับสรุปตัวอย่างด้านบนผู้เขียนได้ยกบางส่วนมาเท่านั้นนะครับ ยังมีระบบต่าง ๆ อีกมากมาย ให้ผู้เล่นอย่างเราได้เล่นไปกรี๊ดไปกับความยากของเกมอีกเยอะแยะมากมาย  Endzone - A World Apart อาจจะสร้างความหัวร้อนให้เราเป็นพัก ๆ แต่เกมนี้คือ banished ในธีมอาณาจักรที่ล่มสลาย ซึ่งผู้พัฒนาก็จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ มาให้คนเล่นอย่างเราได้แก้ไข ปรับปรุง อัปเดต เปลี่ยนแปลง ทุบคอมกันอยู่เป็นพัก ๆ (หยอก ๆ นะครับ) กฎหมายต่าง ๆ ถ้าเทียบกับ Floodland ที่เป็นเกมคล้าย ๆ กันตรงนี้ผมมองว่าเกมนี้ยังสู้เขาไม่ได้ครับ แต่ก็ยังมีกฎที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เช่น ห้ามคนเกิดในกรณีที่มีประชากรมากเกินไป และอาหารเริ่มไม่พอ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกฎเล็ก ๆ น้อย ๆ ประมาณนี้ ห้ามเกิด ห้ามกินเหล้า แต่ไม่ได้ออกเป็นบริบทกฎหมายอย่างจริงจังเหมือนในเกม Floodland ครับ ที่จะมีฝั่งซ้ายจัด ขวาจัด เสรีนิยม คอมมิวนิสต์ ให้ได้เลือกเล่น แต่ผมว่ามีแค่นี้ก็หัวร้อนแล้วอย่าเยอะไปกว่านี้ดีแล้วครับ ฮ่า ๆใครที่เป็นแฟนเกมอย่าง banished ผมอยากให้ทุกคนได้มาลอง ราคาไม่แรงครับ 379 บาท เท่านั้นเอง! แนะนำให้รอตอนลดครับ คิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 75% จะเหลือประมาณ 94.75 บาท อาจจะมีบัคให้เราได้พบเห็นอยู่ประปรายครับ และที่สำคัญถ้าเพื่อน ๆ ซื้อ Endzone - A World Apart จะมีส่วนในการช่วยเหลือโลกด้วย เพราะผู้พัฒนาจะนำเงินบางส่วนจากรายได้ไปปลูกต้นไม้จริง ๆ ใครที่ซื้อเกมนี้ก็จะมีส่วนในการบริจาคให้กับ Dev นำเงินไปปลูกต้นไม้ครับ สั่งซื้อ = ช่วยโลกhttps://store.steampowered.com/app/933820/Endzone__A_World_Apart/
23 Jan 2023
[Review] รีวิวเกม Aquaculture Land: Fish Farming Simulation แค่ตกปลาหรือทำฟาร์มมันธรรมดา จับรวมกันเป็นฟาร์มปลาซะเลย!
ช่วง Winter Sale 2022 ที่ผ่านมาผู้เขียนได้ไปเจอเกมที่น่าสนใจที่มีชื่อว่า Aquaculture Land: Fish Farming Simulation เป็นเกมที่เราจะต้องมารับบทเป็นผู้บริหารฟาร์มปลา"เออไอเดียเข้าท่า"ว่าแล้วก็กดซื้อมาดองทิ้งไว้ในคลังก่อน พอมีเวลาก็โหลดมาเล่นแบบไม่รีรอเลยครับ เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2019 แต่ตอนที่ผมกดซื้อมามันกำลังติดเทรนด์อยู่ใน Steam ก็หวังว่ามันจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง เรามาดูกันดีกว่าครับว่าภายในเกมมันมีอะไรน่าสนใจบ้างมีเนื้อเรื่องให้ได้เสพ แต่ต้องเดาเอาเองตามภาพAquaculture Land: Fish Farming Simulation ก่อนเริ่มเกมจะมีให้เราเลือกเล่น 2 โหมดด้วยกันนะครับ    Career Mode - เป็นโหมดเนื้อเรื่องที่เราต้องเล่นเกมเพื่อปลดล็อกสิ่งต่าง ๆ ไปตามเควสของเกมครับ    Free Mode - โหมดที่ให้อิสระกับเราเต็มที่ในการสร้างฟาร์มปลาครับ อยากสร้างอะไรสร้างเพราะทุกอย่างจะปลดล็อกหมดแล้วเนื้อเรื่องของเกมก็เหมือนเกมปลูกผักดัง ๆ ที่เราเคยเล่น อย่าง Stardew Valley ซึ่งเกมนี้เนี่ยตัวเอกของเราตกงานครับ ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีคนรับ (รู้สึกเหมือนอ่านเรื่องตัวเองเลย แต่โชคไม่ดีเหมือนตัวเอก ที่ลุงมีที่ให้ทำกิน ฮ่า ๆ) โชคดียังไงไม่ทราบได้วันหนึ่งลุง Bernard ได้ติดต่อมาว่า"เฮ้ยไอ้หนุ่ม ลุงมีที่เหลือในเมืองเล็ก ๆ ในชนบท เอ็งมาลองทำฟาร์มปลาดูไหมล่ะ"ตัวเอกของเราก็ได้เดินทางไปหาลุง Bernard ครับ และฟาร์มปลาของเราก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้ ลุง Bernard จะสอนเคล็ดลับให้เราและคอยเป็นพี่เลี้ยงให้เราตลอดทั้งเกมเลยครับเกมเพลย์เกมใจ ทำให้ได้คิดถึงเกม Tycoon ต่าง ๆ ในอดีตAquaculture Land: Fish Farming Simulation ตอนที่ผู้เขียนได้เล่น มันทำให้ผมอดคิดถึง Lemonade Tycoon ไม่ได้จริง ๆ ครับ ต่างกันแค่อีกเกมขายน้ำมะนาว และอีกเกมขายปลารูปแบบทุกอย่างดูคล้ายกันแต่ด้วยยุคสมัย Aquaculture Land: Fish Farming Simulation จะมีความซับซ้อนในการเล่นที่มากกว่าครับ เริ่มเกมมาลุง Bernard จะสอนให้เราสร้างบ่อปลาครับ บ่อ ๆ หนึ่งเรามีความจำเป็นต้องติดตั้งอะไรบ้างเพื่อให้ปลาในบ่อของเราเติบโต โดยเกมจะมี Worker(คนงาน) มาช่วยเราตอนเริ่มเกม 1 คน และต้องเสียค่าจ้างให้เขาเป็นรายเดือน หลัง ๆ พอเรามีบ่อปลาที่เยอะขึ้น เราสามารถจ้าง Worker(คนงาน) เพิ่มได้ครับอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องอัปเกรดเพื่อปลดล็อกเริ่มต้นเกมจะมีอุปกรณ์แบบ Basic มาให้เราใช้นะครับ แต่ด้วยปลาต่าง ๆ ที่เราเลี้ยง สามารถติดโรคได้ถ้าน้ำไม่สะอาด เมื่อปลาโตขึ้นพื้นที่การอยู่ในบ่อก็จะลดลงก็จะมีปัญหาเรื่อง Oxygen(ออกซิเจน) ในน้ำไม่พอ สภาพแวดล้อมภายในบ่อไม่เอื้อต่อการเติบโตก็จะทำให้เราได้ปลาที่ไม่มีคุณภาพ ถ้าอยากอัปเกรดอุปกรณ์เกมเลยบังคับให้เราทำเควสครับ เควสที่ว่านี้เราจะได้รับ EXP เพื่อเพิ่มเลเวลความสนิทกับ NPC ในเกม ยิ่งเราสนิทมากขึ้นเราสามารถปลดล็อกปลาสายพันธุ์ใหม่ ๆ หรืออุปกรณ์การเลี้ยงปลาใหม่ ๆ ได้ครับ เช่น ถ้าเราปลดล็อกของรางวัลจากลุง Bernard จนเต็มแล้ว ลุงเขาก็จะแนะนำ NPC หรือลูกค้าใหม่ ๆ ที่จะมาทำธุรกิจซื้อขายปลากับเรา แล้วระบบของเกมก็ขายแบบปากต่อปากวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเกมตันเลยครับ ส่งปลาขายตลาดก็ดี ส่งเควสก็ได้เมื่อเล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ ระบบตลาดจะปลดล็อก ค่าความต้องการปลาต่าง ๆ เวลาเราขายในตลาดจะมีราคาปลาช่วงนั้นบอก ราคามีขึ้นลงตามความต้องการของผู้บริโภค ส่งขายตลาดก็ได้เงินและถ้าเป็นปลาชนิดเดียวกับที่เควสต้องการก็จะได้เงินจากเควสเพิ่มด้วยครับ หลัง ๆ เล่นไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรเลยรวยไม่ไหว ฮ่า ๆปลาต่าง ๆ ทาง NPC ที่รับซื้อ เขาจะแจ้งว่าอยากได้ปลารวมกันทั้งหมดน้ำหนักเท่าไหร่ และมีคุณภาพกี่ % ถ้าเราได้น้ำหนักที่ต้องการแล้ว แต่ค่า Quality(คุณภาพ) ไม่ผ่าน NPC ก็จะไม่รับซื้อปลาของเราครับ ตรงนี้เราต้องขุนปลาของเราไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณภาพปลาจะได้ตามความต้องการที่กำหนด แรก ๆ จะงง ๆ หน่อย เพราะกะไม่ค่อยถูกว่าควรใส่ปลาไปบ่อละกี่ตัว แต่เดี๋ยวเล่นไปเรื่อย ๆ จะช่ำชองเอง และหลัง ๆ จะมีธุรกิจเปิดบ่อตกปลาเพิ่มเข้ามาด้วย แต่ต้องเล่นกันไปพักใหญ่ ๆ เลยครับมีระบบ Breed(ผสมพันธุ์สัตว์น้ำ) มาช่วยให้เราได้ผลผลิตไวขึ้นไปอีกเกมนี้มีระบบให้เรา Breed สัตว์น้ำของเราครับ เพื่อที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโต คุณภาพ น้ำหนัก ให้กับปลาที่เราเลี้ยง ถึงแม้จะไม่มีระบบที่ซับซ้อนอะไร แค่เราจับคู่ปลาของเราไปเรื่อย ๆ แค่นั้นเลย พอตัวไหน % ดีขึ้นก็เอาตัวนั้นมาผสมพันธุ์กันวนไปเรื่อย ๆ ปลาของเราก็จะมีอัตราการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถสังเกตได้จากบ่อปลาตอนเลี้ยง ค่าเปอร์เซ็นต์ + น้ำหนักของปลาจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าตอนที่เรายังไม่ได้อัปเกรดอะไรครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมAquaculture Land: Fish Farming Simulation เป็นเกม 2D จำลองเหตุการณ์การทำฟาร์มปลา หรือสัตว์น้ำต่าง ๆ ครับ อารมณ์เหมือนเล่น Game Tycoon ในสมัยก่อน ตัวเกมไม่กินทรัพยากรของเครื่องเลยครับ คอมทั่วไปก็สามารถเล่นได้ระบบการบังคับก็เหมือนเกมทั่วไป ใช้เมาส์คลิก ๆ เลยครับ W,A,S,D ใช้เคลื่อนย้ายมุมกล้อง ส่วนระบบ Toturial ของเกมนั้นจะมีลุง Bernard คอยสอนเราในเกมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นเกมกันไปเลยUser interface ของเกมนี้ผมว่าก็สมกับราคาเกมแหละครับ ตัวเกมไม่ได้แพงมากการออกแบบบางอย่างก็เลยดูธรรมดาไปมาก ๆ แต่ก็ไม่ได้ใช้งานยากสำหรับผู้เล่นอย่างเราแค่นั้นสำหรับผมก็เพียงพอแล้วครับสรุปด้วยความที่มันเป็นเกมที่เล่นวน ๆ อยู่ในลูปของมัน เหมือนจำลองขายของในชีวิตจริงมาให้เราเล่น คือทุกอย่างเป็น routine(กิจวัตร) มันก็เลยทำให้เกมดูตันค่อนข้างเร็วสำหรับผมครับ เพราะแค่ 2 ชั่วโมงในการเล่นเกม ผมสามารถหาเงินจากการขายปลาได้เป็นล้านแล้ว มันก็เลยดูไม่มีอะไรให้ทำครับเหมือนว่าเล่นเพื่อปลดล็อก NPC ไปเรื่อย ๆ แค่นั้นเลย เพราะเรื่องการหาเงินของเกมนี้ค่อนข้างที่จะง่ายเกินไปและด้วยที่เกมเปิดขายมาเป็นปีแล้ว ยังไม่มีระบบอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาให้ทำเลย อย่างเช่น การตกแต่งฟาร์ม"ถามว่าเพลินไหม?"เนื่องจากมันไม่ใช่เกมที่แพงอะไร วางขายอยู่ใน Steam ราคาเพียง 189 บาทเท่านั้นเอง! ก็ซื้อมาเล่นแก้เบื่อได้ดีอยู่เหมือนกัน ช่วงแรกดูดเวลามาก ๆ เพราะอะไรก็ดูใหม่ไปหมด แต่พอเล่นไปได้ระยะหนึ่งแล้วอาจจะได้พบปรากฎการณ์คู่ตรงข้ามได้ครับ นั่นคือเล่น ๆ อยู่หลับ ฮ่า ๆ แต่ถ้าใครคิดถึงเกมอย่างพวก Lemonade Tycoon ซื้อไว้เหอะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/858630/Aquaculture_Land_Fish_Farming_Simulation/
19 Jan 2023
[Review] รีวิวเกม Stranded: Alien Dawn ลงหลักปักฐาน ณ ดวงดาวอันห่างไกล
Stranded: Alien Dawn เกมสร้างเมืองที่มีคอนเซปต์ที่โดดเด่นน่าสนใจ จนตัวผู้เขียนไม่สามารถหันหลังให้กับมันได้ครับ เห็นมันขึ้นเทรนด์ใน Steam อยู่พักใหญ่ ๆ ยิ่งกระตุ้นความอยากเล่นของผมให้มันมากขึ้นไปอีกลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 12 ต.ค 2022 เกมนี้เราจะได้รับบทเป็นผู้ประสบภัยกลุ่มหนึ่งที่ยานเกิดไปตกที่ดวงดาวอันห่างไกลครับ เราต้องมาสร้างอารยธรรมของเรากันบนดาวดวงใหม่เพื่อเอาตัวรอด ต้องพบเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ สัตว์แปลก ๆ จากดวงดาวดวงนี้ มาดูกันครับว่าในเกมมีอะไรน่าสนใจบ้าง และผมจะพาผู้คนภายใต้อาณัติของผมในเกมรอดไปได้ขนาดไหนเพื่อน ๆ ตามมาอ่านกันได้เลยเกมเพลย์เล่นเพลินจนไม่รู้ว่าจะได้นอนตอนไหนเข้าเกมมาตัวเกมจะถามเราว่าจะลองเล่น Toturial Mode ก่อนไหม ใครคิดว่าจะไม่งงกับระบบของเกมก็ข้ามตรงนี้ไปเลยก็ได้ครับ เพราะค่อนข้างกินเวลานานมาก ๆ ในการเรียนรู้ระบบต่าง ๆ แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ผู้เขียนแนะนำว่าให้เข้าไปเล่น Toturial Mode ก่อนจะดีกว่าครับ เพราะระบบของเกมค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่เหมือนกัน เอาจริง ๆ ความสนุกก็เริ่มสำแดงให้เห็นกันตั้งแต่โหมดฝึกสอนเลย อารมณ์เกมที่เล่นผมได้กลิ่นอายของ The Sims อยู่พอสมควรครับ ไม่ใช่เกมสร้างเมืองที่ต้องสร้างบ้านเป็นหลัง ๆ จัดวางผังเมืองตามไอเทมที่เกมมีมาให้ แต่เราต้องวิจัยไปเรื่อย ๆ เพื่อปลดล็อกอุปกรณ์หรือวัตถุที่ใช้ในการสร้างบ้าน และบ้านเป็นหลัง ๆ ของเกมนี้เราต้องออกแบบและสร้างมันด้วยตัวเองครับ เกมนี้เราต้องดูค่าความต้องการของ Sims ด้วยครับ เช่น ถ้าหิวก็ต้องไปทำอาหารที่แคมป์ไฟ, Sims เบื่อก็ต้องสร้างอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ให้ผ่อนคลาย เป็นต้น จะมีการบ่นให้ฟังด้วยว่า ณ เวลานั้นต้องการอะไร เบื่อผู้ร่วมชะตากรรมคนไหน ก็จะบ่นให้เราฟังทุกอย่าง เล่น ๆ ไปอาจจะมีคำถามให้เราตัดสินใจว่าสิ่งนี้เราทำได้หรือไม่ได้ตัวเกมจะให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับเกมด้วยครับStranded: Alien Dawn ยังมีเกมเพลย์ย่อย ๆ อีกเยอะแยะมากมาย ในบทความนี้ผู้เขียนคงเล่าให้ฟังได้ไม่หมด ฉะนั้นเดี๋ยวผมจะยกจุดเด่น ๆ ของเกมมาสาธยายให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะครับ แต่เดี๋ยวจะยกไปไว้ในหัวข้อด้านล่างเพื่อไม่ให้เนื้อหาดูยาวจนเกินไป ส่วนถ้าใครต้องการเจาะลึกแบบละเอียดต้องไปซื้อมาเล่นเองแล้วครับ บอกเลยเพื่อน ๆ จะไม่เสียดายเงินแน่นอน ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ณ จุดเริ่มต้นตัวเกมจะมีให้เราเลือกตัวละครที่จะขึ้นยานเพื่อไปผจญภัย 4 คนด้วยกันครับ สามารถเลือกความสามารถของตัวละครได้ ตรงนี้ผู้เขียนแนะนำว่าควรจะเลือกค่าความถนัดที่โดดเด่นคละ ๆ กันไปนะครับ เช่น ทำอาหารเก่ง, ต่อสู้เก่ง, คราฟต์ของเก่ง หรือทำการวิจัยเก่ง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะมีประโยชน์กับเราในการเล่นเกมมาก ๆ เพราะเกมนี้พอเล่นไปเรื่อย ๆ เราต้องแบ่งหน้าที่ให้กับสมาชิกครับตัวเกมสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ตามความสามารถ เลือกดวงจันทร์ก็ได้ เลือกดาวดวงที่จะไปตกก็ได้ (สภาพแว้ดล้อมบนดาวแต่ละดวงจะแตกต่างกันครับ) ซึ่งตอนนี้มีดาวให้เลือกเล่นแค่ 2 ดวง พอเริ่มเกมยานฉุกเฉินของเราจะมาตกบนดาวที่เราเลือก ความสนุกจะเริ่มเกิดขึ้นตรงนี้แหละฮะอย่างที่บอกเกมนี้มันเป็นเกมแนว Colony sim หลังจากยานตกเราจะได้เห็นอารมณ์ที่หลากหลายของตัวละครของเราแต่ละตัว เราต้องเริ่มสร้างฐานสร้างแคมป์เข้าป่าล่าสัตว์ทำอาหารสร้างโต๊ะคราฟต์ และที่จะลืมไม่ได้เลยคือโต๊ะวิจัยครับ เพราะเรามาอยู่บนดาวที่ไม่ใช่โลก พืชพรรณ หรือสัตว์ต่าง ๆ ก็จะหน้าตาประหลาดแตกต่างจากโลกของเรา เราก็ต้องมาทำการวิจัยว่ามันสามารถกินได้ไหม เป็นอันตรายกับเราหรือเปล่า? หรือเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้ไหม เป็นต้นการเอาตัวรอดการเอาตัวรอดบนดวงดาวที่เรามาตกนั้น เริ่มแรกเลยเราต้องสร้างแคมป์ไฟครับ ช่วงแรก ๆ อาจจะยังไม่ต้องแบ่งหน้าที่อะไรให้ใครมากนัก เพราะยังต้องช่วยกันทำทุกอย่างอยู่ หลัก ๆ ที่จะแบ่งย่อย ๆ แบบคร่าว ๆ ก็คือการสร้างแคมป์ - เริ่มแรกเลยเราจำเป็นต้องสร้างแคมป์แบบง่าย ๆ พอที่จะให้ตัวละครของเราเอาตัวรอดได้ก่อนในช่วงแรก สิ่งหลักที่ต้องสร้างก่อนเลยก็คือ ที่นอน (ควรสร้างให้พอดีกับจำนวนตัวละครของเรา), ที่เก็บของ เพราะถ้าไม่สร้างตัวละครของเราจะเดินไปเอาของไกลมาก ๆ เนื่องจากเกมนี้ข้อเสียก็คือไม่มีพาหนะให้เราใช้งานครับ, แคมป์ไฟอันนี้ขาดไม่ได้เลยเพราะเราต้องใช้ทำอาหาร ถึงแม้ช่วงแรกจะมีอาหารจากซากยานฉุกเฉินของเรา แต่ช่วงหลังต้องหาอาหารเองครับ แรก ๆ เราก็สร้างพอยังชีพไปก่อน พอหลัง ๆ ปลดล็อกสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาแล้วก็ค่อยจัดเป็นหมู่บ้านให้ชาวแก๊งยานแตกของเราได้พักอาศัยก็ได้ครับการทำอาหาร - ส่วนนี้เราต้องกำหนดหน้าที่ให้คนในทีมที่มีแต้มทักษะการทำอาหารเยอะที่สุดได้เข้ามาดูแลตรงนี้ ส่วนใหญ่วัตถุดิบจะได้จากการล่าสัตว์ต่าง ๆ บนดาว หรือการเพาะปลูก (ต้องทำวิจัยก่อน) ตัวละครที่เราตั้งค่าให้เป็นกุ๊กประจำ Base Camp ก็จะไปทำอาหารให้เราทานที่แคมป์ไฟครับ (จำเป็นต้องมีแคมป์ไฟก่อน) สามารถกำหนดได้ว่าเราจะให้ทำอาหารไปเรื่อย ๆ หรือกำหนดจำนวนที่ต้องการได้ครับ ผู้เขียนมองว่าตรงนี้เมนูต่าง ๆ ใช้ง่ายและสะดวกกับผู้เล่นมาก ๆ ครับดวงจันทร์เพื่อน ๆ คงสงสัยใช่ไหมว่าผู้เขียนจะพูดถึงดวงจันทร์ทำไม? เกมนี้ดวงจันทร์ที่เราเลือกตอนช่วงจะเข้ามาเล่นมีความสามารถในการเสก Ai มาบุกเรา ความสามารถและนิสัยของเหล่าแมลงที่มาบุกบ้านเรานั้นจะแตกต่างกันไปตามดวงจันทร์ที่เราเลือก ผมแนะนำว่าในส่วนนี้ให้ Random ไปเลย ไปลุ้นเอาหน้างานว่าผู้รอดชีวิตของเราจะต้องเจอกับอะไร ฮ่า ๆการวิจัยช่วงที่เราเลือกตัวละครเพื่อที่จะพามาซวยกับเราด้วยนั้น ผู้เขียนแนะนำว่าให้เลือกคนที่มีสมองมากับเราด้วย ฮ่า ๆ เพราะคนที่แต้มฉลาดสูงที่สุดจะช่วยให้เราทำการวิจัยได้ไวครับ และยิ่งไวเท่าไหร่อัตราการรอดของทีมเราก็จะสูงขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ จะปลดล็อกให้เราได้ใช้งานรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สิ่งหลัก ๆ เลยเราต้องมีอาวุธไว้ใช้งานครับ เพราะแมลงจะบุกมาก่อกวนเราเรื่อย ๆ ถ้าเราป้องกันมันได้ มันก็จะเป็นแหล่งอาหารที่มาเสิร์ฟให้เราถึงที่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราสู้มันไม่ได้เพราะเรายังไม่ได้ปลดล็อกอุปกรณ์ใด ๆ เลย เราและลูกทีมก็จะขิตเอาง่าย ๆ และความเจริญของเราจะต้องอาศัยการวิจัยเป็นหัวใจหลักเลยครับสภาพอากาศในเกมนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลาย ความร้อน หิมะ ฝน ซึ่งมันจะสร้างอุปสรรคให้เราเป็นอย่างมากเมื่อเข้าหน้าหนาวครับ มันก็เลยต่อเนื่องมาจากการวิจัย ซึ่งทุก ๆ อย่างล้วนต้องใช้การวิจัยในการแก้ปัญหาเกือบทั้งหมดครับ เรามีความจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศ หรือเตาผิง เพื่อช่วยสมาชิกของเราในทุก ๆ สภาพอากาศที่จะต้องเจอครับการทำฟาร์มมีทั้งการทำปศุสัตว์ และเกษตรกรรม เราทำเพื่อเป็นอาหารให้แก่สมาชิกยานแตกของเรา แต่ก่อนเราจะปลูกพืชได้นั้นเราก็ต้องส่งทีมไปสำรวจพืชผักต่าง ๆ ของดาวดวงนี้ก่อน ทีนี้เราก็ต้องเฟ้นหาสมาชิกที่มีแต้มการเพาะปลูก หรือการเก็บเกี่ยวที่เยอะที่สุดเพื่อมอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบไปเลยทั้งเกม เพราะลูกทีมที่มีค่าการเพาะปลูกสูงจะสามารถปลูกพืชและเก็บเกี่ยวได้ไว พืชในเกมนี้ก็จะมี ข้าวโพด, ฟักทอง, เบอร์รีป่า, ฝ้าย และดอกซิลิคอน เป็นต้น แต่จะมีหน้าตาที่แปลกประหลาดกว่าพืชผักในโลกของเรานะครับ ตรงนี้ผู้พัฒนาใส่ใจรายละเอียดดีผมชอบมาก ๆ การต่อสู้ดาวที่ยานเรามาตกนี้ มีสัตว์ท้องถิ่นอาศัยอยู่และเป็นอันตรายต่อเรามาก ๆ เพราะมันจะมารอกินผู้รอดชีวิต ผู้เขียนสอดส่องดูแแล้วว่ามันไม่ได้มีแค่ยานเราลำเดียวที่มาตกนะครับ มันยังมีซากยานอื่น ๆ อีกเยอะแยะเลยที่ให้เราได้ไปฟาร์มหาของกัน สัตว์ร้ายพวกนี้มีทั้งเดินมาหาเรา และบินมาหาเราครับ แต่ก็งง ๆ อยู่ว่าทำไมมันปีนบันไดไม่ได้ ฮ่า ๆ สิ่งที่เราต้องทำเพื่อลดภาระของเราในการที่จะต้องคอยมาฟาดฟันกับแมลงแบบ Malee (การต่อสู้ระยะประชิด) ลง ก็คือเราต้องรีบวิจัยป้อมปืนครับ ถ้าแมลงมาก่อกวน ป้อมปืนของเราจะทำงานเยี่ยงไบก้อนแบบออโต้ แมลงร้ายตายเรียบไม่มีเหลือ ฮ่า ๆ ในช่วงแรก ๆ ถ้าเรายังไม่มีป้อมปืนก็ไม่เป็นไรนะครับ เราก็เลือกสมาชิกที่มีแต้มการต่อสู้สูง ๆ แล้วใส่อาวุธไว้ให้ แต่ทางที่ดีเราควรใส่ไว้ให้ทุกคนจะดีกว่าครับ เพราะเวลาแมลงมาบุกมันจะโจมตีทุกคนที่มันเห็นครับ แล้วถ้าคนไหนไม่มีอาวุธแมลงตีเราฟรี ๆ เลย อย่างน้อยมีอาวุธไว้ให้ก็ยังสามารถต่อกรกับแมลงร้ายได้บ้างการคราฟต์อันนี้จะเป็นส่วนสุดท้ายที่เราจะมาพูดถึงกันนะครับ จริง ๆ ยังมีอีกหลายส่วนมาก ๆ ที่ผมไม่ได้หยิบมาพูดถึง เพราะมันเยอะมากจริง ๆ อยากให้ทุกคนได้ไปลองเล่นเองครับ การคราฟต์เกมนี้ก่อนที่เราจะคราฟต์ได้เราต้องหาวัตถุดิบให้ครบก่อน เพื่อที่จะเอามาสร้างโต๊ะคราฟต์ ในเกมมีบอกครับว่าต้องใช้อะไรเท่าไหร่โต๊ะคราฟต์จำเป็นไหม? ผู้เขียนบอกเลยครับว่าเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ควรสร้างรองลงมาจากโต๊ะวิจัย มันแทบจะเป็นสิ่งที่ใช้คู่กันเลยครับ เราจำเป็นต้องคราฟต์อาวุธเพื่อใช้ต่อสู้กับแมลงที่มาบุก Base Camp ของเรา หรือจะคราฟต์อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเราใน Base Camp ครับโบกมือลาเกมนี้มีจุดจบของมัน ถ้าเราสร้างสถานีส่งสัญญาณออกสู่วงโคจรสำเร็จเมื่อไหร่ เราจะได้กลับบ้านครับ ทุกคนคิดเหมือนผมใช่ไหมครับ อุตส่าห์สร้างระบบต่าง ๆ มาซะหรูหราหมาเห่าขนาดนี้ จะกลับบ้านทำไม? ถ้าคิดตามเรื่องราวจริง ๆ สมมติโยนตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้นนะฮะ ถ้าเราตัวคนเดียวก็อาจจะไม่เป็นไร ดาวดวงใหม่ก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเราที่จะช่วยลบอดีตที่ไม่อยากจำบางอย่างได้ แต่บางคนเขาอาจจะมีคนที่รอเขาอยู่ที่โลก เขาก็แค่อาจจะอยากกลับไปอยู่กับคนที่เขารักก็ได้ครับ ถึงแม้ว่าดาวดวงใหม่จะดีกว่าทุกอย่าง แต่คงไม่มีอะไรดีไปกว่าสิ่งที่เราเรียกว่าบ้านหรอกครับ (ผู้เขียนจินตนาการตามเหตุการณ์ในเกมเฉย ๆ นะฮะ อย่างอิน ฮ่า ๆ)ระบบต่าง ๆ ภายในเกมStranded: Alien Dawn เป็นเกมจำลองสถานการณ์ยานตก เหมือนเล่น The Sims 4 แต่ไม่ได้อยู่บนโลกครับ มีภาพ 3D ที่สวยมาก ๆ ปรับได้สูงสุดถึงระดับ 4K กันเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องกลัวว่าคอมบ้าน ๆ จะเล่นไม่ได้นะฮะ ผู้เขียนนั่งยันนอนยันว่าคอมธรรมดา ๆ ก็เล่นได้ แล้วที่ชอบก็คือไม่กระตุกเลย เลิฟมากToturial มีแยกโหมดออกมาให้เราได้ไปฝึกก่อนครับ ผมแนะนำว่าอย่าข้ามให้เข้าไปฝึกดูปุ่มต่าง ๆ ให้ชำนาญระดับหนึ่งก่อน เพราะเกมค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน การบังคับของเกมไม่ยุ่งยากเลยครับ แต่ผมไม่ชอบการหมุนมุมกล้องสูงต่ำที่ต้องใช้ Insert และ DeleteUserinterface บอกเลยว่าดีเกินราคาฮะ ผมชอบตรงที่ให้ใส่จำนวนของต่าง ๆ ที่เราต้องการผลิตได้สร้างความสะดวกให้กับผู้เล่นมาก ๆ ว่าอยากได้กี่ชิ้นก็ใส่ไปเลย Ai ก็จะผลิตตามความต้องการของเรา เมนูต่าง ๆ ก็คือดีสวยงามมาก ๆ ไม่สร้างความผิดหวังให้ผมเลยแม้แต่นิดเดียวสำหรับเกมนี้สรุปเป็นเกมที่ผู้เขียนคิดว่าดีเกินคาดไปมากครับ นี่ถ้าเครื่องผมแรง ๆ ได้เล่นภาพแบบ 4K คงจะฟินมาก ๆ เหมือนกัน เป็นเกมที่คอนเซปต์ดีมาก ๆ ผู้เขียนมองว่าถ้า Dev ไม่ทิ้งกันไปเสียก่อนเกมนี้มันน่าจะไปได้อีกไกล ทั้งภาพที่สวย กิจกรรมในเกมมีให้ทำเยอะเหลือเกิน แค่ตบตีกับแมลงนี่ก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ฮ่า ๆ ตัวละครในความดูแลของเรา เราจะทำไม่สนใจพวกเขาก็ไม่ได้ ต้องคอยอาศัยดูค่าความต้องการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เขาเศร้าจนเกินไป คิดดูนะครับถ้าเราต้องไปติดอยู่แบบนั้นก็คงเซ็งเหมือนกันถ้าไม่มีอะไรให้ทำ พอดูสถานะต่าง ๆ แล้วว่าตอนนี้ทรงอย่างแบด แซดบ่อย ๆ ก็จัดอุปกรณ์ต่อยมวยให้ได้ระบายอารมณ์กันไปเลย ฮ่า ๆนอกจากระบบต่าง ๆ ที่ผมประทับใจแล้ว ผมยังโคตรประทับใจตารางการทำงาน การจัดระบบการพักผ่อนที่โคตรจะเข้าใจง่ายมาก ๆ เราสามารถแบ่งกะให้สมาชิกทำงานได้ จัดสรรเวลานอน เพื่อที่จะให้มีคนเฝ้ายามกะดึก เป็นอะไรที่ใช้ง่ายและไม่สร้างความงงให้กับคนเล่น Dev อำนวยความสะดวกกันสุด ๆ ข้อเสียที่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผมคงมีเพียงสิ่งเดียวที่จับต้องได้ในเกมนี้ นั่นก็คือทำไมมันไม่มีพาหนะให้ใช้? มันเดินไกลมาก ๆ แบบโคตร ๆ เลยครับ เพราะเวลาเราไปฟาร์มของไม่ว่าจะเป็นตัดไม้ หรือหาของป่า ตัวละครของเราจะกองสิ่งที่หาได้ไว้ตรงนั้นก่อน แล้วก็จะมาช่วยกันขนกลับ Base Camp คือบางทีไกลมาก ๆ ก็เดินมันวน ๆ ไป ฮ่า ๆ ถ้าในอนาคต Dev เพิ่มระบบขนส่งเข้ามาหน่อยก็น่าจะสะดวกกับคนเล่นมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ต้องรอกันไปก่อนราคาเกมไม่แรงเลยครับ 509 บาทเท่านั้น บอกเลยผมไม่เสียดายเงินเลยสำหรับเกมนี้ ใครไม่รีบก็รอไปซื้อช่วงลดราคาก็ได้ครับ แต่ผมบอกเลยราคาเต็มก็คุ้ม!สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1324130/Stranded_Alien_Dawn/
30 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Floodland เกมสร้างเมืองเอาตัวรอดจากวิกฤตน้ำท่วมโลก
Floodland ตอนเลื่อน ๆ ชอปปิงหาเกมเล่นในช่วง Steam ลดราคาส่งท้ายปีกับเทศกาล Winter Sale ด้วยภาพของเกมที่เป็น First Impression (ความประทับใจเมื่อแรกพบสบตา ฮ่า ๆ) ที่ดึงดูดผมเข้ามา และคอนเซปต์ของเกมที่น่าสนใจ"โลกหลังน้ำท่วมงั้นเหรอ? เป็นเกมสร้างเมืองที่เออน่าสนใจดีแฮะ"เลื่อนลงไปดูราคา อ๊าาาาา ลด 20% เอง แต่เกมเพิ่งลงวางขายไปเมื่อ 15 พ.ย. 2022 ดูทรงแล้วในอนาคตผู้เขียนน่าจะหลังหักดังกร๊อบแกร๊บแน่ ๆ แต่ไม่เป็นไรครับคอนเซปต์เกมเขาดีขอกดลงคลังมาลองสักหน่อยเกมเพลย์หากได้ลอง 2 ชั่วโมงก็ไม่พอFloodland ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือดินแดนน้ำท่วมใช่ไหมครับ ฉะนั้นเราคนเล่นเนี่ยต้องมารับบทเป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งที่รอดจากเหตุการณ์โลกที่พังพินาศจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เนื้อเรื่องในเกมเปรย ๆ มาว่ามีเสียงกรี๊ดและความวุ่นวายเต็มไปหมด แล้วเราจะมาช่วยสร้างโลกใหม่ไปด้วยกัน โดยมีเควสให้ทำตลอดการสร้างอารยธรรมของเราในเกมครับเริ่มเกมมาเราต้องเลือกแคลนของผู้รอดชีวิตครับ สโลแกนของแต่ละแคลนก็แตกต่างกันไป เกมนี้ผู้คนในเกมจะนิยามโลกที่พวกเขาอยู่หลังน้ำท่วมว่าโลกใหม่ และโลกก่อนน้ำท่วมว่าโลกเก่านะครับ หัวหน้าแคลนที่ทางเกมส่งมาแคนดิเดตให้เราได้เลือกเล่นนั้น จะมีนโยบายในการมองโลกในอารยธรรมใหม่แตกต่างกันไป เช่น เน้นวิทยาศาสตร์ เน้นเกี่ยวกับอิสรภาพ เน้นเรื่องเอาตัวรอด หรือเน้นเรื่องการพัฒนาโลกใหม่ให้ดีกว่าโลกเก่าอันนี้ในเกมจะมีนโยบายตรงนี้ให้เราได้อ่านครับ และหลังจากเลือกว่าชอบนโยบายของแคลนไหนแล้วที่นี้เราก็ต้องมาดูตรง Clan traits (มันคือสกิลติดตัวของแคลนเราครับ) ซึ่งความสามารถของแต่ละแคลนจะแตกต่างกันออกไป เช่น ถ้าเราเลือกเล่นแคลนของคุณ Anna Brown สมาชิกในแคลนก็จะยอมอดมื้อกินมื้อเปอร์เซ็นต์อาหารในเกมก็จะลดช้าลงครับ ในส่วนนี้ผมมองแล้วว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะช่องอาหารเต็มอยู่ตลอด หรือสมาชิกในแคลนเดินเร็วขึ้น 10% หรือสามารถสั่งให้สมาชิกในแคลนทำงานกะกลางคืนได้ครับ อันนี้เลือกเล่นได้ตามความชอบเลยครับความยากง่ายสามารถปรับได้หลายระดับ จากที่ผมดูแล้วค่อนข้างยืดหยุ่นมาก ๆ คือเราไม่จำเป็นต้องปรับยากทั้งหมด อยากหาทรัพยากรง่าย ๆ กลัวบริหารไม่ไหวสมาชิกในแคลนอุตส่าห์รอดมาตั้งนานแต่ดันมาอดตาย เราก็ปรับให้หาทรัพยากรได้ง่าย แล้วในส่วนอื่น ๆ ยากบ้างง่ายบ้างแบบนี้ก็ได้ครับ หรืออยากจะชาเลนจ์แบบคิดว่าเราเอาอยู่ก็จัดแบบ Hardcore ที่เริ่มเกมมาก็อาจจะประสบปัญหากับความล้มเหลวได้เลย เริ่มเกมปุ๊บจบเกมปั๊บ ฮ่า ๆเกมนี้ยังมีส่วนที่น่าสนใจให้ผู้เขียนได้สาธยายให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันอีกหลายสิ่งหลายอย่างเลยครับ ผมจะพยายามย่อ ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย เพราะไม่งั้นมันจะยาวจนเกินไป เพราะโดยส่วนตัวผมชอบเกมนี้มาก ๆ เดี๋ยวผมจะยกเรื่อง ๆ การหาทรัพยากรไปอีกหัวข้อหนึ่งเลยละกันการหาทรัพยากรเพื่อเอาตัวรอดและทำการวิจัยในโลกที่มีแต่น้ำเรายกเกมเพลย์ย่อย ๆ มาคุยกันในหัวข้อใหม่ดีกว่า ไม่งั้นมันจะเยอะมาก ๆ เดี๋ยวผู้เขียนไม่รู้จะเอารูปไปใส่ไว้ตรงไหนดี ฮ่า ๆเริ่มเกมมาจะมีพื้นที่ที่เปิดให้เราเล่นแค่รัศมีวงกลมครับ เราต้องส่งคนไปสำรวจในบริเวณรอบ ๆ หรือตามซากปรักหักพังเพื่อปลดล็อกพื้นที่ไปเรื่อย ๆ ตรงนี้เควสจะเริ่มมามีบทบาทกับการเล่นเกมของเราแล้วนะฮะ (ส่วนใครอยากรู้สึกอิสระในการเล่นมากขึ้น สามารถเลือกที่จะปิดในส่วนของเควสไปได้ครับ แต่ผมแนะนำให้เปิดเอาไว้เพราะมันสนุกมาก ๆ) เราต้องไปค้นบ้านเพื่อหาผู้รอดชีวิตตามคำสั่งของเควสที่เราได้รับมา เพื่อปลดล็อกในส่วนของการวิจัยครับ แต้มการวิจัยต่าง ๆ ที่เราจะเอามาอัปเกรดเพื่อที่จะสร้างเต็นท์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใน Base Camp (ฐานตั้งมั่น) ก็ต้องใช้แต้มต่าง ๆ ช่วงชีวิตในเกมแรก ๆ เราต้องส่งสมาชิกในแคลนไปหาตามซากเมืองต่าง ๆ เพื่อหาทรัพยากร หลังจากนั้นเราก็สร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ตามเควสไปได้เรื่อย ๆ เพลินมาก ๆ ระบบอัปเกรดสิ่งต่าง ๆ เพิ่มความสนุกให้เกมนี้ไม่น่าเบื่อเมื่อเรามีแต้มสำหรับอัปงานวิจัยแล้ว สมมติว่าเราสร้างท่าเรือสำหรับจับปลาไว้แล้วแบบเลเวล 1 ถ้าเราอัปเกรดท่าเรือจับปลาในตารางวิจัยเป็นเลเวล 2 เราสามารถมากดจากท่าเรือเลเวล 1 ที่เราสร้างไว้แล้วได้เลยครับ แค่เราหาวัตถุดิบที่ระบบรีเควสมาให้ครบ และตรงนี้เราจะได้ส่วนลดวัตถุดิบที่ใช้อัปเกรดด้วย แม้กระทั่งผู้นำในแคลนของเรา เราสามารถใช้ศูนย์การวิจัยอัป EXP เพื่อเพิ่มเลเวลให้หัวหน้าแคลนของเราได้ด้วย จะเพิ่มสกิลติดตัวต่าง ๆ ให้กับแคลนของเราไปอีกครับ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกแคลนหาทรัพยากรเร็วขึ้น, สมาชิกในแคลนกินน้อยลง หรือสมาชิกในแคลนถ้าป่วยแล้วจะอัตราการตายจะน้อยลง เป็นต้นเควสและเนื้อเรื่องของเกมเชื่อมโยงกันทำให้ทุกอย่างดูลงตัวเริ่มต้นมาเกมนี้ก็จะมีเควสให้ทำเป็น Chapter ไปครับ ทำผ่านไปเรื่อย ๆ ระบบต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ทยอยปลดล็อกออกมาให้เราได้สนุกเพิ่มขึ้น แล้วก็จะมีปัญหายิบย่อยจากสมาชิกแคลนให้เราได้แก้ปัญหาอีกด้วยครับ อย่างเช่นที่ผู้เขียนเจอก็คือ มีครอบครัวหนึ่งครับพ่อควบคุมลูกไม่ให้ทะเลาะกับเพื่อนบ้านไม่ได้ และสร้างความรำคาญให้แก่ชาวแคลนจะมีเหตุการณ์ให้เราตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรกับครอบครัวนี้ดี ซึ่งผมรำคาญครับทะเลาะกันบ่อย ฮ่า ๆ ผมเลยตัดสินใจเนรเทศทั้งครอบครัวให้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีตัดรำคาญทั้งหมดวินวินทุกฝ่าย สมาชิกในแคลนคนอื่น ๆ จะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากครอบครัวนี้แล้ว, ผู้นำก็ไกล่เกลี่ยไปหลายรอบแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นก็จะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาเรื่องเดิมซ้ำ ๆสรุปว่าชาวเมืองไม่ได้ชอบการตัดสินใจของผมครับ และจะมีผลแจ้งให้เราทราบด้วยว่าสิ่งที่เราตัดสินไปสร้างความเอือมระอาให้กับชาวเมืองครับ เพราะดันเป็นวิธีที่อะลุ่มอล่วยเกินไป เพราะสังเกตนิสัยของสมาชิกภายในแคลนแล้วน่าจะเป็นฝั่งขวาจัดครับ คือพวกเขาต้องการให้ผมลงโทษครอบครัวที่ทำผิดแบบจริงจัง ฮ่า ๆ แค่เราตัดสินใจอะไรจะมีผลภายในแคลนทันทีตรงนี้ก็ต้องระวังให้มากเหมือนกันมันสามารถนำไปสู่การกบฏได้ครับออกแบบกฎหมายได้ตามความชอบเรื่องรสนิยมด้านการปกครองมันก็เป็นความชอบของแต่ละคน และในเกมนี้ก็ออกแบบมาได้ครอบคลุมมาก ๆ ครับ ไม่ว่าเราจะอยากเล่นแบบขวาจัดไปเลย ซ้ายจัดจนเลี้ยวกลับมาขวาไม่ได้ อนุรักษ์นิยมแบบที่โลกเดิมพังไปแล้วแต่ฉันก็ยังอยากจะทำแบบเดิม ๆ หรือแม้แต่เสรีนิยมที่ให้ความอสิระเหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ที่สุด ขนมาให้เลือกออกแบบได้ตามความพอใจของเราเลยครับ มีบริบทกฎหมายที่ทำโทษกันแบบจริงจัง และสร้าง Emotion (อารมณ์) ในเกมให้กับประชากรที่อยู่ภายใต้การดูแลในแคลนของเราครับ และตรงนี้แหละครับถ้าเรากำหนดมันไม่ดีอาจจะทำให้ Game Over ได้เลยครับ ฉะนั้นอย่าลืมดูลักษณะนิสัยโดยรวมของสมาชิกในแคลนเราก่อน ระบบกฎหมายจะปลดล็อกให้เราเลือกก็ต่อเมื่อเราทำเควสผ่านไปสักระยะหนึ่งครับ ระบบการควรคุมที่ใช้ง่าย นี่แหละที่ต้องการFloodland เป็นเกมที่มีมุมมองจากด้านบนลงมา เราได้รับบทเป็นพระเจ้าบริหารคนจำนวนหนึ่ง ภาพในเกมเป็นภาพแบบ 3D Polygon ทำได้สวยงาม การออกแบบสิ่งปลูกสร้างทำออกมาได้ดี (ตัวผู้เขียนชอบงานอาร์ตแนนนี้อยู่แล้วครับ) ไม่ต้องมีคอมที่ Spec สูง ๆ ก็เล่นได้ แต่ติดตรงที่เกมนี้เล่นไปเรื่อย ๆ frame rate จะดรอปไม่ว่าผมจะพยายามปรับภาพยังไงก็แก้ไม่ได้ ในส่วนนี้อาจจะต้องรอ Dev แก้ครับระบบการบังคับของเกมนี้โคตรเข้าใจง่ายเลยครับ มือใหม่ก็เล่นได้ใช้คลิก ๆ ไม่ต้องลากคลุมอะไร กดตัวเลือกการหาทรัพยากรแค่เราเอาเมาส์ไปวางจะมีเขตรัศมีบอกเลย สามารถทำซ้อนกันได้ตามความสามารถของผู้นำแคลนในช่วงแรกครับ ทุกอย่างแค่กดคลิกแล้วสั่งให้สมาชิกแคลนไปทำงานได้เลย เสียดายไม่มีระบบหมุนสิ่งปลูกสร้างวางได้แค่ทิศทางเดียวครับ ส่วน Toturial ในเกมมีสอนตลอด สามารถเปิดปิดได้ครับUI เกมนี้สวยงามมาก ๆ ครับใช้งานได้ง่ายและเข้าใจง่าย คนที่ไม่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อนปรับตัวนิดเดียวก็เล่นได้แล้วครับ ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่ไม่กินพื้นที่การเล่นเกมขึ้นมาให้บดบังสายตา ป็อปอัปต่าง ๆ เวลามีเควสแทรกเด้งขึ้นมาก็ทำได้ดีคือเป็นงานอาร์ตตัวละครมาเลยครับ ถือว่าเลิฟมาก ๆ เพราะงานอาร์ตสวย สรุปนี่เป็นแค่เกมเพลย์คร่าว ๆ ที่ผู้เขียนยกบางส่วนจากในเกมมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านนะครับ ในเกมเนี่ยยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะเลยไม่ว่าจะเป็น การเป็นพันธมิตรกับแคลนอื่นแล้วย้ายมาอยู่ด้วยกัน การส่งสัญญาณวิทยุออกไปค้นหาผู้คนและทรัพยากรในที่ ๆ ห่างไกล หลังจากค้นเจอแล้วก็ส่งคนของเราบางส่วนออกไปโกยทรัพยากรและคนกลับมา และอีกเยอะแยะมากมายไปหมด มันเป็นเกมที่สนุกมาก ๆ การบังคับที่ไม่ยากเกมเข้าใจง่ายมีอะไรให้ทำเยอะ ผมเลยมองว่ามันเป็นเกมสร้างเมืองอีกเกมหนึ่งที่ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ควรเก็บสะสมลงคลังเอาไว้มาก ๆ ครับแต่ไม่ใช่ว่าจะสนุกแล้วจะมีแต่ส่วนดีดีนะครับ ส่วนที่ไม่ดีผมก็พอมองเห็นอยู่เหมือนกัน อาจจะด้วยเกมเพิ่งวางขายก็ยังมีบัคให้เราได้พบเห็นอยู่ แต่ส่วนที่ผู้เขียนไม่ค่อยชอบเลยเห็นจะเป็นเรื่อง frame rate ช่วงแรก ๆ ที่เข้าเกมยังไม่มีปัญหากับมันสักเท่าไหร่แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ frame rate ตกอย่างเห็นได้ชัดครับ เล่นแรก ๆ ลื่น หลัง ๆ เฟรมดรอปแบบ 5 - 15 เฟรมทั้งเกม ไม่ว่าจะปรับภาพยังไงก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเครื่องที่ Spec โหดจะประสบปัญหาเดียวกันไหมอันนี้เพื่อน ๆ ต้องไปลองเทสด้วยตัวเองต่อจากผมแล้วครับ ฮ่า ๆส่วนเรื่องที่ผมไม่ชอบอีกอย่างก็คือระบบเทรดในเกมของเกมนี้ที่มันยังไม่มี มันเลยทำให้ทรัพยากรในเกมในช่วงหลังที่หามาได้มันล้นครับ และก็ไม่รู้จะระบายมันออกไปยังไง ในส่วนนี้ผู้เล่นหลาย ๆ คนใน Steam ก็เหมือนจะประสบปัญหาเดียวกัน เห็นในคอมมูของเกมนี้เห็นมีคนคอยแจ้ง Dev อยู่ตลอด ในอนาคตผู้พัฒนาอาจจะเพิ่มในส่วนนี้เข้ามาและมันน่าจะทำให้เกมนี้สนุกขึ้นไปอีก ตอนนี้ฤกษ์งามยามดีช่วง Winter Sale พอดี ราคาเกมตอนนี้ลด 20% สนนราคาอยู่ที่ 576 บาท จากที่ผมเล่นมาราคาเต็มก็ยินดีจ่ายครับ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลอง บอกเลยว่าสองชั่วโมงไม่พอ ใครที่วางแผนจะลองเล่นสัก 2 ชั่วโมงแล้วกดคืนเงินเรื่องนี้ลืมไปได้เลยครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1336180/Floodland/
26 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Lil Gator Game การผจญภัยของจระเข้น้อย ที่ชวนนึกถึงความความบริสุทธ์ของวัยเยาว์
Lil Gator Game เป็นเกมอินดี้ใหม่แกะกล่องที่เพิ่งวางขายไปเมื่อ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา จากตัวอย่างก็พอจะรู้ว่าเป็นเกมน่ารักเล่นสบายคลายสมอง เพราะน้องจระเข้ที่เป็นตัวเอกของเรานั้นช่างน่ารักตะมุตะมิเหลือเกิน ทว่าพอได้สัมผัสกับเกมนี้จริง ๆ ก็พบว่าเกินคาด การได้เล่นเกมสักเกมที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความคืบหน้าหรือมีอิสระขนาดนี้ก็ดีเหมือนกัน เนื้อเรื่องเองแอบทำเอาจุกจนตั้งตัวไม่ทันด้วย (ฮา) ถ้าใครชอบเกม A Short Hike เกมนี้คือห้ามพลาดโดยเกมนี้เป็นเกมแนวผจญภัยที่โลกทั้งเกาะคือสนามเด็กเล่น เปิดโอกาสให้คุณได้ใช้ความอยากรู้อยากเห็นและการเล่นสนุกนำพาคุณไป ฉะนั้นผู้เขียนขอเชิญชวนทุกท่านทิ้งสิ่งที่แบกรับเอาไว้แล้วกระโดดมาเล่นสนุกกันดีกว่า ได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็คงไม่เสียอะไรเป็นผู้กล้าในตำนานออกผจญภัยในโลกอันกว้างใหญ่เกมให้เรารับบทเป็นน้องจระเข้น้อยที่รับบทเป็นผู้กล้าอีกที ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นผู้กล้านั้นต้องทำคือการช่วยเหลือคนอื่น จัดการมอนสเตอร์กระดาษลัง ทำภารกิจให้สำเร็จและรับของรางวัลตอบแทน (คือเราเล่นเกม RPG เป็นน้องเข้ที่กำลังเล่นเกม RPG) เพราะสิ่งที่ผู้กล้าต้องทำคือช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและจัดการปีศาจยังไงล่ะ!นอกจากจะได้รับมิตรภาพแล้ว สิ่งของที่ได้รับคือเศษกระดาษที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกับคราฟต์ของ บ้างก็ได้รางวัลเป็นสูตรคราฟต์อุปกรณ์สวมใส่ที่ผู้กล้าต้องมี อาทิ หมวก อาวุธและโล่ รวมถึงความสามารถพิเศษที่จะช่วยเหลือเราได้ แต่ละอย่างภายเกมในนี้ก็หลากหลายทีเดียว อยากจะใส่อะไรก็ได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าสเตตัสหรือน้ำหนักสิ่งของ เลือกในสิ่งที่ตัวเองถูกใจที่สุดเพื่อเป็นผู้กล้าในแบบของตัวเอง เพราะจะใส่กระบังหน้าผากวิ่งท่านารูโตะก็ย่อมได้เกาะแห่งนี้คือสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยความอิสระโลก Open-world หรือเกาะแห่งนี้มีอะไรหลายอย่างให้สำรวจเลยทีเดียว ตั้งแต่พื้นที่ริมทะเล ที่ราบ ป่า หน้าผาและยอดเขาสูงเสียดฟ้า ตัวเกมไม่ได้บังคับให้เราต้องไปที่ไหนก่อนที่ไหนหลัง จะออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่ก็ย่อมได้ เพราะไม่ว่าจะไปตรงไหนก็มีอะไรรอเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นดงมอนสเตอร์กระดาษลังหรือเพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลือ มันจึงยิ่งส่งเสริมให้เราอยากวิ่งออกสำรวจทุกซอกทุกมุมและไปไกลเท่าที่ความอยากรู้อยากเห็นของเราจะไปถึงและตัวเลือกที่เกมนี้มอบให้เราผจญภัยก็มีอะไรมากกว่าแค่การวิ่ง น้องเข้ของเราสามารถว่ายน้ำ ไต่เชือก ปีนป่ายภูเขาและต้นไม้ (เป็นจระเข้จริงมั้ยเนี่ย?) ใช้เสื้อเป็นเครื่องร่อนเพื่อเคลื่อนที่ไปในอากาศ และใช้โล่เป็นแคร่เพื่อไถตัวเองลงจากภูเขา ทั้งหมดนี้ทำให้การผจญภัยไปทั่วเกาะแห่งนี้สนุกและไร้ขีดจำกัดมาก ๆงานภาพสุดน่ารัก สีสันสดใสชวนให้นึกถึงการ์ตูนเด็กปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากราฟิกของเกมนี้น่ารักมาก ไม่ว่าจะด้านโทนสีของตัวเกมหรือด้านการออกแบบสิ่งของ ฉากและตัวละคร ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รู้สึกได้ถึงความสดใสที่โอบล้อมไปทั่วอาณาบริเวณ และที่รู้สึกเอ็นดูที่สุดจะไปใครไปได้นอกจากน้องเข้ตัวเอกของเรา ตาโต ๆ กับรอยยิ้มใสซื่อ น่ารักชะมัดเลย!นอกจากภาพแล้วเรื่องเพลงประกอบก็เพราะด้วย ช่วยเพิ่มอารมณ์ร่วมไปกับการผจญภัยได้ดีเลยทีเดียวทุกตัวละครมีเรื่องราวและความหนักใจเป็นของตัวเองนอกจากบทสนทนาของบางตัวละครที่ชวนให้หัวเราะคิกคัก เรื่องราวของบางตัวก็ช่างคล้ายคลึงกับชีวิตจริงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยในเนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมทำให้เรารู้ว่าน้องเข้ของเรามีพี่สาวด้วย ดูเหมือนว่าพี่สาวจะเล่นการละเล่นแบบนี้กับน้องชายอยู่บ่อย ๆ ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ร่วงวันเวลาผ่านไปจนพี่สาวเติบโตขึ้น การบ้านและสิ่งที่รับผิดชอบทำให้เธอไม่อาจเล่นสนุกกับน้องได้ดังเดิม น้องเข้จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงความสนใจให้พี่สาวมาเล่นด้วย หนึ่งในนั้นคือการสร้างเกมที่สนุกที่สุดขึ้นมา แล้วน้องเข้ของเราทำสำเร็จหรือเปล่า? เรื่องนั้นคงต้องซื้อเกมนี้มาลองด้วยตัวเองแล้วสรุป: แม้จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แสนน่าเบื่อก็โปรดอย่าหลงลืมความเยาว์วัยในหัวใจเกมนี้มีความยาวประมาณ 6-7 ชั่วโมง และอาจใช้เวลามากกว่านี้หากต้องการเก็บ 100% เป็นเกมที่เกมเพลย์ตรงปกกับตัวอย่างเกม เราได้เล่นสนุกและผจญภัยอย่างที่ตัวเกมได้บอกไว้ แต่สิ่งที่แอบเหนือความคาดหมายคือเนื้อเรื่อง ไม่คิดเลยว่าในเกมเด็กน้อยจะมีเนื้อเรื่องที่ทำคนที่เลยวัยวิ่งเล่นจุกอกได้ เพราะบางเรื่องก็ช่างคล้ายกับชีวิตจริงเสียเหลือเกินสุดท้ายนี้ Lil Gator Game เป็นเกมที่ทำให้รู้สึกย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มอบโอกาสให้เราได้เล่นสนุกโดยไม่ต้องนึกถึงความรับผิดชอบร้อยแปดที่แบกรับเอาไว้ เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นที่บอกให้เราวางเรื่องทั้งหมดนั่นลงแล้วผ่อนคลายตัวเองเสียบ้างเพราะเด็กน้อยคนนั้นยังอยู่ในตัวคุณเสมอแพลตฟอร์มเกม: Windows, macOS, Nintendo Switchได้รับรีวิวระดับ Overwhelmingly Positive บนหน้าร้านค้า Steam พร้อมติดแท็ก Casual, Relaxing, Cozy, Cute, Family Friendly
24 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม The Knight Witch เกม Metroidvania ที่ย่อยง่าย แต่สนุกท้าทายเกินคาด
ตามปกติแล้วเรามักจะเห็นแม่มด หรือจอมเวทย์ใช้คาถาในการต่อสู้ แต่กับเกมนี้อาวุธที่เราใช้ แทบไม่ต่างอะไรจากปืนไรเฟิล ปืนกล แถมคอมโบด้วยการใช้ Spellcard สุดมัน และชวนหัวร้อนอีกต่างหาก เกริ่นมาซะน่าเล่นขนาดนี้ วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกันกับ The Knight Witch ผ่านรีวิวเกมของเรากันสี่แม่มดในตำนานผู้กลายเป็นฮีโร่ของแม่มดรุ่นใหม่สำหรับเรื่องราวและเหตุการณ์ใน The Knight Witch นั้น จะเริ่มต้นด้วยการเล่าย้อนไปหลายปีก่อนเกมจะเริ่ม เมื่อสังคมถูกปกครองโดยกองกำลัง Dagadai ที่ปกครองกดขี่ผู้คนอย่างไม่เท่าเทียม ความอัดอั้นตันใจก่อให้เกิดกบฎและสงครามกลางเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้นำสงครามคือเหล่าอัศวินแม่มดที่ถูกเรียกขานว่า The Knight Witch ทั้ง 4 คน แม้ว่าท้ายที่สุด สงครามปลดแอกจะส่งผลสำเร็จ แต่ก็เป็นการพลีชีพของเหล่า Knight Witch และโลกบนพื้นดินก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ประชาชนและชุมชนต้องย้ายลงไปอยู่ในโลกใต้ดินหลายปีผ่านไป ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Rayne หญิงสาวที่เป็นหนึ่งในน้องสาวของกลุ่ม The Knight Witch แต่ถูกกีดกันเพราะพลังไม่มากพอ แต่พวก Dagadai กลับมาล้างแค้น และเมื่อพวก Knight Witch กระจัดกระจายกันไป หน้าที่ปกป้องหมู่บ้านและเพื่อน ๆ ของเธอจึงตกมาอยู่ในมือของ Rayne หากเทียบกับเกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกันและเกรดเดียวกันนี้แล้ว The Knight Witch ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องมากกว่า มีช่วงของการบรรยายเหตุการณ์ คัทซีนแบบการ์ตูนแอนิเมชั่น รวมไปถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ชวนให้ติดตามตลอดเกม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าด้วยทุนสร้างและข้อจำกัดของเกมอินดี้ ทำให้เรื่องของคัทซีนดี ๆ รวมไปถึงเสียงพากย์นั้น ไม่มี และเป็นการทำลายอรรถรสของส่วนนี้ไป และดูเหมือนว่าทีมงานจะไกล่เกลี่ยบทได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก บางจังหวะที่ควรจะอิมแพคท์ก็เฉยซะจนไม่ตื่นเต้นอะไร หรือบางอย่างก็เฉลย หรือเปิดเรื่องไวเกินดังนั้นแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้จะถูกให้ความสำคัญมากกว่า Metroidvania เกมอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีขีดจำกัดในฐานะเกมอินดี้ และทำได้แค่ 'ดีกว่า' เกมทั่วไป แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม และถ้าเราจะเล่นแบบเอาเนื้อเรื่องก็ต้องขยันอ่านเฉกเช่นเดียวกันกับเกมอินดี้เกมอื่น ๆ ที่ไม่ได้จัดเต็มในแง่ของคัทซีนหรือเสียงพากย์การนำเสนอแบบ Metroidvania ฉบับ Minimal The Knight Witch นำเสนอตัวเกมในรูปแบบ Metroidvania เกมแนวนี้คือเกมที่ใน 1 ฉากมีทางเลือกในการไปต่อได้มากมายและหลากหลายเส้นทาง แม้ว่าทางไปสู่ Main Mission จะมีเส้นทางเดียว แต่ระหว่างทาง เรามักจะเจออุปสรรคขวางกั้น ทำให้เราต้องพยายามออกสำรวจอยู่เสมอ การสำรวจก็เป็นทั้งการทำเพื่อเปิดเส้นทางไปต่อ หรือได้มาซึ่งไอเทมอัปเกรดใหม่ ๆ มากมาย จะไม่ทำก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านมาแล้ว สุดท้ายเราก็จะโดนดึงดูดให้ทำอยู่ดีแม้จะเป็นเกม Metroidvania แต่ขนาดแผนที่ของเกมนี้ถือว่าไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ทำให้แม้จะมีทางเลือกมากมาย แต่ด้วยความที่ตัวเกมเองก็บอกทางไปต่อชัดเจน ผู้เล่นจะไม่มีการคลำทาง หรืองมกับทางไปต่อที่หาไม่เจอแน่นอน เรียกได้ว่าดีไซน์เกมมาแบบ Casual สุด ๆ และหากมองว่ามันเป็นเกม Metroidvania ก็ไม่อยากจะนับว่ามันเป็นข้อเสีย เพราะมันทำให้เกมการเล่นลื่นไหลอย่างมาก ไม่รู้สึกว่าต้องติด หรือวนเวียนอยู่กับฉากเดิมนาน ๆ แต่ดูเหมือนว่าบางฉากผู้ออกแบบเองก็เหมือนจะมันมือไปหน่อย เพราะมันยากเกินความจำเป็น อย่างฉากที่ต้องควบคุมตัวละครผ่านพื้นที่หนามแคบ ๆ ต้องค่อย ๆ กดถึงจะไปต่อได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เกมก็ไม่ได้มีฉากกวนประสาทแบบนี้ หรือต่อจากนี้ก็แทบจะไม่ได้เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ ไปคึกนึกสนุกอะไรขึ้นมา จนออกแบบฉากยาก ๆ แบบนี้มาขัดจังหวะเกมการเล่น หรือบางช่วง การจะเปิดทางไปต่อก็อาจจะต้องไปยังเส้นทางที่เราไม่รู้จัก เพื่อไปหา Key Item หรือไมก่็ไปเปิดสวิทช์ ซึ่งทั้งหมดจะพาคุณเข้าสู่การต่อสู้ได้แทบจะตลอดเวลาเรียกได้ว่าหากคุณเป็นคนที่สนใจเกมแนว Metroidvania และอยากหาเกมเริ่มเล่นสักเกมเพื่อรู้ว่าเกมแนวนี้มีกลิ่นอายนำเสนอยังไงแล้วล่ะก็ The Knight Witch เป็นเกมที่ไม่ควรมองข้ามเลย ก่อนจะอัปสเกลไปเล่นเกมที่โหดกว่านี้ และมีความเป็น Metroidvania มากกว่านี้เกมเพลย์การเล่นสุดสนุก แต่ระวังลายตากับหัวร้อน !ไม่รู้ช่วงนี้เทรนด์ทำเกมที่ต้องใส่ความยากเข้ามานิด ๆ หน่อย ๆ ไปโดนใจผู้พัฒนาหรืออย่างไรเข้า ทุกเกมมักจะต้องใส่ความยากในระดับที่ชวนของขึ้นนิด ๆ เข้ามาด้วยเสมอ The Knight Witch เองก็เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง ก่อนอื่นต้องอธิบายกันเรื่องระบบการต่อสู้ ตัวละคร Rayne ที่เราจะได้เล่นและควบคุมนั้น มีความสามารถในการลอยตัวได้ตลอด ทำให้มันตัดปัญหาความน่าหงุดหงิดในการหาทางไปต่อระหว่างแพลตฟอร์มได้เป็นอย่างดี เพราะเราสามารถบินไปบินมา และไปถึงจุดต่าง ๆ ในฉากได้อย่างเป็นอิสระ จะมีข้อจำกัดก็แค่ประตูมันถูกล็อคเอาไว้เท่านั้น และหัวใจสำคัญในการต่อสู้ของเกมนี้คือการยิงกระสุนพลังงานออกไปโจมตีศัตรูนั้นนับเป็นอาวุธหลัก ส่วนอีกระบบหนึ่งคือระบบ Spellcard ระบบนี้จะเป็นการใช้ความสามารถที่หลากหลายของการ์ดในการโจมตีศัตรู (หรือป้องกันตัวเอง เช่นเปลี่ยนอาวุธหลักให้ยิงรัวเป็นปืนกลได้ หรือสร้างพลังพิเศษขึ้นมาโจมตีศัตรู และป้องกันตัวเองได้ โดยมีค่าใช้จ่ายเป็น Mana ที่เราสามารถหาดรอปได้จากการกำจัดศัตรูหรือกล่องไอเทมตามฉาก และยิ่งผู้เล่นเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะมีโอกาสได้การ์ดใบใหม่ ๆ มากขึ้นแต่การ์ดในเกมนี้ก็ไม่ได้เยอะ ประเภทการ์ดจะถูกแบ่งออกเป็น Destroyer (สกิลโจมตี) Weapon (เปลี่ยนรูปแบบอาวุธ) Conjurer (เสกพลังงานขึ้นมาโจมตี) และ Trickster (เอาตัวรอด) การ์ดต่าง ๆ จะมีจำนวนจำกัดที่ระบุเอาไว้แล้ว หน้าที่ของผู้เล่นคือแค่ไปตามหาให้ครบ และผู้เล่นสามารถเลือกการ์ดติดตัวไปด้วยได้ 7 ใบก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาเล่นจริง ผู้เล่นจะกดใช้งานการ์ดได้เพียง 3 ใบ เมื่อใช้งานการ์ดใบนั้นไปแล้ว ระบบจะสุ่มการ์ดใบใหม่เข้ามาแทน ซึ่งอาจจะเป็นใบซ้ำ หรือใบอื่น ๆ ที่อยู่ใน Deck 7 ใบนั้นก็ได้ ทำให้เกมการเล่นมีความระทึก พลิกแพลงไปมาได้ จากการใช้การ์ดในแต่ละสถานการณ์ที่เราสุ่มได้มาฟังดูเหมือนจะสนุกดี แต่ด้วยความที่ระบบการเล่นและการต่อสู้ของเกมนี้ อีกนิดนึงก็เข้าข่าย Bullet Hell แล้ว ทำให้ผู้เล่นแทบจะไม่มีเวลามานั่งมองการ์ดในระหว่างการต่อสู้ เอาง่าย ๆ คือถือใบไหนอยู่ก็กด ๆ ไป เพราะถ้ามัวแต่มามองการ์ด อาจจะบินไปชนกระสุนตายเอาได้ง่าย ๆ อีกหนึ่งการอัปเกรดตัวละครคือ การ Link ความสัมพันธ์ของเหล่า NPC ตัวอื่น ๆ ที่มีให้กับเธอ วิธีการเพิ่มระดับ Link คือการช่วยเหลือ ทำภารกิจ พูดคุย ซึ่งปกติแล้วเราก็จะได้จากการเอาชนะบอสในพื้นที่นั้น ๆ อยู่แล้ว ขั้นตอนนี้หากผู้เล่นเลือกถามตอบดี ๆ ก็อาจจะเพิ่มโบนัสให้ Link ได้มากกว่าปกติด้วย การเลือกโกหกในบางสถานการณ์อาจทำให้ระดับ Link เพิ่มเร็วขึ้นก็จริง แต่ก็อาจจะส่งผลกับเนื้อเรื่องในภายหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่นเองและเมื่อเรา Link จนเลเวลอัปแล้ว เราจะเลือกได้ว่าจะอัปเกรดทักษะของความเป็น Knight หรือความเป็น Witch หากเลือกเพิ่มความสามารถด้าน Knight จะมีพลังโจมตี การยิงต่อเนื่องที่มากขึ้น แต่หากเลือกความเป็น Witch จะเพิ่ม Mana และใช้สกิลได้แรงขึ้น ซึ่งจะเลือกแบบไหนก็ได้ ไม่มีผลกับเนื้อเรื่อง ชองยิงหรือชอบกดสกิลมากกว่าก็แล้วแต่เลยในด้านของเกมเพลย์ของเกมนี้นั้น จะเล่นด้วยจอยคอนโทรลเลอร์ หรือเมาส์ คีย์บอร์ดก็ย่อมได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความถนัด การใช้จอยอาจจะช้ากว่า แต่แม่นยำกว่า ส่วนเมาส์เกมนี้อาจจะต้องพึ่งพาการ Setting ที่มีความเร็วเหมาะกับมือผู้เล่น ไม่อย่างนั้นรับรองว่ามีเล็งพลาดกันบ้างแน่ ๆ The Knight Witch เป็นเกมที่หยิบเอาแนว Metroidvania มาย่อยให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่การหยิบเล็กผสมน้อยของเกมต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เข้ากับตัวเอง เป็นอะไรที่ทำได้ดีมาก ๆ การผจญภัยที่สนุก การดำเนินเรื่องที่ไม่ถึงกับแย่อะไร ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่เกมนี้ถือว่าเป็นอีกเกมที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียว
20 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Blacktail การดัดแปลงนิทานสลาฟ ที่จะพาคุณสำรวจโลกแฟนตาซีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
การนำเอาเทพนิยาย หรือนิทานชื่อดังมาทำเป็นเกมนั้น มีให้เห็นกันมากมาย ทั้งเทพกรีก เทพโรมัน แต่จะมีสักกี่เกมที่ใช้นิทานพื้นบ้านมาเล่าเป็นเนื้อเรื่อง และ Blacktail คือเกมอินดี้ที่หยิบเอาเรื่องราวที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูนัก นั่นคือนิทานเรื่อง Baba Yaga ที่หลายคนอาจจะได้ยินชื่อเสียงผ่านสื่อบันเทิงอื่นมามากมาย มาเล่าเป็นวิดีโอเกม ส่วน Baba Yaga ในฉบับเกมนี้จะออกมาเป็นยังไง ลองมาดูในรีวิว Blacktail ของเรากันจากนิทานสลาฟ สู่เกม Indie RPG ที่เน้่นการนำเสนอเรื่องราวอย่างที่เรากล่าวไปในพาดหัว Baba Yaga อาจเป็นชื่อที่เราเคยได้ยินจากสื่อบันเทิงหลายสื่อ เอาที่โด่งดังหน่อยก็คือ John Wick แต่จริง ๆ แล้ว Baba Yaga คือชื่อของนิทานพื้นบ้านของชาวสลาฟ บ้างก็ว่าด้วยเรื่องราวของแม่มดที่อาศัยอยู่ในป่า ซึ่ง Blacktail หยิบจุดนี้มาเล่าเป็นวิดีโอเกมและนำเสนอเรื่องราวนี้ได้ค่อนข้างน่าสนใจและเข้าถึงง่ายกว่ามาก ผู้เล่นจะได้เริ่มต้นเกมด้วยการรับบทเป็นตัวละครสาวชื่อ Yaga จากนั้นก็เลือกเส้นทางของตัวเองว่าจะเลือกเดินเส้นทางสายสว่างหรือสายมืด เมื่อเลือกแล้วเกมก็จะเริ่มต้นขึ้นกับพล็อตยอดฮิต คือ Yaga จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำที่หายไป เธอจำได้เพียงเพื่อนและน้องสาวของเธอเท่านั้น และเธอก็ได้รับการชักนำจากเสียงปริศนาอย่าง The Voice ให้ออกเดินทางตามหาความจริงเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดและเหมือนว่าทีมพัฒนาเกมจะรู้ ว่าเกมของพวกเขานั้นอาจจะต้องอาศัยการเรียนรู้และการตีความที่มากเป็นพิเศษ เกมจึงมีโหมดการเล่น 2 โหมด คือโหมด Adventure และโหมด Story สำหรับโหมด Adventure นั้นจะเหมือนกับโหมดเกมความยากระดับปกติที่ผู้เล่นสามารถสนุก และท้าทายไปกับการต่อสู้ ในขณะที่โหมด Story จะเน้นให้ผู้เล่นได้ดื่มด่ำไปกับเนื้อเรื่อง และลดความยากในการต่อสู้ลง เพื่อให้ผู้เล่นได้โฟกัสไปกับการติดตามเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เกมนี้ภูมิใจนำเสนอมาตั้งแต่ตอนเปิดตัวคือเรื่องของระบบศีลธรรมหรือ Morality ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการกระทำและการเลือกดำเนินเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในเกม เรียกได้ว่า ดี-เลว ขึ้นอยู่กับตัวคุณกำหนด ตั้งแต่การเลือกเชื่อฟัง NPC ตัวใด หรือการกระทำเวลาเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นเวลาคุณเจอนกโดนปีศาจจับไว้อยู่ ถ้าเราเลือกช่วย มันก็จะช่วยเพิ่มคุณธรรมฝั่งดี แต่ถ้าเลือกปล่อยผ่าน หรือช่วยซ้ำเติมมันอีก ก็จะได้เพิ่มความชั่วร้ายในตัวให้สูงขึ้น ดังนั้นจะบอกได้ว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่นเองก็ย่อมได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการชูจุดเด่นที่เหมาะสมกับแนวเกมและพื้นหลังที่เลือกมาใช้ได้ดีโลกของนิทานสลาฟที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส และไม่ดาร์คอย่างที่คิดแม้จะบอกว่าเป็นเรื่องราวที่อิงมาจากนิทานสลาฟอย่าง Baba Yaga แต่ในความเป็นจริงแล้วเกมการเล่นมันก็ไม่ได้ชวนดาร์คอย่างที่คิด เกมนี้มีการนำเสนอในรูปแบบแฟนตาซีที่มีสีสันสดใสมาก จนแทบจะกลายเป็นจุดเด่นของเกมไปเลยตั้งแต่ตอนที่ได้เล่นครั้งแรก ใครที่ชื่นชอบสีสันสดใส ฉูดฉาด แบบ Far Cry 4 คุณอาจจะชอบเกมนี้ เพียงแต่กราฟิกจะเน้นหนักไปที่ความเป็นการ์ตูนมากกว่า และเพื่อให้สอดคล้องกับส่วนของเนื้อเรื่องที่จะนำเสนอประเด็นความดี ความชั่ว ทำให้ตลอดระยะเวลาการเล่น ผู้เล่นจะต้องเลือกชอยส์ในการตอบคำถามเหล่า NPC บ่อยมาก และทางเลือกในการตอบก็ดูเหมือนจะไร้ความประณีประนอม ต้องตอบแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น ว่าเราจะไปขาว หรือไปดำ เรียกได้ว่าเกมนี้เน้นไปสุดทาง ไม่มีตรงกลางให้เลือกแน่นอน และยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็จะยิ่งปลดล็อคความทรงจำที่ถูกนำเสนอเหมือนกับหนังสือนิทาน เพิ่มอรรถรสด้วยเสียงพากย์ระดับคุณภาพ ที่ทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องได้ง่ายมากและตัวเกมเป็นเกมผจญภัยในโลก Open World ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และยังคงคอนเซปต์ความสดใส ย้ำกันอีกรอบว่าแม้จะเป็นเรื่องราวของ Baba Yaga แต่มันไม่ได้มีความดาร์คใด ๆ เลย แถมตัวเกมยังมีทั้งระบบกลางวัน กลางคืน นี่ไม่ใช่ป่าในเทพนิยายทั่วไป แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความสวยงามที่ผู้เล่นแทบจะกดหยุดถ่ายภาพเป็นสกรีนช็อตกันได้แทบจะทุกที่ และยังเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด NPC ต่าง ๆ ที่จะมาดึงความสนใจเราจากเป้าหมายหลักได้ตลอดเวลา ในแง่ของการนำเสนอโลกในเกม ยังไงก็ต้องชื่นชมทีมพัฒนาเกมนี้จริง ๆ ที่ทำโลกนิทานสลาฟออกมาได้สวยงามขนาดนี้ด้วยความที่เป็นเกม Single Player แบบเล่นคนเดียว ทำให้ตัวเกมไม่ได้มีความยาวอะไรมากนัก หากเล่นแบบไถเอาเนื้อเรื่องไปเลยก็อาจจะจบได้ใน 5-6 ชั่วโมง แต่ถ้าจะออกสำรวจด้วย เอาทุกอย่างจนครบก็อาจจะมี 10 ชั่วโมงขึ้นไปอยู่ เทียบกับตัวเกมในราคา 552 บาท (โปรโมชั่นลดราคายาวถึงปีใหม่) ก็ถือว่าสมราคา แต่จะชอบหรือไม่ชอบเรื่องราวของเทพนิยายสลาฟหรือไม่ ก็แล้วแต่ตัวบุคคล แต่สำหรับในแง่การนำเสนอ ถือว่าทำได้ดีสำหรับ Blacktailธนูคู่ใจและพลังเหนือธรรมชาติ อาวุธที่จะอยู่คู่กับเราไปตลอดทั้งเกมแม้ว่าจะเป็นเกมแอ็คชั่น แต่ Blacktail ไม่ใช่เกมบู๊แหลกขนาดนั้น อาวุธที่เรามี จะมีเพียงธนูคู่ใจเท่านั้น และเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นการปลดล็อคพลังพิเศษ ที่ใช้ได้ทั้งในการต่อสู้และเปิดเส้นทางลับต่าง ๆ แต่ในทุก ๆ การต่อสู้ ธนูของเรานี่ล่ะ ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้และช่วยให้เรารอดสิ่งสำคัญนอกเหนือไปจากการต่อสู้ คือการที่เกมเพลย์ของเกมนี้ถูกผูกรวมเข้ากับระบบที่เป็นจุดขายของเกมคือระบบศีลธรรม ผู้เล่นจะไม่สามารถครอบครอง หรือมีทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ เพราะหากเราเลือกเส้นทางสายใดสายหนึ่งไปแล้ว อาจจะไม่สามารถเข้าถึงไอเทมได้ทุกชิ้น ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเป็นเรื่องปกติ และรวมไปถึงเรื่องของสกิลและความสามารถด้วยระบบการต่อสู้ของเกมนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก แม้กระทั่งบอสไฟท์ ใครที่เคยเล่นเกม Action RPG มาแล้วหลาย ๆ เกมก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันต่างกันมากจนเกินไปนัก เพราะถึงเวลาเราก็แค่ยิงให้โดน หลบให้ถูกจังหวะ เกมไม่ได้มีความยากอะไรขนาดนั้น เวลาเจอศัตรูใหม่ ของใหม่ เราอาจจะตายอยู่กับมันบ้างครั้งสองครั้ง แต่ถ้าจับจุดได้ทุกอย่างก็เรียบร้อยอยู่ดีการอัปเกรดตัวละครของเกมนี้จะมีเพียงสกิลเท่านั้น แต่ตรงนี้ตัวเกมแอบน่ารำคาญเล็กน้อย กรณีที่เราจะอัปเกรดสกิลได้นั้น เราจะต้องกลับไปที่กระท่อมที่เป็นเหมือนกับ HUB ของเรา และ Skill Tree ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก การจะอัปเกรดสกิลได้นั้นจะต้องตามหา Lost Page ที่ได้จากการเล่นตามเนื้อเรื่องและการออกสำรวจ รวมไปถึงสกิลระดับ HEX Type จะเป็นสกิลที่เราเปิดใช้งานได้เพียงครั้งเดียวระหว่างการเล่น ที่จะทำให้เรามีความสามารถของสัตว์ต่าง ๆ ในขณะที่ไอเทมจำพวกยาฟื้นพลังก็ถือว่าสร้างสรรค์ แต่ในบางช่วงก็น่ารำคาญเช่นกัน คือเราจะต้องไปล่าสัตว์เพื่อนำเนื้อของมันกลับไปยังแคมป์ไฟ จากนั้นเราจะต้องปรุงให้สุกโดยการเล่นมินิเกมเท่านั้น การออกแบบเกมเพลย์ของเกมนี้จึงมีความกลาง ๆ ผสมอยู่ คือมันทั้งน่ารำคาญและน่าสนุกในเวลาเดียวกัน แต่เชื่อเถอะว่ายิ่งเล่นนาน ยิ่งน่ารำคาญในด้านของระบบศีลธรรมหรือ Morality เอง ก็ถือว่ามอบผลประโยชน์ที่สำคัญให้กับผู้เล่นที่เลือกสายดี สายชั่ว ยกตัวอย่างเช่นหากเราเล่นสายชั่ว การกำจัดศัตรูจะมีโอกาสดรอปไอเทมพิเศษที่ทำให้ฟื้นฟูพลังชีวิตได้ ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการต่อสู้ เพราะเกมนี้วิธีการฟื้นฟูพลังชีวิตค่อนข้างจำกัด แต่ถ้าเราเล่นสายดี เราจะเก็บทรัพยากรและวัตถุดิบได้มากยิ่งขึ้น คือไม่ว่าคุณจะเลือกสายไหน มันก็จะมีประโยชน์ในตัวมันเองด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นเกมนี้ไม่มีผิดมีถูกใด ๆ เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของคุณเองระหว่างเล่นเกมเพลย์ของ Blacktail นั้น ไร้ซึ่งความซับซ้อน จุดเด่นของมันคือการเลือกทำดี ทำชั่ว ซึ่งสุดแล้วแต่ผู้เล่น แม้มันจะมอบประสบการณ์ในการเล่นคนละแบบ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ห่างกันมากจนเรารู้สึกว่ามันคือคนละเกม ถ้ามองในแง่ความจำกัดจำเขี่ยของงบที่ใช้พัฒนา ก็ถือว่าทีมงานเกมนี้ได้พยายามสร้างสรรค์อย่างถึงที่สุดแล้วPerformance ของเกม ที่แกว่งแบบขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัดเกมอินดี้ที่ถือว่าทำมาดีทุกอย่าง แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือในเรื่องของ Performance ทั้งที่เกมนี้ไม่ได้กินสเปคมากมายอะไร แต่ปัญหาที่เจอบ่อยมากคือ ทุกครั้งเวลาที่เราข้ามเขตแดนไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ จะเกิดอาการเฟรมเรทดรอป และแลคมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดดูเหมือนว่าสิ่งที่เกมนี้ต้องการมากกว่าการ์ดจอคือเรื่องของแรมที่ใช้มากถึง 16GB ใครที่ใช้แรมน้อยกว่านี้ จริงอยู่ว่ายังไงก็เล่นได้ แต่อาจจะเจอปัญหาเฟรมเรทดรอป และกระตุกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในขณะที่เครื่องผู้เขียนเอง มีสเปคเกินกว่าที่เกมต้องการไปพอสมควร แต่กลับมีปัญหา ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัญหามาจากการพอร์ทเกมหรือ Performance ของตัวเกมเอง ซึ่งคงจะมีแพทช์มาแก้ในภายหลังBlacktail เป็นอีกเกมอินดี้ที่เรียกได้ว่า ม้ามืดส่งท้ายปีนี้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีถึงขั้นไม่ควรพลาด แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ดี และถ้ามีโอกาสก็ควรลองเล่นดูสักครั้ง
19 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Chained Echoes หวนคืนสู่ยุคทองของ JRPG เกมอินดี้คุณภาพคับแก้วที่คุณไม่ควรพลาด
แม้ว่าปัจจุบันเกมแนว JRPG จะค่อนข้างตกยุค หรือไม่ก็ถูกนำเสนอให้มาในรูปแบบของกราฟิกยุคปัจจุบัน จะมีสักกี่เกมที่ยังกล้าทำในรูปแบบ Old School ไว้จนถึงขีดสุด แต่ Chained Echoes เป็นเกมที่กล้าทำเช่นนั้น และมันทำออกมาได้ดีมากซะด้วย ดีขนาดไหน หาคำตอบได้ในรีวิวเกมนี้ของเรากันหลากหลายตัวละคร หลากหลายเรื่องราว บรรจบเป็นหนึ่งเดียวกันผู้เล่นรับบทเป็น Glenn เมื่อเริ่มต้นมาเราจะพบว่าเรากำลังอยู่บนเรือเหาะที่กำลังมุ่งหน้าไปทำภารกิจที่ใคร ๆ ก็คิดว่า มันคือภารกิจแบบทิ้งชีวิต ทุกคนต่างบอกว่าเราคือยอดฝีมือในด้านการใช้ Sky Armor หรือเกราะแห่งเวหา เป้าหมายภารกิจคือการทำลาย Opus Stone และเราจะได้ออกปฏิบัติการร่วมกันกับ Kylian ระหว่างการใช้ Sky Armor ทั้งคู่ถูกยิงร่วงลงมาบนชายหาด แต่ดูเหมือนว่าแผนการทำลาย Opus Stone จะเป็นกับดักของศัตรูแต่แรก การทำลาย Opus Stone กลับเป็นการปลดปล่อยพลังงานบางอย่างระเบิดทำลายพื้นที่โดยรอบ ภาพตัดมาที่เหตุการณ์ใหม่ที่เล่าเกี่ยวกับ อาณาจักร Valandis ที่เคยอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน ตกอยู่ภายใต้ไฟสงคราม สามอาณาจักรต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่มากว่าหกชั่วอายุคน โดยแบ่งเป็นอาณาจักรพิรุณนิรันดร์ Taryn, อาณาจักรที่มีท่าเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางใต้ Escanya, และอาณาจักรทางตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน Gravos ต่อมา Taryn เปิดสงครามกับ Gravos แต่ก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก ทั้งสามอาณาจักรไม่มีใครยอมรับว่าครอบครองอาวุธอันตรายเอาไว้ สงครามที่ยืดเยื้อไปมีแต่จะสูญเสีย ทั้งสามอาณาจักรตัดสินใจลงนามสนธิสัญญาสงบศึก เป็นอันสิ้นสุดสงครามกว่า 156 ปีเกมจะนำเสนอตัวละครกลุ่มใหม่ ชุดใหม่ขึ้นมาให้เราได้รู้จักอยู่เรื่อย ๆ และความยิ่งใหญ่ของเกมนี้ ก็ทำให้เราเชือได้ว่า มันคือ Story Driven JRPG ของจริง ใครที่ชอบเสพเนื้อเรื่อง ชอบอ่านประวัติ ตำนาน บทสนทนาตัวละคร เกมนี้จะมอบให้คุณอย่างเต็มอิ่ม มีทั้งการสมคบคิด การวางแผนการต่าง ๆ และตัวละครแต่ละตัวก็จะมีความคิด มีบุคลิกและลักษณะนิสัยที่ต่างกันออกไป เรียกได้ว่าในด้านของเนื้อเรื่อง เกมนี้จัดเต็มมากซะยิ่งกว่าเกมระดับ AAA บางเกมด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะการเปิดตัวตัวละครใหม่ ๆ ก็จะมีการเล่าปูมหลัง ประวัติความเป็นมาให้เราได้ติดตามและรู้จักกันเพิ่มด้วย เพิ่มความอินและความผูกพันกับตัวละครตั้งแต่แรกและถึงแม้ว่าการเล่าเรื่องของเกมนี้จะเป็นแบบอ่านซะเป็นส่วนมาก ตามสไตล์เกม 16-Bit ยุคก่อน แต่เกมก็ยังใส่อากัปกิริยาต่าง ๆ มาให้เราได้เห็นแบบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฉษกคัทซีนแบบอลังการงานสร้างที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นจากเกมนี้ เราก็ได้เห็นกัน Chained Echoes จึงเป็นอีกเกมอินดี้ระดับคุณภาพในแง่ของเนื้อเรื่อง แต่คุณต้องชื่นชอบในการอ่านด้วย เพราะรายละเอียดเล็กน้อยทั้งหลายที่สำคัญ และเป็นจุดเชื่อมโยงและคาดเดาเนื้อเรื่องนั้น ส่วนมากจะอยู่ในบทพูดอันยืดยาวเหล่านั้น รวมไปถึงไกด์เกมสอนการเล่นเอง ก็จำเป็นจะต้องศึกษาและอ่านให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะเล่นแบบผิด ๆ ถูก ๆ และทำให้เกมยากขึ้นโดยไม่จำเป็น ดังนั้น เพื่อที่จะเสพเกมนี้ให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำได้ การอ่าน และเสพเนื้อเรื่องเป็นอะไรที่จำเป็นและสำคัญกับเกมนี้มาก ๆ และนี่เป็นอีกเกมที่มีจุดแข็งเป็นเนื้อเรื่องที่เราไม่อยากให้พลาดกันเลยทีเดียว การผจญภัยในอาณาจักรและดินแดนขนาดใหญ่มากมายหลากหลายสถานที่เกมนี้เราจะไม่ได้เล่นเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่งตลอด แต่จะมีการสลับสับเปลี่ยนตัวละครให้ได้เล่นกันไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Glenn ในช่วงเริ่มต้นเกม เจ้าหญิง Lenne และ Robb หรือ Victor ประชาชนที่เติบใหญ่ และกลายเป็นคนโด่งดังโดยไม่ใช่คนในราชวงศ์ ทุกครั้งที่มีการสลับสับเปลี่ยนตัวละครเล่น เราจะได้พบกับเกมเพลย์ที่หลากหลาย บางตัวละครจะพาเราไปผจญภัย บางตัวละครก็ให้เดินเล่นกินลมชมวิวในเมือง หรือบางตัวละครเราจะได้เห็นแง่มุมของโลกในเกมและตัวละครอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพียงแต่การโยกย้ายตัวละครไปมานั้น ออกจะเกิดขึ้นบ่อย ทำให้ผู้เล่นต้องพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของเกมให้ดี แต่สุดท้ายแล้วเกมจะมีจุดที่ตัวละครแต่ละตัวได้วนมาเจอกันอยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้เกมใด ๆ และทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระกับการที่ไม่มีตัวละครหลักนำเรื่องราว แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบแบบนี้สำหรับกราฟิกภายในเกมนี้ก็เป็นแบบ 16-Bit ที่ให้อารมณ์วิดีโอเกมยุคเก่า โดยเฉพาะยุคของเครื่อง Gameboy Color หรือ Gameboy Advanced และตัวละครในรูปแบบ Pixel Shade หากมองเผิน ๆ ตัวละครแต่ละตัวอาจจะไม่ค่อยน่าจดจำนัก แต่เวลามีบทสนทนา เกมจะมีหน้าตัวละครขนาดใหญ่ ทำให้เราจดจำตัวละครได้ดีขึ้น ฉากต่าง ๆ นั้นมีความหลากหลาย ทั้งเมืองหลวง ชนบท หมู่บ้าน ท่อระบายน้ำใต้ดิน เมื่อทั้งหมดถูกผสมผสานเข้ากับเนื้อเรื่องจากหลากหลายตัวละครที่น่าติดตาม บอกได้เลยว่า Chained Echoes กลายเป็นอีกเกม JRPG แบบ Old School ที่คนชอบเกม RPG ยุคเก่าอย่าง Final Fantasy / Dragon Quest จะต้องหลงรักในบางฉาก จะไม่ใช่แค่การหาเส้นทางเพื่อไปต่อเฉย ๆ แต่จะมีองค์ประกอบของแพลตฟอร์มเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เราได้เล่นเป็น Sienna โจรสาวผมแดง ที่เราจะต้องลงไปทำภารกิจในท่อระบายน้ำ เกมจะมีองค์ประกอบความเป็นเกมแพลตฟอร์มเข้ามาด้วย แต่มันก็ไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนแนวเกมหรือการนำเสนอไปเลย เพราะหลัก ๆ แล้วหัวใจหลักของเกมนี้คือเกมแนว RPG Turn Based อยู่ดี เพียงแต่เกมนี้โดดเด่นในด้านการนำเสนอตัวละครและโลกภายในเกมที่เป็นการผสมผสานสองแนวทางอย่างไซไฟและเวทมนตร์แฟนตาซีเข้าไว้ด้วยกัน ขนาดแผนที่ภายในเกมก็ถือว่าออกแบบมาได้ดี ไม่ได้กว้างจนเกินไปจนทำให้เราหลงทาง แถมยังสร้างซอกเล็กซอกน้อยมาไว้ให้เราสำรวจ เพื่อเปิดกล่องสมบัติ ไอเทมลับ และเส้นทางลับมากมาย และบางเส้นทางก็จะไปบรรจบเข้ากับจุดหมายปลายทางของภารกิจคุณพอดีและเพราะมันเป็นเกมที่เน้นเนื้อเรื่อง งานนี้อย่างที่บอกไปในส่วนของพล็อตด้านบน คือถ้าเรากดข้าม ไม่อ่านเลย รับรองว่าความอิน กับความสนุกจะหายไปจากเกมนี้พอสมควร บางช่วงบทสนทนาก็ยืดยาวซะเหลือเกิน ย้ำกันอีกรอบ หากคิดจะเล่นเกมนี้ เราแนะนำว่า ต้องคล่องภาษาในระดับหนึ่งเลยเกมเพลย์แบบ RPG Turn Based สุดคลาสสิค แต่ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในด้านเกมเพลย์การเล่น ก็อย่างที่บอกว่ามันคือแรงบันดาลใจของเกม JRPG จากหลาย ๆ อย่าง ผู้เล่นจะได้ออกสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภายในตัวเมือง พื้นที่เปิดกว้าง ดันเจี้ยนขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของ JRPG ที่แฟน ๆ ทุกคนต้องเคยเล่น เกมเพลย์บางช่วงก็จะเป็นแบบโลกเปิด แต่ก็ต้องตัดสลับไปกับการเล่าเรื่องและการเดินหน้าแบบเส้นตรง เพื่อไม่ให้การเล่าเรื่องมันยากจนเกินไป ระบบ Overdrive คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Chained Echoes มีความแตกต่างไปจากเกมอื่น สำหรับระบบ Overdrive จะเป็นเหมือนกับความลงตัวของตัวละครและสมาชิกในทีม หลอด Overdrive จะแสดงอยู่บนการต่อสู้ และมีทั้งสามสี คือเหลือง เขียว และแดง หากเราเลี้ยงเกจ Overdrive ให้เป็นสีเขียวได้ จะได้รับโบนัส ทั้งได้รับดาเมจน้อยลง ทำดาเมจได้มากขึ้น และใช้ TP ในการร่ายสกิลน้อยลงครึ่งหนึ่ง หน้าที่ของผู้เล่นคือเลี้ยงเกจนี้ไว้ให้อยู่สีเขียวได้ได้ตลอด เพื่อความได้เปรียบในการต่อสู้ การเลี้ยงเกจนี้เอาไว้มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้สกิลที่เกี่ยวข้อง การสลับตัวละคร เพราะถ้าหากเราปล่อยเกจ Overdrive เลยไปถึงขั้น Overheated จะทำให้เราโดนโจมตีแรงขึ้นซะเองแต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นก็คือระบบ Overdrive นี้ เพราะอย่างอื่นก็จะเหมือนกันกับเกม JRPG ทั่วไป ศัตรูแต่ละตัวจะมาพร้อมจุดอ่อน จุดแข็งในการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ เช่นถ้าเราใช้ธาตุโจมตีก็อาจจะโจมตีได้แรงขึ้น หรือบางตัวเราสามารถขโมยไอเทมมันได้อีกต่างหาก แต่หัวใจสำคัญคือทำยังไงก็ได้เพื่อบริหารจัดการหลอด Overdrive ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการใช้สกิลก็จะเป็นการใช้ค่า TP และมีท่า Ultimate Move ที่จะได้มาก็ต่อเมื่อเก็บสะสมหลอดไม้ตายจนเต็ม ระบบการต่อสู้ของเกมนี้จึงค่อนข้างสนุก เราต้องยืดหยุ่น ไม่บวกจนสุด มีจังหวะถอยได้ก็ถอย ในขณะที่การถอยเราอาจจะเป็นการตั้งรับ เช่น Defense การโจมตี หรือให้ตัวละครอยู่เฉย ๆ เกมเพลย์การเล่นจึงทำให้เราสนุกกับมันได้มากพอ ๆ กับการนำเสนอและนเื้อเรื่องของตัวเกมในขณะที่ตัวละครแต่ละตัวนั้น ไม่ได้มีเลเวลกำหนดไว้ แต่เราจะได้รับไอเทม Grimoire Stone หลังจากเอาชนะศัตรูระดับบอสได้ เมื่อใช้ไอเทมนี้กับตัวละครใดก็ตาม ตัวละครนั้น ๆ จะได้สกิลใหม่ และเลือกรูปแบบการเล่นได้ แต่ด้วยความที่กว่าเราจะได้ Grimoire Stone แต่ละก้อนมา อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน งานนี้ก็ต้องเลือกและพิจารณากันให้ดี ว่าจะให้ตัวละครนั้นเล่นเป็นตัวละครสายอะไร และมีรูปแบบการเล่นแนวไหน ส่วนการเอาชนะในแต่ละไฟท์ได้ จะได้ค่า SP ที่สามารถนำไปอัปเกรดสกิลนั้น ๆ ได้ ตัวละครทุกตัวที่ถูกหยิบมาลงสนามจะได้รับเหมือนกันหมด การอัปเกรดบางอย่างอาจจะทำให้ตัวละครบางตัวมีสายการเล่นแยกย่อยมากขึ้นเข้าไปอีกถือเป็นอีกหนึ่งเกมเพลย์ที่รักษาความเป็น Old School JRPG เอาไว้ แต่ก็พยายามใส่สิ่งใหม่ ๆ เข้ามา และทำให้มันลงตัวและเข้ากับระบบยุคเก่าได้เป็นอย่างดี และในเรื่องของสเปคที่ใช้ในการเล่น ด้วยความที่ภาพเป็น 16-Bit อยู่แล้วก็หายห่วงได้ การ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง GTX 780 ก็เอาอยู่ แถมยังใช้ CPU เพียงระดับ i5 งานนี้ใครกำลังมองหาเกมเล่นยาว ๆ เอาไว้สนุกข้ามปี และเต็มอิ่มไปกับเนื้อเรื่อง บอกเลยว่าเกมนี้คืออีกหนึ่งความสนุกส่งท้ายปีเช่นกันและข่าวดีคือใครที่เป็นสมาชิกของ Xbox Game Pass / PC Game Pass สามารถดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่นกันได้แบบฟรี ๆ ได้ด้วยเช่นกัน
18 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Choo-Choo Charles จากมีมยอดฮิต สู่เกมสยองขวัญจากมันสมองนักพัฒนาเกมเพียงคนเดียว
เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่สมัยนี้เรามักจะเห็น Solo Developer หรือนักพัฒนาเกมเพียงคนเดียว ออกมาโชว์ฝีไม้ลายมือในการทำเกมคอนเซปต์เจ๋ง ๆ หรือบางทีก็เจ๋งไปยันเกมเพลย์ และในปีนี้เองก็มีอยู่หลายเกม แต่มีอยู่เกมหนึ่งที่นักพัฒนามีอายุเพียง 20 กว่าปี และได้ไอเดียจากการนำเอามีมดังของโลกวิดีโอเกมอย่าง Thomas Tank Engine มาพัฒนาให้กลายเป็นเกมแอ็คชั่นสยองขวัญอย่าง Choo-Choo Charles ซึ่งเกมนี้นี่แหละจะเป็นเกมที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้รถไฟผีแห่งเกาะปริศนาผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักล่าปีศาจไร้ชื่อ เราเดินทางมายังเกาะปริศนาแห่งหนึ่งที่ชื่อ Aranearum โดยคำเชิญจาก Eugene เป้าหมายคือการกำจัดรถไฟที่มีขาเป็นแมงมุมและใบหน้าอันน่ากลัวอย่าง Charles ที่ทำให้ชาวบ้านอกสั่นขวัญผวากันไปหมด แทนที่จะหาทางกำจัดมัน แต่กลับกลายเป็นว่าเศรษฐีใหญ่ประจำเกาะกลับต้องการเก็บ Charles เอาไว้ โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน แถมยังมีการเกณฑ์คนงานไปขุดเหมืองและป้องกันไข่ปริศนาที่อาจจะเป็นกุญแจไปสู่การกำจัด Charles ได้ งานนี้ความหวังในการกอบกู้หมู่บ้านจากรถไฟแมงมุมมรณะจึงได้เริ่มต้นขึ้นหากว่ากันตามตรงแล้ว เนื้อเรื่องมันแทบจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่การมาปราบรถไฟผีขาแมงมุมเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดมาจากไหน หรือเป็นตัวอะไรกันแน่ เนื้อเรื่องของเกมนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้พัฒนาได้พยายามจะสร้างความลึกให้กับมันแล้ว แต่ตัวคนเดียวย่อมมีขีดจำกัดในการสร้างสรรค์โลกในเกม เนื้อเรื่องภายในเกมนี้จะถูกเล่าผ่านเอกสารซะเป็นส่วนมาก เพราะภารกิจหลัก และภารกิจรองแทบจะไม่ได้พูดถึงเนื้อเรื่องเลย มีพูดถึงบ้างแบบเบาบางเท่านั้น แต่ข้อดีคือ แม้มันจะเล่าในเอกสาร แต่ในทุก ๆ ที่ที่มี NPC รอเราอยู่นั้น หรือจุดที่เราจำเป็นจะต้องไปทำภารกิจหลัก หรือภารกิจรอง ส่วนมากจะมีกระดาษโน้ต วางรอให้เราเข้าไปกดอ่านอยู่แล้ว ต่อให้มันคือเกมโลกเปิดบนเกาะขนาดใหญ่ แต่เนื้อเรื่องก็แทบจะเป็นเส้นตรงทั้งหมด เมื่อเล่นจนจบเกม ผู้เล่นจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะมีก็เพียงบางอย่างเท่านั้นที่ไม่เคลียร์ แถมฉากจบสุดพีคที่เหมือนจะปูทางไปทำภาคต่อ ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าอนาคตจะได้ทำหรือไม่แม้จะเป็นผลงานของ Solo Developer และเห็นได้ชัดว่าเนื้อเรื่องมันไม่ได้มีอะไรมาก แต่ถือว่าเป็นความพยายามจะจัดการในส่วนของเนื้อเรื่องตัวเกมได้ดีเท่าที่คนคนเดียวจะทำได้แล้ว น่าเสียดายที่ตัวละครอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อเรื่อง มันแทบจะไม่ทำให้เรารู้สึกอยากติดตามเนื้อเรื่องเลย มีเพียง NPC ตัวละครหลักเท่านั้น ที่มีอารมณ์ร่วมกับตัวเนื้อเรื่องโดยตรง หากเราไปทำภารกิจย่อยของ NPC ที่ไม่เกี่ยวกับภารกิจหลัก มันก็อาจจะทำให้เราเอียงคอ เกาหัวด้วยความงง ว่าชีวิตบนเกาะสุดอันตรายแห่งนี้ เขาหรือเธอยังจะต้องการอะไรแบบนี้อีกหรือ ? แต่ก็นั่นแหละ หากหลับตาข้างหนึ่งแล้วมองว่ามันคือผลงานของคนเพียงคนเดียว มันก็ยังถือว่าน่าประทับใจในระดับกลาง ๆ ได้เช่นกันโลกของเกมที่กว้างใหญ่แต่ไร้ชีวิตชีวา และการดีไซน์ภารกิจที่ซ้ำซากเพื่อไม่ให้มองว่าเราอวยเกม และใช้คำว่า Solo Developer มาเป็นข้ออ้าง ในส่วนนี้เราจำเป็นจะต้องวิจารณ์กันอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าหลาย ๆ อย่างในเกมนี้จะน่าประทับใจจริง ๆ แต่มันก็ไม่อาจทำให้เรารู้สึกว่าบางอย่างมันแปลกจนเกินไป จริงอยู่ว่าตัวเกมเป็นเกม Open World มีพื้นที่เปิดกว้างบนเกาะ แต่ตลอดเกมการเล่นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเกมเส้นตรงซะมากกว่า แต่การออกสำรวจผู้เล่นจะได้รับรางวัลเป็นเศษเหล็กที่ใช้ในการอัปเกรดรถไฟที่เป็นไฮไลท์ของเกมนี้ ซึ่งเสษเหล็กของเกมนี้ทั้งเกมนั้นมันมีเยอะมาก ๆ และส่วนมากจะอยู่ตามพื้น ตามซอกหลืบ หรือตามสถานที่สำคัญที่ถ้าหากว่ายิ่งออกสำรวจก็จะยิ่งได้เยอะ แต่ตัวเกมนั้นค่อนข้างเงียบเหงามาก หากผู้เล่นไม่ได้แล่นไปตามรางรถไฟ ลงมาวิ่งเล่นบนทุ่งหรือเนินกว้าง มันก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำ หรือถึงขั้นไม่มีชีวิตชีวาอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่ออยู่นอกรถไฟ และการจะวิ่งไปสำรวจอะไรสักอย่างในเกมนี้ก็กินเวลาเอาซะมาก ๆ แถมไม่คุ้มค่าอีกต่างหากรวมไปถึงการออกแบบหน้าตาของ NPC ตัวก็ต้องบอกเลยว่าไม่ได้ดีสักเท่าไร ใครที่ขัดใจกับรูปลักษณ์หน้าตาตัวละคร รับรองว่าจะไม่โอเคกับส่วนนี้แน่ ๆ เพราะแม้ว่าสภาพแวดล้อมภายในฉากต่าง ๆ ของเกมจะทำออกมาได้ดี แต่พอถึงจุดที่ต้องคุยกับ NPC นั้น เรียกได้ว่าช็อตฟีลกันเลยก็ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นข้อจำกัดของการออกแบบและพัฒนาเกมด้วยตัวคนเดียวเช่นกันนอกจากนั้นดีไซน์ภารกิจต่าง ๆ ยังไม่ค่อยจะเวิร์ค เพราะเกือบทั้งเกมนั้นผู้เล่นจะได้เจอภารกิจที่มีอยู่แค่ไม่กี่แบบ เช่นการวิ่งไปหาของ การลักลอบเข้าไปในสถานที่แล้วขโมยของออกมา หรือเอาไอเทมไปส่งตามจุดต่าง ๆ และตลอดทั้งเกมก็มีอยู่เท่านี้ แม้กระทั่งภารกิจหลักอย่างการขโมยไข่ เพื่อไปอัญเชิญบอส ก็ยังเป็นแบบเดียวกันทุกจุด ต่างกันก็แค่สถานที่ คือเรียกได้ว่าดีไซน์เกมเพลย์ถือเป็นจุดอ่อนอย่างหนักของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ใครเล่นแล้วอาจจะขัดใจหลาย ๆ อย่างและด้วยความที่เกมมันสั้นมา หากผู้เล่นต้องการอัปเกรดรถไฟให้เต็มทุกอย่าง จำเป็นจะต้องไล่ทำภารกิจเสริมทุกภารกิจให้ครบ เพื่อให้ได้เศษเหล็กที่เพียงพอในการอัปเกรดทุกอย่างจนตัน แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเกมใช้เวลาในการเล่น + เก็บทุกสิ่งอย่างภายในเกมในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น สั้นมาก ๆ ในเรื่องของดีไซน์ภารกิจ ความยาวในการเล่น จริงอยู่ว่า มันคือข้อจำกัดของการทำเกมเพียงคนเดียว แต่หากใครคิดว่า 400 นั้นคุ้มค่า ก็จัดไป และที่ต้องชมอีกอย่างคือการแปลภาษาไทยของเกมนี้ แม้ว่าจะแปลได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็ถือว่าแปลได้ดีเลยทีเดียว คำผิดอาจจะมีอยู่บาง แต่การเรียบเรียงคำให้สละสลวย อ่านง่าย เข้าใจได้ทันทีนั้น อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เป็นอีกข้อที่ต้องชื่นชมในส่วนนี้แต่ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า จะคิดว่ามันคุ้มและลองซื้อมาเล่นดูดีหรือไม่ แต่สำหรับส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เป็นการหลับตาข้างหนึ่ง มองว่าตัวคนเดียว ทำได้ขนาดนี้ ก็เก่งมากแล้ว แต่ก็ตะชิมกันอย่างตรงไปตรงมาในแง่ของจุดอ่อนทั้งหลายเพียงเท่านั้นเกมเพลย์แบบเส้นตรง และน่าหงุดหงิดในบางจุดสำคัญและเอาจริง ๆ แล้วแม้กระทั่งในส่วนของเกมเพลย์มันก็ไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น อย่างที่เราได้เห็นกันไปในตัวอย่าง ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับยานพาหนะเป็นรถไฟจิ๋วสุดน่ารัก 1 ขบวน และบนรถไฟนั้นจะมีคอนโซลควบคุม 3 คันโยก คือการเดินหน้า ถอยหลัง และหยุดรถ ผู้เล่นสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง ส่วนท้ายรถจะเป็นอาวุธปืนที่เอาไว้ยิงต่อสู้ และมีหวูดรถไฟที่เอาไว้เรียงเจ้า Charles ออกมาปะทะกันได้ และในระหว่างการเดินรถไฟ เมื่อถึงจุดที่เป็นทางแยกผู้เล่นจะต้องลงจากรถไปสับรางด้วยตัวเองเกมเพลย์ของเกมนี้มันไม่มีอะไรมากเลย เพียงแค่ต้องเอาตัวรอดจากเจ้า Charles ให้ได้ และวิธีการจะจัดการมันขั้นเด็ดขาดก็คือการทำภารกิจเนื้อเรื่องเพื่ออัญเชิญมันออกมาต่อสู้ จะบอกว่าเกมเพลย์มันแทบไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ช่วงการต่อสู้นั้น ก็ถือว่าลุ้นระทึกดี กับการมีรถไฟหน้าผี ขาแมงมุมมาไล่ล่าเรา แต่เมื่อยิงทำดาเมจกับมันไปจนถึงจุดหนึ่ง มันก็จะหนีไปเองวิธีการได้อาวุธใหม่ ๆ นั้นทำได้จากการไปทำภารกิจสีแดง ที่เป็นภารกิจรับอาวุธใหม่ โดยอาวุธทั้งหมดภายในเกมนั้น จะมีทั้งหมด 4 แบบ คือปืนกลเริ่มต้น ปืนไฟ ปืนยาว และปืนยิงระเบิด ซึ่งทำดาเมจสูงที่สุดในเกม ซึ่งวิธีการจะได้มานั้นมันก็ไม่ยากอะไร แต่แม้ว่าเกมเพลย์ของมันจะเรียบง่ายเป็นเส้นตรงขนาดนั้น หลายส่วนของมันก็ค่อนข้างน่าหงุดหงิดใจอยู๋ไม่น้อยยกตัวอย่างเช่น ในภารกิจหลักที่เราต้องลักลอบไปเอาไข่นั้น เกมเพลย์การเล่นจะเปลี่ยนไปเป็นแบบลอบเร้นทันที เพราะเมื่อเราลงจากรถไฟนั้น เราจะไม่มีอาวุธใด ๆ ติดตัวเลย มีแต่มือเปล่า ๆ ในขณะที่ศัตรูมีอาวุธพร้อมจะยิงเราได้ทุกเมื่อ แต่แทนที่เกมจะทำให้ตรงส่วนนี้ตื่นเต้นจากการเล่นแบบลอบเร้น กลับกลายเป็นว่า A.I. ของมันก็ไม่ฉลาดพอจะฆ่าเราได้ มันเหมือนกับการเขียนโปรแกรม A.I. เกมนี้ คือเราไม่อยู่ในระยะยิง แต่เห็นเราเฉย ๆ มันจะวิ่งไล่ตามเรา ซึ่งทำให้เราสามารถวิ่งหนีได้ และในเมื่อมันทำแบบนี้ได้ การลอบเร้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป จะมีตลกบ้างก็ตอนที่ A.I. มันวิ่งไล่เราได้ไกลมาก ๆ ชนิดที่ว่าในช่วงแรก ถ้ารถไฟเรายังไม่ได้อัปเกรดความเร็ว มันก็วิ่งตามเราได้แบบหนังอินเดียกันเลยทีเดียวรถไฟที่เป็นยานพาหนะหลักของเรานั้น จะมีค่าสถานะให้อัปเกรดทั้งหมด 3 ค่า คือค่าดาเมจที่เพิ่มพลังโจมตี ค่าเกราะที่เพิ่มพลังป้องกัน และค่าความเร็วเคลื่อนที่ ที่จะทำให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้น การอัปเกรดต่าง ๆ จะอัปเกรดได้สูงสุดที่เลเวล 10 ทั้งหมด แต่การอัปเกรดเหล่านี้กลับมีความขัดแย้งในตัวมันเองคือเรื่องของการโจมตี เพราะท้ายที่สุดแล้วพลังโจมตีที่มากขึ้น ไม่ได้ทำให้เราฆ่า Charles ได้ เพราะเมื่อยิงจนพลังมันลดไปแล้วมันก็จะหนีไปอยู่ดี และจะสู้กับมันได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงศึกตัดสินที่ต้องเล่นไปตามเนื้อเรื่องของเกมเท่านั้น ส่วนความเร็วกับเกราะป้องกันนั้น ถือว่ามีความสำคัญกว่ามากวิธีการได้มาซึ่งเศษเหล็กที่ใช้ในการอัปเกรด ก็คือการทำภารกิจรองต่าง ๆ ที่อยู่ในแผนที่ ซึ่งมันให้เศษเหล็กเยอะมาก หากทำจนครบทุกอย่าง ก็อัปเกรดรถไฟจนเต็มได้แน่นอน ส่วนภารกิจสีแดงจะเป็นภารกิจอาวธใหม่ และภารกิจสีฟ้าคือภารกิจเนื้อเรื่องและทั้งหมดนี้ผู้เล่นสามารถเก็บจนครบได้ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง อย่างที่บอกว่า ส่วนอื่น ๆ ของเกมเพลย์นั้นมันแทบไม่มีอะไรให้เราทำเลย แถมตัวเกมยังดูแปลก ๆ ในช่วงที่เราต้องลงจากรถไฟนั้น เราจะไม่มีอาวุธให้ใช้งานหรือเอาตัวรอดเลย ถ้าเราต้องเจอกับพวกศัตรูถือปืน เราจะไม่สามารถต่อสู้ได้เลย นอกจากหนีเท่านั้น และใช้วิธีการลอบเร้น ซึ่งการลอบเร้นมันก็ดันทำมาได้ไม่ค่อยจะดีเท่าไรด้วย ทำให้เกมเพลย์ในส่วนของการลงรถไฟมาหาของนี้ เป็นอะไรที่น่าเบื่อและชวนหงุดหงิดไม่ใช่น้อยหากให้พิจาณณากันตรง ๆ Choo-Choo Charles เป็นการออกแบบและสร้างเกมของผู้พัฒนาเพียงคนเดียวที่น่าประทับใจ แต่มันก็มีหลายอย่างที่ไม่สามารถมองข้ามได้ แต่ก็ถือว่านี่คือผลงานเปิดตัวที่บ่งบอกถึงศักยภาพได้ดีมาก และน่าสนใจว่าถ้าอนาตตเขาได้งบและทีมงานในการช่วยทำเกม มันจะออกมาเป็นแบบไหน ถ้าไม่โดนจำกัดอิสรภาพจากการทำงานเป็นทีมChoo-Choo Charles วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน Steam ในราคา 400 บา่ท
16 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม ZERO Sievert เกมเอาตัวรอดแบบ 8Bit เกมไซส์กระจิ๊ดริดแต่ครบเครื่อง
ZERO Sievert เกมที่ผู้เขียนคิดว่าจะเอามาเล่นชิล ๆ ช่วงวันหยุด แต่กลับกลายเป็นว่าเห็นภาพ 8Bit น่ารัก ๆ แบบนี้ พอได้ลงไปสัมผัสกับเกมเพลย์เท่านั้นแหละครับ นี่มัน Escape from Tarkov แบบย่อส่วน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงเป็นเกมติดเทรนด์และมีคำวิจารณ์ในแง่บวกเป็นอย่างมาก (คือผมเห็นบางคนชมมาตั้งแต่ช่วง Demo แล้วครับ) ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2022อาจจะเป็นเกมเล็ก ๆ ที่คุณภาพไม่เล็ก พอได้ลองเล่นแล้ว เออเว้ยมันก็สร้างความสนุกให้ผมได้อย่างเพลินจิต เพลินใจ เพลินไปหมด ฮ่า ๆ และถ้าใครชอบความท้าทายผู้เขียนเชื่อว่าเพื่อน ๆ จะชอบเกมนี้เหมือนกันครับ เนื่องจากว่ามันเป็นเกมที่เล่นยากเอาเรื่องอยู่พอสมควร ใครที่ชอบเกมสไตล์ S.T.A.L.K.E.R. หรือ Escape from Tarkov ผู้เขียนอยากให้ลองมาสัมผัสเกมนี้ไปด้วยกัน ก่อนตัดสินใจจะกดมันลงคลังแวะมาอ่านรีวิวในบทความนี้ก่อนได้ครับเริ่มเกมมาก็มีสิ่งให้ต้องใช้ความคิดกันเลย กับการเลือกอาวุธคู่ใจก่อนเริ่มเกมตัวเกมจะให้เราเลือกเซ็ต Starter Pack ที่จะให้เรานำไปใช้ในเกมนะครับ ตอนนี้มีให้เลือกใช้ประมาณ 6 เซ็ตด้วยกัน ในเซ็ตต่าง ๆ นั้นถ้าเราเลือกอาวุธดี ๆ หน่อย อย่างเช่น อาวุธสุดฮิตอย่าง Rifle ก็อาจจะได้เครื่องป้องกันหรืออาหารที่น้อยลง ถ้าเลือกใช้พวกตู๋ตี๋หรือพวกปืนกลเบาเราก็จะได้รับพวกเครื่องป้องกันที่ดีขึ้น เราสามารถเลือกใช้สอยได้ตามความชอบของเราเลยครับ"อ้าวถ้าในอนาคตไม่อยากใช้ปืนนี้แล้วจะทำยังไง?" เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลยครับ ในเกมเราสามารถไปฟาร์มอาวุธชุดเกราะ หรือเทรดแลกเปลี่ยนกับ NPC ได้ ช่วงเริ่มเกมเราก็เลือกอาวุธแบบที่เราถนัดไปก่อนก็ได้ ปืนช่วง Stater มันก็ยังไม่ได้ดีอะไรมากอยู่แล้ว แล้วถ้าอยากใช้อย่างอื่นบ้างก็ค่อยไปฟาร์มเอาครับ รับประกันถ้าขยัน ๆ มีให้เลือกยิงเป็นคลังแสงเลยฮะเกมเพลย์ที่ดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายด้วยภาพที่เป็น 8Bit เอาจริง ๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นเกมยิง ๆ สไตล์น่ารัก แต่ที่ไหนได้พอเอาเข้าจริงมันคือ Takov + Stalker ที่รวมกันมาเป็นเกมนี้ เห็นแบบนี้ฮาร์ดคอร์เอาเรื่องอยู่นะครับ การออกไปฟาร์มแต่ละครั้งไม่ใช่ว่านึกอยากจะออกไปก็ไปได้ เราต้องวางแผนการเอาของใส่กระเป๋าออกไปกับเราด้วย เพราะไม่งั้นตัวละครของเราจะเดินอืด อย่างเช่นด้วยความที่ผมไม่รู้เพราะใน Safe Zone เราเดินได้ปกติไงครับ พอนั่งรถไฟออกไปฟาร์มเท่านั่นแหละ เดินอืดเลยครับวิ่งไม่ได้ มาเช็คกระเป๋า อ๋อน้ำหนักเกิน ฮ่า ๆ ๆ (กดเริ่มใหม่ดิครับรอไร)น้ำหรืออาหารที่เราจะพกพาออกไปก็ต้องวางแผนให้ดี เพราะเอาไปเยอะเกินก็ฟาร์มของได้ไม่มากเพราะน้ำหนักจะเกิน เอาไปน้อยเกินก็ไม่พอต่อการเอาตัวรอดภายในแมพการพันแผลต่าง ๆ ต้องหาที่แอบเพราะว่ามันค่อนข้างใช้เวลา ไม่งั้นยืนทำแผลในที่โล่งโดนโจมตีสามารถขิตกลับจุดเกิดได้เลยครับ แล้วพอตายแล้วของที่ฟาร์มมาก็จะหายไปด้วยเลยการหาเงิน การทำเควส การคราฟท์ และการเทรดเมื่อเราไปฟาร์มมาแล้ว ของที่ได้มานั้นสามารถนำไปขาย หรือนำไปเทรดแลก อาหาร ยารักษาโรคต่าง ๆ หรือผ้าพันแผลได้ครับ เริ่มต้นเลยเราต้องทำเควสตามออเดอร์ที่ NPC รีเควสมา เราก็จะได้รับผมตอบแทนเป็นเงิน ค่าความชื่นชอบ และอุปกรณ์ตบแต่งปืนของเราให้เท่ ให้คูล (เล่นคนเดียวไม่รู้ให้แต่งปืนไปอวดใคร ฮ่า ๆ ๆ)วัตถุดิบบางอย่างที่เรานำกลับมา เราสามารถนำมันมาคราฟท์เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับปืน หรือค่าสถานะต่าง ๆ ให้กับตัวเราได้ครับ อารมณ์เหมือนกับว่าการคราฟท์บางอย่างในเกมนี้ (Modules) เป็นการคราฟท์เพื่ออัพเกรดสกิลติดตัวให้เราครับนอกจากนั้นเราสามารถคราฟท์อาหาร ยา หรืออุปกรณ์ซ่อมแซมต่าง ๆ ได้เช่นกัน ถ้าเรารู้สึกว่ามีมากไปแล้ว เราสามารถนำของที่เราคราฟท์มาไปเทรดกับ NPC หรือขายเพื่อเอาเงินก็ได้อีกนั่นแหละครับ อยู่ที่เราสะดวกเลยแถมช่วงนี้มีกิจกรรม X'mas เราสามารถคราฟท์ Modules ของกิจกรรมมาสะสมได้ด้วยครับ เป็นชุดซานต้าคลอส กับปืนสีแดงแซ่บ ๆแผนที่ในเกม กับการเดินทางของน้อน 8Bitตอนนี้ในเกมจะมีแผนที่ให้เราออกผจญภัยเพื่อไปฟาร์มประมาณ 5 ที่ด้วยกันนะครับ ผู้เขียนเห็นอีกสองที่ว่าง ๆ อีกสองอันไม่แน่ใจว่าต้องเล่นเกมไปอีกสักระยะถึงจะปลดล็อค หรือเพราะว่ามันยังเป็น Early Access อยู่ Dev เลยยังไม่ได้ใส่ลงมาให้เล่น แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าครับเวลาเราจะออกไปฟาร์มเนี่ย เราก็แค่ออกจาก Safe Zone ไปบริเวณด้านหน้าแคมป์ของเรา จะมีบุคคลหนึ่ง (ซึ่งหน้าตาเหมือนกันทั้งเกมเลยครับ ฮ่า ๆ) ให้สังเกตคนที่ยืนอยู่ใกล้กับรถไฟที่สุด (นายสถานีของเราใส่ชุดสีฟ้า) ให้เราไปกด F เพื่อคุยกับบุคคลท่านนั้นครับ เขาจะถามเราว่าเราต้องการเดินทางไปที่ไหน อันนี้ก็แล้วแต่ผู้เล่นอย่างเราจะสะดวกเลือกเลย อย่างผู้เขียนก็เริ่มจาก Map แรกก่อนครับ ลองสมรภูมิ เข้าป่ากันไปเลยภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ หรือสภาพแวดล้อม ก็จะแตกต่างกันออกไปครับ การต่อสู้กับศัตรูก็จะไม่เหมือนกัน ผู้เขียนเลยมองว่าการมีอาวุธที่หลากหลายมันจะเริ่มมามีบทบาทตรงนี้แหละครับ เพราะบางพื้นที่ใช้ไรเฟิลก็ไม่ดี ใช้ลูกซองดันดีกว่า แต่ละครั้งที่ออกไปฟาร์มก็มองว่าต้องวางแผนค่อนข้างเยอะมาก ๆ ครับสำหรับเกมนี้แล้วอย่าลืมนะครับรอบไปมีคนไปส่ง แต่รอบกลับต้องหาทางออกมาเอง หาของเท่าที่จะแบกกลับมาได้ พาตัวเองไปจนถึงทางออก และพยายามอย่าให้น้อนตัวละคร 8bit ของเราตายไปซะก่อนระบบของเกมและการควบคุมZERO Sievert เป็นเกม 8Bit แอ็กชัน เอาตัวรอด ที่คล้าย ๆ เกมดังอย่าง Escape from Tarkov ที่เราจะต้องไปขนวัตถุดิบ หรือสาธารณูปโภคต่าง ๆ ออกมาจากแผนที่ที่เราเลือกจะไปเล่นครับ น่าเสียดายที่ไม่มีระบบ Multiplayer เพราะเกมมันเหมาะกับการมีผู้เล่นอื่น ๆ มาร่วมเล่นด้วยเป็นอย่างมาก ด้วยความที่มันเป็นเกมไซส์เล็ก ๆ มันก็เลยไม่กินทรัพยากรในเครื่องเรา และไม่ต้องมีคอมระดับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คอมบ้าน ๆ ทั่วไปก็เล่นได้ครับระบบการบังคับทิศทาง ใช้งานเหมือนเกม Shooting ทั่วไปเลย Q,W,E,R ใช้บังคับทิศทาง ลากเมาส์เพื่อยิงเป้าหมาย หรือกด Shift เพื่อ Sprint (วิ่ง) เกมก็จะมีเกจบอกครับถ้าเราเหนื่อยก็ต้องหยุดพัก เพื่อรอให้เกจเรากลับมาเต็มเหมือนเดิมยูสเซอร์อินเตอร์เฟซของเกมนี้ก็ตามสไตล์ 8bit เลยครับ ใช้งานได้แบบไม่ยุ่งยาก คำอธิบายต่าง ๆ อะไรก็หาง่าย เสียอย่างเดียวระบบ Toturial ระหว่างเกมไม่ค่อยมีสอนอะไร ต้องงมเอาเองอยู่พอสมควรครับ มาเล่นช่วงแรกนี่ต้องปรับตัวกันอยู่บ้างสรุปสำหรับตัวผู้เขียนมองว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีเลยนะครับ มันเหมือนเป็นลูกผสมของเกม Takov + Stalker และย่อยออกมาเป็น ZERO Sievert ผสมกันอย่างลงตัวฮะ เกมที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย และแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่ให้เราคิดวางแผนก่อนทุกครั้งก่อนจะออกไปทำภารกิจ ถ้าใครชอบเกมภาพแนวนี้และชอบสไตล์เกมแบบ Action Survival ผู้เขียนบอกเลยว่าเกมนี้ควรมีติดคลังเราเอาไว้เป็นอย่างยิ่งครับ แล้วดูจากกิจกรรมในเกมช่วงนี้ที่ Dev อัปแพทช์เข้ามา ก็ถือว่าผู้พัฒนาก็ใส่ใจผู้เล่นอยู่เหมือนกันราคาเกมก็ถูกเกินคุณภาพไปมาก (นี่มันกองอวยชัด ๆ) 400 บาทเท่านั้นเอง เลขกลม ๆ เลยฮะ แต่ว่าเดี๋ยวมันจะมีเทศกาล Winter Sale ลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ใน Steam น่าจะประมาณวันที่ 22 ธันวาคม 2022 เวลาตี 1 บ้านเรา ใครสนใจจริง ๆ ก็อดทนอดกลั้นกำเงินไปซื้อตอนนั้นก็ไม่สายครับ เพราะมันก็จะช่วยเราประหยัดไปได้อีก สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1782120/ZERO_Sievert/
15 Dec 2022
[Review] รีวิว The Callisto Protocol (PS5) สยองขวัญในคุกอวกาศ จากทีมงานผู้สร้าง Dead Space
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ได้มีหนึ่งโปรเจกต์ที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากสำหรับเกม The Callisto Protocol ที่ตอนแรกตัวเกมนั้นถูกวางเอาไว้ว่าจะมีเรื่องราวที่อยู่ในจักรวาลเดียวกันกับเกม PUBG เกมแนว Battle Royale ชื่อดังที่เรารู้จัก รวมถึงโปรเจกต์นี้ยังได้สตูดิโอใหม่อย่าง Striking Distance Studios นำทีมโดยคุณ Glen Schofield ครีเอเตอร์ผู้ที่เคยสร้างเกมสยองขวัญชื่อดังอย่าง Dead Space มาก่อน แต่พอหลังจากนั้นทางคุณ Glen Schofield ก็ได้ออกมาประกาศภายหลังว่าตัวเกม The Callisto Protocol จะไม่ได้มีเรื่องราวอยู่ในจักรวาล PUBG อีกต่อไป แน่นอนว่าสำหรับบางคนมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้รู้ว่าตัวเกมทั้งสองนั้นจะเชื่อมโยงยังไง แต่บางคนก็อาจจะคิดว่ามันดีแล้วเพราะทางผู้พัฒนาจะได้เล่าเรื่องของตัวเองได้เต็มที่ จนในที่สุดตัวเกม The Callisto Protocol ก็วางจำหน่ายออกมาให้เราได้เล่นกันแล้ว และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวตัวเกมให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเกมนี้น่าสนใจมากขนาดไหน และจะสามารถสร้างความสยองขวัญเหมือนที่เคยทำไว้ในเกม Dead Space หรือไม่ !?กราฟิก / การนำเสนอใครที่เคยเล่นเกม Dead Space มาก่อน ต้องยอมรับว่ากลื่นอายของเกม The Callisto Protocol ทั้งบรรยากาศความเป็นไซ-ไฟ ผสมผสานกับความสยองขวัญที่เต็มไปด้วยเลือด ความแหวะของอวัยวะ หรือจะเป็นความมืดในที่แคบ  และด้วยความที่ตัวเกม The Callisto Protocol ออกมาหลังกว่ามาก ทำให้ตัวเกมจำลองความสยองขวัญได้สมจริงมากยิ่งขึ้นด้วย Unreal Engine 4 รวมถึงตัวเกมมีการสร้างบรรยากาศความน่ากลัวในเรื่องของเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงศัตรูที่วิ่งอยู่ตามช่องแอร์ ศัตรูที่อยู่ในน้ำที่เราไม่รู้ว่ามันจะกระโดดพุ่งมาโจมตีเราเมื่อไร มีการสร้างบรรยากาศความไม่ไว้วางใจให้เราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องชมมาก ๆ ในด้านนี้ รวมถึงบรรยากาศโดยรวมของเกม The Callisto Protocol ค่อนข้างมีความมืดมากกว่า Dead Space ด้วยซ้ำส่วนในด้าน Preformance ต้องบอกก่อนว่าตัวผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้ในเวอร์ชัน PlayStation 5 จึงอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรเหมือนกับที่คนเจอในเวอร์ชัน PC แต่ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับบางฉากใน Cutscene ถึงแม้ว่าจะเล่นบนเครื่อง Console เจนใหม่ ผู้เขียนเองก็ยังเห็นอาการเฟรมเรทตกอยู่บ้างเนื้อเรื่องสำหรับในด้านเนื้อเรื่องของเกมจะเล่าถึงอาณานิคมใหม่บนดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี ซึ่งในอาณานิคมนั้นจะมีคุกเอาไว้ขังนักโทษที่เรียกว่า Black Iron ซึ่งเราจะได้รับบทเป็น Jacob Lee นักขับเครื่องบินส่งของระหว่างคุกและดินแดนอาณานิคม แต่อยู่ดี ๆ เขานั้นก็ได้ถูกจับไปเป็นนักโทษในคุก หลังจากที่ยานโดนบุกคุกจนเครื่องตก และบังเอิญในตอนนั้นตัวคุกก็กำลังเกิดความกลหล เหล่านักโทษได้ติดเชื้อบางอย่างจนกลายพันธ์เป็นสิ่งมีชีวิตสุดสยองขวัญนามว่า Biophage ซึ่งตัวเรานั้นเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่ทราบเหตุการณ์อะไรเลย จะต้องหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ และต้องหาทางออกจากคุกนรกนี้ให้ได้ซึ่งเนื้อเรื่องของตัวเกม The Callisto Protocol มีพลอตที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการวางโครงสร้างเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมาย แต่ตัวเกมใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างฉลาด เป็นสไตล์การเล่าเรื่องของหนังไซ-ไฟยุคเก่า กับการที่จะให้เราได้เริ่มต้นไปพร้อมกับตัวละครเอก จากเริ่มต้นที่ไม่รู้อะไรเลย และค่อย ๆ สืบหาข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไปพีคในช่วงท้าย แน่นอนว่าการเล่าเรื่องสไตล์นี้อาจจะค่อนข้างดูเรียบง่ายมากเกิน แต่มันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเราที่เป็นผู้เล่นที่ไม่จำเป็นต้องโดนอัดข้อมูลต่าง ๆ มากเกินไปจนล้น และให้เราได้ไปโฟกัสกับความสยองขวัญ การเอาตัวรอดต่าง ๆ มากกว่า และค่อยไปเล่นใหญ่ในเรื่องราวหลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็น DLC หรือภาคต่อก็ยังได้โดยเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นที่เรื่องราวของเกมที่ใช้เวลาเพียงแค่ 8-10 ชั่วโมงเท่านั้น แน่นอนว่าข้อดีของมันก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างกระชับไม่ยืดยาดจนเกินไป แต่มันก็ดันมีบางช่วงของเนื้อเรื่องที่ส่วนตัวมองว่ามันค่อนข้างอืดอาดโดยเฉพาะช่วงต้นของเกม แต่โดยรวมเนื้อเรื่องก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ขี้เหร่มาก เพราะช่วงหลัง ๆ ก็ค่อนข้างมีความเข้มข้นอยู่เกมเพลย์สำหรับเกมเพลย์ของ The Callisto Protocol สไตล์การเล่นจะมีความคล้ายคลึงกับเกม Dead Space แบบเกือบจะเป๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปืนยิงที่อวัยวะศัตรูจุดไหน ก็จะทำให้อวัยวะเหล่านั้นขาด ตัวเกมมีปืนมากมายให้เราได้ใช้ไม่ว่าจะเป็นปืนพก ปืนลูกซอง ปืน Nail Gun หรือปืนอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นข้อเสียใหญ่ของระบบปืนก็คงจะเป็นแอนิเมชันในการเปลี่ยนปืนที่ค่อนข้างอืดอาดมาก ๆ เหตุเพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้ การดีไซน์ปืนมันจะไม่ใช่การที่เราเปลี่ยนปืนเฉย ๆ ควักปืนเป็นสิบจากที่ไหนไม่รู้มา แต่เราจะต้องเอาของแต่งปืนอีกอันมาใส่กับวัสดุหลัก ทำให้การเปลี่ยนปืนแต่ละครั้งตัวละครจะต้องถอด และประกอบปืนใหม่ทุกครั้ง ทำให้เวลาเราจะควักปืนอื่นมาใช้ในระหว่างการต่อสู้กับศัตรูมากมาย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยซึ่งการดีไซน์ระบบปืนที่มันอืดอาดแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าผู้พัฒนาจะไม่ได้มีเหตุผลใด ๆ เหตุเพราะว่าพวกเขาอยากจะดีไซน์ให้เรานั้นผสมผสานการต่อสู้ระหว่างอาวุธระยะไกลเช่นปืน และอาวุธระยะประชิดที่เป็นกระบองไฟฟ้าของเรานั่นเอง ซึ่งระบบการต่อสู้ระยะประชิดในเกมนี้ค่อนข้างโดดเด่นมาก ๆ และมันแทบจะเป็นการต่อสู้หลัก ๆ ของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะต้องบอกก่อนว่าถึงแม้ว่าเราจะมีปืนที่มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นกระสุนที่เก็บได้มันก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะให้เราสามารถยิงศัตรูทั้งหมดนั่นเอง เราอาจจะต้องใช้กระบองมาหวดในระยะประชิดด้วย โดยระบบการต่อสู้ของอาวุธระยะประชิดก็ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะเรานั้นสามารถทั้งบล็อคการโจมตี หรือหลบการโจมตีของศัตรูได้ ซึ่งมันก็ทำให้ตัวเกมมีความท้าทายมากขึ้น หรือบางครั้งเราอาจจะมีการคอมโบกับอาวุธระยะไกลด้วยอย่างเช่นเราทำการหวดศัตรูให้เซและทำการควักปืนแบบรวดเร็วเพื่อปิดดาเมจใส่ศัตรูได้ ซึ่งวิธีการนี้มันจะช่วยให้เรามีโอกาศเซฟเลือดได้มากขึ้น และประหยัดกระสุนด้วยรวมถึงเกมนี้ยังมีอาวุธที่เรียกว่า GRP ซึ่งจะเป็นถุงมือที่จะทำให้เราสามารถดึงศัตรูเข้ามาใกล้ ๆ และกระแทกศัตรูให้ล้มได้ หรือจะจับศัตรูโยนไปที่เครื่องจักรกับดักต่าง ๆ เพื่อให้มันปั่นศัตรูให้แหลกก็ได้ แต่อาวุธตัวนี้ก็ใช่ว่าเราจะสามารถใช้ได้ตลอด แต่เราจะต้องไปเก็บพลังงานของอาวุธนี้เพื่อใช้งานด้วย ซึ่งมันก็สามารถช่วยเราได้ในระดับหนึ่งสำหรับบางฉากที่เราเจอศัตรูมากเกินไป เราใช้อาวุธนี้ในการฆ่าศัตรูทันที (จับศัตรูโยนไปที่เครื่องปั่น) เพื่อการประหยัดกระสุนและเลือดนั่นเองนอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบค่าเงิน ที่เราสามารถหาได้จากการกดใช้เท้ากระทืบศัตรู ซึ่งมันก็จะมีโอกาสดรอปกระสุนปืน รวมถึงเงินเครดิตที่จะให้เราเอาไปอัพเกรดอาวุธต่าง ๆ ทั้งปืน อาวุธระยะประชิด หรือจะเป็นกระบองไฟฟ้าของเรา ซึ่งจะมีทั้งอัพเกรดความแรง อัพเกรดความนิ่งของอาวุธได้ หรือจะเอาเงินเครดิตไปซื้อกระสุนเพิ่มก็ได้เช่นกันและสิ่งที่ผู้พัฒนาเคยบอกไว้ก่อนที่เกมจะออกว่าตัวเกมนั้นถูกดีไซน์ออกมาให้เราจะต้องตาย และเรียนรู้การตายบ่อย ๆ ทางผู้พัฒนาไม่ได้พูดเกินเลยแต่อย่างใด เพราะศัตรูของเกมนี้ค่อนข้างโหดมาก ๆ สามารถฆ่าเราได้โดยการโจมตีเพียงไม่กี่ที ทำให้เรานั้นมีโอกาสได้เห็นฉากตายของตัวเองที่ค่อนข้างน่าสยดสยอง และถึงแม้ว่าคุณจะลองเล่นเกมนี้ในระดับง่าย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังมีความยากที่จะทำให้คุณตายบ่อย ๆ อยู่ดี แน่นอนว่าคุณจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้ไปเรื่อย ๆความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้ลองเล่นมาสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างรู้สึกชอบสำหรับ The Callisto Protocol ก็คงจะเป็นในด้านของบรรยากาศของเกมที่ทำออกมาได้สยองขวัญมาก ๆ มีการสร้างบรรยากาศทั้งงานด้านภาพและเสียงที่ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง รวมถึงในด้านเนื้อเรื่องก็ค่อนข้างน่าติดตามถึงแม้ว่าจะไม่ได้ซับซ้อนมากขนาดนั้น แต่มันก็อยู่ในเกรดของหนังไซ-ไฟดูง่ายซักเรื่องที่ภาคแรก ๆ จะมีการจำกัดเรื่องราวอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ เปรียบเทียบกับหนัง Alien, Predator หรือแม้กระทั่งผีชีวะภาคแรก แต่ถึงอย่างนั้นความสั้นของตัวเกมก็อาจจะเป็นข้อเสียได้ เหตุเพราะตัวเกมเพลย์ไม่ได้มีเรื่องราวที่อาจจะทำให้เราอยากกลับมาเล่นอีกครั้งเสียเท่าไร พื้นที่ต่าง ๆ ในการเล่นก็ค่อนข้างเป็นเส้นตรงมาก ๆ พอเล่นจบแล้วก็ไม่อยากเล่นต่อแล้ว และมันก็จะรู้สึกว่าเกมมันจบไวเกินไปนั่นเอง จริง ๆ ในระหว่างการเล่นตัวเกมควรจะมีพื้นที่ให้เล่นมากกว่านี้เผื่อที่เราอาจจะอยากยื้อเวลาในการเล่นให้มากขึ้นนั่นเองสำหรับระบบการต่อสู้ตัวเกมค่อนข้างดีไซน์ออกมาได้ดี แต่หนึ่งในปัญหาใหญ่เลยก็คงจะเป็นระบบแอนิเมชันของเกมที่ค่อนข้างมีความอืดอาด ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี การหลบหรืออะไรก็แล้วแต่ยกตัวอย่างตัวผู้เขียนจะทำการหลบการโจมตีจากศัตรู  แต่บางครั้งมันกลับหลบไม่ได้ เหตุเพราะเราอาจจะกำลังติดแอนิเมชันอื่น ๆ อยู่นั่นเอง ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่เสียเลือดในระหว่างการต่อสู้ รวมถึงมันยังมีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างน่ารำคาญและรู้สึกไม่ค่อยแฟร์ในบางครั้ง อย่างเช่นจุดการอยู่ของศัตรูบางตัวที่มันไม่มีโอกาสให้เราได้หลบเลยยกตัวอย่างมันจะมีศัตรูตัวหนึ่งที่จะเป็นหัวคนหลบอยู่ในถุงเนื้อเยื่อ ซึ่งถ้าหากเราเข้าไปใกล้มันโดยไม่ระวัง มันอาจจะกระโดดมางับคอเราได้ซึ่งเราอาจจะต้องระวังศัตรูตัวนี้เป็นพิเศษ แต่มันก็มีบางจุดที่ศัตรูตัวนี้หลบมุมอยู่ในจุดที่เรามองไม่เห็น ซึ่งพอเราเดินไปเราแทบจะไม่มีโอกาสได้ป้องกันตัวหรือหลบแต่อย่างใด และมันแทบจะทำให้เราต้องเปลืองเลือดไปฟรี ๆ แบบไม่ได้โต้ตอบ ซึ่งทางผู้พัฒนาอาจจะดีไซน์มาให้เราจะต้องระวังทุก ๆ ฝีก้าวที่เราเดิน แต่ส่วนตัวมองว่ามันน่ารำคาญมากกว่านะโดยรวมแล้ว The Callisto Protocol ก็ยังไม่ใช่เกมที่สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการเกม ระบบต่าง ๆ ของเกมก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ Dead Space อย่างมาก อาจจะมีระบบใหม่เข้ามาเล็กน้อยอย่างระบบอาวุธระยะประชิด แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับเกมในสมัยนี้ที่เหล่าเกมเมอร์อยากให้มันมีลูกเล่นที่มากขึ้น สิ่งที่ทำให้เกมน่าสนใจก็อาจจะเป็นเนื้อเรื่องที่เราอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในคุกแห่งนี้ แต่ด้วยความเป็นเส้นตรงของมันมากเกินไปในด้านเกมเพลย์ สคริปของ A.I ที่เหมือนเดิมทุกอย่าง มันเลยไม่ทำให้เรามีแรงจูงใจที่อยากจะกลับไปเล่นเกมรอบที่สอง และยิ่งเนื้อเรื่องของเกมที่สั้นในระดับหนึ่ง ก็ยิ่งรู้สึกพาให้เกมมันดรอปลงไปอีก 
12 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม We Who Are About To Die ตัวตึงแห่งสังเวียน การต่อสู้ชั้นเซียนเพื่อเป็นเจ้าอารีน่า
We Who Are About To Die เป็นเกมติดเทรนด์ได้รับคะแนนรีวิวแง่บวกเป็นอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งใน Steam ครับ ซึ่งตัวผู้เขียนเองเนี่ยก็สนใจคอนเซปต์เกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะได้รับบทบาทมาเป็น "กลาดิอาเตอร์" ท่านหนึ่ง ลงไปต่อสู้เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมครับ ตัวละครในเกมของเราเจ็บจริง ตายจริง และถ้าต่อสู้จนอยู่รอดได้ยาวนานที่สุดก็จะโด่งดังจริง ๆ เช่นกันครับ (มีแฟนคลับ ๆ)เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2022 จริง ๆ ผู้เขียนซื้อเอาไว้ตั้งแต่วันที่ตัวเกมลงวางขายแล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีเวลาได้เข้ามาเล่นสักที วันนี้ฤกษ์งามยามดีครับ ได้เข้าเกมลงสังเวียนรีวิวตัวเกมให้เพื่อน ๆ ได้เข้ามาอ่านกัน ใครอยากรู้ว่าตัวเกมเป็นยังไง ดุเดือดเลือดสาดขนาดไหน แวะมาอ่านรีวิวกันก่อนได้ครับเล่นเอาเพลินได้ แต่ตัวเกมยังไม่มีอะไรมากเริ่มเกมมาเราจะได้รับบทเป็น กลาดิอาเตอร์ ที่ยังไร้ชื่อเสียงเรียงนามครับ ยังต้องต่อสู้ในอารีน่าเล็ก ๆ เพื่อเก็บชื่อเสียงไปก่อน ตัวเกมจะสุ่มตัวละครมาให้เราครับ มีประวัติพื้นเพให้อ่านว่ามีที่มาที่ไปยังไง หัวนอนปลายเท้ามาจากไหน และมีอุปกรณ์การต่อสู้ติดตัวมาให้จำนวนหนึ่งครับ รวมถึงค่าสเตตัสการต่อสู้ต่าง ๆ แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมาว่าจะสุ่มได้ดีขนาดไหน แต่ถึงสุ่มมาแล้วของขาดไปบ้าง เราก็สามารถเล่นต่อสู้เก็บเงินเพื่อซื้ออาวุธ หรือเครื่องป้องกันเพิ่มได้ครับ และด้วยความที่มันยังเป็น Early Access จึงทำให้มีแค่โหมดเดียวเท่านั้น และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือเล่นได้คนเดียวครับการต่อสู้ของกลาดิอาเตอร์หน้าใหม่ ไต่ระดับไปเรื่อย ๆWe Who Are About To Die จะมีอารีน่าให้เราเลือกลงประลองตามเลเวลครับ มีตั้งแต่การต่อสู้แบบ 1 vs 1, 2 vs 2, มากันแบบเป็นทีม 4-5 คน หรือแม้แต่ 5 รุม 1 ก็มีครับ อารีน่าต่าง ๆ ที่เราต้องการไปสู้นั้นจะมีความต้องการบอกเราว่า จะให้ต่อสู้แบบไหน เงินค่าตัวหลังจากชนะจะได้รับเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังมีอารีน่าแบบสุ่มที่จะไม่บอกอะไรให้เรารู้เลยว่ามีรูปแบบการต่อสู้แบบไหน แต่เงินค่าจ้างจะเยอะมาก ๆ ครับ เหมาะกับคนกำลังฟาร์มหาเงินซื้ออาวุธ หรืออุปกรณ์การต่อสู้เป็นที่สุด หลังจากการต่อสู้ถ้าเราชนะก็จะได้อัพแรงค์ครับ และมีของรางวัลให้เลือกว่าเราจะเอาโบนัสไปอัพสเตตัสเพิ่ม หรือจะเอาเงินเพิ่ม ก็แล้วแต่ผู้เล่นอย่างเราจะสะดวกเลือกครับตายแล้วไปไหนเกมนี้ตายแล้วไม่ได้ไปต่อครับ ต้องกลับไปเริ่มที่เลเวล 1 ใหม่ ไม่ว่า กลาดิอาเตอร์ ตัวเก่าของเราจะทำแรงค์ไว้สูงส่งขนาดไหน พลาดท่าเสียทีปุ๊บ สูงสุดจะกลับสู่สามัญโดยทันที และตัวเกมจะสุ่มกลาดิอาเตอร์คนใหม่ให้เราครับ แล้วก็เล่นแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ ตายก็กลับมาเริ่มนับ 1 ใหม่ แค่นี้เลยครับ ตัวเกมไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ และหลังจากการต่อสู้จบแล้ว ทุกครั้งในกรณีที่เราชนะมา จะมีข้อความจากเกมเป็นคำถามคอยถามเรา ตรงนี้ถ้าตอบไม่ดีจะมีผลกระทบกับการต่อสู้ของเราในอนาคตด้วยครับ เช่น ผู้เขียนได้คำถามว่า "ตอนนี้ในเมืองของเรามีสงคราม เราจะทำอย่างไรดี ?"ผมคนใจดีไง ไปตอบข้อบริจาคอาวุธเครื่องป้องกันทุกอย่างที่มีเพื่อให้ประเทศเอาไปทำสงคราม แล้วถึงเวลาต้องลงอารีน่า มีแต่ตัวเปล่า ๆ ครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ก็ขิตไปตามระเบียบครับ จะเอาอะไรไปสู้! เกมทำมาดีแล้ว แต่มันจะพังเพราะระบบควบคุมนี่แหละWe Who Are About To Die เป็นเกม 3D RPG ครับ เราจะต้องลงสังเวียนเพื่อไปต่อสู้กับ กลาดิอาเตอร์คนอื่น ๆ เป็นเกมแนวประวัติศาสตร์แบบบู๊กันเลือดสาดเลยครับ มีฟันกันคอขาดตัวขาดให้ได้เห็นกันจะจะไปเลยแล้วสิ่งที่ผมจะไม่พูดไม่ได้เลยเนี่ย คือไอ้ระบบควบคุมเจ้าปัญหาที่สร้างความยุ่งยากให้กับเราคนเล่นมาก ๆ ครับ ตัววางเป้าดูยากมาก ๆ ทำให้ฟัน Ai ไม่ค่อยโดน คือบอกเลยว่ามันสร้างความลำบากให้ผู้เขียนมาก ๆ จะกัน จะหลบ จะแทง จะฟัน ก็มั่วซั่วไปหมด กดซ้ายไปขวา บางทีกดแทงไม่แทง หมุนฟัน 360 องศากันให้ได้งงกันไปเลย บางทีกดป้องกันไปแล้วแต่โดนฟันหลังแอ่นมาก็มี เพราะหันหน้าผิดทาง ฮ่า ๆ ๆ อันนี้ใครถ้าจะซื้อมาเล่นผมบอกเลยว่าเตรียมใจตรงนี้ไว้ก่อนก็ดีครับส่วน User Interface ผู้พัฒนาออกแบบมาได้สวยงามดีครับ ใช้งานง่าย แต่ด้วยความที่มันยังอยู่ในการพัฒนาก็อาจจะเห็นตำแหน่งตัวอักษรที่แปลก ๆ ไปบ้างครับ แต่ก็ถือว่าเข้าใจได้ว่ามันคือ Early Accessตัวเกมมี Toturial สอนเราเล่นในช่วงเริ่มเกมครับ แต่ก็นั่นแหละครับด้วยการบังคับที่ยาก บางอย่างถึงมี Toturial สอนผู้เขียนก็ยังไม่สามารถทำตามได้ นั่นก็คือการปาอาวุธครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ จิ้มจิ้ม ทิ่มทิ่ม แทงแทง เอาก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ ๆสรุปเป็นเกมที่ผู้เขียนมองว่าสนุกมาก ๆ ครับถึงแม้ว่ามันจะซ้ำซาก วนไปวนมา ต่อสู้วน ๆ ไปให้ชนะ พอชนะแล้วก็เอาเงินไปอัพเกรดของ แต่สิ่งที่ผมมองว่าผู้พัฒนาอาจจะต้องแก้ไขอย่างจริงจังก็น่าจะเป็นระบบการควบคุมครับ คือด้วยคอนเซปต์กับระบบเกมเพลย์เนี่ยผู้เขียนบอกเลยว่ามันสนุกมาก ๆ แต่มันจะไปเสียอารมณ์ตรงที่การบังคับมันทำให้เกมไม่ลื่นไหลนี่แหละครับ กดฟันแต่กลายเป็นแทง กดแทงดันหันวนกลับหลังไปฟันอากาศ อาวุธปาใส่ศัตรูได้แต่ผมพยายามทำตาม Toturial อยู่หลายรอบมาก็ปาไม่ได้สักทีครับ ฮ่า ๆ ๆใครสนใจราคาเกมไม่แรงมากครับ สนนราคาอยู่ที่ 429 บาท ผู้เขียนก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่ซื้อมันมาสักนิดเลยครับ เพราะถึงแม้ว่าการบังคับจะยากไปหน่อย แต่เกมเพลย์นั้นสร้างความสนุกให้ผู้เขียนได้อยู่ครับ โดยเฉพาะเกม 5 รุม 1 ต้องหนีการโดนรุมถืบอย่างทุลักทุเล แต่บอกเลยอย่างมันอะครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ถ้าในอนาคตมีระบบ Multiplayer แล้วได้เล่นกับเพื่อน เกมนี้นี่อย่างปั่นอะผมบอกเลย เสียดายมาก ๆ ที่ตอนนี้ยังไม่มีครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/973230/We_Who_Are_About_To_Die/
12 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Evil West คาวบอยปราบแวมไพร์ กับเกมเพลย์แอคชันอันเรียบง่ายที่น่าคิดถึง
Flying Wild Hog ชื่อของสตูดิโอเกมนี้โด่งดังจากการชุบชีวิตเกมแอ็คชั่นสุดเดือดอย่าง Shadow Warrior ให้กลับมาเป็นที่รู้จักจนกลายเป็นเกมไตรภาค และคราวนี้พวกเขาอยากนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ จึงหันมาปั้นเกมใหม่เป็นเกมแนวแอ็คชั่นเช่นเดิม แต่เปลี่ยนจากยากูซ่าล่าปีศาจ ให้กลายมาเป็นคาวบอยแห่งแผ่นดินอเมริกาที่ต้องปะทะกับกองกำลังแวมไพร์ แต่เกมนี้ดียังไง ควรค่ากับการเสียเงินหรือไม่ มาดูกันกับรีวิว Evil Westประกาศสงครามระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ผู้เล่นรับบทเป็น Jesse Rentier มือปราบแวมไพร์ฝีมือดีของ Rentier Institute ที่เป็นสมาคมนักล่าแวมไพร์ที่ก่อตั้งโดยพ่อของเขา Williams Rentier ที่ต้องรับมือกับการบุกรุกของพวกปีศาจและแวมไพร์ Jesse ร่วมงานกับ Edgar มือปราบรุ่นเก๋าเพื่อสืบหาเบาะแสของ Peter D'Abano แวมไพร์หัวหมอที่ปลุกปั่นสงครามระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ แต่เหล่าแวมไพร์ผู้นำไม่เห็นด้วย เตรียมจะเชือดเขาทิ้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ Jesse และ Edgar ซุ่มโจมตีและนำหัวของ Peter กลับไปยังสมาคม แต่ลูกสาวของเขากลับกลายเป็นผู้นำกองทัพแวมไพร์ บุกโจมตีสมาคมนักล่าจนล่มสลาย พ่อของ Jesse ได้รับบาดเจ็บจนต้องหนีตายไปตั้งหลัก และหาวิธีเอาคืนรวมไปถึงหยุดแผนการร้ายของพวกแวมไพร์ชั้นสูงแน่นอนว่าพล็อตแบบนี้มีกันให้เห็นเพียบ ทั้งจากหนังและเกมที่มีเกรดรอง ๆ ลงมา ส่วนของเนื้อเรื่อง Evil West นั้น ในเมื่อเนื้อเรื่องธรรมดา จึงมีการสร้างตัวละคร สร้างเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ดี หรือเข้าขั้นมาสเตอร์พีซ สเตปการเล่าเรื่องของ Evil West จะคล้าย ๆ กันกับเกมที่มีพล็อตแนว ๆ นี้ คือตัวเอกห้าวเป้ง ไปหาเรื่องเขาก่อน โดนยกพลถล่มกลับจนรังแตก ต้องหนีไปตั้งหลัก ก่อนจะเจอตัวละครสนับสนุนคอยให้ความช่วยเหลือใหม่ ๆ และเตรียมกลับไปเอาคืน คือใครที่เล่นเกมแนวกลาง ๆ เกมแนวล่าปีศาจแบบนี้มาเยอะ ๆ จะเดาทางออกแทบจะทุกซีน ทุกฉากภายในเกมอยู่แล้ว เอาเป็นว่าส่วนของเนื้อเรื่องนั้น อยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้ว้าวจนต้องยกนิ้วให้ แต่ก็ไม่ได้แย่จนทำให้เราเบือนหน้าหนีเกมเส้นตรงที่เน้นความดุดัน สะใจ ใส่แอ็คชั่นล้วน ๆ !ในเมื่อเนื้อเรื่องมันไม่ได้ดีเด่อะไรมาก ดังนั้นสิ่งที่เกมนี้ต้องหามาทดแทนคือเรื่องของการนำเสนอและระบบเกมการเล่น แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใ่ชเกม Open World ที่เราจะได้วิ่งฟาร์มของ มาอัปเกรดตัวละครกัน แต่มันคือเกมแอ็คชั่นแบบเส้นตรง ที่มีพื้นที่แคบ ๆ ให้เราได้สำรวจกันเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจะไม่มีการวิ่งฟาร์มของจนตัวเต็ม แต่จะเป็นการเดินหน้าลุยไปยังพื้นที่ และฉากต่าง ๆ เราจะปลดล็อคอาวุธใหม่ สกิลใหม่ ความสามารถใหม่ ๆ เมื่อไปถึงพื้นที่ที่กำหนดแล้ว ทำให้มันกลายเป็นเกมเส้นตรงแทบจะเต็มรูปแบบ แต่การขยันเลี้ยวเข้าไปยังพื้นที่ซอกเล็กซอกน้อย อาจจะทำให้เราปลดของบางอย่างได้ไวขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ถึงกับได้อะไรโกง ๆ มาใช้ และรางวัลอีกประเภทหนึ่งคือประเภทสกินหรือของแต่งตัว ที่เอามาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวละคร Jesse ของเราให้เท่ขึ้นและสำหรับใครที่กลัวว่าจะน่าเบื่อ เพราะดูจากชื่อแล้วมันคงเป็นเกมแอ็คชั่นแดนคาวบอยตะวันตกกันอย่างเดียว ก็อยากจะบอกว่า คุณคิดผิดแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าเกมจะชื่อ Evil West แต่เอาเข้าจริงแล้ว เราจะได้ลุยกันในแดนตะวันตกคาวบอยก็แค่ช่วงแรก ๆ หลังจากนั้น เกมจะมี Setting หรือฉากหลังที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ดินแดนหิมะอันหนาวเหน็บ หมู่บ้านลึกลับที่มีพลังงานปริศนา ไปจนถึงบึงพิษ หนองน้ำมรณะ เรียกได้ว่าหลากหลายกว่าชื่อเกมไปเยอะ แค่ตัวเกมไม่ได้เผยมาให้เราเห็นในช่วงการโปรโมท ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรส์ผู้เขียนพอสมควรสำหรับเรื่องนี้ในด้านความยาวของตัวเกม แม้จะบอกไปหลายรอบว่ามันเป็นเกมเส้นตรง แต่เกมนี้ก็ไม่ได้สั้นชนิดที่ว่าสปีดรัน เล่นแปปเดียวจบได้ ตัวเกมจะมีความยาวมากถึง 16 Chapter ด้วยกัน บาง Chapter ก็สั้น บาง Chapter ก็ยาว บาง Chapter มี Mini Boss และ Boss Fight เข้ามาแทรก ทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการลุยแต่ละด่านนั้นไม่เท่ากัน แต่โดยรวมแล้วผู้เล่นสามารถจบเกมนี้ได้โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 10-12 ชั่วโมง แล้วแต่คน แต่บวกลบไม่เกินนี้ เทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าไม่ได้แย่มากนักสำหรับเกมเกรดกลาง ๆ ราคา 1,190 บาท แต่เกมนี้จะไม่มีการนำเสนอการเล่นซ้ำใด ๆ เลย ไม่มี New Game+ มี Collectible Item ให้เก็บ แต่ก็ไมไ่ด้สำคัญอะไรมากนัก เล่นทีเดียวแล้วจบไปเลย เน้นการให้ผู้เล่นสนุกกับเกมแบบรอบเดียวจบไปเลย ทีนี้มาดูในส่วนของเกมเพลย์กันบ้าง อย่างที่บอกไปว่านี่คือเกมแอ็คชั่นแบบเส้นตรง และดูเหมือนว่าทาง Flying Wild Hog เขาจะถนัดเหลือเกิน กับการทำเกมแอ็คชั่นที่สนุก สำหรับคนที่ไม่รู้ Flying Wild Hog นั้น มีประสบการณ์ในการทำเกม Shadow Warrior มาก่อน ซึ่งตัวเกมก็ขึ้นชื่อว่า บู๊แหลกสนกสนานมาก ๆ และการกลับมาใน Evil West นี้ พวกเขาได้พัฒนาฝีไม้ลายมือในการทำเกมมากขึ้นไปอีกขั้นJesse Rentier อีกหนึ่งตัวละครที่เก่งกาจรอบด้านจากการออกแบบเกมเพลย์ที่ดีหากใครดูเกมเพลย์ (หรือบางคนอาจจะได้เล่นเอง) อาจจะรู้สึกแปลก ๆ ในใจระหว่างการเล่นบ้าง นั่นคือทำไมเกมนี้มันมีความคล้ายกับ God of War ได้มากขนาดนี้ แต่ถ้าได้อ่าน Dev Blog หรือบันทึกการพัฒนาเกมของทีมพัฒนาเกมนี้ พวกเขาได้แรงบันดาลใจในการพัฒนาเกมนี้จาก God of War พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการต่อสู้และอื่น ๆ ที่มีอยู๋ในเกม หรือแม้กระทั่งอนิเมชั่นการออกลีลาท่าทางต่าง ๆ ก็มีความคล้ายคลึงกันในบางส่วนด้วยแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ขนาดก๊อปปี้กันมา แต่ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นแรงบันดาลใจ อย่างแรก Jesse Rentier นั้น เป็นตัวละครที่มีความสามารถรอบด้านมาก ๆ ด้วยทักษะการต่อสู้ที่เขามี ก็ส่วนหนึ่ง แต่อาวุธของเขาเองนั้น ถือว่าเยอะมาก ยิ่งเล่นยิ่งปลดล็อคออกมาเรื่อย จะมีข้อตินิดหน่อยคือ ท้ายที่สุดแล้ว อาวุธบางอย่างแทบจะไม่ค่อยได้ใช้งานเลย อย่างเช่นหน้าไม้ เพราะท้ายที่สุดปืนยาวก็ดีกว่าอยู่ดี หรือปืนไฟที่ถูกใช้ในการทำลายพุ่มไม้เท่านั้น แทบไม่ได้หยิบมาใช้ในการต่อสู้ด้วยอาวุธที่เยอะขนาดนี้ ผู้เล่นอาจจะกังวลว่าถึงเวลาจริงจะได้กดใช้หรือไม่ หากใครเคยเล่น Shadow Warrior มา จะรู้ว่าเกมที่มีอาวุธโคตรเยอะขนาดนี้ ทำให้การกดปุ่ม Hot Key หรือปุ่มอาวุธให้เป็นเลข 1-9 นั้น มันลำบากในการเล่นมาก ๆ ถึงแม้จะมี Weapon Wheel แต่ก็เหมือนกับว่ามันจะขัดกับเกมเพลย์ที่เน้นความรวดเร็วว่องไว และโชคดีที่ใน Evil West ทีมสร้างเขาหาวิธีอุดจุดอ่อนตรงนี้ได้แล้ว ต้องบอกผู้เขียนเล่นบน PC เป็นหลัก บนคอนโซลนั้น อาจจะมีความสะดวก และความถนัดแตกต่างกันออกไปตามหลักแล้วปุ่มการเคลื่อนที่ของตัวละครจะเป็นปุ่ม WASD ที่เราทุกคนเคยชินกัน คราวนี้พวกเขาเลยจัดวางปุ่มรอบ ๆ WASD ให้เป็นปุ่มควบคุมสำหรับการต่อสู้และใช้อุปกรณ์เสริมและสกิลแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Q-E-V-C-R-F เกือบจะทุกปุ่มที่อยู่รอบ ๆ ปุ่มเคลื่อนไหวนั้น ถูกออกแบบมาให้รองรับกับอาวุธ อุปกรณ์ และสกิลเสริมของ Jesse แทบทั้งสิ้น ใครที่กลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าหายห่วงแน่นอน ทำให้การต่อสู้ และความเป็นแอ็คชั่นของเกมนี้นั้น ลื่นไหลเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่เกมมันไม่ได้มีการคอมโบกันระหว่างอาวุธอะไรขนาดนั้น ท้ายที่สุดแล้ว อาวุธที่เยอะขึ้นจึงเป็นเพียงทางเลือกแห่งความสะใจว่า ผู้เล่นจะจัดการศัตรูด้วยวิธีใด การคอมโบต่ออาวุธกัน เน้นทำเพื่อความเท่เท่านั้น ไม่ได้ทำให้มีโบนัสดาเมจที่แรงขึ้น เช่นการต่อยศัตรูขึ้นอากาศ แล้วใช้ปืนรีโวลเวอร์รัวยิง อาจจะทำให้ศัตรูหมดโอกาสสวนเราได้ แต่ศัตรูเกือบทุกตัว ถ้าไม่ใช่ระดับบอส แค่เดินต่อยง่าย ๆ ก็เอาชนะได้แล้ว ส่วนศัตรูจำพวกที่บินได้ ก็สามารถใช้ปืนยาวยิงจัดการเอาได้เลย น่าเสียดายที่เกมนี้ออกแบบความหลากหลายของศัตรูมาได้น้อยไปหน่อย ไม่เหมือนกับสกิล อาวุธ และความสามารถของตัวละครเราที่มีเยอะจนเกินไปส่วนของสกิลและการอัปเกรดเองก็เช่นกัน ในเกมนี้จะแบ่งเป็น Perk และ Upgrade สำหรับ Perk นั้นเน้นไปที่สมรรถภาพของตัวละคร ทั้งการโจมตี การป้องกัน พลังชีวิตสูงสุด ส่วน Upgrade นั้นจะเป็นเรื่องของอาวุธและอุปกรณ์ที่จะทำให้ยิงแรงขึ้น แต่ Progression ของมันก็ไม่ได้น่าประทับใจ ด้วยความที่เป็นเกมเส้นตรง ทำให้ไม่มีการฟาร์ม ไม่มีการเก็บเลเวล หรือไปเล่นด่านพิเศษอะไร สกิลใหม่ ๆ Perk ใหม่ ๆ จะถูกปลดล็อคได้เมื่อเล่นไปถึงจุดที่กำหนด สังเกตได้ว่าทุก ๆ การเอาชนะมินิบอส ชนะบอส หรือผ้่านภารกิจสำคัญ ๆ เลเวลจะถึง และปลดล็อคพร้อมทันที นั่นหมายถึงระบบนี้ถูกกำหนดไว้ด้วยการดำเนินเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ทำให้มันดูขาดความน่าสนใจไปทันทีแต่ถึงอย่างนั้น เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ระบบเกมการเล่นของ Evil West นั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ ในยุคที่หลายทีมสร้าง พยายามอย่างหนักที่จะใส่ความซับซ้อน ความเข้มข้น ความดุเดือดในการต่อสู้ แต่สิ่งที่ทีมพัฒนาทำกับ Evil West คือการเสิร์ฟความสนุกแบบเน้น ๆ ม้วนเดียวจบ ไม่ต้องคิดมาก ให้ผู้เล่นได้เอ็นจอยไปกับการต่อสู้แบบดิบ ๆ ถอดสมองเล่นชิล ๆ ยังได้ ซึ่งมันก็ออกมาดีไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับเกมฟอร์มยักษ์เกมอื่น ก็ยังถือว่าห่างชั้นอยู๋เหมือนกันEvil West กลายเป็นอีกเกมแอ็คชั่นดิบ ๆ ส่งท้ายปี 2022 ที่ถึงแม้ว่ามันจะโดนกระแสเกมใหญ่ ๆ กลบไปจนมิด แต่สำหรับคนที่มีโอกาสได้ลองเล่น หรือสนใจจะเล่น เราบอกได้เลยว่ามันจะเป็นอีกเกมที่คุณไม่ผิดหวังเลย ถ้ากำลังมองหาความ "สนุก" และความ "มัน" จากตัวเกม
12 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม The Callisto Protocol (PC) เกมสยองขวัญตัวใม่ที่ยังไม่กล้าก้าวข้ามผลงานเก่าที่ตัวเองเคยทำไว้
เป็นเกม Survival Horror ที่หลายคนรอคอยกันมาตั้งแต่การประกาศเปิดตัวแล้ว เพราะนี่คือผลงานของผู้ที่สร้าง Dead Space เกมสยองขวัญขึ้นหิ้งระดับตำนานที่หยิบมาเล่นตอนนี้ก็ยังสนุก และมีหลายคนยังคงสะดุ้งกับฉาก Jump Scare และบรรยากาศ ความน่ากลัวของมัน แต่การกลับในผลงานใหม่นี้จะยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็มาดูกันในรีวิว The Callisto Protocol ของเราหนีตายจากสถานที่ปิดตายบนอวกาศสิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนกันกับ Dead Space คือ Setting หรือฉากหลังของโลกภายในเกม ที่เป็นสถานที่เกือบ ๆ จะปิดตายเมือนกัน ใน Dead Space นั้น อิงจากภาคแรกคือยานอิชิมูระ และใน The Callisto Protocol นั้น คือคุกจองจำกลางอวกาศที่มีชื่อว่า Black Iron ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ Jacob Lee (รับบทโดย Josh Duhamel) เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งสินค้าในอวกาศเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ และการทำงานครั้งนี้คือการขนของบางอย่างไปยังคุก Black Iron แต่เขากลับถูกโจมตีโดยกลุ่มต่อต้านที่นำโดย Dani Nakamura (รับบทโดย Karen Fukuhara) ยานของเขาจึงโหม่งไปยังพื้นผิวของดาวเคราะห์ที่เป็นที่ตั้งของคุก Black Iron เพื่อนสนิทของเขาเสียชีวิต แต่แทนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือ เขากลับถูกจับตัวไปในฐานะนักโทษ เรื่องราวบานปลายมากยิ่งขึ้น เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคุก Black Iron เกิดความโกลาหล เมื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาออกอาละวาดไล่ฆ่าคนในคุก แถมระบบความปลอดภัยในคุกยังถูกเปิดใช้งาน จนพวกจักรกลต่าง ๆ ไม่ได้แยกแยะ และไล่ล่าสังหารนักโทษที่คิดจะหลบหนี งานนี้ Jacob Lee จึงต้องหาทางเอาตัวรอด หาความจริงว่าทำไมเขาถึงโดนจับ และหนีตายจากจักรกลสังหาร และสิ่งมีชีวิตปริศนา และหาต้นตอของมันให้เจอเมื่อผู้เล่นได้เล่นไปเรื่อย ๆ เราจะรับรู้เรื่องราวผ่านสถานที่ ไฟล์เอกสาร และเตุการณ์ต่าง ๆ การบริหารคุก Black Iron ที่ทำให้นักโทษไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ถูกนำเสนอแบบเป็นเส้นตรงที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากต้นฉบับที่เป็น Dead Space มากนัก แต่ด้วยความที่มันเป็นเส้นตรงนี่แหละ ทางทีมพัฒนาเลยสามารถที่จะนำเอาความคิด ความสามารถไปทุ่มให้กับการนำเสนอและเกมเพลย์แบบเต็ม ๆ แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี มันดี เพียงแต่มันไม่ได้ว้าว หรือเซอร์ไพรส์ หรือเข้มข้นจนเรารู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม เพราะมันก็เป็นพล็อตแบบธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เราเห็นกันมานักต่อนักแล้ว กับการหนีตายเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตปริศนา แค่คราวนี้มันดู Sci-Fi ล้ำโลกอย่างคุกกลางอวกาศ แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องเกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือการที่ตัวเกมได้สองนักแสดงมากฝีมืออย่าง Josh Duhamel และ Karen Fukuhara มารับบทนำ และ Motion Capture + พากย์เสียงตัวละครด้วย ทำให้แม้เนื้อเรื่องจะดูธรรมดา แต่พลังดารา ทำใ้ห้เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตาม รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้กราฟิกเข้าใกล้ความสมจริงมากยิ่งขึ้น บอกเลยว่า ตลอดเกมการเล่นนี้ เหมือนนั่งดูภาพยนตร์ดี ๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่บอกว่าเนื้อเรื่องและบทของเกมนั้น มันไม่ได้แปลกใหม่อะไรมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป รับรองว่าเล่นจบแล้วยังไงก็เต็มอิ่มแน่นอน แต่จะมีข้อเสียตรงที่ ตอนจบของเกมนั้น ชัดเจนเลยว่ายังไม่จบ มีไปต่อกันที่ DLC แน่นอนยกระดับกราฟิกและโมเดลตัวละครที่เข้าใกล้ความสมจริงไปอีกขั้นสิ่งแรกที่ผู้เขียนประทับใจจริง ๆ นับตั้งแต่การเข้าเกมครั้งแรกเลยคือเรื่องของกราฟิกที่สวยงามมาก จุดเด่นไม่ใช่การนำเสนอฉาก และสถานที่ที่สวยงาม แต่สิ่งที่โดดเด่นมากเลยคือเรื่องของโมเดลตัวละคร ทั้งตัวละครเอก ตัวละครต่าง ๆ และพวกศัตรูที่มาในรูปแบบสมจริง ราวกับจับต้องได้ และเป็นภาพยนตร์มากกว่าเกมซะอีก นับตั้งแต่ฉากแรก ๆ ไปจนถึงจบเกม ผู้เขียนรู้สึกว่าโมเดลตัวละครนั้น ถูกออกแบบมาได้ดี และมีชีวิตชีวามาก มันดูเหมือนเป็นคนจริง ๆ ที่มาให้เราควบคุมเป็นวิดีโอเกม แม้จะยังไม่ใช่ Unreal Engine 5 แต่นี่เหมือนเป็นการรีดเอาประสิทธิภาพสูงสุดของ Unreal Engine 4 มาใช้แล้วรูปแบบเกมของ The Callisto Protocol นั้น อย่างที่บอกว่ามันเป็นเกมเส้นตรง และที่สำคัญคือเกมเน้นความ Immersive ทั้งบรรยากาศและตัวผู้เล่นเอง ตลอดเวลาการเล่นและการเอาตัวรอดในคุก Black Iron นั้น เวลาที่ผู้เล่นเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เรามักจะเจอทางแยก หรือเส้นทางให้สำรวจเพิ่ม เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเส้นทางไหน เป็นเส้นทางหลักที่เราไปต่อได้ หรือเป็นเส้นทางแยกที่เราสามารถไปสำรวจเพื่อหาของ หาไอเทมได้ ผู้เล่นต้องอาศัยการคาดเดา การอ่านป้ายบอกทาง หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจดจำไว้ว่า เราจะต้องไปทางไหน โชคดีที่บางจุดเรายังย้อนกลับมาได้ ถ้ามันเป็นการเดินทางตรงสู่เนื้อเรื่อง แต่บางจุดก็ย้อนไม่ได้ ก็ต้องระวังให้ดี ก่อนจะเดินหน้าต่อ เพราะเราอาจจะเสียโอกาสในการเก็บไอเทมต่าง ๆ ไปในส่วนของ UX/UI Interface นั้น ต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณของ Dead Space หนึ่งในคำชมที่ Dead Space ได้รับ คือการออกแบบ HUD / UX/UI ที่โดดเด่นมาก การมีพลังชีวิตเป็นเส้นตรงแกนกระดูกสันหลัง จำนวนกระสุนอาวุธที่เป็นเหมือนหน้าจอ LCD และช่องเก็บของ ถูกนำมาต่อยอดในเกมนี้จนเหมือนกับว่ามันโคลนนิ่งกันมาอย่างไรอย่างนั้น โดยใน The Callisto Protocol นี้ พลังชีวิตจะถูกระบุไว้ที่เครื่องที่ติดอยู่ตรงหลังคอ และมีจำนวนพลังงานแบตเตอรี่บอก ส่วนอาวุธปืนจะบอกจำนวนกระสุนแทน หน้าจอช่องเก็บของก็จะเป็นเหมือนจอ LCD ลอยขึ้นมา เรียกได้ว่าหน้าตาตัวเกมนั้น เหมือนหยิบเอา Dead Space มาต่อยอดแบบไม่มีผิด และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เราน่าจะได้เห็นกันตั้งแต่ตัวอย่างเปิดตัว และข่าวสารที่ออกมาแล้ว กับความรุนแรงชนิดจัดเต็มของเกมนี้ ถึงขั้นที่ว่าญี่ปุ่นไม่อนุมัติให้ขายกันเลยทีเดียว ในเกมนี้จะมาพร้อมกับความรุนแรงแบบเต็มข้อ เลือดสาด ตัวขาด 18+ ขึ้นกันแน่นอน สำหรับเราในการจัดการศัตรูนั้น อาจจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะมันคือสัตว์ประหลาด ยิ่งฆ่าโหดยิ่งสะใจ แต่หากเราพลาดท่าตายซะเอง นี่แหละความบันเทิง เกมนี้มีฉากตายหลากหลายรูปแบบให้เราได้เพลิดเพลินกับความตายของ Jacob Lee ถ้านับรวมทั้งการตายจากฉากด้วยแล้วก็น่าจะเกินกว่า 20 แบบขึ้นไป เอาแค่ศัตรู 1 ตัวก็สามารถฆ่าเราได้ 2-3 แบบแล้ว แถมแต่ละแบบนี่ โหด ๆ ทั้งนั้น ฉีกปากจนหน้าขาด หน้าแหว่ง ฉีกแขนจนขาด บีบหัวเราจนแตก จกลูกตา เอาว่าใครขวัญอ่อน ทนดูอะไรโหด ๆ ไม่ได้ เลี่ยงเกมนี้เลยจะดีกว่า แต่ใครที่ชอบความรุนแรง ชอบการเห็นตัวละครเอกตายอย่างทรมาน เกมนี้ถือว่าไปสุดทางมาก นี่ยังไม่รวมพวกการตายจากฉากต่าง ๆ ด้วย เห็นแล้วก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมญี่ปุ่นจึงตัดสินใจไม่อนุมัติขายเกมนี้ในประเทศตัวเองสำหรับความยาวของเกมนั้น เกมนี้เป็นเกมแบบเส้นตรงเพียว ๆ พื้นที่ให้สำรวจก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ผู้เล่นจะสามารถจบเกมนี้ได้ด้วยเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่ตอนนี้คอนเทนต์หลังจากจบ Endgame แล้วยังมีไม่มากนัก เพราะโหมด New Game+ จะมาถึงในช่วงปีหน้า พร้อมกับเนื้อหาเสริมจาก Expansion ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าด้วย แต่ในตอนนี้ เอาแค่แคมเปญหลักของเกมก็คิดว่าคุ้มราคาแล้ว ข้อเสียเดียวของมันคือ ดันจบไม่สนิท จบไม่จริงนี่ล่ะการต่อสู้ระยะประชิดที่ดุดัน ไม่เกรงใจใคร !หาก Dead Space เป็นทำระบบการยิงตัดอวัยวะของศัตรูออกมาได้ดีมาก เกมนี้ก็เป็นเหมือนกับอีกความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากให้มันออกมาเป็นขั้วตรงข้ามของ Dead Space ด้วยการเน้นและผลักดันการโจมตีระยะประชิดแทน จริงอยู่ว่าอาวุธปืนของเกมนี้มีให้ใช้งานตามปกติ แต่ความสะใจ ความดุดันจะไม่เท่ากับการใช้การโจมตีระยะประชิด เพราะมันออกแบบมาได้ลื่นไหล และมีฟิสิกส์ที่ดุดัน สะใจมาก การฟาดโจมตีศัตรูแต่ละครั้งเราจะสัมผัสได้เลยว่ามันรุนแรงจริง ๆ นอกเหนือไปจากการโจมตีระยะประชิด หลายสิ่งหลายอย่าง เหมือนกับทีมพัฒนาไม่อาจจะมูฟออนไปจาก Dead Space ได้ เพราะเราจะเห็นอะไรที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน ถูกใส่เข้ามาแทนที่ตลอด อย่างระบบการกระทืบซ้ำก็ยังคงใส่เข้ามา การใช้พลัง GRP ที่เหมือนกับพลัง Slow ของ Dead Space หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเราหยิบเกมนี้ไปเทียบกับ Dead Space เยอะเกินไปหรือไม่ แต่มันไม่อาจลีกเลี่ยงความจริงที่ว่า ตลอดเกมการเล่นของ The Callisto Protocol นั้น มันมีเงาของ Dead Space อยู่มากมายเหลือเกินสำหรับอาวุธหลัก ๆ ของเราจะอยู่ที่กระบองไฟฟ้าและปืน รวมไปถึง GRP ทั้งหมดนี้ผู้เล่นสามารถอัปเกรดได้ที่โต๊ะอัปเกรด โดยจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นดาเมจ คอมโบ จำนวนกระสุน เมื่อมีการอัปเกรดเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เราต้องออกสำรวจ เพื่อหาเงิน เงินในเกมนี้ก็จะได้มาทั้งจากการได้เป็น Callisto Credit โดยตรง หรืออีกวิธีคือได้มาในรูปแบบของไอเทมที่เอาไว้ขายโดยเฉพาะ ให้เรานำไอเทมนั้นมาขายหาเงินโดยตรงได้เลยเรื่องของระบบการต่อสู้ อย่างที่บอกไปว่าเรามีไอเทมเป็นกระบองไฟฟ้าและปืน แต่ลูกเล่นของการต่อสู้ก็จะมีทั้งการกดหลบหลีก ซึ่งก็ใส่กลยุทธ์เข้ามานิดหน่อย คือถ้าหากเราจะกดหลบหลีกนั้น หากหลบทางเดียวกันซ้ำเกินสองรอบจะไม่สามารถหลบหลีกได้ กระตุ้นให้ผู้เล่นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรือการกดถอยหลังขณะที่ศัตรูฟาดโจมตีเข้ามา ก็จะเป็นการบล็อกที่ช่วยลดดาเมจลงไปได้  แต่สิ่งที่เราอยากบอกผู้เล่นทุกคนว่า หากคุณไม่ใช่เกมเมอร์ที่ชื่นชอบความตึง การเล่นเกมนี้ด้วยโหมดง่ายนั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย มันอาจจะทำให้เกมสนุกมากขึ้น การปรับโหมดยาก-ง่าย ของเกมนี้ อาจจะไม่ได้แสดงผลออกมาผ่านความอึดของศัตรู แต่ตัวละครของเรานี่แหละที่จะอึดขึ้นมาก ๆ ชนิดที่ว่าโดนรุมตบ 3-4 ที เลือดยังเขียวอยู่ก็มี ทำให้ความยากของเกมนี้ ถ้าปรับง่ายสุด เชื่อว่าทุกคนเล่นได้ และสนุกด้วย แต่ใครที่เก้งแล้ว เชี่ยวชาญแล้ว อยากลองของ โหมดยากก็พร้อมจะเสิร์ฟความเข้มข้นฉบับถึงเลือดถึงเนื้อให้ผู้เล่นด้วย แน่นอนว่าความสามารถในการกดคอมโบ ผสมผสานอาวุธและการใช้งาน GRP นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเอง และถ้าใครที่เป็นคนจิตแข็ง และไม่กลัวอะไรเลย เราก็สามารถเล่นแบบลุย ๆ ก็ได้ เพียงแต่การออกแบบเกมของทีมพัฒนานี้เขาไม่ได้ออกแบบมาให้เราบู๊แหลกอะไรขนาดนั้น ยิ่งเล่นโหมดยาก ไอเทมที่ได้ จำนวนกระสุน ความอึดศัตรู ความอึดเรา จะเป็นตัวแปรในการต่อสู้มากกว่า แต่ในเรื่องของบรรยากาศความน่ากลัวนั้นก็ถือว่าทำได้ดี จังหวะ Jump Scare จังหวะที่ศัตรูโผล่หน้าออกมา ทำให้เราสะดุ้งได้อยู่หลายครั้ง รวมไปถึงฉากและความมืดบางส่วนของเกม และความเลือดสาด ทำให้เกมนี้ ถ่ายทอดความดุเดือดออกมาได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว บรรยากาศ ภาพรวมและความกดดันของมัน กลับไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า Dead Space เหมือนที่เราได้คาดหวังกันเอาไว้ ซึ่งคนจะมองแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะหลาย ๆ อย่าง เหมือนมันไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการหยิบเอาของเก่าที่มีอยู่แล้วมาต่อยอด เลยทำให้เรารู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เกมใหม่ซะทีเดียวภาพรวมของ The Callisto Protocol จึงดูเหมือเป็นเกมที่ตั้งใจทำ แต่ดันทำออกมาไม่สุดซะอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้ามูฟออนจากผลงานเก่าของตัวเอง หรือเพราะอยากคารวะผลงานเดิม ๆ เอาไว้ เลยทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เกมที่แย่ แต่อาจบอกได้ว่า เราคาดหวังกับมันมากจนเกินไป ซึ่งพอมันออกมาธรรมดา จะผิดหวังบ้างก็ไม่แปลกอะไรนัก แต่สำหรับตัวผู้เขียนแล้วก็ถือว่าสนุกดี แต่ใจก็คาดหวังไปที่ Dead Space Remake แทนแล้วในตอนนี้ปัญหา Performance ที่ยังไม่หายสนิทในตอนนี้และสำหรับใครที่ติดตามข่าวสารของเกมนี้มาอย่างใกล้ชิด จะรู้ดีว่า The Callisto Protocol นั้น เปิดตัวได้ไม่สวยเอาซะเลย เพราะปัญหา Performance ปัญหาหลัก ๆ ของมันคือการที่เกมเกิดอาการกระตุกอย่างหนักในการเข้าไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามุกตลกชาวเกมอย่างการโหลดผียังคงใช้ได้กับเกมนี้ เพราะแทนที่มันจะกระตุกเฉย ๆ แต่มันกลับเป็นสัญญาณบอกว่ามีศัตรูรออยู่ข้างหน้าจริง ๆ ทำให้จังหวะที่ควรจะน่ากลัวก็ไม่น่ากลัวซะอย่างนั้นโชคดีที่แม้ว่าปัญหาอาการกระตุกตอนไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ จะมีแพทช์แก้ในวันเดียว แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่ขาดจริง ๆ เลยคืออาการเฟรมเรทดรอปตอนต่อสู้ อย่างที่เราบอกไปว่าเกมนี้ใช้การต่อสู้ระยะประชิดสูงมาก หากมีเฟรมเรทดรอป จะทำให้ส่งผลกระทบต่อเกมการเล่น อย่างน้อยที่สุดคือเสียอรรถรส ซึ่งอาจจะเพราะ Particle Effect หรืออะไรก็ตาม ทำให้เกมนี้ เกิดอาการเฟรมเรทดรอปตอนสู้อยู่เป็นประจำ อย่างน้อยแพทช์แก้ก็ทำให้ตัวเกมเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ใครที่มีปัญหาส่วนนี้ก็คงต้องรอการแก้ไขกันต่อไปThe Callisto Protocol อาจเป็นความพยายามในการก้าวออกจากเงาของผลงานตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนมันยังคงยึดติดอยู่กับผลงานเดิมของ Glen Schofield น่าเสียดายที่มันยังไม่สามารถทำให้เราจดจำมันได้ในแบบเดียวกันกับ Dead Space แต่มันก็ไม่ใช่เกมที่แย่ แค่มันธรรมดาจนเกินไป
10 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Warhammer 40,000: Darktide ความมันส์ระดับ 10/10 แม้องค์ประกอบอื่นจะยังดิบไปหน่อยก็ตาม...
แม้จะไม่ได้โด่งดังแพร่หลายเท่าแฟรนไชส์ไซไฟชื่อก้องโลกหลาย ๆ แฟรนไชส์ แต่จักรวาลหรือแฟรนไชส์ Warhammer ทั้ง Fantasy และ 40,000 ก็นับเป็นแฟรนไชส์สุดอมตะที่อยู่คู่กับสังคมเกมเมอร์มาช้านาน และมีเกมออกมาให้ได้เล่นกันหลายภาคหลายแนวตลอดระยะเวลานับทศวรรษที่ผ่านมา โดยหนึ่งในผลงานเด่นที่หลายคนอาจจะรู้จักจากจักรวาลนี้ก็คือเกมแอคชัน FPS สุดระห่ำอย่าง Warhammer: Vermintide ของผู้พัฒนา Fatshark นั่นเอง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้พัฒนา Fatshark ก็ได้กลับมาอีกครั้ง โดยคราวนี้พวกเขาเลือกที่จะแฟรนไชส์ Warhammer อีกครั้งในรูปแบบของ Warhammer 40,000: Darktide เกม FPS Co-op สาดกระสุนสุดมันส์ ที่เพิ่งจะเปิดให้เล่นผ่าน PC (Steam และ Xbox Game Pass) ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผลงานใหม่นี้จะมาทำให้ซีรีส์นี้พัฒนาขึ้นไปในแนวทางไหน วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกันกับ Warhammer 40,000: Darktideเนื้อเรื่องของตัวละครที่ต่างที่มาที่ไป และเรากำหนดเองได้Warhammer 40,000: Darktide จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของกลุ่ม Inquistorial Agents ที่คอยสืบสวนและป้องกันการแทรกซึมของกองกำลัง Chaos ที่อาจสร้างหายนะให้กับดาว Atoma Prime แถมยังมีพวก Undead จำนวนมากบุกโจมตีดวงดาวอีกด้วย สำหรับใครที่มาเล่นเกมนี้แล้วรู้สึกว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ซีรีส์ต้นฉบับของ Warhammer 40,000 จริง ๆ แล้วคือบอร์ดเกมยอดนิยม และถูกนำมาดัดแปลงเป็นวิดีโอเกมออกมาเรื่อย ๆ ส่วนซีรีส์ 40,000 นี้ ส่วนมากจะถูกดัดแปลงออกมาเป็นเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น Necromunda Hired Gun, Space Hulk เป็นต้นเรื่องราวของตัวละครที่เราจะสร้าง จะมีที่มาที่ไปต่างกัน ที่เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครแล้วว่าอยากให้ตัวละครของเราเกิดมามีปูมหลังยังไง และเป็นคนประเภทไหน ก่อนที่จะเริ่มเนื้อเรื่องหลักของเกมตามเหตุการณ์ที่เราเกริ่นไว้ข้างบนเกี่ยวกับดาว Atoma Prime เพียงแต่ด้วยรูปแบบการเล่นแบบ FPS Co-op แบบนี้ ทำให้มันเป็นข้อเสียในแง่ของการเล่าเรื่อง เพราะมันไม่สามารถเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรงแบบเกมอื่น ๆ ได้ ผู้เล่นอาจจะต้องปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง ซึ่งจากเดิมที่ใครงงเกี่ยวกับจักรวาล Warhammer อยู่แล้ว เจอการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบนี้เข้าไป อาจจะงงหนักกว่าเดิมก็เป็นได้เอาเป็นว่าในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ไม่ใช่ปัญหา แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวและโลกของ Warhammer หรือ Warhammer 40,000 ดีสักเท่าไร แต่เราก็สามารถที่จะสนุกไปกับตัวเกมได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้อินในส่วนของเนื้อเรื่องนัก แต่ที่บอกว่าไม่ใ่ชปัญหา เพราะเกมเพลย์และ Progression ของเกมนี้ก็ถือว่าสนุก เข้มข้นไม่แพ้เกม FPS Co-op เกมอื่น ๆ เลยด้วยอีกหนึ่งรสชาติความสนุกของเกมแนว FPS Co-op ภายใต้ฉากหลังของโลก Warhammerความโดดเด่นของ Darktide ที่แตกต่างไปจากเกมอื่น ๆ คือการหยิบยืมเอาฉากหลังและโลกภายในจักรวาลของ Warhammer 40,000 มานำเสนอ ในภาคนี้แม้จะมีกลิ่นอายแบบ Sci-Fi ผสมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ Sci-Fi ล้ำอนาคต แต่เป็นเหมือนกับยุค Dystopian มากกว่า ใครทไม่ค่อยชอบความมืด ความอึมครึม และบรรยากาศที่น่าอึดอัด อาจจะไม่ถูกจริตกับเกมนี้ เพราะหาสถานที่สว่าง ๆ สดใสแทบจะไม่ได้เลย หลากหลายฉากภายในเกมจะเป็นพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิดโล่งเพียงเล็กน้อย เอื้อต่อการทำภารกิจบางอย่างกับเราเพียงเท่านั้น การนำเสนอและโหมดการเล่นของเกมนี้จะคล้าย ๆ กับเกม FPS Co-op ทั่วไป คือเราจะหาห้องที่ผู้เล่นอื่นสร้างไว้ หรือเราจะสร้างขึ้นมาเองแล้วรอคนอื่นมา Join ก็ได้ ถ้าระหว่างนั้นไม่มีคนมา Join เล่นด้วย ก็จะเป็น Bot หรือ A.I. มาควบคุมแทน หรือถ้าใครหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมทีมไม่เป็นงาน จะล็อกเป็น Private Game ลุยไปกับบอทเฉย ๆ เลยก็ทำได้ บอทเกมนี้ถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ แล้วก็ถือว่ามีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์หนัก ๆ ก็อาจจะยังไม่ได้เรื่องได้ราวนัก แต่ถ้าเอาไว้เล่นฟาร์ม เก็บเลเวล หรือลุยเนื้อเรื่องคนเดียวก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่ดีกราฟิก อาจจะเป็นจุดที่หลายคนต้องมานั่งถกเถียงกันว่า สรุปแล้วมันสวยหรือไม่สวยกันแน่ ในช่วงของเกมเพลย์การเล่นนั้น ไม่มีปัญหา ตัวเกมแสดงให้เห็นว่าภาพของเกมยุคปัจจุบันนี้จะออกมาเป็นยังไง สวยงามสมยุคสมัยแน่นอน แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกแปลก ๆ คือเรื่องของฉากคัทซีต ที่มันมีการแสดงผล และมีความแปลกในส่วนของงานภาพ ที่ดูจะมีเส้นสีขาว ๆ เป็นเฉดหนาอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทีแรกก็นึกว่าบั๊กกราฟิก แต่ที่ไหนได้ มันเป็นแบบนี้ทั้งเกม และดูจากของผู้เล่นอื่น ก็เป็นเหมือนกัน สำหรับส่วนนี้เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล แต่สำหรับผู้เขียน รู้สึกว่ามันแปลกตาไปบ้างคอนเทนต์และเกมการเล่นตอนนี้ส่วนมากจะเป็นการตะลุยไปตามด่าน ทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นรับของรางวัล และอัปเกรดเลเวลตัวละครให้สูงขึ้น เพื่อปลดล็อคประสิทธิภาพและสกิลใหม่ ๆ ทำให้เกมการเล่นสะดวกขึ้น และกลับไปลุยด่านเดิม ๆ ซ้ำเพื่ออัปเกรดเป็นลูปวนไป ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้อยู่แล้ว ใครที่ชอบก็จะชอบไปเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบ เบื่อง่าย หรือไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ก็อาจจะไม่ชอบไปเลยเช่นกัน ซึ่งปกติแล้วเกมแนวนี้ หากเก็บ Progression ได้ตามที่ต้องการแล้ว ถ้าคอนเทนต์ช่วง Endgame ไม่น่าสนใจ หรือไม่น่าดึงดูดพอก็อาจจะรั้งผู้เล่นไว้ได้ยากสักหน่อย แต่สำหรับทีม Fatshark ผู้ดูแล Vermintide 2 มาอย่างยาวนานกว่า 4 ปีเต็ม ก็เชื่อมือได้เลยว่าพวกเขาน่าจะทำแบบเดียวกันกับ Darktide นี้ด้วยดุเดือด นัว ระทึก มันส์ทั้งยิง และสู้ประชิดสำหรับเกมเพลย์ของ Darktide ต้องบอกว่า ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้มันรู้สึกน่าเล่น ตื่นเต้น น่าเข้าไปลองเหมือนเกมอื่น ๆ เพราะหากคุณเป็นผู้เล่นเกม FPS Co-op มาแต่ไหนแต่ไร ผ่านเกมเด็ด ๆ มามากอย่าง Left 4 Dead, World War Z หรือแม้แต่ Back 4 Blood คุณก็น่าจะเข้าใจกฎกติการ และเกมการเล่นของเกมแนวนี้ดีอยู๋แล้ว หลัก ๆ คือจะเป็นการ Co-op ร่วมมือกันเอาตัวรอด ฝ่าด่านฝูงศัตรูที่เป็นพวก Undead และพวก Specialist สุดโหด ทำภารกิจและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ได้ เพื่อจบภารกิจและรับรางวัลสูงสุดสิ่งที่ต้องเรียนรู้กันก่อนคือเรื่องของคลาสตัวละครที่มีให้เลือกต่างกันถึง 4 คลาส และแต่ละคลาสก็จะเชี่ยวชาญความสามารถ และมีสกิลที่แตกต่างกันออกไป คลาสทั้งหมดแบ่งเป็น Psyker ที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้กับศัตรูประเภท Elite หรือ Specialist - Veteran ที่เชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล - Zealot เชี่ยวชาญการโจมตีประชิดและฟื้นฟูพลังชีวิต + สู้กับศัตรูประเภทเกราะได้ดี - Ogryn เชี่ยวชาญการต่อสู้ตะลุมบอน และเหมาะกับการรับมือ Horde หรือฝูงศัตรูจะเห็นได้ว่าทั้ง 4 คลาสเชี่ยวชาญการต่อสู้ในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ที่จริงแล้วทุกสถานการณ์ที่แต่ละคลาสเชี่ยวชาญนั้น มักจะเจอแบบทุกอย่างในเกมการเล่นรอบเดียว หรือหนักกว่านั้นคือ ทั้ง 4 สถานการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ความโกลาหล และความวุ่นวายนี้ เป็นบรรยากาศเดียวกันกับเกม FPS Co-op รุ่นพี่เกมอื่น ๆ แต่ก็ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้ามา ยกตัวอย่างเช่นในบางเงื่อนไข จะต้องใช้เครื่องมือกดตัวอักษรให้ถูก ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดัน ทั้งฝูงศัตรู ทั้งเพื่อนร่วมทีมที่อาจจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว บางอย่างของเกมนี้ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเองแบบนี้ความช่วยเหลือต่าง ๆ จะถูกวางไว้ระหว่างทางการเล่นของเกม และเกมนี้หากคุณเล่นคลาสที่ไม่ใช้อาวุธปืน มันจะกินกระสุนเยอะมาก เยอะเกินความจำเป็น อย่างเช่นตัวผู้เขียนที่เลือกเล่นคลาส Zealot ที่เน้นการโจมตีระยะประชิด อาวุธรองก็จะเป็นปืนกลเบา ที่มีความสามารถในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่า Veteran หากเจอศัตรูระดับ Elite การเข้าถึงตัวพวกมันก็จะเป็นเรื่องยาก ทำให้ Veteran โดดเด่นขึ้นมา หรือเมื่อเจอฝูง Horde ที่มากันแบบมืดฟ้ามัวดิน จึงเป็นหน่าที่ของ Ogryn ที่สามารถจัดการเวฟศัตรูได้รวดเร็ว Zealot เองอาจจะมีบทบาทในการล่อศัตรูเพราะพลังชีวิตเยอะ และเคลียร์ศัตรูได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นสูตรสำเร็จของเกม FPS Co-op ที่แต่ละตัวละครจะมีความสามารถที่ชัดเจน แต่อุปสรรคเองก็พร้อมจะสู้เรากลับเช่นกันระบบการบาดเจ็บของเกมนี้จะทำงานคล้าย ๆ กับ Back 4 Blood ตัวละครของผู้เล่นจะมีค่าพลังสองอย่าง อย่างแรกคือค่าเกราะ เมื่อเราถูกโจมตี ดาเมจจะไปลดตรงค่าเกราะก่อนเป็นอย่างแรก และค่าเกราะ หากไม่ถูกโจมตีสักระยะหนึ่ง มันจะรีเจ็นฟื้นขึ้นมาเองได้ จะมีความสามารถพิเศษของ Zealot ที่เวลาใช้การโจมตีประชิดสังหารศัตรูได้ จะช่วยฟื้นค่าเกราะให้ด้วย และหากเกราะหมด ความเสียหายก็จะไปหักลบพลังชีวิตแทน แต่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการโจมตีแบบพิเศษ จำพวกสารพิษ หรือการโจมตีหนักจากศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่จะไปลดพลังชีวิตสูงสุดของเราโดยตรง และถ้าพลังชีวิตสูงสุดของเราลดลงก็จะเป็นปัญหาทันที เพราะเราจะรับดาเมจได้น้อยลง วิธีเดียวที่จะฟื้นฟูพลังชีวิตสูงสุดของเราให้กลับคืนมาเต็มเหมือนเดิมได้ก็คือหาตู้ฟื้นพลังชีวิตที่อยู่ตามฉาก ซึ่งก็จะมีน้อยมาก และใน 1 ตู้จะใช้ได้ 4 ครั้ง เทียบเท่ากับจำนวนสมาชิกสูงสุดของทีม คล้าย ๆ Medical Cabinet ใน Back 4 Bloodในด้านความหลากหลายของศัตรู ก็ถือว่าเป็นการเอาของเก่าจากเกมอื่น ๆ มาต่อยอด ไม่ว่าจะเป็น Poxbuster ที่เหมือน Boomer ในเกมอื่น ๆ Pox Hound ที่จะทำให้เราล้มลงและตอบโต้อะไรไม่ได้ ต้องให้เพื่อนช่วยเท่านั้น ซึ่งตัวประเภท Pox Hound นั้น ยังมีอีกมากมาย เช่นศัตรูที่ใช้ตาข่ายไฟฟ้ารัดเราไว้ ต้องรอเพื่อนมาช่วยอย่างเดียว กล่าวคือเกมนี้ หัวใจสำคัญยังคงเป็นความพยายามในการผ่านด่านแบบร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดแน่ ๆ แม้จะดูว่ามันมักง่ายไปหน่อยที่เอาของจากเกมอื่นมาใส่เป็นของตัวเอง แต่ก็ถือว่ายังเป็นมาตรฐานเกมที่เล่นสนุกได้อยู่ดีเมื่อเล่นจบในแต่ละรอบ เราจะได้รับ EXP ที่เอามาอัปเลเวล การอัปเลเวลจะทำให้เราปลดล็อคสกิลและความสามารถต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และสุ่มได้รับอาวุธอุปกรณ์ใหม่ ๆ มา เราสามารถเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ในตัวได้ว่าชิ้นไหนดีกว่า แม้บางชิ้นจะมีค่าพลังที่สูงกว่า แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ดังนั้นก่อนเปลี่ยนอุปกรณ์ต้องศึกษาดูให้ดี อย่ามองแค่ว่าตัวเลขพลังเยอะแล้วจะดีกว่า นอกจากนั้นเมื่อเลเวลเราสูงขึ้น จะปลดล็อคระบบต่าง ๆ ภายใน HUB หรือศูนย์กลางของผู้เล่น ที่จะมีการนำเอาอาวุธเก่าไปแลกเปลี่ยนเป็นของใหม่ หรือใช้เงินซื้อของดี ๆ มาใช้โดยตรงได้เลยด้วยข้อเสียของเกมนี้ที่ผู้เขียนสัมผัสได้คือ การใช้เวลาในการเคลียร์ฉากแต่ละฉากของเกมนี้จะนานกว่าเกมอื่น ๆ มาก อย่างต่ำเลยก็ 20 นาที ถ้ารอบไหนตึงมือ หรือเจอคนเล่นไม่เป็นงานก็อาจจะอยู่ที่ 30 นาทีขึ้นไปด้วยซ้ำ ยังไม่รวมมหากาพย์ระหว่างทาง ที่อาจจะเจอวิบากกรรมในการเล่นตลอดเวลา แต่อย่างน้อย หากมีผู้เล่นหลุดระหว่างเกมการเล่น เราสามารถที่จะ Reconnect กลับเข้ามาในเกมได้ตลอดเวลา แต่กับเกมแนว FPS Co-op ด้วยกันแล้ว เกมนี้ถือว่าใช้เวลาในการเล่นนานกว่ามากการ์ดจออาจไม่ต้องสุด แต่ CPU คุณต้องแรงพอส่งท้ายกันด้วยเรื่องประสิทธิภาพของตัวเกมกันหน่อย เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เตือน ส่วนของการ์ดจอนั้น แม้ตัวเกมจะต้องการสูงถึง RTX 2060 แต่การ์ดต่ำกว่านั้นก็สามารถเล่นได้ แถมไม่ได้กินแรงการ์ดจอมากขนาดนั้นด้วย แต่ที่มันกินหนักจริง ๆ คือ CPU อาจจะเพราะจำนวนพวก Undead ที่ปรากฎตัวออกมาอย่างล้นหลามในฉากเดียว รวมไปถึงการต่อสู้กับบอสและฉากใหญ่ ๆ นั้น มีค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ฉากในเกมส่วนมากเป็นฉากปิด ไม่ใช่ Open World มันจึงไม่ได้กินแรงการ์ดจอเยอะ แต่กิน CPU มากเป็นพิเศษ ดังนั้นใครคิดจะเล่นเกมนี้ก็อยากให้เช็ค CPU มาเป็นอันดับแรก ส่วนการ์ดจอกลาง ๆ ยังไงก็ไหวแน่ ๆ และเป็นธรรมเนียมของเกมยุคสมัยใหม่ไปแล้ว ที่มักจะเกิดปัญหาตอนเกมเปิดตัวเสมอ Darktide นั้น เปิดให้เล่นกันมา 1 สัปดาห์ก่อนวันวางจำหน่ายจริง แต่ตัวเกมกลับมีปัญหาในด้าน Performance ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการเฟรมเรทดรอป หรือกระตุก และบั๊กการแสดงผลกราฟิกต่าง ๆ แม้จะไมไ่ด้เละมากจนเล่นไม่ได้ แต่ก็โดนแฟนเกมวิจารณ์กันพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับปัญหานี้สรุปว่า Warhammer 40,000: Darktide อาจไม่ใช่แนวเกมที่สดใหม่จนห้ามพลาด แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมแนว FPS Co-op ชอบบรรยากาศ กลิ่นอาย Dystopian ชอบบู๊แหลกไปกับคนอื่น ๆ มันก็ยังเป็นอีกเกมที่ถือว่าสนุก แต่อาจจะไม่น่าจดจำเท่าไรนัก และสำหรับสมาชิก Xbox Game Pass สามารถโหลดมาเล่นกันได้เลยด้วย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ
07 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Need for Speed Unbound ซีรีส์เกมซิ่งสุดเก๋า กับการยกเครื่องกราฟิกแนวการ์ตูนที่ไม่เหมือนใคร
ห่างหายไปนานถึง 3 ปีเต็ม สำหรับซีรีส์ Need for Speed เพราะถูกดึงทรัพยากรไปช่วยทำเกม Battlefield 2042 (ที่อาการสาหัสอยู่ในตอนนี้) และการกลับมาในรอบ 3 ปีที่มาพร้อมลุคใหม่ แนวทางใหม่ จะเป็นยังไง มาดูกันได้ในรีวิว Need for Speed Unboundเนื้อเรื่องที่สนใจก็ได้ ไม่สนใจก็ได้ ตามสูตรเดิมLakeshore เมืองสมมุติที่อ้างอิงและจำลองมาเมืองชิคาโกของสหรัฐอเมริกา กลายเป็นฉากหลังของเหล่านักซิ่งและกลายเป็นสนามประลองของเหล่าตีนผีที่พร้อมจะปั่นป่วนถนนให้ลุกเป็นไฟทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในนักซิ่งโนเนมที่มีเป้าหมายในการไต่เต้าขึ้นเป็นยอดนักขับที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยในเวลาเดียวกัน การตระเวณแข่งรถ เพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดจึงเริ่มต้นขึ้น ณ เมือง Lakeshore แห่งนี้แต่เดิมนั้น Need for Speed ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากในด้านการเล่าเรื่องอยู่แล้ว ในภาคนี้เองก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคนี้ที่เราไม่ได้ออกแบบตัวละครเองได้อย่างอิสระ แต่มี Preset ตัวละครที่หลากหลายมาให้เราเลือกใช้งานแทน และอย่าแปลกใจถ้าเกิดว่าคุณลุยเล่นเกมนี้จนจบแล้ว ก็ยังจับต้นชนปลายหรือจำหน้า หรือตัวละครบางตัวไม่ได้เลย เพราะเกมนี้มีคัทซีนให้ได้ดูกันน้อยมาก ๆ ตลอดทั้งเกม รวมกันแล้วอาจจะมีอยู่เพียง 20-30 นาทีเท่านั้น และด้วยการนำเสนอกราฟิกแบบใหม่ ที่เป็นการนำเสนอกึ่งการ์ตูน กึ่งสมจริง (Official เรียกว่าการนำเสนอแบบกราฟิตี้) ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครแต่ละตัว หรือแม้กระทั่งตัวเราเองนั้น ไม่น่าจดจำเอาซะเลย ดังนั้นอย่าแปลกใจว่า ทำไมเนื้อเรื่องมันดูไม่ค่อยมีอะไร หรือธรรมดาไปเสียหน่อย เพราะหากวัดกันแค่เนื้อเรื่องแล้วล่ะก็ Need for Speed Unbound ก็อาจจะเป็นบทหรือพล็อตสำเร็จรูปที่ไม่ได้หวือหวาอะไร แม้ว่าหลายคนจะอยากให้เนื้อเรื่องของเกมนี้เข้มข้น และระทึกขึ้นมาบ้าง แต่หากเป็นแบบนั้น เราอาจจะได้เนื้อหาแบบภาค The Run แทน ซึ่งก็ไม่อาจจะการันตีใด ๆ ได้ว่ามันจะออกมาดีทำให้เนื้อเรื่อง แม้จะเป็นอีกครั้งที่ Need for Speed ทำได้ธรรมดามาก ๆ แต่ไปโดดเด่นอย่างมากในแง่ของการนำเสนอและเกมเพลย์แทนที่เรากำลังจะพูดถึงต่อจากนี้การนำเสนอที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ต่อยอดของเดิมที่มีอยู่สิ่งที่ Need for Speed โดดเด่นมาทุกภาค คือเรื่องของการนำเสนอที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมาทุกภาค แม้บางภาคจะจืดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าทุกภาคล้วนน่าสนใจ และมีจุดขายและจุดจดจำประจำภาค นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ภาคนี้ฉีกแนวไปแบบสุดทาง และเมื่อตอนเปิดตัวอาจจะทำให้ใครหลายคนถึงขั้นไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ ก็คือการนำเสนอในรูปแบบกึ่งการ์ตูนกึ่งสมจริง หรือแบบกราฟิตี้ ที่ทำให้ตัวเกมมีความเป็นการ์ตูนที่มีเส้นหนารอบ ๆ หรือ Cell Shade แต่ถึงจะเป็นการนำเสนอแบบกราฟิตี้ก็ใช่ว่าจะตัดความสมจริงไปเลย เพราะกราฟิกที่นำเสนอแบบกราฟิตี้นั้น จะถูกใช้กับส่วนของตัวละครและคาแรคเตอร์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่โมเดลรถและบรรยากาศภายในเมือง รวมไปถึงวัตถุต่าง ๆ จะยังคงเป็นแบบสมจริงอยู่ เรียกได้ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างคนชอบกราฟิกแบบสมจริงและกราฟิกแบบการ์ตูนและสิ่งที่ผู้เล่นเลือกที่จะปรับเปิด-ปิดได้ตามใจชอบ คือกราฟิกแบบกราฟิตี้ แต่ถูกแสดงออกมาผ่านการแข่งขัน เป็นเอฟเฟคท์ของรถ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโค้ง การดริฟท์ การกดไนตรัส หรือแม้กระทั่งการทะยานไปบนอากาศแล้วร่วงลงมา ก็จะมีกราฟิกแบบกราฟิตี้ต่าง ๆ แน่นอนว่าระบบนี้ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากในซีรีส์ Need For Speed แต่เราเห็นได้ชัดเจนนับตั้งแต่การเปิดตัวเลยว่า มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ซึ่งโชคดีมากที่ตัวเกมสามารถเลือกที่จะ เปิด-ปิด กราฟิกเหล่านี้ได้ และสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กราฟิกเลยก็คือเรื่องของเพลง โดยในภาคนี้ได้ A$AP Rocky มาร่วมทำเพลงให้ แถมยังเป็นตัวละครอยู่ในเกมด้วย รวมไปถึงแรปเปอร์และศิลปินชื่อดังอีกมากมาย แฟนเกมที่เป็นแฟนเพลงสายแร็พอยู่แล้ว น่าจะจุใจกับเกมนี้แน่นอน ทีนี้มาดูเรื่องบรรยากาศภายในเมืองกันบ้าง อย่างที่บอกไปว่า ภาคนี้ Lakeshore คือเมืองที่จำลองมาจากชิคาโก เรื่องของความหรูหราอลังการของบรรยากาศในเมืองภาคนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นสองรองเกมไหน ๆ และที่หลายคนบ่นอุบมาหลายภาค ว่าตัวเมืองดูไม่ค่อยจะมีชีวิตชีวาเอาซะเลย ภาคนี้ก็ถือว่าปรับปรุงมาได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สุดอยู่ดี จริงอยู่ว่า เราได้เห็นเมือง Lakeshore ที่มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เราได้เห็นผู้คนสัญจรไปมาในตัวเมืองมากขึ้น แต่มันก็ยังไม่ได้สมจริงสมจัง หรือกลายเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามากขนาดนั้น บางจุดที่ควรจะมีคนก็แห้งแล้ง ไร้ซึ่งบรรยากาศหรือสัญญาณของชีวิต ในขณะที่บางจุดดูไม่น่าจะมีคนก็มีคนขึ้นมาซะเฉย ๆ และโชคดีที่เกมนี้ไม่ได้โหดร้ายอะไรมากขนาดนั้น เพราะทุกครั้งที่รถผู้เล่นโฉบเข้าไปใกล้ หรือทำท่าจะชน ตัวละคร NPC ที่เป็นชาวเมืองเหล่านั้นก็จะกระโดดหลบได้ราวกับพระเอก นางเอกหนังบู๊ ไม่มีการชนกันจนถึงเลือดตกยางออกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่ารำคาญใจแทน คือเรื่องของอัตราการเกิดของจำนวนคน ที่บางทีก็เกิดผิดที่ผิดทาง ทำให้บรรยากาศและอารมณ์ร่วมขาดหายไปพอสมควรเลยทีเดียวไม่ใช่แค่ในส่วนของผู้คนเท่านั้น แต่เหล่ารถราในเมืองที่เป็น NPC เองก็ด้วย บางช่วงก็ดูหนาแน่น จนทำให้การขับขี่ของเราลำบาก แต่บางช่วงก็โล่งอย่างกับเมืองผีสิง หรือบางทีก็มันเกิดเยอะ ๆ ตอนเรากำลังทำภารกิจแข่งขันอยู่ บอกได้ว่าการ Spawn ของ A.I. เกมนี้ มันไม่แน่นอนเอาซะเลย ถ้าตรงนี้ถูกปรับปรุงแก้ไข หรือขัดเกลามาดีกว่านี้ การนำเสนอของภาคนี้จะเข้าขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว น่าเสียดายที่หากจะต้องรีวิวแบบตัดคะแนน ตรงนี้จะเป็นส่วนที่โดนตัดไปและด้วยบรรยากาศตัวเมืองยุคปัจจุบัน กับการเลือกใส่กราฟิกแบบลูกเล่นแบบกราฟิตี้ Need for Speed Unbound จึงกลายเป็นอีกเกมที่มีเอกลักษณ์ในด้าน Presentation สูงมาก ทีนี้ก็อยู่ที่จริตของผู้เล่น ว่าจะชอบ หรือไม่ชอบ เพราะแม้จะตั้งค่าเปิด-ปิด ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง หรือทุกส่วนอยู่ดีเกมเพลย์ที่ถูกปรับปรุงให้เล่นได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แฟนเกมขับรถก็สนุกได้ต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนอาจไม่ใช่แฟนตัวยงของ Need for Speed สักเท่าไรนัก ภาค Heat ก็ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น แต่ในภาค Unbound นี้ กลับกลายเป็นภาคที่สามารถนั่งเล่นได้ยาว ๆ แบบไม่มีเบื่อ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นผลมาจากการนำเสนอของภาคนี้ด้วยในระดับหนึ่ง (ใช่แล้ว ผมชอบกราฟิตี้) แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้สนุกขึ้น เหมือนจะเป็นการปรับปรุงระบบบางอย่างให้อยู่ตรงกลางระหว่างคนเล่นเก่าและใหม่ในภาค Heat นั้น สิ่งที่คนพูดถึงกันมากพอสมควร คือเรื่องความโหดของพวกตำรวจที่ไล่ล่าผู้เล่นชนิดกัดไม่ปล่อย กว่าจะสลัดหลุดได้ ทำเอาเหนื่อยจนอยากเลิกเล่นไปทำอย่างอื่น แต่พอมากภาคนี้ ตำรวจก็โดนเนิร์ฟลงไปมากพอสมควรเลยทีเดียว เอาแค่ช่วงแรก ขับหนีแปปเดียวก็สลัดหลุดได้ง่าย ๆ แล้ว ใครที่เกลียดตำรวจโหดภาคที่แล้ว มาภาคนี้รับรองว่าง่ายสมใจ แต่อาจจะหงุดหงิดเพราะมันง่ายเกินไปด้วยก็มีแน่ ๆเกมเพลย์ของ Need For Speed จะเป็นอะไรไปอีกได้ นอกจากการแข่งรถ และขับรถไปทั่วเมือง ในเกมนี้จะมีการแบ่งเวลาเป็นทั้งกลางวัน และกลางคืน แต่ละช่วงเวลาจะมีอีเวนท์ต่าง ๆ เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน เอาที่โดดเด่นและเด่นชัดมากคือช่วงเวลากลางคืนนั้น จะมีตำรวจออกมาเพ่นพ่านคอยไล่ล่าผู้เล่นมากกว่าปกติ ส่วนเวลากลางวันนั้นก็มีบ้าง และบรรยากาศของทั้งสองช่วงเวลาจะแตกต่างกันด้วย สำหรับการแข่งขันในภาคนี้ จะมีการวางเงินเดิมพัน และหากแพ้ก็อาจจะเสียเงินเดิมพันไปด้วย แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้น เพราะรายการไหนที่ใช้เงินเดิมพันสูง จะมีการเตือนก่อน และถ้าเงินเราไม่พอจะวางเดิมพันก็ลงแข่งไม่ได้ด้วย อย่าหวังจะกินเงินก้อนใหญ่ฟรี ๆ ในระหว่างการแข่งเอง เราก็สามารถสะสมไนตรัสเอาไว้เร่งความเร็วได้จากหลากหลายวิธี แน่นอนว่ายังคงเป็นวิธีเสี่ยงอันตรายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขับรถสวนเลน การดราฟท์หรือการจ่อท้ายรถคันอื่นไปเรื่อย ๆ หรือแม้กระทั่งการดริฟท์ต่าง ๆ และการเล่นท่ายากระหว่างการแข่งขันจะเป็นตัวช่วยเติมไนตรัสของเราทั้งสิ้น โหมดการแข่งขันต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม บางโหมดก็อาจจะต้องพึ่งสไตล์รถที่ต่างกัน เน้นดริฟท์ เน้นทางตรง เน้นการเข้าโค้ง ซึ่งผู้เล่นแต่ละคนก็อาจจะต้องเลือกรถแต่ละคันมาใช้งานเอาเองว่าคันไหนที่เหมาะกับการแข่งแต่ละรอบหากแข่งในเวลากลางวัน จบแล้วอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่หากแข่งจบในเวลากลางคืน เราอาจจะต้องซิ่งกันต่อก๊อกที่ 2 เพราะตำรวจจะเริ่มไล่ล่าเราต่อทันทีหลังการแข่งขันจบลง แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ด้านบน ตำรวจภาคนี้มันดูไม่ค่อยจะโหดสักเท่าไร เว้นแต่คุณปรับความยาก ใครที่อยากโหด อยากมัน ก็อาจจะผิดหวังนิดหน่อย และเช่นเดิมกับภาค Heat เมื่อผ่านพ้นเวลากลางคืน และกลับไปที่โรงรถได้ เกมก็จะสรุปกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำในคืนนั้น คำนวณเงินและค่าประสบการณ์ให้ ซึ่งนำไปสู่ระบบต่อไปที่สำคัญสำหรับแฟนเกมนี้ คือเรื่องของการแต่งรถบอกเลยว่าใครที่เป็นเนิร์ดเกี่ยวกับรถยนต์ ชื่นชอบการแต่งรถ ภาคนี้ก็จะยังสนุกกับระบบนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะการแต่งรถภาคนี้ยังคงจัดหนัก จัดเต็ม และละเอียดมาก แต่งได้แทบจะทุกส่วนเลยก็ว่าได้ ฝากระโปรงหน้าหลัง สปอยเลอร์ หน้าต่าง กระจก ประตู ได้หมด และภาคนี้เป็นภาคแรกที่สามารถถอดกระจังหน้าได้ด้วย ใครอยากแต่งรถสายแปลก ๆ ให้มันออกมาหน้าตาประหลาด ๆ ก็ทำได้ หรืออยากแต่งรถโคตรหรู แต่เสียงแตรเป็นรถไอศกรีมกรุ๊งกริ๊งก็ทำได้เช่นกันและภาคนี้ยังมาพร้อมระบบสำหรับคนขี้เกียจแต่งจริง ๆ ด้วยการมาถึงของ Bodykit สำเร็จรูป ระบบนี้จะคล้าย ๆ กับ Blueprint หรือพิมพ์เขียวของรถคันนั้น เพียงจ่ายเงินซื้อมา และกดติดตั้ง รถของเราก็จะถูกปรับแต่งให้เป็นแบบที่เลือกไว้ ขจัดปัญหาขี้เกียจแต่งได้เป็นอย่างดี ส่วนการจูนรถ ปรับรถ ก็ไปทำกันต่อด้วยตัวเองได้เช่นกัน งานนี้เอาใจครบทั้งคนที่อยากแต่งเองอย่างเต็มที่ หรือขี้เกียจแต่ง อยากเล่นเฉย ๆ สำหรับข้อเสียของภาคน้ก็ต้องบอกว่ามีบ้าง แต่ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก เอาที่เด่นชัดที่สุดเลยคือ ความมืดของสนามแข่งในช่วงตอนกลางคืน หากเราไม่ปรับความาสว่างของหน้าจอ มันก็จะมืดมาก มืดจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า และหากเป็นการแข่ง Night Racing รับรองว่ามีแหกโค้ง ชนกันยับบ้างแน่นอน จนกว่าเราจะชินสนามไปเอง เราอาจจะปรับตั้งค่าตัวเกมเองได้ แต่ความเห็นส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่ามันก็ยังมืดเกินไปอยู่ดี ใครจะเล่นช่วงกลางคืนอาจจะต้องปรับแสงสว่างเพิ่่มขึ้นสักเล็กน้อยNeed For Speed Unbound เป็นการกลับมาในรอบ 3 ปีของซีรีส์ Need For Speed ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจ และเหมือนว่าทีมสร้างหาจุดลงตัวระหว่างคนเล่นเก่าและคนเล่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ทีนี้ก็ต้องวัดกันต่อในระยะยาวว่า คอนเทนต์ที่จะมาถึงในอนาคตนั้น จะมัดใจแฟนเกมนี้ไว้ได้นานแค่ไหน
06 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Marvel's Midnight Suns เกมการ์ดซุปเปอร์ฮีโร่ที่สนุกและชวนง่วงในเวลาเดียวกัน
เมื่อพูดถึงเกมที่สร้างโดยอิงจาก IP หรือแฟรนไชส์ชื่อดัง ๆ สิ่งหนึ่งที่แฟน ๆ ของแฟรนไชส์เหล่านี้คาดหวังจะได้เห็น คือการที่ทีมงานผู้รับผิดชอบโปรเจกต์มี 'แพชชัน' หรือใจรักให้กับแฟรนไชส์ที่พวกเขากำลังจะดัดแปลง ซึ่งก็ในทางทฤษฏีก็จะนำไปสู่ผลงานที่เคารพและเข้าใจความคาดหวังของแฟนแฟรนไชส์ เพราะพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มแฟนที่ว่านี้ซะเองเช่นเดียวกันแต่ในบางครั้ง การที่ผู้รับผิดชอบโปรเจกต์เหล่านี้เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ที่ตัวเองกำลังดัดแปลง ก็อาจจะส่งผลเสียต่อตัวเกมได้เช่นกัน ซึ่ง Marvel Midnight's Suns อาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้ที่ผู้เขียนได้พบมาในรอบหลายปีเลยทีเดียว โดยแม้ว่าเกมจะมีระบบเกมเพลย์สไตล์การ์ดเกมที่สนุกเพลิดเพลิน รวมถึงบทพูดและตัวละครที่มีเสน่ห์ แต่เกมเพลย์ฟาก Social Sim (จำลองการใช้ชีวิต) ของเกมกลับตกม้าตายอย่างน่าเสียดาย จากการที่เกมมีบทพูดและฉากสนทนาเยอะมากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อเล่นมุขหรือปล่อย Easter Egg เอาใจแฟน Marvel เท่านั้น จนรู้สึกว่าผู้พัฒนาอาจจะเขียนบทมันส์มือกันไปหน่อย และทำให้ประสบการณ์โดยรวมของเกมมีความไม่สม่ำเสมอเป็นอย่างมากหากคุณเป็นแฟนตัวยงของจักรวาลมาร์เวล โดยเฉพาะในส่วนของหนังสือการ์ตูน รับประกันว่า Marvel's Midnight Suns จะมีอะไรให้คุณได้ตื่นเต้นอมยิ้มเต็มอิ่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าคุณไม่ได้อินจักรวาลมาร์เวลระดับซุปเปอร์แฟน ที่สามารถนั่งอ่าน/ดู/ฟังบทสนทนาระหว่างตัวละครฮีโร่ชื่อดังเหล่านี้ได้เรื่อย ๆ เกมนี้ก็อาจจะมีอะไรให้รู้สึกติดขัดน่ารำคสญอยู่ไม่น้อยเช่นกันเนื้อเรื่องสูตรสำเร็จสไตล์มาร์เวล ให้คุณเสพจนลงแดงกันไปข้างเกม Marvel's Midnight Suns จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นฮีโร่ใหม่ที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งจะมีชื่อว่า 'The Hunter' นักรบลูกผสมระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ผู้ซึ่งถูกชุบชีวิตขึ้นมาจากการหลับไหลเพื่อต่อสู้กับ Lilith แม่มดร้ายผู้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาโดยองค์กรชั่ว Hydra เพื่อครองโลก โดยผู้เล่นจะได้ร่วมทีมกับเหล่าฮีโร่ชื่อดังจากจักรวาล Marvel มากกว่า 13 ชีวิตด้วยกัน ตั้งแต่ฮีโร่ชื่อดังที่ทุกคนรู้จักอย่าง Iron Man, Captain America, หรือ Wolverine ไปจนถึงฮีโร่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้จักนักอย่าง Magik, Blade, หรือ Nico Minoru เพื่อก่อตั้งกลุ่ม Midnight Suns นั่นเองแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกม Marvel's Midnight Suns จะดำเนินไปตามสูตรของหนัง/การ์ตูนฮีโร่แทบจะเป๊ะ ๆ จนรู้สึกว่าเดาทุกอย่างได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มเกม แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแย่ไปเลยเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับบทพูดของตัวละครฮีโร่ทั้งหลาย ที่เขียนมาได้ตลก คมคาย และแสดงออกถึงอุปนิสัยและเสน่ห์ของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างที่แฟนของจักรวาลมาร์เวลจริง ๆ เท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ซึ่งก็ทำให้บทสนทนาในหลาย ๆ ช่วงของเกมมีความน่าจดจำอยู่บ้าง เช่นการที่ Iron Man และ Doctor Strange เถียงกันเรื่องวิทยาศาสตร์และเวทมนต์ตลอดเวลา หรือการที่ Blade แอบชอบ Captain Marvel เป็นต้นแต่ปัญหาของเกมอาจไม่ใช่เรื่องของ 'คุณภาพ' ของเนื้อเรื่องหรือบทสนทนา แต่คือเรื่องของ 'ปริมาณ' มากกว่า ด้วยตัวละครมากกว่า 10 ตัวที่ผู้พัฒนาต้องพยายามพัฒนาให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันธ์ในระดับเท่า ๆ กัน ซึ่งก็ใช่ว่าจะทำออกมาได้ไม่ดี แต่ในหลาย ๆ จังหวะผู้เขียนก็พบว่าตัวเองต้องกลั้นใจไม่กดข้ามบทสนทนาอยู่บ่อยครั้ง เพราะอยากจะรีบ ๆ กลับไปเล่นเกมต่อซะที โดยผู้พัฒนา Firaxis Games ได้เคยเปิดเผยออกมาว่าเกมมีบทพูดมากถึง 65,000 ประโยค ซึ่งถ้าตัดออกไปได้ซักครึ่งหนึ่งอาจจะทำให้เกมรู้สึกลื่นไหลกว่านี้มากเอาเข้าจริง ผู้เขียนรู้สึกได้ถึงความ 'เยอะ' ของบทพูดในเกมตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งเกมด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเวลาอีกมากกว่า 30 ชั่วโมงที่เหลือที่ใช้ในการเล่นเนื้อเรื่อง (ใช้เวลารวมราว 50 ชั่วโมง) ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เขียนเปลี่ยนความรู้สึกไปในทางที่ดีขึ้นเลย นับเป็นเรื่องหายากเหมือนกันที่เกมซักเกมจะมีปัญหาเรื่องการพัฒนาตัวละครมากเกินไปจนเกินความจำเป็น แทนที่จะเป็นการพัฒนาไม่พอเหมือนในเกมหลาย ๆ เกมเกมเพลย์แนวการ์ดที่สนุกจนเสพติด!ในส่วนของเกมเพลย์ เกม Marvel’s Midnight Suns มีความใกล้เคียงกับเกมการ์ดหรือเกมพัซเซิ่ล มากกว่าเกม RPG แนววางแผนแบบที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญมาก ๆ ที่ผู้เล่นควรทำความเข้าใจซะก่อนที่จะกดซื้อเกมมาเล่น แต่จะเป็นข้อดีหรือข้อเสียก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นแต่ละคนชื่นชอบเกมแนวการ์ดแค่ไหน ระบบการ์ดของ Midnight Suns มีความลึกและสนุกกว่าที่คาดเอาไว้พอสมควรคนที่ชื่นชอบการเล่นเกมการ์ดหรือเกมวางแผนเข้มข้น ๆ น่าจะรู้สึกสนุกกับการเล่นเกมแนวนี้เป็นพิเศษ เพราะการต่อสู้แต่ละด่านมักให้ความรู้สึกเหมือนเกมพัซเซิ่ล ที่บังคับให้ผู้เล่นใช้การ์ดที่เล่นได้จำนวนจำกัดต่อตา ร่วมกับสภาพแวดล้อม เพื่อทำความเสียหายให้ได้มากที่สุด ชั่วโมงแรก ๆ ของเกมอาจรู้สึกจำกัดอยู่บ้าง จากการที่ผู้เล่นยังทำความเคยชินกับกฏกติกามากมายที่เชื่อมโยงกันไปมาตามฉบับของเกมการ์ด และจะเริ่มสนุกจริง ๆ ก็เมื่อผู้เล่นมีโอกาสสะสมการ์ดเพิ่มขึ้นมากพอจะจัดคอมโบของตัวเอง โดยในช่วงหลัง ๆ ผู้เขียนแทบจะสามารถกำจัดศัตรูได้ทั้งด่านในเทิร์นเดียวจากการผสมผสานคอมโบการ์ดของฮีโร่แต่ละตัวเข้าด้วยกันเลยทีเดียว แถมเกมยังมีระดับความยากให้ปรับได้ตลอดเวลาหลากหลายระดับ จึงไม่เคยรู้สึกว่าเกมง่ายเกินไปแม้จะมีคอมโบเด็ดแล้วก็ตามนอกจากนี้ จำนวนฮีโร่ที่มีให้เลือกถึง 13 ตัว ซึ่งล้วนมาพร้อมจุดเด่นและความถนัดของตัวเอง ทำให้ผู้เล่นมีพื้นที่ในการพลิกแพลงแผนการเล่นได้อย่างหลากหลายมาก ยกตัวอย่างเช่นตัวละคร Captain America ที่เป็นเหมืองตัวแทงค์ มีการ์ดที่ช่วยดึงดูดให้ศัตรูมาโจมตีตัวเองพร้อมกับช่วยเสริมการป้องกันของตัวเองไปด้วย หรือ Ghost Rider ที่มีความสามารถในการโจมตีรุนแรงที่สุดในหมู่ฮีโร่ทุกตัว แต่การโจมตีแต่ละครั้งต้องใช้ HP ของตัวเองเข้าแลกเป็นต้น โดยต้องชมผู้พัฒนาที่สามารถออกแบบฮีโร่ออกมาได้ค่อนข้างสมดุล ไม่ได้รู้สึกว่ามีฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่งที่เก่งหรืออ่อนกว่าคนอื่น ทำให้ผู้เล่นสามารถจัดทีมและการ์ดตามความชอบของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และทำให้เกมสามารถเล่นซ้ำได้หลายครั้งด้วยทีมหรือชุดการ์ดใหม่ ๆทั้งนี้ เกม Marvel's Midnight Suns ก็มีส่วนที่แอบรู้สึกจำกัดอยู่เหมือนกันเมื่อเทียบกับเกมวางแผนคล้าย ๆ กัน ซึ่งก็คือเรื่องของแผนที่ในเกม ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมโล่ง ๆ กว้าง ๆ เหมือนกันหมด จะแตกต่างก็เพียงตำแหน่งของสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่ในฉาก ที่เราสามารถใช้เพื่อโจมตีศัตรูได้ (เช่นปากล่องลังใส่ศัตรู หรือถีบศัตรูให้กระเด็นไปโดนถังแก๊ซระเบิด) ซึ่งส่งผลให้เกมขาดมิติในเรื่องของการเคลื่อนที่ รวมไปถึงรูปแบบของภารกิจที่แม้จะเป้าหมายแตกต่างกัน เช่นด่านหนึ่งอาจต้องแฮ๊คคอมพิวเตอร์สามเครื่อง ในขณะที่อีกด่านให้จับศัตรูมาสอบสวน แต่เมื่อเอาเข้าจริงกลับเล่นไม่ต่างกันเลย ยิ่งเล่นไปถึงช่วงท้าย ๆ ที่เริ่มจัดชุดการ์ดเป็นเรื่องเป็นราว ยิ่งแทบไม่ต้องสนใจภารกิจเลย เพราะสามารถจำกัดศัตรูแทบหมดด่านได้ตั้งแต่ตาแรกกราฟิกไม่ดี ใครว่าไม่มีผลต่อเกมเพลย์ในระหว่างการต่อสู้แต่ละด่าน ผู้เล่นจะถูกพาไปยังฐานทัพของกลุ่ม Midnight Suns ที่ชื่อว่า The Abbey ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่ให้ผู้เล่นเปิดหาการ์ดใหม่และจัดชุดการ์ดของฮีโร่แต่ละตัวแล้ว ผู้เล่นยังสามารถทำการค้นกว้า (Research) หลากหลายรูปแบบเพื่อรับทักษะแบบติดตัวได้หลากหลายชนิด เช่นการเพิ่มจำนวนไอเทมที่ใช้ได้ในแต่ละด่าน หรือเพิ่มปริมาณทรัพยากรณ์ที่ได้หลังผ่านด่านในเกมเป็นต้น ที่สำคัญคือผู้เล่นจะสามารถชวนฮีโร่ในทีมทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการเล่นไพ่ ดูหนัง กินเหล่า หรืออ่านหนังสือ เพื่อพัฒนาระดับ Friendship Level ระหว่าง The Hunter และฮีโร่นั้น ๆ ซึ่งก็จะปลดล๊อคทักษะติดตัวให้ฮีโร่แต่ละตัวนั่นเอง ซึ่งคนที่เคยเล่นเกมซีรีส์ XCOM ของผู้พัฒนา Firaxis Games น่าจะคุ้นเคยกับระบบตรงนี้ดีความแตกต่างสำคัญระหว่าง The Abbey และฐานทัพในเกม XCOM คือการที่ผู้เล่นจะสามารถสำรวจ The Abbey ได้อย่างอิสระในมุมมองบุคคลที่ 3 แทนที่จะเป็นเพียงการกดหน้าเมนูอย่างเดียวเหมือนใน XCOM ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน (ในฐานะคนที่เป็นแฟนเกม XCOM ด้วย) รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และทำให้เกมเพลย์ฝั่ง Abbey รู้สึกยุ่งยากและใช้เวลาเกินความจำเป็นไปหน่อย เพราะผู้เล่นต้องคอยวิ่งไปมาระหว่าง NPC หลายตัวซ้ำ ๆ ระหว่างการต่อสู้ทุกครั้งตลอดเกมเพื่อเปิดซองการ์ด อัปเกรดการ์ด ทำการค้นคว้าหลาย ๆ อย่าง เข้าฉาก Hangout กับฮีโร่ และอีกมากมาย แทนที่จะสามารถกดเลือกจากเมนูได้อย่างรวดเร็วจะได้รีบกลับเข้าฉากต่อสู้อันที่จริงผู้เขียนรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ฉาก The Abbey จำเป็นต้องเปิดให้สำรวจได้แบบ 3D เช่นนี้ เพราะทุกสิ่งที่สามารถทำได้ใน Abbey สามารถทำได้ง่ายกว่าจากหน้าเมนู โดยสิ่งเดียวที่ดูจะทำได้เฉพาะในระบบมุมมองบุคคลที่ 3 คือระบบการแก้พัซเซิ่ลและหาของสะสมจำนวนมากที่ซ่อนอยู่รอบ ๆ ฉาก The Abbey ที่จะปลดล๊อคเนื้อเรื่องเบื้องหลังตัวละคร The Hunter, The Caretaker, และ Lilith เท่านั้น (ทั้ง 3 เป็นตัวละครใหม่สำหรับเกม) ซึ่งผู้เขียนไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจเท่าไหร่ แถมพัซเซิ่ลที่ว่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบที่สามารถแก้ได้ในคลิ๊กเดียวด้วย ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันจึงรู้สึว่าฉาก The Abbey มีความยืดยาวเกินจำเป็นไปมาก อันเป็นเหตุจากการออกแบบของผู้พัฒนาเองการสำรวจฉาก Abbey อาจจะรู้สึกราบรื่นกว่านี้ ถ้ากราฟิกในเกมมีความสวยงามทันสมัยเหมือนเกม AAA หลายเกมในตลอด หรืออย่างน้อยก็มากพอจะทำให้ฉากรู้สึกสวยงามน่าประทับใจกว่านี้ แต่กราฟิกใน Midnight Suns กลับดูเหมือนหลุดมาจากปี 2014 มากกว่าเป็นเกมฟอร์มใหญ่ของปี 2022 ด้วยกราฟิกพื้นผิวและโมเดลตัวละครที่ออกจะหยาบ ๆ แข็ง ๆ อยู่ไม่น้อย แถมการออกแบบแผนที่ก็มักเป็นทางเดินแคบ ๆ อันว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้มองหรือทำเลย ซึ่งก็ทำให้ฉาก Abbey โดยรวมไม่น่าสนใจไปด้วย บอกตามตรงว่าถ้าเกมเพลย์ฝั่ง Abbey ถูกปรับให้กระชับกว่านี้ เกมคงได้คะแนนจากผู้เขียนไปมากกว่านี้พอสมควรหากคุณเป็นแฟนตัวยงของจักรวาลมาร์เวล หรือเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นการ์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ Marvel's Midnight Suns ถือเป็นเกมที่สร้างมาโดยคนแบบคุณ เพื่อคนแบบคุณเลย แต่สำหรับคนอื่น ๆ ก็อาจต้องลองถามใจตัวเองว่าเราชอบฮีโร่เหล่านี้แค่ไหน ชอบในระดับที่จะอดทนฟังพวกเขาร่ายยาวเกี่ยวกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ทีละ 5-10 นาทีได้ไหม ไม่อย่างงั้นคงได้กดข้ามฉากคัตซีนจนไม่รู้เรื่องแน่ ๆ
01 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Gungrave G.O.R.E. การกลับมาของซีรีส์เกมดัง ที่แทบไม่พัฒนาอะไรเลยจากยุค PS2?!
แม้ว่าเกมเมอร์รุ่นใหม่หลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่แท้จริงแล้ว Gungrave G.O.R.E นี้ ไม่ใช่เกมภาคแรก หรือ IP ใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเกมเก่าตั้งแต่สมัยยุค PlayStation 2 แล้ว แถมยังเป็นเกมที่มียักษ์ใหญ่ในวงการเกมอย่าง SEGA และ Sony ช่วยจัดจำหน่ายในโซนอเมริกาและเกาหลีอีกต่างหาก ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่เต็มไปด้วยอาชญากรและตัวยาลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ Seed และเล่าเรื่องราวของมือปืนลึกลับผู้ถูกชุบชีวิตขึ้นจากความตายชื่อ Grave ผู้ซึ่งออกเดินทางตามหา Harry Macdowell ชายลึกลับผู้ฆ่าเขา ตัวเกมต้นฉบับนั้นได้ Red Entertainment รับหน้าที่พัฒนา แต่ในภาค G.O.R.E. นี้ Iggymob สตูดิโอภายใต้การดูแลของ Red Entertainment รับหน้าที่ฟื้นฟูซีรีส์เกมนี้ขึ้นมาใหม่ เริ่มจาก Gungrave VR เมื่อปี 2017 และเปิดตัวภาคต่ออย่าง Gungrave G.O.R.E. (Gunslinger of REsurrection) กล่าวคือภาคนี้เป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการนั่นเองตอนแรกคิดว่าจะเป็นเกมแอ็คชั่นเข้ม ๆ มีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจและให้ทำ แต่พอได้ลองเล่นดูแล้ว นอกจากจะเซ็งเพราะมันธรรมดากว่าที่คิด ยังอาจจะต้องเปลี่ยนเมาส์ใหม่กันด้วย เหตุใดล่ะถึงเป็นแบบนั้น มาหาคำตอบกันใน Gungrave G.O.R.E ทำความรู้จักกับชื่อของ Gungraveสำหรับเรื่องราวในภาคนี้ ยังคงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ SEED ยาเสพติดที่รุนแรงถึงขั้นทำลายจิตวิญญาณ ตอนแรผู้คนต่างคิดว่ามันหายสาบสูญไปแล้ว แต่มันก็กลับมาอีกโดยไม่ทราบสาเหตุ Mika Asagi ได้ก่อตั้ง El-Alcangel องค์กรพิเศษที่เอาไว้ตามล่าเบาะแสเกี่ยวกับ SEED โดยเฉพาะ จนในที่สุดก็พบว่า Raven Clan ของ Ganpo Essex อยู่เบื้องหลัง งานนี้สงครามกวาดล้างยานรกจึงเปิดฉากขึ้นอีกครั้งแม้ว่าเนื้อเรื่องจะดูเยอะ ยิ่งใหญ่ราวกับหนังฟอร์มยักษ์ แต่น่าเสียดายที่ในภาคใหม่อย่าง Gungrave G.O.R.E นี้ ดันสอบตกในหลาย ๆ ด้าน และไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่ หรือบางทีผู้เล่นหน้าเก่ายังอาจจะงงซะเอง ว่าเหตุการณ์ภาคนี้มันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่ เพราะเนื้อหามันขาดช่วงและห่างจากภาคที่แล้วมานานเกินไป และตัวเกมเองก็ไม่ได้มีการ Recap หรือสรุปอะไรให้เราฟังก่อนเลย โครงเรื่องและเนื้อเรื่องของ Gungrave G.O.R.E. นั้น ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ตัวละครเอกที่พูดน้อย เน้นยิงก็ยิ่งทำให้เกมขาดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เอาเป็นว่าใครเห็นปกเกมเท่ ๆ คิดว่าจะได้เห็นเนื้อเรื่องคูล ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ คุณอาจจะผิดหวังกันตั้งแต่ส่วนของเนื้อเรื่องเลยก็ได้แม้ตัวเกมจะมาพร้อมความยาวที่เกิน 10 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ด้วยความที่มันไม่เป็นมิตรกับคนเล่นใหม่เลยแม้แต่น้อย รวมไปถึงเกมเพลย์ที่เรียกได้ว่า ห่างไกลจากคำว่าไม่ควรพลาด หากนำไปเทียบชั้นกับเกมอื่น ๆ ที่ออกมาในยุคหลัง ๆ นี้ จึงเป็นการยากจริง ๆ ที่เราจะแนะนำเกมนี้ให้ใครก็ตามได้ลองเล่นดู รวมไปถึงน่าจะสร้างฐานแฟน ๆ หน้าใหม่ได้ยากตามลีลามากมาย ความหมายเท่าเดิม ต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่ Gungrave G.O.R.E. ที่ใช้รูปแบบการเล่นแบบนี้ แต่ Gungrave ตั้งแต่สมัย PS2 ก็มีรูปแบบการเล่นแบบนี้มาแต่แรกแล้ว ผู้เขียนมองว่ามันคือเกมกึ่ง Rail Shooter สำหรับ Rail Shooter นั้น จะเป็นเกมที่ตัวละครจะเคลื่อนที่ไปเอง เรามีหน้าที่แค่ยิงโจมตี ส่วน Gungrave นั้นจะนำเสนอคล้ายกัน แต่ต่างกันตรงที่เราเดินได้ ควบคุมตัวละครหลักได้ และไม่ใช่แค่ยิงเท่านั้น ใน Gungrave ภาคใหม่นี้ ตัวละครเอกยังมีสกิลและความสามารถอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา รองรับฉากแอ็คชั่นและรูปแบบการต่อสู้ที่ค่อนข้างหลากหลายอยู่พอสมควรฉากหลังของ Gungrave G.O.R.E. จะเป็นโลกยุคอนาคตที่แม้จะออกแบบมาดี แต่ท้ายที่สุดมันกลับไม่ได้ถูกใช้งานให้เหมาะสมเท่าที่ควร เพราะการนำเสนอตัวเกมแบบเป็นเส้นตรงตลอดเกมการเล่น แถมการประเคนศัตรูออกมาแบบมืดฟ้ามัวดิน ก็อย่าหวังว่าเราจะได้พักหายใจหายคอในการไปกินลมชมวิว เสพบรรยากาศระหว่างฉาก แต่ถ้าว่ากันตรง ๆ มันก็ไม่มีอะไรให้เสพด้วยซ้ำไปแต่ที่ผู้เขียนคาใจไม่ใช่น้อย นั่นคือ Gameplay การเล่นของ Gungrave G.O.R.E. นั้น พยายามอย่างมากที่จะใส่ลีลาการต่อสู้อันหลากหลายของตัวเอกอย่าง Grave เข้ามา เราสามารถออกลีลาแอ็คชั่นได้เยอะสุด ๆ ใช้ปืนยิง กระโดดยิง ใช้โลงศพฟาดโจมตี ใช้ท่าไม้ตายแบบพิเศษ หรือแม้แต่การกระชากหรือเข้าหาตัวศัตรู และคอมโบสุดเท่อีกมากมาย แต่ศัตรูที่เกมนี้มีมาให้ มักจะเป็นเหมือนพวกลูกกระจ๊อกที่พร้อมเดินหน้ามาให้เราฆ่ายับ ๆ แถมยังรีไซเคิลกันแบบเห็น ๆ เช่นช่วงแรก เราอาจจะเจอศัตรูที่ใช้เครื่องยิงจรวด 1 ลูก แต่พอไปด่านหลัง ๆ มันก็ตัวเดิม แค่ใช้เครื่องยิงจรวด 4 ลูก ไม่ได้โหดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทำให้รูปแบบการโจมตีอันมากมายหลากหลายของ Grave นั้น แทบไม่มีความหมาย เรียกได้ว่าลีลามากมาย แต่ความหมายเท่าเดิมของจริง เพราะเอาจริง ๆ ผู้เล่นสามารถจบทั้งเกมได้ด้วยการคลิกเมาส์รัว ๆ และเดินแบบ W-A-S-D กับกด Spacebar เพื่อหลบได้แบบชิล ๆ ส่วนการต่อสู้กับศัตรูระดับ Boss ก็ใช่ว่าจะดีไปกว่ากัน นอกจากหลอดพลังชีวิตที่ยาวยืด กับไซส์ของมันที่ใหญ่ระดับมหึมา วิธีการกำจัดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสแปมคลิกเมาส์รัว ๆ คอยกำจัดลูกน้องที่มัน Spawn ออกมา ก็สามารถเอาชนะมันได้แล้ว คุณจะหาเกมไหนที่มันง่ายดายในการออกแบบไปมากกว่านี้อีกกัน !?แถมมันยังจืดชืดได้มากกว่านั้นอีก เมื่อภารกิจหลัก ๆ ในแต่ละ Chapter นั้น แทบไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งแบบเป็นเส้นตรง รวมไปถึงบทสนทนาที่สุดแสนจะน่ารำคาญ เกือบทั้งเกมคุณจะได้ยินเสียง Grave! Grave! นั้นนี่ จนหลอนดูไปหมด แถมพูดคำเดิมซ็ำ ๆ เหมือนก๊อปปี้แล้วตั้งเวลาให้มันพูดซ้ำเรื่อย ๆ ทีมพัฒนาเกมพยายามสร้างอะไรก็ตามที่มีความหลากหลายมากขึ้นโดยไม่ใช่แค่การฆ่าอย่างเดียว นั่นคือการเก็บเกจคอมโบ การรักษาเกจคอมโบไว้ได้นั้น บีบให้ผู้เล่นต้องฆ่าศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่พลาดถูกโจมตี หรือห้ามหลุดคอมโบ ตรงส่วนนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี และสนุกในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุด มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดการเล่นทั้งเกมกว่า 10 ชั่วโมง ก็ลองคิดดูว่า มันสนุกจริงหรือคุณจะชิงเบื่อมันไปซะก่อนจริงอยู่ว่าการดีไซน์ด่านต่าง ๆ ของเกมนี้ทำออกมาได้ดีมาก อย่างน้อยใแแง่ของการนำเสนองานศิลป์จากการออกแบบฉากต่าง ๆ แม้ว่ามันจะเป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรให้สำรวจ แต่นับตั้งแต่ย่านสลัม ท่อระบายน้ำ โรงงาน ไปจนถึงพวกเมืองหลวง ถือว่าเกมใส่ใจในการออกแบบมาก ๆ ปัญหาคือการออกแบบงานศิลป์ที่ดี แต่กลับติดขัดที่เกมเพลย์อย่างที่บอกไป เพราะมันมีแต่ภารกิจรูปแบบเดียว คือ A ไป B จบด้วยบทสนทนาที่วนไปวนมาอยู่กับคำเดิม ๆ ทำให้การดีไซน์ตรงส่วนนี้ถูกเหมารวมว่าแย่ไปด้วย ที่หนักกว่านั้นคือ เกมนี้มันไม่มีอะไรให้เราทำเลย มีแค่ลุย กับฆ่าแหลกผ่านด่านให้มันจบ ๆ ไป ไม่มี Secret Item ให้เก็บ ไม่มี Objective อะไรให้ทำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากเดินหน้าลุยไปให้สุดทางพร้อมกับ Waypoint นำทางที่ชดเจนและคำเตือนสำหรับคนที่หงุดหงิดหัวร้อนง่าย หากคุณอยากจะเล่นเกมนี้แบบชิล ๆ ไถเอาจบ หรือลองเล่นขำ ๆ บอกเลยว่าโหมด Easy หรือง่ายสุดคือทางออก เพราะในช่วงแรก เกมจะยังไม่มอบสกิลหรือความสามารถใด ๆ มาให้คุณ ทำให้เกมยากขึ้นโดยไม่จำเป็น บางฉากมันส่งศัตรูเข้ามามากเกินไป มากเกินกว่าที่เราจะเคลียร์ได้ไหว สำหรับผู้เล่นบางคน อาจจะรู้สึกเซ็งไม่น้อย ที่การเล่นเกมแล้วต้องดรอปความยากลง ไม่ใช่เพราะฝีมือไม่ถึง แต่เพราะดีไซน์เกมที่มันขาดความสมดุลอย่างหนักจริง ๆ โชคดีที่ในด้านของ Performance นั้น ตัวเกมถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่.. จะว่าดีก็ได้ไม่เต็มปาก เพราะดูจากคุณภาพกราฟิก หรือรูปแบบเล่นของตัวเกม ก็สมควรแล้วที่มันควรจะไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะบางฉาก บางช่วง ก็เห็นกันจะ ๆ เลยว่ากราฟิกมันหยาบกระด้าง เหมือนงานเผาอย่างไรอย่างนั้นแม้จะเป็นการกลับมาในรอบหลายปี แต่สำหรับ Gungrave G.O.R.E. นั้น บอกได้แค่ว่ามันเป็นการกลับมาที่เพียงแค่ทำให้แฟนเกมเดิม ๆ หายคิดถึง หรืออาจจะผิดหวังด้วยซ้ำที่ซีรีส์มันไม่ได้ก้าวน่าไปไหนเลย รวมไปถึงแฟนเกมหน้าใหม่ก็คงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ในเมื่อมีเกมอื่น ๆ ที่ดีกว่าให้ได้เล่นกันอยู่แล้ว สำหรับเกมนี้ก็มีให้บริการกันบนระบบ Xbox Game Pass / PC Game Pass ใครที่ไม่อยากเสียเงินเต็มก้อนเล่น ก็สามารถไปดาวน์โหลดมาเล่นกันได้วันนี้
30 Nov 2022
[Review] รีวิว Land of the Vikings เกมสร้างเมืองภาพสวย สไตล์ไวกิ้ง
หลังจากที่ผู้เขียนห่างหายไปนานเนื่องจากช่วงนี้อดตาหลับขับตานอนตรากตรำทำงานทั้งงานราษฎร์ งานหลวง จนไม่มีเวลาได้เปิดเกมเล่น วันนี้ผมเครียร์งานหมดแล้วครับทุกคน เล็ง ๆ เกมใน Steam เอาไว้อยู่นาน นั่นก็คือ Land of the Vikings ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้เล่นมันสักที (ฮั่นแหนะ ทุกคนผู้เขียนเล่นเกมเกี่ยวกับไวกิ้งนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคิดกัน ไวกิ้งนะครับ โนกิ้งอื่น สวงสวิง อะไรไม่ใช่นะครับ ฮ่า ๆ)Land of the Vikings วางจำหน่ายบน Steam เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2022 ในแบบ Early Access และติดเทรนด์บน Steam ในช่วงเวลานั้นด้วย ผู้เขียนอยากเล่นมาก ๆ และในที่สุดก็มีเวลาได้มาเล่นมันสักทีครับ ใครที่กำลังหาเกมสร้างเมืองใหม่ ๆ เล่นอยู่ มาอ่านรีวิวในบทความนี้ท่องโลกไวกิ้งไปกับผมก่อนได้เลยจงลืมภาพจำไวกิ้งที่เคยมีมา ลบมันออกจากหัวไปให้หมดเมื่อมาเล่นเกมนี้ชนเผ่าไวกิ้งในเกมนี้นั้นอาจจะดูไม่ได้ดุดันเหมือนในภาพจำของเราเท่าไหร่นัก ไม่ได้โหดร้ายป่าเถื่อนถือขวานปล้นฆ่า ขับเรือไล่ล่าอาณานิคมแบบโคตรพี่เบิ้มตามในภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่พวกเราเคยดูมา เกมนี้เราแค่เป็นชนเผ่าที่มีชื่อว่าไวกิ้งลงหลักปักฐานเพื่อสร้างเมืองอย่างสงบเมื่อเข้าเกมมาจะไม่มีโหมดให้เราเลือกครับ แต่มีแผนที่ให้เราได้เลือกเล่นแบ่งตามระดับความยากง่ายด้วยความใหญ่ของแผนที่ (ความยากง่ายของการหาทรัพยากร) เราสามารถสร้างสัญลักษณ์ และตั้งชื่อหมู่บ้านได้ตั้งแต่เริ่มเกม แต่อย่าคาดหวังนะครับเพราะมันไม่ได้มีให้เราเลือกมากนัก ฮ่า ๆ มีเควสให้เราได้ทำว่าควรสร้างอะไรสิ่งไหนก่อน เป็นกึ่ง ๆ Toturial ที่จะคอยสอนการเล่นเกมให้เราไปในตัวด้วยครับการสั่ง Ai ให้ไปหาทรัพยากรต่าง ๆ ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากระบบต่าง ๆ ในการหาทรัพยากรของเกมนี้ ดูออกแบบมาให้ง่ายต่อผู้เล่นเกมครับ เหมือนเอาข้อดีของเกมอื่น ๆ ที่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์มาดัดแปลงใส่ในเกมตัวเองให้ใช้งานง่ายขึ้น (ไม่ใช่ว่าเกมอื่น ๆ ยากหรือไม่ดีนะครับ แต่บางเกมมีคีย์ลัดในการลากคลุมบริเวณพื้นที่อาจจะค่อนข้างทำให้เราวุ่นวาย) เกมนี้เราแค่กดปุ่มตามอุปกรณ์ที่เราต้องการแล้วก็ลากคลุมพื้นที่ในบริเวณที่เราต้องการให้ชาวบ้านในหมู่บ้านไวกิ้งของเราไปหาทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น ตัดไม้, ขุดหิน, หรือแม้แต่การหาของป่า เป็นต้น คลุมพื้นที่ปุ๊บจะมีสัญลักษณ์ขึ้นแจ้งให้เราทราบทันทีทันใดว่าระบบได้ทำการมาร์กพื้นที่บริเวณนี้ไว้แล้ว ชาวบ้านจะเดินฉึบฉับ ๆ มาช่วยกันขนทรัพยากรกลับไปครับมีระบบอัพเกรดเหมือนเกมอื่น ๆ เลยไม่ได้ทำให้ประหลาดใจในส่วนนี้มากนักจากที่เล่นมานั้นผู้เขียนคิดว่า Dev ค่อนข้างเน้นกับสิ่งนี้อยู่เหมือนกันครับ จากรูปแบบ Skill Tree ที่ทำเป็นรูปต้นไม้เป็นเงาอยู่ด้านหลัง เมื่อเราเล่นเกมไปเรื่อย ๆ จะได้แต้มมาอัพในส่วนนี้ครับ อัพเพื่อปลดล็อค Decorate (ของตกแต่งต่าง ๆ) หรืออัพทักษะให้ชาวบ้าน เช่น ความสุขเพิ่มขึ้น 1% ความรวดเร็วเพิ่มขึ้น 1% เป็นต้นครับ ไม่อัพก็ได้ครับแต่จะไปไหนต่อไม่ได้เลยเพราะไม่ผ่านเควส ฮ่า ๆ ๆคอมต้องแรงระดับหนึ่ง ถ้าไม่อยากรอโหลดนาน ๆ ดับฝันคอมคุณปู่อย่างไม่ใยดีเกมนี้เป็นเกม 3D จำลองสถานการณ์อาณานิคม ที่มีมุมมองจากด้านบนลงมาครับ ซึ่งยังเป็นตัวเกมแบบ Early Access อยู่ครับ ถึงแม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้รีเควสความต้องการของระบบที่สูงอะไร แต่ Frame Rate ค่อนข้างตกบ่อยมาก ๆ สำหรับคอมของผู้เขียน ช่วงโหลดเข้าเกมก็จะรอนานมาก ๆ ครับ ถึงแม้ว่าความต้องการของระบบจะผ่าน แต่ผมมองว่าถ้าใครไม่ชอบเล่นเกมที่กระตุกบ้างเป็นบางจังหวะ ผมแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปก่อน รอดูว่าผู้พัฒนาจะมีการแก้ไขอะไรในส่วนนี้ในอนาคตหรือไม่? แล้วถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจอีกทีก็ได้ครับระบบการควบคุมของเกมนี้ไม่ได้ใช้งานยากเลยครับ ถ้าใครเคยเล่นเกมแนว ๆ นี้มาแล้วแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย การ interact (ปฏิสัมพันธ์) กับสิ่งปลูกสร้าง หรือของตกแต่งต่าง ๆ หรือการลากคลุมก็ไม่ต้องจำคีย์ลัดให้วุ่นวายเลย เพราะมี Hint การใช้งานอยู่ขวามือบอกเราอยู่ตลอดครับ มีเควสเป็นกึ่ง ๆ Toturial คอยสอนเราเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเราจนเราชำนาญเลยครับ ฮ่า ๆUser interface ของเกมนี้เรียบง่ายครับ ใช้งานง่ายอีกด้วย ไม่ต้องกลัวลืมปุ่มต่าง ๆ เพราะตัวเกมจะมีข้อความคอยบอกเราตลอดว่าต้องกดปุ่มไหนยังไง หมุนมุมกล้องใช้ปุ่มไหน หลังจากที่เรากดเลือกกิจกรรมต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น เราต้องการสร้างสิ่งปลูกสร้างจะมีข้อความทางด้านขวามือแจ้งบอกเราเลยว่า Rotate ปุ่มไหน เป็นต้น สะดวกสบายจริงจริ๊งงงงงสรุปสำหรับตัวผู้เขียนยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่กับเกมนี้ครับ ไม่แตกต่างอะไรจากเกมอื่นมากนัก แต่ผมกลับชอบระบบต่าง ๆ ในการเล่นเกมไม่ว่าจะคีย์ลัดต่าง ๆ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายกับผู้เล่นอย่างเราจริง ๆ ครับ ถึงแม้จะไม่ใช่ไวกิ้งในภาพจำอย่างที่เราเคยเห็นมาในภาพยนต์ หรือตามหนังสือการ์ตูนต่าง ๆ เกมนี้มันคือการสร้างอาณานิคมแบบไวกิ้งซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างตามวัฒนธรรมในแบบสแกนดิเนเวียใครชอบเกมแนวนี้ ผมว่าเกมนี้ถึงแม้การเล่นภายในจะไม่ต่างจากเกมอื่นมากนัก และมีบัคให้ได้เห็นแบบละลานตาเพราะอยู่ในช่วง Early Access แต่ก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่น่าสะสมไว้ในคลังใช้เล่นแก้เบื่อฆ่าเวลาได้อยู่ครับ อาจจะไม่ได้ดีมากแต่มันก็ทดแทนด้วยระบบ User interface ที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นอย่างเราเราใช้งานได้ง่าย ก็ถือว่าทำให้การเล่นเกมไม่น่ารำคาญและไม่ต้องไปงมกับมันมากว่าปุ่มอยู่ไหนใช้งานยังไง และถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์ของเราจะผ่านความต้องการของระบบ นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะได้ Frame Rate ที่เราคาดหวังเอาไว้นะครับ ถ้าใครทนเล่นเกมที่จะมีการกระตุกอยู่เรื่อย ๆ และต้องรอโหลดที่นานกว่าปกติ ผมบอกเลยว่าเกมนี้จะไม่ใช่ไทป์ของเพื่อน ๆ แน่นอนใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ใน Steam ราคา 289 บาทเท่านั้นครับ ไม่แพงใช่ไหมล่ะครับ (ซึ่งผมก็มองว่ามันไม่ได้แพงเกินไป) ถึง User interface จะเรียบง่ายไปหน่อยแต่ก็ถือว่าสมราคาแหละครับ แต่ตอนนี้เป็นช่วงปลายปีมี Sale ใหญ่ ๆ ใน Steam เยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็น Black Friday Sale, Winter Sale ยาวกันไปถึง New Year Sale ถ้าอยากสะสมติดคลังไว้ผู้เขียนบอกเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาทองของคุณแล้วครับ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1981570/Land_of_the_Vikings/
26 Nov 2022
[Review] รีวิว Call of Duty: Warzone 2.0 & DMZ สองโหมดเล่นฟรี !! คุณภาพคับแก้วจาก Call of Duty
หลังจากปล่อยให้แฟนเกมทั่วโลกที่ยอมเสียเงินไปดุเดือดกันในโหมด Multiplayer กันมาแล้ว คราวนี้แฟนเกมสายฟรีก็ถึงเวลาจะได้สัมผัสกับซีรีส์เกมยิงแห่งปีอย่าง Call of Duty กันบ้างใน Modern Warfare II ฉบับเล่นฟรี ที่มีให้เล่นกันถึง 2 โหมดอย่าง DMZ และ Warzone 2.0 ที่เป็นการยกเครื่องใหม่จาก Warzone ภาคแรก แต่ทั้งสองโหมดนี้มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน เราเล่นมาแล้ว เราจะมาเล่าและรีวิวให้ได้ดูกันDMZ โหมดใหม่สดระทึกกับเกมการเล่นแบบ PvPvEเริ่มกันที่โหมดแรกที่มาในรูปแบบเล่นฟรีก่อนเลย คือโหมด DMZ หรือเรียกอย่างเป็นทางการได้ว่า Extraction Mode หากใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงพื้นที่ Dark Zone ในเกม The Division หรือเกมเพลย์การเล่นที่ "คล้าย" กันกับ Escape from Tarkov เป้าหมายของเกมนี้ไม่มีความตายตัวหรือแน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า อยากจะทำอะไรในโหมดนี้ แต่หลัก ๆ แล้ว จะมีภารกิจของ Faction ต่าง ๆ มาให้เราทำ และเราก็ต้องเข้าไปลูทของ หาของในฉาก จากนั้นพยายามหลบหนีออกมาจากแผนที่Loadout ในโหมดนี้จะถูกแบ่งแยกออกมาจากเกมหลักและ Warzone เพราะรปแบบการเล่นที่ต่างกัน จึงใช้ระบบที่ต่างกัน ในโหมดนี้ ผู้เล่นจะได้รับอาวุธประเภท Contraband Weapon หรืออาวุธเถื่อน ได้จากการเข้าไปหาตามฉากเท่านั้น อาวุธประเภทนี้หากพลาดท่าตายขึ้นมาในเกมรอบนั้นจะหายไปเลย ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ ต้องไปหาใหม่เท่านั้น และอีกประเภทคือ Insured Weapon หรืออาวุธมีประกัน อาวุธประเภทนี้ก็จะเหมือนกับอาวุธใน Loadout ของเราที่สามารถเอาเข้าไปใช้ได้ แต่ถ้าพลาดท่าตายขึ้นมา มันจะไม่หายไป แต่จะติดคูลดาวน์ใช้งานไม่ได้ไป 2 ชั่วโมงแทนสำหรับโหมดนี้จะรองรับผู้เล่นสูงสุด 3 คน แต่ใครคิดว่าแน่พอ สามารถไปลุยคนเดียวได้ ก่อนเริ่มเกมเราจะได้จัด Mission List ที่เราจะรับเข้าไปทำในเกม รวมไปถึงจัด Loadout สิ่งของที่เราจะพกเข้าไปได้ และเมื่อเข้าสู่เกมแล้ว ผู้เล่นอยากจะทำอะไร หรือเล่นแบบไหน ก็แล้วแต่ผู้เล่นจะกำหนดเองเลย สำหรับแผนที่ในเกมนี้ก็คือ Al-Mazrah เป็นแผนที่ที่เราได้เล่นกันในโหมด Multiplayer หรือ Warzone อยู่ดี แต่จะไม่มีวงบีบ แต่มีเวลามาจำกัดแทน เกมการเล่นแต่ละรอบจะมีเวลาอยู่ที่ 25 นาที และเมื่อเวลาหมด 25 นาทีแล้ว หมอกพิษหรือวงบีบจะค่อย ๆ หดตัวเข้ามาในแผนที่ ซึ่งจะมีเวลาให้เราหาทางหลบหนีได้อีก 8 นาที รวม ๆ แล้วเกมการเล่น 1 รอบ ถ้าผู้เล่นเล่นแบบจัดเต็มก็จะใช้เวลาประมาณ 25 นาที แต่ถ้าเอ้อระเหยลอยชาย ลืมดูเวลา ก็อาจจะกินเวลาเป็นครึ่งชั่วโมงอย่างที่บอกไปว่าเกมนี้ไม่มีการระบุชัดเจนว่าผู้เล่นต้องทำอะไร แต่สิ่งสำคัญคือการทำภารกิจ Faction ให้สำเร็จ เพราะภารกิจ Faction นั้น ให้รางวัลตอบแทนที่สูงมาก แต่ยิ่งทำไปไกลก็ยิ่งมีเงื่อนไขที่ยากขึ้น เช่นการบุกไปยังสถานที่เฉพาะ การค้นหาของและ Exfil หรือหลบหนีออกมาด้วย ผู้เล่นอาจจะเข้าไปเล่นโดยไม่ต้องวางแผนอะไรเลยก็ได้ แต่ถ้าคิดไว้ก่อนว่าจะทำอะไร จะดีกว่า เพราะแผนที่ภายในเกมนั้นใหญ่มาก หากเล่นโดยไม่วางแผนไว้ก่อน เราอาจจะไม่ค่อยได้อะไรกลับออกมาเลย นอกจากเงินเล็กน้อย และค่า EXP เท่านั้น แต่หากทำภารกิจ เรามีโอกาสได้ทั้งเงินและ EXP ที่สูงกว่า และอาจจะได้อาวุธ Contraband ใหม่ ๆ มาใช้  กรณีที่เราสามารถ Exfil หรือหลบหนีออกจากพื้นที่ได้ ไอเทมทั้งหมดที่ได้มา จะถูกเก็บไว้ใช้ในรอบต่อไป แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาของทั้งหมดไปใช้ เราอาจจะเลือกเก็บบางอย่างไว้ และเอาบางอย่างไปใช้ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเกมรอบนั้น ๆ และโหมดนี้คือโหมดที่ผู้เล่นจะได้เจอทั้งศัตรูที่เป็น A.I. และศัตรูที่เป็นผู้เล่นด้วยกัน มันคือแนว PvPvE นั่นเอง แต่สำหรับคนที่เคยเล่น DMZ มาแล้ว น่าจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ทำให้เกมนี้น่ากลัวอย่างมาก คือ A.I. เพราะ A.I. เกมนี้มีหลากหลายแบบ แต่ความแม่นยำในการยิงผู้เล่นอย่างเรา ๆ นั้น เข้าขั้น Aimbot กันเลยก็ว่าได้ บางครั้งหลบอยู่หลัง Cover มันก็ยังยิงทะลุมาได้อยู่ดี แถมพวก A.I. ในพื้นที่โหด ๆ อย่าง Stronghold นั้น ถึงขั้นใส่เกราะหนา ชนิดที่ว่า สไนเปอร์ยิงหัวนัดเดียวแล้วยังไม่ตาย ดังนั้นโหมด DMZ นี้ หากคิดจะเล่นคนเดียวก็ถือว่ายากพอสมควร เพราะบอทโหดไม่พอ เจอผู้เล่นด้วยกันเองก็ตึงไม่แพ้กันแต่หัวใจสำคัญและไอเทมที่โดดเด่นในโหมดนี้คือ Weapon Caseสีทองที่ถูกระบุชัดเจนอยู่ในพื้นที่ หากมีทีมผู้เล่นคนใดก็ตามไปเอามาได้ จะถูกหมายหัวให้ผู้เล่นทั้งหมดที่เหลืออยู่ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ เอาง่าย ๆคือเราจะตกเป็นเป้าล่าของคนทั้งเกมในรอบนั้น ๆ ดังนั้นใครที่คิดจะไปเก็บ Weapon Case ก็ต้องใจถึงพึ่งได้กันทั้งทีม เพื่อหลบหนีออกมา ของตอบแทนก็จะเป็นสกินแบบพิเศษที่เท่โดนใจ คุ้มกับความยากลำบากในการฝ่าไปเอามันมาแน่ ๆ นอกจากนั้นอีกอย่างที่สำคัญคือ Radiation Zone ที่ตอนนี้เป็นพื้นที่ยอดฮิตในการเข้าไปเก็บอาวุธปืน Assault Rifle ที่เพิ่งอัปเดตเข้ามาในเกมอย่าง M13B Assault Rifle ด้วยแต่สำหรับคนที่ไม่ชอบไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เอาแค่ภารกิจ Faction ที่เรารับมา การไปสู้กับบอท หาของไปขายในตอนจบ ก็ถือว่าเป็นโหมดที่สนุกและระทึกตื่นเต้นมาก ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า วินาทีที่เราพอใจกับรอบนั้นแล้ว และต้องไปยังจุดส่งตัว เพื่อหนีออกจากแผนที่ ในขณะเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ และรอลุ้นว่าจะโดนดักโจมตี หรือจ๊ะเอ๋กับผู้เล่นอื่นระหว่างรอหรือไม่ เมื่อผสมผสานกับเกมเพลย์อันดุเดือดของ Call of Duty คงบอกได้แค่ว่า Call of Duty นั้น ยืมจุดเด่นของเกมดัง ๆ และสไตล์เกมอื่น ๆ มาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างลงตัวจริง ๆ โหมด Warzone 2.0 เกือบเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือปรับหลายอย่างให้ดีขึ้นและสนุกขึ้นมาต่อกันอีกทีอีกโหมดที่ชาวเกมสายฟรีได้สัมผัสกันกับ Warzone 2.0 แน่นอนว่าชื่อของ Warzone นั้นอยู่คู่กับซีรีส์ Call of Duty มาได้กว่า 2 ปีแล้ว นับตั้งแต่ภาค Modern Warfare 2019 ลากยาวมาจนถึงภาค Vanguard ซึ่ง Warzone 2.0 นั้น จะแยกตัวออกมา และพ่วงกับตัวเกมภาค Modern Warfare II (2022) นี้แทนสำหรับโหมดนี้ ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เริ่มจากเรื่องของแผนที่ ยังคงเป็น Al-Mazrah เหมือนกับโหมด DMZ สำหรับแผนที่นี้ก็ถือว่าเป็นแผนที่ที่เล่นสนุกอยู่เหมือนกัน เพราะมีรูปแบบดีไซน์แผนที่ที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ตัวเมืองขนาดเล็ก ที่มีอาคารชั้นเดียว หรือตัวเมืองขนาดใหญ่ที่มีอาคารหลากหลายชั้น ทำให้เกมเพลย์การเล่นในรูปแบบ Battle Royale ของ Warzone 2.0 นั้น มีหลากหลายสถานการณ์ให้เราปะทะด้วยอย่างน่าตื่นเต้นอย่างแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยคือ เรื่องของ Loadout ที่เหมือนจะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นสายฟรี กับผู้เล่นที่มีเกมเต็ม เพราะคราวนี้ Loadout ที่แต่งมาอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมีวิธีในการเข้าถึงที่หลากหลายกว่า แต่ก็ยากกว่า อย่างภาคแรก ผู้เล่นสามารถกดซื้อได้จาก Buy Station ได้เลย แต่ภาคนี้ การซื้อจาก Buy Station จะได้เพียงอาวุธชิ้นแรกใน Loadout นั้นเท่านั้น การจะได้ Loadout แบบเต็ม ๆ ที่เราแต่งไว้ จะต้องไปวิ่งหาจาก Loadout Drop Incoming ที่เหมือนกับ Airdrop ในเกมอื่น ๆ และอีกวิธีคือการบุกตี Stronghold ที่เป็นฐานที่มั่นของพวก A.I. แต่ก็มีความเสี่ยงในการโดนผู้เล่นอื่นบุกมาตลบหลังอีกทีด้วยนอกจากนั้น Buy Station แต่ละจุดยังมีไอเทมที่มีความสำคัญขายอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่น UAV ที่เป็นไอเทมสแกนพื้นที่รอบ ๆ เพื่อเปิดเผยตำแหน่งของศัตรู หากตรงไหนมีคนซื้อไปแล้ว ก็จะไม่สามารถซื้อซ้ำอีกได้ ทำให้เราอาจจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ Landing ลงพื้นแล้วว่าจะลงตรงไหน เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ดีที่สุดให้กับเราหรือทีมอีกส่วนสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนเลยคือเรื่องของคุก Gulag จากที่เป็นการดวล Gunfight 1vs1 แต่ในภาคนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเป็นการจับคู่กับคนอื่นแบบ 2vs2 แทน ถ้าเกิดเรากับเพื่อนในทีมตายมาด้วยกันหรือพร้อมกันก็จะได้จับคู่กันแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่เราก็จะได้จับทีมกับผู้เล่นอื่นแบบสุ่ม และได้อาวุธแบบสุ่มมาใช้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นปืนพก จากนั้นการต่อสู้ก็จะเริ่มต้นขึ้น และหากภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งสองทีมยังไม่สามารถจัดการกันเองได้ ก็จะมี Jailer หรือผู้คุมคุกออกมา คราวนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะร่วมมือกับทีมศัตรู แล้วโค่นผู้คุมคุกและหนีออกไปด้วยกันทั้ง 4 คน หรือจะฆ่ากันให้ตายเหมือนเดิมแล้วออกมาทีมเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกทางเลือที่สนุกและสร้างสีสันให้ไม่น้อยนอกจากนั้น สิ่งที่ยังคงอยู่ แต่ถูกเพิ่มเข้ามา หรือปรับเปลี่ยนบาลานซ์ให้เหมาะสมขึ้น ก็คือเรื่องของ Contract Mission หรือภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเกม ในภาคนี้หากคิดจะหาเงินในเกมให้ได้เยอะขึ้น การทำภารกิจดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด จากในภาคที่แล้ว การหาเงินจะทำได้ง่าย ๆ โดยการเปิดกล่องลูทของตามฉาก แต่ภาคนี้ การได้เงินจะยากขึ้นมาก ทำให้การชุบเพื่อน การซื้อของชิ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลามากขึ้น แต่การทำพวก Contract Mission จะทำให้ได้เงินมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงกับการเจอผู้คนมากขึ้นด้วยสำหรับ Warzone 2.0 นั้น อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างจากภาคแรกมากนัก แต่เป็นการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ ส่วน ให้ดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีเกมเต็มกับเล่นฟรีในภาคแรก บอกได้เลยว่า Call of Duty: Modern Warfare II ปีนี้ จัดเต็มทั้งเกมหลัก และเกมแยกสำหรับคนเล่นฟรีจริง ๆ ใครกำลังมองหาเกมฟรีเล่นอยู่ บอกเลยว่า จัดเต็มสำหรับเกมนี้
24 Nov 2022
[Review] Pokémon Scarlet & Violet ก้าวแรกสู่ Open-World แท้ของซีรีส์โปเกม่อน ที่อาจไม่สวยงาม แต่ยังสนุกตามสูตร
และแล้ว เวลาที่เหล่าโปเกม่อนเทรนเนอร์ทั้งหลายรอคอยก็มาถึง กับการมาของเกมในซีรีส์ภาคใหม่แกะกล่องบนเครื่อง Nintendo Switch ที่ได้มีการโปรโมตอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบเกมให้เป็นแบบ 'โลกเปิด' กับ Pokémon Scarlet & Violet นั่นเองหากบางคนยังไม่เข้าใจกับคำว่าโลกเปิด หรือ Open-World เราก็พร้อมที่จะแถลงไข ถ้ากล่าวแบบง่าย ๆ เลย คือรูปแบบของเกมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นจะทำอะไรก็ได้ มีอิสระในการเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ ไม่มีภารกิจอะไรมาบังคับให้ต้องทำเพื่อผ่านไปยังพื้นที่ถัดไปภายในเกมซึ่งปกติแล้วเกมซีรีส์ Pokémon เป็นระบบ 'คุณจะต้องไปจุด 1 แล้วไป 2 ต่อด้วย 3' และสานต่อไปเรื่อย ๆ มาแทบทุกภาค แต่ล่าสุดกับการโยนหินถามทางสร้างเกม Pokémon : Legend Arceus ในช่วงต้นปี 2022 ที่เป็นเกมกึ่งโลกเปิด ก็ทำให้พวกเขาได้นำมาปรับปรุงและสานต่อความสนุกในภาคใหม่นี้ได้ถูกทางแล้วนั่นเอง!การพัฒนาจากการนำสิ่งที่เคยสร้างมาเป็นพื้นฐานจากการที่ผู้เขียนได้สัมผัสเกม Pokémon ในเจนหลัก ๆ 1-8 มาครบแล้วนั้น สามารถบอกได้เลยว่าทางผู้พัฒนามีความใส่ใจในการเอารูปแบบการเล่น ความสนุกและน่าสนใจจากภาคเก่า ๆ มาดัดแปลงให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินจนอาจไม่ได้สังเกตเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบโลกเปิด อิสระในการเล่นตามใจ พัฒนามาจากภาค Legend Arceus ตามที่กล่าวไปในข้างต้น, ระบบโปเกม่อนเดินตามและคอยเก็บของตามเราสั่งจากภาค Heart Gold & Soul Silver, ระบบถ่ายและแต่งรูปภาพจาก XY, ระบบแชร์เลเวลและจดจำท่าที่เคยมี, ระบบสภาพอากาศ กลางวันและกลางคืนจากทั้งภาค Sun & Moon และ Sword & Shield และอื่น ๆแต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะมีแค่ของเก่านะ! เพราะระบบที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Terastallize ที่จะเพิ่มความสามารถให้โปเกม่อนของเราเปลี่ยนธาตุกลายเป็นธาตุอื่น เสริมความได้เปรียบในการต่อสู้มากขึ้น, ระบบส่งโปเกม่อนสู้ตามเส้นทางอัตโนมัติ ไม่ต้องเข้าหน้าแบทเทิล หรือจะเป็นระบบ Picnic ที่เปิดให้เราได้สานความสัมพันธ์กับโปเกม่อนด้วยการเล่นบอลและอาบน้ำ ซึ่งหากค่าความสัมพันธ์เราสูงถึงระดับหนึ่งมันจะช่วยในการต่อสู้ด้วย (เช่น โปเกม่อนของเราจะไม่ยอมสลบ แม้จะโดนโจมตีที่ควรสู่ขิตแล้วก็ตาม) รวมไปถึงการทำแซนด์วิช เพิ่มบัฟในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โอกาสการเจอโปเกม่อนหายาก, จับง่ายขึ้น, เลเวลสูงขึ้น และอื่น ๆรูปแบบการเล่นที่ไม่จำกัดคือเสน่ห์ของภาคนี้บางครั้ง ผู้เล่นอย่างเรา ๆ ก็อาจจะเคยคิดว่าทำไมเราต้องเดินตามรูปเกมที่กำหนดมาเสมอ หรือทำไมฉันต้องไปตามขจัดปัญหาร้อยแปดก่อนจะได้สู้กับยิมลีดเดอร์ด้วย? แน่นอน ยังไม่รวมถึงความยากลำบากหากเราเลือกโปเกม่อนตั้งต้นที่แพ้ทางยิมแรกและยิมอื่น ๆ ในช่วงต้นเกมจนไม่อาจผ่านไปได้ง่าย ๆ คงจะหงุดหงิดไม่น้อยแต่สำหรับภาค Scarlet & Violet ผู้เล่นจะได้ลิขิตชีวิตของต้นเองว่าจะเดินทางไปในระดับความง่ายไปยาก หรือท้าทายด้วยยากไปง่าย เพราะคุณจะสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ ทำอะไรก็ได้ตามใจไม่จำกัดก่อนหลัง อย่างที่ผู้เขียนเองก็ซนจัด ๆ ไปตียิมที่ยากที่สุดในเกมเป็นยิมที่สาม จนเล่นเอาเหงื่อตก แต่ก็ตื่นเต้นใช่ย่อย!แต่ว่า หากใครคิดว่าตัวเกมจะมีแกนหลักให้เราตียิม ตีจตุรเทพ แล้วก้าวเป็นแชมเปียนส์เหมือนภาคก่อน ๆ อย่างเดียว คุณคิดผิด! เพราะในภาคนี้จะมีเส้นทางเนื้อเรื่องหลักสามเส้นให้คุณได้เลือกออกเดินทาง โดยสามารถทำไขว้-สลับกันก็ได้ ได้แก่Victory Road - เส้นทางคว้าชัย ออกเดินทางตียิมทั้งแปด ก่อนเข้าชิงชัยเพื่อเป็นแชมเปียนส์ประจำภูมิภาคPath of Legends - ออกเดินทางตามหาสมุนไพรวิเศษ เผชิญหน้ากับโปเกม่อนยักษ์กลายพันธุ์ทั้งห้า อัพเกรดโปเกม่อนมอเตอร์ไซค์คู่ใจ Koraidon หรือ Mairaidon ให้มีความสามารถเดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้นStarfall Street - ภารกิจถล่มแก๊งเด็กหัวต่อต้าน Star ที่รวมพลเหล่าเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งและโต้กลับ จนสามารถเอาชนะพวกเกเรได้ แต่กลายเป็นกลุ่มเกเรซะเอง!แค่สามเส้นทางนี้ก็ได้มอบประสบการณ์ที่มากมายให้ผู้เล่นแล้ว แต่มันยังไม่หมด เพราะใน Scarlet & Violet สถานะของผู้เล่นนั้นเป็น 'นักศึกษา' หมายความว่าเราก็ต้องเรียนเช่นกัน! เข้าคลาสรูมในแต่ละวิชา ตอบคำถาม รวมไปถึงสอบกลางภาคและปลายภาคเพื่อรางวัลสุดคุ้มค่าก็น่าเลือกเล่นเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับการจบเกมแบบขึ้น End Credit และรู้เนื้อเรื่องหลักทั้งหมด ผู้เล่นจำเป็นต้องสำเร็จเส้นทางชีวิตหลัก ๆ ทั้งสามตามที่กล่าวมาต้อนรับการกลับมาของเนื้อเรื่องสุดสนุกและเข้าถึงอารมณ์ต้องกล่าวว่านับตั้งแต่เกมเจนที่ 5 ของซีรีส์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเนื้อเรื่องดีที่สุดนั้น ก็ยังไม่มีภาคต่อมาภาคไหน ๆ ที่เข้าไปถึงหัวอกหัวใจเทียบเท่ากับภาค Scarlet & Violet นี้เลย อิงจากเนื้อเรื่องที่เรา นักเรียน ที่มีความฝันได้เข้าไปโลดแล่นในโลกที่มีผู้คนมากมาย และหลายมุมมอง เชื่อมความสัมพันธ์กับโปเกม่อน เป็นเพื่อนได้มากกว่าเดิม เกินกว่าภาคอื่น ๆ ที่มีพวกเขาเป็นเหมือนแค่เครื่องมือเท่านั้นด้วยการที่ผู้พัฒนาเลือกที่จะเขียนบทซึ่งมีความใกล้เคียงกับชีวิตคนจริง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการจี้จุดอารมณ์ได้อย่างถูกจังหวะ มันจึงทำให้เกมภาคนี้เหมือนเป็นดั่ง 'รถไฟเหาะของความรู้สึก' จริง ๆ มีทั้งอารมณ์สนุก ตลก ครินจ์ (อายแทน) และปวดตับ ซึ่งผู้เขียนเองที่ไม่เคยน้ำตาแตกในซีรีส์เกมโปเกม่อนมาก่อน ยังไม่รอดกับภาคนี้ประสิทธิภาพเกมหลักสิบ ราคาเกมหลักพัน บัคหลักล้านโอ้ ไม่... ข้อเสียอย่างยิ่งใหญ่ของเกมภาคนี้ที่ทางเราไม่สามารถปล่อยผ่านได้ก็คือประสิทธิภาพเกมที่ถูกปล่อยออกมาได้แบบน่าหยุมหัวมาก ๆ แม้ภาพและกราฟิกจะอยู่ในขั้นที่พอรับได้ตามสภาพเครื่อง Nintendo Switch ซึ่งวิ่งได้แค่นั้น และภาพก็ไม่ได้ต่างจาก Pokémon : Legend Arceus เท่าไหร่นัก แต่ทั้งความเสถียรของภาพ FPS อาการหน่วง แลค และเด้งหลุด กลับผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดจนน่ารำคาญใจนี่ยังไม่รวมไปถึงบัคอันหลากหลายที่อาจทำลายความสนุกของผู้เล่นได้ เช่นเดินตกแมพ อนิเมชั่นตัวละครไม่โหลด ตัวละครบิดเบี้ยวกลายเป็นไททัน NPC ที่เดินเข้ามาในสนามต่อสู้แบบงง ๆ และอื่น ๆ อีกเพียบจนมันกลายเป็นสีสัน และมีมในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปหมดภายในวันเดียวที่ปล่อยเกมเอาเป็นว่า ถ้าใจให้กล่าวตรง ๆ นั้น Pokémon Scarlet & Violet ระบบเกมเพลย์และเนื้อเรื่องไม่แย่ แต่ห่วยแตกทางด้านประสิทธิภาพ หากใครที่รู้สึกว่าสามารถรับและทนได้กับความกระตุกหรือหน่วงเป็นบางครั้ง การเลือกภาคนี้มาเล่นก็ไม่ได้แย่เลยทีเดียว เพราะทางตัวเกมเองก็อาจจะปล่อยแพทช์อัปเดตมาในอนาคตสำหรับใครที่สงสัยว่าภาค Scarlet & Violet นั้นต่างกันยังไง เลือกภาคไหนดี ทางเราสามารถบอกได้ว่าจะต่างกันแค่ในส่วนของสีธีมส้มหรือม่วง, เนื้อเรื่องและตัวละครธีมอดีตและอนาคต และโปเกม่อนเฉพาะประจำภาค สุดแล้วแต่จะเลือกชอบและเล่นนั่นเอง ถ้าเลือกไม่ได้จริง ๆ ก็จัดทั้งสองภาคผ่านทางร้านค้า Nintendo eShop หรือร้านค้าแผ่นเกมทั่วไปเลย!
23 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Somerville ประสบการณ์เกมพัซเซิลอันเต็มไปด้วยปริศนาที่รอการตีความของคุณ
ถือว่าเป็นเกมอินดี้ที่เปิดตัวมาได้อย่างน่าสนใจมานานหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาที่เกมนี้จะต้องวางจำหน่ายสู่สายตาชาวโลก เกมนี้มีดีอะไร และสมควรเสียเวลาจะลองเล่นหรือไม่ ก็ลองมาดูกันได้กับรีวิว Somervilleผู้เล่นจะได้รับบทเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป พ่อ แม่ ลูกตัวน้อย และสุนัขประจำครอบครัว อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พวกเขากลับจากไปเที่ยวกันมาอย่างสบายใจ ทั้งครอบครัวเผลอหลับไปหน้าทีวี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อยานรบขนาดยักษ์ปรากฎตัว แถมกองกำลังมนุษย์ก็หันมาสู้กลับ พื้นที่บ้านของพวกเขากลายเป็นสนามรบโดยทันที ขณะที่ฝั่งต่างดาวคนหนึ่งโดนลูกหลงตกลงมาที่บ้านของชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ก่อนตายเขาได้ยื่นมือมาจับมือของชายหนุ่ม และส่งมอบพลังปริศนาให้ ซึ่งมันรุนแรงจนชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมา ภรรยาและลูกของเขาไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงน้องหมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาสลบไปนานแค่ไหน เมื่อตื่นขึ้นมา การเดินทางตามหาครอบครัวที่หายไปของเขา พร้อมกับพลังของมนุษย์ต่างดาวในตัวจึงได้เริ่มต้นขึ้น อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นความพยายามในการนำเสนอศิลปะและการถ่ายทอดเรื่องราวที่คล้ายกับภาพยนตร์หรือซีรีส์ แต่ใช้วิธีถ่ายทอดด้วยวิดีโอเกมแทน ตลอดทั้งเกมของ Somerville ผู้เล่นจะได้เห็นเพียงฉากคัทซีนที่โชว์ให้เราเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเท่านั้น ไม่มีบทสนทนา ไม่มี Subtitle ไม่มีคำบรรยายเหตุการณ์หรืออธิบายให้ผู้เล่นเข้าใจใด ๆ ว่าเรากำลังเจอกับอะไร สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น เกมนี้ถือว่ามาเพื่อกระตุ้นต่อมนั้นของผู้เล่นทุกคน แต่สำหรับคนที่ชอบเล่นเกม ผู้เขียนคิดว่าเกมนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคนแน่นอน เพราะการนำเสนอสุดแสนจะอินดี้ ชนิดที่ว่าถ้าใครเข้าไม่ถึงก็อาจจะถอดใจเลิกเล่นกันตั้งแต่แรกไปเลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม นี่ไม่ใช่เกมยาว ที่เราจะได้นั่งเล่นกันเป็นวัน หากคุณเป็นคนที่เชี่ยวชาญการไขปริศนาและ Puzzle อาจจะสามารถจบเกมนี้ได้ในเวล่า 4-5 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำไป แต่ต่อให้คุณอยากเป็นคนที่เสพเนื้อหาของเกมมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้ใช้ความพยายามในการเล่นสูงพอสมควรเลยทีเดียว ใครไม่อดทนพอ อาจจะเลิกกันตั้งแต่ฉากเปิดเกมแล้วโชคดีที่เนื้อเรื่องของมันยังมีความน่าสนใจอยู่ระดับหนึ่ง รวมไปถึงการมีตอนจบที่มีแบบ True Ending ด้วย โดยวิธีการได้ก็อาจจะต้องไปลองศึกษากันเอาเอง แต่ไม่ยากอย่างที่คิด และถือเป็นอีกหนึ่งผลงานเกมอินด้ขายไอเดียที่น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียวเน้นบรรยากาศและการนำเสนอ ส่วนเกมเพลย์อยู่ในขั้นมาตรฐานด้วยความที่เกมนี้สั้นมาก นั่งเล่นกันอย่างจริงจังเพียง 4-5 ชั่วโมงก็จบแล้ว (บางรายใน YouTube เพียง 2 ชั่วโมง) เราจะขอเล่าถึงส่วนของการนำเสนอและเกมเพลย์ไปพร้อม ๆ กัน Somerville เป็นเกมที่เน้นการนำเสนออย่างเต็มที่ อย่างที่บอกไปว่าตลอดทั้งเกม ผู้เล่นจะไม่เจอกับคำพูด ศัพท์บรรยายใด ๆ ในเกมนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างดึงดูดให้ผู้เล่นไม่อาจละสายตาจากหน้าจอไปได้ ไม่อย่างนั้นอาจพลาดเหตุการณ์สำคัญ โดยไม่เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเกมบ้าง ซึ่งหากว่ากันตรง ๆ แล้วก็ทำให้เกมนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียอย่างชัดเจน ข้อดีของมันคือการพยายามทำให้ผู้เล่นโฟกัสอยู่กับเกม อยู่กับเนื้อหาและเหตุการณ์ตรงหน้า ส่วนข้อเสียคือ คนที่ขี้เกียจเล่น หรือขี้เกียจตีความ ก็อาจจะเบื่อจนเลิกเล่นไปก่อนได้ในขณะที่เกมเพลย์ของ Somerville นั้น หลัก ๆ จะอยู่ที่การไขปริศนา เพื่อปลดล็อคเส้นทางในการไปต่อ ไม่ได้มีแอ็คชั่น ไม่ได้มีการต่อสู้อะไร แต่สิ่งที่เกมทำได้ดีคือการเลือกใส่จังหวะลุ้นระทึกต่าง ๆ ผ่านสถานการณ์โดยตรง แต่ข้อเสียเลยคือความคลีนของหน้าจอที่ไม่มี HUD ไม่มี UX / UI อะไรเลย อาจทำให้หลายคนงงจนตาแตกว่าเกมให้ทำอะไร ทำให้ผู้เล่นต้องคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าเกมมันให้เราทำอะไร หรือตรงไหนเป็นจุดที่น่าจะไป Interact ด้วย แล้วไปต่อได้ ซึ่งหากใครที่เคยเล่นเกมอย่าง Limbo หรือ Inside มา จะคุ้นเคยกับแนวเกมการเล่นแบบนี้ดี เกมจะเป็นมุมมองบุคคลที่ 3 ที่คล้ายกับเกมตะลุยแพลตฟอร์มและไขปริศนา ไม่มีบทสนทนา ใช้ฉาก สภาพแวดล้อมเป็นตัวเล่าเรื่อง ศัตรูของเราก็คือพวกจักรกลต่างดาว และพลังที่เราได้รับจากพวกต่างดาว จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนสถานะสารให้เป็นของเหลวและของแข็งได้ เพื่อใช้แก้ปริศนาไปสู่ฉากถัดไป ซึ่งจริงอยู่ว่า การนำเสนอเกมแบบ Limbo หรือ Inside นั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเกม Somerville กลับเหมือนขาดความประณีตไปสักเล็กน้อย ในเรื่องของการจัดวางมุมกล้อง และการควบคุมต่าง ๆ มีหลายครั้ง หลายหนที่เราพยายามควบคุมตัวละครให้ไปยังจุดต่าง ๆ แต่กลับเดินติดโน่น ติดนี่ โดยที่มองไม่เห็นว่ามันติดอะไร สร้างความน่ารำคาญใจให้ไม่น้อยเลยทีเดียวส่วนของการไขปริศนานั้น นับว่าไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป ภายในฉากมักจะมีอะไรแปลก ๆ โดดเด่นออกมาเป็นคำใบ้พอให้เราเดาได้กันอยู่แล้ว หรือบางครั้งอาจจะไม่ต้องให้เกมช่วยใบ้ แต่ให้ Common Sense ของเราเป็นตัวจัดการ ว่าตรงนี้เราควรจะทำอะไรถึงจะผ่านมันไปได้ บางอันก็ถือว่าดีไซน์มาได้ฉลาดมากจริง ๆ ต้องยอมใจคนดีไซน์เกมเพลย์แต่ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว Somerville นั้น เหมือนจะเป็นผลงานขายงานศิลป์และเนื้อเรื่องและการนำเสนอมากกว่า ในแง่ของเกมเพลย์ เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกไปกับเกมนี้แน่ ๆ แต่ในเรื่องของการนำเสนอ และบรรยากาศของเกม บอกได้เลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าเสียดายไม่น้อยที่มันไม่ได้เข้าชิงรางวัลอะไรเลยในเวทีต่าง ๆ ประจำปีนี้Somerville วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PC และ Console และสามารถเล่นได้บน PC Game Pass
22 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Marvel's Spider-Man: Miles Morales บน PC เมื่อสไปเดอร์แมนรุ่นน้อง ต้องดูแลทั้งเมืองให้รุ่นพี่!
Marvel's Spider-Man: Miles Morales เกมภาคแยกของเกมซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังจากค่าย Sony PlayStation อย่าง Marvel's Spider-Man โดยเกมภาคนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในเกมที่วางขายพร้อม PlayStation 5 และก็สร้างมาเพื่อโชว์พลังศักยภาพตัวเครื่อง PlayStation 5 ว่ายอดเยี่ยมขนาดไหน ซึ่งหลังจากวางขายไปครบ 2 ปี ในที่สุดเกมภาคนี้ก็ได้มาวางขายบนฝั่ง PC บ้างแล้วเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2022อย่างไรก็ตาม หลายคนก็น่าจะยังสงสัยว่าแล้ว Marvel's Spider-Man: Miles Morales เป็นเกมภาคที่ดีเหมือนภาคหลักไหม และตัวเกมที่พอร์ทมาลง PC จะดีให้น่าซื้อราคาเต็มหรือเปล่า วันนี้ทาง GameFever จึงขอพาทุกคนมาชมรีวิว Marvel's Spider-Man: Miles Morales ฉบับบน PC เกมจะดีหรือแย่ก็ดูกันได้ที่ด้านล่างเลย!!!มาดูกันที่ด้านคุณภาพตัวเกมฝั่งเนื้อเรื่องกันก่อนMarvel's Spider-Man: Miles Morales คือเกมที่เปลี่ยนตัวเอกมาเป็นสไปเดอร์แมนรุ่นน้องอย่าง Miles Morales ที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มาก และมีเนื้อเรื่องเล่าว่ารุ่นพี่ผ่านศึกมาเยอะอย่าง Peter Parker ได้ขอลาไปเที่ยวยุโรป แล้วช่วงที่รุ่นพี่ไม่อยู่ก็ดันมีวายร้ายวางแผนจะก่อเหตุการณ์ขั้นรุนแรงให้เกิดขึ้นในเมืองนิวยอร์ก จึงส่งผลให้รุ่นน้องที่ประสบการณ์ยังน้อยต้องทำทุกอย่าง เพื่อหยุดแผนร้ายนี้ให้ได้สำเร็จถือเป็นพอร์ทเรื่องที่น่าสนใจ และน่าจะเข้าถึงผู้เล่นหลายกลุ่มได้ดีกว่าภาคหลักอย่างมาก แล้วตัวเกมภาคนี้ก็สามารถทำแบบนั้นได้จริงๆ เพราะเนื้อเรื่องภาคนี้ก็ถือว่าทำออกมาดีมีภาพน่าจดจำเยอะ แถมคุณก็จะได้รู้สึกถึงความน่าติดตามตลอดการเล่น และก็ยังจะได้อินกับมิตรภาพตัวละครต่างๆ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักใครมาก่อนเลย เนื่องจากทุกตัวละคร NPC ในเกมนี้มีเสน่ห์สุดๆที่แจ้งไปด้านบนนั้นไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องหลักนะ แต่ในทุกๆ เนื้อเรื่องเสริม NPC ทุกคนก็มีเสน่ห์ และทำให้ทุกภารกิจนั้นน่าติดตาม หรือพวกฝ่ายตัวร้ายทุกฝั่งก็มีเอกลักษณ์ แถมทำให้คุณอินกับอุดมการณ์ของพวกเขาได้ ถือว่าเกมนี้มีจุดแข็งด้านดีไซน์ตัวละครจริงๆ เพราะสามารถทำให้คุณอินทุกซอกทุกมุมได้เก่งมากเนื้อเรื่องภาคนี้ยังมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้านครอบครัวของตัวเอกที่มีให้เห็นความสัมพันธ์ในหลายฉาก และเพื่อนของตัวเอกที่ไม่ได้มีพลังวิเศษ แต่ก็จะพยายามคอยช่วยตัวเอกตลอดเวลาจนดูเป็นอีกหนึ่งตัวละครน่าประทับใจ โดยถือเป็นการเล่าเรื่องในสเกลขนาดเล็กกว่าภาคหลักทั้งหมด แต่ก็กลับทำได้ทรงพลังจนทำให้ผู้เล่นรู้สึกอบอุ่นตลอดการเล่นอย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็กลับสั้นมากๆ เพราะมีแค่ 17 ภารกิจหลักเท่านั้น และคุณก็สามารถเล่นเกมนี้จบได้ภายในไม่ถึง 10 ชั่วโมง แถมช่วงท้ายๆ ภารกิจหลัก เราก็จะพบว่ามันเริ่มอิ่มหมดมุกแล้ว และเกมก็ยังจบได้ไม่ดีเท่าที่ควรเสียอย่างงั้น แต่ถึงจะมีข้อเสียตามที่บอกไป ยังไงเกมนี้ก็สามารถสร้างภาพจำอันงดงามดีๆ ให้คนเล่นมองข้ามสิ่งพวกนี้ไปได้อยู่จุดนำเสนอของเกมนี้ (ถ้าเคยเล่นภาคหลักข้ามหัวข้อนี้ไปได้เลย)นอกจากด้านเนื้อเรื่อง เกมนี้ก็ทำระบบ Open World ออกมาได้ดีอย่างมาก โดยตัวเมืองนิวยอร์กนั้นจะมีแลนด์มาร์กที่น่าสนใจให้พบตามโลกจริง และหลายๆ สถานที่ในเกมนี้ก็ยังใส่รายละเอียดเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ซึงในช่วงที่คุณลงมาเดินสำรวจตามถนนต่างๆ จะเห็นได้เลยว่าเหล่าชาวเมือง NPC นั้นใช้ชีวิตกันแบบดูได้อรรถรสสมจริง ถือเป็นเซอร์ไพร์สที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในเกมสไปเดอร์แมนถ้าคุณรู้เรื่องจักรวาล Marvel มาพอสมควร หรือเคยดูภาพยนตร์ต่างๆ มาก่อน คุณก็จะได้พบหลายๆ สถานที่ที่เคยเห็น และในเกมนี้ก็ยังมีการใส่สถานที่อย่างตึก Avenger Tower หรืออื่นๆ มาด้วย ทำให้การเล่นของคุณนั้นจะอินขึ้นไปอย่างมาก แต่ถ้าคุณไม่รู้เรื่องจักรวาล Marvel ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเกมนี้ก็จะทำให้คุณสนุก และอินได้อยู่ในตามด้านเนื้อเรื่องที่ได้บอกไป แถมนี่อาจเป็นก้าวแรกให้คุณหลงรัก Marvel ก็เป็นได้มาที่ส่วนเกมเพลย์กันบ้าง เราจะมีอิสระสามารถไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยการโหนไย โดยระบบเดินทางเกมนี้ก็ทำออกมาได้ลื่นไหล และเต็มอิ่มกับอรรถรสสุดๆ เลย แถมในช่วงโหนไยก็มีให้เล่นท่าสวยๆ ด้วย ซึ่งมันช่วยทำให้การเดินทางนั้นดูไม่น่าเบื่อ แล้วก็จะมีความสามารถตามสไปเดอร์แมนอย่างการไต่ตึกเป็นต้นส่วนระบบต่อสู้เกมนี้คือจุดเด่นอันดับต้นๆ เลย ระบบต่อสู้นั้นจะรวดเร็ว และเน้นทำคอมโบมันส์ๆ โดยที่พวกอนิเมชั่นจะดูสมจริงได้อรรถรสไม่ต่างจากการดูภาพยนตร์ แล้วพวกศัตรูนั้นจะมีหลายฝ่ายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีแนวทางการต่อสู้กันไปอีก ทำให้เราต้องใช้ทักษะต่อยเตะ หรือใช้อุปกรณ์ต่างๆ มาแก้ทางอยู่เรื่อย จุดนี้แน่นอนว่ายอดเยี่ยมสุดๆเอกลักษณ์ของเกมภาคนี้ในเกมภาคนี้จะนำเสนอระบบ 'พลังไฟฟ้า' ที่เป็นพลังวิเศษของตัวเอกภาคนี้ โดยเมื่อเรามีเกจพลังไฟฟ้าเต็ม 1 หลอด จะทำให้สามารถใช้ไม้ตายเป็นท่าต่างๆ ในการต่อสู้เพื่อสร้างความได้เปรียบหรือแก้ทางศัตรู แถมมันยังเอาไว้ใช้ในตอนเดินทางให้เคลื่อนที่เร็วกว่าเดิมได้ด้วย รวมทั้งก็จะมีให้เอาไปแก้ปริศนาอีกเพียบ ซึ่งระบบนี้เป็นเอกลักษณ์แปลกใหม่ที่จะทำให้คนเล่นฟินระดับหนึ่งเลยนอกนั้นก็คือเหล่ากิจกรรมต่างๆ ในแผนที่ที่ก็มีให้ทำระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นตามหาของมาอัปเกรดตัวละคร หรือไปกำราบฐานศัตรูตามจำนวนต่างๆ และเหล่าปริศนาให้เราตามเก็บจนเต็ม 100% แต่สิ่งพวกนี้จะทำได้หลังจากเล่นเนื้อเรื่องไประดับหนึ่ง แล้วเกมภาคนี้ยังมีระบบ 'มือถือ' ให้เรารับงานเควสเสริมหรือรับงานกำจัดโจรตามภารกิจสุ่ม ซึ่งก็ทำให้ผู้เล่นอินกับการผจญภัยในโลก Open World เกมนี้ได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตาม คอนเทนต์พวกกิจกรรมต่างๆ ก็ให้ความรู้สึกน้อยอย่างเห็นได้ชัดถ้าคุณเคยเล่นภาคหลักมาก่อน เพราะกิจกรรมจะแบ่งออกมาใหญ่ๆ ได้ประมาณ 6 กิจกรรมเท่านั้น แล้วจุดนี้พอบวกกับเนื้อเรื่องที่สั้นมากๆ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเกมภาคนี้ไม่ต่างอะไรกับการเป็นภาคเสริมเลย ทำให้ถ้าคุณจะซื้อในราคาหลัก 1,000 ขึ้นไปต้องคิดดีๆ กับตรงนี้หน่อย เนื่องจากเกมอื่นในราคาใกล้ๆ กันหรือเกมภาคหลักจะให้คุณได้เต็มอิ่มกับเนื้อหามากกว่านั่นเองแต่เกมภาคนี้ก็มี New Game Plus หรือระดับความยากหลายรูปแบบอยู่นะ ทำให้คนเล่นก็อยากกลับมาเล่นวนอีกรอบได้อยู่ รวมทั้งนี่ก็เป็นหนึ่งในเกมที่น่าถ่ายรูปสวยหลายจุด และก็มีโหมดถ่ายรูปแจ่มๆ มาให้ด้วย ส่งผลให้ถ้าใครเคยเล่นภาคหลักมาก่อน และมีทุนเยอะอยู่ระดับหนึ่ง จะซื้อมาเล่นก็ถือว่าคุ้มประสบการณ์บนฝั่ง PCเป็นอีกหนึ่งเกมจากทาง PlayStation Sony ที่พอร์ทลง PC มาได้ดีมากๆ โดย PC ที่ทางผู้เขียนใช้เล่นนั้นไม่พบปัญหาขณะเล่นหรือบั๊กอะไรเลย โดยสเปคเครื่องของผู้เขียนยังเล่นได้ที่ภาพระดับ 1080p 60fps สบายๆ แต่ตอนที่ลองเล่นทาง AMD ไม่ได้ปล่อยไดรเวอร์สำหรับเกมนี้มาให้อัปเดตเสียที จึงทำให้บางทีตอนโหนไยจะมีเฟรมหล่นไป 50fps แต่ก็นานๆ ทีถึงจะเป็นแบบนั้นสเปคที่ทางเราใช้เล่นเกมนี้ระบบปฎิบัติการ : Windows 10 64-bitโปรเซสเซอร์ : AMD Ryzen 5 5600Xหน่วยความจำ : แรม 16 GBการ์ดจอ : AMD Radeon RX 6600 XTพื้นที่จัดเก็บข้อมูล : SSDภาพกราฟิกบน PC นั้นจะเหมือนกับของเกม PlayStation 5 ในทุกส่วน ไม่ได้มีความสวยกว่าอะไรแบบนั้นให้เห็น แต่พวก Ray Tracing อันนี้ทางผู้เขียนใช้การ์ดจอ AMD จึงเปิดไม่ได้ (จริงๆ เปิดได้ แต่พวกประสิทธิจะไม่ดี เนื่องจาก AMD ไม่ได้รองรับ) แต่ทางผู้เขียนไปลองผ่าน PC การ์ดจอ GTX 3080 ก็พบว่าประสิทธิภาพนั้นทำดีมากๆ ไม่ต่างจากของ PlayStation 5 เช่นกันระบบการปรับภาพกราฟิกของเกมภาคนี้ก็ทำมาได้ดีตามมาตรฐาน และเหล่าพวก Ray Tracing ก็ให้ปรับได้หลากหลายสไตล์พอสมควร รวมทั้งเกมภาคนี้ยังรองรับระบบ DLSS ให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ลื่นขึ้นอีกด้วย ส่วนพวกระบบเสียงในเกมก็มีให้ปรับได้หลากหลายตามสไตล์ของเกม Sony เช่นกัน เพื่อให้ผู้เล่นได้อรรถรสเสียงในเกมแบบเต็มประสบการณ์ แต่เกมนี้ก็ปรับได้ตามมาตรฐานเกม Sony ไม่ได้ถึงขั้นให้ปรับแยกได้เยอะแบบ Uncharted 4 หรือ The Last of Us 2 นะแล้วด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมโชว์ศักยภาพ PlayStation 5 หรือ SSD อย่างเต็มรูปแบบ ถ้าสเปค PC ของคุณถึงตามระดับที่เกมต้องการ ก็จะทำให้เล่นเกมนี้ได้ฟินไม่ต่างจากบน PlayStation 5 เลย ไม่ว่าจะตัวเกมที่ทำระบบมาให้เห็นว่าไม่มีฉากโหลดมากวนใจ หรือพวกภาพกราฟิกที่จัดเต็มตลอดเวลา แล้วสิ่งพวกนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในเกมภาคหลักด้วยสรุปMarvel's Spider-Man: Miles Morales ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมดีที่สมการรอคอยมาลงบน PC แน่นอน แต่ปัญหาเดียวเลยคือมันเหมือนเกมภาคเสริม เพราะเนื้อเรื่องที่สั้น รวมทั้งคอนเทนต์ที่น้อย ทำให้ใครไม่เคยเล่นภาคหลักก็ควรไปสัมผัสภาคหลักก่อน แต่เกมภาคนี้ก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง รวมทั้งเป็นภาคที่โชว์ขุมพลัง PlayStation 5 กับ SSD จึงทำให้ภาคนี้จะมีอะไรให้ฟินต่างกับภาคหลักแน่นอน
21 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Call of Duty: Modern Warfare II ภาคต่อเจ้าพ่อ FPS สุดมันส์ แต่ดันพังเพราะบั๊ค?!
กลับมาอีกครั้งกับแฟรนไชส์เกมยิงสุดเดือด และภาคนี้ถือว่าเป็นภาคที่หลายคนรอคอย เพราะคือการสานต่อชื่อจาก Call of Duty ภาคที่โด่งดังที่สุดภาคหนึ่งอย่าง Modern Warfare II อีกครั้ง ซึ่งก็ทำให้เกมต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนซีรีส์อย่างมาก แต่การกลับมาคราวนี้จะเป็นยังไง ยอดเยี่ยมสมการรอคอยมากน้อยแค่ไหน ต้องลองมาอ่านรีวิวของเรากันเนื้อเรื่องที่สานต่อจากภาค Modern Warfare 2019เนื่องจากภาคนี้เป็นภาคต่อจากภาค Reboot เมื่อปี 2019 เนื้อหาจึงดำเนินเรื่องราวต่อกัน ในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นสมาชิกทีม Task Force 141 แต่จะได้เล่นเป็นคใร ตัวละครไหน ก็แล้วแต่ฉากและภารกิจนั้น ๆ เนื้อเรื่องในภาคนี้จะว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มก่อการร้าย Quds ที่นำโดย Hassan Zyani ที่อยู่ดี ๆ เขาก็มีอาวุธขีปนาวุธร้ายแรงของอเมริกาอยู่ภายในมือ ทำให้สมาชิกทีม Task Force 141 ถูกเรียกออกปฏิบัติการเพื่อสืบหาที่มาที่ไปว่า เหตุใดอาวุธของอเมริกาจึงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย และยังต้องร่วมมือกับหน่วยรบมากฝีมือจากเม็กซิโกสำหรับเนื้อเรื่องของภาคนี้ เสียงวิจารณ์นั้นค่อนข้างแตกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน คนที่ชอบก็ชอบ คนที่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบไปเลย แต่สำหรับผู้เขียนมองว่า ภาคนี้ตั้งใจนำเสนอแนวทางที่ต่างจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด ในภาคที่แล้ว เราจะได้ทำภารกิจแบบบู๊ระห่ำ เดินหน้าลุย ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในขณะที่ภาคนี้ เกมเน้นความเป็นกลยุทธ์ ความ Tactical ในภารกิจต่าง ๆ มากกว่า ทำให้รสชาติและอารมณ์ในการเล่นนั้น แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะจากที่ได้บู๊มัน ๆ ก็ต้องมานั่งเล่นกันแบบกลยุทธ์ ไม่ได้วิ่งยิงเหมือนภาคแรกและตัวเกมยังเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อประการนี้ ผู้เล่นจะรู้เลยว่าการถูกยิงแต่ละครั้งทำให้ตัวละครที่เราเล่น ดูขาดความเป็นมืออาชีพกันแบบสุด ๆ เพราะการนำเสนอที่เปลี่ยนไปของเนื้อหาในเกมภาคนี้ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะไม่ชอบ นอกจากนั้นเกมเพลย์บางส่วนยังฉีกแนวไปจากเดิม ซึ่งคาดว่าเป็นการตั้งใจนำเสนอเพื่อให้ผู้เล่นคุ้นชินกับระบบต่าง ๆ ที่จะมาใน Warzone 2.0ด้วยเหตุนี้ทำให้โหมดเนื้อเรื่องของเกม ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจขายเนื้อเรื่องจริง ๆ แต่ไปเน้นเกมเพลย์ที่ตั้งใจนำเสนอโหมดอื่น บวกกับเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงการนำเสนอ จึงไม่แปลกใจที่แฟน ๆ หลายคนจะเสียงแตกกันขนาดนี้ แต่อย่างน้อยมันก็ปูทางไปสู่ภาคต่อ (หรือ DLC) ได้อย่างน่าติดตามเหมือนเดิม และถือเป็น Call of Duty อีกภาคที่ประสบความสำเร็จในด้านการทำแคมเปญเนื้อเรื่องเกมราคาแพง แต่อัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ที่คุ้มค่าเกินราคาในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีเท่าไรในยุคนี้ เชื่อเหลือเกินว่าแฟนเกมบางคนต่อให้อยากเล่นแค่ไหน แต่เจอราคาขั้นต่ำ 2,300 บาทเข้าไป ก็ต้องมีคิดแล้วคิดอีกกันอยู่บ้าง แต่ใครที่เงินถึงแต่ยังลังเลว่ามันจะคุ้มค่าหรือไม่ เราก็ตอบให้ตรง ๆ ตรงนี้เลยว่ามันคุ้มค่ามาก ๆ โหมดเนื้อเรื่องหรือแคมเปญหลักของเกมนั้น อาจจะมีความยาวอยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สำหรับแฟน ๆ Call of Duty ที่เเล่นมาหลายภาคจะรู้ดีอยู่แล้วว่า Call of Duty นั้น สนับสนุนเนื้อหาในโหมด Multiplayer ยาวกันเป็นปี ๆ ดังนั้นคำเตือนสำหรับคนที่คิดจะซื้อมาเล่นจริง ๆ ก็คือ คุณต้องแน่ใจว่าคุณจะเล่นโหมดออนไลน์ของเกมนี้จริง ๆ และเล่นในระยะยาวด้วย ไม่อย่างนั้นซื้อมาเล่นแค่เนื้อเรื่องมันจะไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไรแต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเกม FPS Multiplayer สำหรับ Call of Duty นั้น แทบจะมีทุกโหมด เกมการเล่นแทบจะทุกแบบให้คุณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโหมด Co-op ที่เอาไว้เล่นเก็บสะสมของรางวัลประจำสัปดาห์ และเนื้อหาบางช่วงจะต่อจากแคมเปญเนื้อเรื่องหลัก โหมด Multiplayer ที่อัดแน่นไปด้วยโหมดต่าง ๆ มากมายให้เราได้สนุกกัน หรือแม้แต่โหมดขนาดใหญ่อย่าง Invasion หรือ Ground War เรียกได้ว่าคอนเทนต์ Multiplayer ของเกมนี้ อัดแน่นไปด้วยรูปแบบเกมการเล่นที่ครบเครื่อง คือถ้าคุณซื้อมาแล้วเล่น ยังไงก็คุ้มค่าแน่นอน ยังไม่รวมถึงระบบต่าง ๆ นา ๆ ที่จะทำให้คุณเสียเวลาชีวิตไปเป็นร้อยชั่วโมงกับระบบของเกมนี้เอาง่าย ๆ คือแม้จะมีราคาสูงถึง 2,000 บาทขึ้นไป แต่สำหรับแฟนเกมยิงออนไลน์แล้วล่ะก็ นี่คือเกมที่คอนเทนต์คุ้มค่าอย่างมาก เพราะมันมีอะไรต่อมิอะไรให้คุณได้ทำเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเลเวลตัวละคร เลเวลอาวุธ และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณเป็นแฟน Call of Duty และอยากลงหลักปักฐานกับเกมอะไรสักเกมที่มีอนาคตยาวไกลแล้วล่ะก็ Call of Duty: Modern Warfare II ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วเกมเพลย์ที่รองรับคนทุกประเภท อยากเล่นอะไร COD มีให้หมดนอกจากคอนเทนต์จะอัดแน่นแล้ว สิ่งที่ตามมากับคอนเทนต์ที่เยอะมาก ๆ คือเกมเพลย์ สำหรับเกมเพลย์ของ Call of Duty นั้น แต่ไหนแต่ไรก็เอาใจผู้เล่นทุกกลุ่ม ทุกประเภทกันอยู่แล้ว อยากเล่นโหมดไหน กี่คน เล่นยังไง มีหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมดพื้นฐานทั่วไปอย่าง Team Deathmatch หรือ Domination หรือจะเป็นโหมดที่เน้นวิ่งลุย ยิงกันตลอดเวลาอย่าง Hardpoint หรือจะไปโหมดจริงจังก็มี Search & Destroy หรือโหมดวางระเบิด และกับโหมดใหม่อย่าง Prisoner Rescue ที่เป็นโหมดชิงตัวประกัน ที่เราสามารถยิงล้มและชุบกันได้ 1 ครั้ง / 1 รอบการเล่น เรียกได้ว่า Call of Duty จัดเต็ม ใส่ทุกอย่างเท่าที่เกมยิงจะมีได้เข้ามาแล้วยังไม่รวมถึงโหมดเกมยิบย่อยอย่างเช่น Co-op ที่เป็นการป้องกันจุด ทำให้ได้อารมณ์เกมแนว Tower Defense หรือภารกิจปลดชนวนมิสไซล์ที่กลายเป็นเกม Co-op ตะลุยด่าน คือบอกได้เลยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเกมเมอร์สายอะไร เกมนี้มีทุกอย่างให้คุณเล่นแต่สำหรับหัวใจหลักของโหมด Multiplayer ยังไงก็น่าจะหนีไม่พ้นโหมดเกมหลัก ๆ ที่มีให้เลือกเล่นกว่า 9 โมหด แต่ส่วนมากแล้วในโซนเอเชียของเรานี้ จะเจออยู่แค่โหมด Domination / Hardpoint / Kill Confirmed หรือ Team Deathmatch เพราะเล่นง่าย สนุก จบไว ได้สู้กันตลอด เกมเพลย์ของภาคนี้ก็ยังคงความดุเดือดเอาไว้เหมือนกับภาค 2019 แต่ความเร็วอาจจะถูกลดลงมาเล็กน้อย ใครที่ไม่เคยเล่น หรือไม่ได้สังเกตจริง ๆ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไป หรือใครที่อยากเล่นกับเพื่อนสนุก ๆ อยากยิงบอทก็สามารถไปเล่นโหมด Co-op ที่เล่นกัน 2 คนได้ เกมเพลย์การเล่นในโหมด Co-op นี้ก็ยังใส่ระบบอย่างกการป้องกัน หรือ Tower Defense ใส่เอาไว้ด้วย แถมในอนาคตยังมีโหมดฟรีอย่าง Warzone / DMZ ตามเข้ามาอีก ครบทุกอย่างที่แฟนเกมต้องการสิ่งสำคัญจริง ๆ ของภาคนี้คือระบบของอาวุธ หรือ Gunsmith 2.0 ที่ทางตัวเกมภูมิใจเสนอตั้งแต่เกมยังไม่ออก ระบบ Gunsmith ภาคนี้ จะส่งผลให้ผู้เล่นต้องเล่นปืนหลากหลายกระบอก เพื่อปลดล็อคของแต่งปืน อย่างเช่น คุณต้องการของแต่งปืนกระบอกแรก ก็อาจจะต้องไปเล่นปืนกระบอกที่ 2 แต่ปืนกระบอกที่ 2 เองก็ยังไม่ได้ปลด ต้องไปเล่นปืนกระบอกที่ 3 เป็นต้น ด้วยระบบนี้ แม้ว่ามันจะดูยุ่งยากซับซ้อนไปซะหน่อย แต่อีกมุมหนึ่ง มันทำให้ผู้เล่นไม่ยึดติดอยู่กับการเล่นปืนกระบอกเดียวมากเกินไป และตอนนี้ เอาแค่แพทช์ ณ ปัจจุบันก่อน Season 1 เกมก็มีปืนให้เลือกใช้มากมายอยู่แล้ว เพิ่มความหลากหลายและทำให้ผู้เล่นติดพันมากยิ่งขึ้นกว่าภาคก่อนหน้าสำหรับเกมเพลย์ของการยิงก็ดูจะไม่ค่อยต่างจากภาคก่อนหน้านี้สักเท่าไร มีเพียงการ Mantling หรือการเกาะขอบต่าง ๆ ช่วยเพิ่มลูกเล่นในการเล่นให้มีสีสันมากขึ้น เพียงแต่การ Mantling นั้น จะทำให้เราใช้ได้แต่อาวุธรองเท่านั้น ระบบอื่น ๆ อย่าง Killstreak / Scorestreak เองก็ยังอยู่ครบ และสลับไปมาได้ เลือกได้ว่าจะฆ่าให้ได้เยอะ หรือเอาคะแนนแทน อย่างที่บอวก่าเกมเพลย์ของ Modern Warfare II นั้น รองรับผู้เล่นแทบจะทุกกลุ่ม ทุกไซส์ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังมีไม่ครบ แต่ในอนาคต ในการอัปเดต รับรองว่ามาอีกเพียบ เล่นกันได้หมด ทั้งคนเสียเงินซื้อหรือเล่นฟรี และเราคงต้องบอกกันอีกรอบว่า ใครกำลังมองหาเกมยิงเล่นระยะยาวชนิดที่ว่าเล่นได้เป็ฯปี ๆ โดยคุณไม่เบื่อก่อน ก็ต้อง Call of Duty: Modern Warfare II นี่แหละแม้จะสอบผ่านด้าน Performance แต่ปัญหาจุกจิกก็มีเพียบจนถึงปัจจุบันข้อดีของ Modern Warfare II คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ ก็ยังคงเล่นได้ อาจเพราะตัวเกมยังคงต้องลงให้กับเครื่องเจ็นเก่าอย่าง PlayStation 4 อยู่ด้วย และคอมพิวเตอร์ระดับกลาง หรือต่ำ ปรับ ๆ หลาย ๆ อย่างใน Setting Menu หน่อยก็พอจะเล่นได้บ้าง แต่กราฟิกจะออกมาประมาณไหนก็ต้องไปดูกันเอาเองแต่ Performance ของเกมที่มีปัญหาจริง ๆ อยู่ที่บั๊กต่าง ๆ ของเกมที่เปิดตัวมาด้วยปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมแครช เกมเด้ง หลุด ค้าง ที่โดนกันถ้วนหน้า หรือภาพกะพริบที่ชาว Nvidia ต้องอัปเดตไดรเวอร์การ์ดจอแก้กันอย่างสนุกสนาน โชคดีที่ปัญหาด้านเฟรมเรทตก หรือตัวเกมขณะเล่นนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่จะมามีปัญหาตรงพวก Error ต่าง ๆ นี้เยอะไปซะหน่อย จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะแก้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีคนเจอปัญหานี้อยู่บ้าง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันต่อไปCall of Duty: Modern Warfare II เป็นอีกหนึ่งเกมยิงแห่งปีที่หากคุณชื่นชอบเกมออนไลน์ เกมยิง ยังไงก็ต้องเกมนี้ แต่อาจจะต้องทนรับสภาพปัญหาบั๊กกันสักหน่อยในตอนนี้
14 Nov 2022
[บทความ] แนะนำ Anthem เกมสุดพัง แต่ก็ยังมีความปังให้น่าซื้อมาเล่น!
Anthem ชื่อนี้คงน่าจะทำให้ใครหลายคนเห็นภาพถึงหนึ่งในเกมประสบความล้มเหลวจากค่าย EA เนื่องจากตัวเกมตอนออกมาวางขายมีแต่ข่าวเสียๆ เต็มไปหมด อารมณ์เหมือนเกมนั้นยังสร้างไม่ทันเสร็จดี และหลังผ่านไปหลายปี EA ก็ยังประกาศเลิกอัปเดตเกมนี้ไปดื้อๆ จนเกมไม่ได้มีการแก้ตัวให้กลายมาเป็นยอดเยี่ยมแบบเกมอย่าง No Man's Sky หรือ Cyberpunk 2077 โดยก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมากอย่างไรก็ตาม เกมๆ นี้แม้จะพังไปขนาดไหน แต่มันก็ยังมีความปังให้น่าซื้อมาเล่นในช่วงเวลานี้อยู่นะ!!! แถมตอนเกมลดราคาก็จะเหลืออยู่ที่ประมาณ 100-300 บาททั้งบน PC โปรแกรม Origin หรือบน PlayStation กับ XBOX แถมเกมนี้ก็มีอยู่ในบริการรายเดือน EA Play อีกด้วย โดยใครที่สงสัยว่าแล้วเกมนี้มันมีความปังอะไรบ้าง!? รับชมเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลย[บทความนี้เป็นการแนะนำกึ่งรีวิวนะถ้าไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ก็ไปดูสรุปสั้นๆ และคะแนนความน่าซื้อได้ที่ด้านล่างเลย]ชุดเกราะสุดไฮเทค Exosuit คือพระเอกของเกมนี้แบบสุดๆขอพูดตั้งแต่แรกเลยว่าถ้าคุณชอบ Iron Man และอยากเล่นเกมที่ให้เป็น Iron Man เกมนี้สามารถเล่นได้ทดแทนสูงอย่างมาก โดยจะเพราะอะไรให้ดูตามที่ด้านล่างๆ (ชุดเกราะ Exosuit เกมนี้มีชื่อเรียกใหญ่ๆ ว่า Javelin)เกมนี้จะแบ่งชุดเกราะ Exosuit 4 รูปแบบ โดยทุกรูปแบบจะมีวิธีต่อสู้ต่างกัน เหมือนกับการแบ่งอาชีพในเกม RPG เลย โดย 2 แบบแรกนั้นได้แรงบันดาลมาจาก Iron Man ด้วยนั่นคือ Ranger เกราะเก่งรอบด้าน และ Colossus เกราะเน้นถึก ส่วนอีก 2 คือ Storm เกราะจอมเวทย์ และ Intercepter เกราะเน้นความเร็วถือมีดไปไล่ซัดหน้าภาพเกราะ Rangerภาพเกราะ Colossusภาพเกราะ Stormภาพเกราะ Intercepterทุกเกราะจะมีวิธีต่อสู้ต่างกันไปหมด ต่างกันยันรูปแบบการเคลื่อนที่ ยกตัวอย่าง Storm ที่จะเป็นเกราะสไตล์จอมเวทย์ (แต่เวทย์วิทยาศาสตร์นะไม่ใช่แฟนตาซีหลุดโลก) ทำให้เราจะมีบาเรียรอบตัว และเวลาเคลื่อนที่ไวจะเป็นการลอยตัวพุ่งไปข้างหน้าเท่ๆ รวมทั้งสกิลโจมตีส่วนใหญ่จะเป็นการใช้พลังธาตุต่างๆ ประกอบด้วยไฟ, ไฟฟ้า และน้ำแข็งที่ใช้ได้เรื่อยๆ จนแทบไม่ต้องจับปืน แล้วตอนใช้ไม้ตายจะเป็นการคอมโบทั้ง 3 ธาตุ ซึ่งตรงนี้คนอ่านจะยังสงสัยว่าจุดเด่นรวมๆ เป็นยังไง แต่จะเห็นได้ชัดว่าชนิดชุดเกราะแบบนึงจะให้อารมณ์การเล่นต่างกันไปหลายส่วนเลยอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ระบบชุดเกราะ Exosuit ในเกมนี้แจ่มสุดๆ คือมันให้อรรถรสในการเล่นอย่างมาก ไม่ว่าจะอนิเมชั่น และฟิสิกส์ในการทำอะไรต่างๆ ยกตัวอย่างตอนที่ผู้เล่นบินจะฟินสุดๆ แถมไม่ว่าคุณจะเล่นด้วยจอยหรือคีย์บอร์ด เกมก็ยังทำให้คุณได้ฟิลน้ำหนักของชุดเกราะด้วย ทำให้ถ้าใครอยากเล่นเกมได้สวมเกราะ Exosuit เจ๋งๆ หรืออยากเป็น Iron Man นี่คือเกมที่จะตอบโจทย์คุณจริงๆ สุดท้ายคือเกมนี้จะมีร้านค้าสกิน Exosuit ที่สกินต่างๆ จะสวยงาม และเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปได้ทั้งตัวด้วย รวมทั้งเรายังเปลี่ยนแค่เฉพาะส่วนต่างๆ ได้ (ส่วนหัวหรือแค่ขาเป็นต้น) โดยสกินพวกนี้หาซื้อได้ด้วยการเติมหรือฟาร์มค่าเงินในเกมไปซื้อ แล้วตัวชุดเกราะยังปรับแต่งพวกสีหรือชนิดชิ้นส่วนๆ นั้นได้ (ชิ้นส่วนทำมาจากผ้าจะทำให้สีดูบางๆ หรือหนังสัตว์จะทำให้ดูสีเข้มๆ อะไรแบบนี้) ทำให้ถ้าคุณเป็นสายแต่ง เกมนี้ตอบโจทย์เอาเรื่องหน้าตาร้านค้าหน้าตาชุดสกินของเกราะ Ranger ถ้าคุณซื้อเกมแบบเวอร์ชั่น Deluxeแล้วก็สามารถปรับแต่งสี หรือใส่แแค่บางส่วนแล้วไปผสมกับสกินอื่นได้อิสระการออกแบบโลกในเกมที่น่าสำรวจมากๆหัวข้อนี้เราจะพูดกันทั้งเรื่องโลกในเกม และเนื้อเรื่องในเกม โดยเริ่มที่เนื้อเรื่องก่อนว่าเราจะได้เป็นฮีโร่ตกอับ แต่ก็เพิ่งกลับมาได้รับงานให้ไปหยุดพวกลัทธิตามหาพลังยึดโลก ซึ่งระหว่างทางเราจะได้ผจญภัย และรับภารกิจแปลกๆ ตลอดเวลา แถมตรงนี้ก็ทำออกมาได้ดีแบบเสพเพลินๆ เหมือนเรากำลังดูภาพยนตร์ Sci-FI อย่าง Star Wars หรือ Avatar อะไรทำนองนี้เลยเราจะได้พบเจอกับ NPC มากมาย และทุกคนจะมีให้เราได้สร้างความสัมพันธ์เรื่อยๆ และตรงนี้ก็มีเซอร์ไพร์สให้พบเจอเยอะมาก โดยบางบทสนทนาจะมีให้เราเลือกตอบแบบคนมองโลกแง่ดีกับแง่ร้ายได้ด้วย ซึ่งมันอาจไม่ส่งผลอะไรต่อเกมเลย แต่ก็จะทำให้ผู้เล่นอินไปกับจักรวาลในเกมเอาเรื่อง ส่งผลให้ใครเก่งอังกฤษ และชอบตีสนิทกับ NPC จะชอบเกมนี้เป็นพิเศษด้วย เพราะมันมีเยอะจนคาดไม่ถึง.มาต่อกันที่จักรวาลภายในเกม จักรวาลเกมนี้จะเป็นแนวยุคอนาคต แต่โลกในเกมจะแนวแบบมีเมืองเล็กๆ และเต็มไปด้วยป่าที่มีสิ่งสวยงามกับสัตว์ประหลาด โดยทั้งฉากตอนอยู่ในเมืองกับในป่า ทุกฉากสวยอลังมากๆ รวมทั้งในฉากจะมีการซ่อนสิ่งของเป็นเรื่องราวน่าสนใจให้ชมหรืออ่านศึกษาประวัติของมันกัน ทำให้ใครเป็นชอบอ่านก็จะอินเกมนี้เพิ่มไปอีกภาพฉากในเมืองภาพฉากในป่าพวกศัตรูในเกมนี้ก็มีหลายฝ่าย และหลายแบบพอสมควร โดยศัตรูจะมีฝ่ายให้อารมณ์แบบเป็นโจรมาหาปล้นสะดม หรือวายร้ายที่จะคว้าพลังยึดครองโลก ซึ่งทุกฝ่ายจะมีชนิดศัตรูต่างกันไป แล้วบางสถานที่อาจมีเป็นป้อมปืนสู้กับเราอะไรแบบนี้ แล้วก็ยังมีพวกมอนสเตอร์ตามจุดต่างๆ ในป่า ที่หลายตัวไม่เกีย่วกับเนื้อเรื่องเลย แต่มันก็มีเอกลักษณ์ต่อสู้ต่างกันสุดๆ แถมยังมีเป็นระดับไททันยักษ์เลยนั่นเองสุดท้ายนี้ อีกสิ่งที่อยากจะชมคือแม้ผู้สร้างจะดูทำเกมนี้ไม่เสร็จ แต่พวกเขาก็ทำให้จักรวาลเกมนี้มีมิติหลายอย่างที่สมบูรณ์แบบมากเลย ไม่ว่าจะด้านคนในเมืองที่ยังจะมีแบ่งเป็นฝ่ายตำรวจ, ฝ่ายนักสำรวจ, หรือฝ่ายฮีโร่สวมเกราะ Exosuit ทุกอย่างมันมีอะไรให้ค้นพบเต็มไปหมด จึงส่งผลให้สายเนื้อเรื่องน่าจะชอบเกมนี้เอาเรื่อง แต่ว่าสุดท้ายแล้วเนื้อเรื่องเกมนี้ก็สั้นเอาเรื่องอยู่นะ เพราะงั้นอย่าหวังว่าจะได้เต็มอิ่มมากขนาดนั้น แม้จักรวาลมันจะมิติเยอะระบบ RPG ที่ทำให้เกมเล่นได้เพลินเอาเรื่องอยู่ระบบ RPG ในเกมนี้อาจไม่ได้เทพมาก แต่ก็ถือว่าทำให้เกมน่าเล่นไปเรื่อยๆ โดยจะมีทั้งตัวระบบการทำดาเมจศัตรู, การคอมโบโจมตี และการฟาร์มหรือคคราฟไอเทมมาเริ่มที่ระบบแรกคือการทำดาเมจศัตรู โดยจะทำให้ศัตรูทุกตัวมีหลอดเลือด และเราจะทำดาเมจแบบปกติหรือ Critical ได้ (ถ้ายิงโดนหัวก็นับเป็น Critical) แล้วเกมจะมีระบบคอมโบโจมตีด้วย ซึ่งจะเกิดจากการเราใช้สกิลที่มีชนิดพลังต่างกัน แล้วจะเกิดเป็นปฎิกิริยาต่างๆ มาทำพลังดาเมจที่รุนแรงมาก (อารมณ์เหมือนคอมโบธาตุของเกม Genshin Impact เลย แต่เกมนี้มาจากสกิลที่ชนิดพลังต่างกันจากตัวละครเดียว)ตารางการคอมโบโจมตีส่วนการฟาร์มเกมนี้ก็จะให้ฟาร์มพวกอาวุธปืน, อาวุธประชิต, อาวุธสกิล, สกิลช่วยให้รอดตาย และชิ้นส่วนเสริมพลังเกราะ โดยพวกอาวุธปืนก็มีหลายชนิด ส่วนอาวุธสกิลจะส่งผลให้มีการโจมตีต่างกันสิ้นเชิงไปเลย ยกตัวอย่างของ Ranger มีสกิลยิงจรวด แต่เราเปลี่ยนเป็นสกิลยิงเลเซอร์แทนได้ แถมสกิลทุกอันของแต่ละอาชีพยังไม่เหมือนกันอีก ส่วนชิ้นส่วนเสริมพลังเกราะ จะมอบสกิลติดตัวพิเศษให้เรา ยกตัวอย่างใส่แล้วจะบินได้นานขึ้นเป็นต้นจากด้านบน ทุกชิ้นจะมีความแกร่งขึ้นอยู่กับเลเวล และจะมีระดับสีความเก่งที่ต่างกันไป ทำให้การฟาร์มเกมนี้มีมิติให้เล่นเพลินได้เรื่อยๆ แล้วช่วงท้ายเกมก็มีคอนเทนต์ยากๆ ที่เราต้องไปลุยอยู่ รวมทั้งมีให้ปรับความยากที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องฟาร์มจนมีค่าพลังให้ถึงตามความยากนั้นๆ ก่อนด้วยเกมยังมีเควสหลายรูปแบบเพียบ และมีเควสประจำวันอะไรแบบนี้ให้ได้ค่าเงินไปซื้อสกินสวยๆ มาใส่ โดยจุดนี้ถือเป็นคอนเทนต์ท้ายเกมให้เล่นได้เรื่อยๆ แล้วเกมก็ยังมีโหมดอารมณ์แบบ Open World ให้เราบินไปทำเควสสุ่มหรือเควสท้าทายต่างๆ ได้สิ่งที่ควรเตรียมใจก่อนซื้อเกมนี้บน PC สามารถเล่นได้ลื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไรหากคอมสเปคตรงตามที่เกมต้องการ แต่บน Console ไม่ว่าจะยุคเก่าหรือใหม่ เกมนี้จะเล่นได้เพียงแบบล็อก 30FPS เท่านั้น เนื่องจากเกมไม่มีอัปเดตให้ PlayStation 5 หรือ XBOX Series X l S แต่ภาพที่เล่นได้จะเป็น 4K อยู่ (บน XBOX Series X สามารถปลด 60FPS ได้ด้วยระบบพิเศษของเครื่อง แต่ความละเอียดภาพจะหล่นไปต่ำกว่า 1080P เสียอีก ทำให้ภาพในเกมแย่ถ้าเล่นบนจอสูงๆ)ตอนเล่นเกมนี้ในโหมดออนไลน์ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีปิงที่สูงอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ดีเลย์ให้เห็นจนน่าหงุดหงิดอะไรแบบนั้นสุดท้ายคือเกมนี้ไม่มีอัปเดตใหม่ๆ อีกแล้วแน่นอนเกมนี้รองรับ Coop ในทุกโหมด แม้โหมดเนื้อเรื่องก็ยัง Coop ได้ แต่เกมก็สามารถเล่นคนเดียวได้ด้วย แต่ถ้าจะเล่นคนเดียวต้องเข้าใจก่อนว่าระดับความยากต่างๆ ที่เกมมีให้เลือกจะทำมาเพื่อ Coop ทำให้ช่วงแรกๆ บางชุดเกราะจะลุยระดับ Hard ได้สบาย แต่บางชุดต้องระดับ Easy ถึงจะเล่นได้แฟร์ๆสรุปจากด้านบน เห็นได้ชัดว่า Anthem มันก็มีของดีของเด็ดอยู่นะ และทำให้น่าซื้อมาเล่นมากๆ ในราคาลดเหลือ 100-300 บาท โดยผู้เขียนก็ซื้อตอนลดมาแล้ว 2 รอบบน PC กับ PlayStation แล้วก็รู้สึกว่ามันเกินคุ้มไปเลยในราคานี้ ทำให้ใครหาเกมสวมเกราะเท่ๆ และจะไปลุยเดี่ยวหรือกับเพื่อน ก็แนะนำว่าอย่ามองข้ามเกมนี้ไป!!! แต่ยังไงเกมก็มีปัญหาตามที่แจ้งไป และก็มีเรื่องที่น่าผิดหวังนั่นแหละ
10 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Sonic Frontiers นี่คือเกมจากซีรีส์เจ้าเม่นสีฟ้า ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ถ้าให้พูดถึงเกมจากซีรีส์เจ้าเม่นสีฟ้า Sonic The Hedgehog ตัวซีรีส์มันก็อยู่กับเรามานานกว่า 30 ปีเข้าไปแล้วตั้งแต่เกมภาคแรกในปี 1991 ซึ่งตัวเกมก็ได้มีภาคต่อออกมาเรื่อย ๆ ทั้งดีบ้าง แป๊กบ้าง ซึ่งหนึ่งในจุดเด่นของตัวละครซีรีส์นี้ก็คงจะเป็นสปีดความเร็วของตัวละคร และภาพเคลื่อนไหวนั้นค่อนข้างเร็วกว่าเกม Platformer อื่น ๆ ในสมัยนั้น และในปี 2022 ทางผู้พัฒนาอย่าง SEGA ก็ได้ปล่อยเกมภาคใหม่อย่าง Sonic Frontiers ที่ในภาคนี้พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของเกมให้เรามีอิสระและพื้นที่เปิดกว้างในการสำรวจมากขึ้น รวมถึงยังใส่กลไกการต่อสู้ องค์ประกอบความเป็น RPG ด้วย ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่ามันควรค่าแก่การซื้อหรือไม่!?กราฟิก / การนำเสนอในด้านของกราฟิกใครที่เห็นภาพบรรยากาศของเกมมาบ้างแล้ว ท่านก็น่าจะเห็นความสวยงามของฉากที่ทำออกมาได้ค่อนข้างมีความสมจริงมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นส่วนตัวก็ยังรู้สึกขัด ๆ กับโมเดลของตัวละครที่ค่อยข้างดูมีความเป็นการ์ตูนมากเกินไป จนบางครั้งสีสันของตัวละครเอก มันอาจจะไปขัดกับศัตรูภายในเกม ขัดกับฉากต่าง ๆ พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นหนึ่งในสิ่งที่ต้อง=มก็คงจะเป็นในด้านของ Effect สกิลต่าง ๆ ที่ทำสีสันได้สวยงามมาก ๆ รวมถึงอีกหนึ่งสิ่งที่ขัดใจก็คงจะเป็นบรรยากาศภายในเกมที่มันค่อนข้างดูอ้างว้าง ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เลย แน่นอนว่าภายในเนื้อเรื่องของเกมก็จะมีการให้เหตุผลถึงบรรยากาศของดินแดนอันอ้างว้างนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้ตัวเกมขาดสีสันไปมากพอสมควร เนื้อเรื่องโดยเนื้อเรื่องของเกม Sonic Frontiers จะเล่าเรื่องราวของเจ้าเม่นสีฟ้า Sonic, Tails และ Amy ที่ตรวจจับสัญญาณบางอย่างในหมู่เกาะ Stafall Island แต่อยู่ดี ๆ ก็มีประตูมิติเกิดขึ้นและทำให้ทั้งหมดทุกดูดเข้าไปใน Cyber Space ถึงอย่างนั้นทาง Sonic เองก็ดันหลุดออกมาได้ แต่เพื่อน ๆ เขานั้นได้ติดกับดักทำให้เรานั้นจะต้องช่วยเหลือพวกเขา โดยเนื้อเรื่องของเกมจะค่อย ๆ เปิดเผยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ทางผู้พัฒนาพยายามคุมโทนให้ดูมีความซีเรียสนิด ๆ ใครที่ติดภาพเรื่องราว Sonic The Hedgehog ในแบบฉบับภาพยนตร์มาก่อนต้องยอมรับว่าตัวเกมภาคนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื้อเรื่องของเกมจะเน้นดราม่า ความจริงจัง และความซึ้งซะส่วนใหญ่โลกที่เปิดกว้าง ให้อิสระในการวิ่ง !!!!อย่างที่ทราบว่าเกม Sonic Frontiers ถูกดีไซน์แผนที่ให้มีความเป็นโลกเปิดมากขึ้น ทำให้เราจะได้มีอิสระในการสำรวจสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าจะให้พูดว่าตัวเกมเป็น Open World เต็มตัวก็คงไม่ได้ เพราะตัวเกมจะถูกแบ่งออกเป็น 5 โซนใหญ่ ๆ ซึ่งถ้าหากเรานั้นเล่นเนื้อเรื่องของโซนนั้นผ่านไปแล้ว เราจะไม่สามารถกลับไปโซนเดิมได้อีกนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นภายในแต่ละโซนก็จะมีอะไรให้เราทำมากพอสมควร โดยเนื้อเรื่องภายในเกมนั้นจะต้องให้เราไปหาเก็บพลังชีวิตเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ติดกับดักอยู่ โดยพลังชีวิตเหล่านี้เราก็จะอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในแผนที่ โดยเราก็จะต้องใช้พลังวิ่งเร็วของเจ้าโซนิคนี่แหละในการกระโดดเก็บบ้าง บางอันเก็บง่าย ๆ บางอันเก็บยาก และมันก็เหมือนกับปริศนาย่อม ๆ ให้เราต้องคิดด้วยว่า การเก็บพลังชีวิตจุดนี้ จะต้องไปเริ่มจากจุดไหนรวมถึงเราจะต้องทำการไปวิ่งเปิดแผนที่ด้วยตัวเอง ซึ่งการเปิดแผนที่ก็จะอยู๋ตามจุดเช่นกัน โดยการเปิดแผนที่เราเองก็อาจจะต้องทำชาเลนซ์เล็ก ๆ อย่างเช่นไปตรงจุด ๆ นี้ให้ถึงเวลา เตะลูกบอลให้เข้าห่วง หรือเล่นมินิเกมบางอย่างก็จะสามารถเปิดได้ ซึ่งหลัก ๆ ในการผจญภัยส่วนใหญ่จะอยู่กับการหาพลังชีวิตเพื่อช่วยเพื่อน และเปิดแผนที่นั่นเองกลไกการต่อสู้ที่น่าสนใจ และมอนสเตอร์สุดอลังการณ์สำหรับการต่อสู้ตัวเกมก็ใช้องค์ประกอบของความเป็น Action Hack and Slash เข้ามาผสมอยู่ด้วย โดยเราจะได้เจอกับเหล่ามอนสเตอร์ที่จะเกิดขึ้นมาและโจมตีเราอยู่ตลอด (หรือมอนสเตอร์บางตัวก็จะอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว) โดยระบบการโจมตี ตัวเกมจะเน้นการใช้คอมโบจากสกิลต่าง ๆ ที่เราได้อัปเกรดมาผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมโบโจมตีรัว ๆ อย่าง Phantom Rush การใช้พลังอย่าง Sonic Boom ในการโจมตี หรือจะใช้สกิล Wils Rush พุ่งโจมตีไปทำดาเมจใส่ศัตรู ซึ่งแล้วแต่คุณจะจินตนาการออก แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้เก่งอะไรมาก การกดโจมตีธรรมดามันก็สามารถทำให้คุณผ่านด่านได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าอาจจะช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ส่วนอีกหนึ่งที่น่าจะเป็นไฮไลท์ของเกมก็คือเหล่ามอนสเตอร์ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ และแพทเทิร์นการโจมตีที่แตกต่างกัน โดยเราจะต้องศึกษา และเรียนรู้ศัตรูในการจัดการ และพิเศษมาก ๆ ก็คงจะเป็นเหล่ามินิบอสในเกมตัวมหึมาที่เวลาต่อสู้ เรานั้นจะต้องพยายามปีนขึ้นไปบนตัวมันเพื่อทำดาเมจใส่จุดอ่อนที่อยู่ด้านบน หรือมินิบอสบางตัวที่จะบินวนไปมา โดยเราจะต้องหาที่สูงเพื่อหาจังหวะกระโดนปีนขึ้นไปบนหางเพื่อต่อสู้กับบอสตัวนั้นได้ หรือจะเป็นบอสบางตัวที่จะอยู่ในพื้นดินทะเลทรายก็มีเช่นกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าบอสเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ซึ่งการต่อสู้มีความสนุกและตื่นเต้นทุกครั้งตะลุยด่านต่าง ๆ ในประตูมิติอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่พูดไม่ได้ ของเกม Sonic Frontiers ที่มันชวนทำให้คิดถึงเกมเพลย์แนว Platformer สมัยก่อน นั่นก็คือประตูมิติที่จะให้เรานั้นได้เข้าไปตะลุยด่านแต่ละด่าน (โดยโซนพื้นที่หนึ่งจะมีราว ๆ 7 ด่าน) ที่ทางเข้านั้นจะตั้งอยู่ทั่วแผนที่ ซึ่งมันจะให้ความรู้สึกถึงเกมแพลตฟอร์มเมอร์สมัยก่อน วิ่งกระโดดเก็บเหรียญ กระโดดเหยียบโจมตีศัตรู หรือการใช้สปีดของโซนิคพุ่งตะลุยในจุดต่าง ๆ ซึ่งจุดประสงค์ที่เราจะต้องเข้าไปก็เพราะเราต้องเก็บกุญแจเพื่อเอามาปลดล็อคเนื้อเรื่องต่อนั่นเอง โดยเราจะต้องทำชาเลนซ์ต่าง ๆ ภายในด่านอย่างเช่นการเก็บเหรียญในด่านนั้นให้ครบตามกำหนด การเก็บเหรียญสีแดงในแผนที่ให้ครบต่อการวิ่งครั้งเดียว หรือการเล่นด่านให้จบเป็นต้น สรุปถ้าให้พูดถึงเกม Sonic Frontiers เปรียบเทียบกับเกมแนว Action Adventure อื่น ๆ ตัวเกมก็ไม่ได้มีรายละเอียดที่ลึกซึ้งใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าให้เปรียบเทียบกับเกม Platformer ด้วยกัน หรือเปรียบเทียบกับเกมโซนิคด้วยกันเอง ต้องยอมรับเลยว่า Sonic Frontiers นั้นยกระดับคุณภาพออกมาได้อย่างดี ถึงแม้ว่ารายละเอียดในเชิงลึกของเกมอาจจะยังไม่สูงมาก แต่โดยรวมตัวเกมก็มีลูกเล่นที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ของเหล่ามอนสเตอร์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ อย่างเช่นพวกบอสในเกมตัวมหิมาอย่างที่กล่าวไป หรือแพลตเทิร์นการโจมตีที่ต่างกันไปอีก รวมถึงอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้โซนิคไม่เหมือนเกมตระกูล Platformer อื่น ๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของสปีดความเร็วของเกมที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมโซนิค แน่นอนว่าสำหรับใครที่มองภาพของเกมที่เร็วมากไม่ได้ ท่านก็อาจจะมีปวดหัวกันบ้าง แต่ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ค่อนเล่นเกมแนวนี้ เรื่องจากความช้าของมัน แต่โซนิคมากลบสิ่งที่ส่วนตัวไม่ชอบตรงนี้และถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียแน่นอนว่าในด้านกราฟิกของเกมที่มันดูขัดกันแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของบรรยากาศของเกมที่มันดูอ้างว้างมากเกินไป ถึงแม้ว่าภายในเกมจะมีเนื้อเรื่องเหตุผลมารองรับ แต่เชื่อว่าการได้ผจญภัยในดินแดนที่พบเจอผู้คน (หรือจะไปวิ่งภายในเมืองเลย) อาจจะทำให้ตัวเกมดูน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้ รวมถึงในด้านเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนมองว่าการปูธีมของเกมที่จะเน้นความจริงจัง บทพูดที่ดูชวนซึ่งและซีเรียส แน่นอนว่าผู้เขียนอาจจะไม่เชี่ยวชาญเกมโซนิคภาคก่อน ๆ ว่ามีการทำเนื้อเรื่องสไตล์นี้ไหม แต่ภาพจำของผู้เขียนต่อโซนิคไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอที่ออกมา หรือภาพยนตร์ตัวเกมมันดูน่ารัก และบทพูดที่มีความตลกชวนจิกกัดซึ่งมันน่าสนใจมากกว่า
08 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม The Tenants ปล่อยเช่าก็ได้ ซื้อขายก็ดี เกมจำลองชีวิตนักอสังหาที่เพลินเกินคาดคิด
The Tenants ผู้เขียนไปเห็นว่ามันเป็นเกมแนะนำช่วงลดราคาเลยไปหาอ่านศึกษาคอนเซปต์ของเกมดู ซึ่งมันมีความน่าสนใจมาก ๆ ครับ ถึงแม้จะวางขายมานานเป็นปีแล้ว ซึ่งในเกมนี้เราจะต้องรับบทเป็นนักอสังหาริมทรัพย์ท่านหนึ่ง ที่จะต้องรีโนเวทสิ่งปลูกสร้าง ปล่อยเช่า ปล่อยขาย แล้วเมคมันนีกับสินทรัพย์ของเราครับผมลองดูภาพจาก Trailer ก่อนตัดสินใจซื้อมันมาก็คิดว่า เออถ้าไม่ได้เล่นเนี่ย เสียใจแน่ ๆ เลย เพราะภาพของเกมเป็นแนวที่ผมค่อนข้างชอบเพราะ The Tenants มีภาพน่ารักดูเข้าถึงง่าย ไม่จริงจังแบบเกมระดับ AAA (ไม่ใช่ไม่อยากเล่นนะครับ แต่เครื่องผมเกมระดับ AAA มันเล่นไม่ไหว ฮ่า ๆ)ถึงแม้จะวางขายกันมาตั้งแต่ 25 มี.ค. 2021 แต่ผู้เขียนเชื่อว่ามันยังเป็นเกมที่น่าเล่นอยู่ครับ เลยอยากจะมารีวิวชวนเพื่อน ๆ มาเล่นด้วยกัน บรรยากาศในเกมเป็นยังไงนั้นเราไปดูกันดีกว่าครับเพลินกว่าที่คิด มีระบบที่หลากหลาย อาจจะต้องทำความเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่ยากจนเกินไปเกมเพลย์ในเกมนี้มีให้เราได้เลือกเล่นอยู่ 2 โหมดด้วยกันครับ ได้แก่Default Mode - ซึ่งเป็นโหมดเนื้อเรื่องนะครับ เราจะได้รับบทบาทเป็น Landlord (เจ้าของบ้านเช่า หรือเจ้าของที่ดิน) ท่านหนึ่ง สามารถเลือก Avatar ได้ แต่ค่อนข้างมีให้เลือกจำกัดครับ โดยเริ่มแรกในเกมนั้นจะมีคุณลุง Steve มาคอยเป็นไกด์สอนงานเรา แผนที่จะปลดล็อคเมืองให้เราเล่นไปเรื่อย ๆ ครับ จากที่เล่นดูคร่าว ๆ ผมคาดเดาว่ามีประมาณ 3 เมืองครับ ช่วงแรก ๆ นั้นเราก็จะเน้นหลัก ๆ ไปที่การรับรีโนเวทบ้านของลูกค้าผู้จ้างวานเรา ให้ช่วยปรับปรุงหรือต่อเติมบ้านของพวกเขาครับ เมื่อเราเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว เราสามารถนำเงินที่หามาได้ไปประมูลที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ภายในเมือง ถ้าเราประมูลชนะเรียบร้อย เราก็แค่ปรับปรุงบ้านที่เราได้มาให้สวยงามแล้วจะปล่อยเช่า หรือปล่อยขายก็ได้ตามแต่ใจเราเลยครับ มีระบบอัพ Skill ทั้งของตัวเราเอง (Player) และของลุง Steve ผมบอกเลยว่าเพลินมาก ๆ เพราะมีอะไรให้ทำเยอะมาก ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องใช้ความเข้าใจกับระบบของเกมหน่อยครับ เพราะมีระบบให้คนมาเช่าบ้านต้องต่อรองเรื่องราคากัน เมื่อเลเวลอัพของตกแต่งจะปลดล็อคมาให้เราเลือกใช้เพิ่มมากขึ้น พอปรับตัวกับระบบของเกมได้ทีนี้เราจะลืมวันลืมเวลาไปเลยครับ ฮ่า ๆCustomizable Mode - สร้างเอาสวยอย่างเดียวเลยครับ ไม่มีอะไรมากเหมาะกับคนที่ชอบแต่งบ้าน ทุกอย่างจะปลดล็อคมาให้เราใช้งานหมดแล้ว สำหรับผู้เขียนไม่ได้ชอบเล่นสไตล์นี้เท่าไหร่ เพราะไม่มีชาเลนจ์ความท้าทายอะไรให้เราทำเลยไม่ใช่จะสร้างอะไรก็ได้ เรตติ้งหายกำไรหดการรับงานผู้ว่าจ้างจะรีเควสลิสต์สิ่งที่เขาต้องการไว้ให้เราครับ ชอบสีอะไร ไม่ชอบสไตล์วินเทจ หรือสามารถรีโนเวทได้ทั้งสไตล์โมเดิลและสไตล์พื้นบ้าน ตรงนี้จะมีแจ้งเอาไว้ให้เราอ่านในเกมครับ เราก็แค่เทียบเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ให้ดีก่อนว่าเป็นสไตล์ไหน เพราะถ้าใส่ผิดเรตติ้งหลังจบงานก็จะน้อย เพราะในเกมนี้เราต้องการผู้ว่าจ้างระดับ Elite (เหล่าคนรวย หรือคนดัง) ในเกม เพราะเงินดีเงินถึง เพราะเราต้องการเงินตรงนี้เพื่อที่จะนำไปประมูลอสังหาฯ ต่าง ๆ ในเกมครับ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่า ที่ดิน หรือแม้แต่อพาร์ทเมนต์ ฉะนั้นอย่าลืมดูลิสต์รีเควสดีดีนะครับเกมนี้มีระบบเลเวล และระบบอัพสกิลด้วยพอเราจบงานเราจะได้รับเงินใช่ไหมครับ นอกจากเงินที่เราได้รับแล้วเราจะได้รับเลเวลด้วย ทุก ๆ เลเวลที่อัพจะได้รับการปลดล็อคของตกแต่งบ้านใหม่ ๆ ส่วนสกิลก็จะแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ส่วนครับ ไม่ว่าจะเป็นของเรา ของลุงสตีฟ (เพราะลุงสตีฟจะเป็นคนช่วยซ่อมบ้าน และทำความสะอาดบ้าน) และส่วนของการซื้อสิ่งปลูกสร้างครับ อย่างเช่น ของลุงสตีฟเนี่ย ถ้าเราอัพแล้วลุงก็จะทำความสะอาดได้ว่องไวขึ้น ซ่อมบ้านรวดเร็วขึ้น ชึบ ๆ ชับ ๆ ส่วนของเราเนี่ยเราจะต่อรองราคาการเช่าซื้อ ค่าเช่ารายเดือนกับลูกค้าที่ต้องการเช่าบ้านเราได้ดีขึ้น เป็นต้นครับระบบการปล่อยเช่า และการเป็นแลนด์ลอร์ดท่านหนึ่งเมื่อเราประมูลสินทรัพย์มาไว้ในครอบครอง และรีโนเวทเรียบร้อยพร้อมปล่อยให้เช่าแล้ว ทีนี้เราก็ต้องเปิด Open House (ให้คนเข้าชมบ้าน) เราก็ต้องคอยสังเกตท่าทีกันสักนิดหนึ่งว่าใครดูจะปิ๊งปั๊งกับบ้านของเรามากเป็นพิเศษ (มองหาตัวตึงคนรักบ้าน) มันจะมีอีโมจิแสดงขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ละคนก็จะมีสไตล์การชอบศิลปะภายในบ้านแตกต่างกันไป ผู้เขียนแนะนำว่าให้รีโนเวทบ้านเป็นสไตล์ใดสไตล์หนึ่งไปเลย เพราะมันจะง่ายกับเราครับ เมื่อเราเจอผู้เช่าที่ถูกตาต้องใจแล้ว อย่าลืมเช็คว่าผู้เช่ามีการมีงานทำหรือเปล่า นิสัยเป็นยังไงบ้าง เช่น ถ้าติดเหล้า ก็อาจจะทำบ้านเลอะเทอะ หรือข้าวของพังเสียหายบ่อย ๆ ครับ หลังจากจด ๆ จ้อง ๆ ดูใจกันจนถูกตาต้องใจกับผู้เช่าคนไหนแล้ว เราสามารถเสนอราคาเพื่อดีลงานกับผู้เช่าได้เลยครับ ซึ่งราคาจะโดนกดยับ ๆ เลย แต่ว่าเราก็หาราคาที่เราพอใจที่สุดแล้วปิดจ็อบไปครับบิลต่าง ๆ แลนด์ลอร์ดอย่างเราต้องเป็นคนจ่ายครับ ซึ่งเราก็คิดมาจากค่าเช่าบ้าน + กำไรเรียบร้อยแล้ว แค่เราต้องคอยดูอาการของลูกบ้านให้ดีว่าจะเบี้ยวค่าเช่าเราไหม แต่บางคนน่ารักครับ เขาแค่หมุนเงินไม่ทันพอมีเงินเขาก็รีบจ่ายให้เราทันทีเลย แหม! มันสมจริงสุด ๆ ฮ่า ๆระบบต่าง ๆ อาจจะมีบางอย่างชวนหงุดหงิดอยู่บ้างThe Tenants เป็นเกม 3D Polygon Simulation จำลองสถานการณ์ ที่เราจะรับบทเป็นแลนด์ลอร์ดรูปงามท่านหนึ่ง (อ้างอิงจากการส่องกระจกเมื่อเช้าครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ) มีระบบการบังคับแบบมองจากด้านบนลงมา ตัวเกมมีภาพน่ารักครับ สบายตา สีสันสดใส ชื่นตาชื่นใจสุด ๆ เครื่องไม่ต้องเทพระดับ i9 ก็เล่นได้ ระบบการบังคับต่าง ๆ เหมือนกับเกมอื่น ๆ แนวสร้างเมือง สร้างบ้าน ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด ใช้ W,A,S,D เคลื่อนย้ายมุมกล้อง ลูกกลิ้งเมาส์ใช้ซูมเข้าออก Q,E หมุนมุมกล้อง อาจจะมีการ Interact บางอย่างที่อาจจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่บ้างครับ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าใจได้ ตัวเกมมีตาลุง Steve เป็นกึ่ง ๆ Tutorial คอยไกด์งานสั่งสอนเราตลอดหน้าเมนูต่าง ๆ ก็ออกแบบมาได้สวยงามดี ติดนิดเดียวที่น่ารำคาญก็คือ ค่อนข้างกดสั่งการยากไปหน่อย ถ้าเราสั่งงานล่วงหน้าไว้แล้วถ้าเรากดผิดนิดหนึ่งมันจะยกเลิกทุกอย่างที่เราสั่งไว้หมดเลย อันนี้ผู้เขียนว่ามันสร้างความยุ่งยากให้กับคนเล่นอย่างเรามาก ๆ ครับ เพราะแค่กดให้ลุงสตีฟเดิน อะไรที่สั่งการเอาไว้ก็จะถูกยกเลิกทั้งหมด ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ไม่โอเคมาก ๆ ครับสรุปThe Tenants ถ้าผู้เขียนมีโอกาสได้ซื้อในช่วงที่มันไม่ลดราคา ผมก็บอกเลยว่าผมไม่เสียดายเงินแม้แต่บาทเดียวเลยครับกับเกมนี้ เป็นเกมดีดีอีกหนึ่งเกมที่ผมอยากให้เพื่อน ๆ ที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะซื้อดีไหม? อย่าไปลังเลครับ ซื้อไปเลยยยยย (แบบตะโกน) ฮ่า ๆ ๆ อวยกันสุดฤทธิ์ เกมราคาไม่แพงด้วย 319 บาทเท่านั้นเอง! หรือจะรอสอยตอนช่วงลดราคาก็ได้จะได้ประหยัดอีกนิดครับ มันมีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ผู้เขียนแอบมีมุมที่คิดว่า"เออ ถ้าเรามีเงินทุน การทำอสังหาริมทรัพย์ในชีวิตจริง มันก็คงประมาณนี้แหละ"แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงนะครับ (และในเกมก็ไม่ได้สอนแบบลึกซึ้งขนาดนั้น) ถ้าเล่นจากในเกมแล้วมีความสนใจจะเป็นแลนด์ลอร์ดจริง ๆ อย่าลืมศึกษาให้ดี ๆ เพราะถ้าเป็นคนทั่วไปอย่างเรา ๆ เวลาล้ม มันล้มแบบไม่มีฟูกมารองรับ เพราะในเกมเรากดเล่นใหม่ได้ตลอด ชีวิตจริงนี่เจ๊งแล้วเจ๊งเลย แต่ผมมองว่าเกมนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีที่ทำให้เราได้เห็นถึงลำดับขั้นตอนการทำงานบางส่วนของอาชีพนี้ครับ น้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ มาเล่นอาจจะได้รับแรงบันดาลใจเป็นหนึ่งความฝันให้กับเราได้ครับ ผู้เขียนแอบซ้อมในเกมไว้ก่อน เรากำลังจะขายที่ดินให้ชาวต่างชาติได้แล้วฮะ (เอ๊ะ! ฟังดูคุ้น ๆ ไหมครับ ฮ่า ๆ)
07 Nov 2022
[Review] รีวิว Gotham Knights เกม Open World Coop ที่ 4 ลูกศิษย์แบทแมนต้องมาดูแลเมือง และสู้วายร้ายแทน!
เรียกว่าเป็นเกมฟอร์มยักษ์แห่งปี 2022 ที่หลายคนน่าจะมองว่าประสบความล้มเหลว และไม่น่าจับตามองกันไปแล้วสำหรับ Gotham Knights เกมซุปเปอร์ฮีโร่ Open World Coop จากค่าย Warner Bros. Games ที่ก่อนเกมวางจำหน่ายดันมีข่าวถึงเรื่องการกินสเปค PC สูงอย่างมาก แถมบน Console รุ่นใหม่อย่าง PS5 กับ XBOX Series X l S ก็ดันมีให้เล่นได้แค่แบบล็อกเฟรมเรท 30FPS เท่านั้น บวกกับคะแนนรีวิวจากสื่อใหญ่ๆ ก็ให้กันไม่เยอะ จึงส่งผลให้หลังเกมวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2022 ก็มีกระแสที่ดูเงียบหายไปเร็วอย่างมากเลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม ทางเรายังเชื่อว่าคงมีหลายคนที่สงสัยว่าแล้วเกม Gotham Knights จะมีส่วนไหนที่สนุกจนน่าสนใจบ้างหรือเปล่า และจะไม่มีอะไรที่ทำให้น่าซื้อมาเล่นเลยหรือ? วันนี้ทาง GameFever จึงขอพาทุกคนมาดูรีวิวเกม Gotham Knights กัน!!! รับชมได้ที่ด้านล่างเลย(บอกไว้ก่อน)รีวิวนี้ ผู้เขียนเป็นคนชอบเกมแนว RPG อย่างมาก และเคยผ่านเกมอย่าง Marvel's Avenger อย่างติดใจมาแล้วส่งผลให้ผู้เขียนจะรีวิวเกมนี้อย่างเข้าใจจุดนำเสนอแน่นอน และไม่เอาไปเทียบกับเกมอย่าง Marvel's Spider-man!มาดูที่ด้านเนื้อเรื่องกันก่อนGotham Knights เป็นเกมที่เล่าว่า Batman ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดูแลเมือง Gotham มาโดยตลอดได้หายตัวไป และผู้ที่จะมาต่อสู้กับเหล่าวายร้ายพร้อมดูแลเมืองแทนได้ก็มีเพียง 4 ลูกศิษย์ของ Batman อย่าง Robin, Batgirl, Nightwing และ Red Hood ในฉบับต้องมาร่วมมือกันเท่านั้นถือว่าเป็นพอร์ทเนื้อเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะหลังจากที่ Batman หายตัวไป เหล่าวายร้ายก็ออกมาเต็มเมืองไปหมดด้วยเนื่องจากไม่มี Batman ให้ต้องกลัวอีกแล้ว และยิ่งเราเล่นไปเรื่อยๆ เราก็จะได้พบกับตัวร้ายลึกลับแบบไม่คาดฝัน หรือมีการขยี้ปมตัวเอกทั้ง 4 อยู่เยอะพอสมควร ส่งให้ผลถ้าคุณเป็นแฟนจักรวาลแบทแมน หรือเคยเล่นซีรี่ส์เกม Batman Arkham มาก่อนจะรู้สึกชอบกับอะไรพวกนี้มากแต่กลับกัน ถ้าคุณไม่รู้เรื่องจักรวาลแบทแมน หรือเคยเล่นซีรี่ส์เกม Batman Arkham คุณจะรู้สึกว่าในด้านเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพร์สเลย และคุณก็อาจไม่อินกับการเล่นเป็น 4 ตัวละครเอกของเกมนี้ด้วย เพราะเนื้อเรื่องในเกมนี้ก็ไม่ได้น่าสนใจหรือรู้สึกว่ามีจุดสำคัญมากขนาดนั้น และไม่ว่าคุณจะรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องจักรวาลแบทแมนก็ตาม คุณจะรู้สึกได้เลยว่าเนื้อเรื่องในเกมนี้จบได้บ้านๆ มาก อย่างกับไม่ใช่เกมที่ต้องจ่ายราคาหลักพันขึ้น!อีกจุดนึงที่น่าผิดหวังคือตัวเอกทั้ง 4 นั้นเริ่มเกมมาก็ร่วมมือกันแล้ว และก็ไม่มีประเด็นแตกคอน่าสนใจออกมาให้เห็นเลย ทำให้ด้านความสัมพันธ์ของตัวเอกนั้นจะดูธรรมดามาก ทั้งๆ ที่ในคอมมิกเราจะเห็นว่าทั้ง 4 มีประเด็นขัดแย้งต่างๆ ให้คนเล่นอินได้ตั้งเยอะ แถมช่วงที่เล่นไปเราก็จะได้พบฉากที่ทั้ง 4 มาสร้างมิตรภาพแบบครอบครัวร่วมกันด้วย แต่ฉากต่างๆ ก็ไม่ได้มีพลังทำให้คนเล่นรู้สึกผูกพันกินใจอะไรเลย เพราะฉากก็สั้นๆ ห้วนๆ มากจากด้านบน จึงส่งผลให้เราจะเห็นได้ชัดว่า Gotham Knights มีเนื้อเรื่องที่บอบบางมาก และล้มเหลวในสิ่งที่ควรจะเล่าออกมาให้ดี แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าในเนื้อเรื่องยังมีเซอร์ไพร์ส และมีการขยี้ปมตัวเอกทั้ง 4 ให้พบเจออยู่ด้วย ส่งผลให้ถ้าบวกรวมกับด้านเกมเพลย์หรือจุดนำเสนออื่นๆ ก็จะทำให้เกมน่าเล่นไปจนจบได้อยู่ ผู้เขียนจึงแนะนำว่าคนเล่นควรไปติวเข้มจักรวาลแบทแมนมาก่อนดีกว่า จะได้ไม่รู้สึกเฉยๆ กับเนื้อเรื่องในเกมนี้ในตอนเล่น!จุดนำเสนอทั้งหมดของเกมนี้Gotham Knights เป็นเกมที่เล่นได้ทั้งแบบคนเดียว และ Coop สูงสุด 2 คน โดยจะให้ผู้เล่นมาผจญภัยในโลก Open World นั่นก็คือเมือง Gotham ซึ่งผู้เล่นก็มีอิสระจะเลือกเล่นเป็นตัวเอกคนไหนก็ได้ รวมทั้งจะรับเควสหลักหรือเควสเสริม หรือไปหยุดอาชญากรรมตรงไหนก็ได้ตลอดเวลา โดยขอชมเรื่องหนึ่งก่อนเลยคือเมือง Gotham มีการออกแบบสถานที่ต่างๆ มาได้ดีอย่างมากที่เกม Coop ได้แค่สูงสุด 2 คน ก็เพราะเกมเป็น Open World ให้ผู้เล่น Coop เล่นด้วยกันได้ทุกภารกิจด้วยแต่อนาคตจะมีเพิ่มโหมด Coop พิเศษให้เล่นได้สูงสุดเป็น 4 คนจุดเด่นที่ผู้เขียนชอบมากคือเกมไม่มีบังคับให้เล่นเป็นตัวไหนเลย เราสามารถเล่นเป็นตัวไหนในเควสไหนก็ได้ และนั่นก็ยังส่งผลให้บทพูดต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่างเควสที่เราเอา Nightwing ไปพบหน้าวายร้ายคนหนึ่งแล้วจะมีบทพูดแบบกวนๆ ถ้าเราเอา Batgirl ไปพบแทนก็จะเป็นบทพูดอีกแบบออกแนวห้าวๆ ตามนิสัยตัวละคร จุดนี้ทำให้เห็นว่าทีมงานใส่ใจในรายละเอียด และการมอบอิสระให้คนเล่นมากส่วนระบบต่อสู้ในเกมนี้อาจทำให้แฟนซีรี่ส์เกม Batman Arkham แอบเสียใจหน่อย เพราะระบบต่อสู้ได้เปลี่ยนใหม่มาเป็นแนว Action RPG เน้นทำดาเมจ Critical หรือดาเมจให้ติดสถานะธาตุ (ยกตัวอย่างไฟหรือน้ำแข็ง) รวมทั้งยังเน้นเก็บเกจเพื่อใช้สกิลไม้ตายต่างๆ โดยระบบต่อสู้จะมีความเชื่องช้ากว่าเพื่อให้เล่นแบบ Coop ได้ไม่เวียนหัว แต่ระบบต่อสู้ก็ถือว่าทำออกมาดีไม่น่าเบื่อ แถมยังช่วยให้ตัวละครทั้ง 4 มีแนวการต่อสู้ต่างกันยิ่งกว่าเดิมด้วยความที่ทั้ง 4 คือลูกศิษย์ Batman ในเกมนี้จึงจะยังมีระบบลอบเร้นอยู่ด้วย และก็ถือว่าระบบนี้ทำออกมาได้ลื่นไหลอยู่ ส่งผลให้สายถลกหลังจะชอบเกมนี้อยู่พอสมควร รวมทั้งตัวละครอย่าง Robin ก็จะมีสกิลด้านลอบเร้นเพิ่มเติมด้วย ส่วน Batgirl จะสกิลช่วยปิดกล้องวงจรหรือปิดป้อมปืนศัตรูขณะลอบเร้นด้วยความเป็นแนว Action RPG ก็ยังมีให้ผู้เล่นต้องมาฟาร์มอาวุธกับชุดด้วย แต่ช้าก่อน! เพราะเกมนี้พวกอาวุธกับชุดไม่ได้ส่งผลต่อการต่อสู้มากขนาดนั้น และผู้เล่นจะได้รับเรื่อยๆ อยู่แล้วไม่ว่าจะเล่นเควสแบบไหน ส่งผลให้ระบบนี้ไม่ได้จะผลักดันให้ผู้เล่นต้องไปฟาร์มซ้ำๆ ซากๆ อะไรแบบนั้น แต่ตรงนี้จะเป็นข้อดีมากกว่า เพราะชุดกับอาวุธจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวละคร และชุดแต่ละแบบนั้นดีไซน์มาเท่มาก แถมเรายังปรับแต่งได้หลายชุดด้วย!ภาพหนึ่งในชุดเกราะสุดเท่ของตัวละคร Robinแล้วเราจะปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ส่วนหัว/แขน/ขา ได้ชุดละ 3 แบบแถมเปลี่ยนสีชุดได้หลายแบบด้วย แต่ต้องไปปลดล็อกสีก่อนอีกข้อดีนึงที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือเกมนี้ให้อรรถรสให้ผู้เล่นได้ดีสุดๆ ยกตัวอย่างผู้เขียนไปทำเควสสุ่มที่มีโจรมาปล้นธนาคาร โจรจะเข้ามาปล้นทางประตูหน้า และจะเข้าไปขนเงินมาขึ้นรถ แต่เรานั้นก็สามารถเข้าไปบู๊ด้านหน้าตรงๆ หรือจะเข้าจากหลังคามาลอบเร้นตบทีละคนก็ได้ แต่หลังจัดการเสร็จจะมีตำรวจมาจับคนร้ายในพื้นที่ด้วย ทำให้เราที่ไม่ถูกกับตำรวจจึงต้องหลบหนีไปให้ได้ ถือว่าเป็นอะไรที่เร้าใจมากเลย!อย่างไรก็ตาม แม้เกมนี้จะเป็นแนว Action RPG แต่ผู้เล่นก็จะไม่ได้มาสร้าง Build การเล่นแต่ละตัวละครที่ต่างกันได้มากอะไรขนาดนั้น เนื่องจากทุกตัวละครจะชุดสกิลที่ตายตัวมาให้แล้ว ถ้าจะต่างกันได้ก็แค่ไปทางเน้นโจมตีแรงๆ หรือมีพลังชีวิตเยอะเป็นพิเศษเสียมากกว่า ส่งผลให้ใครหวังว่าเกมจะมีระบบ RPG ลุ่มลึกแบบ Marvel's Avenger ก็ควรคิดใหม่ รวมทั้งเกมนี้เมื่อจบแล้วก็คือเคลียร์เควสเสริม และเน้นไปเล่น New Game+ ต่อเลยภาพสกิลตัวละคร Robinสกิลคือตายตัวมาเลยว่าเป็นตัวละครเน้นต่อสู้ + ลอบเร้น + ทำให้ศัตรูติดสถานะธาตุต่างๆ ได้ไวมากจุดน่าสนใจเพิ่มเติมของเกมนี้จากด้านบน หลายคนอาจรู้สึกว่าเกมนี้ยังไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเหมือนเกมอื่นๆ และช่วงต้นของเกมนี้ผู้เขียนก็ขอบอกเลยว่าเกมดูไม่มีอะไรอย่างมาก แต่เมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆ เราจะได้พบกับศัตรูฝ่ายใหม่ และศัตรูชนิดใหม่ที่มีให้พบเจอนับหลักสิบขึ้นไปเลย และบางศัตรูเราต้องใช้สกิลมาแก้ทางด้วย ซึ่งพูดง่ายๆ คือยิ่งเราเล่นไปเยอะขึ้น เราจะยิ่งพบว่าเกมมีอะไรให้พบเจอเยอะขึ้นจนไม่น่าเบื่อยิ่งเราเล่นตัวเอกทั้ง 4 ไปเรื่อยๆ ทุกตัวละครก็จะมีการปลดล็อกชุดสกิลใหม่ และอุปกรณ์เดินทางลอยฟ้าใหม่อีกต่างหาก ยกตัวอย่างของ Robin ที่จะวาร์ปไปสถานีอวกาศ และสามารถวาร์ปมาจุดไหนก็ได้ แถมวาร์ปมาโจมตีศัตรูได้อีก หรือของ Nightwing ที่จะเป็นเครื่องร่อนบินขึ้นลงได้อิสระ ส่งผลให้เราไม่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์ หรือยิงสลิงโหนไปตามตึกต่างๆ ในการเดินทางอย่างเดียว (มอเตอร์ไซค์เกมนี้เดินทางช้ามาก ถ้าได้ขี่มีกำหมัด)นอกจากนี้ ในแผนที่ยังมีความลับจากแบทแมนให้เราไปตามหามากมาย โดยบางอันก็จะเป็นปริศนา หรือบางอันก็จะเป็นภารกิจท้าทายให้เราเดินทางไปจุดหนึ่งให้ทันเวลาด้วยวิธีต่างๆ พร้อมได้รางวัลเป็นสกินชุดหรือสีชุดต่างๆ ที่เท่มาก ส่งผลให้เกมนี้มีอะไรน่าทำไม่ใช่แค่การต่อสู้อย่างเดียวอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือปริศนาในเกมนี้ทุกรูปแบบ รวมทั้งที่พบในเควสจะทำออกมาท้าทายมาก และให้ผู้เล่นต้องใช้หัวคิดเอาเรื่อง แต่บางปริศนาที่เป็นการให้เราจับคู่เบาะแสหรือหาว่าอันไหนคือเบาะแสไปเจอคนร้าย เมื่อเราหาผิดไป 2 ครั้งจะมีให้เรากด Skip ข้ามไปเลยก็ได้ ส่งผลให้ผู้เล่นเกมนี้ที่ไม่ชอบแก้ปริศนาก็สามารถเล่นได้เพลินๆ อยู่จะเห็นได้ว่าผู้เขียนไม่ได้ติอะไรเกี่ยวกับจุดนำเสนอหรือจุดน่าสนใจของเกมนี้เลย แต่เอาจริงๆ สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวไปมันก็ถือว่าเป็นอะไรปกติที่เราพบเห็นได้ปกติในเกมทั่วไปอยู่ดี ส่งผลให้อะไรพวกนี้ผู้เขียนมองว่ามันก็ไม่ใช่จุดขายจนทำให้เกมนี้ต้องซื้อมาเล่นให้ได้ แต่ก็น่าจะเป็นจุดที่ทำให้คนอยากสวมบทเป็น Robin, Batgirl, Robin และ Red Hood รู้สึกว่ามีอะไรที่ทำให้น่าเล่นเกมนี้เพลินๆ ได้แล้ว!มาดูประเด็นสำคัญของเกมนี้อย่าง 'ประสิทธิภาพ' กันเถอะ!อย่างที่กล่าวไปว่าเกมนี้มีข่าวเรื่องกินสเปค PC เกินไป และล็อกเฟรมเรท 30FPS บนคอนโซลยุคใหม่ตั้งแต่ก่อนวางจำหน่าย ทำให้หลายๆ คนได้มองข้ามเกมนี้ไปเลยทันที โดยขณะที่ผู้เขียนได้มาลองเกมนี้ช่วงแพทช์ 1.0 ก็พบว่าเกมนี้กินสเปคแบบไม่คุ้มกับภาพกราฟิกที่ได้รับเลยจริงๆ เหมือนผู้สร้างเกมนี้ไม่มีความชำนาญทำเกมให้เล่นลื่น แต่ผู้เขียนก็ยังมองว่าถ้าสเปคผ่านขั้นแนะนำ ก็จะสามารถเล่นเกมนี้ได้ไม่น่าหงุดหงิดอย่างที่คิดนะ!สเปคที่ทางเราใช้เล่นเกมนี้ระบบปฎิบัติการ : Windows 10 64-bitโปรเซสเซอร์ : AMD Ryzen 5 5600Xหน่วยความจำ : แรม 16 GBการ์ดจอ : AMD Radeon RX 6600 XTพื้นที่จัดเก็บข้อมูล : SSDผู้เขียนได้ปรับภาพเกมนี้อยู่ที่ระดับ 1080P ตามขนาดมอนิเตอร์ และส่วนใหญ่ปรับภาพระดับ High-Medium สิ่งที่ผู้เขียนพบคือช่วงต่อสู้หรือช่วงอยู่ในสถานที่ต่างๆ เฟรมเรทจะลื่นไหลปกติดีเลย แต่ช่วงที่ต้องเดินทางด้วยวิธีต่างๆ จะมีเฟรมเรทหล่นไปที่ 40-50 FPS ทำให้ช่วงเดินทางในเกมนี้จะเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดพอสมควร แต่ตอนที่ปลดระบบ Fast Travel ก็จะทำให้ไม่ค่อยได้มาหงุดหงิดอะไรตรงนี้เท่าไหร่นอกจากนี้ ผู้เขียนก็มีพบบั๊กอยู่บ้างจนทำให้บางเควสเล่นไม่ผ่าน แต่ก็ไม่ใช่เควสหลัก และก็ยังมีบั๊ก Fast Travel ที่ทำให้ Crash ออกจากเกมหน้าตาเฉยตอนเล่นเป็น Batgirl ส่วนตอนเล่นเป็นตัวละครอื่นไม่มีปัญหา Fast Travel เลย (การ Fast Travel เกมนี้เท่มากๆ ด้วย จะเป็นการให้เราใช้เครื่องร่อนขนาดอลังหล่นมาจากฟ้า)จากด้านบน ผู้เขียนจึงมองว่าแม้เกมนี้จะมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพเอาเรื่อง แต่ก็สามารถเล่นได้จนจบโดยไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไรขนาดนั้น โดยก็ต่างกับตอนเกม Batman Arkham Knights ลง PC ใหม่ๆ ที่ตอนนั้นเกมมีปัญหาจนเล่นจบแทบไม่ไหวเลยนั่นเอง แต่ผู้เขียนก็หวังว่า Gotham Knights จะมีการอัปเดตแพทช์แก้ปัญหาในตรงนี้ด้วย!สรุปจากด้านบนทั้งหมด เราจึงเห็นได้ว่าเกม Gotham Knights ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องกินสเปคบน PC หรือมีแค่ล็อก 30FPS บนคอนโซลยุคใหม่ เกมนั้นก็ยังมีปัญหาด้านเนื้อเรื่องไม่ได้น่าสนใจมาก และเกมเพลย์การนำเสนอต่างๆ ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมจนเป็นเกมต้องหามาเล่นให้ได้อยู่ดี แต่ถ้าคุณชอบที่จะได้เล่นเป็นลูกศิษย์ทั้ง 4 ของแบทแมนคนใดก็ได้ หรืออยากเล่นเกมสวมบทซุปเปอร์ฮีโร่กับเพื่อนแบบเพลินๆ เกมนี้ก็ถือว่าทำมาตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ควรหวังถึงความยอดเยี่ยมอะไรตามที่กล่าวไว้นั่นเอง!
06 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Isle of Arrows ลูกผสม Tower Defense และ Roguelike พร้อมงานภาพสุดสบายตา
Isle of Arrows เกมเกาะแห่งลูกธนูเกมนี้เป็นเกมอินดี้ที่ผสานแนว Tower Defense และ Roguelike เข้าด้วยกัน เราจะรับบทเป็นผู้สร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าผู้บุกรุกบุกเข้ามาทำลายพวกเรา ต้องวางแผนการตีถนน วางป้อมและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อดึงประโยชน์ของมันออกมาใช้งานได้อย่างสูงสุดจากตัวเลือกที่สุ่มได้แค่อ่านก็รู้สึกน่าสนใจแล้ว แถมไม่ค่อยมีเกมที่นำสองแนวเกมนี้มาผสมกันเท่าไหร่ ซึ่งเกมนี้ทำออกมาเป็นอย่างไรนั้น งั้นไปอ่านกันต่อเลย! (สายพกพาเองก็ห้ามพลาด เพราะเกมลงสมาร์ทโฟนด้วย)เมื่อเรากดเริ่มเกม บนแถบข้างบนจะบอกถึงทรัพยากรที่เรามี ดังนี้หัวใจ (Heart) พลังชีวิตของเรา จะลดเมื่อมีศัตรูบุกมาถึงฐาน 1 ตัวต่อ 1 หัวใจ ถ้าหมดคือจบเกมเหรียญทอง (Coin) เงินของเราที่ใช้แลกเปลี่ยน ตัวเกมมีระบบดอกเบี้ยด้วยตามจำนวนเงินที่เก็บไว้ ระดับปกติ +1, 10-20: +2, 21-30: +3, 31 ขึ้นไป: +4สะพาน (Bridge) สามารถวางแผ่นสิ่งก่อสร้างบนช่องที่ไม่มีพื้นได้ เสีย 1 อันต่อ 1 ช่อง สมมติว่าการ์ดที่วางมีสองช่องก็จะเสียสะพานสองอันระเบิด (Bomb) สามารถวางทับสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่ก่อนได้ เสีย 1 อันต่อ 1 ช่องเช่นกันรอบการบุก (Wave) จะมีบอกว่ารอบต่อไปจะเป็นรอบที่เท่าไหร่ ซึ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับเหตุการณ์ต่างๆ สอดแทรกที่จะสุ่มทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นหรือลำบากยิ่งกว่าเดิมมันจบแล้วอนาคิน ป้อมยิงธนูข้าอยู่ที่สูงกว่า! ปกติยิงได้แค่ 8 ช่องรอบตัวเองนะ ฉะนั้นใช้ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ซะ!Tower Defense: ป้อมปะทะศัตรูวีธีการเล่นเกมนี้นั้นก็เหมือนกับเกมแนว Tower Defense ทั่วไปคือ มีทางเดิน มีฐานและมีศัตรู งานของเราคือการวางป้อมเพื่อจัดการกับเหล่าศัตรูก่อนจะเดินถึงฐาน (ซึ่งในเกมนี้คือแท่งคริสตัล) ซึ่งป้อมปราการในเกมนี้ก็ค่อนข้างมีหลากหลายทีเดียว ตั้งแต่ป้อมยิงธนูธรรมดา ป้อมยิงลูกระเบิดไปจนถึงป้อมปล่อยหินกลิ้ง แต่ละป้อมเองก็มีแนวการยิงของตัวเองที่แตกต่างกันไปให้เราต้องเลือกหาตำแหน่งวางที่เหมาะสมที่สุด เพราะยิ่งเล่นนานๆ ไป จำนวนศัตรูจะยิ่งมากและเริ่มมีตัวที่แข็งแกร่งปรากฏกาย นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ช่วยรับมือศัตรูด้วย เช่น กับดักน้ำแข็ง (Ice Trap) ที่จะทำให้ศัตรูเดินช้าลง, กับดักหนาม (Spike Trap) ที่จะทำดาเมจใส่ศัตรูที่เดินชนRoguelike: การสุ่มการ์ดสิ่งก่อสร้างท่ามกลางความเป็นไปได้อันมากมายจั่วหัวมาตั้งแต่แรกว่าเป็นแนว Roguelike ก็บอกเลยว่าการวางป้อมเพื่อจัดการศัตรูก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการ์ดที่สุ่มได้ด้วย ในแต่ละรอบจะวางได้หนึ่งใบพร้อมกับได้รู้ว่ารอบหน้าเราจะได้การ์ดอะไร ถ้าอยากหยิบใบต่อไปมาใช้โดยไม่ต้องรอก็จ่าย 2 เหรียญทองเพื่อหยิบมาใช้ได้เลยสังเกตเห็นว่าสิ่งก่อสร้างบางอย่างก็ไม่ได้มาเปล่าแต่มีบล็อกน้ำ (Water) ติดมาด้วย อาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่สิ่งกีดขวางนี้ทำให้เราวางสิ่งก่อสร้างได้ยุ่งยากขึ้น แต่ก็มีบางสิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้น้ำในการแสดงผลเอฟเฟคด้วย ถ้าวางน้ำดีๆ ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้นะซึ่งการ์ดในเกมนี้ก็มีจำนวนที่หลากหลายมากกว่า 50 ใบเลยทีเดียว แค่แผ่นถนนก็มีตั้งหลายแบบแล้ว งั้นมาพูดถึงสิ่งก่อสร้างตั้งต้นที่พบเจอได้บ่อยๆ หน่อยดีกว่าธง (Flag) วางแล้วเพิ่มอาณาเขตเกาะสวน (Garden) วางแล้วเพิ่ม 1 เหรียญทองทันทีโรงปฏิบัติงาน (Workshop) หากมีน้ำ 2 ช่องอยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ จะเลือกแผ่นทางเดินเพิ่มได้ฟรีกระท่อมตกปลา (Fishing Hut) ได้รับ 2 เหรียญทองตามจำนวนน้ำที่อยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ป้อมสอดส่อง (Watchpost) ป้อมปราการที่อยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ จะยิงแรงขึ้น 10% และเล็งไปที่เป้าหมายเลือดมากก่อน (บางป้อมจะเล็งตัวเลือดน้อยก่อน)ตลาดนัด (Market Square) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะเข้าสู่ตลาดมืด (Black Market) เพื่อซื้อของได้ทันทีอนุสาวรีย์ (Monument) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะได้รับสะพาน 3 อันโกดัง (Storehouse) หากมีป้อมปราการ 2 ช่องอยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ จะเลือกการ์ดโบนัสได้ฟรีรูปปั้น (Statue) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะได้รับระเบิด 2 ลูกน้ำพุ (Fountain) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะได้รับ 2 หัวใจสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างก็มีเอฟเฟคและเงื่อนไขการใช้งานแตกต่างกัน อย่าลืมกดเครื่องหมาย ? ตรงมุมการ์ดเพื่ออ่านก่อนวางด้วยล่ะจ๊ะเอ๋ตัวเอง! โผล่มาแบบนี้ ป้องกันทางเดียวมันยังไม่ปวดหัวพอใช่มั้ย!?ในขณะที่เรากำลังวางแผนเส้นทางที่มีเพียงหนึ่งอย่างหัวหมุน จู่ๆ เกมก็เกิดจุดที่สองมาให้เราดูแลเฉยเลย ทำให้เราต้องวางทางเดินหรือป้อมในทางใหม่ด้วย ป้องกันทางหนึ่งได้แต่อีกทางโดนบุกเละไม่ได้นะ ซึ่งพอเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะมีจุดที่สามโผล่มาให้เราป้องกันด้วย เอาล่ะวางแผนขยายเกาะและวางทางวางป้อมกันดีๆ ล่ะเซอร์ไพร์สที่จะทำให้เกมง่ายขึ้น.. หรือแม้แต่ยากยิ่งกว่าเดิมเมื่อแต่ละรอบผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราจะได้เจอกับเหตุการณ์แบบสุ่มที่อาจจะช่วยชีวิตเรา หรือแม้แต่การเสี่ยงโชค (เพราะ High Risk High Reward ยังไงล่ะ!) ซึ่งมีทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้การ์ดโบนัส (Bonus Cards) จะมีการ์ด 3 ใบมาให้เลือก ซึ่งเลือกได้เพียงใบเดียว ต้องการอะไรอยู่ก็หยิบเลยของโบราณ (Relics) เลือกแล้วจะได้บัพที่มีผลทันทีหรือตลอดเกมแล้วแต่เอฟเฟค เลือกให้ถูกใจตามสไตล์การเล่นของตัวเองแล้วกันการเผชิญหน้า (Encounters) ต้องแลกทรัพยากรที่เรามีหรือเสี่ยงทายหัวก้อยเพื่อสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ถ้าได้ของดีก็ดีไป หากใครไม่ชอบความเสี่ยงก็สามารถกดข้ามได้ซ้ายก็ดี ขวาก็น่าสนใจเรตการสุ่ม: โซ่ตรวนสำคัญที่ทำให้เกมแนว Roguelike ถ้าไม่สนุกก็หัวร้อนไปเลยลองจินตนาการว่าตอนเริ่มเกมมา นอกจากป้อมที่ตั้งต้นให้อันนึงแล้ว การ์ดที่เกมสุ่มมาให้คุณก็มีแต่ทาง ทางและทาง จนศัตรูเริ่มเยอะเกินที่ป้อมป้อมเดียวจะกันได้แล้ว ป้อมอันที่สองก็ยังไม่โผล่ ช่วงแรกเงินก็น้อยนิดเหลือเกินยังจะต้องมากดข้ามเพื่อหาป้อมอีก เฮ้อ รีเกมดีกว่าแต่ท้ายเกมจะรีก็ไม่ได้น่ะสิ บางทีกว่าจะได้การ์ดที่ต้องการคือสุ่มกันตาเหลือก ยิ่งท้ายเกมที่มีสามทางต้องกันและศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้น การที่ผู้เล่นสุ่มไม่ได้ป้อมปราการเลยคือแทบจะสิ้นหวัง จบกันที่พยายามมาทั้งหมด แต่ถ้าใครบริหารการเงินดีๆ ท้ายเกมก็อาจมีเงินพอรีหาการ์ดที่ต้องการก่อนจะจบตาที่ 40เรตการสุ่มของเกมนี้ยังอยู่ในจุดที่ใจร้ายมากนัก จริงอยู่ที่เกมต้องมีเรตสุ่มในระดับที่ไม่ทำให้ผู้เล่นเอาชนะเกมแต่ละตาด้วยการวางแบบเดิมๆ แต่การได้การ์ดเส้นทางติดกันห้าหกอันในช่วงท้ายเกมมันทำให้หัวเสียไม่น้อย เป็นสิ่งเดียวจริงๆ ที่ทำให้เกมมอบประสบการ์ณหงุดหงิดใจมากกว่าสนุกในบางจังหวะสรุป: การผสมผสานของเกมสองแนวผ่านงานภาพสุดมินิมอลที่ทำออกมาได้น่าสนใจเกม Isle of Arrows เป็นเกมแนว Tower Defense ที่ทำให้เราต้องปรับแผนการเล่นอยู่เสมอเนื่องจากลูกเล่น Roguelike ที่สอดแทรกอยู่ในทุกกระเบียดนิ้วของเกม เป็นเกมที่ทั้งท้าทายและหัวร้อนกับการสุ่มอยู่หน่อยๆ เพราะบางทีเกมก็ไม่สุ่มการ์ดที่เราต้องการมาให้สักที ต้องการป้อมนะไม่ใช่ถนน ขอป้อมยิงหน่อย! ป้อมอยู่ไหนเนี่ย!! (ไม่รู้ๆๆ)นอกจากนี้ตัวเกมก็มีหลายโหมดการเล่นเลยทีเดียวให้เราได้เลือกซึ่งจะเรียกว่ากิลด์ (Guild) ซึ่งจะมีคุณสมบัติตั้งต้นและการ์ดที่เราจะได้เจอระหว่างการเล่นไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเปลี่ยนโหมดเปลี่ยนรสชาติ ทำให้แต่ละตาที่ได้เล่นก็จะพบกับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน แอบดูดเวลาเหมือนกันนะเพราะตาหนึ่งก็กินเวลาไม่น้อยประกอบกับงานภาพที่มองแล้วสบายตา บางคนอาจจะคุ้นๆ กราฟิคหน้าตาแบบนี้ เพราะมีผู้พัฒนาคือคุณ Daniel Lutz ที่เคยเป็น Creative Director ของเกม Hitman GO และ Lara Croft GO มาก่อนนั่นเอง การออกแบบมองเพลินแต่เกมเพลย์ไม่เพลินเลยนะคุณพี่ (แซว)ซึ่งเกมนี้นอกจากบน PC ก็ยังมีบนสมาร์ทโฟนด้วย แบบนี้สายพกพายิ่งพลาดไม่ได้แล้ว!โดยรวมแล้วเป็นเกมที่น่าสนใจเกมหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าเกม Tower Defense แบบปกติมันท้าทายไม่พอ เกมเกาะแห่งลูกธนูที่เสริมรสชาติด้วยแนว Roguelike เกมนี้คงจะพอทำให้ชีวิตตื่นเต้นได้นะ!Isle of Arrows โดยผู้พัฒนา Gridpopราคา: 219 บาท (Steam และ App Store), 250 บาท (Google Play)แพลตฟอร์มเกม: PC บนร้านค้า Steam, iOS, Androidรีวิวบน Steam: Very Positiveแท็กเกม: Tower Defense, Roguelike, Puzzle, Board Game เล่นได้เรื่อยๆ เลยเกมนี้!
05 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม DORAEMON STORY OF SEASONS: Friend of the Great Kingdom
แมวสีฟ้าโดราเอมอน การ์ตูนในดวงใจของใครหลายคนที่ถูกหยิบมาดัดแปลงเป็นเกมยุคปัจจุบันอีกครั้ง โดยสร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ มาแล้วในภาคแรกอย่าง DORAEMON STORY OF SEASONS ซึ่งคราวนี้ตัวเกมกลับมาพร้อมภาคต่ออย่าง Friend of the Great Kingdom แต่การกลับมาของโดราเอมอนและผองเพื่อนนั้นจะสนุกเพลิดเพลินแค่ไหน ก็มาดูรีวิวของเรากันได้เลยพักร้อนสุดน่าเบื่อของโนบิตะและผองเพื่อนเรื่องราวของเกมภาคนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน แทนที่จะได้หยุดพักผ่อน แต่เหล่าเด็ก ๆ กลับต้องทำงานหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อแม่ของพวกเขาสั่งให้ทำ เด็ก ๆ เบื่อเหลือทน จึงร้องเรียกของวิเศษจากโดราเอมอน โดราเอมอนที่หยิบกระสวยอวกาศออกมา และพาเด็ก ๆ ไปพักผ่อนหย่อนใจนอกโลก ก็บังเอิญหลุดไปยังดาวเคราะห์ดวงใหม่ และบังเอิญไปพบกับเด็กหนุ่มนามว่าไลท์ ที่หมดสติอยู่ พวกโดราเอมอนได้เข้าไปช่วยเหลือ และด้วยความชิลล์ตามสไตล์การ์ตูน โดราเอมอน โนบิตะและผองเพื่อนจึงตัดสินใจว่าจะช่วยเหลิองานด้านเกษตรกรรม และทำฟาร์มเพื่อสานต่อหน้าที่ที่คุณพ่อของไลท์ได้ฝากทิ้งไว้ให้ ชีวิตช่วงพักร้อนของพวกโนบิตะที่แท้จริง ได้เริ่มต้นที่ดวงดาวแห่งนี้ต้องบอกว่าเป็นเกมที่เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เราแค่ถูกส่งมาต่างดาว และเรริ่มต้นชีวิตการปลูกผักทำฟาร์ม เหมือนกับเกมที่เกมอื่น ๆ ทำ แต่จะต่างตรงที่เกมมอื่นตรงที่ ถ้าเป็นเกมอื่น เราก็แค่ย้ายไปชนบท แต่เกมนี้ย้ายดวงดาวกันเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันสักเท่าไรอยู่ดีเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็จะคล้าย ๆ กับเกมปลูกผักทำฟาร์มเกมอื่น ๆ เริ่มจากรับมรดกเป็นบ้านหลังเก่า ๆ แบบฟรี ๆ รับอุปกรณ์ทำไร่ทำสวน จากนั้นก็ค่อย ๆ ไปทำความรู้จักกับสมาชิกในหมู่บ้าน โดยเกมจะเล่าผ่านตัวละครของโนบิตะเป็นหลัก และด้วยความที่เป็นเกมที่อิงพื้นฐานจากโดราเอมอน ทำให้คาแรคเตอร์ตัวละคร นิสัยใจคอ จะอิงจากซีรีส์โดราเอมอนเป็นหลักทั้งสิ้น ใครที่เป็นโดราเอมอนอยู่แล้ว จะอินกับเกมนี้ได้มากกว่าคนอื่น และการพาให้ผู้เล่นได้รู้จักกับตัวละครต่าง ๆ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี โดยมันเป็นภารกิจหลักที่จะให้ผู้เล่นต้องไปหา NPC ตัวนั้น ๆ และเรียนรู้เรื่องราว หรือชีวิตของตัวละครตัวนั้นเลยว่าพวกเขามีกิจวัตรอะไร ทำงานอะไร มีใครรอบตัวบ้าง จุดนี้เป็นสิ่งที่เกมทำออกมาได้ดี ทำให้เราอินกับเนื้อเรื่องได้มากขึ้น และค่อย ๆ ชอบตัวละครตัวนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเผยความจริงในสไตล์ของการ์ตูน แต่หากจะให้พูดถึงข้อเสียเล็กน้อยคือ ภาคนี้ยังคงใช้เวลาในการเกริ่นเนื้อเรื่องนานพอสมควร แม้จะไม่นานเท่าภาคแรก แต่ก็ยังเยอะอยู่ดี จริงอยู่ว่าสามารถข้ามได้ แต่ก็ถือว่าเยอะ โดยเฉพาะคนที่เคยเล่นเกมปลูกผักมาก่อน อาจจะเบื่อเอาตั้งแต่ช่วงแรกเลยก็ได้ โลกของเกมปลูกผักทำฟาร์มเมื่อนำเสนอผ่านตัวละครโดราเอมอนฉากหลังของเกมภาคนี้คือดาวเคราะห์ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่หากไม่บอกว่าเป็นดาวเคราะห์อื่น เราก็คงเดากันไม่ได้ เพราะทุกอย่างภายในเกมนี้มันช่างเหมือนโลกมนุษย์อันปกติสุขมาก ในเกมนี้จะมีชนเผ่าที่ต่างกัน 4 ชนเผ่า เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่อง และขนาดแผนที่ที่ถือว่ามีขนาดกลาง ๆ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป แต่สิ่งที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษคือการสลับสับเปลี่ยนมุมมองของฉากในบางช่วง จากที่เป็นมุมมอง Isometric แบบ Top-Down อยู่ บางฉากของเมืองก็จะเปลี่ยนกลายไปเป็นเหมือนเกม Action RPG ซะอย่างนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในระหว่างการเล่นได้สำหรับตัวเกมก็จะเหมือนกับเกมปลูกผักทำฟาร์มทั้งหลาย ใครที่เคยผ่านเกมแนวนี้มาเยอะ ๆ โดยเฉพาะซีรีส์ STORY OF SEASONS ก็จะรู้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผักทำฟาร์ม การสนทนาสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าตัวละครต่าง ๆ ปฏิทินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเมือง ทั้งเทศกาลนักแม่นปืน ล่าสัตว์ แข่งม้า คือสิ่งที่เกมนี้นำจากเกมอื่นมาต่อยอด และใส่ความเป็นโดราเอมอนลงไปแทนทั้งหมด และแฟน ๆ โดราเอมอนจะต้องชื่นชอบ คือเกมนี้จะมีความพิถีพิถันในเรื่องของนิสัยใจคอของตัวละคร เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบจากการ์ตูนมาเลยก็ว่าได้ หากคุณเคยดูหรือเคยอ่านโดราเอมอนแล้วพบว่านิสัยใจคอตัวละครในการ์ตูนเป็นอย่างไร ในเกมก็จะเป็นแบบนั้น แต่บางตัวอาจจะซอฟต์ ๆ ลงมาหน่อย ให้เหมาะสมกับบริบทของเกม ส่วนของการเล่าเรื่องบางช่วงก็จะเล่าเรื่องเหมือนกับเราอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่เลยก็ว่าได้ เป็นอีกเสน่ห์ที่เกมนี้มอบให้กับเราขนาดแผนที่ภายในเกมนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เราสามารถออกสำรวจได้เกือบทั้งหมดตั้งแต่แรก และกิจกรรมที่มีให้ทำก็ไม่ได้เยอะเกินกว่าพลังชีวิตที่เรามี  ทำให้เกมนี้ค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นมิตรกับผู้เล่นทุกคนมาก ๆ และด้วยความที่เป็นเกมจากโดราเอมอน มันจึงถูกทำออกมาหใ้ทุกคนเข้าถึงได้ ผ่อนคลายจนเข้าข่าย Slow life ไปเลยก็ได้ อย่างผู้เขียนเอง กว่าจะเล่นจนถึงวันที่ 8 (ภายในเกม) ก็ใช้เวลาไป 3-4 ชั่วโมง ซึ่งเล่นไปขนาดนั้นแล้ว ยังเพิ่งจะปลดล็อคคอนเทนต์บางอย่างของเกมมา และเจอตัวละครใหม่อยู่เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าใช้เวลากันสุด ๆ สำหรับเกมแนวนี้ ใครที่ชอบเล่นเกมแนวผ่อนคลาย ปลูกผัก ทำฟาร์ม และรักโดราเอมอนด้วย บอกเลยว่าเกมนี้คุ้มเกินคุ้มไปเลยและหลังจากที่ BANDAI Namco บุกตีตลาดแฟนเกมชาวไทยมาตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ส่วนใหญ่ เกมจากอนิเมะและแฟรนไชส์ดัง ๆ ของค่ายนี้จะได้รับการแปลเป็นภาษาไทยอยู่เสมอ และเกมนี้เองก็เช่นกัน และมาตรฐานการแปลไทยของ BANDAI Namco ต้องบอกว่า ไม่มีตก แปลได้ดีอย่างยอดเยี่ยม คำผิดแทบไม่มีให้เห็น และมีการแปลชื่อตัวละครบางตัวให้มีความเป็นไทยในสไตล์โดราเอมอนอีกด้วย อย่างเช่นตัวละคร Gidal และ Gogmir ก็มีการตั้งชื่อไทยให้ว่าโกก๊องและกากั๊ง หรือทหารยามในเมือง ก็ตั้งชื่อไทยให้ว่าหยุดยั้ง และปกป้อง แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อตัวละคร แต่สำหรับแฟน ๆ โดราเอมอนแล้วจะรู้สึกชอบและทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นและเพราะเกมภาคนี้มีฉากคัทซีนที่ค่อนข้างยืดยาวและคุยกันเยอะมาก การมีภาษาไทย ช่วยให้เราเสพเนื้อเรื่องได้อย่างมีอรรถรสมากขึ้น แต่ถึงจะมีแปลไทย แต่บางฉากก็คุยกันยาวเกินจนแอบน่าเบื่ออยู๋เหมือนกัน แต่ในเรื่องของการแปลไทย ต้องบอกเลยว่าเต็มสิบไม่หักสำหรับเกมนี้เกมเพลย์สุดผ่อนคลายที่แฟน ๆ STORY OF SEASONS จะต้องชื่นชอบสำหรับเกมเพลย์ของเกมนี้ เชื่อว่าไม่ต้องอธิบายอะไรมากเลย สำหรับคนที่เป็นแฟนเกม STORY OF SEASONS อยู่แล้ว ระบบทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิมเกือบหมด แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น เราก็จะรีวิวให้ฟัง เกมนี้จะพิเศษตรงที่เราจะไม่ค่อยเหงาเท่าไร ปกติแล้วบ้านพักของเราในเกมปลูกผักเกมอื่น เราจะอยู่คนเดียว แต่เกมนี้ เราจะอยู่กับพลพรรคผองเพื่อนของเราทั้งแก๊ง แต่ช่วงเวลากลางวัน ทุกคนจะแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ส่วนกลางคืนจะกลับมานอนร่วมกัน และทุกเย็นกับทุกเช้าจะเป็นเวลาทานอาหารร่วมกัน รู้สึกอบอุ่นแบบที่เกมอื่นให้ไม่ได้ตัวละครหลักที่เราจะได้เล่นก็คือโนบิตะ และเหมือนกันกับเกมทำฟาร์มเกมอื่น ๆ ใน 1 วัน เราจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า และมีพลังงานจำกัด แน่นอนว่าต้องแบ่งปันส่วนหนึ่งไปใช้รดน้ำ ปลูกผัก ทำฟาร์ม ส่วนที่เหลือจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ผู้เล่น ที่มีทางเลือกในการเล่นอย่างหลากหลาย เช่นไปคุยกับชาวบ้าน เพิ่มความสัมพันธ์ ช่วยเหลือด้านคำร้องขอ โดยจัดหาไอเทมไปส่งให้เพื่อเพิ่มค่าความสนิทสนม หรือจะไปตกปลา ขุดเหมือง ไล่จับแมลง ได้หมด อิสระอยู่ที่ตัวผู้เล่น ทำให้เราต้องบริหารจัดการเอาเองว่าวันนี้จะทำกิจกรรมอะไร หาเงิน หรือไปทำอย่างอื่น เพราะโลกในเกมก็มีกิจกรรมมากมายให้ทำ และใช้พลังงานของโนบิตะแต่ถึงอย่างนั้นเกมก็มอบอิสระให้ผู้เล่นอยู่ดี พลังงานที่ให้มาใช้ในแต่ละวันถือว่ามากเพียงพออยู่แล้ว หลัก ๆ เราจะหมดไปกับงานหนัก ๆ และได้เงินดีอย่างขุดแร่ หรือตกปลา ที่เหลือก็เดินชิลล์ หรือจะใช้ในการตัดต้นไม้ ทุบหินในบ้าน เพื่อจัดสรรพื้นที่ในบ้านเราให้สวยงามมากยิ่งขึ้น การปลูกผักทำฟาร์มก็จะคล้ายเกมอื่น ๆ คือเราสามารถหาซื้อเมล็ดได้จากร้านค้า พืชพรรณแต่ละชนิดจะถูกแบ่งออกเป็นสี แต่ละสีแทนฤดูกาลที่เหมาะสมกับการปลูกพืชพรรณนั้น ๆ เช่นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูหนาว ฤดูร้อน และแต่ละฤดูยังมีกิจกรรมที่แตกต่างกันอีกด้วย โดยกิจกรรมต่าง ๆ ก็ดูได้จากกระดานของหมู่บ้านแต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องลุยทำงานเกษตรกรรมอยู่คนเดียว ในภาคนี้ได้เพิ่มระบบผู้ช่วยเข้ามา ผู้ช่วยนั้นเราสามารถไปกดคุยกับเพื่อนคนต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือในวันนั้นได้ ผู้ช่วยจะตามเราไปทุกที และช่วยทำำกิจกรรมทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา ขุดเหมือง ปลูกผัก รดน้ำ ทำให้เกมการเล่นสบายขึ้นไปอีก และทำให้พลัง Stamina ต่อวันของเราเหลือเยอะไปทำอย่างอื่นมากขึ้น แนะนำว่าถ้าไม่ซีเรียส ก็รอปลดล็อคเจ้าหุ่นยนต์มาช่วย รับรองชีวิตจะยิ่งสบายและมันจะเป็นเกมโดราเอมอนไม่ได้ หากไม่มีของวิเศษจากโดราเอมอนให้ใช้ แต่ต้องบอกเลยว่า กว่าคอนเทนต์ของวิเศษนั้น ต้องเล่นไปยาวมาก ๆ กว่าจะได้ปลดล็อคมาใช้ เรียกได้ช่วง 5-6 ชั่วโมงแรกของเกม เราต้องเล่นแบบเกมปลูกผักทำฟาร์มทั่วไปก่อน กว่าจะได้ก็ต้องใช้เวลาเล่นกันไปยาว ๆ ก่อนเลย ลำบากก่อน สบายทีหลัง โดยของวิเศษของเราจะค่อย ๆ ได้กลับคืนมาอีกระบบที่ไม่มีไม่ได้ คือการสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครต่าง ๆ แต่ในเกมนี้จะไม่มีจีบกัน ทำได้เพียงเพิ่มค่าความสนิทสนมเท่านั้น ซึ่งมันจะส่งผลให้เนื้อเรื่องเดินต่อไปข้างหน้า และเป็นอีกระบบที่ทำให้ผู้เล่นต้องติดพันอยู่กับเกมนี้ยาว ๆ เพราะไม่ใช่แค่ให้ของชิ้นสองชิ้นแล้วจะเพิ่ม แต่ต้องคอยทำตามคำสั่ง คำร้องขออื่น ๆ กว่าจะได้เพิ่มก็เสียเวลาไปไม่ใช่น้อย รู้ตัวอีกทีก็ล่อไปหลายสิบชั่วโมงเข้าไปแล้วความสนุกของเกมนี้คือความผ่อนคลาย เล่นง่ายอย่างมากที่สุด อาจจะง่ายกว่าเกมปลูกผักทำฟาร์มเกมอื่นด้วยซ้ำไป และที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษ คือ ความเล่นง่ายแบบนี้ ทำให้เราไม่ต้องหัวหมุนนั่งจัดการทรัพยากรโน่นนี่ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใน STORY OF SEASONS เกมอื่น ๆ นั้น เป็นแบบนี้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าใช่ก็ไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมแฟน ๆ ถึงหลงรักซีรีส์นี้ ส่วนอีกข้อที่ชื่นชมเป็นพิเศษคือ ปกติแล้วเกมแนวปลูกผักทำฟาร์มจะบังคับให้เราเซฟผ่านการนอนเท่านั้น และมันจะเป็นการบังคับจบวัน ซึ่งบางคนอาจจะอยากเลิกเล่นกลางเกมก็ทำไม่ได้ แต่เกมนี้สามารถเซฟและโหลดเกมได้ตลอดเวลาที่หน้าเมนู เป็นอะไรที่ถูกใจมาก ๆ หลังจากที่เกมทำฟาร์มก่อนหน้า ต้องเซฟตอนจบวันเท่านั้นภาพรวมของ DORAEMON STORY OF SEASONS ในภาคนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าทำไมเกมแนวนี้จึงได้รับความนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือออริจินอลของ Harvest Moon แต่ถูกนำมาตีความใหม่ในโลกของโดราเอมอน ใครที่ชอบเกมแนวนี้อยู่แล้ว อยากจะกดราคาเต็ม ถ้าไม่เดือดร้อนทางการเงิน บอกเลยว่าคุ้มค่าภาพน่ารัก กินสเปคเครื่องแบบเบา ๆงานนี้ใครที่คอมพิวเตอร์ไม่ได้แรงมากก็บอกเลยว่าสบายมาก ๆ เพราะเอาแค่ขั้นต่ำ ใครที่ใช้การ์ดจอสมัยเก่าอย่าง GTX750 Ti ก็ยังสามารถเปิดเกมนี้เล่นได้ แต่ทางที่ดีก็ให้มันผ่านขั้นต่ำมาซะหน่อยจะดีกว่า ใครที่คอมพิวเตอร์ไม่แรง ตัวเกมยังมาพร้อมกับ Setting Option ที่รองรับการตั้งค่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการล็อกเฟรมเรทไว้ที่ 30 การปรับกราฟิกพื้นผิวที่อาจจะช่วยทำให้เครื่องของบางคนเล่นได้ลื่นขึ้น หรือพวกลดรอยหยัก V-Sync ก็มีมาให้ปรับเช่นกัน ดังนั้นคอมพิวเตอร์ใครที่พอจะเล่นเกม AAA ยุคนี้ได้แบบกลาง ๆ หรือปรับสูง เกมนี้ก็น่าจะสบายอยู่แล้ว ส่วนเรื่องบั๊ก และข้อผิดพลาด ก็บอกได้เลยว่า หายห่วงแน่นอน แทบไม่มีปัญหาใด ๆ มารบกวนระหว่างการเล่นDORAEMON STORY OF SEASONS: Friend of the Great Kingdom เป็นการหยิบเอาโดราเอมอนมาผสมผสานเข้ากับการปลูกผักทำฟาร์มที่ดียิ่งกว่าภาคแรก ถึงแม้เนื้อเรื่องจะมาในสไตล์ที่ใคร ๆ ก็คาดเดาได้ แต่สำหรับแฟน ๆ เกม STORY OF SEASONS แล้วล่ะก็ เชื่อเถอะว่าจ่ายไป ยังไงก็คุ้ม
03 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม God of War: Ragnarok การเดินทางฝ่าโชคชะตาอันแสนล้ำค่าของพ่อลูกเทพสงคราม
ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่แฟนเกมเลือดร้อนจำนวนนับไม่ถ้วนบนโลกออนไลน์พร้อมจะรุมสาบแช่งผู้พัฒนาหน้าไหนก็ตามที่บังอาจดัดแปลงซีรีส์เกมอันเป็นที่บูชาของพวกเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตัดสินใจของผู้พัฒนา Sony Santa Monica Studio ในการยกเครื่องซีรีส์ลูกรักของพวกเขาอย่าง God of War ใหม่ทั้งหมด คงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญอยู่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความกล้าหาญของพวกเขาก็ถูกตอบแทนอย่างเต็มรัก เมื่อเกม God of War (2018) สามารถคว้าเอารางวัลเกมยอดเยี่ยมหลากหลายสาขาจากทั้งสำนักสื่อและเวทีประกาศรางวัล รวมถึงเวทีใหญ่ประจำปีอย่าง Game of the Year 2018 โดยผู้ที่ได้สัมผัสเกมล้วนกล่าวชมทั้งเกมเพลย์และการนำเสนอโลกและเนื้อเรื่อง จนหลายคนถึงขนาดยกให้ God of War (2018) เป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของเจนเนอเรชันที่ผ่านมาเลยทีเดียวด้วยความสำเร็จอันท่วนท้นของเกมภาคก่อนหน้า ทำให้เกมภาคต่อจำเป็นต้องแบกรับความคาดหวังอันมหึมาเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยหลังจากที่ใช้เวลากว่า 45 ชั่วโมงไปกับเกม God of War: Ragnarok ผู้เขียนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกว่าเกมสามารถยกระดับประสบการณ์อันน่าทึ่งของภาคก่อนหน้าขึ้นไปได้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกมเพลย์ กราฟิก และโดยเฉพาะเนื้อเรื่อง ซึ่งมีความซาบซึ้ง อบอุ่น กินใจอย่างคาดไม่ถึง เป็นการปิดฉาก(?)การเดินทางของสองพ่อลูกเทพสงครามอย่างสมเกียรติที่สุด เหนือความคาดหวังใด ๆ ที่ผู้เขียนมีก่อนจะได้เล่นเสียอีก ความเป็นมนุษย์ที่งดงามในความไม่สมบูรณ์เนื้อเรื่องของเกม God of War: Ragnarok เริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ในเกมภาคก่อนราว 2-3 ปี ท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูหนาวนิรันดร์ฟิมบุลวินเทอร์ (Fimbulwinter) อันเป็นผลมาจากการตายของบาลเดอร์ โดยสองพ่อลูกเทพสงครามเครโทสและอเทรอัสพยายามจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขในบ้านหลังน้อยกลางป่าของพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่ถูกลิขิตไว้โดยเหล่ายักษ์ในตอนจบของเกมภาคก่อนหน้านั่นเองเรื่องราวของเกมเริ่มขึ้นในขณะที่สองพ่อลูกเทพสงครามกำลังอยู่ระหว่างล่าสัตว์ ซึ่งแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองตัวละครตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่เครโทสดูจะละทิ้งความโกรธแค้นจากอดีตของตนเองเกือบจะทั้งหมดแล้ว ความแค้นนั้นกลับถูกทดแทนด้วยความอ่อนล้า อันเป็นผลมาจากการได้รู้ว่าตัวเองอาจต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้าตามคำทำนายของเหล่ายักษ์ ในขณะที่อเทรอัสดูจะมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากพลังเทพที่เติบโตขึ้นของเขา พอ ๆ กับความมุทะลุตามประสาวัยรุ่นแตกหนุ่มของเขา โดยฉากเปิดนี้ยังมีการเชื่อมโยงบทพูดหรือการกระทำบางอย่างจากช่วงต้นเกมของภาคก่อนหน้าด้วย ยิ่งทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสองตัวละครได้ชัดเจนกว่าเดิมหลังจากที่ทั้งสองเดินทางกลับมาจากการล่าสัตว์ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง (ซึ่งเราจะไม่สปอย ให้ทุกคนไปเจอกันเอาเอง) ที่ชี้ชัดว่าแม้เครโทสเองจะไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเหล่าเทพเอเซียร์ (Aesir) อีกต่อไป แต่เหล่าเทพยังมีธุระต้องสะสางกับเขาและลูกชายอยู่ และพวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ ส่งผลให้สองพ่อลูกเทพสงครามตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาเทียร์ เทพสงครามประจำถื่นผู้สาบสูญ เพื่อหาวิธีเปลี่ยนโชคชะตาที่กำหนดให้พวกเขาต้องต่อสู้กับเทพเอเซียร์หรือถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้สำเร็จ ก็เพื่อเริ่มต้นสงคราม Ragnarok ตามคำทำนายและกำจัดโอดินกับพวกพ้องชาวแอสการ์ดให้สิ้นซาก แม้ว่าเรื่องราวของเกม God of War: Ragnarok จะเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามมิติ และมีทั้งสัตว์วิเศษไปจนถึงเทพเจ้าหลากหลายองค์ให้เผชิญหน้า แต่จุดแข็งหลักของเนื้อเรื่องเกม God of War (2018) ก็ยังคงเป็นแก่นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเป็นมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ผู้เล่นหลายคนรู้สึกซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ในเกมได้ โดยเกมภาค Ragnarok เองก็ยังรักษาจุดแข็งนี้เอาไว้ได้อย่างงดงาม ด้วยการนำเสนอปมขัดแย้งระหว่างตัวละครที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะมีประสบการณ์ร่วมไม่มากก็น้อย นั่นก็คือความต้องการของเครโทสที่จะปกป้องลูกชาย ซึ่งขัดแย้งกับความต้องการที่จะให้เขาได้เติบโตเป็นตัวของตัวเอง ในทางกลับกันอเทรอัสเอง แม้จะอยากก้าวเดินบนหนทางที่เลือกเอง แต่ในใจลึก ๆ ก็รู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะอยู่โดยไม่มีพ่อ ความกระอักกระอ่วนในใจก็ยังทำให้พวกเขาต่างไม่กล้าพูดความในใจให้อีกฝ่ายได้รู้ ซึ่งน่าจะเป็นความรู้สึกที่หลาย ๆ คงจะหาจุดร่วมได้ไม่ยาก การได้ติดตามความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ของพ่อลูกทั้งสองผ่านคัตซีนและการสนทนาระหว่างสำรวจ จึงเป็นประสบการณ์ที่กินใจ ซาบซึ้ง และล้ำค่าอย่างแท้จริง ในแบบที่น้อยเกมมาก ๆ จะสามารถทำได้เรื่องราวของพ่อลูกทั้งสอง ถูกเสริมด้วยเหล่าตัวละครเสริมอันน่าทึ่งจำนวนมาก ผู้ซึ่งต่างมีเรื่องราวของตนเองที่เข้ามาเกี่ยวโยงกับเครโทสและอเทรอัสมากกว่าในเกมภาคที่ผ่านมา ส่งผลให้ตัวละครเสริมแต่ละตัวได้มีช่วงเวลาเด่นของตนเองในเนื้อเรื่อง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็มักจะวนกลับมาเสริมธีมต่าง ๆ ที่เกมพยายามนำเสนออย่างลึกซึ้งและมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโชคชะตา ความแค้น การให้อภัย และที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว นอกจากนี้ ตัวละครเพื่อนร่วมทางยังมักจะชวนเครโทสคุยหรือแซวกันไปมาตลอดเวลาในขณะที่สำรวจอยู่ โดยบทสนทนาเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้เล่นค้นพบสถานที่หรือสิ่งของบางอย่างในฉาก ซึ่งจะทำให้ตัวละครเพื่อนร่วมทางออกความเห็นหรือเล่าถึงที่มาที่ไปของสิ่งของ/สถานที่นั้น ๆ กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ผู้เล่นได้สำรวจแผนที่ของเกมอย่างละเอียด เพื่อรับฟังบทสนทนาอันยอดเยี่ยมของตัวละครในขณะที่พวกเขาถกเถียงกันเกี่ยวกับอะไรก็แล้วแต่ที่เราค้นพบ ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมไม่น้อยเลยที่ผู้พัฒนาสามารถเขียนให้ตัวละครแทบทุกตัวในเกมรู้สึกมีมิติและมีเสน่ห์ได้ขนาดนี้ เพราะเอาเข้าจริงเกมมีตัวละครไม่น้อยหน้าภาพยนตร์รวมดาวใหญ่ ๆ ของจักรวาลมาร์เวลเลยทีเดียวตัวละครเสริมที่โดดเด่นเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นเฟรยาอดีตราชินีแห่งแอสการ์ด ที่แทบจะเสียสติจากความโกรธแค้นที่มีต่อเครโทสผู้ซึ่งหักคอบาลเดอร์ลูกชายของเธอในภาคที่แล้ว ส่งผลให้เธอสาบานว่าจะตามล้างแค้นเขาให้จงได้ โดย เฟรยาเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นทั้งอดีตอันคาวเลือดของเครโทสและอนาคตของเขาถ้าต้องเสียอเทรอัส ไป และการได้เห็นเธอค่อย ๆ ละทิ้งความแค้นที่สุมอก และโอบรับการให้อภัยทั้งตนเองและผู้อื่น ก็เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่มีแก่นความเป็นมนุษย์อย่างมาก ซึ่งก็ทำให้เรื่องราวของเธอรู้สึกล้ำค่าและกินใจไม่แพ้ตัวละครหลักเลยทีเดียว ทั้งนี้ หากจะมีจุดอ่อนซักจุดในเนื้อเรื่องของเกม God of War: Ragnarok ก็คงจะเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องอย่างโอดินที่แม้นักแสดงและนักพากย์จะถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ในทุก ๆ ฉากที่เขาปรากฏอยู่ แต่โอดินกลับเป็นตัวละครไม่กี่ตัวจริง ๆ ในเรื่องที่รู้สึกไม่ค่อยมีมิติเท่าที่ควร โดยเกมไม่สามารถให้คำอธิบายที่ดีพอกับการกระทำหลาย ๆ อย่างของเขา ที่ส่วนใหญ่ดูจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อตัวเขาเองหรือเป้าหมายที่เขาพยายามไล่ตามอยู่ จนรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นเพียงเครื่องมือทางการเล่าเรื่อง (Plot Device) มากกว่าตัวละครที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง เพื่อมอบข้ออ้างให้เหล่าฮีโร่ได้รวมพลังกันพิชิตในตอนท้ายเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่น้อยเมื่อคิดว่าตัวละครอื่น ๆ แทบทุกตัวดูจะมีมิติตื้นลึกหนาบางของตนเอง แต่ตัวละครที่สำคัญอย่างตัวร้ายหลักกลับแบนเป็นแผ่นกระดาษแบบนี้แต่อย่างที่กล่าวไป หัวใจหลักของเนื้อเรื่องในเกม God of War: Ragnarok ก็ยังคงเป็นเรื่องราวอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์ที่ร้อยเรียงไปกับเหตุการณ์เหนือจินตนาการต่าง ๆ ซึ่งเกมสามารถนำเสนอจุดเด่นนี้ได้อย่างชัดเจน ในแบบที่มีเพียงสื่อวิดีโอเกมเท่านั้นที่ทำได้ ผลลัพธ์คือเนื้อเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและอบอุ่นอย่างไม่คาดคิด เป็นประสบการณ์ที่จะเด่นชัดในความทรงจำของผู้เขียนไปอีกนาน แม้ไม่ใหม่ แต่ใหญ่และตื่นใจกว่าเดิมว่ากันตามตรง แก่นเกมเพลย์ของ GoW: Ragnarok แทบจะไม่ได้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าเลยซักนิดในแง่ของคุณภาพ เกมยังคงนำเสนอเกมเพลย์แอคชันอันดุเดือดสะใจ ควบคู่ไปกับการสำรวจและแก้พัซเซิลระหว่างทาง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาแล้วในภาคก่อนหน้า โดยแทนที่จะไปยุ่งกับสิ่งที่ยังใช้ได้ดีอยู่แล้ว ผู้พัฒนา Sony Santa Monica เลือกที่จะทำตามวลีฝรั่งที่ว่า “ปริมาณก็เป็นคุณภาพในตัวของมันเอง” ด้วยการเพิ่มความหลากหลายลงไปในแทบทุกองค์ประกอบของเกมเพลย์เลยทีเดียวในส่วนของการสำรวจ ในขณะที่เกมภาคก่อนหน้าจะมีแผนที่กว้าง ๆ ให้สำรวจได้เพียงไม่กี่แผนที่ เกมภาค Ragnarok ได้เปิดให้ผู้เล่นสามารถเดินทางไปยังภพทั้ง 9 ได้อย่างอิสระประมาณหนึ่ง ซึ่งแต่ละภพก็จะมีพื้นที่กว้างที่สามารถสำรวจได้ในระดับที่ต่างกันไป โดยแม้ว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่จะยังคงเกิดขึ้นในพื้นที่แคบ ๆ ที่มีลักษณะเหมือน “ดันเจียน” ที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามแผนที่ การออกแบบแผนที่ให้เปิดกว้างมากขึ้นทำให้เกมเพลย์การสำรวจของ Ragnarok เป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลินเป็นอย่างมาก เพราะผู้พัฒนาได้ซุกซ่อนสมบัติ ของสะสม พัซเซิล ไปจนถึงภารกิจและบอสลับอยู่ในแทบทุกทางแยกที่พบเจอ ในระดับที่ว่าไม่ว่าจะเลือกเดินไปทางไหนก็มีอะไรให้เก็บหรือค้นพบเสมอ และทำให้การสำรวจในเกมรู้สึกมีความหมาย ต่างจากหลาย ๆ เกมที่บางครั้งการสำรวจกลับทำให้รู้สึกเสียเวลามากกว่าในด้านการต่อสู้ ทักษะพื้นฐานทั้งหมดของเครโทสจากเกมภาคก่อนหน้าได้ถูกนำมาไว้ในเกมภาคนี้เกือบทั้งหมด โดยการต่อสู้จะยังเน้นการร้อยเรียงท่าโจมตีเบา-หนัก การโจมตีระยะไกล และท่าเวทมนต์ Runic ต่าง ๆ เข้ากับการหลบหลีก ป้องกัน หรือปัดป้องการโจมตีของศัตรู ซึ่งความแตกต่างระหว่างเกม Ragnarok และภาคก่อนหน้าส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของความหลากหลายมากกว่า ไม่ว่าจะจากการที่ผู้เล่นได้รับอาวุธ Blades of Chaos ของเครโทสมาตั้งแต่เริ่มเกม ซึ่งก็ทำให้เกมเพลย์ในช่วงต้นเกมหลากหลายขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับภาคก่อน และจากชนิดของศัตรูที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก อย่างที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไปในบทความพรีวิวก่อนหน้านี้ว่าชนิดศัตรูที่พบในเกมเพลย์ 6 ชั่วโมงแรกของ Ragnarok นั้นแทบจะมากเท่ากับที่พบในเกมภาคก่อนทั้งเกมอยู่แล้ว และยิ่งผู้เล่นเดินทางสำรวจภพทั้ง 9 มากขึ้น ความหลากหลายที่ว่านี้ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในช่วงท้ายของเนื้อเรื่องเกือบ 40 ชั่วโมงถัดมา เกมก็ยังคงแนะนำศัตรูและมินิบอสใหม่ ๆ ให้ผู้เขียนได้วัดฝีมือด้วย ต่างจากในภาคก่อนหน้าที่ให้ผู้เล่นต่อสู้กับบอสโทรลถือซุงตัวเดิมซ้ำ ๆ กันนับสิบครั้งตลอดทั้งเกม เอาเข้าจริงแล้ว Ragnarok ก็มีการเพิ่มระบบเกมเพลย์ใหม่เอี่ยมของตนเองเข้ามา หลังจากที่เล่นเนื้อเรื่องจบไปแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 60-70% ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ก็รู้สึกเหมือนกันว่าถ้าเกมเพิ่มระบบดังกล่าวเข้ามาเร็วกว่านี้ซะได้ก็ดีเหมือนกัน เพื่อให้การต่อสู้ในช่วงใหญ่ ๆ ของเกมมีมิติใหม่เพิ่มขึ้นมามากกว่านี้ และเมื่อนำมารวมกับระบบการสำรวจที่มีกลิ่นอายของเกมแนว Metroidvania ที่ให้ผู้เล่นใช้ความสามารถใหม่ ๆ ที่ได้ตามเนื้อเรื่องเพื่อปลดล๊อคพื้นที่หรือแก้พัซเซิ่ลในฉาก หมายความว่าผู้เล่นที่ต้องการจะเก็บสมบัติหรือเควสลับทั้งหมดจะต้องสำรวจแผนที่เดิม ๆ ซ้ำกันหลายครั้ง (หรือไม่งั้นก็เก็บมาสำรวจทีเดียวทั้งหมดตอนท้ายเกม) ซึ่งก็อาจไม่ค่อยถูกใจผู้เล่นบางคน โดยเฉพาะเมื่อเกมไม่มีระบบมาร์กตำแหน่งของสมบัติหรือพัซเซิ่ลเพื่อย้อนกลับมาสำรวจภายหลังได้แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่รู้สึก “ใหม่” ซะทีเดียว แต่เกมเพลย์ของ God of War: Ragnarok ก็อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติอันสำคัญยิ่งของเกม นั่นก็คือ “ความสนุก” นั่นเอง นอกจากการต่อสู้ในเกมจะดุเดือดท้าทายตลอดทั้งเกมแล้ว การแก้พัซเซิ่ลหรือสำรวจแผนที่ยังนำไปสู่รางวัลที่มีความหมายบางอย่างเสมอ เป็นเกมที่รู้สึกว่าองค์ประกอบทั้งหมดเป็น “เนื้อ” โดยแทบไม่มี “น้ำ” ปนอยู่เลย พูดได้เต็มปากว่า “สนุกจนวางจอยไม่ลง” เลยทีเดียวงานแสดง+พากย์เสียงที่เทพคู่ควรเช่นเดียวกับในด้านเกมเพลย์ ข้อปรับปรุงในด้านการนำเสนอของ GoW: Ragnarok ไม่ได้มาในรูปแบบของการยกระดับคุณภาพกราฟิกซะทีเดียว (เพราะเกมยังวางจำหน่ายสำหรับ PS4 ด้วย) แต่เน้นการเพิ่มปริมาณแทน ซึ่งในบริบทนี้ก็หมายถึงความหลากหลายของสภาพแวดล้อมที่ผู้เล่นจะได้ค้นพบตลอดการสำรวจภพทั้ง 9 นั่นเอง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าในแผนที่แต่ละภพจะมีพื้นที่กว้างให้ผู้เล่นได้สำรวจ ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอฉากทัศน์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นป่ารกทึบของวานาไฮม์ไปจนถึงทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพังของอัลฟ์ไฮม์มั่นใจได้ว่า GoW: Ragnarok จะมีอะไรเจ๋ง ๆ ให้ผู้เล่นได้ค้นพบมากกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอนสภาพแวดล้อมในเกมไม่ใช่องค์ประกอบเดียวที่ถูกทำให้หลากหลายมากขึ้น การเดินทางไปตามภพต่าง ๆ ของเครโทสและอเทรอัสยังพาพวกเขาไปพบกับตัวละครในตำนานนอร์สมากหน้าหลายตาด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้ผู้พัฒนาได้มีโอกาสตีความและออกแบบตัวละครเหล่านี้ใหม่ในแบบของพวกเขาเอง ทำให้ผู้เล่นได้มีโอกาสพบกับทั้งสัตว์วิเศษและสถานที่อันน่ามหัศจรรย์มากมาย ที่ล้วนมีความหมายในภาพใหญ่ของเหตุการณ์ในเกมให้มีมิติมากขึ้น และยังช่วยสื่อถึงธีมที่เกมพยายามนำเสนอได้โดยรู้สึกเป็นเนื้อเดียวกับเนื้อเรื่องหลัก การค้นพบตัวละครหรือสถานที่เหล่านี้ระหว่างที่สำรวจจึงทำให้การเดินทางของตัวเอกทั้งสองให้ความรู้สึกของการผจญภัยอย่างแท้จริงแต่แม้ว่าคุณภาพกราฟิกและการออกแบบโลกของ Ragnarok จะยอดเยี่ยมเพียงใด ดาวเด่นของเกมในด้านการนำเสนอคงหนีไม่พ้นการแสดงและพากย์เสียงตัวละครในเกม ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงและพากย์เสียงเกมระดับ AAA ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลยสำหรับผู้เขียน แม้ว่ากราฟิกหน้าตาตัวละครอาจไม่สมจริงไปถึงรูขุมขนเหมือนในเกมอย่าง Call of Duty: Modern Warfare II แต่ตัวละครทั้งหมดในเกม Ragnarok กลับสามารถแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอันลึกซึ้งผ่านทั้งภาษาพูดและภาษากายได้อย่างชัดเจนและมีมิติ โดยเครโทสเองเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของคุณภาพการแสดงในเกมนี้ จากความสามารถในการแสดงอารมณ์มากมาย ทั้งความรัก ความเป็นห่วง ความเหน็ดเหนื่อย ความรำคาญ ความเสียใจ ผ่านสายตาและการขยับร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นตลอดทั้งเกม ซึ่งการที่เกมสามารถใช้ “ความเงียบ” เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องได้ดีพอ ๆ กับบทพูดน่าจะเป็นเครื่องชีวัดที่ดีถึงคุณภาพของกราฟิกตัวละครในเกม ถ้าจะบอกว่าการแสดงและการพากย์เสียงนี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้ God of War: Ragnarok กลายเป็นประสบการณ์ที่ถูกจดจำโดยเกมเมอร์ไปอีกนาน ก็คงไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยซักนิดเดียวในด้านความเสถียร ผู้เขียนได้เล่นเกมบนคอนโซล PlayStation 5 ในโหมด Performance เป็นหลัก ซึ่งก็สามารถมอบประสบการณ์เกมเพลย์แบบ 60FPS แบบลื่น ๆ ตลอดทั้งเกม แลกกับคุณภาพขิงพื้นผิว แสงสี และความคมชัดที่น้อยลง (ไม่สามารถทดสอบโหมด 120FPS และ 45FPS ได้) ซึ่งก็อย่างที่เคยบอกไปในพรีวิวอีกเช่นกันว่าโดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนรู้สึกว่าคุณภาพที่เพิ่มขึ้นจากโหมด Resolution ของเกมนั้นสังเกตได้น้อยกว่าเฟรมเรตที่ลดลงครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแต่ละคนว่าจะชอบแบบไหน และแม้ว่าผู้เขียนจะพบบั๊คที่ทำให้ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับของในฉากได้เป็นครั้งคราว แต่ผู้พัฒนาก็ได้อัปเดตเกมไป 2-3 ครั้งตลอดช่วงที่รีวิวเกม และก็ดูเหมือนจะแก้ปัญหานี้ไปได้แล้ว เพราะผู้เขียนไม่พบปัญหาดังกล่าวอีกเลยจนจบเกมคุณภาพคำแปลไทยในส่วนของคำแปลไทย ต้องยอมรับว่าด้วยบทพูดของเกม God of War: Ragnarok ที่เขียนมาค่อนข้างสละสลวย มีการผสมผสานทั้งศัพท์แสลงและการใช้คำ/ภาษาแบบคนยุคปัจจุบัน กับศัพท์โบราณที่ "เข้ากับ" ความเป็นแฟนตาซีของเกม ซึ่งจากการเล่นทดลองเล่นศัพท์ภาษาไทย แม้จะแปลความหมายได้ค่อนข้างถูกต้องอย่างน้อยซัก 80% แต่ในแง่ของอรรถรสและความคมคายของบทพูด ก็ไม่มั่นใจว่าคำแปลที่เห็นนี้จะสามารถสื่อนัยหรือมิติในคำพูดของตัวละครได้ดีแค่ไหนทั้งนี้ ผู้เขียนยอมรับว่าไม่ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมเป็นภาษาไทยมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะผู้พัฒนาได้ขอความร่วมมือมาให้รอการอัปเดตเกมในภายหลังเสียก่อนค่อยทดลองใช้ภาษาไทย จึงไม่ได้มีเวลาเหลือให้ทดลองนัก โดยความเห็นในส่วนนี้อ้างอิงจากการทดลองเล่นเกมช่วงสั้น ๆ ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น สรุป: ตอกย้ำสถานะเทพแห่งวงการ AAAGod of War: Ragnarok ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพที่แท้จริงของเกม Singleplayer ระดับ AAA ที่สามารถมอบประสบการณ์เกมเพลย์ที่สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับกราฟิก เนื้อเรื่อง การออกแบบศิลป์ และการแสดงที่ล้วนอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการทั้งสิ้น โดยไม่มีปัญหาหรือบั๊คมากวนใจเลย เกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์ทั้งหมด เพราะการจะหาเกมที่สมบูรณ์ไปทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ God of War: Ragnarok สมควรได้รับคะแนนที่สูงที่สุดที่ผู้เขียนพอจะให้ได้ เป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งวงการเกมที่ทุกคนควรหาโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้ง 
03 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Resident Evil Village: Shadow of Rose บทสรุปครอบครัววินเทอร์กับความ Horror ที่เข้มข้นกว่าทุกครั้ง
ปล่อยให้แฟน ๆ ค้างคาใจกันมานานปีกว่า ๆ สำหรับตอนจบของ Resident Evil Village และในที่สุด DLC Shadow of Rose ก็มาถึงมือแฟน ๆ กันแล้ว แต่สำหรับเนื้อหาเสริมตัวนี้มันนจะยังมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมสู้เกมหลักได้หรือไม่ ก็ลองมาดูรีวิวของเรากัน แต่เราจะรีวิวเฉพาะในส่วนเนื้อเรื่อง Shadow of Rose เท่านั้น ไม่ได้มีในส่วนของ Mercenaries และมุมมอง 3rd Person ของเกมหลักชิ้นส่วนที่หายไปของ Resident Evil Villageคนที่คิดจะซื้อ DLC ตัวนี้มาเล่น เชื่อว่ายังไงก็ต้องผ่านเกมหลักมาแล้วอย่างแน่นอน สำหรับ Shadow of Rose ต้องบอกว่ามันคือชิ้นส่วนที่หายไป และเป็นชิ้นที่สำคัญเสียด้วยสำหรับแฟน Resident Evil ต้องบอกก่อนว่ามันอาจจะไม่มีการเชื่อมต่อเรื่องราวไปยังภาคใหม่ หรือดึงตัวละครภาคเก่ากลับมา แต่มันคือ DLC ที่ทำให้ครอบครัววินเทอร์ และตัวเกมภาค 7 และ 8 สมบูรณ์ แม้จะมีคำถามคาใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ปมใหญ่ ๆ ก็ถือว่าคลี่คลายไปได้หมดแล้วเรื่องราวใน Shadow of Rose จะเล่าถึงชีวิตของโรสที่มีพลังพิเศษ ผลกระทบจากพลังนี้ทำให้เธอถูกสังคมมองว่าแปลกแยก และไม่เหมือนใคร เข้ากับใครก็ไม่ได้ และถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดเสมอ แต่วันหนึ่งเธอก็ได้รับการติดต่อจาก 'เค' เจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดของคริส เรดฟิลด์ ว่าค้นพบวิธีแก้และลบล้างพลังภายในตัวโรสแล้ว นั่นคือการใช้คริสตัลชำระล้าง ที่อาจจะใช้ทำลายพลังของเชื้อ Mold ลงได้ แต่ข้อมูลกลับไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของโรส ที่ต้องส่งจิตของตัวเองเข้าไปในโลกของเมกะไมซีต เพื่อตามหาข้อมูลของคริสตัลชำระล้างนี้สิ่งสำคัญเลยก็อย่างที่บอกไป ว่าถ้าคุณเล่นภาค Village มา ภาคนี้คุณก็จำเป็นจะต้องเล่น เพราะมันคือชิ้นส่วนที่หายไปของเนื้อเรื่องจริง ๆ และสำหรับใครที่คิดว่าตอนจบของภาค Village ทำให้เรางง ๆ ทุกอย่างจะได้คำตอบในเนื้อหานี้ และมันมีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างดี ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป และจบได้ในเวลาไม่นาน ส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นต้องบอกเลยว่าคุ้มค่า สมราคาแน่นอน บอกได้แค่ว่าแฟน ๆ Resident Evil ไม่ควรพลาดจริง ๆ ถ้าจะมีข้อติก็คือ ยังมีปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างถูกทิ้งไว้เป็นคำถามกับแฟน ๆ และน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่เราจะไม่ได้เห็นเรื่องราวของครอบครัววินเทอร์ต่อจากนี้แล้วเหล้าใหม่ในขวดเก่า กับการพากลับมายังจุดเดิม แต่เปลี่ยนแนวเกมไปโดยปริยายแม้ว่าตรงนี้จะเป็นจุดที่น่าเสียดายสักหน่อย แต่สำหรับ Shadow of Rose นั้น เราจะไม่ได้ผจญภัยไปยังพื้นที่ใหม่ แต่เกมจะพาผู้เล่นกลับมายังสถานที่ที่เราคุ้นเดยกันดีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปราสาท DImitrescu หมู่บ้านที่พวกอีธานอาศัยอยู่ หรือแม้กระทั่งบ้านตุ๊กตาสุดหลอนอย่างบ้าน Beneviento เอง ฉากหลังภายใน DLC ทั้งหมด จะพาผู้เล่นกลับมาสู่จุดเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบการเล่าเรื่อง และเปลี่ยนบรรยากาศของมันไปเลย จากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นจนจบ สัมผัสได้ว่าทีมสร้าง Resident Evil เอง ก็อยากกลับไปทำเกมแนวสยองขวัญ หรือ Survival Horror มาก ๆ แต่เหมือนว่าโลกของ Resident Evil มันไปไกลเกินไปแล้ว จึงทำออกมาไม่ค่อยได้ และนี่คือโอกาสอันดีที่พวกเขาจะได้ทำ ไม่ว่าจะฉากใดก็ตามของ DLC นี้ จังหวะไหนที่พวกเขาใส่ความสยองขวัญ ความน่ากลัวเข้ามาได้ พวกเขาจะเก็บหมดแทบจะทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านตุ๊กตา Beneviento เคยหัวใจจะวายกับมันในเกมหลักอย่างไร ใน DLC ก็ทำออกมาได้หลอนสุดอะไรสุดไม่แพ้กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่า หากทีมงานชุดนี้ อยากจะทำเกมสยองขวัญขึ้นมาสักเกม ก็น่าจับตามองมาก ว่าพวกเขาจะใส่อะไรลงไปบ้าง เพราะทั้งงานศิลป์ การออกแบบฉาก ระบบการเล่นที่ใส่ความสยองเข้ามา เกมนี้สอบผ่านมากจริง ๆแม้ว่าจะน่าเสียดายที่มันไม่มีอะไรใหม่เลย ฉากภายในเกมมีฉากที่ดูเหมือนใหม่อยู่ไม่กี่ฉาก นอกนั้นคือการนำของเก่ามานำเสนอใหม่ แต่อย่างน้อยรสชาติใหม่ที่เกมนำเสนอให้ก็ถือว่าแปลกและแหวกแนวไปกว่า Resident Evil ภาคอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งภาค Village ด้วยกันเอง และชั่วโมงที่ใช้ในการเล่น หากคุณเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทาย ไขปริศนาด้วยตัวเอง ก็อาจจะใช้เวลาอยู่ที่ราว ๆ 3-4 ชั่วโมง ก็ถือว่าไม่สั้นเท่าไรนัก สำหรับเกมขนาด DLC ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ตัว DLC นี้ ยังคงรองรับภาษาไทยด้วย และการแปลไทยของมันก็ยังคงทำออกมาได้ดีในระดับที่ชื่นชมได้ว่าแปลดี แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เพราะในบางจุด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแปลผิดเต็ม ๆ ซึ่งการแปลผิดนั่น น่าจะมาจากการที่ทีมแปลไม่ได้เห็นฉากคัทซีนหรือการสนทนาภายในเกม ทำให้บางคำแปลผิดแบบเต็ม ๆ แต่โชคดีที่ในส่วนที่แปลผิดนั้น ไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่องที่มีใจความสำคัญแต่อย่างใด แม้จะพอมองข้ามได้ แต่อาจจะต้องฝากไว้ให้ทีมงานนำไปปรับปรุงกันต่อไปส่วนผสมของ Action / Survival และ Horror กับ Puzzle ที่หนักมือไปหน่อยอย่างที่เราเกริ่นไว้ด้านบน ว่าดูเหมือนผู้สร้าง Resident Evil เอง เขาก็อยากจะทำเกมสยองขวัญหนัก ๆ กับเขาบ้าง แต่เมื่อจักรวาลมันมาไกลเกินไปแล้ว จึงทำได้ยาก DLC นี้ พวกเขาจึงนำส่วนผสมอย่าง Action / Survival และ Horror มาเทผสมกัน แต่ดูเหมือนถ้วยส่วนผสมของ Horror จะหนักมือไปหน่อยตลอดเกมการเล่น 3 ชั่วโมงของ Shadow of Rose ผู้เล่นจะมีทางเลือกเสมอว่าจะยิงหรือสู้ บางครั้งหากอยากหลีกเลี่ยงการต่อสู้ก็สามารถทำได้ แต่บางครั้งเกมก็มัดมือชกให้เราต้องสู้ล้วน ๆ โดยไม่มีทางเลือก แต่ที่มันเป็น Survival Horor แบบเพียว ๆ ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หากคุณเล่นเกมนี้ด้วยความยากระดับปกติ เกมจะคอยเสิร์ฟไอเทมและกระสุนให้คุณอย่างพอเพียงตลอดไปจนจบเกม ดังนั้นปัญหาของคนเล่นทั่วไป ไม่ได้อยู๋ที่ว่ามันยาก (เว้นแต่คุณจะเล่นโหมดยาก) แต่อยู่ที่ใจกล้าพอจะเล่นไหม และไม่เบื่อไปกับการไขปริศนาภายในเกมซะก่อนส่วนของฉากบู๊หรือแอ็คชั่น ต้องบอกว่าไม่ได้มีเยอะมาก แถมบางส่วนวิ่งหนีข้ามไปเลยเพื่อประหยัดกระสุนและยาก็ทำได้ แต่การไขปริศนาหรือ Puzzle อาจจะทำให้เราต้องรำคาญกันนิดหน่อย เพราะมีตั้งแต่การหาวิธีเปิดทางไปต่อ การย้อนไปย้อนมา เพื่อหา Key Item และนำกลับไปเปิดเส้นทางไปต่อ แต่ส่วนที่ออกแบบมาได้ดีก็คงหนีไม่พ้น Puzzle ที่แม้จะมีคำใบ้แบบแปลไทย แต่ใครที่หัวไม่ไวพอ (เช่นผู้เขียน) ก็อาจจะต้องเสียเวลางมกันพอสมควรเลยทีเดียวในส่วนของความเป็น Survival นั้น น่าจะน้อยที่สุดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย บางฉากเราเลือกได้ว่าจะหนีไปเลย เพื่อประหยัดกระสุนและยา แต่จะประหยัดไปทำไม ในเมื่อเกมคอยเสิร์ฟไอเทมให้เราแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ดีไซน์เกมมาได้น่ากลัวหลายฉาก แต่เพราะเราสู้ได้ มันเลยไม่กดดันมากนัก ยกเว้นฉากบ้านตุ๊กตาสุดหลอนที่มันเล่นริบอาวุธเราไปทั้งหมดในส่วนของกลไกเกมการเล่นใหม่ ๆ ด้วยความที่ภาคนี้เราเล่นเป็นโรส ที่มีพลังของเชื้อ Mold พลังของโรสถูกนำเสนอออกมาทั้งในรูปแบบของเกมเพลย์ที่ต้องต่อสู้และไขปริศนา เราจะมีพลังในการทำลายแกน Sclerotia ที่เป็นอุปสรรคหลักภายในเกม และพลังของโรสนี่แหละที่เป็นทำหน้าที่เหมือนอาวุธสำรองอย่างมีด ในเกมนี้นอกจากปืนแล้ว พลังของโรสจะใช้ในการ Counter เหล่าศัตรูกรณีโดนเข้าถึงตัวได้ด้วย แต่หากให้เปรียบเทียบจริง ๆ มันก็ไม่ได้สร้างความสดใหม่ของเกมเพลย์ได้มากขนาดนั้น กลับกัน แฟน ๆ อาจจะรู้สึกแปลก ๆ ที่เกมเริ่มมีเรื่องราวของพลังพิเศษเพิ่มเข้ามาและสำหรับผู้ที่เคยเล่น Resident Evil มาก่อนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องยากที่จะเข้าใจ ก็ถือว่าสมแล้วที่เป็น DLC แต่หากให้เทียบสัดส่วนของเกมเพลย์ในภาคนี้ เราจะเน้นหนักไปที่การไขปริศนาและการลอบเร้นมากกว่าที่จะเป็นการแอ็คชั่น ซึ่งอาจจะมอบอรรถรสใหม่ ๆ ให้กับแฟนเกมได้มากขึ้น หลังจากที่เกมหลักนั้นต้องประคับประคองกันพอสมควร หากอยากจะเล่าเรื่องแบบนี้RE Engine ที่ยังทำงานได้เป็นอย่างดี ส่งท้ายกันด้วยเรื่องของ Performance ตัวเกม DLC นี้ ยังคงใช้ RE Engine จากเกมหลัก ทำให้ประสิทธิภาพของตัวเกมไม่ได้ทิ้งห่างจากภาคหลักมากนัก แถมฉากของเกมภาคนี้ยังเป็นพื้นที่ปิดซะเป็นส่วนมาก ทำให้คอมพิวเตอร์ใครที่เล่นภาคหลักไหว ภาคนี้ก็สบายเลย หรือใครที่เล่นภาคหลักแล้วเกิดอาการเฟรมตก แลคบ้างอย่างถูไถ ภาคนี้อาจจะเล่นง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องเรนเดอร์พื้นที่เปิดกว้างจนกินแรงเครื่อง ส่วนเรื่องบั๊กก็แทบจะปลอดภัยหายห่วง เพราะตลอดการเล่น 3 ชั่วโมงของผู้เขียน ต้องบอกว่า ไม่เจอเลยแม้แต่ตัวเดียว และคงต้องชื่นชม RE Engine ของ Capcom กันอีกรอบว่า เอนจิ้นของพวกเขา แทบจะอยู่ในระดับยอดเยี่ยมมาก ๆResident Evil Village: Shadow of Rose คือส่วนเสริมที่แฟนเกมไม่ควรพลาด โดยเฉพาะคนที่ติดตามเกมนี้มาตั้งแต่ภาค 7 มันถือว่าเป็นบทสรุปของครอบครัววินเทอร์ที่งดงามและชวนซึ้งได้เป็ฯอย่างดีเลยทีเดียว
02 Nov 2022
[Review] Bayonetta 3 เกมแม่มดสาวสุดแซ่บ เต้นระบำกับทาสอสูร ออกผจญภัยช่วยมัลติเวิร์ส!
เกมซีรีส์ Bayonetta นั้นได้ห่างหายจากวงการเกม Hack & Slash มาเนิ่นนาน เพราะตั้งแต่ปี 2017 ที่ได้ปล่อยตัวอย่างของตัวเกมภาค 3 ให้ดูแล้วตื่นเต้นเล่น ก็ไม่ได้มีข่าวคราวอะไรเลยนอกเสียจากข่าวลือและคำพูดให้สัญญาของผู้พัฒนาว่าตัวเกมยังคงสร้างและมันจะเป็นการเปิดโลกใบใหม่ที่ซีรีส์นี้ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งขอกล่าวแบบสปอยไว้ตั้งแต่หัวรีวิวตรงนี้เลยว่า 'มันคือความจริง'ล่าสุดกับการที่ตัวเกมได้วางจำหน่ายที่แม้จะมีดราม่าเกี่ยวกับอดีตนักพากย์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (และฝ่ายที่ผิดก็คืออดีตนักพากย์เอง) ก็ไม่ได้ทำให้เกม Bayonetta 3 นั้นด้อยความสนุก สดใหม่ และแปลกประหลาดตามฉบับความเป็นเกมญี่ปุ่นแต่อย่างใดเนื้อเรื่องเร้าใจ เล่นใหญ่ด้วย 'มัลติเวิร์ส'ในภาคที่ผ่านมา ตัวแม่มดสาวของเรานั้นจะวกวนอยู่กับเรื่องราวของวันเวลาและความทรงจำ โดยกล่าวตามตรงถ้าว่าหากทางเกมยังไม่เปลี่ยนแปลงตรงจุดนี้คงน่าเบื่อไม่น้อย ดังนั้นทางผู้พัฒนาเขียนบทปากร้ายนาม Hideki Kamiya ก็ได้ส่งมอบประสบการณ์ใหม่ที่ให้เราได้ผจญภัยไปในโลกเกม Bayonetta ได้กว้างไกลด้วยระดับใหญ่ขึ้นในการใช้มุก 'มัลติเวิร์ส' ที่กำลังโด่งดังมากในวงการสื่อภาพยนตร์และเกมในหลายปีที่ผ่านมาด้วยความที่ใช้มัลติเวิร์สเป็นแกนนำเรื่อง มันจึงเป็นอะไรที่สดใหม่และแปลกตา ยิ่งรวมกับความแปลกของตัวซีรีส์เกมนี้ไปด้วยแล้วมันยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่! แต่มันดันเป็นความสนุกจนหาเกมไหนมาเทียบไม่ได้ อย่างการที่ตัวละครเรา Bayonetta ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งชั่วร้ายนาม Singularity ที่วางแผนทำลายมิติแต่ละมิติที่มีในมัลติเวิร์สเพื่อหวังรีเซตจักรวาลด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว (คุ้น ๆ นะ ว่าไหม)ทั้งตัวเธอ Jeanne, Viola และ...ตัวเธอในจักรวาลคู่ขนาน!? จึงต้องร่วมมือกันตามหาอุปกรณ์เคออสเกียร์ และนักวิทยาศาสตร์นาม Sigurd เพื่อหยุดยั้งหายนะระดับจักรวาลในครั้งนี้! เปิดโลกเกมเพลย์ Hack&Slash แนวใหม่สุดมันต่อย เตะ ยิง หลบ แล้วใช้ความสามารถ Witch Time สโลวเวลาต่อคอมโบเรื่อย ๆ ก่อนจะจบลงด้วยท่าไคลแม็กซ์ปิดฉากศัตรูด้วยทาสอสูรที่เป็นจุดขายของ Bayonetta ของสองภาคก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมันในภาคสามนี้ เพราะปกติแล้วทาสอสูรนั้นจะเผยออกมาในฉากคัตซีนและฉากจบท่าสังหารเท่านั้น แต่ในครั้งนี้พวกมันสามารถออกมาโลดแล่นบนหน้าจอไปพร้อมกับเรา สู้และสังหารด้วยการเต้นควบคุมสุดสยิวผ่านระบบ Demon Slave โดยเราต้องใช้สติว่าจะใช้เจ้า 'หนูน้อย' พวกนี้ในการโจมตีหรือจะเข้าไปต่อสู้เองตอนไหนให้ดี เพราะนอกจากค่าพลังในการใช้งานมีจำกัด บางพื้นที่นั้นไม่สามารถใช้ได้ หรือศัตรูบางตัวต่อต้านการโจมตีทาสอสูรแล้ว ตัวเรายังเป็นเป้านิ่งให้ลูกกระจ๊อกตัวอื่น ๆ มาโจมตีอีกด้วย !แต่ก็ใช่ว่าสัตว์อสูรนั้นจะมีแค่แบบเดียวให้เราเลือกใช้ เพราะนอกจาก Gomorrah หรือ Madame Butterfly แล้ว เรายังสามารถหากำลังเสริมสัตว์อสูรพวกนี้ได้จากการเล่นเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับอาวุธที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจต่าง ๆ ในระบบ Demon Masquerade ที่ได้ถูกนำมาแทนที่ Beast Within ในภาคก่อน ให้เราได้โลดแล่น ต่อสู้ หรืออกสำรวจแผนที่ด้วยความสามารถที่พ่วงมากับร่างเหล่านี้ที่ต่างกันออกไป เช่น อาวุธปืนเริ่มต้นจะจำแลงร่างเป็นปีศาจผีเสื้อ เน้นรวดเร็วเข้าถึงศัตรูไว ในขณะที่อาวุธปืนยักษ์ จะมีพลานุภาพที่รุนแรงแต่เชื่องช้า หรือจะกงจักรไฟแปลงกายเป็นแมงมุม สามารถไต่กำแพงและโหนใยกลางอากาศได้ในแบบที่สไปเดอร์แมนยังอายนอกจากนี้รูปแบบการเล่น Hack & Slash อย่างเดียวคงน่าเบื่อ ทางผู้พัฒนาจึงสรรหารูปแบบการเล่นอันแปลกใหม่เข้ามาเสริมให้เราเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปพลาง ๆ เช่นการรับบทเป็น Jeanne ลอบเร้นเข้าศูนย์วิจัยเพื่อหาศาสตราจารย์ Sigurd ในรูปแบบเกม 2.5 มิติ ที่ผสมการเล่นเกมสายลับและแอ็กชันได้อย่างกลมกล่อม หรือการจับปีศาจสองตัวมาต่อสู้กันประหนึ่งสงครามไคจู ในรูปแบบเกมต่อสู้ Street Fighter รวมไปถึงเปลี่ยนเกมเป็น FPS ยิงศัตรูระหว่างนั่งรถไฟขบวนนรกและอีกมากมาย จนผู้เขียนยังทึ่งและขนลุกไปกับไอเดียและทุกสิ่งที่ได้สัมผัสระบบเสริมเต็มอิ่ม เพิ่มความฟินในการเล่นหลายครั้งที่เราเล่นเกมบางเกมที่มีเนื้อหาล่อแหลม แต่เหมือนคนทางบ้านไม่ได้เข้าใจก่อนจะเปิดเข้ามาแล้วเจอฉากสุดเขินอาย และยิ่งกับเกม Bayonetta ที่การเปลื้องผ้าของเธอคือจิตวิญญาณและความสามารถ ระบบ Naive Angle จึงได้ถูกพัฒนามาเพื่อสิ่งนี้! โดยมันจะเปลี่ยนแปลงภาพ ภาษาและเนื้อหาล่อแหลมให้เราเล่นกลางห้องนั่งเล่นได้ไม่อายใคร ถึงขนาดที่เปลี่ยนซิการ์เป็นขนมเคลือบน้ำตาลเลยทีเดียว!เท่านั้นยังไม่พอสำหรับสายโลกจะมอดม้วยก็ช่าง ฉันต้องสวยไว้ก่อน ก็มีระบบ Camera Mode มารองรับให้เราสามารถถ่ายรูปความปังในระหว่างการต่อสู้ หรือจะยืนสวยแอ๊กท่าให้เลิศปรับแต่งฟิลเตอร์ได้ตามต้องการ!กึ่งโลกเปิด มีอะไรให้ทำมากกว่าเก่าตัวเกม Bayonetta 3 นั้นได้พยายามค้นหาและทลายความเป็นเกมมุ่งทะลวงและจบเป็นด่าน ๆ ไปในการเป็นเกม Hack & Slash ด้วยระบบนี้ เพราะตลอดการเล่น ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะตรงดิ่งเข้าเนื้อเรื่องหรือเตร็ดเตร่ไปตามทางของแผนที่ขนาดยักษ์ซึ่งซุกซ่อนไอเทมต่าง ๆ ไว้มากมายให้ผู้เล่นได้เก็บสะสม เช่นแผ่นเพลง โมเดลตัวละคร ภารกิจลับ และอื่น ๆ มากมายจนเราสามารถย้อนกลับมาเล่นใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่จบเกมไวแน่นอนกราฟิกน่าเศร้า แต่ยังพอไปได้อย่างที่เราทราบกัน ว่าเครื่องเกม Nintendo Switch นั้น เป็นเครื่องเกมแบบพกพาของค่ายปู่นินที่ไม่ได้มีความแรงในด้านการ์ดจอ หน่วยประมวลผลจนเทียบเท่าได้กับคอนโซลเครื่องอื่น ๆ ในปัจจุบันขนาดนั้น มันจึงส่งผลทำให้ตัวเกมทุกเกมรวมถึง Bayonetta 3 ที่ควรจะมีภาพสวยสดงดงามมากกว่านี้หากได้พอร์ตไปลงคอนโซลอื่น ถูกลดระดับกราฟิกลงให้มีความคมชัดอันน่าใจหายอยู่นิดหน่อยแต่ทว่ากราฟิกของตัวเกมที่ผู้พัฒนาได้รังสรรค์ออกมานี้ ดันกลายเป็นความน่าชื่นชมและความใส่ใจอย่างเต็มที่เท่าที่เขาจะสามารถสร้างและพัฒนาได้บนเครื่องเกมพกพานี้ เสมือนว่ามันเป็นบรรทัดฐานและเพดานสูงสุดเท่าที่เกม Switch จะมอบให้ผู้เล่นได้ แต่ขอบอกตามตรงในระหว่างการเล่น ผู้เขียนไม่ได้มองว่ากราฟิกของเกมนั้นเป็นปัญหาอะไรขนาดนั้น เพราะความสวยงามทั้งฉากและตัวละครยังอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีจนโดดเด่นความสนุกเหลือร้ายของเกม Bayonetta 3พูดมาถึงจุดจุดนี้แล้วคงบอกได้เต็มปากเลยว่าตลอด 5 ปีที่รอคอยมาสำหรับเกมใหม่ในซีรีส์นี้แทบไม่สูญเปล่า และมันเหมือนเป็นการสูบฉีดเลือดของนักรัวปุ่มเกมต่อสู้ Hack & Slash ได้ดีไม่น้อยหน้าเกมอื่นเลย จนอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันเกมที่มีเนื้อหาความบ้าบิ่นและบ้าบอ ผสมกับความสนุก มันสุดเร้าใจอย่าง Bayonetta 3 นี้ ก็ยังไม่มีใครมาเทียบได้ทั้งนี้การอ่านรีวิวก็อาจไม่ได้มอบประสบการณ์ที่แท้จริงเท่ากับการเล่นเอง ดังนั้นทางผู้เขียนจึงขอแนะนำตัวเกม Bayonetta 3 นี้ว่ามันคุ้มค่าแน่นอนที่จะซื้อเครื่อง Nintendo Switch และได้มาเล่นจริงให้เต็มอิ่มกับโลกของแม่มดสาวสุดแซ่บ รวมไปถึงภาคก่อนหน้าทั้งสองภาคก็คู่ควรที่จะจับจองสอยมาเล่นเคียงคู่ไม่แพ้กันเกม Bayonetta 3 เป็นเกมที่วางขายแบบจำกัดเฉพาะบนเครื่อง Nintendo Switch เพราะทางค่ายปู่นินได้เคยเป็นผู้อุ้มบุญช่วยผู้พัฒนาเกมอย่าง Platinum Games ไว้ จึงเป็นไปได้ยากมากที่ตัวเกมจะถูกพอร์ตนำไปลงให้กับเครื่อง PC หรือคอนโซลอื่นแต่หากใครสนใจ เกม Bayonetta 3 ก็ได้วางขายเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา มีทั้งแบบซื้อเป็นดิจิทัล แผ่นเกม ในราคาราว ๆ 1800 บาท หรือจะจัดใหญ่กดซื้อเป็นแพ็กเกจ Trinity Masquerade Edition ในราคา $79.99 หรือประมาณ 2400 บาท ซึ่งจะมีของแถมสุดพิเศษอย่างอาร์ตบุ๊กสีทั้งเล่มของตัวเกมกว่า 200 หน้าปกเกมแบบพิเศษทั้งสามภาค สามารถนำมาต่อเป็นภาพพาโนรามาได้ตัวแผ่นเกม Bayonetta 3 สำหรับเครื่อง Nintendo Switchเอาล่ะจะรออะไรกันอยู่? รีบไปสัมผัสความสนุกสุดแซ่บกับแม่มดสาวในเกม Bayonetta 3 กันเถอะ! หรือจะลองดูตัวอย่างเกมข้างล่างนี้ประกอบการตัดสินใจพลาง ๆ ก็ได้
30 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Indoorlands สร้างสวนสนุกในร่ม ออกแบบได้ตามใจเรา
Indoorlands เกมสร้างสวนสนุกในร่ม ที่เราสามารถออกแบบสวนสนุกของเราได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่าง ๆ ภายในเครื่องเล่น ผู้เขียนได้ดู Trailer ของเกมนี้มีความรู้สึกสนใจในตัวเกมเลยไปซื้อมาลองเล่นดู ความคาดหวังในใจคือ Planet Coaster (หรืออาจจะแย่กว่านิดหน่อยแต่ไม่มาก ฮ่า ๆ) เกมนี้ลงวางขายใน Steam แบบตัวเต็มเมื่อ 15 ต.ค. 2022 เป็นเกมที่ติดเทรนด์ในช่วงเวลานั้น คอนเซปต์ดูดีมาก ๆ แต่มันจะดีจริงหรือเปล่านั้น เราไปพิสูจน์ในเกมกันดีกว่าครับเกมเพลย์ไม่มีอะไรมาก แค่สร้างสวนสนุกไปเรื่อย ๆ เกมนี้เมื่อเราเข้าเกมจะไม่มีโหมดอะไรให้เราเลือกเล่นครับ เมื่อกดเริ่มเกมแล้วจะมี Toturial สอนเราว่าต้องเริ่มสร้างอะไรตรงไหนยังไง เราก็แค่สร้างสวนสนุกไปเรื่อย ๆ ในช่วงเริ่มต้นเกมจะมีพื้นที่มาให้เราเล่นหลังจากนั้นต้องซื้อเองเพื่อขยายพื้นที่ และส่วนสนุกที่เราสร้างนั้นจะแบ่งเป็นบล็อก ๆ สีเหลี่ยมให้เราจัดวางในพื้นที่หลังจากวางบล็อกเครื่องเล่นแล้ว เราสามารถเข้าไปตบแต่งในบล็อกที่เราเพิ่งสร้างได้ครับ สามารถเลือกเครื่องเล่น และออกแบบสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เครื่องเล่นได้แบบอิสระเลย อยากเอาต้นไม้เอาไว้ตรงนั้นสัก 2-3 ต้น เอาก้อนหินเอาไว้ตรงนี้หน่อย สร้างรางเครื่องเล่นลอดช่องหินตรงโน้นก็ดี หรือให้รถไฟเหาะวิ่งผ่านน้ำตรงนี้นิดหนึ่งก็ได้ แล้วแต่เราจะครีเอทมันออกมาเลยครับหลังจากนั้นก็เปิดให้คนมาใช้บริการ เราสามารถตั้งราคาบัตรได้ สร้างร้านอาหารไว้ตามทางเดินให้ลูกค้าของเราได้ใช้บริการซื้อ น้ำ อาหาร หรือแม้แต่ลูกโป่ง ฯลฯ เราสามารถเช็คความพึงพอใจของผู้มาใช้บริการสวนสนุกของเราได้ ตรงหน้าอมยิ้มที่มุมขวาบน เพื่อนำ Feedback มาปรับปรุงสวนสนุกของเราครับ ตัวเกมมีแค่นี้เลยครับ วางบล็อก > เลือกเครื่องเล่น > สร้างทัศนียภาพโดยรอบ > เปิดให้บริการ > ไปสร้างบล็อกใหม่จริง ๆ อยากรีวิวเยอะกว่านี้ แต่ตัวผู้เขียนนั่งผิดหวังกับเกมอยู่ครับ เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ ฮ่า ๆการควบคุมที่เกือบจะดี แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์กราฟิกของเกมมีความน่ารักดีครับ เป็นภาพ 3D Polygon บริหารสวนสนุกที่มีมุมมองจากด้านบนลงมา ใครที่ชอบออกแบบจัดวางตรงนู้น ตรงนี้ตรงนั้น จะได้สนุกไปกับเกมนี้แน่นอนครับ เพราะทุกบล็อกขนาด 9x9 เป็นต้นไป เราต้องกด Enter Hall เพื่อเข้าไปออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างภายในนั้น เริ่มมันตั้งแต่ภาพพื้นหลัง เครื่องเล่น ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ห้องขนาด 9x9 ของเราครับ ตัวเกมไม่ใหญ่มากมาย เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับแต่การควบคุมของเกมนี้ เกือบจะดีอยู่แล้วครับในเรื่องคีย์ลัดต่าง ๆ แต่มันก็ใช้ยากอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะมี Toturial คอยสอน แต่มันก็ไม่ได้สอนละเอียดขนาดนั้น เรายังต้องงมสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองอยู่ แต่โดยรวมถ้าเคยเล่นเกมอื่น ๆ แนว ๆ เดียวกับเกมนี้มาแล้วเราคนเล่นแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมากครับ ใช้ W,A,S,D บังคับทิศทาง Q,E หมุนมุมกล้อง ลูกกลิ้งเมาส์ใช้ซูมภาพเข้าออก อาจจะงงกับระบบ Toturial ช่วงแรกหน่อย ๆ แต่เดี๋ยวก็ปรับตัวได้ครับUI อาจจะดูเรียบง่าย ใช้งานไม่ยาก แต่ความไม่ยาก มันก็ซ่อนความยากเอาไว้ครับ ฮ่า ๆ ถ้าให้ไปเทียบกับเกมดัง ๆ ในตลาด เกมนี้ถือว่ายังออกแบบในส่วนของคีย์ลัดได้งงเอามาก ๆ สมมติว่าผู้เขียนกด Enter Hall เข้าไปเพื่อจะสร้างสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เครื่องเล่น คีย์ลัดขึ้นมา 1-5 ก็จริง แต่หลังจากเรากดเลือกไปแล้วจะสร้างความงงให้เรามาก ๆ ว่าอันไหนขยายสิ่งของ แล้วอันไหนปรับตำแหน่งขึ้นลง หรือว่าอันนั้นจะใช้หมุนทิศทาง คือมันต้องใช้เวลาเรียนรู้อยู่หลายรอบมาก ๆ กว่าเราจะชินกับระบบของเกมนี้ครับสรุปสำหรับผู้เขียนที่เคยเล่น Planet Coaster มาแล้ว Indoorlands ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้ผมเลย มันแทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลยครับ ถึงแม้มันจะมีระบบต่าง ๆ ให้เราออกแบบสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เหมือนว่ามันไม่มีเป้าหมายที่จริงจังว่าเราสร้างมันไปเพื่ออะไร (ฟิลแบบว่าสวยแล้วยังไง ในเมื่อก็มีแค่ Ai ในเกมที่มาเดินชื่นชมมันเท่านั้นเอง) แถมโหมดมีให้เล่นเพียงโหมดเดียวเท่านั้น ลองเล่นดูแล้วมันรู้สึกขาด ๆ เกิน ๆ ในใจมาก ๆ ครับ ฮ่า ๆ และถึงแม้ว่าคอนเซปต์ของเกมจะดีมาก ๆ และให้อิสระในการออกแบบ แต่เครื่องมือการสร้างสวนสนุกค่อนข้างจะต้องใช้ความเข้าใจกับมันอยู่เหมือนกันครับผู้เขียนมองว่าถ้าใครยังไม่เคยเล่นเกมดัง ๆ ในตลาดอย่าง Planet Coaster หรือ RollerCoaster Tycoon ผู้เขียนมั่นใจว่ามันจะสร้างความเพลิดเพลินให้กับเราแน่นอนครับ แต่ถ้าเราเคยเล่นเกมดังทั้ง 2 ที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น ผมบอกเลยว่า Indoorlands จะไม่ตอบโจทย์เราเลยแม้แต่น้อยครับ แถมมาด้วยมันจะสร้างความน่าเบื่อให้กับเราด้วย เพราะเกมที่เราเคยเล่นมามันดีกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกราฟิก ความสวยงามของภาพ User Interface และระบบควบคุมต่าง ๆ จากที่ผู้เขียนลองเล่นมา Indoorlands ยังไม่สามารถเป็นคู่แข่งทางการตลาดที่ดีได้ครับถึงแม้เกมจะใหม่กว่า และทำออกมาทีหลังแต่ผู้เขียนก็ยังเชียร์ให้กำเงินที่มีอยู่ในมือแล้วไปกดซื้อ Planet Coaster + DLC ช่วงลดราคาดีกว่าครับ แต่ถ้าใครสนใจอยากจะทดสอบเกมนี้ด้วยตัวเอง สามารถไปกดซื้อได้ใน Steam ราคา 279 บาท เท่านั้น! สั่งซื้อ https://store.steampowered.com/app/1378890/Indoorlands/
28 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Potionomics เปิดร้านปรุงยามาใช้หนี้! เกมซิมูเลเตอร์ดี ๆ ที่ไม่อยากให้ใครพลาด
เกมแนวจำลองสถานการณ์ที่ให้เราได้ทำกิจการอะไรสักอย่าง กำลังเป็นแนวเกมที่มาแรงไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจการปรุงน้ำยาเวทมนตร์หรือโพชัน ที่มีให้เห็นหลายเกมมากในปีที่ผ่านมา และ Potionomics ก็คือเกมล่าสุดที่พัฒนามาตามสูตรที่ว่านี้ โดยความโดดเด่นของเกมนี้คือได้ผู้พัฒนารุ่นเก๋าอย่าง XSEED Games และ Marvelous ที่ทำเกมอย่าง Story of Seasons หรือ Harvest Moon ภาคใหม่ มารับหน้าที่ช่วยจัดจำหน่าย แล้วเกมนี้มันมีอะไรดี ค่ายเกมใหญ่เบอร์นี้ถึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการขายเกม วันนี้มาดูรีวิวของเรากันใช้ชีวิตพิชิตหนี้ด้วยการปรุงโพชันขายผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Sylvia หญิงสาวตัวน้อยที่ได้รับจดหมายจากคุณปู่ให้มารับช่วงดูแลกิจการร้านปรุงน้ำยาโพชัน กิจการในฝันที่ปู่ของเธอมีความใฝ่ฝันอยากจะทำ และทำได้สมใจ แต่แล้วปู่ของเธอก็รู้ว่าอายุตัวเองเหลือไม่มาก จึงรีบเขียนจดหมายตามให้เธอมาดูแลต่อ แต่ทิ้งกิจการไว้ให้ยังพอทน ปู่เจ้ากรรมของ Sylvia ดันทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้อีกบานตะไท เจ้าหนี้ที่เป็นแม่มดจึงมาเริ่มผูกสัญญาชำระหนี้กับเรา โดยให้ผ่อนจ่ายได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการหาเงินจึงเป็นการปรุงโพชั่นขายนั่นเอง งานนี้ปฏิบัติการปลดหนี้ของ Sylvia จึงเริ่มต้นขึ้นเรื่องราวสุดแสนจะเบสิก ทำให้มันอาจจะไม่มีอะไรที่น่าติดตามนัก แต่สิ่งที่เกมนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดีก็คือสีหน้าท่าทางของตัวละคร ทำให้แม้ว่าเนื้อเรื่องจะธรรมดา แต่การแสดงออกของตัวละครทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วม สนุก ตลกขบขันไปในตัว นี่ไม่ใช่เกมเนื้อเรื่องดาร์ค หรือดิ่งอะไร เป็นเกมเนื้อเรื่องสดใสที่เล่นกันได้ทุกเพศทุกวัย หากคุณเก่งภาษาอังกฤษ แต่ข้อเสียสำหรับเกมอินดี้ทุนน้อยก็คือ การเล่าเรื่องจะมาในรูปแบบของกล่องข้อความ อ่านกันรัว ๆ ไปเลย ใครขี้เกียจอ่านก็อาจจะไม่สนุกกับเกมนี้สักเท่าไรนัก แต่ภาพรวมแล้วถือว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ยังพอสนุกและมีอะไรที่น่าติดตามอยู่พอสมควรเกมที่ทำนาน เพราะใช้เวลากับอนิเมชันมานานถึง 6 ปี และมันคุ้มค่าจากข้อมูลที่ไปตามอ่านมา พบว่าเกมนี้ใช้เวลาสร้างมาอย่างยาวนานถึง 6 ปีเต็มด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้ใช้เวลาในการพัฒนานานที่สุดไม่ใ่ชระบบเกมเพลย์ แต่เป็นเหล่าตัวละคร อนิเมชั่นท่าทางต่าง ๆ ที่ตัวละครแสดงออกมาได้อย่างละเอียดมาก มากกว่าเกมอื่น ๆ ที่ใช้กราฟิกแนวใกล้เคียงกันหลายเท่าตัว ทำให้เกมนี้ตัวละครแต่ละตัวจะมีชีวิตชีวา มีบริบท มีบุคลิกของตัวเองที่ค่อนข้างชัดเจนกว่าเกมอื่น ๆ ผลจากการพัฒนานานถึง 6 ปีนั้น ค่อนข้างคุ้มค่า สำหรับคนที่ชอบอนิเมชั่น เกมนี้ถือว่าทำดีมาก ๆ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียใด ๆ ผลจากการที่เกมมันทุ่มเทไปที่อนิเมชั่นมากไป ทำให้เกมนี้ไม่ได้มีเสียงพากย์ ทุกอย่างต้องอ่านเอา ซึ่งมันทำให้อรรถรสบางอย่างขาดหายไปพอสมควร ส่วนกราฟิกของเกมนั้น ถ่ายทอดออกมาในอนิเมชั่น 3D เต็มรูปแบบ ยกเว้นในมุมมองของการเปิดร้านค้าจากภายนอก จะเป็นมุมมองจากด้านบนลงมา แต่เมื่อกดเข้าไปในร้านก็จะแสดงรายละเอียดที่เยอะขึ้นแทน เรื่องกราฟิกของเกมนี้ถือว่าล้ำหน้ากว่าเกมอื่น ๆ ในราคาเดียวกันเป็นอย่างมาก ใครที่ชอบงานออกแบบสวย ๆ รับรองว่าเต็มอิ่มแน่นอนสำหรับเกมนี้ยิ่งเราเล่นไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งจะพบเจอกับตัวละครใหม่ ๆ มากขึ้นเท่านั้น ตัวละครแต่ละตัวจะมาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ถูกปลดล็อคเข้ามา เช่น ร้านขายของที่เราสามารถไปซื้อของหรือวัตถุดิบโดยตรงได้เลย ไม่ต้องรอผลิตเอง (ใช้เงินแก้ปัญหาอ่ะแหละ) หรือ NPC ฮีโร่ที่จะออกไปผจญภัยและนำไอเทมส่วนแบ่งมาให้เราด้วย หรือ NPC สำหรับการอัปเกรดร้านของเราให้ดูดีมีระดับ ดึงดูดลูกค้า หรือผลิตโพชั่นระดับคุณภาพออกมาขายได้ดีขึ้นเกมเพลย์ที่มีมากกว่าการปรุงยาขาย ทั้งต้มยา ล่าของ อัปเกรดร้าน และสร้างความสัมพันธ์แม้ว่าหลัก ๆ เกมนี้จะมีจุดประสงค์ในการทำร้านปรุงน้ำยาโพชั่นขาย แต่ในเกมนี้ก็ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะยังมีอะไรอีกมากมายให้เราต้องทำ เกมนี้ผสมผสานเกมเพลย์ที่หลากหลายมาก ๆ ให้เราได้เล่น เริ่มจากการปรุงยา แน่นอนว่าสูตรการปรุงยาของเราในตอนแรก นอกจากจะต้องจับพลัดจับผลู ลองผิดลองถูกเอง ก็ไม่มีวิธีอื่นใดในการเรียนรู้ เว้นแต่เกมจะช่วยสอนเรา การปรุงยาแต่ละชนิดเราจะต้องลากส่วนผสมเข้าไปในหม้อ และเติมฟืนลงไปเป็นเชื้อเพลิง จากนั้นเมื่อกดปรุงยา ก็จะต้องใช้เวลาในการรอด้วย ไม่ใช่กดแล้วได้เลย ยิ่งน้ำยาระดับสูงก็จะใช้วัตถุดิบที่เยอะ และซับซ้อน รวมไปถึงใช้เวลาในการปรุงนานมาก และทำให้มันกลายเป็นเกมที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง และต้องผสมผสานมันให้ดีและลงตัวที่สุดและเมื่อน้ำยาของเราพร้อมขาย เราก็สามารถเข้าเมนู Arrange Potion ที่เป็นเมนูสำหรับนำน้ำยาไปวางขายบนชั้นวางของของร้านค้า ยิ่งร้านเราระดับสูงก็สามารถวางขายน้ำยาได้หลายแบบ หลายขวดพร้อมกัน และการอัปเกรดร้านก็ทำได้ผ่าน NPC เพื่อนของเรา ที่อาจจะดึงดูดลูกค้าหลากหลายประเภทเข้ามาด้วย เมื่อจัดวางน้ำยาพร้อมแล้ว เราสามารถกด Open Shop เพื่อขายน้ำยา และเมื่อเปิดร้านรับลูกค้า เกมเพลย์ก็จะเปลี่ยนไปการเข้าสู่ส่วนของการขายของ จะทำให้เกมเพลย์เปลี่ยนไปเป็นแบบเทิร์นเบสผสมกับการ์ดเกมไปเลย เมื่อเราเปิดร้าน ลูกค้าแต่ละคนจะเข้ามาที่ร้าน และเราจะนำน้ำยาออกมาวางขาย โดยลูกค้าแต่ละคนจะมาพร้อมกับอารมณ์และความต้องการที่ต่างกัน ผู้เล่นจะได้เริ่มเจรจาตกลงกับลูกค้า ในการทำให้พวกเขาตกลงซื้อ รวมไปถึงต่อรองด้านราคาที่ทำให้เราขายได้ในราคาที่แพงขึ้น โดยจะมีการ์ดเข้ามาเป็นตัวช่วย ผู้เล่นสามารถจัดเด็คการ์ดของตัวเองได้ โดย 1 เด็คจะมีการ์ดให้เราใส่ลงไปได้ 20 ใบ แถมการ์ดแต่ละใบจะมีแยกเป็นของตัวละครต่าง ๆ ที่จะมีความสามารถที่ต่างกันไปอีกต่างหาก เกมนี้จึงมีความเป็นเกมจัดเด๊คและสะสมการ์ดไปในตัวด้วย แต่เกมนี้คุณจะมีอิสระในการจัดการการ์ดมากกว่าเกมการ์ดแท้ ๆ เกมอื่นในการเจรจาตกลงซื้อขาย NPC แต่ละตัวจะมีความเครียดของตัวเอง ถ้าเกิดเราต่อรองเจรจามากไปจนความอดทนของอีกฝ่ายหมด เขาก็จะเดินออกจากร้านไปโดยไม่ซื้อน้ำยาจากร้านเราเลยสักขวดก็มี ดังนั้น อย่าห่วงแต่จะพยายามขายให้ได้เยอะ ๆ จนลืมดูว่า NPC เราขี้เกียจเจรจาแล้วหรือไม่ ไม่งั้นจะอดได้เงินเอา แถมบางทีเจรจามากไป ตัวละครของเราก็จะมีความเครียดขึ้นมาซะเองด้วย และอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่เกมชิลล์ เราเป็นหนี้ก้อนโตที่ต้องจ่ายแบบผ่อนชำระ เกมจะมีระบบนับวันที่ต้องจ่ายเงินมาให้ ทำให้เราต้องรีบเร่งหาเงิน แต่การขายยาก็ไม่ใช่ทางเดียวที่จะทำให้เราได้เงิน เพราะเกมยังมีอีเวนท์เสริมภายในเกมอีกมาก ถ้าโชคดีได้เงินก็สบายไป ไม่ได้ก็ต้องรีบหา ไม่งั้นอาจจะซวยเอาได้ ต่อมาอีกระบบ คือระบบ Hangout ระบบที่ใช้สร้างความสัมพันธ์กับตัวละครต่าง ๆ หรือก็คือการจีบกัน โดยส่วนมากจะปลดล็อคหลังจากเราไปคุยกับ NPC ตัวนั้นบ่อย ๆ และสร้างความสัมพันธ์ได้ด้วย แต่ระบบนี้เป็นเหมือนมินิเกมที่เอาไว้เล่นเสริมความสนุก เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายหลักของเกมนี้คือการหาเงินใช้หนี้ ไม่ใ่ชการานั่งไล่จีบตัวละคร เอาไว้เป็น Optional หรือทางเลือกในการเล่นสำหรับข้อเสียหลัก ๆ ของเกมนี้คือ ระบบต่าง ๆ นั้น ดูจะวุ่นวายไปหมด และต้องใช้เวลาเรียนรู้เยอะมาก ๆ ผู้เล่นบางคนที่ไม่พร้อมจะรับระบบเกมการเล่นเยอะ ๆ อาจจะเบื่อไปเลยตั้งแต่ช่วงแรก แต่ถ้าเล่นเป็นก็ถือว่าสนุกมากเลยทีเดียว และปัญหาอีกข้อคือ ในขณะที่เกมอื่นนำเสนอเกมการเล่นแบบไม่มีฉากโหลดใด ๆ แต่เกมนี้ ไม่ว่าจะย้ายเมนูไปหน้าไหน ก็จะมีฉากโหลดมาขัดจังหวะเราอยู่เสมอ ถือว่าน่ารำคาญไม่น้อยเลยภาพรวมของ Potionomics ถือเป็นอีกเกมที่มีระบบการเล่นเยอะมาก ๆ และอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควรเลยถึงจะเล่นได้คล่อง ถ้าคุณผ่านการฝึกฝนของระบบการสอนเล่นของเกมได้ นี่เป็ฯเกมอินดี้อีกเกมที่ถือว่าสอบผ่านในหลาย ๆ ด้าน
23 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Terror of Hemasaurus เกมไอ้ต้าวไคจูขี้โมโห ประสบการณ์เรโทรที่ควรอยู่แค่ในความทรงจำ
หากใครยังจำกันได้ กับเกมสัตว์ประหลาดถล่มเมืองอย่าง Rampage เกมที่อยู่มาตั้งแต่ปี 1986 ใครจะไปรู้ว่าผ่านมานานหลายสิบปี จะมีเกมที่ได้แรงบันดาลใจ และยังทำออกมาอีก แถมเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยซะด้วย โดยเกมนี้มีชื่อว่า Terror of Hemasaurus เกมที่เราจะได้รับบทเป็นไคจูน้อยถล่มโลกทั้งใบให้วอดวายในสไตล์เดียวกันกับ Rampage เลย แต่เกมนี้จะออกมาเป็นยังไง ก็มาดูรีวิวของเรากันได้ในวันนี้เลยเนื้อเรื่องสุดคลีเช่ที่เห็นได้บ่อยจากหนังแนวไคจู / มอนสเตอร์กรกฎาคมปี 2023 ประเทศนอร์เวย์ เวทีดีเบทถกเถียงกันเรื่องสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้โลกร้อนมากขึ้นทุกที และมอนสเตอร์ยักษ์ที่ถูกแช่แข็งมานานก็ถูกปลดปล่อยออกมา มอนสเตอร์ตัวที่ว่าก็คือ Hemasaurus ที่ตอนนี้ชีวิตอิสระของมันกำลังจะสร้างหายนะให้กับโลก แต่จุดมุ่งหมายของเจ้า Hemasaurus กลับเป็นโบสถ์และลัทธิปริศนาที่อาจจะมีเงื่อนงำซ่อนอยู่เบื้องหลังต้องบอกว่าใครที่ดูหนังแนวสัตว์ประหลาดถล่มโลกหรือไคจูจะเห็นพล็อตแบบนี้บ่อยมาก การกระทำของมนุษย์จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดเหตุการณ์ที่จะไปปลุกสัตว์ประหลาดขึ้นมา อย่างน้อยเกมนี้ก็เคารพหลาย ๆ สื่อบันเทิงที่ทำแนวนี้ขึ้นมา แต่หากคุณกำลังมองหาความสดใหม่เกี่ยวกับแนวเกมไคจูทั้งหลายก็ต้องบอกว่าคิดผิด เกมนี้เหมือนทำขึ้นมาเพื่อคารวะ Rampage ล้วน ๆ และถูกสร้างขึ้นโดยใช้ธีมที่มีสีสันสดใส พร้อมเจ้า Hemasaurus ที่หน้าปกเกมจะดูเหมือนจระเข้ยักษ์ แต่ในเกมกลับน่ารักตะมุตะมิซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าส่วนของเนื้อเรื่อง ใครดูหนังแนวนี้มาเยอะ ก็อย่าคาดหวังถึงความแปลกใหม่ภายในเกมนี้วันไหนเครียด ให้เกมนี้ช่วยระบาย เพราะเข้าถึงง่ายยิ่งกว่าอะไรดีท่ามกลางยุคสมัยของเกม AAA หรือเกมฟอร์มยักษ์มากมายที่เข็นกราฟิก เข็นเนื้อเรื่อง เข็นชั่วโมงความยาวของเกมออกมาแข่งกัน Terror of Hemasaurus อาจเป็นเกมที่เราต้องลองเปิดใจลองเล่นดู เพราะเกมนี้มาพร้อมความเรียบง่ายแบบขั้นสุด ผู้เล่นจะได้เลือกมอนสเตอร์ 4 แบบในตอนเริ่มต้น จากนั้นเกมเพลย์ของคุณก็ง่าย ๆ เลย เดินจากซ้ายไปขวา ทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าให้หมดสิ้น ทั้งหมดของเกมนั้นมีเท่านี้จริืง ๆ ดังนั้นนี่คือความสนุกที่เรียบง่ายมาก จนหลายคนอาจจะมองว่าไม่คุ้มค่าสำหรับตัวละครแม้จะมีให้เล่น 4 ตัว แต่ Movement และรูปแบบการต่อสู้ของมันก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไรนัก หนำซ้ำ แม้ว่าตัวเกมจะมีฉากให้เลือกหลายฉากพอสมควร แต่ฉากหลังของมันกลับซ้ำซากจนน่าใจหาย ไม่มีการเปลี่ยนสถานที่หรือธีมใด ๆ มันยังคงเป็นเกมทำลายเมืองเอามัน และบางฉษกก็เพิ่มลูกเล่นเข้ามา เช่นแท่นกระโดดแบบแทรมโพลีน และลูกตุ้มเหล็กที่ทำให้เราสามารถพังตึกจนราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานนัก เพิ่มความเร้าใจในการบุกทำลายเมืองให้เร็วมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเกมจะเล่น Co-op ได้มากถึง 4 คน แต่มันก็ร่วมกันเล่นได้ในฉากของเนื้อเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีด่านพิเศษที่ออกแบบมาให้ช่วยกันเล่นแต่อย่างใด ทำให้เกมนี้ค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควรทั้งในแง่คอนเทนต์และเกมเพลย์ แค่ความน่ารักของมันก็อาจจะไม่คุ้มเท่าไรนัก เพราะเกมนี้ หากนั่งซัดแบบยาว ๆ ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็จบแล้วเกมเพลย์สุดคลาสสิค ตะลุยด่านซ้ายไปขวา จบแบบง่าย ๆ ไม่มีอะไรน่าจดจำสำหรับคนที่คิดว่ารีวิวเกมนี้สั้น ก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่เพราะเราขี้เกียจแต่อย่างใด แต่เพราะคอนเทนต์ของเกมนี้มันเบาโหวงเหวงมาก ๆ สำหรับเกมเพลย์ของ Terror of Hemasaurus นั้น หากคุณเป็นเซียนเกม Arcade จำพวกตะลุยด่านต่าง ๆ อยู่แล้ว หรือถ้ายิ่งเคยเล่น Rampage มานั้น ยิ่งง่ายเลย เพราะคุณจะทำความเข้าใจกับระบบเกมได้อย่างง่ายดาย การผ่านแต่ละด่านนั้น เพียงแค่คุณเกดินหน้าจับคนมากิน หรือทำลายตึกรามบ้านช่องจนพังพินาศให้หมด ตามที่ด่านกำหนดก็คือใช้ได้แล้วในด่านหลัง ๆ แม้ว่าจะมีอุปสรรคต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาบ้าง เช่นกองกำลังตำรวจ หรือทหารที่จะมายิงทำให้พลังชีวิตเราลดลง แต่เราสามารถฟื้นพลังตัวเองกลับมาได้ง่าย ๆ ด้วยการจับคนมากินมันซะเลย และเกมเพลย์จะมีรูปแบบการทำลายที่ถือว่าไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย เช่น การปีนขึ้นไปบนตึก แล้วกดโจมตีรัว ๆ จนอาคารเริ่มพัง หรือจะทำลายฐานอาคารให้มันโค่นลงมาเลยก็ทำได้ แต่ถ้าใครอยากฮาร์ดคอร์กว่านั้น ก็ศามารถหยิบเอาคน หรือพวกยานพาหนะมาปาใส่จนทำให้เกิดการระเบิด และคร่าชีวิตผู้คนหรือทำลายเมืองนับร้อย นับพันได้ในไม่กี่วินาที แต่ที่ทำให้มันน่าเบื่อจริง ๆ เลยคือเรื่องของฉากภายในเกม ที่แม้จะเล่นไปจนถึงด่านท้าย ๆ แล้ว แต่ฉากก็ยังคงเป็ฯตึกรามบ้านช่องเหมือนเดิม ไม่ได้ย้ายไปผจญภัยที่ไหนเลย ดังนั้นใครที่ไม่ชอบอะไรเดิม ๆ ก็อาจจะเบื่อเอาได้ง่าย ๆ แค่ 2 ชั่วโมงยังอาจจะไม่อยากเล่นให้จบก็เป็นได้ รวมไปถึงศัตรูหรืออุปสรรค ไม่ได้เพิ่มความท้าทายอะไรใหม่เข้ามา แต่ทำให้มันมาในปริมาณที่เยอะขึ้นเท่านั้น ยังดีที่ช่วงท้ายมีการเปลี่ยนตัวละครให้เราไปเล่นกันนิดหน่อย แต่จะเป็นอะไรนั้น ลองไปหาคำตอบกันดูเอง จะได้ไม่มองว่าเราสปอยล์ แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เกมสนุกขึ้นสักเท่าไรและที่มีปัญหาหนักมากจริง ๆ น่าจะเป็นเรื่องของการ Optimized เกม จริงอยู๋ว่าเกมมันเป็นพิกเซลกราฟิกแบบนี้ มันไม่ได้กินสเปคเครื่องอะไร แต่เราจะพูดแบบนี้ได้ก็จนกว่าที่เกมจะมีฉากระเบิด ตึกถล่มพังทลายเป็นกองพะเนิน เมื่อใดก็ตามที่มีการระเบิดขนาดใหญ่เกิดขึ้น เกมจะมีอาการเฟรมเรทดรอปอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งช่วงท้ายที่แทบจะเป็นเกมแบบ Stop Motion กันเลยทีเดียว แม้จะเป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียว แต่ก็ถือว่าทำลายประสบการณ์การเล่นเกมพอสมควร โดยเฉพาะกับเกมที่ถือว่าค่อนข้างน่าเบื่อตั้งแต่ช่วงต้นยันท้ายเกมแบบนี้สรุปให้ว่า Terror of Hemasaurus นั้น ถือว่าเป็นเกมที่หากคิดจะหาเกมมาเล่นขำ ๆ แก้เบื่อ แก้ว่าง อยากทำลายข้าวของหรือตึกรามบ้านช่องเล่น ๆ มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ด้วยราคาที่ถูกมาก ทำให้ทีมทำเกมอาจจะใส่คอนเทนต์เข้ามาตามราคา ซึ่งมันทำให้น่าผิดหวังไม่น้อย กับการตั้งใจออกแบบกราฟิกภายในเกมจนเป็นเอกลักษณ์ แต่เกมเพลย์กลับน่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
23 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Timberborn สร้างอาณาจักรต้าวน้องบีเวอร์ให้อยู่รอดและรุ่งโรจน์
Timberborn เป็นเกมอินดี้แนวสร้างเมืองในยุคที่อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายแล้ว เหลือเพียงเหล่าบีเวอร์เท่านั้นที่วิวัฒนาการตัวเองและสามารถก่อร่างสร้างตัวจนเทคโนโลยีวิวัฒน์ไปไกลเกินกว่าการสร้างเขื่อน เป็นเผ่าพันธุ์สัตว์ฟันแทะที่รุ่งโรจน์เกรียงไกรพร้อมจะครองโลก!แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เราตามไปดูกันดีกว่าว่าเกม Timberborn นี้เป็นอย่างไรบ้าง บอกเลยว่าคนที่ชอบเกมแนวสร้างเมืองต้องลองดู และใครที่สนใจเกมแนวนี้อยู่แต่ไม่เคยจัดเสียที เกมสร้างเมืองที่เล่นกับน้ำเกมนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะมีสองสายพันธุ์ให้ได้เลือกเล่นได้แก่ Folktails ผู้รักธรรมชาติและ Iron Teeth ผู้ฉลาดเฉลียว ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะมีสิ่งก่อสร้างเฉพาะด้วย อย่างในด้านของการผลิตพลังงานนั้น Folktails ก็จะมีกังหันที่ผลิตพลังงานจากลม ส่วน Iron Teeth จะเป็นโรงงานที่ผลิตพลังงานจากการใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนเครื่องสูบน้ำของ Iron Teeth ก็สูบได้ลึกกว่า แต่ Folktails จะมีเครื่องทดน้ำ ทำให้สามารถทำฟาร์มในจุดที่น้ำเข้าไม่ถึงได้ เป็นต้นชื่นชอบสไตล์การใช้ชีวิตแบบไหนก็เลือกเล่นเผ่านั้นเลย แอบกระซิบบอกว่าเผ่า Iron Teeth นั้นขยายพันธุ์โดยการใช้เครื่องฟักตัวล่ะ! เท่สุดๆ ไปเลย แต่ผู้เขียนของเลือกเป็นเผ่า Folktails แล้วกันอ้อ มีระดับความยากด้วยนะ สำหรับผู้ที่เล่นครั้งแรกเลือกเป็น Normal จะดีที่สุดเริ่มต้นจากการที่ไม่มีอะไรเลย ..กับเบอร์รี่นิดหน่อยสำหรับสิ่งก่อสร้างแรกเริ่มที่มีให้คือตึกที่เป็นดั่งใจกลางของเมืองนั่นเอง สามารถมอบหน้าที่ก่อสร้างให้กับบีเวอร์ได้ 4 ตัวซึ่งจะเป็นแรงกำลังหลักในการสร้างสิ่งก่อสร้างอื่นๆ มีเบอร์รี่ให้จำนวนหนึ่งสำหรับประทังชีพ ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วในการมอบหน้าที่แก่เหล่าบีเวอร์ในการก่อสร้างและเสาะหาทรัพยากรต่างๆไม้ ไม้ และไม้!พูดถึงบีเวอร์ สิ่งแรกๆ ที่เรานึกถึงนั่นก็คือภาพของเหล่าบีเวอร์ที่กำลังแทะต้นไม้อย่างขยันขันแข็ง จะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างแทบทุกชนิดล้วนใช้ไม้เป็นส่วนประกอบหลัก แม้ว่าไม้จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากเท่าอาหาร แต่มันก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกอย่างที่ต้องสร้างเพื่อให้บีเวอร์ดำรงชีวิตต่อได้ ฉะนั้นรีบสำรวจรอบข้างว่าแถวนี้มีป่าหรือไม่ เมื่อพบแล้วก็ตีเส้นทางเดินไปเล้ยการจัดเก็บไม้เพื่อใช้งานนั้น อย่างแรกที่ต้องมีคือ Lumberjack Flag เพื่อแต่งตั้งหน้าที่ให้บีเวอร์ไปแทะไม้ โดยต้องทำการมาร์กพื้นที่ที่ต้องการตัดไม้ด้วย ซึ่งบีเวอร์จะไม่ตัดไม้นอกเหนือจากที่ทำเครื่องหมายไว้ และอย่างลืมสร้าง Log Pile ไว้เก็บไม้ด้วยล่ะน้ำและอาหารเป็นสิ่งสำคัญสองปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้บีเวอร์ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรคืออาหารและน้ำ ในช่วงแรกเราสามารถพึ่งพาผลเบอร์รี่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถเก็บได้ง่ายที่สุดนั่นเอง แต่มันก็ใช้เวลาในการออกผล ฉะนั้นเราต้องเพิ่มการผลิตอาหารที่มั่นคงอย่างการทำการเกษตรแทน ซึ่งการทำฟาร์มนั้นเราต้องตั้งโรงนา (Farmhouse) ให้ขอบเขียวหรือรัศมีของสิ่งก่อสร้างอยู่ในพื้นที่สีเขียวให้ได้มากที่สุด เพราะพื้นที่สีเขียวคือพื้นที่ที่ใกล้น้ำ สามารถปลูกพืชได้นั่นเอง จากนั้นก็เลือกได้เลยว่าจะปลูกอะไร ซึ่งในช่วงแรกเป็นแครอทจะง่ายที่สุดเพราะใช้เวลาโตที่น้อย อีกทั้งสามารถกินได้เลยโดยไม่ต้องแปรรูปมีอาหารแล้วก็ต้องมีน้ำ หาจุดที่เป็นแม่น้ำให้ไวแล้วตั้งเครื่องสูบน้ำ (Water Pumps) รวมถึงถังเก็บน้ำด้วย (Water Tanks) ถ้าปล่อยให้บีเวอร์ขาดน้ำจะทำให้เดินช้า ขาดอาหารจะทำงานช้าลง ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ ก็จะตายในที่สุด ซึ่งใครจะไปอยากให้น้อนบีเวอร์แสนน่ารักตายกัน! ฉะนั้นสองอย่างนี้คือสิ่งสำคัญที่ต้องคิดคำนึงให้ขึ้นใจมีฟ้าเป็นมุ้ง มียุงเป็นเพื่อน..มีบ้านแล้ว! ส่วนกระท่อมมีกังหันนั่นเอาไว้เพิ่มแต้มวิทยาศาสตร์ล่ะ จะได้เอาไปปลดสิ่งก่อสร้างใหม่ๆชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลังจากปล่อยให้บีเวอร์นอนกลางดินกินกลางผืนหญ้าอยู่นาน (เนื่องจากเอาไม้ไปสร้างอย่างอื่นข้างต้นหมด) การสร้างบ้านให้บีเวอร์พักพิงก็เป็นสิ่งที่ดี การมีที่นอนจะทำให้บีเวอร์หลับได้สบายและมีแรงทำงาน ซึ่งเผ่า Folktails จะขยายพันธุ์ก็ต่อเมื่อมีจำนวนที่นอนมากกว่าจำนวนบีเวอร์ ไม่แน่พอผ่านไปสักหนึ่งคืนก็อาจมีเบบี๋บีเวอร์กำเนิดขึ้นก็เป็นได้ (ฮ่า แรงงานรุ่นต่อไป!) โดยบางสิ่งก่อสร้างอย่างเช่นบ้านหรือโกดังสามารถตั้งซ้อนทับกันเป็นสถาปัตยกรรมแนวตั้งได้ด้วยนอกจากนี้ การสร้างสิ่งที่ให้ความบันเทิงก็เป็นอีกสิ่งที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือ Well-being ของบีเวอร์ อย่างการสร้างแคมป์ไฟให้บีเวอร์มาพักผ่อนและเข้าสังคมกันสักหน่อยหลังจากการทำงานอันเหนื่อยล้า พุ่มไม้ตกแต่งเมืองเพื่อความสวยงาม แม้แต่วัดหรือศาลเจ้าก็มีให้สร้างด้วยเช่นกัน อา บีเวอร์เองก็ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสินะซึ่งแต้มคุณภาพชีวิตพวกนี้ก็ไม่ได้มีไว้เล่นๆ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้บีเวอร์ของเราทำงานเร็วขึ้น (ถ้าเป็นวัยเด็กอยู่ก็จะโตเร็วขึ้น) เพิ่มความเร็วในการเดิน รวมถึงมีชีวิตที่ยืนยาวโอเมื่อมีไฟ ไฟ ไฟลุกขึ้นแจ่มจ้า ... ร้องยังไงต่อนะดูข้อมูลด้านขวาของพี่จะไหล (?) สิแล้วจะรู้ว่าคุณภาพชีวิตดีแค่ไหนแย่แล้ว ฤดูแล้ง!ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ดีๆ กล่องพยากรณ์อากาศก็กะพริบแจ้งเราว่า อีกสามวันจะหน้าแล้งแล้วจ้า! ซึ่งถ้าจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวมากพอจะทำให้อารยธรรมบีเวอร์สูญสิ้นก็คือฤดูแล้งนี่แหละสิ่งที่ฤดูแล้งเป็นก็คือตามชื่อเลย น้ำจากต้นน้ำจะไม่ไหลในฤดูนี้ หมายความว่าเราต้องหาทางกักเก็บน้ำไว้ใช้งานจนกว่าฤดูแล้งจะจบลง เพราะถ้าไม่มีน้ำ พืชก็จะตาย พอพืชตายก็ไม่มีอาหาร จากนั้นบีเวอร์จะอดข้าวอดน้ำ หากวางแผนไม่ดีก็อาจทำให้เหล่าบีเวอร์ล้มหายตายจากกันได้ไม่ยากเลยแต่ว่าเรามีสิ่งนี้.. สิ่งก่อสร้างจากวิศวกรรมชลศาสตร์ที่เรียกว่า ‘เขื่อน’หนึ่งในตัวเลือกที่ง่ายที่สุดในการกักเก็บน้ำคือการสร้างเขื่อน มันจะช่วยให้น้ำไม่ไหลทิ้งและเหือดแห้งไปในฤดูแล้ง ฉะนั้นการสร้างเขื่อนก็เป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรคำนึงถึงในระหว่างการก่อร่างสร้างเมืองด้วย เพราะถ้ามาสร้างเอาใกล้ๆ ฤดูแล้งจะเสร็จไม่ทันเอานาทว่าเจ้าฤดูแล้งนี้ก็ไม่ได้กินเวลาเท่ากันตลอด ยิ่งนานวันเข้ารอบของฤดูแล้งก็จะยิ่งยาวนานขึ้น ในตอนแรกถังกักเก็บน้ำของเราอาจเพียงพอให้พ้นฤดูแล้งไปได้ แต่พอมีจำนวนบีเวอร์ที่มากขึ้น จำนวนวันของฤดูแล้งที่ยาวขึ้น ปริมาณน้ำที่มีอยู่อาจไม่พอ เราจึงต้องวางแผนเรื่องการความคุมน้ำและกักเก็บน้ำในระยะยาวด้วยว่าจะรับมือกับฤดูแล้งยังไง ทำเลตรงนี้ดูเป็นเหวลึกนะ สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ดีมั้ยจะได้เป็นอ่างเก็บน้ำ ยิ่งมีน้ำเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งอุ่นใจแหละนะนอกจากนี้ระบบฟิสิกส์ของน้ำก็ทำมาค่อนข้างดีทีเดียว การไหลอะไรแบบนี้ ฉะนั้นอย่าเผลอทำน้ำท่วมเมืองเชียวล่ะ (เพราะเผลอทำมาแล้ว.. เกมที่เล่นกับน้ำแต่น้ำเองก็จ้องจะเล่นคุณ)โปรเจ็กต์เมกะแดม (Mega Dam) สำหรับเก็บน้ำ หน้าแล้งมาก็ไม่หวั่น!สรุป: อยู่รอดและรุ่งโรจน์ บีเวอร์จงเจริญ!สำหรับเนื้อหาที่ว่ามาข้างต้นนั้นเป็นเพียงการเล่น Timberborn ใน 4 ชั่วโมงแรกเท่านั้น ยังมีเนื้อหากลางเกมและท้ายเกมให้สำรวจอีกมาก อาทิ การผลิตแต้มวิทยาศาสตร์เพื่อปลดล็อกวิทยาการใหม่ๆ การใช้พลังงานเพื่อแปรรูปไม้เป็นวัสดุอื่น อย่างไม้อัด ฟันเฟือง เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ความหลากหลายของพืชการเกษตรที่ปลูกได้ การแปรรูปอาหาร การปลูกป่าทดแทน การใช้ประโยชน์จากเหล็ก การสร้างระเบิดเพื่อขุดภูเขาขุดแม่น้ำอะไรก็ว่าไป หรือแม้แต่การสร้างหุ่นยนต์บีเวอร์เองก็มีด้วยนะ (บ้าน่า แม้แต่บีเวอร์ก็หนีไม่พ้นการถูกระบบอัตโนมัติแย่งงานงั้นหรอ!?) แถมแผนที่ยังมีอีกหลายแบบให้ลองเล่น ตั้งแต่ที่ราบง่ายๆ ไปจนถึงแม่น้ำแบบขดก้นหอยที่น๊านนานกว่าน้ำจะไหลมาถึง นี่แหละความยากที่เราเลือกเองความท้าทายของเกมนี้จะมากขึ้นเมื่อเล่นไปนานๆ นอกจากหน้าแล้งที่ยาวนานขึ้นจนต้องร้องขอชีวิตแล้ว จำนวนบีเวอร์ที่มากหมายความว่ามีหลายปากท้องต้องดูแล จำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้ก็มากขึ้นตามไปด้วย เราอาจตั้งเขตใหม่เพื่อจัดการเรื่องเกษตรกรรมหรือจัดเก็บน้ำโดยเฉพาะแล้วสร้างรูทขนส่งสินค้าระหว่างเขตก็ได้เช่นกัน แต่หากจัดการไม่ดีก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้ เช่น เขตนี้อาหารเยอะเกินกว่าที่บีเวอร์ต้องบริโภคอยู่มากโขแต่อีกเขตจะอดตายกันอยู่แล้ว เขตนั้นมีไม้เหลือๆ แต่อีกเขตไม่มีทรัพยากรอะไรไว้ก่อสร้างเลย จากที่บริหารอยู่เขตเดียวกลายเป็นว่าเราต้องแก้ปัญหาระดับหลายเขต อ๊า นี่มันการจัดการระดับ Micro-Management!!ร่ายยาวมาขนาดนี้ จะบอกว่าตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access ล่ะ แต่ก็มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปมากกว่านี้ ยอมรับเลยว่าทีมผู้สร้างไม่หยุดอัปเดตสิ่งใหม่เข้ามาเรื่อยๆ รวมถึงปรับปรุงระบบต่างๆ อย่างล่าสุดมี Update 2 ซึ่งเป็นอัปเดตใหญ่ก็เพิ่มเข้ามาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง เป็นการครบรอบ 1 ปีที่ทำให้ผู้เล่นที่สนับสนุนมาตั้งแต่ตัวเกมเวอร์ชันแรกอย่างผู้เขียนเองชื่นใจไม่น้อย เลยอยากป้ายยาทุกคนให้มารักเกมนี้ด้วยจนออกมาเป็นบทความนี้นั่นเอง ปกติไม่เล่นเกมแนวสร้างเมืองแต่เกมนี้ทำได้ดีทีเดียว ไม่อยากจะบอกว่าผู้เขียนหมดกับเกมนี้ไป 50+ ชั่วโมงแล้ว.. ดูดเวลาแค่ไหนถามใจเธอดูรักน้อนเอ็นดูน้อน งั้นมาสร้างอาณาจักรบีเวอร์ในแบบของคุณเองให้รุ่งโรจน์กันดีกว่า!Timberborn (Early Access) โดยผู้พัฒนา Mechanistryราคา: 319 บาทแพลตฟอร์มเกม: PC บนร้านค้า Steamได้รับรีวิวระดับ Overwhelmingly Positive พร้อมติดแท็ก City Builder, Colony Sim, Survivalภาพจากเซฟอื่นๆ ที่เล่นไปไกลโข!
21 Oct 2022
รีวิว Uncharted: Legacy of Thieves Collection เมื่อเกมผจญภัยล่าขุมทรัพย์จาก PlayStation มาเสิร์ฟให้ชาว PC ได้เล่นกันแล้ว!
เชื่อว่าชาว PC หลายคนน่าจะรอเล่นกันเยอะกับ Uncharted ซีรี่ส์เกม Action Adventure ผจญภัยล่าขุมทรัพย์ภาพสวยจากค่าย PlayStation ที่มีภาคหลักมาแล้วถึง 4 ภาค แต่ก็เป็นเกม Exclusive ที่ลงเฉพาะบนเครื่องคอนโซล PS มาโดยตลอด ทำให้ใครที่ไม่มีเครื่องก็จะต้องอดเล่นกันมาแล้วนานหลายปี ก่อนที่เมื่อไม่นานมานี้ ชาว PC ก็ได้รับข่าวดีว่า Uncharted: Legacy of Thieves Collection ตัวเกมที่มัดรวมเกม 2 ภาคระหว่าง Uncharted 4: A Thief's End กับ Uncharted: Lost Legacy จะมีการนำมาวางขายบน PC ในวันที่ 19 ตุลาคม 2022 ที่จะถึงนี้!!!คลิปตัวอย่างเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection บน PCอย่างไรก็ตาม หลายคนก็น่าจะสงสัยกันเยอะว่าเกม Uncharted ที่จะมาวางขายบน PC นั้นจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือเปล่า เพราะเกมทั้ง 2 ภาคก็เคยออกมาวางจำหน่ายแล้วนานกว่า 5 ปี และก็น่าจะกลัวกันว่าเกมจะพอร์ทลง PC ออกมาดีหรือไม่ เพราะบางเกมจากค่าย PlayStation ที่พอร์ทมาลง PC อย่าง Horizon Zero Dawn ก็เคยมีปัญหาด้านการเล่น และบั๊กต่างๆ จนทำให้เล่นไม่ลื่นแถมขัดใจในช่วงวันแรกที่วางจำหน่าย รวมทั้งบางคนก็อาจยังคงสงสัยด้วยว่าเกมนี้จะมีอะไรดี หรือเป็นจุดขายบ้าง ส่งผลให้ทาง GameFever ได้ขอพาทุกคนมาชมรีวิวเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection เวอร์ชั่น PC ที่ทางผู้เขียนได้ไปสัมผัสมาแล้วเรียบร้อย!!! เกมจะดีหรือไม่ รับชมกันได้ที่ด้านล่างเลยมารู้จักความยอดเยี่ยมของเกม Uncharted 4: A Thief's End กับ Uncharted: Lost Legacy กันก่อนUncharted 4: A Thief's End เป็นเกมภาคหลักล่าสุดที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2016 โดยก็เป็นเกมที่ม้ามืดของปีนั้นมากๆ ไม่ว่าจะด้านคุณภาพเกมเพลย์ และเนื้อเรื่อง ซึ่งยังมีภาพกราฟิกที่สวยอลังตาจนดีต่อใจ แถมใครที่ไม่เคยเล่น 3 ภาคแรกก็ยังสามารถเล่นภาคนี้ได้เข้าใจด้วยในด้านเนื้อเรื่องทุกภาคของเกมนี้ จะเล่าว่าเราคือ Nathan Drake นักล่าสมบัติสุดเก่งที่ไปเผชิญมาแล้วหลายสถานที่ลึกลับ แต่ในเกมภาคที่ 4 เขาได้เกษียณตัวเอง และมาใช้ชีวิตกับคู่แต่งงานอย่าง Elene ก่อนที่ท้ายสุดเขาจะต้องมาล่าขุมทรัพย์อีกครั้ง เพราะเขาได้เจอกับพี่ชายที่นึกว่าตายไปแล้วอย่าง Sam Drake โดยภารกิจล่าขุมทรัพย์ครั้งนี้ยังส่งผลต่อชีวิตของ Sam ด้วย!เกมนี้จะเล่าเรื่องออกมาได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะบทพูดน่าสนใจตลอดเวลา และการแสดงสีหน้าตัวละครแบบสมจริงให้เราเข้าใจถึงอารมณ์ แถมเกมภาคนี้จะมีการเล่นเรื่องความสัมพันธ์พี่น้องกับสามีภรรยาออกมาได้อินมาก รวมทั้งเพื่อไม่ให้เป็นเกมล่าขุมทรัพย์ปกติ เกมก็จะมีตัวร้ายน่าสนใจด้วยการมาฆ่าเราเพื่อขัดขวาง พร้อมปริศนาขุมทรัพย์ที่น่าดึงดูดให้เราอยากไปค้นหาภาพตัวอย่างการแสดงสีหน้าตัวละครที่พูดถึงเรื่องเศร้าเกมจะยังมีความเป็นกึ่ง Open World ให้เราผจญภัยไปล่าขุมทรัพย์ในสถานที่ลึกลับต่างๆ โดยทุกฉากที่เราได้เห็นในเกมจะมีความสวยอลังการ และเต็มไปด้วยรายละเอียด รวมทั้งเกมนี้ก็จะเน้นให้แก้ปริศนาหาขุมทรัพย์เพลินๆ ไม่ได้เน้นปวดหัวจนยากอะไรแบบนั้น แต่ก็ท้าทายอยู่ แถมฉากในเกมบางส่วนก็กว้างสุดๆ แล้วให้เราได้ขับยานพาหนะเดินทางด้วยเกมจะมีให้ผู้เล่นมาจับปืน หรือต่อสู้กับเหล่าศัตรูที่มาขัดขวางการหาขุมทรัพย์บ่อยๆ โดยขอบอกเลยว่าเกมนี้ทำระบบต่อสู้ได้สนุกมาก และอนิเมชั่นดูดีสุดๆ ทั้งตอนชกต่อยกันหรือยิงกัน ซึ่งจะให้ความรู้สึกมันส์ๆ แถมยังลอบเร้นสังหารได้ รวมทั้งในด้านเกมเพลย์ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ อย่างการมีระบบให้ใช้ตะขอเกี่ยวปีนป่ายเพื่อไปสถานที่ยากๆ หรือจะปีนขึ้นที่สูงแล้วโดดมาฆ่าศัตรูก็ได้อีกสิ่งหนึ่งที่เกมเมอร์ส่วนใหญ่ และตัวผู้เขียนเองชื่นชมเกมนี้ คือทุกๆ สิ่งจะมีรายละเอียดให้ชมเยอะมากจนเป็นความทรงจำดีๆ ยกตัวอย่างช่วงที่ตัวเอก Nathan Drake กำลังค้นหาของในบ้าน เราก็จะได้เห็นอนิเมชั่นการหาของที่แบบละเอียดสมจริงจนอินตาม รวมทั้งคัทซีนในเกมนี้ก็ลื่นไหลจนทำให้เหมือนเรากำลังดูภาพยนตร์ไปด้วยเลยส่วน Uncharted: Lost Legacy จะเป็นภาคให้เราเปลี่ยนมาสวมบทเป็นสาวนักล่าสมบัติ Chloe Frazer แล้วไปผจญภัยตามเนื้อเรื่องของเธอแทน โดยเกมภาคนี้ก็มีความยอดเยี่ยม และรายละเอียดเยอะไม่ต่างจากภาค 4 แต่ด้วยความที่เกมภาคนี้เป็นภาคเสริม ส่งผลให้เนื้อเรื่องกับการผจญภัยจะไม่ได้ยาวเหมือนเกมภาคหลักคลิปตัวอย่าง Uncharted: Lost Legacyอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดบอกไว้ก่อนคือจริงๆ เกม Uncharted 4: A Thief's End จะมีโหมดออนไลน์ PvP ให้ยิงกันมันส์ๆ ด้วย แต่ตัวเกมที่มัดรวมใน Uncharted: Legacy of Thieves Collection จะไม่มีโหมดออนไลน์ให้เล่นนะคลิปตัวอย่างโหมดออนไลน์มาดูตัวเกมเวอร์ชั่น PC กันดีกว่า!ตัวเกมเวอร์ชั่น PC นี้ จะให้ประสบการณ์เกมเพลย์ และการเล่าเรื่องทุกอย่างแก่ผู้เล่นที่ไม่ต่างจากต้นฉบับ แต่ด้านภาพกราฟิกจะมีการเพิ่มรายละเอียดทำให้ดูดีขึ้นไปด้วย ซึ่งความเห็นจากที่ผู้เขียนลองสังเกตุตอนเล่นดู และลองไปเปรียบเทียบกับเกมต้นฉบับบน PlayStation 4 กลับรู้สึกว่าด้านกราฟิกจะไม่ได้มีความต่างเยอะขนาดนั้น ถ้ายกตัวอย่างคือเกมเพียงทำให้เราได้เห็นรายละเอียดพื้นที่ได้ไกลขึ้น หรือหน้าตาตัวละครที่ดูสมจริงเห็นเคราชัดๆ ขึ้นอะไรทำนองนี้เฉยๆ ไม่ได้ถึงขั้นสถานที่สวยขึ้น หรือท้องฟ้าในเกมงดงามจนเปลี่ยนเป็นคนละเกมจากการที่ทางเราได้เล่นไปแล้ว สิ่งที่ทำให้ประทับใจมากๆ คือตัวเกมนั้นเล่นได้ลื่นไหลมาก ไม่พบปัญหาของตัวเกมให้รู้สึกขัดใจ หรือพบบั๊กที่ทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้เลย ทำให้ชาว PC ที่อยากเล่นก็ไม่ต้องกลัวว่าเกมจะปัญหาเยอะในช่วงวันแรกที่วางจำหน่าย นอกจากนี้ สเปคของตัวเกมยังพยายามทำมาเพื่อรองรับให้ PC สเปคกลางๆ ด้วย โดยทางเราก็ลองใช้ PC ที่อยู่ในช่วงเกินสเปคขั้นต่ำที่เกมต้องการ ก็พบว่าสามารถเล่นได้ลื่นๆ Low 720p 30fps ตามที่ทางผู้พัฒนาแจ้งไว้จริงๆ ใครอยากรู้สเปคขั้นต่ำ และขั้นแนะนำเกมนี้ไปดูได้ที่ >> ลิงก์นี้
18 Oct 2022
[Review] รีวิว Brewmaster: Beer Brewing Simulator ต้มเบียร์เลิศรสด้วยมือเรา
Brewmaster: Beer Brewing Simulator เกมจำลองธุรกิจทำเบียร์ หรือการคราฟท์เบียร์ แบบ Homemade ใครที่เคยเล่น Cooking Simulator ผู้เขียนอยากให้เพื่อน ๆ ได้มาสนุกไปกับการคราฟท์เบียร์ขายในเกมนี้ครับ อาจจะไม่ปั่นเท่ากับ Cooking Simulator เพราะเกมนี้ Position ในเกมจะมีตำแหน่งบังคับให้เราวางสิ่งของเลยครับ วัตถุดิบอาจจะไม่หกเลอะเทอะ หรือมีของตกแตกให้ได้เล่นพิเรนท์เฮฮากัน ฮ่า ๆ เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวัน 29 กันยายน 2022 และเป็นเกมที่ติดเทรนด์ในช่วงนั้นด้วยครับ ซึ่งคอนเซปต์เกมโคตรน่าสนใจ เราต้องส่วมบทบาทเป็นนักคราฟ์เบียร์ รายละเอียดทุกขั้นตอนในการทำ ไม่ว่าจะเป็น ต้ม การหมักส่วนผสม แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ น้ำอุณหภูมิต้องเท่าไหร่ ต้มเสร็จแล้วต้องหมักเอาไว้กี่วัน สารพัดสิ่ง สารพัดอย่าง กว่าจะได้เบียร์ที่นำมาวางขาย 1 สูตรนั้น เราผู้เล่นนั้นจะต้องเล่นแร่แปรธาตุด้วยตัวเองทั้งหมดครับ คอนเซปต์เกมดูดีใช่ไหมครับ งั้นเรามาดูภายในเกมกันดีกว่าว่ามันมีระบบอะไรน่าสนใจบ้าง เกมเมอร์คอเบียร์ไม่ควรพลาด!!! ตามผมมาอ่านรีวิวกันได้เลย เกมเพลย์ไม่มีอะไรมาก ต้มเบียร์วน ๆ ไปBrewmaster: Beer Brewing Simulator เมื่อเราเข้าเกมไปจะมี 2 โหมดให้เราได้เลือกเล่นครับ ได้แก่ Brewmaster Mode (โหมดเนื้อเรื่องเหมาะกับผู้เล่นใหม่) และ Free Play Mode (เหมาะกับผู้เล่น ที่เล่นจนชำนาญการคราฟท์เบียร์แล้วครับ)เกมเพลย์เกมนี้ไม่มีอะไรมากมายทุกอย่างที่เราทำมันก็จะวน ๆ ครับ เราจะต้องมารับออเดอร์การสั่งทำเบียร์จากแมกกาซีนบริเวณโต๊ะหน้าบ้านครับ ว่ามีใครสั่งสินค้า (เบียร์) ชนิดไหนเข้ามา (ผู้เขียนไม่ค่อยชำนาญเรื่องเบียร์เท่าไหร่นักจะพยายามอธิบายตามความเข้าใจที่เล่นในเกมมาครับ)เบียร์ในเกมนั้นจะมีบริติชสไตล์ และอเมริกันสไตล์ครับ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่เราใส่ลงไป แต่หลัก ๆ การคราฟท์จะเหมือนกับโลกความจริงทุกอย่าง หัวใจหลักของการผลิตเบียร์ก็เหมือนกันเปี๊ยบไม่ว่าจะเป็น "น้ำ, มอลต์, ฮ็อปส์, ยีสต์" นำทุกอย่างไปคราฟท์ให้เป็นเบียร์ ด้วยวิธีการเดียวกันเลยกับโลกความเป็นจริง เริ่มตั้งแต่การบ่ม > การต้ม > การตกตะกอน > การหมัก > การใส่บรรจุภัณฑ์ซึ่งเราคนเล่นต้องทำขั้นตอนพวกนี้วนไปเรื่อย ๆ ครับ หลังจากทำสินค้าเสร็จเรียบร้อยตามออเดอร์ เควสก็จะผ่านและได้เงินมาใช้ซื้อวัตถุดิบในการทำเบียร์ในสูตรอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนนั้นมันก็เพลินดี แต่แค่ในช่วงแรกเท่านั้นครับ ฮ่า ๆ และมีประวัติศาสตร์ของเบียร์ต่าง ๆ ให้ได้อ่านเพิ่มความรู้อีกด้วย และในเกมมีอุปกรณ์การต้มเบียร์เตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้วครับมีเบียร์ให้ได้ต้มมากมายหลากหลายชนิดหลังจากเราต้มเบียร์เสร็จและนำไปขายเรียบร้อยแล้ว ตัวเกมจะมีผลสรุปมาให้เราได้ทราบเลยว่าไอ้สิ่งที่เราต้มกันมาตั้งนานเนี่ย มันเป็นเบียร์ชนิดไหน นิยมในสหรัฐอเมริกา หรือสหราชอาณาจักร บอกเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เราได้รู้กันไปเลย และบอกให้เรารู้ด้วยว่าเบียร์ของเราเป็นเบียร์อะไร เช่น Lager, Pilsner, Witbier, Hefeweizen, Pale Ale, IPA, Double IPA และ Stout Beer สรุปรสชาติให้ผู้เล่นได้รู้ด้วยว่ากลมกล่อมไหม นุ่มลิ้นไหม หรือรสชาติหนักเบาอะไรมันบอกหมดเลยครับ สามารถตั้งชื่อเบียร์ของเราได้ตามใจชอบและออกแบบสลากบนบรรจุภัณฑ์ได้แต่มีให้เลือกค่อนข้างจำกัดครับส่วนผมนั้นเจอศัพท์พวกนี้เข้าไป สมองไหลไปแล้วครับ ฮ่า ๆ เพราะไม่ใช่คอเบียร์ไม่งั้นนะผมเม้าท์มอยสนุกกว่านี้อี๊กกกกก ฮ่า ๆ ใครมีความสนใจทางด้านนี้ผมเรียนเชิญมาเล่นเกมนี้เลยครับ บอกเลยได้ความรู้แน่น ๆ สั่งของปุ๊บมาปั๊บเกมอื่น ๆ แนวนี้ถ้ามีระบบสั่งของเราอาจจะต้องรออีกวันของถึงมาส่งใช่ไหมครับ เกมนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น เข้าหน้า Catalogue ปุ๊บ สั่งของเสร็จมันส่งมาเดี๋ยวนั้นเลยครับ แบบปุ๊บปั๊บ ปุ๊บปั๊บ สินค้ามีตั้งแต่วัตถุดิบในการทำเบียร์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเบียร์ ยันสินค้าแต่งบ้านครับ แต่เราต้องมีเงินก่อนถึงจะซื้อได้ ซึ่งเงินก็มาจากเบียร์ที่เราคราฟท์ไปขายนั่นแหละครับระบบต่าง ๆ ในเกมงานอาร์ตของเกมนี้บอกเลยว่าสวยเด่นเป็นตระหง่าน ฮ่า ๆ มาด้วยภาพ 3D บรรยากาศเบาสบายในบ้านที่แสนสวยหลังหนึ่งครับ ซึ่งเราต้องอยู่ทำเบียร์แบบ Homemade ภายในบ้านหลังนี้ บอกเลยว่าเกมโคตรสมจริงมาก ๆ การบังคับต่าง ๆ ตัวเกมมี Toturial สอนครับ แรก ๆ อาจจะเก้ ๆ กัง ๆ หน่อย เพราะบางอย่างตัวเกมไม่ได้สอนครับ ต้องคอยดูปุ่มที่โชว์ขึ้นมาว่าควรกดอะไร จะมีคำอธิบายบอกไม่ว่าจะเป็น การเปิดฝา การเทน้ำออก การถ่ายของเหลวจากอีกถังไปอีกถัง เป็นต้น User interface รกไปหน่อยครับ บดบังบรรยากาศของตัวเกมอยู่พอสมควรไม่ว่าจะเป็น Quest Task, To do list หรือแม้แต่ Tip ต่าง ๆ ของเกม อยู่ทั้งซ้ายทั้งขวาเต็มหน้าจอไปหมด แต่พวกการรับงาน สั่งซื้อของ หรือประวัติของเบียร์ที่เราหมักมาใช้งานง่าย ไม่ได้รกหูรกตาอะไรครับสรุปเกมเพลย์ของเกม Brewmaster: Beer Brewing Simulator หลัก ๆ เลยมีแค่นี้จริง ๆ ครับ ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้แล้ว รับออเดอร์งาน > ทำภารกิจต้มตามสูตร > ต้มเสร็จส่งสินค้า > ปิดงานกลับบ้าน > แล้วมาทำแบบเดิมใหม่ในวันรุ่งขึ้น > สั่งของ > รับของที่สั่งมา > แล้วก็วนกลับไปที่เดิมที่รับออเดอร์งานถ้าใครชอบอะไรจำเจผมบอกเลยเกมนี้เหมาะกับคุณเพราะภาพสวยมาก ๆ บรรยากาศชิล ๆ สไตล์ธุรกิจ Homemade เราจะได้เพลิดเพลินกันไปกับบรรยากาศร้านสุดหรูหราครับ แบบเห็นบ้านแล้วได้กลิ่นเลยว่าบ้านหลังนี้ต้องหอมมากแน่ ๆ ฮ่า ๆ ใครสนใจเกมนี้เขาพอร์ตลงหลาย Platform อยู่นะครับไม่ว่าจะเป็น PC, PlayStation 4, PlayStation 5, Nintendo Switch, Xbox One, Xbox Series X ใครสะดวกแพลตฟอร์มไหนก็จัดได้ตามสะดวกเลยครับ ส่วนใน Steam ที่ผมซื้อมานั้นราคา 269 บาท เท่านั้นเอง! ผู้เขียนมองว่ามันก็เล่นได้เพลิน ๆ เลยครับ ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ เพราะค่อนข้างต้องใช้ความจริงจังในการคราฟท์เบียร์มาก ๆ ทุกรายละเอียดสมจริง และได้ออกแบบสินค้าของตัวเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ภาพสวย ๆ บรรยากาศในเกมโคตรดี ถ้าชอบแนวนี้ผมเชียร์มาก ๆ ครับ ส่วนถ้าใครไม่ชอบความจำเจแบบผม ผมแนะนำให้หนีไปครับ ไม่เหมาะกับสไตล์พวกเราอย่างแรง ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1569200/Brewmaster_Beer_Brewing_Simulator/
16 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Asterigos: Curse of the Star เกมแอคชันอินดี้ที่ฝันไกล...แต่กลับไปไม่ถึง
นับตั้งแต่ FromSoftware ทำให้เกม Dark Souls กลายเป็นเกมยากที่แสนจะท้าทายฝีมือผู้เล่นขึ้นมา เราก็ได้เห็นเกมแนวเดียวกันถูกโคลนนิ่งออกมาเต็มตลาดไปหมด มีทั้งดีบ้างและไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป และ Asterigos ก็เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมฟอร์มใหญ่ตระกูลโซลทั้งหลาย แต่มันกลับเป็นเกมอินดี้เกรดเอที่เล่นสนุกไม่ใช่น้อยเลย และเพราะอะไรเราถึงได้แนะนำเกมนี้ มาดูกันได้ในรีวิว Asterigos: Curse of the Starผู้เล่นรับบทเป็น Hilda นักรบจากดินแดนสายลมเหนือหรือ Northwind Region ที่ต้องออกเดินทางตามหาพ่อที่หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ เริ่มต้นจากการไปพบเจอเมืองที่ถูกสาป ก่อนจะพบเหตุการณ์ผกผันต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งโจร สัตว์ประหลาดไซส์ยักษ์ ทาสเผด็จการ หรือแม้กระทั่งพวกคลั่งศาสนา เรียกได้ว่าหลายฝักฝ่าย วุ่นวายกันเต็มไปหมด โดยเส้นเรื่องที่พัวพันซับซ้อนเหล่านี้อาจจะช่วยเสริมมิติให้กับเหตุการณ์ในเกมได้ถ้าหากถูกนำเสนออย่างถูกวิธี แต่ในกรณีของ Asterigos เส้นเรื่องเหล่านี้ในหลายครั้งไม่ได้เสริมกันเท่าที่ควร ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าถูกโยนไปทางโน้นที ทางนี้ทีตลอดเวลา หนักเข้าหน่อยก็แทบจะลืมเนื้อเรื่องหลักกันไปเลยแต่ด้วยความทะเยอทะยานอยากจะเล่นใหญ่ของเกมนี้ บางครั้งก็เหมือนทำให้ลืมไปว่า ผลงานของพวกเขาเป็นเพียงเกมอินดี้เกรด A อย่างแรกคือเนื้อเรื่องแม้จะทะเยอทะยานเล่นใหญ่ แต่เหมือนงบนักพากย์หมด ทำให้บางฉากก็เป็นการพากย์เสียงแบบเต็มรูปแบบ บางบทสนทนาที่ยิบย่อยหน่อยก็ตัดทิ้งให้เหลือแต่เพียงการอ่านตัวหนังสือเท่านั้น ดังนั้นใครอยากจะอินกับเนื้อเรื่องเกมนี้ ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามนิดนึง หรือจะช่างมันไปเลยก็ได้ เพราะท้ายที่สุด โฟกัสหลัก ๆ ของเกมนี้คือการออกผจญภัยไปตามหาผู้เป็นพ่อ และปลดแอกชาวเมืองจากคำสาปลึกลับนั่นเองบทสนทนาอันยืดยาวเรื่อยเปื่อยแต่กลับแบนราบอย่างน่าเสียดายAsterigos: Curse of the Star เป็นอีกเกมที่ใครไม่อดทนพอจะนั่งอ่านบทสนทนาอันยืดยาว รับรองว่าคุณจะได้กดข้ามกันจนเบื่อไปข้าง แม้จะไม่รู้ว่าบทสนทนาของเกมนี้มีมากน้อยแค่ไหน แต่นับตั้งแต่ที่เราเข้าสู่เนื้อหาหลักของเกม ผู้เล่นจะเจอบทสนทนาอันยืดยาว ที่แม้กระทั่งกดข้ามยังรู้สึกว่าเยอะ แถมเมื่อการสนทนาหลักจบลง เราสามารถที่จะคุยกับ NPC ตัวนั้นซ้ำ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกมากมายหลายหัวข้อ แต่ท้ายที่สุดมันก็จะจบลงที่ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากไปกว่าเป้าหมายหลักที่เราต้องไปทำ NPC แต่ละตัวจะมาพร้อมบทสนทนาอันยืดยาว แถมยังมีหัวข้อยิบย่อยอีกเพียบ บางตัวอาจสำคัญ บางตัวเหมือนบ่นระบายให้เราฟัง และเหมือนเช่นเคยกับการที่ทุกเกมจะพยายามโปรโมทว่า การเลือกของเราจะส่งผลกระทบต่อโลกของเกม แต่มันก็จบลงด้วยที่ความต่างเพียงเล็กน้อย หรือไม่ก็แทบไม่มีผลอะไรเลยสิ่งนี้แทบจะทำลายความน่าสนใจของเกมทั้งหมด สำหรับเรื่องของกราฟิกในเกมที่ใช้ Unreal Engine พัฒนา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคำโฆษณาที่ยั่วยวนใจแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี หรือบางทีมองผ่าน ๆ เราอาจจะคิดว่านี่คือ Immortal Fenyx Rising เกมจากค่าย Ubisoft ที่กลายเป็นเกมดังม้ามืดเมื่อหลายปีก่อน เกมนี้จะให้อารมณ์และความรู้สึกที่คล้ายกัน ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี เพราะเกมนี้เป็นเกมอินดี้ที่มีงบจำกัดในการพัฒนา แต่สามารถรังสรรค์โลกภายในเกมออกได้อย่างสวยงามมากขนาดนี้ถือว่าน่าชื่นชมไม่น้อยแล้วมีหลากหลายครั้งที่เกมพยายามจะใส่ลูกผสมระหว่างการเป็นเกมเล่าเรื่องแบบเส้นตรง คือมีทางไปทางเดียว ไม่มีทางอื่น แต่บางช่วงก็เหมือนอยากจะใส่ความหลากหลาย ความคุ้มค่าของเกมเข้ามา เช่นอยู๋ดี ๆ ก็โยนภารกิจเสริมมาให้ ให้เราไปออกสำรวจซะงั้น แล้วพอเราไปสำรวจก็เจอสิ่งแปลก ๆ เพิ่มเข้ามาอีก แต่ประเด็นคือแทนที่จะทำให้เกมหลากหลาย แต่มันกลับสะท้อนให้เห็นว่าเกมขาดการจัดระเบียบ นึกจะใส่อะไรก็ใส่มา สำหรับคนที่ชอบทำอะไรให้เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน หรือชอบเกมที่มีโครงสร้างชัดเจน คุณอาจจะไม่ชอบเกมนี้เอามาก ๆ ปัญหาคือนอกจากจะเล่าเรื่อง และวางองค์ประกอบของเกมไม่ค่อยจะดีแล้ว เกมยังแอบยาวมากเสียด้วย หากคุณจะเล่นแบบตรงเน้นไปที่เนื้อเรื่องอย่างเดียวก็อาจจะใช้เวลา บวกลบแล้วอยู่ที่ 18-20 ชั่วโมงแน่นอน หากเป็นเกมที่มีการนำเสนอดี คุณภาพดี จำนวนชั่วโมงนี้อาจจะพอคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป แต่สำหรับ Asterigos นั้น เพราะการลำดับการเล่าเรื่อง การวางโครงสร้างเกมที่มั่วไปหมด เลยรู้สึกว่า น้ำมันเยอะไป ถ้าจะเอาเนื้อ ๆ จริง ๆ อาจจะคุมให้จบได้ตั้งแต่ 10 ชั่วโมงแรกแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่คิดจะลองเกมนี้ แนะนำว่ารอลดราคาดีกว่า แม้คุณภาพมันจะไม่ได้แย่ แต่คุณอาจจะรู้สึกเบื่อจนเล่นไม่จบแทนเกมเพลย์ที่ได้แรงบันดาลใจ "อย่างมาก" จากซีรีส์ Soulsสำหรับใครที่เคยสัมผัสเดโมหรือเคยเล่นเกมนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกมนี้ได้แรงบันดาลใจและอิทธิพลมาจากเกมประเภท Souls ของ FromSoftware เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไม่มีมินิแมพ ไม่มีแผนที่ในเกม แม้กระทั่งจุดสัญลักษณ์ของการทำภารกิจก็ไม่มี ข้อดีของมันคือการทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าสามารถมีอารมณ์ร่วมกับตัวเกมในด้านของการออกสำรวจได้ดีมาก ซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่เกมโซลเกือบทุกเกมชอบนำเสนอ แต่อย่างที่บอกว่า การออกแบบโลกของเกมนี้มันยังไม่คมคายเท่า รายละเอียดในโลกไม่เป็นที่จดจำเท่าที่ควร ดังนั้นปัญหาที่ตามมาคือผู้เล่นจะหลงทางได้ง่ายมาก ซอกเล็กซอกน้อยของเกมนี้ก็มีให้สำรวจกันตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม สำหรับคนที่ชอบเก็บอะไรให้ครบ ๆ แต่อยู๋ดี ๆ อาจวิ่งไปเจอพื้นที่ใหม่โดยยังไม่ทันตั้งตัวก็มี ซึ่งบางที่ก็อาจไม่อนุญาตให้ย้อนกลับได้แล้วด้วย และเกมนี้ไม่ได้มีคุณภาพพอจะให้เล่นซ้ำ ใครที่ชอบเก็บอะไรครบ ๆ ก็อาจจะเซ็งพอสมควรในแง่ของระบบการต่อสู้ เกมนี้ก็ยังได้แรงบันดาลใจของ Soulslike มาแบบเต็ม ๆ แต่เอามาดาวน์เกรดให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็นเหมือนกับเกมวอร์มเครื่องก่อน หากใครอยากลองไปเล่นเกมจำพวก Souls แต่ยังใจไม่ถึงพอ แม้ว่ามันจะง่ายกว่ามาก แต่ถ้าเล่นแบบไม่ระวังก็อาจถึงตายได้อยู่ดี การโจมตีของเธอนั้น ไม่สูญเสียค่า Stamina แต่การวิ่ง การกลิ้งหลบหลีกนั้นจะใช้ตามปกติ วิธีการเอาชนะศัตรูทั่วไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ถ้าเป็นบอสก็คือการจับจังหวะ การเรียนรู้ว่าศัตรูมีสกิลและท่าไม้ตายอะไรบ้าง แม้บางตัวจะโจมตีได้อย่างรุนแรงจนผู้เล่นต้องผวา แต่ก็โชคดีที่ไม่ยากเกินไป ไม่มีตัวไหนที่จะหวดผู้เล่นทีเดียวตายได้สักเท่าไร แถมไอเทมอย่างน้ำยาเติมพลังก็มีดรอปให้เก็บกันอย่างมากมายส่วนของอาวุธและสกิล ก็ไม่ต้องลำบากไปวิ่งหาแต่อย่างใด เกมจะมอบอาวุธหลากหลายรูปแบบมาให้เราทั้งหมดตั้งแต่แรกเลย โดยอาวุธทั้งหมดจะมี 6 แบบ สามารถติดตั้งได้พร้อมกัน 2 ชนิดในคราวเดียว แบ่งออกเป็นดาบโล่ / กริช / ค้อน / หอก / ไม้เท้า และกำไลข้อมือ อาวุธที่ต่างกันจะมีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกันด้วย และเราสามารถผสมผสานคอมโบอาวุธได้ อาวุธแต่ละชนิดจะสามารถอัปเกรดสกิล และติดตั้งเพื่อใช้งานต่อสู้ได้ด้วย ในเมื่ออาวุธให้เรามาทั้งหมดแล้ว เราก็สามารถหาวัตถุดิบตามฉากไปอัปเกรดได้แทนกล่าวได้ว่า ตัวเกมเกือบทั้งหมด ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Souls แทบทั้งสิ้น แต่ถูกดาวน์เกรด ตัดระบบหลายอย่างออกเพื่อให้เกมเล่นง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี มันสนุกมากในพาร์ทที่ผู้เล่นต้องต่อสู้และเอาชนะศัตรูระดับบอส แต่ในส่วนของการออกสำรวจ และเนื้อเรื่อง น่าเสียดายที่มันกลับทำได้ไม่ดีเอาซะเลย ปกติแล้วเกมอินดี้เกรดนี้ จะมีปัญหาด้านเกมเพลย์ แต่เนื้อเรื่องจะสนุก น่าติดตาม แต่เกมนี้กลับตรงกันข้ามกันซะอย่างนั้นAsterigos: Curse of the Star เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ที่มีศักยภาพ โดยสามารถรับรู้ได้ถึงความทะเยอทะยานและความตั้งใจของทีมพัฒนาขนาดเล็กได้อย่างชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมายังจัดอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น น่าเสียดายที่ทีมงานไปเน้นโฟกัสผิดจุด ถ้าลดการเล่าเรื่องลงให้กระชับ และนำงบไปทำเกมเพลย์เพิ่มให้เฉียบคมกว่านี้ เกมนี้มีโอกาสเป็นเกมอินดี้ม้ามืดของปีนี้ได้เลย แต่ตอนนี้มันกลับทำได้แค่เพียงเป็ฯอีกหนึ่งส่วนแบ่งตลาดที่คนไม่ค่อยจะสนใจไปซะแทน
16 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Super People พับจีมีพลัง?! ศึก Battle Royale ระหว่างยอดมนุษย์สุดเดือด
ดูเหมือนในช่วง 4-5 ปีมานี้ Genre เกม Battle Royale จะยังไม่ลดความนิยมลง แม้ว่าจะมียักษ์ใหญ่ชิงบัลลังก์ไว้อยู่ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น PUBG, Apex Legends, Fortnite แต่หากใครอยากจะเข้ามาร่วมกินพื้นที่ตลาดด้วย ก็ต้องมั่นใจว่ามีของดีจริง และทีมงาน Wonder People ก็มั่นใจเสียด้วย จึงเปิดตัวเกม Battle Royale ตัวใหม่อย่าง Super People ออกมาให้เราได้เล่นกันแล้ว แต่มันจะเจ๋งสู้เกมอื่นได้หรือไม่ หาคำตอบกันได้ในรีวิวของเราในวันนี้ฉากหลังของโลกในเกมที่น่าสนใจ แต่ยังไม่มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจนในตอนนี้สำหรับเกมนี้ยังคงคอนเซปต์เป็นเกมที่ไม่มี Story Mode หรือโหมดแคมเปญเนื้อเรื่อง แต่จะมีการเล่าที่มาที่ไปของตัวเกม ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Super Soldier หรือทหารชั้นยอด จากโครงการพัฒนาพันธุกรรมมนุษย์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้สามารถขึ้นไปใช้ชีวิตบนดาวอังคารได้ แต่โครงการพัฒนาพันธุกรรมนี้ กลับเป็นของล่อตาล่อใจมนุษย์ผู้ละโมบโลภมาก ไม่นานนักทั้งสายลับและอาชญากรต่างก็แฝงตัวเข้ามาเสริมพลังด้วยเทคโนโลยีนี้ สงครามระหว่างสายลับและแก๊งอาชญากรรมที่มีพลังเหนือมนุษย์ก็ได้เปิดฉากขึันที่หมู่เกาะ Orb หากคิดจะทำเป็นเกมเนื้อเรื่องก็ถือว่าเกมนี้นั้นน่าสนใจมาก ๆ แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้เกมมีเพียง Setting ฉากหลังของเนื้อเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ น่าสนใจว่าท้ายที่สุดแล้ว หากมีการพยายามเพิ่มเติมเนื้อเรื่องเข้ามาในเกม มันจะออกมาเป็นยังไง ไม่แน่ว่าพวกระบบยอดนิยมอย่าง Battle Pass แบบเดียวกันกับ Apex Legends อาจจะถูกเพ่ิมเข้ามาเล่าเนื้อเรื่องกันอย่างจริงจังก็เป็นได้PUBG 2 but with Crafting & Level Up Systemเนื่องด้วย Super People เป็นเกม Battle Royale และเอาจริง ๆ เกมได้เปิดให้ทดสอบกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ผู้เขียนเองมีโอกาสได้เข้าไปทดสอบเกมนี้ในทุก ๆ การเปิดทดสอบเกม สิ่งแรกที่ทำให้เกมนี้อาจจะโดนใจแฟนเกมหลาย ๆ คนในไทยเลยคือ รูปแบบเกมเพลย์การเล่นที่น่าจะถอดแบบมาจาก PUBG จนหลายคนแทบจะคิดว่ามันคือ PUBG 2 เพราะไม่ว่าจะเป็น Movement เกมเพลย์การเล่น การยิง ใครที่เคยเล่น PUBG มาก่อน จะสามารถปรับตัวและทำความเข้าใจได้ง่ายมาก ๆ แน่นอน และแทบไม่ต้องเรียนรู้การควบคุม หรือ Pace การเล่นนั้น เหมือนกันอย่างกับถอดโค้ดเกมกันมาแต่อย่างแรกที่ไม่เหมือนกับ PUBG เลยคือ ระบบการเล่นแบบ Hero Shooter ด้วย ในเกมนี้จะมีตัวละครให้เลือกเล่นมากถึง 14 ตัวด้วยกัน โดยแต่ละตัวจะมีความสามารถ ความเชี่ยวชาญการต่อสู้ที่ต่างกันออกไปอย่างชัดเจน และเกมนี้ได้พยายามซอยย่อยความสามารถของเหล่าฮีโร่ให้ละเอียดยิบย่อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ฮีโร่ตัวนี้อาจจะเชี่ยวชาญและเก่งขึ้นเมื่อสู้ในป่า หลบหลังต้นไม้ หรือลงใต้น้ำ บางตัวสามารถทำให้รถที่ขับสามารถกระโดดได้ หรือเสกรถทั้งคันเลยก็ยังได้ ทำเอาอยากรู้เลยว่าโครงการมนุษย์กลายพันธุ์โครงการนี้ไปทำอีท่าไหน ถึงออกมามีพลังระดับนี้กันแน่นอกจากระบบ Hero Shooter แล้วเกมนี้ยังมีระบบอีกหลายอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบ Blueprint ที่เอาไว้สร้างอาวุธของตัวเอง สามารถจัด Loadout สำหรับ Care Package ของตัวเองได้แบบเดียวกับเกมดังอย่าง Call of Duty: Warzone ก็สามารถทำได้อีก กล่าวง่าย ๆ คือ Super People เป็นเกมที่ทางทีมงานหยิบเอาข้อดีของแต่ละเกมมายัดรวมไว้ในเกมเดียวกันนั่นเอง และยังมีระบบ Craft Item ที่เอาไว้อัปเกรดอุปกรณ์ทั้งหมดในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นหมวก แน่นอนว่าพอเป็นเกมออนไลน์ คอนเทนต์หลัก ๆ จึงอยู่ที่โหมด Multiplayer ซึ่ง Super People เป็นเกม Battle Royale จึงรองรับสองมุมมองยอดนิยมอย่าง First Person / Third Person ส่วนสมาชิกในทีมก็ได้ตั้งแต่ 1-4 คน แล้วแต่เลยว่ามีเพื่อนมาเล่นด้วยกันหรือไม่ หรือใครจะเป็นสายหมาป่าเดียวดายก็แล้วแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละผู้คน โดยเกมนี้เมื่อจบแต่ละรอบก็จะได้รางวัลเป็นค่าเงินและปลดล็อคสิ่งของใหม่ ๆ ภายในเกม แต่สำหรับช่วงแรกนี้ การเล่นจบแต่ละรอบและเลเวลอัปไปถึงที่กำหนด จะทำการปลดล็อคคลาสใหม่ ๆ มาให้เราได้เล่นกันอีกด้วย  นับแค่ตอนนี้ คอนเทนต์ของตัวเกมที่อยู่ในช่วง Early Access ก็ถือว่าเป็นเกม Battle Royale ที่เล่นได้เพลิน ๆ แต่ระยะยาวต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ต้องรอติดตามกันต่อไป เพราะตอนนี้ตัวเกมยังมีปัญหาให้พูดถึงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการเป็นเกม Early Accessฟาร์มของ อัปเลเวล อัปสกิล เลือกใช้ท่าไม้ตายให้ถูกจังหวะ Battle Royale รสชาติผสมจนเกือบจะมั่วหากจะให้นิยามเกมเพลย์การเล่นของ Super People นั้น คงบอกได้คำเดียวเลยว่า "อภิมหามั่ว" น่าจะเป็นคำนิยามที่ชัดเจนที่สุดแล้ว หากคุณเคยเล่น PUBG มาก่อน คุณจะรู้ดีว่า เกมเพลย์ของ PUBG นั้นมีรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างแตกต่างจาก Battle Royale เกมอื่น ๆ นั่นคือจังหวะการยิง การเคลื่อนไหวของตัวละครจะค่อนข้างช้ามาก ใครที่ติดเกมเร็ว ๆ อย่างพวก Fortnite หรือ Apex Legends มา กลับมาเจอ Movement ของเกมนี้เขาไป อาจจะรู้สึกหงุดหงิดจนหน่ายใจเลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบ PUBG เป๊ะ ๆ เพราะเกมนี้จะใส่ระบบปากัวร์หรือปีนป่ายเข้ามา ทำให้เราสามารถปีนเข้าออกหน้าต่าง ขึ้นหลังคาบ้าน ทำให้เกมเพลย์การเล่นที่เราต้องปะทะกับศัตรูในบ้าน หรือในอาคารนั้น ค่อนข้างลุ้นระทึกกันเลยทีเดียวว่าเราจะชนะ หรืออีกฝั่งจะเดี้ยงก่อน ยิ่งเป็นการเล่นแบบทีมที่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันแล้ว แม้เราจะไม่อยากนำไปเปรียบเทียบแค่ไหน แต่ใครที่ชื่นชอบเกมเพลย์แบบ PUBG คุณจะหลงรักเกมนี้ได้ไม่ยากเลย แต่ส่วนตัวสำหรับผู้เขียนนั้น รู้สึกว่าอาจจะต้องมีการปรับตัวกันระดับหนึ่ง เพราะหากอธิบายกันให้ชัด ๆ นี่คือเกม PUBG ที่มีสกิล ดังนั้นการ Pick Hero มาเล่นในแต่ละรอบจึงค่อนข้างสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็ฯการเลือกตัวละครที่ถนัดต่อสู้ในพื้นที่นี้ การอ่านวงบีบว่าวงจะไปจบตรงไหน หากโชคดี วงบีบไปยังจุดที่ตัวละครเราได้เปรียบก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ ก็ไปวัดกันที่ฝีมือ เพราะเอาจริง ๆ แล้ว สิ่งที่มีผลกับเกมจริง ๆ ไม่ใช่ตัวละคร แต่เป็นสกิลที่ตัวละครนั้น ๆ มีอธิบายกันก่อนว่า ในทุก ๆ การเริ่มต้นเกม ผู้เล่นจะสุ่มฮีโร่ที่จะได้เล่น 1 ตัว กรณีอยากหยิบตัวที่เลือกเล่นจะต้องเสียตั๋วเลือก 1 ใบ และสามารถเลือกเล่นฮีโร่ในตานั้น ๆ ได้ ฮีโร่แต่ละตัวจะมีสกิลทั้งหมด 3 สี สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว สกิลแต่ละสีจะเป็นการแบ่งหมวดหมู่ความสามารถของสกิลสีนั้น ๆ สีแดงจะเน้นไปที่การโจมตี สีน้ำเงินจะเน้นช่วยเหลือเราในสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ และสีเขียวจะเน้นไปที่การสนับสนุน แต่ก็ไม้ตายตัว เพราะฮีโร่บางตัว สกิลสีเขียวอาจจะไปช่วยสนับสนุนแทนก็มีเช่นกัน โดยวิธีการอัปเกรดสกิลในเกมก็คือ วิ่งหาแคปซูลที่มีทั้งหมด 5 สี คือสีแดง น้ำเงิน และเขียว ตามสีสกิล และยังมีอีกสองสี คือสีขาว และสีทอง สำหรับแคปซูลสีขาวนั้น เมื่อใช้จะสุ่มอัปเลเวลสกิล 1 เลเวล ส่วนแคปซูลสีทอง เมื่อใช้จะสุ่มอัปเลเวลสกิล 3 เลเวล (หรือเต็ม Max เลย) 1 สกิล ยิ่งอัปเกรดสกิลมาเยอะแค่ไหน ตัวละครของเราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น หลายคนอาจจะมองว่ามันทำให้ใช้ฝีมือน้อยลงหรือเปล่า แต่หลังจากที่ได้ลองเล่นมา ฝีมือการยิงและการประสานงานกันเพื่อเล่นแบบทีมก็ยังสำคัญกว่ามากอยู่ดีและอีกอย่างคือทุก ๆ การเริ่มเกมนั้น หลังจากได้ฮีโร่ที่เล่นแล้ว ระบบจะสุ่ม Specialize Weapon หรืออาวุธที่คลาสนั้น ๆ ชำนาญ แต่จะเป็ฯการสุ่มอาวุธปืนในรอบนั้น ๆ เช่นตานี้ ตัวละครอาจจะถนัด M4A1 ถ้าไปหามาใช้ก็จะยิงได้เร็วขึ้น แรงขึ้นเป็นต้น เรื่องของอาวุธ Specialized จึงเป็นอีกระบบสำคัญนอกจากการอัปเกรดสกิลแล้ว เกือบทุกอย่างภายในเกมจะสามารถอัปเกรดได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมวก เกราะกันกระสุน กระเป๋า ยันอาวุธปืน โดยไอเทมแต่ละชิ้นจะมีผังอัปเกรดของตัวเองให้ได้เห็นตลอดทั้งเกม แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไม่รู้ผังการอัปเกรด เพราะไม่ว่าเราจะถืออะไรอยู่ในตัว ระบบจะสแกนหาสิ่งของโดยรอบ และชี้ให้เห็นว่าของชิ้นนี้ถ้าเก็บจะสามารถอัปเกรดอุปกรณ์หรืออาวุธในตัวได้เลย ทำให้เกมการเล่นในแต่ละรอบผู้เล่นอาจจะเลือกได้ว่า จะฟาร์มก่อน รอเลเวล รอของพร้อมค่อยไปล่า หรือจะค่อย ๆ แจม หรือเป็นปาร์ตี้นักล่าไปเลยส่วนอีกระบบหนึ่งคือระบบเลเวล เลเวลนั้นจะเพิ่มขึ้นเองตามเวลาที่ผ่านไป หรือถ้าฆ่าคนอื่นได้ก็อาจจะเลเวลอัปได้ไวขึ้น กรณีถึงเลเวล 10 ผู้เล่นจะปลดล็อคการใช้สกิลอัลติเมทของแต่ละคนได้ การรีบอัปเลเวลของตัวละคร เพื่อให้มีเลเวลสูงพอจนใช้อัลติเมทได้ ซึ่งอาจจะเป็นตัวช่วยในการพลิกสถานการณ์ในบางครั้ง บางการต่อสู้ได้เลยจะเห็นได้ว่า ระบบของเกมนี้นั้นมีเยอะเอาซะมาก ๆ จนแทบจะไม่ใช่เกม Battle Royale แล้ว ซึ่งผู้เขียนเองก็คิดว่าอะไรหลาย ๆ อย่างในเกมนี้มันเยอะจนเกินไป และด้วยความที่ระบบการต่อสู้ การยิงกันของเกมนี้มันคล้ายกับ PUBG นั่นคือ อาจจะยิงกันตายได้ในไม่กี่นัด ทำให้การเข้ามาของระบบสกิลและ Hero Shooter ยิ่งทำให้เกมยิงกันตายไวขึ้นอย่างมาก แถมสมดุลของฮีโร่บางตัวก็ดู Over Power เกินเหตุ ยกตัวอย่างเช่น Nuclear คลาสที่สามารถสั่งยิง Nuke ได้ ทำให้การปะทะกันในที่โล่ง ทีมอื่นจะเสียเปรียบอย่างมาก หรือคลาส Marine ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ใต้น้ำ แต่แผนที่กลับไม่ค่อยมีพื้นที่ที่เป็นน้ำสักเท่าไรนัก เรียกได้ว่าเกมนี้อาจจะต้องมานั่งปรับบาลานซ์กันอีกชุดใหญ่เลยทีเดียวใด ๆ ก็ตาม ด้วยเกมเพลย์ที่มีระบบให้เล่นมากมาย ยังไม่นับระบบ Blueprint และการ Craft อาวุธใช้เอง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเกมการเล่นในอนาคต ดูท่าว่างานนี้เกมนี้จะยังไปต่อได้อีกยาว ๆ แต่มันจะรักษาสมดุลให้น่าเล่นไว้ได้เหมือนเดิมหรือไม่ งานนี้คงต้องรอลุ้นกันในอนาคตปัญหาโลกแตกของเกม Early Access กับ Performance ที่ไม่น่าประทับใจและปัญหาที่หนีไม่พ้นจริง ๆ ของเกม Early Access แทบจะทุกเกม นั่นคือปัญหาของ Performance ตัวเกม ที่ทำให้ตัวเกมโดนทำลายความสนุกไปมาก จากที่ผู้เขียนลองค้นหาดู ก็พบว่ามีทั้งคนที่เป็นและไม่เป็น และไม่ว่าจะใช้การ์ดจอของค่ายเขียวหรือแดงก็จะเจอปัญหานี้เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย ปัญหาหลัก ๆ คือเรื่องของเฟรมเรทที่ไม่ค่อยจะนิ่งสักเท่าไร แต่มันจะไม่ใช่ปัญหา ถ้ามันไม่เกิดตอนที่เรากำลังยิงปะทะกับศัตรูในระหว่างการวิ่งฟาร์มของ เฟรมเรทของเกมจะปกติดี และราบรื่นดี แต่จังหวะการยิงเมื่อไร เฟรมเรทจะเกิดอาการแกว่ง ทั้งตก ทั้งกระตุก จนบางทีเราฟาร์มของมาตายโดยเฉพาะก็มีให้เห็นหลายรอบเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ การยิงปืนของเกมนี้ เมื่อกระทบวัตถุสิ่งของจะทำให้เกิดประกายไฟ ซึ่งถ้าใครสเปคเครื่องอยู่ในระดับกลาง ๆ ก็อาจจะเจอปัญหาเฟรมเรทตกฮวบในช่วงยิงปะทะ ซึ่งการเกิดปัญหาตอนยิงปะทะนี่แหละที่อาจทำให้เราตายฟรีไปได้เลย เพราะไม่ได้สวนศัตรูเลยสักนัดและอาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเกมการเล่น แม้ในห้องฝึกหรือ Training Ground ก็เกิดปัญหานี้ได้ งานนี้น่าจะต้องรอการแก้ไขและการ Optimized ตัวเกมกันอีกชุดใหญ่เลยทีเดียว แต่หากมองว่านี่คือปัญหาทั่วไปของเกม Early Access ก็พอจะอนุโลมให้ แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมันคือการทำลายประสบการณ์ของคนเล่นเองโดยตรงสรุปแล้ว Super People เป็นอีกหนึ่งเกม Battle Royale ที่เล่นสนุกมาก แต่ความเยอะของตัวมันเอง อาจจะทำให้หลายคนไม่ชอบ แต่ใครที่ชอบเกม Battle Royale ผสมไซไฟแฟนตาซีแบบจัดเต็ม มาพร้อมระบบอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้เกมการเล่นไม่ได้จบแค่การยิงกัน นี่เป็นอีกประสบการณ์ Battle Royale ที่คุณควรลองดูสักครั้ง โดยฉพาะการที่เกมมันเล่นฟรีด้วย
15 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Scorn งานศิลป์ในรูปแบบของเกมที่ยียวนชวนขนลุก และไม่สนุกในเวลาเดียวกัน...
หลังจากให้แฟน ๆ ได้สัมผัสกับความแปลก ความงง ความแหวะ ความสยองผ่านตัวอย่างเกมมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ Scorn เกมอินดี้ FPS สุดพิศดารของผู้พัฒนาสัญชาติเซอร์เบีย Ebb Software ก็ปล่อยออกมาให้เราได้เล่นกันแล้ว แต่เกมจะมีดีสมกับความคาดหวังของผู้เล่นหรือไม่ แท้จริงแล้วเกมนี้เป็นเป็นแบไหนกันแน่ ลองให้รีวิว Scorn ของเรามอบคำตอบให้กับทุกท่านเนื้อเรื่องที่จะทำให้คุณสะกด ง.งู ได้แบบไร้ที่สิ้นสุดเอาแค่การเล่าเรื่องราวของเกมก็แปลกกว่าเกมอื่น ๆ เป็นไหน ๆ แล้ว Scorn จะเล่าเรื่องราวของตัวละครนำที่เรารับบท ไม่มีชื่อ ไม่มีบอกสถานที่ ว่ามันคือโลกอะไร ที่นี่ที่ไหน มาถึงผู้เล่นก็จะได้เริ่มต้นการผจญภัยสุดงงงวย และเต็มไปด้วยคำถามเต็มหัว ว่านี่คือที่ไหน เรามาทำอะไร เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ และสิ่งที่เรากำลังเจออยู่นั้น มันคืออะไรบ้าง เอาง่าย ๆ คือเราจะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ผู้เล่นจะรู้เท่าที่เกมอยากให้รู้ จากนั้นก็ปล่อยให้ผู้เล่นไปนั่งคิด นั่งตีความกันเอาเอง ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้ขึ้นอยู่กับความคิดและวิจารณญาณของผู้เล่นแต่หากจะให้ผู้เขียนพูดกันตามตรงแล้ว ก็คงอยู่ที่มุมมองผู้เล่นซะมากกว่า ในเมื่อนี่คือสื่อที่เป็นวิดีโอเกม แต่เน้นการเล่าเรื่องที่คลุมเครือและเกมเพลย์ที่ชวนปวดหัวไมเกรนขึ้นกันตั้งแต่ช่วงแรกยันช่วงท้ายของเกม มันก็าอาจจะทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะหากจะนำเสนอประเด็นอันลึกซึ้ง และแยบยลขนาดนี้ ก็อาจจะมีวิธีอื่นที่สื่อได้ดีกว่าวิดีโอเกมก็ได้ ไม่น่าแปลกใจถ้าเกิดว่าในอนาคต มีผู้คนได้สัมผัสเกมนี้กันมากขึ้น แล้วก็ไม่ได้มานั่งถกกันเรื่องเนื้อหาของเกม แต่จะยังคงถกกันว่าเกมนี้ สนุก หรือไม่สนุก เพียงเท่านั้นบรรยากาศภายในเกมสุดอึดอัดและภาษาไทยในเกมที่ไม่จำเป็นต้องมีคนเรามีภูมิต้านทานในเรื่องความสยอง และความสะอิดสะเอียนต่อสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่ไม่เท่ากัน สำหรับ Scorn คนที่ได้เห็นตัวอย่างบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันชวนแหวะเกินไป ไม่กล้าเล่น แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว หลังจากได้ลองเล่นกลับรู้สึกว่ามันธรรมดาเกินกว่าที่หวังเอาไว้พอสมควร แต่บรรยากาศและโลกภายในเกมนี้ มันชวนให้รู้สึกอึดอัดมากกว่า มันจะเป็นห้องมืด ๆ แคบ ๆ แสงน้อย ๆ และถูกประดับประดาด้วยการออกแบบในสไตล์ของ H.R. Giger ที่เครื่องจักรกลจะถูกผสมผสานเข้ากับมนุษย์ในระดับผิวหนัง จริงอยู่ว่าในบางช่วง บางฉากนั้น เกมจะนำเสนอฉากเลือดสาดสุดโหดให้เราเห็นกันแบบเต็มหน้าเต็มตา แต่สำหรับคนที่เล่นเกมสยองขวัญหรือดูหนังแนว ๆ นี้มาเยอะจะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้หวือหวา หรือชวนผวาอย่างที่เราคิดเอาไว้ แถมบางฉากยังรู้สึกว่าแอบโหดจนเข้าขั้นจิตเลยก็ว่าได้ ที่จะต้องบดขยี้ก้อนเนื้อมนุษย์ หรือซากมนุษย์เพื่อให้กลไกทำงาน และไปสู่ฉากต่อไป แต่ภาพรวมของมันก็ยังถือว่าไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก และที่สำคัญที่อยากพูดถึงจริง ๆ คือ ตัวผู้เขียนเองก็เพิ่งรู้ตอนที่เกมนี้วางจำหน่ายว่าในเกมใส่ภาษาไทยเข้ามาในเกมให้ด้วย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่มาทำไม เพราะตลอดทั้งเกมนั้น แทบจะไม่มีบทสนทนาใด ๆ ให้เราได้อ่านกันเลย หรือแม้แต่ Lore หรือข้อมูลต่าง ๆ ไฟล์เอกสารในเกมก็ไม่ได้มีให้เราเก็บ เกมนี้แทบไม่ต้องใช้ภาษาในการเล่น จะมีก็แค่เมนูคำสั่ง และเมนูตอนใช้กลไกแก้ไขปริศนาเท่านั้น ดังนั้นเกมนี้แม้จะมีภาษาไทย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราเท่าไรเลยตัวเกมนั้น หากลุยไขปริศนาไปจนถึงจับปืนสู้ ก็ใช้เวลาในการเล่นประมาณ 3-5 ชั่วโมง แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะทันเกมแนว Puzzle ก็อาจจะติดอยู่กับการไขปริศนาได้นานกว่านั้นมาก แต่จะเบื่อจนเลิกเล่นก่อนหรือไม่ นั่นก็น่าจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน และที่สำคัญเกมนี้เน้นความ Immersive ความดื่มด่ำกับบรรยากาศและงานศิลป์ในสไตล์ของ H.R. Giger ทำให้มันเหมือนไม่ใช่เกม แต่เป็นประสบการณ์ผจญภัยเสมือนจริงมากกว่าอีกอย่างที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัวในระดับนึง คือเกมนี้นำเสนอแบบแทบไม่มี HUD หรือ UI ของตัวเกมเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าผู้สร้างไม่อยากให้มีอะไรมาบดบังฉากอันสยองขวัญ อึมครึม แต่ก็แฝงไปด้วยรายละเอียดที่พวกเขาตั้งใจสร้างมันขึ้นมาไขปริศนาในบรรยากาศชวนปวดหัว และไร้ซึ่งคำใบ้และคำอธิบายใด ๆเกือบ 70-80% ภายใน Scorn นี้ จะเป็นเกมเพลย์การเล่นของการไขปริศนา แก้ Puzzle ภายในเกม แม้จะไม่ใช่โลกเปิดกว้าง และเป็นเส้นตรง แต่มันจะเป็นเหมือนกับการวนไปเวียนมาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น และถึงแม้ว่าเราจะได้อาวุธปืนมาใช้ มันก็ไม่ใช่เกมแอ็คชั่นหนักหน่วงอะไรขนาดนั้น กว่าจะได้อาวุธปืนก็้ตองเล่นไปเกือบ 1 ชั่วโมง หรือบางคนอาจจะเลยไปอีก เพราะมัวแต่ไขปริศนา แถมขนาดกว่าจะได้อาวุธปืน ยังต้องมานั่งแก้ Puzzle อีกด้วย สรุปคือสัดส่วนของเกมนี้จะเน้นไปที่ความเป็น Puzzle มากกว่าจริง ๆ แล้วหลายคนจะไม่มีปัญหากับความเป็น Puzzle ถ้าหากว่าเกมมีระบบ Hint หรือคำใบ้คอยชี้นำทาง แล้วให้ผู้เล่นไปไขปริศนากันเอาเอง แต่ในเกมนี้ผู้เล่นจะต้องอาศัยการสังเกตฉาก การตีความ และใช้ Sense ของผู้เล่นในการดูว่า ฉากนี้มันต้องทำอะไร ต้องไขปริศนาแบบไหน เกมต้องการให้เราทำอะไร แล้วจึงทำไปตามนั้น ซึ่งตรงนี้คนที่ไม่ชอบการคลำทางหาเอง อะไรเอง อาจจะไม่ชอบเกมนี้ไปเลยก็ได้ ด้วยความที่มันเน้น Puzzle อยู่แล้วด้วยอาวุธ ตลอดทั้งเกมเรามีให้ใช้อยู่ไม่กี่ประเภท รวมไปถึงศัตรูก็ไม่ได้มีเยอะอะไรมากด้วย น่าเสียดายที่เกมเพลย์การต่อสู้นั้น มันน่ากลัวมาก สำหรับการออกแบบศัตรูและโลกภายในเกม แต่ตัวละครของเรานี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะอาวุธที่น้อย Hitbox ศัตรูที่แปลกมาก มันทำลายประสบการณ์การเล่นเกมยิงไปพอสมควร แต่เราไม่อยากนำมาเป็นข้อเสียใหญ่ ๆ เพราะหากจะให้พูดกันแบบสปอยล์นิดหน่อย ตลอดเกมการเล่น คุณจะได้สู้อยู่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะในแง่ของความเป็นแอ็คชั่นก็มีบ้าง แต่ไมไ่ด้เยอะเท่ากับการไขปริศนา ศัตรูภายในเกมก็ยังคงคอนเซปต์สิ่งมีชีวิตประเภท Unknown คือไม่รู้จะระบุที่มาที่ไปมันยังไง มันคือตัวอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ มันมีอันตรายเพียงพอที่จะฆ่าเรา เราเลยต้องงัดปืนไปอัดหน้ามัน ส่วน Boss Fight นั้น นอกจากดีไซน์ชวนแหวะแล้ว รูปแบบการต่อสู้ก็ไม่ได้ยากอะไรมาก เพียงแค่เดินหลบ แล้วไล่ยิงจุดอ่อนไปคือกล่าวได้ว่าเกมนี้มีสัดส่วนของความเป็นแอ็คชั่นน้อยมาก ท้ายที่สุดเมื่อคุณพยายามเล่นไปจนถึงฉากจบของเกม คุณอาจจะพบกับฉากจบที่ไม่ค่อยจะน่าตื้นตันใจนัก แต่อาจเป็นความรู้สึกที่ว่า "จบซะที" ก็เป็นได้ด้วยรูปแบบเกมที่ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก การต่อสู้ไม่ได้เยอะ เน้นบรรยากาศและการดื่มด่ำ แถมตัวเกมก็สั้น ใช้เวลาเล่นไม่นานก็จบ เว้นแต่คุณจะติดอยู่กับปริศนานานจนเกินไป นี่ถือว่าเป็นเกมเฉพาะกลุ่มแบบจริงจังเลย และใครหลายคนอาจจะผิดหวังกับมันถ้าคาดหวังไว้มากเกินไป
15 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Coral Island เกมปลูกผักทำฟาร์มฟื้นฟูแนวปะการังที่มาพร้อมงานศิลป์อันโดดเด่น
เกมปลูกผักทำฟาร์ม หรือ Farming Simulator ไม่ว่าจะออกมากี่เกมก็ยังทำให้เรามีความสุข สนุกไปกับมันได้เสมอ และตอนนี้ก็มีมาเพิ่มอีกหนึ่งเกมแล้ว คือ Coral Island จุดเด่นเรื่องราวของการฟื้นฟูชายฝั่งทะเล และแนวปะการัง ที่หาเกมอื่นเหมือนได้ยากยิ่ง ปกติแล้วเกมอื่นจะเน้นเข้าสู่ชนบทตลอด แต่เกมนี้เป็นหมู่เกาะชายทะเล แต่เพียงแค่มันแตกต่างจากเกมอื่นแล้ว มันจะดีกว่ามากน้อยแค่ไหน ก็ลองมาดูรีวิวในช่วง Early Access ของเรากันได้เนื้อเรื่องสะท้อนโลกใกล้ตัว เมื่ออุตสาหกรรมกำลังรุกล้ำธรรมชาติในตอนแรกที่เข้าเล่นเกมนี้ ผู้เขียนก็นึกว่าเกมมันจะมีสูตรสำเร็จแบบเกมทำฟาร์มทั่วไป คือแค่โยกย้ายมาใช้ชีวิตใหม่ในหมู่เกาะชายฝั่งทะเลเฉย ๆ แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เนื้อเรื่องของเกมจะค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมา โดยเนื้อเรื่องหลัก ๆ ของเกมนี้คือ ขณะที่เราย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู๋เกาะแห่งนี้ ก็กำลังมีธุรกิจขุดเจาะน้ำมัน กำลังจะเข้ามาขยายกิจการ แน่นอนว่าการขุดเจาะน้ำมัน ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังชายฝั่ง ชาวบ้านในหมู่เกาะ Coral Island แห่งนี้จึงไม่ค่อยพอใจและต่อต้าน ส่วนตัวละครของเราก็ถูกโยนเข้ามาในสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้ถึงแม้เนื้อเรื่องของเกมจะดูเข้มข้น น่าติดตาม แต่เราก็ยังไม่กล้าการันตีว่ามันจะเป็แนบบนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access คาดว่าจะมีการอัปเดตเนื้อหา และเนื้อเรื่องต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาอีกมากมายในอนาคต แต่พล็อตแบบนี้ถือว่าแปลกใหม่สำหรับเกมปลูกผักทำฟาร์มมากแล้ว จากที่แค่ย้ายเข้ามายังชนบท แต่เกมนี้เราจะได้เห็นเรื่องราวที่ใกล้ตัวมากขึ้น จะติดอย่างเดียวสำหรับการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมแนวนี้คือ ผู้เล่นต้องตั้งใจอ่านสักหน่อย เพราะเนื้อเรื่องถูกนำเสนอผ่านบทสนทนาแบบ Chat Box ถ้าเรากด Skip หรือข้ามไปเลย ก็อาจจะไม่รู้เลยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างงานภาพที่มีเสน่ห์และการออกแบบโลกที่ลุ่มลึกกว่าเกมอื่น ๆ จุดนี้อาจจะหาว่าอวย แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้เล่นมา รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นจุดเด่นและจุดขายของเกมนี้เลยก็คือ งานศิลป์และการออกแบบโลกภายในเกมที่ลุ่มลึกกว่าเกมอื่น ๆ มาก บรรยากาศของเกมนี้คือหมู๋เกาะชายฝั่งทะเล ดังนั้นเมื่อเราเดินทางไปยังรอบ ๆ เกาะ เราจะเห็นชายหาด ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ในตัวเมืองก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก มันมีความแตกต่างของสถานที่และอาคารแต่ละหลังที่ชัดเจน ว่านี่คือบ้านพักสำหรับอยู่อาศัย นี่คือโรงงาน นี่คือโรงเรียน นี่คือร้านค้า และแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าส่วนไหนที่ถูกออกแบบมาอย่างลวก ๆ โดยเฉพาะยิ่ง ภายในอาคารบ้านพักของเหล่า NPC ตัวต่าง ๆ เมื่อเราเข้าไปดู จะเห็นชัดเจนเลยว่านี่คือบ้านพักสำหรับคนอยู่อาศัยจริง ๆ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีบ้านพัก มีห้อง มีเฟอร์นิเจอร ผมรู้สึกว่าเกมนี้ เราแค่เดินเล่น เดินชมบรรยากาศก็คุ้มค่ามาก ๆ แล้ว เล่นแล้วก็มีความฝันว่าอยากจะย้ายไปอยู่ในประเทศหรือหมู่เกาะแบบนี้บ้างซะจริง ๆ และถึงแม้ว่าตัวละครในเกมจะเป็นโมเดล 3D แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือเวลาที่เราเข้าไปพูดคุยกับ NPC แต่ละตัว จะมีกราฟิกแบบลายเส้นการ์ตูนแบบ 2D แถมลายเส้นที่ว่านั้นยังมีความคล้ายคลึงกับตัวละครจากค่ายดิสนีย์อีกด้วย หลาย ๆ ตัวนี่ดูคล้ายมาก ใครที่ชอบความเป็นดิสนีย์อาจจะถูกใจตรงส่วนนี้ด้วย นอกจากนั้นความมีชีวิตชีวาอีกอย่างของเกมนี้ คือการที่เหล่า NPC จะมีปฏิสัมพันธ์กับเราเยอะกว่าเกมอื่น ๆ เช่นในตอนแรกที่เราขนของเข้าบ้านใหม่ และต้องการจะต่อเติมอัปเกรดขนาดแผนที่ในเกมตอนนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ยังมีบางส่วนที่ยังเปิดไม่ได้อยู่ ต้องรอการปลดล็อค แต่เอาเท่าที่มีก็ถือว่า น้อยแต่มากของจริง เพราะรายละเอียดแต่ละสถานที่ งานศิลป์และความสวยงามนั้น หลายคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ใจไปเต็ม ๆ เราอาจจะต้องรอดูในอนาคตว่า คอนเทนต์เกมในอนาคตต่อจากนี้จะเพิ่มฉากใหม่ พื้นที่ใหม่ ชาวเมืองใหม่ ๆ เข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับตอนนี้บอกเลยว่า คุ้มค่าจริง ๆ สำหรับเกมนี้เกมเพลย์สูตรสำเร็จของเกมแนวปลูกผักทำฟาร์มแม้ว่างานศิลป์ของเกมนี้จะได้ใจใครหลายคน ทั้งคนที่ชอบเล่นเกมแนวนี้อยู๋แล้ว หรือไม่เคยเล่นเกมนี้เลย แต่สำหรับในด้านเกมเพลย์นั้น ต้องบอกเลยว่ามันคือสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้เป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าถ้าคุณเคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้ว เมื่อมาเริ่มเล่นเกมนี้คุณก็จะเข้าใจระบบหลาย ๆ อย่างได้โดยไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากนัก เริ่มตั้งแต่การย้ายเข้าหมู่บ้าน ได้บ้านใหม่ เก็บกวาดลานหน้าบ้าน ปลูกผักทำฟาร์ม เพาะปลูก และอื่น ๆ แทบจะไม่ต้องดูการฝึกสอนกันแล้วระบบหลาย ๆ อย่างเหมือนต่อยอดจากเกมอื่นไปเลย การปลูกผักจะใช้วิธีคล้ายกัน คือการขุดหน้าดิน หว่านเมล็ด และใช้บัวรดน้ำ พืชผักภายในเกมนี้จะระบุไว้ชัดเจนที่ไอเทมว่าใช้เวลาในการเติบโตกี่วัน รวมไปถึงดึงเอาบางระบบจากเกมเก่า ๆ มาใช้ เช่นถ้าเราอัปเกรดบ้านเป็นครั้งแรกเราจะได้ทีวีมาเครื่องหนึ่ง ทีวีใช้ดูข่าวสาร ทั้งเคล็ดลับ เทคนิคแนะนำการทำฟาร์ม รวมไปถึงที่สำคัญเลยคือการดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ทำให้เราวางแผนการเล่นในวันต่อไปได้ เช่น ถ้าในวันต่อไป ฝนตก เราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรดน้ำพืชผักที่เราปลูกไว้ แต่สามารถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้เลยภายในเกมยังมีระบบการตกปลาและจับแมลง ซึ่งนำไปขาย หรือใช้เป็นวัตถุดิบประเภทอื่น ๆ ได้ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบการสานสัมพันธ์กับเหล่า NPC โดยในเกมนี้มี NPC หนุ่มหล่อ สาวสวยมากมาย ให้เราได้ตามสานสัมพันธ์ด้วย หรือก็คือการจีบนั่นเอง เราสามารถมอบของให้ สร้างความสนิทสนมกับตัวละครนั้น ๆ จนเกิดความสัมพันธ์แบบจีบกันขึ้นมา โดยแต่ละตัวจะมีไอเทมที่ชอบ ไม่ชอบ รัก และเกลียดอยู่ แต่เราไม่มีทางรู้ได้ จนกว่าจะมีคนเล่นออกมาแชร์ด้วยกัน แต่ทางที่ดีคือ พยายามไปหาวิธีเอาชนะใจเขา และเธอเหล่านั้นด้วยตัวเองจะดีกว่า ซึ่งทางทีมพัฒนาบอกว่าเกมนี้จีบเพศเดียวกันได้ด้วย และตัวละครที่เราสร้างก็ไม่จำกัดเพศอีกต่างหาก เป็นแค่การเลือกสัดส่วนรูปร่างและสรรพนามเรียกตัวเราเท่านั้นเมื่อเราคุยหรือทำความรู้จักกับใครแล้ว ในหน้าเมนู Relationship หรือความสัมพันธ์ก็จะมีข้อมูลของ NPC คนนั้น ว่าชอบ ไม่ชอบอะไร รักหรือเกลียดอะไร และที่สำคัญคือทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล คอสตูมของ NPC เหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วยนั่นเอง และยังมี Fun Fact เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อ่านถึงประวัติของ NPC เหล่านั้นอีกด้วย เป็นเกมที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยดีมาก ๆ และยังมีระบบปฏิทินกลางเมืองที่ทำให้เรารู้ว่าช่วงใดจะถึงเทศกาล และวันเกิดของ NPC เหล่านั้นตัวเกมมีระบบสกิลและความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการขุดแร่ ตกปลา ทำสวน และการต่อสู้ ที่คาดเดาได้ว่าในอนาคตจะมีระบบการต่อสู้เข้ามาในเกมอย่างแน่นอน โดยวิธ๊การเพิ่มสกิลและความสามารถของสกิลนั้น ๆ ก็แค่ทำกิจกรรมนั้นบ่อย ๆ จากนั้นเราจะได้แต้มมาปลดล็อคสกิลและความสามารถ ที่เราเลือกได้ว่าจะเอาแต้มไปใช้กับอะไรก่อน แต่ตอนนี้ส่วนมากสกิลจะมีเพียงอย่างเดียวให้เลือกเท่านั้น แม้จะดูเหมือนเกมที่อลังการ มีความสดใหม่ แต่อย่างที่บอกว่าหากใครเล่นแล้วรู้สึกเฉย ๆ นอกจากภาพสวยก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเหมือนกับ Coral Island นำเอาระบบอันโดดเด่นจากเกมปลูกผักทุกยุคทุกสมัย นำมาต่อยอดในเกมของตัวเองแทบจะทั้งหมด และนำเสนอด้วยงานศิลป์ในสไตล์ของตัวเองแทน แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้ดูสะดวกสบายกว่าเกมอื่น ๆ เล็กน้อย คือระบบการเร่งและสโลว์เวลาในเกมลง ทำให้เราสามารถเล่นได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถสโลว์เวลาในเกมให้เดินช้าลงได้มากสุดถึง 50% และมันจะทำให้คุณมีเวลาในแต่ละวันมากขึ้น แต่ระบบนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของพืชผัก เพราะมันใช้เวลาเติบโตเป็นวันอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอยากผ่านวันเร็ว ๆ ก็แค่ไปนอน หรือเร่งเวลาให้กลับมาเป็นปกติ เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดีซึ่งหากจะให้พูดถึงข้อเสียของเกมตอนนี้ อย่างแรกเลยคือมันคือเกม Early Access ที่ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ดา้นเนื้อหาของเกมตอนนี้อาจจะยังมีไม่มากพอกับราคา 449 บาท รวมไปถึงระบบการเล่นของเกมนี้ เน้นเดินเท้าซะเป็นส่วนมาก การ Fast Travel เองก็ต้องใช้เวลาเล่นไปสักพักถึงจะปลดล็อคด้วย เกมนี้จึงเป็นอีกตัวอย่างของเกมที่ใช้คำว่าดูดเวลาได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้เลย และเชื่อว่าเมื่อเกมออกเป็นตัวเต็มแล้ วมันจะเป็นอีกหนึ่งเกมทำฟาร์มในดวงใจใครหลายคนอย่างแน่นอนCoral Island วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PC (Steam) และ เล่นได้ผ่านระบบ Xbox Game Pass
13 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Grounded สำรวจโลกใบใหญ่ในญานะเด็กไซส์จิ๋ว พร้อมเนื้อเรื่องที่ดีอย่างไม่คาดคิด!
เป็นอีกเกมที่เพิ่งออกจาก Early Access และกลายเป็นเกมยอดนิยมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่านี่คือผลงานของ Obsidian Enter ผู้สร้างเกม RPG ที่ล้ำทั้งเนื้อหาและเกมเพลย์การเล่นอย่าง Fallout: New Vegas หลายคนตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าเกมใหม่ของพวกเขา ออกมาในแนวน่ารักสดใส กับเรื่องราวของมนุษย์ไซส์จิ๋วที่ต้องผจญภัยเอาตัวรอดและตามหาความจริง และนี่คือ Grounded อีกหนึ่งเกมเอาตัวรอดเนื้อเรื่องเจ๋งที่เราไม่อยากให้คุณพลาดเนื้อเรื่องที่มีมากกว่าการเอาตัวรอดทั่วไปฉากหลังของเกม Grounded จะเป็นยุคประมาณปี 1990 เกิดเหตุการณ์ที่เด็กจำนวนมากหายตัวไปอย่างลึกลับจนต้องมีการสืบสวนสอบสวนกันครั้งใหญ่ 4 คนที่หายตัวไปล่าสุดคือ Pete, Max, Hoops และ Willow แต่แท้ที่จริงแล้ว เด็กเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน เพราะพวกเขาถูกย่อส่วนให้มีตัวเล็กลง และอยู่ที่สนามหลังบ้านของพวกเขานั่นเอง สาเหตุที่ทำให้พวกเขาถูกย่อส่วนลงก็เป็นเพราะการทดลองอะไรบางอย่างของนักวิทยาศาสตร์ลึกลับที่มีแนวคิดหลุดโลกอย่าง Wendell Tully แก๊งเด็ก ๆ จึงต้องออกตามหาความจริงไปพร้อมกับการตามหาตัว Wendell Tullyแม้จะดูเหมือนว่าตัวเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องซับซ้อนอะไร แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ แล้ว ต้องบอกเลยว่า สมแล้วที่เป็นเกมจากทีมงาน Obsidian เพราะเนื้อเรื่องของเกม แม้จะถูกเขียนออกมาอย่างเข้าใจง่าย และดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลังจากเล่นไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นจะค้นพบความล้ำของเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทดลองลับ เรื่องอขงสถานการณ์ของกลุ่มเด็กที่ตัวหดลง เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องเราจะไม่สปอยล์มาก เพราะเกมนี้มีภาษาไทยอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้เราอยากให้ดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องให้เต็มที่ นี่เป็นอีกเกมที่นเื้อเรื่องดีใช้ได้เลยทีเดียวโลกใบใหญ่ในสายตามนุษย์ไซส์จิ๋วที่มีการออกแบบอันยอดเยี่ยมแม้ว่าเราจะเคยเห็นเกมที่ใช้ไอเดียโลกใบใหญ่ในสายตาของคนตัวเล็กในโลกภาพยนตร์มาบ้างแล้ว แต่เกมนี้ถือว่าน่าจะเป็นเกมแรกที่ได้ทุนมาพัฒนาจนกลายเป็นเกมระดับคุณภาพ แม้จะไม่ถึงกับ AAA แต่เกมนี้ถือว่าสมราคาแน่นอน แม้ในตอนแรกคนจะบ่นกันอุบหลังจากที่ตัวเกมออกจาก Early Access แล้วราคากระโดดสูงขึ้นเป็นเท่าตัว แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นดูแล้วก็พบว่าราคานี้ไม่ได้ตั้งมาเอาราคาแพงเฉย ๆ เพราะคุณภาพเกมมันถึงจริง ๆใน Grounded นี้ ผู้เล่นสามารถเล่นได้ทั้งแบบ Single Player และแบบ Multiplayer ซึ่งก็แล้วแต่เลยว่าเราอยากผจญภัยแบบไหน โลกภายในเกมอย่างที่บอกเลยคือโลกใบใหญ่ แต่แสนคุ้นเคย เพราะมันคือสวนและสนามหลังบ้านที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อะไรที่เราเคยเห็นในโลกแห่งความเป็นจริงตามบ้าน อย่างเช่นลูกฟุตบอล กระป๋องน้ำอัดลม เราจะได้เห็นมันในขนาดที่ใหญ่ขึ้น และเราจะได้รู้สักทีว่าพวกต้นไม้ ใบหญ้า ในสวนหลังบ้านของเราในมุมมองของพวกมด แมลง มันเป็นยังไง เกมนี้ออกแบบได้ดีจริง ๆ และแน่นอนว่าศัตรูของเราก็คือพวกมด แมลงต่าง ๆ นี่แหละศัตรูภายในเกมนี้จะเป็นพวกแมลงตามป่าทั้งหมด พวกยุง ด้วง มอด แมลง มด และอื่น ๆ แต่ที่ร้ายกาจที่สุดเลยคือแมงมุม ที่น่าจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเกมนี้แล้ว และไม่น่าเชื่อเลยว่า จากปกติสำหรับคนที่เล่นเกมมามาก ไม่ว่าจะเป็นเกมซอมบี้ เกมผี เกมสยองขวัญใด ๆ ก็ตาม แต่คุณอาจจะมาเสียวสันหลังวาบหรือไม่กล้าเล่นเกมนี้ก็เป็นได้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่า เพราะเรื่องพวกนี้มันใกล้ตัวกว่า แมลงพวกนี้จึงดูน่ารังเกียจมากขึ้น (บางคนก็กลัวแมลงอยู่แล้วด้วย)อย่างไรก็ตามโชคดีที่เกมมีฟีเจอร์สำหรับการเข้าถึงเยอะพอสมควร ที่โดดเด่นน่าจะหนีไม่พ้นโหมดปรับการแสดงผลแมงมุม จากตัวเบ้อเร่อ ขนพองสยองเกล้า ให้เหลือเพียงก้อนเยลลี่สุดน่ารัก แต่มันก็ยังโหดอยู่ดี ขึ้นอยู่กับการปรับความยากของผู้เล่น แต่น่าเสียดายที่ฟีเจอร์นี้มีผลแค่กับแมงมุมเท่านั้น กับพวกแมลงตัวอื่น มันก็จะยังโชว์ความจัดเต็มในด้านดีไซน์เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นทำให้คนกลัวแมลงอาจจะเล่นเกมนี้ไม่ได้เลยแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Survival หรือเอาตัวรอด แต่หัวใจสำคัญของเกมนี้เลยก็คือการผจญภัยในโหมดเนื้อเรื่อง ซึ่งเกมจะขึ้นภารกิจหลักขึ้นมาให้เราทำตลอด แต่เราจะไม่สนใจ วิ่งเก็บของ ฟาร์มของ สร้างที่พักในสนามหลังบ้านอันสงบสุขไปเท่าไรก็ได้ แต่ท้ายที่สุดของเราก็จะตัน และต้องไปเล่นเนื้อเรื่องเพื่อปลดล็อคอีกทีในภายหลังอยู่ดี ดังนั้นเกมนี้สุดท้ายก็ต้องเล่นไปตามเนื้อเรื่อง แต่ระหว่างทางก็ถือว่ามีคอนเทนต์ มีอะไรให้เราสำรวจเยอะมากที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเกมนี้มีการแปลเป็นภาษาไทย และถือว่าแปลได้ดีพอสมควร ผู้เล่นสามารถดื่มด่ำไปกับเนื้อเรื่องของเกมได้อย่างที่ได้บอกไว้ในหัวข้อเนื้อเรื่องด้านบน เพราะการแปลภาษาไทย แม้จะมีพิมพ์ผิด หรือสรรพนามแปลก ๆ บ้างในบางครั้ง แต่ภาพรวมก็ถือว่าอยู่ในระดับดีใช้ได้เลย บวกกับการที่เกมเลือกฟอนต์มาได้ค่อนข้างดี แม้จะเป็นฟอนต์เบสิกไปซะหน่อย แต่ก็เหมาะสมกับตัวเกมดีแล้ว คอนเทนต์ของเกมนี้ถือว่าแน่น เต็มอิ่ม สมกับที่อยู่ใน Early Access มาตลอด 2 ปี ถ้าจะให้บ่นถึงข้อเสียของตัวเกมก็อาจจะด้วยเรื่องราคาการซื้อขาดที่ถือว่าสูงสำหรับเกมเมอร์บางคนแน่นอน บวกกับธีมของเกมที่ศัตรูเป็นแมลงแบบนี้ ก็อาจจะยิ่งทำให้บางคนทนเล่นไม่ไหว ท้ายที่สุดใครที่จะหาเพื่อนเล่นก็อาจจะทำได้ยาก แต่โชคดีที่เกมนี้อยู่ภายใต้การพัฒนาของ Xbox Game Studios มันจึงอยู่ในระบบ Xbox / PC Game Pass เสียสมาชิกรายเดือนก็เล่นกันได้แล้วเกมเพลย์กับการต่อสู้และใช้ชีวิตแบบคนตัวจิ๋วเกมเพลย์หลักของ Grounded นั้น ยังคงยึดหลักจากเกมเพลย์แนวเอาตัวรอดเป็นหลัก แต่ความแตกต่างคือการที่เกมนี้เน้นไปที่การดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้เราไม่สามารถตั้งที่อยู่แบบเป็นหลักเป็ฯแหล่งได้ยาว ๆ ตลอดการดำเนินเรื่องของเกม ผู้เล่นอาจจะต้องมองหาจุดที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและย้ายไปเรื่อย ๆ ทำให้เกมนี้ในการเล่นคนเดียวนั้น เราอาจจะไม่ได้ลงหลักปักฐานสักเท่าไร แต่ถ้าเล่นกันหลายคน แล้วอยากสนุกก็สามารถทำได้เกมการเล่นหลัก ๆ ของเกมนี้จะคล้าย ๆ กับเกมแนว Survival เกมอื่น ๆ เลย สิ่งสำคัญอย่างแรกคือพวกน้ำ อาหาร ที่เราจำเป็นต้องหาเพื่อประทังชีวิต ตอนแรกก็อาจจะต้องหาจากธรรมชาติ แต่พอตั้งตัวได้ก็จะสบาย หาง่ายขึ้น รองลงมาจะเป็นของจำพวกอุปกรณ์ป้องกันตัวและอาวุธ โดยของพวกนี้ต้องล่าสัตว์ แมลง มาวิจัยเพื่อปลดล็อคก่อน จึงจะคราฟท์มาใช้ได้ ใครที่เล่นเกมแนวเอาตัวรอดมาเยอะก็น่าจะเข้าใจระบบพวกนี้ได้อย่างรวดเร็วในส่วนของการเอาตัวรอดนั้นอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด ขึ้นอยู่กับระดับความยากของผู้เล่นด้วย ศัตรูจำพวกแมลงจะมีหลายประเภท เช่นพวก มด ด้วง พวกนี้อาจจะสู้ไม่ยาก แต่ถ้าไปเจอพวกยุง หรือศัตรูที่บินได้ รับรองว่าตึงมืออยู่บ้าง ส่วนศัตรูคู่แค้นของเราในเกมนี้อย่างแมงมุมนี่แหละ ที่จะทำให้อะไร ๆ หลายอย่างค่อนข้างยาก ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เพราะการสู้กับมันอาจไม่คุ้มอย่างที่เราคิดเอาไว้ เว้นแต่เป็นเหตุการณ์เนื้อเรื่องที่เราอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในบางครั้งไม่ใช่แค่ศัตรูเท่านั้นที่อาจจะมีผลต่อเกมการเล่น ด้วยความที่โลกในเกมเป็นสนามหลังบ้าน ขยะก็มี แต่เพราะเราเป็นคนตัวเล็ก จากกลิ่นเหม็นของขยะทั่วไป กลายเป็นเหมือนกับแก๊สพิษที่แรงเกินคนตัวเล็ก ๆ จะสูดดม เราจึงต้องหาหน้ากากกันแก๊สมาใช้ แถมยังมีศัตรูประเภทที่ทำลายหน้ากากของคุณได้อีกต่างหาก และศัตรูภายในเกมนี้ก็มีเยอะแยะมากมายกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย เล่นไปหลายสิบชั่วโมงแล้ว ยังเจอศัตรูใหม่ที่ไม่เคยเจอก็มีในส่วนของระบบ Inventory ตรงนี้อาจจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญสักเล็กน้อย และน่าจะเป็นปัญหาปกติของเกมแนวนี้เลย นั่นคือระหว่างการผจญภัยและออกสำรวจ เราจะพบเจอไอเทมต่าง ๆ ภายในเกมมากมาย และแน่นอนว่าผู้เล่นอย่างเรา ๆ นั้น มีค่าหรือไม่มีค่าไม่รู้ แต่ขอเก็บติดตัวไว้ก่อน เผื่อได้ใช้ประโยชน์ทีหลัง ปัญหาที่ตามมาคือกระเป๋าเต็ม และเกมนี้หากช่องเก็บของคุณเต็ม หากคุณเก็บของเข้าตัวอีก มันจะไม่เข้าตัว และดรอปไอเทมบางอย่างไว้บนพื้น ดังนั้นถ้าไม่สำรวจ หรือเช็คให้ดี ๆ เราอาจจะเผลอทิ้งไอเทมอะไรเอาไว้ข้างหลังก็ได้ หลายครั้งเลยทีเดียวที่ต้องย้อนไปเก็บไอเทมหายากบางอย่างเพราะเผลอทำตกไว้ แต่อย่างไรก็ตามเกมนี้ถือว่าออกแบบระบบแคมเปญเนื้อเรื่อง (รวมไปถึง Multiplayer) ออกมาได้อย่างน่าสนุก เราจะติดพันกับการค้นหาและเจออะไรใหม่ ๆ ทุกครั้ง เป็นลูปวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าเกมจะจบ ปัญหา Performance ที่อาจจะไม่ได้ดีขึ้นนับตั้งแต่ Early Accessในตอนแรก ผู้เขียนคิดว่าผู้เขียนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ซวย เจอปัญหานี้ เพราะแม้จะใช้การ์ดจอระดับสูง และเป็น Laptop Gaming แต่สิ่งที่เจอก็คืออาการเฟรมเรทตก แถมไม่ได้สูงไปกว่า 60 เฟรมสักเท่าไรนัก ทั้งที่เกมอื่นที่กราฟิกโหดกว่า ภาพโหดกว่า รันได้ลื่นไหลกว่านี้ แต่หลังจากหาคำตอบแล้วผู้เขียนก็พบว่า ผู้เขียนไม่ได้เจอปัญหานี้แต่เพียงผู้เดียว และแม้ว่าจะเล่นบนเครื่องคอนโซลก็เจอปัญหานี้ด้วย ปัญหาของมันอยู่ที่ Performance ที่ทำให้เฟรมเรทไม่เสถียรนัก จากลื่น ๆ อยู่ดี ๆ ก็ดรอปร่วงลงมา อาการแบบนี้สำหรับคนที่ต้องการความนิ่งในการเล่นเกมก็ถือว่าเป็นปัญหาพอสมควร นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องของการเชื่อมต่ออยู่บ้าง แต่โชคดีที่ระบบของเกมมันเอื้อให้สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันควรจะแก้ไขจนสมบูรณ์ได้มากกว่านี้ในตัวเกมเวอร์ชั่น 1.0 แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนแต่ก็ถือว่ามีปัญหาอยู่ดีGrounded เป็นเกมเอาตัวรอดผจญภัยที่นำเสนอโลกของเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และน่าจดจำ เนื้อหาของเกมนั้นสมแล้วที่ได้ Obsidian มาทำเกมนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบการสำรวจ การผจญภัย คุณอาจติดพันอยู่กับเกมนี้ได้เป็นร้อยชั่วโมง น่าเสียดายที่เกมนี้อาจจะไม่ถูกจริตกับคนกลัวแมลงจริง ๆ เพราะแม้เนื้อในเกมจะดีมากแค่ไหน แต่สำหรับคนกลัวแมลงแล้ว บอกเลยว่าเกมนี้คือฝันร้ายดี ๆ นี่เอง
10 Oct 2022
[Review] รีวิว Potion Permit วุ่นรักนักปรุงยา
Potion Permit เป็นเกมที่ติดเทรนด์ใน Steam อยู่ระยะหนึ่งเลย ผู้เขียนเห็นว่าคอนเซปต์เกมนี้นั้นน่าสนใจมาก ๆ เราจะได้รับบทเป็นนักปรุงยาหรือเภสัชกรจากเมืองหลวงที่ต้องไปเป็นหมอยาบนเกาะแห่งหนึ่ง และบนเกาะนั้นนอกจากเราต้องคอยรักษาชาวบ้านแล้ว เราจะได้ผจญภัยเพื่อปลดล็อคสิ่งอำนวยความสะดวกบนเกาะเพื่อให้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แถมยังมีระบบให้อัพเกรดสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย เสียงในหัวของผมตอนนั้นคือ"เฮ้ย เกมนี้น่าสนใจจัด ๆ !!!!" ตื่นเต้นครับ ตื่นเต้น ฮ่า ๆ ๆเลยกดซื้อมาเล่นอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2022 และติดเทรนด์อย่างรวดเร็ว ระบบต่าง ๆ ที่น่าสนใจในเกมเป็นอย่างไรนั้น เพื่อน ๆ สามารถอ่านรีวิวในบทความนี้ได้เลยครับนี่มันช้างเผือกตัวใหม่แห่งวงการหมอปรุงยา!!!เนื้อเรื่อง - เอาแบบคร่าว ๆ ไร้ซึ่งการสปอยล์เลยนะครับ ผู้เขียนจะเล่าเพียงจุดเริ่มต้นให้ได้อ่านกัน เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งตัวเอกของเรา (ตัวที่เราบังคับ) จะอยู่บนรถไฟขบวนหนึ่ง แหนะ! มันคุ้น ๆ เหมือนในเกม Little Witch in the Woods แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่าแม่มดน้อยนั้นเรื่องเกิดจากความดื้อรั้นของ Ellie แต่เรื่องของโลกหยูกยาในเกมนี้นั้นแตกต่างออกไปครับ รอบนี้เราขึ้นรถไฟเพราะทางสมาคมการแพทย์จากเมืองหลวง ส่งเรามาเพื่อรักษาลูกสาวของนายกเทศมนตรีของ Moonbury Island หลังจากที่เราคุยกับคนของสมาคมที่มารอพบเราบนรถไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะให้เราไปพูดคุยกับนายกเทศมนตรี Myerเมื่อเราได้เจอนายกเทศมนตรี เขาจะแนะนำให้เรารู้จักภรรยาของเขา และพวกเขาทั้งคู่จะเล่าให้เราฟังว่าลูกสาวของพวกเขาเป็นโรคที่ไม่มีใครรักษาหาย และหวังว่าเราจะเป็นคนคนนั้นที่จะรักษาลูกสาวของพวกเขาได้ครับ (เหมือนโยนภูเขามาให้ตัวเอกของเราหมดเลยนะครับ ฮ่า ๆ) แต่ตรงนี้ก็จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของเราด้วย เพราะหลังจากนายกเทศมนตรีพาเราไปแนะนำกับคนในหมู่บ้าน เราจะได้รับการต้อนรับที่ไม่อบอุ่นนัก (นี่มัน บูลลี่ ไอส์แลนด์หรือเปล่า? ฮ่า ๆ)เนื่องจากคนที่ทางสมาคมเคยส่งมานั้นแทบทุกคนได้สร้างวีรกรรมไม่ดีเอาไว้ครับ พอชาวบ้านรู้ว่าเราเป็นหมอยาที่ทางสมาคมในเมืองหลวงส่งมา เลยทำให้ชาวบ้านมีอคติกับเราไปโดยปริยาย (ซวยซะงั้นโดนเหมารวม) หลังจากนั้นเราต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองกับชาวบ้านให้ได้เห็นความปรารถนาดีอย่างจริงใจของเราครับ ส่วนทางด้านของนายกเทศมนตรี ภรรยา และผู้ช่วยของเขาเราได้พิสูจน์ตัวเองให้พวกเขาได้เห็นไปแล้ว โดยทำยาให้ลูกสาวของเขาจนหายจากอาการเจ็บคอที่ชื่อว่า Sunworm ได้ครับ ทางสมาคมเลยส่งคนมาเพื่อดีลงานกับทางเกาะนี้อีกรอบเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทางการแพทย์ระหว่าง Moonbury Island และเมืองหลวง ซึ่งเราเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และสมาคมก็อนุญาตให้เราอยู่บนเกาะนี้ตามคำขอของนายกเทศมนตรีว่าอยากให้เราเป็นหมอยาอยู่บนเกาะของเขา มีบ้านให้เราอยู่อาศัยฟรี แต่แบบพังมาเลยครับ ฮ่า ๆ เขาบอกเราอยู่ได้แต่ต้องค่อย ๆ ซ่อมเอาเอง (ระบบอัพเกรดสนุกมาก) และเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายก็เริ่มขึ้นต่อจากนี้ ว่าจะเล่านิดเดียว แต่เพลินมากผมเลยติดลมเล่นเล่าซะยาวเลย ฮ่า ๆ เอาเป็นว่านี่เป็นแค่เนื้อเรื่องบางส่วนเท่านั้น ผมถือว่าผมยังไม่ได้สปอยล์เยอะครับ อิอิ ที่เหลือถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อ เพื่อน ๆ ต้องไปซื้อมาเล่นกันเองนะครับ ผมแค่มาเล่ายั่ว ๆ เฉย ๆ เพราะเกมดี และสนุกมากกกกกบอกแค่นี้เกมเพลย์นี่มัน Stardew Valley แบบสไตล์หมอยาเกมเพลย์ - บอกเลยครับว่าใครเป็นแฟนเกมอย่าง Stardew Valley หรือ Harvest Moon เพื่อน ๆ ไม่ควรพลาดเกมนี้เป็นอย่างยิ่งเพราะมันคือเกมสไตล์เดียวกัน แต่แค่เปลี่ยนบทบาทจากชาวสวนมาเป็นนักปรุงยา เราอาจจะไม่ต้องปลูกไร่ ไถ่นา หรือเลี้ยงสัตว์ แต่เรายังต้องไปตัดไม้หาแร่หาของต่าง ๆ เพื่อมาอัพเกรดบ้านและสิ่งต่าง ๆ ภายในเมืองครับ ที่สำคัญต้องหาสมุนไพรเพื่อนำมารักษาชาวบ้านอีกด้วย มีระบบเวลา กลางวันกลางคืน มีค่าความเหนื่อย และพลังชีวิต ซึ่งถ้าเราไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เราสามารถกินอาหารเพื่อเพิ่มมันได้ครับ แต่ถ้าหมดวันแล้วหรือ 2:00 AM ถ้าเราไม่กลับบ้านตัวละครของเราจะเป็นลม และเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะตื่นสาย ใครที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้วแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรกับเกมเพลย์เลย เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ สถานที่ต่าง ๆ ในแผนที่, อุปกรณ์, มินิเกม หรือแม้แต่สิ่งของต่าง ๆ ในบ้านของเราจะค่อย ๆ ปลดล็อคครับ และอย่างที่รู้ ๆ กันเกมแนวนี้เราสามารถผูกมิตรกับชาวเมืองด้วยการพูดคุยหรือให้ของขวัญได้ และที่สำคัญนักรักอย่างเรานอกจากปรุงยาแล้วยังต้องไปจีบสาวด้วย ใช่แล้วครับทุกคนเกมนี้จีบสาวได้!!! ไม่แบ่งเพศถ้าชอบตัวตนของ NPC คนไหน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายเราสามารถจีบได้หมดครับ จะจีบทั้งเกาะเลยก็ได้ ฮ่า ๆ อุปกรณ์ในการเข้าป่าเพื่อตัดไม้ ทุบหินหรือใช้เก็บเกี่ยวสมุนไพรตัวเกมนั้นมีให้เราใช้อยู่แล้วครับ ไม่ต้องไปทำเควสเพื่อตามหาอุปกรณ์ทั้งสิ้น และสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้สู้กับมอนได้เลยครับปรุงยาเพื่อรักษาก็ได้ เก็บไว้ขายก็ดีมีตังใช้นี่คือระบบสำคัญเป็นหัวใจหลักของเกมนี้เลยครับ ที่เราจะต้องคอยรักษาชาวเกาะจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เล่นไปเรื่อย ๆ นายกเทศมนตรีจะยกคลินิกของเกาะให้เราดูแล เริ่มจากคนไข้รายแรกซึ่งเป็นลูกสาวของเขาครับการรักษา - จะมีชาวเมืองมานอนบนเตียงที่มีเตรียมไว้ในคลินิกเลยครับ ถ้ามีคนมาใช้บริการจะมีเสียงไซเรนคอยแจ้งเตือนเราว่าตอนนี้มีผู้ป่วย ให้เราเข้าไปเช็คดูอาการได้เลย เราจะต้องแสกนดูภายในร่างกายตามเสียงบ่นของผู้มารับการรักษาว่าเจ็บ แขน ขา หัว คอ ข้างซ้าย ข้างขวา คนไข้จะบ่นให้เราฟังครับ เรามีหน้าที่แสกนกรรม เอ๊ยไม่ใช่ ฮ่า ๆ แสกนดูตามที่คนไข้แจ้งได้เลย หลังจากเจอแล้วถ้าเรายังไม่รู้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรกันแน่ จะมีมินิเกมให้เราเล่นเพื่อตรวจสอบโรคครับ หลังจากทราบโรคแล้วทีนี้เราก็จะต้องไปทำยาเพื่อนำมารักษาคนป่วยการทำยา - วัตถุดิบในการทำยาเราสามารถเข้าไปหาสมุนไพรได้ในป่าครับ หรือไอเทมที่ดรอปจากมอนสเตอร์ เมื่อเราได้ไอเทมครบแล้วเราสามารถไปปรุงยาได้ที่หม้อปรุงยาในบ้านของเรา ซึ่งตั้งตระง่านอยู่กลางบ้านเลยครับ เล่นตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันจะปลดล็อคพอทราบอาการของผู้ป่วยแล้ว ให้เรามาทำยาครับ การทำยาของเกมนี้จะเป็นมินิเกมเหมือนต่อ Puzzle ครับ ไอเทมแต่ละอย่างจะมีรูปแบบ Puzzle ของมันแสดงเอาไว้ เราต้องนำมาต่อให้พอดีกับกรอบและค่าไฟสีเขียวจะต้องไม่เกินกำหนดครับ เพราะถ้าเกินเราจะใส่วัตถุดิบเพิ่มไม่ได้ เล่นไปเรื่อย ๆ กรอบจะกว้างขึ้นแต่ค่าของดวงไฟยังไม่ปลดล็อค หลัง ๆ จะเริ่มยาก ต้องกะดีดีครับเมื่อได้ยามาแล้วให้นำยาที่เราปรุงมาไปให้ผู้ป่วยที่นอนรอเราอยู่ที่คลินิกครับ เมื่อหายแล้วจะมีเครื่องหมายถูกขึ้นบนหัวผู้ป่วย และเราจะได้รับของขวัญที่เรียกว่า "Moon Cloves" สามารถนำไอเทมชิ้นนี้ไปให้คนที่เราชอบเพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์แบบพรวดพราดได้ครับ ฮ่า ๆ และยาถ้าเราทำมาเกินสามารถโยนขายที่กล่องหน้าบ้านได้ครับ จะมีนกน้อยของสมาคมบินมารับของไปขายให้ทุกวัน ผมบอกเลยเกมนี้ถึงจะบัคเยอะ แต่แค่ปรุงยารักษาผู้ป่วยเนี่ยก็โคตรโคตรจะสนุกเลยครับทุกคน อยากให้ทุกคนได้ลองจริง ๆ นอกจากเป็นหมอปรุงยาแล้ว ยังต้องรับบทเป็นนายพรานอีกด้วยจริง ๆ ไม่ใช่แค่ 2 หน้าที่นี้หรอกครับ ถ้ามาเล่นจริง ๆ เราแทบจะเป็นเบ๊ตัวเอ้ของเมืองนี้เลย ฮ่า ๆ สิ่งสำคัญของการปรุงยาคือวัตถุดิบใช่ไหมครับ เล่นไปเรื่อย ๆ เกมจะให้เราไปคุยกับนายพรานของเมือง เขาก็จะสอนสิ่งต่าง ๆ บลา บลา บลา จบที่ว่าเราสามารถหาของต่าง ๆ จากในป่าตรงนี้ได้นะการต่อสู้ - ก็ไม่ได้โหดร้ายครับ เหมือนมีไว้ประดับฉากให้มีอะไรทำสนุก ๆ เพิ่มขึ้น มอนสเตอร์ที่เราไปตบตีด้วยมันก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร บางตัวไม่ตีก่อน บางตัวตีก่อน เราก็ใช้พวกอุปกรณ์ตัดไม้นั่นแหละ ฟาดมันไปได้เลย แต่ว่าแต่ละตัวมีสกิลจำเพาะติดตัวอยู่ระวังแค่ตรงนี้ก็พอครับ ถึงเลือดมันจะไม่ได้ลดอะไรมากมายแต่สร้างความรำคาญให้ได้อยู่ ฮ่า ๆ เมื่อทุบมันจนเลือดหมดหลอดแล้วก็ไม่ใช่ว่ามันจะดรอปไอเทมทุกตัวนะครับ เราต้องไปวัดดวงอีกว่าเราจะได้ไอเทมไหมการตัดไม้, หาหิน, เก็บเกี่ยวสมุนไพร - อย่างที่ผมได้เล่า ๆ ไปบ้างแล้วตัวเกมจะมีอุปกรณ์เหล่านี้มาให้เราใช้งานอยู่แล้วครับ เมื่อเราเข้าไปในป่าเราแค่เลือกใช้อุปกรณ์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ก็พอครับ อย่างเช่น ใช้ขวานเพื่อตัดไม้, ใช้ค้อนเพื่อทุบหิน, และใช้เคียวเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพร ถ้าเราใช้ไม่ตรงชนิดหรือไม่ถูกต้องเราจะไม่ได้รับไอเทมครับการตกปลา - การเย่อกับปลาเกมนี้ไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ แค่เราเหวี่ยงเบ็ดไปรอปลากินเหยื่อแล้วก็ดึงมันกลับเข้าฝั่ง แต่เราต้องสังเกตเชือกกับอิโมจิให้ดีดี ถ้าเชือกเป็นสีแดงไม่ควรดึงต่อเพราะปลาจะหลุดครับ ถ้าอิโมจิเป็นหน้าโกรธก็ห้ามดึงเช่นกันให้รอจนกว่าอิโมจิจะเปลี่ยนเป็นหน้าเหนื่อยล้าอ่อนแรงก่อน หลังจากนั้นสาวยาว ๆ เลยครับเพ่ !!!! และสิ่งที่ควรรู้อีกอย่างคือการตกปลาของเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราจะสามารถตกปลาตรงไหนก็ได้ที่มีน้ำ แต่เกมนี้จะแบ่งโซนตกปลาและเลเวลเอาไว้ครับ ถ้าอุปกรณ์ตกปลาของเรายังเป็นอุปกรณ์กะโหลกกะลาอยู่ จะมีโซนอนุบาลปลาเลเวล 1 ให้เราได้ตกกันครับ หลังจากอัพเกรดเบ็ดเรียบร้อยแล้ว เราสามารถยกระดับไปตกตามระดับความเซียนได้ครับ และที่สำคัญหนอนสำหรับตกปลาก็แบ่งตามเลเวลเช่นกันครับผมเนี่ยลืมบอกส่วนสำคัญไปได้ยังไง เราจะได้รับเบ็ดก็ต่อเมื่อเราเดินไปแผนที่ทางด้านบนที่เป็นทะเลครับ เราจะเจอ NPC สาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่า Leano (จีบได้ครับ จีบได้ น้องเป็นโจรสลัดหน้าตาน่ารัก) เธอจะให้เบ็ดขั้นเริ่มต้นเป็นของขวัญต้อนรับผู้มาอยู่ใหม่ครับเมื่อได้ปลามาแล้วในเกมจะแปลงเป็นเนื้อขาว เนื้อแดงให้เลยครับ สามารถนำไปทำอาหารได้ หรือจะเอาไปเป็นอาหารน้องหมาก็ได้เช่นกันครับระบบเคลื่อนย้ายแสนดี แถมมีน้องหมานำทางอีกต่างหากบอกเลยครับว่ามงต้องลงให้กับระบบนี้ เหมาะสำหรับคนขี้เกียจเดินแบบผู้เขียนเสียจริง ๆ ครับ เกมจะมีระบบเทเลพอร์ตให้ตามมุมต่าง ๆ และมีระบบน้องหมานำทางถ้าเราหา NPC ไม่เจอTeleport - จะมีธงปักไว้ตามจุดต่าง ๆ กระจายอยู่ตามตัวเมือง และพื้นที่ต่าง ๆ บนแผนที่ครับ เราจะสามารถวาร์ปไปโผล่ตามจุดต่าง ๆ ได้มันตั้งแต่เริ่มเกมมาเลย เช่น ตอนที่ผู้เขียนไปหาของในป่าก็ใช้เทเลพอร์ตจากหน้าบ้านไปที่ป่าได้เลยครับ จะมีหน้าแผนที่ขึ้นมาให้เราก็เลือกธงตรงบริเวณป่าได้เลย โคตรจะชอบเลย ฮ่า ๆระบบน้องหมา - ซึ่งชื่อเดิมของน้องนั้นชื่อ Noxe ซึ่งถ้าใครไม่ชอบก็สามารถเปลี่ยนชื่อน้องให้สาแก่ใจเราได้เลยตอนเราสร้างตัวละคร เราต้องเล่นกับน้องเพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์ และน้องต้องกินอาหารวันละ 1 มื้อ ซึ่งไอ้ระบบนี้เนี่ยมันก็น่ารำคาญหน่อย ๆ ซึ่งมันไม่มีสอนเรานะครับ ตอนแรกผมปล่อยให้น้องหิวข้าวตลอดเลยเพราะไม่รู้จะให้อาหารยังไง พยายาม Interact กับน้องโดยการเดินไปใกล้ ๆ ก็แล้ว ม้วนตัวไปหาก็แล้วก็ไม่มีปุ่มอะไรขึ้นมาเลยจนลองกด O เพื่อเรียกน้องแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงจะสามารถ Interact กับน้องได้ และหลังจากนั้นมีหน้าต่างการสอนใช้งานน้องขึ้นมา ในส่วนนี้ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ อุทานในใจอยู่หลายรอบ ฮ่า ๆ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะประสบปัญหาตรงนี้เหมือนกัน ถ้าใครผ่านมาอ่านแล้วเจอปัญหาอยู่ให้กด O แล้วเดินไปหาน้องแล้วกด K นะครับ ฮ่า ๆ ส่วนอาหารนั้นก็ให้อะไรก็ได้ที่เราเก็บมาจากในป่าหรือปลาที่ตกมาก็ได้ครับ น้องกินง่าย >
09 Oct 2022
[Review] รีวิว Overwatch 2 เกมยิงชื่อดังกลายมาเป็นเกม Free-to-Play มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
Overwatch เป็นเกมแนว Team Base Shooting 6v6 จากทาง Blizzard Entertainment ที่มีจุดเด่นก็คือเหล่าฮีโร่ที่มีให้เลือกเล่นมากมาย รวมถึงแต่ละตัวละครก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป โดยตัวเกมนั้นวางจำหน่ายออกมาในปี 2016 ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้เล่นให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เหตุผลเพราะเกมเพลย์ที่สนุก ตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามและน่าสนใจ รวมถึงเหล่าฮีโร่ที่จะต้องใช้ความชำนาญไม่เหมือนกันทำให้การเล่นมีสีสันเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากที่ตัวเกมวางจำหน่ายอยู่ที่ราคากว่า 40$ ตีเป็นเงินไทยราว ๆ 1,200 บาท แน่นอนว่าถ้าเป็นฝั่งประเทศที่เจริญแล้วเงินแค่นี้ก็อาจจะไม่สูงมาก แต่สำหรับโซนอื่น ๆ อย่างบ้านเราราคาขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีราคาสูงมาก ทำให้ตัวเกมอาจจะเข้าถึงคนทุกกลุ่มไม่ได้ บวกกับการที่มีเกมใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้ตัวเกม Overwatch มีฐานผู้เล่นที่น้อยลงไปจนในปี 2022 ทาง Blizzard Entertainment เองก็เตรียมปล่อยเกมภาคใหม่อย่าง Overwatch 2 ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเกมให้กลายเป็น 5v5 แทนเพื่อปรับสมดุลย์เมต้าของเกมนี้ได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญก็คือทางผู้พัฒนาได้เปิดให้บริการเป็นแบบ Free-to-Play ในโหมด Multiplayer อีกด้วย (ส่วนโหมด Single Player จะมาในปี 2023 เดี๋ยวทางเราจะรีวิวแยกอีกที) และในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่ามี Overwatch 2 มีอะไรต่างจากภาคแรกบ้างปรับเปลี่ยนเกมเพลย์เป็น 5v5อย่างที่รู้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม Overwatch 2 นั่นก็คือการที่ทางผู้พัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบทีมจาก 6v6 กลายเป็น 5v5 ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าการปรับสมดุลย์ของเมต้าที่จะทำให้การเล่นนั้นหลากหลายมากขึ้นทั้งในการเล่นและการแข่งขัน รวมถึงการที่ตัวเกมมีจำนวนที่น้อยลงซึ่งมันก็ทำให้การยื้อ Objective ต่าง ๆ ทำได้ยากขึ้นด้วย โดยถ้าหากคุณเล่นแบบ Lock Role ตัวเกมก็จะแบ่งออกเป็นตำแหน่ง 1 Tank, 2 DPS และ 2 Support ซึ่งข้อดีก็คือเราจะได้เห็นแผนการเล่นยืนหลังโล่ห์น้อยลง มีแผนที่หลากหลายมากขึ้นเนื่องจากเหลือ Tank แค่ตัวเดียว แต่ถึงอย่างนั้นใครที่รู้สึกว่าอยากจะเล่นแบบไม่ล็อคโรล ตัวเกมก็ยังมีโหมด Open Queue ที่จะให้เราไม่ต้องเล่นแบบล็อคโรล นอกจากนี้ในโหมดแรงค์ยังมีให้เลือกเล่นทั้งแบบล็อคโรลและไม่ล็อคโรลเช่นกัน เพียงแต่ว่าแรงค์จะแยกกันสำหรับมือใหม่อาจจะต้องฝึกและค่อย ๆ ปลดล็อคตัวละครแน่นอนว่าเกม Overwatch นั้นมีฮีโร่ที่ค่อนข้างหลากหลาย แถมแต่ละตัวยังจะต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันด้วย ทำให้ในตอนแรกสำหรับผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยซื้อตัวเกม ในตอนแรกตัวเกมจะปลดล็อคตัวละครเพียงแค่ 13 ตัว และเราจะต้องค่อย ๆ ฝึกค่อย ๆ เล่นเพื่อปลดล็อคตัวละครเรื่อย ๆ จนสุดท้ายถ้าหากคุณเล่นอย่างต่อเนื่องตัวละครของคุณก็จะครบเหมือนคนที่มีเกมภาคแรก ส่วนถ้าหากจะเล่นแรงค์คุณจะต้องชนะเป็นจำนวน 50 ตา ซึ่งกว่าจะครบคุณก็น่าจะเล่นเป็นแล้วแหละ รวมถึงยังมีการเพิ่มตัวละครใหม่มา 3 ตัวเช่น Junker Queen, Sojourn และ Kirikoปรับสมดุลย์ฮีโร่ เอาสตั๊นออกจากตัว DPSสำหรับอีกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับการลดผู้เล่นเหลือ 5v5 ก็คงจะเป็นการปรับสกิลต่าง ๆ ของตัวละครที่เยอะมาก ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คงสกิลสตั๊นต่าง ๆ ของตัวละครสาย DPS นั้นจะถูกตัดออกทั้งหมด ทางผู้พัฒนาอยากที่จะให้ตัวละครสายนี้เน้นเพียงแค่การสแปมทำดาเมจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นปืนของตัวละคร Mei ที่จะไม่แช่เข็งศัตรูแล้วแต่จะเป็นการสโลว์ หรือจะเป็นสกิลสตั๊นของ Cassidy (McCree) ที่จะกลายเป็นระเบิดแทน Flashbang ส่วนการสตั๊นต่าง ๆ ของสายอื่นจะยังอยู่ครบ แต่ถึงอย่างนัั้นมันก็ยังมีบางสกิลของบางตัวละครที่หลงเหลือสตั๊นอยู่เช่นสกิล Ultimate ของ Mei แต่ก็แลกมาด้วยรตัดระบบ Level เอา Lootbox ออกไป กลายเป็น Battle Passเนื่องจากที่ตัวเกมเป็นแบบ Free-to-Play รวมถึงระบบ Lootbox ก็มีปัญหาในหลาย ๆ ประเทศ ทางผู้พัฒนาจึงนำระบบนี้ออกและเน้นขาย Battle Pass แทน รวมถึงระบบ Level ตัวละครก็จะถูกตัดทิ้งทั้งหมดในกลายเป็นเก็บเลเวล Battle Pass แทน ซึ่งจะมีระยะเวลาราว ๆ 60 วันต่อหนึ่งซีซัน โดยใน Battle Pass จะมีอยู่ด้วยกัน 80 เลเวล ซึ่งจะได้สกินฟรีในทุก ๆ 10 เลเวล รวมถึงไอเท็มอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้บางเลเวลคนที่ไม่ได้ซื้อ Battle Pass ก็ยังสามารถรับของได้เช่นกัน  และตัวละครใหม่อย่าง Kiriko ใครที่ไม่มีเกมภาคแรก หรือซื้อ Battle Pass ก็สามารถปลดล็อคที่เลเวล 55รวมถึงตัวเกมยังใส่ระบบภารกิจเข้ามา ซึ่งถ้าหากเราทำเควสครบเราก็จะได้แต้มโบนัส Battle Pass มากขึ้น โดยจะมีทั้งภารกิจรายวันที่ง่ายมาก ๆ อย่างเช่นชนะหนึ่งครั้ง เล่นตำแหน่ง Flex สามครั้ง และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีภารกิจรายเดือนและรายซีซันที่จะได้รับแต้มโบนัสมากขึ้นด้วยเพิ่มโหมดใหม่ Push แต่ตัดโหมด Assault ออกภายในเกม Overwatch 2 มีการเพิ่มโหมดใหม่เข้ามานั่นก็คือโหมด Push ที่ทีมเราและฝ่ายตรงข้ามจะต้องแย่งกันดันหุ่นยนต์ และวัดกันว่าทีมไหนนั้นจะดันได้ไกลกว่ากัน ซึ่งเป็นโหมดที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีและสนุกมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางผู้พัฒนาก็เลือกที่จะตัดโหมด Assault ออกไปใน Quick Play และ Rank ทำให้เรานั้นจะไม่ได้เล่นด่าน Hanamura, Anubis และ Volskaya Industry แล้ว เหตุเป็นเพราะด่านในโหมดนี้ค่อนข้างมีสมดุลย์ที่น้อยเกินไป เพราะต้องพึ่งโชคและจังหวะมากเกิน ซึ่งจากที่เล่นมาโหมด Push มีความสมดุลย์มากกว่า เหมาะสำหรับทั้งการเล่นในแรงค์และทั้งการแข่งขันสรุปจากที่ได้เล่นมาต้องยอมรับว่า Overwatch 2 มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันกับภาคแรก สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบเกมนี้อยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกชอบมากกว่าเดิม แต่สำหรับคนที่เคยชอบเกมนี้แล้วเลิกเล่นไป นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่คุณอาจจะได้ชวนเพื่อน ๆ มาเล่นด้วยกัน เพราะเกมนี้ถ้าเล่นกับเพื่อนมันจะสนุกกว่าเล่นคนเดียวมาก ๆ  ส่วนตัวพูดตามตรงเลยว่า Overwatch มีศักยภาพที่จะเป็นเกมดังเบอร์เดียวกันกับ Dota 2, LoL, CSGO หรือ Valorant เพียงแต่ว่าด้วยราคาของเกมที่สูงมาก ทำให้ผู้คนในบางประเทศอาจจะเข้าไม่ถึง ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันว่า Overwatch 2 จะสามารถขึ้นไปยืนเทียบเคียงกับเกมเหล่านั้นได้หรือไม่ !?
07 Oct 2022
[Review] รีวิว HyperX Cloud Alpha S หูฟังคุณภาพที่พึ่งพาได้ พร้อมระบบ 7.1 Surround ที่เสริมทุกประสบการณ์เกม
เมื่อพูดถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์เล่นเกม สิ่งแรกที่หลายคนมักจะนึกถึงเป็นอันดับแรกย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของภาพ ส่งผลให้เมื่อเกมเมอร์ซักคนต้องการจะยกระดับประสบการณ์เล่นเกมของตัวเอง สินค้าอย่างจอมอนิเตอร์หรือการ์ดจอมักจะถูกให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ เสมอ ในขณะที่สินค้าด้าน 'เสียง' อย่างหูฟังมักถูกเลือกแค่ให้ 'พอใช้ได้' เท่านั้น ทั้งที่การเลือกใช้หูฟังที่ดีก็อาจส่งผลต่อประสบการณ์เกมได้ไม่แพ้กันHyperX Cloud Alpha S ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของหูฟังคุณภาพที่สามารถเสริมประสบการณ์เล่นเกมของชาว PC เกมเมอร์ได้อย่างง่าย ๆ ด้วยระบบเสียงแบบ 7.1 Surround ที่ช่วยจำลองตำแหน่งของเสียงในการเล่นเกม ซึ่งนอกจากจะทำให้เกมเมอร์สาย FPS ต่าง ๆ สามารถบ่งบอกตำแหน่งของคู่แข่งจากเสียงได้ ยังสามารถช่วยเสริมบรรยากาศการเล่นเกม ให้เรารู้สึกราวกับว่าได้อยู่ในจุดเดียวกับตัวละครที่เห็นในจอจริง ๆ ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับวัสดุคุณภาพที่ทนทานและสวมใส่สบายตามมาตรฐานของ HyperX ส่งผลให้หูฟังรุ่น Cloud Alpha S เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการจะยกระดับคุณภาพด้านเสียงของเกมอย่างง่าย ๆ และเป็นการพัฒนาจากรุ่น Cloud Alpha ธรรมดาอย่างชัดเจนข้อมูล Spec + อุปกรณ์ในกล่อง(ข้อมูลจากเว็บไซต์ JIB)ภายในกล่องประกอบด้วย:หูฟัง HyperX Cloud Alpha Sไม่โครโฟนแบบถอดได้สายต่อหูฟังแบบถอดได้เครื่องควบคุม Mixer เสียงแบบ USBที่ครอบหูผ้าสำหรับเปลี่ยน (หูฟังมาพร้อมที่ครอบหนัง)กระเป๋าใส่หูฟังสำหรับพกพาการออกแบบ + ใช้งานในส่วนของความสบายในการสวมใส่ แม้ว่าหูฟัง Cloud Alpha S จะมีน้ำหนักอยู่บ้างเมื่อเทียบกับหูฟังเกมมิ่งแบบครอบหูที่ราคาถูกกว่า แต่ก็ไม่ได้หนักพอจะทำให้ไมาสบายเมื่อสวมใส่ลงไปบนหัวแล้ว แถมตัวหูฟังยังรัดหัวของเราแน่นในระดับที่พอดี ทำให้ไม่รู้สึกว่าหูฟังกดทับลงบนหัวหรือใบหู และทำให้สามารถสวมใส่ติดต่อกันได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกติดขัดอะไร โดยผู้เขียนพบว่าที่ครอบหูแบบหนังที่มาพร้อมกับหูฟังมีความหนานุ่มกำลังดี และสามารถระบายอากาศได้ดีพอจะไม่ทำให้รู้สึกร้อนเมื่อสวมใส่ แม้ใช้ในห้องที่ไม่ได้เปิดแอร์ก็ตามในเรื่องของการออกแบบ หูฟังรุ่น Cloud Alpha S มีหน้าตาไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Cloud Alpha นัก นอกจากสีของโครงอลูมิเนียมที่ประดับอยู่ ซึ่งเป็นสีน้ำเงินแทนสีแดงของรุ่นก่อน แถมยังมีไมโครโฟนแบบ 3.5mm ที่ถอดออกได้เช่นเดียวกันอีกด้วย โดยแม้ว่าการออกแบบหูฟังของ HyperX จะไม่ได้มีหน้าตาหวือหวาไฮเทคเหมือนสินค้าคู่แข่งหลายยี่ห้อ แต่ในอีกมุมก็เป็นรูปทรงที่คลาสสิค เรียบง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหูฟังที่เน้นใช้งานเป็นหลัก มั่นใจได้ว่าจะไม่มีส่วนเว้านูนใด ๆ มาเกะกะการสวมหรือถอดหูฟังของเราแน่นอน(รุ่นที่ทีมงานได้รับมารีวิวเป็นรุ่นที่จับมือกับเกม Diablo Immortal ด้วย จึงมีโลโก้เกมประดับอยู่ตรงด้านนอกของที่ครอบหู แทนโลโก้ HyperX ในรุ่นปกติ)ทั้งนี้ รายละเอียดหนึ่งที่ต่างไปจากรุ่น Cloud Alpha ปกติก็คือตัวเลื่อนปรับระดับเสียงเบสตรงบริเวณด้านหลังของที่ครอบหูทั้งสองข้าง ซึ่งให้เราปรับระดับเสียงเบสของหูทั้งสองข้างแยกกันได้ 3 ระดับ (สูง-กลาง-ต่ำ) โดยในจุดนี้ก็ส่งผลให้หูฟังสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ หรือกระทั่งสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ นอกจากการเล่นเกม เช่นการดูหนัง/ซีรีส์ หรือฟังเพลง ซึ่งการที่ตัวปรับระดับนี้อยู่บนตัวหูฟังเอง แทนที่จะเชื่อมกับเจ้า USB Mixer ยังหมายความว่าเราสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้แม้สำหรับการเชื่อมต่อแบบ AUX 3.5mm อีกด้วยพูดถึงเจ้า USB Mixer เอาเข้าจริง ๆ ไม่อยากจะเรียกว่าอุปกรณ์เสริมเลยด้วยซ้ำ เพราะการเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับตัว Mixer คือวิธีเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญมากมายของเจ้า Cloud Alpha S เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง 7.1 Surround ไปจนถึงการปรับเพิ่ม/ลดเสียงของเกมและเสียงแชตแยกกันได้ ซึ่งมีความสะดวกอย่างมาก ที่สำคัญคือการเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน USB นั้นให้ความเสถียรและคุณภาพเสียงสูงกว่าการเชื่อมต่อแบบ 3.5mm ปกติมาก แม้ว่าจะจำกัดให้หูฟัง Cloud Alpha S กลายเป็นหูฟังที่เหมาะกับการใช้กับ PC มากที่สุด เพราะการเชื่อมต่อผ่าน AUX ปกติจะทำให้เราพลาดฟีเจอร์เด็ดแทบทั้งหมดของหูฟังไปเลย (ยังไม่นับว่าสาย 3.5 ที่มากับหูฟังมีความยาวนิดเดียว เพราะต้องการให้เชื่อมกับตัว Mixer เป็นหลัก)คุณภาพเสียง อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าระบบเสียง 7.1 Surround ถือเป็นเทคโนโลยีที่สามารถยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมของเราได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการสร้างบรรยากาศราวกับว่าผู้เล่นกำลังได้ยินเสียงรอบข้างจากจุดยืนของตัวละครจริง ๆ ซึ่งในจุดนี้หูฟัง Cloud Alpha S ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย อย่างน้อยก็ในแง่ของการระบุ 'ทิศทาง' ของเสียงว่ามาจากทางไหน ในขณะที่ 'ระดับ' หรือ 'ระยะห่าง' ของเสียงยังมักไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่นักในการเล่นเกม และหลายคนอาจจะไม่สังเกตด้วยซ้ำถ้าไม่ได้ลองใช้หูฟังที่มีระบบเสียง Surround มาเปรียบเทียบกันอย่างที่ผู้เขียนทำแต่แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบ 7.1 Surround นี้สามารถยกระดับการเล่นเกมหลาย ๆ แนวได้จริง ๆ เช่นแนวสยองขวัญหรือแนวรถแข่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อธิบายให้เข้าใจด้วยคำพูดค่อนข้างยาก เอาเป็นว่าเกมอะไรก็แล้วแต่ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศ หรือต้องใช้ความตื่นตัวมาก ๆ ย่อมถูกยกระดับจากระบบ Surround ที่ว่านี้สรุป: ตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนที่อยากยกระดับด้านเสียงด้วยราคาเต็มกว่า 3,990 บาท คงพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า HyperX Cloud Alpha S เป็นหูฟังที่มีราคาถูก แต่เมื่อเทียบกับคุณค่าที่ได้กลับมาในแง่ของประสบการณ์ด้านเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน รวมไปถึงวัสดุและการประกอบที่มีคุณภาพ ก็ต้องบอกว่า Cloud Alpha S ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามาก ๆ โดยเฉพาะสำหรับเหล่า PC เกมเมอร์ที่มองหาหูฟัง USB ในราคาที่สมเหตุสมผล
07 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Bugsnax "กินสิ่งใด เป็นสิ่งนั้น" เกม FPS จับแมลงอาหารที่ลึกซึ้งกว่าตาเห็น
Bugsnax เป็นเกมอินดี้แนวผจญภัยที่วางขายมาตั้งแต่ปลายปี 2020 ด้วยคอนเซปต์ 'We are what we eat!' หรือ 'พวกเรากินอะไรเข้าไป พวกเราก็เป็นสิ่งนั้น!' พร้อมกับชูระบบการเล่นเกมสไตล์วิ่งไล่จับแมลงอาหารและบันทึกลงสมุด (ที่ชวนให้นึกถึงการจับโปเกม่อนและบันทึกลง Pokedex) แต่ตัวเกมมีอะไรเยอะแยะมากมายกว่านั้นอีก งั้นเราไปอ่านต่อกันดีกว่าว่าเกาะแห่งแมลงอาหาร Snaktooth Island มีอะไรให้เรากิน เอ้ย สำรวจบ้าง!เสาะหาและไล่จับแมลงอาหารร่วม 100 สายพันธุ์Bugsnax เป็นเกมผู้เล่นคนเดียวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจเกาะ Snaktooth Island ซึ่งที่อยู่ของแมลงอาหารน้อยใหญ่มากมายกระจัดกระจายไปทั่วภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เกมเพลย์จะวนเวียนอยู่กับการจับแมลงอาหารด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราได้ปลดล็อกระหว่างการเล่น อาทิ กับดักแมลง หนังสติ๊กยิงซอส แท่นกระโดด และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพวกมันเพิ่มเติมผ่านการแสกนด้วยกล้อง SnaxScope ที่จะบอกถึงเส้นทางการเดินพฤติกรรมของมันคร่าวๆ และในสมุดก็จะมีข้อมูลเพิ่มเติมหลังแสกนด้วยBunger! Bunger!ซึ่งแมลงอาหารแต่ละชนิดก็จะมีความยากง่ายในการจับที่แตกต่างกัน ทำให้บางครั้งเราต้องผสมผสานอุปกรณ์ที่เรามีเพื่อที่จะจับแมลงสักตัว เช่น เจ้า Cheepoof หรือชีโตสบินได้นี้จะบินอยู่ตลอดไม่ลงมาที่พื้น ทำให้เราต้องวางกับดักแมลงไว้บนแท่นกระโดดแล้วดีดมันขึ้นฟ้าไปหาเจ้าแมลงนี่เพื่อจับมันได้ใช้หัวคิดในการวางแผน!ในบางครั้งเราอาจต้องยืมมือแมลงอาหารตัวอื่นด้วย อย่างเจ้าแมงมุมสับปะรด Pineantula นั้นชอบมุดอยู่ใต้ผืนทรายจนไม่สามารถจับได้ด้วยวิธีการปกติ ทำให้เราต้องหลอกให้เจ้าปูแอปเปิ้ล Crapples มาขุดให้ โดยเราจะยิงซอสช็อกโกแลตของโปรดของมันใส่ Pineantula เพื่อล่อให้ Crapples ไปขุด พอขุดขึ้นมาแล้วมันจะยกขึ้นไปไว้เหนือหัว เดินกลับบ้านแล้วเขวี้ยงใส่รังของตน ส่งผลให้เจ้า Pineantula เกิดอาการติดสตันท์ไปชั่วขณะ และจังหวะนี้แหละคือโอกาสที่เราสามารถเข้าไปจับมันได้!โดนซะเจ้า Pineantula!อ๊าาาาา!! ร้อน!!หลังจากวางแผนไว้อย่างดีและทำได้ตามสิ่งที่วางเอาไว้จนจับแมลงแต่ละตัวได้สำเร็จมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก (แม้บางตัวจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเราสักเท่าไหร่) ซึ่งความสนุกมันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละนะ! อยากจะตะโกนดังๆ ว่า 'Gotta catch 'em all!' (ซึ่ง Bugsnax ก็ไม่พลาดล้อเลียนประโยคนี้ Achievement การจับแมลงอาหารครบ 100 ชนิดว่า Got to Catch Them All)กราฟิกน่ารักสดใสคล้ายการ์ตูนเด็ก และการออกแบบได้สุดน่ารับประทานหนึ่งในจุดเด่นที่สามารถสัมผัสได้แต่แรกเห็นคือสีสันที่ช่างสดใส บ้องแบ๊ว ตากลมโต ผู้คนในเกมนี้มีลักษณะคล้ายตุ๊กตาที่ช่างน่ารักน่ากอด ส่วนแมลงอาหารแต่ละชนิดก็อยากจะคว้าจับเข้าปากเสียเหลือเกิน น่าชื่นชมมากๆ ที่ตัวเกมสามารถจับแมลงแต่ละสายพันธุ์มาผสมกับอาหาร ของหวาน ผักและผลไม้ได้อย่างลงตัว เช่น แมงมุมเฟรนฟราย ด้วงเบอร์เกอร์ แมลงปอลูกอม หนอนไอศกรีมโคน หนอนแครอท เต่าทองสตรอว์เบอร์รี่ โอย ยิ่งเห็นก็ยิ่งหิว!น่ารักน่ากินอะไรขนาดนี้นะ!เนื้อเรื่องน่าติดตามตัวเอกอย่างเราคือนักข่าวที่ได้รับจดหมายเชิญจากนักสำรวจนาม Elizabert Megafig ให้ไปเยือน Snaktooth Island เกาะแห่งแมลงอาหาร แต่กลับกลายเป็นว่าเธอหายตัวไปเสียอย่างงั้น! แถมเพื่อนของเธอที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของเกาะอย่าง Snaxburg ก็กระจัดกระจายไปอยู่คนละที่ทั่วเกาะอีก กลายเป็นว่างานของเราคือการรวบรวมให้ทุกคนกลับมาที่เมืองนี้ (โดยการไปตามจับ Bugsnax ที่พวกเขาต้องการมาให้ เหนื่อยเราอีกเนอะ!) และในขณะเดียวกันก็หาเบาะแสเกี่ยวกับการหายตัวไปของ Lizbert ด้วยระหว่างนั้นเราก็ต้องตามหาคำตอบไปด้วยว่าเจ้า Bugsnax พวกนี้มาจากไหนและมันคืออะไรกันแน่ มันเป็นอะไรมากกว่าแค่สิ่งมีชีวิตครึ่งแมลงครึ่งอาหารงั้นหรอ? แล้วทำไมพอกิน Bugsnax เข้าไป แขนขาและอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายถึงเปลี่ยนไปตามสิ่งที่กินด้วย! นี่มันอะไรกันเนี่ย ชักจะไม่ปกติแล้วสิ ฉะนั้นถ้าอยากทราบคำตอบของคำถามก็คงต้องตามสืบด้วยตัวเองแล้ว!NPC แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ มีเนื้อเรื่องและปมในใจของตัวเองให้เราได้สำรวจในเกมนี้มี NPC ร่วม 13 คนให้ทำความรู้จัก แต่ละคนก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น Filbo นายกเทศมนตรีผู้แสนดีของพวกเราเป็นคนห่วงเพื่อนและไม่สู้คน ส่วน Beffica เป็นคนช่างเม้าท์ สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน (ซึ่งเธอก็จะแย้งว่า: ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลต่างหากย่ะ!) และอีกคนที่น่าจดจำมากคือ Wiggle แม่สาวป็อปสตาร์ผู้มีดนตรีในหัวใจ โยกย้ายส่ายสะโพกตลอดเวลาเมื่อเรารู้จักแต่ละคนมากขึ้นจะพบว่า พวกเขาล้วนแล้วมีปมในใจของตัวเอง อย่าง Wiggle กำลังหนักใจว่าตัวเองอาจจะเป็นนักร้องพวก One-hit wonder หรือปล่อยมาเพลงเดียวปังแล้วดับ และเธอเครียดว่าตัวเองจะไม่อาจออกผลงานใดที่ดีไปมากกว่านี้ได้คู่สามีภรรยา Wambus และ Triffany นั้น เมื่อย้ายมาอยู่ Snaktooth Island แห่งนี้ Triffany ชื่นชอบในโบราณคดีมากจึงไม่ได้อยู่ที่ Snaxburg ออกไปทำงานอยู่ตามแหล่งขุดและโบราณสถาน กลับกัน Wambus ก็ไม่ได้ตามเธอไปและปักหลักอยู่กับเมือง เกิดเป็นความห่างเหินในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้คุยกันเพื่อหาทางออกตรงกลางระหว่างทั้งคู่ (ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเราอีกนี่แหละที่ต้องทำให้ Triffany กลับมาที่เมือง)สอดแทรก LGBTQ+ แบบไม่ยัดเยียด เพราะความรักเป็นสิ่งสวยงามเอ้างง ในเกมตุ๊กตาไล่จับแมลงอาหารแบบนี้ก็มีเนื้อหาทำนองนี้ด้วยหรอ? คำตอบก็คือใช่! ไม่ต้องมองไปไหนไกลเลย แม่สาว Lizbert ที่หายตัวไปนั้น เธอหายตัวไปพร้อม Eggabell หมอประจำเมือง และจากการสืบเสาะเพิ่มเติมเราจะได้ทราบว่าพวกเขาเป็นคู่รักเลสเบี้ยนกันนั่นเองพอเราเล่นเกมไปได้ระยะหนึ่งจะได้รู้จักกับ Chandlo หนุ่มกล้ามนักออกกำลังกายอารมณ์ดีที่อยู่กับ Snorpy นักวิศวกรขี้กังวลผู้เก็บตัว แต่ในอุปนิสัยที่แตกต่างกันนี้ พวกเขากลับไม่เคยทิ้งกันไปไหนและเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายอยู่เสมอ จนทำให้เราเริ่มเดาได้ว่า เอ สองคนนี้เขามีซัมติงนะส่วน Floofy นักเวชศาสตร์ทางเดินอาหาร เหล่า NPC ในเกมใช้สรรพนาม They/Them กับ Floofy จึงทำให้เราทราบว่าพวกเขาคือเพศ Non-binary นั่นเอง แถมสีม่วงประจำตัว Floofy ก็ยังเป็นม่วงเฉดที่คล้ายสีบนธงของ Non-binary อีกทว่าพวกเขาแต่ละคนก็ไม่ถูกปฏิบัติแตกต่างไปจากเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเพศอะไร พวกเขาก็คือคนธรรมดาที่มีชีวิตจิตใจ ความต้องการ ความหวังและความฝันไม่ต่างอะไรกับพวกเราทุกคนLizbert และ Eggabellสรุป: กินสิ่งใดได้สิ่งนั้นสุดท้ายนี้ สำหรับเกม Bugsnax นั้นมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมได้น่าจดจำเกมหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเกมเพลย์ในการจับแมลงอาหารก็ดี เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ดี จึงเป็นหนึ่งในเกมที่อยากชวนให้ทุกคนได้สัมผัส หากใครกำลังมองหาเกมความยาว 10-15 ชั่วโมง (ผู้เขียนใช้เวลาราวๆ 15 ชั่วโมงในการเก็บ 100%) งานภาพน่ารัก มีความสนุกและท้าทายในระดับที่ไม่ยากจนเกินไป แถมมีเนื้อเรื่องและบทสรุปที่ชวนให้อ้าปากค้าง แบบนี้ต้องลองดูแล้ว!แพลตฟอร์มเกม: Windows, macOS, PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X/S, Nintendo Switch (หากใครมี Playstation Plus ระดับ Extra ขึ้นไป สามารถกดเกมนี้มาเล่นได้ด้วยนะ)ได้รับรีวิวระดับ Overwhelmingly Positive บนหน้าร้านค้า Steam พร้อมติดแท็ก Psychological Horror, Adventure, Creature Collectorการรวมตัวรอบกองไฟอันแสนสงบสุข แม้ว่าทุกคนจะ.. เอ่อ.. ทุกคนปกติมาก!
05 Oct 2022
[บทความ] แนะนำเกม Omega Strikers เกมกีฬาผสมโมบ้าสายเลือดใหม่ จะทำโกลก็ดี...จะตีศัตรูให้หัวแบะก็ไม่ว่า?!
พนันได้ว่าท่านผู้อ่าน ก็คงเคยมีช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้เดินเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วแวะเวียนไปแถวโซนอาร์เคดเกมที่มีให้เราเล่นหลากหลายเช่น ทุบตัวตุ่น, โยนบอลลงห่วง, คีบตุ๊กตา หรือ 'เทเบิลฮอกกี้' ที่เราจะใช้คันจับกลม ๆ ตีดิสก์แผ่นบาง ๆ เข้าโกลฝั่งตรงข้ามภายในเวลาที่กำหนด ใครได้แต้มเยอะกว่าก็ชนะไป แม้ไม่ได้รางวัลอะไรนอกจากความสะใจก็เถอะ ถึงกระนั้นเราก็คงจะไม่ได้มีโอกาสเดินเข้าห้างทุกวัน หรือจะเสียตังค์หยอดตู้เกมเหล่านี้หลาย ๆ รอบก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ ดังนั้นหากใครอยากจะลองลิ้มรสความสนุกของเทเบิลฮอกกี้ หวนนึกถึงช่วงเวลาเล่นเกมมัน ๆ ไปประชันกับเพื่อนและคนทั่วโลกละก็ เราขอเสนอนี่เลยกับเกม Omega Strikersแต่เอ๊ะ ? แล้วมันต่างหรือพิเศษกว่าเกมเทเบิลฮอกกี้ยังไง ? สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกม Omega Strikers เลยคือการเป็นเกมเทเบิลฮอกกี้ที่มีความเป็น ' โมบ้า ' มาผสม ซึ่งในแต่ละแมทช์จะมีผู้เล่นมากสูงสุดถึง 6 คน ( ฝั่งละ 3 คน ) ตีและใช้สกิลใส่ดิสก์ให้เข้าโกลฝั่งตรงข้าม หรือเดินตรงเข้าไปซัดหน้าศัตรูให้เลือดหมดหลอด ก่อนหยุมหัวเอาชนขอบกั้นแล้วรอเกิดใหม่ให้ได้ 5 แต้มชิงชัยชนะไปก็ได้ โดยหากเวลาหมดหรือคะแนนเท่ากัน ผู้เล่นต้องทำคะแนนให้นำหน้าเกินสองแต้มถึงจะตัดสินผลแพ้ชนะ ดังนั้นการเล่นแบบนี้จึงสามารถพลิกแพลงได้หลายแบบ บนแผนที่ที่อาจมีสิ่งกีดขวางแตกต่างกันไปด้วยหน้าที่อยู่หลัก ๆ คือ กองหน้า, ผู้รักษาประตู หรือ ยืดหยุ่นนอกจากนี้ที่พิเศษเลยคือแต่ละคนสามารถหยิบตัวละครที่มีหน้าตาน่ารักไปจนหน้าโฉด ซึ่งมีสกิลและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่Asher - สาวห้าวผมส้มสุดแกร่ง ที่มีความสามารถในการผลัก ตีใกล้ และใช้โล่ดันภายในพื้นที่ที่ยิงไปAtlas - ตัวละครสายซัพพอร์ตแท้ มีความสามารถตั้งโล่ หรือชุบชีวิตเพื่อนที่ลาโลกก่อนเวลาอันควรDrek’Ar - มนุษย์กิ้งก่า ที่เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ หายตัวมาตีดิสก์หรือซุ่มยิงจากระยะไกลDubu - แฮมสเตอร์ตัว ( ไม่ ) น้อย มีความสามารถในการหยุดยั้งและกั้นแผงไม่ให้ดิสก์เข้าโกลได้ง่าย ๆEra - แม่มดสาวพราวเสน่ห์ ฉันจะสาปแกให้ตัวหดลง หรือจะเสกทีมให้ตัวใหญ่ขึ้น วิ่งไวเข้าใส่ศัตรูไปเลยEstelle - สไนเปอร์ยิงข้ามแมพ ว่องไว และมีความสามารถสตั้น สโลวป่วนฝั่งตรงข้ามJuliette - ตัวละครตั้งต้นสำหรับสายไม่ตีแล้วดิสก์ ตีหัวคนดีกว่า อัดอีกฝั่งให้น่วมในระยะประชิดJuno - สาวสไลม์เด้งดึ๋ง ยิงสไลม์น้อยไปตามแผนที่คอยไล่งับดิสก์และพ่นไปอีกฝั่งKai - หนุ่มหล่อสไตล์เกาหลีวิ่งวุ่น ยิงรัวขัดจังหวะเก่งตลอดทั้งเกมLuna - ถึงตัวเธอจะเล็ก แต่ระเบิดของเธอวงไม่เล็กตาม พร้อมสังหารคนเผลอ ๆ ออกสนามแบบงง ๆX - สะบัดศัตรูทีปลิวหายไปครึ่งสนามก็ทำได้ กับความสามารถเดินไล่กระทืบโดยไม่สนสตั้นหรือสโลว( ตัวละครอื่น ๆ จะมีการเพิ่มเข้ามาในอนาคต โดยตัวเกมอำนวยความสะดวกบอกวันปล่อยแต่ละตัวละครล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว )ถ้าหยิบตัวละครซ้ำกัน ก็เล่นเหมือนกัน ? คิดผิดจ้า !!ถึงแม้ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวเกมจะมีให้เราเลือกว่าจะเล่นเป็นกองหน้า, ผู้รักษาประตู หรือสายยืดหยุ่น ก็จริง แต่ตัวเกมไม่ได้หวังจะให้เราเล่นหน้าที่เหล่านี้ด้วยตัวละครซ้ำ ๆ เดิม ๆ พวกเขาจึงมีระบบ Trainings หรือเอาเข้าใจง่าย ๆ เลยคือระบบรูนที่ผู้เล่นสามารถเลือกใส่และปรับแต่ให้เข้ากับตัวละครและความถนัดได้ตามใจอยากสูงสุดสามชิ้น เช่น เสริมดาเมจ, เสริมความอึด, เพิ่มระยะ/ความกว้างสกิล ฯลฯ ดังนั้นต่อให้ตัวละครเดียวกัน ก็อย่าได้หวังว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกันเสมอไป เพราะเราสามารถเอาตัวหนา ๆ ใหญ่ ๆ ไปกองหน้า และเอาตัวเล็ก ๆ ว่องไวมากันโกลก็ได้*ภาพตัวอย่างอัลติโล่ของตัวละคร Asher ที่ใส่และไม่ใส่รูนเพิ่มขนาดสกิล*จะเล่นจริงจัง หรือจะสายฮาก็เล่นได้เพลิน ๆใครที่เป็นมนุษย์สายมีมคงถูกใจเกมนี้ไม่ใช่น้อย เพราะผู้พัฒนานั้นดูจะเอาใจใส่และเพิ่มเติมแต่งความสนุกในรายละเอียดด้วยอีโมต สติกเกอร์ ที่คัดสรรนำมาจากมีมดังหลากหลายให้ได้เลือกใช้เรียกเสียงหัวเราะกันเหมือนดังอีเวนต์ล่าสุด ที่มีชื่อว่า Vs. CREATOR ที่เราสามารถเลือกสมัครเป็นลูกทีมผู้พัฒนาคนใดคนหนึ่งเพื่อรับอีโมตกวน ๆ มาใช้ได้ฟรี ๆหรือใครจะเป็นสายไต่แรงก์เล่นจริงจังก็มีโหมดให้เลือกเล่นแบบ Ranked, Unranked และ Invite Only สามารถชวนเพื่อนมาไล่บี้ดิสก์ได้ตามต้องการ ทั้งนี้ในโหมดแรงก์จะมีระบบที่เสริมเขามาอยู่หลัก ๆ เลยสี่ระบบคือระบบแบนตัวละคร - ผู้เล่นแต่ละทีมสามารถเลือกแบนตัวละครได้ตั้งแต่หน้าล็อบบี้ทีมละหนึ่งตัว ระบบสุ่มแผนที่ - ถ้าเป็นสนามเปล่า ๆ มันคงน่าเบื่อจริงไหม ? งั้นเอานี่ไป ! สิ่งกีดขวางที่บางทีสร้างหายนะให้ทีมศัตรูและคุณเองระบบกันการซ้ำตำแหน่ง - ถ้าคุณเกิดอยากฉายเดี๋ยว แต่ไปเจอพวกผู้เล่นกดทีมคู่มาบังคับให้เราเล่นผู้รักษาประตูอย่างเดียวคงไม่แฟร์ ดังนั้นผู้พัฒนาจึงกำชับและบล็อกให้ผู้เล่นแบบทีมไม่สามารถกดเล่นได้หากไม่มีตำแหน่งผู้รักษาประตูและกองหน้า แบ่งให้เท่า ๆ กันในทีมระบบของรางวัลประจำซีซัน - แหม เล่นเหนื่อย ๆ มันต้องมีของย้อมใจล่อตากันบ้าง หากผู้เล่นขยับขึ้นแรงก์ไปถึงแรงก์โกลได้แล้วในซีซันนั้น ๆ ก็สามารถรับของรางวัลสุดพิเศษ เช่น สกิน ผู้บัญชาการ Atlas ไปได้เลยทันทีเกมเล่นฟรี มีระบบแบทเทิลพาสและภาษาไทย !Omega Strikers นั้นเป็นเกมเล่นฟรีที่สามารถเข้าร่วมได้ทุกเพศทุกวัยหรือหากไม่ชินภาษาอังกฤษก็มีการตั้งค่าให้ใช้ภาษาไทยได้สะดวกสบาย แต่หากใครรู้สึกว่า " มุแง้ สกินไม่สวย มงไม่ลง ไม่มีแรงเล่น " ตัวเกมก็ได้เพิ่มระบบ Striker Pass ให้ได้จับจ่ายใช้สอยสกิน เอฟเฟค อีโมต รูน สติกเกอร์ ภาพตกแต่งโปรไฟล์ และอื่น ๆ จนนับไม่ไหวแต่ ๆ ! สำหรับผู้เล่นสายฟรีก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรจากค่าความขยันหรอกนะ ! หากผู้เล่นทำการเล่นเกมเก็บสะสมแต้มพาสไปเรื่อย ๆ ก็มีสิทธิได้รับของรางวัลเช่นกัน ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดหวังในความสวย เล่นให้เต็มที่ชิงของรางวัลมาให้หมดล่ะ !ยังไม่สมบูรณ์ แต่สนุกใช้ได้ก็ใช่ว่าตัวเกมจะมีข้อดีให้เราอวยจนหูชาไปเสียหมด เพราะปัญหาหลัก ๆ ของตัวเกม Omega Strikers นั้นอยู่ที่การเป็นเกมยังไม่เต็มตัว 100% หรือ Open Beta จึงอาจมีความไม่เสถียรในการเชื่อมต่อ ระบบ UX/UI ไม่รวบรัดขาดข้อมูลสำคัญ ๆ เช่น ประวัติการเล่น เป็นต้น หรือความน่าหงุดหงิดที่เราต้องใช้แค่ "โทรจิต" ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ได้ตั้งตี้กับเรา รวมไปถึงระบบรีพอร์ตผู้เล่นโยนเกม AFK ซึ่งเราไม่สามารถกดรายงานได้ทันที แต่จะเข้าไปในหน้าเบราว์เซอร์ให้เราเสียเวลากรอกรายละเอียด กดส่ง และรอลุ้นว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรกับผู้เล่นคนนั้นหรือไม่เท่านั้นแต่ยังไงเสียข้อติที่กล่าวมาก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ที่แก้ไม่ได้และค้างคาจนพังทลายความสนุกไป สามารถรอผู้พัฒนาอัปเดตแก้ไขได้อยู่เรื่อย ๆดังนั้นหากใครอยากสัมผัสประสบการณ์ความมันส์กับเกม Omega Strikers นี้ละก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเล่นฟรี ๆ บนแพลตฟอร์ม PC ผ่านร้านค้า Steam ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งข่าวดีเลยคือเกมนี้มีแผนจะพอร์ตลงให้มือถือระบบ iOS และ Android ในอนาคต เฝ้าติดตามได้เลย !
05 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Urbek City Builder เกมสร้างเมืองไซส์เล็ก แต่คุณภาพไม่เล็กอย่างที่คิด
Urbek City Builder เกมสร้างเมืองภาพสไตล์เหลี่ยม ๆ ดูน่ารัก ที่ลองเล่นแล้วให้ความรู้สึกเพลิดเพลินมาก ๆ ครับ ผู้เขียนซื้อมันมาแบบไม่คาดหวังอะไรเลย แบบว่าถอดสมองซื้อมาเลยครับ ฮ่า ๆ กะว่าจะเล่น ๆ สัก 2 ชั่วโมง ถ้าไม่สนุกจะกดคืนเงินอะไรแบบนี้ แต่...กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิครับ มันดันสนุกกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ๆ (จิ๋วแต่แจ๋วฮะ) เกมนี้ถูกพัฒนาโดย Estudios Kremlinois จับมือกับ RockGame S.A. ลงวางจำหน่ายใน Steam เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2022 และคนที่จะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันก่อนตัดสินใจซื้อนั่นก็คือ ผมเองครับ ใครเล็ง ๆ เกมนี้อยู่มาลองอ่านรีวิวกันก่อนได้ครับผมสามารถออกแบบผังเมืองได้อย่างอิสระ สิ่งปลูกสร้างเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยเกมเพลย์ - ก่อนเริ่มเกมเราสามารถเลือกระดับความยากง่าย, ความเล็กใหญ่ของแผนที่ และลักษณะภูมิประเทศที่เราต้องการจะสร้างเมืองได้ครับ Start เกมปุ๊บ จะมีเควสคอยสอนเราเล่นอยู่ตลอดเวลา และคอยป้อนภารกิจมาให้ว่าเราควรสร้างอะไรยังไง มันเป็นเกมสร้างเมืองที่แทบจะไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรกับมันมากมาย เหมือนเกมสร้างเมืองทั่ว ๆ ไปตามท้องตลาดเลย แต่อาจจะมี Puzzle เบา ๆ ในเกมที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรครับ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ของเมืองสามารถอัพเกรดตัวเองได้ เพียงแค่เราสร้างสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ด้านตามที่เกมรีเควส เช่น สมมติผมอยากจะสร้างวิลล่า ตัวเกมจะมีคำอธิบายว่าการจะสร้างวิลล่านั้นต้องใช้อะไรบ้าง เราต้องไปสร้างบ้านขนาด 2x2 ช่อง ที่ไกลจากตัวเมืองเดิมที่เราสร้างไว้และห้ามมีสิ่งรบกวนอะไรเลยรอบ ๆ ต้องมีสวนสาธารณะ เป็นต้น หลังจากที่เราปฏิบัติตามคำสั่งของเกมจนครบแล้ว เดี๋ยวมันก็จะอัพเกรดบ้านบริเวณนั้นเป็นวิลล่าให้เองครับสิ่งปลูกสร้าง - ตึกรามบ้านช่องของเกมนี้จะเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย และสถานที่ใกล้เคียงของมันในเกมครับ ถ้าเราสร้างท่าเรือ บ้านที่เราสร้างบริเวณนั้นก็จะกลายเป็นหมู่บ้านชาวประมงให้เราอัตโนมัติ แต่เราต้องสร้างในรัศมีของมันครับ ในเกมจะมีบอกให้เราได้ทราบด้วยว่ารัศมีท่าเรือนั้นมีวงโคจรไกลแค่ไหน บ้านต่าง ๆ ถนนหนทางจะอัพเกรดให้เราเองตามยุคสมัยและตามทรัพยากรต่าง ๆ ที่เราหามาได้ครับชาวเมือง - เกมนี้ชาวเมืองของเราค่อนข้างมีความจำเป็นกับเราอยู่มาก ๆ ครับ เพราะเมนูต่าง ๆ จะปลดล็อคได้นั้นค่า Population ต้องถึงตามที่ตัวเกมกำหนดครับ จะสร้างบ้านของชาวนาได้เราก็อาจจะจำเป็นต้องมีประชากร 5XX ตามกำหนดก่อน เมนูถึงจะปลดล็อคมาให้ ซึ่งตรงนี้มันทำให้ตัวเกมเพลย์มีความสนุกมาก ๆ เลยครับสำหรับผู้เขียนทรัพยากร - มีกระจายอยู่รอบ ๆ เมืองเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ หรือ แร่ต่าง ๆ ในส่วนนี้ก็ไม่ยากครับ ตัวเกมจะมีเควสป้อนสอนงานเราอยู่แล้ว ว่าเราต้องสร้างแคมป์ตัดไม้ก่อน พอผ่าน ๆ ไปต้องการใช้ไม้เยอะขึ้นก็จะมีการให้สร้างกระท่อม แล้วก็สร้างบ้านพักของนักตัดไม้ต่อไปตามลำดับ และเราไม่ต้องไปสั่งงานอะไรทั้งนั้น พอเราสร้างแล้วทุกอย่างจะทำให้เราอัตโนมัติอีกเช่นเคย ง่ายแต่สนุกครับระบบต่าง ๆ ในเกมกราฟิก - มีภาพ 3D Polygon แบบเหลี่ยม ๆ เป็นบล็อก ๆ ครับ สีสันสดใสและน่ารัก เราจะรับบทเป็นพระเจ้าที่มองลงมายังเมืองนี้ แล้วสร้างมันออกมาด้วยมือของเราเอง อยากจะเป็นเมืองเศรษฐีน้ำมัน หรือจะเป็นหมู่บ้านชาวประมงนั่นก็ขึ้นอยู่กับเราออกแบบเลยครับ สามารถหมุนดูได้ 360 องศา แถมยังสามารถซูมไปเดินเล่นดูในเมืองได้อีกด้วย ใช้พื้นที่ในเครื่องของเราเพียง 415.95MB และเครื่องไม่ต้องแรงมากก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แบบสุดแสนจะชิลฮะการบังคับ - เหมือนเกมสร้างเมืองทั่ว ๆ ไปเลยครับ W,A,S,D ใช้เลื่อนทิศทาง, Q,E ใช้หมุนมุมกล้อง, ลูกกลิ้งเมาส์ใช้ซูมเข้าออก, ปุ่มคีย์ลัดต่าง ๆ มีเควสสอนการใช้งานในเกมครับUI - ใช้งานง่ายครับ ไม่รกตา ทุกอย่างถูกจัดสรรอยู่เป็นระเบียบ สร้างความสะดวกให้กับผู้เล่นอย่างเรา และสิ่งที่ผมชอบในเกมนี้ก็คือเวลาเราคลุมพื้นที่เพื่อสร้างบ้าน หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างตัวเกมจะมีเลขบอกเราครับ ว่าเราใช้พื้นที่กี่ช่องในขณะที่เราลากเมาส์ เจ๋งฝุด ๆ สรุปเกมย่อยง่ายและเข้าใจง่ายมาก ๆ ครับ เราก็สร้างเมือง ขยายเมืองไปเรื่อย ๆ เกมนี้ไม่มีเนื้อเรื่องนะครับ แต่มันจะป้อนเควสมาให้เรา เราก็ทำตามไป เมืองก็จะเริ่มพัฒนาขึ้นทันสมัยขึ้น เราสามารถวางผังเมืองของเราเองได้ ว่าตรงไหนอยากให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย, ตรงไหนอยากให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรม, ตรงนู้นอยากให้เป็นหย่อมเกษตรกรรม, ตรงโน้นอยากให้เป็นหมู่บ้านชาวประมง, ตรงนี้ฉันอยากให้เป็นแหล่งตัดไม้ อยากจะทำอะไรตรงไหนครีเอทได้เต็มที่เลยครับ เกมเพลย์มีแค่นี้เลย แต่บอกเลยครับว่าสนุกมาก ๆ มันก็เพลิน ๆ แบบการสร้างเมืองที่เราเคยเล่นจากเกมอื่น ๆ มาก่อน อย่างเช่น Simcity หรือ City skylines เพียงแต่ว่าความซับซ้อนในการเล่นเกมมีน้อยกว่าเท่านั้นเองครับ จริง ๆ อยากจะอธิบายเยอะกว่านี้ แต่มันมีแค่นี้จริง ๆ ครับ ฮ่า ๆราคาก็ไม่แพงเลยเปิดตัวมาถูกมาก ๆ สนนราคาอยู่ที่ 279 บาท ดูดเวลาชีวิตอย่างจริงจังขนาดนี้ ราคานี้ถือว่าคุ้มมาก ๆ ครับ ในความรู้สึกผู้เขียนแอบมองว่ามันเป็นเกมสร้างเมือง แบบแอบแฝงมาด้วย Puzzle เล็ก ๆ มันก็เลยทำให้เราเล่นมันได้เพลิน ๆ ครับ ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ลองกดซื้อมาลองเล่นดูก่อนสักนิดสักหน่อยก็ได้ ถ้าค้นพบแล้วว่าไม่ถูกจริตกับเราเลยแม้แต่น้อย ก็ทำเรื่องขอคืนเงินไปเลย แต่อย่าให้เกิน 2 ชั่วโมงนะครับ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะรีฟันด์ไม่ได้ หวังว่าจะมีประโยชน์ในการช่วยเพื่อน ๆ ตัดสินใจนะครับ แต่ผมว่ามันควรมีประดับคลังจริง ๆ เพราะเป็นเกมเล็ก ๆ ที่แอบดีสั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1411740/Urbek_City_Builder/
04 Oct 2022
[Review] รีวิว Psychonauts 2 กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดเกม Platformer กู้โลกไปกับหนุ่มน้อยพลังจิต
ย้อนกลับไปในยุคปี 2000s ต้องยอมรับเลยว่าหนึ่งในแนวเกมที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็คงจะเป็นเกมแนว Platformer ที่มีผู้พัฒนาหลากหลายค่ายต่างสร้างเกมแนวนี้ออกมามากมาย ซึ่งในปี 2005 มันก็ได้มีเกมตัวหนึ่งที่ปล่อยออกมานั่นก็คือเกมอย่าง Psychonauts ที่พัฒนาโดย Double Fine Productions และพอตัวเกมออกมามันก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ โดยหนึ่งในจุดเด่นของเกมนี้ก็คือในด้านเนื้อเรื่องของเกมที่มีการเล่าประเด็นเกี่ยวกับความคิดในจิตใจ ให้เราเข้าไปในจิตใจของตัวละครต่าง ๆ ผจญภัยกับอันตรายต่าง ๆ เพื่อที่จะเปลี่ยนความคิดของคน ๆ นั้น รวมถึงบทสนทนาที่มีตัวตลกขบขันแต่ถึงแม้เกม Psychonauts จะได้รับคำวิจารณ์ที่ดีอย่างไร แต่ตัวเกมก็ประสบปัญหาในด้านยอดขาย อาจจะเป็นเพราะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในตลาดนี้ ทำให้ตัวเกมสามารถขายได้เพียงแค่ 1 แสนชุดในอเมริกาเหนือเท่านั้น ทำให้บริษัทขาดทุนมากกว่า 18 ล้านเหรียญ จนทำให้ซีอีโอของบริษัทต้องประกาศลาออกทันที แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่ทางผู้พัฒนาได้สิทธิในการขายเกมกลับมาเป็นของตัวเอง (หลังจากที่อยู่กับทางบริษัท Majesco มาตั้งแต่ต้น) ทำให้พวกเขานั้นเอาเกมนี้ไปวางขายบนร้านค้าดิจิทัลมากขึ้น และทำให้คนค่อย ๆ รู้จักตัวเกมมากขึ้น จนเวลาผ่านไปถึงปี 2015 ทางผู้พัฒนากล่าวว่าตัวเกมนั้นมียอดขายมากกว่า 1.7 ล้านชุด และทำการประกาศเกมภาค 2 ทันที !! จนในตอนนี้ตัวเกมภาคต่อก็วางจำหน่ายออกมาอย่างเป็นทางการแล้วและเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ชมกันว่าตัวเกม Psychonauts 2 จะยอดเยี่ยมเท่ากับภาคแรกหรือไม่ !?กราฟิก / การนำเสนอในด้านกราฟิกของเกมก็ยังนำเสนองานด้านสภาพสไตล์เดิม กับโมเดลของตัวละครที่อาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ หน้าตาตัวละครอาจจะมีการบิดเบี้ยวตามลายเส้นของเกมนี้ ซึ่งมองเผิน ๆ ต้องยอมรับว่ามันก็ไม่ได้น่าสนใจมากขนาดนั้น แต่ถ้าเรามองในด้านเนื้อเรื่องความตลกที่ตัวเกมนี้ใส่เข้ามา บางทีการใช้งานด้านสภาพสไตล์แบบนี้อาจจะเหมาะสมที่สุดแล้วก็เป็นได้รวมถึงในภาคนี้ตัวเกมจะมีความเป็นกึ่ง Open World ที่ถึงแม้พื้นที่ต่าง ๆ จะแบ่งเป็นฉาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นแต่ละพื้นที่ก็ยังมีความกว้างให้เราได้สำรวจอยู่พอสมควร ซึ่งในเกมนี้หลัก ๆ จะดำเนินเรื่องราวอยู่ในศูนย์บัญชาการ ที่จะแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ มากมาย โดยเควสเนื้อเรื่องก็จะพาให้เรานั้นได้สำรวจพื้นที่เหล่านี้ทั้งหมด นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้สำรวจสถานที่นอกศูนย์บัญชาการของเราด้วย ซึ่งก็จะถูกแบ่งออกเป็นโซน ๆ และพื้นที่ในการสำรวจค่อนข้างกว้างให้เราได้เที่ยวเล่นได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะเสียดายที่โลกของเกมนี้ไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก และไม่ค่อยมีอะไรให้เราปฏิสัมพันธ์นอกจากวิ่งเล่นไปทั่ว ไล่ทำเควสต่าง ๆ แค่นั้นเนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของ Psychonauts 2 ใครที่เคยเล่นเกมภาคแรกมาแล้วกลิ่นอายของเกมก็จะยังเหมือนกับภาคแรก ตัวเกมจะให้เรานั้นได้รับบทเป็น Razputin Aquato เด็กหนุ่มในโรงละครสัตว์ที่มีพลังพิเศษในการเข้าไปในจิตใจของคนอื่นและทำการเปลี่ยนจิตภายในสมองคน ๆ นั้นได้ โดยในภาคนี้ทางตัวเอกได้เข้ามาสู่หน่วยงาน Psychonauts อย่างเป็นทางการ องค์กรรวบรวมกลุ่มเด็กที่มีพลังจิตเพื่อกอบกู้โลก โดยเนื้อเรื่องหลักจะเกี่ยวกับการที่เรานั้นจะต้องสืบหาความจริงในการฟื้นคืนชีพกลับมาของตัวร้ายอย่าง Maligula และเราก็จะต้องหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงแม้นี่จะเป็นพล็อตหลักของเกม แต่ถึงอย่างนั้นเนื้อเรื่องระหว่างทางจะเป็นการเล่าประเด็นเกี่ยวกับจิตใจอันสบสนของตัวละครต่าง ๆ ที่มีความลับซ่อนอยู่และเรานั้นก็จะต้องเข้าไปแก้ไขมัน โดยภายในจิตใจของแต่ละคนก็จะมีธีมต่าง ๆ ที่น่าสนใจไม่เหมือนกัน และสิ่งที่ทำให้เกมนี้สนุกมากขึ้นก็คงจะเป็นในด้านบทสนทนาที่จะสอดแทรกความตลกเข้าไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ผิดเพี๊ยนของตัวละครตามสไตล์ของเรื่อง และถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้จะต่อเนื่องกันกับภาคแรก แต่เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องกลับไปเล่นเพราะในช่วงต้นเกมก็จะมีการเกริ่นความเป็นมาคร่าว ๆ ให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องในระดับหนึ่ง ว่าความเป็นมาคืออะไรเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ถึงแม้ว่าตัวเกมจะขึ้นชื่อว่าเป็นแนว Platformer แต่ทางผู้พัฒนาก็ใส่ระบบความเป็นเกม Action เข้ามาด้วย โดยตัวละครเราสามารถโจมตีศัตรูสวนกลับไปได้ด้วยหมัดของเรา และหนึ่งในจุดเด่นของเกมนี้ก็คือการใช้พลังจิตของตัวละคร Razputin ที่จะมีความสามารถให้ใช้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพลังในการหยิบสิ่งของที่เราก็สามารถใช้มันปาไปโจมตีศัตรูได้ การใช้พลังไฟเผาศัตรูได้ พลังการโจมตีระยะไกล และพลังอื่น ๆ มากมายกว่า 10 แบบนอกจากนี้พลังต่าง ๆ เรายังสามารถอัพความสามารถให้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งพลังแต่ละชนิดก็จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับ ยิ่งอัพสูงสกิลก็จะยิ่งดีขึ้น รวมถึงในการผจญภัยเราจะต้องใช้พลังเหล่านี้ในการผ่านแต่ละจุดไปเรื่อย ๆ ซึ่งถือว่าสร้างสรรค์เป็นอย่างมากนอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบการ Dash หลบการโจมตีของศัตรู ซึ่งต้องบอกเลยว่าทาง AI ของเกมนี้ถูกสร้างออกมาให้ไม่ได้แย่เลย ตัวศัตรูมีหลากหลายชนิดและการโจมตีก็แตกต่างกันไป รวมถึงพวกมันยังสามารถสร้างดาเมจให้เราค่อนข้างแรงเลยทีเดียว ใครที่คิดว่าเจอศัตรูแล้วจะเดินชนดาเมจไล่ฟันไปเรื่อย ๆ คุณก็อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะจากที่ลองเล่นเราควรจะต้องหลบการโจมตีให้ได้มากที่สุด รวมถึงจะต้องคอยสอดส่องสภาพแวดล้อมในตอนนั้นเพื่อหายามาเพิ่มเลือด รวมถึงใครที่คาดว่าตัวเกมจะเน้น Action ไล่ฟันศัตรูตลอดทั้งเกม ก็อาจจะคิดผิดเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วตัวเกมก็ยังเป็นแนว Platformer ที่จะเน้นการผจญภัยแก้ไขปริศนาต่าง ๆ เป็นหลัก รวมถึงภายในเกมยังให้เรานั้นต้องใช้พลังพิเศษในการแก้ไขปริศนาต่าง ๆ ด้วย ในด้านปริศนาส่วนใหญ่จะเป็นการที่เรานั้นจะต้องใช้พลังวิเศษในการผ่านอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อถึงที่หมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สโลว์โมชันในการหยุดให้ใบพัดที่กำลังหมุนอยู่ช้าลงเพื่อให้เราลอดผ่านไปได้ หรือจะเป็นพลังการสะกดจิตคนอื่นเพื่อให้เราได้มีโอกาสหาไอเท็มลับที่ซ่อนอยู่ตามฉากเป็นต้นในด้านของการดำเนินเรื่องราวตัวเกมจะมีให้เราเล่นทั้งเควสหลัก และเควสรอง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเควสก็จะไม่ได้บอกพิกัดจุด Mark จูงมือเราเดินไปเหมือนเกมอื่น ๆ เพราะการรับเควสเรานั้นจะต้องอ่าน Note ของแต่ละเควสที่จะบอกว่าจุดทำเควสนั้นอยู่ตรงไหน หรือบางทีเควสก็จะพาเราไปยังนอกศูนย์บัญชาการ และก็บอกคร่าว ๆ ว่าเราควรจะต้องไปตรงไหน (อาจจะมีการวาดรูปบอกจุดน่าสังเกตุไว้ให้) แต่ที่เหลือคุณก็จะต้องไปค้นหาเอาเอง ยกตัวอย่างจะมีเควสหนึ่งที่จะให้เราเดินไปที่ป่า โดยการที่เราจะต้องเดินทะลุออกดินแดนเหมืองออกไปก่อนนั่นเอง แน่นอนว่าเราอาจจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการอ่านเนื้อหาด้วยส่วนสุดท้ายที่อยากจะพูดก็คงจะเป็นบอสแต่ละตัวของเกม ที่ทำออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงแต่ละตัวก็จะมีธีมที่แตกต่างกัน บางตัวละครก็จะพาเราเข้าสู่เกมโชว์ทำอาหาร บางตัวละครการโจมตีปกติใช้ไม่ได้ผล เราอาจจะต้องใช้พลังในการสโลว์โมชันเสียก่อนถึงจะสามารถโจมตีได้ หรือบางตัวอาจจะต้องใช้การโจมตีระยะไกลสู้ ซึ่งเราก็อาจจะต้องใช้พลังเคลื่อนย้ายของและปาใส่ หรือใช้พลังโจมตีระยะไกลสู้เอาเป็นต้นสรุปจุดเด่นหลัก ๆ ของ Psychonauts 2 ก็ยังเป็นในด้านเนื้อเรื่องที่ถึงแม่ว่าโครงเนื้อหาหลักจะไม่ได้น่าสนใจมากนัก แต่ความสนุกคือระหว่างทางที่เราจะได้พบเจอกับเหล่าตัวละครที่เราจะต้องเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และเปลี่ยนความคิดประหลาด ๆ เหล่านั้น รวมถึงในเรื่องของบทสนทนาที่มีความตลก (แบบมุขตลกหน้าตาย) ที่มีให้เห็นเยอะมาก หรือครรกะเพี๊ยน ๆ ของ NPC ที่มีให้เห็นและขอย้ำอีกครั้งว่าใครที่คิดว่าอยากจะมาเน้น Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ตัวเกมนี้ก็อาจจะไม่ได้นำเสนอจุดนี้มากเท่ากับความเป็นเกมแนว Platformer ที่ส่วนใหญ่กว่า 60% เราก็จะต้องกระโดดข้ามแพลตฟอร์มตรงนู้นตรงนี้เพื่อไปแก้ปริศนา แต่ก็ต้องยอมรับว่าในทุกส่วนของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้ และปริศนาทางผู้พัฒนาค่อนข้างละเอียดละมัยพอสมควรส่วนตัวยอมรับว่าไม่ได้เป็นคนที่สันทัดเกมแนวนี้มากนัก อาจจะเป็นเพราะความจำเจที่เราจะต้องเล่นอะไรแบบเดิม ๆ ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่เกมนี้ต่างออกไปเพราะระบบพลังพิเศษที่มีให้เลือกมากกว่า 8 แบบ ทำให้เราผจญภัยของเราไม่เบื่อเลย เพราะในแต่ละด่านตัวเกมค่อนข้างดีไซน์การผจญภัยที่จะให้เราต้องใช้พลังหลากหลายในการผ่านด้วยส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็อาจจะเป็นงานด้านภาพที่ผู้เขียนมองว่ามันค่อนข้างเก่าพอสมควร งานด้านภาพก็ไม่ได้สวยไปกว่าภาคก่อนมากนัก รวมถึงการที่ตัวเกมมีระบบมากมายที่เยอะมาก ทำให้การเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกมค่อนข้างใช้เวลาในระดับหนึ่ง 
03 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Deadwater Saloon บริหารธุรกิจบันเทิงแบบคาวบอย ในดินแดนไกลปืนเที่ยง
Deadwater Saloon เราจะมารับหน้าที่เป็นคนบริหาร Saloon ให้แขกได้เข้ามานอนค้างอ้างแรม สังสรรค์ เมามายกับเหล้ายาปลาปิ้ง และเล่นการพนันอยู่ในโรงแรมยุคคาวบอย แค่คอนเซปต์เกมที่จะเอามารีวิววันนี้ค่อนข้าง 18+ มาก ๆ ครับ (มีแต่อบายมุขทั้งนั้นเลย) และมันก็ค่อนข้างน่าสนใจอยู่เหมือนกันเพราะเหมือนเล่น The sims ในโลกของอเมริกันตะวันตก เพิ่งลงวางขายใน Steam ไปเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2022 ผู้เขียนเลยหยิบยกเกมนี้ขึ้นมาเล่นเพราะความน่าสนใจของมันนี่แหละครับ งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเกมเพลย์มันจะสนุกเหมือนภาพตัวอย่างที่ดึงดูดผู้เล่นอย่างเราได้ขนาดไหน ตามมาอ่านรีวิวกันได้เลยครับ Let's go!กว่าจะเข้าใจว่าเล่นยังไง พาให้เราได้งมอยู่พักใหญ่ ว่าสร้าง Saloon ยังไงฮะ!!!เริ่มเกม - กด Start ปุ๊บ ทุกอย่างดูดีมาก ๆ ครับ มีตัวละครให้เลือกมากมายหลากหลายคาแรกเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย ใส่สถานะให้ตัวละครได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการเล่นการพนัน, เป็นพ่อหนุ่มกล้ามโต, ทักษะการชักจูง, ความสามารถในการทำอาหาร, ความสามารถในการทำยา, การหย่องเบา, หรือแม้แต่ค่าความยั่วยวน (เดี๋ยวนะยั่วยวนอะไรก่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆ) เป็นต้น นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนะครับ ของจริงนี่มีให้เลือกอัพเป็น 10 และเริ่มเกมจะมีแต้ม Attribute Point (แต้มคุณลักษณะ) มาให้เรา 40 แต้ม เพื่อให้เรานำไปอัพค่าทักษะที่เราชอบเพิ่มได้ครับ เกมเพลย์ - เข้าเกมมาจะมี Toturial สอนเราแบบลวก ๆ แบบว่า "เฮ้ยฉันอ่านแล้วนะ" พอมาเล่นจริง ๆ บางอย่างต้องงมอยู่ดีครับ ฮ่า ๆ คือผู้เขียนเนี่ยหาวิธีการสร้าง Saloon อยู่นานมากครับเพราะปุ่มต่าง ๆ สร้างความงงให้กับคนเล่นอย่างเรามาก ๆ ยิ่งระบบสร้างชั้นบนชั้นล่าง ปูพื้น สร้างกำแพง แถมมาด้วยการที่ไม่มีเควสบอกอะไรเราเลยว่าเราควรทำอะไร ในช่วงแรกที่เล่นผมมึนตึบจนเกือบจะถอดใจกับมันไปเหมือนกัน แต่เล่น ๆ ไปก็จะมีก๊วนแก๊งโจรต่าง ๆ วนเวียน เข้ามาในร้านของเรา อาจจะต้องทำเควสเล็ก ๆ น้อย ๆ และต้องตอบคำถามอยู่บ้าง จะมีเป็นช้อยส์คำตอบให้เราเลือกครับเล่นไปเรื่อย ๆ เกมนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็สร้างนั่นนู่นนี่ไปเรื่อย ๆ แบบ The sims เพียงแต่ธีมของเกมจะเป็นยุคอเมริกันตะวันตก ที่คาวบอยเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เราก็แค่เป็นคนจัดการเอาเฟอร์นิเจอร์ตรงนั้นไปวางตรงนี้ สร้างชั้นบนชั้นล่าง มานั่งคิดว่าจะเอาบาร์ไว้ตรงไหนดีน้า? หรือจะเอาโรงแรมไปไว้ข้างบน? คาสิโนอยู่ชั้นไหนล่างดีไหม? แรก ๆ เริ่มสร้างในหัวผู้เขียนก็จะคิดวน ๆ อยู่ประมาณนี้ครับ และที่สำคัญเราต้องสร้างห้องครัวด้วยครับ เพราะเราต้องขายอาหารด้วย ความหรูหราหมาเห่าก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบอุปกรณ์ที่เรานำมาสร้าง Saloon ของเราครับ พอสร้างทุกอย่างจนพอใจแล้วก็กด Play เพื่อเปิด Saloon และให้ธุรกิจของเราดำเนินไป พอได้เงินมาแล้วเราก็อาจจะเอาไปขยายห้องใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ หรืออัพเกรดให้ Saloon ของเรามีระดับมากขึ้นแบบนี้ก็ได้อีกเช่นกันครับ ตัวเกมจะมีค่าเรตติ้งบอกให้เราทราบว่า Saloon ของเราได้รับความนิยมในด้านไหนบ้างการขายอาหารและการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - ช่วงแรก ๆ นั้นเรายังไม่สามารถทำเองได้ครับ ต้องทำการวิจัยและเล่นเกมไปในระดับหนึ่งก่อน ระบบถึงจะปลดล็อคมาให้เราสามารถจ้างคนมาช่วยงานในส่วนนี้ได้ เช่น พ่อควรทำอาหาร หรือเด็กเสิร์ฟ ช่วงแรก ๆ เราต้องดีลงานจากร้านค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ให้เขานำสินค้าประเภทแอลกอฮอล์และอาหารมาส่งให้เราครับ เราสามารถติ๊กเลือกได้ว่าถ้าของเหลือน้อยจะให้ Ai นำสินค้ามารีสต๊อกให้เราอย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าสินค้าในคลังของเราจะหมดและไม่พอขายครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีโมเดลตัวละครหรือฉากต่าง ๆ เป็น 3D ครับ เป็นมุมมองจากด้านบนลงมา ส่วมบทบาทเป็นคาวบอยนักธุรกิจบริหารจัดการ Saloon สมัยยุคอเมริกันตะวันตก สามารถหมุนดูได้ทั้ง 360 องศา เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ ใช้พื้นที่ในเครื่อง 3.53GB เท่านั้นเอง เกมเล็ก ๆ เล่นเพลิน ๆ ครับระบบการควบคุม - เกมนี้ก็เหมือนเกม Simulation อื่น ๆ ทั่วไปครับ W,A,S,D เลื่อนมุมกล้องซ้าย, ขวา, บน, ล่าง / Q,E หมุนมุมกล้อง / ลูกกลิ้งเมาส์ใช้เพื่อซูมเข้าซูมออก / นอกนั้นก็ใช้เมาส์จิ้ม ๆ ได้เลยUI - บอกเลยว่าสร้างความสับสนให้ผู้เขียนได้อยู่ไม่น้อยเลยครับ ถึงแม้จะมี Toturial บอกในช่วงต้นเกมว่าในส่วนไหนทำอะไรได้บ้าง แต่การออกแบบการใช้งานหน้าต่างเมนูต่าง ๆ ก็ต้องมาอาศัยความเข้าใจในเกมด้วยตัวเองอยู่ดี และเวลาสร้างถ้าเราวางเฟอร์นิเจอร์ไปแล้ว หน้าต่างการใช้งานก็จะปิดไปเลย ต้องเปิดใหม่ทุกครั้ง ซึ่งเป็นอะไรที่สร้างความรำคาญในการเล่นเกมมาก ๆ ครับ ระบบชั้นของสิ่งก่อสร้างก็งงมากกว่าจะปูพื้นได้ ก็ต้องกดอะไรเยอะแยะงงไปหมด แม้แต่ระบบผนังเวลาเราอยากติดพวกของตกแต่ง จะต้องเปิดกำแพงขึ้นมาถึงจะติดของตกแต่งได้ แต่...ถ้าเรากดของมาเพื่อจะติดมันเข้ากับกำแพงแล้ว แต่กำแพงยังล่องหนอยู่เราติดของที่กำแพงไม่ได้ไม่พอ เราไม่สามารถกดเปิดกำแพงตอนที่เรา Interact กับสิ่งของนั้นอยู่ครับ เราต้องกดคลิกขวาเพื่อ Cancle ไปก่อนเพื่อไปเปิดกำแพงขึ้นมา แล้วก็ไปกดเลือกของตกแต่งชิ้นนั้นใหม่ถึงจะสามารถติดตั้งได้ ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้เล่นอย่างเราอยู่พอสมควรเลยครับ ในส่วนของของตกแต่งกับการสร้างโครงสร้างต่าง ๆ อย่างการสร้างกำแพง การปูพื้น ห้องครัว หรือห้องพักก็ไม่แยกเมนูด้านนอกเอาไว้อย่างชัดเจน เวลาเข้าไปในหน้าต่างไอเทมก็ค่อนข้างสร้างความสับสนให้คนเล่นอย่างเราในช่วงแรกครับสรุปมันก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่สร้างความเพลิดเพลินและความตื่นเต้นให้ผมแค่ในช่วงแรกเท่านั้นครับ อยากจะสร้างให้สวย ๆ ของตกแต่งในเกมก็ค่อนข้างมีน้อย และมีจำกัด มันก็จะสนุกอยู่ตรงที่ได้ตอบคำถามแบบไม่คาดคิดจาก Bandits (โจร) ต่าง ๆ ในเกมที่โผล่มาตามเนื้อเรื่องบ้าง แต่เกมค่อนข้างตันไวอยู่พอสมควรครับ พอสร้างโรงแรมจนมาถึงระดับหนึ่งแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำแล้วครับ ก็แค่ขายของบริหาร Saloon เพื่อรับรายรับอย่างเดียว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำละพวก User interface ของเกมการใช้งานบางอย่างก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร มันเลยทำให้การเล่นเกมมีความน่าเบื่ออยู่ครับ ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้พยายามเรียนรู้กับมันนะครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการเล่น ยังสร้างไม่เสร็จเลยพอติดตั้งปุ๊บ หน้าต่างหน้าไอเทมก็ปิดไปต้องเปิดใหม่วนไปอยู่อย่างนั้น มันเลยทำให้การเล่นเกมค่อนข้างสะดุดและไม่ลื่นไหลครับ ผมเนี่ยรำคาญจนออกจากเกมแล้วต้องไปพักสักชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่เพื่อลดความหัวร้อนในการเล่นลงบ้าง ฮ่า ๆ ถ้าถามผมว่าควรซื้อไหมผมมองว่ามันก็แล้วแต่คนชอบด้วยนะครับ ถ้าหาเกมเล่นฆ่าเวลาแก้เซ็งเกมนี้ก็สามารถช่วยเราได้แป๊บ ๆ เท่านั้น เพราะเอาจริง ๆ เลยนะเล่นไปสัก 4 ชั่วโมงก็รู้สึกว่าเกมมันจบแล้วครับ ราคา 289 บาทสำหรับผมก็มองว่าไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะเราต้องไปปวดประสาทกับระบบ User interface ที่สุดแสนจะน่ารำคาญ เอาเป็นว่าผู้เขียนมองว่าเล่น The Sims ดีกว่าครับ ตอนนี้แจกฟรีแล้ว ถึงแม้จะโดนค่า DLC กันจนล้มละลายก็เถอะ! หรือถ้าใครอยากเล่นจริง ๆ กำเงินไว้ไปซื้อช่วงลดราคาจะดีกว่า เกมมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นครับ แต่แค่มันไม่ค่อยคุ้มกับราคาเต็มสักเท่าไหร่แค่นั้นเองสั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1696080/Deadwater_Saloon/
29 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม The Wandering Village เกมสร้างอาณาจักรบนหลังไคจูอันแปลกใหม่
The Wandering Village เป็นเกมที่น่าสนใจมาก ๆ ตั้งแต่ตอนที่เปิดให้เล่น Demo ผู้เขียนแอบเล็ง ๆ เอาไว้นานแล้ว เป็นเกมสร้างเมืองที่มาในคอนเซปต์สุดประหลาด ที่เราจะต้องมาลงหลักปักฐานอาศัยอยู่บนหลังสัตว์โบราณ แค่เห็นรูปตัวอย่างเกมและได้ลองไปสัมผัสกับเกมเพลย์ในช่วง Demo มานั้นก็ทำให้ผู้เขียนต้องไปกดซื้อมันมาเล่นเมื่อมันลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2022 ในแบบ Early Access ผู้เขียนอยากจะรีวิวและนำเสนอเกมนี้ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านมาก ๆ เพราะมันเป็นเกมที่เล่นได้เพลินและฆ่าเวลาได้ดีทีเดียวเชียวครับ รายละเอียดเป็นยังไงนั้นตามมาอ่านรีวิวกันดีกว่า มา มา มา ตามผมมาเลยเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเนื้อเรื่องแปลกดีมีเสน่ห์ เกมเพลย์ลื่นไหล แต่ก็ไม่ได้ไร้ที่ติเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องนิดหน่อยให้เราได้ทราบถึงความเป็นไปเป็นมา ว่าการขึ้นมาอาศัยอยู่บนหลังของสัตว์โบราณเนี่ย กลุ่มประชากรกลุ่มแรกพวกเขาเข้ามาตั้งรกรากสุดแปลกประหลาดบนนี้ได้ยังไง มันมีที่มาครับทุกคนเนื้อเรื่องว่าด้วยโลกในเกมนั้นเกิดเหตุการณ์เป็นพิษครับ มีพิษแปลกประหลาดเกิดปกคลุมทั่วทุกย่อมหญ้าจนทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก คนที่รอดมาได้ก็ต้องเดินทางหนี หลบเลี่ยง และเสาะแสวงหาที่ตั้งมั่นเพื่ออยู่อาศัยอีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็ได้พบกับสัตว์โบราณที่ชื่อว่า "Onbu" และพวกเขาเชื่อว่าการพบกันระหว่างพวกเขาและสัตว์โบราณนั้นเป็นโชคชะตาครับ และมันก็อาจจะจริงอย่างที่พวกเขาคิดนั่นแหละครับ เพราะ Onbu นั้นทำให้พวกเขารอดจากพิษมาได้เกมเพลย์ - เกมนี้เราสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่ Novice, Adept และ Veteran ความยากง่ายของแต่ละระดับจะเพิ่มภัยพิบัติ และอันตรายต่าง ๆ ให้เราได้พบเจอตามระดับความยากง่ายที่เราเลือกเล่นครับ การเล่นก็ไม่ได้มีอะไรมาก เหมือนเกมสร้างเมืองเกมอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป แต่เรามีพื้นที่ที่จำกัดมาก ๆ เพราะเราต้องสร้างทุกอย่างบนหลังของสัตว์โบราณตัวนี้ครับ ตัวเกมจะเริ่มสอนเราไปทีละอย่าง เริ่มตั้งแต่การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บ้านพักของประชากร และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับ Onbu ครับ ช่วงแรกจะมีเควสให้ทำและอะไรที่ผู้เขียนมองว่าเป็นส่วนที่ต้องติของเกม? ผมมองว่าเกมนี้นั้นแม้จะมีคอนเซปต์ที่ค่อนข้างแปลกและเกมเพลย์แตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในท้องตลาด แต่ด้วยความที่มันเป็น Early Access ก็เลยทำให้ดูว่ามันไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน แค่เอาตัวรอดจากสถานการณ์ในเกมไปวัน ๆ ความหลากหลายของบางอย่างในเกมยังน้อยเกินไปมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการทำอาหาร, การรักษาโรค, ชนิดของพืชที่ใช้ในการปลูก ซึ่งผู้เขียนมองว่ามันยังน้อยไปหน่อยครับResearch - เราสามารถทำการวิจัยสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ หรือพืชพรรณใหม่ ๆ ได้ในส่วนนี้ครับ บางอย่างต้องใช้แต้มในการวิจัย และบางอย่างวิจัยได้เลยโดยไม่ต้องใช้ครับ เราจะสามารถนำวิทยาการใหม่ ๆ ที่เราวิจัยมาใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอำนวยความสะดวก ในการช่วยเหลือประชากรของเรา และ Onbu ได้Scounter - อันนี้คืออีกส่วนหนึ่งของเกมนี้ที่ผมค่อนข้างชอบนะครับ เราสามารถส่งคนของเราลงไปสำรวจพื้นที่ด้านล่างได้ (ต้องมีสิ่งปลูกสร้างสำหรับองค์กร Scounter ก่อน) เมื่อเราส่งไปแล้วเราจะได้วัตถุดิบต่าง ๆ หิน ไม้ ดิน ทราย น้ำ แร่ต่าง ๆ หรือแม้แต่ประชากรเราก็สามารถส่ง Scout ไปเกณฑ์คนตามหมู่บ้านด้านล่างขึ้นมาอยู่กับเราได้ครับ และในส่วนนี้บางทีจะมีตัวเลือกการตัดสินใจขึ้นมาให้เราได้ทำด้วย จะทำให้เราได้ค่าสถานะบางอย่างเพิ่มเติมครับ การใช้งานในส่วนนี้เราต้องกดเปิดแผนที่แล้วสั่งให้ Scout ของเราไปทำงานครับระบบ Onbu - เกมเพลย์ต่าง ๆ เมื่อเราเล่นมาถึงจุดหนึ่ง ตัวเกมจะให้เรามี Interact (ปฏิสัมพันธ์) กับ Onbu มากขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารให้ Onbu ได้ทาน, การรักษาพิษให้กับ Onbu, การทำให้ Onbu เชื่อใจเรา เพื่อที่จะรับฟังคำสั่งในการเลือกทิศทางการเดินเมื่อเจอทางแยกครับ (ถ้า Onbu ไม่เชื่อใจเราเราสั่งอะไรไปพี่เขาจะไม่ทำตาม เขาจะเชื่อการตัดสินใจของตัวเองเท่านั้น) ทั้งหมดนี้เราสามารถสร้างได้เมื่อเราทำการ Research (วิจัย) สิ่งปลูกสร้างในเกมแล้วครับ เนื่องจาก Onbu นั้นมีเกจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นHP - ในส่วนนี้ถ้า Onbu เดินไปเจอกับพิษ, พายุ, หรือภัยพิบัติต่าง ๆ เลือดจะลดลงครับ เราสามารถเพิ่มเลือดให้ Onbu ได้ ซึ่งเราต้องสร้างคลินิกสำหรับรักษา Onbu ครับ หลังจากนั้นเราจะสามารถสั่งให้หมอส่งยาให้ Onbu กินได้เพื่อเพิ่มเลือดครับอัตราการติดพิษ - โลกในเกมที่เราเล่นมีพิษใช่ไหมครับ และสัตว์โบราณของเราสามารถติดพิษได้เช่นกัน ค่าพิษจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา แต่จะเพิ่มได้มากสุดเมื่อเราเดิมผ่านหมอกพิษ หรือเห็ดพิษครับ วิธีการลดพิษเราสามารถสั่งให้หมอส่งยามาให้ Onbu กินเพื่อรักษาพิษให้ Onbu ได้ครับ และเมื่อ Onbu เดินผ่านหมอกหรือบริเวณที่มีเห็ดพิษ จะทำให้พืชพรรณต่าง ๆ ของเราติดพิษไปด้วย (พอติดพิษแล้วสามารถลุกลามได้) เราต้องสร้างองค์กรสำหรับกำจัดพิษ ซึ่งจะมีคนงานคอยเดินทำลายพิษบนหลัง Onbu ให้เราแบบอัตโนมัติเลยครับ สะดวกสบายจริง ๆอัตราความหิว - Onbu นั้นเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ พี่เขาจะเริ่มหิวครับ เราจะต้องสร้างครัวสำหรับทำอาหารให้ Onbu ขึ้นมา และสร้างเครื่องส่งอาหารด้วย เพื่อส่งอาหารให้พี่ Onbu รับประทานครับ เมื่อกินเรียบร้อยแล้วค่าความหิวของ Onbu ก็จะลดลงครับอัตราความเหนื่อยล้า - ถ้าขึ้นจนเต็มแล้ว Onbu จะนอนครับ สามารถปล่อยให้นอนด้วยตัวพี่เขาเองได้ แต่ต้องระวังหน่อย ถ้าเราไม่สั่งให้นอนบางที Onbu จะไปนอนทับบริเวณที่มีพิษ หรือบริเวณที่มีภัยธรรมชาติ ซึ่งมันจะทำให้เลือด Onbu ลดรัว ๆ, สิ่งปลูกสร้างพัง, หรือแม้แต่พืชพรรณต่าง ๆ ติดพิษจนตามแก้กันไม่หวาดไม่ไหว อันนี้ต้องระวังนะครับ เมื่อนอนจนเต็มอิ่มแล้ว Onbu จะลุกเดินทางต่อด้วยตัวเอง เราไม่ต้องปลุกพี่เขาก็ได้ครับสิ่งปฏิกูล - เนื่องจาก Onbu เป็นสัตว์ใช่ไหมครับ เรียกกันบ้าน ๆ เลยว่า Onbu ของเรานั้นขี้ได้ครับ ฮ่า ๆ ซึ่งเราต้องมีสิ่งปลูกสร้างที่เราจะเอาไว้เก็บอึของ Onbu ครับ เพื่อนำมาทำเป็นปุ๋ยคอก ให้เราเอาไว้ใช้งานกับฟาร์มต่าง ๆ ของเราครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เป็นเกมแนว Sandbox ก่อสร้างเมือง จำลองสถานการณ์ มีมุมมองจากด้านบนลงมา มีภาพการ์ตูนน่ารักมากครับ หมุนไม่ได้ 360 องศา และมีพื้นที่ในการเล่นค่อนข้างจำกัดครับ ไฟล์เกมเล็ก ๆ ใช้พื้นที่ในการติดตั้งเพียง 831.06MB เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับระบบควบคุม - ใช้ปุ่มพื้นฐานต่าง ๆ เหมือนเกมสร้างเมืองอื่น ๆ ทั่วไปครับ ไม่ว่าจะเป็น W,A,S,D ไว้ใช้เลื่อนมุมกล้อง, ลูกกลิ้งเมาส์เอาไว้ซูมเข้าออก, ส่วนปุ่มการใช้งานต่าง ๆ ในตัวเกมมี Toturial สอนเราใช้งานตั้งแต่เริ่มเกมเลยครับUI - ใช้งานง่ายครับ สามารถกดสร้าง ทำลายสิ่งปลูกสร้าง ระบบสั่งการต่าง ๆ หรือแม้แต่ระบบของ Onbu ก็ใช้งานง่าย ไม่สร้างความสับสนให้คนเล่นอย่างเราแต่อย่างใดครับ มีข้อความคอยเตือนเราทางมุมซ้ายล่างก็สะดวกดีจะได้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เราควรทำอะไร อะไรขาด อะไรเหลือ มันก็แจ้งเตือนหมดครับ ถือว่า Dev ออกแบบมาได้ดีทีเดียวในส่วนนี้สรุปเป็นเกมที่มีคอนเซปต์เกมแปลกใหม่ดีครับ เล่นได้แบบโคตรจะเพลินมาก ๆ มีภาพที่น่ารัก และผมมองว่ามันค่อนข้างเป็นเกมที่เขาถึงได้ทุกเพศทุกวัย การที่เราต้องหนีขึ้นไปอยู่บนหลังตัวอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็สร้างเมืองไปเรื่อย ๆ พื้นที่ที่จำกัดก็ต้องคอยคำนวนการสร้าง หรือการนำทรัพยากรมาใช้ให้ดีดีด้วย ไม่งั้นทรัพยากรหมดต้องรอกันยาว ๆ เลยครับกว่าจะมีงอกออกมาใหม่ ฮ่า ๆ การวิจัยต่าง ๆ ก็ต้องเลือกดูให้ดีดีเพราะบางอย่างใช้แต้ม บางอย่างไม่ต้องใช้ถ้าเลือกผิดก็อาจจะทำให้เราเสียเวลาอยู่เหมือนกันครับ แต่ถามว่าคุ้มค่ากับราคา 287.10 บาท ที่ลดอยู่ 10% ใน Steam ตอนนี้ไหมก็ขอบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก ๆ ครับแต่...ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่ามานั้นมันจะสนุกอยู่ประมาณ 3-6 ชั่วโมงแรก ๆ เท่านั้นแหละครับ เกมเขาสนุกนะครับ แต่ดูไร้จุดมุ่งหมายเล่นไปเรื่อย ๆ พอนาน ๆ เข้ามันก็เริ่มรู้สึกจำเจ ผมมองว่ามันไม่เหมาะกับการเล่นระยะยาวสักเท่าไหร่ ระบบต่าง ๆ ยังดูน้อยไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นระบบทำอาหาร ระบบทำฟาร์ม การหาแร่ต่าง ๆ อาจจะเพราะมันยังอยู่ในช่วง Early Access ในอนาคต Dev อาจจะค่อย ๆ เพิ่มระบบต่าง ๆ เข้ามาก็เป็นได้ครับ ถ้าไม่ทำอะไรมันก็คงเป็นแค่เกมที่คนส่วนใหญ่เล่นตาม Streamer คนดังอย่าง ตาเอก Heartrocker เท่านั้นเลยครับ เกมคอนเซปต์ดีแต่เล่นไปเรื่อย ๆ แล้วไม่มีอะไรน่าค้นหาเลยเพราะตันไวมาก แก๊งร้อนใน+แก๊งนกอ้วนก็จะมาเล่นแป๊บ ๆ แล้วก็เลิกเล่นไปครับ ผมก็ขอให้ Dev มองเห็นในส่วนนี้แล้วพัฒนาเกมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าในอนาคตมันมีอะไรที่ดีกว่านี้ผมสัญญาเลยว่าผมคนหนึ่งแหละที่จะกลับมาเล่นมันใหม่ แต่ตอนนี้ผมขอตัวลาไปก่อน เพราะว่าผมอิ่มกับมันมาก ๆ แล้วครับสั่งซื้อ https://store.steampowered.com/app/1121640/The_Wandering_Village/
27 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม The DioField Chronicle เกม JRPG แนววางแผนที่เหมือนจะดูดี...แต่กลับไม่มีอะไรเลย
ปี 2022 ถือเป็นปีที่ไม่ดีนักสำหรับค่ายพัฒนาเกมรุ่นใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง Square Enix จากเสียงตอบรับที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับเกมหลาย ๆ เกมของค่ายที่วางจำหน่ายไปในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกม Babylon's Fall, Chocobo GP, หรือ Outriders ที่ล้วนทำยอดผู้เล่นได้น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ไปจนถึงเกมอย่าง Strangers of Paradise: Final Fantasy Origins หรือ Triangle Strategy ที่แม้จะได้รับคะแนนรีวิวค่อนข้างดีจากนักวิจารณ์ แต่ก็ไม่เป็นที่จดจำนักสำหรับผู้เล่น ในขณะที่เกมเรือธงใหญ่ ๆ อย่าง Final Fantasy XVI, Forspoken, หรือ Final Fantasy VII: Rebirth ต่างก็ถูกเลื่อนออกไปวางจำหน่ายในปี 2023 เป็นต้นไปทั้งสิ้นสำหรับเกมล่าสุดที่ค่ายวางจำหน่ายออกมาในปีนี้ ก็คือเกม The DioField Chronicle เกม JRPG สไตล์วางแผนการรบซีรีส์ใหม่ ที่ให้ผู้เล่นควบคุมตัวละครในมุมมองเหนือหัวคล้ายเกมวางแผนแบบเทิร์นเบส (Turn-based Strategy) แต่เปลี่ยนมาเป็นการควบคุมแบบ Real-time ตามเวลาจริงแทน โดยหลังจากที่ใช้เวลาไปกับเกมมากกว่า 30 ชั่วโมง สามารถสรุปได้ว่า The DioField Chronicle ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าผิดหวังอย่างมากจาก Square Enix ในปีนี้ น่าผิดหวังในระดับที่สงสัยว่า "หรือว่าเขาตั้งใจจะให้มันออกมาแย่ขนาดนี้?!"(รีวิวเกมบน PC/Steam)30 ชั่วโมงที่เหมือนถูกหลอกเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ตลอดระยะเวลาราว ๆ 20-30 ชั่วโมงของการเล่นเนื้อเรื่องในเกม The DioField Chronicle จะติดตามเรื่องราวของกลุ่มทหารรับจ้าง The Blue Foxes และเหล่าตัวละครหลักทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่ม ประกอบไปด้วยมือสังหารหนุ่ม Andrias Rhondarson / อัศวินหัวโบราณ Fredret Lester / จอมเวทย์สาวจากตระกูลขุนนาง Waltaquin Redditch / และอดีตขุนนางผู้ทิ้งลาภยศเพื่อต่อสู้แทนผู้ยากไร้ Iscarion Colchester ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน Schoevian Empire และ Rowetale Alliance ที่คืบคลานเข้าสู่อาณาจักร Alletain ของพวกเขาปัญหาใหญ่ประการแรกของเกมก็คือวิธีการเล่าเรื่อง ซึ่งทำผ่านหน้าต่างสนทนาสไตล์ Visual Novel เป็นหลัก และมีฉากคัตซีนที่ใช้โมเดล 3D ขั้นบ้างนาน ๆ ทีตลอดเนื้อเรื่อง โดย The DioField Chronicle มักเลือกที่จะเล่าเรื่องราวใน "ภาพกว้าง" ของอาณาจักร Alletain เกี่ยวกับการหักเหลี่ยมชิงอำนาจกันเองของขุนนางต่าง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหล่าตัวละครหลักโดยตรง แทนที่จะใช้เวลาไปกับตัวละครเหล่านี้มากกว่า ส่งผลให้ตัวละครต่าง ๆ ขาด "ความเป็นมนุษย์" หรือเสน่ห์ใด ๆ ที่ชวนติดตามไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ส่งผลให้เหตุการณ์ทั้งหมดในเกมไม่น่าติดตามไปด้วย เพราะผู้เล่นไม่ได้รู้สึกผูกพันธ์กับชะตากรรมของตัวละครหรือโลกของเกมเลยหากจะให้อธิบายง่าย ๆ ผู้เขียนอาจเปรียบการติดตามเนื้อเรื่องใน The DioField Chronicle เหมือนกับการนั่งฟังอาจารย์บรรยายในคาบเรียนประวัติศาสตร์ก็ได้ คือเราในฐานะผู้ฟัง/ผู้เล่นอาจจะปะติดปะต่อเรื่องราวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้ รู้ว่ามีบุคคลสำคัญคนไหนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้าง พอให้เอาไปสอบได้ แต่กลับไม่ได้ลงลึกไปถึงแรงบันดาลใจหรือตัวตนของตัวละครเบื้องหลังเรื่องราวเหล่านั้นเนื้อเรื่องของ The DioField Chronicle อาจจัดว่าเป็นเนื้อเรื่องแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ใกล้เคียงกับเกมอย่างซีรีส์ Fire Emblem หรือในซีรีส์ทีวีชื่อดังอย่าง Game of Thrones ก็ได้ แต่สิ่งที่ทำให้สื่อบันเทิงเหล่านี้กลายเป็นทีนิยมขึ้นมาจริง ๆ คือตัวตน อุปนิสัย หรือเรื่องราวเบื้องหลังตัวละครแต่ละตัว ทำให้เหตุการณ์ชิงไหวชิงพริบทางการเมืองต่าง ๆ น่าติดตามมากขึ้น เพราะเราสนใจอยากจะรู้ผลกระทบที่จะมาถึงตัวละครที่เรารัก (หรือเกลียด) เมื่อขาดองค์ประกอบนี้ไป จึงทำให้เนื้อเรื่องของ The DioField Chronicle รู้สึกจืดชืด ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกร่วม เช่นเดียวกับการอ่านตำราประวัติศาสตร์อย่างที่กล่าวไปยังไม่นับองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้เข้าไปอีก เช่นการที่เกมใช้รูปเดียวกันสำหรับตัวละครขุนนางแทบทุกตัว (บางตัวไม่ใช่ขุนนางยังใช้รูปประกอบเดียวกัน) หรือชื่อของตัวละครที่อ่าน/จำยากเหมือนตั้งใจแกล้งกัน ซึ่งล่วนทำให้ความพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของเกมน่าปวดหัวมากกว่าเดิมเอาเข้าจริง ต้องยอมรับก่อนว่าเนื้อเรื่องอิงการเมืองของ The DioField Chronicle ยังพอมีวัตถุดิบที่อาจนำไปสู่เนื้อเรื่องเกมที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างชนชั้นศักดินาและสามัญชน หรือการเปลี่ยนผ่านจากระบอบขุนนางไปสู่ประชาธิปไตย แต่เกมกลับเลือกวิธรนำเสนอได้อย่างน่าเบื่อที่สุด จนผู้เขียนเล่นไปก็อดถามตัวเองไปด้วยไม่ได้ว่า "ผู้พัฒนาเขาได้ลองเล่นเกมของตัวเองก่อนวางจำหน่ายไหมหว่า?"เกมเพลย์แนววางแผนสุดตื้นที่เล่นให้เพลินได้ แต่หน่ายเร็วโครงสร้างของ The DioField Chronicle จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือส่วนของการสำรวจฐาน และส่วนของการต่อสู่บนสนามรบนั่นเองในระหว่างภารกิจการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถควบคุมตัวละคร Andrias เพื่อสำรวจฐานทัพของกองกำลัง Blue Foxes ได้ โดยภายในฐานทัพจะเป็นส่วนที่เราจัดการกับระบบ RPG ต่าง ๆ เช่นร้านค้าสำหรับซื้ออาวุธ/เครื่องประดับ/ไอเทม หรือ NPC สำหรับพัฒนาสกิลของตัวละครเป็นต้น นอกจากนี้ เรายังสามารถรับภารกิจเสริมจากตัวละครภายในฐานทัพ รวมถึงกลับไปเล่นภารกิจเนื้อเรื่อง/ภาริกจเสริมที่เล่นไปแล้วได้ตลอดเวลาอีกด้วยเมื่อเข้าสู่การต่อสู่ ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครเข้าร่วมต่อสู้ได้ทั้งหมด  4 คน ซึ่งเราต้องควบคุมทั้ง 4 คนตามเวลาจริง (real-time) เพื่อเคลื่อนที่ไปมาหรือโจมตีศัตรู โดยผู้เล่นสามารถเข้าสู่ Command Mode เพื่อหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะระหว่างออกคำสั่งหรือเลือกใช้สกิลประจำตัวละครได้ นอกจากนี้ ตัวละครทั้ง 4 ยังสามารถพาตัวละครสนับสนุนไปได้อีกคนละ 1 ตัวเพื่อใช้สกิลของพวกเขาระหว่างภารกิจได้ ซึ่งเราสามารถสลับเข้ามาแทนตัวละครหลักได้ด้วยตามสถานการณ์การต่อสู้ของ The DioField Chronicle ยังคงมีรสชาติของความเป็น RPG อยู่ จากการที่เกมเน้นให้ผู้เล่นต้องกดใช้สกิลของตัวละครอยู่เรื่อย ๆ เพื่อสร้างความเสียหาย โดยศัตรูในเกมมักจะมีการโจมตีพิเศษที่ใช้เวลาร่ายนานให้ผู้เล่นต้องขัดจังหวะด้วยสถานะผิดปกติต่าง ๆ จากสกิล เช่นการ Stun (สตัน) หรือ Freeze (แช่แข็ง) หรือเพื่อให้แทงค์ดึงความสนใจศัตรูด้วยการ Provoke เป็นต้น แต่ศัตรูระดับบอสในเกมจะมีเงื่อนไขพิเศษที่ทำให้ไม่โดนสถานะผิดปกติซ้ำกันสองครั้งในระยะเวลาที่กำหนด เป็นการส่งเสริมให้ผู้เล่นใช้สกิลที่สามารถขัดจังหวะการร่ายได้หลากหลายมากขึ้น ในช่วงประมาณ 10 ชั่วโมงแรกของการเล่นเกม ต้องยอมรับว่าผู้เขียนยังค่อนข้างสนุกกับเกมเพลย์ของ The DioField Chronicle อยู่ไม่น้อย โดยเกมเพลย์แบบ RTS ขนาดย่อมของเกมทำให้ต้องใช้เทคนิคการเล่นแบบ MMORPG ที่เอาแทงค์เข้าชนเพื่อดึงความสนใจ ก่อนที่จะนำตัวดาเมจเข้าโจมตีจากด้านหลังศัตรู ส่วนหนักเวทย์และนักธนูก็โจมตีศัตรูจากแนวหลังแทงค์อีกที ซึ่งเกมก็ยังพอมีความท้าทายให้เราต้องใส่ใจตำแหน่งของตัวละครและศัตรูตลอดเวลาจริง ๆ เพื่อไม่ให้โดนตีโอบจากด้านหลัง ในขณะที่ระบบการพัฒนาตัวละคร และระบบสกิลที่ผูกกับอาวุธ ต่างดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครได้อย่างหลากหลาย ตอบโจทย์คอเกม JRPG อย่างผู้เขียนพอดีแต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็พบว่า The DioField Chronicle แทบไม่มีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ มาท้าทายผู้เล่นเลย โดยสิ่งที่เห็นในช่วง 10 ชั่วโมงแรกของเกม ไม่ว่าจะเป็นชนิดของศัตรู สกิลตัวละคร หรือระบบเกมเพลย์ แทบจะไม่ได้เปลี่ยนหรือพัฒนาไปเลยจนจบเนื้อเรื่อง เกมยังคงให้ผู้เล่นต่อสู้กับศัตรูหน้าตาเดิม ๆ ที่มาพร้อมกับความสามารถเดิม ๆ ซึ่งสามารถใช้แผนการเดิม ๆ ที่ใช้มาตลอดตั้งแต่ต้นเกมในการรับมือได้ ในส่วนสกิลอาวุธ อาวุธแต่ละชนิดจะมีสกิลให้ใช้ได้ชนิดละ 4-5 สกิลเท่านั้น ซึ่งจะถูกกำหนดโดยอาวุธที่เราใช้ (เช่นอาวุธดาบ A อาจใช้สกิล 1-2-3 ในขณะที่อาวุธดาบ B ใช้สกิล 1-2-4 เป็นต้น) แต่ด้วยปริมาณอาวุธและสกิลที่มีให้เลือกไม่เยอะ รวมไปถึงระบบการอัปเกรดสกิลที่ใช้เงินในเกมเยอะมาก ทำให้สุดท้ายแล้วผู้เขียนเลือกจะใช้สกิลที่ถนัดอยู่เพียง 1-2 สกิลต่อตัวละครตลอดทั้งเกม เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะสกิลที่ได้มาหลัง ๆ ก็ไม่ได้ดีกว่าสกิลต้นเกม และไม่มีความต้องการจะฟาร์มเงินด้วยการเล่นด่านเก่า ๆ ซ้ำไปมากราฟิก Unreal Engine 4 แบบขอไปทีทางด้านกราฟิก แม้ว่า The DioField Chronicle จะมีกราฟิกที่รายละเอียดคมชัดดี จากการพัฒนาด้วย Unreal Engine 4 แต่การออกแบบตัวละครและฉากในเกมกลับขาดเอกลักษณ์ไปอย่างมาก แม้กระทั่งในโมเดลของเหล่าตัวละครในกลุ่มของผู้เล่น ที่โมเดล 3D ดูมีรายละเอียดและสไตล์การออกแบบด้อยกว่าในภาพวาด 2D อย่างชัดเจน แถมอนิเมชั่นของตัวละครก็มีอยู่เพียงน้อยนิด และแทบไม่สื่อถึงบุคลิกหรืออุปนิสัยของตัวละครแต่ละตัวเลยแม้แต่น้อยเช่นเดียวกับการออกแบบตัวละคร การออกแบบอนิเมชั่นของสกิลในระหว่างต่อสู้ก็ค่อนข้างน่าเบื่อเหมือนกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีสกิลให้ใช้น้อย และสกิลทุกสกิลถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ตลอดเกม จึงทำให้ต้องดูอนิเมชันเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งจนเบื่อก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมจะให้ผู้เล่นต่อสู้กับกองกำลังหลากหลายประเภท ตั้งแต่กองโจร ชาวบ้านธรรมดา ไปจนถึงกองทัพของประเทศเพื่อนบ้านที่ควรมีเทคโนโลยีต่างกับฝั่งผู้เล่น แต่ทั้งหมดกลับใช้โมเดลตัวละครซ้ำกันไปมา โดยแทบไม่มีอะไรที่บ่งชี้เลยว่าเรากำลังสู้อยู่กับฝ่ายไหนกันแน่ ซึ่งการใส่โมเดลตัวละครเพื่อแยกแยะฝ่ายของศัตรูตามเนื้อเรื่อง ดูจะเป็นองค์ประกอบง่าย ๆ ที่ทำให้เกมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นบ้าง การที่ผู้พัฒนาเลือกใช้โมเดลซ้ำกันหมดเช่นนี้สำหรับเกมที่ขายเต็มราคาเกือบ 2,000 บาทจึงรู้สึกมักง่ายอยู่พอสมควรสรุป: รอลดราคาเหลือเท่าเกมอินดี้ค่อยซื้อ!หากจะต้องสรุปความเห็นของผู้เขียนต่อ The DioField Chronicle คำแรก ๆ ที่เข้ามาในหัวคงหนีไม่พ้น "ขี้เกียจ" หรือ "มักง่าย" จากเนื้อเรื่องที่เหมือนแต่งขึ้นมาลวก ๆ ระบบการเล่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนคิดมาเพียงผิวเผินเท่านั้น รวมไปถึงองค์ประกอบด้านการนำเสนอที่ดูไร้จิตวิญญาณ ไร้เอกลักษณ์ ราวกับเป็นผลงานของคนที่เพิ่งหัดใช้ Unreal Engine 4 มากกว่าค่ายผู้พัฒนาเกมระดับยักษ์ใหญ่ที่หลายคนให้การยอมรับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่คุ้มค่ากับราคาเกมระดับ AAA แน่นอนคำอธิบายเดียวที่พอจะนึกออกว่าเหตุใด Square Enix จึงปล่อยเกมออกมาในสภาพนี้ อาจเป็นเพราะค่ายกำลังพยายามประเมินดูว่าเกมแบบใดที่ตลาดจะสนใจ ด้วยการปล่อยเกมทุนสร้างต่ำหลากหลายแนว ตั้งแต่ The DioField Chronicle, Various Daylife, Harvestella, Chocobo GP, Triangle Strategy, etc. และดูว่าเกมไหนได้รับการสนับสนุนบ้าง แต่ที่ค่ายอาจจะลืมไปคือก่อนจะประเมินได้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะทำเกมให้น่าสนับสนุนตั้งแต่แรกอ่าเนอะ...
26 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Metal: Hellsinger กิจกรรมเข้าจังหวะด้วยการยิงถล่มนรกเคล้าเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัล
หากคุณชื่นชอบเกมยิงเข้าจังหวะเพลงร็อคสุดมันอย่าง BPM: Bullet Per Minute ที่เคยออกมาในปี 2020 เกมนี้จะทำให้อะดรีนาลีนคุณสูบฉีดยิ่งกว่า กับเกมยิงเข้าจังหวะเพลงเฮฟวี่เมทัลสุดเดือดตลอดทั้งเกม มันจะสนุกแค่ไหนก็ลองมาดูกันในรีวิว Metal: Hellsingerเรื่องราวของเทพสวรรค์สาวไร้ชื่อที่ตัวเกมเรียกเธอว่า The Unknown ที่ดำดิ่งลงสู่นรกเพื่อชำระแค้นแด่เหล่าปีศาจร้าย แต่เธอกลับถูกนรกขโมย "เสียง" ของเธอไป และเธอต้องการได้มันคืน ผู้ปกครองนรกอย่าง The Judge เกรงว่าเธอจะอันตรายเกินไป จึงกักขังเธอไว้ในดินแดนลึกลับ แต่ปฏิบัติการถล่มนรกเพื่อชิงเสียงของเธอคืนจากนรกจึงเปิดฉากขึ้น คลอไปด้วยดนตรีเฮฟวี่เมทัลสุดเดือด โดยมีเป้าหมาย The Judge ผู้ปกครองนรกใต้พิภพแห่งนี้เรื่องราวอันแสนเรียบง่าย ไร้ซึ่งที่มาที่ไป ไร้ซึ่งเหตุและผลใด ๆ สร้างเนื้อหาขึ้นมา ปูไปสู่การบู๊แบบงง ๆ เล่าต้นเหตุปลายเหตุที่ทำให้เราต้องบู๊ และระหว่างฉากก็จะมีการอธิบายว่า ตัว The Unknown กำลังจะก้าวไปเจอกับอะไร กับเกม Rhythm FPS ที่ชูจุดเด่นเป็นการยิงแหลกผสมจังหวะเพลงหนัก ๆ แบบนี้ คุณก็อาจจะโยนความสนใจในเนื้อเรื่องทิ้งไปตั้งแต่ได้ยินซาวด์แทร็คของเกมในครั้งแรกที่เข้าเกมเลยก็ได้ด้วยเรื่องราวที่เล่าแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เข้าสู่ฉากใหม่ ทำให้ผู้เล่นที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องจริง ๆ ยังต้องแบ่งจิตสมาธิมานั่งลำดับเหตุการณ์ ใครที่เป็นแฟนเกมอยู่แล้ว อาจจะชื่นชอบกับเสียงบรรยายเนื้อเรื่อง เพราะไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Troy Baker นักพากย์เสียงที่โด่งดังมากในวงการวิดีโอเกม แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจหรือไม่รู้จัก Troy Baker ก็อาจจะไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ถือว่าเป็นเกมที่ใส่เนื้อเรื่องพอเข้ามาให้มีเหตุการณ์นำพาไปสู่การบู๊ เรียกได้ว่าทำให้มันสมเหตุสมผลจะดีกว่าอัดแน่นไปด้วยซาวด์แทร็กสุดเดือดโชคดีที่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นแฟนเพลง Heavy Metal มาก่อน ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้ เพราะแต่ละเพลงในเกมนี้จะเป็นเพลงแบบ Original Metal Song หรือเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด ใครที่เป็นแฟนเพลงเฮฟวี่เมทัลรับรองว่าแต่ละเพลงนั้น เด็ดมากพอจะพาให้คุณโยกหัวได้อย่างเมามันตลอดทั้งเกม และได้ศิลปินสายเมทัลมาร่วมทำเพลง ไม่ว่าจะเป็ฯ Matt Heafy, Serj และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่คอนเทนต์ของเกมนั้นเป็นฉากใหญ่ ๆ จำนวน 7 ฉาก ในแต่ละฉาก สิ่งที่พอจะเป็นคอนเทนต์ให้คนที่ชื่นชอบความท้าทายได้สนุกกับตัวเกมบ้างก็คือเรื่องของ Leaderboard หรือกระดานคะแนนของเรา ที่จะถูกนำไปเทียบกับผู้เล่นอื่นทั่วโลกในตอนท้าย นอกนั้นระบบออนไลน์ของเกมก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก ทำให้โดยรวมแล้วเกมนี้ถูกออกแบบมาเป็นเกมเนื้อเรื่องแบบเส้นตรงมากกว่า ใครที่ชื่นชอบเพลงเฮฟวี่เมทัลแบบเดือด ๆ ก็อาจจะได้ฟังเพลงมัน ๆ เป็นของแถม แต่เราขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ก่อนคิดจะเล่นเกมนี้ มันไม่ใช่เกมง่ายสักเท่าไรนัก ด้วยความที่เป็นเกมยิงแบบเข้าจังหวะ แมตัวอย่างและเกมเพลย์จะเหมือนกับการเล่นเกมอย่าง Doom แต่ตอนเล่นจริง คุณอาจจะเผลอโฟกัสจนเกร็ง และเหนื่อยอย่างมากในการเล่นเกมนี้ ไม่แน่ใจว่า มันส์ หรือหัวร้อน !หากใครไม่เคยเล่นเกมแนว Rhythm FPS มาก่อนนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนเลยว่า นี่ไม่ใช่เกมเดินหน้ายิงแหลกเอามันทั่วไป แต่เป็นเกมที่คุณจะต้องคลิกยิงให้เข้ากับจังหวะดนตรีในเกม และไม่ใช่แค่การคลิกยิงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระโดด การแดช การพุ่งตัว การ Finish Move ทุกอย่างล้วนอิงจากจังหวะดนตรีที่อยู่ภายในเกมทั้งสิ้น เราถึงได้บอกคุณแต่แรกว่า หากเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลเลย อาจจะไม่เหมาะกับเกมนี้ก็ได้นอกจากด่านที่ต่างกันจะทำให้ดนตรีและบีท (BPM) ต่างกันแล้ว อาวุธแต่ละชนิดจะมีอนิเมชั่นการใช้งานที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นปืนลูกซอง ที่ยิงแล้วต้องเว้น 1 จังหวะ ถึงยิงใหม่ได้ ส่วนการรีโหลดก็อาจจะต้องใช้ 2 จังหวะ หรือปืนคู่ ที่ยิงได้ต่อเนื่องกว่า แต่ก็ต้องมีความแม่นยำในการกดตามจังหวะที่มากกว่าด้วย อาวุธใหม่ ๆ ในเกมนี้จะปลดล็อคก็ต่อเมื่อเราเล่นไปยังด่านใหม่ ๆ และทุกครั้งที่ได้อาวุธใหม่ เราจึงแนะนำให้ยืนอยู่เฉย ๆ กดตามจังหวะดนตรี เพื่อให้รู้ก่อนว่าอาวุธแต่ละชนิดมีรูปแบบการโจมตีอย่างไร สำหรับจุดประสงค์ในเกมนี้ ก็แล้วแต่ผู้เล่นเลยว่า จะเล่นเอาผ่าน หรือเล่นเอาอันดับ แข่งขันกับคนอื่น ถ้าคุณคิดจะเล่นเอาอันดับแข่งขันกับคนอื่น ก็อาจจะต้องใช้เวลากันมากหน่อย เพราะเชื่อว่าร้อยทั้งร้อย ในการเล่นครั้งแรก หรือแค่ด่านแรกก็งงจนปวดหัว ตาลายกันไปหมด กับการยิงคร่อมจังหวะ แต่ถ้าคุณคิดจะเล่นแค่ให้มันจบเกม ก็ไม่ต้องไปซีเรียสอะไรมากการได้มาซึ่งคะแนนนั้น ก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงกดยิงแบบถูกจังหวะหรือ Perfect ผสมผสานไปกับการสังหารศัตรูได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเลยคือ ห้ามโดนศัตรูโจมตี เราต้องอธิบายให้เข้าใจกันก่อนว่า เกมนี้มีคะแนนตัวคูณอยู๋ 2 อย่าง อย่าง คือ Rhythm Streak ซึ่งจะได้จากการกดยิงให้ถูกจังหวะ ไม่ว่าจะ Bad Good Perfect ได้หมด แต่ที่สำคัญกว่าคือ Hit Streak - เจ้า Hit Streak นี้ จะได้มาก็ต่อเมื่อผู้เล่นยิงกำจัดศัตรูได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่โดนโจมตีเลย ยิ่งทำได้มากเท่าไร ตัวคูณคะแนนก็ยิ่งสูงเท่านั้นซึ่งความยากมันอยู่ตรงนี้ ภายในเกมนี้ผู้เล่นจะต้องเจอทั้งการโจมตีจากศัตรู การรักษาการโจมตีให้ถูกจังหวะ (หรือ Perfect) หลบหลีกศัตรู และต้องระวังตกเหว หรือตกฉากด้วย บอกได้เลยว่า เกมนี้จะงัดเอาทุกสกิลที่จะทำให้คุณต้อง Multitasking หรือทำอะไรหลายอย่างมาใช้ ใครที่ไหวก็ไหว และจะสนุกไปกับเกมมาก แต่ถ้าใครที่สมอง Process อะไรหลาย ๆ อย่างไม่ค่อยทัน รับรองว่าไม่นานก็หัวร้อน หรือเบื่อไปซะก่อน เพราะมันจะไม่สนุกเอาซะเลยข้อเสียอีกอย่างสำหรับผู้เขียนโดยเฉพาะ คือเกมนี้ บางเพลง บาง Track ที่นำมาใช้ในการประกอบเกม และใช้ในการยิงเข้าจังหวะ มันดูไม่ค่อยเข้ากับอาวุธใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ทำให้การเล่น ยากขึ้นโดยไม่จำเป็น ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมบางเพลงถึงออกมาฟังยาก แถมทำให้จับจังหวะตามได้ยากขนาดนี้ ยิ่งเป็นการสู้กับบอสไฟท์ที่บางทีก็ฬส่ความเป็น Bullet Hell สาดกระสุนเข้ามาเต็มจอ ยิ่งทำให้เราต้องใช้พลังงานในการเล่นสูงขึ้นมาก จนบางครั้งยังอาจรู้สึกว่ามันยากกว่าเกมอย่างตระกูล Souls-Like ด้วยซ้ำMetal: Hellsinger เป็นเกม Rhythm FPS ที่ดุเดือด มันส์ และจัดหนักกับเพลงเฮฟวี่เมทัลได้ดีมาก ข้อเสียของมันคือความยาก และเข้าถึงยาก เหมือนกับทำมาเน้นขายเพลงเฮฟวี่เมทัล ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นเพลงเฉพาะกลุ่มอยู่แล้ว แต่ตัวเกมเองก็ยังยากด้วยตัวมันเองอยู่ด้วย คำแนะนำสำหรับคนที่อยากลองจริง ๆ คือให้เลือกเล่นระดับง่ายที่สุดไปเลย เพื่อทำความเข้าใจระบบเกม ทำความเข้าใจกับการจับจังหวะ และสนุกไปกับการเล่นเกมได้ จากนั้นถ้าจะไปแข่งขันกับใครบนตารางคะแนนค่อยว่ากันในการเล่นรอบสอง หรือรอบถุัด ๆ ไปคำเดือน สำหรับคนที่จะเล่นเกมนี้อันนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์จากตัวผู้เขียนเอง ด้วยความที่ไม่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน และพอได้ลองจับดู อย่างที่บอกไปว่าเกมนี้นั้น ใช้ความสามารถในการ Multitasking ทั้งสายตาที่จ้องมองเคอร์เซอร์ หูทื่ฟังดนตรี และประสาทสัมผัสต่าง ๆ ที่ต้องทำงานพร้อม ๆ กัน รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเกร็งตอนเล่นไปไม่ใช่น้อย และทำให้ร่างกายอ่อนล้ามาก ๆ แถมความยาวต่อด่านในการเล่นเกมนี้ก็ไม่ใช่สั้น ๆ กว่าจะจบแต่ละด่านก็ใช้เวลา 15-16 นาทีขึ้นไป การเกร็งร่างกายนานขนาดนั้น อาจส่งผลกระทบในระดับหนึ่งเรื่องของสเปคเครื่องอาจไม่ใช่ปัญหา และการ Optimize ก็ถือว่าทำออกมาดีมาก ๆ ใครที่เครื่องสเปคถึงอยู่แล้ว สามารถรันเกมได้อย่างลื่นไหล ไร้จุดบกพร่อง อาการเฟรมเรทตกก็แทบไม่มีให้เห็น ในด้าน Optimize นั้นถือว่าสอบผ่าน แต่เราก็คงต้องย้ำกันอีกครั้งในเรื่องของการเล่นเกมนี้ พยายามเช็คสภาพร่างกายตัวเองในช่วงเล่น เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบมากกว่าที่คุณคิดไว้Metal: Hellsinger ถือเป็นอีกหนึ่งเกม Rhythm FPS ที่จัดว่าเดือด สนุก แต่ความยากของมันก็มีอยู่ และถ้าคุณไม่ใช่แฟนเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลแล้วล่ะก็ มันอาจจะเป็นเกมที่คุณสามารถมองข้ามไปได้โดยไม่ต้องรู้สึกอะไรมากนักก็ได้ หรือใครที่เป็นสมาชิก Xbox Game Pass สามารถลองเล่นกันได้ฟรี ๆ เช่นกัน
25 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Gundam Evolution เกมกันดั้ม FPS ที่แม้แต่แฟนกันดั้มยังรักไม่ลง?!
เปิดตัวให้รอกันมานานร่วมปี ในที่สุดเกมที่ได้รับฉายาว่าเป็นโคลนนิ่ง Overwatch แต่เอาสกินของเหล่าหุ่นรบกันดั้มมาทับแทน ก็เปิดให้เล่นพร้อมกันอย่างเป็นทางการแล้วทั่วโลก แต่มันจะเป็นแค่เกมโคลน Overwatch จริง ๆ หรือไม่ วันนี้ลองมาดูกับรีวิว Gundam EvolutionNo Story, PvP Multiplayer Onlyใครที่ติดตามข่าวสารของ Gundam Evolution มาตั้งแต่เกมเปิดตัวครั้งแรก จะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เกมขายเนื้อเรื่องใด ๆ แต่เป็นเกมที่ขายโหมด PvP และ Multiplayer Online เท่านั้น ดังนั้นใครที่คิดจะเล่นโหมดเนื้อเรื่องก็มองข้ามไปได้เลย หรือไม่ก็เลือกไปซื้อ SD Gundam Battle Alliance เอาซะยังจะดีกว่าตลอดทั้งเกมนี้จะขายแต่โหมด Multiplayer เท่านั้น เพราะแม้แต่ประวัติของหุ่นกันดั้มตัวต่าง ๆ ก็เป็นการหยิบยืมเอาประวัติมาจากการ์ตูนเท่านั้น เกมนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นเกม Multiplayer แบบล้วน ๆ 100% ซึ่งเดี๋ยวเราจะพาไปดูคอนเทนต์ของตัวเกมกันต่อคอนเทนต์เกมที่ยังน้อยอยู่มากแม้จะเป็นเกมเน้นขายระบบออนไลน์มัลติเพลเยอร์ก็จริง แต่ ณ เวลาที่ผู้เขียน เขียนรีวิวเกมนี้อยู๋ (22 กันยายน วันแรกที่เกมเปิด) คอนเทนต์และโหมดเกมการเล่นก็ยังถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับเกม Free to Play เกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกัน สำหรับคอนเทนต์ของ Gundam Evolution ในตอนนี้ก็ยังถือว่าน้อยมากอยู่ดี เกมการเล่นในตอนนี้ใน Casual Match จะมีทั้งหมด 3 โหมดด้วยกันคือ Point Capture / Domination / Destruction แถมตอนนี้ยังเป็นแบบ 1 แมปต่อ 1 โหมด นั่นคือสุ่มไปเจอโหมดอะไรก็ต้องเล่นแต่แผนที่นั้น ๆ ส่วน Custom Match จะเป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถสร้างและกำหนดรูปแบบเกมขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เหมาะกับเอาไว้เล่นกันขำ ๆ กับทีมเพื่อนฝูง ดโญ Custom Match ก็จะรองรับผู้เล่นทีมละ 6 คนเหมือนเดิม และเลือกโหมดกับแผนที่ที่ใช้เล่นเองได้และมีแผนที่พิเศษให้อีก 1 แผนที่ และโหมดสุดท้าย คือ Ranked Match หรือเกมจัดอันดับที่จะปลดล็อคตอนเลเวล 20 ขึ้นไปในด้านของจำนวนหุ่นกันดั้มตอนนี้ ถ้ารวมหุ่นที่ปลดล็อคด้วยการเติมเงินหรือเก็บเงินซื้อนั้น จะมีทั้งหมด 17 ตัวด้วยกัน แต่หากตัดออกก็จะเหลือ 12 นั่นหมายความว่าช่วงแรกเราก็จะเจอกันดั้มที่หน้าตาซ้ำกันแทบจะทุกเกม ทำให้ทั้งจำนวนหุ่น และฉากนั้น ถือว่าน้อยมาก ๆ ในขณะเดียวกันระบบเติมเงินก็มาถึงช้า (ณ วันที่เขียนบทความนี้ ตัวเกมอัปเดตเข้ามาแล้ว) แถมด้วยระบบ Battle Pass ที่มาย้อมสีหุ่นและอาวุธ ซึ่งบอกได้แค่ว่าหากคุณชอบสีของกันดั้มแบบดั้งเดิมออริจินอลอยู่แล้ว การไม่หาสกินใส่เลยน่าจะเป็นข้อดีซะมากกว่าต้องบอกว่า ณ ตอนนี้ คอนเทนต์ของเกมยังถือว่าน้อยเอาซะมาก ๆ อาจจะต้องรอให้มีการอัปเดตที่มากกว่านี้ ทั้งกันดั้ม ทั้งด่านและโหมดการเล่นด้วย แต่หากมองว่ามันคือเกมเล่นฟรี นี่อาจจะเป็น "เกมฟรี" แบบจริง ๆ ก็ได้ เพราะแม้แต่สกินหรือ Cosmetic ในเกมเอง ก็ยังไร้ความน่าสนใจGameplay Like Overwatch, but Gundam มันคงจะเป็นการโกหกผู้เล่นเป็นแน่แท้ ถ้าเราจะบอกว่าเกมนี้ไม่เหมือน Overwatch เพราะนับตั้งแต่เข้าเกมมา หน้าเลือกตัวละคร เกมเพลย์การเล่น โหมดการเล่น เกือบ 80-90% ยังไงคนเล่นก็ต้องคิดถึง Overwatch กันเป็นแน่แท้ ก่อนอื่นเราต้องอธิบายเรื่องของตัวละครหรือหุ่นกันดั้มกันก่อน ข้อเสียที่ผู้เขียนรู้สึกได้คือ เกมมันไม่ได้บอกชัดเจน ว่ากันดั้มแต่ละตัวมีบทบาทและหน้าที่ในด้านไหน จะบอกเพียงแค่กันดั้มตัวนี้ เน้นโจมตีระยะใกล้ กลาง หรือไกลเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นใหม่ต้องศึกษาให้ดี เพื่อหากันดั้มที่เหมาะกับตัวเองแต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจาก Overwatch เลยก็คือ ความ Casual หรือความเข้าถึงง่ายกว่าแบบคนละเรื่อง จริงอยู่ว่าในทุกโหมดยังต้องอาศัยการร่วมมือกันของสมาชิกในทีมเพื่อเอาชนะศัตรู แต่มันจะไม่มากเท่าเกมอื่น ๆ และกันดั้มแต่ละตัวก็จะเน้นยิงต่อสู้กันมากกว่าเข้าไปฟาดฟันและคลุกวงใน จะมีกันดั้มเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่เน้นเข้าไปสู้ระยะประชิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เกมเพลย์ของ Gundam Evolution เหมือนกับเกม FPS ไล่ยิงกัน แต่มีกันดั้มเป็นฉากหลังมากกว่าและแม้แต่การออกแบบสกิลของกันดั้มแต่ละตัว ใครที่เคยเล่น Overwatch มาก็อาจจะเกิดอาการเดจาวูกับสกิลของตัวละครบางตัวที่มันทำงานคล้ายกันอย่างเหลือเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น Pale Rider ที่เหมือนกับ Soldier 76 แทบจะเป๊ะ ๆ ทั้งอาวุธ สกิล การยิง การวางพื้นที่ฟื้นฟูพลังชีวิต / Sazabi กันดั้มสายแทงค์ที่มีความสามารถพุ่งชาร์จศัตรู ป้องกันเพื่อนที่เหมือนกับ Reinhardt / หรือ Methluss ที่ดูยังไงก็ Mercy ชัด ๆ แค่ไม่มีสกิลพุ่งหาเพื่อนร่วมทีม เรียกได้ว่า เกือบจะทุกสิ่งอย่างของเกมนี้ ยังไงก็คือ Overwatch แต่ความแตกต่างของเกมนี้คือรูปแบบการเล่น อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่เกมที่ต้องการทีมเวิร์คสูงมากถึงขั้นที่ 1 คน พาร่วงได้ทั้งทีม เกมนี้เราจะเน้นไปที่สกิลในการยิงซะมากกว่า และอาวุธปืนของเกมนี้ก็ใช่ว่าจะเหมือนกับเกมยิงเกมอื่น ๆ ด้วยความที่เป็นกันดั้ม ทั้ง Movement และ Animation จึงค่อนข้างจะแตกต่างจากเกมยิงเกมอื่น ๆ พอสมควร และให้ความรู้แข็ง ๆ เพราะตัวละครเราเป็นกันดั้ม ดังนั้นใครที่ไม่ชอบการเล่นแบบแจกจ่ายท่ายาก  หรือต้องฝึกใช้ Movement ต่าง ๆ สบายใจได้เลย เกมนี้จะเน้นหนักไปที่การยิงมากกกว่า และด้วยความแข็งของมัน อาจจะทำให้ผู้เล่นหลายคนไม่ชินกับการยิง และ Gunplay ของเกมนี้ ถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็อาจจะเกลียดไปเลยเช่นกัน เพราะเรื่องการขัดเกลารายละเอียดต่าง ๆ นั้น Overwatch ทำดีกว่าแบบหนังคนละม้วนกันเลยทีเดียวถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียของเกมเพลย์ ซึ่งก็ไม่นับว่าเป็นข้อเสียโดยตรง คือการที่ตัวเกมในตอนนี้นั้น ผู้คนดูจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร ว่าเงื่อนไขการเอาชนะ หรือการเล่นของโหมดนั้น ๆ เป็นยังไง ต้องทำอะไร ทำให้ตอนนี้ ถ้าไม่จับทีมไปด้วยกันก็อาจจะหัวร้อนได้ จากห้อง Public Match ที่จะไล่ยิงกันอย่างเดียวโดยไม่สน Objective แต่สำหรับคนสิ่งที่ทำให้คนเล่นอาจจะชอบเกมนี้มาก ๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องของการได้เล่นเป็นกันดั้มคู่ใจ แม้ว่าตัวกันดั้มบางตัวจะถูกล็อคไว้หลังการเติมเงิน (หรือฟาร์มอย่างหนักหน่วง) แต่ก็ถือว่าน่าประทับใจ และสรรหาการนำสกิลมายัดใส่กันดั้มตัวนั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม แต่ถ้าใครที่ไม่ใ่ชแฟนกันดั้มเลย ผู้เขียนยังคงแนะนำว่า กลับไป Overwatch เหมือนเดิมยังจะดีซะกว่าอีกหนึ่งเกมเบาสเปคถ้าเครื่องคุณไม่ได้ตกยุคจนเกินไปในด้านของ Performance ตัวเกม ต้องบอกว่าใครที่เป็นสายเกมเมอร์ ประกอบคอมพิวเตอร์มาเพื่อเล่นเกมอยู่แล้ว ยังไงก็ผ่านแบบสบาย ๆ ตัวการ์ดจอ 1050Ti ก็สามารถรันเกมนี้ได้ และว่ากันแบบตรง ๆ เลยคือกราฟิกของเกมนี้ก็ไม่ได้สวยงามอะไรมากนัก ดังนั้นหลายคนอาจจะมองว่ามันกินสเปคอยู่บ้าง ส่วนถ้าจะเอาให้ลื่นจริง ๆ ก็เป็น 1660Ti ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ์ดจอมาตรฐานสำหรับการเล่นเกมในยุคนี้แล้ว เรื่องสเปคเครื่องยังไงก็หายห่วงแน่นอนแต่สิ่งที่เป็นปัญหาจริง ๆ คือปัญหาจากตัวเกมในตอนนี้ คือปัญหา White Screen หรือจอขาว ที่ส่งผลให้ผู้เล่นที่เจอปัญหานี้อาจจะถูกโทษแบนชั่วคราว เพราะไม่ได้เข้าร่วมเกม หรือละทิ้งเกมนั้น ๆ ปัญหานี้หนักถึงขั้นที่ว่าผู้เล่นหลายคนลงไปถล่มในหน้ารีวิวของ Steam กันเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ทาง BANDAI Namco ก็รับทราบปัญหาแล้ว และน่าจะได้รับการแก้ไขในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่สำหรับผู้เล่นอย่างเรา ๆ สรุปแล้วสำหรับแฟนเกม นี่อาจไม่ใช่เกมดีที่ไม่ควรพลาด แต่หากมองหาเกมฟรีเล่นฆ่าเวลาก็พอได้ ส่วนแฟนกันดั้ม เชื่อว่าไม่ต้องแนะนำอะไรมาก พวกคุณน่าจะโหลดเกมมาเล่นกันตั้งแต่เกมเปิดกันแล้วด้วยซ้ำไป ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีฐานแฟนของตัวเองชัดเจนดีมาก สำหรับ Gundam Evolution 
22 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม SD Gundam Battle Alliance เกมแอคชันกันดั้มฉบับรวมดาว เพื่อแฟน ๆ กันดั้มอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ SD Gundam Capsule Fighter Online ในบ้านเราและทั่วโลก ประกาศปิดให้บริการไป เราก็หาเกม Gundam แบบ Co-op ที่ได้บรรยากาศคล้ายกันได้น้อยมาก ๆ จนกระทั่งการเปิดตัวของ SD Gundam Battle Alliance เปิดตัว เราก็เห็นความหวังใหม่ แต่มันจะทดแทนได้หรือไม่ หาคำตอบกับรีวิว SD Gundam Battle Alliance ของเรากันเนื้อเรื่องต้องบอกว่าในระยะหลังมานี้ พล็อตและเนื้อหาเกมที่เกี่ยวกับมิติเวลา หรือการข้ามเวลา เป็นอะไรที่นิยมมาก และดูเหมือนว่ามันจะเหมาะสมกับซีรีส์กันดั้มเป็นอย่างมาก เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรวมเนื้อหาของซีรีส์และจักรวาลเข้าไว้ด้วยกันในภาคนี้ เนื้อหาในภาคนี้ผู้เล่นจะรับบทเป็นตัวละครไร้ชื่อที่ถูกเรียกว่า Commander (ผู้บัญชาการ) ที่ต้องเผชิญหน้ากับจักรวาล G (Gundam) ที่ปั่นป่วนยุ่งเหยิง ความผิดปกติเหล่านี้ส่งผลให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบมั่วไปหมด ทำให้เหล่าหุ่นกันดั้มและนักบินมาเจอกัน และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปเราจะมีผู้ช่วยเป็น Juno Astarte และสมาชิกหน่วย GR Corps เข้ามาคอยช่วยเหลือให้เข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ .น G-Universe แห่งนี้ และไทม์ไลน์ของโลกกันดั้มกำลังจะมาชนกันจนเกิดเป็นเหตุการณ์ทับซ้อนที่ชื่อ Break Mission ผู้เล่นจะต้องทำภารกิจ Break Mission เหล่านี้ให้หมด เพื่อรวมเอาไทม์ไลน์กันดั้มจากโลกต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน และจัดระเบียบจักรวาลกันดั้มใหม่ถ้าให้บอกตรง ๆ เลยคือเกมนี้มีความงงของเนื้อเรื่องในระดับที่สูงมาก แม้ว่าตัวเกมจะมีการแปลเป็นภาษาไทยก็ตาม แต่ใครที่ไม่ใช่เนิร์ดกันดั้มก็อาจจะต้องอ่านไป เอียงคอ เกาหัวกันไปตลอดทั้งเกม เพราะลำพังแค่ศัพท์เฉพาะทางการของซีรีส์กันดั้มก็ชวนงงพอแล้ว โชคดีที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และด้วยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอ กระหน่ำใส่ผู้เล่นแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นถุ้าคุณไม่ใช่แฟนกันดั้มก็อาจจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ และสถานการณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่ต้องกลัวจะเล่นไม่ไหว เพราะเกมนี้ได้อธิบายเหตุและผลที่เกิดขึ้นไว้มากพอ จะให้เราลุยต่อไปได้ แต่ถ้าคุณเป็นเนิร์ดกันดั้ม คุณอาจจะเต็มอิ่มกับเกมนี้มาก ๆ โดยเฉพาะบทสนทนา Easter Egg เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องบอกได้ว่าคนแปลไทยเกมนี้ เขาน่าจะรู้ใจแฟน ๆ กันดั้มพอสมควรเลยทีเดียวอัดแน่นคอนเทนต์เพื่อแฟน ๆ กันดั้มสำหรับส่วนของคอนเทนต์เกมนี้ ต้องบอกว่าอาจจะเป็นดาบสองคมก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณเป็นแฟนกันดั้มม คุณจะเต็มอิ่มกับทุกสิ่งอย่างที่เกมนี้มอบให้ เอาแค่โหมดเนื้อเรื่องของเกม ก็มีความยาวกว่า 40 ชั่วโมงขึ้นไปแล้ว แม้ว่าบางส่วนมันจะยาวเพราะคัทซีนและบทสนทนาที่เยอะกันจนแม้จะมีแปลไทยยังขี้เกียจอ่านก็ตาม สำหรับโหมดเกมการเล่นต่าง ๆ ในเกมนี้ หลัก ๆ เลยคือโหมดเนื้อเรื่อง โหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จะแยกหมวดหมู่ไว้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นไดเรคทอรี่ ที่สำคัญคือด้วยเนื้อเรื่องของเกมนี้ที่ทำให้จักรวาลปั่นป่วน เราจะได้เห็นฉากต่าง ๆ ในซีรีส์กันดั้มจากหลากหลายภาค เช่นอาณาจักรล่มสลายของ Gundam W และในการเล่นจบภารกิจ 1 รอบ ก็จะไปสู่ด่านต่อไป แต่เราจะต้องกลับมาเล่นอีกรอบ โดยตัวเกมจะอธิบายว่าเกิดจากการผันผวนของกาลเวลา และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็เหมือนกับการเพิ่มความยากในด่านเดิม และการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนไปนั่นเอง ด้วยการเล่นซ้ำอย่างน้อยก็ด่านละ 2 รอบแบบนี้ คนที่ชอบก็ชอบไปเลย แต่คนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย ลำพังแค่คัทซีนก็ยาวมากพอแล้ว ยังต้องวนเล่นด่านเดิมซ้ำอีกเรื่อย ๆ แถม Intro บางฉากของผู้ช่วยต่อสู้ของเราที่เป็น A.I. ยัง Skip ไม่ได้อีกต่างหากตัวเกมหลัก ๆ จะให้เราไปลุยภารกิจเนื้อเรื่อง เมื่อเล่นจบแล้วก็จะได้ของรางวัลเป็นค่าประสบการณ์ของหุ่นตัวนั้น ๆ ที่เราเลือก รวมไปถึงค่าเงิน C ที่เอาไว้สำหรับอัปเกรดค่าสเตตัสของหุ่นรบที่เราเลือก ดังนั้นเกมเพลย์การเล่นของ SD Gundam Battle Alliance ในโหมดเนื้อเรื่องจะวนเวียนอยู่ที่การตะลุยทำภารกิจ แต่หากเราจะเล่นออนไลน์แบบ Co-op 3 คน ก็จะเป็นการเอาเข้ามาช่วยทำภารกิจแทนผู้ช่วยนักบินนั่นเอง ซึ่งอาจจะทำให้การเล่นง่ายขึ้น เพราะเป็นคนกันเอง ที่ฝีมือควบคุมเหนือกว่า A.I. แน่นอนในด้านปริมาณคอนเทนต์ ต้องบอกว่าเกมนี้เน้นหนักไปที่ภารกิจเนื้อเรื่องเป็นส่วนใหญ่ และตัวเกมพยายามนำเสนอหุ่นกันดั้มจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นปริมาณกันดั้มที่มีให้ก็ถือว่าเยอะมากจนเกินไป ในขณะที่ภารกิจเนื้อเรื่องของเกม แม้จะเยอะมาก แต่ก็น้อยทันทีถ้าเทียบกับหุ่นที่เราหาได้ บวกกับหุ่นบางตัวถือว่าเข้าขั้นไร้ประโยชน์เลยก็ว่าได้ เพราะสเตตัสห่างกับหุ่นระดับสูงมากจนเกินไป จนไม่รู้จะมีหุ่นตัวนี้ไว้ทำไม ผู้เขียนขอบอกว่า ใครที่พรีออร์เดอร์ตัวเกม และได้หุ่นจำพวกสามก๊กมาใช้ ก็เล่นช่วงแรกได้สบายแล้ว แถมใช้ได้ยาว ๆ เลย เว้นแต่จะหันไปเล่นหุ่นที่เราชื่นชอบด้วยเหตุนี้ทำให้การใส่หุ่นเข้ามาในปริมาณมาก กลับไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลย เว้นเสียแต่คนเล่นจะชื่นชอบหุ่นกันดั้ม และอยากสะสมให้ครบ แต่ถ้าคิดจะเล่นเอาผ่าน หรือตะลุยเนื้อเรื่องแล้วล่ะก็ เน้นปั้นหุ่นโหด ๆ สัก 2-3 ตัวให้ครบทุกสายจะเป็นประโยชน์กว่า ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นเพียงการ Grinding ฟาร์มเลเวลหุ่นอย่างหนัก ที่เราอาจจะเบื่อก่อนเล่นจบได้ในขณะที่สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือภาษาไทย ถือว่าตอนนี้ BANDAI Namco ก็บุกตีตลาดประเทศไทยเต็มรูปแบบ คาดเดาได้ว่าเกมต่อจากนี้ของ BANDAI Namco ทั้งที่ผลิตเองและเป็น Publisher นั้น จะได้รับการแปลภาษาไทยทั้งหมด สิ่งที่อยากชมมาก ๆ ของเกมนี้เลยคือ แม้ตัวเกมจะไม่ได้ใช้ฟอนต์พิเศษอะไรนัก แต่ก็ถือว่าเลือกฟอนต์มาได้อ่านง่าย สบายตามาก ๆ และก็เรียบง่าย เข้ากับตัวเกมแบบสุด ๆ ส่วนการแปลนั้น อย่างที่บอกไปว่าผู้แปลน่าจะเป็นแฟนกันดั้มตัวยง แทบจะใช้ศัพท์ภาษากันดั้มได้แบบครบเครื่อง ไม่มีขาดตกบกพร่อง ส่วนคำผิดก็ไม่ค่อยจะมี ถ้าจะหาเกมไหนที่เรากล้าบอกได้ว่าแปลไทยค่อนข้างสมบูรณ์ก็คงต้องเป็นเกมนี้แต่หากให้พูดถึงข้อเสียบ้าง น่าจะหนีไม่พ้นการนำเสนอผ่านบทสนทนาและฉากคัทซีนที่บางครั้งก็เยอะ และยาวจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ตัวเกมสอนเล่น ที่แม้ว่าจะกด Skip แล้วก็ยังถือว่าเยอะมาก ๆ สำหรับเนิร์ดกันดั้ม เราขอย้ำกันอีกทีว่านี่แหละคือเกมของคุณ แต่ถ้าไม่ใช่ ไม่เสียหายอะไรที่คุณจะข้ามเนื้อเรื่องรัว ๆ แล้วไปสนุกกับเกมเพลย์ แต่อาจจะไม่คุ้มเท่าคนเสพเนื้อเรื่องด้วยการและนำเสนอเนื้อเรื่องที่อัดแน่นแบบจัดเต็ม การแปลไทยที่ดีงามจนแทบจะไร้ที่ติ ถ้าคุณเป็นแฟนกันดั้มจริง ๆ ยังไงก็อย่าได้พลาด แต่ถ้าไม่ ก็อาจจะต้องพิจารณากันหน่อย หรือไม่ก็รอลดราคาเอาก็ได้เกมเพลย์ที่ให้อารมณ์ SDGO ที่แสนคิดถึงSD Gundam Battle Alliance เป็นเกมแบบ Action RPG ที่เราจะได้เลือกหุ่นรบกันดั้มตัวต่าง ๆ ที่มีความสามารถต่างกัน และที่ชัดเจนเลยคือเรื่องของอาวุธที่บางตัวจะเน้นระยะประชิด บางตัวเน้นยิง และมีการแบ่งสายกันที่ค่อนข้างชัดเจน ใครที่เคยเล่น SD Gundam Capsule Fighter มาก่อน จะต้องคิดถึงระบบการต่อสู้และการเคลื่อนไหวของเกมนี้แน่ ๆ เพราะมันคล้ายกันมาก จนคิดว่าถอดแบบมากันเลยทีเดียว ทั้งคอมโบ การโจมตีด้านหลังแล้วแรงขึ้น การบูสท์ความเร็วการเคลื่อนที่ คนที่ซื้อมาเพราะคิดว่าอยากเล่นเกมที่ให้บรรยากาศแบบเดียวกับ SDGO ยังไงก็น่าจะชอบได้ไม่ยากถ้าจะให้อธิบายให้ชัดเจนก็อาจจะบอกได้ว่าเกมนี้เป็นเหมือนกับ Dynasty Warrior แต่จำนวนศัตรูนั้นไม่ได้มาเป็นร้อยแบบเกม Musou แต่ก็ถือว่าเยอะพอจะทำให้เราตึงไม้ตึงมือได้ และถึงแม้ว่านี่จะเป็นเกม Action แต่อาวุธระยะประชิดจะมีหน่วงเวลาการโจมตีของมัน ซึ่งถ้าเรากดสแปมรัว ๆ ก็อาจจะโดนสวนจนหน้าหงายเอาได้ง่าย ๆ ส่วนอาวุธระยะไกล จะมีกระสุนจำกัดต่อแม็กกาซีน ยิงต่อเนื่องไม่ได้ ถ้ายิงจนหมดต้องรอรีโหลดซึ่งค่อนข้างนาน และสุดท้ายกับท่าไม้ตายใหญ่ ที่อลังการ และสร้างความเสียหายได้สูงมาก ได้จากการเก็บชาร์จระหว่างโจมตีศัตรูไปเรื่อย ๆ และสำหรับคนที่คิดอยู่ว่าเกมนี้ เล่นบนเมาส์หรือคีย์บอร์ดดีกว่ากัน ก็คงต้องตอบว่า ได้ทั้งคู่ สำหรับผู้เขียนที่ใช้เมาส์และคีย์บอร์ดเล่นนั้น ข้อดีคือช่วงการเล่นแบบ Combat Gameplay นั้นถือว่าสนุกมาก ๆ ควบคุมง่าย และอาจจะง่ายกว่าจอยด้วยซ้ำ เพราะเกมนี้เราสามารถใช้เมาส์คุมมุมกล้องได้เลย มันสะดวกมือกว่าการใช้ก้านอนาล็อกจอยแน่นอน แต่ในหน้าเมนูคำสั่งต่าง ๆ นั้น จอยดูจะได้เปรียบกว่า เพราะบางเมนู การใช้เมาส์ดันทมำงานไม่ค่อยดี ต้องใช้ร่วมกับปุ่ม Q/E A/D แทนลูกศรซ้ายขวาแทนซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงออกแบบมาแบบนี้ด้วยความที่เป็นเกม RPG ทำให้ระบบเลเวลนั้นมีผลมาก ถ้าเราไปบวกกับศัตรูที่เลเวลสูงกว่า ก็อาจจะเสียเปรียบเอาได้ หัวใจสำคัญคือการเลือกหุ่น และผู้ช่วยนักสู้ที่ดี สำหรับผู้ช่วยนั้นจะไม่สามารถเลือกตัวละครซ้ำกันได้ด้วย ซึ่งหากพาใครไปร่วมรบบ่อย ๆ ก็จะได้ประสบการณ์มากขึ้น เพิ่มเลเวลและปลดล็อคความสามารถใหม่ ๆ ได้ในด้านของการ Customization ตัวหุ่นเองก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างเยอะ เราอาจจะปรับเปลี่ยนหุ่นหรือสร้างหุ่นเองไม่ได้ แต่ได้เรื่องของจำนวนหุ่นมาทดแทน และหุ่นแต่ละตัวจะสามารถอัปเลเวลได้โดยใช้เงิน C รวมไปถึงติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ ชิปเสริมก็จะได้จากการเล่นภารกิจทั่วไปนั่นเอง ส่วนตัวผู้เล่นเอง หรือจะเรียกว่า Mobile Suit ก็ได้จะมีสิ่งที่เรียกว่า "ทักษะ" ให้ใช้  ทักษะจะเป็นเหมือนกับสกิล Passive ติดตัว ที่ช่วยทำให้การเล่นง่ายขึนนั่นเองภาพรวมด้านเกมเพลย์ถือว่าทำออกมาได้น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนเกม SDGO แต่สิ่งที่เป็นข้อติอยู๋บ้าง ก็คือระบบการล็อกเป้าที่ทำงานไม่ค่อยจะดีนัก บางทีล็อกตัวนึงอยู่ พอพุ่งไป สลับไปอีกตัวนึงซะอย่างนั้น หรือบางทีเรื่องของมุมกล้องก็มีปัญหาให้เห็นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงการต่อสู้ที่ถูกบีบเข้าที่แคบ หรือเราพุ่งเข้าไปยังมุมใดมุมหนึ่ง มุมกล้องจะแสดงผลแบบติดบั๊ก ทำให้ปวดตาไม่ใช่น้อย โชคดีที่ภายในเกมนี้ การต่อสู้ส่วนใหญ่ไม่ได้ลากเราเข้าที่แคบซักเท่าไรนัก ส่วนที่เหลือก็อาจจะเป็นบั๊กเล็กน้อยและน่าจะได้รับการแก้ไขไปแล้ว หากตัดข้อเสียเล็กน้อยเหล่านี้ไป สิ่งที่จะทำให้คุณควรพิจารณาว่าจะซื้อดีไหม ก็คงเหลือแค่ว่า คุณเป็นแฟนกันดั้มหรือเปล่าเท่านั้นเองSD Gundam Battle Alliance อาจไม่ใช่เกมเทพสุดหวือหวาที่ทำให้วงการต้องว้าว แต่คือเกมที่ทำมาเพื่อแฟนกันดั้มอย่างแท้จริง
21 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Rumbleverse เกม Battle Royale สไตล์มวยปล้ำไม่ซ้ำใคร สะใจแบบไม่ต้องเสียตัง!
ต้องบอกว่าในปีนี้ เกมม้ามืดที่ไม่ได้รับการโปรโมทมากมายอะไร แจ้งเกิดกันหลายเกมมาก และ Rumbleverse เองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ในฐานะเกม Battle Royale + Brawler สุดวายป่วง เล่นง่าย แต่ยากที่จะเอาให้เก่ง แถมกระแสคนเล่นในต่างประเทศตอนนี้ก็ถือว่าเยอะ และน่าจะยังมีการอัปเดตอีกยาวไกลเลยทีเดียว แล้วเกมนี้มันเจ๋งยังไง ลองพบกับรีวิว Rumbleverse ของเรากันได้เนื้อเรื่องไม่มี ซัดกันเอามันเข้าว่าแม้จะเห็นว่ามันดูไม่ค่อยน่าสนใจ กราฟิกและตัวละครก็ดีไซน์ออกมาได้ไม่ดึงดูดเท่าไรนัก แต่ Rumbleverse เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020 และใช้เวลาพัฒนาและขัดเกลากันอยู๋อีกราว ๆ 1 ปีครึ่งกันเลยทีเดียว กว่าที่เราจะได้เล่นกัน โดย Rumbleverse เป็นเกมแบบ Free to Play / Battle Royale ที่เน้นการต่อสู้ตะลุมบอนกันในระยะประชิด และมี Theme ของเกมเป็นแนวมวยปล้ำ ที่ตัวละครของเราจะต้องวิ่งเข้าไปใส่นัวกัน ไม่มีการใช้อาวุธปืนหรือยิงกันจากระยะไกล ทำได้ก็แค่เก็บของบางชิ้นมาขว้างปาใส่กันเท่านั้น และด้วยความที่เป็นเกมที่เน้นระบบออนไลน์มัลติเพลเยอร์เกมนี้จึงไม่มีส่วนของเนื้อเรื่องให้เราได้ติดตามกัน แต่จะโดดเด่นไปที่คอนเทนต์ต่าง ๆ ของตัวเกมที่ทำมารองรับระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบแทน ด้วยความที่ไม่มีเนื้อเรื่องในเกมให้เล่า คอนเทนต์ของเกมจึงเน้นหนักไปทางด้านโหมดออนไลน์ และของเติมเงินและแฟชั่นเสียเป็นส่วนมาก ในเกมนี้เราจึงได้เห็นการขายของเป็นจำนวนมาก ทั้งสกิน แฟชั่นและอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงระบบยอดนิยมจำพวก Battle Pass Battle Royale ใส่นัวของเหล่านักมวยปล้ำหลากสไตล์Rumbleverse นำเสนอตัวเกมแบบมุมมองบุคคลที่ 3 และถูกจับโยนลงไปยังเมืองแห่งหนึ่ง ผู้เล่นต้องเอาชนะผู้เล่นคนอื่นด้วยการ Knock Out ศัตรูให้ตกรอบไปทั้งหมด และอยู๋รอดเป็นคนสุดท้ายตามกติกาแบบเกม Battle Royale ทั่วไป แต่อย่างที่บอกว่านี่คือเกมที่เน้นการต่อสู้ในระยะประชิด แต่แลกมาด้วยการคอมโบด้วยท่วงท่าการโจมตีระยะประชิดอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเตะต่อย การสับศอก รวมไปถึงสามารถป้องกันและบล็อกการป้องกันได้ แต่ก็จะมีการโจมตีบางประเภทที่ไม่สามารถบล็อกหรือป้องกันได้ด้วยแน่นอนว่าเกม Battle Royale สิ่งที่ต้องทำคือการหาของอัปเกรดและสนับสนุนตัวละคร แต่เนื่องจากเกมนี้ไม่มีอาวุธปืนใด ๆ สิ่งที่อยู่ในเกมที่จะช่วยให้ตัวละครเราแข็งแกร่งขึ้นได้ คือนิตยสารการต่อสู้ ที่จะทำให้ตัวละครของเรามีท่าต่อสู้แบบพิเศษได้ และอีกประเภทหนึ่งก็คือน้ำยาเพิ่มพลังในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับเกมนี้จะมีน้ำยาสามสี คือแดง เขียว และเหลือง น้ำยาแต่ละประเภทจะช่วยเพิ่มพลังที่ต่างกันคือ สีแดงเพิ่มพลังโจมตี สีเขียวเพิ่มพลังชีวิตสูงสุด และสีเหลืองเพิ่ม Stamina สูงสุด เห็นคำว่า Stamina แล้ว ก็คงเกิดอาการสงสัยว่ามันมีผลอะไรยังไงกันแน่ ต้องบอกว่าด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ Rumbleverse มีความสนุกและความพลิกแพลงที่หลากหลายและน่าสนใจกว่าเกม Battle Royale Brawler ทั่วไปมาก สำหรับเกมนี้หลอด Stamina ถือว่าเป็นหลอดที่มีความสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นเลย นอกจากจะใช้ในการกลิ้งหลบ พุ่งตัวหลบการโจมตีแล้ว มันยังใช้ในการวิ่ง หรือใช้เป็นท่าโจมตีในบางท่าได้ ซึ่งสกิลโจมตีพิเศษของเกมนี้ นอกจากจะโจมตีพลังชีวิตโดยตรงแล้ว ยังมีสกิลหรือท่าบางท่าที่โจมตีสร้างดาเมจไม่สูง แต่จะไปลด Stamina ของศัตรูมากกว่าแทน ทำให้เรามีกลยุทธ์ในการเล่นมากกว่า เพราะ Stamina นี้ ถือว่าเป็นประโยชน์กับตัวละครมาก ๆ ถ้าหมดขึ้นมา อาจจะตายได้ง่าย ๆ เลยท่าโจมตีต่าง ๆ ของเกมนี้ส่วนมากจะเป็นท่าโจมตีระยะประชิด ไม่ว่าจะเป็นการหมุนตัว การพุ่งเข้าชาร์จ การกระโดดต่อยหรือเตะ ทำให้เกมนี้มุ่งเน้นไปที่จังหวะและความแม่นยำมากกว่าการสแปมปุ่มรัว ๆ และบางท่าอาจจะมีการชาร์จก่อนแล้วค่อยกระโดดเข้าไปโจมตี ต้องคำนวณเวลาให้ดีก่อนเลือกออกท่าใด ๆ และที่สำคัญเลยคือ ต้องรู้ว่าท่านั้น ๆ มีแอนิเมชั่นและการทำงานอย่างไรด้วย ก่อนจะกดใช้ เพราะกดผิดชีวิตอาจเปลี่ยนเลยก็ว่าได้และถึงแม้ว่าเกมนี้จะเน้นการต่อสู้ระยะประชิด และไม่มีอาวุธระยะไกลให้ใช้ แต่ในเกมนี้มีอาวุธระยะประชิดต่าง ๆ ให้ได้ใช้ โดยจะเป็นพวกเสาไฟ แผ่นไม้ ป้ายรถเมล์ โดยส่วนมากจะเป็นอาวุธประเภทใช้ได้ไม่กี่ก็แตกหักไป แต่ดาเมจที่ได้ถือว่าสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว ถ้าเลือกสถานการณ์ใช้ให้ถูกจังหวะก็อาจจะเป็นตัวพลิกเกมได้ และท้ายที่สุดคือเกมนี้รองรับการเล่นแบบ Solo และ Duo เท่านั้น ใครที่เพื่อนเยอะก็อาจจะต้องเซ็งกันหน่อย เพราะเล่นได้ทีละ 2 คนเท่านั้นEasy to Learn, Hard to Masterเล่นง่าย แต่เล่นให้เก่งนั้นยาก ข้อความนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับเกม Rumbleverse นี้ ด้วยความที่เกมนี้เน้นการต่อสู้ระยะประชิด บางครั้งจึงได้อารมณ์เหมือนเกม Fighting อยู่เหมือนกัน ทุกครั้งเวลาเราต่อสู้ จำเป็นจะต้องคิดให้ดี ว่าสู้ไหวไหม เอาตัวรอดได้หรือเปล่าหลังจากชนะ หรือเสียหลักขึ้นมา จะเอาอยู่หรือไม่ ที่สำคัญคือเกมนี้ตัวละครของเราจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้และแอ็๕ชั่นของตัวละครอื่นเสมอ แทบไม่มีสิ่งที่เรียกว่า i-frame เลยในเกมนี้ (i-frame - invincibility frames สถานะอมตะเวลาเรากำลังออกแอ็คชั่นหรือท่วงท่าอะไรบางอย่าง) ดังนั้น ต่อให้เรากำลังจับศัตรูทุ่มทับจับหักอยู่อย่างเมามัน ถ้าเราโดนแจมจากคนอื่น เราก็จะได้รับความเสียหายนั้นไปด้วยแบบเต็ม ๆ ไม่มีหัก ดังนั้นการจะสู้ในเกมนี้ต้องระวังอย่างมาก ทางที่ดี เลี่ยงการต่อสู้แบบตะลุมบอนไปจะดีกว่าและหลังจากที่ได้ลองเล่นมาหลายชั่วโมง เกมนี้เน้นไปที่ "จังหวะ" มากจนมันแทบจะไม่ต่างอะไรจากเกม Fighting เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะท่าจำพวกคว้าจับหรือพุ่งเข้าไปรัด หากใช้ผิดจังหวะขึ้นมา รับรองว่าโดนสวนจนร่วงได้ง่าย ๆ และการต่อสู้แบบ 1vs1 มักจะเกิดขึ้นบ่อยมากในเกมนี้ หากเราไม่เก่งจริง เราอาจจะตายโดยที่ไม่สามารถสร้างดาเมจให้ศัตรูได้เลยแม้แต่หน่วยเดียว ผู้เขียนผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว กว่าจะเล่นเก่งพอจนไปตบคนอื่นได้บ้าง ก็ทำเอาหัวแทบอุ่นอยู่เหมือนกัน แม้ว่านี่จะเป็นเกมที่มีฉากหลังสุดแสนจะคอเมดี้ เน้นตลกโปกฮา แต่ความตึงมือของเกมเพลย์นี่ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่เล่น ๆ โดยเฉพาะกับการที่มันเป็นเกม Competitive แบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ยังไงก็ถือว่าเป็นเกมที่ท้ายฝีมือและเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการแข่งขันมาก ๆ ด้วยรายละเอียดของเกมที่ไม่ได้เยอะมากนัก แถมเล่นง่าย เข้าใจง่าย แต่จะเล่นให้เก่งนั้น ยากเย็นเอาเรื่อง Rumbleverse ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมม้ามืดนอกสายตาที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก และพบเจอคนไทยเล่นได้ยากสักหน่อย แต่ถ้ามีโอกาส บอกเลยว่า ไม่ควรพลาด นี่อาจจะเป็นอีกเกมที่ดึงคุณติดหนึบไว้ที่หน้าจอได้ทั้งวันแบบงง ๆ กันเลยทีเดียวRumbleverse เปิดตัวให้เล่นฟรีแล้ว และลงให้กับ PC, PS4, PS5, Xbox One, Xbos Series X|S
20 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Fashion Police Squad ปราบปรามอาชญากรรมทางแฟชั่น ในสไตล์เกมยิงย้อนยุค
Boomer Shooter หรือจะให้เรียกภาษาบ้าน ๆ ว่าเกมยิงคนแก่ ที่อยู่ดี ๆ ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งแบบงง ๆ ในยุคสมัยนี้ แต่สำหรับ Fashion Police Squad ต้องบอกว่าเป็น Boomer Shooter ที่ค่อนข้างครีเอทมาก ๆ ด้วยการผสมผสานเรื่องราวของแฟชั่น และสไตล์การแต่งตัวมาเป็นเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ แถมมันยังมาพร้อมความท้าทายในระดับที่ยากเกินกว่าจะคาดคิดไว้อีกด้วย นั่นทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกเกมดีที่เราไม่อยากให้พลาดกันในปีนี้ กับ Fashion Police Squadเมื่อโลกแฟชั่นล้ำหน้า การแต่งตัวไม่มีกาลเทศะจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งเรื่องราวของ Fashion Police Squad กล่าวถึงเมืองสมมติที่ชื่อ Trendopolis ที่ไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากไปกว่าการนิยามว่าเมืองนี้คือเมืองแห่งแฟชั่นที่รักการแต่งตัวอย่างมีเอกลัษณ์ และนับว่าการแต่งตัวคือศิลปะอย่างหนึ่ง แต่แล้วเมืองนี้ก็ตกอยู่ภายใต้อาชญากรรมทางแฟชั่น นั่นคือเริ่มมีผู้คนที่แต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะ ตั้งแต่พวกมนุษย์ออฟฟิศใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ พวกวัยรุ่นใส่กางเกงยีนส์หลวมจนโชว์ขอบกางเกงใน สิ่งเหล่านี้สร้างความหวาดผวาให้กับคนทั่วไปเป็นอย่างมาก งานนี้กองตำรวจแห่ง Trendopolis ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Sergeant Des. ที่ออกมาปราบปรามอาชญากรรมทางแฟชั่นเหล่านี้ รวมไปถึงจะได้ค้นพบต้นสายปลายเหตุว่า เหตุใดคนในเมืองบางคนถึงเริ่มแต่งตัวออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งก็จะมีเนื้อเรื่องให้เราตามติดกันอย่างต่อเนื่องและตามสไตล์เกมอินดี้ทุนน้อย เนื้อเรื่องจะถูกนำเสนอผ่านกล่องสนทนาทั่วไป ไม่ได้มีคัทซีนอะไรมาก ขนาดฉากเปิดตัวบอสก็ยังรู้สึกว่ามันธรรมดาไปมาก ซึ่งก็ถือเป็นปกติของเกมอินดี้อยู่แล้ว แต่สิง่ที่ต้องชื่นชมคือไอเดียและความครีเอทของตัวเกม ที่สรรหาจุดลงตัวของเกมยิง เข้ากับเรื่องขอแฟชั่นที่ไม่คิดเลยว่าจะเอามาเจอกันได้ อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของเกมก็ไม่ได้พีคหรือมีจุดพลิกโผอะไรมาก ใครจะมาเล่นเอามันเพื่อระบายความเครียดก็ทำได้ (แต่อาจจะเครียดกว่าเดิม ไว้รออธิบายในหัวข้อเกมเพลย์) แต่ถ้าใครอยากอ่านเนื้อเรื่องก็ถือว่าเป็นเกมเนื้อเรื่องตรง ๆ ไปเลย ไม่ได้มีอะไรเข้าใจยากการนำเสนอในรูปแบบ Pixel Graphic และล้อเลียนแบรนด์แฟชั่นชื่อดังนอกจากจะเป็นเกมแนว Boomer Shooter ขายความ Old School เต็มรูปแบบแล้ว สิ่งที่เกมนี้ตั้งใจนำเสนออีกอย่างคือกราฟิกภายในเกมแบบ Pixel Graphic เป็นอีกกราฟิกที่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน และที่สำคัญกินสเปคเครื่องค่อนข้างเบามาก แต่การนำเสนอแบบ Pixel Graphic ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการนำเสนออันฉูดฉาดของตัวเกมสักเท่าไรนัก มันยังคงเป็นเกมที่มีโทนสีและเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากนอกจากนั้นด้วยความที่เกมมันพยายามจะล้อเลียนแฟชั่นต่าง ๆ ที่เป็นแบรนด์ที่มีอยู่จริง หากใครหูตาไวก็จะได้เห็นป้ายแบรนด์แฟชั่นต่าง ๆ ในเกมอยู่จำนวนหนึ่งโดยเฉพาะ Supreme ที่ล้อกันแทบจะทุกฉาก แถมยังเห็นแบรนด์อื่น ๆ ผ่านหูผ่านตาอีกจำนวนมาก น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นจริง ๆ ไม่อย่างนั้นน่าจะขยี้ฉากเหล่านี้ได้อีกเพียบสิ่งที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์สำหรับเกมนี้คือเรื่องของปริมาณคอนเทนต์และความยาวของตัวเกม หากคุณคิดว่านี่เป็นเกมอินดี้เน้นขายไอเดียสั้น ๆ ยาว 2-3 ชั่วโมงก็จบ คุณคิดผิดแล้ว เพราะเกมนี้มาพร้อมแคมเปญเนื้อเรื่องที่ใช้เวลาในการเล่นมากถึง 5-6 ชั่วโมง โดยจะเล่าเรื่องผ่าน Chapter ต่าง ๆ แต่ละ Chapter จะมีความยาว 20 นาทีขึ้นไปป (ยังไม่รวมความยากของเกมที่อาจจะทำให้เราตายแล้วตายอีก) และนอกจากแคมเปญเนื้อเรื่องแล้ว ยังมี Challenge ต่าง ๆ ให้เราได้ทำกันเพื่อท้าทายความสามารถกันอีกด้วย ทำให้หากจะเก็บทุกสิ่งอย่างในการเล่นเกมนี้ ก็อาจจะต้องใช้เวลากัน 10 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับเกมอินดี้ในราคาเกือบ ๆ 300 บาท ได้ขนาดนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วหากมองในด้านการออกแบบและคอนเทนต์ที่ได้ก็ถือว่ามีคุณภาพอย่างยิ่ง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแล้วว่าจะชื่นชอบเกมแนวนี้หรือไม่ ซึ่งเกมเพลย์เรากำลังจะพูดถึงในหัวข้อถัดไปนี้Boomer Shooter ที่เน้นการสลับอาวุธ และ "ยากอย่างไม่น่าเชื่อ"ย้อนไปเมื่อปี 2020 ในตอนที่ Doom Eternal เปิดตัว สำหรับเกมนั้นถือว่าเป็นเกมเดินหน้ายิงที่ดุเดือด และเข้มข้นมาก ๆ เรียกได้ว่าใครชอบเกมแอ็คชั่นเดินยิง ยังไงก็เต็มอิ่มแน่ ๆ และดูเหมือนว่าทีมสร้าง Fashion Police Squad เขาพยายามที่จะนำเอาระบบบางอย่างจาก Doom Eternal มาใช้ คนที่เล่นจะรู้กันดีว่า Doom Eternal นั้น จะบีบให้เราพยายามสลับอาวุธที่หลากหลายมากำจัดศัตรู และเกมนี้ก็เหมือนจะดึงเอาระบบนี้มาใช้ในด่านแรก ๆ นั้นเราจะยังไม่ค่อยเจอศัตรูที่หวือหวามาก วิ่งยิงชิล ๆ ได้เลย แต่เมื่อไปด่านหลัง ๆ เราจะพบว่าศัตรูเริ่มตึงมือมากขึ้น ไม่ใช่เพราะมันอึด พลังชีวิตสูง แต่กว่าจะกำจัดได้แต่ละตัว เราก็ต้องสลับอาวุธกันไปมาจนมือระวิงกันไปหมด แถมบางตัวยังต้องใช้อาวุธที่ต่างกันไปจัดการด้วย เช่นตัวนี้จะต้องใช้ปืนกลยิง อีกตัวต้องใช้แส้เข็มขัดฟาดเท่านั้น ถึงจะสู้ได้ และในช่วงท้ายของเกม เกมก็จะโยนศัตรูที่ต้องใช้วิธีอันหลากหลายมาให้ผู้เล่นสลับอาวุธรัว ๆ ในการจัดการและสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกมนี้จะไม่มีก็คือ เกมนี้จะไม่มีระบบการอัปเกรดอาวุธ และอาวุธใหม่ ๆ ผู้เล่นจะปลดล็อคได้ตั้งแต่ช่วงกลางเกม (Chapter 6 ขึ้นไป) ถึงแม้จะแฟร์ก็ตาม เพราะศัตรูก็จะมีพลังชีวิตเท่าเดิม แต่มันถูกส่งออกมาเยอะขึ้น หลายตัวมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับความยากที่เพิ่มมากขึ้น แต่เรามีลิมิตในการจัดการศัตรูเท่าเดิม ทำให้รู้สึกว่าเกมจะไล่สเกลความยากจากง่ายต้นเกม ไปยากท้ายเกม และด้วยความที่เกมไม่มีระบบอัปเกรดอาวุธใด ๆ นี่แหละ ทำให้ช่วงท้าย ท้าทายขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว แต่ข้อเสียคือกับคนที่ไม่ชอบการที่ตัวเราเองไม่ได้เก่งขึ้น แต่ศัตรูมันพร้อมจะเชือดเราได้ทุกเมื่อ สิ่งนี้ทำให้ตัวเกมช่วงท้ายยากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลำพังแค่การเจอความยากของการสลับอาวุธ ถือว่าตึงมือพอตัวแล้ว แต่การโดนโถมใส่เยอะ ๆ นี่ อาจจะทำให้หัวร้อนกันเลยก็ได้นอกจากนั้นในส่วนของ Boss Fight เอง ตัวเกมก็ไม่สามารถจะสร้างมิติหรือแง่มุมการนำเสนอใหม่ ๆ ใส่เข้ามาได้เลย เป็นเพียงการสแปมกระสุนยิงแหลกเพื่อให้บอสตาย ๆ ไปเท่านั้น แต่ก็ยังถือว่ายากอยู่ หากเราคิดจะลุยแหลกโดยไม่สนอะไร ทำให้ภาพรวมของ Fashion Police Squad มีจุดเด่นที่การนำเสนอไอเดียที่ดี เกมเพลย์ที่สนุกในช่วงครึ่งแรกของเกม แต่ครึ่งหลังเกม อันนี้ใครจะไหวแล้วไปต่อจนจบได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นPerformance ที่มีปัญหาในช่วงแรกแม้ว่าเกมนี้จะใช้ Pixel Graphics เป็นกราฟิกหลักของเกม แต่ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงแรกที่เกมออก ก็ถือว่ามีปัญหาด้าน Performance ที่หนักหน่วงเอาเรื่อง แต่โชคดีที่มันไม่ได้เยอะมากขนาดนั้น ปัญหาหลัก ๆ ที่ตัวผู้เขียนเจอเลยก็คือการที่อยู่ดี ๆ เฟรมเรทตกในช่วง Chapter หลัง ๆ ของเกม แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย และได้รับการแก้ไขในเวลาอันไม่นานนัก ดังนั้นถ้าให้บอกกันตรง ๆ ก็คือเกมนี้แทบจะไม่มีปัญหา Performance ใด ๆ เลย อีกอย่างคือมันเป็นเกมเล็ก เบาเครื่องอยู่แล้วด้วยนั่นเองFashion Police Squad เป็นอีกเกมที่ยึดแนวทาง Boomer Shooter เอาไว้ แต่พยายามใส่ความยากและความท้าทายเข้ามา ชนิดที่ว่าผู้เขียนเองก็คาดไม่ถึง และทำให้ประทับใจมาก ใครที่มีโอกาสได้ลองเล่น บอกเลยว่า ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง แล้วคุณจะรู้ว่า เกมภาพแบบนี้ ก็ทำให้คุณ "ร้อนได้ไม่ใช่น้อย" แต่ถ้าคุณไม่ชอบเกมตึง ๆ ที่ต้องตื่นตัวอยู๋ตลอดเวลา เกมนี้ก็อาจไม่เหมาะนัก
18 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Shin chan: Me and the Professor on Summer Vacation The Endless Seven-Day Journey วันพักร้อนสุดพิศวง ของครอบครัวโนะฮาร่า
Shin chan: Me and the Professor on Summer Vacation The Endless Seven-Day Journey เป็นชื่อเกมที่โคตรโคตรจะยาวมาก ๆ เกมนี้ผู้เขียนอยากเล่นมันมาตั้งแต่มันลง Nintendo Switch ละครับ แต่เนื่องจากตอนนั้นตัวเกมมีแค่ภาษาญี่ปุ่น และผู้เขียนกลัวว่าจะไม่อินกับเนื้อเรื่องเลยไม่ได้ซื้อมันมาเล่น แต่เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2022 ฤกษ์งามยามดีทางผู้พัฒนา Neos Corporation ได้ลงวางขายเกมนี้ใน Steam ให้เราได้ร่วมใช้ความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีกับชินจังในช่วงที่เรายังเป็นเด็กกับเกมนี้ ใครที่สนใจเรื่องราววันพักร้อนของครอบครัว โนะฮาร่า และอยากจะสัมผัสกับเรื่องราวสนุกสุดกวนของชินจัง แวะมาอ่านรีวิวเพื่อเติมเชื้อไฟความอยากได้ในบทความนี้กันก่อน แต่ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจด้วยที่เราจะไม่ได้เห็นท่าไม้ตายส่ายก้นของชินจังแบบฟูลเวอร์ชั่นครับ ฮ่า ๆเรื่องราวอันแสนวุ่นวาย ดำเนินเรื่องราวทั้งหมดโดยเด็ก 5 ขวบ~ Hello สวัสดี กระผมนี่จะบอก ว่าวันนี้ผมมีความสุข ผมนั้นมีความสุข ไม่เคยจะทุกข์ มันสนุกกว่าเขาเพื่อน โอ้ะ โอะ โอ้ะ โอย ♬ ♫ดักแก่กันหน่อยครับ ฮ่า ๆ ๆ ยุคสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กวัยประถมอยู่นั้น เพลงนี้ของชินจังนี่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าจะเปรียบให้ทุกคนเห็นภาพ มันก็ประมาณ โคอิซูรุฟอร์จูนคุกกี้ ของสาว ๆ ตระกูล 48 นั่นแหละครับ (เปรียบเทียบไปขนาดนั้นเลย ฮ่า ๆ) แต่เพลงประกอบของ ชินโนะสึเกะ หรือแม้แต่อนิเมะ ในยุคนั้นมันก็เป็นกระแสแบบนั้นจริง ๆ ครับ ร้องกันได้ทุกเพศทุกวัยและใคร ๆ ก็ต้องอยากดูความกวนโอ๊ยของชินจังเกมเพลย์ - เกมนี้ก็แน่นอนแหละครับชื่อเกมคือ ชินจัง มันก็ต้องรับบทและดำเนินเรื่องราวโดย "โนะฮาร่า ชินโนะสึเกะ" อายุ 5 ขวบ (ชื่อเกมมันก็บอกอยู่แล้ว จะให้ใครเป็นตัวเอกล่ะครับ ฮ่า ๆ) เป็นเกมแนวผจญภัย ที่เน้นการเล่าเรื่อง เหมือนเราได้นั่งดูการ์ตูนยาว ๆ เราจะต้องผจญภัยในชุมชนที่มิซาเอะเคยอาศัยอยู่และเติบโตขึ้นมาครับ แต่...มันจะมีกฎ 7 วัน เพื่อน ๆ สงสัยใช่ไหมครับว่าถ้าครบ 7 วันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตรงนี้มันจะเกี่ยวโยงกับเนื้อเรื่องโดยตรงครับ ชินจังจะโดนย้อนเวลากลับไปยังวันแรกที่เขามาถึงสถานีรถไฟ ของจังหวัดคูมาโมโตะครับ และในเหตุการณ์นี้มีเพียงแค่ ชินโนะสึเกะ เท่านั้น!!!ที่สังเกตเห็นถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่ชินจังมีเป้าหมายคือต้องการจะเดทกับพี่สาวที่เป็นผู้ช่วยของสำนักหนังสือพิมพ์ ชินจังเลยใช้โอกาสทุกครั้งที่ย้อนเวลากลับมาทำให้เรื่องราวดีขึ้นเสมอ เพื่อจะไปเดทครับ ฮ่า ๆ ฉากหรือสถานที่ต่าง ๆ ภายในเกมจะปลดล็อคไปเรื่อย ๆ ตามเนื้อเรื่องของเกมครับ ถึงแม้จะครบ 7 วันแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องมาเชื่อมต่อให้เราเล่นมันต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีสะดุดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเกม - ตรงนี้ก็เป็นเสน่ห์ของเกมนี้อยู่เหมือนกันนะครับ เพราะจะมีกิจกรรมให้เราทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น ตกปลา, สะสมแมลง, หาของป่าต่าง ๆ หรือวัตถุดิบไปให้ชาวบ้านในชุมชนตามรีเควสบอร์ด และมินิเกมการต่อสู้ของไดโนเสาร์กับเพื่อน ๆ ของชินจัง เป็นต้นตกปลา - ตัวเกมมีเบ็ดมาให้เราอยู่แล้ว 2 คัน เป็นเบ็ดไม้ไผ่ธรรมดาไม่มีลอก ส่วนอีกคันเป็นเบ็ดแบบมีลอก ซึ่งใช้งานได้เหมือนกันไม่มีเบ็ดคันไหนพิเศษไปกว่ากัน ตกปลาได้แบบเดียวกันครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบรูปลักษณ์แบบไหน สามารถกดตัว C เพื่อเปลี่ยนไปมาได้เลยภายในเกม การตกปลาไม่ยากและไม่ต้องใช้ความเข้าใจอะไรมาก เราแค่ดูทุ่นตรงเบ็ดของเรา ถ้ามีน้ำกระเซ็นเราก็กดคลิกเมาส์ซ้ายหรือขวาก็ได้ ชินจังก็จะดึงปลาขึ้นมาให้เราครับ สามารถสะสมลงในสมุดส่วนตัวของชินจังได้จับแมลง - เกมจะมีตาข่ายจับแมลงให้เราอยู่ในกระเป๋า เราสามารถเดินจับแมลงได้ทั่วทั้งเมืองครับ มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ส่วนนี้เราสามารถสะสมลงสมุดส่วนตัวของชินจังได้เหมือนกันครับการหาวัตถุดิบไปให้ชาวบ้าน - ตรงนี้ตามบ้านต่าง ๆ จะมีกระดานบอร์ดหน้าบ้าน เอาไว้ให้ชินจังครับ เราคนเล่นสามารถไปกดดูได้ว่าบ้านไหนต้องการวัตถุดิบอะไร หลังจากนั้นเราก็ไปหาวัตถุดิบเหล่านั้นที่ตรงตามความต้องการมา และชินจังจะได้ค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการตอบแทนครับมินิเกม - ซีรีส์ของชินจัง ถ้าเพื่อน ๆ เคยติดตามมาบ้างอาจจะทราบว่า ตอนพิเศษต่าง ๆ ของชินจังจะไม่มีเพื่อน ๆ จากโรงเรียนอนุบาลไปด้วย แต่จะมีตัวละครที่แทบจะหน้าตาเหมือนเพื่อนชินจังทุกอย่าง หรือแม้แต่ชื่อก็จะคล้ายคลึงกัน ตามมาหลอกหลอนชินจังและเราคนดูด้วยครับ ซึ่งเกมนี้ก็มีมาเหมือนกันครบทั้งแก๊งเลย ฮ่า ๆ ซึ่งเกมนี้เราจะได้เล่นมินิเกมกับเพื่อน ๆ ของชินจังในมินิเกมครับ ซึ่งเราต้องนำไดโนเสาร์มาสู้กัน โดยกติกาการเป่ายิงฉุบเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ - ชินจัง และครอบครัว โนะฮาร่า จะไปเที่ยวพักร้อนกันที่จังหวัดคูมาโมโตะ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ มิซาเอะ หรือแม่ของชินจังเติบโตมาครับ และครอบครัวโนะฮาร่าจะไปพักอาศัยกับครอบครัวของเพื่อนสนิทมิซาเอะเป็นเวลา 7 วัน พอถึงสถานีรถไฟเราจะเห็นสัญลักษณ์ประจำของจังหวัด คูมาโมโตะ นั่นก็คือ "คุมะมง" เนื้อเรื่องความวุ่นวายของเราทั้งหมดก็จะเริ่มจากตรงนี้เมื่อเราเจอกับคุณลุงนักวิจัยท่านหนึ่ง หลังจากตรงนี้ผมจะไม่เล่าต่อแล้วนะครับ เพราะถ้าเล่าจนหมดเพื่อน ๆ จะเล่นเกมเองไม่สนุกแล้วระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เป็นภาพการ์ตูนเหมือนในอนิเมะทุกอย่างเลยครับ โมเดลของเกมมี 2.5 มิติ ไม่ได้แสดงภาพแบน ๆ แบบในอนิเมะ ยังมีมุมต่าง ๆ ให้ได้เห็นบ้าง แต่อาจจะไม่ได้เห็นทุกมุมขนาด 3D ภาพสีสันสดใสสมกับเป็นชินจังนั่นแหละครับ ถ้าเราลองสังเกตดูดี ๆ อาหารเช้าหรืออาหารเย็นในแต่ละมื้อที่ครอบครัวโนะฮาร่าได้กินนั้นจะมีหน้าตาแตกต่างกันไปในทุก ๆ วัน Dev ค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมาก ๆ เลยครับ ใช้พื้นที่ในเครื่อง 2.42GB คอมไม่แรงก็เล่นได้ครับระบบควบคุม - ผมว่ามันค่อนข้างเหมาะกับจอยมากกว่าครับ แต่ถามว่าใช้คีย์บอร์ดเล่นแล้วมีปัญหาไหม ผู้เขียนก็ตอบตรงนี้ได้เลยว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาครับ แต่ในหลาย ๆ จุดอาจจะทำให้เดินวนไปวนมานิดหนึ่งเท่านั้นเอง ฮ่า ๆ อาจจะเพราะว่าเขาพอร์ตเกมมาเพื่อลงฝั่งคอนโซลอย่าง Nintendo Switch นั่นแหละครับ แต่ถ้าใครอยากใช้จอยเกมนี้สามารถต่อจอยเล่นได้เช่นกัน ระบบควบคุมต่าง ๆ มีสอนกันตั้งแต่เริ่มเกมเลย ผู้เขียนแค่ไม่ชอบปุ่ม Q,E ที่เอาไว้ใช้หมุนตัวชินจัง ซึ่งรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยครับ จะหมุนทำไมแทบจะไม่ได้ใช้ ฮ่า ๆ UI - ใช้งานง่ายและน่ารักครับ ไม่รกจนรู้สึกว่าบางอย่างก็ควรจะให้มันรกบ้างนะ ฮ่า ๆ เพราะว่าเกมนี้จะมีเกจค่าความหิวของชินจังครับ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าไม่น่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่ประสบปัญหาการทำให้ชินจังเป็นลม เพราะเกจขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้างและกดดูไม่ได้ และตรงนี้ค่อนข้างทำให้หงุดหงิดมาก ๆ เพราะบางทีเป็นกังวลว่าตอนนี้ค่าความหิวเหลืออยู่แค่ไหน หรือบางครั้งก็ลืมไปเลยว่ามีค่าตรงนี้จนนึกขึ้นได้อีกที ตอนที่ชินจังเป็นลมไปแล้วนั่นแหละครับ ในส่วนอื่น ๆ นั้นใช้งานง่าย ระบบสะสมต่าง ๆ ที่ค่อนข้างให้ความรู้กับผู้เล่นอย่างเรา เกี่ยวกับปลาต่าง ๆ หรือแมลงต่าง ๆ ในส่วนนี้ถ้าผู้เขียนมีลูกมีหลานก็อยากให้ได้เล่นเกมนี้ เพราะจะได้ความรู้จากเกมเนื่องจากในเกมมีคำอธิบายให้ทราบเกี่ยวกับปลาหรือแมลงที่เราจับได้ครับสรุปเนื้อเรื่องดีงามพระรามแปด เหมือนได้นั่งดูการ์ตูนยาว ๆ ภาพสวยมาก ๆ ทั้งงานอาร์ตตัวละครหรือฉากต่าง ๆ ในเกม อาจจะไม่ได้เห็นก้นชินจังแบบในการ์ตูน เพราะอาจจะไม่ใช่วัฒนธรรมอันดีงามของหลาย ๆ ประเทศ ฮ่า ๆ แต่ก็ยังดีครับที่ได้เห็นท่าไม้ตายก้นดุ๊กดิ๊กในเกม มีให้ได้สะสมอะไรต่าง ๆ แม้แต่การ์ดไดโนเสาร์ที่ได้เป็นของแถมจากการกินช็อกโกบี อันนี้แอบชอบมาก ๆ เพราะตอนผู้เขียนเด็ก ๆ ในยุคนั้นจะมีของต่าง ๆ จากขนมให้ได้สะสมอยู่เยอะมาก ๆ ก็เลยค่อนข้างอินกับตรงนี้ครับแต่...ผู้เขียนมองว่ามันก็ไม่คุ้มค่ากับราคา 1,414 บาทเท่าไหร่ เกมเพลย์ที่เล่นง่ายจนเกินไปเหมือนไม่ได้เล่นอะไรเลย ไม่ค่อยท้าทายสำหรับคนที่หวังในเกมเพลย์ครับ ผู้เขียนมองว่าแฟน ๆ อนิเมะของเกมนี้อายุไม่น่าจะน้อยแล้ว และเกมราคาระดับนี้แต่เกมเพลย์แบบนี้ผมแอบเสียใจอยู่เหมือนกัน ตัวเกมไม่มีพากย์ภาษาอังกฤษ มีแค่ Sub Eng เท่านั้น แต่ตัวละครพูดภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนอยากให้มีพากย์ภาษาอังกฤษด้วย อาจจะได้อรรถรสในการเล่นกว่านี้ครับ มีฉากซ้ำ ๆ ซาก ๆ แค่เพิ่มตัวละครเข้าไป อย่างเช่นฉากออกกำลังกายตอนเช้าซึ่งผู้เขียนไม่เข้าใจว่าจะใส่มาให้ทำไม แต่โชคดีที่ตัวเกมมีให้กด Skip ฉากนี้ไม่เช่นนั้นคงน่าเบื่อมาก ๆ ครับ เกมที่เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับไดโนเสาร์แต่แทบจะไม่มีอะไรให้ทำกับไดโนเสาร์เลย นอกจากมินิเกมที่ใช้ไดโนเสาร์สู้กับเพื่อน ที่ผู้เขียนยอมเสียเงินซื้อมันมาเพราะผมนั้นโตมากับชินจังครับ ก็แอบเสียดายเงินอยู่เหมือนกันที่คิดไว้ว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ยังดีที่ยังมีในส่วนของเนื้อเรื่องและภาพของเกมที่ทำให้ใจฟูได้อยู่ครับ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อน ๆ ที่เป็นแฟนคลับของ โนะฮาร่า ชินโนะสุเกะ อายุ 5 ขวบ สามารถรอไปจนถึงช่วงลดราคาได้ ผู้เขียนแนะนำให้รอดีกว่าครับ หรือถ้าใครไม่สนใจอยากจะสนับสนุนสิ่งที่เราโตมากับเขาก็ไปจัดราคาแรง ๆ แบบผมใน Steam ได้เลย ความกวนโอ๊ยของชินจังก็ทำให้เราโตมาพร้อมรอยยิ้มนะครับ วันนี้ผมกับ โนะฮาร่า ชินโนะสุเกะ ต้องขอตัวลาไปก่อนด้วยท่าไม้ตายโปรด แอ็คชั่น บีม บีม บีม บีม บีมสั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/2061250/Shin_chan_Me_and_the_Professor_on_Summer_Vacation_The_Endless_SevenDay_Journey/
17 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Farm Manager 2021 เกมทำไร่ ไถนาจำลองชีวิตเกษตรกรแบบสมจริง
Farm Manager 2021 ถูกพัฒนาโดย Cleversan Games จับมือกับผู้จัดจำหน่าย PlayWay S.A., Sim Farm S.A. ลงวางขายบน Steam เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2021 ผู้เขียนเห็นเกมนี้ลดราคา และเกมเพลย์ดูน่าสนใจสำหรับผู้เขียนมาก ๆ ผู้เขียนจึงซื้อมันมาอย่างไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อยครับ เนื้อในของเกมจะเกี่ยวข้องกับการจำลองชีวิตการทำไร่ ทำสวน ทำนา ทำฟาร์มปศุสัตว์หรือแม้แต่อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ที่มาจากฟาร์มของเรา หลังจากที่ผมได้ลองเล่นโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้เพียง 1 ชั่วโมง ผมได้แต่พร่ำเพ้อถามตัวเองไป ๆ มา ๆ ว่า "นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา?"ผู้เขียนบอกเลยครับว่ามันเป็นเกมที่สนุกมากและมันดูดเวลาชีวิตเราแบบสุด ๆ ผมบอกเลยว่าผมเสียใจมากที่ไม่เจอมันให้เร็วกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรครับอย่างน้อยวันนี้เราก็ได้เจอกันแล้ว และผู้เขียนจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ที่สนใจเกมนี้ให้ได้อ่านเพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อมันมาประดับประดาลงคลังของเราดีไหม? เกษตรกรไซเบอร์อย่างเรา วัน ๆ ทำอะไรกันบ้าง?ผู้เขียนบอกเลยครับ ว่าถ้าใครได้ลองเล่นเกมนี้ จะเล่นแบบลืมวันเวลาไปเลย ผมเนี่ยนั่งเล่นตอน 8 โมงเช้า หันไปดูนาฬิกาอีกที WTF!!! บ่าย 2 ฮ่า ๆ เอาเป็นว่ามันเป็นเกมที่จะมาช่วยเติมเต็มวันว่าง ๆ ของเราให้หมดไปอย่างรวดเร็ว Farm Manager 2021 จะมีโหมดหลัก ๆ 3 โหมดให้ผู้เล่นอย่างเราได้สนุกไปกับมันครับไม่ว่าจะเป็น Campaign Mode, Scenario Mode และ Free ModeCampaign Mode - มันคือโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ครับ เราจะได้รับบทเป็นผู้จัดการฟาร์มที่ต้องมาคอยดูแลกิจการต่าง ๆ ให้กับแลนด์ลอร์ดครับ ทำมันทุกอย่างตั้งแต่จ้างคน, จัดการบ้านพักให้คนงาน, จ้างคนงานตามฤดูกาล, จัดซื้อเครื่องมือในฟาร์ม, จัดซื้อสิ่งปลูกสร้าง, จัดซื้อสัตว์, ดูแลการผลิตของโรงงานต่าง ๆ, นำผลผลิตไปขาย, หรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ของฟาร์มถ้าถูกไฟไหม้เราก็ต้องเป็นคนแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดับไฟ ก็เราทั้งนั้นครับ (เกมนี้สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของเราสามารถเกิดไฟไหม้ได้) ตัวเกมจะมีเควสคอยป้อนมาให้เราทำเรื่อย ๆ บางเควสสามารถลักไก่ได้ถ้าเราเริ่มมีเงินมากพอ ส่วนบางเควสก็อาจจะต้องวางแผนกันหน่อยว่าควรเอาสัตว์ชนิดไหนมาเลี้ยงเท่าไหร่ ควรปลูกอะไรตรงไหน หรือแม้แต่ควรจะสร้างอุตสหกรรมอะไรบ้างภายในฟาร์มเพื่อให้ผ่านเควส บางอย่างเราต้องคำนวณให้ดีครับเพราะหลัง ๆ เควสจะค่อนข้างยากขึ้น และเนื้อที่ในฟาร์มของเรามีจำกัดเพราะเราไม่สามารถขยายพื้นที่ได้ตามที่ใจเราคิด ถ้าเกิดเจอเควสเลี้ยงสัตว์จะทำให้เราลำบากเพราะพื้นที่ไม่พอให้เลี้ยงครับ (พื้นที่สามารถขยายได้ตามเนื้อเรื่องครับ)Scenario Mode - โหมดนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแคมเปญโหมดเท่าไหร่นักครับ จะต่างกันตรงที่ในโหมดนี้จะมีให้เราเลือกชาเลนจ์ก่อนเข้าเล่นเกมครับ ว่าเราจะเล่นในส่วนไหน สมมติผู้เขียนเลือก "Harvest" พอเราเข้าไปเล่นเกมเควสในเกมที่ป้อนให้เราก็จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องการเพาะปลูกล้วน ๆ ครับ ความท้าทายของเกมมีให้เราเลือกเล่นยากง่ายหลายระดับ ตั้งแต่ให้ทำสวนทำฟาร์มแบบง่าย ๆ ไปจนถึงการทำ Marketing ให้ได้ตามเป้าของเควส ใครเล่นโหมดเนื้อเรื่องจนจบหรือเบื่อแล้ว โหมดนี้จะเป็นโหมดต่อไปที่จะให้ความเพลิดเพลินเราต่อครับ และเราจะเข้าใจทุกอย่างในโหมดนี้ได้ง่ายขึ้นเพราะเราผ่านมันมาหมดแล้วในโหมดเนื้อเรื่องครับFree Mode - เราสามารถออกแบบสร้างฟาร์มของเราได้แบบฟรีสไตล์ เลือกระดับความยากง่ายของเกมได้ คือ เป็นโหมดที่อิสระมาก ๆ เราอยากทำอะไรก็ได้ ไม่มีเควสมาบังคับให้เราต้องทำอะไรตามกรอบเลย จะออกแบบฟาร์มให้หรูหราจนหมาเห่าก็สุดแท้แต่เราจะครีเอทมันออกมาเลยครับ เป็นโหมดที่เน้นความสวยยืนหนึ่ง รายได้อะไรฉันไม่สนใจ จะติดลบตัวแดงอะไรไม่รู้ รู้แต่ฟาร์มฉันต้องสวยไว้ก่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆไม่มีอะไรให้ต้องปวดหัว แม้ว่าจะต้องจัดการทุกอย่างFarm Manager 2021 มีระบบต่าง ๆ ในเกมมากมายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดสิ่งต่าง ๆ, การจ้างคนงาน, การจัดซื้อเครื่องมือทางการเกษตร และตลาดซื้อขาย แบ่งเป็นสัดเป็นส่วนไม่ให้เราต้องปวดกบาลแต่อย่างใดกราฟิก - มีภาพ 3D หมุนได้ 360 องศา ภาพสวยงามได้บรรยากาศฟาร์มจริง ๆ แต่ไม่ใช่ฟาร์มแบบไทย ๆ นะครับ จะได้กลิ่นอายของฟาร์มแบบอเมริกันมากกว่า ใช้พื้นที่ในเครื่อง 5.45GB และคอมไม่ต้องเป็น Super Computer ก็เล่นได้ ปรับ High หมดได้แบบสบาย ๆ โดยไม่กระตุกแต่อย่างใด แต่ควรเทียบสเปกเครื่องของเรากับความต้องการขั้นต่ำของระบบก่อนนะครับ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวซื้อมาจะเสียอารมณ์เพราะเล่นไม่ได้ระบบควบคุม - ใช้งานง่ายครับ เหมือนเกม Simulation อื่น ๆ ครับ อาจจะไม่ต้องปรับตัวมาก ใช้ W,A,S,D ในการเคลื่อนย้ายมุมกล้อง, ลูกกลิ้งเมาส์ในการซูมเข้าออก, กดคลิกซ้ายเพื่อเลือกวัตถุต่าง ๆ ในเกม, Q,E ใช้ในการหมุนมุมกล้อง ส่วนใครเพิ่งเคยลองเล่นเกมแนวนี้และเลือกเกมนี้เป็นเกมแรกไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นไม่ได้นะครับ ในเกมมี Toturial Mode สอนการใช้งานปุ่มต่าง ๆ ให้ได้ฝึกใช้งานกันจนกว่าจะคล่องกันไปเลยUI - เนื่องจากมีระบบต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะแต่ User Interface ของเกมนี้ก็ไม่ได้ดูรกรุงรุงอะไร ที่จัดสรรไว้อย่างเป็นระบบใช้งานง่ายมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นระบบตลาดซื้อของ, ระบบสั่งซื้ออุปกรณ์ทำสวน ไร ไถนา ต่าง ๆ, หน้าต่างสำหรับจ้างคนงาน, การเลือกอาหารให้สัตว์เลี้ยง, หรือแม้แต่ส่งผู้จัดการอย่างเราไปเรียนรู้เพื่ออัพเกรดฟาร์มก็ใช้งานง่ายแสนง่าย การขายของต่าง ๆ มีหน้าต่างราคาขึ้นลงบอกว่าช่วงนั้นของที่เราต้องการจะขายเป็นที่ต้องการของตลาดไหม เราสามารถดองของไปขายตอนที่ราคาขึ้นได้ หน้าต่างการใช้ง่านต่าง ๆ มีรูปสัญลักษณ์บอกอย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ผู้เขียนมั่นใจว่าตัวผู้เขียนสมัยอนุบาลก็เล่นได้ครับสรุปผู้เขียนยกเกมนี้ให้เป็นเกมโปรดในดวงใจอีกหนึ่งเกมเลยครับ ผมไม่เสียดายเงินแม้แต่บาทเดียวเลยที่ซื้อมันมา ใส่สุดจัดชุดใหญ่พร้อม DLC มาเลย ระบบการจัดการต่าง ๆ ของเกม ระบบทำฟาร์ม การเลี้ยงสัตว์ การทำอุตสาหกรรม สร้างความเพลิดเพลินให้ผู้เขียนมาก ๆ ได้เรียนรู้ว่าการทำฟาร์มนั้นต้องอาศัยปัจจัยในด้านใดบ้าง จากที่ลองเล่นมานับถือเกษตรกรมาก ๆ เพราะว่าแต่ละอย่างกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ กว่าจะขยายอุตสาหกรรมได้นั้นมันดูไม่ง่ายเลย นี่ขนาดแค่ในเกมนะครับ เรื่องจริงคงเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก ใครอยากจะซื้อผู้เขียนบอกตรงนี้เลยครับว่าไม่ต้องลังเล เพราะถ้ามีช่วงลดราคากดเข้าคลังให้ไวเลย เพราะมันแค่ 187.85 บาทเท่านั้นเอง หรือใครจะจัดชุดใหญ่พร้อม DLC แบบผมราคาจะอยู่ที่ 280.68 บาท ประทับจิตประทับใจเล่นได้ยาว ๆ และถ้าในอนาคตถ้ามี Farm Manager 2022 23 24 25 26 27 ฯลฯ ถ้าผมไม่สู่ขิตไปก่อนผมจะตามเล่นมันทุกภาคไป ฮ่า ๆ
12 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Disney Dreamlight Valley (Early Access) เกมปลูกผักทำฟาร์มในแดนฝัน ที่คนรักดิสนีย์พิกซาร์ไม่ควรพลาด
หลังจากได้เห็นการเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ไม่มีใครคาดคิดว่า เกมปลูกผักจากจักรวาลดิสนีย์อย่าง Disney Dreamlight Valley ของ Gameloft จะออกมาเพลิดเพลินขนาดนี้ เพราะอะไรมันถึงได้ยอดเยี่ยม เชิญพบกับรีวิวเกมนี้ในช่วง Early Access บูรณะหุบเขาแห่งแสงสว่างภายใต้เหล่าตัวละครจากดิสนีย์สิ่งเดียวที่เกม Life Simulator ดูจะมีเหมือนกันก็คือ การต้องเข้ามากอบกู้หมู่บ้านหรือดินแดนใดดินแดนหนึ่งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และ Disney Dreamlight Valley เองก็ใช้พล็อตแบบนี้ในการเล่าเรื่องด้วย ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ Dreamlight Valley หรือหุบเขาแห่งแสงสว่างที่โดนคำสาปมืดเข้าคุกคามจนมีแต่หนามสีดำมืดเข้าคุกคาม วิธีเดียวที่จะช่วยเหลือหมู่บ้านนี้ได้ คือค่อย ๆ ฟื้นฟูธรรมชาติ และช่วยเหลือเหล่าตัวละครจากค่ายดิสนีย์ พิกซาร์ ทั้งในหมู่บ้าน และมิติอื่น ๆ มาช่วยกันฟื้นฟูด้วยความที่เป็นเกมจากค่ายดิสนีย์และพิกซาร์ และตัวเกมตั้งใจทำออกมาเป็นแนว Cozy Life Simulator อยู่แล้ว (เน้นรีแลกซ์และเล่นง่าย) ทำให้เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้เข้มข้นน่าติดตามอะไรมากขนาดนั้น แต่ความสุขของคนที่เล่นเกมนี้ คือการได้เจอกับเหล่าตัวละครตัวโปรดของเราจากดิสนีย์และพิกซาร์ล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวดี ตัวร้าย พระเอก นางเอก เรียกได้ว่าขนกันมาครบ และด้วยตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access ทำให้จะมีการอัปเดตตัวละครเข้ามาอีก อย่างที่เขียนบทความอยู่ตอนนี้ ก็มีการประกาศแล้วว่าจะอัปเดตเพิ่มตัวละครจาก The Lion King และ Toy Story เข้ามาด้วย ดังนั้นซื้อตอนนี้ ถ้าเป็นแฟนดิสนีย์ก็เล่นได้ยาว ๆรูปแบบเกมเพลย์เดียวกัน Animal Crossing แต่เซ็ตติ้งให้อยู่ในจักรวาลดิสนีย์แม้หลากหลายคนจะลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดูมีความคล้ายกับ The Sims แต่จริง ๆ แล้วมันจะไปใกล้เคียงกับเกมอย่าง Animal Crossing ซะมากกว่า ผู้เล่นจะเริ่มต้นด้วยบ้านซอมซ่อ 1 หลัง พื้นที่ของอาณาจักรที่มีอิสระในการจะปรับแต่ง หรือหว่านเมล็ดพืช แล้วมาเก็บเกี่ยวเอาทีหลังก็ทำได้ แถมเรายังสามารถเข้าสู่มุมมองของการเป็นเกมแนวบริหารจัดการได้อย่างง่าย ๆ ให้เราสามารถวางผังเมือง เลือกวางสิ่งของ เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมดอย่างง่ายดายอีกด้วย เรียกได้ว่ามันผสมผสานความเป็นเกม Life Simulator แบบเกม Animal Crossing เข้ากับเกมสร้างเมืองแบบเดียวกันกับ The Sims เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเมืองแล้วก็ยังมีการปรับแต่งตัวละคร ให้สวมใส่เสื้อผ้าในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ยกเอาหลากหลายเกมมาใส่ระบบของตัวเองไว้NPC แต่ละตัวในเกมจะมีระดับความสัมพันธ์ที่มีมากถึง 10 เลเวล วิธีการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ก็คือนำสิ่งของต่าง ๆ ไปมอบให้เป็นของขวัญ ในแต่ละวันนั้น NPC แต่ละตัวก็จะต้องการของขวัญที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณ อาหาร หรืออัญมณี ถ้าเอาของที่ NPC ตัวนั้นถูกใจก็จะได้ค่าความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ แต่จะให้ได้วันละ 1 ครั้งเท่านั้นและที่ยิ่งทำให้มันเหมือนกับ Animal Crossing มากยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือเวลาในเกมนี้ จะอิงไปตามเวลาในโลกของความเป็นจริงของเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วิธีการเร่งเวลาในเกมก็สามารถทำได้โดยการปรับเวลาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั่นเอง เหมือนกับตัวเกม Animal Crossing ที่ปรับเวลา Switch ก็ทำได้ แต่วิธีนี้ไม่แน่ใจว่าจะผิดกฎของเกมหรือเปล่า โดยการปรับเวลาภายในเกมนั้นจะส่งผลกับช่วงเวลากลางวันกลางคืนของตัวเกม และไอเทม ผลไม้ สิ่งของบางอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเท่านั้น ดังนั้นหากจะเล่นเกมนี้ก็ต้องรู้จักการรอกันเสียหน่อยด้วยระบบเบื้องต้นและภาพรวมทั้งหมดนี้ ทำให้นี่อาจจะเป็น Animal Crossing ในเวอร์ชั่น Disney แต่สำหรับเกมเพลย์จริง ๆ แล้วมีอะไรที่มีความเป็นตัวเองมากกว่าพอสมควร ซึ่งเราจะอธิบายกันในหัวข้อถัดไปเกมเพลย์แสนสุขที่คนรักความสงบและผ่อนคลายจะต้องชื่นชอบ8นที่ชื่นชอบเกมแนวปลูกผักทำฟาร์ม หรือ Life Simulator คงไม่ได้ต้องการมาเหนื่อย หรือกดดันอะไรจากเกมแนวนี้อยู่แล้ว Disney Dreamlight Valley จึงเป็นเกมที่ใช้คำว่าผ่อนคลายได้อย่างเต็มรูปแบบ นับตั้งแต่เปิดเกม เราอาจจะติดตรงที่บทสนทนาค่อนข้างเยอะ และไม่ค่อยสอนเราเกี่ยวกับตัวเกมเท่าไร หรือเอาจริง ๆ คนที่เล่นเกมแนวนี้มาเยอะ ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าระบบเกมแต่ละส่วนนั้่น ทำงานยังไง เราจะเริ่มจากการถอนวัชพืขสีดำมืด เริ่มภารกิจเนื้อเรื่อง เริ่มไปเจอตัวละครต่าง ๆ และปลดล็อคระบบใหม่ ๆ เช่นการปลูกผักทำฟาร์ม และการซื้อขายของเป็นต้นหลัก ๆ แล้ว NPC ในเกมนี้ก็จะยกเอาตัวละครดัง ๆ จาก Disney / Pixar มาใช้ และวางบริบทให้เข้ากับเกมเพลย์ เช่นเจ้าหนู Remy จาก Ratatouille ก็จะมีส่วนช่วยในการปรุงอาหาร หรือเจ้าหุ่นยนต์ Wall-E ก็จะมีส่วนช่วยในการทำเกษตรกรรมเช่นปลูกผัก ทำฟาร์ม เก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นต้น และยังมีตัวละครบางตัวที่อาศัยอยู่ใน Realm หรือมิติของตัวเอง ที่เราสามารถเข้าไปและสัมผัสกับโลกของเรื่องราวตัวละครเหล่านั้นได้ เช่น Elsa ของ Frozen หรือในอนาคตที่กำลังจะมาอย่าง The Lion King ต้องบอกว่าเกมนี้เป็นเกมสำหรับคนที่ชื่นชอบความผ่อนคลาย และรักในตัวละคร Disney จริง ๆ ในช่วงแรกเราสามารถเก็บอุปกรณ์ทำฟาร์มได้จากจุดต่าง ๆ จากนั้นเราจะสามารถหว่านเมล็ด รดน้ำ เก็บเกีั่ยวผลผลิตได้ โดยจะอิงตามเวลาจริงที่เราอยู่ในเกมแทบจะทั้งหมด ดังนั้นเกมนี้จะกินเวลาของเรา ๆ เป็นอย่างมาก ถ้าคุณชื่นชอบเกมแนวนี้ และที่ต้องชื่นชมคือ เกมพยายามเก็บเอาระบบและรายละเอียดหลาย ๆ อย่าง จากเกมแนวเดียวกันเกมอื่น ๆ มาใส่เอาไว้ การผูกสัมพันธ์กับตัวละคร การซื้อขาย การปลูกผักทำฟาร์ม และทำภารกิจแบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แต่ถูกใส่มนต์เสน่ห์ของดิสนีย์เข้าไป แล้วใครล่ะที่จะอดใจไหวสำหรับเกมนี้เกมยังใส่ระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เข้ามาแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ยกตัวอย่างเช่น ตามปกติแล้ว หากเราใช้ชีวิตในเกมจนพลังงานเริ่มร่อยหรอ ตัวละครเราจะเหนื่อย และเราจะต้องกลับไปนอนที่บ้านพักของตัวเองเพื่อฟื้นฟูพลังงาน และจะเป็นการบังคับเริ่มต้นวันใหม่ไปในตัว แต่กับเกมนี้ ตัดปัญหาความยุ่งยากออกไป เพียงแค่เรากลับเข้าไปที่บ้านตัวเอง ค่า Stamina ก็จะฟื้นฟูจนเต็ม หรือถ้าเราพกอาหาร ของกินติดตัวไว้ ก็สามารถกินเพื่อเพิ่มพลังได้เลยด้วย ตัดปัญหาการบริหารจัดการ Stamina ไปได้แบบสบาย ๆ และกิจกรรมจำพวกการตกปลา การทำภารกิจเนื้อเรื่องกับตัวละครตัวนั้น ๆ ก็ช่วยเพิ่มความอินให้กับเรามาก แต่พวกรายละเอียดเล็กน้อยอาจจะต้องขยันอ่านกันนิดนึง เพราะมันมาในรูปแบบ Text ล้วนแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราต้องเตือนกันก่อนเลยคือ สถานะเกมตอนนี้ยังอยู่ในช่วง Early Access หรือก็คือเป็นเกมเล่นระหว่างการพัฒนา และต้องย้ำกันตัวโต ๆ ว่า หากตัวเกมพร้อมแล้วสำหรับเวอร์ชั่น 1.0 มันจะกลายเป็นเกมเล่นฟรี ดังนั้นหากใครที่ไม่รีบ ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องซื้อเกมนี้ รอเล่นฟรีพร้อมคอนเทนต์แน่น ๆ ก็ทำได้ แต่ตอนนี้ใครที่อยากเล่น อดใจไม่ไหว ที่จะได้ไปเห็นเหล่าตัวละครแสนรักในเกมแนวโปรด ก็บอกได้เลยว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตามตอนนี้ตัวเกมยังไม่สามารถเล่นออนไลน์กับเพื่อนได้ ซึ่งบอกได้เลยว่า หากมีการปลดล็อคระบบออนไลน์ (ท๊๋คาดว่ายังไงก็มีในอนาคต) และอีเวนทม์ในเกมที่คอยแจกสกินอยู่เรื่อย ๆ ตามธรรมเนียมของ Gameloft ทำให้เกมนี้ แม้ว่าจะยังเล่นได้คนเดียว แต่ก็มีอะไรให้ทำเยอะพอสมควรเลยทีเดียวและถ้าไม่บอกจะหาว่าเราไม่เตือน อย่างที่บอกไปว่าเกมเป็นรูปแบบ Early Access ดังนั้นหากจะเล่นก็ต้องเตรียมใจเจอบั๊กกันในระดับนึง และจากที่เห็นทั้งสังคมผู้เล่นไทยและต่างประเทศ บั๊กแต่ละตัวนี่ถือว่าเป็นปัญหาเอาเรื่อง ตั้งแต่เก็บของไม่ได้ เดินติดนั่นติดนี่ หนักเข้าหน่อยก็เกมเด้งกันไปเลย ดังนั้นหากคิดจะเล่นเกมนี้ ต้องทำใจรับบั๊กในช่วงระหว่างการพัฒนานี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า แต่ถ้าเป็นในส่วนของการ Optimized ให้เกมเล่นได้แบบลื่น ๆ โดยไม่มีอาการเฟรมเรทตก เกมนี้ถือว่าสอบผ่านมาก ๆ ในด้านคอนเทนต์ของเกมตอนนี้ถือว่าคุ้มราคาให้เราได้เล่นกันยาว ๆ แล้ว และการผสมผสานระหว่าง เกมปลูกผักทำฟาร์ม หรือ Life Simulator ให้เข้ากับตัวการ์ตูนและโลกของ Disney Pixar และ Roadmap Content ที่ค่อนข้างยาวแน่นอน รวมไปถึงเล่นฟรีอีกเมื่อเปิดตัว บอกได้เลยว่านี่คือการลงทุนที่ค่อนข้างได้ใจแฟน ๆ Disney แน่ ๆ และ Gmaeloft ผู้พัฒนาเกมที่ค่อนข้างโดนอคติจากชื่อ ก็ลบคำสบประมาทได้เป็นอย่างดีด้วยผลงานนี้ และบอกได้เลยว่า อนาคตของเกมนี้ ยาวไกลแน่ ๆ 
10 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Saints Row (2022) ความพยายาม Reboot อันกล้าหาญ แม้จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ด้วยความสำเร็จของเกมซีรีส์ Grand Theft Auto (GTA) ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดที่เราไม่ได้เห็นเกมลักษณะคล้าย ๆ กันบ่อยกว่านี้ ซึ่งหากมานั่งคิดดูดี ๆ แล้ว เกมโลกเปิดซีรีส์ดัง ๆ ที่อาจ "เทียบเคียง" กับ GTA ได้ในแง่ของแนวเกม อาจจะมีเพียงซีรีส์ Saint's Row เพียงเกมเดียวเลยก็เป็นได้ และแม้จะไม่ประสบความสำเร็จใกล้เคียงกับ GTA เลยตลอดประวัติศาสตร์ของซีรีส์ แต่ Saint's Row ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย และสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้ตนเองได้ในที่สุดหลังจากห่างหายจากภาคหลักไปนานหลายปี ตั้งแต่ที่เกมภาค 4 วางจำหน่ายไปเมื่อปี 2013 การกลับมาคราวนี้ของชาวแก๊งสีม่วง ที่อาจไม่ได้เน้นสีม่วงอีกต่อไปอย่าง Saints Row พร้อมกับการ Reboot อย่างเต็มรูปแบบ แต่มันจะถูกใจทุกคนได้หรือไม่ งานนี้รีวิวของเราอาจจะเป็นตัวช่วย กับ Saints Row (2022) เนื้อเรื่องฉบับ Reboot แต่ก็ Modern ร่วมสมัยSaints Row ในฉบับเก่านั้น เราอาจจะคาดเดาช่วงเวลาไม่ได้ก็จริง แต่ในฉบับ Reboot นี้ แม้จะไม่มีการบอกระยะเวลาที่แน่นอน แต่ก็พอจะคาดเดากันได้ ว่าจะต้องเป็นช่วงเวลาในยุคปัจจุบัน หรือไม่ก็อนาคตที่ไม่ได้ห่างจากปี 2022 มากนัก เพราะเนื้อหาและช่วงเวลาของโลกในเกม ถูกเล่าผ่านบทสนทนาอันกวนโอ๊ย และแฝงไปด้วยมุกตลกจิกกัดจำนวนมาก อะไรที่เราคุ้นเคยในโลกปัจจุบัน ทั้งเทคโนโลยี กิจการ หรืออีเวนท์ต่าง ๆ เราจะได้เห็นมันผ่านการนำเสนอเรื่องราวของเกมนี้ ทั้งภารกิจหลักและภารกิจเสริมสำหรับเนื้อเรื่องของภาคนี้ เมื่อเริ่มต้นมา เราจะยังไม่ใช่เดอะบอสของตัวเอง แต่เราจะทำงานให้กับบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจของเมือง Santa Ileso เมืองสมมติที่จำลองมาจากเขตตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา นอกจากบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งนี้แล้วก็ยังมีอีกสองแก๊งขั้วอำนาจ คือ Los Panteros ผู้ครองกิจการยานยนต์ และ The Idols ที่ครองกิจการผับบาร์และสถานบันเทิง ในขณะเดียวกัน เพื่อนสนิทของเราต่างก็ทำงานให้กับแก๊งต่าง ๆ ด้วยอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เส้นทางการทำงานของเรากำลังไปได้สวย ก็เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ เราจึงถูกไล่ออก และด้วยความเบื่อหน่ายกับชีวิตขั้นสุด เราตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาเป็นนายตัวเอง และเพื่อนเราก็เห็นดีเห็นงาม ร่วมสนับสนุนด้วย และแก๊งใหม่ The Saints ที่รวมสมาชิกคนบ้าแต่มากฝีมือก็ได้ถือกำเนิดขึ้นสิ่งที่ดีงามของเกมภาคนี้ มันคือการ Reboot จริง ๆ ไม่มีการแกล้งอำ แกล้งหลอกผู้เล่นว่าเป็น Reboot แต่แอบใส่ตัวละคร ใส่กิมมิคเชื่อมโยงกับภาคเก่าเข้ามา ทำให้ตลอดเวลาที่เราเล่นเกมนี้ เราจะรู้สึกว่ามันคือเรื่องราวอันสดใหม่ของสมาชิกแก๊งจริง ๆ ไม่มีของเก่าเข้ามาเอี่ยว และมีเอกลักษณ์ของตัวเองมาก ๆ ดังนั้นอย่าแปลกใจ หากคุณเป็นแฟน Saints Row ภาคเก่า ๆ แล้วจะไม่อินกับภาคนี้ เพราะมันเหมือนเกมใหม่ที่ไม่มีความเป็น Saints Row อยู่เลย แต่ก็ถือว่าเป็นการ Reboot ที่ดี และค่อนข้างกล้าหาญมาก ๆ ที่ทาง Volition ผู้พัฒนา ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะทำให้มันเข้าที่เข้าทางมากขึ้น โดยไม่พึ่งบารมีของเดิม และใครที่คาดหวังจะได้เห็นความกาว ความบ้า ความฮาของเนื้อเรื่อง คุณก็จะยังได้เห็นมันแบบครบถ้วนตามสไตล์ Saints Row แน่นอน แต่จะขำมาก ขำน้อยแค่ไหน ก็อาจจะขึ้นอยู่กับความลึกของเส้นอารมณ์ขำของแต่ละคนมุกตลกที่เปลี่ยนไป กับโลกภายในเกมที่เปลี่ยนตามใครที่เคยเล่น Saints Row ภาคแรก ๆ หรือไตรภาคแรกมาจะรู้ว่าเกมนี้เต็มไปด้วยการจิกกัด เสียดสี ล้อเลียน แซะชาวบ้านเขาไปทั่ว แน่นอนว่าในด้านบริบทสังคมในตอนนั้นที่ Social Media หรือจิตสำนึกของคนยังไม่ถูกกระตุ้น การจะทำมุกล้อเลียนคนผิวดำ หรือเหยียดคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่รุนแรงเท่าตอนนี้แล้ว ดังนั้นมุกตลกต่าง ๆ ของ Saints Row ก็อาจจะต้องลดทอนอะไรพวกนี้ลง อย่าลืมว่าตอนนี้โลกเปิดกว้างขึ้น และวิดีโอเกมก็เป็นสื่อบันเทิงที่ทุกคนเข้าถึงได้ จะเล่นตลกห่าม ๆ อะไรแบบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว แต่เขาก็เปลี่ยนมาใช้เรื่องราวของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ หรือสิ่งใกล้ตัวเราแทนสิ่งที่แตกต่างจากเดิม และสมกับเป็นการ Reboot เลยก็คือฉากหลังของเกม หากคุณเป็นชาวเกมที่หลงแสงสีใน Stillwater ของ Saints Row ภาคเก่า ๆ มาภาคนี้คุณอาจจะต้องปรับตัว หรือไม่ก็ไม่ชอบเอาซะเลยกับสิ่งที่ฉากหลังของเกมนี้นำเสนอ อย่างที่บอกไปว่า Santa Ileso เป็นฉากหลังจำลองของอเมริกาตะวันออกเฉียงใต้ แต่มันจะแบ่งออกเป็นสองเขต คือเขตชานเมืองและเขตในเมือง ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าไม่รู้ทำไมถึงออกแบบแผนที่แบบนี้ในช่วงแรก เราจะยังไม่ได้เห็นคนใหญ่คนโต ทำให้ต้องอาศัยอยู่ย่านชานเมือง เหมือนชนบทบ้านเรา และทุกครั้งเวลามีภารกิจใหม่ที่เราต้องทำนั่นคือ เป็นภารกิจหลักเนื้อเรื่อง เราจะต้องขับรถในระดับที่ใช้คำว่าโคตรไกล เข้าไปลุยกันในตัวเมือง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจจะอยากให้เราขับรถ กินลมชมวิว เสพบรรยากาศและโลกของเกม แต่บอกเลยว่าใครขี้เบื่อ อาจจะถอดใจเลิกเล่นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะมีหลายภารกิจมาก ๆ ในช่วงแรกที่เราต้องขับรถไกลมาก ๆ เพื่อไปยังจุดหมายต่อมาคือเรื่องของบรรยากาศ แม้ว่าบรรยากาศชานเมืองจะดูสวยงามและให้ความเป็นชนบท ความ Vintage ได้ดี แต่ปัญหาของมันคือ มันไม่มีอะไรให้ทำ ! นอกจากขับรถเล่น หรือเจอจุดปลดล็อคที่เป็น Point of View แล้ว มันก็แทบไม่มีอะไรให้เราทำได้ทำเลยแม้แต่น้อย นี่คือสาเหตุที่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดต้องทำแผนที่แยกส่วนเป็นโซนชานเมืองกับในเมือง เพราะถ้ามันมีอะไรให้ทำ มีกิจกรรมแบบสุ่ม หรือมีอีเวนท์ต่าง ๆ มันก็จะไม่ติดขัดในส่วนนี้ แต่มันกลับมีแต่ความว่างเปล่า นอกจากภาพสวยก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจแม้แต่น้อยและที่ผู้เขียนขัดใจมากที่สุดคือความเป็นธรรมชาติของโลกในเกมนี้ ปกติแล้วเวลาที่เราเล่นเกม Open World เราก็มักจะชอบทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อย่างเช่นไล่ทำร้ายคนโน้นคนนี้ ขับรถเกยฟุตบาธเสยคนเล่นเอามัน ซึ่งการทำแบบนี้ในเกมอื่นก็อาจจะทำให้โลกภายในเกมเกิดความวุ่นวาย เช่นเหล่า NPC แหกปากตะโกนโวยวาย ส่วนมาก NPC ในเกมนี้ก็จะใช้ชีวิตแบบบอทตัวหนึ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร นี่น่าจะเป็นเกมแรกที่ต่อให้คุณขับรถเสยฟุตบาธทั้งแถบ NPC ก็ไม่แม้แต่จะแหกปากตกใจอะไรเลย ยอมรับว่ามันทำให้ขาดธรรมชาติของโลกในเกมไปพอสมควรเลยทีเดียวเกมเพลย์ที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่กลับทำให้เรารู้สึกว่ามันธรรมดาจนเกินไปในยุคที่มีเกมออกใหม่มากมายขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจถ้าเราจะรู้สึกว่าเกมใดเกมหนึ่งที่เราได้ลองเล่น มันจะธรรมดาจนน่าใจหาย และ Saints Row เองก็ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นด้วย มันอาจไม่ใช่เกมแย่อะไรนัก แต่เพราะมันธรรมดาจนเกินไป เราเลยรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจเท่าที่ควรSaints Row ยังคงนำเสนอเกมเพลย์การเล่นเป็นมุมมอง Third Person ให้เราได้เห็นตัวละครกันแบบเต็ม ๆ รอบด้าน นั่นทำให้การแต่งองค์ทรงเครื่องตัวละคร The Boss ของเรานั้น สามารถใส่เต็มที่ได้เลย ทั้งทรวดทรงองค์เอว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือส่วนอื่น ๆ ใครที่เสียเวลากับการสร้างตัวละครมากกว่าเล่นเอง เกมนี้คุณก็น่าจะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะปลดล็อคมาให้คุณตกแต่งได้เลยตั้งแต่แรก เพราะคุณจะต้องเล่นภารกิจเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ ก่อน ระบบต่าง ๆ รวมไปถึงสกิลและของตกแต่งบางอย่างถึงจะปลดมาให้คุณได้ใช้งานและเสริมสวยเสริมหล่อกัน ซึ่งเราสามารถตกแต่งตัวละครได้อิสระมาก แต่ก็จะดูมีความเป็นผู้เป็นคนมากกว่าภาคที่ผ่าน ๆ มาแม้ว่าโลกของเกมจะเป็น Open World เต็มรูปแบบ แต่เมื่อเข้าสู่ภารกิจเนื้อเรื่อง เหมือนเกมจะถูกบีบให้กลายเป็นเส้นตรงตลอด โดยจะมีจุดมุ่งหมายให้เราเข้าไปทำ มีภารกิจที่ต้องไปลุย และเมื่อจบภารกิจ เกมก็จะตัดเข้าสู่ฉากสรุป ซึ่งจะสรุปของรางวัลเป็นค่า EXP และเงินที่ได้มา และเกมจะพาเรากลับมายังฐานของเราเสมอ ฐานทัพของเราจะปลดล็อคเมื่อเล่นภารกิจเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ และจะเป็นศูนย์กลางของการจัดการอาวุธ ยานพาหนะ และการเตรียมพร้อม แต่ภาคนี้ที่ค่อนข้างชอบเลยคือ ตอนที่เราได้ฐานมาใหม่ ๆ มันจะเป็นเหมือนกับรังหลบภัยอันซอมซ่อ ห้องนอนก็เป็นฟูกเก่า ๆ ห้องเสื้อผ้าก็เป็นชั้นวางของโทรม ๆ แต่พอเราขยับขยายฐานะให้ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ฐานทัพของเราก็จะยิ่งหรูหรามากยิ่งขึ้นในด้านของสกิลและความสามารถของตัวเอกในภาคนี้จะแบ่งออกเป็นสองอย่าง คือ Perk และ Skill ส่วนของ Skill นั้นจะปลดล็อคตามระดับเลเวลตัวละคร ที่ส่วนมากจะเป็นสกิลช่วยเหลือการต่อสู้ เช่น เรียกพวกมาช่วย ใช้ลีลาท่าทางได้เยอะขึ้นตอนโจมตี ส่วน Perk นั้นจะได้จากการทำ Challenge ต่าง ๆ ภายในเกม และก่อนจะติดตั้ง Perk ได้นั้น ก็ต้องใช้เงินซื้อ Perk Slot มาก่อนด้วย ถ้าเทียบกันแล้ว Perk จะปลดล็อคได้ยากกว่า เพราะ Skill นั้น แค่เลเวลถึงก็ได้แล้ว แต่ Perk ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการทำ Challenge นอกจากนั้นเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ จนได้ฐานทัพของตัวเองก็จะมีการวางแผนขยายอำนาจด้วยการเข้าซื้อธุรกิจ และเริ่มทำธุรกิจต่าง ๆ แต่ฉากหลังก็จะเป็นธุรกิจด้านมืด เช่นโรงบำบัดน้ำเสียที่อาจลักลอบทิ้งน้ำเสียลงแม่น้ำได้ เป็นต้น และยังมีธุรกิจอีกมากที่จะช่วยสร้างรายได้ให้เราเป็นกอบเป็ฯกำ และจะทำธุรกิจด้านดีหรือด้านสว่างก็ได้หมด เต็มที่ โดยระหว่างที่เราดำเนินกิจการ เราก็อาจจะโดนแก๊งศัตรูเข้ามาป่วนด้วย ถ้าเราจัดการได้ ก็จะยิ่งทำให้มีรายได้สูงขึ้นในกิจการนั้น ๆหลายคนอาจจะงงว่าแล้วมันน่าเบื่อยังไง นั่นก็เพราะระบบการต่อสู้ของเกมนี้ ที่ประมาณ 60-70% เราจะได้เจอกับมัน คือการใช้อาวุธปืนยิง โดยอาวุธแต่ละอย่างจะปลดล็อคจากการซื้อมา และสามารถอัปเกรดได้โดยทำตามเงื่อนไขที่อาวุธนั้น ๆ กำหนด แต่แม้อาวุธจะหลากหลายก็จริง แต่ศัตรูนี่แหละที่มันไม่ค่อยจะหลากหลายตามอาวุธ แทนที่จะได้ต่อสู้มัน ๆ ตามสไตล์แก๊งสเตอร์ แต่สุดท้ายด้วยความที่มันเป็นแก๊งสเตอร์ ก็ทำให้รูปแบบการต่อสู้ เป็นการยิงปะทะกันเท่านั้นแต่ที่จะสนุกขึ้นมาหน่อย คือรูปแบบการต่อสู้ระยะประชิด ทุกครั้งเวลาเรายิงสังหารศัตรูได้ จะเป็นการเก็บสะสมเกจท่าไม้ตาย และเมื่อเต็ม 100% เราสามารถเข้าไปยังศัตรูตัวใกล้ ๆ และกด E จะเกิดเป็นท่า Finisher สุดเท่ โดยที่ต้องยอมรับกันจริง ๆ คือ Finisher ของภาคนี้ หลากหลายและเท่กว่าภาคก่อน ๆ เยอะ แต่สุดท้ายเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็จะเบื่ออยู่ดี ยิงให้มันตาย ๆ จบ ๆ ไปเลยจะดีกว่า รูปแบบเกมเพลย์หลัก ๆ ของเกมนี้จะเข้าลูปเดิมเมื่อเราปลดล็อคระบบจนหมด คือรับภารกิจ ขับรถไปยังจุดหมาย ลุยแหลก หรือทำอะไรก็ตาม แล้วก็เสร็จสิ้นไปเรื่อย ๆ หนีไม่พ้นความจำเจเดิม ๆ แต่หากพูดให้แฟร์ ทุกเกมก็ล้วนแล้วแต่เป็นแบบนี้ ทำให้ Saints Row ยังคงเป็นเกมที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียวปัญหาบั๊กที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขกว่าจะดีหากใครที่ไล่อ่านรีวิวเกมนี้ในช่วงที่เกมออกมาแรก ๆ จะพบว่าเกมมีปัญหาบั๊กและ Performance เกมค่อนข้างหนักเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ผู้เขียนได้เล่นเกมนี้ช้ากว่าปกติ ทำให้ตัวเกมได้รับการอัปเดตแพทช์ไปบ้างแล้ว และส่วนสำคัญที่เกมอัปเดตมาเลยคือการแก้ไข Performance ของตัวเกมที่มีความเสถียรมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเฟรมเรท เพราะเกมแบบนี้เฟรมเรทสำคัญมากจริง ๆ ต่อมาคือเรื่องของบั๊ก ณ วันที่ผู้เขียนได้เล่นก็เข้าช่วงต้นเดือนกันยายนแล้ว ถือว่าเกมออกมาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่บั๊กที่เจอก็ยังเยอะอยู่ แต่ไม่เยอะเท่าวันที่เกมออกในช่วงแรกอย่างแน่นอน เอาที่โดนมากับตัวเลยคือบั๊กรีโหลดกระสุนไม่สำเร็จสักที จนใช้ปืนกระบอกนั้นไม่ได้ ต้องสลับไปใช้ปืนอื่นแทน นอกจากนั้นก็เป็นเพียงบั๊กเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการแสดงผล หรือแอนิเมชั่นทั่วไปแม้หลายคนอาจจะมองว่า มันไม่มีความเป็น Saints Row เอาซะเลย แต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นความใจเด็ดของ Volition ที่กล้าจะทำสิ่งที่เรียกว่า Reboot จริง ๆ โดยไม่หวังพึ่งบารมีเก่าที่ตัวเองทำเอาไว้ หากมีโอกาส เราก็อยากแนะนำให้คุณลองเล่นกันดู
09 Sep 2022
[Review] รีวิว DLC Back 4 Blood: Children of the Worm เนื้อหาเสริมที่สนุก แต่สั้นจนไม่คุ้มราคา
ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว ที่ Back 4 Blood ผลงานเกมยิงซอมบี้แบบ Co-op ตัวใหม่ของทาง Turtle Rock ที่ได้ออกวางจำหน่ายมา และในช่วงเกือบ 1 ปีมานี้ ก็มีการอัปเดตใหญ่ไปแล้วทั้งสิ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือ Tunnel of Terror และครั้งล่าสุดที่เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มากกว่าครั้งแรก เพราะครั้งนี้ได้เพิ่มเนื้อเรื่องใหม่เข้ามาโดยตรง พร้อมกับตัวละครใหม่ และการ์ดใหม่อีกมากมาย แต่มันจะคุ้มค่า และสนุกแค่ไหน ก็มาดูกันได้กับรีวิวของเรากันไถ่บาปด้วยบุญปืนกับเนื้อเรื่อง Act 5 และตัวละครใหม่ Dan, The Prophet ในเนื้อเรื่องใหม่บทที่ 5 นี้ เหล่า Cleaners หรือผู้รอดชีวิต ที่ต่อสู้จนขับไล่ Abomination จนหลบหนีไปทางใต้ดินได้แล้ว พวกเขาเดินทางมาจนพบกับดินแดนใหม่ ที่เป็นที่อยู่ของลัทธิปริศนา แต่ลัทธินี้กลับถูกโจมตีโดยกลุ่มคนเถื่อนที่พยายามเลี้ยงผู้ติดเชื้อหรือ Ridden เอาไว้ และจับมันผสมพันธุ์กับมนุษย์จนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อันบ้าคลั่ง แถมกลุ่มคนเถื่อนยังจับเอาสาวกของลัทธินี้ไว้เพื่อรอทดลอง Dan หลวงพ่อที่ผันตัวมาจับปืนต่อสู้กับคนเถื่อน และต้องเอาตัวรอดจากฝูง Ridden ได้เจอเข้ากับพวก Cleaners และตัดสินใจบุกถิ่นคนเถื่อน เพื่อช่วยเหลือสมาชิกลัทธิของเขาออกมาจริง ๆ แล้ว Back 4 Blood เป็นเกมที่นำเสนอเกมเพลย์การเล่นมากกว่าเนื้อเรื่องอยู่แล้ว เอาแค่ช่วงเกมหลัก หลายคนก็ต้องมานั่งปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง จากทั้งคัทซีนและ Trailer ที่ทีมงานปล่อยออกมาอยู่แล้ว เนื้อเรื่องจึงอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้น และการมาถึงของ Act 5 ก็เป็นแบบเดียวกัน เราจะได้เห็นตัวละครใหม่อย่าง Dan เปิดตัวแบบงง ๆ ไม่รู้ที่มาที่ไป และเหตุการณ์ใน Act 5 ก็เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วในเวลา 6 ฉากย่อย ๆ เช่นกัน แต่อย่านึกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เพราะในตอนจบของ Act 5 นั้น Dan ก็ได้พูดเอาไว้ว่า ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และตัวเกมยืนยันแล้วว่าจะยังมี Expansion 3 ตามมาอีกด้วย ดังนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า เนื้อเรื่องของ Back 4 Blood จะไปจบลงตรงไหนความยากยังคงอยู่ แถมมากขึ้นเป็นเท่าตัวเกมเพลย์ที่ยังคงคอนเซปต์อภิมหาความยาก แม้เราจะมีของใหม่มาช่วยเสริมให้ แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยจริง ๆ คือสิ่งที่เรียกว่า Teamwork ระหว่างการเล่น เพราะ Back 4 Blood นั้น ขึ้นชื่อเรื่องความยากของเกมมาตั้งแต่ตอนเกมหลักเปิดตัวแล้ว และใน Children of the Worm นี้ ต้องบอกว่าหนักหนากว่ามาก เพราะเงื่อนไขใน Act 5 นั้น มาพร้อมกับระบบ Corruption Card ที่ยากมากขึ้น สำหรับใครที่ไม่รู้ ระบบ Corruption Card จะเป็นเหมือนกับอุปสรรค หรือดีบัฟที่จะเข้ามาทำให้เกมของผู้เล่นยากขึ้นไปอีก Corruption Card ของ Act 5 นี้มีใบหนึ่งที่ค่อนข้างโหดร้ายนั่นคือ Ravenous ที่จะทำให้คุณหิวทุก ๆ 30 วินาที และต้องหาอาหารภายในฉากกินตลอดเวลา หากปล่อยให้ตัวละครหิว ตัวละครจะได้รับอาการบาดเจ็บ 1 หน่วย ซึ่งทำให้พลังชีวิตสูงสุดลดลง ทำให้การเล่นยากมากขึ้น คือนอกจากจะต้องรับมือเหล่าซอมบี้สุดโหดแล้ว ยังต้องวิ่งหาอาหารกินอีกด้วย และคิดดูว่าเกมที่ฝูงซอมบี้มาเป็นคลื่นขนาดนี้ ยิงไป วิ่งหนีไป หาอาหารไป มันจะวุ่นวายขนาดไหน ถ้าไปเล่นกับคนทั่วไป รับรองเลยว่าถ้าไม่สื่อสารกันให้ดี ก็ยากแน่นอนและใน Act 5 นี้ยังมาพร้อมกับศัตรูประเภทใหม่ ซึ่งต่างจากเดิมไปพอสมควร ปกติแล้วในเกม Back 4 Blood ศัตรูในเกมหลักของเราจะเป็นพวก Ridden หรือก็คือซอมบี้ แต่ใน Children of the Worm นี้ นอกจากพวกซอมบี้แล้ว ยังเป็นพวกกลุ่มลัทธิคนเถื่อน ทำให้ศัตรูของเราในคราวนี้เป็นมนุษย์ด้วย และยังมีหลายประเภทอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น Slasher ที่จะวิ่งเข้ามาประชิดตัวเรา หรือมือสไนเปอร์ที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่แม้ว่าจะยิงจัดการได้ง่าย แต่ถ้าพลาดโดนมันยิงขึ้นมาก็อาจจะเจ็บหนักถึงขั้นร่วงได้เลย .ส่วนของเกมเพลย์การเล่นใหม่ก็ยังคงเน้นทีมเวิร์ค โดยเฉพาะในช่วงด่าน Light Guide Us ที่เราจะต้องวิ่งหาอุปกรณ์มาซ่อมเรือ โดยมีเวลานับถอยหลังที่ฝูง Horde จะเริ่มต้น ดังนั้นถ้ามัวแต่วิ่งยิง โดยไม่สนใจการวิ่งไปเก็บอุปกรณ์ซ่อมเรือเพื่อจบภารกิจ รับรองว่าจะวนลูปอยู่กับการยิงจนกระสุนหมด ของหมดแน่นอน ทีมเวิร์คจึงสำคัญมาก หรือในด่าน In the Depths ที่มีรูปแบบการเล่นคล้าย ๆ กับการ Escort ที่เราต้องดันรถไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แถมต้องคอยซ่อมสะพานด้วยการไปหยิบไม้มาซ่อม และต้องคอยยิงซอมบี้ด้วย ทำให้ความหลากหลายในด้านเกมเพลย์การเล่นของ Children of the Worm มีความหลากหลายมากถึงแม้ว่าความยากจะเพิ่มขึ้น แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้น เพราะในการอัปเดตนี้ได้เพิ่มสิ่งของที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Bait Jars ที่เอาไว้ใช้ล่อฝูงศัตรูทำให้เราได้พักหายใจหายคอกันบ้าง ยังกับดักหมีหรือ Bear Traps ที่ถึงแม้ว่าจะใช้งานได้ยาก แต่ในกรณีที่ศัตรูมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน (ซึ่งเกมนี้เราจะเจอบ่อยมาก) ก็อาจจะพอให้เราได้ทำให้เราได้พัก สรุปคือไอเทมใหม่ อาจจะไม่ได้มาเพื่อช่วยให้เราได้เล่นสบายขึ้น แต่ทำให้เราได้มีช่องว่างพักมากขึ้นนั่นเองและในด้านความสามารถของตัวละครใหม่อย่าง Dan, The Prophet เองก็ถือว่าเป็นตัวละครที่นอกจากจะเท่แล้ว ความสามารถยังถือว่าช่วยทีมได้มากอีกด้วย นั่นคือทุก ๆ ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมล้มแล้วไปชุบขึ้นมา ทีมจะได้รับเอฟเฟกต์บัฟแบบสุ่มทุกครั้ง แต่การใช้ Defibrillator หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจชุบชีวิตจะไม่ได้บัฟนี้ การมีตัวละคร Dan ในทีม ทำให้การฝ่าด่านอันทุลักทุเลนี้ อย่างน้อยก็มีตัวช่วยมากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาดูกันให้ดีว่าในทีมมีใครหยิบตัวละครใดมาบ้าง เพราะฟอร์เมชั่นการเล่นแบบเพื่อทีมกับการเล่นแบบเน้นลุยแหลก เอาตัวรอดนั้น เกมนี้จะมีความต่างกันอย่างชัดเจนน่าเสียดายที่การมาถึงของ Act 5 นั้น ค่อนข้างสนุกกว่าระบบ Ridden Hive ใน DLC เสริมตัวก่อนหน้าก็จริง แต่ความยาวของมันก็น้อยมาก โดย Act 5 จะมีความยาวทั้งหมดเพียง 6 ด่านเท่านั้น ถ้าเริ่มเล่นกันที่ระดับความง่ายแบบ Recruit ไม่ถึงชั่วโมงก็จบแล้ว ความสนุกของเกมนี้จึงอยู่ที่ความยากในระดับ Veteran ขึ้นไป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วยก็ต้องระวังหัวร้อนกันหน่อยทางด้าน Performance ด้วยความที่เกมหลักก็ออกมาเป็นปีแล้ว ใครที่เล่นเกมนี้ได้ตั้งแต่ตอนเปิดตัว ก็จะยังสามารถเล่นเกมนี้ได้อยู่อย่างสบาย ๆ หมดปัญหา ถึงแม้ว่าฉากใหม่จะสวยงาม และมีฝูงซอมบี้ถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ Back 4 Blood ทำได้ดีตลอดมาตั้งแต่ช่วงแรกก็คือการ Optimize ตัวเกมข้อดีอีกอย่างสำหรับ DLC Children of the Worm คือ DLC นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อทุกคน ขอเพียงแค่ 1 คนที่ยอมเสียเงินซื้อ หรือคนที่เป็นเจ้าของ Annual Pass อยู่แล้ว คนที่เข้ามา Join เกม ก็จะสามารถเล่นเนื้อหา DLC ได้เลย โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเพิ่มแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจะหารเงินกันให้คนสักคนซื้อ DLC ก็ได้ หรือจะไปเกาะคนอื่นเล่นเอาก็ได้ ไม่เสียหาย แค่จะไม่ได้สกินใน DLC เท่านั้นโดยรวมแล้ว Back 4 Blood: Children of the Worm เป็นการอัปเดตเพิ่มความหลลากหลายให้กับเกมเพลย์การเล่น และสานต่อเนื้อเรื่องที่น่าสนุกมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว มันสั้นเกินไปมาก แต่สำหรับแฟนเกม Back 4 Blood แล้ว ยังไงก็ไม่ควรพลาด
01 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Midnight Fight Express ค่ำคืนแห่งการไล่ล่า กับเกมแอคชันเลือดเดือดที่ลึกกว่าตาเห็น
ศิลปะการต่อสู้ Martial Arts คงเป็นอีกหนึ่งความสนุกที่เราสามารถหาได้จากวิดีโอเกม แม้จะน้อยไปหน่อย หากว่ากันตามตรง เกมแนวนี้ไม่ได้มีออกมามากนัก แถมที่ออกมาก็กระแสไม่ค่อยดีจนภาคต่อไม่มา แต่วันนี้ เราได้เห็นแล้วว่า เกมอินดี้ฟอร์มเล็ก แต่อัดแน่นไปด้วยความสนุก โดยเฉพาะผู้โหยหาความแอ็คชั่นแบบน็อนสต็อป มันทำออกมาได้ดุเดือดแค่ไหน และนี่คือรีวืว Midnight Fight Express เกมแอคชันอินดี้เลือดเดือดน้องใหม่ ที่สนุกร้าวใจไม่แพ้เกมฟอร์มใหญ่หน้าไหนในปีนี้เนื้อเรื่องสุดแสนจะธรรมดาและเข้าใจง่ายคุณ รับบทเป็น Babyface ที่เริ่มต้นมาก็โดนจับกุมอยู่ในห้องสืบสวนสอบสวนของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกำลังโดนสอบสวนอย่างหนัก แต่คุณกลับจำอะไรไม่ได้เลย ในความทรงจำของคุณมีเพียงแค่ว่า อยู่ดี ๆ คุณก็ได้รับพัสดุเป็นเจ้าโดรนที่พูดได้ ก่อนการเปิดฉากโจมตีของแก๊งอาชญากรรมจะเริ่มขึน้จนทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย เพื่อให้การร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราจะต้องนึกให้ออกว่าเราเป็นใคร มาจากไหน และเหตุใดเมืองจึงตกอยู่ภายใต้สงครามแก๊ง อันเป็นจุดเริ่มต้นของ Midnight Fight Express ค่ำคืนแห่งการไล่ล่าสุดโหดสำหรับพล็อตแบบนี้ ถือว่าเป็นพล็อตที่เราอาจจะพบเห็นได้ตามหนังแอ็คชั่นเกรดบีทั่วไปเลยด้วยซ้ำ และเกมนี้ก็ใช้พล็อตง่าย ๆ แบบนี้ อาจดูเหมือนเนื้อเรื่องจะหลวม ๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่ถ้าใครที่ชื่นชอบเรื่องราวฉากหลังของโลกอาชญากรรมใต้ดินแล้วล่ะก็ เกมนี้จะให้บรรยากาศแบบนั้น แม้ว่าเนื้อเรื่องจะไม่ได้เข้มข้นหรือน่าติดตามอะไรสักเท่าไร นอกจากนั้น เกมจะไม่ได้เล่าเนื้อเรื่องแบบครบทุกอย่างในช่วงคัทซีน แต่จะเล่าแบบผ่านช่วงคัทซีน การดำเนินเรื่องครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อผู้เล่นผ่านด่านไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเจอตัวละครใหม่ ๆ ที่รู้ว่าเราเป็นใคร และจะคอยกระตุ้นความทรงจำเราให้กลับมาอีกครั้งด้วย ด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมเล่นแบบ Single Player แถมหลัก ๆ แล้วยังสร้างจากตัวคนเดียวอีกต่างหาก ทำให้เนื้อเรื่องอาจจะเป็น Point รองลงมา แต่บางช่วงก็ถือว่าน่าสนใจใช้ได้อยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการย่อยง่าย เข้าถึงง่ายแบบที่เราเห็นตามหนังแอ็คชั่นทั่วไปเกมขนาดเล็กที่ปริมาณคอนเทนต์ไม่ได้เล็กตามMidnight Fight Express ถือว่าเป็นเกมอินดี้เลยก็ว่าได้ เพราะเกมนี้สร้างจากผู้สร้างเพียงคนเดียวคือ Jacob Dzwinel เท่านั้น แต่ถึงแม้การทำเกมหลัก ๆ จะมีคนเดียว ด้านของปริมาณคอนเทนต์และการนำเสนอนั้น ไม่ได้เป็นสองรองเกมยักษ์ใหญ่จากค่ายต่าง ๆ เลย เริ่มจากจำนวนด่าน Midnight Fight Express มีความยาวด่านให้เล่นมากถึง 40 ด่านด้วยกัน แต่ละด่านจะมีความยาวในการเล่นไม่เท่ากัน แต่หัวใจหลักคือการบู๊แหลก เตะต่อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าบางด่านนั้น อาจลุยแบบน็อนสต็อป 4-5 เวฟ จบ แต่บางด่านอาจจะมีการเปลี่ยนฉาก เปลี่ยนอรรถรสในการต่อสู้ไปเรื่อย ๆ นอกจากความยาวที่มากถึง 40 ด่านแล้ว ยังมีความยากให้เลือกเล่นมากถึง แบบ โดยใครที่จบความยากรอบแรก ๆ ไปแล้ว แต่ติดใจความสนุกก็วนมาเล่นซ้ำได้ในความยากที่สูงขึ้น ซึ่งต้องบอกเลยว่า ไม่หมูสักเท่าไรนัก ใครชอบความท้าทาย ชอบความยากในระดับที่เล่นสนุก เล่นเพลิน และเป็น Martial Arts เน้นเตะต่อย ๆ มัน ๆ แบบนี้ เกมนี้จะตอบโจทย์คุณมากเอาแค่ความยาวในการเล่น 40 ด่านนั้น ก็ว่าเยอะมากแล้ว แต่ทั้งหมดนี้ก็คือคอนเทนต์หลักของตัวเกม เพราะนอกจากโหมดเนื้อเรื่องแล้วเกมก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ได้เล่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบ คือระบบ Playground หรือห้องทดลองเล่น ทุกครั้งที่เราปลดล็อคสกิล หรือกระบวนท่าใหม่ ๆ มา หากอยากลองใช้งาน หรือดูว่าจะนำไปใช้งานในสถานการณ์จริงได้ยังไงนั้น ก็สามารถเข้าไปลองเล่นใน Playground ก่อนได้ แถมระบบนี้เขาไม่ได้ออกแบบมาเล่น ๆ เลย มันเหมือนกับเป็นอีกโหมดที่เราสามารถปรับแต่งได้ตามใจอย่างอิสระ เรากำหนดได้เลยว่าจะให้มีคู่ต่อสู้กี่คน ใช้อาวุธอะไร เข้าโจมตีเราแบบไหน และกำหนดได้ด้วยว่าตัวละครของเรา จะปลดล็อคสกิลอะไรมาใช้งานได้บ้าง เอาง่าย ๆ คือเราทดลองทำทุกอย่างได้จากโหมดนี้ ทำให้เราศึกษาได้เลยว่า สกิลไหนเป็นประโยชน์ ปลดล็อคดีหรือไม่ดีอีกฟีเจอร์ที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ สำหรับคนที่ชอบอวดชาวบ้านแบบเท่ ๆ ก็คือฟีเจอร์การเซฟภาพเป็น .gif โดยทุก ๆ ฉากที่เราเล่นจบและเคลียร์จบไปนั้น ตัวเกมจะเลือกฉากเด็ดให้เราเองโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็ทำเป็นภาพ .gif เอาไว้ให้ทุก ๆ การจบฉาก หากเราชื่นชอบซีนนั้น จะสามารถกดบันทึกภา่พ .gif ฉากนั้นเอาไว้ได้เลย โดยภาพ .gif จะถูกเซฟไว้ที่โฟลเดอร์ที่เราติดตั้งเกมของเราเอง สามารถนำไปอัปโหลดลงโซเชียล อวดเพื่อน ๆ กันได้ จริง ๆ ฟีเจอร์นี้ไม่ใช่ของใหม่ เพราะเกมที่เน้นความเท่ แอ็คชั่นเอามันอย่าง My Friend Pedro ก็ทำมาแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่เจ๋งดี เวลาที่เราอยากอวดคนอื่น แต่ถ้าใครไม่ชอบ ก็ใช้วิธีอัดวิดีโอเอาไว้ แล้วไปแคปเจอร์ย้อนหลังเอาก็ได้ อาจจะยุ่งยากกว่า แต่จะได้ฉากที่ค่อนข้างชัวร์กว่าว่าเราเท่จริงด้วยปริมาณคอนเทนต์ของตัวเกมขนาดนี้ ต่อให้เป็นเกมอินดี้ แต่สามารถตอบโจทย์ความเป็นเกมแอ็คชั่นได้อย่างเต็มอิ่ม สำหรับราคา 289 บาทบน Steam นั้น ถือว่าไม่มากเกินเลย และยิ่งใครที่เล่นบน Xbox Game Pass ด้วยแล้ว มีแต่คำว่าคุ้มกับคุ้มจริง ๆ แอ็คชั่นแบบน็อนสตอป มันส์ระห่ำจนเมื่อยนิ้ว ปวดมือMidnight Fight Express จัดอยู่ในหมวดของเกม Beat 'em up ก็ว่าได้ แต่จะเป็น Beat 'em up ที่ใช้มุมกล้องจากด้านบน ออกแนว Isometric ในการนำเสนอ เราจะได้ควบคุมตัวละครไปได้ทุกทิศทาง ซ้าย ขวา หน้า หลัง และเกมนี้เป็นเกมแบบเส้นตรง ไม่ค่อยมีซอกซอยหรือความลับอะไรให้สำรวจมากสักเท่าไร แต่ว่าในเกมการเล่นของแต่ละฉากก็จะมี Challenge มีเงื่อนไขที่หากเราเก็บครบก็จะได้ของรางวัลเพิ่มขึ้นอยู่เหมือนกัน แต่ความแสบของเกมนี้คือ Challenge ต่าง ๆ ทั้งหมดของฉากนั้น จะไม่เปิดเผยในครั้งแรกที่เราได้เล่น แต่จะเปิดเผยก็ต่อเมื่อเราเล่นจบฉากนั้นไปแล้ว การทำแบบนี้ทำให้เกิดคุณค่าในการเล่นซ้ำขึ้น ซึ่งก็อยู่ที่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบกันสำหรับวิธีการเล่นซ้ำแบบนี้แต่สำหรับเกมนี้สิ่งที่ต้องยอมรับว่าสนุกมาก เพราะนี่คือเกมแอ็คชั่นที่เราจะได้ซัดแหลก บู๊ยับกันแบบน็อนสต็อปต่อ 1 ด่าน รับรองว่ารัวจอยกันจนเมื่อยนิ้วไปข้างนึงเลยทีเดียว เงื่อนไขในการผ่านฉากต่าง ๆ ของเกมนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการถล่มคู่ต่อสู้จนหมดฉาก แต่ไฮไลท์ของมันคือการใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ของการต่อสู้ ตัวละคร Babyface ของเรา จะมีความสามารถที่คล้ายกัตัวละครจากหนังประเภท 1vs100 นั่นคือต่อให้ศัตรูจะขนกันมาทั้งกองทัพ คนเดียวเอาอยู่ อารมณ์ตอนเล่นจะไม่ต่างจาก John Wick เลย ยกเว้นแค่ตอนคุณไม่มีปืน เพราะเกมนี้ปืนจะมีให้เก็บเป็นบางช่วงเท่านั้น หลัก ๆ จะเน้นไปที่การเตะต่อยมากกว่าความสนุกของเกมนี้คือการที่เราจะต้องบู๊แบบไม่มียั้งของจริง นี่คือเกแอคชั่นบริสุทธิ์ที่คุณอาจจะหาจากเกมอื่นไม่ได้มานานมากแล้ว ตลอดทั้งเกม ตลอดทั้งฉาก คุณจะต้องสู้เพื่อผ่านไปเท่านั้น และความเข้มข้นของมันถูกนำเสนอออกมาผ่านการออกแบบศัตรูที่มีหลากหลายประเภท ผสมเข้ากับ Moveset การโจมตีของ Babyface ที่แรกเริ่มเดิมทีก็มีความสามารถรอบตัวอยู่แล้ว เกมยังมีระบบ Skill & Upgrade ให้เราได้เพิ่มความสามารถของ Babyface ให้โหดมากยิ่งขึ้นไปอีก แถมมาพร้อมลีลาท่ายากอีกมากมายที่ดูแล้วว้าวจนอยากไปหาหนังแอ็คชั่นมัน ๆ สักเรื่องดู ไม่ว่าจะเป็ฯการกลิ้งตัวกระโดดเตะ การสอยอัปปอร์คัท หรือการ Parry ในรูปแบบต่าง ๆ การจับศัตรูเหวี่ยง และอีกมากมายแต่เห็นตัวละครเราโหดขนาดนี้ อย่าคิดว่าเกมมันจะง่าย เพราะนี่อาจจะเป็ฯอีกหนึ่งเกมยากที่จะมาท้าทายความสามารถคุณเลยก็ได้ ในช่วงด่านแรก ๆ คุณอาจจะคิดว่า มันก็ง่ายดี ไม่มีอะไรท้าทายตรงไหน แต่เมื่อเข้าสู่สักช่วงด่านที่ 6 ขึ้นไป คราวนี้คุณจะได้พบเจอกับ "ของจริง" ศัตรูแต่ละตัวจะไม่ล้มด้วยหมัด 3-4 หมัดหรือการ Parry สวนกลับอีกต่อไป แถมบางตัวจะไม่สนการโจมตีของเรา สามารถสวนกลับเข้ามาได้ดื้อ ๆ บางตัวมีสกิลชนิด One Burst Kill หรือตีเรารัว ๆ จนตาย หากไม่ระวัง เอาแค่ช่วงต้นเกม ยังไม่พ้นด่าน 10 คุณก็ปาดเหงื่อ และปวดนิ้วจากการรัวจอย ทั้งหลบ ทั้ง Parry ทั้งสู้กลับแล้ว บางช่วงนี่แทบจะกลิ้งหลบกันเป็นเกม Souls เลยก็ว่าได้ สิ่งจำเป็นในการเล่นเกมนี้คือ "สติ" และ "คิดไว" ทุกครั้งที่ศัตรูปรากฎตัวออกมา เราต้องดูซ่าตัวไหนจัดการได้ไวที่สุด โค่นง่ายที่สุด แล้วรีบจัดการ ก่อนมันจะมากันเยอะจนไม่รู้จะสู้ยังไงนอกจากกลิ้งต่อย ๆ สกิลที่ปลดล็อคมาแล้วจะช่วยให้เรามีทางเลือกในการสู้มากขึ้น เช่นเตะของใส่ศัตรู กระโดดเข้าไปถึงตัวในระยะประชิด หรืออื่น ๆ อีกมากมาย และหากเราเลี้ยงคอมโบสะสมหลอด Rage จนเต็ม เราจะได้รับพลังโจมตีเพิ่มชั่วคราวที่จะช่วยเคลียร์ศัตรูได้ดีมาก แต่ปัญหาคือการสะสมหลอด Rage นี่แหละที่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเราต้องโค่นศัตรูให้ได้อย่างต่อเนื่อง หากโดนโจมตีขึ้นมา หลอดก็จะสะสมได้ช้าลง นอกจากนั้นระบบการสะสมคะแนนของเกมนี้ หากเราจัดการศัตรูไม่ทัน ตัวคูณคะแนนก็จะหายไป แต่การโดนโจมตีเพียง 1-2 ครั้ง จะไม่ถูกหักตัวคูณ ดังนั้นบางสถานการณ์ เราอาจจะต้องเสี่ยงเจ็บตัวเล็กน้อย เพื่อสะสมตัวคูณคะแนนและหลอด Rage เอาไว้แม้ว่าจะเล่นด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดได้ แต่ผู้เขียนแนะนำว่าให้ต่อจอยเล่นเกมนี้ดีกว่า เพราะจอยจะมีการควบคุมที่ลื่นไหลกว่า ด้วยจำนวนปุ่มที่อยู่ใกล้นิ้วมือของเรามากกว่าบนคีย์บอร์ด ทำให้การออกท่าทาง หรือปฏิกิริยาตอบสนองที่เรามีกับตัวเกม สามารถทำได้ง่ายกว่า แต่ใครอยากท้าทายความสามารถตัวเองด้วยเมาส์ คีย์บอร์ด ก็จัดไป เล่นได้เหมือนกัน แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้ชินนอกจากคอนเทนต์หลักของตัวเกมจะมีแต่การตะลุยด่านแบบเพียว ๆ แล้ว ตัวเกมยังมีการปรับแต่งตัวละครและสร้างตัวละครได้ โดยการเล่นจบในแต่ละฉาก หากทำ Challenge ต่าง ๆ ได้มากเท่าไร เราก็จะได้รับโบนัสเงินรางวัลได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ประโยชน์อย่างเดียวของเงินในเกมนี้เลยก็คือการเอาไปปรับแต่งตัวละคร ปรับแต่งที่ว่า คือการปรับแต่งจริง ๆ เช่นการซื้อเสื้อผ้า อุปกรณ์แต่งกาย ของแต่งตัว ที่ทำให้ตัวละคร Babyface ของเรา มีเอกลัษณ์ในแบบที่เราอยากจะให้เป็น แม้จะดูไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร แต่สำหรับใครที่เบื่อตัวละครแรกเริ่ม ก็ถือว่ามีอิสระมากพอสมควรในการสร้างตัวละครที่ใจต้องการMidnight Fight Express เป็นเกมแอ็คชั่นที่จะทำให้คุณอะดรีนาลีนสูบฉีดแทบจะตลอดเวลา ข้อเสียของมันซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อเสียด้วยคือ เล่นนานแล้วปวดมือ ปวดนิ้ว เพราะการรัวปุ่ม ถ้าจะให้แนะนำจริง ๆ ล่ะก็ เล่นจบสักด่านสองด่านก็พักบ้าง ยืดเส้นยืดสายบ้างจะได้ไม่ตึงหรืออ่อนล้าสะสมในแง่ของการซื้อ 289 บาท ต้องบอกว่ายังไงก็คุ้มค่ากับความมันส์ของตัวเกม แต่หากเล่นบน Xbox Game Pass ก็ยิ่งคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้คุณภาพสูงที่เราอยากแนะนำว่าไม่ควรพลาด ถ้าจะมีข้อเสีย ก็คือมันอาจไม่ใช่เกมที่ทุกคนจะเอ็นจอยได้ กับการบู๊ล้างผลาญแบบถอดสมองเท่านั้น Midnight Fight Express วางจำหน่ายแล้ววันนี้ บน PC และ Console
31 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม The Last of Us Part I กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดเกมซอมบี้ตลอดกาล ด้วยขุมพลังกราฟิกอันทันสมัย
เป็นเกมที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากเมื่อปี 2013 สำหรับเกม The Last of Us จากทางผู้พัฒนา Naughty Dog และได้รับคำชมมากกับการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้อยู่แล้วเพราะเคยทำเกมอย่าง Uncharted มา จนทำให้ The Last of Us ได้คะแนน 10/10 จากสำนักสื่อต่าง ๆ มากมาย และตัวเกมก็กลายเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 3 เลยทีเดียว จนในปี 2020 พวกเขานั้นก็ได้สร้างเกมภาคต่อกับ The Last of Us Part II ที่ตัวเกมก็ยังสร้างมาตรฐานในด้านของเนื้อเรื่องเอาไว้ได้อย่างดี ได้รับคำชมมากมายและสุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมจากงาน The Game Awards ปี 2020 ไปครองจนได้และเนื่องจากความสำเร็จของเกม The Last of Us Part II ในปี 2022 นี้ทางผู้พัฒนาเลยได้ทำการ Remake เกมภาคแรกอีกครั้งและใช้ชื่อว่า The Last of Us Part I เพื่อเสิร์ฟให้กับคนที่อาจจะไม่เคยเล่นภาคแรก เพื่อให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่า The Last of Us Part I เหมาะในการที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ และเหมาะกับใคร!?ยกระดับขุมพลังด้วยกราฟิกของเกม The Last of Us Part IIต้องพูดถึงจุดเด่นของเกม The Last of Us Part I ก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ทางผู้พัฒนานั้นได้ทำการปั้นโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจาก Engine ขั้นเทพของเกม The Last of Us Part II สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเครื่อง PlayStation 5 เราจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในด้านโมเดลและแอนิเมชันของเกมที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับในด้านกราฟิกว่าสวยงามมากจริง ๆ ทั้งในด้านแสงหรือบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น แต่ในบางโมเดลของตัวละครอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากภาคแรกอย่างเช่นตัวละคร Tess ที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาไป และในเวอร์ชันนี้ตัวเธอนั้นดูมีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในด้านเทคโนโลยีที่หน้าตาเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้การคำนวนต่าง ๆ นั้นเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทาง Sony ก็เคยเปลี่ยนหน้าตาของ Peter Parker ในเกม Marvel's Spider-Man Remastered มาแล้วภายในเกมยังมีให้เราปรับกราฟิกอยู่สองแบบคือโหมดประสิทธิภาพ ที่จะรันกราฟิกได้สูงถึง 1440p (สำหรับคนใช้จอความละเอียดสูง) และจะสามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 60FPS และอีกอันก็คือโหมดแม่นยำ ที่จะมีกราฟิกที่คมชัดมากกว่า แต่จะรันเฟรมเรทได้เพียงแค่ 30 FPS ซึ่งจากที่ได้ลองแล้วนั้น ในบางฉากโหมดแม่นยำจะสามารถทำกราฟิกที่สดใสกว่า รายละเอียดในฉากระยะไกลก็จะคมชัดทั้งหมด แสงเงาต่าง ๆ จะทำได้ดีกว่ามาก ต่างจากโหมดประสิทธิภาพที่ภาพบางฉากจะมัวเพื่อให้เครื่องเกมสามารถรันเฟรมเรทได้อย่างคงที่ ซึ่งส่วนตัวนั้นถนัดในโหมดประสิทธิภาพและรัน 60FPS มากกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าโหมดแม่นยำเองก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร ใครที่สามารถเล่น 30 FPS ได้ส่วนตัวแนะนำเลยรวมถึงตัวเกมนี้ยังรองรับฟังชันต่าง ๆ ของจอย DualSense ด้วยทั้งระบบ Addictive trigger ที่จะเพิ่มประสบการณ์ให้เราในขณะที่ใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นการใช้ธนูเวลากด R2 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเราง้างธนูจริง ๆ อยู่ หรือระบบการสั่นที่จะสั่นตามสถานการณ์ของเกมซึ่งมันสามารถมอบประสบการณ์ทียอดเยี่ยมให้เราในเวลาเล่นอย่างมาก รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่อง PlayStation 5 ที่จะสามารถโหลดฉากต่าง ๆ ของเกมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยพลังของ SSD นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่เรียกว่าการเข้าถึง ที่สามารถปรับแต่งเกมเพลย์ตามสไตล์ของเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัด Input ของเกมใหม่ เช่นสามารถเลือกได้ว่าเวลาวิ่งจะกดค้าง หรือเป็นกดเปิด/ปิด การปรับตัวช่วยเล็ง การปรับหยิบอุปกรอัตโนมัติ หรือจะตั้งค่าให้เปลี่ยนอาวุธอัตโนมัติถ้าหากกระสุนหมดก็ได้ การปรับ Motion Sick ระยะมุมมอง หรือแม้กระทั่งการปรับแต่งระดับความยาก ที่เราสามารถลดความแม่นยำของศัตรูได้ ลดความสามารถรับรู้ของศัตรูได้เป็นต้น  ให้คุณได้ซึมซับเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยมในด้านของความเนื้อเรื่องเราคงจะไม่ได้เจาะลึกมากในบทความนี้ เพราะ The Last of Us Part I ก็จะยังเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับในเวอร์ชันดั้งเดิมของเกมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กับการเล่าเรื่องราวของ Joel นักลักลอบของเถื่อนที่ได้รับงานในกาส่งเด็กน้อยจอมแก่นคนหนึ่งนามว่า Ellie และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง และเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ โดยเราจะได้รับรู้สึกความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่พึ่งรู้จักกันจนทั้งคู่คือคนสำคัญของกันละกัน เราจะได้เห็นถึงพัฒนาการแรกเริ่มของตัวละคร Ellie ในความไร้เดียงสาของภาคนี้ สู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพบเจอกับเหตุการร์สำคัญที่มันได้สานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้นในเกม The Last of Us Part II นั่นเอง รวมถึงในภาคนี้ทางผู้พัฒนายังรวมนำเอา DLC อย่าง Left Behind ที่เราเรื่องราวของ Ellie และเพื่อนสนิทของเธอ Riley ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเกมภาคหลักด้วย (แต่ทางผู้พัฒนากล่าวว่าควรจะเล่นเกมหลักก่อน เพราะเรื่องราวใน Left Behind จะมีการสปอยส์เนื้อหาสำคัญในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง) แน่นอนว่าใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดังเดิมมาก่อน เนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Last of Us Part I ก็จะยังคงเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมจากภาคแรกจากที่ได้เล่นมาถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาจะกล่าวว่าตัวเกมนั้นมีการยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ทั้งหมดก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามวลเกมเพลย์โดยรวมนั้นก็จะยังให้ความรู้สึกที่คงเดิม ศัตรูต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราเองสามารถรับรู้ได้ถึงแอนิเมชันของตัวละคร หรือฟิลลิงในการยิงปืนบางอย่างที่อาจจะรู้สึกแตกต่างบ้าง แต่ใครที่เคยเล่นเวอร์ชันปี 2013 มาก่อน และคาดหวังว่าตัวเกมจะให้อะไรที่แปลกใหม่ ท่านก็อาจจะต้องผิดหวังในเรื่องนี้แต่แน่นอนว่าถึงแม้เกมเพลย์ของ The Last of Us Part I จะยังคงเดิม แต่นี่ก็ยังเป็นเกม Action Adventure ที่ทำออกมาได้อย่างละเมียดละมัย ในด้านเกมเพลย์ ความตืนเต้น การลอบเร้น A.I. ศัตรูก็มีความฉลาด รู้จักโอบล้อมไม่ให้ผู้เล่นอยู่ในจุด ๆ เดียวมากเกินไป การที่เราจะต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีในการสังหารศัตรูให้หมด ความตื่นเต้นนี้จะยังคงอยู่ รวมถึงระบบที่หายไปในเกม The Last of Us Part II ก็คือระบบการปรับแต่งปืน ซึ่งเป็นความสามารถของ Joel ที่ในเวอร์ชันนี้ก็ยังอยู่ และส่วนตัวชอบมันมากเกมนี้เหมาะกับใครถ้าให้พูดว่า The Last of Us Part I นั้นเหมาะกับใคร ส่วนตัวมองว่าถ้าหากคุณนั้นเล่นเกมเวอร์ชันปี 2013 มาก่อนแล้ว จริง ๆ ในเกมเวอร์ชันนี้กลิ่นอายทั้งหมดแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง หรือเกมเพลย์ ตัวเกมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และอยากจะลองสัมผัสสุดยอดเกมที่ทั้งเนื้อเรื่องและเกมเพลย์อันดีงามแบบนี้สักครั้ง หรือคนที่เคยเล่นแต่เกมภาค 2 การกลับมาเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันใหม่ก็จะทำให้คุณเข้าใจถึงเนื้อเรื่อง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Joel และ Ellie ยิ่งขึ้น ทำให้คุณได้รู้ว่าทำไม Joel ถึงสำคัญกับ Ellie มากขนาดนั้นหรือใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และยังภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน การกลับมาเล่นภาคนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเกมภาค 2 ให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ลึกซึ่งมากขึ้น โดยตัวเกมวางขายอยู่ที่ราคา 2,290 บาท ในเวอร์ชันปกติ และ 2,590 บาท ในเวอร์ชัน Deluxe ที่เราจะสามารถปลดล็อคความสามารถ หรือปลดล็อคโหมดบางโหมดเช่น Speed Run โดยที่ไม่ต้องเล่นจนจบเกมก็ได้ สั่งซื้อเกมได้ที่
28 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Farthest Frontier เกมสร้างเมืองภาพสวย เล่นเพลิน สร้างความเจริญได้หลากหลายสเกล
Farthest Frontier เป็นเกมสร้างเมืองในยุคโบราณ ที่สร้างโดยทีมงานมากประสบการณ์อย่าง Crate Entertainment พวกเขาได้สร้างชื่อเสียงมาแล้วกับเกม Grim Dawn ซึ่งตอนผู้เขียนเห็นเกม Farthest Frontier ลงวางขายใน Steam และเห็นชื่อของผู้พัฒนา แอบตกใจอยู่เหมือนกันครับ เพราะแนวเกมฉีกออกจากเกมดังอย่าง Grim Dawn ไปเลย จนทำให้ตัวผู้เขียนอดรนทนไม่ไหว ด้วยความที่เป็นติ่งเกมแนวนี้ เลยรีบไปกดซื้อมาเล่นอย่างเร็วไว เพราะอยากสัมผัสด้วยตัวเอง และเดี๋ยวจะมารีวิวจากก้นบึ้งของหัวใจดวงน้อย ๆ ให้ได้อ่านกันครับเกมใหม่ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่บอกกันตามตรงเลยครับ ว่าตอนที่ซื้อมาเล่นตัวผู้เขียนแอบคาดหวังว่ามันคงมีอะไรใหม่ ๆ บ้าง แต่พอเล่นดูจริง ๆ ผมบอกแบบตะโกนเลยครับว่า "Foundation ก็ยังเป็นที่ 1 ในใจของเกมแนวสร้างเมืองยุคโบราณ และยังไม่มีใครมาล้มแชมป์ได้"อันนี้เป็นแค่ความรู้สึกของผู้เขียนเท่านั้นนะครับ เพื่อน ๆ เล่นดูอาจจะชอบก็ได้ เพราะ Farthest Frontier เป็นเกมที่ภาพสวยมาก ๆ และสร้างเมืองได้อิสระ ถึงแม้ว่าทรัพยากรบางอย่างจะหายากมาก ๆ และถ้าวางแผนไม่ดีอาจจะต้องรีเมืองเพื่อสร้างกันใหม่ แต่ก็ยังสร้างความเพลิดเพลินให้ได้อยู่ในรูปแบบเดิม ๆ  กรอบเดิม ๆ เหมือนเกมแนว ๆ นี้ทั่วไปตามท้องตลาด ครับเกมเพลย์เดิม ๆ สร้างเมืองสุดแสนจะธรรมดา ที่เคยเล่นมาแล้วจากเกมอื่น ๆ เบื้องต้นเริ่มเกมมาเราสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ครับ สามารถเลือกสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นเมืองในหุบเขา, เมืองในที่ราบลุ่มแม่น้ำ, เมืองในที่แห้งแล้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย จะมีความยากง่ายในการหาทรัพยากรตามสภาพแวดล้อมของแผนที่ และเราสามารถเพิ่มความท้าท้ายให้มากขึ้นได้ด้วยการเลือกความใหญ่เล็กของแผนที่ และเพิ่มภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ และการรบรากับโจร หรือผู้บุกรุกเมืองได้ครับ เกมนี้เป็นเกมแนวสร้างเมืองเอาตัวรอดที่คล้ายกับเกมอื่น ๆ มีการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มจากน้ำ อาหาร ไม้ หิน และอื่น ๆ ตามมา โดยที่เริ่มเกมมาจะไม่มีการแนะนำหรือสอนการเล่น ตัวเกมจะให้ผู้เล่นลองผิดลองถูกกันเอง เกมมีการคำนวณว่าภูมิประเทศในจุด ๆ นั้น จะส่งผลยังไงกับทรัพยากร เช่น ถ้าเราตั้งเมืองในพื้นที่สูงเราก็จะพบกับปัญหาว่าบ่อน้ำของเราผลิตน้ำได้น้อย พื้นที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับการเพาะปลูก เป็นต้นสิ่งปลูกสร้างที่เราสร้างก็จะส่งผลกับพื้นที่รอบ ๆ เช่น ถ้าเราสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เป็นการผลิต เช่น โรงเลื่อยไม้ พื้นที่บริเวณนั้นก็ถูกลดค่าความต้องการในการอยู่อาศัยลง (อารมณ์เหมือนในชีวิตจริงถ้ามีโรงเลื่อยอยู่ข้างบ้าน หูแตกแน่ ๆ ครับ) เกมจะมีเปอร์เซ็นต์ค่าการอยู่อาศัยให้เราได้เห็นว่าประชากรของเรามีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีในพื้นที่ตรงนั้นไหมการตั้งค่าเล่นเกมแบบง่ายที่สุดไม่ได้หมายความว่าประชากรของเราจะไม่มีปัญหาเรายังสามารถพบเจอปัญหาต่าง ๆ ทั่วไปในระดับที่สามารถสร้างความล่กให้เราได้อยู่เหมือนกันครับ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เตรียมใจมาเจอปัญหา อุตส่าห์ตั้งค่าเพื่อไม่ให้เจออุปสรรคทั้งร้อยแปดพันเก้า แต่บอกเลยครับว่าเราจะยังเจอปัญหาในทุกรูปแบบจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ผมรีเกมใหม่ไปหลายรอบอยู่ครับ ฮ่า ๆ ผู้เขียนลองตั้งค่าทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ก็ยังเจอพี่โจรพากันมาบุกเมืองอยู่, ชาวบ้านยังโดนน้อนหมีหรือสัตว์ป่าที่ดุร้ายดักตบดักตีอยู่ตลอดเวลา, และขนาดภัยธรรมชาติต่าง ๆ ยังตามมาหลอกหลอนไม่ให้เราได้พักหายใจกันเลย แม้ระดับเกมที่เล่นอยู่จะเป็นอีซี่ (โถมเข้ามาไม่เกรงใจระดับที่ตั้งเอาไว้เลย ฮ่า ๆ) สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ยังโดนไฟไหม้ บ่อยจนชนิดที่ว่าผมต้องสร้างบ่อน้ำเอาไว้ใกล้ ๆ และกระจายเอาไว้ในหลาย ๆ จุด อาจจะไม่โหดร้ายตายกันเกลื่อนกลาดเต็มเมืองแบบปรับยากสุดทุกอย่าง แต่รับประกันเลยว่าหนีมันไม่พ้นครับ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าฉะนั้นเราต้องอย่าพยายามหนีปัญหาและเราควรเผชิญหน้ากับมัน ฮ่า ๆ ๆ ๆระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - บอกเลยว่าเป็นเกมสร้างเมืองที่ภาพสวยมาก ๆ ครับ มาในรูปแบบ 3D ไม่สามารถหมุนได้ 360 องศา รายละเอียดโมเดลดีงาม ได้บรรยากาศที่ดีในการเล่น ระบบไม่ลึกลับและไม่ซับซ้อน ไม่ได้แปลกใหม่หรือพิเศษอะไร ไม่ได้รู้สึกว้าวมากกว่าเกมเก่าใด ๆ ในแนวเดียวกัน เพราะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เล่นได้เพลิน ๆ ยาว ๆ อย่าไปเร่งรีบ ก็ฆ่าเวลาดี ระบบตลาดค้าขาย ก็ธรรมดา ๆ แอบอยากเห็นความแปลกใหม่แต่มันก็ดันไม่มี ดีที่ภาพจริง ๆ ครับการควบคุม - ก็ไม่ต่างจากเกมอื่น ๆ ครับในส่วนนี้ ระบบพื้นฐานธรรมดา W, A, S, D หรือคลิ๊กเม้าส์ขวาค้างไว้แล้วลาก ใช้เลื่อนทิศทาง, ปุ่ม 1 2 3 4 ใช้เร่งความเร็วของเกม, กดลูกกลิ้งบนเม้าส์เพื่อซูมเข้าซูมออก ฯลฯ ใช้งานไม่ยากครับ เพราะเราจะคุ้นเคยจากเกมอื่น ๆ มาแล้ว ถ้าคนเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้ว มาเล่น Farthest Frontier นี่แทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยUI - ใช้งานง่ายครับ มีให้ใช้ทั้งแบบคีย์ลัดหรือเอาเม้าส์ไปจิ้ม ๆ เมนูต่าง ๆ ถูกจัดสรรอยู่อย่างเป็นระเบียบเปิดใช้งานออกมาก็ยังไม่รกตา คีย์ลัดก็ไม่ได้มีเยอะมากมาย อาจจะไม่ต้องใช้สมองในการจำมันมากครับ ในส่วนนี้ถือว่าผู้พัฒนาทำมันออกมาได้ดีทีเดียวสรุปอย่างที่ผู้เขียนได้กล่าว ๆ ไปบ้างแล้วข้างต้น มันก็เป็นเกมที่เหมือนกับเกมแนวนี้อื่น ๆ ที่มีวางขายอย่างดาษดื่นในท้องตลาด ระบบต่าง ๆ ของเกมนี้ยังไม่ทำให้ผู้เขียนตื่นตาตื่นใจ หรือแม้แต่ความตื่นเต้นที่มันควรจะมีบ้าง มันก็ไม่ได้มีให้รู้สึกครับ เกมเพิ่งเปิดและเป็นช่วง Early Access ถึงแม้ว่ามันจะมีบัคอยู่ค่อนข้างเยอะในเกม แต่ผู้เขียนมองว่าเกมนี้ยังสามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนและต่อยอดได้อีกไกลครับ เพราะทางผู้พัฒนาเองเคยได้ประกาศมาบ้างแล้วว่า "ในอนาคตอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ในบางส่วน หรือเพิ่มอะไรเข้าไปในเกม ตามที่ Dev เห็นว่า "เหมาะสม" ครับผมว่าเกมนี้ถ้าใครชอบแนวสร้างเมืองในยุคโบราณ ควรซื้อติดคลังเอาไว้ เพราะราคามันก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร วางขายลงใน Steam เพียง 379 บาท ยังไงก็เล่นได้เพลิน ๆ ปรับความยากง่ายเพื่อท้าทายตัวเองได้อีกด้วย ผู้เขียนมองว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกครับ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้โดดเด่นเหมือน Foundation ที่เป็นเกม No.1 ในดวงใจของใครหลาย ๆ คนรวมทั้งตัวผู้เขียนด้วย แต่โดยรวมของเกมนี้ก็ไม่ได้แย่ครับ มันก็ยังเล่นสนุกมาก ๆ ยังไงมันจะดูดเวลาชีวิตของเราแน่นอนและข้อดีของเกมนี้คือมีคนไทยใจดีจากเพจ ว่างๆก็หาเกมมาแปล ได้แปล Mod ภาษาไทยของเกม Farthest Frontier เอาไว้ให้เราได้โหลดมาใช้งานกันฟรี ๆ พร้อมสอนติดตั้งละเอียดยิบ อัพเดท Mod ภาษาให้ตลอดหลังจากเกมมีอัพเดท (เราต้องดาวน์โหลด Mod มาลงใหม่ทุกครั้งที่เกมมีอัพเดทครับ) ใครซื้อเกมมาแล้วอยากให้ตัวเกมมีภาษาไทยสามารถไปโหลดได้ตามลิ้งก์นี้เลยนะครับ ดาวน์โหลดมอดภาษาไทยสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1044720/Farthest_Frontier/
27 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Soul Hackers 2 "เกมสูตรสำเร็จที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่ร้าวใจคอ JRPG"
แม้จะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยในช่วงที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1997 แต่เกม Devil Summoners: Soul Hacker ก็ห่างไกลความสำเร็จของเกมพี่น้องในตระกูล Shin Megami Tensei อยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์ชื่อดังอย่าง Persona ที่มักถูกยกย่องให้เป็น “สุดยอดเกม JRPG แห่งยุค” โดยนักวิจารณ์หลาย ๆ คนด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การเปิดตัวของเกม Soul Hackers 2 รู้สึกเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับแฟน ๆ และทำให้แฟนเกม JRPG หลายคนรู้สึกสนใจและ/หรือสงสัยเกี่ยวกับเกมขึ้นมาไม่มากก็น้อย ว่าการกลับมาของซีรีส์ Soul Hackers หลังจากที่เวลาล่วงเลยมามากกว่า 20 ปีจะออกมาเป็นเช่นไรหลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลามากกว่า 40 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) ผู้เขียนรู้สึกมั่นใจพอจะตัดสินได้ว่า Soul Hackers 2 น่าจะเป็นเกม JRPG ที่เข้มข้นสมใจคนที่ชื่นชอบแนวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังมีเนื้อเรื่องและตัวละครอันยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของผู้พัฒนาซีรีส์ Persona ด้วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมจะไม่ได้แม้แต่จะพยายามนำเสนออะไรที่แปลกใหม่เลยแม้แต่น้อยเกมเพลย์แก่นเกมเพลย์หลัก ๆ ของ Soul Hackers 2 สามารถแยกได้สองส่วนกว้าง ๆ คือเกมเพลย์ฝั่งตะลุยดันเจี้ยน และเกมเพลย์ฝั่ง Relationship Sim ในลักษณะคล้าย ๆ กับเกมซีรีส์ Persona นั่นเองในฝั่งของการตะลุยดันเจี้ยน ผู้เล่นในฐานะตัวเอก Ringo จะต้องนำปาร์ตี้ตัวละครอีก 3 ตัว (รวมเป็น 4) เพื่อสำรวจดันเจี้ยนตามเนื้อเรื่องของเกม ในระหว่างการสำรวจ ผู้เล่นจะสามารถพบกับศัตรูเดินไปมาในฐานะหมอกสีต่าง ๆ ที่จะวิ่งไล่กวดผู้เล่นทันทีที่เห็น และเมื่อสัมผัสตัวผู้เล่นก็จะเข้าสู่การต่อสู้ โดยผู้เล่นจะสามารถให้ Ringo เอาดาบฟันศัตรูให้ล้มก่อนสัมผัสตัวได้ เพื่อให้เริ่มการต่อสู้ด้วยความได้เปรียบ (หรือถ้าโดนศัตรูวิ่งชนก็อาจเริ่มด้วยการเสียเปรียบได้)เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ ผู้ที่เคยเล่นเกมในแฟรนไชส์ Shin Megami Tensei มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับระบบในเกม ซึ่งมุ่งไปที่การพยายามโจมตีให้โดนจุดอ่อนของศัตรูด้วยการโจมตีและสกิลธาตุ/ชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาจากปีศาจหรือ Demon ที่ตัวละคร “สวมใส่” อยู่ การโจมตีโดนจุดอ่อนแต่ละครั้งจะเพิ่ม Stack ให้กับการโจมตีพิเศษตอนจบเทิร์นที่เรียกว่า Sabbath ซึ่งจะเรียกเหล่าปีศาจที่เราเก็บเอาไว้ทั้งหมดออกมาโจมตีศัตรูพร้อมกัน โดยแน่นอนว่ายิ่งเก็บได้หลาย Stack ก็ยิ่งแรง แถมปีศาจบางตัวยังอาจมอบเอฟเฟกต์พิเศษให้เมื่อถูกเรียกออกมาในการโจมตี Sabbath ด้วยในส่วนของปีศาจในเกม Soul Hackers 2 จะไม่มีระบบการเลือกตัวเลือกเจรจาให้ปีศาจมาเป็นพวกเหมือนในเกม SMT ที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่ผู้เล่นจะสามารถรับปีศาจใหม่ได้จากการสำรวจดันเจี้ยนแทน โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นก้าวเท้าเข้าสู่ดันเจี้ยนอะไรก็ตาม ตัวเอก Ringo จะส่งปีศาจทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ออกไปสอดแนมล่วงหน้า ซึ่งเราจะสามารถพบกับปีศาจเหล่านี้ได้ระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยน และเมื่อเข้าไปคุยจะทำให้ได้รับของรางวัลต่าง ๆ เช่นเงิน ไอเทม หรืออาจพบกับปีศาจที่ถูกชวนมาเข้าร่วมทีมก็ได้ (ตราบใดที่สามารถทำตามเงื่อนไขที่พวกมันต้องการได้ เช่นมอบเงิน ไอเทม หรือ HP/MP ให้มันประมาณหนึ่ง)เกมเพลย์การต่อสู้ของ Soul Hackers 2 อาจมองให้เป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเกมเพลย์แนวเทิร์นเบสเช่นนี้อาจจะสนองความต้องการของคนที่ชื่นชอบ JRPG ได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจมานำเสนอให้ผู้ที่เบื่อหน่ายกับเกมแนวนี้ หรือเคยเล่นเกมในตระกูล SMT มาเยอะแล้ว ซึ่งก็อาจทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกซ้ำซากจำเจได้อยู่เหมือนกัน ยิ่ง Soul Hackers 2 เป็นเกมที่ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับเกม SMT อื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักในแง่ของความท้าทาย อาจส่งผลให้หลาย ๆ คนเบื่อไปซะก่อนจะเล่นจบได้ง่าย ๆ (อย่างน้อยในระดับความยาก Normal ที่ผู้เขียนเล่น)นอกเหนือจากการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถพบกับเกมเพลย์ฝั่ง “Relationship Sim” หรือเกมจำลองความสัมพันธ์แบบย่อม ๆ ในลักษณะคล้าย ๆ กับเกม Persona ได้ โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวเลือกบทสนทนา หรือชักชวนเพื่อนร่วมปาร์ตี้มาร่วมดริ๊งกันที่บาร์เพื่อสานสัมพันธ์และเพิ่มระดับ Soul Level ของตัวละครนั้นได้ (ไม่มีความสัมพันธ์แบบรักใคร่) โดยระดับความสัมพันธ์นี้จะเอาไว้ใช้ในการปลดล๊อคดันเจี้ยนเสริม Soul Matrix ได้ ซึ่งจะมอบทักษะติดตัวเพิ่มเติมให้กับตัวละครเพื่อนร่วมตี้แต่ละตัว รวมไปถึงเผยเนื้อเรื่องเสริมให้กับตัวละครแต่ละตัวด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้มักช่วยเสริมเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักได้เป็นอย่างดี จนแทบจะเรียกได้ว่า “จำเป็น” สำหรับการเล่นเลยทีเดียวทั้งนี้ ผู้ที่คาดหวังระบบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนใน Persona คงจะต้องผิดหวัง โดยระบบใน Soul Hackers 2 อาจเรียกว่าเป็นระบบของ Persona “แบบย่อม” ก็ได้ เพราะการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งหมดทำโดยการเลือกตัวเลือกบทสนทนาหรือการดริ๊งเท่านั้น ไม่มีการทำกิจกรรมหรือมอบของขวัญให้กันแต่อย่างใด แถมตัวเลือกทั้งหมดยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของใคร เท่าไหร่ การพยายามเพิ่มระดับของตัวละครเท่ากันทั้งหมดจึงเป็นเรื่องง่ายมากนอกเหนือไปจากนี้ เกม Soul Hackers 2 ไม่ได้มีอะไรให้ผู้เล่นทำมากนัก การสำรวจเมืองในเกมทำได้ค่อนข้างจำกัด แถมบนถนนก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำนอกจากการซื้อไอเทมจากร้านค้าต่าง ๆ การรับเควสเสริม หรือการอัปเกรดอุปกรณ์เท่านั้น และแม้ว่าระบบการอัปเกรดตัวละครในเกมนี้จะมีความลึกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่หรือเป็นเอกลักษณ์อยู่ดีหากจะสรุปในภาพรวม เกมเพลย์ของ Soul Hackers 2 ถือเป็นการนำสูตรสำเร็จของ Shin Megami Tensei มาปรับให้ย่อยง่ายขึ้น ในเกมที่กระทัดรัดมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบเกม JRPG อยู่แล้วน่าจะชอบได้ไม่ยาก แม้ว่าเกมจะไม่มีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษมานำเสนอเลยก็ตามเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 จะติดตามตัวเอก Ringo ผู้ซึ่งเป็น “ร่างแทน” ที่สร้างขึ้นโดย A.I. ลึกลับที่ชื่อว่า Aion เพื่อยับยั้งเหตุการณ์สิ้นโลกบางอย่างที่กำลังจะมาถึง ภารกิจของเธอทำให้เธอต้องเข้าไปพัวพันกับ Devil Summoner (ผู้อัญเชิญปีศาจ) อีก 3 คนคือ Arrow, Milady, และ Saizo ผู้ซึ่งต่างมีอุดมการณ์ ทัศนคติ และเป้าหมายของตนเองต่อเหตุการณ์สิ้นโลก โดยทั้ง 4 จะต้องร่วมมือกันเพื่อสืบหาต้นตอเบื้องหลังเหตุการณ์เพื่อยับยั้งจุดจบของโลกเอาเข้าจริง ๆ แล้ว เนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซับซ้อนและความเป็นผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ตัวละครในเกมมักจะถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับศีลธรรม ชีวิต และความเป็นมนุษย์ แถมเรื่องราวส่วนตัวของตัวละครเพื่อนร่วมตี้ทั้ง 3 ยังผูกเข้ากับและเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อย่างดี ทำให้การดำเนินเรื่องมีแรงขับที่มีความเป็นมนุษย์ มากกว่าแค่ “การช่วยโลก” แบบกว้าง ๆ ซึ่งเนื้อเรื่องที่นำเสนอชีวิตของผู้ใหญ่นี้ อาจเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของ Soul Hackers 2 เมื่อเทียบกับเกมจากซีรีส์ Persona หรือ Shin Megami Tensei ที่มักมีตัวเอกวัยมัธยมปลายซะมากกว่า ส่งผลให้ตัวละครใน Soul Hackers 2 รู้สึกมีมิติและทัศนคติที่ลึกซึ้ง รอบด้านมากกว่าทั้งนี้ ที่กล่าวไปทั้งหมดไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซีเรียสหรือเครียดกว่าเกมอื่น ๆ ที่กล่าวไป ในทางตรงข้าม บุคลิกและบทพูดของตัวละครแต่ละตัวกลับทำให้บทสนทนาในเกมนี้รู้สึกมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย เป็นจุดกึ่งกลางพอดีระหว่างความสดใสฉูดฉาดของ Persona และความเคร่งขรึมอึมครึมของ Shin Megami Tensei การนำเสนอหากจะมีองค์ประกอบใดที่รู้สึกน่าผิดหวังชัดเจนเกี่ยวกับ Soul Hackers 2 คงจะเป็นเรื่องของกราฟิกและการนำเสนอ แม้ว่าการออกแบบและโมเดลตัวละครในเกมจะไม่ได้แย่ แต่การเลือกใช้กราฟิกแบบกึ่ง ๆ การ์ตูน Cell-shade แทนที่จะใช้กราฟิกแบบ “สมจริง” แบบเดียวกับในเกมก่อนหน้าอย่าง Shin Megami Tensei V กลับทำให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นเกมยุุคปลาย PS3 - ต้น PS4 มากกว่าเกมยุคปัจจุบันในหลาย ๆ มุมนอกจากนี้ กราฟิกแนวการ์ตูนเช่นนี้ยังทำให้เกมไม่สามารถนำเสนอโลกอนาคตอันเป็นที่ตั้งของตนเองได้มากเท่าที่ควร ทำให้โลกของเกมรู้สึกทั้งเล็กทั้งแคบ ไร้ชีวิตชีวา ซึ่งรู้สึกเหมือนเป็นการก้าวถอยหลังจากทั้ง Persona 5 และ Shin Megami Tensei V อย่างชัดเจน แถมอนิเมชั่นที่ค่อนข้างจำกัดยังทำให้ฉากคัตซีนของเกมรู้สึก “เล็ก” เมื่อเทียบกับเกมอื่น ซึ่งแม้จะไม่ใช่ปัญหาต่อประสบการณ์เกมโดยรวม แต่ก็มีส่วนช่วยให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้การตัดสินใจใช้กราฟิกแนวการ์ตูนเช่นนี้ ยิ่งน่างุนงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อคำนึงถึงเรื่องราวเบื้องหลัง โดยสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือผู้พัฒนา Atlus ประสบปัญหาในการพัฒนาเกม Persona 5 ไม่น้อยจากการใช้เอนจิ้นที่ค่ายพัฒนาเอง ส่งผลให้ค่ายตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เอนจิ้น Unreal Engine 4 ที่เป็นสากลกว่าในการพัฒนาเกม Shin Megami Tensei V ซึ่งเป็นผลงานต่อมา แต่สำหรับ Soul Hackers 2 ค่ายกลับเลือกใช้เอนจิ้น Unity Engine ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องมือของผู้พัฒนาอินดี้ เอาไว้สร้างเกมขนาดเล็กซะมากกว่า ในเรื่องของเสียง อาจสรุปรวม ๆ ได้ว่า “พอใช้” เท่านั้น แม้ว่าเพลงประกอบในเกมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่ได้มีเพลงใดน่าจดจำเป็นพิเศษเช่นกัน แถมตัวละครเพื่อนร่วมตี้ยังมักจะพูดแทรกกันไปมาไม่หยุดในระหว่างการต่อสู้ ราวกับคอยพากย์ตามการตัดสินใจทั้งหมดของผู้เล่นตลอดเวลา ซึ่งก็น่ารำคาญมากจนหลายครั้งผู้เขียนเลือกที่จะเล่นเกมแบบปิดเสียงไปเลยในระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยนอยู่หากจะมีข้อดีซักข้อที่เกิดจากการใช้กราฟิกลักษณะนี้ คือการที่เกมไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สเป๊คสูงในการเล่น ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนได้รีวิวเกมบนเครื่อง Laptop PC ที่มีการ์ดจอ RTX 3060 ซึ่งก็อาจเป็นสเป๊กที่ค่อนไปทางสูงอยู่บ้าง โดยสามารถรันเกมแบบปรับสุดทั้งหมดได้ที่เฟรมเรต 80-100 FPS คงที่แทบจะตลอดเวลา แม้จะเล่นติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ตามสรุปSoul Hackers 2 ยังคงเป็นเกม JRPG ที่ออกแบบมาได้ดี และมีเนื้อเรื่องกับตัวละครอันยอดเยี่ยมคอยเกื้อหนุนอยู่ แม้ว่าองค์กระกอบด้านการนำเสนอของเกมจะรู้สึกเป็นก้าวถอยหลังลงจากผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Atlus อย่างชัดเจน แต่เกมก็ยังดีพอจะมอบความเพลิดเพลินให้ชาว JRPG ตัวยงได้หลายสิบชั่วโมงสบาย ๆ
25 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Road 96 เกมเนื้อเรื่องน้ำดี ของเหล่าเยาวชนปลดแอก ที่ต้องการหนีจากประเทศที่ล่มจมเพราะผู้นำมันห่วย
คุ้น ๆ อยู่เหมือนกันกับพล็อตเรื่องที่มีผู้นำประเทศไม่ได้เรื่องมาบริหารจนเกิดความทุกข์ยากและโกลาหล แหม่ นึกไม่ออกเลยจริง ๆ นะ แต่ว่าไม่ต้องกังวลไปเพราะเกม Road 96 นี้จะมาช่วยเราให้เข้าถึงอารมณ์อันหลากหลายทั้ง ตื่นเต้น กดดัน สนุกสนาน ขำขัน เต็มอิ่มไปกับเนื้อเรื่องที่คุณเลือกเองRoad 96 เป็นเกมอินดี้แนวเนื้อเรื่องสำหรับเล่นคนเดียว พัฒนาโดยค่าย DigixArt วางขายในปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งจุดเด่นของเกมนี้อยู่ที่ระบบเกมเพลย์และเนื้อเรื่องซึ่งเราจะได้รับมุมมองเป็น ' วัยรุ่น ' ที่พยายามจะหลบหนีออกจากประเทศที่ชื่อว่า Petria ผ่านช่องทางเขตชายแดนบริเวณถนนสาย 96 เนื่องจากประเทศที่พวกเขาอยู่นั้นมันเละเทะและไร้ซึ่งความน่าอยู่อีกต่อไป เนื่องจากการโกงกิน กฎหมายอวยรัฐบาล และการไม่แยแสต่อประชาชนเกมเพลย์ไม่ซ้ำ เพราะจำไม่ได้สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมแนว Interactive บอกเลยว่าเกมนี้ตอบโจทย์คุณมาก แต่มันจะไม่เหมือนเกมโต้ตอบทั่วไปหรอกนะ เพราะนอกเหนือจากสิ่งที่เราเลือกคำตอบในเกมแล้ว พวกเนื้อเรื่อง ไอเทมที่จะได้รับ และบทบาทในการเล่นวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปของนั้นจะเป็นแบบสุ่ม ! ซึ่งเกมนี้สิ่งสำคัญ ๆ จะมีอยู่สองอย่างเลยคือเงิน ที่เอาไว้ใช้จับจ่ายซื้อของ ค่ารถ หรือติดส่วยเจ้าหน้าที่ในการพาข้ามชายแดน และพลังงานที่มีอยู่จำกัด จะลดมากน้อยพอใช้ก่อนที่เราจะสิ้นลมเหนื่อยตายไหม เราก็ต้องมาคำนวณคิดให้ดีกับระยะทางที่เหลืออยู่ตั้งแต่ต้นจนกว่าจะไปถึงเขตชายแดนว่าควรเดิน โบกติดรถชาวบ้าน ขึ้นแท็กซี่ หรือรถประจำทาง และเมื่อไปถึงชายแดนแล้วใช่ว่าจะจบนะ เพราะทางเลือกในการหนีมีการแลกเปลี่ยนและส่งผลไม่เหมือนกันอีกด้วย ! ( ทางหนีแต่ละทางนั้นใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น )ระบบเกมนั้นจะเน้นไปที่เน้นไปที่คุย ตอบ หาไอเทมและทางไปต่อ แต่ในระหว่างนี้เราก็อาจจะเจอเหตุการณ์ที่เปลี่ยนเกมเพลย์ไปเป็นแอ็กชันแทนเช่นวิ่งหลบกระสุน เล่นมินิเกมอาร์เคด หรือปาเงินใส่รถตำรวจที่กำลังไล่ล่าเรา ! ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เราไปเจอตัวละครในเนื้อเรื่องหลักทั้ง 8 ตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีนิสัย ความต้องการ และ ' อันตราย ' ที่แตกต่างกันออกไป และถ้าเราไม่ระวังในตรงนี้ เราก็อาจจะตายและต้องเริ่มใหม่ในทันทีเลยก็ได้ อะไรนะ ? คุณผู้อ่านกำลังคิดว่าถ้าตายก็แค่ออกเกม ออกบทเริ่มเล่นอีกรอบ ? ขอโทษด้วย ที่นี่เราไม่ทำกันเช่นนั้น เพราะตัวเกมจะบังคับอยู่สองทางเมื่อคุณเล่นเกมไปแล้ว หนึ่งคือยอมรับชะตากรรมและเล่นต่อ หรือสองกดรีเซตเกมเริ่มเล่นใหม่ทั้งหมด โดยแต่ละบทที่เราจะได้เริ่มเล่นก่อนหลังนั้นจะเป็นแบบสุ่ม ดังนั้นคุณจะไม่ได้เล่นแบบเดิมทุกรอบอย่างแน่นอนเนื้อเรื่องดี บารมีตัวละครหลักตามที่กล่าวมาในข้างต้นส่วนเกมเพลย์ว่าเราจะเป็นแค่วัยรุ่นทั่วไปที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยมีตัวละครหลัก ๆ อยู่ 8 ตัวมาเป็นผู้ดำเนินเรื่องและขยายคลายปมเรื่องราวการก่อการร้ายของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า Brigade ในปี 1986 ซึ่งว่ากันว่าพวกเขาระเบิดภูเขาหวังฆ่านายกคนปัจจุบันในระหว่างหาเสียง แต่ก็พลาดท่าและคร่าคนบริสุทธิ์ไปจำนวนมาก ส่งผลให้นายกริเริ่มเปลี่ยนแปลงประเทศจะให้เป็นแบบคอมมิวนิสต์หากเขายังสามารถดำรงตำแหน่งได้อีกรอบโดยไม่มี ' ความจริง ' หรือ ' ใคร ' มาแทรกแซงซึ่งแต่ละตัวละครที่กล่าวมาจะมีความแตกต่างกัน และมีรายชื่อดังนี้Zoe - สาววัยรุ่นหัวร้อน ที่ต้องการข้ามฟากชายแดนด้วยเหตุผลสำคัญบางอย่างJohn - ลุงร่างหมีใหญ่ ที่มีรถบรรทุกคู่ใจขับซิ่งไปบนทางด่วนตามเสียงหัวใจFanny - ตำรวจที่ดูจะมีความเป็นคนมากกว่าตำรวจทั้งประเทศ เธอกำลังออกตามหาเบาะแสกลุ่ม BrigadeAlex - เด็กน้อยยอดอัจฉริยะ ปากแซ่บ แต่มีปมเรื่องครอบครัวที่สูญหายไปSan & Mitch - โจรติงต๊องที่เป็นหนึ่งในนักสร้างคอนเทนต์เฮฮาของเกมSonya - นักข่าวสายเชียร์รัฐบาลปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีเหตุผลมากกว่านั้นJarod - ลุงชุดดำปริศนา ที่พกพาความเครียดให้ผู้เล่นทุกตัวล้วนแล้วมีปมเนื้อเรื่องที่ผู้เล่นต้องเข้าไปสัมผัสและซาบซึ้งเอาเองให้ถึง 100% เพื่อเข้าถึงความคิด ปม ประเด็นทั้งหมดในแต่ละตัวละครภาพอินดี้ แต่สื่อถึงอารมณ์ในส่วนของภาพเกม Road 96 นั้นไม่ได้มีความสมจริงเหมือนเกมระดับ AAA แต่ทว่าพวกเขาก็รังสรรค์ออกมาให้ถึงหัวจิตหัวใจผู้เล่นผ่านบทพูด เนื้อความ และการแสดงสีหน้าทางอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศสภาพแวดล้อม จึงสามารถกล่าวได้ว่าถึงแม้ภาพของเกมจะไม่ได้หวือหวา แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งนี้พวกฉากธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตัวเกมก็ยังปั้นออกมาได้ดี สวยงามในระดับหนึ่ง ไม่ได้เผางานจนรับไม่ได้แต่อย่างใดเพลงประกอบสุดเร้าใจและไม่น่าเบื่อตัวเกมนั้นจะมอบประสบการณ์เพลงระหว่างการเล่นให้เราเพลิน ๆ ฟังได้ทั้งวัน และพิเศษคือในระหว่างเกม เรามีโอกาสจะเจอพวกเทปเสียงที่เราสามารถเปิดใช้ฟังหรือเล่นได้ในระหว่างทาง เหมือนเป็นระบบเก็บของสะสมอย่างใดอย่างนั้น*คำเตือน* เพลงในเกมนี้บางเพลงไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของค่ายเกมอย่างเดียว แต่เป็นเพลงจากนักร้องที่ผู้พัฒนานำมาใช้ ดังนั้นหากใครจะสตรีมหรืออัดคลิปลงสื่อโซเชียลมีเดีย โปรดระวังตรงส่วนนี้ไว้ให้ดีความคุ้มค่าในราคาไม่เกินเบอร์เนื่องจากเกมนี้มีคุณภาพที่เรียกได้ว่าหากคุณได้เล่นเองกับมือแล้ว ประสบการณ์ชีวิตคุณจะได้รับความสุขไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวเชียว ดังนั้นตัวเกม Road 96 ที่เป็นเกมอินดี้ เนื้อเรื่องแจ่ม ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เราไม่ควรมองข้าม ! ดังนั้นจะช้าอยู่ไยเล่า รีบเข้าระบบ Game Pass ของ Xbox Gaming หรือจะคว้ากระเป๋าซื้อมาเล่น / ดองในคลังเกมได้เลยผ่านช่องทางแพลตฟอร์มรวมราคาดังนี้PlayStation 4 & 5 - ราคาประมาณ 700 บาทNintendo Switch - ราคาประมาณ 700 บาทXbox One, Xbox Series X&S - ราคา 339 บาทPC ( Steam ) - ราคา 396 บาท[ พิเศษ ] ในระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2022 เวลาเที่ยงคืนตัวเกม Road 96 ที่ขายบนร้านค้า Steam นั้นจะลดราคา 50% เหลือราคาแค่ 198 บาทเท่านั้น ! อย่าพลาดเชียว !
19 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Dorfromantik ฝึกสมองกับเกมต่อจิ๊กซอว์สร้างเมืองราคาย่อมเยาว์
Dorfromantik พัฒนาโดย Toukana Interactive ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2022 ผู้เขียนมีความชอบเกมแนวสร้างเมืองเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เลยอยากจะลองหาเกมสร้างเมืองแปลก ๆ เล่นดูบ้างครับ ด้วยคอนเซ็ปต์ของเกมนี้นั้นมันเป็นการสร้างเมืองแบบการต่อ Cell ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้เขียนสนใจและลองหยิบมาเล่นดู ผมอยากรู้ว่ามันจะสร้างความเพลิดเพลินให้ผมได้สักเท่าไหร่กันเชียว ใครกำลังลังเลที่จะซื้อลองมาอ่านรีวิวนี้กันก่อนครับนี่ไม่ใช่สิ่งที่วาดไว้ในหัวเลยแม้แต่น้อยบอกกันอย่างตรงไปตรงมาเลยครับ ว่ามันไม่ใช่เกมสร้างเมืองโดยทั่วไปอย่างที่ผู้เขียนได้จินตนาการเอาไว้ เกมนี้ถ้าเพื่อน ๆ คิดจะซื้อผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลบภาพจำเกมสร้างเมืองที่เราเคยรู้จักทิ้งไปให้สิ้นครับ เท่าที่ได้เล่นมันมานั้น จะให้ผู้เขียนเรียกเกมนี้ว่าเกมสร้างเมืองมันก็จะเคอะ ๆ เขิน ๆ ปากอยู่หน่อย ๆ เพราะมันไม่ใช่เกมสร้างเมืองครับ สำหรับตัวผู้เขียนมองว่ามันแค่มีธีมสร้างเมืองมาเป็นพรอพเฉย ๆ เท่านั้นเองเกมเพลย์ทั้งหมดทั้งมวลมันคือ Puzzle มาถึงเนื้อหาภายในตัวเกมกันบ้าง เกมนี้ไม่มีอะไรมากครับ มี 6 โหมดหลัก ๆ ได้แก่ Classic Mode, Creative Mode, Quick Mode, Hard Mode, Monthly Mode, และ Custom Mode ให้เราได้เล่นชาเลนจ์ตัวเองด้วยการทำคะแนน High Score ไปเรื่อย ๆ หรือถ้าใครอยากจะพิชิตคะแนนอันสูงเสียดฟ้า ของผู้เล่นที่ทำสถิติของเกมเอาไว้ก็ได้นะครับ ในเกมมีคะแนนแจ้งเอาไว้ ยกเว้นในส่วนของ Creative Mode ที่จะไม่มีคะแนนอะไรครับ สร้างเอาสวยเฉย ๆ ฮ่า ๆกฎกติกามารยาทและเงื่อนไขต่าง ๆ ในการเล่นเกมDorfromantik เป็นเกม Puzzle ในรูปของการวาง cell หรือพูดภาษาบ้าน ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ มันคือเกมพัซเซิล แบบสุ่มแผ่นต่าง ๆ มาต่อกัน แผ่นต่อมี 5 ชนิด ได้แก่ หมู่บ้าน, ฟาร์ม, ต้นไม้, น้ำ และรถไฟ มาต่อให้ครบตามจำนวนเงื่อนไข และเราจะได้ชิ้นส่วนเพิ่มขึ้นในเด็คของเราครับ (อารมณ์เหมือนจั่วไพ่เข้ากอง) ในการวางผังเมืองแต่ละช่องมันสุ่มมาให้ล้วน ๆ และต้องทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนมาวางเพิ่มเรื่อย ๆ จั่วหมดเด็คเมื่อไหร่คือเกมโอเวอร์ เหมือนการต่อโดมิโน่แบบมีเงื่อนไข ซึ่งเกมนี้เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้เขียนคิด ทำให้เกิดอาการหัวร้อนได้เล็กน้อยถึงปานกลาง วางผิดนิด ๆ หน่อย ๆ ชีวิตเปลี่ยนได้ทันที เพราะยิ่งเล่นยิ่งยากเพราะถ้าวางผิดเราจะไม่ได้ชิ้นส่วนเพิ่ม ในตอนหลัง ๆ ของเกมเงื่อนไขที่เกมให้เราทำก็หนักข้อขึ้นจากช่วงแรก ๆ เริ่มเกมมาต่อบ้าน 4-5 หลัง ชิล ๆ ช่วงหลัง ๆ นี่ล่อไป 250+ หันไปดูคุณพระ! การ์ดในเด็คจะหมดแล้ว ก็นั่นแหละครับปิดตำนานนักต่อเมืองด้วย Score อันน้อยนิด แล้วมันจะไปชนะที่ 1 ของเกมได้ยังไงก่อน ฮ่า ๆ ระบบต่าง ๆ ของเกมนี้กราฟิก - มีภาพ 3D น่ารักครับ สีสันสดใสมาก ๆ เพราะผู้เขียนก็โดนดึงดูดมาด้วยภาพอีกเช่นเคย อะไร Cute Cute นี่ไม่เคยพลาด ชอบรึเปล่าไม่รู้กดมาลองดูก่อน ฮ่า ๆ ใช้พื้นที่ในเครื่องของเราเพียง 574.87MB เครื่องไม่ต้องระดับใช้ชุดน้ำก็เล่นได้ครับการควบคุม - เข้าใจง่ายครับ มีให้เลือกใช้ 2 ฟังก์ชั่นกันไปเลยทั้งเม้าส์และคีย์บอร์ด ใครสะดวกหรือถนัดแบบไหนก็ใช้แบบนั้น การบังคับทิศทางอะไรต่าง ๆ ก็เหมือนกับเกมอื่น ๆ ครับ ใช้ W, A, S, D หรือจะใช้คลิ๊กซ้ายค้างเอาไว้แล้วลากซ้ายขวาขึ้นบนก็ได้เช่นกัน ในเกมมีโหมด Toturial สอนใช้งานการควบคุมครับToturial - มีโหมดสอนแยกให้เราเข้าไปเรียนรู้ได้ตลอดเวลาครับ ผมว่าดีนะกลับมาเรียนรู้ได้ตลอด (แต่ตัวผู้เขียนชอบระบบที่มันแทรกอยู่ในเกมมากกว่า) มีสอนกติกาการเล่นเกมต่าง ๆ ว่าควรต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังไง สอนระบบเควส และสอนใช้ปุ่มต่าง ๆ ในเกมครับ เพื่อน ๆ สามารถมาเรียนรู้ระบบต่าง ๆ ได้ในโหมดนี้ครับสรุปเกมนี้มันก็ไม่มีอะไรมาก มันมีแค่นี้เลย แค่ที่ผมเล่ามาจริง ๆ ครับ ทุกโหมดก็เล่นคล้าย ๆ กันหรือแทบจะเหมือนกันเลย พอชิ้นส่วนหมดเด็ค เกมก็จบ จบแล้วก็เล่นใหม่ วนมันไปเรื่อย ๆ ทำ High Score ไปเรื่อย ๆ อยู่ในวังวนเดิม ๆ อย่างกับคนมูฟออนไม่ได้ ฮ่า ๆ สำหรับตัวผู้เขียนเพลินครับในช่วงแรก แต่ว่าความที่คาดหวังไว้ว่ามันจะเป็นเกมสร้างเมืองอย่าง Foundation แต่มันดันไม่ใช่เกมแนวที่ผู้เขียนคิดไงครับ เล่นไปซักพักใหญ่ ๆ ผมก็รู้สึกตันกับมันแล้วครับ แล้วก็มานั่งคิดว่าทำไมต้องมานั่งทำอะไรเดิม ๆ ด้วยเนี่ย (2 Hours Later....ยังเล่นอยู่ครับ ฮ่า ๆ ๆ)แต่ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ ชอบเล่นแนวชาเลนจ์ทำลายสถิติทั้งของตัวเองและผู้อื่น ผู้เขียนมองว่าซื้อเลยครับ ผมมองว่ามันสนุกแน่ ๆ สำหรับคนที่ชอบแนวนี้ เพราะถึงตัวผู้เขียนจะเล่นแล้วเบื่อ เพราะผู้เขียนไม่ชอบเล่นเกมที่มันวน ๆ ทำลายสถิติ แม้ว่าผมไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ใช่เกมที่ไม่ดีนะครับ แค่มันไม่ถูกกับจริตของผมเฉย ๆ เท่านั้นเอง ถ้าใครชอบผมบอกเลยว่ายังไงก็ควรซื้อครับ เกมดีนะขนาดว่าผมไม่อินผมยังเล่นลืมเวลาไปตั้ง 2 ชั่วโมง (เพราะผมจะมากดรีฟันด์แต่มันทำไม่ได้แล้วครับ เพลินไปหน่อย ฮ่า ๆ) ราคาเกมนี้ไม่แพงและภาพน่ารักสีสันสดใส แถมมีเพลงซาวด์แทร็กในเกมที่ให้ความเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ราคา 229 บาทเท่านั้นเอง ไปตำกันได้เลยครับใน Steamสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1455840/Dorfromantik/
18 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Cult of the Lamb "สุดยอดเกมอินดี้แห่งปี! ร่างกายและชีวี ขอพลีให้ลัทธิน้อนแกะ!"
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในทุก ๆ ครั้งที่ทาง Devolver Digital ประกาศเปิดตัวเกมใหม่ ๆ เราอดไม่ได้ที่จะว้าวกับแนวคิดและไอเดียของเกมนั้น ๆ และนี่คือ Cult of the Lamb ผลงานเกมตัวใหม่ล่าสุดจากทางผู้พัฒนา Massive Monster ที่เพิ่งทำผลงานเกมของตัวเองออกมาได้ไม่กี่เกมเท่านั้น แต่ผลงานใหม่ของพวกเขาก็ปังจนเข้าตา Devolver จนได้ แล้วเพราะอะไรมันถึงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ วันนี้มาหาคำตอบกันได้กับรีวิว Cult of the Lamb ของเรากันเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าแกะน้อยตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกสังเวยโดยฝีมือของสี่สังฆราช แต่หลังจากที่เจ้าแกะน้อยคิดว่าตัวเองต้องดับดิ้นสิ้นชีพ เขากลับพบว่าตัวเองโผล่มาอีกมิติหนึ่ง และที่นี่เอง เขาได้พบกับ "ผู้รอคอย" (The One Who Waits) ผู้รอคอยยื่นข้อเสนอที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่จะต้องทำหน้าที่เหมือนกับร่างทรงของผู้รอคอย รับฟังคำบัญชา และก่อตั้งลัทธิขึ้นมา เพื่อกลับไปล้างแค้นสี่สังฆราชนั้น เราจะได้รับมงกุฎแดง ที่มีพลังอำนาจลึกลับของผู้รอคอย ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ จากนั้นเริ่มก่อตั้งลัทธิเตรียมรอวันล้างแค้น อันเป็นที่มาของลัทธิแกะจอมมารที่มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง และเราจะได้รับความช่วยเหลือจาก Ratau หนูป่าที่บอกว่าตัวเองเคยเป็นร่างทรงให้กับผู้รอคอยมาก่อนต้องบอกว่าไม่ใช่เนื้อเรื่องสดใหม่อะไร แต่การนำเสนอของมันนี่แหละที่ทำเอาน่าติดตาม เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่คิดอยากจะจับเอาสัตว์น้อยน่ารักอย่างเจ้าแกะ มาเป็นร่างทรงให้กับจอมมารเป็นแน่แท้ ทำให้ความแปลกใหม่ของเนื้อเรื่องนี้ยังถือว่าน่าติดตามอยู่บ้าง แต่การนำเสนอเรื่องราวของเกมนี้ ก็จะนำเสนอผ่าน Text และตัวอักษรล้วน ๆ อาจจะมีคัทซีนให้เห็นบ้าง แต่การจะเข้าใจฉากต่าง ๆ ได้ก็ต้องอาศัยการอ่านล้วน ๆ อยู่ดี ดังนั้นเกมนี้ใครอยากเสพเนื้อเรื่องก็ต้องเก่งภาษากันหน่อย และผู้เขียนแนะนำว่า ไม่ควรกดข้ามอย่างแรก เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์บางอย่าง รวมไปถึงเราอาจจะบริหารจัดการลัทธิของเราได้ไม่ดี ตามคำร้องขอของพวกสาวก ที่เรากำลังจะอธิบายกันในหัวข้อถัดไประบบเกมเพลย์สองแบบ ที่เหมือนจะเป็นคนละขั้ว แต่ลงตัวขั้นสุดCult of the Lamb เป็นเกมที่เรียกได้ว่ามีสองแนวผสมผสานกันอยู่ในเกมเดียว อย่างแรกเกมนี้เป็นเกมแนว Dungeon Brawler แบบ Roguelite ที่เราจะได้พาเจ้าแกะน้อยออกถล่มฝูงศัตรูในพื้นที่ปิด และมีหลากหลายเส้นทางที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ใครที่เคยเล่นเกมจำพวก Roguelite เยอะ ๆ จะสามารถทำความเข้าใจกับระบบนี้ได้ไม่ยาก แต่อีกส่วนของเกมนี้คือ ส่วนของการบริหารจัดการที่เรียกได้ว่าเป็นเกมแนว Management Simulation อย่างเต็มรูปแบบ ที่เราจะต้องบริหารจัดการเหล่าสาวก และพื้นที่ต่าง ๆ ในลัทธิของเรา ราวกับเป็นเกมสร้างเมือง ซึ่งระบบเหล่านี้จะกลมกลืนไปกับการปลดล็อค การอัปเกรดต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียนเรามาเริ่มกันที่ระบบบริหารจัดการกันก่อน เราจะได้รับพื้นที่สร้างลัทธิ ซึ่งเป็นเหมือนกับ Hub ศูนย์กลางของตัวเกมทั้งหมด ที่นี่เราจะเลือกได้ว่าจะทำอะไรกับลัทธิของเราบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการรับสาวกใหม่เข้ามา (ได้จากการออกไปผจญภัยต่อสู้) ซึ่งเหล่าสาวกนี้ เราสามารถออกแบบ ตั้งชื่อ ดีไซน์ได้เต็มที่ และที่สำคัญคือสาวกแต่ละคนจะมาพร้อมกับ Traits หรือคุณลักษณะติดตัวที่ทั้งดีและแย่ หรือบางตัวอาจจะดีหมด หรือแย่หมดเลยก็ได้ ดังนั้นก่อนรับสาวกเข้ามาในลัทธิต้องดูให้ดีก่อน ว่าเอาเข้ามาแล้วจะดีขึ้นหรือหายนะกว่าเดิม บางตัวหากสาวกตายก็จะสูญเสียศรัทธาไป หรือบางตัวก็อาจจะมีความสามารถในแง่ดี เช่นยิ่งสาวกเยอะยิ่งดี หรือถ้าเราดำเนินงานด้านลัทธิไปในทางที่ดี พวกเขาก็จะมีความสุข เป็นต้นเราสามารถที่จะสั่งการสาวกของเราได้ ว่าระหว่างที่เราออกไปลุยนี้ เราจะให้พวกสาวกทำอะไร ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าระหว่างที่คุณออกไปสู้แล้ว ลัทธิคุณจะไม่เจริญเติบโต แต่ก็นั่นแหละ การที่ลัทธิของเรารันกิจการไปเรื่อย ๆ ทำให้มันจะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารับสมาชิกลัทธิเข้ามา เราก็ต้องจัดหาเตียงนอนให้เพียงพอกับสมาชิกด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะมีการร้องเรียนหรือสูญเสียศรัทธาเกิดขึ้นได้ หรือการทำอาหาร ถ้าทำแต่อาหารคุณภาพห่วยออกมา ก็จะโดนติติงได้เช่นกัน ในทางกลับกัน ระหว่างออกต่อสู้ เราสามารถออกคำสั่งให้สาวกแต่ละคนของเราทำงานได้ เช่นไปตัดไม้ เก็บพืชผล หรือเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อย และสิ่งสำคัญเลยคือการสวดบูชา การสวดบูชาจะทำให้เราได้ไอเทมความจงรักภักดี ซึ่งจะทำให้เราปลดล็อคสิ่งปลูกสร้างและของใหม่ ๆ ได้ ยิ่งเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็อาจจะมอบงานให้สาวกทำได้มากขึ้นไปอีกต่างหาก  ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เล่นก็ต้องบริหารและจัดการให้ดีในขณะที่เราออกไปต่อสู้ นอกจากนั้นยังมีระบบการจัดการต่าง ๆ เช่นการเผยแพร่หลักธรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดแนวทางเลยว่า ลัทธิของเราจะมีรูปแบบการดำเนินการไปในแนวทางใด เช่น เพิ่มศรัทธาด้วยการทำความดี หรือสังเวยสาวกที่ตายไปเป็นเครื่องบูชายัญ สร้างความหวั่นผวาและยำเกรงให้กับเหล่าสาวก และปลดล็อคอาวุธ และคำสาปใหม่ ๆ ได้ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพื้นที่เปิดกว้างให้เราได้ออกไปสำรวจ มีการตกปลา หาของ หาวัตถุดิบใหม่ ๆ มาทำอาหาร เพราะอาหารบางชนิดจะฟื้นฟูค่าพลังได้ก็จริง แต่ถ้าเป็ฯอาหารเกรดต่ำ อาจจะทำให้ติดดีบัฟที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรตามมาด้วยการบริหารจัดการสาวกของเราก็มีความสำคัญ นอกจากจะต้องดูแลสวัสดิการ อาหารการกินการอยู่แล้ว เรายังสามารถเข้าไปพูดคุยกับเหล่าสาวกแบบตัวต่อตัวได้ เพื่อรับฟังคำขอ มอบของขวัญ หรือเผยแพร่หลักคำสอนให้โดยตรง เพื่อให้สาวกคนนั้นมีความศรัทธาและจงรักภักดีต่อลัทธิของเรามากขึ้นได้อีกต่างหาก แน่นอนว่าการเป็นเจ้าลัทธิ จะให้มีแต่เรื่องดี ๆ มีคนรักมีคนชอบก็ใช่เรื่อง เพราะหากเราปล่อยให้ค่าความศรัทธาลดต่ำลงขึ้นมา สาวกของเราบางคนอาจจะเริ่มก่อหวอด ซุบซิบนินทา แพร่ข่าวมั่ว จนเราเริ่มโดนก่อกบฎ ซึ่งเราจะแก้ปัญหาด้วยวิธีละมุนละม่อม อย่างการค่อย ๆ พูดคุย ปรับความเข้าใจ หรือจะเดินทางสายดาร์ค จับขังคุกให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือเชือดทิ้งซะเลยก็ยังได้ เห็นภาพน่าัรก ๆ แบบนี้ วิธีโหดก็โหดได้ใจจริง ๆเรียกได้ว่าการออกแบบเกมนี้ในส่วนของ Management และการสร้างลัทธินั้น ไม่ได้ใส่มาเล่น ๆ เลย ดีไม่ดีการบริหารจัดนี้อาจจะยากกว่าระบบการต่อสู้ด้วยซ้ำ แต่ช้าก่อน.. ถ้าเราบอกว่าระบบการต่อสู้เองก็เข้มข้นไม่แพ้กัน และตึงมือไม่แพ้กันด้วยล่ะ..ระบบการต่อสู้ที่ต้องแข่งกับเวลา ตึงมือ แชะเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการแม้ว่าเกมเพลย์การเล่นในส่วนของการต่อสู้ อาจจะไม่ยากแบบ Soulsborne หรือเกมอื่น ๆ แต่เพราะมันผูกระบบการต่อสู้ไว้กับระบบริหารจัดการลัทธิไว้ได้อย่างแนบเนียน และการออกแบบศัตรูมาอย่างดี ทำให้เรารู้สึกว่า นี่คือสมดุลของตัวเกมอย่างแท้จริง และทีมพัฒนาเกมชาญฉลาดอย่างมาก ที่จะหาจุดลงตัวให้กับสองระบบนี้สำหรับเกมเพลย์การเล่นในส่วนของการต่อสู้นั้นจะเหมือนกับเกม Action Roguelite ทั่วไป ทุก ๆ การเริ่มใหม่คือการสุ่มใหม่ทุกครั้ง เราจะได้รับ Starter Weapon และ Skill ที่ต่างกัน แต่มันจะยิ่งดีขึ้นทุกครั้งที่เราอัปเกรดลัทธิของเราให้สูงขึ้น เส้นทางจะมีทั้งหมดหลากหลายเส้นทาง ทั้งในเส้นทางหลัก และเส้นทางย่อยที่เราเล่นตะลุยด่าน เราสามารถออกสำรวจทุกห้องจนครบได้ ก็จะมีโอกาสได้รับไอเทมและทรัพยากรที่เยอะขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่มากพอสมควร เพราะเกมนี้ยาฟื้นพลังเป็นสิ่งที่หาได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน อาวุธของเราจะแบ่งสเตตัสออกเป็นพลังโจมตีและความเร็ว และเราสามารถกลิ้งหลบการโจมตีต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงมีความสามารถในการใช้ท่าพิเศษที่จะต้องเก็บพลังศัตรูมาใช้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้มันยาก เพราะระหว่างที่เราออกไปต่อสู้อยู่นั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ในลัทธิของเราก็จะดำเนินต่อไปไม่มีหยุด สมมติคุณกำลังออกมาสู้รบอยู่ แต่ปรากฎว่าถึงเวลาเข้านอนของชาวลัทธิแล้ว เตียงพัง สาวกไม่มีพื้นที่นอน ก็จะนอนพื้นพร้อมกับตื่นมาบ่นโอดว่ามันไม่สบายหลังเอาซะเลย หรือที่หนักกว่านั้น บอสใหญ่สังฆราช ก็จะไปจับสาวกเรามาทรมาน เช่นดึงความหิวออกจากตัว ทำให้ท้องว่างกันเป็นแถบ ๆ ลำบากเราที่ร้องรีบเคลียร์ดันเจี้ยนออกไปกอบกู้สถานการณ์ถือว่าทีมพัฒนาเกมนั้น ฉลาดมาก ๆ ในการผูกสองระบบนี้เข้าไว้ด้วยกัน เพราะแม้การต่อสู้จะไม่ยาก แต่ถ้าเกิดสถานการณ์สุ่มแบบที่ว่าไปขึ้นมา เกมจะตึงขึ้นมาทันที และความรีบเร่งจะจบดันเจี้ยนออกไปช่วยลัทธิก็อาจจะทำให้เราพลาดท่าตายเอาได้ง่าย ๆ โชคดีที่บทลงโทษการตายของเกมนี้ ไม่โหดนัก อย่างมากก็เริ่มใหม่ แต่ทรัพยากรระหว่างทางที่เราเก็บมาได้ จะถูกหักเปอร์เซนต์ออกไปแทน ส่วนทรัพยากรที่ได้มาเช่นไม้ หิน อาหาร กระดูก ก็เอาไปทำอย่างอื่นตามที่เกมกำหนด ด้วยความที่เป็นเกม Roguelite เราจะสามารถเลือกเส้นทางไปต่อข้างหน้าได้ โดยเราจะเห็นเลยว่าเส้นทางที่เรากำลังจะไปต่อนี้ เราจะได้อะไรเป็นรางวัล อาจจะมีการปลดล็อคสาวกเพิ่มระหว่างทาง ได้ทรัพยากร หรือแม้แต่ระบบไพ่ทาโรต์ที่จะช่วยให้เราต่อสู้ได้ง่ายดายและสะดวกมากยิ่งขึ้นได้และการออกแบบศัตรูก็ถือว่าแสบใช้ได้ ย้ำกันอีกรอบว่ามันไม่ใช่เกมยาก แต่ด้วยการออกแบบสถานการณ์ทำให้เรารู้สึกว่าศัตรูตัวนี้แม้มันจะไม่มีอะไรมาก แต่มันช่างน่ารำคาญอย่างเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลารีบ ๆ จะจบเกม มันทั้งหลบหลีกเป็น รุมเป็น มีท่าพิเศษที่ถ้าหากเราโดนโจมตีขึ้นมาก็ถือว่าเจ็บเอาเรื่อง และเสียเวลาอีกต่างหาก  ฟังดูเหมือนเกมจะเน้นหนักไปที่การบริหารจัดการ แต่สำหรับคนที่ได้เล่นเอง จะรู้ได้ทันทีว่า Cult of the Lamb เป็นเกมที่ผสมผสานเอาแนวเกมบริหารจัดการกับการต่อสู้มาผสมผสานไว้ด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยมแบบหาเกมทำได้ยากมากจริง ๆอาจจะหาว่าอวยจนเกินไปหน่อย แต่บอกตรง ๆ ว่าตลอดเวลาการเล่นของเกมนี้ ผู้เขียนไม่สามารถหาข้อเสีย หรือข้อตำหนิใด ๆ ให้ตัวเกมได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่ตัวเกมนั้น โดดเด่นในด้านกราฟิกแบบ 2D และบั๊กรวมไปถึงการแสดงผลที่แทบไม่เจอเลยตลอดการเล่น ดังนั้นผู้เขียนจะแปลกใจมาก หาก Cult of the Lamb ไม่ได้เข้าชิงรางวัลเกมอะไรเลยสักสาขาในปีนี้ แต่ก็นั่นแหละ นี่เป็นเพียงความชอบมาก ๆ ส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น อาจจะมีคนที่เจอบั๊ก หรือข้อเสียของเกมเพลย์การเล่นก็ได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว นี่คือหนึ่งในเกมโปรดประจำปี 2022 นี้เลยทีเดียว
18 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Lost in Play สองศรีพี่น้อง ผจัญภัยโลกแห่งความฝัน กับการเดินทางอันอบอุ่นหัวใจ
Lost in Play ถูกพัฒนาโดย Happy Juice Games จับมือกับ Joystick Ventures ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2022 ที่ผ่านมาครับ ผู้เขียนจด ๆ จ้อง ๆ กับเกมนี้อยู่สักพัก และแพ้ให้กับงานอาร์ตของเกมนี้ครับ ด้วยที่ว่ามันน่ารักและเหมือนได้ดูการ์ตูนแอนิเมชั่นยาว ๆ 5 ชั่วโมง เลยตัดสินใจกดซื้อมาเล่นเพราะอยากจะรู้ว่าเนื้อหามันเป็นยังไงมี Puzzle หรือมินิเกมอะไรให้ทำบ้าง เดี๋ยววันนี้ผมจะมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่าที่ผมได้เล่นมันมานั้น เกมนี้มันบันเทิงและทำให้ผมปวดสมองขนาดไหนงั้นตามมาเลยครับ มาอ่านรีวิวกานนนนนเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการไขปริศนาชวนฝันเกมเพลย์ - ดินแดนความฝันในโลกจินตนาการของสองศรีพี่น้องใน Lost in Play นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับมากมายครับ เกมเริ่มเล่าเรื่องมาจากโลกในความฝันของน้องสาว ตัดกลับไปกลับมาบนโลกแห่งความจริงและผสมโรงเข้ากับจินตนาการอันสุดล้ำของพี่ชาย น้อง ๆ ทั้งสองคนหลงทางในโลกจินตนาการและกำลังช่วยกันหาทางกลับบ้าน จึงทำให้เราคนเล่นได้เริ่มต้นแก้ปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ตลอดเวลา เริ่มต้นกันตั้งแต่ปริศนาระดับอนุบาลไปจนถึงระดับที่อาจจะทำให้เราปวดกระบาลได้เลย ฮ่า ๆ นอกจากปริศนาที่มีให้เราแก้แล้วนั้น เกมนี้ยังมีมินิเกมให้เราเล่นเพื่อแข่งขันกับตัวละครต่าง ๆ ในเกมด้วย เกมจะดำเนินไปเป็นเส้นตรงตามเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนแต่อย่างใดครับ จะซับซ้อนก็ตรงปริศนากับมินิเกมนี่แหละที่หัวจะปวด ฮ่า ๆPuzzle - เกมนี้การเล่นเกมหลัก ๆ จะดำเนินเรื่องราวต่าง ๆ จากการแก้ปริศนาและการเล่นมินิเกมครับ ใช้ระบบ Point & Click เอาเม้าส์จิ้ม ๆ ชี้ ๆ ผสมนั่น นู่น นี่ ไปเรื่อย ๆ ปริศนาต่าง ๆ มีให้เล่นเยอะมาก ๆ มีง่ายมียากสลับกันไป อาทิเช่น การท้าทายนางนวลโจรสลัดในเกมจับปู, เสิร์ฟชาวิเศษให้กับขุนนางคางคก, และรวบรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างเครื่องบิน แก้ปริศนาต่าง ๆ ครบเมื่อไหร่เราถึงจะสามารถผ่านไปเล่นฉากต่อไปได้ครับ ถ้าหัวสมองเราไม่สามารถประมวลผลได้อีกต่อไปแล้ว เกมมี Hint (ตัวช่วย) อยู่ที่มุมซ้ายบนครับ กดขอความช่วยเหลือเซฟสมองเราได้ตลอดเวลา ฮ่า ๆ ๆปลุกจินตนาการให้โลดแล่นกราฟิก - คือบอกเลยครับน่ารักมาก ๆ เหมือนได้นั่งดูแอนิเมชั่นยาว ๆ ชิล ๆ กับภาพการ์ตูนแนว 2D ที่เคยดูผ่าน Cartoon Network ในตอนที่ผู้เขียนยังเด็ก ถึงแม้ว่าตัวการ์ตูนในเกมจะใช้ภาษา กากาตาบี้ กูกูตาลู ที่ผู้เขียนไม่อาจจะเดาได้เลยว่าน้อง ๆ พูดภาษาอะไร ฮ่า ๆ เพราะไม่มีซับครับ แต่เราสามารถสังเกตท่าทางภาษากายของน้อง ๆ ได้ครับว่าต้องการสื่อสารอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นเกมนี้ไม่มีกำแพงด้านภาษาแน่นอน ผมฟันธง! ดีไซน์ของด่าน ฉากต่าง ๆ และคัดซีนคือดีงามจัด ๆ ใช้พื้นที่ในการลงเกมแค่เศษเสี้ยวของ HDD หรือ SSD 1.31GB เท่านั้นเอง และเครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับระบบควบคุม - เกมนี้จะมีให้เราเลือกได้ว่าเราถนัดการใช้อะไรในการเล่นไม่ว่าจะเป็น จอย, คีย์บอร์ด, หรือเมาส์ เลือกเอาได้ตามความชอบเลยครับ แต่ตัวเกมจะแนะนำให้เราใช้จอยในการเล่น อาจจะอยากให้ผู้เล่นอย่างเราเสพย์เนื้อเรื่องได้อย่างรีแล็กซ์ที่สุด ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเรื่องการใช้จอยนะครับอารมณ์ได้นอนเล่นเกมสบาย ๆ เบา ๆ เหมือนดูการ์ตูนครับ ฮ่า ๆ ในเกมการบังคับช่วงแรก ๆ จะมีสอนการใช้งานครับ อย่างเช่น ผมเลือกใช้เมาส์ผมจะสามารถกดคลิ๊กเพื่อให้น้อง ๆ เดินหน้าหรือถอยหลังได้ ส่วนถ้าใครใช้คีย์บอร์ดก็จะเป็น W, A, S, D ไม่มีการบังคับอะไรที่ซับซ้อนหลัก ๆ ใช้แค่เมาส์ไว้คอยชี้ ๆ จิ้ม ๆ กับกดเดินเท่านั้นเลยครับUI - ใช้งานง่าย ไอเทมต่าง ๆ ที่น้อง ๆ เก็บตามทาง หรือตามฉากเพื่อมาทำเควสจะเข้ากระเป๋าของน้องในเกมมุมขวาบนครับ พอเก็บครบแล้วถ้าเป็นของที่ต้องใช้จำนวนเยอะ ๆ ตัวเกมจะผสมให้เราในกระเป๋าเลยครับ แล้วสามารถลากของสิ่งนั้นไป Interact กับสิ่งของในฉากเพื่อแก้ปริศนาได้ครับ ตรงไหนมี Puzzle ที่อยู่ในฉากก็ดูไม่ยาก สังเกตจาก Cursor ของเม้าส์จะเปลี่ยนไปอย่างสังเกตได้ครับ และเราจะรู้ได้ทันทีว่าตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งใน Puzzle ส่วนภาษาไทยหรือภาษาต่าง ๆ จะมีแค่ในส่วน User Interface สำหรับการใช้เมนูต่าง ๆ เท่านั้นครับ ไม่มีซับหรือพากย์ไทยภาษาที่น้อง ๆ ในเกมพูดตัวผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นภาษาที่ผู้พัฒนาสร้างขึ้นมาเองครับ และบางเมนูถ้าเปลี่ยนเป็นภาษาไทยอาจจะยังเจอบัคภาษาต่างดาวอยู่บ้างแต่ไม่มีเป็นปัญหาในการเล่นเกมแต่อย่างใดครับสรุปเป็นเกมแนวพัสเซิลเรื่องวุ่น ๆ ของวัยรุ่นฟันน้ำนม พอยแอนด์คลิ๊ก แนวน่ารัก สดใส เรื่องราวจินตนาการของสองพี่น้องชิ๊พแอนด์เดล (ไม่ใช่เรื่องน้านนนน) อะ อะ ขอโทษ ๆ เอาใหม่ ๆ เป็นเรื่องราวจินตนาการของสองพี่น้องที่เราไม่รู้จักชื่อของน้อง ๆ ด้วยซ้ำ การดีไซน์ฉาก ด่าน ปริศนา มินิเกมต่าง ๆ และคัดซีนคือสร้างความประทับใจให้ผู้เขียนเป็นอย่างมาก ยอมรับเลยครับว่าตอนที่กดซื้อมาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีต่อใจขนาดนี้ ใครชอบภาพแนวนี้ผู้เขียนบอกเลยครับว่าห้ามพลาด กดสั่งซื้อได้ราคาเบา ๆ 289 บาท ใน Steam ถึงแม้เราจะไม่รู้เลยว่าน้อง ๆ ทั้งสองคนในเกมนั้นพูดภาษาอะไร หรือน้องอาจจะมีภาษาของตัวเอง แต่ท่าทางต่าง ๆ ที่น้องสื่อสารกับเรานั้นไม่ต้องกลัวเลยครับว่าเราจะเล่นเกมนี้ไม่ได้ ผมรับประกันเลยว่าเราจะเข้าใจเนื้อเรื่องที่เกมต้องการจะสื่อ และความต้องการของน้อง ๆ อย่างแน่นอน ด้วยภาพสไตล์การ์ตูนแอนิเมชั่นทำให้เกมนี้สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย เนื้อเรื่องที่โคตรดีและเกมเพลย์ที่สนุก ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ จะตกหลุมรักเกมนี้อย่างแน่นอนครับเกมนี้ทำให้ผู้เขียนได้คิดถึงจินตนาการอันสุดล้ำในวัยเด็กมาก ๆ ครับ แค่ชิงช้าตัวเดียวผมกับเพื่อนสมัยอนุบาลสามารถสร้างเรื่องราวต่าง ๆ ในการละเล่นได้มากมายเหลือเกิน บางอย่างเราก็ลืมเลือนมันไปแล้ว พอโตมาการจะมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนตัวผมในตอนนั้นมันช่างยากเย็น บางทีผมก็แอบอิจฉาเด็กคนนั้นในตอนนั้นที่ไม่ต้องแบกอะไรเอาไว้ในใจเลย เกมนี้ทำให้ผมได้เห็นว่าเรามีเด็กคนนั้นอยู่ในส่วนนึงของจิตใจเราเสมอ แต่เราลืมเอาเขาออกมาช่วยตักตวงความสุขของเรา ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน ถือว่ามันเป็นเกมที่เตือนใจเราในเรื่องความรู้สึกที่ถูกหลงลืมได้ดีที่เดียวเชียวครับกับ Lost in Playสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1328840/Lost_in_Play/?l=thai
16 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Travellers Rest "เกมจำลองโรงเตี๊ยมอารมณ์ดี ไว้เป็นที่พักใจให้นักเดินทาง"
Travellers Rest เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2020 ซึ่งวางขายมาพักใหญ่ ๆ แล้วนะครับ ถูกพัฒนาโดย Isolated Games ผู้เขียนสนใจเกมนี้เพราะภาพของเกมนั้นไปคล้ายเกมดังอย่าง Stardew Valley และมันลดราคาอยู่พอดี เลยกดซื้อแบบไม่ได้คิดอะไรมากเพราะอยากเล่นแล้วเอามารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ ว่าเกมนี้มันเป็นเกมแนวไหนกันแน่จากโรงเบียร์เล็ก ๆ สู่โรงเตี๊ยมก่อนเล่นนั้นผู้เขียนคิดว่า เกมนี้จะเป็น Stardew Valley แบบบริหารโรงแรมครับ แต่พอเล่นจริง ๆ สเกลของเกมมันเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ๆ เกมนี้ไม่ใช่เกมที่เราต้องมาทำไร่ปลูกผักจริงจังอะไรขนาดนั้น และไม่มีพื้นที่อื่น ๆ ในแมพนอกจากบริเวณโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงของเราครับ เกมนี้เราสามารถเลือกเพศและสร้างตัวละครเจ้าของร้านของเราตบแต่งได้เท่าที่เกมมีมาให้ ซึ่งมันไม่ได้เยอะอะไรมากมายครับ หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยใช่ไหมครับว่าโรงเตี๊ยมคืออะไร มันก็คือโรงแรมเล็ก ๆ ที่มีการขายเหล้าและอาหารครับ เหมือนในหนังจีน หรือในหนังคาวบอยต่าง ๆ ในเกมนี้เราก็ต้องมาบริหารโรงแรมหรือบาร์ที่มีลักษณะแบบที่ผู้เขียนได้กล่าวมาครับ เกมเพลย์ - เราจะรับบทเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีหน้าที่บริหารโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ตัวเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องบอกอะไรทั้งนั้น ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร มาจากไหน พอมาถึงตัวเกมจะมีเควสคอยสอนเราเล่นครับ เริ่มต้นก็วางโต๊ะ เก้าอี้ ว่าตรงไหนวางได้ไม่ได้, ฝึกฝนการใช้บาร์ว่าจะดูของเหลืออะไรเท่าไหร่ยังไง, ฝึกเสิร์ฟเบียร์และอาหาร, ฝึกตบแต่งร้าน และอื่น ๆ อีกมากมายดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามเกมเพลย์ของเราครับ เกมจะวนลูปอยู่กับสิ่งเดิม ๆ เราจะมีอาหารเริ่มต้นมาให้ซึ่งเราไม่ต้องคราฟท์อะไรตัวเกมมีให้เลย 1 อย่างครับ นอกนั้นถ้าจะขายอย่างอื่นเราต้องคราฟท์ได้ก่อน เกมนี้อาศัยค่า Reputation (ค่าชื่อเสียง) ในการปลดล็อคสิ่งต่าง ๆ หรือโหมดต่าง ๆ ครับ ปลดล็อคไปเรื่อย ๆ หลัง ๆ ก็จะมีในส่วนของโรงแรมและการทำอาหารหรือการคราฟท์เบียร์เพิ่มเข้ามา ตัวเกมไม่มีไรมาก ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าร้านจะตันครับ หรือถ้าใจเราจะตันไปก่อนก็เลิกได้เลยเหมือนกัน ฮ่า ๆReputation (ค่าชื่อเสียง) - ส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการเล่นเกมนี้เลยครับ ถ้าเราไม่มีในส่วนนี้ผมบอกเลยว่าโรงเตี๊ยมของเราจะไม่ก้าวหน้าไปไหน การจะได้ ค่าชื่อเสียง เราต้องตบแต่งร้านให้สวยงามครับ และถ้าอากาศเย็นเราต้องจุดเตาผิงให้ลูกค้าของเราด้วย ไม่งั้นค่าชื่อเสียงของเราก็จะลดลง ซึ่งผู้เขียนบอกเลยว่าอย่าให้มันลดจะดีกว่า เพราะมันขึ้นช้ามาก และเกจชื่อเสียงของเราในเกมนั้นก็ยาวมากกกกก กว่าจะเก็บครบค่อนข้างใช้เวลาอยู่ครับ กว่าจะปลดล็อคเมนูต่าง ๆ มาให้เราเล่นนั้นก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน เราต้องทำความสะอาดร้าน ห้ามคนตีกัน ไม่เช่นนั้นค่าชื่อเสียงต่าง ๆ ของเราจะติดลบครับ หลัง ๆ เราสามารถจ้างพนักงานมาช่วยเราในส่วนนี้ได้เควส - เกมนี้ตัวเกมจะคอยส่งเควสให้เราเรื่อย ๆ ครับ รวมถึง Toturial บางอย่างก็เป็นเควสในเกมของเราด้วย ไม่ทำก็ได้ครับ แต่จะไม่ได้รับของรางวัล ซึ่งไอ้ของรางวัลพวกนี้ค่อนข้างสำคัญในการใช้ชีวิตในเกมของเราครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งถ้าจะซื้อเองก็ได้ แต่คือมันแพงมาก ๆ ผู้เขียนบอกเลยว่าในช่วงแรกของเกม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อด้วยรายได้อันน้อยนิดของเราการคราฟท์ - เกมนี้ถ้าเราอยากขายของได้แพงขึ้น เราต้องคราฟท์อาหารและเบียร์ ซึ่งการคราฟท์สิ่งต่าง ๆ ได้ต้องปลดล็อคในส่วนของ ค่าชื่อเสียง ก่อนครับ หลังจากนั้นเราสามารถไปซื้ออุปกรณ์ + วัตถุดิบในการทำอาหารและคราฟท์เบียร์ต่าง ๆ ได้ที่ตู้ไปรษณีย์ที่หน้าบ้านของเรา หรือบางอย่างสามารถได้รางวัลจากเควสครับ และเรายังสามารถคราฟท์อุปกรณ์ในการต่อเติมโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงของเราได้อีกด้วยปลูกผัก และหาแร่ - เกมนี้จะไม่มีแผนที่แบบสตาร์ดิวครับ สถานที่มีแค่บริเวณโรงเตี๊ยมของเราเท่านั้น พวกแร่หรือต้นไม้ต่าง ๆ เราสามารถหาได้จากรอบ ๆ บริเวณโรงเตี๊ยมของเรานั่นแหละครับ หาไม่ยากเพราะ Spawn (จุดเกิด) ในที่เดิมทุกวันครับ อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถติดตั้งได้บริเวณรอบ ๆ โรงเตี๊ยมของเรา แต่เราต้อง Clear พื้นที่ให้เรียบร้อย ตัดต้นไม้และถางหญ้าทิ้งให้หมดครับ เราจึงจะสามารถติดตั้งได้ การปลูกผักต่าง ๆ ผลผลิตส่วนใหญ่ที่เราไปเก็บเกี่ยวมาก็จะใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารขายให้กับลูกค้าของเราครับ การซื้อขาย - เราสามารถซื้อของที่จำเป็นต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถคราฟท์ได้ที่ตู้จดหมายหน้าบ้านเรา ซึ่งจะมีขายทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเลยครับ (อันนี้ผมก็พูดเกินไป เรือรบไม่มีขายฮะ ฮ่า ๆ) ถ้ามีเงินผู้เขียนแนะนำให้ซื้อของตบแต่งร้านมาใส่ร้านเราเรื่อย ๆ ครับ เพราะจะช่วยเพิ่มค่าชื่อเสียงของเราได้ไวมาก ๆ ส่วนการขายของนั้นถ้าเรามีของที่เราทำเยอะเกินไป และตอนนั้นเราต้องการเงินด่วน เราไม่สามารถนำของไปขายที่ตู้จดหมายนี้ได้นะครับ (ผมจะบอกทำไม ฮ่าๆ)ระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีเป็นภาพแนว Pixel Art เหมือน Stardew Valley เลยครับ เป็นภาพแบน ๆ หมุนมุมกล้องไม่ได้ แต่ผู้เขียนมองว่ามันน่ารักกว่าสตาร์ดิวนิดหนึ่ง เนื่องด้วยเกมมีขนาดเล็กมากใช้พื้นที่ในเครื่องประมาณ 525.03MB และภาพแนวนี้มันไม่ได้ดึงสเปคในเครื่องหรือใช้กราฟิกมากมายอะไรนัก คอมทั่วไปก็เล่นได้ครับ (แต่คอมโรงเรียนนี่ผมไม่แน่ใจ อาจจะไม่ไหว)ระบบควบคุม - เกมนี้ใช้ W, A, S, D ในการบังคับตัวละครของเราครับ ใช้การคลิ๊กเม้าส์เพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งของต่าง ๆ กดปุ่ม B เพื่อเข้าโหมดตบแต่งบ้านครับ เควสต่าง ๆ หรือ Toturial จะแทรกอยู่ภายในเกม เราจะถูกสอนการควบคุมมาตั้งแต่เริ่มเกมเลยครับ แต่เอาจริง ๆ การบังคับหรือควบคุมปุ่มต่าง ๆ เกมนี้ค่อนข้างจะทำให้ผู้เล่นเกิดความสับสนอยู่ครับ บางอย่างใช้เม้าส์คลิ๊กได้ บางอย่างไม่ได้ต้องใช้คีย์ลัด และบางอย่างใช้มันได้ทั้งสองแบบเลยครับ ซึ่งผู้เขียนมองว่าค่อนข้างจะยุ่งยากไปหน่อย ผู้เขียนมองว่าการเล่นเกมใน PC นั้นใช้เมาส์คลิ๊กเพื่อ interact สิ่งต่าง ๆ มันค่อนข้างง่ายกว่าการใช้ปุ่มคีย์ลัดครับ ซึ่งตรงไหนที่มันใช้เม้าส์ได้ในเกมนี้ มันก็ง่ายกว่าจริง ๆ UI - เพราะมันใช้คีย์ลัด เราเลยต้องอ่านสิ่งที่มันสอนใน Toturial ดีดีครับ เพราะไม่งั้นจะหาเมนูบางอย่างไม่เจอ อาทิเช่น ตอนเริ่มเกมจะมีสอนให้กด E ที่หนังสือ ผมหาไม่เจอครับ และผมคิดว่ามันคือบัคผมเลยไปดูรีวิวของ Streamer คนอื่น ๆ ที่เล่นเกมนี้ และผมพบว่าเขากด E ไม่ได้เหมือนกัน แต่ในช่องนั้นเขาอ่านในเควสครับว่าอ๋อออ มันต้องปิดโหมดตบแต่ง ก่อนครับโดยกด B แต่ใน Toturial ณ ตอนนั้นในเควสมันไม่ได้บอกละเอียดขนาดนั้นครับ มันแค่บอกให้เราออกจากโหมดตบแต่ง แล้วค่อยไปกด E ที่หนังสือ ทำให้ผู้เล่นอย่างเรางงงวยอยู่สักพักเหมือนกัน ส่วนเมนูอื่น ๆ ต้องเปิดผ่านคีย์ลัดเหมือนกันครับ ซึ่งจำเป็นต้องอ่าน Toturial ให้ละเอียดหน่อยเพราะเราต้องคอยจำปุ่มพวกนี้ครับ User Interface ของเกมนี้ผู้เขียนบอกตรง ๆ เลยว่ามันสร้างความสับสนในช่วงแรกมาก ๆ ครับ และค่อนข้างใช้งานยากสรุปผู้เขียนมองว่ามันจะไม่ใช่เกมที่ถูกใจทุกคนแน่ ๆ ครับ เพราะมันเป็นเกมที่วนลูป ถ้าใครชอบอะไรซ้ำ ๆ จำเจ ค่อย ๆ ตบแต่งโรงเตี๊ยมไปเรื่อย ๆ ก็ซื้อครับ เพราะตัวเกมไม่ได้มีอะไรมากนอกจากเสิร์ฟอาหาร และเครื่องดื่ม หลัง ๆ อาจจะมีให้เราคราฟท์อาหาร นู่น นี่ นั่นบ้าง ส่วนใครคิดว่าจะมาปลูกผักทำสวน ผู้เขียนบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ไม่ใช่เกมแบบ Stardew Valley ครับ เกมไม่ได้โฟกัสเรื่องการปลูกผักขนาดน้านนนน ผมมองว่ามันจะสนุกสำหรับคนที่ชอบทำอะไรเหมือนเดิมทุกวัน "ตื่นนอน > ออกจากร้าน > เดินไปเก็บไม้ > เติมน้ำใส่ถัง > เดินขึ้นเหนือไปดูแปลงผักว่าโตยัง กลับเข้าร้าน > ขึ้นไปดูของที่คราฟท์เอาไว้ว่าเสร็จยัง > เก็บของคราฟท์ > คราฟท์ใหม่ > วนลูป > ..เปิดร้าน > ขายอาหาร ขายเครื่องดื่ม > ทำความสะอาดเช็ดโต๊ะ ถูพื้น > ดูอากาศในร้าน ถ้าหนาวเปิดเตาผิงให้อุ่น ๆ > ..ปิดร้าน > เช็คสต็อกของที่จะขายในวันถัดไป > วน ๆ อยู่แค่นี้จริง ๆ" สำหรับผู้เขียนไม่อินแล้วครับ ฮ่า ๆอย่าเพิ่งเชื่อรีวิวจนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเองนะครับ เพราะว่าความสนุกในการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกัน ผู้เขียนไม่ชอบ แต่เพื่อน ๆ อาจจะชอบก็ได้นะครับ ผมจะบอกเหมือน ๆ เดิมเสมอว่าให้ลองกดซื้อมาเล่นดูก่อน ราคาเกมไม่แรงเลยครับ 239 บาทเท่านั้น แต่อย่าเล่นให้เกิน 2 ชั่วโมง และต้องไม่นานเกิน 14 วัน เพราะไม่งั้นมันจะกดขอคืนเงินไม่ได้ครับ ลอง ๆ สัก 30 นาทีเราก็รู้แล้วครับ ถ้าไม่ชอบก็กดรีฟันด์ง่าย ๆ แบบนั้นแหละครับ เพื่อน ๆ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1139980/Travellers_Rest/
15 Aug 2022
[Review] Sapiens "เกมจำลองวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ จากยุคหินสู่โลกอนาคต!"
Sapiens เกมนี้วางขายใน Steam มาตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2022 ซึ่งผู้เขียนซื้อมันมาตั้งแต่มันวางขายในวันแรกเลยครับ เพราะผู้เขียนสนใจคอนเซ็ปต์ของเกมนี้เอามาก ๆ เป็นเกมแนว Simulation จำลองเหตุการณ์การใช้ชีวิตของซิมส์ Homo Sapiens ครับ ผู้เขียนดองเกมนี้ไว้มาเป็นเดือนแล้วเห็นคำวิจารณ์ใน Steam มีแง่ดีอย่างมาก เลยอยากลองหยิบมาเล่นเพื่อรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ว่าที่เขารีวิวยกนิ้วโป้งให้เกมนี้กันเนี่ยเป็นกองอวยหรือว่ามันว้าวจริง ๆ วันนี้เราจะต้องได้คำตอบครับ ปฏิวัติการรับรู้จนเกิดเป็น "Homo Sapiens" (เกร็ดความรู้ก่อนเล่นเกม)แล้วเซเปียนส์คืออะไร? ยูวัล โนอาห์ แฮรารี นักวิชาการชาวอิสราเอล กล่าวในหนังสือของเขาไว้ว่า "Sapiens (เซเปียนส์)" เป็นชื่อของสปีชีส์หนึ่งของสกุล โฮโม (มนุษย์) ซึ่งในอดีตอันไกลโพ้น มนุษย์มีอยู่มากมายหลายสปีชีส์ อาทิเช่น นีแอนเดอร์ธัลเลนซิส, อีเร็กตัส, และ โซโลเอนซิส ฯลฯ ในเวลานั้นเซเปียนส์ก็ไม่ได้เก่งฉกาจเหนือสปีชีส์อื่น ๆ ออกจะเป็นมวยรองของบางสปีชีส์อย่าง นีแอนเดอร์ธัลเลนซิส ด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสมมติฐานที่ว่า การสูญพันธุ์ของมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ นั้น อาจเกิดขึ้นจากน้ำมือของเซเปียนส์นี่แหละครับ และถึงแม้ว่าสายพันธุ์เราจะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายหมื่นปี หรือเมื่อประมาณ 500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ถึงจะสามารถสร้างเทคโนโลยีด้วยวิทยาการต่าง ๆ จนทำให้เกิดการพัฒนาในระดับโบยบินบนฟากฟ้า ออกไปสำรวจอวกาศ เพื่อไขปริศนาความลับของจักรวาล และนั่นแหละครับ ทำให้เกมนี้ได้จำลองความเป็นอยู่และวิวัฒนาการต่าง ๆ ในยุคเริ่มต้นให้เราได้เล่นกัน เกมเพลย์ - เกมนี้เราจะได้เล่นจำลองเป็นเผ่าพันธุ์ เซเปียนส์ กลุ่มหนึ่งซึ่งเริ่มต้นนั้นเราสามารถเลือกชนเผ่าที่เราจะเข้าไปควบคุมพวกเขาได้ครับ มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด สมาชิกในชนเผ่าเริ่มต้นมีตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึง 10 คนครับ เราสามารถกดเลือกดูตามเผ่าต่าง ๆ ที่มันมีสัญลักษณ์ขึ้นมาให้เราเลือก และเราสามารถ Customize หรือตั้งค่าความยากง่ายต่าง ๆ ในการเล่นได้ครับ เกมเป็นเกมเล่นคนเดียวและไม่มีโหมดให้เลือกเล่น เผ่าต่าง ๆ เราสามารถเช็คลักษณะนิสัยของซิมส์แต่ละตัวได้นะครับ ว่ามีลักษณะนิสัยแบบที่เราชอบรึเปล่า ในเกมเราต้องบังคับซิมส์ของเราให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เรียนรู้การจุดไฟ, การหาของเก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ, ทำที่อยู่อาศัย, เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะพัฒนาหรือสร้างเป็นเครื่องมืออะไรได้บ้าง, เรียนรู้การทำอาหารด้วยไฟ ฯลฯ เป็นต้น เราต้องเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์เราเลยครับ พอเริ่มเรียนรู้ไปเยอะ ๆ ทีนี้ก็ต้องแบ่งหน้าที่ให้กับคนในเผ่าของเราตามความถนัดของซิมส์ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเราจะได้เห็นว่าเกมมีการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยไปเรื่อย ๆ ให้เราได้เห็นถึงการพัฒนาครับ สัตว์ที่เราล่ามา หรือแม้แต่ผลไม้ที่เราเก็บมานั้น สามารถเน่าเสียได้ตามกาลเวลา และเราสามารถเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ได้ ว่าเราจะเอาของเน่าเสียไปทำอะไร โดยสั่งให้ซิมส์ของเราไปศึกษามันครับ ซึ่งมันเป็นเสน่ห์ของเกมนี้เอามาก ๆ และมันดันสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ดำเนินไปจะโคตรช้า แบบเร่งเกมแล้วก็ยังรู้สึกว่าผู้พัฒนาทำตรงนี้มาช้าเกินไป แต่เกมเพลย์ของมันก็ยังสนุกมาก ๆ สำหรับผมอยู่ดีSurvival Tree - จะเป็นตารางที่เราเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่สำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจุดไฟ, การปลูกพืช การล่าสัตว์ และอีกเยอะแยะมากมาย พอเราเรียนรู้สำเร็จ สิ่งที่สำเร็จแล้วจะมาปรากฏอยู่ในตารางต้นไม้ของเราครับ และเราสามารถกำหนด Role (บทบาทหน้าที่) ให้กับซิมส์ในเผ่าของเราได้ ว่าอยากให้คนไหนทำหน้าที่อะไรระบบคราฟท์ - จะมีโต๊ะสำหรับคราฟท์เหมือนเกมอื่น ๆ เลยครับ แต่มันเชื่อมโยงกับ Survival Tree ยิ่งซิมส์เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เยอะมากขึ้นเท่าไหร่ พัฒนาการในการสร้างข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จะมาช่วยผ่อนแรงให้เราก็จะมีให้สร้างเยอะขึ้นครับ เช่น แรก ๆ การสร้างบ้านของซิมส์ อาจจะทำได้เป็นแค่หลังคาจากหญ้าแห้ง แต่เมื่อซิมส์ของเรามีการพัฒนาด้านวิทยาการความรู้เราก็จะสามารถสร้างเป็นกระต็อบเล็ก ๆ และเป็นบ้านที่สวยงามตามยุคสมัยและวิวัฒนาการของซิมส์เราได้ครับ ระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีภาพแนว 3D Polygon นะครับ เป็นเกม Simulation, การจัดการ, สร้างเมือง, เอาตัวรอด และเราจะได้รับบทเป็นพระเจ้าที่มองลงมาจากด้านบนครับ ใช้พื้นที่ในเครื่องน้อยแบบน้อยมาก ๆ เพียงแค่ 428.89MB (1GB ยังมีทอนเหมือนเดิม) เกมนี้ไม่ต้องใช้สเป๊คโหด ๆ คอมบ้าน ๆ ก็เล่นได้ครับ ผู้เขียนก็ปลาบปลื้มใจอีกเช่นเคย ฮ่า ๆระบบการบังคับ - เกมนี้ Tutorial จะแทรกอยู่ในเกมเลยครับ ตัวเกมจะคอยสอนเราตลอดส่งเป็นเควสมาให้เราได้รู้ว่าเราควรทำอะไร อันนี้ดีนะครับผู้เขียนชอบ การบังคับของเกมนี้ใช้ W, A, S, D เพื่อบังคับทิศทาง Q, E หมุนมุมกล้อง การใช้ลูกกลิ้งซูมเข้าออก ไม่ต้องปรับตัวมากเพราะเหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราเคยเล่น ๆ มาเลยครับ เม้าส์ใช้คลิ๊กสิ่งของต่าง ๆ ค่อนข้างใช้ยากถ้าเป็นของชิ้นเล็ก ๆ บางทีคิดว่าคลิ๊กโดนแล้วแต่ไม่ใช่ครับ ไปโดนพื้น เราต้องคอยซูมเพื่อให้เห็นว่าเราคลิ๊กโดนสิ่งของเป้าหมายหรือยัง ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างน่ารำคาญสำหรับตัวผู้เขียนครับ การตัดไม้ต่าง ๆ ของซิมส์ทำให้เกิดคำถามในใจได้ว่าจะโบกมือให้ต้นไม้ทำไม? ฮ่า ๆ ๆ ๆ ผู้เขียนมองว่าผู้พัฒนาใส่ใจในรายละเอียดบางอย่างน้อยเกินไปหน่อยครับ คือแบบให้ซิมส์เราเดินไปทุบต้นไม้มันยังดูสมเหตุสมผลกว่า นี่ไปโบกมือให้ต้นไม้เสร็จแล้ว ต้นไม้ไม่หายไปด้วย แต่ได้วัตถุดิบเป็นท่อนซุงมาด้วย ลงทุนให้ต้นไม้มีการเติบโตหน่อยก็ได้ม้างงงงง กำหมัดแล้วน้าาาาา ไม่ใช่ว่าวันนี้ชั้นมาโบกมือเอาท่อนซุงนะ พรุ่งนี้เราจะ Spawn (จุดเกิด) ใหม่ที่ต้นเดิม ถ้าอยากให้ต้นไม้ต้นนั้นหายไปเราต้องกด Remove คือไรฟระ? ตรงนี้ตัวผู้เขียนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับUI -  และนี่คืออีกส่วนที่ผู้เขียนมองว่าบ้าบอไม่แพ้กัน ฮ่า ๆ ระบบ User Interface ที่สุดแสนจะแปลกประหลาดและพยายามจะแหวกแนวทำไม? เกมอื่นเขาก็แค่ลากเม้าส์คลุมสิ่งที่ต้องการให้ซิมส์ของเราไปเก็บเกี่ยวใช่ไหมครับ แต่เกมนี้เราต้องกดขยายพื้นที่ ซึ่งมันจะเหมือนเรดาร์แล้วเราก็ต้องไปลากพื้นที่ในเรดาร์ แล้วกดยืนยันในเรดาร์ แล้วก็ต้องมากดยืนยันที่เมนูด้านนอกอีกที มันจะซับซ้อนไปไหนก่อนนนนน ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก (อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้เธอฟังไม่ได้สักคำ ฮ่า ๆ) ในส่วนอื่น ๆ เมนูต่าง ๆ พวกช่องเก็บของ, Survival Tree และตารางสมาชิกในเผ่าของเรา ตรงนี้ใช้ง่ายครับ ปุ่มเร่งความเร็วนั้นไซร์ก็เหมือนจะไม่ทำให้เกมนี้ดำเนินเร็วขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่ ซึ่งผู้เขียนมองว่ามันเป็นข้อเสียของเกมนี้อยู่เหมือนกัน ที่เราต้องรอซิมส์ของเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ นานมาก ๆ ถึงแม้ว่าเราจะกดเร่งไปแล้ว จริง ๆ ในส่วนนี้ผู้เขียนมองว่า Dev สามารถปรับให้เกมไวขึ้นกว่านี้ได้นะครับ เพื่อลดความน่าเบื่อและความไม่ต่อเนื่องในการเล่นเกม (คือระหว่างรอเนี่ยผู้เขียนเดินไปเข้าห้องน้ำ กินขนมในตู้เย็น กลับมาซิมส์ของผมมันยังเรียนไม่เสร็จเลย)สรุปเกมนี้สำหรับตัวผู้เขียนตอนได้เล่นคือว้าวเลยครับ ได้ความรู้สึกแปลกใหม่ เล่นเพลินมาก ๆ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ มันจะมีบางจุดที่คิดว่า Dev เกมนี้ควรแก้ไขครับ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วของเกม UI ต่าง ๆ ที่ทำให้เรื่องที่มันง่ายอยู่แล้วกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นอย่างเราไปซะอย่างงั้น ถ้าแก้ได้เกมนี้จะเป็นเกมที่เล่นได้แบบลืมวันเวลาเลยครับ เพราะถ้าได้ความต่อเนื่องในการเล่นเกม โดยที่ไม่ต้องรอซิมส์ของเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จนเกิดช่องว่างระหว่างเวลา ตัวผู้เขียนมองว่าเกมที่ดีมันไม่ควรให้เรามีเวลายุบจอไปทำอย่างอื่นครับ เราตัดสินใจเล่นมันเราก็ควรจะอยู่กับมันจนกว่าเราจะกดออกจากเกม แต่เกมนี้มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะติดปัญหาที่ผู้เขียนได้บอกไป แต่ถามว่าคุ้มกับราคา 319 บาทไหม ผู้เขียนมองว่าคุ้มครับ ราคาไม่แพง เกมสนุก แต่มันเสียแค่ในส่วนที่ผมได้บอกไปจริง ๆ ขอหัก 2 คะแนนครับ ให้แค่ 8/10 เท่านั้น เนื่องมาจากว่ามันยังเป็น Early Access ผมได้เขียนรีวิวใน Steam ไว้แล้วเผื่อ Dev ผ่านมาเห็นอาจจะแก้ไขให้ครับ (ได้แต่สวดภาวนา เพราะผู้เขียนค่อนข้างชอบเกมนี้เอามาก ๆ อยู่เหมือนกัน) ถ้าเพื่อน ๆ เป็นสายเล่นชิล ๆ ชอบเกมแนวนี้และข้อเสียที่ผมบอกมามันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเพื่อน ๆ ผู้เขียนบอกเลยว่ายังไงเกมนี้ก็คู่ควรกับคลังเกมใน Steam ของเราครับ สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1060230/Sapiens/
13 Aug 2022
[Review] Longvinter "เกมเอาตัวรอดสุดระห่ำ ในสกิน Animal Crossing สุดแบ๊ว?!"
Longvinter เกมนี้ถูกพัฒนาโดย Uuvana Studios วางขายใน Steam เมื่อวันนที่ 25 ก.พ. 2022  เป็นเกมเอาชีวิตรอดสไตล์ Sandbox บนเกาะที่แสนสงบ(มั้ง) แห่งหนึ่ง ผู้เขียนกด Wishlist เอาไว้ตั้งแต่เกมออก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ซื้อสักที เพราะคำวิจารณ์ใน Steam ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่สุดท้ายก็อดใจให้กับความน่ารักของภาพไม่ได้ เลยต้องซื้อมาทดสอบด้วยตัวเองดูสักหน่อยว่ามันเป็นยังไงกันแน่ การเอาตัวรอด + ความน่ารักมันจะไปกันได้จริง ๆ เหรอ? ผู้เขียนก็อยากจะรู้เหมือนกันครับ ฮ่า ๆ เดี๋ยววันนี้ผู้เขียนจะมารีวิวในมุมของผู้เขียน ให้ทุกคนได้อ่านกันนะครับความโหดร้ายบนทุ่งลาเวนเดอร์ เพื่อน ๆ คงคิดใช่ไหมครับ ทำไมผู้เขียนถึงได้จั่วหัวมาแบบนี้เลย เพราะมันใช้ภาพของความน่ารักหลอกเราครับ ผมเห็นผู้เล่นหลายคนที่ผมไปอ่านคำวิจารณ์ใน Steam มานั้น โดนหลอกด้วยภาพกันซะเป็นส่วนใหญ่ คนส่วนมากคิดว่ามันเป็นเกมสไตล์ Animal Crossing ที่ตกปลา คราฟท์ของ ทำฟาร์ม ชิล ๆ แต่กลายเป็นว่ามันคือเกม Survival สไตล์ Rust แต่มาในภาพที่น่ารักเฉย ๆ ครับ ฮ่า ๆ บางคนมา Solo แค่อยากจะสร้างบ้านสวย ๆ แล้วโดนดักยิงปล้นของไปหมด จนทำให้หัวร้อนกันเป็นแถว ๆ จากผู้เล่นใส ๆ สุมความคับแค้นใจอยู่เต็มอก บางคนก็เปลี่ยนพลังงานตัวเองเข้าสู่ด้านมืดไปไล่ยิงกับคู่อริของเขา หรือบางคนมาเขียนคำวิจารณ์โดยที่ไม่เปลี่ยนแนวทางของตัวเองแต่เลิกเล่นไปเลยก็มีครับ (ผมเห็นจากคำวิจารณ์ที่ผู้เล่นบางคนมาเขียนติเรื่องสังคมในเกม) ความสนุกในการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกัน อันนี้เข้าใจได้ครับ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเกมเขาสร้างมาให้ PvP ฉะนั้นเราคงหนีไม่พ้นการถูกยิงอยู่ดี แต่โดนยิงด้วยภาพน่ารักแบบนี้ อาจจะทำให้ใจเจ็บได้อยู่เหมือนกัน ฮ่า ๆเกมเพลย์ - เราจะได้มาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Longvinter ครับ เริ่มเกมมาก็จะไม่มีอะไรมาก มีแค่ Tutorial สอนการเล่นเกมเบื้องต้น โดยให้เควสเรามาทำ ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา, หาของ, ขายของ, หรือการซื้อตั๋วเรือเพื่อไป Outpost เพื่อฟาร์มของสร้างบ้านครับ วัน ๆ ก็เดินหาของลูทไปเรื่อย ๆ ถ้าดวงดีก็ได้ของดี เกมไม่มีแมพมีแต่อุปกรณ์ใช้บอก Coordinate หรือพิกัดของผู้เล่น ซึ่งผู้เขียนมองว่าเกมนี้มีคอนเทนต์ให้ทำระดับปานกลาง และทำได้ยากมาก ๆ เพราะมันมี PvP นี่แหละครับ สัตว์ที่ให้ล่าก็ไม่มีอะไรมาก มีแค่ไก่งวง กับปลาเท่านั้นที่ล่าได้ ซึ่งผมมองว่ามันน้อยไปมากสำหรับเกมแนว ๆ นี้ อาจจะเพราะมันยังเป็น Early Access อยู่ก็ได้ ต้องรอดูว่าถ้าเกมเป็นตัวเต็มแล้ว ผู้พัฒนาจะใส่อะไรในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาให้ผู้เล่นทำมากขึ้นรึเปล่า พลังงาน - เกมนี้จะไม่เหมือนเกมเอาตัวรอดอื่น ๆ ที่มีเกจความหิว เกจพลังงาน หรือการเจ็บป่วย Longvinter นั้นจะมีแค่ในส่วนของพลังงานครับ แค่เราหาของกินพลังงานของเราก็จะกลับมาเต็มเหมือนเดิมครับ (กินจนกว่าจะเต็ม)ระบบสะสม - เกมนี้ถ้าใครเป็นสายสะสม บอกเลย เกมมีเป้าหมายให้เก็บสะสมของทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ขนนก พืช ปลา ความหายากของสิ่งต่าง ๆ ก็จะมีสีบอกครับ และทุกอย่างที่เราหามาได้ สามารถโยนลงตู้ขายของเพื่อรับเงินได้ครับ แต่ต้องเป็นของที่ตู้ต้องการนะครับ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถขายได้ หน้าตาของตู้ก็จะเป็นตู้แมชชีนที่เรากดซื้อน้ำมีหลากหลายสี (Vendor) เล่นไปเรื่อย ๆ สามารถคราฟท์เจ้าตู้นี้มาเป็นของตัวเองได้ครับบ้านใครใครก็รักเกมแนวนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เราต้องฟาร์มของให้เยอะที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ถูกไหมครับ บวกกับช่องกระเป๋าที่มีอยู่อย่างจำกัด เราเลยต้องคราฟท์ลังเก็บของเพื่อนำของที่หามา มาเก็บเอาไว้ที่บ้านของเรา ซึ่งคนอื่น ๆ ก็สามารถดักฆ่าเราแล้วเข้าไปขโมยของในบ้านของเราได้ เกมนี้ผมมองว่ามีระบบป้องกันบ้านที่แน่นหนามาก ๆ ไม่ว่าจะประตูที่ติดเซฟ จะเข้าบ้านได้เราต้องมีรหัส ติดมันตั้งแต่ประตูรั้วไปเลย ถ้าเราจะสร้างบ้านปลูกผัก ปลูกดอกไม้ขายสงบ ๆ แล้วเราไม่ได้สร้างป้อมปืนมาคอยเฝ้าบ้าน เราก็จะโดนผู้เล่นอื่นเอาเลื่อยมาเลื่อยรั้ว ขโมยแปลงผัก ล่อของหมดบ้าน แต่นั่นแหละครับมันคือความสนุกของ PvPใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้าผู้เขียนแอบเห็นข้อดีดี ที่เกมเอาตัวรอดอื่น ๆ ไม่ได้ทำครับ ในส่วนนี้ของที่เราหามาได้ เราสามารถรวบรวมแล้วเอามาขายลงตู้ที่เป็นเหมือนตลาด Trade ภายในเกมได้ครับ เพราะของบางอย่างตู้ในเกมไม่ได้รับซื้อ มันก็จะมีไอ้ตู้เทรดที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แทน ใครรู้จุดฟาร์มสิ่งที่มีความต้องการสูงในเกมนี้ เราสามารถไปฟาร์มเพื่อนำของมาขายปั๊มเงินไว้สร้างบ้านได้ แต่ก็นั่นแหละครับเมื่อความต้องการสูง การแก่งแย่งก็ย่อมสูงตามไปด้วย ถ้าเราเล่นแบบฉายเดี่ยวก็คงเสียเปรียบในส่วนนี้ระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีภาพแนวการ์ตูน 3D Polygon สุดแบ๊ว และดีต่อใจ มองแว๊บแรกนึกว่าเกม Animal Crossing ครับ ใช้พื้นที่ในเครื่องของเราเพียง 1.8GB เท่านั้น ตอนแรกผู้เขียนเห็นภาพก็คิดว่ามันน่าจะใช้เยอะกว่านี้ แต่พอโหลดมาลงจริง ๆ ก็ผิดคาดไปมากอยู่เหมือนกันครับ การควบคุม - ใช้ W, A, S, D ในการบังคับทิศทาง เมาส์ซ้ายใช้คลิ๊กเพื่อขายของ, ตกปลา, เก็บผลไม้, ลูทของ ก็เหมือน ๆ กับเกมอื่น ๆ ทั่วไปในท้องตลาดครับ อาจจะมีบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะเกมส่วนใหญ่อาจจะคลิ๊กขวาเพื่อขายของ หรือลากของไปใส่ได้เลยแต่เกมนี้คลิ๊กซ้ายทั้งหมด ก็เลยต้องปรับตัวอยู่บ้างครับUI - บอกเลยว่าขัดใจครับ ฮ่า ๆ ผมมองว่ามันสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก ไม่ว่าจะเป็นส่วน Equipment (หน้าต่างส่วมใส่), Inventory (ช่องกระเป๋าเก็บของ) หรือแม้แต่เควสต่าง ๆ แต่นี่เหมือนเอามารวม ๆ กันหมด หน้าตาเหมือนกันหมด เหมือนทำไปงั้นแหละ ทำให้เสร็จ ๆ ไป ทำให้เหมือนรู้ว่า "เออเกมตรูก็มีนะ" ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า มีที่เหมือนไม่มี ฮ่า ๆ ทำงานอาร์ตมาขนาดนี้แล้ว ถ้าจะใส่ในส่วนของรายละเอียดตัวละครเพิ่มลงไป มันจะทำให้เกมดูมีอะไรกว่านี้ ถึงแม้ว่าส่วนต่าง ๆ จะกดใช้งานไม่ยาก และดูไม่รกตา แต่ผู้เขียนว่าผู้พัฒนาสามารถใส่ลูกเล่นเพิ่มเข้าไปได้อีกครับ หรือเพราะมันอาจจะเป็น Early Access พอเป็นตัวเต็มแล้วมันอาจจะสวยขึ้นอย่างใจผู้เขียนคิดก็ได้ รอดูกันต่อไปในอนาคตครับสรุปเกมนี้เป็นเกมที่น่ารักแบบที่ผมปฏิเสธไม่ได้เลย มันมียุคที่เกมแนวนี้มีให้เล่นอย่างดาษดื่น ไม่ว่าจะเป็น Rust, Dayz, H1Z1 หรือแม้แต่ Infestation ผู้เขียนบอกตรง ๆ เลยครับว่าตอนนั้นเล่นจนจะอ้วกอยู่แล้ว เกมออกมาให้เล่นแนว ๆ เดียวกันหมด เพราะอาจจะเป็นเกมที่แปลกใหม่ในช่วงเวลานั้น เอาตัวรอด ฆ่าซอมบี้ PvP กับผู้เล่นอื่น หรือถ้าเจอคนดีดีในเกมก็เป็นเพื่อนกันช่วยกันเล่นได้ แต่มันเยอะมาก ๆ จนผู้เขียนเอียนเกมแนว ๆ นี้ไปเลย พอโดนภาพเกมนี้ดึงดูดเลยลองซื้อมาเล่นดู โอเคครับถ้าเล่นแบบชิล ๆ น่ารัก ๆ ไม่ต้องไป PvP เล่น PvE อย่างเดียว สำหรับคนอยากสร้างบ้าน อยู่สงบ ๆ แต่บอกตรง ๆ ว่าน่าเบื่อครับ เพราะเราจะไล่เก็บคอนเทนต์ทั้งหมดไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตัน ไม่มีอะไรให้ทำละ จะเอาปลา เอาดอกไม้ไปขายหาเงินก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ฮ่า ๆ ถ้าในอนาคตคอนเทนต์มันไม่หมด ไม่ตัน สนับสนุนสายเล่น PvE คงสนุกกว่านี้PvP คือโอเค สมเป็น PvP โดนฆ่าตายจนท้อกันไปข้าง 200 กว่าบาทคือเหมาะสมแล้ว มีความไม่สมดุลอยู่บ้าง ผู้เล่นใหม่ ๆ ยังต้องรับมือกับผู้เล่นเก่าของเต็มมือ แต่ผู้พัฒนาก็ทำเต็มที่มีอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเกมที่ "มองเห็นความเป็นไปได้" มากกว่าเกมที่ครบเครื่องจริง ๆ ในขณะนี้ แต่ถ้าซื้อตอนนี้ก็ถือว่าสนับสนุนผู้พัฒนารายย่อยทีมเล็ก ๆ ให้ได้พัฒนาเกมเช่นกันระบบ UI ต่าง ๆ ก็ยังทำให้ตัวผู้เขียนขัดใจอยู่บ้าง (ไม่บ้างหรอกครับขัดใจเลยแหละ) แต่ในอนาคตมันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ครับ ใครชอบการ์ตูนแนวน่ารักไล่ยิงกัน โดนยิงแล้วใจไม่เจ็บก็จัดเลยครับ มีติดคลังเอาไว้ก็เล่นแก้เบื่อได้อยู่เหมือนกัน คนไหนเล่นเก่ง ๆ ก็อย่าไปแกล้งผู้เล่นใหม่มาก ๆ นะครับ เพราะบางคนเขาจะหนีไปเลย สังคมเกมถ้ามันอบอุ่นคนก็อยากจะมาเล่นด้วยเยอะ ๆ ถึงแม้ว่าเกมดีแต่คอมมู Toxic เหลือเกิน มันก็ทำให้เกมนั้นไม่น่าเล่นไปโดยปริยายครับ อย่างที่ผมเคยบอกไป "ความสนุกในการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกันครับ" ไปลองกดซื้อแล้วเล่นดูครับว่ามันเหมาะกับเราไหม เล่นซักครึ่งชั่วโมงเราก็รู้แล้วครับว่าเราอินหรือไม่อินกับมัน ถ้าไม่อินเราสามารถ Refund ขอเงินคืนได้ มันก็ไม่มีอะไรจะเสียใช่ไหมล่ะครับ (เพราะตัวผู้เขียนก็ได้รีฟันด์ไปแล้ว ฮ่า ๆ)
12 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Ghost Watchers "เกมล่าท้าผี Early Access ที่ไอเดียดี แต่ยังมีหนทางพัฒนาอีกยาวไกล?!"
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยู่ดี ๆ กระแสของเกมนี้ก็ดังเป็นพลุแตก เพราะนี่คือเกมที่สองสตรีมเมอร์ชื่อดังของวงการ อย่าง HRK และ BRF หรือ Heartrocker และ Bay Riffer กำลังจะมาเล่นด้วยกัน เกมนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อยอดแนวเกมที่ประสบความสำเร็จของ Phasmophobia เกมตั้งตี้ล่าท้าผีสุดสะพรึง แต่ถูกนำมาต่อยอด และสร้างสรรค์สิ่งใหม่เข้าไปแทน นั่นคือเกมที่ชื่อว่า Ghost Watchers แต่มันจะโดดเด่นและสนุกแค่ไหน ลองพบกับรีวิวของเรากันได้คงคอนเซปต์ภารกิจล่าท้าผี ทั้งฉายเดี่ยวและเป็นหมู่คณะก่อนอื่นเราต้องบอกกันก่อนว่า Ghost Watchers ในตอนนี้ ตัวเกมอยู่ในสถานะ Early Access ที่ยังมีการอัปเดตดูแลกันอย่างต่อเนื่อง และเกมนี้จะไม่มีโหมดเนื้อเรื่องหรือ Story ใด ๆ ให้เราได้ติดตามกัน คอนเทนต์หลักของเกมจะเป็นเกมการเล่นแบบจบเป็นรอบ ๆ ไป โดยมีฉากและแผนที่ที่หลากหลายให้เลือกเล่น ส่วนเราจะเจอผีรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับดวง และผีแต่ะลตัวก็จะใช้วิธีทำให้มันอ่อนแอลงต่างกันด้วย เป็นคอนเทนต์หลักของเกมนี้ ดังนั้นใครจะซื้อมาเพราะหวังว่ามันจะมีเนื้อเรื่อง มีอะไรล้ำ ๆ ก็อยากให้ตัดสินใจกันให้ดี เพราะถ้าเทียบกันตรง ๆ ตอนนี้ Phasmophobia ที่เปิดมาก่อน อาจจะมีคอนเทนต์ที่แน่นกว่าอยู่พอสมควรเลยทีเดียวแต่เกมนี้มาพร้อมไอเดียที่แปลกใหม่ขึ้นไปอีกระดับนิดหน่อย คือทุกครั้งที่เราสามารถจัดการผีร้ายจนอ่อนแรงลงได้ เราสามารถปาลูกบอลออกไปเพื่อจับผีได้ ไม่ต่างอะไรกับจับโปเกมอน ทำเอาความน่ากลัวหดหายไปหมด แต่อย่านึกว่ามันจะทำกันได้ง่าย ๆ เพราะกว่าจะเข้าใจและเรียนรู้ระบบเกมกันได้ถึงขั้นนั้น ก็ต้องผ่านการโดนหลอกมานับไม่ถ้วนเหมือนกัน ความสะดวกสบายของเกมนี้คือ เราจะได้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาครบครันอยู่แล้วในช่วงแรก ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินซื้อเพื่อไปปลดล็อคแต่อย่างใด เพียงแต่หากเราใช้อุปกรณ์นั้นจนหมดแล้ว เราจะต้องใช้เงินในการซื้อเพิ่ม ซึ่งถ้าหากเรายังไม่สามารถจับผีได้ในเวลาที่จำกัด ก็อาจจะต้องเสี่ยงมากขึ้น เสียเงินในการซื้ออุปกรณ์มาช่วยมากยิ่งขึ้น โดยเกมนี้เราจะฉายเดี่ยว รับมือความกลัวคนเดียวทั้งเกมก็ได้ หรือจะลากเพื่อนมาร่วมกันสยองพร้อมกันได้มากถึง 4 คนก็ทำได้เช่นกัน สืบหาเบาะแส ท้าทายอำนาจ ก่อนสยบมันให้ราบคาบเกมเพลย์ของ Ghost Watchers นั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน เมื่อคุณเริ่มต้นเกมแล้ว เราสามารถหยิบอุปกรณ์จากชั้นวางของทั้งหมด และเข้าไปล่าท้าผีกันได้เลย ภารกิจแรกของเราคือการระบุให้ได้ก่อนว่าผีที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยนั้น คือผีประเภทใด โดยปัจจุบันตอนนี้ตัวเกมในช่วง Early Access จะมีผีอยู่ทั้งหมด 8 ประเภทด้วยกัน และการจะระบุผีทั้ง 8 ประเภทได้นั้น เราจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ทั้งหมดบนรถไปตรวจจับหาเบาะแสภายในสถานที่ดังกล่าวก่อนเราจะมีทั้ง Thermometer สำหรับตรวจจับอุณหภูมิ เครื่อง EMF หรือเครื่องตรวจแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่อง Particle Counter หรือเครื่องวัดอนุภาค โดยของแต่ละอย่าง เมื่อนำไปตรวจเบาะแส อาจจะกระตุ้นให้ผีโมโหขึ้น แต่แลกมากับข้อมูลที่เราจะได้รู้ เช่นถ้าพื้นที่ตรงไหนของฉากเกิดการผิดปกติของอุณหภูมิที่สูงกว่าหรือเย็นกว่าปกติ เราสามารถเปิดหน้าบันทึกข้อมูลขึ้นมา จากนั้นกรอกข้อมูลลงไป ข้อมูลที่ใส่ลงไปจะช่วยกรองข้อมูลให้ละเอียดขึ้น และสามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นผีประเภทใดแน่นอนว่าลูกเล่นของการใช้ไมค์โครโฟนและ Voice Chat ในการสนทนากับผีก็มีในเกมนี้ โดยผีจะตอบกลับเรา เมื่อเรากดไมค์คุยกับมัน โดยต้องพูดออกไปเป็นสคริปท์ที่เกมกำหนดไว้ให้ สำหรับการสนทนากับผี จะมีไอเทม 2 ชนิดทำงานด้วยกันคือกระดานผีถ้วยแก้ว (Ouija Board) และ Voodoo Doll หรือตุ๊กตาวูดู ถ้าผีบางตัวไม่ตอบรับ หรือไม่มีปฏิกิริยา ก็เลือกใส่ข้อมูลไม่ตอบสนองได้ เมื่อเราออกหาเบาะแส และใส่ข้อมูลจนครบ ก็จะระบุประเภทผีได้ แต่ช่วงการหาข้อมูลนี่แหละ ที่ถือว่าเป็นช่วงระทึก เพราะเราอาจจะโดนผีเล่นได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการลากไปยังมุมต่าง ๆ ของฉาก หรือบุกมา Jump Scare ใส่หน้าให้สะดุ้งกันเล่น ๆ โดยเราสามารถป้องกันได้ โดยการถือของหรือใช้ไอเทมบางอย่าง ที่ผีตัวนั้นแพ้ทางหรือชนะทางด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็อยู่ที่ว่าคุณจะสติแข็งพอจะจัดการมันได้หรือไม่ หลังจากระบุผีได้แล้ว ขั้นตอนการปราบผีแต่ละตัวก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งจะต้องใช้ไอเทมและกระบวนการที่ต่างกันด้วย เราสามารถอ่านวิธีการจัดการได้ตามระบบเมนูในเกม ซึ่งตรงนี้นี่แหละจะเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะหากเราทำพลาดขึ้นมา ถ้าเล่นคนเดียวก็อาจจะแพ้ไปเลย หรือถ้าเล่นกันหลายคนก็อาจจะทำให้เกมยากขึ้นโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้นเกมจะมีภารกิจเสริมมาให้โดยอยู่บนกระดานงานสำรอง ซึ่งถ้าหากทำสำเร็จก็จะได้รับโบนัสเป็นเงินรางวัล โดยจะได้เป็นเงินสด ๆ ณ ตอนนั้นเลย การทำภารกิจเหล่านี้กันไว้ก่อน จึงเป็นตัวช่วยกันเหนียว กรณีที่เกิดเหตุผิดพลาด และเราต้องนำเงินไปซื้อของเพิ่ม ดังนั้นถ้าเล่นกันหลายคน ทำไว้หน่อยก็ดีเมื่อเราทำตามขั้นตอนการปราบผีครบเรียบร้อย เราจะสามารถใช้ลูกบอลพลังงานสีขาวปาไปจับผีได้ ตรงนี้จะเหมือนกับโปเกมอนมาก ๆ เพราะจับปุ๊บ ลอยเข้าบอลปั๊บ จากเกมผีก็เลยดูเป็นเกมที่มีความฮาแทรกเข้ามาหน่อยหนึ่ง และผีที่เราจับได้ทั้งหมด สามารถเข้าไปดูได้ในส่วนของ Basement หรือฐานทัพของเรา ซึ่งภายในฐานทัพนี้จะเข้าได้จากหน้าเมนูของเกม โดยภายในฐานทัพนี้เราสามารถไปอ่านสคริปท์ที่เราใช้สื่อสารกับผีผ่านวิทยุ กระดานผีถ้วยแก้ว หรือตุ๊กตาวูดูได้ด้วยสิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ แม้เกมเพลย์จะคล้ายกับเกมอื่น ๆ แต่สิ่งที่เกมนี้ทำได้โดดเด่นกว่าเกมอื่น ๆ คือเรื่องของบรรยากาศและเสียงที่เด่นมาก ๆ ทั้งฉากและสภาพแวดล้อม ใครเข้ามาเล่นครั้งแรกก็กล้า ๆ กลัว ๆ กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเสียงที่คอยบิ้วอารมณ์อยู่เสมอ รวมไปถึงเสียงฉากต่าง ๆ รวมไปถึงประสบการณ์ในการเล่นครั้งแรกนั้นถือว่ายอดเยี่ยม และชวนให้เล่นต่อมาก ๆ แต่.. ถ้าเราบอกว่านี่คือข้อดีเกือบจะทั้งหมดของเกมนี้แล้วล่ะ..Early Access ที่มากมายด้วยปัญหา และคอนเทนต์ของเกมที่เบาหวิวเนื่องจากตอนนี้ตัวเกมอยู่ในช่วง Early Access แต่ก็ถือว่าได้รับกระแสตอบรับและคำชมจากแฟนเกมที่ค่อนข้างดีถึงความสนุกของตัวเกม แต่เราไม่อาจมองข้ามปัญหาของมันได้เลย เพราะหากเทียบกับเกม Early Access เกมอื่น ๆ แล้ว เกมนี้ถือว่ามีคอนเทนต์และรายละเอียดที่น้อยกว่าเกมอื่นมากพอสมควรเลยทีเดียว เริ่มจากการที่ตัวเกมไม่มีคอนเทนต์หรือโหมดเกมแบบอื่นแล้วนอกจากการล่าท้าผี และระดับความยากมีเพียง 3 ระดับ กับฉากอีกเพียง 3 ฉากใหญ่ ๆ ทำให้เล่นได้ไม่นานก็เก็บครบทุกอย่างแล้ว เราจะไปเสียเวลาตรงเรียนรู้เรื่องผี แต่ถ้าใครที่มีประสบการณ์จากเกม Phasmophobia ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเช่นกันนอกจากนั้นประเภทของผี แม้ว่าจะมีมากถึง 8 แบบ แต่ด้วยความที่เวลาผีปรากฎตัวออกมา เราจะเห็นรูปร่างได้ชัดเจนมาก ทำให้บางครั้ง การเก็บ Evidence ก็ไม่ค่อยมีความสำคัญ เก็บ ๆ พอให้เลือกประเภทผีได้ จากนั้นก็เข้าสู่ Phase การปราบผีเลย ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรอีก เพราะถ้าใครเล่นไปจนถึงช่วงการปราบผีได้ก็น่าจะไม่ค่อยกลัว หรือเล่นเป็นในระดับนึงแล้ว และต่อให้เล่นด้วยความยากระดับ Insane ก็ไม่ได้ยากเท่าที่ควร (เว้นแต่คุณจะโซโล่เดี่ยวหรือ Join เกมของคนอื่นที่ไม่สื่อสารกัน)ต่อมาคือเรื่องของ Progression ที่ไม่มีอะไรให้สะสมหรือเก็บมากนัก เลเวลอัปไปก็ไม่ได้มีผลอะไร เงินนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเอาไว้ซื้อของใช้เท่านั้น ยิ่งทำให้เกมการเล่นช่วงหลังกลายเป็นเกมง่ายขึ้นพอสมควร เพราะของไม่พอก็ไปซื้อเพิ่มรัว ๆ จนบางที ตัวคนเดียวยังอาจจบเกมได้อย่างสบาย ๆ กล่าวคือเกมไม่มี Progression ใด ๆ ให้ดึงดูดชวนให้เล่นต่อ ไม่มี Perk ไม่มีการปลดล็อคอะไรที่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย และพวกผีที่สะสมมาได้ นอกจากเอาไว้ดูเล่น (แปลกดี สะสมผีไว้ดูเล่น) ก็ไม่มีอะไรให้ทำเพิ่มเลยในตอนนี้จริงอยู่ว่า เราพูดถึงคอนเทนต์ของตัวเกมแบบ Early Access อาจจะไม่แฟร์สักเล็กน้อย แต่ผลงานก่อนหน้าของทีมทำเกมนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเกมอินดี้เล็ก ๆ กลาง ๆ ทำไม่นานก็เสร็จ ทำให้อดหวั่นใจไม่ได้ว่า เกมนี้เองก็จะเป็นแบบนั้นด้วย ดังนั้นถือว่าเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของแฟนเกมต่อมาคือปัญหาภาษาไทย จริง ๆ เราก็ไม่อยากจะติงตรงนี้ แต่ในเมื่อตัวเกม เคลมภาษาไทยมาอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าพอเป็นเกมอินดี้ทุนต่ำแบบนี้ การแปลภาษาไทยเลยออกมาไม่เวิร์คอย่างมาก เห็นชัดเลยว่าเป็นการแปลแบบโยนเข้า Google Translate แล้วใส่ลงมาเลย อย่างเช่น อายุของผีที่เป็นเด็กหรือวัยรุ่น ภาษาอังกฤษใช้ Young ในภาษาไทยก็ใช้คำว่า ยัง เหมือนไม่ได้ผ่านการขัดเกลามาเลยด้วยซ้ำไป และอีกหลากหลายคำในเกมที่แปลแบบตรงตัว ไม่มีการขัดเกลา ทำให้บางครั้งเล่นภาษาอังกฤษยังอาจจะเข้าใจง่ายกว่าด้วยซ้ำแม้ว่า Ghost Watchers จะเป็นเกมที่สนุก มีลูกเล่นใหม่ ๆ ที่หลายเกมไม่มี แต่ปัญหาหลักของมันเลยคือ มันไม่สามารถทดแทนข้อบกพร่องของมันได้เลยในตอนนี้ ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ผู้กล้ารีวิวตัวเกมนี้ให้แล้ว ใครที่อยากสนับสนุนผู้พัฒนา อยากให้เกมไปถึงฝั่งฝันได้เร็วขึ้น จะซื้อและสนับสนุนก็ได้ แต่ถ้าให้พูดกันแบบตรง ๆ เลยคือ มันยังมีเกมอื่นที่ทำได้ดีกว่านี้มาก ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแล้วว่า จะเลือกทางใดกันแน่ และขอให้ทุกคนสนุกกับการเล่นเกม และ..โดนผี (ในเกมนี้) หลอกเอา
11 Aug 2022
[Review] Cartel Tycoon "เกมจำลองชีวิตพ่อค้าแป้งที่หลายคนรอคอย"
Cartel Tycoon เกมจำลองการทำธุรกิจวงการสีดำ ไม่ว่าจะเป็นการค้าแป้ง(ยาเสพติด), ติดสินบนเจ้าหน้าที่, ฟอกเงิน, หรือแม้แต่เปิดกิจการบางอย่างเพื่อบังหน้า จัดฉากต่าง ๆ นา ๆ ในละตินอเมริกายุค 80s เกมนี้ถูกพัฒนาโดย Moon Moose จับมือกับ tinyBuild ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2021 ผู้เขียนเห็นเกมนี้ลดราคา 30% อยู่ใน Steam เลยไปจัดมารีวิวบรรยากาศภายในเกมให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ เลือกโหมดเล่นได้ตามสไตล์เกมนี้มีให้เลือกเล่นกันแบบจุก ๆ 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Story Mode - เป็นโหมดที่จะมีเรื่องราวของตัวละครให้เราเล่นครับ อารมณ์เหมือนเป็นธุรกิจครอบครัว มีคนตงคนตาย เปลี่ยนมือกันขึ้นมาบริหารธุรกิจครับ มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ, ส่งลูกน้องไปห่ำหั่นคู่แข่งเผาบ้านเผาเมืองกันเลยทีเดียว, ไปยึดเมืองต่าง ๆ และโหมดนี้เราสามารถเล่นเพื่อปลดล็อค Capo (หัวหน้าแก๊ง) ตามเนื้อเรื่องได้อีกด้วยครับ ซึ่งหัวหน้าแก๊งแต่ละตัวที่เราปลดล็อคมานั้น อาจจะมีความสามารถที่แตกต่างกันครับ (อย่างเช่นอาจจะมีทักษะในการพูดจนเปลี่ยนยาเสพติดให้กลายเป็นแป้งได้ ฮ่า ๆ) เกมนี้ตัวละครที่เราเล่นจะไม่ได้มีตอนจบที่สวยงามอยู่แล้วครับ ไม่ติดคุก ก็อาจจะสู่ขิตได้ไปเฝ้ารากมะม่วง Capo ของเราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเนื้อเรื่องที่เราได้เล่นเช่นกันครับSandbox Mode - กำหนดกฎเกณฑ์การเล่นได้ตามใจเราเลยครับ ว่าอยากให้แก๊งของเราเดินไปในทิศทางไหน เพราะเราสามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ก่อนเริ่มเกม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเงินที่ถูกกฏหมายหรือผิดกฏหมาย การจ้างงาน การเจริญเติบโตของพืช หรืออีกมายมายสุดแล้วแต่เราอยากจะปรับแต่งเลยครับ โหมดนี้เราสามารถเล่นเพื่อปลดล็อค Capo (หัวหน้าแก๊ง) ได้เหมือนใน Story Mode โดยจะมีเงื่อนไขของเกมให้เราทำเพื่อปลดล็อคครับ ในโหมดนี้เราสามารถเลือกพื้นที่เริ่มต้นในการเริ่มแก๊งของเราได้ ส่วนนี้จะเชื่อมโยงมาจาก Story Mode นะครับ ถ้าเรา Clear พื้นที่ในโหมดเนื้อเรื่องได้ พื้นที่ก็จะปลดล็อคให้เราเลือกเล่นใน Sandbox ได้เช่นกันครับSurvival Mode - โหมดนี้เราจะไม่สามารถ Customize เกมได้เฉกเช่นใน Sandbox นะครับ ส่วนที่เราจะเลือกได้ในโหมดนี้นั้นจะเป็น Capo (หัวหน้าแก๊ง) และพื้นที่เริ่มต้น ที่เราจะทำธุรกิจสีดำของเราครับ ซึ่งถ้าเราไม่เลือกเมืองที่เราจะเล่น ค่าเริ่มต้นของเกมจะอยู่ที่เมือง Los Grandes เกมจะเลือกให้เราอัตโนมัติครับ ในโหมดนี้จะมีจำนวนวันที่เราต้องเอาชีวิตรอดเป็นตัวกำหนดในการเอาชนะเกมครับ ใช้เวลาในการเอาตัวรอดประมาณ 1200 วัน และในโหมดนี้เราต้องทำการขยายธุรกิจ, หาเงิน(ทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย) ให้รวดเร็วที่สุดและมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ จะมีชายลึกลับคอยส่งเควสให้เราทำในโหมดนี้ครับ ถ้าอยู่รอดจนครบ 1200 วัน เราก็จะชนะโหมดนี้ไปเลยหัวหน้าแก๊งฝึกหัด (Tutorial)ในโหมดของการฝึกการใช้งานปุ่มต่าง ๆ หรือการบังคับต่าง ๆ ของเกมนี้นั้น ก็ค่อนข้างต้องใช้ความเข้าใจอยู่พอสมควรครับ เพราะระบบต่าง ๆ มีให้เล่นค่อนข้างเยอะ เราต้องสร้างเส้นทางการค้าของเรา การขนส่งสินค้า การส่งคนไปบริหารตามเมืองต่าง ๆ การติดสินบน การส่งลูกน้องไปจัดการกับคู่แข่ง การเลื่อนขั้นให้กับคนในสังกัดของเรา และอื่น ๆ อีกมากมายครับ ที่ผมยกตัวอย่างมานั้นเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของเกมเท่านั้น ซึ่งตัวเกมจะมีส่วนเนื้อเรื่องของ Tutorial ในการสอนเราเล่นโดยเฉพาะเลยครับ และแค่ใน Tutorial จะกินเวลาในการฝึกของเราประมาณ 3-5 ชั่วโมงเลยครับ ตัวเกมเขาเขียนแจ้งไว้แบบนั้นเลย ฮ่า ๆ การควบคุม - ส่วนนี้จะเหมือนเกมอื่น ๆ แนว Simulation ทั่ว ๆ ไปครับ ที่ใช้ W, A, S, D / ในการบังคับทิศทาง Q, E ใช้หมุนมุมกล้อง / ลูกกลิ้งเม้าส์ใช้ซูมเข้าออกครับ ในตัวเกมจะมีสอนเราใช้งานตั้งแต่ต้นกันเลยทีเดียว มือใหม่ก็เล่นได้ครับUI - ระบบต่าง ๆ ดูเรียบร้อยไม่รกครับ แต่ก็อาจจะใช้ยาก และต้องทำความเข้าใจกับมันค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน เพราะในเกมมีระบบต่าง ๆ เยอะมาก ๆ ทั้งการเลื่อนขั้นให้กับลูกน้องในสังกัด, การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตามเมืองต่าง ๆ, การเชื่อมเส้นทางระบบการค้าต่าง ๆ, การสั่งลูกน้องให้ใครไปคุมสถานที่ไหน, หรือการกดสั่งลูกน้องไปสอยคู่แข่ง ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องจดจำปุ่มต่าง ๆ อยู่พอสมควรเลยครับ การเลื่อนขั้น - ตัวละครของเรา หรือแม้แต่ลูกน้องภายใต้สังกัดของเรา ถ้าได้ทำภารกิจอะไรก็แล้วแต่จะมีค่าประสบการณ์ให้ครับ เมื่อเต็มแล้วเราสามารถเลื่อนขั้นให้กับตัวเราหรือลูกน้องได้ การเลื่อนขั้นนั้นเราสามารถเลือกสายได้ อย่างเช่น ถ้าลูกน้องของผู้เขียนเป็นสายที่ต้องไประรานแก๊งอื่น ๆ ผู้เขียนก็จะอัพสายต่อสู้ไปจนครบเลยครับ หรือถ้าเราเป็นสายดูแลไร่กัญชาเราก็อัพไปที่การวิจัยให้หมดเลยก็ได้ไม่ผิดอะไรครับ เมื่อเลื่อนขั้นแล้วในเกมจะมียศเป็นรูปบอกครับว่าใครอยู่ขั้นไหนแล้ว แล้วเครือข่ายในแก๊งใครอยู่เหนือกว่าใคร ใครอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร ตัวเกมจะมีบอกเราหมดครับ และตัวละครของเรายังมี AKA (ฉายา) เท่ ๆ ของแต่ละคนอีกด้วยติดสินบน - อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ Capo (หัวหน้าแก๊ง) ในแก๊งของเราต้องทำอยู่ตลอดเมื่อต้องการขยับขยายเส้นทางธุรกิจ เพื่อที่จะเอาแป้ง(ยาเสพติด) หรือต้องการทำธุรกิจสีเทาในเมืองใหม่ ๆ เราต้องพยายามแทรกซึมเข้าไปพูดคุยกับ Mayor (นายกเทศมนตรี) ของเมืองให้ได้ครับ หลังจากการเจรจานายกเทศมนตรีของเมืองจะมีภารกิจต่าง ๆ ให้เราทำเพื่อซื้อใจเราครับ ไม่ว่าจะเป็นจ่ายหนี้ให้ญาติโกโหติกาของเขา, ให้เงินติดสินบนเขา, ขนยามาให้เขา หรืออื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่ตัวเกมจะยื่นข้อเสนอมาให้คุณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณก็ต้องทำตามข้อเสนอของเขาให้ครบครับ แล้วเส้นทางธุรกิจก็จะเปิดให้แก่คุณ คุณสามารถทำสิ่งสกปรกในเมืองของเขาได้ โดยที่จะมีนายกเทศมนตรีคอยตามล้างตามเช็ดให้ครับ เหมือนที่ตัวละครในเกมชอบพูดเสมอว่า "เวลาคือเงิน"การวิจัย, การอัพเกรด และการขนส่ง เพื่อ เงิน เงิน เงิน และเงินเกมนี้จะเน้นไปที่การอัพเกรดและวิจัยต่าง ๆ เพื่อที่จะปลดล็อคให้เราสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ ได้ ซึ่งมันจำเป็นมาก ๆ เพราะว่าเราต้องการหาเงินให้เยอะขึ้น เพราะลูกน้องในสังกัด หรือเควสที่ส่งมานั้นเราต้องใช้เงินครับ เราจึงจำเป็นต้องอัพเกรดและวิจัยสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ผลตอบแทนที่ได้รับมันสูงมากขึ้นนั่นเอง แต่เกมนี้ยิ่งเราหาเงินได้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเสี่ยงเอาชีวิตของตัวละครไปตายมากเท่านั้น เพราะเราจะเป็นที่หมายหัวของทางการ ป.ป.ส. CIA หรือแม้แต่ศัตรูคู่แข่งของเราครับ มันเลยทำให้เป็นเสน่ห์ของเกมนี้ ยิ่งเล่นยิ่งสนุกในการวางแผนเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกมตั้งเงื่อนไขมาให้เราทำResearch Tree - เกมนี้จะมีการวิจัยต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสิ่งปลูกสร้างของเราให้ดีขึ้น, อัพเพื่อปลดล็อคสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ, หรือแม้แต่การขนส่งที่รวดเร็วขึ้น มีให้เราอัพเกรดเป็นร้อย ๆ อย่างเลยครับ แม้แต่การปลูกพืชเมื่อเราอัพเกรดแล้ว เราก็จะสามารถปลูกพืชผิดกฎหมายได้หลากหลายชนิดมากขึ้นครับการอัพเกรด - เราสามารถอัพเกรดอุปกรณ์ในตัวละครของเราอย่างเช่น ยานพาหนะครับ เมื่ออัพเกรดแล้วจะเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ ได้รวดเร็วมากขึ้น หรือการอัพเกรดหมู่บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้วในบริเวณพื้นที่ ก็สามารถเพิ่มผลผลิตบางอย่างให้กับเราได้เช่นกันครับ ตัวละครของเราก็สามารถอัพเกรดได้โดยการเลื่อนขั้น ระบบขนส่ง ถนนต่าง ๆ ถ้าเราอัพเกรดเราก็จะส่งของหรือสินค้าของเราได้ไวขึ้นครับการขนส่ง - เมื่อเราสร้างทุกอย่างที่เกมต้องการครบแล้ว สิ่งที่จำเป็นของเกมนี้คือเส้นทางการขนส่งสินค้า ซึ่งเราต้องสร้างทุกอย่างให้เชื่อมโยงกัน หรืออยู่ใกล้ ๆ กันครับ อย่างเช่น ถ้าเราทำฟาร์มกัญชา เราต้องสร้างโกดังเก็บสินค้า หรือ สถานีขนส่งสินค้าให้อยู่ในรัศมีเดียวกัน ในเกมจะมีบอกครับว่ารัศมีมีขนาดเท่าไหร่ แล้วเราต้องสร้างไว้ประมาณไหน เพราะทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันหมด และพอเรามีสถานีกระจายสินค้าแล้วเราต้องเชื่อม Node ว่าสถานีนี่ให้วิ่งไปส่งสินค้าที่ไหนบ้าง บางครั้งในการทำภารกิจส่งของบางอย่าง เราอาจจะต้องสั่งลูกน้องในสังกัดให้ไปรับของและส่งของเองครับ ซึ่งเกมนี้มีอะไรแบบนี้ให้ทำเยอะมาก มันก็ทำให้เกมนี้สนุกกว่าที่ผู้เขียนคิดเอาไว้มาก ๆ เลยทีเดียวกราฟิกเกมนี้จะมีภาพการ์ตูนและตัวละครต่าง ๆ เป็นกราฟิกแบบ 2D ส่วนสภาพแวดล้อม และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในเกมจะเป็นแบบ 3D ครับ หมุนดูได้ครบทั้ง 360 องศา ใช้การเล่นแบบ Top-Down (มองจากด้านบนลงมา), Simulation (จำลองสถานการณ์) ใช้ทรัพยากรของเครื่องแค่ 2.99GB เท่านั้นครับ เครื่องไม่ต้องแรงมากก็เล่นได้ แต่อาจจะต้องปรับต่ำหมดเพื่อความลื่นไหลของตัวเกมครับ ฮ่า ๆ เสียงพากย์ของตัวละครเกมนี้ก็โคตรคูลเลยครับ เป็นสำเนียงแม็กซิกันอเมริกันอย่างชัดเจน ได้อารมณ์แก๊งสเตอร์มาก ๆ สรุปเกมนี้ตัวเกมสนุกครับ ได้สวมบทบาทเป็นพ่อค้ายายุค 80s ได้รับรู้ความรู้สึกว่าถ้าเป็นพ่อค้าสายมืดจริง ๆ ชีวิตนั้นจะต้องทำอะไร เสี่ยงอยู่บนเส้นด้ายขนาดไหน โดยที่ไม่ต้องลงสนามไปลองทำด้วยตัวเอง ให้ติดคุกแบบงง ๆ ฮ่า ๆ (เพราะตัวผู้เขียนเชื่อว่า ตัวผู้เขียนเองน่าจะไม่รอดตั้งแต่ภารกิจแรกละครับ) การที่ได้ตั้งค่าการขนส่งต่าง ๆ หรือแม้แต่จัดการลูกน้อง ถึงจะยากและต้องทำความเข้าใจค่อนข้างเยอะมาก ๆ แต่พอเล่นได้แล้วมันก็เพลินเอามาก ๆ เลย ผมชอบตรงที่ว่าเกมแนวนี้มันไม่ค่อยมีภารกิจให้ทำ แต่เกมนี้จะมีเควสป้อนมาให้ หรือมีตัวร้ายลึกลับคอยป้อนงานให้เราทำ มันก็ทำให้การเล่นเกมดูมีเป้าหมายมาก ๆ ครับว่าเราต้องทำอะไร ไม่งั้นก็วันลูปเหมือนเกมแนวนี้ทั่วไปตามท้องตลาด สร้าง สร้างเสร็จขายให้ได้ตามเป้า แล้วก็สร้าง ๆ ๆ ๆ วน ๆ ไปไม่รู้จะทำอะไร ถ้าเจอแบบนั้นบ่อย ๆ ผู้เขียนเล่น Lemonade Tycoon เกมดังในตำนานก็ได้ครับ ฮ่า ๆ ใครอยากเป็นเจ้าพ่อมานานแล้ว Cartel Tycoon จะสานฝันเพื่อน ๆ ครับแต่เกมนี้ก็มีบางอย่างที่ทำให้รำคาญใจอยู่เหมือนกัน ตรงไดอะล็อกบทพูดของตัวละครมันซ้ำซากเหมือนกันเกินไป แม้จะเป็นตัวละครคนละตัวกันแต่มันพูดประโยคเดียวกันเป๊ะเลยครับ ผู้เขียนเลยให้เกมนี้ได้ 8/10 คะแนน ถือว่าเป็นเกมที่ไม่ผิดหวังที่ซื้อมาเล่น ราคา 319 บาท ถึงหมดลดไปแล้วแต่ผู้เขียนว่ามันก็ยังไม่แพงนะครับ ถ้าเทียบกับความสนุกของเกม ใครชอบเล่นเกมแนวนี้เหมือนผู้เขียน ควรมีติดคลังเอาไว้เป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายนี้เกมนี้เป็นแค่เกมจำลองเหตุการณ์เท่านั้น ยังไงผมก็มองว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกมให้ทำหรือการค้ายาเสพติด หรือความรุนแรงต่าง ๆ มันไม่ใช่เรื่องดีในโลกของความเป็นจริงนะครับ เล่นเพื่อสนุกเท่านั้นนะครับทุกคน ขอร้องอย่าหาทำนะครับ กราบ!
09 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Digimon Survive "เนื้อเรื่องดี แต่เกมเพลย์ไม่มีก็ไม่ได้ป๊ะ?!"
ปีกกางเหินไปไม่มีวันแผ่วปลาย.. เชื่อเหลือเกินว่า ในวัยเด็กของเหล่าเกมเมอร์หลาย ๆ คน ต้องเคยได้ยินหรือได้ชมแอนิเมชั่นชื่อดังก้องโลก ที่ยังคงเป็นอมตะอยู่จนทุกวันนี้ นั่นคือ Digimon Adventure และหลังจากที่ประกาศเปิดตัว แถมเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมานานหลายปี เกม Digimon ภาคใหม่ อย่าง Digimon Survive ก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ดิจิมอนในภาคนี้จะออกมาเป็นยังไง จะทำให้เราหวนระลึกถึงวัยเด็กที่ปีกรักยังโบยบินได้หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความรีวิวของเรากันเรื่องราวของเด็กผู้ถูกเลือก กลุ่มใหม่สำหรับแฟน ๆ ดิจิมอน น่าจะรู้กันดีว่า นอกจากอนิเมะภาค 1 และ 2 นั้น แต่ละภาคแทบจะไม่มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แน่นอนว่า Digimon Survive เอง ก็เป็นภาคที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ถูกเลือกกลุ่มใหม่ด้วย แม้ว่าเราจะได้เห็นหน้าตาของเหล่าดิจิมอนที่เราคุ้นเคยกันอย่างอากุมอน กิลล์มอน ก็ตาม แต่เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องก็จะแตกต่างกันจากต้นฉบับที่เรารู้จักกันดี เรื่องราวของเกมภาคนี้จะเล่าถึงเด็ก ๆ ทั้ง 8 คน ที่มาเข้าค่ายกิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ และในวันที่ 2 ของการเข้าค่าย สามตัวละครเอกก็ได้ไปหาข้อมูลของตำนานเทพอสูร (Beast Gods หรือ Kemonogami) แต่ในขณะออกสำรวจ และเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ป่า พวกเขาก็เจอกับโคโรมอน และพวกเด็ก ๆ ก็ถูกดิจิมอนตัวอื่นโจมตี และกว่าพวกเด็ก ๆ จะรู้ตัวว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่ ไม่ใช่โลกมนุษย์ใบเดิมที่พวกเขารู้จักก็สายไปซะแล้ว เพราะตอนนี้พวกเขาอาจจะอยู่ในโลกที่เรียกว่า ดิจิทัลเวิลด์ถ้าไม่ชอบอ่าน โปรดผ่านเกมนี้อย่างแรกที่เราต้องเตือนกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยคือ นี่อาจไม่ใช่เกมดิจิมอนที่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะแฟนเกม แฟนดิจิมอนที่คิดว่าจะได้เล่นเกมดิจิมอนแบบต่อสู้เอามัน เพราะการเล่าเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างวัดใจคนเล่นมาก ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ การเล่าเรื่องของเกมนี้จะเหมือนกับเกมแนว Visual Novel ที่เราต้องเน้นอ่าน และพยายามไม่กดข้าม เพราะมักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยซ่อนอยู่ในบทสนทนาเสมอ และมันจะถูกนำไปใช้กับระบบการเลือกตัวเลือกเพื่อตัดสินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย และเอาแค่ช่วงแรกของเกม เราก็ต้องทนอ่านเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเยอะมาก ใครที่ตบะไม่แก่กล้าพอ อาจจะถอดใจเลิกเล่นไปก่อนเลยตั้งแต่ช่วงแรก ดังนั้นเกมนี้เราต้องไม่ขี้เกียจอ่าน ไม่งั้นก็จบกันตั้งแต่ส่วนนี้ สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ คือฉากการสนทนาและกราฟิกภายในเกมที่เหมือนเรากำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่แค่ภาพสวยมันไม่อาจช่วยทดแทนความน่าเบื่อของการมานั่งอ่าน Text ได้เลย และภาษาที่ใช้ในเกมก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ค่อนไปทางสูง ถ้าคิดจะ Skip แหลกลาญแล้ว ยังไงก็ไม่คุ้มค่า และถ้าไม่ละเอียด ตอบไม่ดี ขอบอกว่ามันอาจส่งผลกับชะตากรรมชีวิตของเด็ก ๆ กลุ่มนี้เลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่ชื่นชอบในการนั่งอ่าน นั่งเสพเนื้อเรื่อง Digimon Survive ถือว่าเป็นภาคที่มีเนื้อหาค่อนข้างมืดหม่นกว่าเกมภาคก่อนหน้าอยู่พอสมควร เหมาะกับแฟน ๆ ดิจิมอนยุคใหม่หรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือใครอยากสัมผัสรสชาติที่แปลกใหม่ที่ซีรีส์ดิจิมอนจะนำเสนอให้คุณได้ ก็ลองดูได้ไม่เสียหาย นอกจากนั้น คาแรคเตอร์ของเหล่าเด็ก ๆ ในภาคนี้ ก็ยังให้อารมณ์คล้าย ๆ กับดิจิมอนทุกภาค คือแต่ละคนจะมาพร้อมลักษณะนิสัยส่วนตัวที่ชัดเจน ซึ่งก็อาจจะน่ารำคาญหรือน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบสไตล์ตัวละครแบบอนิเมะไปเลยเช่นนี้สิ่งที่น่าสนใจคือตัวเกมนั้นมีการโปรโมทมาแต่แรกแล้วว่า จะเน้นไปที่การเล่าเรื่องแบบ Visual Novel ประมาณ 70% และมีระบบการต่อสู้เพียง 30% เท่านั้น แฟน ๆ หลายคนที่ซื้อเพราะเห็นว่าเป็นดิจิมอน อาจจะไม่ได้สนใจหรือมองข้ามตรงนี้ไป ดังนั้นเราอาจจะต้องย้ำเตือนกันอีกหน ว่าหลัก ๆ แล้วนี่คือเกมแนว Visual Novel เน้นอ่านซะมากกว่า ซึ่งตัวเกมได้รับการรีวิวบอมบ์บนเว็บ Metacritic ไปว่า มันคือการโปรโมทหลอกลวงผู้บริโภค เพราะช่วงแรก ทาง BANDAI Namco โปรโมทว่าเกมจะเป็นเกมแนวเอาชีวิตรอด ในขณะที่โปรดิวเซอร์เกมบอกว่ามันจะเป็นแบบ Interactive ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคืออย่างหลังนั่นเองและภาพรวมของเนื้อเรื่องเอง ถ้าใครที่อ่านอังกฤษออกแบบไม่ต้องเปิดแปลไปด้วย ก็จะรู้สึกได้ว่านี่คือเนื้อหาที่แฟน ๆ ดิจิมอนจะต้องชื่นชอบ มันเหมือนกับการเอาดิจิมอนภาคแรกมาทำการตีความใหม่ เล่าเรื่องใหม่ ทั้งการออกแบบตัวละครที่มองปุ๊บก็พอจะเดาออกได้เลยว่ามันคือตัวแทนของใครในภาคก่อนหน้า ทั้งบุคลิกภาพ นิสัย และการดีไซน์ตัวละคร ถ้าจะบอกว่านี่คือดิจิมอนภาคแรก Reboot หลาย ๆ คนก็อาจจะเชื่อด้วยซ้ำไป เพียงแต่ในเหตุการณ์ของเกมภาคนี้ Digital World ดูเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่มีใครรู้จัก หรือดิจิมอนคืออะไรก็ไม่มีใครทราบได้ บวกกับดนตรีประกอบที่ทำออกมาในแนวลี้ลับพิศวง ก็ไม่แปลกถ้าบางครั้งเราจะรู้สึกว่ากำลังเล่นเกมแนว Visual Novel แนวสยองขวัญอยู่ ไม่ใช่เกมดิจิมอน ข้อเสียหลัก ๆ ของการนำเสนอแบบ Visual Novel คือ การถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ไม่ดีในบางสถานการณ์ เช่น ในเนื้อเรื่องเราอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง แต่เกมไม่ได้มีแอนิเมชั่นหวือหวาอะไร เป็นเพียงการตัดสลับภาพไปมา ขึ้นบทสนทนา และเสียงกรีดร้องเท่านัน้ อารมณ์ร่วมหายไปเยอะเลยทีเดียว และฉากแบบนี้ก็มีให้เห็นเยอะซะด้วยในเกมแนวนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแฟนเดนตายของเหล่าดิจิมอนที่ชื่นชอบภาคแรก ผู้เขียนยังคงแนะนำว่า หาโอกาสลองด้วยตัวเองเลยจะดีกว่าเกมเพลย์การเล่นแบบ RPG Old School ผสมเข้ากับ 'การเลือก' ที่อาจตัดสินชะตากรรมตัวละครและเนื้อเรื่องสำหรับเกมเพลย์การเล่นของ Digimon Survive นั้น ผู้เขียนมองว่ามันแบ่งออกเป็นสองอย่างหลัก ๆ คือเรื่องราวของการเลือก และการต่อสู้ ทำไมการเลือกจึงสำคัญ? เพราะเกมนี้ทางผู้พัฒนาได้โปรโมทไว้ด้วยตัวเองเลยว่า เลือกไม่ดี มีตายแน่นอน แต่กว่าจะได้รู้ว่าเอฟเฟคท์การเลือกจะส่งผลอย่างไร ผู้เล่นอาจจะต้องเล่นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ แน่นอนว่าผู้เขียนไม่ได้อยากให้ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งตายอยู่แล้ว หัวใจสำคัญของการเลือกเลยคือ การประคับประคองความสัมพันธ์กับทุก ๆ ตัวละคร ไม่ใส่ใจใครมากไป ทำได้ แต่อย่าเยอะเกิน ไม่เช่นนั้นจะเกิดแนวทางใหม่ ๆ ของความสัมพันธ์ในกลุ่มได้ ซึ่งการที่ผู้เล่นจะเลือกให้ดีนั้น ก็จำเป็นจะต้องอ่านกันแบบหนัก ๆ เพื่อจะหาทางออกที่ดีที่สุดในกับตัวละครทุกคน และอย่างที่บอก ว่าเกมนี้คือ Visual Novel ถ้าคุณอ่านข้าม ไม่อ่านเลย ยังไงก็ไม่สนุกกับเกมนี้ โดยสถานการณ์ที่เราจะต้องเลือก จะถูกใส่เข้ามาเรื่อย ๆ ในระหว่างการเล่น และการเลือกทุกครั้งเราก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ด้วย สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาการเลือกคือ สายสัมพันธ์ตัยวละคร ความพึงพอใจ ความสุข ความกลัว ซึ่งจะส่งผลกับเส้นเรื่องเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆทีนี้มาดูกันในส่วนของเกมเพลย์การเล่นในรูปแบบการต่อสู้กันบ้าง อย่างที่บอกไปในหัวข้อด้านบน ว่าเกมเพลย์ของ Digimon Survive นี้จะไม่ค่อยได้เน้นการต่อสู้สักเท่าไร ใน 1 ฉากเนื้อเรื่องใหญ่ ๆ จะเป็นการพูดคุย กับการเลือกชอยส์ไปแล้ว 70% อีก 30% (หรือส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าอาจจะน้อยกว่านั้น) ถึงจะเป็นการเข้าช่วงการต่อสู้ แต่.. ระบบเกมเพลย์การต่อสู้ก็ยังเป็นระบบที่วัยรุ่นใจร้อนหลายคนอาจไม่เอ็นจอยด้วยเช่นกัน นั่นคือระบบการต่อสู้แบบ Turn Based หรือการออกคำสั่ง ผลัดตากันควบคุมตัวละคร ที่ยิ่งทำให้เกมเพลย์ช้าลงไปอีกการต่อสู้ในแต่ละรอบจะเป็นการออกคำสั่งให้ดิจิมอนของเรา โดยเลือกว่าจะทำอะไรในเทิร์นนั้น ๆ เช่นสั่งเคลื่อนที่ หรือสั่งโจมตี แต่..ประเด็นก็คือตัวเกมมันดันเป็น RPG ยุคเก๋าแบบแท้ ๆ ไม่มีอะไรผสม ทำให้หลายคนอาจจะแยกไม่ออก ว่ามันคลาสสิคหรือมักง่ายทำมาลวก ๆ กันแน่ ระบบต่าง ๆ ของเกมนี้ ใครที่เคยเล่นเกม JRPG ยุคเก่า ๆ ที่มีความซับซ้อน มาเจอเกมนี้จะง่ายไปในทันที หลัก ๆ แล้วจะมีการสลับทิศทางของตัวละคร เพื่อเลือกทางในการโจมตี มีการคำนวณเล็กน้อยว่าสกิลของเรา กว้างกี่ช่อง ใช้เอฟเฟคท์เท่าไร ใช้ SP เท่าไร มีการขึ้นที่ต่ำที่สูง เพื่อเพิ่มโอกาสการโจมตีและความแม่นยำในการโจมตีด้วย แต่ท้ายที่สุดตัวเกมมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นด้วย เพราะระบบของเกมนี้มันไม่ค่อยมีความซับซ้อนอะไรเลย ดิจิมอนที่นำออกมาต่อสู้จะได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์ เก็บเลเวล ทำให้ดิจิมอนตัวนั้นแข็งแกร่งขึ้น สวมใส่อุปกรณ์ใหม่ ๆ ได้ นำไปฝึกได้ และแน่นอน เมื่อเลเวลถึงก็จะสามารถอีโวลูชั่นเปลี่ยนร่างได้อีกต่างหาก โดยดิจิมอนบางตัวก็อีโวลูชั่นได้หลายร่างมาก อย่างเช่นอากุม่อนของเราตอนเริ่มเกมก็ไม่รู้จะแตกไปได้กี่ร่างกันแน่แม้ว่าเกมเพลย์ของมันอาจจะไม่ถูกใจแฟน ๆ ดิจิมอนสักเท่าไร แต่สำหรับคนที่ชอบ JRPG ชอบเกมเทิร์นเบสแล้วล่ะก็ นี่เป็นการนำเสนอรูปแบบใหม่ของเกมดิจิมอนที่น่าสนใจใช้ได้เลยทีเดียว แต่หากจะหวังให้มาตรฐานมันสูงในระดับเดียวกันกับ JRPG เกมอื่น มันก็อาจจะยากไปหน่อย ให้ลดความคาดหวังลงมาจะดีกว่ากราฟิกและการนำเสนอที่ยอดเยี่ยม และอาจจะเป็นตัวกำหนดมูลค่าเกมสิ่งสุดท้ายที่ไม่ชมไม่ได้ คือเรื่องของการนำเสนอกราฟิกที่งดงามราวกับนั่งดูการ์ตูนดี ๆ สักเรื่อง การดีไซน์ การออกแบบของเกมนี้ เรียกได้ว่าอาจทำให้แฟน ๆ ดิจิมอนบางคนฟินกันมาก เพราะอย่างที่บอกไป ทั้งลายเส้น ตัวละคร ดีไซน์ แม้กระทั่งฉากเปลี่ยนร่างก็ยังมีความใกล้เคียงกับการ์ตูฯต้นฉบับ มันเหมือนกับเป็นเกมที่ทำมาเพื่อแฟน ๆ ดิจิมอนโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ และเพราะการลงทุนทำฉากอนิเมชั่น ฉากคัทซีนที่ราวกับนั่งดูการ์ตูนจริง ๆ นี่แหละ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันสมราคาหลักพันกว่าบาทในโซนไทยจริง ๆ ใครที่เป็นแฟนเดนตายดิจิมอน บอกเลยว่าอิ่มและคุ้ม แต่.. ถ้าใครไม่ชอบเกมแนว Visual Novel ไม่ชอบระบบ JRPG Turn Based ต่อให้เป็นแฟนดิจิมอนก็อาจจะวูบหลับคาคอมกันเอาได้ง่าย ๆ ก็แนะนำว่าตัดสินใจให้ดีก่อนจะซื้อจะดีกว่า
03 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Two Point Campus รับบทเป็นผู้บริหารมหาลัยสุดป่วน สุดหรรษา กับสาขาวิชาสุดแปลก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ได้มีเกมอินดี้ตัวหนึ่งที่สร้างเสียงฮือฮา และได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ซึ่งเกมนั้นก็คือ Two Point Hospital เกมแนว Business Simulation ที่ให้คุณนั้นได้จำลองเป็นคนสร้างและบริหารโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งคนที่สร้างตัวเกมนี้ก็มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก เพราะเขาคือหนึ่งในบุคลากรที่เคยสร้างเกม Simulation ขั้นเทพอย่าง Theme Hospital หรือ Black & White ในอดีตมาก่อน ซึ่งตัวเกมได้รับคะแนนวิจารณ์ด้านบวกบนร้านค้า Steam สูงถึง 92% เลยทีเดียว แถมตัวเกมยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงในงานประกาศรางวัลต่าง ๆ มากมาย จนได้รับรางวัล Best Original IP ภายในงาน Develop:Star Awards ปี 2019 ด้วย และในปี 2022 ทาง Two Point Studios ก็ได้กลับมาอีกครั้ง แต่เราจะไม่ต้องบริหารโรงพยาบาลอีกต่อไป เพราะในภาคนี้ทางผู้พัฒนาจะให้เราได้ลองรับบทเป็นผู้บริหารมหาลัยดูบ้างกับเกมอย่าง Two Point Campus ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็ได้โอกาสในการเล่นเกมนี้และจะมารีวิวให้ท่านได้ทราบกันว่า Two Point Campus จะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมรุ่นพี่หรือไม่!?คงเกมเพลย์สไตล์เดิม แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างใครที่เคยเล่นเกม Two Point Hospital มาก่อนท่านก็คงจะไม่ต้องปรับตัวใด ๆ ในการเล่น Two Point Campus เพราะฟังในด้านกราฟิก เกมเพลย์ หรือฟังชันใด ๆ จะยังคงเดิมอยู่ทุกอย่าง แต่ก็อาจจะมีรายละเอียดยิบย่อยที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างในเกม Two Point Hospital เราจะต้องสร้างแผนก Reception ในการสอบถามว่าผู้คนนั้นป่วยอะไรมา เพียงแต่ว่าใน Two Point Campus เราจะต้องจัดแผนการสอนในช่วงเริ่มต้นของปีแทน รวมถึงเราจำเป็นต้องมีห้องเรียนพิเศษ และห้องฟังคำบรรยายของศาสตราจารย์ รวมถึงเราต้องจ้างบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยที่มีกระทั่งเหล่าศาสตราจารย์ ผู้ช่วยที่จะคอยประจำอยู่ร้านขายของ ห้องสมุด หรือจะเป็นภารโรงที่จะตอยทำความสะอาดหรือซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ ได้ ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เราก็สามารถพัฒนาพวกเขาให้เก่งขึ้นได้ด้วยแน่นอนว่าใครที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน ท่านก็น่าจะกลัวว่าระบบต่าง ๆ ของเกมนั้นยุ่งยาก กลัวว่าจะไม่เข้าใจรายละเอียดใด ๆ ซึ่งส่วนตัวขอยืนยันเลยว่าตัวระบบของเกมนี้นั้นเข้าใจง่ายมาก ๆ เพราะในช่วงต้นเกมก็มีการสอนระบบต่าง ๆ ให้คุณได้เข้าใจทีละก้าว ค่อย ๆ เพิ่มระบบทีละเล็ก ทีละน้อย นี่คือซีรีส์เกม Simulation ที่เข้าใจง่ายที่สุดตั้งแต่เคยเล่นมาเลยแหละรวมถึงมหาวิทยาลัยที่เราจะได้เข้าไปคุมนั้น จะยังใช้แนวคิดเหมือนกับเกม Two Point Hospital ที่หนึ่งด่าน เรานั้นจะได้คุมหนึ่งมหาวิทยาลัย ที่แต่ละมหาลัยก็จะมีดีไซน์ที่ต่างกัน ทำให้เราต้องออกแบบห้องต่าง ๆ ตามสถานการณ์ที่มี รวมถึงเงื่อนไขและสาขาใหม่ ๆ ที่จะมีให้เล่นมากขึ้นด้วย การเล่นในแต่ละด่านจะแปลกใหม่ไปเรื่อย ๆมีสาขาเลือกสอนที่หลากหลาย และแปลก ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมแนว Simulation แต่เอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้คือการใส่อารมณ์ขัน และความแฟนตาซีต่าง ๆ เข้ามา อย่างที่กล่าวไปว่าภายในเกม Two Point Campus เราจะต้องกำหนดสาขาที่เปิดสอนก่อนที่จะเริ่มการเรียนในปีนั้น ซึ่งสาขาที่สอนก็มีทั้งสาขาปกติ และสาขาแปลก ๆ เกรียน  ๆ มากมาย ซึ่งสาขาปกติก็ประกอบไปด้วยสาขาวิทยาศาสตร์ สาขาเกี่ยวกับการสร้างหุ่นยนต์ หรือสาขาทำอาหาร ส่วนสาขาที่แปลก ๆ ก็จะมีทั้งสาขาการเป็นอัศวิน สาขาเป็นนักแสดงตลก หรือสาขาเป็นนักสืบเป็นต้นและจุดเด่นแต่ละสาขาก็คือวิธีการสอนนั้นก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อย่างเช่นสาขาวิทยาศาสตร์คุณก็จะต้องมีห้องเอาไว้ให้นักเรียนได้ทดลอง สาขาสร้างหุ่นยนต์ที่จะมีห้องในการสร้าง หรือห้องอัพเกรดความสามารถของบุคลากรในมหาลัย อย่างเช่นการอัพเกรดภารโรงให้มีความสามารถในการซ่อมแซมที่เก่งขึ้นได้ หรือจะเป็นสาขาอัศวินที่เรานั้นจะต้องสร้าง Trainning Ground ให้เหล่านักเรียนได้ฝึกซ้อมวิชาดาบได้ด้วย โดยในแต่ละปีเราเองก็สามารถที่จะอัพเกรดวิชาเรียนเพื่อให้มีนักเรียนสนใจเข้ามาเรียนในมหาลัยของเรามากขึ้นได้ รายได้ที่เข้ามาแต่ละเดือนก็จะเยอะขึ้น แต่ก็อย่าอัพเกรดตำราสูงจนเกินไป เพราะเราจะต้องสร้างอาคารเพื่อรองรับคนเยอะขึ้น ใช้เงินค่าบุคลากรมากขึ้น เงินคุณอาจจะติดลบก็เป็นได้สร้างกิจกรรมและความสัมพันธ์แก่เหล่านักเรียนนอกจากนี้ภายในเกมยังให้เราสามารถกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจัดปาร์ตี้ในห้องพักนักเรียน การจัดกิจกรรมร้องเพลง กิจกรรมเล่นกีต้าร์ กิจกรรมแข่งทำอาหารและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราสามารถตั้งได้ว่ากิจกรรมเหล่านี้จะจัดขึ้นในเดือนไหน โดยตัวกิจกรรมจะส่งผลต่อค่าความสุขของคนภายในโรงเรียนให้มากขึ้นได้ด้วย รวมถึงยังมีการจัดชมรมเพื่อให้เหล่านักเรียนทำกิจกรรมยามว่างได้อย่างเช่นชมรมงีบหลับเป็นต้นหรือจะเป็นสิ่งพักผ่อนย่อนใจที่จะทำให้เหล่านักเรียนมีค่าความสัมพันธ์กันเองที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะไม้ที่ให้คนมีโอกาสได้เจอกันและเป็นเพื่อนกัน หรือจะเป็นโต๊ะนั่งหวานแหววรูปหัวใจ สร้างบรรยากาศหวาน ๆ ให้เหล่าหนุ่มสาวมีโอกาสปิ๊งกันได้ก็มี หรืออาจจะเป็นร้านขายของต่าง ๆ ที่เอาไว้อำนวยความสะดวกเหล่านักเรียนภายในโรงเรียนได้ (และเราเองก็จะมีรายได้ที่มากขึ้นด้วย)ความรู้สึกหลังเล่นTwo Point Campus ก็ยังสามารถรักษามาตรฐานเดิมได้ดั่งที่เคยทำไว้ในเกม Two Point Hospital ที่เคยออกมา นี่ยังเป็นเกมกินเวลาชีวิตที่จะให้คุณได้หมกมุ่นอยู่กับมันโดยลืมวันลืมคืน และส่วนตัวกลับรู้สึกชอบภาคนี้มากกว่าภาคที่แล้วเสียอีก อาจจะเป็นเพราะธีมมหาวิทยาลัยที่จะให้เราได้เปิดสาขาต่าง ๆ ที่จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านรูปลักษณ์หรือด้านรายละเอียดของเกมเพลย์ ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเลยในการเล่น และสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจง่ายต่อการเล่น ที่จะให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด การเพิ่มระดับของด่านก็จะมีลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามา นี่คือภาคต่ออันยอดเยี่ยมที่แทบไม่มีข้อติใด ๆ เลยสิ่งเดียวที่อาจจะให้ข้อสังเกตุได้ก็คงจะเป็นในด้านกราฟิกและหน้า Interface ที่ค่อนข้างเหมือนเดิมจนเกินไป ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการเล่นแต่ส่วนตัวก็มีความคิดว่าเปลี่ยนให้มันดูแปลกตาหน่อยก็ดีเหมือนกัน รวมถึงในเรื่องของเสียงผู้เขียนยังได้ยินเสียงประกอบที่ถูกนำมาจากภาคเก่า และมันอาจจะไม่เข้ากับเกมภาคนี้อย่างการเรียกให้หมอกลับมาที่โรงพยาบาล แต่ภาคนี้มันคือมหาวิทยาลัยต่างหาก
03 Aug 2022
[Review] รีวิว One Piece Card Game "เกมการ์ดแห่งโจรสลัด ลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่น!"
หากจะพูดถึงซีรีส์มังงะ/อนิเมะยอดฮิตจากญี่ปุ่น เชื่อว่าชื่อแรก ๆ ที่จะแว่บเข้ามาในหัวของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นซีรีส์ One Piece มหากาพย์โจรสลัดของอาจารย์ เออิจิโร่ โอดะ ที่ดำเนินมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้วในปัจจุบัน โดยประวัติศาสตร์อันยาวนานของซีรีส์ รวมไปถึงความนิยมอันร้อนแรงไม่เสื่อมคลาย ทำให้ One Piece ได้รับการดัดแปลงไปสู่สื่ออื่น ๆ มากมาย ตั้งแต่ภาพยนตร์ (ทั้งอนิเมชั่นและคนแสดงจริง) ของเล่น วิดีโอเกม และล่าสุด กับเกมการ์ดลิขสิทธิ์แท้ One Piece Card Game ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้!ในฐานะแฟนตัวยงของซีรีส์ One Piece มาช้านาน แน่นอนว่าทีมงาน GameFever ย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะลองหยิบเกมการ์ดดังกล่าวนี้มาลองเล่นกัน พร้อมแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกับเกมการ์ดสุดร้าวใจใหม่ล่าสุดนี้ด้วย!ทำความรู้จักกับเกมกันก่อนสำหรับเกมการ์ด One Piece Card Game ก็จะมีลักษณะไม่ต่างจากเกมการ์ดทั่วไป ที่ให้ผู้เล่นสองคนจัดชุดการ์ดของตนเองขึ้นมา ก่อนที่จะนำมาต่อสู้กันบนสนาม โดยการ์ดในเกม One Piece นี้จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่:(จากซ้ายไปขวา)LEADER: การ์ด “หลีดเดอร์” หรือผู้นำ เปรียบได้กับ “ตัวเอก” ของเด๊คแต่ละเด๊ค ซึ่งมักจะมาพร้อมกับความสามารถประจำตัวอันทรงพลัง ที่จะกำหนดแนวทางการเล่นหลัก ๆ ของเด๊คนั้น รวมไปถึงกำหนดค่า LIFE หรือพลังชีวิตของตัวผู้เล่นเองอีกด้วยCHARACTER: เรียกง่าย ๆ ว่าการ์ก “มอนส์เตอร์” ในเกมการ์ดทั่วไปก็ได้ โดยมีหน้าที่หลักในการช่วยโจมตี LEADER ของฝ่ายตรงข้าม หรือสามารถใช้จากมือเพื่อเพิ่มพลังให้กับการ์ดบนสนามในระหว่างการต่อสู้ได้DON!: อาจเปรียบได้กับการ์ด Land ของ Magic: The Gathering ผสมกับการ์ด Energy ในเกม Pokemon TCG โดยมีไว้ใช้จ่ายค่าร่ายของการ์ด หรือจะใช้สวมใส่ให้กับ CHARACTER หรือ LEADER เพื่อเพิ่มพลังก็ได้EVENT: เปรียบได้กับการ์ด “เวทมนต์” หรือ “กัปดัก” ในยูกิ ที่ใช้เพื่อเอฟเฟกต์บางอย่างก่อนที่จะทิ้งลงสุสานไป โดยสามารถใช้ในระหว่างเทิร์นของฝ่ายตรงข้ามเพื่อตอบสนองต่อการกระทำบางอย่างได้ STAGE: การ์ด “สนาม” เหล่านี้ มักจะมาพร้อมกับความสามารถพิเศษบางอย่างที่เจ้าของสามารถใช้ได้อย่าถาวร หรือจนกว่าการ์ดจะถูกกำจัด โดยสามารถแสดงผลได้ทีละ 1 ใบเท่านั้นเมื่อเริ่มเกม ผู้เล่นแต่ละคนจะสามารถวางการ์ด LEADER ของตนเองไว้บนสนามได้ ก่อนที่จะจั่วไพ่คนละ 5 ใบ (สามารถสับไพ่กลับเข้ากองแล้วจั่วไพ่ใหม่ได้ 1 รอบ) เพื่อเริ่มเกม ผู้เล่นจะผลัดกันร่ายการ์ดชนิดต่าง ๆ และพยายามโจมตี LEADER ของอีกฝ่ายจนกว่าพลังชีวิตจะหมด ซึ่งผลของการต่อสู้จะคำนวนจากค่าพลังของการ์ดหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้เล่นการ์ด CHARACTER หรือ EVENT หรือใช้ความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพื่อเพิ่ม/ลดค่าพลังของคู่ต่อสู้ หากฝ่ายโจมตีมีค่าพลังมากกว่าหรือเท่ากับฝ่ายป้องกัน จะถือว่าฝ่ายโจมตีเป็นผู้ชนะ ซึ่งถ้าเป้าหมายของการโจมตีเป็น CHARACTER ก็จะถูกส่งลงสุสาน หรือถ้าเป็น LEADER ก็จะสูญเสีย LIFE ไปหนึ่งแต้มนั่นเอง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงคำอธิบายในภาพกว้างเท่านั้น โดยการเล่นเกมจริง ๆ ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ต้องคำนึงถึง และทำให้เกมนี้มีพื้นที่ให้กับการออกแบบเด๊คและการวางแผนไม่น้อยหน้าเกมการ์ดอื่น ๆ เลยทีเดียวรีวิว: ภาพอาร์ตดั้งเดิมจากมังงะ/อนิเมะ เอาใจแฟนตัวยง!สำหรับชุดการ์ดที่ใช้ในการรีวิวนั้น คือชุด Starter Deck ST-01 ซึ่งก็คือเด๊ค “โจรสลัดหมวกฟาง” ของตัวเอกลูฟี่นั่นเอง โดยการ์ดชุดนี้จะมาพร้อมกับการ์ด LEADER และ CHARACTER ลูฟี่ลายพิเศษแบบฟอยล์เลเซอร์ รวมไปถึงการ์ด CHARACTER โรโรโนอา โซโล แบบฟอยล์เช่นกันในส่วนของการรีวิวนั้น มิติแรกที่ทุกคนจะได้พบก็คือภาพอาร์ตเวิคบนหน้าการ์ด ซึ่งน่าจะได้รับความคาดหวังจากแฟน ๆ อยู่ไม่น้อย ข้อดีอย่างแรกของการ์ด One Piece Card Game คือการที่ภาพอาร์ตเวิคหน้าการ์ดนั้นถูกขยายให้ใหญ่เต็มหน้าการ์ด โดยภาพหน้าการ์ดเหล่านี้ดูจะผสมผสานภาพทั้งจากลายเส้นดั้งเดิมของอาจารย์โอดะ และจากซีรีส์อนิเมะด้วย ทำให้แฟนการ์ตูนสามารถเชยชมเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักของตนเองได้แบบถึงขนกันไปเลย แต่ในอีกมุมนึง การขยายภาพการ์ดจนเต็มขนาดนี้ ก็ทำให้รายละเอียดบางจุดที่สำคัญต่อการเล่นการ์ดแอบถูกลดขนาดลงไปบ้าง เช่นตัวเลขค่าร่ายการ์ด หรือตัวเลขค่าพลัง ที่แม้จะไม่ได้ “เล็ก” จนมองไม่เห็น แต่ก็แอบต้องมองหาบ้างเหมือนกันในการ์ดบางใบที่ภาพอาร์ตเวิคฉูดฉาดเป็นพิเศษ ซึ่งนี่น่าจะเป็นข้อติเตียนเล็ก ๆ เท่านั้น โดยคนที่เล่นการ์ดบ่อย ๆ จนชินน่าจะมองข้ามปปัญหานี้ไปได้เองในที่สุดรีวิว: กฏเข้าใจง่าย เล่นได้ใน 5 นาที แต่ก็มีพื้นที่ให้วางแผน!หากจะต้องเทียบกับเกมการ์ดอันโด่งดังอื่น ๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกัน เกม One Piece Card Game มีข้อดีอย่างหนึ่งตรงที่กฏของเกมเข้าใจค่อนข้างง่าย สามารถเรียนรู้และเริ่มเล่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้น เกมก็ยังมีรายละเอียดมากมายที่จะต้องคอยคิดถึงระหว่างการเล่นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารการ์ด DON! เพื่อใช้ในการร่ายการ์ด โดยยังมีเหลือพอใช้เพิ่มพลังในการต่อสู้ หรือจังหวะการใช้การ์ด CHARACTER ที่แม้จะร่ายจากบนมือเพื่อเพิ่มพลังชั่วคราวได้ แต่ถ้าใช้อย่างไม่ระวังก็เสี่ยงจะไพ่หมดมือไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เป็นต้นนอกจากนี้ เกมยังมีความหลากหลายในสไตล์การเล่น สังเกตได้จากชุดการ์ดเบื้องต้น Starter Set ทั้ง 4 ชุดที่วางจำหน่ายพร้อมกัน ซึ่งแต่ละชุดล้วนมีสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ เช่นเด๊ค “โจรสลัดหมวกฟาง” ที่เน้นสไตล์การเล่นแบบมุทะลุ ตรงไปตรงมา เน้นเพิ่มพลังเข้าชน เช่นเดียวกับตัวเอกลูฟี่ หรือเด๊ค “ยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุด” (Worst Generation) ที่เน้นการใช้ลูกเล่นต่าง ๆ ในการโจมตีซ้ำหลายครั้งในตาเดียว จึงมั่นใจได้ว่าเกมมีความหลากหลายพอจะรองรับการเล่นระบะยาวอย่างแน่นอนทั้งนี้ ด้วยความที่ตัวการ์ดยังเป็นภาษาญี่ปุ่น (หรืออังกฤษ) จึงทำให้การเล่นอาจจะมีความท้าทายอยู่บ้างสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้การ์ดในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความสามารถการ์ดส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ซับซ้อนนัก จึงเชื่อว่าถ้าได้เล่นไม่กี่ตาก็น่าจะพอจำการ์ดได้บ้างแล้วสรุป: เกมการ์ดแห่งโจรสลัด เล่นก็ได้ สะสมก็เพลิน!กล่าวโดยสรุป การ์ด One Piece Card Game ถือเป็นช่องทางให้แฟน ๆ ของซีรีส์ได้สัมผัสกับเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยนอกจากจะสามารถนำการ์ดเหล่านี้มาต่อสู้กันเพื่อความสนุกได้แล้ว ภาพอาร์ตเวิคลิขสิทธิ์แท้เหล่านี้ ยังทำให้การ์ด One Piece Card Game เป็นของน่าสะสมสำหรับแฟนการ์ตูนไปด้วยโดยปริยาย หากใครสนใจอยากจับจองเป็นเจ้าของ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้า >>ดังนี้
02 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม MADiSON (PS5) พกกล้องโพลารอยด์หลอน ไขปริศนาปีศาจคลั่ง
'การสิงสู่' คือหนึ่งในความสามารถของเหล่าภูตผีและปีศาจซึ่งต้องการข้ามภพสร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์อย่างเรา ๆ เล่น โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ถ้าจะเจาะจงไปอีกก็คือผู้เล่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าต้องไปเผชิญหน้ากับปีศาจชั่วช้าที่ขึ้นมาบนโลกมนุษย์ เพียงเพื่อแก้เหงาและความเบื่อของมันเท่านั้นMADiSON เป็นเกมสยองขวัญ แก้ไขปริศนาผู้เล่นเดี่ยวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง พัฒนาโดยสตูดิโอ BLOODIOUS GAMES ซึ่งเพิ่งจะวางขายสด ๆ ร้อน ๆ ในวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา บนเนื้อเรื่องที่อ้างอิงตามตำนานความเชื่อของศาสนิกชนชาวคริสต์ที่ว่าปีศาจมักสิงสู่ผู้คนให้ทำตามสิ่งที่มันต้องการ แม้การกระทำนั้นมันจะขัดต่อหลักความดีเลวแค่ไหนภาพเกมทั่วไป แต่ไม่ลดทอนความสยององค์ประกอบของภาพที่ปรากฏขึ้นมาในเกมนั้นมักเป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะตีคุณค่าของเกมแต่ละเกมว่าเกมนั้นดีหรือไม่ ตามแต่ละประเภทของเกม ซึ่งเกมสยองขวัญนั้นจะเป็นเกมสยองขวัญ ทำให้คนผวาและสั่นกลัวได้ ไม่ได้จำเป็นต้องให้ภาพมีความสมจริง กลับกันคุณต้องสร้างให้เกมมีภาพที่ทำให้คนเล่นเข้าใจง่ายและเกิดการ ' จินตนาการ ' หนึ่งในสิ่งที่จะต้มตุ๋นผู้เล่นให้หวาดกลัวเอง ซึ่ง MADiSON ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ไม่เลวเลย เพราะถึงแม้ภาพเกมจะไม่ได้ถึงขั้นเห็นขนทุกเส้นฝุ่นทุกอณู แต่เมื่อได้เล่นแล้วความหวั่นไหวที่ก่อขึ้นมาในใจจะทำให้ภาพมันสมจริงของมันเอง(ตัวเกมที่รันบนเครื่อง Playstation 5 สามารถเล่นได้แบบ Full HD กราฟิกสูง 60 FPS พร้อม ๆ กับสตรีมไปในเวลาเดียวกันโดยไม่มีกระตุก หรือเฟรมเรตตกแต่อย่างใด)เนื้อเรื่องกลมกล่อมตามสไตล์หนังสยองขวัญเกมผี ถ้าไม่มีการอารัมภบทแล้วให้ผู้เล่นเจอผีโต้ง ๆ เลย ก็คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกอยู่ไม่น้อย ดังนั้น MADiSON จึงได้วางแผนผังเนื้อเรื่องให้เราเข้าใจไม่ยากประหนึ่งเหมือนเล่นเกมไป รับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปเนื้อเรื่องนั้นตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่ามันจะเน้นหนักไปที่ด้านศาสนา ปีศาจ และความเชื่อของฝั่งคริสต์ เรานั้นจะได้รับบทเป็นชายผู้หนึ่งที่ชื่อ ลูก้า ซึ่งพบว่าตนเองนั้นดันซวยไปติดพันธะจากพิธีกรรมของปีศาจตนหนึ่งซึ่งมันได้ลงมือทำพิธีกรรมไปเกือบเสร็จแล้ว แต่น่าเสียดายดันโดนขัดขวางเสียก่อน ปีศาจตนนี้ก็คิดในอารมณ์แบบ 'แหม่! อีกนิดเดียวเอง งั้นต่อให้มันจบ ๆ !' ก่อนจะใช้เราเป็นเครื่องมือในการทำพิธีกรรมต่อไป โดยมีกล้องโพลารอยด์เป็นสื่อกลางของโลกอันบิดเบี้ยวของมันตามหลักของหนังสยองขวัญที่ตัวเอกต้องทนทุกข์คลุกคลานกับเหตุการณ์ที่เจอ เราก็ต้องฝ่าฟันค้นหาต้นตอความเป็นมาของพิธีกรรม เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ความเกี่ยวข้องของตัวเรากับปีศาจตนนี้เพื่อที่จะหาทางแก้ไขและจบเรื่องราวอันเลวร้ายนี้เสียทีเกมเพลย์ไม่ยาก แต่ที่ยากคือพัซเซิลมาถึงจุดขายของเกม MADiSON นี้เลย ปกติแล้วเกมสยองขวัญ-ไขปริศนามักจะมีพัซเซิลให้เราได้ลับสมองประลองปัญญาอยู่แล้ว บ้างก็อาจจะมีคำใบ้ บ้างก็อาจจะลากมือเราทำไปให้ผ่าน ๆ ไป แต่ยินดีด้วย! ที่เกมนี้จะให้เราได้หลอนและใช้สมองจน IQ แทบจะพุ่งไปแบบ 300% เพราะนอกจากที่ส่วนมากตัวเกมจะไม่ค่อยได้ใบ้อะไรเราแล้ว เราต้องใช้หลักความคิด และความรู้รอบตัวมาประมวลผลว่า [เราควรจะทำยังไงกับไอเทมชิ้นนี้] หรือ [ชีวิตนี้ฉันควรทำอะไรต่อไปดีนะ] ในระหว่างที่มีเจ้าปีศาจตัวดีคอยมา 'ให้กำลังใจ' ระหว่างเดินสำรวจ เช่น พัซเซิลหนึ่งที่จะให้คุณหารหัสลับเบิกทางไปต่อ ซึ่งเราต้องถ่ายรูปรอยวาดมั่วซั่วที่ดูเผิน ๆ เหมือนไว้ประกอบฉากเพียงเท่านั้น หรือที่เราต้องนำเทียนแต่ละสี วางให้ตรงตามความหมายของศาสนาคริสต์ก็ดีจากที่กล่าวมาตัวเกมจะมีไอเทมหลัก ๆ อยู่สามอย่างที่จะใช้ตั้งแต่เริ่มยันจบเกมได้แก่กล้องโพลารอยด์ต้องสาป - ใช้มันเพื่อถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างเพื่อค้นหาเบาะแส ทำลายภาพลวงตา หรือจะสร้างสรรค์หน่อยก็ถ่ายเป็นระยะ ๆ เพื่อเปิดแสงสว่างให้เราได้เห็นทาง (ระวังนะอันนี้อ่ะ)แพ็กภาพที่ระทึก - เมื่อเราถ่ายรูปกล้องโพลารอยด์ซึ่งผู้เล่นสามารถถ่ายได้อิสระตามใจแล้ว เราก็ต้องนำมาสะบัด ๆ ตามหลักทั่วไป ก่อนจะเห็นภาพที่สามารถใช้ไขปริศนาและภาพไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ตามแต่ละสถานการณ์เกมสมุดภาพวัยเยาว์ - เป็นสมุดปกแดงที่จะคอยเก็บภาพวาดเขียนเมื่อเราเริ่มเกิดอาการหลอน ซึ่งมันสามารถใช้เพื่อใบ้เส้นทางหรือสิ่งที่เราต้องทำต่อไปแบบกว้าง ๆ จนบางทีก็คิดนะ ใบ้แค่นี้เหมือนเกมให้เราไปเจอเองดีกว่าอะไรนะ? คุณผู้อ่านกำลังคิดอยู่ในใจ 'ไอ้พวกพัซเซิลกับรหัส เดี๋ยวฉันไปดูโพยเอาซะก็สิ้นเรื่อง' ก็ต้องขอดับฝันไว้เสียแต่ตรงนี้เลย เพราะเกมนี้ 'หากคุณไม่เข้าใจว่าต้องแก้พัซเซิลฉันใด โพยก็ไม่ได้ช่วยอะไรฉันนั้น' เพราะรหัส ไอเทม และสิ่งที่ต้องแก้ในพัซเซิลส่วนมากมันจะไม่เหมือนกันกับผู้เล่นอื่น ดังนั้นผู้เล่นต้องไปค้นหาและหวาดเสียวด้วยตัวของตนเอง จะไปเกาะเบาะดูชาวบ้านเล่นทั้งหมดไม่ได้ประสบการณ์จุก ๆ ทั้งระแวงผี ทั้งกุมขมับกับพัซเซิลส่วนตัวสำหรับ MADiSON นั้น เป็นอีกเกมหนึ่งที่ทำออกมาได้ตอบโจทย์คนที่อยากหาอะไรมาสูบฉีดเลือดตัวเองหรือเบื่อ ๆ ต้องการอะไรมานั่งใช้สมองเล่น เพราะนอกจากปริศนาที่คาดไม่ถึงแล้ว ก็ยังปีศาจจ้องจะหยุมหัวอยู่เนือง ๆ ซึ่งนับว่าเป็นเสน่ห์ของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ถึงแม้ตัวเกมจะมีข้อดีอยู่เยอะ แต่ในส่วนของซับไตเติลภาษาไทยที่ซัพพอร์ตตัวเกมนั้นแปลไม่ตรงเนื้อหาและเล็กเสียจนอ่านแทบไม่ได้หากไม่เอาหน้าไปจุ่มจอในภาพรวมนั้นตัวเกมจะเหมาะกับการเล่นบนเครื่องคอนโซลมากกว่า PC ทั้งการถือจอยที่จะหันมุมกล้องโพลารอยด์ได้ง่ายกว่าเมาส์ ไม่ว่าจะกดปุ่ม L2 เพื่อยกกล้อง หรือกดปุุ่ม O เพื่อถ่ายก็นับว่าไม่ลำบากและเสมือนว่าได้ถือกล้องจริง ๆ จึงนับได้ว่าเกมนี้เหมาะและเปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่ยังไม่เคยสัมผัสเกมสยองขวัญเครื่องคอนโซลอย่าง PlayStation ได้ดีทีเดียว ดังนั้นใครที่มองหาเกมหนีผีมีปริศนาความยาว 4 ~ 6 ชั่วโมง เกม MADiSON นี้ ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ควรค่าหามาจับจองได้หลายช่องทางทั้งPC (Steam ราคา 499 บาท) : https://bit.ly/3bfCnSQPlayStation (ราคาประมาณ 1400 บาท) : https://bit.ly/3vplOuBNintendoSwitch (ราคาประมาณ 1400 บาท) : https://bit.ly/3zhJFgTXbox (ราคาประมาณ 1450 บาท) : https://bit.ly/3OFZLqbหรือจะเข้าหน้าเว็บไซต์หลักประกอบการตัดสินใจ พร้อมดูตัวอย่างเกมข้างล่างนี้ได้เลย
29 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Dinkum "แอนิมอลครอสซิ่ง สไตล์ออสซี่ ภาพน่ารักราคาสบายกระเป๋า"
Dinkum เป็นเกมแนวเข้าป่าล่าสัตว์ ทำฟาร์ม ที่ได้รับการเปรียบเทียบกับเกมชื่อดังอย่าง Animal Crossing ซึ่งได้วางขายใน Steam แบบ Early Access เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมา เกมนี้เราจะสวมวิญญาณเป็นชาวออสซี่ ที่ได้โยกย้ายถิ่นฐานจากในเมืองไปอยู่ในชนบทของออสเตรเลีย สัตว์บางชนิดเราสามารถนำมาเลี้ยงเพื่อพัฒนาเป็นฟาร์มได้อีกด้วย เกมนี้เราอยากจะเล่นคนเดียวเรื่อย ๆ ก็ได้ หรือจะ Co-op เล่นกับเพื่อนก็ได้ แต่เกมนี้ถ้ามีเพื่อนเล่นจะเฮฮากว่ามาก ๆ เพราะเราสามารถเลี้ยงจระเข้แล้วเอามาสู้กับเพื่อนได้ครับ ฮ่า ๆ แถมยังจะช่วยกันหาวัตถุดิบสร้างเกาะให้สวยงามได้ไวขึ้นอีกด้วย เพราะแมพค่อนข้างกว้าง เล่นคนเดียวอาจจะเหนื่อยหน่อย เกมเพลย์เริ่มต้นมาเราจะเป็นชาวเมืองที่อยากจะหนีออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่นครับ แล้วอยู่ดีดีวันหนึ่งก็มีคนส่งจดหมายเชิญชวนผู้คนที่เบื่อชีวิตในเมือง ให้ลองย้ายไปอยู่บนเกาะของเขา ใครสนใจก็ให้มาเจอกันที่ท่าจอดเรือเหาะในวันแรกของฤดูร้อน ซึ่งเราเป็นคนเดียวครับที่ไปจุดนัดพบ ฮ่า ๆ พอถึงเกาะตรงนี้จะคล้าย ๆ กับ Animal Crossing ละครับ แต่เกมนี้จะเป็นคุณยายคนหนึ่งชื่อว่า Fletch เขาจะแนะนำเรา ว่าเราควรทำอะไรบ้าง เริ่มแรกเขาจะให้เราสร้างเต็นท์ที่เป็นฐานหลักของเมืองก่อน (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเต็นท์นี้คือ Town Hall ของเกาะเราในอนาคตครับ) เราสามารถคราฟท์ข้าวของเครื่องใช้ได้ที่เต็นท์ของยายเลยครับ แล้วยายก็จะให้เต็นท์อยู่อาศัยสำหรับเรามาด้วย เราสามารถเลือกทำเลของเราเองได้ ในตอนแรกจะเป็นเต็นท์ให้เราพอมีที่ซุกหัวนอนเท่านั้น แต่พออยู่ ๆ ไปจะได้อัพเกรดไปเรื่อย ๆ พอเราเก็บเงินครบ เราก็จะได้บ้านที่เป็นบ้านจริง ๆ ทีนี้ก็สุดแล้วแต่ใจเราเลยครับว่าจะครีเอทบ้าน และเมืองของเราให้สวยงามยังไง ตรงนี้เกมค่อนข้างให้อิสระกับเรามาก ๆ ครับ และยายจะให้เราเป็นเดอะแบกของเมืองนี้เลย ตั้งแต่คนสร้างเมือง คนหาวัตถุดิบ หรือแม้แต่เป็นคนหาลูกบ้านเข้ามาอาศัยอยู่บนเกาะ แล้วแต่ยายจะออเดอร์สั่งการมา เราคนเล่นก็ต้องจัดให้ยายแกทุกอย่าง เพราะไม่งั้นไอเทมบางอย่างจะไม่ปลดล็อคครับ (ไม่ได้อยากทำ แต่มันจำเป็น ฮ่าๆ) การหาเงิน : พอเล่นไปเรื่อย ๆ ยายจะไปชวน John มาอยู่บนเกาะนี้ด้วยครับ นายจอห์นคนนี้จะเป็นพ่อค้าคอยรับซื้อของจากเรา และเอาของมาขายให้เราครับจากในเมือง ช่วงแรกจอห์นจะยังไม่อยู่ถาวร ยายก็จะให้เราไปทำการโน้มน้าวนายจอห์นให้มาเป็นพ่อค้าของเกาะนี้ครับ มาพูดเรื่องการหาเงินกันต่อดีกว่า เกมนี้นอกจากมีเงินเหรียญทองที่เอาไว้ใช้จ่ายเรื่องทั่วไป อย่างเช่น การซื้ออุปกรณ์ หรือจ่ายค่าอัพเกรดบ้าน ยังมีเงินแบงค์สีฟ้าที่เอาไว้จ่ายเพื่อซื้อใบอนุญาตต่าง ๆ ด้วยครับ - เหรียญทอง : เวลาเราไปฟาร์มหาวัตถุดิบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแมลงที่เราจับได้ ปลาต่าง ๆ ผลไม้ เอเวอร์รี่ติง จิงเกอเบล เราสามารถนำมาให้พี่จอห์นตีราคา แล้วรับเงินกลับมาได้เลยครับ แรก ๆ ผู้เขียนแนะนำให้เก็บหอยต่าง ๆ หรือพวกแมลง ปลา แถว ๆ เบสท์แคมป์แล้วปั๊มเงินเอา กับพี่จอห์นก่อน เพราะสิ่งที่คุณยายรีเควสมาแต่ละอย่างให้เราทำต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะครับ บริจาคให้ส่วนรวมไม่พอ บ้านเริ่มต้นของเราก็ต้องใช้เหรียญทอง 95000 ในการสร้างครับ เกมนี้จะไม่มีระบบสินเชื่อแบบ Animal crossing ที่สร้างก่อนจ่ายทีหลัง เกมนี้เราต้องมีเงินก่อนถึงสร้างได้ครับ             - แบงค์สีฟ้า : เราจะได้จากการทำ Milestones ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การเก็บสะสมพันธุ์แมลง ปลา หรือจาก Daily Milestones ที่จะมีเควสย่อย ๆ ให้เราทำเป็นรายวัน สกุลเงินนี้ใช้ในการซื้อใบอนุญาตการทำกิจกรรมในเกาะ เราสามารถไปขอซื้อใบอนุญาตต่าง ๆ ได้ที่คุณยาย Fletch ครับ ถ้าเราไม่ซื้อใบอนุญาตจอห์นจะไม่ขายอุปกรณ์ให้เรา เช่น ถ้าเราอยากตัดไม้แต่เรายังไม่มี "ใบอนุญาตตัดไม้" จอห์นจะไม่ขายขวานให้เรา และแน่นอนในช่วงแรกมันคราฟท์ไม่ได้ เราต้องซื้อใบอนุญาตก่อนจึงจะสามารถคราฟท์ได้ ยาย Fletch เก็บทุกเม็ดจริง ๆ การล่าสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ : สัตว์เกมนี้มีทั้งแบบที่ไม่โจมตีเราเลย โจมตีถ้าเราทำร้ายมัน หรือโจมตีเราก่อน และการจะล่าพวกมันได้นั้นเราต้องมีใบอนุญาตที่ผู้เขียนได้เคยพูดถึงไปก่อนหน้านี้ หลังจากได้ใบอนุญาตมาแล้วเราจะสามารถคราฟท์อาวุธในการล่าสัตว์ได้ - ล่าสัตว์ : พวกสัตว์ทั่วไปอย่างจิงโจ้ แมงกระพรุน คางคก ไก่งวง นกอีมู พวกนี้ไม่ได้ล่ายากอะไรนักครับ สามารถนำเนื้อของมันมาปรุงอาหารได้ด้วย แต่สัตว์บางอย่างก็โหดโคตร ๆ เลย อย่างเช่น แทสมาเนียนเดวิล (ผมไม่แน่ใจว่ามันคือวอมแบต หรือ แทสมาเนียนเดวิล แต่เดา ๆ เอาว่าเป็นแทสมาเนียนเดวิลเพราะสีขนและแถบขาวที่หน้าอกครับ) มันตบผมแรงมากไม่พอครับ มันพ่นไฟได้ด้วย แล้วเกมนี้ตัวละครของเราสามารถติดไฟและโดนไฟไหม้ได้ครับ (อย่าได้เผลอไปเหยียบกองไฟ หรือติดไฟจากสัตว์เชียวนะครับ เลือดลดเยอะมาก) เท่านี้ยังโหดไม่พอถ้าเพื่อน ๆ รับเควสจากกระดานให้ไปล่าจิงโจ้จ่าฝูง ผมไปลองมาแล้วกับหอกช่วงต้นเกม ผมโดนมันถีบขาคู่ทีเดียวเท่านั้น จอดำเลยครับ ฮ่า ๆ ใครคิดว่าพริ้วจาก Dark Souls ลองไปล่าหัวหน้าจิงโจ้ดูครับ อาจจะไหวก็ได้ เพราะผลตอบแทนก็คุ้มค่ามาก ๆ แต่ผมยอมก่อน รออัพเกรดให้โหด ๆ กว่านี้แล้วจะลองไปรับเควสดูใหม่ครับ หลัง ๆ เราก็จะสบายขึ้นหน่อยถ้าเราซื้อใบอนุญาตในการวางกับดัก เราก็จะสามารถวางกับดักเพื่อดักสัตว์ได้ และอีกอย่างที่ผมชอบมาก ๆ ของเกมนี้ก็คือบางทีสัตว์ต่างสายพันธุ์มันเดินมาเจอกันแล้วมันจะสู้กันครับ ถ้าฝั่งไหนถึงแก่ชีวิตก่อนเราก็จะได้เนื้อมาฟรี ๆ โดยที่เราไม่ต้องลงแรงไปล่าเอง ให้เจ็บตัวครับ- เลี้ยงสัตว์ : การเลี้ยงสัตว์เราก็ต้องไปขอใบอนุญาตด้วยเราถึงจะเลี้ยงได้ ช่วงแรก ๆ ก็จะมีบ้านนก และอัพเกรดขยับขยายไปเรื่อย ๆ จนสามารถเลี้ยง  วอมเบตหรือจระเข้ได้ครับ และเรายังสามารถนำสัตว์ที่เลี้ยงไว้เอาไปสู้กับของเพื่อนได้อีกด้วย และถ้าอยากเลี้ยงสัตว์ธรรมดาอย่างไก่เราต้องอัพเกรดเต็นท์ขายของของพี่จอห์น ให้เป็นร้านขายของแบบถาวรก่อนครับ จะมี NPC ต่าง ๆ แวะเวียนมาขายของบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็น ร้านเสื้อผ้า, ศูนย์วิจัยอุปกรณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี, รวมไปถึงร้านขายสัตว์เลี้ยงที่เราสามารถจะซื้อไก่มาเลี้ยงในฟาร์มของเราได้ครับ ทั้งนี้เรายังสามารถซื้ออาหารสัตว์ต่าง ๆ ได้ที่ร้านนี้อีกด้วยเควส : ในช่วงแรกก็จะเป็นเควสหลักจากคุณยาย Fletch เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้วางเต็นท์ฐานของเมือง เต็นท์ตัวเอง หรือการชักชวนผู้คนเข้ามาอยู่บนเกาะ และเรายังสามารถรับเควสรายวันเพื่อรับรางวัลพิเศษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ ๆ จาก NPC ได้ เพียงแค่เราไปชวน NPC คุยแล้วขอช่วยงานต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วงหลัง ๆ จะมีกระดานเควสที่คุณยายให้เราสร้างขึ้นมา และตรงนี้ผลตอบแทนจากเควสจะให้เหรียญทองที่ค่อนข้างเยอะครับ ผลตอบแทนดีเควสที่เราได้รับก็จะโหดเป็นธรรมดาครับ จะมีตั้งแต่การให้ไปถ่ายรูปสัตว์หายากต่าง ๆ จนไปถึงการให้ไปล่าสัตว์หายาก (อารมณ์เหมือนให้ไปล่าบอส เพราะโหดจริ๊งงงงงงง) การตกปลา : ค่อนข้างต้องใช้การปรับตัวสูงอยู่เหมือนกัน อย่าง Animal Crossing ถ้าปลากินเหยื่อจอยคอนจะสั่นให้เรารู้ถูกไหมครับ แต่เกมนี้เราต้องเดาจังหวะปลาเอาเองว่าถ้าน้ำนั้นดูกระเซ็นเยอะกว่าปกติเราถึงดึงมันขึ้นมาละปลาถึงจะติดเบ็ด จังหวะเย่อกับปลาก็ไม่ง่ายเพราะเราต้องอาศัยดูจังหวะการหนีการดิ้นของปลาเอาเอง ถ้าเรากะจังหวะผิดแล้วแถบสีแดงหมดหลอดเมือไหร่ปลาก็จะหลุดจากเบ็ดของเราไปครับ ส่วนปลาใหญ่หรือสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยเมคเซ้นส์เท่าไหร่ คือเราต้องทำหอกไปแทงสู้กับมัน เหมือนการล่าสัตว์บกอื่น ๆ แต่เราว่ายน้ำไปแทงไม่ได้ต้องลงน้ำลึกไปล่อให้มันมาโจมตีเราก่อน แล้วเราก็รีบว่ายกลับมายืนบนฝั่งเพื่อเอาหอกแทงมันจนกว่ามันจะตาย ซึ่งตรงนี้มันก็แปลก ๆ สำหรับผู้เขียนอยู่เหมือนกัน การปลูกพืชทำไร่ : เริ่มแรกเราจะต้องไปทำใบอนุญาตในการปลูกพืชก่อน หลังจากทำมาแล้วอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกพืชจะปลดล็อคครับ เกมนี้จะไม่เหมือน Animal crossing ที่เราสามารถขุดเอาต้นไม้มาปลูกในบริเวณบ้านเราได้เลย เราต้องอัพเกรดร้านขายของของจอห์นก่อนครับ หลังจากนั้นจะมี NPC ร้านขายของต่าง ๆ แวะเวียนมาเปิดร้านขายของแทนเต็นท์เก่าของพี่จอห์น และจะมี NPC ที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำสวนเราสามารถซื้อ จอบ, บัวรดน้ำ, เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ได้ที่เธอเลยครับ กว่าสวนจะเป็นรูปเป็นร่างก็ใช้เงินสกุลสีฟ้าในการอัพค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน หลังจากเราอัพเกรดจนปลดล็อคจอบมาแล้วระบบต่าง ๆ ก็จะเหมือนเกมปลูกผักทำฟาร์มทั่ว ๆ ไปเลยครับ เราสามารถรดน้ำ เก็บเกี่ยวผลผลิต เอามาทำอาหารให้ตัวเราเอง หรือขายให้พี่จอห์นคนดีคนเดิมเพื่อฟาร์มเงินก็ได้ครับ ในส่วนของต้นไม้ป่าเราสามารถเอาพลั่วขุดหลุมแล้ววางเมล็ดลงไปแล้วกลบหลุม เพียงเท่านี้ต้นไม้สายพันธุ์ที่เราต้องการจะมาขึ้นบริเวณที่เราฝังเมล็ดไว้ครับการทำอาหาร : จริง ๆ เราอาศัยกินผลไม้ที่เราฟาร์มจากเกมมาก็ได้ครับ ถ้าเราขี้เกียจหาวัตถุดิบไปทำอาหาร แต่เกจเลือดและเกจพลังงานของเราจะขึ้นค่อนข้างน้อย เพราะเวลาตัวละครเรากินอาหารมันจะสามารถกินได้ติด ๆ กันแค่ 3 ครั้งครับ ซึ่งค่าพลังงานของเราอาจจะขึ้นมาเพียงน้อยนิด ทำให้เราไม่สามารถทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ ต่อเนื่องไปได้เท่าที่ใจเราต้องการ เราจึงจำเป็นจะต้องทำอาหารเพื่อมาเติมเต็มในส่วนนี้ จะมีการทำให้สุกแบบง่าย ๆ ด้วยการยัดวัตถุดิบลงเตาบาร์บีคิวไปทีละชิ้นครับ เราสามารถซื้อเตานี้ได้จากพี่จอห์นในราคา 34000 เหรียญทอง ส่วนการทำอาหารแบบที่ซับซ้อนขึ้นเราจะต้องคราฟท์โต๊ะทำอาหารขึ้นมา โต๊ะนี้จะบอกสูตรต่าง ๆ ว่าต้องการวัตถุดิบอะไรบ้างในการทำอาหาร เราก็สามารถนำวัตถุดิบที่เรามี ที่ตรงกับความต้องการของสูตรมาทำอาหารที่โต๊ะทำอาหารได้เลยครับ และอาหารบางชนิดสามารถเพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ ให้เรานำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ เพิ่มอัตราการตกปลา หรือเพิ่มอัตราการต่อสู้ในการล่าสัตว์ให้เราการจับแมลง : ในส่วนนี้คือได้ฟิล Animal Crossing เลยครับ แต่ว่าเกมนี้แมลงกลางวันและกลางคืนจะไม่แตกต่างกัน จะมีเหมือนเดิมทั้งวัน ถ้าอยากหาแมลงชนิดใหม่ ๆ เราต้องไปในที่ ๆ สภาพแวดล้อมแตกต่างจากเดิมครับ สัตว์ในบริเวณนั้นก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ฉะนั้นเราต้องเดินไปไกลจากบ้านของเราเยอะเลย และต้องรอฤดูที่เปลี่ยนแปลงเราอาจจะได้เจอแมลงชนิดใหม่ ๆ เราสามารถเอาแมลงมาเลี้ยงตั้งโชว์สวย ๆ เป็นของประดับภายในบ้านได้ หรือขายให้พี่จอห์นเพื่อรับเป็นเงินได้เช่นกันครับ กราฟิกและระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก : Dinkum เป็นเกมแนวเอาตัวรอด ทำฟาร์ม เปิดโลกกว้างผจญภัย การเล่นเกมไม่เป็นเส้นตรง ได้รับแรงบังดาลใจมากจากเกมดังอย่าง Animal Crossing กราฟิกเกมนี้เป็นแบบ 3D Polygon กึ่ง ๆ Sandbox และมีภาพน่ารักครับ สีของเกมเล่นแล้วได้ฟิลความร้อนแบบออสเตรเลียจริง ๆ  ขนาดไฟล์ของเกมมีขนาดเล็กเพียงแค่ 1.56GB แทบไม่กินพื้นที่ในเครื่องของเราเลย และที่สำคัญเกมนี้ยังไม่ต้องใช้สเปคขั้นเทพอะไรในการเล่น สเปคธรรมดาบ้าน ๆ ทั่ว ๆ ไปก็สามารถเล่นได้ครับ ผู้เขียนชอบก็ตรงนี้แหละ ระบบการบังคับและ UI : เหมือนเกมอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป ใช้ WASD ในการบังคับทิศทาง ไม่ซับซ้อนอะไร มีแค่เพียงระบบการหมุนของกล้องที่ผมไม่ค่อยชอบ เพราะมันค่อนข้างทำให้เราหลงทางในเกมได้ง่ายมาก ๆ ครับ เพราะว่าเกมจะไม่ล็อคมุมมองให้เรา เราจะต้องกด Shift ค้างเอาไว้และหมุนเม้าส์ ให้มุมกล้องไปในทิศทางที่เราต้องการอยู่ตลาดเวลา และแผนที่เกมนี้ค่อนข้างกว้างมาก ๆ พอมุมกล้องมันไม่ล็อคเราจะหลงทิศและต้องเปิดแผนที่ดูบ่อย ๆ ซึ่งค่อนข้างสร้างความรำคาญในการเล่นครับ (มุมกล้องที่เกมตั้งค่ามาให้ ตรงนี้ถ้าใครไม่ชอบสามารถปรับแต่งได้ใน Setting ครับ) UI ต่าง ๆ ของเกมใช้งานง่าย มีบอกว่าต้องกดอะไรเพื่อเปิดเมนูส่วนไหนขึ้นมา ใช้ปุ่ม 1 2 3 4 ฯลฯ เพื่อหยิบอุปกรณ์ต่าง ๆ พอเปิดเข้าเมนูต่าง ๆ ก็ถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบระเบียบหาง่ายครับ และเกมนี้เวลาของเกมจะไม่อิงตามเวลาจริงแบบ Animal crossing ฉะนั้นเราจะเข้าเกมตอนไหนก็ได้ระบบสะสม :  สาย Collector อย่างผู้เขียนก็ได้มาสนุกสนานกับส่วนนี้อยู่เหมือนกันครับ ตอนแรกผู้เขียนคิดว่าจะไม่มีพวกพิพิธภัณฑ์แบบใน Animal crossing ซะแล้วนะเนี่ย พออัพเกรดเมืองไปเรื่อย ๆ Theodore จะย้ายมาอยู่อาศัยบนเกาะกับเราด้วย ทำหน้าที่เดียวกับลุงนกฮูกใน Animal crossing ครับ ทีนี้เราก็สามารถนำของหรือไอเทมไปบริจาคที่ Theodore ได้ ไม่ว่าจะเป็นแมลงต่าง ๆ ปลาที่เราจับได้ เราสามารถนำเอามาบริจาคได้เพื่อสร้างพิพิธพันธ์ครับ นอกจากสะสมในสมุด Pedia ส่วนตัวของตัวเองได้แล้ว ยังสะสมให้ชาวเมืองได้มาชมในอนาคตด้วยครับ ถึงแม้ว่าอควาเรี่ยมหรือโดมผีเสื้อเกมนี้มันจะไม่ได้สวยงามอลังการแบบในแอนิมอลครอสซิ่ง แต่การได้หาของมาใส่พิพิธภัณฑ์บอกเลยว่าอย่างเพลินครับ เลเวล : ระบบการอัพเลเวลต่าง ๆ ของเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่ตัวละครของเราจะมีเลเวล เกมนี้เลเวลจะไปอยู่ที่ความสามารถต่าง ๆ ของเราแทนครับ อย่างเช่น ถ้าวันนี้เราไปขุดแร่ กับ ตกปลา เลเวลในส่วนของการขุดแร่กับการตกปลาของเราก็จะเพิ่มขึ้น เก็บเลเวลไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถซื้อใบอนุญาตที่มีเลเวลสูงขึ้นได้ คุณยาย Fletch จะส่งจดหมายมาแจ้งเราที่ Mailbox ครับ "ว่าเราสามารถซื้อใบอนุญาตชนิดนี้เพิ่มเติมได้แล้วนะ" เลเวลต่าง ๆ ที่เราทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ เกมจะสรุปให้เราเป็นรายวันหลังจากเราเข้านอน ว่าวันนี้ได้เลเวลในส่วนไหนบ้าง และได้รับเงินมาเท่าไหร่ อุปกรณ์สวมใส่ต่าง ๆ ที่เราได้รางวัลจากการทำเควสมา เป็นแค่แฟชั่นสวมใส่เท่านั้น ไม่ได้เพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ ให้เราแต่อย่างใดสรุปในมุมมองของผู้เขียนเกมนี้ผมให้แค่ 7/10 คะแนนเท่านั้นครับ ถ้าจะให้เทียบกับต้นแบบอย่าง Animal Crossing ผมมองว่ายังไม่ติดฝุ่นเลยครับในหลาย ๆ ด้าน ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าแมพมันค่อนข้างกว้างไปหน่อย แถมมาด้วยมุมมองกล้องที่ทำให้การเล่นเกมนี้ยากเอามาก ๆ เพราะมันหมุนได้ 360 องศา และกล้องไม่ปรับภาพตามเราในมุมใดมุมหนึ่งไปเลย เวลาเราไปล่าสัตว์แล้วเจอสัตว์ที่สู้กลับ ทำให้การหนีค่อนข้างทุลักทุเลอยู่เหมือนกัน บางทีเจ็บตัวฟรี แทงไอ้เข้ไม่โดน ฮ่า ๆ (ผมค่อนข้างงงว่าตัวเกมสามารถตั้งค่าให้ล็อคหน้าจอได้ ทำไมผู้พัฒนาถึงไม่ตั้งเป็นค่าหลักไปเลย เพราะมันทำให้เล่นเกมง่ายกว่าเดิมมาก) แต่ถ้าเราไม่เอาไปเทียบกับ Animal Crossing เกมนี้สามารถให้ความเพลิดเพลินได้อยู่เหมือนกัน มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นทำฟาร์ม สร้างบ้าน ทำเควสต่าง ๆ คราฟท์ของไปล่าสัตว์จ่าฝูง หรือจะเป็นการชักชวนผู้คนมาอยู่ในเมือง โดยเฉพาะระบบ Co-op ถ้ามีเพือนมาเล่นด้วย มันก็มาทดแทนความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างที่หายไปได้อยู่เหมือนกันครับ และเนื่องจากมันเป็น Early Access ผู้เขียนเตือนเพื่อน ๆ ไว้ก่อนเลย ว่าเกมนี้บัคเยอะมากกกกกกกก ถึงแม้มันจะไม่ได้เป็นบัคที่มีผลกับเกมอะไรมาก แต่มันอาจจะสร้างความรำคาญนิด ๆ ให้กับเราได้ครับ การเล่นเกมนี้ค่อนข้างสู้ชีวิตอยู่เหมือนกัน เพราะสัตว์ป่าในออสเตรเลียขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความดุร้าย ฉะนั้นเราต้องอยู่เยี่ยงผู้ล่าและเป็นท็อปของห่วงโซ่อาหารในสังเวียนนะครับ ไม่งั้นถ้าเราไม่พร้อมแล้วออกไปล่าสัตว์ ผมบอกเลยว่าจอดำครับ ฮ่า ๆ ยังไงผู้เขียนมองว่ามีติดคลังไว้เล่นกับเพื่อนก็เพลินดีครับ เพราะด้วยราคาที่ไม่แรงมาก 289 บาทเท่านั้นเอง! ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้เขียนยังไม่ได้พูดถึงในรีวิวนี้ ผู้เขียนอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปสัมผัสและค้นหาเพิ่มด้วยตัวเองครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/news/app/1062520/view/4720352462294613029
28 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม DreadOut 2 (PS5) สานต่อความสยองขวัญ กับตำนานภูติผีประเทศอินโดนีเซีย
"บางวัฒนธรรมเก่าแก่เชื่อว่า การถ่ายรูปนั้นสามารถขโมยวิญญานคนได้ และไม่เคารพโลกของฝั่งวิญญาน"DreadOut เป็นเกมสยองขวัญที่วางจำหน่ายออกมาในปี 2014 จากทางทีม Digital Happiness ผู้พัฒนาสัญชาติอินโดนิเซีย ที่หลาย ๆ คนยกให้ถึงความหลอนชวนขนหัวลุก และจุดเด่นของเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกม Fatal Frame ที่เรานั้นจะสามารถใช้กล้องถ่ายรูปในการโจมตีเหล่าภูติผีปีศาจจากตำนานความเชื่อของประเทศอินโดนิเซียที่คอยไล่ล่าเรา พร้อมบรรยากาศความหลอนทั้งความมึด เสียงกรีดร้อง ความสยองขวัญ ซึ่งตัวเกมได้รับคะแนนคำวิจารณ์จากทางร้านค้า Steam สูงถึง 76% รวมถึงยังสานต่อเรื่องราวใน DreadOut: Keepers of The Dark ปี 2016 ตัวเกมก็ได้รับคะแนนที่ดีเช่นกันต่อมาอีก 6 ปีทางผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยเกม DreadOut 2 ออกมาให้เราได้สัมผัสกัน ที่จะเป็นการสานต่อเนื้อเรื่องของเกมภาคแรกที่ยังค้างคา และเพิ่มเกมเพลย์ใหม่ ๆ ให้เราได้เล่นอีกด้วย ถึงแม้ว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายออกมาถึง 2 ปีแล้ว แต่ล่าสุดทางผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยตัวเกมเวอร์ชันคอนโซลออกมาให้เล่นกัน ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกม DreadOut 2 ในเวอร์ชัน PlayStation 5 พร้อมพูดภาพรวมของตัวเกมว่ามันควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ ?กราฟิก / นำเสนอถึงแม้ว่าตัวกราฟิกของเกมทางผู้พัฒนาจะยังไม่ได้อัปเกรดกราฟิกอะไรมาก ตัวโมเดลก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ใส่รายละเอียดของเกมให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซนที่พักอาศัยที่เปิดพื้นที่เปิด ก็ได้ชูความเป็นประเทศอินโดนิเซียได้อย่างดีเลยทีเดียว เราจะได้เห็นตึกราบ้านช่อง บรรยากาศคร่าว ๆ ของคนในประเทศ หน้าตาของโรงเรียนมัธยม การแต่งตัวของนักเรียนและอาจารย์ที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันก็ค่อนข้างเปิดโลกและน่าสนใจพอสมควรเลยในด้านของความสยองขวัญถึงแม้ว่าในภาคนี้เราจะได้อยู่ในพื้นที่เปิดมากขึ้น ความอึดอัดที่พบเจอในบางฉากก็อาจจะทำได้น้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศเวลาอยู่ในฉากที่แคบ อึดอัดทางผู้พัฒนาก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม บรรยากาศความสยอง ความแหวะก็ยังอยู่ครบไม่ต่างจากภาคแรก และเหมือนจะโหดขึ้นกว่าเดิมด้วยและอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้ก็คงจะเป็นเรื่องของความสยองขวัญที่ทางผู้พัฒนาก็เชิดชูเรื่องราวเร้นลับหรือผีบ้านเขาได้อย่างดี เพราะว่าประเทศอินโดนิเซียนั้นเป็นประเทศที่มีเรื่องเล่าในตำนานมากมาย ทำให้เรานั้นได้พบเจอกับเหล่าผีพวกนี้ในการต่อสู้ตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะเป็นผีผ้าห่อศพ ผีสาวกุนตีลานัก หรือผีพญางู Blorong เป็นต้นแต่ถ้าให้พูดถึงประสบการณ์ที่ได้รับหลังจากที่เล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PS5 ก็ต้องบอกว่ามันก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเวอร์ชัน PC เสียเท่าไร ในงานด้านกราฟิก แสงเงาก็เหมือนเดิม ฟังชันต่าง ๆ บนจอย DualSense ก็ไม่ได้ใส่ลูกเล่นอะไรเข้ามาเลย และทางผู้เขียนแอบไปส่อง ๆ คอมเมนต์จากฝ่ายที่เล่นบนเครื่อง PS4 มีกล่าวว่าเฟรมเรทดรอปอยู่ประมาณนึงเลยทีเดียวเนื้อเรื่องในด้านของเนื้อเรื่องจะพูดถึงหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ดำเนินเรื่องราวกับตัวเองคนเดิมอย่างสาวน้อย Linda หลังจากที่เอาชีวิตรอดจากการพบเจอกับสิ่งชั่วร้ายในป่าพร้อมกับเพื่อน ๆ ทำให้ภาคนี้ตัวเธอนั้นมีพลังในความสามารถมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตัวเธอจะต้องพบเจอกับเหล่าภูติผี ปกป้องเหล่านักเรียนที่โดนผีไล่ล่า หรือโดนผีเข้า  การเข้าไปในอีกมิติและพบเจอกับภูติผีมากมากมายที่คอยทำร้าย ซึ่งเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้จะมีกลิ่นอายการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่อยู่หน่อย ๆ ไม่ได้มีเรื่องราวที่น่าระทึกหรือเค้นอารมณ์อะไรมากนัก แต่มันก็ถือว่าเป็นบทเฉลยเรื่องราวที่ผ่านมาของเกมภาคแรก และเกมภาค DreadOut: Keepers of The Dark ได้อย่างดี ทำให้ใครที่ไม่เคยเล่นสองภาคนี้ก็อาจจะไม่เข้าใจในเนื้อเรื่องของเกมเลยสักนิด ถึงแม้ว่าในหน้าเมนูจะมีการให้เราไปย้อนฟังสรุปเรื่องราวก่อน แต่เชื่อว่าถ้าหากคุณไม่ได้เล่นด้วยตัวเอง คุณก็อาจจะไม่อินกับมันเสียเท่าไร และงงกับที่มาที่ไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นเกมเพลย์ในด้านเกมเพลย์ของภาคนี้ตัวเกมเพิ่มเกมการเล่นมาจากภาคแรกในระดับหนึ่ง นอกจากที่เราจะสามารถใช้กล้องในการถ่ายรูปใส่เหล่าภูติผีเพื่อทำดาเมจแล้วนั้น แต่ในภาคนี้เราจะสามารถใช้แฟลชกล้องเพื่อทำให้ศัตรูสตั๊น และสามารถใช้อาวุธมาต่อสู้กับศัตรูได้ด้วย แต่ว่าเกมเพลย์นี้ก็อาจจะไม่ได้มีให้ใช้ตลอด ภายในเนื้อเรื่องของเกมก็จะมีการสลับสับเปลี่ยนไปใช้เกมการเล่นเดิม ๆ และเปลี่ยนไปเล่นเกมเพลย์แบบใหม่ด้วยภายในภาคนี้ก็มีปริศนาที่เราจะต้องหาสิ่งของบางอย่าง ถึงแม้ว่าตัวปริศนาอาจจะไม่ได้ยากมากนัก แต่ก็มีปริศนาบางตัวที่ทำออกมาได้น่าสนใจอย่างเช่นการพบคนถูกผีสิงที่อยากสูบบุหรี่มาก ๆ ทำให้เราจำเป็นต้องหาบุหรี่ไปให้เขาเพื่อหลีกทาง ซึ่งเราก็อาจจะต้องไปหาบุหรี่จากคนที่สูบจัดบางคนที่เราเคยพบเจอเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีบางภารกิจที่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันทำให้ความน่ากลัวของเกมหายไปเลย อย่างเช่นภารกิจหารองเท้าที่เราต้องเอาอาหารไปให้แมวที่ขโมยไป หรือภารกิจหากาแฟให้กับคนที่ขวางทาง ซึ่งส่วนตัวมองว่ามันดูไม่เข้ากันกับธีมของเกมเท่าไรเลยความรู้สึกหลังเล่น (เวอร์ชัน PS5)สำหรับภาคนี้ส่วนตัวคิดว่าความหลอนนั้นค่อนข้างหายไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวส่วนใหญ่นั้นจะดำเนินอยู่ในที่โล่ง ที่เปิด ทำให้เรานั้นมองเห็นวิสัยทัศน์ได้ไกลขึ้น ผิดจากภาคแรกที่เนื้อเรื่องจะอยู่ในป่า หรือในคฤหาสเสียมากกว่า รวมถึงในด้านการต่อสู้เราเองสามารถสู้กับพวกภูติผีได้มากขึ้นด้วยอาวุธต่าง ๆ ทำให้ความน่ากลัวนั้นอาจจะน้อยลงไป แต่โดยรวมแล้วตัวเกมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สนุกและสามารถเพลิดเพลินได้จนจบเกม เพราะต้องยอมรับว่าทางผู้พัฒนาได้ใส่ไอเดียใหม่ ๆ เข้ามาให้มีสีสันมากกว่าเดิม รวมถึงตัวบรรยากาศในบางฉากก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแต่จากการเล่นบนเครื่องคอนโซล เนื่องจากที่ตัวเกมนี้ดีไซน์ให้มาเล่นบนเครื่อง PC ตั้งแต่แรก ส่วนตัวรู้สึกว่าการปรับบาลานซ์ของเกมทางผู้พัฒนาทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะการใช้จอย Controller บังคับนั้นค่อนข้างช้ากว่าการใช้เมาส์และจอยพอสมควร พอเจอศัตรูบางตัวที่เคลื่อนค่อนข้างเร็ว ทำให้การต่อสู้นั้นลำบากกว่าเดิมมาก รวมถึงยังพบเจอกับบัคต่าง ๆ พอสมควรรวมถึงสิ่งที่ต้องชมก็คือระบบการนำเสนอความเป็นอินโดนิเซียให้เราได้เข้าใจเกี่ยวกับประเทศนี้มากขึ้นทั้งในแง่ของเรื่องราวของตำนานผีสางต่าง ๆ ที่มาจากประเทศให้เราได้ศึกษา และความเป็นโลกเปิดถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้ความน่ากลัวของเกมน้อยลงไป แต่ในช่วงเช้าเราก็จะได้เห็นบรรยากาศของบ้านเรือน และบรรยากาศการใช้ชีวิตของคนในประเทศนี้ ทั้งร้านขายของ ยานพาหนะ หรืออาหารเป็นต้น
25 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Raft "เกมเอาชีวิตรอดบนแพลำน้อย สู่การผจญภัยบนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่"
เกม Survival หรือการเอาตัวรอดนั้น ต้องบอกว่ายังคงเป็นแนวเกมที่ยอดนิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และดูท่าจะลากยาวไปในอนาคตด้วย และในปี 2022 นี้เองก็มีเกมหนึ่งที่กลายเป็นกระแสขึ้นมา แต่มันไม่ใช่เกมใหม่แต่อย่างใด เพราะนี่คือเกมที่อยู่ในช่วง Early Access หรือเล่นระหว่างการพัฒนามาอย่างยาวนานถึง 4 ปีเต็ม ระหว่างนี้ก็มีการอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ จนในที่สุดตัวเกมก็มาถึงปลายทางในชื่อ The Final Chapter จุดเริ่มต้นจากแพเล็ก ๆ สู่การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ มันจะคุ้มค่ากับการเล่นหรือไม่ นี่คือรีวิวเกม Raft ในฉบับเวอร์ชั่นเกมเต็มครับ เนื้อเรื่องที่ผู้เล่นต้องค้นหามันด้วยตัวเอง ภายใต้แนวเกมการเอาชีวิตรอดก่อนอื่นที่ต้องบอกเลยคือ เกมนี้มีเนื้อเรื่อง และเป็นเนื้อเรื่องที่น่าติดตามเสียด้วย แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ เพราะถ้าเล่นคนเดียว โอกาสที่จะไปให้ถึงเนื้อเรื่องชุดแรกนี่มันน้อยเสียเหลือเกิน แต่ถ้าเล่นกันแบบเป็นหมู่คณะ ยังไงก็ได้สัมผัสเนื้อเรื่องดี ๆ ของเกมนี้ เมื่อเริ่มเกมมา เราจะอาศัยอยู่แพที่มีอยู่เพียงช่องเดียว และตะขอเกี่ยวหรือ Hook 1 อันเท่านั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนแรกเริ่ม คือการใช้ตะขอเกี่ยว เก็บเกี่ยวกับขยะในทะเล ที่มีทั้งพลาสติก เศษไม้ ใบไม้ ลอยอยู่เกลื่อน แล้วเอามาขยับขยายพื้นที่เพิ่ม ในช่วงแรกคุณจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวละครของเราถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมเรามาอยู่กลางทะเล และจุดมุ่งหมายของเราคืออะไรกันแน่ คำตอบจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณค่อย ๆ เล่นไปจนถึงเกาะใหญ่เกาะแรก ที่ทำให้เราพบเบาะแสว่าจริง ๆ แล้วเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือน้ำได้ท่วมโลกจนไม่เหลือพื้นที่ให้อยู่อาศัย และเราต้องตามหาสัญญาณของเหล่าผู้รอดชีวิตที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ จากแพลำน้อย สู่การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ที่มีอารยธรรมของมนุษยชาติเป็นเดิมพันแม้ฉากหน้าจะเป็นเกม Survival เก็บของ หาน้ำ หาอาหารเอาตัวรอด แต่ทุกครั้งที่เราเข้าสู่พื้นที่ของเนื้อเรื่อง จะเต็มไปด้วยเบาะแสปริศนาที่พร้อมจะให้ผู้เล่นนำมาปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง สำหรับเนื้อเรื่องในเกมนี้จะอยู่ที่ไฟล์เอกสารเสียมากกว่าการเล่าออกมาตรง ๆ ดังนั้นทุกครั้งที่เราเจอเกาะหลัก ที่เป็นเนื้อเรื่องของเกม หากเราเก็บไฟล์เอกสารและไฟล์โน้ตมาจนครบ เราก็ต้องมานั่งอ่าน เพื่อร้อยเรียงเรื่องราวด้วยตัวเอง และถือว่านี่เป็นอีกเกมที่มีโครงเรื่องโลกล่มสลายได้น่าติดตามไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัย สู่ความยิ่งใหญ่บนผืนมหาสมุทรใครที่เล่น Raft มาตั้งแต่ช่วงที่เกมวางจำหน่ายในรูปแบบ Early Access จะรู้ดีว่าเกมเพลย์ของเกมนี้นั้น มีความเข้าถึงง่ายมากหากเทียบกับบรรดาเกมแนว Survival ทั่วไป แถมยังมีจุดเริ่มต้นที่แปลกกว่าเกมอื่น ๆ ด้วย โดยเราจะเริ่มต้นบนแพลำเล็กที่มีพื้นที่ยืนเพียง 1 ช่องเท่านั้น จากนั้นค่อย ๆ เก็บเศษของรอบตัวมาขยับขยายพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้น และค่อย ๆ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นที่ปรุงอาหาร ที่กรองน้ำ เพื่อทำให้ตัวละครมีน้ำดื่ม และนำของดิบมาปรุงให้สุก กินเป็นอาหารได้ ความโดดเด่นของ Raft คือ เงื่อนไขการปลดล็อคสิ่งของใหม่ ๆ รวมไปถึงไอเทมใหม่ ๆ นั้น ไม่ยุ่งยากเลย ใครที่มีประสบการณ์เล่นเกม Survival มาก่อน จะสามารถเล่นและเข้าใจได้ในเวลาไม่นานนัก และระบบการเล่นก็ไม่ซับซ้อนด้วย เวลาที่อยากจะปลดล็อคสิ่งของใหม่ ๆ ก็เพียงแค่นำเอาของที่ยังไม่เคยวิจัย ไปวิจัยที่โต๊ะวิจัย (Research Table) เท่านี้เราก็จะปลดล็อคของใหม่ ๆ ได้แล้ว ซึ่งปัจจุบัน เกมเต็มเวอร์ชั่น 1.0 นั้น มีของใหม่ ๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกได้มากมาย แต่ใครที่ชอบจับผิด หรือติดขัดกับความไม่สมจริงของมันก็อาจจะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย ที่เราเก็บแค่ใบไม้ หรือเศษพลาสติกก็สามารถทำได้มากมายหลายอย่างเหลือเกิน ทั้งที่ในชีวิตจริงไม่น่าจะทำได้ในช่วงแรก เราอาจจะต้องทนใช้ชีวิตติดขัดไปก่อน เพราะแต่ละอย่างช่างยากเย็น น้ำ อาหาร ก็หมดไว แถมถ้าจะดำน้ำลงไปเก็บของ แพก็อาจถูกลมพัดไป เพราะไม่มีสมอพัก และอาจจะโดนฉลามน้อยคู่ใจที่ว่ายน้ำเวียนไปเวียนมาไล่กัดเอาได้ แต่เมื่อเราอดทนจนถึงที่มีของอำนวยความสะดวกในระดับเริ่มต้นแล้ว ก็จะเริ่มสบายขึ้น เพราะความยากของเกมนี้ ไม่ใช่การเอาตัวรอด ถ้าให้บอกกันตรง ๆ นี่คือเกมเอาตัวรอดที่เล่นง่ายมาก เข้าถึงง่ายมาก คนที่เล่นมาก่อน ยิ่งไปได้ไว หรือคนไม่เคยเล่นเลยก็เข้าใจได้ง่ายเช่นกัน มันเลยเป็นเกมที่เราสามารถชวนเพื่อนชวนฝูงมาเล่นได้ง่าย ๆ เพราะบางคนอาจจะไม่ชอบเกมแนวนี้เพราะมันลำบาก และต้องใช้เวลา ยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ จากแพเล็ก ๆ 1 ช่องก็จะเริ่มขยายใหญ่จนแทบจะกลายเป็นเรือสำราญ ซึ่งก็แล้วแต่ความสามารถ และหัวศิลป์ของผู้เล่นในการจัดวางสิ่งของ การตกแต่งแพของตัวเองให้กลายเป็นบ้านแสนสุข ใครที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย ชอบทำให้พื้นที่ของตัวเองดูสวยงามราวกับเล่นพวก The Sims หรือเกมจัดวางสิ่งของ เกมนี้ก็ตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน ใครที่แต่งสวย ๆ หรือขยันแต่ง เรียกได้ว่าอาจทำให้แพลำเล็กเพียง 1 ช่อง ขยับขยายกลายเป็นสวรรค์บนผืนทะเลเลยก็ได้รองรับทั้งการเล่นคนเดียว และเล่นกับเพื่อนได้อย่างลงตัว หากให้ผู้เขียนแนะนำจริง ๆ จัง ๆ แล้ว เกมนี้ไม่เหมาะกับคนไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไรนัก เพราะนอกจากบรรยากาศจะเป็นกลางทะเลอันเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยวแล้ว เกมเพลย์ของมันอาจจะทำให้เราเบื่อก่อนจะได้เข้าถึงเนื้อเรื่องหลักเสียอีก เอาเรื่องบรรยากาศก่อน สำหรับเกมที่เราต้องลอยคออยู่กลางทะเลแบบนี้ แม้จะไม่อดตายเพราะเราสามารถหาน้ำ หาอาหารได้ตลอด แต่บรรยากาศมันช่างเหงาเสียจนคนที่เบื่อง่าย หรือคนขี้เหงา ไม่ค่อยจะเหมาะกับเกมนี้สักเท่าไรนัก ต่อมาในด้านของเกมเพลย์ก็คือในช่วงแรกเราจะลำบากในเรื่องอาหารการกินมาก เนื่องจากเราต้องหาทรัพยากรแบบสู้ชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ไม้ ที่เอาไว้ต่อแพเพิ่มให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่กลับกัน ไม้ก็ใช้เป็นทรัพยากรสำคัญในการปรุงอาหารและต้มน้ำทะเลให้จืดจนดื่มได้ด้วย และถ้าเราไม่รีบขยับขยายแพให้ใหญ่พอ เกมนี้มีฉลามคอยกัดขอบแพเราตลอด ถ้าเราวางของไว้บนขอบแพแล้วไม่มีอะไรมาป้องกัน หากฉลามกัดจนช่องแพพัง ของที่อยู่บนแพก็จะหล่นลงน้ำไปด้วยเลย ต้องมาเสียเวลาหาทรัพยากรใหม่ และอาหารในช่วงแรกนั้น ถ้าคุณไม่โชคดี เจอถังใหญ่ที่มีไอเทมเยอะ ๆ ลอยมาบ่อย ๆ หนึ่งในไอเทมสำคัญในถังนั้นคืออาหารจำพวกหัวผักกาดดิบ และมันฝรั่งดิบแล้วล่ะก็ คุณแทบจะไม่มีอาหารกินเลย เพราะไม่มีใครคอยตกปลาให้ (แน่นอนว่าพวกนี้ต้องปรุงให้สุกด้วยเตาทำอาหารก่อนถึงจะกินได้) ทำให้ในช่วงแรกเริ่ม หากคุณเป็นผู้เล่นสาย Solo ก็ต้องทำทุกอย่าง วิ่งเกี่ยวข้อง เอาไม้มาเติมเตาปรุงอาหาร ขยายแพ ต้มน้ำ ตกปลา สารพัดสารเพล รับรองว่าดีไม่ดีเบื่อตายก่อนไปเจอเกาะแรก ๆ ด้วยซ้ำ การมีเพื่อนเล่นในเกมนี้จึงช่วยได้มาก และที่สำคัญมันดูดเวลามาก! แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากเราอยากจะเล่นคนเดียวจริง ๆ จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองนั้น โหมด Peaceful ตอบโจทย์มาก โหมดนี้ฉลามจะไม่ทำร้ายเรา แตจะว่ายน้ำวนไปวนมาอยู่ข้าง ๆ เราสามารถโดดลงน้ำไปเก็บของได้เลย ไวกว่าใช้ตะขอเกี่ยว หรือเวลาเทียบท่าตามเกาะ ก็สามารถดำน้ำลงไปขุดแร่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะขาดความตื่นเต้น ความระทึกในการหนีฉลามไป แต่สบายกว่าแน่นอน แนะนำว่าถ้าจะเล่นคนเดียว โหมดนี้ดีที่สุดความสนุกของเกมนี้คือการที่เราค่อย ๆ สำรวจเรื่องราวในเกม และปลดล็อคของใหม่ ๆ ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น จะบอกว่านี่ไม่ใช่เกม Survival ก็ว่าได้ เพราะเมื่อเข้าช่วงที่สองของเกม ที่ของบนแพเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบเครื่องเราก็แทบไม่ต้องกลัวอดตายกันแล้ว อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้อยู่แค่บนแพตลอดแต่ยังมีเกาะขนาดใหญ่ที่เป็นสาเหตุว่า ทำไมเราจึงควรมีเพื่อนเล่นเกมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่เราสามารถสร้างเครื่องยนต์ พวงมาลัย ควบคุมแพของเราให้เหมือนกับเรือเลยก็ทำได้ปกติแล้วเกาะขนาดใหญ่จะมีทั้งเกาะสำรวจและเกาะเนื้อเรื่อง ยิ่งเกาะเนื้อเรื่องนี่บอกเลยว่า ถ้าเล่นคนเดียวอาจต้องใช้เวลา และเหนื่อยกับการจัดการมาก การออกสำรวจบนเกาะขนาดใหญ่ เราอาจจะต้องเตรียมอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น พกน้ำใส่ขวด พกอาหารขึ้นไป เพื่อจะได้สำรวจได้นาน ๆ โดยไม่ต้องกลับมาที่แพให้เสียเวลา ต้องเตรียมอาวุธไว้ต่อสู้ หรือแก้ปริศนาจนหัวแทบแตก ตรงจุดนี้ทำให้รู้สึกว่าพัฒนาการของเกมนั้น ไต่ระดับได้ดีมาก ๆ คือเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ไปสู่สิ่งใหญ่ ๆ ทำให้ผู้เล่นติดพัน และอยากเล่นมันเรื่อย ๆ แต่ผู้เล่นคนเดียวก็จะเหนื่อยหน่อย ช่วงเกาะใหญ่ถือเป็นช่วงที่เกมนี้ทำได้ดีมาก มีแต่ความน่าตื่นเต้น รอให้เราไปสำรวจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดความดีงามของเกมนี้คือการทำให้ทุกอย่างเข้าใจได้ง่ายมาก ใช้อะไรปลดล็อคอะไร ของแต่ละอย่างมีความสามารถอะไร เกมนี้เคลียร์หมด หรือทำให้เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่ทีมพัฒนาจะทำกันได้แล้ว และการออกแบบไอเทมแต่ละชนิดนั้น บางอย่างอาจจะดูก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีไปบ้าง เมื่อติดว่าเราเริ่มต้นจากแพ เศษไม้ ใบไม้ แต่อยู่ดี ๆ ก็กระโดดไปทำเสาอากาศ ทำแบตเตอรี่ หรือเครื่องยนต์ไฟฟ้าได้ แม้จะไม่เมคเซนส์ไปบ้าง แต่ในด้านของเกมเพลย์การเล่น มันถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างความพึงพอใจให้กับคนเล่นมาก ลองคิดว่าอยู่ดี ๆ คุณปลดล็อคฟีเจอร์หรือไอเทมบางอย่างที่ทำให้เกมเล่นสบายขึ้นมาก นอกจากจะมีความสุขแล้ว มันยังชวนให้เล่นต่อ ให้ไล่ปลดล็อคไปจนครบหรือจบเกมได้แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเกมนี้จะเป็นสุดยอดเกมแนว Survival แห่งยุค แต่ก็มีข้อเสียที่อาจจะเป็นปัญหากับเฉพาะบางคนเท่านั้น กรณีที่เล่นด้วยกันเป็นหมู่คณะ นั่นคือ การเล่นแบบ Multiplayer หรือออนไลน์นั้น จะต้องมีผู้เล่น 1 คนที่เป็น Host ของเกม และต้องออนไลน์เกมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้อื่นสามารถเข้ามาร่วมเล่นได้ และถ้า Host อินเทอร์เน็ตไม่ค่อยจะดี ก็จะมีปัญหาไปถึงคนทั้งหมดในห้องเกมนั้น ๆ รวมไปถึงทำให้ต้องนัดแนะเวลาการเล่นให้ตรงกัน เพราะถ้า Host ว่างไม่ตรงกับคนอื่นก็ลำบากแล้ว และการอยู่ในเกมนี้ ไม่มีจุดเบรคพักใด ๆ ถ้าอยู่ในเกมก็ต้องหาข้าว หาน้ำกินตลอด ไม่ให้ตัวละครหิวตาย จะออนไลน์ทิ้งไว้ไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้อีก ดังนั้นถ้าจะเล่นเกมนี้ คุณต้องอยู่กับเกมแบบ 100% ไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตามด้วยปัญหานี้ ทำให้มันเป็นเกมที่หลายคนอาจจะต้องยอมปล่อยมือ เพราะเล่นคนเดียวก็ลำบาก จะหาเพื่อนมาเล่นด้วยก็ยากอีกด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาทางด้านเกมเพลย์การเล่น ต้องบอกเลยว่าเกิดขึ้นน้อยมาก ๆ ถือเป็นเกมที่มีการ Optimized และการปรับปรุงตัวเกมมาดี เป็นผลจากการดูแลและพัฒนาตัวเกมมากว่า 4 ปีเต็มจากช่วง Early Access นั่นเองต้องบอกว่า มีไม่บ่อยนักที่เกมแนว Survival จะทำออกมาได้ดี ครบเครื่อง ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งเกมเพลย์การเล่น ทั้ง Multiplayer หรือระบบออนไลน์ ตอนนี้ตัวเกมเข้าสู่เวอร์ชั่นเต็มอย่างเต็มรูปแบบแล้ว และสามารถซึมซับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ใครที่สนใจสามารถหามาเล่นกันได้แล้ววันนี้ ผ่านระบบ PC (Steam) รับรองว่าคุ้มค่าอีกเกมแน่นอน
24 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Settlement Survival เกมสร้างเมืองอันเรียบง่าย กราฟิกสบายทั้งตา ราคาสบายกระเป๋า
Settlement Survival เป็นเกมสร้างเมืองที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Banished ถูกพัฒนาโดย Gleamer Studio ลงวางขายในสโตร์ของ Steam มาตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. 2021 ในเกมนี้ผู้เล่นอย่างเราสามารถเลือกภูมิประเทศที่เราอยากลงหลักปักฐานและสร้างอาณาจักรของเราได้ และยังสามารถทำการวิจัยวิทยาการต่าง ๆ ภายในเมืองทั้งในด้านการแพทย์, โภชนาการ, เทคโนโลยี, การขนส่ง, การค้า, การแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ระบบโลจิสติกส์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรและสร้างความเจริญให้กับเมืองที่เราบริหารดูแล และเกมนี้ยังมีระบบโรคภัยไขเจ็บและภัยธรรมชาติเพิ่มเข้ามาเพื่อทำให้เกมดูสมจริงมากยิ่งขึ้นอีกด้วยครับเกมเพลย์เกมนี้เป็นเกมแนว Simulation เกี่ยวกับการก่อสร้างและบริหารเมือง อารมณ์เหมือนเราได้รับบทเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกมองลงมาจากเบื้องบน รับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตของเมืองและประชากรครับ เราสามารถเลือกออกแบบผังเมืองตามใจเราได้ (ใครอึดอัดใจกับผังเมืองบ้านเรา สามารถมาปลดปล่อยในเกมนี้ได้เลย) ประชากรในเมืองจะเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ กับเราอยู่ตลอดเวลาครับ ถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ แล้วเราหาสิ่งต่าง ๆ ที่ชาวเมืองเรียกร้องไม่ทัน ประชากรของเราอาจจะย้ายหนีออกจากเมืองเราไปอยู่ที่อื่น หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นคือประชากรของเราจะตายกันหมดเมืองเลยครับ (ผู้เขียนสร้างโรงพยาบาลไม่ทัน เพราะขาดทรัพยากร ตายกันเป็นเบือเลยครับ ฮ่า ๆ) นอกจากโรคภัยไขเจ็บในเกมต่าง ๆ เรายังต้องเจอกับภัยธรรมชาติของเกมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งอัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว และพายุฝนฟ้าคะนอง ฯลฯ ทำให้สิ่งปลูกสร้างในชุมชนของเราเกิดความเสียหายได้ หรือประชาชนล้มตายจากภัยธรรมชาติได้เช่นกันครับ เกมนี้มีให้เราเลือกเล่นถึง 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Standard Mode, Sandbox Mode และ Story Mode และสิ่งที่ผมชอบในเกมนี้อีกอย่างคือมี Skill Three การวิจัยของเมือง ซึ่งจะต้องเก็บพ้อยท์เอาไว้เพื่ออัพในส่วนที่เราอยากจะพัฒนาหรือต้องการความเจริญในด้านนั้นครับ Standard Mode - โหมดนี้เราสามารถเลือกระดับความยากง่ายของเกมได้ เราสามารถระบุความต้องการของจำนวนประชากรที่เราต้องการจะบริหารได้ เช่น ถ้าเราเลือกความยากระดับ Easy ประชากรของเราจะมีความต้องการน้อย, มีความสุขง่าย, ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็จะน้อยครับ แต่ถ้าเราต้องการความท้าทายขึ้นมาหน่อยในโหมดนี้เราสามารถ Custom ได้ ว่าเราอยากให้มีโรคภัยไข้เจ็บไหม หรืออยากให้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติระดับไหน เราสามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบเลยครับ แต่ในส่วนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ของโหมดนี้นั้นเราต้องปลดล็อคเอาจาก Skill Three ซึ่งเราต้องใช้ Research Point (แต้มการวิจัย) เพื่อให้เราสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ บางอย่างได้ครับ และในโหมดนี้ยังมี Task Goal (เป้าหมายภายในเกม) ให้เราทำเพื่อรับเงินในการพัฒนาเมืองอีกด้วยครับSandbox Mode - โหมดนี้ระบบการเล่นไม่ได้แตกต่างจาก Standard Mode มากนัก เราสามารถเลือกระดับความยากง่ายของเกมได้ และสามารถ Custom ได้เช่นกันครับ แต่สิ่งเล็ก ๆ ที่แตกต่างกันคือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในเกม ที่ปลดล็อคมาให้เลือกเล่นได้เยอะกว่ามาก ๆ ครับ เอาเป็นว่ามันค่อนข้างจะอิสระกว่าโหมดธรรมดาที่ต้องค่อย ๆ เล่นเก็บแต้มการวิจัย ซึ่งในโหมดนี้เราต้องเก็บแต้มเหมือนกันครับ แต่อาจจะเอาไปเพิ่มความสามารถในส่วนอื่น ๆ แทน เช่น เร่งอัตราการปลูกสร้าง 10%, หรือประชากรของเราสามารถหาทรัพยากรได้มากขึ้น เป็นต้นStory Mode - ตอนนี้ยังมีเนื้อเรื่องของสถานที่เดียวเท่านั้นครับ นั่นก็คือ "Easter Island" ซึ่งพอเข้าเกมไปเกมจะเล่าว่าเรามาตั้งรกรากกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไร บลา บลา บลา สองโหมดก่อนหน้านี้ที่เราได้กล่าวถึงด้านบนนั้นจะมี Task Goal (เป้าหมายภายในเกม) ให้เราทำใช่ไหมครับ แต่ในส่วนของ Story Mode นั้นจะมีเป็นเควสให้เราค่อย ๆ ทำผ่านไป ซึ่งต้องเล่นเกมไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ สร้างรูปปั้นที่เป็นเควสของเราจนเสร็จ เรามีหน้าที่แค่หาทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพียงพอในการสร้าง และเลี้ยงดูประชากรในเกาะของเราครับ เราต้องบริหารจัดการให้ดีเพราะในส่วนเนื้อเรื่องนี่ผมมองว่าค่อนข้างยาก เพราะประชากรไม่ตายตัวครับ จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในเกาะของเราเรื่อย ๆ พอคนยิ่งมากขึ้นทรัพยากรที่เคยพอมันก็กลายเป็นไม่พอ (Demand ไม่บาลานซ์กับ Supply เหมือนในหนังสือเรียนของเด็กการตลาดเขานั่นแหละครับ ฮ่า ๆ) ที่ผู้เขียนเล่ามาว่าโหดแล้ว มันยังมีโหดกว่านี้อีกครับ ในโหมดนี้เราจะตั้งระดับความยากง่ายของเกมไม่ได้ ตัวเกมจะตั้งมาให้เราแล้ว ซึ่งคือระดับ Hard เริ่มต้นเราจะมีประชากร 200 คนให้ดูแล มีภัยธรรมชาติครบทุกรูปแบบ แถมด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าแบบน่ารำคาญสุด ๆ ก็ทำให้โหมดนี้เล่นแล้วค่อนข้างเครียดครับ ฮ่า ๆ แต่ก็สนุกมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ในส่วนเนื้อเรื่องตัวเกมมีสปอยล์อยู่นะครับว่าในอนาคตอาจจะมีแมพอื่น ๆ ให้ได้เล่น เพราะในเกมมีชื่อเนื้อเรื่องในภูมิภาคอื่น ๆ ให้ได้เห็น แต่ยังกดเข้าไปเล่นไม่ได้ครับ ส่วนนี้ก็ต้องรอทาง Dev อัพเดท และสวดภาวนาให้ผู้พัฒนาไม่เทเกมไปก่อนนะครับ สาธุ ฮ่า ๆการวิจัย - ในเกมนี้ทุก ๆ การพัฒนาต่าง ๆ ของเราไม่ว่าจะเป็นการ สร้างสิ่งปลูกสร้าง, ตัดต้นไม้, เก็บเกี่ยวผลผลิต, เข้าป่าล่าสัตว์ หรือจับปลา ฯลฯ ไม่ว่าเราจะทำอะไรกับดินแดนของเรา เราจะได้รับ EXP อยู่ตลอด เมื่อเต็มหลอดแล้วเราจะได้ 1 Point เพื่อมาอัพสายต่าง ๆ ที่เราอยากจะบริหารครับ เช่น ถ้าผมอยากจะเด่นไปทางด้านการแพทย์ ผมก็จะเอาแต้มมาลงเกี่ยวกับบริการด้านการแพทย์ทั้งหมด แต่เราสามารถนำแต้มแบ่งไปอัพเกี่ยวกับสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของเมืองเราได้เช่นกันครับ ดีแค่ด้านใดด้านหนึ่งมันอาจจะไม่ตอบโจทย์ คุณภาพชีวิตของประชากรก็สำคัญครับ ฉะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกก็ควรจะดีตามไปด้วย เท่าที่แต้มเราไหวแหละครับ ฮ่า ๆ เราสามารถกำหนดจุดแข็งของเมืองเราได้อย่างอิสระ และแต้มสามารถนำไปแบ่งเพิ่มทักษะให้ประชากรเราได้ด้วย เช่น เพิ่มอัตราการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้นอีก 10%, ให้ประชากรใช้เครื่องทุนแรงในการย้ายสิ่งของ หรือเพิ่มอัตราการเดินของประชากร เป็นต้นครับ เราสามารถสร้างศูนย์การวิจัยเพื่อที่เราจะสามารถได้รับค่า EXP ที่เร็วกว่าเดิมได้อีกด้วยระบบเทรดสินค้า - ในทุก ๆ โหมดเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ เมืองของเราจะมีกำลังการผลิตที่สูงขึ้นเราจำเป็นต้องหาทางระบายทรัพยากรต่าง ๆ ที่เราหามาได้ โดยการแลกเปลี่ยนกับเมืองอื่น ๆ ครับ เราสามารถเอาสิ่งที่เรามีเยอะ นำไปแลกกับสิ่งที่เราขาดได้ ยิ่งถ้าเมืองเราผลิตสินค้าที่มาตรฐานสูง(เนื่องจากเรานำแต้มการวิจัยมาพัฒนาจนสามารถผลิตสินค้าในนวัตกรรมที่ทันสมัย) หรือมีทรัพยากรหายากในพื่้นที่ เราก็จะสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าได้เงินที่สูงขึ้นด้วยครับ ถ้าชอบสายการค้าขายเพื่อน ๆ สามารถอัดแต้มการวิจัยไปที่ระบบ Trade หรือ Logistics ในเกมได้เลยครับ อัตราการแลกเปลี่ยนกับเมืองต่าง ๆ ก็มีให้เราเช็คในเกมเช่นกันครับ ในส่วนนี้ถ้าใครอยากทำความเข้าใจตัวเกมมี Toturial สอนการซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับเมืองอื่น ๆ แบบจับมือทำกันไปเลย กราฟิกและการควบคุมUI ต่าง ๆ ของเกมก็เหมือนกับเกมสร้างเมืองในตลาดทั่ว ๆ ไปครับ ใช้งานง่ายอยู่เหมือนกัน จะใช้เม้าส์กดเปิดเมนูต่าง ๆ ขึ้นมาก็ได้ หรือใช้คีย์ลัดเปิดขึ้นมาก็ได้ครับ ในส่วนนี้ก็สะดวกดี แต่จากที่เล่นมาเหมือนออกแบบมาให้ใช้กับคีย์ลัดมากกว่า ถ้าคนไม่คุ้นเคยกับการใช้คีย์ลัดนี่อาจจะทำให้หงุดหงิดอยู่เหมือนกันครับ ในส่วนการควบคุมตัวเกมจะมีการสอนใช้คีย์ลัดหรือเมนูต่าง ๆ ใน Toturial ตั้งแต่เริ่มต้นจนไปถึงขั้นแอดวานซ์เลยครับ ภาพของเกมนี้เป็นแนวการ์ตูนน่ารัก ๆ 3D Polygon สีสันสดใส และไม่ได้กินทรัพยากรของเครื่องมากครับ ใช้พื้นที่แค่ 947.43MB ก็เล่นได้แล้ว(1GB ยังมีทอน) และที่สำคัญที่ผมชอบคือเครื่องผมมันเก่ามาก ๆ ผมเลยชอบหาเกมที่สามารถเล่นกับเครื่องผมได้ และเจ้าคอมคู่บุญของผมมันยังคงสามารถรันเกมนี้ได้อย่างไม่มีกระตุกหรือติดขัดแต่อย่างใดครับ ใครที่หาเกมไม่หนักเครื่องเล่นคุณต้องไม่พลาดเกมนี้ครับ- ความต้องการขั้นต่ำOS: Windows 7(64-Bit) Processor: I3-2100-3GHZ 2 Core Memory: 4 GB RAM Graphics: NVDIA Geforce GTX-650 1GB DirectX: Version 11 Storage: 1 GB available space- ความต้องการแนะนำOS: Windows 10(64-Bit) Processor: I5-4590 3.3GHZ 4 Core Memory: 16 GB RAM Graphics: NVDIA Geforce GTX-1050Ti 4GB DirectX: Version 11 Storage: 2 GB available spaceสรุปถ้าให้ผมเทียบกับเกมที่เคยเล่นอย่าง Foundation ส่วนตัวผมยังชอบฟาวด์เดชั่นมากกว่าครับ ถึงแม้เกมนี้จะมีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ และสามารถออกแบบผังเมืองได้เอง อัพเกรดเมืองได้ และระบบการเทรดที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่ว่ามันไม่มีการพัฒนาด้านความรู้สึก เช่น ผมเล่น Foundation ประชากรในเมืองจะสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยเอง แค่เราต้องมาร์กพื้นที่เอาไว้ให้ แล้วดูการเติบโตของประชากรของเรา พัฒนาบ้านจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่ง มันมีการอีโวลูชั่นด้วยตัวของมันเองด้วยครับ เราจะได้เห็นเมืองที่เราปกครองและบริหารอยู่นั้นมีการเปลี่ยนยุคสมัย และขยายอณาเขตด้วยตัวของเกมเองไปเรื่อย ๆ เหมือนเราผูกพันธ์กับเกมและได้เห็นวิวัฒนาการของมันตลอด ซึ่งเกมนี้มันไม่มีครับ เราก็แค่สร้างอัพพอยท์เพื่อที่จะให้มันศิวิไลซ์มากขึ้น แต่โดยรวมยังถือว่าสนุกอยู่ครับ ยังมีให้แก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากรไม่พอ หรือมีมากเกินไป แต่ผู้เขียนก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในท้องตลาดเลยครับ แต่ด้วยที่มันราคาไม่แพง วางขายอยู่บน Steam ในราคา 239 บาท เท่านั้น! ผมเลยจัดมาเล่นเพลิน ๆ ฆ่าเวลาครับ ถ้าถามว่าควรซื้อไหม ถ้าเพื่อน ๆ ชอบเล่นเกมแนวนี้เราควรมีสะสมไว้ครับ ดองลงคลังไว้ได้เกมไม่หายไปไหน ฮะ ฮ่า ๆ และที่สำคัญที่ได้จากเกมนี้ผมเคยทำคนอดตายทั้งเมืองเลยครับ ทำให้สะท้อนและเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผนงรจตกม (ช่วงนี้น้ำมันแพงนะครับ รบกวนใช้รถเท่าที่จำเป็น ผมเป็นห่วง ฮ่า ๆ)
17 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Escape Simulator ลับสมอง ประลองปัญญา ไขปริศนาหาทางออกห้องปิดตาย
Escape Simulator ถูกพัฒนาขึ้นโดย Pine Studio เกมนี้เกมแนว Puzzle ซึ่งเราจะถูกขังอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง และเราต้องหาทางหนีออกมาให้ได้ โดยในห้องที่เราอยู่นั้นจะมีปริศนาต่าง ๆ ทิ้งเอาไว้ให้มากมาย และทางเดียวที่เราทำได้คือแก้มันครับ (แก้ปริศนานะครับ ห้ามแก้อย่างอื่น แฮร่) เกมนี้เราสามารถเล่นคนเดียวก็ได้ หรือจะ Co-op กับเพื่อนสุมหัวช่วยกันเล่นก็ได้ครับ มีด่านให้เลือกเล่นมากมาย ไอคิวมีเท่าไหร่ขนกันมาใช้ให้หมด ผมบอกเลยครับจากที่ลองเล่นมาหัวจะปวด เล่นผ่าน 1 ด่านต้องพักมาปลอบใจตัวเอง เพราะสมองไม่ค่อยมี ฮ่า ๆ ๆ ๆ และที่สำคัญเกมนี้ยังมีระบบ Workshop ที่ผู้เล่นสร้างด่านขึ้นมาเอง และแชร์ให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ เข้ามาเล่นด่านที่เขาสร้างได้ครับเกมเพลย์ในเริ่มแรกของเกมเราสามารถสร้างตัวละครของเราได้ แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้เลือกมากนัก การแต่งตัวก็จะมีเป็นชุดเซ็ตที่มีมาให้อยู่แล้วประมาณ 3-4 ชุดครับ ส่วน สีผิว หน้าตาสามารถเลือกตบแต่งได้นิดหน่อย แทบจะไม่มีอะไรให้เราเลือกเลยครับ เกมนี้เราสามารถจะเล่นผ่านด่านไปคนเดียวก็ได้ หรือ Co-op เพื่อไขปริศนาไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเราก็ได้ประมาณ 2-3 คนครับ ไม่รู้ไปคนเดียวจะผ่านได้ง่ายกว่าไหม เพราะผมมองฟ้าแล้วเห็นนก พอมองนรกแล้วเห็นเพื่อนครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ตีกันเละแน่ ๆ งานนี้ เอาเป็นว่าถ้าแก๊งค์ไหนมีความสามัคคีผมคอนเฟิร์มเลยครับว่าเกมนี้จะเหมาะกับแก๊งค์ของคุณ ด่านต่าง ๆ - เกมนี้จะมีด่านให้เราเลือกเล่นเยอะแยะมากมาย ตอนนี้มีด่านจาก DLC Steampunk เพิ่มเข้ามาอีกด้วย และนอกจากนั้นยังมีด่านจากผู้เล่นของเกมนี้ที่ได้สร้างผลงานลง Workshop เแชร์ให้ผู้เล่นอื่น ๆ ได้เข้าไปร่วมสนุกกับด่านที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยครับ เกมนี้ระหว่างที่เราเล่นมันจะมีเวลานับถอยหลังในระหว่างที่เราไขปริศนาในห้องนั้น ๆ ครับ ถึงแม้ว่าเวลาจะหมดถ้าเรายังเล่นไม่ผ่าน เรายังสามารถเล่นต่อไปจนกว่าจะแก้ปริศนาได้ เพียงแต่เราจะไม่ได้ถ้วยรางวัลของด่านนั้น ๆ ซึ่งถ้าเราอยากได้ถ้วยเราก็แค่วนกลับไปเล่นมันใหม่ให้ผ่านในเวลาที่เกมกำหนดครับ นอกจากการไขปริศนาต่าง ๆ ที่ทำให้โคตะระจะปวดหัวแล้ว ยังมีกิจกรรมเล็ก ๆ อย่างการสะสม Token ให้เราได้ปวดลูกกะตาอีกด้วย ฮ่า ๆ ซึ่งในแต่ละด่านจะมี Token เหล่านี้ซ่อนอยู่ด่านละ 8 อัน ตามจุดหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกมครับ ถ้าเราอยากได้ Achievement ไว้ประดับบารมีบน Steam ก็แค่หามันให้ครบ (แต่บอกเลยว่าหายากมั่กม๊ากกกกกกกกก) ปริศนา - Puzzle เกมนี้บอกเลยสำหรับผมคือสนุกมาก ถึงแม้ว่ามันต้องใช้หัวคิดมากไปหน่อย แต่เสน่ห์ของมันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ มีทั้งหาของจากรูปทรงต่าง ๆ เอามาใส่ช่องให้พอดี, ปริศนาจากตัวอักษรที่เราจะต้องเอามาเทียบว่ามันคือตัวอักษรใดในภาษาอังกฤษ ซึ่งเกมก็จะมีตารางหรือภาพต่าง ๆ ให้เปรียบเทียบ เมื่อได้รหัสแล้วเราอาจจะต้องใช้มันเป็นโค้ดเพื่อไปเปิดหีบ หรือประตูต่อไปครับ, ปริศนาที่ให้คิดจากเขาวงกตต่าง ๆ, ปริศนาจากตัวเลข และอื่น ๆ อีกมายมายนับไม่ถ้วนเลยครับ เล่นจบอาจจะนึกว่าตัวเองเป็น ดาวินชี กลับชาติมาเกิด ฮ่า ๆ ถึงแม้ว่าบางปริศนาจะยาก หรือเราไปต่อไม่ถูก เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้นครับ เกมจะมี Hint ช่วยเราเพียงแค่เราไปกดขอความช่วยเหลือที่ปุ่มสีแดงบนกำแพงห้องข้าง ๆ ประตูทางออก เกมก็จะส่งคำใบ้มาช่วยเราครับกราฟิกและการควบคุมกราฟิก - เกมนี้มีภาพสไตล์ 3D Polygon น่ารัก ๆ คิ้วท์ คิ้วท์ เลยครับ UI ต่าง ๆ ใช้งานง่ายครับ ไม่มีภาพรกจออะไรอยู่เป็นสัดเป็นส่วน เวลาเราซูมไอเทมก็สามารถดูได้ทุก ๆ องศาของวัตถุที่เราต้องการจะตรวจสอบ ผมชอบมาก ๆ ได้ฟิลเหมือนเป็นนักสำรวจ หรือเป็นนักสืบจริง ๆ ตอนแรกที่ผมซื้อมาผมค่อนข้างเป็นกังวลกลัวว่าคอมผมจะไม่ไหว แต่ดูความต้องการของระบบมาแล้วว่ามันรอด แต่กลัวรอดแบบกระตุก ๆ แต่พอมาเล่นจริง ๆ อย่างลื่นเลยครับ เหลือจะเชื่อ! และใช้ทรัพยากรในเครื่องน้อยมาก ๆ มีพื้นที่ในเครื่อง 1.11GB ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แล้วครับการควบคุม - ตอนแรกผมคิดว่าพวกเกมหนีออกจากห้อง มันต้องใช้การสำรวจเยอะ หยิบนั่น จับโน่น ทิ้งนี่ กลัวจะบังคับยากเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า เกมนี้มีด่าน Tutorial ที่จะสอนเราใช้งานปุ่มต่าง ๆ ครับ เกมจะสอนเราทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการหยิบ (คลิ๊กซ้าย), โยนทิ้ง (คลิ๊กซ้าย), การเก็บของเข้ากระเป๋า (คลิ๊กขวา), การนั่ง (กด C หรือ Ctrl), การซูมดูวัตถุที่เราสงสัยเพื่อหาปริศนา (กด Space), การบังคับทิศทาง (W,A,S,D), การใช้ไอเทมทั้งสองอย่างพร้อมกัน (ลากเม้าส์จากไอเทม 1 ไปที่ไอเทม 2) ฯลฯ เราสามารถเรียนการควบคุมทุกอย่างในเกมได้จาก Tutorial เลยครับ เพราะมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร พอเล่นด่าน Tutorial จบผมก็สามารถใช้งานปุ่มต่าง ๆ ได้ชำนาญการอย่างรวดเร็ว (สงสัยสมองเริ่มได้รับการฝึกฝนมาบ้างแล้ว เร็วเชียว ฮ่า ๆ)สรุปเกมนี้เป็นเกมแก้ปริศนาเพื่อหนีออกจากห้องที่สนุกมากกกกกกกกกกกกกก ยิ่งถ้าได้เล่นกับเพื่อนหรือแฟนแล้วช่วยกันผ่านไปได้จะเป็นอะไรที่ฟินสุด ๆ และผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนยอมที่จะปวดหัวไปกับมัน แรก ๆ อาจจะมึน ๆ หน่อย เพราะสมองเราอาจจะยังไม่ได้ปรับตัวเนื่องจากไม่ได้ใช้งานมานาน ฮ่า ๆ แต่เล่น ๆ ไปจะเพลิดเพลินกับการแก้โจทย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะโค้ดลับที่เราต้องไปเทียบกับภาพเพื่อที่จะตีความหมายออกมาเป็นรหัสผมนี่เลิฟเลย เอาไปเลย 9 คะแนน การันตีความสนุกด้วยยอดขายมากกว่า 1 ล้านชุด และคำวิจารณ์แง่ดีเป็นอย่างมาก มีเพื่อนชวนเพื่อนไปกดซื้อมาเล่นด้วยกันเลยครับ ราคาก็ไม่แรง 239 บาทเท่านั้นเอง!สั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1435790/Escape_Simulator/
17 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Loopmancer "วิ่งฟัดข้ามเวลา ไขปริศนาอาชญากรรมโหด"
ในระยะหลังมานี้ ต้องชมอย่างหนึ่งเลยว่า เกมจีนที่ดีนั้น มีออกมาค่อนข้างเยอะมาก และแม้จะไม่ใช่เกมระดับ AAA แต่มันกลับนำเสนอเกมอินดี้ที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกและการติดพัน รวมไปถึงมีการนำเสนอที่น่าสนใจ เหมือนอย่างเช่น Loopmancer เกมที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้ ถือว่าเป็นอีกเกมที่โยนความสนุกลงไปในเกมเพลย์ แต่ถ้าใครอยากติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นก็ทำได้เหมือนกัน มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน จะซื้อดีหรือไม่ ก็ให้รีวิวของเราช่วยตัดสินใจ ตามหาความจริงทั้งโลกอาชญากรรม และโศกนาฎกรรม เกมเพลย์สุดดุเดือด ยาก ตาย วนเวียน และเรียนรู้ ในระยะหลังมานี้ ต้องชมอย่างหนึ่งเลยว่า เกมจีนที่ดีนั้น มีออกมาค่อนข้างเยอะมาก และแม้จะไม่ใช่เกมระดับ AAA แต่มันกลับนำเสนอเกมอินดี้ที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกและการติดพัน รวมไปถึงมีการนำเสนอที่น่าสนใจ เหมือนอย่างเช่น Loopmancer เกมที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้ ถือว่าเป็นอีกเกมที่โยนความสนุกลงไปในเกมเพลย์ แต่ถ้าใครอยากติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นก็ทำได้เหมือนกัน มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน จะซื้อดีหรือไม่ ก็ให้รีวิวของเราช่วยตัดสินใจ ตามหาความจริงทั้งโลกอาชญากรรม และโศกนาฎกรรม เกมเพลย์สุดดุเดือด ยาก ตาย วนเวียน และเรียนรู้ตามหาความจริงทั้งโลกอาชญากรรม และโศกนาฎกรรมLoopmancer ว่าด้วยเรื่องราวของเซียงจี้ซู นักสืบยอดฝีมือที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลงชี่ แต่แล้วโศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้น เมื่อครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุ เขาและเหวินจุนผู้เป็นภรรยารอดชีวิตมาได้ แต่กลับสูญเสียลูกสาวเสี่ยวหวันไป ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เขาจึงพยายามตาหาความจริงในอุบัติเหตุครั้งนี้จนละเลยความรู้สึกของผู้เป็นภรรยา แต่นอกจากค้นหาความจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุนี้ เขายังทำงานเป็นนักสืบให้สำนักงานนักสืบฉางซู และในระหวางสืบคดีคนหาย เขาถูกฆ่าตาย แต่เขากลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา โดยทุกครั้งที่เขาตาย เขาจะฟื้นขึ้นมาในวันที่ 7 กรกฎาคมทุกครั้งไป เป็นลูปวนไปต่อเนื่องและทุกครั้งที่เรากลับมาถึงสำนักงานนักสืบ เราจะได้เห็นบทสนทนาสุดวนเวียนโดยจี้ซูจะพยายามอธิบายว่าเขารู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาเลย ทำให้เกมนี้มันมีความเป็น Roguelite ผสมอยู่ และทุกครั้งเมื่อเราผ่านหนึ่งฉากไปได้ เราอาจจะต้องเลือกว่าจะไปสืบหาเบาะแสต่อที่ใด และนั่นจะทำให้เส้นเรื่องของเกม แตกต่างกันออกไป โดยเกมนี้มีตอนจบมากถึง 7 แบบด้วยกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนเองไม่ได้เล่นจนจบทุกแบบ แต่ที่ชื่นชอบคือการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบทางเลือกที่เราเป็นคนเลือกเอง ว่าอยากจะไปที่ไหน ทำอะไร และจะได้เบาะแสที่แตกต่างกันกลับมา แต่เพราะมันเป็นเกม 2.5D และเป็นเกมอินดี้ที่ฉากคัทซีนไม่ค่อยเยอะ ทำให้การเล่าเรื่องของเกมนี้ เล่าผ่านบทสนทนาของ NPC และไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้ในระหว่างเกมการเล่นเกม และนเื้อเรื่องของเกมนี้ เข้มข้น ลึกลับ ชวนติดตามอย่างมาก น่าเสียดายที่มันถูกเล่าไปในไฟล์เอกสารเยอะจนเกินไป แถมบางทีเราต้องเล่นซ้ำหลาย ๆ รอบ ถึงจะเก็บเอกสารหลากหลายหน้ามาปะติดปะต่อเรื่องราวกัน ทำให้ข้อเสียของการเล่าเรื่องมันอยู่ที่ว่า 1. หากคุณภาษาอังกฤษไม่แข็งพอ หรือขี้เกียจแปล ก็จะไม่อินกับเนื้อเรื่องเลย 2. ถ้าคุณเบื่อการเล่นวนซ้ำ ๆ เพื่อเก็บเอกสารไปเรื่อย ๆ (แต่เกมเพลย์จะเอื้อให้คุณทำแบบนี้อยู่แล้ว) คุณอาจจะเบื่อจนเลิกเล่นก่อนเลยด้วยซ้ำไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Loopmancer เป็นอีกเกมที่มีเนื้อเรื่องน่าติดตามมาก แค่การจะเข้าใจในเนื้อเรื่องได้ ผู้เล่นต้องพยายามหน่อยเท่านั้นเองงานออกแบบที่น่าประทับใจ ต่อให้เป็นเกมอินดี้ก็ถือว่าคุ้มค่าด้วยความที่เกมนี้ เป็นเกมที่นำเสนอด้วยมุมมองแบบ Side Scrolling แต่ตัวเกมเป็นแบบ 2.5D คือเราจะเห็นฉากหลังของตัวละครที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวาและสวยงามมาก หลากหลายพื้นที่ที่เราไปลุย แค่วิ่งชมวิวก็ยังรู้สึกว่าคุ้มค่ามากแล้ว แถมยังมีความหลากหลายในด้านของสถานที่และโลเกชั่น เช่น ด่านหนึ่งจะเป็นโรงแรมหรูหรา อีกด่านหนึ่งอาจเป็นหมู่บ้านสยองขวัญและเต็มไปด้วยกับดัก หรือเป็นองค์กรของแก๊งมาเฟียขนาดใหญ เล่นเกมเดียว ได้ไปหลายสถานที่ แถมแตกต่างกันทั้งงานออกแบบและฉากหลัง เกมนี้โดดเด่นในด้านการนำเสนออย่างมากแต่ข้อเสียใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นการได้อย่างเสียอย่างของเกมนี้ก็คือ เมื่อเขาไปลงทุนทำฉากของเกมซะสวยงามขนาดนี้ สิ่งที่คุณภาพตกลงอย่างเห็นได้ชัดคือโมเดลของตัวละครที่ค่อนข้างลอย และมีบางอย่างที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่ามันไม่ได้รับการขัดเกลาเท่าที่ควร มีทั้งความด้านหยาบของ Texture และการเคลือนไหวของ Animation ในระหว่างฉายคัทซีนที่ไม่ค่อยลื่นไหล เห็นได้ชัดเลยว่าทีมพัฒนาเกมนี้เขาเลือกจะลงทุนทำฉากระหว่างเกมการเล่นให้สวยงาม แต่ก็แลกกับคุณภาพของโมเดลตัวละครที่ลดลง นับเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดในฝั่งของผู้พัฒนาที่นำเสนอด้วยการทำให้คัทซีนนั้นไม่ยาวมากนัก และกำกับฉากแอ็คชั่นหรือการเปิดตัวที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ก็ถือว่าเป็นการได้อย่างเสียอย่าง แต่ถ้ามองราคาเกมแล้วได้คุณภาพระดับนี้ก็ถือว่าน่าพึงพอใจเกมเพลย์สุดดุเดือด ยาก ตาย วนเวียน และเรียนรู้สำหรับ Loopmancer จะเป็นเกมประเภท Action Rogueltie นั่นคือทุก ๆ การตาย เราจะวนกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง เสียของทุกอย่างไป มีเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ติดตัวเรามาด้วย ตามสไตล์ของเกม Roguelite เมื่อเราตาย เราเลือกได้ว่าจะกลับมาเริ่มที่ LongXi Town เมืองแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ หรือจะกลับมาเริ่มใหม่ที่อพาร์ทเมนท์ของตัวเอก ซึ่งจุดแตกต่างของมันคือ การกลับไปเริ่มที่อพาร์ทเมนท์ เราจะได้จัดการรับบัฟ และเรียนรู้เอกสารที่เราเก็บมา อัปเกรดสกิลของตัวละคร รวมไปถึงมีโอกาสได้เลือกอาวุธที่ปลดล็อคมาด้วย แต่ถ้าเราเลือกเกิดที่จุดเริ่มต้น ก็จะลุยได้อย่างต่อเนื่องเลยทันที ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้มีทรัพยากรมากพอจะอัปเกรดสกิล ก็เลือกลุยที่เมืองต่อเลยก็ได้สำหรับตัวละครเจียงจี้ซูของเรานั้นจะมีอาวุธทั้งหมด 4 ประเภท อย่างแรกคือ Main Weapon ที่เป็นอาวุธประชิด Sub Weapon ที่เป็นอาวุธรองประเภทปืน ส่วนอีกสองชนิดคือ Skill Chipset และ Tactical Gear สำหรับ Skill Chipset จะเป็นสกิลพิเศษที่มีความสามารถในการโจมตีสูงมาก แต่จะมีคูลดาวน์การใช้ค่อนข้างนาน ส่วน Tactical Gear จะเป็นอาวุธจำพวกขว้างใส่ ทำดาเมจหนัก เบา แล้วแต่สิ่งที่ใช้ การจะปลดล็อคอาวุธใหม่ ๆ ทั้ง 4 ชนิดนั้น ถือว่าทำได้สร้างสรรค์ เพราะมันจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปกับเกมเพลย์แบบ Roguelite อย่างลงตัว ในทุก ๆ ฉาก เรามีโอกาสวิ่งไปเจออาวุธใหม่ ๆ ตลอด และเราสามารถปลดล็อคได้ด้วย e-Coins หรือเงินในเกมที่ได้จากการกำจัดศัตรูและทำ Challenge ต่าง ๆ ภายในฉากนั้น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่มีอะไรให้เราทำหลายอย่างมาก ๆ ทั้งบู๊ ทั้งทำภารกิจ และต้องเอาตัวรอดด้วย สำหรับสไตล์การเล่นเกมนี้จะแฝงความท้าทายกึ่งยากมาอยู่ด้วย นั่นคือ การบาดเจ็บของผู้เล่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงสุด ๆ เพราะยาเติมพลังในเกมนี้ จะเหมือนกับพวก Estus Flusk ในเกมโซล เมื่อกดใช้แล้ว จะหมดไป และจะไม่สามารถเพิ่มได้ จนกว่าจะผ่านฉากใหญ่ฉากนั้น แต่เราสามารถอัปเกรดพกน้ำยาเพิ่มได้ ศัตรูในเกมนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเดินหน้าลุยแหลก เอาหน้าไถไปได้ เพราะบางตัวจะมาพร้อมกับความสามารถสุดกวนชวนหัวร้อน ไม่ว่าจะเป็นท่าโจมตีแบบทะลุการป้องกัน หรือท่าโจมตีเผื่อระยะที่ต่อให้เรากดหลบหลีกแล้วก็ยังโดน ต้องหลบให้ถูกทางด้วย ทำให้การต่อสู้ของเกมนี้มีสัสนมาก ๆ ส่วนของ Boss Fight ก็ถือว่าทำได้ดี ทั้งท้าทาย ตึงมือ และต้องอาศัยการเรียนรู้กว่าจะจับจุดได้ มันยังคงเป็นเกมยากระดับปานกลาง ที่การเจอบอสในครั้งแรก ยังไงก็ต้องตาย เพื่อจับจังหวะ Moveset และคอมโบของบอสตัวนั้น ผู้เล่นจึงสามารถต่อสู้สวนได้บ้าง อาวุธและเกียร์ทั้งหมดที่เก็บมา ยังสามารถกลับมาอัปเกรดที่ฐานใหญ่ได้ (ต้องตายแล้วฟื้นที่อพาร์ทเมนท์เท่านั้น) โดยการอัปเกรดอาวุธจะช่วยในการเพิ่มดาเมจ และลดจำนวน Kill Count ที่ใช้ชาร์จอัลติเมทลงเมื่อเข้าสู่บางพื้นที่ จะมี Challenge มาให้เราได้ทำเพื่อท้าทายฝีมือของตัวเอง และยังมีของตอบแทนเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น e-Coins ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้เราปลดล็อคอาวุธดี ๆ หากไม่เจอเอาข้างหน้า หรือจะเอาไว้ใช้อัปเกรดของเดิม (ถ้าหากรอดไปได้) ระบบ Challenge นี้ ทำให้ผู้เล่นต้องถามตัวเองเสมอ ว่าอยากไปให้ไกลกว่าที่เล่นไว้ หรืออยากเก็บสะสมของรางวัลที่ระบบ Challenge มอบให้กันแน่ เพราะการฆ่าศัตรูด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ของ Challenge นั้น ถือว่ายากและวุ่นวายมาก ๆ จากที่เราจะฟัน ๆ ให้มันตาย ๆ ไป ก็ต้องล่อให้มันโดนระเบิด โดนกับดัก ดีไม่ดี เราีน่แหละจะชิงตายก่อน Challenge จะเสร็จ ดังนั้น หากอยากทำ Challenge ไหน ก็ลองคิดให้ดี ว่ารางวัลที่ได้ คุ้มหรือไม่กับการทำเกมเพลย์ที่สนุกสนาน และดุเดือด ผูกเข้ากับวิธีการเล่าเรื่องที่เหมาะสมกับความเป็นเกม Roguelite ถึงแม้ว่าการเล่นซ้ำไม่นานก็ได้รู้เนื้อหาทุกอย่าง แต่ก็ถือว่าในฐานะเกมอินดี้นั้น Loopmancer ทำได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หากจะให้ติในส่วนของเกมเพลย์ก็คือ นี่ไม่ใช่แนวเกมที่ทุกคนจะชื่นชอบ การเกิด ตาย วนเวียน เรียนรู้ เพื่อไปให้ถึงจุดสุดท้ายของเกม หากความพยายามไม่มากพอ อาจจะเบือนหน้าหนีไปหาเกมอื่นก่อนก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่หากคุณชอบ Roguelite ชอบเนื้อเรื่องที่เข้มข้น นี่คือเกมอินดี้ที่อาจกล่าวได้ว่า ยอดเยี่ยม และหากคุณคิดว่ามันยากเกินไป เกมยังมาพร้อมการเล่นโหมด Story Mode ที่เน้นการดำเนินเรื่องราวล้วน ๆ ศัตรูไม่ได้ยากอะไรจนเกินไปนัก เป็นทางเลือกให้คุณPerformance เกมที่ดีงามไม่แพ้เกมเพลย์แม้จะเป็นเกมอินดี้ แต่ทางผู้พัฒนาก็พยายามจะใส่ฟังก์ชั่นการปรับแต่งที่หลากหลายให้กับเกม น่าเสียดายที่ไม่มี Setting Preview ให้ได้ดูเหมือนกับเกมอื่น ๆ โดยเฉพาะในส่วนของกราฟิกที่สามารถปรับให้รองรับได้มากสุดถึง 144 FPS ซึ่งกับเกมแอ็คชั่นภาพลื่นไหลแบบนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ๆ ส่วนของการตั้งค่าด้านอื่น ๆ ก็พยายามจะทำให้มันครอบคลุมที่สุดเท่าที่เกมหลักนี้จะทำได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการปรับแต่งเสียง ภาษา ระบบเกมการเล่น การตั้งค่าปุ่ม และอื่น ๆ อีกมากมายสำหรับใครที่ชอบเกมแอ็คชั่น แม้เราจะย้ำกันหลายรอบว่านี่ไม่ใช่เกมง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก หากคุณอยากจะลองหาเกม Roguelite วนลูปซ้อมมือรัว ๆ นี่คือเกมคุณภาพเกมหนึ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปในปี 2022 นี้เลยก็ว่าได้
16 Jul 2022
[Review] Oxide Room 104 "เกมสยองขวัญไอเดียบรรเจิด แต่ดันมาตกม้าตายด้านระบบการเล่น"
ชื่อของ Oxide Room 104 อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากนัก เพราะตัวเกมไม่ได้มาจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Capcom, Ubisoft หรือ Konami แต่ด้วยการออกแบบงานศิลป์ของสัตว์ประหลาดที่ทำได้น่าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เชื่อว่าคอเกมแนวสยองขวัญหลาย ๆ คนน่าจะให้ความสนใจเกมนี้ในระดับหนึ่งกันเลยทีเดียวซึ่งหลังจากที่ตัวเกมออกมานั้น เสียงวิจารณ์ของบรรดาคนที่ได้ลองเล่นเองก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยมีทั้งฝ่ายที่ชื่นชอบ และฝ่ายที่ไม่ชอบปะปนกันไป และในบทความนี้ เราจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ของการเล่น Oxide Room 104 ผ่านเครื่องพกพาอย่าง Nintendo Switch ให้ทุกคนที่กำลังชั่งใจว่าควรจะกดซื้อเกมนี้ดีไหม ไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจกันนะครับเนื้อเรื่องที่ทำตามสูตรสำเร็จOxide Room 104 เลือกใช้การเล่าเรื่องยอดนิยมของสื่อแนวสยองขวัญ ด้วยการโยนตัวผู้เล่นเข้าไปในสถานการณ์ที่ไม่รู้จัก สับสน และชวนให้งุนงง จนอดที่จะหาคำตอบต่อไม่ได้คุณจะได้รับบทเป็น Matt ชายหนุ่มที่กำลังขับรถเข้าสู่ ห้องพักข้างทาง ก่อนที่จะโดนชายลึกลับทุบเข้าที่ท้ายทอยจนสลบ และเมื่อรู้สึกตัวอีกที Matt จะพบตัวเองอยู่ในอ่างอาบน้ำ พร้อมกับเนื้อตัวที่เปลือยเปล่า ซึ่งแน่นอนว่า เขาไม่มีความทรงจำหลังจากที่ถูกทำให้สลบไปได้อยู่เลยสิ่งเดียวที่ Matt และผู้เล่นรู้ก็คือ ด้านนอก Motel แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่น่าสยดสยอง พร้อมกับปริศนา ไปจนถึงเรื่องราวอันแสนลึกลับกำลังรอเขาอยู่ Matt จำเป็นจะต้องหาทางออกจากโรงแรมแห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้วิธีอะไรก็ตามทั้งหมดที่กล่าวไปคือเรื่องราวคร่าว ๆ ของเกม Oxide Room 104 และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ทีมผู้พัฒนาอย่าง Wild Sphere ได้เลือกใช้การเล่าเรื่องที่เป็นสูตรสำเร็จของสื่อแนวสยองขวัญ ซึ่งพวกเขาได้ทำให้มันยิ่งทวีความลึกลับเข้าไปอีก ด้วยการที่ไม่ได้เล่าเนื้อเรื่องออกมาตรง ๆ แต่ได้นำบางส่วนแบ่งลงใส่เอกสาร และทิ้งมันเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ของเกมทว่าถึงเอกสารพวกนี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถปะติดปะต่อเนื้อเรื่องได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี ผู้เล่นยังจำเป็นที่จะต้องตีความเนื้อเรื่องกันต่อ แม้ว่าคุณจะสามารถเก็บเอกสารได้ครบถ้วนแล้วก็ตามระบบของเกมที่ทำมาดูขาด ๆ เกิน ๆ หากดูจากตัวอย่างแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะคิดว่า Oxide Room 104 ต้องเป็นเกมแนว Survival Horror คล้ายกับ Resident Evil, Dead Space หรือ Silent Hill อย่างแน่นอน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ผิดไปทั้งหมด แต่มันก็ไม่ได้ถูกต้องจนเกือบ 100% เหมือนกัน ส่วนที่ถูกต้องก็คือ เกมนี้มันเป็นแนว Survival Horror นั่นแหละ แต่ส่วนที่ผิดไปก็คือ ตัวเกมมันไม่ได้ให้อิสระในการบู๊ หรือสู้กลับเทียบเท่ากับเกมที่ว่ามานั่นเอง ถึงแม้ตัวเกมอาจจะให้กระสุนไปจนถึงยาเติมพลังมาในจำนวนที่มากเพียงพอ แต่ด้วยระบบการต่อสู้ที่ดูเก้ ๆ กัง ๆ แถมฉากเจอบอสที่บังคับให้วิ่งหนีอย่างเดียว จึงทำให้ Oxide Room 104 ดูเอนเอียงไปทางฝั่งของ Horror เพียว ๆ เสียมากกว่า (อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่า มันควรจะเรียกบอสได้ไหม แต่ด้วยการออกแบบที่แตกต่างจากศัตรูตัวอื่น อย่างน้อยมันก็คงเป็นบอสในหมู่ศัตรูนั่นแหละนะ)และสิ่งที่ทำให้ Oxide Room 104 ยิ่งดูพิกลพิการมากเข้าไปอีก ก็คือการพยายามยัดเยียดระบบแปลก ๆ ที่ดูเหมือนจะดี แต่มันกลับไม่เวิร์คในเชิงของคนเล่นมาให้ โดยมีไปตั้งแต่ ระบบจัดการช่องเก็บของ ที่ควรจะช่วยให้ผู้เล่นต้องคิด และไตร่ตรองในการเลือกไอเทมสำคัญติดตัวไปให้ดี แต่ระบบนี้มันดันเลวร้ายตรงที่ไม่มีหัวข้อในการทิ้งไอเทมให้กับผู้เล่นเสียนี่สิ ตรงจุดนี้ความท้าทายที่ควรจะเป็น จึงได้กลับกลายเป็นความน่ารำคาญโดยอัตโนมัติ เพราะการที่คนเล่นต้องวิ่งไปวิ่งกลับ ระหว่างห้องที่มีหีบฝากของ กับเส้นทางที่ใช้เดินเนื้อเรื่องหลักเนี่ย มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เท่าไรอยู่แล้วซ้ำร้ายอีกหนึ่งระบบที่ชวนให้หงุดหงิดใจขึ้นไปอีกก็คือ ระบบ Quick Time Event ที่ขึ้นมาทุกครั้งจนเรียกได้ว่าพร่ำเพรื่อ แน่นอนว่า หาก Quick Time Event ขึ้นมาในจังหวะสำคัญอย่างการดิ้นให้หลุดรอดจากศัตรู หรือการใช้ระบบนี้เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องบางอย่าง มันก็คงจะอยู่ในระดับที่รับได้ แต่ปัญหาก็คือ ในจังหวะการเปิดประตูของแต่ละห้องนั้น มันดันขึ้นมาให้กดทุกครั้งเลย จุดนี้ทางผู้เขียนเชื่อว่า ทีมพัฒนาน่าจะอยากให้คนเล่นได้สัมผัสถึงความสมจริง และพาตัวเองดื่มด่ำไปกับโลกของเกมให้ได้มากที่สุด แต่ผลลัพธ์มันกลับกลายออกมาเป็นน่ารำคาญเสียฉิบลองคิดดูว่า เกมประเภทพื้นที่แคบ ๆ ต้องเดินสำรวจไปมาในบริเวณเดิมซ้ำ ๆ มันจะน่าหงุดหงิดแค่ไหน ที่คุณต้องคอยมากด Quick Time Event ในการเปิดประตูทุกรอบ เรียกได้ว่ามี 10 ห้อง ก็ต้องหมุนก้านอนาล็อก10 ครั้งกันไปเลยเล่นกับความตายอย่างแยบยลสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับ Oxide Room 104 ก็คือ ทุกครั้งที่ผู้เล่นตาย ผู้เล่นจะถูกพากลับมาที่ห้อง 104 ห้องตั้งต้นของเกมโดยอัตโนมัติ แถมผู้พัฒนายังป้องกันการโกงความตายด้วยการให้ตัวเกม Auto save ในแทบทุก ๆ การกระทำของคุณอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากเล่นพลาด เลินเล่อ ประมาท หรือไม่ระวังตัวขึ้นมา ก็เตรียมบอกลาเวลาที่ใช้เล่นไปได้เลยถึงอาจจะฟังดูโหดร้ายไปบ้าง แต่ตัวเกม Oxide Room 104 ก็ไม่ได้มีความยาวในการเล่นที่มากเท่าไรนัก ต่อให้คุณเดินแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่รู้ทาง คุณก็น่าจะสามารถจบเกมได้ในเวลาเพียงประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ช่วยให้บทลงโทษที่ว่ามานี้ไม่ได้ตัดกำลังใจคนเล่นจนเกินไปสิ่งหนึ่งที่ต้องเอ่ยปากชมเลยก็คือ ผู้พัฒนาได้แอบใส่ระบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้ความตายของผู้เล่นมีสีสันขึ้นมาอีกด้วย โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นตาย สภาพแวดล้อมของโรงแรมจิ้งหรีดแห่งนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด เช่น จากเดิมคุณควรจะเจอปืนพกอยู่ในห้องเก็บของ แต่มาคราวนี้คุณกลับเจอมันวางอยู่ในห้องตั้งต้นซะอย่างนั้น ช่วยให้การเล่นในแต่ละรอบมีความสดใหม่อยู่บ้าง แม้จะต้องวนอยู่ในพื้นที่เดิม ๆ ซึ่งจะขอสปอยล์เอาไว้ตรงนี้เลยว่า จำนวนครั้งที่ตายของคนเล่น จะส่งผลถึงฉากจบได้ 4 แบบ ไล่ไปตั้งแต่ Best Ending ไปจนถึง Bad Ending กันเลยทีเดียว ดังนั้นหากใครอยากจะได้ฉากจบที่ดีที่สุด ก็ต้องห้ามตายกันเลยนะครับศัตรูที่ออกแบบได้ดี แต่ดันมีให้เห็นนิดเดียวอีกหนึ่งสิ่งที่ Oxide Room 104 สามารถทำได้ดี นั่นก็คือ การออกแบบศัตรูที่ดูน่าสยอง ขนพอง ขนลุก โดยเราจะได้เจอพวกมันแทบตลอดทั้งเกม แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ความเคยชิน’ ของมนุษย์นั้น มันช่างน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ซะอีก เพราะต่อให้รูปร่างของมันจะดูน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าหากเราเจอพวกมันจนคุ้นเคยแล้ว บางทีต่อให้พวกมันเดินผ่านหน้าในระยะเผาขน คุณก็แทบจะไม่รู้สึกว่าพวกมันน่ากลัวเลยด้วยซ้ำซ้ำร้าย ตัวศัตรูที่ออกมาแบบให้ผู้เล่นได้มีปฏิสัมพันธ์กับมันแบบจริง ๆ จัง ๆ ยังมีเพียงแค่ 2 ตัวเพียงเท่านั้น ส่วนศัตรูตัวอื่น ๆ เราจะเห็นพวกมันแค่ผ่านฉากคัตซีน นี่จึงยิ่งทำให้ความกลัวหลักของผู้เล่นที่ควรจะมีต่อศัตรูยิ่งลดน้อย ถอยลงไปอีก ส่งผลให้ศัตรูภายในเกมนี้ ตกม้าตายในเรื่องของความน่ากลัวไปเสียฉิบ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ เลยเชียว ทั้ง ๆ ที่ออกแบบมาได้ดูให้ขวัญกระเจิงขนาดนั้นแท้ ๆรวมปัญหายิบย่อย สไตล์เกมอินดี้อันที่จริงในหัวข้อนี้ จะไม่ส่งผลต่อคะแนนรีวิวเท่าไรนัก เพราะเนื่องด้วย Oxide Room 104 เป็นเกมจากทีมพัฒนาเล็ก ๆ เงินทุนของพวกเขาจึงอาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับเกมฟอร์มยักษ์ ปัญหาเล็กน้อยต่าง ๆ จึงมีให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไล่ไปตั้งแต่เสียงพากย์ที่แข็งแทบจะเป็นหิน จนถึงขนาดที่มีผู้เล่นจำนวนมากพร้อมใจกับบอกว่า ถ้าพากย์แข็งขนาดนี้ ไม่ต้องใส่เสียงพากย์มาตั้งแต่แรกเลยก็ได้มั้ง ไปจนถึงเรื่องการของโหลดฉากนาน ที่น่าจะเป็นปัญหามาจากการ Optimize ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ซึ่งปัญหานี้มันถูกพบทั้งบนเครื่อง Switch ไปจน PC กันเลยแต่อย่างน้อย สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างน่าประทับใจเลยก็คือ ตัวเกมพอร์ตมาเล่นบนเครื่อง Switch ได้ค่อนข้างลื่นไหล และยังคงภาพที่สวยงามไว้ได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะเป็นเกมของทีมพัฒนาอินดี้แบบ Third party ก็ตามควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?ถึง Oxide Room 104 อาจจะดูเต็มไปด้วยปัญหาจำนวนมาก ทั้งการออกแบบเกมที่ดูไม่สมประกอบ เนื้อเรื่องที่เล่าออกแบบมาซับซ้อน ไปจนถึงปัญหายิบย่อยคอยกวนใจตลอดการเล่น แต่ในส่วนที่ทำออกมาได้ดีนั้น มันก็ทำออกได้ดีจนน่าชื่นชมเสียจริง ๆ เพราะฉะนั้น หากลองชั่งน้ำหนักระหว่างอัตราส่วนที่ดีกับไม่ดีเปรียบเทียบกันแล้ว ก็น่าจะพอพูดได้ว่าถึง Oxide Room 104 จะไม่เป็นเกมขึ้นหิ้งระดับผลงานชิ้นโบว์แดงที่ต้องลองเล่นสักครั้งในชีวิต แต่มันก็เป็นเกมที่พอจะมอบความสยองให้กับผู้เล่น ไปจนถึงมีคุณค่าในการเล่นซ้ำเพื่อเก็บเนื้อเรื่องให้ครบถ้วนได้อยู่บ้างหากใครที่กำลังมองหาเกมที่มีการออกแบบตัวละคร ไปจนถึงมีความสยองแบบ Psychological horror เกมนี้น่าจะตอบโจทย์คุณได้ ไม่มากก็น้อยเลยล่ะครับ
12 Jul 2022
พรีวิว Endless Dungeon [OpenDev] เกมแนว Rogue-lite สุดแปลกใหม่ ผสมเกมเพลย์สไตล์ Tower Defense
ต้องยอมรับเลยว่าหนึ่งในแนวเกมที่ได้รับความนิยมอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่โด่งดังมาก แต่ก็มีคนให้ความสนใจอยู่ตลอดนั่นคือเกมแนว Rogue-lite กับแนวเกมที่การเล่นแต่ละครั้งจะมีด่านและรูปแบบที่แตกต่างกันไป มีความท้าทายที่แตกต่างกันไปไม่ซ้ำกัน และล่าสุดก็ได้มีหนึ่งเกมแนวนี้ที่น่าสนใจสำหรับ Endless Dungeon เกมแนว Rogue-lite Tactical Action จากทางผู้พัฒนา Amplitude Studios ที่สร้างเกมตระกูล Endless มามากมาย โดยตัวเกมมาในธีมไซไฟที่เราจะต้องต่อสู้กับเหล่าฝูงมอนสเตอร์ในสถานีอวกาศ โดยทางเราได้มีโอกาสในการทดลองเล่นเกมในเวอร์ชัน OpenDev และต้องบอกเลยว่าตัวเกมนี้เป็นเกมแนว  Rogue-lite ที่ไม่เหมือนใคร เพราะผสมผสานการเล่นแบบ Tower Defense เข้าไปด้วย ซึ่งเรา GameFever TH จะมาพูดถึงระบบต่าง ๆ ของเกม Endless Dungeon ว่ามีระบบอะไรบ้างที่น่าสนใจAction Shooting ผสมผสาน Tower Defenseหนึ่งในระบบที่ทำให้ Endless Dungeon โดดเด่นขึ้นมาและไม่เหมือนใครคือการผสมผสานเกมเพลย์ Action Shooting มุมมองแบบ Bird Eye View (คล้าย ๆ กับเกม Alien Shooter) และเกมเพลย์แบบ Tower Defense โดยเราจะต้องป้องกันคริสตัลจากการโจมตีของศัตรูบนสถานีอวกาศ โดยเหล่าศัตรูจะปรากฏออกมาเป็น Wave โดยเราจะสามารถใช้ปืนจากตัวละครหลักที่เราบังคับ แต่การต่อสู้เราก็จำเป็นต้องระวังให้ดี griktตัวละครที่เราเล่นไม่ได้มีความถึกมากขนาดนั้น ยิ่งเป็นตัวบาง ๆ โดนลุมกัดไม่กี่ครั้งก็ร่วง และยาที่เพิ่มเลือดก็มีให้ใช้ฟรีเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เราก็สามารถที่จะหาเก็บได้จากการเดินสำรวจ และนอกจากนี้ภายในพื้นที่เราจะสามารถสร้างป้อมปราการต่าง ๆ ในการป้องกันเหล่าศัตรูที่จะออกมาจากรังและโจมตีครัสตัลของเรา ซึ่งเราสามารถสร้างป้อมปืนโจมตี สร้างป้อมเกราะป้องกันเพื่อเพิ่มเกราะให้กับตัวละครและป้อมปราการ หรือการสร้างป้อมพื้นที่เอาไว้สโลว์การเดินของศัตรูเพื่อให้ยิงได้นานขึ้นก็นอก รวมถึงตัวป้อมถ้าหากใช้งานโจมตีศัตรูเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถอัปเกรดให้มันสู่ขั้นถัดไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก็ได้เช่นกันตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์รวมถึงตัวละครที่เราเล่นได้ ซึ่งแต่ละตัวนั้นก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป ทั้งค่าสเตตัส ปืนเริ่มต้นที่ใช้ หรือแม้แต่กระทั่งสกิลต่าง ๆ ก็แตกต่างกันทั้งสิ้น โดยในช่วง OpenDev เราจะได้เล่นตัวละครทั้งหมด 3 ตัวนั่นก็คือZed ที่จะมีพลังโจมตีสูง วิ่งเร็วแต่เลือดน้อย ใช้สกิลโจมตีแบบรุนแรง Bunker ตัวละครสายแทงค์ที่พลังป้องกันสูง โจมตีปานกลาง วิ่งช้า สกิลโจมตีจะเป็นการสตั๊น และสกิลยืนแทงค์ศัตรูได้ Blaze พลังโจมตีรุนแรง พลังป้องกันสูง เน้นการใช้สกิลระเบิดในการโจมตีศัตรู โดยเราจะสามารถเอาตัวละครออกไปเล่นได้สูงสุด 3 คน (แต่ในช่วงแรกจะเล่นได้ 2 ซึ่งเราต้องปลดล็อคภารกิจก่อน) ส่วนตัวละครคาดว่าพอเกมเปิดจริงจะมีให้เล่นมากกว่านี้ด้วยเกมเพลย์แบบ Rogue-lite สำรวจพื้นที่ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง ในการหาทรัพยากรมาซื้อของและอัปเกรดโดยในภารกิจหลักของเรานั้นคือการที่เราจะต้องปกป้องและคุ้มกันคริสตัลไปยังเป้าหมาย ตัวเกมจะให้เราได้สำรวจพื้นที่ห้องต่าง ๆ ทั้งหมดของด่านนั้น ซึ่งในแต่ละห้องจะมีทรัพยากรต่าง ๆ ให้เราเก็บ 3 แบบเป็นค่าพลังงานสีฟ้า สีส้ม และสีเขียว โดยแต่ละพลังงานเราก็จะสามารถเอามันไปใช้อัปเกรดสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพลังงานสีฟ้าจะเอาไว้อัพเกรดป้อมปราการต่าง  สีส้มจะเอาไว้ซื้อป้อมปราการ และสุดท้ายก็คือสีเขียวจะเอาไว้อัปเกรดสเตตัสเพิ่มเติมของตัวละคร โดยค่าพลังพวกนี้นอกจากจะสามารถหาได้จากการเปิดกล่องต่าง ๆ ในแต่ละห้องแล้วนั้น การเปิดประตูแต่ละบานตัวค่าพลังงานก็จะดรอปให้เราด้วย รวมถึงภายในด่านยังมีเครื่อง Generator ที่เราสามารถเพิ่มค่าการดรอปพลังงานได้เช่นกันโดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะดรอปตัวไหน รวมถึงเรายังมีโอกาสเจอของอัปเกรดต่าง ๆ กล่องสมบัติดรอปของฟรี หรือแม้กระทั่งร้านค้าก็ยังมี รวมถึงปืนต่าง ๆ และของสวมใส่เราก็สามารถที่จะหาเก็บหรือหาซื้อได้จากแผนที่เช่นกัน โดยอย่างที่กล่าวว่าตัวเกมมีองค์ประกอบความเป็น Rogue-lite ทำให้การเล่นแต่ละครั้งรูปแบบแผนที่ การ Spawn ของไอเท็มต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนไปทั้งหมดด้วยมีความเป็นเกม Tacticle วางแผนการต่อสู้ในระหว่างการสำรวจนอกจากนี้ในการสำรวจเรายังจำเป็นต้องหารังของเหล่าศัตรูที่จะออกมาโจมตีเรา ซึ่งมันก็ทำให้เราสามารถวางแผนการเดินทางของศัตรูจากรังที่ออกมา และวางป้อมปราการดักโจมตีไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ หรืออาจจะสามารถสร้างป้อมปราการไปดักหน้าทางเข้าของศัตรูได้เลย หรือแม้กระทั่งการเปิดประตูเราเองก็สามารถจำกัดการเปิดประตูเพื่อบังคับให้เหล่าศัตรูวิ่งมาในทางที่เรากำหนดก็ได้ ซึ่งเราก็สามารถวางกลยุทธในการเล่นได้หลากหลายและเมื่อเราสามารถสำรวจพื้นที่ทั้งหมดได้แล้ว เงื่อนไขในการผ่านไปยังด่านต่อก็คือเราจะต้องเปิดประตูสู่ด่านต่อไป แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเราจำเป็นที่จะต้องใช้คริสตัลที่เราป้องกันมาตลอดในการปลดล็อค ซึ่งตัวคริสตัลจะทำการเดินทางลำเลียงตัวเองมายังประตูผ่านด่านเพื่อไขกุญแจ ซึ่งเรานั้นก็มีหน้าที่ในการพามันส่งไปถึงที่หมาย และถ้าหากว่าเรานั้นวางแผนในการวางป้อมปราการไม่ดี บางทีมันอาจจะทำให้คริสตัลเดินทางมาไม่ถึงและจบเกมก็เป็นไป ซึ่งการแพ้ก็คือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด รวมถึงแต่ละด่านก็ศัตรูก็จะเก่งมากขึ้นมีรังของศัตรูที่มากขึ้นให้เราต้องปวดหัวในการวางแผนมากขึ้นด้วยจากที่ได้ลองเล่น Endless Dungeon ในช่วงทดสอบ OpenDev มา สิ่งที่รู้สึกได้เลยคือไอเดียของผู้พัฒนาที่ค่อนข้างน่าสนใจมาก ๆ ไม่คิดว่าการเล่นแบบ Action Shooting ผสมผสานกับการเล่นแบบ Tower Defense ไหนจะมีองค์ประกอบของความเป็น Rogue-lite ทำให้ Endless Dungeon เป็นหนึ่งในเกมวางแผนที่น่าจับตามอง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และการเรียนรู้ต่อการเล่นในระดับหนึ่ง ไม่ใช่เกมเดินหน้ายิงชิล ๆ อย่างที่คิดแน่นอน และคาดว่ากว่าเกมจริงจะเปิด ตัวเกมเพลย์นี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควรโดยเกม Endless Dungeon ตัวเกมยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา มีกำหนดลงให้กับเครื่อง PC [Steam] ดูร้านค้าเกม
07 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Good Company "เปิดบริษัท ประกอบธุรกิจ จำลองชีวิต CEO"
Good Company เป็นอีกเกมหนึ่งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสซื้อมาลองเล่นในช่วง Steam Summer Sale เกมนี้เราจะได้รับบทบาทเป็นเจ้าของบริษัท หรือเรียกกันแบบเท่ ๆ ว่า CEO นั่นเอง บริษัทในเกมที่เราบริหารจัดการนั้นจะเป็นบริษัทที่ผลิตสิ่งของเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลข, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, ทีวี และแม้กระทั่งหุ่นยนต์โดรนบริษัทเราก็ผลิตได้ครับ ในเกมเราจะเริ่มธุรกิจโดยใช้เส้นทางสุดฮิต เหมือนที่เหล่าอัจฉริยะเจ้าของแบรนด์ชื่อดังของโลกมากมายได้ใช้เริ่มธุรกิจของพวกเขาจนประสบความสำเร็จ ดังเป็นพลุแตกกอบโกยรายได้มหาศาลต่อวัน ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Apple, Google, Microsoft, Nike, หรือแม้กระทั่ง Disney ก็เริ่มธุรกิจจากตรงนี้ทั้งนั้น นั่นก็คือ "โรงรถของที่บ้านฮะ"เกมเพลย์Good Company เป็นเกมบน PC แนว Simulator เราจะได้สวมบทบาทเป็น CEO สร้างบริษัทของตัวเองขึ้นมา เราสามารถตั้งชื่อบริษัทของเรา รวมไปถึงการสร้างโลโก้, การสร้างตัวละคร, และยังต้องออกแบบการแต่งตัว เสื้อ ผ้า หน้า ผม ให้กับตัวละครของเราอีกด้วย ตัวละครของเรานั้นผู้เขียนมองว่ามีรูปร่างหน้าตาที่จะน่ารักก็ไม่ใช่ จะน่าถีบก็ไม่เชิง ฮ่า ๆ (มันดูกวน ๆ เป็นส่วนใหญ่ครับ) พอเริ่มเกมมานั้น เราจะต้องออกแบบ และสร้างโลโก้ของบริษัทของเราก่อน เราสามารถเลือกรูปที่เราอยากใช้ สีตัวหนังสือ สีพื้นหลัง สีกรอบ ได้เท่าที่ตัวเกมมีมาให้ ในส่วนนี้เราจะต้องตั้งชื่อให้บริษัทของเราด้วยครับ พอแต่งจนเป็นที่พอใจของเราแล้ว ในส่วนต่อไปเราต้องไปสร้างตัวละครครับ เราสามารถกำหนดรูปร่าง ทรงผม อุปกรณ์สวมใส่ให้ตัวละครของเราได้ การสร้างตัวละครเกมนี้เราอาจจะไม่เสียเวลา เพราะมีตัวเลือกให้เราเลือกค่อนข้างน้อยครับ สายแฟชั่นแบบเดอะซิมส์คงกรอกตา มองบนด้วยความเซ็ง ฮ่า ๆ เกมนี้จะมีให้เราเล่นด้วยกันอยู่ 2 โหมดครับ นั่นก็คือ แคมเปญโหมด และฟรีเพลย์โหมด- Campaign Mode เนื้อเรื่องของเกมในส่วนนี้เราจะเริ่มเปิดบริษัทในโรงรถของพ่อเรานะครับ (มีแว๊บหนึ่งที่ผู้เขียนแอบคิดว่า โรงรถอะไรทำไมมันใหญ่จัง ใหญ่เกินจริงไปรึเปล่าฟระ) ตรงนี้อย่าไปใส่ใจฮะ ท่องไว้มันก็แค่เกม มันก็แค่เกม ฮ่า ๆ ในแคมเปญโหมดเราต้องทำภารกิจให้ผ่านทั้งหมดนะครับ อย่างเช่น บางด่านเราต้องขายเครื่องคิดเลขให้ถึงเป้าหมายที่เกมกำหนด หรือผลิตสินค้าให้ครบตามที่เควสกำหนด เราจึงจะสามารถผ่านไปเล่นด่านต่อไปได้ครับ เกมนี้จะมีความท้าท้ายที่เพิ่มเข้ามาอีกหน่อย คือเราสามารถเก็บสะสมถ้วยรางวัลได้ครับ อารมณ์เหมือนเกมผ่านด่านอื่น ๆ ที่มีให้เก็บดาวอย่างเช่น ด่านนั้น ๆ ให้เราเก็บ 3 ดาว แต่เราทำได้ 2 ดาวนั่นก็ถือว่าผ่านเหมือนกัน แต่ผ่านแบบ 2 ดาวครับ ฉะนั้นในเกมนี้ถ้าเราอยากจะเก็บถ้วยให้ครบ เราก็ต้องทำเควสให้ผ่านทั้งหมดครับ- Freeplay Mode เป็นโหมดที่เราจะสร้างบริษัทของเราได้อย่างอิสระโดยปราศจากข้อบังคับของเกมครับ ใครที่เป็นสายตบแต่ง หรือเล่นเรื่อย ๆ ฆ่าเวลา โหมดนี้น่าจะเล่นได้เพลิน ๆ โดยที่ไม่ต้องรับแรงกดดันแต่อย่างใดครับ หรือเพื่อน ๆ จะสร้างความท้าท้าย ด้วยการสร้างความกดดันให้ตัวเองก็ได้นะครับ สวมบทบาทจริงจังเกมมิ่ง ดึงตึงมันให้หมดทุกโหมดครับ ฮ่า ๆการผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อส่งขายนั้น ตัวเกมจะมีสูตรให้เราครับ ว่าเราจะต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง อย่างเช่น ถ้าเราต้องการสร้างเครื่องคิดเลข เราต้องใช้พลาสติก กับแผงควบคุมดิจิตอล เราก็ต้องไปตั้งค่าในโต๊ะการผลิตต่าง ๆ ของเรา และเชื่อมโยงเส้นทางการผลิต ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างยาก และซับซ้อนเอามาก ๆ ถึงเกมจะสอนเราอย่างละเอียดแล้ว แต่ด้วยรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ เอาจริง ๆ ผู้เขียนจำไม่ได้หรอกครับ ฮ่า ๆ อาศัยเล่นไปเรื่อย ๆ จนเกิดความเคยชิน การเริ่มกระบวนการการผลิตของเกมนี้จะเป็นระบบแรงงานคนก่อนในช่วงเริ่มต้น เกมจะให้เราซื้อโต๊ะการผลิตต่าง ๆ มาวางในโรงรถครับ การจ้างคนงานของเกมนี้ไม่ได้วุ่นวายอะไร เราสามารถเลือกคนงานด้วยตัวเองก็ได้ หรือถ้าขี้เกียจก็กดจ้างแบบออโต้มาเลยเกมก็จะเลือกมาให้เราครับ พอเล่น ๆ ไปแรงงานของเราก็จะเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นเครื่องจักรครับ ในส่วนนี้ผมชอบนะ ให้ความรู้สึกสมจริงดีครับ เพราะในโลกความเป็นจริงพอบริษัทเราโตขึ้น เราก็ต้องอยากได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยที่สามารถผลิตได้ต่อเนื่องและได้ในปริมาณที่มากขึ้นซึ่งเครื่องจักรก็จะทำหน้าที่เหล่าดีนี้ได้ดีกว่าคน (แต่ยังคงต้องใช้คนควบคุมเครื่องจักร) ซึ่งในส่วนนี้ถือว่า เมคเซ้นส์ สำหรับตัวผู้เขียนครับระบบการควบคุมระบบต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้ลองเล่นอาจจะมีความแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในท้องตลาดอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่โดยรวมยังเหมือนกันครับ เราจะใช้ปุ่ม W, S, A, D หรือกดคลิ๊กขวาค้างเอาไว้เพื่อเคลื่อนย้ายมุมกล้อง, และมีคีย์ลัดต่าง ๆ ให้เรากดเพื่อเปิดแต่ละเมนูขึ้นมา (ในส่วนนี้ตัวเกมจะสอนเราใช้งานไปเรื่อย ๆ ระหว่างเล่น แนะนำว่าให้อ่านดี ๆ นะครับเพราะว่าเกมนี้มีเมนูยิบย่อยเยอะมาก ๆ อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้) และที่สำคัญเกมนี้เราไม่สามารถหมุนมุมกล้องได้ 360 องศา เล่นจากมุมไหน เราจะต้องดูมุมนั้นไปตลอด ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวของผู้เขียนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างจำกัดอิสระในการเล่นเกมครับ แต่ถามว่าเป็นปัญในการเล่นไหม? ก็ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับเกม Simulator ส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนเคยเล่นมา จะมีระบบให้เราเลือกเร่งความเร็วของเกมได้ (x2 x4 x6 ประมาณนี้) เกมนี้ก็มีปุ่มนั้นให้เลือกใช้เหมือนกัน แต่การเร่งของเกมนี้มีเพียงแค่ 2 ระดับเท่านั้น ซึ่งในระดับที่ 2 มันไม่ได้เร็วอะไรเท่าไหร่นัก (คือใจผู้เขียนไปก่อนแล้ว แต่ตัวเกมมันเร่งได้เท่านี้ ฮ่า ๆ ) ในส่วนนี้ผู้เขียนมองว่ามันน่าจะทำให้เร็วขึ้นได้มากกว่านี้ เหมือนในเกมอื่น ๆ ในส่วนนี้ผู้เขียนเลยไม่ปลื้ม เพราะเล่น ๆ อยู่แล้วหลับครับ ฮ่า ๆกราฟิกเกมนี้ตัวละครยังออกแบบมาในสไตล์น่ารักแบบ 3D Polygon ถ้าดูดี ๆ จะว่าน่ารักก็ได้มั้ง เอ๊ะ หรือมันออกแนว กวนโอ๊ย ว่าซ่านนนน เกมนี้ถ้าเราดูดีดีตัวละครต่าง ๆ ในเกมจะไม่มีข้อต่อนะครับ ใช่ครับไม่มีเลย แม้แต่คอ ฮ่า ๆ ก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกมดีครับ ระบบ UI ต่าง ๆ ของเกมนี้จากที่ผู้เขียนได้ลองเล่น ดูผ่าน ๆ เหมือนจะง่าย แต่พอมาเล่นจริง ๆ มันโคตะระซับซ้อนเป็นอย่างสูงครับ อาจจะดูสวยงามน่ารักเรียบง่าย แต่มาใช้งานจริงแล้วก็ต้องปรับตัวยกใหญ่อยู่เหมือนกัน หรืออาจจะต้องเล่นไปสักพัก ถึงจะเริ่มชินครับ ผู้เล่นใหม่ ๆ นี่ผมไม่อยากแนะนำให้เล่นเกมนี้เลยครับ ร้องไห้แน่ ๆ ฮ่า ๆเป็นเกมที่ใช้ทรัพยากรในเครื่องค่อนข้างน้อย มีพื้นที่ว่าง ๆ ในเครื่องของเราประมาณ 1.11GB ก็เล่นได้แล้ว และไม่ต้องใช้เครื่องที่มีสเปคสูงมากมายอะไร ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่น ๆ ครับสรุปผมให้เกมนี้ 7 คะแนน เพราะมันดูง่ายแต่เอาเข้าจริงพอเล่นแล้วไม่ง่ายเลยครับ (อย่าให้ความน่ารักของเกมนี้หลอกคุณ) อยากเล่นเพื่อคลายเครียด แต่เครียดกว่าเดิม ฮ่า ๆ เป็นเกมที่ต้องใช้ความเข้าใจกับมันค่อนข้างสูงครับ ถ้าตัดสินจากภาพ "เกมง่าย ๆ อีซี่ ๆ" พอมาเล่นจริง โอโห้ ผู้เขียนนี่ต้องคิดเยี่ยงนักธุรกิจจริง ๆ เลยครับ และด้วยความที่มันเร่งความเร็วได้แค่ 2 ระดับ มันก็แอบทำให้เกิดความน่าเบื่อเล็ก ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเราไม่จำเป็นต้องติดอยู่ในส่วนนี้นานขนาดนี้ก็ได้ ถ้าผู้เล่นใหม่อยากจะมาลองเล่นผมบอกเลยว่า หนีไปปปปปปป ส่วนผู้เล่นที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาบ้างแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาครับ อาจจะต้องปรับตัวอยู่บ้างในช่วงแรก แต่พอเล่นได้แล้วก็ถือว่าเป็นเกมที่สนุกดีทีเดียว แต่ยังยืนยันคำเดิมครับว่ามันไม่ฆ่าเวลา แต่มันจะฆ่าเรานี่แหละครับ ฮ่า ๆ เกมนี้ราคาเต็มในสตีมอยู่ที่ 319 บาท (ผู้เขียนขอแจ้งเป็นราคาเต็มไปเลยนะครับ เพราะมันกำลังจะหมดช่วงลดราคาแล้ว) ราคาถือว่าไม่แพงและเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินเรา ที่สำคัญพ่อบ้านใจกล้าอย่างเรา อาจจะขออนุมัติกับคนทางบ้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย (บ้านใครบ้านมันนะครับ บ้านผมไม่มี ถ้ามีสาว ๆ ผ่านมาอ่าน ผมโสดจีบได้นะฮะ งื้อออออ ฮ่า ๆ) สั่งซื้อเกม : https://store.steampowered.com/app/911430/
06 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Teenage Mutant Ninja Turtles: Shredder's Revenge "สนุก เรียบง่าย แต่ถ้าได้ลองแล้วจะวางไม่ลง!"
นินจาเต่า หรือ เต่านินจา แล้วแต่คนจะเรียก เป็นอีกหนึ่งการ์ตูนแอนิเมชั่น และถูกนำไปผลิตเป็นสื่อบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ทั้งภาพยนตร์ การ์ตูน หรือแม้กระทั่งวิดีโอเกม และเอาจริง ๆ แล้ว วิดีโอเกมกับนินจาเต่านั้น เป็นของที่อยู่คู่กันมานานมากแล้ว เพราะเกมนินจาเต่ามีทั้งแบบ Fighting / Arcade ตะลุยด่าน และแนวอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ Shredder's Revenge นั้น จะมาดึงความเป็นเกมคลาสสิคกลับมาให้ผู้เล่นสนุกกันแบบง่าย ๆ อีกครั้ง แต่มันจะสนุก สมกับการรอคอยมากน้อยแค่ไหน เชิญกับรีวิว Teenage Mutant Ninja Turtles: Shredder's Revengeความพยายามที่ไม่สิ้นสุดของ Shredder และ Foot Clan นินจาเต่า ยังคงเป็นเรื่องราวของสี่สหายนินจาเต่าที่ตั้งชื่อตามบุคคลดังของโลก ไม่ว่าจะเป็น Leonardo / Raphael / Michaelangelo / Donatello และสหายร่วมรบอีก 2 คนอย่าง April O'Neil นักข่าวสาว และนักกีฬาเอกซ์ตรีมอย่าง Casey Jones และอาจารย์ Splinter โดยในจำนวนนี้ มีเพียง Casey Jones เท่านั้น ที่จำเป็นต้องเล่นเพื่อปลดล็อคตัวละครก่อน นอกนั้นก็สามารถหยิบมาใช้ได้เลย เรื่องราวของตัวเกมในภาคนี้ยังคงหนีไม่พ้น ความพยายาในการจะยึดครองโลกของ Shredder และเหล่ากองทัพ Foot Clan ที่คราวนี้ ขนลูกน้องมาเป็นกระบุง ทำให้เราต้องเจอหน้าเหล่าบอสในแต่ละ Episode ที่มากหน้าหลายตามาก ซึ่งก็คงต้องบอกตรง ๆ ว่า ผู้เขียนไม่เชี่ยวชาญเรื่องตัวละครในโลกของนินจาเต่าเลยแม้แต่น้อย แต่มันน่าประทับใจตรงที่แม้จะมีจำนวนบอสที่เยอะมาก ๆ แต่รูปแบบการโจมตี ดีไซน์ แม้กระทั่งวิธีการเอาชนะ ทางผู้พัฒนาได้พยายามใส่ความหลากหลายลงไปให้มากที่สุด แต่ก็ยังคงเส้นเรื่องเอาไว้ไม่ให้มันหลุดโทนจนเกินไปที่ชอบอีกอย่างคือ การสรุปเนื้อเรื่องในช่วงเริ่มต้น และจบแต่ละ Episode นั้น จะใช้เวลาไม่นานมากนัก ไม่ให้คนรู้สึกเบื่อ และพยายามพาผู้เล่นเข้าสู่ช่วงเกมเพลย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ใช่ว่าเนื้อเรื่องจะไม่สำคัญนะ แต่ถ้าคุณเบื่อกับเกมแนวผู้ร้ายยึดครองโลก และมีความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า จะข้าม ๆ มันไปก็ได้ ไม่ตกหล่นหรือเสียหายอะไรเกมเพลย์สุดคลาสสิค เล่นง่าย แต่ท้าทาย และสนุกแบบเรียบง่ายใครที่ชื่นชอบเกมเพลย์การเล่นที่ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความท้าทาย TMNT: Shredder's Revenge นี้ ถือว่าครบเครืองเป็นยากมาก สำหรับเกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็นแนว Beat em' up เดินจากซ้ายไปขวา ตะลุยด่านสุดมันตามสไตล์เกมยุคเก่า ข้อดีของมันคือ เล่นง่าย เข้าใจง่าย เป็นเส้นตรง หากคุณเป็นคนที่เบื่อกับการเถลไถล ออกสำรวจโน่นนี่ จนทำให้เบื่อก่อนที่จะเล่นเกมจบ เกมแนวนี้ถือว่าเป็นเกมที่ตอบโจทย์มาก ๆ ใน 1 ฉากการเล่น จะใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาทีก็จบแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่เกมที่คุณจะเข้ามารัวปุ่ม สแปมปุ่มโจมตีแล้วก็จบเกมอย่างง่าย ๆ เพราะเกมนี้มี Moveset หรือท่าการโจมตีที่เยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีปกติ การโจมตีหนัก การโจมตีด้วยไม้ตาย การหันมาโจมตีศัตรูด้านหลัง หรือกระโดดโจมตีกลางอากาศ แถมบางท่าทางการโจมตี เราก็ไม่สามารถปลดล็อคมาใช้ได้ตั้งแต่แรก แต่เราจำเป็นจะต้องหยิบเอาตัวละครนั้นไปเล่นบ่อย ๆ จนค่า Power Level สูงขึ้น จึงจะปลด Moveset ใหม่ ๆ มาให้ใช้งานกัน เกมนี้จึงมี Replayability หรือคุณค่าการเล่นซ้ำที่สูงไม่ใช่น้อย หากคุณไม่ใช่คนขี้เบื่อที่เคลียร์เกมทีเดียวจบโดยไม่สนอย่างอื่นตัวละครแต่ละตัวนั้น ก็จะมีสเตตัสที่แตกต่างกันออกไปด้วย โดยแบ่งเป็น ค่า Range หรือระยะการโจมตีของตัวละคร ค่า Power ความแรงในการโจมตี ค่า Speed หรือความว่องไวของตัวละคร ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้เล่นอยากจะเล่นตัวไหน ที่มันต้องทำให้ต่าง เพราะเกมนี้รองรับการเล่น Co-op มากถึง 6 คน ดังนั้นการหยิบเอาตัวละครแต่ละตัวมาและเมื่อตัวละครของเรามีท่าโจมตีที่หลากหลาย ศัตรูของเกมนี้ก็มีหลากหลายตามไปด้วย อย่างที่บอกไปว่า เราไม่สามารถสแปมปุ่มรัว ๆ เพื่อเอาชนะศัตรูได้ ในด่านแรก ๆ นั้น อาจจะยังพอทำได้ แต่เมื่อเริ่มเข้าช่วงกลางเกม ท้ายเกม เราจะเริ่มเจอกับศัตรูที่มีลูกไม้ในการโจมตีมากขึ้น ศัตรูในเกมนี้ส่วนมากจะเป็นพวกนินจา Foot Clan ที่ใช้วิธีการเปลี่ยนสีเอา แต่อย่างน้อย การเปลี่ยนสีนี้ก็ทำให้เราจำแนกประเภทศัตรูได้ง่าย คือเวลาที่เราเห็นศัตรู เราจะรู้เลยว่า เจ้าสีนี้ เราจะต้องรับมือยังไง นอกจากนั้นภายในฉาก ระหว่างการเล่น เกมจะมี Objective Bonus ให้เราทำเสมอ ส่วนมากจะเป็นภารกิจที่ทำได้ในฉากนั้น เช่นโจมตีศัตรูด้วยท่าไม้ตาย ใช้กับดักทำให้ศัตรูตาย หรือห้ามโดนโจมตีเกินกี่ครั้ง สำหรับภารกิจพวกนี้ นับว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะต้องอาศัยความเป๊ะ ความแม่นยำ และความสามารถพอสมควร ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก จะกลับมาไล่เก็บในรอบที่ 2 ก็ได้ระหว่างฉากจะมีวัตถุที่ทำลายได้อยู่เสมอ วัตถุเหล่านี้เมื่อทำลายแล้วจะมีโอกาสเจอ 2 อย่างคือ Secret ของเกม ที่หาเจอได้ง่ายมาก แต่ละด่านก็จะมีอยู่ด่านละ 1 ชิ้น และอีกอย่างคือพิซซ่า ซึ่งจะแบ่งออกเป็นพิซซ่าฟื้นพลังชีวิต และพิซซ่าบ้าพลัง ที่เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ตัวละครบ้าพลัง และใช้ท่าไม้ตายได้ทันที เป็นอีกหนึ่งความสนุกที่ดึงให้เราเล่นเกมนี้ต่อได้อย่างเรื่อย ๆ เพราะเกมไม่ซับซ้อน ไม่ยากไป ไม่ง่ายไปนั่นเอง ส่วนของศัตรูจะมีความหลากหลายที่ในตอนแรกเราอาจจะมองว่ามันเป็นแค่การย้อมสี แต่หากเล่นไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นจะพบว่ามันไม่ใช่แค่การย้อมสีแบบทำง่าย ๆ แต่ศัตรูแต่ละสีที่ถูกย้อมมานั้น จะมีรูปแบบการโจมตีที่ไม่เหมือนกันเลย แถมยังใช้อาวุธต่างกัน และมี Moveset การโจมตีผู้เล่นที่ต่างกันอีกด้วย ใครที่คิดว่าเจอศัตรูย้อมสีแล้วมันจะเหมือนเดิม ก็เตรียมตัวเสีย Life Point เกิดใหม่อีกรอบกันได้ เป็นเกมที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้ แม้จะเล่นไปไกลแล้ว สิ่งที่ชื่นชอบอีกอย่าง คือการพยายามไม่ทำให้เกมเพลย์จำเจอยู่กับฉากแบบเดิม ๆ คือปกติแล้ว เกมการเล่นจะทำให้เราเดินจากซ้ายไปขวา ด้วยการเดินเท้า แต่ในบางฉากจะเป็นฉากพิเศษ ที่ทำให้ตัวละครของเราบังคับอุปกรณ์พิเศษ เช่นบอร์ดลอยฟ้า และเปลี่ยนสถานที่ต่อสู้กันเป็นการขับยาน หรือขับรถไล่กัน แม้ภาพรวมของเกมเพลย์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เกมเพลย์สนุกขึ้นข้อเสียนิดหน่อยสำหรับเกมเพลย์คือเรื่องของ Boss Fight เพราะแม้ว่า Boss Fight ของเกมนี้ จะนำเสนอศัตรูที่มีความหลากหลายในด้านการดีไซน์ แต่ในด้านเกมเพลย์นั้น ถือว่าน่าตินิดหน่อย นั่นคือความยากง่ายในการต่อสู้ บางตัวก็ง่ายชนิดที่แค่สแปมปุ่มรัว ๆ ก็ผ่าน บางตัวก็ยากจนต้องจับจังหวะและเรียนรู้ให้ดี หรือบางตัว ไม่เก่งเลย แต่เน้นซัมมอนพวกออกมารุม และใช้การโจมตีกวาดฉาก ทำให้เราต้องหลบหลีก และมีจังหวะสวนกลับได้น้อย หากใครชื่นชอบความท้าทาย จะนับว่าเป็นข้อดีก็ได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว รู้สึกว่าความยากมันแก่วงไปพอสมควรเลยทีเดียวและหากเล่นจนจบแล้ว ยังรู้สึกว่าชีวิตต้องการความท้าทายอยู่ล่ะก็ Arcade Mode ขอต้อนรับ เพราะโหมดนี้จะมาพร้อมเกมการเล่นแบบคลาสสิคสมชื่อ ให้ประสบการณ์เหมือนเราเล่นเกม Arcade หยอดเหรียญสมัยก่อน โหมดนี้จะสามารถ Continued ได้แบบจำกัดจำนวนครั้ง รวมไปถึงไม่มีการเซฟ Progression ระหว่างเล่น เล่นแล้วต้องเอาให้จบ ตายมาก็เริ่มใหม่หมด ใครหวนคิดถึงบรรยากาศยุคเกมอาร์เคดละก็ โหมดนี้ถึงใจแน่นอนสรุปแล้ว สำหรับคอนเทนต์ของ TMNT: Shredder's Revenge นั้น ถ้าจะเอาให้จบเนื้อเรื่องรอบเดียว ก็อาจจะใช้เวลาไม่นานนัก 2-3 ชั่วโมงก็เพียงพอ แต่ถ้าจะเก็บทุกอย่างให้ครบ รวมไปถึงเล่นซ้ำในโหมด Arcade หรือถ้าชวนเพื่อน ๆ มาสนุกไปด้วยกันแบบจัดเต็ม 6 คน นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่า คุ้มราคาอย่างมาก เพราะนี่ก็เป็นเกมอินดี้ที่ไม่ได้มีราคาแพงมากมายอะไรเลย แต่ความสนุกที่ได้นั้น ค่อนข้างคุ้ม หรือเกินราคาไปเลยด้วยซ้ำสเปคเบาสบาย เข้าถึงง่าย ไม่ต่างจากเกมเพลย์นอกจากเกมเพลย์จะเข้าถึงง่ายมาก ๆ แล้ว สิ่งที่น่าชื่นชมพอ ๆ กันเลยคือการ Optimize และปรับแต่งตัวเกมมาให้เข้าถึงได้ง่ายพอ ๆ กัน เพราะเพียงคุณมีคอมพิวเตอร์สักเครื่องก็น่าจะเล่นได้แล้ว โดยตัวเกมต้องการการ์ดจอเพียงการ์ดจอ GTS 450 หรือ R7 250 เท่านั้น หรือจะเป็น Intel HD ออนบอร์ดเลยก็ยังเล่นไหว และใช้แรมเพียง 4GB สเปคแบบนี้ ยุคนี้คิดว่าน่าจะไหวกันหมดอยู่แล้วและแม้ว่าเกมจะนำเสนอภาพแบบการ์ตูนพิกเซล ทำให้การปรับ Option ในส่วนของภาพกราฟิกมีไม่ค่อยเยอะนัก แต่เกมก็ใส่ทางเลือกในการปรับการตั้งค่าในส่วนของปุ่มควบคุมมาอย่างละเอียด เพราะเกมนี้ใช้ปุ่มและการควบคุมที่ค่อนข้างเยอะ ผู้เล่นบางคนอาจจะถนัดที่ได้ตั้งค่าปุ่มด้วยตัวเองมากกว่า เกมนี้รองรับได้มากที่สุดเท่าที่จะรับได้แล้วเรียกได้ว่าเกมนี้สอบผ่านทั้งในแง่ของเกมเพลย์และประสิทํธิภาพของตัวเกม หากคุณกำลังมองหาเกม Beat em' up / ตะลุยด่านสนุก ๆ ที่เล่นพร้อมกันได้มากถึง 6 คน นาทีนี้ก็ไม่น่ามีเกมไหนตอบโจทย์ได้ดีไปกว่าเกมนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเกมลงให้กับ Xbox / PC Game Pass ที่สามารถดาวน์โหลดมาเล่นกันได้ฟรี ๆ สำหรับคนที่เป็นสมาชิกด้วยแล้วถือว่าคุ้ม หรือจะเสียเงินซื้อมาเล่น ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี
03 Jul 2022
[Review] Recipe for Disaster "เกมจำลองร้านอาหารสุดเพลิน คุ้มเกินราคาขาย"
หลังจากนั่งเหงา ๆ หาเกมเล่นในช่วงเทศกาล Steam Summer Sale นี้ ผู้เขียนได้ไปเจอหลายเกมที่น่าสนใจ และหนึ่งในนั้นที่ผู้เขียนได้เลือกมาเล่นก็คือ Recipe for Disaster เกมที่ถูกพัฒนาโดย Dapper Penguin Studios จับมือกับ Kasedo Games ลงวางขายบนร้านค้า Steam เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2021 ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดีเป็นอย่างมากครับ เลยทำให้ผู้เขียนอดใจไม่ไหว ต้องขอหยิบจับมาลองเล่นกับเขาดูบ้าง ในเกมนี้เองผู้เล่นจะได้มารับบทเป็นทั้งเจ้าของร้านและหัวหน้าเชฟในเวลาเดียวกัน เราต้องพัฒนาร้านของเราให้โด่งดังมากยิ่งขึ้นอารมณ์แบบบริหารร้านเพื่อดาวมิชลิน (ไข่เจียวปูเจ๊ไฝ หรือจะมาสู้ผม ฮ่าๆ) นอกจากนั้นเรายังต้องบริหารจัดการลูกน้องของเราให้ดูแลร้าน, ลูกค้า และปรุงอาหารให้ได้ดีตามสูตรของเราเพื่อเรียกคะแนนรีวิวให้กลายเป็นไวรัลเพื่อร้านของเราจะเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และมีผู้มารับประทานอาหารที่ร้านเรามากยิ่งขึ้นครับ(เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ววววว) มาดูกันครับว่าสูตรอาหารที่เรารังสรรค์ขึ้นมานั้น จะปังปุริเย่ หรือ ปังพินาศ ตามชื่อเกม เรามาลุ้นกันครับเกมเพลย์เกมนี้เป็นแนว Simulator เราจะสวมบทบาทเป็นทั้งเจ้าของร้าน + หัวหน้าเชฟ บริหารร้านของเราและคิดสูตรอาหารเพื่อวางขาย จะชิบหายสมชื่อไหม นั่นก็ขึ้นอยู่ที่เราบริหารจัดการครับ ฮ่าๆเริ่มแรกของเกมเราจะได้สร้างตัวละครของเราก่อนครับ เราสามารถเลือกสไตล์ของตัวละครได้อย่างอิสระเท่าที่เกมมีมาให้ครับไม่ว่าจะเป็น เสื้อ ผ้า หน้า ผม ตรงนี้ถึงแม้จะไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก แต่ผู้เขียนก็ยังใช้เวลาในการสร้างตัวละครนานอยู่ดีครับ เกมนี้ไม่ได้ล็อคเพศ เพื่อน ๆ สามารถเลือกเพศของตัวละครได้ครับ Skill เริ่มต้น หรือทักษะที่สำคัญต่าง ๆ เกมจะบังคับให้เราเลือกตั้งแต่เราสร้างตัวละครเลยครับ โดยเริ่มแรกนั้นตัวเกมจะให้เราเลือก Skill Level 2 ที่เราสามารถเพิ่มทักษะให้กับตัวละครของเรา ได้ 2 ทักษะครับ และ Skill Level 3 นั้นสามารถเลือกได้เพียง 1 ทักษะครับ (ฉะนั้นให้เราเลือกดีดีว่าเราอยากจะเด่นไปในด้านไหน) ถ้าเราจะเล่นเป็นพ่อครัวเป็นหลักก็ให้เน้นที่การทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นทักษะ การ ย่าง อบ ทอด หั่น การเตรียมวัตถุดิบ เป็นต้น แต่ถ้าเราจะเน้นไปที่งานบริการลูกค้าเราก็อัดทักษะไปที่ การทำความสะอาด เซอร์วิส และเสน่ห์ ครับ แล้วถ้าชอบสกิลไหนมาก ๆ เกมจะให้เพื่อน ๆ ติดดาวสกิลนั้น ๆ ไว้ด้วย ในส่วนของสกิลที่เราไม่ชอบเกมก็จะให้เรากด Dislike ไว้เช่นกันครับเกมนี้การสร้างตัวละครเรายังต้องกำหนดลักษณะนิสัยให้ตัวละครของเราด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือก Animal Lover เวลาเราทำอาหารเกี่ยวกับพวกเนื้อสัตว์ ตัวละครของเราก็จะ "เซนซิทีฟ" การทำอาหารในเมนูต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ก็จะดรอปลงครับพอเริ่มเล่นจริงจะมีให้เราเลือกเล่นแบบเพลิน ๆ 2 โหมดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น - Campaign Mode ที่เราจะต้องผ่านด่านต่าง ๆ ที่มีความท้าทายให้เราทำ โดยตัวเกมจะให้เควสเรามา ซึ่งเราก็ต้องทำ To do list ให้ครบ เราถึงจะสามารถผ่านไปบริหารร้านถัดไปที่มีความท้าท้ายที่มากกว่าได้ครับ ในโหมดนี้จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในครัว มาให้เราแล้วจำนวนหนึ่งครับ และเราจะโดนจำกัดอุปกรณ์ เราจะไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้อย่างอิสระในโหมดนี้ครับ- Free Play Mode ในโหมดนี้เราจะทำอะไรกับร้านเราก็ได้ สามารถตบแต่งให้สวยงามในสไตล์เราได้เลย อุปกรณ์การซื้อปลดล็อคทั้งหมดไม่จำกัด ไม่มีความท้าท้ายอะไรเลยครับ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเล่นโหมดนี้เท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างอิสระเกินไปสำหรับผม ส่วนถ้าใครชอบแต่งร้านสวย ๆ โหมดนี้เหมาะกับคุณแน่ ๆ ครับในส่วนของเมนู อาหารเราสามารถคิดสูตรขึ้นมาเองได้ หรือได้สูตรมาจากการรีวิวของลูกค้าที่อยากกินอาหารเมนูนั้น ๆ (จะมีปุ่มให้เรากดรับสูตรอาหารในรีวิวครับ) เราสามารถรังสรรค์เมนูอะไรมาวางขายก็ได้ไม่ว่าจะเป็นของคาวยันของหวาน วิธีการปรุงอาหารก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นอย่างเราเลยว่าจะครีเอทเมนูออกมายังไง จะเป็นอาหารซับซ้อนเยี่ยงเลอกอร์ดองเบลอ หรือจะเป็นสไตล์บ้าน ๆ ง่าย ๆ สุดแล้วแต่เราจะครีเอทกรรมวิธีการผลิตลงไปเลยครับ ส่วนเมนูจากทางบ้านที่มีคนรีวิวมานั้น จะได้เป็นอาหารจานง่าย ๆ แต่เราก็ยังสามารถที่จะเพิ่มในส่วนของวัตถุดิบลงไป เพื่อรสชาติอาหารที่ดียิ่งขึ้นได้ สวมวิญญาณเชฟเอียนกันไปเลยอุปกรณ์ต่าง ๆ บางอย่างเรามีความจำเป็นที่จะต้องซื้อแม้ตัวเกมจะไม่ได้บังคับ อย่างเช่น ถังดับเพลิง เพราะอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อเราใช้ไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง สามารถเกิดอุบัติเหตุอย่างไฟไหม้ได้ครับ ผู้เขียนเคยลองไม่ซื้อวอดวายทั้งร้านเลยครับ กดเริ่มใหม่แทบไม่ทัน ฮ่า ๆ ความสะอาดของร้าน มีผลต่อคะแนนการรีวิวของลูกค้าด้วยนะครับ และห้องน้ำควรทำแยกไม่ควรสร้างเป็นห้องน้ำร่วมสาบาน นั่งทำภารกิจกันไปมองหน้ากันไป เพราะผู้เขียนได้ลองทำมาแล้ว ทำให้รีวิวร้านอาหารที่ผู้เขียนบริหารจัดการอยู่นั้นมีแนวโน้มไปในทิศทางที่แย่มากครับ AI ไม่โอเคที่จะนั่งในห้องน้ำและปลดทุกข์ด้วยกันครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ผู้เขียนได้ดาวเดียวตลอดจนต้องรื้อห้องน้ำ และปรับปรุงใหม่ ไม่ให้ AI เขินกันจนเกินไป ถ้าไม่แก้เราจะผ่านด่านหลัง ๆ ได้ยากขึ้นครับ เพราะว่าร้านที่เราบริหารในช่วง Level หลัง ๆ นั้น ต้องการค่า Popularity ที่ค่อนข้างเยอะครับ ฉะนั้นเราต้องซนให้น้อยลงหน่อยระบบควบคุมการควบคุมของเกมนี้ไม่ต่างจากเกมแนว Simulator อื่น ๆ ในท้องตลาดเท่าไหร่ครับ ใช้ WASD เพื่อเคลื่อนย้ายมุมกล้อง, ลูกกลิ้งก็ใช้เพื่อซูมเข้าออก, การหมุนภาพก็ใช้ QE, และปุ่มที่สำคัญในการเล่นอื่น ๆ เราสามารถเข้าโหมด Tutorial ไปลองฝึกเล่นให้ตัวเกมมันสอนระบบขั้นพื้นฐานให้เราก่อนได้ บอกเลยว่าไม่ยากครับ ตัวเกมสอนละเอียดและค่อนข้างเข้าใจง่าย คนที่ไม่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน ผมรับประกันว่าจะเข้าใจอย่างแน่นอนกราฟิกเกมนี้เป็นเกม PC มีภาพเป็นแนว 3D Polygon ช่วยให้ตัวเกมไม่ดูตรึงเครียดจนเกินไป จัดว่าน่ารักดีสำหรับสาย Cute Cute เฉกเช่นตัวผู้เขียน เล่นได้เพลิน ๆ เพราะไม่ได้ใช้กราฟิกที่เยอะอะไรมากมายครับ และ UI ของเกมที่ค่อนข้างเข้าใจง่าย สามารถกดดูความต้องการของตัวละคร, ความคิดของพนักงาน, ความต้องการของลูกค้า และจัดการร้านอาหารของเราได้อย่างง่ายดาย  เกมนี้เราสามารถกำหนดพื้นที่ทำความสะอาด เข้าและออกจากร้านอาหารได้ ทำให้เกมดูมีความสมจริงมากขึ้นอีกด้วยสรุปเกมนี้สำหรับผู้เขียน ผู้เขียนให้เต็ม 10 ไม่หัก เกมย่อยง่าย เล่นได้เพลิน ๆ ลืมวันเวลา อีกอย่างที่ปลื้มมาก ๆ คือเครื่องไม่ต้องแรงมากก็เล่นได้ครับ อีกส่วนที่ได้ใจผู้เขียนไปคือโหมดแคมเปญที่มีเควสให้ทำ บริหารร้านสร้างความท้าท้ายไปเรื่อย ๆ เป็นอะไรที่สนุกมากครับสำหรับตัวผู้เขียน (อาจจะเพราะผู้เขียนชอบเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้วด้วย) ภาพเกมที่น่ารัก ระบบ UI ต่าง ๆ ที่ออกแบบมาให้ใช้สะดวกไม่ซับซ้อน มือใหม่ก็สามารถเล่นได้ครับ นี่ผู้เขียนคิดเล่น ๆ ว่าเล่นเกมนี้มาสักพักละถ้าไปเปิดร้านอาหารจริง ๆ ก็คงพอได้อยู่ เพราะเมนูในเกมที่ผู้เขียนครีเอทขึ้นมาก็ไม่ได้พังพินาศตามชื่อเกมแต่อย่างใด ฮ่าๆ (อันนี้อวยตัวเองเฉย ๆ ครับ เปิดจริงน่าจะไม่ไหว) สำหรับใครที่สนใจ ช่วงนี้ Steam ลดราคา ถ้าไม่รู้จะซื้อเกมอะไร ผู้เขียนแนะนำเกมนี้เลยครับ เล่นแล้วได้ความบันเทิงเพลินใจแน่ ๆ ตอนนี้ราคา 129 บาท แต่ถึงหมดช่วงลดราคาไปแล้ว ก็ยังแค่ 259 บาท ไม่ได้แพงมากมายอะไร ราคาจับต้องได้ ควรค่าแก่การซื้อมาติดคลังเอาไว้จริง ๆ ครับ บอกเลยว่าเล่นปุ๊บลืมเวลาปั๊บ เวลาเป็นแค่คําปลอบ เวลาเป็นแค่คําหลอก ก็มีแต่เข็มหมุนวนเรื่อยปายยยยย ♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪สั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1492360/Recipe_for_Disaster
02 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม MO: Astray เกมแอ๊กชั่นผจญภัย ไขปริศนาความทรงจำ ณ ต่างดาวกับน้องสไลม์
หลายครั้ง ทั้งภาพยนตร์ เกม และสื่อต่าง ๆ มักกล่าวอ้างการมีตัวตนของเอเลี่ยนหรือมนุษย์ต่างดาวและพวกมันก็ชอบเหลือเกิน ที่จะพร้อมใจกันมาบุกเป็นภัยต่อโลกของเรา แต่ก็คงมีไม่กี่เกมนักที่จะเปลี่ยนมุมมองให้เหล่า 'มนุษย์' นี่ล่ะคือภัยพิบัติของจักรวาล และ MO: Astray ได้สร้างเรื่องราวบนเกมอินดี้ 2D เดินข้าง ภาพพิกเซลนี้ตีโจทย์ได้แตกกระจายณ ดาวเคราะห์อันไกลโพ้น เหล่านักวิทยาศาสตร์ Mantis Corporation ได้เดินทางมาพร้อมกับศูนย์วิจัยอวกาศล่องลอยอยู่รอบนอกวงโคจรเพื่อเป็นฐานที่มั่นไป-กลับในระหว่างศึกษาสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และสิ่งมีชีวิตเพื่อนำมาเป็นประโยชน์แก่โลกของพวกเราที่กำลังตายอย่างช้า ๆ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น...ในเกมเราจะรับบทเป็น 'สไลม์' ตัวน้อยที่มีชื่อว่า MO (ขอเรียกว่าน้องโม) ซึ่งเป็นหนึ่งใน Extremergy Fluid หรือถ้าให้พูดภาษาบ้าน ๆ ก็คือจิตใจของสิ่งมีชีวิตในรูปร่างที่จับต้องได้ น้องโมตื่นขึ้นมาในห้องแล็บสภาพรกร้างบนดาวเคราะห์ที่กล่าวข้างต้นโดยไร้ความทรงจำ มีแค่เสียงในหัวดังก้องเรียกเราให้ไปตามหาและช่วยเหลือเธอ ก่อนที่เราจะค่อย ๆ ผจญภัยรับรู้ถึงเหตุการณ์และโศกนาฏกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตัวเกมรับประกันคุณภาพเกมเนื้อเรื่องด้วยค่ายขึ้นชื่อ Rayarkเกม MO: Astray นี้เป็นเกมจากผู้พัฒนาเดียวกันที่ขึ้นชื่อว่าเก่งในด้านพัฒนาเกมเนื้อเรื่อง Rayark ที่หากใครคุ้น ๆ ตัวบริษัทนี้ได้ผลิตเกมของดีมาแล้วหลายเกม ทั้งเกมเพลงดีน้ำตานอง DEEMO, เกมกดตามจังหวะเพลง Cytus II, เกมพัซเซิล RPG เนื้อเรื่องเข้มข้น Sdorica และล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวต้นปีอย่าง DEEMO II ก็บอกได้เลยว่าทางค่ายนี้เขาคัดสรรคุณภาพให้ผู้เล่นได้เต็มอิ่มไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอนเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว จริง ๆ แล้ว ตัวเกม MO: Astray เป็นเกมจากกลุ่มนักศึกษา (ก่อนจะจัดตั้งชื่อเรียกตัวเองว่า Archpray) ที่อยากได้คนมาอุ้มบุญออกทุนสร้างเกมให้ ซึ่ง Rayark ตาคมเล็งเห็นความสุดยอดของตัวไอเดีย จึงรับพวกเขามาเป็นพนักงานและทำถึงขนาดจ้าง Composer ของตนเองมาร่วมบรรเลงงานศิลป์อีกด้วย เกมเพลย์เล่นไม่ยากมากบนพัซเซิลที่กลมกล่อมปกติสไลม์นั้นทำอะไร? ใช่แล้ว กระโดดยังไงล่ะ! เนื่องจากเป็นเกมภาพ 2D มีภาพสวยงามดูสบายตา การบังคับจึงไม่มีอะไรเข้าใจยาก แต่จะเน้นไปที่ประสาทสัมผัสของเราที่ต้องไวและคิดให้ทันไม่เช่นนั้นน้องโมตัวระเบิดแน่! รูปแบบการเล่นจะมีหลัก ๆ เลยคือการเดิน ซ้าย-ขวา และการปัดหน้าจอไปในทางที่ต้องการแทนการกระโดด ให้น้องโมไปยึดติดกับสิ่งของ ก่อนจะพุ่งไปชิ้นต่อไปโดยไม่ให้สัมผัสกับ 'ดอกไม้หนาม' ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต มุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่งของด่านและเมื่อเกมผ่านไปถึงจุดจุดหนึ่ง ที่ความทรงจำน้องโมเริ่มกลับมา น้องจะปลดล็อกความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเล่น เช่น การดีดตัวกลางอากาศไปเกาะหัว 'สิ่งที่เคยเป็นมนุษย์' เพื่อเข้าดูความทรงจำอันเลวร้ายและจบความเจ็บปวดพวกเขาไว้แค่นั้นนอกจากนี้การเป็นสไลม์ก็สามารถทำได้หลายอย่างทั้งว่ายน้ำ พองตัวและบินไปในอากาศ ผ่านพัซเซิลของด่านที่มีภาพอันสวยงามปนหดหู่และโหดร้ายไว้ได้อย่างแนบเนียน โดยตัวน้องโมจะมีเกจเลือดบนหน้าปัดพร้อม ๆ กับค่าพลังงานไว้ใช้งานสกิล ซึ่งผู้เล่นจะได้รับหรืออัพเกรดเมื่อเข้าถึงความทรงจำที่หายไปของน้องโมตามเนื้อเรื่องหลักหรือการค้นหาในจุดที่แอบซ่อนเอาไว้ระบบต่อสู้บอส ที่มีเอกลักษณ์ สนุก และเร้าใจใครเป็นแฟนเกม Metroidvania ยิ่งไม่ควรพลาดกับจุดนี้เลย เพื่อจะดึงความมันออกมาให้คุณได้ตื่นเต้นไปกับเหล่าบอสขั้นสุด เราก็ต้องบังคับน้องเพื่อต่อกรบอสแต่ละตัวที่มีวิธีการสู้ไม่เหมือนกัน เช่น The Errors ก้อนสไลม์ยักษ์ผลงานผิดพลาดโปรเจกต์ Extremergy Fluid ที่ตัวเราในตอนนี้ยังมีเลือดแค่สี่เกจและไม่มี 'สกิลโจมตี' ด้วยซ้ำ ซึ่งการจะเอาชนะมันเราต้องกระโดดหลบ หายึดเกาะมอนสเตอร์ และล่อให้มันโจมตีตนเอง หรือจะเป็น The King of Inhabitants ซึ่งจะเป็นเนื้อเรื่องช่วงหนึ่งหลังเราได้รับความสามารถอย่าง การค้างกลางอากาศเพื่อหลบการโจมตี และดีดตัวโดยแรงพยายามสร้างความเสียหายให้โดนตัวบอสอยากจะกล่าวว่าบอสในเกมนี้มีหลายตัว แต่ละตัวมีการโจมตีต่างกัน บางทีก็ตีเป็นบ่อพิษหรือพุ่งมาโจมตีโต้ง ๆ เพื่อลดเลือด 1 จาก 4 เกจ บางทีก็เล่นเอาน้องโมตัวแตกไปเลย แบ่งไปตามพื้นที่และเนื้อเรื่อง โดยฉากและรูปแบบการโจมตีสามารถเปลี่ยนได้เมื่อถึง ณ จุดจุดหนึ่งของการต่อสู้ และบางทีก็จะมี QTE (ควิกไทม์อีเวนต์) ประลองความมีสติของเราอีกด้วยความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนเกมพัซเซิลอื่น ๆเกมพัซเซิลบางเกมมีเนื้อเรื่องอันนี้ไม่แปลก แต่สำหรับ MO: Astray นั้นต่างออกไปเพราะตัวเกมมีตอนจบมากกว่าอันเดียว เป็นรางวัลแก่ผู้เล่นอุตสาหะในการค้นหา 'ความทรงจำ' ที่แอบซ่อนหรืออยู่ในหัวของมอนสเตอร์ธรรมดา ๆ ทั่วทั้งเกม รวมถึงจำนวนการตายของเราก็ส่งผลในส่วนนี้ด้วยถ้าหากอยากเก็บตอนจบที่ต้องการละนะนอกจากนี้ก็ต้องชื่นชมในส่วนผู้พัฒนาที่มีทั้งการพากย์เสียงตัวละคร ความทรงจำ หรือจะเป็นหนังสือการ์ตูนขยายเนื้อเรื่องให้เราเข้าใจมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้เลยคือโหมดการเล่นพิเศษ 2 โหมด ได้แก่[Speed Mode] โหมดการเล่นจับเวลาให้เราผ่านด่านให้ไวและตายน้อยที่สุด ทุบสถิติตัวเราเอง หรือชิงความเป็นหนึ่งของลีดเดอร์บอร์ดทั้งเซิร์ฟเวอร์[Disaster Mode] โหมดเนื้อเรื่องเช่นเดิม เพิ่มเติมคือความยากระดับหายนะตามชื่อโหมด เพิ่มทั้งของอันตรายด่าน พัซเซิล ศัตรู และการโจมตีรูปแบบใหม่ของบอสเองทั้งนี้ตามที่กล่าวมาข้างต้นว่า Rayark เป็นคนจ้างนักบรรเลงเพลงมารังสรรค์ให้เอง ดังนั้นบอกเลย 'ของโคตรดีย์' ไปกับตัวเพลงบรรเลงประกอบฉากที่ทำให้เราเล่นได้อย่างลื่นไหล สร้างความฟินให้กับผู้เล่นที่ชื่นชอบฟังเพลงของเกมในระหว่างการเล่นมาก ๆ ความรู้สึกที่สนุก นุ่มฟู ไปกับการเล่นเกมและเนื้อเรื่อง แต่...สามารถบอกได้เลยว่าตัวเกม MO: Astray มีความสนุกจนถึงขั้นไม่เสียดายที่จะเสียเวลาชีวิตพลางหัวอุ่นไปกับพัซเซิล และการผจญภัยอันหลากหลายด้วยตัวละครน่ารัก ๆ อย่างน้องโม บนเนื้อเรื่องผสมเพลงประกอบอันสุดยอด แต่แล้ว เมื่อมันดีมาก ๆ แต่มันดัน 'จบในตัวของมันเอง' เลยรู้สึกค้างคา อยากไปต่อหรือให้มีเนื้อเรื่องเสริม แต่ดันได้แค่นี้ เพราะเหมือนว่าทางผู้พัฒนา Archpray ก็ไม่ได้มีแผนสร้างภาคต่ออย่างที่แฟนเกมต้องการแต่อย่างใด นอกจากจะมาแกงแฟนเกมในวัน April Fool Day ว่า 'จะมีเกมจีบน้องโมให้เราได้กำหมัดเล่นนะ' แล้วก็หายเงียบไป รวมถึงไม่ได้มีการเผยถึงโปรเจกต์ใหม่ ๆ อีกเลยแหม่ ทำดีเกิน จนคนอยากเล่นต่อ แต่ไม่ทำต่อนี่น่าตีมือจริง ๆ เอาเป็นว่าพูดแนะนำ (อวย) มาขนาดนี้แล้ว ใครที่อยากเล่นก็สามารถจับจ่ายหาซื้อได้หลากหลายช่องทางทั้งบนเครื่องแอนดรอยด์, IOS, PC และ Nintendo Switch ได้ตามลิงก์ข้างล่างนี้เลย สำหรับตัวรีวิวเกมครั้งนี้ก็ขอจบลงไปก่อน ไว้เจอกันครั้งหน้า Adios~ เว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการ : https://www.moastray.game/Google Play Store [ 150 บาท ] : https://bit.ly/3A9PRtoApp Store [ 149 บาท ]  : https://apple.co/3ORXLM5PC ผ่าน Steam  [ 450 บาท ]  : https://bit.ly/3Nys9tUNintendo Switch  [ 550 บาท ] : https://bit.ly/3bx7fxL
30 Jun 2022
[Review] Farlight 84 แบทเทิลรอยัล เครื่องจักรกล-คนเหาะได้ ในโลกรกร้าง
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่มีภาพยนตร์เนื้อเรื่องจับคนมาไล่ล่าฆ่ากันในพื้นที่ที่จำกัดในปี 2012 เป็นต้นมา ก็มีเกมมากมายในแนว 'แบทเทิลรอยัล' ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สร้างตัวเลือกที่หลากหลายให้ผู้เล่นได้สนองนีตความคันไม้คันมือ และถ้าหากจะชี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น ทางผู้พัฒนาแต่ละเกมก็ต้องการให้ตัวเกมของตนมีความ 'แปลกและสดใหม่' ต่างจากเจ้าอื่น ๆ เรื่อย ๆ ซึ่งเกมที่มีชื่อว่า Farlight 84 ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเองFarlight 84 เป็นเกมแบทเทิลรอยัลในโลกอนาคตที่ล่มสลาย สไตล์ดิสโทเปีย อัดแน่นด้วยเกมเพลย์อันคุ้นเคยและแปลกใหม่สำหรับผู้เล่นในเวลาเดียวกัน โดยเราจะรับบทเป็น 'แคปซูลเลอร์' ตัวละครทหารรับจ้าง พุ่งทะยานลงไปในแดนรกร้างและชิงความเป็นหนึ่งกับผู้เล่นหลักร้อยคน แล้วมันต่างจากเกมแบทเทิลรอยัลอื่นยังไงน่ะหรอ? มาดูกัน:::ยึกซ้าย ย้ายขวา พุ่งไปข้างหน้าด้วยไอพ่น:::ส่วนมากเกมแบทเทิลรอยัลจะมีเนื้อหาในการปล่อยให้ผู้เล่นหยุมหัวกันทั้งแบบเดี่ยวหรือกลุ่มในแผนที่ที่จำกัดโดยมีวงคอยบีบเข้ามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่ Farlight 84 นั้น แตกต่างจากเกมอื่นอย่างเห็นได้ชัดเลยคือการที่ผู้เล่นไม่ได้มีแค่ตัวเลือกในการวิ่ง ๆ ยอง ๆ ยิง ๆ (แล้วกลายร่างเป็นกล่องในเวลาต่อมา) อย่างเดียว แต่มีสิ่งที่เรียกว่า 'เจ็ตแพ็ค' ติดตัวมากับตัวละครทุกตัวเสมอซึ่งเจ้าตัวเจ็ตแพ็คนี้ มีความสามารถในการดีดตัวผู้เล่นขึ้นไปบนอากาศ หรือโยกไปตามควบคุม สร้างการพลิกแพลงของรูปแบบการเล่นได้หลากหลาย ทั้งหลบกระสุน บุกจู่โจม หรือใช้ในการสำรวจแผนที่และอาคารต่างๆ :::การต่อสู้ของจักรกลคนหุ้มเกราะ:::ในเกมหลายเกมเราอาจจะได้ขับรถไปทั่วเมืองเพื่อเดินทาง ชนศัตรู หรือก้อนหิน แต่ในเกมนี้มันไม่ใช่แค่รถ เพราะเขาอัดมาทั้งอาวุธและความหฤหรรษ์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ล่องหนได้เมื่อเราตระเวนขับหาไอเทม รถพ่นไฟติดไนโตรพุ่งทะยานข้ามเขาและเอาไฟสาด หุ่นยนต์สี่ขาชาร์จยิงเลเซอร์ หรือจะเป็นตั๊กแตนถือลูกซองคู่ (!?) และอีกมากมายที่เราอยากให้คุณลองไปขับใส่เดี่ยวกับศัตรูเอาเอง แต่ก็ใช่ว่าระหว่างขับขี่จะเป็นอมตะนะ! อย่ายิงเพลินจนโดนระเบิดแล้วขิตไปกับมันล่ะตัวหุ่นและรถพวกนี้นั้นเป็นเหมือนตัวเลือกเสริมว่าเราจะใช้มันเข้าร่วมต่อสู้แบบไหน เพราะแต่ละตัวนั้นมีความสามารถ และประโยชน์ที่ต่างกันไป บางคันคล่องตัวแต่ไปได้แค่บนพื้น บางตัวกระโดดได้แต่เคลื่อนที่ช้า ในขณะที่อีกตัวลงน้ำได้แต่จ่ายดาเมจช้าจนอาจกลายเป็นเป้านิ่งได้หากใช้ไม่ดี:::อาวุธปืนที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ยิง:::ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่หากผู้เล่นเกมปืนแต่ละชนิดมาแล้วนั้น นอกจากรูปแบบการยิง ความแรง แรงดีดและอื่น ๆ ในเกม Farlight 84 นี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า 'สกิลปืน' พ่วงมาด้วย โดยแต่ละปืนจะไม่เหมือนกันเลย เช่นMF18:สามารถปล่อยคลื่นตรวจสอบตำแหน่งศัตรูทั้งหมดในวงกว้างสเตลลาร์ วินด์:ที่สามารถยิงโดมโล่แสงเพื่อกันกระสุนจากศัตรู  อินเวดเดอร์:จะปล่อยมิสไซล์หกลูกไปด้านหน้าศูนย์เล็ง ในขณะที่ M4:สามารถสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันเราได้ในระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนั้นถ้าคุณมีความรักและหวงปืนไหนเป็นพิเศษ เราสามารถใช้มันตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมได้โดยไม่ต้องกังวลว่าปืนจะไม่สามารถสู้ผู้เล่นอื่นได้ ตราบใดที่เราใช้มันในการต่อสู้ เพราะเลเวลของปืนจะขึ้นตามจำนวนศัตรูที่เราสังหารได้ และเมื่อจบเกมเราจะได้ในส่วนของเหรียญทองมาอัพเกรด 'ม็อด' หรือออฟชั่นเสริมของปืน ที่สามารถสับเปลี่ยนใส่ได้สี่อย่างตามต้องการ ทำให้ถึงแม้ผู้เล่นจะใช้ปืนเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์การยิงเหมือนกัน:::ตัวละครหลายชาติกับความสามารถที่หลากหลาย:::ตัวละครในเกมนี้จะถูกเรียกว่า 'แคปซูลเลอร์' อย่าง 'สุนิล' หนึ่งในตัวละครชื่อสุดไทยก็เป็นตัวละครในเกมนี้ โดยเขามีพาสซีฟป้องกันสูงสุด ที่จะเพิ่มความเร็วการชาร์จโล่ 30% หรือจะเป็น 'ดัคไซด์' ที่พาสซีฟของเขาคือเพิ่มเลือดสูงสุดถึง 15%ในส่วนของสกินเกมนี้ก็ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง มีทั้งซื้อในร้านค้าและแจกฟรีตามอีเวนต์ โดยไม่มีผลต่อระบบการเล่นนอกจากเพิ่มความมั่นใจให้การเดินยิงทุกรันเวย์ของคุณเท่ขึ้นเท่านั้น :::กราฟิก ความไหลลื่นตัวเกม และภาษา:::ถึงแม้จะเป็นเกมมือถือ แต่ความสามารถในการรันภาพให้ดูสวยนุ่มก็ทำได้ไม่แย่ และคงความลื่นของเกมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้อิสระตั้งแต่ต่ำสุดไปถึงสูงสุดในการตั้งค่ากราฟิก หรือจะตัวปุ่มบังคับให้ถนัดมือระหว่างเล่นก็ทำได้เช่นกันส่วนในด้านของก็ภาษาไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะตัวเกมมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และอื่น ๆ ให้คนทั่วโลกได้เข้ามาร่วมสนุกกัน:::ส่วนประกอบในเกมและโหมดการเล่นไม่ซ้ำซาก:::นอกจากภูเขา ทะเลสาบ ตึกสูง ในเกมก็ยังมีสิ่งประกอบฉากอื่นๆ ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของแต่ละคนสุดแต่จินตนาการ อย่างกล่องแอร์ดรอป แท่นกระโดด เสาชาร์จพลังงาน ตู้คราฟต์ไอเทมที่ต้องใช้แต้มสังหารผู้เล่นอื่นมาใช้คราฟต์และบางทีแค่การกระโดดลงจากแคปซูลทุกวันมันก็น่าเบื่อ ดังนั้นตัวเกมจึงจัดโหมดนอกเหนือจากแบทเทิลรอยัลปกติให้ผู้เล่นใีหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็นเดธแมตช์แบบทีม - ร่วมกับทีมของคุณและช่วยกันพยุงกัน สังหารอีกฝ่ายให้ได้ 30 ครั้งเพื่อชัยชนะแรลลี่ ริมอ่าว - ขับรถซิ่งวิ่งไปทั่วโดยไม่มีข้อจำกัด จงกำจัดให้ศัตรูตกเส้นทางเพื่อให้เราเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกสงครามชิงสมบัติ - ทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันซ่อนมันไว้หมดแล้วล่ะ! ผู้เล่นแต่ละคนต้องตามหาไมโครชิปในเวลาที่กำหนด ใครได้มากสุดก็ชนะไปเลย:::สรุป:::ตัวเกม Farlight 84 มีการคงเอกลักษณ์เป็นแบทเทิลรอยัล แต่ก็ใส่ความเป็นเกมตนเองอย่างหุ่นยนต์ เจ็ตแพ็ค ปืน ความสามารถ ให้แตกต่างจากเกมอื่นโดยคงความสนุกและความแปลกใหม่ไว้ จึงพูดได้ว่าเกม Farlight 84 นี้เป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟน ๆ เกมโดดร่มไม่ควรพลาดตัวเกมเปิดให้ชาวหุ่นเขียวแอนดรอยด์ดาวน์โหลดเล่นผ่านกูเกิลสโตร์แล้วตั้งแต่วันนี้ ในส่วนของ IOS จะเป็นวันที่ 5 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ลิงก์ดาวน์โหลดเกม Farlight 84 : https://bit.ly/3Olh7sP รวมถึงหากใครอยากทราบข้อมูลและข่าวสารเพิ่มเติม ก็สามารถติดตามได้หลากหลายช่องทางทั้งFacebook : https://www.facebook.com/Farlight84THInstagram : https://www.instagram.com/farlight84th/Tiktok : http://www.tiktok.com/@farlight84thYouTube : https://www.youtube.com/channel/UC9zmOX-2PvnB39RDnGNAVJw
24 Jun 2022
[Review] รีวิวเกม Sonic Origins "การคืนชีพใหม่ของเม่นสายฟ้าภาคคลาสสิค ที่ดันเพิ่มปัญหามากกว่าแก้?!"
ไม่ว่าใคร ต่างก็ต้องเคยได้ยินชื่อของ Sonic หนึ่งในตัวละครมาสคอตประจำค่าย SEGA ผู้ทำให้ SEGA ผงาดขึ้นมาต่อกรกับ Nintendo ได้ตั้งแต่ปี 1991 และมันยังครองใจแฟนเกมจำนวนมากเป็นเวลายาวนานหลายปี ในปี 2022 นี้ เราก็ยังจะได้เห็นภาคใหม่ของเจ้าเม่นสายฟ้าตัวนี้ด้วย แต่.. สำหรับใครที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ Sonic ตั้งแต่แรก นี่ถือว่าเป็นโอกาสอันดีแล้วที่คุณจะได้ลอง เพราะ Sonic Origins คือการหยิบเอาเกม Sonic 4 ภาค มามัดรวมกัน แล้วทำการรีมาสเตอร์ใหม่ทั้งหมด แต่มันจะดีเยี่ยมเท่าต้นฉบับหรือไม่ เชิญพบกับรีวิวของเรากันได้เนื้อหาแบบเดิมทั้ง 4 ภาค แต่เปลี่ยนลำดับฉากและการเรียบเรียงสำหรับเจ้าเม่นสายฟ้า Sonic นั้น ตัวเกมนับตั้งแต่ภาคแรกก็จะมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างวนไปเวียนมาอยู่แล้ว หลัก ๆ เลยคือการรุกรานพื้นที่แสนสงบสุขของ Dr.Eggman ตัวร้ายตลอดกาลของซีรีส์นี้ ทำให้เราต้องออกไปจัดการ พร้อม ๆ กับการตามหาสิ่งที่เรียกว่า Chaos Emerald ที่ซ่อนอยู่ในฉากลับต่าง ๆ ในภาคอื่น ๆ ก็จะมีบริบทเนื้อหาที่ใกล้เคียงกัน แต่หลัก ๆ ก็จะเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ Sonic Origins ปรับปรุงแก้ไขมัน คือการเปลี่ยนลำดับฉาก สร้างฉากซีจีแอนิเมชั่นขึ้นมาใหม่ และฉากคัทซีนก็ถูกทำให้คมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ดูงดงามราวกับดูการ์ตูนแอนิเมชั่นดี ๆ สักเรื่องนึงอยู่ เห็นแล้วก็คาดหวัง Sonic Prime ทาง Netflix ได้เลยว่ามันอาจจะต้องออกมาดีกว่านี้อย่างแน่นอนแต่ถึงแม้จะมีการลำดับฉากใหม่ ทำให้ฉากคัทซีนดูดีขึ้น แต่อย่าลืมว่า Sonic Origins คือการ Remaster ไม่ใช่การ Remake แต่อย่างใด ดังนั้นภาพรวมของเนื้อหาจึงไมไ่ด้เปลี่ยนแปลงไปเลย การลำดับฉากก็ไม่ได้มีมากมายอะไรอย่างที่คิด แต่เชื่อว่าใครที่เป็นแฟน Sonic แบบเดนตาย ก็คงจะไม่ได้คาดหวังเนื้อหาแต่แรกอยู่แล้ว แต่กลับกัน การลำดับฉากใหม่ ทำคัทซีนใหม่ ก็เป็นโอกาสอันดีที่แฟน Sonic หน้าใหม่จะได้สัมผัสประสบการณ์เกมเจ้าเม่นสายฟ้า และหายคาใจว่า ทำไมมันถึงกลายเป็นเกมปรากฎการณ์ล้ม Nintendo ในช่วงนั้นตัวละครโคตรเร็ว แต่เล่นให้เร็วนั้น ไม่ดีเอาซะเลยสำหรับแฟน ๆ Sonic อาจจะไม่แปลกใจกับการที่ตัวละครเจ้าเม่นสายฟ้า เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล่บ แต่กับผู้เขียน ในฐานะที่ได้ลองเปิดใจเล่นเกม Sonic เป็นครั้งแรก กลับรู้สึกว่า ตัวเกมมันมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่สูงมากเลยทีเดียว การที่ตัวละคร Sonic สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็ว และการออกแบบฉากที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอยู่แล้ว แทนที่จะทำให้เกมสนุก แต่การออกแบบฉาก เหมือนกับโยนผู้เล่นให้ไปเจอกับดักแบบ 90-100% ทุกการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เราจะไม่เห็นเลยว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ และเกมก็พร้อมจะประเคนความ WTF ใส่เราในทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่โผล่มาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พื้นที่ทำลายตัวเองได้ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มต่างระดับที่มีหนามข้างล่าง ดงนั้น แม้เจ้าเม่นสายฟ้า Sonic จะรวดเร็วแค่ไหน แต่การพุ่งไปข้างหน้าในการเล่นครั้งแรก ผุ้เขียนมองว่าไม่ต่างอะไรกับการเรียนรู้ฉาก โดยไม่สนใจว่าจะได้ฉากจบแบบ True Ending หรือไม่ และค่อยมาตามเก็บฉากจบจริง ๆ ในการเล่นรอบที่ 2 แทน เพราะเชื่อเถอะว่าในการเล่นรอบแรก ยังไงก็ต้องมีพลาดตายกันบ้าง และหนักกว่าตายคือทำแหวนตกหมด จนไม่ได้เข้าด่านลับนั่นเองสำหรับคนที่เล่น Sonic จะรู้กันดีว่า เกมนี้จะมีระบบพลังชีวิตที่แปลกกว่าเกมอื่น ๆ ในระหว่างการเล่น Sonic จะได้วิ่งเก็บวงแหวนสีเหลือง หรือ Ring ระบบนี้จะเป็นเหมือนกับพลังชีวิตสำรอง หากเรามี Ring อยู่ในตัว เวลาโดนสิ่งกีดขวางจำพวกหนาม หรือโดนตัวศัตรู เราจะไม่ตายในทีเดียว แต่ Ring ในตัวจะแตกกระจายออกมา เราต้องไปวิ่งไล่เก็บใหม่ ซึ่งเจ้า Ring นี้ก็หาไม่ยากอยู่แล้ว ภายในฉากมีให้เก็บหลายร้อยวงเลยทีเดียว และที่สำคัญ เจ้า Ring นี่แหละที่จะเป็นตัวการสำคัญในการพาเราไปสู่ฉากจบเกมที่สมบูรณ์แบบ แต่จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละภาค แต่เงื่อนไขหลัก ๆ ในการจะได้ฉากจบที่ดีคือ เราต้องเก็บ Ring ให้ได้อย่างน้อย 50 วงในด่านนั้น จากนั้นในช่วงท้ายฉาก จะมีประตูทางเข้าด่านพิเศษ ให้เข้าไปเล่นเพื่อเก็บ Chaos Emerald อย่างเช่นตัวเกมภาคแรก จะมีพื้นที่ทั้งหมด 7 แอเรียใหญ่ ๆ เราก็ต้องเก็บให้ครบทั้ง 7 เม็ด จึงจะได้ฉากจบที่สมบูรณ์ที่สุด ฟังดูเหมือนจะไม่ยาก แต่เพราะความ Old School ของมันนี่แหละที่ทำให้มันดูยากขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่เราต้องบอกก่อนว่า สำหรับแฟน ๆ Sonic ที่เล่นมาแบบจัดหนักจัดเต็มจะมองว่ามันปกติ แต่กับแฟนเกมหน้าใหม่ จะรู้สึกว่ามันยากก็ไม่แปลก ซึ่งมันก็เป็นเอกลักษณ์แบบเดียวกันกับที่เกมยุค 80-90 หลาย ๆ เกมทำกันในตอนนั้นเพราะทุกครั้งที่เราวิ่งเก็บ Ring เรื่อย ๆ หากเราพลาดโดนโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว Ring ก็จะแตกกระจายจนหมดตัว ต้องไปวิ่งไล่เก็บใหม่ และถ้าคุณไปพลาดโดนโจมตีขึ้นมาในช่วงท้ายฉาก ก็บอกเลยว่าความฝันในการจะเก็บ Chaos Emerald ในฉากนั้นก็คงต้องจบกัน แต่ใน 1 แอเรียใหญ่ เรามีฉากย่อยให้เล่นกันอีก 3 Act แต่ละฉากก็มาพร้อมกับลูกเล่นประจำด่านที่ไม่เหมือนกันเลย เพิ่มความสดใหม่ให้กับการเล่นในทุก ๆ ครั้งที่เราได้เล่นวกกลับไปที่หัวข้อ เราไม่ได้บอกว่าการเล่นแบบเร็วมันแย่ แต่มันไม่ดีเอาซะมาก ๆ โดยเฉพาะกับผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งหลาย ที่ถ้าหากติดสปีดให้เจ้าเม่นสายฟ้าพุ่งตะลุยด่านไปตลอดทาง รับประกันได้เลยว่า คุณจะไม่มี Ring มากพอจะเปิดฉากลับได้ เพราะจะโดนกับดัก โดนศัตรูตีจนตัวแตกก่อนถึงแน่นอน แต่ถ้าใครจะไปช้า ๆ ค่อย ๆ วิ่ง ค่อย ๆ ลุย มันก็เป็นทางเลือกที่ทำได้ ส่วนของ Boss Fight นั้น คู่หูคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Dr. Eggman ก็จะมาในอาวุธหรือยานพาหนะที่ต่างกัน แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้รับมือยากอะไรนัก จะบอกว่านี่มันคือเกมที่มี Boss Fight ง่าย และจืดชืดเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้เช่นกัน ต้อนรับผู้เล่นหน้าเก่า หน้าใหม่ด้วย Anniversary Mode และ Classic Modeกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว ที่ความยากต้นฉบับของเกม จะถูกนำเสนอในรูปแบบ Classic Mode แทน สำหรับ Sonic Origins ก็ไม่ต่างกัน ความแตกต่างของสองโหมดนี้คือ ใน Anniversary Mode นั้น ผู้เล่นจะสามารถตายกี่ครั้งก็ได้ สามารถ Continued ใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีเกมโอเวอร์ ส่วน Classic Mode นั้น จะมีชีวิตจำกัด ตายแล้วมีเกมโอเวอร์ได้ นอกจากนั้นยังมีความต่างในเรื่องของกราฟิกและการแสดงผลหน้าจอ สำหรับ Anniversary Mode นั้น จะแสดงผลแบบเต็มหน้าจอที่ 16:9 และไม่มี Letterbox (ขอบดำ หรือแบคกราวด์เกมกั้นซ้ายขวา) ส่วน Classic Mode จะเป็นการแสดงผลแบบคลาสสิค คือมีขอบกั้นเหมือนเดิม  ดังนั้นผู้เล่นหน้าใหม่สามารถสนุกไปกับตัวเกมได้ด้วยการเล่น Anniversary Mode ที่สามารถตายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่ต้องเริ่มใหม่หมดแต่แรก โหมดเกมหลัก ๆ ก็จะมี 2 โหมดนี้ แต่หากคุณเล่นจนจบเกมหลักแล้ว เกมก็จะปลดล็อคโหมดใหม่ ๆ มาให้ เช่น Boss Rush โดยเป็นโหมดที่เราจะเล่นแบบสู้กับบอสเท่านั้น หรือหากใครชื่นชอบความแปลกใหม่ก็อย่างเช่นโหมด Mirror ที่จะเป็นการเอาฉากเดิม มาสลับข้างกันเหมือนกระจก จากวิ่งไปขวา ก็ให้วิ่งไปซ้ายแทน แน่นอนว่าท้าทายพอสมควร เพราะปกติเรามักจะเล่นเกมนี้ด้วยความเคยชินกันมากกว่าSonic Origins จึงเป็นเกมที่มีคอนเทนต์เยอะพอสมควร แต่นั่นหมายความว่าคุณจะต้องชอบเล่นมันซ้ำ ๆ เท่านั้น หากคิดจะเล่นทีเดียวจบแล้วจบกัน มันอาจจะสั้นกว่าที่คุณคิดก็เป็นได้ปัญหาหนักหน่วงของเกมที่มีมากเกินกว่าข้อดีแม้ว่า Sonic Origins ดูเหมือนจะมีข้อดีมากมาย และเป็นการต้อนรับแฟน ๆ Sonic หน้าใหม่ แต่ตัวเกมกลับมีปัญหาอย่างหนัก และมากเสียจนบางอย่างก็ไม่น่าให้อภัย สิ่งแรกที่ทุกคนอาจจะไม่เชื่อกันเลยจริง ๆ ก็คือ เกมนี้ ไม่มี Option หรือ Setting Menu ให้ปรับการตั้งค่าใด ๆ ได้เลยแม้แต่น้อยใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิด เกมนี้ไม่สามารถตั้งค่า Config ใด ๆ ผ่านตัวเกมได้ เพราะมันไม่มีหมวดหมู่ Option อยู่ภายในเกมเลย ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถตั้งค่า Setting อะไรภายในเกมได้ แม้แต่การตั้งค่ากราฟิก ความละเอียดหน้าจอ หรือแม้กระทั่งเสียง ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่เกมเกมหนึ่งจะไม่มี Option หรือ Setting Menu มาให้เราได้ปรับเลย ผู้เขียนเองยังเจอปัญหาบางอย่างอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ในหน้า Title ก่อนเลือกเกมภาคที่จะเล่นนั้น เกิดอาการเฟรมเรทดรอปไปอยู่ที่ 10FPS จนแทบจะทำอะไรไม่ได้ และทุกครั้งที่ Alt+Tab จะทำให้หน้าจอแสดงผลเกิดอาการผิดปกติ จนบางครั้งเกมล่มไปเลยก็มี เรียกได้ว่า เป็นตัวเกมรีมาสเตอร์ที่เต็มไปด้วยปัญหาก็ว่าได้แถมปัญหาหนักสุดของผู้เขียนเลยคือ ไม่สามารถบันทึกวิดีโอได้เลย ซึ่งต้องบอกก่อนว่าอาจไม่ใช่ปัญหาที่ทุกคนเจอ แต่ผู้เขียนลองเปิด Actions! ในการอัดวิดีโอ ก็พบว่านอกจากจะอัดไม่ติดแล้ว มันยังทำให้เฟรมเรทเกม ดรอปหนักกว่าเดิมด้วย ส่วนโปรแกรมอย่าง NVIDIA Shadowplay ก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับตัวเกมได้ ซึ่งก็ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่กับผู้อื่น หรือคนที่เล่นบนเครื่องคอนโซล อาจจะไม่มีปัญหาอะไรในส่วนนี้นอกจากนั้น เกมยังมีคำครหาจากแฟน ๆ เกมมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดให้ Pre-Order แล้ว ปัญหาของมันก็คือ หากไม่ Pre-Order เราจะได้ของไม่ครบด้วย คือต่อให้ผู้เล่นมาซื้อเกมหลังเกมออก ก็จะต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม ต่างจาก Pre-Order ที่ได้ของครบทีเดียวจบไปเลย และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือระบบ Coin โดยเหรียญนี้เราสามารถหาเล่นได้ตามฉาก และความสามารถของมัน คือการที่มันสามารถใช้ในการ Continue เล่นซ้ำในด่านลับที่เก็บ Chaos Emerald ได้ แน่นอนว่าการเก็บ Chaos Emerald ไม่ใช่เรื่องง่าย เราอาจจะต้องใ้ชเวลาและดวงนิดหน่อย แต่ใครที่ Pre-Order ตัวเกมนี้ จะได้รับเหรียญที่ว่ามากถึง 100 เหรียญ !  แค่นี้ก็น่าจะเห็นถึงความต่างแล้วว่า คนที่ Pre กับไม่ Pre ต่างกันยังไงแถมคนที่ไม่ Pre-Order ยังจะต้องมานั่งเสียเงินซื้อแพคเกจเพิ่ม เช่นเพลงประกอบ ฉากคัทซีนแอนิเมชั่น โดยที่คน Pre-Order ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่ม งานนี้บอกได้เลยว่าขูดรีดกันแบบสุด ๆ แน่นอนว่าแม้กระแสตอบรับของเกมจะโดนด่ายับ แต่ด้วยความที่เป็นแฟน Sonic ก็คงต้องบอกว่า ไร้ทางเลือก เพราะตัวเกม 4 ภาคที่มัดรวมมานี้ ถูกถอดออกจากหน้าร้านค้า Steam ไปแล้ว คนที่อยากเล่น Sonic เวอร์ชั่นแรก ๆ ก็ต้องซื้อตัว Origins เท่านั้นสรุปได้ว่า แม้ Sonic Origins จะทำให้แฟนเกมหน้าเก่า และแฟนเกมหน้าใหม่ มาร่วมเอ็นจอยกับเจ้าเม่นสายฟ้าในฉบับรีมาสเตอร์ได้ แต่ปัญหาที่ตัวเกมมีก็ถือว่าร้ายกาจเสียจนรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าราคา 1,190 บาทเอาซะเลย สำหรับแฟนเดนตาย Sonic นั้น อาจจะไม่มีปัญหา แต่ใครที่ไม่เคยสัมผัสเกม Sonic มาก่อน เราแนะนำว่าให้รดลอราคา หรือข้ามไปเล่นภาคใหม่ ๆ เจ็นใหม่ ๆ เลย จะยังดีกว่า
23 Jun 2022
[Review] รีวิวเกม KIMETSU no YAIBA - The Hinokami Chronicles เกมต่อสู้ของเหล่านักดาบและอสูร (ฉบับ Switch)
ตั้งแต่ก่อนพวกสื่อบันเทิงจากแดนปลาดิบมักจะเป็นมังงะนำหน้ามาเสมอ ก่อนจะต่อยอดเป็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอนิเมะ ละครเวที ภาพยนตร์ฉบับคนแสดง หรือแม้กระทั่งเกมที่ตัวละครออกมาโลดแล่นและบังคับได้โดยมือของพวกเขาเอง นั่นจึงเป็นสิ่งที่เหล่าบริษัทต่าง ๆ สามารถใช้มันในการหาผลกำไรเพื่อพัฒนาตนเองตามปกติของคำว่า 'มันก็เป็นแค่ธุรกิจ'แต่มันจะมีเสียสักกี่เกมกันที่จะประสบความสำเร็จและไม่โดนรุมทึ้งจากผู้บริโภค ซึ่งขอบอกตรง ๆ ว่ามันน้อยมากเพราะมันไม่ได้เป็นที่ตัวเกมอย่างเดียวที่ดีหรือไม่ดี แต่มันมี 'ความคาดหวัง' ของแฟนอนิเมะด้วย พื้นฐานของคำว่าเกมนี้คุ้มค่ามันจึงสูงมาก ไม่ต่างจากอนิเมะดาบพิฆาตอสูรนี้เช่นกัน:::อนิเมะที่พยายามดัดตัวเองให้เป็นเกม:::ใช่แล้ว Kimetsu no Yaiba หรือ ดาบพิฆาตอสูร ก็เป็นมังงะแนวโชเน็นที่ได้รับกระแสความโด่งดังครั้นเมื่อ Ufotable นำมาทำเป็นอนิเมะภาพงามและเกิดเป็นเกม Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้เองซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ แนวเนื้อเรื่องตัวเอกโดนระเบิดบ้าน แล้วแค้นนี้ต้องชำระมันก็มีเพียบบบ จนเกลื่อนตลาดมากและไม่ใช่ความแปลกใหม่เท่าไหร่ ดังนั้นการที่จะมาดัดแปลงเป็นเกมย่อมต้องเพิ่มความยูนิค เปิดโลกตัวเองให้มากขึ้น แต่ไม่เลย ที่นี่เราไม่ทำกันแบบนั้น น่าเสียดายที่ต้องบอกตรงส่วนนี้ว่าตัวเกมแทบจะอิงเนื้อเรื่องจากอนิเมะมาทั้งหมด ยังไม่รวมองค์ประกอบในเกม ที่ภาพโปรไฟล์ยังแคปเจอร์มาจากอนิเมะให้เราใช้ ถึงอาจมีเพิ่มในส่วนของบทพูดหรือฉากคั่นเควสต์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับตัวเนื้อเรื่อง และพูดตรง ๆ ว่าหากคนไม่เคยดูอนิเมะหรืออ่านมังงะมาก่อน แต่โดนพ่อค้าแม่ค้ายัดแผ่นขายพร้อมเครื่อง ก็ยากมากที่จะเข้าใจเนื้อเรื่องทันที เนื่องจากตัวเกมเปิดมาก็ให้ฝึก แล้วบอกคนที่เราตามหาคนต้นเหตุแบบดื้อ ๆ ไม่มีอารัมภบทอะไรทั้งสิ้น แถมหลายฉากก็โดนตัดออกไปเยอะรวมถึงความที่อนิเมะยังไม่จบแต่อยากทำเกมขาย เลยมีจำนวนของด่านให้เล่นแค่ 8 ด่าน แบ่งตามพาร์ตของตัวอนิเมะ (การฝึกฝนบนเขา ถึง รถไฟนิรันดร์)  ซึ่งในส่วนนี้ถ้าไม่เอาพาร์ตของอนิเมะที่จะฉายต่อในอนาคตมาอัปเดตฟรี หรือ ขายเป็น DLC ตัวเกมในราคากว่า $60 (ราว 2,000 บาท) ก็ถือว่าแพงเอาการ:::ความพยายามของการแตกต่างที่ไม่ลงตัว:::Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles เป็นเกมต่อสู้ที่สนุกและมีความเป็นตัวของตนเองงั้นหรอ? ก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะมีการใช้ตัวละคร และองค์ประกอบเป็นของตนเองอยู่แล้ว ก่อนจะพัฒนาเพิ่มในหลาย ๆ ส่วนเช่น สกิลของตัวละครที่ไม่เผยในอนิเมะ ท่าไม้ตายที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละตัว องค์ประกอบฉาก UX/UI ที่มีความเป็นญี่ปุ่นยุคโบราณแต่มันแค่ส่วนเดียวของเกมทั้งหมดเพราะนอกจากนั้นแล้วมันเหมือนกับพวกเกมต่อสู้อื่น ไม่ได้มีจุดยืนเป็นของตนเองเหมือนกับเกม Mortal Kombat กับเรต R และความน่าค้นหาของท่าปิดฉาก / Street Fighter ด้วยคอมโบที่ต่อเนื่องไม่มียึก ๆ ยัก ๆ ถ้าเราแจ๋วจริง / และ Super Smash Bros. ที่ผลักให้ชาวบ้านหลุดโลก ผสมกับบัฟและดีบัฟ ลูกเล่นไอเทม แผนที่ที่เปลี่ยนแปลงแทบจะได้ตลอดเวลา แต่เมื่อกลับกันหันมามองในส่วนของตัวเกมดาบพิฆาตอสูรนี้ก็เป็นเกมต่อสู้ ที่สู้ กดปุ่มให้ตรงตามจังหวะที่อีกฝั่งปล่อยสกิล และจบ ไม่มีอะไรเป็นความพิเศษของตนเอง:::กราฟิกบนเครื่องน้อย กับทรัพยากรที่จำกัด:::อันนี้ต้องขอชมเชยว่าแม้จะอยู่บนเครื่องที่กราฟิก 'มันได้เท่านี้' อย่าง Nintendo Switch ตัวเกมก็ปั้นโมเดลออกมาได้ไม่แย่ค่อนไปทางสวยและตรงตามอนิเมะ รวมถึงเอฟเฟ็กต์ของพวกสกิล การโจมตีปกติ หรือท่าทางต่างๆ ก็มีภาพที่อิงตามต้นฉบับเช่นกัน ทั้งนี้ความพิเศษของระหว่างเล่นที่สังเกตเห็นได้เลยคือตัวภาพจะมีการสับเปลี่ยนโมเดล 3D กับภาพ 2D ได้แบบลงตัวและไม่ทำให้ความรู้สึกเราดรอปลงไปในระหว่างเล่นดังนั้นถ้าอยากเสพงานภาพที่ไม่ได้สมจริง ขอแค่ให้อินไปกับตัวอนิเมะ เกมนี้ก็ทำออกมาไม่เลวในฐานะเกมบนเครื่อง Nintendo Switch เลย:::เกมเพลย์ที่ไม่ดึงดูดและอ้างว้าง:::> นั่งลงดูแอนิเมชันเริ่มบท ที่แปลงมาจากตัวอนิเมะเป๊ะ ๆ> ดูเสร็จเดินตามแผนที่ตบพวกปีศาจกี้กี้บังคับโดยบอตและไม่ได้มีความยาก ท้าทาย หรือพื้นที่แมพให้แตกต่างกัน> คุยกับ NPC ให้ครบเพื่อเปิดทาง> ตบบอสแมพ > ดูแอนิเมชันจบบท แล้ววนลูปใช่ ตัวเกมมีเท่านี้จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรให้หวือหวาเลย อาจจะมีแค่ให้เราตามหาชิ้นส่วนความทรงจำ (ฉากซ้ำในอนิเมะ) หรือแต้มเอาไปแลกของในหน้าแสตมป์ที่ตกตามแผนที่ ก็ไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยขอพัซเซิลให้มานั่งใช้สมองคิดแทนที่เดินตามซอยหาคนก็ไม่มีนะเออ แต่ถ้าพูดถึงในระหว่างการต่อสู้ ถ้าไม่นับตัวละครอสูรตามทางที่มีแต่ความน่าเบื่อและธรรมดา แต่มาพูดในส่วนของบอสประจำบทแต่ละบท ถือว่าตัวเกมทำออกมาได้สนุกอยู่ในระดับหนึ่ง ทั้งความสามารถและการออกแบบท่าทาง ควิกไทม์อีเวนต์ และสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องสู้และต่อกรกับบอสนั้นสนุกของมันอยู่ โดยเราอาจได้สู้แบบเดี่ยว หรือแบบพกตัวละครอีกคนมาคอยช่วยอัดสกิลหรือเปลี่ยนเป็นตัวนั้นๆ ตามบริบทเนื้อเรื่อง เราจึงไม่จำเป็นต้องยึดติดและเล่นได้แค่ทันจิโร่คนเดียวในส่วนของโหมด V.S. หรือต่อสู้กับชาวบ้าน หรือหยุมหัวเพื่อน อันนี้ก็อาจจะได้อารมณ์ขึ้นมาบ้างเพราะได้เจอคนจริง ๆ แต่คอมโบของตัวละครน้อยมาก ไม่ได้มีความรู้สึกว่า 'โอ้ ถ้าฉันกดคอมโบนี้ได้ เพื่อนฉันได้ปล่อยจอยแน่ 555' เช่นเดียวกับเกมต่อสู้จริง ๆ จัง ๆ อย่าง Tekken หรือ Street Fighter (ซึ่งก็อาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียแล้วแต่คนชอบ)ปล. โหมดนี้ถ้าไม่เล่นกับบอต หรือแบ่งจอยกันเล่น ต้องสมัครสมาชิกเป็น Nintendo Switch Online รายเดือนเพิ่มด้วยนะจ๊ะ :::ความรู้สึกที่ได้รับจากตัวเกม:::จริง ๆ แล้วในระหว่างการเล่นช่วงแรกถือว่าน่าเบื่อมากเพราะมันไม่ค่อยมีอะไรทำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คอมโบน้อย ไม่ค่อยท้าทาย แต่เมื่อเกมเริ่มดำเนินมาถึงจุดที่เปิดให้เล่นตัวละครหลายตัวมากขึ้น เจอศัตรูแปลกใหม่มากขึ้น รวมถึงปุ่มที่ต้องกดให้ตรงจังหวะก็ดึงอารมณ์ร่วมมาได้อยู่ไม่ขาดไปหมด สนุกที่ได้เล่นไม่เสียเวลาเปล่า ๆ ไปกับเกมราคานี้ [แต่ส่วนตัวหวังให้มีอัปเดตเพิ่มในอนาคต]ดังนั้นจึงพูดได้ว่า Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์สายเล่นเกมต่อสู้ แต่มีไว้เพื่อให้แฟนขาตายชาวอนิเมะดาบพิฆาตอสูรมากกว่า ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ก็คงเป็นความคาดหวังของทั้งผู้พัฒนาเช่นกันตัวเกม Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles นอกจากจะวางขายบน Nintendo Switch แล้ว ยังมีขายบนร้านอื่นเช่น Playstation 4,  Playstation 5, Xbox One, Xbox Series X/S และ PC ด้วย
17 Jun 2022
[Review] Farlight 84 แบทเทิลรอยัล เครื่องจักรกล-คนเหาะได้ ในโลกรกร้าง
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่มีภาพยนตร์เนื้อเรื่องจับคนมาไล่ล่าฆ่ากันในพื้นที่ที่จำกัดในปี 2012 เป็นต้นมา ก็มีเกมมากมายในแนว 'แบทเทิลรอยัล' ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สร้างตัวเลือกที่หลากหลายให้ผู้เล่นได้สนองนีตความคันไม้คันมือ และถ้าหากจะชี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น ทางผู้พัฒนาแต่ละเกมก็ต้องการให้ตัวเกมของตนมีความ 'แปลกและสดใหม่' ต่างจากเจ้าอื่นๆ เรื่อยๆ ซึ่งเกมที่มีชื่อว่า Farlight 84 ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเองFarlight 84 เป็นเกมแบทเทิลรอยัลในโลกอนาคตที่ล่มสลาย สไตล์ดิสโทเปีย อัดแน่นด้วยเกมเพลย์อันคุ้นเคยและแปลกใหม่สำหรับผู้เล่นในเวลาเดียวกัน โดยเราจะรับบทเป็น 'แคปซูลเลอร์' ตัวละครทหารรับจ้าง พุ่งทะยานลงไปในแดนรกร้างและชิงความเป็นหนึ่งกับผู้เล่นหลักร้อยคน แล้วมันต่างจากเกมแบทเทิลรอยัลอื่นยังไงน่ะหรอ? มาดูกัน:::ยึกซ้าย ย้ายขวา พุ่งไปข้างหน้าด้วยไอพ่น:::ส่วนมากเกมแบทเทิลรอยัลจะมีเนื้อหาในการปล่อยให้ผู้เล่นหยุมหัวกันทั้งแบบเดี่ยวหรือกลุ่มในแผนที่ที่จำกัดโดยมีวงคอยบีบเข้ามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่ Farlight 84 นั้น แตกต่างจากเกมอื่นอย่างเห็นได้ชัดเลยคือการที่ผู้เล่นไม่ได้มีแค่ตัวเลือกในการวิ่งๆ ยองๆ ยิงๆ (แล้วกลายร่างเป็นกล่องในเวลาต่อมา) อย่างเดียว แต่มีสิ่งที่เรียกว่า 'เจ็ตแพ็ค' ติดตัวมากับตัวละครทุกตัวเสมอซึ่งเจ้าตัวเจ็ตแพ็คนี้ มีความสามารถในการดีดตัวผู้เล่นขึ้นไปบนอากาศ หรือโยกไปตามควบคุม สร้างการพลิกแพลงของรูปแบบการเล่นได้หลากหลาย ทั้งหลบกระสุน บุกจู่โจม หรือใช้ในการสำรวจแผนที่และอาคารต่างๆ :::การต่อสู้ของจักรกลคนหุ้มเกราะ:::ในเกมหลายเกมเราอาจจะได้ขับรถไปทั่วเมืองเพื่อเดินทาง ชนศัตรู หรือก้อนหิน แต่ในเกมนี้มันไม่ใช่แค่รถ เพราะเขาอัดมาทั้งอาวุธและความหฤหรรษ์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ล่องหนได้เมื่อเราตระเวนขับหาไอเทม รถพ่นไฟติดไนโตรพุ่งทะยานข้ามเขาและเอาไฟสาด หุ่นยนต์สี่ขาชาร์จยิงเลเซอร์ หรือจะเป็นตั๊กแตนถือลูกซองคู่ (!?) และอีกมากมายที่เราอยากให้คุณลองไปขับใส่เดี่ยวกับศัตรูเอาเอง แต่ก็ใช่ว่าระหว่างขับขี่จะเป็นอมตะนะ! อย่ายิงเพลินจนโดนระเบิดแล้วขิตไปกับมันล่ะตัวหุ่นและรถพวกนี้นั้นเป็นเหมือนตัวเลือกเสริมว่าเราจะใช้มันเข้าร่วมต่อสู้แบบไหน เพราะแต่ละตัวนั้นมีความสามารถ และประโยชน์ที่ต่างกันไป บางคันคล่องตัวแต่ไปได้แค่บนพื้น บางตัวกระโดดได้แต่เคลื่อนที่ช้า ในขณะที่อีกตัวลงน้ำได้แต่จ่ายดาเมจช้าจนอาจกลายเป็นเป้านิ่งได้หากใช้ไม่ดี:::อาวุธปืนที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ยิง:::ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่หากผู้เล่นเกมปืนแต่ละชนิดมาแล้วนั้น นอกจากรูปแบบการยิง ความแรง แรงดีดและอื่นๆ ในเกม Farlight 84 นี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า 'สกิลปืน' พ่วงมาด้วย โดยแต่ละปืนจะไม่เหมือนกันเลย เช่นMF18:สามารถปล่อยคลื่นตรวจสอบตำแหน่งศัตรูทั้งหมดในวงกว้างสเตลลาร์ วินด์:ที่สามารถยิงโดมโล่แสงเพื่อกันกระสุนจากศัตรู  อินเวดเดอร์:จะปล่อยมิสไซล์หกลูกไปด้านหน้าศูนย์เล็ง ในขณะที่ M4:สามารถสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันเราได้ในระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนั้นถ้าคุณมีความรักและหวงปืนไหนเป็นพิเศษ เราสามารถใช้มันตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมได้โดยไม่ต้องกังวลว่าปืนจะไม่สามารถสู้ผู้เล่นอื่นได้ ตราบใดที่เราใช้มันในการต่อสู้ เพราะเลเวลของปืนจะขึ้นตามจำนวนศัตรูที่เราสังหารได้ และเมื่อจบเกมเราจะได้ในส่วนของเหรียญทองมาอัพเกรด 'ม็อด' หรือออฟชั่นเสริมของปืน ที่สามารถสับเปลี่ยนใส่ได้สี่อย่างตามต้องการ ทำให้ถึงแม้ผู้เล่นจะใช้ปืนเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์การยิงเหมือนกัน:::ตัวละครหลายชาติกับความสามารถที่หลากหลาย:::ตัวละครในเกมนี้จะถูกเรียกว่า 'แคปซูลเลอร์' อย่าง 'สุนิล' หนึ่งในตัวละครชื่อสุดไทยก็เป็นตัวละครในเกมนี้ โดยเขามีพาสซีฟป้องกันสูงสุด ที่จะเพิ่มความเร็วการชาร์จโล่ 30% หรือจะเป็น 'ดัคไซด์' ที่พาสซีฟของเขาคือเพิ่มเลือดสูงสุดถึง 15%ในส่วนของสกินเกมนี้ก็ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง มีทั้งซื้อในร้านค้าและแจกฟรีตามอีเวนต์ โดยไม่มีผลต่อระบบการเล่นนอกจากเพิ่มความมั่นใจให้การเดินยิงทุกรันเวย์ของคุณเท่ขึ้นเท่านั้น :::กราฟิก ความไหลลื่นตัวเกม และภาษา:::ถึงแม้จะเป็นเกมมือถือ แต่ความสามารถในการรันภาพให้ดูสวยนุ่มก็ทำได้ไม่แย่ และคงความลื่นของเกมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้อิสระตั้งแต่ต่ำสุดไปถึงสูงสุดในการตั้งค่ากราฟิก หรือจะตัวปุ่มบังคับให้ถนัดมือระหว่างเล่นก็ทำได้เช่นกันส่วนในด้านของก็ภาษาไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะตัวเกมมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และอื่นๆ ให้คนทั่วโลกได้เข้ามาร่วมสนุกกัน:::ส่วนประกอบในเกมและโหมดการเล่นไม่ซ้ำซาก:::นอกจากภูเขา ทะเลสาบ ตึกสูง ในเกมก็ยังมีสิ่งประกอบฉากอื่นๆ ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของแต่ละคนสุดแต่จินตนาการ อย่างกล่องแอร์ดรอป แท่นกระโดด เสาชาร์จพลังงาน ตู้คราฟต์ไอเทมที่ต้องใช้แต้มสังหารผู้เล่นอื่นมาใช้คราฟต์และบางทีแค่การกระโดดลงจากแคปซูลทุกวันมันก็น่าเบื่อ ดังนั้นตัวเกมจึงจัดโหมดนอกเหนือจากแบทเทิลรอยัลปกติให้ผู้เล่นใีหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็นเดธแมตช์แบบทีม - ร่วมกับทีมของคุณและช่วยกันพยุงกัน สังหารอีกฝ่ายให้ได้ 30 ครั้งเพื่อชัยชนะแรลลี่ ริมอ่าว - ขับรถซิ่งวิ่งไปทั่วโดยไม่มีข้อจำกัด จงกำจัดให้ศัตรูตกเส้นทางเพื่อให้เราเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกสงครามชิงสมบัติ - ทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันซ่อนมันไว้หมดแล้วล่ะ! ผู้เล่นแต่ละคนต้องตามหาไมโครชิปในเวลาที่กำหนด ใครได้มากสุดก็ชนะไปเลย:::สรุป:::ตัวเกม Farlight 84 มีการคงเอกลักษณ์เป็นแบทเทิลรอยัล แต่ก็ใส่ความเป็นเกมตนเองอย่างหุ่นยนต์ เจ็ตแพ็ค ปืน ความสามารถ ให้แตกต่างจากเกมอื่นโดยคงความสนุกและความแปลกใหม่ไว้ จึงพูดได้ว่าเกม Farlight 84 นี้เป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟนๆ เกมโดดร่มไม่ควรพลาด ตัวเกมจะเปิดให้ชาวหุ่นเขียวแอนดรอยด์ได้ดาวน์โหลดเล่นผ่านกูเกิลสโตร์ในวันที่ 21 มิถุนายน และในส่วนของ IOS จะเป็นวันที่ 5 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ลิงก์ดาวน์โหลดเกม Farlight 84 : https://bit.ly/3Olh7sP รวมถึงหากใครอยากทราบข้อมูลและข่าวสารเพิ่มเติม ก็สามารถติดตามได้หลากหลายช่องทางทั้งFacebook : https://www.facebook.com/Farlight84THInstagram : https://www.instagram.com/farlight84th/Tiktok : http://www.tiktok.com/@farlight84thYouTube : https://www.youtube.com/channel/UC9zmOX-2PvnB39RDnGNAVJw
13 Jun 2022
[Review] Ravenous Devils ร้านอาหารจากเนื้อคน ไอเดียหลักดี แต่เหลวที่เกมเพลย์และประสิทธิภาพ
ถึงเรื่องราวของมนุษย์ที่กินมนุษย์ด้วยกัน อาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่นักสำหรับยุคนี้ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทุกครั้งที่เราได้ยินและลองคิดภาพตาม มันก็ยังทำให้เราสยอง ชวนแหวะ และอยากจะขย้อนของเก่าออกมาได้เสมอทีเดียวเชียวซึ่งภายในเกม Ravenous Devils ก็ได้หยิบยกเรื่องราวที่ว่านั่นมาเป็นแนวคิดหลักของตัวเกม ทางผู้พัฒนาได้เลือกที่จะนำความจิตวิปริต และความสยองขวัญสไตล์ดั้งเดิมมาครอบทับสู่เกมแนวบริหารกิจการทั่ว ๆ ไปส่วนมันจะออกมาเวิร์กไหม ขอเชิญติดตามได้ในรีวิวด้านล่างนี้เลยครับความแตกตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ย้ายมาตัวเกมจะเล่าเรื่องถึงสามีภรรยาคู่รักฆาตกร ที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองใหม่มา เพื่อหลบหนีคดีจากเมืองเก่า โดยฝ่ายสามีจะมีชื่อว่า Percival ส่วนภรรยาก็จะมีชื่อว่า Hildredแม้ทั้งสองจะมีคดีติดตัวเป็นหางว่าว แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความสำนึกเลยแม้แต่น้อย ทั้ง Percival และ Hildred ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า มนุษย์ก็เป็นเหมือนปศุสัตว์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากพวกเขาจะนำปศุสัตว์พวกนี้มาใช้สร้างงาน สร้างรายได้ แบบคนอื่น ๆ กันบ้าง มันก็คงไม่ได้ผิดบาปอะไรมากนักหรอกประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้น วัตถุดิบอย่างเช่นเนื้อสัตว์ กำลังมีราคาที่พุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ เพราะฉะนั้น การมีร้านอาหารที่รสชาติอร่อย แถมยังราคาถูกกว่าร้านอื่น ๆ ในละแวกเดียวกับแบบนี้ เป็นใคร ก็คงเลือกที่จะเข้ามาใช้บริการร้านของสองคนนี้เป็นแน่แท้ซึ่งเรื่องราวได้ทวีความเข้มข้นเข้าไปอีก เมื่อวันหนึ่ง ได้มีจดหมายปริศนาส่งมาจากชายลึกลับ พร้อมกับข่มขู่ให้ทั้งสองสามีภรรยาต้องฆ่าคนตามคำสั่งของมัน โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ชายลึกลับคนนั้น จะเก็บเรื่องราวที่ทั้ง Percival และ Hildred เป็นฆาตกรต่อเนื่องให้คนทั้งคู่ไม่มีทางเลือก นอกจากยอมทำตามคำสั่งของชายลึกลับไปก่อน และหวังที่จะตลบหลัง ล้างแค้นคืนภายในวันข้างหน้าสามีฆ่า ภรรยาหั่นศพผู้เล่นจะได้ควบคุมทั้ง Percival และ Hildred โดยตัวละครทั้งสองจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน Percival ชายผู้เป็นสามีจะรับหน้าที่เป็นช่างตัดเสื้อบังหน้า เขาจะคอยดูแลชั้น 2 ที่เป็นร้านเสื้อ ควบกับชั้น 3 ที่เป็นโรงเพาะปลูกเมื่อสบโอกาสที่ลูกค้าอยู่ตามลำพังเมื่อใด Percival จะสามารถใช้กรรไกรตัวเก่งของเขาแทงเข้าไปที่จุดสำคัญของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ แถมเขายังสามารถถอดเสื้อผ้าออกจากศพเหยื่อ เพื่อนำมาใช้ตัดเย็บให้กลายเป็นชุดใหม่ พร้อมกับวางขายให้ชาวเมืองได้ใส่กันในราคาย่อมเยาว์อีกด้วยในส่วนของเนื้อหนังนั้น จะเป็นหน้าที่ของ Hildred ที่มารับไม้ต่อ Hildred หญิงผู้เป็นภรรยา จะรับหน้าที่เป็นแม่ครัวบังหน้า เธอมีหน้าที่กำจัดศพให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยฝีมือการทำครัว ศพของมนุษย์จะถูกแปลงไปเป็นวัตถุดิบได้หลากหลายแบบ เช่น เนื้อบด ไส้กรอก และสเต๊ก นอกจากนี้ เธอจะคอยรับหน้าที่นำอาหารขึ้นไปวางบนส่วนบริการตัวเองสำหรับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอีกด้วยเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ร้านอาหารสุดวิปลาศนี้ก็จะสามารถอัปเกรดได้มากขึ้น ทั้งขยับขยายไปสู่ชั้นใหม่ การเพิ่มความสามารถของอุปกรณ์ให้ดียิ่งขึ้น ไปจนถึงการจ้างบริกรให้มาช่วยรับหน้าที่ดูแลลูกค้าภายในร้านได้อีกด้วยเกมเพลย์ที่ธรรมดาจนน่าผิดหวังหาก Ravenous Devils ไม่ได้นำความโรคจิตอย่างการนำเนื้อมนุษย์มาทำอาหารแล้ว ตัวเกมก็คงจะจืดชืดลงไปหลายต่อหลายขั้นเลยทีเดียว เพราะในส่วนของระบบเกมเพลย์นั้น มันไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากเกมแนวบริหารกิจการทั่ว ๆ ไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งการจัดเตรียมวัตถุดิบ การปรุงอาหาร ไปจนถึงการเสิร์ฟให้ลูกค้า ทุกอย่างล้วนถูกนำเสนอแบบธรรมดาทั้งสิ้นช่างน่าเสียดายนัก ที่ทางผู้พัฒนาเลือกจะนำเสนอไอเดียอาหารจากเนื้อมนุษย์เพียงแค่ผิวเผิน และไม่ได้ลงลึกไปกับเกมเพลย์ให้มากยิ่งกว่านี้ มันตื้นเขินเสียจน ต่อให้ตัวเกมเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบที่มาจากเนื้อสัตว์ทั่ว ๆ ไปก็ยังแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนระบบการเล่นของเกมเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งการอัปเกรดอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้แสดงผลที่แตกต่างอะไรให้เห็นมากนัก ดังนั้นแรงจูงใจที่จะดึงดูดให้ผู้เล่นติดหนึบอยู่กับ Ravenous Devils จึงมีน้อยมากจนแทบใจหายกันเลยทีเดียว โชคยังดีที่ตัวเกมมีความยาวประมาณเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จึงทำให้เกมจบไปในจังหวะที่ผู้เล่นกำลังเริ่มจะรู้สึกเอียนกับความซ้ำซากของเกมอย่างพอดิบพอดีประสิทธิภาพที่ย่ำแย่บนเครื่อง Switchอย่างที่เรารู้กันดีว่า ประสิทธิภาพของเครื่อง Nintendo Switch อาจจะไม่ได้ดีเด่จนถึงกับเป็นระดับแนวหน้าของวงการ แต่มันก็ยังสามารถเล่นเกมที่มีภาพสวย ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Witcher 3: Wild Hunt, Doom Eternal, Xenoblade Chronicle ไปจนถึง The Legend of Zelda Breath of The Wild ซึ่งเกมทั้งหมดที่ว่ามานี้ ล้วนเล่นบนเครื่องพกพาของ Nintendo ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แถมยังรักษาเฟรมเรตเอาไว้ ในระดับที่ไม่ได้น่าเกลียดอีกด้วยทว่าทั้ง ๆ ที่ตัวเกม Ravenous Devils ไม่ได้มีภาพกราฟิกที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับเกมฟอร์มยักษ์ที่กล่าวไปข้างต้นเลย แต่ประสิทธิภาพที่มันทำได้นั้น กลับเข้าขั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากตัวเกมจะลดความคมชัดของภาพลงเพื่อรักษาเฟรมเรตเอาไว้ที่ 30 FPS แล้ว ในบางครั้ง หากผู้เล่นเลือกป้อนคำสั่งที่รวดเร็วมากจนเกินไป มันจะทำให้ตัวเกมเกิดบั๊กขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ส่งผลให้เล่นต่อไม่ได้เลยก็มีผู้เล่นที่เจอบั๊กนี้ จะต้องไปเริ่มเล่นใหม่ในช่วงเวลาที่เซฟล่าสุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะเป็นวันก่อนหน้าที่เพิ่งเล่นจบไปนั่นเอง เพราะตัวเกมจะเซฟอัตโนมัติให้เมื่อเล่นจนจบวันเท่านั้น ไม่ได้มีตัวเลือกให้เซฟด้วยตัวเองแต่อย่างใดและหากจะแย้งว่า ภาพของเกมมันไม่ได้คมชัดมาตั้งแต่เวอร์ชัน PC แล้ว ก็ต้องขอพูดเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ภาพของเวอร์ชัน Switch นั้น เป็นภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าเวอร์ชัน PC หลายขุมนัก มันเบลอจนเหมือนกับนำเกมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาเล่นโดยที่ไม่ได้รับความคมชัดกันเลยทีเดียวควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?เมื่อได้ยินแนวคิดหลักของตัวเกม ทางผู้เขียนก็ค่อนข้างตั้งความหวังเอาไว้สูงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ได้รับจาก Ravenous Devils นั้น กลับเป็นความผิดหวังตั้งแต่แรกเล่น ด้วยประสิทธิภาพของตัวเกมที่ย่ำแย่ แถมยังมีบั๊กที่ทำให้ไม่สามารถเล่นต่อได้ถึง 4 ครั้ง ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง พ่วงด้วยระบบการเล่นที่จืดชืด ธรรมดา ไม่ได้แตกต่างจากเกมประเภท Dinder Dash สักเท่าไรนักในตอนแรกมันอาจจะดูแปลกใหม่อยู่บ้าง กับภาพของตัวละครที่เราควบคุมกำลังนำเนื้อมนุษย์ไปแปรรูปเป็นวัตถุดิบต่าง ๆ แต่เมื่อผู้เล่น เริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว ตัวเกมก็ไม่ได้มีอะไรให้ชวนติดตามต่อไปด้านเนื้อเรื่องที่หวังจะมาช่วยดึงให้คนเล่นคอยติดตามก็ยังคงทำออกมาไม่ถึงขั้น เพราะพล็อตสไตล์นี้ ล้วนถูกพบเห็นกันมานักต่อนักแล้วสำหรับวงการภาพยนตร์ มันโบราณเสียจนทำให้ Ravenous Devils ดูกลวงเข้าไปกันใหญ่ทว่าแม้จะมีข้อเสียจำนวนมากมาย แต่หากพิจารณาจากราคาบน Switch eShop ในประเทศอาเจนตินาที่ขายกันอยู่ประมาณ 38 บาทแล้ว Ravenous Devils ก็อาจจะพอใช้แก้เบื่อสำหรับเกมเมอร์ที่มีงบอยู่อย่างจำกัดกันได้บ้างด้วยตัวเนื้อเรื่องหลักประมาณ 4 ชั่วโมง และหากใครอยากจะเก็บของแต่งกายให้ครบ ก็น่าจะใช้เวลาถึงประมาณ 6 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าเรามองว่า มันเป็นเกมที่ใช้แบงก์สีเขียวสองใบ จ่ายเงินไปก็ยังมีทอน คุณภาพของตัวเกมก็ทำออกมา ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างน่าพึงพอใจเลยแหละครับ
07 Jun 2022
[Review] รีวิวเกม Dolmen ผจญภัยแบบ Souls Like ในธีมไซไฟสยองขวัญ
หนึ่งในแนวเกมที่ได้รับความนิยมมากในสมัยนี้ เราเองก็คงจะนึกถึงแนวเกมอย่าง Souls Like ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้พัฒนา FromSoftware กับจุดเด่นก็คือความยากของเกมที่ศัตรูทุกตัวพร้อมจะฆ่าคุณได้ทุกรูปแบบ ซึ่งมันก็จะเพิ่มความท้าทายของเกมให้มากยิ่งขึ้น คุณจะต้องตายซ้ำ ๆ เพื่อเรียนรู้การโจมตีของศัตรูจนสามารถปราบพวกมันได้ และจากความนิยมที่มากขึ้น ก็ได้มีสตูดิโออื่น ๆ ที่เริ่มหันมาทำเกมแนวนี้กันมากมายแล้ว อย่างเกม Nioh ของ Team Ninja หรือแม้กระทั่ง Star Wars Jedi: Fallen Order ที่ก็ได้เอาแนวทางเกมเพลย์ของเกมแนวนี้ไปใช้จนกลายเป็นหนึ่งในเกม Star Wars ยอดเยี่ยมตลอดกาลไปโดยปริยายและล่าสุดในปี 2022 นี้ก็ได้มีเกมใหม่จากผู้พัฒนาสัญชาติบราซิลอย่าง Dolmen เกมจากผู้พัฒนาสัญชาติบราซิลอย่าง MASSIVE WORK STUDIO ที่เกมเพลย์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมแนว Souls Like แต่ได้ทำการปรับธีมของเกม และใส่ระบบบางอย่างที่น่าสนใจเข้าไปด้วย โดยในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบว่า Dolmen จะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเทียบเท่ารุ่นพี่ได้หรือไม่ !!เนื้อเรื่องเรื่องราวของเกมนี้เจะพูดถึงผลึกคริสตัลพิเศษนามว่า Dolmen ที่สามารถปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริงและใช้ในการปฏิวัติอวกาศได้ โดยงานของเรานั้นคือการเข้าไปยังเหมืองที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวเพื่อทำการเก็บตัวอย่างคริสตัลนี้กลับมา ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องทางผู้พัฒนาเองก็ไม่ได้เน้นเรื่องราวที่ลึกซึ้งอะไรมากทำให้การอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้เยอะเท่าที่ควร เราอาจจะสามารถหาอ่านข้อมูลต่าง ๆ ภายในเกมเพิ่มเติมได้บาง แต่สุดท้ายแล้วเราก็รู้ว่าทางผู้พัฒนานั้นก็แค่สร้างเนื้อเรื่องมาก็เพื่อจะหาเรื่องรองรับให้เราไปต่อสู้กับศัตรูต่าง ๆ นั่นแหละกราฟิกในเรื่องของงานด้านภาพตัวเกมได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการพัฒนา ธีมของตัวเกมมีกลิ่นอายที่แตกต่างจากเกมแนว Souls Like อื่น ๆ เป็นอย่างมาก เพราะตัวเกมได้นำเสนอกลิ่นอายความเป็นไซไฟ Cosmic Horror สยองขวัญ ที่เราจะต้องพบเจอกับเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่น่าสยดสยอง  แต่ก็ต้องยอมรับว่างานด้านกราฟิกของเกมค่อนข้างทำออกมาได้ไม่สวยเท่าไร รายละเอียด Texture ของภาพดูแตก ๆ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นขั้นร้ายแรงมาก ๆ ของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะมันไม่สามารถเชิดชูเอกลักษณ์ความเป็น Cosmic Horror หรือความน่ากลัวได้ไม่เต็มที่ และมันทำให้ความรู้สึกอยากที่จะเข้าไปเล่นน้อยลงไปด้วย เพราะกราฟิกไม่ได้ดึงดูดให้มีความน่าสนใจใด ๆ เลยเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ก็อย่างที่ทราบว่า Dolmen ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมแนว Souls Like ต่าง ๆ ซึ่งวิธีการเล่นการกดปุ่มต่าง ๆ ก็จะเหมือนกันกับเกมอื่น ๆ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือระบบข้างในที่ตัวเกมมีลูกเล่นที่ค่อนข้างน่าสนใจกับเราพอสมควร โดยระบบค่าพลังงานของเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสองหลอดอย่างแรกก็คือระบบ Stamina ที่จะเหมือนกับเกมแนว Souls ทั่วไปที่จะลดลงก็ต่อเมื่อเราขยับ Movement ต่าง ๆ เช่นกระโดดหลบ วิ่ง หรือแม้กระทั่งโจมตี ซึ่งตัวหลอดนี้เวลาใช้หมดก็จะค่อย ๆ Regen กลับมาได้ ส่วนอีกหนึ่งหลอดก็คือ Battery ที่จะเป็นหลอดพลังงานคล้าย ๆ กับระบบมานาของเกมต่าง ๆ แต่ที่พิเศษคือเราจะต้องใช้หลอดนี้ในการทั้งเพิ่มเลือดตัวเอง ใช้เป็นกระสุนปืนเอาไว้ยิงศัตรู หรือแม้กระทั่งเวลาโจมตีหลอด Stamina หมดเราก็สามารถกดบัพให้การโจมตีใช้โดยหลอด Energy ก็ได้เช่นกัน ซึ่งในระบบนี้ก็เป็นลูกเล่นที่ทำให้ตัวเกมมีความแปลกใหม่เข้ามานิดหน่อยโดยจุดพักที่คล้าย ๆ กับ Bonfire ในเกม Dark Souls สำหรับเกมนี้ก็ยังมีเช่นกัน แต่กลายเป็นจุด Teleport แทน ที่จะอยู่ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งถ้าเราผจญภัยไปประมาณหนึ่งเราก็จะเจอจุดนี้ และก็สามารถที่จะพักเหนื่อยตรงนั้นได้ โดยมันอาจจะเป็นข้อดีสำหรับคนที่เล่นเกมแนวนี้ไม่เก่ง เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ใครที่แฟน Souls ขนาดแท้ก็อาจจะไม่ค่อยชอบใจเสียเท่าไรโดยจุดพักนี้เราสามารถที่จะ Teleport กลับไปที่ยานของเราได้ตลอดเวลา ภายในยานเราก็จะสามารถอัพเกรดค่าสเตตัสต่าง ๆ ได้ซึ่งสามารถเพิ่มได้ทั้งเลือด Stamina Energy ดาเมจและอื่น ๆ หรือเราจะสามารถคราฟต์อาวุธใหม่ ๆ หรือธาตุใหม่ ๆ มาใช้ก็ได้ ซึ่งการคราฟต์อาวุธก็ค่อนข้างหาของต่าง ๆ ได้ง่ายพอสมควรและมีชุดและอาวุธหลากหลายให้เลือกใส่โดยในการของสวมใส่ตัวเกมก็จะแบ่งออกเป็น 3 สายก็คือ Human, Revian และ Driller ซึ่งถ้าหากเราใส่ชุดจากสายไหนเยอะ ๆ ตัวเกมก็จะเพิ่มแต้มจากสายนั้นเยอะอย่างเช่นสาย Human ก็จะมีการเพิ่ม Recovery ของ Battery เป็นต้น โดยเราสามารถที่จะคราฟต์ของสวมใส่ อาวุธ หรืออัพสเตตัสต่าง ๆ ตามสไตล์ที่เราอยากเล่นได้มากมายจะเป็นสาย Tank สายดาเมจ สายปืน และอีกมากมายความรู้สึกหลังได้เล่นจากที่ได้ลองมาส่วนตัวมองว่าตัวเกม Dolmen ค่อนข้างเล่นง่ายและเป็นมิตรสำหรับผู้เล่นใหม่ในระดับหนึ่งเนื่องจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่มีให้เราเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Battery มาโจมตีแทน Stamina การที่จุด Teleport หาง่ายมาก ให้เราได้พักเหนื่อยพักหายใจได้บ่อยประมาณหนึ่ง การคราฟต์ของต่าง ๆ ที่ก็มีไอเท็มให้เก็บเยอะพอสมควร เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปควานหาอะไรเยอะ หรือบางครั้งเราเองก็สามารถที่จะฟาร์มแต้มต่าง ๆ เพื่อไปอัพสเตตัสตัวเองให้เก่งขึ้นแล้วค่อยไปต่อข้างหน้าก็ได้และอีกประเด็นที่รู้สึกว่าตัวเกมนี้ค่อนข้างเล่นง่ายก็คงจะเป็นเหล่าบอสที่เจอนั้นค่อนข้างเดาทางได้ถูกหลายตัว ต่างจากเกม Souls อื่น ๆ ที่ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกมนี้จริง ๆ บอสตัวแรกก็ตายหลายรอบแล้ว หรือบอสบางตัวก็มีแพทเทิร์นที่เดาทางได้ง่าย ส่วนตัวผู้เขียนเล่นเกมแนวนี้ไม่เก่งมาก ต้องตายหลายรอบถึงจะเข้าใจ ยังสามารถผ่านบอสตัวแรกโดยไม่ตายได้อย่างชิล ๆ หรือบอสบางตัวที่ดูโหดมากแต่ตัวเกมก็กลับมีตัวช่วยมาให้เราจัดการพวกมันง่ายมาก ๆ ซะงั้นซึ่งส่วนตัวไม่ได้มองว่าจุดนี้คือข้อดีและข้อเสีย เพราะถ้าคนที่ไม่เคยเล่นเกมแนว Souls Like มาก่อน การมีตัวช่วยให้เยอะก็เหมือนเป็นครูที่ให้พวกเขานั้นเริ่มต้นได้ดี แต่กลับกันสำหรับคนที่เป็นแฟนเกมแนว Souls เดนตายท่านก็อาจจะไม่ชอบเกมนี้ไปเลยเพราะความที่มันเล่นง่ายจนเกินไป ผู้ที่ผ่านความท้าทายอย่าง Elden Ring, Sekiro: Shadow Die Twice หรือ Dark Souls มาแล้ว เกม Dolmen นี่ดูเด็กไปเลยและอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสิ่งที่ส่วนตัวมองว่าร้ายแรงก็คงจะเป็นด้านกราฟิกที่น่าผิดหวังอย่างมาก จริง ๆ ตัวผู้เขียนเองไม่ได้มองว่าเกมเพลย์ของ Dolmen จะแย่อะไร แต่การที่ตัวเกมมีกราฟิกที่ห่วยขนาดนี้มันก็ไม่สามารถมีแรงดึงดูดให้เราอยากที่จะเล่นเกมนี้เสียเท่าไร นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบเกมก็คงจะเป็นการดีไซน์แผนที่ ที่ค่อนข้างทำได้วกวนเข้าใจยาก รวมถึงตัวเกมยังไม่ได้มีพื้นที่อิสระให้เราได้เลือกผจญภัยเหมือนเกมแนว Souls อื่น ๆ ด้วย
02 Jun 2022
[Review] รีวิวบริการ PlayStation Plus Deluxe "แพ๊คเหมาจ่ายสุดคุ้มสำหรับ...ใครกันแน่?"
ถือเป็นความเคลื่อนไหวใหญ่ของ Sony ในช่วงหลายเดือนมานี้ เมื่อล่าสุดค่ายได้ประกาศเปิดให้บริการแพ๊คเกจรายเดือน PlayStation Plus รูปแบบใหม่ ที่นอกจากจะเปิดให้เล่นเกมออนไลน์ได้เหมือนแต่ก่อน ผู้สมัครบริการยังสามารถเล่นเกมที่ร่วมรายการนับร้อยเกมได้แบบฟรี ๆ ในลักษณะเดียวกับบริการยอดฮิต Xbox/PC Game Pass ของฝั่ง Microsoft นั่นเอง!ทั้งนี้ ยังมีผู้ใช้บริการ PlayStation Plus หลายคนที่ยังมีคำถามเกี่ยวกับบริการนี้ โดยในวันนี้ทางทีมงาน GameFever จึงขออาสามาวิเคราะห์สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในบริการ PS Plus ใหม่นี้ ว่าคุ้มค่าเหมาะสมกับราคา 2,300 บาทต่อปีที่จ่ายไปแค่ไหน?!(สำหรับคนที่อาจไม่ได้ติดตามข่าวคราวเกม อาจจะยังไม่ทราบว่าบริการ PlayStation Plus ใหม่นี้มีอะไรมาให้เราบ้าง สามารถเข้าไปศึกษาได้ก่อนที่บทความ >>นี้<<)(ขอขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment Singapore สำหรับแพ๊คเกจที่ใช้ในการรีวิว) เกมฟรี…ที่เคยเล่นไปหมดแล้วก่อนอื่น เรามาเริ่มพูดถึงจุดขายหลักของบริการนี้ นั่นก็คือรายชื่อเกม PS4/PS5 ฟรีนับร้อย ๆ เกมที่จะเปิดให้โหลดเล่นกันได้แบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งมีทั้งเกม PlayStation Exclusive ชื่อดัง ๆ อย่าง God of War, Uncharted, Ghost of Tsushima, หรือ The Last of Us (เปิดให้ทั้งผู้สมัครบริการ PS Plus Deluxe และ Extra) สิ่งแรกที่ผู้เล่นหลายคนอาจจะสังเกตคือรายชื่อเกมเหล่านี้ แทบทั้งหมดเป็นเกมระดับ AAA ยอดฮิตที่วางจำหน่ายมานานพอสมควร และหลายเกมยังเคยวางจำหน่ายในราคาถูกในฐานะเกม PlayStation 4 Essentials (ปัจจุบันแจกฟรีให้ผู้ใช้ PS Plus ทุกคนทุกระดับด้วยซ้ำ) ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยเล่นกันไปบ้างแล้วไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเหล่าแฟน ๆ ตัวยงของ PlayStation ที่น่าจะเก็บเกม Exclusive ไปหมดแล้ว ยังไม่นับรวมเทศกาลลดราคาที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอทั้งในและนอกร้านค้าของ PlayStation เอง ซึ่งก็ทำให้จุดขายหลักของบริการนี้น่าดึงดูดน้อยลงทันทีสำหรับคนที่เล่นเครื่อง PlayStation 4 มาซักระยะหนึ่งแล้วหากไม่นับเกม Exclusive แล้ว บริการ PlayStation Deluxe ก็ยังพอมีเกม 3rd Party ดัง ๆ ให้เลือกเล่นอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Assassin’s Creed: Valhalla, Red Dead Redemption 2, หรือ Final Fantasy หลาย ๆ ภาค แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเกมที่หาเล่นได้บนบริการของคู่แข่งอย่าง Xbox/PC Game Pass อยู่แล้วด้วยเช่นกันเกมเกมเก่าเพียงหยิบมือจุดขายที่สำคัญรองลงมาสำหรับบริการระดับ Deluxe โดยเฉพาะ คือรายชื่อ “เกมคลาสสิค” จากยุค PS1/PS2/PSP ที่เปิดให้เล่นกันฟรี ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเอาเข้าจริงน่าจะเป็นจุดขายที่ดึงดูดความสนใจของแฟนเกมรุ่นใหญ่ ๆ ได้ชงัดนักแต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลือกเกมคลาสสิคที่นำมาให้เล่นนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น น้อยกว่าที่หลายคน (รวมถึงผู้เขียน) คาดเอาไว้มาก ๆ และแม้จะมีเกมดังในยุคนั้นอย่าง Syphon Filter หรือ Wild Arms อยู่ประปราย แต่โดยรวมแล้วก็เป็นส่วนน้อย และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของการจ่ายเงินเพิ่มสำหรับแพ๊คเกจ Deluxe เช่นเดียวกับผู้เขียนนั่นเองแน่นอนว่าบริการนี้ยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมากในอนาคต และเราอาจได้เห็นการกลับมาของเกมยุคเก่าชื่อดังมากมายที่หลายคนโหยหาจนได้ แต่ในสภาพปัจจุบันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ารายชื่อเกมที่ร่วมรายการดูจะเป็นเกมที่ 'เพิ่มเข้าไปงั้น ๆ' มากกว่าเป็นรายชื่อเกมที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วเพื่อสร้างความสนใจในหมู่ผู้ใช้บริการ และทำให้ตั้งคำถามว่าบริการนี้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วแค่ไหนก่อนที่จะเปิดตัวออกมาทดลองเกมฟรีในจุดนี้ยอมรับว่าตัวผู้เขียนไม่ได้ทดสอบระบบนี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเกมส่วนใหญ่ที่เปิดให้ทดลองเป็นเกมที่เคยซื้อมาไว้ในบัญชีแล้ว แต่ถ้าให้กล่าวแบบกลาง ๆ แน่นอนว่าการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ทดลองเกมตัวเต็มก่อนตัดสินใจซื้อย่อมเป็นผลดีกับตัวผู้เล่นเอง เพราะจะได้รู้ว่าสนใจหรือสนุกกับเกมนั้น ๆ จริงหรือไม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็คงต้องรอดูว่า Sony จะสามารถนำเกมใหม่ ๆ มาให้ลองเล่นกันได้บ่อยแค่ไหน เพราะบริการนี้จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ไม่ยอมให้นำเกมมาร่วมรายการ (รายชื่อเกมที่เปิดทดลองเล่นในขณะนี้ น่าลองไหมถามใจเธอดู)สรุป: แล้วตกลงบริการนี้เหมาะกับใคร?หากจะว่ากันแฟร์ ๆ แน่นอนว่าการมีบริการ PlayStation Plus Deluxe เช่นนี้ ย่อมเป็นการมอบทางเลือกใหม่ให้ผู้เล่น ซึ่งในระยะยาวย่อมส่งผลดีกับผู้เล่นมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แถมราคาของบริการ 2,300 บาทต่อปี (ตกเดือนละไม่ถึง 200) แม้จะสูงกว่าของคู่แข่งพอสมควร แต่ตราบใดที่คุณโหลดเกม AAA มาเล่นอย่างน้อย 2 เกมต่อปีก็ถือว่าคุ้มแล้ว เมื่อเทียบกับราคาซื้อแผ่นมือ 1 สองแผ่นสุดท้ายแล้วคนที่จะได้ประโยชน์จากบริการนี้มากที่สุดคงจะเป็นคนที่ไม่เคยเป็นเจ้าของคอนโซลมาก่อน หรือคนที่เพิ่งเข้าสู่วงการ AAA เพราะจะมีเกมให้เลือกเล่นมากมายทันทีโดยไม่ต้องซื้อแผ่นเกมด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่เป็นสมาชิก PS Plus มาช้านาน เคยเล่นเกมเด่น ๆ ของ PlayStation ไปหมดแล้ว จะรอจนกว่า Sony จะเพิ่มเกมใหม่ (หรือเกมเก่าที่น่าสนใจ) เข้าไปก่อนค่อยสมัครก็ยังไม่สายแถม: แผนการท้าชนตลาดมือ 2 ของ Sony?อันนี้เป็นการวิเคราะห์ของตัวผู้เขียนเองในฐานะเกมเมอร์ชาวไทย แต่บริการ PlayStation Plus Deluxe อาจจะเป็นความพยายามของ Sony ที่จะต่อกรกับตลาดแผ่นเกมมือ 2 ที่แพร่หลายในประเทศแถบเอเซียความเป็นจริงอย่างหนึ่งของวงการเกมคอนโซลแถบเอเซียคือการที่ผู้เล่นจำนวนมาก มักซื้อเกมจากตลาดมือ 2 เท่านั้น และมีสัดส่วนน้อยมาก ๆ ที่จะซื้อเกมแบบ Day-1 ราคาเต็มจากร้าน หมายความว่าแม้ประเทศไทยจะมียอดเจ้าของคอนโซลเยอะ (คุ้น ๆ ว่าเยอะที่สุดในแถบ SEA ด้วยซ้ำ) แต่ Sony กลับสามารถทำเงินจากการขายเกมในตลาดได้น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเจ้าของคอนโซล เพราะคนส่วนใหญ่รอซื้อมือ 2 หรือรอลดราคากันหมด บริการ PS Plus Deluxe จึงเป็นวิธีให้ผู้เล่นกำลังซื้อต่ำสามารถเข้าถึงเกมจำนวนมากได้ในราคาที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับการซื้อเกมแยกทีละเกม เพื่อให้เงินนั้นยังคงหมุนกลับมาหา Sony จนได้ แทนที่จะหายไปเปล่า ๆ ในตลาดมือ 2พูดง่าย ๆ ว่าการใช้บริการ PlayStation Plus Deluxe จึงอาจเป็นวิธีการสนับสนุน Sony และ PlayStation ในแบบที่ win-win ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและค่ายนั่นเอง
31 May 2022
[Review] รีวิวเกม Sniper Elite 5 "ประสบการณ์ลอบสังหารสุดอิสระ และทะเยอทะยานมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา"
หากพูดถึงเกมการเล่นที่เราจะได้รับบทเป็นพลแม่นปืนระดับพระกาฬ (ที่ผู้เล่นไม่ได้พระกาฬด้วย) เกมที่เราจะได้ลอบยิงสังหารศัตรูด้วยความดุเดือด โหด และรุนแรงสะใจ ชื่อของ Sniper Elite น่าจะเป็นชื่อที่แฟนเกมต้องคุ้นเคย และรู้จักมันมาอย่างยาวนาน และคราวนี้ Karl Fairburne กลับมาอีกครั้ง และเป็นภาคที่ 5 แล้ว โดยภารกิจของเขาคราวนี้คือการยับยั้งแผนการร้ายของเหล่านาซีที่กำลังจะอุบัติขึ้นในฝรั่งเศส แต่มันจะยอดเยี่ยม และสนุกแค่ไหนในการลอบยิงสุดโหดครั้งใหม่นี้ เชิญพบกับรีวิว Sniper Elite 5 แผนอันตรายของเหล่านาซีในฝรั่งเศสในภาคนี้ ผู้เล่นจะยังคงได้รับบทเป็น Karl Fairburne สุดยอดสไนเปอร์มือพระกาฬที่ภารกิจคราวนี้ มีฉากหลังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 1944 เขาต้องขัดขวางปฏิบัติการลับของเหล่านาซี (อีกครั้ง) โดยคราวนี้นาซีกำลังแอบพัฒนาโครงการลับในชื่อ Operation Kraken เพียงแต่คราวนี้ แฟร์เบิร์นจะไม่ต้องลุยเดี่ยว เพราะมีทีมสนับสนุนอย่างกองกำลังต่อต้านมาช่วยด้วยอีกแรง (ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดเราก็ลุยเดี่ยวตามภารกิจอยู่ดี) หัวใจสำคัญจริง ๆ ของเนื้อเรื่องก็ยังหนีไม่พ้นหยุดแผนการสุดอันตรายของเหล่านาซี และเป็นหน้าที่ของแฟร์เบิร์นที่ต้องหยุดยั้งมันอีกครั้งและอีกครั้ง ในภาคนี้สิ่งที่แตกต่างกันออกไปคือ การมีตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาสร้างสีสันในแต่ละช่วงคัทซีน นั่นก็คือกลุ่มต่อต้าน แต่น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดพวกเขาก็มีบทบาทแค่ในคัทซีนเท่านั้น มีเป็นบางฉาก ที่เราจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา ซึ่งก็ไม่ค่อยจะจำเป็นเท่าไร การเล่าเรื่องของ Sniper Elite 5 หลัก ๆ แล้วจะมาจากคัทซีนในช่วงเปิดด่านและปิดด่าน มีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างไปแบบเรื่อย ๆ ใครที่ไม่ไหวจะดูเนื้อเรื่องก็สามารถเร่งข้ามไปเลยก็ทำได้ แต่ก็ยังต้องชื่นชมว่า แม้จะเป็นการหากินกับปฏิบัติการถล่มสังหารนาซี ทีมพัฒนาเกมนี้ก็ยังอุตส่าห์สรรหามุกใหม่ ๆ มาให้ผู้เล่นได้ติดตามกันเสมอเกมเพลย์ที่ทะเยอทะยานกว่าทุกภาคที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้เกมนี้น่าจับตามองอีกครั้ง คือการที่มันพยายามเล่นใหญ่กว่าทุกภาค ใน Sniper Elite 5 นี้ ตัวเกมจะใช้วิธีการนำเสนอในรูปแบบใหม่ ที่เกมยุคนี้ชอบใช้กัน คือการนำเสนอในรูปแบบเกมกึ่ง Open World และขนาดของแผนที่ในแต่ละฉากเองก็ถือว่าไม่ใช่เล็ก ๆ ผู้เล่นสามารถสอดส่อง วางแผน จัดการทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในการทำภารกิจให้สำเร็จและหลบหนีออกมา เพื่อเสร็จสิ้นภารกิจนั้นจากที่เป็นเกมเดินหน้าตะลุยด่าน ลอบยิงให้หมดแล้วผ่านฉากไป คราวนี้ผู้เล่นจะต้องเรียนรู้การวางแผนกลยุทธ์ การสำรวจสอดส่องพื้นที่ในเกมทั้งหมดในภารกิจนั้น   เพื่อให้เรารู้ว่า ควรจะทำอะไร ตรงไหน ลอบสังหารยังไง และจะหลบหนีเส้นทางไหน ด้วยความที่เกมกลายเป็นโลกกึ่ง Open World ทำให้เหล่า A.I. มีการแสดงผลและการโต้ตอบแบบไดนามิก ยกตัวอย่างเช่น Mission 2 ของเกม ที่มักจะมีรถลาดตระเวนผ่านไปมา ถ้าเกิดเราหลบไม่ดี หรือหลบผิดจุด ผิดที่แล้วล่ะก็ การ Stealth แตก จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนอาจเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ และจบลงที่การ Restart Mission ใหม่แม้จะเป็นชื่อเกมว่า Sniper Elite แต่ในเกมภาคนี้ เราจะมีอุปกรณ์และอาวุธที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น ขวดเปล่า ไว้ปาหลอกล่อศัตรู ระเบิดที่มีทั้งแบบ Mine หรือระเบิดปาสร้างความเสียหายทั่วไป และทุกอุปกรณ์เราสามารถดัดแปลงนำมาใช้งานได้ทุกสถานการณ์ แถมเกมบังคับให้เราถือไว้ติดตัวอยู่แล้ว เลือกใช้งานได้ตลอด แต่จะถือมากขึ้นได้ก็ต้องอัปเกรดสกิลก่อน และด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลายแบบนี้ ทำให้สอดคล้องกับรูปแบบการเล่นที่เป็นกึ่ง Open World ตามมาแต่ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นกึ่ง Open World แต่เกมยังใช้ระบบการดำเนินเรื่องแบบเป็น Mission ไป เมื่อเราเลือก Mission ของแคมเปญเนื้อเรื่องแล้ว เราจะเข้าสู่พื้นที่ภารกิจ ที่เป็นพื้นที่เปิดกว้างจากนั้นก็จัดการภารกิจและเป้าหมายที่ได้รับมา ภายในฉากขนาดใหญ่จะมีทั้งพื้นที่ให้ซุ่ม มีเถาวัลย์ให้ปีน มีจุดสำคัญต่าง ๆ เช่นัสัญญาณเตือนภัย หรือพื้นที่ภารกิจ ผู้เล่นสามารถเลือกเอาเองได้เลยว่าอยากจะทำอะไร จัดการการเล่นของตัวเองแบบไหน นอกจากนั้นภายในฉากแต่ละฉากจะมี Workbench ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการอัปเกรดและปรับแต่งอาวุธปืนของเรา ในเกมภาคนี้เราจะมีอาวุธทั้งหมด 3 ชนิดคือ Rifle ปืนซุ่มยิงหลักของเรา / SMG ปืนกลเบาที่ถือเป็นอาวุธรอง และ Pistol ปืนสั้น ที่เป็นอาวุธสำรองอีกทีหนึ่ง การจะปรับแต่งอาวุธพวกนี้ได้ เราจะต้องไปหาโต๊ะ Workbench ที่ซ่อนอยู่ในจุดต่าง ๆ ภายในฉากให้เจอ จึงจะเป็นการปลดล็อคของแต่งใหม่ ๆ ไปในตัว และมันสำคัญมากในช่วงแรก เพราะของสำคัญอย่าง Surpressor หรือปลอกเก็บเสียง ของคู๋ใจมือสไนเปอร์ จะปลดล็อคได้ในช่วง Mission 2ก่อนจะเริ่มเล่นเกม ผู้เขียนขอออกตัวเตือนไว้เลยว่า ใครที่เป็นคนใจร้อน ก็อย่าลังเลที่จะเลือกเล่นโหมด Very Easy ของเกมนี้ไปเลย แต่ไม่ใช่เพื่อให้เราได้บู๊แหลก วิ่งยิงเป็น Call of Duty แต่ A.I. ของเกมจะฉลาดน้อยลงมาก ความพิเศษของเกมนี้คือการวางแผนอย่างใจเย็น และรัดกุมมากที่สุด หากคุณอยากเล่นเป็นมือสังหารเงียบอย่างแท้จริง แต่บางครั้งความฉลาดของ A.I. ก็ทำให้การวางแผนลำบากมาก หากยังไม่เชี่ยวชาญ กดง่ายสุดไปก่อนก็ไม่เสียหาย แต่กลับกัน เกมนี้มอบอิสระให้คุณที่จะวิ่งยิงแหลกแบบไม่สนสี่สนแปดอะไรเลยก็ได้เช่นกัน เกมรองรับทุกสไตล์การเล่นของคุณอยู่แล้วเพียงแต่ว่าในช่วงจบเกม จะมีการประเมินคะแนนความสามารถและรูปแบบการเล่นของคุณอย่างชัดเจน ว่าคุณเป็นพวกมือสังหารเงียบ หรือพวกป่าเถื่อนฆ่าแหลกไม่สนอะไรเลยก็ทำได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า จำนวนศัตรูในแต่ละฉาก มันใส่มาเยอะเสียจนผู้เขียนคิดว่า ยังไงก็กินเวลามาก กว่าจะฆ่าได้หมด การวางแผน ลอบเร้น เล่นอย่างใจเย็น ยังจะพอมีความเป็นไปได้มากกว่า และใช้เวลาในการเล่นน้อยกว่า แต่สุดท้ายมันก็แล้วแต่คุณ ว่าคุณยังสนใจหรือไม่ ว่าเกมนี้คือ Sniper Elite ไม่ใช่ Call of Dutyระทึกยิ่งกว่า ด้วยการโดน Invade จากผู้เล่นอื่น ใน Sniper Elite 5 นี้ ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ของเกมเข้ามา สำหรับโหมดนี้ ใครที่เคยเล่น Deathloop หรือเกมจำพวก Soulsborne มาก่อน ก็จะรู้จักและเรียนรู้มันได้ในเวลาอันสั้น มันคือโหมด Invader ที่ผู้เล่นคนอื่นจะสามารถบุกรุกเข้ามายังเกมของเรา และมาไล่สังหารเราได้ เมื่อเราโดนผู้เล่นอื่นบุกรุกเข้ามา ภารกิจหลักของตัวเกมจะกลายเป็นการตามหาเป้าหมาย และฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ ก่อนที่เราจะโดนอีกฝ่ายเป่าหัวจนดับดิ้นเสียเองภายในฉาก จะมีตู้โทรศัพท์อยู่ ที่เราสามารถใช้งานเพื่อเปิดเผยตำแหน่งของเป้าหมายได้ด้วย ทำให้การเล่นโหมดนี้มีความตื่นเต้น และลุ้นระทึกอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าฝ่าย Axis Invader นี้ บางทีก็เป็นบอทหรืออาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไรนัก ถ้าคนเล่นเป็นวนมาเจอกัน มันอาจจะเป็นการประลองปืนสไนเปอร์ที่ดุเดือดมาก และวัดความใจเย็นได้ดี แต่หากเป็นคนเล่นไม่เป็นเข้ามา ก็อาจจะงง ๆ ไปเลยว่าต้องทำอะไรยังไง อย่างไรก็ตาม โหมดนี้สามารถเปิด-ปิดได้โดยผู้เล่นเองอยู่แล้ว หากใครไม่อยากถูกรบกวนจากการโดนผู้เล่นอื่นบุกเข้ามา ก็เลือกปิดได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มภารกิจ ซึ่งบางครั้งก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะมีหลายครั้งหลายหนเหมือนกันที่การลอบสังหารกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มแต่ถูกผู้เล่นอื่นบุกเข้ามาขัดขวางซะอย่างนั้นยกระดับ Kill Cam ให้ดุดัน ทรงพลัง และอิสระกว่าที่เคยจะรีวิวเกมนี้โดยไม่พูดถึงฟีเจอร์นี้ย่อมไม่ได้โดยเด็ดขาด สำหรับ Kill Cam ที่ถือว่าเป็นไม้เด็ดที่ใครหลายคนชื่นชอบ เพราะเราจะได้เห็นฉากการฆ่าสุดดุเดือด กระสุนพุ่งทะลุทะลวง ทำลายล้างอวัยวะของเหล่าทหารนาซีผู้โชคร้าย ที่ในภาคนี้ ระบบนี้ก็ยกระดับขึ้น โดยเราสามารถปรับแต่งลูกเล่นต่าง ๆ ระหว่างฉากสโลว์โมชั่นที่กระสุนพุ่งเข้าไปสังหารศัตรูได้ไม่ว่าจะเป็ฯสปีดความเร็ว การหันมุมมองด้วยเมาส์ หรือการเข้าสู่ Photo Mode ระหว่างนาทีสังหารนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน แถมในภาคนี้ อาวุธทุกแบบยังมีโมเมนท์ Kill Cam แล้ว จากที่แต่ก่อนจะมีแต่ปืนไรเฟิลเท่านั้น ภาคนี้ทั้งปืน SMG ปืนพก หรือแม้แต่ระเบิด หากปาเข้าไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมก็สามารถทำให้เกิด Kill Cam สุดเท่ได้ตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้มันจะเจาะทะลุทะลวงไปจนถึงอวัยวะ หรือส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย แต่ความรุนแรงของมันอาจจะดูเบาลงนิดหนึ่ง สำหรับคนที่เคยตามซีรีส์นี้มาก่อน แต่ภาคนี้ถือว่าปรับแต่ง และใส่สิ่งต่าง ๆ มาได้เยอะขึ้นภาพรวมของ Sniper Elite 5 นั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้ยกระดับมาจากภาคแรกอย่างก้าวกระโดดมากนัก แต่ในแง่ของเกมเพลย์ ฉาก บรรยากาศ ก็ถือว่ามีการพัฒนาพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะ Kill Cam และฉากที่สวยงาม กว้างใหญ่ขึ้นมาก ไม่ว่าคุณจะซื้อเกมนี้มาเล่น หรือเล่นผ่านระบบ Xbox Game Pass ก็น่าจะคุ้มค่า สมราคา โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่หลงใหลในการลอบเร้น นี่คือเกมที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
27 May 2022
[รีวิว] Ni no Kuni : Cross Worlds เกมดีที่รอคอย จริงหรือมั่วชัวร์หรือไม่ ?
Ni no Kuni: Cross Worlds เกมที่สาวกของอนิเมะค่ายดังอย่าง Studio Ghibli ลอยคอ รอคอยกันมาแสนนาน ได้เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา Studio Ghibli ได้จับมือพัฒนาเกมกับค่ายดังอย่าง LEVEL5 และ Netmarble สรรค์สร้างเกมนี้ขึ้นมา เลยทำให้คุณภาพต่าง ๆ ของเกมนี้ออกมาดูดีอย่างที่หลาย ๆ คนได้คาดการณ์กันเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น กราฟิก คุณภาพของเกม เนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าสุดยอดและเป็นสิ่งที่น่าติดตามมาก ๆ ครับ Ni no Kuni: Cross Worlds เป็นเกมมือถือแนว MMORPG และยังมีเวอร์ชั่น PC ให้ได้เล่นกันอีกด้วย เรียกได้ว่าครอบคลุมมันทุกแพลตฟอร์มกันไปเลย นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม มีอนิเมชั่นที่น่าดูแล้วเนี่ย การต่อสู้ในเกมก็ยังสนุกใช้ได้เลยครับ ตัวเกมมีการใช้ระบบธาตุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีระแบบปล่อยบอทฟาร์มออฟไลน์ได้สูงสุด 5 ชั่วโมง มีระบบอิมาเจนหรือว่าสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ เราสามารถพาน้อง ๆ ไปช่วยเราสู้ได้ถึง 3 ตัวเลยทีเดียว เกมนี้จะมีทั้งหมด 5 อาชีพด้วยกัน และจุดที่น่าสนใจของเกมนี้อีกอย่างก็คือถ้าเราเล่นหลาย ๆ ตัว ไอเทมบางอย่างที่เราได้มาสามารถแชร์กันได้ครับ รายละเอียดเกมคร่าว ๆ มีอะไรบ้าง? มันน่าเล่นสมกับที่รอคอยไหม? ตามผมมาเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง :)การเดินเควส เกมนี้ในส่วนของการเดินเควสมีทั้งเควสหลักจากเนื้อเรื่อง และเควสรองจาก NPC ในแมพ เป็นการเดินเควสแบบ Auto ทั้งหมดเลยครับ เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย นอกจากกดคลิกตอนพูดคุยกับ NPC ใครที่เป็นแฟนอนิเมะ หรือชอบเสพเนื้อเรื่องอาจจะชอบนะครับ แต่ผมเห็นหลายคนในกลุ่ม Community ของเกมนี้ไม่ว่าจะเป็นแฟนการ์ตูนก็ดี หรือแค่คนที่ชอบเล่นเกมเฉย ๆ มาบ่นกันค่อนข้างเยอะ เรื่องที่เกมนี้มีการพูดคุยกับ NPC เยอะมาก (เยอะจนคนเล่นหลับไปเลยครับ 5555) เอาจริง ๆ ข้อเสียตรงนี้ผมแอบเห็นด้วย เพราะมันชวนง่วงจริง ๆ แต่ในจุดนี้เราก็ต้องเข้าใจในตัวเกมก่อน ว่าเขาดัดแปลงมาจากอนิเมะ ของค่าย Studio Ghibli เกมทำออกมาแนวนี้ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่สำหรับผมที่ไม่ได้เป็นแฟนซีรีส์นี้ผมก็มองว่าตรงนี้มันค่อนข้างเยอะไปสำหรับผมเช่นกันครับการต่อสู้ในส่วนนี้บอกเลยว่า ว่าก็ยังแอบผิดหวังอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ถือว่าได้เล่นเกมมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ Auto เพราะว่าการสู้กับบอส หรือการปาร์ตี้เข้าดันพิเศษต่าง ๆ เราจะนั่งเฝ้าจอเฉย ๆ ให้บอทเล่นไม่ได้แล้วนะครับ ในส่วนนี้ค่อนข้างใช้เสต็ปในการเล่นอยู่พอสมควร เพราะว่าถ้าปล่อยบอทเล่นเราอาจจะโดนบอสตบกลิ้งเป็นลูกขนุนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว เราต้องคอยหลบสกิลบอส ม้วนตัวกระโดดออกมา ต้องงัดทักษะการบังคับมาใช้ แล้วการลงฟิลด์บอสในเกมนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน และต้องมีสกิลเพลย์ที่ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นสู้ไม่ไหวจริง ๆ เพราะดาเมจบอสค่อนข้างแรง เราควรเล่นเอง เพราะบอสเกมนี้ยิ่งเลเวลสูง ๆ นางตบ One hit, one kill  ต้องกดเกิดเดินมาใหม่ตลอด และเกมนี้ถ้าเล่นในมือถือจะค้นพบว่าน่าหงุดหงิดมาก ด้วยปุ่มหลบที่โคตรจะเล็ก บางทีกดหลบดันไปโดนปุ่มยิง บอสสวนมาสรุปไม่ได้หลบ ส่วนในคอมอาจจะเล่นง่ายหน่อย แต่ยังมีเรื่องคูลดาวน์หลังกดหลบ หลบซ้อน ๆ ไม่ได้ แถมความลำบากไม่ได้มีเพียงเท่านี้ การลงสู้ในฟิลด์บอสนั้นคนจะมาล่าบอสกันเยอะมากครับ มาจากทั่วทุกสารทิศจากทุก ๆ แชนแนล สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ การใช้สกิลเพลย์ที่เล่นกับบอสว่ายากแล้ว พอคนเยอะมันดันยากเข้าไปใหญ่ครับ เพราะว่าแลคมากกกกกกก เท่านั้นยังไม่พอแถมมาด้วยการดูสกิลบอสที่แบบว่าต้องอาศัยการเดาเพราะมองอะไรไม่รู้เรื่องเลย รู้ตัวอีกทีคือเฝ้ารากมะม่วงไปแล้ว หลังจากจบดันพิเศษ ฟิลด์บอส และบอสโลก มีโอกาสที่จะดรอปไอเทมดีดีให้เรา แต่ส่วนใหญ่จากที่ผมลงบอสมา(เรียกผมว่าเสี่ยนาเกลือได้เลย เค็มแต่ไม่ดี 5555) ส่วนการต่อสู้กับมอนทั่ว ๆ ไปเราสามารถเปิดบอทเพื่อสู้ได้เลยครับ แต่ในช่วงเลเวล 40 ขึ้นไป มอนค่อนข้างโหด หลัง ๆ ก็จะไม่ค่อยได้ใช้บอทนอกจากปล่อยฟาร์มเอาไว้แล้วไปนอนฮะระบบธาตุเกมนี้ความสนุกก็อยู่ตรงระบบธาตุด้วยครับ เพราะมอนในเกมนี้จะมีแบ่งเป็นธาตุ และเราสามารถพกอาวุธไปใช้ต่อสู้ได้ทั้งหมด 3 ชิ้นครับ ซึ่งในเกมจะมี 5 ธาตุหลัก ๆ คือ ไฟ น้ำ พืช แสง และความมืดครับ พืชแพ้ไฟ ไฟแพ้น้ำ น้ำแพ้พืช ส่วนแสงกับความมืดต่างคนต่างแพ้กันเองครับ เราควรหาอาวุธให้ครบทุกธาตุ และอิมาเจนหรือว่าสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ของเราก็จะเป็นธาตุเหมือนกันครับ ควรเปิดหาได้ครบทุกธาตุเช่นกัน จำเป็นต้องใช้และของมันต้องมีครับ ขอให้สุ่มได้ดีดีกันครับทุกคนอิมาเจนอิมาเจนหรือว่าสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ของเกมนี้จะมี 5 ธาตุด้วยกันนะครับ เกมนี้เราสามารถพาน้อง ๆ ไปช่วยสู้ได้เต็มแม็กซ์ 3 ตัวนะครับ และเราสามารถทำได้อีกหลายอย่างเลยครับเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอิมาเจนของเรา ไม่ว่าจะเป็น อัพเลเวล, วิวัฒนาการ, เสริมพลัง, ดูดซับการเสริมพลังอิมาเจน, ปลุกพลัง ยิ่งน้องเก่งเท่าไหร่ เราก็จะโหดตามน้องไปครับ และเราควรมีอิมาเจนให้ครบทุกธาตุ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราในการต่อสู้ เพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้มอนจะอยู่เป็นช่วง ๆ ครับ ช่วงไหนเจอธาตุพืชก็จะเป็นพืชยาว ๆ อย่างเช่นช่วงแรกของเกม เราก็ควรพาอิมาเจนที่มีธาตุไฟไปสู้มอนกับเรา เพราะถ้าแพ้ธาตุจะทำดาเมจได้มากขึ้นครับ ดาวน้อง ๆ ก็สำคัญนะครับ ถ้าเราสุ่มได้ 4 ดาวคือไม่เกลือครับ พวก 3 ดาวก็เอาไว้ใช้แก้ขัดได้ เพราะเราสามารถอัพดาวของน้อง ๆ ได้ แล้วพออัพเรียบร้อยจาก 3 ดาวก็จะกลายเป็น 4 ดาว ส่วนพวกอิมาเจน 1-2 ดาว เราก็เก็บไว้เป็นวัตถุดิบในการ อัพเลเวลให้ตัวหลักของเราได้ครับอาวุธอาวุธของเกมนี้มีธาตุและเราสามารถใส่ได้ 3 อันนะครับ ตอนต่อสู้เราสามารถสลับเปลี่ยนธาตุเพื่อให้ชนะทางมอนได้เลย ยิ่งอาวุธเราดาวเยอะเท่าไหร่ เราจะโหดขึ้นตามดาวเลยครับ และการอัพเกรดต่าง ๆ ทำออกมาคล้ายกับระบบของอิมาเจนเลย แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในส่วนของอาวุธก็จะมี อัพเลเวล, เลื่อนขั้น, เสริมพลัง, ถ่ายโอนเสริมพลังอุปกรณ์, ปลุกพลัง และเราควรสุ่มให้ได้ครบทุกธาตุเพื่อเป็นการง่ายกับเราในเวลาสู้กับมอนครับ การเจาะลึกรายละเอียดต่าง ๆ ตามหัวข้อพวกนี้เพื่อน ๆ สามารถดูใน YouTube หรือบทความต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ตที่เขาสอนได้เลยนะครับ มีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด Skillเกมนี้เราจะมีสกิลที่ใช้ต่อสู้หลัก ๆ อยู่ 3 หัวข้อใหญ่ ๆ นั่นก็คือ สกิลคลาส, แอคทีฟพิเศษ, แพสซีฟพิเศษ และธาตุของสกิลคลาสและสกิลเบิร์สต์ จะถูกปรับให้ตรงกับอาวุธธาตุที่เราสวมใส่ครับ พอเราเปลี่ยนอาวุธปุ๊บ มันก็จะปรับให้เราเองปั๊บเลยโดยที่เราไม่ต้องไปเซ็ตค่าอะไรใด ๆ ให้วุ่นวายครับทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงน้ำจิ้มที่ผมยกตัวอย่างเพื่อมาแนะนำให้ดูเท่านั้นนะครับ เพราะเกมนี้ยังมีระบบยิบ ๆ ย่อย ๆ ค่อย ๆ ทยอยปลดล็อคออกมาให้ได้เล่นกันอย่างเพลิดเพลิน ถ้าใครอยากจะเจาะลึกให้เยอะกว่านี้ ใน YouTube มีกูรูต่าง ๆ มาเจาะลึกลงคลิปให้ดูมากมายเลยครับ เพื่อน ๆ สามารถไปศึกษาแบบลึก ๆ ได้เลย น่าเล่นใช่ไหมครับ ภาพก็สวย เนื้อเรื่องก็แน่น ๆ ถ้าใครสนใจเพื่อน ๆ สามารถดาวน์โหลดเกมมาเล่นได้ทั้ง PC และมือถือ ส่วนใครอยากเปิดหลาย ๆ จอ สามารถเล่นใน Simulator ต่าง ๆ ได้นะครับ เพียงแต่เพื่อน ๆ ต้องตั้งค่าใหม่ให้ Simulator เพื่อน ๆ เป็น 64bit ก่อน ถ้าเป็น 32bit อยู่จะไม่สามารถเล่นได้ครับ DownloadPCGoogle PlayApp Storeสรุปเกมนี้ยังไม่ใช่ Game of the Year สำหรับผม จากที่ลองเล่นมา 72 ชั่วโมง (เป็นแค่เพียงการรีวิวจากความรู้สึกของผมที่ได้เล่นมานะครับ) ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกว้าวเท่าที่คาดหวังเอาไว้ และพบว่ามีความขัดใจในระบบเกมเพลย์อยู่บ้าง แต่ถ้าใครเป็นแฟนซีรีส์นี้อาจจะถูกใจก็ได้ครับ เพราะเนื้อเรื่องที่ใส่มาให้เสพอย่างจุใจ ภาพที่สวยสมการรอคอย แต่สำหรับตัวผมนั้นไม่ได้เป็นแฟนของซีรีส์นี้ผมมองว่าเนื้อเรื่อง หรือการพูดคุยกับ NPC มันค่อนข้างเยอะไป ทำเอาผมหลับไปหลายตื่นอยู่ ระบบการต่อสู้ที่ต้องใช้สกิลเพลย์ค่อนข้างสนุกแต่ก็ยังติดอยู่ตรงที่มันค่อนข้างบังคับยาก (อย่างน้อยในมือถือ) และมีคูลดาวน์กับบางอย่างที่ไม่ควรมีเช่นการกดหลบ เอาเป็นว่าสรุปง่าย ๆ ว่าผู้พัฒนาชูเกมมาว่าเป็นเกมมือถือ แต่ดันไม่เหมาะกับมือถือระบบธาตุต่าง ๆ ก็ส่งเสริมให้การเล่นเกมมีสีสันมากขึ้น ถ้าไม่มีส่วนนี้ผมจะเล่นเกมนี้ด้วยความเคว้งคว้างกว่านี้อีกครับ จุดเด่น ๆ ของเกมนี้ที่ไม่ชมไม่ได้คือภาพที่อลังการครับ กราฟิกนี่คือสุดยอดดดดดด มีระบบคัทซีนให้ได้เห็นถึงความสวยงาม และมีกลิ่นอายอนิเมะจ๋า ๆ แต่ในส่วนของคัทซีนบางทีก็เจอซ้ำ ๆ ทุก ๆ ครั้งที่เขาไปเล่นโหมดเดิม ๆ เอาตรง ๆ ผมก็แอบเบื่ออยู่เหมือนกัน เพราะบางโหมดมันกดข้ามไม่ได้ และตัวการ์ตูน มอนส์เตอร์ หรือการออกแบบตัวละครต่าง ๆ ก็น่ารักไม่ไหว ระบบยิบย่อยต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาให้ได้ผสมนู่นนี่นั่นมีอะไรให้ทำแก้ง่วงอยู่บ้าง การสุ่มกาชาปองเรท % การออกผมมองว่าค่อนข้างออกยากอยู่ครับ แต่สายฟรีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะตัวเกมค่อนข้างแจกคูปองสุ่มมาให้ถลุงเยอะมาก ๆ ถ้าพกดวงมาแน่น ๆ มีโอกาสได้อิมาเจน หรืออาวุธเทพ ๆ อยู่ครับ (ถ้าไม่ได้ก็รีไอดีวนไป พอได้อิมาเจนที่โดนใจก็ค่อยผูกอีเมลเอาครับ) แค่สายฟรีอย่างเรา ๆ ก็จะช้ากว่าสายเติมอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสัจธรรมเหมือน ๆ กันทุกเกมครับ อยากเก่งก็ต้องเติม ไม่มีทุนก็ค่อย ๆ ปั้นไป โลกทุนนิยมนะครับ ยังไงก็ถือว่าสนับสนุนผู้พัฒนาเกม ให้เขามีกำลังใจผลิตเกมดีดีมาให้เราเล่นอีก ในส่วน Play to Earn ทาง Dev ประกาศว่าจะตามมาทีหลัง ตอนนี้ก็เปิดให้ไปผูกกระเป๋าได้แล้ว เดี๋ยวถ้าระบบ Play to Earn เข้ามาเมื่อไหร่ ผมจะมารีวิวแนะนำวิธีการเอิร์นเหรียญให้เพื่อน ๆ ได้ทราบแน่นอน ตอนนี้ก็รอระบบนี้เป็นเพื่อนผมกันไปก่อนนะครับ สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อน ๆ เล่นเกมกันให้สนุก สุ่มได้ของดีดี ไม่ต้องมาทำนาเกลือเหมือนผมนะฮะ >
26 May 2022
[Review] Death Gambit: Afterlife เกมที่ทำความยากให้ย่อยง่าย จนเหมาะสมทั้งสายชิลและจริงจัง
หากจะพูดให้เข้าใจง่าย และเห็นภาพโดยทั่วกันแล้ว Death Gambit คือเกม Dark Souls ที่ถูกดัดแปลง พร้อมนำเสนอใหม่ในมุมมอง 2 มิตินั่นเองแน่นอนว่า ระบบต่าง ๆ อาจจะมีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่แก่นกลางของมันก็ยังคงให้กลิ่นอายของแนว Soulslike อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบอาชีพ ความยากของศัตรู บทลงโทษเมื่อผู้เล่นตาย ไปจนถึงแผนที่ที่มีความซับซ้อนเหมือนกับเขาวงกตและสำหรับ Death Gambit: Afterlife นั้น มันจะเป็นเหมือนเวอร์ชันอัปเกรดของตัวเกมจากภาคต้นฉบับ เพราะทางผู้พัฒนาได้ปรับปรุงหลายสิ่งหลายยิ่งในส่วนขยายนี้ ทั้งเพิ่มฉากจบใหม่ เพิ่มบอสตัวใหม่ เพิ่มอาวุธใหม่ และยังมีการปรับปรุงระบบเกมเพลย์บางส่วนอีกด้วยซึ่งต้องขอสารภาพตามตรงว่า ทางผู้เขียนไม่เคยได้สัมผัสกับตัวเกมต้นฉบับของ Death Gambit มาก่อน ดังนั้นอาจจะหาข้อเปรียบเทียบได้ไม่ชัดเจนมากนัก สำหรับความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชันนี้ อีกทั้งเกมที่ผู้เขียนใช้รีวิว จะเป็นเกมในเวอร์ชันเครื่องพกพาอย่าง Nintendo Switch ซึ่งอาจจะมีปัญหาที่แตกต่างกันบางประการจากเวอร์ชันอื่น ๆ เนื้อเรื่องที่ย่อยง่าย แต่ยังคงแฝงไปด้วยปริศนาเนื้อเรื่องหลักของ Death Gambit จะมีความเป็นเส้นตรงกว่า Dark Souls หรือเกม Metroidvania ในประเภทเดียวกันอย่าง Deadcells หรือ Hollow Knight มากนักเกมจะพาเราไปติดตามเรื่องราวของตัวเอกนามว่า Sorun ที่เคยสูญเสียลมหายใจไปแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเขากลับทำสัญญากับยมทูต (Death) ได้ทันท่วงที ก่อนที่วิญญาณสูญสลายไป Sorun ฟื้นขึ้นมายังโลกคนเป็นอีกครั้งในฐานะผู้ที่ฆ่าไม่ตาย (Immortality) โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับยมทูตก็คือ เขาจะต้องจัดการสังหารบุคคลที่เป็นอมตะอื่น ๆ เพื่อให้ยมทูตสามารถเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของผู้ฝืนกฎธรรมชาติได้นั่นเองนอกจากนี้ ความทรงจำของ Sorun ระหว่างยังมีชีวิตจะยังเลือนรางอีกด้วย แต่สิ่งเดียวที่ Sorun ยังคงจำได้เด่นชัดก็คือ ภาพแม่ของเขาที่ออกไปทำภารกิจสำรวจดินแดนภายนอกเมื่อครั้งเขายังเยาว์วัย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ Sorun จะต้องไขว่คว้าให้ได้ ภายในการเดินทางครั้งนี้นี่เองอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า Death Gambit: Afterlife นั้น จะมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายมากกว่า เพราะทางผู้พัฒนาเลือกที่จะเล่ากันมาแบบตรง ๆ ไม่ต้องให้ผู้เล่นไปสืบเสาะหาเบาะแสกันเอาเอง ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะทำให้บางคนที่ชื่นชอบดื่มด่ำไปกับการเดินพูดคุยกับ NPC ต่าง ๆ รู้สึกว่าจืดชืดไปบ้าง กับการที่เกมยัดข้อมูลมาให้เราแบบง่าย ๆ เลยทว่าไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะในเมื่อตัวเกมได้นำความตายมาแปรเปลี่ยนเป็นลูกเล่นแล้ว เขาจึงได้ดึงเอาความตายมาใช้เป็นส่วนช่วยบอกเล่าข้อมูลอีกด้วย โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นตาย ตัวเกมจะสุ่มปล่อยข้อมูลความทรงจำใหม่ ๆ เข้ามา ทั้งภาพของ Sorun ในวัยเด็กที่พูดคุยกับแม่ของเขา ว่าอยากจะเป็นอัศวิน หรือจะเป็นฉากที่ Sorun เดินทางไปยังผืนน้ำของทะเล ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นทะเลเลือด เพราะไฟสงคราม ทั้งหมดนี้จะช่วยสื่อสารและเล่าเรื่องราวปูมหลังของตัวละครหลักได้อย่างดีเลยทีเดียวอีกทั้งการที่ตัวเกมเล่าออกมาแบบสุ่มนี้ จึงทำให้ Death Gambit: Afterlife มีคุณค่าในการกลับมาเล่นซ้ำค่อนข้างสูงสำหรับคนที่อยากจะเก็บเนื้อเรื่องให้สมบูรณ์ ยิ่งบวกกับฉากจบหลายแบบด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาอยู่กับเกมนี้นานระดับหนึ่งเลยทีเดียวล่ะระบบอาชีพทั้ง 7 มอบอิสระให้กับคนเล่นเต็มที่หลังจากอารัมภบทเนื้อเรื่องในตอนต้นเกมไปแล้ว ยมทูตจะถามเราถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นการให้ผู้เล่นเลือกอาชีพตอนเริ่มเกมทั้ง 7 อาชีพ โดยมีไปตั้งแต่ อาชีพที่ตัวเกมแนะนำว่าเล่นยากอย่าง Assassin หรือ Sentinel อาชีพที่เน้นการโจมตีระยะไกลอย่าง Wizard อาชีพที่เน้นวางแผนเข้าทำอย่าง Soldier, Noble หรือ Acolyte of Death และอาชีพที่เล่นง่าย บุกโจมตีไวอย่าง Blood Knightแน่นอนว่าแต่ละอาชีพที่มีข้อดีที่แตกต่างกันไป ซึ่งมันจะมาในรูปแบบของสกิลติดตัวตั้งแต่แรกเลือก ไปจนถึงสกิลกดใช้ที่มีให้เลือกอัปเกรดได้ในภายหลังโดยสกิลติดตัวนั้น จะอยู่กับตัวละครของผู้เล่นไปตลอด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าจะเริ่มเล่นใหม่ ส่วนสกิลที่อัปเลเวลได้ มันจะมีระบบของคลาส 2 เข้ามาเกี่ยวข้อง ช่วยให้ผู้เล่นสามารถกระโดดข้ามสาย ไปหยิบยืมสกิลของอาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ได้เลือกในต้อนเริ่มเกมได้นั่นเองนอกจากนี้ ตัวเกมยังไม่ได้จำกัดอาวุธประเภทต่าง ๆ ให้แค่เพียงอาชีพเดียวถือเท่านั้น ผู้เล่นสามารถเลือกใช้งานอาวุธอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่ค่าพลังเอื้ออำนวย ช่วยให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์สไตล์การเล่นของตัวเองออกมาได้แทบจะไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียวระบบที่เอื้ออำนวยให้คนเล่นไม่เก่ง ก็สามารถสนุกไปด้วยกันได้หากคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับเกมแนว Soulslike แบบ 3 มิติมา คุณน่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักเลยทีเดียวกว่าที่จะชินกับ Death Gambit เพราะว่าการออกท่าของศัตรูภายในรูปแบบมุมมอง 2 มิตินั้น ค่อนข้างคาดเดายากกว่ามุมมอง 3 มิติระดับหนึ่งเลย ทว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มจับทางของตัวเกมได้แล้ว เกมนี้จะง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียวเกมให้ทางเลือกในการตอบโต้การโจมตีของศัตรูที่หลากหลาย ราวกับถอดแบบมาจาก Dark Souls ทั้งการกลิ้งหลบ การบล็อก การแพรี่ ล้วนมีอยู่ใน Death Gambit อย่างครบถ้วน ซึ่งถ้าหากคุณมีประสบการณ์กับเกมแนว Soulslike มา ก็น่าจะรู้ว่า การกลิ้งหลบ มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณจบเกมได้อยู่แล้วและตัวเกมยังจะมีระบบเสริมพลังให้ผู้เล่นเมื่อปราบบอสหลักลงได้อีกด้วย เช่น ผู้เล่นจะสามารถกระโดดสองครั้งได้ หรือกระโดดแล้วพุ่งตัวได้ ช่วยทำให้จังหวะฉากต่อสู้ในเกมนี้มีทางเลือกที่หลากหลายมาก ส่งผลให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะบอสหลักภายในเกมได้อย่างไม่ยากเย็น แม้จะเพิ่งเคยปะทะกันเป็นครั้งแรกก็ตามทีอีกทั้งตัวเกมยังมีระบบ Abilities มาเสริมให้ เป็นสกิลประเภทกดใช้ที่ใส่ได้สูงสุดถึง 4 ช่อง ทำให้ผู้เล่นจะมีทั้ง สกิล Passive สกิล Active ความสามารถพิเศษที่ติดตัว อาวุธสองแบบ ไปจนถึง Aura ที่ช่วยเสริมพลัง เรียกว่าบัฟเต็มตัวกันขนาดนี้ เล่นไม่ผ่านก็ให้มันรู้ไปบทลงโทษที่เป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่น่าจะเป็นความตั้งใจของทีมพัฒนา ที่ทำให้เกมนี้มีความเข้าถึงง่าย เพราะนอกจากระบบต่อสู้ที่ให้ทางเลือกกับผู้เล่นจำนานมากแล้ว ในส่วนของการลงโทษเมื่อผู้เล่นตายนั้น บทลงโทษก็น้อยเสียเหลือเกินในเกม Soulslike ทั่ว ๆ ไป เมื่อผู้เล่นเสียชีวิตลง ตัวเกมจะทำการดรอปค่าเงินหรือ Souls ออกไปจากตัวผู้เล่นทั้งหมด ซึ่งเจ้า Souls นี้จะถูกใช้ในการทำสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ซื้อไอเทม ไปยันอัปเกรดค่าพลังกันเลยทีเดียว และในการจะได้ Souls คืนนั้น ผู้เล่นจะต้องวิ่งไปเก็บในจุดที่ตัวเองได้ตายลงไป ซึ่งถ้าหากสาเหตุการตายของคุณเป็นบอสแล้วล่ะก็ การจะเก็บ Souls คืนมาได้นี่แทบจะต้องถอดใจไปครึ่งหนึ่งกันเลยทีเดียวทว่าภายใน Death Gambit ทางผู้พัฒนากลับเลือกให้สิ่งที่ดรอปทิ้งไว้หลังจากที่ผู้เล่นตายเป็นไอเทมเติมพลังแทน โดยไอเทมเติมพลังนี้จะลดลงไปเรื่อย ๆ ครั้งละ 1 ชิ้นที่ตาย แถมเมื่อตายซ้ำแล้วไม่ได้เก็บ มันก็จะยังไม่หายไปไหน ต่างจาก Souls ในเกม Dark Souls อีกด้วยเพราะฉะนั้นคุณสามารถตายซ้ำ ตายซาก ตายจนเก่งได้เลย ไม่ต้องกลัวจะไม่มีไอเทมใช้ในภายหลัง อีกทั้งสำหรับคนที่เล่นจนช่ำชองแล้ว ผู้พัฒนาก็ยังได้เพิ่มทางเลือกมาให้ โดยการทำดาเมจเพิ่มขึ้น แลกกับการพกไอเทมเติมพลังได้ลดลง ซึ่งหากผู้เล่นเลือกที่จะไม่พกไอเทมเติมพลังเลยนั้น ก็เท่ากับว่า ในการตายจะไม่มีผลเสียที่กระทบถึงผู้เล่นเลย ช่วยให้เกมง่ายขึ้นเข้าไปอีกภาพลื่นไหล แต่แอบโหลดช้าบน Switchณ ปัจจุบัน เครื่อง Nintendo Switch จะแบ่งเป็นรุ่นใหญ่ ๆ ราว 3 รุ่น ได้แก่ Switch ธรรมดา (กล่องขาว กล่องแดง) Switch Lite ที่ถอดจอยด้านข้างกับต่อ Dock ไม่ได้ และ Switch OLED ที่เป็นรุ่นอัปเกรดคุณภาพจอขึ้นมา ซึ่งในด้านประสิทธิภาพ ทั้งสามรุ่นล้วนมีความแรงที่ใกล้เคียงกัน จะแตกต่างก็เพียงประสิทธิภาพในการใช้งานแบตเตอรี่เพียงเท่านั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือ งานภาพของ Death Gambit: Afterlife ทำออกมาได้ลื่นไหลเป็นอย่างมาก ทุกฉากการปะทะจะไม่มีอาการเฟรมตกให้เห็นเลย ต่อให้สกิลจะอลังการแค่ไหนก็ตาม (มีอาการเฟรมตกเล็กน้อยในฉากขนาดใหญ่ ที่ตัวเกมต้องฉายภาพออกมาในมุมกว้าง แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเล่นมากนัก) แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะจังหวะการโหลดข้ามฉากของเกมนี้นั้น ค่อนข้างกินระยะเวลาในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเกมที่มีงานภาพใกล้เคียงกันอย่าง Hollow Knight หรือจะเป็นเกมที่มีภาพสวยกว่าอย่าง The Legend of Zelda: Breath of The Wild ก็ยังรู้สึกว่ามันโหลดไวกว่า Death Gambit: Afterlife อยู่ดี ส่งผลให้ในบางครั้งที่ต้องเดินข้ามฉาก สลับไปมา อาจจะทำให้คนเล่นหงุดหงิดขึ้นมาได้เหมือนกันซ้ำร้าย ตัวเกมยังมีปัญหาแปลก ๆ เล็กน้อย เช่น เกมค้างในบางช่วง กดเปิดหน้าไอเทมแล้วมีอาการหน่วง หรือจะเป็นปัญหาที่เวลาข้ามฉากในแนวตั้ง ผู้เล่นจะต้องคอยดันก้านอนาล็อกทิศทางเอาไว้เสมอ มิฉะนั้นตัวละครของผู้เล่นจะร่วงลงไปในฉากเดิม ซึ่งถ้าหากเกมมันโหลดฉากไว ปัญหาการตกฉากตรงนี้ก็คงไม่น่าวุ่นวายใจมากนัก แต่มันดันโหลดช้านี่สิ จึงทำให้บางครั้ง ผู้เล่นจะต้องรอกันถึง 10-20 วินาทีเลยทีเดียว จากสาเหตุเพียงแค่ลืมดันก้านอนาล็อกทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ตัวละครยังคงปีนบันไดขึ้นไปต่อควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?ถึง Death Gambit: Afterlife จะเป็นเกมที่หยิบยืมแนวเกมที่เล่นยาก ๆ และเข้าถึงเกมเมอร์ในวงแคบอย่าง Soulslike มาผสมผสานกับ Metroidvania ก็จริง แต่ด้วยการปรับระดับความยากที่กำลังพอดี และการเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จึงทำให้เกมนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอยากจะลองสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยตัวเองอย่างพอเหมาะพอเจาะแม้ว่าอาจจะมีจุดที่น่าเสียดายไปบ้าง ทั้งเรื่องประสิทธิภาพบนเครื่อง Switch ไปจนถึงเรื่องความง่ายที่กลายเป็นดาบสองคม ทำให้เสน่ห์ของเกมแนว Soulslike และ Metroidvania หดหายไปเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า Death Gambit: Afterlife เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ ที่มีคุณภาพคับแก้ว และเหมาะสำหรับคนที่อยากจะลองเริ่มเล่นเกมแนวนี้เลยล่ะครับ
26 May 2022
[Review] รีวิวเกม V Rising (Early Access) "แวมไพร์ผงาด! เกมเอาตัวรอดยอดนิยมเกมใหม่แห่งปี"
หากคุณยังไม่เบื่อกับเกมแนวเอาชีวิตรอด หาของมาสร้างถิ่นฐาน และเติบโต แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในปี 2022 นี้ ก็มีอยู่หลากหลายเกมให้ได้เลือกเล่นกัน แต่เกมนี้ เปิดตัวด้วยความแหวกแนวในดา้น Presentation หรือการนำเสนอ แถมยังกลายเป็นเกมม้ามืด ฮอตฮิตติดลมบน จนหลายคนสงสัยว่ามันคือเกมอะไร แต่วันนี้นอกจากเราจะมาคลายคำตอบให้คุณแล้ว ยังมาพร้อมการรีวิวแบบละเอียดด้วย วันนี้ขอเชิญพบกับรีวิว V Rising (Early Access)แวมไพร์มึนยุคคุณจะรับบทเป็นแวมไพร์ไม่มีชื่อ (ที่คุณจะได้ตั้งชื่อของตัวเอง) ที่นอนหลับไปเป็นเวลาหลายร้อยปี และเมื่อตื่นขึ้นมา คุณก็พบว่าอารยธรรมของมนุษย์เข้ายึดครองแผ่นดินเอาไว้แล้ว หน้าที่ของคุณคือก้าวขึ้นเป็นราชาแวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างแดรกคิวล่า ออกตามหาทรัพยากร ดูดเลือดสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จากนั้นก่อร่างสร้างถิ่นที่พักอาศัยหรือปราสาทแวมไพร์ของเราขึ้นมาและขึ้นเป็นสุดยอดผีดูดเลือด และเรายังสามารถสร้าง และปรับแต่งหน้าตาตัวละครเราเองได้ด้วยเอาจริง ๆ ถ้าบอกว่าเกมนี้ไม่มีเนื้อเรื่องก็ย่อมได้ เพราะฉากคัทซีนในช่วงแรกตอนที่เราเริ่มเล่นเกมก็อธิบายที่มาที่ไปคร่าว ๆ ไว้หมดแล้ว แต่เกมจะยอมเล่าเนื้อเรื่องเพิ่มเติมมากกว่านี้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต เพราะตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ในสถานะ Early Access อยู่ แต่เราคงต้องบอกกันไว้ตรงนี้เลยว่า นี่อาจไม่ใช่เกมที่คุณจะมาสนุกกับเนื้อเรื่องสักเท่าไร เพราะหลัก ๆ แล้ว คอนเทนต์ของเกมในตอนนี้ คือการเล่นแบบ Build & Craft สร้างถิ่นฐาน ต่อสู้กับเหล่าบอสและพวกมนุษย์ เพื่อขยายอาณาจักรแห่งความมืดให้เกรียงไกรมากยิ่งขึ้น ดังนั้นใครคิดจะซื้อเกมนี้มาแล้วหวังเนื้อเรื่องดี ๆ ก็อาจจะต้องโบกมือลาไปเลย แน่นอนว่าคนที่เอียนแล้วกับการเล่นเกมแนว Survival ก็อาจจะไม่ชอบเกมนี้ด้วย แต่.. ถ้าคุณยังคิดว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจ ถ้าคุณคิดว่า เป็นแวมไพร์ ทำไมยังต้อง Survival รีวิวนี้อาจจะชวนให้คุณมาเสียเงินกับเกมนี้ก็ได้ผสมผสานการเอาตัวรอด กับการล่าพลังเพิ่มแบบเกม RPGV Rising มีการผสมผสานกลไกของเกม RPG อยู่ด้วย แม้จะไม่มีระบบเลเวล แต่แวมไพร์ของเราจะสามารถหาอุปกรณ์ และอาวุธ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีกว่ามาใส่ได้ แต่หัวใจหลักสำคัญเลยก็คือ การสร้างที่พักอาศัย ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ ในช่วงแรกเริ่ม สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรีบสร้างให้ได้ก็คือ Castle Heart ที่จะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการขยับขยายอาณาจักรแวมไพร์ของเรา โดยเราสามารถเลือกที่จะลงหลักปักฐานตรงไหนก็ได้ ขอแค่เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ทับเส้นทางถนน และไม่มี Object ใดบดบังหรือกีดขวาง รวมไปถึงการไปตั้งถิ่นฐานบนยอดเขาหรือเนินเขาก็จะสร้างความได้เปรียบด้วยเส้นทางบุกที่มีน้อยมาก ถามว่า ทำไมแค่การลงหลักปักฐาน ก็ต้องจริงจังขนาดนี้ มันอาจจะต้องซีเรียสก็ได้ หากคุณเล่นโหมด PvE หรือโหมดออฟไลน์ แต่ถ้าคุณเล่นโหมดออนไลน์แล้วล่ะก็ ค่อนข้างจำเป็นเลยทีเดียวในเกมนี้รองรับทั้งการเล่น Solo / Offline Mode ที่ไม่ต้องไปสุงสิง ชิงของกับใคร กับอีกโหมดเพิ่มความตื่นเต้นและความระทึกคือโหมด PvP Online ที่ 1 เซิร์ฟเวอร์จะรองรับผู้เล่นตามจำนวนคนที่โฮสต์เป็นคนกำหนด โหมดออนไลน์นี้ จะให้อารมณ์การเล่นคล้าย ๆ เกมอย่าง Day Z , War Z หรือ Infestation ที่ทุกคนจำเป็นจะต้องเอาตัวรอดทั้งจากเหล่ามอนสเตอร์ยังไม่พอ ยังต้องรับมือกับคนด้วยกันเองอีกต่างหาก แต่ใครที่รักสงบ ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับใคร ถ้าไม่อยากเหงา จะไปเล่นเซิร์ฟเวอร์ PvE ก็ได้ เราจะเจอผู้เล่นคนอื่น แต่จะโจมตีหรือไล่ฆ่ากันไม่ได้ แต่ถ้าเป็น Offline Mode เราจะเล่นคนเดียวแบบเพียว ๆ ไม่ต้องร่วมมือกับใคร หรือเราจะตั้งห้องขึ้นมา ให้พาสเวิร์ดเพื่อน เข้ามาเล่นกันในวงเพื่อนก็ทำได้เช่นกันวกกลับมาที่การตั้งถิ่นฐาน เมื่อเราเลือกสถานที่ตั้งตัวได้แล้ว คราวนี้เราจะได้เริ่มสร้างสิ่งของอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อีกมากมาย เช่นโต๊ะคราฟท์ของ โรงเลื่อย เตาหลอมเหล็ก เครื่องบดหิน เห็นแล้วใครที่เคยเล่นเกมแนว Survival มา ก็คงจะทำความเข้าใจเกมนี้ได้ไม่ยาก และเราจะต้องค่อย ๆ ซื้อพื้นที่เป็นของตัวเองเพิ่มขึ้น ทำให้เราสร้างสิ่งของ และมีบ้านพักที่กว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญและจำเป็นในการรันถิ่นฐานของเราคือ Blood Essence เจ้า Blood Essence คือพลังงานเลือดที่เราสามารถหาได้จากการกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่น อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด มันจะเหมือนกับ "ไฟฟ้า" ที่ต้องใส่ไว้ที่ Castle Heart และทำให้สิ่งของต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเป็นระบบปกติและคนที่สงสัยว่า เป็นถึงแวมไพร์ทั้งที ยังจะต้องหลบหนีเอาตัวรอดจากอะไรอีก แล้วแวมไพร์กลัวอะไรล่ะ ? แน่นอนว่าแวมไพร์แพ้แสงแดด แสงอาทิตย์ ! ในเกมนี้ จะมีระบบเวลากลางวันและกลางคืนด้วย สำหรับช่วงเวลากลางคืน จะเป็นช่วงเวลาที่แวมไพร์อย่างเราสามารถเริงร่าได้อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะไม่ต้องมานั่งหลบแสงแดดแล้ว หากคืนไหนเป็นคืน Blood Moon หรือคืนพระจันทร์สีเลือด คืนนั้นเราจะแข็งแกร่งกว่าปกติ แนะนำว่า หากเข้าสู่ช่วงคืนพระจันทร์สีเลือด ให้กอบโกยผลประโยชน์ และฟาร์ม หรือออกล่าให้เต็มที่ ในขณะที่ช่วงเวลากลางวัน เราต้องคอยหลบแสงแดดที่สาดส่องลงมา แต่มันก็ไม่ได้จริงจัง ซีเรียส ถึงขนาดนั้น เพราะเกมนี้ แค่ร่มไม้ หรือเงา ก็สามารถช่วยคุณบังแดดได้แล้ว ทำให้เวลากลางวัน ไม่เหมาะกับการออกไปต่อสู้ หรือไล่ตบบอส เพราะพื้นที่ในการต่อสู้เราจะมีน้อยมาก โดยฉพาะพวกแคมป์โจร หรือที่โล่ง ที่หากอยู่ในช่วงเวลากลางวัน จะเดือดร้อนมาก เพราะจะโดนแดดเผานั่นเอง และนอกจากการบริหารจัดการเวลาที่ดีแล้ว V Rising จะมีระบบที่ทำให้เราสมกับการเป็นแวมไพร์มากยิ่งขึ้นระบบการดูดเลือด ที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นในหลากหลายเส้นทางเป็นแวมไพร์ทั้งที สิ่งที่ต้องทำได้ แน่นอนว่าคือการดูดเลือด และการดูดเลือดของเกมนี้ ก็ถือว่าเป็น Core Gameplay การเล่นหลักเลยก็ว่าได้ ทุกครั้งที่เราต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประเภทต่าง ๆ เมื่อสังหารมันจนใกล้ตายแล้ว เราสามารถกด F (Feed) เพื่อดูดเลือดของเป้าหมายมาได้ โดยสิ่งมีชีวิตที่เราดูดเลือดมานี้ จะส่งผลกับพลังที่เราได้มาด้วย สำหรับสิ่งมีชีวิตในเกมนี้จะมีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งหากเราดูดเลือดของเผ่าพันธุ์ใดมาแล้ว เราจะได้รับพลังแฝงของเผ่าพันธุ์นั้นมาใช้ โดยเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ แบ่งออกเป็น พวกสัตว์ป่า (Creature) พวกนักรบ (Warrior) พวกคนงาน (Worker) พวกโจร (Rogue) พวกผู้ใช้อาคม (Scholar) พวกนักสู้ร่างยักษ์ (Brute) การดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตแต่ละแบบก็จะทำให้เราได้บัฟต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราดูดเลือดพวกคนงานมา ก็จะเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้ดีขึ้น ดูดเลือดสัตว์ป่ามาก็เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเป็นต้นสิ่งนี้ทำให้การดูดเลือดมีความสำคัญมาก เราต้องดูว่าในวันนั้น เราจะทำอะไรเป็นหลัก ถ้าจะออกไปต่อสู้ รบราฆ่าฟันกับเหล่าบอส ก็อาจจะต้องดูดเลือดพวกนักรบ นักสู้ หรือผู้ใช้อาคม แต่ถ้าเราจะขยับขยายบ้าน หาทรัพยากรเติมให้กับถิ่นฐานของเราก็ใช้เลือดของคนงานจะดีกว่า และเลือดที่ดูดมา ยังนำไปใช้สกิลฟื้นพลังชีวิตได้ แต่เลือดเหล่านี้จะค่อย ๆ หมดลง ไม่คงอยู่ถาวร ถ้าเลือดหมด พลังชีวิตเราจะค่อย ๆ ลดลง นอกจากนั้น เราไม่สามารถดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ประเภทพร้อมกันได้ ในด้านการต่อสู้ ตัวเกมจะมีระบบการต่อสู้และมุมมองการเล่นที่คล้าย ๆ กับเกมอย่าง Diablo หรือ Path of Exile โดยเป็นมุมกล้องแบบ Isometric มองจากด้านบนลงมา และสามารถหันมุมกล้องได้อย่างอิสระจากด้านบน ทำให้การต่อสู้นั้นค่อนข้างปรับตัวและคุ้นชินกับมันได้ง่ายมาก สำหรับคนที่ถนัดเกมแบบนี้ แต่หากมองในแง่ของการ PvP ปะทะกับผู้เล่นอื่นก็ถือว่าหลายคนต้องปรับตัวกันมากพอสมควรนอกจากนั้นในส่วนของอาวุธและอุปกรณ์นั้น ตัวเกมยังใส่ระบบแพ้ทางชนะทางกันไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากใช้ขวานตีต้นไม้ ก็จะทำดาเมจได้มากกว่า ดรอปไม้มากกว่า หรือถ้าใช้พวกค้อนตีเหล็ก ก็จะตีเหล็กได้แร่เหล็กมากกว่า ซึ่งมันส่งผลไปถึงระบบการต่อสู้ด้วย เช่นถ้าศัตรูใช้โล่ไม้ แล้วเราสลับไปใช้ขวานโจมตี ก็อาจจะทำให้โล่แตกเร็วขึ้นได้ เกมนี้จึงผลักดันให้ผู้เล่นต้องคิดและเลือกใช้อุปกรณ์กับอาวุธอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านการเก็บเกี่ยวทรัพยากรและการต่อสู้กับศัตรูล่าบอส ปลดล็อคพลังใหม่ และสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆด้วยความที่เป็นเกมออนไลน์ ที่เล่นออฟไลน์และโซโล่ได้ คำถามที่หลายคนสงสัยคือ แล้วคอนเทนต์ตอนนี้ ถ้าเล่นคนเดียวจะมีอะไรให้ทำ คำตอบคือการล่าบอส ในเกมนี้จะมีบอสให้เราล่ามากกว่า 30 ตัวด้วยกัน และการล่าบอส ไม่ใช่แค่การล่าเอาสนุกเท่านั้น แต่มันยังช่วยปลดล็อคสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ และทำให้เราได้พลังใหม่มาใช้อีกด้วย อย่างเช่นในช่วงแรก หากเราอยากปลดล็อคเครื่องบดหิน เพื่อเอามาสร้างหินประเภทใหม่เพิ่ม ก็ต้องล่าบอสก่อนเป็นต้นวิธีการล่าบอสในเกมนี้ เราจำเป็นจะต้องสร้าง Blood Altar ขึ้นมาก่อน จากนั้นเลือกบอสที่จะไปล่า โดยบอสแต่ละตัวจะมีการบอกระดับเลเวลเอาไว้ ถ้า Gear Lv. โดยรวมของเรายังไม่ถึงหรือใกล้เคียงก็พยายามอย่าไปเสี่ยงมากจะดีกว่า ใช้เวลาฟาร์มของ สร้างฐานและอัปเกรดชุดกับอาวุธของเราให้พร้อม เพื่อการต่อสู้ที่ราบรื่น โดยหลังจากเราโค่นล้มบอสได้ จะปลดล็อคพลังใหม่ที่ได้มาด้วย ทำให้เกมนี้มีสกิลและระบบการต่อสู้ที่สนุกและหลากหลายมาก ประกอบกับแผนที่ Open World ขนาดใหญ่ ทำให้คอนเทนต์ของเกมนี้ แม้จะอยู่ในช่วง Early Access ก็ยังผลาญเวลาไปกับมันได้อย่างน้อย ๆ ก็ 10-20 ชั่วโมงขึ้นไปในตอนนี้หากพิจารณาจากยอดขาย 1 ล้านชุดใน 1 สัปดาห์ และคนเล่นที่สูงทะลุแสนคนตลอดหลังจากการเปิดให้เล่น ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า เกมแนว Survival นั้น ไม่เคยเสื่อมความนิยมลงไปเลย และดูท่า V Rising เองก็จะมอบแนวทางและคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้เกมแนวนี้ได้อีกมาก ใครกำลังมองหาเกมแนว Survival + RPG และธีมแวมไพร์เล่นอยู่ ราคา 289 บาท สำหรับ Early Access ตอนนี้ ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก
24 May 2022
[แนะนำเกม] Little Witch in the Woods "การผจญภัยของแม่มดน้อยในป่าใหญ่ เกมดีต่อใจที่น่าจับตามอง"
Little Witch in the Woods ได้เปิดจำหน่ายแบบ Early Access ไปแล้วในวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา เราจะได้รับบทเป็นแม่มดฝึกหัดชื่อ Ellie และมีเพื่อนร่วมเดิมทางเป็นหมวกขี้บ่นที่คอยชี้แนะเธอชื่อ Virgil เริ่มเรื่องมาด้วย Ellie ของเราจำเป็นต้องนั่งรถไฟเพื่อเดินทางไปฝึกงาน เพื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนแม่มด รถไฟได้เกิดเสียขึ้นมา และด้วยความเบื่อของแม่มดน้อยเป็นเหตุ เธอจึงลงจากรถไฟ ไปหาเจ้าหน้าที่ เพื่อแจ้งว่าเธอจะขอเดินไปดูรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียงในละแวกที่รถไฟจอดเสียอยู่ โดยเจ้าหน้าที่รถไฟได้บอกเธอว่า "ให้กลับมาก่อนเช้า" ด้วยความที่ Ellie เบื่อที่จะอยู่บนรถไฟ ทำให้เธอไม่เชื่อคำแนะนำของ Virgil ที่บอกให้เธอกลับไปนอนบนรถไฟหลังจากสำรวจเสร็จ แต่เธอเลือกที่จะนอนในบ้านหลังเก่า ๆ ของแม่มดที่เธอเจอในป่าแทน เมื่อแม่มดน้อยกลับมาจุดที่รถไฟเสียในตอนเช้า เธอก็โดนเจ้าหน้าที่รถไฟเทเสียแล้ว พร้อมจดหมายที่บอกเธอว่า "เราจำเป็นที่จะต้องออกเดินทางโดยที่ไม่มีเธอ และให้เธอไปรอที่หมู่บ้านใกล้ ๆ แถวนั้นก่อน และเดี๋ยวพวกเขาจะกลับมารับ" และการผจญภัยของ Ellie ก็ได้เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ครับ เพราะการไปหมู่บ้านนั้น มีอุปสรรคต่าง ๆ มาทดสอบเธอมากมาย และเธอดันสนุกกับมันซะด้วยสิ  >< ส่วนในอนาคตนั้น ต้องรอลุ้นว่าใน Chapter ถัดไป Dev จะเพิ่มระบบการต่อสู้กับมอนเข้ามาหรือเปล่า ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตชิล ชิล ในโลกเวทย์มนต์กันไปก่อนครับปรุงยา - การผสมหยูกยาต่างๆ ในการเรียนวิชาปรุงยา พอเรียนเสร็จก็ไปหาอะไรกินที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว (คนละเรื่องกันโว้ยนั่นมันแฮร์รี่ พอตเตอร์) โทษๆ มาว่ากันเรื่องการปรุงยาในเกมนี้กัน Slow life ไม่แพ้เกมเพลย์เลยครับ เนื่องด้วยในตอนแรกนั้นอุปกรณ์ของเรายังไม่ได้รับการอัพเกรด ชีวิตช่วงแรกๆ ในเกมจะค่อนข้างรันทดครับ เพราะกว่าเราจะหาวัตถุดิบที่ไปฟาร์มมา เพื่อมาเป็นส่วนผสม ตอนผสมก็ดันทำได้ทีละครั้งอีก แต่พอเรามีเงินไปอัพเกรดแล้วก็จะทำได้ ทีละ 2 ครั้ง 3 ครั้ง 4 ครั้ง แบบรวดเดียว ตามลำดับที่เราอัพเอาไว้ แต่กว่าจะอัพได้จนสุด เราต้องหาเงินหาไอเทมดุเดือดอยู่เหมือนกันครับ ฉะนั้นการผจญภัยของเราในแต่ละวันให้เราวางแผนไว้ก่อนเลยว่า วันนี้จะฟาร์มอะไรบ้าง หรือวันนี้จะเดินเควสอย่างเดียว เพราะช่วงหาเงิน เราต้องปรุงยาไปขายให้ NPC เพื่อที่จะหาเงินมาอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านครับ การขายยา (น้อง Ellie ไม่ได้เสพครับ น้องขาย หยอกๆ 555) เราจะขายได้ในส่วนของ Candy เท่านั้น ส่วน Potion ขายไม่ได้ สามารถนำไปใช้กับเควสหรือ ใช้ช่วยในการฟาร์มของเราเท่านั้นครับ ในการปรุงยานั้น จะมีสูตรในสมุดจดบันทึกของเรา เราต้องเช็คให้ดีก่อนที่จะปรุง เพราะสูตรต้องตรงเป๊ะ ใส่ไอเทมไหนก่อน ความแรงไฟเท่าไหร่ ต้องหมุนซ้ายหรือหมุนขวา ถ้าทำไม่ตรงกับสูตร ก็จะไม่สำเร็จครับ ถึงแม้จะ Failed แต่วัตถุดิบก็ไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่เหมือนเดิม แค่เราต้องทำใหม่อีกรอบครับสัตว์วิเศษ - อันนี้ตอนเล่นๆ ไปผมแอบตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนกันครับ ใจไม่ดีเลยน่ารักไปโหม๊ดดดด >< ตอนกลางวันเจอน้องต่าย เดินไปอีกแมพเจอซาลาแมนเดอร์ คาวาอี้ไม่ไหว น้องๆในทุกๆแมพจะเป็นสิ่งมีชีวิตในเกม ที่เราจะต้องไปฟาร์มหาวัตถุดิบในการทำยา แต่วันๆหนึ่งในเกมค่อนข้างจะหาไอเทมได้จำกัดครับ เนื่องจากว่ามีค่าหลอด Energy กับเวลาที่จำกัดเราอยู่ แต่ในส่วนของการฟาร์มไอเทมจากสัตว์วิเศษก็ยังมีอีกข้อที่จำกัดเรา นั่นคือกระเป๋าของเกมนี้ที่ค่อนข้างจุได้น้อย ไอเทมชนิดเดียวกันเก็บได้แค่ 10 ชิ้นต่อ 1 ช่อง ยิ่งช่วงแรกๆ เรายังไม่มีเงินขยายกระเป๋า เราจะต้องวิ่งกลับบ้านบ่อยจนเบื่อเลยครับ สัตว์วิเศษในเกมนี้จะมีสัตว์กลางวันกับสัตว์กลางคืน ถ้าจะเอาไอเทมชนิดนี้ต้องไปตามเวลาที่น้องออกเท่านั้น อยากรู้ว่าตัวไหนออกตอนไหนพอเจอน้องๆ ก็ให้จดใส่สมุดของ Ellie บันทึกข้อมูลของน้องๆ เอาไว้ครับ และสัตว์บางชนิดเราไม่สามารถใช้มือจับได้ จะต้องมีตาข่ายไว้จับไปอี๊กกกก ซึ่งหาซื้อได้จาก NPC ครับ อุปกรณ์พวกนี้ถ้าเรามีเงิน ให้ซื้อไว้ก่อนให้หมดเลย เพราะในช่วงแรกจำเป็นต้องใช้เพื่อทำยาไปขายให้ NPC ครับ และสูตรการผสมยานอกจากจะได้รับตามเควสต่างๆ เรายังสามารถซื้อได้ที่ NPC ตัวที่มายืนขายของให้เราหน้าบ้านทุกวี่ทุกวันได้เช่นกันครับการอัพเกรด - โดยเริ่มแรกจะมี NPC แค่ 2 ตัว ที่เราสามารถไปใช้บริการได้ หลังจากนั้นตัวอื่นๆ เราต้องทำเควสตามเนื้อเรื่องจนพาพวกนางกลับเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านให้ได้ก่อน เราถึงจะสามารถใช้งานได้ครับ เราสามารถขยายกระเป๋า อัพเกรดห้องปรุงยาของเรา หรือขยายคลังเก็บของ สิ่งที่เราต้องเตรียมก็คือ หาไอเทมต่างๆที่ NPC รีเควสเรามาครับการใช้ไอเทม - หลักๆเลยเราจะใช้ยาที่เราปรุงมา นำมาใช้เพื่อช่วยในการหาวัตถุดิบ หรือ ใช้เพื่อเดินทางเข้าไปในจุดลับต่างๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นปลูกต้นไม้เพื่อให้เราปีนไปเก็บของในส่วนที่เราขึ้นไปไม่ได้, ใช้ปลดล็อคเส้นทางต่างๆ, ใช้เมื่อเวลาเข้าไปเก็บไอเทมในที่มืดๆ พอกินยาแล้วจะมีแสงออกมาให้เรา, ใช้เพื่อทำให้เราหูหนวกในชั่วขณะหนึ่ง เพราะในเกมจะมีสัตว์วิเศษที่ชื่อ แมนเดรก เวลาที่เราดึงน้องออกมา น้องจะแหกปากร้องเสียดังทำให้ Ellie ของเราสลบครับ และถ้าเราคิดว่าสลบแป๊บเดียว นั่นไม่จริงนะครับ ถ้า Ellie ไปดึงอีกตัว น้องก็จะสลบนานขึ้นไปอีก ทำให้เราเสียเวลาในการฟาร์มของในวันนั้นไปครับ เพราะเราจะเสีย Energy ทุกครั้งที่เราไปดึงไอ้เจ้าแมนเดรกนี่ขึ้นมา และถ้าซ้ำร้ายกว่านั้น พอฟื้นจากการสลบมา ไอเทมที่เคยดรอปดั๊นหายไปต่อหน้าต่อตาอีก ผมเจอมาแล้ว TTข้อดี - เกมน่ารักมาก ๆ ครับ เนื้อเรื่องได้ลุ้นตลอดว่าเราจะได้เจอกับอะไร ต้องไปช่วยชาวบ้านคนไหนระหว่างเดินทาง ต้องไปหาวัตถุดิบที่ไหน จากสัตว์วิเศษหรือพืชขนิดไหนเพื่อมาปรุง Potion และมีสูตรให้เราได้ผสมเองว่าต้องใช้ส่วนผสมอะไร ตั้งความแรงไฟเท่าไหร่ เวลาเจอสัตว์หรือพืชชนิดใหม่ ๆ เราสามารถให้น้อง Ellie จดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราสำรวจเจอได้ และพอจดเรียบร้อยจะมีวิธีการบอกว่า เราจะสามารถได้ส่วนผสมมาได้อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง ผมถือว่าคุ้มค่ากับราคาเต็ม 249 บาทครับข้อเสีย - เนื่องจากยังเป็นช่วง Early Access ตัวเกมจึงปล่อยมาให้เล่นยังไม่จุใจเท่าไหร่ เพราะ Chapter 1 ความยาวเนื้อเรื่องจะอยู่ที่ประมาณ 4-6 ชั่วโมงเท่านั้น อาจจะทำให้อารมณ์ในการเล่นขาดตอนได้ เพราะอาจจะอยากรู้เนื้อเรื่องใน Chapter ถัดไป ช่องเก็บของที่น้อยมากๆ จนบางครั้งทำให้เราหงุดหงิด เพราะต้องวิ่งกลับมาบ้านเพื่อนำของมาเก็บบ่อย ๆ และอีกอย่างที่ผมค่อนข้างไม่ชอบคือระบบควบคุมของเกมออกแบบมาให้ใช้คีย์บอร์ดในการเล่น แต่จากที่ลองเล่นดูแล้วเหมือนจะไม่เหมาะกับคีย์บอร์ด แต่ผมมองว่ามันเหมาะกับจอย Controller มากกว่า ในส่วนนี้ทาง Dev ได้ทราบเรื่องจากผู้เล่นแล้ว และกำลังปรับปรุงแก้ไขอยู่ครับใครสนใจสามารถหาซื้อเกมนี้ได้ใน Steam นะครับ ราคาไม่แรงมาก ถือว่าจับต้องได้ มีติดคลังไว้ไม่เสียหายครับ เพราะถ้าตัวเกมอัพเดทเป็นตัวเต็ม อาจจะโดนราคาที่แรงกว่านี้ก็เป็นได้ หวังว่าการรีวิวของผมจะช่วยในการตัดสินใจของเพื่อนๆได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ แต่ขอย้ำเลยว่าน้องน่ารักจริงๆ ของมันต้องมีครับ ใครที่สนใจตามลิ้งก์ไปตำกันได้เลยยยยยยยย! วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ไปเจอนกตัวนึงงงงงง ♪♬♫ ~ >
20 May 2022
[Review] รีวิวเกม Rogue Legacy 2 "ตระกูลยอดนักสู้ถล่มปราสาท สานต่อตำนานเกม Roguelite คุณภาพคับแก้ว"
หากคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ชอบที่จะได้เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มเหลว ชอบที่เราจะเติบโตขึ้นทุก ๆ ครั้งจากความผิดพลาด แนวเกมที่คุณน่าจะชื่นชอบก็คงเป็นพวกแนว Roguelite และในปี 2022 นี้ แม้ว่าจะมีเกม Roguelite จำนวนมาก ออกใหม่มาให้เราได้เล่นกัน แต่มีอยู่ 1 เกม ที่อัปเดตเป็นตัวเกมเวอร์ชั่นเต็ม และอัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์และความสนุกในแบบที่แฟนเกม Roguelite ไม่ควรพลาด และวันนี้เราจะหยิบเกมนี้มารีวิวให้ได้ดูกันกับ Rogue Legacy 2การผจญภัยของตระกูลอัศวินผู้ปราบปีศาจต้องบอกว่าใครที่คิดว่าเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องง่าย ๆ เข้าใจได้สบาย ๆ ก็คงต้องบอกว่าคิดผิด เพราะแม้ตัวผู้เขียนเองจะเล่นไปหลายสิบชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่อาจคาดได้ถึงปูมหลัง เนื้อหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมได้เลย และแม้กระทั่งในเว็บไซต์สนทนากันของเหล่าเกมเมอร์อย่าง Reddit ก็ยังเผยว่า การจะเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมนี้ ต้องอาศัยการเล่นซ้ำเป็นจำนวนมาก และบางคนแม้จะ New Game+ ไปหลายรอบ แต่ก็ยังมีข้อมูล และเนื้อหาในเกมที่ยังเปิดเผยได้ไม่ครบ และแน่นอนว่าเนื้อหา อาจไม่ใช่แก่นหลักความสนุกของเกมนี้ด้วย แต่เราไม่ได้บอกว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี แค่ถ้าหากว่าคุณอยากเข้าใจเรื่องราวของโลกในเกมนี้ให้ได้มากที่สุด คุณอาจจะต้องเล่นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องที่หลายคนชอบสักเท่าไรนักแต่หากจะเอาคร่าว ๆ มันก็คือเรื่องราวของอัศซินตระกูลหนึ่งที่สืบเชื้อชาติในการต่อสู้ บุกโจมตีปราสาทที่ถูกจอมมารรร้ายเข้าไปสิงสู่อยู่ และวงศ์ตระกูลของเราก็สืบทอดการเป็นนักรบเรื่อยมา แถมยังแตกแขนงออกเป็นคลาสต่าง ๆ ซึ่งจะไปโยงกับระบบเกมเพลย์ที่เรากำลังจะอธิบายกันต่อไป แต่กล่าวได้ว่า Rogue Legacy 2 นั้น มีเนื้อเรื่องที่สลับซับซ้อน ไม่แพ้พวกเกมซีรีส์โซลเลยด้วยซ้ำไปตระกูลฉันเป็นยอดนักสู้ แถมหลากหลายความสามารถในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น "สมาชิกตระกูล" ตระกูลหนึ่ง ที่สืบทอดจิตวิญญาณด้านนักสู้เสมอมาทุกรุ่น ๆ และนำเสนอในรูปแบบ Roguelite หากคุณนึกภาพไม่ออก เมื่อเริ่มเกมมา คุณจะเริ่มต้นด้วยตัวละครตัวหนึ่ง และเมื่อนำตัวละครนั้นไปเล่นตะลุยด่านจนตาย คุณจะได้เลือกตัวละครใหม่ ที่เป็นเหมือนกับลูกหลานของตัวละครตัวก่อนหน้ามาเล่นแทน ซึ่งนี่เป็นไอเดียการนำเสนอที่ถือว่ามีสีสันมาก แต่เกม Rogue Legacy ก็ใช้วิธีนี้ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และในภาคนี้ก็ยังคงเสน่ห์การนำเสนอแบบนี้ไว้และไม่ใช่แค่เริ่มตระกูลมาแล้วเราจะเป็นนักรบอย่างเดียว เมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะปลดล็อคคลาสต่าง ๆ ได้จากการอัปเกรดปราสาทหลัก ซึ่งจะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเรา มีสายอาชีพใหม่ ๆ เรียนรู้การใช้อาวุธใหม่ สกิลใหม่ได้อีกด้วย ทำให้ตระกูลของเรามีความหลากหลาย ซึ่งนั่นก็หมายถึงคลาสในเกมที่จะมีเยอะขึ้นจากเริ่มต้นเป็นแค่นักรบ ก็อาจจะมีตั้งแต่จอมเวท นักธนู พ่อครัว คนเถื่อน วัลคิรี่ และอื่น ๆ อีกมาก แถมแต่ละคลาส หากเราหยิบคลาสนั้นมาเล่นบ่อย ๆ ก็จะเป็นการเก็บเลเวลให้กับคลาสนั้น ให้มีพลังที่มากขึ้นอีกด้วยตัวเกมมีการนำเสนอเกมเพลย์แบบ Roguelite สิ่งที่คุณต้องเจออย่างแน่นอนในเกมนี้ก็คือความตาย คุณไม่มีทางที่จะจบเกมนี้ได้ด้วยการเล่นไม่กี่รอบ การตายจึงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการเรียนรู้ และทำให้เราเชี่ยวชาญการเล่นมากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า ตั้งแต่เริ่ม เราใช้คำว่า Roguelite ไม่ใช่ Roguelike นั่นเพราะเกมนี้ ทุก ๆ ความตายของเรา จะทำให้เราเก่งขึ้น ทั้งฝีมือของผู้เล่นจากการเรียนรู้ และจากระบบของตัวเกมเองเกมเพลย์เข้าใจง่าย ตายเพื่ออัปเกรด ตายเพื่อให้ลูกหลานแข็งแกร่งขึ้น เกมเพลย์ของ Rogue Legacy 2 เป็นแบบ 2D Side Scrolling กราฟิกแบบการ์ตูน เบาสบาย เข้าถึงได้ง่าย แต่ที่จะยากจริง ๆ คือระบบของเกมเพลย์ อย่างที่บอกไปว่ามันคือ Roguelite ที่ถ้าหากว่าเราอยากเก่งขึ้น ความตายจะเป็นสิ่งที่เราต้องเจอ แต่ก่อนที่เราจะตายนั้น เราจะได้ผจญภัย ต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่าง ๆ และความเป็น Roguelite จะทำให้พื้นที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบสุ่ม ในการเล่นทุกรอบนั้นจะไม่เหมือนกัน เราอาจจะเจอพื้นที่ใหม่ โซนใหม่ที่แตกต่างกันออกไปในการเล่นแต่ละรอบเราอาจจะวิ่งไปเจอกล่องสมบัติ ที่อาจจะเป็นแบบแปลนอาวุธ ชุดเกราะ ที่เราสามารถซื้อมาใส่เพื่อเพิ่มพลังให้ตัวละครได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ระบบการอัปเกรดในเกมนี้ จะอยู่ที่การอัปเกรดปราสาท เพราะเจ้าปราสาทนี่แหละ ที่จะเป็น Core Upgrade ทั้งหมดในเกม ตั้งแต่ปลดล็อคอาชีพภายในเกม ไปจนถึง NPC สายช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จะปรากฎตัวออกมา หลังจากเราปลดล็อคปราสาทไปแล้ว NPC เหล่านี้จะมีหน้าที่อัปเกรดอาวุธ อุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งการล็อคฉากในการเล่นรอบต่อไปให้เป็นเหมือนเดิม สำหรับคนที่รู้สึกว่า ฉากและแผนที่รอบนั้น น่าสนใจพอจะสำรวจเพิ่ม เราจะได้ไม่ต้องสุ่มแผนที่ใหม่ แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยการอัปเกรดปราสาท จะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา สามารถปลดล็อคอาชีพใหม่ ๆ ได้ โดยในการเล่นเกมแต่ละรอบ ระบบจะสุ่มลูกหลานออกมา 3 คน (หรือก็คือ 3 ตัวละคร) เช่นช่วงแรก เราอาจจะได้เป็นแค่ Warrior แต่เมื่ออัปเกรดเพิ่ม อาจจะเปลี่ยนไปเป็นนักธนู นักเวท มือสังหาร พ่อครัว และแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่น จุดด้อย มีสกิลติดตัวที่แตกต่างกันออกไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น มือสังหาร ที่โจมตีได้รวดเร็ว มีโอกาสติดคริติคอลสูงมาก แต่ก็จะบอบบางมาก หรือพ่อครัว ที่มีความสามารถในการเก็บสะสมยาเติมพลัง แต่การโจมตีจะเปลี่ยนเป็นใช้กระทะหวด ทำดาเมจได้ปานกลางและช้า ซึ่งผู้เล่นต้องเลือกเอาเองว่า อุปสรรคแบบไหนที่เราอยากจะรับมือด้วย ผ่านการเลือกตัวละครเหล่านี้และไม่ใช่ว่าทุกตัวละครจะไม่มีข้อเสีย และเลือกมั่ว ๆ อย่างที่ต้องการได้ เกมยังมีระบบ Traits หรือระบบลักษณะนิสัย แต่ในบริบทของเกมนี้แล้ว มันเป็นเหมือนกับบัฟ หรือดีบัฟมากกว่า ซึ่งถ้าไม่อ่านให้ดี แม้ว่าสเตตัสของตัวละครบางตัวจะดูดีแค่ไหน แต่ถ้า Traits แย่ขึ้นมา แล้วไม่อ่านให้ดีล่ะก็ บอกเลยว่าการเล่นรอบนั้นจะยากเสียจนคุณอยากจะฆ่าตัวตายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผนที่กลับหัว อาวุธกลายเป็นไม้บิลบอร์ดแห่งความสงบสุข ตีแล้วไม่มีดาเมจเลย หรือตัวละครเรากลายเป็นไซส์เล็กจิ๋วแทน ก็มี ดังนั้นข้อควรระวังของเกมนี้เลยคือ อย่ามองแค่สกิลและความสามารถของคลาสนั้น ๆ แต่ให้ดู Traits ของตัวละครตัวนั้นด้วยเมื่อเราพลาดท่าตายในแต่ละรอบ สิ่งที่เราจะนำกลับมาได้หลังเกิดใหม่คือ จำนวน Gold หรือเงินที่เราต่อสู้ได้มา เงินจะใช้ในการอัปเกรดปราสาท เพื่อเพิ่มสเตตัส และปลดล็อคคลาสใหม่ ๆ อย่างที่เราได้กล่าวไป นอกจากนั้นยังใช้ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่ทำให้เราตีได้แรงขึ้น หนาขึ้น แบกรับน้ำหนักได้มากขึ้นอีกด้วย ด้วยความที่มันเป็นเกม Roguelite ที่ยังไงเราก็ต้องตาย ความสนุกโดยเฉพาะของเกมนี้เลยก็คือ การที่เราจะต้องวนมาเจอกับศัตรู (หรือบอส) หน้าเดิม ๆ และทำยังไงก็ตามให้เราโดนโจมตีน้อยที่สุด สำหรับเกมนี้แล้ว จะมีความเป็น Dark Souls อยู่ที่ ยาน้อยมาก ถ้าโชคไม่ดีจริง ๆ ในการเล่นแต่ละรอบ เราแทบจะไม่เจอยาเลยก็มี ดังนั้นทุกดาเมจ ทุกความเสียหายที่ตัวละครเราได้รับมา อาจจะหมายถึงระยะทางการไปต่อที่สั้นลง เพราะยิ่งโดนตีมาก ก็ยิ่งเสี่ยงตายมากขึ้น ตายบ่อย ๆ อาจจะเก่งขึ้นก็จริง แต่ถ้าตายเร็ว อะไรหลายอย่างอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ที่ต้องชื่นชมอีกอย่าง คือการออกแบบฉาก และด่านการเล่นของตัวเกม ที่ผสมผสานอุปสรรคประเภทศัตรูและพวกกับดักต่าง ๆ ออกมาได้ดีมาก ๆ ไม่ใช่แค่ศัตรูเท่านั้น ที่เราจะต้องคอยรับมือมันให้ดี แต่พวกกับดัก อุปสรรคฝังด่านต่าง ๆ ถ้าไม่ระวังให้ดี มันก็จะทำให้คุณเสียพลังชีวิตได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นเลยก็มี ทำให้มันเป็นเกม Roguelite ที่ท้าทายและเพลิดเพลินไปกับมันได้ในเวลาเดียวกันส่วนเรื่องของ Performance ตัวเกม ด้วยกราฟิกแบบการ์ตูนเบาสบายแบบ 2D แบบนี้ ก็ไม่ค่อยจะกินสเปคมากสักเท่าไรนัก เพราะแค่แรม 8 GB กับการ์ดจอซีรีส์ 6xx สำหรับ Nvidia หรือ AMD R9 ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกมนี้แล้ว เบาเครื่องเป็นอย่างมาก และด้านการปรับแต่งตัวเกมก็มีความละเอียดไม่แพ้เกมอื่น ๆ แต่จะครอบคลุมในส่วนของความเป็นเกมฟอร์มเล็กเท่านั้น อาจจะไม่ได้มีการปรับแต่งรายละเอียดให้เยอะอะไรขนาดนั้นกล่าวได้ว่า ในขณะที่เกมใหญ่ ๆ หลายเกมออกมาล้มระเนระนาด เกมอินดี้แสนพิถีพิถัน ก็ยังคงมีให้เห็น เหมือนดั่งเช่น Rogue Legacy 2 และเป็นอีกเกมที่ตัวเกมเลือกที่จะหยิบเอาแนว Roguelite มาปรุงแต่งให้เกิดรสชาติเกมที่กลมกล่อม สนุก และอาจผลาญเวลาไปกับมันได้เป็น้รอยชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าคุณชอบการนำเสนอของมัน
16 May 2022
[Review] รีวิวเกม Evil Dead: The Game "เกมผีอมตะแนว PvP รสชาติใหม่สุดดุเดือด เลือดสาด สมใจแฟนภาพยนตร์"
ถือว่าเป็นเกมที่มาถูกช่วง ถูกเวลามาก ๆ ในขณะที่ผลงานใหม่ของ Sam Raimi อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness กำลังกวาดรายได้อย่างถล่มทลายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ผลงานอมตะของผู้กำกับคนนี้ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่าง Evil Dead หรือชื่อภาษาไทยว่า ผีอมตะ ก็ถูกปลุกชีพกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบเกม Multiplayer ที่ขนเอาตัวละครต่าง ๆ ในแฟรนไชส์มาดัดแปลงให้เป็นเกม PvP ต่อสู้กันแบบ 4vs1 สไตล์ Dead by Daylight แต่เป็นถึงซีรีส์ Evil Dead ทั้งที จะทำเหมือนแค่โคลนเกมอื่นมามันก็ไม่ได้ นี่จึงเป็นเกม PvP ที่ดุเดือด เลือดสาดถึงใจแน่นอน แต่จะสนุกคุ้มค่ากับการซื้อมาเล่นไหม วันนี้เราจะมารีวิวให้ได้ดูกันโหมดออนไลน์เป็นหลัก โหมด Mission เดี่ยว เป็นรองก่อนอื่นเลย ฟีเจอร์หลักของเกมนี้คือระบบออนไลน์ที่เราจะต้องแบ่งฝ่ายออกเป็นฝั่ง Survivor หรือผู้เอาชีวิตรอด 4 คน และอีกฝั่งคือฝั่ง Kanbarion Demon ทั้งสองฝั่งนี้จะมี Objective หรือภารกิจให้ทำแตกต่างกัน ฝั่ง Survivor จำเป็นจะต้องร่วมมือกันรวบรวมชิ้นส่วนแผนที่ให้ครบ จากนั้นไปปลุกเสกมีดและคัมภีร์ ก่อนจะไปต่อสู้กับราชาปีศาจให้ชนะ เป็นอันจบเกม ในขณะที่ฝั่ง Kanbarion Demon จะเล่นแบบวางแผนกึ่งแอ็คชั่น ผู้เล่นฝั่งนี้จะต้องบริหารค่า Infernal Energy ที่ใช้ในการควบคุมแทบจะทุกอย่างของฝั่งปีศาจ ทั้ง Summon กองทัพขึ้นมา เข้าสิงศัตรู หรือแม้แต่อัญเชิญบอสลงไปสู้ การฆ่า Survivor จนหมดจะถือว่าเราชนะ หรือถ้าฝั่ง Survivor หยุดแผนการปลุกชีพปีศาจของเราไม่ทันเราก็ชนะเช่นกันสิ่งแรกที่อยากจะแนะนำผู้เล่นทุกคนก่อนเลย ก็คือการเล่นโหมดฝึกสอนหรือ Tutorial เพราะเกมนี้มีระบบและความซับซ้อนมากกว่าเกมแนวเดียวกัน ผู้เล่นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Survivor หรือ Kandarion Demon ก็ตาม พยายามเล่นโหมดฝึกและเข้าใจทุกสิ่งอย่างของการเล่น จากนั้นค่อยไปเล่นจริง เพราะถ้าคุณเข้าไปลุยแบบคลำทาง นั่งศึกษาเอาเองในเกมจริง รับรองว่าจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนและแพ้เอาได้ง่าย ๆ ในขณะที่โหมด Mission หรือโหมดเอาไว้เล่นคนเดียวนั้นก็มีเช่นกัน โดยจะเป็นเกมที่มีเนื้อหาภาพรวมแบบกระชับ เล่นพอให้เราเข้าใจระบบเกม แนะนำว่าถ้ามาเล่นครั้งแรก อยากเข้าใจระบบเกม หรือการควบคุมต่าง ๆ ก็ลองเล่นโหมด Mission เนื้อเรื่องนี้ดูก่อนได้ โดยเนื้อเรื่องจะอ้างอิงมาจากหนัง Evil Dead ในแต่ละภาค และยังมีความสยองขวัญตามต้นตำรับภาพยนตร์ดังนั้นคอนเทนต์หลักของเกมนี้จึงเน้นหนักไปที่โหมดออนไลน์ล้วน ๆ ถ้าจะซื้อมาเล่นอย่างอื่น หรือเล่นแค่ Mission เนื้อเรื่อง บอกเลยว่าไม่คุ้มแน่นอน ก่อนซื้อก็ลองพิจารณาดูว่า เราเหมาะกับการเล่นเกมออนไลน์ระยะยาวหรือไม่ ถ้าไม่ ยังคงมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เกมเพลย์การเล่น 2 ฝั่ง 2 สไตล์อย่างที่บอกไปว่า เกมเพลย์ของ Evil Dead: The Game จะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่ง Survivor และ Kanbarion Demon ด้วยรูปแบบการเล่นที่ต่างกัน เราจะเริ่มกันที่ฝั่ง Survivor ก่อนฝั่ง Survivor จะมีทั้งหมด 4 คน แต่ละคนจะมีบทบาทที่ต่างกันออกไปตาม Role ที่เราเลือก แบ่งเป็น Leader / Hunter / Warrior / Support แต่ละบทบาทจะมีตำแหน่งและความสามารถที่ไม่เหมือนกัน ที่น่าตลกหน่อย ๆ คือ ด้วยความที่เกมนี้อิงจากภาพยนตร์ Evil Dead ที่ตัวละครก็ไม่ได้เยอะอะไรเท่าไรนัก ทำให้แต่ละบทบาทมีตัวละครที่ซ้ำกันแน่นอน นั่นคือ Ash Williams ตัวเอกของจักรวาลนี้นั่นเอง โดยจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบทบาท อิงจากหนังแต่ละภาคแทนหน้าที่ของ Survivor ทั้ง 4 คน คือการร่วมมือกันทำภารกิจที่ระบบกำหนด เริ่มจากการหาเศษชิ้นส่วนแผนที่ 3 ชิ้น จากนั้นไปเก็บมีดและหน้าคัมภีร์ ก่อนจะไปจัดการเทพปีศาจและคอยคุ้มครองคัมภีร์สะกดวิญญาณเป็นอันจบเกม ในขณะที่เกมอื่น เราจะต้องหาทางหลบหนี เกมนี้ต้องหาทางไม่ให้ปีศาจทรงพลังนันเอง และเกมการเล่นของฝั่ง Survivor จะเป็นการเล่นแบบกึ่ง Open World ที่เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ นอกจากภารกิจหลักในการตามหาสิ่งของแล้ว ระหว่างการเดินทางเราจะพบเจอกับไอเทมสนับสนุน เช่นโคล่าเติมพลังชีวิต ยาเพิ่มเกราะ กระสุนปืน อาวุธและอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึง Pink F น้ำยาเพิ่มพลังที่ใช้เพิ่มพลังของตัวละครได้สิ่งที่เหล่า Survivor ต้องระวังตลอดเวลาคือ Fear หรือค่าความกลัวที่อยู่ใต้หลอดพลังชีวิตของเรา หากค่านี้เต็ม เราจะสามารถถูกฝั่ง Demon เข้าสิงร่างได้ วิธีการลดค่านี้คือใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟขึ้นมาในที่ที่จุดไฟได้ หรือไปอยู๋ใกล้แสงสว่าง ซึ่งวิธีหลังจะใช้เวลาลดความกลัวนานกว่าพอสมควร และภายในแผนที่ขนาดใหญ่นี้จะมีรถให้ขับ มีกล่องไอเทมให้เปิดหา และบ้าน หรือกระท่อมต่าง ๆ ในฉากจะสามารถเข้าไปสำรวจ ค้นหาไอเทมช่วยเหลือได้ แต่หลัก ๆ แล้วเราต้องไม่ลืมว่าภารกิจของเราคือตามหาชิน้ส่วนแผนที่ เก็บมีดและหน้าคัมภีร์ ดังนั้นอย่าเอ้อระเหยลอยชายจนลืมเวลา และที่สำคัญคืออย่าแยกอยู่คนเดียว ไม่อย่างนั้นฝั่ง Demon จะค่อนข้างได้เปรียบพอสมควรฝั่ง Kandarion Demon จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันออกไป เราจะไม่มีร่างหลักเป็นของตัวเอง เป็นเหมือนวิญญาณเท่านั้น และในฉากเราจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ โดยรอบ ๆ จะมีสิ่งที่เรียกว่า Infernal Energy ที่เป็นลูกพลังงานสีแดง ๆ ลอยอยู่รอบฉาก เจ้า Infernal Energy เนี่ยแหละที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเล่นฝั่ง Demon เพราะแทบจะทุกอย่าง จะต้องใช้ Infernal Energy ในการจัดการ และเหมือนฝั่งมนุษย์ Kandarion Demon จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 ตัวในตอนแรกเริ่ม กองทัพลูกน้องของเราจะขึ้นอยู่กับตัวบอสที่เป็นตัวหลักDemon จะสามารถติดตั้งกับดักไว้ในที่ต่าง ๆ ได้ และสามารถ Summon เหล่ากองทัพลูกน้องออกมาได้ด้วย โดยเราสามารถเข้าไปสิงกองทัพลูกน้องได้ เพื่อโจมตีด้วยตัวเอง แต่ระหว่างอยู่ในการเข้าสิง ค่า Infernal Energy จะลดลงไปเรื่อย ๆ จนหมด และจะถูกบังคับออกจากร่าง นอกจากนั้นค่า Infernal Energy ยังใช้ในการสิงยานพาหนะ สิงต้นไม้ และทำแทบจะทุกอย่างในการขัดขวางมนุษย์ ดังนั้นฝั่ง Demon นอกจากจะต้องแข่งกับเวลาแล้ว ยังต้องชำนาญเส้นทางแผนที่ และดักทางเหล่าผู้รอดชีวิตให้ได้ และต้องใช้ความสามารถของเหล่า Demon ออกมาให้ได้เต็มที่ที่สุดเมื่อจบเกมแต่ละรอบ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เราจะได้ค่า Spirit Point ที่ใช้ในการอัปเลเวลของบทบาทและฝ่ายนั้น ๆ กล่าวง่าย ๆ คือ เราอยากให้บทบาทไหนเก่ง อยากให้ฝ่ายไหนเก่ง ก็นำแต้มไปใช้กับตัวนั้น ดังนั้นถ้าอยากปั้นให้โหดทุกตัวละคร ทุกฝ่าย ทุกสาย ก็ต้องขยันเล่นเยอะ ๆ นั่นเองข้อดีของเกมนี้เลยก็คือ หากคุณเป็นแฟนภาพยนตร์ Evil Dead คุณจะสาสมใจกับสิ่งที่เกมนำเสนอออกมาเป็นอย่างมาก ซึ่งนับว่าเป็นข้อดี และจุดแข็งของ Saber Interactive ที่เป็นผู้พัฒนาเกมนี้เลยก็ว่าได้ ความโหด เลือดสาด จัดเต็ม ในแบบฉบับของ Evil Dead นั้น ถูกนำเสนอออกมาอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีประกอบฉาก ความดุเดือดระหว่างเล่น หรือแม้กระทั่งตัวละคร และเกมนี้ถือเป็นอีกเกมที่หากสองฝ่ายมีความสามารถและ Skill Play ที่ใกล้เคียงกันแล้ว มันจัดว่าเป็นเกม PvP ที่สนุกมาก ๆ เกมหนึ่งเลยทีเดียวสนุกจริง แต่มากมายไปด้วยปัญหาต้องยอมรับว่าในการเล่นกว่า 10 ชั่วโมงนั้น ไม่ว่าจะฝ่าย Survivor หรือ Demon ล้วนมีความสนุก ระทึก และตื่นเต้นตลอดเวลา เพราะรูปแบบการนำเสนอการเล่นที่ต่างจากเกมอื่น ๆ ทำให้แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจหรือติดตาม Evil Dead มาก่อน ก็สามารถสนุกไปกับเกมนี้ได้ แต่ในระหว่างเล่น ผู้เขียนเองก็รู้สึกว่าต้องเจอกับนานาอุปสรรค และปัญหาที่ไม่อาจจะมองข้ามได้ในการเล่นอย่างแรกเลยคือ การออกแบบแผนที่ แม้จะยอมรับในเรื่องบรรยากาศ ความหลอน และเหมือนกับหลุดเข้าไปในโลก Evil Dead จริง ๆ แต่การออกแบบแผนที่บางส่วนกลับมีปัญหาอยู่มาก อย่างแรกเลยที่ไม่เข้าใจสุด ๆ ก็คือ เหตุใดเกมไม่ทำให้ตัวละครต่าง ๆ "กระโดด" ได้ นี่คือปัญหาที่น่าตัดคะแนนของเกมนี้มากที่สุดแล้ว ด้วยสภาพภูมิประเทศของแผนที่ ที่มีทั้งทางลาดชัน ขึ้นสูง ลงต่ำ ต่างระดับกันเต็มไปหมด แต่ตัวเกมกลับไม่สามารถกระโดดได้ ทำได้เพียงกระโดดข้าม หรือ Vault เท่านั้น แถมบางทีพื้นที่ต่ำแบบในชีวิตจริงสามารถก้าวขาเดินขึ้นได้ ก็ไม่สามารถขึ้นได้ซะอย่างนั้น แถม Vault ก็ไม่ได้ ต้องเดินอ้อมเอา ทำให้การเล่นฝั่ง Survivor ที่ต้องแข่งกับเวลานั้น น่าหงุดหงิดอย่างที่สุดต่อมาคือระบบขับรถ ด้วยความใหญ่ของแผนที่ และการสุ่มสิ่งของบางอย่างที่อยู่ไกลเกินกว่าจะเดินเท้า เกมจึงใส่ยานพาหนะเข้ามาให้ขับขี่ แต่มันก็โยงกลับไปที่ปัญหาด้านสภาพแวดล้อมอยู่ดี ด้วยพื้นที่ที่ต่างระดับ เส้นทางที่ไม่ค่อยชัดเจน เพราะบางทีก็มืด มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทำให้บางที การเดินเท้าอาจจะเร็วกว่าขับรถแล้วต้องไปชนโน่น ชนนี่ หรือพลิกคว่ำ ใครที่คิดจะขับรถฝ่าทางโล่งไป อาจจะเสียเวลากว่าเดิม เพราะในพื้นที่โล่งในแผนที่ จะเต็มไปด้วยต้นไม้และโขดหิน ขับยังไงก็ชนแน่นอน แถมระบบการควบคุมรถเองก็ยังขับยากเอาเรื่อง ติดโน่น ติดนี่บ่อยมากและปัญหาใหญ่หลวงตอนนี้คือความรู้สึกในการเล่นที่แม้ว่าจะสนุกแค่ไหน แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่แฟร์อย่างยิ่ง ฝั่งที่ดูจะได้เปรียบจะกลายเป็นฝั่ง Survivor เพราะในช่วงแรกเริ่มที่ทำการรวมแผนที่ นอกจากฝั่ง Survivor จะมีคำใบ้สถานที่ชัดเจนแล้ว ฝั่ง Demon เอง ยังไม่สามารถเสกกองทัพมาโจมตีได้ ต้องไปไล่ฟาร์ม Infernal Energy อยู่สักพักถึงจะทำได้ ซึ่งบางที กว่าจะเริ่มเสกได้ พวก Survivor ก็เข้าขั้นตอนเก็บมีด เก็บหน้าคัมภีร์แล้ว และคูลดาวน์ต่าง ๆ ก็ค่อนข้างนานพอสมควร หากฝั่ง Survivor มีตัวละครสายฮีลมาด้วย และเล่นกันเป็นทีม ก็แทบจะปิดประตูแพ้กันไปแล้ว ฝั่ง Demon จึงได้แต่หวังว่า ต้องเจอคนไม่เป็นงาน หรือเล่นหลุดทีมเวิร์คเท่านั้นถึงจะพอเอาชนะได้ นอกจากนั้นบั๊กของเกมก็ยังพอมีให้เห็น แต่โชคดีที่บั๊กของเกมนี้ ไม่ได้เป็นบั๊กที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเล่นโดยตรง แต่จะเป็นบั๊กแสดงผล เช่นเส้นผมของตัวละคร หัวเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา บางทีเอาซะน่ากลัวกว่าผีอีก แต่ก็ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ นัก และหนักที่สุดเลยคือ Performance ของตัวเกมที่มีปัญหาหนักมาก ด้วยความที่เกมนี้ มีระยะเวลาการเล่นต่อรอบนานถึง 30 นาที เครื่องต้องประมวลผลกราฟิกและเกมการเล่นที่เต็มไปด้วยซีจี เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ที่ถาโถมใส่เกมแบบไม่หยุดหย่อน ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนคือเรื่องของเฟรมเรทดรอป ที่เกิดขึ้นบ่อยมากโดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่ต่างฝ่ายต่างกดสกิล ประชันขันแข่งกัน ใครคอมไม่แรงนี่เตรียมตัวกระตุกจนเวียนหัวกันได้เลยและท้ายที่สุดกับปัญหาของเกมออนไลน์แบบ Multiplayer ก็คือ หากขาดผู้เล่นขึ้นมาในอนาคต ก็ไม่รู้ว่าเกมนี้จะไปได้อีกไกลแค่ไหน และที่สำคัญคือในแง่ของเกมเพลย์การเล่น เกมนี้ค่อนข้างจำเป็นจะต้องใช้การสื่อสารระหว่างทีมกันพอสมควร ถ้าไม่มีเพื่อนเล่น การสุ่มไปเจอคนเล่นใน Public Match ก็ถือว่าวัดดวงกันมาก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะยอมไปเล่นฝั่ง Kandarion Demon อันนี้ก็แบกตัวเองได้สบาย ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องรอดูกันว่า เกมนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนสรุปแล้ว Evil Dead: The Game คือเกมที่แม้คุณจะไม่ใ่ชแฟน Evil Dead ก็สามารถเล่นได้ สนุกด้วย แต่มันอาจจะมีปัญหาขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ และบาลานซ์ที่ต้องปรับแก้กันอีกพอสมควร ก็ได้แต่หวังว่าทีมงานจะสามารถปรับแก้ และประคองให้ตัวเกมอยู่ไปได้อีกยาว ๆ เพราะเกมนี้ถือว่าสนุกมาก ในหมวดหมู่ของเกม PvP แบบ 4v1 Style
14 May 2022
[Review] รีวิวเกม Vampire Masquerade: Bloodhunt "สมรภูมิเลือดสุดเดือดสไตล์ Battle Royale"
ด้วยคู่แข่งระดับยักษ์ใหญ่แห่งวงการทั้งหลายอย่าง Call of Duty: Warzone, Fortnite, และ Apex Legends ทำให้เกม Battle Royale หน้าใหม่ต้องต่อสู้เพื่อหาพื้นที่และขยันโปรโมทเกมของตัวเองกันอย่างขันแข็ง การจะทำเกมแนวนี้ออกมาซักเกม ถ้าไม่มีจุดขายที่ชัดเจนก็คงดึงดูดความสนใจของผู้เล่นยากหน่อย แต่วันนี้ยังมีผู้หาญกล้า เปิดตัวเกมแนว BR น้องใหม่ล่าสุดออกมาเพิ่ม ซึ่งอาศัยบารมีชื่อแฟรนไชส์อมตะอย่าง Vampire: The Masquerade มาใช้ด้วย กับ Bloodhunt สงคราม Battle Royale ของเหล่าแวมไพร์กระหายเลือด ที่เปิดให้เล่นฟรีแล้ววันนี้ทาง PC และคอนโซล ซึ่งมาพร้อมกับองค์ประกอบและระบบการเล่นเฉพาะตัวอันน่าสนใจมากมาย แต่จะพอฟัดพอเหวี่ยงกับตัวท๊อปของวงการได้หรือไม่?เรื่องราวเบื้องหลังของตัวเกมกรุงปราก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก ที่นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่ามนุษย์ทั่วไปแล้ว ภายใต้เงามืดและตรอกซอกซอยยามค่ำคืน เมืองแห่งนี้ยังเป็นที่ชุมนุมของเหล่าแวมไพร์กระหายเลือดกลุ่มต่าง ๆ ที่ก่อสงครามกันเพื่อครอบครองเมืองนี้  โดยการต่อสู้ของเหล่าแวมไพร์ก็ส่งผลให้ทางรัฐบาลส่งหน่วยล่าแวมไพร์ฝีมือดีเข้ามาปิดตายตัวเมืองนี้ด้วย ในขณะที่พวกแวมไพร์ต่อสู้กันเองเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่ง หน่วยล่าแวมไพร์ก็ออกล่าพวกเขาไปด้วย ส่งผลให้กรุงปรากไม่ใช่พื้นที่สงบสุขอีกต่อไป กลายเป็นที่มาของสมรภูมิ Battle Royale ท่ามกลางค่ำคืนสุดสะพรึงต่อยอดจักรวาลของ Vampire: The Masqueradeแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมออนไลน์แบบ Battle Royale แต่เนื้อหาและเรื่องราวในโลกของเกมนี้ถือว่าเยอะและละเอียดเอาซะมาก ๆ ทีเดียว สำหรับผู้เล่นทั่วไปอาจจะไม่ได้อินเท่าไร แต่หากคุณเป็นแฟนเกมซีรีส์ Vampire: The Masquerade อยู่แล้ว เกมนี้ถือว่าซ่อนอะไรไว้มากมายให้คุณได้ค้นหา แต่เชื่อว่าสำหรับแฟนเกมทั่วไปแล้ว ก็คงจะเข้ามาเล่นเพราะมันเป็นเกม Battle Royale มากกว่าอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือพลาดอะไรไปหากคุณจะเมินส่วนของเนื้อเรื่องของเกมนี้ไปเลยHero Shooter ในแบบฉบับของเหล่าแวมไพร์จุดเด่นอย่างแรกของ Bloodhunt คือเรื่องของตัวละคร หรือ Archetype เกมนี้จะมีรูปแบบการเล่นเป็น Hero Shooter คล้าย ๆ กับ Apex Legends นั่นคือ ตัวละครแต่ละตัวจะมีหลากหลายรูปแบบ และมีสกิลกับความสามารถที่ต่างกันออกไป สำหรับ Bloodhunt จะมีทั้งหมด 4 เผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์ละ 2 ตัว (ยกเว้นเผ่าพันธุ์ใหม่ Ventrue ที่จะมีเพียงตัวละครเดียว) ในแต่ละตัวละครนั้นจะมีสกิลทั้งหมด 3 สกิลด้วยกัน นั่นคือสกิลประจำเผ่าพันธุ์ 1 สกิล สกิลกดใช้งานอีก 2 สกิลที่แบ่งเป็น Passive Power และ Archetype Power ด้วยตัวละครและสกิลความสามารถที่ต่างกันหลายแบบ ทำให้การเลือกตัวละครแต่ละตัวมาเล่นจะส่งผลต่อเกมการเล่นนั้น ๆ อย่างชัดเจน และไม่ต้องกลัวว่าการมีเผ่าพันธุ์แบบล็อคตายตัวแบบนี้จะทำให้เจอแต่ตัวละครหน้าซ้ำกันไปมา เพราะเกมนี้มีระบบปรับแต่งตัวละครที่ค่อนข้างละเอียด ตั้งแต่ร่างกาย ทรงผม ดวงตา ไปจนถึงเครื่องสำอางและรอยสัก แถมยังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายได้ด้วย ซึ่งเครื่องแต่งกายจะได้มาจากการนำเงินในเกมไปซื้อหรือเติมเงิน และได้จากของจำพวก Battle Pass ยิ่งเกรดสีเครื่องแต่งกายสูง มันก็ยิ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์เราให้แปลก แหวกแนวมากขึ้นเกมเพลย์ที่ไม่ว่าจะมาจากเกมไหน คุณก็ต้อง "เรียนรู้"มาเริ่มในส่วนของเกมเพลย์กันเลย สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจและรู้ไว้ก่อนจะเล่น คือนี่ถือเป็นเกม Battle Royale ที่มีระบบการควบคุมและการยิงที่ 'ยาก' มาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือโปร มือเก๋ามาจากเกมไหน มาเจอเกมนี้เข้าไป ถ้าไม่คิดจะเรียนรู้ หรือ ข้ามโหมดฝึกสอนโดยหวังจะไปศึกษาเอาจากเกมจริง รับประกันได้ว่าคุณอาจจะตายรัว ๆ ต้องเริ่มเกมใหม่จนเบื่อไปก่อนที่จะได้สนุกกับตัวเกมซะอีก เพราะ Bloodhunt ถือเป็นเกม Battle Royale ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และทำความเข้าใจสูงมากเลยทีเดียว เริ่มกันที่ระบบการกระโดดลงพื้น ตามปกติแล้วเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ จะต้องโดดร่มลงมาจากบนอากาศ และหาพื้นที่ลง่ที่เหมาะสมในการเล่นแต่ละรอบ จากนั้นเริ่มต้นหาอาวุธ ยา ชุดเกราะ แต่กับ Bloodhunt ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องโดดร่มแบบเกมอื่น เพราะเราสามารถเลือกจุดเกิดเองได้เลยตั้งแต่ช่วงเริ่มเกมแต่ละรอบ เราจะได้เห็นแผนที่ในการเล่นทั้งเกมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น และเห็นด้วยว่าจุดไหนเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเก็บของ การเล่นในรอบนั้น ๆ จึงสามารถเริ่มต้นคิดกันได้ตั้งแต่ช่วงแรกเลยว่าจะเล่นแบบไหน ส่วนของการเก็บไอเทมที่ต้องรู้และสำคัญมากคือเกมนี้จะมีระบบ "ตาทิพย์" ที่เมื่อกดใช้งานแล้ว ระบบจะทำการสแกนสิ่งของรอบตัวและเผยตำแหน่งจุดที่ไอเทมอยู่ให้เป็นแสงสีฟ้า ๆ (แบบในรูปด้านล่าง) นั่นหมายถึงตรงนั้นมีไอเทมให้เราไปเก็บ อาจจะเป็นอาวุธ ชุดเกราะ ยา หรือถ้าเป็นสีทองก็อาจจะเป็นกล่องอาวุธ หรือกล่องอุปกรณ์ระดับสูง นอกจากนั้นยังสามารถใช้ระบุตำแหน่งศัตรูได้ (หากเข้าเงื่อนไข) ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราไม่ต้องวิ่งไปหาของมั่ว ๆ แต่อย่าลืมว่าทุกคน รวมไปถึงทีมศัตรูก็ใช้ความสามารถนี้ได้ ทำให้ระบบนี้เอื้อให้เราเจอกับศัตรูและเน้นปะทะกันมากขึ้น ดีไม่ดีก็อาจจะเป็นตั้งแต่ช่วงต้นเกมเลยก็ได้ ซึ่งก็ช่วยร่นระยะเวลาในการเดินตามหาศัตรู ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดในเกม BR เกมไหนก็ตามกรุงปราก และค่ำคืนแห่งการไล่ล่าสำหรับพื้นที่ในการเล่น เราเกริ่นไปแล้วในช่วงเนื้อเรื่องว่านี่คือกรุงปราก สนามต่อสู้ในเกมนี้จะเป็นเมืองหลวงที่รายล้อมไปด้วยตึกสูง ทำให้เราต้องรับมือกับการต่อสู้ทั้งภาคพื้นดินและบนอาคารสูง ส่งผลให้ระบบเกมเพลย์การต่อสู้คลับคล้ายคลับคลาเกม Battle Royale ของ Ubisoft อย่าง Hyper Scape ซึ่งให้อารมณ์และความรู้สึกที่ใกล้เคียงกันมาก เนื่องจากตัวละครที่เราใช้เล่นในเกมนี้จะเป็นเหล่าแวมไพร์ที่มีพลังเหนือมนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถกระโดดสูง ปีนตึก ไต่กำแพงได้อย่างอิสระ ยิ่งมีสกิลให้กดใช้ ยิ่งทำให้เกมการเล่นมีสีสันมากยิ่งขึ้นพื้นที่การต่อสู้ภายในเกมนี้ก็จะมีของดรอปให้เหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ ทั่วไป อาวุธก็จะมีการแบ่งเกรดสี เหมือนกันกับเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ แต่สิ่งที่ระบบของเกมนี้แตกต่างจากคนอื่น คือการที่เราเป็นแวมไพร์ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการดื่มเลือด เกมเลยหยิบเอาจุดนี้เข้ามาเป็นระบบภายในเกมซะเลย ในเกมการเล่นแต่ละรอบนั้น เราจะพบกับชาวเมืองในเกมที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แบบแรกคือพวกชาวเมืองที่เราเข้าไปกัด ดูดเลือดแล้วจะได้อัปเกรดสกิลติดตัวที่มีอยู่ คนพวกนี้เวลากดสแกนเราจะเห็นเป็นสีเลย ส่วนอีกพวกคือประชาชนธรรมดา ที่วิ่งหนีไปมา หรืออยู่เฉย ๆ หากเราไปยิงปืนใส่ หรือฆ่าคนธรรมดา เราอาจจะโดนหมายหัวเอาได้ และเป็นการเปิดเผยตำแหน่งให้กับทีมอื่น ๆ รู้ อันนี้ต้องระวังเป็นอย่างมาก ถ้าเล่นคนเดียวก็เตรียมหนีตาย แต่ถ้าเล่นกับเพื่อนอาจจะซวย ต้องช่วยกันแบก เพราะการโดนไล่ล่าของเกมนี้ จะเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วมาก เราต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่านี่คือโลกของแวมไพร์นักล่าความสำคัญของการดูดเลือดคือการอัปเลเวลสกิล ที่จะเพิ่มความสามารถของสกิลในตัวละครนั้น ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่นอัปเกรดให้ตีระยะประชิดแรงขึ้น ฟื้นพลังชีวิตได้มากขึ้น แต่ใช่ว่าเราจะไล่ดูดเลือดอัปเกรดสกิลจนเป้นระดับสูงสุดได้ง่าย ๆ เพราะในระดับสูงสุด เราจะไม่สามารถอัปเกรดสกิลด้วยวิธีดูดเลือดคนได้ แต่ต้องไปทำการจับผู้เล่นจริง ๆ ที่เรายิงล้มเพื่อดูดเลือด หรือก็คือระบบ Finisher หรือท่าปลิดชีพของเกมนี้แทน ยากไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวกับการอัปเกรดสกิลขั้นสูงสุดในเกมจะมีไอเทมต่าง ๆ ให้เราได้เก็บหรือกดใช้ หลัก ๆ จะเป็นยาและเกราะ และไอเทมช่วยเหลืออื่น ๆ แม้ว่าอาวุธ กระสุนทั่วไป อาจดรอปได้ตามฉากแบบสุ่ม แต่หากคุณอยากได้ไอเทมตายตัวก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย สำหรับเกมนี้จะมีร้านค้าอยู่สองอย่าง คือร้านขายยาและร้านขายอุปกรณ์ โดยมันจะระบุอยู่ในแผนที่อย่างชัดเจน เมื่อเราไปถึง เราสามารถกดเปิดประตูเข้าไปในร้านได้ แต่มันจะเป็นการเปิดระบบเตือนภัย ซึ่งอาจจะเป็นการล่อให้ทีมอื่นหันมารุมทึ้งคุณได้ แต่ข้อดีของการเข้าร้านพวกนี้ คือไปร้านยาก็เจอยาเพียบ ไปร้านอุปกรณ์ ก็เจออาวุธ ชุดเกราะ เพียบ มันเป็นการการันตีว่าคุณจะได้ไอเทมประเภทนั้นแน่นอน แต่ก็เสี่ยงเหมือนกัน เพราะในเกมนี้มีเหล่าทหารนักล่าอยู่ด้วย มันจะเป็นพวก A.I. ที่พร้อมเปิดฉากยิงเราทันที ถ้าเราเฉียดกรายเข้าไปใกล้ แต่ A.I. เหล่านี้มักจะอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ถ้าเรารู้ตำแหน่งของมันก็อย่าไปยุ่งจะดีกว่าทีนี้มาดูส่วนของเกมเพลย์การต่อสู้กันอย่างจริง ๆ จัง ๆ บาง เกมนี้มีความเป็น Hero Shooter และมีการไต่ตึก ปีนกำแพง เหาะเหินเดินอากาศกัน ทำให้เกมเพลย์ของเกมนี้ "ยาก" มาก อย่างที่บอกไปว่าไม่ว่าคุณจะเป็นโปรเพลเยอร์มาจากเกมอะไร มาเกมนี้ ถ้ายังปรับตัวไม่ทัน มีแต่ตายกับตายแน่นอน จังหวะเวลาในการฆ่ากันของเกมนี้นั้น ช้ามาก ๆ ด้วยตัวละครที่มีพลังชีวิตสูงถึง 200 หน่วย แถมใส่เกราะได้อีก และความเร็วของเกมที่สูงในระดับนึง ตัวละครสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ปีนตึกได้ หรือสกิลของบางตัวละครก็วาร์ปไปวาร์ปมาได้อีก การจะยิงปิดจ๊อบศัตรูให้ได้ด้วยกระสุนแม็กเดียว ถ้าไม่แม่นจริงก็แทบจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไปดังนั้นมันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า โดนแจม บ่อยมาก เพราะเมื่อเปิดฉากยิงแล้ว ไม่รีบปิดจ๊อบให้ทัน หรืออีกฝ่ายสับขาหลอกเก่ง โดนยิงก็วิ่งหนี กระโดดหนี สไลด์หนี ไล่ล่ากันไปมา Third Party หรือปาร์ตี้อื่น ๆ ก็อาจจะเข้ามาเสริมทัพได้ง่าย ๆ กลายเป็น Battle Royale ที่ชุลมุนที่สุดแล้ว มันไม่ใช่เกมที่ยิงตายกันไว ทำให้ถ้าไม่รีบจัดการให้จบ หรือใช้วิธีเล็งยิงใส่ตัวเดียวกัน ก็แทบจะทำให้เกมนี้ใช้เวลาในการฆ่ากันนานพอสมควรเลยทีเดียว ปัญหาของ Balance และ Content ในอนาคตและในเรื่องของควาสมดุลนั้น ก็ต้องบอกว่ามีบ้างที่หลายอย่างดูยังไม่สมดุลนัก อย่างเช่นสาย Melee ที่มีการอัปเกรดให้การโจมตีระยะประชิดแรงขึ้นได้ แต่ฝั่งปืนไม่ค่อยมี (อาจจะเพราะว่ามันเน้นระยะไกลอยู่แล้ว) แต่มันกลับมีตัวละครที่มีความสามารถในการล่องหนได้ และหากเราโดนล่องหนเข้ามาตีประชิดพร้อมสกิลที่อัปเกรดมาแล้ว นอกจากปล่อยเมาส์รอเพื่อนมาชุบก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย หรือปืนบางประเภทก็ยังไม่สมดุลดีนัก อาจจะต้องมีการปรับอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ไม่ได้หนักถึงขั้นเล่นไม่ได้ส่วนของคอนเทนต์ตัวเกมนั้น ก็ถือว่ามีครบเครื่องทุกอย่างที่เกมออนไลน์เกมนึงจะมีได้ เริ่มตั้งแต่ระบบยอดนิยมอย่าง Battle Pass ที่ตอนนี้ตัวเกมเข้าสู่ช่วง Season 1 แล้ว ของรางวัลภายในเกมก็จะเป็นพวกสกินแต่งสวยแต่งหล่อที่หาได้จากระบบนี้เท่านั้น และพิเศษกว่าเกมอื่นคือ การปลดล็อค Battle Pass จะให้โบนัส XP 10% กับเราด้วย ทำให้อัปเลเวลได้ไวขึ้น มีระบบ Daily Challenge และ Seasonal Challenge ให้ทำ หากจะมีข้อเสียนิดหน่อยก็ตรงที่ คอนเทนต์เกมคือ Battle Royale แบบเพียว ๆ เท่านั้น ไม่มีโหมดอื่นเพิ่มเสริมแต่อย่างใด หรือแม้แต่ห้องฝึก เอาไว้ลองสกิลที่ควรจะมีก็ไม่มี ใครใจร้อน ข้ามโหมดฝึก ไปตายเอาดาบหน้าก็ต้องไปเรียนรู้กันเอาภายในเกมล้วน ๆ ซึ่งไม่เวิร์คเอาซะเลยภาพรวมของ Bloodhunt คือเป็นเกม Battle Royale ที่ระทึก ตื่นเต้นตลอดเวลา บรรยากาศของโลกแวมไพร์ที่ไล่ล่ากันก็ทำออกมาได้ดี แม้จะแฟนตาซีหลุดโลก แต่เราก็ยังระทึกทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องรับมือกับผู้เล่นอื่นที่ไม่รู้จะว่าคอมโบสกิลหรือมาไม้ไหนกันบ้าง เป็นประสบการณ์เกม Battle Royale ที่แปลกใหม่กว่าเกมอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วปัญหาเดียวของเกมแนวนี้คือ จะรักษามาตรฐานผู้เล่นเอาไว้ยังไงให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าทำได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็อาจจะมีจุดจบเหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่มาทีหลัง และไม่สามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่ได้ Bloodhunt ถือเป็นเกมที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก แต่มันจะชนะใจผู้เล่นได้หรือไม่ ต้องให้เหล่าเกมเมอร์เป็นคนตัดสิน และเราขอแนะนำให้คุณไปลองเล่นดูสักครั้งนึง จะได้ตัดสินใจได้ว่า มันดีหรือไม่ดี 
29 Apr 2022
[Review] รีวิวเกม LEGO Star Wars: The Skywalker Saga ยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ ดึ่มด่ำจักรวาลอันไกลโพ้นได้มากขึ้น
ถ้าให้พูดถึง LEGO Star Wars เชื่อว่าเกมเมอร์หลาย ๆ คนก็น่าจะเคยสัมผัสเกมนี้มาตั้งแต่สมัยเครื่อง PlayStation 2 ซึ่งตัวเกมก็มีภาคต่อออกมาเรื่อย ๆ เป็นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีซีรีส์นี้ บวกกับการส่งท้ายหลังจากที่เรื่องราวภาพยนตร์ Episode 9 จบลงไปเมื่อปี 2019 ทาง LEGO จึงได้สร้างเกมภาคใหม่ออกมาเพื่อส่งท้ายกับเกม LEGO Star Wars: The Skywalker Saga ที่เป็นการยกเครื่องเกมเพลย์ โครงสร้างซีรีส์นี้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งทางเรา GameFever TH ได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้จนจบแล้วและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบว่าตัวเกมนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากภาคก่อน ๆ มากขนาดไหน กราฟิก / การนำเสนอแน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึงเกม LEGO งานในด้านกราฟิกของเกมก็จะยังเป็น Concept ความน่ารักสบายตาตามสไตล์ของเล่นตัวต่อ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คงเป็นงานด้านแสงเงาของเกมที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ (ผู้เขียนเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS5) แสงแดดสะท้อน เงาของน้ำ มองดี ๆ มันค่อนข้างสมจริงพอสมควร เอาจริง ๆ ถ้าตัดองค์ประกอบความเป็นการ์ตูนออกไปและลองเอาโมเดลตัวละครจริงเข้ามา มันก็แทบจะวางทับกันได้แบบไม่มีความสงสัยใด ๆ ส่วนในเรื่องมุมกล้องของเกมภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวมุมมองข้ามไหล่เต็มตัว ต่างจากทุกภาคที่มุมมองจะค่อนข้างสูงและไกลหน่อย ทำให้เราได้เห็นทิวทัศน์หรือบรรยากาศโลกในเกมนี้ได้ชัดเจนมากกว่ารวมถึงตัวเกมยังมีองค์ประกอบกึ่ง ๆ Open World ที่จะให้เราได้เดินสำรวจดวงดาวต่าง ๆ ได้มากขึ้นได้สัมผัสและดึ่มด่ำกับบรรยากาศโลกของ Star Wars ได้มากขึ้นด้วยเนื้อเรื่องภายในเกม LEGO Star Wars: The Skywalker Saga ก็จะยังอ้างอิงเนื้อเรื่องตามภาพยนตร์ Episode 1 - Episode 9 ที่จะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตระกูล Skywalker (ไม่รวมภาค Spin-off ต่าง ๆ) แต่สำหรับใครที่กลัวว่าการที่ตัวเกมจะเล่าเรื่องราวทั้ง 9 ภาคจะทำให้ระยะเวลาในการเล่นจะนานเกินไปก็อย่ากังวล เพราะการดำเนินเรื่องราวนั้นก็ค่อนข้างฉับไว มีการตัดเนื้อหาหรือบทสนทนาออกเยอะ เน้นเนื้อหาสำคัญเป็นหลัก ซึ่งแต่ละ Episode จะใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงในการเล่น (ถ้ามุ่งแต่เนื้อเรื่องอย่างเดียว) โดยจะเน้นการเล่าเรื่องที่ฉับไวและเน้นเกมเพลย์เป็นหลัก นอกจากนี้ถึงแม้เรื่องราวของภาพยนตร์จะดูซีเรียสหรือลึกล้ำยังไง สไตล์การเล่าเรื่องของ LEGO ก็จะสอดแทรกมุขตลกและอารมณ์ขันเข้ามาภายในเกมอยู่ตลอด และยิ่งถ้าหากใครเคยดูภาพยนตร์ครบทั้ง 9 ภาคมาแล้ว ท่านเองก็จะสนุกสนานกับมุขล้อเลียนของเกมนี้ตลอดทั้งเรื่อง ถึงแม้เรื่องราวจะเดิม ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่เราเองก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อเพราะความตลกของมันนี่แหละ แต่จุดสังเกตุเดียวก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องนั้นอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่เคยดูหนังทั้ง 9 ภาคมาก่อน นอกจากเรื่องราวที่เดินไวเกินจนจับต้นชนปลายไม่ถูก มุขตลกบางอย่างท่านก็อาจจะไม่เข้าใจถึงมัน จึงทำให้ LEGO Star Wars: The Skywalker Saga เหมาะเป็นเกมที่ทำมาเฉพาะแฟน ๆ ภาพยนตร์เท่านั้นเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ตัวเกมก็จะยังคงการเล่นแบบในภาคก่อน ๆ ที่จะเน้นการต่อสู้ผจญภัย ไล่ยิง ไล่ฟันเหล่าศัตรูที่ดาหน้าเข้ามา มีปริศนาบางอย่างที่ให้เราต้องแก้ไข โดยลูกเล่นในเกมภาคนี้ก็ค่อนข้างเยอะกว่าเดิมอย่างการปัด Dash หลบการโจมตีของศัตรู การกดป้องกันการโจมตีต่าง ๆ หรือเวลาเป็น Jedi เราสามารถใช้พลังสะกดจิตเหล่าศัตรูให้บังคับตามใจที่ต้องการ ก่อกวน หรือบังคับให้ต่อสู้กันเองก็ได้ในด้านของการต่อสู้บนอวกาศก็มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ เพราะตัวเกมจะให้อิสระเราในการโบยบินได้มากขึ้น ต่างจากภาคก่อน ๆ ที่การต่อสู้จะเป็นเส้นตรง เราสามารถโบยบินได้อย่างอิสระ บินดูยานที่เราจะโจมตีได้ทุกซอกทุกมุมต่อให้เกมเพลย์การต่อสู้จะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนักซึ่งถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีระบบให้เล่นหลากหลายขึ้น แต่เป้าหมายกลุ่มผู้เล่นของเกมนี้ก็ยังเป็นคนทุกเพศทุกวัย เป็นเกมเบาสมองที่ควรมีไว้ติดบ้าน ทำให้ตัวเกมค่อนข้างเล่นง่ายในระดับหนึ่ง เหล่าบอสค่อนข้างโจมตีเป็นแพทเทิร์น หรือแม้กระทั่งเวลาเราแพ้ก็เกิดมาสู้ใหม่ได้ สำหรับคนที่ชอบเกมที่มีความท้าทายก็อาจจะไม่ชอบนัก แต่ส่วนตัวเข้าใจได้เพราะนี่คือจุดประสงค์ของเกมแนว LEGO ตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้พิเศษและได้รับความนิยมล้นหลามก็คงจะเป็นในด้านโลกของเกมที่แต่ละฉากแต่ละดาว ตัวเกมจะเปิดพื้นที่ให้เราได้ Free Roam ในระดับหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจพื้นที่ต่าง ๆ และได้เห็นโลกของ Star Wars มากยิ่งขึ้น ซึ่งในการสำรวจจะมีให้เราได้ค้นหาแต้มอัพสกิลที่กระจายอยู่ทั่วเมือง หรือการทำเควสย่อยที่จะได้รับของรางวัลมากมาย ซึ่งเราสามารถกลับมายังดวงดาวเก่า ๆ ที่ผ่านมาแล้วได้ตลอดเวลา ในโหมดภารกิจเนื้อเรื่องเราจะสามารถเล่นได้แค่ตัวละครตามเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณเล่นด่านนี้จบคุณเองสามารถเข้าไปยัง Free Mode และเอาตัวละครอื่น ๆ ที่ปลดล็อคมาเล่นในด่านนั้นได้ โดยตัวละครที่มีให้เลือกเล่นก็มากเป็นหลักร้อยตัว รวมถึงแต่ละตัวยังมีสกินที่แตกต่างกันโดยจะได้มาจากการปลดล็อคเนื้อเรื่องต่าง ๆ หรือใช้แต้มที่เก็บตามฉากซื้อมาก็ได้นอกจากนี้ตัวละครที่มีให้เลือกเล่นก็แบ่งออกไปหลายคลาสทั้งสาย Jedi สายฮีโร่ สาย Scavenger หรืออื่น ๆ ที่จะมีความสามารถที่แตกต่างกัน หรือบางสายก็สามารถไปในจุดที่สายอื่นไปไม่ได้เพื่อเก็บไอเท็ม รวมถึงเรายังสามารถอัพเกรดความสามารถของตัวละครแต่ละสายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ อย่างเช่นการอัพสกิลของสาย Jedi ที่จะสามารถเพิ่มดาเมจจากการโจมตีระยะไกล หรือการโจมตีระยะใกล้ได้เป็นต้นสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คงจะเป็นเกมเพลย์ในแต่ละภาคที่จะมีลูกเล่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปบ้างทำให้เรารู้สึกไม่จำเจต่อการเล่น อย่างเช่นในภาคแรกเราจะได้บังคับกองทัพของเหล่ากันแกนต่อสู้กับเหล่าหุ่นยนต์ของจักรวรรดิ หรือจะในภาค 7-9 ที่ตัวเอกจะเป็น Ray ซึ่งเธอในช่วงแรกนั้นจะมีคลาสเป็น Scavenger ที่จะสามารถประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างเช่นปืนยิงตะข่าย เครื่องร่อน หรือปืนยิงหินเป็นต้นสรุปถือว่าเป็นภาคที่ยกระดับเกมซีรีส์ LEGO Star Wars ให้ทันสมัย ดีงามและน่าเล่นมากขึ้น รวมถึงยังยกระดับเกมจากซีรีส์ตัวต่อนี้ในอนาคตด้วย แน่นอนว่าด้วยความง่ายของเกมเกินไปที่อาจจะทำให้บางคนรู้สึกขาดความท้าทาย และจุดประสงค์หลักของเกมซีรีส์นี้คือการที่มันนั้นทำหน้าที่เป็นเกมของครอบครัว เกมเบาสมองเหมาะกับการมีไว้ติดบ้าน ชวนลูก ชวนหลาน มาเล่นมาสำรวจดวงดาวและซึมซับบรรยากาศในโลกภาพยนตร์ Star Wars ให้ใกล้ชิดมากขึ้นและละเอียดมากขึ้น เป็นเกมแรกที่ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับโลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มากที่สุดแต่ข้อสังเกตุเดียวก็คงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเล่าเร็วเกินไป จนบางครั้งเราแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูก เข้าใจว่าตัวเกมทำออกมาสำหรับแฟน ๆ ที่เคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว และถ้าเล่าเยอะแต่ละภาคก็จะใช้เวลานานเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นส่วนตัวก็อยากให้เขาเก็บรายละเอียดมากขึ้นกว่านี้อย่างน้อยก็อาจจะทำให้คนที่ไม่เคยดู อินกับเนื้อเรื่องมากขึ้นบ้าง
18 Apr 2022
[Review] รีวิวเกม Nobody Saves the World "เพราะความเป็นผู้กล้ามันอยู่ที่ใจใช่รูปลักษณ์!"
นับตั้งแต่เปิดปี 2022 มาได้ราว ๆ 4 เดือนเต็ม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเดือนกุมภาพันธ์คือเดือนที่มีเกมฟอร์มยักษ์ออกมามากมาย แต่ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม มีอยู่ 1 เกมที่เปิดตัวอย่างเงียบ ๆ แต่แล้วกระแสปากต่อปากและการรีวิวของมันก็ทำให้เห็นว่า นี่คืออีกหนึ่ง Hidden Gem อย่างแท้จริงในปี 2022 มันจะดีงามขนาดไหน ลองมาดูกันใน Nobody Saves the Worldคนธรรมดาที่มีชะตากรรมไม่ธรรมดาในเกมนี้ เราจะได้รับบทเป็น 'Nobody' สมชื่อเกม เป็นคนที่ไม่มีรูปลักษณ์โดดเด่นอะไรเลย เหมือนกับคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเตะตาใคร เขาตื่นขึ้นมาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อจอมเวทแห่งหมู่บ้านได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงไม้กายสิทธิ์วิเศษที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของตัวเอง แต่คนในหมู่บ้านกลับไม่มีใครสามารถใช้ไม้กายสิทธิ์นั้นได้เลย ไม่เว้นแม้แต่ลูกศิษย์ของจอมเวทคนนั้น แต่ตัวเรากลับสามารถใช้มันได้อย่างน่าประหลาดใจ งานนี้ชะตากรรมของบุคคลแสนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจึงได้เริ่มต้นขึ้น จริง ๆ แล้วพล็อตเรื่องของเกมนี้ จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด ก็คงต้องบอกว่า มันเหมือนกับการ์ตูนช่วงเช้าวันหยุดที่เด็ก ๆ จะตื่นมาดู ไร้ซึ่งความรุนแรงใด ๆ สอดแทรกมุกตลกและเรื่องราวขำ ๆ เข้ามาเป็นระยะเสมอ โดยการเล่าเรื่องราวของเกมนี้จะไม่ค่อยมีเสียงบรรยายสักเท่าไร จะมีแต่ซับบรรยายเท่านั้น ดังนั้นหากคุณอยากจะอินกับเกมนี้ การอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะถ้าเล่นแบบข้ามเนื้อเรื่องรัว ๆ รับประกันได้ว่าอรรถรสความสนุกของเกมนี้จะดรอปลงไปพอสมควรเลยทีเดียว และแม้ว่าเนื้อเรื่องเกมนี้จะเข้าใจได้ง่ายมาก มีคนทำสรุปเนื้อเรื่องเอาไว้พอสมควรแล้ว แต่การจะลุยเล่นเกมอย่างเดียว โดยไปตามเนื้อเรื่องย้อนหลังก็ยังไม่ได้อารมณ์เท่ากับเล่นเอง ดังนั้นหากคุณอยากสัมผัสเกมนี้แบบเต็มอิ่ม ภาษาอังกฤษอาจจะต้องได้ในระดับหนึ่งด้วยรูปแบบเกม Dungeon Crawler + RPG Open Worldความสนุกของ Nobody Saves the World เราได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเนื้อเรื่องด้านบนแล้ว นั่นคือเราจะได้รับไอเทมไม้เท้ากายสิทธิ์ของจอมเวทแห่งอาณาจักร ทำให้เรามีความสามารถในการแปลงกายเป็นใครก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้เลยตั้งแต่เริ่มเกม เพราะเราจำเป็นจะต้องเก็บเลเวล ปลดล็อคคลาสนั้น ๆ ให้ได้เสียก่อน เราถึงจะสลับไปแปลงร่างเป็นร่างนั้นได้แต่ก่อนจะไปลงลึกในระบบแปลงร่างของเกม ขอบอกก่อนว่านิยามของเกมนี้จริง ๆ แล้วคือเกมแนว Dungeon Crawler ที่มีองค์ประกอบของเกมโลกเปิดอยู่ในตัว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจช่วงเริ่มต้นของเกมแล้ว ผู้เล่นจะมีอิสระในการไปไหนมาไหนก็ได้ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ขนาดแผนที่ของเกมนี้ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรเลย อาจเพราะด้วยการนำเสนอแบบมุมมองเหนือหัว เลยทำให้เราคิดไปแบบนั้น แต่หากเทียบกับเกมแนวเดียวกันนี้ ขนาดแผนที่ก็ถือว่าใหญ่เกินกว่าเกมอื่น ๆ พอสมควรโลกภายในเกมจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือส่วนของ Open Field หรือแผนที่ทั่วไป ในแผนที่ทั่วไปนี้ ผู้เล่นจะได้พบกับชุมชน หมู่บ้าน ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่า NPC ให้เราเข้าไปพูดคุย สอบถามข้อมูลต่าง ๆ การพูดคุยสอบถามนี้จะทำให้เราได้ข้อมูลสถานที่ตั้งดันเจี้ยนที่อยู่ในแผนที่ด้วย แม้ว่าเราจะยังไม่ไปเจอด้วยตัวเองก็ตาม ดังนั้นการสืบเสาะ หาข้อมูล พูดคุยกับคนนั้นคนนี้ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อพบเจอดันเจี้ยนแล้ว ใช่ว่าเราจะเข้าไปลุยเลยได้ เพราะเกมต้องการสองอย่าง นั่นคือ เลเวลที่เหมาะสม และจำนวนดวงดาวของไม้เท้าเวทมนตร์ ซึ่งได้จากการเอาชนะดันเจี้ยนและทำภารกิจต่าง ๆ และอีกเงื่อนไขหนึ่งคือเลเวลของตัวละคร ทำให้การเก็บสะสมดวงดาวไม้เท้าเวทมนตร์ เปรียบเสมือนกับข้อจำกัดของตัวเกม ที่เรา้ตองไปเล่น เพื่อปลดล็อคมันมาให้ได้ซึ่งภายในดันเจี้ยน จะมีลักษณะแบบพื้นที่ปิด แต่มีเส้นทางที่หลากหลาย และเต็มไปด้วยกับดักและศัตรู รวมไปถึงหีบสมบัติมากมายให้เราได้ตามล่าและเงินที่เอามาใช้ซื้อไอเทมด้วย รูปแบบการเล่นภายในดันเจี้ยนก็จะเป็นเกมแอคชั่น RPG ทั่วไปเลย แต่จะมีกลิ่นอายของความเป็น Hack & Slash อยู่ด้วย นั่นคือเน้นลุยแหลก ต่อสู้ สแปมสกิล และหลบหลีก แล้วถ้ามันเหมือนเกมทั่วไป มันจะไปสนุกตรงไหน คำตอบอยู่ที่หัวข้อถัดไป นั่นคือ ระบบการแปลงร่างแปลงร่าง ทำภารกิจ ปลดล็อคร่างใหม่ ฟีเจอร์สำคัญของ Nobody Saves the World คือฟีเจอร์การที่เราจะแปลงร่างเป็นร่างต่าง ๆ ที่มีความสามารถอันหลากหลาย ย้ำว่า "สิ่งต่าง ๆ" เพราะร่างแปลงของเราจะไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่จะเป็นทั้งสิ่งของ สัตว์ หรือแม้กระทั่งอสูรกายไปเลยก็มี ในช่วงแรกที่เราเป็น Nobody หลังจากได้ไม้เท้ากายสิทธิ์มาตามเนื้อเรื่อง เราจะได้เรียนรู้ที่จะแปลงร่างเป็นหนู จากนั้นก็จะเรียนรู้ที่จะแปลงร่างเป็นตัวละครที่มีความสามารถต่าง ๆ เช่น Warrior (นักรบ) Ranger (นักล่า) และปลดล็อคต่อไปอีกเรื่อย ๆ อีกมากมาย โดยแต่ละร่างแปลงของเรานั้น จะมีเควสท์ให้ทำ โยดเควสท์เหล่านี้จะเป็นการให้เราโจมตีศัตรูด้วยร่างนั้น ๆ ตามเงื่อนไขต่าง ๆ เมื่อทำสำเร็จแล้วก็จะปลดล็อครางวัลเป็นค่าประสบการณ์และดวงดาวไม้เท้าเวทมนตร์ ทำให้ร่างนั้น ๆ มีความสามารถในการต่อสู้สูงขึ้น และแต่ละร่างจะมี Ranking ของตัวเองด้วย การจะปลดล็อคร่างแปลงใหม่ ๆ ก็จำเป็นจะต้องมีระดับ Ranking ที่สูงมากพอยกตัวอย่างตามภาพนี้ กับเควสท์ของร่าง Magician (นักมายากล) โดยเควสท์จะให้เราเสกสัตว์มาช่วยต่อสู้และทำดาเมจตามจำนวนครั้ง ถ้าทำเสร็จเควสท์ก็จะสำเร็๗และรับรางวัลได้ รางวัลจะเป็น FP ที่ทำให้ร่างแปลงนั้น ๆ มี Ranking ที่สูงขึ้น ส่วน XP จะทำให้เลเวลตัวละครของเราเยอะขึ้น ซึ่งแยกจากกัน ร่างแปลงแต่ละร่างจะสามารถติดตั้ง Passive และ Active Skills ได้ โดย Active จะเป็นการกดใช้งาน ติดตั้งได้ 4 สกิล ส่วน Passive จะเป็นสกิลติดตัว ไม่จำเป็นต้องกดใช้ ติดตั้งได้ 4 สกิลเช่นกัน แต่ถ้าจะติดตั้งให้ได้ครบ 4 ช่อง ต้องปลดล็อคที่เลเวล 30 ก่อน จึงจะสามารถทำได้ และสกิลทั้งหลายยังสามารถอัปเกรดได้จากการซื้อหรือได้มาซึ่ง Upgrade Token ที่เราหาได้จากภารกิจต่าง ๆ รวมไปถึงร้านค้าด้วยไม่เพียงเท่านั้น เพราะแต่ละสกิลจะมีสัญลักษณ์บอกไว้ที่มุมซ้ายบนอย่างชัดเจน สัญลักษณ์พวกนี้จะเป็นเหมือนกับระบบแพ้ทาง-ชนะทางกัน หากเราใช้สกิลโจมตีศัตรูผิดประเภทก็อาจจะถึงขั้นตีศัตรูไม่เข้ากันเลยทีเดียว ดังนั้นก่อนจะจัด Set Skill ก็ต้องเอาให้แน่ใจว่าเราจะพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และศัตรูทุกรูปแบบ ความสนุกของเกมนี้เลยอยู่ที่การต่อสู้ ทำภารกิจ ปลดล็อคร่างใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ยิ่งมีร่างเยอะ เกมเพลย์การเล่นของเราก็สามารถพลิกแพลงได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ฟังดูเหมือนไอเดียจะดี และเป็นเกมที่เล่นสนุกมาก แต่ข้อเสียของมันก็กลับเป็นการนำเสนอของมันนั่นเอง นั่นคือในช่วงหลัง ๆ ที่เราจะต้องเจอกับศัตรูหลากหลายประเภท เราจะต้องทำการเปลี่ยนร่างไปมาแทบจะตลอดเวลา โชคดีที่เกมออกแบบระบบการควบคุมมาให้สามารถเปลี่ยนร่างได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แต่มันก็?ำให้เกมการเล่นติดขัดไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะตอน Boss Fight ที่ลำพังบอสนั้น ไม่ยากเท่าไร แต่ลูกสมุนที่มันปล่อยออกมา บางตัวจะมีหลากหลายประเภท การโจมตีจากร่างเดียว ไม่สามารถเก็บกวาดได้หมด ทำให้ต้องสลับฟอร์มไปมาระหว่างสู้บอสก็ถือว่าทำให้มือเป็นระวิงได้ไม่ใช่น้อยเลยนอกจากนั้นคือเรื่องของการดำเนินเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาเฉพาะบุคคล เพราะหลายคนอาจไม่ได้ชอบเกมที่ต้องมานั่งอ่านหรือตีความกันเอาเอง และ Nobody Saves the World ใช้วิธีนี้ในการเล่าเรื่องแทบจะทั้งเกม แม้ตัวเกมโดยรวมแล้วจะกินเวลาไม่นานนัก 9-10 ชั่วโมงก็น่าจะจบได้แล้ว แต่ถ้าเล่นจนจบโดยที่เราไม่รู้อะไรเลย มันอาจจะกลายเป็นเกมน่าเบื่อไปอีกเกมก็เป็นได้ส่วนของ Performance หรือประสิทธิภาพตัวเกม ด้วยการนำเสนอภาพแบบการ์ตูน แถมแทบจะเป็น 2D อยู่แล้ว ดังนั้นคอมพิวเตอร์สมัยนี้ ก็เล่นได้แบบสบาย ๆ ถ้ามันไม่เก่าจนเกินไป และตัวเกมยังมีฟังก์ชั่นแบบ Anti-Aliasing หรือลบรอยหยัก ความคมชัดภาพมาให้ปรับกันอีกมากมาย และส่งท้ายด้วยข้อเสียที่ไม่รู้ว่าจะนับเป็นข้อเสียได้หรือไม่ นั่นคือการควบคุม เพราะเกมนี้แนะนำให้ผู้เล่นใช้จอยคอนโทรลเลอร์มากกว่าที่จะใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ทำให้คนที่ไม่อยากจะต่อพ่วงอุปกรณ์หลายอย่างก็อาจจะขัดใจซะหน่อย แต่หลังจากได้ลองใช้งาน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เกมนี้ใช้จอยคอนโทรลเลอร์ควบคุมได้สะดวกกว่ามากจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณกำลังมองหาเกมสนุก ๆ เนื้อเรื่องใช้ได้ แต่เกมเพลย์มีความแปลกใหม่พอสมควร Nobody Saves the World คืออีกหนึ่งเกมน้ำดีที่หลายคนมองข้ามไปในปีนี้ และสามารถหามาเล่นกันได้แล้ววันนี้บน PC และคอนโซล รวมไปถึงบนบริหาร Xbox Game Pass ด้วย
16 Apr 2022
[Review] สานฝันเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองใน Cafe Owner Simulator
อาชีพในฝันของใครหลายคน คงไม่พ้นการมีธุรกิจเล็ก ๆ อย่าง 'คาเฟ่' เป็นของตัวเอง แต่การทำธุรกิจใช่ว่าใครจะลองผิดลองถูกได้ (ถ้าไม่มีเงินสำรอง) แล้วก็ไม่รู้ว่าคอนเซปต์ร้านเราจะถูกใจลูกค้ามากน้อยแค่ไหนถ้าอย่างนั้นเรามาจำลองการเปิดคาเฟ่ของตัวเองดูกันหน่อยไหมล่ะ? กับเกม Cafe Owner Simulator ที่จะให้เราได้ลองสร้างร้านของเราเองตั้งแต่ 0 จนขายดีกันได้เลยคาเฟ่ในความเข้าใจของเรา Café คงหมายถึงร้านกาแฟ แต่อ้างอิงตาม Cambridge Dictionary แล้ว ในภาษาอังกฤษ คำนี้จะมีความหมายว่า 'ร้านอาหารขนาดเล็ก ที่เสิร์ฟเมนูง่าย ๆ ในราคาย่อมเยา' นั่นหมายความว่า ในเกมนี้เราจะได้สร้าง 'ร้านอาหาร' นะจ๊ะ ไม่ใช่ร้านกาแฟส่วนความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น คาดว่าน่าจะมาจากการพ้องเสียงกับคำว่า Caffé ในภาษาอิตาลี ที่มีความหมายว่า 'กาแฟ' เลยทำให้เราเรียกรวมการออกเสียงนี้เป็น ร้าน+กาแฟ เสียเลย!Cafe Owner Simulatorสำหรับเรื่องรางของเกมนั้น จะเริ่มต้นด้วยการเล่าอดีตของตัวละครที่เราสวมบทบาท ว่าพ่อของเขาเคยเป็นเจ้าของคาเฟ่ท้องถิ่นที่ขายดี แต่แล้วก็ต้องมาล้มละลายไป และตัวละครของเราที่โตขึ้น ก็ได้มีความฝันว่าจะกอบกู้ร้านของครอบครัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นก่อนที่เราจะมาสร้างเนื้อสร้างตัวกับร้านแห่งใหม่ของเราเริ่มต้นเกม เราจะมายืนอยู่หน้าอาคารร้างแห่งหนึ่ง ภารกิจของเราคือต้องเข้าไปเก็บกวาด ซ่อมบำรุง ตกแต่ง และเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเป็นในการเปิดคาเฟ่ให้พร้อม ก่อนที่จะเปิดต้อนรับลูกค้าซึ่งสิ่งที่เราจะต้องทำนั้น จะขึ้นเป็นเควสอยู่ด้านขวาบนของหน้าจอ เราเพียงแค่ควบคุมตัวละครและหมุนมุมกล้องไปตามทิศทางที่ต้องการ ซึ่งเป็นการควบคุมแบบเรียบง่ายสุด ๆ เลย โดยเควสจะคอยบอกว่าเราต้องทำอะไรก่อน แน่นอนว่าต้องเก็บขยะให้หมดร้าน เมื่อทำเสร็จก็จะขึ้น Check List ให้พร้อมขึ้นภารกิจถัดไปเรื่อย ๆในระหว่างที่เรากำลังจัดเก็บร้าน จะได้เห็นพัฒนาการขององค์ประกอบฉาก จากอาคารที่ทั้งรก เก่า และมืด เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พร้อมฉากธรรมชาติรอบ ๆ ร้าน บอกเลยว่าสวยงามสบายตามาก พร้อมเสียงบรรยากาศคลอเบา ๆ สไตล์ป่าเขา ซึ่งใครชอบก็นับว่าช่วยฮีลใจได้ดี แต่ใครไม่ชอบก็อาจจะหลอนหรือรำคาญไปเลยก็ได้ แต่ส่วนตัวมองว่าทำแบบนี้มาก็เข้ากับฉากดีนะ และทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ที่นั่นจริง ๆ ด้วย แถมเรายังได้เห็นกวางมูสมาเดินเล่นริวรั้วเราด้วยนะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ และนอกจากนี้เรายังมีโอกาสเจอขอทานแวะเวียนมาขอเงินที่ร้านด้วย ก็ลองฟังคำขอเขาดู ส่วนจะให้เงินไหมก็ตามใจเลยส่วนหลังจากเก็บกวาดและซ่อมแซมแล้วร้านจะออกมาแบบไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของผู้เล่นเลย โดยหนึ่งในภารกิจก่อนเริ่มกิจการของเรา จะมีให้ตกแต่งร้าน ซึ่งสามารถเลือกสีและลายได้จากแท็บเล็ตของเรา ที่มีหลากสีหลายรูปแบบให้เลือก ผสมผสานกันได้ตามชอบ เมื่อร้านสวยแล้วก็ถึงเวลาซื้อของเข้าร้าน แน่นอนว่าในเควสจะมี Check List ของจำเป็นที่เราต้องมีมาให้ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว และวัตถุดิบที่ใช้ทำเมนูที่เราจะเสิร์ฟในร้าน แน่นอนว่าทั้งหมดเราสามารถสั่งซื้อได้ผ่านแท็บเล็ตเช่นเคยเมนูที่ระบบให้มา ก็ถือว่าเยอะและน่าสนใจใช้ได้เลย เพราะมีทั้งพิซซ่า พาสต้า ซูชิ สลัด ของว่าง ไปจนถึงของหวาน ให้เลือกมาเสิร์ฟรวมประมาณ 20 เมนูเลย จะเลือกเมนูหลากหลายหรือเจาะจงว่าจะเสิร์ฟแค่บางประเภทก็ทำได้ทั้งนั้น เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ก็จ้างเชฟมาช่วยปรุงอาหาร แค่นี้ก็พร้อมรับลูกค้าแล้ว!!ในระบบภาพรวมนั้นถือว่าเข้าใจไม่ยากมาก เพราะแทบทุกอย่างจะอยู่ในแท็บเล็ตซึ่งทั้งสะดวกและสร้างความวุ่นวายให้พอตัว เพราะหากแค่ซื้อของก็ไม่เท่าไหร่ แต่หลังเปิดร้านแล้วนี่สิ ได้หยิบขึ้นมาเป็นว่าเล่นเลย ตัวเควสในเกมเองก็ไม่ได้ไกด์สิ่งที่ต้องทำให้มากเท่าไหร่ ใครอ่านภาษาอังกฤษแล้วสับสนก็อาจจะต้องใช้เวลาหาระบบในแท็บเล็ตกันนานหน่อย กว่าเควสจะยอมเช็คให้อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่เราแนะนำมานี้ยังเป็นเวอร์ชั่นเดโมอยู่ ทำให้อนิเมชั่นบางอย่างก็ดูขัดตาไปบ้าง รวมถึงสิ่งของบางชิ้นก็บั๊คไปบ้าง อย่างเช่นหนูวิ่งทะลุบางส่วนของฉากได้แต่เราวิ่งแล้วติด เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถแจ้งผู้พัฒนาได้ผ่านเมนูในหน้าล๊อบบี้เลย สะดวกสุด ๆ เอาจริง ๆ ในภาพรวมเกมก็ถือว่าทำออกมาไม่ผิดหวังเลย คงเพราะเป็นแฟรนไชน์จาก RockGame S.A. ผู้ผลิตเกม Simulator ชั้นเยี่ยมหลายชิ้น จึงมั่นใจได้ในคุณภาพ แล้วคิดดูว่าตัวทดลองยังดีขนาดนี้ เปิดจริงน่าจะสนุกไม่น้อยเลย ใครสนใจก็สามารถไปโหลดมาเล่นได้ ฟรี! ใน Steam เล่นเสร็จก็อย่าลืมทำแบบสำรวจเพื่อลุ้นรับคีย์เกมในวันเปิดจริงด้วยล่ะ 
30 Mar 2022
[Review] Kirby and the Forgotten Land อีกหนึ่งร่างสมบูรณ์ของ 'เกมที่เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ตามสไตล์ Nintendo'
Kirby เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่อยู่กับทาง Nintendo มาอย่างยาวนาน โดยภาคแรกนั้นได้เปิดตัวออกมาภายในปี 1992 ในชื่อภาค Kirby's Dream Land ซึ่งตัวเกมก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างดี ไปจนถึงยอดขายที่ยอดเยี่ยม จึงส่งผลให้ชื่อของ Kirby ได้รับการสานต่อมาจนถึงทุกวันนี้นี่เองซึ่งในปี 2022 นี้ ก็เป็นโอกาสครบรอบ 30 ปี ของตัวเกม Kirby แบบพอดิบพอดี แน่นอนว่าทาง Nintendo และ HAL Laboratory ไม่พลาดที่จะนำโอกาสอันดีเช่นนี้ ปล่อยเกมภาคใหม่ของเจ้าก้อนกลมสีชมพู ในชื่อภาค Kirby and the Forgotten Land ที่เป็นการนำตัวของ Kirby เข้าไปสู่โลก 3 มิติแบบจริง ๆ กันเสียทีซึ่งตัวเกมจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหนนั้น รีวิวนี้มีคำตอบครับเนื้อเรื่องย่อยง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นกลวงเปล่าแฟน ๆ ของ Kirby น่าจะรู้กันดีว่า เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ภายในเกม Kirby ภาคหลักทุกภาคนั้น จะเป็นเหมือนกับของแถมเสียมากกว่า ด้วยพล็อตสไตล์โบราณที่ว่าด้วยตัวร้ายออกมาก่อความวุ่นวาย และมีพระเอกอย่าง Kirby ที่ต้องเข้าไปคลี่คลายปัญหาให้ลุล่วง มันก็ถูกทำซ้ำมากว่า 30 ปีแล้วซึ่งตัวเกมในภาค Kirby and the Forgotten Land ได้พยายามที่จะฉีกตัวเองออกจากกรอบเดิม ๆ อยู่บ้าง ด้วยการเริ่มเรื่องที่ให้ Kirby และเหล่า Waddle Dee ต้องหลุดในต่างดินแดนผ่านรอยแยกของมิติ แต่สุดท้ายแล้ว แก่นหลักของเนื้อเรื่องมันก็ยังเป็นการต้องไปปราบตัวร้ายที่หวังจะทำเรื่องชั่ว ๆ อยู่ดีนั่นแหละโดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Kirby ที่หลุดเข้าไปใน Forgotten Land ดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งในช่วงคลี่คลายปมของเรื่องราวก็ยังได้มีการเฉลยอีกด้วยว่า ทำไมดินแดนนี้ถึงถูกทิ้งร้างกันนะ และช่วยทำให้ตัวร้ายภายในเกมดูมีมิติมากขึ้น แทนที่จะเป็นการทำชั่วแบบไร้เหตุไร้ผลแบบในภาคก่อน ๆ ทั้งนี้ ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครที่มาเล่น Kirby เพราะหวังจะติดตามเนื้อเรื่องกันหรอก (หรือถ้ามี มันก็คงเป็นอัตราส่วนที่น้อยมากจริง ๆ) และยังเชื่ออีกว่า ทางผู้พัฒนาอย่าง HAL Laboratory ก็คงรู้ตัวเองดีเช่นกัน ถึงไม่ได้เน้นหนักไปที่การเล่าเรื่องมากขนาดนั้น และไปมุ่งเน้นที่เกมเพลย์เสียมากกว่าระบบการเล่นที่ยังคงสนุก แถมเสริมด้วยความสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์หากมองผิวเผินในครั้งแรก หลายคนคงน่าจะคิดเหมือนกันว่า นี่มันคือ Super Mario Odyssey เวอร์ชัน Kirby ชัด ๆ เลยเพราะไม่ว่าจะเป็น มุมกล้อง ฉาก 3 มิติเต็มรูปแบบครั้งแรกของซีรีส์ ไปจนถึงระบบ Mouthful Mode ที่คล้ายกับการ Capturing (โยนหมวก) ของ Mario เพื่อเข้าควบคุมสิ่งต่าง ๆ ก็ยังดูคล้ายกันราวยังกับแกะทว่าเมื่อได้ลองสัมผัสเกมเพลย์เองแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า ทาง Kirby ค่อนข้างจะทำได้เหนือกว่า Mario ระดับหนึ่งเลยทีเดียวเพราะด้วยไอเดียดั้งเดิมของตัว Kirby ที่สามารถลอกแบบพลังของศัตรูได้นั้น ถูกผสานเข้ากับไอเดียใหม่ในภาคนี้อย่างระบบอัปเกรดพลัง ไปจนถึง Mouthful Mode ที่ใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ องค์ประกอบเหล่านี้นี่เองที่ช่วยทำให้เกมการเล่นของ Kirby ดูมีมิติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อยแถมระบบอัปเกรดนี้ ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนเล่นออกตามหาวัสดุที่ใช้ในการอัปเกรดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดลับที่ซ่อนอยู่ตามด่านหลัก หรือจะเป็นด่านรองที่มาในรูปแบบของ Challenge ให้ผู้เล่นได้ท้าทาย แม้กระทั่ง Mini Game อย่าง Colosseum ก็ยังมีของรางวัลตอบแทนเช่นกันด้วยการออกแบบเกมที่ให้รางวัลกับผู้เล่นในทุกกิจกรรม นี่จึงทำให้คนเล่นแทบจะไม่อยากพลาดความลับหรือ Mini Game ไปแม้แต่อันเดียวเลยซึ่งต่างจาก  Super Mario Odyssey ที่การเก็บพวกไอเทมต่าง ๆ จะใช้แค่ในปลดล็อกด่านถัดไป และ Skin สวมใส่สำหรับ Mario เท่านั้นเองการออกแบบฉากที่ยอดเยี่ยม ทำให้การผจญภัยดูสดใหม่อยู่เสมอถึงตัวเกมจะถูกนำเสนอในรูปแบบของ 3 มิติ แต่มุมกล้องภายในเกมก็ยังมีความ Fix อยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นหมุนกล้องได้ตามใจชอบเหมือนเกมที่มีมุมมอง Third Person ทั่ว ๆ ไปทว่าทางผู้พัฒนากลับทำให้สิ่งที่ควรเป็นข้อเสียตรงนี้ กลายเป็นจุดแข็งของเกมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการวางไอเทม ไปจนถึงทางลับตามจุดต่าง ๆ ก็ได้มีการซ่อนเอาไว้อย่างแยบยล หลบมุมกล้องไปเพียงนิดเดียว เป็นการออกแบบสไตล์ที่มอบรางวัลให้กับคนช่างสังเกต ปนกับการแอบบอกใบ้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจูงมือชี้ทางตรงไปหาไอเทมเลยอีกทั้งการใช้มุมกล้องกึ่ง Fix ยังช่วยในเรื่องของการสร้างอารมณ์ให้กับผู้เล่นได้อีกด้วย เช่น ในฉากที่ต้องการให้ผู้เล่นสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่หรือความน่าเกรงขามของแผนที่ ตัวเกมจะปรับมุมกล้องไปกลายเป็นมุมเสย ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดันจากสิ่งที่ใหญ่กว่า หรือในบางฉากที่ต้องการให้แก้ปริศนา มุมกล้องก็จะถูกดันให้กลายเป็นแบบ Bird Eye View มองลงมา ช่วยอำนวยความสะดวกในการมองภาพรวมของปริศนามากยิ่งขึ้นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขอชื่นชมก็คือ การออกแบบฉากภายในเกม ที่ไต่ระดับความยากได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งการวางจุดเกิดของศัตรู ไปจนถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีระหว่างทาง ช่วยให้การเล่นตลอดเกมยังคงรู้สึกท้าทาย แม้จะการอัปเกรดพลังของ Kirby เข้ามาช่วยแล้วก็ตามและทางผู้พัฒนายังได้นำเสนอการผจญภัยในด่านต่าง ๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะตลอดการเล่น ตัว Kirby จะได้เผชิญกับการแก้ปริศนาที่ต้องใช้การพลิกแพลงมากขึ้น และยังต้องอาศัยความแม่นยำในการควบคุมของผู้เล่นมากขึ้นอีกด้วยช่วยให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเบื่อเลย แม้จะเล่นเพลินยาวตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมเลยก็ตามMouthful Mode ระบบใหม่ที่ภายนอกอาจจะดูพื้น ๆ แต่ก็ช่วยขยายความเป็นไปได้อย่างมากมายหากใครได้ตามข่าวสารของตัวเกมมาบ้าง ก็น่าจะเคยเห็น Trailer ที่แสดงให้เห็นถึง Mouthful Mode ระบบใหม่ในภาคนี้ โดยตัว Kirby จะทำการดูดกลืนสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปในร่างกาย และควบคุมสิ่งเหล่านั้นอีกที เช่น รถ กรวย น้ำ ไปจนถึงเครื่องร่อน ซึ่งภายในตัวเกมนั้นได้นำเสนอ Mouthful Mode อีกมากมายให้ผู้เล่นรอได้สัมผัสกันแถม Mouthful Mode นี้ ยังช่วยเข้ามาทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้นอีกด้วย ทั้งฉากที่ต้องอาศัยความเร็ว ก็ต้องใช้รถยนต์เข้าช่วย  ฉากไต่พื้นที่ต่างระดับต้องใช้แท่นยกพลิกแพลง ฉากที่ต้องทลายพื้นดินต้องใช้กรวยทิ่มลงไป ฉากที่มืดต้องใช้หลอดไฟส่องสว่าง ไปจนถึงฉากบนอากาศก็ต้องใช้เครื่องร่อนนำพา Kirby ไปให้ถึงจุดหมาย ถึงแรกเริ่ม Mouthful Mode อาจจะดูเรียบง่ายเมื่อเทียบกับพลัง Copy abiblity ของตัว Kirby ก็จริง แต่มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนเล่นสนุกกับเกมได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แพ้กับระบบอื่น ๆ เลยเช่นกันประสิทธิภาพดี เฟรมไม่มีตกถึงเครื่อง Nintendo Switch จะมีอายุปาเข้าไป 5 ขวบแล้ว แถมตัวสเป็กของเครื่องก็อาจจะไม่ได้มีความแรงมากนัก หากเทียบกับ Console จากค่ายอื่น ๆ แต่ Kirby and the Forgotten Land ก็ยังสามารถทำประสิทธิภาพบนเครื่องพกพาสีน้ำเงินแดงนี้ได้อย่างน่าประทับใจทุกฉากจะรันอยู่บนความลื่น 30 FPS ตลอดเวลา อาจจะมีบางจังหวะที่กระตุกบ้าง แต่ก็แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น อีกทั้งฉากโหลดระหว่างแผนที่ต่าง ๆ ก็ยังทำได้รวดเร็วอีกด้วย ต้องยอมซูฮกให้กับทีมพัฒนาจริง ๆ ที่สามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่องออกมาได้แบบสุดลิ่มทิ่มประตูเสียขนาดนี้และถึงตัวเกมอาจจะไม่ได้มีกราฟิกที่สมจริงหรือล้ำยุคแบบเกม Next Gen แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฉากต่าง ๆ ที่ตัวเกมนำเสนออกมานั้น ยังคงสวยงามตามแบบฉบับลายเส้นการ์ตูนเช่นนี้อยู่ ซึ่งภาพแบบนี้นี่แหละ ที่อยู่กับ Kirby มาทุกยุคทุกสมัย และสามารถครองใจเด็ก ๆ มาได้กว่า 30 ปีควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?แม้ภายนอก Kirby and the Forgotten Land อาจจะดูเป็นเกมที่ลอกแบบ Super Mario Odyssey มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่เนื้อในนั้น มันกลับพัฒนา และไปได้ไกลยิ่งกว่าที่้เคยเป็นทั้งระบบที่เชื้อชวนให้ผู้เล่นตามเก็บไอเทมภายในเกมเพื่อนำไปอัปเกรด มุมกล้องที่ถูกประยุกต์ใช้กับตัวเกมได้อย่างยอดเยี่ยม ความท้าทายที่วางมาในระดับที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี ไปจนถึงประสิทธิภาพที่ตัวเกมสามารถรีดเค้นพลังของเครื่องเกมมาได้ทุกหยดหากมีคนถามว่า มีเครื่อง Nintendo Switch แล้ว ควรมีเกมอะไรติดเครื่องเอาไว้บ้าง?เชื่อว่า Kirby and the Forgotten Land จะต้องขึ้นไปติดอันดับรายชื่อเกมที่ต้องมีเอาไว้ในครอบครองประจำเครื่อง Switch อีกหนึ่งเกมอย่างแน่นอนมีลูก มีหลาน ก็ซื้อเลยอย่ารีรอ และต่อให้อยู่คนเดียว แต่ถ้าคุณมีเครื่อง Switch คุณก็ควรจะหามันมาเล่นเช่นกัน!
29 Mar 2022
[Review] Tiny Tina's Wonderlands เกมถอดสมองเดินหน้ายิง ที่พกความกาวและเกรียนมาเต็มรังเพลิง
แฟรนไชส์ Borderlands เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยเอกลักษณ์หลาย ๆ อย่างที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นภาพกราฟิกในลักษณะการ์ตูนคอมิก ระบบของ Loot Shooter ที่น้อยเกมจะทำตาม ไปจนถึงเนื้อเรื่องสุดเกรียนที่พร้อมเสิร์ฟความฮาให้คนเล่น ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตัวซีรีส์มักถูกนำไปสร้างเป็นภาคต่อ รวมไปถึงสร้างเกม Spin-off แยกออกมามากมายซึ่ง Tiny Tina ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน จากแต่เดิมที่เคยปรากฎตัวแบบ DLC ในชื่อ Tiny Tina's Assault on Dragon Keep มาในคราวนี้ Tiny Tina ได้รับเกมแยกของตัวเองอย่างเป็นทางการในชื่อ Tiny Tina's Wonderlands กันเลยทีเดียวส่วนเรื่องความสนุก ความเกรียน ความฮา และความมันส์ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่? รีวิวนี้มีคำตอบ!เนื้อเรื่องสุดจืด แต่ชดเชยด้วยบทพูดสุดปั่นเนื้อเรื่องของ Tiny Tina's Wonderlands นั้น จะเป็นการนำพาผู้เล่นให้รับบทเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมโต๊ะ นั่งเล่นบอร์ดเกมกับบรรดาตัวละครคุ้นหน้าคุ้นตาจากแฟรนไชส์ Borderlands ไม่ว่าจะเป็น Tiny Tina, Valentine ไปจนถึง Frette ตัวผู้เล่นจะเข้าร่วมเกมในฐานะตัวละครที่เรียกขานกันว่า Fatemaker ซึ่งเป้าหมายนั้นก็ง่ายมาก นั่นคือจัดการตัวร้าย Dragon Lord ลงให้จงได้หากพูดกันตามตรง เนื้อเรื่องของ Tiny Tina's Wonderlands ค่อนข้างจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ พล็อตตัวร้ายอยากจะยึดครองโลก และมีพระเอกมาจัดการยับยั้งแผนชั่วเนี่ย มันเชยจนไม่รู้จะเชยยังไงแล้ว แต่จุดแข็งของซีรีส์ Borderlands มันไม่ได้อยู่ที่พล็อตหลักอยู่แล้วน่ะสิเพราะตลอดทั้งการเล่น พวกบทสนทนาระหว่างตัวละครที่มีการจิกกัดกันอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงปมดราม่าที่ช่วยเปิดเผยความรู้สึกเบื้องลึกเบื้องหลังของบรรดาตัวละคร ทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้การติดตามอ่านเนื้อเรื่องในเกม สามารถทำได้จนตลอดรอดฝั่ง แม้ตัวแนวคิดหลักของเรื่องอาจจะจืดชืดก็ตามและอย่างที่กล่าวไปข้างต้น นี่คือโลกภายในบอร์ดเกม ดังนั้นผู้เล่นภายนอกอย่าง Tina จะเสริมเติมแต่งกฎแบบไหนเข้าไปก็ได้ นี่จึงช่วยทำให้เนื้อเรื่องภายใน Wonderlands แห่งนี้ ยิ่งทวีความบ้าบอเข้าไปอีกขั้น จนถึงขนาดที่ไม่ต้องไปหาเหตุผลมารองรับกันให้เมื่อยเลย เพราะฉะนั้นคำแนะนำในการเล่นเกมนี้ก็คือ ถอดสมองทิ้งเอาไว้ก่อน และเพลิดเพลินกับระบบการยิงสุดมันส์ของตัวเกมกันได้เลยระบบคลาส และการเล่นที่ออกแบบมาขัดกันเองความเป็น RPG ผสมผสานกับความเป็น First Person Shooter เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของซีรีส์ Borderlands ซึ่งแน่นอนว่า Tiny Tina's Wonderlands ก็ได้รับสืบทอดมันมาเช่นกัน แต่ช่างน่าเสียดายที่เสน่ห์ที่สืบทอดกันมานี้ กลับกลายเป็นตัวปิดกั้นแนวทางใหม่ ๆ ที่ซีรีส์ควรจะบุกเบิกไปได้ซะอย่างนั้นภายในเกมจะเริ่มต้นให้ผู้เล่นเลือกคลาสได้มากถึง 6 สาย ได้แก่ ได้แก่ Brr-Zerker, Clawbringer, Graveborn, Spellshot, Spore Warden และ Stabbomancerแถมตัวเกมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือกคลาสรองได้เมื่อเลเวลถึงจุดที่กำหนดอีกด้วย ซึ่งหากอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงคิดว่ามันก็ดูดีนี่นา แนวทางการเล่นก็น่าจะหลากหลายเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?ทว่าทุกอย่างที่เกมทำมานั้น กลับต้องกลายเป็นหมันทันทีเมื่อเข้าสู่เกมเพลย์จริง ๆ เพราะสายอาวุธระยะประชิดอย่าง Brr-Zerker หรือ Stabbomancer นั้น กลับทำดาเมจได้ค่อนข้างช้าหากคิดจะใช้อาวุธ Melee ฟาดเพียว ๆ เรียกได้ว่า เอาปืนยิงตามปกติ ศัตรูยังตายไวกว่าแถมความเสี่ยงในการควงอาวุธตีใกล้เข้าไปฟาดหน้าศัตรูท่ามกลางวงล้อม มันก็มีมากเสียจนทำให้ตัวละครที่ผู้เล่นควบคุมอยู่ เกิดอาการวูบกันง่าย ๆ เลยทีเดียวด้วยเหตุนี้นี่เอง จึงทำให้คลาสของเกมที่อุตส่าห์ทำมาให้เลือกถึง 6 สาย แถมยังเลือกคลาสรองมาผสมได้อีก 5 สายในภายหลัง ช่างดูไร้ความหมายเสียเหลือเกิน เมื่อต้องมาเจอกับระบบปืนที่ยังคงทรงพลังมากกว่าอาวุธระยะใกล้ในแบบที่ตัวเกมเลือกนำเสนอการรัวปืนที่ยังคงสนุก รวดเร็ว และเล่นเพลินจนติดพันถึงทางผู้เขียนจะติในเรื่องการออกแบบคลาสที่ขัดกันกับเกมเพลย์หลักเอาไว้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ระบบต่อสู้ของเกมนี้จะไม่สนุกเพราะ Tiny Tina's Wonderlands นั้น ยังคงรักษามาตรฐาน Gun Play ของซีรีส์ Borderlands เอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม อันที่จริงมันสามารถก้าวล้ำ นำหน้าตัวเกมหลักไปเสียด้วยซ้ำเนื่องจากภายในเกมนี้ ลูกระเบิดที่ผู้เล่นพกพาได้ จะถูกเปลี่ยนไปเป็นช่องใส่ Spell แทน ซึ่งแต่ละ Spell ก็มีความแตกต่างกัน ตั้งแต่ดาเมจที่กระทำ รูปแบบ ไปจนถึงการแพ้ทางและชนะทางศัตรูในประเภทต่าง ๆ ช่วยให้ฉากการต่อสู้ภายในเกมนี้ยิ่งทวีความบ้าคลั่งขึ้นไปอีก แถมความรู้สึกในการใช้ Spell มันก็ดูดีกว่าการขว้างลูกระเบิดโง่ ๆ ออกไปตรงหน้าเป็นไหน ๆ ทำเอาอยากเชียร์ให้ทางผู้พัฒนาอย่าง Gearbox นำระบบนี้ ไปใส่แทนระบบปาระเบิดในซีรีส์หลักแทนเลยทีเดียวและในส่วนของศัตรู ไปจนถึงความท้าทายนั้น Tiny Tina's Wonderlands ก็ให้รสชาติในแบบที่กำลังพอดี เกมไม่ได้ง่ายจนน่าเบื่อ และก็ไม่ได้ยากจนชวนหัวร้อนคุณสามารถเล่นได้ทั้งแบบใจเย็น ที่ค่อย ๆ หลบหลังกำบัง พร้อมกับโผล่หัวขึ้นมาสอยศัตรูทีละตัว หรือจะเล่นแบบ Run & Gun ควงปืนเต้นรำท่ามกลางดงกระสุนก็ได้ทั้งนั้น เพราะต่อให้ผู้เล่นพลาดท่าจนพลังชีวิตหมด Tiny Tina's Wonderlands ก็ได้ให้โอกาสครั้งที่สองแก่ผู้เล่น โดยในช่วงที่ผู้กำลังอยู่ในสถานะ Down นั้น หากผู้เล่นสังหารศัตรูได้ทัน ก็จะสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตกลับคืนมาจำนวนหนึ่งนั่นเองในส่วนของการออกแบบฉากต่อสู้กับบอส ก็ต้องยอมรับว่าสร้างสรรค์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นขึ้นหิ้งจนน่าจดจำ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การประเคนยัดกระสุนใส่หน้าบอสให้แหกกันไปข้าง ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่ดีโลกเปิดกว้างครั้งแรกของซีรีส์ถึงจะไม่ได้เป็นโลกเปิดแบบ 100% แต่ตัวเกม Tiny Tina’s Wonderlands ก็มีบางพื้นที่ที่ให้ผู้เล่นได้เลือกว่าควรจะไปตรงไหนก่อน โดยพื้นที่นั้นจะมีชื่อเรียกว่า Wonderlands Overworld สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คือ การออกแบบที่คงสไตล์บอร์ดเกมเอาไว้ แถมยังกลมกลืนกับเนื้อเรื่องพื้นหลังอีกด้วยเราจะได้เห็นบรรดาซากของกิน ของใช้ ไปจนถึงขยะต่าง ๆ ตามประสาเด็กของตัวละคร Tina เช่น ฝาขวดน้ำอัดลม กระป๋องน้ำ ไปจนถึงเศษขนมที่กินหกขวางทางผู้เล่นเอาไว้อยู่ ซึ่งในการจะเคลียร์เส้นทางได้นั้น ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องไปดำเนินการเควสต์ให้สำเร็จเสียก่อน ตัวเกมถึงจะมาปลดล็อกให้ในภายหลัง การออกแบบฉากที่เพิ่มลูกเล่นให้กลับมาสำรวจซ้ำได้ค่อนข้างน่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว และถึงตัวเกมจะมีระบบเลเวลแบบเกม RPG เข้ามา คนเล่นก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะตลอดการเล่น (ยกเว้นเนื้อเรื่อง) ศัตรูจะทำการปรับเลเวลตามตัวของผู้เล่นอยู่เสมอ ช่วยให้ความท้าทายไม่ได้ถดถอยลงเลย แม้ผู้เล่นจะแอบไปฟาร์มมาจนเลเวลเยอะแล้วก็ตามการออกแบบเควสต์ที่รีดเค้นจุดเด่นของเกมออกมาจากสุดตัวแม้ตัวเกมจะมีส่วนที่เป็น Open World เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจได้ตามใจชอบ แต่การออกแบบเควสต์กลับซ้ำซากจนเหลือเชื่อ ทั้งนี้ เชื่อว่าทางผู้พัฒนาน่าจะตั้งใจให้มันออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เพราะไม่ว่าผู้เล่นจะทำเควสต์อะไรก็ตาม บทสรุปสุดท้ายก็คือการสาดกระสุน และจัดการศัตรูทุกตัวให้หมอบอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น เควสต์ง้อแฟนสาว เควสต์ตามหาสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงเควสต์ช่วยนักโบราณคดีเจรจากับชนเผ่าพื้นถิ่นต้องยอมรับในความใจกล้าของทีมงานเลยจริง ๆ ที่เลือกนำเสนอจุดเด่นของเกมกันแบบสุดโต่ง แทนที่จะเลือกใส่เควสต์น่าเบื่ออย่างการคุ้มกัน NPC หรือการเดินคุยไปมาระหว่างเมือง เพื่อช่วยเพิ่มความหลากหลายเข้ามาแทนที่สำหรับคนที่ชอบยิงแหลก ไม่สน 4 สน 8 ก็น่าจะถูกใจกับการออกแบบเควสต์สไตล์นี้ไม่น้อยเลยล่ะครับ เพราะนอกจากจะได้ทันเพลินกับเกมเพลย์แล้ว ยังได้ฟาร์มไปในตัวอีกด้วยงานภาพที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ แถมไม่กินแรงเครื่องหากจะบอกว่า ภาพกราฟิกสไตล์คอมิก เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Borderlands ก็คงไม่ผิดนักซึ่งงานภาพลวดลายแบบนี้ มันยิ่งช่วยขับความเกรียนและความกาวของตัวเกมออกมาได้ดียิ่งขึ้นเข้าไปอีก แถมยังไม่ค่อนกินแรงเครื่องมากอีกด้วย แม้จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือคอนโซลรุ่นเก่า ก็น่าจะเล่นเกมนี้ด้วย 60 FPS ได้แบบไร้ปัญหา ด้านประสิทธิภาพที่ตัวเกมทำออกมาได้นั้น ก็ค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว เพราะขนาดฉากต่อสู้กับบอสตัวสุดท้ายที่เอฟเฟกต์สกิล แสง สี จัดเต็ม ตัวเกมก็ไม่มีอาการเฟรมตกให้เห็นแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้คนเล่นสามารถเพลิดเพลินกับฉากการต่อสู้สุดนัว ในความเร็วสูงได้กันแบบฟิน ๆ ซับไทยแปลได้ตามมาตรฐานหากใครได้พอติดตามข่าวสารมาบ้าง น่าจะทราบว่าตัวเกม Tiny Tina’s Wonderlands นั้นมีตัวเลือกซับไตเติ้ลภาษาไทย เอาใจเกมเมอร์ชาวไทยกันอีกด้วยซึ่งสำหรับคำแปลที่ตัวเกมได้แปลออกมานั้นก็นับว่าอยู่ในมาตรฐานที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวแม้จะมีบางช่วงที่แอบติดขัดเล็กน้อย อย่างเช่น ซับไตเติ้ลไม่ขึ้นบ้าง หรือมีจุดที่แปลงง ๆ บ้าง ไปจนถึงการใช้ชื่อคนหรือสถานที่แบบเขียนด้วยภาษาอังกฤษไปเลย แทนที่จะเลือกใช้คำทับศัพท์แบบเวลาเกมอื่น ๆ แปลกัน แต่มันก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อการรับรู้เนื้อเรื่องภาพรวมแต่อย่างใดและทั้งนี้ ต้องแจ้งไว้ก่อนว่า ตัวเกมที่ทางทีมงานได้มานั้นยังเป็นเวอร์ชัน Preview อีกด้วย ดังนั้นคงจะมีบางส่วนที่ยังแปลไม่เสร็จสมบูรณ์ดีก็เป็นได้คุ้มค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?แม้ Tiny Tina’s Wonderlands อาจจะมีเนื้อเรื่องที่อ่อนแอ พล็อตที่น่าเบื่อ ไปจนถึงการออกแบบเควสต์ที่ซ้ำซาก แต่เสน่ห์ของเกมแฟรนไชส์ Borderlands ยังคงอัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยมไม่ว่าจะด้วยฉากเปิดตัวแบบเท่ ๆ ฉากยิงปืนสุดมันส์ที่ศัตรูดาหน้าเข้ามาแบบไม่กลัวตาย ไปจนถึงระบบ Loot ของจากศัตรู และรางวัลผ่านฉากที่มีความ RNG อยู่เต็มเปี่ยม จนเกมอื่นยากที่จะเลียนแบบด้วยเสน่ห์เดิม ๆ ของ Borderlands บวกกับการนำเสนอเรื่องราวที่ทวีความกาวเข้าไปอีกขั้น เพราะเป็นโลกในจินตนาการของสาวน้อย Tiny Tinaแค่สองอย่างนี้ก็คงเพียงพอที่จะทำให้แฟนเกมแนว Loot Shooter พร้อมที่จะเสียเงินในกระเป๋าให้กับเกม Tiny Tina’s Wonderlands แล้วล่ะครับสำหรับใครที่อยากหาเกมเบา ๆ ผ่อนคลายสมอง นอนเอนหลังเล่นในวันพักผ่อนจากวันทำงานหนัก เกมนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลยแฟน Borderlands ห้ามพลาด! แฟน Loot Shooter ห้ามพลาด! แฟนเกม FPS ที่ชื่นชอบฉากปะทะนัว ๆ ห้ามพลาด! และคนที่อยากถอดสมองเล่นเกมยิงแบบไม่ต้องคิดอะไรให้หนักหัว ก็ห้ามพลาดเช่นกัน!
22 Mar 2022
[แนะนำเกมมือถือ] เจาะเวลาท่องยุทธภพไปใน MMORPG "หวงอี้ Mobile"
อีกหนึ่งเกมมือถือที่พัฒนาจากเกม PC สุดเจ๋ง ภายใต้ค่ายเกมระดับแนวหน้าของไทยอย่าง Playpark กับ หวงอี้ เกม MMORPG ที่ได้รับอิทธิพลจากนิยายจีนกำลังภายในทั้ง เจาะเวลาหาจิ๋นซี, มังกรคู่สู้สิบทิศ, เทพมารสะท้านภพ และเทพทลายนภาเนื้อหาของเกมเองก็ได้ผสานทั้งความ Sci-Fi แบบวิทยาศาสตร์และความคลาสสิคของยุคจีนโบราณ โดยเราจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยของ ดร.หม่า ผู้สร้างเครื่องทะลุมิติที่ทำให้เราสามารถย้อนเวลาไปในอดีตได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นการผจญภัยของเรา!ระบบการเล่นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเราสามารถกดที่เควสเพื่อให้ตัวละครวิ่งไปทำภารกิจโดยอัตโนมัติ ตามสไตล์ MMORPG บนมือถือ ทำให้แม้จะเป็นมือใหม่ก็เข้าใจการเล่นได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่สิ่งที่พิเศษกว่าเกมอื่นในแนวเดียวกันก็คือ หวงอี้ จะผสานแนว choice-base ลงไปในเควสด้วย โดยทุกการตอบโต้กับ NPC ของเรา จะส่งผลต่อสภาวะจิต ซึ่งประกอบด้วยค่าสถานะต่าง ๆ ที่เราจะได้รับด้วยล่ะ! สภาวะจิตจะแบ่งออกเป็น 3 สำนัก ก็คือ...สำนักพุทธ - สายป้องกัน สำนักเต๋า - สายสนับสนุนสำนักมาร - สายโจมตียิ่งเรามีค่าสภาวะจิตสูง เราก็จะสามารถเรียนรู้สกิลของสำนักนั้นได้มากขึ้น ซึ่งสามารถดูสัญลักษณ์ท้ายคำตอบได้ ว่าคำตอบแบบไหนจะส่งผลต่อสภาวะใดนั่นเองนอกจากเราจะเลือกแนวทางการเล่นได้แล้ว อาวุธที่จะใช้เรายังสามารถเลือกและเปลี่ยนได้ตลอดเวลาอีกด้วย! หมดปัญหาเรื่องเลือกอาชีพที่ถนัดไปได้เลย เพราะเราสามารถผสมผสานการเล่นได้อย่างหลากหลายตามสถานการณ์ โดยหลัก ๆ จะเป็นการตั้งค่า AI ว่าจะออกสกิลอะไรบ้างและอยากให้คอมโบออกมาเป็นอย่างไร นับเป็นอีกหนึ่งความพิเศษที่ไม่เหมือนใครและน่าจะถูกใจผู้เล่นที่ต้องการความยืดหยุ่นรวมถึงสไตล์การเล่นแบบ No Limit เลยแหละความสะดวกของระบบ AI ยังมีความเจ๋งอย่างการตั้งค่าการใช้ยา กลยุทธในสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าจะทำอย่างไร หนีเมื่อไหร่ หรือตายแล้วไปไหนก็ได้หมด แม้แต่ตั้งค่าการเก็บไอเท็มที่ต้องการก็ตั้งค่าในนี้ที่เดียวจบไม่ได้มีเพียงสกิลภายในเกมเท่านั้นที่ Unique แต่เรายังปรับแต่งใบหน้าตัวละครให้มีความเฉพาะตัวได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้า ตา จมูก ปาก ถือว่าสามารถปรับได้ละเอียดพอสมควร รวมถึงปรับแต่งทรงและสีผมที่มีโทนสีหลากหลายได้ด้วย แอบน่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่มีให้ปรับรูปร่าง แต่แค่นี้ก็ได้ตัวละครตามแบบที่ถูกใจมากแล้วทางด้านภารกิจเนื้อเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการช่วยเหลือชาวเมืองไปพร้อมกับการฝึกวรยุทธ ซึ่งเราสามารถเช็คได้จากตารางเควสที่มาเป็นแผนภูมิให้เห็นเลยว่าตอนนี้มีเควสอะไรที่สามารถทำได้แล้วบ้างและต่อเนื่องมาจากเควสใด ซึ่งในภาพรวมขอบอกเลยว่าเหมือนเราได้สวมบทบาทในนิยายกำลังภายในจริง ๆ เพราะองค์ประกอบภายในฉากนั้นถือว่าทำออกมาดี ทั้งภูมิศาสตร์ สถาปัตยกรรม จนถึงเครื่องแต่งกาย ยิ่งประกอบกับดนตรีที่แต่งขึ้นด้วยเมโลดี้จีน เรียกได้ว่ากลมกล่อมลงตัวสมคอนเซปต์เลยส่วนระบบต่าง ๆ ภายในเกมก็มีเยอะเลยล่ะ โดยระบบเด่นที่ช่วยพัฒนาตัวละครเราได้มากเลย ไม่ว่าจะเป็น...ตู้เสื้อผ้า – ที่มีคอสตูมที่ช่วยเพิ่มค่าสถานะให้เรา แถมหากจับเข้าเซ็ทเอฟเฟคก็ยิ่งเพิ่มขึ้นยุทธภพ - ดันเจี้ยนพิเศษที่เราสามารถพิชิตร่วมกับเพื่อน ทั้งการผ่านด่าน ฟาร์มทรัพยากร ไปจนถึงลงเพื่อประลอง ก็รวมอยู่ในโหมดนี้ พร้อมรับไอเท็มมากมายหลังจบภารกิจสัตว์เลี้ยง – ที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีและสถานะต่าง ๆ พร้อมพรสวรรค์เฉพาะตัวที่จะช่วยให้การทำกิจกรรมภายในเกมของเราราบรื่นยิ่งขึ้นรวมถึงระบบคราฟต์ของและตีบวกสุดคลาสสิค ที่จะช่วยให้เรามีอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นในการใช้วรยุทธ และอยากเตือนว่าเกมนี้มีค่าความทนทานอุปกรณ์ที่ลดลงเมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ จึงต้องคอยเช็คและซ่อมให้ดี หรือจะเซ็ทระบบไว้ในตั้งค่าเพื่อความสะดวกก็ได้เช่นกันสำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของหวงอี้โมบาย และดาวน์โหลดผ่าน Google Play และ App Store ได้แล้ววันนี้ เอาล่ะ! ขอให้สนุกกับการท่องยุทธภพล่ะทุกท่าน
22 Mar 2022
[Review] รีวิวเกม Ghostwire: Tokyo ปราบผีทั่วชิบูย่าด้วยกราฟิกล้ำยุค แต่รู้สึกเหมือนไม่ได้มีอะไรใหม่?
หลังจากสร้างความสยองขวัญเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนสำหรับซีรีส์เกม The Evil Within จากทางผู้พัฒนา Tango GameWorks ก่อตั้งโดยบิดาผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์เกม Resident Evil อย่างคุณ Shinji Mikami และในปี 2022 พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งกับเกมใหม่ Ghostwire: Tokyo ที่เกมนี้ได้เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมาก เพราะตัวเกมมีธีมที่แตกต่างไปจากเดิมที่เราจะได้เผชิญหน้าฟาดฟันกับเหล่าภูติผีปีศาจของประเทศญี่ปุ่นด้วยพลังวิเศษต่างๆ ซึ่งทางเรา GameFever TH เองก็ได้มีโอกาสเล่นเกมนี้จนจบและจะมารีวิวเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัสมา ว่าตัวเกมจะยอดเยี่ยมและสร้างความสยองขวัญและความสนุกเหมือนกับเกมก่อนหน้าที่เคยสร้างหรือไม่ ?กราฟิกและการนำเสนอในด้านภาพของเกมนี้ Ghostwire: Tokyo ได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ในการพัฒนามาเป็น Unreal Engine 4 แน่นอนว่าเราสามารถการันตรีได้ถึงความสวยงานในด้านของฉากต่างๆ โดยตัวเกมนั้นได้ทำการจำลองย่านชิบูย่าของเมืองโตเกียวออกมาได้สมจริงมากๆ ทั้งแลนด์มาร์คต่างๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ผิดเพี๊ยนอย่างเช่น 5 แยกชิบูย่าหรือสถานที่ดังอื่นๆ ในย่านนี้ ให้คุณได้เดินเล่นอย่างอิสระใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมานานเกมนี้ก็น่าจะทำให้คุณหายคิดถึงประมาณหนึ่ง ในด้านของเอฟเฟกต์สกิลต่างๆ ก็ใส่รายละเอียดมาแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ฉากแสงเงาต่างๆ ที่สวยงามให้ความรู้สึกถึงความเป็นเกม Next Gen ในระดับหนึ่งและถึงแม้โลกนี้จะมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่หนักมากๆ แต่กลิ่นอายของเกมก็จะยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Tango GameWorks อยู่อย่างเช่นบรรยากาศความเป็น Psychological คล้ายๆ กับเกม The Evil Within บรรยากาศชวนขนลุกด้วยโลกหรือห้องที่บิดเบี้ยวไปมา บรรยากาศเสียงอันน่าขนลุก ความหลอนของสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นที่มีให้เห็นตลอดทั้งเกมโดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกมมีตัวเลือกด้านภาพให้เล่นสองแบบคือ Quality Mode ที่จะเน้นภาพสวยแต่รันเฟรมเรทที่ 30 FPS กับอีกโหมดคือ Performance ที่ภาพจะดรอปลงมาหน่อยแต่จะรันเฟรมเรทได้ที่ 60 FPS ซึ่งตัวภาพก็ค่อนข้างต่างกันอยู่แต่ก็ไม่มาก (ส่วนตัวเลยเลือกที่จะเล่นแบบ Performance แทนเพื่อความลื่นไหล) และสิ่งที่น่ากังวลมากๆ ก็คือถึงแม้ตัวเกมจะมีความเป็นกึ่งโลกเปิด ให้เราได้สำรวจย่านชิบูย่าทุกซอกทุกมุม แต่ภายในการทำเกือบๆ ทุกภารกิจ (ทั้งหลัก ทั้งเสริม) ตัวเกมก็จะบังคับให้เราเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ เช่นบ้านคน หรือโรงพยาบาล ที่ส่วนใหญ่เราจะต้องโหลดฉากใหม่เพื่อเข้าไปข้างใน ซึ่งคนที่เล่นเกมบนเครื่อง Console เจนใหม่หรือเครื่อง PC ที่มี SSD ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร (ตัวเกมแนะนำให้ใช้ SSD ในการเล่นเกมนี้อยู่แล้ว) ซึ่งการโหลดฉากหนึ่งใช้เวลาราวๆ 1-2 วินาทีเท่านั้น แต่เครื่อง Console เจนเก่าอย่าง PS4 และ Xbox One ตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่ามันส่งผลต่อการเล่นไหมถ้าหากคุณจะต้องโหลดฉากที่นานขึ้นกว่าเดิมเนื้อเรื่องโดยเรื่องราวของเกมจะพูดถึงเมืองชิบูย่าที่อยู่ดีๆ ก็โดนเหล่าวิญญานที่ถูกควบคุมโดยเหล่าคนสวมหน้ากากเข้าโจมตีจนคนในเมืองหายไปหมด ซึ่งเราจะได้รับบทเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Akito ที่ในระหว่างการบุกเมือง เขานั้นบังเอิญถูกวิญญานนักสืบสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง KK เข้าสิงทำให้เขานั้นมีพลังวิเศษในการต่อสู้กับเหล่าผีสางพวกนั้น รวมถึงเหล่าชายสวมหน้ากากก็ได้ลักพาตัวน้องสาวของเขาไป และเขานั้นก็จะต้องตามช่วยเหลือเธอให้ได้ซึ่งการดำเนินเรื่องตัวเกมจะไม่ได้ดำเนินเรื่องราวอะไรให้เรารู้มาตั้งแต่แรก แต่ตัวเกมจะค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ความจริง ตัวเกมจะเล่าทั้งเรื่องราวทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ กลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของตัวเอกและน้องสาวที่มีปัญหากัน บวกกับการค่อยๆ เปิดจุดประสงค์ของศัตรู แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างอ่อนพอสมควร เพราะตัวเกมมีเรื่องราวหลายประเด็นให้เราบวกกับเวลาในการเล่าเรื่องที่น้อยเพียงแค่ 15 ชั่วโมงเท่านั้นสำหรับเกมที่มีความเป็นกึ่ง Open World ทำให้หลายๆ อย่างทางผู้พัฒนาดันเล่าห้วนๆ และบางเบา อย่างเช่นเรื่องราวของกลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ถ้าหากเราอยากรู้จักพวกเขาดีพอเราอาจจะต้องไปเล่นเกมแยกอย่าง Ghostwire: Tokyo - Prelude เสียก่อน ถึงจะรู้สึกอินกับเหล่าตัวละครพวกนี้มากขึ้น เรื่องราวของพระเอกและน้องสาวที่เปิดตัวมาได้น่าสนใจบางอย่างก็เล่ามาเป็นเพียงแค่คำพูด ถึงแม้ว่าจะไปเน้นอธิบายในตอนสุดท้ายแต่มันก็ยังไม่มากพอ และประเด็นสุดท้ายที่รับไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องราวของเหล่าตัวร้ายที่พล็อตมันค่อนข้างโบราณและขาดมิติเอามากๆ (แต่ไม่ขอสปอยส์นะว่าเป็นเรื่องอะไร) หรือเรื่องราวหักมุมก็ไม่มีเลยเกมเพลย์ในเกม Ghostwire: Tokyo อาวุธที่เราได้ใช่ต่อสู้นั้นก็คือพลังความสามารถที่จะแบ่งเป็นธาตุต่างๆ ซึ่งจะมีความสามารถและจุดเด่นที่ต่างกันเช่นพลังลมจะเป็นการโจมตีเดี่ยวที่รวดเร็ว พลังธาตุน้ำจะโจมตีได้กว้างกว่าสามารถทำลายการป้องกันของศัตรูได้ หรือพลังธาตุไฟที่จะสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงแต่กระสุนน้อย รวมถึงพลังเหล่านี้เรายังสามารถกดโจมตีค้างเพื่อชาร์จพลังโจมตีให้รุนแรงขึ้นด้วยเช่นพลังธาตุลมจะโจมตีได้หลายตีพร้อมกัน พลังน้ำจะทำให้สกิลแรงขึ้นและทำลายป้องกันได้ หรือพลังไฟจะระเบิดเป็นวงกว้างและรุนแรง นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีอาวุธอย่างอื่นเช่นธนู หรือยันต์อาคมที่จะมีลูกเล่นให้เอาไว้ต่อสู้กับศัตรูอย่างเช่นยันต์ Decoil ที่จะดึงดูดศัตรูให้เราสามารถลอบเร้นและจัดการศัตรูด้านหลังได้ ยันต์ระเบิดไฟเอาไว้โจมตี หรือยันต์ไฟฟ้าเอาไว้สตั๊นศัตรู นอกจากนี้เวลาฆ่าศัตรูได้เราจะสามารถใช้พลังในการดูดวิญญานศัตรู ซึ่งนอกจากการประหยัดกระสุนพลังแล้วนั้น มันจะช่วยให้เรานั้นได้เลือดเพิ่มจากการต่อสู้จำนวนหนึ่ง และมันก็ทำให้เรามีความรู้สึกเป็นนักปราบผีสุดเท่ได้ดีทีเดียวในด้านของเควสนอกจากเควสหลักแล้วนั้นตัวเกมก็จะมีเควสเสริมให้เราได้ทำมากมาย ซึ่งในภารกิจไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการช่วยเหลือเหล่าวิญญานหรือเหล่าโยไคต่างๆ เช่นการหาสิ่งเร้นลับในบ้าน การตามหาวิญญานคนรักเป็นต้น โดยทำเสร็จคุณก็จะได้ EXP เงินรวมถึงของที่เอาไว้ใช้อัพเกรดสกิลเป็นการตอบแทนโดยตามเนื้อเรื่องภายในพื้นที่ย่านชิบูย่าจะเต็มไปด้วยหมอกพิษที่ถ้าหากคุณเข้าไปก็อาจจะตายได้ ซึ่งเราจะต้องทำการไปเคลียร์ศาลเจ้าที่รอบๆ จะมีเหล่าศัตรูยืนอยู่ ซึ่งถ้าหากเคลียร์ศาลเจ้าได้สำเร็จตัวหมอกในบริเวณรอบๆ ก็จะหายไป รวมถึงยังมีการเปิดจุดเควสรองใหม่ๆ หรือตำแหน่งร้านค้าต่างๆ ได้ นอกจากนี้ภายในศาลเจ้ายังมีไอเท็มสวมใส่พิเศษอย่างกำไลประคำที่จะเพิ่มสเตตัสความสามารถให้เราได้เช่นเพิ่มดาเมจอาวุธธนูมากขึ้น 40% เพิ่มพลังโจมตีธาตุต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถเลือกใช้ตามสไตล์อาวุธของคุณได้ในด้านของการอัปสกิลถ้าหากคุณเก็บ Exp จนเลเวลอัพเมื่อไร คุณก็จะได้แต้มสกิลจำนวน 10 แต้มมาใช้อัพ โดยการเก็บ Exp ก็จะได้จากการทำเควสหลัก เควสรอง การฆ่าศัตรูตามแผนที่ หรือแม้แต่การเก็บวิญญานที่อยู่ตามถนน ซึ่งการอัพสกิลก็จะมีหลากหลายสายให้เลือกทั้งการอัพสกิลเน้นธาตุต่างๆ หรืออัพความสามารถของธนูเช่นเพิ่มจำนวนลูกดอก หรือความสามารถในการใช้พลังอื่นๆ ซึ่งคุณสามารถไล่ทำเควสรอง หรือเดินหาเก็บ Exp ไปเรื่อยๆ คุณก็จะสามารถอัพสกิลพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสายเน้นแต่เนื้อเรื่องหลักคุณก็อาจจะต้องเลือกว่าจะเล่นสายไหนแต่จากที่ได้ลองสัมผัสมา ต้องยอมรับว่าด้วยอาวุธที่มีให้เล่นแค่นี้ตลอดทั้งเกม มันอาจจะยังไม่สามารถสร้างสีสันได้เพียงพอ เพราะถึงแม้ว่า Ghostwire: Tokyo จะมีธีมการใช้วิชาพลังต่างๆ ในการปราบผี ต่างจากเกม The Evil Within ที่จะเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดกึ่งซอมบี้ แต่ถึงอย่างนั้นเกมการเล่นก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร ถ้าให้เปรียบเทียบพลังต่างๆ ที่เราได้ใช้ เอาจริงๆ ความรู้สึกมันก็มีความคล้ายคลึงกับอาวุธปืนต่างๆ ไม่มีผิด พลังลมเหมือนปืนพกยิงทีละนัดแต่กระสุนเยอะ พลังน้ำเหมือนลูกซองที่เบาหน่อย ส่วนพลังไฟเหมือนปืนระเบิด ซึ่งมันกลับไม่ได้ช่วยสร้างความหวือหวาให้กับเราเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าเราจะอัพสกิลสายนั้นให้เลเวลสูงขึ้น มันก็ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์ใดๆ เลยนอกจากความกว้างในการโจมตี หรือความแรงแค่นั้นและการที่ตัวเกมมีมุมมองแบบ First Person ส่วนตัวมองว่ามันทำให้เกมมีข้อจำกัดเยอะมากๆ เพราะศัตรูแต่ละตัวที่เราเจอก็จะมีท่าทางโจมตีต่างๆ ที่หลากหลาย แต่การป้องกันศัตรูของเราทำได้แค่ Block การโจมตีเท่านั้น ไม่มีการ Dash หรือหลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยวิธีอื่นๆ เลย แน่นอนว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอันตรายมากขึ้น เพราะความสามารถของตัวเอกที่ไม่ได้เยอะ แถมเวลาถูกโจมตีแต่ละครั้งก็เกือบตาย แต่ด้วยองค์ประกอบความเป็นแอ็คชันที่มากขึ้น แต่ความโลดโผนให้เล่นที่น้อยไปหน่อย ความสามารถสกิลที่มีลูกเล่นไม่เยอะ เล่นไปสักพักก็รู้สึกจำเจแล้วส่วนเรื่องของศัตรูที่พบเจอจริงๆ ภายในเกมเราก็ได้ต่อสู้กับศัตรูหลากหลายแบบ และมีวิธีที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ขัดใจก็คือดีไซน์ตัวละครที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเลย ทุกตัวเหมือนเป็นผีพนักงานออฟฟิศเกือบทั้งหมด โอเคมันก็จะมีผีมินิบอสบางตัวที่อาจจะดีไซน์แตกต่างและน่าสนใจ แต่มันก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น และบอสภายในเกมที่ถึงแม้ว่าจะดีไซน์ออกมาน่าสนใจ แต่ความหลากหลายในการต่อสู้ก็กลับไม่ได้แตกต่างและมีธีมที่คล้ายๆ กันเกือบทั้งหมด คือการใช้พลังโจมตียัดใส่ศัตรูให้ตายๆ ไป รวมถึงทรัพยากรที่มีให้เก็บก็เยอะมากด้วยโดยไม่ต้องพะวงเรื่องกระสุนจะหมดเลย จากที่เล่นมาเหมือนจะเห็นแค่บอสตัวเดียวที่เราจะต้องลอบเร้นและโจมตีศัตรูตัวนี้จากข้างหลังเท่านั้นที่รู้สึกน่าสนใจสรุปในด้านของเนื้อเรื่องที่มีเวลาในการเล่าน้อยมากทำให้เรารู้สึกไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องของมันเสียเท่าไร สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็น่าจะเล่าเรื่องราวมากเพียงพอแล้ว แต่ตัวเกมนี้มีองค์ประกอบความเป็นกึ่ง Open World ที่บางครั้งเนื้อเรื่องก็จะหยุดชะงักเพราะเราจะต้องเดินทางไปปลดศาลเจ้าต่างๆ เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินไปต่อได้ หรือบางทีเราจะต้องเจอกับการทำเควสหาของต่างๆ ที่มันไม่ได้มีอิมแพคกับเนื้อเรื่องขนาดนั้นเยอะจริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยมีปัญหากับเนื้อเรื่องถ้าหากว่าเกมเพลย์ทำออกมาได้ดี แต่ Ghostwire: Tokyo ต่อให้มันจะมีธีมที่น่าสนใจ กับการไล่ล่าปราบผีไปทั่วเมือง พร้อมทั้งยังสามารถใช้พลังวิเศษต่างๆ หรือเครื่องรางในการต่อสู้ แต่พอเกมเพลย์ออกมาจริงๆ เรากลับไม่ได้เห็นอะไรที่รู้สึกใหม่ในการเล่นเลย พลังต่างๆ ถึงแม้ว่าจะมีให้เราเลือกเล่นหลายแบบ แต่ดีไซน์ของพลังกลับไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไรนักทำให้เวลาเล่นรู้สึกจำเจไปจนจบเกม ส่วนตัวผู้เขียนเองอยากให้เกมมีลูกเล่นมากกว่านี้อย่างเช่นการ Dash อาวุธพวกดาบ หรือพลังพิเศษที่สามารถเปลี่ยนดีไซน์และสไตล์ของพลังชนิดนั้นได้ ซึ่งมันก็ได้แต่คิดนะครับเพราะภายในเกมไม่มีเลยแต่ถามว่าโดยรวม Ghostwire: Tokyo มันเป็นเกมที่สนุกไหม เอาจริงๆ มันก็เป็นเกมที่ไม่ได้แย่ครับ ในระยะเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็เป็นประสบการณ์ที่กำลังพอเหมาะในการเล่นเกมตัวนี้แล้ว เพราะถ้าหากระยะเวลามันมากไป มันก็อาจจะน่าเบื่อเกินเพราะความจำเจ หรือถ้ามันน้อยไปมันก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องอะไรแล้ว และสิ่งที่อยากจะชมสำหรับเกมนี้ก็คงเป็นเรื่องของงานด้านภาพที่น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนทั้งธีมความเป็นกลิ่นอายญี่ปุ่นสมัยใหม่ การสร้างเมืองย่านชิบูย่าที่ทำออกมาได้สวยงาม (ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก) สำหรับคนที่กำลังคิดถึงประเทศญี่ปุ่นเกมนี้น่าจะทำให้ท่านรู้สึกฟินมิใช่น้อย
21 Mar 2022
[แนะนำเกมมือถือ] Gladiators: Survival in Rome | เกมผจญภัยในยุคโรมัน บนมือถือ
ใครเป็นแฟนเกม RPG กับการสวมบทบาทเป็นตัวละครจากยุคประวัติศาสตร์ วันนี้ Game Fever ขอแนะนำเกมผจญภัยไปในยุคโรมัน กับ Gladiators: Survival in Rome ที่เราจะไปท่องไปตามหมู่บ้าน ทำภารกิจ และอยู่รอดให้ได้ในจักรวรรดิโรมันอันโหดร้าย โดยเกมนี้สามารถเล่นได้บนมือถือทั้งระบบ Android และ IOS แล้ว แนะนำให้ลองหามาเล่นฆ่าเวลากันดู ขอบอกเลยว่าเพลินและมีอะไรให้ทำเยอะมากเลยล่ะ!Gladiators: Survival in Rome เป็นเกม Action-RPG แบบผู้เล่นเดี่ยว ที่ผสานกลไกการเอาตัวรอดและระบบการสร้างเมืองไว้ในเกมเดียวกัน! ซึ่งผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็นชาวบ้านผู้กำลังหลบหนีจากกองทัพของ Julius Caesar เข้ามาในป่าลึกของยุโรปในยุคโบราณและร่วมกันสร้างหมู่บ้านของพวกเขาขึ้นมาตัวเกมจะเป็น 2D ที่เดินได้ทุกทิศทางผ่านการ control ด้วย joystick ทางซ้ายมือ ส่วนทางขวาจะเป็นระบบ action ต่าง ๆ ที่ให้เรา interact กับวัตถุภายในเกมแม้งานกราฟฟิคอาจจะไม่ได้สร้างมาอลังการระดับ AAA แต่ถ้าปรับคุณภาพสูงสุด อยากบอกว่างานสีและเอฟเฟคสวยมาก!! อีกสิ่งหนึ่งที่อาจจะสำคัญกว่า Artwork เวอร์ ๆ อย่าง Mechanic ของการกระทำในเกม ซึ่งเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ดี ไหลลื่น และให้ความสมจริงในระดับที่น่าพอใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนเข้าไปวิ่งในนั้นจริง ๆ บวกกับฉากที่มีธรรมชาติแบบป่าทางยุโรปคลอเสียงเพลงพื้นบ้านเพราะ ๆ ที่จะเปลี่ยนไปตามพื้นที่ที่เราเดินไป ทำให้เราเข้าถึงเนื้อเรื่องของเกมได้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญเสียงเอฟเฟคก็ทำออกมาได้เข้ากันแถม Gain ของเสียงยังไม่โดดเกินไปจนทำให้ตกใจหรือรำคาญ นับว่าทีมงานทำ Element ทุกส่วนของเกมได้ Balance และลงตัวมาก ๆ เลยเกือบลืมบอกไป! เกมนี้มีโหมดภาษาไทยด้วยนะ ซึ่งแปลออกมาได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้ในการทำเควส ทุกภารกิจ จะมีลูกศรขึ้นใต้เท้าตัวละครของเรา เพื่อบอกทิศทางที่เราต้องไปหา NPC หรือสิ่งของที่ต้องใช้ รับรองว่าไม่มีหลงแน่นอน แถมเรายังสามารถปิดเกมกลางคันได้ตลอดเวลา ตัวเกมจะเซฟการกระทำและตำแหน่งล่าสุดไว้ให้เรา ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเล่นมาก เล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะจะมีติดเครื่องไว้ที่สุดเลยจ้าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ Gladiatorหลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไม Gladiator ต้องเอาตัวรอดจากโรม นั่นเพราะว่านักรบผู้กล้าที่เรารู้จักนั้น โดยภูมิหลังแล้วพวกเขาคือทาสในกรุงโรม ที่ถูกจับตัวมาลงสนามแข่งเพื่อให้ความบันเทิงแก่ชาวเมืองและชนชั้นสูง โดยมีทั้งการสู้กันเองและสู้กับสัตว์ร้าย นอกจากพวกทาสแล้ว ยังมีนักโทษที่ถูกพิพากษา รวมถึงเหล่าผู้ที่ต้องการสร้างชื่อให้ตัวเองและสมัครใจลงแข่งก็มี ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่สร้างผลงานในสนามได้ดีก็จะพลิกจากคนไร้ค่าเป็นผู้ทรงเกียรติได้ในชั่วพริบตาเลย เพราะพวกเขาจะถือว่านักรบคนนี้คือวัตถุที่มีค่าของจักรวรรดินั่นเองเนื้อเรื่องเริ่มเกมมาเราจะพบว่าหมู่บ้านโดนถล่มและได้พบเพื่อนคนหนึ่งที่ยังรอดอยู่ ก็พบว่าทหารโรมันได้มากวาดต้อนชาวบ้านไปเป็นทาส เราจึงไล่ตามไปและแม้จะช่วยชีวิตเพื่อน ๆ ไว้ได้ แต่หมู่บ้านก็เละเทะหมดแล้ว ทำให้เราต้องตามหาทรัพยากรต่าง ๆ มาฟื้นฟูหมู่บ้านไปพร้อมกับพัฒนาทักษะตัวเองเพื่อต่อกรกับทหารโรมที่อาจอยู่ใกล้ ๆนอกจากนี้ เควสภายในเกมจะพาเราไปยังสถานที่ใหม่ ๆ อย่างการสำรวจถ้ำ การออกไปยังหมู่บ้านอื่น หรือการหาความช่วยเหลือจากผู้คนที่เราพบระหว่างทาง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมที่กำลังเกิดขึ้นในยุคของกษัตริย์ซีซาร์ได้เป็นอย่างดีระบบอื่น ๆ ภายในเกมFarming – เราสามารถหาทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อช่วยในการเอาชีวิตรอดและสร้างหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นไม้ หิน ดินเหนียว น้ำ เห็ด หรือแม้แต่ฆ่ากระต่ายเพื่อเอาเนื้อก็ยังได้Craft - ทรัพยากรที่หามาได้ เราสามารถต่อยอดในการนำไปสร้างเป็นงานฝีมือต่าง ๆ เช่น นำไม้มาสร้างเป็นแผ่นไม้หรือไม้สลัก บล็อกอิฐ ไปจนถึงสร้างเครื่องปั้นดินเผา ซ่อมแซมอุปกรณ์ - ไม่เพียงเท่านั้น ทรัพยากรที่หามาได้ ยังมีความสำคัญในการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานจำกัดได้ด้วย หากเราใช้จนครบจำนวนความทนทาน เกมจะขึ้นเตือนว่าอุปกรณ์ของเราพัง ให้วิ่งไปที่โต๊ะสำหรับซ่อม ยิ่งอุปกรณ์อัปเกรดสูง วัตถุดิบที่ใช้ก็จะมากตามไปด้วยสำรวจถ้ำ – เราสามารถเข้าไปสำรวจถ้ำด้านนอกหมู่บ้านเพื่อหาสมบัติไปจนถึงทรัพยากร ที่เรียกได้ว่ามีครบทุกชิ้น แต่ระวัง Energy หมดก่อนสำรวจเสร็จด้วยล่ะซุ่มโจมตี – อีกหนึ่งระบบพิเศษที่จะปลดล็อคเมื่อเราเล่นไปสักระยะ โดยจะมีขบวนของทหารโรมัน เราสามารถโจมตีพวกเขาเพื่อแย่งชิงทรัพยากร รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ดีขึ้นได้จากโหมดนี้ด้วยPuzzle Game - อีกระบบที่เจ๋งมาก ก็คือเกมลับสมอง ที่จะให้เราเลื่อนสิ่งของบนกระดาน เพื่อผสมเป็นอาหารเมนูต่าง ๆ ตามชั้นของการรวมวัตถุดิบ หากเราเลื่อนจนครบ move ระบบจะคำนวณเมนูทั้งหมดเพื่อมาเป็น Energy ให้กับเรา สามารดูตัวอย่างได้ที่คลิปด้านล่างนี้เลยที่จริงหากเล่นไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าจะมีระบบที่น่าสนใจอีกมากมาย นี่ขนาดเล่นเปิดแมพไปแค่ที่เดียวยังมีอะไรให้ทำเยอะไม่รู้เบื่อ แล้วถ้าเปิดไปที่อื่น ๆ อีก คงมีภารกิจเยอะจนตาลายแน่เลย เอาเป็นว่าถ้าใครอยากรู้ก็ลองโหลดมาเล่นกันได้ ส่วนทางนี้ขอตัวไปผจญภัยต่อละจ้า ~
19 Mar 2022
[Review] รีวิวเกม Gran Turismo 7 "สวยงาม ทรงคุณค่า" พลาดไม่ได้ถ้าคุณเป็นคนรักในการแข่งรถ
Gran Turismo เป็นซีรีส์เกมแข่งรถ Exclusive สำหรับเครื่อง PlayStation ที่อยู่คู่กับเรามานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยสิ่งที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจากเกมแนวแข่งรถอื่นๆ ก็คือความสมจริงของเกมที่มีความละเอียดสูงด้วยสโลแกน The Real Driving Simulator กับเกมจำลองการขับรถที่เปรียบดั่งคุณได้ขับรถในสนามแข่งจริงๆ แน่นอนว่าคงมีเกมเมอร์หลายๆ คนถึงแม้ว่าจะรู้จักเกมซีรีส์นี้ แต่คุณเองก็อาจจะไม่ได้เคยสัมผัสหรือรับรู้ว่าเกมนี้สนุกยังไง เพราะก็ต้องยอมรับว่าเกมแข่งรถทั่วไปนั้นจะเน้นความดุดัน บ้าระห่ำ หรือเน้นความสะใจเป็นหลัก ซึ่งจากที่ตัวผู้เขียนได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้มาเพราะว่าล่าสุดทางผู้พัฒนาก็พึ่งปล่อยเกมภาคใหม่อย่าง Gran Turismo 7 ซึ่งมันทำให้ผู้เขียนเข้าใจถึงบางอ้อเลยว่า จริงๆ แล้วความสนุกของเกมแข่งรถนั้น มันมีหลากหลายรูปแบบ เกมนี้สามารถสร้างความประทับใจ ทั้งในและนอกสนามเลยทีเดียว โดยวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมาอธิบายเกมนี้ให้คุณได้ทราบกัน ว่าถ้าหากคุณเป็นคนที่รักรถ คลั่งไคล้รถ ทำไมคุณถึงต้องซื้อเกมนี้มาเล่นโดยไม่ควรมีข้อกังขาใดๆ กราฟิกก็ต้องพูดตามตรงว่า Gran Turismo 7 ในด้านกราฟิกเหมือนเป็นการต่อยอดความงดงามจาก Gran Turismo Sport เกมภาคก่อนหน้าที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2017 ทั้งรถ หน้า Interface หรือแผนที่เองจะมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร แต่สิ่งที่เห็นความต่างในชัดเจนคือความสวยงามในฉากที่ Gran Turismo 7 ทำได้ดีกว่า ทั้งฝุ่น ฝน หรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เห็นมากขึ้น รวมถึงถ้าหากใครเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกมจะมีโหมดกราฟิกให้เราได้ปรับ 2 โหมดคือ Performance ที่จะเน้นเพิ่มเฟรมเรทในการเล่น หรือโหมด Ray Tracing ที่จะเน้นกราฟิกสวยงาม แต่แนะนำใครที่เล่นเกมนี้ในความละเอียดแค่ 1080p ก็ให้ปรับแบบภาพสวยไปเลย เพราะจากที่ส่วนตัวลองเล่นมาไม่มีอาการเฟรมดรอปแต่อย่างใด โดยใครที่เล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 4 จะอยู่ในโหมด Performance อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองโหมดที่เห็นได้ชัดก็คือความสมจริงและความสวยของรถที่เราจะได้เห็นความเงางาม และแสงสะท้อนที่มากกว่าเดิม และจะค่อนข้างเห็นได้ชัดในตอนที่อยู่ในโหมดดูรีเพลย์และโหมดถ่ายภาพแต่ส่วนตัวคิดว่าเนื่องจากที่เกมนี้ยังจะต้องทำเผื่อเครื่อง PlayStation 4 ด้วย กราฟิกที่เราเห็นถึงแม้ว่าจะทำได้ดีกว่าภาคที่แล้ว ถ้าหากคุณยังเล่นด้วยเครื่องคอนโซลเจนเก่าอยู่ มันก็อาจจะเทียบความต่างไม่ได้ถ้าหากไม่มานั่งจับผิดแบบช็อตต่อช็อต การเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ด้วยโหมด Ray Tracing อาจจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า แถมตัวเกมยังโหลดหน้าจอเร็วกว่าเป็นสิบเท่าด้วยเกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าจุดเด่นของ Gran Turismo คือการจำลองแข่งรถแบบสมจริงในสนาม ที่ตัวเกมนั้นจะมีรายละเอียดในการขับเยอะมากๆ ทั้งการกะจังหวะเบรกในขณะที่เลี้ยว คุณจะต้องเบรกให้มีความเร็วที่เหมาะสมเพื่อผ่านจุดนั้นให้ได้ การเลี้ยงคันเร่งหรือเลี้ยงพวงมาลัยที่แต่ละจุดโค้งก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปอีก ซึ่งตัวคุณจะต้องฝึกฝน เข้าใจในโค้งต่างๆ ในระดับหนึ่ง ความสนุกของเกมนี้สำหรับมือใหม่นอกจากที่คุณจะต้องแข่งกับรถคนอื่นแล้วนั้น ตัวคุณจะต้องแข่งกับตัวเองที่จะต้องมีสติและสมาธิตลอดเวลา แน่นอนว่าถึงแม้ว่าการขับรถจะมีรายละเอียดที่มากพอสมควร แต่ตัว Controller ก็สามารถตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม กดปุ่มเหยียบคันเร่งก็จะเหมือนจริงที่ถ้าหากคุณกดเบาๆ รถก็จะวิ่งในสปีดที่เบาตามคุณกด หรือถ้าหักเลี้ยวพวงมาลัยเบาๆ รถก็จะเลี้ยวไม่สุด ซึ่งมันถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ในการเล่นเกมนี้ เพราะแต่ละโค้งก็ต้องการคันเร่งหรือการหักเลี้ยวที่ไม่เหมือนกัน (ในกรณีที่จะเล่นแบบ Perfect) ส่วนตัวผู้เขียนเองเล่นเกมนี้บนจอย DualSense ยังรู้สึกว่าตัวเกมตอบสนองได้ดีเลย ลองคิดถ้าหากว่ามีจอยพวงมาลัยจริงๆ คงจะรู้สึกฟินมากกว่าเดิมแน่ๆ ส่วนใครที่เล่นเกมแข่งรถไม่เป็นและถ้าคิดว่ามันยุ่งยากเกินไป จริงๆ แล้วเกมนี้ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะครับ เพราะตัวเกมมีตัวช่วยให้ผู้เล่นใหม่เยอะมาก อย่างเช่นระบบสัญลักษณ์การเบรคหรือสัญลักษณ์มุมเข้าโค้งที่จะทำให้มือใหม่รู้ว่าโค้งนี้ควรจะเบรคถึงระดับไหน หรือสัญลักษณ์การเลี้ยวที่จะนำทางให้คุณว่าควรจะเลี้ยวในระดับไหนเพื่อยังคงความเร็วของรถไว้ได้มากที่สุดและไม่หลุดโค้ง ส่วนใครที่เป็นสายแคชชวลจริงๆ ตัวเกมก็ยังมีระบบช่วยเหลือที่ตัวเกมจะทำการเบรคให้คุณอัตโนมัติทันทีถ้าหากถึงทางเลี้ยว แต่ส่วนตัวไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพราะมันจะหมดความท้าทาย เปิดสัญลักษณ์ช่วยก็น่าจะช่วยมากพอแล้วโดยเกม Gran Turismo 7 ในภาคนี้มีรถให้เลือกเล่นมากกว่า 420 คัน ซึ่งเรานั้นสามารถแข่งรถเพื่อหาเงินมาซื้อรถที่ชอบได้ แน่นอนว่ารถแต่ละคันก็จะมีราคาที่สูงพอสมควร แต่ในช่วงเริ่มต้นตัวเกมก็จะมีร้านค้ารถมือสองที่ให้คุณสามารถซื้อรถบางคันด้วยเงินที่ถูกกว่าโชว์รูมปกติ นอกจากนี้ในโหมดเนื้อเรื่องเองก็ยังมีการแจกรถบางคันให้คุณได้เล่นอยู่แล้วด้วยนอกจากนี้ระบบการแต่งรถของเกมนั้นก็ทำออกมาได้ค่อนข้างละเอียดมาก ถึงตัวเกมนี้จะไม่มีระบบจูนรถที่ละเอียดเท่ากับ Forza ที่เคยทำไว้ แต่เราก็สามารถสนุกกับการหาอุปกรณ์แต่งรถที่จะมาสอดคล้องกับสไตล์ที่เราอยากเล่น หรือเหมาะสมกับด่านที่เจออย่างเช่นถ้าเจอด่านที่มีทางไกลเยอะๆ การใช้ของแต่งรถที่เร่งสปีดปลายก็อาจจะเหมาะสม รวมถึงเราเองจะต้องดูสมดุลย์ของรถที่จะแต่งด้วยว่าเหมาะสมในการแต่งแบบไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวผู้เขียนเองก็ยังไม่ได้เข้าใจระบบนี้แบบลึกซึ้งเท่าไร เพราะมันค่อนข้างละเอียดอ่อนมากๆ และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้ก็คือโหมดถ่ายภาพที่คุณจะสามารถ Capture หน้าจอในระหว่างการดูรีเพลย์ของเกมได้ หาช็อตสวยๆ ในการแข่งของคุณและถ่ายรูปออกมา ที่สำคัญคือเรายังสามารถแต่งภาพได้ค่อนข้างละเอียดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับมุมกล้องได้อย่างอิสระว่าคุณอยากจะถ่ายมุมไหน ปรับรูรับแสง ปรับความสว่าง ได้คล้ายๆ กับกล้องจริงๆ จะทำหน้าชัดหลังเบลอก็ได้ หรือแม้กระทั่งการใส่ฟิลเตอร์ที่จะสามารถปรับโทนของภาพได้อย่างสะดวก นอกจากนี้มันยังสามารถปรับได้แบบละเอียดยกตัวอย่างเช่นการปรับพื้นหลังให้เป็นขาวดำแต่ตัวรถยังมีสีอยู่ก็ทำได้หรือสำหรับใครที่เป็นสายถ่ายภาพอย่างเดียว ตัวเกมก็จะยังมีระบบ Scapes ที่คุณสามารถไปยังจุดต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีมากกว่า 2,500 แห่ง เลือกรถอะไรก็ได้ตามใจชอบ เลือกคนขับมายืนข้างๆ ก็ได้เพื่อถ่ายรูปในฝันของคุณได้อย่างอิสระ ซึ่งรูปที่เราถ่ายในโหมดการแข่งปกติ หรือจะเป็นในโหมด Scapes เราสามารถเอารูปนั้นไปจัดแสดงโชว์ให้คนอื่นดูได้ด้วยในศูนย์จัดแสดง ถ้ารูปถูกใจก็อาจจะมีผู้เล่นทั่วโลกมาคอมเมนต์ชมงานของคุณได้ บอกเลยว่ามีรูปสวยๆ จากคนทั่วโลกเพียบ !!และจากที่กล่าวไปข้างต้นว่าทำไมคนที่ชอบรถจะต้องห้ามพลาดที่จะเล่นเกมนี้ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าว่าเกมนี้มีรถใส่เข้ามามากถึง 420 คัน รวมถึงตัวเกมยังมีการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของรถคันนั้นๆ หรือรุ่นนั้นๆ ด้วย หรือนอกจากนี้ใครที่เป็นแฟนยี่ห้อรถต่างๆ ตัวเกมจะมีการอธิบายประวัติความเป็นมาตั้งแต่การก่อตั้ง เล่าถึงประวัติศาสตร์ความสำเร็จในแต่ละปีสำหรับรถยี่ห้อนั้นๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงในโหมดเนื้อเรื่องเองตัวเกมก็จะพาคุณไปรู้จักกับรถตระกูลต่างๆ ที่จะทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับจุดกำเนิดของรถด้วยนั้นอีกด้วยส่วนโหมดที่ขาดไม่ได้ของเกมนี้เลยก็คือโหมด Sport ที่เราจะสามารถแข่งกับผู้เล่นทั่วโลกได้ นอกจากนี้ตัวโหมดค่อนข้างแคร์เรื่องการเหลื่อมล้ำพอสมควร เพราะแต่ละด่านทางตัวเกมจะมีเกณฑ์ในการอนุญาตให้ใช้รถในสเตตัสที่กำหนดมาเท่านั้น อย่างเช่นรถห้ามมีแรงม้าเกิน 250 น้ำหนักไม่เกิน 1,200 และต้องเป็นรถ Sport เท่านั้น ซึ่งคุณก็จะต้องหารถที่คุณมีไปทำอย่างไรก็ได้ให้สามารถแข่งในสนามนั้นได้นั่นเอง นอกจากนี้ตัวเกมยังมีหลักการแฟร์เพลย์เน้นการเล่นที่ขาวสะอาด ถ้าหากคุณขับรถชนผู้เล่นคนอื่น คุณก็จะเสียคะแนนมารยาทด้วย ความรู้สึกหลังเล่นGran Turismo 7 ก็ยังเป็นเกมที่รักษามาตรฐานของซีรีส์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ความละเอียดคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกมซีรีส์นี้ประสบความสำเร็จ พูดตามตรงก่อนที่ผู้เขียนจะได้เล่นเกมซีรีส์นี้ ส่วนตัวเองก็คิดว่าตัวเกมน่าจะค่อนข้างเข้าถึงยากเกินไปและกลัวว่ามันอาจจะไม่เร้าใจมากพอ แน่นอนว่าถ้าหากคุณมองด้วยตาเปล่ามันก็อาจจะดูธรรมดาไป แต่พอได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง มันเหมือนคุณกำลังได้กินเนื้อสเต๊กพรีเมี่ยมชั้นดีอยู่เลยทีเดียวและที่ชอบอีกอย่างคือนอกจากการแข่งขันบนสนามแล้วนั้น ทางผู้พัฒนาเองก็ใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับโหมดย่อยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปที่มีให้เราปรับภาพได้หลากหลาย หรือจะเป็นการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของรถต่างๆ ที่จะทำให้เราอินในการขับรถนั้นๆ มากยิ่งขึ้น โดยมันเหมาะกับคนที่อยากพักผ่อนซักแปปโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปนั่งแข่งรถอย่างเดียว แต่แน่นอนมันก็อาจจะมีบางสิ่งที่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันธรรมดาไปก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ถึงแม้ว่าจะมีระบบ Ray Tracing ออกมาให้ภาพมีความเงางามและสมจริงมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายๆ อย่างทั้ง Interface หรือโมเดลรถก็ยังเอามาจากเกมภาคก่อนหน้า ถึงแม้ว่ารายละเอียดพื้นผิวบางอย่างของเกมนี้จะทำได้ดีขึ้น แต่ในระหว่างการเล่นจริงเราก็มองเผินๆ เราก็อาจจะยังไม่รู้สึกถึงความต่างจากภาคก่อนหน้ามากนักจน อาจจะเป็นเพราะทางผู้พัฒนาจะยังต้องทำเกมนี้เผื่อให้กับคอนโซลเจนเก่าด้วย ก็เลยยังอัดได้ไม่สุด แต่ให้ลองคิดว่าถ้าในอนาคตอีก 3-4 ปีทาง Sony ออกเกมภาคใหม่ที่สร้างมาเฉพาะเครื่อง PlayStation 5 โดยตรง ภาพมันจะสวยขึ้นกว่าเดิมขนาดไหนประโยคเดียวที่อยากจะยกให้กับ Gran Turismo 7 ก็คือคำว่า "ทรงคุณค่า"
03 Mar 2022
[Review] รีวิวเกม Dying Light 2 Stay Human "ภาคต่อเกมวิ่งฟัดผีที่อิสระมากกว่าเดิม"
หลังจากที่ Techland ได้ให้กำเนิดเกมซอมบี้สุดแปลกใหม่อย่าง Dead Island ที่มาพร้อมกับความสำเร็จมากมาย ตัวผู้พัฒนาเองก็เลือกที่จะสร้างเกมซีรีส์ใหม่อย่าง Dying Light ที่วางจำหน่ายออกมาเมื่อปี 2015 ซึ่งในเกมนี้พวกเขาได้อิสระในการคิดมากมาย และได้ใส่สิ่งต่างๆ มากกว่าเดิมหลายเท่าอย่างเช่นการใส่ระบบ Parkour ที่เราสามารถปีนป่ายหนีซอมบี้ได้อย่างอิสระ ใส่ซอมบี้ที่ทั้งโหด เร็วและดุในตอนกลางคืน ทำให้ตัวเกมมีไดนามิกมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเกมภาคแรกเองมียอดผู้เล่นสูงถึง 17 ล้านคนเลยทีเดียวและในปี 2022 ทาง Techland เองได้เขนภาคต่อของเกมนี้มาอีกครั้งใน Dying Light 2 Stay Human กับการอัพสเกลของเกมให้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมเช่นแผนที่ใหญ่โตกว่าเดิมถึง 4 เท่า แอนิเมชันการปีนป่ายที่มากกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งชุดและอาวุธก็จะมีหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่าตัวเกมมีอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิมบ้าง และควรค่าแก่การซื้อหรือไม่เนื้อเรื่องโดยเนื้อเรื่องของเกมจะเล่าเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกนานกว่า 20 ปี โดยเราจะได้รับบทเป็น Aiden Caldwel ชายหนุ่มคนนอกเมืองผู้ที่ต้องเดินทางมายัง The City (หรือที่เรียกว่าเมือง Villedor) เพื่อตามหาน้องสาวที่พลัดพรากกันในวัยเด็ก โดยเนื้อเรื่องจุดประสงค์หลักของตัวเอกนั้นมีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่เรื่องเล่าทั้งหมดของเราจะพูดถึงความขัดแย้งระหว่างผู้คนสองฝ่ายอย่างเหล่า Survivor (ผู้รอดชีวิต) และ Peacekeeper (ผู้รักษาสันติภาพ) โดยเราจะมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของทั้งสองฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็จะให้เราเลือกช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องบางอย่างของเกมแต่จากที่ได้เล่นมานั้นต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องของ Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างอ่อนในระดับหนึ่งเลย เพราะตัวเกมพยายามจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งของแต่ละฝ่ายมากจนเกินไป ทำให้จุดประสงค์แรกในการที่เราอยากมาช่วยเหลือน้องสาวนั้นเบาบางลงอย่างมากถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะบอกว่าการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ พวกเขานั้นจะให้สิ่งที่เราต้องการในการตามหาน้องสาวก็เถอะ !! แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเราก็ต้องใช้เวลาเล่นมากกว่า 15-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าประเด็นที่พวกเขาเล่านั้นค่อนข้างน่าสนใจที่แต่ละคนนั้นมีเหตุผลของตัวเองอยู่ที่ว่าคุณชอบใครเท่านั้น ซึ่งการเลือกช่วยเหลืออีกฝ่าย โดยภายในเนื้อเรื่องจะมีตัวเลือกตัดสินใต ก็อาจจะส่งผลเสียต่ออีกฝ่าย โดยการเล่นของเนื้อเรื่องอย่างเดียวจะอยู่ราวๆ 30 ชั่วโมงอีกหนึ่งสิ่งที่น่าผิดหวังในด้านเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นคำถามเลือกตอบ ถึงแม้ว่าเรื่องราวของมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่โครงเรื่องหลักโดยรวมเองก็ยังตรงไปในทางเดียวกัน สุดท้ายตัวเกมก็จะจบเรื่องราวเหมือนกัน เพราะเรื่องราวทั้งหมดหรือตัวละครที่ไม่มีบทหรือผ่านเนื้อเรื่องไปแล้ว พวกเขาก็แทบไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อเส้นเรื่องหลัก หรือเส้นเรื่องรองอีกเลยกราฟิก / การนำเสนอสำหรับเมือง Villedor จะมีความแตกต่างจากเมือง Harran ของเกมภาคแรกเกือบจะทั้งหมด โดยตัวเกมจะให้กลิ่นอายความเป็นยุโรป ตัวบ้านเมืองเองมีสีสันมากขึ้นกว่าภาคแรกที่จะอยู่ในสลัม และเนื่องจากเรื่องราวจะดำเนินหลังที่โลกล่มสลายมากว่า 20 ปี ทำให้เราได้เห็นต้นไม้ที่เลื่อยเกาะตามบ้านให้ความรู้สึกสบายตาและเขียวชอุ่มกขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีโซนตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย ให้ความรู้สึกว่าเรานั้นอยู่ในใจกลางเมืองหลวงมากยิ่งขึ้นนั่นเองโดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PC ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวเกม Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างไม่เป็นมิตรกับผู้คนคอมพิวเตอร์ระดับต่ำ หรือกลางเสียเท่าไร เพราะผู้เขียนใช้คอมพิวเตอร์ CPU I5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งก็สามารถรันเกมในความละเอียด 1080p ได้เพียงแค่ 40-50 FPS เท่านั้น อาจจะเพราะรายละเอียดของเกมที่เยอะขึ้น ตึกราบ้านช่องที่มีรายละเอียดและเข้าถึงได้ลึกขึ้นทั้งในแนวนอนและแนวดิ่ง บวกกับแผนที่อันใหญ่โตมากขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ถามว่าเฟรมเรทราวๆ นี้ประสบปัญหาในการเล่นไหมก็ต้องบอกว่าไม่ประสบปัญหาใดๆ เลย อาจจะไม่ลื่นไหลอย่างที่คิดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เพราะจังหวะการเล่นของเกมนี้ก็ไม่ได้เร็วมากนักอยู่แล้วเกมเพลย์ต้องยอมรับว่าระบบเกมคือจุดเด่นหลักของ Dying Light 2 Stay Human เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากระบบเดิมที่เคยมีในภาคแรกยังอยู่เกือบครบแล้วนั้น ตัวเกมยังยกระดับเกมเพลย์ในมีความแปลกใหม่กว่าเดิม โดยระบบการต่อสู้ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้ทำการตัดระบบปืนออกไป เพื่อเน้นให้เราได้สู้ในระยะประชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ให้เรามากมายอย่างเช่นตัวเรานั้นสามารถทั้ง Block, Parry, กดกระโดดหลบ และทำการสวนศัตรูได้ ซึ่งมันทำให้การต่อสู้จะมีมิติมากขึ้น แต่กลับกันตัว AI เองเวลาโจมตีก็จะมีลูกเล่นมากขึ้น อย่างเช่นการหลอกตี (เพราะเราจะต้องกดป้องกันให้พอกับที่ศัตรูตีมาจึงจะสามารถ Parry และสวนได้)ระบบอาวุธของเกมนั้นจะค่อนข้างแตกต่างจากภาคแรก ที่ในภาคนี้เราสามารถซ่อมอาวุธได้แล้ว ซึ่งมันตัดปัญหาคนใช้อาวุธเดียวยันจบเกมเราไม่จำเป็นต้องไปนั่งหาของซ่อมอาวุธเหมือนภาคก่อน แต่มันก็แลกมากับการที่ตัวเกมมีอาวุธมากมายให้เราเก็บ (หรือให้เราซื้อ) เต็มไปหมด ซึ่งถ้าหากคุณไม่เถลไถลไปไหนไกล กว่าอาวุธคุณจะพังหมด เราก็มักจะได้อาวุธดีๆ มาใหม่แล้ว รวมถึงการใส่ MOD ความสามารถต่างๆ (เช่นช็อตไฟฟ้า ติดพิษ เพิ่มดาเมจ หรือติดไฟ) มันก็ยังช่วยเพิ่มค่าความทนทานให้เราด้วย เลิกกังวลในจุดนี้ได้เลยระบบที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบสวมใส่ ที่เราสามารถปรับแต่งสไตล์ของชุดได้อย่างตามใจชอบ ซึ่งชุดก็จะแบ่งออกเป็น 4 สายด้วยกันก็คือ Brawler (เน้นโจมตีระยะใกล้), Medic (เน้นฟื้นฟู), Tank (เน้นป้องกันสูงๆ), Ranger (เน้นอาวุธโจมตีระยะไกล) รวมถึงชุดแต่ละชิ้นก็จะมีระดับ (ตั้งแต่ 1-5) แถมยังมีความแรร์ที่เพิ่มสเตตัสมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเราใส่ชุดเซ็ตที่สอดคล้องกันหมด มันจะทำให้ตัวคุณเก่งขึ้นเยอะมากๆแน่นอนว่าระบบเกมค่อนข้างที่จะมีความแปลกใหม่พอสมควร ตัวเกมใส่ระบบความเป็น RPG มากขึ้น การตีศัตรูจะมีตัวเลขขึ้นบ่งบอกดาเมจ แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเลยก็คือถ้าหากว่าเราตั้งใจฟาร์มหรือใส่เซ็ตสวมใส่ดีๆ ตัวเรานั้นจะค่อนข้างเก่งพอสมควร เก่งขนาดที่ศัตรูในโหมดเนื้อเรื่องไม่มีความท้าทายใดๆ เลย ยกตัวอย่างถึงแม้ว่าเกมนี้จะนำระบบปืนออกไป แต่การใช้ธนูและใส่เซ็ต Ranger ที่เพิ่มดาเมจอาวุธระยะไกล มันก็ทำให้ตัวเราโกงพอสมควร (ยิงศัตรูระดับบอสในฉากไม่กี่ตีตาย โดยเราไม่ต้องเข้าไปหาเลย)ซึ่งตัวเกมจะรู้สึกท้าทายมากๆ ในช่วงราวๆ 5-10 ชั่วโมงแรก ซึ่งสาวนตัวคิดว่าการเข้าไปที่กบดานซอมบี้ หรือเล่นเควสรองบางอันอาจจะรู้สึกน่ากลัวและท้าทายมากกว่า เพราะบางทีเราาอาจจะไปเจอบอสแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอมาแบบไม่รู้ตัวและโดนมันฆ่าในชุดเดียว เอาจริงๆ ในภารกิจหลักบางตัวก็ทำให้รู้สึกท้าทายนะอย่างเช่นเควสหลักที่จะให้เราต้องหนีอย่างเดียว ซึ่งมันตื่นเต้นมากๆ แต่การพบเจอความรู้สึกแบบนี้มันก็น้อยจนเกินไป ซึ่งเหล่าซอมบี้ส่วนใหญ่ที่เจอนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่กลัวอีกต่อไป ส่วนตัวมองว่าต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ด้วยกันเองยังรู้สึกสนุกมากกว่าอีกหนึ่งระบบที่ไม่พูดไม่ได้ของเกมนี้นั่นก็คือระบบ Parkour ที่ต้องบอกเลยว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีมากๆ และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของเกมเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าระบบเรื่องการปีนป่ายนั้นทางผู้พัฒนานั้นทำได้ดีมากๆ อยู่แล้วในภาคแรก ซึ่งภาคสองเองก็ถูกยกเอามาทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าสนใจในภาคนี้คือลูกเล่นต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นที่ร่อน Paraglider ที่ให้เราสามารถบินโลดแล่นบนฟ้าได้, จุดวิ่งไต่กำแพงที่มากขึ้นหรือการปรับเปลี่ยนระบบ Graphling Hook ที่ในภาคนี้มันอาจจะไม่ได้พาเราพุ่งไปง่ายๆ เหมือนก่อน แต่จะเน้นความสมจริงที่จะเน้นให้เราโหนไปข้างหน้ามากกว่า (เปรียบเทียบ Graphling Hook ภาคแรกจะคล้ายๆ กับ Spider-Man แต่ภาคสองจะเหมือน Tarzan มากกว่า) ซึ่งมันก็สร้างความแปลกใหม่ และอิสระในอีกรูปแบบหนึ่งแต่ข้อเสียของระบบก็คือการปลดล็อคแต่ละอุปกรณ์ของเกมที่ค่อนข้างได้มาช้ามากๆ อย่างเช่นตัว Paraglider ที่เราจะได้มาตอน Act 2 ส่วน Graphling Hook จะได้มาตอน Act 4 ซึ่งใกล้จบเกมแล้ว แน่นอนว่าผู้พัฒนาจงใจ เพราะถ้าหากจะดีไซน์เควสที่มันเหมาะสมกับอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ มันก็จะต้องค่อยๆ สอนและค่อยๆ ไปทีละก้าว แต่ลองคิดดูว่าถ้าหากเรามีอุปกรณ์พวกนี้ใช้ตั้งแต่แรก มันอาจจะทำให้เรามีอิสระมากกว่าเดิมอีก แต่ก็ขอแก้ตัวว่าจริงๆ ระบบที่มีอยู่ก็สนุกมากพอแล้วส่วนระบบ Skill Trees ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ตัดความยุ่งยากของภาคแรกที่มีให้เลือกหลายสายออกไป และปรับสายความสามารถให้เหลือเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้นก็คือสาย Combat (เพิ่มเลือด)  ที่จะเพิ่มท่าโจมตีใหม่ๆ ให้กับเรา และสาย Parkour (เพิ่ม Stamina) ที่นอกจากการเพิ่มสเตตัวแล้วนั้น เรายังสามารถอัพท่าต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งแต้มที่ใช้อัพเกรดนั้นจะสามารถหาได้จากการค้นหา Inhibitor ให้ครบสามอัน คุณก็จะได้รับหนึ่งแต้มมาใช้ ซึ่งตัวคุณเองก็ต้องเลือกว่าจะเลือกอัพฝั่งไหน แน่นอนว่าตัวเกมสามารถให้คุณอัพทั้งสองสายเต็มได้ เพียงแต่ว่าการเล่นในเนื้อเรื่องปกติ ตัว Inhibitor อาจจะไม่เพียงพอให้คุณอัพได้ทั้งหมด ซึ่งตัวคุณเองจะต้องใช้เวลาเพิ่มในการหาสิ่งๆ นี้ทั่วแผนที่ รวมถึงการอัพสกิลแต่ละอย่างตัวคุณเองก็จะต้องใช้เลเวลในการอัพอีกด้วย ซึ่ง XP ต่างๆ ก็จะได้มาจากการที่คุณทำสิ่งนั้นๆ บ่อยๆ เช่นปีนป่ายบ่อยๆ หรือสู้กับศัตรูบ่อย หรืออีกหนึ่งวิธีคือการทำ Side Quest, เข้าไปเคลียร์ที่กบดานศัตรู เปิดพลังงานกังหันลม (และสามารถเปิดจุดภารกิจใหม่ๆ ได้ด้วย) หรือทำชาเลนซ์ Parkour ซึ่งมันก็จะทำให้คุณได้ XP ต่างๆ มากขึ้น แต่มันก็จะแลกมากับเวลาที่มากโขพอสมควร ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้พัฒนาบอกจริงๆ ว่ากว่าถ้าจะเคลียร์หลายๆ อย่างให้หมด อาจจะใช้เวลามากกว่า 100 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ในระบบตัวเลือกตอบของเกมจะมีให้เราเลือกยกถิ่นฐานทรัพยากรให้ระหว่าง Survivor และ Peacekeeper ด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลให้คุณสามารถปลดล็อคของใหม่ๆ ตามด่านได้ อย่างเช่นการเลือกให้ทรัพยากรกับ Survivor คุณก็จะปลดล็อคของใหม่ๆ ในการเดินทางเช่นจุดกระโดดสูง หรือถ้าหากเลือกช่วย Peacekeeper คุณก็อาจจะได้รับกับดักต่างๆ ในการสู้กับซอมบี้เป็นต้นแต่ข้อติเดียวที่รู้สึกก็คือสกิลต่างๆ ที่มีให้อัพเกรดนั้น ส่วนตัวมองว่าสกิลบางอันมันเป็นสกิลพื้นฐานที่ควรจะมีตั้งแต่แรก อย่างเช่นสกิลวิ่งไต่กำแพงของฝ่าย Parkour หรือสกิล Perfect Dodge ที่ส่วนตัวมองว่ามันควรอยู่ในสกิลติดตัวของเราตั้งแต่เริ่มสรุปต้องพูดตามตรงว่าในด้านของเนื้อเรื่องนั้นอาจจะดูด้อยไปกว่าภาคแรกพอสมควร รู้สึกว่าตัวเกมเล่นหลายประเด็นเกินไปจนลืมโฟกัสจุดประสงค์แรกที่ดำเนินมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าในด้านของเกมเพลย์ ทางผู้พัฒนาได้ยกระดับความยอดเยี่ยมของภาคเก่าให้ดี และสนุกมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความน่ากลัวอาจจะลดลงไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังรู้สึกสนุกเช่นเดิมใครที่กำลังมองหาเกมเพลย์สนุกๆ มีความยืดหยุ่นในการเล่นมากมาย Dying Light 2 Stay Human เป็นเกมที่เหมาะกับท่านแน่นอน ส่วนใครที่มองหาเกมเนื้อเรื่อง หรือคาดหวังเนื้อเรื่องให้สนุกเท่ากับภาคแรก เกมนี้อาจจะไม่ใช่ทางของท่านครับ และถ้าใครที่กำลังกลัวว่าเล่นเกมนี้จะเกิดอาการ Motion Sickness (มึนหัวเพราะภาพในเกมเหวี่ยงมาก) ก็ต้องบอกว่าเกมนี้ส่วนตัวรู้สึกมันเบากว่าภาคแรก อาจจะเป็นเพราะภาพและสีสันของเกมที่ดูสบายตามากขึ้น ไม่เหมือนภาคแรกที่อาจจะมีควันและ Motion Blur เยอะเกินไป มันอาจจะบรรเทาได้ (แต่ก็มีบางคนที่ยังรู้สึกมีอาการอยู่ในภาคนี้)โดยเกม Dying Light 2 Stay Human วางจำหน่ายแล้วบนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox One X สนนราคา 1899 บาท ส่วน Nintendo Switch จะวางจำหน่ายหลังจากที่เกมปล่อยราวๆ 6 เดือน
14 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม: Sifu “กังฟูที่ก้าวล้ำความตาย และท้าทายเหนือทุกความคาดหมาย”
“เจ้าฆ่าพ่อข้า ดังนั้นข้าจะฆ่าเจ้า” นี่เป็นหนึ่งในพล็อตที่เรามักจะเห็นกันตามภาพยนตร์จีนแนวกำลังภายใน หรือวิทยายุทธ์อยู่เสมอ เรื่องรางของการล้างแค้น ห้ำหั่นกัน ระหว่างคนสองคน หรืออาจจะเป็นตัวละครเอกกับแก๊งวายร้ายทั้งแก๊ง ซึ่งว่ากันตามตรงเนื้อเรื่องมันแทบไม่ใช่ส่วนสำคัญสักเท่าไรในภาพยตร์ประเภทนี้ มันเป็นเหมือนแค่การหาเหตุผลมารองรับให้พระเอกได้โชว์สกิลการอัดคนเพียงเท่านั้นเองเกม Sifu ใช้แกนหลักของเรื่องในแบบเดียวกัน อาจจะเพราะทางผู้สร้างต้องการถ่ายทอดเรื่องราวให้เหมือนกับผู้เล่นกำลังรับชมภาพยนตร์จากแดนมังกรอยู่ก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาต้องการเน้นไปที่เกมการเล่นแบบสุดโต่ง และไม่อยากให้เนื้อเรื่องมาเป็นตัวฉุดรั้งเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งที่ตัวเกมนี้นำเสนอออกมา มันได้พาเกมแนว Beat-em-ups หรือเกมแนวซัดแม่งเลยกลับมาคืนชีพในยุคปัจจุบันได้อีกครั้ง หลังจากที่แฟนเกมแนวนี้ไม่ได้สัมผัสถึงเกมดี ๆ มานานนม ส่วนความยอดเยี่ยมของ Sifu จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น รีวิวนี้มีคำตอบ!เนื้อเรื่องที่ธรรมดา แต่ก็แฝงไปด้วยปรัชญาลึกซึ้งอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แกนหลักเนื้อเรื่องของ Sifu มันไม่มีอะไรมากเลย เรื่องราวเริ่มมาจากอดีตลูกศิษย์ของปรมมาจารย์กังฟูสำนักหนึ่งต้องการล้างแค้นอาจารย์ของตัวเอง อดีตลูกศิษย์คนนั้นจึงพากันยกพวก นำยอดฝีมือทั้ง 5 คน บุกถล่มสำนักกังฟูที่เคยชุบเลี้ยงตัวเองมา และไล่ฆ่าเหี้ยนยกสำนัก ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเอกที่เป็นเด็กอายุเพียง 12 ปีทว่าด้วยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูล จึงทำให้ตัวเอกของเราสามารถโกงความตายมาได้ ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนยาวนานถึง 8 ปี เพื่อชำระบัญชีแค้นที่แก๊งตัวร้ายก่อเอาไว้และถึงแม้ตัวเกมจะจั่วหัวให้เราจัดการล้างแค้นก็จริง แต่ภายในเกมนั้นจะมีตัวเลือก Spare หรือไว้ชีวิตกับเหล่าบอสประจำด่านทั้ง 5 อีกด้วย ซึ่งการจะไว้ชีวิตได้นั้น ผู้เล่นจะต้องทำการจัดการบอสจนมีโอกาสสังหารมาแล้วก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้นต้องรอจนกว่าบอสจะฟื้นตัว แล้วจัดการบอสลงอีกที เป็นเหมือนกับการบอกว่า “ข้าจะฆ่าเจ้าตรงนี้เสียก็ได้ แต่ข้าเลือกที่จะไว้ชีวิตเจ้านะ” ซึ่งระบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ก็ดูใส่ใจได้ดี ไม่ได้มีขึ้นมาให้กดทื่อ ๆ แบบเกมทั่ว ๆ ไป ช่วยเพิ่มความอินกับเนื้อเรื่องของผู้เล่นได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียวระบบต่อสู้สุดลื่นไหล จุดชูโรงหลักของตัวเกมสิ่งที่โดดเด่น และเตะตาตั้งแต่เห็นตัวอย่างของเกมสำหรับใครหลาย ๆ คนก็คือ ภาพของการต่อสู้ด้วยหมัด เท้า กระบอง ไปจนถึงการใช้สิ่งของประกอบฉากต่าง ๆ มาร่วมในการปะทะด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้นมันลื่นไหลมาก ต่อให้ผู้เล่นทำการรัวปุ่มมั่ว ๆ ท่าทางที่ออกมาในเกมก็ยังดูต่อเนื่อง จนเหมือนกับหลุดออกมาจากหนังกังฟูอยู่ดีมีทั้งการปลดอาวุธ ใช้เท้าเกี่ยวอาวุธขึ้นมาถือ ไปจนถึงการคว้าขวดแก้วหรืออิฐบล็อกที่ปามากลางอากาศ ก็ทำได้เท่และเนียนตาเป็นอย่างมาก ช่วยทำให้คนเล่นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นปรมมาจารย์กังฟูแบบจริง ๆ ได้เลย หากชำนาญมากพออีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยส่งเสริมระบบการต่อสู้อย่างเป็นธรรมชาตินี้ก็คงหนีไม่พ้นมุมกล้อง ที่คอยปรับเปลี่ยน สั่นไหว และตามหลังผู้เล่นให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะยิ่งถ้าตัวเอกของเรากดใช้ท่า Takedown การที่มุมกล้องปรับให้รับการท่า Takedown นั้น ๆ ก็ช่างเท่เสียไม่มีนี่ยังไม่รวมไปถึงอนิเมชันของตัวละครที่ทำออกมาได้สมจริง ไม่มีจุดที่ดูเวอร์จนเกินไป แถมยังถ่ายทอดความเป็นกังฟูออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ต้องยอมรับเลยว่า Sifu เป็นอีกหนึ่งเกมที่พัฒนาระบบการต่อสู้ออกมาได้ไร้ที่ติจริง ๆเมื่อความตายไม่ใช่จุดจบอีกหนึ่งจุดขายของเกม Sifu ก็คือระบบการตายที่ไม่เหมือนใคร ปกติแล้วเมื่อผู้เล่นตายในเกมทั่วไป ผู้เล่นจะถือว่า Game Over ซึ่งจะต้องเริ่มเล่นในฉากนั้น ๆ ใหม่ จนกว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้ ทว่าในเกม Sifu นั้น ทางผู้พัฒนากลับเลือกใช้ระบบที่สร้างสรรค์และยึดโยงกับเนื้อเรื่องภายในเกมได้เป็นอย่างดี โดยเมื่อผู้เล่นเสียชีวิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผู้เล่นจะยังไม่ Game Over ในทันที แต่จะมีตัวเลือกให้สามารถฟื้นคืนชีพได้ ซึ่งการคืนชีพนั้นจะสามารถคืนชีพได้เรื่อย ๆ จนกว่าอายุจะเกิน 70 ปีขึ้นไป หากอายุเกินตัวเลขดังกล่าว การตายหลังจากนั้นจะเป็น Game Over ของจริงแน่นอนว่า Sifu ไม่ใช่เกมที่ง่าย และการตายจึงมีบทลงโทษตามมา โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นอายุ 30 40 50 60 และ 70 ปี หลอดพลังชีวิตของผู้เล่นจะลดลง แต่ก็แลกมาด้วยพลังโจมตีของตัวละครหลักที่เพิ่มขึ้น เป็นเหมือนกับการได้อย่างเสียอย่าง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเล่นแบบ High Risk High Return อีกด้วยซึ่งระบบนี้เป็นเหมือนการเปรียบเปรย การเรียนรู้และความชำนาญในกังฟู ที่เมื่อฝึกฝนมานานมากขึ้น การเข้าถึงแก่นหลักของวิชาก็จะยิ่งแก่กล้าขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยสังขารที่ร่วงโรยไปเช่นกันต้องยอมรับเลยว่า ตรงจุดนี้ทางผู้พัฒนาอย่าง Slocap ออกแบบมาได้สร้างสรรค์ มีเนื้อเรื่องรองรับ แถมยังเพิ่มความท้าทายและยุติธรรมดีอีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งข้อดีของเกมนี้เลยล่ะครับความท้าทายและความยากที่ไม่ด้อยไปกว่าเกมตระกูล Soulsหากใครที่กำลังมองหาเกมยาก ๆ หรือเกมที่ต้องอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองไว ๆ เกม Sifu คือเกมที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ตัวเกมจะอัดทุกอย่างมาให้คุณอย่างเต็มที่ ไม่มีกั๊ก ตั้งแต่ลูกกระจ๊อกตามฉาก มินิบอส ไปจนถึงบอสใหญ่ทั้ง 5 ซึ่งแต่ละตัวก็นำเสนอมาได้ออกมามีเอกลักษณ์ ช่วยให้สำรวจพื้นที่บนฉากหลัง 5 แบบ ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย แม้จะต้องจมอยู่กับด่านเดิม ๆ หลายรอบก็ตาม นอกจากนี้ หากผู้เล่นช่างสำรวจ คุณจะพบเข้ากับไอเทมบางอย่างที่จะช่วยปลดล็อกทางลัด ทำให้การเล่นในครั้งต่อไปง่ายขึ้นอีกด้วย นับว่าเป็นการออกแบบระบบที่ไม่เลวเลยทีเดียวอีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจของเกมนี้คือ การไต่ระดับความยากที่เหมาะมือ แต่ก็ยังมีความท้าทายให้ผู้เล่นได้สัมผัสเมื่อเล่นไปสักพัก คุณจะเริ่มจับทางตัวเกมได้ ทว่าตัวเกมก็จะโยนบอสใหม่ที่บีบให้คุณต้องเรียนรู้เทคนิกใหม่เพื่อมาใช้สู้กับมันอีก เหมือนดังคำกล่าว ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’ ผู้เล่นอาจจะคิดว่าตัวเองช่ำชองแล้ว เจอบอสตัวไหนก็สู้ไหว แต่พอเอาเข้าจริง ๆ มันก็ตึงมือเสียจนต้องเริ่มด่านใหม่กันไปหลายรอบนอกจากนี้ การที่ตัวเกมแบ่งออกเป็น 5 ด่าน ก็ไม่ได้หมายความว่า ตัวเกมจะใจดี ลดอายุของเราให้ทุกครั้งที่ผ่านด่าน ผู้เล่นจะต้องลุยต่อไปทั้งที่อายุเท่านั้น จนกว่าจะกลับไปเล่นด่านเดิมให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นหากใครที่เอาชนะบอสตัวแรกโดยที่มีอายุ 50 ปี หมายความว่าบอสอีก 4 ตัวที่เหลือ คุณจะต้องเอาชนะมันด้วยอายุสำรองอีก 20 ปีเท่านั้น ซึ่งนี่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่เล่นครั้งแรก ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนการบีบให้ผู้เล่นต้องย้อนกลับไปเล่นด่านเดิมให้เชี่ยวชาญเสียก่อน ถึงจะควรไปลุยในด่านใหม่ได้อย่างหายห่วงส่วนสิ่งที่แอบโหดร้ายสำหรับเกมนี้ก็คือ ระบบสกิลที่ Game Over แล้ว ทุกอย่างจะหายหมด ทุกสกิลที่คุณปลดล็อกมาจะหายไปกับชีวิตของคุณ โชคยังดีที่ตัวเกมอนุญาตให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อกแบบถาวรได้ แต่มันก็ต้องใช้ EXP ในการปลดล็อกมากกว่าเดิมถึง 5 เท่าเลยทีเดียวดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจปลดล็อกสกิลถาวรล่ะก็ ควรตัดสินใจให้ดี มิฉะนั้นจะเป็นการเปลืองเวลาแล EXP โดยใช่เหตุกราฟิกที่เลือกใช้เหมาะสมกับสไตล์เกมงานภาพของเกมจะใช้รูปแบบการ์ตูน ไม่เน้นไปที่ความสมจริงเท่าไรนัก ซึ่งการเลือกใช้ภาพสไตล์นี้ก็ดูเข้ากับธีมกังฟูของตัวเกมเป็นอย่างดี มันให้อารมณ์เหมือนดูมู่หลานฉบับหมัดมวยตามล้างแค้นทั้งโคตรเลยล่ะและแน่นอนว่าในเกมที่มีความยากแบบโหดหิน ช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีก็ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาล เฟรมเรตจึงแทบเป็นทุกอย่างภายในเกมนี้ ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ทำออกมาได้น่าประทับใจ จังหวะต่อสู้ หรือจังหวะปะทะ ต่อให้มีศัตรูจำนวนมากแค่ไหน หรือจะมีเอฟเฟกต์จากการสู้บอสมากขนาดไหน ตัวเกมก็ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จุดที่เกมกระตุกมีเพียงจังหวะเดียวนั้นก็คือ การข้ามฉากใหม่ ซึ่งในการข้ามฉากจะไม่มีศัตรูโถมเข้ามา ข้อเสียตรงนี้จึงไม่ได้ไปขัดอารมณ์ในการเล่นแต่อย่างใดทั้งนี้ ด้วยกราฟิกที่ไม่ได้มีรายละเอียดเยอะมาก จึงทำให้เครื่อง PC อายุเก่า ๆ ก็สามารถเล่นได้อย่างหายห่วง ตัวเกมมีความต้องการขั้นต่ำอยู่ที่ RAM: 8GB, CPU: AMD FX-4350 หรือ Intel Core i5-3470 หรือเทียบเท่า และ GPU: Radeon R7 250 หรือ GeForce GT 640 หรือเทียบเท่า ด้วยสเป็กที่ต่ำมาก เชื่อว่าเกมเมอร์แทบทุกคนน่าจะเข้าถึงได้อย่างแน่นอนควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?ถึง Sifu จะยอดเยี่ยมมากขนาดไหน แต่มันก็ยังไปไม่ถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบ มุมกล้องของตัวเกมยังมีบางครั้งที่เมื่อถูกบีบเข้ามุมอับ จะส่งผลให้ผู้เล่นไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย เนื่องจากตัวเกมไม่ได้ใช้มุมมองแบบข้ามหัวไหล่ นั่นจึงทำให้จุดนี้อาจกลายเป็นเพิ่มความหัวร้อนให้กับผู้เล่นก็เป็นได้อีกทั้งเนื้อเรื่องภายในเกมก็ยังนับว่าค่อนข้างธรรมดามาก แม้จะมีฉากจบสองแบบขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้แก่นของเรื่องเข้มข้นขึ้นเลยแต่ด้วยระบบการต่อสู้ ความสร้างสรรค์ของการออกแบบด่าน ไปจนถึงการนำเสนอบอสที่ติดตาตรึงใจ ข้อเสียต่าง ๆ ที่เป็นเพียงเรื่องยิบ ๆ ย่อย ๆ ก็สามารถถูกกลบเอาไว้ใต้พรมแห่งความสนุกของแนว Beat-em-ups ได้อย่างหมดจดถึง Sifu อาจจะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้าถึงง่าย และเล่นได้กันทุกคน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่จะต้องเป็นหนึ่งในเกมที่ได้เข้าชิงรางวัลเกมแอ็กชันยอดเยี่ยมแห่งปีอย่างแน่นอน ดังนั้นหากใครอยากจะลองสัมผัสความทรมาน ที่สนุกจนหยุดเล่นไม่ได้ ก็แนะนำว่ากดซื้อมาลองเล่นกันสักตั้งดูเถอะครับ
14 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม Horizon Forbidden West "สู่แดนปัจฉิมเร้นลับ: เกมโลกเปิดชั้นครูที่ทุกค่ายควรหาทำ"
สำหรับคนที่เป็นแฟนเกมโลกเปิด โดยเฉพาะเกมเมอร์ฝั่ง PlayStation ทั้งหลาย น่าจะรู้จักกับเกม Horizon Zero Dawn กันดี เกมแอคชั่น RPG โลกเปิด IP ใหม่จากผู้พัฒนา Guerilla Games ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน แต่ด้วยเนื้อเรื่อง เกมเพลย์ และโลกอันงดงามของเกมนั้น ทำให้เกมได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งจากผู้เล่น PlayStation 4 และผู้เล่น PC ที่ได้สัมผัสเกมในภายหลังด้วยด้วยความนิยมของเกมภาคแรก แน่นอนว่าเกมภาคต่ออย่าง Horizon Forbidden West ย่อมแบกรับความคาดหวังเอาไว้สูงมาก ทั้งในฐานะเกมที่จะมาสานต่อตำนานของซีรีส์ และในฐานะเกมคร่อมรุ่นคอนโซลที่เกมเมอร์อีกหลายคนคาดหวังให้สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่คู่ควรกับเครื่อง PlayStation 5 ได้หลังจากที่ใช้เวลาเล่นเกมมามากกว่า 70 ชั่วโมง ผู้เขียนมีความยินดีจะรายงานว่า Horizon Forbidden West ถือเป็นเกมโลกเปิดอันน่าทึ่งซึ่งพัฒนาขึ้นจากเกมแภาคแรกในทุก ๆ ด้าน ด้วยเกมเพลย์อันหลากหลายและน่าตื่นเต้นซึ่งมีอะไรใหม่ ๆ มาเซอร์ไพรส์และท้าทายเราอยู่เสมอ ไปจนถึงเนื้อเรื่องที่นำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านบทพูดและการแสดงระดับชั้นนำ ที่ทำให้เกม Horizon Forbidden West เป็นเกมที่ชาว PlayStation ทั้ง 4 และ 5 ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง***ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Singapore และ PC & Associates Consulting สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า******บทความนี้อาจสปอยเนื้อเรื่องของเกมภาคแรก (Horizon Zero Dawn)***เนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเกม Horizon Forbidden West จะเกิดขึ้น 6 เดือนหลังจากที่ Aloy และเพื่อนพ้องสามารถยับยั้งการทำลายล้างโลกโดย A.I. HADES ได้สำเร็จในตอนจบของเกมภาคแรก เมื่อจู่ ๆ ดินแดนบ้านเกิดของ Aloy ถูกรุกรานโดยโรคระบาดปริศนาที่เข่นฆ่าชีวิตของทั้งสัตว์และพืชที่ติดเชื้อ ส่งผลให้ Aloy จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อตามหาต้นตอของโรคระบาดนี้ และยับยั้งมันให้ได้ก่อนที่มันจะแพร่ระบาดไปทุกที่และทำให้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์ไปอย่างช้า ๆในระหว่างที่กำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับโรคระบาดในพื้นที่ Aloy ค้นพบข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโรคระบาดดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาณของการล่มสลายของโลกทั้งหมดเท่านั้น และเธอจะต้องออกเดินทางไปยังดินแดนต้องห้ามทางตะวันตกเพื่อตามหา A.I. ตัวหนึ่งที่จะสามารถหยุดการทำงานของพวกเครื่องจักรได้ โดยการเดินทางของเธอก็พาเธอเข้าไปพัวพันกับสงครามกลางเมืองระหว่างเผ่านักรบ Tenakth ที่ปกครองดินแดนตะวันตกอยู่ พร้อมกับศัตรูกลุ่มใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดเนื้อเรื่องของ Horizon Forbidden West สามารถคงมาตรฐานอันยอดเยี่ยมจากเกมภาคแรกได้อย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของตัวละครอันมีเสน่ห์ ไปจนถึงเหตุการณ์หักมุมต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงในเนื้อเรื่องที่สามารถทำให้ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นอยู่เสมอตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเกมสามารถผูกเหตุการณ์ต่าง ๆ จากภาคแรกเข้าสู่เหตุการณ์ใหม่อย่างลื่นไหล และทำให้รู้สึกเหมือนทั้งสองเกมเป็น 'เนื้อเรื่องยาว ๆ เรื่องเดียวกัน' ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนตัวยงของเกมภาคแรกเป็นอย่างมากจุดปรับปรุงอีกอย่างจากภาคแรกคือการที่เกมดูจะให้เวลากับตัวละครเสริมรอบ ๆ ตัว Aloy มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้โลกของเกมรู้สึก 'เต็ม' ขึ้นจากเรื่องราวชีวิต มุมมอง และข้อมูลใหม่ ๆ ที่ตัวละครแต่ละตัวนำเสนอ ยังช่วยทำให้เกมสามารถลงลึกไปถึงแก่นของตัวละคร Aloy ได้มากกว่าเดิมผ่านการสนทนาระหว่างเธอและเพื่อน ๆ ในแบบที่น่าจะถูกใจแฟนของเกมภาคแรกเช่นเดียวกัน เพราะช่วยขยายเหตุการณ์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปูมาก่อนหน้านี้ได้อย่างครบถ้วนทั้งนี้ จะสังเกตได้ว่าผู้เขียนใช้คำว่า 'ถูกใจแฟนของเกมภาคแรก' ถึงสองครั้ง นั่นก็เพราะว่าเกม Horizon Forbidden West เป็นเกมที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ที่ไม่เคยเล่นภาคแรกเท่าไหร่ เพราะเกมจะใช้เวลาอธิบายตัวละครหรือเหตุการณ์ในเกมภาคแรกน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระยะเวลาระหว่างเหตุการณ์ในเกมทั้งสองนั้นเกิดขึ้นค่อนข้างใกล้กัน (ห่างกัน 6 เดือนเท่านั้น ในขณะที่เกมสองภาคห่างกัน 6 ปี) และอีกส่วนหนึ่งคือการที่เกมดูจะเน้นหนักไปที่ความเป็น 'ไซไฟ' ของตัวเองมากขึ้น ทำให้มีศัพท์เฉพาะทั้งใหม่และเก่ามากมายที่คนไม่เคยเล่นมาก่อนอาจงงว่ากำลังพูดถึงอะไรกันแน่ข้อตำหนิอีกอย่างที่ผู้เขียนรู้สึกคือช่วงต้น ๆ ของเนื้อเรื่องนั้นดำเนินไปค่อนข้างช้า โดยสำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ากว่าจะถึงจุดสนุกก็ปาเข้าไปเกือบ 15 ชั่วโมงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเวลาดังกล่าวนี้อาจผกผันได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นจะอยากเก็บเนื้อหาเสริมระหว่างทางมากน้อยแค่ไหนด้วย แต่ก็ยังถือว่าเป็นเนื้อเรื่องที่เปิดมาค่อนข้างช้าอยู่ดี แม้ว่าเมื่อจุดเครื่องติดแล้วจะสนุกจนติดหนึบเลยก็ตามเกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Horizon Forbidden West ประสบความสำเร็จมาก ๆ ในการยกระดับสูตรเกมเพลย์จากภาคดั้งเดิมขึ้นในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การต่อสู้ การแก้พัซเซิ่ล ไปจนถึงการสัญจรไปมาในโลกของเกม ล้วนถูกปรับปรุงให้มีความท้าทาย หลากหลาย และ 'สนุก' ขึ้นกว่าในภาคแรกพอสมควรเรื่องแรกที่อยากพูดถึงคือตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นในการเคลื่อนที่ อันเป็นผลมาจากอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่ Aloy ได้รับในช่วงต้นเกมเช่นปืนยิงเชือก Pullcaster ที่สามารถปล่อยเชือกไปผูกกับจุดต่าง ๆ ตามแผนที่เพื่อดึงตัว Aloy ขึ้นไป และเครื่องร่อน Shield-Glider ซึ่งทำให้สามารถเดินทางลงจากที่สูงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยทั้งสองอย่างนี้นอกจากจะเพิ่มทางเลือกในการเดินทางไปตามแผนที่อันกว้างใหญ่ของเกมแล้ว ยังเปิดทางเลือกใหม่ ๆ ในการต่อสู้และการแก้พัซเซิ่ลขึ้นอีกต่างหากสำหรับการต่อสู้ในเกม Horizon นั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองหมวดหลัก ๆ คือการต่อสู้กับเครื่องจักร และการต่อสู้กับมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าหัวใจหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์การต่อสู้กับเหล่าเครื่องจักรน้อยใหญ่หลากหลายชนิด ข้อปรับปรุงหลัก ๆ ของการต่อสู้กับเครื่องจักรคือ 'ความหลากหลาย' ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในแง่ของชนิดของเครื่องจักรที่มีมากกว่า 40 ประเภท (จากเดิม 26) ไปจนถึงอาวุธหลากหลายชนิดของ Aloy และสถานะธาตุชนิดใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเพิ่มมิติให้กับการต่อสู้ โดยผู้เล่นมักจะต้องแสกนเพื่อศึกษาจุดอ่อนทั้งหลายของเครื่องจักรชนิดหนึ่งก่อนการต่อสู้เสมอ คล้ายกับการออกล่าสัตว์ร้าย โดยผู้เล่นสามารถเล็งโจมตีอวัยวะหรือชิ้นส่วนบนร่างกายของพวกมันเพื่อ 'ตัด' ทิ้งได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับไอเทมทรัพยากรณ์คราฟติ้งพิเศษ (คล้ายกับใน Monster Hunter) หรือกระทั่งเอาอาวุธของศัตรูมาใช้ในการต่อสู้ซะเองชั่วขณะหนึ่งในขณะเดียวกัน ระบบการต่อสู้กับศัตรูที่เป็นมนุษย์นั้นถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยผู้ที่เล่นเกมภาคแรกอาจจำได้ว่าระบบการต่อสู้ระบะประชิดในเกมภาคแรกนั้นค่อนข้างตื้น ซึ่งก็ส่งผลให้การต่อสู้กับศัตรูชนิดมนุษย์มีความน่าเบื่อไปซะหน่อยเพราะทำได้แค่กดตีเบา/หนักสลับ ๆ กันไปอย่างงั้น แต่ในเกมภาคใหม่นี้ได้เพิ่มท่าโจมตีใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก พร้อมเพิ่มระบบการทำคอมโบระยะประชิดเข้ามา ซึ่งมีความคล้ายกับระบบการควบคุมของ God of War (PS4) อยู่ประมาณหนึ่ง โดยการเพิ่มความสามารถให้กับ Aloy ทำให้เกมสามารถใส่ศัตรูชนิดมนุษย์มาให้สู้ได้บ่อยขึ้น และทำให้ศัตรูเหล่านี้หลากหลายขึ้นได้ด้วย ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้โดยรวมมีความหลากหลายมากขึ้นกว่าภาคแรกที่แทบไม่ค่อยมีมนุษย์ให้สู้ด้วย ราวกับเป็นการเพิ่มศัตรูชนิดใหม่ไปในเกมเลยทีเดียวอีกองค์ประกอบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นคือเรื่องของการแก้พัซเซิ่ลที่มีอยู่มากมายในแผนที่ ซึ่งทุกจุดถูกออกแบบมาให้มีวิธีแก้ของตัวเองแตกต่างกันไป มากกว่าจะเป็นกิจกรรมโลกเปิดดาษ ๆ ที่เหมือนกันหมด โดยจุดนี้ก็ช่วยทำให้โลกของเกมมีความน่าค้นหา ราวกับว่ามีความลับรอท้าทายเราอยู่แทบทุกที่ในเกมกล่าวง่าย ๆ ว่า Horizon Forbidden West อาจไม่ใช่เกมโลกเปิดที่พยายามนำเสนออะไรใหม่ ไปกว่าภาคแรก หรือเกมโลกเปิดอื่น ๆ นัก หากแต่เกมคือผลลัพธ์ของการที่ผู้พัฒนารู้ดีถึงจุดแข็งต่าง ๆ ในเกมของตัวเอง และขัดเกลาจุดเด่นเหล่านั้นให้เฉียบคมยิ่งขึ้นไปอีก ออกมาเป็นเกมโลกเปิดที่มีอะไรให้ทำตลอดเวลาจริง ๆ จนแทบไม่มีจังหวะอยากวางจอยเลยทีเดียวการนำเสนอในการรีวิวเกม Horizon Forbidden West ผู้เขียนเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 ซึ่งมีโหมดกราฟฟิคให้เลือกสองโหมดด้วยกันคือ Performance และ Fidelity เช่นเดียวกับเกมคร่อมเจน PS4/5 ส่วนใหญ่ โดยการเล่นเกมบนโหมด Performance จะลดความละเอียดของภาพลงเพื่อให้เกมสามารถรันได้ที่ 60FPS ในขณะที่ Fidelity จะดันคุณภาพของกราฟฟิคและความละเอียดขึ้นไปถึงระดับ 4K แท้ แต่จะสามารถเล่นได้ที่ 30FPS เท่านั้น ซึ่งแลดูจะเป็นการตั้งค่าแบบมาตรฐานของเกมในยุคคอนโซลนี้แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกเล่นที่โหมด Performance หรือ Fidelity มั่นใจได้เลยว่าเกม Horizon Forbidden West น่าจะเป็นเกมโลกเปิดที่ภาพสวยที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา โดยดินแดนตะวันตกที่ Aloy ไปเยือนนั้นมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ทะเลทราย หุบเขาหิมะ หนองบึง ไปจนถึงวิวชายหาดริมทะเล และใต้ทะเล เรียกว่ามีวิวให้ดูทุกแบบทุกสไตล์ไม่มีเบื่อเลยทีเดียวองค์ประกอบด้านเสียงของเกมก็มีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศในเกม ซึ่งดนตรีในเกมนี้ก็สามารถทำออกมาได้ไพเราะเพลินหูเป็นอย่างมาก โดยเครื่อง PlayStation 5 ยังสามารถใช้ลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง เช่นความรู้สึกหน่วงในปุ่ม R2 เมื่อง้างคันธนู หรือเสียงของเครื่องจักรที่กระโจนข้ามหัวเราไปที่ดังออกมาผ่านจอย เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมได้เป็นอย่างดีทั้งนี้ ส่วนของกราฟฟิคในเกมแลดูจะเป็นส่วนที่มีปรับปรุงได้มากที่สุดเช่นกัน โดยผู้เขียนพบกับบั๊คกราฟฟิคหลากหลายรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง เช่นสิ่งของในฉากโหลดไม่ทันหรือระบบแสงและเงาทำงานไม่ถูกต้องเป็นต้น โดยแม้ว่าจะไม่ได้หนักหนาหรือส่งผลเสียต่อเกมในภาพรวมนัก (ส่วนใหญ่แก้ได้ด้วยการปิด-เปิดเกมใหม่) แต่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ผู้พัฒนา Guerilla Games อาจจะสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพื่อประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคุณภาพภาษาไทยสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยเรา เกม Horizon Forbidden West เองก็สนับสนุนบทบรรยายและเมนูภาษาไทยให้เราด้วย ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงเนื้อหาของเกม Horizon Forbidden West เองที่มีความเป็นไซไฟโลกอนาคต และมักจะมีการพูดถึงปรัชญาหรือแนวคิดลึกซึ้งอยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่ายังมีจุดบกพร่องให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในแง่ของอรรถรสและการสื่อความหมายต่าง ๆ ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Sony เขา ซึ่งน่าจะช่วยให้หลาย ๆ คนสามารถติดตามเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นมากโขเลยทีเดียวสรุปในหลาย ๆ แง่ Horizon Forbidden West ไม่ใช่เกมที่ต้องการจะตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับเกมโลกเปิด หรือต้องการจะนำเสนอไอเดียที่แปลกใหม่พิศดารกว่าใคร หากแต่เป็นเกมที่เข้าใจถึงเสน่ห์ของเกมโลกเปิดและตัวตนของซีรีส์ของตัวเองอย่างถ่องแท้ และสามารถพัฒนาทั้งสองจุดนี้ได้จนอยู่ในระดับแนวนหน้าของวงการทั้งคู่เกมอาจจะเข้าถึงยากซะหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยแม่นเหตุการณ์และตัวละครในภาคแรก แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเกม Horizon อยู่่แล้วล่ะก็ บอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งเกมที่คุณไม่อยากพลาดแน่ ๆ ในปีนี้
14 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม Pokémon Legends: Arceus "การโยนโปเกบอลถามทาง ที่โยนถูกจุดเต็ม ๆ"
ในปี 2022 นี้ ถือเป็นวาระครบรอบ 25 ปีพอดี นับตั้งแต่ตัวเกมโปเกมอนภาค Red และ Blue ออกวางจำหน่ายสู่ท้องตลาด ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกมโปเกมอนก็ได้ออกภาคเสริม Spin off ไปจนถึงนำไปทำอนิเมชันและภาพยนตร์ขึ้นฉายบนจอเงินมากมายแต่ทว่าท่ามกลางเกมภาคแยกและภาคหลักมากมายเหล่านั้น กลับไม่มีสักเกมที่สามารถนำเสนอโลกของ Pokémon ในแบบที่แฟนเกมต้องการเห็นได้จริง ๆ จนกระทั่งการมาถึงของ Pokémon Legends: Arceus ที่ตัวเกมจั่วหัวว่าจะเป็นเกมโปเกมอนแบบ Open World ซึ่งเพียงแค่นี้ก็สร้างเสียงฮือฮาให้กับชาวเกมเมอร์ได้ระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งตัวเกมยังนำเสนอระบบที่โปเกมอนป่าดุร้าย เข้าโจมตีผู้เล่นกันแบบถึงลูกถึงคนอีกด้วยเรียกว่าเพียงแค่ได้เห็น Trailer บรรดาแฟนเกมทั่วโลกต่างพร้อมใจกันขึ้นรถไฟ Hype Train กันโดยไม่ได้นัดหมายแล้ว Pokémon Legends: Arceus นั้นจะดีพอที่ตอบรับความคาดหวังของเหล่าเกมเมอร์ได้ไหม รีวิวนี้มีคำตอบ!เนื้อเรื่องสูตรสำเร็จสไตล์ Pokémonเนื้อเรื่องของแฟรนไชส์ Pokémon เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชวนให้ติดตามตลอดการเล่น ถึงแม้แก่นหลักของแต่ละภาคจะเหมือนกัน นั่นก็คือ การรวบรวม Pokédex ให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้านฉากหลังและตัวละครที่เราจะได้พบเจอนั้น จะช่วยทำให้ตามแต่ละภาคมีเอกลักษณ์ที่เข้มข้น และรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอบางภาคจะเป็นเพียงแค่การผจญภัยเล็ก ๆ ปะทะกับเหล่าร้ายที่คิดจะทำเรื่องชั่ว บางภาคอาจจะเป็นแค่การทำตามสัญญากับเพื่อน พร้อมผจญอุปสรรคระหว่างทาง และในบางภาคนั้นอาจจะเล่นใหญ่จนถึงขั้นสร้างความเสียหายให้กับโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งหลังจากที่ตัวเกมพาเราเผชิญกับภยันตรายต่าง ๆ มานักต่อนักแล้ว ใน Pokémon Legends: Arceus นั้น ทางผู้พัฒนาจึงเลือกที่จะนำเสนอแนวคิดแบบใหม่ ด้วยการพาตัวเอกย้อนเวลากลับไปในอดีต ย้อนกลับไปในยุคที่มนุษย์ยังคงไม่รู้จักโปเกมอนดีพอถือว่าเป็นการกำหนดฉากหลังที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วเกม Pokémon มักจะนำเสนอโลกที่มนุษย์อยู่ร่วมกับโปเกมอนเสมอ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์เท่าไรนัก กลับกันในตัวเกมภาคนี้ โปเกมอนกลับถูกมองเป็นเหมือนตัวตนที่มีพลังยิ่งใหญ่ ซึ่งบางตัวยังถึงขั้นต้องบูชา พร้อมกับยกให้เป็นผู้พิทักษ์ประจำดินแดนเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงหากว่ากันตามความสามารถของโปเกมอนบางตัวแล้ว ตามตรรกะมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นน่ะแหละนอกจากนี้ การที่ทางผู้พัฒนาเลือกใช้เส้นเวลาในช่วงอดีต ยังช่วยทำให้ผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสัมผัสกับซีรีส์ Pocket Monster เป็นครั้งแรก สามารถดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องได้ในปริมาณที่เท่า ๆ กับแฟนเกมเดนตายที่ติดตามมานานนมอีกด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวไปเลยการจับโปเกมอนที่ส่งผลยิ่งกว่าภาคไหน ๆอย่างที่กล่าวไปตอนต้น เป้าหมายหลักของเกม Pokémon นั้น คือการรวบรวมสมุดภาพโปเกมอนให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ผมเชื่อว่า หากคิดตามอัตราส่วนจริง ๆ แล้ว คงมีน้อยคนนักที่จะสามารถจับโปเกมอนทุกตัวมาไว้ในครอบครองได้สำเร็จ เพราะไม่ว่าจะทั้งโปเกมอนที่เงื่อนไขในการได้มาแบบพิเศษ ไปจนถึงโปเกมอนที่ต้องใช้ความอดทนในการตามหา นี่ยังไม่รวมโปเกมอนที่ต้องทำการแลกเปลี่ยนกับผู้เล่นคนอื่นอีก ด้วยความยุ่งยากเหล่านี้นี่เอง ผู้เล่นส่วนใหญ่ของ Pokémon จึงมักเลือกที่จะเล่นคอนเทนต์เพียงแค่ เอาชนะผู้นำโรงยิม > จัดการ 4 จตุรเทพ > จัดการแชมป์เปี้ยน > ไล่ตามเก็บโปเกมอนในตำนาน เมื่อทำทั้งหมดครบแล้วก้จะถือว่าจบเกมในภาคนั้น ๆ ส่วนใครที่ยังไฟแรงหน่อย ก็อาจจะไปดวลกับผู้เล่นคนอื่นผ่านระบบออนไลน์ ไม่ก็เข้าไปเล่นในส่วนของ Frontier แก้เซ็งไปวัน ๆทว่าในตัวเกม Pokémon Legends: Arceus นั้น การจับโปเกมอนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางผ่านอีกต่อไปแล้ว เพราะมันจะไปยึดโยงถึงการก้าวหน้าของตัวเกมอีกด้วยยิ่งคุณจับโปเกมอนได้มาก คุณก็จะได้แต้มวิจัยเพิ่มมากขึ้น โดยแต้มวิจัยนั้นจะถูกใช้ในการอัปเกรดลำดับขั้นภายในเกม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นปลดล็อก Pokéball ใหม่ ๆ อุปกรณ์ใหม่ ไปจนถึงช่วยในการดำเนินเนื้อเรื่องอีกด้วย ดังนั้นหากใครที่คิดจะเมินโปเกมอนริมทางแบบภาคก่อน ๆ คุณลืมความคิดนั้นไปได้เลย เพราะถ้าคุณไม่ขยันจับโปเกมอนเข้าล่ะก็ คุณจะไม่สามารถเล่นเนื้อเรื่องหลักภายในเกมต่อไปได้ด้วยซ้ำความ Action แบบใหม่ ที่ผสมผสานกับความเป็น RPG ดั้งเดิมได้อย่างลงตัวเชื่อว่าคุณผู้อ่านที่อ่านอยู่ตอนนี้ น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ Pokémon Legends: Arceus ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรับทราบเหมือนกันนั่นก็คือ ตัวเกมในภาคนี้จะมีความเป็น Action มากยิ่งกว่าภาคไหน ๆ ที่เคยออกมาซึ่งสิ่งที่ภาคนี้นำเสนอ มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่แฟนเกมเคยตามหาและหลงใหลในครั้งเยาว์วัย ภาพของมนุษย์ที่เดินไปตามพงหญ้า โขดหิน เข้าป่า และค้นพบโปเกมอนราวกับหลุดออกมาจากในการ์ตูนได้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมภายในเกมภาคนี้ หากจะบอกว่านี่คือสิ่งที่หลายคนคาดหวังให้ Pokémon Go เป็น และเป็นสิ่งที่ Pokémon Sword and Shield ควรจะเป็นตั้งแต่แรกก็คงไม่ผิดนัก แต่ดูท่าทางทีมพัฒนา จะยังไม่อยากเอาตัวเกมภาคหลักมาเสี่ยงง่าย ๆ พวกเขาจึงเลือกที่จะจั่วหัวตัวเกมราวกับเป็นภาคเสริมไปแบบนี้ก่อน ซึ่งก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดใช้ได้ เพราะการทำแบบนี้เป็นทั้งการแบ่งฐานแฟนออกไปเป็นอีกกลุ่ม และยังมีหลักประกันหากเกิดความผิดพลาดจนไม่โดนใจฐานแฟนเกมเดิมอีกด้วยและถึงใน Pokémon Legends: Arceus จะมีความแอ็กชันเพิ่มเข้ามา แต่ตัวเกมก็ยังคงระบบ RPG ที่มีมาตั้งแต่ภาคดั้งเดิมไว้อยู่ เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงฉากการต่อสู้ระหว่างโปเกมอน ความเป็น RPG ที่ต้องอาศัยการแพ้ชนะทางกันของ Type (ประเภท) จากโปเกมอนก็จะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนดังภาคเก่า ๆ เช่น ประเภทปกติแพ้ต่อสู้ ประเภทต่อสู้แพ้พลังจิต ประเภทพลังจิตแพ้ความมืด เป็นต้นทว่าภาคนี้ทางทีมพัฒนาได้ใส่ไอเดียแปลกใหม่เข้ามาเพิ่มให้กับระบบ RPG นั่นก็คือ ระบบ Style ที่จะแบ่งออกเป็น Strong และ Agile โดยการเลือกใช้ Strong Style นั้นจะทำให้ท่าโจมตีของโปเกมอนรุนแรงขึ้น แลกกับการมาถึงของรอบโจมตีตัวเองที่ช้าลง ส่วนการใช้ Agile จะทำให้การโจมตีเบาลง แต่แลกมากับการมาถึงของรอบตีตัวเองที่เพิ่มขึ้นซึ่งระบบนี้จะช่วยทำให้การต่อสู้ภายในเกมที่ชั้นเชิงมากยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่ต้องคอยสลับกันตี โปเกมอนที่ว่องไวกว่าจะได้ตีก่อน แต่การมาถึงของ Style นี้ จะช่วยทำให้ผู้เล่นวางแผน และเลือกปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในบางครั้งเราอยากจะลดพลังชีวิตของโปเกมอนป่าเพื่อจับเข้ามาเป็นหนึ่งในสมุดภาพ แต่ท่าโจมตีที่มีอยู่มันรุนแรงเกินไป ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถเลือกใช้ Agile Style เพื่อลดทอนความรุนแรงของท่าโจมตีได้ เรียกได้ว่าประยุกต์ใช้กับระบบการจับโปเกมอนที่เป็นหัวใจหลักของภาคนี้ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวระบบกึ่งโลกเปิด ดีไซน์เกมยอดนิยมในยุคนี้ระบบ Open World ถือว่าเป็นอีกหนึ่งระบบยอดนิยม ที่ช่วยเพิ่มคอนเทนต์ให้กับตัวเกมให้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เล่นสามารถเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแปลก ๆ ได้แล้ว ทางผู้พัฒนายังสามารถใส่เควสต์เสริม ไอเทมลับสำหรับคนชอบสำรวจ ไปจนถึงการฟาร์มวัตถุดิบมาใช้สร้างของต่าง ๆ อีกด้วยซึ่งในตัวเกม Pokémon Legends: Arceus นั้น เลือกที่จะใช้ระบบกึ่งโลกเปิดคล้ายกับดีไซน์จากเกม Monster Hunter โดยตัวผู้เล่นจะมีหมู่บ้าน Jubilife Village ทำหน้าคล้ายกับ Hub ที่รวบรวมทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวอัปเดตแรงก์ ที่พัก ร้านเสื้อผ้า ร้านทำผม ไปจนถึงโปเกมอนที่ผู้เล่นเก็บสะสมไว้ และเมื่อผู้เล่นพร้อมที่จะออกไปเดินทางในโลกกว้าง ตัวเกมก็แบ่งพื้นที่ออกเป็นทั้งหมด 5 เขตใหญ่ ๆ ให้ผู้เล่นได้เลือกสำรวจ โดยในเขตใหญ่นั้นก็จะมีพื้นที่ย่อย ๆ ที่ภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ตัวเกมยังมีระบบโปเกมอนช่วยสำรวจเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ทั้งโปเกมอนที่ทำให้เดินทางในพื้นราบได้เร็วขึ้น โปเกมอนที่พาผู้เล่นบินขึ้นไปบนท้องฟ้า โปเกมอนที่ทำให้สามารถข้ามผืนน้ำระยะทางไกลได้ ไปจนถึงโปเกมอนที่ช่วยให้ไต่หน้าผาชัน ๆ ได้ก็ยังมีซึ่งทางผู้พัฒนาได้ใช้ระบบโปเกมอนช่วยสำรวจนี้มาร่วมกับการออกแบบแผนที่อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในเขตแรกของเกม คุณอาจจะมีพื้นที่บางจุดไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เมื่อคุณมีโปเกมอนช่วยสำรวจแล้ว จุดนั้นก็จะกลายเป็นแหล่งสำรวจใหม่ในแผนที่เดิม ด้วยการออกแบบแผนที่เช่นนี้ จึงทำให้ผู้เล่นสามารถสำรวจแผนที่ซ้ำ ๆ ได้ถึง 3-4 รอบเลยทีเดียวนอกจากนี้ ทางตัวเกมยังได้นำเสนอระบบการฟาร์มหาของตามธรรมชาติ ที่มีความสำคัญมากกว่าเดิม โดยหากใครเคยเล่ยโปเกมอนมาในภาคก่อน ๆ คุณจะรู้สึกไอเทมตามทางมันไม่ค่อยมีประโยชน์เอาเสียเลย สู้เก็บเงินไปซื้อของจากร้านค้าจะดีกว่าแต่ใน Pokémon Legends: Arceus นั้น ทุกไอเทมแทบจะมีความสำคัญหมด ตั้งแต่โพชั่นเพิ่มเลือด ไปจนถึงวัตถุดิบสร้างโปเกบอล เนื่องจากตัวเกมภาคนี้นั้นไม่มี Pokémon Center ที่คอยรักษาโปเกมอนให้เราตลอดแบบฟรี ๆ ผู้เล่นจะต้องกลับมาพักผ่อนที่แคมป์เท่านั้น หากไม่อยากเสียทรัพยากรโพชั่น แต่การเดินทางไปมาระหว่างการสำรวจกับแคมป์มันก็ค่อนข้างเสียเวลา ตรงจุดนี้นี่เองที่ทำให้ไอเทมต่าง ๆ ที่ใช้ในการคราฟต์โพชั่น ไปจนถึงคราฟต์โปเกบอลมความสำคัญมากขึ้นนั่นเองเข้าถึงง่าย แต่ยังไม่ทิ้งความท้าทายดูท่าว่าเป้าหมายของ Pokémon Legends: Arceus คือการดึงผู้เล่นใหม่ให้เข้ามามากยิ่งกว่าภาคไหน ๆ เพื่อช่วยขยายฐานแฟนเกม เพราะสิ่งน่ารำคาญที่ผู้เล่นเดนตายเคยเจอจากภาคเก่า ๆ ได้ถูกปรับปรุงในตัวเกมภาคนี้กันเสียยกใหญ่ทั้งระบบท่าของโปเกมอน (Moves) ที่ในภาคก่อนหากลบท่านั้นทิ้งแล้ว ท่านั้นจะหายไปเลย หากอยากจะเรียนใหม่ต้องไปตามหา NPC เฉพาะทาง แต่ในภาคนี้ตัวเกมกับอนุญาตให้ผู้เล่นสามารถเรียนและลบท่าของโปเกมอนได้ตามใจ ที่หน้ากระเป๋าของตัวเอง ไม่ต้องเดินทางให้ยุ่งยาก รวมไปถึงระบบการพัฒนาร่าง (Evolve) ที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะให้โปเกมอนพัฒนาร่างตอนไหน ต่างจากสมัยก่อน ที่หากยังไม่อยากพัฒนาร่าง ผู้เล่นจะต้องคอยมากดห้ามพัฒนาทุกครั้งที่เลเวลอัป ทำให้แอบน่าหงุดหงิดอยู่บ้างนอกจากนี้ระบบการหนีโปเกมอนป่า (Flee) ก็ยังปรับให้สมเหตุสมผลมากขึ้น และเหมาะกับการเล่นในภาคนี้มากขึ้นอีกด้วย โดยหากใครเล่นโปเกมอนในภาคเก่า ๆ มา คุณน่าจะพอรู้ว่าการหนีโปเกมอนป่านั้น ไม่ได้มีโอกาสเกิดได้ 100% เพราะว่าในบางครั้ง หากโปเกมอนของผู้เล่นมีเลเวลต่ำกว่าโปเกมอนป่า หรือมีความเร็วที่น้อยกว่าโปเกมอนป่า ผู้เล่นจะไม่สามารถหนีได้ จึงทำให้ถูกบีบต้องสู้ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากแต่ในภาค Pokémon Legends: Arceus นั้น ทางผู้พัฒนากลับเลือกเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหนีได้แบบชัวร์ ๆ โดยสิ่งที่ต้องแลกมานั้นก็คือ โปเกมอนป่าจะหันมาจู่โจมผู้เล่นแทน ซึ่งถ้าหากผู้เล่นโดนโจมตีมากจนเกินไป ตัวผู้เล่นจะหมดสติ และกลับไปฟื้นที่แคมป์ ทำให้เสียเวลาในการเดินทางการนั่นเองโปเกมอนจ่าฝูงและโปเกมอนชั้นสูงอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจ และไม่พูดถึงไม่ได้ในภาคนี้คือ Alpha Pokémon (โปเกมอนจ่าฝูง) และ Noble Pokémon (โปเกมอนชั้นสูง)โดยโปเกมอนจ่าฝูงนั้น จะสามารถพบได้ทั่วไปตามแผนที่ Alpha Pokémon จะมีขนาดที่ใหญ่โต และเลเวลาที่มากกว่าโปเกมอนในแถบเดียวกัน นอกจากนี้เพียงแค่มันคำรามก็สามารถสร้างความเสียหายให้ผู้เล่นได้อีกด้วย ผู้เล่นสามารถสังเกต Alpha Pokémon ได้ง่าย ๆ เพียงแค่มองดวงตาที่เปล่งประกายสีแดงของพวกมันส่วน Noble Pokémon จะมีลักษณะสีเหลืองทองเปล่งประกายทั่วทั้งตัว และยังเป็นบอสประจำเขตทั้ง 5 ตามเนื้อเรื่องผู้เล่นจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการกลิ้งแบบเกมตระกูล Souls ที่ต้องคอยสังเกต หลบหลีก และโจมตีสวนไปจนกว่าบอสจะเหนื่อย ถึงจะสามารถใช้โปเกมอนเข้าโจมตีโดยตรงได้ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างสร้างสรรค์ และมีระดับความยากที่กำลังพอดี ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะเล่นจบได้ไม่ยากเย็นนักโดยเจ้าโปเกมอนทั้งสองประเภทนี้แหละที่คอยช่วยทำให้ Pokémon Legends: Arceus มีความตื่นเต้น เร้าใจ และรู้สึกว่า โปเกมอนในภาคนี้มันทรงพลังมากเสียจริง ๆ ในแบบที่โปเกมอนควรจะเป็นงานภาพที่ย้อนหลังด้วยขีดจำกัดของตัวเครื่องถือว่าผู้พัฒนาอย่าง Game Freak ค่อนข้างจะจริงใจเอาเรื่องเลยทีเดียว ที่ตัดภาพจากภายในเกมมาอวดลง Trailer ให้เห็นกันตั้งแต่แรก ไม่ได้ย้อมแมวโดยการใช้ฉาก Cutscence สวย ๆ มาหลอกล่อผู้เล่น ซึ่งนับตั้งแต่ที่เกมนี้โชว์กราฟิกออกมา ก็มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่บ่นถึงเรื่องคุณภาพของกราฟิกที่ตกยุค ซ้ำร้ายแม้ภาคนี้จะออกมาทีหลัง Pokémon Sword and Shield ก็จริง แต่ตัวเกมกับมีภาพที่ให้แสงเงา สีสัน รวมไปถึงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ สู้กับ Pokémon Sword and Shield ไม่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นการถอยหลังภาพกลับไปเสียมากกว่าแต่ตรงจุดนี้ถือว่าพอเข้าใจได้ เนื่องจากตัวเกม Pokémon Legends: Arceus นั้นมีความเป็นโลกเปิดที่ใหญ่กว่าภาค Sword and Shield แถมตัวเกมยังเข้าฉากการต่อสู้ที่ค่อนข้างเร็วอีกด้วย จึงทำให้ทางผู้พัฒนาเลือกที่จะใช้ลดความสวยงามของภาพลง เพื่อให้รักษาประสิทธิภาพที่ลื่นไหลเอาไว้ได้แทนแอบน่าเสียดายเหมือนกัน ที่ตัวเกมดันต้องมาถูกจำกัดด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่อง แต่นี่จึงทำให้ทางผู้เขียนตั้งตารอเลยว่า หากตัวเกมภาคต่อไป ทำลงให้เครื่อง Nintendo ยุคใหม่ ภาพที่ออกมานั้นจะสวยงามเพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียวนะคุ้มค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?Pokémon Legends: Arceus คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของแฟรนไชส์พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ชื่อดังนี้ แม้อาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน ทั้งภาพกราฟิกที่ตกยุค ระบบสอนเล่นที่ยืดจนเกินจำเป็น ทำให้ช่วงต้นเกมน่าเบื่อ ไปจนถึงระบบ Multi-Player ที่ยังไม่รองรับการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นด้วยกัน (ทั้ง ๆ ที่ภาคนี้มีชั้นเชิงในการต่อสู้เพิ่มมากขึ้นแท้ ๆ) แต่ถ้าหากว่าคุณสามารถมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ สิ่งที่รอคุณอยู่คือความสนุก ติดพัน และวางไม่ลงระดับเดียวกันกับเกมอย่าง Monster Hunter หรือ The Legend of Zelda: Breath of the Wild เลยทีเดียวด้วยคอนเทนต์ที่อัดแน่น การไต่ระดับที่ทำมาได้น่าสนุกยิ่งกว่าภาคไหน ๆ โลกกว้างที่รอคอยให้ผู้เล่นเข้าไปสำรวจซ้ำ นี่จึงทำให้ Pokémon Legends: Arceus เป็นเกมที่แฟนโปเกมอนต้องเล่น และต่อให้คุณไม่ใช่แฟนโปเกมอน คุณก็ยังควรจะหามาเล่นอยู่ดี
01 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection (PS5) "งดงามดุจภาพในความทรงจำ"
สำหรับเกมเมอร์หลายคน โดยเฉพาะคนที่พอมีอายุหน่อย มักจะเคยมีประสบการณ์ที่พอกลับไปเล่นเกมเก่า ๆ ที่เคยชอบจากสมัย PlayStation 1-2 แล้วรู้สึกเหมือนว่า “ภาพในความทรงจำ” เมื่อเรานึกถึงเกมเหล่านี้ มักจะสวยกว่าในความเป็นจริงเสมอ ราวกับว่าสมองของเราเลือกที่จะจดจำ “ห้วงความรู้สึก” ที่เกมสร้างให้เราในช่วงเวลานั้น ๆ มากกว่าจะจดจำสภาพที่แท้จริงของเกมนั่นคือความรู้สึกของผู้เขียนตลอดการเล่นเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection ในเครื่อง PlayStation 5 แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกมได้รับการปรับปรุงจากภาคก่อนหน้าอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของคุณภาพกราฟฟิค ไปจนถึงเฟรมเรต 60 FPS อันลื่นไหลของเกม แต่เกมกลับรู้สึกไม่ต่างจาก “ภาพในความทรงจำ” ของเกม Uncharted 4 ภาคดั้งเดิม (วางจำหน่ายปี 2016) ในหัวผู้เขียนเท่าไหร่นัก ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection นั้นทำออกมาได้ไม่ดี แต่เป็นการกล่าวชมเกมภาคดั้งเดิมมากกว่า ที่ทำออกมาได้ดีมากอยู่แล้วจนทำให้ข้อปรับปรุงทั้งหมด “เป็นส่วนหนึ่งของเกมมาแต่ต้น”แต่แม้ว่าคุณภาพของเกม Uncharted 4 (และ Uncharted: The Lost Legacy) จะยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้เขียนอดตั้งคำถามไม่ได้คือความคุ้มค่าของเกม ที่แม้จะแถมเกมภาคเสริมมาด้วย แต่กลับไม่มีโหมดออนไลนยอดนิยมของเกมดั้งเดิม แถมเกมยังมีตัวเลือกกราฟฟิคให้เลือกค่อนข้างจำกัด และใช้ประโยชน์จากลูกเล่นของ PS5 อย่างปุ่ม Adaptive Trigger ได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเกม PlayStation Exclusive ฉบับรีมาสเตอร์อื่น ๆ ที่ผ่านมาเกมเพลย์ที่ไม่หวือหวา แต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกม Uncharted มาก่อน เกมในซีรีส์นี้สามารถบรรยายได้ง่าย ๆ ว่าเป็น “เกมยิงปืนมุมมองบุคคลที่ 3 ที่เน้นการใช้ที่กำบัง (Cover-based Third-Person Shooter) ที่เบสิกที่สุด” ซึ่งผู้ที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน (เช่น The Division, Ghost Recon, Days Gone, etc.) น่าจะเข้าใจได้ทันที โครงสร้างของเกม Uncharted จะดำเนินไปเป็นเส้นตรง โดยในแต่ละด่านจะมีฉากการยิงปืนและแอคชั่นแบบระเบิดถูเขาเผากระท่อม ผสมเข้ากับการปีนป่ายไปตามถ้ำโบราณและภูเขา และการแก้ไขปริศนาต่างๆ ในฉาก ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความหวือหวาเหนือธรรมชาติ (นอกจากความถึกทนของตา Nathan Drake ตัวเอก) หรือระบบพิศดารอะไรให้ต้องคิดมาก เป็นเพียงเกมแอคชั่นผจญภัยอันดุเดือด ที่มีเกมเพลย์การต่อสู้และลอบเร้นตามมาตรฐานของเกมแนวเดียวกัน แต่ทั้งหมดกลับผสมผสานกันได้อย่างลงตัวด้วยกราฟฟิคและการแสดง/พากย์เสียงระดับท๊อปของวงการ (ตามสไตล์ผู้พัฒนา Naughty Dog) ทำให้เกม Uncharted เป็นเกมย่อยง่าย เหมือนการดูหนังแอคชั่นมันส์ ๆ ซักเรื่องหากให้พูดอีกแบบ เกม Uncharted เปรียบเสมือนการหวนสู่ยุคทองของเกม ที่ไม่ได้จำเป็นต้องมีกราฟฟิคสุดจินตนาการ ไม่ต้องมีเนื้อเรื่องที่แฝงไปด้วยนัยหรือแนวคิดซับซ้อน ไม่ต้องมีเกมเพลย์ที่ล้ำลึก คราบใดที่เกมเหล่านั้น “สนุก” ก็เพียงพอแล้วพอร์ตนี้เพื่อใคร?ด้วยราคากว่า 1,690 บาท เชื่อว่าแฟนเกมหลาย ๆ คนคงจะรู้สึกว่า “คุ้มค่า” แล้วโดยวัดจากคุณภาพของเกมทั้งสองเพียงอย่างเดียว แต่ในอีกแง่หนึ่ง เกม Uncharted 4 และ Uncharted: The Lost Legacy ก็แทบจะไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไหร่นัก จากการที่สร้างขึ้นมาจากโครงเดียวกันทั้งหมด (จะเรียกว่าเป็นเกมเดียวกันแต่เปลี่ยนสกินตัวละครก็ยังได้) และยิ่งเกมไม่มีโหมดออนไลน์ขวัญใจแฟน ๆ ด้วยยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลือกกราฟฟิคที่เกมมีให้เลือกสองโหมดคือ Fidelity (4K, 30FPS) และ Performance (60FPS) ยังรู้สึกจำกัดกว่าที่มีในเกมรีมาสเตอร์อื่น ๆ ของ PlayStation เช่น Marvel’s Spider-man ที่มีโหมดอย่าง Performance RT ซึ่งใช้เทคโนโลยี Ray Tracing ด้วย โดยผู้เขียนไม่มั่นใจว่าเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection ใช้ Ray Tracing ด้วยหรือไม่ (แต่ไม่สามารถหาข้อมูลที่ยืนยันแน่ชัดได้ว่าใช้ จึงชวนคิดไปว่าคงจะไม่ได้ใช้มากกว่า)ไม่ได้จะบอกว่าเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection กราฟฟิคไม่สวยแต่อย่างใด แต่ก็แลดูมีตัวเลือกจำกัดกว่าเกมหลายเกมที่ผ่านมาเช่นกันทั้งนี้ทั้งนั้น เช่นเดียวกับเกม PlayStation Exclusive ฉบับรีมาสเตอร์ทั้งหมดที่ผ่านมา เกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection ถือเป็นโอกาสอันดีให้คุณได้สัมผัสกับเกมเรือธงหลักเกมหนึ่งของ PlayStation 4 ในฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเครื่อง PlayStation 5 แต่ไม่เคยเล่น Uncharted มาก่อน รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน(คะแนนนี้สะท้อนถึงคุณภาพของการพอร์ตเกม ไม่ใช่คุณภาพของเกมโดยตรง)
26 Jan 2022
[บทความ] แนะนำเกม Dine Together เกม Play-to-Earn ที่ทุกคนพร้อม PAY!
เบื่อกันไหมกับเกม Play-to-Earn ที่ออกแบบมาให้หาเงินได้ก็จริง แต่นอกนั้นคือไม่มีอะไรจูงใจให้เล่นเลย ถ้าอย่างนั้นมาทำความรู้จักกับเกม Play-to-Earn แนวใหม่ ที่เราสามารถสร้างรายได้นานร่วมชั่วโมงได้อย่างไม่มีเบื่อ กับ DINE TOGETHERDine Together เกม Cafe Simulator บน chain ของ Factory เจ้าเดียวกับเกม NFT ในยุคเริ่มฮิตอย่าง Plant vs. Undead ที่เราจะได้สวมบทบาทเป็นเจ้าของร้านอาหารในเมืองที่มีเหล่าสัตว์น่ารักอาศัยอยู่ เปิดให้เล่นบน Web Browser และ Android ส่วน IOS คงต้องรอพัฒนาระบบไปก่อนจ้า (แต่สามารถเล่นบน Safari แทนได้นะ)โดยหน้าที่ของเราคือการสรรหาเชฟและจัดการร้านเพื่อต้อนรับลูกค้าที่จะเข้ามานั่งรับประทานอาหาร (ซึ่งก็เป็นพวกตัวน้อนเช่นกัน) ซึ่งเชฟแต่ละคนจะมีความสามารถในการทำเมนูที่แตกต่างกัน บางตัวถ้ามีทักษะสูงก็สามารถทำได้สูงสุดถึง 4 เมนูเลยนะยิ่งเมนูในร้านมีมาก สิ่งที่เราต้องเตรียมต่อมาคือจำนวนเตาและโต๊ะวางอาหารที่ต้องรองรับเพียงพอนั่นเอง อ้อ! แล้วอย่าลืมจัดซื้อโต๊ะ-เก้าอี้ไว้ด้วย เผื่อวันไหนลูกค้าเยอะจะได้มีที่นั่งกันทุกตัวขอบอกไว้ก่อนนะว่าเกมนี้ ไม่ Free to play เด้อ~ เพราะสิ่งที่เราจะได้มาตอนเริ่มเกมคือพื้นที่ร้าน 1 ห้อง เตา โต๊ะวางอาหาร ชุดโต๊ะและเก้าอี้ อย่างละ 1 ชิ้นเท่านั้น แน่นอนว่าลูกค้าสามารถเข้ามานั่งในร้านของเราได้ แต่จะไม่มีอะไรให้กินจนกว่าเราจะจ้างเชฟอย่างน้อย 1 ตัว!แนะนำว่าใครมี Metamask ให้เตรียมเงิน BUSD ไว้จำนวนหนึ่งเพื่อแลกเป็นสกุล FUSD สำหรับใช้ซื้อเหรียญ DINE และนำไปซื้อเชฟรวมถึงของตกแต่งร้านใน Marketplace และอย่าลืมเหลือ FUSD ไว้ด้วยล่ะ เพราะต้องใช้เป็นค่าแก๊ส >>วิธีซื้อเหรียญ โดยคุณ SK Tum จากกลุ่ม DINE TOGETHER [TH] [NFT GAME]
18 Jan 2022
[รีวิว] Far Cry 6 DLC - Episode 2: Control "เบื้องหลังจอมเผด็จการสุดโหด กับความอ่อนโยนสุดหยั่ง"
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่า ซีรีส์เกม Far Cry มักจะมีตัวร้ายที่โดดเด่นและน่าจดจำอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Vass โจรสลัดสุดเถื่อนจากภาค 3 หรือจะเป็น Pagan Min จอมเผด็จการเจ้าสำอางจากภาค 4 แม้กระทั่ง Joseph Seed เจ้าลัทธิประหลาดจากภาค 5 ก็ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ช่วยให้รสชาติของการผจญภัยในโลกของ Far Cry มีสีสันมากยิ่งขึ้น เมื่อมีตัวร้ายเหล่านี้เป็นเป้าหมายและล่าสุดทาง Far Cry 6 ได้ชุบชีวิตตัวร้ายระดับตำนานขึ้นมาอีกครั้ง ด้วย DLC ส่วนเสริมของเกม ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นตัวร้ายเสียเอง โดย DLC ตัวล่าสุดนั้นจะเป็นของ Pagan Min ภายใต้ชื่อ Control ที่จะพาผู้เล่นเข้าไปสำรวจภายในจิตใจของจอมเผด็จการแห่งดินแดนหลังคาโลก Kyrat กันแบบถึงเลือดถึงเนื้อDLC ตัวนี้จะคุ้มค่า คุ้มราคาหรือไม่ รีวิวนี้มีคำตอบ!!เผด็จการที่รักครอบครัวอย่างสุดหัวใจเมื่อเริ่มเข้าไปส่วนเสริม ตัวผู้เล่นจะอยู่ในมุมมองของ Pagan พร้อมกับครอบครัวอยู่ที่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารสุดหรู ทั้ง Ishwari (แม่ของ Ajay) Lakshmana (น้องสาวของ Ajay) และ Ajay (ตัวเอกหลักของภาค 4) ก่อนที่จะมีตัว Pagan อีกคนเข้ามายิง Laksmana ทิ้ง โดย Pagan อีกคนจะใช้ชื่อว่า The Tyrant หรือจอมทรราชตามที่เกมได้แปลไทยเอาไว้เพียงแค่ฉากแรก เราก็จะพอรับรู้ได้ในทันทีว่า Pagan รัก Ishwari จริง ๆ แบบไม่มีเงื่อนไข เขารักแม้กระทั่ง Ajay ที่เป็นลูกระหว่าง Ishwari กับผู้นำกลุ่มต่อต้าน Golden path อย่าง Mohan ถึงแม้กลุ่มต่อต้านจะสร้างเรื่องราวชวนปวดหัวให้กับเขามากมาย แต่ลูกของ Ishwari ก็เหมือนกับลูกของตัว Pagan เอง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเปิดรับ Ajay เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวภายใต้จิตใจของตัวเองด้วยหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ในความวุ่นวาย ตัวเราจะถูกยิงและตื่นขึ้นมาเหลือเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหาร พร้อมกันได้ยินเสียงของครอบครัวอยู่ตลอดการเล่น เป้าหมายของส่วนเสริมนี้คือ ตามหาหน้ากากทั้ง 3 ชิ้นของ Pagan เพื่อปลดล็อกประตูพระราชวังและเข้าไปช่วยครอบครัวของตัวเองให้ได้ระหว่างทาง ผู้เล่นจะได้เจอสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ช่วยบ่งบอกตัวตนของ Pagan ได้เป็นอย่างดี ทั้งบุคลิกที่หลงตัวเอง เอาแต่ใจ ติดนิสัยสร้างภาพ และค่อนข้างห่วงภาพลักษณ์จะถูกแสดงออกมาให้เห็นทั้งหมด ช่วยทำให้คนเล่นรู้จักความเป็นมนุษย์ของจอมเผด็จการคนนี้มากยิ่งขึ้นแต่หากว่ากันตามตรง ตัวเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือน่าตื่นเต้นสักเท่าไร เพราะซีรีส์ Far Cry ไม่ใช่เกมที่เน้นเนื้อเรื่องหนักอยู่แล้ว จุดเด่นของซีรีส์ไกลตะโกนจะเน้นไปที่ระบบการเล่นและการออกแบบเกมที่ช่วยให้คนเล่นติดพันเสียมากกว่า ดังนั้นหากใครที่หวังจะมาเสพเนื้อเรื่องเข้มข้นก็อาจจะต้องผิดหวังกันไประดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า คนที่เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้ ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเนื้อเรื่องอยู่แล้วล่ะครับเกิด ตาย วนเวียน และแข็งแกร่งขึ้นตัวเกมจะนำเสนอระบบเหมือนกับ DLC ตัวแรกของ Vass นั่นคือเป็นเกมเดินยิงแบบ Roguelike ที่ความตายจะทำให้ความคืบหน้าทุกอย่างหายไป ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก แต่ถึงกระนั้น ความคืบหน้าบางอย่างจะยังคงหลงเหลืออยู่ เพื่อให้ตัวเกมเข้าถึงได้ง่าย และไม่ยากจนชวนหัวร้อนมากเกินไปภายในตัวเกมจะมีค่าเงินอยู่เพียงอย่างเดียวที่เรียกว่า “ค่าความเคารพ” ซึ่งค่าเงินนี้จะใช้ทั้ง ปลดล็อกสกิล อัปเกรดของตกแต่งอาวุธ ไปจนถึงปลดล็อกช่องใส่พลังใหม่ ๆ อีกด้วยหากผู้เล่นเกิดตายขึ้นมาระหว่างการท่องโลกกว้าง หรือระหว่างการทำภารกิจ ความคืบหน้าต่าง ๆ รวมไปถึงค่าความเคารพที่สะสมมาจะสลายหายไปราวกับฝุ่นผงในอากาศ ทำให้ผู้เล่นได้ตระหนักถึงความจริงจังของเกมที่มอบให้ และความซีเรียสที่มากกว่าตัวเกมในภาคหลักเสียอีกด้วยเดิมพันที่สูง จึงทำให้ตัวเกมมีความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าตัวเกมกลับทำระบบความยากออกมาเพียงสองแบบเท่านั้น นั้นคือโหมดเนื้อเรื่อง (ง่าย) และโหมดแอ็กชัน (ยาก) ซึ่งทางตัวผู้เขียนได้ลองเล่นในโหมดเนื้อเรื่องก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพบว่าตัวเกมนั้นง่ายจนน่าเหลือเชื่อผู้เล่นสามารถยืนรับกระสุนท่ามกลางศัตรูนับสิบได้สบาย โดยที่พลังชีวิตยังเหลือเกินครึ่งเสียด้วยซ้ำ นี่จึงทำให้ความเป็น Roguelike ของตัวเกมกลายเป็นระบบที่ไม่ถูกใช้งานเลย หากคุณเล่นในโหมดนี้เพราะฉะนั้น หากใครที่ต้องการสัมผัสกับประสบการณ์ของ DLC กันแบบเต็ม ๆ แนะนำให้กดโหมดแอ็กชันมากกว่าครับเพราะนอกจากจะได้รับรู้ถึงความรากเลือดที่ตัวเกมนำเสนอคู่กับระบบ Roguelike แล้ว คุณยังจะได้ดึงฝีมือทั้งหมดที่มีออกมาใช้เต็มที่อีกด้วย ทุกการปะทะ ทุกภารกิจจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สมองต้องคิดตลอดเวลา ควรจะยิงตัวไหนก่อน ควรจะถอยไปเติมพลังไหม ถ้าฝืนสู้ไป ตายแล้วค่าความเคารพหายหมดจะคุ้มไหม ทำให้ตัวเกมแทบจะกลายเป็นคนละเกมเลยทีเดียวนอกจากโหมดสองแบบแล้ว ตัวเกมยังมีสิ่งที่เรียกว่า “ระดับจิตใจ” เพิ่มเข้ามาอีกด้วย โดยการเล่นในแต่ละรอบที่สำเร็จ จะทำให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อกระดับจิตใจขั้นต่อไปได้ มีไล่ไปตั้งแต่ระดับ 1-5  และระดับจิตใจที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ศัตรูแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ให้ค่าความเคารพเพิ่มขึ้นเช่นกัน ช่วยให้ผู้เล่นสามารถฟาร์มแต้มไปอัปเกรดตัวละครได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ระบบอัปเกรดที่ล้นเหลือด้านระบบอัปเกรดตัวละครก็ยังคงพื้นฐานของความเป็น Far Cry เอาไว้ได้ดี ผู้เล่นจะต้องใช้ค่าความเคารพในการอัปเกรดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสกิลที่แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่:อัตตา เพิ่มพลังชีวิต ทำให้สามารถรับดาเมจได้เพิ่มขึ้นโลภะ เก็บค่าความเคารพบางส่วนเอาไว้หลังตัวละครเสียชีวิตโทสะ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้อาวุธสังหารเกียจคร้าน การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กล้องถ่ายรูป ตะขอเกี่ยว ชุดร่อนเวหาริษยา เก็บอาวุธได้เพิ่มมากขึ้นแม้ระบบสายสกิลอาจจะไม่ได้ละเอียดเท่ากับตัวเกมหลัก แต่ก็นับว่าเพียงพอต่อการเล่นในส่วนเสริมนี้อย่างเหลือล้นแล้ว เบื้องต้น ทางผู้เขียนได้อัปเกรดสกิลไปประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ก็สามารถจบเกมได้แบบสบาย ๆ ในระดับจิตใจขั้นที่ 1 นอกจากระบบสกิลแล้ว ตัวเกมยังนำเสนอระบบ “พลัง” ที่จะมาในรูปแบบของหัวใจดรอปเอาไว้อยู่บนพื้น โดยพลังเหล่านี้จะถูกสุ่มออกมา ไม่มีอะไรที่แน่นอน ทำให้ในแต่ละชีวิตของผู้เล่นจะมีจุดเด่น และจุดด้อยที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง ช่วยลดความน่าเบื่อของการทำอะไรซ้ำ ๆ สไตล์ Roguelike ได้เป็นอย่างดีและระบบสุดท้ายก็คือระบบอัปเกรดตัวปืน ซึ่งแอบค่อนข้างมักง่ายอยู่เหมือนกัน ผู้เล่นจะไม่สามารถตกแต่งความสามารถของปืนเองได้ ทำได้เพียงแค่กดอัปเกรดเท่านั้น ส่งผลให้การอัปเกรดปืนขาดความยืดหยุ่นไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงตัวเกมจะนำเสนอระบบพัฒนาตัวละครมาถึงสามรูปแบบ แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดกลับเป็นระบบสกิลอย่างเดียวเพียงเท่านั้น ระบบพลังที่ควรจะช่วยให้ตัวเกมมีสันสันขึ้น กลับแสดงผลน้อยเกินจนน่าใจหาย หากไม่นับพลังชุบชีวิตได้หนึ่งครั้ง ก็ต้องบอกเลยว่าแทบจะไม่เห็นผลต่างในการเลือกใช้พลังสักเท่าไรเลยด้านระบบอัปเกรดปืนก็ยังคงขาดความหลากหลาย การอัปเกรดจะไม่ได้ช่วยเพิ่มดาเมจ แต่เป็นเพียงการเพิ่มลำกล้อง และที่เก็บเสียง ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ามันใช้งานได้ดีสำหรับคนที่ต้องเล่นแบบลอบเร้น แต่เชื่อเถอะครับว่า บุกเข้าไปยิงซึ่ง ๆ หน้า มียังมีโอกาสจบภารกิจไวกว่านั่งย่องไล่เชือดทีละคนเสียอีกงานภาพสวยงาม สมกับเป็น Far Cryชื่อของ Far Cry มักจะมาพร้อมกับภาพกราฟิกที่สวยล้ำยุค แต่ไม่ได้กินแรงเครื่องอยู่เสมอ ต้องยอมซูฮกกับทีมผู้พัฒนาจริง ๆ ว่า พวกเขายังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทางผู้เขียนได้ใช้ Laptop ระดับกลาง ๆ (CPU Intel i7-9750H และ GPU Nvdia RTX 2060) ในการเล่น DLC ตัวนี้ ซึ่งการตั้งค่าที่ตัวเครื่องเลือกมาให้นั้นอยู่ในระดับ High ด้านเฟรมเรตก็ทำได้ก็อยู่ในระดับ 60 แทบจะตลอดทั้งเกม มีเพียงฉากต่อสู้ที่ชุลมุนหนัก ๆ เท่านั้น อาจจะมีจังหวะร่วงบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรสในการเล่นแต่อย่างใดอีกทั้งตลอดการเล่นทั้งสองรอบ ตัวผู้เขียนไม่ได้มีการพบเจอบั๊กแม้แต่ครั้งเดียว เรียกได้ว่าทางทีมผู้พัฒนาเก็บงานมาค่อนข้างเนี้ยบเลยควรค่าแก่การเล่นไหม?แม้เนื้อเรื่องของ DLC Control นี้จะไม่ได้เป็นจุดเด่น แต่ด้วยตัวละครหลักอย่าง Pagan Min ที่มีเอกลักษณ์อันล้นเหลือ จึงทำให้เรารู้สึกสนใจติดตามความเป็นไปของเขาในโลกของเกมต่อได้อย่างไม่ยากเลยด้วยจังหวะหยอกเย้ากับตัวเอง การพูดที่แฝงไปด้วยมุกตลกร้าย รวมไปถึงเรื่องราวเบื้องหลังอันดำมืดที่แสดงให้เห็นว่า จอมเผด็จการผู้โหดเหี้ยมที่ต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ก็มีด้านที่เป็นมนุษย์และอ่อนโยนกับเขาอยู่เหมือนกันนอกจากนี้หากใครได้ไปลองสำรวจพื้นที่อื่น ๆ นอกจากภารกิจหลัก คุณยังจะได้รับรู้เนื้อเรื่องบางส่วนที่ขาดหายไปใน Far Cry 4 เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำเอาอยากกลับไปเล่นภาค 4 อีกรอบเลยทีเดียวแหละครับและสำหรับใครที่ไม่ได้สนใจอยากจะเติมเต็มจักรวาลของซีรีส์นี้สักเท่าไร แต่อยากเพียงจะเข้าไปยิงแหลก ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ตัว DLC นี้ก็สามารถตอบโจทย์คุณได้เช่นกัน ด้วยจำนวนศัตรูที่มากันแบบมืดฟ้ามัวดินในแต่ละภารกิจ รับรองได้เลยว่า คุณจะยิงกันจนเอียนกันไปข้างเลยจุดให้ติ ก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบระบบเกมที่ยกมาจาก DLC Insanity ตัวก่อนหน้าแทบทั้งดุ้น ทั้งระบบอัปเกรด ภารกิจหลักทั้งสามแห่ง ไปจนถึงฉากจบที่ต้องสู้กับศัตรูเป็นรอบ ๆ และฉากจบดันมีแบบเดียวซะอย่างนั้น ทั้งที่ตัวเกมมีทางเลือกในตอนท้ายสองแบบ ทำให้แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้พัฒนาแกจะใส่มาทำไมFar Cry ยังคงทดลองสิ่งใหม่ ๆ กับตัวเองอยู่เสมอ และในครั้งนี้ทีมพัฒนาได้ก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในโลกของ Roguelike นำระบบสุดคลาสสิกที่ชวนให้หัวร้อน ผสมผสานกับระบบอัปเกรดถาวรที่ช่วยให้เกมไม่ยากจนเกินไป พ่วงมาด้วยการปรับความยากสองระดับให้ผู้เล่นได้เลือกสรรตามใจชอบ ทำให้ตัว DLC นี้ สามารถเข้าถึงได้ทั้งกลุ่มผู้เล่น Hardcore และกลุ่มผู้เล่น Casual เชื่อว่าคนที่คิดจะลอง DLC นี้ คุณจะต้องเป็นคนที่เคยสัมผัสกับ Far Cry มาก่อนอย่างแน่นอน (อย่างน้อยก็ต้องเล่นภาค 6 มาก่อน) ซึ่งตัว DLC ยังคงเอกลักษณ์ ระบบการต่อสู้ของ Far Cry เอาไว้ครบถ้วน ด้วยราคาแค่ประมาณ 500 บาท (14.99 $) กับการเล่นซ้ำที่อย่างน้อยน่าจะจัดไป 3-4 รอบแน่ ๆ (สำหรับคนที่ไม่รู้ทาง รอบแรกน่าจะจบเกมประมาณ 2:30 ชั่วโมง ถ้ารู้ทางแล้วน่าจะจบภายใน 1 ชั่วโมงได้) แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วล่ะครับ
11 Jan 2022
[Review] Halo Infinite (Single Player) "หวนคืนสู่รากเหง้า เพื่อเตรียมตัวไปให้ไกลกว่าเดิม"
Halo เป็นแฟรนไชส์เกม Shooting ของฝั่ง Xbox จากทางผู้พัฒนา 343 Industries ที่มีออกมาด้วยกันถึง 5 ภาคแล้ว แต่ว่าภายในเกม Halo Infinite ที่พึ่งวางจำหน่ายออกมาทางผู้พัฒนาได้ประกาศลงให้กับเครื่อง PC ได้เล่นกันด้วย รวมถึงก่อนหน้านี้ทางผู้พัฒนาเองก็ได้ปล่อยโหมด Multiplayer ออกมาให้เราเล่นฟรี เพื่อหวังที่จะให้คนส่วนมากได้เข้าถึงเกมนี้มากขึ้นด้วย (อ่านรีวิวเวอร์ชัน Multiplayer) และในวันที่ 8 ธันวาคม 2021 ที่ผ่านมาทางผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยโหมด Single Player ที่เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นหลักของเกมนี้ด้วย และเรา GameFever ก็ได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้มาเรียบร้อยและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบเกี่ยวกับโหมดนี้ทั้งหมดให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าเกมนี้ควรค่าแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่กราฟิกส่วนมาพูดถึงเรื่องงานด้านภาพทางหน้า Interface ของเกมจะยังมีความคล้ายคลึงกับทาง Halo 5 อยู่ แต่ในด้านกราฟิกนั้นจะมีความสมจริงและสวยงามมากกว่า รวมถึงในเกม Halo Infinite เป็นภาคแรกที่ทางผู้พัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเกมให้กลายเป็นแนว Open World ครั้งแรก แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นอายความเป็นโลกเปิดของเกมนั้นก็ยังไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากขนาดนั้น นอกจากการมีจุดทำภารกิจที่จะมีแคมป์ต่างๆ ของเหล่าศัตรู ซึ่งบรรยากาศส่วนใหญ่เรามักจะเห็นแต่ดินหญ้าและก็ก้อนหินเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะดูน่าเบื่อไปนิดแต่มันก็เข้าใจได้ที่ Setup ของโลกนี้จะอยู่บนดวงดาวรกร้างซึ่งมันก็พอเข้าใจได้แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจในเกมนี้เสียเท่าไรก็คงจะเป็นการ Optimise ของเกมที่ยังทำได้ไม่ดีพอสำหรับเครื่อง PC ที่สเปกไม่ได้สูงมากนัก โดยผู้เขียนได้ใช้คอมพิวเตอร์สเปก i5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งพูดตามตรงว่ามันก็ไม่ได้เป็นคอมพิวเตอร์ที่แย่นัก แต่ตัวเกมตอนที่อยู่ในโลกเปิดสามารถรันได้แค่ราวๆ 60FPS เท่านั้น และตัวเกมก็ชอบ Error และแคชเด้งออกจากเกมค่อนข้างบ่อยมากๆ จนเสียอารมณ์เลยทีเดียว แต่ปัญหานี้อาจจะหมดไปถ้าหากคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นมีสเปกเครื่องที่แรงมากพอ ปัญหานี้ก็อาจจะหมดไปเนื้อเรื่องพูดถึงเรื่องราวของเกมภาคนี้จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับกองบัญชาการอวกาศแห่งสหประชาชาติ UNSC (องค์กรของเหล่ามนุษย์) ที่ถูกโจมตีโดยมนุษย์ต่างดาว Atriox และสามารถชนะตัวเอกอย่าง Master Chief (ตัวละครเอกที่เราบังคับ) ลงได้ ซึ่งพอหลังจากได้รับการช่วยเหลือทางตัวเราเองจะต้อง กอบกู้องค์กรกลับคืนมาต้องขอพูดตามตรงว่าส่วนตัวผู้เขียนเองไม่เคยเล่นเกม Halo ภาคไหนๆ มาก่อน (เพราะไม่ใช่แฟนเกม Xbox) แต่จากที่ได้เล่นเกม Halo Infinite มาตัวเนื้อเรื่องในภาคนี้ตัวโครงเรื่องจะไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนมากนัก คนที่ไม่เคยเล่นเกมจากซีรีส์นี้มาก่อนก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงแค่คุณอาจจะต้องเรียนรู้ว่า Master Chief เป็นใคร และภารกิจต่างๆ ก็จะเน้นการผจญภัยไปที่จะสเต็ป แต่ใครที่เคยเล่นภาคเก่าๆ มาก็อาจจะทำให้คุณอินกับเรื่องราวมากขึ้น เพราะมันจะมีพวกเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเกมจะไม่ได้อธิบายความเป็นมา และถึงแม้ว่าโครงเรื่องของเกมอาจจะดูธรรมดา แต่รายละเอียดภายในค่อนข้างมีความซับซ้อนในเรื่องของรายละเอียดคำศัพท์แนว Sci-fi และบทดราม่าที่ใส่เข้ามาเรื่อยๆ โดยเนื้อเรื่องหลักรวมการเดินทางประปรายจะใช้เวลาเล่นอยู่ราวๆ 15 ชั่วโมงเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ ตัวเกมก็จะยังคงกลิ่นอายความเป็น Gun Play เหมือนเดิม โดยการเล่นก็ไม่ได้มีระบบอะไรมากนอกจากการหาปืนต่างๆ มาจัดการศัตรูให้หมดในพื้นที่นั้น แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์ Halo มีความสนุกก็คือการที่ตัว Master Chief มีลูกเล่นให้เล่นเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นระเบิดหลากหลายแบบ (ระเบิดตูม ระเบิดช็อต) หรือจะเป็นความสามารถต่างๆ เช่นการใช้ Grapling Hook, โล่ห์กันกระสุน หรือแม้กระทั่งเครื่องสแกนส่วนอาวุธของเกมนี้ก็มีให้เลือกใช้มากมายด้วยเพื่อให้เราไม่รู้สึกเบื่อในการเล่นเลย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเลเซอร์ ปืนกล ปืนพกแม็กนั่ม หรือจะเป็นอาวุธระยะประชิดด้วย ซึ่งมีให้ใช้หลายสิบอันเลยทีเดียว และไม่มีทางที่คุณนั้นจะได้เลือกใช้อาวุธปืนเดียวตลอดทั้งเกม เพราะกระสุนแต่ละปืนมีให้น้อยมากๆ ใช้แปปเดียวก็หมดและคุณก็จะต้องหาปืนใหม่ไปเรื่อยๆ แก้ไขสถานการณ์ไปเรื่อยๆ บางทีคุณจะต้องคิดให้รอบคอบด้วยและศัตรูที่อยู่ในฉากนั้นก็มีให้พบเจอค่อนข้างหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นศัตรูที่มีโล่ห์พลังงานป้องกัน ศัตรูที่บินได้ ศัตรูที่ล่องหนได้และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงศัตรูที่อยู่ในฉากนั้นก็แห่กันเข้ามาหลายสิบตัว ทำให้เราจำเป็นต้องทั้งยิงศัตรู ใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์เช่นการใช้ Grapling Hook โหนไปยังจุดต่างๆ เพื่อหลบกระสุนเป็นต้น หรือโหนไปหาศัตรูเพื่อโจมตีระยะประชิด ตัวเกมเป็นสไตล์ Gun and Run ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันคือความสนุกหลักๆ ของเกมนี้ ธรรมดาแต่ดีงามมากๆ และอย่างที่ทราบว่าตัวเกมนี้มีองค์ประกอบความเป็น RPG ตัวเกมจะมีแคมป์ของศัตรูต่างๆ ให้เราไปพิชิต ซึ่งนอกจากเควสหลักและเควสรองที่ให้เราทำ ตัวเกมยังมีจุด Tower ฐานที่มั่นศัตรูที่จะให้เราได้เข้าไปยึด ซึ่งมันก็จะปลดล็อคจุด Fast Travel หรือเป็นจุดที่ให้เรานั้นได้เบิกรถได้นอกจากนี้ตัวเกมยังใส่ระบบการอัพเกรดเข้ามาด้วย โดยเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ต่างๆ ของเราได้ไม่เวลาจะเป็นพลังลดคูลดาวน์ของ Grapling Hook หรือจะสามารถอัพเกรดชุดเกราะให้มีความถึกมากขึ้นด้วย เพียงแต่ว่าการเก็บของอัพเกรดนั้นมันจะไม่ได้มาจากการฆ่าศัตรู แต่คุณจะต้องไปสำรวจพื้นที่เพื่อเก็บแต้มอัพเกรดตามจุดต่างๆ ไปด้วย ซึ่งถ้าหากคุณอยากผ่านภารกิจแบบสบายๆ คุณก็อาจจะต้องเก็บสิ่งพวกนี้มาอัปเกรดเยอะๆ ความรู้สึกจากที่ได้เล่นมาก็ต้องยอมรับเลยว่า ถึงแม้ระบบต่างๆ ของ Halo มันจะไม่ได้ดูใหม่เหมือนเกมซีรีส์อื่นๆ ก็ต้องยอมรับว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ไปสุดในทางของตัวเอง และยังคงความคลาสสิคของมันได้อย่างดี ความธรรมดาของมัน แต่กลับสนุกจนหยุดเล่นไม่ได้เลย เป็นหนึ่งในเกม Run and Gun ที่ยอดเยี่ยมในดวงใจอีกหนึ่งเกม ในด้านเนื้อเรื่องผู้พัฒนาเองก็อาจจะต้องการเปิดรับฐานแฟนเกมใหม่ๆ ผู้พัฒนาเลยอาจจะวางตัวโครงเนื้อเรื่องที่สามารถเสพได้ทั้งแฟนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี เข้าใจหลักเบื้องต้นได้ง่ายไม่ได้รู้สึกงงแต่อย่างใด แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าน่าจดจำขนาดนั้นส่วนข้อเสียที่รู้สึกอย่างเดียวเลยก็คือการ Optimise ของเกมที่ทำออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก ตัวเกมมีการแคชหลุดออกจากเกมบ่อย หรือเฟรมเรทที่รีดออกมาได้ไม่สูงนัก คงเป็นเพราะความเป็น Open World ของมันนั่นเอง ซึ่งบางทีมันก็แอบรู้สึกน่ารำคาญอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนตัวจึงแนะนำว่าถ้าหากคุณมีสเปกคอมระดับกลางๆ บางทีซื้อเกมนี้บนเครื่อง Xbox อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก แต่ถ้าหากคุณมีมีคอมพิวเตอร์ที่แรงมากๆ ก็น่าจะไม่มีปัญหานี้
20 Dec 2021
[Preview] พรีวิวเกม KartRider: Drift Closed Beta "เกมฟรี เล่นง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย"
เกมแข่งรถสุดน่ารักที่อยู่คู่กับบริษัทสัญชาติเกาหลีอย่าง Nexon มานานอย่าง KartRider กำลังจะเปิดให้บริการภาคใหม่ภายใต้ชื่อ KartRider: Drift ซึ่งทางผู้เขียนก็ได้เข้าไปสัมผัสกับตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta มาด้วยตัวเอง วันนี้เลยมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังตัวเกมยังคงใช้งานภาพสไตล์สดใส น่ารัก ที่เป็นจุดเด่นของเกม KartRider เอาไว้เหมือนเช่นเคย ซึ่งใน KartRider: Drift นี้ได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการพัฒนาอีกด้วย เพราะฉะนั้นรับรองเรื่องความสวยงามรวมไปถึงเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้เลย ในขณะเดียวกัน คงไม่ต้องบอกว่าหากใครที่ชอบภาพแนวสมจริง เกม KartRider: Drift คงไม่เหมาะกับคุณสักเท่าไร เพราะตัวเกมไม่ได้มีการให้แสงเงาที่สมจริงหรือโดดเด่นขนาดนั้น แต่ก็แลกกลับมาด้วยการกินแรงเครื่องที่น้อยลงเช่นกัน โดยตัวเกมต้องการ RAM เพียง 8 GB และการ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง GTX 780 ti หรือ RX 5500 XT เท่านั้นเองการควบคุมที่ไม่ซับซ้อนการควบคุมในเกม KartRider: Drift นั้นใช้ปุ่มเพียงแค่ 7 ปุ่ม นั่นคือปุ่มลูกศร ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ทั้ง 4 ปุ่มในการควบคุมทิศทาง ไปจนถึงการเร่งความเร็วและการเบรก ปุ่ม Shift ใช้ในการดริฟต์ ปุ่ม Ctrl ใช้ในการกดใช้ไอเทม และปุ่ม Alt ใช้ในการสับเปลี่ยนไอเทม แม้การควบคุมอาจจะฟังดูง่าย แต่พอได้ลองจับเองแล้ว จะรู้สึกว่ามันยากกว่าที่คิดทันที ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะ Ping จากการเชื่อมต่อกับผู้เล่นอื่นๆ ที่มาจากทางไกล หรือว่าเพราะตัวเกมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จังหวะในการขับรถมักจะรู้สึกถึงอาการหน่วงๆ อยู่เสมอ จึงทำให้บังคับตัวรถไม่ได้ดั่งใจนึกเท่าไรนักและตัวเกมยังได้ใส่ระบบช่วยมองข้างหลังมาด้วย ซึ่งช่วยเอาไว้ให้ผู้เล่นรับรู้สถานการณ์ แถมยังช่วยให้สามารถขัดขวางเส้นทางของคู่แข่งที่พยายามแซงเราได้ด้วยโหมดต่างๆ ของตัวเกมสิ่งที่ทำให้ KartRider: Drift นั้นโดดเด่นจากเกมแข่งรถทั่วไปนั่นคือการใช้ไอเทม ที่ช่วยส่งเสริมให้เกมนี้เข้าถึงผู้คนง่ายมากยิ่งขึ้น และ Item Mode ยังเป็นระบบการเล่นหลักของตัวเกมอีกด้วย โดย Item Mode นี้จะมีทั้ง Solo 1 คน, Duo 2 คน ไปจนถึง Squad 4 คนเลย ซึ่งภายในหนึ่งห้อง จะมีผู้เล่นทั้งหมดรวมกัน 8 คนด้วยกันไอเทมต่างๆ จะสามารถเก็บได้จากการขับชนกล่องไอเทมตามฉาก โดยตัวไอเทมจะมีหลากหลายประเภทแตกต่างกันไปตามลำดับของผู้เล่นที่เก็บได้ ณ ตอนนั้น เช่น หากผู้เล่นอยู่ในลำดับท้ายๆ ตัวผู้เล่นมักจะได้ไอเทมประเภทเร่งความเร็วที่ช่วยให้สามารถไล่กวดผู้เล่นอันดับต้นๆ ได้ทันถ้าผู้เล่นอยู่ในอันดับกลางๆ ก็มักจะได้ไอเทมประเภทที่ใช้ปั่นป่วนคู่ต่อสู้ และถ้าอยู่อันดับต้นๆ ก็มักจะได้ไอเทมที่ช่วยป้องกัน ทำให้เกมการเล่นมีจังหวะชิงไหวชิงพริบระหว่างผู้เล่นอยู่เสมอ อีกทั้งตัวผู้เล่นยังสามารถเก็บไอเทมได้ 2 ช่อง ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไอเทมนี้ในช่วงเวลาไหนโดยไอเทมต่างๆ มีรายชื่อดังนี้ (ไอเทมบางชนิดจะมีในเฉพาะโหมดทีมอีกด้วย)Water Wisp: ภูติน้ำที่ช่วยล็อกเป้าผู้เล่นคนอื่นที่อยู่อันดับเหนือกว่าผู้ใช้หนึ่งคน และขังอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่งWater Bomb: ระเบิดน้ำที่จะสร้างกับดักเป็นพื้นที่กว้าง หากใครขับไปชนมันระหว่างที่แสดงผลอยู่ ะทำให้ติดอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่งเช่นกันMagnet: แม่เหล็กที่สามารถเลือกเป้าหมายด้านหน้าได้ ตัวผู้ใช้กับเป้าหมาย จะถูกดึงดูดเข้าหากัน (หากผู้ใช้ดูดจนแซงหน้าเป้าหมายไปแล้ว ผู้ใช้จะถูกชลอความเร็วลงแทน)Missile: ยิงจรวดใส่เป้าหมาย ต้องเลือกเป้าหมายเอง หากเล็งไม่ดีอาจจะพลาดเป้าได้ Seeker Missile: จรวดติดตามเป้าหมาย ไม่มีทางพลาดเป้า เพียงแค่กดยิง ก็จะพุ่งไปหาเป้าที่ใกล้ที่สุดโดยทันทีUFO: ทำให้อันดับที่ 1 ลอยขึ้นบนฟ้าชั่วครู่ ช่วยชลอความเร็วShield: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นคนอื่นได้ 1 ครั้งAngel Armour: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นทีมอื่นได้ 1 ครั้ง แสดงผลทั้งทีมBanana: วางเปลือกกล้วยเอาไว้บนทาง คนที่เหยียบจะทำให้รถหมุน เสียการควบคุมBarricade: วางสิ่งกีดขวางเอาไว้ด้านหน้าสามจุด คนที่ขับไปชน จะถูกลดความเร็วลงLighting: สร้างเมฆสายฟ้าขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง และผ่าผู้เล่นทุกคน ทำให้ความเร็วลดลงLock: ทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถใช้ไอเทมได้ชั่วคราวBoost: เพิ่มความเร็วในชั่วระยะเวลาหนึ่งนอกจาก Item Mode แล้ว สำหรับคนที่อยากจะประลองฝีมือแบบจริงจังก็ยังมี Speed Mode ที่จะปลดล็อกหลังจากผู้เล่นสอบ License ระดับ Intermediate ผ่าน โดยโหมดนี้จะไม่มีไอเทม จะเป็นการวัดฝีมือในการขับขี่ ลัดเลาะทางโค้ง รวมถึงใช้ฝีมือในการดริตฟ์เพื่อเก็บเกจบูสแข่งกันเท่านั้นและสำหรับใครที่อยากจะท้าทายตัวเองก็ยังมีโหมด Time Attack ที่จะเป็นการเล่นคนเดียว จับเวลาว่าผู้เล่นจะสามารถทำเวลาที่ดีที่สุดได้เท่าไร โหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยทำความคุ้นเคยกับสนามแข่งได้ดี โดยหากใครอยากเทียบสถิติกับผู้เล่นคนอื่นในเซิร์ฟเวอร์ ตัวเกมก็มี Time Attack แบบ Ranked Challenge ที่จะเก็บสถิติเวลาของคนทั้งเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ และเอามาเทียบกันได้อีกด้วยส่วนใครที่อยากจะสร้างห้องเล่นเกมขำๆ กับเพื่อน ตัวเกมก็ยังรองรับด้วย Custom Race ที่ให้สร้างห้อง เลือกด่าน ได้ตามใจชอบ เหมาะสำหรับคนที่อยากเฮฮากับเพื่อนๆ เฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องไปสุ่มเจอกับคนอื่นในตัวเกมให้เสียอารมณ์เปล่าๆต้องยอมรับว่า หากเกม KartRider ตัดระบบการใช้ไอเทมออกไป มันจะกลายเป็นเหมือนกับเกมแข่งรถดาดๆ ที่มีดีแค่ภาพน่ารัก ดึงดูดสาย Casual เท่านั้นเอง ซึ่งหากว่ากันตามตรง ระบบการใช้ไอเทมก็พอจะให้ความบันเทิงกับผู้เล่นได้อยู่บ้าง มีบ่อยครั้งที่ผู้เล่นสามารถพลิกกลับมาจากอันดับสุดท้าย กลายเป็นอันดับที่ 1 ได้ หากวางแผนใช้ไอเทมที่เก็บมาอย่างชาญฉลาด ซึ่งตรงจุดนี้ตัวเกมก็นำเสมอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ตัวเกมอาจจะมีการควบคุม และเกมการเล่นที่ไม่ซับซ้อน แต่การเล่นให้ชำนาญก็ถือว่ายากเอาเรื่องเช่นกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “เล่นให้เป็นง่าย แต่เล่นให้เก่งยาก”สนามแข่งที่มีให้เลือกมากมายถึง 33 รูปแบบในตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta นั้น มาพร้อมกับสนามแข่งทั้งหมด 33 แห่ง โดยแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ และความยากที่แตกต่างกันไป โดยสนามที่ง่ายๆ นั้นเส้นทางจะไม่ซับซ้อน มีการหักโค้งไม่เยอะเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางตรงเสียมากกว่า และสำหรับในด่านที่ยากขึ้นนั้น เส้นทางจะค่อนข้างซับซ้อนและคดเคี้ยวมากกว่าเดิม ทำให้การควบคุมรถจะต้องใช้ฝีมือของผู้เล่นมากยิ่งขึ้น ความยากง่ายของแต่ละสนามจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งแน่นอนว่า สนามระดับ 1 ที่ง่ายสุด มีจำนวนให้เล่นเยอะที่สุดเช่นกัน การออกแบบสนามแข่งของเกม KartRider: Drift นั้นก็มีความหลากหลาย บางสนามจะมีรถรางมาคอยวิ่งตัดหน้าผู้เล่น บางสนามก็จะมีเนินเล็กๆ ให้ผู้เล่นเร่งความเร็วเพื่อดีดตัวขึ้นไปกลางอากาศได้ ซึ่งหากผู้เล่นคนไหนสามารถดึงจุดเด่นของแต่ละสนามออกมาใช้ได้ดี ผู้เล่นคนนั้นย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งอย่างแน่นอนปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การออกแบบสนามแข่งทำออกมาค่อนข้างสร้างสรรค์ ผู้เล่นจะได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ต่อให้สุ่มไปเจอสนามเดิม แต่การขับรถก็จะเปลี่ยนไป เพราะไอเทมที่เจอ ผู้เล่นคนอื่น มันเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นี่จึงช่วยทำให้ KartRider: Drift สามารถดึงผู้เล่นที่ชื่นชอบความเร็วให้ติดหนึบอยู่กับหน้าจอได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียวความหลากหลายของยานพาหนะในตอน Closed Beta อาจจะยังมีรถให้เลือกไม่มากนัก แต่รถที่มีระดับต่างกัน ก็ให้สเตตัสที่ต่างกันอีกด้วยโดยสเตตัสของตัวรถจะถูกแบ่งออกเป็น 7 อย่าง ได้แก่ความเร็งสูงสุดอัตราเร่งประสิทธิภาพในการดริฟต์ความแรงในการออกตัวระยะเวลาบูสต์พลังของบูสเตอร์การควบคุมเท่าที่เห็นในตอนนี้ รถที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะมีสเตตัสที่เหมือนกัน ถึงจะเป็นรถคนละแบบก็ตาม นี่จึงกลายเป็นคำถามว่า ‘แล้วจะทำรถคันอื่นๆ มาทำไมถ้ามันให้ค่าพลังที่เหมือนกัน’ หากจะอ้างว่ามันเป็นแฟชั่นก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเท่าไรนัก เพราะตัวเกมก็มีระบบแต่งรถมาให้อยู่แล้ว โดยปรับได้ตั้งแต่ล้อ ยันไฟจากเกจบูสต์ ดังนั้นตัวเกมในเวอร์ชัน Open Beta อาจจะมีอะไรที่้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็เป็นได้ไร้วี่แววของระบบร้านค้าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจที่ภายในเกม KartRider: Drift ไม่มีระบบร้านค้าเข้ามา โดยทางผู้พัฒนาได้เขียนอธิบายตัวเกมใน Steam เอาไว้ว่า “ท้าทายกับเพื่อนของคุณข้ามผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยที่ไม่มีพรมแดน และไม่มีกำแพงของการจ่ายเงินเพื่อเก่งกว่า (Pay to Win) ทำให้ทุกคนสามารถมีช่วงเวลาที่สนุกกับเกมนี้ได้ แม้กำลังแข่งขันกับเพื่อตำแหน่งอันดับต้นๆ ของเซิร์ฟเวอร์ก็ตาม ”ซึ่งนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเกมตัดระบบร้านค้าออกไป ส่วนไอเทมต่างๆ ที่จะมาใช้แต่งรถนั้นจะได้มาจากการทำเควส หรือการเติม Racing Pass ที่ยิ่งเล่น ก็จะยิ่งปลดล็อก โดยไอเทมที่ได้มานั้นจะไม่มีผลใดๆ ต่อตัวค่าพลังของรถเลย งานนี้ต้องมาดูกันว่า ระบบเกมที่ไร้ร้านค้าแบบนี้จะรุ่งหรือจะร่วงกันแน่เล่นฟรีทุกแพลตฟอร์มเป็นอีกหนึ่งเกม Cross Platform ที่น่าจะค่อนข้างยุติธรรม เพราะไม่มีแพลตฟอร์มไหนได้เปรียบพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเล่นเกม FPS แบบข้ามแพลตฟอร์ม ผู้เล่นที่ใช้จอยมักจะเล็งเป้าละเอียดสู้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์ไม่ได้ และถ้าทางผู้พัฒนาใส่ระบบช่วยเล็งมาให้ผู้เล่นที่ใช้จอย บางทีก็จะแม่นจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์หัวร้อนได้เช่นกัน แต่เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับ KartRider: Drift อย่างแน่นอน เนื่องจากตัวเกมทำออกมาในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ควบคุมง่าย ทำให้ทุกแพลตฟอร์มสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุกสนาน เท่าเทียมกันควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?KartRider: Drift เป็นเกมที่มีระบบเข้าถึงง่าย ทั้งการควบคุมที่ไม่ซับซ้อน ประกอบกับภาพที่น่ารักสดใส เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ถึงกระนั้นตัวเกมก็ไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือแตกต่างไปจากเกมในประเภทเดียวกัน ไอเทมที่เป็นจุดชูโรงของตัวเกม ล้วนเคยถูกนำเสนอในเกมแข่งรถสายแคชชวลมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Mario Kart หรือ Speed Drifter ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เกมพวกนี้ล้วนหยิบยืมไอเดียกันไปมาอยู่เสมอๆ ด้านภาพกราฟิกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา อาจจะเพราะต้องการทำให้ทุกคนและทุกแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงง่าย ทางทีมพัฒนาเลยไม่ได้ใส่ทุกอย่างแบบจัดเต็ม และเลือกนำเสนอในรูปแบบที่พื้นๆ แต่ยังคงความน่ารักของแฟรนไชส์เอาไว้แทนที่ ซึ่งก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรนัก แต่ถ้าคนที่ชอบภาพแนวสมจริง คงจะต้องขอโบกมือลาเกมนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของตัวเกมก็คงหนีไม่พ้น การเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างลื่นไหล ตลอดการเล่นช่วง Closed Beta ตัวผู้เขียนมักจะเห็นผู้เล่นจากแพลตฟอร์มอื่นอยู่เสมอ โดยตัวเกมได้ขึ้นบอกเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องคอนโซลนั้นๆ ที่มุมซ้ายบนของจอ ทั้งนี้อาจจะเพราะยังเป็นช่วง Closed Beta อยู่ จึงทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นผู้เล่นจากเครื่องคอนโซลเยอะขนาดนั้นก็เป็นได้สำหรับใครที่กำลังมองหาเกมสนุกๆ ภาพน่ารัก เอาไว้เล่นกับเพื่อน เล่นกับแฟน หรือเอาไว้เล่นฆ่าเวลา KartRider: Drift ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ด้วยองค์ประกอบของเกมฟรี เข้าถึงง่าย เล่นเป็นง่าย โหมดที่รองรับคนหลากหลายประเภท ทั้ง Speed Mode ที่วัดฝีมือการขับรถกันเพียวๆ หรือ Time Attack ที่เน้นความท้าทายกับผู้เล่นแถมยังตัวเกมยังรองรับหลายแพลตฟอร์ม และไร้ระบบ Pay To Win เกมแข่งรถสายแคชชวลเกมนี้ก็น่าจับตามอง และเชื่อว่าในเกมเวอร์ชั่นเต็มน่าจะปรับแก้ข้อบกพร่องต่างๆ ได้ไม่มากก็น้อย
17 Dec 2021
[Review] รีวิวเกม Thunder Tier One "คืนสู่เหย้า รากเหง้าเกม Tactical Shooter"
เกมยิงเชิงกลยุทธ์หรือ Tactical Shooter เป็นหนึ่งในแนวเกมที่ปัจจุบัน บรรดาผู้พัฒนาเกมซึ่งเคยทำเกมแนวนี้จนเป็นกลายเป็นแม่แบบให้กับวงการ กลับหลงทาง ออกทะเล จนกู่ไม่กลับ แค่เรากล่าวประโยคเดียว เชื่อว่าทุกคนจะนึกถึง Ubisoft เป็นรายชื่อต้นๆ กับ Ghost Recon และ Rainbow Six ยิ่งพูดก็ยิ่งเหนื่อยใจ กับสถานะของเกมทั้งสอง อีกเกมก็จะโดดร่ม อีกเกมก็จะยิงเอเลี่ยน (ถอนหายใจเฮือกใหญ่) จึงเป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นทีมพัฒนาทั้งค่ายเล็กหรือค่ายกลาง พยายามพัฒนาเกม tactical shooter ให้ย้อนกลับไปสู่จุดที่ทำให้เกมแนวดังกล่าว รุ่งเรืองและเป็นที่จดจำ ทั้ง Insurgency, Zero Hour, GROUND BRANCH, Ready Or Not และเกมที่เรากำลังจะกล่าวถึงอย่าง Thunder Tier OneThunder Tier One เป็นเกมแนว Realistic Top-down Shooter แตกต่างจากเกมอื่นที่กล่าวข้างต้น ซึ่งล้วนเป็นเกมแนว First-Person Shooter ความแตกต่างดังกล่าวจึงทำให้กลายเป็นจุดสนใจ เพราะเกม Top-down Shooter (มุมมองตาสวรรค์จากด้านบน) แบบกึ่งสมจริงมีจำนวนไม่มากสักเท่าไรเมื่อเทียบกับ First-Person Shooter ยกตัวอย่างเช่นเกม Police Stories, Foxhole และ Intravenous เป็นต้น นอกจากนั้น ชื่อเสียงของทีมพัฒนาก็เป็นอีกจุดสนใจ สำหรับทีม KRAFTON, Inc. ผู้พัฒนาเกมซึ่งสร้างกระแสนิยมในแนว battle royale อย่าง PUBG: BATTLEGROUNDSเรื่องราวเบื้องต้นเรื่องราวในเกม Thunder Tier One อาจไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เป็นเรื่องของหน่วยกองกำลังต่อต้านการก่อการร้าย Thunder ต้องลงพื้นที่ทำภารกิจเด็ดหัวผู้นำองค์กรก่อการร้ายที่ผันตัวมาจากกองกำลังกึ่งทหาร SBR ซึ่งกำลังก่อการอุกอาจในประเทศ Salobia เนื้อเรื่องในเกมเป็นเพียงเป็นเหตุผลสนับสนุนให้เราออกไปเด็ดหัวผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่จุดขายและจุดมุ่งหมายสำคัญของเกม ฉะนั้น หัวใจหลักของ Thunder Tier One จริงๆ คือระบบการเล่นที่ทำมาเพื่อสร้างความประทับใจและตอบแทนคอเกมยิงเชิงกลยุทธ์จนสาแก่ใจระบบการเล่นระบบการเล่นของ Thunder Tier One นำผู้เล่นย้อนไปสู่จุดสูงสุดของเกมแนวดังกล่าว หากเปรียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน Thunder Tier One คือ Ghost Recon และ Rainbow Six ในยุคแรก ทั้งระบบเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ช่วงปฏิบัติภารกิจ (off-battle) และระบบการเล่นตอนปฏิบัติภารกิจช่วงเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ช่วงปฏิบัติภารกิจ (off-battle)ช่วงเตรียมตัว เกมมีระบบการปรับแต่งเจ้าหน้าที่แบบละเอียดในระดับหนึ่ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า เกมแบ่งเป็นสองหมวดคือ 1. เครื่องแต่งกาย 2. อาวุธและอุปกรณ์ ในด้านเครื่องแต่งกาย แบ่งเป็นเครื่องแต่งกายหลัก กับเครื่องแต่งกายรอง จำพวกไม่ส่งผลต่อค่าสถานะอย่างมีนัย การสวมใส่จะส่งผลต่อค่าสถิติของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทข้างต้น โดยค่าสถานะประกอบด้วยHead Protection ส่งผลกับการป้องกันศีรษะBody Protection ส่งผลกับการป้องกันลำตัวMobility ส่งผลกับความเร็วเคลื่อนที่, การฟื้นตัวจากอาการเหนื่อยหอบ และการปีนป่ายสิ่งกีดขวางDexterity ส่งผลกับการสลับอาวุธและรีโหลด, ความนิ่งการเล็งเป้า, หยิบของจากพื้น และปีนบันไดEncumbrance ส่งผลกับค่าความเหนื่อยโดยรวมและการส่งเสียงจากตัวเจ้าหน้าที่ส่วนอาวุธแต่ละชิ้นก็มีค่าสถานะเฉพาะตัวตามเอกลักษณ์ของปืนแต่ละกระบอก เกมไม่มีจำกัดการเข้าถึงปืน ปืนทุกกระบอกเราสามารถหยิบใช้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่เริ่มเล่นเกมครั้งแรก รวมถึงอุปกรณ์เสริมก็เช่นกัน ทั้งอาวุธและอุปกรณ์จะมีแต้มกำหนดไว้แต่ละชิ้น (ในเกมเรียกว่า budget) การเลือกใช้อาวุธและอุปกรณ์ดังกล่าวจะบริโภคแต้มตามที่เกมกำหนดไว้ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละชิ้น โดยปกติเกมกำหนดให้ผู้เล่นสามารถใส่ได้สูงสุดที่ 24 แต้ม (แต่ผู้เล่นสามารถปรับแต่งกฎเรื่องแต้มเองได้ตามต้องการ)ปัจจุบันเกมมีอาวุธรวม 30 กระบอก ตั้งแต่ปืนพกจนถึงสไนเปอร์ ปืนแต่ละกระบอกสามารถใส่อุปกรณ์เสริมเพิ่มความแม่น (และเท่) ได้เช่นกัน แต่ของแต่งบางชิ้นก็บริโภคแต้มตามที่กล่าวไปข้างต้น ปืนบางกระบอกมีกระสุนให้เลือกใช้มากกว่าหนึ่งชนิด เลือกใช้ได้ตามสถานการณ์และความถนัด และเกมมีระบบเลเวลผู้เล่น แต่อย่าตื่นตระหนก ระบบดังกล่าวมีไว้เพื่อปลดล็อกสีปืน, สีเครื่องแต่งกาย และพวกเครื่องแต่งกายทั้งหลักและรองโดยก่อนลงปฏิบัติภารกิจ เกมมีการสรุปข้อมูลสำคัญในภารกิจให้ผู้เล่นได้เรียนรู้ จะไม่อ่านก็ได้ตามสะดวก แต่หากได้อ่านแล้ว ข้อมูลทุกอย่างที่เกมบอกเป็นข้อมูลสำคัญทั้งหมด อย่างการบอกว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการเวรยามหรือไม่ พื้นที่บางจุดสามารถเข้าถึงได้โดยใช้อุปกรณ์พิเศษผ่านทางเข้าไปผลจากระบบการปรับแต่งที่ละเอียด ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างแนวทางการเล่นที่ตนต้องการได้ตามใจนึก ไม่ว่าจะเล่นแนวหน้าสายฝ่ากระสุน แนวหลังสายสนับสนุน แนวซุ่มยิงเด็ดหัวทรชน หรืออื่นๆ ตามที่จะสรรหา เมื่อลงสนาม ปฏิบัติภารกิจ แนวทางการเล่นของผู้เล่นแต่ละคนจะส่งผลชัดเจนต่อรูปแบบการเล่นในทุกๆ รอบ อย่างเช่น เรากับเพื่อนร่วมทีมเน้นปรับแต่งอุปกรณ์มาเพื่อลอบเร้นเข้าปฏิบัติการ หากเราไม่พลาดทำให้ศัตรูตื่นตระหนก เราก็จะได้เกมการเล่นแบบแนวลอบเร้นไปจนจบตา หรือหากต้องการสาดกระสุนไม่สนสี่สนแปด เราก็จะได้เกมการเล่นแนวยิงแ*งเลย (shoot 'em up) สะใจไปจนจบตาอีกเช่นกันช่วงปฏิบัติภารกิจรากฐานของระบบเกมการเล่น Thunder Tier One คือความกึ่งสมจริง ซึ่งเป็นหัวใจของแนวเกม tactical shooter ในยุคก่อน ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบเรื่องนาทีสังหาร (time-to-kill) อันไวว่อง กระสุนเพียงนัดเดียวสามารถสังหารหรือถูกสังหารได้ การยิงหรือถูกยิงแต่ละนัดจะถูกคำนวณและส่งผลจากการแต่งกายของผู้เล่นความเปิดกว้างในการเข้าทำ (open-ended map) เกมใช้การออกแบบแผนที่แบบกึ่งเปิดกว้าง ไม่ถึงขั้นโลกเปิด (open world) ความแตกต่างจากแผนที่แบบโลกเปิดคือ เมื่อออกแบบโดยใช้ปรัชญาของเกมกึ่งเปิดกว้าง ผู้พัฒนาจะใส่รายละเอียดในแผนที่แบบยิบย่อยได้ลงลึกมากกว่า ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ Ghost Recon และ Rainbow Six ในยุคแรก เกม Thunder Tier One จึงมักโยนผู้เล่นลงไปในแต่ละพื้นที่ แล้วให้ผู้เล่น “ออกแบบการเล่น” อย่างที่ตนต้องการ การเล่นแต่ละรอบจะไม่เหมือนกัน หากผู้เล่นเลือกใช้เส้นทางใหม่ๆ ในการเข้าทำการเล่นเป็นทีม เมื่อพิเคราะห์ เกมถูกออกแบบให้เล่นกับเพื่อนมากกว่าเล่นคนเดียว นอกจากความไม่สมบูรณ์ของ AI ร่วมทีม การเล่นกับผู้เล่นจริงๆ ดึงประสิทธิภาพ ความสนุก และความสะดวกของเกมได้มากกว่า เนื่องด้วยเกมมีความยากในระดับหนึ่ง ประกอบกับต้องการความร่วมมือจากเพื่อนร่วมทีม ทั้งการสนับสนุนการยิง การใช้อุปกรณ์ การตรวจสอบตำแหน่งศัตรู การสำรวจพื้นที่ และการบุกเข้าทำโดยอาศัยความเป็นทีม หากได้เล่นแบบสื่อสารกันอย่างจริงจัง เราอาจเล่นแบบสวมบทบาทอย่างเกม milsim (จำลองการปฏิบัติการทหาร) ได้เลยทีเดียวเมื่อทุกองค์ประกอบล่อหลอมเข้าด้วยกัน ทั้งระบบช่วงก่อนปฏิบัติภารกิจและช่วงปฏิบัติภารกิจ ส่งผลให้เกม Thunder Tier One มีเกมการเล่นที่ย้อนกลับไปสู่รากเหง้าของเกมยิงเชิงกลยุทธ์แบบดั้งเดิม ทั้งต้องอาศัยความใจเย็นในการเข้าทำ ต้องวางแผนเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ต้องใช้ความแม่นยำในการสังหารศัตรู เพราะทุกย่างก้าวของความผิดพลาดนำไปสู่ความตายและความล้มเหลวของภารกิจ ถึงแม้เกมอาศัยมุมมอง top-down แต่มันไม่ได้บั่นทอนความเป็นเกมยิงเชิงกลยุทธ์แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น การใช้มุมมองดังกล่าวมันทำให้ผู้เล่นมองภาพรวมชัดกว่าเดิม เพราะเราเห็นทุกการกระทำของตัวเองและเพื่อนร่วมทีม ทำให้การร่วมมือระหว่างผู้ในทีมมีความลื่นไหลมากกว่าเกมที่ใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งพอสมควร (และลดอาการคลื่นเหียนอาเจียนไส้ ผลพวงจากการแพ้ภาพเคลื่อนไหวในเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่ง)แต่ยังมีสิ่งที่น่ากังวลโดยรวม Thunder Tier One เป็นเกมที่มีรากฐานมั่นคงและพร้อมนำไปต่อยอดให้ไปไกลกว่าตอนนี้ แต่ปัญหากลับอยู่ที่ประเด็นปริมาณเนื้อหาเกมที่มีน้อยจนน่าใจหาย เกมมีภารกิจหลักให้เล่นเพียง 9 ด่าน ส่วนโหมดผู้เล่นหลายคนก็นำด่านดังกล่าวมาใช้ซ้ำ ไม่ได้มีเนื้อหาแยกย่อยไปเป็นของตัวเอง ประกอบกับยังไม่มีแผนการอัปเดตเนื้อหาเกมจากผู้พัฒนาแต่อย่างใด ปัจจุบันคงต้องฝากความหวังไว้กับนักม็อด เนื่องจากเกมมีระบบ Steam Workshop หากคิดในอีกมุมก็มีความเป็นไปได้ เหตุที่มีระบบ Steam Workshop เพราะผู้พัฒนาก็อาจฝากความหวังไว้กับนักม็อดเช่นกัน ...
14 Dec 2021
[แนะนำเกม] Thetan Arena: เกม NFTs แนว MOBA เกมแรกของโลก!
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคน วันนี้พวกเรา GameFever ก็มีเกม NFTs มาแนะนำกันอีกแล้ว มีใครกำลังรออยู่บ้าง ยกมือขึ้น! ซึ่งเกมนี้ก็ได้เปิดตัวมาสักพักแล้ว และกระแสตอบรับก็ค่อนข้างดีทีเดียว อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นที่น่าจับตามองตั้งแต่เกมยังไม่เปิดแล้ว เพราะเขาเคลมตัวเองว่าเป็น NFTs MOBA เกมแรกของโลก! จะน่าสนใจแค่ไหนเราลองไปดูรายละเอียดของเกมนี้พร้อมกันเลยดีกว่าThetan Arenaคือเกม Blockchain-based MOBA & Battle Royale ที่รันอยู่บน Binance Smart Chain (BSC) โดยทางทีมงานได้ดีไซน์ให้เกมมีสิ่งน่าสนใจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกมเพลย์หรือระบบ in-game economy เพื่อให้เกมนี้เป็นผู้นำตลาดเกม Play-to-Earn และให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการเปิดพื้นที่สำหรับนักลงทุน Crypto เกมเมอร์และสตรีมเมอร์ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการที่นักลงทุนและคนเล่นเกมสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้จะก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน แถมตัวเกมยังมีพาร์ทเนอร์ชื่อดังมาร่วมลงทุนด้วยหลายเจ้าตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวเกมเสียอีกโดยเกม Thetan Arena ถูกพัฒนาโดยผู้พัฒนา / Developer ชาวเวียดนาม Wolffun ซึ่งเคยฝากผลงานระดับ Editor's Choice ของ Google Play อย่าง Tank Raid Online และ Heroes’ Strike ด้วยยอดดาวน์โหลดทะลุ 10 ล้านครั้งมาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะ "คาดหวัง" กับเกมนี้ได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะThetan Arena รองรับการเล่นบน PC, Android และ IOS ซึ่งล้วนเป็นช่องทางที่สะดวกสำหรับคนส่วนใหญ่ทั้งนั้น และเราสามารถเริ่มเล่นได้แบบ Free-to-Play อีกด้วย รู้แบบนี้แล้วก็ไปลองโหลดมาเล่นกันเลย!Battle Start!หลังจากเราโหลดตัวเกมมาแล้วให้ลงทะเบียนด้วยอีเมลก่อน เพื่อจะได้รับประโยชน์จากระบบเกมได้เต็มที่ จากนั้นตัวเกมจะพาเราเข้าสู่ Tutorial ซึ่งข้อดีนอกจากการสอนวิธีเล่น (ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ยากอะไรเลย) เลย ยังเป็นที่ให้เราทำความคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของตัวละครด้วย บางคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็จะได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้หลังจบการฝึก ทางเกมจะมีกล่องให้เราสุ่มฮีโร่จำนวน 3 ตัว ไปลงสนามแบบฟรีๆ ส่วนใครจะได้ตัวไหนก็ต้องลุ้นเอาเนอะ เพราะฮีโร่ในเกมจะแบ่งได้เป็น 3 คลาส คือ Tank, Assasin และ Maskman ที่จะมีจุดเด่นและวิธีการจู่โจมที่ต่างกันออกไป ซึ่งเราสามารถเลือก Try เพื่อลองเล่นดูก่อนได้จ้า~ส่วนการเข้าเกมนั้นเราสามารถดูได้ที่ด้านขวาล่าง ข้างปุ่ม Start เราจะสามารถเลือกโหมดได้ ใครชอบ Battle Royale ก็มีทั้งแบบเดี่ยวและคู่ หรือจะเลือกกันฐานในโหมด Tower เก็บแต้มใน Superstar ก็เลือกตามชอบ ส่วนสายลุยเน้น kill รัวๆ ก็แนะนำ Death match เลย!! แต่ก่อนลงสนามอย่าลืมจัดการสกิลที่อยู่ทางด้านซ้ายของล็อบบี้ก่อนด้วยล่ะส่วนการควบคุมนั้นเข้าใจไม่ยากเลย การเดินจะใช้ Controller ทางซ้ายส่วนปุ่มทางขวาจะเป็นการยิงและออกสกิลต่างๆ แต่สิ่งที่ควรระวังคือจำนวนกระสุนที่ยิงได้ ซึ่งสังเกตได้จากแถบใต้หลอดเลือดของเรา ฉะนั้นต้องวางแผนเล่นให้ดีเพราะเราจะรัวกระสุนอย่างใจอยากไม่ได้นั่นเองRanking & Rewardและทุกครั้งที่เราชนะเกม เราจะได้ทั้งค่าประสบการณ์และ Throphies ที่จะใช้อัพเลเวลของฮีโร่ที่เราใช้ แถมยังเป็นแต้มสะสมรับของรางวัล Season pass ได้อีกด้วย ยิ่งเราชนะมาก ก็จะได้ Throphies สะสมมาก กลับกันถ้าแพ้ Trophies ก็ลดฮวบๆได้เช่นกัน How to earnมาถึงเรื่องสำคัญที่หลายคนคงอยากรู้ว่า "แล้วเราจะได้เงินได้อย่างไร?"  ขั้นต้นมูลค่าที่เราจะได้รับจากการเล่นเกมคือการสะสม Theatan Coin (gTHC) จากการเล่นเกม โดยจะได้จากรางวัลใน Season Pass ที่เราสะสม Throphies ถึงในแต่ละระดับแต่อีกวิธีที่ดีและง่ายกว่า คือการลงทุนซื้อฮีโร่จาก Marketplace หรือเปิดกล่องสุ่มเพื่อรับ NFTs Hero ซึ่งเราจะสามารถรับ gTHC ได้ทันทีหลังจบแมตช์ (ถ้าชนะจะได้เหรียญมาก ถ้าแพ้ก็ได้เช่นกันแต่น้อยหน่อย) ส่วนฮีโร่ฟรีที่เราได้ตอนต้นเกมจะไม่มีฟีเจอร์นี้นะจ๊ะถ้าอยากรู้ว่าเหรียญที่เรามีตอนนี้มูลค่าเท่าไหร่ หรือจะดำเนินการ Claim เหรียญออก ก่อนอื่นให้เพื่อนๆ connect กระเป๋า Metamask เข้ากับ Marketplace ของเว็บไซต์เกมเสียก่อน (อย่าลืมสลับ network ให้เป็น BSC ก่อนด้วยนะ) จากนั้น Sync Data เข้ากับอีเมลที่เราสมัครเกมไว้ ก็จะมีข้อมูลเหรียญที่เราเคยได้รับจากในเกมแสดงขึ้นมาพร้อมเทียบมูลค่าเป็น USD (ดอลล่าห์สหรัฐฯ) มาให้ด้วยส่วนวิธีการถอน ให้เราแปลง gTHC เป็น THC ก่อน โดยคนที่ใช้ NFTs Hero จะต้องมีอย่างน้อย 750 gTHC ขึ้นไปจึงจะแลกได้ ส่วนสายฟรีจะต้องไต่ถึงแรงค์ Bronze 1 เสียก่อนจึงจะทำการแลกเหรียญได้ อ้อ! และในการแลกแต่ละครั้งจะมีค่าธรรมเนียมด้วยนะ อย่าลืมเช็คมูลค่ารวมในการแลกแต่ละครั้งให้ดีล่ะสุดท้ายนี้...จะเห็นได้ว่าต่อให้มาตัวเปล่าก็มีโอกาส Play-to-Earn กับเขาได้เหมือนกัน เพียงแต่อาจจะต้องแลกมากกับหยาดเหงื่อและความร้อนบนหัวที่มากหน่อย ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับคนที่เล่นเกมนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ต้องมีทีม" ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะไต่แรงค์ได้นั้นมีน้อยมาก ส่วนหลายคนที่มีเพื่อนพากันเล่นก็รับเงินมากันหลายคนแล้วเช่นกัน ส่วนใครที่กล้าลงทุน ขอแค่ใน 1 วันเล่นจนครบจำนวนรอบก็รอรับเงินไป แต่เห็นว่าถ้าวันนั้นแพ้รัวๆก็ขาดทุนเหมือนกันนะ ในด้านของมูลค่าเหรียญ gTHC ที่ใน Day1 นั้นราคาพุ่งสูงจนน่ากลัว แต่เหมือน ณ ปัจจุบันราคาจะเริ่มนิ่งแล้ว และมีหลายคนคาดการณ์ว่าถ้า Dev บริหารเกมดี เกมนี้อยู่ยาวเหมือน Axie infinity ได้แน่ ด้วยการออกแบบระบบหลายๆอย่างที่คล้ายกันนั่นเอง ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ เอาเป็นว่าเรามารอลุ้นไปด้วยกันดีกว่า เพราะ Roadmap ของเกมยังมีอะไรรอเราอยู่อีกเยอะ ไม่เชื่อลองดูรูปด้านล่างนี้ได้อย่างไรก็ดี อย่างที่เราบอกเสมอว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนจะเสียเงินอย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนและประเมินความเสี่ยงให้ดีว่าเรารับได้แค่ไหน และบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าเนื้อหาในเกมซึ่งยังไม่ใช่รายละเอียดทั้งหมด ถ้าใครสนใจ Play-to-Earn กับเกมนี้จริงๆ อย่าลืมไปหาข้อมูลทั้งจาก Official website และ Community ต่างๆ ให้ดีก่อน จะชัวร์กว่าลองผิดลองถูกเองเน้อส่วนในด้านของความเป็น "เกม" ที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาระบบ ส่วนตัวมองว่าเป็นเกมที่โอเคเกมหนึ่งเลย เพราะความง่ายของ gameplay ความหลากหลายของโหมดการเล่นที่เราสามารถเลือกได้ตามความถนัด ระยะเวลาในเกมที่ไม่นานเกินไป แถมความเสถียรของการประมวลผลยังทำได้ค่อนข้างเร็ว ถือเป็นคอมโบที่เลิศในการเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลาหรือเพื่อความบันเทิง สิ่งที่หลายคนอาจจะขัดหูขัดตาหน่อยก็คือการเคลื่อนที่ของตัวละครที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจ รวมถึงกราฟฟิคที่ดูเหมือน Browser Game ยุคเก่าก็ทำให้เซ็งอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเทียบในตระกูลเกม NFTs เน้น Play-to-Earn ก็อาจจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ ในส่วนนี้คงแล้วแต่รสนิยมของผู้เล่นเลยว่าจะรับได้มาก-น้อยแค่ไหน แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ส่งผลกับ Gameplay มากขนาดนั้นหากเราเล่นจนจับจังหวะ Action ต่างๆในเกมได้ ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมเราอย่างง่ายดายเช่นกัน!!
12 Dec 2021
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ซีซั่น 1: ซีรีส์อนิเมชั่นที่จะกลายเป็น "ตำนาน" สมชื่อ League of Legends
ไม่ว่าจะในฐานะอดีต “เกมออนไลน์ที่มีคนเล่นมากที่สุดในโลก” หรือ “หนึ่งในเกมอีสปอร์ตชั้นนำของโลก” ไปจนถึงการมีตัวตนอยู่ในวงการดนตรีผ่านวง Virtual ต่างๆ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นด้วยว่า ‘League of Legends’ ถือเป็นเกมและ/หรือแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จมากพอสมควรอยู่แล้ว โดยน้อยคนในวงการเกมที่จะไม่รู้จักกับเกมนี้ ไม่ว่าจะเคยเล่นหรือไม่ก็ตามแต่ไม่ว่าแฟรนไชส์ LoL จะประสบความสำเร็จแค่ไหนในอดีต เชื่อว่าทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของความสำเร็จที่แท้จริงของแฟรนไชส์เท่านั้น เพราะซีรีส์อนิเมชั่น ‘Arcane’ ได้พิสูจน์แล้วว่าจักรวาล League of Legends ที่เราเคยเห็นมาตลอด เป็นเพียงเสี้ยวกระจิ๊ดริดของศักยภาพที่แท้จริงของแฟรนไชส์นี้ ด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่เขียนออกมาได้อย่างเฉียบคม และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมมาก่อนหรือไม่ก็ตาม เมื่อนำมารวมกับผลงานอนิเมชั่นและการจัดภาพชั้นครูโดยค่ายสัญชาติฝรั่งเศษ Fortiche Productions ทำให้ Arcane ไม่ได้เป็นเพียงผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดบน Netflix แต่อาจเป็นผลงานซีรีส์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของการดัดแปลงวิดีโอเกมเลยทีเดียว(อ่านรีวิว ตอน 1-3 และ 4-6)เรื่องราวของ Arcane จะตั้งอยู่ในเมือง Piltover เมืองแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันีุ่งเรือง และ Zaun ย่านสลัมใต้ดินของเมือง Piltover ที่รู้จักกันในนาม “เมืองเบื้องล่าง” (Undercity) ที่ถูกควบคุมโดยอาชญากรและแก๊งมาเฟียต่างๆ แถมยังปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีและก๊าซจากใต้ดิน ทำให้สภาพการดำรงชีวิตของผู้คนในเมืองเป็นไปอย่างลำบาก โดยผู้คนจากเมืองทั้งสองต่างมองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม ในฝั่ง Piltover ก็มองชาวเมืองเบื้องล่างเป็นเพียงเดนมนุษย์สกปรก ในขณะที่ชาวเมือง Zaun ก็มองผู้คนในอีกเมืองเป็นผู้กดขี่ที่คอยเอาเปรียบพวกเขาตลอดเวลาความขัดแย้งที่ก่อตัวมายาวนาน นำไปสู่การก่อจลาจลโดยผู้คนของเมืองเบื้องล่างที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก Piltover และปกครองตนเอง ซึ่งถูกปราบอย่างโหดเหี้ยมโดยกองกำลังรักษากฏหมายของ Piltover โดยในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตยังรวมถึงพ่อแม่ของ ‘ไว’ (Vi ย่อจาก Violet) และ ‘พาวเดอร์’ สองพี่น้องจากเมืองเบื้องล่าง ผู้ซึ่งต้องเอาชีวิตรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อยพร้อมกับแก๊งโจรเล็กๆ ของพวกเธอซีรีส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแก๊งของไวและพาวเดอร์ได้รับคำแนะนำให้ไปปล้นห้องทดลองแห่งหนึ่งในเมือง Piltover โดยการกระทำครั้งนั้นทำให้พวกเธอต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง Piltover และ Zaun อีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอลงในที่สุดเนื้อเรื่องของ Arcane ซีซั่นแรกอาจแยกออกได้เป็นสองซีกใหญ่ๆ เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ไว’ และ ‘พาวเดอร์’ เป็นซีกแรก ในขณะที่อีกซีกคือเรื่องราวของเจซ (Jayce) และวิคเตอร์ (Viktor) สองนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ให้กำเนิดเทคโนโลยี ‘Hextech’ เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมเวทมนต์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์สำหรับผู้ชมที่ไม่ใช่แฟนดั้งเดิมของ LoL ความสัมพันธ์พี่-น้องของไวและพาวเดอร์ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อนว่าพวกเธอเป็นใครในบริบทของโลก Runeterra เพราะปมขัดแย้งต่างๆ ของทั้งสอง ในขณะที่เจซและวิคเตอร์ก็ช่วยให้ทั้งแฟนดั้งเดิมและแฟนหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกับโลกของซีรีส์ได้ลึกขึ้น และได้เห็นแง่มุมที่อาจไม่เคยได้เห็นมาก่อนในเกมหรือสื่ออื่นๆ ในแฟรนไชส์ League of Legends อีกด้วยสิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเมื่อมองซีรีส์จากภายนอก คือการที่เนื้อเรื่องและเหตุการณ์หลายๆ อย่างถูกนำเสนอด้วย “ความเป็นผู้ใหญ่” มากอย่างคาดไม่ถึง ตัวละครทุกตัวต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์และความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญคือเหตุการณ์ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึกของ “มนุษย์” ล้วนๆ มากกว่าจะเป็นเหตุผลไซไฟแฟนตาซีกู้โลกอะไรก็ไม่รู้ โดยไม่มีการแก้ปัญหาแบบ “เอาง่าย” หรือ “ขอไปที” เลยในฝั่งของผู้เขียนบทเรื่องราวทั้งหมดยังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานอนิเมชั่นชั้นครูของ Fortiche Productions ที่สามารถผสมผสานกราฟฟิกแบบ 2D และ 3D เข้าด้วยกันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งสามารถมอบชีวิตชีวาให้กับตัวละครทุกตัวได้อย่าง “สมจริง” ทั้งในแง่ภาษากายและสีหน้า ซึ่งไม่ใช่คำชมที่มักจะนึกถึงเวลาพูดถึงผลงานอนิเมชั่นที่จัดจ้านขนาดนี้ ทำให้ภาพทุกฉากในซีรีส์มอบความรู้สึกราวกับภาพสีน้ำที่ขยับได้ และที่น่าชมมากกว่านั้นอีกคือเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ ที่สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครออกมา พร้อมนำพาอารมณ์ของผู้ชมไปด้วยอย่างแยบยลหากจะมีอะไรให้ตำหนิซะหน่อยเกี่ยวกับซีซั่นแรกนี้ โดยส่วนตัวคงเป็นเรื่องของ Pacing หรือจังหวะในการเล่าเรื่องที่รวดเร็วเหลือเกิน โดยทิ้งคำถามหลายๆ อย่างให้ผู้ชมต้องตีความคำตอบเอาเองจากบทพูดหรือองค์ประกอบในฉาก มากกว่าจะแสดงคำตอบนั้นให้เห็นตรงๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้ทำให้ผลงานด้านการอนิเมชั่นและเนื้อเรื่องโดยรวมเสียไปนัก แต่ก็อาจพูดได้ว่าซีรีส์ Arcane มักจะทำผิดกฏ “Show, Don’t Tell” (จงแสดงให้เห็น มากกว่าเล่าให้ฟัง) ของสื่อซีรีส์และภาพยนตร์บ่อยครั้งเหมือนกันยกตัวอย่างเช่นตัวละครพาวเดอร์ ที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างถึงได้เสียสติไปเช่นนี้? อะไรทำให้เด็กหญิงขี้อายไม่สู้คนในซีรีส์ตอนที่ 3 กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งที่พร้อมฆ่าคนไม่เลือกหน้า? เธอใช้ชีวิตแบบไหนมาถึงได้เก่งขึ้นขนาดนั้น?หรืออย่างความสัมพันธ์ระหว่างจิ๊งซ์และพ่อบุณธรรมอย่างซิลโก้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองถึงทำให้รักกันขนาดนั้น ถึงขนาดที่ซิลโก้พร้อมจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตและความใฝ่ฝันของตัวเองเพื่อจิ๊งซ์ได้? หรือกระทั่งพัฒนาการของเจซ จากหนุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ประสา ไปสู่ผู้นำของสภาปกครองเมือง Piltover ที่พร้อมจะเขี่ยอาจารย์ผู้นับถืออย่าง Heimerdinger ไปจากตำแหน่ง ซึ่งแลดูจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจซยังเกรงใจ Heimerdinger จนไม่กล้าเปิดเผยสิ่งประดิษฐ์ใหม่อยู่เลยแน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียง “ความเรื่องมาก” ของผู้เขียนคนเดียว และต้องยืนยันว่าผู้เขียนยังมอง Arcane เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมในระดับที่หาผลงานมาเทียบได้ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถ้าซีรีส์ให้เวลาในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ไปทีละขั้น หรือซีซั่นมีความยาวกว่านี้ซัก 2-3 ตอน ก็อาจจะมีพื้นที่มากพอจะให้เหตุการณ์ต่างๆ สามารถดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นข้อจำกัดในด้านการผลิต เพราะแค่ซีซั่นแรกนี้ก็ใช้เวลาสร้างกว่า 6 ปีแล้ว และซีซั่น 2 ที่จะตามมาก็อาจกินเวลามากกว่า 2 ปีในการผลิต สุดท้ายการใช้ทางลัดในการเล่าเรื่องบ้างจึงอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในฝั่งของผู้สร้างสุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะมีข้อตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Arcane เป็นผลงานอนิเมชั่นที่ตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับผลงานการดัดแปลงเกมสู่ซีรีส์หรือภาพยนตร์ รวมไปถึงซีรีส์อนิเมชั่นโดยรวมด้วย ที่สำคัญคือ Arcane ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับซีรีส์ League of Legends ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน และทำให้แฟรนไชส์ MOBA ที่กระแสนิยมเริ่มตกลง สามารถกลับมาฮิตติดปากทั้งเกมเมอร์และผู้บริโภคทั่วไปได้ไม่ต่างกันแม้จะมีข้อติเล็กน้อยในส่วนของจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วไปหมด แต่บอกเลยว่าถ้าผลงานในร่ม Riot Forge สามารถคงมาตรฐานที่ทั้ง Arcane และ Ruined King: A League of Legends Story ได้ตั้งเอาไว้สำหรับผลงานอื่นๆ ในอนาคต ความฝันที่จะดัน League of Legends ให้กลายเป็น “แฟรนไชส์แห่งยุคสมัย” ก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อม
23 Nov 2021
[Review] รีวิวเกม Ruined King: A League of Legends Story "JRPG ไซส์กระทัดรัดที่เพลินเกินคาด"
แฟนๆ ของเกม MOBA ยอดฮิตอย่าง League of Legends ได้รับเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ไปเร็วๆ นี้ในงาน Riot Forge x Nintendo Switch Showcase ที่จัดขึ้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผู้พัฒนา Riot Games ประกาศวางจำหน่ายเกมที่หลายคนรอคอยอย่าง Ruined King: A League of Legends Story ออกมาให้แฟนๆ ได้เล่นกันอย่างกระทันหันภายในงาน หลังจากที่ไม่ได้ปล่อยข่าวคราวอัปเดตมาซักพักใหญ่ๆ โดยเกมนี้ถือเป็นผลงานภายใต้ร่ม Riot Forge ที่ร่วมสร้างซีรีส์อนิเมชั่นสุดตระการตาอย่าง Arcane อีกด้วยหลังจากที่เล่นเกม Ruined King จนจบเนื้อเรื่อง (และทำภารกิจเสริมทั้งหมด + เก็บอาวุธในตำนานให้ตัวละครทุกตัว ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 40 ชั่วโมง) ต้องยอมรับว่าทั้ง Riot Forge และผู้พัฒนา Airship Syndicate ได้ดัดแปลงโลกและตัวละครของ League of Legends มาสู่เกม JRPG นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งระบบการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ ไปจนถึงเนื้อเรื่องและตัวละครที่เขียนมาอย่างเฉียบคมมีมิติ และยังรวมถึงการออกแบบสถานที่ต่างๆ ในเกม ที่เต็มไปด้วยความลับและปริศนาให้ผู้เล่นได้ค้นหาอยู่เสมอ จนบางครั้งก็รู้สึกว่า “วางไม่ลง” เลยทีเดียวแม้จะมีบางจุดที่ยังปรับปรุงได้ในด้านการออกแบบระบบปลีกย่อยและในเรื่องของการแก้บั๊คต่างๆ โดยเฉพาะในเกมเวอร์ชั่น Nintendo Switch แต่ Ruined King: A League of Legends Story เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นยอดว่าแม้แต่ยักษ์อย่าง League of Legends ก็ยังเติบโตได้อีกมาก การเดินทางเพื่อปัดเป่าม่านหมอกแห่งอดีตเรื่องราวของ Ruined King: A League of Legends Story จะตั้งอยู่ในเมือง Bilgewater และติดตามการเดินทางของกลุ่มฮีโร่จากจักรวาล League of Legends เพื่อหาทางยับยั้งการคืบคลานของ “หมอกสีดำ” ที่กระจายออกมาจากเกาะต้องสาป Shadow Isles ซึ่งนำพาเหล่าวิญญาณร้ายมาจู่โจมเหล่าผู้คนในเมืองอยู่เป็นระยะ พร้อมกับหยุดไม่ให้ราชาต้องสาป “Viego” (หรือ Ruined King) คืนชีพกลับมาอีกครั้งด้วยผู้เล่นจะต้องควบคุมกลุ่มตัวละครหลัก 6 ตัวจากเกม ที่ล้วนมีอดีตและจุดประสงค์ที่แตกต่างกันในการร่วมเดินทางครั้งนี้ โดยสิ่งที่ต้องชมคือตัวละครทุกตัวล้วนมี “ตัวตน” และอุปนิสัยที่ชัดเจนและแตกต่างกันมากๆ และสามารถรับ-ส่งบทกันอย่างคมคายได้ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “Sarah Fortune” ราชินีโจรสลัดแห่ง Bilgewater ผู้จมปลักกับความแค้น หรือ “Yasuo” นักดาบพเนจรที่วิ่งหนีความผิดพลาดในอดีต ตัวละครทุกตัวล้วนมี “ปม” หรือ “การยึดติด” บางอย่างที่ขับเคลื่อนการกระทำของพวกเขา ซึ่งช่วยเสริมมิติให้เรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเกมจะมีระบบฉากสนทนาระหว่างตัวละครให้ดูได้เมื่ออยู่ที่จุดพัก (คล้ายกับเกมตระกูล Tales of นั่นเอง) ซึ่งสามารถเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อีกทางด้วยในรีวิวซีรีส์ Arcane ของ GameFever ซึ่งเป็นผลงานใต้ร่ม Riot Forge เช่นเดียวกัน เราได้กล่าวชมการตัดสินใจของทีมงานเขียนบทในการใช้ “ตัวละคร” ในการนำเนื้อเรื่อง มากกว่าจะเป็นเหตุการณ์แฟนตาซีมหากาพย์ใหญ่โต เพราะเปิดโอกาสให้เล่าเรื่องราวที่ “เป็นมนุษย์” ได้มากกว่า ซึ่งคำชมนี้น่าจะสามารถใช้กับเรื่องราวส่วนใหญ่ของ Ruined King ได้เช่นเดียวกัน เพราะแม้ในภาพกว้างเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผู้กล้าและจอมมารอันชั่วร้าย แต่เหตุการณ์ระหว่างทางกลับถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผลของมนุษย์อย่างความแค้น ความกลัว ความเชื่อ หรือหน้าที่ ทำให้ผู้เล่นได้เข้าถึงตัวตนของตัวละครได้มากขึ้น ซึ่งก็ช่วยให้รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครแต่ละตัว และอยากติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สำคัญกว่านั้นอีกคือการที่เลือกใช้ปม "ความเป็นมนุษย์" ที่เข้าถึงง่ายเช่นนี้ ทำให้เกม Ruined King (และซีรีส์ Arcane ก็ด้วย) สามารถติดตามได้ง่ายแม้จะไม่ได้คุ้นเคยกับโลกหรือตัวละครเหล่านี้มาก่อน เพราะสุดท้ายเกมก็นำเสนอพวกเขาเป็นเพียง "มนุษย์" มากกว่าจะถูกตีกรอบโดย "บทบาทในเกม" ของตัวละครเหล่านั้นนอกจากนี้ เกมยังใช้ประโยชน์จาก “ความเป็นเกม” ในการเพิ่มมิติให้กับโลก Runeterra (World-Building) โดยรวมได้มากขึ้น ผ่านข้อความที่ผู้เล่นสามารถสะสมได้ในเกม รวมไปถึงภารกิจเสริม (และภารกิจลับ) ต่างๆ ที่มีให้ทำในเกม โดยหากจะต้องตำหนิซักเรื่อง คงเป็นการที่เกมมีภารกิจเสริมเหล่านี้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเกม RPG ขนาดใหญ่ทั่วไป แต่ก็เป็นข้อตำหนิจาก “ความเสียดาย” ที่เกมไม่ได้มีอะไรให้ทำหรือค้นหาเยอะกว่านี้ มากกว่าจะเป็นความผิดพลาดของตัวเกมซะเองJRPG สายลูกครึ่งตะวันตกที่ทั้งใหม่และคุ้นเคยในเวลาเดียวกันแม้จะมีองค์ประกอบและโครงสร้างแบบเกม RPG ตะวันตกจำพวก Divinity: Original Sin อยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านการเดินทางและสำรวจ แต่ระบบต่อสู้เทิร์นเบสของ Ruined King กลับมีกลิ่นอายของ JRPG อย่างเข้มข้น ซึ่งคนที่เคยเล่นผลงานก่อนหน้าของผู้พัฒนา Airship Syndicate อย่าง Battle Chasers: Nightwar มาก่อนจะเห็นได้ว่าระบบเกมหลายๆ อย่างแทบจะยกมาจากเกมนั้นหมดเลยในการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครมาร่วมปาร์ตี้ได้ทีละ 3 ตัว (จาก 6) ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป การต่อสู้จะดำเนินไปแบบเทิร์นเบสที่มีความคล้ายกับระบบ ATB ของเกม Final Fantasy หลายๆ ภาค โดยตรงด้านล่างจอจะมีแถบไทม์ไลน์ที่มีไอคอนตัวละครวิ่งอยู่ และเมื่อไอคอนของใครวิ่งมาถึงเส้นก็จะถือว่าเป็นเทิร์นของตัวละครนั้น ซึ่งผู้เล่นจะสามารถเลือกใช้สกิลได้สองชนิดคือ ‘Instant’ และ ‘Lane’สำหรับสกิลชนิด ‘Instant’ จะเป็นสกิลที่กดแล้วออกทันที เปรียบได้กับการโจมตีปกติของตัวละครแต่ละตัว ในขณะที่สกิล ‘Lane’ จะเป็นสกิลพิเศษที่มีเวลาร่าย ซึ่งเมื่อกดใช้จะต้องรอให้ไอคอนของตัวละครวิ่งกลับมาถึงเส้นอีกครั้งจึงจะปล่อยสกิลออกมา ทำให้การต่อสู้จำเป็นต้องใช้การวางแผนมากกว่าเกม JRPG เทิร์นเบสทั่วไป เพราะต้องคำนึงถึงตำแหน่งของตัวละครและศัตรูบนไทม์ไลน์ตลอดเวลา และเลือกว่าจะโจมตีทันที หรือจะรอร่ายสกิลที่รุนแรงกว่า แต่อาจเสี่ยงโดนศัตรูตบสวนก่อนสกิลจะออกได้ ที่สำคัญคือศัตรูในเกมนี้หลายตัวมักตีแรงและเลือดเยอะ แถมบางตัวยังมีเงื่อนไขที่ถ้าไม่ทำตามก็อาจกวาดตี้ลงไปกองได้เลยอีกต่างหากนอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถควบคุมระยะเวลาในการร่ายของสกิลได้ประมาณหนึ่งผ่านระบบ ‘Lane’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเกมนั่นเอง ไทม์ไลน์บอกลำดับเทิร์นของเกมจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนหรือ “เลน” ประกอบไปด้วย Speed, Balance, Power โดยในการร่ายสกิลชนิด ‘Lane’ อะไรก็แล้วแต่ จะสามารถเลือกได้ว่าจะร่ายในเลนไหน ถ้าร่ายในเลน Speed จะทำให้สกิลเบาลงแต่ออกเร็วขึ้น ในขณะที่เลน Power จะทำให้สกิลแรงขึ้นแต่ร่ายนานขึ้นไปด้วย ศัตรูบางชนิดยังมีความสามารถพิเศษที่บังคับให้ต้องใช้การโจมตีจากเลนบางเลนเท่านั้น หรืออาจวางกับดักเอาไว้ในเลนบางเลนเพื่อยับยั้งไม่ให้เราร่ายสกิลในเลนนั้นได้ด้วย ซึ่งระบบทั้งหมดนี้รวมกันทำให้การต่อสู้แต่ละครั้งมีความท้าทายและใช้การวางแผนมากกว่าเกม JRPG เทิร์นเบสทั่วไปพอสมควรการวางแผนของเกมยังครอบคลุมออกมานอกการต่อสู้ ไปถึงระบบการพัฒนาตัวละครด้วย โดยเช่นเดียวกับในเกม League of Legends ตัวละครแต่ละตัวจะมีพัฒนาการสองแบบคือ ‘Ability Point’ และ ‘Runes’ นั่นเอง ซึ่งจะได้รับอย่างได้อย่างหนึ่ง (หรือทั้งคู่) ทุกครั้งที่เลเวลของตัวละครเพิ่มขึ้นถึงจุดที่กำหนด โดย Ability Point จะใช้เพื่ออัปเกรดสกิลของตัวละครเป็นรายสกิลไป เช่นเพิ่มความเสียหายที่ทำหรือทำให้ศัตรูติดสถานะต่างๆ เมื่อถูกสกิลนี้โจมตี ในขณะที่ Runes อาจเปรียบได้กับระบบ Perk ในเกมอื่นๆ ที่จะมอบเอฟเฟกต์ติดตัวต่างๆ ให้ตัวละคร เช่น Rune หนึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการโจมตีติดคริติคอล หรือเพิ่มเอฟเฟกต์ตีดูดเลือด (Lifesteal) เป็นต้นข้อดีของระบบสกิลในเกมนี้คือการที่ผู้เล่นสามารถเลือก “ปั้น” ฮีโร่แต่ละตัวได้หลากหลายพอสมควร ตัวละคร Braum ของคุณจะเป็นแทงค์สุดถึกทนที่สามารถสร้างบาเรียป้องกันให้เพื่อนในทีมได้ หรือทำให้เขากลายเป็นนักสู้แถวหน้าที่เน้นการสะท้อนความเสียหายกลับคืนสู่ศัตรูก็ได้ หรืออย่างตัวละคร Pyke ที่สามารถปั้นเป็นยอดนักฆ่าที่เน้นปลิดชีพศัตรูในดาบเดียว หรือเป็นตัวป่วนที่เน้นแปะสถานะผิดปกติใส่ศัตรูรัวๆ ก็ได้ โดยสกิลต่างๆ ของตัวละครยังสามารถเกื้อหนุนกันไปมาได้เป็นอย่างดี ความสนุกอย่างหนึ่งของเกมจึงเป็นการหาคอมโบทีมและอัปเกรดที่ลงตัวสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปอีกด้วยผลลัพธ์คือเกม JRPG ที่มีโครงสร้างคุ้นเคย แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่รวมกันทำให้เกมรู้สึกแปลกใหม่กว่าเกม JRPG กระแสหลักหลายๆ เกม และต้องใช้การคิดวางแผนเสมอแม้กระทั่งในการต่อสู้กับศัตรูลูกกระจ๊อกทั่วไปโลกของเกมที่แม้จะไม่ใหญ่ แต่มีอะไรมากกว่าที่เห็นอย่างที่กล่าวไปข้างต้น Ruined King ยังคงเป็นเกมที่มีกลิ่นอายของตะวันตกอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในส่วนของการเดินทางและการสำรวจแผนที่เพื่อทำภารกิจเสริม โดยแม้ว่าเกมจะมีปริศนาและความลับให้ตามหา แถมโลกของเกมยังออกแบบมาได้อย่างมีสีสันและชีวิตชีวา แต่ก็มีหลายองค์ประกอบรวมกันที่ทำให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างช่วยไม่ได้เมื่อเทียบกับเกมยุคปัจจุบัน และอาจสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ผู้เล่นได้ไม่มากก็น้อยข้อดีของระบบการสำรวจในเกม Ruined King คือการที่เกมซุกซ่อนความลับเอาไว้ในมุมที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ ทำให้การสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ในเกมรู้สึกตื่นเต้นและมีจุดหมายทุกครั้ง แถมความลับหลายๆ อย่างจำเป็นต้องใช้การอ่านและศึกษาข้อมูลที่เกมเสนอให้อย่างจริงจังจึงจะไขได้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนตัวเองได้ “ค้นพบ” คำตอบด้วยตัวเองมากกว่าจะเป็นแค่การวิ่งตามหมุดไปเรื่อยๆ ในเกม RPG หลายเกมนอกจากนี้ โลกของเกมยังตอบสนองต่อทางเลือกของผู้เล่นในภารกิจเสริมเหล่านี้ด้วย ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญนัก แต่ก็ช่วยทำให้โลกของเกมรู้สึก “มีชีวิต” ราวกับว่า NPC ในเกมก็ดำเนินชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้เล่นออกเดินทางอยู่ ซึ่งจุดนี้เป็นข้อดีของเกม RPG สายตะวันตกที่เกมนำมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมแต่ในขณะเดียวกัน เกมก็มีการออกแบบหลายๆ จุดที่ทำให้รู้สึกน่าหงุดหงิดอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นการที่เกมไม่มีระบบ Fast Travel (มีแบบจำกัดมากๆ) ซึ่งเมื่อนำมารวมกับระบบภารกิจเสริมที่มักให้ผู้เล่นย้อนกลับไปสำรวจพื้นที่เก่าๆ ที่ผ่านมาแล้วบ่อยครั้ง ทำให้การเดินทางในเกมนี้กินเวลามากกว่าที่จำเป็นไปมาก แถมตัวละครก็ยังเดินช้าเหลือเกิน แม้กระทั่งในขณะที่วิ่งอยู่ก็ยังช้า จนบางครั้งก็อดรำคาญไม่ได้เมื่อจำเป็นต้องย้อนกลับไปสำรวจพื้นที่เหล่านี้นอกจากนี้ แม้จะไม่มีการต่อสู้แบบ Random Encounter (เจอศัตรูแบบสุ่มเหมือนเกม JRPG คลาสสิค) แต่ศัตรูในเกมก็หูตาไวมากๆ ยืนอยู่อีกฟากห้องก็ยังอุตส่าห์เห็น และตราบใดที่ผู้เล่นไม่สามารถวิ่งหนีออกจากระยะสายตาของศัตรูได้ทัน ศัตรูจะวิ่งไล่กวดเราทั่วแผนที่ได้เลยโดยไม่ยอมแพ้ หมายความว่าบ่อยครั้งเวลาย้อนกลับไปสำรวจพื้นที่เก่าๆ ก็จะต้องต่อสู้กับศัตรูไปด้วยตลอดทางอย่างหลีกเลี่ยงแทบไม่ได้ ยิ่งช่วงท้ายๆ เกมที่ศัตรูเริ่มเก่งขึ้น ยิ่งทำให้การเดินทางเก็บภารกิจเสริมมีความน่าปวดหัวอยู่ไม่น้อยอีกระบบที่รู้สึกเก่ามากๆ คือการที่ผู้เล่นไม่สามารถสับเปลี่ยนตัวละครในปาร์ตี้ได้ยกเว้นจะเจอจุดพักเท่านั้น แม้กระทั่งเวลาอยู่ในเมือง ซึ่งน่าหงุดหงิดเวลาที่เจอปริศนาหรือพัซเซิ่ลในฉากที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษของตัวละครตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะในการแก้ และทำให้การทดสอบทีมหรือคอมโบใหม่ๆ ทำได้ลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะต้องคอยวิ่งไปกลับระหว่างจุดเซฟที่อยู่แสนไกลเพื่อทดสอบตัวละครนอกจากปัญหาที่กล่าวไป ยังมีองค์ประกอบย่อยๆ อื่นๆ ที่ถ้าปรับปรุงได้จะทำให้เกมสนุกขึ้นกว่านี้อีก เช่นการที่เกมไม่มีแผนที่มินิแมพ ทำให้ต้องคอยหยุดเปิดแผนที่อยู่เนืองๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่น หรือการที่ไม่สามารถกดข้ามคัตซีนได้ (สำหรับกรณีที่ต้องสู้บอสที่มีคัตซีนขั้นหลายครั้ง) รวมไปถึงระบบ Auto-Save ของเกมที่ดูจะทำงานแบบไม่ค่อยสม่ำเสมอ ทำให้ผู้เล่นต้องคอยเซฟเกมเองบ่อยๆ ไม่งั้นเวลาตายก็เตรียมเล่นเกมใหม่จากการเซฟครั้งล่าสุดได้เลย โดยองค์ประกอบทั้งหมดนี้แม้จะไม่ได้ส่งผลเสียต่อ “แก่นหลัก” ของเกมเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำให้ประสบการณ์การเล่นเสียไปบ้างเหมือนกัน และถ้าแก้ได้ก็จะทำให้ประสบการณ์โดยรวมมีความราบรื่นกว่านี้เยอะภาพสวยสบายตา กับราคาด้านเทคนิคเช่นเดียวกับในซีรีส์ Arcane ที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ต้องกล่าวชมวิสัยทัศน์ในการ “สร้างโลก” ของ Riot มากๆ แม้จะไม่ใช่เกมทุนใหญ่ระดับร้อยล้าน แถมยังพัฒนาด้วยทีมงานขนาดเล็ก แต่ Ruined King ก็ยังสามารถนำเสนอกราฟฟิกในเกมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผู้พัฒนา Airship Syndicate สามารถตีความสถานที่ต่างๆ ในเกมออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทุกซอกทุกมุมมีรายละเอียดที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของสถานที่นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองโจรสลัด Bilgewater ที่บางพื้นที่ดูจะสร้างมาจากเรืออัปปางขนาดใหญ่หลายๆ ลำประกอบกัน หรืออย่างโซน Shadow Isles ก็ล้วนอัดแน่นไปด้วยซากแห่งอดีตที่บ่งบอกถึงอารยธรรมที่สาบสูญของผู้คนก่อนที่ราชามาร Viego จะทำลายทุกสิ่ง ทุกกระเบียดนิ้วของเกมถูกอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดที่ช่วยในการ “ขยายโลก” (World-Building) ของเกมให้มีมิติและประวัติศาสตร์ของตัวเองจากการทดลองเล่นเกมทั้งบน Nintendo Switch และ PC (ผู้เขียนเริ่มเล่นบน Switch แล้วยืมไอดีเพื่อนเล่นใน PC) สิ่งหนึ่งที่ต้องย้ำกับท่านผู้อ่านทุกท่านคือถ้าเลี่ยงได้ ให้เลี่ยงการเล่นเกมนี้บน Nintendo Switch ไปก่อนจนกว่าผู้พัฒนาจะออกแพทช์แก้ตัวเกมมากกว่านี้ เพราะแม้ภาพกราฟฟิกแนวการ์ตูนของเกมจะทำออกมาได้สวยงามตามมาตรฐาน แต่ก็แลกมาด้วยปัญหาด้านเทคนิคมากมายที่ส่งผลลบต่อประสบการณ์การเล่นเกมอย่างใหญ่หลวงอย่างแรกคือการที่เฟรมเรตของ Switch มักจะตกลงทุกครั้งที่เดินผ่านสถานที่บางแห่ง หรือกระทั่งในแผนที่นั้นทั้งแผนที่เลยก็มี ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความลำบากในการวิ่งหลบศัตรูหรือกับดักในฉาก การที่เกมแลคมากๆ ยังนำไปสู่ปัญหาบั๊คอื่นๆ ได้อีก เช่นกดคุยกับ NPC แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น พัซเซิ่ลไม่ทำงาน หรือบางทีก็อาจถึงขั้นส่งเควสไม่ผ่านไปเลยก็มี (ไอเทมหายไปจากกระเป๋าแต่เควสไม่ผ่าน) ซึ่งในกรณีของผู้เขียนเป็นเควสเนื้อเรื่องด้วย แต่โชคดีที่เซฟไว้ก่อนหน้านั้นพอดีเลยโหลดเซฟใหม่มาแก้ได้ ถ้าใครไม่ได้เซฟมาก่อนและเจอแบบนี้เข้าไปก็อาจต้องย้อนกลับไปเล่นไกลเลยก็เป็นได้การเล่นเกมใน PC (และเชื่อว่าใน PlayStation หรือ Xbox ด้วย) ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ เพราะเกม Ruined King ยังมีบั๊คยิบย่อยประปรายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างความรำคาญมากกว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเล่น ในกรณีของผู้เขียนที่ต่อจอย Xbox One เล่นใน PC มักจะพบปัญหาแปลกๆ ที่ทำให้ไม่สามารถกดปุ่ม “ลง” บนจอยเกมได้ในขณะที่ต่อสู้ ซึ่งก็ทำให้ไม่สามารถเลือกเป้าหมายการโจมตีได้ไปด้วย สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เมาส์เล่นจึงจะเลือกเป้าหมายได้ตามปกติ ซึ่งต้องเข้า-ออกเกมใหม่จึงจะแก้ปัญหานี้ได้ หรือปัญหาเควสที่ทำเสร็จไปแล้วยังค้างอยู่ในหน้าต่างรวมเควส หรือปัญหาที่จู่ๆ ก็พูดกับ NPC ไม่ได้ โดยทั้งหมดแก้ได้ด้วยการปิด-เปิดเกมใหม่จึงไม่ได้หนักหนานัก ถ้าพูดภาษาบ้านๆ ก็อาจบอกได้ว่าปัญหาเหล่านี้ “ทำให้ดูออกว่าเป็นเกมทุนต่ำ” นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแก่นของเกมจะไม่ดีเช่นเดียวกันทั้งนี้ หากคุณเป็นแฟนของแฟรนไชส์ League of Legends และ/หรือเป็นคนที่สนใจจะทำความรู้จักกับจักรวาลนี้มากขึ้น Ruined King: A League of Legends Story ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่จะให้คุณได้สัมผัสกับโลก Runeterra ในอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือในการสร้างโลกของ Riot ที่น่าสนใจและมีมิติไม่น้อยไปกว่าในซีรีส์ Arcane อันยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เกมอาจจะยังมีจุดบกพร่องอยู่ไม่น้อย แต่ถ้ามองข้ามไปได้ สิ่งที่รอคุณอยู่คือเกม JRPG น้ำดีที่สร้างความเพลิดเพลินให้คุณได้ไม่น้อยไปกว่าเกมฟอร์มใหญ่หลายๆ เกมเลยทีเดียว
22 Nov 2021
รีวิว Halo Infinite (โหมด Multiplayer) ถึงจะเรียบง่าย แต่กลับสนุกจนหยุดไม่ได้
เป็นภาคแรกของเกมซีรีส์ Halo ที่ทางผู้พัฒนาเปิดให้ชาว PC ได้เล่นกันด้วยหลังจากที่เกือบทุกภาคนั้นลงให้กับแค่เครื่อง Xbox เท่านั้นกับเกมอย่าง Halo Infinite และยิ่งที่พิเศษก็คือทางผู้พัฒนาได้เปิดให้เล่นโหมด Multiplayer ฟรีๆ ไม่เสียเงินอีกด้วย (แต่โหมดเนื้อเรื่องต้องซื้อเกม) ซึ่งทำให้ทางเรา GameFever TH ได้มีโอกาสเข้าไปลองเล่นโหมด Multiplayer ในเกมนี้ในช่วง Beta และจากที่ตัวผู้เขียนเองไม่เคยได้ลองเล่นเกมนี้เลยซักภาค จึงทำให้มีความสงสัยใคร่รู้ว่าทำไม Halo ถึงเป็นซีรีส์ที่ชาว Xbox ลงรักมายาวนานกว่า 20 ปี โหมดการเล่นของเกม Halo Infinite นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 โหมดใหญ่ๆ นั่นคือ Quickplay, Big Team Battle, Ranked ArenaQuickplay เป็นโหมดการเล่นแบบ 4v4 ที่จะแบ่งออกเป็นโหมดย่อยๆ 3 โหมดคือ - Capture The Flag: โหมดชิงธงที่เราจะต้องวิ่งไปเอาธงฝ่ายตรงข้ามมาไว้ที่ฝ่ายเรา - Strongholds: โหมดยึดจุดเพื่อทำคะแนน - Slayer: เป็นโหมด Team Deathmatch ฆ่าให้ได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามBig Team Battle เป็นโหมดที่สเกลจะใหญ่ขึ้น จำนวนผู้เล่น 12v12 แผนที่ใหญ่ขึ้น แบ่งเป็นทีมละ 4 คน และมียานพาหนะให้ใช้ โดยจะมีโหมดการเล่นแบ่งออกเป็น 4 โหมดคือ - Slayer: โหมด Team Deathmatch - Capture The Flag: โหมดชิงธง - Stockpile: โหมดที่เราจะต้องเก็บของตามแผนที่มาใส่ไว้ที่ฐานเราให้ได้ 5 ชิ้นก่อนฝ่ายตรงข้าม - Total Control: โหมดยึดจุดที่เราจะต้องแย่งฝ่ายตรงข้ามยึดให้ครบ 3 จุดRanked Arena คือโหมด 4v4 ที่เราจะสามารถเล่นเพื่อไต่ Rank ขึ้นไปได้ โดยจะมีโหมดการเล่นย่อยๆ ด้วยกัน 4 โหมดคือ - Slayer: โหมด Team Deathmatch - Strongholds: โหมดยึดจุดเพื่อทำคะแนน - Capture The Flag: โหมดชิงธง - Odd Ball: คือโหมดที่เราจะต้องแข่งฝ่ายถือลูกบอลกระโหลกเพื่อทำคะแนนให้ครบตามจำนวนเกมเน้นยิงตายช้า แต่ก็สนุกไปอีกแบบโดยสิ่งที่ทำให้ Halo ไม่เหมือนเกมไหนๆ ก็คือระบบการเล่นที่มีสปีดค่อนข้างช้าต่างจากเกม Call of Duty และ Battlefield ที่เน้นเกมเพลย์ที่ไวกว่า นอกจากนี้ระบบเลือดของเกมก็ออกแบบมาให้เรายิงศัตรูตายช้าพอสมควร บางปืนอาจจะต้องยิงเป็นแม็กกว่าจะตาย ซึ่งหลายๆ คนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นชินเพราะหลายๆ เกมที่เราเล่นมักจะเป็นเกมที่อาศัยจังหวะเสี้ยววิในการฆ่าศัตรู ยิงสองสามคนให้ตายภายในไม่กี่วินาที แต่ข้อดีของการที่ตัวเกมยิงกันตายนานก็คือมันช่วยให้เรามีเวลาในการคิดหรือสามารถหลบลีกศัตรูได้ทัน รวมถึงมันยังเหมาะสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเล่นเกมนี้ หรือเล่นเกม FPS ไม่เก่งมาก ให้คุณได้มีโอกาสตั้งหลักและหันกลับไปสวนได้ทัน ทำให้เกมนี้เวลาเล่นเราอาจจะไม่ได้รู้สึกเจอคนเทพเหนือมนุษย์ขนาดนั้น (จริงๆ มันมีคนเก่งแหละ แต่เราก็ยังสู้ได้และรู้สึกสนุกอยู่ )และถึงแม้ว่าภายในเกมจะมีหลายโหมดให้เล่น แต่ระบบโครงสร้างการต่อสู้จะค่อนข้างเหมืองกันหมด ก็คือในตอนเริ่มต้นทุกๆ คนจะได้รับปืนชนิดเดียวกันทั้งหมด ปืนหลักหนึ่ง ปืนพกหนึ่ง และระเบิด 2 ลูก แต่ภายในแผนที่นั้นจะมีปืนพิเศษให้เราเก็บตามมจุดต่างๆ ซึ่งปืนเหล่านี้จะมีให้เลือกเล่นหลากหลายมากอย่างเช่นปืนสไนเปอร์ ปืนบาซูก้า หรือจะเป็นพวกอาวุธระยะประชิดอย่างมีด หรือค้อนเป็นต้น ซึ่งถ้าหากว่าคุณได้ปืนและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันค่อนข้างมีประโยชน์และช่วยให้เราได้เปรียบขึ้นความรู้สึกหลังเล่นถ้าให้พูดตามตรงโหมด Multiplayer ของเกม Halo นั้นค่อนข้างที่จะเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนใดๆ แต่ไอ้ความเข้าถึงง่ายนี่แหละมันกลับทำให้เรารู้สึกติดพันและสนุกกับเกมเป็นอย่างมากเพราะไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมากเลย และอย่างที่กล่าวไปว่าการที่เกมนั้นถูกดีไซน์มาให้ฆ่ากันตายค่อนข้างยาก มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกว่าเจอคนเล่นที่จะสามารถ One Man Show คนเดียวได้ ทำให้การเล่นต่างๆ จำเป็นต้องเล่นกันเป็นทีมเวิร์คในระดับหนึ่ง เพราะการที่จะฆ่าศัตรูให้ตายไวที่สุดคือการช่วยกันลุมยิงนี่แหละ รวมถึงยิ่งถ้าหากเวลาเราเล่นในโหมด Ranked Arena ด้วย ทำให้เกมต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมมากขึ้นไปอีกนอกจากนี้ระบบอาวุธของเกมที่ทำมาที่ทุกคนจะมีปืนเหมือนกันหมด ส่วนตัวค่อนข้างชอบเลย เพราะมันทำให้ตัวเกมมีความเท่าเทียมกันในการเล่น ส่วนถ้าหากคุณอยากไปเก็บปืนดีๆ มาใช้ คุณก็จะต้องใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด แต่ต่อให้เจอปืนดีๆ มาใช้ ถ้าหากทีมเวิร์คไม่ดีก็อาจจะมีสิทธิ์แพ้ได้เช่นกัน ซึ่งตัวระบบนี้มันทำให้เราหมดกังวลเรื่องเกมจะต้อง Pay to Win กับเล่นเพื่อปลดล็อคปืนดีๆ ไปได้เลย มันเหมาะกับตัวผู้เขียนมากที่อาจจะไม่ใช่คนที่เล่นเกมแนวนี้ได้ทั้งวัน (เพราะด้วยธุระและอายุที่มากขึ้น) แต่ก็สามารถที่จะกลับมาเล่นได้เรื่อยๆ และไม่ต้องกังวลว่าจะตามเลเวลคนอื่นไม่ทัน เพราะทุกคนเท่าเทียมแต่ถามว่าข้อเสียของเกมนี้มันมีไหม ก็ต้องบอกว่าเรื่องการ Optimise กราฟิกบนเครื่อง PC ยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไร ต้องยอมรับว่าตัวเกมค่อนข้างมีปัญหาเรื่องนี้มาก เพราะว่ากราฟิกของเกมนี้ก็ยังเอา Engine จากเกม Halo 5 ที่วางจำหน่ายมาแล้วว่า 6 ปีมาใช้ (แถมดูดีๆ กราฟิกของ Halo Infinite ทำได้แย่กว่าด้วยซ้ำ) แต่ตัวเกมกลับกินสเปคบนเครื่อง PC เป็นอย่างมาก ส่วนตัวมองว่ากราฟิกของเกมนี้ไม่ได้สูงอะไร แต่คอมพิวเตอร์ I5 8400 + GTX 1060 6B ยังรันเฟรมเรทของเกมนี้ได้เพียงแค่ 60-65 FPS เท่านั้น เปรียบเทียบกับ Call of Duty: Vanguard ที่ภาพสวยกว่าหลายขุมแต่คอมพิวเตอร์เครื่องนี้สามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 70-100 FPS รวมถึงปัญหาเรื่องเกมเด้งออก เกมแคชก็มีให้เห็นมากอยู่พอสมควรสุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าเรื่องการ Optimise ของเกมจะยังมีปัญหา แต่เกมเพลย์ของ Halo Infinite ก็ยังยอดเยี่ยม เรียบง่าย เข้าถึงง่าย ตัวเกมอาจจะไม่ได้หวือหวาเท่า Battlefield, Valorant หรือเกมอื่นๆ แต่มันกลับกลายเป็นเกมที่คุณหยุดเล่นมันไม่ได้ หรือคิดถึงมันตลอดเวลา ตัวเกมมันอาจจะไม่ใช่เกมที่คุณเล่นเป็นหลัก แต่ถ้าหากคุณเบื่อๆ เมื่อไร คุณก็จะสามารถเปิดมันเข้ามายิงได้ทุกเมื่อ ด้วยเวลาแต่ Match ที่ไม่ได้สูงมาก (ราวๆ 12-15 นาที) ถือว่าเป็นเกมที่เล่นฆ่าเวลาได้อย่างดี! โอเครออะไรกัน !! ไปโหลดมาเล่นกันได้เลย ร้านค้า Steam
19 Nov 2021
[Review] รีวิว Final Fantasy Vll: The First Soldier "เกม Battle Royale ที่หวังเสริมจักรวาลหลัก แต่กลับตกม้าตาย"
ในวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทาง Square Enix ได้เปิดให้บริการ Final Fantasy Vll: The First Soldier บนแพลตฟอร์มมือถือ แต่ด้วยปัญหาทางด้านเซิร์ฟเวอร์ในวันเปิดตัว จึงทำให้ผู้เล่นถล่มรีวิวแง่ลบจำนวนมาก จนพูดได้ว่าเปิดตัวไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก กับเกมที่ยืมชื่อแฟรนไชส์ยักษ์ใหญ่อย่าง Final Fantasy มาใช้ โดยฝั่ง Google Play ทำคะแนนไปได้เพียง 3.0/5 และฝั่ง App Store ทำคะแนนไปได้ 3.8/5 เท่านั้นแต่ว่าถ้าไม่นับปัญหาด้านเซิร์ฟเวอร์แล้ว เกมนี้คู่ควรที่จะได้รับคะแนนเพียงเท่านั้นไหม รีวิวนี้มีคำตอบ!!เกมแนว Battle Royale ที่มีฉากหลังเป็นโลกของ Final Fantasyด้วยความสำเร็จของเกมแนว Battle Royale จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้ผู้พัฒนาเกมต่างๆ เริ่มตบเท้า ก้าวเข้าสู่เกมประเภทนี้กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งทาง Square Enix ได้ลองเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยการเอาหนึ่งในเกมแฟรนไชส์ชื่อดังประจำบริษัทอย่าง Final Fantasy มาร่วมลุยในสมรภูมิเกม Battle Royale ในยุคนี้เช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ ทางผู้พัฒนายังได้เลือกใช้ฉากหลังเป็นตัวเกมภาค 7 ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคที่มีฐานแฟนๆ เหนียวแน่นมากที่สุด ในระดับที่แทบจะเรียกว่า "แตะต้องไม่ได้" เลยทีเดียว ต้องยอมรับว่า นี่เป็นอีกหนึ่งในเกมที่เกมเมอร์หลายคนทั่วโลกต่างพากันจับตามองว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่30 ปี ก่อนเนื้อเรื่องในภาค 7“เนื้อเรื่อง” เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้ซีรีส์เกม Final Fantasy โด่งดังจนครองใจแฟนๆ มาตั้งแต่ยุคก่อน ทว่าในเกมนี้กลับมีเนื้อเรื่องที่ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร โดยตัวเกมจะเกริ่นนำบอกเพียงแค่ว่า เหตุการณ์ในเกมคือเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเนื้อเรื่องในภาค 7 ถึง 30 ปี แล้วก็ตัดทิ้งเสียดื้อๆ ไม่มีการบอกกล่าวอะไรต่อทั้งนั้น มีเพียง Cutscene สั้นๆ ทิ้งให้ผู้เล่นเกิดคำถามมากมายในหัวเบื้องต้นทางเว็บไซต์ออฟฟิเชียลของตัวเกมได้ระบุว่า ตอนนี้ตัวเกมอยู่ใน Season 1: Rise of Shinra นั่นจึงทำให้เราอาจจะพอคาดหวังได้ว่า เนื้อเรื่องจะตามมาในภายหลัง หรือตามมาในซีซันอื่นๆ ก็เป็นได้ (ปัจจุบันตัวเกมมีเพียงแค่โหมด Multiplayer ที่ให้เลือกเล่นแบบ Solo หรือ Squad 3 คน เท่านั้น) แต่ด้วยแนว Battle Royale ของเกมก็ไม่มั่นใจว่าเกมจะใช้วิธีไหนในการเล่าเรื่อง โดยเกมแนวเดียวกันที่สามารถนำเสนอเส้นเรื่องที่มีความต่อเนื่อง "ได้บ้าง" ยังมีอยู่น้อย และส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสื่อ "นอกเกม" อย่างคลิปวิดีโอในการเล่าเรื่อง ต้องรอดูต่อไปว่าผู้พัฒนาจะมีวิธีใหม่ๆ เด็ดๆ อะไรมารองรับเกมที่เน้นเนื้อเรื่องอย่างซีรีส์ Final Fantasyการเล่นที่ผสมกลิ่นอายของความเป็น RPGระบบภายในเกม Final Fantasy Vll: The First Soldier ถือว่าค่อนข้างแปลกใหม่เมื่อเทียบกับเกม Battle Royale ทั่วๆ ไปเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะมีระบบสูตรสำเร็จของแนว Battle Royale อย่างการสุ่มไอเทม โดดร่ม วงบีบแล้ว ทางผู้พัฒนาได้ผสมกลิ่นอายความเป็น RPG เข้ามาด้วย ทำให้เกมดูลึกขึ้น เล่นยากขึ้น และน่าสนุกขึ้นไปในเวลาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นระบบ Mastery ที่ผู้เล่นจะต้องเลือกคลาสก่อนเข้าเกม โดยแต่ละ Mastery จะเป็นตัวกำหนดสไตล์การเล่นในแมตช์นั้นๆ ได้เลย โดยในปัจจุบันมี Mastery ทั้งหมด 5 คลาส ได้แก่:Warrior สายนักดาบ ที่เน้นเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว และทำดาเมจได้รุนแรง เป็นคลาสที่มีความสมดุลสูง เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่Sorcerer คุมโซนอยู่ห่างๆ ฟื้นฟูมานาไว ทำให้ใช้ Materia (เวทมนตร์) ได้บ่อยยิ่งขึ้นและแรงขึ้น  ปั่นป่วนในการต่อสู้ได้ดีMonk มีความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิตสูงกว่าคลาสอื่นๆ แต่ต้องแลกมาด้วยระยะการโจมตีประชิดที่ใกล้กว่าคลาสอื่นเช่นกันRanger เหมาะสำหรับคนที่ชอบใช้ปืนยิงทำดาเมจ พกกระสุนได้เพิ่มขึ้น รีโหลดไวขึ้น และสามารถสแกนศัตรูในรัศมีสกิลได้Ninja สายพริ้ว กระโดดได้สองครั้ง เพิ่มความคล่องตัวในการขึ้นที่สูง และการหลบหลีกดาเมจระหว่างต่อสู้ทุก Mastery จะมีความสามารถตั้งต้นมาให้ 3 อย่าง โดยเป็นแบบ Active ที่กดใช้ได้ เรียกว่า Ability 1 อย่างและแบบ Passive ที่แสดงผลเมื่อตรงตามเงื่อนไข เรียกว่า Trait และ Skill (Trait จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้) ซึ่งในการจะปลดล็อก Ability หรือ Skill ใหม่ๆ นั้น ผู้เล่นจะต้อง เล่น Mastery เดิมซ้ำๆ จนเลเวลถึงในจุดที่กำหนด จากนั้นผู้เล่นจะได้รับโทเคนใช้ปลดล็อกความสามารถที่ต้องการออกมา โดยในปัจจุบัน โทเคนจะได้ทุกเลเวล 5, 10, 15 และ 20 ครบกับความสามารถที่ปลดล็อกได้พอดีไม่ขาดไม่เกินต่อกันด้วยอีกหนึ่งระบบชูโรงของเกม อย่างระบบเวทมนตร์ Materia ซึ่งมีลักษณะเหมือนเวทมนตร์ที่มีความสามารถหลากหลาย ระยะการใช้งานจะอยู่ตั้งแต่ระยะใกล้จนถึงระยะกลาง แน่นอนว่า Materia แต่ละประเภทมีความสามารถ มานาที่ใช้ และความหายาก แตกต่างกัน โดยผู้เล่นหนึ่งคนจะเลือกหยิบ Materia ติดตัวไปได้แค่ 3 ชนิดเท่านั้น และถ้าหากว่า พบ Materia อันเดิมซ้ำๆ ยังสามารถเก็บเข้ามา เพื่อเพิ่มเลเวลให้กับ Materia ได้ด้วย (สูงสุดที่เลเวล 3)ปัจจุบันมี Materia ทั้งหมด 10 ประเภท ได้แก่Fire ยิงลูกไฟออกไปในทิศทางที่เลือก เล็งยาก แต่มีโอกาสทำให้ศัตรูกระเด็น และช่วยบีบทางหนีของศัตรูBlizzard ตั้งเสาน้ำแข็งขึ้นมา โดยเสาน้ำแข็งจะช่วยโจมตีศัตรูที่อยู่ในระยะทำการThunder เรียกฟ้าผ่าในบริเวณที่กำหนดCure เพิ่มพลังชีวิตโดยไม่ต้องใช้โพชั่นให้กับตัวละครในบริเวณใกล้เคียงComet เรียกดาวตก ออกมาทำดาเมจใส่พื้นที่เป็นวงกว้างAero วางสนามลมไว้ที่พื้น เมื่อผู้เล่นเดินไปเหยียบ จะส่งให้ตัวละครพุ่งขึ้นกลางอากาศ เหมาะสำหรับใช้ขึ้นที่สูงเพื่อมองหาศัตรู Raise ใช้ชุบเพื่อนที่ล้มอยู่ด้วยความรวดเร็วBlind ปาระเบิดควันออกไป บดบังทัศนวิสัยภายในพื้นที่Gravity วางกับดักเอาไว้ในบริเวณใกล้ๆ หากมีศัตรูมาเหยียบ กับดักจะทำงาน ส่งผลให้เดินช้าลง และไม่สามารถโจมตีได้ (คนที่ใช้เวทนี้สามารถโดนผลของกับดักได้เช่นกัน)Bio สร้างควันพิษในบริเวณที่กำหนด ทำดาเมจต่อเนื่องและนอกจาก Materia แบบปกติแล้ว ยังมี Materia พิเศษที่จะพบได้ใน Supply Drop เท่านั้น นั่นคือ Summon Materia หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า มนตร์อสูร ของชาว Final Fantasy นั่นเองอสูรที่อัญเชิญมาได้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล Ifrit อสูรเพลิง กับ Shiva อสูรน้ำแข็ง ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี โผล่มาแทบทุกภาค โดย Ifrit จะทำดาเมจรอบตัวด้วยคลื่นไฟ และ Shiva จะสโลว์ศัตรูรอบตัวด้วยคลื่นน้ำแข็ง ทว่าอสูรที่อัญเชิญมานั้นก็ไม่ได้โกงอย่างที่คิด เพราะอสูรถูกอัญเชิญในช่วงท้ายของเกม พวกมันจะเข้าสู่สถานะ Frenzied ที่จะทำดาเมจไม่เลือกหน้า ดังนั้นควรคิดให้ดีก่อนที่จะใช้ด้วย ถึงแม้มันจะเท่บาดใจแค่ไหนก็ตามองค์ประกอบยิบย่อยแต่ก็สำคัญ ช่วยผลักดันความลึกของเกมทั้งนี้ความเป็น RPG ของ Final Fantasy Vll: The First Soldier ยังไม่หมด นอกจากระบบการเล่นหลักที่ตัวเกมนำเสนอแล้ว ยังมีระบบเล็กๆ แต่ก็มีผลต่อเกมการเล่นเช่นกันไม่ว่าจะเป็นระบบ XP ที่ผู้เล่นจะได้รับค่าประสบการณ์จากการสังหารมอนสเตอร์ สังหารผู้เล่น และเอาชีวิตรอดไปผ่านรอบต่างๆ ไปได้ ยิ่งผู้เล่นมีเลเวลเพิ่มขึ้น พลังชีวิต มานา และเลเวลาของความสามารถติดตัว ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยแน่นอนว่า เมื่อพูดถึงค่าประสบการณ์สไตล์เกม RPG มอนสเตอร์ก็คือสิ่งที่ขาดไปได้ และเกมนี้ก็ใส่เข้ามาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ลูกกระจ๊อกจัดการง่ายๆ ไปจนถึงบอสที่ต้องเอาทั้งทีมรุมยิงกันหืดขึ้นคอ ผลตอบแทนที่ได้จากการสังหารมอนสเตอร์แล้ว นอกจาก XP ก็จะมีไอเทมพิเศษเฉพาะตัวมอนสเตอร์อีกด้วย เช่น “Bomb” มอนสเตอร์ลูกไฟที่ตีโคตรแรง ทว่าถ้าผู้เล่นจัดการมันลงได้ มีโอกาสที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้จะดรอปปืนยิงระเบิดสุดหายากมาให้ผู้เล่นได้ใช้กันตั้งแต่ช่วงต้นเกมกันไปเลยทั้งนี้มอนสเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ช่วยสร้างสีสรรค์ในตัวเกมได้เป็นอย่างดี เพราะหากพื้นที่เล่นอยู่ใกล้ๆ กับจุดเกิดของมอนสเตอร์ มีโอกาสสูงเลยทีเดียวที่พวกมันจะเข้ามาแจมระหว่างการดวลกันของผู้เล่นอีกด้วยและเมื่อพูดถึงการต่อสู้ อีกหนึ่งอย่างที่ห้ามลืมเลยคือ ระบบสถานะ Stagger ระบบนี้จะทำงานเมื่อผู้เล่น หรือมอนสเตอร์โดนดาเมจติดต่อกันภายในระยะเวลาหนึ่ง เมื่อถึงจุดที่กำหนด ตัวละครนั้นจะเข้าสู่สถานะ Stagger ทันที ซึ่งสถานะนี้จะทำให้ผู้เล่นถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ส่วนมอนสเตอร์จะติดสตัน ไม่สามารถโจมตีหรือขยับได้ไปชั่วครู่ นอกจากนี้ ตัวเกมยังให้โบนัสสำหรับผู้เล่นที่ใช้อาวุธระยะประชิด ด้วยการเพิ่มให้ค่า Stagger ของศัตรูที่โดนหวดขึ้นเร็วกว่าโดนกระสุนปืนยิง ปิดท้ายด้วยระบบเครื่องประดับ ที่สร้างความแตกต่างอีกหนึ่งชั้น ตัวละครจะเก็บเครื่องประดับได้แค่สองชิ้นเท่านั้น ซึ่งเครื่องประดับต่างๆ จะทำหน้าที่เหมือนบัฟติดตัวที่ให้สถานะแตกต่างกันไป เช่น ได้รับ XP เพิ่มขึ้น 20 % เมื่อฆ่ามอนสเตอร์, เคลื่อนที่ไวขึ้น 20% เมื่ออยู่ในสถานะนั่งย่อ หรือสามารถมองเห็น Safe Zone จุดต่อไปได้ เป็นต้นจะเห็นว่า ระบบของเกม Final Fantasy Vll: The First Soldier นั้นมีความเป็น RPG สูงมาก ผู้เล่นต้องใช้ทักษะต่างๆ ผสมผสานเข้าด้วยกัน ปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม ไอเทมที่มี และสถานการณ์ที่กำลังเจอ นั่นจึงทำให้ทุกการปะทะในเกมนี้ เต็มไปด้วยจังหวะเข้าทำ และการพลิกแพลงอยู่เสมอ ทั้ง Mastery ที่ผลักดันสไตล์ส่วนตัวของผู้เล่น และสร้างจุดได้เปรียบ เสียเปรียบระหว่างตัวละครต่างๆ ขึ้นมา แถมตัวเกมยังทำให้ดาเมจจากการโจมตีระยะประชิดรุนแรงกว่าปืนเสียอีก นี่จึงผลักดันให้ผู้เล่นสายระยะประชิดอย่าง Warrior และ Monk มีแรงจูงใจในการเล่นมากขึ้นอีกด้วยนอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง ระบบ Indicator ที่ช่วยบอกเสียงเท้า เสียงปืน และตำแหน่งของกล่องใส่ไอเทมคร่าวๆ อีกด้วย ระบบนี้จะอำนวยความสะดวกแก่คนที่ไม่ได้ใส่หูฟัง หรือปิดเสียงระหว่างเล่นได้เป็นอย่างดี ถ้าผู้เล่นใช้ประโยชน์จากระบบนี้ได้เต็มที่ ต่อให้เป็นตัวระยะใกล้ ก็สามารถดักเซอร์ไพรส์ตัวละครระยะไกล และปิดเกมในเวลาอันรวดเร็วได้ทันท่วงทีระบบการเก็บของอัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้เล่นมือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องเก็บไอเทมชิ้นไหน ระบบนี้จะช่วยแยกของที่ผู้เล่นต้องการ และคอยเก็บไอเทมที่มีระดับสูงกว่าให้ภายในทันทีที่เจอปิดท้ายด้วยการโดดร่มแบบเลือกจุดโดดเองได้ โดยปกติในเกม Battle Royale ยอดฮิตอย่าง PUBG, Apex Legend หรือ Fornite จะต้องโดดไปตามเส้นทางของเครื่องบิน แต่ใน Final Fantasy Vll: The First Soldier นั้น แต่ละ Squad จะมีเฮลิคอปเตอร์ของใครของมัน แยกกันไปเลย ให้อิสระแก่ผู้เล่นในการเลือกจุดลงจอดเองได้เต็มที่การตั้งค่าที่ละเอียดยิบ แต่ดันพลาดของสำคัญเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ Community ในเกมนี้บ่นกันให้แซ่ด กับการตั้งค่าที่ละเอียดมาก มีตั้งแต่การปรับแยกเสียงสภาพแวดล้อม เสียงพูด เสียงไมก์ เสียงเพลง หรือการตั้งค่าความเร็วกล้องในตอนที่เราใช้ตัวซูมระยะต่างๆ ที่มีละเอียดตั้งแต่ x1 ไปจนถึง x8 แต่ตัวเลือกตั้งค่าที่ทำมาให้เลือกยิบย่อยขนาดนี้นั้น กลับขาดระบบสำคัญสำหรับเกมบนมือถืออย่าง Gyroscope ไปวางตำแหน่งปุ่มได้ทุกปุ่ม แต่ดันไม่มีให้ตั้งค่า Gyroscope ซะงั้นระบบนี้ถือเป็นหนึ่งในระบบสำคัญของเกมแนว Shooter บนมือถือ เพราะจะช่วยให้ผู้เล่นเล็งศูนย์ยิงได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพึ่งการลากนิ้วที่จะทำให้บังจอจนมองไม่เห็นศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีผู้เล่นจำนวนหนึ่งได้ส่ง Feedback ถึงผู้พัฒนาไปตั้งแต่ช่วง Beta แล้ว แต่ในเกมตัวจริงที่เปิดให้บริการนั้น ก็ยังไม่มีวี่แววของระบบนี้อยู่ดีถึงแม้ตัวเกมจะมีระบบ Auto Fire ที่จะยิงอัตโนมัติ เมื่อเป้าทาบบนตัวศัตรูมาให้  แต่การใช้งานจริงก็ห่วยจนไม่สามารถเอาไปเล่นได้ เพราะในบางสถานการณ์ เราอาจจะแค่ต้องการส่องดูศัตรูจากที่ไกลๆ เฉยๆ ไม่ได้ต้องการที่จะลั่นไกบอกตำแหน่ง นอกจากนี้ถ้าหากคุณใช้ปืน Sniper Rifle กำลังเล็งศัตรูที่เคลื่อนไหวอยู่ ระบบ Auto Fire จะยิงออกไปเองทันที ทำให้เราไม่สามารถยิงดักหน้าศัตรูได้ ดังนั้นระบบนี้ถึงไม่เวิร์คเหมือนที่คิด และไม่สามารถทดแทน Gyroscope ได้ด้วยกราฟิกตามมาตรฐาน ทว่ากลับทำเฟรมเรตได้ไม่นิ่ง และพบอาการแลคอยู่บ่อยครั้งเมื่อพูดถึงความสวยงามของภาพภายในเกม ก็ต้องยอมรับว่า Final Fantasy Vll: The First Soldier ทำออกมาได้ค่อนข้างตามมาตรฐานของเกมมือถือในยุคนี้ อาจจะไม่ได้ดีเลิศจนร้องว้าว แต่ก็สวยงามในระดับที่พอชื่นชมได้บ้าง ทว่าด้วยเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นกระสุนปืน การใช้เวทมนตร์ การโจมตีของมอนสเตอร์ นั่นจึงทำให้ในบางครั้งตัวเกมมีอาการแลคให้เห็นอยู่เป็นพักๆ  ไม่สามารถรักษาเฟรมเรตให้ลื่นตาได้ตลอดการเล่นนอกจากนี้ตัวเกมยังคงมีปัญหาในการโหลดฉากต่างๆ ที่ค่อนข้างนานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนโหมด การหาห้อง การโหลดเข้าเกม การเข้าหน้าร้านค้า ล้วนต้องผ่านการโหลดอย่างน้อย 10-20 วินาทีก่อนทั้งนั้น ตรงจุดนี้จุดทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยว่า ทั้งที่ตัวเกมไม่ได้มีภาพกราฟิกที่ล้ำยุค แต่ทำไมถึงกลับใช้เวลาในการโหลด และไม่สามารถรักษาความเสถียรเฟรมเรตเอาไว้ได้ ทั้งนี้ตัวเกมยังมีอาการเกมพังให้เห็นอยู่ครั้งสองครั้ง ตลอดการเล่นเพื่อเขียนรีวิวในบทความนี้ควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?หากใครเป็นแฟนตัวยงของซีรีส์ Final Fantasy และชื่นชอบเกม Battle Royale เป็นทุนเดิม เกมนี้คงจะตอบโจทย์คุณได้ไม่มากก็น้อย Final Fantasy Vll: The First Soldier จะช่วยทำให้คุณรำลึกถึงงานภาพสไตล์ Final Fantasy ได้ไม่ยาก แถมตัวเกมยังพยายามยกระบบต่างๆ ที่ยังคงความเป็น RPG ไว้ค่อนข้างเยอะ แต่ทว่าระบบต่างๆ ที่พยายามจะช่วยทำให้เกมดูแตกต่างนั้น กลับส่งผลต่อ Gameplay น้อยกว่าที่คิด ตัวเกมไม่ได้มีจังหวะการเล่นที่ว่องไวขึ้น หรือช้าลงจากเกม Battle Royale เกมอื่นมากนัก เมื่อผ่านพ้นช่วงเฟสแรกมาได้ ผู้เล่นจะเดินเกมช้าลง ระวังตัวกันมากขึ้น เข้าไปหลบตามบ้านเรือน ขึ้นเนินสูง หาจุดได้เปรียบเพื่อหวังชัยชนะชัวร์เสียมากกว่าทั้งนี้ แม้ทางผู้พัฒนาจะพยายามใส่ระบบการชนะทางหรือแพ้ทางของ Mastery เข้ามา แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมการเล่นขนาดนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวผู้เล่นมักจะเลือกใช้ปืนทำดาเมจกันก่อน การโจมตีระยะประชิดเหมือนเป็นอาวุธสำรองในตอนที่หมดก๊อกแล้วจริงๆ เสียมากกว่า และถึงแม้จะมีโบนัสสำหรับอาวุธระยะประชิดอย่าง ระบบ Stagger เข้ามาช่วยก็จริง แต่ด้วยการทำดาเมจที่ค่อนข้างสูงของเกมนี้ จึงทำให้ส่วนใหญ่แล้ว ทั้งผู้เล่นและมอนสเตอร์ต่างตายก่อนที่หลอด Stagger จะเต็มทั้งนั้น มีเพียงมอนสเตอร์ระดับบอสที่เราจะได้ใช้ระบบนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้านระบบ Materia ที่ดูสร้างสรรค์ดี แต่ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกัน “ระเบิดที่มีลูกเล่นมากขึ้น” เพราะ Materia จะไม่ได้ถูกใช้บ่อยๆ ในการต่อสู้ ด้วยข้อจำกัดด้านมานา อีกทั้งยังหวังผลยาก เพราะเล็งยาก และมีระยะที่อยู่ในระดับใกล้จนถึงกลาง ตรงจุดนี้ Materia จึงเหมือนกับระเบิดในเกม Battle Royale อื่นๆ ตรงที่ “ถึงจะสร้างข้อได้เปรียบสูง แต่หวังผลได้ยาก จึงมักใช้เพื่อจำกัดพื้นที่ของศัตรูเสียมากกว่า” ทั้งนี้จะไม่รวม Materia ประเภทสนับสนุนอย่าง Cure, Aero และ Raise ที่จะเป็นการใช้ใส่เพื่อนร่วมทีม ทำให้มีโอกาสใช้ง่ายมากกว่าหากพูดถึง Summon Materia ที่ดูอลังการงานสร้าง และดูจะสร้างความได้เปรียบมหาศาล แต่จุดเสียของระบบนี้คือ หาจังหวะใช้งานจริงยากมาก เนื่องจาก Summon Materia จะต้องหาจาก Supply Drop เท่านั้น แถมยังมาในรูปแบบของการสุ่ม นั่นคือ ทุกกล่องไม่ได้มี Summon Materia ซ้ำร้าย ทางผู้พัฒนายังใส่ระบบ Frenzied ที่โจมตีไม่เลือกหน้าเข้ามาในช่วงท้ายเกม ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเวลาเฉิดฉายของมนตร์อสูรแท้ๆ นั่นจึงทำให้ ระบบนี้ดูขาดๆ เกินๆ ไปโดยปริยาย ไม่ค่อยได้เห็นคนหยิบมาใช้จริงสักเท่าไร นอกจากจะเอาเท่เสียมากกว่าและถึงแม้ระบบอย่าง Indicator ช่วยบอกตำแหน่ง ระบบจำแนกไอเทมอัตโนมัติ และระบบแพ้ทางกันของ Mastery ต่างๆ จะทำออกมาได้ดูดี แต่ด้วยจังหวะการต่อสู้ที่ผู้เล่นเลือกใช้ปืนเป็นดาเมจหลัก Materia เป็นของเสริม และโจมตีระยะประชิดเป็นประกันชั้นสุดท้าย เราจึงมักจะได้เห็นการต่อสู้ในรูปแบบเดิมๆ อยู่เสมอ ซ้ำร้ายเมื่อบวกกับอนิเมชันที่ไม่ลื่นไหล และเฟรมเรตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ นั่นจึงทำให้การต่อสู้ที่ควรจะสนุกในเกมนี้ กลับน่าเบื่ออย่างเหลือเชื่อทุกคนล้วนเปิดฉากกันด้วยสาดกระสุนจากระยะไกล ต่อด้วยใช้ Materia เพื่อบีบพื้นที่ และหากกระสุนหมดกลางทางก็จะเป็นศึกควงหมัดของสายประชิด หรือเป็นจังหวะหนีเอาชีวิตรอดของสายระยะไกล หากสายประชิดฆ่าได้ ก็รอไปเจอกับคนอื่นต่อ แต่หากสายระยะไกลหนีได้ทัน ก็จะเข้าลูปเดิม เปิดฉากดวลปืนกันใหม่ช่างน่าเสียดายที่ Final Fantasy Vll: The First Soldier ไปไม่ถึงฝั่งฝัน แม้จะอุดมไปด้วยไอเดียดีๆ โดยอิงรากฐานความเป็น RPG มาจากเกมหลัก แต่ด้วยสมดุลของเกมยังไม่มั่นคง บวกกับปัญหาด้าน Performance และเซิร์ฟเวอร์ จึงทำให้เกมนี้ต้องตกม้าตาย ทั้งที่ควรจะได้เป็นหนึ่งในเกมบนมือถือยอดเยี่ยมแท้ๆ เชียว
19 Nov 2021
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ตอน 4-6: วางรากฐานสู่ตอนจบอันแสนปวดร้าว
ในการเล่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ด้วยโครงสร้างแบบ 3 องก์นั้น “องก์ที่ 2” มักจะเป็นองก์ที่เล่ายากที่สุด เพราะนอกจากจะต้องต่อยอดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปูมาในช่วงแรกของเนื้อเรื่อง “องก์ที่ 2” ยังมีหน้าที่อันสำคัญในการปูพื้นเหตุการณ์ไปสู่บทสรุปในองก์สุดท้ายด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างในองก์ที่ 2 รู้สึกขาดบทสรุปในตัวเองเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในช่วงแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กรณีดังกล่าวสามารถใช้บรรยายซีรีสื Arcane ตอนที่ 4-6 ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าซีรีส์จะยังคงมาตรฐานบทพูดและการออกแบบอนิเมชั่นอันยอดเยี่ยมของตอนแรกๆ และประสบความสำเร็จในการนำเสนอแง่มุมที่กว้างขึ้นของทั้ง Zaun/เมืองเบื้องล่าง และ Piltover แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องปูเส้นเรื่องและปมขัดแย้งหลายๆ อย่างไว้ไปเฉลยในตอนจบ ส่งผลให้ Pacing หรือจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วมาก โดยที่ไม่ได้นำเสนอบทสรุปที่น่าพอใจนักเมื่อเทียบกับองก์แรกอ่านรีวิวตอน 1-3เหตุการณ์ขององก์ 2 เริ่มขึ้นหลายปีหลังตอนจบขององก์แรก โดยเทคโนโลยี Hextech ของเจซและวิคเตอร์ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเมือง Piltover ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งกว่าเดิม แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะสงบ เมื่อเหล่าวายร้ายจากเมืองเบื้องล่างเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเปิดศึกกับเมือง Piltover อย่างลับๆ ในขณะเดียวกัน ‘ไว’ ผู้ซึ่งถูกขังคุกเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องร่วมมือกับนักสืบมือใหม่ไฟแรงอย่าง ‘เคทลิน’ (Caitlyn ฮีโร่อีกตัวจากเกม LoL) เพื่อตามหาน้องสาวของเธอ ผู้ซึ่งกลายเป็นอาชญากรตัวฉกาจที่ใช้ชื่อว่า ‘จิ๊งซ์’ ไปซะแล้วจุดแข็งอย่างหนึ่งของซีรีส์ ‘Arcane’ ที่ผู้เขียนเคยกล่าวชมไปในรีวิวองก์แรกของซีรีส์ คือการที่ทีมนักเขียนเลือกจะมุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ของพี่น้องไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์เป็นหัวใจหลัก ในขณะที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์ทำหน้าที่ในการ “ปูพื้น” ธีมแฟนตาซีต่างๆ ของโลก องก์ที่ 2 ดูจะเทความสำคัญไปที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์มากกว่า ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้คนดูสามารถมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้มากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องราวของไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์ควรได้รับการพัฒนามากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ควรเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงจากพาวเดอร์ไปสู่จิ๊งซ์ได้มากกว่านี้ซะหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางถึงเปลี่ยนให้เด็กน้อยไม่สู้คนอย่างพาวเดอร์ กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งอย่างจิ๊งซ์ไปได้ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเจซและวิคเตอร์จะไม่น่าติดตามไปซะทีเดียว โดยเฉพาะปมความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนที่มีน้ำหนักทางอารมณ์อยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับเรื่องราวของไวและพาวเดอร์ แต่ด้วยจุดประสงค์ของเรื่องราวเหล่านั้นในการ “ปูพื้น” ให้กับโลกของซีรีส์ในภาพใหญ่ ทำให้เรื่องราวของทั้งสองเข้าไปพัวพันกับการเมืองต่างๆ ของ Piltover ด้วย ซึ่งอาจจะไม่ได้น่าติดตามมากเท่ากับความสัมพันธ์พี่น้องในองก์แรก โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ หน้าใหม่ที่ไม่ได้มีความผูกพันธ์กับโลกของ LoL มาก่อนทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะไม่ได้รู้สึก “อิ่ม” ในตัวเองมากเท่ากับสามตอนแรก/องก์แรก แต่ Arcane องก์ 2 (4-6) ก็ยังคงรักษามาตรฐานหลายๆ อย่างเอาไว้ โดยเฉพาะในแง่ของอนิเมชั่นอันสวยงาม และฉากแอคชั่นที่ออกแบบมุมกล้องมาได้น่าตื่นเต้นเสมอ คงต้องไปวัดกันในองก์สุดท้ายที่ออกอากาศในวันที่ 20 พฤษจิกายนนี้ ว่าซีรีส์จะสามารถควบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ไปสู่จุดจบที่น่าพอใจได้แค่ไหน
16 Nov 2021
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ตอน 1-3: ก้าวแรกสู่โลกของ LoL ในมุมที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ด้วยความสำเร็จของเกม MOBA ยอดฮิตอย่าง League of Legends ที่ครั้งหนึ่งเคยครองตำแหน่ง “เกมที่มียอดผู้เล่นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์” อยู่หลายปี และสร้างรายได้ให้กับผู้สร้างเกมอย่าง Riot Games (และเจ้าของบริษัท Riot Games อย่าง Tencent) ไปเป็นกอบเป็นกำตลอดระยะเวลานั้น คงไม่น่าแปลกใจที่ในที่สุดเราจะได้เห็นผู้พัฒนา Riot Games พยายามขยายเกมลูกรักออกไปสู่ตลาดอื่นๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเกมการ์ดใหม่อย่าง Legends of Runeterra ที่ได้รับความนิยมอยู่มิใช่น้อย ไปจนถึงการประกาศเปิดตัวเกม RPG แบบ Turn-based สำหรับเครื่อง PC อย่าง Ruined King: A League of Legends Story ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา หรือกระทั่งการเข้าไปมีตัวตนอยู่ในวงการดนตรีในฐานะวง K/DA และไอดอล Seraphina ก็ตามทีแน่นอนว่านั่นย่อมรวมถึงซีรีส์ ‘Arcane’ ผลงานซีรีส์อนิเมชั่นใหม่ล่าสุดจาก Riot Games และสตูดิโอสัญชาติฝรั่งเศษ Fortiche Production ที่เพิ่งปล่อย 3 ตอนแรกออกมาให้ชมกันทางเว็บสตรีมมิ่ง Netflix เมื่อวันที่ 6 พฤษจิกายนที่ผ่านมา โดยซีซั่นแรกของซีรีส์จะมีทั้งหมด 9 ตอน แบ่งออกเป็นองก์ละ 3 ตอนซึ่งออกอากาศพร้อมกันทุกสัปดาห์ ซึ่งระหว่างแต่ละองก์จะมีการ “ข้ามเวลา” (Time Skip) ด้วย จึงอาจจะมองแต่ละองก์รวมกันเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในไตรภาคก็ได้หลังจากที่รับชม 3 ตอนแรกของซีรีส์ ต้องยอมรับอย่างเต็มปากว่า ‘Arcane’ ถือเป็นก้าวแรกอันแข็งแกร่งในการขยายจักรวาล League of Legends สำหรับแฟนๆ ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ด้วยเนื้อเรื่องที่ซีเรียสและละเอียดอ่อนกว่าที่คาดหวังจะได้เห็นจากแฟรนไชส์ MOBA ซึ่งติดตามได้ง่ายแม้จะไม่เคยรู้จักกับโลกหรือตัวละครมาก่อน พร้อมกับผลงานอนิเมชั่นและการจัดภาพชั้นครูที่สามารถนำพาอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกัน การที่ซีรีส์เลือกเน้นเรื่องราวชีวิตตัวละครเพียงไม่กี่ตัว ยังทำให้ ‘Arcane’ เป็นซีรีส์ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ติดตามได้ และควรลองให้โอกาสซักครั้ง ไม่ว่าคุณจะรู้จักกับ League of Legends หรือไม่ก็ตามเรื่องราวของ ‘Arcane’ จะตั้งอยู่ในเมืองพี่น้อง Piltover และ Zaun (ก่อนที่จะเป็น Zaun ด้วยซ้ำ) โดย Piltover เป็นเมืองที่โด่งดังในเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการค้าขายอันรุ่งเรือง ในขณะที่ Zaun (หรือที่ซีรีส์เรียกเพียงแค่ว่า ‘Undercity’ หรือ ‘เมืองเบื้องล่าง’) เปรียบได้กับ ‘ย่านสลัม’ ที่ถูกลืมของเมือง Piltover ซึ่งเต็มไปด้วยอาชญกรรมและสารเคมีที่ตกค้างจากขยะเหลือทิ้งของ Piltover อีกที ความแตกต่างอันสุดขั้วของเมืองทั้งสองนำไปสู่ความเกลียดชังและเหยียดหยามกันเองระหว่างผู้คนในเมือง ที่ต่างมองว่าอีกฝ่ายเป็นเสี้ยนหนามที่ควรถูกกำจัดไปให้สิ้นซาก ก่อนเหตุการณ์ของซีรีส์ ความขัดแย้งนี้ได้เคยนำไปสู่การปฏิวัติโดยประชากรเมืองเบื้องล่างที่ลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องความเท่าเทียมจากเหล่าคนดีย์แห่งเมือง Piltover ในที่สุด แต่พวกเขากลับเผชิญการตอบโต้อย่างรุนแรงจากหน่วยตำรวจของ Piltover ที่ลงเอยด้วยการเสียชีวิตของชาวเมืองเบื้องล่างจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ของสองพี่น้อง ‘ไวโอเล็ต’ (Violet หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘Vi’ หรือ ‘ไว’) และ ‘พาวเดอร์’ (หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘Jinx’ หรือ ‘จิ๊งซ์’ นั่นเอง) การตายของพ่อแม่ทำให้สองพี่น้องต้องเติบโตในฐานะเด็กกำพร้าภายใต้การดูแลของ ‘แวนเดอร์’ อดีตหัวโจกแห่งการปฏิวัติ ที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อประจำย่านหนึ่งในเมืองเบื้องล่าง โดยไวและพาวเดอร์ต้องเอาตัวรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อยพร้อมกับแก๊งโจรเล็กๆ ที่มีไวเป็นหัวหน้าเรื่องราวของ ‘Arcane’ เริ่มขึ้นเมื่อไวและแก๊งได้รับคำแนะนำให้ไปปล้นห้องทดลองแห่งหนึ่งใน Piltover ที่บังเอิ๊ญบังเอิญเป็นของนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ชื่อว่า ‘เจซ’ (Jayce ฮีโร่อีกตัวจากเกม) ผู้ซึ่งกำลังพยายามหาวิธีในการ “ควบคุมเวทมนตร์ด้วยวิทยาศาสตร์” โดยเหตุการณ์นี้เป็นตัวจุดชนวนที่พาไวและพาวเดอร์เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง Piltover และเมืองเบื้องล่างอีกครั้ง และยังเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะเปลี่ยนสองพี่น้องให้กลายเป็นศัตรูคู่อริที่แฟนๆ ของ League of Legends คุ้นเคยกันดีความสูญเสียพ่อแม่ในอดีตของเธอ ส่งผลให้ไวเติบโตมาพร้อมกับความต้องการที่จะปกป้องน้องสาวทุกวิถีทาง ในขณะที่พาวเดอร์เองก็พยายามพิสูจน์ตัวเองต่อพี่สาวอยู่เสมอว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้ แต่ความเป็นเด็กของเธอก็ทำให้เธอมักทำผิดพลาดในขณะออกปล้นอยู่เสมอ จนสมาชิกคนอื่นๆ ในแก๊งเรียกเธอเป็น “ตัวซวย” (หรือภาษาอังกฤษคือ ‘Jinx’ นั่นเอง) ทำให้ไวต้องออกตัวปกป้องน้อง ซึ่งก็ยิ่งทำให้พาวเดอร์รู้สึกอยากพิสูจน์ตัวมากขึ้นไปด้วย วนไปมาอยู่อย่างนั้นลักษณะความสัมพันธ์ของไวและพาวเดอร์ถือเป็นหัวใจหลักของซีรีส์ ‘Arcane’ นี้ ที่ทำให้ผู้ชมทุกคนสามารถรู้สึกร่วมไปกับตัวละครเหล่านี้ได้โดยที่ไม่ต้องรู้จักมาก่อน ซึ่งในจุดนี้นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในฝั่งของผู้เขียนบท เพราะเอาเข้าจริงๆ จักรวาลของ League of Legends นั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก เอาแค่ฮีโร่ในเกมก็ปาเข้าไปมากกว่า 140 ตัวแล้ว การพยายามเล่าเรื่องราวใหญ่โตที่มีตัวละครให้จำเยอะๆ อาจทำให้ซีรีส์เข้าถึงยากสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเกม LoL อยู่แล้ว การมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของตัวละครไม่กี่ตัวทำให้ซีรีส์สามารถนำเสนอปมความขัดแย้งที่มี “ความเป็นมนุษย์” ได้ มากกว่าจะเป็นเรื่องราวแฟนตาซีระดับมหากาพย์ที่ติดตามยากกว่ายิ่งไปกว่านั้น ซีรีส์ประสบความสำเร็จมากๆ ในการสื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาทั้งในบทพูดและการแสดงบุคลิกสีหน้าทั้งหลาย โดยผลงานอนิเมชั่นของ Fortiche Productions ที่มีลักษณะเหมือนภาพจิตรกรรมสีฉูดฉาดกลับสามารถมอบความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครได้อย่างคาดไม่ถึงFortiche Productions ยังแสดงฝีมืออันน่าทึ่งในการจัดองก์ประกอบภาพในแต่ละเฟรมของซีรีส์ ทำให้แทบทุกเฟรมมอบความรู้สึกราวกับเป็นภาพนิ่ง แถมยังมีการใช้เอฟเฟกต์มุมกล้องและ Slow Motion เพื่อเน้นจังหวะระทึกขวัญในฉากแอคชั่นได้อย่างแยบยล จนต้องยอมรับว่า ‘Arcane’ ไม่เพียงเป็นผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของ Riot แต่อาจเป็นผลงานซีรีส์อนิเมชั่นที่ดีเป็นอันดับต้นๆ บน Netflix ได้สบายเลยในขณะที่เรื่องราวของไวกับพาวเดอร์ดำเนินไปนั้น ‘Arcane’ ยังค่อยๆ ‘สร้างโลก’ (World Building) ของซีรีส์ไปด้วยผ่านเรื่องราวของตัวละคร ‘เจซ’ และ ‘วิคเตอร์’ (Viktor) สองนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ใฝ่ฝันจะควบคุมพลังแห่ง ‘มนต์ตรา’ ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามกฏหมายของเมือง Piltover โดยเรื่องราวของทั้งสองแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวของไวและพาวเดอร์โดยตรง แต่ก็เป็นช่องทางที่ทำให้ซีรีส์สามารถสำรวจมุมต่างๆ ของ “โลก” ของซีรีส์มากขึ้นทีละน้อยทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมและวิถีชีวิต หรือความเชื่อที่ชาวเมืองมีต่อเวทมนต์ เป็นการค่อยๆ วางรากฐานเพื่อให้ซีรีส์สามารถเล่นกับปมที่ใหญ่ขึ้นได้ในอนาคตทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะต้องตำหนิอะไรซักอย่าง คงเป็นการที่ซีรีส์มีจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเร็ว แม้จะมีความยาวตอนละถึง 45 นาทีก็ตาม ซึ่งแม้จะไม่ได้ทำให้คุณภาพของการเล่าเรื่องโดยรวมเสียไปเท่าไหร่นัก แต่ก็แอบทำให้รู้สึก “เหนื่อย” ได้เหมือนกันเมื่อนั่งดูทั้ง 3 ตอนติดๆ กัน เพราะแทบทุกฉากมีข้อมูลหรือบทพูดบางอย่างที่ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องไปข้างหน้าเสมอ แต่ครั้นจะดูทีละตอนก็ยากเหมือนกัน เพราะยอมรับตามตรงว่าซีรีส์สนุกมากจนอยากจะดูรวดเดียวให้จบทั้ง 9 ตอนด้วยซ้ำแน่นอนว่าเรายังมีอีก 6 ตอนที่เหลือก่อนที่ซีรีส์ ‘Arcane’ จะจบซีซั่นแรกจริงๆ แต่ถ้าวัดจากแค่ 3 ตอนแรก ก็รับประกันได้เลยว่าอีก 6 ตอนที่เหลือน่าจะมีอะไรสนุกๆ รออยู่อีกเพียบ อ่านรีวิวตอน 4-6
10 Nov 2021
รีวิว Call of Duty: Vanguard ยังคงมาตรฐานเดิม และไม่ทำให้ผิดหวัง
หลังจากความสำเร็จของเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 กับการพาเราเข้าไปสู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ภายในปีนี้ทาง Sledgehammer Games ก็ได้พาเรากลับสู่ในยุคนี้อีกครั้งกับ Call of Duty: Vanguard ที่จะพาให้เราด้ไปสัมผัสกับยุคสงครามโลกยุคนี้อีกรอบหนึ่ง แต่จะให้เราได้ไปติดตามเหล่าวีรบุรุษสงครามด่านหน้าของแต่ละประเทศ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปเล่นมาแล้วและจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเกมมีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้างกราฟิก / การนำเสนอภายในเกม Call of Duty: Vanguard นี้ได้ใช้ Engine อย่าง IW8 Engine ที่เป็นการอัปเกรดกราฟิกจาก Call of Duty: Modern Warfare (2019) ซึ่งตัวภาพต้องยอมรับในเรื่องของความสมจริงทั้งในด้านโมเดลของตัวละครที่ถือว่าใกล้เคียงกับคนจริงๆ มากขึ้นจนมองเผินๆ จะแยกไม่ออกแล้ว ส่วนในฉากเล่นเกมทั่วไปนั้น โมเดลฉากต่างๆ ตอนเล่นถ้าหากคุณเคยเล่น Call of Duty: Modern Warfare (2019) มันก็จะให้ความรู้สึกนั้นทั้งกราฟิกและหน้า Interface ที่คล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างของ Call of Duty: Vanguard ก็คงจะเป็นแสงเงาที่ชัดมากขึ้นและสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของการกินสเปกของเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องไม่ได้สูงมากนัก เพราะคอมของผู้เขียนที่ใช้เล่นเกมนี้ก็คือ I5 8400 + GTX 1060 6GB ก็ยังสามารถเล่นเกมนี้ได้ในระดับ High สามารถทำเฟรมเรทได้ราวๆ 70 เฟรม ซึ่งถือว่าเล่นได้ค่อนข้างไหลลื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าปรับกราฟิกระดับนี้เวลาเจอฉากเอฟเฟกเยอะๆ ก็อาจจะทำให้เฟรมร่วงหรือเกิดอาการแคชเกมเด้งบางครั้ง (แต่จากที่เล่นมาเกิดแค่รอบเดียว) ซึ่งตัวผู้เขียนเองชอบเล่นในระดับที่ต่ำลงมาขั้นหนึ่ง เพื่อความลื่นไหลตลอดโดยไม่ติดขัดมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นตัวกราฟิกก็ยังไม่ได้ต่างกันมากโหมดเนื้อเรื่องภายในภาคนี้ตัวเกมจะพาเราเข้าสู่ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง เพียงแต่ตัวเกมจะโฟกัสเราไปที่การติดตามกลุ่มนักรบยอดฝีมือจากประเทศต่างๆ โดยใช้ชื่อกลุ่มทหารนี้ว่า Vanguard กับภารกิจค้นหาภารกิจลับของนาซีนามว่าโปรเจกต์ฟีนิกซ์ โดยตัวเกมจะพาเราไปเห็นในช่วงสุดท้ายของยุคนาซี พร้อมกับได้ย้อนดูวีรกรรมของเหล่าพลทหารในทีม Vanguard ว่าพวกเขานั้นสร้างผลงานอะไรมาก่อนได้ร่วมทีม โดยระยะเวลาในการเล่นโหมดเนื้อเรื่องจะอยู่ที่ราวๆ 5-7 ชั่วโมง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นระยะเวลาที่กำลังดีในการเล่นโหมดนี้เพราะมันไม่นานจนน่าเบื่อเกินไป รวมถึงภารกิจแต่ละด่านที่มอบให้จะเป็นการพาเราย้อนไปดูวีรกรรมของเหล่าทหารทีมนี้ที่แต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางด่านก็จะพาให้เราได้บังคับหัวหน้ากองบัญชาการที่จะมีความสามารถในการสั่งลูกทีมโจมตีศัตรูตัวเดียวได้ บางด่านก็จะบังคับให้เราเข้าสู่โหมดลอบเร้นที่มีความสามารถในการจับออร่าการเคลื่อนไหวของศัตรูรอบๆ ได้ บางด่านก็อาจจะพาเราเข้าสู่การสวมบทเป็นมือสไนเปอร์ หรือบางด่านก็พาเราไปบังคับเครื่องบินรบก็มี โดยการเล่นโหมดแคมเปญราวๆ 7 ชั่วโมงของผู้เขียนนั้นไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่นิด เพราะความหลากหลายในการเล่นนี้แต่ถ้าจะให้พูดข้อเสียก็คงจะมีอย่างเดียวก็คือเนื่องจากระยะเวลาของเกมที่สั้นบวกกับจำนวนของตัวละครที่เราได้เล่นนั้นไม่ได้มากจนเกินไป ทำให้ตัวละครของเกมภาคนี้ไม่ได้น่าจดจำเสียเท่าไรนัก รวมถึงเวลาส่วนใหญ่ของเกมมักจะเป็นการเล่าย้อนความหลังเสียมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องหลักปัจจุบันนั้นอาจจะดูเบาบางลงไปนิด เหล่าตัวร้ายเองก็ดูไม่ได้โหดและน่าจดจำเช่นกัน เพราะบทที่ค่อนข้างน้อย โหมด Multiplayerภายในโหมดผู้เล่นหลายคนนอกจากโหมดปกติที่เคยมีในทุกๆ ภาคอย่าง Domination, Deathmatch, Team Deathmatch และโหมดอื่นๆ อีกมากมายที่ท่านเคยเล่น แต่โหมดใหม่ที่ถูกใส่มาในภาคนี้และค่อนข้างน่าสนใจมากๆ ก็คือโหมด Patrol ที่่เกมการเล่นก็จะคล้ายคลึงกับโหมดยึดครองทั่วไป เพียงแต่ว่าจุดยึดครองจะทำการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบเพราะมันจะทำให้เราไม่ต้องพบเจอกับการดักรอจุดเกิดหรือดักซุ่มจุดๆ เดียวทั้งเกม เรามีโอกาสสุ่มจุดเกิดตรงไหนก็ได้และวิ่งยิงวิ่งยึดไปตลอด ทำให้โหมดนี้ค่อนข้างเอื้อกับผู้เล่นมือใหม่พอสมควร เพราะถ้าหากคุณสู้ไม่เก่ง การวิ่งยึดจุดเรื่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน เพราะต่อให้ Kill เยอะอยู่จุดๆ เดียวและไม่ยอมไปยึดจุดเลย ก็ทำให้แพ้ได้ส่วนในระบบ Kill Streak ภาคนี้จะใช้ระบบการนับจำนวน Kill ต่อเนื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นมือใหม่เสียเท่าไร เพราะเราจะต้องเก็บ Stack ฆ่าศัตรูให้ได้ตามจำนวนกำหนดเราถึงจะสามารถใช้ความสามารถนั้นๆ ได้ ซึ่งคนเก่งๆ ก็จะสามารถเรียกของดีๆ ออกมาใช้ได้บ่อยๆ ส่วนผู้เล่นใหม่ก็อาจจะลำบากพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบนี้แฟนๆ รุ่นเก่าก็อาจจะชอบเพราะมันก็มีอยู่ในหลายๆ ภาคนั่นเองส่วนระบบการแต่งปืนถ้าหากใครที่เคยเล่น  Call of Duty: Modern Warfare (2019) มา ท่านเองก็อาจจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เพราะระบบต่างๆ นั้นเหมือนกันเกือบทั้งหมด ระบบแต่งปืนยังมีความละเอียดและก็มีสเตตัสบอกเราอย่างชัดเจน ซึ่งข้อแตกต่างก็คือปืนที่มีให้ใช้จะเป็นปืนจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเองความรู้สึกส่วนตัวยอมรับเลยว่าโหมดเนื้อเรื่องของเกมซีรีส์ Call of Duty นั้น ค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างมาก เพราะบางทีเราจะต้องใช้อาวุธเดิมๆ ตั้งแต่ต้นเกมจนเกือบจบเกม บวกกับระยะเวลาที่ยาวกว่า 15-20 ชั่วโมง แต่ผิดกับทาง Call of Duty: Vanguard ที่แต่ละด่านนอกจากจะมีธีมที่แตกต่างกันไป เกมเพลย์การเล่นก็จะแตกต่างกันด้วย รวมถึงระยะเวลาที่พอเหมาะไม่ทำให้เบื่อเกินไปด้วยส่วนระบบ Multiplayer ของเกมถ้าใครที่เป็นแฟนเกม Call of Duty อยู่แล้วท่านก็คงจะยังชอบเกมภาคนี้อยู่เหมือนเดิม มีโหมดที่น่าสนใจอย่าง Patrol ที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นตลอดเวลาในนั้น แต่ข้อสังเกตุเดียวของภาคนี้ที่อยากจะพูดก็คงเป็นเรื่องของธีมสงครามโลกที่มันอาจจะค่อนข้างซ้ำซากกับทางเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 อาจจะทำให้ Call of Duty: Vanguard ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมดี รักษาความเป็นเกมยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่มันจะไม่ได้ถูกเป็นที่จดจำใดๆ ในภายหลังและอาจจะทำให้ผู้คนลืมเลือนมันไปในอนาคต
09 Nov 2021
Dota 2 เจาะลึก Marci สาวน้อยหมัดหนักผู้มากับความเงียบ
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มาการอัพเดทฮีโร่ใหม่ที่มาพร้อมแพท 7.30e นั่นก็คือ Marci นั่นเอง และเมื่อวันที่ 2 พฤษจิกายนที่ผ่านมาได้มีแพทอัพเดทปรับปรุงความสามารถของ Marci ให้สมดุลขึ้น บทความนี้เรามาเจาะลึกฮีโร่ตัวนี้กันเลยครับ Marci เป็นฮีโร่สาย strength จุดเด่นอยู่ที่การโจมตีเป้าหมายเดี่ยวที่รุนแรง mobility ที่สูง แถมยังมีสกิล support เพื่อนร่วมทีมได้ด้วยสกิล 3 ที่ มีพลังตั้งแต่ต้นเกมส์ไปจนถึงเลทเกมส์ เรียกได้ว่าครบเครื่องที่บทบาท เป็นฮีโร่ไม่กี่ตัวของ Dota2 ที่มีความครบเครื่องเช่นนี้Marci Skill 1. DISPOSE            Marci จับเป้าหมาย (มีผลกับฮีโร่พันธมิตรและศัตรู) ทุ่มไปด้านหลังของเธออย่างรุนแรง เมื่อเป้าหมายตกลงบนพื้นดินส่งผลให้เกิดแรงกระแทกโดยรอบบริเวณนั้นและสตันเป้าหมายทุกตัวในระยะที่เกิดผลกระทบนี้ระยะโยน 350ระยะเวลาสตัน 0.9 / 1.3 / 1.7/ 2.1ความเสียหายตกกระทบ 70 / 120 / 170 / 220คูดาวน์ 16 / 14 / 12 / 10ใช้มานา 902. REBOUNDMarci กระโดดพุ้งไปยังยูนิตเป้าหมายเมื่อถึงยูนิตนั้นแล้ว Marci จะกระโจนไปยังพื้นที่เป้าหมายที่เธอเลือก เมื่อเธอตกถึงพื้นจะเกิดแรงกระแทก สร้างความเสียหายและลดความเร็วเคลื่อนที่ให้แก่ศัตรูภายในบริเวณนั้นระยะกระโดดสูงสุด 800ความเสียหายตกกระทบ 90 / 160 / 230 / 300เคลื่อนที่ช้าลง 30% / 40% / 50% / 60%ระยะเวลาช้าลง 3คูดาวน์ 17 / 15 / 13 / 11ใช้มานา 70 / 80 / 90 / 100           3. SIDEKICKMarci บัฟตัวเองหรือเป้าหมายฝ่ายพันธมิตรเพิ่มเสริมพลังโจมตีและดูดพลังชีวิตเมื่อทำการโจมตีกายภาพใส่ศัตรูระยะเวลา 6ดูดพลังชีวิต 35% / 40%  / 45% / 50%เพิ่มพลังโจมตี 20 / 35  / 50 / 65คูดาวน์ 36 / 28 / 20 / 12มานาที่ใช้ 45 / 40 / 35 / 30                        4. UNLEASHMarci ดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเองชั่วนณะหนึ่ง ในสถานะนี้จะได้รับบัฟสถานะ ชาร์จเดือดดาล ส่งผลให้เธอโจมตีเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในการโจมตีแต่ละชุด หมุดสุดท้ายจะปลดปล่อยคลื่นกระแทกสร้างความเสียหายโดยรอบเป้าหมาย ลดความเร็วการดคลื่อนที่และการโจมตีเป็นเวลา 2 วินาที เมื่อสิ้นสุดหมัดสุดท้ายจะไม่สามารถโจมตีได้เป็นเวลา 1.75 วินาทีระยะเวลา 16จำนวนหมัดต่อคอมโบ 3 / 4 / 5รัศมีคลื่นกระแทก 800ความเสียหายคลื่น 60 / 130 / 200คลื่นทำให้เคลื่อนที่ช้าลง 30%คลื่นทำให้โจมตีช้าลง 60 / 80 / 100คูดาวน์ 110 / 90 / 70มานาที่ใช้ 100 / 125 / 150Talentsการอัพ Talents แนะนำLv 10 อัพฝั่งขวา +5 Armor เพราะช่วยเพิ่มความหนาให้เก่งขึ้นมาตอนต้นเกมส์ เพราะ Marci เป็นฮีโร่ที่มีเกราะต้นเกมส์น้อยเมื่อเทียบกับฮีโร่สาย strength ตัวอื่น การอัพ Talents นี้ส่งผลให้ Marci ดีขึ้นมากและยังช่วยเพื่อความถึกเมื่อต้องเข้าปะทะในช่วงต้นเกมส์Lv 15 อัพฝั่งซ้าย +200 Rebound Cast/Jump Range เป็น Talents ที่มีประโยชน์สุดๆในทุกสายการเล่น เพราะช่วยให้ mobility สูงขึ้นมาก สามารถกระโดดเข้าไปฆ่าศัตรูได้ไกลขึ้น ที่สำคัญสามารถใช้หนีศัตรูได้ดีด้วยต่างหาก ประโยชน์อีกอย่างนึงก็คือ มันสามารถใช้กระโดดข้ามพื้นที่หน้าผาได้ด้วยนะLv 20 อัพได้ทั้ง 2 ฝั่ง ตามสถานะการณ์ Lv 25 อัพฝั่งซ้าย 1.5s Sidekick Spell Immunity สกิลฟรี BKB ให้ทั้งเพื่อนและตัวเอง พร้อมทั้งสามารถล้างสถานะผิดปกติบางชนิดได้ เป้นสกิลที่มีประโยชน์สุดๆในช่วงท้ายเกมส์ สามารถอัพได้ทุกสายการเล่นเช่นเดียวกันItem Builds                   Marci เป็นฮีโร่สาย Strength-based ข้อดีในส่วนนี้คือในการอัพเวลาในแต่ละครั้งจะได้ค่า Strength ที่สูง ที่เพิ่มทั้ง HP และพลังโจมตีทำให้เป้นฮีโร่ที่มีความสามารถในการเข้าปะทะ ยืนชนเลนในช่วงต้นเกมส์ได้ดีมาก เราสามารถเลือกใช้ไอเทมที่เสริมพลังโจมตีเพื่อเพิ่มความสามารถตรงนี้ได้หลากหลายมาก ไอเทมที่แนะนำได้แก่ต้นเกมส์Orb of Corrosionสุดยอดไอเทมราคาถูกที่มีประโยชน์มากในช่วงต้นเกมส์ พร้อมทั้งยังส่งผลให้สกิล 3 และสกิล Ultimate แข็งแกร่งขึ้น ผลพลอยได้อีกอย่างนึงก็คือมันช่วยเพิ่มความหนา (HP) ให้แก่คุณได้อีกด้วย ทำให้ช่วงต้นเกมส์ถึกขึ้นมากเมื่อใช้คอมโบคู่กับสกิล 3Echo Saberไอเทมช่วงต้นเกมส์ที่ช่วยให้ Marci รีเจนมานาได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ Ultimate มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ความน่าใช้ของไอเทมชิ้นนี้อยู่ในสถานะกลางๆ เพราะมีราคาที่สูงพอตัว ยังมีไอเทมช่วยเร่งมานาอีกหลายชนิดที่ราคาถูกและน่าใช้กว่า แต่โดยรวมถือว่ายังมีประโยชน์Maelstromไอเทมช่วงต้นเกมส์ที่เหมาะกับตำแหน่ง เลนกลาง เพราะช่วยบูสการฟาร์มได้ไวและง่ายยิ่งขึ้น ทั้งการทำครีฟในเลน และการฟาร์มป่า (ข้อเสียของ Marci คือการฟาร์มในป่าที่ทำได้ยาก ) อีกทั้งยังช่วยเสริมดาเมจร่วมกับสกิล Ultimate ที่เรียกว่าแรงมากๆในช่วงต้นเกมส์ เอาไว้ปิดจ็อบศัตรูได้ภายในการโจมตีไม่กี่ชุดTreads” “Vs “Phase Boots”ไอเทมเพิ่ม movement speed ทั้ง 2 ชนิด Marci สามารถเลือกใช้ได้ทั้ง 2 ชนิด แต่จะมีข้อดีที่แตกต่างกัน หากคุณเลือกใช้ Phase Boots จะได้ข้อดีในส่วนของการไล่ฆ่า การ roaming มีประโยชน์อย่างมากหากคุณเล่นเลนกลาง หากคุณเลือกใช้ Treads คุณก็จะได้รับค่า stat และ attack speed ที่มากขึ้น ทำให้ฟาร์มป่าได้ดีขึ้นมาก มีประโยชน์มากในตำแหน่งแครี่ของทีมFalcon Bladeไอเทมราคาถูกควรออกตั้งแต่ช่วงต้นเกมส์ เพราะสามารถเพิ่มทั้งพลังชีวิต และ พลังโจมตีให้ Marci เป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือเป็นไอเทมที่เพิ่มการรีเจนมานา (mana regen) ได้ดีอีกด้วย จุดอ่อนของ Marci อย่างนึงคือการมี Mana Max ที่น้อย การออกไอเทมชิ้นนี้มาก็นับเป้ยตัวเลือกที่ดีในการลดข้อเสียตรงนี้ของเธอกลางเกมส์Armlet of Mordiggianไอเทมช่วง ต้น - กลางเกมส์ ที่ช่วยเพิ่ม Attack speed และ Damage อย่างมหาศาลได้ประโยชน์ทั้งการฟาร์ม และ  team fight เพราะเมื่อเปิดใช้งานร่วมกับสกิล Ultimate จะทำให้ Marci ทำ Damage เพิ่มขึ้นอย่างมาก ถ้าต่อยโดนตัวซัพบางๆละก็ ชุดเดียวตายได้เลยนะBlink Daggerไอเทมช่วงต้นเกมส์ที่ออกมาเพิ่มลดข้อเสียของสกิล rebound ที่ต้องการเป้าหมายในการโดดเหยียบก่อนที่จะเข้าถึงตัวศัตรู คุณสามารถเข้าประชิดตัวสกิลแล้วสตันศัตรูด้วยสกิล dispose และตามด้วยการต่อยหมัดชุดการสกิล Ultimate ปิดจ็อบศัตรูแนวหลังได้ด้วยคอมดบชุดเดียว เป้นไอเทมที่มีประโยชน์มา ที่สำคัญสามารถนำไปขึ้นเป็น Overwhelming Blink ที่ทรงพลังขึ้นไปอีกในช่วยเลทเกมส์Black King Barเนื่องจาก Marci แพ้ทางฮีโร่ที่มีความสามารถ CC (crowd control) เป็นอย่างมาก แม้ Talents จะมี ฟรี bkb แต่เนื่องด้วยช่วงเวลากว่าจะได้ Talents นี้มาก็นานอยู่เพราะกว่าจะอัพได้ก็ Lv 25 การออก bkb ในช่วงกลางเกมส์นับว่าเป้นสิ่งสำคัญเลยทีเดียวSkull Basherสุดยอดไอเทมเสริมความสามารถของสกิล Ultimate เรียกได้ว่าเมื่อออกไอเท็มชิ้นนี้แล้วใช้คู่กับ Ultimate การันตีสถานะ Stun เลยก็ว่าได้ ใครโดนเข้าไปจุกแน่นอนท้ายเกมส์Abyssal Bladeไอเทมต่อยอดมาจาก Skull Basher จุดเด่นที่โกงมากของไอเทมชิ้นนี้คือการบลิ้งเข้าไปโจมตีศัตรูได้ตรง ที่สำคัญยัง stun ศัตรูได้อีก เป็นไอเทมที่ได้ทั้งการเสริมพลังโจมตี และ mobilityDaedalus ไอเทมเสริมดาเมจของ Marci ที่เล่นเป็นตัว Core เป็นไอเทมสำคัญมากในช่วงท้ายเกมส์สำหรับแพทนี้ เรียกได้ว่าตัว Core ที่ต้องการดาเมจแทบทุกตัวต้องออกไอเทมชิ้นนี้Marci skill buildsเนื่องจากที่เกรินไปแล้วว่า Marci เป็นฮีโร่ ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การโจมตีเป้าหมายเดี่ยวที่รุนแรงและมี mobility ที่สูง แถมยังมีสกิล support เพื่อนร่วมทีมได้ด้วยสกิล sidekick ทำให้เป็นฮีโร่ที่ มีพลังตั้งแต่ต้นเกมส์ไปจนถึงเลทเกมส์ เรียกได้ว่าครบเครื่องทุกบทบาท เป็นฮีโร่ไม่กี่ตัวของ Dota2 ที่มีความครบเครื่องเช่นนี้ การเลือกอัพสกิลในช่วงต้นเกมส์ ขึ้นอยู่กับฮีโร่เผชิญหน้าในช่วง Lane Phaseเมื่อเจอฮีโร่ที่เอาชนะเลนในยาก สกิลที่ควรอัพในเต็มเป็นอันดับแรก ควรเป็นสกิล Rebound เนื่องจากสามารถใช้หนีและเปลี่ยนตำแหน่งยืนได้ง่าย และผสมกับการอัพสกิล Sidekick ที่ใช้ในการฟาร์มและฟื้น HP จากการกดดันของศัตรูเมื่อเจอกับฮีโร่ที่สามารถเอาชนะเลนได้ง่าย สกิลที่ควรอัพถ้าหากคุณต้องการ builds ที่สามารถกดดันและไล่ฆ่าศัตรูได้ง่าย ควรเป็นสกิล Rebound คู่กับ Dispose เพราะสามารถเข้าถึงตัวและสตันเป้าหมายได้ในทันทีถ้าหากต้องการเล่นเป็นตำแหน่ง Support สกิลที่ควรอัพนำในช่วง Lane Phase คือสกิล Sidekick และผสมด้วย Rebound กับ Dispose อย่างละ 1 เนื่องจากต้องใช้ Sidekick ในการเลี้ยงเลนตัว core แล้วใช้สกิล Rebound กับ Dispose เพื่อหลบหนี เปิด หรือช่วยเหลือตัว core ให้รอดจากการโดน Ganking (รุมฆ่า)วิเคราะห์ฮีโร่แพ้ทางDark Willowมีสกิล Bramble Maze สามารถดักจับ Marci ได้ง่ายในการเดาทิศทางในการโดดมีสกิล Shadow Realm ป้องการคอมโบการต่อยของ Marci ได้ ทำให้คอมโบชุดเดียวไม่สามารถเก็บซัพพอร์ตตัวนี้ได้ การกระโดดเข้าไปล้วงฮีโร่ตัวนี้นับว่าเป็นเรื่องเสี่ยงอย่างมากTerrorize และ Cursed Crown เป็นสุดยอดสกิล CC ที่ Marci แพ้ทางอย่างมาก ถ้าหากโดนเข้าไปสกิลบัฟ Ultimate ของ Marci ก็จะเสียเปล่าทันทีBloodseekerมีสกิล Rupture ที่ทำลายจุดเด่นด้าน mobility ของเธออย่างมาก ที่สำคัญ Marci เป็นฮีโร่ที่มี Max HP ที่สูง การใช้ Rupture ใส่เธอเป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างมากความสามารถจาก Aghanim's Shard ที่ทำให้ Bloodrage สร้างความเสียหายและดูดพลังชีวิตตาม Max HP การใช้ใส่ Marci ถือว่าคุ้มเกินคุ้มCentaur Warrunnerสกิล Retaliate สามารถสะท้อนพลังโจมตีที่สูงของ Marci ได้คุ้มค่ามาก กระโดดเข้ามาต่อยอาจจะตายเองไปเลยก็ได้ เมื่อ Lv. 25 สกิล Retaliate จะกลายเป็น Aura ให้กับเพื่อนร่วมทีมด้วย กระโดดไปต่อยใครก็จุกสกิล Hoof Stomp สามารถสตัน Marci ได้ง่ายมาก โดดเข้ามาใส่ตัวนี้โดนสตันสวนแน่นอนWeaverไอเทมสามัญประจำบ้านของฮีโร่ตัวนี้คือ Linken's Sphere ถ้าหากศัตรูสามารถซื้อไอเทมชิ้นนี้ได้เร็ว การโดดเข้าไปสตันฮีโร่ตัวนี้จะทำได้ยากมากRebound ไม่สามารถลดความเร็วการเคลื่อนที่ของมันได้เลย เพราะแค่ใช้ Shukuchi ก็สามารถวิ่งได้เร็วติดจรวดเหมือนเดิมสกิล Swarm ของ Weaver ต้องโจมตี 4 ครั้งเพื่อล้างดีบัฟ การใช้ใส่ Marci เมื่ออยู่ในสถานะ unleash เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเป็นอย่างมากวิเคราะห์ฮีโร่ชนะทางEnchantressสกิล Untouchable จะไร้ประโยชน์ทันทีเมื่อ Marci อยู่ในสถานะ unleashเป็นฮีโร่ที่มี Max HP ที่น้อย Marci สามารถฆ่าได้ด้วยคอมโบชุดเดียวRebound สามารถใช้เป็นเป้าหมายในการเลือกกระโดดได้ง่าย เรียกได้ว่าจับครีฟป่ามาเป้นจุดกระโดดให้ Marci แท้ๆเลยPhantom Lancerเมื่อ Marci อยู่ในสถานะ Unleash การต่อยและปลดปล่อยคลื่นกระแทกออกมาทำให้ร่างแยกของ Phantom Lancer โจมตีได้ช้าลงและช่วยเคลียร่างแยกพวกนี้ได้ง่ายมากด้วยRebound สร้างความเสียหายใส่ร่างจริงของ Phantom Lancer ทำให้ค้นหาตัวจริงได้ง่ายมากวิเคราะห์คอมโบฮีโร่Lifestealerสกิล Infest สามารถคอมโบคู่กับ Rebound ได้ สิ่งร่างแล้วโดดเข้าไปฆ่าศัตรูได้ง่ายมากUrsaMarci สามารถเพิ่มความโหดให้ Ursa ได้ด้วยสกิล Sidekick และบัฟนี้ยังสามารถช่วยให้ Ursa จัดการ Roshanได้ไวขึ้นด้วยSnapfireสามารถคอมโบ Rebound และสกิล Dispose ของตัว Marci กับสกิล Gobble Up เมื่อป้า Snapfire ซื้อ Aghanim's Scepter ได้สำเร็จ เรียกได้ว่าเพิ่มทั้งความคล่องตัวในการไล่ฆ่าได้น่ากลัวอย่างมาก  
06 Nov 2021
รีวิว Aliens: Fireteam Elite "นี่แหละ เกม Aliens ที่รู้ตัวเอง"
Alien (หรือ Aliens) ถือเป็นหนึ่งใน IP ทรงคุณค่าในโลกของอุตสาหกรรมบันเทิงโดยเฉพาะภาพยนตร์ วิดีโอเกม และนวนิยาย แต่เราอาจพูดได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา Alien ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการข้างต้นมากนัก แตกต่างกับ IP อื่นที่ยังคงมีผลงานยอดเยี่ยมมาให้เหล่าผู้คลั่งไคล้หรือบรรดาหน้าใหม่ได้เชยชมอยู่ไม่ขาดสาย ด้านอุตสาหกรรมวิดีโอเกม เมื่อพูดถึงชื่อ Alien สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวเราทุกคนและมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราต่างรู้สึกยินดีสักเท่าไร กับ Aliens: Colonial Marines เกมซึ่งสร้างบาดแผลทิ่มแทงลึกลงไปในแฟนเดนตายของซีรีส์นี้ตราบจนปัจจุบัน ถึงแม้ว่า Alien: Isolation เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเพียงใด รอยแผลเป็นยังมิจากหายและยังส่งภาพหลอนสั่นคลอนจิตใจกับการมาของเกม Aliens: Fireteam EliteAliens: Fireteam Elite เป็นเกมแนว Third-Person Shooter ที่มุ่งเน้นการ Co-op เป็นหลัก ซึ่งตัวเกมอาศัยระบบการสู้ฝูงศัตรู (Horde-Based) หรือที่เรามักคุ้นกับเกมแนวนี้อย่าง World War Z โดยพักหลังเกมแนวนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่การมาของ Aliens: Fireteam Elite ทำให้ผู้คนสนใจพอตัวเพราะความเป็น Aliens ที่ห่างหายจากวงการเกมเป็นเวลานาน บวกกับกระแสความต้องการลบรอยฟกช้ำจากเกม Aliens: Colonial Marines เนื่องจากเห็นว่าตัวเกมนั้น “ดูดี มีทรง” มีศักยภาพมากพอที่จะออกมาเป็นเกม Aliens ที่ดีได้ และมันก็เป็นไปตามที่คิด สำหรับผู้เขียนแล้ว เหตุผลที่คิดว่าเกมมันออกมาดี เพราะนี้คือเกมที่ผู้พัฒนา Cold Iron Studios “รู้ตัวเอง”  รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ต้องกล่าวก่อนว่า Alien มีความแตกต่างกับ Aliens ในแง่ของอารมณ์เนื้องาน ทาง Alien มีความสยองขวัญท่ามกลางอวกาศอันเงียบฉี่ ที่คุณกรีดร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน (Space Horror) ซึ่งอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ Alien ปี 1979 ของคุณ Ridley Scott ส่วน Aliens มีความบ้าระห่ำ ท่ามกลางอวกาศ ซึ่งอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ Aliens ปี 1986 ของคุณ James Cameron เราจึงเห็นความแตกต่างระหว่าง Alien: Isolation กับ Aliens: Fireteam Elite ชัดเจน เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปคาดหวังความน่ากลัวจาก Aliens: Fireteam Elite ให้เสียอารมณ์ และผู้พัฒนาก็รู้เรื่องนี้ดี จึงจัดเต็มความดุเดือดเท่าที่เกม Aliens จะมอบให้คุณได้ในทุกมุมมองของตัวเกม เป็นเหตุผลว่าทำไม ผู้พัฒนาจึงสร้างให้เป็นเกม Co-op และเลือกใช้เนื้อหาของบรรดาทหารหาญล้างบาง Xenomorph อย่าง Colonial Marine ไม่ว่าจะเป็นระบบอาชีพ ระบบหมวดหมู่อาวุธ และการปรับแต่งยุทโธปกรณ์ ซึ่งมันให้อารมณ์การเป็นทหารหน่วยรบพิเศษอย่างยิ่งยวดปัจจุบันในเกมมี 6 อาชีพ ได้แก่ Gunner, Demolisher, Technician, Doc, Recon และ Phalanx แต่ละอาชีพจะมีความสามารถเฉพาะตัวและการถืออาวุธที่ถูกกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน ทำให้มีความเฉพาะตัวของแต่ละอาชีพ สร้างหน้าที่ให้แต่ละอาชีพได้เฉิดฉายจากสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป พร้อมทั้งต้องช่วยสนับสนุนเพื่อนรวมหมู่รบในทีมให้ผ่านศึกหนักไปด้วยกัน นอกจากนั้นเกมยังพาผู้เล่นไปพบกับบรรยากาศของ IP นี้หลายยุคสมัย ที่เห็นได้ชัดคือตั้งแต่ Aliens จนถึง Alien: Covenant โดยแต่ละภารกิจใช้การอ้างอิงบรรยากาศจากภาพยนตร์อย่างชัดเจน รวมไปถึงเพลงประกอบในแต่ละภารกิจซึ่งจะอ้างอิงทำนองและแนวเพลงตามยุคอีกเช่นกัน รู้ขอบเขตของตัวเองตั้งแต่เริ่มเกมมา เราทราบได้ทันทีว่าผู้พัฒนาไม่ไปเสียงบ เสียเวลา ผลาญแรงงานกับสิ่งที่ไม่จำเป็นกับระบบเกมการเล่น ด้วยการตัดรายละเอียดยิบย่อยออกทั้งหมด อย่างการที่ทั้งเกมมีแค่คัตซีนเพียงฉากเดียวสั้นๆ ตอนเริ่มเกม และการที่ NPC ไม่ขยับปากตอนพูดเวลารับภารกิจ เป็นสัญญาณบอกว่าเกมนี้มุ่งและทุ่มเทอยู่แค่เรื่องเดียว นั่นก็คือ “เกมการเล่น” และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ Aliens: Fireteam Elite เป็นหนึ่งในเกม Third-Person Shooter ยุคหลังที่มีระบบการยิงปืนอยู่ในขั้นดี ด้วยความแน่นและเอกลักษณ์ของปืนแต่ละกระบอก แม้จะไม่เทียบเท่ากับเกมในแนวเดียวกันที่เป็นเกมระดับ AAAอีกสิ่งที่ดึงศักยภาพของระบบการยิง พร้อมทั้งสร้างเอกลักษณ์ให้เกมนี้มีความแตกต่างกับเกมแนวสู้ฝูงศัตรู ก็คือตัว Xenomorph เอง เนื่องจากพฤติกรรม Xenomorph มีความแตกต่างกับซอมบี้ที่มักเป็นศัตรูที่อยู่ในเกมแนวนี้ การเคลื่อนไหวที่มาทุกทิศทุกทาง ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง มาข้างหน้าหรือหลัง แถมยังมีการยืนแอบดักโจมตี รวมไปถึงวิธีในการวิ่งและการเดิน Xenomorph สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นดัดหลังความเคยชินของผู้เล่นเวลาเราวางเมาส์วางจอยทาบเป้าเล็งยิงซอมบี้ ทำให้ผู้เล่นต้องศึกษาและปรับพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ศัตรูจำพวก Synthetic หรือหุ่นยนต์กลับทำออกมาไม่ค่อยดี กับรูปแบบพฤติกรรมที่เราเจอมาในเกมทั้งแนวนี้และแนวอื่นจนชินชา ทำให้ภารกิจที่เราต้องออกไปสู้ Synthetic เป็นภารกิจน่าเบื่อไปโดยปริยายผู้พัฒนาก็รู้ว่าการจะทำให้ผู้เล่นใช้เวลากับเกมของพวกเขาให้มากที่สุดกับเกมที่มีเนื้อหาไม่เยอะ วิธีการสุดแสนจะคลาสสิกก็คือการทำให้ผู้เล่นยินยอมพร้อมใจที่จะ “เล่นซ้ำๆ” (Grinding) โดยแต่ละอาชีพ ปืนจะมีเลเวลเป็นของตัวเอง ยิ่งเลเวลสูง เรายิ่งสามารถปรับแต่งได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีค่าเงินภายในเกมที่ใช้ซื้อของแต่งปืน เครื่องแต่งกาย เพราะหลายคน (รวมถึงผู้เขียน) มีแนวคิดว่า “ต้องเท่ด้วย ถึงจะสนุก” สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นจมอยู่กับเกมเป็นเวลานาน แม้ว่าเกมจะมีเนื้อหาในเกมน้อย มีภารกิจเพียงแค่ 12 ภารกิจ กับโหมดเอาชีวิตรอดเป็นรอบๆ  แต่เพื่อพัฒนาตัวละคร ปืน และความเท่ การเล่นซ้ำภารกิจเดิมๆ จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ได้มีปัญหากับมันสักเท่าไร แถมเกมมีความยากอีก 5 ระดับ ถ้าอยากไต่ความอยากสูงๆ ก็ต้องพัฒนาตัวเราให้พร้อมลุยกับความยากดังกล่าวรู้แต่ก็ต้องมีสิ่งที่ต้องยอมแลกเมื่อผู้พัฒนาต้องตัดรายละเอียดออกเพราะเน้นทำแต่ระบบเกมการเล่น จึงทำให้ตัวเกมมีความ “งานไม่ละเอียด” อย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าคุณจะพยายามมองข้ามแค่ไหน มันก็มาสะกิดต่อมข้องใจอยู่ดี ทั้งอนิเมชั่นการเดิน การเปลี่ยนกระสุน แข็งยิ่งกว่าหินแกรนิต เรื่องที่ NPC ไม่ขยับปากตอนคุยรับภารกิจ แต่ทำไม NPC ที่อยู่ในบางภารกิจ มันขยับปากได้ (มึนมาก) และรวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เล่น (Quality of Life) ที่ไม่มีระบบที่สุดแสนพื้นฐานของเกมแนว Co-op อย่าง การเข้าออกทีมได้ตลอดเวลาอยู่ในภารกิจ (Drop in, Drop out), การหาห้องแบบทันที (Quick Play) ซึ่งไม่มีในช่วงแรกตอนปล่อยเกม ทำให้ผู้เล่นถูกจำกัดปริมาณในการหาผู้รวมทีมแบบสุ่ม เพราะเกมมีปัจจัยในการสุ่มห้องเยอะเกินไป ทั้งระดับความยากและภารกิจ รวมถึงจำนวนคนในทีมที่ต้องการ ที่ปัจจุบันเพิ่งเพิ่มมาหลังเกมปล่อยไปสักพักแล้ว ในเวลาที่เกมเหลือคนเล่นไม่ถึงพันคน และการสนทนาแบบตัวอักษรหรือเสียง ที่ทีมพัฒนาเคยบอกในกระทู้ถามตอบว่า “เรามีระบบ ping นะ ให้ใช้ ping แทน” ซะงั้น…นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือเนื้อหาของเกมจัดอยู่ในระดับน้อยมาก แม้ว่าเราดำดิ่งกับเกมได้พักใหญ่เพราะการ Grinding แต่นั่นก็ได้แค่ช่วงแรกเท่านั้น พอคุณเก็บเลเวลอาชีพ ปืน และของตกแต่งจนครบ คุณก็จะไม่มีเหตุผลในการเล่นเกมนี้อีกต่อไป นอกจากต้องรอการอัปเดตเนื้อหาเกมที่มาเป็นฤดูกาล ซึ่งล่าสุดทีมพัฒนาประกาศแผนการอัปเดตปีที่ 1 โดยการอัปเดตแต่ละฤดูกาลก็มีช่องว่างของระยะเวลาพอสมควร ประกอบกับเนื้อหาใหม่ๆ ปริมาณก็ไม่ค่อยเยอะสักเท่าไรฉะนั้นเกมนี้จึงเหมาะสำหรับผู้เล่นที่ไม่มีปัญหากับการเล่นสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ รวมถึงสามารถปล่อยวางกับความงานไม่ละเอียดของเกม ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแฟนเดนตายของ Aliens ก็เชื่อว่าสนุกไปกับเกมนี้ได้แน่นอน
25 Oct 2021
รีวิว Back 4 Blood สานต่อตำนานเกมยิงฝูงซอมบี้ได้อย่างยอดเยี่ยม นี่แหละภาคต่อที่ควรจะเป็น
Back 4 Blood คือเกมแนวยิงซอมบี้จากทาง Turtle Rock Studios ทีมพัฒนาที่เคยเปิดตำนานเกมสุดฮิตอย่าง Left 4 Dead ภาคแรก ที่ถูก Valve จ้างพัฒนา ซึ่งเกม Back 4 Blood เองถือว่าได้เอาองค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมที่พวกเขาเคยสร้างมาไว้ในเกมนี้ทั้งหมด แถมยังเพิ่มองค์ประกอบใหม่ๆ ใส่เข้ามาด้วย ซึ่งเหล่าแฟนๆ เองก็ต่างสนใจเกมนี้เป็นอย่างมาก เพราะเราเองก็ไม่ได้เห็นเกม Left 4 Dead 2 หลังจากที่ปล่อยภาค 2 มากกว่า 12 ปีแล้ว และในวันที่ 12 ตุลาคม 2021 ผู้พัฒนาก็ทำการปล่อยเกมนี้ออกมาให้เราเล่นอย่างเป็นทางการ และเรา GameFever TH เองก็จะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Back 4 Blood จะสามารถเทียบเพียงเกมเก่าที่ตัวเองเคยสร้างไว้ได้หรือไม่ ?เนื้อเรื่องพลอตของเกมจะเล่าเรื่องโลก Post-Apocalypse ที่โดนเชื้อปรสิตนามว่า the Devil Worm (หนอนปีศาจ) ที่แหล่งกำเนิดมาจากต่างดาว และเปลี่ยนคนตายให้กลายพันธุ์ซึ่งถูกเรียกว่า Ridden และเราเองจะได้รับบทเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตทั้ง 8 ที่ถูกเรียกว่า The Cleanner ซึ่งได้รับหน้าที่ปกป้องดินแดน Fort Hope ที่มนุษย์อาศัยอยู่ แต่อย่างที่ทราบว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใด เนื้อเรื่องถูกสร้างมาให้เรามีเหตุผลในด้านเอาไม้หวด หรือยิงเหล่าซอมบี้มากกว่า กราฟิก / การนำเสนอในด้านกราฟิกต้องขอชื่นชมเลยทีเดียว เพราะตัวเกมไม่ได้กินสเปกอย่างที่เดาไว้เลย เพราะตัวผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PC สเปกระดับกลางๆ I5 8400 + GTX 1060 6GB ซึ่งตัวผู้เขียนนั้นปรับกราฟิกระดับกลางๆ ก็สามารถรันเฟรมเรทได้มากถึง 100-120FPS เล่นได้แบบสบายๆ แต่ในส่วนของงานด้านภาพนั้นถ้าให้เปรียบเทียบกับเกม Left 4 Dead ซึ่งมันแน่นอนว่าตัวภาพของ Back 4 Blood ค่อนข้างมีกราฟิกที่สวยและสมจริงกว่าในด้านของโมเดลตัวละคร หรือตึกราบ้านช่องต่างๆ แต่สิ่งที่ส่วนตัวรู้สึกว่าทาง Left 4 Dead ทำได้ดีกว่าก็คงจะเป็นความโหดของตัวเกมที่ฉากเลือด ความแหวะของตัวเกมจะดูทำได้ดีมากกว่า หรือจะเป็นฉากยิงหัวซอมบี้ระเบิด ฟันขาขาด แขนขาด ก็ถูกตัดไปทั้งหมดภายในเกม Back 4 Blood นี้ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยที่เกม Left 4 Dead วางจำหน่ายแรกๆ นั้นถูกหลายๆ ประเทศแบนเพราะเนื้อหารุนแรงไป ทางผู้พัฒนาเลยเลือกที่จะเซฟไว้ก่อนก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้อรรถรสของเกมดูดรอปลงไปเยอะพอสมควรเกมเพลย์ในด้านการเล่นอย่างที่คนเคยเล่น Left 4 Dead ก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว ก็คือการที่เราจะได้จัดปาร์ตี้ 4 คนเข้าไปไล่ยิงไล่ตีซอมบี้ข้างในนั้น แต่ทว่าเกม Back 4 Blood ค่อนข้างมีระบบที่มากกว่าอยู่พอสมควร ยกตัวอย่างแรกคือระบบความสามารถของแต่ละตัวละครที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ให้แต่ละคนมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน อย่างเช่นตัวละคร Holly มีความสามารถในการป้องกันการโจมตีศัตรูเพิ่มขึ้น 10% เธอจะได้รับ 10 Stamina ถ้าหากฆ่าศัตรูได้ หรือ Evangelo ที่จะ Stamina Regen 25% และสามารถปลดพันธนาการจากการโดนจับได้ โดยทั้งสองตัวละครนี้เหมาะสำหรับการเล่นด้วยอาวุธระยะประชิด ตัวละครอย่าง Walker และ Jim ที่สามารถสร้าง Stack ดาเมจด้วยปืน หรือจะเป็น Doc ที่สามารถเพิ่มเลือดให้เพื่อนมากขึ้นได้ระบบต่อมาที่ทำให้ตัวเกมค่อนข้างสนุกมากๆ ก็คือระบบการ์ดที่เราสามารถจัดเดคตามสไตล์ที่เราชอบได้ 15 ใบ ซึ่งพอจัดเดคแล้วนั้นตัวการ์ดจะออกมาเป็นระบบสุ่ม และให้เรานั้นจั่วการ์ดที่ชอบได้ โดยเราสามารถจัดเดคที่เหมาะสมกับตัวละครที่เราเล่นได้ อย่างเช่นการ์ดที่จะเพิ่มเลือด 1 ถ้าหากเราโจมตีด้วยอาวุธระยะประชิด ซึ่งมันก็เหมาะสำหรับตัวละครอย่าง Evangelo และ Holly หรือจะเป็นการ์ดที่เพิ่มแม็กกระสุน ยิงแม่นขึ้น ซึ่งอาจจะเหมาะตัวละครที่ใช้ปินเป็นหลักได้ โดยเริ่มแรกเรานั้นจะไม่ได้มีการ์ดมาให้จัดเยอะ แต่พอเล่นจบด่านไปเรื่อยๆ เราจะได้รับแต้มมาซื้อการ์ดตามที่เราชอบได้ ซึ่งตัวการ์ดก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นระบบที่เข้ามาแก้เบื่อให้เราได้พอสมควรนอกจากนี้แต่ละแผนที่ยังมีระบบที่เรียกว่า Corruption Cards ที่จะปรากฏมาในแต่ละด่าน ซึ่งมันจะเป็นอีเวนต์ย่อยๆ ของแต่ละด่านนั้นเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นการที่เราจะได้เจอศัตรูใหม่ๆ ภายในด่าน หรือจะมีจุดที่ให้เราไปเปิดเพื่อได้รับไอเท็มและเงินรางวัลมากขึ้นส่วนในด้านเกมเพลย์ภายในด่านนั้น ถ้าใครเคยเล่น Left 4 Dead มา ถ้าหากคุณเล่นเกมระดับ Easy ต้องยอมรับว่าตัวเกมค่อนเล่นผ่านง่ายพอสมควร เดินยิงชิลๆ ก็สามารถผ่านด่านได้อย่างง่ายดาย แต่ผิดกับ Back 4 Blood ที่ทางผู้พัฒนาเองก็ได้แก้ไขความง่ายนี้ และทำให้ตัวเกมมีความยากมากขึ้น ต้องใช้ทีมเวิร์คมากขึ้น เพราะต่อให้คุณจะเล่นเกมในระดับง่าย เหล่าซอมบี้ก็สามารถลุมโจมตีคุณและทำให้เสียเลือดหมดหลอดในชุดเดียวได้เลย ส่วนความยากระดับปานกลางทางเหล่าซอมบี้ก็ยังโจมตีแรงเท่าเดิม แต่เราสามารถยิงเพื่อนได้ และโหมดยากสุดอย่าง Nightmare ที่ซอมบี้จะเลือดมากขึ้น ตีแรงขึ้น ยิงแรงขึ้นด้วย รวมถึงตัวเกมมากับระบบการเล่นแบบ Cross Play ที่เราสามารถปาร์ตี้ได้ทั้ง PC, PlayStation และ Xbox เลยทีเดียวนอกจากด่านของตัวเกมจะมีให้เราเล่นด้วยกันทั้งหมด 4Act ซึ่งแต่ละ Act ก็จะมีด่านมากมายต่างกันไป และเสน่ห์สำคัญเลยนั่นก็คือบางด่านนั้นก็จะมีเควส Objective ในด่านนั้นๆ ให้เราทำด้วย ถึงแม้ว่ามันอาจจะคล้ายคลึงกับเกม Left 4 Dead ก็จริง แต่ใน Back 4 Blood แทบจะมีเควสให้เราทำเกือบทุกด่าน ต่างจากเกมรุ่นพี่ที่มักจะมีมาเฉพาะด่านสุดท้ายของแต่ละ Act เท่านั้น นอกจากนี้ในแต่ละด่านถึงแม้ว่ามันจะพาเรากลับมายังโซนเดิมที่เคยมาแล้วก็จริง แต่ด่านนั้นอาจจะพาเราเข้าไปสำรวจจุดใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไป และไม่ได้รู้สึกถึงความน่าเบื่อเลยรวมถึงตัวเกมมาพร้อมกับระบบกล่องซื้อขายของ ที่เรานั้นจะสามารถเก็บ Coin ภายในเกมและเอามาซื้อของตอนอยู่ Safezone ได้ ซึ่งเราสามารถซื้อได้กระทั่งปืนใหม่ๆ กระสุน เลือด อุปกรณ์แต่งปืน ยา ระเบิด และอื่นๆ อีกมามาย คราวนี้มันก็หมดปัญหาการที่เราถูกเพื่อนแย่งยา หรือระเบิดเหมือนอย่างในเกม Left 4 Dead แล้วด้วยส่วนในโหมดเสริมที่เกมนี้ใส่เข้ามาด้วยก็คงจะเป็นโหมด PvP ที่เรียกว่า Swarm จะแบ่งฝั่งออกเป็น 4v4 โดยเราและฝ่ายตรงข้ามจะได้เล่นเป็นทั้งฝ่ายคนและซอมบี้ ซึ่งวิธีการชนะคือถ้าหากคุณเป็นมนุษย์คุณจะต้องอยู่รอดให้นานที่สุดกว่าฝ่ายตรงข้าม แค่นี้คุณก็จะได้ 1 แต้ม ส่วนถ้าหากคุณเป็นฝ่ายซอมบี้ คุณก็แค่ต้องทำทุกวิธีทางในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้ได้ไวที่สุดเท่านั้นเอง และตัวโหมดนี้ทางผู้พัฒนาเองตัดระบบเรื่องการฟาร์มการ์ดออกไป ซึ่งทุกคนสามารถมีการ์ดครบเลยตั้งแต่แรก เพื่อให้เกมมีความสมดุลย์ด้วยความรู้สึกจากที่ได้ลองเล่นมา Back 4 Blood ถือว่าเป็นเกมที่ค่อนข้างสนุกพอสมควร ถึงแม้ว่าโดยรวมเราจะรู้อยู่แล้วว่ามันก็คือเกมสไตล์ Left 4 Dead นั่นแหละ ความรู้สึกโดยรวมมันไม่ได้ต่างกัน เพียงแค่ระบบที่ถูกใส่เข้ามาทำให้มันรู้สึกใหม่มากมาย สิ่งที่ชอบมากๆ ของเกมนี้ก็คงเป็นระบบปืนที่มีแรงดีด เสียงที่ค่อนข้างสมจริงมากกว่าเกมรุ่นพี่ และสิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คงจะเป็นระบบความโหดที่มากขึ้นกว่าเกม Left 4 Dead ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นโหมดง่าย เพราะมันจะทำให้ตัวเกมท้าทายมากขึ้น (ถึงแม้ว่าจะเป็นโหมดง่ายสุดก็เถอะ) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเปื่อยจนเกินไป เพราะต้องเข้าใจว่าบางคนเองก็ไม่ได้อยากเล่นโหมดที่มันยากเกิน แต่ก็ไม่อยากได้อะไรที่ง่ายจนจะหลับส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็คงจะเป็นโหมด Swarm ที่หลังจากได้ลองเล่นมันไม่ได้ชวนให้น่าเล่นต่อแต่อย่างใด เพราะมันจะส่งเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่เล็กๆ (ฝั่งคน) และสู้จนกว่าจะตาย ซึ่งส่วนตัวชอบโหมด PvP ใน Left 4 Dead มากกว่า กับโหมดที่ฝ่ายมนุษย์จะได้เข้าไปเล่นในด่านของโหมด Campaign ทั่วไป และฝ่ายคนจะได้เล่นเป็นซอมบี้พิเศษมาขัดขวาง หวังว่าในอนาคตทางผู้พัฒนาจะเอาโหมดนี้เข้ามาให้เราเล่นบ้าง  รวมถึงปัญหาที่ยังพบเจอตั้งแต่ Open Beta ก็คือมันจะมีฝั่งที่สู้ไม่ได้และชอบกดออกเกมกลางคัน ทำให้คนที่เหลือถ้าไม่กดออกเกมไป ก็จะต้องยอมโดนยำจนกว่าเกมจะจบส่วนงานด้านภาพนั้นถึงแม้ว่าจะค่อนข้างผิดหวังเรื่องความโหด ความแหวะที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่ทางผู้เขียนก็ค่อนข้างเข้าใจเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกทำกราฟิกเลือดให้ออกมาเป็นแบบนี้ อย่างที่บอกก็เป็นเพราะที่จะให้ตัวเกมสามารถวางขายได้เกือบทุกประเทศ ในส่วนนี้ก็เลยรับได้
21 Oct 2021
รีวิวเกม Far Cry 6 "ใครว่าการปฏิวัติไม่ใช่เรื่องสนุก?"
เมื่อพูดถึงเกมตระกูล Far Cry ของผู้พัฒนา Ubisoft เชื่อว่าคนที่เคยเล่นมาก่อนน่าจะนึกออกทันทีว่าเกมจะหน้าตาเป็นอย่างไร จากแนวคิดการออกแบบตาม “สูตรสำเร็จ” ของผู้พัฒนา Ubisoft ที่ทำให้เกมหลายๆ ภาคที่ผ่านมา (รวมถึงเกมซีรีส์อื่นๆ ของผู้พัฒนา) ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ของ “ความจำเจ” อยู่บ่อยครั้ง แต่แม้ว่าเกมทุกภาคจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก Far Cry ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่ได้รับการจับตาและเฝ้ารอจากแฟนๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะภาคล่าสุดอย่าง Far Cry 6 ที่นอกจากจะเป็นก้าวแรกของซีรีส์บนคอนโซลยุคใหม่อย่าง PlayStation 5 และ Xbox Series X แล้ว เกมยังได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Giancarlo Esposito (Breaking Bad, The Mandalorian) มารับบทวายร้ายเจ้าเสน่ห์อย่างเผด็จการ Anton Castillo อีกด้วย ยังไม่นับท่าทีของผู้พัฒนาในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านๆ มา ที่เปิดเผยว่าเนื้อเรื่องของการปฏิวัติภายในเกมจะโอบรับความเป็น “การเมือง” ที่ผู้พัฒนา Ubisoft พยายามกล่าวถึงเพียงเลียบๆ เคียงๆ มาตลอดอีกด้วยผลลัพธ์ที่ออกมา แม้จะยังมีรูปแบบเหมือนกับเกมภาคที่ผ่านๆ มาอย่างมากในแง่ของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ถือได้ว่าเป็นเกม Far Cry ภาคที่ “กลมกล่อม” ที่สุดในรอบหลายปีจากเนื้อเรื่องอันเข้มข้นของเกม ที่กล้าจะพูดถึงแง่มุมอันซับซ้อนของการปฏิวัติการปกครองประเทศ ที่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแค่เพียงการ “กำจัดใครคนใดคนหนึ่ง” แต่คือการต่อสู้กับอดีตที่ยึดหน่วงเราเอาไว้อีกด้วยFar Cry 6 จะติดตามตัวละคร Dani Rojas (สามารถเลือกเป็นหญิงหรือชายก็ได้) ประชากรแห่งหมู่เกาะ Yara ประเทศสมมุติแถมอเมริกาใต้ที่อยู่ใต้การปกครองของเผด็จการจอมโหด Anton Castillo โดยหลังจากที่ความพยายามจะหนีจาก Yara ไปยังอเริกาเหนือของเขาและกลุ่มเพื่อนๆ กลับถูกพังไม่เป็นท่า Dani ก็ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มทหาร Libertad ที่ชักชวนให้เขาเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปลดแอก Yara จากเงื้อมมือของ Castillo ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ Yara เพื่อชักชวนนักปฏิวัติกลุ่มย่อยๆ ทั้งหลายให้ร่วมมือกันอีกด้วยอย่างที่ผู้กำกับเนื้อเรื่องของเกมอย่างคุณ Navid Khavari เคยกล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา เกม Far Cry 6 เลือกที่จะโอบรับความเป็นการเมืองของเนื้อเรื่องเกมอย่างเต็มอก ซึ่งต่างจากเกมของผู้พัฒนา Ubisoft ที่มักจะแตะประเด็นหนักๆ เหล่านี้แบบขอไปทีอย่างทีจนโดนตำหนิเป็นประจำ โดยการเลือกที่จะไม่ปฏิเสธความเป็นการเมืองทำให้เกมสามารถนำเสนอเนื้อเรื่องที่มี “น้ำหนัก” ได้มากกว่าเกมภาคอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าติดตามกว่าที่ผ่านๆ มาไปด้วย และเช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรแยกออกเป็นขาวกับดำ Far Cry 6 ก็ไม่กลัวที่จำนำเสนอความซับซ้อนของการปฏิวัติ เมื่อกลุ่มคนที่มีความต้องการไม่ตรงกันจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า และหนทางอันยาวไกลของเหล่านักสู้กว่าจะได้มาซึ่ง Yara อันสงบสุขสำหรับทุกคนแต่แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมจะค่อนข้างซีเรียส ตัวละคร NPC ต่างๆ ที่พบเจอในเกมมักจะออกไปทางตลกอารมณ์ดีกันซะมากกว่า ซึ่งก็ช่วยให้อารมณ์โดยรวมของเกมไม่หนักจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องเสริมของตัวละครแต่ละตัวก็สามารถช่วยเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อีกด้วยการนำเสนอแง่มุมต่างๆ ของการปฏิวัติมากขึ้น อาจจะสรุปได้ง่ายๆ ว่าเกม Far Cry 6 ถือเป็น Far Cry ภาคแรกนับตั้งแต่ภาค 3 ที่ผู้เขียนรู้สึก “อยากเล่นเนื้อเรื่องต่อ” จริงๆ มากกว่าจะวิ่งเล่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปเรื่อยๆ เหมือนภาคอื่นแน่นอนว่าส่วนสำคัญของการนำเสนอเนื้อเรื่องที่ดีก็คือการพากย์เสียง ซึ่งเกมก็ทำได้ดีตามคาด แม้ว่าอนิเมชั่นสรหน้าท่าทางของ Ubisoft จะไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ แต่ก็ทำออกมาได้ดีกว่าในเกม Far Cry ภาคที่ผ่านๆ มา โดยการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้การเล่าเรื่องผ่านคัตซีนมุมมองบุคคลที่ 3 ทำให้ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอฉากคัตซีนสำคัญๆ ได้น่าสนใจกว่าในภาคอื่นๆ และทำให้ผู้เล่นสามารถสังเกติสีหน้าท่าทางของตัวละครได้อย่างละเอียดกว่าที่ผ่านมาด้วย คนที่เคยเล่นเกม Assassin’s Creed: Valhalla มาก่อนอาจจะพอนึกภาพออกว่าคัตซีนของ Far Cry 6 จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรสิ่งที่สำคัญกว่าคุณภาพของกราฟฟิกคงจะเป็นการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ Yara เองที่มีความน่าสนใจและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดริมทะเล หมู่เขาที่มีป่าทึบปกคลุม ไปจนถึงเมืองขนาดน้อยใหญ่มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเกาะ ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตและที่มาที่ไปจริงๆ ราวกับเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติมานานแล้วจริงๆ และเอื้อให้ผู้เล่นรู้สึกอยากสำรวจเพื่อค้นหาความลับ (และสมบัติ) มากมายที่ซ่อนอยู่ในแผนที่หากจะมีข้อตำหนิซักหน่อยคงเป็นเรื่องของการเดินทางในเกมที่มักมีระยะทางค่อนข้างไกล แต่กลับมีจุด Fast Travel ให้ปลดล๊อคไม่เยอะขนาดนั้น และแม้ว่าผู้เล่นจะสามารถเรียกรถส่วนตัวได้ทุกเมื่อ (ตรายใดที่อยู่ใกล้ถนนหลัก) แต่การขับยานพาหนะทั้งหมดในเกมยังถูกล๊อคอยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบหรือเวียนหัวได้ ครั้นจะใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติก็ใช้ได้เฉพาะเวลาอยู่บนถนนหลัก ซึ่งก็เสี่ยงจะโดนทหารยิงตายเอาได้ง่ายๆ โดยจุดนี้จะเป็นปัญหาแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นแต่ละคนทนกับระบบขับรถของเกมได้แค่ไหนเช่นกันในส่วนของเกมเพลย์ แม้ว่าผู้พัฒนาจะพยายามเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับการต่อสู้ผ่านระบบ “Bullet Type” (ชนิดกระสุน) และระบบของสวมใส่ที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ แต่เมื่อเล่นจริงๆ ก็พบว่าระบบเหล่านี้มักไม่ได้มีความหมายมากนักสำหรับระบบการเลือกชนิดของกระสุนนั้น แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอกส่องดูล่วงหน้าได้ว่าศัตรูแต่ละตัวแพ้กระสุนชนิดใด (หรือโจมตีด้วยกระสุนชนิดใด) รวมไปถึงไฮไลต์ตำแหน่งของศัตรูตัวนั้นๆ ไปด้วย แต่เมื่อเริ่มสู้จริงๆ ก็ไม่ได้มีเวลามานั่งส่องชนิดกระสุนของศัตรูแต่ละตัวอยู่ดี แถมสุดท้ายแล้วก็ยังมีปืนบางชนิดที่สามารถยิงหัวศัตรูให้ตายได้ในนัดเดียวอยู่ดี เช่นปืนสไนเปอร์ ปืนลูกซอง หรือกระทั่งธนู ทำให้ต่อให้ไม่สนใจระบบนี้เลยก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่นัก อาจจะยกเว้นเพียงภารกิจเนื้อเรื่องหรือศัตรูบางชนิดที่ยากเป็นพิเศษเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในส่วนของระบบของสวมใส่ จะเปรียนเสมือนกับระบบ Perk ในภาคอื่นๆ โดยแทนที่จะใช้การอัปสกิลเหมือนภาคอื่นๆ เกมได้เปลี่ยนให้ Perk ต่างๆ ผูกเข้ากับของสวมใส่แต่ละชิ้นแทน หากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกม Far Cry เพื่อระเบิดภูเขาเผากระท่อมสนุกๆ แบบไม่คิดไรมาก การที่ต้องมาคอยสลับของสวมใส่อยู่เรื่อยๆ อาจจะเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ แต่เช่นเดียวกับระบบชนิดกระสุน ต่อให้ไม่สนใจมากก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ยกเว้นในกรณีที่เจอศัตรูหรือภารกิจที่หินจริงๆ เท่านั้นจุดที่ทำให้การต่อสู้น่าสนใจมากกว่าคงเป็นระบบกระเป๋า Supremo และอาวุธ Revolver Weapon ทั้งหลายที่เพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับการต่อสู้ โดยกระเป๋า Supremo อาจจะเปรียบได้กับ “ท่าไม้ตาย” ในเกมอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนได้หลากหลายตลอดเวลาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการยิงจรวดติดตามเพื่อกำจัดศัตรูกลุ่มใหญ่ หรือการปล่อยระเบิด EMP เพื่อทำให้ยานพาหนะและเครื่องจักรต่างๆ ของศัตรูหยุดทำงานชั่วขณะ ในขณะที่เหล่า Revolver Weapon คืออาวุธพิศดารๆ ที่ประดิษฐ์โดย NPC Juan Carlos ที่มักจะมาพร้อมความสามารถแปลกๆ อย่างปืนยิงไฟ ปืนยิงก๊าซพิษ ปืนยิงฉมวก หรือปืนลูกซองที่มาพร้อมโล่ห์กันกระสุนเป็นต้นนอกเหนือไปจากระบบที่กล่าวไป เกมเพลย์ของ Far Cry 6 ก็แทบจะตามสูตรของ Far Cry เป๊ะๆ เลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปรอบๆ เกาะเพื่อทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับจากตัวละคร NPC ที่พบเจอ พร้อมกับกำจัดศัตรูตามฐานทัพหรือล่าสัตว์เพื่อเก็บทรัพยากรณ์ไปแลกอาวุธชุดเกราะใหม่ๆ ไปด้วย แน่นอนว่าระหว่างทางยังมีกิจกรรมเสริมมากมายให้ทำ ตั้งแต่ภารกิจเสริม การตกปลา หรือการชนไก่ ที่เพิ่มความหลากหลายให้กับการเล่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเกมการชนไก่ที่เปรียบเสมือนเกมต่อสู้ย่อมๆ ของตัวเองเลย หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Far Cry ภาคอื่นๆ แล้ว มั่นใจได้เลยว่า Far Cry 6 ก็จะมอบประสบการณ์แบบเดียวกันให้กับคุณ แม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกับเกมในอดีตนักในส่วนของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ยังเป็นเกมที่สนุกครบเครื่องตามมาตรฐานของเกม Far Cry ทุกภาคที่ผ่านมา โดยเนื้อเรื่องที่ซีเรียสและชวนคิดของเกมถือเป็นทิศทางใหม่ที่น่าสนใจของผู้พัฒนา Ubisoft ทำให้เกม Far Cry 6 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับซีรีส์ในยุคคอนโซลปัจจุบันรีวิวซับไตเติ้ลและเมนูภาษาไทยเกม Far Cry 6 จะถือเป็นเกมภาคแรกในซีรีส์ที่สนุบสนุนภาษาไทยทั้งในบทบรรยายและเมนู โดยหลังจากที่ฝากผลงานแปลไทยที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเอาไว้ในเกมก่อนหน้าอย่าง Ghost Recon: Breakpoint ต้องยอมรับว่าผู้พัฒนา Ubisoft ได้รับฟังคำติชมของผู้เล่นชาวไทยแล้ว เพราะคุณภาพของการแปลภาษาไทยในเกม Far Cry 6 นั้นดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจจะทัดเทียบกับเกมที่ได้รับคำชมในเรื่องคำแปลอย่าง The Last of Us Part 2 หรือ Ghost of Tsushima ได้เลย แน่นอนว่าการจะแปลให้ถูกต้อง 100% คงจะยังคาดหวังได้ยาก แต่ก็ยังถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ และเป็นข่าวดีของแฟนๆ ชาวไทยที่จะได้เข้าถึงเกมอย่างเต็มที่ซะที
06 Oct 2021
พรีวิว Battlefield 2042 กลิ่นอายสงครามที่คุณเคย แต่เพิ่มเติมด้วยความโลดโผนมากขึ้น
เป็นภาคที่แฟนๆ เฝ้ารอคอยเป็นอย่างมากสำหรับ Battlefield 2042 ที่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้ทำการนำเราเข้ามาสู่โลกสงครามในยุคปัจจุบันกึ่งโลกอนาคต หลังจากที่ให้เราได้เล่นในสงครามอดีตมาตั้ง 2 ภาค เราจะได้กลับมาจับปืน จับยานพาหนะในยุคปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเรา GameFever TH เองได้โอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ในช่วงทดสอบ Open Beta มา และจะมาพรีวิวสั้นๆ ว่าตัวเกมมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเกมภาคก่อนหน้าบ้าง แต่ต้องขอเกริ่นก่อนว่าในช่วงทดสอบทางเราเองได้มีโอกาสเล่นเพียงแค่โหมด Conquest ด่านเดียวเท่านั้นมี 4 คลาสเหมือนเดิม แต่โลดโผนมากขึ้นยังคง Concept ของเกม Battlefield เช่นเดิมที่ตัวเกมยังคงมีคลาสให้เราเลือกจำนวน 4 คลาสด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วยAssualt - สายปะทะจะมีความสามารถในการใช้ Grapling Hook เพื่อเกาะขึ้นที่สูงได้ สามารถวิ่งและเล็งได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงใช้ Zipline ได้Engineer - สามารถตั้งป้อมปืนได้ และป้อมปืนที่อยู่ใกล้ๆ จะได้รับประสิทธิภาพRecon - หน่วยซุ่มยิงที่สามารถเรียกโดรนออกมา Mark จุดศัตรูได้ หรือจะมี Movement Sensor ที่จะเตือนถ้าหากศัตรูอยู่ใกล้ๆ Support - หน่วยแพทย์ของทีม มีปืนที่สามารถฮิลได้ และเวลาชุปเพื่อนเลือดจะเต็มโดยแต่ละคลาสจะทำหน้าที่และมีประโยชน์แตกต่างกันไปซึ่งมันก็คล้ายๆ กับเกมภาคก่อนๆ ที่เคยมี แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความสามารถต่างๆ ของตัวละครที่บุกได้หลากหลายขึ้น อย่างเช่น Assualt ที่มีสกิลดึงสลิงขึ้นไปบนที่สูง หรือ Recon สามารถใช้โดรนค้นหาศัตรูที่แอบได้ก่อน หรือจะเป็น Support ที่สามารถยิงปืนเพิ่มเลือดได้ในระยะไกล และความแตกต่างระหว่างเกมนี้ที่เห็นได้ชัดคงจะเป็นการที่ทุกคลาสสามารถเลือกเล่นปืนไหนก็ได้ (แต่บางคลาสอาจจะเลือกบางปืนไม่ได้) เกมยังเน้นทีมเวิร์ค แต่ก็แตกต่างกว่าภาคเก่าซึ่งจากที่ได้ลองเล่นมาตัวเกมค่อนข้างให้อารมณ์คล้ายๆ กับ Battlefield 4 ที่เพิ่มความสามารถของตัวละครเข้าไป และอย่างที่ทราบว่าเกม Battlefield เป็นซีรีส์ที่ต้องอาศัย Team Work ของเพื่อนใน Squad เป็นอย่างมาก ซึ่งยกตัวอย่างจากเกม Battlefield V ที่ตัวเกมดีไซน์ให้เราควรมักจะไปเป็นกลุ่มก้อนกระจุกกันไว้ เพราะเราต้องช่วยกันจ่ายยา จ่ายกระสุนให้ (อาจจะมีหน่วยสไนเปอร์ที่ออกห่างได้ประมาณหนึ่ง)  ส่วนพลปืนกลก็ไม่ได้มีสกิลที่โลดโผนมากนักนอกจากปืนแรง แต่ Battlefield 2042 การเดินห่างๆ และคุมโซนกันไว้น่าจะเป็นตัวเลือกที่อาจจะเหมาะด้วยเช่นกัน เพราะทุกตัวละครมีความสามารถที่เอื้อและโลดโผนกว่าภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น Recon มีความสามารถในการค้นหาศัตรู ซึ่งเราอาจจะสามารถหาตำแหน่งให้เพื่อนได้ Assualt เป็นคนเดียวที่สามารถกระโดดขึ้นที่สูงได้ทำให้การเข้าทำนั้นหลากหลายขึ้น Engineer มีปืนกลที่เล็งและยิงในระยะไกลได้ดี คอยคุมโซนช่วยเหลือเพื่อนแนวหลังได้ หรือจะเป็น Support ก็มีปืนยิงเพิ่มเลือดระยะไกลได้ กลางหรือใกล้ได้ดีปรับแต่งปืนได้แบบเรียลไทม์หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของเกมนี้คือการที่เราสามารถปรับแต่งปืนได้ตลอดเวลาในระหว่างอยู่บนสงครามก็เปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องเก็บเลเวลเพื่อปลดล็อคอีกต่อไป (แต่ระบบปืนยังต้องรอให้เลเวลอัพเพื่อรับปืนใหม่เช่นเดิม) ทำให้เราสามารถปรับแต่งปืนแบบเรียลไทม์เพื่อใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ อย่างเช่นเวลาศัตรูอยู่ไกลเราก็อาจจะสามารถเปลี่ยน Scope ไกลมาใช้ได้ รวมถึงการปรับแต่งก็ยังมีบอกด้วยว่าประสิทธิภาพเพิ่มและลดตรงไหนระบบ A.I. ที่ทำให้ห้องเต็มตลอดเวลาอย่างที่ทราบว่าถ้าใครเล่นเกม Battlefield 2042 บนเครื่อง PC, PS4 หรือ Xbox Series X/S ภายในห้องจะรองรับผู้เล่นมากถึง 128 คนเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่ามันมีโอกาสที่คนในห้องจะไม่ครบหรือขาดไปบ้าง ตัวเกมเลยนำระบบ A.I. ใส่เข้ามาแทรกให้กับเราภายในห้อง (คล้ายๆ กับการมีบอทสมัยเกม Battlefield 2) ซึ่งจากที่ได้ลองมา  ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วตัวบอทยังมีความเอ๋อๆ และดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง อย่างเช่นอยู่ดีๆ ก็เดินไปที่โล่งกลางแจ้งให้เรายิงฟรีๆ แต่ตัวบอทค่อนข้างยิงแม่นพอสมควร ถ้าเราเดินไม่ระวังเราอาจจะโดนบอทลุมยิงตายแบบง่ายๆ ก็ได้ และนี่มันก็เป็นข้อดีสำหรับคนที่เล่นไม่เก่งเช่นกัน เพราะเรายังได้มีโอกาสยิงบอทที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ความรู้สึกหลังได้ลองเล่นจากที่ได้ลองเล่นมา ตัวเกมมีความคล้ายคลึงกับเกม Battlefield 4 อยู่พอสมควรในเรื่องของอาวุธปืนต่างๆ ที่เหมือนกันมาก แต่มันก็มีการเพิ่มเติมมาด้วยความสามารถของคลาสต่างๆ ที่หลากหลายและโลดโผนมากขึ้น เชื่อว่าท่านจะต้องพบเจอกับเกมเพลย์สไตล์ใหม่ๆ หรืออะไรแปลกๆ ภายในนั้นอีกเยอะแยะแน่นอน ส่วนเรื่องสังเกตุข้อเดียวก็คือ ถ้าหากใครคิดอยากที่จะหากลื่นอายความเป็น Sci-fi โลกอนาคต ตัวเกม Battlefield 2042 มันก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ท่านคาดหวังไว้เท่าไร ตัวเกมยังมีกลิ่นอายความเป็นโลกปัจจุบันที่อาจจะมีเทคโนโลยีทันสมัยกว่าความเป็นจริงประมาณหนึ่งเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วตัวเกมก็ยังสนุกและแฟนๆ ก็น่าจะกลับมาชอบอีกครั้ง
06 Oct 2021
รีวิว Diablo 2 Resurrected เหล้าเก่าฉลากใหม่ที่รสชาติจัดจ้านกว่าเดิม
ย้อนกลับไป 20 กุมภาพันธ์ 2021 เกมเมอร์ทั่วทั้งโลก ได้เป็นสักขีพยานถึงการคืนชีพของตำนาน Action RPG ระดับตำนาน Diablo 2 Resurrected การเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่นั้นได้ทำให้ผู้เล่นทั่วโลกตื่นเต้นแทบจะรอวันวางขายเกมไม่ไหว และวันนี้ตัวเกมได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วบนแพลตฟอร์มยุคใหม่ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น PS5, Xbox Series X / S, PC หรือ Nintendo Switch แม้จะใช้ชื่อว่า Resurrected แต่ในความหายที่แท้จริงของเกม ก็คือฉบับ Remastered ที่เพิ่มระบบใหม่ๆ ให้สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล และสนุกมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการเพิ่มตัวละครจาก DLC อย่าง Assassin กับ Druid เข้ามาเลย ไม่จำเป็นต้องซื้อแยกเหมือนกับตัวเกมต้นฉบับ แน่นอนว่าเนื้อเรื่อง Act 5 ที่แต่เดิมอยู่ใน DLC ก็ถูกแถมมาด้วยกับตัวเกมฉบับ Resurrected เลย ผู้เขียนเองเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเล่นเกม Action RPG มุมมองแบบนี้มาก และวันนี้จะมาเล่าความรู้สึกหลังจากที่ได้เล่นให้เพื่อนๆ ชาว GameFever Th ได้อ่านกัน!เดินทางเพื่อหยุดการตื่นของภัยพิบัติแม้ว่าเนื้อเรื่องของ Diablo 2 จะไม่ใช่ส่วนสำคัญที่ทำให้เกมนี้โด่งดัง แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่เติมเต็มเกมให้มีรสชาติกลมกล่อม กล่าวถึงการเดินทางของเราเพื่อหยุดยั้งแผนการช่วยร้ายของเผ่าปีศาจที่นำโดย Prime Evil ทั้งสาม Diablo, Baal และ Mephisto โดยภายในเรื่องราวจะมีทั้งการทรยศหักหลัง, เรื่องราวของความดี และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าหากได้ลองอ่านดูเชื่อว่าเพื่อนจะสนุกไปกับเรื่องราว Dark Fantasy ของเกมนี้ได้ไม่ยากเลยCut Scene ใหม่ที่สวยงามน่าดูกว่าเดิมอีกหนึ่งจุดขายของ Diablo 2 ตลอดการเล่นของเนื้อเรื่องคือ Cus Scene ความยาวหลายนาที ที่ช่วยให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้นกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนยังไง ซึ่งในฉบับ Resurrected มีการทำแอนิเมชันในส่วนนี้ใหม่ทั้งหมด ฉากที่สวยงามมากกว่าเดิม ฉากต่อสู้ที่ดูรู้เรื่องมากขึ้น รวมไปจนถึงสีหน้าของตัวละครที่สื่ออารมณ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนนี้ยังเป็นตัวช่วยให้เราอยากเล่นเนื้อเรื่องใน Act ต่อไปมากขึ้น และใช้เวลาสนุกไปกับเกมกราฟิกที่อัปเกรด กับเอฟเฟคสกิลสุดตื่นตาตื่นใจได้ชื่อว่าเป็นฉบับ Remastered สิ่งที่หลายคนคาดหวังคงไม่พ้นเรื่องภาพที่สวยงามอลังการมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ต้องบอกเลยว่า Blizzard ทำออกมาได้ดีมาก ทั้งในแง่ของกราฟิก รวมถึงการ Optimize ให้สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล่โดยไม่ต้องการ Hardware ที่แรงมากมายอะไรนัก อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น คือเอฟเฟคของสกิลที่มีความถูกต้อง และสวยงามมากขึ้นเช่นเดียวกับกราฟิก โดยเฉพาะสกิลธาตุที่มีรายละเอียดในเปลวไฟ สะเก็ดน้ำแข็ง รวมถึงความหนาของสายลมภาพใหม่สุดสวยงาม หรือภาพเก่าสุดคลาสสิคแม้ว่ากราฟิกใหม่ของ Diablo 2 Resurrected จะสวยงามและทำให้เกมน่าเล่นกว่าที่เคยเป็นมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพแตกๆ สไตล์ดั้งเดิมของเกมก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของ Diablo 2 ความยอดเยี่ยมของภาคนี้คือผู้เล่นสามารถสลับภาพไปมาระหว่างกราฟิกแบบใหม่ และแบบเก่าได้ตลอดเวลาง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม "G" บนคีย์บอร์ด บางครั้งที่คิดถึงภาพสไตล์เก่าจะสลับกลับไปเล่นช่วงเวลาหนึ่งแล้วพอเบื่อจะกลับมาเล่นแบบภาพสวยอีกครั้งก็สามารถทำได้ประสบการณ์ไหนที่ได้จากต้นฉบับ ยังคงได้จากฉบับนี้!แม้จะได้ชื่อภาคว่า Resurrected แต่ Blizzard ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหา รวมถึงวิธีการเล่นในส่วนไหนของเกมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความยาก การหาไอเท็ม เนื้อเรื่อง หรือความสามารถของมอนสเตอร์ ผู้เล่นยังจำเป็นต้องใช้เวลาในแต่ละระดับความยาก Normal, Nightmare, Hell ไม่ว่าจะเป็นการหาไอเทมมาเสริมให้ตัวเองเก่งขึ้น หรือเพิ่มเลเวลเพื่ออัปสกิล กับสเตตัส ในภารเตรียมตัวให้พร้อมลุยระดับความยากที่สูงขึ้นแม้ว่าระดับความยากของเกมจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ แต่เอาจริงๆ Diablo 2 เองไม่ใช่เกมที่ง่ายระดับที่เล่นแบบมั่วๆ แล้วจะสามารถเอาชนะบอสในแต่ละ Act ของเนื้อเรื่องได้ ตัวเกมนั้นยากตามสไตล์เกมยุคเก่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งในฉบับ Resurrected ก็ไม่ได้มีการลดความยากในส่วนนี้ลงเลย แถมโทษจากการตายยังคงเป็นการของหล่นหมดตัวเช่นเดิม ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้เล่นจะเป็นต้องระวังเป็นอย่างมากในการเดินเนื้อเรื่อง รวมถึงเก็บเลเวลในระดับความยากที่สูงขึ้นก็จะดรอปไอเทมที่เก่งขึ้น Rune ที่ดีมากขึ้น รวมไปจนถึง Exp ที่ได้ก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน การจะเก็บเลเวลให้ถึง 99 จะเป็นการง่ายกว่าในการเล่นระดับความยากที่สูงขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังลงโทษผู้เล่นที่อัปสกิล หรือสเตตัสมาไม่ดีพอโหดเช่นเดิม ไม่มีโอกาสที่สองสำหรับคนที่ใช้โอกาส รีสกิล / สเตตัสไปจนหมดแล้ว การเริ่มเล่นใหม่เป็นหนทางเดียวที่จะแก้ตัวได้ การคิดแนวทางอัปสกิล / สเตตัส รวมไปจนถึงมองหาไอเทมที่เหมาะกับตัวเอง ทั้งหมดที่กล่าวมีนี้คือสเนห์ดั้งเดิมของ Diablo 2 ที่ไม่ได้สูญหายไปในตัวเกมฉบับ Resurrected ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ต้องชมทีมพัฒนาระบบใหม่ๆ ที่ทำให้การเล่นสนุกมากขึ้นแม้ว่าบรรยากาศ และเกมเพลย์ส่วนใหญ่ถูกคงไว้เช่นเดิมเพื่อมอบประสบการณ์ที่สุดแสนจะน่าคิดถึงให้กับผู้เล่น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มระบบใหม่ที่ทำให้การเล่นเกมสนุกมากขึ้นเข้ามาด้วย ซึ่งหลักมี 2 อย่างด้วยกันที่ส่งผลต่อการเล่นของผู้เล่นโดยตรง คือ 1.) ระบบเก็บเงินให้ Auto เมื่อตัวละครของผู้เล่นเดินผ่านเงิน และ 2.) Stash สำหรับส่งของให้กับตัวละครอื่นๆ ภายใน ID เดียวกันแม้ว่าเงินจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญเท่าไหร่นักใน Diablo 2 แต่มันยังคงจำเป็นในการซ้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่พังลงจากการต่อสู้ รวมถึงซื้อยามาใช้ในยามฉุกเฉินอยู่ แม้ว่าการคลิกเพื่อเก็บเงินเองอาจไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มากขนาดนั้น แต่การมีระบบที่เก็บให้เราเองก็เป็นเรื่องดี เพราะมันสะดวกสบายมากขึ้น จำเป็นต้องให้ความสนใจต่อไอเทมที่ดรอปน้อยลง และโฟกัสไปที่การต่อสู้ได้มากขึ้นStash สำหรับส่งของไปมาระหว่างตัวละครได้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้เล่น Diablo 2 อยากได้กันมาเสมอ เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากมากที่จะส่งของไปมาระหว่างตัวละครต่างๆ ใน ID เพราะต้องหาเพื่อนมาเก็บของให้ และสลับเป็นอีกตัวมารับของคืน การส่งไปมาได้เองผ่าน Stash จึงเป็นอะไรที่น่ายินดี และทำให้การเล่นหลายๆ ตัวทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถส่งของดีๆ ไปให้อีกตัวใช้ได้ นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ทำให้เกมน่าเล่นมากขึ้นเยอะเลยทีเดียวสรุปสนุกไหม?จริงๆ แล้วผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสได้เล่นเกม Diablo 2 เป็นครั้งแรก และในฐานะที่ชอบเล่นเกมแนวนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขอยอมรับว่าประสบการณ์ที่ได้จากเกมถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ความสนุกที่ไม่คิดเลยว่าจะได้จากเกมนี้ในตอนแรกคือในเรื่องของความยากที่หาไม่ค่อยได้ในเกมยุคใหม่ๆ และระบบสกิล รวมไปจนถึงระบบไอเทม ก็ไม่ได้ทำความเข้าใจยากอะไรมากมายนัก ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ Diablo 2 Resurrected ถือได้ว่าเป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่ แต่ก็มีความลึกน่าค้นหาในแบบของตัวเอง ถ้าหากเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเล่นเกมยากต้องมานั่งปวดหัวกับการหาของเพื่อไปเล่นในระดับความยากที่สูงขึ้น เพื่อนๆ สามารถสนุกไปกับเล่นในระดับความยากของ Normal กับ Nightmare ลองเล่นสกิลที่ตัวเองชอบ ในอาชีพต่างๆ ถ้าหากเป็นสายต้องไปให้ถึง End Game ก็ต้องทำการบ้านเยอะหน่อยในการทำบิ้วท์ดีๆ สักหนึ่งบิ้วท์ในการไปให้ถึง Act 5 ในระดับ Hell และมันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรนัก ในการนั่งทำความเข้าใจสายที่ตัวเองเลือกเล่นในเกมนี้ ดังนั้นสำหรับมือใหม่ที่อยากไปให้ถึง Hell ก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการบ้านอะไรมากมายนักโดยรวมแล้ว Diablo 2 Resurrected เป็นการพาเรากลับไปเล่นเกมในวัยเด็ก ที่สนุกมากกว่าที่เคยเป็นมา และได้อรรถรสมากขึ้นจากกราฟิกที่สวยงาม สิ่งเดียวที่ทีมพัฒนาต้องให้ความสนใจเพิ่มเติมคือการเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาหลังจากนี้ เพราะไม่ว่า Diablo 2 จะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยม และสนุกขนาดไหน หากไม่มีคอนเทน์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาเลยในอนาคต เกมนี้จะน่าเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลาที่ผ่าน และสักวันก็จะกลายเป็นเกมที่เราเลิกเล่นกันไป หาก Blizzard ต้องการชุปชีวิตเกมนี้ขึ้นมาจริงๆ และสนับสนุนมันต่อไปเรื่อยๆ คอนเทนต์ใหม่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันคอนเทนต์ใหม่ก็เป็นอะไรที่สามารถทำลายเกมลงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นทีมพัฒนาจำเป็นต้องระวังมากๆ ครับ
28 Sep 2021
รีวิว Deathloop การต่อสู้เพื่อทำลายลูป 24 ชั่วโมง ที่ยาวนานเหมือน 10 ปี
ถ้าหากว่าเป็นเกมเมอร์ที่อยู่ในวงการมาแล้วระยะหนึ่งเชื่อว่าชื่อของ Dishonored ต้องเคยผ่านเข้าหูกันมาบ้าง ตัวเกมถูกพัฒนาโดย Arkane Studios โดยได้รับเสียงตอบรับจากผู้เล่นที่ดีมากๆ ส่งผลให้มีภาค 2 ตามออกมาในปี 2016 โดยจุดเด่นคือเกมเพลย์กับการนำเสนอที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ตามมาด้วยผลงานที่ 3 ของพวกเขา Prey ที่ยังคงได้รับคะแนนรีวิวดีมากเช่นกัน ซึ่งล่าสุดผลงานลำดับที่ 4 ของพวกเขาก็เพิ่งวางจำหน่ายไปในอาทิตย์ที่ผ่านมาDeathloop เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่นำเสนอออกมาได้แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ยังคงเป็นเกมที่ใช้มุมแบบ FPS เช่นเดียวกับผลงานที่ผ่านมา ส่วนที่แตกต่างไปซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัดๆ จากหน้าปกของเกมคือโทนสีที่มีความสดใสมากยิ่งขึ้น หลังจากได้ใช้เวลาในเกมนี้ไปหลายสิบชั่วโมง สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า Deathloop เป็นอีกหนึ่งผลงานยอดเยี่ยมที่ทำออกมาได้ดีมากๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เกมที่จะเหมาะสมกับเกมเมอร์ทุกคนในเวลาเดียวกันด้วย ส่วนอะไรคือเหตุผลของข้อสรุปนี้มาดูกันฉันก็คือนาย และเราต้องทำลายลูปนี้!Deathloop จะเริ่มต้นเนื้อเรื่องด้วยการโยนเราลงไปที่ชายหาดแห่งหนึ่งในยามเช้าพร้อมกับอาการเมาค้าง หลังจากเพิ่งฝันร้ายมาว่าถูกผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตาย แต่สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดคือการที่ตัวละครของเราก็จำไม่ได้ว่าเขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ตัวเขาคือใคร ผู้หญิงที่ฆ่าเขาคือใคร และมีเป้าหมายอะไร แต่ในขณะที่ยังยืนงงหาคำตอบไม่ได้อยู่ จู่ๆ ก็มีข้อความลอยขึ้นมากลางอากาศพยายามสื่อสารกับเรา ซึ่งข้อความดังกล่าวจะบอกว่าเขากับเราคือคนเดียวกัน และเราจำเป็นต้องทำลายลูปทิ้งเสีย โดยที่เราเองก็ยังไม่เข้าใจดีว่าลูปคืออะไร และทำไมถึงต้องทำลายมันเมื่อเดินทางมาเรื่อยๆ ตัวเอกของเราจะทราบว่าตัวเองมีชื่อว่า Colt และกำลังพยายามจะทำลายลูป อยู่จากการประกาศของผู้หญิงที่ชื่อว่า Julianna ที่ดังไปทั่วเกาะว่า 'Colt หัวหน้าของพวกเรากำลังพยายามจะทำลายลูป ถ้าใครพบเจอให้สามารถกำจัดได้เลย!' ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน Colt จะตาย จากเหตุการณ์อะไรบางอย่าง และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันเดิม ที่ชายหาดเดิม และเข้าใจความหมายของลูป ที่ทุกคนพูดถึง มันคือช่วงเวลา 1 วัน ที่จะวนกลับมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขาตาย หรือช่วงเวลาผ่านไปจนหมดวัน จากนั้นการเดินทางตามหาเบาะแส เพื่อทำลายลูปนี้ จึงได้เริ่มต้นขึ้น 24 ชั่วโมงที่ยาวกว่า 10 ปีการนำเสนอเรื่องราวของ Deathloop จะวนอยู่ในช่วงเวลา 1 วันของลูป แบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลาคือ เช้า สาย บ่าย ค่ำ กับ 4 สถานที่ประกอบด้วย เมือง ท่าเรือ โรงงาน และรีสอร์ต แต่ละสถานที่ในแต่ละช่วงเวลาจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน และการกระทำบางอย่างในเขตหนึ่งในช่วงใดเวลาหนึ่ง อาจส่งผลต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสถานที่เดียวกัน หรือสถานที่อื่นในเวลาต่อไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากผู้เล่นไปสำรวจท่าเรือในเวลาเช้า และไปฆ่า NPC ตัวหนึ่งในฉาก ก็อาจทำให้เขาไม่ไปโผล่ในช่วงบ่ายในเขตเมือง จึงทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์สำคัญบางอย่างขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้ยังทำให้บางสถานที่ในบางเขตสามารถเข้าถึงได้เฉพาะบางช่วงเวลาด้วย เช่น Nightclub ที่จะเปิดช่วงค่ำภายในเมืองเท่านั้น หรือสถานีรายงานข่าวที่จะเข้าได้แค่ช่วงเช้าในเขตรีสอร์ต ด้วยการนำเสนอแบบ 4 ช่วงเวลาของ 4 สถานที่ จึงทำให้รูปแบบการสำรวจในการวนลูปแต่ละรอบค่อนข้างหลากหลาย บางครั้งผู้เล่นอาจได้พบกับรหัสตู้เซฟสำคัญภายในเมืองตอนเช้า ที่บริเวณโรงงานตอนเย็นในลูปรอบแรก ดังนั้นในลูปรอบผู้เล่นอาจเลือกไปสำรวจเมืองในตอนเช้า เพื่อนำรหัสที่ได้มาไปเปิดตู้เซฟดังกล่าวดู การเล่าเรื่องที่ไม่เส้นตรง แต่ยังคงเข้าใจได้ง่ายด้วยระบบลูป 1 วันตามที่กล่าวมาข้างต้น Arkane Studios จึงไม่ได้ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเป็นฉากที่ 1 2 3 4 5 ไล่ไปตามลำดับ แต่จะเล่าผ่านเอกสาร หรือเหตุการณ์สำคัญที่ผู้เล่นได้พบในแต่ละสถานที่ แต่ละช่วงเวลาของวันแทน และด้วยความที่บางสถานที่จะสามารถเข้าได้แค่ในบางช่วงเวลาของวันเท่านั้น ประสบการณ์ที่ได้จากเกมของผู้เล่น A กับ B จึงอาจไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในขณะเดียวกันตัวเกมเองก็มีการตีกรอบให้กับเนื้อเรื่องด้วยแผ่นภาพ ของสิ่งที่พบแล้ว กับสิ่งที่ต้องไปตามหาด้วย จึงทำให้แม้จะพบกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปตลอดการเล่นของเนื้อเรื่อง แต่บทสรุปของปริศนาทั้งหมดจะไปจบที่จุดเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้การทำความเข้าใจเนื้อเรื่องเกมที่ยุ่งยาก ง่ายขึ้นเป็นเท่าตัว และเสพได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการออกแบบ / นำเสนอที่ดีลูปของเราเป็นของเรา มันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนอีกหนึ่งการนำเสนอที่คิดว่าเจ๋งมากๆ คือการที่ลูปที่เราอยู่ จะมีรหัสของตู้เซฟ ห้องควบคุม และคำตอบของ Puzzle ที่ไม่เหมือนใคร ตัวเกมจะสุ่มคำตอบของแต่ละปริศนาขึ้นให้กับลูปของเราเท่านั้น ซึ่งระบบนี้เป็นหนึ่งในส่วนช่วยการนำเสนอว่าลูปของเรา โลกของเรา ไม่ใช่เส้นทางเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นไปได้ โดยส่วนนี้ยังรวมไปถึงบทสรุปของเกมที่มีมากกว่า 1 แบบ ในขณะเดียวกันการเริ่มลูปใหม่ ก็หมายถึงการเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ด้วย อาวุธ สกิล และทุกอย่างที่ได้มาในแต่ละลูปจะหายไปเมื่อเริ่มลูปใหม่สีโทนร้อน กับโลกที่ยังคงน่าค้นหาจุดเด่นที่แตกต่างออกไปจุดแรกระหว่าง Deathloop และผลงานก่อนหน้านี้ของ Arkane Studios คือการใช้สีที่มีทั้งส้ม แดง ชมพู เหลือง ฟ้า เยอะมากทั้งในส่วนของเสื้อผ้าตัวละคร อาวุธ และฉาก พอประกอบกับกราฟิกที่สวยงามของ Void Engine แล้ว ก็ทำให้โลกของเกมดูมีเสน่ห์น่าค้นหาเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันด้วยดนตรีประกอบ กับวิธีการเล่าเรื่องแบบผูกปมจำนวนมากขึ้นมาพร้อมกันแล้วค่อยๆ คลายปมทีละนิด ก็เข้าไปช่วยทดแทนในส่วนของความลึกลับที่หายไปจากการสีโทนร้อนได้เป็นอย่างดี ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในมุมมองของผู้เขียนสำหรับ Arkane Studios สำหรับการเลิกใช้โทนสี ขาว-ดำ-เทา ในการสื่อถึงบรรยากาศที่ลึกลับภายในเกมเป็นได้ทั้งผู้ทำลาย และผู้ปกป้องผู้พัฒนาได้เคยกล่าวว่า Deathloop จะนำเสนอเนื้อเรื่องจากทั้งสองด้านให้เราได้ดู ความหายดังกล่าวคือการที่เราสามารถรับบทเป็นตัวละครหญิง Julianna และมีหน้าที่ในการขัดขวางการทำลายลูปของ Colt ซึ่งคนที่กำลังเล่นเป็น Colt ก็คือผู้เล่นอื่นนั้นเอง ซึ่งด้วยความที่ลูปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันจึงทำให้ผู้ที่รับบทเป็น Julianna ไม่สามารถเข้าพื้นที่ Safe Zone ของ Colt ได้เนื่องจากไม่รู้ Password โดยถ้าหากว่าพลาดเสียท่าให้กับ Colt ของในตัว รวมถึงสกิลที่ใส่ไปจะตกทั้งหมด ให้ Colt คนอื่นสามารถเก็บไปใช้งานในลูปของตัวเองได้ระบบนี้เป็นการใส่ระบบ PvP เข้ามาในเกมเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นในการเล่น สำหรับผู้เล่นที่ไม่อยากจะต้องเจอการ PvP และอยากจะเล่นเนื้อเรื่องของเกมให้จบ สามารถปรับโหมดการเล่นเป็นแบบ Single-Player เพื่ออ่านเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่ได้ อย่างไรก็ตามการบุกมากำจัด Colt จะยังคงมีเช่นเดิม เพียงแต่จะเป็น Ai ที่รับหน้าที่แทน (สู้ง่ายกว่าเจอผู้เล่นด้วยกันมาก) เนื่องจากมีของบางอย่างที่ผู้เล่นจะได้จากการเอาชนะ Julianna ได้Ai ที่ไม่ฉลาด แต่ลอบเร้นได้ยาก และยิงแรงมากDeathloop ให้ตัวเลือกในการเล่นของผู้เล่นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือการเล่นแบบลอบเร้น และการเล่นแบบบู๊แหลก แต่สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมลอบเร้นแบบจัดหนักจัดเต็ม อาจรู้สึกไม่ท้าทายเท่าไหร่ในเกมนี้ เนื่องจาก Ai จะไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก บางครั้งยืนอยู่ข้างๆ กันก็ยังไม่รู้ตัวเลย อย่างไรก็ตามการลอบเร้นใน Deathloop จะไปท้าทายมากๆ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมมากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่ NPC มักยืนอยู่เป็นกลุ่ม และมีตำแหน่งการยืนที่ช่วยปิดจุดอับสายตาของตัวอื่น ดังนั้นความยากของการลอบเร้นจะไปอยู่ที่การหาวิธีแทรกซึมเข้าไปมากกว่าสำหรับการเล่นแบบบู๊แหลก โดยรวมถือว่าใช้เวลาน้อยกว่า และเล่นได้ง่ายกว่าการลอบเร้น แต่ก็ต้องหาวิธีรับมือกับดาเมจของปืนศัตรูที่แรงมากๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก NPC มักยืนอยู่กันเป็นกลุ่มจำนวนเยอะๆ ปัญหาของการเล่นแบบบู๊แหลกจึงเป็นเรื่องของกระสุนที่อาจไม่เพียงพอในบางสถานการณ์ รวมถึงบางภารกิจที่หากไม่เล่นแบบลอบเร้นจะยากกว่ามากๆ เช่นศัตรูจะจุดระเบิดทำลายหลักฐานทั้งหมดทันทีเมื่อรู้ว่าเราบุกมา หรือบางด่านอาจมีศัตรูจำนวนเยอะมากๆ และการต้องสู้กับ NPC กลุ่มใหญ่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลยระบบไอเทมกึ่ง Looter Shooterสกิลตัวละคร อาวุธ รวมถึง Mod แต่งปืนภายใน Deathloop จะมีระดับความหายากอยู่ ซึ่งสามารถหาดรอปได้จากศัตรู หรือเก็บได้ตามจุดต่างๆ ของด่าน โดยในส่วนของสกิล กับ Mod แต่งปืนจะมีผลแบบเดียวกัน แต่ส่งผลมากขึ้นตามระดับความหายาก ในส่วนของอาวุธจะมีช่องให้ใส่ Mod ได้เพิ่มมากขึ้นตามระดับความหายาก และภายในเกมยังมีอาวุธระดับสูงสุดเป็นของสีส้ม ที่จะมาพร้อมกับความสามารถสุดเทพด้วย โดยจะสามารถได้รับมาจากเควส หรือสถานการณ์เฉพาะเท่านั้น ซึ่งทำให้การวนลูปแต่ละครั้งมีความหมายมากขึ้น สรุปสนุกไหม?ถ้าเอาแค่ความรู้สึกที่ได้จากเกมเพลย์เพียงอย่างเดียว ต้องยอมรับว่ารู้สึกเฉยๆ มาก เพราะมันไม่ได้มีระบบใหม่ๆ ที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกเลย แต่เป็นการเอาระบบดีๆ ที่ไม่เห็นอยู่แล้วในเกมอื่นมาใส่รวมไว้ในเกมเดียวกัน และใส่ระบบเสริมอื่นๆ เข้าไปให้เกมเพลย์มันไม่น่าเบื่อจนเกินไปเท่านั้น ความเจ๋งที่ทำให้อยากเล่นเกมนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นในส่วนของเนื้อเรื่อง กับการนำเสนอที่ทำออกมาได้น่าสนใจเสียมากกว่า ความทรงจำที่หายไปของ Colt เรื่องราวความสัมพันธ์ของ NPC แต่ละตัวที่ได้พบในเกม วิธีการที่จะทำลายลูป และวิธีการได้รับไอเทมหายากต่างๆ Arkane Studios ถ่วงสมดุลทั้ง 4 ได้ดีมาก ตลอด 20 - 30 ชั่วโมง ที่ได้เล่นเกมนี้ ต้องยอมรับว่าสนุกมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้การกลับไปเล่นอีกครั้งมีความน่าสนใจน้อยลงสำหรับ Deathloop ซึ่ง 20 - 30 ชั่วโมง ในราคา 1,980 บาท อาจไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นักสำหรับบางคน และก็ไม่ใช่ทุกคนเช่นกันที่จะชอบสไตล์การเล่าเรื่องแบบไม่เป็นเส้นตรง แต่เล่าผ่านเอกสารต่างๆ ที่เราได้พบภายในเกมแทน จากทั้งหมดนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า Deathloop ไม่ใช่เกมที่จะเหมาะกับทุกคน อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเพื่อนๆ เป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่มีปริศนาเยอะๆ ต้องหาคำตอบของคำถามมากมายที่เกมตั้งมาให้ด้วยตัวเอง นี้คืออีกหนึ่งผลงานยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด!
21 Sep 2021
Tales of Arise Review "๋มือปืนปากร้ายกับนายหน้ากากเหล็ก"
แม้จะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งวงการ JRPG เหมือนหลายๆ เกม แต่เกมซีรีส์ ‘Tales’ ก็มีประวัติที่ยาวนานไม่แพ้เกมซีรีส์เด่นๆ อย่าง Final Fantasy หรือ Persona เช่นกัน และก็ยังเป็นที่รักของกลุ่มแฟนที่ติดตามเกมแต่ละภาคอย่างจดจ่อมาตลอด โดยผู้พัฒนา Bandai Namco ก็ได้ตอบสนองการรอคอยของแฟนๆ ด้วยการประกาศเปิดตัวเกมภาคล่าสุดอย่าง Tales of Arise ไปในปี 2020 ที่ผ่านมา พอดีกับการฉลองครบรอบ 25 ปีของซีรีส์ ‘Tales’ พอดีด้วยกราฟิกใหม่อันสวยสะดุดตาที่พัฒนาขึ้นด้วย Unreal Engine 4 รวมไปถึงการพัฒนาในด้านเกมเพลย์ที่ทันสมัยขึ้น ทำให้ Tales of Arise กลายเป็นที่คาดหวังของแฟนๆ ซีรีส์ Tales ที่รอคอยเกมใหม่มาถึง 5 ปี (นับตั้งแต่ที่ Tales of Berseria วางจำหน่ายไปในปี 2016) รวมไปถึงแฟนๆ ของเกมแนว JRPG หลายคนที่คาดหวังให้ Tales of Arise เปรียบเหมือนการ “ตำนานบทใหม่” ที่จะผลักดันให้ซีรีส์นี้ทัดเทียมกับเกม JRPG ชื่อดังอื่นๆ ในที่สุดหลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเกือบ 40 ชั่วโมง แม้จะยอมรับว่า Tales of Arise ถือเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ Tales ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในส่วนของการนำเสนอและเกมเพลย์ แต่ก็ยังมีองค์ประกอบมากมายที่ทำให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างชัดเจน รวมไปถึงกลิ่นอายความเป็นอนิเมะอันเข้มข้นของเกมที่บางครั้งก็แอบขัดกับเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างจริงจังและมืดมนTales of Arise จะเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มตัวเอกเพื่อปลดแอกเหล่าผู้คนแห่งดาว Dahna จากการกดขี่ของเหล่าผู้รุกรานจากดาว Rena ผู้ซึ่งใช้แรงงานพวกเขาดั่งทาสมาตลอด 300 ปี โดยตัวเอกและพวกพ้องจะต้องออกเดินทางไปยังเขตแดนทั้ง 5 ของดาว Dahna เพื่อพิชิตผู้นำชาว Rena ของแต่ละเขตและนำอิสรภาพมาสู่ชาว Dahna อีกครั้งด้วยเนื้อเรื่องที่เล่นกับประเด็นเรื่องการใช้แรงงานทาส การเหยียดเชื้อชาติ ไปจนถึงการซ้อมทรมาน คงไม่แปลกใจถ้าจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Tales of Arise นั้นมีความเป็น “ผู้ใหญ่” กว่าเนื้อเรื่องของเกม Tales อื่นๆ ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจของซีรีส์ โดยเกมจะติดตามตัวละครหลักสองคนคือ Alphen ทาสชาว Dahna ความจำเสื่อมที่สวมใส่หน้ากากเหล็กปริศนาตลอดเวลา ผู้ซึ่งไม่สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ และ Shionne หญิงสาวชาว Rena ผู้ซึ่งต้องการล้มเหล่าผู้นำแคว้นทั้ง 5 ที่ปกครอง Dahna อยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง โดยเธอยังต้องคำสาปที่ทำให้ใครก็ตามที่แตะต้องตัวเธอต้องรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนไฟดูด (เข้ากับ Alphen ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดพอดี)ระหว่างการเดินทางของทั้งสอง จะได้พบกับเพื่อนร่วมทางอีก 4 คน โดยแต่ละคนก็มีเหตุผลที่ต่างกันไปในการเข้าร่วมการต่อสู้ของ Alphen และ Shionne โดยเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้เองที่เปรียบเสมือนจุดเด่นของเนื้อเรื่องใน Tales of Arise เพราะแต่ละคนเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกดขี่โดยอำนาจในรูปแบบต่างๆ กันไป และการได้สังเกติพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวในการก้าวข้ามการกดขี่ของตัวเองผ่านทั้งเนื้อเรื่องและเหล่าบทสนทนา Skits อันเป็นเอกลักษ์ของเกมตระกูล Tales ก็ทำให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี แม้จะต้องยอมรับว่าตัวละครทุกตัวจะค่อนข้างตามสูตรสำเร็จอนิเมะเป๊ะๆ ไปเลยก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้น เกม Tales of Arise ยังมีปริศนาและการหักมุมใหญ่หลายครั้งในช่วงท้ายของเกมที่ผู้เขียนรู้สึกข้องใจว่าจำเป็นจริงหรือไม่ และทำให้เนื้อเรื่องของเกมเปลี่ยนไปจากสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกชอบในช่วงต้นๆ ซึ่งถ้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ก็เสี่ยงจะสปอยกันซะเปล่า หลายคนที่ชื่นชอบเนื้อเรื่องแนวอนิเมะจัดๆ อาจจะไม่รู้สึกติดขัดเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้ประทับใจกับเนื้อเรื่องช่วงหลังๆ ของเกมนัก และรู้สึกว่าเนื้อเรื่องคงจะน่าจดจำกว่านี้ถ้าเกมให้เวลาไปกับเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวมากกว่าเช่นเดียวกับเกม Tales อื่นๆ ที่ผ่านมา เกม Tales of Arise จะใช้ระบบต่อสู้แบบแอคชั่น ผู้เล่นจะสามารถมองเห็นศัตรูยืนเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามแผนที่ และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็จะถูกพาเข้าสู่สังเวียนต่อสู้ทรงกลมที่ใช้การควบคุมแบบแอคชั่น โดยในเบื้องต้นนั้น ผู้เล่นจะสามารถโจมตีธรรมดาสลับกับการกดใช้สกิลหรือที่เกมเรียกว่า ‘Artes’ เพื่อประติดประต่อกันเป็นคอมโบ และเมื่อทำคอมโบได้ถึงจุดหนึ่งก็จะสามารถกดท่าไม้ตายรุนแรงที่เรียกว่า Boost Strike เพื่อปิดฉากศัตรูได้อีกด้วยนอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถเปลี่ยนไปควบคุมตัวละครทั้ง 6 คนได้อย่างอิสระตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนจะมีลูกเล่นประจำตัวที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นแตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน เช่นตัวละคร Law ที่จะเพิ่มพลังโจมตีของตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อสามารถโจมตีศัตรูอย่างต่อเนื่องตราบใดที่ไม่ได้รับความเสียหาย หรือตัวละคร Kisara ที่แลกความสามารถในการหลบหลีกมาใช้โล่ห์ขนาดใหญ่ในการป้องกันตัวเองเป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายและไม่น่าเบื่อเพราะสามารถเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นๆ ได้เสมอ แถมเมื่อเล่นตัวละครจนคล่องหลายตัวแล้วยังสามารถกดเปลี่ยนตัวละครกลางคอมโบเพื่อต่อคอมโบไปเรื่อยๆ ได้อีกด้วยด้วยระบบต่อสู้ที่เน้นให้ผู้เล่นทำคอมโบต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว ทำให้การต่อสู้ในเกม Tales of Arise ต่างจากเกม JRPG อื่นๆ เพราะแทนที่ผู้เล่นจะเก็บท่าใหญ่ๆ ไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น เกมกลับส่งเสริมให้ผู้เล่นงัดสกิลทั้งหมดมาใช้ติดๆ กันตลอดเวลา ซึ่งก็ส่งผลการต่อสู้รู้สึกดุเดือดและรวดเร็วตลอดเวลา แม้จะต้องใช้ความเคยชินอยู่บ้างสำหรับคนที่เล่นเกมแอคชั่นอื่นๆ มา เพราะจะไม่สามารถกดหลบหลีกระหว่างปล่อยท่าได้ แถมระบบการต่อคอมโบของเกมยังทำให้ไม่ควรกดปุ่มเร็วๆ หรือกดซ้ำๆ ด้วย แต่เมื่อเข้ามือแล้วก็สนุกร้าวใจตลอด และทำให้การปลดล๊อคสกิลใหม่ๆ ผ่านระบบ Skill Panel มีความตื่นเต้นมากขึ้น เพราะอยากปลดล๊อคสกิลมาสร้างคอมโบใหม่ๆ อยู่ตลอดนั่นเอง แต่แม้ว่าการต่อสู้กับศัตรูทั่วไปจะสนุกและรวดเร็ว การต่อสู้กับบอสใน Tales of Arise กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง บอสทุกตัวนอกจากจะมีพลังชีวิตมหาศาลแล้ว ยังไม่สามารถถูก Break หรือตีให้ชะงักได้อีก นั่นหมายความว่าการต่อคอมโบอย่างลื่นไหลแบบที่ทำกับศัตรูทั่วไปจะไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้บอสหลายๆ ตัว (โดยเฉพาะเหล่าบอสที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย) มักมีท่าโจมตีที่ปล่อยออกมาได้รวดเร็วจนมองไม่ทัน แถมแรงพอจะหวดตัวละครในตี้ทุกตัวลงไปนอนพร้อมกันได้อีก แม้ว่าบอสหลายตัวจะมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้มันหยุดชะงักให้เราตีฟรีได้แปบนึง (เช่นต้องใช้ท่า A ของตัวละคร B เพื่อสวนท่า C ของบอสเป็นต้น) แต่ระยะเวลา 2-3 วินาทีที่ได้จากการทำสำเร็จมักไม่ได้มีความหมายนักเมื่อเทียบกับปริมาณ HP ที่บอสแต่ละตัวมี ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนพบว่าปาร์ตี้ของผู้เขียนมักจะมีเลเวลตามศัตรูไม่ทันเสมอ นอกเหนือว่าจะทำภารกิจเสริมทั้งหมดในแต่ละพื้นที่ก่อนที่จะเดินทางต่อไป ซึ่งจะไม่ว่าเลยถ้าภารกิจเสริมที่ว่านี้มีความน่าสนใจกว่าแค่การ “เก็บเห็ดมา 5 ต้น” หรือ “ฆ่ามอนส์เตอร์ตัวนี้ 10 ตัว” แต่ถ้าไม่ทำก็จะทำให้การสู้บอสยากสาหัสได้เลยในหลายครั้ง จึงต้องจำใจทำให้หมดในที่สุดหากจะพูดถึงข้อปรับปรุงที่เห็นชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของกราฟิกและการนำเสนอที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับเกมภาคก่อนๆ ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับเอนจิ้น Unreal Engine 4 ทำให้เกมมีกราฟิกแนวอนิเมะสไตล์ Cel-shade สีสันสดใส แถมอนิเมชั่นหน้าตาและการเคลื่อนไหวของเหล่าตัวละครสำคัญทั้งหมดในเกมยังออกแบบมาได้ละเอียดและลื่นไหลมาก แถมเอฟเฟกต์ Artes ต่างๆ ในการต่อสู้ยังจัดจ้านตระการตามาก อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำในบางกรณี เช่นเวลาที่ตัวละครในปาร์ตี้ทั้ง 4 ตัวรุมสกรัมศัตรูตัวเดียวพร้อมกัน บอกเลยว่าเอฟเฟกต์ฟุ้งว่อนจนมองอะไรไม่เห็นไปเลยแต่การปรับปรุงนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีราคาที่ต้องแลกมา สำหรับ Tales of Arise นั้นการพัฒนาด้านกราฟิกต้องแลกมากับการแสดงผล (Performance) ที่ไม่ค่อยดีนักแม้กระทั่งบนเครื่อง PlayStation 5 ที่ใช้สำหรับรีวิว โดยแม้ว่าการตั้งค่า Graphics Mode จะทำให้เกมมีกราฟิกและแสงสีสวยงามมากอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ต้องแลกมากับเฟรมเรตที่เหวี่ยงขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา แถมยังมีปัญหาเรื่องสิ่งของในฉากที่โหลดไม่ทันแทบจะทุกครั้งที่หมุนกล้อง ในขณะที่การตั้งค่า Performance Mode จะทำให้เกมแสดงผลที่ 60FPS นิ่งๆ ได้ แต่ก็แลกมากับคุณภาพกราฟิกที่ลดลงอย่างน่าใจหายทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาด้านกราฟิกที่กล่าวไปไม่ได้หนักหนาถึงขนาดที่ทำให้ประสบการณ์โดยรวมของเกมเสียไปมากนัก เพราะอย่างน้อยโหมด Performance ก็ยังทำให้สามารถสนุกกับเกมเพลย์ได้อย่างลื่นไหล อาจจะเป็นเพียงความน่าผิดหวังว่าเกมเรือธงที่พัฒนาโดยค่ายที่มากทั้งประสบการณ์และเงินทุนอย่าง Bandai Namco กลับมีปัญหาเหล่านี้แม้ว่าตัวเกมเองจะไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือใช้กราฟิกละเอียดสมจริงด้วยซ้ำ โดยเฉพาะบนเครื่องคอนโซลอย่าง PlayStation 5 ที่ควรจะมีพลังเหลือเฟือในการเล่นเกมระดับ Tales of Arise ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุป แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่า Tales of Arise นั้นเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมในระดับเดียวกับเกมท๊อปตารางอื่นๆ แต่เกมก็ยังมอบประสบการณ์ JRPG สไตล์อนิเมะสุดเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แถมยังมีระบบต่อสู้ที่สนุก รวดเร็ว และสดใหม่อยู่แทบจะตลอดระยะเวลาที่ได้เล่น หากคุณเป็นแฟนของเกมซีรีส์ Tales หรือเป็นคนที่ชื่นชอบสไตล์การเล่าเรื่องของการ์ตูนอนิเมะ เกม Tales of Arise ถูกสร้างมาเพื่อคนแบบคุณโดยเฉพาะ
17 Sep 2021
รีวิว The Ascent บู๊แหลกแหกนรกในโลก Cyberpunk
สำหรับคนที่กำลังออกตามหาเกมที่มีธีมแบบ Cyberpunk หรือเกมที่มีธีมแบบโลกอนาคตที่ไม่ได้แฟนตาซีมากจนโอเวอร์เกินไป เพราะยังมีความเสื่อมโทรมของโลกที่พัฒนาไปข้างหน้าเพียงแค่เทคโนโลยี สำหรับคนที่กำลังตามหาเกมแนวบู๊ล้างผลาญแหลกลาญเดินหน้ายิงถล่มศัตรูผู้ขวางทางเดินให้หมดสิ้นไป ผู้เขียนก็ขอแนะนำเกมนี้เลย เพราะเกมนี้เป็นที่มัดรวมสิ่งที่คุณตามหาทั้งสองอย่างเอาไว้ที่เกมนี้แล้ว ซึ่งหลายคนก็อาจจะไม่ค่อยได้เห็นเกมนี้มากนัก เพราะว่าเป็นเกมที่พึ่งปล่อยออกมาจำหน่ายลง Steam เมื่อ 30 ก.ค. ในปีนี้เอง จะเป็นอย่างไรก็ไปลองดูกันได้เลยยย!Graphic & Sound / PresentationThe Ascent เป็นเกมแนว Action Shooting RPG ที่มีมุมมองการเล่นแบบมองตัวละครจากด้านบน โดยที่มีจุดเด่นอยู่ที่การนำเสนอโลกของเกมในรูปแบบของโลก Cyberpunk ที่เกมนี้ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพกราฟิกที่สวยงามมาพร้อมกับความล้ำยุคล้ำสมัย ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันจากเกมในแนวเดียวกัน ถ้าการ์ดจอของคุณสามารถรองรับเกมสุดโหดได้ เกมนี้คือเกมที่ใช้เทคโนโลยีแสงเงา Ray Tracing ได้ดีมากๆเกมนึงเลย ประกอบกับการออกแบบงานศิลป์ที่ดูเท่เหมือนกับเราได้นั่งดูหนัง Sci-Fi ในยุคเก่าๆยังไงอย่างงั้น ในส่วนขององค์ประกอบฉากที่มีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เมื่อมาอยู่ในมุมมองแบบ 2.5D แล้วกลับไม่ได้ดูรกเละเทะ แต่กลับดูสวยงามไปซะอย่างงั้น และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเสียงเอฟเฟกต่างๆ อย่างเสียงปืนที่ดังลั่นทุ่งในจังหวะต่อสู้ พ่วงมากับเพลงประกอบสุดมันส์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้หลั่งอะดรีนาลีนไปพร้อมกับตัวละครที่เราเล่น และยังมีเสียงพากย์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้คุยกับคนในโลก Cyberpunk แห่งนี้จริงๆStoryในส่วนของเนื้อเรื่องในเกมนี้ก็จะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมายนัก โดยที่เราจะได้รับบทเป็นทหารรับจ้างบนดาว Veles ที่จับอาวุธมาไล่สาดกระสุนใส่ศัตรูผู้ขวางทางเดินเรา ในตอนที่เราออกไปทำภารกิจในการไล่ล่าอาวุธสุดไฮเทค และเทคโนโลยีสุดล้ำท่ามกลางความขัดแย้งที่ใหญ่หลวง เมื่อบริษัทที่ดูแลด้านความมั่นงคงทางความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ปิดตัวลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ส่งผลกับระบบการรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติล่มสลายลง จากนั้นบริษัทคู่แข่งก็ได้ใช้จังหวะนี้ในการเข้ามาควบคุมทุกอย่าง และในขณะเดียวกันองค์กรผู้ก่อการร้ายก็มีความพยายามที่จะขยายธุรกิจด้านมืดของพวกเขาให้เติบโตขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหยุดยั้งพวกเขาเหล่านั้นไปพร้อมกับการสืบหาสาเหตุการปิดตัวอย่างกระทันหันของ The Ascent จนทำให้เกิดความวุ่นวายในครั้งนี้Gameplayสิ่งที่ทำให้เกมนี้นั้นต่างออกไปจากเกมแนว Shooting ทั่วไปก็คงจะเป็นเรื่องของการเข้ากำบังและการเล็งยิงในพื้นที่ที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าได้ อาจจะดูไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นแต่ถ้าประกอบกันกับมุมมองแบบมองตัวละครจากด้านบนก็จะทำให้เกมนี้ท้าทายมากขึ้น เพราะเราต้องคำนวณความสูงต่ำของพื้นที่และศัตรูเพื่อให้เราสามารถยิงศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องแบกรับความเสียหายมากนักจริงๆแล้วเกมนี้ไม่ได้ถึงขั้นว่าเป็นเกม RPG แบบ 100% แต่ที่ต้องเรียกว่าเป็น Action Shooting RPG เพราะว่าในเกมนี้จะมีส่วนประกอบบางอย่างที่เกม RPG มีอยู่ด้วย โดยเราสามารถที่จะอัพเกรดสเตตัสตัวละครของเราได้ เช่น ค่า HP อัตราคริติคอล หรือความแม่นยำ และเรายังสามารถจับจ่ายไอเทมอย่างเกราะ อาวุธหรือสกิลพิเศษมาใช้ได้อย่างเกม RPG อีกด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาก็ไม่ได้มีผลกับการเล่นของเรามากนัก เพราะในตอนแรกๆเราก็ยังไม่ได้มีเลเวลเยอะพอที่จะซื้อของดีๆมาใช้สักเท่าไหร่และสำหรับคนที่อยากเล่นแบบชิลๆไม่ได้อยากเจอกับความท้าทายที่มากจนเกินไปก็สามารถออกไปฟาร์มเพื่อเพิ่มเลเวลของตัวละครให้มากกว่าเลเวลของเควสต์ก็ได้ เพราะยิ่งเราอัพเลเวลไปเรื่อยๆเราก็จะมีค่าสเตตัสที่มากขึ้นและปลดล็อกไอเทมกับอาวุธให้มีได้เลือกสรรมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นการอัพเลเวลก็จะทำให้เราสามารถเลือกสกิลและสายการเล่นตามสไตล์ของเราเองได้ด้วย เช่น จะเล่นเป็นสายสไนเปอร์คอยยิงซัพพอร์ตจากระยะไกลก็ได้ หรือจะเล่นเป็นแนวบู๊ๆเอาลูกซองไปบุกทะลวงแนวรับของศัตรูก็ได้เกมนี้ยังมีระบบ Co-op ที่สามารถเล่นพร้อมกันได้มากสุดถึง 4 คน ถ้าหากว่าเราเล่นคนเดียวเราก็จะได้เห็นสายการเล่นของเราเพียงแค่คนเดียว แต่ถ้าเราเล่นกับเพื่อนเราสามารถแบ่งหน้าที่กับเพื่อนว่าใครจะเล่นสายไหนก็ได้เพื่อให้ทีมของเราแข็งแกร่งที่สุด ทำให้เราสามารถเล่นเกมนี้ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปและเพิ่มความสนุกให้มากขึ้นได้อีกด้วยบั๊กต่างๆและข้อเสียของเกมถ้าคุณอ่านตั้งแต่แรกจนมาถึงตรงนี้ ก็คงจะมีความรู้สึกว่าเป็นเกมที่น่าเล่นและน่าสนใจเกมนึงเลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเกมนี้ก็ยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเกมที่ติดอันดับเกมในดวงใจของผู้เขียนได้ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คงจะเป็นเรื่องบั๊กต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนเล่นเกมนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องเฟรมเรตของเกมที่อยู่ๆก็ตกเอาดื้อๆ และยังมีบั๊กที่ทำให้ต้องหัวร้อนอย่างบั๊กเป้าหมายภารกิจที่อยู่ๆก็ไม่โผล่ออกมา ทำให้เราผ่านไปภากิจต่อไปไม่ได้แบบงงๆ หรือบางทีก็จะมีเกมเด้งปิดเองบ้างแต่ก็โลคดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักอีกเรื่องนึงที่เป็นข้อเสียสหรับผู้เขียนก็คงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย รวมถึงบทสนทนาของตัวละครก็ใช้คำศัพท์แบบแปลกๆ อ่านซับไปก็งงไปจนทำให้จับใจความไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ทำให้ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆก็ทำให้ผู้เขียนไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องไปแบบไม่รู้ตัวตัว แค่ทำภารกิจเดินยิงไปเรื่อยๆจนผ่านเกม นอกจากนี้เควสต์หลักและเควสต์รองก็ไม่ได้หลากหลาย มีแค่ไปฆ่าคนนั้น ไปกู้คืนไอเทมอันนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้น่าสนใจสักเท่าไหร่ ความรู้สึกเป็นอีกเกมที่สนุกและมันส์มากสำหรับคนรักเกมแนว Action Shooting RPG เพราะเราจะได้รับประสบการณ์การบู๊ล้างผลาญและได้เห็นการพัฒนาของตัวละครของเราตลอดการเล่น ประกอบกับภาพที่สวย เสียงและดนตรีประกอบสุดมันส์ ก็ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่ดีเกมนึงเหมือนกัน แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ได้ดีถึงขั้นเป็นเกมในดวงใจ เพราะยังมีจุดอ่อนเล็กๆอย่างบั๊กและเนื้อเรื่องที่แบนไม่ได้น่าจดจำอะไรโดยสามารถหาซื้อมาเล่นได้ทางแพลตฟอร์ม PC on Steam และแพลตฟอร์ม Console on XBOX Link to Steam: https://store.steampowered.com/app/979690/The_Ascent/
31 Aug 2021
รีวิวภาพยนตร์ Witcher: Nightmare of the Wolf 'เพราะมีปีศาจตัวต่อไปเสมอ...' (ไม่มีสปอย)
หากจะพูดถึงความสำเร็จของวงการวิดีโอเกมในการแย่งชิงพื้นที่ความสนใจของผู้บริโภคกระแสหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตัวแปรที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งคงหนีไม่พ้นความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Witcher โดยเฉพาะเกมภาค 3 ที่ผลักดันให้ชื่อของตัวเอกอย่าง Geralt กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้าง และยังผลักดันให้ Netflix หยิบแฟรนไชส์นี้มาปลุกปั้นเป็นซ๊รีส์ยอดนิยมอีก ซึ่งก็ทำให้แฟรนไชส์ยิ่งแพร่หลายออกไปสู่ผู้คนมากยิ่งขึ้นนอกจากซีรีส์ Live-action ที่นำแสดงโดย Henry Cavill นั้น ทาง Netflix ยังได้ประกาศว่ากำลังสร้างผลงานจากแฟรนไชส์ The Witcher ขึ้นมาเพิ่มอีกหลายชิ้น โดยชิ้นแรกที่ได้เผยแพร่ออกมาให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันก็คือภาพยนตร์อนิเมชั่น The Witcher: Nightmare of the Wolf ที่เพิ่งออกอากาศทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะพาผู้เล่นย้อนเวลากลับไปสำรวจประวัติที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนของตัวละคร Vesemir ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์และพ่อบุญธรรมของตัวเอก Geralt นั่นเองจากที่ได้รับชมภาพยนตร์มาแล้ว แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของ Netflix แต่ The Witcher: Nightmare of the Wolf ก็ยังถือเป็นผลงานที่น่าสนใจสำหรับแฟนๆ ของแฟรนไชส์ The Witcher ด้วยฉากต่อสู้อันร้าวใจไปจนถึงธีม “ศิลธรรมสีเทา” ที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักแฟรนไชส์ The Witcher แต่แรกด้วย และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแนะนำให้คนที่ไม่รู้จัก The Witcher สามารถทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อนของแฟไชส์นี้เรื่องราวหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf จะติดตามการเดินทางของตัวละคร Vesemir ในสมัยที่เขายังหนุ่ม ผู้ซึ่งต้องรับมือกับทั้งเหล่าปีศาจร้ายและความเกลียดชังของเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่มองเหล่า Witcher เป็นเพียงปีศาจกลายพันธุ์กระหายเลือด โดยเนื้อเรื่องหลักจะเล่าเหตุการณ์เมื่อเขาถูกจ้างวานให้ออกล่าปีศาจปริศนาที่คอยเข่นฆ่าผู้คนในป่าใกล้ๆ เมือง Kaedwen สลับกับฉากย้อนเวลาให้ผู้เล่นได้เห็นชีวิตของ Vesemir วัยเด็ก เพื่อสำรวจกระบวนการฝึกฝนอันหฤโหดให้เด็กมนุษย์ธรรมดากลายเป็น Witcher อีกด้วยหากให้พูดในภาพรวมแล้ว ต้องยอมรับว่าเส้นเรื่องหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf อาจจะไม่ใช่จุดที่ประทับใจผู้เขียนที่สุด อาจจะด้วยประสบการณ์ที่มีกับธีมของ The Witcher อยู่แล้วด้วยทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์หักมุมใหญ่ๆ หลายครั้งมีความ “เดาได้” อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ใช่ข้อตำหนิว่าเนื้อเรื่องของภาพยนตร์นั้นไม่ดีหรือแย่อะไร และเนื้อเรื่องก็ยังคงเล่นกับแนวคิดเรื่อง “ศิลธรรมสีเทา” อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเกมได้เป็นอย่างดี หากแต่ว่าภาพยนตร์อาจจะใช้เวลาไปกับการปูเส้นเรื่องและตัวละครเสริมมากมายเกินไป จนบ่อยครั้งจำเป็นต้องรวบรัดเล่าเหตุการณ์สำคัญตรงๆ ให้สามารถจบได้ในเวลาราว 80 นาทีของหนัง ทำให้ไม่สามารถค่อยๆ คลายปมที่ปูไว้ได้อย่างแยบยลได้เท่าที่ควรส่วนที่ทำให้ภาพยนตร์น่าสนใจจริงๆ สำหรับผู้เขียนคือเส้นเรื่องรองทั้งหลาย ที่มักจะสำรวจแง่มุมต่างๆ ของโลก The Witcher ที่เราอาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน เช่นการติดตามตัวละคร Vesemir วัยเด็กเพื่อสำรวจเหตุผลและวิธีการต่างๆ ที่ทำให้เด็กมนุษย์คนหนึ่งได้กลายมาเป็น Witcher รวมไปถึงกระบวนการฝึกฝนอันโหดเหี้ยมที่รู้จักกันในนาม “Trial of the Grasses” ซึ่งคนเล่นเกมอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วมันน่าตาเป็นอย่างไรยิ่งไปกว่านั้น ตัวละคร Vesemir เองก็เป็นตัวละครที่ผู้เล่นเกม The Witcher (โดยเฉพาะภาค 3) น่าจะมีความผูกพันอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่ในการเติมเต็มช่องว่างเกี่ยวกับอดีตของ Vesemir ได้เป็นอย่างดี ให้เราได้เห็นแง่มุมอันหลากหลายของตัวละครที่จะเติบโตไปเป็นเจ้าสำนักหมาป่าแห่ง Kaer Morhen ที่เรารู้จัก ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามแฟรนไชส์นี้จากเกมเป็นหลักอย่างเราๆ บริบทที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับไปเพิ่มมิติให้กับการกระทำหรือคำพูดหลายๆ อย่างของเขาในเกมได้อีกทีได้ด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายอย่างมี “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในส่วนของฉากแอคชั่นในภาพยนตร์ Winter of the Wolf แม้จะทำออกมาได้ดุเดือดเลือดสาดตามมาตรฐาร อนิเมชั่นของ Netflix (เช่น Castlevania หรือ DOTA: Dragon’s Blood) และนำเสนอสไตล์การต่อสู้ที่ผสมผสานเวทย์มนนตร์และเพลงดาบของเหล่า Witcher ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งน่าจะถูกใจคออนิเมะเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ค่อนข้างติดดินของทั้งซีรีส์ Live-action และเกมเช่นกันกล่าวโดยสรุป ภาพยนตร์ The Witcher: Winter of the Wolf เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อแนะนำให้คนได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของเหล่านักล่าปีศาจกลายพันธ์เหล่านี้ และยังนำเสนอองค์ประกอบตื้นลึกหนาบางหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโลกของ The Witcher ได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกันนี้ยังเพิ่มมิติให้กับตัวละคร Vesemir ที่เราไม่ได้เห็นในเกม ซึ่งก็ช่วยเสริมมิติให้กับตัวละครทีเรารู้จักกันมานาน ถือเป็นผลงานสนุกๆ ที่น่าติดตามทั้งสำหรับแฟนๆ ของจักรวาล The Witcher ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า
25 Aug 2021
[Review] 12 Minutes "ไขปริศนานาฬิกาพก หาทางออกจาก Loop เวลาไร้จุดสิ้นสุด"
ย้อนกลับไปในช่วงงาน E3 ปี 2019 หรือประมาณ 2 ปีก่อน ทีมพัฒนาน้องใหม่จากซานฟรานซิสโกอย่าง Luís António ก็ได้ทำการปล่อยวิดีโอตัวอย่างสั้นๆ ความยาวประมาณสองนาทีกว่า เพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงการมาเยือนของโปรเจกต์ “12 Minutes” ที่พวกเขากำลังพัฒนากันอยู่ ภายใต้คอนเซปต์ที่เรามักจะได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ในหนังสือการ์ตูนหรือตามภาพยนตร์หลายเรื่องว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากตัวคุณติดอยู่ในลูปเวลา ที่วนซํ้าไปมาราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลง แล้วจะต้องทำเช่นไรเพื่อจบเหตุการณ์เหล่านี้ลงให้ได้เสียที…?”แน่นอนว่าการเปิดตัวในครั้งนั้นก็ได้สร้างกระแสฮือฮาขึ้นมาในหมู่เกมเมอร์จำนวนไม่น้อย พร้อมแพร่สะพัดความตื่นเต้นในการรอคอย ต่อการมาถึงของตัวเกมออกไปอย่างใจจดใจจ่อ และในที่สุดหลังจากผ่านการปรับปรุงและพัฒนามาอย่างยาวนาน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ 12 Minutes ก็ได้ทำการวางขายพร้อมเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ PC, Xbox One, และ Xbox Series X/S ในที่สุดแล้วตัวเกมจะคุ้มค่ากับการรอคอยมาตลอด 2 ปีหรือไม่...เรามาค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันภายใน รีวิว 12 Minutes “ไขปริศนานาฬิกาพก หาทางออกจาก Loop เวลาไร้จุดสิ้นสุด” กันเลยค่ะ12 Minutes เป็นเกมผจญภัย แนว Point-and-Click หรือเกมประเภทที่ผู้เล่นจะสามารถควบคุมตัวละครได้ ผ่านการใช้เคอร์เซอร์ชี้แล้วกดเม้าส์ตรงตำแหน่งพื้นที่ที่ต้องการเดินไปหา หรือมีปฏิสัมพันธ์บางอย่างกับไอเทมนั้นๆ มุมมองจากด้านบน ผลงานการสร้างของทีมพัฒนาอินดี้น้องใหม่อย่าง Luís António ที่ทางทีมงานได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์มาจาก ผู้กำกับขั้นปรมาจารย์ของหนังแนวจิตวิทยาระทึกขวัญ อย่าง Alfred Hitchcock (เจ้าของผลงานชั้นครูอย่าง Psycho จากปี 1960), Stanley Kubrick (ผู้กำกับหนังเรื่อง Lolita จากปี 1962) และ David Fincher (ผู้กำกับหนังเรื่อง Gone Girl จากปี 2014)โดยเนื้อเรื่องจะถูกนำเสนอผ่านตัวละครสามี (Husband) ที่เราผู้เล่นจะได้เป็นคนควบคุม ซึ่งเพิ่งกลับอพาร์ทเม้นมาหลังเลิกงาน และพบว่าภรรยา (Wife) ได้เตรียมของหวานเอาไว้คอยท่า เนื่องในโอกาสพิเศษที่เธอต้องการจะบอกเขาว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของพวกเขาอยู่ ในช่วงเวลาที่แสนวิเศษนั้นทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ...ก่อนที่มันจะสิ้นสุดลง เมื่อชายคนหนึ่งซึ่งอ้างตัวว่าเป็นตำรวจบุกเข้ามา และจับพวกเขามัดเอาไว้ อ้างถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ภรรยาของเขาได้ทำลงไปเมื่อ 8 ปีก่อน ข่มขู่ถามหานาฬิกาพก ก่อนลงเอยด้วยการที่ตัวเราถูกทำร้ายอย่างรุนแรงหากแต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ตัวสามีได้สิ้นสติลง เขาก็จะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ณ หน้าประตูห้อง...ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะเริ่มต้นวนซำ้ลูปเดิมอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง ตัวสามีหรือก็คือเราผู้เล่นจะต้องหาทางทำบางอย่าง เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อ 8 ปีก่อน นาฬิกาพกที่ชายแปลกหน้าต้องการมีอยู่จริงไหม...ถ้ามีมันอยู่ที่ไหน และต้องทำอย่างไรจึงจะหยุดลูปเวลานี้ลงได้เสียทีโดยเราจะสามารถเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ ผ่านการกระทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละลูปเวลา และความทรงจำจากลูปก่อนๆ ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และสามารถคิดหาแนวทางที่จะสามารถหาทางออกที่ดีที่สุดออกมาได้เรียกได้ว่าการนำเสนอเนื้อเรื่องผ่านการปล่อยให้ผู้เล่นได้ค่อยๆ ค้นหาเงื่อนงำและพยายามปะติดปะต่อชิ้นส่วนของข้อมูลที่หามาได้ด้วยตัวเองนั้น เป็นเทคนิคที่ทำให้เนื้อเรื่องที่หากเล่าแบบตรงๆ ก็อาจจะไม่โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ดูน่าติดตามและน่าจะถูกใจคนที่ชื่นชอบเกม นวนิยายหรือภาพยนตร์แนวสืบสวนและจิตวิทยาอยู่ไม่น้อย มิหนำซำ้ในช่วงท้ายในจุดที่ตัวละครของเราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ตัวเกมก็ยังได้ทำการอธิบาย และทำการเฉลยส่วนสำคัญออกมาอย่างชัดเจน ทำให้สำหรับคนที่อาจจะยังตามไม่ทันหรือไม่มั่นใจ สามารถเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันในแต่ละฉากจบก็ยังทิ้งสัญลักษณ์หลายๆ อย่างเอาไว้ให้เราได้สามารถนำไปตีความต่อยอดได้อีกด้วย จึงอาจจะเรียกได้ว่ารูปแบบการนำเสนอและเนื้อเรื่องที่บีบคั้นจิตใจของ 12 Minutes เป็นส่วนที่ได้รับการใส่ใจ และนำเสนอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวในขณะที่เกมเพลย์นั้นเป็นส่วนที่เรียบง่าย และไม่ซับซ้อนอะไรตามสไตล์เกม Point-and-Click ทั่วๆ ไป ที่เราลากเม้าส์เลือกไปยังวัตถุที่ต้องการจะทำปฏิสัมพันธ์บางอย่างด้วย และทำการคลิ๊ก-ลากเพื่อให้เกิด แอคชันบางอย่างขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจเลยก็คือ มุมมองของภาพจากด้านบนที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของฉากได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเคลื่อนกล้องไป-มาให้ปวดหัว และความกดดันที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดที่ว่า ทุกการกระทำของเรานั้นจำเป็นจะต้องแข่งกับเวลาอยู่เสมอ แม้ว่าในตอนที่เราเลือกหยิบไอเทมออกมาใช้ จะเป็นช่วงที่ทำการหยุดเวลาเอาไว้ให้ก็ตาม ในตอนนั้นตัวเกมก็จะทำการใส่ดนตรีประกอบที่เป็นเสียงเข็มนาฬิกาเข้ามา เพื่อเร่งผู้เล่นกลายๆ ให้ต้องรีบคิด รีบตัดสินใจหาทางไปต่อด้วยเช่นกันนอกจากนั้นแม้ว่าเกมเพลย์จะไม่มีอะไรยาก ก็ไม่ได้หมายความว่า 12 Minutes จะปล่อยให้คุณเดินทางไปจนถึงฉากจบได้อย่างง่ายดาย เพราะคุณจะต้องพยายามคิดหาทางที่จะทำอะไรบางอย่าง เพื่อสร้างสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละลูปเวลา ค้นหาแนวทางที่ถูกต้อง อันจะส่งผลให้คุณได้เบาะแสชิ้นสำคัญมาใช้ปะติดปะต่อเนื้อเรื่องเข้าด้วยกัน และหาทางไปต่อได้ในที่สุด ซึ่งเราก็ต้องขอบอกเลยว่าภายใต้เวลาจำกัดที่เรามีนั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะหาทางสร้างสถานการณ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้...ดังนั้นคุณจะไม่มีทางจบเกมนี้ลงได้ใน 12 นาที ตามชื่อเกมอย่างแน่นอนค่ะแต่ถึงจะทำความเข้าใจได้ง่ายมากแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าเกมเพลย์จะไม่มีปัญหาเลยเสียทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่กำลังเร่งรีบและตั้งใจจะทำแอคชันต่างๆ ให้ทันตามที่วางแผนไว้ หากว่าเรารีบกดสั่งให้ตัวละครทำกิจกรรมอะไรบางอย่างซ้อนๆ กันถี่เกินไป ในขณะที่ตัวละครยังทำกิจกรรมดังกล่าวไม่เสร็จ ก็จะกลายเป็นว่ากิจกรรมนั้นโดนยกเลิกไป แล้วเราก็ต้องมาเสียเวลากดใหม่แทน (ซึ่งตรงจุดนี้ผู้เขียนก็เคยเปิด-ปิดตู้เย็นอยู่หลายรอบมากทีเดียว กว่าจะหยิบขนมหวานออกมาได้) หรือบางครั้งหากอีเวนต์กำลังจะเกิดขึ้น ในจังหวะพอดีกับที่เราสั่งให้ตัวละครไปทำกิจกรรมบางอย่างเข้า ก็อาจจะทำให้เกิดบัค ที่อีเวนต์ไม่เดินหน้าต่อก็เป็นได้...แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ เพราะบัคตรงจุดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และเราก็สามารถแก้ได้ง่ายๆ ด้วยการเข้าไปคุยกับตัวละครสักตัวเท่านั้นนอกจากนั้นอีกหนึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของเกมเพลย์แนวนี้เลยก็คือ แม้ว่ามันจะทำให้เนื้อเรื่องดูน่าติดตาม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผู้เล่นจำเป็นจะต้องอาศัยไหวพริบ ต้องคิด วิเคราะห์ วางแผนการที่จะทำต่อไปอย่างละเอียด และจะต้องอดทนต่อความเหนื่อยหน่าย จากการวนลูปซำ้ไปซำ้มาเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปได้...ซึ่งตรงจุดนี้ก็อาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนถอดใจและเลิกเล่นไประหว่างทางก็เป็นได้ในขณะที่ส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้เราอินไปกับอารมณ์ ความรู้สึกและบรรยากาศของเกมได้อย่างลึกซึ้งเลยก็คือ เสียงพากย์ของตัวละคร ซึ่งทางผู้พัฒนาเกมนั้น ก็ได้ทำการแคสนักแสดงมากความสามารถอย่าง James McAvoy (ผู้รับบท Professor X จาก X-Men: First Class) มาพากย์เสียงเป็นตัวละครสามี (Husband), Daisy Ridley (ผู้รับบท Rey จาก Star Wars: The Last Jedi) มาพากย์เสียงเป็นตัวละครภรรยา (Wife) และ Willem Dafoe (ผู้รับบท Green Goblin จาก Spider-Man ฉบับ Sam Raimi) มาพากย์เสียงเป็นตัวละครคุณพ่อ (Father) อีกด้วยซึ่งเราก็สามารถบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า เสียงของพวกเขานั้นได้สร้างชีวิตชีวาให้กับตัวละครดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และยังทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกมได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นดนตรีประกอบที่เล่นคลออยู่ตลอดทั้งเกม ก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในช่วงลูปเวลาแสนสุขดนตรีประกอบก็สามารถสร้างบรรยากาศ ที่ทำให้ทุกอย่างอบอุ่นหัวใจได้จนถึงขีดสุด ไปจนถึงช่วงเวลาที่เนื้อเรื่องบีบคั้นหัวใจที่สุด ดนตรีประกอบในตอนนั้นก็ทำให้เราอิน และเจ็บปวดไปกับเรื่องราวอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งในตอนที่เล่นจนจบเกมไปแล้ว ความรู้สึกหลายๆ อย่างก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจจนยาก ที่จะลบเลือนไปได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียวสรุปแล้วมุมมองของเราที่มีต่อ 12 Minutes หลังจากที่ได้ทำการเคลียด์เกมจนครบทุกฉากจบแล้วก็คือ ความประทับใจค่ะ...แม้ว่าระหว่างการเล่นจะที่ช่วงติดขัดที่ทำให้แอบปวดหัว และหงุดหงิดที่หาทางไปต่อไม่ได้เสียทีอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อสามารถข้ามผ่านความรู้สึกเหล่านั้นไปได้ จนกระทั่งก้าวมาถึงจุดที่เรื่องราวทั้งหมดถูกเฉลยออกมาแล้วนั้นเอง เราก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยทีเดียวว่า เนื้อเรื่องรวมถึงฉากจบที่เราจะต้องเผชิญนั้น เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจของเรามากเหลือเกินจริงๆดังนั้นแล้วการรอคอยมาตลอด 2 ปีนี้ สำหรับเราแล้วก็เรียกได้ว่า มันเป็นการรอคอยที่ไม่น่าผิดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างที่เราเองก็หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้ลองเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศของ 12 Minutes นี้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง...แล้วอย่าลืมกลับมากระซิบบอกกันบ้างนะคะว่า คุณคิดยังไงกับเกมนี้บ้างนะ?
25 Aug 2021
[Review] Ghost of Tsushima: Director's Cut 'เกมที่ภาพสวยที่สุดบน PlayStation 5'
แม้ว่าจะวางจำหน่ายมาได้ซักพักใหญ่ๆ แล้วในขณะนี้ แต่เครื่องคอนโซลลูกรักของ Sony อย่างเครื่อง PlayStation 5 ก็ยังไม่ค่อยจะมีเกม Exclusive ระดับเรือธงออกมาให้แฟนๆ ได้กรี๊ดกร๊าดกันเท่าไหร่ จากการที่ผู้พัฒนาใหญ่ๆ แทบทุกค่ายจำเป็นต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายเกมเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 สิ่งที่เข้ามาแทนที่เกมใหม่ที่ยังพัฒนาไม่เสร็จในปัจจุบัน คือเกมเก่าที่นำมาปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จากขุมกำลังที่เพิ่มขึ้นของคอนโซลใหม่ โดยเกมเก่าเล่าใหม่เกมล่าสุดที่กำลังจะวางจำหน่ายก็คือเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut เกมแอคชั่นผจญภัยที่ได้ชื่อเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ที่ดีที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 (อ่านรีวิวของเรา) ซึ่งกลับมาพร้อมกับข้อปรับปรุงทั้งในแง่ของความคมชัดระดับ 4K, 60FPS การปรับปรุงการขยับปากของตัวละครเพื่อให้เข้ากับเสียงพากย์ภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น การเพิ่มการสนับสนุนลูกเล่นประจำเครื่อง PlayStation 5 อย่าง DualSense และ 3D Audio และที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเรื่องบทใหม่ที่จะพาผู้เล่นไปต่อสู้กับเหล่าผู้รุกรานชาวมองโกลบนเกาะ Iki Island (เกาะอิกิ) นั่นเอง!สำหรับทีมงาน GameFever ได้รับโอกาสในการเล่นเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut ล่วงหน้ามาแล้ว (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Singapore สำหรับโค้ดเกม) ซึ่งอย่างที่หลายคนน่าจะคาดเดาไว้แล้วนั้น เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut ถือเป็นการปรับปรุงเกมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเกมหนึ่งให้สุดยอดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในด้านกราฟิกที่สวยงามสมจริงขึ้นกว่าที่เคยและเนื้อเรื่องบทใหม่ที่ช่วยเสริมมิติให้กับตัวเอก Jin Sakai ได้อีกขั้น และทำให้เนื้อเรื่องหลักของเกมสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย***รีวิวฉบับนี้จะไม่พูดถึงระบบออนไลน์ Coop ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาพร้อมกัน เนื่องจากยังไม่เปิดให้ทดลอง***เนื้อเรื่องของส่วนเสริม Iki Island จะติดตามการเดินทางของ Jin หลังจากที่เขาได้รับเบาะแสว่ามีเผ่ามองโกลอีกเผ่าหนึ่งกำลังเตรียมจะบุกเกาะ Tsushima แถมมองโกลเผ่านี้ยังใช้ยาพิษประหลาดในการต่อสู้ ทำให้คนที่ได้รับพิษเข้าไปเกิดอาการจิตหลอน Jin จึงตัดสินใจตามรอยเผ่ามองโกลใหม่นี้ไปยังเกาะ Iki Island (ที่อยู่ข้างๆ เกาะ Tsushima) เพื่อสกัดการรุกรานของพวกมันด้วยการกำจัดผู้นำของเผ่ามองโกลเสียก่อนเอาเข้าจริงๆ แล้ว การต่อสู้กับเผ่ามองโกลในเนื้อเรื่องเสริมของเกาะ Iki Island นั้นไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อะไรเป็นพิเศษนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลัก ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องนี้คือการนำเสนอปมในใจของตัวละคร Jin ที่มีต่อพ่อของเขา ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงผ่านๆ บ่อยครั้งในเนื้อเรื่องหลักแต่ไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเสริมธีมหรือแนวคิดของเนื้อเรื่องหลักได้อย่างเหมาะเจาะ ส่งผลให้การเดินทางโดยรวมของตัวเอกรู้สึกมีความหมายเพิ่มขึ้นมามากกว่าในเกมหลักอย่างรู้สึกได้ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยติเอาไว้เล็กน้อยในรีวิวเกมดั้งเดิม แต่ก็ได้รับการแก้ไขอย่างงดงามในส่วนเสริมนี้ หากจะต้องติเนื้อเรื่องของส่วนเสริม คงมีแค่ว่าตัวละครเสริมทั้งหลายที่เพิ่มเข้ามาดูจะมีหน้าที่ในการเล่าเนื้อเรื่องของส่วนเสริมเพียงเท่านั้น มากกว่าจะมีเรื่องราวลึกซึ้งของตัวเองเหมือนกับตัวละครเสริมในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งเป็นจุดเด่นหนึ่งของเกมดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่น่าเสียดายว่าเราจะไม่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับภูมิหลังของตัวละครเหล่านี้มากกว่าที่ได้รับอีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือเรื่องของกราฟิกและการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ ที่ทำออกมาได้สวยงามกว่าฉากต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก สวยจนไม่ว่าจะหันกล้องไปทางไหนก็อยากจะเก็บสกรีนช๊อตเอาไว้หมดเลย เผลอๆ อาจจะเป็นเกมที่ภาพสวยที่สุดที่หาเล่นได้บนเครื่อง PS5 ในตอนนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ทำให้การเดินทางไปมาบนเกาะ Iki ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด แถมระบบเสียงที่ปรับปรุงขึ้นของ PlayStation 5 ยังทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาก ผู้เล่นสามารถได้ยินเสียงนก เสียงลม เสียงน้ำตก แยกออกจากกันอย่างชัดเจนจากระบบ 3D Audio ส่งผลให้รู้สึกเหมือนเสียงมาจากรอบตัว ยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมทั้งหมดรู้สึกมีมนต์ขลังมากขึ้นไปอีกในฝั่งของเกมเพลย์ แม้จะยังยอดเยี่ยมไม่ต่างจากเกมดั้งเดิม แต่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ปรับปรุงขึ้นน้อยที่สุดแล้วก็ได้ แม้ว่าจะมีกิจกรรมเสริมเล็กๆ ให้ทำเพิ่มขึ้นบ้างเช่นกันเป่าขลุ่ยให้น้องแมวฟัง หรือการแข่งยิงธนู แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าที่เคยเห็นในเกมหลักมาแล้ว และแม้จะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเล็กน้อยเช่นเหล่า Shaman ที่จะคอยเพิ่มพลังให้ศัตรูในบริเวณรอบตัว แต่โดยรวมแล้วก็ยังง่ายกว่าศัตรูในเนื้อเรื่องหลักองค์ 3 หรือศัตรูชนิดแปลกๆ ที่พบได้ในโหมดออนไลน์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เล่นเกมหลักจบมาแล้วอาจจะรู้สึกว่าศัตรูบนเกาะ Iki ออกจะอ่อนไปซักหน่อยเมื่อเทียบกับศัตรูบนเกาะ Tsushimaถ้าวัดจากเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาเพียวๆ ก็คงต้องยอมรับว่าส่วนเสริม Iki Island นี้น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับคนที่เป็นแฟนเกม แต่สิ่งเดียวที่อาจจะทำให้ส่วนเสริมเข้าถึงยากซะหน่อยคงจะเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง โดยผู้ที่จะซื้อส่วนเสริมมาเล่นใน PS4 จะต้องจ่ายเงิน $19.99 (ราว 600-700 บาท) ส่วนผู้ที่มีเกมเวอร์ชั่น PS4 อยู่แล้วและอยากเล่นบน PS5 พร้อมข้อปรับปรุงเรื่องกราฟิก จะต้องจ่าย $29.99 (ราว 900-1000 บาท) เพื่อเนื้อเรื่องเสริมที่มีความยาวประมาณ 5-10 ชั่วโมง (สำหรับคนที่เก็บทุกอย่างจริงๆ) ซึ่งจะคุ้มค่าแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับว่าคุณรักเกมนี้แค่ไหนเช่นกัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่เคยเล่นเกม Ghost of Tsushima มาก่อน เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut นี้ก็เป็นวิธีสัมผัสหนึ่งในเกมที่น่าจดจำที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน 
19 Aug 2021
พรีวิว Diablo II: Resurrected กลับมาอีกครั้งกับเกมในตำนาน ด้วยกราฟิกทันสมัย
เมื่อช่วงต้นปีทาง Blizzard Entertainment ก็ได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับการ Remastered เกมในตำนานอย่าง Diablo II โดยใช้ชื่อว่า Diablo II: Resurrected ที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกราฟิกของเกมยกชุด รวมถึงยังทำการเพิ่มระบบใหม่ๆ เข้าไปอีกด้วย ซึ่งล่าสุดทางผู้พัฒนาก็ได้ทำการเปิดทดสอบช่วง Early Beta Access ที่จะปล่อยให้เราได้เข้าไปทดลองเล่นตัวเกมจำนวน 2 บทแรกของเกม โดยเรา GameFever TH ได้ทำการไปทดลองเล่นมาเรียบร้อยและจะมาพรีวิวเกมนี้คร่าวๆ ว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจบ้างส่วนตัวอาจจะไม่ได้ขอลงเรื่องรายละเอียดเกมเพลย์ของเกมเสียเท่าไรนัก เพราะถ้าหากใครที่เคยเล่นเกม Diablo II มาก่อน ระบบเกมเพลย์หรือเนื้อเรื่องก็จะเหมือนกันเกือบทั้งหมดนั่นคือการเดินเปิดแผนที่ผจญภัยพร้อมกับทำเควสที่ได้รับมาไปด้วย เพียงแต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาจะรวมคอนเทนต์ทั้งหมดทั้งภาคหลัก และภาคเสริมอย่าง Lord of Destruction เอาไว้ ส่วนในช่วงการทดสอบนี้ทางผู้พัฒนาเปิดให้เล่นเพียงแค่ 5 คลาสเท่านั้น (เปิดให้เล่นทั้งหมดยกเว้น Assassin และ Necromancer) ซึ่งการเล่นแต่ละบทจะใช้เวลาราวๆ 4-5 ชั่วโมงต่อหนึ่งบท รวมถึงในภาคนี้ระบบใหม่ที่ถูกนำใส่เข้ามาก็คือระบบ Stash คลังเก็บของรวมที่เราสามารถโอนถ่ายของต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะในภาคเก่าๆ ระบบคลังของแต่ละตัวละครจะไม่เชื่อมกัน ทำให้เราจะต้องทำการทิ้งของและให้อีกตัวมาเก็บ หรือถ้าเล่นร้านเกมก็ต้องใช้ระบบ Lan ฝากเพื่อนไว้ แต่สำหรับในภาคนี้เราสามารถฝากของได้ตลอดเวลากราฟิกสุดสวยงาม แต่ก็ปรับไปเล่นแบบเก่าได้ตลอดเวลาแต่ส่วนที่ต้องพูดเยอะหน่อยก็คงจะเป็นในเรื่องของกราฟิกที่ถือว่าทางผู้พัฒนาไม่ได้มาเล่นๆ เลย เพราะตัวเกมทำการยกเครื่องกราฟิกใหม่เกือบทั้งหมด ปกติถ้าขึ้นชื่อว่าแค่ Remastered ผู้พัฒนามักจะใช้โมเดลเดิม แต่เพิ่มความสวยงามกับความละเอียดเท่านั้น แต่นี่ทั้งในเรื่องของการปั้นโมเดลหรือ Effect ของสกิลมีการทำใหม่ทั้งหมดให้เทียบเท่ากับความสวยประมาณ Diablo III เลยทีเดียว และสิ่งที่พิเศษไปว่านั้นก็คงจะเป็นการเอาใจแฟนเกมดั้งเดิมที่ถ้าหากคุณอยากกลับไปเล่นกราฟิกในสมัยก่อน คุณก็สามารถกดปุ่มเพื่อสลับภาพกลับไปเล่นแบบเวอร์ชัน Original ได้ทันที พร้อมปรับความละเอียดให้กลายเป็น 4:3 ซึ่งในตอนที่ผู้เขียนเล่นกดเพียงแค่ปุ่ม G ก็จะสลับกราฟิกทันทีได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งต้องรับว่ามันเป็นอะไรที่อเมซิ่งมากๆ เพราะถ้าให้เปรียบเทียบกราฟิกเก่าและใหม่ มันแทบจะเป็นคนละเกมเลยก็ว่าได้ และมันก็สามารถเอาไปใช้ได้กับทั้งโหมดเล่นคนเดียวกับโหมดเล่นหลายคนได้ โดยทั้งสองเวอร์ชันถึงแม้ระบบต่างๆ จะเหมือนกัน แต่มันก็ให้อารมณที่ต่างกันอยู่พอสมควรMultiplayerมาถึงอีกหนึ่งฟีเจอร์หลักของเกมที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาใน Diablo II: Resurrected ที่ในภาคนี้เราสามารถเล่นกับเพื่อนได้พร้อมกันถึง 8 คนในโหมดออนไลน์ (หรือถ้า Local เล่นได้ 16 คน) ซึ่งตัวเกมได้ใส่ระบบที่เรียกว่า Lobby โดยจะเป็นห้องที่เอาไว้ให้เราสร้าง หรือเข้าร่วมไปเล่นกับคนอื่นได้อย่างอิสระ แถมมันยังมีการบอกให้ทราบอีกด้วยว่าห้องนี้ถูกสร้างมาแล้วกี่นาที ถ้าเราเข้าห้องไปมันก็ทำให้สามารถคาดคะเนคร่าวๆ ได้ว่าคนในห้องผจญภัยไปประมาณไหนแล้ว รวมถึงน่าจะส่งผลทำให้เกมนี้มีระบบซื้อขายของจากผู้เล่นได้เช่นกัน เพราะเราสามารถโยนของให้กันได้อย่างอิสระ แต่ถึงอย่างนั้นระบบนี้ก็อาจจะต้องถูกพัฒนาให้มากขึ้นกว่านี้หน่อย เพราะเกม Diablo II: Resurrected เอาไม่มีระบบ Voice Chat ทำให้การสื่อสารต้องทำผ่าน Text เท่านั้น ซึ่งสำหรับแฟนๆ Diablo หรือแฟนเกม RPG อื่นๆ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้เล่นใหม่ๆ ที่ไม่ชินการพิมพ์ก็คงจะรู้สึกติดขัดไม่น้อย รวมถึงตัวเกมเองก็ไม่ได้มีระบบติดตามเพื่อนเวลากำลังผจญภัยอยู่นอกเสียจากเพื่อนในห้องจะทำการเปิด Portal เพื่อให้เราเข้าไป ทำให้บางครั้งเวลาเข้าเกมมาก็เหมือนเดินเล่นอยู่คนเดียวทุกที แต่ถ้าเจอคนเป็นงานหน่อยก็โอเค รวมถึงการเล่นถึงแม้จะเล่นคนเดียว ตัวเกมก็จะบังคับให้เราต่อ Internet เพื่อล็อคอิน Battle.Net ตลอดเวลา ทำให้ตัวเกมจะมีปัญหาเรื่องปิง เวลาเดินวาร์ปกลับมาที่เดิม หรือปั๊มเลือดช้าบ้างบังคับด้วย Controller สะดวกกว่า เมาส์/คีย์บอร์ด อีกส่วนระบบสุดท้ายที่เราจะพูดถึงก็คือระบบการบังคับเกมด้วย Controller (เพราะว่าเกมนี้ลงเครื่อง Console ด้วย) ซึ่งหลังจากที่ได้เข้าไปลองมาต้องบอกเลยว่ามันค่อนข้างทำออกมาได้ดีพอสมควร และดูเหมือนจะใช้งานง่ายกว่าเมาส์และคีย์บอร์ดด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นหน้า Interface ของ Controller จะมีช่องใส่สกิลมาให้เราเห็นทันที ต่างจากการบังคับด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดที่เราจะต้องกด S เพื่อสลับสกิลเอาเอง รวมถึงระบบการล็อคเป้าที่ค่อนข้างทำได้ง่าย และตัวเกมจะทำการ Auto Loot เงินบนพื้นให้อัตโนมัติต่างจากการให้เมาส์และคีย์บอร์ดที่เราจะต้องทำเองทั้งหมดความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เข้าไปทดสอบเกมนี้มาราวเกือบๆ 10 ชั่วโมง ก็ต้องบอกว่าในด้านเกมเพลย์ต่างๆ ของเกมก็ยังไม่ได้แปลกใหม่อะไร มันก็อาจจะไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว้าวมากนักในเรื่องนี้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นเกมเพลย์จากภาคเก่า ใครที่เคย Diablo III หรือเกมแนวนี้อื่นๆ มาก่อนก็คงเฉยๆ กับ Diablo II: Resurrected แต่ถ้าหากใครที่ไม่ได้เล่นเกมแนวนี้มานาน อยากที่จะกลับมารำลึกความหลังจากที่ไม่ได้แตะเกมนี้มาหลายสิบปี นี่มันก็เป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่คุณจะได้เข้าไปลองเล่นมันอีกครั้ง กับกราฟิกที่อลังการงานสร้างมากกว่าเดิม โดยตัวเกมมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 23 กันยายน 2021 บนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X/S และ Nintendo Switch สนนราคา 40$ ( LINK )
16 Aug 2021
แนะนำ 'LOUIS THE GAME' เกมจากแบรนด์ระดับโลก Loius Vuitton
ขอเกริ่นก่อนว่า บทความแนะนำเกมบทนี้เกิดขึ้นจากการเดินหลงในดง App Store ซึ่งจะมีเกมแนะนำทั้งเกมฮิต เกมแนวที่เจ้าของไอดีน่าจะชอบ และเกมใหม่! ในหมวดนี้เองเราก็ไปสะดุดตากับโลโก้แบรนด์ดังบน Background สีม่วง โอ้โห~ สวยงามสะดุดตามาก ก็เลยลองโหลดมาพร้อมไปหาที่มาของเจ้าแอปตัวนี้หนึ่งในแบรนด์ดังระดับโลกที่ทุกคนคุ้นหูเป็นอันดับหนึ่งต้องขอยกให้กับ หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) กับความหรูหราภายใต้ตัวย่อ LV สุดคลาสสิค และในโอกาสครบรอบวันเกิด 200 ปีของผู้ก่อตั้งแบรนด์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2021 แบรนด์หลุยส์วิตตองจึงหันมาพัฒนาเกมเพื่อเป็นการฉลองโอกาสพิเศษนี้ ชื่อว่า LOUIS THE GAME ซึ่งเปิดให้บริการทั้งใน Google Play และ App Store จ้า====================================================LOUIS THE GAMEเป็นเกมแนวผจญภัยไปในโลกแห่งความฝัน โดยเราจะได้รับบทเป็น วิเวียน (Vivienne) ซึ่งเป็นมาสคอตของ หลุยส์ วิตตอง และต้องเดินทางไปตามด่านต่างๆเพื่อเก็บเทียนให้ครบ 200 เล่ม ตามอายุของ หลุยส์ วิตตอง เมื่อผ่านไปแต่ละด่าน แต่ละฉาก เราจะได้โปสการ์ดของด่านนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตของคุณ หลุยส์ วิตตอง ตั้งแต่สมัยเด็กจนประสบความสำเร็จในระดับโลกในแต่ละด่านเราจะสามารถค้นพบไอเทมเครื่องประดับ ซึ่งสามารถนำมาตกแต่งตัวละครวิเวียนให้โดดเด่นได้ตามชอบ อีกทั้งตัวเกมยังมีฟีเจอร์การ 'ฝัง NFT' ให้กลายเป็นของสะสมดิจิตอลและสร้างมูลค่าผ่านการซื้อขายด้วยสกุลเงินดิจิทัลได้อีกด้วยภาพสวย เพลงรีแล็กซ์แบรนด์แฟชั่นดังขนาดนี้ ไม่ทำให้ผู้เล่นผิดหวังในภาพสวยๆแน่นอน หากเราอ่านเรื่องราวในโปสการ์ดแล้วมาดูการจัดวางองค์ประกอบของฉาก ต้องยอมรับเลยว่า 'ลงตัวสุดๆ' เพราะสอดคล้องกับเรื่องราวของเกม แถมยังไม่ยัดรายละเอียดมาเยอะจนเกินไป ในแต่ละด่านโทนสีก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งเลือกมาได้เข้ากับสถานที่ในด่านนั้นมากๆ แถมยังสอดแทรกโลโก้ของแบรนด์มาไว้ในส่วนต่างๆของแผนที่ได้อย่างแนบเนียน ทำให้เราในฐานะวิเวียนเดินรอบแผนที่ได้ทั้งวันอย่างไม่มีเบื่อเลย อีกทั้งเอฟเฟคเวลาเรา interact กับสิ่งของในแผนที่ ยังสวยงามชวนฝันเหมือนกำลังอยู่ในเทพนิยายอีกต่างหากส่วนเพลงที่นำมาใช้ ก็เน้นเพลงบรรเลงสไตล์ Meditation Song พร้อมกับเสียงเอฟเฟคจากธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เป็นต้น ซึ่งช่วยรู้สึกให้ผ่อนคลาย และเยียวยาจิตใจไปในโลกแห่งความฝันได้อย่างแท้จริงเลยล่ะการ Control น้องวิเวียนในส่วนของวิธีการพาวิเวียนออกไปผจญภัย อาจจะขัดใจเกมเมอร์หลายๆ คนสักหน่อย โดยอะนาล็อกควบคุมทิศทางการเดินจะอยู่ด้านซ้ายตามสไตล์เกมมือถือทั่วไป แต่ที่เซอร์ไพรซ์คือการปรัมมุมกล้องค่ะ โดยจะใช้อะนาล็อกทางขวามือในการหมุน ซึ่งใครมือหนัก หมุนไว รับรองว่าได้มีเวียนหัวกันแน่นอน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเรา Double tap กลางหน้าจอ 2 ครั้ง มุมกล้องจะกลับมาที่ด้านหลังของวิเวียนเหมือนเดิมที่น่าปวดหัวอีกอย่างก็คือปุ่มกระโดด โดยเราต้องแบ่งสัดส่วนหน้าจอของเราให้เป็น 3 ส่วน และหากต้องการกระโดดให้แตะที่โซนขวามือเท่านั้น ถ้าล้ำมากลางจอหน่อยวิเวียนจะไม่ได้รับคำสั่งกระโดดส่วนระหว่างการหาเทียน ถ้ามองในแผนที่แล้วไม่เจอ สามารถเลื่อนขึ้นเพื่อให้ให้เกมเปิดระบบนำทางได้ ซึ่งสะดวกมากเลยอีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่น่าสนใจคือบนหน้าจอจะไม่มีไอคอนเข้าหน้าตั้งค่าให้ค่ะ ซึ่งก็น่าจะมีเหตุผลจากการที่อยากให้เราดื่มด่ำกับภาพของเกมได้เต็มที่ แต่ถ้าเราแตะตรงบริเวณมุมขวาบนได้อย่างถูกจุด ไอคอนก็จะปรากฏขึ้นมาให้เราเห็นได้นั่นเองจ้าแต่งตัวให้วิเวียนถ้าหากเราอยาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของวิเวียน เราสามารถกดที่กระเป๋าของน้องเพื่อเข้าสู่หน้า Custom ได้ โดยเราสามารถเลือกลายของตัววิเวียนและกระเป๋าที่น้องจะสะพายได้ในหน้า Vivienne และถ้าแบบสำเร็จยังไม่สะใจก็เข้าไปที่แท็บของ Accessories เพื่อเลือกเครื่องประดับซึ่งเก็บได้ตามด่าน มาสวมให้น้องเพิ่มได้ด้วย เท่านี้ก็ได้ตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์ไปอวดเพื่อนๆแล้ว เอ... หรือจะเอาไปลงขาย NFT ก็ไม่เลวเลยนะในฟีเจอร์นี้ เรายังสามารถเช็คโปสการ์ดได้ด้วย ว่าตอนนี้เราก็ลังอยู่ในสถานที่ใด และมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ หลุยส์ วิตตอง บ้างโหมดการเล่นในตอนเริ่มต้น เกมจะบังคับให้เราเล่น Story Mode เพื่อเล่าเรื่องราวของคุณ หลุยส์ วิตตอง แต่เมื่อเราเล่นผ่านด่านไปแล้วและอยากเล่นซ้ำ โดยไม่สนใจเนื้อหาของ Story ก็สามารถเล่นในโหมด Time Trial ซึ่งจะเป็นการวิ่งทำเวลาในการเก็บเทียนในแต่ละด่านโดยไม่มีไกด์แนะนำการเล่นหรือเนื้อเรื่องให้กวนใจ อีกทั้งยังไม่ต้องพะวงในการหาไอเทมเครื่องประดับที่ซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆด้วยสถิติเวลาที่เราทำได้ในโหมด Time Trial จะถูกบันทึกลง Leaderboard และเทียบสถิติกับเพื่อนหรือผู้เล่นทั่วโลกได้อีกด้วย นับว่าท้าทายไม่ใช่น้อยเลยข้อควรระวัง!เกมนี้พัฒนาบน Unreal Engine จึงไม่น่าแปลกที่เราจะได้เกมภาพสวยขนาดนี้ แต่! กราฟฟิคสูงๆ แบบนี้ก็ไม่เป็นมิตรกับโทรศัพท์รุ่นเก่าหรือรุ่นล่างๆ เช่นกัน เนื่องจากเกมนี้ไม่สามารถปรับระดับของกราฟฟิคได้นั่นเอง ====================================================Review ภาพรวมถึงเราจะไม่ใช่แฟนแบรนด์นี้ (เอาจริงๆ ปกติก็ไม่เสพของแบรนด์อยู่แล้วด้วยแหละ) แต่ต้องยอมรับในดีไซน์ที่เรียบหรูไม่ว่าจะบนกระเป๋าหรือภาพในเกม ที่คงเอกลักษณ์ความเป็น หลุยส์ วิตตอง ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ตัวเกมแม้จะควบคุมยากไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีระบบที่ซับซ้อนอะไรจนน่าโมโห แถมยังมีประวัติของแบรนด์แทรกอยู่ในทุกๆการเดินทางผจญภัย ทำให้คนที่ไม่ตามสินค้าก็สามารถอินกับตัวเกมและแบรนด์ได้อย่างง่ายดายเสียดายนิดหน่อย ตรงที่โทรศัพท์เราสู้กราฟฟิคไม่ไหว ทำให้เล่นได้ไม่นานเกมก็เด้ง T^T 'หมดกัน ความหวังจะขาย NFT' ถ้าเล่นได้ตามปกตินะ คงอยู่ทั้งวันไม่เล่นเกมอื่นแล้วล่ะ เพราะตกหลุมรักเกมนี้เข้าไปเต็มๆแล้วยังไงล่ะ ♥
14 Aug 2021
พรีวิว Back 4 Blood (Open Beta) มันส์เหมือนเดิม เพิ่มเติมที่ลูกเล่นเยอะขึ้น
หนึ่งในเกมที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น Back 4 Blood เกมยิงซอมบี้จากผู้พัฒนา Turtle Rock Studios ทีมผู้สร้าง Left 4 Dead ที่เพึ่งเปิดช่วงทดสอบ Early Acccess Open Beta ไปสดๆ ร้อนๆ และมีผู้เข้าร่วมในการทดสอบแรกแค่เฉพาะจากร้านค้า Steam ก็มากกว่า 1 แสนคนไปแล้ว ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH เองก็ได้ลองเข้าไปทดสอบเกมนี้มาเช่นกันและจะมาเล่าถึงความรู้สึก พูดถึงระบบเด่นๆ ของเกมนี้ให้ท่านได้ทราบว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง !!แน่นอนว่าระบบเกมเพลย์ของ Back 4 Blood นั้นก็ยังมีความคล้ายคลึงกับตัว Left 4 Dead ที่ให้เราเดินดาหน้ายิงเหล่าซอมบี้ที่อยู่ตามฉาก บางครั้งก็จะมีการทำภารกิจบางอย่างเพื่อผ่านไปยังโซนต่อไป โดยเกมจะสนับสนุนการ Cross-Platform สามารถเล่นด้วยกันได้ทั้งเครื่อง PC, PlayStation และ Xbox เลย โดยจะขึ้นสัญลักษณ์โชว์ด้วยว่าใครเล่นจากเครื่องไหน และจะใช้โหมด Match Making ในการค้นหา แต่ถ้าค้นหาแล้วยังไม่เจอคนเข้ามา เกมก็จะใส่บอทเข้ามาให้แทนนั่นเอง (แต่คนอื่นก็สามารถเข้าร่วมกลางเกมได้)ในช่วง Beta เกมจะมีระบบความยากอยู่ทั้งหมด 3 ระดับนั่นคือ Classic ซึ่งจะเป็นระดับง่ายที่เราสามารถทำความเสียหายซอมบี้ได้สูง กินยาเพิ่มเลือดได้มากขึ้น และล้มได้ 2 ครั้งSurvivor ระดับปานกลางที่เราสามารถยิงเพื่อนร่วมทีมได้ (แต่โดนดาเมจเหลือ 35%) ศัตรูกลายพันธุ์มีมากขึ้น ล้มได้ 2 ครั้งNightmare หรือระดับยากสุด ซอมบี้จะเลือดมากขึ้น โจมตีแรงขึ้น ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมขณะอยู่ในสถานะ Incapacitated (ล้ม) เราทำดาเมจใส่เพื่อนร่วมทีมได้ (โดนดาเมจ 60%) และมีโอกาสล้มได้เพียงครั้งเดียว รวมถึงภายในด่านก็จะมีระบบเงินตราที่จะดรอปให้เราเก็บตามแผนที่ (เพื่อนเก็บเราก็ได้) ซึ่งพอจบด่านเราก็จะสามารถเอาเงืนไปซื้อของต่างๆ อย่างพวกปืนกระสุน ของแต่งปืน อุปกรณ์ยา หรือจะเป็นบัฟเพิ่มเติมให้กับเพื่อนร่วมทีมแต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้มีความแตกต่างและสดใหม่มากกว่าก็คงจะเป็นในเรื่องของระบบของเกมที่ถูกใส่เข้ามาเพิ่มสีสันให้มากขึ้น อย่างแรกเลยคือระบบตัวละครที่ในช่วง Open Beta ทางผู้พัฒนาเปิดให้เล่นทั้งหมด 5 คน ซึ่งแต่ละคนจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นตัวละคร Evangelo ที่จะเก่งในอาวุธระยะประชิดมีพลังสามารถทำลายการจับของซอมบี้ได้ หรือจะบวกสเตตัส Stamina จำนวน 25% หรือจะเป็น Hoffman ที่เหมาะสำหรับสายยิงปืน สนับสนุน เพราะตัวละครนี้มีความสามารถในเพิ่ม Offensive Inventory (ช่องอุปกรณ์) 1 Slot และฆ่าศัตรูจะมีโอกาสดรอปกระสุนด้วย รวมถึงแต่ละตัวละครก็จะยังมี Buff พิเศษที่จะเพิ่มให้ทีมเช่นกันอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจของเกมนี้ และเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้พัฒนาอยากให้การเล่นเกมนี้ทุกครั้งมีความแปลกใหม่อยู่ตลอดก็คือระบบการ์ดของเกม ที่เราจะสามารถจัด Deck การ์ดก่อนเข้าเล่นได้ตามสไตล์ที่เราอยากเล่น อย่างที่กล่าวไปหัวข้อก่อนหน้าว่าตัวละครแต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกันไป ทำให้การจัด Deck การ์ดที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำเช่นกัน ยกตัวอย่างเราเล่นตัวละครที่เก่งในระยะประชิด เราก็อาจจะเอาการ์ดที่เหมาะสมเช่นการ์ดเพิ่มเลือด 2 หน่วยถ้าหากโจมตีศัตรูด้วยอาวุธระยะประชิด หรือการ์ดที่เพิ่ม Stamina ให้กับเรา 10% เป็นต้นแต่ถึงอย่างนั้นบัพจากตัวการ์ดเองที่เราเลือกมา ก็ใช่ว่าจะมีมาให้เราเลยตั้งแต่ต้น แต่ตัวเกมจะใช้ระบบการสุ่มจั่วการ์ดขึ้นมาต่อการเริ่มด่านแต่ละครั้ง ให้เราสามารถเลือกการ์ดมาบัพให้กับตัวเรา รวมถึงตัวเกมยังมีระบบ Corruption Cards ที่จะเป็นเหมือน Effect ภายในเกมที่จะมาเพิ่มความท้าทายให้แก่เรา อย่างเช่นการทำให้แผนที่มีหมอกมากขึ้น หรือจะเป็นการ์ดที่เพิ่มความสามารถให้กับเหล่าซอมบี้พิเศษบางตัวก็ได้โดยในช่วงเริ่มต้นเราอาจจะยังไม่ได้มีการ์ดให้เลือกเล่นมากนัก ซึ่งเราจะต้องทำการเก็บแต้มที่ได้จากการเล่นจบแต่ละด่านเพื่อเอามาปลดล็อคการ์ดใหม่ๆ ได้และอีกหนึ่งที่พูดไม่ได้ก็คงจะเป็นระบบ PvP ของเกมที่จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง 4v4 โดยตัวเกมจะโยนเหล่าผู้เล่นไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ฝ่ายคนจะต้องทำการป้องกันและอยู่รอดให้ได้นานที่สุด และพอยิ่งเวลาผ่านไปตัวด่านจะมีวงสีเหลืองบีบให้พื้นที่ในการเดินน้อยลง (ถ้าเดินออกเส้นเหลืองเลือดจะลด) รวมถึงการเล่นครั้งนี้ระบบการ์ดก็ยังถูกเอาเข้ามาเช่นกัน เพียงแต่ว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปฟาร์มการ์ดเอง เพราะเกมจะมีการ์ดทั้งหมดอัตโนมัติเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และให้เราไปจัด Deck ด้วยตัวเองได้เลยส่วนคนที่ได้เล่นเป็นฝ่ายซอมบี้จะได้บังคับเหล่าซอมบี้พิเศษ ที่สามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบ ตัวซอมบี้มีกระทั่งตัวแทงค์ ตัวยิงพิษทำดาเมจจากที่ไกลๆ ก็ต้องทำทุกวิธีทางเพื่อฆ่าศัตรูให้ไวที่สุด โดยหนึ่งรอบทั้งสองฝ่ายจะมีโอกาสได้เป็นทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายซอมบี้ ในรอบนั้นฝ่ายไหนสามารถฆ่าศัตรูได้ไวที่สุด ฝ่ายนั้นก็จะได้คะแนนไปหนึ่งแต้ม โดยคะแนนจะนับใครได้ 2 ต่อ 3 คะแนนก่อนก็จะชนะไปความรู้สึกหลังที่ได้ลองเล่นต้องยอมรับว่าบรรยากาศความสนุกในสมัยที่เล่นในเกม Left4Dead นั้นยังมีครบในเกม Back 4 Blood อย่างครบถ้วนแถมเกมยังมีระบบลูกเล่นใหม่ๆ ที่เข้ามาสร้างสีสันให้เราด้วยไม่ว่าจะเป็นระบบเงินที่เอาไว้ซื้อของต่างๆ หรือจะเป็นระบบการ์ดของเกม ในเบื้องต้นจากการทดลองเล่น การ์ดส่วนใหญ่ที่ได้มาในช่วง Beta มักจะส่งผลเพิ่มความสามารถต่างๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเพิ่มดาเมจการโจมตีระยะใกล้ขึ้น 10% หรือเพิ่มเลือดที่ได้จากไอเทมฟื้นฟู 15% เป็นต้น โดยส่วนตัวจึงยังไม่ได้รู้สึกถึงผลของระบบการ์ดมากเท่าที่ควร แต่ก็พอมีการ์ดบางใบที่อาจจะส่งผลต่อการเล่นได้อย่างน่าสนใจ เช่นการ์ดที่ทำให้ได้เลือดเพิ่มทุกครั้งที่ฆ่าซอมบี้ในระยะประชิด หรือการ์ดที่ทำให้สามารถพกกล่องยาได้เพิ่มอีกกล่องแทนระเบิด ซึ่งอาจจะส่งเสริมสไตล์การเล่นของตัวละครหรือผู้เล่นแต่ละคนได้ และเปิดช่องให้มีการวางแผนเพื่อจัดชุดการ์ดที่เหมาะกับตัวละครหรือเพื่อเกื้อหนุนกันในทีม ซึ่งก็อาจจะทำให้การเล่นในระยะยาวมีความหลากหลายกว่าใน Left4Dead ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับความเร็วในการปลดล๊อคการ์ดด้วยว่าผู้เล่นจะเบื่อซะก่อนจะเข้าถึงการ์ดเจ๋งๆ หรือไม่ในส่วนของ โหมด PvP นั้นทำออกมาได้สนุกทีเดียว เกมค่อนข้างที่จะใช้ทีมเวิร์คพอสมควร โดยเราต้องเรียนรู้ที่จะประสานงานกันภายในทีมเพื่อความอยู่รอด ฝ่ายผีก็ต้องมีตัวละครสายถึกทน และก็มีสายตลบหลังด้วย ส่วนมนุษย์ก็ต้องกันและหาจุดที่ช่วยเหลือกันได้ตลอด เลยทำให้ถ้าหากคุณเล่นเกมนี้กับเพื่อน หรือคนที่เป็นงาน จะทำให้ทีมคุณเก่งมาก แต่ถ้าหากคุณกดไปเจอปาร์ตี้ที่ไม่เป็นงาน บางทีก็อาจจะทำให้คุณหัวเสียและแพ้อย่างราบคาบแบบไม่มีทางสู้ ซึ่งห้องส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น ทำให้การเล่น PvP แต่ละรอบเราจะต้องเจอกับพวกที่ชอบกดหนีเกม กดออกเกมเพราะสู้ไม่ได้ประจำส่วนใครที่อยากเล่นเกมนี้ Back 4 Blood จะเปิดให้บริการจริงในวันที่ 12 ตุลาคม 2021 บนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox Series X/S สนนราคาราวๆ 60$ (ใน Steam ขาย 1,590 บาท)
10 Aug 2021
รีวิว New World โลกใหม่ การสำรวจครั้งใหม่ และสงครามครั้งใหม่
ย้อนกลับไปประมาณ 22 เดือนก่อน ในวันที่ 13 ธันวาคม 2019 ทาง Amazon ได้เปิดตัวโปรเจกต์เกม MMORPG ใหม่ที่ชื่อว่า New World เป็นครั้งแรกให้โลกได้รู้จัก ข้ามผ่านกาลเวลามา 9 เดือนทางผู้พัฒนาได้มีการเปิดให้สมัครเข้าไปทดสอบเล่นเกมครั้งแรก ในตอนนั้นตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก และทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนต่างรอคอยการมาของ MMORPG น้องใหม่นี้กันอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดหลังจากรอกันมาอย่างยาวนาน ตัวเกมก็วางขายอย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีผู้เล่นให้ความสนใจเล่นเกมนี้พร้อมกันถึง 500,000 คน ในวันแรกเลยทีเดียว ทางผู้เขียนเองได้มีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้มาแล้วหลายชั่วโมงด้วยเช่นกัน และวันนี้จึงอยากถือโอกาสพาเพื่อนๆ ที่ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองเล่นไปรู้จักโลกของเกมให้มากขึ้นกันครับ!พายุที่ทำลายทุกอย่าง และเกาะที่ความตายก็ไม่ใช่ทางหลุดพ้นเรื่องราวของ New World จะกล่าวถึง พายุแปลกประหลาดที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยตัวละครของผู้เล่นคือหนึ่งในนักเดินทางที่กำลังอยู่ระหว่างเดินไปยังที่ไหนสักแห่งโดยเรือ และพบกับพายุดังกล่าวเข้า ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเราจะพบว่าตัวเองมาเกยตื้นอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง เราเริ่มออกเดินทางตามหาเพื่อนๆ ที่อาจยังมีชีวิตรอดอีกครั้ง ซึ่งไม่ไกลนักเราจะได้พบกับกัปตันของเรือนอนใกล้ตายอยู่บริเวณไม่ไกลจากจุดที่ตื่น แต่เขาก็สิ้นลมไปในเวลาไม่นานหลังจากนั้นเราจะเริ่มออกตามหาเพื่อนๆ ที่ยังไม่ตายอีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางก็ถูกโจมตีโดยเหล่าผีดิบที่จะคอยเข้ามาโจมตีเป็นพักๆ จนกระทั่งมาถึงสถานที่แปลกๆ แห่งหนึ่งที่มีออร่าแสงสีแดงปริศนาอยู่ ใจกลางของพื้นที่นี้จะมีดาบปักอยู่หนึ่งเล่ม ทันทีที่เข้าไปไกลมัน อยู่ดีๆ ศพของกัปตันเรือที่เพิ่งจะตายไปต่อหน้าเราก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับดึงดาบเล่มนั้นเข้ามาโจมตีใส่เรา มันจึงทำให้เราต้องต่อสู้กับศพของกัปตันอย่างช่วยไม่ได้ และพลาดท่าถูกฆ่าตายแต่แทนที่ทุกอย่างจะจบลง เรากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่บริเวณชายหาด แต่จะบอกว่าทุกอย่างเป็นความฝันมันก็สมจริงจนเกินไป แตกมันแตกต่างจากครั้งก่อนตรงที่ ครั้งนี้ใกล้ๆ กับจุดที่เราตื่นมีค่ายปริศนาถูกตั้งขึ้นมาด้วย เมื่อเดินทางไปยังค่ายดังกล่าวจึงได้พบกับชาวเกาะที่อาศัยอยู่ที่นี้ เธอมีชื่อว่า Nora Linch ซึ่งเธอได้อธิบายว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน ยินดีต้อนรับ และขอแสดงความเสียใจด้วย ที่เราจะไม่มีวันได้กลับออกไปอีกแล้ว!Nora จะเล่าต่อว่า เกาะแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยพายุปริศนาที่ทำลายเรือของเรา ส่งผลให้การออกไปจากเกาะแห่งนี้เป็นไปไม่ได้ และเรือทุกลำที่เข้าไปใกล้มันจะถูกทำลายพร้อมทั้งส่งมายังเกาะแห่งนี้ ส่งผลให้การออกไปจากเกาะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และนอกจากนี้ความตายเอง ก็ไม่ใช่ทางหลุดพ้นเช่นเดียวกัน คนที่ตายไปแล้วในเกาะแห่งนี้จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งจากพลังปริศนาของเกาะนี้ เราถือว่าโชคดีที่กลับมามีชีวิตแบบสติครบถ้วนได้ เพราะหลายๆ คนที่ตายจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในรูปแบบของผีดิบที่ไม่มีความนึกคิดไป โดยชาวเกาะจะเรียกคนกลับนี้ว่า Corruptions การเดินทางของเราในการสำรวจดินแดนใหม่นี้จึงเริ่มต้นขึ้นที่ตรงนี้สเตตัสมาจากเลเวล แต่สกิลมาจากความชำนาญถ้าหากพูดถึงเกม MMORPG แล้ว สิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงคงไม่พ้นการเก็บเลเวลแบบมาราธอนด้วยการฆ่ามอนสเตอร์จำนวนมาก อัปสเตตัส อัปสกิล พัฒนาให้ตัวละครเก่งเพื่อไปให้ถึงช่วงท้ายของเกม และเข้าท้าทายคอนเทนต์ดันเจี้ยนยากๆ เพื่อหาของมาใส่อัปเกรดตัวละครกันต่อไป แต่สำหรับ New World อาจแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อการเพิ่มเลเวลของตัวละครไม่จำเป็นต้องออกไปล่ามอนสเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่สามารถเพิ่มได้จากเก็บเลเวลความชำนาญอื่นๆ อย่างการตัดไม้, ตีเหล็ก, ขุดหิน, เย็บผ้า, ทำอาหาร หรืออื่นๆ ด้วย กล่าวคือจะมีฆ่ามอนสเตอร์สักตัวเลยแล้วเก็บเลเวลจนตันก็สามารถทำได้ในทางกลับกันหากเก็บเลเวลโดยไม่ตีมอนสเตอร์เลยแม้แต่ตัวเดียว สิ่งที่จะไม่ได้มาคือสกิลของอาวุธต่างๆ เนื่องจากตัวเกมใช้ระบบ Mastery ที่จะเรียนรู้สกิลของอาวุธต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อใช้อาวุธชนิดนั้นในการออกไปสู้จริงเท่านั้น ระบบนี้มีข้อดีคือตัวละครหนึ่งตัวของผู้เล่นสามารถใช้อาวุธได้หลากหลายมาก แต่ก็จำเป็นต้องเสียเวลามากขึ้นไปกับการเก็บเลเวลความชำนาญของอาวุธ แต่ละประเภทแยกกัน หรือก็คือจำเป็นต้องใช้เวลาเล่นที่มากขึ้นหากอยากใช้อาวุธหลายๆ อย่างนั้นเองระบบฝ่ายหลังจากเล่นเนื้อเรื่องหลักไปได้สักพักผู้เล่นทุกคนจะถูกบังคับให้เลือกฝ่ายเป็นของตัวเอง ซึ่งฝ่ายที่สามารถเลือกได้จะมีทั้งหมด 3 ฝ่ายด้วยกันคือ Syndicate : กลุ่มที่แสวงหาความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ต้องห้ามเพื่อใช้มันหาความจริงเกี่ยวกับMarauders : กลุ่มนับรบที่เชื้อมันในเกียรติยศ พร้อมกับความเชื่อว่าผู้เข้มแข็งจริงๆ เท่านั้นที่จะเป็นใหญ่ได้Covenant : กลุ่มอัศวินที่มีแนวคิดยึดมั่นในความถูกต้องและยุติธรรม พวกเขาเชื่อว่าการชำระล่างแผ่นดินคือหน้าที่ของพวกเขาผู้เล่นสามารถเปลี่ยนฝ่ายไปมากี่ครั้งก็ได้ แต่ในการเปลี่ยนฝ่ายแต่ละครั้งจะมี Cooldown เป็นระยะเวลา 120 วัน หลังจากเปิดทดสอบในรอบ Open Beta เป็นต้นมา ทีมพัฒนาได้ปรับให้ของที่ซื้อได้จากแต่ละฝ่ายมีสกิลเหมือนกันแล้ว ดังนั้นผู้เล่นสามารถเลือกเล่นฝ่ายไหนก็ได้ที่ตัวเองชอบได้เลยอย่างไรก็ตามการอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หมายถึงการอาจได้ปะทะกับอีก 2 ฝ่ายที่เหลือเวลาแย่งชิงดินแดนด้วย ดังนั้นถ้าหากว่ามีเพื่อนเล่นเกมนี้อยู่ฝ่ายไหน และไม่อยากจะต้องสู้กันเองเมื่อสถานการณ์จำเป็น ก็แนะนำให้ปรึกษากันให้ดีก่อนว่าจะเข้าร่วมฝ่ายไหน เพื่อที่จะได้รับความสนุกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ โดยจะมีสีบนแผนที่บอกชัดเจนว่าโซนไหนเป็นของฝ่ายไหนอยู่ดั่งรูปข้างล่างอย่างไรก็ตามไม่ต้องกลัวว่าถ้าหากข้ามไปทำเควสในเขตของอีกฝ่ายแล้วจะโดนกระทืบรัวๆ แล้วทำเควสไม่ได้นะ เนื่องจากการจะโจมตีกันได้ ผู้เล่นทั้งสองคนจำเป็นต้องอยู่ในสภาวะหัวแดงก่อน ดังนั้นถ้าหากเราไม่ได้เปิดหัวแดงอยู่ก็สบายใจได้ไม่โดนฆ่าแน่นอนโลกของ New World และระบบเขต / เมืองในส่วนของเซ็ตติ้งโลกของเกมจะอยู่ในช่วงยุคเหล็กที่มีอาวุธปืน และเวทมนตร์ ให้ความรู้สึกแบบเกม Fantasy คลาสสิก และไม่ค้อยพบเห็นสัตว์ในตำนานอย่างพวกมังกร เพกาซัส ออค หรือก็อบลิน เท่าไหรนัก (ก็มีตัวแปลกๆ อยู่บ้างเช่นปีศาจค้างคาวขนาดใหญ่, หรือยักษ์ที่มือมีใบมีดติดอยู่) แต่ส่วนใหญ่แล้วศัตรูที่ได้พบจะเป็นพวกสัตว์ป่าที่ดุร้าย ผีดิบถืออาวุธ หรือไม่ก็พวกวิญญาณอาฆาต อะไรพวกนี้มากกว่า โลกที่เราจะได้สำรวจใจเกมนี้จะเป็นแบบ Open World ที่ไม่มีการโหลดฉากในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยแผนที่โลกของเกมจะถูกแบ่งออกเป็นเขตย่อยๆ หลายเขต แต่ละเขตจะมีเมืองกับป้อมเป็นของตัวเอง รวมถึงมีเลเวลของมอนสเตอร์เฉลี่ยแตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือภาษีการซื้อขายของ กับราคาสินค้า รวมถึงราคาที่ดิน จะแตกต่างกันไปในแต่ละเมืองของเกมด้วย (ดูตัวอย่าง ภาษีของ 2 เมืองที่แตกต่างกันได้ในรูปข้างล่าง)  ด้วยภาษีที่แตกต่างกัน ย่อมหมายถึงสินค้าที่วางขายอยู่ในตลาดที่ไม่เหมือนกันด้วย New World เป็นเกมที่ ไม่มีร้านขายของจาก NPC แบบที่เราเคยเห็น ไอเทมที่ซื้อขายกันในเกมมา ล้วนแล้วแต่มาจากผู้เล่นด้วยกันทั้งนั้น หากไม่อยากซื้อก็จำเป็นต้องคราฟต์ขึ้นมาเอง ดังนั้นอัตราส่วนภาษีของ แต่ละเมืองจึงสำคัญมาก เพราะถ้ายิ่งแพงเท่าไหร่ก็ยิ่งจำหมายถึงการเสียเงินมากขึ้นเท่านั้นด้วยแน่นอนว่าการลดภาษีของแต่ละเมืองสามารถทำได้หลักๆ 2 วิที คือการเก็บเลเวลชื่อเสียงในเขตนั้นให้มากขึ้น หรือเอาชนะสงครามฝ่าย แล้วได้เขตนั้นพร้อมกับเมืองเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายตัวเอง ดังนั้นการยึดเขตจึงมีผลประโยชน์โดยตรงต่อฝ่ายที่สามารถยึดได้ ทั้งหมดจนถึงตอนนี้ เป็นระบบสำคัญหลักๆ ภายในเกมของ New World และหลังจากนี้เป็นต้นไปจะเป็นความรู้ของผู้เขียน หลังได้เล่นเกมนี้ไปหลายชั่วโมง รวมถึงคำแนะนำให้กับคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อเกมนี้มาเล่นดีหรือไม่PVP เป็นคอนเทนต์หลัก สายชอบ PVE เดือดๆ ชอบ Raid ยากๆ อาจไม่ถูกใจจากที่ได้อ่านข้างบนมาเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกได้แล้วว่าเกมนี้มีคอนเทนต์หลักเป็นการ PVP ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคอนเทนต์สำหรับสาย PVE เลย เพียงแต่ส่วนใหญ่คอนเทนต์ PVE จะไม่ยากจนถึงขนาดต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรในการผ่านแต่ละครั้ง เนื่องจากเกมไม่ได้มี Puzzle หรือ ท่าโจมตีของบอสที่ซับซ้อนอะไรมากมาย (แต่ส่วนใหญ่จะแรงมากก็คือต้องหลบให้ได้เท่านั้นเอง) ส่วนใหญ่ถ้าหากผู้เล่นใน Party สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เชื่อว่าคงผ่านกันได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงเลยเสียด้วยซ้ำดังนั้นสำหรับคนที่เป็นสายชอบเล่น MMORPG ที่มี Raid คอนเทนต์ยากๆ แบบเดียวกับ Final Fantasy XIV, หรือ World of Warcraft มาก่อน อาจไม่สนุกกับเกมนี้เท่าไหร่นัก ในทางกลับกันถ้าหากเพื่อนๆ เป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่มีคอนเทนต์ PVP แบบเดือดๆ อย่าง Black Desert, หรือ Guild War 2 เกมนี้จะให้ความรู้สึกที่สนุกไม่แพ้กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ War ที่เป็นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างผู้เล่น 50 vs 50 กับ Outpost Rush ที่เป็นการต่อสู้แบบ 20 vs 20 ผสมระหว่าง PVE กับ PVP เข้าด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดเลยมี Party จะเล่นง่ายกว่ามาก ต่อให้เป็นสาย Solo ก็แนะนำให้หา Party หรือ Guild อยู่ดีแม้ว่าคอนเทนต์สนุกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการ PvP แต่การเก็บเลเวลยังคงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเรายังคงได้ค่าสเตตัสมาอัปทุกครั้งที่เลเวลอัปอยู่ อย่างที่กล่าวไปว่าเกมนี้ไม่ได้มีร้านขายของ NPC เหมือนกับ MMORPG เกมอื่นๆ การมีเพื่อนช่วยกันเล่น ช่วยกันสู้ ช่วยกันเก็บเลเวล จึงจะทำให้การเล่นทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าหากมีคนเล่นคลาสที่ ฮีล ได้อยู่ใน Party ยิ่งทำให้การเก็บเลเวลรวมถึงสำรวจโลกทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก (บอกเลยว่ามอนตีแรงมาก)การหารทรัพยากรเพื่อนำมาคราฟต์อาวุธ ชุดเกราะดีๆ ก็จะสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นด้วยหากมีหลายๆ คนช่วยกันหา เนื่องจากใน New World แร่ดีๆ หรือไม้สำหรับใช้คราฟต์อาวุธระดับสูงๆ จำเป็นต้องใช้เลเวลความชำนาญด้วยถึงจะหามาได้ การเล่นหลายคนจึงหมายถึงการที่แต่ละคนต้องโฟกัสเก็บเลเวล สกิลสายคราฟต์ กับสกิลสายเก็บเกี่ยวน้อยลง ทั้งหมดนี้จะทำให้การเล่นของเพื่อนๆ คืบหน้าเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็แนะนำว่าควรหากลุ่มเกาะไว้ ถ้าหา Guild อยู่ได้เลยยิ่งดีเข้าไปอีกPing คือศัตรูตัวร้ายสำหรับผู้เล่นบ้านเราNew World เป็นเกม Action แบบไม่มีระบบล็อกเป้า ดังนั้นจะตีโดนไม่โดน หลบการโจมตีพ้นไม่พ้น ขึ้นอยู่กับการจับจังหวะ และฝีมือของผู้เล่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Amazon ไม่ได้มาตั้ง Dedicated Server ที่บริเวณ SEA ด้วย ทำให้ไม่ว่าจะเล่นเซอร์เวอร์ไหนภายในเกม Ping ของเราจะไม่ต่ำกว่า 200 อย่างแน่นอน ต้องทำใจก่อนเลยว่าการหลบแต่ละครั้ง แม้จะทำได้อย่างถูกจังหวะแล้ว ก็อาจจะยังโดนดาเมจอยู่ ในขณะเดียวกันต่อให้ตีโดนแน่นอน แต่บางอีกฝ่ายก็อาจไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ดังนั้นในการเล่นอาจมีได้หัวร้อนบ้างไม่มากก็น้อย แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่ายังอยู่ในระดับที่เล่นได้ครับใช้สเปค PC สูงพอสมควร หากอยากเล่นลื่นๆอีกหนึ่งปัญหาที่ผู้เขียนสังเกตได้ตลอดเวลาที่เล่น คือเรื่องของ FPS ที่ดูจะไม่นิ่งเท่าไหร่นัก ซึ่งเข้าใจว่าอาจมาจากเครื่อง PC ของผู้เขียนเองที่อาจจะยังแรงไม่พอ อย่างไรก็ตามผู้เขียนเชื่อว่า PC ของตัวเองถือว่าอยู่ในระดับปานกลางไปจนถึงสูงแล้ว (Ryzen 7 5800X + GTX 1660 Super) แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นอะไรมากมายนัก แต่ถ้าหากสเปคนี้ยังเล่นแล้วมี FPS ดรอปก็หมายความว่าเกมกินสเปคพอสมควรเลย สรุปซื้อดีไหม ?New World เป็นเกมน้ำดี ที่มีระบบน่าสนใจ อนาคตไกลอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่ต้องเข้าสังคม พูดคุยกับคนอื่นไปด้วยในขณะเล่นเกม หรืออย่างน้อยชอบการวัดฝีมือ PvP ทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่ม น่าจะสามารถสนุกไปกับเกมนี้ได้ไม่ยาก ในขณะเดียวกันถ้าหากไม่ใช้คนที่เป็นสายที่ผู้เขียนกล่าวมาเลย การสนุกไปกับการเกมนี้อาจเป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าหากชอบเล่น MMORPG ที่มี PVE ยากๆ ด้วยแล้ว แนะนำว่าให้ข้ามเกมนี้ไปได้เลยสุดท้ายนี้ New World จะไปได้ไกลขนาดไหน คิดว่าคงเป็นเรื่องของการปรับสมดุล อาวุธ และสกิลของผู้พัฒนาให้ไม่มีอะไรได้เปรียบ หรือเก่งมากจนเกินไป รวมถึงการเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย เนื่องจากปัญหาหลักๆ ที่ทำให้คนเลิกเล่น MMORPG กันคือเรื่องที่ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เนื่องจากไม่มีคอนเทนต์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามา ส่วนตัวมองว่าจำนวนคอนเทนต์ที่มีใน New World ตอนนี้ ถือว่ามีเยอะพอสมควร แต่สักวันมันจะถูกผู้เล่นทำกันจนหมดแน่นอน หวังว่าจะได้เห็นการพัฒนาที่ดีต่อไปสำหรับเกมนี้ครับ
02 Aug 2021
รีวิว Tribes of Midgard จับมือกับเพื่อน เอาตัวรอดในดินแดนปรัมปรานอร์ส
Tribes of Midgard เกมแนว RPG Survival จากทางผู้พัฒนาอย่าง Norsfell ที่จะพาเราเข้าไปสู่โลกแห่งเทพปรัมปรานอร์ส และจุดเด่นคือการที่เราสามารถผจญภัยไปกับเพื่อนได้มากกว่า 10 คน พร้อมทั้งตัวเกมยังมีระบบความเป็น Roguelike ที่การเล่นแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไปอีกด้วย โดยตัวเกมค่อนข้างได้รับความสนใจมากๆ เพราะหลังจากที่วางจำหน่ายเกมนี้ไปได้ไม่กี่วัน มันก็มียอดผู้เล่นพร้อมกันบน Steam สูงถึง 3 หมื่นคนเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากๆ ในระดับเกม Indie เลยก็ว่าได้ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้ว และจะมารีวิวพูดถึงข้อดีข้อเสียของเกม และมันเหมาะสำหรับคุณหรือไม่ ? ปกป้อง Midgard ของคุณให้นานที่สุดโดยเรื่องราวของ Tribes of Midgard จะให้คุณได้รับบทเป็นชาวบ้านเมือง Midgard ที่จะต้องทำทุกวิธีทางในการปกป้องหมู่บ้านให้อยู่รอดในแต่ละคืนให้ได้นานที่สุด เพราะถึงช่วงกลางคืนเมื่อไร มันจะมีมอนสเตอร์มากมายเข้ามาบุกบ้านเรา นอกจากนี้เราจะต้องต่อสู้กับเหล่าอสูรยักษ์โยตุนส์ที่จะเข้าดินแดนมาถล่มเมืองของท่าน รวมถึงตัวเกมยังมีเนื้อเรื่องหลักที่จะให้คุณไปซ่อมสะพานเพื่อไปฆ่าบอสหมาภายในเกมก่อนที่บ้านของท่าน (ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์) จะถูกตีแตก เพราะยิ่งผ่านวันคืนไปเรื่อยๆ มอนสเตอร์และภูมิอากาศก็จะยิ่งมีความโหดร้ายมากขึ้นนั่นเองผจญภัยเพื่อความอยู่รอดโดยพื้นฐานการเล่นของเกมนี้มันก็จะเป็นเกมแนว Survival ทั่วไป ที่เรานั้นจะต้องวิ่งผจญภัยเพื่อเปิดแผนที่ ซึ่งการเล่นแต่ละครั้งแผนที่ก็จะสุ่มใหม่ทุกครั้ง ทำให้เราจะได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด เราจะได้พบเจอกับเหล่าศัตรูที่ตั้งแคมป์ในแผนที่มากมายให้เราไปพิชิต หรือจะเป็นการที่เราจะต้องไปขุดหิน ขุดแร่ ตัดไม้ โดยของรางวัลที่เราจะได้ก็คือวัสดุต่างๆ ที่จะเอามาคราฟต์ของพวกชุด อาวุธใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งสร้างป้อมปราการเอาไว้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูตอนกลางคืนด้วย ซึ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นยิ่งวันคืนผ่านไป ศัตรูก็จะแกร่งขึ้น ทำให้เราจะต้องอัพเกรดฐานที่มั่นของเราให้ดีขึ้นเพื่อรับมือ นอกจากนี้การผจญภัยเรายังมีเควสต่างๆ ให้ทำเพื่อรับของรางวัลพิเศษด้วยโดยจุดมุ่งหมายของเกมนี้ไม่ใช่การที่เราจะสร้างบ้านขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ แต่เราต้องทำการฆ่าบอสหมาให้ได้ก่อนที่บ้านเราจะถูกศัตรูตีจนแตก ซึ่งปกติอยู่รอดให้ได้ซัก 15 วันก็ถือว่าเก่งแล้วนอกจากนี้เวลาตัดไม้ เปิดกล่องที่แคมป์ หรือจัดการศัตรู เราก็จะได้รับ Soul ที่จะเป็นเหมือนแต้มพลังให้เราสามารถใช้อัพเกรดร้านค้า สร้างฐานต่างๆ ซ่อมอาวุธ เพิ่มเลือดต้นไม้ หรือจะเอาไปซื้อของจากร้านค้าลับต่างๆ ได้ โดย Soul เป็นสิ่งสำคัญและล้ำค้ามากๆ เพราะถ้าหากเราเผลอโดนศัตรูฆ่าตายเมื่อไร Soul ที่เราได้มาจะหายออกจากตัวทั้งหมดโยตุนส์ อสูรยักษ์สุดโหดหนึ่งในศัตรูสุดโหดที่เราต้องเจอทุกๆ 3-4 วันนั่นก็คือศัตรูอย่างเจ้าโยตุนส์ที่มันจะเป็นอสูรยักษ์ตัวมหึมาที่จะเดินมาพลังบ้านเรา ซึ่งนอกจากที่เราจะต้องผจญภัยเปิดแผนที่แล้วนั้น เราจะต้องคอยหาเจ้าโยตุนส์เพื่อดักทางโจมตีพวกมันก่อนที่มันจะทำลายบ้านเราให้สิ้น โดยเหล่าโยตุนส์ตัวแรกๆ อาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่ตัวต่อๆ ไปมันก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงโยตุนส์ก็จะมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายธาตุ โดยเราจะต้องหาอาวุธที่ชนะธาตุมาต่อสู้พวกมันเพื่อจัดการให้ง่ายมากขึ้นอาวุธและอาชีพที่หลากหลายภายในเกมมีอาวุธให้เราเลือกใช้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นดาบ ธนู ค้อน และขวาน ที่จะมีสกิลความสามารถที่แตกต่างกันไป แถมอาวุธแต่ละชิ้นยังมีธาตุต่างๆ ให้เราได้คราฟอีกด้วย ซึ่งก็จะทำให้ศัตรูติดสถานะหรือเอาไว้จัดการกับโยตุนส์ที่มีธาตุแพ้เราก็ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถคราฟต์ชุดสวมใส่ที่จะมีค่าป้องกันความร้อนความหนาว กันสถานะ หรือเพิ่มเกราะให้เราได้นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบคลาสที่จะให้เรานั้นได้อัพ Passive เพื่อเพิ่มค่าสเตตัสให้กับตัวละครเรา ซึ่งตัวเกมมีให้เลือกคลาสมากกว่า 10 สาย เพียงแต่ว่า (เริ่มต้นจะมีคลาสให้เลือกแค่ 2 คลาสเท่านั้น) ซึ่งเราจะต้องทำรางวัลความสำเร็จเพื่อปลดล็อคเสียก่อนปลดล็อคความสำเร็จ เพื่อได้ไอเท็มไปใช้ในการผจญภัยครั้งต่อไปรวมถึงในการเล่นจบแต่ละครั้ง ถ้าหากเราทำภารกิจตามเงื่อนไขตัเกมจะทำการปลดล็อคการเล่นใหม่ๆ ให้เราอีกด้วย ไม่ว่าจะการการปลดล็อคการคราฟต์อาวุธระดับสูงขึ้น การได้ขุดไอเท็มเซ็ตเริ่มต้นหรือแม้กระทั่งสกินแฟชันต่างๆ ซึ่งถ้าคุณยิ่งปลดล็อคมันก็จะช่วยให้คุณ สามารถมีของเก่งๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้การเล่นแต่ละครั้งมันสร้างสีสันได้อย่างดีเลยความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เล่นมานั้น Tribes of Midgard เป็นเกมที่ทางผู้พัฒนาดีไซน์โลกออกมาได้อย่างน่าสนใจพอสมควร รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เล่นและลุ้นว่ารอบนี้เราจะได้เจอกับโลกหน้าตาแบบไหน ระบบการเล่นค่อนข้างเข้าใจง่ายไม่ได้มีความซับซ้อนใดๆ หาของให้ครบ และก็คราฟต์แค่นั้น แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับเกมนี้ก็คงจะเป็นหน้าที่ของเกมที่ค่อนข้างมีเยอะมาก กับเวลาที่จำกัดที่เราจะต้องวิ่งตะลุยเพื่อจบภารกิจที่ตั้งไว้ ไหนเราจะต้องวิ่งเปิดแผนที่ ไหนจะต้องฟาร์มของ ไหนจะต้องมาอัพเกรดบ้าน สร้างป้องปราการต่างๆ มันเลยทำให้การเล่นเกมนี้แบบ Solo เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่ค่อยแนะนำเสียเท่าไร  อย่างน้อยเกมนี้ควรจะมีเพื่อนเล่น 3-4 คนเป็นอย่างต่ำ เพราะตัวผู้เขียนมีเพื่อนเล่นเกมนี้เพียงแค่ 2 คนซึ่งต้องบอกเลยว่ามันค่อนข้างเหนื่อยและจุกจิกเป็นอย่างมาก พอจะวิ่งเปิดแผนที่ ซักพักก็ถึงกลางคืน มอนสเตอร์ก็จะออกมาแล้ว หรือพอจะไปไกลๆ ได้หน่อย เราก็ต้องมาเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อตีโยตุนส์เป็นต้น หรือถ้ามีเพื่อนมากถึง 10 คนนั้นก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะถึงแม้ว่าจำนวนผู้เล่นเยอะมันจะทำให้ศัตรูเก่งขึ้น แต่ภาระหน้าที่ของแต่ละคนก็จะมีคนช่วยกันทำน้อยลง อย่างเช่นบางคืนเราอาจจะทิ้งเพื่อนซัก 1-2 คนไม่ต้องกลับบ้านมากันฐานก็ได้ หรืออาจจะมีเพื่อนซักคนคอยทำหน้าที่คราฟต์ของต่างๆ ในฐานเพื่อจะได้ฐานผลิตใหม่ๆ เร็วขึ้นนั่นเอง
02 Aug 2021
รีวิว Riders of Icarus เกม MMORPG ขี่สัตว์ตะลุยดินแดนแฟนตาซี
Riders of Icarus เกมขนาดใหญ่จากค่ายผู้พัฒนาจากเกาหลีใต้อย่าง WeMade Entertainment และเปิดให้บริการโดย VALOFE Company ที่เปิดให้บริการมาแล้วตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งผู้เล่นคอร์เกมสาย MMORPG น่าจะรู้จักเกมนี้กันเป็นอย่างดี โดย Riders of Icarus นั้นเป็นเกมธีมโลกแฟนตาซีที่สามารถเล่นได้ฟรีและมาพร้อมกับกราฟิกที่สวยจนชวนให้หลงใหล แล้วด้วยความที่ว่าเกมนี้กำลังจะเปิดให้บริการในโซนประเทศ SEA ของเราในวันที่ 4 สิงหาคม 2021 (แน่นอนมีภาษาไทย!!) เพราะฉะนั้นในวันนี้พวกเราทาง GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้กันโดยอ้างอิงจากเซิฟเวอร์ Global นั่นเองลิงค์ลงทะเบียน https://icarus-sea.valofe.com/landing/reserveอาชีพที่หลากหลาย และมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป    เกมนี้จะมีอาชีพอยู่ทั้งหมด 8 อาชีพด้วยกันคือ Berserker, Guardian, Priest, Wizard, Ranger, Assassin, Trickster และ Magician ซึ่งในแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไปตามนี้Berserker อาชีพที่มีพลังทำลายล้างสูงมีหน้าที่เป็นตัวทำดาเมจที่สามารถต่อคอมโบได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เหมาะที่จะเป็น DPS หลักในปาร์ตี้ และอีกหลายๆ อาชีพที่จะทำให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินไปกับการเล่นเกมนี้ Guardian เป็นอาชีพที่มีเลือดที่สูงกว่าอาชีพอื่นพร้อมกับสกิลที่เสริมด้านการป้องกันทำให้เหมาะที่จะอยู่ในตำแหน่งแทงค์ ใครอยากเป็นตำแหน่งแทงค์แล้วคอยปกป้องเพื่อนก็เล่นอาชีพนี้ได้เลยPriest อาชีพที่มาพร้อมกับมีสกิลที่คอยช่วยเหลือเพื่อนในปาร์ตี้ไม่ว่าจะเป็นสตันมอนสเตอร์หรือฮีลให้เพื่อน จึงเหมาะเป็นซัพพอร์ต Wizard อาชีพที่ใช้เวทมนตร์จัดการกับศัตรูที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มในคราวเดียว อาจจะไม่เหมาะกับการสู้ตรงๆ แต่หากต้องการกำจัดศัตรูในจำนวนมากไว้ใจอาชีพนี้ได้เลย เหมาะจะเป็นตำแหน่ง Crowd Control  Ranger อาชีพที่สามารถเข้าต่อสู้ได้ทั้งระยะใกล้และระยะกลาง มีความสามารถที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือการสนัสนุน เหมาะกับผู้เล่นที่อยากจะเล่นได้หลายบทบาทในคนเดียวAssassin อาชีพที่มีลูกเล่นกับคอมโบที่มากกว่าอาชีพอื่นและสามารถสเตลท์ได้ แต่แลกกับการที่มีเลือดน้อยกว่าอาชีพอื่นๆ แต่อาชีพนี้จะเล่นยากเป็นพิเศษนะ ถ้าจะเล่นอาชีพนี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ลองเล่นอาชีพอื่นๆ ให้ชินก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนตัวมาเล่นอาชีพนี้ก็แล้วกันTrickster อาชีพที่เน้นไปที่การสนับสนุนมากกว่าเข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการบัฟพลังโจมตี ความเร็วในการเคลื่อนที่หรือฮีลคนในปาร์ตี้ ฉะนั้นนี่เป็นตัวเลือกซัพพอร์ตที่ดีที่สุด หากใครชอบตัวละครตัวเล็กๆ น่ารักๆ ล่ะก็ผมแนะนำอาชีพนี้เลยMagician อาชีพที่ทำหน้าที่โจมตีใส่ศัตรูอย่างต่อเนื่องและรุนแรงด้วยพลังเวทมนตร์คล้ายกับ Wizard แต่มีความสามารถในการเคลื่อนที่และโจมตีในระยะกลางที่มากกว่าและสามารถบินหลบการโจมตีได้ เหมาะที่จะเป็น Sub-DPS ของปาร์ตี้ อาชีพนี้ผู้เขียนมองว่าเป็นอาชีพสายใช้พลังเวทย์ที่เก่งที่สุดในเกมเลยแหละ    โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่าถ้าเราพึ่งหัดเล่นเกมแนวนี้ล่ะก็ลองเล่นตามที่เกมแนะนำมาก็ได้ เพราะเราสามารถเปลี่ยนโหมดการเล่นได้ตลอดเวลา แต่ก็รู้สึกว่าการเล่นแบบ Action Mode จะดึงเสน่ห์ของแต่ละอาชีพออกมาได้มากที่สุด ส่วนทางด้านการต่อสู้นั้นจะเป็นระบบ Open World RPG เต็มตัว ทำให้ผู้เล่นสามารถร่วมมือกันเพื่อจัดการกับศัตรูตัวเดียวกันได้ แต่ศัตรูเองก็สามารถเข้ามารุมผู้เล่นได้เช่นกัน ในการต่อสู้แต่ละครั้งจึงจำเป็นต้องดูให้ดีว่าตำแหน่งที่เราอยู่สร้างความได้เปรียบในการต่อสู้มากแค่ไหนระบบการต่อสู้แล้วแต่สไตล์ที่คุณชอบ    เกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็น MMORPG แบบคลาสสิกดั้งเดิมที่ผู้เล่นสามารถเก็บเลเวลและลุยดันเจี้ยนเพื่อหาของพร้อมกับเพื่อนๆ ได้ โดยจะมีโหมดเกมเพลย์ให้เลือกอยู่สองแบบคือ Standard Mode ที่เป็นการเล่นเกมแบบ MMORPG ดั้งเดิมโดยจะใช้เมาส์ควบคุมการเดินกับเล็งเป้าหมายเป็นหลัก ส่วนอีกแบบก็คือ Action Mode ที่ทำให้การเล่นเปลี่ยนไปเป็นแนว RPG - Action แทน โดยตัวเกมก็จะแนะนำเราด้วยว่าคลาสไหนเหมาะกับการเล่นแบบไหนเช่น Wizard เหมาะกับการเล่น Standard Mode มากกว่า Action Mode หรือจะเป็น Guardian เหมาะกับการเล่นใน Action Mode มากกว่า ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะเลือกเล่นแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ     นอกจากนี้ Riders of Icarus ยังมีระบบต่างๆ มากมายให้ได้เล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบสัตว์ขี่ที่เป็นจุดเด่นของเกม  ระบบคราฟต์ของที่มอบทางเลือกในการใช้อุปกรณ์ให้กับผู้เล่น ระบบ Raid ที่ผู้เล่นต้องร่วมมือกันเพื่อต่อกรสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ รวมไปถึงระบบ PVP ที่มีให้เล่นได้หลากหลายรูปแบบด้วยตีมันไม่ทันใจยัดสกิลแทนก็แล้วกัน    ในแต่ละอาชีพก็จะมีสกิลให้ใช้ต่างกันโดยจะมีรูปแบบการใช้งานสกิลแบบกดครั้งเดียว กดค้าง และ คอมโบ โดยมีสกิลกดครั้งเดียวที่กดใช้ได้ทันทีที่ครบเงื่อนไข สกิลที่กดค้างแล้วจะมีพลังมากขึ้น ส่วนสกิลคอมโบจะมี 2 ประเภทคือที่สกิลที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ กับสกิลที่บังคับใช้สกิลอื่นก่อนถึงจะใช้งานได้ โดยสกิลจะแตกแขนงไปอีกหลายรูปแบบอีกทีนึงอย่าง สกิลที่เน้นทำดาเมจ สกิลเน้นทำลายจังหวะ สกิลดีบัฟ สกิลเพิ่มสเตตัส เป็นต้นระบบเควสและ Dungeon     ทางด้านของเควสนั้นจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมที่เราต้องเดินไปรับและไปส่งด้วยตัวเองไม่มีระบบอัตโนมัติ โดยจะมีเข็มทิศเล็กๆ คอยบอกตำแหน่งเควสให้กับเราเสมอ ความยากง่ายของการทำเควสจะเปลี่ยนไปตามระดับเลเวลและสายอาชีพ ส่วนระบบดันเจี้ยนของเกมนี้ มีมาเพื่อให้ผู้เล่นได้หาแปลนคราฟต์ของกับอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ แหวน หรือชุดเกราะ ซึ่งดันเจี้ยนจะมีให้เราเลือกเล่นได้ 4 โหมดคือ Story, Elite, Heroic และ Legendary นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถเลือกความโหดของมอนเตอร์ได้อีก 5 ระดับด้วย โดยมอนสเตอร์ยิ่งโหดของที่เราได้กลับมาก็จะเยอะ / หายากมากขึ้นเท่านั้น ก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่านะมอนสเตอร์โหดขึ้นแต่ของที่ดรอปมาก็เยอะขึ้น แต่ถ้าลง Dungeon ระดับสูงหน่อย ผู้เขียนขอแนะนำให้เล่นตามตำแหน่งของตัวเองดีๆ นะไม่งั้นเอาตัวไม่รอดแน่ สัตว์ขี่คู่ใจสัตว์เลี้ยงคู่กาย    ถ้าให้ตอบตามตรงตัวผู้เขียนรู้สึกว่าระบบนี้แหละเป็นจุดเด่นของเกมเลย เพราะเราสามารถ Tame สัตว์ต่างๆ มาช่วยในการเดินทางของเราได้ไม่ว่าจะเป็นม้า หมาป่า ยูนิคอร์น หรือแม้แต่มังกรเราก็ยังขี่ได้ ขั้นตอนของการขี่สัตว์ในเกมนี้จะเริ่มจากการใช้สกิล Taming เพื่อไปจับสัตว์มาซะก่อน ถ้าเราทำสำเร็จเราก็สามารถขี่สัตว์พวกนี้หรือไม่ก็ทำให้พวกมันกลายเป็นคู่หูในการต่อสู้ก็ได้ โดยสัตว์ขี่จะมีหลากหลายชนิดให้เราจับ ทั้งสัตว์ขี่ที่มีความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว สัตว์ขี่ที่เน้นวิ่งบนภาคพื้นดิน หรือสัตว์ขี่ที่พาเราบินไปบนท้องนภานอกจากนี้เรายังสามารถใช้อาวุธตอนขี่สัตว์ได้อีกด้วย ซึ่งอาวุธที่เราสามารถใช้งานได้นั้นจะมีหอกและหน้าไม้ เอาไว้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูบนน่านฟ้า ส่วนทางด้านสกิลนั้นเราจะได้รับสกิล 2 ประเภทในการสู้บนหลังสัตว์ขี่นั่นก็คือ สกิลอาวุธกับอีกสกิลที่เป็นสกิลตามสายอาชีพ สกิลอาวุธที่ใช้หอกและหน้าไม้จะได้รับจากเควสผสมกับการเลเวลอัพ ส่วนสกิลสายอาชีพจะได้รับมาจากการที่เราเล่นเป็นอาชีพนั้นๆ โดยจะมีเพียงบางสกิลเท่านั้นที่ใช้บนหลังสัตว์ขี่ได้ จากจุดนี้ผมบอกเลยนะถ้าจะหาสัตว์มาขี่ขอแนะนำเป็นสัตว์จำพวกที่สามารถบินได้ เพราะจะทำให้การผจญภัย หรือออกทำเควสสะดวกมาก ฉะนั้นแล้วหากเราอยากได้สัตว์ตัวไหน ก็เล็งตัวที่สนใจไว้แล้วรอจับกันได้เลยคราฟต์ของสร้างอาชีพระบบคราฟต์ของเกมนี้เองก็คล้ายๆ กับเกม MMORPG เกมอื่นๆ ตรงที่มีความสำคัญและจำเป็นมากในการเสริมความแข็งแกร่งของผู้เล่น โดยที่เกมนี้เราสามารถเป็นสายคราฟต์ได้ 6 สายได้แก่สายคราฟต์อาวุธสายคราฟต์ชุดเกราะสายคราฟต์เครื่องประดับสายคราฟอุปกรณ์สัตว์อสูรสายคราฟต์ยาสายทำอาหาร    การคราฟต์จะใช้สองสิ่งในการทำคือ ของที่เราต้องไปเก็บตามแมพและของที่ซื้อได้จากร้านค้า ยกตัวอย่างเช่น “เราจะทำอาหารเลเวล 1 ฉะนั้นเราก็เลยไปเก็บไอเทมที่ดรอปจากมอนสเตอร์ 2 ชิ้น จากนั้นก็เดินไปซื้อวัตถุดิบจากพ่อค้าประจำสายทำอาหาร ต่อจากนั้นก็ไปที่โต๊ะคราฟต์สายทำอาหารเพื่อทำอาหารของเรา” หรือ “เรามีแร่ทองแดงอยู่ 5 ก้อนและอยากจะได้โล่อันใหม่ เราก็เลยไปหลอมให้เป็นแท่งทองแดง 5 ก้อน จากนั้นก็ไปซื้อน้ำหล่อเย็นเพื่อที่จะได้ตีโล่ขึ้นมาบนโต๊ะสายคราฟต์อาวุธ ”เป็นต้น ที่สำคัญก็คือเราสามารถเป็นสายคราฟต์ไหนก็ได้ไม่จำกัดอาชีพ ฉะนั้นถ้าเราชอบทำอาวุธก็ไปเป็นสายคราฟต์อาวุธซะ หากเราเห็นว่าทำยากับอาหารจะทำให้เราเก่งขึ้นก็ไปเล่นสายคราฟต์ยาและทำอาหารก็ได้ เป็นระบบเปิดกว้างที่มอบอิสระให้กับผู้เล่นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนตัวผมชอบการทำอาหารมากก็เลยเน้นไปทำอาหารซะส่วนใหญ่Guild, PVP and Raid Boss ศูนย์รวมความสนุก    ระบบ 3 อย่างนี้เป็นระบบสำคัญของเกมแนว MMORPG เลยก็ว่าได้ โดยในเกมนี้ผู้เล่นจะสามารถ PVP กันได้เหมือนเกมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสู้กันซึ่งๆ หน้าหรือ ขี่สัตว์มาสู้กันก็ยังทำได้ ส่วนระบบ Guild นั้นจะช่วยยกระดับการต่อสู้ให้มากขึ้นไปอีก อย่างเกมนี้ยังมี PVP กันระหว่าง Guild แต่ระบบนี้จะใช้ชื่อว่า Alliance War ที่จะทำให้ผู้เล่นของ 2 กิลด์ต้องสู้กันเพื่อแย่งกันเอาเอฟเฟคบัฟในเกมที่จะทำให้เกมเล่นได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้เล่นที่ไม่ได้สร้างกิลด์ขึ้นมาเองก็สามารถขอเข้ากิลด์คนอื่นได้ โดยที่การจะเข้ากิลด์นั้นสามารถทำได้โดยการเชิญเข้ากลุ่มเท่านั้นไม่สามารถขอเข้าเองได้ จึงจำเป็นที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะทำความรู้จักกันให้ดีก่อนที่จะร่วมมือกัน นอกจากนี้เรายังสามารถรวบรวมหลายๆ กิลด์มาเพื่อลุย Raid Boss ด้วยกันได้ การร่วมมือกับหลายๆ กิลด์นั้นจะต้องใช้ทุกอย่างที่มีเข้าต่อกรกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์เหล่านี้ หลังจบการต่อสู้ของรางวัลก็จะมอบให้ตามผลงานที่ผู้เล่นแต่ละคนได้ทำไว้ จังหวะนี้ใครดีใครได้สรุป     จากที่ผู้เขียนได้ไปลองเล่นมา รู้สึกว่า Riders of Icarus เป็นเกมแนว MMORPG ที่น่าสนใจตรงระบบสัตว์ขี่ เราสามารถเลือกขี่สัตว์ได้มากมาย เราชอบสัตว์ตัวไหนก็ Tame แล้วมาขี่เล่นได้เลย นอกจากนี้ยังเอามาทำเป็นเพื่อนข้างกายระหว่างผจญภัยได้ด้วย ก็เลยมองว่าระบบนี้มันน่ารักดี ส่วนด้านเกมเพลย์อื่นๆ คิดว่ามันก็คล้ายๆ เกม MMORPG เกมอื่นๆ ทั่วไปแต่ในเกมนี้ถ้าเพื่อนๆ อยากเลเวลอัพเร็วๆ เพื่อนๆ ต้องเน้นการทำเควสเป็นหลัก เพราะจะให้ EXP ที่คุ้มค่ากับเวลา และเลเวลจะขึ้นเร็วกว่าเราโจมตีมอนสเตอร์ตามแมพ ในด้านของ Dungeon ผู้เขียนมองว่าใน Dungeon ระดับสูงเราควรรู้หน้าที่ของอาชีพเราเองเป็นอย่างดี เพราะใน Dungeon ระดับสูงเลือดกับพลังโจมตีของมอนสเตอร์จะเยอะกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก ถ้าเราเดินสุ่มๆ ตีมอนสเตอร์มั่วๆ จะมีโอกาสตายสูงมาก     ในภาพรวมแล้ว Riders of Icarus ก็เป็นเกมดีอีกหนึ่งเกมที่ตอบโจทย์คนชอบเล่นเกมแนว Full 3D MMORPG เกมนี้มีกราฟิกที่ดูทันสมัย ออกแบบสภาพแวดล้อมได้ดีใช้ได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของตัวละครมันแข็งไปหน่อย ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แถมยังมีระบบ Motion Blur ตอนเราเคลื่อนไหวเร็วๆ ด้วยทำให้หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบระบบนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่เกมนี้เป็นเกมฟรี เพราะฉะนั้นแล้วมันต้องมีพวกบ้าเติมแล้วมีของดีๆ ใช้ก่อนเรากันบ้างแหละ แต่ถ้าเราขยันก็สามารถหาของที่ซื้อได้ฟรีๆ นะ เพราะงั้นผู้เขียนก็บอกได้ไม่ชัดเจนว่าเกมนี้เป็นเกม Pay To Win จริงไหม ก็ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของเพื่อนๆ แล้วแหละ  สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจเล่น Riders of Icarus สามารถสร้างตัวละครรอเซิร์ฟเวอร์ไทยเปิดบริการในวันที่ 4 สิงหาคม ได้เลย แล้วตอนนี้ก็มีกิจกรรมอยู่ด้วย สำหรับคนที่สร้างตัวละครล่วงหน้าเอาไว้จะได้รับชุด Light Set ประจำอาชีพ และชุดเครื่องประดับอันศักดิ์สิทธิ์ของเอโลราฟรีด้วย โดยกิจกรรมนี้หมดเขตวันที่ 3 สิงหาคมนี้นะ สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คหลักของไทย https://www.facebook.com/IcarusVFUNTH/
28 Jul 2021
รีวิว Watch Dogs: Legion - Bloodline ก็ในเมื่อเราคือครอบครัวเดียวกัน
วางจำหน่ายให้เล่นมาสักพักแล้วสำหรับ DLC : Bloodline ของเกม Watch Dogs: Legion ที่นำตัวละครดังจากสองภาคแรกอย่าง Aiden Pearce กับ Wrench กลับมาให้เราได้เล่นกันอีกครั้ง โดยใช้เซ็ตติ้งเดิมเป็นเมือง London เรื่องราวของทั้งสองจะแยกออกจากเนื้อเรื่องหลักของเกม แต่ก็ยังคงความน่าสนใจ และดราม่าตามแบบฉบับลายเซ็นของ Ubisoft ไว้เป็นอย่างดีBloodline จะเป็น DLC แยกจากเกมหลักในด้านเนื้อเรื่อง โดยมีหน้าเมนู New Game, Continue เป็นของตัวเองแยกจากเนื้อเรื่องหลักของภาค โดยมีเนื้อเรื่องหลัก 10 ภารกิจ, 14 ภารกิจ Resistance เสริม และ 5 ภารกิจ Fixture ใช้เวลาเล่นรวมๆ ประมาณ 10 - 15 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความเร็วในการแก้ปริศนาในภารกิจต่างๆ ของผู้เล่นเอง ถ้าหากเพื่อนๆ พร้อมแล้ว เรามาเริ่มดูรายละเอียดของ DLC ตัวนี้กันเลยเนื้อเรื่อง'ยังไงสุดท้ายก็เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ?'เรื่องราวใน DLC จะเริ่มขึ้นในคืนหนึ่งที่ Jordi Chin ติดต่อมาหา Aiden Pearce เพื่อขอให้เขาไปทำงานหนึ่งอย่างให้ที่ London ซึ่งในตอนนี้เป็นเมืองที่เข้าไปได้ยากมากๆ (ดังนั้นเข้าใจว่าเหตุการณ์ของ Bloodline น่าจะเกิดขึ้นหลังจาก Zero Day ในเนื้อเรื่องหลักแล้ว) ซึ่งใน Aiden ก็รับงานนี้ด้วยเหตุผลว่ามันเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พบหน้ากับหลายชาย Jackson ซึ่งย้ายไปอยู่ London อีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมานานแล้ว อย่างไรก็ตามในเช้าของวันที่เขากำลังลักลอบเข้าเมือง London ผ่านทางเรือ Aiden เป็นกังวลมากว่าเขาควรจะไปเจอหน้าครอบครัวดีหรือไม่ ซึ่งกัปตันที่เป็นเจ้าของเรือก็พูดเตือนสติเขาสั้นๆ ว่า 'มันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวลเลย เพราะยังไงสุดท้ายพวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันกับเธอไม่ใช่หรือ?'ภาพจะตัดมาอีกครั้งให้เราควบคุมเป็น Aiden ได้ และตึกเป้าหมายที่ต้องเข้าไปสืบข้อมูลก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว งานของ Aiden ในครั้งนี้คือการสืบว่า Thomas Rampart กำลังพยายามทำอะไรอยู่ใน London ซึ่งเป้าหมายของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่ตึกของ Thomas เอง แต่เป็น Labs ชั้นลึกสุดของ Broker Tech ที่ Thomas บุกเข้าไปเพื่อจะขโมยบางอย่าง งานจริงๆ ของ Aiden คือการถ่ายรูปสิ่งที่เกิดขึ้น ข้างในพร้อมกับหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำของ Thomas ซึ่งก็พบว่าเขาพยายามจะเข้ามาขโมยสิ่งที่ชื่อว่า Broker Bridge แต่ในวินาทีที่เขากำลังเก็บเจ้า Broker Bridge มาด้วย เพื่อป้องกันให้มันไม่ไปถึงมือ Thomas อยู่ดีๆ ก็มีคนใส่ชุดลองห่น ย่องเข้ามาขโมยมันไปต่อหน้าต่อตาเขาเลย ซึ่งชายคนนั้นก็คือ Wrench นั้นเองAiden วิ่งตาม Wrench ไปเพื่อที่จะแย่ง Broker Bridge มา เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานให้กับใคร Wrench พยายามจะใช้โดรนขนาดใหญ่ของเขาในการบินหนี แต่ Aiden ก็สามารถปีนขึ้นไปบนโดรนดังกล่าวได้สำเร็จ ก่อนที่มันจะบินขึ้นไปสูงๆ ทั้งสองต่อสู้แย่งชิง Broker Bridge กันอยู่นาน ก่อนที่ Aiden จะเป็นฝ่ายพลาดท่า และตกลงมาจากโดรนบนดาดฟ้าแห่งหนึ่งแล้วสลบไปพระเอกของเราตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังโดนพัฒนาการ โดยมี Thomas และหุ่นยนต์ของเขาสองตัวอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาจะพยายามถามหาที่อยู่ของ Wrench และ Broker Bridge เนื่องจากคิดว่าทั้งสองร่วมมือกันเพื่อขโมยมันออกมา แน่นอนว่า Aiden ไม่รู้ที่อยู่ของ Wrench แต่บอกว่าเขาสามารถตามหาที่อยู่ของอีกฝ่ายได้ Thomas ขู่ว่าเขาจะจับ Jackson เป็นตัวประกัน เพื่อที่ Aiden จะได้ไม่หักหลังเขา ซึ่งแน่นอนว่า Aiden ไม่ยอมเรื่องราวคร่าวๆ ในช่วงแรกของ DLC ก็จะเป็นประมาณนี้ โดยเพื่อตามหาตัว Wrench ผู้เล่นจะได้ออกเดินทางไปทั่ว London เพื่อตามหาจากเบาะแสที่มี พร้อมทั้งได้ดูเรื่องราวความรักภายในครอบครัวของบ้าน Pearce ไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าโดยรวมแล้วเนื้อเรื่องจะไม่ได้ยาวอะไรมากมายนัก แต่ก็ได้ทำให้เราได้กลับมานั่งคิดถึงความรักที่คนในครอบครัวเดียวกันควรมีให้กัน รวมถึงคุณธรรมพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรจะมี นับได้ว่าเป็น 10 ชั่วโมงที่สนุกมากเกมเพลย์"ได้เวลาแฮ็กทุกอย่างที่ขวางหน้า!"เบื้องต้นรูปแบบการเล่นของ Bloodline ไม่ได้แตกต่างจากเกมหลักเท่าไหร่นัก Aiden และ Wrench จะมีความสามารถแตกต่างกัน และจะปลดล็อกอาวุธ หรือความสามารถในการแฮ็กได้จากการทำเควสรองกลุ่ม Resistance แต่ในเนื้อเรื่องของ Bloodline จะไม่สามารถเพิ่มตัวละคร หรือชักชวนคนมาเข้าทีมเพิ่มเหมือนในโหมดหลักได้ หรือก็คือจนจบเนื้อเรื่องของ Bloodline ผู้เล่นจะสามารถเล่นได้แค่ Aiden และ Wrench เท่านั้นทีนี้มาพูดถึงความสามารถของทั้งสองตัวละครกัน ทางฝั่ง Aiden จะมาพร้อมกับอุปกรณ์ Gadget ที่สามารถแฮ็กทุกอย่างในรัศมีรอบๆ ตัวพร้อมๆ กันได้ชื่อว่า System Crash ซึ่งหากใช้กลางเมือง รถยนต์ทั้งหมดจะวิ่งไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้ โดรนทั้งหมดจะหยุดทำงาน อาวุธปืน กับอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดจะโดนรบกวน เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ใช้เพื่อสร้างความปั่นป่วน หรือจะใช้ในการต่อสู้ก็สามารถทำได้ นับว่าเป็นความสามารถที่เก่งมากๆต่อมาคือสกิลที่ชื่อว่า Gunslinger สกิลนี้จะทำให้ Aiden ได้รับโบนัสดาเมจจากปืนหากสามารถกด Reload ได้ตรงจังหวะ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำดาเมจเสริมได้แรงมากๆ แล้ว มันยังช่วยทำให้การ Reload กระสุนปืนเร็วมากขึ้นเป็นอย่างมากด้วย และสกิลสุดท้ายมีชื่อว่า Focus โดยสกิลนี้จะทำให้ภาพรอบตัวของเราช้าลง เมื่อทำการเล็งปืนหลังจากทำการ Takedown ศัตรู ช่วยให้สามารถยิ่งศัตรูตัวต่อไปได้เร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่เก่งมากๆ ตัวหนึ่งทางด้านของ Wrench จะมาพร้อมกับอาวุธประชิดเป็นค้อนสายฟ้าขนาดใหญ่ ทำให้เขาเป็นตัวละครที่โจมตีระยะประชิดได้แรงมาก แถมยังมีความสามารถเอาค้อนทุบไปที่พื้นอย่างรุนแรงสร้างคลื่นกระแทกสายฟ้าไปโดยรอบ สามารถใช้งานได้ผลดีกับหุ่นยนต์ รวมถึงศัตรูที่มีเกราะหนัก ถ้าหากว่าใครเป็นสายชอบต่อสู้ระยะประชิดบอกเลยว่าต้องถูกใจ Wrench อย่างแน่นอนWrench ยังมาพร้อมกับความสามารถอีก 2 อย่างคือ Ninja Balls อุปกรณ์ Gadget ขนาดเล็กทรงกรม ที่สามารถขว้างออกไประเบิดทำความเสียหายพร้อม Stun และ Slow ศัตรูได้ กับ Summon Sergei ที่ทำให้เขาสามารถเรียกใช้งานโดรนขนาดใหญ่ ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ช่วยเพิ่มตัวเลือกในการลักลอบเข้าไปยังพื้นที่สีแดงผ่านทางหลังคา หรืออากาศได้ พร้อมทั้งยังใช้เป็นยานพาหนะในการหลบหนีได้เป็นอย่างดีหลังจากเล่นเนื้อเรื่อง Bloodline จนจบแล้ว เพื่อนจะสามารถสลับไปมาระหว่าง 2 ตัวละครเพื่อสำรวจ London ต่อได้ รวมถึงยังสามารถเอาทั้งสองเข้าทีมได้ภายในตัวเกมหลัก ผ่านการทำภารกิจ Recruit ทั้งสองเข้าทีม โดยเริ่มเควสได้ทีหน้าร้าน The Earl's Fortune เมื่อไปถึงจะได้พบกับทั้ง Aiden และ Wrench ยืนอยู่หน้าร้านเลย สามารถเข้าไปคุยกับทั้งสองเพื่อเริ่มเควสได้ตลอดเวลาสรุปแม้ว่า Bloodline จะเป็น DLC ราคา 400 บาทที่ไม่ได้เพิ่มรูปแบบการเล่นใหม่ หรือระบบใหม่ๆ สุดน่าสนใจเข้ามาให้เราได้สัมผัส แต่การนำตัวละครที่เรารักจากเกมสองภาคแรก มาใส่ไว้ในเกมนี้พร้อมกับ แต่งเนื้อเรื่องสุดน่าสนใจ เล่าให้เราได้เห็นความหลัง รวมถึงเรื่องราวหลังจากนั้นของพวกเขา (แอบบอกใบ้เล็กน้อยว่าเราจะได้เห็นอดีตที่ Aiden พระเอกของเราเก็บซ้อนเอาไว้ในใจภายใน DLC ตัวนี้ด้วย!) เชื่อว่าจะต้องถูกใจแฟนๆ Watch Dogs ที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกอย่างมากแน่นอน ขอยืนยันเลยว่าคุณจะสนุกไปกับเรื่องราวของ DLC กว่า 10 - 15 ชั่วโมงเต็มชนิดที่ลืมเวลากันไปเลยทีเดียว แถมยังเอาตัวละครทั้งสองไปป่วนเมื่อง London ต่อได้อีกด้วย เมื่อพิจารณาจากความสนุกที่ได้จาก DLC Bloodline แล้ว คิดว่าควรให้คะแนนอยู่ที่ 7 เต็ม 10 สำหรับแฟน Watch Dogs นี้คือ DLC ที่คุณไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด และสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนแล้ว นี้ก็ยังเป็น DLC ตัวหนึ่งที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องดีๆ และขอคิดมากมายให้ได้เรียนรู้ มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหากจะยอมจ่ายเงินอีกเล็กน้อยเพื่อให้ได้เล่นส่วนเสริมนี้ครับ
21 Jul 2021
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter Stories 2 "มอนฮันวัยใส รูปแบบใหม่ของเกมล่าแย้ที่คุ้นเคย"
แม้จะเป็นแฟรนไชส์เกมที่นิยมไปทั่วโลกมายาวนาน โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากการมาถึงของเกม Monster Hunter: World แต่สำหรับเกมเมอร์หลายๆ คนนั้น คำกล่าวขานถึงความ “โหดหิน” ของเกมเพลย์ของซีรีส์ Monster Hunter ก็ยังเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้น ทำให้รู้สึกว่าการก้าวเข้าสู่บทบาทของนักล่าแย้เพื่อเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจยักษ์ใหญ่มากมายในเกมก็ยังเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขาเพราะ “เล่นไม่เก่ง” หรืออาจจะ “ไม่ชอบ” เกมเพลย์การต่อสู้อันมีเอกลักษณ์ของซีรีส์ คล้ายกับคนที่ไม่กล้าลองเล่นเกมซีรีส์ SoulsBorne ที่อาจจะไม่อยากต่อกรกับความยากแสนสาหัสของเกม หรือไม่ชอบเกมเพลย์ในหลายๆ แง่เกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin เปรียบเสมือนกับเกมที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่มีความสนใจจะสัมผัสกับประสบการณ์การล่าแย้อันน่าหลงไหลของซีรีส์ Monster Hunter ในรูปแบบที่อาจจะ “เป็นมิตร” กับคนที่ไม่ถนัดเกมเพลย์แนวแอคชั่น ด้วยการเปลี่ยนมาใช้เกมเพลย์แนวเทิร์นเบสแบบ JRPG ทั่วไปแทน ซึ่งทำให้ไม่ต้องพึ่งพาฝีมือการหลบหลีกหรือกดคอมโบ แต่ก็ยังคงบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเรียนรู้อุปนิสัยหรือรูปแบบการโจมตีของมอนส์เตอร์แต่ละตัวเพื่อความได้เปรียบในการต่อสู้ ซึ่งก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กันของเกม Monster Hunter ซีรีส์หลักแม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และยังมีจุดที่น่าจะยังปรับปรุงได้อีกมากในฐานะเกม RPG แต่ Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin ก็ยังถือเป็นเกมที่ควรค่าแก่การเล่นมากๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่สนใจแฟรนไชส์ Monster Hunter มาตลอดแต่ไม่ชอบเกมเพลย์ หรือเป็นคอ JRPG ตัวยง หรือกระทั่งคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์แนวสะสมมอนส์เตอร์เหมือน Pokemon บอกเลยว่าเกมนี้มีให้คุณเต็มๆ แน่นอนเรื่องราวของเกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็น ‘Rider’ หรือนักขี่แย้มือใหม่แห่งหมู่บ้าน Mahana Village ที่ผู้เล่นสามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยตัวเอกจะมีมอนส์เตอร์คู่ใจเป็นเจ้ามังกร Rathalos ในตำนาน ที่ว่ากันว่าอาจจะนำมาซึ่งหายนะ แถมเจ้า Rathalos คู่ใจของเรายังดูจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ ‘Rage Ray’ ที่ทำให้มอนส์เตอร์จากทั่วโลกบ้าคลั่งและโจมตีมนุษย์อีกต่างหาก เราจึงต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ รวมไปถึงที่มาของพลังปริศนาในตัว Rathalos ของเรานั่นเองแม้จะฟังดูยิ่งใหญ่เป็นเรื่องเป็นราว แต่กลับน่าเสียดายที่เนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin (ต่อไปขอย่อเหลือ MHS2) ก็ยังประสบปัญหาไม่ต่างจากเนื้อเรื่องในเกม Monster Hunter ทั่วไป หรือก็คือมันค่อนข้างเบาบางมากๆ ราวกับว่าผู้พัฒนาใส่เนื้อเรื่องเข้ามาเพื่อขับเคลื่อนตัวละครและผู้เล่นไปข้างหน้าเท่านั้น โดยแม้ว่าในเกม Monster Hunter สายหลักอาจจะไม่ได้เป็นปัญหานัก แต่ในเกม RPG อย่าง MHS2 เนื้อเรื่องเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อประสบการณ์โดยรวมมากกว่าหลายเท่า และยิ่งเกมมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้เล่นวัยเด็กๆ มากกว่าด้วย ทำให้เนื้อเรื่องของเกมยิ่งรู้สึกมักง่ายหรือเดาทางออกยิ่งขึ้นไปอีกทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเกมมัน “ห่วย” ไปซะทีเดียว แต่เช่นเดียวกับการดูรายการโทรทัศน์ที่สร้างมาสำหรับเด็ก บางครั้งก็รู้สึกว่ารูปแบบการเล่าเรื่องหรือเหตุผลเบื้องหลังการกระทำต่างๆ ค่อนข้างขาดน้ำหนักไป แถมจังหวะการเล่าเรื่องยังมีความคล้ายกันจากเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่งด้วย ซึ่งทำให้ทุกอย่างรู้สึกราบเรียบ ไม่มีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ให้ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่ตลอดระยะเวลากว่า 40-50 ชั่วโมงที่ใช้ในการเล่นเนื้อเรื่องงจนจบแต่เช่นเดียวกับเกม Monster Hunter กระแสหลัก สิ่งที่กอบกู้เกม MHS2 เอาไว้ได้ก็คือเกมเพลย์ JRPG ของเกมนั่นเอง! โดยในขั้นพื้นฐานนั้น การต่อสู้ในเกมจะตั้งอยู่บนแนวคิด “เป่ายิ้งฉุบ” ด้วยการมีชนิดของการโจมตีสามแบบ Power, Speed, Tech ที่แพ้ชนะกันเองเหมือนค้อน กรรไกร กระดาษนั่นเอง โดยมอนส์เตอร์ทุกตัวในเกม ทั้งที่เป็นของผู้เล่นและมอนส์เตอร์ป่าทั่วไป จะมีชนิดการโจมตีที่ถนัดของตัวเอง เช่นเจ้า Rathalos คู่หูของเราจะเป็นสาย Power ในขณะที่มอนส์เตอร์ยอดนิยมอย่าง Nargacuga จะเป็นสาย Speed เป็นต้น แถมมอนส์เตอร์บางตัวยังสามารถเปลี่ยนชนิดการโจมตีของตัวเองได้อีก (เช่น Rathalos เมื่อบินอยู่จะกลายเป็นสาย Speed) ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเรียนรู้รูปแบบการโจมตีของมอนส์เตอร์แต่ละตัวเช่นเดียวกับในเกมมอนฮันทั่วไปเมื่อเลือกชนิดการโจมตีที่เอาชนะการโจมตีของมอนส์เตอร์ได้ ผู้เล่นจะสามารถลดความเสียหายที่ได้รับพร้อมกับเพิ่มความเสียหายที่ศัตรูได้รับไปพร้อมกัน และถ้าเลือกชนิดการโจมตีตรงกับคู่หูมอนส์เตอร์ของเราก็จะสามารถใช้ท่าคู่ Double Attack เพื่อยกเลิกการโจมตีของศัตรูไปได้เลย โดยการเอาชนะศัตรูในการเลือกชนิดโจมตีจะเพิ่มเกจ Kinship Meter ของเราที่สามารถใช้สั่งการมอนส์เตอร์คู่หู หรือจะเก็บไว้จนเต็มเพื่อปล่อยไม้ตายประจำตัวของมอนส์เตอร์นั้นๆ ก็ยังได้ แน่นอนว่าระบบการต่อสู้ยังมีเบื้องลึกอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบอาวุธของตัวละครผู้เล่นที่สามารถเปลี่ยนไปมา 3 ชนิดด้วยกันเพื่อทำลายจุดอ่อนส่วนต่างๆ ของมอนส์เตอร์ (เช่นหาง เขี้ยว หรือขา เป็นต้น) เพื่อเก็บชิ้นส่วนมาใช้ในการสร้างอาวุธและชุดเกราะให้กับตัวละครเพื่อให้ได้รับสกิลติดตัวต่างๆ หรือระบบการแพ้-ชนะธาตุในเกม พูดง่ายๆ ว่าแม้ภายนอกจะดูเหมือนเกมที่ออกแบบมาให้เด็กๆ เล่นกัน แต่ถ้ามองลึกลงไปจะเห็นได้ว่าเกมนี้มีระบบที่ลึกซึ้งให้ผู้เล่นได้ศึกษามากมายหากต้องการจะเข้าถึงเนื้อหายากๆ หรือระบบ PvP ในเกมนอกเหนือจากการต่อสู้ อีกองค์ประกอบสำคัญของ MHS2 ย่อมหนีไม่พ้นการเสาะหามอนส์เตอร์คู่หูชนิดต่างๆ มาร่วมทีมนั่นเอง ในระหว่างเดินทางไปในโลกของเกมผู้เล่นจะได้พบกับรังแย้หรือ ‘Den’ ของมอนส์เตอร์ที่ผู้เล่นสามารถเข้าไปเก็บไข่ออกมาฟักและเลี้ยงได้ โดยไข่ที่พบในรังทั่วไปมักจะสุ่มมอนส์เตอร์ในพื้นที่มาให้ แต่ผู้เล่นสามารถเลือกหารังของมอนส์เตอร์ที่เราต้องการโดยเฉพาะได้ด้วยการทำให้มันหนีไปหลังเอาชนะมันในการต่อสู้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้ไอเทม Paint Ball ก่อนที่จะฆ่ามัน หรือด้วยการทำตามเงื่อนไขเฉพาะตัวของมอนส์เตอร์ (เช่นเอาชนะด้วยการโจมตีธาตุไฟ เป็นต้น) ก็จะทำให้เราสามารถพบกับรังที่รับประกันว่าเป็นไข่ของมอนส์เตอร์ตัวนั้นๆ ได้ความลึกซึ้งของระบบนี้จะเข้ามาเมื่อเราพูดถึงระบบยีนส์ (Genes) ของมอนส์เตอร์ ที่เปรียบเสมือนสกิลที่พวกมันมีติดตัวมาแต่กำเนิดนั่นเอง โดยผู้เล่นจะสามารถมอบยีนส์จากมอนส์เตอร์ตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่งได้อย่างอิสระด้วยระบบ Right of Channeling ทำให้สามารถมอบท่าโจมตีหรือความสามารถพิเศษติดตัวให้กับมอนส์เตอร์ที่เราชอบได้อย่างอิสระ หากอยากได้เจ้าจ๋อ Rajang ที่มุดดินได้เหมือน Diablos ก็แค่ย้ายยีนส์มุดดินจาก Diablos มาใส่ และเมื่อเรียงยีนส์สีหรือชนิดเดียวกันได้ครบ 3 ช่องจะทำให้ได้รับโบนัส Bingo Bonus ที่เพิ่มพลังโจมตีเข้าไปอีก การวางแผนและจัดเรียงยีนส์ของแย้ตัวรักให้มันกลายเป็นมอนส์เตอร์สุดเทพจึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มอบความเพลิดเพลินให้ผู้เล่นได้ยาวๆ อีกเช่นกัน คล้ายกับการหาโปเกม่อนที่มีนิสัยหรือสกิลติดตัวที่ต้องการ แต่สามารถควบคุมได้เองมากกว่าสำหรับเกมเพลย์ทั้งสอบรูปแบบที่กล่าวถึงไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสองขาหลักของเกม MHS2 เลยก็ว่าได้ ซึ่งความน่าสนใจคือทั้งสองระบบนี้ล้วนนำเสนอ “ตัวตน” ของ Monster Hunter ออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน เช่นการจดจำและศึกษาพฤติกรรมของมอนส์เตอร์ การล่าแย้เพื่อหาชิ้นส่วนมาสร้างของ หรือการหาไข่แย้ที่มีสกิลที่ต้องการสำหรับคู่หูตัวโปรดของเรา (ซึ่งก็คล้ายๆ กับการฟาร์มชิ้นส่วนมอน์เตอร์นั่นแหละ) ผลลัพธ์คือ MHS2 ยังคงสามารถมอบ “แก่น” ของประสบการณ์ Monster Hunter ให้กับคนเล่นได้อย่างถึงพริกถึงขิง แม้จะนำเสนอออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตามทีในส่วนของกราฟิกนั้น ยอมรับว่ากราฟิกแนวการ์ตูนของเกมอาจจะเป็นรสนิยมของผู้เล่นแต่ละคน แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบความสีสันสดใสของโลกในเกมนี้มากๆ รวมไปถึงโมเดลและอนิเมชั่นของเหล่ามอนส์เตอร์ที่ยังรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละตัวเอาไว้ได้ในรูปแบบที่น่ารักน่าชังไปหมด เหมาะกับการเล่นอบบพกพาบนเครื่อง Nintendo Switch มากๆ แต่ก็อาจจะยังมีปัญหาเรื่องฉากที่ใช้ซ้ำกันบ่อยๆ โดยเฉพาะฉากรังมอนส์เตอร์หรือดันเจี้ยนหลายแห่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายกันหมดนอกจากนี้ เกมใน Nintendo Switch ยังมีเฟรมตกอยู่บ้างในหลายๆ ฉาก แม้จะไม่ได้หนักหนานัก แต่ถ้าใครมีปัญหากับการเห็นเฟรมตกแบบปุบปับ (เช่นเห็นแล้วเวียนหัวหรือเมา) อาจจะพิจารณาไปเล่นบน PC แทน เพราะแม้คุณภาพกราฟิกจะต่างกันไม่มากนัก (เนื่องจากเกมเป็น Port จาก Switch ไป) แต่เรื่องเฟรมเรตนิ่งกว่าใน Switch มาก แถมยังไม่กินสเป๊กเครื่องเลยด้วยกล่าวโดยสรุป หากคุณเป็นแฟนของซีรีส์ Monster Hunter อยู่แล้ว และอยากสัมผัสประสบการณ์ Monster Hunter แบบใหม่ หรือคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกม Monster Hunter มาตลอดแต่ไม่กล้าลองเพราะกลัวไปไม่รอด Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้คุณได้ก้าวขาเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่ของเหล่าแย้ในรูปแบบที่เป็นมิตรมากกว่า และเช่นเดียวกับเกม Monster Hunter กระแสหลัก เมื่อคุณหยิบมันขึ้นมาแล้วคุณจะวางมันไม่ลงเลยทีเดียว 
19 Jul 2021
[ Review ] Scarlet Nexus 'เกมแอคชั่นรสเก่า พร้อมน้ำจิ้มสไตล์อนิเมะอันจัดจ้าน'
ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่นที่ออกแบบมาได้อย่างสนุกเร้าใจ รวมไปถึงเนื้อเรื่องและการนำเสนอสไตล์อนิเมะแบบสุดทางอันเป็นของถนัดของผู้พัฒนา Bandai Namco ด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานเกมแอคชั่นสไตล์อนิเมะใหม่ล่าสุดอย่าง Scarlet Nexus เป็นเกมที่น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเกมเพลย์การต่อสู้อันรวดเร็วในสไตล์เดียวกับ Devil May Cry และ Bayonetta หรือคนที่ชื่นชอบการนำเสนอและเนื้อเรื่องแบบอนิเมะจ๋าๆ อย่างในเกมตระกูล Tales เป็นต้นแต่ในขณะเดียวกัน Scarlet Nexus ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับเกมจากผู้พัฒนาฝั่งญี่ปุ่นหลายๆ เกมตรงที่องค์ประกอบสำคัญหลายส่วนให้ความรู้สึก "เก่า" อย่างชัดเจน เช่นในการออกแบบแผนที่ การออกแบบอนิเมชั่นตัวละคร หรือกระทั่งฉากสนทนาระหว่างตัวละคร ล้วนให้ความรู้สึกราวกับเป็นเกมจากสมัย 5 ปีที่แล้วตลอดเวลา ซึ่งเอาเข้าจริงก็อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อส่วนที่สำคัญที่สุดของเกมอย่างเกมเพลย์การต่อสู้นัก แต่ก็ทำให้เกมในภาพรวมรู้สึกจำกัดมากกว่าที่ควรจะเป็นในยุคคอนโซลใหม่นี้เนื้อเรื่องของเกม Scarlet Nexus จะตั้งอยู่ในอนาคตหลายพันปี หลังจากที่โลกโดนรุกรานโดยสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ถูกเรียกว่า "Others" โดยเหล่าปีศาจพวกนี้มีความทนทานอย่างน่าประหลาดต่ออาวุธปกติของมนุษย์อย่างปืนและระเบิด ทำให้มนุษย์ต้องพึ่งพากลุ่มทหารพิเศษที่ชื่อว่า 'OSF' ซึ่งมีความสามารถพลังจิตชนิดต่างๆ ในการกำจัดเหล่า Others และปกป้องอารยธรรมที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดเกมจะให้ผู้เล่นเลือกติดตามตัวละครได้สองตัวคือ Yuito Sumeragi และ Kasane Randall โดยทั้งสองจะเริ่มต้นเกมในฐานะทหารฝึกหัดน้องใหม่ของกลุ่ม OSF และจะมีเนื้อเรื่องของตัวเองที่ดำเนินไปพร้อมๆ กันอีกด้วย หมายความว่าผู้เล่นจะต้องเล่นเนื้อเรื่องของทั้ง Yuito และ Kasane เพื่อที่จะเข้าใจเหตุการณ์เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดในเนื้อเรื่อง ซึ่งการเล่นเนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งครั้งจะใช้เวลาราวๆ 20-25 ชั่วโมง (ผู้เขียนใช้เวลาไปราวๆ 40 ชั่วโมงเพื่อจบเนื้อเรื่องของทั้งสองตัวละคร โดยมีการข้ามฉากบางฉากที่ซ้ำกันในแต่ละเส้นเรื่อง)ในระดับหนึ่ง แม้ว่าเนื้อเรื่องจะไม่ได้ใหม่ แถมยังแอบซ้ำกับเนื้อเรื่องของเกมผู้พัฒนาเดียวกันอย่าง God Eater ค่อนข้างตรงๆ ตัวเลย (เปลี่ยนจาก Others เป็น Aragami และทหาร OSF เป็นหน่วย God Eater) แต่ก็ต้องชมว่าเนื้อเรื่องของ Scarlet Nexus เขียนออกมาได้ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้พอสมควร แม้ในช่วงแรกๆ จะดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องของเกมจะคาดเดาได้ง่าย แต่ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น เช่นการเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการเมืองหรือการเหยียดชนชั้นเข้ามา มีการหักมุมครั้งแล้วครั้งเล่าที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งหากจะมีข้อเสียก็คงเป็นการที่เนื้อเรื่องถูกหารออกเป็นสองส่วนเช่นนี้ ทำให้การเล่นเนื้อเรื่องครั้งแรกรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือข้ามบทหรือดูซีรีส์ข้ามตอนไปเหมือนกัน โดยต้องเล่นเนื้อเรื่องของอีกตัวละครให้ถึงจุดเดียวกันกว่าจะเข้าใจทุกอย่างได้เต็มที่จริงๆ ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นก็อาจจะใช้เวลานานมาก ผู้เล่นหลายคนอาจจะหมดความอดทนหรือเบื่อไปซะก่อนได้ง่ายๆในส่วนของงานภาพ กราฟิกแนวอนิเมะของเกมก็ทำออกมาได้ในระดับที่ค่อนข้างดี และเป็นการพัฒนาขึ้นจากเกมก่อนหน้าของ Bandai Namco อย่าง Code Vein อย่างชัดเจน แถมการออกแบบชุดของตัวละครที่ผสมผสานเสื้อเกราะญี่ปุ่นโบราณของนินจาและซามูไร เข้ากับความไฮเทคในแบบ cyberpunk ก็ค่อนข้างน่าสนใจ แต่ในส่วนของอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว หรือการออกแบบโลกของเกมที่เหลือกลับไม่ได้มีอะไรที่น่าจดจำเป็นพิเศษ และในหลายจังหวะกลับทำให้เกมรู้สึกเก่าอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ฉากที่ดูเหมือนจะหลากหลายของเกมก็มักจะมีลักษณะเป็นเพียงห้องกว้างๆ ที่เชื่อมโดยทางเดินเหมือนๆ กัน แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะหน้าตาไม่เหมือนกันก็ตาม แม้กระทั่งเมืองที่เกมเปิดให้ผู้เล่นสำรวจยังเปิดให้เดินได้จริงแค่ถนนสองเส้นเท่านั้น และไม่มีร้านค้าหรือกิจกรรมอะไรให้ทำในเมืองนอกจากดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้โลกของเกมรู้สึกแคบและไร้ชีวิตชีวาไปซะหน่อย ซึ่งน่าเสียดายเป็นพิเศษสำหรับเกมนี้ที่ออกแบบโลกมาได้น่าสนใจ แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นในการสร้างมิติให้กับเกมมากกว่าเดิมแต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น สิ่งที่เป็นจุดขายหลักจริงๆ ของ Scarlet Nexus ก็คือเกมเพลย์แนวแอคชั่นอันดุเดือดรวดเร็วของเกม ซึ่งผสมผสานการต่อสู้ด้วยอาวุธเข้ากับการใช้พลังจิตรูปแบบต่างๆ ในการรับมือกับศัตรู โดยตัวละครพื้นฐานทั้งสอง (Yuito และ Kasane) จะมีพลัง Telekinesis หรือการเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยพลังจิต ทำให้ผู้เล่นสามารถโยนสิ่งของต่างๆ ในฉากใส่ศัตรูเพื่อโจมตีได้ และเกมยังมีระบบที่เรียกว่า SAS ให้ผู้เล่นสามารถใช้พลังจิตของตัวละคร NPC ในทีมควบคู่ไปด้วยได้ เช่นพลัง Pyrokinesis (การควบคุมไฟ) หรือ Teleportation (การวาร์ป) เป็นต้น และเมื่อลดเกจ Break ของศัตรูจนหมดด้วยการทำคอมโบ ผู้เล่นก็จะสามารถใช้ท่าพิเศษ Brain Crush ในการปลิดชีพศัตรูทันทีแม้จะยังมี HP เหลือก็ตามการต่อสู้ในเกม Scarlet Nexus อาจจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ นั่นก็คือการร้อยเรียงท่าโจมตีของตัวละครหลักเข้าด้วยกันเพื่อทำคอมโบ และการเลือกใช้พลัง SAS ของเพื่อนร่วมทีมเพื่อรับมือกับความสามารถหรือจุดอ่อนของศัตรู เช่นการใช้พลัง Pyrokinesis ในการโจมตีศัตรูที่ติดสถานะ "น้ำมัน" (Oil) เพื่อทำให้ศัตรูไฟไหม้ หรือใช้พลัง Clairvoyance (ตาทิพย์) ในการมองหาศัตรูที่ล่องหนได้เป็นต้น โดยในช่วงแรกจะสามารถกดใช้ได้แค่ทีละท่า แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ จะสามารถใช้ท่า SAS พร้อมกันหลายท่าได้ ยิ่งทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายยืดหยุ่นมากไปอีก แถมเกมยังออกแบบมาให้ผู้เล่นสามารถต่อคอมโบได้เองค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับเกมอย่าง Devil May Cry ที่มีความซับซ้อนในการกดท่าเยอะ ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งรู้สึกลื่นไหลมันส์สะใจราวกับฉากบู๊ในอนิเมะอย่างไงอย่างงั้นเลยทั้งหมดทั้งมวลนั้น แม้ว่าการต่อสู้ในเกม Scarlet Nexus จะไม่ได้รู้สึกใหม่หรือ Next-Gen มากเท่าไหร่ แต่ก็ทำออกมาได้ในมาตรฐานที่ดีพอในแทบทุกด้าน ส่งผลให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกสนุกตลอดที่ได้เล่น แม้ว่าในช่วงท้ายๆ อาจจะเริ่มรู้สึกจำเจกับศัตรูและคอมโบเก่าๆ บ้าง แต่สำหรับผู้เขียนกว่าจะถึงจุดนี้ก็เกือบจบเนื้อเรื่องของตัวละครพอดี อีกนิดเดียวก็ได้เริ่มเล่นตัวละครตัวใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยนอกจากการต่อสู้แล้ว เกมจะมีระบบการพัฒนาตัวละครแบบ RPG รวมไปถึงระบบที่คล้ายการคราฟติ้งสิ่งของ และระบบการพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมในลักษณะคล้ายๆ กับเกมอย่าง Persona แต่ระบบเหล่านี้ทั้งหมดกลับไม่ได้ทำออกมาอย่างลึกซึ้งหรือน่าสนใจนัก โดยแม้ว่าระบบการพัฒนาตัวละครหรือการคราฟติ้งจะไม่ได้สำคัญนัก แต่น่าเสียดายระบบภารกิจเสริมเสริมทั้งหมดรวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ที่เกมเรียกว่า Bond Episode ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงคัตซีนที่เปิดเผยถึงเบื้องหลังของตัวละครเพื่อนร่วมทีม แต่คัตซีนเหล่านี้กลับเล่าผ่านหน้าต่างบทสนทนานิ่งๆ เป็นหลัก และหลายครั้งเป็นแค่การนั่งคุยกันเฉยๆ โดยที่แทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อาจจะมีภารกิจต่อสู้ขนาดเล็กมาคั่นบ้างประปรายแต่ก็น้อยมาก ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ Scarlet Nexus รู้สึกเหมือนเกมเก่า มากกว่าเกมสมัยใหม่ที่ควรจะเล่าเรื่องหรือทำอนิเมชั่นตัวละครในคัตซีนได้มากกว่าแค่หน้าต่างบทสนทนาประกอบกับภาพหน้าตัวละครผู้พูดนอกจากนี้ วิธีการเพิ่มระดับความสัมพันธ์ผ่านการให้ไอเทมของขวัญไปเรื่อยๆ ก็ค่อนข้างน่าเบื่อ และไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมายจริงๆ เหมือนในเกมอย่าง Persona แถมยังกึ่งๆ ว่าต้องทำด้วยเพื่อปลดล๊อคทักษะการต่อสู้เพิ่มเติมให้กับเพื่อนร่วมทีม รวมไปถึงสำหรับตัวเอกเมื่อใช้ SAS ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมคนนั้นๆ ด้วย ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า Scarlet Nexus จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าตื่นเต้น และคงไม่ใช่เกม Next-Gen อย่างที่หลายคนอาจจะหวังเอาไว้ แต่ก็ยังถือเป็นเกมแอคชั่นสไตล์อนิเมะที่น่าจะถูกใจแฟนเกมทั้งสองแนวแบบเต็มๆ โดยผู้พัฒนา Bandai Namco เองก็ดูจะคาดหวังให้เกมนี้พัฒนาไปเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ ดูจากการที่เกมได้รับการดัดแปลงเป็นซีรีส์อนิเมะที่ออกฉายพร้อมกับเกมด้วย ใครเป็นแฟนผู้พัฒนาเจ้านี้ควรจะจับตามองเกมนี้ให้ดีๆ เลยว่าจะต่อยอดไปสู่อะไรได้ในอนาคต
02 Jul 2021
Hyrule Warriors: Age of Calamity กับ Expansion Wave แรกคุ้มไหม? มีอะไรใหม่บ้าง?
เป็นยังไงกันบ้างครับกับงาน E3 ปีนี้ ได้เห็นเกมที่อยากเห็นกันบ้างไหม หรือผิดหวังเหมือนปีก่อน ๆ เพราะค่ายเกมกั๊กไว้ไปโชว์ในงานตัวเอง สำหรับตัวผู้เขียนนั้นเริ่มชินแล้วละครับ แต่ก็ต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ในงานวันสุดท้ายที่ Nintendo เริ่มโชว์ของ เพราะมีเกมโปรดของผู้เขียนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Shin Megami Tensei V, Metroid Dread ,The Legend of Zelda : BotW 2 แต่ส่วนที่ทำให้ว้าวที่สุดเลยคือ Expansion(หรือ DLC) ของ Hyrule Warriors : Age of Calamity ที่หลังจากเงียบไปนาน ก็กลับมาพร้อมเทรลเลอร์แล้วประกาศขายในอีก 3 วันข้างหน้าทันที!โดยทาง Nintendo ได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่า Hyrule Warriors: Age of Calamity จะแบ่ง DLC ออกเป็น 2 เวฟ ขอแค่ผู้เล่นจ่ายเงินซื้อครั้งเดียวก็จะได้ DLC ทั้ง 2 เวฟทันที แต่จะทยอยออกทีละเวฟ โดยในเวฟแรกนั้นได้ออกมาแล้วในวันนี้ (18/06/64) และเวฟที่ 2 จะตามมาติด ๆ ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อ DLC นี้ได้ทันทีตามโซนเกมของตัวเอง ราคาจะอยู่ประมาณ 700-900 บาทตามโซนหากไม่ชัวร์ว่าคุ้มค่าพอที่จะกดตอนนี้เลยไหม? หรือจะรอเวฟที่ 2 ออกมาก่อนดี? งั้นลองมาดูกันครับว่าเวฟแรกได้เพิ่มอะไรที่น่าสนใจมาบ้าง ศูนย์วิจัยสำหรับปลดล็อกไอเทมและความสามารถEx Royal Ancient Lab พร้อมเปิดให้ผู้มี DLC ได้เข้าใช้งาน ภายในมีของมากมายให้ปลดล็อกและอัปเกรด โดยใช้ไอเทมทั้งจากภารกิจในตัวเกมหลักและภารกิจใหม่จาก DLC รูนทั้ง 4 รูปแบบจะได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้นโดยแลกกับไอเทมและภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้เล่นต้องไปทำ การจะเข้าถึงอาวุธและตัวละครใหม่ ๆ ก็ต้องปลดล็อกจากศูนย์วิจัยนี้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของ DLC เลยทีเดียวภารกิจใหม่ ไอเทมใหม่ และศัตรูใหม่ๆภารกิจใหม่จะวนเวียนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของ Purah และ Robbie 2 หนุ่มสาวนักวิจัยวิทยาการโบราณ แต่ไม่ได้มีการขยายเรื่องราวอะไรเพิ่มเติม ซึ่งนอกจากภารกิจใหม่ที่เป็นเหมือนของตัวเกมหลักแล้ว (ปกป้องฐาน ไล่ฆ่าศัตรู ช่วยเหลือเพื่อน) DLC นี้ได้นำเสนอภารกิจชนิดใหม่ที่เราจะได้สู้กับ Vicious Monster ศัตรูผู้มาพร้อมกับออร่าสีแดงและบัฟเสริมพลัง (แต่ใช้โมเดลกับมูฟเซ็ตเดิม) แถมภารกิจนี้ยังสุ่มออกมาให้เล่นซ้ำได้เรื่อย ๆ เหมาะสำหรับการฟาร์มไอเทมไปปลดล็อกของในศูนย์วิจัย โดยต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าภารกิจใหม่ทุกอันนั้นมีความยากสูงกว่าภารกิจของตัวเกมหลักมาก ยากทั้งในเชิงของเลเวล และในเชิงการจัดวางศัตรู หากจะเล่นต้องมีการเตรียมพร้อมในระดับนึงในส่วนของศัตรูใหม่ก็เพิ่มมาเพียง 3 ชนิดคือ Moblin พกถังระเบิด, Giant Chuchu สไลม์ยักที่มีถึงให้สู้ถึง 4 ชนิด 4 ธาตุ และ Wizzrobe ขั้นสูงที่มี 3 ธาตุ น่าเสียดายที่มีศัตรูชนิดใหม่น้อย การต่อสู้ก็แตกต่างกับศัตรูหน้าเก่าไม่มากกระบองไม่ธรรมดา ยืดได้หดได้Flail หรือกระบองโซ่ เป็นอาวุธชนิดใหม่ของ Link สามารถหาได้จากการวิจัยในศูนย์วิจัย อาวุธชนิดนี้เน้นการโจมตีเป็นวงกว้างแต่ก็ยังไม่ทิ้งการโจมตีเป้าหมายเดี่ยว ความสามารถพิเศษ (ปุ่ม ZR) ของมันคือการขโมยอาวุธที่ศัตรูถืออยู่ได้ เช่น ขวาน ดาบ หอก โดยอาวุธที่ขโมยมามีความคงทนจำกัด เมื่อใช้หมดต้องรอสักพักจึงจะขโมยได้อีก ขณะนี้ Flail ในเกมมีทั้งหมด 3 รูปแบบ แต่ละรูปแบบท่าโจมตีหนัก (ปุ่ม X) ต่างกัน เช่น Sentinel Flail สามารถสร้างโล่ป้องกันด้านหน้าได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ (สั้นมาก ๆ ราวครึ่งวินาที) แม้จะพยายามใส่กิมมิคมามากมาย แต่นี่ก็ไม่ใช่อาวุธที่เล่นสนุกนัก เพราะการขโมยอาวุธก็ใช้ไม่ได้กับศัตรูทุกตัว การโจมตีมีระยะโจมตีแคบ และตัวอาวุธเองก็ไม่มีดรอปเพิ่มจากที่ไหนเซลด้ากลายเป็นเด็กแง้นๆๆMaster Cycle อาวุธใหม่อีกชิ้นของเจ้าหญิงเซลด้า สามารถปลดล็อกจากศูนย์วิจัยและมี 3 รูปแบบเช่นเดียวกับ Flail ของ Link แต่ Master Cycle นั่นเล่นสนุกกว่ามากมาย เพราะแต่เดิมอาวุธของ Zelda จะเน้นไปทางสายเทคนิค ผสมการโจมตีด้วยรูน และธนูที่เน้นเล่นกับเกจไม้ตาย ทว่ามอเตอร์ไซค์แทบจะกลายเป็นสายบ้าพลังเพียว ๆ การโจมตีมีทั้งชน ปาด ดริฟต์ ยิงคลื่นพลัง และความสามารถพิเศษที่จะชนทุกอย่างที่ขวางหน้าด้วยพลังเต็มร้อย แต่ต้องระวังหน่อยเพราะหากแง้นมากไปเครื่องจะร้อนจัดจนบิดคันเร่งไม่ออกตัวละครใหม่ Battle-Tested Guardianในตัวเกมหลักเรามี Terrako Guardian ตัวจิ๋วที่แกร่งไม่แพ้ Guardian ทั่วไป และใน DLC นี้เราก็มี Battle-Tested Guardian ซึ่งเป็น Guardian จากยุคก่อน เนื่องจาก Battle-Tested Guardian เป็นตัวละครที่มีขนาดใหญ่ก็ทำให้ระยะโจมตีกว้างขึ้นตามไปด้วย ท่าพิเศษเน้นไปที่การโจมตีด้วยเลเซอร์รอบทิศทาง เหมาะกับการกวาดศัตรูตัวเล็กตัวน้อย และความสามารถพิเศษที่สามารถล็อกเป้าหมายศัตรูได้หนึ่งตัวทำให้ท่าโจมตีพิเศษทุกท่าจะเล็งไปที่ศัตรูตัวนั้นก่อนเป็นเป้าหมายแรก ช่วยปิดจุดอ่อนการโจมตีที่กว้างและไม่มีท่าโจมตีเดี่ยวBattle-Tested Guardian สามารถนำมาใช้งานผ่านศูนย์วิจัยเช่นเดียวกัน โดยเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะปลดล็อกได้ ซึ่งอาจใช้เวลากว่า 4-6 ชั่วโมงเลยทีเดียวสรุปสิ่งที่เราจะได้รับจาก DLC Wave ที่ 1ความยากระดับ Apocalytic ชุดตกแต่งและดาบโล่ลายการ์เดี้ยนสำหรับ Link (ปลดล็อกตั้งแต่แรกสำหรับคนซื้อ DLC ซึ่งบางคนอาจได้มาแล้ว)ภารกิจและ Challenge กว่า 10 ภารกิจศัตรูใหม่ 3 ชนิดอาวุธใหม่ Flail สำหรับ Link และ Master Cycle สำหรับ Zeldaตัวละครใหม่ Battle-Tested Guardianเป็นยังไงกันบ้างกับ Expansion ตัวนี้ครับ มีอะไรถูกใจกันบ้างไหม หากท่านใดที่สนใจก็สามารถเข้าไปซื้อใน Ninterndo e-Shop กันได้เลยวันนี้ แล้วมาพบกับสรุป Expansion กันได้ใหม่เมื่อ Wave ที่ 2 ออกมาในเดือนพฤศจิกายนครับ
19 Jun 2021
Ratchet & Clank: Rift Apart PS5 Review "เจ้าของฉายา Pixar แห่งเกมที่แท้จริง"
แม้จะไม่ได้เป็นแฟรนไชส์เกมที่โดดเด่นมากในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับยุค 2000 ต้นๆ ที่เกมถือกำเนิดขึ้น แต่แฟรนไชส์ Ratchet & Clank ก็เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกม PlayStation Exclusive ที่มีประวัตืศาสตร์ยาวนาน และยังคงได้มีแฟนๆ หลายชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์นี้ที่ยังคงติดตามเกมภาคใหม่ๆ อย่างเหนียวแน่นตลอดมา ด้วยเสน่ห์ของแนวคิดเบื้องหลังการพัฒนาเกมของผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ตั้งเป้าไว้ให้ Ratchet & Clank เป็นดั่ง “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ทั้งในแง่ของอนิเมชั่น กราฟิก และเนื้อเรื่องที่แม้จะมุ่งเน้นให้กับเด็ก แต่ก็มีเนื้อหากินใจและมุขตลกที่ผู้ใหญ่สามารถเพลิดเพลินไปด้วยได้ในเวลาเดียวกันนับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วตั้งแต่ที่เกมภาคก่อนหน้านี้อย่าง Ratchet & Clank (PS4) วางจำหน่ายไป โดยเกมภาคล่าสุด Ratchet & Clank: Rift Apart ก็กำลังจะวางจำหน่ายให้กับเครื่อง PlayStation 5 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ (วันที่ 11 มิถุนายน) ในฐานะเกม PlayStation 5 Exclusive ฟอร์มใหญ่เกมแรกๆ ที่ไม่ใช่เกม Remake เหมือน Dark Souls (หรือถูกพัฒนาโดยค่ายอินดี้อย่าง Returnal) ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้เกมต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนๆ ไม่มากก็น้อยในการแสดงออกถึงศักยภาพของเครื่อง PS5 ทั้งในแง่ของกราฟิก เกมเพลย์ และความเปลี่ยนแปลงหรือข้อปรับปรุงที่ลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PS5 อย่างจอย DualSense หรือระบบเสียง 3D มีต่อประสบการณ์การเล่นโดยรวมหลังจากที่เล่นเกมจนจบเนื้อเรื่อง (ขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment และผู้พัฒนา Insomniac Games สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ผู้เขียนยืนยันได้ว่า Ratchet & Clank: Rift Apart สามารถมอบประสบการณ์ “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ที่ผู้พัฒนาตั้งมั่นไว้ได้อย่างไร้ที่ติในแง่ของกราฟิกและอนิเมชั่นที่สวยงามและมีเสน่ห์ในระดับที่ก้าวกระโดดขึ้นจากเกมในยุค PlayStation 4 อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ภายในฉากหลังหลายๆ ฉากยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ซึ่งทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตชีวาและรู้สึกกว้างใหญ่มากขึ้นไปด้วย ราวกับว่าผู้เล่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของโลกที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่ตลอดเวลาแต่เมื่อหันกลับมามองดูทางเกมเพลย์ แม้ผู้เขียนจะยังยืนยันว่าเกมเล่นสนุกมากๆ ตลอดระยะเวลาราว 25 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการเล่นเนื้อเรื่องจนจบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PlayStation 5 ยังไม่สามารถยกระดับเกมเพลย์ของ Rift Apart ให้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าได้มากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ และทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมไม่ได้ต่างจากเกม Ratchet & Clank (PS4) มากขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เกม Ratchet & Clank: Rift Apart ก็ยังถือเป็นผลงานที่คุ้มค่าในการเล่นอย่างแน่นอนสำหรับคนที่มีเครื่อง PlayStation 5 อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้สัมผัส “น้ำจิ้ม” ของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะตามมาในอนาคตเรื่องราวของ Ratchet & Clank: Rift Apart เริ่มขึ้นในงานเฉลิมฉลองอันใหญ่โตที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ์แก่คู่หูตัวเอก Ratchet และ Clank และเพื่อขอบคุณที่ทั้งสองได้ร่วมกันกอบกู้จักรวาลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในเกมภาคที่ผ่านๆ มา แต่งานยังไม่ทันได้เริ่มดีก็กลับโดนจู่โจมโดยกลุ่มวายร้ายที่ถูกว่างจ้างมาโดยหุ่นยนตร์สติเฟื่อง Dr. Nefarious ผู้ซึ่งต้องการขโมยปืนข้ามมิติ Dimensionator ที่ Clank ตั้งใจมอบให้ Ratchet ใช้เพื่อตามหาเหล่าสมาชิกเผ่าพันธุ์ Lombax ที่กระจัดกระจายอยู่ในมิติต่างๆ โดยในระหว่างการต่อสู้ Dr. Nefarious ผู้ซึ่งกำลังจะพ่ายแพ้อีกครั้งก็ตัดสินใจเปิดประตูมิติไปยังจักรวาลที่ “เขาคือผู้ชนะเสมอ” และดูดเอาคู่หูตัวเอกทั้งสองเข้าไปด้วยในระหว่างที่เดินทางข้ามมิติ Ratchet กลับพลัดกับ Clank โดยเขาตื่นมาเพื่อพบว่าตัวเองอยู่ในเมือง “Nefarious City” ที่ถูกปกครองโดย “จักรพรรดิ Nefarious” หรือร่างคู่ขนานของ Dr. Nefarious ในจักรวาลนี้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น Ratchet ยังพบว่าในจักรวาลนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ Lombax อีกคนอยู่ด้วย โดย Lombax สาวที่ชื่อว่า Rivet นี้ยังบังเอิญพบกับ Clank เข้า และตัดสินใจนำตัวเขาไปด้วยเพราะคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนตร์สมุนของ จักรพรรดิ์ Nefarious ทำให้ Ratchet จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อตามหาเพื่อนรักของเขา ในขณะที่ Clank ก็ต้องร่วมมือกับ Rivet ในการต่อสู้กับจักรพรรดิ์ Nefarious พร้อมกับหาวิธีสร้างปืนข้ามมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยความที่เกมถูกพัฒนามาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กซะมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องของ Ratchet & Clank: Rift Apart มีความเรียบง่ายอยู่พอสมควร แต่ก็ยังแฝงไปด้วยแง่คิดที่กินใจและมุขตลกแบบสองแง่สองง่ามเพื่อเอาใจผู้ใหญ่ ตรงตามสูตรของหนัง Pixar ที่เป็นแรงบันดาลใจของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งก็ทำหน้าที่มันได้ดี แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้มีอะไรพิเศษให้จดจำมากมายนักความรู้สึก “Pixar” ของเกมเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดจากกราฟิกและการนำเสนอโดยรวม ที่ทำให้บรรยากาศของเกมมีชีวิตชีวามากๆ เพราะมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในฉากหลังตลอดเวลา ตั้งแต่ NPC หุ่นยนตร์ที่จับกลุ่มแซวหัวหน้าที่ทำงาน หรือเหล่ารถบินได้ที่แล่นผ่านตึกสูงเสียดฟ้าจำนวนมากในเมือง Nefarious City ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดสามารถแสดงอยู่บนจอได้ในระดับความละเอียดเต็ม 100% โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเกมหลายคนที่เคยเล่น (หรือเคยติดตามข่าว) ผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Insomniac Games อย่าง Marvel’s Spider-man อาจจะพอจำเหล่า NPC ความละเอียดต่ำรูปร่างบิดเบี้ยวที่อยู่บนเรือในเกมได้ ที่ดูออกว่าถูกออกแบบมาให้มองจากไกลๆ เท่านั้น ผู้พัฒนาจึงสามารถลดทอนความละเอียดของโมเดลตัวละครลงเพื่อให้เกมไม่ต้องทำงานหนักเกินจำเป็น ซึ่งเกม Rift Apart ไม่จำเป็นต้องแลกความละเอียดของโมเดลสิ่งของเพื่อรักษามรรถภาพของเกมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ใบหญ้า ไปจนถึงรถบินได้ที่อยู่ไกลออกไปสุดระยะสายตา ล้วนมีรายละเอียดแบบจัดเต็มในระดับที่เกม PlayStation 4 ไม่มีทางทำได้แน่นอน แถมเกมยังสามารถรักษาเฟรมเรตของตัวเองเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเล่นเนื้อเรื่องทั้งหมดไปในโหมด Fidelity ที่ทำให้เกมแสดงผลที่ 4K, 30FPS พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษอย่าง Ray Tracing แบบเต็มสูบ เพราะโหมด Performance ที่รองรับเฟรมเรต 60FPS และโหมด Performance + Ray Tracing ได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากที่เล่นจบไปแล้ว จึงไม่ได้ใช้ในการพิจารณาสำหรับรีวิวนี้ (จะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในโหมดเหล่านี้ในช่วงท้ายของบทความ)แน่นอนว่ารายละเอียดด้านกราฟิกเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงในระหว่างการต่อสู้ด้วย โดยรายละเอียดของศัตรูทุกชนิดในเกมรวมไปถึงอาวุธหลากหลายชนิดของผู้เล่นเองอยู่ในมาตรฐานเดียวกับในฉากเมืองเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกซองที่ปล่อยพลังงานไฟฟ้าออกมาในระยะสั้น หรือปืนลำแสงขนาดใหญ่ที่ต้องชาร์จก่อนยิง ที่ล้วนปล่อยเอฟเฟกต์แสงสีเสียงจัดเต็มทุกครั้งที่ลั่นไก ซึ่งทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกดุเดือดขึ้นมาเสมอจากเอฟเฟกต์พิเศษที่อุบัติขึ้นทั่วจอตลอดเวลา นอกจากนี้ ศัตรูหลายชนิดในเกมยังมักจะมี “ชิ้นส่วน” อย่างชุดเกราะที่กระเด็นออกจากตัวทุกครั้งที่โดนยิง แถมเมื่อตายแล้วยังมักจะปล่อย “น๊อต” ที่เกมใช้แทนเงินเพื่อซื้ออาวุธออกมาเป็นเศษเล็กน้อยเต็มพื้น พูดง่ายๆ ว่าเกมจะมีเอฟเฟกต์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยไปมาแทบจะตลอดเวลาที่ต่อสู้ในระดับที่ไม่สามารถทำได้แน่นอนในคอนโซลรุ่นเก่า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเฟรมเรตของเกมเลยแม้แต่น้อย เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าจากเครื่อง PS4 มายังเครื่อง PS5 อย่างชัดเจนแต่ดังที่กล่าวไปข้างต้น ในขณะที่กราฟิกของเกมแสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดในศักยภาพของคอนโซลสองรุ่น ประสบการณ์การเล่นเกมเพลย์โดยรวมกลับไม่ได้พัฒนาไปมากนักเมื่อเทียบกัน โดยลูกเล่นที่รู้สึกว่าจะเพิ่มสัมผัสใหม่ให้กับการเล่นน่าจะเป็นปุ่ม Adaptive Trigger หรือปุ่ม L2/R2 ที่เกมสามารถปรับให้มีแรงต้านในระดับต่างๆ กันไปตามแต่ชนิดของอาวุธ และสามารถใช้ในการยิง Alternate Fire หรือโหมดพิเศษของปืนแต่ละชนิดได้ด้วย ยกตัวอย่างปืน The Executor ที่มีลักษณะคล้ายลูกซองแฝดซึ่งจะยิงกระบอกแรกเมื่อลั่นไกลงครึ่งทาง และกระบอกที่สองเมื่อลั่นไกลงจนสุด ซึ่งจะมีแรงต้านในปุ่มอนาล๊อคให้รู้ว่าตรงไหนคือครึ่งทาง ตรงไหนคือสุดทางด้วย หรืออย่างปืน Negatron Collider ที่สามารถชาร์จและยิงลำแสงขนาดใหญ่ใส่ศัตรู ซึ่งผู้เล่นสามารถดึงไกลงจนรู้สึกถึงแรงต้านเพื่อชาร์จ และดึงต่อจนสุดเพื่อปล่อยลำแสง เป็นต้นในช่วงที่เริ่มเล่นเกมแรกๆ การใช้ประโยชน์จากปุ่ม Adaptive Trigger เช่นนี้อาจจะรู้สึก “ใหม่” ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมหรือเพิ่มเติมประสบการณ์โดยรวมมากเท่าไหร่นัก กล่าวคือต่อให้เกมใช้วิธีควบคุมแบบเก่าๆ (เช่นการกด L2 ค้างไว้เพื่อชาร์จลำแสงและกด R2 เพื่อยิงเป็นต้น) ก็คงไม่ได้แตกต่างกันนักในความเป็นจริงนอกเหนือจากระบบ Adaptive Trigger (และระบบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้) เกมเพลย์การต่อสู้ ของ Rift Apart มีความแตกต่างกับเกมภาคก่อนๆ น้อยมาก แม้แต่ปืนหลายกระบอกยังดึงมาจากเกมภาค 2016 เป๊ะเลย และแม้ผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนไปควบคุมตัวละครใหม่อย่าง Rivet ได้ แต่เธอก็ไม่ได้มีความสามารถแตกต่างจาก Ratchet เลยแม้แต่น้อย และทั้งสองยังใช้อาวุธและเงินจากแห่งเดียวกันด้วย ความแตกต่างเดียวของการเล่นตัวละครทั้งสองจึงมีแค่หน้าตาเท่านั้น ผู้เล่นจะต้องต่อสู้กับกลุ่มศัตรูด้วยอาวุธชนิดต่างๆ ที่สามารถสลับไปมาได้อย่างรวดเร็ว เกมมักจะส่งศัตรูมาให้ผู้เล่นสู้พร้อมกันเป็นจำนวนมากๆ ด้วยเพื่อบังคับให้ต้องสลับอาวุธไปมาเพื่อใช้อาวุธที่เหมาะสมกับศัตรูแต่ละชนิดและเพื่อประหยัดกระสุน โดยในภาคนี้ยังเพิ่มระบบการพุ่งหลบที่เรียกว่า Phantom Dash เข้าไปด้วย อาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเหมือน Doom สำหรับเด็กก็คงไม่ผิดหนัก อาจจะไม่ใหม่ แต่รับประกันว่าสนุกเร้าใจ (แบบเด็กๆ) แน่นอนเกมเพลย์ส่วนอื่นๆ นอกจากการต่อสู้ก็ค่อนข้างคล้ายกับเกมภาคก่อนๆ เช่นเดียวกัน ผู้เล่นจะสามารถสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆ เพื่อทำภารกิจเสริมและเก็บเงินหรือเพชรไว้อัปเกรดอาวุธ และยังมีพัซเซิ่ลประปรายที่เกมเรียกว่า Anomoly ที่ผู้เล่นจะต้องบังคับ Clank เพื่อแก้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ยากมากมายนักเพราะออกแบบมาสำหรับเด็ก แต่ก็ท้าทายพอให้ต้องใช้สมองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไมไ่ด้แตกต่างหรือแปลกใหม่ไปกว่าการต่อสู้ของเกมหากจะมีระบบที่ดูจะเป็นการก้าวกระโดดขึ้นจากคอนโซลเก่าอาจจะเป็นระบบ Rift ที่ให้ผู้เล่นสามารถเดินทางข้ามประตูมิติขนาดเล็กๆ มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ตามฉาก รวมไปถึงประตูขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ตามดาวเคราะห์ต่างๆ ที่มีพัซเซิ่ลการกระโดด (Platformer) อยู่ข้างใน ซึ่งทั้งสองระบบทำงานอย่างลื่นไหลให้ผู้เล่นข้ามมิติไปมาได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องโหลดฉาก ที่ผู้พัฒนากล่าวว่าเป็นศักยภาพของตัว SSD ของ PS5 ที่ทำให้ระบบนี้เป็นไปได้ แต่เมื่อเช่นเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกใหม่นัก แต่เป็นเพียงการปรับปรุงการเล่นรูปแบบเก่าๆ ให้สมบูรณ์แบบขึ้นซะมากกว่าระบบ Performance Mode และ Performance RT Modeเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย ทางผู้พัฒนา Insomniac Games ก็ได้ปล่อยแพทช์เกมเวอร์ชั่นใหม่ที่เพิ่มโหมดแสดงผลแบบ 60FPS เข้าสู่เกมถึง 2 โหมดด้วยกัน: Performance Mode และ Performance RT Mode นั่นเองสำหรับ Performance Mode จะทำให้เกมเน้นความลื่นไหลมากกว่าความคมชัด โดยจะแสดงผลที่ความคมชัดต่ำกว่า 4K (ไม่มั่นใจว่า 2K หรือ Full HD แล้วอัพสเกลเอา) และลดความหนาแน่นของสิ่งของและ NPC ในฉากลงอีกด้วย เพื่อให้เกมสามารถรันที่ความเร็ว 60FPS ได้แบบไม่มีสะดุด โดยจากการทดลองพบว่าเกมสามารถรักษาเฟรมเรตนี้เอาไว้ได้อย่างเสถียรมากๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่น แลกมากับสิ่งของในฉากที่บางตาลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่จะขาดไปอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับสองโหมดที่เหลือ (Performance RT + Fidelity) คือแสงสีในเกมที่แลดูแบนลงอย่างมาก และทำให้เกมดูใกล้เคียงกับเกม PS4 มากขึ้นพอสมควรในส่วนโหมด Performane RT น่าจะเป็นโหมดที่แนะนำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือก เพราะแม้จะลดรายละเอียดแบบเดียวกับ Performance Mode แต่ก็ยังคงรักษาแสงสีอันสวยงามของเกมเอาไว้ได้ และทำให้เกมยังคงสามารถแสดงผลที่เฟรมเรต “เกือบ” 60FPS แบบนิ่งๆ อาจจะมีกระตุกเล็กๆ บ้างเวลาอยู่ในฉากที่แสงสีเจิดจ้าเป็นพิเศษ แต่โดยรวมๆ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นอย่างมีนัยยะสำคัญหากถามว่าได้เล่นเกมในโหมดเหล่านี้ตั้งแต่แรกจะมีผลต่อประสบการณ์ไหม ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้เขียนอาจจะรู้สึกทึ่งกับเกมมากขึ้นเล็กน้อยหากได้เล่นที่เฟรมเรต 60FPS แต่โดยรวมก็ยอมรับว่ารายละเอียดที่เพิ่มขึ้นใน Fidelity Mode อาจจะคุ้มค่ากับการเล่นเกมที่ 30FPS สำหรับผู้เล่นหลายๆ คนด้วยเช่นกันกล่าวโดยสรุป Ratchet & Clank: Rift Apart ถือเป็นเกมที่อวดศักยภาพด้านกราฟิกของเครื่อง PlayStation 5 ได้เป็นอย่างดี แม้จะยังไม่ได้นำเสนอประสบการณ์การเล่นที่ก้าวกระโดดไปจากรุ่นเก่ามากนักในแง่ของการออกแบบเกมเพลย์ แต่สิ่งที่มีอยู่ก็ยังสนุกและท้าทายในระดับที่ใครๆ ก็น่าจะสามารถเล่นได้ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือวัยอะไร และเป็นเกมเรียกน้ำย่อยที่ดีสำหรับยุคคอนโซลใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
08 Jun 2021
รีวิว Rainbow Six Extraction เมื่อคู้ต่อสู้เปลี่ยนจากผู้เล่น เป็นเอเลี่ยน!!!
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่แฟนๆ Rainbow 6 Siege รอกันมาอย่างยาวนาน สำหรับ Extraction หรือชื่อเดิม Quarantine โดยต้องขอบคุณ Ubisoft มากจริงๆ ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทดลองเล่นก่อนในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งในบทความนี้ผมจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันครับว่าความรู้สึกหลังได้ลองเล่น แอบบอกก่อนเลยว่า สนุกกว่าที่คิดไว้เยอะมากครับต้องออกตัวก่อนเลยว่าผมเองเคยเล่น Rainbow 6 Siege มาบ้างเล็กน้อย และคงต้องยอมรับว่าตัวผมเองได้ประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับ Rainbow 6 Extraction คงต้องบอกว่าสนุกกว่าที่คิดมากจริงๆ ครับ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร?เนื้อเรื่องของเกมนี้ จะกล่าวถึงการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตปรสิตเอเลี่ยนปริศนาที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นโลก และเริ่มเข้าโจมตีมนุษย์อย่างมันทันตั้งตัว พวกมันจะเข้าไปในร่างกาย และเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปีศาจสุดดุร้าย ทีมเฉพาะกิจจึงต้องถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับปรสิตเอเลี่ยนนี้ โดยตัวละครก็มาจาก Operator ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจาก Rainbow 6 Siege อย่าง Doc, Hibana, Sledge และอื่นๆ เนี่ยแหละครับเหมือนเล่น Rainbow 6 Siege แต่คู่ต่อสู้คือเอเลี่ยนที่เป็น Aiเกมเพลย์ของ Extraction จะเป็นแบบ Co-Op Multiplayer ที่จับ Party กับเพื่อนได้สูงสุด 3 คน แต่ละคนจะไม่สามารถเลือก Operator ตัวเดียวกันได้ และหลังจากเลือกตัวละครแล้ว ก็จะเป็นการเลือกปืน อาวุธรอง และอุปกรณ์เสริมอย่างพวกระเบิด เมื่อทำการเลือกทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เกมจะพาทั้ง 3 คน เข้าสู้ด่านที่เลือกมา เพื่อเริ่มภารกิจหลักศัตรูทั้งหมดที่เราเจอในเกมนี้จะเป็นปีศาจรูปร่างแปลกประหลาด ที่มีความสามารถแตกต่างกันออกไป บ้างก็ระเบิดสร้างความเสียหายตอนตาย, บ้างก็สามารถเรียกปีศาจตัวอื่นๆ มาได้, บ้างก็มีเกราะแข็งอยู่รอบๆ ตัว, บ้างก็ยิงเลเซอร์จากระยะไกลได้ โดยภารกิจส่วนใหญ่ที่เราต้องทำจะไม่ใช่การกำจัดปีศาจเหล่านี้ให้หมด แต่เป็นอะไรอย่างอื่นที่มีจุดหมายตายตัว เช่นวางระเบิด, ทำลายฐาน, ช่วยเหลือผู้เหลือรอด, และอื่นๆ ดังนั้นเกมเพลย์จริงๆ จึงสามารถเล่นได้ทั้งแบบบู้แหลก หรือลอบเร้นก็ได้แม้ว่าปริมาณของปีศาจที่เจอในหนึ่งฉากจะไม่ได้มากมาย เหมือนเกมยิงซอมบี้ชื่อดังในตลาด แต่ขอให้อย่าดูถูกไป เนื่องจากแต่ละตัวโจมตีได้แรงมาก ชนิดที่โดนตบสามทีก็ลงไปนอนได้ง่ายๆ เลย บวกกับด่านที่ถูกเอามาใช้ใน Extraction ส่วนใหญ่มักเป็นด่านของ Rainbow 6 Siege เอามาดัดแปลง จึงทำให้ปีศาจสามารถโจมตีกลุ่มของผู้เล่นได้หลายทาง หากเดินไม่ดี อาจถูกล้อมโจมตีจากทุกทิศทางได้ง่ายๆ เลยอย่างที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าตัวละครภายในเกมนี้ ก็คือ Operator จาก Rainbow 6 Siege ดังนั้นแต่ละตัวจึงมาพร้อมกับความสามารถที่เหมือนกัน ซึ่งสกิลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถสู้กับเหล่าเอเลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้เรื่อยๆ ไม่มีวันหมดเช่นกัน แต่ละตัวจะมีขีดจำกัดในการกดใช้อยู่ โดยสามารถเติมได้หากเก็บกล่องเสริมอุปกรณ์ภายในฉาก ซึ่งกล่องอุปกรณ์ที่พบได้ในด่านจะมี 3 แบบ คือ First Aid, Ammo และ Ability ไปต่อเพื่อของรางวัลที่ดีกว่า หรือปลอดภัยแล้วกลับบ้าน?แม้จะบอกว่าเกมเพลย์ของ Extraction จะเป็นการเข้าไปทำภารกิจในด่านต่างๆ แต่ด่านเดิมก็ใช่ว่าภารกิจที่ต้องทำจะเหมือนเดิมด้วย รูปแบบของภารกิจที่มีให้เล่นในเกมนี้มีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการสังหารเป้าหมาย, วางระเบิด, ช่วยเหลือผู้รอดชีวิต, ตามหาทหารที่หายไป, ขนอุปกรณ์เพื่อไปทำลายเป้าหมาย, และอื่นๆ อีกมากมาย ในแต่ละรอบการเล่นตัวเกมจะสุ่มภารกิจให้เราทำ 3 อย่าง โดยแต่ละภารกิจจะมอบรางวัลเป็น EXP มากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความยากอย่างไรก็ตามตัวเกมไม่ได้มอบเวลาไร้ขีดจำกัดให้กับเราในแต่ละรอบการเล่น โดยผู้เล่นจะมีเวลารอบละ 15 นาที ซึ่งเราสามารถจบภารกิจได้ทันทีหากทำเป้าหมายใดก็ได้สำเร็จใน 3 อย่างที่เกมสุ่มมาให้ แต่ในทางกลับกันก็จะได้รับ EXP กับของตอบแทนที่มากขึ้นเช่นกันหากสามารถทำได้หลายภารกิจในหนึ่งรอบการเล่น ตรงจุดนี้ก็ต้องคุยกับเพื่อนร่วมทีมดีๆ ว่าไปต่อไหวหรือไม่ล้มให้เพื่อนดึงได้ แต่ท่าตาย = เสีย Operator คนนั้นไปอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่าปีศาจในเกมนี้ตีแรงมาก แถมในแต่ละรอบการเล่นยังมีเวลาจำกัดทำให้จะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจเร็วๆ ตอนนี้เพื่อนๆ หลายคนอาจกำลังคิดว่า "ถ้าไม่ผ่านก็ไม่เห็นเป็นไร เล่นไหมเรื่อยๆ ก็ได้" อยู่ แต่เกมนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ จริงอยู่ว่าหากเลือดของ Operator หมด ตัวละครของเราจะลงไปนอน และให้เพื่อนมาชุบได้แบบเดียวกับ Rainbow 6 Siege แต่จะไม่มีการล้มรอบที่สองอีกเนื่องจากตัวละครเราจะตายไปเลยที่นี่ในการเล่นของ Extraction หากเราล้มเหลว และตายในภารกิจ Operator ตัวนั้นจะอยู่ในสถานะ Missing in Action (MIA) และไม่สามารถเล่นได้ ผู้เล่นจำเป็นต้องนำตัวละครอื่นไปเล่นจนกว่าจะเจอภารกิจแทน แต่จะสามารถนำกลับมาได้หากในรอบการเล่นต่อๆ ไป เราสุ่มพบกับภารกิจ "ช่วยทหารที่หายไป" โดยในภารกิจนี้ เราจะได้พบกับ Operator ของเราที่ MIA อยู่ หากสามารถช่วยออกมาได้ หลังจบรอบการเล่นนี้เราจะสามารถเล่นตัวละครที่เสียไปได้อีกครั้งถือว่ายังดีที่ Ubisoft ไม่ได้โหดร้ายกับผู้เล่นมากขนาดไม่ให้โอกาสเลยเมื่อพลาด ถ้าหากว่า Operator ของเราคือคนเดียวที่พลาดท่าถูก K.O. ถ้าหากว่าเวลายังเหลือ และเพื่อนรวมทีมของเราทั้งหมดยังไม่ตาย พวกเขาสามารถแบกร่างของเรากลับไปที่จุดหนีได้ และถ้าหากทำแบบนั้นจะไม่ถือว่าเป็น MIA และยังสามารถเล่น Operator นั้นในรอบ ต่อๆ ไปได้ครับเพียงแต่สำหรับเลือดจะไม่ได้เกินมาแบบเต็ม 100 ในภารกิจต่อไปเช่นเดียวกัน ใน Extraction หาก Operator ของเราอาจจากรอบการเล่นมาเหลือเลือดเท่าไหร่ เขาก็จะเหลือเลือดเช่นนั้น ผู้เล่นจำเป็นต้องปล่อยให้ตัวละครพักฟื้นก่อนสัก 1 - 2 รอบการเล่น เพื่อให้ Operator ได้พักฟื้นให้กลับมาเลือดเต็ม 100 อีกครั้งคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ หลังจากได้มีโอกาสเล่นเกมนี้ไปประมาณ 3 - 4 รอบ ตัวผมเองกับ ตัวแทนจากสื่อเจ้าอื่นลงความเห็นตรงกันว่า ความสามารถในการเพิ่มเลือดเองได้ของ DOC ถือว่าช่วยให้การเล่นในแต่ละรอบทำได้ง่ายมากขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ใช่ทุกครั้งไปที่เราจะได้พบกับกล่อง First Aid ในเวลาที่ต้องการมันจริงๆ การที่สามารถเพิ่มเลือดได้เองเลยทำให้ในแต่ละรอบการเล่นทำได้ง่ายกว่ามากปืนลูกซองถือเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งมากในภาคนี้ เนื่องจากกระสุนที่มีมาให้เยอะ และดาเมจที่ทำได้รุนแรงมาก ทำให้มันเหมาะจะเอาเข้าไปยิงเอเลี่ยนพอสมควรเลย ยังไม่รู้เหมือนกันว่าตอนวางขายจะมีการลดความแรง หรือจำนวนกระสุนเริ่มต้นรึเปล่า แต่ถ้าหากว่าไม่ถือว่าเป็นปืนที่แนะนำสำหรับผู้เล่นในช่วงแรกที่ยังไม่ชินด่าน เนื่องจากหากถูกเข้าข้างหลังจะได้ไม่เสียเลือดมากเกินไปเพราะยิงเอเลี่ยนตายช้าครับสรุปExtraction ถือว่าเป็นเกม Shooting Co-Op ที่น่าจับตามองมากประจำปี 2021 นี้ ซึ่งหลังจากที่ได้เล่นมาประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องบอกเลยว่าสนุกจริงๆ แต่ในเรื่องว่าน่าซื้อมาเล่นขนาดไหนส่วนตัวคิดว่ายังไม่ควรสรุปในตอนนี้เนื่องจากยังไม่เห็นราคาของเกม และมีความคิดว่า $19.99 คือราคาแพงที่สุดเท่าที่จะรับได้สำหรับเกมนี้ เนื่องจากปริมาณคอนเทนต์ที่ไม่มากเท่าไหร่ ต้องรอดูต่อไปว่า Ubisoft จะวางขายเกมนี้ในราคาเท่าไหร่ต่อไปครับ    
02 Jun 2021
รีวิว Counter:Side เมื่อโลกใบนี้ต้องลุกเป็นไฟ จากภัยพิบัติวัตถุคอร์รัปต์
เมื่อทีมงานของ Studio Bside ผู้ที่เคยพัฒนาเกมเกาหลีชื่อดังอย่าง Elsword และ Closer อยากจะลองลุยตลาดเกมมือถือที่เน้นด้านมืดของสังคมและสภาพการเมืองของโลกใบนี้ โดยยังคงความแฟนตาซีซึ่งเป็นสไตล์ที่ทีมงานถนัด จนออกมาเป็นเกมที่ชื่อว่า Counter:Sideและเมื่อมันคลอดออกมาก็ได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากทั่วเอเชียจนล่าสุดก็ได้บริษัท Zilong มาเปิดให้บริการในโซน SEA รวมถึงประเทศไทยด้วย และเป็นไปตามคาด กระแสของเกมนี้ก็ทำให้คนไทยหลายคนชื่นชอบและเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อเรื่องที่หนักหน่วงชนิดเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด และตัวละครเกือบทุกตัวนั้นหล่อเท่ไปเสียหมด...บทความนี้จะเป็นการรีวิวเกม Counter:Side ฉบับภาษาไทยและแบบที่คนไม่เคยเล่นหรือไม่ได้สัมผัสเกมนี้มาก่อน อยากจะรู้ว่าจะเป็นอย่างที่เขาร่ำลือกันหรือไม่========================================สัมผัสแรกที่ได้รู้จักกับคำว่า Counter:Sideเกม Counter:Side นี้เป็นเกมแนว Tactic Turn-Base, Strategy ผสมผสานกับ Defend RPG ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะลงตัวเลยล่ะ แม้ว่าตอนที่เข้ามาเล่นครั้งแรก หากมองผิวเผินแล้ว มันจะยังมีกลิ่นอายของเกม Closer แต่เมื่อลองเล่นไปสักพักก็พบว่า ตัวเกมฉีกกฎและมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และไม่คิดว่าทีมงาน Studio Bside จะทำอะไรออกมาได้ค่อนข้างดีขนาดนี้มาก่อนส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยสันทัดวัฒนธรรมหรือสัมผัสความเป็นเกาหลีใต้มากนัก ทั้งชื่อตัวละครหรือการแสดงออกผ่านตัวละครต่างๆ ภายในเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแทรกความเป็นเกาหลีใต้ไม่น้อยซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะชินกับเกมที่มาจากฝั่งญี่ปุ่นเสียส่วนมากหรือตัวเกมพยายามยัดความเป็นเกาหลีมากไปเสียหน่อย ( ก็มันเป็นเกมคนเกาหลีใต้ล่ะนะ ) แต่หากลองเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ บอกเลยว่าการมันไม่ได้แย่ และออกไปทางดีมากด้วยซ้ำทั้งบทบาทของตัวละครและการแสดงออก รวมถึงบทต่างๆ ทำออกมาได้สุดยอดมากๆ โดยเฉพาะเรื่องราวสตอรี่หลักและเสริมนั้นบอกเลยว่าหนักแน่นไม่แพ้เกมอื่นๆ ชนิดที่เรียกว่าเหลี่ยมเยอะ เหลี่ยมจัด เหลี่ยมยิ่งกว่าทุเรียนเสียอีกด้วยความที่ว่าเป็นคนที่ชอบเล่นเกมแล้วเสพเนื้อเรื่องเป็นหลัก จึงค่อนข้างที่จะสนุกกับมันอย่างมากโดยลืมความไม่อินที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกาหลีไปจนหมด จัดว่าแจ่มเลยล่ะส่วนในด้านตัวละครนั้นถือเป็นมาตรฐานต้องมีบรรดาหนุ่มสาวหล่อเท่ไว้ให้เราดึงตัวพวกเขามาร่วมทีมกับเรา ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะชอบ กาอึน, คาริน หว่อง, ไคลน์ หว่อง, เฉินเจีย, เสี่ยวหลินหรือซอ ยุน แต่ทางนี้กลับหลงรักยายแก่ๆ คนหนึ่งที่เปิดตัวลงมาจาก VTOL ตอนต้นเกมเสียอย่างนั้น ( คุณก็รู้ว่าใคร ) เพราะให้รู้สึกมีความเป็นฝรั่งอย่างมาก ทำให้รู้สึกผิดคาดและปลื้มทีมงานที่ค่อนข้างใส่ใจกับตัวละครที่เป็นต่างชาติในแง่อุปนิสัยของชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดีเลยล่ะนอกจากนี้ บทพูดของตัวละครอื่นๆ อย่างพวกเหล่าทหารก็รู้สึกใส่ใจเช่นเดียวกันอย่างเช่นพลปืนธรรมดาๆ หรือหน่วยทหารบางหน่วยก็ยังมีบทพูดที่รู้สึกว่า Mood Maker อย่างมากจนรู้สึกว่าแม้พวกเขาจะเป็นแค่ทหารปิดหน้า แต่ก็อยากให้พวกเขาร่วมงานกับเรา หรือแม้กระทั่งเหล่าจักรกล...โห้ว! ยิ่งอยากได้เอามาร่วมทีมมากๆ รู้สึกเหมือนได้ Metal G------ มาครอบครอง ( ฮ่าๆๆๆ ) ....โดยรวมในด้านตัวละครนี่ค่อนข้างกินขาดเลยล่ะ ในหลายๆ อย่างในปี ค.ศ 2044 เมื่อโลกตกอยู่ในความวุ่นวายของเหล่า Erosionsเนื้อเรื่องของเกม Counter:Side จะอยู่ในปี ค.ศ 2044 เมื่อทรัพยากรของมนุษย์เริ่มขาดแคลน แต่ก็ได้พลังงานทดแทนสิ่งใหม่ที่เรียกว่า Eternium ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่โลกมนุษย์ได้อย่างมากมาย ส่วนจุดกำเนิดของแร่ชนิดนี้มันมีมากใน 'อีกฝากของมิติ' ซึ่งเราเรียกมันว่า 'Counter side' เมื่อมนุษย์ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ด้วยเทคโนโลยีการ Dive เพื่อเข้าไปทำการขุดแร่ชนิดนี้และป้อนพลังงานให้กับฝั่งโลกมนุษย์ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของมหันตภัยครั้งใหญ่ของโลก เมื่อสิ่งที่เรียกว่า Erosions หรือมีอีกชื่อหนึ่งที่เรารู้จักกันในนาม 'วัตถุคอร์รัปต์' มันสิ่งมีชีวิตปริศนาที่อาศัยใน Counter side ก็ได้ทำการบุกรุกโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน เพราะพวกมันสามารถ Dive เข้ามายังมิติของมนุษย์ได้เพื่อเป็นการตอบโต้ มนุษย์ก็ได้เริ่มตอบโต้ด้วยการสร้างเจ้าหน้าที่พิเศษอย่าง Counter Watch หรือเรียกสั้นๆว่า เคาท์เตอร์ ผู้มีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปและสามารถตอบโต้หรือจัดการเหล่าวัตถุคอร์รัปต์ได้อย่างดี อีกทั้งสามารถทนต่อการอยู่ในมิติของ Counter Side โดยไม่ต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันได้ แต่หากอยู่นานๆ ก็อาจจะมีผลถึงชีวิตหรือกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Shadow ได้เช่นกันเนื้อเรื่องจะโฟกัสไปที่สมาชิกเคาท์เตอร์ทีมเฟนรีร์ทั้งสามคนของบริษัทคอฟฟิน ซึ่งเป็นบริษัท Task Force ที่เคยมีอำนาจและมีชื่อเสียงในการต่อต้านเหล่าวัตถุคอร์รัปต์ในอดีต ( หากนึกภาพไม่ออก ให้เรานึกถึงบริษัทกองกำลังติดอาวุธหรือพวก PMC แต่มีหน้าที่ปราบปรามภัยวัตถุคอร์รัปต์ ) ซึ่งตอนนี้เกือบกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลาย จนทำให้ 'ฮิลเด้' หัวหน้าทีมเฟนรีร์ที่ได้หายสาปสูญไปเมื่อหลายปีก่อนได้กลับมา โดยมี 'จู ชิยุน' มาต้อนรับเธอเป็นคนแรก และทั้งสองก็ได้ต้อนรับเคาท์เตอร์หน้าใหม่ที่ชื่อ 'ยู มีนา' ซึ่งชะตากรรมของทั้งสามคนกำลังได้เริ่มต้นภารกิจกอบกู้ชื่อเสียงบริษัทและกอบกู้โลกได้เริ่มขึ้นส่วนตัวผู้เล่นนั้นจะเป็น CEO หน้าใหม่ของบริษัทคอฟฟิน ซึ่งตอนนี้เกือบกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลายหากไม่ได้ตัวผู้เล่นหรือ CEO เข้ามา Take Over บริษัทนี้ เราจึงมีหน้าที่ทำให้บริษัทกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง และเมื่อเล่นไปสักพัก เราจะได้รู้อดีตอันดำมืดของตัวละครหลายๆ ตัว รวมถึงตัว CEO เองซึ่งบอกเลยว่าต้องลองเล่นดูแล้วจะรู้ว่า เนื้อเรื่องเกมทำออกมาดีมาก เข้มข้นยิ่งกว่ากาแฟเสียอีก แม้ว่าแปลไทยอาจจะมีคำผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ถือว่าให้อภัยได้หน้า UI ต่างๆ ได้ออกมาอย่างดีแถมตัวละครก็ Live 2D ด้วยในเรื่องหน้า UI ของตัวละครจัดได้ว่าออกแบบได้ค่อนข้างดีและดูง่าย ใช้งานง่ายและสะดวกมากๆ ซึ่งหลายๆ เกมส่วนใหญ่ก็จะเริ่มออกแบบหน้า UI ในลักษณะนี้แม้จะดูเรียบๆ ไม่หวือหวาแต่ดูสบายตาใช้งานสะดวกมากกว่า ซึ่งภาษาบ้านเราจะเรียกว่า เรียบหรู' เลยล่ะนะ และในส่วนของตัวละครนั้น จะเป็นแบบ Live 2D ทุกตัว ซึ่งแน่นอนว่ารู้สึกทำให้ตัวละครดูดีขึ้นแบบ 300% เลยทีเดียว นี่คือข้อดี แล้วความฮามันอยู่ตรงนี้ เราจะสามารถเลือกตัวละครในสังกัดเรา จะมาวางบนตำแหน่งไหนของหน้า Lobby ได้ แถมจะปรับขนาดให้เล็กหรือใหญ่ก็ได้ มันไม่ต่างอะไรกับการออกแบบหน้าจอได้ตามสไตล์ของเราเอง ซึ่งบางคนก็ทำเอาซะ...ใช่แล้ว...ทำเอาซะฮาแบบนี้แหละ ปืนใหญ่นิวอาร์มสตรอง ไซโคเจ็ท อาร์มสตรอง!!แต่ว่าก็ยังมีจุดที่อยากจะพูดอยู่เสียนิดหน่อยอย่างเช่นปัญหาการเปลี่ยนพื้นหลัง หากเราเปลี่ยนภาพพื้นหลังเป็นพื้นหลังโทนสว่างหรือตอนกลางวัน สีของ Font และสีอักษรหน้าเมนูช่วงบนๆ จะกลืนไปกับฉากหลังโทนสว่างเลย อุตสาห์เสียเงินซื้อภาพพื้นหลังใหม่ๆ แต่กลับใช้แล้วแสบตาเพราะภาพมันฟุ้งและแสงมันจ้ามากๆ สุดท้ายก็กลับมาใช้ภาพพื้นหลังหน้า UI แบบเดิมรู้สึกสบายตากว่าเยอะทรัพยากรที่มากมายจนต้องบริหารให้ดีอีกจุดที่พูดถึงคงจะไม่ได้ก็คือเรื่องของทรัพยากรภายในเกมนั้นบอกเลยว่า ทุกอย่างสำคัญหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น เงินภายในเกมที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายหลักภายในเกมทั้งค่าอัพเลเวลตัวละคร ค่าสร้างอุปกรณ์ต่างๆ, แร่ Eternium ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเล่นเนื้อเรื่องในแต่ละด่านทั้งเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเสริมหรือในอิเวนต์ก็ตาม, Info, ไว้สำหรับเป็นทรัพยากรการลง Dive หรือบ้านเราเรียกว่าลงเหมืองเพื่อหาทรัพยากรอย่างอื่นรวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในการอ่านประวัติข้อมูลลับของตัวละคร และทรัพยากรอื่นๆ อีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งทุกอย่างบอกเลยว่า สำคัญหมด หากใช้ทรัพยากรไม่ยั้งคิด ก็อาจจะหมดได้อย่างรวดเร็วจนต้องโอดครวญ โชคดีเกมนี้ยังใจดีที่มีการแจกทรัพยากรรายวันก็เยอะเหมือนกัน แต่ยังไงก็ต้องระวังอจุดนี้อยู่ดีโดยเฉพาะการใช้แฟ้มเอกสารเพื่อเร่งการอัพเลเวลของตัวละครนั้นจะใช้เงินค่อนข้างเยอะมาก ครั้งหนึ่งเป็นหลักล้านและใช้แฟ้มเอกสารอัพเลเวลจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้รู้สึกต้องคิดหนักว่าควรจะปั้นตัวไหนก่อนดีระบบการเล่นที่มีสองระสไตล์ในการรบอีกหนึ่งจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือระบบการเล่น โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นส่วน ส่วนแรก จะเป็นสไตล์แนว Turn-Base โดยเราจะต้องนำทีมตัวละครของเราขึ้นบนยาน ซึ่งยานแต่ละลำที่เรามี จะมีก้าวเดินแตกต่างกัน โดยยานหนึ่งลำ บรรทุกสมาชิกภายในได้ 8 คนประเภทของยานที่เราเลือกใช้จะมีความแตกต่างกันไป อย่างเช่น ยานจู่โจม แม้จะเดินได้หนึ่งช่องแต่สามารถวางยานบนช่องเดินจู่โจมเพื่อความได้เปรียบทางสมรภูมิ, ยานลาดตระเวร จะสามารถเดินในแนวตั้งและแนวนอนได้สองก้าว, ยานสนับสนุนสามารถเดินทะแยงได้สองก้าว และยานรบหนักจะสามารถเดินไปด้านหน้าและเยื้องไปข้างหน้าได้สองก้าว นอกเหนือจากความแตกต่างเรื่องก้าวเดิน ก็ยังมีความแตกต่างเรื่องสกิลของยานรบนั้น และจะส่งผลกับคนในทีมอีกด้วย ฉะนั้นการเลือกยานรบให้เหมาะสมกับสมาชิกภายในทีม จะสามารถช่วยให้กุมชัยชนะได้ง่ายขึ้นด้วยเมื่อยานของเราเข้าปะทะกับศัตรูภายในเกม จะเข้าสู่โหมด Defend Tower ทันที ซึ่งจะคล้ายกับเกม Metal Slug Attack ก็คือเราจะต้องวางยูนิตลงไปในสนาม และยูนิตในสนามจะทำการโจมตีกับศัตรูตรงหน้า ซึ่งจะมีการต่อสู้ทั้งรูปแบบ เข้าไปทำลายฐานที่มั่นฝั่งตรงข้ามหรือตั้งรับการมาของศัตรูเป็นเวฟ โดยยูนิตแต่ละตัวจะมีความสามารถและสกิลที่แตกต่างกัน รวมถึงมีการแพ้ทางกันและกันด้วยเช่น สายจู่โจมชนะสายปืน, สายปืนชนะสายโล่, สายโล่ชนะสายซุ่มยิง และสายซุ่มยิงชนะสายจู่โจม นอกจากนี้ยังมีสายบุกทะลวงกับสายป้อมปราการเพื่อเสริมการโจมตีหรือตั้งรับป้องกันยานรบของเราด้วย โดยรวมแล้วเล่นไม่ยาก และเหมาะสำหรับสายขี้เกียจเพราะมีระบบเล่นแบบออโต้ด้วยเงื่อนไขการชนะแต่ละครั้งคือ บุกทำลายศัตรูให้สิ้นโดยห้ามให้ยานรบหลักของเราถูกทำลาย หรือศัตรูเข้ายึดฐานที่มั่นเราได้ แต่นอกเหนือจากนี้การต่อสู้แบบ Raid Boss หรืออิเวนต์ในอนาคตก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง================================================ทั้งหมดนี้คือการรีวิวของเกม Counter:Side ซึ่งเป็นการรีวิวครั้งแรกโดยไม่เคยไปเล่นเซิร์ฟเวอร์ไหนมาก่อน บอกเลยว่าดีงามมากๆ เป็นเกมที่่เล่นง่าย แม้ว่าตัวเกมค่อนข้างเน้นในการฟาร์มของเสียหน่อย แต่ด้วยการที่มันมีระบบเล่นออโต้ ปล่อยให้ฟาร์มของแล้วเราก็ไปทำอย่างอื่นได้โดยไม่ดูดเวลาชีวิตจนเกินไปนัก ก็ถือว่าชดเชยในส่วนนี้ได้ ด้านเนื้อเรื่องบอกว่ากินขาดทั้งความเข้มข้น และความหลากหลายอารมณ์ แม้คนที่จะไม่ค่อยอินวัฒนธรรมเกาหลีหรือเสียงพากย์เกาหลีก็ยังสนุกกับมันได้ ถือเป็นอีกเกมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!และสุดท้าย.... ยายฮิลเด้ที่หนึ่งของเรา เราจะรอวันที่ยายมีร่าง Awaken นะ================================================สรุปข้อดี:- ระบบการเล่นที่เล่นง่าย- มีระบบออโต้ในการเล่น- ตัวละครหล่อเท่และสวยน่ารักมากๆ- เนื้อเรื่องเข้มข้น หักเหลี่ยมโหดเฉือนคมกันสุดๆ- ฮิลเด้ ไวฟุหมายเลขหนึ่งของผู้เขียนบทความนี้----แค่กๆๆๆ!!!ข้อเสีย:- ทรัพยากรมีหลากหลายมากจนเกินไปเสียหน่อย- การใช้ทรัพยากรแต่ละครั้งสูงมาก- เป็นเกมที่ค่อนข้างเน้นการฟาร์ม อาจจะเบื่อง่ายคะแนน: 8/10
01 Jun 2021
Biomutant Review 'เกมจอมยุทธ์หน้าขนผจญภัยสำหรับคอ RPG ตัวยง'
ตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2017 ที่งาน Gamescom ประเทศเยอรมนี เกม Biomutant ก็ได้รับการจับตามองโดยสื่อและเกมเมอร์หลายๆ คนจากทั่วโลก ที่คาดหวังกับแนวคิดของเกมที่ผู้พัฒนาบรรยายว่าเป็น “เทพนิยายกังฟูในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย” แต่ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ที่เกมเปิดตัว ผู้พัฒนา Experiment 101 ก็ไม่ค่อยจะได้ปล่อยข้อมูลหรือข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเกมออกมาให้ติดตามกันบ่อยนัก จนทำให้หลายคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเกม Biomutant มันเป็นอย่างไรกันแน่หลังจากที่ได้เล่นเกม Biomutant ไปแล้วราวๆ 25 ชั่วโมงบนเครื่อง PlayStation 5 ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณบริษัท THQ Nordic และ Epicsoft สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ต้องบอกว่า Biomutant ถือเป็นเกมที่มีจุดเด่นหลายจุด โดยเฉพาะในแง่ของเกมเพลย์และการพัฒนาตัวละคร ที่สามารถปรับแต่งความสามารถและค่า Stat ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น รวมไปถึงระบบการคราฟติ้ง (Crafting) ที่มีทางเลือกให้ปรับแต่งทั้งหน้าตาของไอเทมและตัวเลขความเสียหายได้อย่างไม่สิ้นสุด และยังมีโลก Open World ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเควสและความลับให้ค้นหาเต็มไปหมด ซึ่งน่าจะเข้าทางคนที่ชื่นชอบการเล่น RPG แนวผจญภัยเป็นอย่างมาก ตราบใดที่สามารถมองข้ามข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงของเกมได้เรื่องราวของ Biomutant เกิดขึ้นในในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย หลังจากที่เหล่ามนุษย์ในโลกของเกมได้ละทิ้งดาวเคราะห์บ้านเกิดที่ถูกทำลายจากมลพิษและสารเคมี เหลือทิ้งไว้เพียงสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิดที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจากสารเคมีที่เหลือทิ้งเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้รวมตัวกันเป็นเผ่าต่างๆ 6 เผ่าที่ปกครองพื้นที่ของตัวเองอย่างสันติ โดยมีต้นไม้โลก (World Tree) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเผ่าทั้ง 6แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ 4 ตัวที่เรียกว่าเหล่า World Eaters ได้ปรากฏตัวขึ้นจากทะเล และเริ่มจู่โจมรากของต้นไม้โลก ซึ่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ยังจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างเผ่าทั้ง 6 ที่ล้วนเตรียมตัวจะเปิดสงครามกับเผ่าอื่นๆ ได้ตลอดเวลาอีกด้วยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นสัตว์กลายพันธุ์ตัวน้อย ผู้ซึ่งต้องเลือกว่าจะเป็นฮีโร่ที่ปราบสัตว์ประหลาดทั้ง 4 และนำสันติภาพมาสู่เผ่าทั้งหลาย หรือจะเป็นวายร้ายที่พยายามทำลายต้นไม้โลกเพื่อกวาดล้างทุกสิ่ง โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องและตอนจบของเกมจะเปลี่ยนแปลงไปตามทางเลือกมากมายที่ผู้เล่นเลือกระหว่างทางนั่นเองเมื่อเริ่มต้นเกม ผู้เล่นจะต้องสร้างตัวเอกสัตว์กลายพันธุ์ของตัวเอง ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่สายพันธุ์ รูปร่างหน้าตา ค่าสถานะต่างๆ รวมไปถึงคลาสหรืออาชีพเริ่มต้นของตัวละครด้วย โดยสายพันธุ์ของตัวละครจะกำหนดค่า Stat เบื้องต้นของตัวละครเช่นกำลัง (Strength) ความว่องไว (Agility) หรือปัญญา (Intellect) ในขณะที่คลาสจะกำหนดความสามารถติดตัวและอาวุธเริ่มต้นของตัวละคร แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เราจะสามารถอัปสกิลและค่า Stat ได้ตามใจชอบอยู่แล้ว และใช้อาวุธได้ทุกชนิดด้วย ทางเลือกทั้งหลายจึงสำคัญจริงๆ เฉพาะในช่วงไม่กี่ชั่วโมงแรกของเกมเท่านั้นเอง ส่วนคนที่กังวลเรื่องที่ค่า Stat ต่างๆ จะผูกกับรูปร่างหน้าตาของตัวละคร (เช่นถ้าค่า Strength หรือกำลังสูงก็จะทำให้ตัวละครมีรูปร่างบึกบึนโดยปริยาย ถ้ามีค่า Agility หรือว่องไวสูงก็จะตัวผอมๆ หน้าตาเจ้าเล่ห์โดยเลือกไม่ได้) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเล่นต่อไปไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะสามารถปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้อีกครั้งโดยไม่กระทบค่า Stat ของเราด้วย แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ให้ดีเพราะเปลี่ยนทีหลังไม่ได้เมื่อสร้างตัวละครเสร็จและผ่านฉากต่อสู้ที่เกมใช้ฝึกสอนการควบคุม รวมไปถึงฉากคัตซีนย้อนอดีตที่ค่อนข้างยาว ผู้เล่นก็จะได้รับอิสระในการผจญภัยไปในโลกของ Biomutant ได้อย่างอิสระ โดยจะมีเควสเนื้อเรื่องกว้างๆ ให้เราเท่านั้นเช่น “หยุดสงครามระหว่างเผ่า” หรือ “รักษาต้นไม่โลก” ก่อนที่จะให้เราออกไปผจญภัยและรับเควสอื่นๆ จาก NPC เอาเอง ในจุดนี้ต้องยอมรับว่าโลกของเกมทำออกมาได้สวยและน่าสนใจมากๆ ผู้เล่นจะได้เห็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแปลกๆ ของสัตว์กลายพันธุ์กับซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่จากอารยธรรมมนุษย์ มีทั้งหุบเขาที่ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี หรือป่าที่มีน้ำมันรั่วไหลจนไฟโหมโชนตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นยังสามารถใช้ยานพาหนะหรือสัตว์ขี่หลากหลายชนิดเพื่อสำรวจได้อย่างอิสระ แม้ว่ากราฟิก Unreal Engine 4 ของเกมจะแลดูเก่าๆ ไปบ้างแต่ความหลากหลายของสภาพแวดล้อมบวกกับสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ก็พอจะทำให้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้บ้างแน่นอนว่าโลกของเกมย่อมเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งในรูปแบบของสัตว์ร้าย กลุ่มโจร หรือสมาชิกของเผ่าอริ ที่ผู้เล่นจะต้องปราบผ่านเกมเพลย์สไตล์แอคชั่นของเกม โดยเกมเพลย์แนวแอคชั่นของ Biomutant ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา ผู้เล่นจะต้องใช้การโจมตีเบาหรือหนักรวมไปถึงการโจมตีด้วยอาวุธปืนเพื่อต่อกันเป็นคอมโบ พร้อมกับการพุ่งหลบหรือปัดป้องการโจมตีของศัตรูไปด้วย โดยเมื่อปัดป้องได้ก็จะทำให้สามารถใช้ท่าสวนที่มีความรุนแรงมากๆ ได้ และมีระบบหลอดสตามิน่าที่จำกัดจำนวนครั้งที่เราสามารถพุ่งหลบติดต่อกันได้ ถือเป็นระบบแอคชั่น RPG มาตรฐานที่ไม่ซับซ้อนหรือท้าทายจนเกินไปโดยเฉพาะสำหรับคนที่ผ่านเกมแอคชั่นเดือดๆ ชนิด Devil May Cry หรือ Sekiro: Shadows Die Twice มาแล้วสิ่งที่ทำให้เกมเพลย์ของ Biomutant รู้สึกสนุกขึ้นมาคือระบบสกิลประจำอาวุธของเกม รวมไปถึงระบบ Wung-Fu อีกด้วย โดยอาวุธแต่ละชนิดในเกม Biomutant ทั้งระยะประชิดและระยะไกล จะมีท่วงท่าคอมโบที่เรียกว่า Special Attack ของตัวเองที่จะต้องใช้แต้มสกิลในการปลดล๊อค และเมื่อเราใช้ท่า Special Attack ที่ไม่ซ้ำกัน 3 ครั้งจะทำให้ตัวละครเข้าสู่โหมดจอมยุทธ Wung-Fu ที่มาพร้อมท่าโจมตีพิเศษของตัวเองอีก การต่อสู้ในเกม Biomutant จึงมักจะเป็นเหมือนการร่ายระบำที่เต็มไปด้วยกระสุนและคมดาบ ในขณะที่ผู้เล่นพยายามหาช่องในการใช้ท่า Special Move ให้ครบ 3 ครั้ง และเผด็จศึกศัตรูด้วยโหมด Wung-Fu แบบเท่ๆ นั่นเอง ยังไม่นับรวมการสลับไปมาระหว่างอาวุธพิเศษอีกหลายชนิดที่หาได้ตามเนื้อเรื่อง ซึ่งมาพร้อมคอมโบของตัวเองเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากวรยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น เกมยังมีระบบพลังพิเศษอีกสองชนิดที่เรียกว่า Mutations และ Psi-Powers อีกด้วย โดย Mutations หรือการกลายพันธุ์มักจะเป็นความสามารถที่เน้นการสนันสนุนมากกว่า เช่นการเรียกเห็ดออกมาเหยียบเพื่อให้กระโดดสูงขึ้น หรือการพ่นพิษให้ศัตรูเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่อง ในขณะที่ Psi-Powers จะมีลักษณะเป็นเหมือนพลังจิตหรือเวทย์มนตร์ เช่นการปาลูกไฟ หรือการเทเลพอร์ตระยะสั้นเป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเสริมให้เกมเพลย์แนวแอคชั่นนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก องค์ประกอบเกมเพลย์ที่สำคัญอย่างสุดท้ายที่น่าชมคือเรื่องของการคราฟติ้ง (Crafting) ที่เปิดให้ผู้เล่นใช้ชิ้นส่วนชนิดต่างๆ ที่หาได้ในเกมมาประกอบกันเป็นอาวุธ ซึ่งทำให้สามารถสร้างอาวุธชุดเกราะหน้าตาพิศดารๆ มาใช้ได้ไม่รู้จบ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งความสามารถของปืนได้มากมายผ่านการเลือกชิ้นส่วนที่มีค่า Stat ต่างๆ มาประกอบกัน ตั้งแต่คันท้าย ด้ามจับ ลำกล้อง หรือกระทั่งซองใส่กระสุน ซึ่งการไล่ตามหาชิ้นส่วนระดับสูงๆ เพื่อพัฒนาขีดจำกัดของปืนขึ้นไปเรื่อยๆ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเกมแนว RPG ที่จะได้ปรับแต่งอาวุธและชุดเกราะของตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยผู้เล่นยังสามารถอัปเกรดไอเทมที่ชอบให้พัฒนาจากระดับเริ่มต้นไปเป็นระดับสูงได้ด้วย ฉะนั้นถ้าเจอชุดไอเทมที่ถูกใจก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้จนเบื่อเลยเช่นเดียวกันทั้งนี้ทั้งนั้น กล่าวถึงข้อดีหลายๆ อย่างของเกมไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้พูดถึงจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของเกม ซึ่งก็คือเรื่องของเนื้อเรื่องและการนำเสนอ ที่แลดูจะผ่านการใส่ใจมาไม่มากเท่ากับระบบเกมเพลย์ต่างๆ เลยแม้แต่น้อย ในระดับที่ไม่ใช่แค่ว่าไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับเกม แต่กลับทำร้ายประสบการณ์การเล่นด้วยสำหรับผู้เขียนถ้าจะให้พูดกันตามตรง เนื้อเรื่องของเกม Biomutant น่าจะเป็นจุดที่อ่อนที่สุดเกี่ยวกับเกมซะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเสมอเวลากล่าวถึงเกม RPG โลกเปิดยาวๆ ที่มีเนื้อเรื่องเป็นจุดขายหลักข้อหนึ่งเช่นเกมนี้ ปัญหาโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มาจากโครงเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซะทีเดียว (ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าดีนะ) แต่เป็นวิธีที่เกมใช้ในการนำเสนอเหตุการณ์เหล่านั้นมากกว่า เช่นการที่ตัวละครในเกมจะพูดกันเป็นภาษาสัตว์มั่วๆ โดยมีเสียงสวรรค์คอยแปลภาษานั้นให้เราฟังอีกที ส่งผลให้บทสนทนาหนึ่งลากยาวออกไปนานกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เพราะต้องรอให้พวกสัตว์พูดซะก่อนแล้วค่อยฟังนักบรรยายแปลทีละประโยคๆและด้วยความที่นักบรรยายมักจะแปลจากมุมมองบุคคลที่สามเสมอ ทำให้บางครั้งก็งงๆ ว่าสรุปตอนนี้กำลังพูดถึงใครอะไรยังไง แถมเกมยังมีศัพท์แสลงในโลกของตัวเองที่ใช้เรียกสิ่งของทั่วไปเช่น “เงิน” (Money) ในเกมใช้คำว่า Green หรือ “น้ำ” (Water) ในเกมใช้คำว่า “Goo” ซึ่งขนาดคนฟังภาษาอังกฤษออกยังต้องมาตีความอีกขั้น และบางครั้งตัวนักบรรยายเองก็มีความสำบัดสำนวนเหมือนกำลังอ่านนิทานอีก สุดท้ายจึงทำให้การตามเนื้อเรื่องทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องเสริมต่างๆ มีความติดขัดน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยนอกจากนี้ โมเดลตัวละครในเกมแทบทุกตัวยังออกแบบมาได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้ชวนให้มองหรือจดจำตัวใดๆ ในทางที่ดีเท่าไหร่เลย แถมอนิเมชั่นยังทำออกมาแข็งๆ ราวกับเป็นเกมจากสมัย PS3 ซะอีก ซึ่งก็ทำให้การตัดสินใจของผู้พัฒนาในการใช้ฉากคัตซีนแบบ In-Engine (ใช้โมเดลเดียวกับในเกม มากกว่าการทำคัตซีนเป็นวิดีโอ CG) แทบจะ 100% เหมือนการวางยาตัวเองไปด้วย เพราะไม่สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกหรือท่าทางที่ซับซ้อนใดๆ ได้เลย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องในเกมนี้ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อยองค์ประกอบเนื้อเรื่องสุดท้ายคือระบบความดี-ความเลวหรือที่เกมเรียกว่า “Aura” นั่นเอง โดยในระหว่างการสนทนากับ NPC บางตัว ผู้เล่นมักจะได้รับตัวเลือกที่จะเพิ่มออร่าความดีหรือความเลวให้กับเราเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกำหนดพลัง Psi-Powers ที่เราเข้าถึงได้และยังส่งผลต่อท่าที่ของ NPC ที่คุยกับเรา รวมไปถึงตอนจบของเนื้อเรื่องด้วย แน่นอนว่าเราจะไม่ขอพูดถึงตอนจบของเนื้อเรื่องเพื่อกันสปอย แต่เราพบว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปของ NPC ต่อตัวละครที่มีออร่าด้านสว่างและด้านมืด เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทางเลือกที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องจริงๆ มักจะมีการแจ้งบอกก่อนเสมอ จึงมีอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ทางเลือกตลอดทั้งเกมกล่าวโดยสรุป เกม Biomutant เป็นเกมที่วางพื้นฐานมาได้ดีพอสมควร แม้เกมจะสนุกเสมอในขณะที่กำลังท่องโลกกว้าง หรือเวลาที่หมกมุ่นอยู่กับการปั้นตัวละครผ่านระบบ RPG แต่ระบบเนื้อเรื่องของเกมทั้งหมดกลับทำออกมาแปลกมากจนทำให้เสียอารมณ์ไปได้เลยอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หากคุณไม่ใช่คนที่ชื่นชอบเกม RPG มากพอจะมองข้ามข้อเสียที่ว่าไปนี้ เกม Biomutant คงไม่ได้น่าสนใจนักสำหรับคุณ อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเกมได้รับเงินทุนหรือมีเวลาออกแบบระบบเนื้อเรื่องและการนำเสนอให้ดีกว่านี้ เช่นการเพิ่มเสียงพากย์ หรือการออกแบบตัวละครในเกมใหม่ให้น่ารักหรือน่าดึงดูดขึ้น น่าจะไปได้ไกลกว่าสภาพปัจจุบันมากมายนัก และเราอาจจะได้ซีรีส์แอคชั่น RPG ที่น่าจับตามองมาอีกซักเกมก็เป็นได้
24 May 2021
รีวิว Resident Evil Village สานต่อความสยองขวัญ !! เรื่องราวน่าติดตามตั้งแต่ต้นยันจบ
หลังจากที่ทาง Capcom ได้พาแฟรนไชส์เกม Resident Evil ให้กลับมาสยองขวัญอีกครั้งใน Resident Evil 7: Biohazard ที่ได้ทำการปรับเปลี่ยนมุมมองจากเกมแนวมุมมองบุคคลที่ 3 ให้กลายเป็นเกมแนวมุมมองบุคคลที่ 1 แทน ทำให้เรานั้นได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของเกมได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับปูเรื่องราวให้กับตัวละครใหม่อย่าง Ethan Winters ที่เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของเราเหล่าผู้เล่นโดยตรง และภายในเกม Resident Evil Village ผู้พัฒนาก็เลือกที่จะสานต่อเรื่องราวความสยองขวัญของตัวละคร Ethan Winters อีกครั้ง !! แถมในภาคนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนกลิ่นอายของเกมจากความสยองขวัญในบ้านร้างหลังเดียว ขยายสเกลให้กลายเป็นความสยองขวัญของทั้งหมู่บ้านตามชื่อภาคของเกม เพราะทางผู้พัฒนาอยากที่จะพาเรากลับไปสัมผัสกลิ่นอายความสยองที่ไม่เหมือนใครในเกม Resident Evil 4 นั่นเอง ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH เองได้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ในการเล่นเกมนี้จนจบมาเรียบร้อย และจะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้รับ สำหรับเกม Resident Evil Village จะมีความแตกต่างจากเกม Resident Evil 7 ที่วางจำหน่ายมาเมื่อปี 2017 มากน้อยขนาดไหนกราฟิก / การนำเสนอต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวผมเองนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 มันเลยทำให้ประสบการณ์ที่ได้รับในการเล่นเกมนี้ค่อนข้างครบถ้วนเป็นอย่างมาก ตัวเครื่องสามารถรีดประสิทธิภาพของเกมนี้ออกมาได้อย่างครบถ้วนและสามารถรัน 60 FPS ได้อย่างสบายๆ แต่จากที่ได้ลองเล่นมานั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่านอกจากเรื่องแสงเงา และ Ray Tracing ที่ใส่เข้ามาให้สวยขึ้น รายละเอียดโดยรวมก็อาจจะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเป็น Next Gen แบบเต็มตัวมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขายังต้องทำเกมลงให้กับ Console เจนเก่าด้วยนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นกราฟิกของเกมนี้ก็ยังอยู่ในระดับ AAA ถ้าให้เทียบกับเกมในสมัยนี้อยู่ดี รวมถึงตัวผมเองได้ลองสัมผัสเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 4 ในช่วงตอนที่เล่น DEMO ออกมาเหมือนกัน เอาจริงๆ การเล่นเกมนี้บนเครื่อง Console เจนเก่าก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าเคอะเขินแต่อย่างใด เพราะถึงแม้กราฟิกเรื่องแสงเงา อาจจะดูดรอปกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด หรือการที่ตัวเกมจะต้องลดรายละเอียดในฉากหลังเพื่อไม่ให้เกมกินสเปกเกินไปบ้าง แต่ตัวเกมก็ยังมอบประสบการณ์ที่ดีให้เราเหมือนเดิม เฟรมเรทที่ทำได้ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ 60 FPS นิ่งๆ แต่ก็ถือว่าเล่นได้ลื่นพอสมควร และไม่รู้สึกติดขัดส่วนเรื่องธีมและบรรยากาศของเกม ในตอนแรกหลายๆ คนก็คงจะคิดว่าการที่ตัวเกมเลือกที่จะเล่าบรรยากาศของหมู่บ้านเป็นหลัก ซึ่งมันจะน่ากลัวเท่ากับบรรยากาศในบ้านร้างหรือสถานีตำรวจในภาคก่อนๆ หรือไม่ ? แต่จากที่ตัวผมเองได้สัมผัสมา ถึงแม้ว่าความสยองขวัญในรูปแบบของเกม Resident Evil 7 เราอาจจะไม่ได้เห็นเยอะในภาคนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงคอนเซ็ปต์ของคำว่า Resident Evil จริงๆ !! กับสถานที่ที่สุดจะวังเวง ไว้ใจไม่ได้ เราจะต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาเพราะสิ่งมีชีวิตสุดน่าสะพรึงกลัวนั้นพร้อมที่จะออกมาได้ทุกเมื่อ ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงคอนเซ็ปต์นี้ ก็ต้องบอกเลยว่า Resident Evil Village สามารถนำเสนอได้อย่างไม่ผิดเพี๊ยนเพราะในช่วงเวลาที่เกมดำเนินอยู่ในระแวกหมู่บ้าน ตัวผมเองก็จะรู้สึกระแวงตลอดเวลา ว่าจะมีเหล่า Lycan โผล่มาหาเราตอนไหน เพราะพวกมันมากันเยอะและค่อนข้างดุร้าย หรือจะพาเราไปพบเจอกับสัตว์ประหลาดที่โหดกว่าแบบไม่คาดคิดก็มี หรือบางทีตัวเกมจะให้ความรู้สึกหนีตายเพราะจะต้องหลบหนีสิ่งมีชีวิตสุดโหด ที่จ้องจะไล่ฆ่าเราตลอดเวลา อย่างในช่วงฉากที่อยู่ในปราสาท Dimitrescu  บางทีตัวเกมจะนำเสนอความเป็นบ้านผีสิง ความหลอนประสาท ลึกลับ คับแคบและน่าอึดอัด แต่ถามว่ามันก็อาจจะมีบางช่วงที่อาจจะไม่ได้รู้สึกน่ากลัวขนาดนั้นก็มีเช่นกันครับStoryสำหรับเรื่องราวของ Resident Evil Village นั้นต้องบอกว่ามันค่อนข้างอธิบายยากครับเพราะมันอาจจะเป็นการสปอยส์ แน่นอนเราก็จะยังได้รับบทเป็น Ethan Winters อย่างที่กล่าวไป ที่เขาเนี่ยจะต้องมาตามหาลูกสาวของเขา Rose ในหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่ง ที่คาดว่าถูกลักพาตัวไปโดย Mother Miranda บุคคลลึกลับที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นที่ศรัทธาของเหล่าผู้คนในหมู่บ้าน รวมถึงเธอยังมีขุนนางทั้ง 4 ที่คอยรับใช้เธออย่าง Alcina Dimitrescu แม่แวมไพร์สาว, Karl Heisenberg ชายแว่นดำลึกลับ, Salvatore Moreau และ Donna Beneviento รวมถึงเราเองก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่า ตัว Mother Miranda นั้นเป็นใคร !! และต้องการตัวลูกสาวของ Ethan ไปทำไมครับโดยการเล่าเรื่องของ Resident Evil Village ต้องบอกว่าจริงๆ มันก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับเกม Resident Evil 7 อยู่พอสมควร เพราะมันจะเริ่มจากที่ตัว Ethan เนี่ยแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งตัว Ethan เนี่ยมันเหมือนจะทำหน้าที่แทนตัวเราที่ไม่รู้ข้อมูล และเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเกมสถานที่และเหตุผลต่างๆ เลยรวมถึงเนื้อเรื่องจะค่อนข้างแบ่งออกเป็นพาร์ทๆ และก็ต้องต่อสู้กับเหล่า 4 ขุนนางทั้งหมดนี้ และก็ค่อยๆ หาคำตอบไปเรื่อยๆ ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้ มันทำให้การดำเนินเนื้อเรื่องจะเต็มไปด้วยความสงสัยตลอดเวลา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นและค่อยไปเฉลยแบบจัดเต็มในช่วงท้ายเกม ซึ่งการที่พูดพัฒนาเลือกที่จะทำอะไรแบบนี้ มันก็เลยทำให้ตัวเนื้อเรื่องมีความน่าตื่นเต้นและน่าติดตามเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากตัว Ethan รู้เรื่องราวก่อนออกผจญภัย ผมว่าเนื้อเรื่องของมันอาจจะไม่ได้สนุกขนาดนี้ แต่มันก็อาจจะต้องแลกกับเรื่องความสมเหตุสมผลของบางตัวละครที่อาจจะแปลกๆ ไปนิด แต่มันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้อยู่ ไม่ได้ลดทอนความน่าตื่นเต้นของเนื้อเรื่องไปอย่างใดส่วนในด้านความยาวของเนื้อเรื่องในภาคนี้ ตัวเกมจะมีความยาวที่มากกว่าเกมภาค 7 อยู่ประมาณหนึ่ง ซึ่งตัวผมเองได้เล่นเกมนี้ในระดับ Normal มีหลงทางบ้าง งงกับ Puzzle บ้าง ใช้เวลาเล่นจบอยู่ที่ประมาณ 8-10 ชั่วโมงได้ ซึ่งจะมากกว่าภาคก่อนๆ อยู่ราวๆ 2 ชั่วโมงครับ และแน่นอนว่าเกมนี้มีทั้งเมนูภาษาไทย ซับไทยอย่างเป็นทางการ มันทำให้เราสามารถดูเนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วยเกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าว่าในตัวเนื้อเรือ่งนั้นจะแบ่งออกเป็นพาร์ทๆ ที่เราจะได้เจอกับเหล่าขุนนางของ Mother Miranda ทีละคนๆ ซึ่งในการพบเจอกับขุนนางแต่ละตัวนั้น ตัวเกมเพลย์จะค่อนข้างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่พอสมควรเลย อย่างช่วงที่อยู่ในปราสาทตอนเจอกับเหล่า Lady Dimitrescu มันก็ให้อารมณ์เหมือนตอนเวลาเจอ Mr. X ใน Resident Evil 2 หรือให้อารมณ์เหมือนกับเจอลุง Jack Baker ในเกม Resident Evil 7 ที่เราจะต้องหนีจากการไล่ล่าไปด้วย และหาปริศนาไปด้วยแต่ว่าผมเองอาจจะไม่ขอเล่าเรื่องของอีกสามคนที่เหลือและกันนะครับว่าขุนนางคนไหนมีทีเด็ดอะไร เพราะผมอยากให้ท่านไปเจอกันเองมากกว่า (ไม่อยากสปอยส์เยอะ แต่ที่อธิบายเกี่ยวกับ Lady Dimitrescu เพราะว่าผู้พัฒนาเผยมาตั้งแต่ Demo แล้ว)ในด้านของระบบการต่อสู้ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับเกม Resident Evil 7 ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจังหวะการยิง ที่ต้องรอเป้าให้มันหุบก่อนถึงจะยิงแม่น หรือการยกมือขึ้นมาป้องกันดาเมจจากศัตรู โดยศัตรูใน Resident Evil Village จะมีความดุร้ายที่มากกว่าเกมภาคก่อนอยู่พอสมควร ยกตัวอย่างศัตรูอย่าง Lycan ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเหล่าลูกสมุน แต่พวกมันก็มีความคล่องตัวที่ค่อนข้างสูง โจมตีไว และก็ช่วงแรกๆ มันค่อนข้างถึกพอสมควรเลย คือเราต้องใช้กระสุนเยอะมากในการฆ่าแต่ละตัว หรือศัตรูบางตัวเราก็อาจจะต้องตีจุดอ่อนของมันอย่างเดียว ซึ่งมันอาจจะทำให้การฆ่าศัตรูชนิดนี้ค่อนข้างเปลืองกระสุนบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมมันก็แลกมากับการที่ภายในฉากค่อนข้างมีกระสุน หรือยาให้เก็บและให้คราฟต์มากขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเลยครับ ถึงแม้ว่าศัตรูในแผนที่จะเยอะอย่างไร กระสุนที่มีให้เก็บนั้นมันก็เพียงพอต่อการที่คุณจะเอาตัวรอดแน่นอน และนอกจากนี้ Resident Evil Village ยังมีระบบใหม่ที่หายไปตั้งแต่เกม Resident Evil 4 เข้ามานั่นก็คือระบบขายของที่ในภาคนี้จะเรียกว่า The Duke โดยเราเนี่ยครับสามารถซื้อของ ขายของ หรืออัปเกรดอาวุธของตัวเองให้เก่งขึ้นด้วยการใช้บริการจากร้าน The Duke ครับ ซึ่งค่าบริการก็จะเป็นเครดิตที่เราสามารถหาของจากแผนที่ต่างๆ มาขาย หรือจะจัดการศัตรูก็จะมีเงินดรอป หรือของดรอปมาขายได้เช่นกัน แต่ทุกท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าระบบนี้มันจะทำให้ Ethan เรามีกระสุนไม่จำกัดก็ไม่ใช่ เพราะในแต่พาร์ทของเกม ตัว The Duke จะจำกัดการซื้อกระสุนเราด้วยเช่นการซื้อกระสุนปืนพกไม่เกิน 15 นัด หรือกระสุนลูกซองไม่เกิน 5 นัดจนกว่าที่คุณจะผ่านด่านนั้นไปได้ ถึงจะมีการปลดล็อคให้ซื้อของเพิ่มได้ หรืออัปเกรดของเพิ่มได้ มันเลยทำให้เกมนี้ถึงแม้ว่ามันจะเปิดโอกาสให้เราได้เหนี่ยวไกสู้มากขึ้น แต่สุดท้ายเกมนี้ก็ยังเป็นเกมแนว Survival Horror อยู่ดี สุดท้ายกระสุนมันก็เพียงพอต่อการเอาตัวรอด แต่ไม่ได้มีให้ใช้แบบฟุ่มเฟือย รวมถึงระบบการล่าสัตว์ที่เราจะสามารถไปไล่ยิง ไล่ตีไก่ ตีปลาในหมู่บ่านและเอาเนื้อพวกมันมาทำอาหารเพื่อเพิ่มสเตตัสถาวรให้กับตัว Ethan ได้อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นการทำให้เราถึกขึ้นเวลากดป้องกัน หรือเลือดเพิ่มช้าๆ เป็นต้น ทำให้ตัวคุณนั้นเก่งขึ้น เล่นง่ายขึ้น !! แต่ว่าผมเองเล่นโหมดระบบ Normal จบก็ไม่ได้ยุ่งกับโหมดนี้เท่าไรเลย ก็สามารถเล่นเกมนี้จบได้ แต่ก็อาจจะไปเหนื่อยในตอนเจอบอสหลังๆ ที่ต้องระวังเป็นพิเศษส่วนในเรื่องปริศนาที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ ส่วนตัวมันก็มีปริศนาที่ให้คิดอยู่บ้าง มีปริศนาจากคำใบ้ หรือปริศนาที่จะต้องคิดและหาคำตอบภายในห้องๆ นั้น แต่เสียดายที่ปริศนาพวกนั้นไม่ได้มีให้เล่นเยอะครับ คือมันจะมีในช่วงแรกๆ ของเกมที่อยู่ในโซนปราสาทเท่านั้น พอออกมาก็ไม่ค่อยมีแล้วและระบบต่อมาที่จะพูดก็คือระบบ Treasure หรือว่าระบบสมบัติครับ ซึ่งระบบนี้จะมาช่วงประมาณกลางเกมเป็นต้นไปที่ตัวเกมจะเปิดโอกาสให้เราได้กลับมา Free Roam ในหมู่บ้านอีกครั้ง และตามบ้านแต่ละแห่งก็มักจะมีกล่องสมบัติที่คนในหมู่บ้านนั่นแหละเป็นคนทิ้งไว้ โดยของพวกนี้จะอยู่ในเส้นทางลับ เส้นทางพิเศษให้เราเข้าไป ซึ่งในนั้นมันก็มักจะมีของดีๆ ไม่ว่าจะเป็นปืนใหม่ๆ หรือจะเป็นกระสุนเป็นต้น แต่ว่าสมบัติบางอันก็หาง่าย ไปเอาได้เลย แต่บางอันเราก็อาจจะต้องใช้กุญแจ หรือของไปปลดล็อคก่อน ซึ่งเราก็ต้องไปสุ่มหากันเอาเองเป็นต้น และสุดท้ายก็คือเกมนี้ก็ยังกลับไปใช้ระบบ Save ด้วยพิมพ์ดีดเหมือนเกม Resident Evil 7 นะครับ ซึ่งมันก็จะมีอยู่ตามจุด ตามห้องต่างๆ เพียงแต่ว่าระบบคลังเก็บของที่มีในเกมภาคก่อนๆ ได้ถูกเอาออกไปครับ และเพิ่มระบบช่องเก็บของในตัว Ethan ที่สามารถเก็บของได้มากขึ้น หรือสามารถซื้อช่องเก็บของเพิ่มได้จาก The Duke อีกด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าเกมนี้เราจะต้องสู้เยอะใช้ของเยอะ การเอาของมาอย่างจำกัดอาจจะไม่พอนั่นเองความรู้สึกจากที่ได้ลองเล่นเกม Resident Evil Village มาจนจบ ส่วนตัวต้องชมในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างทำออกมาได้ดีพอสมควร ถึงแม้เรื่องราวบางอย่างอาจจะแถไปบ้าง แต่การที่ตัวเกมนำเสนอเรื่องราวความน่าตื่นเต้น และค่อยๆ เปิดเผยความจริงเราไปเรื่อยๆ ผ่านตัวละคร Ethan ทำให้เรารู้สึกอยากเล่นต่อเรื่อยๆ และอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็อาจจะมีติดในบางอย่างที่ตัวละครบางตัว อาจจะมีบทน้อยไปนิด หรือน่ากลัวน้อยไปนิด อาจจะเป็นเพราะว่าเราคาดหวังกับตัวละครนี้มากเกินไปหน่อย ส่วนในเรื่องของความน่ากลัว แน่นอนมันต้องน่ากลัวน้อยกว่าเกม Resident Evil 7 ที่มันอยู่ในบ้านร้างเล็กๆ แคบๆ แต่ผู้พัฒนาก็เลือกที่จะเล่นกับความน่ากลัวความโหดของสัตว์ประหลาด คือบางตัวรูปลักษณ์มันไม่ได้ดูน่ากลัว แต่ที่เรากลัวมันคือมันสามารถ One Shot Kill  เราได้ หรือตีเราทีเลือดแดงเลยอะไรแบบนี้ คือ Resident Evil Village กลิ่นอายส่วนใหญ่มันจะเป็นความน่ากลัวสไตล์แบบนี้มากกว่า คือความน่ากลัวแบบหลอนๆ มันก็ยังมีนะครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้เยอะเท่าที่ควร แต่ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ไม่ชอบอย่างเดียวสำหรับเกมนี้ก็คงจะเป็นเรื่อง Puzzle ที่มันน้อยไปนิด ถึงแม้ว่าปริศนาแต่ละตัวที่ทำมาจะค่อนข้างดูดีเลย แต่มันก็ยังน้อย และดูธรรมดามากๆ ถ้าให้เทียบกับปริศนาต่างๆ ในเกม Resident Evil 7 ซึ่งถ้าใครที่ชอบปริศนาโดยเฉพาะก็อาจจะผิดหวังส่วนในด้านเกมเพลย์ผมเองไม่ได้ติดนะครับที่ตัวเกมมันจะเปิดโอกาสให้เราได้ยิงเยอะกว่าเดิม เพราะศัตรูที่เกมเสิร์ฟมาให้ มันก็โหดใช้ได้ และมันก็หลากหลายมากกว่าภาคก่อนหน้าเยอะมาก รวมถึงมันก็เหมือนเป็นการเปลีย่นอารมณ์ของเกมบ้าง ให้มันมีความสดใหม่บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลก และก็ส่วนตัวมันก็ไม่ได้แอ็คชันขนาดในภาค 5 ภาค 6 เลย มันอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางของเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ และเกมเมอร์หน้าใหม่ด้วย
07 May 2021
รีวิว Total War: ROME REMASTERED ย้อนความหลัง สงครามแผ่อำนาจจักรวรรดิโรมัน
ในเดือนมีนาคม 2021 ทางผู้พัฒนาเกม Total War ก็ได้ทำการเซอร์ไพรส์พวกเราออกมานั่นคือการประกาศนำเกม Total War: Rome เกมจำลองสงครามที่เคยวางจำหน่ายในปี 2004 มา Remastered ปัดฝุ่นกราฟิกใหม่ให้เรานั้นหวนคืนถึงวันวานอีกครั้ง โดยตัวเกมจะเล่าเรื่องราวในช่วงยุคกรีก โรมัน และเรานั้นจะได้เป็นผู้ชี้ชะตาและเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ซึ่งตัวเกมก็พึ่งจะวางจำหน่ายออกมาในวันที่ 29 เมษายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งทางเรา GameFever TH เองก็ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้วครับ และจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าเกมนี้เหมาะแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ?Total War: Rome Remastered เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างจากเวอร์ชันดั้งเดิมแน่นอนอย่างที่เราเห็นชัดๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงในภาคนี้เลยก็คือกราฟิกของเกมที่ผู้พัฒนาไม่ได้แค่ปรุงปรุงให้ชัดขึ้น แต่พวกเขานั้นแทบจะทำการปั้นโมเดล หรือวาดกราฟิกกันใหม่ยกชุดกันเลยก็ว่าได้ ตัวละคร อาคาร สิ่งของนั้นได้ถูกทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โอเคถึงแม้ว่ามันก็อาจจะไม่ได้สวยงามเท่ากับเกมภาคก่อนๆ หน้า แต่มันก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว รวมถึงภาคนี้ยังรอบรับรายละเอียดได้มากถึง 4K อีกด้วย และรองรับ Wild Screen ในเรื่องของมุมกล้องก็สามารถซูมออกได้กว้างขึ้น มี Heat Map และไอคอนหน้า Interface ใหม่ให้เหมาะแก่การเล่นที่ง่ายขึ้น และที่พิเศษเลยก็คือตัวเกมยังมีการปลดล็อคกองทัพให้มีมากถึง 38 Faction เลยทีเดียวเกมเพลย์สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกม Total War หรือเกม 4X ใดๆ มาก่อนเลย ตัวผมเองก็ต้องแนะนำเลยว่า จริงๆ แล้ว Total War เป็นเกมที่ค่อนข้างเป็นมิตรสำหรับผู้เล่นใหม่อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่มันก็ถือว่ายังง่ายถ้าให้เทียบกับเกมอื่นๆ เพราะจุดประสงค์ของเกมนี้มีสิ่งเดียวเลยก็คือการไล่ยึดดินแดนต่างๆ และขยายอาณาจักรของเราไปเรื่อยๆ เพียงตัวเกมอาจจะมีรายละเอียดด้านในที่ต้องลงลึก หรือสิ่งที่เราจะต้องบริหารเกี่ยวกับบ้านเมืองด้วยในด้านโหมด Campaign นั้นในช่วงเริ่มเราจะได้เลือกเล่นเป็น 3 ตระกูลที่จะต้องปกป้องดินแดนโรม ซึ่งประกอบไปด้วย The House of Julli, The House of Brutii และ The House of Scipii ซึ่งทั้งสามตระกูลจะเป็นพันธมิตรกัน มีจุดที่ตั้งในแผนที่แตกต่างกัน และถ้าหากคุณคู่อริที่แตกต่างกัน โดยตัวเกมจะแบ่งการเล่นเป็น 2 แบบคือ Full Campaign คือเราจะต้องยึดดินแดนให้ได้อย่างน้อย 50 ดินแดน หรือท่านจะสามารถเล่นแบบ Short Campaign ที่เพียงแค่ยึดดืนแดนศัตรูคู่อริของเราก็จบเกมแล้ว อย่างเช่นตัวผู้เขียนนั้นเล่นเป็นตระกูล The House of Julli ซึ่งศัตรูโดยตรงนั่นก็คือฝ่าย Gaul นั่นเอง และถ้าหากเราสามารถจัดการศัตรูจนพ่ายได้แล้วนั้น เราจะสามารถเล่นเป็นฝ่ายนั้นได้ถ้าเริ่ม Campaign ใหม่ !!นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบแม่ทัพที่เราสามารถเอาเขาไปนำทัพในการสู้ได้ (ทัพไหนมีแม่ทัพจะเก่งขึ้นเยอะ) ซึ่งระบบแม่ทัพก็จะเป็นระบบเครือญาติและแม่ทัพทุกคนจะมีอายุขัยเป็นของตัวเอง และก็จะสามารถแต่งงาน ออกลูกออกหลาน และก็ตายไป ยิ่งถ้าหากเราส่งแม่ทัพคนไหนออกรบบ่อยๆ เขาก็จะเก่งมากขึ้น หรือเราเองก็สามารถแต่งตั้งให้ใครเป็นรัชทายาทคนต่อไปก็ได้เช่นกันและหนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ก็คงจะเป็นการที่เราสามารถเข้าไปบังคับกองทัพในสงครามโดยตรงได้ ซึ่งมันจะทำให้เรานั้นสามารถคิดวิเคราะห์และหาความได้เปรียบในกรณีที่ทหารของเราเสียเปรียบได้ แต่ส่วนตัวผู้เขียนยอมรับว่าไม่ค่อยอินระบบนี้มากนัก เพราะเนื่องจากที่ตัวเองจะบังคับ คิดแผนการรบไม่เก่งแล้วนั้น มันก็ค่อนข้างเสียเวลาพอสมควร ส่วนใหญ่ตัวผู้เขียนจะใช้ระบบ Simulation จำลองและได้ผลลัพธ์ไปเลยเสียมากกว่าในระหว่างการเล่น เราก็เพียงต้องพยายามขยายดืนแดนไปเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็จะต้องเริ่มจากการไล่โจมตีศัตรูของเราไล่ยึดดินแดนของพวกเขาให้หมดสิ้น ซึ่งพอเรายึดดินแดนได้แล้วนั้น เราก็จะต้องกลายเป็นผู้บริหารและพัฒนาดินแดนแห่งนั้นแทน เราจะต้องสร้างฟาร์ม สร้างท่าเรือ เพื่อทำการค้า หรือจะสามารถสร้างฐานทัพทหารให้มีพลทหารหลากหลายขึ้น รวมถึงยังต้องสร้างทหารประจำการที่ควรจะต้องมีเอาไว้ในทุกๆ เมือง เผื่อศัตรูนั้นเข้ามาโจมตี นอกจากนี้เราจะต้องบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ให้พอเหมาะ ถ้าหากเรามีทหารมากเกินไป ค่าใช้จ่ายในแต่ละเทิร์นนั้นก็จะมากขึ้น (เราต้องหาข้าวหาน้ำให้พวกเขากิน) ซึ่งทุกท่านก็คงไม่อยากที่จะทำให้เงินติดลบ โดยวิธีแก้ไขก็คือการสร้างฐานที่จะเพิ่มผลผลิตให้กับเราให้ค่า Income นั้นมากขึ้น การไปตียึดหลายๆ เมืองก็อาจจะช่วยให้เราสามารถสร้างฐานเหล่านี้ได้มากขึ้นด้วยและอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเกมนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบ Agent ที่เราจะสามรารถสร้างตัวละครพิเศษไปทำบางสิ่งบางอย่างกับเมืองอื่นๆ ได้อย่างเช่นการมีทูตที่จะคอยไปเจรจากับเมืองต่างๆ เช่นเจรจาสัญญาการซื้อขาย เจรจาสัญญาสงบศึก เจรจาให้ช่วยเรารบ หรือเจรจาเรื่องการอนุญาตผ่านดินแดนเป็นต้น ซึ่งนอกจากที่เราจะต้องไปทำการเจรจากับคนอื่นแล้ว บางทีเหล่าดินแดนอื่นๆ ก็จะวิ่งที่เจรจากับเราโดยตรงก็มี อย่างเช่นตัวผู้เขียนเองกำลังตีเมือง Gaul ใกล้จะแตกพ่ายหมดแล้ว ทางศัตรูส่งทูตมาเจรจากับเราเพื่อขอสงบศึกโดยให้เงินเราจำนวนหนึ่งก็มี หรือท้ายๆ นี่มีการยกดินแดนให้เลยโดยแลกกับการที่เราจะต้องกลายเป็นผู้ปกครองของเขาหรือจะเป็น Agent ทำการค้าขายที่เราจะสามารถส่งพ่อค้าไปยังเมืองต่างๆ เพื่อทำการค้าในเมืองนั้นๆ และเพิ่ม Income ให้กับเมือง หรือจะเป็น Agent อย่าง Spy ที่เขาสามารถเข้าไปแทรกซึมเมืองต่างๆ เพื่อให้เราได้เปรียบก่อนที่จะทำการโจมตีก็มีเช่นกันความรู้สึกพูดตามตรงถ้าหากใครที่ไม่เคยเล่น Total War สักภาค การเริ่มต้นเล่นเกม Total War: Rome Remastered ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เพราะว่าตัวเกมเวอร์ชันนี้ค่อนข้างเล่นง่ายและมีรายละเอียดที่เข้าใจไม่ยากนัก (แต่ก็อาจจะต้องศึกษาอยู่ดี) แต่สำหรับคนที่เคยเล่นเกม Total War ภาคก่อนๆ มาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าระบบหลายๆ อย่างของเกมนี้มันก็อาจจะมีไม่เยอะเท่าเกมภาคก่อนๆ เสียเท่าไร ทำให้คนที่เคยเล่นอยู่แล้วอาจจะรู้สึกไม่สนุกกับมันมากนัก นอกเสียจากคุณจะเป็นแฟนนิยาย กรีก โรมันแท้ๆ แต่ถ้าหากคุณไม่ใช่ !! ท่านอาจจะกลับไปเล่นเกมภาคเก่าๆ อย่าง Troy, Three Kingdom หรือ Warhammer ดีกว่า แต่ถ้าหากคุณเป็นผู้เล่นใหม่อยากลองเล่น Total War จริงๆ การเริ่มที่ภาคนี้ก็ไม่เลวครับ
30 Apr 2021
Returnal Review 'ผู้ท้าชิงบัลลังค์ Roguelike ที่หัวร้อนที่สุด'
พูดจริงๆ ว่าแค่ยานอวกาศร่วงลงมาบนดาวเอเลี่ยนก็สาหัสแล้ว แต่ยังต้องมาติดลูปเวลาซ้ำๆ กันทุกครั้งที่ตาย โดยที่ไม่สามารถหนีออกไปได้ ถือว่าเคราะห์ร้ายได้ถ้วยไปเลยจริงๆ กับตัวเอก Selene จากเกม Returnal เกมแนว 3rd-Person Shooting สไตล์ Roguelike จากค่ายอินดี้มือเก๋าอย่าง Housemarque ที่วางจำหน่ายสำหรับ PlayStation 5 โดยเฉพาะสำหรับผู้เขียน ได้มีโอกาสลองเล่นเกมไปแล้วประมาณหนึ่ง จึงอยากจะลองนำประสบการณ์ของตัวเองมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่า “เกมอินดี้ระดับ AAA” เกมนี้จะเหมาะกับคุณหรือไม่ (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวเกม) เกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกม Returnal จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็นตัวเอกที่ชื่อว่า Selene นักบินอวกาศหญิงเคราะห์ร้ายที่ติดอยู่บนดาวปริศนาที่ชื่อว่า Atropos และต้องต่อสู้กับศัตรูเอเลี่ยนหน้าตาน่าขยะแขยงมากมายเพื่อเอาตัวรอดในรูปแบบ 3rd Person Shooter (เกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม) ซึ่งในระดับผิวเผินก็ไม่ได้ต่างจากเกมบุคคลที่ 3 ทั่วไปเท่าใดนัก แต่เมื่อนำมาควบรวมกับระบบ Bullet Hell ของถนัดของผู้พัฒนา Housemarque แล้ว ก็ทำให้เกม Returnal กลายเป็นเกมแอคชั่นความเร็วสูงที่ต้องใช้ความแม่นยำในการควบคุมเยอะมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องคอยวิ่งหรือพุ่ง (Dash) หลบกระสุนทั้งบนพื้นและกลางอากาศที่ศัตรูสาดมาเต็มจอตลอดเวลา ทำให้ในบางจังหวะ Returnal ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Doom ขนาดย่อมๆ อย่างไงอย่างงั้นเลยความพิเศษของ Returnal อีกอย่างคือระบบการวนลูปเวลา ที่ทำให้ Selene ถูกส่งกลับไปเริ่มใหม่ในจังหวะที่ยานของเธอตกลงสู่ดาวทุกครั้งที่เราตาย และระบบการเล่นแบบ Roguelike ของเกมที่ผูกเข้ากับลูปเวลานี้นั่นเอง โดยผู้เล่นในฐานะ Selene จะพกพาความทรงจำและ/หรือไอเทมบางชิ้นจากลูปก่อนหน้าเข้าสู่ลูปต่อไปด้วย ทำให้เรายังคงค่อยๆ พัฒนาตัวละครขึ้นประมาณหนึ่งสำหรับการเล่นครั้งต่อไป แต่ในขณะเดียวกันห้องทั้งหมดในด่านก็จะสลับตำแหน่งกันแบบสุ่มทั้งหมด และศัตรูทั้งหมด รวมไปถึงไอเทมและอัปเกรดทุกชิ้นในห้องนั้นๆ ก็จะเกิดใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนไปเป็นศัตรูชนิดอื่นที่ยาก (หรือง่าย) กว่าเดิมก็ได้ ทำให้การเริ่มลูปใหม่ทุกครั้งมีความต่างจากที่ผ่านๆ มาเสมอทั้งในแง่ของด่าน ศัตรูที่เจอ และไอเทมหรืออาวุธที่ใช้ได้อาวุธในเกมนี้เบื้องต้นมักจะไม่ค่อยต่างกับปืนธรรมดาๆ ในเกมยิงปืนทั่วไปเช่นปืนพก ไรเฟิล หรือลูกซอง และมักจะมาพร้อมกับ “กระสุนรอง” (Alternate Fire) ที่ให้มาแบบสุ่ม เช่นปืนยิงระเบิด ปืนยิงจรวดติดตาม เป็นต้น ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และใช้อาวุธที่ได้มาอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนปืนไปอีกพักใหญ่ๆ เลยก็ได้ ซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคอเกมยิงปืนทั้งหลายที่อาจจะคุ้นเคยกับการใช้ปืนหลายชนิด แต่สำหรับคนที่มีปืนที่ถนัด อาจจะรำคาญระบบนี้ได้เหมือนกันเมื่อรู้สึกว่าไม่ผ่านด่านเพราะเกมไม่ยอมให้ปืนที่เราต้องการมาซะทีแม้ต้องยอมรับว่าเกมเพลย์โดยรวมในฝั่งของการต่อสู้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือหวือหวาไปกว่าเกมแนวเดียวกันทั่วๆ ไปในแง่ของการควบคุม แต่ก็สนุกและท้าทายเสมอจากจำนวนและรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละชนิดที่เราเจอในเกม ซึ่งมักจะสาดกระสุนใส่เราพร้อมกันในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ระบบการเคลื่อนที่อันเรียบง่ายของเกมให้แม่นยำที่สุดที่จะทำได้เพื่อเอาตัวรอด แถมยังต้องเล็งและต่อสู้กับศัตรูไปพร้อมๆ กันอีกต่างหาก และเมื่อนำมารวมกับความขี้งกของเพื่มเลือดของเกม ทำให้ Returnal นับเป็นเกมที่ “ยาก” ในระดับที่หัวร้อนขึ้นมาเลยเหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้เล่นจะชอบหรือไม่ชอบความยากระดับ “น้องๆ Dark Souls” เช่นนี้เช่นเดียวกับเกมอย่าง Sekiro หรือ Ghost of Tsushima ที่บังคับให้ผู้เล่นต้องฝึกฝนระบบเกมเพลย์พื้นฐานให้คล่อง เกม Returnal เองก็นับเป็นเกมที่พร้อมจะท้าทายผู้เล่นอย่างไม่ปราณีในรูปแบบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เราคิดกับตัวเองว่า “ขออีกตา” อยู่เสมอ แม้ว่าจะรับรู้ดีถึงความหัวร้อนที่รออยู่ในภายภาคหน้าเนื้อเรื่องอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เนื้อเรื่องของเกม Returnal เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักบินอวกาศหญิง Selene ค้นพบเข้ากับสัญญาณวิทยุปริศนาที่ชื่อว่า White Signal ที่ส่งออกมาจากดาว Atropos แต่เมื่อเธอเข้าใกล้ดาวเพื่อสำรวจ ยานของเธอก็เกิดขัดข้องขึ้นและร่วงลงสู่พื้นดาวในที่สุด เมื่อเธอออกมาได้ Selene ก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาต้นตอของสัญญาณ White Signal ด้วยตัวเอง โดยระหว่างการเดินทาง Selene ก็ได้ค้นพบความจริงอันน่ากลัวว่าจิตของเธอจะย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เธอร่วงลงสู่พื้นดาวเสมอเมื่อเธอตาย หมายความว่าแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถช่วยให้เธอหนีออกไปจากดาวแห่งนี้ได้ เนื้อเรื่องของ Returnal จะเล่าถึงการเดินทางของ Selene รวมไปถึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารยธรรมเอเลียนที่ล่มสลายไปของดาว ซึ่งผู้เล่นจะต้องเก็บ “Cypher” หรือตัวแปลภาษาให้ครบจำนวนจึงจะอ่านข้อความบนแผ่นหินที่กระจัดกระจายอยู่บนดาวได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม Returnal สามารถเล่าได้อย่างน่าติดตามมากๆ โดยเกมเน้นการวางปริศนามากมายเอาไว้ในช่วงต้นเกม ก่อนที่จะทำการเปิดเผยรายละเอียดใหม่ๆ ให้ผู้เล่นนำไปปะติดปะต่อเอาเองทีหลัง ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปทีละน้อยๆ ตลอดระยะเวลาการเล่นทั้งนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมามากกว่า อาจจะไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่องของเกม Returnal ได้ เพราะเกมแทบไม่ค่อยเล่าอะไรออกมาตรงๆ แถมบางครั้งจังหวะการเล่าเรื่องก็อาจจะขาดช่วงขาดตอนไปได้จากรูปแบบของเกมที่พึ่งพาการสุ่มฉากค่อนข้างมาก บางครั้งถ้าโชคดีอาจจะได้สุ่มฉากที่ดำเนินเรื่องต่อมาอยู่ตั้งแต่ต้น บางครั้งก็หาเท่าไหร่ไม่เจอ นับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในเกมแนว Roguelike อยู่แล้วด้วยไม่ขอพูดถึงรายละเอียดใดๆ มากเพราะเราไม่อยากสปอย แต่บอกได้เลยว่าปริศนาหลายๆ อย่างในเกม Returnal ทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ และการตามหาความจริงเบื้องหลังลูปเวลาที่กักขัง Selene เอาไว้ก็นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเล่นของผู้เขียนเช่นกันการนำเสนอแม้จะไม่ได้สวยชัดสมจริงเป็นพิเศษ แต่เกม Returnal ก็สามารถใช้ศักยภาพของเครื่อง PlayStation 5 ได้อย่างเต็มที่ในส่วนของ Particle Effects (เอฟเฟกต์อนุภาค) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนา Housemarque เชี่ยวชาญอยู่แล้วในเกมที่ผ่านๆ มาของค่าย ส่งผลให้กราฟิกอนิเมชั่นจำพวกกระสุนปืนหรือลูกพลังที่ปลิวว่อนด่านตลอดเวลามีความฉูดฉาดสะใจมากๆ แถมเกมยังทำงานที่ความเร็ว 4K, 60 FPS ตลอดเวลาได้โดยไม่มีสะดุด และโหลดเซฟใหม่หลังตายในพริบตาด้วย ถือว่าได้มาตรฐานของเกม Exclusive อยู่ในด้านนี้ยิ่งไปกว่านั้น เกมยังใช้ประโยชน์จากลูกเล่นล้ำๆ ของเครื่อง PS5 ได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบ Adaptive Trigger ที่ทำเราปุ่ม L2/R2 กดได้สองจังหวะสำหรับการยิงปืนธรรมดาและ Alternate Fire หรือระบบสั่นที่ละเอียดอ่อนของจอยที่ทำให้เรารู้ตำแหน่งของศัตรูได้แม้มองไม่เห็นก็ตาม แม้ในบางครั้งเสียงซาวด์เอฟเฟกเล็กๆ น้อยๆ ที่ออกมาจากจอยตลอดเวลา (เช่นเสียงหญ้า เสียงน้ำไหล) อาจจะน่ารำคาญอยู่นิดหน่อยก็ตามระบบเสียงของเกม Returnal ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างของเกม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากลูกเล่นด้านเสียงมากมายของเครื่อง PS5 ที่กล่าวไปก็เป็นได้ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า Returnal สามารถใช้เสียงในการสร้างบรรยากาศและกำหนดอารมณ์ให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของศัตรูที่แว่วออกมาจากจอย หรือเสียงของสภาพแวดล้อมที่ทำให้เหมือนผู้เล่นกำลังย่องผ่านดงหญ้าที่อาจซ่อนศัตรูเอาไว้ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาตั้งใจออกแบบหรือเป็นผลพวงมาจากเครื่อง PlayStation 5 ก็นับเป็นจุดเด่นที่ได้คะแนนจากผู้เขียนไปไม่น้อยสรุปReturnal เปรียบเสมือนการนำแนวคิดอันเรียบง่ายออกมาได้อย่างสละสลวยที่สุด แม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้มีอะไรใหม่เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นการผสมผสานเกมเพลย์แนว Third-Person Shooter แบบมาตรฐานเข้ากับแนวเกม Roguelike ที่เล่นแล้ววางจอยไม่ลงเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมแนวปริศนาชวนขนลุก บอกเลยว่าห้ามพลาด
29 Apr 2021
รีวิว Apex Legends : Arena Mode เกิดเป็นลูกผู้ชายต้องสู้แบบ 3 Vs 3!
เปิดตัวกันแล้วอย่างน่าตื่นเต้นสำหรับโหมดใหม่ในเกม Apex Legends อย่าง Arena Mode ที่มาพร้อมกับรูปแบบเกมเพลย์ใหม่แบบ 3 Vs 3 โดยเตรียมเปิดให้เล่นพร้อมกันวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 พร้อมกับเริ่ม Season 9 ที่มีการเพิ่มทั้งตัวละครใหม่ และอาวุธใหม่อย่างธนูเข้ามา ต้องขอบคุณทาง EA ที่ให้โอกาสพวกเรา GameFever Th ได้มีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นโหมดดังกล่าวก่อนในวันที่ 22 เมษายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ และรายละเอียดของโหมดนี้ พร้อมกับวิธีเล่นยังไงให้ได้เปรียบมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยArena เป็นโหมดแบบไหนในโหมดนี้ผู้เล่นจะถูกแบ่งออกเป็นสองทีมแบบ 3 Vs 3 สามารถเลือกตัวละครที่ชอบได้ตามปกติ แต่จะต่างตรงที่ว่าเกมไม่ได้เริ่มที่ฉากกระโดดลงจากยาน แต่เริ่มในหน้าซื้อของ ที่ให้ผู้เล่นเลือกได้ว่าจะเริ่มต้นในแต่ละรอบด้วยอาวุธปืนชิ้นไหน พร้อมกับ Mod อะไรบ้าง โดยใช้ Materials (แร่สำหรับ Craft Mod ปืนในเกมปกติ) ในการซื้อ ยิ่งปืนเก่งเท่าไหร่ ใส่ Mod ระดับสูงขนาดไหน ก็ยิ่งจำเป็นต้องจ่าย Materials มากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าในโหมดนี้มียาแบบเดียวกับโหมด BR แต่ก็จำเป็นต้องใช้ Materials ในการซื้อเช่นกันในส่วนของสกิลจะไม่สามารถใช้ได้เรื่อยๆ โดยต้องรอ Cooldown หลังจากใช้เหมือนกับโหมด Battle Royale ในโหมดนี้แต่ละตัวจะมีข้อจำกัดในการใช้สกิลของตัวเองอยู่ ซึ่งสามารถซื่อเพิ่มได้โดยการจ่าย materials รวมถึงสกิลท่าไม้ตายที่ก็จำเป็นต้องใช้ Materials ซื้อเช่นกัน บางสกิลที่มีผลต่อการต่อสู้มากๆ อย่าง Bangalore จะไม่สามารถซื้อใช้งานสองรอบติดๆ กันได้ จุดแตกต่างของโหมด Arena กับเกม FPS อื่นๆ ที่มีในตลาดคือ ทุกๆ รอบตัวละครจะเกิดมาพร้อมกับเกราะ และหมวกเลย ซึ่งเกราะจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนรอบที่ผ่านไป แต่ขอให้เข้าใจว่าอาวุธปืนที่ผู้เล่นถือเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนวิธีการหา Materials ในแต่ละรอบจะเหมือนกับ FPS ชื่อดังในตลาดเลย แต่ต่างตรงที่ในการเล่นแต่ละรอบภายในด่านจะมี Materials  ให้เก็บสำหรับใช้ในรอบต่อไปด้วย โดยจะส่งผลทั้งทีม (ต่อให้ฆ่าไม่ได้เลย และแพ้ด้วย ถ้าเก็บ Materials ได้เยอะก็เงินซื้อของในรอบต่อไปเยอะนั้นเอง) โดยในโหมดนี้ไม่สามารถเก็บปืนเอาไว้ใช้สำหรับรอบต่อไปได้ ทุกครั้งที่เริ่มรอบจำเป็นต้องซื้อใหม่เสมอ ดังนั้นจะเอา Materials ไปซื้ออะไรบ้างต้องคิดดีๆในโหมดนี้จะมีการบีบวงต่อสู้ให้เล็กลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับโหมด BR และมีการใส่กล่อง กับ Airdrop เข้าไปในด่านด้วย โดยต้องบอกเลยว่าวงของโหมดนี้แรงมากๆ ถ้าวิ่งเข้าไม่ทันตายได้ง่ายๆ เลย ส่วนภายในกล่องจะมีการใส่ของจำพวกยาเอาไว้ไปถึงก่อน ส่วน Airdrop จะเป็นอาวุธปืนสามช่องเสมอ สามารถออกบ้านตัวเปล่าไปรอเก็บปืนจาก Airdrop ได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าตรงจุดดังกล่าวอาจต้องปะทะกับศัตรูที่เข้ามารอเก็บได้เช่นกัน สนุกรึเปล่า?ด้วยขนาดของด่านที่ไม่ใหญ่มาก (ฺประมาณ 4-5 เท่า ของระยะสแกน Bloodhound) บวกกับการที่มีการบีบวงต่อสู้ให้เล็กลง ทำให้การปะทะในแต่ละรอบ มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปสุ่ม RNG ว่าจะได้ใช้ปืนอะไรบ้าง แต่ละรอบการเล่นมันจึงเหมือนได้วัดฝีมือกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่แพ้ก็รู้สึกว่าแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี เวลาที่ชนะก็รู้สึกได้ถึงความหอมหวานของการอยู่เหนือกว่า กล่าวคือเป็นโหมดที่เกิดมาเพื่อเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบการแข่งขันอย่างแท้จริง อีกทั้งในแต่ละรอบการเล่นยังใช้เวลาไม่นาน เหมาะสำหรับเอาไว้เล่นแก้เบื่อ หรือรอเพื่อนๆ ไปเล่นโหมด BR ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยในส่วนของความหลากหลายด่าน อาจยังเป็นข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของโหมดนี้ ในรอบทดสอบโหมด Arena มีด่านให้เล่นเพียง 3 ด่านเท่านั้น กล่าวคือความหลากหลายยังน้อยเกินไปหน่อยในตอนนี้ แต่ผู้พัฒนาได้สัญญาว่าจะมีการเพิ่มด่านใหม่ๆ เข้ามาให้เราเล่นด้วยอย่างแน่นอนอะไรคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชนะ? เนื่องจากรูปแบบการเล่นในโหมดนี้จะแตกต่างจาก BR พอสมควร ส่งผลให้วิธีเล่นให้ชนะแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน ในหัวข้อสุดท้ายนี้ผมจะขอพูดถึงสิ่งที่จะทำให้เพื่อนๆ ได้เปรียบในการเล่นแผนที่นี้ โดยจริงๆ มันเริ่มตั้งแต่ตอนเลือกตัวละครเลยครับ เพราะจะมี Legends อยู่ประมาณ 2 - 3 กลุ่มที่ถ้าหากว่าทีมมีแล้วจะทำให้ได้เปรียบพอสมควรกลุ่มตัวที่หาตำแหน่งอีกฝ่ายได้ (Bloodhound,  Crypto)แม้ว่าขนาดของแผนที่จะไม่ใหญ่มากในโหมดนี้ แต่ยังไงการหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ก่อนก็เป็นอะไรที่สร้างความได้เปรียบให้กับทีมได้มากๆ อยู่ดี โดยเฉพาะ Crypto ที่สามารถระเบิดเกราะของอีกฝ่ายได้ด้วย EMP ของเขา ส่วน Bloodhound ก็ใช้สกิลสแกนของเขาช่วยได้เยอะมากๆ เลยเช่นกัน เท่าที่ได้เล่นมา การมีสองตัวนี้ กับไม่มีทำให้เล่นยากกว่าพอสมควรเลย ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามหยิบให้มีทุกเกมไว้ครับ กลุ่มตัวที่ย้ายตำแหน่งได้เร็ว (Octane,  Bangalore,   Wraith, Pathfinder, Horizon, Valkyrie)ไม่ใช่ทุกครั้งที่เมื่อดวลปืนกันแล้วเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ควรหาที่หลบเพื่อเติมเลือด ดังนั้นการที่ตัวละครสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองได้เร็วๆ จึงมีผลช่วยสร้างความได้เปรียบเยอะมาก ทั้งจังหวะ Hit and Run และการปะทะแบบ Hard Engage ทำให้ตัวละครทั้ง 6 ที่ผมกล่าวมา จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับแนวหน้าของทีม ที่ต้องปะทะกับศัตรูตลอดเวลา ไม่ว่าจะในฐานะตัวล่อ หรือตัวทำดาเมจหลักกลุ่มตัวที่สร้างความวุ้นวายได้ (Caustic, Fuse) ยิ่งสร้างความวุ่นวายได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างจังหวะยิงแบบฟรีๆ ให้กับทีมได้มากเท่านั้น Caustic ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาก แต่อาจจำเป็นต้องทำความเข้าใจแผนที่ของโหมดก่อนจึงจะเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วน Fuse จะเก่งมากๆ ในโหมดนี้หากซื้อสกิลไม้ตายมา เนื่องจากสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูพร้อมกับบังสายตาได้ในเวลาเดียวกันอย่ามองข้ามระเบิดในโหมดนี้   เนื่องจาก Materials มีอย่างจำกัดในการซื้อปืนดีๆ มาใช้ ทำให้หลายคนอาจมองข้ามการซื้อระเบิดมาขว้างเพื่อสร้างความได้เปรียบเวลาปะทะ ซึ่งจริงๆ แล้วการซื้อปืนดีๆ หนึ่งกระบอก และไปรอเก็บอีกกระบอกจาก Air Drop เอา โดยเอาเงินที่เหลือไปซื้อยา กับระเบิด จะช่วยสร้างความได้เปรียบได้มากกว่าในจังหวะปะทะครับ ดังนั้นถ้าหาก Materials ผมอยากแนะนำให้ซื้อระเบิดติดตัวไว้ด้วย โดยเฉพาะกงจักรไฟฟ้า กับระเบิดไฟสุดท้ายยังไงโหมด Arena ก็เป็นโหมดที่เน้นปะทะ ไม่เน้นฟาร์มสุดท้ายจริงๆ แล้วสิ่งที่กำหนดว่าทีมไหนจะชนะก็คือฝีมือการยิงปืนของเพื่อนๆ เอง แม้ว่าตัวละครกับระเบิด จะช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายขึ้นจริง แต่มันก็ยังไม่เพียงจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายหมด หากยิงไม่โดนเลยครับ ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ทำให้เพื่อนๆ ชนะมากขึ้นสักเล็กน้อยผมก็ดีใจมากๆ แล้ว!
22 Apr 2021
รีวิวเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... เกม Action เนื้อเรื่องสุดดาร์ก แต่กลับงดงามและตราตรึง
จากความสำเร็จของ NieR:Automata เกมแนว Action Hack and Slash สุดมันส์จนทำให้แฟนเกมต่างพากันหลงรัก และนับตั้งแต่ปี 2017 เกมนี้ก็ทำยอดขายไปได้มากกว่า 5.5 ล้านชุด ทำให้เกมเมอร์หน้าใหม่ๆ ได้รู้จักเกมจากซีรีส์ NieR กันมากขึ้น รวมถึงคุณ Yoko Taro ผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์นี้ด้วย โดยเสน่ห์ของเกมซีรีส์ NieR ที่นอกจากเกมเพลย์บู๊แหลกสุดเร้าใจแล้วนั้น เนื้อเรื่องของตัวเกมก็ค่อนข้างที่จะน่าสนใจ และถูกเล่าขานถึงความยอดเยี่ยมกันมาปากต่อปาก แต่ถึงอย่างนั้นเกม NieR ภาคแรกในเวอรชันปี 2010 ถ้าจะให้กลับไปเล่นในตอนนี้มันก็อาจจะดูเก่าเกินไป และค่อนข้างหาเกมนี้เล่นยากแล้ว !! เนื่องจากตัวเกม NieR ภาคแรกนั้นวางจำหน่ายในปี 2010 บนเครื่อง PlayStation 3 นุ่นเลย ซึ่งทางผู้พัฒนาอย่าง Sqaure Enix เองก็คงจะรู้ในจุดนี้ พวกเขาเลยทำการ Remake เกม NieR เวอรชันแรกในสมัยปี 2010 อีกครั้ง มาลงให้กับเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox Seroes X/S เพื่อให้แฟนเกมทุกท่านได้สัมผัสถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของเกมซีรีส์ NieR ให้ท่านได้เข้าใจถึงความเป็นมา และสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนโลกจะล่มสลายในภาค Automata นั่นเอง ซึ่งเกมที่ว่าก็คือ NieR Replicant ver.1.22474487139...  ซึ่งพวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปลองเล่นเกมนี้มาเรียบร้อยและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่าเกมนี้มีจุดเด่น และจุดด้อยอะไร ควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ ? เรามาชมกันเลยครับเกร็ดน่ารู้ - จริงๆ แล้ว NieR เวอรชัน 2010 ที่เป็นเกมภาคแรกของซีรีส์ ทางผู้พัฒนาได้ผลิตเกมออกมา 2 เวอร์ชัน นั่นคือ NieR Replicant และ NieRGestalt โดยทั้งสองเวอร์ชันนี้จะมีเนื้อเรื่องที่เหมือนกัน เพียงแต่ภาค Replicant นั้นวางขายเฉพาะญี่ปุ่น ที่ตัวเอกจะเป็นหนุ่มวัยรุ่น ส่วนภาค Gestalt จะขายในประเทศอื่นๆ แต่ตัวเอกจะเป็นชายวัยกลางคนแทน ซึ่งในเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... เวอร์ชัน 2021 คือการนำเกม NieR: Replicant มา Remake เท่านั้นกราฟิก / การนำเสนอในด้านของกราฟิกของเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... นั้นได้ทำการยกกราฟิกใหม่ทั้งหมด ให้ภาพของเกมและโมเดลของตัวละครนั้นดูทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม รายละเอียด Effect ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าให้เดากราฟิกของเกมภาคนี้น่าจะเป็นตัวเดียวกันกับเกม NieR:Automata นั่นแหละ นอกจากนี้โทนสีของเกมเวอรชัน 2021 ยังมีการเปลี่ยนแปลงให้ดูเทาๆ น้ำเงินๆ ซึ่งเหมาะมากกับธีมและกลิ่นอายของเกมที่ดูหม่นๆ อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าให้เปรียบเทียบกับเกมในสมัยนี้ หรือแม้กระทั่งเกม NieR:Automata ที่ออกมาก่อน ตัวเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... ก็ยังมีกราฟิกที่ด้อยกว่าชัดจน คาดว่าทางผู้พัฒนาคงไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงให้มันต่างไปเกมเมื่อปี 2010 เยอะขนาดนั้น แต่เนื่องจากกราฟิกที่ไมไ่ด้สูง ทำให้ผู้เขียนสามารถเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 Pro ได้แบบ 1080p 60FPS ได้อย่างเฟรมเรทไม่ตกเพลงประกอบสุดยอดเยี่ยมและอีกหนึ่งอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเวอรชันแรกก็คงจะเป็นเรื่องดนตรีประกอบของเกม ที่ต้องยอมรับเลยว่ามันค่อนข้างไพเราะและเข้ากับบรรยากาศในโลกของ NieR เป็นอย่างมาก อย่างเช่นในบางฉากของเกมที่ดำเนินเรื่องในอารมณ์ที่เศร้าโศก ตัวดนตรีประกอบมันก็มาช่วยชูเรื่องราวของเกมให้ยิ่งเศร้ามากขึ้นไปอีก ปกติแล้วตัวผู้เขียนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยที่จะชอบฟังดนตรีประกอบเสียเท่าไร (บางเกมเลือกที่จะปิดเลย) แต่ต้องยอมรับว่า NieR Replicant ver.1.22474487139... เป็นเกมที่ผู้เขียนต้องหยุดฟังเพลงประกอบทุกครั้ง นอกจากนี้ถึงแม้เพลงประกอบจะยังใช้เพลงเดิมจากเวอร์ชันปี 2010 แต่ทางผู้พัฒนาก็ได้เอาไปเรียบเรียงใหม่ให้มันชัด กังวาล และทันสมัยมากขึ้นด้วยเนื้อเรื่องเรื่องราวของเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... เองก็จะเหมือนกับเกมเวอร์ชันต้นฉบับอย่างเดิมไม่มีผิดเพี๊ยนแต่อย่างใด จริงๆ ก็ขอบอกก่อนเลยว่า เนื้อเรื่องของเกมนี้ทางผู้เขียนอาจจะไม่สามารถอธิบายอะไรให้ท่านผู้อ่านได้มากนัก เพราะมันจะส่งผลต่อเนื้อเรื่องโดยรวม และจะสปอยส์ทุกท่านได้ ถึงแม้จะเป็นช่วงต้นของเกมก็เถอะ ซึ่งตัวผมเองสามารถพูดได้แค่ว่า เรื่องราวของเกมนี้จะเล่าเรื่องผ่านตัวละครเอกอย่าง NieR (หรือเราสามารถตั้งชื่อเองได้) ที่เขานั้นจะต้องหาวิธีช่วยเหลือน้องสาวของตนจากอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาด และชะตากรรมของเขาจะต้องเข้าไปพบเจอกับเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง และได้พบเจอกับเพื่อนร่วมทางมากมายที่แต่ละคนนั้นจะมีเรื่องราวภูมิหลังอันน่าเศร้าเป็นของตัวเองโดยอารมณ์ของเกมโดยรวมจะให้ความรู้สึกถึงความหม่นๆ เครียดๆ บรรยากาศชวนเศร้าโศก แต่ตัวเนื้อเรื่องก็ยังคงกลิ่นอายของเกมญี่ปุ่นที่มีการนำเสนอเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่าง NieR และ เพื่อนร่วมทาง มีการเกื้อหนุนกัน ถึงแม้ว่าชีวิตมันจะแย่ขนาดไหน !! แต่ก็ยังมีแสงแห่งความหวังอยู่เสมอ โดยเนื้อเรื่องของ NieR Replicant ver.1.22474487139... จะใช้เวลาเล่นอยู่ราวๆ 15 ชั่วโมงเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ ต้องบอกเลยว่าตัวเกมเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอยู่พอสมควร สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือสปีดในการต่อสู้ที่จะรวดเร็วขึ้นไม่เหมือนกับเกมสมัย PS3 ที่เวลาตีมันจะมีความหน่วยๆ สโลว์ๆ นิดหน่อย ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดของเครื่องในสมัยนั้นที่ไม่สามารถรีดประสิทธิภาพของเกมนี้ออกมาได้ รวมถึงตัวเกมเวอรชันใหม่นี้ยังรองรับ 60FPS มันก็ยิ่งทำให้เกมลื่นไหลมากขึ้นไปอีกแต่เอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของเกม NieR Replicant เลยก็คือระบบการใช้พลังจากกรีมัวร์ ที่จะมีความสามารถให้ใช้หลากหลายมาก เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นสกิล Dark Blast ซึ่งจะเป็นสกิลยิงลูกพลังงานใส่ศัตรู เหมาะสำหรับโจมตีศัตรูในระยะไกล หรือจะเป็นสกิลอย่าง Dark Whirlwind ที่จะสร้างดาบหมุนรอบตัวเรา เอาไว้ทำดาเมจใส่พวกศัตรูเป็นวงกว้างเวลาเราโดนรุมเป็นต้น นอกจากนี้ทั้งอาวุธและสกิลของเรายังสามารถใส่ของและอัพเกรดเพื่อเพิ่มความสามารถให้มันได้และจุดเด่นอีกอย่างของเกมก็คือ Boss แต่ละตัวค่อนข้างที่เอกลักษณ์เฉพาะมากๆ โดยแต่ละตัวจะมีความสามารถและมีรูปแบบในการโจมตีที่แตกต่างกันไป โดยเราจะต้องเรียนรู้และเลือกสกิลและอาวุธมาใช้ต่อกรกับศัตรูเหล่านั้นให้อย่างเหมาะสม บางตัวอาจจะต้องใช้สกิลโจมตีไกล หรือบางตัวไปฟันซึ่งๆ หน้าเลยจะดีกว่า รวมถึงถ้าหากเราต่อสู้กับศัตรูในจุดหนึ่ง เราจะสามารถโจมตีจุดอ่อนของศัตรูเพื่อทำดาเมจที่รุนแรงได้แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนด้วยว่าเกมเพลย์โดยรวมของ NieR Replicant ver.1.22474487139... มันก็ยังยึดโครงสร้างมาจากเกมเวอร์ชันปี 2010 ซึ่งมันอาจจะมีความโบราณอยู่พอสมควร ถ้าใครคิดว่าเกมนี้มันจะคอมโบมันๆ เหมือนเกม Hack and Slash ยุคใหม่ก็อาจจะต้องคิดใหม่เสีย !!ความรู้สึกต้องขอบอกก่อนว่าตัวผู้เขียนนั้นไม่ใช่แฟนซีรีส์ NieR แต่อย่างใด และก็ไม่ได้รู้เนื้อเรื่องของเกมเลย !! หลังจากที่ได้เล่นเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... ไปจนจบ เนื้อเรื่องของเกมนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 Part (แต่ขอไม่เล่าว่าเกี่ยวกับอะไร) ซึ่งต้องยอมรับเลยครับว่าในช่วงครึ่งแรกของเกมนั้น ตัวเกมค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควรเลยในด้านทั้งเนื้อเรื่องและก็เกมเพลย์ อาจจะเป็นไปได้ว่าในด้านเนื้อเรื่องช่วงต้น ตัวเกมจะพยายามให้เรานั้นค่อยๆ รู้จักตัวละครแต่ละตัวไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ให้เราได้ไปพบเจอกับเหล่าพวกพ้องในภารกิจต่างๆ ส่วนในด้านของเกมเพลย์เอง แรกๆ ความสามารถของตัวละครเราก็อาจจะยังมีไม่เยอะ เลยทำให้ความหลากหลายในการเล่นค่อนข้างน้อยแต่พอเราดำเนินเนื้อเรื่องมาถึงช่วง Part หลังของเกม (7-8 ชั่วโมงเป็นต้นไป) ตัวเนื้อเรื่องจะมีความเข้มข้นมากขึ้นถึงขนาดที่คุณไม่สามารถหยุดเล่นได้ เพราะอยากรู้ว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร !! นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องราวเบื้องลึกของบางตัวละคร หรือเราจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวโศกนาฏกรรมต่างๆ ด้วย และเราจะได้เจอกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึงในช่วงท้ายของเกมจนต้องยอมรับเลยว่า NieR Replicant ver.1.22474487139... ค่อนข้างเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาดเลยทีเดียว จากอาการเบื่อๆ ในช่วงต้น กลับกลายเป็นความรู้สึกสุดยอด รู้สึกถึงความ Epic ของเรื่องราว และทำให้อยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของโลกในเกมมากขึ้นส่วนในด้านเกมเพลย์ก็เหมือนกัน ในช่วงครึ่งหลังของเกม เราจะสามารถปลดล็อคสกิลความสามารถได้ครบแล้ว รวมถึงเราจะมีอาวุธใหม่ๆ มาให้ใช้ด้วย ซึ่งมันทำให้ความน่าเบื่อในช่วงแรกหายไปหมด จากตอนแรกที่รู้สึกว่าเกมมันค่อนข้างโบราณ มีคอมโบสกิลเดิมๆ พอได้เล่นช่วงครึ่งหลังความรู้สึกเหล่านั้นได้หายไปหมดสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผู้เขียนบอกไปข้างต้นว่าระบบการต่อสู้มันโบราณ มันก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่พอในครึ่งหลังมันดีขึ้นแค่นั้นเองสรุปสรุปโดยรวมแล้ว NieR Replicant ver.1.22474487139... เป็นเกม Action Hack and Slash ที่มีจุดเด่นในเรื่องของเนื้อเรื่องที่ดีงามมากๆ ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างทำได้ดีกว่าภาค Automata เสียอีก และเกมอื่นๆ แนวเดียวกันที่ออกมาในช่วง 2-3 ปีมานี้เลยทีเดียว แต่ในด้านเกมเพลย์ก็ต้องยอมรับว่ามันก็อาจจะด้อยกว่าเกมอื่นๆ ในแนวเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าโครงสร้างของเกมเพลย์มันก็ไม่ได้ดีมาตั้งแต่สมัยเครื่อง PS3 แล้ว คนที่ซื้อเกมนี้มาเพื่อเกมเพลย์ล้วนๆ ก็อาจจะต้องผิดหวังหน่อยๆ (โดยรวมไม่ได้แย่นะ) แต่ใครที่ซื้อเกมนี้มาเพื่อเสพเนื้อเรื่อง และบรรยากาศ ต้องบอกเลยว่า NieR Replicant ver.1.22474487139... จะมอบประสบการณ์นี้ให้คุณอย่างเต็มที่ และหาไม่ได้จากเกมซีรีส์ไหนอีกด้วย 
21 Apr 2021
รีวิว Outriders : เมื่อความหวังสุดท้ายของมนุษย์ คือดาวมรณะที่มีแต่การฆ่าฟัน
วางจำหน่ายมาได้หลายวันแล้วสำหรับเกม Looter Shooter ใหม่จากทาง People Can Fly และ Square Enix ที่เรื่องราวถูกเซ็ตให้อยู่ในดวงดาวที่ห่างไกลออกไปในจักรวาล ผู้เล่นรับบทเป็นทหารผู้มีพลังพิเศษ ออกสำรวจดวงดาวดังกล่าวด้วยความหวังที่มันจะได้กลายเป็นบ้านหลังใหม่ของมนุษย์ตัวเกมใช้มุมมองแบบ TPS สามารถเล่นแบบ Co-Op ได้ ตัวผมเองมีโอกาสได้เล่นเกมนี้ไปหลายสิบชั่วโมงแล้วตลอด อาทิตย์ที่ผ่านมา และอยากมาแชร์ประสบการณ์ทั้งดี และร้ายซึ่งได้รับจากเกม Outriders ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever TH ได้อ่านกัน ถ้าหากพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยโลกได้ตายไปแล้วเรื่องราวของ Outridders เริ่มต้นในวันที่โลกได้พังทลายลง โดยฝีมือของมนุษย์เอง เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ไม่ให้หายไป จึงจำเป็นต้องละทิ้งดาวบ้านเกิดออกเดินทางสู่อวกาศเพื่อตามหาบ้านหลังใหม่ 83 ปีผ่านไป มนุษย์ได้พบกับความหวังสุกท้าย  'Enoch' คือชื่อของดาวดวงนั้น ทีมสำรวจแรกได้ถูกส่งลงไปยังดาวดวงนี้ การสำรวจเป็นไปด้วยดีในช่วงแรก ความฝันที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตบนแรงดึงดูดของมนุษย์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ทีมสำรวจหนึ่งจะได้พบกับพายุสายฟ้าปริศนาที่ทำให้ร่างกายของคนที่โดนสูญสลายไปในอากาศอย่างน่าใจหาย ทีมสำรวจดังกล่าวพยายามกลับไปรายงานที่จุดลงจอดแรก เพื่อยับยั้งโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างมันสายไป สิ่งที่มนุษยชาติทำได้ คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของดาวมรณะแห่งนี้แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่โดนสายฟ้าดังกล่าวจะตายอย่างโหดร้าย แต่ก็มีคนที่ได้รับพลังเหนือมนุษย์มาจากสายฟ้าดังกล่าวด้วยเหมือนกัน คนเหล่านี้เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย และถูกเรียกว่า 'Altered' ซึ่งนั้นคือบทบาทของเราในเกมนี้ครับกราฟิกที่อาจไม่ได้สวยเท่าเกม PS5 อื่นๆผมมีโอกาสได้เล่นเกมนี้ด้วยกราฟิกระดับ High ผ่านเครื่อง PC ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าเอาแค่เรื่องความสวยของแสง ความละเอียดของพื้นผิว เอฟเฟคระเบิด และอื่นๆ เกมนี้ถือว่ายังสวยน้อยกว่าเกมที่ลงให้ PS5 อยู่นิดหน่อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเกมนี้เริ่มพัฒนาครั้งแรกตั้งแต่ 6 ปีก่อนเลยทำให้ได้ภาพไม่สวยเท่าเกมในยุคหลังๆ ครับที่นี่มาพูดถึงโลกของเกมบ้าง ต้องบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ไม่ได้เป็นแบบ Open World ตัวเกมใช้แผนที่แบบ Sandbox ที่จำกัดขอบเขตการสำรวจให้มีขนาดเล็ก และเอามันมาต่อกันให้เป็นฉากหนึ่งฉาก จุดที่น่ารำคาญก็คือ การเดินทางระหว่างแผนที่เล็กๆ นี้จำเป็นต้องโหลดทุกครั้ง กระทั่งเส้นทางถูกปิดด้วยต้นไม้ที่ล้มอยู่ ก็ยังใช้การโหลดข้ามฉาก โดยฉาย Cutscene ที่ตัวละครเรายกต้นไม่ขึ้นลงแทน  (มีการใช้ Fade Out และ Fade In) ทั้งที่ใช้มุมกล้องในเกมในการเล่าเรื่องตรงจุดนี้ก็ได้ครับเหตุผลที่ผู้พัฒนาจำเป็นต้องทำแบบนี้ เป็นเพราะตัวเกมไม่มี Dedicated Server เนื่องจากปัญหาเงินทุน แต่ด้วยความที่เกมนี้มีระบบ Co-Op ผู้พัฒนาจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถสนุกไปด้วยกันได้ต่อให้ไม่มี Dedicated Server ครับ โลกที่เปลี่ยนแปลงไปตามการตัดสินใจของผู้เล่นหนึ่งในจุดที่ผมประทับใจมากสำหรับเกมนี้ คือการที่โลกของเกม จะเปลี่ยนแปลงไปตามเควสที่ทำ หรือเนื้อเรื่องด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เควสให้ผมไปกำจัดกลุ่มโจรเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งในเขตแรกของเกม ซึ่งตอนแรกบริเวณรอบๆ จะมีพวกกลุ่มเสื้อแดงเดินกร่างทำร้าย NPC อื่นไปทั่ว แต่พอผ่านเควสดังกล่าวแล้ว พอกลับไปที่เขตดังกล่าวอีกครั้ง ก็พบกับ NPC กลุ่มอื่นที่กำลังจับพวกกลุ่มเสื้อแดงมาลงโทษอยู่ และไม่เห็นกลุ่มโจรดังกล่าวเดินกร่างไปทั่วในเขตนี้อีกเลยอีกหนึ่งเควสที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเช่นกันมีชื่อว่า 'Bad Day' ที่ให้เราไปบุกไปยังรังโจรลักพาตัวแห่งหนึ่งที่ไปฆ่า NPC คุณลุงคนหนึ่งที่เรากำลังคุยด้วยอยู่ เมื่อไปถึงจะได้พบกับลูกสาว หรือหลานสาวของลุงคนนั้น เมื่อช่วยเธอออกมาได้ เธอจะกลายเป็นแม่ค้าขายอาวุธคุณภาพสูงให้กับเราภายในเขต Rift Town ส่งผลให้การทำเควสรองดูน่าสนใจขึ้นเป็นอย่างมากในเกมนี้ และหลายๆ เควสก็แต่งเนื้อเรื่องมาได้ดี ไม่แพ้เนื้อเรื่องหลักของเกมเลยก่อนทำเควสหลังทำเควสจังหวะต่อสู้ดุดัน เร็ว และมัน   ถ้าหากบอกว่า Outriders คือเกมที่มีจังหวะต่อสู้สนุกเป็นอันต้นๆ ในเกม Looter Shooter ด้วยกัน อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อยด้วย 5 ปัจจัยด้วยกัน, ใช้มุมมอง TPS ทำให้มองเห็นรอบข้างได้ง่ายมีความเร็วในการต่อสู้สูงมากศัตรูที่มักจะมาในปริมาณเยอะมาก การที่ตัวละครเรามีพลังพิเศษต่างๆ มีกระสุนให้ใช้แบบเหลือเฟือกล่าวคือทุกๆ การต่อสู้ เราจะต้องเล่นแบบ 1 Vs 20 โดยที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องกระสุนหมดมากนัก ทำให้โจมตีอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ใช้ความสามารถพิเศษอย่างการวาป หยุดเวลา เอาหินมาทำเป็นเกราะ ใช้ไฟโจมตีเพื่อดังความสนใจ หรือตั้งป้อมปืนขึ้นมายิง เพื่อสร้างความได้เปรียบ และมองหาที่กำบังสำหรับหลบกระสุนจำนวนมากที่ลอยมาไปพร้อมๆ กัน World Tier ถือเป็นอีกหนึ่งระบบที่ช่วยเสริมความสนุกให้กับการต่อสู้ของเกม โดยระบบนี้จะเพิ่มความยากของศัตรูที่เราพบมากขึ้นตามระดับที่ตั้งไว้ ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งยากเท่าไหร่ก็ยิ่งดรอปของที่ดีมากขึ้นเท่านั้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้จำเป็นต้องตื่นตัวมองหาวิธีเอาตัวรอดอย่างใจเย็นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ส่งผลให้การต่อสู้ที่ระทึกมากๆ อยู่แล้ว ระทึกมากขึ้นไปอีก ถือว่า People Can Fly ทำส่วนนี้ออกมาได้ดีจริงๆFPS ที่นิ่งจนน่าตกใจ (กราฟิกระดับ High บน PC)ย้อนกลับไปประมาณวันที่ 2 เมษายน 2021 มีรายงานมากมายกล่าวถึงปัญหา FPS ตกอย่างไม่ทราบสาเหตุบน PC ซึ่งตัวผมเองกลับไม่เคยเจอปัญหานี้เกิดขึ้นกับตัวเองเลย ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าผู้เล่นหลายคนไม่ได้ทำการอัปเดต Driver การ์ดจอ จนทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ตัวผมเองพบว่าเกมนี้ถือว่าทำ FPS ได้นิ่งมากๆ ยิ่งเป็นเกมที่จังหวะต่อสู้เร็วมากๆ บวกกับเอฟเฟคระดับระเบิดภูเขา เผากระท่อมด้วยแล้ว ถือว่าน่าแปลกใจมากๆ จริงครับไม่แน่ใจเหมือนกันว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เกมจำเป็นต้องโหลดเวลาเข้าฉากตลอดเวลา จนทำให้ลดภาระของ Hardware ลงไปได้ด้วยรึเปล่าที่ทำให้ FPS ของเกมนิ่งมากๆ แม้จะเล่นบนเครื่อง PC ที่ไม่แรงมากครับ และการมี FPS ที่นิ่งๆ อย่างไม่ต้องสงสัยทำให้ประสบการณ์ของเราที่ได้ดีขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย ต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาทำออกมาได้ดีจริงๆ ในส่วนนี้ครับระบบสกิลที่สมกับคำว่า RPGอย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าตัวละครของเราในเกมนี้จะสามารถใช้พลังพิเศษได้ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 คลาสคือDevastator ที่ควบคุมหินPyromancer ที่ใช้ไฟTrickster: ที่ควบคุมเวลาTechnomancer ที่เสริมความสามารถให้กับอุปกรณ์ที่นี่แต่ละคลาสจะมีสายสกิลให้อัพแบ่งออกเป็นอีกคลาสละ 3 สาย ยกตัวอย่างเช่น Trickster จะแบ่งออกเป็นAssassin ที่เน้นเสริมความสามารถให้กับอาวุธระยะใกล้Harbinger ที่เสริมความสามารถในการเอาตัวรอดReaver ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับสกิลกดใช้ของคลาสส่งผลให้รูปแบบการเล่นของแต่ละคลาสในเกมนี้จะหลากหลายมาก ผู้เล่นสามารถเลือกคลาสที่ชอบ และอัพสกิลให้เหมาะสมกับสไตล์การเล่นตัวเองได้เลยคอนเทนต์โดยรวม 50 - 70 ชั่วโมง แต่ End Game ยังน่าเบื่อไปหน่อยถ้าเอาแค่เนื้อเรื่องจบคิดว่าคงประมาณ 20 ชั่ว ถ้าหากทำเควสรองทั้งหมดด้วยก็คง 50 - 70 ชั่วโมง ซึ่งเอาจริงๆ ดูไม่ใช่ตัวเลขที่แน่เท่าไหร่ แต่ส่วนตัวสำหรับผมเกมนี้ยังทำคอนเทนต์ End Game ได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ หลังจากที่เล่นเกมนี้จนจบเนื้อเรื่องแล้ว ผู้เล่นจะถูกแนะนำให้รู้จักระบบ Expeditions ที่มีด่านมาให้เราเลือกเล่นมากมาย แต่ทุกด่านจะมาในแพทเทิร์นเดียวกัน คือฝ่าฝูงศัตรูจำนวนมากเพื่อไปปราบบอส รับของรางวัลมาอัพเกรดตัวละครให้เก่งขึ้น นี้คือทั้งหมดของ End Game กล่าวถือเป็นรูปแบบฟาร์มมาราธอนนั่นเองส่วนตัวผมคิดว่าขาดคอนเทนต์ความท้าทายสูงๆ แบบ Raid ของ Destiny หรือดันเจี้ยนที่ยากมากๆ จนต้องอาศัยความร่วมมือของคนในปาร์ตีเพื่อผ่านให้ได้ ถ้าหากว่า Outriders มีคอนเทนต์แบบนี้อยู่ด้วย คิดว่าจะควรค่าให้เล่นต่อมากปัจจุบันครับOutriders ถือเป็นเกมที่ดี ตลอดเวลาหลายสิบชั่วโมงที่ได้เล่นเกมนี้ ตัวผมเองก็สนุกไปกับมันพอสมควร แต่ตัวเกมยังมีอีกหลายจุดที่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ ผู้พัฒนาเคยกล่าวว่าจะปรับปรุงเกมนี้ให้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความคิดเห็นของผู้เล่น รวมถึงจะมีการเพิ่มคอนเทนต์เข้ามาให้ทำมากกว่าในอนาคตด้วย แม้ตอนนี้ Outriders ยังไม่ใช้เกมยอดเยี่ยมที่ควรหามาเล่นสักครั้ง แต่ไม่แน่ว่าหลังจากอัพแพจตช์อีก 3 - 5 ครั้ง เกมนี้อาจจะกลายเป็นผลงานโบลแดงที่ควรหามาเล่นสักครั้งเลยก็เป็นได้ครับ ยังไงทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดเห็นของผมเท่านั้น เพื่อนๆ คิดเห็นยังไงสามารถพูดคุยกันได้ครับ
08 Apr 2021
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter: Rise ‘ตำนานนินจา ขี่หมาไปล่าแย้’
แม้จะเป็นซีรีส์เกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PlayStation 2 แต่เกมซีรีส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้ไม่กว้างขวางนัก ด้วยระบบเกมเพลย์อันท้าทายและซับซ้อน แถมเกมภาคหลังๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมักจะเน้นวางจำหน่ายบนคอนโซลพกพาอย่าง PSP หรือ Nintendo 3DS มากกว่าคอนโซลสายหลักๆ ด้วย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของ Monster Hunter: World บนเครื่อง PlayStation และ Xbox (และ PC) ที่สามารถปรับปรุงระบบเกมเพลย์สูตรสำเร็จของซีรีส์ให้กลมกล่อมย่อยง่าย จนสามารถผลักดันเกมซีรีส์ Monster Hunter เข้าสู่อ้อมใจของเกมเมอร์กระแสหลักทั่วไปได้ในระดับที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คน ด้วยประการทั้งหมดที่ว่าไป แน่นอนว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ย่อมต้องคาดหวังกับภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise ไม่ต่างกัน แต่ในขณะที่เกมเมอร์นักล่าแย้รุ่นเก๋าๆ อาจจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเกมซีรีส์ยอดรักของพวกเขาหวนคืนสู่คอนโซลพกพาอันเป็นภาพจำหลักของซีรีส์ นักล่าแย้รุ่นใหม่ๆ หลายคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าการวางจำหน่ายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่มีพลังน้อยกว่า จะเป็นการก้าวถอยหลังของซีรีส์หรือไม่หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกมมามากกว่า 50 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่วางจำหน่าย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมภาค Rise อาจจะเป็นเกมที่ “เล็ก” กว่า World อย่างช่วยไม่ได้เพื่อรองรับคอนโซล Switch แต่ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Monster Hunter: Rise ก็ยังคงเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ล่าแย้ยอดฮิต ที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้เล่นเก่าและใหม่ของซีรีส์ได้ไม่ต่างกัน ด้วยการผสมผสานจุดปรับปรุงเกมเพลย์ของภาค World เข้ากับแนวทางแบบคลาสสิคของเกม Monster Hunter ภาคที่ผ่านๆ มา แถมยังเพิ่มระบบเกมเพลย์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอีกมากมาย จนทำให้เกมภาค Rise ถือเป็นและเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอเกมแอคชั่นที่มีเครื่อง Nintendo Switch ทุกคนด้วยประการทั้งปวง และเป็นการคืนสู่ภาพจำอันคลาสสิคของซีรีส์ในฐานะเกมพกพาอีกด้วยเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter: Rise จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักล่าแย้หน้าใหม่ไฟแรง ที่จะต้องออกต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์อันหน้าเกรงขามชนิดต่างๆ เพื่อปกป่องบ้านเกิด Kamura Village จากการรุกรานของพวกมัน อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ปริศนาที่เรียกว่า ‘The Rampage’ และสืบหาเบื้องหลังของปรากฏการณ์นั้นเพื่อยับยั้งมันให้ได้ในที่สุดเช่นเดียวกับในเกม Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกมเท่าไหร่นัก และเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียง “แรงขับ” ให้ผู้เล่นพอมีเหตุผลในการออกไปล่าเหล่าแย้น้อยใหญ่ทั้งหลายซะมากกว่า แม้ว่าเกมภาค Rise จะพยายามประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเรื่องเดียว แถมยังเพิ่มอรรถรสด้วยการใส่เสียงพากย์และตัวละครเด่นๆ เข้าไปมากมายก็ตามทีที่สำคัญ ผู้พัฒนาเองก็น่าจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องคงไม่ใช่จุดขายสำคัญของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Rise ค่อนข้างสั้นมากๆ (เล่นจบได้ในเวลาไม่ถึง 15 ชั่วโมง) และมีความเชื่อมโยงกับเกมเพลย์น้อยกว่าในภาค World อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อเสียหนึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการติดตามเนื้อเรื่องกราฟิก/การนำเสนอหากมองดูผิวเผิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Monster Hunter: Rise มีความละเอียดในด้านกราฟิกน้อยกว่าเกมภาค World อย่างแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเกมในเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว (ยิ่งเล่นโหมดพกพายิ่งเห็นชัด) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะภาพไม่สวยไปเลย เพราะก็ยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกตัวเดียวกับ Monster Hunter: World ซึ่งแสดงผลอนิเมชั่นต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการต่อสู้ของตัวละครผู้เล่นและ NPC ต่างๆ ไปจนถึงเหล่าแย้หลากหลายชนิดที่พบได้ในเกม ยิ่งเมื่อเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดและรวดเร็วยิ่งขึ้นของเกมภาคนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่สังเกติเลยด้วยซ้ำองค์ประกอบสัคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกราฟิกในเกมอีกอย่างคือเรื่องของการออกแบบศิลป์ (Art Direction) สไตล์ญี่ปุ่นของเกม ที่สามารถสร้างบรรยากาศและชีวิตชีวาให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน Kamura Village หรือในด่านการล่าแย้อันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลทราย หรือภูเขาไฟก็ตามที และแม้ว่าฉากนอกหมู่บ้านต่างๆ จะมีขนาดเล็กกว่าในภาค World พอสมควร แต่ด้วยระยะการมองเห็น (Draw Distance) อันกว้างใหญ่ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงความเล็กที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก การออกแบบศิลป์อันยอดเยี่ยมยังส่งผลถึงเหล่าอาวุธชุดเกราะในเกมด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นจุดดึงดูดใหญ่ๆ ข้อหนึ่งของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นอยากจะออกไปล่าแย้เพื่อนำวัตถุดิบกลับมาสร้างของสวมใส่เท่ๆ เหล่านี้ในฝั่งของ Performance นั้น Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้ว่าเฟรมเรตของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่เพียง 30 FPS เท่านั้น แต่ก็เป็น 30 FPS ที่เสถียรแทบจะตลอดเวลา กระทั่งในจังหวะการเล่น Multiplayer ที่มีผู้เล่น 4 วิ่งไปมาพร้อมกัน แถมเกมยังมีหน้าจอการโหลดน้อยมากๆ และต่อให้โหลดก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 5-10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมเป็นไปอย่างลื่นไหลทันใจยิ่งกว่าในภาค World อีกเกมเพลย์ถ้ามองในภาพกว้าง วงจรเกมเพลย์ของ Monster Hunter: Rise ก็ไม่ได้แตกต่างจากสูตรสำเร็จของเกมล่าแย้ทุกภาคที่ผ่านมา ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้อาวุธ 1 ใน 14 ชนิดในการออกไปต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์หลากหลายชนิด เพื่อเก็บวัตถุดิบที่ได้จากพวกมันมาสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อออกไปรับมือกับแย้ที่ร้ายกาจขึ้นวนๆ กันไป โดยการต่อสู้ในภาค Rise ดูจะต่อยอดมาจากภาค World ทำให้ยังคงมีความคล่องแคล่วในแง่ของการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคอื่นๆ แต่ในภาค Rise ได้มีการเพิ่มระบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้าไปหลายอย่างที่ทำให้การออกล่าแต่ละครั้งรู้สึกดุเดือดเร้าใจและหลากหลายยิ่งกว่าในภาค World เสียอีกองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญที่สุดในฝั่งของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้และการสำรวจ คงหนีไม่พ้นเหล่าแมลง Wire Bug ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อจังหวะจะโคนในการล่าแย้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกหรือหาช่องว่างในการโจมตีได้มากกว่าในภาค World ที่ผู้เล่นมักจะต้องรอให้เหล่ามอนส์เตอร์เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ซะเอง แถมผู้เล่นยังสามารถใช้เหล่าแมลงพวกนี้ในการห้อยโหนและดึงตัวเองให้พุ่งไปในอากาศได้อย่างอิสระ ทำให้การสำรวจแผนที่ต่างๆ เพื่อหาความลับหรือเก็บทรัพยากรณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเมื่อฝึกใช้ควบคู่กับระบบการปีนป่ายกำแพงที่เพิ่มเข้ามาใหม่จนคล่องนี่แทบจะเหมือนเล่นเกมไอ้แมงมุมอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ความคล่องที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นก็ทำให้ผู้พัฒนาสามารถปรับให้เหล่ามอนส์เตอร์มีความดุดันและว่องไวมากขึ้นกว่าภาค World ไปด้วย แถมยังมีท่าโจมตีบางท่าที่จำเป็นต้องใช้ระบบ Wire Bug ในการหลบหลีกอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกลัวว่าเกมจะหมดความท้าทายไปซะเลยเหล่าแมลง Wire Bugs ยังมอบความสามารถชนิดใหม่ที่เรียกว่า Silkbind Moves เข้ามา เปรียบเสมือนท่าพิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เล่นตั้งแต่การป้องกัน หลบหลีก หรือกระทั่งใช้โจมตีมอนส์เตอร์โดยตรงก็ยังได้ โดยอาวุธทั้ง 14 ชนิดจะมี Silkbind Moves ของตัวเองที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาวุธยอดนิยมอย่างดาบยาว (Long Sword) ที่สามารถใช้ท่า Soaring Kick เพื่อถีบตัวให้ลอยขึ้นไปและต่อเข้าท่าทิ้งตัวผ่ากบาลมอนส์เตอร์ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นท่า Sakura Slash เพื่อพุ่งตัวเป็นทางตรงผ่านศัตรูและสร้างความเสียหายหลายครั้งเป็นต้นผู้เล่นยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าโจมตีในคอมโบธรรมดาของอาวุธด้วยระบบ Switch Skills ได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้วิธีการเล่นอาวุธโดยรวมเปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอาวุธ Gunlance ที่สามารถสลับเอาท่าชาร์จกระสุน (Charged Shells) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นท่า Blast Dash ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวโดยใช้หอกแทนไอพ่นได้ เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มอิสระในการสร้างแนวทางการเล่นเฉพาะตัวให้กับเหล่านักล่าแต่ละคน เพราะต่อให้เล่นอาวุธแบบเดียวกัน แต่ถ้าเลือกใช้ท่า Switch Skills ไม่เหมือนกันก็อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยก็ได้เช่นกันอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือเหล่าน้องหมา Palamute ที่จะสามารถติดสอยห้อยตามเราไปทำภารกิจนอกหมู่บ้านได้ควบคู่ไปกับน้องเหมียว Palico ของเรา โดยจุดเด่นของเหล่า Palamute คือการที่เราสามารถขึ้นขี่พวกมันเพื่อเดินทางไปมาในแผนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสีย Stamina (ค่าความอึด) แถมมันยังช่วยเราต่อสู้กับเหล่าแย้ได้อีกด้วย ซึ่งการที่เกมเปิดให้เราสามารถพกเพื่อนเข้าไปในด่านได้พร้อมกันทีละ 2 ตัวตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ภาค Rise มีความเป็นมิตรสำหรับคนที่เล่นคนเดียวมากขึ้น เพราะบางครั้งเหล่าเพื่อนสัตว์ของเราก็จะช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้เรามีจังหวะได้พักหายใจอยู่บ้างทั้งนี้ ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม Rise จะเป็นข้อดีไปซะหมด โดยในความเห็นของผู้เขียน Monster Hunter: Rise ได้ลดทอนความสำคัญของการสำรวจแผนที่ลงไปอย่างมาก จากการที่เกมจะบอกตำแหน่งของเหล่าแย้ทุกตัวทันทีที่เริ่มด่าน แทนที่จะให้ผู้เล่นต้องตามหารอยเท้าของมอนส์เตอร์ซะก่อนเหมือนในภาค World โดยแม้ว่าบางคนอาจจะมองเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งหามอนส์เตอร์ โดดลงมาถึงก็ซัดกันได้เลย แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่จะสำรวจแผนที่ขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่า “ผูกพันธ์” กับสถานที่หรือโลกของเกมน้อยกว่าในภาค World และอาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของแต่ละด่านเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พัฒนาดูจะถอดระบบการเอาตัวรอดในเกมออกไปหมดเลย อย่างในภาค World เราอาจจะต้องพกยาชนิดต่างๆ เข้าไปเพื่อรับมือกับสภาพอากาศหนาวหรือร้อนในด่าน แต่ในภาคนี้เรากลับสามารถต่อสู้กัยมอนส์เตอร์ในถ้ำลาวาได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร ซึ่งก็ทำให้ตัวตนของแต่ละด่านรู้สึกเจือจางลงไปเหมือนกันสรุปแม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยจากประสิทธิภาพที่น้อยกว่าของเครื่อง Nintendo Switch เมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง World แต่ Monster Hunter: Rise ก็ทดแทนส่วนที่ขาดไปด้วยระบบเกมเพลย์หลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึก “เข้าถึงง่าย” สำหรับผู้เล่นใหม่มากขึ้น แถมยังมีการใส่ระบบจากภาคเก่าๆ เช่นระบบสกิลเกราะ (Armor Skill) แบบเก่าที่เปลี่ยนไปในภาค World ซึ่งก็น่าถูกใจเหล่านักล่าแย้ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่แพ้กัน ใครที่มีเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว และอยากลองลิ้มรสซีรีส์เกมสุดอมตะนี้ รับรองว่า Monster Hunter: Rise จะไม่ทำให้คุณผิดหวังว่าแน่นอน
30 Mar 2021
รีวิว Open Beta Magic Legends : ท่องจักรวาลเกมการ์ดในตำนานฉบับ Action RPG
เปิดให้เล่นรอบ Open Beta บน PC แล้ววันนี้สำหรับเกม MMORPG ใหม่จากทาง Perfect Worlds อย่าง Magic Legends โดยได้แรงบันดาลมาจากการ์ดเกม Magic the Gathering ผสมผสานเกมเพลย์แบบ Diablo และ Deck Building เกมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เป็นหนึ่งในผลงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ น่าจับตามองตัวหนึ่งของปี 2021ตัวผมเองเป็นคนที่เล่นการ์ดเกม Magic the Gathering อยู่แล้ว ทั้งยังเป็นคนที่ชอบเล่นเกมแนวเดียวกันอย่าง Diablo และ Path of Exile การที่ได้เห็นลูกผสมระหว่างสิ่งที่เราชอบ เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้สัมผัสเกมนี้ ซึ่งหลังจากที่มีโอกาสได้เล่นไปหลายชั่วโมง พบว่า Magic Legends ถือเป็นผลงานที่ยังหยาบอยู่ แต่มี Potential ที่จะเป็นผลงานยอดเยี่ยมได้อยู่หากผู้พัฒนาใส่ใจกับมัน ส่วนว่าเกมนี้มีดีตรงจุดไหน และอะไรคือข้อเสียในตอนนี้ มาดูกันเลยครับ! ว่าด้วยเนื้อเรื่องด้วยความที่ Magic Legends เป็นเกม MMORPG ที่ดึงเอาตัวละครจากการ์ดเกม Magic The Gathering มาใช้ ชื่อของสถานที่ กับ NPC ส่วนใหญ่จึงนำมาจากการ์ดเกมด้วย โดยเราจะได้สร้างจอมเวทที่มีความสามารถในการเดินทางไปยังโลกต่างๆ ซึ่งในเกมเรียกว่า PlaneWalker ออกเดินทางไปยังดินแดน 5 ประกอบด้วย Tazeem แดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้, Shiv เกาะแห่งภูเขาไฟ, Gavony ดินแดนของที่มนุษย์ต่อสู้กับมนุษย์หมาป่า, Tolaria เกาะที่ตั้งของโรงเรียนเวทมนตร์ และ Benalia ดินแดนแห่งสงคราม เนื้อเรื่องของเกมส่วนใหญ่จะกล่าวถึงเหตุผลที่เราต้องเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ และแก้ปัญหาร้อยแปดที่ชาวเมืองมักจะมีให้ ในรูปแบบของเควสต่างๆ อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของเกมส่วนใหญ่ถูกแต่งใหม่ และเล่าให้เข้าใจง่าย ดังนั้นต่อให้ไม่เคยเล่น Magic The Gathering หรือรู้จักการ์ดมาก่อนเลย เพื่อนๆ ก็น่าจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องได้ไม่ยากครับกราฟิกสวยงามหรือไม่ ?ในเรื่องของกราฟิก ก่อนอื่นขอยอมรับว่ารายละเอียดของ Texture เรียกได้ว่าทำออกมาดีจริงๆ ถึงจะปรับกราฟิกเป็นระดับต่ำสุดก็ยังเห็นได้ชัดเลยว่า พื้นผิวมีรายละเอียดที่คมชัดมากๆ สิ่งที่แตกต่างจริงๆ ระหว่างกราฟิกระดับ Low ไปจนถึง Ultra เห็นจะเป็นเรื่องของ แสง / เงา ที่ละเอียดมากขึ้น ดังนั้นต่อให้ PC ของเพื่อนๆ ไม่ได้แรงอะไร ก็น่าจะสามารถเล่นเกมนี้ได้สบายๆ ครับด้วยความที่เกมนี้เป็นเรื่องราวของเหล่าจอมเวท การโจมตีส่วนใหญ่ของผู้เล่นก็มักจะเป็นการใช้เวทมนตร์ ซึ่งเอฟเฟคของเวทต่างๆ ที่เราใช้ ก็มีปริมาณเอฟเฟกต์กำลังดีไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือได้อารมณ์การได้เป็นจอมเวทจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเกะกะจนเกินไปครับโลกของเกมเป็นยังไง ?Magic Legend เป็นเกมแบบ Open World ที่ดินแดนทั้ง 5 จะมี Free Field ที่เชื่อมต่อกับทางเขาดันเจี้ยน กับเขตเมืองเข้าหากัน ซึ่งเราจะสามารถพบกับผู้เล่นคนอื่นคุยกับ NPC ,เดินสำรวจโลก, และสู้กับมอนสเตอร์ได้ในเขตเหล่านี้ ได้อารมณ์ของเกม MMORPG โดย Field ของแต่ละดินแดนจะมีขนาดใหญ่พอสมควร นอกจากนี้ตามจุดต่างๆ บางทีจะมีอีเวนต์ขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาให้ทำ ถ้าหากเข้าร่วมก็จะได้รับไอเทม กับค่าประสบการณ์เป็นของรางวัล ให้ความรู้สึกว่าได้ออกผจญภัยไปอยู่จริงๆ น่าเสียดายที่เวลาอีเวนต์เหล่านี้เริ่มขึ้นจะไม่มีการบอกผ่านแผนที่เลย โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าหากทำให้มีประกาศขึ้นมาบนแผนที่ด้วยจะสามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่กว่า เนื่องจากสามารถใส่ไอเทมแรร์ที่หาจากอีเวนต์เหล่านี้เข้าไปในเกมได้ด้วย แต่ก็ถือว่าหยิบองค์ประกอบที่ดีของเกม MMORPG ชั้นนำมาใช้งานได้เป็นอย่างดีจุดที่น่าเสียดายเห็นจะเป็นเรื่องของความหลากหลายของมอนสเตอร์ที่พบได้ในเขต Free Field ที่มีความหลากหลายน้อย และความชุกชุมที่ต่ำเกินไป จนบางครั้งการเดินทางในเขต Field ก็ดูจะน่าเบื่อไปหน่อย เพระาไม่ค่อยพบกับมอนสเตอร์แปลกๆ ให้ตีเล่นตามทาง ในเรื่องของลูกเล่นตามแผ่นที่ นอกจากอีเวนต์ที่มีโอกาสเกิดตามจุดต่างๆ แล้ว ก็ไม่มีลูกเล่นอย่างอื่นเลย จุดนี้แอบน่าเสียดายนิดหน่อยครับเจาะลึกการระบบต่อสู้ของเกมรูปแบบการต่อสู้ของเกมนี้จะแตกต่างกับ Hack & Slash อื่นตรงที่ว่า เราจะไม่สามารถเลือกใช้สกิลได้ตามใจชอบ แต่จะสุ่มออกมา 4 จากการ์ด 10 ใบ ที่เราจัดไว้ (โดยการ์ดก็ดราอปจากมอนสเตอร์อะแหละ) ดังนั้นการโจมตีของตัวละครเราจะหลากหลายพอสมควร เนื่องจากจำเป็นต้องเล่นไปตามการ์ดที่จั่วขึ้นมาได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นระบบที่แปลกใหม่ และสนุกดี แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าระบบนี้เป็นดาบสองคมเช่นกัน เนื่องจากการเลือกใช้สกิลที่อยากใช้ในสถานการณ์ที่อยากใช้ไม่ได้ ก็ทำให้การโจมตี และเอาตัวรอดไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกันนั่นเองการใช้มุมกล้องแบบ Top-Down ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ตัดสินใจได้ดี และอยากขอชมเชย เนื่องจากมันช่วยให้สามารถมองเห็นขอบเขตของสกิล และการโจมตีของศัตรูได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้การเอาตัวรอดในเกมที่รูปแบบการเล่น RNG สุดๆ แบบนี้ทำได้ง่ายมากขึ้น คือจะบอกว่ามุมกล้องมีส่วนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ง่ายขึ้นก็ได้ครับอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจคือการเปิดให้ผู้เล่นสามารถเลือกระดับความยากของดันเจี้ยนเองได้ก่อนลง โดยยิ่งยากมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสดรอปไอเทมดีๆ มากขึ้นได้เท่านั้น ซึ่งการจะลงในระดับที่ยากขึ้นก็จำเป็นต้องมีเลเวล กับ Gear Score ถึงขั้นต่ำของแต่ละระดับเสียก่อน ช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายมากขึ้นครับต่อมาคือเรื่องของ FPS ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะตัวเกมยังอยู่ในช่วง Open Beta รึเปล่าทำให้เกิดปัญหา่ FPS ตกแบบไม่ทราบสาเหตุอยู่หลายครั้ง คือถ้าเป็นตอนเดินคุยกับ NPC หรือเขตปลอดภัยมันไม่มีปัญหาครับ แต่ถ้าดันไปตกตอนกำลังสู้อยู่ บางครั้งก็ทำให้ตายแบบหัวเสียได้เลย ซึ่งล่าสุดผู้พัฒนารับทราบปัญหาในจุดนี้แล้ว คิดว่าเร็วๆ นี้น่าจะมีการอัพแพตช์แก้ไขเข้ามาครับสุดท้ายคือปัญหาเรื่อง Ping ที่ผมเข้าใจว่าตอนนี้ไม่มีเซิร์ฟเวอร์ SEA เนื่องจากตอนที่เล่นพบว่าทุกการโจมตี และเคลื่อนไหวของ PlaneWalker ผมจะช้าไปเล็กน้อย หรือมีเลขดาเมจขึ้นมาช้ากว่าการปล่อยท่าโจมตีเล็กน้อย ในจุดนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่พอสมควร เพราะในเกม Hack & Slash จังหวะเพียง 0.5 วินาที ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้เลย ในส่วนนี้ก็หวังว่าถ้าเปิดให้บริการเต็มที่แล้วจะมีเซิร์ฟเวอร์ใกล้บ้านเราด้วยครับสรุปโดยรวมแล้ว Magic Legends ถือเป็นอีกหนึ่งเกม MMO ที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ มีรูปแบบเกมเพลย์ที่ไม่ซับซ้อนสามารถเข้าใจได้ง่าย จังหวะการต่อสู้ถือว่าสนุกไม่แพ้เกม MMO ชั้นนำเลย แต่ติดปัญหาที่ตอนนี้ยังมีบัคเยอะอยู่ในตอนนี้ ในขณะที่เล่นผมมีเจอบัคเดินไม่ได้ ตกฉาก และอื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่เนื่องจากตัวเกมยังอยู่ในรอบ Open Beta จึงได้แต่หวังว่าตอนที่ปล่อยออกมาให้เล่นอย่างเป็นทางการปัญหาเหล่านี้จะหมดไปครับ เพราะถ้าไม่นับจุดที่บัคเยอะจัดจนเล่นแล้วหัวร้อน เกมนี้ก็ถือว่าสนุกใช้ได้เลยในส่วนของระบบเกมเพลย์ที่การโจมตีจำเป็นต้องสุ่มเอาจากการ์ดที่ใส่มา จุดนี้ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าควรบอกเป็นข้อดี หรือข้อเสียเนื่องจากตัวผมเองชอบระบบนี้ แต่เท่าที่ถามจากเพื่อนซึ่งเล่นด้วยกันแล้ว หลายคนมองว่ามันเป็นระบบที่ไม่สนุกเอาเสียเลย เพื่อนๆ ที่อ่านรีวิวอาจจำเป็นต้องโหลดมาทดลองเล่นเองแล้วตัดสินดูว่าระบบดังกล่าวถือเป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อนของเกมครับ แต่ก่อนจาก ขอย้ำอีกครังว่าตัวผมเองคิดว่าเป็นระบบที่ทำออกมาได้แปลก สนุก และน่าสนใจดีครับMagic Legends เปิด Open Beta ให้เล่นแล้ววันนี้บน PC โดยจะลงให้กับ PS4 กับ Xbox One ด้วยเมื่อเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ
29 Mar 2021
รีวิว Arcana Tactics เกมแนว RPG+Auto Battler สุดแปลกใหม่ !! ท้าทายทุกด่านที่เล่น
พึ่งเปิดตัวออกมาสดๆ ร้อนๆ สำหรับเกมมือถืออย่าง Arcana Tactics และมันเป็นเกมที่คนพูดถึงกันเยอะมากกับระบบเกมที่แปลกใหม่คือการเอาระบบเกม  RPG   มาผสมผสานกับเกมแนว Auto Battler มีตัวละครมากเป็นร้อยตัวให้เราเลือกจัดทัพได้อย่างอิสระทำให้ตัวเกมน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้พวกเรา  GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้หลังจากที่ได้เข้าไปทดสอบมา ว่ามันจะยอดเยี่ยมอย่างที่ว่าหรือไม่RPG +  Auto Battlerอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวเกม  Arcana Tactics  เป็นเกมที่ผสมผสานระหว่าง RPG บวกกับเกมแนว Auto Battler ที่เราจะได้ตัวละครต่างๆ มาจากการสุ่ม ตัวละครจากร้านค้า และเราจะต้องเอาตัวละครเหล่านั้นมาผสมให้เป็นคลาสต่างๆ ซึ่งก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน มีสายการเล่นที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ทำให้แต่ละคนที่เล่นจะมีสไตล์การจัดอัพ และการผสมตัวที่แตกต่างกันออกไปด้วย ส่วนความเป็น RPG ของเกมนี้คือเราสามารถอัพเกรดตัวละครที่เราชอบได้ มีการเปิดกาชาเพื่อเปิดตัวละครหาตัวใหม่ๆ ในเพื่อเอาไว้ใช้ในการเล่น หรือเปิดเพื่อหาตัวซ้ำอัพเกรดให้ตัวละครนั้นเก่งขึ้น หรือใส่ของดาเมจให้เก่งขึ้นได้   (แต่ไม่ต้องกลัวว่าเกมนี้จะเกลือมาก เพราะราคาในการเปิดไม่ได้แพงเลย รวมถึงผู้ให้บริการแจกหนักจัดเต็มมาก ตัวผู้เขียนเล่นมาไกลและยังไม่ได้เติมซักบาทการ์ดอารคาน่า ระบบที่จะกำหนดความสามารถของขุมกำลังของคุณระบบอารคาน่าเป็นระบบการ์ดความสามารถติดตัวที่เราจะต้องใส่ไว้ในตอนเริ่มเกม ซึ่งดูเผินๆ มันอาจจะเป็นแค่ระบบเพิ่มความสามารถทั่วไป แต่จริงๆ แล้วระบบนี้มันเป็นตัวที่คอยชี้นำเลยว่าคุณนั้นควรที่จะหยิบตัวอะไรมาเล่น เพราะการ์ดแต่ละอันจะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป และเหมาะสมกับแค่บางสายเท่านั้นอย่างเช่นตัวผู้เขียนนั้นมีการ์ดที่ถ้าหากตัวละครสาย Swordman อยู่ด้วยกัน 2/4/6 ตัวขึ้นไป ตัวละครสายนี้จะได้รับความสามารถ Guard ที่จะบล็อคดาเมจจากศัตรูได้ หรือจะเป็นการ์ดโอกาสดรอปตัวละครสาย Swordman มากขึ้นเพื่อให้เราสามารถปั้นตัวละครนี้ให้ไวขึ้นได้ หรือจะเป็นความสามารถถ้าตัวละครธาตุพืชอยู่รวมกันจะทำให้ตัวละครสายนี้ใช้สกิลแรงขึ้นก็มี ซึ่งมันค่อนข้างหลากหลายมาก ตัวการ์ดมีให้เลือกเป็นร้อยๆ ใบท้าทายในทุกด่าน   ใครที่คิดว่าเกมนี้จะเหมือนเกม RPG บนมือถืออื่นๆ ที่จะบอทเพลินๆ ท่านก็อาจจะคิดผิด เพราะเกมนี้ท่านจะต้องผสมตัวละครเองทั้งหมด กดมือเล่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะแต่ละเกมใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น เป็นเกมที่เล่นฆ่าเวลาได้เพลินๆ และค่อนข้างสะดวกกว่าเกมแนว Auto Battler อื่นๆ ที่เกมหนึ่งในเวลากว่า 1 ชั่วโมง รวมถึงเกมนี้พอเล่นไปด่านสูงๆ เราจะพบเจอกับความยากของมอนสเตอร์ที่จะทำให้คุณต้องหัวร้อนกับมันเพราะไม่ผ่านแน่นอน ซึ่งคุณจำเป็นต้องเรียนรู้หา Comb สายใหม่ๆ เพื่อเอามาแก้ทาง หาการ์ดสายอื่นมาลองต่อสู้ดู หรือผสมๆ สายกันไปบ้าง ซึ่งนี่มันก็คืออีกหนึ่งความสนุกของเกมนี้ระบบ PVPสำหรับสาย PVP เกมนี้ก็รองรับเช่นกัน แต่ว่าระบบการต่อสู้ของ Arcana Tactics จะค่อนข้างแตกต่างจากเกมแนว Auto Battler อื่นๆ ที่เกมนี้จะเป็นการต่อสู้กันแบบ Real-Time 1V1 มีการจัดทัพต่อสู้กันคล้ายๆ กับที่เล่นใน PVE ซึ่งในแต่ละรอบฝ่ายไหนแพ้ก็จะเสียเลือดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแพ้ ซึ่งตัวเกมก็จะมีระบบไต้ระดับไปเรื่อยๆ และก็จะได้ของรางวัลไปเรื่อยๆ เช่นกันสรุปArcana Tactics เป็นเกมที่ต้องยอมรับในเรื่องของไอเดียที่ค่อนข้างใหม่มากในการเอาเกมแนว RPG มาผสมผสานกับเกมแนว Auto Battler ได้อย่างยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือความท้าทายในแต่ละด่านที่ค่อนข้างจะให้เราคิดวิเคราะห์ในการต่อสู้ว่าจะเอาตัวละครไหน เอาสายไหนไปสู้ดี (แต่อาจจะเห็นผลในช่วงด่านหลังๆ เป็นต้นไป) หรือจะเป็นระบบการ์ดอารคาน่าที่จะมาเพิ่มสีสันให้มากขึ้นแต่ถ้าให้ถามถึงสิ่งที่ไม่ชอบสำหรับเกมนี้อย่างเดียวก็คงจะเป็นในเรื่องของสกิลความสามารถของตัวละครที่มันอาจจะยังไม่ได้ดูหวือหวา หรือตระกาลตาขนาดนั้น เป็นสกิลทำดาเมจธรรมดาตีตรงๆ ไม่ได้มีตัวละครที่เน้นโจมตีตัวหลัง หรือสกิล CC สตั๊นหมู่อะไรแบบนั้น พอเล่นไปเรื่อยๆ สกิลที่ดูธรรมดามันก็อาจจะทำให้เบื่อได้บ้าง
23 Mar 2021
[ Review ] Crash Bandicoot 4: It's About Time สานต่อตำนานหนูพุกอีกครั้งให้แฟนๆ หายคิดถึง
Crash Bandicoot 4: It's About TimePlatform: Nintendo SwitchGenre: Action 3D, AdventureCrash Bandicoot เป็นเกมแนว Action 3D ที่พัฒนาโดย Toys for Bob และเผยแพร่โดย Activision เป็นแฟรนไชส์เกมภาคต่อ จากแพลตฟอร์ม PlayStation 1 ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อปี 1996 - 1999 ที่มีด้วยกันถึง 3 ภาคหลัก และนอกจากนั้นยังวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มอื่นๆ อีกเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ถูกนับเป็นภาคหลักแต่อย่างใด… จนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นเวลากว่า 20 ปี กับการกลับมาของ Crash Bandicoot ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้นับว่าเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการ และเป็นที่รอคอยของแฟนๆเนื้อเรื่องการกลับมาในครั้งนี้จะเป็นเนื้อเรื่องต่อจาก Crash Bandicoot 3: Warped โดยตรง หลังจากที่จัดการวายร้ายอย่าง Dr. Neo Cortex กับ Dr. Nefarious Tropy รวมถึง Aku Aku ด้วยการจับส่งทั้งสามให้ไปอยู่ในต่างมิติ เพื่อไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนได้อีกตลอดไป   จนกระทั้ง Aku Aku ได้ทำการเปิดประตูมิติสำเร็จ ทำให้ทั้งหมดหนีออกมาได้ แต่ผลกระทบจากการเปิดประตูมิตินั้น ทำให้มิติเวลารวมถึงจักรวาลเกิดความปั่นป่วน จนทำให้เกิด Multiverse หรือจักรวาลคู่ขนานขึ้นมากมาย และถึงคราวที่เหล่าวายร้ายได้ทำการวางแผนควบรวมยึดครองทั้งจักรวาล !!ดังนั้น Crash และ Coco (น้องสาว) จะต้องร่วมมือกันออกผจญภัยอีกครั้ง เพื่อตามหาธาตุทั้ง 4 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งแผนการร้ายในครั้งนี้ และผนวกพลังของจักรวาลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางกลับสู่สภาวะดังเดิมอย่างที่ควรจะเป็นประตูมิติที่ถูกเปิด จุดเริ่มต้นของเรื่องราวในภาคนี้เกมเพลย์/ระบบการเล่นคราวนี้มาในส่วนของเกมเพลย์กันบ้าง Crash Bandicoot 4 ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของภาคก่อนๆ ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นมูฟเมนท์การบังคับตัวละคร การเปลี่ยนมุมมองเกมเพลย์ภายในด่านที่มีความหลากหลาย และยังคงความเป็นรูปแบบการผจญภัยที่มีกับดักมากมาย พร้อมกับศัตรูหลากหลายรูปแบบ ที่เราจะต้องใช้วิธีรับมือแตกต่างกันออกไป มีการเดินเรื่อง/ระบบการเล่นเป็นเส้นตรง มีความสลับซับซ้อนค่อนข้างน้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเล่นให้ผ่านได้ง่ายๆ มีระบบ Checkpoint ภายในด่าน และยังคงรูปแบบความเป็น World Part เหมือนเดิม (แต่ในภาคนี้จะเรียกว่า Dimensional map) พูดง่ายๆ ว่า  ใน 1 เวิลด์จะประกอบไปด้วย 5-6 ด่าน และด่านสุดท้ายก็จะมีบอสประจำเวิล์ด ถ้าเล่นผ่านก็สามารถไปเวิลด์ถัดไปได้ หรือด่านที่ผ่านไปแล้วก็สามารถกลับมาเล่นเพื่อเก็บของให้ครบได้อีก  หรือจะแข่งกับเวลาในโหมด Time Trial ที่เน้นเร็วเน้นไวก็ได้ เพื่อเก็บ Relics  ทำให้มีเหตุผลในการกลับมาเล่นด่านเหล่านี้หลายครั้ง   โดย Time Trial จะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ Sapphire, Gold, Platinum จากน้อยไปมากตามลำดับ    ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ผ่านด่านเหมือนกับในภาค 3   และยังมีด่านพิเศษที่เป็นไซต์สตอรี่ของตัวละครอีกด้วย   รับรองว่าจุใจเหล่าแฟนๆ   หนุ่ม   Crash   แน่นอนรวมถึงยังคงมีการเก็บกล่องให้ครบตามจำนวนที่แต่ละด่านกำหนด เพื่อแลกกับเพชรสีขาวเช่นเดิม และยังมีการเก็บเพชรสีเพื่อปลดล็อค Bonus Stage หรือสถานที่ลับในด่านต่างๆ (แต่ระบบการเก็บแอปเปิ้ลเพื่อสะสมเป็นไลฟ์อัพถูกยกเลิกไปแล้ว) Dimensional Mapระบบที่เสริมเข้ามาในภาคนี้ เริ่มเกมเลยเราสามารถเลือกโหมดที่จะเล่นได้ระหว่าง Modern Mode กับ Retro Mode โดยระบบในการเล่นทั้งสองโหมดจะแตกต่างกันออกไป ผู้เล่นสามารถเลือกตัวละครที่จะเล่นได้สองตัวตั้งแต่เริ่มเกม ซึ่งก็คือ Crash ตัวเอกของเรา และ Coco น้องสาวของของเขา ทั้งสองมีรูปแบบมูฟเมนท์การเคลื่อนไหวเหมือนๆ กัน การเลือกเล่นตัวละครจะไม่ได้เป็นการเลือกในรูปแบบโหมด แต่เป็นการเลือกก่อนที่จะเริ่มด่าน หรือเริ่มเล่นในด่านนั้นๆ นอกจากการเลือกตัวละครเพื่อเล่นแล้ว ยังสามารถเลือกชุด (Skin) ของตัวละครได้อีกด้วย ทั้งนี้ชุด (Skin) จะต้องผ่านการปลดล็อกจากการทำภารกิจซะก่อนจึงจะเลือกมาใช้ได้ในหนึ่งด่านจะมีการเก็บเพชรสีขาวที่เพิ่มมากขึ้น   (จากเดิมมีเพชรสีขาว 1เม็ด/1ด่าน) โดยจะมีเพชรสีขาวหกเม็ดต่อ 1 ด่าน การเก็บเพชรจะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดต่างๆ เช่น จำนวนแอปเปิ้ลที่เก็บ จำนวนครั้งที่เราตาย เพชรที่ซ่อนอยู่ตามด่าน และการเก็บกล่องในด่านให้ครบเหมือนภาคก่อนๆมีการเก็บไอเทม Flashback Tapes เพื่อปลดล็อคด่านพิเศษภายใน (Flashback Tapes Level) อีกที และภายใน Level จะเป็นด่านคล้ายๆ กับโบนัสสเตจที่เป็นการเก็บกล่องโดยเฉพาะ เพียงแต่จะมีความยาวและความยากกว่าพอสมควร ถ้าหากเล่นไปได้สักพักจะมีโหมดกลับซ้าย-ขวา N. Verted เข้ามาเสริมในทุกๆ ด่านอีกด้วยทางด้านตัวละคร จะมีตัวละครเพื่อนใหม่อย่าง Tawna ที่จะมีไทม์ไลน์เนื้อเรื่องของตนเอง เป็นเนื้อเรื่องคู่ขนานกับเนื้อเรื่องหลักของพวก Crash และธีมหลักของภาคนี้เลยก็คือพวก Quantum Masks ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือน Uka Uka ซึ่งจะมีเอกลักษณ์/สกิลเฉพาะตัวเมื่อสวมใส่ เพื่อนำความสามารถนี้ใช้ในการผ่านฉากที่มีรูปแบบเฉพาะ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกมมีความหลากหลายในการเล่นมากขึ้น รวมถึงตัวละครอื่นๆ ที่จะร่วมสร้างสีสันและมิติใหม่ๆ ในการผจญภัยครั้งนี้ด้วยรวมเหล่า Quantum MasksTawna เพื่อนใหม่ของ Crash และ Cocoเพชรสีขาวที่มีให้เก็บเพิ่มขึ้นต่อหนึ่งด่าน ถ้าเก็บได้ครบจะได้ชุด(skin) ของตัวละครกราฟิก (Nintendo switch)ยังคงรูปแบบความเป็นอนิเมชั่น+การ์ตูนที่มีสีสันเยอะๆ รูปแบบด่านที่เปลี่ยนสีสันตามธีมของแต่ละเวิลด์ ส่วนเรื่องของเฟรมเรท ยังไม่เจอเฟรมเรทตกตลอดการเล่นบนเครื่อง Nintendo Switch ลื่นไหลดีปกติ ไม่มีภาพค้าง ไม่มีเด้งออกจากเกม เมื่อลองต่อ Dock ขึ้นจอ 4K ภาพสวยกว่าเดิมนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่าภาพสวยขึ้นจริงๆ หรือว่าเพราะจอใหญ่ก็เลยดูสวยเพราะรายละเอียดมันชัดขึ้นหรือเปล่า แต่จริงๆ ทางด้านกราฟิกคงไม่มีอะไรให้เขียนถึงมากนัก เอาเป็นว่าเล่นบน Nintendo Switch ที่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ก็เข้ากับเกมเพลย์แบบ Crash   ดี   แต่จะหวังให้กราฟิกสู้คอนโซลอื่นๆ   คงไม่ได้อยู่แล้วสรุปเกม Crash Bandicoot 4 ยังคงเป็นเกมที่ต้องใช้ความชำนาญ รวมถึงการฝึกสังเกติ เพราะเป็นเกมที่มีทางลับและไอเทมที่ซ่อนอยู่ รวมไปถึงกับดักต่างๆ ผู้เล่นจะต้องทำความคุ้นเคยกับองค์ประกอบภายในแต่ละด่านที่แตกต่างกันออกไป และอาศัยความอดทนถึงจะเล่นผ่านไปได้ สำหรับผู้เขียนที่เคยเล่นมาก่อนแล้วตั้งแต่ภาคแรก ก็รู้สึกว่ายังยากอยู่พอควรเลยล่ะ แต่ก็สนุกมากๆ และตื่นเต้นกับลูกเล่นใหม่ๆ ด้วยในเวลาเดียวกัน ยิ่งถ้าหากจะเก็บของให้ครบๆ หรือพิชิต Achievements  / Trophies ทุกอย่างที่มี เกมก็จะยิ่งมีความยากเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว!!รวมๆ แล้วรู้สึกว่า ทีมสร้างเกมพยายามออกแบบการเล่นให้มีมิติที่จะเล่นสนุกได้หลากหลายมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มีโหมดทางเลือกในการเล่น การสะสมของภายในเกมที่เยอะมากขึ้น กับดักที่มีรูปแบบใหม่ๆ และมีความต่อเนื่อง(ยาก)มากขึ้น มีตัวละครให้เลือกเล่นได้พร้อมกับมูฟเมนท์หรือเรื่องราวที่แตกต่างกัน การเก็บของบางด่านที่ต้องใช้ไซต์สตอรี่ร่วมด้วยถึงจะสามารถเก็บได้ครบ มีความเป็น puzzle ที่ต้องใช้ไหวพริบ และการสังเกตในการเล่น ถึงจะเป็นเกมที่เล่นค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่ แต่ภายในเกมได้มีระบบช่วยเหลือการเล่นเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ..ถ้าหากผู้เล่นตายในด่านซ้ำๆ จำนวนหลายครั้ง จะมี Uka Uka ให้ตั้งแต่จุดเกิด (Checkpoint) และจะมี Checkpoint ให้เยอะมากขึ้นกว่าปกติ นั่นก็เพื่อรองรับผู้เล่นใหม่ๆ ให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วยทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกได้ว่า ภาคนี้ตอบโจทย์ในแง่ของการสร้างความหลากหลายในการเล่นได้สำเร็จจริงๆ ส่วนท่านใดกำลังจะหาเกมเล่น ที่สามาถเล่นได้ยาวๆ ใช้เวลาในการเล่นค่อนข้างมาก ชอบสะสมของภายในเกมที่มีเยอะๆ ฝึกสมองใช้ไหวพริบ ฝึกการสังเกต ชอบความท้าทายชอบเกมเล่นยากๆ ตายซ้ำๆ กับจุดเดิมๆ หัวร้อนเป็นปกติ   ผมก็ขอแนะนำ Crash Bandicoot 4: It's About Time รับรองว่าคุณจะได้สนุก และตื่นเต้นไปกับเกมนี้อย่างแน่นอนCrash และผองเพื่อนความรู้สึกส่วนตัว… ในฐานะของคนที่เล่นมาตั้งแต่ภาคแรก รู้สึกหายคิดถึง เราจะยังได้เห็นอะไรเดิมๆ อยู่บ้าง เช่น ฉากแรกที่ชายหาด เหมือนกับที่ฉากแรกเริ่มใน Crash Bandicoot ภาคแรก หรือฉากที่มีมังกรก็จะนึกถึงด่านกำแพงเมืองจีนในภาค 3 รวมถึงจะฉากวิ่งหนี เราจะต้องวิ่งหนีเหมือนที่เราเคยวิ่งหนีหินกลิ้งแบบภาคก่อนๆ เราจะได้หลบกระแสน้ำวน จะได้สำรวจฉากเพื่อตามหากล่องที่ถูกซ่อนอยู่ ได้ตื่นเต้นกับการเจอเพชรสีต่างๆ ที่ดีใจเหมือนตัวเองได้เจอจริงๆ จะได้เห็นตัวละครที่คุ้นเคยเราจะได้เจอเพื่อนเก่าอย่าง Crash ที่ขี้เล่นมีสีสันเปื่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน รวมถึงวายร้ายอย่าง N. Cortex ที่ยังไม่ยอมแพ้ต่อความอยากจะเอาชนะเหมือนเคย รวมถึง Easter eggs ที่มีอยู่ภายในเกม และที่สำคัญยังคงรู้สึกว่าผมรักเกมนี้จริงๆ แม้ในตอนนี้ผมได้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ความสนุกที่ได้จากเกมนี้มันโตมากขึ้นกว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วันเสียอีก ...บรรยากาศทั้งหมดภายในเกมเหล่านี้เปรียบเสมือนเพื่อนหรือครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึงที่เรารอ หรือเคยรอการกลับมา…ฉากแรกบนชายหาด ที่ทำให้หายคิดถึง หรือคิดถึงมากกว่าเดิม  (แอบมี Easter eggs เกม Spyro the Dragon ด้วยแน่ะ)...ควรค่าแก่การรอคอยมากๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากนะที่กลับมาหาเพื่อนคนนี้อีกครั้ง และยินดีต้อนรับเสมอไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งก็ตาม
17 Mar 2021
[Review] Persona 5 Strikers : การผจญภัยครั้งใหม่ใหม่ของกลุ่มโจรขโมยใจเจ้าเก่า
เมื่อพูดเกมแนว JRPG ที่น่าจดจำที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคำตอบในใจหลายๆ คนคงหนีไม่พ้นเกม Persona 5 (หรือ Persona 5 Royal) เกมที่ผสมผสานระบบการเล่นแนว JRPG สายเลือดแท้เข้ากับเกม Simulation การใช้ชีวิต ที่ได้รับขนานนามโดยสื่อหลายสำนักทั่วโลก (รวมถึง GameFever เองด้วย) ในฐานะเกม JRPG ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งตลอดการ ด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่มีเสน่ห์น่าติดตาม ไปจนถึงระบบเกมเพลย์ Turn-based อันลึกซึ้งและท้าทาย จนกวาดคะแนนเต็ม 10 (หรือใกล้เคียง) จากสื่อที่รีวิวแทบทุกสำนักเลยทีเดียว ในฐานะแฟนตัวยงเดนตายของซีรีส์ Persona มาหลายปี ที่ยกให้เกม Persona 5 Royal เป็นหนึ่งใน 10 เกมยอดเยี่ยมประจำใจไปแล้วเรียบร้อย ผู้เขียนจึงแอบมีความสองจิตสองใจกับเกม Persona 5 Strikers อยู่พอสมควรในช่วงที่เกมประกาศเปิดตัว เพราะแม้ว่าจะรู้สึกตื่นเต้นกับการที่เกมจะสานต่อเรื่องราวของเหล่าตัวเอกในเกม Persona 5 ต่อไป แต่ในอีกแง่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเมื่อเกมเปลี่ยนจากระบบการเล่นดั้งเดิมมาเป็นเกมลูกผสมแนวแอคชั่น Musou แล้ว จะยังสามารถคงเสน่ห์หรือความลึกซึ้งต่างๆ ที่ทำให้หลงรักซีรีส์ Persona ได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่หลังจากที่เล่นเกม Persona 5 Strikers จนจบแล้ว ก็ต้องบอกว่าความกังวลใจต่างๆ ที่ผู้เขียนรู้สึกในตอนแรกแทบจะคลี่คลายไปได้ทั้งหมดเลย โดยเกมยังคงสามารถรักษาเสน่ห์หลายๆ อย่างของซีรีส์เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบต่อสู้ที่ท้าทายไปจนถึงเนื้อเรื่องอันกินใจที่น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ และแม้ว่าจะมีองค์ประกอบบางอย่างที่ยังไม่ค่อยลงตัวนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า Persona 5 Strikers ถือเป็นภาคต่อที่น่าพอใจมาก ที่สามารถขโมยใจแฟนตัวยงอย่างผู้เขียนไปได้อีกครั้ง เนื้อเรื่อง Persona 5 Strikers จะดำเนินเรื่องต่อจากตอนจบของเกม Persona 5 ภาคดั้งเดิมโดยตรง (เกมจะไม่อ้างอิงเหตุการณ์จาก Persona 5 Royal เลย) เมื่อตัวเอกและกลุ่มเพื่อน Phantom Thieves ตัดสินใจนัดรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อท่องเที่ยวด้วยกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของพวกเขา แต่วันหยุดอันสงบสุขของพวกเขากลับถูกขัดขวางเมื่อจู่ๆ พวกเขาก็พบว่าโลกคู่ขนาน Cognitive World ที่ควรจะถูกทำลายไปแล้วในตอนจบของเกมภาคดั้งเดิมยังมีตัวตนอยู่ แถมยังมีกลุ่มวายร้ายกลุ่มใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากโลกขนานนี้เพื่อ "เปลี่ยนใจ" ผู้คนทั่วญี่ปุ่นให้ทำตามความต้องการอันชั่วร้ายของพวกเขาเองอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเอกและผองเพื่อนยังถูกเพ่งเล็งโดยองค์กรตำรวจในฐานะผู้ต้องสงสัยเบื้องหลังเหตุการณ์การ "เปลี่ยนใจ" ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องออกเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อต่อสู้กับเหล่าวายร้ายตัวจริงและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขาอีกครั้ง ถ้าให้มองในภาพกว้าง ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องของเกม Persona 5 Strikers มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเกมภาคดั้งเดิมอยู่พอสมควร โดยเกมจะดำเนินไปตามสูตรเดิมที่ให้ผู้เล่นตะลุยเข้าไปใน "คุก" (ชื่อเรียกดันเจี้ยนของเกม) ที่ถูกปกครองโดยเหล่าตัวร้ายหลัก และทำการเอาชนะตัวร้ายเหล่านั้นเพื่อทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจมารับผิดจากการกระทำของตัวเอง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ารูปแบบการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างซ้ำกับภาคหลักทำให้ "น้ำหนัก" ของเหตุการณ์ต่างๆ หายไปพอสมควรเมื่อเทียบกับเกมต้นฉบับที่มีความเกี่ยวพันกับเหล่าตัวละครในกลุ่มเพื่อนของเราโดยตรงด้วย และทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Strikers มีความ "เดาได้" แทบจะตลอดทั้งเกม ทั้งนี้ ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ไม่ดี เพราะ Persona 5 Strikers ก็ยังคงรักษาตัวตนของซีรีส์เอาไว้ได้ด้วยเนื้อหาที่มีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ค่อนข้างสูง ที่แตะประเด็นหนักๆ อย่างปัญหาการรังแกกันในโรงเรียน หรือกระทั่งการทุจริตของข้าราชการในรูปแบบต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อเรื่องของเกมที่มีธีมหลักเกี่ยวกับ "Trauma" หรือบาดแผลที่ฝังใจของมนุษย์ และวิธีรับมือกับความเจ็บปวดทางใจเหล่านี้ ก็ยังมีความลึกซึ้งมากพอที่ทำให้ผู้เขียนนั่งครุ่นคิดถึงประเด็นเหล่านี้ต่อได้กระทั่งเวลาที่ไม่ได้เล่นเกมอยู่ สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องหลักของเกมยังคงมีความสนุกและน่าติดตามสำหรับผู้เขียน มาจากการได้เห็นการปฎิสัมพันธ์กันของเหล่าตัวละครทั้งในและนอกดันเจี้ยน ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการเดินทางร่วมกับกลุ่มเพื่อนวัยเรียนได้ดีมากๆ และทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวละครเหล่านี้มีความสนิทสนมกันจริงๆ มากกว่าในเกมดั้งเดิมเสียอีก ด้วยบทพูดยังเขียนออกมาได้อย่างน่ารักติดตลกเหมือนฟังกลุ่มเพื่อนนั่งแซวกันหยอกกันเล่น ทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นมากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นแฟนเกม Persona 5 ที่ผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้เป็นพิเศษ (เช่นผู้เขียน) มีจังหวะอมยิ้มให้เราได้ชื่นใจตลอดทั้งเกม เกมเพลย์ ในเบื้องต้นแล้ว เกมเพลย์ของ Persona 5 Strikers จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คล้ายๆ กับในเกมภาคดั้งเดิม นั่นคือช่วงการใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริง และช่วงการต่อสู้ในดันเจี้ยนหรือที่เกมเรียกว่าคุก (Jail) นั่นเอง สำหรับเกมเพลย์ในโลกจริงนั้น อาจเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะ Persona 5 Strikers ไม่มีระบบการดำเนินชีวิตแบบที่พบในเกมดั้งเดิมเลย เช่นระบบการทำความสัมพันธ์ Confidant ทำให้เราได้เรียนรู้เนื้อเรื่องและพัฒนาความสามารถของตัวละครเสริมแต่ละตัว (ถูกแทนที่ด้วยระบบ Bond ให้เราสามารถเลือกอัปเกรดความสามารถติดตัวของทั้งทีมแทน) หรือระบบการทำงานพิเศษเพื่อเพิ่มคุณสมบัติทั้งหลาย แม้ว่าการเดินทางไปตามเมืองใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นของกลุ่มตัวเอกจะทำให้เกมมีสถานที่ให้สำรวจเยอะกว่าในเกมภาคดั้งเดิมซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโตเกียวทั้งเกม แต่สถานที่เหล่านี้ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากการรับเควสเสริมประปราย หรือการซื้อของเพิ่มพลังที่มาในรูปแบบของอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละเมือง   ตัวตนความเป็น Persona แทบทั้งหมดของ Persona 5 Strikers จะพบได้ในดันเจี้ยนทั้งหลายของเกม โดยจุดแตกต่างที่ทำให้ Persona 5 Strikers ต่างจากเกมลูกผสม Musou อื่นที่กล่าวไปข้างต้น คือเกมยังคงใช้ระบบการต่อสู้แบบกึ่ง RPG ซึ่งแยกการต่อสู้ออกจากแผนที่หลัก ผู้เล่นจะสามารถมองเห็น "ศัตรู" เดินไปมาในแผนที่ และจะสามารถเข้าสู่การต่อสู้จริงได้ด้วยการโจมตีหรือลอบโจมตี (Ambush) ศัตรูเหล่านั้นในแบบเดียวกับเกม Persona 5 ดั้งเดิมแทน ซึ่งเมื่อทำแบบนี้แล้ว "ศัตรู" ที่เห็นในแผนจึงจะกลายร่างเป็นเหล่า Shadow ตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมากให้เราต่อสู้ด้วยในแบบ Musou อีกที เมื่อเข้าสู่การต่อสู้แล้ว แน่นอนว่าผู้เล่นจะยังคงสามารถโจมตีเหล่า Shadow ด้วยระบบการโจมตีสองปุ่มแบบเดียวกับเกม Musou ทั่วไป ซึ่งเราสามารถสลับไปควบคุมตัวละครเพื่อนร่วมทีมได้ตลอดเวลา (สามารถเลือกสลับเข้าออกได้ทีละ 3 ตัว ไม่รวมตัวเอก) โดยแต่ละคนก็จะมีคอมโบและวิธีเล่นเฉพาะตัวที่ต่างกันออกไป แต่ทีเด็ดคือ Persona 5 Strikers จะผสมผสานระบบจุดอ่อนของเกม Persona เข้าไปด้วย ผู้เล่นจะสามารถเรียกหน้าเมนูสกิลแบบ RPG ขึ้นมาเพื่อโจมตีจุดอ่อนศัตรูด้วยสกิลธาตุต่างๆ ซึ่งก็จะทำให้ศัตรูล้มลงและเปิดช่องให้เราทำการ All-Out Attack เพื่อปลิดชีพศัตรูทั้งกลุ่มในม้วนเดียวเหมือนในเกม Persona 5 เลย และในทางกลับกัน เหล่าศัตรูก็จะสามารถโจมตีเราด้วยสกิลธาตุของตัวเองได้ และถ้าเราเผลอโดนสกิลธาตุที่แพ้ทางเข้าก็จะล้มลงไปให้ศัตรูลงแขกได้ไม่ต่างกัน การต่อสู้อาจจะฟังดูง่าย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงในบริบทของเกม Musou แต่เอาเข้าจริงต้องบอกว่าเกม Persona 5 Strikers ดูจะจัดสมดุลมาเหมือนเกม Persona ที่เน้นการใช้สกิลเพื่อโจมตีจุดอ่อนมากกว่าการโจมตีธรรมดาไปเรื่อยๆ ผู้เล่นจะยังคงต้องลำบากกับการบริหารค่า SP ในการใช้สกิลอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อสู้กับศัตรูระดับบอสที่มักจะบังคับให้เราต้องใช้สกิลเพื่อทำลายเกราะป้องกันของพวกมันซะก่อน แต่เกมก็ยังปราณีด้วยการเปิดให้ผู้เล่นสามารถกระโดดเข้าออกดันเจี้ยนได้ตลอดเวลาด้วยระบบ Checkpoint ซึ่งจะฟื้นฟูพลังชีวิตและ SP ของทั้งปาร์ตี้จนเต็ม เมื่อนำมารวมกับการที่เกมไม่มีระบบปฏิทินเหมือนเกม Persona ปกติด้วย ทำให้การตะลุยดันเจี้ยนในภาพรวมอาจจะง่ายขึ้น แต่การต่อสู้แต่ละครั้งยังคงท้าทายเหมือนเกม Persona อยู่นั่นเอง กล่าวโดยสรุป ในขณะที่เกมลูกผสม Musou หลายเกมที่ผ่านมาเช่น Fire Emblem Warriors หรือ Dragon Quest Warriors จะมีเกมเพลย์ที่ให้ความรู้สึกเหมือน "เกม Musou ที่ใส่สกินของเกมอื่น" เกม Persona 5 Strikers ค่อนข้างให้ความรู้สึกตรงข้ามราวกับว่าเป็น "เกม Persona ที่สวมสกิน Musou" ซะมากกว่า เพราะแม้ว่าผู้เล่นจะยังต้องต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ๆ ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่นอันดุเดือด แต่เกมก็ยังคงไว้ซึ่งระบบ RPG อันเป็นเอกลักษณ์ของเกม Persona เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน แถมให้ความสำคัญกับระบบเหล่านี้ไม่ต่างจากเกมดั้งเดิมที่ใช้ระบบ Turn-based เลยด้วย กราฟิก/การนำเสนอ เกม Persona 5 Strikers จะยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกเดียวกับเกม Persona 5 ภาคที่ผ่านๆ มา ทำให้ในส่วนของโมเดลตัวละครและฉากต่างๆ ไม่ค่อยต่างกันนัก แม้จะเข้าใจได้ว่าเกมภาค Strikers อาจจะอยากรักษาสไตล์ให้มีความต่อเนื่องกันจากเกม Persona 5 เดิม แต่ก็อย่าลืมว่าก็เกมดั้งเดิมเป็นเกมคร่อมเจนระหว่าง PS3 + PS4 อยู่แล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เกมภาค Strikers ที่ใช้กราฟิกเหมือนๆ กันจะรู้สึก "เก่า" ไปบ้างในหลายๆ มุม แม้ว่าฉากคัตซีนแบบ 3D จะเป็นการปรับปรุงขึ้นในแง่ของอนิเมชั่นหลายๆ อย่างก็ตามที แต่ก็ยังคงไม่สามารถไปวัดไปวากับเกมยุคใหม่ๆ ได้ขนาดนั้น สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดน่าจะเป็นเรื่องของเฟรมเรต ที่ไม่ได้ถูกล๊อคเอาไว้ที่ 30 FPS เหมือนในเกมภาค RPG ที่ผ่านมา ทำให้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของตัวละครทั้งหลายรู้สึกลื่นไหลมีชีวิตชีวากว่าในเกมภาค RPG พอสมควร นอกจากนี้ ฉากดันเจี้ยน Jail ทั้งหลายยังมักจะมีขนาดกว้างใหญ่กว่าดันเจี้ยน Palace ของภาค RPG ด้วย ซึ่งก็ช่วยทำให้สเกลของเกมรู้สึก "ใหญ่" กว่าในฉบับดั้งเดิม แถมแต่ละดันเจี้ยนยังมีเอกลักษณ์ในแง่ของการออกแบบ ที่ทำให้การเดินทางสำรวจในแต่ละดันเจี้ยนรู้สึกน่าตื่นเต้นมากขึ้นกว่าในภาค RPG ที่เอาเข้าจริงไม่ค่อยมีเหตุผลให้สำรวจดันเจี้ยนมากกว่าที่จำเป็นตามเนื้อเรื่อง ที่น่าชมมากกว่าคงเป็นเรื่องของการนำเสนอ เช่นเรื่องของเมนูหรือการออกแบบเสื้อผ้า สถานที่ รวมไปถึงอนิเมชั่นการโจมตีและใช้สกิลในเกม ที่ทำให้เกมมีสไตล์จัดจ้านสมกับเป็นเกม Persona มากๆ แม้ว่ากราฟิกของเกมคงไม่สามารถไปวัดไปวากับใครได้มากนัก แต่การออกแบบหน้าเมนูและองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ก็ช่วยทำให้เกมยังคงมีเอกลักษณ์ และช่วยยกระดับให้กราฟิกของเกมน่าดึงดูดมากขึ้น แม้ว่าอนิเมชั่นหลายอัน (โดยเฉพาะท่าโจมตีระดับสูงๆ) อาจจะมีความรกจอไปบ้างในขณะต่อสู้ องค์ประกอบด้านการนำเสนออีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับเกม Persona คือเรื่องของเสียง ทั้งเสียงพากย์ตัวละครและเสียงเพลงประกอบฉากทั้งหลาย ที่ยังคงรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมของซีรีส์เอาไว้ได้ทั้งหมดเลย นักแสดงพากย์เสียงจากเกมดั้งเดิมก็กลับมาให้เสียงตัวละครอีกครั้ง ซึ่งแม้จะมีปัญหาไปบ้างในแง่ของระดับเสียงที่บางครั้งก็ขึ้นๆ ลงๆ บ้าง (ทีมพากย์เสียงเกมนี้จำเป็นต้องทำงานจากบ้านเพราะสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อเรื่องนี้) แต่ในแง่ของอารมณ์หรืออุปนิสัยตัวละครก็ยังคงทำได้ดีเท่ากับในเกมภาค RPG เลยทีเดียว ในฝั่งของเพลงประกอบ ถือว่าเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของซีรีส์ Persona อยู่แล้ว และเพลงใหม่ๆ ของภาค Strikers เองก็ยังติดหูและเร้าอารมณ์ได้ไม่ต่างจากเกมอื่นๆ ในซีรีส์ ซึ่งก็ช่วยเสริมอารมณ์ทั้งในระหว่างการเล่นและในฉากคัตซีนต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เชื่อว่าหลายๆ คนที่เล่นเกมนี้ส่วนใหญ่น่าจะต้องหาโหลดเพลงมาฟังต่อจนเพื่อนด่าเหมือนผู้เขียนอย่างแน่นอน สรุป แม้ดูเผินๆ อาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ Persona ที่เราคุ้นเคย และรู้สึก "เก่า" ไปบ้างจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีหลายๆ อย่าง แต่รับประกันได้ว่าเกม Persona 5 Strikers ยังคงรักษาดีเอ็นเอของซีรีส์ RPG เอาไว้ได้อย่างเข้มข้น พอจะทำให้แฟนๆ ของกลุ่มโจรขโมยใจได้รู้สึกหายคิดถึงกันได้อย่างแน่นอน สำหรับคนที่ชื่นชอบเกม Persona หรือแค่ชื่นชอบแอคชั่น RPG มันส์ๆ บอกได้เลยว่า Persona 5 Strikers จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน [penci_review id="79548"]
09 Mar 2021
[Review] Werewolf: The Apocalypse - Earthblood เกมที่เหมือนจะดี...แต่ไปไม่สุดซะงั้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีเกมแนว Action ที่น่าสนใจอยู่เกมหนึ่งวางจำหน่ายให้เราได้เล่นกันกับเกมที่มีชื่อว่า “Werewolf : Apocalypse - Earthblood” ผลงานจากทีมผู้พัฒนาเกม Cyanide Studio ทำไมเกวลินถึงสนใจเกมนี้น่ะหรอคะ เพราะว่าเราไม่ค่อยได้เห็นเกมที่เกี่ยวข้องกับ ‘มนุษย์หมาป่า’ สักเท่าไหร่ ก็เลยจัดเกมนี้มาลองเล่นดูสักหน่อย บอกไว้ก่อนนะคะรีวิวเกมนี้จะตรงไปตรงมามาก ๆ ก็จะมีการอธิบายผลการทดสอบจากการเล่นบนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 และ PC ค่ะ   กราฟฟิกของเกมมันตรงกันข้ามกับคำว่า “Next-Gen” ซะจริง… คือต้องบอกก่อนว่าเกวลินเล่นเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood บนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 ซึ่งมีแพทช์ออกมาเพื่ออัปเกรดกราฟฟิกและความลื่นไหลให้กับตัวเกมด้วย แต่ผลที่ได้ก็คือกราฟฟิกมันดูไม่สวยงามหรืออลังการงานสร้างสมกับคำว่า “Next-Gen” เข้ากับยุคสมัยสักเท่าไหร่ แต่พอไปลองเทสเกมนี้บนแพลตฟอร์ม PC เอาจริง ๆ ก็สวยกว่าเล็กน้อยพวกแสง เงา ที่กระทบต่อวัตถุ รวม ๆ แล้วถ้าอยากจะเล่นแบบฟิน ๆ ก็คงเล่นบน PC ดูจะโอเคมากกว่าค่ะ ดังนั้นใครที่เล่นเกมนี้บนแพลตฟอร์มคอนโซลไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็คงต้องทำใจสักเล็กน้อยนะคะ เกมเพลย์ที่ผสมผสานจนดูดี แต่ถ้ามองลึก ๆ มันดูแปลก ๆ ยังไงชอบกล!? เห็นหัวข้ออย่าพึ่งตัดสินใจว่าเกวลินไม่ชอบเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood นะคะ จริง ๆ แล้วเกมเพลย์ตอนต่อสู้กับศัตรูทั่ว ๆ ไปถือว่าสนุกมาก ๆ แล้วก็มีความยากระดับหนึ่งเลยละ ถ้าเราคิดจะบุกป่าฝ่าดงศัตรูมันไม่ใช่ความคิดที่ถูกเสมอไปค่ะ ดังนั้นการที่เราค่อย ๆ ลอบฆ่าดูจะโอเคมากกว่า ตัวเราสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์มหาป่าได้ ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินเมื่อศัตรูรู้ตำแหน่งของเราความสนุกของเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้นค่ะ ศัตรูทั่วทั้งฉากจะบุกเข้ามารุมยำเราแบบเต็มที่ไม่ให้เราได้พักหายใจ หายคอกันเลย แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ‘พวกมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ต่อกรซึ่ง ๆ หน้า’ ดังนั้นเราอาจจะเป็นฝ่ายวูบเองก็เป็นได้ค่ะ เกลวินตายบ่อยกับศัตรูระดับธรรมดามากกว่า แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับศัตรูระดับ Boss หลายต่อหลายครั้งที่รู้สึกว่า เพราะถ้าเราจับจุดการเคลื่อนไหว หรือ การโจมตีของบอสได้แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที ทำให้บางครั้งเราสามารถอัดบอสรัว ๆ จนพลังชีวิตของมันหมดหลอดโดยที่มันยังไม่ได้เตรียมตัวหรือตั้งหลักรอบใหม่เลย ทำให้การต่อสู้กับบอสหลายครั้งรู้สึกไม่ท้าทายเท่าศัตรูระดับธรรมดาที่โจมตีได้รุนแรงและบุกเข้ามาพร้อมกันมากกว่า ในด้านเชิงของเกมเพลย์จริง ๆ แล้วมัน ‘สนุก!’ แถมออกแนวเลือดสาด 18+ ด้วยซ้ำไป การโจมตีของเราจะมีทั้งการโจมตีหนัก, โจมตีเบา, โจมตีกลางอากาศ, การพุ่งเข้าชนเพื่อสร้างความเสียหาย หรือการใช้อาวุธบางชนิดในการปิดการสังหารศัตรู เป็นต้น ทั้งหมดนี้เราจะต้องมีการอัปสกิลต่าง ๆ เพื่อให้เกมเพลย์ดูลื่นไหลมากกว่าเดิม แม้จะว่าฟังดีแต่มันก็ขาดความลื่นไหลของเกมเพลย์ในบางช่วงเวลา เพราะตัวละครของเราไม่ได้เป็นแค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องกลายร่างเป็น ‘มนุษย์หมาป่า’ ด้วย ทำให้รูปแบบการโจมตีจะมีทั้งเร็ว ช้า แตกต่างกันออกไป สิ่งที่สำคัญเราจะต้องจำท่าการโจมตีเพื่อใช้ทำคอมโบให้ดีมันจะช่วยให้เราเล่นเกมนี้ได้สนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ แล้วอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าถ้าเราอยากจะให้การโจมตีหลากหลายสิ่งที่ช่วยได้คือ ‘การอัปสกิล’ เกมนี้มีสกิลให้เลือกอัปเกรดเพียบเลยค่ะ เราจะต้องใช้แต้มในการอัปที่แต่ละสกิลก็จะใช้มากน้อยแตกต่างกันออกไป ความน่าสนใจของเกมนี้คือเราสามารถรีเซ็ตสกิลได้ตลอดเวลาเพื่อให้เราสามารถจัดสายที่ต้องการจะเล่นได้อย่างอิสระนั่นเอง ถือว่าเป็นข้อดีที่จะทำให้ผู้เล่นได้รู้ว่าตนเองควรจะเล่นสายไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด เพลงประกอบที่ช่วยเสริมให้การเล่นยังเพลินได้!? ฟังดูมันอาจจะตลกแต่มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ ตัวเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood เมื่อเข้าสู่ฉากต่อสู้เพลงประกอบจะกลายเป็นดนตรีร็อค ๆ ขึ้นมาในทันที ทำให้ผู้เล่นรู้สึกฮึกเหิมในการเล่นมากยิ่งขึ้น โดยรวมเพลงประกอบส่วนนี้มาช่วยทำให้เกมดูดีขึ้น เพราะพูดตรง ๆ ว่าเกมเพลย์มันล้าหลังไปนิดทำให้คนที่เล่นไปนาน ๆ อาจจะรู้สึกเบื่อขึ้นมาก็เป็นได้ค่ะ สรุปโดยรวม ตัวเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood เป็นเกมแนว Action ที่ผสมผสานความเป็น RPG เล็กน้อย เนื้อหาการนำเสนอคือน่าสนใจนะที่เราจะได้สวมบทบาทเป็น ‘มนุษย์หมาป่า’ แต่น่าเสียดายที่เกมมันไปไม่สุดจริง ๆ ทั้งเกมเพลย์ที่ดูอาจจะสนุกแต่ระบบกลับล้าสมัยไปนิดมันทำให้นึกถึงเราเล่นเกมแอ็คชั่นสมัยยุคเครื่อง PlayStation รุ่นเก่า ๆ เลยนะคะ โชคดีที่ความลื่นไหลของเกมเพลย์มันไม่มีสะดุดตรงนี้ขอปรบมือดัง ๆ ให้เลยค่ะ ส่วนกราฟฟิกบนเครื่องเกมคอนโซลมันไม่ได้สวยแบบที่มันควรจะเป็นนี่อะสิ เอาเป็นว่ามันก็เล่นได้เพลิน ๆ นั่นแหละค่ะ คุณผู้อ่าน คุณผู้ชม! [penci_review id="79430"]
22 Feb 2021
[Review] Blue Archive สวมบทบาทอาจารย์กอบกู้โรงเรียนที่รัก
ช่วงเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่เราจะหมดสตินั้น ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กล่าวกับเราว่า เราอาจจะเป็นความหวังที่จะกอบกู้ระบบของสหพันธ์นักเรียนได้ เราคือผู้กอบกู้ที่จะทำทุกอย่างที่เคยพังทลายกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงและตื่นขึ้นมาบนตึกแห่งหนึ่ง...ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Kivotos อันสวยงามจากกลางเมือง แต่เขนชนบทกลับดูทรุดโทรมและพังทลายจากภัยพิบัติต่างๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะ อาจารย์ ของเราเอง ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเรื่องราวบทนำของเกมมือถือที่กำลังเป็นกระแสสุดๆ ณ ตอนนี้ และเป็นเกมที่ไต่อันดับความนิยมติด Top 10 ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันของ Store ญี่ปุ่น นั้นก็คือเกมที่ชื่อว่า Blue Archive นั้นเอง และแน่นอนว่าทางเราก็ไม่พลาดที่ต้องลองเกมนี้แล้วมารีวิวเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังลังเลว่าเกมนี้จะสนุกเหมือนคนญ๊่ปุ่นได้กล่าวถึงมากไหม ลองมาอ่านบทความนี้ดูได้เลย ================================================== แค่เข้าหน้าเกม ก็หลงรักโดยไร้เหตุผล สิ่งแรกที่ทำให้เกม Blue Archive ประสบความสำเร็จเลยก็คือ การสร้าง Impression หรือภาษาชาวบ้านว่า สร้างบรรยากาศ "รักแรกพบ" ได้ดีมากๆ ทั้งภาพและเสียง รวมถึงช่วงก่อนที่ตัวเกมจะเปิดก็ได้มีการโปรโมตเกี่ยวกับเพลงเปิดหรือเพลง OP ของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Clear Morning ขับร้องโดยคุณ Yui Ogura ซึ่งเป็นคนพากย์เสียงตัวละคร "Shiroko" ตัวละครเอกในเกมอีกด้วย เมื่อทุกอย่างได้ถูกถ่ายทอดออกมา มันทำให้ทุกอย่างรู้สึกกล่มกล่อมอย่างบอกไม่ถูก และช่วงแรกที่มองว่า เกมแนว Character Collect, Tactical RPG, Turn-Base มีธีมเป็นสาวปืน มันทำให้คิดว่าเกมนี้ต้องมีความดาร์คประดุจจักรวาล DC แน่ๆ...แต่ตรงกันข้าม เกมนี้กลับค่อนข้างสดใสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร แต่ความใสนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องจะเบาสมอง แต่มันกลับมีความหนักแน่น เนื้อเรื่องชวนติดตามและลำดับการเล่าเรื่องที่มีทั้งความสนุก, ความกาว, ความหนักของเนื้อเรื่องที่กำลังพอดีและปริศนาชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่าถึงบรรยากาศของเมือง Kivotos ที่กลางเมืองนั้นดูสวยงามสดใส แต่พอห่างจากตัวเมืองก็ได้เห็นตึกอาคารที่เสียหาย ทำให้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าความสดใส่ที่อยู่เห็นตรงหน้า ภาพประกอบ CG ต่างๆ ถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ หนึ่งจุดเด่นหลักของเกม Blue Archive ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง CG ภาพต่างๆ ที่ทีมงาน Yostar ลงทุนลงแรงมากๆ จากครั้งแรกที่เล่นเลยคืออย่างชอบและหลงกับภาพสวยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของน้อง Alona หรือ AI สาวน้อยที่ปรากฎครั้งแรกบน Tablet ที่ส่งต่อมาจาก Rin ผู้แทนสหพันธ์นักเรียนให้กับเราไว้ใช้งาน ทำให้รู้ว่าภาพงาน CG แต่ละภาพ แทบไม่มีร่องรอยการเผา ( ลองทำงานเผาสิคนด่ายับแน่ ) และคงจะไม่พูดถึงน้อง Shiroko ก็คงไม่ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวละครเอกของ Blue Archive ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งจากนี้และอนาคต โดยปกติเกมอื่นๆ แล้วหากมีตัวเอก ส่วนใหญ่มักจะดูจืดจางไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับ Shiroko ที่ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมก็แทบได้รับความนิยมสูงจนมี Fanart มากมาย มันทำให้เห็นว่าทีมงานผู้พัฒนากำลังเดินมาถูกทางแล้ว เนื้อเรื่องสดใส แต่หนักแน่น เข้ากันอย่างกลมกลืน ในเนื้อเรื่องเกม Blue Archive เราจะรับบทเป็น "คนนอก" ที่ถูกรัฐบาลส่งตัวมายัง สหพันธ์นักเรียนของเมือง Kivotos ในฐานะ "อาจารย์" ซึ่งเมือง Kivotos นั้นปกครองด้วยระบอบสภานักเรียน เราจะตื่นขึ้นและพบว่าเราได้อยู่กับ Rin สาวหูเอลฟ์ซึ่งเป็นผู้รักษาการประธานสหพันธ์นักเรียนและแนะนำเมือง Kivotos ให้เราเห็นว่าสภาพบ้านเมืองที่มีทั้งด้านสวยงามและทรุดโทรม โดยเราจะถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเมืองนี้ พร้อมทั้งช่วยกันออกตามหาประธานนักเรียนของสหพันธ์ที่หายตัวไปด้วย แต่ด้วยที่ว่าเราคือ "คนนอก" ทำให้เราต้องมีชมรมเพื่อที่จะมีอำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้อาจารย์ต้องเข้ายึดอาคาร S.C.H.A.L.E ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของอาจารย์คนเก่าก่อนหายสาปสูญและถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแกงค์หมวกกันน็อค ( ชื่อเท่ซะไม่มีเลย ) ซึ่งเราก็ทำการยึดมาได้และตั้งชมรม S.C.H.A.L.E ขึ้นมา โดยรินได้มอบ Tablet ให้กับเราซึ่งภายในบรรจุ A.I. สาวน้อยที่ชื่อ อโลน่า เอาไว้ซึ่งเราถูกสหพันธ์นักเรียนฝากฝังและใช้อำนาจได้เต็มที่ และจุดเริ่มต้นของอาจารย์ที่จะเป็นความหวังในการดูและรอบอบสภานักเรียนและฟื้นฟูเมือง Kivotos ก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นแค่การเล่าเรื่องย่อเท่านั้นเนื้อหาอาจจะไม่ครบเท่าไหร่ ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีเยอะมาก และบอกได้เลยว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ขั้นกับดาร์คหนักๆ เหมือน Arknights, Azur Lane หรือ Girls Frontline แต่ว่ามันก็เข้ากับ Blue Archive และหลายๆ คนที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่ไม่ดาร์คแต่เนื้อเรื่องเข้มๆ บ้าง ทำให้เราอินกับมันได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดแต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นชวนติดตามเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนคือลูกเล่นที่ดีงาม ลูกเล่นที่ดีงามสำหรับ Blue Archive คือระบบแชทกับนักเรียน ซึ่งจริงๆ มันคือการเล่าเรื่อง Story ของนักเรียนแต่ละคนผ่านทางการแชทมือถือ มันทำให้รู้สึกเป็นอะไรที่ใหม่และสมเหตุสมผลมากๆ สำหรับเด็กวันรุ่นสมัยนี้มีอะไรก็แชทส่งกัน โดยนักเรียนแต่ละคนจะแชทมาหาเราก็ขึ้นอยู่กับการสร้างค่าความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์แต่ละระดับนอกจากจะทำให้นักเรียนสนิทสนมกับเรา แชทเข้าหาเราให้อบอุ่นหัวใจ ก็ยังจะมอบเพชรและค่า Status พิเศษที่จะเสริมพลังตอนต่อสู้อีกด้วย และที่สำคัญคือ หากเราปลดล็อคค่าความสัมพันธ์จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นการปลดล็อคภาค CG แบบ Live 2D ของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย โดยในภาพ Live 2D นั้นจะมีการเล่าเรื่องของนักเรียนแฝงอยู่ ยกตัวอย่างกรณีของ "Takahashi Hoshino" นักเรียนชั้นปีสามของโรงเรียน Abydos ที่ทางนี้ได้ปั่นค่าความสัมพันธ์จนปลด Live 2D ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก็แค่การที่ผู้เล่นพาเธอมาเดทไปเที่ยวอคาเรียม แต่ประโยคคำพูดของเธอเชิงตัดเพ้อทำให้รู้ว่า เธอเป็นหนึ่งในห้าคนของโรงเรียน Abydos ที่ยังเหลืออยู่และต้องแบกรับอะไรหนักหนามากกว่าเด็กอายุ 17 จะรับได้ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งในฐานะผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียนนี้เช่นกัน ( และมันทำให้คนเขียนหลงรักโฮชิโนะจนหมดหัวใจเช่นกัน ฮ่าๆ ) ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Blue Archive ระบบการต่อสู้ต่างๆ นั้น ไม่ว่างจะเป็นการต่อสู้ผ่านเนื้อเรื่อง, PvP หรือแม้กระทั่ง Raid Boss ก็ตาม ระบบการต่อสู้จะเหมือนๆ กันนั้นก็คือ เราจะเลือกนักเรียนลงสนามต่อสู้ได้ทั้งหมด 6 คนต่อหนึ่งทีม โดยแบ่งเป็น Striker หรือชุดจู่โจม 4 คน จะทำหน้าที่วิ่งเข้าต่อสู้และกวาดล้างศัตรูเป็นหลัก และ Special หรือทีมสนับสนุน 2 คน จะเน้นการสร้าง Buff ต่างๆ, สร้างเกราะ, Heal เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งช่วยการโจมตีได้ แต่จะอยู่แนวหลังไม่ได้ลงภาคสนามเหมือนชุดจู่โจม และนักเรียนทุกคนจะมีสกิลและค่าการใช้ Cost มากน้อยต่างกัน และเมื่อกดใช้ จะมีการเข้าคัตซีนการใช้ท่าเล็กน้อยให้ชม ซึ่งโยชิโนะนั้นท่าการใช้สกิลเท่บาดใจมากๆ เพราะเธอกางโล่แล้วเอาปืนลูกซองตั้งพาดไว้แล้วเดินทำลายแนวหน้าศัตรู ( เหมือนสกิลตั้งโล่อาวุธในเกม Division 2 เลย ) ที่สำคัญเลยเลยคือ ฉากภายในเกมมีความสำคัญมากๆ ที่กำบังและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างสามารถถูกเราและศัตรูทำลายได้ ( คงได้แรงบัลดาลใจมาจากซีรี่ส์ Battlefield มาแน่ๆ ) ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่ใครที่มีมือถือสเปคไม่สูงก็อาจจะเจอปัญหากระตุกบ้าง อาจจะต้องปรับตั้งค่าลดกราฟิคลงเสียหน่อย และระบบการเล่นจะดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทุกอย่างเป็นอนิเมชั่น 3D แบบ Chibi ดูไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับตัวละครให้หลบเข้าที่กำบังตามใจต้องการไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แย่แท้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก และอีกข้อที่ทำให้ระบบการเล่นนั้นดูน่าสนใจคือ นักเรียนทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1 ดาว หรือ 3 ดาวก็ตาม เพราะทุกตัวนั้นจะมีความชำนาญพื้นที่และประเภทการโจมตีไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครหนึ่งดาวชำนาญการสู้รบตัวเมืองและโจมตีเป็นประเภทสายสีแดง และเล่นอยู่บนพื้นที่ในตัวเมือง ก็ทำให้เธอโจมตีได้รุนแรงกว่าตัวนักเรียน 3 ดาวที่ไม่ได้ชำนาญการสู้รบในเมือง ทำให้อาจารย์ตั้งปั้นเหล่านักเรียนให้หลากหลาย ไม่มีปั้นตัวอวยเพื่อแบกทีมทั้งเกมอย่างแน่นอน ซึ่งมันดีที่ว่าทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่น แต่อาจจะไม่ดีสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าลำบากยุ่งยากเกินไป ================================================== โดยสรุปแล้ว Blue Archive นั้นเล่นสนุกและเนื้อเรื่องครบรส กราฟิคสวยงาม แม้ตอนต่อสู้จะเป็นแบบร่าง Chibi แต่ก็เป็น Chibi แบบสามมิติ ทำให้เราไม่อยากจะ Skip การต่อสู้ของเหล่านักเรียนเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่จุดข้อสังเกตุก็มีให้เห็นบ้างเช่นบัคประปรายหรือบัคตลกๆ ก็โผล่ให้เห็นบ้าง แม้จะไม่มีผลต่อตัวเกม แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ดีนักซึ่งก็คาดหวังว่าจะแก้ให้เร็ววัน อีกทั้งตัวเกมกินสเปคค่อนข้างสูง หากใครมือถือไม่แรงก็แนะนำปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ต่ำๆ ก็เล่นสนุกได้เช่นกัน แต่ทางผู้เขียนเองใช้ Poco X3 ปรับสุด 60FPS ได้แต่เครื่องก็ร้อนเอาเรื่องหากไม่ใส่เคส...หากใครอยากลองเกมแนววางแผนที่มีเนื้อเรื่องครบเครื่องแต่ไม่เน้นเครียดหรือดาร์ค เกม Blue Archive เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องลองให้ได้สักครั้งเลยล่ะ! และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า "ลุงโฮชิโนะน่ารักที่สุดในสามโลก"   ข้อดี: - ภาพ Live 2D จัดว่าดีงามมาก - BGM ทำออกมาได้ลงตัวกลมกล่อม - เนื้อเรื่องหนักแน่นแต่ไม่เครียด สมดุลระหว่างความดาร์คและความสดใส - ระบบการเล่นที่ท้าทายแต่เข้าใจง่าย ข้อสังเกตุ: - เล่นบนเครื่องจำลองใน PC จะหลุดบ่อย - เป็นเกมที่กินสเปคสูงพอสมควร - เป็นเกมที่ต้องปั้นตัวละครเกือบทุกตัวทำให้รู้สึกลำบาก [penci_review id="79269"]
22 Feb 2021
[Review] Blue Archive สวมบทบาทอาจารย์กอบกู้โรงเรียนที่รัก
ช่วงเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่เราจะหมดสตินั้น ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กล่าวกับเราว่า เราอาจจะเป็นความหวังที่จะกอบกู้ระบบของสหพันธ์นักเรียนได้ เราคือผู้กอบกู้ที่จะทำทุกอย่างที่เคยพังทลายกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงและตื่นขึ้นมาบนตึกแห่งหนึ่ง...ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Kivotos อันสวยงามจากกลางเมือง แต่เขนชนบทกลับดูทรุดโทรมและพังทลายจากภัยพิบัติต่างๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะ อาจารย์ ของเราเอง ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเรื่องราวบทนำของเกมมือถือที่กำลังเป็นกระแสสุดๆ ณ ตอนนี้ และเป็นเกมที่ไต่อันดับความนิยมติด Top 10 ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันของ Store ญี่ปุ่น นั้นก็คือเกมที่ชื่อว่า Blue Archive นั้นเอง และแน่นอนว่าทางเราก็ไม่พลาดที่ต้องลองเกมนี้แล้วมารีวิวเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังลังเลว่าเกมนี้จะสนุกเหมือนคนญ๊่ปุ่นได้กล่าวถึงมากไหม ลองมาอ่านบทความนี้ดูได้เลย ================================================== แค่เข้าหน้าเกม ก็หลงรักโดยไร้เหตุผล สิ่งแรกที่ทำให้เกม Blue Archive ประสบความสำเร็จเลยก็คือ การสร้าง Impression หรือภาษาชาวบ้านว่า สร้างบรรยากาศ "รักแรกพบ" ได้ดีมากๆ ทั้งภาพและเสียง รวมถึงช่วงก่อนที่ตัวเกมจะเปิดก็ได้มีการโปรโมตเกี่ยวกับเพลงเปิดหรือเพลง OP ของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Clear Morning ขับร้องโดยคุณ Yui Ogura ซึ่งเป็นคนพากย์เสียงตัวละคร "Shiroko" ตัวละครเอกในเกมอีกด้วย เมื่อทุกอย่างได้ถูกถ่ายทอดออกมา มันทำให้ทุกอย่างรู้สึกกล่มกล่อมอย่างบอกไม่ถูก และช่วงแรกที่มองว่า เกมแนว Character Collect, Tactical RPG, Turn-Base มีธีมเป็นสาวปืน มันทำให้คิดว่าเกมนี้ต้องมีความดาร์คประดุจจักรวาล DC แน่ๆ...แต่ตรงกันข้าม เกมนี้กลับค่อนข้างสดใสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร แต่ความใสนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องจะเบาสมอง แต่มันกลับมีความหนักแน่น เนื้อเรื่องชวนติดตามและลำดับการเล่าเรื่องที่มีทั้งความสนุก, ความกาว, ความหนักของเนื้อเรื่องที่กำลังพอดีและปริศนาชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่าถึงบรรยากาศของเมือง Kivotos ที่กลางเมืองนั้นดูสวยงามสดใส แต่พอห่างจากตัวเมืองก็ได้เห็นตึกอาคารที่เสียหาย ทำให้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าความสดใส่ที่อยู่เห็นตรงหน้า ภาพประกอบ CG ต่างๆ ถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ หนึ่งจุดเด่นหลักของเกม Blue Archive ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง CG ภาพต่างๆ ที่ทีมงาน Yostar ลงทุนลงแรงมากๆ จากครั้งแรกที่เล่นเลยคืออย่างชอบและหลงกับภาพสวยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของน้อง Alona หรือ AI สาวน้อยที่ปรากฎครั้งแรกบน Tablet ที่ส่งต่อมาจาก Rin ผู้แทนสหพันธ์นักเรียนให้กับเราไว้ใช้งาน ทำให้รู้ว่าภาพงาน CG แต่ละภาพ แทบไม่มีร่องรอยการเผา ( ลองทำงานเผาสิคนด่ายับแน่ ) และคงจะไม่พูดถึงน้อง Shiroko ก็คงไม่ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวละครเอกของ Blue Archive ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งจากนี้และอนาคต โดยปกติเกมอื่นๆ แล้วหากมีตัวเอก ส่วนใหญ่มักจะดูจืดจางไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับ Shiroko ที่ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมก็แทบได้รับความนิยมสูงจนมี Fanart มากมาย มันทำให้เห็นว่าทีมงานผู้พัฒนากำลังเดินมาถูกทางแล้ว เนื้อเรื่องสดใส แต่หนักแน่น เข้ากันอย่างกลมกลืน ในเนื้อเรื่องเกม Blue Archive เราจะรับบทเป็น "คนนอก" ที่ถูกรัฐบาลส่งตัวมายัง สหพันธ์นักเรียนของเมือง Kivotos ในฐานะ "อาจารย์" ซึ่งเมือง Kivotos นั้นปกครองด้วยระบอบสภานักเรียน เราจะตื่นขึ้นและพบว่าเราได้อยู่กับ Rin สาวหูเอลฟ์ซึ่งเป็นผู้รักษาการประธานสหพันธ์นักเรียนและแนะนำเมือง Kivotos ให้เราเห็นว่าสภาพบ้านเมืองที่มีทั้งด้านสวยงามและทรุดโทรม โดยเราจะถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเมืองนี้ พร้อมทั้งช่วยกันออกตามหาประธานนักเรียนของสหพันธ์ที่หายตัวไปด้วย แต่ด้วยที่ว่าเราคือ "คนนอก" ทำให้เราต้องมีชมรมเพื่อที่จะมีอำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้อาจารย์ต้องเข้ายึดอาคาร S.C.H.A.L.E ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของอาจารย์คนเก่าก่อนหายสาปสูญและถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแกงค์หมวกกันน็อค ( ชื่อเท่ซะไม่มีเลย ) ซึ่งเราก็ทำการยึดมาได้และตั้งชมรม S.C.H.A.L.E ขึ้นมา โดยรินได้มอบ Tablet ให้กับเราซึ่งภายในบรรจุ A.I. สาวน้อยที่ชื่อ อโลน่า เอาไว้ซึ่งเราถูกสหพันธ์นักเรียนฝากฝังและใช้อำนาจได้เต็มที่ และจุดเริ่มต้นของอาจารย์ที่จะเป็นความหวังในการดูและรอบอบสภานักเรียนและฟื้นฟูเมือง Kivotos ก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นแค่การเล่าเรื่องย่อเท่านั้นเนื้อหาอาจจะไม่ครบเท่าไหร่ ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีเยอะมาก และบอกได้เลยว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ขั้นกับดาร์คหนักๆ เหมือน Arknights, Azur Lane หรือ Girls Frontline แต่ว่ามันก็เข้ากับ Blue Archive และหลายๆ คนที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่ไม่ดาร์คแต่เนื้อเรื่องเข้มๆ บ้าง ทำให้เราอินกับมันได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดแต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นชวนติดตามเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนคือลูกเล่นที่ดีงาม ลูกเล่นที่ดีงามสำหรับ Blue Archive คือระบบแชทกับนักเรียน ซึ่งจริงๆ มันคือการเล่าเรื่อง Story ของนักเรียนแต่ละคนผ่านทางการแชทมือถือ มันทำให้รู้สึกเป็นอะไรที่ใหม่และสมเหตุสมผลมากๆ สำหรับเด็กวันรุ่นสมัยนี้มีอะไรก็แชทส่งกัน โดยนักเรียนแต่ละคนจะแชทมาหาเราก็ขึ้นอยู่กับการสร้างค่าความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์แต่ละระดับนอกจากจะทำให้นักเรียนสนิทสนมกับเรา แชทเข้าหาเราให้อบอุ่นหัวใจ ก็ยังจะมอบเพชรและค่า Status พิเศษที่จะเสริมพลังตอนต่อสู้อีกด้วย และที่สำคัญคือ หากเราปลดล็อคค่าความสัมพันธ์จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นการปลดล็อคภาค CG แบบ Live 2D ของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย โดยในภาพ Live 2D นั้นจะมีการเล่าเรื่องของนักเรียนแฝงอยู่ ยกตัวอย่างกรณีของ "Takahashi Hoshino" นักเรียนชั้นปีสามของโรงเรียน Abydos ที่ทางนี้ได้ปั่นค่าความสัมพันธ์จนปลด Live 2D ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก็แค่การที่ผู้เล่นพาเธอมาเดทไปเที่ยวอคาเรียม แต่ประโยคคำพูดของเธอเชิงตัดเพ้อทำให้รู้ว่า เธอเป็นหนึ่งในห้าคนของโรงเรียน Abydos ที่ยังเหลืออยู่และต้องแบกรับอะไรหนักหนามากกว่าเด็กอายุ 17 จะรับได้ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งในฐานะผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียนนี้เช่นกัน ( และมันทำให้คนเขียนหลงรักโฮชิโนะจนหมดหัวใจเช่นกัน ฮ่าๆ ) ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Blue Archive ระบบการต่อสู้ต่างๆ นั้น ไม่ว่างจะเป็นการต่อสู้ผ่านเนื้อเรื่อง, PvP หรือแม้กระทั่ง Raid Boss ก็ตาม ระบบการต่อสู้จะเหมือนๆ กันนั้นก็คือ เราจะเลือกนักเรียนลงสนามต่อสู้ได้ทั้งหมด 6 คนต่อหนึ่งทีม โดยแบ่งเป็น Striker หรือชุดจู่โจม 4 คน จะทำหน้าที่วิ่งเข้าต่อสู้และกวาดล้างศัตรูเป็นหลัก และ Special หรือทีมสนับสนุน 2 คน จะเน้นการสร้าง Buff ต่างๆ, สร้างเกราะ, Heal เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งช่วยการโจมตีได้ แต่จะอยู่แนวหลังไม่ได้ลงภาคสนามเหมือนชุดจู่โจม และนักเรียนทุกคนจะมีสกิลและค่าการใช้ Cost มากน้อยต่างกัน และเมื่อกดใช้ จะมีการเข้าคัตซีนการใช้ท่าเล็กน้อยให้ชม ซึ่งโยชิโนะนั้นท่าการใช้สกิลเท่บาดใจมากๆ เพราะเธอกางโล่แล้วเอาปืนลูกซองตั้งพาดไว้แล้วเดินทำลายแนวหน้าศัตรู ( เหมือนสกิลตั้งโล่อาวุธในเกม Division 2 เลย ) ที่สำคัญเลยเลยคือ ฉากภายในเกมมีความสำคัญมากๆ ที่กำบังและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างสามารถถูกเราและศัตรูทำลายได้ ( คงได้แรงบัลดาลใจมาจากซีรี่ส์ Battlefield มาแน่ๆ ) ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่ใครที่มีมือถือสเปคไม่สูงก็อาจจะเจอปัญหากระตุกบ้าง อาจจะต้องปรับตั้งค่าลดกราฟิคลงเสียหน่อย และระบบการเล่นจะดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทุกอย่างเป็นอนิเมชั่น 3D แบบ Chibi ดูไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับตัวละครให้หลบเข้าที่กำบังตามใจต้องการไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แย่แท้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก และอีกข้อที่ทำให้ระบบการเล่นนั้นดูน่าสนใจคือ นักเรียนทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1 ดาว หรือ 3 ดาวก็ตาม เพราะทุกตัวนั้นจะมีความชำนาญพื้นที่และประเภทการโจมตีไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครหนึ่งดาวชำนาญการสู้รบตัวเมืองและโจมตีเป็นประเภทสายสีแดง และเล่นอยู่บนพื้นที่ในตัวเมือง ก็ทำให้เธอโจมตีได้รุนแรงกว่าตัวนักเรียน 3 ดาวที่ไม่ได้ชำนาญการสู้รบในเมือง ทำให้อาจารย์ตั้งปั้นเหล่านักเรียนให้หลากหลาย ไม่มีปั้นตัวอวยเพื่อแบกทีมทั้งเกมอย่างแน่นอน ซึ่งมันดีที่ว่าทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่น แต่อาจจะไม่ดีสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าลำบากยุ่งยากเกินไป ================================================== โดยสรุปแล้ว Blue Archive นั้นเล่นสนุกและเนื้อเรื่องครบรส กราฟิคสวยงาม แม้ตอนต่อสู้จะเป็นแบบร่าง Chibi แต่ก็เป็น Chibi แบบสามมิติ ทำให้เราไม่อยากจะ Skip การต่อสู้ของเหล่านักเรียนเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่จุดข้อสังเกตุก็มีให้เห็นบ้างเช่นบัคประปรายหรือบัคตลกๆ ก็โผล่ให้เห็นบ้าง แม้จะไม่มีผลต่อตัวเกม แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ดีนักซึ่งก็คาดหวังว่าจะแก้ให้เร็ววัน อีกทั้งตัวเกมกินสเปคค่อนข้างสูง หากใครมือถือไม่แรงก็แนะนำปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ต่ำๆ ก็เล่นสนุกได้เช่นกัน แต่ทางผู้เขียนเองใช้ Poco X3 ปรับสุด 60FPS ได้แต่เครื่องก็ร้อนเอาเรื่องหากไม่ใส่เคส...หากใครอยากลองเกมแนววางแผนที่มีเนื้อเรื่องครบเครื่องแต่ไม่เน้นเครียดหรือดาร์ค เกม Blue Archive เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องลองให้ได้สักครั้งเลยล่ะ! และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า "ลุงโฮชิโนะน่ารักที่สุดในสามโลก" [penci_review id="79269"]
22 Feb 2021
รีวิว The Sims 4 - Paranormal เปลี่ยนแปลงบ้านของคุณให้กลายเป็นคฤหาสน์ผีสิง
เป็นเกมที่มักจะมี Pack เสริมออกมาให้เราเล่นอยู่เสมอเลยนะครับสำหรับ The Sims 4 และอัพเดตล่าสุดที่ผู้พัฒนาใส่เข้ามานั้นก็คือ Stuff Pack นามว่า Paranormal ที่จะเปิดโอกาสให้คุณนั้นได้ไปสัมผัสประสบการณ์เร้นลับให้โลกของซิมส์ที่มันจะเข้ามาเสริมสร้างความแปลกใหม่ และความสนุกในการเล่นเกมนี้ของท่านให้มากขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH นั้นได้เข้าไปลองเล่นมาแล้วครับและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเสริมนี้มีอะไรให้ท่านทำบ้าง และควรแค่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ? การตกแต่งบ้านสไตล์ผีสิง ถ้าใครกำลังวาดฝันที่อยากให้บ้านซิมส์ของเรานั้นกลายเป็นคฤหาสน์ผีสิง ตัวแพ็คนี้สร้างขึ้นมาตอบโจทย์ท่านแล้ว เพราะในแพ็คเสริมนี้จะมีของแตกแต่งบ้านสไตล์หม่นๆ สไตล์ของตกแต่งจะมีความเป็นยุโรปปนความพิศวงอยู่หน่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านของท่านแดร็กคิวล่า ที่ระหกระเหินมาอยู่ในเมืองกรุง (55555) มีเตาผิงไฟสไตล์ยุโรป รูปของคนในอดีต ต้องยอมรับว่าตัวผู้เขียนไม่ได้เป็นคนที่มีไอเดียในการแต่งบ้านเก่งนัก แต่จริงๆ มันสามารถแต่งให้กลายเป็นปราสาทสุดหลอนได้เต็มที่ (ถ้าคุณมีไอเดียสร้างสรรค์พอ) พบปะกับเหล่าผีที่จะมาหลอกหลอนในบ้านคุณ สืบเนื่องมาจากในข้อแรกที่เรานั้นสามารถตกแต่งบ้านให้กลายเป็นปราสาทผีสิงได้ถึงขั้นหนึ่ง ในตัวแพ็คเสริมนี้ก็มีระบบที่จะทำให้บ้านคุณนั้นหลายเป็นบ้านผีสิงเต็มตัว จะมีเหล่าผีสางที่จะเข้ามาโผล่หลอกหลอนเราในบ้าน เพื่อนๆ ซิมส์คนไหนที่เข้ามาบ้านเราก็จะต้องหวาดกลัวหลอกแม้กระทั่งเจ้าของบ้านด้วยกันเอง นอกจากนี้ตัวเกมจะมี Event พิเศษที่อาจจะมีเหล่าผีสางตัวพิเศษมาแวะเวียนชื่นชมบ้านของท่าน หรืออาจจะมาให้สิ่งที่พิเศษกับท่านก็ได้ ฝึกพลังพูดคุยกับวิญญาน เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ติดเข้ามาในแพ็คเสริมตัวนี้ กับอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Seance Table ที่จะให้เรานั้นได้ฝึกฝนตัวเองเพื่อสื่อสารกับเหล่าภูติผีวิญญาน หรือถ้ายิ่งเลเวลสูงๆ หน่อยตัวโต๊ะนี้ก็จะมีลูกเล่นแปลกๆ ให้สนุกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนให้ตัวเองกลายเป็นพลังงานวิญญานได้ การเรียกเหล่าผีสางวิเศษออกมาพูดคุยได้โดยตรง การอัญเชิญแม่บ้านโครงกระดูกอย่าง Bonehilda มาช่วยเราปัดกวาดบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือที่พิเศษคือถ้าหากแต้มฝึกฝนวิชาเราถึงขั้นสูงสุด เราก็สามารถกลายเป็นนักปราบผีได้ กลายเป็นหมอผีคอยปราบเหล่าวิญญานตามบ้าน การที่จะให้ผีหลอกเราคนเดียวก็กระไรอยู่ ราสามารถสู้กับเหล่าผีสางได้ เพราะในแพ็ค Paranormal นี้ได้เปิดโอกาสให้เรานั้นมีอาชีพในการไล่ผีสางตามบ้าน หลังจากที่เรานั้นฝึกฝนวิชาวูดูสื่อสารกับผีจนชำนาญแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งชาเลนจ์ที่ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ เป็นเกมการเล่นใหม่ๆ ที่เข้ามาท้าทายเรา เพราะตัวระบบนี้จะสามารถให้เรานั้นเข้าไปปราบผีด้วยตัวเองโดยตรง ไม่เหมือนอาชีพอื่นๆ ที่จะมีการ Timelap ไปถึงตอนที่งานเสร็จเลย สรุป The Sim 4 Paranormal Stuff ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเสริมสร้างความสนุกให้กับท่าน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่านี่มันเป็นเพียง Pack เล็กๆ เท่านั้นไม่ใช่ตัวเสริมขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนเกมเพลย์ หรือมีแผนที่ใหม่อย่าง Pack อื่นๆ แต่มันจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับท่านในการเล่นเสียมากกว่า บวกกับราคาที่ไม่แพงเพียงแค่ 10$ เท่านั้น มันก็ถือว่าเป็นอะไรที่ท่านมาเป็นจับจองมาเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องรู้สึกตะขิดตะขวงอะไรนัก [penci_review id="78241"]
10 Feb 2021
รีวิว Demons Soul Remake นิทานเรื่องเดิมที่สนุกยิ่งกว่าเดิมบนเครื่องใหม่
ในที่สุดชาวไทยเราก็มีโอกาสได้สัมผัสเกม Demons Souls ภาคใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปล่อยให้ต่างชาติเขาเล่นไปก่อนอยู่นาน ตัวผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเกมตระกูลนี้ของ From Software มาก เนื่องจากทุกครั้งที่เล่นจะมีความรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเสมอ (เนื่องจากหนึ่งภาคใช้เวลาเล่นนานมากๆ) ซึ่งครั้งนี้เองก็นับเป็นโชคดีของผมที่มีโอกาสได้เล่นเกมนี้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้เลยจะมารีวิวเกมนี้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ก่อนจะเริ่ม ขอออกตัวก่อนเลยว่าตัวผมเอง "ไม่เคย" เล่นตัวเกมเวอร์ชัน PS3 ที่เป็นตัว Original มาก่อนเลย ดังนั้นประสบการณ์ที่เพื่อนๆ จะได้อ่านต่อไปนี้จึงเป็น First Impression โดยแท้จริงครับ ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวผมเองทั้งได้สนุก, หัวร้อน, และตื่นเต้น มากมายหลายครั้งเลยในการเล่นเกมนี้ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ! เนื้อเรื่อง เรื่องราวของ Demons Soul จะเริ่มด้วยการโยนตัวละครของเราลงไปในโลกโดยไม่บอกอะไรเลยเหมือนกับเกม Dark Souls ภาคอื่นๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มในท่อระบายน้ำของอาณาจักรแห่งหนึ่ง (ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็น Boletaria) ซึ่งหลังจากเดินทางไปได้สักพัก เราจะได้พบกับปีศาจขนาดใหญ่ได้เข้าต่อสู้กับมัน และตายลง (ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสามารถสู้ให้ชนะในฉากนั้นเลยได้หรือไม่) แต่แทนที่จะ Game Over ตัวเกมจะตัดภาพมาที่ The Nexus ดินแดนระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย ที่แห่งนี้เราจะได้พบกับหญิงสาวปริศนา เธอจะบอกว่าดวงวิญญาณของเราเป็นของ The Nexus เราไม่มีทางหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ แต่ยังสามารถไปยังโลกภายนอกได้ผ่าน Archstone หลังจากเดินทางไปยัง Boletaria และปราบปิศาจตัวแรกลงได้ เมื่อกลับมาที่ The Nexus อีกครั้งหญิงสาวปริศนา จะบอกให้เราไปคุยกับ Monumental (ไม่รู้จะแปลว่าอะไรดีเหมือนกันครับ) ที่อยู่ด้านบนของ The Nexus เพื่อฟังเรื่องราวของโลกใบนี้ และเหตุผลในการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ รูปปั่นจะเล่าว่า เมื่อก่อนโลกใบนี้เคยสงบสุข ทุกดวงวิญญาณอาศัยอยู่รวมกันอย่างเท่าเทียมภายใต้ Soul Arts แต่แล้ววันความหิวกระหายในพลังได้ปลุก The Old One ขึ้นมา (คิดว่าน่าจะหมายถึงราชาของเหล่าปีศาจทั้งมวล) หมอกควันแห่งความตายได้ปกคลุมไปทั่วโลกทุกๆ เผ่าพันธุ์ บนโลกต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานของปิศาจจนเกือบสูญพันธุ์ แต่โชคดีที่เหล่าผู้เหลือรอดได้ทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลได้สำเร็จ แต่ก็แลกมาด้วยความตายของชีวิตมากมายมหาศาล เพื่อป้องกันการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของ The Old One เหล่า Monumental ได้มอบหินวิเศษ 6 ก้อนให้กับผู้นำทั้ง 6 ของเผ่าพันธุ์ที่ยังมีชีวิตเหลือรอด ด้วยพลังของ หินวิเศษทั้ง 6 ทำให้สามารถจองจำ The Old One ไว้ใต้ The Nexus สำเร็จ นั่นคือเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่ทุกคนหวาดกลัวกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความโลภในพลังของราชาผู้โง่เขลา ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว Monumental จะขอให้เราสังหารราชาคนนั้น และทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลอีกครั้ง เรื่องราวของ Demons Soul ไม่ได้ถูกเล่าเป็นเส้นตรง แต่ให้ผู้เล่นไปหาข้อมูลเอาเองจากการพูดคุยกับ NPC รวมไปจนคำอธิบายในไอเทมต่างๆ แต่โดยรวมถือว่าสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า Dark Souls เป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็ถูกเล่ามาโดย Monumental แล้วหลังจากนี้คือการผจญภัยของเราเอง โดยวิธีการดำเนินเรื่องก็แล้วแต่ผู้เล่นเองเลย จะไปเดินทางไปยัง Archstone ไหน หรือสำรวจดินแดนไหนก่อนก็ได้เพราะปลายทางของเนื้อเรื่องก็จะมาจบที่ The Nexus อยู่ดี เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียด และเสน่ห์ของเนื้อเรื่องตามสไตล์ Souls จาก From Software ไว้ได้อย่างครบถ้วน (ต้องยกนิ้วให้กับ Bluepoint Games กับการ Remake ครั้งนี้ครับ) กราฟิก / การนำเสนอ ก่อนอื่นเอาแค่เรื่อง ภาพ, กราฟิก กับ Visual Effects ก่อน สามจุดนี้ขอยอมรับว่าทำออกมาได้ดี, สวยงาม, และเก็บรายละเอียดของวัตถุได้เนี๊ยบมากๆ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะความสามารถของตัวเครื่อง PS5 ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ และซีพียูที่แรงมากๆ ด้วย ทำให้ตลอดเวลาที่ได้เล่นเกมนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นฉากของปราสาทที่กำลังลุกเป็นไฟ, หมอกและควันจากศพที่ไหม้, แสงที่สองผ่านช่องวางของหน้าต่างมา, รูปร่างหน้าตาของปีศาจที่ได้พบ, ซากประหลักหักพังท่ามกลางพายุ, วิหาร The Nexus ทุกอย่างถูกออกแบบใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น พอเอาไปรวมกับความละเอียดแบบ 4K / 60 FPS ก็ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาที่เล่นครับ ต่อมาในด้านการนำเสนอ จุดแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ พร้อมทั้งรู้สึกดีมากๆ ตลอดเวลาที่เล่นคือระบบสั่น กับแรงต้านของจอย Dualsense และระบบเสียงที่ใช้งานเทคโนโลยี Tempest ของเกม ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกเสมือนจริง ได้มากขึ้นเป็นอย่างมากตลอดเวลาในการเล่น สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือการที่รูปแบบของแรงสั่นจากจอยเวลากระทบกับวัตถุประเภทต่างๆ รวมถึงน้ำหนัก และทิศทางเสียงที่เกิดขึ้นในเกม มันแตกต่างกันออกไปทั้งหมดครับ เห็นในชัดที่สุดคือตอนเวลาเอาอาวุธประเภททุบๆ อย่าง ค้อน, กระบอง หรือคทา โจมตีใส่ศัตรู ความรู้สึกที่สัมผัสได้ผ่านจอยคือเหมือนเราได้ตีใส่ศัตรูภายในเกมจริงๆ ด้วยตัวเองเลยครับ (ความรู้สึกเวลาเอา Mace ทุบหินจะแน่นๆ และทำให้รู้สึกว่ามือชาหน่อยๆ ) (เวลาทุบกระดูกจะแรงต้านไม่เยอะเท่า แต่จะรู้สึกเหมือนทำอะไรแตกหัก) พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีเสียง Tempest ต่ออีกนิด นอกจากเสียงที่เกิดจากกระทบของวัตถุแล้ว หากใส่หูฟังเล่น จะได้พบกับเสียงของฝน, เสียงไฟ, เสียงกรีดร้อง รวมถึงเสียงการก้าวเดินของตัวละครบนพื้นผิวต่างๆ ที่สมจริงมาก มันสมจริงถึงขนาดที่ว่าถ้าใส่แว่น VR เล่น และเปลี่ยนมุมมองเป็น FPS คงแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือความจริงๆ อันไหนคือในเกม ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเพียงแค่ระบบของเสียงเปลี่ยนไปเป็น 3D จะสร้างความแตกต่างทางด้านประสบการณ์ที่ได้รับมากขนาดนี้ เอาจริงๆ ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าด้วยระบบเสียงใหม่นี้ทำให้สามารถทำให้เรารู้สึกว่าได้เข้าไปเดินในโลกใบนั้นจริงๆ แหล่งกำเนิดเสียงอยู่ที่ไหนเป็นอะไร ก็จะได้ยินเสียงของวัตถุชิ้นนั้นจากทิศทางนั้นจริงๆ คงพูดได้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ จริงครับ (เสียงตอนเคียวปาดบนเนื้อหินฉากนี้คือสุดยอดมากๆ ) ต่อมาคือในเรื่องของอนิเมชั่นการขยับของตัวละคร ที่เวอร์ชันนี้ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล ถูกต้อง แต่จุดที่ผมประทับใจมากที่สุดคือมีการเพิ่มท่าโจมตีแบบ Fatal Attack เข้ามาใหม่ถึงอาวุธละ 3 ท่าด้วยกัน กล่าวคือการจับอาวุธด้วยมือเดียว หรือสองมือ โจมตีแบบ Fatal Attack จากข้างหน้า และข้างหลัง เราจะได้เห็นท่าโจมตีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมันทำให้รู้สึกหลากหลายมากขึ้นในตอนเล่น และนับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมอยากชมผู้พัฒนา ต่อมาคือเรื่องของบรรยากาศ ในจุดนี้ตัวผมเองคิดว่าด้วยเซตติ่งของโลก รวมถึงสไตล์ของสถานที่ซึ่งให้เราไปสำรวจแล้ว เกมนี้มีธีมโดยรวมของฉากที่สว่างมากเกินไปครับ ถ้าหากว่าทำออกมาให้มืดมากกว่านี้คิดว่าคงทำให้อินได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าตัวผู้พัฒนาเองก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี จึงได้ใส่ Filter ต่างๆ มาให้เราได้ใช้งานด้วย ซึ่งมันเลยทำให้สามารถปรับรูปแบบของสีในฉากต่างๆ ของเกมได้ตามใจผู้เล่นเอง จนปัญหาข้างต้นหมดไป ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ Bluepoint Games ให้ความสำคัญ และตัดสินใจทำได้ดีมากๆ ครับ เกมเพลย์ เบื้องต้นในเรื่องของระบบต่อสู้ Demons Soul ภาคนี้เหมือนเอาระบบต่อสู้ของ Dark Souls 3 มาพัฒนาต่อให้ดีขึ้น การบังคับ, จังหวะการโจมตี, กลิ้ง, ป้องกัน, ระยะของฮิตบล็อก ทุกอย่างถูกทำให้มีความถูกต้องมากขึ้น พอเอาไปรวมกับตัวเกมที่สามารถเล่นได้แบบ 60 FPS แล้ว จึงทำให้ประสบการณ์ต่อสู้ในภาคนี้ดูดียิ่งกว่า Dark Souls 3 เป็นอย่างมากจุดนี้ขอชมเชยจากใจครับ ทีนี้มาพูดถึงเรื่องความยากกันบ้าง ก่อนอื่นศัตรูข้างทางที่เราได้พบมีความยากน้อยกว่า ตระกูล Dark Souls พอสมควรครับ  เนื่องจากรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละตัวจะมีประมาณ 2 - 4 แบบเท่านั้น และประมาณ 70% มีรูปร่างเป็นแบบ Humanoid (รูปร่างแบบมนุษย์) จึงทำคาดเดาการโจมตี รวมถึงระยะสามารถทำได้ง่ายกว่า ถ้าจะมีจุดที่ยากเลย คิดว่าคงเป็นเรื่องของดาเมจที่ศัตรูทำได้ในแต่ละครั้งมักจะแรงมากๆ และจุดเซฟแต่ละจุดอยู่ห่างกันแบบสุดๆ ครับ ต่อที่ความยากเวลาสู้กับบอส โดยปกติแล้วความยากของเกมตระกูล Souls มักจะอยู่ที่ความเก่งของบอสแต่ละตัว ซึ่งใน Demons Soul ภาคใหม่นี้ก็ไม่ใช่แบบนั้น อย่างที่ผมบอกไปว่ารูปแบบการโจมตีของศัตรูในภาคนี้จะมีอยู่แค่ 2 - 4 แบบเท่านั้น ซึ่งมันรวมถึงบอสด้วยครับ ถ้าหากเพื่อนๆ ใจเย็นและค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้การโจมตีของบอสก่อน ทุกตัวน่าจะสามารถผ่านได้ตั้งแต่การสู้ครั้งแรกเลย (ผมเองก็สู้ครั้งเดียวผ่านอยู่หลายตัวมากๆ เช่นกัน) ส่วนหนึ่งคิดว่าคงเป็นเพราะเกมในยุค PS3 ที่เป็นต้นตำรับสามารถใส่ความหลากหลายเข้ามาได้แค่นี้ด้วย แต่เอาตรงๆ สำหรับตัวเกมที่ถูกเรียกว่า Remake แล้ว ผมเองปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคาดหวังความท้าทายที่มากกว่านี้ครับ ต่อมาจะขอพูดถึงระบบภายในเกมที่น่าสนใจในภาคนี้กันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมชอบมากๆ คือระบบที่มีชื่อว่า Fractured World ที่จะสลับซ้าย และขวาของทุกอย่างในเกม (ย้ำว่าทุกอย่าง กระทั่งตัวละครเราเองก็จะเปลี่ยนไปถืออาวุธในมือซ้าย ถือโล่มือขวาเช่นกัน) การสลับซ้ายกับขวานี้จะทำให้การเดินทางในสถานที่เดิน และการกลิ้งหลบเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความลับบางอย่างที่เราสามารถหาได้ในโลกแบบสลับด้านนี้เท่านั้นด้วย ถือได้ว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ ครับ ระบบที่สองที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่คือระบบที่ให้เราสามารถขอขมากรรมที่ทำไปได้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ในเกมตระกูล Souls เราสามารถโจมตี NPC ทั้งหมดที่มีในเกมได้ ซึ่งบางตัวจะไม่ยอมยกโทษให้กับรวมถึงไม่ยอมคุยด้วย (ทีนี้จะฝากของ หรือตีบวกอาวุธก็ทำไม่ได้อีก) ระบบขอขมากรรมมีไว้เพื่อการนี้ โดยหลังจ่าย Souls เท่ากับกรรมที่ทำไปแล้ว เราก็จะได้รับการยกโทษให้จากเหล่า NPC มันช่วยได้เยอะมากๆ เนื่องจากบางครั้งมันก็มีการกดผิดจากปุ่มตกลงเป็นปุ่มโจมตีกันอยู่บ้างครับ (ก็มันชินอะ) ฟังข้อดีกันไปเยอะแล้ว มาดูข้อเสียของเกมนี้บ้าง หลักเลยๆ ผมมีเรื่องเดียวที่จะติครับ นั้นคือการที่จำนวนชั่วโมงที่จำเป็นต้องใช้ในการเคลียร์มันน้อยมาก ถ้าชินกับจังหวะของเกมแล้วคิดว่า 10 - 15 ชั่วโมงก็สามารถเคลียร์ได้แล้ว จริงอยู่ว่าเกมนี้มีความลับ รวมถึงเนื้อเรื่องเสริมให้เราเล่นด้วย แต่คิดว่าคงกินเวลาเพิ่มไม่ถึงอีก 10 ชั่วโมงครับ ซึ่งถือว่าใช้เวลาน้อยมากๆ ครับ สรุป โดยรวมแล้ว Demons Souls Remake ถือเป็นภาคหนึ่งของตระกูล Souls ที่สนุก, กราฟิกสวย, เนื้อเรื่องเข้าใจง่าย, มีระบบใหม่ที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การหามาเล่นสักครั้งสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ แต่ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นไม่นาน และอาจไม่ยากถูกใจสาย Hardcore เท่าไหร่นัก (แต่ถือว่ายากกว่าเกมในยุคปัจจุบันพอสมควรเลย) แน่นอนว่าเกมนี้ไม่ได้มอบสิ่งใหม่ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ ดังนั้นคิดว่าโดยรวมแล้วเกมนี้ควรจะมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 แม้จะสนุกมากแต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมจริงๆ หลังจากที่ได้เล่นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ตัวผมเองได้พบกับจุดเชื่อมโยงเนื้อเรื่องของ Demons Soul, Dark Souls และ Bloodborne เข้าด้วยกันไม่แน่ว่าโลกทั้ง 3 ใบของ From Software อาจใกล้เคียงกันมากกว่าที่เราคิดก็ได้ ถ้าหากรวบรวมข้อมูลได้แล้ว จะเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันอย่างแน่นอนครับ [penci_review id="78504"]
10 Feb 2021
[Review] Resident Evil Re:Verse การรวมดาวตัวดีและร้ายแห่งจักรวาลผีชีวะ เกมดีที่คนมองแค่เปลือก!
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้เกวลินหายนานคิดถึงกันหรือเปล่าคะ >,.< วันนี้เกลวินเองได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” โหมดออนไลน์ตัวใหม่ล่าสุดที่จะเรียกว่าเป็นการรวมดาวตัวละครจากซีรีส์ Resident Evil ให้เราได้เล่นกันออนไลน์ต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่น ๆ โดยตัวเกมจะแถมมาให้กับผู้เล่นที่ซื้อตัวเกม Resident Evil Village เท่านั้นนะคะ ไม่ได้เปิดให้บริการหรือขายแยกแต่อย่างใดค่ะ ซึ่งการทดสอบตัวเกมในช่วง Closed Beta ที่ผ่านมาก็ถือได้ว่า “ตัวเกมถูกจริตแฟนซีรีส์นี้ แล้วก็มีคนที่ไม่ชอบและเกลียดเกมนี้” พอตัวเลย เอาเป็นว่าการรีวิว [Review] นี้เป็นประสบการณ์จากการเล่นจริงจากตัวเกวลินเองค่ะ อธิบายก่อนว่าตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” คือโหมดออนไลน์ที่ทาง Capcom พัฒนาขึ้นมานี้ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปีของเกม Resident Evil ต้องยอมรับก่อนว่าตอนที่เปิดตัวทีเซอร์แรกเกมเมอร์ส่วนใหญ่ต่างไม่ชอบเท่าที่ควร ด้วยความที่ว่าในทีเซอร์ยิงกันก็ไม่โดน ตัดต่อก็เอ่อ...พูดตรงๆ ก็ “ห่วยแตกมั๊ก!” มันจึงไม่แปลกเลยที่ยอดกดดิสไลค์มันจะถล่มทลายได้ขนาดนั้น ในระหว่างนั้นก็มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมทดสอบตัวเกมนี้ด้วย โชคดีมากที่เกวลินได้ Beta Key มา 2 ตัวด้วยกันค่ะ แล้วการทดสอบตัวเกมในช่วง Closed Beta มีเฉพาะเครื่องคอนโซล PlayStation 4 และ Xbox One เท่านั้นนะคะ ตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” จะให้เราได้รับบทเป็นตัวละครต่างๆ จากซีรีส์ Resident Evil ทั้งตัวละครเอกที่เราคุ้นเคยกันดี ไปจนถึงเหล่าพวกอาวุธชีวภาพหลายประเภท สิ่งเหล่านี้คุณจะได้สัมผัสภายในเกมนี้อย่างแน่นอน ในด้านของระบบเกมเพลย์จะเป็นแนว Action Shooting แล้วโหมดการเล่นจะมีเพียงแค่เราจะต้องสังหารผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อเก็บคะแนนให้มากที่สุด ใครที่ทำคะแนนจากการสังหารมากที่สุดก็จะเป็นฝ่ายชนะไปค่ะ โดยเริ่มเกมเราจะต้องเลือกตัวละครว่าจะเล่นเป็นใคร ซึ่งเมื่อเลือกแล้วเราจะไม่สามารถเปลี่ยนตัวละครได้จนกว่าจะจบเกม แต่ละตัวละครก็จะมีอาวุธและสกิลที่แตกต่างกันออกไปไม่มีความเหมือนกันเลยค่ะ ตัวละครเอกที่มีให้เราได้เล่นในช่วง Closed Beta ประกอบไปด้วย Chris Redfield เลือกใช้โมเดลตัวละครมาจากภาค Resident Evil 7 Jill Valentine เลือกใช้โมเดลตัวละครมาจากภาค Resident Evil 3 Remake Leon S. Kenney เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake Claire Redfield เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake Ada Wong เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake Hunk เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake สิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้อย่างแรกเลยก็คือตัวละครเหล่านี้จะมีค่าสเตตัสที่ติดตัวไม่เหมือนกัน รวมไปถึงสกิลติดตัว 1 สกิลและสกิลเพื่อใช้งานคนละ 2 สกิลด้วยกัน ถ้าเราเลือกใช้งานสกิลอย่างเหมาะสมจะทำให้เกมเพลย์สนุกมากยิ่งขึ้นเลยค่ะ ในด้านของอาวุธก็เช่นเดียวกันแต่ละตัวละครจะมีอาวุธ 2 ชนิด ชนิดแรกคืออาวุธประจำตัวส่วนใหญ่จะเป็นปืนพกที่มีกระสุนให้ใช้ไม่จำกัด แต่เมื่อต้องรีโหลดกระสุนจะกินเวลาเล็กน้อยทำให้เราอาจจะถูกสังหารได้ ถ้าเราเลือกใช้อย่างถูกวิธีมันจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังและสังหารศัตรูได้อย่างดีเลยค่ะ ชนิดต่อมาคืออาวุธประจำกายที่จะมีความรุนแรงและมีกระสุนจำกัด เหมาะเอาไว้ใช้กระหน่ำโจมตีศัตรูเมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ได้ดี ทั้งนี้เราจะหากระสุนเพิ่มเติมได้ต่อเมื่อเก็บกล่องกระสุนที่กระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ ภายในฉากเท่านั้นค่ะ  นอกจากนี้ยังมีอาวุธพิเศษที่จะมีให้เราได้เก็บตามจุดต่างๆ มันจะมีพลังทำลายล้างที่สูงมาก แต่จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้งานให้ถูกจังหวะก็จะปิดจ๊อบศัตรูได้ ในช่วง Closed Beta จะมีอาวุธพิเศษให้เลือกใช้ทั้ง ปืนยิงจรวด Rocket Launcher, ปืนยิงระเบิด Grenade Launcher ที่จะสุ่มกระสุนชนิดต่างๆ และปืนยิงกระสุนไฟฟ้า Spark Shot ซึ่งพวกปืนพิเศษเหล่านี้จะมีอนุภาพทำลายล้างที่สูงมากๆ สามารถนำไปปิดเกมกับผู้เล่นที่กลายร่างเป็นอาวุธชีวภาพได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เมื่อเราเลือกตัวละครแล้วเข้าไปอยู่ภายในเกม ถ้าเราถูกฆ่าหรือฆ่าผู้เล่นคนอื่น ผู้เล่นคนนั้นจะได้รับโอกาสที่ 2 ด้วยการกลายร่างเป็น “อาวุธชีวภาพ” ชนิดต่างๆ ต้องบอกก่อนว่าภายในเกมจะมีไอเทมที่เรียกว่า “หลอดไวรัส” ที่สีม่วงเด่นชัด แนะนำว่าให้พยายามเก็บเอาไว้ติดตัวจะดีมากค่ะ สามารถเก็บสะสมได้สูงสุด 2 หลอดพร้อมกัน ไอเทมชนิดนี้จะทำให้เราสามารถสุ่มกลายเป็นอาวุธชีวภาพระดับสูงได้ แต่ถ้าเราไม่ได้เก็บเอาไว้เลยจะกลายเป็นเพียงแค่มอนสเตอร์ระดับล่างที่มีชื่อว่า “Fat Molded” มอนสเตอร์จาก Resident Evil 7 โดยรายละเอียดการกลายร่างเป็นอาวุธชีวภาพมีดังต่อไปนี้ค่ะ Hunter γ จากภาค Resident Evil 3 Remake กับ Jack Baker จากภาค Resident Evil 7 จะสุ่มการกลายร่างเมื่อผู้เล่นเก็บหลอดไวรัสติดตัวเอาไว้ 1 หลอด Nemesis จากภาค Resident Evil 3 Remake กับ Super Tyrant Resident Evil 2 Remake จะสุ่มการกลายร่างเมื่อผู้เล่นเก็บหลอดไวรัสติดตัวเอาไว้ 2 หลอด เช่นเดียวกับตัวละครมนุษย์ อาวุธชีวภาพแต่ละตัวจะมีค่าสเตตัสติดตัวที่ไม่เหมือนกัน และสกิลโจมตีที่ให้มาตัวละ 2 สกิล ในการฝึกเล่นเป็นตัวละครอาวุธชีวภาพอาจจะดูยุ่งยากสักหน่อย แต่ถ้าเล่นแล้วฝึกดีๆ มันจะกลายเป็นตัวละครที่ทำให้เราสามารถสังหารศัตรูฝ่ายตรงข้ามแล้วเก็บคะแนนได้มากกว่าตอนเราเล่นเป็นฝ่ายมนุษย์เสียอีกค่ะ ส่วนตัวแล้วเกวลินมองว่า “ตัวละครอาวุธชีวภาพยังจะต้องปรับสมดุลอีกสักหน่อย” เพราะบางตัวก็รู้สึกว่ามีพลังที่ดู OP เกินไปอยู่ แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ว่าเราฝึกฝนการใช้งานของตัวละครนั้นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน ต่อให้เป็น Fat Molded มอนสเตอร์ระดับล่างก็สามารถสังหารผู้เล่นหรือมอนสเตอร์ที่เก่งๆ ได้เหมือนกัน โดยรวมแล้วตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” จากความรู้สึกที่เกวลินเล่นมาเกมเพลย์ของเกมนี้สนุกใช้ได้มาก ๆ เลยค่ะ ถ้าเทียบกับเกม Resident Evil Resistance ที่เป็นการต่อสู้ในรูปแบบ 4 Vs. 1 เอาจริงๆ มันก็สนุก...แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้เมื่อเล่นไปนานๆ กลับรู้สึกเบื่อได้ ตรงกันข้ามกับเกม Resident Evil Re:Verse ถ้าคุณเป็นคนชอบเกมแนว Action Shooting เกมนี้ดูจะเหมาะกับเพื่อนๆ มากที่สุดค่ะ เพราะเงื่อนไขในการเล่นไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมายเพียงแค่เราสามารถไต่ลำดับคะแนนจากการสังหารให้มากที่สุดเพื่อเป็นผู้ชนะ  ส่วนในเรื่องกราฟฟิกภายในเกมจะมีให้ปรับในโหมดการ์ตูนที่เราจะเห็นรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น และ โหมดปกติที่จะเหมือนกับเราเล่นเกมนี้เลย มืด ๆ มองอะไรไม่ค่อยเห็นชัดเท่าไหร่ แนะนำว่าถ้าจะเล่นเกมนี้เลือกใช้โหมดการ์ตูนจะดีกว่าค่ะ เพราะเราจะได้เห็นว่าศัตรูอยู่ตรงไหนชัดเจนมาก ที่สำคัญตัวเกม Resident Evil Re:Verse รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบเหมือนกับตัวเกมหลักอย่าง Resident Evil Village อีกด้วยค่ะ! แต่ก็น่าเสียดายที่ทาง Capcom เลือกใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่จะขึ้นอยู่กับ Host เป็นหลัก ทำให้เราถ้าไปเจอผู้เล่นที่อยู่ประเทศที่ไกลจากเรามันก็ส่งผลต่อการเล่นเป็นอย่างมากเลย คือเห็นได้ชัดเลยว่าโจมตีโดนเต็มๆ แต่ไม่ตาย หรือ การวาร์ปอันเป็นผลการอาการแล๊ค สิ่งเหล่านี้คือปัญหาของการใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ทาง Capcom เลือก ก็ได้แต่ลุ้นและหวังว่าเมื่อตัวเกมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ การเชื่อมต่อของระบบเซิร์ฟเวอร์จะมีความเสถียรมากกว่านี้นะ ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นปัญหาเดิมๆ แล้วคนก็จะเลิกเล่นเกมนี้ไปแม้ว่าเกมมันจะดีแค่ไหนก็ตาม ตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” จะแถมให้กับผู้เล่นที่ซื้อเกม Resident Evil Village เท่านั้น โดยตัวเกมจะวางจำหน่ายในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ทั้งแพลตฟอร์ม PC, PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One และ Xbox Series X/S ถึงตอนนั้นอย่าลืมมาเล่นด้วยกันนะคะ เกวลินตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะซื้อเอาไว้เล่นบนเครื่อง PlayStation 5 เพราะคาดว่าคนน่าจะเล่นกันเยอะมากกว่า ตัวเกมสนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,829 บาทสำหรับ PC [Steam] และ 1,822 บาท สำหรับ PlayStation 5 ค่ะ ใครสะดวกแพลตฟอร์มไหนก็จัดมาเก็บไว้ก่อนก็ได้นะคะ แล้วเจอกันใหม่กับบทความหน้าของเกวลินนะคะ สวัสดีค่ะ!  
10 Feb 2021
เจาะลึกรายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra พร้อมราคาขายในบ้านเรา!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของแบรนด์กิมจิอย่าง “Samsung” โดยรอบนี้จะเป็นตระกูล Galaxy S21 Series แถมบ้านเราเองก็เปิดให้สั่งจองพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว วันนี้เกวลินเองก็เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ Galaxy S21 Series ในแต่ละรุ่นมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน รวมไปถึงราคาในแต่ละรุ่นว่าในบ้านเราวางจำหน่ายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วมีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่อยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ Samsung Galaxy S21 Series อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็เป็นได้ค่ะ ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Samsung Galaxy S21 Series ที่เปิดตัวมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันประกอบไปด้วย Samsung Galaxy S21, Samsung Galaxy S21+ และ Samsung Galaxy S21 Ultra โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกภายในที่แตกต่างกันพอสมควรเริ่มจากขนาดหน้าจอกันก่อนเลยค่ะ เริ่มจาก Galaxy S21 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.2 นิ้วไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไปถือกำลังเหมาะมือเลยค่ะ ตามมาด้วย Galaxy S21+ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้วถือว่าใหญ่ใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลยนะคะ ทั้งสองรุ่นนี้ตัวหน้าจอจะไม่ได้เป็นจอโค้งนะคะ สุดท้าย S21 Ultra มีขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว เล็กกว่า Note 20 Ultra 1 นิ้วค่ะ แต่ความพิเศษของ S21 Ultra อยู่ตรงที่ความละเอียดของหน้าจอเป็นรูปแบบ WQHD+ ทำให้เราสามารถรับชมวีดีโอคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถขับรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz อีกด้วย หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง “รีเฟรชเรท” ว่าถ้ามือถือสมาร์ทโฟนยิ่งมีค่านี้สูงมันดียังไง!? มันจะดีตรงที่เวลาเราเลื่อนสไลด์หน้าจอมันจะดูลื่นไหลไม่ปวดตา แล้วถ้าเราดูพวกวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่ง หรือ ดู Youtube ที่มีความละเอียดสูง ๆ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนด้วย แต่ทั้งนี้การเปิดใช้งานรีเฟรชเรทสูงก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ดังนั้นแนะนำให้ตั้งค่าปรับอัตโนมัติดีที่สุดค่ะ เกือบลืมบอกไปตัวท็อปอย่าง S21 Ultra สามารถตั้งค่ารีเฟรทเรชแบบต่ำสุด 10Hz ได้ด้วย เพื่อใช้งานกับการทำงานบางอย่างเพื่อลดการกินแบตเตอรี่ได้ดีในส่วนหนึ่งค่ะ แล้วด้วยตัวหน้าจอ Samsung Galaxy S21 Series ทุกรุ่นใช้หน้าจอ “Dynamic AMOLED 2X” จะมีความสว่างสูงทำให้เมื่อเราใช้งานกลางแดดก็สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดหน้าจอได้อย่างสบาย ๆ โดย Galaxy S21 และ S21+ จะมีค่าความสว่างที่ปรีับได้สูงสุดอยู่ที่ 1,300 nits ส่วนตัวท็อปสุด Galaxy S21 Ultra ค่าความสว่างก็ดันได้มากถึง 1,500 nits แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือหน้าจอจะแบนไม่ได้มีวิถีจอโค้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ใครที่รู้สึกว่าจอโค้งใช้งานลำบากาฟิล์มติดก็ยาก หรือเคสที่บางทีติดฟิล์มกระจกแล้วมีการดันฟิล์มออก โอ๊ย...ปัญหาเยอะแบบนี้ก็ลองมาเล่นรุ่นนี้ดูกันได้ค่ะ แม้ว่า CPU ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะไม่ใช่ Snapdragon เหมือนกับประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม แต่ชิปเซ็ตขุมพลังตัวใหม่อย่าง “Exynos 2100” ก็มีความแตกตางจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เริ่มจากสายการผลิตเป็นสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร เล็กแบบนี้แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก ภายในชิปเซ็ตมีโมเด็ม 5G ในทุก ๆ รุ่นของ Samsung Galaxy S21 Series ในด้านของ GPU หรือตัวประมวลผลกราฟฟิกรอบนี้มาแปลกนิดหน่อยค่ะ เพราะเขาเลือกใช้ “Mali-G78 MP14” จากปกติแล้วจะเป็นตระกูล Adreno ทำให้เมื่อนำมาทดสอบกับการเล่นเกมพบว่า  “เกมส่วนใหญ่สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยกเว้นเกมที่จะต้องปรับรายละเอียดกราฟฟิกหรือประมวลผลสูง ๆ อย่าง Genshin Impact ยังมีเฟรมเรตดรอปเป็นระยะ ๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร”  ในด้านของความร้อนเมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ สื่อที่ได้ลองเทสก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนจนเกินไป แล้วถ้าปล่อยให้เครื่องทำงานปกติแบบไม่ต้องทำอะไรใช้ระยะเวลาไม่กี่นาทีเครื่องก็จะกลับสู่ในอุณหภูมิสภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม Samsung Galaxy S21 Series ไม่ได้ดูออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียวนะคะ แต่หน้าที่หลัก ๆ ของมันก็คือ “สมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง” ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจในส่วนนี้กันด้วยนะคะ ตามมาด้วยหน่วยความจำหรือ Ram กันหน่อยค่ะ Galaxy S21 และ S21+ ทาง Samsung จัดมาให้แค่ 8GB. เท่านั้น ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ทั้งหมด 2 รุ่นคือ 12GB. กับ 16GB. ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ ทั้งนี้เกวลินก็คิดว่า Ram แค่ 8GB. ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไปหรือในการเล่นเกมแล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะเอาไว้เยอะ ๆ ก่อนก็ได้เหมือนกันถ้างบเพื่อน ๆ ถึงนะคะ จุดต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง “เลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป” ก็ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S21 Series ทำเอารุ่นพี่ที่อยู่ในมือของเกวลินอย่าง Galaxy Note 20 Ultra 5G สั่นไปหมดเลยค่ะ เพราะมีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้น ( ชิ! น้อยใจซะจริงเลย ) โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วนะคะว่า Galaxy S21 Ultra จัดไปเลยเรื่องเลนส์กล้องเหนือกว่า Galaxy S21 และ S21+ ชนิดที่ไม่เห็นฝุุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้ติดอะไร ฉันมีงบเพียงแค่นี้จะเล่นรุ่นเล็ก รุ่นกลางก็ได้ทั้งนั้นค่ะ โดยทั้งสองรุ่นนี้ในเรื่องของสเปกเลนส์กล้องจะเหมือนกันนั้นก็คือเลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto คุณพระ! จัดความละเอียดมาให้ 64MP เลยค๊าคุณผู้อ่าน! แถมยังสามารถซูม Hybrid Optic ได้ถึง 3 เท่าแล้วก็ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาด้วย ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra สเปกเลนส์กล้องอัดมาให้เน้น ๆ เลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) มีความละเอียด 108MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto ที่จัดมาให้ถึง 2 ตัว โดยเราจะสามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 กับ 10 เท่า แล้วก็ยังสามารถดันซูมในรูปแบบ Digital ได้ถึง 100 เท่ากันไปเลย ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นั้นมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาให้กับเลนส์ตัวนี้ทั้ง 2 ตัวเลยค่ะ สุดท้ายก็ยังมี Laser AF มาช่วยโฟกัสภาพที่แม่นยำและไวมากยิ่งขึ้น  ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Series จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควรค่ะ เริ่มจากน้องเล็กสุด Galaxy S21 มีขนาดแบตเตอรี่ 4,000 mAh ตามมาด้วยพี่รอง Galaxy S21+ มีขนาดแบตเตอรี่ 4,800 mAh และ พี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ถึง 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ก็ยังเครมเอาไว้ว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียกว่าอยู่ได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่เราก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะ ถ้าผู้ใช้งานเปิดการทำงานเต็มที่ของเครื่องไม่ว่าจะเป็นรีเฟรชเรท 120Hz แล้วก็ 5G ไปด้วยมันก็อาจจะซูมแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาเครมมาแบบนี้ก็ต้องลองเทสด้วยตนเองแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามพก Power Bank ดี ๆ สักตัวติดไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทราบกันก่อนก็คือ Samsung Galaxy S21 Series จะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้เราอีกแล้ว ซึ่งถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเพิ่มเติมแล้วก็สามารถใช้อะแดปเตอร์จากรุ่นก่อนหน้านี้ชาร์จได้ ซึ่งทั้ง 3 รุ่นในซีรีส์นี้รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charging สูงสุด 25 วัตต์ ส่วนเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ แล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์อื่น ๆ มาชาร์จกับตัวเครื่องของเราก็จะได้ความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 4.5 วัตต์ ฟังดูอาจจะน้อยแต่ทาง Samsung เข้ามาเพื่อใช้ในกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในเวลาที่จำเป็น นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดคร่าว ๆ ของ Samsung Galaxy S21 Series ทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S21 Ultra มีปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับของ Galaxy Note 20 Ultra 5G เพียงแต่ว่าปากกาเล่มดังกล่าวจะไม่มีที่เก็บเหมือนกับของ Note นะคะ ซึ่งทาง Samsung ก็ออกแบบเคสพิเศษสำหรับใช้ในการเก็บปากกาพร้อมกับป้องกันตัวของเราจากการกระแทกได้ดีซะด้วยค่ะ รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีมาตรฐานป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 มีระบบลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้วการสแกนลายนิ้วมือก็เป็นแบบ Ultrasonic ตัวใหม่จากทาง Qualcomm อีกด้วย ท้ายสุดนี้เราไปดูราคาเครื่องของแต่ละที่กันหน่อยดีกว่าค่ะ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก AIS ( สำหรับลูกค้า Serenade ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 19,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 38,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 30,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย AIS ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก DTAC ( สำหรับลูกค้า Platinum Blue Member ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 19,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 13,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 17,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 11,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 17,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 31,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 26,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย DTAC ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก TrueMove H ( สำหรับลูกค้าที่ใช้อยู่ปัจจุบัน, เปิดเบอร์ใหม่ และ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท *18,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 20,400 บาท * 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 18,900 บาท *13,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 22,900 บาท *17,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 21,400 บาท *16,400 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท * 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 23,900 บาท *19,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท *28,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 28,900 บาท *25,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท *21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 25,900 บาท *20,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 34,400 บาท *31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 31,900 บาท *28,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 29,900 บาท * 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 27,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 36,400 บาท *33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 33,900 บาท *30,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 31,900 บาท *26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 29,900 บาท *24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 40,400 บาท *37,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 37,900 บาท *34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 35,900 บาท *30,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 33,900 บาท *28,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย TrueMove H ได้ที่ คลิกที่นี่
04 Feb 2021
Review: รีวิว Hitman 3 การจากลาอย่างสมศักดิ์ศรี ของมือปืนโล้นซ่าเลขที่ 47
เมื่อพูดถึงวลีภาษาอังกฤษที่ว่า If it aint broke, dont fix it (ถ้ามันไม่พังก็ไม่ต้องพยายามซ่อมมัน) ผ่านหูมาบ้าง คงไม่มีเกมไหนที่จะเป็นตัวแทนของวลีนี้ได้ดีไปกว่าเกมลอบเร้นซีรี่ส์ดัง Hitman 3 ของผู้พัฒนา IO Interactive ด้วยเกมเพลย์ กราฟฟิค และองค์ประกอบการนำเสนอที่คงรูปแบบเดิมแทบจะเป๊ะๆ มาตั้งแต่ที่ภาคแรกวางจำหน่ายไปในปี 2016 แต่ถึงอย่างนั้น เกม Hitman 3 ก็ยังถือเป็นเกมลอบเร้นที่สนุก ท้าทาย และน่าสนใจในแบบที่แตกต่างกับเกมลอบเร้นในตลาดส่วนใหญ่ ด้วยเกมเพลย์ที่เน้นการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และใจเย็นมากกว่าการต่อสู้แบบแอคชั่นอย่างที่เห็นในหลายๆ เกมทุกวันนี้ แน่นอนว่าในความจำเจของระบบต่างๆ อาจจะทำให้เกมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเสริมของเกมภาคที่ผ่านๆ มามากกว่าจะเป็นภาคต่อเต็มตัวซะทีเดียว แต่สำหรับแฟนเกมที่อยากได้ประสบการณ์เกมลอบเร้นแบบดั้งเดิมที่หาได้ยากในปัจจุบัน (หรือแค่อยากหาเกมดีๆ เล่นในช่วงต้นปีที่ยังมีเกมออกน้อย) เชื่อว่าเกม Hitman 3 จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Hitman 3 จะดำเนินต่อจากเนื้อเรื่องของภาคก่อนหน้าโดยตรง และจะติดตามพระเอก Agent 47 และเพื่อนเก่าของเขา Lucas Grey ในการตามล่า The Constant ผู้ซึ่งเป็นตัวบงการหลักขององค์กร Providence ที่เป็นศัตรูคู่ปรับของตัวเอกมาช้านาน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอดีตอันน่าเศร้าของเขาอีกด้วย โดยเช่นเดียวกับเกมภาคก่อนหน้า เนื้อเรื่องของเกม Hitman 3 จะติดตามตัวเอกและผองเพื่อนในการตามล่าสมาชิกที่หลงเหลืออยู่ขององค์กร Providence ไปทั่วทุกมุมโลก พร้อมกับตั้งคำถามถึง "ตัวตน" ของ Agent 47 ในวันที่เขาไม่มีเป้าหมายหรือภารกิจให้ไล่ตามอีกต่อไป อย่างที่เคยกล่าวไปในรีวิวเกม Hitman 2 เมื่อปี 2018 เนื้อเรื่องของเกมซีรี่ส์ Hitman น่าจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อเกมน้อยที่สุดแล้ว ซึ่งในเกมภาค 3 นี้ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเห็นนั้นเปลี่ยนไปแต่อย่างใด โดยเกมยังคงเลือกที่จะเล่าเนื้อเรื่องผ่านฉากคัตซีนสั้นๆ ก่อนและหลังภารกิจเป็นหลัก และสอดแทรกบทสนทนาหรือเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เข้ามาระหว่างการปฏิบัติภารกิจในแต่ละด่าน ซึ่งมีความพัฒนาขึ้นจากภาค 2 เล็กน้อยในแง่ของการเล่าเรื่องที่เน้นให้เห็นตัวละครและเหตุการณ์มากขึ้น ช่วยให้มีความเชื่อมโยงกันของฉากคัตซีนและเหตุการณ์ในภารกิจ ที่ให้ความรู้สึก "ต่อเนื่อง" กว่าในเกมภาค 2 แต่โดยรวมๆ แล้วก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องชวนติดตามขึ้นเท่าไหร่ และเพราะการเล่าเรื่องที่ขาดตอนของภาคผ่านๆ มา ทำให้การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้เขียนในภาคนี้ แต่เช่นเดียวกับในเกม Hitman 2 การที่เนื้อเรื่องของเกมในภาพกว้างจะยังคงติดตามได้ยาก แต่เนื้อเรื่องเล็กๆ ที่มีอยู่ในแต่ละด่านก็ยังคงมีความน่าสนใจอยู่บ้าง เช่นเนื้อเรื่องของด่าน Thornbridge Manor ที่มีลักษณะเป็นปริศนาฆาตกรรมห้องปิดตายเป็นต้น ซึ่งก็ทำให้เกมยังคงมีเส้นเรื่องให้ติดตามอยู่ และทำให้การทำภารกิจรู้สึกมี "มิติ" ในแง่ของเนื้อเรื่องและให้เหตุผลในการกระทำของผู้เล่นในระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละด่าน ทำให้มองข้ามเนื้อเรื่องในภาพใหญ่ที่ไม่ค่อยน่าสนใจไปได้ไม่มากก็น้อย เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกม Hitman 3 มีพัฒนาการในด้านเกมเพลย์อยู่ค่อนข้างน้อยมากๆ จากเกมภาคก่อนหน้า พูดได้ว่านอกจากอุปกรณ์กล้องพกพาที่เอาไว้ใช้แฮ๊คอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ในด่านแล้ว ทุกองค์ประกอบของเกมเพลย์แทบจะยกมาจากเกมภาค 2 (และภาคแรก) โดยตรงเลยทีเดียว อาจจะฟังดูน่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ในความเห็นของผู้เขียน จุดเด่นของซีรี่ส์ Hitman ไม่ใช่ระบบเกมเพลย์ที่ล้ำลึกอะไรนัก แต่เป็นการออกแบบด่านแต่ละด่านในเกม ที่บังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองในการสังหารเป้าหมายหรือทำภารกิจที่เกมกำหนดให้สำเร็จได้อย่างอิสระ เช่นการเลือกปลอมตัวเป็นตัวละครชนิดต่างๆ เพื่อเข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามโดยไม่มีใครสังเกติ หรือการหาสิ่งของในฉากมาใช้ประโยชน์ โดยเกมยังมีความ "ตลกร้าย" อันเป็นเสน่ห์ของซีรี่ส์ ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถสังหารศัตรูในวิธีพิศดารต่างๆ ได้มากมาย เช่นในด่าน Dubai ผู้เขียนสังเกติว่าเป้าหมายมักจะชอบเดินไปยืนชมวิวตรงขอบตึกในจุดเดิมเสมอ จังลองเอาเปลือกกล้วยไปวางเอาไว้ในจุดที่เป้าหมายจะเดินมา ผลคือเป้าหมายลื่นเปลือกกล้วยจนตกตึกตายไปเองอย่าน่าอนาถ ซึ่งความอิสระนี้ทำให้การเล่นเกม Hitman ทุกภาคมีความลึกกว่าที่ตาเห็น และสามารถเล่นซ้ำๆ เพื่อหาวิธีกำจัดเป้าหมายที่แปลกใหม่หรือรวดเร็วขึ้นได้ แต่สำหรับคนที่โหยหาการเล่นแบบตามภารกิจเหมือนในเกมลอบเร้นอื่นๆ ก็ยังมีระบบ Mission Stories จากภาคก่อนๆ ให้คุณทำภารกิจที่เกมมอบให้ไปเรื่อยๆ ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างในด่าน Thornbridge Manor ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ภายในภารกิจจะมอบหมายให้เราต้องกำจัดเป้าหมายที่เป็นคุณนายหัวหน้าตระกูลผู้ดีอันเก่าแก่ แต่เมื่อเดินทางไปถึงเรากลับพบว่าได้เกิดการฆาตกรรมขึ้นในบ้านหลังนี้  และมีนักสืบคนหนึ่งถูกจ้างมาเพื่อสิบหาตัวคนร้าย โดยในการเล่นครั้งแรก ผู้เขียนเลือกที่จะปลอมตัวเป็นนักสืบคนดังกล่าวและแสร้งทำเป็นสืบหาตัวคนร้ายจนทำให้พบกับขวดยาพิษที่ใช้เป็นอาวุธสังหารในคดีฆาตกรรมนั้น ซึ่งผู้เขียนก็ใช้เพื่อสังหารเป้าหมายของเราอีกที ในขณะที่การเล่นรอบสอง ผู้เขียนเลือกปลอมตัวเป็นช่างภาพที่ถูกจ้างมาถ่ายภาพรวมญาติของเป้าหมายและแอบวางกับดักไฟฟ้าเอาไว้ในจุดถ่ายภาพ ก่อนที่จะเรียกรวมเป้าหมายและครอบครัวมาถ่ายภาพ (และโดนไฟช๊อตตาย) เป็นต้น แน่นอนว่ายังมีวิธีสังหารเป้าหมายอีกมากมายที่ผู้เขียนยังไม่ได้ลอง ทั้งที่เกมกำหนดมาและที่สามารถพลิกแพลงเอาเอง แถมเมื่อเล่นจบด่านครั้งหนึ่งแล้ว เราจะสามารถเริ่มเล่นใหม่โดยพกอุปกรณ์พิเศษหลายชนิดเข้าไปใช้ได้เพิ่มอีก เพื่อเปิดช่องทางในการสำเร็จภารกิจได้หลากหลายยิ่งขึ้นด้วย หากไม่มีตัวเลือกเหล่านี้ ผู้เล่นอาจจะสามารถเล่น Hitman 3 ได้จบภายใน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งความหลากหลายทั้งหมดที่กล่าวไปก็ช่วยยืดเวลาการเล่นออกไปได้อีกมาก พูดง่ายๆ ว่ายิ่งคุณใส่ใจและให้เวลากับเกมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีอะไรให้คุณค้นพบได้มากขึ้นเท่านั้น กราฟฟิก/การนำเสนอ เช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่นๆ ในเกม กราฟฟิกและการนำเสนอของ Hitman 3 ไม่ได้แตกต่างไปจากที่เห็นใน Hitman 2 มากมายนัก โดยเฉพาะในส่วนของโมเดลตัวละครและอนิเมชั่นท่าทางการขยับตัวที่ยังคงเหมือนกันเปี๊ยบ อาจจะมีการพัฒนาขึ้นบ้างในแง่ของแสงเงา โดยเฉพาะในบางด่านของเกมเช่นด่าน Berlin ที่มีลักษณะเป็นไนท์คลับที่เปิดไฟสปอตไลท์สีสันต่างๆ ตามจังหวะเพลง หรือด่าน Chongqing ที่ชโลมไปด้วยแสงไฟนีออนท่ามกลางสายฝน รวมไปถึงหน้าตาท่าทางของตัวละครในฉากคัตซีนก่อน/หลังภารกิจที่แลดูมีความลึกซึ้งกว่าที่ผ่านมาอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันในภาพรวม เกมยังคงมีปัญหาเรื่อง NPC หน้าซ้ำที่โผล่มาให้เห็นจนรำคาญตา และเรื่องของ U.I. / อินเตอร์เฟซหน้าเมนูต่างๆ ที่ยังมีลักษณะเป็นช่องๆ กล่องๆ แบบ Minimal ที่แม้จะสะอาดตา แต่ก็ไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างจากภาค 2 เลย สรุป แม้ว่าจะยังคงมีข้อตำหนิใหญ่ๆ อยู่มาก แต่ Hitman 3 ก็ยังคงรักษามาตรฐานเกมเพลย์การลอบเร้นอันมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาเกมแบบสั้นๆ เล่นแปบเดียวจบ หรือเกมที่มีความลึกล้ำที่สามารถเล่นได้ยาวๆ เชื่อว่าเกม Hitman 3 น่าจะตอบโจทย์คุณได้อย่างน่าพอใจไม่แพ้กัน [penci_review id="77549"]
25 Jan 2021
พรีวิว Monster Hunter: Rise บอกเล่าความรู้สึกจากการเล่นในเดโม
มาถึงจุดนี้ เชื่อว่าคงไม่มีเกมเมอร์คนไหนที่ไม่รู้จักกับซีรี่ส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของเกม Monster Hunter: World (และภาคเสริม Iceborne) ไปจนถึงภาพยนตร์ที่เพิ่งจะออกฉายในโรง อาจจะพูดได้ว่าไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เกม Monster Hunter จะมีตัวตนอยู่ในกระแสหลักมากกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยประการฉะนี้ คงไม่น่าแปลกใจที่เกมภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise จะได้รับความสนใจมากเช่นเดียวกัน โดยหลังจากที่ทาง Nintendo ได้เปิดให้ผู้เล่นดาวน์โหลดตัวเดโมเกมมาทดลองเล่นกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ร้านค้าของค่ายก็ถึงกับล่มไปเลยจากจำนวนผู้เล่นที่พยายามเข้าไปโหลดเกมพร้อมๆ กัน ทางทีมงาน GameFever เองก็ได้เข้าไปทดลองเล่นเกมมาแล้วตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงอยากจะลองนำเสนอความคิดเห็นของเราต่อเกม โดยจะเน้นพูดถึงระบบใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงความเปลี่ยนแปลงรวมๆ จากเกมภาค World *ผู้เขียนเล่นเกม Monster Hunter: World ไปกว่า 250+ ชั่วโมง แต่ไม่เคยเล่นภาค Iceborne เลย จึงอาจจะไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน Iceborne ไม่ได้ (รูป) อาวุธและคอมโบ สิ่งแรกที่ผู้เล่นเก่าๆ น่าจะสังเกติคือวิธีการเล่นอาวุธที่เปลี่ยนไปจากภาคก่อนหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ว่าท่วงท่าการโจมตีส่วนใหญ่จะไม่ต่างกันนัก แต่อาวุธแต่ละชนิดก็จะมีความแตกต่างกันในแง่ของการใช้งานจริงรวมไปถึงคอมโบและท่าพิเศษมากมายที่เปลี่ยนไป จนพูดได้ว่าน่าจะต้องใช้เวลาเรียนรู้กันใหม่พอสมควร ยกตัวอย่างเช่นอาวุธดาบใหญ่ (Greatsword) อันเป็นเอกลักษณ์ของเกม ซึ่งมีท่าพิเศษและคอมโบใหม่ๆ ที่ช่วยให้ลัดเข้าสู่ท่า True Charged Slash (ท่าชาร์จฟันระดับสุดยอด) ได้มากกว่าที่ผ่านมาเป็นต้น ทำให้ต้องเรียนรู้คอมโบที่ "สมบูรณ์" หรือให้ผลสูงสุดกันใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับเกมภาค World โดยแม้ว่าตัวผู้เขียนเองจะยังไม่ได้ทดลองความแตกต่างของอาวุธทุกชนิด (เพราะเอาเข้าจริงก็เล่นเป็นอยู่แค่ไม่กี่อย่าง) แต่ในหมู่อาวุธที่ได้ลองเล่น ก็พอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับที่น่าจะทำให้จังหวะของการต่อสู้กับแย้ทั้งหลายแตกต่างกับในภาค World อย่างรู้สึกได้ ถ้าให้พูดโดยรวมๆ รู้สึกว่าการใช้อาวุธระยะประชิดส่วนใหญ่ดูจะเล่นง่ายกว่าในภาค World พอสมควร เช่นอาวุธดาบยาว (Longsword) ที่ไม่จำเป็นต้องสลับปุ่มไปมาเพื่อทำคอมโบอีกต่อไป แถมยังมีลูกเล่นเพื่อเก็บเกจ Spirit มากกว่าเดิม หรืออาวุธ Gunlance ที่สามารถพลิกแพลงคอมโบเพื่อผสมผสานระหว่างการฟาดฟันและการใช้กระสุนระเบิดได้หลากหลายมากกว่าในภาค World อย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้เกมรู้สึก "ง่าย" ขึ้นประมาณหนึ่งในระดับเบื้องต้น เพราะไม่จำเป็นต้องจำคอมโบหรือปุ่มกดซับซ้อนเท่าเดิม ในทางกลับกัน อาจจะด้วยรูปลักษณ์ของจอย Nintendo Switch เองด้วย (ผู้เขียนไม่ได้ใช้จอย Pro Controller ในการเล่น) ทำให้การเล่นอาวุธสายโจมตีระยะไกลทั้งหลายรู้สึกลำบากกว่าในภาค World เล็กน้อย แถมกระสุนตัวเก่งอย่าง Slicing Ammo ก็ไม่มั่นใจว่าจะกลับมาให้ใช้กันอีกไหม หรือจะถูกแทนด้วยกระสุนชนิด Piercing Ammo หลากหลายธาตุแทน แต่ถ้าไม่มี Slicing Ammo ก็อาจจะทำให้อาวุธระยะไกลทั้งหลายมีประโยชน์ในการหั่นชิ้นส่วนแย้น้อยลงกว่าภาค World และทำให้อาวุธเหล่านี้เล่นแบบฉายเดี่ยวได้ไม่มากเท่าอีกด้วย คงต้องรอดูกันต่อไปว่าในเกมตัวเต็มจะมีกระสุน Slicing Ammo ออกมาให้ใช้กันอีกไหม Wire Bug และการเคลื่อนที่ ระบบ Wire Bug ที่เพิ่มเข้ามาแทนเครื่อง Slinger ในภาค World อาจจะเป็นระบบที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด และทำให้เกมภาค Rise มีความแตกต่างจากเกมในซีรี่ส์ Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา ถึงขนาดที่ผู้เขียนรู้สึกว่าอาจจะ "เปลี่ยนแนวทาง" ของซีรี่ส์ไปได้เลย เพราะความคล่องแคล่วที่ผู้เล่นจะได้รับจากระบบใหม่นี้แทบจะทำให้ Rise รู้สึกใกล้เคียงกับเกมแอคชั่นจ๋าๆ อย่าง Devil May Cry เลยในความรู้สึกของผู้เขียน (ไม่ได้บอกว่าเหมือนซะทีเดียว แต่ดูจะขยับเข้าหาแนวนั้นมากขึ้น) ในเบื้องต้นนั้น ผู้เล่นทุกคนจะมีเจ้าแมลง Wire Bug ติดตัวอยู่คนละ 2-3 ตัว ซึ่งสามารถใช้เพื่อดึงตัวเองให้พุ่งขึ้นไปบนอากาศ หรือกระทั่งห้อยโหนกลางอากาศได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกการโจมตีของเหล่าแย้ได้มากขึ้น แถมอาวุธแต่ละชนิดก็ดูจะมีท่าโจมตีกลางอากาศเพิ่มเข้ามาใหม่หลายท่า ทำให้ผู้เล่นสามารถเปิดช่องในการโจมตีของตัวเองได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในเกม Monster Hunter ที่ผ่านๆ มา ที่เน้นการรอให้เหล่าแย้เปิดช่องเสียเองมากกว่า ยังไม่นับรวมเหล่าความสามารถ Silk Bind ทั้งหลายทั้งแหล่ที่ใช้ควบคู่กับ Wire Bug ที่มักจะเพิ่มความคล่องแคล่วขึ้นไปอีกระดับ ทำให้กระทั่งอาวุธที่ปกติมักจะอืดอาดอย่าง หอก + โล่ห์ หรือ Heavy Bowgun สามารถเคลื่อนที่และหลบหลีกได้ไม่ต่างจากอาวุธอื่นๆ เลย ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือน Monster Hunter: Rise พยายามจะผลักดันซีรี่ส์ไปในทางที่เน้น "แอคชั่น" มากขึ้นกว่าทุกภาค โดยในเดโมจะมีท่า Silk Bind ให้ใช้เพียงแค่สองท่าต่ออาวุธแต่ละชนิด แต่ในเกมเต็มๆ จะมีท่าพิเศษเหล่านี้ให้เลือกใช้มากขึ้นกว่าเดิมอีก ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่าจะยิ่งเพิ่มความคล่องแคล่วขึ้นไปอีกแค่ไหน ถ้าให้พูดกันตามตรง ความคล่องแคล่วที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาค Rise รู้สึก "ง่าย" ขึ้นกว่าภาค World พอสมควร อย่างน้อยก็ในเดโมที่ได้ทดลองเล่นนี้ อาจจะด้วยชนิดของแย้ที่มีมาให้ล่าในเดโมที่ยังไม่ค่อยท้าทายนัก เลยยังไม่มั่นใจว่าเกมจะสามารถปรับสมดุลเพื่อรองรับความสามารถที่เพิ่มขึ้นของฝั่งนักล่าอย่างไร แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบความท้าทายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Monster Hunter อาจจะรู้สึกไม่ค่อยประทับใจกับเดโมมากนัก ในขณะที่ผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสเกมมาก่อนน่าจะเข้าถึงตัวเกมได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา ยังมีระบบมากมายในเกมที่ยังไม่เปิดให้ลองในเดโม ไม่ว่าจะเป็นระบบการเก็บเกี่ยวทรัพยากรณ์หรือระบบคราฟติ้ง (มีนิดหน่อย) รวมไปถึงระบบสกิลที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แต่ถ้าให้กล่าวโดยสรุป Monster Hunter: Rise น่าจะเป็นเกมภาคที่เป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่ๆ มากกว่าที่ผ่านมา และน่าจะถูกใจคนที่ไม่ชอบความรู้สึกหน่วงๆ ของเกมมอนฮันทั่วไปมากขึ้น แต่สำหรับแฟนๆ ที่อยากได้ประสบการณ์ล่าแย้แบบลุ้นระทึกเหมือนสมัยก่อนอาจต้องรอลุ้นกับแย้ระดับสูงในเกมตัวเต็ม ว่าพวกมันจะมีลูกเล่นอะไรมาท้าทายความว่องไวดุจนินจาของผู้เล่นในภาคใหม่นี้ Monster Hunter: Rise จะวางจำหน่ายสำหรับเครื่อง Nintendo Switch ในวันที่ 26 มีนาคม 2021
12 Jan 2021
The Pathless Review: สู่โลกกว้างเพื่อค้นหา ‘ทาง’ แห่งชีวิต
หมายเหตุ : บทความรีวิวนี้ เขียนขึ้นจากการเล่นบนระบบ Playstation 4 เป็นเวลา 12 ชั่วโมง เก็บรายละเอียดพอประมาณแต่ไม่ทั้งหมด หมายเหตุ 2 : The Pathless วางจำหน่ายทั้งในระบบ PC บน Epic Games Store, macOS, iOS, Apple Arcade, Playstation 4 และ Playstation 5 อันที่จริง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจมากนัก ถ้าหากเราจะพบว่าในบรรดาเกมยุคสมัยปัจจุบัน มันจะทำให้เรารู้สึก ‘สะกิดใจ’ ขึ้นมา ว่ามีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ นั่นเพราะในผลงานที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากไอเดียจะถูกหยิบมาปรับ ประยุกต์ และเสริมแต่งให้เกิดเป็นชิ้นงานใหม่ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกเกมที่สามารถทำได้ แต่ก็มีอยู่มากมายที่อยู่ในระดับที่ประสบความสำเร็จ ดังเช่นที่ The Pathless ผลงานชิ้นที่สองของ Giant Squid ทีมพัฒนาสายเลือดอินดี้จาก Santa Monica ผู้เคยฝากผลงานที่น่าประทับใจอย่าง Abzu ที่มาในครั้งนี้ แม้จะมีความขลุกขลักและส่วนที่ยังไม่ลงตัวไปบ้าง แต่ก็นับได้ว่าเป็น ‘ย่างก้าว’ ที่สำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขา และบ่งบอกถึงฝีมือในการพัฒนาเกมที่ไม่ธรรมดาที่ทำให้นักเล่นเกมต้องจับตามอง และควรหาเกมนี้มาลองดูสักครั้ง โลกกว้างที่ถูกย้อมด้วยความมืด The Pathless เปิดเกมมาอย่างไม่ต้องมากพิธีรีตองอะไรนัก คุณในฐานะผู้เล่นรับบทเป็น ‘นักล่าหญิง (Huntress)’ ผู้มีภารกิจสำคัญในการนำแสงสว่างกลับมาสู่ดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด โดยมี ‘เหยี่ยว’ ปริศนาเป็นเพื่อนคู่ใจที่จะร่วมเดินทางไปในเส้นทางแห่งการผจญภัยครั้งนี้ แน่นอนว่าตัวเกมโดยภาพกว้างนั้น งดงามด้วยกราฟิกแบบ Cel-Shade และเป็น Open World ที่ติดความเป็น Minimal ไว้อย่างถึงที่สุด ไม่มีแผนที่ Mini-Map หรือจุด Checkpoint ไม่มีแม้กระทั่งระบบ Fast Travel และโลกของเกมนั้นก็ ‘กว้าง’ เอามากๆ การเดินด้วยเท้าเปล่าปกติจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งสามารถกินเวลาได้หลายนาทีจนน่าเหนื่อยใจ แต่นั่นก็เป็นจุดที่ทีม Giant Squid ได้ใส่ระบบการ ‘Dashing’ เข้ามา มันคือระบบที่เราทำการวิ่ง และจะ ‘เล็ง’ เครื่องรางหรือเป้าหมายบางจุดเอาไว้โดยอัตโนมัติ หน้าที่ของเราคือการกดยิงให้ตรงจังหวะ เพื่อสร้าง Momentum ของการเคลื่อนไหวให้ต่อเนื่อง ที่จะรวดเร็วขึ้นอีกหลายๆ เท่า มันเป็นระบบที่ค่อนข้างเข้าใจคิด และประยุกต์ออกมาอย่างได้ผล การ Dash จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ให้ความรู้สึกราวกับวิ่งฝ่าสายลม และสร้างภูมิทัศน์ที่แปลกตาออกไปจากเดิม และแน่นอน นี่เป็นระบบหลักที่ผู้เล่นจะใช้ในการเคลื่อนที่ไปเกือบจะเรียกได้ว่าแทบจะทั้งเกม มันอาจจะดูเข้าใจได้ยากในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อใช้จนอยู่มือแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่เล่นได้สนุกและเพลินตาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คืนแสงสู่แผ่นดิน แต่การเดินทางในแผ่นดินอันกว้างใหญ่เหล่านี้ หน้าที่ของผู้เล่นในฐานะนักล่าหญิงคือการ ‘คืนแสงสว่าง’ และกำจัดความมืดที่กลืนกินพื้นที่ นั่นคือการเดินทางไป ‘จุดไฟประภาคาร’ ทั้งหมดสามจุด ก่อนที่จะตรงดิ่งไปที่ Boss ประจำโซนนั้นๆ และเข้าสู่ Sequence ของการต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่า การจุดไฟประภาคาร มันตามมาด้วยลูกเล่นของการแก้ปริศนาและ Puzzle อย่างง่ายๆ เช่นการยิงลูกธนูเข้าเครื่องรางให้ถูกลำดับ หรือการใช้นกเหยี่ยวเพื่อเอื้อมไปถ่วงน้ำหนัก ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากหรือซับซ้อน ราวกับว่าผู้พัฒนาต้องการให้ส่วนนี้สร้างความปวดหัวให้น้อยที่สุด และไม่ทำลาย Flow ของการเล่นโดยภาพรวม แต่ในโลกกว้างแห่งนี้ คุณสามารถที่จะเถลไถลออกนอกเส้นทางได้ และตัวเกมก็เชื้อเชิญให้คุณทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะด้วยระบบ Eagle Vision ที่เปลี่ยนมุมมองส่องให้เห็นจุดที่น่าสนใจ, Puzzle นอกเส้นทางที่จะตอบแทนเป็นค่าประสบการณ์หรือความสามารถใหม่ของเหยี่ยวคู่หู หรือไม่ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่จะเปิดเผยเรื่องราวความเป็นมาของดินแดนแห่งนี้ ที่จะขยายความเข้าใจ และประติดประต่อเรื่องราวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่บังคับว่าจำเป็นต้องทำ ผู้เล่นสามารถจบเกมได้ด้วยการทำภารกิจหลักและตรงดิ่งไปสู้กับ Boss แต่ความน่าสนใจของสิ่งที่ผู้พัฒนาใส่เข้าไป ก็บ่งบอกถึงความใส่ใจ เป็นสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการเล่นตามเส้นทางหลักและการสำรวจปลีกย่อย พวกเขาไม่จูงมือลากไป แต่ก็ไม่ปล่อยให้ผู้เล่นลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย เรียกได้ว่าเส้นทางหลักนั้นมีอยู่แล้ว แต่ ‘ทางปลีกย่อย’ นั้นต่างหาก ที่คุณในฐานะผู้เล่นจะเป็นคนเลือก ว่าจะเดินออกไปดูหรือไม่ สิ่งกั้นขวางในหนทางสู่แสงสว่าง อย่างไรก็ดี ถ้าจะให้สรุปสิ่งที่ The Pathless เป็นนั้น มันก็อาจจะจบได้ในสองคำนั่นคือ … ‘Boss Rush’ นี่คือเกมในสไตล์แบบ Shadow of the Colossus, The Last Guardian, Furi หรือแม้กระทั่ง Prince of Persia เวอร์ชันปี 2008 นั่นเพราะมันไม่มีการต่อสู้ระหว่างทาง ไม่มีศัตรูเป็นสิ่งกีดขวาง หน้าที่ของผู้เล่นคือแก้ปริศนา สู้กับบอส วนไปจนถึงปลายทาง สำหรับคนที่เป็นสายเล่นจบเร็วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเกมไม่ได้บังคับให้คุณออกนอกเส้นทาง นั่นทำให้เกมสามารถจบได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง และคุณค่าในการกลับมาเล่นซ้ำนั้นก็ลืมไปได้เลย นอกไปเสียจากคุณอยากจะเก็บความลับบางอย่างหรือเป็นสาย Completionist ที่ส่งผลกับฉากจบเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอะไรที่สลักสำคัญมากนัก Sequences การต่อสู้กับบอสเองก็เป็นจุดที่มีปัญหา เพราะมันจะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปชั่วขณะ เพราะในจังหวะที่คุณก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบอสนั้นๆ คุณจะสูญเสียการควบคุมเหยี่ยวไป และตัวเกมจะกลายเป็นสาย Stealth ที่คุณต้องหาทางหลบหลีกและเอาเหยี่ยวกลับมา เพื่อเริ่มการต่อสู้ ที่จะเป็นการยิงเข้าจุดตายที่เห็นได้อย่างชัดเจนพร้อมหลบหลีกสิ่งกีดขวางหรือการโจมตีของบอสนั้นๆ อนึ่ง การต่อสู้กับบอส ‘สุดท้าย’ ดูจะน่าสนใจที่สุด เพราะมีลูกเล่นและการวาง Sequences ที่โดดเด่นกว่าทุกตัว และเป็นจุด Climax ที่สำคัญที่สุดที่ทีมสร้างวางโครงเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นอกเหนือจากนั้น มันแทบไม่มีอะไรต่าง และเมื่อเจอมันเข้าเป็นครั้งที่สาม สี่ และห้า ความน่าสนใจจะกลายเป็นความน่าเบื่อขึ้นมาในทันที และที่สำคัญ มันทำลาย Flow อันพลิ้วไหวที่เป็นหัวใจหลักของตัวเกมแบบหักดิบหมุนกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต้องปรับอารมณ์กันพอสมควรกว่าจะเคยชิน (และชินชา…) กับมันได้ และสุดท้าย การแก้ปริศนาในจุดต่างๆ ของตัวเกม แม้จะไม่ได้ยากจนถึงขั้นต้องทึ้งผมออกจากหัว แต่หลายครั้งมุมกล้องและการควบคุมเหยี่ยว ก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ติดในจุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง มุมกล้องบังทำให้ไม่สามารถยิงธนูเข้าจุดได้บ้าง เป็นความน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ ในเชิงเทคนิคที่อาจจะทำให้เสียอารมณ์ได้นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก ทางชีวิต ลิขิตเอง โดยสรุป แม้ตัวเกมจะมีร่องรอยของการ ‘หยิบยืม’ รูปแบบจากเกมรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้านั้น และติดกลิ่นของมันจนเป็นที่สังเกตได้ (เอาแค่เปิดเกมมา สิ่งแรกที่ผู้เขียนนึกถึงก็คือเกม Zelda และเล่นไปเล่นมา ก็ระลึกถึง Shadow of the Colossus...) แต่สิ่งที่ The Pathless ทำได้สำเร็จอย่างงดงามนั่นคือ พวกเขาไม่ใช่การหยิบมายัดอย่างขอไปที หากแต่เป็นการ ‘Inspired’ หรือเอาแรงบันดาลใจ มาสร้างหนทางใหม่ให้กับตัวเองได้อย่างชาญฉลาด และเกมนี้ คือผลสำเร็จที่ว่านั้น มันเล่นได้สนุก มันงดงาม มันลื่นไหล และมันตั้งคำถามที่น่าสนใจ ว่าท้ายที่สุดแล้ว หนทางสู่ความจริงแท้และยั่งยืน มันสมควรจะต้องเดินตามทางที่แผ้วถางเอาไว้ หรือ ‘สร้าง’ หนทางใหม่ด้วยตนเอง “และทีม Giant Squid ก็ให้คำตอบที่ชัดเจน ว่ามันไม่ผิด ถ้าจะเดินตามทางมา แต่ถึงที่สุดแล้ว มันก็ต้องเป็นพวกเขา ที่ต้องมุ่งหน้าต่อไป ในโลกกว้างแห่งวงการเกม ที่พวกเขาประสบความสำเร็จในก้าวแรกของการสร้างทางของตนเองจากเกมนี้แล้วจริงๆ…” [penci_review id="76343"]
11 Jan 2021
รีวิว Alienware AW2521H จอ 24.5 นิ้วที่ยัดคุณภาพการเล่นเกมมาแบบเกิน 100%
การเล่นเกมบนเครื่อง PC หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เกมเมอร์หลายคนให้ความสนใจก็คือในเรื่องของจอ Monitor ดีๆ ที่จำเป็นต้องมี Option หลายอย่าง ซึ่งช่วยเสริมประสบการณ์ที่ดีในการเล่นเกมให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่มีขนาดพอเหมาะกับประเภทของเกมที่เล่น, Response Time ที่ต่ำ, Refresh Rate ที่สูง รวมไปจนถึง Port การเชื่อมต่อที่หลากหลาย ตลาด Monitor ในปัจจุบันมีสินค้าจากหลายแบรนด์ที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็น Samsung Odyssey, Acer Predator, BenQ Zowie, MSI หรือ Asus ROG โดย Dell Alienware เองก็เป็นหนึ่งในนั้น และวันนี้ผมก็มีจอ Monitor ดีๆ อีกหนึ่งรุ่น ขนาดประมาณ 25 นิ้ว มาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกัน Alienware AW2521H คือชื่อรหัสของรุ่นดังกล่าว แม้ว่า Monitor ที่มีขนาดไม่ถึง 27 นิ้ว จะเริ่มได้รับความนิยมน้อยลงแล้วในปัจจุบัน แต่เจ้าจิ้ว 24.5 นิ้วนี้ มาพร้อมกับฟังก์ชันยอดเยี่ยมหลายอย่างที่เพื่อนๆ จะไม่ผิดหวังแน่นอนถ้าหากซื้อมาใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบเล่นเกมแนว Competitive ครับ เกริ่นนํามาขนาดนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ น่าจะอยากรู้กันแล้วว่าเจ้าจอตัวนี้มีอะไรดี งั้นเรามาเริ่มจากสเปคกันก่อนเลยแล้วกันครับ คุณสมบัติทางเทคนิค Screen Size : 24.5 Panel Type : IPS Resolution (max.) : 1920 x 1080 Response Time: 1ms (gray to gray) - Extreme Mode Refresh Rate :  360Hz (Native with DP) / 240Hz (Native with HDMI) Aspect Ratio : 16:9 Color Gamut : 99% sRGB Port :  2 x USB 3.2 Gen1 (support for NVIDIA Reflex Latency Analyzer) 2 x USB 3.2 Gen1 (5 Gbps) downstream port (rear) 1 X USB 3.2 Gen1 (5 Gbps) upstream port (rear) Input Connectors 2 x HDMI (ver 2.0) 1 x DP 1.4 (rear) 1X Audio line-out jack (rear) อ่านแล้วเชื่อว่าหลายคนน่าจะกำลังสงสัยว่า "เป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะมีสีแบบ 99% sRGB ในจอ 360Hz ?" ซึ่งตอนแรกผมก็ตั้งคำถามแบบเดียวกันครับ จนเมื่อได้ใช้งานจอนี้ด้วยตัวเอง ก็ได้แต่ต้องยอมรับว่า "มันมีอยู่จริงข้างหน้าเราเนี่ยแหละ" เหนือสิ่งอื่นใดคือมาพร้อมกับ Response Time: 1ms ด้วย ดังนั้นจอตัวนี้จะเล่นเกม หรือดูหนัง ก็ถือได้ว่าผ่านทั้งหมดครับ ในเรื่องของดีไซน์ ก็คงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เจ้า AW2521H เรียกได้ว่ามีสีส่วนใหญ่เป็นสีเทากับดำ ดูเรียบหรู และแพง นอกจากนี้ที่ด้านหลังของจอ ยังมีการยิงไฟ RGB สลับสีไปมาตลอดเวลา ช่วยให้ลดภาระของสายตาลงไปได้เมื่อด้านหลังของจอเป็นกำแพงที่มีสีขาว หรือดำ ถือได้ว่าผู้ผลิตใส่ใจรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนจริงๆ ครับ ในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อเองก็มีมาให้อยากหลากหลาย รองรับทุกการใช้งานจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น USB ที่ให้มาถึง 5 พอร์ต (รองรับเทคโนโลยี NVIDIA Reflex ทั้งหมด 2 ช่อง) หรือช่องสำหรับเสียบหูฟัง กับลำโพง ทั้งยังมี HDMI มาให้อีก 2 และ Display Port อีก 1 เอาง่ายว่าจะต่อคอมพร้อมกับ 2 เครื่อง บวก PS4 / PS5 อีก 1 ตัวก็สามารถทำได้สบายๆ เลย สุดท้ายคือในเรื่องของน้ำหนัก เนื่องจากเป็นจอที่มีขนาดเพียงแค่ 24.5 นิ้ว จึงทำให้น้ำหนักทั้งหมดของจอ (ไม่รวมขา) มีเพียงแค่ 4.5 กิโลเท่านั้น สามารถนำไปวางบนโต๊ะที่ท็อปเป็นกระจกได้สบายๆ หมดกังวลเรื่องรับน้ำหนักไม่ไหวไปได้เลยครับ ประสบการณ์ใช้งาน เกม ถ้าจะบอกว่า Alienware AW2521H เป็นจอที่เกิดมาเพื่อเกมเมอร์ชาว PC อย่างแท้จริง คิดว่าคงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงมากมายนัก ด้วยค่า Refresh Rate ที่สูงถึง 360 Hz และ Response Time ที่ต่ำถึง 1ms คงต้องบอกว่าเจ้าจอ 24.5 นิ้วนี้เกิดมาเพื่อเกมเมอร์สาย Competitive ตลอดช่วงเวลา 1 อาทิตย์ที่ได้ใช้งานมา พบว่าความรู้สึกลื่นไหลที่ได้จากจอตัวนี้แตกต่างจาก จอ 144 Hz ที่ใช้เป็นประจำอย่างมาก และมันทำให้ตัวผมเองสามารถเล่นเกมที่ต้องแข่งขันกันได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ อย่างไรก็ตาม จริงอยู่ที่ Alienware AW2521H เป็นจอที่มีค่า Refresh Rate สูง 360 Hz ซึ่งตอบโจทย์สำหรับการเล่นเกมที่จำเป็นต้องแข่งขันกัน แต่เครื่อง PC ของผู้ใช้งานเองก็จำเป็นต้องมี GPU และ CPU ที่แรงมากพอจะสามารถดัน FPS ภายในเกมไปจนถึง 360 FPS ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นอยากให้คำนึงถึงจุดนี้ไว้ด้วยครับ (สามารถเข้าไปดูรายชื่อการ์ดจอแนะนำของพวกเราได้ผ่านลิงก์นึ้) ประสบการณ์ที่ได้จากเกม Single-Player เองก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าการที่มี Refresh Rate และ Response Time ที่สูงจะไม่ได้ส่งผลถึงอรรถรสที่ได้มากมายนัก แต่การเล่นเกมที่มีภาพที่ลื่นไหลมากกว่าย่อมเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าครับ และด้วยความที่จอตัวนี้มีค่าสีถูกต้องถึง 99% sRGB มันจึงทำให้เราสามารถสัมผัสกับความสวยงามของกราฟิกที่ผู้พัฒนาตั้งใจใส่มาให้เราได้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจครับ ตัวผมเองได้มีโอกาสนำจอตัวนี้ไปเล่นเกม Cyberpunk 2077 ที่ใช้การตั้งค่ากราฟิกแบบเต็มแม็กหลายชั่วโมง ด้วยความที่เกมนี้มีกราฟิกที่สวยงามอันดับต้นๆ ของวงการในตอนนี้ พอเอามารวมกับจอภาพที่มีความลื่นไหลสูง ทั้งยังมีค่าสีที่ถูกต้องแล้ว มันทำให้เหมือนกับรู้สึกว่าได้หลุดเข้าไปในโลกของเกมจริงๆ โลกที่เราเห็นผ่านหน้าจออยู่นี้ราวกับว่ามันมีตัวตนอยู่จริงๆ เหมือนกับได้เข้าไปเดินอยู่ในเมือง Night City ทุกครั้งที่เห็นแสงสะท้อนจากวัตถุในเกมล้วนแต่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า จะสามารถหาประสบการณ์แบบเดียวกันจากจอตัวไหนได้อีกบนโลกใบนี้ ใช้งานทั่วไป (ทำงาน - ดูหนัง) เชื่อว่าไลฟ์สตรีมของเพื่อนๆ ชาว PC หลายคน ไม่ใช่ได้ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมเพียงแค่อย่างเดียว บางคนอาจทำงานที่บ้านผ่าน PC ของตัวเองอยู่ในตอนนี้ บ้างอาจเป็นงานเอกสารทั่วไป บ้างอาจเป็นงานกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอ ในเรื่องความตรงของสีที่ได้จากจอ Monitor จึงเป็นเรื่องซีเรียสมากๆ จนส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานจอสำหรับเล่นเกมทั่วๆ ไปที่เป็นแบบ VA หรือ TN ในการทำงานได้ แต่เจ้า Alienware ตัวนี้ไม่มีปัญหาดังกล่าวครับ เนื่องจากค่าสีที่ได้จากจอตัวนี้อาจตรงยิ่งกว่าจอ IPS ทั่วๆ ไปที่เราเห็นในตลาดเสียอีก (ดูได้ในภาพด้านล่างนี้) ดังนั้นจึงหมดกังวลเรื่องที่สีที่ได้จากจอจะไม่ตรง (สเปคของจอ IPS รุ่นหนึ่งที่มีราคาประมาณ 5,000 บาท สังเกตุว่าได้สีเพียงแค่ 87% sRGB) แม้ว่า 24.5 นิ้วจะไม่ใช้จอขนาดใหญ่ซึ่งเหมาะกับชมภาพยนตร์ ,การ์ตูน หรือคอนเสิร์ต แต่ก็กล่าวได้ว่าไม่ใช่จอที่เล็กเกินไปเช่นกัน กล่าวคือเป็นขนาดที่พอดีเหมาะกับการใช้งานในบ้าน สามารถเก็บรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ภายในฉากได้อย่างทั่วถึง และด้วยค่าสีที่ถูกต้องมาก จึงทำให้กราฟิกที่เราได้เห็นจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์น่าตื่นตาตื่นใจมากด้วยๆ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลยหากจะนำจอตัวนี้ไปใช้งานอย่างอื่นนอกจากเล่นเกมครับ ราคาเท่าไหร่ ? มาจนถึงตรงนี้คิดว่าเพื่อนๆ คงอยากรู้แล้วว่าเจ้า Alienware AW2521H มีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ โดยจากหน้าเว็บไซต์ Official ของ Dell เองเลย จอตัวนี้มีราคาเต็มอยู่ที่ 969.99$ (ประมาณ 29,000 บาท) ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ เป็นคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม, ดูหนัง หรือทำงานผ่านหน้าจอทั้งหมด ตัวผมเองคิดว่าราคาดังกล่าวไม่แพงจนเกินไปเลย ถ้าหากใครสนใจก็ลองติดต่อสอบถามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชั้นนำใกล้บ้านดู เชื่อว่าถ้าได้สัมผัสด้วยตัวเองเหล่าเกมเมอร์จะต้องถูกใจมากๆ อย่างแน่นอนครับ ก็จบไปแล้วกับรีวิว Alienware AW2521H จอ 25 นิ้วที่ยัดคุณภาพการเล่นเกมมาแบบเกิน 100% งานนี้ต้องขอขอบคุณทาง Dell จริงๆ ที่ส่งสินค้าดีๆ แบบนี้มาให้เราได้ทดลองใช้งาน ส่วนว่ารีวิว Hardware ชิ้นต่อไปจะเป็นอะไร มาจากแบรนด์ไหน? รอติดตามชมได้เลยครับ
11 Jan 2021
[Unbox & Review] Pendulum Z เครื่อง V-Pet รุ่นใหม่กับความลับของโลก Digimon ที่ซ่อนไว้
ความเป็นมาของเครื่องเล่น V-Pet มีจุดเริ่มต้นมาจากตัวเครื่อง Tamagotchi คิดค้นโดยคุณ Maita Aki เจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทของบริษัท Bandai เรียกว่าเป็นผู้ให้กำเนิด V-Pet ที่ส่งต่อให้กับเครื่องเล่น V-Pet รุ่นใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ และ Tamagotchi ก็แตกลายต่อยอดกลายเป็น V-Pet อีกสายที่เรียกว่า Digital Monster หรือ Digimon ที่เรารู้จักกัน ซึ่งซีรี่ส์ Digimon นี่แหละทำให้เด็กๆ และผู้คนเมื่อ 23 ปีที่แล้วรู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก ปัจจุบัน V-Pet ของซีรี่ส์ Digimon ก็ออกมาหลายรุ่นมาตลอดช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดก็ได้ออก V-Pet รุ่นใหม่ส่งท้ายปี 2020 ที่มีชื่อว่า Digimon Pendulum Z โดยบทความนี้เราจะมาแกะกล่องและรีวิวเครื่องเล่นเจ้า Pendulum Z ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรและมีลูกเล่นอะไรบ้าง ไปดูกัน ================================================== เริ่มแกะกล่องและทำความรู้จักกับ Pendulum Z เครื่องเล่น Pendulum เป็นเครื่องเล่นประเภท V-Pet ของซีรี่ส์ Digimon ผลิตครั้งแรกในปี 1998 ต่อยอดมาจากเครื่ง Digimon V-Pet โดยเพิ่มลูกเล่นการเขย่าที่จะเป็นหัวใจหลักในการต่อสู้ และระบบ Jogress ซึ่งมาจากคำว่า Joint กับ Progress เข้าด้วยกัน มันคือระบบที่ใช้รวมร่าง Digimon และเกิดสายวิวัฒนาการใหม่นั้นเอง และในช่วงเวลาต่อมาก็มี Line การผลิตของ Digimon Pendulum ออกมาหลายรุ่นอย่างเช่น Pendulum Progress, Pendulum X, Pendulum รุ่นครบรอบ 20 ปี และล่าสุดก็มาเป็น Pendulum Z โดยตัว Pendulum Z จะออกวางจำหน่ายทั้งหมด 6 สี 6 สายด้วยกัน แบ่งออกเป็น 2 Wave ซึ่ง Wave แรกได้วางจำหน่ายช่วงสิ้นปี 2020 และ Wave ที่ 2 จะวางจำหน่ายเดือนเมษายน 2564 แน่นอนว่า Concept ของเครื่อง Pendulum Z จะเป็นการรวม Digimon หลายชนิดที่ไม่เคยปรากฎในเครื่องเล่น V-Pet รุ่นอื่นๆ หรือปรากฎในซีรี่ส์อนิเมะภาคไหนมาก่อน และเจ้าตัว Pendulum Z ก็มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง แตกต่างจากเครื่องเล่น Pendulum รุ่นที่ผ่านๆ มาที่ไม่มีเนื้อเรื่องให้เสพเลย ส่วนเนื้อเรื่องของซีรี่ส์นี้ โดยมีใจความคร่าวๆ ที่ว่า มีการค้นพบ Digimon ชนิดใหม่ๆ ที่เรียกว่า Folder Islands หากมีโอกาสได้เล่า จะขอเล่าในโอกาสหน้าอย่างละเอียดแน่นอน แต่เอาจริงๆ พอแกะกล่องไปรษณีย์แล้วเห็นลายของมันครั้งแรก ตัวลายเครื่องมันเหมือน Creeper จาก Minecraft จริงๆ นะ มันจะบึ้มใส่มือหรือเปล่า ??? ( ล้อเล่นนะ ) สำรวจตัว Package มุมต่างๆ ก่อนทดลองเล่นจริง ตัว Package จะค่อนข้างเล็ก ตามสไตล์เครื่องเล่น V-Pet แต่ตัวกล่องนั้นกลับรู้สึกดู Premium หรูหรามากกว่าเครื่องเล่น V-Pet Digimon X ที่วางจำหน่ายไปช่วงปีที่แล้วอย่างมาก และลวดลายตัวเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ เป็นลวดลาย Glitch หรือแถวบ้านที่เรียกว่า ลายภาพไม่มีสัญญาณ พร้อมกับตัว Digimon ใหม่ๆ ที่ไม่เคยปรากฎในซีรี่ส์ไหน ถูกโปรโมตบนหน้ากล่อง พร้อมลูกเล่นหลักอย่างระบบการเขย่า ซึ่งหากไม่มีแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ใช่ Pendulum อย่างแน่นอน ส่วนของที่จะมาแกะกล่องจะเป็นของจาก Wave แรกทั้งหมด โดยจะมีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียว - Nature Spirits: จะเป็น Digimon ที่เน้นจำพวกสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและแมลงเป็นหลัก สีฟ้า - Deep Savers: จะเป็น Digimon ประเภทสัตว์น้ำและจำพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นหลัก สีน้ำตาล/แดง - Nightmare Soldiers: จะเป็น Digimon ที่มีพลังความมืดหรือ Digimon สายภูติผีปีศาจเป็นหลัก แน่นอนว่า ทั้ง 3 เครื่อง จะมี Digimon ประจำเครื่องที่แตกต่างกันเสียส่วนใหญ่ พอพลิกไปด้านข้างก็ได้พูดถึงระบบ Jogress ซึ่งเป็นระบบหลักของ Pendulum ที่จะทำให้เราได้ Digimon สายพันธุ์ใหม่ๆ โดยทาง Bandai ระบุว่า ตัว Pendulum Z จะมี Digimon ให้ได้เลี้ยงมากกว่า 100 ตัว ซึ่งถือว่าเยอะเอาเรื่องเลย แต่จริงๆ แล้วเขาหมายถึงเครื่อง Pendulum Z ทั้ง 3 เครื่องตอนนี้และอีก 3 เครื่องใน Wave ที่ 2 รวมกันมากกว่า จึงพอสรุปได้ว่า เครื่องหนึ่งอาจจะมี Digimon ให้เลี้ยงราวๆ 30 ชนิดเป็นอย่างน้อย พอพลิกตัวกล่องไปอีกข้าง ก็จะพูดถึงกับลูกเล่นทั่วไปที่มีอย่างเช่น การให้อาหาร, การเก็บกวาดอุนจิและระบบการต่อสู้ โดยเป็นการแสดงภาพ Digimon ตัวใหม่ล่าสุดในรูปแบบ Pixel ให้เห็นเสมือนเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้านหลังตัวกล่องก็ได้โชคข้อมูล Digimon ตัวใหม่ๆ ที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนเป็นตัวหลักประจำเครื่องได้แก่ Marine Chimairamon: เป็น Digimon หลักประจำเครื่องสีฟ้าหรือ Deep Savers Gogmamon: เป็น Digimon หลักประจำเครื่องสีเขียวหรือ Nature Spirits Ghostmon: เป็น Digimon หลักประจำเครื่องสีน้ำตาล/แดง หรือ Nightmare Soldiers และก็มี QR Code ให้สามารถ Scan เพื่อไปอ่านเนื้อเรื่องของ Pendulum Z ได้ โดยจะกล่าวถึง Digimon สายพันธุ์ใหม่บนเกาะ Folder ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า พอแกะฝากล่องก็มีลวดลายของ Gogmamon แบบ Pixel และตัวอักษรที่เขียนว่า "NATURE SPIRITS: DIGIMON PENDULUM Z"  พร้อมกับฝากล่องที่เป็นลวดลาย Glitch สีเขียวให้เห็น ซึ่งหลังจากนี้จะทำการ Unbox ด้วยเครื่องตัวสีเขียวหรือ Nature Spirits เป็นหลัก เพราะหน้าตาและการเล่นแทบจะเหมือนกัน ต่างกันแค่ Digimon ประจำตัวเครื่องและสีแค่นั้น เมื่อทำการแกะกล่องออกมาทั้งหมดแล้ว จะมี สามส่วนหลักๆ ได้แก่ ตัวกล่องภายนอกสีเขียว, ตัวกล่องภายในสีดำ มีคู่มือการใช้งานแบบย่อซึ่งมี QR Code ให้สแกนไปดูวิธีการเล่นแบบฉบับเต็มบนไฟล์ PDF ได้ มันก็สะดวกดีนะและเป็นการตลาดที่ฉลาดด้วยที่ลดการสิ้นเปลืองของกระดาษ และส่วนสุดท้ายก็คือส่วนตัวเครื่องที่มีพลาสติกแข็งหุ้มตัวเครื่องไว้ ซึ่งตัวพลาสติกแข็งนั้นก็จะมีฝาครอบอีกชั้นหนึ่งกันกระแทก ดูใส่ใจเป็นอย่างดีมากๆ เพราะมันแข็งและกันกระแทกได้ดีใช้ได้เลยล่ะ แถมเก็บสายพวงกุญแจไว้เรียบร้อย ไม่ดูเกะแกะด้วย ตัวเครื่องแบบชัดๆ หลังจากดึงที่ขั้นถ่านแล้ว ตัวอักษรก็เด้งขึ้นข้อความว่า "Pendulum Z" เด่นมาๆ แถมเสียงตัวเครื่องดังใช้ได้เลย และหากสังเกตุดีๆ จะมีประกายกริตเตอร์วิ้งวับสะท้อนแสงตลอดทั้งตัวเครื่อง รู้สึกมีความหรูหรามากขึ้นเมื่อจับขึ้นมาเล่นบนมือตัวเอง ด้านหลังจะเป็นตรงที่ใส่ถ่านโดยต้องขันน็อตหัวสี่แฉกเพื่อเปิดฝา และตัวเครื่อง Pendulum Z จะใช้ถ่านกระดุมแบบ CR2032 จำนวนหนึ่งก้อน สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อหรือร้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปได้เลย หาซื้อไม่ยาก ที่ฝาปิดฐานก็จะระบุถึงวันที่เริ่มผลิตและหมายเลขประจำตัวเครื่องที่เขียนไว้ ซึ่งการันตีว่าของแท้แน่นอน ส่วนด้านบนก็เป็นหัวต่อ Connecter แบบ 2 หัวสำหรับเชื่อมต่อการต่อสู้หรือการ Jogress ถือเป็นสิ่งที่เครื่อง V-Pet Digimon ต้องควรมี ปุ่มกดต่างๆ และคำสั่งใช้งานเบื้องต้น ปุ่มกดและคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในเครื่องของ Pendulum Z จะมีดังนี้ ปุ่ม A: เป็นปุ่มสำหรับเลือกเมนูต่างๆ ทั้ง 9 เมนูและเลื่อนหัวข้อคำสั่งต่างๆ ปุ่ม B: เป็นปุ่มตกลงหรือเลือกเมนูนั้นๆ / เป็นปุ่มกดดูเวลาเมื่ออยู่หน้าจอหลัก ปุ่ม C: เป็นปุ่มยกเลิกคำสั่งหรือออกจากหน้าเมนูนั้น / เป็นปุ่มเช็คสถานะ Digimon แบบย่อเมื่ออยู่หน้าจอหลัก ปุ่ม Reset: เป็นปุ่มสำหรับ Reset เครื่องเพื่อเริ่มเล่นใหม่ นอกจากนี้จะมีคำสั่งที่กดมากกว่า 1 ปุ่มหรือ Combo Command มีคำสั่งดังนี้ ปุ่ม A+C เมื่ออยู่หน้าจอหลัก: จะเป็นการปิดหรือเปิดเสียงของตัวเครื่อง ปุ่ม A+C เมื่ออยู่หน้าเวลา: จะเป็นการตั้งนาฬิกา โดยกด A จะเป็นการตั้งชั่วโมง กด B เป็นการตั้งนาที และกด C เมื่อตั้งเวลาเสร็จสิ้นแล้ว ปุ่ม A+B เมื่อ Digimon ตายหรือกลายเป็น Computer: จะเป็นการฟักไข่ใบใหม่หลัง Digimon ไม่อยู่กับเราแล้ว ปุ่ม A+C+Reset ค้างไว้: จะเป็นการเข้าสู่โหมด Library เพื่อทดลองเล่น Digimon ภายในเครื่อง แต่จะไม่สามารถเล่นได้อย่างปกติได้ 100% เพราะจะมีบัคแบบจงใจเพื่อไม่ให้เราลักไก่นั้นเอง เมนูต่างๆ และ Feature ที่น่าสนใจ เมนูแรก Status ( รูปตราชั่ง ): จะเป็นการเช็คสถานะของ Digimon ที่เราเลี้ยงแบบละเอียดทั้งชื่อดิจิมอน, ความหิว, ความแข็งแรง และอื่นๆ อีกมากมาย เมนูที่สอง Food ( รูปเนื้อ ): เป็นการให้อาหาร Digimon โดยมีการให้เนื้อกับวิตามิน นอกจากนี้ยังมี Item ชิ้นอื่นๆ ที่สามารถให้ Digimon ได้กินและเพิ่มความสามารถพิเศษบางอย่างด้วย เมนูที่สาม Training ( รูปยกน้ำหนัก ): เป็นการฝึกซ้อม Digimon เพิ่มค่า Effort หรือค่าความพยายามให้สูงขึ้น มีผลต่อการต่อสู้ของ Digimon ด้วย วิธีการฝึกจะใช้การเขย่าให้ตรงกับจำนวนของลูกศร ซึ่งหากตรง ก็จะทำให้การฝึกของ Digimon ส่งผลมากขึ้น เมนูที่สี่ Colosseum ( รูปถ้วยรางวัล ): เมนูนี้จะเป็นเมนูสำหรับต่อสู้ตะลุยด่านของ Digimon ที่เราเลี้ยง โดยจะมีด่านให้เล่นทั้งหมด 50 ด่าน เมื่อชนะศัตรูจะได้รับ EXP ไว้เพิ่ม Level โดยมันจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งด้วย เมนูที่ห้า Clean Waste ( รูปอุนจิ ): เมื่อ Digimon อยู่กับเราไปสักช่วงหนึ่ง พวกเขาก็ต้องการขับถ่าย พอขับถ่ายออกมาก็จะเป็นอุนจิอย่างที่เห็น เมนูนี้จึงเป็นเมนูทำความสะอาด เก็บอุนจิให้ Digimon ของเราเพื่อสุขอนามัยที่ดี เมนูที่หก Light ( รูปไฟ ): เมื่อ Digimon ถึงเวลานอน สามารถเข้าไปที่เมนูรูปไฟ เพื่อปิดไฟได้ แต่หาก Digimon ไม่ถึงเวลานอนแล้วกดปิดไฟ จะเป็นการ Freeze Digimon เอาไว้ กรณีที่เราไม่ว่างเล่นนั้นเอง เมนูที่เจ็ด Heal ( รูปผ้าปิดแผล ): กรณีที่ Digimon ของเราป่วยหรือบาดเจ็บ สามารถเข้าเมนูรักษา เพื่อรักษาตามอาการได้โดยสัญลักษณ์กล่องคำพูดไว้รักษาอาการป่วย และรูปหัวกะโหลก ไว้รักษาอาการบาดเจ็บหลังพ่ายแพ้การต่อสู้ เมนูที่แปด Album ( รูปหนังสือ ): เมนูนี้จะเป็นเมนูที่ดู Digimon ต่างๆ ที่เราเคยเลี้ยงมารวมถึงสามารถเอา Digimon มาเก็บ Back up ไว้สำรองได้สูงสุด 2 ตัว เท่ากับว่าเราสองรองได้สอง และเลี้ยงได้ 1 รวมเป็น 3 ตัว หากอยากกลับมาเล่นตัวเก่าก็สลับตัวจากเมนูนี้ได้ รวมถึงเช็ค Win rate การต่อสู้ได้ด้วย เมนูที่เก้า Connect ( รูปหัวลูกศรชนกัน ): จะเป็นเมนูไว้สำหรับเชื่อมต่อกับ Digimon V-pet อีกเครื่องหนึ่งไว้สำหรับต่อสู้หรือเชื่อมต่อกับ Pendulum Z ด้วยกันเพื่อทำการ Jogress ซึ่งเมนู Jogress สามารถทำการรวมร่าง Digimon ภายในเครื่องก็ได้หรือจะต่อกับอีกเครื่องก็ได้ เมนูที่สิบ Call ( รูป Digimon ร้อง ): เมนูนี้จะเรียกว่าเมนูก็ไม่ใช่ เพราะมันคือ Icon แจ้งเตือนซึ่งมันจะปรากฎขึ้นพร้อมส่งเสียงเมื่อ Digimon มีค่าความหิวเป็นศูนย์, ความแข็งแรงเป็นศูนย์ หรือถึงเวลานอนของ Digimon เป็นการเตือนให้เราเอาใจใส่ Digimon ของตัวเอง หากปล่อยละเลยจนไฟดับไปเอง จะนับว่าเป็น Care Mistake หรือค่าการละเลยความใสใจเป็นหนึ่งทันที โดยจะมีผลต่อการพัฒนาร่างของ Digimon ในอนาคตด้วย ================================================== ทั้งหมดนี้ก็เป็นการ Unbox & Review เจ้าเครื่องเล่น Digimon Pendulum Z ซึ่งโดยรวมแล้วหากใครชื่นชอบ Digimon และชอบการเลี้ยงแบบ V-Pet หรือเลี้ยงแบบ Tamagotchi ก็ขอบอกเลยว่าเครื่องนี้เลี้ยงง่าย พัฒนาได้ค่อนข้างไวเพราะมีระบบ Jogress เข้ามา แต่ก็จะมีจุดที่เสียดายที่ว่า จะไม่ค่อยมี Digimon เท่ๆ ให้ได้เห็น มันจะเป็น Digimon สายพันธุ์ใหม่เสียส่วนใหญ่ อีกทั้งหลายคนอาจจะไม่ชอบที่ลายเหมือน Creeper จากเกม Minecraft เพราะมันไม่สวย ( แต่ทางนี้ชอบนะ ) ซึ่งตอนนี้ก็ได้วางจำหน่ายแล้ว สามารถหาซื้อได้ตามกลุ่มคนรัก Digimon ราคาจะอยู่ช่วง 1,6XX ต่อเครื่อง ซึ่งราคาอาจจะแรงนิดหนึ่ง แต่สำหรับคนรัก Digimon และชอบเลี้ยงสัตว์ V-Pet ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การสะสมและเลี้ยงมันจ้า  
06 Jan 2021
[Unbox & Review] Digivice 2020 เปิดจักรวาลใหม่ อุปกรณ์ของเด็กที่ถูกเลือก
เครื่องเล่นพกพาแบบ Pixel ในตัวก็มีทำอยู่แค่สองซีรี่ส์หลักๆ ที่รู้จักกันคือ Tamagotchi และ Digimon ซึ่งทั้งคู่เป็นเครื่องเล่นประเภท Vitual Pet หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า V-Pet มันยังคงได้รับความนิยมที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มในสมัยก่อน เพราะยังไงซะมันก็อาจจะสู้เครื่องเล่นพกพายุคใหม่ๆ ที่เป็นจอสีหรือมือถือที่มีเกมมากมายให้เล่น แต่ทว่าทางบริษัท Bandai ผู้พัฒนาของเล่นและสร้างซีรื่ย์ Digimon ได้ดำเนินรุกการตลาดให้เข้าถึงเด็กรุ่นใหม่และรุ่นเดอะอย่างคนเขียนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเครื่องเล่นที่ผสมผสานแสงสีเสียงที่เรียกว่า Digivice รุ่นปี 2020 พร้อมกับทำอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 ควบคู่กัน ทำให้กระแสคนรักดิจิมอนกลับมาอย่างคึกคักและดึงดูดผู้สนใจดิจิมอนหน้าใหม่มาเพียบ และในอนาคต ก็จะมี V-pet รุ่นใหม่อย่าง Pendulum Z และ Vital Bracelet ที่จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Smart band แบบจอสีและการเลี้ยง Digimon เข้าด้วยกัน และบทความนี้เราไม่ได้มารีวิวเกม แต่มารีวิวตอบรับกระแสด้วยการ Unboxing และรีวิวเครื่องเล่นเกม Digivice รุ่น 2020 ให้คุณผู้ชมได้รับชมกันว่า เครื่องเล่นพกพานี้มันมีความน่าเล่นในยุคปัจจุบันมากขนาดไหนกัน ================================================== เริ่มแกะกล่องและทำความรู้จักกับ Digivice เสียก่อน ซึ่งขออธิบายในส่วนนี้ก่อนว่าเครื่องเล่นพกพาซีรี่ย์ Digimon จะมีสองประเภทนั้นก็คือ V-Pet ซึ่งเน้นพักไข่, เลี้ยงดูและเอาไปต่อสู้ ซึ่งรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบเควสต์หรือโคลอสเซี่ยมให้ต่อสู้เพื่อเอาชนะ, เก็บ Level และปลดล็อคเงื่อนไขลับภายในเครื่อง ส่วนอีกประเภทจะเรียกว่า Digivice ซึ่งดีไซน์จะมาจาก Digivice ภายในอนิเมะชั่น Digimon ภาคนั้นๆ โดยจะมีลูกเล่นที่เน้นการผจญภัยตามเนื้อเรื่องอนิเมะ และ Easter Egg ให้ไขความลับภายในเครื่อง ไม่เน้นการเลี้ยงดูและไม่มีวันหมดอายุขัยหรือตายแบบ V-Pet และส่วนที่รีวิวอันนี้คือ Digivice รุ่นปี 2020 ที่มีลูกเล่นเน้นการผจญภัยตะลุยด่านตามเนื้อเรื่องของอนิเมะ Digimon Adventure ภาค Reboot 2020 อันนี้คือตัว Package ที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นมาเลย แบบห่อกระดาษไขป้องกันรอยและสิ่งสกปรก ซึ่งพอแกะกระดาษสาออกไปก็จะเป็นกล่องสีขาวกันกระแทกอีกที ไม่ใช่ตัวกล่องของ Digivice จริงๆ หรือพูดง่ายๆ นี่แค่เป็นกล่องชั้นนอกสำหรับกันกระแทกเท่านั้น แต่พอแกะกระดาษสาและเปิด Package ชั้นนอกเท่านั้นแหละถึงกับอุทานว่า "ลุง Bandai จะห่อเยอะไปไหน" เพราะคุณจะได้เห็นตัวกล่องใส่ Digivice รุ่น 2020 จริงๆ ที่มีกระดาษสาห่ออีกชั้นข้างใน นับถือตัวลุงแกเลยว่าใส่ใจเรื่องการป้องกันการเป็นรอยระหว่างขนส่งจริงๆ พอแกะกระดาษสารอบที่สองออก คุณก็จะได้พบกับความ Premium ของตัว Package อย่างแท้จริง ลายบนกล่องเป็นเจ้าตัว Agumon ซึ่งเป็นมาสคอตของซีรี่ย์ Digimon ไม่ว่าจะภาคอนิเมะหรือในเกมก็ตาม ถอดมาก็เป็นตัวอักษรสีเงินสะท้อนแสงเขียนว่า "DIGIMON ADVENTURE" ดูเรียบหรูสุดๆ ส่วนข้างล่างก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "DIGIVICE" ภายในกล่องที่เห็นก็มีตัว Digivice ที่เป็นสีขาว ดูเหมือนไม่มีปุ่มอะไรให้กดเลย และฝ่าหลังที่โชว์ให้เห็น ดูจากสายตาแล้วมันมีขนาดใหญ่น่าจะทำออกมาในอัตราส่วน 1 : 1 แน่ๆ ใหญ๋กว่า Digivce รุ่น D-2 เสียอีก ด้านตัวกล่องทั้งสองข้างก็เขียนคำว่า "DIGIMON ADVENTURE" และคำว่า "DIGIVICE" เป็นสีเงินสะท้อนแสงสวยงาม และใต้ฝากล่องก็พบกับ Easter Egg อย่างแรกของตัว Package เลยนั้นก็คือ ภาพเหล่า Digimon คู่หูของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนเป็นลวดลาย Pixel สีขาว ทำให้เรานึกถึงวัยเด็กที่ได้เล่น Digivice รุ่น D-2 เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก่อนจะดูตัวเครื่อง Digivice เราก็ขอยกตัวพลาสติคกันกระแทกของตัวเครื่องออกเสียก่อน ใต้กล่องก็จะพบกับคู่มือการเปิดเครื่องเบื้องตน ซึ่งคราวนี้มาแปลกเพราะว่ามันเป็นคู่มือแบบย่อเท่านั้น ให้รู้ว่าตัวเครื่องใส่ถ่าน AAA จำนวนสามก้อน และสัญญาณแบตเตอร์รี่อ่อนว่าเป็นอย่างไร และควรเปลี่ยนตอนไหน ส่วนคู่มือวืธีเล่นตัวเต็มต้องใชมือถือ Scan QR Code อีกทีหนึ่ง ซึ่งเอาจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปดูก็ได้ ใช้วิธีงมโข่งเล่นเอาหลังเปิดเครื่องไปเลย ด้านข้างของใต้กล่องก็มี Easter Egg อีกส่วนหนึ่งนั้นก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคน เห็นแล้วทำให้เราคิดถึงอนิเมะชั่นภาคแรกที่เคยดูมากันเลย คราวนี้ก็ถือคอร์สหลักสักทีก็คือ ตัวเครื่องนั้นเอง หลักๆ จะมีสองส่วนด้วยกันคือ ตัวเครื่อง Digivice สีขาว มีรอบวงแหวนสีน้ำเงิน เขียนอักษรภาษา Digital World สีทองบนตัววงสีน้ำเงิน พร้อมจอแบบ Pixel ที่คุ้นเคยและฝ่าหลังปิดถ่านโดยใช้น็อตหัวสี่แฉกเป็นตัวยึด ส่วนแบตเตอร์รี่ที่ใช้ จะใช้ถ่านขนาด AAA ทั้งหมดสามก้อน หลังจากใส่ครั้งแรกให้กดปุ่ม Reset อยู่ตรงรูเล็กๆ เยื้องทางขวาของหลังเครื่อง ที่ต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มเข้าไปรูตรงนั้น ลองได้สัมผัสตัวเครื่องครั้งแรกก็เป็นอย่างที่คิด ตัว Digivice ใหญ่เต็มไม้เต็มมือมากเหมือนขนาด 1 : 1 จากในอนิเมะเลย และพอลองได้เปิดเครื่อง ก็มีไฟ LED แปดสี ซึ่งเป็นสีประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนสว่างรอบตัวเครื่องพร้อมตรา BANDAI เด่นขึ้นมากลางจอ Pixel ส่วนปุ่มกดนั้นดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วมีปุ่มให้กดสี่ปุ่ม ด้านซ้ายและขวามีอย่างละสองปุ่ม ตำแหน่งแถวเยื้องข้างบนและข้างล่าง ทั้งสองข้าง โดยเมื่อเรากดปุ่มใดก็ได้ เริ่มต้นจะมี Digimon ให้เลือกเล่นสองตัวระหว่าง Agumon และ Gabumon ซึ่งไม่ว่าเลือกตัวไหนก่อน เราก็จะได้เล่นทั้งสองตัวตั้งแต่แรก ไม่มีผลต่อการเล่นช่วงต้นเกมแต่อย่างใด คำสั่งปุ่มทั่วไปและเมนูต่างๆ Digivice รุ่น 2020 นี้อย่างที่บอกข้างต้นว่าดูเหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วปุ่มกดจะมีทั้งหมดสี่ตำแหน่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ ซึ่งปุ่มสัมผัมเป็นพลาสติคแข็งๆ และเมื่อกดลงไปมันมีเสียงคลิ๊กเด้งมือมากๆ ราวกับกดปุ่ม Machanical Keyboard แบบจังหวะเดียว ให้ความรู้สึกแตกต่างจากปุ่มยางที่เคยใช้ใน Digivice หรือ V-Pet รุ่นอื่นๆ โดยคำสั่งปุ่มต่างๆ มีฟังก์ชั่นการใช้งานดังนี้ ปุ่มที่ 1: ปุ่มเลื่อนขึ้นบนคำสั่งทั่วไปและย้อนหลังในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 2: ปุ่มเลื่อนลงบนคำสั่งทั่วไปและหน้าถัดไปในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 3: เป็นปุ่มสำหรับกดตกลงและเข้าหน้าเมนู ( จริงๆ ปุ่ม 1 2 และ 3 สามารถกดเข้าเมนูได้หมดบนหน้าหลัก ) ปุ่มที่ 4: เป็นปุ่มสำหรับยกเลิกเมนูและกดดู Emotion เล็กๆ ของ Digimon ทั้งสองตัวเมื่ออยู่หน้าหลักแบบสุ่มอารมณ์ เมื่อเข้าหน้าเมนู เมนูแรกที่จะเจอนั้นก็คือเมนู Status ซึ่งเป็นเมนูที่สามารถเข้าไปเช็คสถานะข้อมูลของ Digimon คู่หูของเราว่าเป็น Digimon ประเภทอะไร ลักษณะของสายเป็นแบบไหน ซึ่งปกติมีสามสายคือ Data, Virus และ Vaccine ซึ่งมีการแพ้ทางกันและกัน รวมไปถึงเช็คสถานะจำนวนที่ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ว่าชนะไปกี่ครั้ง ไปถึงระดับไหนแล้วซึ่งมีผลต่อการปลดระดับพัฒนาร่างในเมนู Quest ด้วย ถัดมาเป็นเมนู Quest ซึ่งมันคือโหมดตะลุยด่านอ้างอิงจากอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 เลย โดยจะมีด่านให้เล่นทั้งหมด 11 Stage และมี Stage ลับขอปลดล็อคอยู่อีก เมื่อเข้าไปในแต่ละ Stage จะมีด่านย่อยๆ ให้เล่นสิบด่านซึ่งด่านย่อนที่สิบจะเป็น Boss ประจำ Stage นั้นๆ หากเอาชนะได้ก็จะสามารถไป Stage ต่อไปได้นั้นเอง ส่วนวิธีการต่อสู้นั้น จะใช้วิธีการต่อสู้แบบ Roulette หรือหมุนวงล้อให้เกจพลังขึ้นสูงที่สุด ซึ่งหากทำได้ก็มีโอกาสชนะศัตรูได้มาก และมีโอกาสได้เจอ Cutscene ที่ Digimon คู่หูจะใช้ท่า Burst โจมตีศัตรูตายภายในครั้งเดียวและต้องกดปุ่มที่ 3 รัวๆ ให้เกจเต็มก่อนหมดเวลา ส่วนรายละเอียดการเล่นนั้น หากมีโอกาสได้ทำ Guide จะได้พูดถึงระบบนี้แบบละเอียดอย่างแน่นอน เมนูสุดท้ายของเครื่องนั้นก็คือ Setting ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากให้เราสามารถเลือกปิดหรือเปิดลูกเล่นไฟ LED และเสียงของตัวเครื่องสามารถปรับให้ปิดหรือเปิดได้เช่นกัน เหมาะกับกรณีไม่ชอบไฟที่แสบตาเกินไปหรือเสียงดังจนรบกวนคนอื่น Feature ต่างๆ ที่เป็นหัวใจของเครื่องนี้ Digivice รุ่น 2020 นี้ได้ตัดระบบการเขย่านับก้าวเดินที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของ Digivice ออกไป ซึ่งฟังแล้วน่าเสียดายมากๆ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยระบบเมนู Quest ที่มีด่านให้เล่นเยอะมากๆ ฉะนั้นเมื่อเราปล่อยจอเข้าสู่หน้าหลัก Digimon คู่หูของเราจะทำการขยับและเดินเล่นไปมาแบบนั้นพร้อมแสดงท่าทางดีใจให้เราเห็นด้วย เมื่อเรากดปุ่มที่ 4 หรือปุ่มยกเลิกเมื่ออยู่หน้าจอหลัก จะเป็นการแสดง Animation เล็กๆ ระหว่าง Digimon คู่หูทั้งสองตัวแบบสุ่ม จะเป็นทั้งดีใจด้วยกัน โกรธกัน หรือหลับด้วยกันซึ่งไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากให้เรากดดูเพลินๆ และ Digivice รุ่น 2020 นี้ไม่มีปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง ดังนั้นจึงใช้ระบบปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อไม่ได้เล่นช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยสังเกตจากการปล่อยเครื่องสักพัก Digimon คู่หูเราจะนอนหลับ และหลังจากนั้นไม่นาน เครื่องจะปิดหน้าจออัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอร์รี่ และนี่คือทีเด็ดของ Digivice รุ่นนี้เลยก็คือ เมื่อเราทำการวิวัฒนาการตอนต่อสู้ จะมีไฟ LED สว่างขึ้นมาโดยการพัฒนาแต่ละร่างจะมีการไล่ไฟเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และ Digimon คู่หูแต่ละตัวเมื่อพัฒนาร่างก็จะมีสีไฟที่ไม่เหมือนกันอีก โดยสีไฟจะแสดงเป็นสีต่างๆ ตามสีประจำตัวของ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ที่สำคัญเลยก็คือ หากพัฒนาร่างสุดยอดด้วยการ Jogress ระหว่าง WarGreymon และ MetalGarurumon จะเป็นไฟ LED วิ่งวนสองสีที่ดูสวยงามสุดๆ แต่แอบใช้เวลาแปลงร่างนานไปหน่อยนะ ยังไงก็ตามแลกกับความสวยงามของไฟถือว่ายินดีเลย หากไม่รู้สึกแสบตาไปเสียก่อนเพราะไฟมันสว่างมาก และอีก Feature หนึ่งที่เรียกว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเลยก็คือ ระบบ Emergency Enemy หรือระบบสุ่มเจอศัตรู โดยมีโอกาสสุ่มเจอเมื่อเราเอาชนะ Boss ประจำ Stage นั้นๆ ซึ่งข้อดีของมันก็คือ ตื่นเต้นมากๆ และจะได้เจอศัตรูที่เราเห็นแล้วจะต้องร้องพระเจ้าซึ่งหากชนะศัตรูพวกนี้ เราจะได้พวกเขามาเป็นพวก แต่หากแพ้ก็ต้องรอสุ่มกันต่อไป ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับคนที่อยู่ๆ มาเจออะไรแบบนี้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาจจะทำให้หงุดหงิดได้เช่นกัน ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการ Unboxing และ Review ของเครื่องเล่น Digivice รุ่น 2020 ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ดีต่อใจมากๆ สำหรับคนรักและสะสม Digimon หรือถึงแฟนบอยของ Digimon ที่ควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง ทำไฟ LED ที่มีลูกเล่นไล่ไฟตอนพัฒนาร่าง รวมถึงระบบ Quest ที่เข้ามาแทนที่การเขย่านับก้าวเดิน ก็เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นด้วยเหมือนกัน อีกทั้งด้วยสัดส่วนขนาดแบบ 1 : 1 และมีไฟตามแบบฉบับอนิเมะ ถ้าหากในแง่สะสมถือว่าคุ้มค่าอย่างมากหรือหากเอามาเล่นจริงจังให้เคลียร์เกมก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มกับเงินที่จ่ายไปราวๆ 3,XXX บาทเช่นกัน เพราะระดับความยากถือว่าทำเอาคนเขียนบทความหัวอุ่นใช้ได้เหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ การที่เอาระบบเขย่าออก มันทำให้เสน่ห์ของมันหายไปเยอะพอสมควร และไฟที่สว่างมากๆ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะแสบตาหรือไวต่อแสง และราคาค่อนข้างสูง หากเป็นคนที่ไม่ใช่แฟนบอยอาจจะมองว่าแพงก็ได้ หากใครชอบบทความนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้เยอะๆ เลยนะ และหากมีโอกาสได้ทำบทความ Digivice 2020 อีก ก็จะทำ Guide ระบบการเล่นระบบ Quest ให้อ่านกันนะ
06 Jan 2021
รีวิว BenQ EW3280U จอคอม 4K HDR ทำงานก็ดี ดูหนังก็ได้ เล่นเกมคือฟิน
ในปัจจุบันเชื่อว่าเกมเมอร์หลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งอยู่หน้าจอคอม ด้วยความที่ Microsoft ออกแบบให้ Window สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน, งานเอกสาร, งานกราฟิก, เล่นเกม, ท่องอินเทอร์เน็ต หรือรับชมสื่อบันเทิงต่างๆ มันจึงไม่แปลกอะไรหากหลายคนจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมหลายชั่วโมงในแต่ละวัน เมื่อไลฟ์สไตล์ของเราส่วนใหญ่เป็นการใช้เวลาไปกับหน้าจอของ PC มันคงไม่แย่นักถ้าหากจะหาจอมอนิเตอร์ดีๆ สักตัวมาใช้งานเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ ของเรา ซึ่งผมเชื่อว่า BenQ EW3280U ่ที่เรากำลังจะพูดถึงในบทความนี้คือจอที่มีคุณสมบัติครบถ้วน สำหรับการทำงาน, ดูหนัง และเล่นเกมครับ! ตัวผมเองได้มีโอกาสใช้งานมอนิเตอร์รุ่นนี้ไปประมาณหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่านี้คือจอ PC ที่หลายคนกำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน ส่วนว่าจอนี้ดียังไงเดี๋ยวเรามาดูกันครับ! คุณสมบัติทางเทคนิค ก่อนจะไปเริ่มว่าประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสเป็นยังไง ก่อนอื่นเรามาดูคุณสมบัติทางเทคนิคของจอตัวนี้กันก่อนครับ โดยผมได้ทำการแปะไว้ข้างล่างนี้แล้ว Display Screen Size : 32 Panel Type : IPS Backlight Technology : LED backlight Resolution (max.) : 3840x2160 Brightness : HDR off 350(typ)/HDR on 400 (min) Viewing Angle (L/R;U/D) (CR>=10) : 178/178 Response Time: 5ms (GtG) Refresh Rate : 60Hz Aspect Ratio : 16:9 Color Gamut : 95% DCI-P3 Audio Built-in Speaker : Stereo speaker 2W*2 + Woofer 5W *1 Headphone Jack : Yes จะสังเกตได้ว่า EW3280U เป็นจอที่มีความละเอียดที่สูงถึง 4K ซึ่งน่าจะเป็นระดับความละเอียดที่หลายคนกำลังตามหาอยู่ในตอนนี้ มีการใช้ Panel แบบ IPS ที่มาพร้อมกับค่า Color Gamut ที่สูงถึง 95% ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านี้คือจอที่จะทำให้ผู้ใช้งานได้พบกับประสบการณ์ภาพที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีสีสันที่สวยสดงดงามเป็นอย่างมากครับ จอตัวนี้มีลำโพงแบบ Stereo แถมมาด้วย โดยเท่าที่ได้ลองใช้งานฟังเพลงไฟล์ความละเอียดสูงหลายๆ ตัว พบว่าลำโพงที่มากับตัวจอนี้มีคุณภาพที่ใช้ได้เลย สามารถได้รับอรรถรสจากสื่อบันเทิงต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหมดกังวลเรื่องการเอาเจ้า EW3280U ไปดูหนังแล้วจะได้รับความสนุกไม่เต็มได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เนื่องด้วยความที่จอตัวนี้มีค่า Response Time อยู่ที่ 5ms และมี Refresh Rate อยู่ที่ 60Hz เท่านั้น ทำให้จอนี้ไม่เหมาะจะเอาไปใช้เล่นเกม FPS ที่ต้องการค่าทั้ง 2 สูงๆ ครับ แต่ถ้าหากปกติเพื่อนๆ เล่นเกมแบบ Single Player เป็นหลักอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงค่าทั้ง 2 ตัวดังกล่าวมากนัก แถมใช้จอตัวนี้เล่นน่าจะได้พบกับประสบการณ์ภาพที่ดีกว่ามากๆ แทนด้วย (เนื่องจากความละเอียดสูง และมีค่าสีที่ตรงมากๆ ) ข้อดีอื่นๆ ของจอตัวนี้ EW3280U มาพร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่อที่หลากหลายโดยแบ่งได้เป็น HDMI (v2.0)x2 DisplayPort (v1.4) x1 USB Type-C (PD60W, DP Alt mode) x1 จากพอร์ตการเชื่อมต่อที่หลากหลาย และหลายแบบ จึงทำให้ปัญหาเรื่องการไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากไม่รองรับสายจึงหมดไปในจอตัวนี้ และด้วยความที่ให้ HDMI มาถึง 2 พอร์ต จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่อทั้งคอมพิวเตอร์ กับเครื่องเล่นเกมคอนโซลเข้ากับจอตัวนี้ได้พร้อมๆ กัน (PS5 มีจุดขายที่การแสดงผลภาพแบบ 4K และจอตัวนี้ก็รองรับความละเอียด 4K ด้วยเช่นกัน จึงไม่มีปัญหาแน่นอนครับ) นอกจากพอร์ตการเชื่อมต่อที่มากมายแล้ว จอตัวนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี HDRi ที่จะทำให้เราได้สัมผัสกับภาพที่คมชัดรวมถึงสีที่สวยสดได้ไม่ยาก พอเอาไปรวมกับเทคโนโลยีเสียง treVolo ที่แถมมาด้วยเช่นกันแล้ว ทำให้ประสบการณ์ชมภาพยนตร์รวมถึงเล่นเกมเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมครับ ในเรื่องของการควบคุม ทาง BenQ เองก็ได้มีการเอาใจใส่เป็นอย่างดีแถมรีโมทควบคุมที่ทำให้สามารถสั่งการหน้าจอได้แบบง่ายๆ มาด้วย (ให้นึกภาพเวลาใช้รีโมททีวี แต่เป็นการใช้กับจอคอมพิวเตอร์แทน) ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะเปิดใช้งานระบบต่างๆ ของจอไม่เป็นเลย เนื่องจากทุกอย่างสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ครับ ประสบการณ์ตรง หลังจากใช้งานมาแล้วเป็นอย่างไร ? ในพาร์ทนี้ผมจะขอแบ่งออกเป็นประสบการณ์ 3 อย่างด้วยกันคึอ ใช้เล่นเกม, ใช้ดูหนัง และ ใช้งานทั่วไป เนื่องจากประสบการณ์ที่ได้รับจากทั้ง 3 ค่อนข้างจะแตกต่าง และมีขอดีรวมถึงข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้จำเป็นต้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มแบบนี้ โดยสามารถเริ่มอ่านได้ข้างล่างนี้เลยครับ ใช้งานทั่วไป การที่มีพอร์ตการเชื่อมต่อมาให้หลากหลายแบบนี้ ทั้งยังสามารถสั่งการทุกอย่างได้ผ่านรีโมท ก็คงต้องยอมรับว่า EW3280U ถือได้ว่าเป็นจอที่ดี ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง ด้วยขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ถึง 32 นิ้ว ก็ทำให้สามารถทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ง่ายครับ นอกจากการทำงานแล้ว การที่มีหน้าจอใหญ่ๆ แบบนี้ยังช่วยให้เราสามารถทำกิจกรรมหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ง่ายด้วย เช่นดู Youtube ไปพร้อมกับเล่น Facebook (แบ่งคนละครึ่งหน้าจอ), ดูหนังไปพร้อม กับ เล่นเกม, หรือจะเปิดพร้อมกัน 4 - 6 โปรแกรมเลยก็สามารถทำได้ ทำให้สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีข้อเสียทำจำเป็นต้องตำหนิอะไรจอตัวนี้เลย ใช้ดูหนัง ในประเด็นนี้เอาแบบตรงๆ คือผมไม่มีข้อตำหนิอะไรเลยแม้แต่น้อยครับ ด้วยความที่จอนี้มาพร้อมกับระบบภาพแบบ HDRi และระบบเสียง treVolo ไหนจะความละเอียดของภาพที่ได้สูงสุดถึง 4K อีก บอกได้คำเดียวว่าถ้าหากเพื่อนๆ สามารถหาไฟล์แบบ 4K มารับชมได้ ประสบการณ์ที่ได้มันจะยอดเยี่ยมมากจริงๆ ครับ ถ้าจะมีเรื่องข้อเสียเลย คงจะเป็นเรื่องที่ไฟล์หนังแบบ 4K ค่อนข้างหายากในแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องโหลดเอา ซึ่งไฟล์หนังที่มีความละเอียดถึง 4K ก็มักจะมีขนาดใหญ่มาก และอาจทำให้เพื่อนๆ พบกับปัญหา พื้นที่เก็บข้อมูลของเครื่องเต็มครับ ถ้ามีปัญหาคือเรื่องนี้เรื่องเดียวเลย ใช้เล่นเกม อย่างแรกเลยคือจอนี้มีทั้งค่า Response Time และ Refresh Rate ที่เท่ากับมอนิเตอร์ทั่วไป ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะที่จะเอาไปเล่นเกมสไตล์ Competitive อย่าง MOBA หรือ FPS ครับ แต่ถ้าหากเพื่อนๆ ปกติเล่นแต่เกมแนว Single Player หรือ RPG จอตัวนี้จะช่วยทำให้เราได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมีระบบภาพ HDRi ที่ช่วยให้เกมของเรามีสีสันที่สวยขึ้นครับ อีกหนึ่งขอดีคือการที่จอมาพร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่อที่มากมาย เราสามารถต่อเครื่อง PC และ PS5 กับคอมเครื่องนี้พร้อมกันได้ และสามารถสลับไปมาได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มจากรีโมทเท่านั้น ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องวางจอหลายตัวบนโต๊ะคอมของเราครับ หลังจากอ่านรีวิวกันไปแล้ว เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะกำลังสนใจจอตัวนี้ มีวางจำหน่ายอยู่ในราคา 23,900 บาท พร้อมกับการรับประกัน 3 ปี สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ผ่าน >>>ลิงก์นี้<<< ซึ่งเรียกได้ว่าไม่แพงจนเกินไปเลยเมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ สำหรับใครที่อยากได้จอสำหรับเล่นเกม ที่ไม่ต้องการค่า Response Time และ Refresh Rate ที่สูงผมเชื่อว่าเจ้า BenQ EW3280U จะตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างแน่นอนครับ
25 Dec 2020
Final Review: Cyberpunk 2077
หลังจากที่ปล่อยให้ผู้เล่นเฝ้ารอกันมาเกือบสิบปี นับตั้งแต่ที่เกมประกาศเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2012 บวกกับความคาดหวังในฝีมือและคำสัญญามากมายของผู้พัฒนา CD PROJEKT RED เกี่ยวกับความลึกล้ำของเกมที่พวกเขาต้องการจะสร้าง คงเป็นเรื่องธรรมดาที่เกม Cyberpunk 2077 จะต้องแบกรับความคาดหวังมโหฬารจากเกมเมอร์ทั่วโลกในฐานะเกม RPG โลกเปิดที่จะยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่นในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หลังจากที่เล่นเกมมาเป็นเวลาเกือบ 40 ชั่วโมงจนจบเนื้อเรื่อง ถ้าถามว่าเกม Cyberpunk 2077 นับเป็นเกมที่จะพลิกความคาดหวังของผู้เล่นอย่างที่หลายคนอยากเห็นหรือไม่ คำตอบที่มอบได้คงเป็น “ไม่” ด้วยระบบเกมเพลย์ที่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ใหม่หรือน่าตื่นตาไปกว่าที่เคยเห็นมาในเกมอื่นนัก ถ้ามองโครงสร้างของเกมในภาพใหญ่ Cyberpunk 2077 ก็คงไม่ได้ต่างจากเกม RPG โลกเปิดอย่าง Fallout หรือ Mass Effect มากขนาดนั้น ด้วยความเป็นเกม RPG ที่ให้ความสำคัญกับระบบบทสนทนา แต่ในขณะเดียวกับ เกม Cyberpunk 2077 ก็เปรียบเสมือนจุดสูงสุดของการออกแบบเกม Open World ทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยโลกที่ละเอียดและน่าค้นหาที่พร้อมจะเซอร์ไพรส์เราด้วยเรื่องราวอันหลากหลายทั้งอารมณ์และรสชาติเกี่ยวกับชีวิตในมหานคร Night City เมืองแห่งอนาคตและอิสระที่สวยงามและโสมมในเวลาเดียวกัน ทั้งยังมีระบบเกมเพลย์ที่สนับสนุนให้ผู้เล่นแต่ละคนได้มีโอกาสแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง และให้รางวัลกับคนที่ยินดีจะเรียนรู้ระบบ RPG อันซับซ้อนนี้จริงๆ      แม้จะไม่ใช่เกมที่จะกลายเป็นตำนานชั่วข้ามคืน แต่ Cyberpunk 2077 ก็เป็นผลลัพธ์ของการขัดเกลาระบบเกมเพลย์หลายๆ อย่างที่เห็นในวงการเกมในยุคที่ผ่านมาจนเปล่งประกาย และถือเป็นหนึ่งในเกม RPG ที่ดีและลึกเป็นอันดับต้นๆ ในรอบหลายปีมานี้อย่างแน่นอน *อ่านรีวิวช่วงต้นเกม (คลิ๊ก) และรีวิวอัปเดท 1 (คลิ๊ก) เพื่ออ่านความเห็นและรับชมภาพบทบรรยายไทย ตำนานที่มีชีวิต สำหรับคนที่อาจไม่ทราบ เกม Cyberpunk 2077 จะติดตามตัวละครเอกที่ชื่อ ‘V’ ทหารรับจ้างหน้าใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นตำนานในมหานคร Night City บ้านเกิดของเขา แต่หลังจากที่ภารกิจหนึ่งของเขาเกิดผิดพลาดขึ้นมาอย่างร้ายแรง ทำให้ V ถูกปลูกถ่ายจิดสำนึกของนักร๊อคและ “ผู้ก่อการร้าย” ในตำนานอย่าง Johnny Silverhand เอาไว้ในหัว และทำให้จิตสำนึกแปลกปลอมนั้นค่อยๆ กัดกินสมองของเขาไปเรื่อยๆ โดย V จะต้องแข่งกับเวลาเพื่อหาวิธีรักษาชีวิตตัวเอง พร้อมกับไขปริศนาเบื้องหลังภารกิจอันผิดพลาดนั้น อย่างที่น่าจะพอทราบกันดีจากรายงานของสื่อต่างชาติที่มีเวลารีวิวเกมมากกว่าผู้เขียน เนื้อเรื่องของเกม Cyberpunk 2077 จะค่อนข้างสั้น และสามารถเล่นให้จบได้ในระยะเวลาไม่เกิน 20-25 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งจากที่เล่นมาก็ดูจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะพอผู้เขียนตัดสินใจนั่งเล่นเนื้อเรื่องอย่างเดียวเพื่อให้จบเกมเร็วที่สุด ก็พบว่าที่รู้สึกเหมือนอยู่กลางๆ เรื่องมันใกล้จะจบแล้ว และเล่นต่อไปอีกไม่เยอะก็พบฉากจบแล้ว โดยถ้าให้วิจารณ์ในแง่ของภารกิจเนื้อเรื่องเพียวๆ ก็คงต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม Cyberpunk 2077 เขียนบทมาได้อย่างเข้มข้นและน่าติดตาม พร้อมกับมีตัวละครที่ล้วนมีแง่มุมที่น่าสนใจของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นหรือแตกต่างจากเกม RPG ที่มีตอนจบหลายแบบที่เคยเล่นมา แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ คือการที่เนื้อเรื่องของเกมสามารถเปลี่ยนแปลงและขยายขอบเขตของตัวเองไปได้ตามเนื้อหาเสริมที่เราเล่น ถ้าให้อธิบายโดยไม่สปอย ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นภารกิจเสริมอันหนึ่งจาก NPC ในเนื้อเรื่อง โดยภายในภารกิจผู้เขียนในฐานะ V ก็ได้มีโอกาสคุยเปิดใจกับตัวละครตัวนั้นอย่างลึกซึ้งถึงความเชื่อและความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ จนเหมือนจะช่วยคลายปมในใจบางอย่างให้กับ NPC ตัวนั้นได้ เป็นบทสนทนาที่น่าสนใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะสำคัญอะไรต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้น แต่เมื่อไปถึงช่วงใกล้ๆ จบเนื้อเรื่อง ผู้เขียนก็ได้พบกับทางเลือกหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าต่อยอดมาจากทางเลือกที่ว่านี้ โดยตัวละครดังกล่าวเป็นคนพูดออกมาเองว่าถ้าไม่ได้มีบทสนทนานั้น ก็คงไม่ได้นำมาสู่เรื่องราวเช่นนี้ หมายความว่าถ้าไม่ได้เล่นภารกิจเสริมที่ว่านั้น ตอนจบของผู้เขียนก็อาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่ายังมีอีกกี่ภารกิจเสริมที่จะส่งผลต่อตอนจบได้แบบนี้อีก แต่ก็หมายความว่ายิ่งเราทำภารกิจเสริมมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะภารกิจเสริมที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสได้พบกับตอนจบหลากหลายขึ้นเท่านั้น มาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยว่าแล้วมันต่างกับที่พบในเกมอย่าง Fallout 4 อย่างไร? ก็ต้องบอกว่าแม้ในภาพใหญ่อาจไม่ต่างมาก แต่วิธีที่ Cyberpunk 2077 ผูกโยงเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกันต่างหากที่ทำให้เกมรู้สึกน่าทึ่ง เหตุการณ์ที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องอย่างเป็นนัยยะสำคัญไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆ เท่านั้น แต่บางครั้งแค่บทสนทนาธรรมดาๆ เกี่ยวกับชีวิตก็อาจย้อนกลับมามีความสำคัญในแบบที่ไม่ได้จินตนาการเอาไว้ในตอนแรก ทำให้ Cyberpunk 2077 รู้สึกมีความเป็น “มนุษย์” หรืออาจะเรียกว่าความ “เป็นธรรมชาติ” (ถ้าเป็นภาษาอังกฤษคงใช้คำว่า ‘organic’) ในแบบที่เกมปลายเปิดลักษณะเดียวกันเทียบไม่ติดเลย เมื่อมนุษย์คืออาวุธที่น่ากลัวที่สุด แม้ว่าการต่อสู้ของ Cyberpunk 2077 จะค่อนข้างจำกัดในชั่วโมงแรกๆ ของเกม (เอาจริงๆ ก็เป็นสิบชั่วโมงอยู่เหมือนกัน) ที่ผู้เล่นยังเข้าไม่ถึงอาวุธและ Cyberware ที่น่าสนใจ และรู้สึกไม่ค่อยต่างจากเกมแอคชั่น FPS ทั่วไปเท่าไหร่ แต่เกมก็เริ่มเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่นเช่นกัน ยิ่งผู้เล่นสามารถปลดล๊อค Perk และ Cyberware ได้เยอะเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเปิดทางเลือกให้กับผู้เล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความน่าสนใจอีกอย่างของเกมอยู่ที่ระบบการพัฒนาตัวละคร ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครได้ตามใจอยากแค่จากการเล่นเกมตามที่อยากเล่น เพราะนอกจากระบบ Perk และ Attribute ที่จะพัฒนาขึ้นตามการอัปเลเวลแล้ว ยังมีระบบความชำนาญที่จะมอบโบนัสต่างๆ ให้ผู้เล่นตามการกระทำของเราอีกด้วย อย่างผู้เขียนค่อนข้างจะเน้นการอัปเกรด Attribute Reflex (การตอบสนอง) ที่ทำให้ผู้เขียนได้รับโบนัสจากการใช้อาวุธดาบ แต่เมื่อเล่นเกมไปเรื่อยๆ ก็พบว่าต้องใช้การแฮ๊คเยอะ ทำให้ผู้เขียนได้รับความชำนาญในด้านนั้นเพิ่มขึ้นตลอดที่เล่น และทำให้ได้รับโบนัสสำหรับทักษะการแฮ๊คไปด้วย แน่นอนว่าสุดท้ายทุกอย่างก็ยังขึ้นกับค่า Attribute ที่จะกำหนดว่าเราจะอัปเกรด Perk อะไรได้บ้าง จากการทดลองเล่นในระดับความยากปานกลาง พบว่าระดับความท้าทายของเกมโดยรวมจะค่อนไปทางง่ายซะมากกว่าโดยเฉพาะเมื่อเราอัปเกรดตัวละครไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของผู้เขียน ได้เลือกที่จะเน้นไปที่ความสามารถด้านการใช้ดาบควบคู่กับ Perk สายร่างกายที่ทำให้ถึกทนและฟื้นฟูพลังชีวิตเร็วขึ้น ซึ่งพออัปเกรดทั้งของสวมใส่และ Perk ถึงจุดหนึ่งก็พบว่าแทบจะสามารถวิ่งฝ่ากระสุนเข้าไปฟันหัวศัตรูทีละตัวโดยแทบไม่ต้องกลัวตายเลย แม้จะยอมรับว่าสะใจยิ่งนัก แต่ก็ทำให้เกมช่วงท้ายๆ รู้สึกง่ายไปเลยเช่นกัน จุดอ่อนอย่างหนึ่งของเกมมาจากการที่อาวุธและ Cyberware ที่ส่งผลต่อเกมเพลย์มากๆ มักจะถูกกันออกไปไว้ช่วงท้ายหมดเลย ไม่ว่าจะเพราะต้องการระดับ Street Cred สูง หรือไม่ก็ต้องใช้ Attribute สูงระดับหนึ่ง ส่งผลให้เกมเพลย์ช่วงต้นๆ รู้สึกธรรมดาๆ ไปซะหน่อย และกว่าจะเริ่มรู้สึกว่ามันเปิดกว้างให้เรามากขึ้นก็ปาไป 20 ชั่วโมงแล้วสำหรับผู้เขียน ซึ่งถ้าใครไม่ทำภารกิจเสริมเลย หรือทำน้อย เผลอๆ จะเล่นเนื้อเรื่องจบก่อนจะได้ลองใช้ Cyberware เท่ๆ เลยด้วยซ้ำ มหานครแห่งแสง สี และ RTX อีกหนึ่งแรงขับสำคัญเบื้องหลังความน่าทึ่งของเกมคงหนีไม่พ้นกราฟิกและการนำเสนอ ที่ทำให้เมือง Night City รู้สึกเป็น “โลกที่มีชีวิต” อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในเกมไหนๆ ซึ่งในจุดนี้ต้องกล่าวชมทีมออกแบบของผู้พัฒนา CD PROJEKT RED มากๆ ที่สามารถทำให้โลกของเกม Open World นี้รู้สึกละเอียดไม่ต่างจากเกมแนวเส้นตรงหลายเกมที่ผ่านมา จนไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนทุกกระเบียดนิ้วของเมือง Night City ถูกออกแบบและจัดวางมาอย่างตั้งใจ ทำให้เมืองรู้สึกมีเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ในแบบที่คล้ายกับสถานที่จริงอย่างไรอย่างนั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือการที่แต่ละเขตจะมีบุคลิกที่ชัดเจนมากๆ ของตัวเอง ที่สะท้อนออกมาทั้งทางการออกแบบถนนหนทางและอาคาร ไปจนถึงการแต่งตัวของประชากรและอาชญากรในเขตนั้นๆ เปรียบเสมือนกับว่าแต่ละเขตเป็น “เมือง” ย่อมๆ ในเกม RPG แฟนตาซีที่มักจะมีธีมและเนื้อเรื่องของตัวเอง โดยแต่ละเขตในเมือง Night City ที่เราเยี่ยมเยียมจะมี NPC ที่เรียกว่า Fixer คอยมอบงานให้เรา ซึ่งงานเหล่านี้ก็มักจะแสดงออกถึงวิถีชีวิตของแต่ละเขตอีกด้วย ทำให้รู้สึกราวกับว่าเกมมีเรื่องราวใหม่ๆ มานำเสนอให้เราตลอดเวลา แม้กระทั่งเมื่อจบเนื้อเรื่องไปแล้วกลับมาเล่นก็ตาม  สำหรับการรีวิว ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมบนเครื่อง PC ที่มีการ์ดจอ RTX 2060 และ 16GB RAM โดยเล่นเกมส่วนใหญ่ที่การตั้งค่ากราฟิก Preset Ray Tracing - Medium ซึ่งพบว่าเกมสามารถแสดงผลได้ที่ประมาณ 40-45 FPS (ตกไปถึง 35 เวลาบู๊ๆ) และสามารถดันได้ถึง RTX Ultra แลกกับเฟรมเรต 30 FPS ซึ่งถือว่าดีกว่าที่คาดเอาไว้ประมาณหนึ่ง คนที่กลัวว่าคอมพิวเตอร์ของตัวเองจะเล่นเกมไม่ไหวไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วง ตราบใดที่มีคอม Spec ขั้นต่ำคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหากับการเล่นเกม (ตั้งค่าได้เท่าไหร่อีกเรื่องหนึ่ง) อีกอย่างที่ต้องไม่ลืมคือเกมเวอร์ชั่นทีเล่นเพื่อรีวิวนี้ยังไม่ได้อัปเดทแพทช์ Day One ที่ว่ากันว่าจะปรับปรุงการทำงานของเกม แถมยังไม่ได้อัปเดท Driver ของการ์ดจอ และมีซอฟต์แวร์ Denuvo Anti-Tampering มาฉุดเฟรมเรตของเกมลงอีก โดยเชื่อได้ว่าเกมเวอร์ชั่นที่ผู้เล่นทุกคนได้รับการน่าจะมีปัญหาน้อยกว่าเวอร์ชั่นที่ผู้เขียนเจอ  สรุป แม้จะไม่ใช่เกมที่เปรียบเสมือนตัวแทนแห่ง Next-Gen ที่หลายคนหวังจะเห็น แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตำหนิเลยสำหรับ Cyberpunk 2077 เกมที่เปรียบเสมือนร่างสุดยอดของแนวคิดการออกแบบเกม Open World โดยรวมตลอดทศวรรตที่ผ่านมา ที่ทั้งสนุกและน่าหลงใหลได้ไม่รู้จบ ราวกับการนั่งดูซีรี่ส์ไซไฟดราม่าเข้มข้นหลายซีซั่นในเกมเดียว ที่สำคัญคือเกมเป็นเกมที่ยิ่งให้เวลาสำรวจโลกของเกมได้เท่าไหร่ ก็จะยิ่งเปิดกว้างและหลากหลายขึ้นเท่านั้น หากคุณเคยเล่นเกม Open World อะไรก็แล้วแต่ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาแล้วชอบ เชื่อได้เลยว่า Cyberpunk 2077 จะมีอะไรให้คุณแน่นอน
09 Dec 2020
Review-In-Progress: Cyberpunk 2077 อัปเดท 1 (8/12/20) [NO SPOILER]
เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถเพิ่มส่วนอัปเดทลงไปในบทความเดิมได้ ใครที่สนใจอยากอ่านความเห็นจากช่วงต้นเกม สามารถอ่านได้ ที่นี่ Update 1: 8/12/20 ยุคนี้ใครเค้าเล็งปืนกัน! จากที่คราวที่แล้วผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจกับการต่อสู้ จากการที่เกมช่วงที่เล่นยังมักจะมีแต่ปืนและอาวุธแบบมนุษย์ธรรมดาๆ แม้ว่าศัตรูจะยังไม่ได้เปลี่ยนไปนักในเวลาเกือบสิบชั่วโมงที่ผู้เขียนเล่นเพิ่มเติม แต่ปืนที่ได้รับมาเริ่มจะพิศดารมากขึ้นแล้ว เช่นปืน Smart Gun ที่เราเห็นในตัวอย่างเกมที่ผ่านมาที่จะปล่อยกระสุนนำวิถีไปโจมตีศัตรู หรือปืนสไนเปอร์ Nekomata ที่สามารถยิงทะลุกำแพงจากระยะไกลได้ และอาจจะด้วยการพัฒนาความสามารถสายแฮ๊คกิ้งมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าการต่อสู้และลอบเร้นในเกมมีความหลากหลายกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรกอีกด้วย ผลเสียอย่างหนึ่งของการที่ตัวละครของผู้เขียนพัฒนาขึ้นแต่ศัตรูส่วนใหญ่ไม่ได้พัฒนาตามเท่าไหร่ ทำให้การต่อสู้ในช่วงนี้เริ่มรู้สึกง่ายขึ้นไปเยอะ เรียกว่าผู้เขียนแทบจะวิ่งฝ่ากระสุนเข้าไปเอาดาบเสียบศัตรูได้เรียงตัวแล้ว แต่ก็เริ่มจะได้เห็นศัตรูแปลกๆ บ้างในฐานะมินิบอส เช่นศัตรูตัวหนึ่งที่ใส่ Cyberware เพิ่มความเร็วจนวิ่งหลบกระสุนได้ หรือศัตรูที่จะพยายามแฮ๊คเราซะเองพร้อมกับวิ่งเข้ามาโจมตีระยะประชิด ผู้เขียนมักต้องเปลี่ยนวิธีเล่นกลางคันเพื่อรับมือกับศัตรูเหล่านี้เสมอ ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้ท้าทายขึ้นมาบ้าง แม่ในภาพรวมจะยังถือว่า Cyberpunk 2077 (อย่างน้อยในระดับความยากปานกลางที่ผู้เขียนเล่น) น่าจะเป็นเกมที่ค่อนไปทางง่ายสำหรับผู้เล่นหลายๆ คน  โดยรวมก็ต้องบอกว่าการต่อสู้เริ่มมีความสร้างสรรค์และปลายเปิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้เกมง่ายขึ้นไปด้วย นี่ถ้าซื้อ Cyberware โหดๆ มาใส่ได้เมื่อไหร่น่าจะล้างบางศัตรูได้สบายๆ ผลบุญผลกรรมมันหนีกันไม่พ้น ในส่วนของทางเลือก ผู้เขียนเริ่มจะได้เห็นผลของทางเลือกและการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้บ้างแล้ว และได้รับเควสที่ดูเหมือนจะผูกกับเนื้อเรื่องของ Lifepath โดยเฉพาะอีกด้วย หลังจากที่เริ่มเล่นเกมต่อจากที่เล่นค้างไว้ได้ไม่กี่ชั่วโมง ผู้เขียนได้รับการติดต่อจาก NPC คนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะรู้จักกับ V อยู่แล้ว เมื่อไปเจอตัวเธอเข้าจริงๆ จึงจำได้ว่าเธอคือ NPC หญิงสาวที่ผู้เขียนช่วยชีวิตเอาไว้ในอีกภารกิจหนึ่งที่ทำตั้งแต่ตอนเริ่มเกมเลย! แถมตอนสนทนากัน เธอยังเอ่ยถึงทางเลือกของผู้เขียนในภารกิจนั้นๆ ด้วย โดยในจุดนี้ไม่ค่อยมั่นใจว่าถ้าตอนที่เล่นภารกิจเลือกทางเลือกอีกแบบจะได้เจอเธออยู่ไหม แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นรายละเอียดสนุกๆ ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าควรจะใส่ใจกับทางเลือกในแต่ละสถานการณ์ยิ่งกว่านี้อีก ในส่วนของ Lifepath ผู้เขียนได้รับการติดต่อมาจาก NPC ตัวหนึ่งที่เคยเจอกันครั้งแรกในช่วงเนื้อเรื่องของ Lifepath Corpo ตั้งแต่ต้นเกมเลย โดยเขาบอกตัวละคร V ว่าเขากำลังโดนเจ้านายหมายหัวอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูมาตั้งแต่ตอนที่คุยกับเขาครั้งแรกในเนื้อเรื่องตอนต้นเลย แถมเช่นเดียวกับตัวอย่างด้านบน เขายังเอ่ยถึงรายละเอียดที่คุยกันก่อนหน้านี้อีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนั้น แม้ว่าตัวอย่างที่ยกมาจะเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ (จริงๆ มีเหตุการณ์ใหญ่กว่านี้แต่ไม่อยากสปอย) แต่แค่รายละเอียดเหล่านี้ก็ช่วยเสริมความรู้สึกว่าเรื่องราวของ V มันเป็นของผู้เล่นแต่ละคนโดยเฉพาะจริงๆ และการกระทำทุกอย่างของเรา แม้จะดูเหมือนเล็กน้อยหรือไม่มีความหมาย แต่เราไม่รู้เลยว่าจะย้อนกลับมาหาเราในรูปแบบใดได้บ้าง ภารกิจเยอะ ข้อมูลน้อย อีกหนึ่งปัญหาที่ผู้เขียนเริ่มสังเกติชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือการที่เกมค่อนข้างมีปัญหาในการสื่อสารข้อมูลให้ผู้เล่น แม้ว่าเกมจะมีระบบมากมายที่ลึกซึ้งและสัมพันธ์กันในระดับที่น่าทึ่ง แต่เกมกลับไม่ค่อยสอนหรือแนะนำอะไรกับผู้เล่นเท่าไหร่เลย และกระทั่งเรื่องที่ควรจะง่ายอย่างการหาคำตอบว่า “เราสามารถรีเซ็ตค่า Stat และ Perk ทำอย่างไร” กลับเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าผู้เล่นต้องหาเอาเอง (ผู้เขียนยังหาไม่เจอ) อีกจุดที่น่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้ในแง่ของข้อมูลคือหน้าต่างภารกิจของเกม ด้วยความที่เกมตั้งอยู่ในโลกอนาคตที่ทุกคนมีมือถือ (หรือสื่อสารกันผ่าน Cyberware) ผู้เล่นจะไม่ต้องเดินไปคุยกับ NPC หรือกระดานข่าวเพื่อรับภารกิจอีกต่อไป แต่ NPC เหล่านั้นจะ้วิธีส่งข้อความหรือโทรมาหา V โดยตรง ทำให้เรามักจะมีภารกิจเสริมน้อยใหญ่อยู่เต็มหน้าตลอดเวลา ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเรามักไม่มีทางรู้ได้เลยว่าของรางวัลจากการทำภารกิจแต่ละอันจะมีอะไรบ้าง หรือว่าภารกิจนี้จะพัฒนาเนื้อเรื่องของใครบ้าง ซึ่งก็ทำให้ตัดสินใจค่อนข้างยากว่าจะทำภารกิจไหนก่อนดี ในบางช่วงเราอาจจะกำลังอยากเก็บเงิน แต่ก็ไม่รู้ว่าภารกิจไหนบ้างที่ทำแล้วจะได้เงิน บางทีเราอยากอัปเลเวลตัวละคร แต่ไม่รู้ว่าภารกิจไหนให้ค่าประสบการณ์ หรืออันไหนให้ค่า Street Cred แทน ทำให้การเล่นภารกิจเพื่อเป้าหมายเฉพาะบางอย่างทำได้ยาก และส่วนใหญ่ผู้เขียนก็มักจะแค่เลือกภารกิจที่ใกล้ที่สุดแล้วตรงไปที่นั่น แต่ก็ทำให้รู้สึกขาดตอนได้เหมือนกันเวลาที่เพิ่งเล่นภารกิจบู๊ๆ มาแล้วมาเจอภารกิจเน้นคุยอย่างเดียว ชีวิตมัวๆ ที่ไม่มีวีรบุรุษ อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากพูดถึงคือตัวละครที่เราสามารถพบได้ในเกม โดยเฉพาะเหล่าตัวละครที่มีบทบาทในเนื้อเรื่อง ที่ล้วนมีมิติที่น่าค้นหาของตัวเอง แม้ในช่วงต้นเกมจะรู้สึกเหมือนยังไม่ค่อยมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กับ NPC เหล่านี้นักนอกเหนือไปจากในภารกิจเนื้อเรื่อง แต่พอเริ่มได้ใช้เวลาและเรียนรู้ภูมิหลังของพวกเขามากขึ้น ก็พบว่าตัวละครหลายตัวมักมีอะไรน่าสนใจจะพูดหรือเล่าให้ฟังเสมอ และบ่อยครั้งมักเป็นเรื่องที่ช่วยเสริมเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหรือช่วยพัฒนาตัวละครให้ลึกขึ้น แม้ในเกม RPG ส่วนใหญ่ผู้เขียนอาจจะชอบข้ามตัวเลือกบทสนทนาที่ไม่ได้ดำเนินเนื้อเรื่องต่อ (ในเกมนี้จะเป็นสีฟ้า ส่วนที่ดำเนินเนื้อเรื่องจะเป็นสีเหลือง) แต่ในเกมนี้ มักจะต้องเลือกฟังตัวเลือกบทสนทนาทั้งหมดก่อนจะดำเนินเรื่องต่อไปเสมอ แถม: สำหรับคนที่อยากเห็นภาพซับไทยมากกว่านี้ อังกฤษ: ไทย: เอาจริงๆ ถามว่าซับไทยรู้เรื่องแค่ไหน ก็คงบอกว่ารู้เรื่องซัก 85-90% นั่นแหละ อีก 10-15% ก็น่าจะพอตีความจากบริบทได้ แต่สิ่งที่เป็นจุดอ่อนจริงๆ คือการคงอารมณ์ความรู้สึกของบทเดิมเอาไว้ ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะไม่ติดขัด แต่เผอิญว่าผู้เขียนเป็นคนติดอ่านซับด้วย เวลาเปิดซับไทยก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะอ่านตาม พอไม่ตรงกับเสียงอังกฤษขึ้นมาก็ทำให้เสียอารมณ์เวลาเล่นได้ แต่เชื่อว่าสำหรับผู้เล่นอีกส่วนใหญ่ๆ น่าจะไม่มีปัญหากับซับไทย แต่ให้ระวังคำแปลหน้าเมนูเช่นในตัวอย่างบนก็พอ สรุปอัปเดท 1: ตอนนี้ยังไม่ได้ Cyberware มาใช้ (เงินไม่พอซื้อ) แต่เริ่มได้อาวุธใหม่ๆ มากขึ้น เริ่มสนุกขึ้นกว่าช่วงต้นๆ เกม / เนื้อเรื่องเริ่มผูกโยงกับการกระทำของผู้เล่นมากขึ้น เริ่มเห็นผลของทางเลือกก่อนหน้านี้ / เกมไม่ค่อยให้ข้อมูลเท่าไหร่ทำให้วางแผนการเล่นยาก อยากฟาร์มเงินก็ไม่รู้ภารกิจไหนให้เงิน อยากฟาร์มของก็ไม่รู้ภารกิจไหนให้ของ
08 Dec 2020
รีวิว Immortals Fenyx Rising นักรบสุดแกร่งช่วยเหลือทวยเทพปราบมหาปีศาจไททัน
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2020 เดือนที่วงการเกมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีวีดีโอเกมต้องเจอศึกหนัก เพราะเป็นปีที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การพัฒนาเกมดังหลาย ๆ เกม รวมไปถึงสายการผลิตเครื่องเกมคอนโซล หรือ อุปกรณ์ไอทีมีการชะงักอยู่หลายเดือนด้วยกันค่ะ แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมากับเกมที่มีชื่อว่า “Immortals Fenyx Rising” ผลงานจากทีมผู้พัฒนา Ubisoft Quebec หนึ่งในลูกทีมของค่าย Ubisoft ซึ่งตัวเกวลินเองก็จับตามองเกมนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้วเหมือนกันค่ะ วันนี้เลยจะมาขอรีวิวเกมนี้ให้เพื่อน ๆ    เนื้อเรื่องที่น่าติดตามแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ( ที่บางทีก็เยอะไปนิ๊ดนึง ) เนื้อเรื่องภายในเกมพูดถึงเทพ 2 ตนประกอบไปด้วย Prometheus เทพไททันผู้ที่ขโมยไฟลงมาให้มนุษย์ได้รู้จักแล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และ Zeus เทพเจ้าสายฟ้าผู้ปกครองแห่งโอลิมปัสและเป็นบิดาแห่งทวยเทพและเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย พวกเขาต้องตัดสินใจหาคนมาช่วยโลกใบนี้เหมือนจู่ ๆ เกาะทองคำ หรือ “Golden Isle” ได้ถูก “Typhon” ไททันที่ทรงอานุภาพได้ใช้พลังของตนทำลายดินแดน ปลุกปีศาจในตำนานขึ้นมาสังหารผู้คนไปจำนวนมาก อีกทั้งมันยังได้บุกไปจัดการเหล่าทวยเทพปิดผนึกเอาไว้ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาเท่านั้น สิ่งเดียวที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเลือกก็คือ “ค้นหานักรบที่จะมาช่วยเหลือโลกมนุษย์ให้รอดพ้นจากปีศาจร้าย” เราจะได้รับบทเป็น “นักรบกรีนนามว่า Fenyx” ผู้ที่รอดชีวิตจากเรืออับปางกลางมหาสมุทร เขาหรือเธอได้ขึ้นมาบนเกาะทองคำแห่งนี้แล้วพบว่าผู้คนและเหล่าทหารต่างถูกสาปให้กลายเป็นหิน แถมพี่ชายก็ถูกสังหารทำให้เธอต้องหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้ แต่ในระหว่างนั้นก็ได้พบกับ “Hermes” หนึ่งในเทพที่รอดชีวิตจากการตามล่าของสมุน Typhon เขาได้พบเธอได้เจอกับอาวุธแห่งทวยเทพมากมาย ในระหว่างนั้น Prometheus กับ Zeus ก็ได้แต่ชี้ทางเพื่อให้ Fenyx ค้นพบพลังแห่งเทพแล้วนำมันไปใช้ในการปราบปีศาจแล้วสังหาร Typhon ส่งมันกลับไปในที่ที่มันจากมาเพื่อนำความสงบสุขกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง! ต้องบอกว่าการเล่าเรื่องของเกม Immortals Fenyx Rising ทำออกมาได้ดีมากเลยค่ะ เป็นการผสมผสานระหว่างฉาก CG ของการพูดคุยตัวละคร และ การเล่าเรื่องผ่านภาพวาดเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเกม เนื้อเรื่องของเกม ทำให้มันเป็นหนึ่งจุดที่แข็งแกร่งของเกมนี้เหมือนกัน แต่สิ่งที่มันเป็นจุดแข็งก็มีจุดอ่อนเล็ก ๆ ซ่อนอยู่นั้นก็คือ “ความเล่นใหญ่ของตัวละครภายในเกม” มีหลายครั้งที่เราจะเห็นบทสนทนาของตัวละครภายในเกมที่มักจะพูดติดตลกเยอะไปหน่อย จนบางครั้งมันทำให้ธีมของเกมนี้ลดลงไปจากเดิมมาก ถ้าจะบอกว่าก็เกมเขาอยากเล่าให้มันดูสนุก มันดูฮา มันก็ฟังเข้าท่าอยู่ค่ะ แต่ถ้ามากไปมันก็อาจจะเป็นจุดที่คนเล่นไม่ชอบได้เหมือนกันนะ เกมเพลย์ที่แอ็คชั่นสนุกมาก! แต่มันอาจจะทำให้คุณหัวร้อนจนต้องทุบโต๊ะ ก่อนเริ่มเกมเราสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ด้วยนะคะ ใครที่อยากเสพย์เนื้อเรื่องอย่างเดียวก็เล่นแบบโหมด Story แต่ถ้าใครอยากจะเล่นแบบท้าทายหน่อยก็แบบ Normal ก็ได้ค่ะ ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือเราสามารถจะเปิดแผนที่ด้วยการไปจุดศูนย์กลางของแต่ละโซนบนเกาะแล้วเราก็สแกนพื้นที่เพื่อค้นหาว่าแต่ละจุดในแผนที่มีอะไรให้เราไปสำรวจได้บ้าง ซึ่งถือได้ว่าทำให้เราสามารถออกค้นหาพื้นที่ต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในเกาะได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อเราได้เข้าไปพื้นที่ในแต่ละจุดแล้วก็อย่าลืมไปเปิดแผนที่ของโซนนั้น ๆ ด้วยนะคะจะได้ทำให้เล่นเกมนี้ง่ายมากยิ่งขึ้น! ปกติแล้วตัวเกวลินเองก็เป็นคนชอบเกมแนวแอ็คชั่นมาก ๆ ค่ะ ซึ่งเกม Immortals Fenyx Rising ตอบโจทย์ได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ ยอมรับอย่างหนึ่งว่าตอนเห็นเกมเพลย์ที่เปิดตัวภายในงานอีเวนท์ Ubisoft Forward แอบกลัวว่าเกมเพลย์มันจะลื่นไหลมากหรือเปล่า!? แต่พอได้สัมผัสจริง ๆ ก็พบว่าด้านเกมเพลย์มีความลึกและลื่นไหลเป็นอย่างมากค่ะ แต่กว่าจะทำขนาดนั้นผู้เล่นจะต้องปลดล็อคด้วยการอัพสกิลต่าง ๆ ก่อน ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้เหรียญทองคำ “Coin of Charon” ที่จะได้จากการแก้ปริศนาต่าง ๆ ภายในเกม บอกไว้ก่อนว่าเหรียญก็หายากใช้ได้เลยค่ะ แถมใช้แต้มเยอะซะด้วย ซึ่งเราจะได้จากการแก้ไขปริศนาต่าง ๆ ภายในเกมค่ะ นอกจากนี้เรายังทำให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งในด้านอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้ค่าความเหนื่อย [Stamina] เพิ่มเราก็จะต้องลงดันเจี๊ยนอีเวนท์ Rift ซึ่งมันก็จะมีระดับความยากตั้งแต่ 1 ดาวไปจนถึง 3 ดาว แล้วแต่ละแห่งก็จะมีลูกเล่นที่ผู้เล่นจะต้องผ่านที่ไม่ซ้ำกันเลย ( เป็นของดีของเกมนี้ค่ะ ) แล้วเมื่อเราผ่านเส้นทางนรกจนมาถึงแท่นก็จะได้รับ “Zeus Lightning” ไป จากนั้นก็สะสมไปเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วนำมาฝึกฝนเพื่อให้เรา นอกจากนี้ยังมี “Ambrosia” หินพลังที่ซ่อนตามจุดต่าง ๆ ของแผนที่ผู้เล่นจะต้องสะสมแล้วนำมาอัปเกรดเพื่อเพิ่มชีวิต [Max HP] ให้กับตัวละคร  นอกจากนี้มันยังมีไอเทมที่เป็นพวก “แร่” ที่มันจะนำมาใช้การอัปเกรดอาวุธ และ ชุดเกราะของตัวละคร ความแตกต่างของเกม Immortals Fenyx Rising ซึ่งผู้เล่นจะได้การเปิดกล่องตามสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดการมอนสเตอร์ ก็ต้องบอกก่อนว่าช่วงแรก ๆ ใช้แร่ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พออัปเกรดสูงไปเรื่อย ๆ จะใช้แต้มเยอะพอตัวเลยค่ะ ดังนั้นเราจะต้องบริหารจัดการว่าจะอัปเกรดส่วนไหนก่อนนะคะ  แต่สิ่งหนึ่งที่จะเรียกว่าเป็นทั้งจุดแข็งของเกมและจุดอ่อนในเวลาเดียวกันก็คงหนีไม่พ้น “การแก้ไขปริศนาต่าง ๆ ภายในเกม” ที่เรียกว่ามีระดับความยากง่ายแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น โซนแรกของเกาะที่ปริศนาส่วนใหญ่จะอาศัยในการใช้กำลังของ Fenyx ในการผ่าน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่โซนอื่น ๆ ของเกาะ ตัวเกมจะเริ่มบังคับให้ผู้เล่นใช้ความสามารถของตัวละครทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นการอัพสกิลบางอันแทนที่จะช่วยทำให้การแก้ไขปริศนาผ่านได้ง่ายมากขึ้น เป็นต้น อีกทั้งเราจะสังเกตให้ดีด้วยนะคะว่าปริศนาที่ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเราจะผ่านด้วยวิธีไหน เรียกว่าหลายต่อหลายครั้งมันก็ทำให้ผู้เล่นที่ไม่ถนัดการแก้ไขปริศนาอะไรพวกนี้หัวร้อน หัวอุ่นเบา ๆ ได้เหมือนกันค่ะ เกือบลืมไปเลย...ตอนเริ่มเกมเราสามารถสร้างตัวละครได้ทั้งเพศชาย หรือ เพศหญิง สามารถปรับแต่งทรงผม, หน้าตา, สีผิว หรือ เสียงของตัวละครได้ด้วย ซึ่งใครที่ชอบการดีไซน์ตัวละครในแบบของตัวเองก็ลองดูค่ะ ซึ่งเราสามารถที่จะสร้างเป็นตัวละครผู้หญิงรูปร่างเหมือนชนเผ่าออคมีเสียงเป็นผู้ชายก็ได้เหมือนกันนะคะ กราฟฟิกภายในเกมที่ดูสวยงาม ถ่ายทอดออกมาดีไรที่ติ! สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเกม Immortals Fenyx Rising คือเกมแรก ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของ Ubisoft ที่มีรายละเอียดกราฟฟิกที่ออกไปโทนการ์ตูน ซึ่งเกมนี้กราฟฟิกทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวค่ะ จากเครื่องที่เกวลินใช้ในการเล่นอยู่ CPU เป็น i7-8700K, GPU เป็น GeForce GTX 1660 Super, Ram 32GB. และ ติดตั้งเกมบน SSD M.2 ผลที่ได้ก็คือปรับกราฟฟิกภายในเกมสูงสุดสามารถรันเฟรมเรตอยู่ที่ 60 - 70fps ได้อย่างสบาย ๆ แล้วที่ทำให้เกวลินทึ่งมากที่สุดก็คือ “รายละเอียดกราฟฟิกภายในเกมที่แสดงผลได้ดีเยี่ยมมาก ๆ” ปกติแล้วถ้าเกมประเภท Open World ฉากที่อยู่ใกล้ ๆ เรามักจะไม่เห็นรายละเอียดชัดเจนมากนัก แต่สำหรับเกมนี้ทีมผู้พัฒนาสามารถเก็บรายละเอียดการแสดงผลจากระยะไกลได้ดี หรือแม้แต่ตอนเราบินอยู่กลางอากาศที่สูงมาก ๆ ก็จะเห็นเงาของเราจากด้านล่างอย่างชัดเจนเลยค่ะ เรียกว่าทีมผู้พัฒนาเกมเก็บรายละเอียดส่วนนี้ได้ไม่มีที่ติเลย อย่างไรแม้ว่ากราฟฟิกจะสวยงามแค่ไหนแต่ก็มีจุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกันนั้นก็คือ “แอนิเมชั่นตัวละคร” ที่อาจจะยังทำออกมาไม่สมูทเท่าที่ควร แต่ก็นั้นละค่ะ มันก็ทำให้เรามองข้ามปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ได้ อยากได้ชุดเกราะ อาวุธสวย ๆ ก็เปย์ด้วยเงินจริงซะเลย! สิ่งหนึ่งที่ทำเอาเกวลินแอบตกใจในช่วงแรกก็คือตัวเกม Immortals Fenyx Rising มีการวางจำหน่าอาวุธ, ชุดเกราะ และ เครื่องตกแต่งต่าง ๆ โดยใช้เงินจริงแลกเป็นค่าเงินภายในเกมเพื่อซื้อของตกแต่งต่าง ๆ มาให้เราได้สวมใส่กันค่ะ ซึ่งราคาชุดก็ตกอยู่ที่ราว ๆ 350 - 750 บาทขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นต้องการซื้อชิ้นไหนบ้าง หรือ จะซื้อครบชุดก็ได้เหมือนกันค่ะ แต่ทั้งนี้ Ubisoft ก็ไม่ได้ใจร้ายผู้เล่นจนเกินไปก็มีให้ผู้เล่นได้ทำเควสต์ภายในเกม ซึ่งเราจะได้รับเหรียญเงิน [Elektrum] แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกับพ่อหนุ่ม Hermes โดยเควสต์จะมีการแบ่งออกไปทั้งรายวัน และ รายสัปดาห์ เงื่อนไขในการผ่านก็จะมีตั้งแต่ปราบมอนสเตอร์ที่กำหนด หรือ ผ่านเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น โดยของที่ผู้เล่นสามารถแลกได้จะเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ สัปดาห์ค่ะ “อยากได้ชุดเกราะ อาวุธเท่ ๆ ก็ต้องเปย์แล้วละค่ะ” สรุป สำหรับเกม Immortals Fenyx Rising ยอมรับว่าทำออกมาได้ดีมาก ๆ การเล่าเรื่องที่ทำออกมาได้น่าติดตามไม่ดราม่ากดดันความรู้สึกของผู้เล่นมากจนเกินไป ( เนื้อเรื่องช่วงท้ายหักมุมเอาเรื่องเลยค่ะ ) เกมเพลย์ที่มีความแอ็คชั่นผสมความเป็น RPG ในตัวแต่ก็แอบมีความยาก ความท้าทายที่ซ่อนอยู่ให้ผู้เล่นได้ใช้หัวคิดในการผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริศนาต่าง ๆ ภายในเกมที่ต้องยกนิ้วให้เลยว่าทีมผู้พัฒนาทำออกมาได้ดี แทบจะไม่มีการซ้ำเลย แล้วบางอันก็มีระดับความท้าทายที่ทำให้ผู้เล่นจิตตกเพราะใช้ระยะเวลานานมากกว่าจะผ่านได้ ใครที่สนใจตอนนี้ตัวเกมวางจำหน่ายแล้วนะคะทั้งแพลตฟอร์ม PC [Ubisoft Store], PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X, Xbox Series S, Nintendo Switch และ Google Stadia
08 Dec 2020
Review-In-Progress: Cyberpunk 2077 [NO SPOILER]
ตั้งแต่ที่ประกาศเปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 เกม Cyberpunk 2077 ก็กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับการรอคอยมากที่สุดของเกมเมอร์หลายๆ คนแทบจะชั่วข้ามคืน ทั้งจากชื่อเสียงอันเลื่องลือของผู้พัฒนา CD PROJEKT RED และผลงาน The Witcher 3 ที่ได้รับความนิยมถล่มทลาย ไปจนถึงจักรวาลต้นฉบับ Cyberpunk 2020 ที่เกมใช้อ้างอิง ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่เกมเมอร์รุ่นเก๋าที่เติมโตมาในยุคของเกม RPG ตั้งโต๊ะทั้งหลาย ตั้งแต่ที่ได้โค้ดเกมเวอร์ชั่น PC มาจากผู้พัฒนา CD PROJEKT RED เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เขียนได้ลองเล่นเกมไปแล้วราว 20 ชั่วโมง และทำให้ได้เห็นภาพของสุดยอดเกมแห่งปี 2020 มากกว่าเดิมพอสมควร แต่ด้วยขนาดของเกมและเนื้อหาเสริมที่มีอยู่เยอะจนตาลาย ทำให้ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งสัมผัสเกมได้เพียงผิวเผินเท่านั้น และยังมีองค์ประกอบสำคัญหลายๆ อย่างที่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัส เช่นอาวุธหรือ Cyberware ระดับสูงทั้งหลาย รวมไปถึงผลของทางเลือกในระยะยาว ด้วยประการฉะนี้ เราจึงเลือกที่จะยังไม่ให้คะแนนเกมในรีวิวนี้ทันที แต่จะทำการอัปเดทความเห็นความรู้สึกของผู้เขียนไปเรื่อยๆ จนกว่าที่เกมจะวางจำหน่ายในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ เพื่อให้สามารถวิจารณ์แง่มุมต่างๆ ของเกมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุด หากใครมีคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับเกม ที่ไม่ได้รับการตอบในบทความนี้ สามารถคอมเมนต์เข้ามาถามเอาไว้ได้ แล้วเราจะพยายามตอบคำถามของคุณในอัปเดทบทความครั้งถัดไป หมายเหตุ: เกมเวอร์ชั่นรีวิวนี้จะยังไม่ได้รับการปรับปรุงจาก Day One Patch และจะมีโปรแกรม Denuvo Anti-Tampering เข้ามาด้วยเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเกมช่วงก่อนวางจำหน่าย ทำให้อาจจะมีข้อบกพร่องบางประการที่ผู้เขียนพบ แต่ผู้เล่นจะไม่พบ ต้องรอดูกันอีกทีว่าแพทช์ดังกล่าวจะปรับแก้อะไรบ้าง (อ่านช่วงอัปเดทด้านล่าง) *ขอขอบคุณบริษัท CD PROJEKT RED สำหรับโค้ดรีวิว และบริษัท Sicom, Nvidia สำหรับอุปกรณ์รีวิว* ชะตากรรมของนักเลงแห่งโลกอนาคตที่คุณเป็นคนลิขิต เนื้อเรื่องของเกม Cyberpunk 2077 จะเล่าเรื่องราวของตัวเอกที่ชื่อว่า V ทหารรับจ้างหน้าใหม่ไฟแรงของเมือง Night City ผู้ซึ่งถูกดึงเข้าไปพัวพันกับแผนการแย่งชิงอำนาจของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ (ที่เกมเรียกว่าเหล่า Megacorp) ที่ปกครองเมือง และต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเขาในการไขปริศนาเบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด โดยสิ่งที่ผู้พัฒนายกเป็นจุดขายสำคัญมาโดยตลอดคือเรื่องของทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเสื้อผ้า หน้าตา หรือคำพูดของตัวละคร ที่ล้วนแล้วแต่จะส่งผลต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าด้วยระยะเวลาเล่นที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้เรายังไม่อยากวิจารณ์เนื้อเรื่องในภาพใหญ่ แต่จากระยะเวลาที่ทดลองเล่น พบว่าเนื้อเรื่องของเกมมีความเข้มข้นและ "เป็นผู้ใหญ่" ในแบบที่น้อยเกมจะกล้าทำ เกมให้เวลากับการพัฒนาตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆ เยอะมากจนในบางครั้งเราอาจจะเล่นเกมเป็นชั่วโมงโดยที่คุยกับ NPC อย่างเดียวเลยก็ได้ ซึ่งในแง่นี้ก็อาจจะถูกใจคนที่ชื่นชอบการเล่น RPG อินๆ เหมือนดูซีรี่ส์ยาวๆ มากกว่าคนที่โหยหาประสบการณ์บู๊กระหน่ำดุเดือดเลือดพล่านแบบหนังฮอลลีวู้ด เมื่อเริ่มต้นเกมครั้งแรก สิ่งแรกที่ผู้เล่นจะได้พบก็คือหน้าจอการเลือก Lifepath หรือภูมิหลังของตัวละคร และเมนูการสร้างตัวละคร โดยเราสามารถกำหนดรูปร่างหน้าตาของตัวละครได้ตั้งแต่เล็บมือยันอวัยวะเพศ แถมยังสามารถผสมคอมโบเพศตัวละครได้ตามใจอีกด้วย ซึ่งแม้จะเรียกเสียงฮือฮาจากหมู่ผู้เล่นที่ติดตามเกมได้พอสมควร แต่เอาเข้าจริงๆ ระบบสร้างตัวละครของเกมก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร และยังจำกัดกว่าการสร้างตัวละครในเกม RPG อีกหลายๆ เกมด้วยซ้ำ ที่สำคัญ ทางเลือกเหล่านี้กลับไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเกมมากเท่าที่ผู้พัฒนาเคยบอกไว้ และเราแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตาของตัวละครเลยในการเล่นทั่วไป (ยกเว้นเวลาเข้าหน้าต่างของสวมใส่) จึงอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เวลากับการสร้างตัวละครมากนัก โดยทางเลือกที่เห็นว่าน่าจะส่งผลต่อผู้เล่นจริงๆ มีเพียงเสียงพูด (ที่จะสรรพนามทางเพศที่ตัวละครในเกมใช้เรียกเรา) และเล็บมือ (อวัยวะที่เราเห็นได้บ่อยที่สุด) นอกนั้นเอาเข้าจริงอยากเลือกอะไรก็ได้ไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับหน้าตา เมื่ออ้างอิงจากระยะเวลาที่ใช้เล่นเกมมา Lifepath ของตัวละครเองก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมอย่างใหญ่หลวงนัก หลักๆ แล้วก็จะมอบตัวเลือกบทสนทนาประจำสายให้ประปราย แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้เล่นอย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด ไม่ได้มีภารกิจเฉพาะสาย Lifepath หรือมีความสามารถหรือเหตุการณ์ใดๆ เพิ่มขึ้นมานอกจากช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกของเกม เสมือนเป็นเพียง "สีสัน" อีกระดับหนึ่งมากกว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเนื้อเรื่อง เช่นผู้เขียนที่เลือกเล่นเป็นตัวละคร Corpo มักจะทำให้สามารถเลือกตัวเลือกบทสนทนาที่เป็นลักษณะ "รู้ทัน" กลโกงของเหล่าตัวละคร NPC ที่เป็นสาย Corpo เช่นเดียวกับเรา หรือช่วยให้เราตีสนิท NPC สายนี้ได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าถ้าไม่มีทางเลือกเหล่านี้ก็อาจจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปอีกแบบ แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราก็ยังสามารถพบกับผลลัพธ์แบบเดียวกันได้แม้ไม่ได้เลือก Lifepath นั้นมาก็ตาม คนที่คาดหวังว่าการเล่นเกม 3 รอบ 3 Lifepath จะได้ประสบการณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงอาจต้องปรับความคาดหวังกันซักนิด ทางเลือกที่ส่งผลสำคัญจริงๆ มักจะเกิดขึ้นในบทสนทนาระหว่างภารกิจ ที่อาจจะส่งผลสำคัญต่อเกมจริงๆ เช่นบางตัวเลือกอาจจะทำให้เราเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่ได้ หรืออาจจะถึงขนาดเปลี่ยนเป้าหมายของภารกิจไปเลยก็ยังได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนจากระยะเวลาที่ได้เล่นคือทางเลือกเหล่านี้จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเกมแค่ไหน เช่นถ้าในภารกิจหนึ่งผู้เขียนเลือกเข้าข้างฝ่าย A เพื่อสู้กับฝ่าย B มันจะส่งผลเป็นวงกว้างต่อไปอย่างไร จะมีคนของฝ่าย B มาตามล้างแค้นไหม หรือเนื้อเรื่องหลักจะเปลี่ยนไปไหม ยังเป็นสิ่งที่ยังบอกไม่ได้ในตอนนี้ กล่าวโดยสรุป แม้ว่าเราจะพอฝันธงได้ระดับหนึ่งแล้วว่าทางเลือกทั้งหลายที่เราได้เลือกในช่วงต้นเกมจะไม่ได้ส่งผลต่อเกมที่เหลือขนาดนั้น แต่สิ่งที่ยังตอบลำบากคือเรื่องผลกระทบของทางเลือกบทสนทนาต่อเนื้อเรื่อง ซึ่งน่าจะต้องดูกันต่อไปอีกว่าจะส่งผลมากเท่าที่ผู้พัฒนาเคยคุยไว้แค่ไหน แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพของเนื้อเรื่องและบทเท่าที่เล่นมา ก็ต้องบอกว่าเกมให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนเข้มข้นๆ เรื่องหนึ่งอยู่ และเพิ่งจะเข้าสู่ช่วงน่าตื่นเต้นจริงๆ เท่านั้นเอง แถม: สำหรับคนที่อ่านรีวิวนี้ก่อนเกมวางจำหน่าย อยากแนะนำให้ได้ไปศึกษาเนื้อเรื่องและตัวละครจากเกมตั้งโต๊ะ Cyberpunk 2020 ให้ดีๆ เพราะเนื้อเรื่องของเกมจะอ้างอิงถึงตัวละครและเหตุการณ์เหล่านี้อย่างมีนัยยะสำคัญ จึงควรลองหาอ่านซะหน่อยเพื่อกันงง และเพื่อให้เข้าใจถึง "น้ำหนัก" หรือ "ความสำคัญ" ของเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องต่อโลกของเกม ก็บอกแล้วว่าเป็น RPG ไงเล่า! ในแง่ของความเป็น RPG เกม CP2077 จะแบ่งการพัฒนาตัวละครออกเป็นสองด้านหลักๆ คือเลเวลของตัวละคร ซึ่งจะกำหนดค่า Stat และความสามารถ Perk ที่เราสามารถเลือกอัปเกรดได้ และระดับ Street Cred ซึ่งจะปลดล๊อคไอเทมและ Cyberware ที่เราสามารถซื้อได้นั่นเอง โดยทั้งสองมักจะพัฒนาไปพร้อมๆ กันขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่น (ไม่ค่อยชัดเจนนักว่าอะไรเพิ่ม Level เป็นหลัก และอะไรเพิ่ม Street Cred เป็นหลัก) สำหรับค่า Level ทุกครั้งที่เพิ่มขึ้น เราจะได้รับแต้ม Stat และ Perk มาอย่างละหนึ่งแต้ม โดยค่า Stat จะมีทั้งหมด 5 ค่า (Body, Reflexes, Intelligence, Tech, Cool) ซึ่งจะให้ผลไม่เหมือนกัน Stat หนึ่งอาจเพิ่มพลังชีวิตและการโจมตีระยะประชิด ในขณะที่อีก Stat ลดเวลาในการเติมกระสุนปืนเป็นต้น นอกจากนี้ ในแต่ละ Stat ยังจะมีสาย Perk อีกถึง Stat ละ 2-3 สาย เปรียบเสมือนความสามารถติดตัวที่ช่วยเสริมสายการเล่นของเรา เช่นทำให้ปืนไรเฟิลส่ายน้อยลง หรือทำให้ชักปืนลูกซองออกมาได้เร็วขึ้น ยิ่งเราอัปค่า Stat ที่เกี่ยวข้องกับสาย Perk นั้นๆ ก็จะยิ่งปลดล๊อค Perk ในสายนั้นๆ ให้อัปได้เยอะขึ้น อีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่เราสามารถพัฒนาสาย Perk แยกกับการอัป Stat ได้ด้วย ตราบใดที่เราใช้ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสายนั้นบ่อยๆ เช่นเราอาจจะไม่ได้อัป Stat Intelligence ที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการแฮ๊ค แต่ตราบใดที่เราแฮ๊คสิ่งของบ่อยๆ เราก็จะได้ค่าความชำนาญในการแฮ๊คเพิ่มขึ้นจนปลดแต้ม Perk หรือโบนัสความสามารถติดตัวที่เกี่ยวข้องกับการแฮ๊คได้อีกด้วย ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการพัฒนาตัวละครตามสายที่เล่นจริงๆ มากกว่าแค่การเลือกอัป Perk เพียงอย่างเดียว ถือเป็นระบบที่น่าสนใจ ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองกำลัง "ก้าวหน้า" อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังคงขึ้นอยู่กับการเลือกอัปค่า Stat เป็นสำคัญ เพราะต่อให้มีแต้ม Perk มากมาย แต่ถ้าไม่ได้ปลดล๊อคตัว Perk ด้วยการอัปเกรด Stat ก็ใช้ไม่ได้ แถมค่า Stat ทั้งหลายยังสามารถเปิดทางเลือกบทสนทนา ตัวเลือก Cyberware ที่สวมใส่ได้ หรือการกระทำเพิ่มเติมให้เรามากขึ้นอีกด้วย (เช่นถ้าอัปค่า Body สูงๆ จะทำให้พังประตูบางบานเพื่อเปิดเส้นทางผ่านด่านใหม่ๆ ได้) เราจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนเส้นทางการอัป Stat ให้ดีๆ ไม่งั้นอาจทำให้ตัวละครเกิดช้าได้ในกรณีที่เกลี่ยอัปหลาย Stat พร้อมกัน และที่สำคัญคือผู้เขียนยังไม่พบวิธีการรีเซ็ตค่า Stat หรือ Perk เลยด้วย ซึ่งถ้ามันเลือกแล้วเลือกเลยจริงๆ ก็ยิ่งต้องวางแผนกันให้ดีขึ้นไปอีก การพัฒนาตัวละครเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก อาจจะสำคัญยิ่งกว่าฝีมือในการเล่น FPS ของแต่ละคนซะอีก เพราะทุกอย่างในเกมนี้จะอ้างอิงการคำนวนตัวเลขแบบ RPG แทบทั้งหมดโดยไม่สนใจตรรกะของเกมแนวอื่นเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นตรรกะของเกม FPS ส่วนใหญ่ที่บอกว่าปืนลูกซองต้องแรงกว่าปืนพกแน่ๆ แต่ในเกมนี้ ยิงปืนพกเข้าอกศัตรูก็ยังอาจจะแรงกว่ายัดลูกซองใส่หน้าตราบใดที่เราอัปเกรดความสามารถสายปืนพกมา การทำความเข้าใจระบบพัฒนาตัวละครและความสามารถต่างๆ ของ Perk จึงมีความสำคัญมาก ในขณะที่ค่า Level จะเป็นการพัฒนาความสามารถแบบติดตัวซะเยอะกว่า (มีความสามารถกดใช้ประปราย) Street Cred จะเป็นตัวที่ปลดล๊อคไอเทมที่ช่วยมอบวิธีการเล่นใหม่ๆ ได้จริงๆ เช่นดาบ Mantis Blade ยอดนิยม หรือขากลที่มีไอพ่นทำให้เราสามารถลอยตัวกลางอากาศได้ โดยในช่วง 20 ชั่วโมงแรกของผู้เขียนยังไม่มีโอกาสสัมผัสกับแง่มุมนี้นักเพราะยังปลดล๊อคไม่ได้ ส่วน Cyberware ช่วงต้นเกมก็ยังไม่ค่อยมีอะไร ส่วนใหญ่ก็เพิ่มความสามารถติดตัวไม่ต่างจาก Perk เท่าไหร่ ถ้าได้ปลดล๊อคหรือทดลองเล่น Cyberware เจ๋งๆ จะลองมาเล่าให้ฟังในอัปเดทต่อๆ ไป ...แต่ก็ใช่ว่าอย่างอื่นจะไม่ดี? เสน่ห์อย่างหนึ่งในการเล่นเกม Cyberpunk 2077 คือแม้ว่าเกมจะยึดมั่นในความเป็น RPG ก่อนเหนืออื่นใด แต่ก็ไม่ได้ละเลยองค์ประกอบเกมเพลย์อื่นๆ ไปเลยแต่อย่างใด และสามารถรักษามาตรฐานของเกม Open World แง่มุมต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน แม้จะไม่ได้เทียบเทียมกับเกมแนวนั้นๆ โดยตรง (กล่าวคือยังไง Call of Duty ก็ทำการยิงปืนได้ดีกว่า หรือ Dishonored ก็ทำการลอบเร้นได้ดีกว่า) แต่ทุกอย่างกลับดีพอในระดับที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ "แย่" เลยซักอย่าง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชมสำหรับเกมที่ใหญ่และลึกมากขนาดนี้ การที่ Cyberware และอาวุธเจ๋งๆ ส่วนใหญ่ดูจะถูกกีดกันจากผู้เล่นในช่วงต้นเกม ทำให้การต่อสู้ในเกมช่วงแรกๆ ค่อนข้างรู้สึกธรรมดาไปซะหน่อย เพราะปืนแทบทั้งหมดที่ได้ก็ยังเป็นเพียงปืนกระสุนโลหะทั่วๆ ไป อาวุธระยะประชิดอย่างมีดหรือดาบคาตะนะก็ยังไม่มีความสามารถหรือหน้าตาพิเศษอะไรนัก โดยผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มพบปืนชนิด Tech Weapon ที่สามารถชาร์จยิงทะลุกำแพงได้ก็ตอนเล่นเกมมาเกิน 15 ชั่วโมงแล้ว และได้ปืนพก Smart Gun กระบอกแรกมาตอนเกือบ 20 ชั่วโมงพอดี ไม่แน่ใจว่าชนิดของอาวุธที่เก็บได้จากศัตรูจะขึ้นอยู่กับเลเวลของผู้เล่น หรือดูจากว่าเล่นเนื้อเรื่องไปไกลแค่ไหนแล้วหรืออย่างไร แต่ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งพบกับอาวุธที่มีลูกเล่นแปลกตามากขึ้น ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้มีความแปลกใหม่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย ด้วยความที่อาวุธและอุปกรณ์ในช่วงที่ผู้เขียนเล่นมายังค่อนข้างธรรมดาอย่างที่ว่า ทำให้การต่อสู้พลอยรู้สึก "ธรรมดา" ไปด้วยซะอย่างนั้น แม้ว่าความรู้สึกของการยิงปืนในเกมจะดีกว่าเกม RPG แนวเดียวกันที่ผ่านมา แต่กลับรู้สึก "เฉยๆ" คือไม่ได้แย่หรือมีปัญหาอะไรนัก แต่โดยรวมก็ไม่ได้รู้สึกสนุกหรือพิเศษไปกว่าเกม FPS กึ่ง RPG นับสิบๆ เกมที่เคยเล่นมาก่อนแล้ว อีกส่วนอาจจะมาจากเหล่าศัตรูที่พบในเกมตอนนี้ด้วย ที่ส่วนมากยังคงเป็น "คนธรรมดา" อยู่ (คือยังไม่ได้ใส่ Cyberware จนเหนือมนุษย์อะไร) และ A.I. ของศัตรูก็มักมีความไม่สม่ำเสมอ เพราะส่วนใหญ่มักจะค่อนข้างโง่ในการต่อสู้ (เช่นรัวกระสุนใส่พื้น วิ่งวนไปมาอย่างไร้จุดหมาย หรือกระทั่งวิ่งสะดุดศพเพื่อนจนล้ม ซึ่งผู้เขียนเคยเห็นมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง) แต่ครั้นจะพยายามท้าทายตัวเองด้วยการลอบเร้นผ่าน ศัตรูกลับหูตาไวขึ้นมาซะงั้น ทำให้สุดท้ายเรามักจะโดนบังคับให้ต้องต่อสู้จนได้แม้จะไม่อยากทำ ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้เขียนอยากเห็นคืออาวุธระดับสูงที่สามารถมอบความสามารถที่อาวุธอื่นๆ ไม่มีได้ ยกตัวอย่างในช่วงหนึ่งของเกม ผู้เล่นจะเปลี่ยนจากควบคุม V มาควบคุมตัวละครอีกตัวหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งตัวละครนี้จะมาพร้อมกับปืนพกประจำตัวที่นอกจากจะยิงแรงเท่าปืนสไนเปอร์แล้ว ยังยิงทะลุกำแพงได้ (เพราะเป็นอาวุธ Tech Weapon) และเมื่อกดโจมตีระยะประชิด แทนที่จะใช้ด้ามปืนฟาดศัตรูเหมือนปืนพกทั่วไป ปืนกระบอกนี้จะปล่อยไฟออกมารอบตัวผู้ใช้เพื่อโจมตีศัตรู เป็นความสามารถที่ผู้เขียนยังไม่พบในปืนกระบอกใดๆ อีกเลยตลอดระยะเวลาที่เล่น และหวังว่าอาวุธระดับสูงๆ ชิ้นอื่นจะสามารถมอบลูกเล่นที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองได้เช่นกัน ในส่วนของการขับรถ ผู้เขียนต้องออกตัวก่อนว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการขับรถในเกมเป็นการส่วนตัว จึงไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือให้ความสนใจกับการขับรถในเกมเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะให้เปรียบความรู้สึกในการขับรถ อาจจะควบคุมยากกว่าในเกมอย่าง GTA V นิดหน่อย โดยเฉพาะในจังหวะเข้าโค้งที่รถหมุนแทบจะทุกครั้ง แต่ก็ยังดีกว่าที่พบได้ในเกมอย่าง Watch Dogs: Legion มากมายนัก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญเวลาต้องขับรถเป็นระยะทางไกลๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนถือเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพของการขับรถในเกมได้ประมาณหนึ่ง ถ้าจะมีระบบหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึก "ไม่ชอบ" ไปแล้วคงเป็นระบบการแฮ๊คกิ้ง ที่ในขณะนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยมีผลอะไร แถมยังมีตัวเลือกจำกัดมาก โดยระบบแฮ๊คในเกมนี้จะมีความคล้ายคลึงกับระบบเวทย์มนตร์ในเกม RPG ทั่วไป เราจะต้องสวมใส่โปรแกรมแฮ๊คที่ต้องการในหน้าของสวมใส่ซะก่อนจึงจะใช้ได้ แต่ละโปรแกรมจะใช้หน่วย RAM (เปรียบกับ MP) ไม่เท่ากัน บางโปรแกรมสามารถสร้างความเสียหายได้โดยตรง ในขณะที่บางโปรแกรมอาจก่อกวนศัตรูในรุปแบบต่างๆ เช่นทำให้ตาบอดชั่วขณะ หรือลบความทรงจำระยะสั้น (ให้ศัตรูที่ตามหาเราอยู่เลิกตาม) โดยผู้เขียนพบว่าใช้ยาก และบางครั้งก็เหมือนจะติดบ้างไม่ติดบ้าง จึงอาจยังไม่สามารถให้คำวิจารณ์ที่ชัดเจนนักเพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้อัปสายนี้มาหรือเป็นบั๊ค แต่โดยรวมรู้สึกว่ามันทำอะไรได้น้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คงต้องบอกว่าใน 20 ชั่วโมงที่ใช้ไปกับเกม เกมเพลย์ของ Cyberpunk 2077 ยังไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกประทับใจหรือน่าจดจำเป็นพิเศษ จากอาวุธที่ยังค่อนข้างธรรมดา และศัตรูที่ไม่ได้มีความพิเศษไปกว่าที่พบในเกมทั่วไป แต่ในช่วงที่เล่นอยู่นี้ก็เริ่มเห็นอาวุธแปลกๆ โผล่มาให้เก็บบ้างแล้ว หวังว่าจะยิ่งพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อเล่นเกมต่อไป นิยามใหม่ของความเป็น "Open World" เมื่อพูดถึงเกม Open World สิ่งหนึ่งที่ผู้พัฒนามักจะกล่าวถึงคือเรื่องของ "Immersion" หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยบ้านๆ ก็คือความอินนั่นแหละ โดยเกม Open World ระดับแนวหน้าแทบทุกเกมล้วนสามารถสร้างความรู้สึกอินไปกับโลกและเรื่องราวของเกมได้ผ่านการสร้างบรรยากาศและการออกแบบฉากที่สื่อถึง "ประวัติศาสตร์" หรือ "วิถีชีวิต" ของผู้ที่อาศัยในโลกนั้นๆ ซึ่งในแง่นี้อาจบอกได้ว่า Cyberpunk 2077 ได้วางมาตรฐานใหม่สำหรับการออกแบบโลก Open World ไปแล้วเรียบร้อย แม้ผู้เขียนจะยังไม่มีโอกาสได้สำรวจทุกเขตในเมือง แต่แค่ในเขตที่ได้ลองสำรวจดูก็บอกได้แล้วว่าเมือง Night City ของเกมอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อยที่ช่วยเล่าความเป็นไปของชีวิตในเมืองเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆณษาสีสันฉูดฉาดตามที่เชิญชวนให้คนตัดอวัยวะตัวเองทิ้งเพื่อเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจักรกลที่สื่อถึงความธรรมดาของการปรับแต่งร่างกาย ไปจนถึงรายการทีวีและวิทยุที่พูดถึงโศกฆนาตกรรมในเมืองพร้อมประกาศยอดผู้เสียชีวิตประจำวันอย่างอารมณ์ดีราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน ทุกสิ่งทุกอย่างในเกม Cyberpunk 2077 ให้ความรู้สึกว่าถูกออกแบบและจัดวางมาอย่างตั้งใจ เพื่อให้ Night City สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองไปสู่ผู้เล่นได้ตลอดเวลาผ่านการเล่นเกมไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับเกมในขณะนี้ สำหรับการรีวิวเกม Cyberpunk 2077 ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมบนเครื่อง PC ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ RTX 2060 / 16GB RAM และสามารถเล่นเกมที่การตั้งค่า Preset Ray Tracing - Medium (1080p) ได้ด้วยเฟรมเรตราวๆ 40-45 FPS และสามารถดันถึง Ray Tracing - Ultra ได้โดยที่เฟรมเรตเหลือราวๆ 30 FPS ซึ่งถือว่าไม่แย่เลยเมื่อเทียบกับระดับรายละเอียดที่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของ Texture หรือพื้นผิวต่างๆ ที่ดูสมจริงมาก และช่วยทำให้เกมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น แถมต้องไม่ลืมว่าเกมฉบับรีวิวนี้เป็นเกมตัวเต็มที่พ่วงซอฟต์แวร์ Denuvo Anti-Tampering มาด้วย ซึ่งทางผู้พัฒนาเองแจ้งว่าจะทำให้เฟรมเรตลดลงราว 10-15 FPS อยู่แล้ว จึงยิ่งเชื่อได้ว่าเกมน่าจะทำงานบนการ์ดจอรุ่นเก่ากว่านี้ได้ไม่มีปัญหานัก (ปรับ Medium-High) เผลอๆ อาจจะดีกว่าที่แจ้งเอาไว้ใน Spec Sheet ที่ CDPR เคยปล่อยออกมาเองด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าได้ Day One Patch ช่วยอีก คงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเล่นเกมไม่ได้ตราบใดที่เครื่องถึง Spec ขั้นต่ำเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่าเกมไร้ที่ติไปซะหมด เพราะด้วยขนาดและความละเอียดระดับนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีบั๊คติดมาบ้างไม่มากก็น้อย ข้อดีคือบั๊คในเกม CP2077 ที่พบส่วนใหญ่มักจะเป็นบั๊คตลกๆ เช่นบั๊คที่ทำให้อาวุธของศัตรูที่ตายแล้วค้างอยู่กลางอากาศเหนือศพพวกเขา (ซึ่งเอาจริงๆ เป็นบั๊คที่แอบมีประโยชน์) หรือบั๊คด้านกราฟิกเล็กน้อย เช่นครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนขับมอเตอร์ไซค์ชนถังขยะจนมอเตอร์ไซค์ทะลุลงไปในพื้นและติดอยู่อย่างนั้น หรือบางครั้งเดินๆ อยู่ก็จะเห็น NPC ยืนท่าตัว T กลางถนน ซึ่งทั้งหมดเป็นบั๊คเล็กๆ ที่ชวนให้ขำกับตัวเองมากกว่าจะทำให้เสียประสบการณ์เล่นเกม ผู้เขียนเจอบั๊คที่รุนแรงเพียงครั้งเดียวเมื่อประตูที่ควรเปิดตามเนื้อเรื่องดันไม่ยอมเปิด จนทำให้ดำเนินเรื่องต่อไม่ได้ แต่พอโหลดเกมกลับมาลองใหม่ก็ผ่านได้ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ เกมยังมักจะมีปัญหาในด้านการนำทาง ที่มักไม่สามารถรับมือกับความต่างระดับของเมือง Night City เอง และมักมีปัญหาในการคำนวนเส้นทางไปสู่พื้นที่ต่างระดับจนผู้เขียนถึงกับ "หลงทาง" มาแล้ว แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าเราจะสามารถจดจำถนนหนทางของเมืองได้โดยธรรมชาติจากจุดสังเกติในฉาก เหมือนกับการเดินผ่านถนนเส้นหนึ่งในชีวิตจริงทุกวัน ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งข้อดีของฉากในเกม แม้ระบบนำทางจะตามไม่ค่อยทันก็ตาม ซับไทยร่วงหรือรอด?! ถ้าให้พูดตามตรง แม้จะเห็นใจทีมงานแปลซับและเมนูภาษาไทยที่ต้องแปลข้อความเยอะมากขนาดในเกม Cyberpunk 2077 แต่ต้องเรียนตามตรงว่าคุณภาพของซับและเมนูยังปรับปรุงได้อีกเยอะมากๆ ผู้เขียนพบว่าซับโดยรวมแม้จะสื่อความหมายได้ถูกต้องในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถสื่ออามรมณ์ของเกมได้ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือหน้าเมนูหลายส่วนที่มีความไม่สม่ำเสมอ แปลคำเดียวกันออกมาหลายแบบ หรือกระทั่งแปลตกความหมายของคำบรรยาย Perk ไปเลยก็มี ตัวอย่างหนึ่งที่พอนึกออก (เพราะเปิดเมนูเล่นได้แปบเดียวต้องเปลี่ยนกลับเป็นภาษาอังกฤษเพราะอ่านไม่เข้าใจ) คือการที่หน้าเมนูเดี๋ยวก็แปลคำว่า Light Machine Gun เป็นคำว่าปืนกลเบาบ้าง ปืนกลมือบ้าง หรือคำว่า Recoil บางครั้งก็แปลว่าการส่าย บางครั้งก็แปลว่าการถีบ ซึ่งทั้งหมดมันทำให้สับสนเวลาพยายามทำความเข้าใจระบบ Perk และมั่นใจได้ว่าน่าจะรวมไปถึงคำบรรยายไอเทมหลายๆ ชิ้นด้วย จริงๆ ก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ซับจะไม่สามารถคงอารมณ์ของเกมเอาไว้ได้ทั้งหมด ด้วยเนื้อหาที่ไม่น่าจะถูกใจกองเซ็นเซอร์ของบ้านเรา แต่อย่างน้อยๆ ทีมงานซับและเมนูน่าจะตรวจทานให้การแปลคำมันมีความสม่ำเสมอมากกว่านี้หน่อย เพื่อไม่ให้ดูเหมือนเป็นงานเผามากขนาดนี้ หวังว่าใน Day One Patch จะมีการปรับแก้ไขบ้างไม่มากก็น้อย เพราะในสภาพปัจจุบันอยากจะแนะนำให้เปิดเฉพาะจำเป็น ส่วนใครที่พออ่าน/ฟังอังกฤษได้บ้างก็อยู่กับภาษาอังกฤษน่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า สรุป: ยังไม่ประทับใจมากเป็นพิเศษ เนื้อเรื่องเพิ่งเริ่มเข้มข้นหลังจากเล่นไปแล้ว 20 ชั่วโมง / ต้องลองดูต่อไปก่อนว่าเกมเพลย์ระดับสูงๆ จะน่าสนใจขึ้นกว่าช่วงแรกหรือไม่ / กราฟิกไม่ได้สวยที่สุด แต่มีรายละเอียดหนาตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แล้วพบกับความเห็นฉบับอัปเดทได้ในเวลา 22.00 ของทุกวัน จนถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้ *เนื่องจากความขัดข้องทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถเพิ่มเนื้อหาเข้าไปท้ายบทความเดิมได้ สามารถหาอ่านบทความอัปเดทความเห็นได้ ที่นี่
07 Dec 2020
รีวิว Xuan Yuan Sword VII ตะลุยยุทธภพที่รวมจุดเด่นของหลายๆ เกมไว้ด้วยกัน
Xuan Yuan Sword เป็นซีรีส์เกมแนว RPG จากทางผู้พัฒนาประเทศไต้หวัน ที่ถึงแม้ว่าบ้านเราและต่างประเทศจะไม่เป็นที่รู้จักเลย ( อาจจะเพราะโปรโมตไม่หนัก) แต่ซีรีส์นี้มันอยู่มานานกว่า 30 ปีแล้วครับ (ตั้งแต่ปี 1990) และล่าสุดทางผู้พัฒนาเองก็ได้ปล่อยเกมภาคใหม่ของซีรีส์นี้ออกมานั่นคือ Xuan Yuan Sword VII ที่เป็นเกมแนว Action RPG ซึ่งถือว่าเป็นภาคลำดับที่ 7 แล้ว และยังคงธีมแนวกำลังภายเช่นเดิม พร้อมลงให้กับเครื่อง PC และ PS4 และทางเรา GameFever TH เองก็ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้วและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ กราฟิก ในด้านกราฟิกของเกมนั้น ในด้านของโมเดลนั้นตัวเกมได้ทำกราฟิกออกมาได้ดีงามพอสมควร เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้ทันสมัยเหมือนเกมสมัยนี้ ถ้าให้เทียบกราฟิกก็น่าจะราวๆ เกมสมัย PS3 ยุคท้ายเจน ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้แย่นะครับส่วนตัวคิดว่ามาตรฐานนี้ค่อนข้างดีเลย การปั้นตัวละครก็ยังมีความรู้สึกถึงความเป็นคนจริงๆ อยู่ถึงแม้รายละเอียดอาจจะไม่ได้สมจริงมาก แต่ในเรื่องกราฟิกทางผู้เขียนเองก็ต้องยอมรับเลยว่าพวกเขาทำได้ดีมากๆ เลยครับ โอเคว่ารายละเอียดของพื้นผิวฉากอาจจะไม่ได้มีเยอะ เลยทำให้พื้นผิวดูทื่อๆ ไปบ้าง แต่ในเรื่องของฉากเงานั้นต้องยอมรับเลยว่ามันค่อนข้างสวยงามเลยทีเดียว และสิ่งที่พิเศษคือการทำเงาหลอกตาที่ค่อนข้างสมจริง หรือถ้าให้นิยามมันคือ Ray Tracing เทียมที่ตัวเงาต่างๆ ของวัตถุอาจจะไม่ได้สะท้อนจริง แต่ผู้พัฒนาปั้นเงาออกมาให้ดูเหมือนว่ามันสะท้อนนั่นเอง ซึ่งเกมสมัยนี้เริ่มเอาเทคนิคนี้มาใช้บ้างแล้ว (Watch Dogs Legions, Mafia Definitive Edition) ส่วนข้อติที่อยากจะพูดก็มีแค่เรื่องเดียวคือบัคที่มีให้เห็นบ้างประปราย อย่างเช่นบัคตัวละครแอนิเมชันเพี๊ยน หรืออยู่ดีๆ ก็แขนเบี้ยวซึ่งพอเห็นบ้าง และอาจจะเห็นบัคขั้นร้ายแรงอย่างการเล่นเกมอยู่ดีๆ แล้ว Error เด้งออกจากเกมเฉย เลยจะต้องเล่นฉากเดิมซ้ำใหม่เพราะเกมไม่เซฟ แต่ผู้เขียนเคยเจอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เนื้อเรื่อง Xuan Yuan Sword VII จะเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Taishi Zhao ที่พ่อแม่ของเขานั้นถูกสังหารโดยบุคคลนิรนามตั้งแต่เด็ก ตัวเขาและน้องสาวก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง และอยู่มาวันหนึ่งน้องสาวเขากลับบาดเจ็บจนทำให้ร่างกายหยาบไม่สามารถใช้งานได้ และได้กลายเป็นวิญญานตามตัวเขาไป ซึ่ง Taishi นั้นจะต้องพยายามหาทางรักษาน้องเขาให้กลับมา พร้อมปมต่างๆ ให้วัยเด็กที่เราจะได้รับรู้บวกกับความลับที่เกมยังไม่เฉลยตั้งแต่ต้นว่าพระเอกนั้นหลังจากที่พ่อแม่ตาย เขาไปทำอะไรมาถึงได้มีพลังที่เก่งกาจขนาดนี้ ซึ่งการเล่าเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างที่จะเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนใดๆ ชูกลิ่นอายของนวนิยายของประเทศจีนได้อย่างดีงาม มีการใช้เพลงประกอบหรือการร้องเพลงของตัวเองที่สื่ออารมณ์ได้ค่อนข้างดี ซึ่งส่วนตัวชอบมากๆ เลยทีเดียว เกมเพลย์ ในด้านของเกมเพลย์การต่อสู้ของเกมนี้ก็ต้องบอกว่าตัวเกม Xuan Yuan Sword VII รวบรวมเอาจุดเด่นของเกมดังๆ จากหลายๆ เกมมาใช้อยู่มากพอควร อยากเช่นระบบการต่อสู้ที่ถึงแม้โดยรวมจะเป็นเกม Action Hack and Slash แต่ผู้พัฒนาก็ยังใส่กลิ่นอายของเกมแนว Soul เข้ามาผสมอยู่ด้วย เพราะการสู้กับบอสนั้นค่อนข้างยากมากๆ เราจะต้องป้องกัน หรือหลบหลีกการโจมตีของศัตรูให้ได้ หรือการผสมผสานกับสกิลที่จะมีให้ใช้สองแบบนั่นคือสกิลสโลว์โมชั่น และสกิลวางกับดักพื้นที่ไม่ให้ศัตรูออกจากวง บวกกับ Matial Art ที่จะเป็นเหมือนระบำดาบของเกม Ghost of Tsushima ที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป บางสกิลเหมาะแก่การใช้กับศัตรูบางตัวเป็นต้น นอกจากนี้ตัวเกมยังได้นำระบบที่เราคุ้นเคยจากเกม Uncharted มาด้วยไม่ว่าจะเป็นระบบปีนป่ายกำแพงตามจุดต่างๆ ซึ่งเอาจริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบระบบนี้เท่าไร เพราะว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อใช้ได้เลย และอีกหนึ่งระบบก็คือปริศนาของเกม เพราะว่าเนื้อเรื่องในเกมนี้จะมีบางครั้งที่เราจะต้องเข้าไปในถ้ำหรือสุสาน บางครั้งมันจะมีปริศนามาให้เราเล่น ซึ่งเอาจริงๆ มันค่อนข้างน่าสนใจ และถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว แต่ถ้าหากใครที่รู้สึกว่าไม่อยากเล่นปริศนา ตัวเกมยังมีระบบข้ามให้เราไม่ต้องเล่นก็ได้ แน่นอนว่าระบบความเป็น RPG ของเกมนี้ก็ยังถูกนำเข้ามาอยู่ ในการที่เราจัดการมอนสเตอร์เราสามารถเก็บชิ้นส่วนของมันมาขายตามร้านค้าได้ หรือจะทำภารกิจก็ได้เงินเช่นกัน ซึ่งเราสามารถเอาเงินมาอัพเกรด Elysium ของเรา ซึ่งมันจะมีหลายๆ ฐานให้อัพเช่นฐานเกราะ ฐานอาวุธ ฐานเครื่องประดับ ซึ่งมันจะทำให้เราสามารถคราฟของสวมใส่เลเวลสูงๆ ได้ โดยการคราฟของก็ค่อนข้างทำได้ง่ายนะครับ เราสามารถซื้อของจากร้านค้ามาคราฟได้เลย หรือจะหาเก็บหาฟาร์มจากมอนสเตอร์ก็ได้ หรือการซื้อยาต่างๆ ก็สามารถใช้เงินซื้อได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบสำหรับเกมนี้ก็คงจะเป็นในเรื่องของอาวูธที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย (ใช้เพียงแค่อาวุธกระบี่เท่านั้น) ทำให้พอเล่นไปสักพักก็จะเบื่อเสียแล้ว เพราะมันไม่มีอาวุธอื่นๆ มาให้ได้เราตื่นเต้นเลย ซึ่งเรื่องมีอาวุธเดียวยังไม่เท่าไร แต่ตัวเกมไม่ได้มีระบบลอบเร้นใดๆ ที่ทำให้น่าสนใจเข้ามาเลย มีแค่การต่อสู้ประจันหน้าอย่างเดียว เล่น 2 ชั่วโมงเบื่อแล้วสำหรับผู้เขียน แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Dark Soul ตัวเกมอาจจะมีการต่อสู้แค่การประจันหน้า แต่การที่ตัวเกมมีอาวุธที่หลากหลายมันก็ทำให้ไม่เบื่อ หรือ Ghost of Tsushima ที่ถึงแม้จะมีอาวุธเดียว แต่ตัวเกมนั้นมีระบบลอบเร้นหรือความสามารถสกิลที่มากมายที่ลดความเบื่อหน่ายให้เช่นกัน แต่เกมนี้ไม่มี สรุป Xuan Yuan Sword VII ถือว่าเป็นเกมที่อยู่ในเกรดประมาณพอใช้ได้ อาจจะไม่ได้เลิศเลอแต่ก็พอที่จะเล่นได้จนจบเกมครับ คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องของเกมที่ค่อนข้างทำออกมาได้น่าสนใจ และกลิ่นอายของนวนิยายจีนที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ ในเกม Console ซึ่งมันก็ให้อารมณ์ที่แปลกใหม่ดี ส่วนความยากความท้าทาย ก็ทำออกมาได้อยู่ในเกณฑ์พอรับได้สำหรับคนที่ไม่ชอบเล่นเกมที่ยากมาก ตัวเกมจะไม่ยากจนเกินไป หรือง่ายจนเกินไปนั่นเอง ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าให้เทียบกับเกมที่ราคาเพียงแค่ 419 บาท มันก็ถือว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเกมหนึ่งแล้วแหละ [penci_review id="73349"]
27 Nov 2020
ความรู้สึกหลังเล่น Summoners War: Lost Centuria จากเกมเทิร์นเบส สู่การต่อสู้แบบเรียลไทม์
หนึ่งในเกมที่น่าสนใจมากๆ สำหรับเกมใหม่จากซีรีส์ Summoners Wars โดยใช้ชื่อว่า Summoners War: Lost Centuria ที่ปรับเปลี่ยนแนวเกมจากภาคก่อนๆ ที่เป็นแนว Turn Based ให้กลายเป็นแนว Timing Based ซึงเดี๋ยวเรามาเจาะลึกกันว่าแนวเกมนี้จะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งยังมีจุดเด่นเรื่องของการต่อสู้ 8v8 ที่สามารถเลือกจัดทีมได้อย่างอิสระ ซึ่งทางเรา GameFever ได้เข้าไปลองเล่นมาแล้วครับ และจะมาพูดถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัสมา Casual ผสม RPG Summoners War: Lost Centuria คือเกมที่ผสมความเป็นเกม Casual กับเกม RPG เข้าไปได้อย่างดี เพราะว่าตัวเกมจะมีทั้งโหมดการเล่นคนเดียวต่อสู้กับบอทก็ได้ หรือถ้าหากใครคิดว่าเล่นกะบอทมันไม่เร้าใจ ตัวเกมยังมีโหมดดวล ที่จะสามารถ Matchmaking กับผู้เล่นท่านอื่น เอาชนะและทำการไต่ Rank ให้สูงขึ้นได้ และถ้าคุณสามารถไต้ได้ถึง Rank สูงๆ ตัวเกมก็จะมีของรางวัลดีๆ ให้คุณไปครอบครอง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกน่าสนใจกับระบบนี้พอสมควร เพราะมันเปลี่ยนอารมณ์ได้ดีเลยทีเดียว เพราะบางคนอาจจจะรู้สึกเบื่อถ้าหากจะให้สู้อยู่แค่กับบอทอย่างเดียว แถมบอทเกมนี้ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร เราจะต้องจัดทีมให้ดีในการผ่านแต่ละด่าน Timing Based หลายๆ คนน่าจะอยากรู้แล้วว่า คำว่า Timing Based เนี่ยมีนคืออะไร ซึ่งเกมเพลย์แนวนี้มันก็คือการผสม Real - Time Attack บวกกับการกดใช้สกิล โดยยูนิตของเราและศัตรูจะเผชิญหน้ากันโดยการโจมตีแบบออโต้ แต่การใช้สกิลเราจะต้องกดเองเท่านั้น ซึ่งการแพ้ชนะเอามันก็ขึ้นอยู่กับเราด้วย พร้อมทั้งหลักการใช้สกิลนั้นแต่ละสกิลจะมีแต้มมานาที่เราต้องเสีย ซึ่งมานาจะค่อยๆ ขึ้น (เต็ม 10 แต้ม) เราจะต้องใช้สกิลให้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด และจุดเด่นของเกมเพลย์ที่น่าจะเป็นไฮไลท์ของเกมนี้เลยก็คือระบบ Counter Attack ที่ถ้าหากว่าเราทำการกดสกิลสวนไปในขณะที่ศัตรูกดสกิลพอดี คาถาของเราที่ Counter จะทำงานก่อนศัตรูนั่นเอง ซึ่งนี่ถือเป็นระบบช่วงชิงจังหวะที่น่าสนใจมากๆ ข้อสังเกตุเดียวในความคิดของผู้เขียนที่ติดใจก็คือ เกมนี้ไม่ได้มีระบบโจมตีออโต้โจมตี ทำให้การเล่นทุกครั้งเราจะต้องเล่นมือทั้งหมด ซึ่งมันอาจจะเป็นข้อดีนะ แต่มันก็ไม่เอื้อต่อผู้เล่นที่ทำงานไปด้วยเล่นไปด้วยได้ ถ้าคุณจะเล่นเกมนี้คุณอาจจะต้องโฟกัสกับมัน (แอบเล่นในที่ทำงานไม่ได้มาก 55555) 8v8 โดยเกมนี้เราจะสามารถนำทีมไปรบได้มากถึง 8 ตัวละครเลยทีเดียว แถมว่ายูนิตแต่ละตัวจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน บางตัวเป็นตัวฮีล บางตัวเป็นตัวตีหมู่ หรือบางตัวเป็นตัวโจมตีเดี่ยวที่รุนแรง และยังมีระบบธาตุขอตัวละครจะประกอบไปด้วย ไฟ น้ำ ลม แสง และมืด ที่จะแพ้ทางกันไป รวมถึงแต่ละตัวยังมีค่าพลังที่ไม่เหมือนกันอีก บางตัวโจมตีแรง หรือบางตัวเลือดเยอะเหมาะจะนำไปยืนเป็นตัวแทงค์ ซึ่งระบบของเกมนี้ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ เลยนะครับ แต่ก็มีข้อสังเกตุอยู่บ้างในเรื่องของการที่ตัวละครมีให้เลือกเข้าทีมมากกว่า 8 ตัวละคร ทำให้การเล่นมันค่อนข้างโฟกัสตัวละครได้ยากและดูชุลมุลไปนิด และเนื่องจากที่ตัวละครมันเยอะทำให้เราจะต้องอัพเกรดตัวละครทุกตัวซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลา หรือทรัพยากรที่มากหน่อย สรุป โดยรวมแล้ว Summoners War: Lost Centuria ถือว่าเป็นเกม RPG ที่สร้างความแปลกใหม่ได้อย่างดีมากๆ เพราะระบบ Timing Based ที่ค่อนข้างน่าสนใจ และเราจะต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการผ่านด่านแต่ละครั้ง รวมถึงใครที่เป็นแฟนเกม Summonners War ตัวละครที่ท่านรู้จักและหลงรักนั้นกลับมาครบแน่นอน ส่วนข้อสังเกตุก็เป็นอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านั่นคือเนื่องจากระบบที่เป็น 8v8 อาจจะทำให้การเล่นดูชุลมุนไปนิด และการอัพเกรดตัวละครอาจจะต้องใช้ทรัพยากรมาก (แต่เกมนี้มีแจกของเยอะมากเช่นกัน) พร้อมทั้งตัวเกมมีความเป็นเกม Casual ที่เราจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นที่เป็นคนด้วยกัน ระบบออโต้เลยไม่ได้ถูกใส่เข้ามา จึงทำให้เกมนี้อาจจะไม่ใช่เป็นเกมที่เล่นตอนเวลาทำงาน แต่อาจจะเป็นเกมที่เล่นฆ่าเวลา (แวปมาเล่นซัก 2-3 นาทีซักตานีงอะไรแบบนี้)
25 Nov 2020
รีวิว A3: STILL ALIVE | MMORPG มาเจอกับ Battle Royale ได้ไงเนี่ย!?
สัปดาห์นี้ นับเป็นสัปดาห์ที่เกม MMORPG บนมือถือแข่งขันกันดุเดือดจนแฟนเกมเลือกเล่นกันไม่ถูกเลยทีเดียว และหนึ่งในเกมที่น่าจับตามอง และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นั่นคือ A3: STILL ALIVE ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามหลังเปิดตัวในเกาหลีใต้   ==========================================   จาก A3: Project สู่ A3: Still Alive อย่างที่ทราบกันว่านี่คือหนึ่งในเกม MMORPG ระดับตำนานในอดีตที่อวตารมาลงเกมมือถือในยุคเฟื่องฟูของ Mobile MMORPG ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับต้นกำเนิดของ A3: Still Alive กันสักหน่อย A3: Project เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และเข้าไทยในปี 2005 นับเป็นเกม MMORPG แบบ Full 3D เกมแรกๆ และเป็นเกมที่ได้รับคำชมในเรื่องระบบกราฟฟิคและ motion ตัวละครอย่างล้นหลามมากในยุคนั้น ตามความหมายของ A3 ที่มาจาก Art, Alive, Attraction แถมยังเป็น MMORPG ที่มี cut scene อีกด้วย แหม... เป็นไงล่ะ เจ๋งล้ำหน้าชาวบ้าน (ในยุคนั้น) เลยนะ นอกจากด้านภาพแล้ว ด้านเสียงก็ไม่แพ้กัน ถึงขนาดว่ามี CD เพลงประกอบเกมทำออกมาโดยเฉพาะเลย ของไทยเองก็ได้ศิลปินระดับแนวหน้ามาร้องเวอร์ชันไทยและวางจำหน่ายโดยแกรมมี่ เห็นไหมว่าเขาเล่นใหญ่จริงๆ แต่เสียดายที่สุดท้ายเปิดได้เพียง 12 ปีก็ต้องปิดตัวไป แต่!!!! ในที่สุด A3 ก็เกิดใหม่อีกครั้งบนมือถือ ดำเนินการโดยค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Netmarble ในชื่อ A3: Still Alive ซึ่งได้เปิดบริการในประเทศเกาหลีไปเมื่อเดือนมีนาคม และเปิดเซิฟ Global ในเดือนพฤศจิกายนนี้เอง ลงมือถือแล้วเวิร์คไหม? หลายคนอาจจะลุ้นว่า เกมดีๆ บนคอมเอามาลงมือถือแล้วจะต้องโดนดรอปนู่นนี่นั่น ไม่ก็อะไรสักอย่างแน่ๆ เลย แต่สำหรับเกม A3 นี้ ด้วยความที่เป็น Data เกมที่ค่อนข้างเก่า การ Develop ลงมือถือด้วย Unreal 4 จึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เอาจริงๆ ส่วนตัวเราว่า ภาพดีกว่าสมัย PC เสียอีก ทั้งลายเส้นและการเคลื่อนไหวดู Smooth ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉากในเกมก็ยังคงรักษาความสมบูรณ์ของภาพสามมิติไว้ได้อย่างครบถ้วน จะเสียดายก็แต่ ปรับมุมกล้อง ไม่ได้นี่แหละ เลยทำให้ดื่มด่ำกับตัวเกมไม่ค่อยเต็มที่เลย ในส่วนของเสียงเองก็ยังทำดีไม่มีตก บางครั้งเปิดจอทิ้งไว้แล้วได้ยินเสียงฟ้าผ่าในเกมยังตกใจนึกว่าฝนตกจริงเลย สมจริงมากๆ และที่น่าจะถูกใจหลายคนก็คือ เสียงพากษ์ ที่สามารถปรับเลือกแบบภาษาอังกฤษหรืออยากได้เสียงแบบอนิเมะก็เลือกภาษาญี่ปุ่นได้ ที่น่าตกใจกว่าคือ ระหว่างคอมโบสกิล เสียงเอฟเฟคสามารถแสดงผลได้ดีไม่มีตกเลยแม้จะโจมตีแบบถี่ยิบก็ตาม รับรองว่าอรรถรสมาเต็มจ้า อ้อ~ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเกมนี้จะยก PC มาลงมือถือเฉยๆ นะ เพราะไหนๆ ก็เกิดใหม่ทั้งที ก็ต้องมีของใหม่ให้ตื่นเต้นใช่ไหม? และเกม A3 เขาก็เคลมตัวเองว่าเป็นเกม MMORPG แนวใหม่ ที่ผสมระบบ Battle Royale เข้ามาด้วย เอ๊ะ! แล้วมันจะไปด้วยกันรอดหรือเนี่ย? ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับเกมนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า   ==========================================   MMORPG ในระบบนี้ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะเกมแนวนี้ทั้งเกมใหม่และเกมที่ Remaster จาก PC ลงมือถือในปัจจุบันมีหลากหลายมาก และสำหรับ A3: STILL ALIVE ก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นเกมสวมบทบาทที่มีครบรสจริงๆ เริ่มต้นเนื้อเรื่องมาก็เข้มข้นไม่แพ้ใน PC เลย (แนะนำว่าอย่ากดข้ามอินโทรเกมเลยนะ ดูเพลินแถมทำให้อินกับเกมมาก) เราจะถูกส่งมาในอดีตด้วยพลังของเรเดียนหลังการออกสำรวจจอกศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเริ่มต้นเตรียมตัวรับมือกับการรุกรานแห่งเงามืดใหม่อีกครั้ง โดยตัวเกมก็จะให้เราเริ่มเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่ต่างๆ ภายในเกม รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จะช่วยเสริมความแกร่งให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟาร์มของ อัพเกรดอุปกรณ์ ปลดล็อคสกิล ระบบกิลด์ ไปจนถึงคู่หูอย่างโซลลิงเกอร์ ที่จะทำให้การผจญภัยของเราสนุกยิ่งขึ้น! ถ้าใครเข้ามาใน A3 เพราะเป็นเกม MMORPG ล่ะก็ การเดินเควสสตอรี่ในเกมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะระบบส่วนใหญ่จะมาตามเควสหลัก ซึ่งในช่วงที่เราลองเล่นแรกๆ ด้วยความที่เบื่อรอตีมอน คุย NPC และถึงจะออโต้เควสแต่ก็ต้องกด "ตกลง" เองนะจ๊ะ เราก็เลยดองเควสรัวๆ ทุกครั้งที่เข้าหน้าต่างเมนูก็.. เอ๊ะ!... ทำไมมันติดดำ (ล็อคระบบ) หมดเลยหว่า? จนมีเวลามาเดินเควสต่อ เท่านั้นแหละ อ้าว! ตีบวกได้แล้ว ล่าบอสได้แล้ว อ้าว!? นึกว่าปลดล็อคตามเลเวลอย่างเดียว ฮ่าๆๆ ติ๊งต๊องมาก เรียกได้ว่า พอเควสต่อแล้วก็มีอะไรให้ทำเยอะจนบางอันก็จำไม่ได้ว่า.. เอ่อ... อันนี้ต้องทำยังไงหยอ? กล้าพูดเลยว่าถ้ามีเวลาให้เกมนี้นะ เราจะมีอะไรให้ทำจนลืมเวลาเลย ต่อให้ออกเกมไปกลับมาก็มีของแจกไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นลำบากเลย แล้วในช่วงเปิดเกมนี้ ขอกระซิบบอกเลยว่าทางเกมใจป้ำแจกแหลกจริง แค่เข้าเกมทุกวันก็ได้รับของทีละหลายสิบอย่าง สามารถนำไปอัปเกรดอุปกรณ์ โซลลิงเกอร์ ฯลฯ ได้ทันที สายฟรีอยู่ได้สบาย หายห่วงจ้า     Battle Royale สำหรับใครที่เป็นสายชอบการต่อสู้ ไม่อยากเสียเวลารอเควสสตอรี่เพื่อให้เก่งขึ้น และชอบการแข่งขันแบบเท่าเทียม แนะนำให้กดที่ไอคอนขวามือได้เลย! ในโหมด Battle Royale คือศึกชิงความเป็นที่ 1 จากผู้เล่น 30 คน ด้วยการมีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายให้ได้ ซึ่งวิธีการเล่นแบบเจาะลึก เราจะมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบในบทความหน้านะจ๊ะ ในโหมด Battle Royale เราสามารถเริ่มเล่นได้ทันทีหลังจบโหมดฝึกฝนในต้นเกม และจะบอกว่าการเล่นโหมดนี้จะช่วยเพิ่มเลเวลให้เราได้ด้วย! ดีเลยใช่ไหมล่ะ และทุกครั้งที่ทำผลงานได้ จะได้ทั้งรางวัลภารกิจประจำวัน แบทเทิลมิชชั่นและยังมีรางวัลใหญ่จาก Battle Pass ด้วย ยิ่งเล่นมาก ยิ่งมีสิทธิ์ได้ของมาก ไม่ต้องเหนื่อยฟาร์มเลย และในแต่ละซีซั่น จะมีการจัดอันดับและมีรางวัลคอสตูม ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษทำให้ความสามารถของเราโดดเด่นขึ้นมาด้วย แรร์สุดๆ เลยนะ~ พอมี Battle Royale เข้ามาด้วย เกมนี้เลยกลายเป็น Perfect Combination ของเกมหลากหลายแนว ทั้ง RPG, Moba, RTS, Action คือถ้าเทียบกับการ PVP นั้นเราต้องเตรียมฟาร์มเลเวลฟาร์มของให้เต็มที่จนมั่นใจว่ามีพลังมากพอ ที่เหลือคือฝึกสเต็ปแล้วบุกทะลวงได้ แต่ช้าก่อน...! เมื่อเป็นการประลอง Battle Royale ทุกคนจะเริ่มที่ 0 เหมือนกัน เราต้องฟาร์มให้ตัวเองเก่งพอภายในเวลาที่จำกัด ต้องคอยสังเกตทั้งแผนที่และสภาพแวดล้อมรอบตัวตลอดเวลา ต้องมีแผนสำรอง และถ้ามอนเตอร์แถวนั้นไม่มีให้ฟาร์ม แถมบังเอิญเจอคนอีก ก็ปล่อยจอรอออกห้องเถอะ~ เรียกได้ว่าการวางแผนก็ต้องใช้ ดวงก็ต้องมา เราเคยเข้าไปเซคเตอร์ในๆ แล้วซวยโดนรุม คือหล่อน!! ตรงนั้นก็มีกันตั้งหลายคน ทำไมต้องพร้อมใจกันมาตีฉันคนเดียวไม่ทราบ! ก็นั่นแหละค่ะ หัวร้อนเฉยเลย ฮ่าๆ แต่แก้เบื่อได้ดีเลยค่ะ ถ้าวันไหนไม่มีเวลาเล่นก็จะขอแวะไปวิ่งเล่นในโหมดนี้หลังรับของกิจกรรมประจำวันสักหน่อย จนกลายเป็น 1 ในมิชชั่นประจำวันสำหรับเกมนี้ไปซะแล้ว >.<   ==========================================   ถึงจะมี Battle Royale แบบนี้แล้ว ระบบ PK ที่เป็นจุดขายแต่ดั้งเดิมของแฟรนไชน์ A3 ก็ยังคงมีอยู่ รวมถึงสงครามกิลด์ และสงครามระหว่างเซิฟ ก็ยังมีให้ตะลุมบอนกันอยู่นะ ด้วยรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย ตอบสนองทุกสไตล์การเล่นของเกมมือถือ จึงไม่น่าแปลกใจที่เกมนี้จะสามารถครองใจผู้เล่นทั่วเกาหลีได้ และสำหรับคนไทยเองก็ชอบทุกสไตล์ที่มีในเกมนี้อยู่แล้วด้วย ใครที่ไม่เคยเล่นแบบใดแบบหนึ่งก็สามารถทดลองเล่นได้เลยนะ ระบบเข้าใจง่ายแป๊บเดียวก็เก่งแล้วล่ะ  
23 Nov 2020
COD: Black Ops Cold War เมื่อสิงที่เชื่อมาตลอด ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก!
วางจำหน่ายแล้วกับเกม Call of Duty: Black Ops Cold War การกลับมาครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการสานต่อเนื้อเรื่องจากตัวเกมต้นฉบับภาคแรกในยุคสงครามเย็น ปี 1947 - 1991 ซึ่งหลังจากที่ผมได้มีโอกาสเล่นในโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จนจบแล้ว ต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งภาคที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ โดยหนึ่งในจุดที่น่าจะถูกใจแฟนๆ ซีรีส์นี้มากเห็นจะเป็นเรื่องที่เราจะได้พบกับ Woods และ Mason ตัวละครประจำภาค Black Ops อีกครั้งครับ! เอาจริงๆ ตัวผมเองแทบไม่ได้เล่น Call of Duty: Black Ops เลยตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นมา (เนื่องจากไปติดเกมอื่นๆ อยู่) การกลับมาเล่นครั้งนี้ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งความประทับใจโดยรวมยังคงไปในทิศทางบวก และวันนี้จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ว่าจะได้พบกับอะไรบ้างหากซื้อเกมนี้มาเล่น แอบบอกก่อนเลยว่าผมประทับใจโหมดเนื้อเรื่องภาคนี้มากๆ ครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เรื่องราวในภาคนี้จะเริ่มต้นหลังเหตุการณ์ใน Call of Duty Black Ops ภาคแรก เมื่ออเมริกาจะรู้ถึงการกลับมาของ Perseus สายลับระดับตำนานของโซเวียต ที่ไม่ว่าปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ สถานการณ์ของสงครามเย็นเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเลวร้ายต่อสหรัฐทุกครั้ง ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจึงได้ให้ Adler เจ้าหน้าที่ CIA มือฉมังจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อไล่ล่า Perseus โดยเฉพาะ และผู้เล่นจะได้รับบทเป็น "Bell" หนึ่งในสมาชิกของทีมเฉพาะกิจนี้ครับ ถ้าหากให้จำกัดความง่ายๆ เกี่ยวกับภารกิจที่ทีมเฉพาะกิจนี้ทำ คงต้องบอกว่าเป็นภารกิจแบบโคตรผิดกฎหมายที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นภารกิจประมาณ 50% ของเนื้อเรื่องหลักจะเป็นการเล่นแบบลอบเร้น มากกว่าบุกเข้าไปยิงแบบบู๊แหลก ซึ่งให้อารมณ์ออกไปทางสายลับมากกว่าหน่วยพิเศษในภาค Modern Warfare และสนุกไปอีกแบบครับ หนึ่งในจุดที่ชอบมากๆ คือการที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะให้ "Bell" มีภูมิหลัง กับความสามารถพิเศษ รวมถึงชื่อจริงๆ อะไร กล่าวคือ "Bell" เป็นตัวละครที่ผู้เล่นต้องสร้างขึ้นมา ซึ่งในส่วนนี้จะมีผลกับเนื้อเรื่องด้วย แต่ด้วยความที่เป็นตัวละครสร้างขึ้นมาเอง มันจึงทำให้ "Bell" ไม่มีเสียงพากย์เป็นของตัวเอง บางครั้งเวลาโต้ตอบกับ NPC อื่นๆ ก็ทำให้รู้สึกขาดอรรถรสไปพอสมควรเลยเช่นกัน ส่วนตัวคิดว่าเป็นจุดที่ทำให้โดยหักคะแนนไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ อีกหนึ่งจุดที่ส่วนตัวคิดว่าทำออกมาได้ดีขึ้น คือการเล่าเนื้อเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าภาคก่อนๆ ทั้งในเรื่องของจังหวะภาพ และภาษาที่ใช้ ทำให้ผู้เล่นที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษอะไรมากมาย ก็สามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ง่ายๆ โดยไม่ได้ทิ้งความซับซ้อน กับจุดหักมุมตามสไตล์ลายเซ็นของ Black Ops ไปเลย ต้องขอชมเลยว่า Activision ออกแบบโหมด รวมถึงเขียนเนื้อเรื่องของเกมนี้มาได้ดีจริงครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ได้ชื่อว่าเป็นเกมเจเนอเรชันใหม่แล้ว เรื่องของกราฟิกคิดว่าคงไม่ต้องพูดเยอะถ้าแบบสั้นเลยคือ "สวยงามเป็นอย่างมาก" ครับ ยิ่งถ้าเปิด Ray Tracing เวลาเห็นเงาที่สะท้อนผ่านน้ำ หรือพบกับที่แสงกระทบกับเหล็กบนตัวปืนแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่า "นี้แหละเกมเจนใหม่" และที่น่าสนใจคือ เกมนี้ไม่ได้กินสเปคมากมายอะไรเลยบน PC ครับ ด้วยสเปคเครื่องที่ไม่สูงอะไรมากมายการจะเล่นให้ได้ 60 FPS ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ถ้าหากต้องการภาพสุกจัดเต็มด้วย FPS ที่สูงกว่า 144 อันนี้ก็อาจจะต้องมีการ์ดจอที่ดีระดับหนึ่งครับ ทางด้านการนำเสนอ ในส่วนของโหมดเนื้อเรื่องผมคิดว่าผู้พัฒนาสร้างบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกกดดัน เวลาทำภารกิจต่างๆ ได้ดีในภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะภาพ, จังหวะของเนื้อเรื่อง, ดนตรี, สภาพแวดล้อมของสถานที่, มูส และโทน ทุกอย่างล้วนถูกคิดมาอย่างดีแล้วว่าจะสร้างอรรถรสให้กับผู้เล่นได้ จุดนี้ต้องขอชมเชยเลยจริงๆ ครับ ที่นี้มาพูดถึงเรื่องการนำเสนอทางฝั่งของเกมเพลย์บ้าง ภาคนี้จะแตกต่างจาก Call of Duty Modern Warfare ที่วางขายในช่วงปีที่แล้ว เรื่องของความสมจริงที่มีมากกว่าครับ สามารถสังเกตในตอนที่เล่นเลยยกตัวอย่างเช่น การขว้างระเบิดในภาคนี้ตัวละครเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการขวาง ซึ่งมือขวาจะยังจับปืนแล้วเล็งข้างหน้าอยู่ (ใช้ปากดึกสลักระเบิดแทนที่จะเป็นมืออีกข้าง) อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่เวลาเรากด Reload ในขณะที่กำลังเข้า Scope ของปืนอยู่ ตัวละครของเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการ Relode ซึ่งในขณะนี้ตัวละครของเราจะไม่ทำการเอาหน้าออกจาก Scope ของปืนเลย นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทหารในโลกความจริงน่าจะทำกันครับ องค์ประกอบเหล่านี้มันทำให้รู้สึกว่าทีมพัฒนาได้ใส่ใจในรายละเอียดของการรบจริงอย่างเต็มที่ และมันทำให้ผู้เล่นอย่างเรารู้สึกอินไปกับเกมมากขึ้นไปด้วยครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ ** เนื่องจาก COD ภาคนี้มีโหมดให้เราเล่นแบ่งออกเป็น 3 โหมดหลักๆ คือ Campagin, Multiplayer และ Zombie ซึ่งแตกต่างกันมากๆ ผมจึงจะขอรีวิวในหัวข้อนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนย้อยครับ ** Campagin ผมได้กล่าวไปข้างต้นเล็กน้อยแล้วว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้จะให้ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังเล่นเป็นสายลับมากกว่าทหารหน่วยพิเศษเหมือนตอนภาค Modern Warfare ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า "เกมบังคับให้เราต้องเล่นแบบลอบเร้น" เอาตรงๆ คือมันก็ไม่ขนาดนั้นครับ ส่วนใหญ่ก็สามารถเล่นแบบบู๊แหลกตามสไตล์ COD ได้ จะมีแค่ 2 ภารกิจเท่านั้นที่บังคับให้เราเล่นแบบลอบเร้นจริงๆ ซึ่งทั้ง 2 ก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ถนัดลอบเร้นแล้วกลัวว่าจะเล่นไม่ผ่านก็ไม่ต้องกังวลไปครับ ผู้พัฒนาได้เคยกล่าวว่า "โหมดเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ จะมีการนำระบบ Butterfly Effect มาใช้ด้วย" ดังนั้นการเลือกตอบบทสนทนาต่างๆ ส่วนใหญ่จึงส่งผลถึงเนื้อเรื่องด้วย โดยส่วนตัวแล้วผมชอบระบบนี้มากๆ เพราะมันทำให้อยากรู้ว่า เนื้อเรื่องหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเรื่อยๆ ครับ อีกหนึ่งจุดขายของโหมดนี้เลยคือ Side Quest ครับ เหตุผลที่ทำให้เควสรองเกมนี้น่าสนใจ เพราะว่าเราจำเป็นต้องถอดรหัส หรือระบุตัวคนร้ายเองในภารกิจต่างๆ โดยข้อมูลที่ช่วยในการถอดรหัสเหล่านี้ ก็จะอยู่ใน Objective เสริมที่เรา พบในภารกิจหลักของเกมนั่นแหละ มันเหมือนกับว่าเรากำลังเป็นหน่วยข่าวกรองลับจริงๆ กำลังถอดรหัสจริงๆ ซึ่งช่วยเสริมอรรถรสได้เป็นอย่างดีเลยจริงครับ! สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกกับคอนเทนต์ที่จำเป็นต้องใช้หัวเยอะๆ แบบนี้ และกลัวว่าการไม่เล่นจะส่งผลถึงเนื้อเรื่องหลักด้วยก็ไม่ต้องกลัวไปครับ เพราะเควสรองของเกมนี้ไม่ได้มีผลกับฉากจบของเกมเลย เพียงแต่จะถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยหลังจากเล่นเนื้อเรื่องหลักจบแล้วเท่านั้น ทั้งหมดนี้ต้องยอมรับว่าออกแบบเกมมาดีมากๆ ครับ Multiplayer โดยรวมระบบเกมเพลย์ของภาคนี้จะแทบไม่ต่างจากภาคก่อนเท่าไหร่ครับ ได้ชื่อว่าเป็น Call of Duty แล้วภาคนี้ก็ยังคงเป็นเกมที่มีจังหวะดวลปืนที่เร็วมากๆ เหมือนเดิม, ยังคงมีจังหวะวิ่งที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก, ยังสามารถวิ่งสไลด์ยิงได้เหมือนเดิม คือถ้าเกิดเคยเล่นเกม COD ภาคก่อนๆ มา ก็ไม่น่าจะต้องปรับตัวมากนักในภาคนี้ครับ ในส่วนของระบบ Loadout ภาคนี้จะใช้ระบบแบบเดียวกับ Call of Duty Modern Warfare คือมี ปืนหลัก, ปืนรอง, Perk สามช่อง, Lethal และ Tactical แต่มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้เพิ่มมา 2 ช่องครับ อันแรกเป็นอุปกรณ์พิเศษที่จะมี Cooldown อยู่ที่ 90 - 300 วินาที แล้วแต่ความเก่งของอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายขึ้นเช่น กับระเบิด, อุปกรณ์ต่อต้านระเบิดมือ หรือป้อมปืนขนาดเล็ก ส่วนอีกหนึ่งช่องที่ถูกเพิ่มเขามาคือ ช่องความสามารถพิเศษ ที่จะให้ผลแตกต่างกันไป โดยจะทำงานคล้ายๆ กับ Perk เช่นสามารถพกระเบิดได้ 2 ลูก หรือพกอาวุธหลักได้ 2 ชิ้นเป็นต้น โหมดทั้งหมดที่สามารถเล่นได้ในตอนนี้ จะมีทั้งหมด 10 แบบด้วยกันคือ Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, Team Death Match, Free For All, Search and Destroy, VIP Escort, Combined Arms และ Dirty Bomb Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, Team Death Match, Free For All จะเป็นโหมดที่มี Objective ง่ายๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจไม่นาน สามารถวิ่งเข้าไปบู๊แหลกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมายนักได้ โหมดในกลุ่มนี้จะเล่นได้สูงสุดแบบ 6 Vs 6 และตายเกิดได้เรื่อยๆ เกมเพลย์โดยรวมในทั้ง 5 โหมดนี้จะเน้นความมันเอาไว้ก่อน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือโหมดที่เอาไว้เล่นแก้เบื่อครับ ส่วน Combined Arms กับ Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่ตาย และเกิดได้เรื่อยๆ เช่นกัน แต่จะมีจำนวนผู้เล่นสูงสุดมากกว่า 20 คน โดย Combined Arms จะเป็นโหมดที่แบ่งคนออกเป็น 2 ทีมแบบ 12 Vs 12 ซึ่งมี Objective ชนะเป็นยึดจุด ซึ่งเกมเพลย์จะมั่วกว่า 5 โหมดแรกมากๆ แต่ก็มันกว่าเช่นกัน ต่อมา Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่แบ่งผู้เล่นออกเป็น 10 ทีม แต่ละทีมจะมีสมาชิก 4 คน แผ่นที่ในโหมดนี้จะมีขนาดใหญ่ ทั้งยังใช้เวลาเล่นค่อนข้างนานมาก และมีเกมเพลย์ใกล้เคียงกับเกม Battle Royale แต่สามารถเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ วิธีชนะในโหมดนี้คือเป็นกลุ่มที่มีแต้มสูงที่สุด โดยแต้มสามารถหาได้จากการทำ Objective ในด่าน ซึ่งจุดที่ทำ Objective ได้จะมีเพียง 5 จุดเท่านั้นในด้าน ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็ได้ปะทะกับผู้เล่นทีมอื่นอย่างแน่นอนครับ สุดท้าย Search and Destroy กับ VIP Escort อาจถือว่าเป็นอะไรที่จริงจังมากสุดใน 10 แบบครับ โดยอันแรกก็คือโหมดวางระเบิดที่ทุกคนรู้จักกันดี ส่วนอีกอันจะมีความคล้ายกัน คือ ตายแล้วไม่สามารถเกิดได้ ฝั่งหนึ่งต้องป้องกัน ส่วนอีกฝั่งต้องบุก แต่ต่างกันตรงที่ทีมบุกไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการวางระเบิด หากแต่เป็นการนำผู้เล่นที่ถูกเลือกไปยังตำแหน่งเป้าหมายอย่างปลอดภัยครับ ดังนั้นถ้าหากว่าฝั่งป้องกันสามารถฆ่า VIP ได้ เกมก็จะจบลงเลยเช่นกัน Zombie อาจเรียกได้ว่าเป็นโหมดที่อยู่คู่กับ Black Ops อย่างแท้จริง (เนื่องจากมีให้เล่นทุกครั้งที่ออกภาคใหม่เลย) ซึ่งความสนุกของโหมดนี้ก็คือการที่เราจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Run and Gun เพราะจำเป็นต้องวิ่งหลบเหล่าผีดิบจำนวนมากพร้อมๆ กับยิงฆ่าพวกมันไปด้วย ในภาคนี้วิธีการเล่นจะยังคงเหมือนกับภาคก่อน คือเหล่าผีดิบจะทยอยบุกมาเรื่อยๆ เป็นระลอก และจะเยอะขึ้น เก่งขึ้น ตามรอบที่ผ่านไป ผู้เล่นจะสามารถดรอปเงินได้จากเหล่าผีดิบที่ยิงตาย โดยเงินเหล่านี้จะใช้ในการเปิดประตู, ซื้อกระสุน กับชุดเกราะช่วยเพื่อช่วยเอาตัวรอดได้ ซึ่งยังสามารถดรอปกระสุน กับอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ อย่างระเบิด กับ C4 ได้ จุดที่แตกต่างกันเลยจริงๆ จะมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการเคลื่อนไหวของตัวละคร และผีดิบที่ทำออกมาได้ดีกว่าภาคก่อนหน้านี้ (เนื่องจาก Optimize มาดีขึ้น รวมถึงมี ภาพ / กราฟิก ที่สวยงามสมจริงมากขึ้น) ซึ่งมันทำให้จังหวะเกมเพลย์ของภาคนี้สนุกกว่าที่ผ่านๆ มา เนื่องจากรวดเร็วลื่นไหลกว่าครับ อีกเรื่องคือการที่เราไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกจนครบ 4 คนก่อนถึงจะเล่นได้ สำหรับใครที่อยากเล่นโหมดนี้แบบคนเดียว ผู้พัฒนาได้สร้างโหมด Solo โดยเฉพาะมาให้ด้วยนั้นเอง สรุปแบบเข้าใจง่ายๆ คือโหมดนี้ยังคงความสนุกแบบเดียวกับภาคก่อนๆ ไว้ได้เหมือนเดิมโดยภาพ / กราฟิก ที่สวยงามขึ้นเป็นตัวช่วยเสริมความสนุก และความตื่นเต้นได้เป็นอย่างดีครับ ◊ สรุป ◊ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่านี้คือ Call of Duty Black Ops ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด เท่าที่ Activision เคยสร้างมาเลย โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น, Optimize มาให้เล่นได้บน PC สเปคที่หลากหลาย, กราฟิกสวยงามสมกับเป็นเกมเจนใหม่ ทั้งยังมีการคำนึงถึงการเคลื่อนไหวที่สมจริงเวลาออกรบของเหล่าทหาร ถ้าจะเป็นจุดที่น่าเสียดายคงเป็นการที่ภาคนี้ไม่มีระบบอะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น หรือเรียกได้ว่าใหม่ในเกมแนว FPS เลย เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดที่ผมกล่าวมา คิดว่า Call of Duty Black Ops Cold War ควรได้คะแนนสูงถึงระดับ 9 เต็ม 10 เลย มันคงจะเป็นเรื่องดีถ้าหาก Activision จะยังคงรักษามาตรฐานที่ดีเช่นนี้ได้เรื่อยๆ ต่อไป และหวังว่า COD ภาคต่อไปที่เราจะได้เล่นในปีอันใกล้นี้ เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ชวนให้พูดคำว่า "Oh My God" ได้สักทีครับ! [penci_review id="72848"]
20 Nov 2020
รีวิว The Sims™ 4 Snowy Escape ผจญภัยในเมืองอันหนาวเหน็บด้วยธีมความเป็นญี่ปุ่น
พึ่งออก Expansion ตัวใหม่ออกมาสดๆ ร้อนๆ สำหรับ The Sims™ 4  กับตัวเสริมที่จะพาให้คุณไปตะลุยหิมะสุดหนาวเหน็บอย่าง Snowy Escape ที่มาพร้อมกับเมืองใหม่อย่าง Mt. Komorebi เมืองที่ผู้พัฒนาได้รับแรงบรรดาลใจมาจากแหล่งท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย พร้อมกับกิจกรรมอันสนุกสนานมากมายตั้งแต่กิจกรรมในสถานที่อันหนาวเหน็บไปจนถึงการพบปะกับซิมคนอื่นๆ ในการแช่น้ำพุร้อนเป็นต้น โดยในวันนี้พวกเรา GameFever TH ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้วและจะรีวิวถึงความรู้สึกว่าตัว Expansion ใหม่อันนี้อย่าง Snowy Escape จะน่าซื้อมาเล่นหรือไม่ ? Mt. Komorebi เมืองที่แบ่งเนื้อที่เป็น 3 โซนที่แตกต่าง อย่างที่ทราบว่า Mt. Komorebi เป็นเมืองที่จำลองมาจากเมืองในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดภายในเมืองจะมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่อยู่เต็มเปี่ยม และที่สำคัญคือภายในเมืองยังแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆ ที่จะให้กลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป โซนแรกก็คือ Wakaba ซึ่งถ้าให้เปรียบว่า Mt. Komorebi  คือต่างจังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่ก็เหมือนเป็นแหล่งชุมชนที่จะมีบ้านเรือนมากมาย แม่น้ำล้อมรอบมีสถานที่รถไฟสวนสาธารณะ เปรียบดั่งใจกลางเมืองก็ว่าได้ โซนที่สองคือ Senbamachi ที่จะเป็นโซนที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ที่สวยงามพร้อมกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณอย่างวัดญี่ปุ่น ที่จะให้ความรู้สึกสงบนิ่งจิตแจ่มใส โซนสุดท้ายคือ Yukimatsu ซึ่งจะเป็นโซนที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ กับโซนท่องเที่ยวบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และจะมีกิจกรรมท้าทายให้เราได้ทำมากมาย การตกแต่งบ้านเรือน ใครที่อยากแต่งบ้านเรือนให้มีกลิ่นอายความเป็นบ้านญี่ปุ่น Expansion ตัวนี้ค่อนข้างตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวเลือกในการตกแต่งบ้านหรือุปกรณ์ของใช้นั้นจะมีลวดลายความเป็นบ้านเรือนญี่ปุ่นยุคคลาสสิคที่มีกลิ่นอายของความสงบเข้าไปในนั้นอีกอย่างเช่นโต๊ะ เตียง ชั้นวางของที่ทำมาจากไม้ หรือโต๊ะโคเท็ตสึก็ยังมี ใครที่มีไอเดียในการแต่งบ้านธีมญี่ปุ่นโบราณท่านน่าจะชอบใน Expansion ตัวนี้ครับ กิจกรรม อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Mt. Komorebi เปรียบดั่งมันเป็นเมืองท่องเที่ยวญี่ปุ่น และไฮไลต์ที่สำคัญของเมืองนี้ก็คือการเล่นสกีน้ำแข็งลงมาจากผู้เขาซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่คุณนั้นไปเช่าห้องพักซักที่หนึ่ง ใกล้ๆ สถานที่พักจะมีแหล่งเที่ยวสกีให้ท่านได้ลองเข้าไปใช้บริการ (แต่ท่านต้องซื้อสกีเป็นของตัวเองก่อนนะ) ซึ่งการเล่นสกีก็เริ่มตั่งแต่การเล่นโซนที่อันตรายน้อยๆ ก่อน และถ้าเล่นไปเรื่อยๆ สกิลความสามารถของคุณก็จะเพิ่มขึ้น และจะสามารถไปเล่นในโซนที่ท้าทายมากขึ้นได้ พร้อมกับกิจกรรมอื่นๆ ที่มีว่าเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้อย่างเช่นการเข้าไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อนออนเซ็น และได้พบเจอพูดคุยกับเหล่าซิมใหม่ๆ ได้ (ที่ตลกคือสามารถวู้ฮูกันในบ่อน้ำพุร้อนได้เฉยเลย 5555) หรือจะเป็นบาร์ญี่ปุ่นสไตล์ Izakaya ก็ยังมีเช่นกัน สรุป โดยรวมแล้ว The Sims™ 4 Snowy Escape ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่จะมาเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับซิมของคุณได้อย่างดี ถ้าคุณชอบกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นโบราณที่ผสมความสงบของป่าไม้ วัดวาของญี่ปุ่น หรือชอบความเป็นหิมะ ความโลดโผนที่เหมาะกับช่วงหน้าหนาวของปีนี้ Expansion ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะพอมีข้อติอยู่บ้างในเรื่องของกิจกรรมข้างใน Snowy Escape เองถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรใหม่ๆ อยู่ แต่มันก็ไม่ได้มีคอนเทนต์ที่เยอะมากเท่าไรนัก ใช้เวลาเล่นเวลาสำรวจซักพักก็ค่อนข้างเบื่อแล้ว ใครที่มีคอนเทนต์ Expansion อื่นๆ อยู่บ้างแล้ว Snowy Escape จะเป็นสิ่งที่จะมาเติมเต็มความสนุกกับซิมส์ของท่านได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าใครคิดจะซื้อ Expansion นี้เป็นอันแรก ส่วนตัวคิดว่ารอมันลดราคา หรือหันไปซื้อ Expansion อื่นๆ ที่มีความน่าสนใจกว่าดีจะดีกว่า
20 Nov 2020
รีวิว Godfall ศึกนักรบแห่งทวยเทพเกมเน็กซ์เจนที่ชูโรงโชคประสิทธิภาพเครื่อง PS5
ถ้าให้พูดถึงเกม “Godfall” มันคืออีกหนึ่งเกมน้ำดีที่วางจำหน่ายพร้อมกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 เพื่อโปรโมทให้เกมเมอร์เห็นประสิทธิภาพของเครื่องเกมรุ่นนี้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง! แต่ด้วยความที่ตอนนี้เครื่องเกม PlayStation 5 ยังไม่มีการประกาศวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ผู้ที่จะเล่นเกมนี้ได้ก็คือแพลตฟอร์ม PC นั่นเองค่ะ วันนี้เกวลินก็เลยจะพาเพื่อน ๆ มารู้จักเกมนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพราะด้วยราคาเกมที่สูงทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า “Godfall เป็นเกมที่คุ้มค่าที่จะซื้อมาเล่นหรือเปล่า!?” เมื่ออ่านบทความรีวิวนี้เพื่อน ๆ น่าจะได้คำตอบไม่มากก็น้อยค่ะ   เนื้อเรื่องที่เหมือนจะดี...แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดซะงั้น! เนื้อเรื่องของเกม Godfall พูดถึงเราผู้เป็นหนึ่งในอัศวินวาลอเรียนกลุ่มสุดท้ายที่มีหน้าที่ในการกอบกู้ดินแดน Aperion ให้รอดพ้นจากการล่มสลาย โดยเราจะต้องสวมชุดเกราะในตำนานที่ภายในเกมเรียกว่า “Valorplate” ซึ่งชุดเกราะนี้จะเปลี่ยนให้นักรบที่มีพลังธรรมดากลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานได้ ซึ่งเราจะต้องไปทำภารกิจเพื่อต่อสู้กับเหล่านักรบที่แข็งแกร่งเพื่อนำความสงบสุขสู่ดินแดนของเราอีกครั้ง! ฟังเนื้อเรื่องปูทางออกมาจริง ๆ คือดีในระดับหนึ่งเลยนะคะ แต่เชื่อไหมว่ามันดันตกม้าตายซะงั้น เพราะการทำภารกิจภายในเกมเราจะได้แค่พูดคุยและสืบหาข้อมูลเพื่อเดินทางไปต่อสถานที่ต่อไปเท่านั้น แถวบอสใหญ่แต่ละฉากที่เราจะต้องต่อกรด้วยเนื้อเรื่องพูดถึงหลังจากจัดการไปน้อยมากจริง ๆ ทั้งที่ช่วงต้นเกมเนื้อเรื่องปูมาซะดิบดีเลยค่ะ ทำให้รู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าเรื่องบทเนื้อเรื่องทางทีมผู้พัฒนาเกม Counterplay Games ใส่ใจรายละเอียดน้อยไปนิด อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องยังไม่จบแค่นั้นนะคะ ซึ่งจะมีการเล่าต่อในเนื้อหาเสริม [DLC] ที่จะอัปเดตภายในปีหน้า ก็ได้แต่หวังว่าจะแก้ไขในส่วนเนื้อเรื่องที่ทำให้ดูน่าติดตามมากกว่านี้ก็แล้วกันนะ เกมเพลย์ที่ดุดัน หลากหลาย มีเสน่ห์ และ เป็นจุดแข็งของเกมนี้! ต้องบอกว่าตัวเกม Godfall เกมเพลย์มีความซับซ้อนมาก แต่ต้องอธิบายก่อนว่าคำว่า “ซับซ้อน” ที่เกวลินพูดถึงคือระบบภายในเกมมันเยอะมากจริง ๆ ค่ะ ซึ่งถ้าผู้เล่นใหม่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องอาวุธภายในเกมก่อนค่ะ ปัจจุบันอาวุธภายในเกมจะมีทั้งหมด 5 ชนิดแล้วทุกชนิดก็เป็นประเภทโจมตีในระยะประชิดทั้งหมด ไม่มีอาวุธที่ใช้ในการโจมตีระยะไกล หรือ อาวุธที่ทำให้เราร่ายเวทมนตร์ได้ ซึ่งอาวุธภายในเกมก็จะประกอบไปด้วย ดาบยาว, ดาบใหญ่, ดาบคู่, หอก และ ค้อน รวมไปถึงโล่ที่เราสามารถใช้ในการป้องกันการโจมตีหรือสวนการโจมตีกลับก็ทำได้เหมือนกัน ทั้งนี้ต่อให้อาวุธภายในเกมจะมีเพียงแค่นี้แต่เราก็สามารถพกอาวุธได้ 2 ชนิดในเวลาเดียวกันค่ะ ทั้งนี้เมื่ออยู่ในเกมถ้าเราเก็บไอเทมพวกอาวุธต่าง ๆ เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอาวุธได้ตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้ใครที่กังวลเรื่องนี้ตัดไปได้เลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมาทำความเข้าใจเพิ่มอีกอย่างก็คือ “อาวุธทุกชิ้นมีธาตุในตัว!” ซึ่งธาตุเหล่านี้จะมีผลต่อมอนสเตอร์ภายในเกม ในช่วงแรก ๆ เรื่องธาตุอาจจะไม่เห็นผลมากนัก แต่ถ้าเราเล่นจนเข้าสู่คอนเทนต์หลัง End Game มันจะเห็นความแตกต่างพอสมควรเวลาไปอัดกับมอนสเตอร์ในระดับสูง ทำให้เกมนี้ผู้เล่นจำเป็นต้องพกอาวุธติดตัวไปหลากหลายธาตุเพื่อเอาไว้ใช้ต่อกรกับมอนสเตอร์ หรือ บอสบางตัวค่ะ แล้วสิ่งที่จะทำให้เกมเพลย์ดูลื่นไหลและเป็นสไตล์ในแบบของผู้เล่นก็คือ “การอัปเกรดสกิล” ทุก ๆ 1 เลเวลเราจะได้แต้มอัปสกิล 1 Point หรือ บางครั้งถ้าไปทำภารกิจก็จะมอบให้ 1 Point หลังทำภารกิจนั้น ๆ สำเร็จ ปัจจุบันสกิลของเกม Godfall มีให้อัปเกรดทั้งหมด 25 ตัว ซึ่งทุก ๆ ตัวจะ Max Level อยู่ที่ระดับ 5 ในแต่ละสกิลการเพิ่มขั้นของสกิลนั้น ๆ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ รวมไปถึงอาจจะปลดล็อครูปแบบการโจมตี หรือ ลูกเล่นที่ใช้ในการหลบการโจมตีที่ลื่นไหลมากยิ่งขึ้นค่ะ แล้วตรงนี้เองที่ทำให้เราสามารถผสมผสานเกมเพลย์ในแบบของตัวเองที่ได้จากอาวุธที่เลือกใช้ และ สกิลที่อัปเกรดค่ะ เกมเพลย์ของเกม Godfall ถือได้ว่าเป็นจุดแข็งของเกมนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ อย่างไรก็ตามมันก็มีจุดที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าตัวเกมจะเน้นความดุดันเป็นหลัก ทำให้มันไม่ได้แอ็คชั่นลื่นไหลเหมือนพวกเกม Devil May Cry อะไรพวกนั้นนะคะ เพราะเราไม่สามารถยกเลิกแอนิเมชั่นได้สมบูรณ์แบบ ยิ่งถ้าใช้อาวุธที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะอันนี้เห็นผลชัดเจนเลย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าอัปเกรดสกิลในส่วนการเพิ่มท่าทางการหลบหลีกมากน้อยแค่ไหน ความสนุกของเกมนี้เลยอยู่ตรงนี้ละค่ะ มาถึงสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ก็คือ “Valorplate” ชุดเกราะนักรบแห่งทวยเทพ ซึ่งการออกแบบชุดเกราะเหล่านี้อ้างอิงจากจักรราศีทั้ง 12 โดยผู้เล่นจะสามารถปลดล็อคชุดเกราะพวกนี้ได้จากการรวบรวมไอเทมต่าง ๆ แล้วสร้างทีละชุด ๆ แน่นอนว่าแต่ละชุดล้วนมีท่าพิเศษที่เมื่อกดใช้งานจะทำให้เราได้รับผลจากชุดนั้น ๆ ชั่วระยะหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น  ชุดเกราะ Illumina เมื่อเลือกใช้งานผู้เล่นจะได้คุณสมบัติในการเพิ่มความเสียหายให้กับจุดอ่อนของศัตรู 15% แล้วถ้ากดใช้ท่าพิเศษ [Archon Fury] จะปล่อยคลื่นพลังงานสร้างความเสียหายเล็กน้อย และ เผยให้เห็นจุดอ่อนของศัตรู แล้วเมื่อเราโจมตีใส่ศัตรูบริเวณจุดอ่อนก็จะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม 40% และความเสียหายจะเพิ่มขึ้นอีก 40% เมื่อผู้เล่นโจมตีบริเวณจุดอ่อนทุกครั้งที่เราทำให้ศัตรูติดสถานะกระเด็น หรือ Deathblow สำเร็จ เป็นต้น โดยชุดเกราะ “Valorplate” ผู้เล่นจะสามารถปลดล็อคได้ครบทั้ง 12 ชุดเมื่อเล่นจบเนื้อเรื่องหลักแล้วดังนั้นอยู่ที่เราอยากจะเล่นสายไหนก็เลือกชุดเกราะให้เหมาะสมก็เพียงพอแล้วค่ะ  กราฟฟิกที่ทำออกมาดีเยี่ยม! แม้ว่าสเปกเครื่องจะไม่สูงก็ตาม ด้วยความที่ตัวเกม Godfall ทางทีมผู้พัฒนาเกม Counterplay Games ได้เลือกใช้ “Unreal Engine 4” ก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่กังวลว่า “คอมพิวเตอร์ของตนเองไม่ได้สเปกสูงจะสามารถรันเกมนี้ได้เต็มประสิทธิภาพไหม!?” ผลจากการทดสอบคอมพิวเตอร์ของเกวลินคือ CPU ใช้ i7-8700K ส่วน Ram 32GB. และ GPU ใช้ NVIDIA GeForce GTX 1660 Super ปรับกราฟฟิกสูงสุดความละเอียด 1080p ได้เฟรมเรตอยู่ที่ 59 - 110fps นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพึ่งพอใจเลยค่ะ เพราะจากที่คำนวนแล้วสเปกที่ใช้เล่นอยู่ในขั้นแนะนำนั่นเองค่ะ รายละเอียดกราฟฟิก แสง สี ของเกม Godfall ทำออกมาได้ดีไร้ที่ติ แต่ในช่วง Day One ตัวเกมก็มีปัญหาเรื่อง Bug ต่าง ๆ เกี่ยวกับการแสดงผลที่เยอะพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเล่นออนไลน์กับเพื่อนจะพบปัญหาเกี่ยวข้องกับเฟรมเรตที่ลดลงจากตอนเล่นคนเดียวอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ก็ต้องยอมใจทีมผู้พัฒนาเกมที่มีการออกแพทช์อัปเดตแก้ไขปัญหาเรื่องการแสดงผลกราฟฟิก และ เฟรมเรตผิดพลาดเหล่านี้อยู่ 2 - 3 รอบอย่างไรก็ตาม ส่วนใครที่รอเล่นบนเครื่องเกม PlayStation 5 บอกเลยว่าจากการที่ไปส่องเพื่อนที่เขามีเครื่องก็ตอบกลับมาว่า “กราฟฟิกสวยงาม เฟรมเรตนิ่ง การแสดงผลดีเยี่ยม แต่ก็มี Bug มากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ” สรุปคือดีงาม! สรุป สรุปแล้วความคุ้มค่าในการซื้อเกม Godfall มาเล่นในช่วงเวลาแบบนี้เกวลินก็ตอบได้คำเดียวว่า “คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแน่นอน!” อาจจะเพราะว่าเราไม่ค่อยเห็นเกมทำนองแบบนี้ออกมาให้เราได้เล่นกันมากนัก ตัวเกมมอบความสนุก ตื่นเต้น และ ความท้าทายให้กับผู้เล่นไม่ว่าจะเล่นคนเดียว หรือ เล่นออนไลน์กับเพื่อน ๆ เพราะเมื่อเราเล่นโหมด Hard ความยากที่เพิ่มขึ้น ข้อจำกัดที่ท้าทายผู้เล่นในทีม มันเลยทำให้เราและเพื่อนจะต้องสามัคคีกันไม่งั้นก็ไม่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ แล้วความคุ้มค่าที่เกวลินมองเห็นก็คือ “คอนเทนต์หลัง End Game” มีอะไรให้เราได้ทำเพียบเลยค่ะ เมื่อเราเล่นจบเนื้อเรื่องก็ยังมีการเก็บเลเวลเพื่อไต่ระดับขึ้นไปจุดสูงสุดคือ Level 50 แต่กว่าจะไต่ไปถึงระดับนั้นได้เราก็จะต้องเผชิญหน้ากับ “Tower of Trials หอคอยแห่งการทดสอบ” สถานที่แห่งนี้จะให้เราต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งออกตามหาอาวุธในตำนานที่ซ่อนอยู่เพื่อกลับไปล้างบางบอสที่แข็งแกร่งบนหอคอยแห่งการทดสอบในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งตอนนี้ที่ทำสถิติได้คืออยู่ที่ชั้น 11 เท่านั้นค่ะ หลังจากนี้ลำบากพอตัวเพราะศัตรูที่เยอะขึ้น และ แข็งแกร่งเกินที่จะต่อกรได้ไว รวมไปถึงคอนเทนต์อื่น ๆ ภายในเกมที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดเลื่อนขั้นอาวุธที่ต่อให้เราไม่มีอาวุธในตำนานก็ให้หาอาวุธชิ้นที่ต้องการ จากนั้นก็เลื่อนขั้นไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นระดับสูงสุดได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้มันก็จะมีการสุ่มออกชั่นของอาวุธก็ขึ้นอยู่กับเพื่อน ๆ ว่าจะได้ออฟชั่นตรงกับอาวุธที่เลื่อนขั้นหรือเปล่า แม้ว่าตัวเกม Godfall ส่วนตัวเกวลินจะมองว่ามันคุ้มค่าเพียงใดก็ตาม จุดบอดของเกมก็มีให้เห็นเหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ที่บทเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ขั้นแย่พอสมควร ฉากคัตซีนสวย ๆ ที่เราเห็นในตัวอย่างจะมีแค่ช่วงเริ่มต้นเกมเท่านั้นค่ะ ที่เหลือก็จะเป็นฉากคัตซีนที่ทำขึ้นมาผ่าน Unreal Engine 4 แล้วที่หนักที่สุดตัวเกมก็ยังมี Bug ให้เราได้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ อีกด้วย โชคยังดีที่ทีมงานมีการเก็บข้อมูลจากผู้เล่นที่มีการแจ้งปัญหาไปแล้วก็ออกแพทช์แก้ไขยกตัวอย่างแพทช์ Day One ที่มีขนาดไฟล์ 25GB. เรียกว่าครึ่งหนึ่งของไฟล์เกมกันเลยค่ะ แล้วอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจจะทำให้เกมเมอร์หลายคนไม่สบายใจก็คงจะเป็นเรื่องของราคาที่จัดอยู่ในระดับที่ “แพงหูฉีก!” เพราะขนาดแพ็คเกจ Standard Edition ยังราคาประมาณ 1,700 บาท แล้วถ้าจะให้คุ้มค่ายังไงก็ต้องซื้อตัวเกมพร้อมเนื้อหาเสริม [DLC] ที่ราคาจะอยู่ประมาณ 2,260 บาท ด้วยราคาเกมขนาดนี้กับคอนเทนต์ที่บางคนอาจจะมองว่า “มันน้อยไปหน่อย!” ซื้อเกมอื่นอาจจะคุ้มค่ากว่า เกวลินก็มองว่าเห็นด้วยค่ะ เพราะถ้าซื้อมาเล่นคนเดียวมันไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อมาเล่นกับเพื่อนรวม ๆ แล้วมันก็ถือว่าเป็นเกมที่น่าเสียเงินซื้อมาเล่นได้อยู่ อีกทั้งตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นว่าทางทีมผู้พัฒนาเกม Counterplay Games จะตัดสินใจให้เกม Godfall สามารถเล่นข้ามแพลตฟอร์ม [Cross-Platform] ระหว่าง PC กับ PlayStation 5 หรือเปล่า!? เพราะถ้าทำได้จริงก็จะช่วยทำให้เกมนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น แล้วยิ่งให้เกมนี้เป็นตัวชูโรงในช่วงแรกของการโปรโมทเครื่องเกม PlayStation 5 ด้วยแล้วถ้าทำระบบนี้มันก็จะตอบโจทย์ผู้เล่นได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ น่าเสียดายที่ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย สุดท้ายใครที่สนใจอยากจะเล่นเกมนี้แพลตฟอร์ม PC สั่งซื้อได้แล้วที่ Epic Games ส่วนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 ก็วางจำหน่ายบน PlayStation Store ได้แล้ววันนี้ค่ะ [penci_review id="72743"]
19 Nov 2020
[รีวิว] Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact จะรอดหรือจะร่วง?
หลังจาก Poco X3 NFC ออกสู่วางตลาดไปได้ไม่นาน ก็นับว่าเป็น Smartphone ที่แทบจะตบหลายยี่ห้อกันเลยทีเดียวทั้งสเปคต่อความคุ้มค่าคุ้มราคาและตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดีสมกับค่าตัวของมัน และคนเขียนเองก็ได้เป็นหนึ่งในเจ้าของเครื่องนี้ด้วยเช่นกัน บทความนี้เราจะไม่ได้มาเน้นรีวิว Smartphone เครื่องนี้เป็นหลักเพราะคงจะทราบถึงสเปคและประสิทธิภาพเครื่องนี้กันมาพอสมควรแล้ว แต่เราจะมารีวิวเฉพาะทางด้วยการนำ Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact ที่เป็นเกมแนว Action RPG Openworld เพื่อทดลองว่าโทรศัพท์ยี่ห้อนี้เหมาะหรือคุ้มค่ากับการเอามาเล่นเกม Genshin Impact หรือไม่ เราไปดูกัน ================================================== มาทำความรู้จักสเปคคร่าวๆ และตัวแพคเกจกันก่อน ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อเรื่องหลัก ก็ขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวแพคเกจและสเปคโดยรวมของมันเสียหน่อย ซึ่งทางเราได้ซื้อตัวรุ่น Ram 6GB / Rom 128GB สีน้ำเงิน หรือตัวบนสุดของ Poco X3 NFC ในราคาเจ็ดพันต้นๆ โดยลักษณะกล่องจะเป็นสีดำด้านตัดกับตัวอักษรสีเหลือง พอเปิดฝากล่องก็จะมีแพคเกจเป็นกล่องสีเหลืองคร่อมอีกชั้นทำให้ตัวแพคเกจดูแข็งแรง ปลอดภัยเรื่องแรงกระแทกอย่างแน่นอน ในตัวแพคเกจที่มีมาให้หลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย ตัวโทรศัพท์ Poco X3 NFC หนึ่งเครื่อง เคสพลาสติคใส ตรงมุมจะแข็งกว่าปกติ หัวชาร์จแบบ Fast Charge 33W สาย USB Type-C to Type A หนึ่งเส้น ( สายชาร์จนั้นแหละ ) เข็มถาดจิ้มช่อง SIM คู่มือและใบรับประกันต่างๆ แพคเกจที่แถมมาให้ก็นับว่าเยอะพอสมควร ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปตามมาตรฐาน ส่วนการจับรู้สึกว่ากระชับมือ แต่ทว่าน้ำหนักตัวของมันดูหนักไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้มากมายอะไร อาจจะเป็นเพราะตัวแบตเตอร์รี่ที่ให้มาเยอะมากๆ ก็ถือว่าหักล้างขอเสียเรื่องน้ำหนักไปได้ ส่วนในด้านสเปคเครื่องโดยคร่าวๆ ก็มีรายการดังนี้ สเปคข้อมูลสำคัญ (สำหรับการทดลองเล่นเกม Genshin Impact) CPU: Qualcomm Snapdragon 732G แกน 8 หัว 2.3Ghz GPU: Adreno 618 มีซิงค์ระบายความร้อนด้วยเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus หน้าจอใหญ่ 6.67 นิ้ว ความละเอียดจอเป็น FHD+ แบบ IPS ค่า Refresh Rate 120Hz Touch Sampling 240Hz Ram ขนาด 6GB แบบ LPDDRX4 ความจุ 64GB/128GB แบบ UFS 2.1 (ทางเราซื้อตัว 128GB มา) แบตเตอรี่ 5160mAh, รองรับการชาร์ตด่วนที่ 33W สเปคข้อมูลส่วนอื่นๆ (ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเล่นเกมแต่เขียนไว้สำหรับผู้สนใจ) รองรับเทคโนโลยี 4G LTE ถาด SIM รองรับ 2 ถาด และรองรับ Micro SD Card สูงสุด 256GB ลำโพงคู่ รองรับ Hi-Res Audio ( ออกตรงลำโพงด้านทายเครื่องและตำแหน่งลำโพงรับสาย ) ช่องหูฟังแบบ 3.5 mm รองรับ USB Type-C รองรับสแกนลายนิ้วมือตรงปุ่ม Power มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP53 กล้องหลังหลัก 64MP, อัลตร้าไวล์ 13MP, เลนส์มาโคร 2MP, เลนส์ Depth 2MP รวมทั้งหมด 4 ตัว กล้องหน้า 20MP ระบบปฏิบัติการณ์ Android 10 ครอบด้วย MIUI 12 for POCO รองรับเซนเซอร์ต่างๆ 8 อย่าง รองรับ NFC ซึ่งหากพูดด้วยสเปคแล้วขอบอกเลยว่า โห...สเปคจัดเต็มมากกับราคาที่จ่ายไป แต่ก็มีจุดที่แอบกังวลใจบางอย่างนั้นก็คือ เทคโนโลยี ROM ที่ยังคงใช้ UFS 2.1 อยู่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งถ่ายข้อมูลแบบเก่าอยู่ แต่จะขอพูดถึงรายละเอียดส่วนนี้ในหัวข้อต่อๆ ไป และหลังจากนี้จะเป็นการรีวิวเจ้า POCO X3 NFC เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม Genshin Impact เท่านั้น ================================================== การเปิดเกมครั้งแรกที่ทั้งชอบและไม่ชอบใจ โดยทางนี้จะใช้แอพ Game Turbo ของตัว Poco X3 เพื่อรีดประสิทธิภาพและบูสขุมพลัง CPU ภายในตัวเครื่องให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากนี้ยังสามารถตั้งค่าไม่ให้ใครมารบกวนเช่นปิดการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการบล็อคการโทรเข้าชั่วคราวเพื่อไม่ให้ใครหงุดหงิดใจ แต่เราเลือกที่จะไม่บล็อคเพราะอยากรู้ว่าเวลาแจ้งเตือนหรือ Headchat จาก Facebook จะส่งผลต่อเครื่องหรือไม่ และเราจะเริ่มต้นจากแบตเตอรี่ที่ 100% หรือ 5160 mAh เต็ม ส่วนที่ชอบสิ่งแรกที่ได้เจอเลยคือ ตัว Game Turbo สามารถปรับแสงและสีของตัวหน้าจอให้เข้ากับสายตาเพื่อถนอมสายตาของเราหรือปรับให้เหมาะกับสภาพแสงโดยรอบตอนเล่นเกมให้มากที่สุด โดยจะมีโหมดเพิ่มความสว่างโดยจะทำให้ภาพดูสว่างนวลขึ้นไม่แสบตา, ภาพแบบอิ่มสีก็คือจะทำให้ภาพดูสีสดใสมากขึ้น หรือจะปรับภาพให้แสดงผลทั้งสองอย่างด้วยกันซึ่งมันก็จะกินแบตเตอรี่ด้วย...แน่นอนว่าไหนๆ มาทรมานเครื่องแล้วก็ต้องเปิดการแสดงภาพแบบสว่างและอิ่มสีอยู่แล้ว และจุดนี้ก็ถือเป็นจุดที่เป็นข้อติจุดใหญ่ๆ จุดแรกเลยก็คือหลัง Log in เข้าไปแล้วมันโหลดเข้าเกมช้ามากๆ ราวๆ 40 วินาทีถึง 1 นาทีโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับว่าเล่นครั้งล่าสุดเราอยู่ในเมืองหรืออยู่นอกเมือง โดยมันจะคาไว้ที่ไอคอนธาตุน้ำแข็งสักพักใหญ่ๆ กว่าจะเข้าหน้าเกมได้ ซึ่งเหตุผลตรงนี้มีข้อเดียวคือ ตัวอ่านหน่วยความจำภายในเครื่องยังคงใช้ UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่า การอ่านเขียนข้อมูลดึงข้อมูลจากในเกมจะทำได้ช้ากว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มมาใช้ UFS 3.0 ขึ้นไปแล้ว แต่หากเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าพอรับได้ เว้นแต่ว่าเป็นเกมเมอร์สายใจร้อนก็อาจจะนั่งเซ็งกันสักหน่อย กราฟิคเปิดสุดไม่ต้องยั้ง พังหรือไม่เดี๋ยวรู้กัน เมื่อเข้ามาหน้าตั้งค่าการแสดงผลแล้ว ค่าเดิมๆ ของมันถูกปรับให้เป็นคุณภาพต่ำ อันนี้เราจะแสดงกันให้เห็นชัดๆ เลยว่าเราเปลี่ยนมาเปิดสุดจริงๆนะ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงกราฟิคเล็กน้อยในส่วนของหัวข้อ FPS ที่เดิมๆ มันตั้งไว้ 30 FPS เราเปลี่ยนให้มันเป็น 60 FPS แล้วมาดูกันว่าเล่นไป 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดกี่เปอเซ็นต์และเครื่องจะรีดประสิทธิภาพไหวไหม ภาพนี้จะเป็นหลักฐานยืนยันชัดๆ อีกทีว่าเราเริ่มเล่นช่วงแบตเตอรี่ 100% เต็มและจะเล่นต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงเพื่อทำการทดลองโดยมีน้อง Sucrose ที่แสนน่ารักและนุ่มนิ่มมากจะมาเป็นผู้ช่วยในครั้งนี้ แต่ว่าพอหลังตั้งค่าเสร็จ ภาพก็ดีเนียนดูสวยนะ แต่ก็อาจจะยังไม่เนียนไม่สวยเท่ากับโทรศัพท์ระดับสูงๆ เสียเท่าไหร่ หืมมมม....หลังจากนี้จะเป็นการทดลองภาคสนามกันแล้ว ช่วงเวลาการถ่ายทำจะไม่ตรงกันในแต่ละภาพที่จะได้เห็นก็จริงแต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่าสถานะการณ์ต่างๆ และผลทดลองที่ได้ยังคงอยู่ภายในหนึ่งชั่วโมงการทดลองจ้า ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Monstadt ตอนนี้เราได้ทำการออกเดทกับน้อง Sucrose เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตที่ทำออกมาได้โดยปรับการตั้งค่าให้สูงสุด โดยพาไปเดินเล่นช่วงนอกเมือง Monstadt ก็ได้เห็น CPU ใช้ไปโดยเฉลี่ย 55% แต่ GPU แทบจะวิ่งเต็ม 100% เกือบตลอดเวลา เพราะว่าเราได้ดึงประสิทธิภาพของตัว Snapdragon 732G อย่างเต็มที่ของมันแล้ว ซึ่งโดยรวมค่าเฟรมเรตที่ทำได้จะอยู่ในช่วง 45 ถึง 55 เฟรมเรต ถือว่าเคลื่อนไหวได้ราบเรียบมากๆ จากนั้นก็ได้พาน้อง Sucrose ทำการทดลองด้วยการลงภาคสนามกับเหล่า Slime หินผู้โชคร้ายว่าเวลาต่อสู้เฟรมเรตจะเป็นอย่างไร ผลที่ออกมาก็ตามคาดคือ FPS ร่วงลงมา โดยต่ำสุดอยู่ที่ 30 FPS ไม่ต่ำกว่านั้น มีแกว่งๆ ขึ้นไป 40 FPS บ้าง โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 35 FPS ทีนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมายังตัวเมือง Monstadt กันบ้างซึ่งหากเราเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเลย จะแทบกระตุกช่วงพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งเป็นเพราะระบบการถ่ายโอนข้อมูลยังคงเป็น UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่านั้นเอง ราวกับว่าต้องใช้เวลาโหลดฉากนิดหนึ่งอะไรประมาณนั้น ตอนนี้น้อง Qiqi ก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) เราเลยใจอ่อนยอมเปลี่ยนตัวให้ Sucrose ไปพักเหนื่อยบ้าง ต้องขอบอกก่อนว่าพอเราอยู่ในเมืองค่าเฟรมเรตที่ได้จะตกลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ค่า GPU กลับใช้พลังงานน้อยลงเป็นนัยยะสำคัญเช่นกัน โดยค่าเฟรมเรตที่ทำได้ ไม่ต่ำกว่า 25 FPS และสูงสุดไม่เกิน 40 FPS มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 FPS ซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหงุดหงิดใจนัก ยังคงพอรับได้ บังคับได้ลื่นไหลพอสมควร หลังจากนี้เราก็เอาทีมคณะผู้ช่วยไปบวกกับ Boss หมาป่า Adrius ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่มันมาก เพราะการต่อสู้ลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้กวนใจแต่อย่างใดเลย FPS เฉลี่ยที่ทำได้คือ 40 FPS ถือว่าทำออกมาได้ดีมากสำหรับ Poco X3 แม้จะต้องเจอกับเอฟเฟคเยอะๆ ก็ตามที ที่สำคัญ การควบคุมตอบสนองดีมาก ไม่มีอาการหลุดการควบคุมหรือหลอนเลยเพราะตัว Touch Sampling ที่มีมากถึง 240Hz ทำให้การตอบสนองต่อการกดนั้นไวมากๆ และแม่นยำมากๆ แม้ว่าเราจะติดฟิลม์กระจกอย่างหนาก็ตาม ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Liyue ทีนี้เราพาน้อง Sucrose มาเปลี่ยนบรรยากาศมาที่เขต Liyue กันบ้างโดยเริ่มจากเขตนอกท่าเรือ Liyue ที่เต็มไปด้วยผาน้อยใหญ่ บรรยากาศให้ความรู้สึกอยู่ในพื้นที่แฟนตาซีหนังจีนกำลังภายใน ผลการทดสอบของ CPU ก็ใช้พลังงานมากขึ้นนิดหน่อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 55% และ GPU ก็ยังเต็มเกือบ 100% มีบ้างบางช่วงที่ตกลงมาที่ 85% โดยเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้จะอยู่ประมาณ 45 FPS เหมือนกัน ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเขตนอกเมือง Monstadt เท่าไหร่นัก ส่วนในฉากต่อสู้ทั่วๆ ไปนั้นก็ยังลื่นไหลไม่ต่างเขตนอกเมือง Monstadt เช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 FPS ไม่ต่ำกว่า 30 FPS อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่าช่วงที่ถ่ายทำนั้นมีผลเท่ากันจึงเลยไม่ได้ตัดสินใจถ่ายช่วงต่อสู้เพื่อความกระชับของเนื้อหา จากนั้นก็ลองพาเข้ามายังท่าเรือ Liyue ด้วยการเทเลพอร์ตดูบ้าง โดยงานนี้น้อง Klee โลลิที่น่ารักของผองเราก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) พอเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเท่านั้นแหละ กระตุกหนักกว่าอยู่ในเมือง Monstadt อีก แต่สักพักใหญ่ๆ ก็กลับมาลื่นเป็นปกติ เหตุผลก็เพราะว่าระบบถ่ายโอนข้อมูล UFS 2.1 เช่นเดิม และด้วยเมือง Liyue มี Object ที่เยอะมากอยู่แล้วไม่แปลกใจที่โหลดฉากไม่ทันและกระตุก แต่อย่างน้อยก็กลับมาลื่นปกติโดยปล่อยไว้สักพัก ส่วนเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้อยู่ที่ 30FPS ต่ำสุดคือ 25FPS ซึ่งอยู่ในเขตเมืองก็ยังพอโอเคไม่มีปัญหาอะไรขนาดนั้น คราวนี้ก็มาถึงช่วงทีเด็ดของเรานั้นคือลุยภาคสนามไปตบตีกับ Tatarglia "Childe" แห่ง Fatui กัน ซึ่งบอกเลยว่าถึงจะเจอฉากอลังการงานสร้างตั้งแต่ Phase แรกของการต่อสู้เฟรมเรตที่ทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 45FPS ต่ำสุดอยู่ที่ 30FPS จัดว่าดีงามมากๆ เลยนะ ช่วง Phase ที่สองของการต่อสู้ ลูกเล่นของเจ้า Childe ก็เยอะขึ้นแต่ด้วยตัว Touch Sampling 240Hz ทำให้ตอบสนองได้ไว การใช้ Beidou ในการต่อสู้หรือกดสกิลสวนกลับต่างๆ รวมถึงการกดสับตัวเพื่อใช้สกิลก็ทำได้รวดเร็ว คล่องมือมากๆ เฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้ยังคงได้ดีอยู่ที่ 40FPS ไม่กระตุกหรือแลคแต่อย่างใด พอเข้าสู่ช่วง Phase ที่สามของการต่อสู้ ชากคัตซีนดูเนียนตาและลื่นมากๆ ทำเฟรมเรตแตะไปที่ 55FPS พร้อมกับเสียงลำโพงคู่ที่กระหึ่มได้ใจในช่วงที่ Childe ได้ใช้พลังขั้นสุดยอด เอาซะเราขนลุกเลยทีเดียว พอตัดฉากมาช่วงต่อสู้ค่าเฟรมเรตที่ทำได้ยังคงอยู่ที่ 40FPS โดยเฉลี่ย แน่นอนว่าการตอบสนองการทำอะไรต่างๆ ยังคงลื่นๆ สบายๆ หลบสกิลหรือต่อสู้กับ Childe ได้สบายหายห่วง...แน่นอนว่ามีน้อง Klee ซะอย่าง สายโลลิระเบิดเขา เผากระท่อมนั้นกลัวผู้ใหญ่ของ Fatui ซะทีไหน...ดู Damage นั้นสิ! สรุปผลจากการเล่นครบหนึ่งชั่วโมงและขอสังเกตุต่างๆ เมื่อเราทำการเล่นครบหนึ่งชั่วโมง จากแบตเตอรี่ 100% ตั้งค่าสเปคในเกมปรับสุด ผลก็คือแบตเตอรี่เหลือ 78% เท่ากับว่าหนึ่งชั่วโมงเราใช้แบตเตอรี่ไปราวๆ 22% โดยเฉลี่ย ถือว่าสูบพลังงานเอาเรื่องจากแบตเตอรี่ที่จุดมากถึง 5160mAh แต่เพราะทั้งนี้ก็มาจาก Engine ที่ใช้พัฒนา Genshin Impact เป็น Unity Engine เวอร์ชั่นเก่า ( เวอร์ชี่นเดียวกับ Honkai Impact ) ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกมนี้กินสเปคเยอะและใช้พลังงานแบตเตอรี่เยอะในเวลาเดียวกัน และก่อนหน้านั้นก็ได้ทำการทดลองเปิดแจ้งเตือนแบบลอยและเปิด Head Chat ของ Facebook Messenger เพื่อดูว่าหากใครทักมาจะเป็นอย่างไร ผลก็คือมีคนทัก Head Chat ปรากฎขึ้น เกมจะกระตุกทันที และกระตุกนานหลายวินาทีก่อนจะกลับมาลื่นอีกครั้ง ส่วนการแจ้งเตือนแบบลอยไม่มีผล ถ้ากำลังตบตีกับศัตรูอยู่แล้วมีใครทักมาก็อาจจะทำให้หงุดหงิดได้บ้างเป็นบางเวลา เหตุผลก็เพราะว่าเกม Genshin Impact บนมือถือก็กิน RAM ไปมากกว่า 3.5GB แล้วซึ่งตัว Poco X3 มี RAM อยู่ที่ 6GB หากเปิดการทำงานส่วนอื่นๆ ก็อาจจะมีการดึงทรัพยากรของ RAM กันเกิดขึ้น และอีกข้อสังเกตุเลยก็คือเรื่องความร้อน พอเราปรับสุดในเกม Genshin Impact พอผ่านไปได้ห้านาที ฝาหลังร้อนเลยจ้า แต่ไม่ได้ลวกมือหรือร้อนจี๋อะไรแบบนั้น เนื่องจากตัวเครื่องมีฮีตซิงค์ที่เรียกว่า LiquidCool Technology 1.0 Plus ซึ่งมันเป็นระบบระบายความร้อนรูปแบบเดียวกันที่ใช้กับ CPU ของตัวคอมพิวเตอร์ โดยการทำงานของมันคือจะมีแท่งเหล็กทองแดงแปะพาดตัว CPU ข้างในแท่งทองแดงจะมีของเหลวนำความร้อนอยู่ ทำให้การนำความร้อนออกจากเครื่องได้รวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเล่นแป๊บเดียวก็เริ่มร้อนมือ แต่ว่ามันก็ไม่ทำให้เครื่องร้อนเกินไป และพอหยุดเล่นเครื่องก็หายร้อนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ================================================== โดยสรุปแล้ว Poco X3 NFC สามารถเล่น Genshin Impact ได้อย่างสบายๆ ถึงจะปรับสุดก็ไม่เคยหวั่น แม้ว่าภาพหรือกราฟิคต่างๆ รวมถึงความลื่นไหลของเฟรมเรตอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับมือถือระดับสูง แต่หากเทียบกับความคุ้มค่าในราคาหลักเจ็ดพันกว่าๆ แล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นมือถือที่สามารถเล่นเกมหนักๆ ได้อย่างดี แม้ว่าเครื่องจะร้อนเร็วไปหน่อยก็ตาม มันก็ไม่ถึงกับลวกมือขนาดนั้น เพราะเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus ที่ระบายความร้อนได้รวดเร็วนั้นเอง หากใครอยากหาซื้อมือถืองบไม่สูงเพื่อเล่น Genshin Impact โดยเฉพาะ Poco X3 NFC ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และหากอยากให้เล่นลื่นๆ ฟินๆ ก็ปรับแค่ระดับกลางๆ ก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์จากเกมนี้มากเกินพอแล้ว และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า Sucrose นั้นเราจองแล้ว หวงนะ! ( ล้อเล่นจ้า )
17 Nov 2020
Assassin’s Creed Valhalla จุดเริ่มต้นของตำนานไวกิงผู้พิชิต
ย้อนกลับไปปี 2017 เกม Assassin’s Creed ได้เปิดตัวภาค Origin ที่ทำให้เราได้เรียนรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวองค์กรนักฆ่า ต่อมาในปี 2018 ภาคต่อของ Odyssey ที่เป็นเรื่องราวหลังจากนั้นในยุคของ กรีก - โรมัน ได้วางจำหน่ายครั้งแรก ครั้งนี้ Assassin’s Creed กลับมาอีกครั้งในภาค Valhalla โดยมีเซ็ตติ่งอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 793 - ค.ศ. 1066 ซึ่งเกมให้เรารับบทเป็นชาวไวกิงสุดแข็งแกร่งจากประเทศ Norway ครับ จากข่าวก่อนหน้านี้ เราได้ทราบว่า Assassin’s Creed Valhalla จะเป็นภาคที่เชื่อมช่องว่างระหว่างเกมภาคแรกๆ กับ 3 ภาคล่าสุดเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้เนื้อเรื่องของภาคนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ และต้องขอบคุณทาง Ubisoft ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ก่อนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้นวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูกันว่า Assassin’s Creed Valhalla มีดีอะไร และยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แอบบอกก่อนเลยว่า เกมนี้ทำได้เหนือความคาดหมายของผมไปหลายส่วนมาก ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ! ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed Valhalla จะเริ่มในปี ค.ศ. 854 (ยุคของเหล่าไวกิง) ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Eivor ชาวไวกิงคนหนึ่งของชนเผ่า Raven ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของ นอร์เวย์ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มเล่าตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ในคืนหนึ่งที่เหล่า Raven กำลังกินดื่มเพื่อฉลองเนื่องในวโรกาสบางอย่างอยู่ จู่ๆ พวกเขาก็ถูกโจมตีจากเผ่า Kjotve ในค่ำคืนนั้น เพื่อที่จะให้ Eivor สามารถหนีรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้ พ่อ กับ แม่ ของเขาได้สละชีวิตของตนเพื่อเปิดโอกาสนั้น และเป็น Siguard พี่ชายต่างสายเลือดที่เป็นคนควบม้าพา Eivor หนีออกมาได้ ภาพจะตัดมาอีกครั้งหลังจากนั้น 18 ปี Eivor ได้พลาดท่าให้กับคนของเผ่า Kjotve อีกครั้ง และกำลังจะถูกจับไปขายเป็นทาส แต่เขาก็ได้ใช้กุญแจมือเหล็กที่ถูกใส่อยู่ให้เป็นประโยชน์ สามารถสู้จนชนะพร้อมทั้งหนีออกมาได้ ในจุดนี้เรื่องราวการล้างแค้นให้พ่อ กับแม่รวมไปจนถึงการพิชิตเกาะอังกฤษของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น (ผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครได้อย่างอิสระจริงๆ ครั้งแรกตรงนี้) อย่างที่ผู้พัฒนาได้กล่าวก่อนหน้านี้ ว่าเนื้อเรื่องของภาค Valhalla จะช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างภาคแรกๆ กับ 3 ภาคหลังที่หายไป ในเนื้อเรื่องหลักของเกม Eivor จะได้พบกับสมาชิก 2 คน จากกลุ่ม Brotherhood (กลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับพระเอก Assassin’s Creed ภาคแรกสังกัดอยู่) ที่ชื่อว่า Basin กับ Hytham โดยพวกเขามีเป้าหมายในการสังหารสมาชิกของ Order of The Ancients ที่อยู่ใน นอร์เวย์ ซึ่งพวกเขายังเป็นคนสอนวิธีใช้ Hidden Blade รวมไปจนถึงเทคนิคการลอบสังหารให้กับ Eivor ด้วย โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้จะไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย และค่อนข้างเป็นเส้นตรง ตัวละครต่างๆ มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ดังนั้นทุกคนน่าจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องของเกมได้ไม่ยาก แน่นอนว่าภาคนี้ยังคงมีระบบ Choice Matter ที่รายละเอียดของเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ตัวเลือกของผู้เล่นเหมือนภาค Odyssey แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงของเนื้อเรื่องหลักอะไรมากมายครับ ส่วนตัวแล้วผมมองจุดนี้เป็นข้อดี เพราะมันทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความสนุก พร้อมทั้งเข้าใจเนื้อเรื่องเกมได้ง่าย และช่วยเสริมอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ในเรื่องของกราฟิก คงต้องบอกว่า Assassin’s Creed Valhalla ทำส่วนนี้ออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะในเรื่องของรายละเอียดพื้นผิว (ผมเล่นบน PC ที่เซ็ตติ้ง Very High ครับ) ในเรื่องของแสง กับเงาเองก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน แม้ว่าตัวเกมจะยังไม่สามารถเปิด Ray Tracing ได้ในตอนนี้ แต่กราฟิกที่เกมสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าสวยงามเป็นอย่างมากแล้ว คงต้องบอกว่า "ไม่ผิดหวังที่เป็นเกมซึ่งจะลงให้กับ PS5 กับ Xbox Series X / S ด้วยเลย" ครับ มาพูดถึงการนำเสนอกันบ้าง จุดแรกเลยที่อยากขอชมผู้พัฒนาคือการที่ศึกษาวัฒนธรรมของไวกิงมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน้าตาของสิ่งปลูกสร้าง, การใช้เขาสัตว์เป็นแก้วเหล้า, ลักษณะสีผิว กับสีผมของตัวละคร, การแต่งกาย, การเคลื่อนไหวของ NPC ในขณะล่องเรือ ท่าทางในการวิ่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกเก็บรายละเอียดอย่างดี ทำให้ตอนเล่นเราแทบไม่รู้สึกถึงความผิดแผกไปจากความเป็นจริงเลย มุมกล้องในขณะเดินทางด้วยเรือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมอยากจะขอชมผู้พัฒนาเกมนี้ครับ Assassin’s Creed Valhalla จะมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนมุมมองของกล้องไปใช้แบบ Panorama View ได้เวลาที่เรากด Auto Travel ซึ่งมันช่วยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่น่าสนใจขณะล่องเรือไปตามแม่นำของอังกฤษครับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลยครับ หนึ่งจุดที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย คือความซ้ำซากของอาคารบ้านเรือนที่เจอในเกม โดยสามารถรับรู้ได้เลยว่าเป็นโมเดลที่ถูกเอามาใช้ซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ว่าเราไปที่เมืองไหนอาคารเหล่านี้ก็จะโผล่มาให้เราเห็นแล้ว เห็นอีก ซึ่งในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ แต่พอเห็นอาคารเดิมๆ บ่อยครั้ง มันก็คงช่วยไม่ได้ที่ผู้เล่นจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับอยู่ในโลก Deja Vu ตลอดเวลา (บ้านที่พบใน นอร์เวย์ กับ อังกฤษ ที่ใช้โมเดลเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว Longhouse ไม่จำเป็นต้องเป็นทรงนี้ก็ได้ครับ) อีกหนึ่งข้อเสียที่พบได้ในขณะที่เล่น คือเรื่องสีหน้าของตัวละครครับ ในฉากแบบ Close up ที่เป็นการพูดคุยระหว่างตัวละครตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่พอเป็นฉากมุมกว้าง อย่างเวลาล่องเรือ หรือพูดคุยกันลอยๆ การแสดงออกทางสีหน้าของตัวละครถือว่าเลวร้ายมาก ชนิดที่เสียงพากย์กับสีหน้าดูไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันเลย เล่นบางครั้งก็ปรับอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกันครับ สุดท้ายคือในเรื่องของอนิเมชั่น ที่ดูจะยังทำออกมาได้ไม่ดีครับ เนื่องจากหลายครั้งที่การขยับของตัวละครจะแข็งกว่าที่มนุษย์ควรจะเป็น การยกแก้วที่ไม่น่าจะทำให้กินน้ำได้ บางครั้งหนักถึงขนาดที่แขน หรือขาของตัวละครสามารถวาร์ปตำแหน่งได้เลยทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้รวมถึงอนิเมชั่นที่ศัตรูแสดงออกมาหลังจากโดนโจมตีด้วย แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลในตอนเล่นอะไรมากมายนัก แต่ก็อดขัดใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นครับ [caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="1024"] การยกแก้วเหล้าที่ไม่สมจริง[/caption]   ◊ เกมเพลย์ ◊ Assassin’s Creed Valhalla จะใช้ระบบหลักของเกมเป็นแบบ RPG ดาเมจที่เราสามารถทำได้จะขึ้นอยู่กับค่าสเตตัสทั้งหมด นั้นจึงหมายความว่าถ้าหากค่าสถานะต่างกันมากๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าอีกฝ่ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว (รวมถึง Stealth Attack ด้วย) ระบบนี้จะมีข้อดีคือทำให้การต่อสู้สนุกมากขึ้น โดยเฉพาะการต่อสู้จะท้าทายมากขึ้นถ้าหาก ศัตรูมีค่าสถานะที่สูงกว่า ยิ่งเซ็ตติ้งที่ตัวละครเราเป็นชาวไวกิงซึ่งชอบความท้าทายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ได้รับความสนุกที่มากขึ้นตามไปด้วยครับ เชื่อว่า Hidden Blade Instant Kill ที่กลับมาในภาคนี้ น่าจะสร้างความสนใจให้กับแฟนเกมหลายคน ผมบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ Instant Kill ได้ตลอดหรอกครับ ถ้าหากว่าสเตตัสของเรากับอีกฝ่ายต่างกันมากๆ  จริง (แบบเรา 20 อีกฝ่าย 80) มันจะกลายเป็นการโจมตีที่ไม่ใช้ครั้งเดียวตายไป แต่ทำจะดาเมจให้กับอีกฝ่ายเยอะมากๆ แทน (เกือบๆ ครึ่งหลอด) โดยถ้าหากใช้กับตัวที่มีเลเวลใกล้ๆ กันยังไงก็ทีเดียวตายแน่นอนครับ ซึ่งก็มันไม่ได้ทำยากอะไรมากมายด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของเกมจะให้เราวิ่งเข้าไปสู้กับอีกฝ่ายตรงๆ มากกว่าเท่านั้นเอง ต่อมาคือในเรื่องของความยาก ผมชอบภาคนี้ตรงที่เราสามารถเลือกความยากในระบบเกมเพลย์ต่างๆ ได้อย่างละเอียด โดยความยากที่ผู้เล่นเลือกได้จะมี 3 อย่างด้วยกันคือ ความยากในการสำรวจ ความยากในการต่อสู้ ความสามารถในการตรวจจับของศัตรู (ข้อนี้ส่งผลต่อการ Stealth โดยตรง) การมีระบบแบบนี้ ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกระดับความยากที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันจะช่วยให้เราสามารถได้รับความสนุกจากตัวเกมได้อย่างเต็มที่ และไม่ยากเกินไปสำหรับบางคน ในจุดนี้ต้องยอมรับเลยว่าคิดเพื่อมาได้ดีจริงๆ ครับ ในเรื่องของเกมเพลย์การสำรวจ ภาคนี้ยังคงเป็นแบบ Open World เหมือนกันภาคก่อนๆ แต่เนื่องด้วยการเดินทางเข้าตีเมืองต่างๆ ของอังกฤษชาวไวกิงมักจะทำกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมันเลยทำให้เกมเพลย์ส่วนใหญ่ของภาคนี้ให้ความรู้สึกที่เหงาน้อยกว่าภาคที่ผ่านๆ มา เนื่องจากไม่ว่าเราจะไปโจมตีเมืองไหน ก็จะมีเพื่อน NPC ที่เป็นชาวไวกิงเช่นกันไปตีเมืองเหล่านั้นกับเราด้วย ยิ่งตอนที่กู่ร้องตะโกน เวลาจะเข้าตีเมืองพร้อมๆ กันนั้น ยิ่งเป็นอะไรที่สร้างความคึกได้เป็นอย่างดีเลยครับ ได้ชื่อว่าเป็น Assassins Creed หนึ่งในระบบที่ผมไม่ชอบเลย และมันยังคงมีอยู่ในภาคนี้ คือในเรื่องของการที่บังคับให้เราปืนขึ้นไปที่สูงๆ เพื่อปลดล็อกจุด Fast Travel ครับ คือไม่ว่าคิดยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หลายๆ ครั้งรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่าสนุกด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าจุดที่ต้องไปปีนอยู่นอกเส้นทางของเควสมากๆ และมันไม่มีจุดให้เรา Fast Travel อื่นๆ เลยในละแวกนั้นด้วยแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากการโดนบอก "อยากกลับมาตรงนี้ก็ไปปีนเสาดังกล่าวเสียสิ" เลยครับ มาพูดถึงระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจกันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมคิดว่าทำออกมาได้น่าสนใจดี คือการให้เราไปหาทรัพยากร มาสร้างบ้านในค้ายที่ตั้งรกรากอยู่ครับ โดยทรัพยากรดังกล่าวสามารถหาได้จากการล่องเรือไปยังเมืองต่างๆ แล้วปล้นมา มันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้เป็นไวกิงในยุคบุกอังกฤษจริง เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว เหล่าไวกิงก็ทำแบบนี้จริงๆ ตอนตีเกาะอังกฤษครับ การสร้างบ้านต่างๆ ในเมืองของเรายังเป็นตัวช่วยปลดล็อก ระบบอื่นๆ ของเกมด้วย เช่นถ้าสร้างท่าเรือ เราจะสามารถตกแต่งเรือยาวของตัวเองได้, ถ้าสร้างกระท่อมล่าสัตว์จะปลดล็อกเควสล่าสัตว์ในตำนานได้, ถ้าสร้างค่ายทหารจะช่วยให้เราสามารถจ้างชาวไวกิงคนอื่นๆ ที่บุกมายังอังกฤษได้เป็นต้น ระบบเหล่านี้มันช่วยเพิ่มเป้าหมายในการเล่นเควสอื่นๆ ของเกมไปในตัวด้วยครับ สุดท้ายคือในเรื่องของสกิล ซึ่งในภาคนี้สกิลจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ Passive กับ Active โดยสกิล Active นั้นผู้เล่นจะไม่สามารถได้รับมาจากการอัพเลเวล แต่ต้องออกตามหาหนังสือสกิลเหล่านี้ตามส่วนต่างๆ ของโลกในเกม มันจึงส่งผลให้การสำรวจโลกมีความหมายมากขึ้นในภาคนี้ ในส่วนของสกิล Passive ผู้เล่นจำเป็นต้องอัพไปตามแผนที่ดวงดาวของเกมเองเพื่อให้ได้มา ดังนั้นความเป็นไปได้ในการอัพสกิลของภาคนี้จึงหลากหลายกว่าที่ภาคที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างมาก โดยจากจุดเริ่มต้นจะมี 3 เส้นทางให้เราเลือก คือ Passive ที่เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยอาวุธระยะประชิด Passive ที่เกียวกับการโจมตีระยะไกล Passive ที่เกี่ยวกับการลอบฆ่า ◊ สรุป ◊ แม้จะไม่ใช้เกมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมาพร้อมกับระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แต่ Assassin’s Creed Valhalla คงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับเกมที่ต้องการผสม RPG กับเกมแนว Stealth เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อีกหนึ่งจุดขายเลยคือการที่ระบบต่างๆ ของเกมต่างช่วยสนับสนุนกันเอง ให้สามารถโชว์ความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ตอนที่เล่นเกมนี้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นชาวไวกิงจริงๆ คงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาประสบความสำเร็จในการสร้างเกมนี้จริงๆ ครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีข้อเสียอีกหลายจุดที่ทำให้จำเป็นต้องหักคะแนนเกมนี้ไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของบัคที่มีค่อนข้างเยอะ และตัวเกมยังกินสเปคสูงมากๆ จนทำให้อาจเล่นได้ลำบากในเครื่องที่ไม่ได้มีสเปคสูงอะไรมากมายด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดว่าเกมนี้ควรมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ครับ แม้ไม่ใช่เกมยอดเยี่ยมที่ต้องหามาเล่นสักครั้งในชีวิตให้ได้ แต่ Assassin’s Creed Valhalla ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ดีมากๆ เกมหนึ่ง ซึ่งควรค่าแก่การหามาเล่นครับ [penci_review id="72200"]
09 Nov 2020
Review: Marvels Spider-man: Miles Morales "ภาคต่ออันใหญ่ยิ่ง ของเกมฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่"
แม้ว่าภาคก่อนหน้าจะเพิ่งวางจำหน่ายไปได้ไม่นาน แค่ราวๆ สองปีที่แล้วนี่เอง แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดผู้พัฒนา Insomniac Games ในการพัฒนาภาคต่อ Marvels Spider-man: Miles Morales ออกมาต้อนรับการมาถึงของคอนโซล PlayStation 5 อีกครั้ง ซึ่งจากความนิยมและคะแนนรีวิวอันสูงลิบลิ่วของเกมภาคแรก ทำให้เกมภาคต่อจำเป็นต้องทำงานหนักแน่นอน เพื่อให้สามารถรับไม้ต่อจากภาคแรกได้อย่างสมศักดิ์ศรี ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นเกม Marvels Spider-man: Miles Morales เวอร์ชั่น PS4 (ขอขอบคุณ Sony Thai สำหรับโค้ดเกม) และต้องบอกเลยว่าเกมนี้ถือเป็นทายาทที่คู่ควรของตำนานไอ้แมงมุม ที่แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ "ใหม่" ซะทีเดียว แต่ก็สามารถรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมของภาคแรกมาได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเกมเพลย์ที่รวดเร็วและลื่นไหล ระบบการโหนใยอันยอดเยี่ยม และกราฟิกที่สวยงามแม้กระทั่งในเครื่อง PS4 Pro ก็ตาม แม้ว่าเนื้อเรื่องของตัวละครหลัก Miles Morales อาจจะไม่ได้เข้มข้นเท่าเนื้อเรื่องของ Peter Parker ในภาคแรก แต่โดยรวมก็ยังต้องบอกว่า Marvels Spider-man: Miles Morales ถือเป็นเกมระดับแนวหน้าที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ติดใจเกมภาคแรก [penci_review id="71902"] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Spider-man: Miles Morales จะดำเนินต่อจากเกม Marvels Spider-man โดยตรง หลังจากที่ตัวละครหลัก Miles Morales ได้เปิดเผยพลังแมงมุมของเขาต่อ Peter Parker โดย Peter ก็ไม่รอช้ารีบรับ Miles เข้ามาเป็นลูกศิษย์ และฝึกสอนทักษะไอ้แมงมุมของเขาไปพร้อมๆ กับการปกป้องนคร New York อันเป็นที่รัก แต่หลังจากเริ่มฝึกไปได้ไม่ทันไร Peter ก็เกิดมีความจำเป็นต้องบินไปยุโรปเพื่อทำงานในฐานะช่างภาพของหนังสือพิมพ์ Daily Bugle เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ทำให้ Miles กลายเป็นไอ้แมงมุมเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ใน New York โดยหลังจากที่ Peter ออกเดินทางได้ไม่ทันไร Miles ก็ถูกลากเข้าไปพัวพันกับสงครามระหว่างบริษัทพลังงาน Roxxon และกลุ่มผู้ก่อการร้าย The Underground ที่นำโดยวายร้ายหน้าใหม่ชื่อ The Tinkerer อีกด้วย ในแง่ของคุณภาพ ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของ Miles Morales ให้ความรู้สึกขาด "น้ำหนัก" ทางอารมณ์ไปบ้างเมื่อเทียบกับภาคแรก ซึ่งปัญหาดูจะมาจาก "Pacing" หรือจังหวะในการเล่ามากกว่าคุณภาพของบทหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามเนื้อเรื่อง โดยถ้าเทียบกับเกมภาคแรกที่ให้เวลากับการพัฒนาตัวละครที่รายล้อม Peter Parker ค่อนข้างเยอะ เนื้อเรื่องของ Miles Morales แม้จะมีตัวละครเสริมหลายตัวที่ใกล้ชิดกับ Miles แต่เกมค่อนข้างจะใช้เวลาอยู่กับตัวเอก Miles เป็นหลักมากกว่า ซึ่งแม้จะไม่ได้แย่หรือทำให้เกมไม่สนุก เพราะเนื้อเรื่องของ Miles เองก็ยังมีจุดที่น่าสนใจของตัวเองอยู่ แต่ก็ขาดความ "อิน" ในแบบที่รู้สึกกับเนื้อเรื่องของเกมภาคแรก ยิ่งไปกว่านั้น การที่ Miles ไม่ได้ต่อกรกับกลุ่มวายร้ายหลายๆ ตัวเหมือน Peter แต่มีวายร้ายหลักเพียงคนหรือสองคน ก็ทำให้สเกลของเหตุการณ์รู้สึก "เล็ก" เมื่อเทียบกับเกมภาคแรก ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับ Miles ในฐานะไอ้แมงมุมฝึกหัด แต่ก็ทำให้รู้สึกด้อยลงกว่าภาคแรกอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเนื้อเรื่องไม่ได้แย่เลย แต่เพราะภาคแรกตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง บวกกับสถานะของ Miles ที่เป็นเพียงไอ้แมงมุมฝึกหัด อาจจะทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาคนี้รู้สึกเหมือนการก้าวถอยหลังจากภาคแรกไปซะหน่อย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย และสามารถทำหน้าที่สร้างแรงขับให้ผู้เล่นได้เรื่อยๆ แน่นอน เกมเพลย์ สำหรับคนที่เคยเล่นเกม Marvels Spider-man อยู่แล้ว น่าจะสามารถเข้าถึงเกมภาค Miles Morales ได้ไม่ยาก เพราะแทบจะเหมือนกันทุกอย่างไม่ต่ำกว่า 90% เลยทีเดียว เกมยังคงใช้ระบบต่อสู้แบบแอคชั่นที่ว่องไว เน้นการหลบหลีกการโจมตีของศัตรูไปพร้อมๆ กับการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและอุปกรณ์หลากหลายชนิด โดย Miles จะได้รับความสามารถหลักๆ ของ Peter มาทั้งหมดเลยเช่นกัน องค์ประกอบหลักที่ทำให้ Miles แตกต่างจาก Peter ไปเลยก็คือความสามารถพิเศษในการสร้างกระแสไฟฟ้าที่เกมเรียกว่า "Venom" นั่นเอง โดยแทนที่จะได้รับอุปกรณ์ยิงใยหลายชนิดเหมือน Peter (Miles จะมีอุปกรณ์ให้ใช้เพียง 4 ชนิด) ลูกเล่นส่วนใหญ่ในการต่อสู้ของ Miles จะอยู่ที่ระบบ Venom แทน โดยเมื่อเราโจมตีศัตรูด้วยท่าโจมตี Venom ต่างๆ จะทำให้ศัตรูติดกระแสไฟฟ้า และทำให้ศัตรูได้รับความเสียหายจากการโจมตีของเราแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งเมื่อเราเล่นเกมไปเรื่อยๆ ก็จะได้รับความสามารถในการติด Venom ใส่ศัตรูได้หลากหลายวิธีมากขึ้น ทำให้เกมเน้นหนักไปที่ด้านการทำคอมโบด้วยทักษะต่างๆ เหมือนเกมแอคชั่นเต็มตัวมากขึ้น และก็จะมีศัตรูบางชนิดที่จำเป็นต้องใช้ Venom เพื่อแก้ทางโดยเฉพาะด้วย จึงอาจจะเรียกได้ว่านี่คือจุดแตกต่างหลักระหว่างเกมเพลย์ของทั้งสองภาคนั่นเอง ความสามารถอีกอย่างของ Miles ที่เพิ่มขึ้นมา คือความสามารถในการล่องหนได้ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในการลอบเร้นและการต่อสู้ โดยแม้จะไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นเกมมากเท่าระบบ Venom แต่ก็เป็นความน่าสนใจที่เพิ่มเข้ามา และทำให้เกมเพลย์ของ Miles และ Peter มีความแตกต่างกันมากกว่าเดิม นอกเหนือไปจากภารกิจเนื้อเรื่อง เกมก็ยังมีภารกิจ/กิจกรรมเสริมอื่นๆ ไม่ต่างจากภาคแรก บางกิจกรรมก็เป็นเพียงการเข้าไปเก็บทรัพยากรณ์เพื่อใช้ในการปลดล๊อคชุดหรือ Mod อัปเกรดตัวละคร ซึ่งตัวกิจกรรมที่มีก็ยกมาจากภาคแรกเกือบทั้งหมดอีกเช่นกัน ซึ่งแม้จะไม่ได้ใหม่ แต่ก็ทำให้เรามีอะไรทำเพลินๆ ตลอดเวลาที่เล่นเกม แต่ด้วยการที่เกมเปลี่ยนจากการมีไม้ตายประจำชุดที่แตกต่างกัน มาเป็นการมี Mod เฉพาะชุดที่ให้เอฟเฟกต์ติดตัวมากกว่า ก็ทำให้ความตื่นเต้นของการพยายามปลดล๊อคชุดใหม่น้อยลงไปบ้าง เพราะไม่ได้ส่งผลแตกต่างต่อการเล่นเกมเท่าในภาคแรก ในภาพรวม Marvels Spider-man: Miles Morales สามารถรักษามาตรฐานเกมเพลย์จากภาคแรกไว้ได้ครบถ้วน โดยแม้ว่าระบบต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Venom หรือการล่องหนจะไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าใหม่หรือเป็นการพัฒนา แต่แค่เป็นความ "แตกต่าง" ระหว่างความสามารถของฮีโร่ทั้งสองมากกว่า ใครที่ชื่นชอบเกมเพลย์จากภาคแรก มั่นใจได้ว่าเกมนี้จะมอบประสบการณ์ระดับเดียวกันให้กับคุณได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย กราฟิก/การนำเสนอ เช่นเดียวกับเกมเพลย์นั้น กราฟิกของ Miles Morales (เวอร์ชั่น PS4) ก็ไม่ได้ต่างจากเกมภาคแรกเท่าไหร่ และยังคงใช้มาตรฐานเดียวกันเกือบทั้งหมดเลย ตั้งแต่กราฟิกของเมือง New York ไปจนถึงหน้าตาตัวละคร อาจจะพัฒนาขึ้นนิดหน่อยในแง่ของแสงสี โดยเฉพาะในฉากคัตซีนสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นอีกเช่นกัน อาจจะเพราะเกมยังคงพัฒนามาจากเอนจิ้นเดียวกันกับภาคก่อนหน้าด้วย ทำให้เกมยังโหลดเร็วพอสมควรบนเครื่อง PS4 Pro แตกต่างกับเกมคร่อม Gen บางเกม (เช่น Watch Dogs: Legion) ที่พอเอามาเล่นบนคอนโซลรุ่นเก่าแล้วกลับทำงานได้ช้ามากๆ ทั้งนี้ แน่นอนว่าภาพในเกมเวอร์ชั่น PS4 ย่อมต้องถูกลดคุณภาพลงจากที่เราเห็นในคลิปตัวอย่างของเกมแน่นอน เพราะภาพที่เอามาใช้น่าจะเก็บมาจาก PS5 มากกว่า ที่สำคัญคือเรื่องของ Ray Tracing ที่ทำให้แสงสีในบางพื้นที่ (เช่นเมื่อโหนใยในเมือง) ดูแบนๆ ไปบ้างเมื่อเทียบกับในวิดีโอตัวอย่างทั้งหลายของเกม แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกมเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เล่นภาคเก่ามาแล้ว (เพราะน่าจะปรับความคาดหวังได้ไม่ยาก) แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงสำหรับคนที่วางแผนจะเล่นเกมใน PS4 แทนที่จะรอเล่นใน PS5 จะได้ไม่ตกใจที่ภาพในเกมไม่ตรงปก สรุปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าต้องพูดถึงมาก เพราะส่วนใหญ่ๆ ก็แทบจะไม่ต่างจากเกมภาคก่อนหน้าเลย สรุป ในภาพรวม เกม Marvels Spider-man: Miles Morales ถือเป็นภาคต่อที่น่าพอใจสำหรับเกม Marvels Spider-man ที่รักษามาตรฐานหลายๆ อย่างเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมกับการนำเสนอระบบใหม่ๆ ที่แม้จะไม่ได้น่าทึ่งหรือตื่นตาตื่นใจอะไรนัก แต่ก็แตกต่างจากภาคเก่ามากพอที่จะทำให้เกมรู้สึกมีตัวตนของตัวเองอยู่ด้วย สำหรับแฟนๆ ของเกม Marvels Spider-man ภาคแรก มั่นใจได้เลยว่า Miles Morales จะทำให้คุณหายคิดถึงเกมภาคแรกไปได้เยอะ และเป็นเกมที่เหมาะเอาไว้เล่นระหว่างรอ PS5 ได้โดยที่ไม่รู้สึกเหมือนเสียอะไรไป   [penci_review id="71902"]
06 Nov 2020
รีวิว Watch Dogs: Legion "ก้าวแรกสู่ Next Gen ของ Ubisoft"
หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกม Watch Dogs: Legion บนเครื่อง PS4 และ PC รวมๆ กันราว 20 ชั่วโมง ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงการเล่นเกมคร่อม Gen อย่าง Assassins Creed IV: Black Flag ในเครื่อง PS3 เมื่อหลายปีมาแล้ว โดยแม้ว่าเกมเพลย์จะไม่ได้ต่างกันกับเวอร์ชั่น PS4 ที่ถือเป็น "Next-Gen" ในสมัยนั้น แต่ประสบการณ์ที่ได้จากเกมทั้งสองเวอร์ชั่นช่างต่างกันเหลือเกิน จากองค์ประกอบที่พัฒนาขึ้นจาก Gen หนึ่งไปอีก Gen หนึ่ง เกม Watch Dogs: Legion (เช่นเดียวกับเกม ACIV: Black Flag ที่กล่าวไป) อาจจะไม่ใช่เกมที่แปลกใหม่หรือหวือหวามากในแง่ของเกมเพลย์พื้นฐาน เช่นระบบต่อสู้ ระบบขับรถ หรือแม้กระทั่งระบบการแฮ๊คกิ้งของเกม ที่แม้จะดีขึ้นจากภาค 2 พอสมควร แต่ก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าเกมอื่นๆ ที่ผ่านมาของค่าย Ubisoft เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้เกมมีความรู้สึกเป็น "Next-Gen" คือเรื่องของกราฟิกและเวลาโหลด ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมบน PS4 และ PC แตกต่างกันอย่างชัดเจน และมีอิทธิพลต่อประสบการณ์การเล่นเกมอย่างมีนัยยะสำคัญเลย (ขอขอบคุณ Ubisoft สำหรับโค้ดเกมเวอร์ชั่น PS4 และ NVIDIA สำหรับเวอร์ชั่น PC) เนื้อเรื่อง Watch Dogs: Legion จะเกิดขึ้นหลังจากเกม Watch Dogs 2 ประมาณหนึ่ง โดยจะติดตามกลุ่มแฮ๊คเกอร์ DedSec สาขาลอนดอน ผู้ซึ่งต้องต่อกรกับองค์กรทหารรับจ้าง Albion ที่ถูกรัฐบาลลอนดอนว่าจ้างให้รักษาความสงบในเมือง หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดครั้งใหญ่ของผู้ก่อการร้าย Zero Day แต่บริษัท Albion กลับฉวยโอกาสนี้ในการเข้ายึดครองเมืองลอนดอนอย่างเต็มตัวด้วยการป้ายสีความผิดให้กับ DedSec พร้อมกับจับกุมประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต่อต้านพวกเขาไปคุมขังอย่างกว้างขวาง ผู้เล่นจะรับบทเป็นสมาชิกใหม่ขององค์กร DedSec สาขาลอนดอน ผู้ซึ่งต้องชักชวนเหล่าประชากรผู้เหลืออดกับอำนาจเผด็จการของ Albion ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้กดขี่ และทำให้ลอนดอนเป็นอิสระจากกลุ่มทหารรับจ้างที่ว่านี้อีกครั้ง   ถ้าให้เปรียบเทียบกับเนื้อเรื่องของเกมภาคที่ผ่านมา Watch Dogs: Legion เปรียบเสมือนจุดกึ่งกลางระหว่างความซีเรียสอึมครึมของเกมภาคแรก และความอารมณ์ดีติดตลกของเกมภาค 2 ซึ่งเป็นสมดุลที่กลมกล่อมกว่าทั้งสองภาคที่ผ่านมามากๆ โดยแม้ว่าเราจะยังมีตัวละครอย่างเจ้า A.I. ฝีปากร้ายประจำกลุ่ม DedSec อย่าง Bagley ที่จะคอบปล่อยมุกแซวผู้เล่นตลอดเวลา แต่เนื้อเรื่องก็ยังพูดถึงเหตุการณ์หนักๆ อย่างการค้าอวัยวะมนุษย์หรือการค้าแรงงานผิดกฏหมายได้พร้อมๆ กัน ซึ่งทำให้เรื่องราวของเกมไม่รู้สึกจริงจังหรือมืดมนมากจนเกินพอดี ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่าชมไม่แพ้กันก็คือการที่เกมสามารถผูกโยงเรื่องราวของเหล่า NPC นิรนามในโลกเข้ากับเนื้อเรื่องของเกมได้ และทำให้ NPC เหล่านี้รู้สึกเหมือนมีความเป็นมนุษย์มาก จากบทสนทนาที่มีเสียงพากย์สำหรับตัวละครทุกตัว ไปจนถึงอุปนิสัยของตัวละครที่แสดงออกมาผ่านบทสนทนากันเองในทีมอย่างเป็นธรรมชาติ หรือการพูดบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจากประสบการณ์ของผู้เขียน NPC ในเกมนี้มีอุปนิสัย หน้าตา และภูมิหลังที่หลากหลายมากๆ (ยังไม่เคยเจอตัวที่หน้าตาซ้ำกันเลย) และความหลากหลายนี้เองก็ช่วยทำให้เนื้อเรื่องมีสีสันกว่าเดิมด้วย ยิ่งเราเชิญชวน NPC เข้ามาร่วมทีมได้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้บทสนทนาระหว่างสมาชิกทีม DedSec ของเรามีชีวิตชีวามากขึ้นไปด้วย นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว WD: L ยังมีเนื้อเรื่องเล็กๆ ของ NPC แต่ละตัว รวมไปถึงเนื้อเรื่องประจำเขต (Boroughs) ต่างๆ ของเมืองลอนดอนอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนพูดถึงความพยายามของเหล่าประชาชนคนเดินดินในการต่อต้านอำนาจของ Albion ซึ่งก็ช่วยเสริมให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนตัวเองและการกระทำของเรามีผลต่อโลกในแบบที่เป็นธรรมชาติมาก แม้ว่าผู้เขียนจะยังไม่ได้เล่นจนจบเนื้อเรื่อง (เนื่องจากได้โค้ดเกมมาค่อนข้างช้า) ทำให้ยังไม่สามารถออกความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องโดยรวมๆ ได้ แต่เท่าที่ผู้เขียนเล่นมา ก็ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องและบทพูดของ Watch Dogs: Legion เป็นการพัฒนาขึ้นจากภาคก่อนหน้าอย่างชัดเจน และเป็นเกม Watch Dogs เกมแรกที่ผู้เขียนรู้สึกสนใจเนื้อเรื่องขึ้นมาจริงๆ เกมเพลย์ ในขั้นพื้นฐานนั้น เกม Watch Dogs: Legion ก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมโลกเปิดสูตร Ubisoft อื่นๆ นัก ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปบนแผนที่อันกว้างใหญ่ของเมืองลอนดอนเพื่อทำภารกิจหลากหลายชนิด เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องและ/หรือเก็บทรัพยากรณ์หรือของตกแต่งไว้สำหรับพัฒนาตัวละครไปเรื่อยๆ โดยระบบการควบคุมเบื้องต้นก็ไม่ได้ต่างจากเกมแอคชั่นบุคคลที่ 3 ทั่วไปนัก ระบบที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดอาจจะมีเพียงระบบต่อสู้มือเปล่า ที่ใส่ความเป็นเกมแอคชั่นแบบเดียวกับ The Witcher เข้าไป โดยผู้เล่นจะต้องคอยหลบหลีกและหาจังหวะสวนกลับการโจมตีของศัตรูตลอดเวลา ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้นประมาณหนึ่ง แถมตัวละครแต่ละชนิดยังมีท่าทางแอคชั่นที่ต่างกัน ทำให้มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของเกมเพลย์และอนิเมชั่นด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะพูดได้เต็มปากว่า WD: L ถือเป็นเกม Watch Dogs ที่ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเกมที่ “ดี” ในภาพรวมได้แค่ไหน จากเกมเพลย์อีกหลายๆ ส่วนที่ยังไม่ค่อยเข้ารูปเข้ารอยนัก อย่างแรกคือระบบการแฮ๊คกิ้ง ที่ยังคงติดๆ ขัดๆ อยู่ไม่ต่างจากเกมภาคเก่า แม้จะมีลูกเล่นใหม่ๆ อย่างการบังคับโดรนก่อสร้างเพื่อบินไปไหนมาไหน แต่โดยรวมก็ไม่ได้ต่างไปจากที่ผ่านมานัก ผู้เล่นจะต้องกระโดดจากกล้องวงจรปิดเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอมุมที่ต้องการในการแฮ๊คเข้าสู่ระบบที่ต้องแฮ๊ค โดยแม้ว่าในบางกรณีที่ต้องทำการแฮ๊คกิ้งในพื้นที่จำกัดจะไม่ได้มีปัญหานัก และยังมีพื้นที่ให้เราใช้การแฮ๊คกิ้งในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ได้ แต่เมื่อเราต้องบุกเข้าไปในอาคารหรือฐานทัพขนาดใหญ่ ก็อดหงุดหงิดไม่ได้เหมือนกัน เมื่อเราเลือกไม่ถูกว่ากล้องวงจรปิดกล้องไหนกันแน่ที่จะมองเห็นมุมที่เราต้องการ และการโดดไปโดดมาอย่างไร้จุดหมายก็ไม่ใช่เกมเพลย์ที่สนุกเท่าไหร่นัก และทำให้การเล่นเกมเหมือนเป็นเกมลอบเร้นบุคคลที่ 3 ธรรมดาๆ กลับรู้สึกสนุกกว่าการแฮ๊คกิ้งจริงๆ อย่างต่อมาคือระบบขับรถของเกม ที่ทำออกมาได้ไม่ค่อยสนุกเอาซะเลย และเผลอๆ อาจจะแย่กว่าที่เคยมีในเกม Watch Dogs ภาคก่อนๆ ด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งมาจากสภาพถนนของกรุงลอนดินที่ค่อนข้างแคบ ทำให้เราไม่สามารถขับซอกแซกผ่านรถอันอืดอาดของ NPC ได้คล่องแคล่วเท่าเกมอย่าง GTA เมื่อนำมาผนวกกับการที่เกมมักจะบังคับให้เราต้องเดินทางข้ามแผนที่ไปมาเพื่อทำภารกิจ ทำให้ประสบการณ์การเดินทางในเกม Watch Dogs: Legion รู้สึกน่าหงุดหงิดรำคาญใจมากๆ แต่ครั้นจะไปใช้ระบบ Fast Travel ที่อ้างอิงจากรถไฟใต้ดินของลอนดอน ก็ยังหนีไม่พ้นความอืดอาดของจราจรในเกม เพราะผู้เล่นจะต้องเดินเท้าเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อปลดล๊อคสถานีรถไฟในเขตเหล่านั้นเสียก่อนถึงจะสามารถ Fast Travel ไปได้ ทำให้ผู้เล่นเหมือนโดนบังคับให้ต้องใช้การสัญจรทางถนนเป็นวิธีการหลักในการเดินทางอยู่ดี ซึ่งสำหรับผู้เขียนถือเป็นจุดอ่อนมากๆ ของเกมนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใช้ระบบ Fast Travel ก็ยังหนีไม่พ้นความหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะเราจะต้องพบกับหน้าจอโหลดเกมทุกครั้งที่เดินทาง หรือกระทั่งทุกครั้งที่เข้า/ออกคัตซีนหรืออาคารบางแห่ง โดยใน PS4 จะต้องเผชิญกับปัญหานี้บ่อยมากๆ จนเรียกได้ว่าทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมแย่ลงไปเลยเหมือนกัน ปัญหาที่กล่าวมาเกี่ยวกับหน้าจอโหลดเกม ทำให้การเล่นเกมบน PC ที่มี SSD (หรือคอนโซล Next Gen ทั้งหลาย) ช่วยทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมดีขึ้นอย่างมาก เพราะความเร็วในการโหลดทำให้ผู้เขียนสามารถใช้ระบบ Fast Travel ได้โดยไม่ต้องรอเกมโหลดเป็นนาทีและทำให้เล่นเกมได้ลื่นไหลมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนความรู้สึกของผู้เขียนไปได้เลย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้พัฒนาตั้งใจออกแบบระบบเกมเพื่อให้เล่นบนเครื่องที่มี SSD แต่แรกเลยหรือเปล่า เพราะมันส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมอย่างใหญ่หลวงมาก อีกหนึ่งข้อตำหนิใหญ่ๆ คือเรื่องของภารกิจเสริม เช่นภารกิจการดึง NPC มาเป็นพวก ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ประเภทเท่านั้น และมักจะวนมาให้เล่นซ้ำๆ กันบ่อยมาก ซึ่งการซ้ำในรูปแบบเฉยๆ อาจจะยังไม่แย่มาก แต่บางครั้งก็ซ้ำไปจนถึงฉากที่จะต้องเข้าไปทำภารกิจเลยด้วย เช่นภารกิจหนึ่งบอกให้เข้าไปขโมยคลิปวิดีโอจากสถานีตำรวจ ส่วนอีกภารกิจหนึ่งให้ไปแฮ๊คระบบรักษาความปลอดภัยของสถานีตำรวจแห่งเดียวกัน โดยการที่เราต้องวนเวียนทำภารกิจเดิมๆ ในสถานที่เดิมๆ ก็ทำให้เบื่อหน่ายไปได้เร็วเหมือนกัน นอกเหนือไปจากนั้นก็มีเพียงข้อตำหนิเล็กๆ อย่างการที่เราไม่สามารถเปิดโหมดแสกนค้างเอาไว้เพื่อมองหา NPC ที่น่าชวนมาร่วมทีม (ต้องกดแสกนทีละคน ซึ่งเสียเวลามาก) หรือการที่เราไม่สามารถหยิบอาวุธในฉากหรืออาวุธที่ศัตรูทำหล่นมาใช้ได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจเล็กน้อยมากกว่าจะส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกม  กราฟิก/การนำเสนอ อย่างที่อาจจะพอเดาได้จากหัวข้ออื่นๆ การเล่นเกม WD: L ใน PS4 และใน PC เป็นประสบการณ์ที่ต่างกันอย่างมาก และคงไม่มีจุดไหนที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชั่นได้ชัดเจนเท่ากับในส่วนของกราฟิก จากวิดีโอตัวอย่างรวมไปถึงการสื่อสารของผู้พัฒนาที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าระบบ Ray Tracing จะมีความสำคัญมากต่อเกม WD: L ซึ่งในจุดนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าต้องเห็นด้วยกับเขาจริงๆ เพราะการเล่นเกมใน PS4 โดยไม่มีระบบ Ray Tracing ทำให้ภาพในเกมรู้สึก “แบน” และจืดชืดไปซะหน่อยเมื่อเทียบกับการเล่นใน PC ที่สามารถแสดงถึงแสงสีของเมืองได้อย่างเต็มที่ แถมด้วยสภาพอากาศของลอนดอนที่มักจะมีฝนตกอยู่บ่อยๆ ยิ่งทำให้เทคโนโลยี Ray Tracing มีความสำคัญต่อประสบการณ์โดยรวมมากกว่าหลายๆ เกมที่ผู้เขียนเคยเล่นมาเลยก็ว่าได้ (เพราะมีพื้นผิวที่สะท้อนแสงเยอะ) นอกจากนี้ เทคโนโลยี NVIDIA DLSS ที่ผู้พัฒนาเลือกใช้ยังทำให้เกมสามารถรันได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้จะเปิด Ray Tracing แถมยังสามารถปรับแต่งสมดุลย์ระหว่างความละเอียดและเฟรมเรตได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดทำให้ประสบการณ์เกมบน PC ดีกว่าบน PS4 อย่างก้าวกระโดด และเชื่อว่าในเครื่อง Xbox Series X / PS5 ก็คงไม่ต่างกัน นอกเหนือไปจากนั้น ต้องบอกว่า WD: L ได้พัฒนากราฟิกในด้านหน้าตาตัวละครและความสมจริงโดยรวมขึ้นจากเกมอย่าง Assassin’s Creed: Odyssey หรือ Ghost Recon: Breakpoint เสียอีก โดยแม้ว่าสุดท้ายคงจะไม่ได้อยู่ในมาตรฐานเดียวกับเกมอย่าง Call of Duty หรือ Cyberpunk 2077 แต่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ชัดเจน และทำให้ตัวละครในเกมมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้เหมือนกัน ถ้าจะมีข้อเสีย คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ตัวละครในเกมมักจะพูดกันด้วยสำเนียงอังกฤษแบบเน้นๆ ซึ่งแค่นี้ก็หลากหลายและฟังยากมากอยู๋แล้ว ยังมีสำเนียงของเหล่าผู้อพยพจากประเทศต่างๆ ที่ก็มีสำเนียงของตัวเองอีกที แถมการพูดจาของชาวอังกฤษยังเต็มไปด้วยศัพท์แสลงมากมายที่อาจจะต้องตีความกันหน่อยกว่าจะเข้าใจ นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกมไม่มีบทบรรยายภาษาไทย เพราะคนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ถนัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่าจะยิ่งงงเข้าไปอีก และไม่มั่นใจว่าจะติดตามเนื้อเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีแค่ไหน สรุป กล่าวโดยสรุป แม้ว่า WD: L จะมีพัฒนาการที่ทำให้เกมมีความน่าสนใจมากกว่าเกมภาคก่อนๆ ในซีรี่ส์ โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่โดยรวมก็ยังไม่ได้มอบอะไรที่ใหม่หรือพิเศษไปกว่าที่เราๆ น่าจะเคยได้เล่นกันมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเกมไม่ดี แต่อาจจะเรียกได้ว่า “เฉยๆ” เสียมากกว่า แฟนๆ ของซีรี่ส์นี้น่าจะชอบเกมนี้ในฐานะเกม Watch Dogs ที่ดีที่สุด แต่สำหรับคนทั่วไป Watch Dogs: Legion อาจจะไม่ได้มีอะไรให้พวกคุณมากไปกว่าเกมแอคชั่นบุคคลที่ 3 เกมอื่นๆ นัก โดยเฉพาะเกมร่วมค่าย Ubisoft ด้วยกัน [penci_review id="71206"]
28 Oct 2020
รีวิว HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ถ้าชอบใช้แรงกดน้อยต้องตัวนี้เลย
Alloy Origins นับเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งตัวใหม่จากทาง HyperX ที่มีดีไซน์สวยงาม ที่มาพร้อมกับไฟ RGB สีสันสวยงาม และมีสวิตช์ให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ ประกอบด้วย Red (Linear), Blue (Clicky) และ Aqua (Tactile) โดยก่อนหน้านี้ทางเราได้มีการรีวิวตัว Blue ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณทาง HyperX ที่ได้มีการส่งตัว Aqua มาให้เราทดลองใช้อีกตัวครับ ซึ่งวันนี้ผมจะมีรีวิวให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของคีย์บอร์ดตัวนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้กัน แอบบอกก่อนเลยว่าสวิตช์ตัวนี้ "พิมพ์สนุกมาก" จะเป็นยังไงไปดูกันครับ รายละเอียด Switch HyperX Aqua Operation Style - Tactile ควมแรงในการกด - 45 G ระยะสั่งการ - 1.8 mm ระยะการเคลื่อนที่ - 3.8 mm จำนวนการกด - 80 ล้านครั้ง ถ้าหากจะให้พูดถึงข้อดีของเจ้า Aqua (Tactile) ตัวนี้ คงจะเป็นในเรื่องที่มีจังหวะสะดุดเล็กน้อย ทำให้ตอนใช้งานจะรู้สึกได้ว่ากดปุ่มลงไปแล้วจริงๆ หรือไม่ ทั้งยังใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G จึงทำให้การสั่งการผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ สามารถทำได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วมากกว่าคีย์บอร์ดทั่วไปที่มีอยุ่ในตลาดครับ จากประสบการณ์ใช้งานตรง ผมพบว่าสวิตช์รูปแบบนี้เหมาะสมเวลาใช้พิมพ์ข้อความเป็นอย่างมาก เนื่องจากจังหวะสะดุดเล็กน้อยนั้นช่วยให้แน่ใจว่าพิมพ์ตัวอักษรแต่ละตัวไปแล้วจริงๆ ทั้งยังใช้แรงในการกดไม่มากเท่าไหร่นัก ส่งผลให้ไม่เกิดอาการเจ็บนิ้วเวลาใช้งานนานๆ ครับ ในด้านของการเล่นเกม Aqua (Tactile) ถือว่าตอบโจทย์เมื่อเอาไปใช้กับแนวเกมที่ต้องการความถูกต้องในการสั่งการ และความเร็วอย่างแนว RTS หรือ MOBA เป็นอย่างมาก การใช้งานกับเกมตระกูล FPS เองก็ค่อนข้างเหมาะสมเช่นกัน เอาจริงๆ สามารถใชได้กับเกมทุกแนวครับ แต่เนื่องจากว่าใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G เท่านั้น ผู้ใช้งานอาจจำเป็นต้องระวังในเรื่องของการกดไปโดนปุ่มข้างๆ เล็กน้อยครับ! วัสดุและดีไซน์ HyperX Alloy Origins มีโครงสร้างของตัวคีย์บอร์ดเป็นอลูมิเนียม และมีตัวปุ่มกดเป็นพลาสติกแข็งเกรดดี จึงทำให้มีน้ำหนักเบา สามารถพกพาได้สะดวกทั้งยังแข็งแรงทนทาน อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นอลูมิเนียมผิวดำ ถึงทำให้เกิดรอยขีดข่วนจากเล็บ หรือของมีคมได้ง่ายเช่นกัน ถ้าอยากให้คีย์บอร์ดสวยงามอยู่ตลอดเวลา ตอนใช้งานก็อาจจำเป็นต้องตัดเล็บให้สั้นไว้ก่อนดีกว่าครับ ในส่วนของดีไซน์ Alloy Origins ตัวนี้นับว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ถ้าเปรียบเทียบกับคีย์บอร์ด Full Size ตัวอื่นๆ ในตลาด เนื่องจากคีย์บอร์ดตัวนี้ถูกออกแบบมาให้แทบจะไม่มีขอบเลย จึงส่งผลให้ขนาดโดยรวมเล็กกว่าตัวอื่นๆ ที่มีในตลาดประมาณ 10 - 20% ดังนั้นสำหรับใครที่มีพื้นที่ระหว่างขอบโต๊ะกับหน้าจอน้อย Alloy Origin อาจเป็นตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์ของคุณได้ครับ แสงและไฟ อีกหนึ่งฟังก์ชันที่เหล่าเกมเมอร์ให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งคือในเรื่องของแสงสีที่สวยงาม ซึ่ง Hyper X Alloy Origin ได้มีการใช้ไฟแบบ RGB LED ที่จะแสดงผลแสงสีได้สวยงาม โดนเฉพาะเวลาอยู่ในที่มืด นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมไฟ RGB ให้แสดงผลได้ตามต้องการผ่านโปรแกรม HyperX NGENUITY ด้วย เท่าที่ตัวผมเองได้ลองตั้งค่าไฟเล่นดู พบว่าคีย์บอร์ดตัวนี้สามารถแสดงผลรูปแบบไฟ RGB ได้ไม่น้อยหน้าแบรนด์ Gaming Gear ชั้นนำอื่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไฟแบบ Wave, Breathing, Starlight, Riptide, Static, หรือ All Random ก็สามารถทำได้ครับ สรุป เท่าที่ได้ลองใช้งานมา 2 อาทิตย์กว่าๆ ตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าตัวผมเองได้ตกหลุมรักเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Aqua Switch ] ตัวนี้ไปเสียแล้วเพราะไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์, ไฟ หรือสัมผัส ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ตอนนี้มันได้กลายเป็นคีย์บอร์ดหลัก ที่ใช้ทั้งพิมพ์งาน และเล่นเกมในบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะพูดถึงข้อเสียของเจ้าตัวนี้คิดว่าคงมีอย่างเดียว คือยังไม่มีภาษาไทยบนคีย์บอร์ดครับ ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดโดยที่ไม่มีมองได้ อาจจะลำบากพอสมควรเลยในการใช้งานเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ตัวนี้ แต่ส่วนหนึ่งคิดว่า อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้ยังไม่ได้ถูกนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการด้วยครับ ซึ่งคิดว่าถ้าเข้ามาแล้วน่าจะมีตัว เวอร์ชันภาษาไทยให้เพื่อนๆ ได้เลือกซื้อกันด้วย คงต้องรอดูกันต่อไป
27 Oct 2020
[Beta Review] Call of Duty: Black Ops Cold War คล้ายเดิมเพิ่มเติมคือภาพสวย
เพิ่งจะมีเปิดให้ทดเล่นไปได้ไม่นานกับเกม Call of Duty: Black Ops Cold War แน่นอนว่าพวกเราทีมงาน GameFever Th เองก็มีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นในรอบ Open Beta วันที่ 15 - 20 ตุลาคม 2020 มาเช่นกัน โดยต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า "เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ " ครับ จริงๆ ได้ชื่อว่าเป็น Call of Duty ก็การันตีความมันในเรื่องของเกมเพลย์อยู่แล้ว ซึ่งในรอบ Open Beta ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดโหมด Multiplayer ให้ผู้เล่นได้สัมผัสมากมายเลยไม่ว่าจะเป็น Team Deathmatch, Domination, VIP Escort, Kill Confirmed, และอื่นๆ โดยผมจะขอรีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในบทความนี้ครับ กราฟิก / การนำเสนอ กราฟิกเอาจริงๆ คิดว่าคงไม่ต้องพูดเยอะ เพราะยังไงภาคนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่จะลงให้กับเครื่อง Xbox Series X กับ PS5 อยู่แล้ว ในเรื่องของภาพ และเอฟเฟคเรียกได้ว่าสวยงามเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าเปิด RTX On เวลาวิ่งผ่านน้ำ หรือแสงกระทบกับเหล็กบนตัวปืน ก็ยิงทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันสวยสมจริงไปหมดมากขึ้นไปอีก ที่น่าสนใจสุดคือ เกมนี้ไม่ได้กินสเปคมากมายอะไรขนาดนั้นด้วยครับ ด้วยสเปคเครื่องที่ไม่สูงอะไรมากมายการจะเล่นให้ได้ 60 FPS ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ถ้าหากต้องการภาพสุกจัดเต็มด้วย FPS ที่สูงกว่า 144 อันนี้ก็อาจจะต้องมีการ์ดจอที่ดีระดับหนึ่งครับ ทางด้านการนำเสนอ ภาคนี้จะแตกต่างจาก Call of Duty Modern Warfare ที่วางขายในช่วงปีที่แล้ว ในเรื่องของความสมจริงที่มีมากกว่าครับ ซึ่งสามารถสังเกตในเกมเพลย์เลยยกตัวอย่างเช่น การขว้างระเบิดในภาคนี้ตัวละครเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการขวาง ซึ่งมือขวาจะยังจับปืนแล้วเล็งข้างหน้าอยู่ (ใช้ปากดึกสลักระเบิด) นอกจากนี้เรายังสามารถหยิบระเบิดที่ถูกขวางมา ปากลับไปใส่ศัตรูได้ด้วย อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่เวลาเรากด Reload ในขณะที่กำลังเข้า Scope ของปืนอยู่ ตัวละครของเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการ Relode ซึ่งในขณะนี้ตัวละครของเราจะไม่ทำการเอาหน้าออกจาก Scope ของปืนเลย นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทหารในโลกความจริงน่าจะทำกันครับ องค์ประกอบเหล่านี้มันทำให้รู้สึกว่าทีมพัฒนาได้ใส่ใจในรายละเอียดของการรบจริงอย่างเต็มที่ และมันทำให้ผู้เล่นอย่างเรารู้สึกอินไปกับเกมมากขึ้นไปด้วยครับ เกมเพลย์ ในเรื่องของเกมเพลย์ ถ้าหากตัดการปาระเบิดใหม่ กับระบบ Reload ใหม่ที่สมจริงมากขึ้นแล้ว โดยรวมระบบเกมเพลย์จะแทบไม่ต่างจาก Call of Duty ภาคก่อนเท่าไหร่ครับ ยังเป็นเกมที่มีจังหวะดวลปืนที่เร็วมากเหมือนเดิม, ยังคงมีจังหวะวิ่งที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก, ยังสามารถวิ่งสไลด์ยิงได้เหมือนเดิม คือถ้าเกิดเคยเล่นเกม COD ภาคก่อนๆ มา ก็ไม่น่าจะต้องปรับตัวมากนัก ในส่วนของระบบ Loadout ภาคนี้จะใช้ระบบแบบเดียวกับ Call of Duty Modern Warfare คือมี ปืนหลัก, ปืนรอง, Perk สามช่อง, Lethal และ Tactical แต่มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้เพิ่มมา 2 ช่องครับ อันแรกเป็นอุปกรณ์พิเศษที่จะมี Cooldown อยู่ที่ 90 - 300 วินาที แล้วแต่ความเก่งของอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายขึ้นเช่น กับระเบิด, อุปกรณ์ต่อต้านระเบิดมือ หรือป้อมปืนขนาดเล็ก ส่วนอีกหนึ่งช่องที่ถูกเพิ่มเขามาคือ ช่องความสามารถพิเศษ ที่จะให้ผลแตกต่างกันไป โดยจะทำงานคล้ายๆ กับ Perk เช่นสามารถพกระเบิดได้ 2 ลูก หรือพกอาวุธหลักได้ 2 ชิ้นเป็นต้น โหมดทั้งหมดที่เปิดให้เล่นในรอบ Open Beta (15 - 20 ตุลาคม 2020) น่าเสียดายที่ในช่วง Open Beta ไม่สามารถเข้าไปเล่นในโหมดเนื้อเรื่องของเกมได้ เราจึงมีโอกาสได้สัมผัสแค่โหมด Multiplayer เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 8 แบบที่สามารถเล่นได้คือ Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, Team Death Match, VIP Escort, Combined Arms และ Dirty Bomb Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, และ Team Death Match จะเป็นโหมดที่มี Objective ง่ายๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจไม่นาน สามารถวิ่งเข้าไปบู๊แหลกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก กลุ่มนี้จะเล่นได้สูงสุดแบบ 6 Vs 6 และตายเกิดได้เรื่อยๆ เกมเพลย์โดยรวมในทั้ง 5 โหมดนี้จะเน้นความมันเอาไว้ก่อน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือโหมดที่เอาไว้เล่นแก้เบื่อครับ ส่วน Combined Arms และ Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่ตาย และเกิดได้เรื่อยๆ เช่นกัน แต่จะมีจำนวนผู้เล่นสูงสุดมากกว่า 20 คน โดย Combined Arms จะเป็นโหมดที่แบ่งคนออกเป็น 2 ทีมแบบ 12 Vs 12 ซึ่งมี Objective ชนะเป็นยึดจุด ซึ่งเกมเพลย์จะมั่วกว่า 5 โหมดแรกมากๆ แต่ก็มันกว่าเช่นกัน ส่วน Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่แบ่งผู้เล่นออกเป็น 10 ทีม โดยแต่ละทีมจะมีสมาชิก 4 คน แผ่นที่ในโหมดนี้จะมีขนาดใหญ่ ทั้งยังใช้เวลาเล่นค่อนข้างนานมาก และมีเกมเพลย์ใกล้เคียงกับเกม Battle Royale แต่สามารถเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ วิธีชนะในโหมดนี้คือเป็นกลุ่มที่มีแต้มสูงที่สุด ซึ่งแต้มสามารถหาได้จากการทำ Objective ในด่าน ซึ่งจุดที่ทำ Objective ได้จะมีเพียง 5 จุดเท่านั้นในด้าน ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็ได้ปะทะกับผู้เล่นทีมอื่นอย่างแน่นอนครับ สุดท้าย VIP Escort ถือว่าเป็นอะไรที่จริงจังมากสุดใน 8 แบบครับ โหมดนี้จะมีความคล้ายกับ โหมดวางระเบิดในเกมอื่นๆ คือ ตายแล้วไม่สามารถเกิดได้ ฝั่งหนึ่งต้องป้องกัน ส่วนอีกฝั่งต้องบุก แต่ต่างกันตรงที่ทีมบุกไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการวางระเบิด หากแต่เป็นการนำผู้เล่นที่ถูกเลือกไปยังตำแหน่งเป้าหมายอย่างปลอดภัยครับ ดังนั้นถ้าหากว่าฝั่งป้องกันสามารถฆ่า VIP ได้ เกมก็จะจบลงเลยเช่นกัน สรุป โดนรวมแล้วผมคิดว่าเกมเพลย์แบบ Multiplayer ของภาคนี้สนุกดีครับ สิ่งแรกที่อยากชมก่อนเลย คือในเรื่องของความหลากหลาย ที่แม้จะเป็นรอบ Open Beta ก็ยังมีให้เราเลือกเล่นมากมายขนาดนี้ คิดว่าในตอนที่เกมออกน่าจะมีโหมดใหม่ๆ ถูกเพิ่มมาให้เราเล่นอีกด้วยแน่นอน ในส่วนของภาพ และกราฟิกเองก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อ "เกมที่จะลงให้กับเครื่องเจนใหม่" เลย เป็นอย่างไรบ้างครับกับ [Beta Review] Call of Duty: Black Ops Cold War แน่นอนว่าทางเราจะมีการปล่อยรีวิวเต็มๆ ในช่วงที่เกมวางจำหน่ายด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งในส่วนว่าเกมนี้จะได้คะแนนจากเราเท่าไหร่คงต้องไปรอดูในบทความรีวิวตัวเต็มครับ สำหรับวันนี้ผมลาไปก่อนสวัสดีครับ
22 Oct 2020
รีวิวการ์ดจอ RTX 3080 FE พร้อมตอบคำถาม "คุ้มหรือไม่หากจะอัพเกรดในตอนนี้"
วางจำหน่ายมาได้หลายอาทิตย์แล้วกับการ์ดจอ RTX 3080 ซึ่งต้องบอกเลยว่าขายดีเกิดคาดจริงๆ ครับ เพราะสินค้าเล่นหมดไปจากตลาดโลกเลย ในเวลาเพียงแค่ 1 วันหลังวางจำหน่ายเท่านั้น จนน่าจะทำเอาเพื่อนๆ หลายคนสงสัยว่า "เจ้าการ์ดจอ RTX 3080 ตัวใหม่นี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ? " อยู่ไม่มากก็น้อย ถือเป็นโชคดีของพวกเรา GameFever TH ที่ทาง Nvidia ได้ส่งการ์ดจอหายากตัวนี้มาให้เราได้ทดลองใช้งานกัน ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ โดยวันนี้ผมจะมารีวิวให้เพื่อนได้รู้กันว่าเจ้า RTX 3080 มีดียังไง และมันคุ้มหรือไม่ หากจะจ่ายเงินถึง 25,000 บาทให้ได้มา ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ คุณสมบัติทางเทคนิค RTX 3080 นั้นใช้สถาปัตยกรรมในการผลิตใหม่ที่มีชื่อว่า Ampere ซึ่งเป็นการผลิตแบบ 8 นาโนเมตร ต่างจาก Turing สถาปัตยกรรมก่อนหน้านี้ (RTX 20 Series) ที่เป็นการผลิตแบบ 12 นาโนเมตร จึงส่งผลให้จำนวนทรานซิสเตอร์ทั้งหมดของการ์ดจอซีรีส์นี้มีสูงถึง 28 พันล้านตัว มากกว่าเจนที่แล้วที่ถึง 10 พันล้านตัว โดยผมจะแปะคุณสมบัติเบื้องต้นที่ไม่ลึกเกินไปข้างล่างนี้ครับ ข้อมูลจำเพาะของ GPU Engine: NVIDIA CUDA® Core 8704 Boost Clock (GHz) 1.71 Base Clock (GHz) 1.44 ข้อมูลจำเพาะของหน่วยความจำ: กำหนดค่าหน่วยความจำมาตรฐาน 10 GB GDDR6X ความกว้างของอินเทอร์เฟซหน่วยความจำ 320 บิต เปรียบเทียบ ( กราฟิกที่ได้/FPS ) ในเรื่องของกราฟิก ผมเชื่อว่าเกมเมอร์บนเครื่อง PC หลายคนยังไงใช้การ์ดจอ GTX ซีรีส์ 9 ไม่ก็ 10 อยู่ และมีความตั้งใจจะเปลี่ยนมาใช้การ์ดจ่อซีรีส์ RTX กันในรุ่นนี้ ผมจึงจะขอทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของกราฟิกระหว่าง 1080Ti กับ 3080 ก่อนละกันครับ ซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่าความแตกต่างระหว่างการ์ดจอทั้ง 2 ตัว จะเป็นในเรื่องของ RTX On / Off มากกว่าครับ เนื่องจากจริงๆ 1080Ti นั้นเพียงพอที่จะปรับกราฟิกแบบเต็มแม็กในความละเอียดแบบ Full HD แล้วยังได้ 60 FPS อยู่แล้วในเกมเจนปัจจุบัน โดยประการแรกผมจะขอโชว์รูปเปรียบเทียบระหว่างเปิด RTX On / Off ให้เพื่อนๆ ดูก่อนครับว่าต่างขนาดไหนในเกมจริงๆ [caption id="attachment_69861" align="aligncenter" width="1024"] RTX off[/caption] [caption id="attachment_69862" align="aligncenter" width="1280"] RTX on[/caption] จะสังเกตได้ว่าแสงกับเงา ที่เราได้เห็นในเกมหากเปิด RTX On จะมีความสมจริงกว่าไม่เปิด (อย่างน้อยคือการสะท้อนของเงามีความถูกต้องมากกว่า) ดังนั้นสำหรับใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์แสงเงาที่ดียิ่งขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ RTX 3080 เลย ผมคิดว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ ครับ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยากเป็น RTX ถ้าคำนึงถึงความแตกต่างของ FPS ผมก็ยังคิดว่าคุ้มที่จะเปลี่ยนมาใช้อยู่ดี ซึ่งจะขอเปรียบเทียบให้ดูต่อไปข้างล่างนี้ครับ ในเรื่องของ FPS เชื่อว่าสำหรับเกมเมอร์หลายคนแล้ว เรื่องของ FPS เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คาดหวังจะได้เห็นความแตกต่าง ซึ่งมันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ การ์ดจอรุ่นใหม่จะต้องแรงกว่ารุ่นเก่า แต่จะแรงกว่าถึงขนาดที่คุ้มค่ากับการเปลี่ยนรึเปล่า มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ โดยวันนี้ผมได้ทำกราฟเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้นมาให้ครับ ดูได้ข้างล่างนี้เลย ( ป.ล ผล FPS ที่ได้นี้ทดลองด้วย CPU: Intel i9 10900K ครับ ) [gallery ids="69589,69590,69591,69592,69593,69594,69595,69596,69597"] จะสังเกตได้ว่า 3080 นั้นจะสามารถทำ FPS ออกมาได้มากกว่า 2080Ti ที่เป็นตัวท็อปของรุ่นที่แล้วได้อยู่ที่ประมาณ 20-30 FPS เท่านั้น แต่ทำได้มากกว่า 1080Ti ถึงประมาณ 50-60 FPS เลยทีเดียว ผมจึงคิดว่าสำหรับใครที่ยังใช้ GTX ซีรีส์ 9 หรือ 10 อยู่ การเปลี่ยนมาใช้ RTX 30 ดูเป็นอะไรที่ไม่แย่นักครับ ประสบการณ์ส่วนตัว เบื้องต้น ผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ตัวผมเองเป็นเกมเมอร์ที่เน้นเล่นเกมบนเครื่อง PC ครับ และก็มีงานอดิเรกเป็นการแต่งคอม แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมยังคงใช้การ์ดจอ GTX 1080Ti อยู่ เพราะคิดว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนไปใช้การ์ดจอตัวใหม่ในเมื่อมันยังเล่นเกมแบบปรับภาพสวยๆ ได้อยู่ แต่การที่ได้สัมผัสประสบการณ์แบบกราฟิกจัดเต็ม + RTX On เป็นครั้งแรก บอกตรงๆ ว่าถึงแม้จะไม่ค่อยได้สังเกตความแตกต่างแบบจริงจัง แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่าความสมจริงที่มากขึ้นมันอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ ครับ! ความสมจริงที่ผมพูดถึงอยู่นี้คือเรื่องของ "ทิศทางเงา" เมื่อเราเปิด RTX On แล้วมุมตกกระทบ และมุมสะท้อนของเงา จะมีความสมจริงก็กว่าก่อนเปิดเป็นอย่าง ซึ่งเอาจริงๆ ตอนที่เล่นเกมเราไม่ค่อยได้สังเกตุกันหรอกครับ อารมณ์มันจะเป็นแบบว่า "รู้สึกได้ว่าภาพมันสมจริงขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามันสมจริงขึ้นยังไง" ประมาณนั้นครับ สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คือ "ประทับใจมากครับ" [caption id="attachment_69601" align="aligncenter" width="1264"] เมื่อเปิด RTX แล้ว เงาที่ได้จะสมจริงกว่า สังเกตุที่ตาข้างซ้ายของ Captain Price[/caption] ฟีเจอร์ใหม่ที่มาพร้อมกับการ์ดจอตัวนี้ ในการ์ดจอ RTX ซีรีส์ 30 นั้นมีระบบ และฟีเจอร์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาอยู่หลายตัว แต่ที่เด่นจริงๆ เห็นจะเป็น NVIDIA Reflex, G Sync 360 Hz และ DLSS 2.0  ซึ่งผมจะขอกล่าวถึงรายละเอียดต่อไปข้างล่างนี้ครับ NVIDIA Reflex นี้คือเทคโนโลยีใหม่ของ Nvidia ที่จะช่วยลดความหน่วงของการตอบสนองลงอีกหลายสิบเสี้ยววินาที โดยมันจะช่วยให้คำสั่งที่เรา กดเมาส์ หรือพิมพ์ถูกส่งเข้าไปในเกมได้เร็วมากขึ้น แต่เทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้ได้กับจอที่มี G-Sync เท่านั้น ซึ่งระบบนี้สามารถใช้ได้กับการ์ดจอตั้งแต่รุ่นที่ 9 ขึ้นมา แต่จะส่งผลดีที่สุดหากใช้กับการ์ดจอซีรีส์ 30 ครับ ถ้าถามว่ามันจะทำให้คำสั่งของเราถูกทำในเกมเร็วขึ้นขนาดไหน ผมแนะนำให้ดูตัวอย่างได้เลยในวิดีโอข้างล่างนี้ครับ G Sync 360 Hz เทคโนโลยี NVIDIA Reflex เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม แต่มันจะยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกถ้าหากใช้กับการเล่นเกมด้วยค่า Hz ที่สูงถึง 360 ในเจเนอเรชั่นใหม่นี้ทาง Nvidia ได้พัฒนาให้การ์ดจอรองรับค่า Hz ที่สูงขนาดนี้ได้แล้ว เมื่อเอามารวมกับเทคโนโลยีที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ มันจึงทำให้ลดความหน่วงของการตอบสนองลงมาได้ถึงขีดสุกอย่างแท้จริงครับ DLSS 2.0 อีกหนึ่งเทคโนโลยียอดเยี่ยมที่มาพร้อมกับ RTX ซีรีส์ 30 คือ Deep Learning Super-Sampling 2.0 ครับ โดยเทคโนโลยีนี้คือการลบรอยหยักของโพลิกอนแบบใหม่ที่ใช้ความสามารถทางด้าน AI เข้ามาช่วยในการคำนวณ ซึ่งจะทำให้ GPU สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น และดัน FPS ออกมาได้สูงกว่าเดิม แน่นอนว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีมาตั้งแต่ RTX ซีรีส์ 20 แต่ตัว DLSS 2.0 นี้จะสามารถทำงานได้ดีกว่าเจนที่แล้วอยู่มาก ทั้งในเรื่องของภาพที่คมชัดขึ้น และ FPS ที่มากขึ้นครับ คุ้มหรือไม่ ? RTX 3080 นั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 24,000 - 25,000 ซึ่งถ้าจะถามว่า "มันคุ้มค่ากับการซื้อมาเปลี่ยน หรือไม่?" มันคงขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้เพื่อนๆ ใช่การ์ดจอตัวไหนอยู่ครับ โดยผมจะขอให้วิเคราะห์ให้อ่านกันด้านล่างนี้เลยครับ สำหรับคนที่ใช้ RTX ซีรีส์ 20 อยู่ จากกราฟเปรียบเทียบ FPS ด้านบนแล้ว จะสังเกตได้ว่าสิ่งที่เราจะได้จากการ์ดจอรุ่นใหม่นี้คือ FPS เฉลี่ยประมาณ 20-30 เท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันไม่คุ้มขนาดนั้นครับ เพราะยังไงการ์ดจอที่เราใช้อยู่ ก็สามารถปรับกราฟิกสูงๆ ได้โดยที่ไม่ได้สูญเสีย FPS ไป ซึ่งถ้าหากจะเปลี่ยนจริงๆ คิดว่ารอจนกว่าเจนต่อไปจะออกน่าจะคุ้มค่ามากกว่าครับ สำหรับคนที่ใช้ GTX ซีรีส์ 10 ลงไป สำหรับคนที่ยังใช้การ์ดจอซีรีส์ตั้งแต่ GTX ซีรีส์ 10 ลงไปอยู่ ผมคิดว่านี้คือเวลาอันควรถ้าหากจะเปลี่ยนไปใช้ซีรีส์ RTX ครับ เนื่องจากเจ้าซีรีส์ 30 นี้มีประสิทธิภาพที่สูงมาก (แรงกว่า 1080Ti ประมาณ 70-90%) แถมยังมาพร้อมกับราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอีกด้วย ยิ่งในยุคที่เครื่องเล่นเกมคอนโซลกำลังจะเข้าสู่เจนใหม่แบบนี้ คิดว่าเกมที่กำลังจะออกหลังจากนี้คงมีการยกระดับของกราฟิก และภาพด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นคิดว่าใครที่ใช้ GTX ซีรีส์ 10 ลงไป ถ้าจะเปลี่ยนเป็น RTX 3080 ตอนนี้ก็เป็นอะไรที่ดูคุ้มค่าอยู่ครับ สิ่งที่ควรระวัง สุดท้ายนี้ก่อนจะออกจากบ้าน หรือเปิดเน็ตขึ้นมากดสั่งของของกัน ผมอยากจะเตือนเพื่อนๆ ว่า ความแรงของ CPU กับ GPU ไม่ควรจะแตกต่างกันมากเกินไปครับ เนื่องจากว่าถ้าหาก CPU ของเพื่อนๆ แรงไม่พอ การซื้อ RTX 3080 มาใช้อาจทำให้เกิดอาการคอขวด จนส่งผลให้การ์ดจอไม่สามารถทำงานอย่างเต็มที่ได้ และอาจทำให้ FPS ที่ได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าหากถามว่าควรใช้ CPU ตั้งแต่รุ่นไหนเป็นต้นไปผมคิดว่าไม่ควรต่ำกว่า Ryzen 5 3600 หรือ Intel Core i5 10400 ครับ อีกหนึ่งเรื่องที่อยากให้สนใจกันด้วยคือในเรื่องของขนาดการ์ดจอครับ RTX 3080 เพราะตอนนี้ทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในตลาดนั้นมีความยาวเทียบเท่ากับการ์ดจอรุ่น 3 พัดลมเลยครับ เคสของใครที่ไม่สามารถใส่การ์ดจอรุ่น 3 พัดลมได้ อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเคสกันด้วยครับ ท้ายที่สุดคือในเรื่องของ Power Supply โดยบนเว็บไซต์ของ Nvidia เองได้บอกว่ารุ่นนี้กินไฟมากพอสมควร ผู้ใช้งานควรมีกำลังไฟของ PSU มากกว่า 750W ขึ้น ถ้าหากว่าใครยังใช้ 650W อยู่ เล่นๆ ไปแล้วคอมอาจจะ Restart เองได้ ซึ่งนับเป็นอะไรที่อันตรายอย่างมากครับ [penci_review id="69178"]
08 Oct 2020
รีวิว FIFA 21 ภาคอันเป็นที่รักของสาวกที่ชอบเล่น Career Mode
หลังจากที่ปีนี้ทั้งโลกเกิดประสบปัญหา Covid-19 กันทั้งหมด !! หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและจะต้องพักเบรกนานกว่า 3 เดือนนั่นก็คืออุตสาหกรรมกิฬาฟุตบอล ที่ตลาดซื้อขายกว่าจะจบสิ้นก็ปาไปถึงเดือนตุลาคม (ปกติสิ้นสุดที่สิงหาคม) ซึ่งมันทำให้เกมที่อ้างอิงจากกิฬานี้จริงๆ อย่าง FIFA 21 จะต้องถูกเลื่อนออกไป แต่ในที่สุดวันที่ 9 ตุลาคม 2020 พวกเราเหล่าเกมเมอร์ก็ได้สัมผัสเกมนี้กันแล้วหลังจากที่ได้รอมานาน รวมถึงผู้พัฒนายังเพิ่มระบบที่น่าสนใจเข้ามามากมายเลยทีเดียว ซึ่งในวันนี้ทางผู้เขียนจะมาบอกเล่าประสบการณ์หลังจากที่ได้ไปสัมผัสเกมนี้มาแล้ว และจะเปรียบเทียบจากประสบการณ์ที่เคยเล่นภาคเก่าๆ มาด้วยครับ กราฟิก เอาจริงๆ ในด้านกราฟิกนั้นต้องบอกว่าดูเผินๆ มันก็ดูไม่ได้แตกต่างจากภาคที่แล้วมาเสียเท่าไหร่ อาจจะมีการเพิ่มแอนิเมชันบางอย่างที่ดูใหม่ตาเข้าไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังเหมือนกับภาคเดิมที่เคยทำ ยังมีโมเดลเดิมจากภาคที่แล้วมาใช้ ระบบแสงเงาของเกมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคเดิมเท่าไหร่ เป็นไปได้ว่ากราฟิกมันอาจจะอยู่ในช่วงท้ายเจนของเครื่อง Console แล้วก็ได้ ส่วนตัวเองก็เข้าใจนะและก็คงจะไม่ได้หักคะแนนในจุดนี้ ถ้าใครอยากเล่นเกม FIFA ที่กราฟิกสวยขึ้น ท่านก็อาจจะต้องรอเล่นบนเครื่อง PS5 แล้วแหละ รวมถึงโมเดลของนักเตะบางคนก็ถูกทำให้หน้าเหมือนมากขึ้น (แต่บางตัวก็ไม่ได้ทำ Mason Greenwood เด็กที่ผู้เขียนชอบ หน้า WTH มากๆ ) เกมเพลย์ ในด้านเกมเพลย์ต้องบอกว่าผู้พัฒนาค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นแต่ก่อน ผู้พัฒนาพยายามทำให้แอนิเมชันในการเล่นดูสมจริงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นในเรื่องของการจ่ายบอลที่ถ้าหากเราไม่หันหน้าไปตรงๆ และจ่าย นักเตะจะมีการจ่ายบอลช้าลงหรือจ่ายเสียบ่อยขึ้นมากกว่าเดิม สำหรับที่ชอบเล่นเกมแบบค่อยๆ ต่อบอลก็ต้องบอกว่าในภาคนี้ท่านก็อาจจะเล่นยากขึ้น เพราะโดยรวมแล้วถึงแม้ว่า FIFA 21 ผู้พัฒนาจะทำแอนิเมชันที่สมจริงกว่าหน่อยๆ แต่สปีดของเกมโดยรวมต้องบอกว่ามันค่อนข้างเร็วกว่าภาคก่อนหน้าอยู่เหมือนกัน เพราะการพลิกตัว ความคล่องตัวจะค่อนข้างทำได้ดีกว่าภาคที่แล้วนั่นเอง ภายในภาคก่อนๆ หลายๆ คนคงจะรู้สึกเซ็งๆ เวลาบังคับนักเตะที่แต้มประมาณ 70-80 เพราะมันจะไม่ค่อยคล่องตัวเสียเท่าไร พลิกตัวช้าเก้ๆ กังๆ แต่ในภาคนี้เราสามารถบังคับตัวละครที่แต้มต่ำๆ ได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดมันจะสู้นักเตะที่แต้มสูงไม่ได้ แต่มันก็สามารถเอานักเตะพวกนี้มาเล่นแทนตัวจริงได้บางนัดแบบไม่เค๊อะเขินแต่อย่างใด ในด้านของ A.I. จริงส่วนตัวค่อนข้างประทับใจขึ้นมา เพราะส่วนตัวผู้เขียนเองชอบเล่น Career Mode เป็นอย่างมาก โดยบอทที่ผู้เขียนพบเจอนั้นจะค่อนข้างฉลาดขึ้น ต่อบอลเก่งขึ้น และยังมีการเลี้ยงหลบเราได้บ่อยขึ้น ทำให้เราอาจจะต้องปรับตัวกันพอสมควร บางทีถ้าเข้าพรวดโดยไม่ดูเราอาจจะโดนบอทเลี้ยงหลบไปยิงได้อย่างสบายๆ ซึ่งปกติผู้เขียนเล่นกับบอทด้วยระดับความยากอย่างต่ำประมาณ Professional ขึ้นไป แต่นี่เป็นภาคแรกที่ตัวผู้เขียนเคยโดนบอทฝ่ายตรงข้ามยิงถึง 3 ลูกเลยทีเดียว Career Mode ภายในโหมดนี้ดูเหมือนว่าผู้พัฒนาจะใส่ใจมากกว่าภาคเก่าๆ เป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะในโหมดนี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมานานหลายปี (ภาคที่แล้วเพิ่มมานิดหน่อย) แต่ในภาคนี้จะมีลูกเล่นเข้ามาเพิ่มขึ้น และการเพิ่มครั้งนี้เหมือนพวกเราพยายามประกาศจุดยืนในการแข่งขันกับเกมอย่าง Footbal Manager เลยก็ว่าได้ อีกเรื่องที่ถูกเพิ่มเข้ามาคือการพัฒนาของตัวละครที่ในรอบนี้เราไม่จำเป็นต้องค่อยๆ พัฒนานักเตะทีละคนแล้ว ตัวเกมจะมีระบบการฝึกซ้อมที่จะมีโปรแกรมการฝึกที่เหมาะกับนักเตะคนนั้นๆ รวมถึงยังมีระบบค่าความฟิตและความเฉียบคมที่เราจะต้องจัด Squad ดีๆ ในการแข่งถ้าอยากให้ทีมของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงยังมีระบบอย่าง Development Growth ที่เราสามารถเลือกพัฒนานักเตะบางคนเล่นเก่งในด้านที่เราต้องการได้ อาทิเช่นเราอาจจะอยากให้นักเตะ Acadamy ของแมนยูอย่าง Scott McTominay มีทักษะในการจ่ายบอลมากขึ้น เราอาจจะตั้งค่าให้เขาพัฒนาเฉพาะจุดเป็นตำแหน่ง Deep Lying Midfielder เพื่อเน้นการจ่ายบอลนั่นเอง (แต่ส่วนอื่นๆ อย่างการป้องกันอาจจะเพิ่มน้อยลง) และในระบบนี้มันส่งผลให้ทางผู้พัฒนาได้เพิ่มระบบใหม่เข้ามาอย่างระบบ Manager ที่เราสามารถมองลูกทีมเล่นเป็นกราฟเหมือนในเกม Football Manager อย่างไรอย่างนั้น เราสามารถแก้เกมได้ตลอดเวลาถ้าคิดว่าทีมเราเล่นไม่ดี รวมถึงถ้ายังไม่ถูกใจอีกเรายังสามารถกระโดดเข้าไปบังคับแบบ Real-Time ได้เลย ถือว่าเป็นลูกเล่นใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าโดยรวมระบบนี้มันอาจจะยังสู้เกมต้นแบบไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นการเริ่มที่ดีและประกาศว่าในอนาคตถ้าอยากจะเล่นเกมฟุตบอล ไม่จำเป็นต้องเล่นเกมอื่นเลย เกมนี้มีทุกระบบให้คุณเล่นแล้ว !! สรุป โดยรวมแล้ว FIFA 21 เป็นเกมที่พัฒนาหลายๆ อย่างให้สมจริงมากขึ้น แต่มันก็อาจจะไม่ถูกใจต่อผู้เล่นบางกลุ่มที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้เข้ากับเกมภาคใหม่นี้ และสิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมากก็น่าจะเป็น Career Mode ที่มีลูกเล่นสำหรับเหล่าผู้เล่นที่ชอบเล่นโหมดนี้โดยเฉพาะ มันจะทำให้คุณมีความสุขขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว แถมมันอาจจะเริ่มถูกใจเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบเล่นเกม Football Manager แล้วด้วยก็ได้ !! [penci_review id="69645"]
07 Oct 2020
Princess Connect! Re:Dive ตามหาความทรงจำไปกับเหล่าเจ้าหญิงสุดน่ารัก
Princess Connect! Re:Dive เป็นเกม RPG สไตล์อนิเมะจากค่าย Cygames ที่เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์มมือถือในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2015 จากนั้นทาง Ini3 Games ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาเปิดให้บริการในบ้านเราเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับเกมกาชาที่มีตัวละครสุดน่ารักกันในตอนนี้ครับ จุดเด่นของเกมนี้คือการที่เราได้นั่งดูฉากคัทซีนของเกมที่มีภาพ และเสียงสไตล์อนิเมะ แถมเรายังสามารถตอบโต้กับตัวละครที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วยได้จากการเลือกตอบตามตัวเลือกที่มีให้ และสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าคุณภาพของคัทซีนแต่ละฉาก เนื้อเรื่องแต่ละตอนของเกมนี้มันมีคุณภาพสูงมากจริงๆ ครับ เจ้าเกมนี้จะดียังไง มีจุดเด่นอย่างไร กาชาเกลือแค่ไหน วันนี้ผมจะมาบอกเล่าทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสจากเกมนี้ครับ ถ้าพร้อมกันแล้วไปอ่านกันเลย! เนื้อเรื่อง ฉากแรกของเกมเริ่มด้วยกลุ่มของเราซึ่งเป็นปาร์ตี้ของผู้กล้าที่ถูกเรียกว่า Princess Knight กำลังต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกขาวนามว่า ไคเซอร์อินไซท์ แต่ดูเหมือนว่าพลังของเธอจะมีมากจนเราไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย ยิ่งเวลาผ่านไปพวกพ้องของเราก็เริ่มล้มลงไปที่ละคน และในการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจจิ้งจอกขาวที่คิดจะจบการต่อสู้ในครั้งนี้ เราที่ถูกเรียกว่า อัศวินผู้พิทักษ์ ก็ได้เอาร่างกายของตัวเองเข้าไปบังเพื่อรับการโจมตีนั้นให้กับเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนสุดท้าย แล้วจากนั้นภาพก็ถูกตัดไป เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้พบกับเด็กสาวที่สภาพดูไม่สมบูรณ์มากนัก เธอดูเหมือนกำลังยุ่งกับอะไรบางอย่างจนไม่ค่อยมีเวลามาเป็นคู่สนทนาของเรา ที่น่าสงสัยก็คือเธอดูเหมือนจะรู้จักเราดี ทั้งๆ ที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย เด็กสาวตรงหน้าแนะนำตัวว่า เธอชื่อ อาเมส โดยบอกเสริมว่า พักหลังมีแต่คนเรียกเธอแบบนี้ และเธอก็บอกต่อว่า เราไม่จำเป็นต้องไปฝืนจำชื่อเธอหรอก ยังไงอีกเดี๋ยวเราก็จะลืมแล้ว เพราะสถานที่เราอยู่คุยกับเธอตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับความฝัน อาเมสบ่นว่าเธอถูกเล่นงานจนพังยับ ขยับไปไหนก็ไม่ได้จนกว่าจะซ่อมแซมตัวเองเสร็จ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกความจริงก็ไม่ได้ด้วย แถมยังบอกอีกด้วยว่าเธอจะส่งเรากลับไปเกิดใหม่ และเพื่อให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น เธอจะส่ง ผู้นำทาง มาช่วยเหลือเราด้วย โดย เธอ คนนั้นจะเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา จากนั้นอาเมสก็กล่าวว่า ตอนนี้ได้เวลาจากกันแล้ว แม้จะยังมีเรื่องที่อยากคุยด้วยอีกมาก แต่จะอยู่นานกว่านี้ก็ไม่ได้ ถึงแม้โลกความจริงจะโหดร้าย แต่จะอยู่ในความฝันไปตลอดก็ไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวและภาพก็ตัดไปอีกครั้ง ระหว่างที่เรากำลังหลับอยู่นั้น ได้มีเสียงเพลงดังลอดเข้ามาในหู เมื่อเราลืมตาตื่นสิ่งแรกที่เห็นคือสาวน้อยผมขาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีใบหน้าแสนอ่อนโยนกำลังมองลงมาที่เรา เธอแนะนำตัวว่าเป็น ผู้นำทาง ที่ท่านอาเมสผู้ยิ่งใหญ่ส่งมา มีนามว่า คกโคโระ เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า เธอมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองและดูแลเรานับแต่อรุณยันราตรี ตั้งแต่นอนเปลยันนอนโลง หลังจากที่เธอพูดคุยกับเราไปสักพักหนึ่ง เราก็ได้รู้สภาพตนเองจากปากของเธอว่า เรา สูญเสียความทรงจำเกือบทั้งหมด ไปนั่นเอง และเพราะการพบกันที่ถูกลิขิตเอาไว้นี้ เรื่องราวการเดินทางตามหาความทรงจำที่ทำให้เราได้พบเจอกับหญิงสาวมากมายพร้อมกับการลิ้มชิมรสอาหารแสนอร่อยก็ได้เริ่มต้นขึ้น เกมเพลย์ รูปแบบการเล่นของ Princess Connect! Re:Dive จะเป็นการจัดทีม 5 คนไปตะลุยด่าน โดยผู้เล่นจะไม่สามารถควบคุมตัวละครเองได้ เปรียบเสมือนว่าเราคืออัศวินผู้พิทักษ์ที่กำลังความจำเสื่อม เหล่าหญิงสาวจึงคอยต่อสู้เพื่อปกป้องเรา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้ตัวละครใช้ท่าไม้ตายตอนไหนก็ได้ตามใจ เมื่อหลอดท่าไม้ตายเต็ม โดยตัวละครภายในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ แนวหน้า, แนวกลาง, และแนวหลัง ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อย่างแนวหน้ามักจะมีเลือดเยอะใช้อาวุธระยะประชิดเป็นหลัก เหมาะแก่การเป็นตัวชนให้กับปาร์ตี้ ส่วนแนวกลางมักจะเป็นตัวที่โจมตีได้อย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นตัวบัฟคอยช่วยเหลือเพื่อนพ้อง พวกเธอจะใช้อาวุธระยะกลางอย่างดาบยาว หรือหอก เป็นต้น สุดท้ายคือตัวละครแนวหลัง พวกเธอมักจะเป็นสายตีไกลอย่างนักธนูหรือจอมเวทย์ ซึ่งแนวหลังนี้จะมีจอมเวทย์ที่มีความสามารถในการรักษาเป็นหลักอยู่ด้วยครับ และแน่นอนว่าตัวละครในเกมนี้มีเยอะมาก ดังนั้นการจัดทีมจึงสามารถทำได้อย่างหลากหลายแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นเอง การต่อสู้ของเกมนี้จะเป็นภาพ 2D น่ารักๆ มุมมองแบบด้านข้างที่จะมีฉากคัทซีนและอนิเมชั่นมาแทรกบ้างตามจังหวะของเกม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกมกาชามือถือจะมีกันแทบทุกเกมอยู่แล้วครับ นอกจากการจัดทีมออกไปสู้กับเหล่ามอนสเตอร์แล้ว ตัวเกมยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นนำอุปกรณ์สวมใส่ที่ได้มาจากการทำภารกิจ หรือ กาชามาให้ตัวละครของเราสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถด้วย อีกทั้งยังมีระบบอัพเกรดตัวละคร และของสวมใส่อีกต่างหาก อย่างที่บอกไปว่าของสวมใสในเกมนี้จะดรอปจากภารกิจต่างๆ ที่เราทำ ดังนั้นการจะหาของสวมใส่ให้เพียงพอกับตัวละครทั้งหมดของเรา ก็จำเป็นต้องฟาร์มเยอะพอสมควร ซึ่งก็สมกับเป็นเกมประเภทนี้ดี แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเปิดเกมบนมือถือมาเพื่อลงด่านฟาร์มของเพียงอย่างเดียว ก็คงจะเบื่อไม่น้อยครับ อีกทั้งเกมนี้ยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถ ตกแต่งกิลด์เฮ้าส์ ได้ด้วย ซึ่งของที่เราเอามาตกแต่งบ้านกิลด์นั้น นอกจากจะมีเพื่อความสวยงามแล้ว ของเหล่านั้นยังมอบของจำเป็นต่างๆ ในการเล่นให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็น ขวดอัพเลเวล, ขวดสตามิน่า หรือ มานาที่เอาไว้อัพสกิลตัวละคร แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็คือการทำบ้านกิลด์ของเราสวยนั่นแหล่ะครับ อย่าลืมมาตกแต่ง เรือนเลิศรส ของเราให้สวยงามกันนะครับ สำหรับการออกผจญภัยกับเพื่อนๆ ก็ไม่แปลกเลยที่ความสัมพันธ์ของเราจะแน่นแฟ้นขึ้น และภายในเกมนี้เองก็มีระบบที่ชื่อว่า "ระบบความสัมพันธ์” ที่เมื่อค่าความสัมพันธ์ของแต่ละคนเพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนด ตัวละครนั้นจะมีบทพูดพิเศษขึ้นมาให้เราอ่าน นอกจากนี้ค่าความสัมพันธ์จะปลดล็อคเรื่องราว Side Story ของตัวละครนั้นๆ ด้วย ซึ่งมันจะช่วยให้เราได้รู้เรื่องราวของตัวละครเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ต้องบอกก่อนว่าเกม Princess Connect! Re:Dive นั้นไม่ได้เน้นที่ระบบเกมเพลย์ครับ ผู้พัฒนาตั้งใจเน้นไปที่เนื้อเรื่องและความสวยงามของอนิเมชั่นต่างหาก แต่ในระบบของเกมนี้ก็มีเรื่องน่าตลกเล็กๆ อยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือตอนที่เราอัพระดับของตัวละคร ของสวมใส่ที่อยู่บนตัวพวกเธอจะถูกย่อยเพื่อเพิ่มระดับให้กับตัวละครดังกล่าว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องย่อยของสวมใส่ไปด้วย หรือพวกเธอจะกินของสวมใส่เป็นการเพิ่มพลังกันแน่นะ? กราฟิก กราฟิกของ Princess Connect! Re:Dive เป็นภาพสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นที่สวยงามสมกับที่มีอนิเมะเป็นของตัวเอง ตัวละครสาวๆ ในเกมแต่ละคนก็มีเสน่ห์กับเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูและเพลิดเพลินไปกับการอ่านเนื้อเรื่องไม่น้อยเลยครับ ปกติต้องยอมรับว่าในบางเกมผมจะกดข้ามฉากคัทซีนอย่างรวดเร็วเลยครับ แต่กับเกมนี้ตัวละครมันมีความดึงดูดให้เราอยากอ่านเนื้อเรื่องและติดตามเรื่องราวของพวกเธอมากจริงๆ เหมือนกับเรากำลังติดตามดูอนิเมะไปทีละตอนอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ ในส่วนของเอฟเฟกต์การโจมตีต่างๆ นั้นก็สวยงามดีครับ แต่การโจมตีโดยใช้ท่าไม้ตายจะกลายเป็นอนิเมชั่น ดังนั้นไม่ต้องห่วงถึงเรื่องนี้เลย มันสวยแน่นอนอยู่แล้ว นับว่านี่เป็นเกมที่มีคุณภาพกราฟิกที่ดีมากจริงๆ และสำหรับคนที่เคยเล่นเกมของค่าย Cygames กันมาก่อนก็คงจะรู้กันดีว่าเกมของค่ายนี้กราฟิกดีทุกเกมครับ และเกมนี้ Cygames เองก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ภาษาและเสียงพากย์ Princess Connect! Re:Dive เป็นอีกหนึ่งเกมมือถือที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และต้องขอยอมรับว่าการแปลของเกมนี้ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้มากทีเดียว เกมมือถือบางเกมเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วแค่อ่านเข้าใจได้ก็ดีมากแล้ว แต่ในเกมนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นภาษาไทยที่สละสลวยมาก ทำให้เวลาที่เราอ่านเนื้อเรื่องจะรู้สึกเพลิดเพลินและเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าหลายๆ เกม นอกจากนี้ด้วยความที่เกม Princess Connect! Re:Dive เน้นไปที่อนิเมชั่น และเนื้อเรื่องมากกว่าเกมเพลย์ ดังนั้นเสียงพากย์ของตัวละครจึงเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ Cygames ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเช่นกัน เสียงพากย์ของตัวละครแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของพวกเธอมากครับ มันจึงทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับการดูพวกเธอสนทนากันมากๆ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเกมนี้เลยทีเดียว สรุป Princess Connect! Re:Dive คืออีกหนึ่งเกมที่ควรหยิบมาเล่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเกมมือถือแนวกาชา ฟาร์มของ สไตล์อนิเมะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานภาพ เนื้อเรื่อง หรือการแปลภาษา เกมนี้ก็นับว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าเกมมือถือหลายๆ เกมมากทีเดียว แต่ในส่วนของกาชา เกมนี้ค่อนข้างใจร้ายไม่น้อย ตัวละคร 4 ดาวออกมาให้เราเชยชมค่อนข้างยากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติของเกมกาชาฝั่งญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ชินก็คงรู้สึกไม่ดีกันนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว เกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เหมาะแก่การหยิบมาเล่นยามว่างมากจริงๆ ครับ [penci_review id="68262"]
01 Oct 2020
Review เกม NBA 2K21 จุดเริ่มต้นของตำนานใหม่แห่งวงการ NBA!
กลับมาอีกครั้งกับเกมที่จะให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์บาสเกตบอลแบบสมจริงที่สุดกับ NBA 2K21 ซึ่งกล่องเกมภาคนี้ ได้มีการไว้อาลัยให้กับการจากไปของ Kobe Bryant ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการนำเขามาเป็นหน้าปกของกล่องเกมภาคนี้ด้วย โดยผมเองเป็นหนึ่งในคนที่เล่นกีฬาบาสเป็นงานอดิเรกเช่นกัน ดังนั้นการจากไปของเขาจึงเป็นอะไรที่น่าเศร้าอยู่เหมือนกันครับ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า NBA 2K นั้นเรียกได้ว่าเป็นเกมที่ขึ้นชื่อเรื่อง "ประสบการณ์บาสเกตบอลสมจริงที่สุด" มาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่าในภาคที่ 22 นี้(เนื่องจากภาคแรกชื่อ NBA 2K เฉยๆ ภาคนี้เลยนับเป็นภาคที่ 22 ครับ) ตัวเกมจะยังคงคอนเซ็ปดังกล่าวไว้ได้ หรือไม่ แอบบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ทำได้เหนือความคาดหมายของผมในหลายๆ เรื่องเลย ถ้ามพร้อมแล้วไปดูกันครับ เนื้อเรื่อง ในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นลูกชายของนักบาสเกตบอล NBA ชื่อดัง ที่สร้างผมงานไว้มากมาย ตามเนื้อเรื่องแล้วตัวละครของเราจะถูกเรียกว่า "Junior" เรื่องราวจะเริ่มตั้งแต่เรายังเป็นแค่เด็กมัธยม ในตอนแรก Junior ไมได้ตั้งใจจะมาเอาดีทางกีฬาบาสเกตบอล แต่ตั้งใจที่จะเป็นนักบอลมืออาชีพ แต่เหตุการบางอย่างได้เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองสามารถเป็นนักบอลที่ดีได้ แต่ไม่มีวันที่จะได้เป็นนักบอลที่เก่ง แต่ถ้าหากพูดบาสเกตบอลมันจะเป็นอีกเรื่อง เพราะตัวเขาเองมีพรสวรรค์ในกีฬาชนิดนี้อยู่เต็มเปี่ยม พอคิดได้แบบนั้น Junior จึงตัดสินใตที่จะเลิกเตะบอล แล้วหันมาจับลูกบาสแทน โดยเส้นทาง NBA ของเขาก็ได้เริ่มจากตรงนี้เช่นกัน เรื่องราวของภาคนี้ค่อนข้างเป็นเส้นตรง Junior จะได้ลงศึกสู้กับโรงเรียนต่างๆ เก็บสะสมประสบการณ์ รวมถึงโชว์ฟอร์มให้แมวมองต่างๆ ได้เห็นถึงความสามารถของเขา แต่จุดที่น่าสนใจของเนื้อเรื่อง คือจุดที่นำเสนอความกดดันของเด็กคนหนึ่ง ที่ถูกคาดหวังจากคนรอบๆ ตัว เพียงเพราะว่ามีความสามารถที่มากกว่าคนอื่นได้ดีมาก คือต่อให้ผู้เล่นไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้เลย ก็น่าจะสามารถอินไปกับเนื้อเรื่องของเกมภาคได้ไม่ยากครับ กราฟิก / การนำเสนอ ขอออกตัวก่อนว่า NBA 2K21 ที่ผมได้เล่นเป็นเวอร์ชั่นของเครื่อง PS4 ดังนั้นกราฟิกที่ผมได้เห็นจึงยังไม่ใช้ ระดับสูงสุดที่เกมทำได้ แต่เอาจริงๆ ได้ชื่อว่าเป็นเกมกีฬา คิดว่าคงไม่มีใครสนใจในส่วนของความสวยงามของกราฟิกอะไรมากมายนัก เอาเป็นวันเกมนี้มีภาพอยู่ในระดับที่พอรับได้ครับ ไม่ได้สวยสมจริงจนน่าชื่นชม แต่ก็ไม่ได้ห่วยแตกจนเล่นไม่ไหวเช่นกัน มาถึงในส่วนของการนำเสนอบ้างถ้าซึ่งในส่วนนี้ มีอยู่หลายประเด็นที่ผมอยากชื่นชมผู้พัฒนาครับ เรื่องแรกคือการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบ Butterfly Effect ครับ เพราะตลอดการเล่นในโหมดเนื้อเรื่องของเกมมีหลายครั้งที่ผู้เล่นจำเป็นต้องเลือกว่าจะให้ตัวละครของเราเลือกทางไหน เช่น "ตอนนี้กำลังบาดเจ็บหัวเข่าอยู่ แต่ทีมกำลังแย่จะลงไปเล่นดีหรือไม่?" โดยการเลือกในแต่ละครั้งจะส่งผลถึงเนื้อเรื่องโดยตรง และทำให้เหตุการที่ Junior จะได้เจอหลังจากนี้แตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้ระบบที่ใหม่อะไร แต่นับว่าน่าสนใจดีที่เอาระบบนี้มาใช้ในโหมดเนื้อเรื่องของเกมกีฬาครับ อีกหนึ่งจุดที่ผมคิดว่าทำตัดสินใจได้ดีที่มีระบบนี้ "คือมุมมองของตัวเราเองเมื่อต้องนั่งรออยู่ข้างสนาม" โดยปกติแล้วบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ เปลี่ยนตัวผู้เล่นบ่อยมากๆ เนื่องจากกีฬานี้จำเป็นต้องวิ่ง, กระโดด หรือสไลด์เร็วๆ อยู่ตลอดเวลา มันเป็นเรื่องธรรมดาหากจะมีการเปลี่ยนตัวเพื่อให้ตัวเก่งๆ ของทีมได้พัก และกลับลงไปในสนามอีกครั้งในนาทีสำคัญ ใน NBA 2K21 เองก็เช่นกัน มีหลายครั้งที่ Junior จำเป็นต้องออกมาพักข้างสนาม โดยในตอนที่นั่งพักนั้นเกมจะแสดงมุมมองของ Junior ที่กำลังมองการแข่งขันที่ยังคงดำเนินต่อไป รอโอกาสที่จะได้กลับลงไปเล่นอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้รู้สึกสมจริงมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถกดข้ามไปยังครั้งต่อไปที่ Junior ลงสนามได้เลยเช่นกันครับ ถ้าจะถามหาข้อเสียในการนำเสนอ คงไม่พ้นเรื่องสีหน้าของตัวละคร ที่ดูแข็งจนบางครั้งก็ไม่เข้ากับ Dialog ที่กำลังพูดอยู่เลย จุดนี้ทำให้ความน่าสนใจของฉาก Cutscene ในเนื้อเรื่องมีความน่าสนใจที่น้อยลงอย่างมาก คือถ้าทำในส่วนนี้ออกมาได้ดีด้วย เกมนี้จะถือว่ายอดเยี่ยมไปเลยครับ ถือว่าน่าเสียดายจริงๆ เกมเพลย์ มาถึงหัวข้อที่น่าจะเป็นจุดขายจริงๆ ของเกมนี้ครับ อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วในช่วงแรกของบทความว่า "นี้คือเกมที่จำลองกีฬาบาสเกตบอลได้สมจริงที่สุด" ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ซื้อมาเล่นก็น่าจะคาดหวัง ที่จะได้สัมผัสกับกีฬาบาสเก็ตบอลที่สมจริงเช่นกัน ผมขอบอกก่อนตรงนี้เลยว่า เกมนี้จำลองกีฬาบาสเกตบอลได้สมจริงสุดๆ ไปเลยครับ ส่วนว่ามันสมจริงตรงไหนบ้างมาดูกันครับ ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนที่ไม่เคยเล่นกีฬาบาสเกตบอลจริงๆ เข้าใจก่อนว่า นี้คือกีฬาที่ตำแหน่งในการเล่น กับกฎที่เยอะมาก และยังเป็นกีฬาที่โคตรเหนื่อยครับ นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาที่บาดเจ็บได้ง่ายเนื่องจากจำเป็นต้องกระทบกระทั่งกันกือบตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาที่ทำ Tactical Foul หรือการจงใจทำให้อีกฝ่ายโดน Foul ได้หลากหลายวิธีมากๆ ด้วย ดังนั้นการจะจำลองทั้งหมดที่ว่ามาลงไปในเกม จึงเป็นเรื่องที่ดูเป็นไปได้ยาก แต่ NBA 2K21 สามารถทำในจุดนี้ได้เกือบสมบูรณ์เลยครับ! อย่างที่บอกว่ากีฬานี้มีตำแหน่งที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Power Forward, Small Forward, Point Guard, Shooting Guard และ Center โดยแต่ละตำแหน่งก็จะมีสรีระที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป ซึ่งในการสร้างตัวของเกมนี้ จะเปิดให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่ง สรีระรวมไปจนถึงความสามารถได้อย่างอิสระ แต่ก็จะมีการจำกัดให้ตัวละครเรา ไม่สามารถตัวเล็ก หรือเตี้ยไปกว่าความสูงที่เหมาะสมของตำแหน่งนั้นได้ มันจึงทำให้รูปร่างของตัวละครเราจะดูสมจริงกับตำแหน่งที่เลือกในกีฬาบาสจริงๆ ครับ (แน่นอนว่าในเรื่องของสเตตัสก็ด้วยเช่นกัน) ที่นี้มาพูดถึงเกมเพลย์ภายในสนามบ้างครับ ก่อนอื่นคือในเรื่องของกฏเกมนี้มีการใช้กฎทั้งหมดเหมือนกับบาสจริงๆ เลย ทั้งในเรื่องของ การฟาวล์ 10, 5 หรือ 3 วิ, การการวอล์คกิ้ง, รวมไปจนถึงการฟาวล์ทีม ดังนั้นการจะเล่นเกมนี้ผู้เล่นจำเป็นต้องมีความรู้ กับความเข้าใจเกี่ยวกับกฏของกีฬาชนิดนี้จริงๆ ต่อมาคือเรื่องการตั้งรับ, บุก, และฟอร์เมชั่นของ Ai ในเกม โดยต้องบอกเลยว่า สมจริงมากครับ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะส่งลูก, จังหวะวิ่งปิด หรือกระทั้งการจงใจทำฟาวล์เพื่อหยุดเกมในนาทีเสียแต้มสำคัญ ทำเอาบางครั้งก็คิดว่ากำลังดูบาส NBA อยู่จริงๆ เลยครับ ต่อมาคือในเรื่องของความเหนื่อยครับ การเล่นบาสมันจะเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ หากต้องลงหลายควอเตอร์ติดๆ ก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นไปอีก ใน NBA 2K21 ก็เอาตรงนี้มาใส่เป็นหนึ่งในแมคคานิคของเกมด้วยเช่นกัน เมื่อตัวละครของเราลงไปเล่นได้ช่วงหนึ่งแล้ว จะสังเกตุได้เลยว่าสตามิน่าของเราจะน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งถ้าวิ่งเยอะก็จะยิ่งเหนื่อยง่าย จนจำเป็นต้องออกไปพัก และกลับมาลงสนามใหม่เมื่อหายเหนื่อยแล้ว สุดท้ายในเรื่องของการเล่นท่า การทำแต้ม และการป้องกันทั้งหมดที่ทำได้ในเกม ซึ่งเท่าที่ผมนึกออกเกมนี้สามารถเล่นท่าในการไดรฟ์, เลี้ยงลูก, ทำแต้ม รวมไปจนถึงทีมเพลย์อย่าง Ali Oop หรือ Double Play ก็สามารถทำได้ทั้งหมดในเกมนี้ คงต้องยอมรับว่า NBA 2K21 คือจำลองการเล่นบาสเกตบอลมาได้สมจริงสุดครับ แต่ในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาก็เป็นดาบสองคมเช่นกัน เพราะสำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับกีฬาบาสเกตบอลมาก่อนเลยคงต้องใช้เวลาเยอะมากๆ ในการทำความเข้าใจ ระบบต่างๆ ของเกมนี้ ต่อให้เป็นคนที่รู้ และเข้าใจกฏของกีฬาชนิดนี้อยู่แล้ว ก็ยังจำเป็นต้องเสียเวลาเรียนรู้การควบคุมนานอยู่ดี เพราะอย่าง่ที่ผมบอกไปว่าเกมนี้เปิดให้ผู้เล่นสามารถเล่นท่าทั้งหมดที่มีในกีฬาชนิดนี้ได้ ดังนั้นวิธีการกดปุ่มเพื่อออกท่าต่างๆ จึงสับส้อนมาก มันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ที่จะจำทุกอย่างได้หมดภายในครั้งเดียว ดังนั้นถ้าใครไม่ได้ชอบกีฬาบาส หรือชอบเล่นเกมแนวนี้ ก็แนะนำให้ข้ามไปได้เลยครับ สรุป NBA 2K21 อาจเป็นเกมที่จำลองกีฬาบาสเกตบอลออกมาสมจริงสุดๆ จนน่าจะถูกใจคนที่ชื่นชอบกีฬานี้จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเกมที่มีความยุ่งยากมากเกินไป จนอาจไม่เป็นที่ถูกใจของผู้เล่นส่วนใหญ่ครับ เอาแค่เรียนรู้การกดปุ่มเพื่อออกท่าต่างๆ อย่างเดียว คิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าหวังจะซื้อมาเล่นแคชชวลสนุกๆ ผมว่าเกมนี้ไม่อยู่ในตัวเลือกเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากคุณคือแฟนกีฬาชนิดนี้แบบตัวจริง NBA 2K21 คือเกมที่ใกล้เคียงกับคำว่า "จำลองได้สมบูรณ์แบบ" ที่สุดแล้วในตอนนี้ครับ เนื่องจากตัวเกมเข้าถึงได้ยากจนเกินไป ทั้งยังมีระบบเกมเพลย์ที่ซับซ้อน GameFever TH จึงคิดว่าเกมนี้ควรจะได้คะแนนอยู่ที่ 7 เต็ม 10 เท่านั้นครับ [penci_review id="68421"]
28 Sep 2020
รีวิว Mafia: Definitive Edition จุดเริ่มต้นของตำนานแห่งเกมมาเฟียอิตาลี
เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ ในเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา เพราะว่าทาง 2K Games ได้ประกาศเปิดตัวโปรเจกต์สุดน่าสนใจนั่นคือ Mafia: Definitive Edition ที่ได้นำเอาเกมภาคแรกของซีรีส์นี้อย่าง Mafia: The City of Lost Heaven มายกเครื่องอัพเกรดกราฟิกใหม่ทั้งหมด โดยผู้พัฒนาเองก็ได้เคลมว่าพวกเขาสร้างเมืองนี้ใหม่ตั้งแต่ภาคพื้นดินเลยทีเดียว จนมันทำให้หลายๆ คนต่างสนใจและรอเล่นเกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเรา GameFever TH ก็ได้มีโอกาสในการเล่นเกมนี้จนจบแล้วและจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ กราฟิก / การนำเสนอ สิ่งที่ผู้พัฒนาได้บอกเอาไว้ว่าพวกเขานั้นสร้างเมือง Lost Heaven ใหม่ทั้งหมดนั้น ผู้พัฒนาเองไม่ได้ขี้โม้เลยแต่อย่างใด และส่วนตัวค่อนข้างประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะผู้พัฒนาได้ดีไซน์เมืองนี้ใหม่เกือบทั้งหมดถึงแม้ว่าจะใช้แบบแปลนจากภาคเดิมในการพัฒนา อย่างที่เรารู้ว่า Mafia: Definitive Edition เกมนี้ได้ถูกสร้างมาจาก Engine ที่เคยใช้ในเกม Mafia III แต่หลังจากที่เคยได้เล่นเกมนี้มาทั้งคู่ต้องบอกเลยว่า Mafia: Definitive Edition ทำภาพได้สวยกว่ามาก เพราะผู้พัฒนาได้ใส่เทคโนโลยี Ray Tracing หรือการสะท้อนเงาวัตถุแบบ Real Time เข้ามา ทำให้บรรยากาศของเกมมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น แต่ในด้านกราฟิกก็อาจจะมีปัญหาสำหรับคนที่คอมพิวเตอร์ไม่แรงอยู่เหมือนกัน เพราะว่าฟังชั่น Ray Tracing นี้จะติดมาตลอดกดปิดไม่ได้ โดยตัวผู้เขียนเองได้ใช้คอมพิวเตอร์สเปกกลางๆ อย่าง i5 - 8400 บวกกับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งมันพอเล่นได้แบบต่ำสุด (ในราวๆ 70 FPS) ซึ่งคาดว่าสเปกคอมพิวเตอร์ราวๆ นี้น่าจะเป็นสเปกต่ำสุดที่ผู้เขียนแนะนำถ้าอยากจะเล่นเกมนี้เพื่อประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแบบไม่ตกหล่น แต่ข้อดีก็คือถึงแม้ว่าผู้เขียนจะปรับกราฟิกต่ำสุด แต่ก็ยังสามารถเห็นถึงความสวยงามของมัน รวมถึงปัญหาบัคเฟรมเรทตกไม่มีให้เห็นแต่อย่างใด ถือว่าผู้พัฒนาปรับปรุงในส่วนนี้ออกมาได้ดีมาก เนื้อเรื่อง เรื่องราวของซีรีส์ Mafia: Definitive Edition นั้นก็ค่อนข้างที่ทำได้ตรงตามเกมเวอร์ชั่นดั้งเดิมเป็นอย่างมาก กับเรื่องราวของ Tommy Angelo คนขับรถแท็กซี่ที่บังเอิญเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ไล่ล่าระหว่างแก๊งมาเฟีย เลยทำให้เขานั้นได้เข้าร่วมแฟมิลีของ Salieri ในที่สุดเพื่อโอกาสในความก้าวหน้าของชีวิต ซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่าส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้เคยเล่นเกมเวอร์ชั่นดั้งเดิมแบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องมันเท่าที่ควรในตอนนั้น ( แถมเล่นไม่จบด้วย ) แต่หลังจากที่ได้ลองเกมนี้จนจบ และเคยเล่นเกมซีรีส์นี้ในทุกภาคก็ต้องบอกว่า Mafia: Definitive Edition ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีที่สุดจากในมุมมองของผู้เขียนเอง เพราะตัวเกมนำเสนอเรื่องของความสัมพันธ์ สิ่งที่กล้ำกลืนฝืนทนที่จะต้องทำเพื่องาน หรือแม้กระทั่งการนำเสนอเรื่องของสงครามระหว่างแก๊งที่ตัวเกมภาคนี้นำเสนอออกมาได้ดี แต่เนื่องจากที่เกมนี้ ผู้พัฒนาไม่ได้ตกแต่งโครงเรื่องใหม่แต่อย่างใด ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจจะดูรวบรัดตัดจบไวเกินไปหน่อย เพราะในสมัยก่อนตัวเกมลงให้กับเครื่อง PS2 มันอาจจะไม่มีพื้นที่ในการจุเนื้อหาเยอะ เพราะเกมน่าจะเอาไปลงกับกราฟิกหมด ทำให้มันมีการเล่าเรื่องที่ประหลาดๆ หรือทื่อๆ ไปซักนิด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะส่วนตัวอยากให้ผู้พัฒนาเพิ่มเติมหรือขยายความเรื่องราวให้มากกว่านี้โครงเรื่องของมันค่อนข้างดีมากๆ เลยทีเดียว เกมเพลย์ เบื่อไหมในเกมเก่าๆ ของซีรีส์ Mafia ที่การขับรถนั้นมันบังคับยากเสียเหลือเกิน และปัญหานี้มันก็เรื้อรังมาในทุกภาค แต่ผิดกับเกม Mafia: Definitive Edition ที่ผู้พัฒนาปรับปรุงระบบการขับรถให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ได้ดีมากยิ่งขึ้น Lost Heaven ถูกดีไซน์ใหม่ ให้พื้นที่เลนถนนมีความกว้างกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้มีพื้นที่ตีวงตอนเลี้ยวรถได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงผู้พัฒนายังเพิ่มระบบช่วยบังคับรถที่มันจะคำนวนการเลี้ยวรถให้เราได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมันส่งผลทำให้เราสามารถเลี้ยวรถด้วยความเร็วๆ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบไม่ต้องชะลอรถได้สบายๆ (แต่ถ้าเร็วเกินไปรถก็อาจจะพลิกได้เหมือนกัน) แต่ถ้าใครที่ไม่อยากได้ตัวช่วยขับรถเกมนี้ก็ยังมีตัวเลือกการขับรถแบบสมจริงที่เหมือนกับในภาคก่อนๆ อยู่เช่นเดิม ส่วนในเรื่องเกมเพลย์ก็ต้องบอกเลยว่าตัวเกมก็จะมีระบบการเล่นที่เหมือนกับเกม Open World ทั่วไป ซึ่งมันไม่ได้มีความแปลกใหม่ไปจากเดิมเท่าไร อาจจะมีบางภารกิจหรือตัวเลือกที่น่าสนใจให้เล่นบ้างอย่างเช่นภารกิจหนึ่งที่เราจะต้องเข้าไปปิดปากสาวโสเภณีที่ดันไปรู้ความลับบางอย่างเข้า ซึ่งเราจะต้องค้นหาเองว่าเธอนั้นอยู่ในห้องไหน โดยเราสามารถเดินหาที่ละห้องจนกว่าจะเจอ หรือไม่เราก็อาจจะไปถามกับทางบริกรว่าเธออยู่ตรงไหน หรือจะแอบเข้าไปดูสมุดบัญชีลิสต์งานก็ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าเสียดายคือเราเองไม่ได้เห็นเกมการเล่นแบบนี้เยอะนัก ส่วนใหญ่ก็จะมีแค่การขับรถไล่ล่าหรือยิงศัตรูเท่านั้น มันเลยทำให้ตัวผู้เขียนเองรู้สึกผิดหวังกับมันอยู่พอสมควร เพราะนอกจากกราฟิกที่สวยงามแล้วนั้นเราแทบไม่ได้เห็นอะไรใหม่เลย แต่ตัวเกมก็ยังมีระบบที่เข้ามาท้าทายผู้เล่นแทนนั่นคือโหมด Classic ที่จะเป็นความยากระดับสูงสุด ผู้เล่นต้องบังคับรถในโหมดดั้งเดิมเท่านั้น Radar ในศัตรูจะไม่ปรากฏ รวมถึงกล่องเพิ่มเลือดก็จะฟื้นฟูได้น้อยกว่าเดิม ซึ่งเราจะต้องทำการฝึกฝน และต้องต่อสู้กับความยากนี้ไปทีละด่าน ซึ่งมันก็สามารถสร้างความท้าทายได้ดี และอีกสิ่งที่น่าผิดหวังอีกเรื่องก็น่าจะเป็นระบบ Open World  ของมันที่ถูกสร้างมาแล้วไม่ได้เกื้อกูลกับเกมเพลย์หลักแต่อย่างใด เพราะในเวลาเล่นโหมดแคมเปญอยู่ การดำเนินเรื่องของเกมนี้จะเหมือนเป็นเกมเนื้อเรื่องที่ใส่องค์ประกอบโลกเปิดมาเท่านั้น เพราะนอกจากการขับรถเล่นในโหมด Free Ride แล้ว เราไม่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวกับโลกที่เขาสร้างนอกจากการขับรถเล่นได้เลย ตัวเกมไม่มีระบบค่าเงิน ไม่มีร้านค้าให้เราได้ไปหาซื้อเสื้อใหม่ๆ ใส่ หรือกิจกรรมสนุกๆ ไม่มีเลยจริงๆ !! ในตอนที่จบภารกิจตัวเกมก็ไม่ได้ให้อิสระเราในการขับรถเที่ยวเล่นเลยสักครั้ง แต่จะบังคับให้ขึ้นบทต่อไปและทำภารกิจทันที ส่วนตัวคิดว่านี่น่าจะเป็นข้อเสียหายอันร้ายแรงที่อาจจะทำให้คนวิจารณ์ด้านลบเกี่ยวกับเกม Mafia: Definitive Edition ก็เป็นได้ แต่จากผมเองได้ลองดูราคาของเกมนี้ที่ผู้พัฒนาวางจำหน่ายเพียงแค่ 959 บาท เท่านั้น มันก็ทำให้ตัวผมเองถึงบ้างอ้อทันทีว่า ทำไมพวกเขาถึงตั้งชื่อเกมนี้ว่า Mafia: Definitive Edition เพราะโดยรามแล้วเราจะพูดว่ามันเป็นเกม Remake เต็มรูปแบบก็ไม่ได้ เพราะในด้านเกมเพลย์และโครงสร้างของมันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย แต่จะให้พูดว่า Remastered ก็อาจจะทำได้ดีกว่า เกมนี้เหมือนกับเป็นโปรเจกต์เล็กๆ ที่ผู้พัฒนาทำออกมาเพื่อคั่นเวลาในระหว่างที่พวกเขาเตรียมตัวสร้างโปรเจกต์ใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้ สรุป โดยรวมแล้ว Mafia: Definitive Edition นอกจากกราฟิกที่ทำออกมาได้ดีงามแล้วนั้น ตัวระบบเกมเพลย์เองกลับไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ไปกว่าเดิมเลย เหมือนเป็นโปรเจกต์คั่นและทดลองในระหว่างการรองานที่ใหญ่กว่านี้ ผู้พัฒนาถึงได้ขายเกมนี้ในราคาที่ถูกกว่าเกม AAA ทั่วไปกว่า 50% แต่ถ้าให้ถามว่าตัวเกมมันโอเคไหม ส่วนตัวก็ยังบอกว่ามันก็ยังเป็นเกมที่สนุกเล่นได้เพลินๆ เพราะเนื้อเรื่องของเกมที่พอจะน่าติดตาม กราฟิกที่สวยงาม รวมถึงระบบการต่อสู้ที่ถึงแม้ว่ามันจะเก่าแก่แล้ว แต่มันก็สามารถสร้างความสนุกให้เหล่าผู้เล่นได้อยู่ดี Mafia: Definitive Edition ไม่ใช่เกมแย่ แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามันคืองาน Masterpiece อาจจะเป็นเกมที่ทำให้คุณหายคิดถึงเกมซีรีส์นี้หลังจากที่พวกเขาไม่ได้ออกภาคใหม่มากว่า 4 ปี กับราคาที่สบายกระเป๋ายังไงเกมนี้ก็คู่ควรแก่ในการซื้อมาเล่น แต่ย้ำไว้ก่อนว่าอย่าไปคาดหวังกับมันไว้เยอะอย่างผมก็พอ สั่งซื้อเกม - https://store.steampowered.com/app/1030840/Mafia_Definitive_Edition/ [penci_review id="68411"]
24 Sep 2020
รีวิว Spellbreak: Battle Royale สไตล์ใหม่กินไก่ด้วยเวทมนตร์!!
ถึงแม้เกมแนว Battle Royale จะมีออกมาให้เราเล่นเรื่อยๆ แต่เกมที่ฮิตและติดกระแสจริงๆ นั้นก็ยังคงเป็นเกมเดิมๆ อยู่เสมอ ทว่า Proletariat Inc. ก็ไม่ได้เกรงกลัวและผลักดันเกมของพวกเขาเข้ามาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale อย่างกล้าหาญ ซึ่งเกมที่ว่าก็คือ Spellbreak เกมที่จะเปลี่ยนจากการจับปืนถือระเบิดมาเป็นสวมถุงมือเวทมนตร์ยิงลูกไฟใส่กันแทน ตัวเกมมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะเรา แทบ จะไม่เคยเห็นเกม Battle Royale เกมไหนที่ไม่ต้องจับปืนเลย อีกทั้งกราฟิกของเกมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนเป็นภาพการ์ตูนซึ่งมันคล้ายกับเกม Battle Royale ยอดนิยมอย่าง Fortnite อีกด้วย แต่ถ้าหากพูดถึงความง่ายของเกมเพลย์ และความสามารถในการพลิกแพลกสถานการณ์ เจ้าเกมนี้มีความหลากหลายกว่ามากเลยทีเดียวครับ ถึงแม้ Spellbreak จะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนเกม Battle Royale ยอดนิยมเกมอื่นๆ แต่ก็เพราะเช่นนั้นจึงทำให้ตัวเกมน่าสนใจอย่างมาก แล้วเจ้าเกมนี้จะสนุกหรือไม่ ความสามารถในการพลิกแพลกที่ว่าหมายถึงอะไร และทำไมเกมนี้ถึงไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย บทความนี้ผมจะบอกเล่าทุกอย่างที่ได้ลองสัมผัสในเกม Spellbreak หากอยากรู้จักเกมนี้ให้มากขึ้นก็ไปอ่านกันเลยครับ เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเกมเพลย์นั้นง่ายและเป็นมิตรต่อผู้เล่นค่อนข้างมาก เนื่องจากต่อให้คุณยิงไม่แม่นหรือคุมปืนไม่เป็นในเกม Battle Royale เกมอื่นๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใน Spellbreak เลยครับ เพราะการยิงเวทมนตร์ในเกมนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทโจมตีวงกว้าง ดังนั้นต่อให้ยิงใส่พื้นอย่างเดียวก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อยู่ดี อีกทั้งเกมนี้ต้องให้บริการในหลายแพลตฟอร์มดังนั้นจึงต้องมีระบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเรียนรู้ได้เร็วเพื่อรองรับผู้เล่นหลากหลายแบบ เพราะผู้เล่นบางคนก็อาจไม่คุ้นเคยกับเกมแนว Battle Royale มากนัก ในส่วนของรูปแบบการเล่นส่วนใหญ่เราก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วครับ ก็คือ เลือกจุดที่ต้องการจะลง แล้วทำการค้นหาอาวุธ จากนั้นก็หนีวงที่ค่อยๆ บีบเข้าหาเรา และทำการสังหารศัตรูเพื่อกลายเป็นผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว (หรือทีมเดียว) แต่การเลือกจุดที่ต้องการลงของเกมนี้ไม่เหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่นๆ เพราะปกติเราจะต้องนั่งยานอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วเลือกกระโดดร่มลงตรงจุดที่ต้องการ แต่ในเกมนี้ที่ใช้เวทมนตร์ในการโจมตี ดังนั้นการจะลงในจุดที่เราต้องการก็ต้องใช้เวทมนตร์เช่นกัน เพียงแค่เรากดเลือกจุดที่ต้องการลงในแผนที่เวทมนตร์ จากนั้นเราก็จะวาร์ปไปอยู่บนน่านฟ้าบริเวณนั้นๆ แล้วแลนดิงแบบฮีโร่ลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ในหนึ่งแมตช์ของเกมนี้สามารถรองรับจอมเวทได้สูงสุด 42 คน ถึงจะดูน้อยกว่าหลายๆ เกม แต่เอาเข้าจริงตอนอยู่ในวงท้ายๆ ก็มักจะมีคนเหลือมากกว่า 10 คนแทบตลอด เพราะว่าเกมนี้มันหนีง่ายกว่าสู้นั่นเอง เนื่องจากเกมดังกล่าวนอกจากจะมีถุงมือเวทมนตร์ทั้งหมดหกธาตุ ให้เราเลือกใช้เพื่อผสมผสานคอมโบและสามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดแล้ว (เฉพาะข้างขวา ส่วนข้างซ้ายจะให้เราเลือกตั้งแต่เริ่มแมตช์) มันยังมี Rune หลากหลายประเภท เช่น บิน พุ่งตัว วาร์ป และหายตัว เป็นต้น   ซึ่ง Rune เหล่านี้เราสามารถเลือกสวมใส่ได้หนึ่งอย่าง และเจ้า Rune นี้เองที่ทำให้ผู้เล่นมีวิธีหนีเอาตัวรอดจากการถูกซุ่มโจมตีได้หลากหลายวิธี และยังสามารถพลิกแพลงการเล่นได้อีกมาก อย่างเช่น การเอารูน พุ่งตัว มาใช้ทิ้งระยะจากศัตรูแล้วโจมตีอีกฝ่ายด้วยสกิลโจมตีพื้นที่แบบวงกว้าง หรือจะหายตัววิ่งไปด้านหลังแล้วยิงเวทมนตร์ใส่แบบหมดสต็อก ก็ยังได้ ในส่วนของเวทมนตร์ทั้งหกธาตุนั้น ได้แก่ Frostborn, Conduit, Pyromancer, Toxicologist, Stoneshaper และ Tempest หรือก็คือธาตุ น้ำแข็ง สายฟ้า ไฟ พิษ หิน และ ลม ตามลำดับ ซึ่งเจ้าธาตุแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น Tempest (ลม) ที่โจมตีได้รวดเร็วและมีพลังในการเคลื่อนไหวในอากาศ แต่ข้อเสียของธาตุนี้ก็คือโจมตีได้เบา กับ Pyromancer (ไฟ) ที่โจมตีแรงมีสกิลกำแพงไฟในการบดบังวิสัยทัศน์ศัตรู หรือจะเอามาโจมตีศัตรูก็ได้เช่นกัน แต่ข้อเสียคือหลบได้ง่ายเพราะกว่าเปลวไฟจะตกลงพื้นก็มีระยะเวลาพอให้พุ่งหนี เป็นต้น นอกจากนี้เวทมนตร์ที่ผู้เล่นสวมใส่ได้ในมือทั้งสองข้าง เราสามารถผสมผสานเวทมนตร์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความเสียหายหรือระยะการโจมตีได้ด้วย อย่างเช่น Pyromancer ผสมกับ Tempest จะได้เป็นพายุเปลวไฟสุดร้อนแรง หรือ Frostborn ผสมกับ Conduit ที่เมื่อคุณใช้สกิลพิเศษ Flash Freeze ของธาตุน้ำแข็ง เมื่อมันละลายกลายเป็นน้ำแล้วคุณทำการโจมตีด้วยเวทมนตร์สายฟ้าลงไป น้ำทั้งหมดบนพื้นจะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านอยู่ ซึ่งจากวิธีการผสมผสานธาตุได้หลากหลายรูปแบบนี้เองที่ทำให้เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้มากกว่าเกมอื่นๆ หลายๆ เกม แล้วถ้าคุณเสียเลือดหรือเกราะในระหว่างการต่อสู้ การที่จะฟื้นมันได้นั้นก็ต้องใช้เวลา ไม่มีการใช้ยาปุ๊บเลือดพุ่งขึ้นปั๊บ และขนาดของยาเองก็มีการแบ่งเป็นเลเวลไว้อย่างชัดเจน เลเวลยิ่งสูงยิ่งเพิ่มได้เยอะ แต่ถ้าคุณพลาดท่าถูกอีกฝ่ายจัดการ หากเล่นเป็นทีมคุณจะยังคงมีโอกาสได้ไปต่อ แต่มีข้อแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมของคุณจะต้องวิ่งมาชุบคุณที่เป็นลูกบอลแสงได้ทันนะ เพราะหากไม่ทันหรือคุณโดนอีกฝ่ายจัดการซ้ำเสียก่อน ก็ถือว่าจบเกมทันที ตามสไตล์ Battle Royale ทั่วไป แผนที่ในเกมนี้ก็นับว่าดีไม่น้อย เพราะไม่กว้างจนหากันไม่เจอ และไม่เล็กจนจบไวเกินไป แต่ถึงจะบอกว่าแผนที่มันไม่กว้างมาก ในบางแมตช์คนส่วนใหญ่ก็ยังจะพร้อมใจกันไปลงในเมืองๆ หนึ่ง จนเราที่ไปลงเมืองเล็กๆ ก็เลยต้องแอบเหงาอยู่คนเดียว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ครับ คือต่อให้คุณอยู่สุดขอบแผนที่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงมากนัก เพราะความเสียหายจากวงนั้นค่อนข้างเบา ยังมีเวลาให้คุณวิ่งเข้าวงอยู่มากครับ กราฟิก กราฟิกของ Spellbreak อย่างสภาพแวดล้อมกับเอฟเฟกต์นั้นนับว่าสวยงามในสไตล์ภาพของการ์ตูนครับ มีความสดใส และสีสันสูงมาก แต่มันก็ไม่ได้แสบตาอะไร แถมยังเป็นสเน่ห์ของมันเองอีกต่างหาก แน่นอนว่าในเมื่อเป็นภาพสไตล์การ์ตูน ดังนั้นเอฟเฟต์ต่างๆ ของเวทมนตร์ไม่ว่าจะเป็นระเบิด หรือสายฟ้า ต่างก็มีเสน่ห์ในตัวเองทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นในเรื่องของโมเดลตัวละครแม้จะบอกว่าเป็นภาพสไตล์การ์ตูน แต่มันก็ไม่ได้ดูสวยงามเท่ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบของเกมเลยด้วยซ้ำ ต้นไม้ยังดูมีความชัดของลายเส้นมากกว่าตัวละครเสียอีก นอกจากนี้ยังมองตัวละครศัตรูจากระยะไกลค่อนข้างยากอีกด้วย แต่มันก็แฟร์กับผู้เล่นอยู่เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายก็มองหาเรายากเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวสิ่งก่อสร้างในเกมต้องบอกว่ามันดูน่าเบื่อเล็กน้อย เพราะมันค่อนข้างซ้ำซาก ถ้าไม่เป็นปราสาทเก่าๆ ก็ต้องเป็นเศษซากปรักหักพัง อาจเพราะผู้พัฒนาต้องการให้เข้ากับธีมสงครามก็ได้ แต่บางทีก็น่าจะมีสิ่งปลูกสร้างสวยๆ ที่ยังคงมีสภาพแบบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ดูบ้างนะ ส่วนโมเดลของถุงมือก็ออกแบบมาได้ค่อนข้างเท่ไม่น้อยเลยครับ แต่ช่วงแรกๆ อาจจะแยกถุงมือเวทมนตร์ธาตุสายฟ้ากับน้ำแข็งจากกันยากหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาครับเพราะยังไงก็มีชื่อบอกอยู่ดี และถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเกม รวมถึงโมเดลตัวละครจะไม่ได้สวยมากมาย แต่มันก็ทดแทนได้ด้วยเอฟเฟกต์เวทมนตร์กับสภาพแวดล้อมอย่างต้นไม้ ผืนหญ้า เนินเขาเล็กๆ มาทดแทนได้ อาจเป็นเพราะเกมนี้ต้องลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch ด้วย ทำให้กราฟิกของเกมจะต้องไม่หนักเครื่องจนเกินไปก็เป็นได้ครับ ซึ่งนั่นหมายความว่าต่อให้ Spec เครื่อง PC ของคุณไม่เร็วมาก ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ระบบเติมเงิน แน่นอนว่าเมื่อเป็นเกม Free to Play ระบบหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือ Shop ที่จะนำชุดแฟชั่นต่างๆ รวมถึงแสงตอนบินลงเมื่อเริ่มเกม นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ มาวางขายแบบจำกัดเวลาเรียกกิเลสของเราอีกต่างหาก ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าโมเดลตัวละครนั้นมันสวยสู้สภาพแวดล้อมในเกมยังไม่ได้ แต่ว่าสกินต่างๆ ที่ตัวเกมนำมาวางขายใน Shop นั้นบางสกินมีโมเดลที่สวยมากจริงๆ ครับ เหมือนกับว่าผู้พัฒนาจะสื่ออ้อมๆ ว่า หากอยากมีตัวละครสวยก็จ่ายเงินมาเสียสิ! แต่เกมนี้ก็ยังใจดีแจกเงินให้กับเราอยู่บ้าง โดยเราจะได้เงิน 50 Gold ทุกครั้งที่อัพเลเวลได้ ดังนั้นผู้เล่นก็สามารถเล่นไปเรื่อยๆ เพื่ออัพเลเวลแล้วนำเงินไปซื้อสกินที่ต้องการได้ครับ แต่ว่าสกินสวยๆ นั้นส่วนใหญ่จะมีราคามากกว่า 1,000 Gold ดังนั้นมันก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะเก็บเงินได้ครบครับ โดยรวมแล้ว Shop ในเกมไม่ได้มีความดึงดูดให้เราต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น อีกทั้งเรายังสามารถใช้เงินในเกมซื้อได้อยู่แล้ว ถึงจะต้องเก็บนานนิดหน่อยก็ตาม แต่ถ้าหากใครอยากดูโดดเด่นกว่าเพื่อนมันก็ไม่ได้แย่ที่จะยอมเสียเงินนิดๆ หน่อยๆ ครับ สรุป โดยรวมแล้วเกมนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้หลากหลาย ผสมผสานเวทมนตร์ได้มากมาย มีกราฟิกสไตล์ภาพการ์ตูนที่ดูสดใสและน่ารัก ยิ่งถ้าพูดถึงความง่ายในการเข้าถึงอย่างมีให้บริการบนหลายแพลตฟอร์มแถมยังสามารถเล่นร่วมกันได้อีกต่างหาก มันจึงนับเป็นเกม Battle Royale เกมใหม่ที่มาแรงในหลายๆ ประเทศมากครับ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเกมที่จำเป็นต้องหยิบมาเล่นมากขนาดนั้นเพราะถ้าหากอยากเล่นเกม Battle Royale สไตล์ภาพการ์ตูนเราก็มี Fortnite กันอยู่แล้ว หรือถ้าหาเกม Battle Royale ที่มีสกิลให้ใช้งานก็มีเกมที่ดีกว่าอย่าง Apex Legends อยู่เช่นกันครับ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่เกมนี้ไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย เพราะคู่แข่งของเกมนี้แข็งแกร่งมากนั่นเอง ถึงแม้ในหลายๆ ประเทศเ Spellbreak จะดูมีกระแสอยู่บ้าง แต่สำหรับประเทศไทยเกมนี้ยังไม่ดีพอที่จะมาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale จากเกมอย่าง PUBG หรือ Fortnite ครับ [penci_review id="67337"]
24 Sep 2020
Minecraft Dungeons เจ้าเหลี่ยมกู้โลก
Minecraft Dungeons คือเกมรูปแบบใหม่ในแฟรนไชส์เดิมของ Mojang จากเดิมที่เป็นเกมแนว Sandbox ในครั้งนี้มันมาเป็นแนว Hack & Slash เดินหน้าลุยฟันไม่เลี้ยงที่ผสมผสานเข้ากับแนว Dungeon Crawler ที่คุณจะต้องเลือกดันเจี้ยนแล้วปรับความยากเองก่อนเข้าไปเผชิญหน้ากับฝูงมอนสเตอร์ ตัวเกมยังคงมีกลิ่นอายความเป็น Minecraft อยู่อย่างเต็มเปี่ยม เช่นมอนสเตอร์ในเกมที่คุ้นหน้าคุ้นตาเราอย่าง เจ้าโครงกระดูกยอดนักธนูที่ชื่อ Skeleton หรือ เจ้าจอมระเบิดที่เห็นทีไรเป็นต้องหนีให้ห่างอย่าง Creeper เป็นต้น ในส่วนของกราฟิกก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ เพราะมันยังคงความเป็นเหลี่ยมอยู่เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือสวยงามและสดใหม่มากขึ้น ในบทความนี้เราจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้สัมผัสในเกม Minecraft Dungeons รวมถึงเนื้อหาเสริมอีกสองตัวอย่าง Jungle Awakens กับ Creeping Winter เกมนี้จะสนุกแค่ไหน เนื้อหาจะเป็นอย่างไร คุ้มค่าหรือเปล่า ก็มาดูกันเลยครับ! เนื้อเรื่อง เรื่องราวของ Minecraft Dungeons นั้นเริ่มต้นจากที่ Illager (อิลเลจเจอร์ คือชาวบ้านที่ถูกเนรเทศเพราะพวกเขาไม่เป็นมิตรต่อใคร) ได้พบกับสิ่งประดิษฐ์ลึกลับที่ชื่อ Orb of Dominance ซึ่งเจ้าสิ่งประดิษฐ์นี้ทำให้เขาสามารถสร้างกองทัพมอนสเตอร์ทรงพลังออกมาได้ ด้วยพลังนี้ทำให้เขามีความคิดที่จะแก้แค้นผู้คนที่ไม่ยอมรับในตัวเขา และเขายังหวังที่จะครองโลกอีกด้วย! เขาเริ่มแผนการโดยบุกไปทำลายหมู่บ้านต่างๆ สั่งให้เหล่ามอนสเตอร์ใต้อาณัติเผาทำลายหมู่บ้านไปเรื่อยๆ พวกมันทั้งสังหารและกักขังเหล่าชาวบ้านเอาไว้ ทำให้ทั่วโลกของ Minecraft เกิดความวุ่นวาย และเรื่องนี้จำเป็นต้องมีคนมาหยุดมัน แน่นอนว่าคนๆ นั้นก็คือ เรา นั่นเองครับ ในฐานะผู้กล้าหน้าเหลี่ยมเราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือและปลดปล่อยหมู่บ้านทั้งหลายจากการยึดครองของมอนสเตอร์ ในด้านตัว DLC ของ Minecraft Dungeons ที่ได้ปล่อยออกมานั้นล่าสุดมีทั้งหมด 2 ตัวครับ ซึ่งมันเป็นการเพิ่มด่าน อุปกรณ์ และมอนสเตอร์ใหม่ๆ รวมถึงเนื้อเรื่องอีกเล็กๆ น้อยๆ ครับ โดยที่เนื้อเรื่องของ DLC ตัวแรกที่ชื่อว่า Jungle Awakens นั้นมีอยู่ว่า มีพลังงานบางอย่างเข้าไปรบกวนป่าที่ครั้งหนึ่งเคยเงียบสงบจนทำให้มันกลายเป็นสถานที่สุดแสนจะอันตราย แล้วใครเล่าจะสามารถหยุดยั้งเรื่องนี้ได้ ก็มีเพียงเราที่เป็นผู้กล้าหน้าเหลี่ยมเท่านั้น! ในส่วนของ DLC ตัวที่สองซึ่งวางจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้มีชื่อว่า Creeping Winter โดยผู้เล่นจะได้ไปสำรวจในเกาะหิมะไร้ชื่อแห่งหนึ่ง เกาะนี้มีป้อมปราการขนาดใหญ่ (ป้อม Lone Fortress) และหมู่บ้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่รอบๆ ทางทิศเหนือของเกาะเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ มีแม่น้ำยาวไหลผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะ ที่แห่งนี้เคยเป็นเพียงสถานที่ปกติธรรมดาจนกระทั่ง Orb of Dominance ได้คืบคลานเข้ามาในดินแดนอันเงียบสงบ และแล้วเกาะแห่งนี้ก็เริ่มปกคลุมไปด้วยความวุ่นวายอันน่าหวาดหวั่น มีเพียงเราเท่านั้นที่จะปลดปล่อยเกาะแห่งนี้ได้ เนื้อเรื่องของ Minecraft Dungeons นั้นเป็นเส้นตรงและเข้าใจง่ายมาก มันคือการที่มีตัวร้ายอยากยึดครองโลกเราที่เป็นผู้กล้าจึงต้องไปหยุดยั้ง แต่ว่าเนื้อเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ข้อเสียหรือจุดด้อยของเกมนี้แต่อย่างใด เพราะว่านี่คือ Minecraft เกมที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หรือจะเล่นกันเป็นครอบครัวก็ได้ เนื่องจากตัวเกมสามารถ Co-op ได้สูงสุดถึง 4 คนนั่นเอง โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าเกม Minecraft Dungeons นั้นไม่ได้เน้นไปที่เนื้อเรื่องมากนัก มีไว้เพียงแค่ทำให้เกมมันมีจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง สิ่งที่น่าสนใจในเกมนี้จริงๆ ก็คือการฟาร์มเพื่อหาไอเทมใหม่ๆ และอัพเลเวลเพื่อพัฒนาตัวเองมากกว่า เกมเพลย์ Minecraft Dungeons นั้นมีระบบการเล่นที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ง่ายไม่ต่างกับเนื้อเรื่องครับ แต่ผู้พัฒนาได้ทิ้งระบบที่เป็นจุดขายของ Minecraft อย่าง Sandbox ไป แล้วนำระบบการเล่นแบบ Hack & Slash ผสมกับ Dungeon Crawler มารวมกัน หากใครที่ชอบทั้งเกม Minecraft และ Diablo 3 เกมนี้ก็อาจจะตอบโจทย์ไม่น้อยเลยครับ เกมนี้ที่คุณต้องทำก็มีเพียงแค่ลุยไปทีละด่านในระดับความยากที่คุณสามารถปรับได้ตามต้องการ จากนั้นก็ฟาร์มของเพิ่มเลเวลไปเรื่อยๆ แค่นั้นเอง ไอเทมในเกมนี้มีเอฟเฟต์ที่แตกต่างกันให้ผู้เล่นได้ใช้ตามความชอบ รวมถึงมีอุปกรณ์เสริมอีกมากมายแต่เลือกสวมใส่ได้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้นนะ ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถเปลี่ยนมันได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ โดยไอเทมเหล่านี้ที่ดรอปในด่านจะมีค่าพลังตามระดับความยากของด่านนั้นๆ ความยากยิ่งสูงไอเทมก็ยิ่งมีค่าพลังที่สูงตามไปด้วย แต่แน่นอนว่ายิ่งระดับความยากของดันเจี้ยนสูงมากเท่าไหร่ ความท้าทายที่เราต้องเผชิญก็ยิ่งหนักหน่วงมากเท่านั้นครับ ระบบดรอปไอเทมจากการสังหารมอนสเตอร์หรือเปิดหาเอาจากกล่องสมบัตินั้นก็ไม่ต่างจากเกม RPG เกมอื่นๆ เลย แต่ยังดีที่ไอเทมแต่ละชิ้นนั้นยังมี Tier ที่แตกต่างกันให้เราได้อัปเกรด ทำให้เกมนี้ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ในส่วนของ Tier นั้นเราจะต้องใช้แต้มอัปเกรดที่ได้หนึ่งแต้มต่อการเพิ่มเลเวลหนึ่งเลเวล และไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเราใช้แต้มอัปเกรดไปแล้วพอเราเปลี่ยนอุปกรณ์มันจะเป็นการเสียแต้มอัปเกรดไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อเราย่อยไอเทมเราจะได้เงินและแต้มอัปเกรดกลับมาด้วย อุปกรณ์สวมใส่ที่เราใส่ได้มีทั้งหมดสามประเภทคือ อาวุธหลักที่เป็นอาวุธระยะประชิด (ดาบ, ค้อน, มีดคู่) อาวุธรองที่เป็นอาวุธระยะไกล (ธนู, หน้าไม้) และชุดเกราะ สเน่ห์อย่างหนึ่งในเกมนี้คือมันมีอุปกรณ์ให้เราเลือกใช้มากมาย อีกทั้งเอฟเฟกต์ของอุปกรณ์แต่ละชิ้นก็น่าสนใจไม่น้อย บางชิ้นเพิ่มพลังโจมตีระยะประชิด บางชิ้นมีเอฟเฟกต์ดูดเลือด บางชิ้นเมื่อสังหารมอนสเตอร์ได้ก็จะมีโอกาสอัญเชิญผึ้งมาช่วยโจมตี หรือบางชิ้นเมื่อทำการโจมตีก็มีโอกาสที่จะเรียกสายฟ้าออกมาโจมตีศัตรูรอบๆ ด้วย นับว่านี่คือหนึ่งในส่วนที่น่าสนใจที่สุดของ Minecraft Dungeons เลยครับ เพราะมันทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างความเป็นไปได้อย่างไม่มีสิ้นสุด และอุปกรณ์บางชิ้นเมื่อมานำมาสวมใส่รวมกันก็จะทำให้เกิดผลลัพธิ์ที่สุดยอดแบบที่คุณคาดไม่ถึงเลยก็ได้ เช่น สวมใส่ดาบที่เมื่อฟันแล้วจะสร้างสายฟ้ามาโจมตีศัตรูเป็นลูกโซ่พร้อมกับสวมเกราะที่จะทำการเพิ่มเลือดให้กับคุณเมื่อสังหารมอนสเตอร์ได้ ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อคุณสวมใส่อุปกรณ์เสริมที่เมื่อคุณสังหารมอนสเตอร์โดยรอบแล้วพวกมันจะกลายเป็นวิญญาณและถูกเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์ดังกล่าว จนเมื่อจำนวนวิญญาณถึงในระดับที่กำหนด วิญญาณนั้นก็จะกลายเป็นลูกธนูวิญญาณที่เมื่อยิงออกไปก็ไม่มีอะไรมาป้องกันได้ หรือคุณจะกลายเป็นเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ด้วยการสวมใส่ค้อนสายฟ้าที่เมื่อทุบก็สร้างสายฟ้าโจมตีศัตรูเป็นลูกโซ่ แล้วตามด้วยสวมชุดเกราะสายฟ้าที่เมื่อคุณกลิ้งหลบก็จะสร้างสายฟ้าทำลายศัตรูโดยรอบไปด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวขอแนะนำเซตอุปกรณ์รูปแบบนี้เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกทรงพลังขึ้นอย่างมากเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้หลายๆ คนก็คงรู้แล้วว่าเกมนี้มี DLC ใหม่ออกมาแล้วทั้งสิ้นสองตัว ซึ่งมันเป็นการเพิ่มดันเจี้ยนใหม่ อุปกรณ์ใหม่ และมอนสเตอร์ใหม่เข้ามาในเกมนั่นเอง โดย DLC ตัวที่หนึ่งชื่อว่า Jungle Awakens มันได้ทำการเพิ่มอาวุธใหม่เข้ามามากมายอย่าง หน้าไม้คู่ กระบองยาว และ แส้พิษ เป็นต้น ในส่วนของมอนสเตอร์ที่เพิ่มเข้ามาใน DLC ตัวนี้ก็มีไม่น้อยเลยครับ อย่างเช่น Jungle zombie, Leapleaf และ Mossy Skeleton เป็นต้นครับ ซึ่งเจ้าพวกนี้หลายๆ ตัวเราก็อาจไม่ได้พบเห็นใน Minecraft หรือพบได้ยาก ในส่วนของ DLC ตัวที่สองมีชื่อว่า Creeping Winter นั้นก็ได้เพิ่มอาวุธและชุดเกราะใหม่ๆ เข้ามามากมายเช่นกัน นอกจากนี้ด้วยความเป็นมันเป็นเกาะหิมะ ดังนั้นเราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยพบเจอในเกม Minecraft Dungeons และในเกาะหิมะนี้ก็แตกต่างจากภูมิประเทศที่เป็นหิมะในเกม Minecraft อย่างมากเลยครับ นับว่าเจ้าตัว DLC ใหม่นี้คุ้มค่าและน่าเล่นอย่างมาก ในส่วนของมอนสเตอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั้นบางตัวเราอาจไม่เคยเจอใน Minecraft เลย หรืออาจจะเป็นมอนสเตอร์ใหม่ที่สร้างมาสำหรับเกม Minecraft Dungeons อย่างเจ้า Wretched Wraith ที่เป็นหนึ่งในบอสหลักของ Creeping Winter นี้ครับ อย่างที่เขียนไปข้างต้นว่าจุดเด่นของเกม Minecraft Dungeons นอกจากความเป็น Minecraft แล้วก็มีเพียงการฟาร์มไอเทมและเก็บเลเวลเท่านั้น ดังนั้นสำหรับผู้ที่ไม่ได้ชอบเกมประเภทนี้ก็จะเกิดอาการเบื่ออย่างรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อเรื่องของเกมนี้ที่เรียกได้เป็นเพียงของประดับ มันจึงไม่สามารถใช้เนื้อเรื่องในการดึงผู้เล่นให้คอยติดตามต่อไปได้ ดีไม่ดีผู้เล่นหลายคนก็อาจจะเลิกเล่นไปกลางทางเลยก็ได้เช่นกันครับ กราฟิก กราฟิกของเกมนี้ไม่ได้สวยงามไปกว่าเกมอื่นๆ ที่วางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกันเลย แต่มันมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเองสูงมากครับ เพราะมันคือ Minecraft และหลายๆ คนก็คงคุ้นเคยกับกราฟิกของ Minecraft กันดีอยู่แล้ว ทุกอย่างคือสี่เหลี่ยม แต่มันคือสี่เหลี่ยมที่สวยงาม กราฟิกของ Minecraft Dungeons นับว่าสวยงามและน่าเล่นในระดับหนึ่งเลยครับ มันมีสีสันที่สดใสมาก เอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้า ลูกธนูวิญญาณ หรือการระเบิดก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกได้ว่า Mojang ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ ครับ และด้วยความที่เกมนี้มีภาพเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมดังนั้นต่อให้คุณมีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้แรงอะไรมาก ก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีสะดุดครับ นี่นับว่าเป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งของเจ้าเกมนี้เลย ส่วนเหตุผลที่กราฟิกของเกมนี้มีความสดใสและฉูดฉาดนั้นเราก็พอเข้าใจได้ครับ เพราะเกมนี้คือ Minecraft ที่ไม่สามารถใช้ใบหน้าตัวละคร หรือท่าทางในการสื่ออารมณ์ได้มาก ดังนั้นจึงใช้สีและการขยับที่ดูโอเวอร์เข้าช่วย อย่างการถูกโจมตีจนกระเด็นของเกมนี้ก็คือการลอยออกไปไกลมากจริงๆ ครับ แต่เรื่องความรุนแรงของภาพนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง สามารถให้เด็กๆ เล่นได้อย่างหายห่วงเลย! นอกจากนี้ถึงแม้ว่ากราฟิกของ Minecraft Dungeons จะไม่ได้ใช้สเปคเครื่องที่สูงมากแต่มันกลับมีการตั้งค่ากราฟิกที่ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงยังให้เราปรับแต่งปุ่มคีย์บอร์ดและคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระด้วยครับ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ Mojang ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจครับ ในเรื่องลักษณะรูปร่างตัวละครนั้นก็สามารถอธิบายออกมาได้ด้วยคำง่ายๆ ว่า Minecraft ครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่เราควบคุม ชาวบ้าน มอนสเตอร์ และสัตว์ภายในเกม ล้วนมีลักษณะเด่นที่ประกอบมาจากบล็อกสี่เหลี่ยมให้ดูมีชีวิตขึ้นมา และนี่ก็คือหนึ่งในเสน่ห์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ของ Minecraft สรุป Minecraft Dungeons นับเป็นเกมที่ดีเกมหนึ่งครับ แต่ก็ไม่ได้ดีจนถึงขั้นต้องซื้อมาเล่น ในความรู้สึกส่วนตัวผมคิดว่าเกมนี้เหมาะที่จะอยู่ในเครื่อง Nintendo Switch มากกว่า เนื่องจากมันเป็นเกมที่เล่นได้เรื่อยๆ ถ้าหากอยู่ในแพลตฟอร์มที่สามารถพกพาเกมนี้ไปไหนมาไหนได้ เวลานั่งรอ BTS ก็หยิบขึ้นมาฟาร์มไอเทมสักด่านหนึ่งมันจะดูเหมาะสมกับเกมเพลย์ของเกมนี้มากครับ สำหรับคนที่คิดจะเล่นเกมนี้ถ้าหากคุณไม่ได้ชอบเกมที่มีแต่ฟาร์มของเก็บเลเวล หรือไม่ได้เป็นแฟนเกม Minecraft แล้วล่ะก็ เกมนี้อาจไม่ใช่สำหรับคุณครับ แต่ถ้าหากคุณชอบเกมฟาร์มตะลุยดันเจี้ยนชิวๆ เล่นเพื่อความผ่อนคลายและชอบกราฟิกแบบ Minecraft เกมนี้ก็เหมาะกับคุณอย่างที่สุดแล้วครับ [penci_review id="66912"]
18 Sep 2020
รีวิวเกม Swordsman Awakening สุดยอดเกม RPG บนมือถือที่คุณเลือกทางเดินเป็นของตัวเองได้
ต้องยอมรับว่าในแต่ละปีจะมีเกมต่อสู้กำลังภายในออกมาให้เราเล่นกันเยอะพอสมควร แต่กลับมีเกมหนึ่งที่ทำให้ตัวผู้เขียนค่อนข้างสนใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีโครงสร้างที่คล้ายๆ กับเกมทั่วไป แต่มันก็มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เอกลักษณ์ของเกมนี้เด่นขึ้นมากว่าใครๆ โดยเกมที่ผมพูดถึงนั่นก็คือเกม Swordsman Awakening เกมการ์ด RPG บนมือถือจากทาง Shengqu Games ที่ภายในนั้นนอกจากองค์ประกอบความเป็น RPG แต่ตัวเกมยังมีเรื่องราวที่เราสามารถกำหนดด้วยตัวเองได้ เกมนี้ได้พรีเซ็นเตอร์สุดเซ็กซี่อย่าง Janet   1 ใน 10 Ten pretty Thailand อีกด้วย โดยในวันนี้พวกเรา GameFever จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ เป็นคนดีก็ได้ คนชั่วก็ได้ สิ่งที่ทำให้ทางผู้เขียนเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก นั่นคือในตอนที่สร้างตัวละครนั่นเราจะสามารถเลือกได้ว่าเราอยากจะให้ตัวละครเรานั้นเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว ซึ่งมันจะมีผลทำให้ค่าคุณธรรมของคุณบวกและลบ และมันจะทำให้เนื้อเรื่องภายในเกมนั้นมีความแตกต่างกันไป โดยการเล่นโหมดเนื้อเรื่องตัวเกมจะมีตัวเลือกให้เราเลือกตอบ ซึ่งมันจะส่งผลในการบวกหรือลบค่าคุณธรรมของคุณ โดยส่วนตัวแนะนำว่าถ้าหากท่านเลือกฝ่ายไหนให้ลองเลือกคำตอบที่มันสุดโต่งไปฝ่ายนั้นเลย เพราะตัวผู้เขียนเองลองเล่นเป็นฝ่ายอธรรม และลองตอบคำถามที่มันดูร้ายๆ ดู ซึ่งมันก็รู้สึกสนุกไปอีกแบบ เราจะได้เห็นบทสนทนาฮาๆ ที่ไม่ค่อยได้พบเจอกับเกมไหนๆ จัดกองทัพให้เต็มสนาม โดยตัวละครที่เราเลือกเล่น และขุนผลที่ใส่เข้ามานั้นก็จะมีคลาสเป็นของตัวเอง ซึ่งประกอบไปด้วย หมัด - ตัวทำดาเมจใกล้ และสกิลจะเน้นการโจมตีเป็นเส้นตรง กระบี่ - ตัวทำดาเมจใกล้ และสกิลจะเน้นการโจมตีเป็นวงสี่เหลี่ยม ใน (เวท) - ตัวทำดาเมจไกล และสกิลจะเน้นการโจมตีเป็นเส้นตรง แต่ถึงอย่างนั้นนี่มันเป็นแค่สเตตัสของตัวละครเราอย่างเดียว เพราะขุนพลที่เราเลือกเข้ามา ก็จะมีรูปแบบสกิลที่แตกต่างกัน อาทิเช่นตัวละครสายหมัดที่จะมีสกิลโจมตีเดี่ยวเป็นต้น แต่สกิลของเราพอหลังจากเลเวล 27 ก็จะสามารถสลับเปลี่ยนสายไปมาได้อย่างอิสระ รวมถึงในเวลาต่อสู้ตำแหน่งการยืนจะมีสลับเปลี่ยนไปด้วยทั้งในฝั่งเราและฝั่งของศัตรู ทำให้การเล่นมีสีสันมากขึ้นกว่าเกมแนวนี้ทั่วไป ในเรื่องระบบการต่อสู้ของเกมนี้ค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างจากเกมอื่นอยู่พอสมควร เพราะว่าเราสามารถจัดทีมขุนผลได้มากถึง 8 ตัวละคร (รวมตัวเราด้วย) ซึ่งมันทำให้การที่เราสุ่มตัวละครมาใช้ไม่เสียเปล่าแต่อย่างใด จุดตำแหน่งการยืนก็สำคัญมากๆ เพราะบางจุดจะสามารถเพิ่ม Passive ให้กับตัวละครนั้นๆ ได้ อาทิเช่นเราอยากให้ตัวละครบางตัวมีปราน (ค่ามานา) เต็มในเทิรนแรก เราก็วางไว้ที่จุดพื้นที่สีฟ้า หรืออยากให้บางตัวละครถึกๆ หน่อยก็อาจจะวางไว้ที่จุดพื้นที่สีเขียวเป็นต้น ซึ่งตำแหน่งการยืนนี่ค่อนข้างสำคัญมากเลยนะครับ เพราะถ้าเราเล่นไปเรื่อยๆ ศัตรูที่เจอก็จะโหดมากขึ้น ทำให้เราอาจจะต้องเล่นด้วยมือแทน อาจจะต้องมีตัวละครที่คอย Tank ให้แนวหลังที่มีพลังดาเมจที่รุนแรง เราจะต้องคิดและเลือกให้ขุนพลให้สกิลให้ได้คุ้มค่าที่สุด เป็นต้น ดั่งในรูปด้านล่างของผู้เขียนที่จะให้ตัวละครสายเวทที่มีสกิลรุนแรงอยู่ในพื้นที่สีฟ้าเพื่อให้ตัวละครนั้นสามารถใช้สกิลได้ในเทรินแรกเลย ส่วนสองตัวหน้าจะเป็นสาย Tank ให้คนอื่น การอัพเกรดตัวละครที่ค่อนข้างมีรายละเอียด เกมทาง Idle ทั่วไปที่เราเล่น ชนิดของการอัพเกรดที่เห็นก็คงจะหนีไม่พ้นการตีบวกตัวละคร เพิ่มเลเวล การอัพเกรดอาวุธ การอัพเกรดสกิล ซึ่งในบางเกมส่วนใหญ่มักจะมีตัวเลือกการอัพเกรดอยู่ราวๆ 2-3 อย่าง แต่ว่าเกม Swordsman Awakening นั้นยกการอัพเกรดทุกอย่างเข้ามาหมด ซึ่งหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันยุ่งยากหรือไม่ แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่ามันสนุกและมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมากเลยนะ ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อง่ายในการเล่นแต่อย่างใด รวมถึงเราอาจจะต้องลงดันเจี้ยนปลีกย่อยเพื่อหาของมาวัตถุดิบต่างๆ มาอัพเกรดตัวละครเราได้อีก อย่างเช่นการลงดันเจี้ยนเส้นทางฝึกฝนเพื่อหาเศษมาเพิ่มดาวให้ตัวละคร ลงฝึกฝนหุ่นทองแดงเพื่อหาเงิน ลงฝึกฝนเตาหลอมเพื่อหาหา EXP เป็นต้น ยกตัวอย่างในการอัพเกรดสกิลเราจะสามารถหาชิ้นส่วนเข้ามาเพิ่ม Passive ให้สกิลเราดีขึ้นได้ ซึ่งสกิล Passive จะค่อนข้างมีหลากหลายและเราอาจจะต้องหา Passive ให้เข้ากับสไตล์ของตัวละครนั้นๆ อาทิเช่นสกิลกรงเล็บอินทรีที่จะเหมาะในการใช้กับตัวละครที่มีสกิลเป้าหมายเดียว เพราะจะทำให้เพิ่มดาเมจเพิ่ม และถ้าโจมตีโดนเป้าหมายที่เลือดน้อยกว่า 50% จะทำให้เราตีแรงขึ้นอีก 33% ซึ่งมันเหมาะกับการที่เราอยากจะปิดดาเมจให้ศัตรูตายในทีเดียวนั่นเอง หรือจะเป็นสกิลพลังภายในที่จะเพิ่ม Passive ให้กับตัวละครนั้นๆ ซึ่งจะมีความพิเศษแตกต่างกันยกตัวอย่างเช่นสกิลวิชาจื่อหยางที่มีโอกาส 50% หลังจากจบเทิร์นจะได้ทำให้เราได้รับดาเมจโจมตีน้อยลงถึง 15% เลยทีเดียวซึ่งจะเหมาะกับตัวละครสายหมัดที่จะต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ ศัตรู และจะโดนตีตายไวกว่าคนอื่น กิจกรรมปลีกย่อยให้ทำอีกมาก ภายในเกมจะมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เราทำอีกเยอะเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นโหมดที่ชื่อว่าหอร่ายยุทธ์ที่จะเป็นการประลองปัญญาว่าท่านจะสามารถจัดทัพที่ตัวเกมกำหนดให้สามารถชนะได้หรือไม่ โหมดราชาสมบัติก็เหมือนกับการลงหอคอยของเกมอื่นๆ ที่ยิ่งคุณไปได้ไกลคุณก็จะได้ของรางวัลมากขึ้น รวมถึงโหมดเดินเที่ยวที่คุณจะสามารถไปพบเจอกับสาวๆ ในยุทธ์ภพเพื่อเพิ่มค่าหัวใจและค่าเสน่ห์ให้เราได้รับรางวัลพิเศษมากขึ้นอีกด้วย สรุป Swordsman Awakening เป็นเกมที่ดูเผินๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกพิเศษเท่าไร แต่พอได้ลองเข้าไปเล่นกลับพบว่าตัวเกมมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน มีระบบต่างๆ ที่ทำออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก และสิ่งสำคัญที่ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษเลยคือความคอมมานดี้ของเรื่องราวที่เข้ามาสร้างสีสันได้อย่างดี (ถ้าคุณเป็นคนอ่านเนื้อเรื่องของเกม) บทสนทนาที่มีความตลกร้ายซ่อนอยู่ในนั้นทำให้ตัวผู้เขียนรู้สึกสนุกแล้วหลุดขำออกมาหลายรอบเลยทีเดียว ส่วนในเรื่องระบบการต่อสู้เองก็รู้สึกเซอร์ไพรส์กับการจัดทัพได้มากถึง 8 ตัวละคร (รวมตัวเรา) ถึงแม้ว่ามันจะมีเงื่อนไขในการที่เราจะต้องเก็บเลเวลให้ครบก่อน แต่คุณใช้เวลาเล่นแค่ 1 วันก็สามารถทำเงื่อนไขได้ครบอย่างง่ายดาย อัพเกรดตัวละครเองก็ค่อนข้างมีรายละเอียดที่เยอะทำให้ไม่น่าเบื่อ รวมถึงโหมดสนุกๆ แปลกๆ ที่มีให้เล่นเยอะมาก
18 Sep 2020
รีวิว Hp Pavilion Gaming 15 สุดยอดขุมพลังระดับนักศึกษาในราคามัธยม !!
สวัสดีเพื่อนๆ ชาว GameFever TH ทุกคนค่ะ ในบทความนี้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับโน๊ตบุ๊คสายเกมมิ่งจากค่าย HP รุ่น Pavilion Gaming 15-ec1046AX ที่มากับขุมพลัง CPU AMD Ryzen 5 และ การ์ดจอ GTX 1650 จากทาง Nvidia พร้อมด้วยดีไซน์ที่เรียบหรู แต่แอบมีความดุดันของเกมมิ่งซ่อนมาด้วย หากทุกคนนึกถึงโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งแล้วหล่ะก็ หลายคนคงกังวลเรื่องของน้ำหนักเครื่องที่มักจะโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเราๆ แต่สำหรับโน๊ตบุ๊คตัวนี้แทบไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยคะ เพราะไม่ได้หนักอย่างที่คิด สาวๆ ชาวเกมเมอร์สามารถพกไว้เพื่อทำงาน และเล่นเกมได้สบายๆ แถมยังมาในราคาเพียง 25,900 บาท เท่านั้น สำหรับใครที่สงสัยว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีดีตรงไหนอีก เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบในบทความนี้กันค่ะ ดีไซน์เรียบแต่แอบดุดั่นสไตล์เกมมิ่ง ก่อนอื่นเรามาเริ่มที่ดีไซน์ภายนอกของตัวเครื่องกันดีกว่า ซึ่งถ้าหากพูดถึงโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่หลายๆ คนรู้จักกัน หลายคนคงนึกถึงเครื่องหนาๆ รู้สึกเทอะทะเป็นอย่างมากถ้าหากจะต้องแบกไปไหนมาไหน แต่ปัญหาเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้า HP Pavilion 15-ec1046AX อย่างแน่นอนด้วยดีไซน์ที่บางเบากว่าโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งทั้วๆ ไป และน้ำหนักเพียงแค่ 2.25 kg จึงสามารถพกพาได้สะดวกพร้อมกระโดดเข้าสู่โลกเกมเมอร์ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างแน่นอน จอดีอย่างไร หน้าจอ ถือเป็นอีกส่วนที่สำคัญเช่นกันสำหรับผู้ใช้งาน เนื่อจากเป็นสิ่งที่เราต้องใช้มองอยู่ตลอดเวลาในการทำงาน หรือเล่นเกม ทาง HP ไม่ได้ละเลยในส่วนนี้เลย เพราะมีการใช้เทคโนโลยี IPS Anti Glare ที่ช่วยให้สามารถใช้งานนานๆ ได้โดยไม่มีปัญหา แถมยังมาพร้อมกับค่า Refresh Rate ที่สูงถึง 144Hz ซึ่งถือเป็นมาตราฐานสำหรับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมพร้อมยังสามารถทำงานได้ แต่ที่น่าตกใจเห็นจะเป็นเพราะทั้งที่มี 2 เทคโนโลยีนี้อยู่ในเครื่อง แต่กลับขายในราคาเพียงแค่ 25,900 บาท เท่านั้น เรียกได้ว่าถูกมากๆ เลยค่ะ สายชาตพกสะดวก เบา กระทัดรัด หากจะต้องใช้โน๊ตบุ๊คสักเครื่องแล้วหล่ะก็ อีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับการเลือกใช้คงเป็นในเรื่องของแบตเตอรี่ ที่จะต้องครอบคลุมในทุกการใช้งาน เพราะหากพกพาสะดวกสบาย แต่ต้องพกสายชาตสุดหนักอึ้งไปไหนมาไหนด้วยก็คงไม่สะดวก  สำหรับ HP Pavilion 15-ec1046AX เครื่องนี้ คงไม่ต้องกังวล เพราะอแดปเตอร์สายชาตนั้นเบามาก แถมขนาดยังเทียบเท่า Power Bank ที่เราพกกันทั่วไปเอง หากต้องยกไปมาแล้วหล่ะก็ถือว่าครบจบในกระเป๋าใบเดียวเลยหล่ะ สเปคเครื่องของ HP Pavilion 15-ec1046AX ชื่อรุ่นเต็มๆ ของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีชื่อว่า HP Pavilion Gaming 15-ec1046AX ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลจากทาง AMD Ryzen 5 4600H บวกกับการ์ด Nvidia GeForce GTX 1650 4 GB GDDR5 พร้อมแรมขนาด 8 GB และ SSD M.2 ความจุ 512 GB นอกนั้นทาง HP ยังให้หน้าจอที่มีค่า Refresh Rate  144Hz สำหรับเกมเมอร์มาด้วย สามารถรับชมสเปคเครื่องแบบละเอียดได้ที่ข้างล่างนี้เลย CPU: AMD Ryzen 5 4600H Max boots 4.0 GHz GPU: Nvidia GeForce GTX 1650 (4 GB GDDR5) Screen Size: 15.6" (1920x1080) Full HD Panel Type: IPS Anti Glare – จอด้าน Refresh Rate: 144 Hz Memory Size: 8 GB DDR4 Solid State Drive: 512 GB SSD PCIe M.2 Weight: 2.25 kg OS Bundle: Windows 10 Home (64 Bit) Warranty: 2 Year Onsite Service ขุมพลังตัวเครื่องสุดล้ำ ดูเรื่องคุณสมบัติทางเทคนิคของตัวเครื่องผ่านไปแล้ว เรามาดูส่วนของการเล่นเกมกันบ้างดีกว่า เนื่องจาก HP Pavilion 15-ec1046AX เองก็ได้ชื่อว่าเป็น โน๊ตบุ๊คเกมมิ่งเราก็อยากจะพาทุกคนไปรับชมความแรงที่ตัวเครื่องสามารถทำได้กัน ขอแอบบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สำหรับเกมที่จะนำมาทดสอบก็จะมี Playerunknowns Battlegrounds , Valorant และ GTA V ค่ะ Playerunknowns Battlegrounds ซึ่งผลที่ได้จากเกม Playerunknowns battlegrounds ถือว่าไปในทิศทางค่อนข้างดีเลยทีเดียว ด้วยตัวเกมที่มีแผนที่ค่อนข้างกว้าง บวกกับต้องใช้ผู้เล่นจำนวนหลายๆ คนลงไปเล่นพร้อมกัน แถมยังมีรายละเอียดของภาพที่สูง และสมจริงทำให้ปฎิเสธไม่ได้เลยเป็นอีกหนึ่งเกมที่ใช้เสปคสูงพอสมควร จากการทดลองด้วยกราฟิดระดับ Ultra ทั้งหมด ได้เฟรมเรทภายในเกมอยู่ที่ระหว่าง 68 - 76 fps อาจจะมีร่วงไปแตะ 50 บ้างแต่รวมๆ แล้วเฉลี่ยนเฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 71 fps ซึ่งสามารถเล่นได้สบายๆ เลยค่ะ Valorant  ต่อมาในส่วนของเกมที่กำลังเป็นกระแสอย่าง Valorant ซึ่งตัวเกมเองก็ไม่ได้มีส่วนที่กินเสปคของเครื่องขนาดนั้นเพียงในขณะที่ปรับภาพ Hight ทุกอย่างตัวเครื่องสามารถขับภาพได้ที่ 120 - 165 fps ไม่ว่าจะเป็นช่วงการเข้าจังหว่ะบวก หรือมีการเทสกิลเข้าไฟท์เยอะแค่ไหนเฟรมเรทก็ไม่ได้ตกลงไปจนน่าเกลียดส่วนของค่าเฉลี่ยนของเฟรมเรทจะอยู่ที่ประมาณ 135 fps ซึ่งถือว่าสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลจะบวกจังหว่ะไหนก็ไม่มีกระตุกแน่นอน Grand Theft Auto V สุดท้ายขอยกตัวอย่างเป็นเกม Open World ยอดฮิตในไทยอย่าง GTA V กันบ้าง ซึ่งผลที่ได้ก็น่าพอใจเช่นเดียวค่ะ การปรับภาพอยู่ที่ความละเอียดสูงสูดที่ตัวเกมจะสามารถปรับได้ในความละเอียด Full HD 1920x1080 เฟรมเรทที่ได้อยู่ระหว่าง 85 - 120 fps ต่อให้ตัวเกมจะดูเก่าแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีรายละเอียดในแมพค่อนข้างเยอะอยู่พอสมควร พอได้ลองทสอบแล้ว ก็บอกได้เลยว่าเครื่องนี้มีขุมพลังสุดยอดกว่าที่คิด เพราะภาพคมชัดรายละเอียดของเงาสะท้อนก็ทำออกมาได้ดีลื่นไหลตลอดแถมตัวเกมรันภาพเฉลี่ยอยู่ที่ 93 fps ค่ะ โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เหมาะกับใคร? สำหรับ HP Pavilion Gaming 15-ec1046AX เครื่องนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าครบเครื่องสมดังคำนิยามที่เราตั้งให้ว่า สุดยอดขุมพลังระดับนักศึกษาในราคามัธยม จริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่ดูสวยแอบดุดันดั่งเกมมิ่งแล้ว ก็สามารถแสดงให้ผู้ใช้เห็นได้ถึงความแรงของตัวเครื่องที่สามารถเล่นเกมกระแสในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ จะพกไปใช้ทำงานก็สะดวกเพราะพกง่าย  ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่เบา จะใช้เล่นเกมก็สามารถเล่นได้หลากหลาย แม้ตัวเครื่องจะขาดไฟ RGB ที่ดูฉูดฉาดไป แต่ความแรงของตัวเครื่องที่ได้มานั้นก็สามารถทดแทนในส่วนรายละเอียดเล็กๆ ไปได้ และยิ่งมาในราคาช่วงกลางๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาพอสมควรค่ะ ขอสรุปว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เหมาะกับผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อโน๊คบุ๊คสำหรับใช้ทำงานเอกสาร + เล่นเกมกับแก๊งเพื่อนๆ ได้ถึงถ้าต้องการโน๊คบุ๊คเครื่องเดียวที่สามารถทำได้ทั้ง 2 อย่างในราคาที่คุ้มค่ากับการจ่ายไปโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกันค่ะ
17 Sep 2020
เปลี่ยนซิมของคุณให้เป็นเจได ด้วย DLC ตัวใหม่จากเกม The Sims 4!
วางจำหน่ายให้สามารถซื้อมาเล่นได้แล้วกับ DLC: Star War Journey to Batuu ส่วนเสริมตัวใหม่ของ The Sims 4 ซึ่งต้องบอกเลยว่าส่วนเสริ่มนี้ถูกใจเหล่าแฟนๆ Star Wars อย่างแน่นอน เนื่องจากมันทำให้เราสามารถเดินทางไปยังดวงดาว Batuu จากซีรีส์ Star Wars ได้ แน่นอนว่ามีการเพิ่มเสื้อผ้าของตัวละครดังต่างๆ และของตกแต่งบ้านใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้เล่นนึกถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ในเรื่องด้วย กระทั้งหุ่นยน R2D2 หรือ BB8 ส่วนตัวก็มีให้สร้างเช่นกัน วันนี้ทางเรา GameFever Th จะมารีวิว DLC: Star War Journey to Batuu ตัวนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้กันว่าถ้าหากซื้อส่วนเสริมนี้มาจะได้อะไรในเกมบ้างครับ มาเริ่มกันที่ตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครเลยครับ ผมเชื่อว่าหลายคนที่ซื้อส่วนเสริมนี้มา ไม่น้อยเลยที่คาดหวังว่าจะได้แต่งตัว ซิมของเราให้มีความสวยหล่อ เหมือนกับตัวละครต่างๆ จากซีรีส์ Star Wars ซึ่งต้องบอกเลยว่า ทุกคนไม่ผิดหวังแน่นอนครับ เพราะ DLC ตัวนี้ได้มีการเพิ่มชุดรวมถึงเครื่องประดับต่างๆ ที่จะทำให้ซิมของเราได้กลายเป็นตัวละครในเรื่อง Star Wars จริงๆ เอาไว้หลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นหมวก กับชุดของสตอร์มทรูปเปอร์, ชุดครุมเปื้อนๆ ของเจได้, หมวกที่จะทำให้คุณกลายเป็นเอเลี่ยน หรือกระทั้งหมวกของดาร์ธเวเดอร์ ก็มีในส่วนเสริมนี้ครับ ต่อจากการสร้างตัวละครก็ต้องเป็นการสร้างบ้าน ใน Journey to Batuu มีการเพิ่มของตกแต่งบ้านใหม่ๆ เข้ามาให้เหล่า สุดยอดสถาปนิก (ผู้เล่นนั้นแหละครับ) ได้เลือกเอาไปใช้กันมากมายเลยด้วย โดยต้องบอกเลยว่าสำหรับใครที่อยากแต่งบ้านให้ออกมามีสไตล์เหมือนกับฐานทัพลับของฝั่ง Resistance หรืออยากจะแต่งให้ออกมาเป็นเหมือนกับฐานทัพอาวุธครบมือของฝั่ง First Order ก็สามารถทำได้เลย (ตัวผมเองไม่ใช้คนที่อินกับ Star Wars ขนาดนั้นเลยเอาแค่ กล่องอาวุธของสตอร์มทรูปเปอร์ มาแต่งบ้านอย่างเดียวครับ ฮา) [caption id="attachment_67422" align="aligncenter" width="1280"] กล่องใส่ปืนของสตอร์มทรูปเปอร์ก็มา[/caption] [caption id="attachment_67435" align="aligncenter" width="1280"] บางชิ้นคือมีขนาดใหญ่มากๆ[/caption] ดูการสร้างตัวละครกับแต่งบ้านไปแล้ว มาถึงในส่วนของเกมเพลย์บ้างครับ ผมออกตัวก่อนเลยว่าสำหรับใครที่คาดหวังจะได้เห็นเกมเพลย์ใหม่ๆ ในมุมมองอื่น หรืออยากเห็น The Sims 4 เปลี่ยนเป็นเกมแอคชั่น วิ่ง สู้ ฟัด แล้วละก็ คุณอาจจะต้องผิดหวังครับ เพราะยังไง The Sims ก็ยังเป็น The Sims อยู่เหมือนเดิม มีเอาไว้เล่นคลายเครียด ดังนั้นเกมเพลย์หลักๆ ยังคงเป็นเหมือนเดิม เรายังต้องให้ซิม กิน ดื่ม อาบน้ำ นอนหลับ เล่นเกม เข้าสังคมเหมือนเดิม แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาให้ทำเลยซะทีเดียว เพราะคอนเทนต์ใหม่ที่มาให้ทำนั้น ดูจะให้เอาไว้ทำเวลาที่ซิมของเราว่างๆ มากกว่าครับ คอนเทนต์เกมเพลน์ที่เพิ่มเข้ามาจะสามารถทำได้บนดวงดาวของ Batuu เท่านั้น ซึ่งการไปดาวดังกล่าวก็เพียงแค่กดมือถือซ้ายล่าง แล้วเลือก "Take Vacation" จากนั้นเรื่องจุดหมายปลายทางเป็นดาว Batuu โดยคอนเทนต์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือการทำเควสให้กับฝั่งต่างๆ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นเอง เมื่อซิมของเราได้รับความเชื่อถือมากพอก็จะสามารถเข้าถึงส่วนต่างๆ ของแต่ละฝ่ายได้มากขึ้น ผู้เล่นยังสามารถสร้างหุ่นยนต์ R2D2 หรือ BB8 สวนตัวได้ในดาวดวงนี้ด้วย แอบบอกหน่อยละกันว่าถ้าหากได้รับความเชื่อใจมากพอ จะสามารถสร้างยานรบส่วนตัวได้เลยนะ! นอกจากนี้เรายังสามารถเดินไปพูดคุย สร้างความสนิทสนมกับเหล่าตัวละครจาก Star Wars อย่าง เรย์ หรือ ไคโลเรน จากหนัง 3 ภาคล่าสุดได้ด้วย แน่นอนว่าจะเปลี่ยนซิมของคุณให้เป็นเจได แล้วไปขอดวลกระบี๋แสงกับทั้ง 2 ก็ได้เช่นกัน! [caption id="attachment_67436" align="aligncenter" width="1280"] ในกรอบสีแดงจะโชว์ให้เราเห็นถึงภารกิจที่รับมาในปัจจุบัน[/caption] [caption id="attachment_67437" align="aligncenter" width="1280"] หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว ค่าความน่าเชื่อถือของเราจะเพิ่มขึ้นมาตามภาพ[/caption] อีกหนึ่งจุดที่ผมชอบมากๆ คือในส่วนของเกมเพลย์ "Choose Your Own Adventure แบบต่อเนื่อง" ครับ หลายคนน่าจะเคยเจอกับเหตุการเวลาซิมของเราไปทำงาน แล้วมีเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งตัวเกมจะให้เราเลือกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีทั้งดี และแย่ใช่ไหมครับ ในส่วนเสริ่มนี้ก็มีการนำระบบดังกล่าวมาใช้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันจะมาแบบต่อเนื่องกันเลยครับ ยกตัวอย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกำลังทำเควสของทางฝั่ง First Order อยู่ เควสดังกล่าวทำให้ซิมของผมต้องขับยานไปส่งนักโทษจากทางฝั่ง Resistance ที่จับได้ภายในค่ายของ First Order แต่ในขณะที่กำลังภารกิจกำลังดำเนินไปด้วยดี ก็มีเหตุการแบบ "Choose Your Own Adventure แบบต่อเนื่อง" เกิดขึ้นครับ เนื้อเรื่องได้เกรินนำว่า ตัวผมได้พบกับยานของหน่วย Resistance ระหว่างที่กำลังไปส่งนักโทษ ซึ่งในตอนแรกผมก็เลือกหัวข้อเป็นขอกำลังเสริมไป จากนั้นก็มีเหตุการเกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังจากนั้นอีก 2 - 3 เหตุการ และทุกๆ ครั้งตัวเกมจะให้เราเลือกว่าจะทำอย่างไรดีตลอด มันเหมือนกับว่าซิมของเราได้กลายเป็นนักบินให้กับทาง First Order จริงๆ กำลังเจอกับเหตุการไม่คาดฝันจริงๆ และต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้ ต้องยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีในการเล่นส่วนเสริ่มนี้ของ The Sims 4 ครับ [caption id="attachment_67438" align="aligncenter" width="1280"] เริ่มต้นจากการพบกับยานของฝั่ง Resistance[/caption] [caption id="attachment_67439" align="aligncenter" width="1280"] หลังจากเรื่อกขอกำลังเสริมแล้ว ก็มีเหตุการณ์ขึ้นมาให้เลือกอีกครั้ง[/caption] [caption id="attachment_67440" align="aligncenter" width="1280"] สุดท้ายก็เอาชนะได้[/caption] โดยรวมแล้วก็จะเป็นประมาณนี้ครับ ถึงแม้ว่าส่วนเสริ่มนี้จะไม่ได้มอบเกมเพลย์ที่แตกต่างไปจาก The Sims 4 เดิมๆ อะไรมากมายอะไรนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคอนเทนต์ รวมถึงระบบใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาได้ทำให้เกมเพลย์น่าสนใจขึ้นพอสมควรเลย ถ้าหากว่าใครกำลังมองหาส่วนเสริมของ The Sims 4 ที่จะทำให้คุณสามารถแต่งบ้านได้หลากหลายขึ้น รวมถึงมีเกมเพลย์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาให้เราสนุกด้วยแล้วละก็ Star Wars Journey to Batuu ก็นับเป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ
17 Sep 2020
Ubisoft Forward: บอกเล่าประสบการณ์ลองเล่นเกม Immortals Fenyx Rising
ในภาษาอังกฤษ มีวลียอดฮิตเกี่ยวกับการเลียนแบบผลงานผู้อื่นว่า "Imitation is the sincerest form of flattery" หรือแปลได้ว่า "การเลียนแบบถือเป็นการกล่าวชมที่จริงใจที่สุด" ซึ่งวลีนี้สามารถบรรยายเกมเพลย์ของ Immortals Fenyx Rising เกมแอคชั่นผจญภัย RPG ใหม่ล่าสุดจาก Ubisoft ได้เป็นอย่างดี ด้วยระบบเกมเพลย์และองค์ประกอบด้านการนำเสนอหลายๆ อย่างที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายกมาจากเกม The Legend of Zelda: Breath of the Wild อันเป็นแรงบันดาลใจของเหล่าผู้พัฒนาแทบจะตรงๆ ตัวเลย การที่เกม "หยิบยืม" เอาองค์ประกอบหลายๆ อย่างมาจาก BotW นั้นอาจจะฟังดูไม่ค่อยดีสำหรับผู้เล่นหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เคยไม่พอใจเกมอย่าง Genshin Impact (อีกหนึ่งเกมที่ "ก๊อป BotW" มาเช่นกัน) มาก่อน แต่จากการที่ได้ทดลองเล่นเกม Immortals Fenyx Rising เป็นเวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ผู้เขียนสามารถบอกได้เลยว่าเกมมีดีกว่าแค่การเป็นแค่เกม "ก๊อป BotW" แน่นอน ด้วยระบบเกมเพลย์ที่เน้นแอคชั่นที่รวดเร็ว ผสานเข้ากับเนื้อเรื่องออกแนวกวนๆ ติดตลก ที่ทำให้เกมให้ "ความรู้สึก" ต่างจากเกม BotW เป็นอย่างมาก สำหรับแฟนๆ ของเกม BotW หรือคนที่อาจจะชอบเกมเพลย์แนวแอคชั่นผจญภัยโลกเปิด บอกได้เลยว่า Immortals Fenyx Rising น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่คุณควรจับตามองมากๆ ในช่วงปลายปีนี้ กำเนิดลูกเทพองค์ใหม่ เนื้อเรื่องของเกม Immortals Fenyx Rising จะตั้งอยู่ในยุคกรีกโบราณ เมื่อปีศาจร้าย Typhon ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ และเพื่อแก้แค้นเหล่าทวยเทพกรีกที่จับมันไปกักขังไว้ในแดนนรกแต่แรก มันจึงจัดการกับเหล่าทวยเทพตัวหลักเกือบหมดทุกองค์ ก่อนที่จะเชื่อมต่อแดนนรกกับแดนคนเป็นเข้าด้วยกัน และปลดปล่อยปีศาจชั่วร้ายเข้าสู้โลกมนุษย์มากมาย ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Fenyx ลูกเทพ (Demigod) คนหนึ่ง ที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากเทพ Zeus และ Prometheus ในการออกเดินทางไปยังเขตแดนทั้ง 7 ของโอลิมเปีย (ดินแดนแห่งเทพของชาวกรีก) และปลดปล่อยเหล่าเทพประจำเขตเหล่านั้นออกมาจากการจองจำ ระหว่างการเดินทาง ผู้เล่นจะได้รับอาวุธและสิ่งของพิเศษจากเหล่าทวยเทพเพื่อช่วยเหลือ Fenyx ในการต่อสู้กับศัตรู ยกตัวอย่างเช่นดาบของ Achilles หรือโล่ห์ของ Athena เป็นต้น [caption id="attachment_66741" align="aligncenter" width="1920"] เวลา Typhon โกรธจะทำให้ศัตรูดุร้ายขึ้น และทำให้มีหนวดปลาหมึกงอกจากพื้นมาโจมตีเราเรื่อยๆ (พูดจริง)[/caption] จากที่เล่นภารกิจเนื้อเรื่องมาเล็กน้อยในเดโม คงยังออกความเห็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องโดยรวมของเกมได้ไม่เต็มปากนัก แต่ความพิเศษอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชอบคือ Mood & Tone หรืออารมณ์และบรรยากาศของเกม ที่จะเน้นไปทางสดใสและเกรียนๆ ติดตลก ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้เขียนไม่ได้คาดหวังเอาไว้เลย ตลอดการเดินทางของ Fenyx จะมีบทบรรยายโดยทั้ง Zeus และ Prometheus คลอไปด้วยตลอดเวลา ซึ่งทั้งสองก็มักจะแซวกันไปกันมา หรือยิงมุขที่เกี่ยวกับการกระทำของ Fenyx (หรือกระทั่งมุขแบบ Break the 4th Wall ที่แซวตัวผู้เล่นโดยตรง) ที่ออกมาเป็นระยะ แถมบางครั้ง Fenyx เองก็ยังผสมโรงตบมุขกับเขาด้วย ทำให้การเดินทางในเกม Fenyx Rising มีความเพลิน ไม่รู้สึกเหงาเหมือนเกมโลกเปิดหลายๆ เกม [caption id="attachment_66743" align="aligncenter" width="1920"] Zeus: เออน่ะ ฉันเห็นภาพแล้ว เธอคือฮีโร่ของเรา จะข้ามไปข้างหน้าได้ยัง?[/caption] แอคชั่นสูตร Ubisoft ที่เราคุ้นเคย อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เราคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการพูดถึงเกม The Legend of Zelda: Breath of the Wild ได้เลยจริงๆ เมื่อพูดถึงเกม Fenyx Rising เพราะมันมีความคล้ายคลึงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่มุมกล้องและระบบเบื้องต้นหลายๆ อย่าง เช่นระบบ Stamina ระบบการปีนป่ายหน้าผาอะไรก็ตาม ไปจนถึงระบบการร่อนจากที่สูงได้ (ใช้ปีกแทนเครื่องร่อน) ขนาดการแก้พัซเซิ่ลยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก (ถึงขนาดที่มีความสามารถที่เหมือน "พลังแม่เหล็ก" ใน BotW เลย) เพราะต้องคอยตามหา "Vault of Tartarus" หรือช่องทางที่เชื่อมไปยังแดนนรก เหมือนกันการตามหา Shrine อีกเช่นกัน มีกระทั่งระบบที่คล้ายกับ Blood Moon ใน BotW (เกมนี้เรียกว่า Typhons Wrath) ที่ทำให้ศัตรูออกมามากขึ้นระยะหนึ่ง แต่อาจจะยุ่งยากน้อยกว่าหน่อยตรงที่จุดสนใจทั้งหมด (อย่างน้อยในเดโม) ก็แสดงอยู่บนแผนที่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปควานหาเอาเองตามสูตรเกมอื่นๆ ของ Ubisoft นั่นเอง [caption id="attachment_66745" align="aligncenter" width="1920"] เหินเพลินไม่เสื่อมคลาย[/caption] สิ่งที่ทำให้เกม Fenyx Rising แตกต่างกับ BotW อย่างชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นระบบการต่อสู้ทั้งหมด ที่มีความใกล้เคียงกับเกมแอคชั่น RPG อย่าง Assassins Creed: Odyssey มากกว่า ผู้เล่นจะสามารถโจมตีเบา (ด้วยดาบ) และโจมตีหนัก (ด้วยขวาน) สลับๆ กันไปเป็นคอมโบ สามารถเสยศัตรูให้ลอยขึ้นไปและทำคอมโบบนอากาศได้ และก็มีสกิลพิเศษหลากหลายชนิดที่เซ็ตไว้ และต้องกด R2 + ปุ่มสัญลักษณ์เพื่อใช้ นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ระหว่างการต่อสู้ ตั้งแต่การเดิน การกระโดด การโยกหลบ หรือการป้องกัน/ปัดป้องการโจมตี ล้วนแล้วแต่ถูกทำให้รวดเร็วกว่าใน BotW มากๆ น่าจะเข้าทางคอเกมแอคชั่น หรือใครก็ตามที่ไม่ชอบระบบต่อสู้ของ BotW ที่ค่อนข้างช้า [caption id="attachment_66734" align="aligncenter" width="1920"] ให้ทายว่ารอดไหม[/caption] แม้จะไม่ได้เห็นในเดโม แต่ผู้พัฒนาก็บอกว่าเกมจะมีระบบการพัฒนาความสามารถของตัวละครแบบ Skill Tree เข้าไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะข้อติใหญ่อย่างเดียวที่ผู้เขียนมีเกี่ยวกับการต่อสู้ในขณะนี้คือมันค่อนข้างเรียบง่ายไปซะหน่อย  ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่สนุก แต่ก็มีความจำกัด เช่นการต่อคอมโบที่พลิกแพลงได้ไม่กี่แบบ ทำให้เมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้ท้าทายอะไรบ่อยๆ เข้าก็แอบเบื่อท่าคอมโบเดิมๆ ขึ้นมาเหมือนกัน ถ้ามีสกิลให้เลือกสลับใช้ หรือมีความสามารถที่ทำให้พลิกแพลงคอมโบได้มากกว่านี้ น่าจะทำให้การต่อสู้ของเกมสนุกขึ้น [caption id="attachment_66738" align="aligncenter" width="1920"] ท่าพิเศษหอกแห่ง Ares หนึ่งใน 5 ท่าพิเศษที่ได้ลองในเดโม[/caption] นอกเหนือจากการทำภารกิจตามเนื้อเรื่องแล้ว เกม Fenyx Rising ยังมีจุดกิจกรรมต่างๆ ให้ทำ เช่นการแก้พัซเซิ่ลใน Vault of Tartarus (ซึ่งจะมอบไอเทม "สายฟ้าของซุส" เอาไว้อัปเกรดหลอด Stamina) หรือพัซเซิ่ล Challenge หรือกระทั่งการท้าสู้กับบอสในแผนที่ ซึ่งเท่าที่เล่นมาในเดโม ต้องบอกว่าพัซเซิ่ลของเกมนี้ทำออกมาได้ดีมากๆ โดย Fenyx จะมีความสามรถคล้ายๆ กับพลังแม่เหล็กของ Link ทำให้เขาสามารถหยิบจับสิ่งของที่อยู่ไกลออกไปได้ และสามารถใช้เพื่อยกกล่องมาวางไว้บนสวิตช์ หรือยกมาบังแสงเลเซอร์ที่ยิงออกมาจากกำแพงได้เป็นต้น อาจจะไม่ได้อิสระมากเท่ากับใน BotW ในแง่ของการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังถือว่าท้าทายในระดับที่กำลังสนุก และถือเป็นกิจกรรมคั่นเวลาระหว่างการต่อสู้ได้อย่างพอเหมาะ [caption id="attachment_66744" align="aligncenter" width="1920"] ยากแค่พอหอมปากหอมคอ ไม่ถึงกับหัวร้อน[/caption] ดินแดนแห่งทวยเทพ ในแง่ของกราฟิก ผู้เขียนยอมรับตามตรงว่าแม้จะไม่ได้ติดขัดอะไรกับกราฟิกแนวการ์ตูนสดใสที่เกมทำมาคู่กับบทพูดอารมณ์ดีของตัวเอง แต่อาจเพราะเดโมที่ได้ลองเล่นนั้นตั้งอยู่ในเขต The Forgelands ของเทพแห่งการตีเหล็ก Hephaestus ที่มีลักษณะเป็นหุบเขาทะเลทรายอันแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็มีแต่สีทรายแดงๆ น้ำตาลๆ เลยไม่ค่อยรู้สึกประทับใจกับกราฟิกฉากในเกมเท่าไหร่นัก [caption id="attachment_66737" align="aligncenter" width="1920"] แดงเหมือนใส่ฟิลเตอร์[/caption] แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ต้องชมคือเรื่องของ Draw Distance หรือระยะในการมองเห็นในเกม ที่กว้างสุดลูกหูลูกตาชนิดที่มองลงมาจากหน้าผาแล้วไม่เห็น Fog of War บดบังแผนที่เลย ซึ่งก็มีผลทำให้โลกของเกมรู้สึกกว้างใหญ่ไพศาลขึ้นมามากๆอ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ผู้เขียนเล่นเดโมแบบ Streaming ผ่านเน็ต ที่ยิงภาพมาจากคอมของฝั่งผู้พัฒนา เลยอาจจะทำให้ได้เล่นเกมในคอมที่สเป๊กสูงกว่าของตัวเอง น่าจะเป็นอนิสงค์มาจากกราฟิกแนวการ์ตูนด้วย แต่อีกสิ่งที่ผู้เขียนชอบคือแสงสีเอฟเฟกต์ต่างๆ ในเกม ที่แม้จะมีเยอะแยะมากมายตลอดเวลา ทั้งการโจมตีศัตรู การใช้ท่าพิเศษ การกางปีก (เมื่อกระโดดหรือร่อน) หรือกระทั่งเอฟเฟกต์การสลายเป็นผุยผงของศัตรูเมื่อตาย แต่กลับไม่รู้สึกรกหรือรู้สึกว่าโดนรบกวนการเล่นเลย และกลับทำให้แอคชั่นในเกมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมามากกว่าด้วยซ้ำ [caption id="attachment_66746" align="aligncenter" width="1920"] จ้าซะเหลือเกิน[/caption] สรุป: น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง! นอกจากระบบที่พูดถึงในบทความแล้ว ผู้พัฒนายังบอกอีกด้วยว่าเกม Fenyx Rising จะยังมีการเพิ่มระบบต่างๆ เข้าไปอีกมากมาย ทั้งระบบการอัปเกรดตัวละคร ระบบการคราฟติ้ง หรือกระทั่งระบบการสร้างตัวละคร ซึ่งแม้ว่าอาจจะยังมีข้อเป็นห่วงอยู่บ้างจากเดโมที่ได้เล่น แต่ผู้เขียนก็ยอมรับว่า Fenyx Rising ถือเป็นหนึ่งในเกมที่น่าสนใจกว่าที่ผู้เขียนคิดเอาไว้ โดยยังมีอะไรอีกมากที่ทางผู้พัฒนา Ubisoft ยังคงกั๊กเอาไว้ให้ไปเจอด้วยตัวเอง และมั่นใจได้ว่าผู้เขียนจะรอติดตามข่าวคราวของเกมนี้อย่างใกล้ชิดแน่นอน Immortals Fenyx Rising มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ สำหรับ PS4, Xbox One, PC, Nintendo Switch
10 Sep 2020
บ้ากันให้หลุดจักรวาลกับ DLC ตัวที่ 4 จากเกม Borderlands 3!
ปล่อยออกมาให้เล่นแล้ววันนี้ กับ DLC ตัวที่ 4 ของเกม Borderlands 3 ซึ่งต้องบอกเลยว่า DLC ตัวนี้น่าจะถูกใจเหล่าแฟนๆ ของซีรีส์นี้อย่างแน่นอน เพราะมันได้นำหนึ่งในตัวละครที่เหล่าแฟนๆ รัก Krieg: The Psycho จาก Borderlands 2 กลับมาด้วย (ใครคิดยังไงไม่รู้แต่ผมชอบตัวละครนี้มาก) แถมเรื่องราวใน DLC ตัวนี้ ยังเกี่ยวกับเขาแบบ 100% เลยด้วย แน่นอนว่า DLC ตัวนี้มาพร้อมกับ อาวุธ, สกิน และบอสใหม่ๆ มากมายเลยเช่นกัน ต้องขอบคุณทาง Gearbox Software ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปเล่น DLC ตัวนี้ก่อน ซึ่งวันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever Th ได้รู้กันว่า ถ้าหากซื้อ DLC ตัวนี้มาจะได้พบอะไรบ้าง ขอออกตัวก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องที่มาพร้อมกับ DLC ตัวนี้ ทำออกมาได้ดีมากๆ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย เนื้อเรื่อง ใน DLC นี้ เรื่องราวจะเริ่มต้นจากการที่ Tannis ค้นพบวิธีเข้าไปดูความคิด - ความทรงจำของเหล่า Psycho ซึ่งเธอพยายามที่จะศึกษาว่า "อะไรคือสิ่งที่ทำให้เหล่า Psycho เป็นบ้ากันไปหมด?" โดยจากการศีกษาของเธอ ทำให้ค้นพบว่าในหัวของ Psycho ทุกคน จะมีอยู่จุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั้นคือความรู้เกี่ยวกับสถานที่ปริศนาแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอเองไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนกันแน่เช่นกัน Tannis จึงตัดสินใจที่จะเรียกสถานที่ปริศนานี้ว่า "Vaulthalla" การทดลองของ Tannis ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ในเมื่อแน่นอนว่าเหล่า Psycho ไม่ได้ยอมเธอได้ทดลองง่ายๆ Tannis จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปในหัวของ Krieg ที่เป็น Psycho คนใกล้ตัวแทน (โดยที่ไม่ได้ขอเจ้าตัวก่อน) ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้คือการส่งใครบางคนเข้าไปในหัวของ Krieg และตามหาว่า Vaulthalla คืออะไร และอยู่ที่ไหน แน่นอนว่าผู้เล่นจะได้พบ และมีปฏิสัมพันธ์กับ Krieg มากมายภายในหัวของเขา แต่เนื่องจากบทพูดต่างๆ ที่เราได้คุยกับเขา จะเป็นการสปอยเนื้อเรื่องเยอะมาก ทางผมจึงขอไม่อธิบายเนื้อหาของเนื้อเรื่องไปมากกว่านี้ครับ แอบกระซิบนิดนึงละกันว่า เรื่องราวเกี่ยวกับ Krieg ที่เราจะได้รู้ใน DLC ตัวนี้ คงทำให้แฟนๆ หลายคนบ่อน้ำตาแตกได้เลย! แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าสำหรับใครที่ไม่ได้เล่น Borderlands 2 มาก่อน ก็อาจจะไม่อินกับเนื้อเรื่องของ DLC ตัวนี้มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเล่นภาคนี้เป็นครั้งแรก หรือไม่ได้สนใจเนื้อเรื่อง กับความสัมพันธ์ของตัวละครในเกม ก็อาจจะได้อรรถรสในเกมนี้ไม่เต็มร้อยเท่าไหร่ครับ! กราฟิก / การนำเสนอ ในส่วนของกราฟิก คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เพราะ DLC ตัวนี้ไม่ได้มาพร้อมกับแพ็ค Texture ใหม่ หรือมีการอัพเกรดกราฟิกให้สวยงามมากขึ้นอะไร ทั้งหมดยังคงเหมือนกับที่เราได้เคยรีวิวเกมไปเมื่อ 1 ปีก่อน (สามารถเข้าไปอ่านได้ผ่านลิงก์นี้) ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงจะเป็นการพูดถึงการนำเสนอแทบทั้งหมดครับ ต้องยอมรับครับว่าหลังจากที่เล่นไปได้ 5-6 ชั่วโมงแล้ว ตัวผมเองรู้สึกว่าผู้พัฒนาทำในเรื่องของการสื่ออารมณ์ของตัวละคร Krieg ออกมาได้เป็นอย่างดีจริงๆ ใน DLC ตัวนี้ เนื่องจากการสำรวจสมองของเขาในครั้งนี้ มันจะทำให้เราได้เห็นทั้งความทรงจำที่ดี และความทรงจำที่เจ็บปวดของเขามากมาย พอเอามารวมกับการสื่ออารมณ์ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีแล้ว มันเลยทำให้ตัวผมเองรู้สึกประทับใจมาก อีกหนึ่งจุดที่คิดว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีที่เดียว คือในเรื่องการตายของศัตรูใน DLC ตัวนี้ครับ เนื่องจากว่าเรากำลังอยู่ในหัวของใครบางคน ดังนั้นการตายของศัตรูที่เราได้พบใน DLC ตัวนี้ จึงไม่ใช้การระเบิดร่างแตกเลือดสาดเหมือนที่เราได้เห็นในตัวเกมหลัก แต่เป็นการระเบิดกลายเป็นสายรุ้งแทน ซึ่งค่อนข้างสมเหตุสมผล นอกจากนี้ในเรื่องของการออกแบบสภาพแวดล้อม ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นกันครับเนื่องจากเรากำลังอยู่ในหัวของ "คนบ้า" สถาพแวดล้อมที่ผมคาดหวังว่าจะได้เห็นใน DLC นี้จึงต้องสามารถนำเสนอความบ้าครั้งออกมาได้เป็นอย่างดี โดยสภาพแวดล้อมที่ได้เห็นก็สื่อความบ้าคลั่งได้ดีจริงๆ ครับ บางครั้งได้เจอกับโลกที่กำลังกลับหัวอยู่, บางครั้งเราก็วาปไปวาปมาแบบรัวๆ, ได้เห็นรถไฟที่สามารถวิ่งบนฟ้าได้, นึกจะมีตัวอะไรกระโดดออกมาก็ได้, ยังไม่ร่วมฉากหลังที่เดี๋ยวก็เป็นแบบ Apocalypse, เดียวเป็นโลกแฟนตาซี, เดียวเป็นอวกาศอีก คือเรียกได้ว่าบ้าคลั่งอย่างแท้จริง คงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาทำ DLC ตัวนี้ออกมาได้ดีจริงๆ ครับ เกมเพลย์ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ต้องบอกว่าไม่ได้แตกต่างจากตัวเกมหลักมากมายอะไรนักครับ เดินหน้าไปเรื่อยๆ ฆ่าศัตรูที่เข้ามาขวางทางให้หมด, แก้ปริศนาตามทางที่มีอยู่เล็กน้อย, สู้กับบอสทุกตัวที่โผล่ออกมา, และทดลองปืนแปลกๆ ที่ดรอปมา โดยศัตรูส่วนใหญ่ที่เราได้เจอมักจะเป็นกลุ่มที่มีเลือดหลอดสีแดง ดังนั้นอาวุธที่โจมตีเป็นธาตุไฟจึงค่อนข้างมีประโยชน์อย่างมากใน DLC ตัวนี้ แน่นอนว่ามีศัตรูที่มีหลอดเลือดสีอื่นด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่ครับ เมื่อพูด DLC ใหม่ของเกม Borderlads 3 หลายน่าจะคาดหวังที่จะได้เห็นอาวุธที่มีสกิลพิเศษใหม่ๆ มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าทางผู้พัฒนาไม่ได้ทำให้เราผิดหวังครับ DLC ตัวนี้มีการใส่อาวุธ Legenday ใหม่เข้ามาเช่นกัน ซึ่งผมเองก็ดรอปมาอยู่ 2 กระบอกครับ โดยหนึ่งในนั้นเป็นปืน Shotgun ธาตู ไฟ - สายฟ้า ที่ชื่อว่า "Mocking Blind Sage" ปืนกระบอกนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการชาร์จก่อนยิง แต่กระสุนที่ยิงจะออกไปในลักษณะคลื่นกระแทกทำให้สามารถยิ่งให้โดนครบทุกนัด หรือหัวได้ง่าย ส่งผลให้สามารถทำดาเมจได้อย่างรุนแรง ส่วนอีกหนึ่งกระบอกที่ได้มาเป็นปืน Assault Rifle ที่ชื่อว่า "Stimulating Vulgor Lavable Rogue" ปืนกระบอกนี้จะยิงออกไปเป็นหมุดปักที่ศัตรูเมื่อกระทบ และระเบิดเมื่อเราทำการ Reload ปืน ดูเผินๆ อาจไม่มีอะไร แต่ปืนกระบอกนี้มาพร้อมกับบรรทัดที่เขียนว่า (+164% Damage) ซึ่งมันเลยทำให้ดาเมจตอนระเบิดของกระสุนรุนแรงเป็นอย่างมาก เหมาะที่จะเอาไปยิงบอสครับ แน่นอนว่านอกจากปืนใหม่แล้วใน DLC ตัวนี้ยังมาพร้อมกับ Challenge ใหม่ๆ ด้วย หนึ่งในนั้นคือการตามหาเศษซากความทรงจำของ Krieg ที่เราจะต้องกระโดดไปบนแพลตฟอร์มต่างๆ และยิ่งเศษความทรงจำเหล่านั้นให้ได้ในเวลาที่กำหนด ตรงนี้ขอยอมรับเลยว่าตัวผมเองไม่ได้ทำ Challenge เหล่านี้จนครบ ดังนั้นก็เลยยังไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อทำจนครบแล้ว เราจะได้อะไรเป็นของรางวัลครับ โดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า DLC ตัวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเกมเพลย์ของ Borderlands 3 ให้แตกต่างจากเดิมอะไรมากมายนัก ยังคงความสนุก, มัน, ฮา ไว้ได้เหมือนเดิม ที่มีเพิ่มมาอย่างเห็นได้ชัดคือ Challenge ใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ยังคงมีการเพิ่มอาวุธใหม่ๆ สุดพิศดารเข้ามามากมายเหมือนเดิม แมคคานิคในการต่อสู้ไม่ได้มีอะไรถูกเข้ามาใหม่เป็นพิเศษ สำหรับใครที่ชอบเกมเพลย์ของ Borderlands 3 อยู่แล้ว ก็คงจะสนุกสนานไปกับ DLC ตัวนี้ได้ไม่ยากครับ
10 Sep 2020
[รีวิว] Tom and Jerry: Chase เมื่อหนู 4 ตัวรุมแมว 1 ตัว ความฮาจึงบังเกิด
สมัยเด็กๆ คุณผู้อ่านอาจจะต้องเคยรับชมการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่อง Tom & Jerry อย่างแน่นอน เรื่องราวเกี่ยวกับ Tom เจ้าแมวสีน้ำเงินกับ Jerry หนูซ่าหาเรื่องป่วนไปทั่ว เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นจบในตอน ฉายครั้งแรกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1940 ผ่านไปกว่า 80 ปี การ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้ถูกผลิตออกมาหลายตอน หลายเวอร์ชั่นมากมาย เพราะมันสนุกและตลกโปกฮาโดยแทบไม่ต้องมีเสียงพากย์อะไรมากมายนั้นเอง จนกระทั่งตอนนี้ก็ได้พัฒนากลายเป็นเกม Tom and Jerry: Chase เกมแนว Survival เหมือนกับ Day by Daylight ให้เล่นกันบนมือถือเรียบร้อยแล้ว แต่มีความแตกต่างอยู่ที่เกมนี้มันคือให้หนู 4 ตัว รุมแมว 1 ตัว ( ใช่แล้ว 4 รุม 1 จริงๆ นะ ) ก็อยากจะรู้ว่าพอมันเป็นเจ้าหนูซ่าหาเรื่องแมวในเวอร์ชั่นนี้จะทำให้เราหวนถึงคืนวันเก่าๆ สมัยเราเป็นเด็กเฝ้าหน้าจอโทรศัพท์ได้อยู่หรือเปล่านะ บทความนี้จะมารีวิวเกมนี้กันว่ามันจะสนุกแค่ไหน ================================================== ไม่มีสาระจากเนื้อเรื่องก็สัมผัสความเกรียนได้ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกและประทับใจมากๆ เลยก็ว่าได้พอเปิดเกมมาก็ได้เห็นคัตซีนฉากเจ้า Tom ไล่ตะปบ Jerry ด้วยความโหดมันฮา ตามสไตล์พร้อมอุปกรณ์สารพัดพอดูแล้วอยากหาดูเล่นสักตอนเลยล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องของเกมนี้เหรอ ? สั้นๆ เลยก็คือ "เนื้อเรื่องไม่มีหรอก" แต่สิ่งที่ได้รับชมเลยก็คือ บ้านคุณนายที่เลี้ยงเจ้า Tom ไว้คงได้วินาศสันตะโรในเกมแน่ๆ ส่วนในหน้า Log in นั้นไม่มีอะไรมาก สามารถเข้าระบบผ่าน Google Play, Facebook หรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเกมจะสนุกไหม ? สามารถเข้าแบบ Guest หรือนักท่องเที่ยวได้ตามสะดวกเลย Tutorial ที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Survival ผู้ถูกล่าต้องหนีรอดจากผู้ล่าแบบ Dead by Daylight แต่การบังคับใช่ว่าจะเหมือนกันฉะนั้น Tutorial เกมนี้จึงสำคัญมากและไม่ควรมองข้าม โดยเราสามารถเลือกฝึกฝนว่าจะเล่นเป็น Tom ก่อนหรือเหล่า Jerry ก่อนก็ได้ โดยเราจะเลือกฝึกและสอนการทำภารกิจต่างๆ รวมถึงทริคเบื้องต้นและขั้นสูงอย่าง Jerry ที่ต้องทำหน้าทีเอาชีสยัดลงรูให้หมดพร้อมกับหลบหนี ส่วน Tom ก็มีหน้าที่กำจัดหนูด้วยการจับพวกเขาผูกกับประทัดแล้วส่งขึ้นฟ้าไปเลย และข้อดีของ Tutorial ที่ไม่อยากให้พลาดคือทุกการฝึกแจกของฟรีทั้ง EXP, น้ำยาความรู้และไอเท็มต่างๆ มากมาย กราฟิคดูเก่าๆ ชวนคิดถึงแต่ Interface ดูกดลำบาก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจเลยก็คือภาพกราฟิคที่ทีมพัฒนาพยายามทำเลียนแบบให้ดูเหมือนการ์ตูน Tom & Jerry มากที่สุดทั้งการเคลื่อนไหวหรือแม้ลายเส้นให้ดูเก่าๆ มันอาจจะถูกใจคนที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่องนี้แต่อาจจะขัดใจใครหลายคนที่ดูแล้วรู้สึกไม่ลื่นไหลขัดหูขัดตาเสียมากกว่า และในหน้า Interface นั้นอาจจะต้องขอติเสียหน่อยเพราะกดเมนูต่างๆ ที่อยู่แถมมุมๆ นั้นกดค่อนข้างลำบาก หากเล่นบน Tablet อาจจะไม่เป็นปัญหานัก แต่สำหรับในมือถือบอกเลยว่าจิ้มยากอยู่ ระบบ Perk เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบกาชา ในด้านระบบ Perk นั้นการที่ตัวละครเราเลเวลอัพก็อัพแค่เพดานการรองรับ Cost ของ Perk หรือในเกมที่เรียกว่าบัตรความรู้ ส่วน Perk จริงๆ จะต้องเก็บสิ่งที่เรียกว่า น้ำยาความรู้ ที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ และการเล่นเกมแต่ละรอบมาเปิดกาชาสุ่มหา Perk ซึ่งการทำแบบนี้ก็นับว่าเป็นดาบสองคมเช่นกัน มันดีที่ว่าทำให้เราต้องเจอกับความท้าทายและต้องปรับตัวกับ Perk ที่ได้มา แต่มันก็ทำให้หลายคนหงุดหงิดใจว่าทำไมไม่ให้อัพแบบปกติเหมือนชาวบ้านชาวช่องกัน ส่วน Perk สามารถอัพเกรดได้ด้วยการสุ่ม Perk ซ้ำๆ หรือหาจิ๊กซอว์ของ Perk นั้นมาอัพเกรดอีกที การบังคับที่ต้องเรียนรู้และสามารถปรับได้ตามใจชอบ การบังคับเดินของเกมนี้จะมีแค่เดินซ้ายขวาเท่านั้น แต่สามารถเลือกรูปแบบการบังคับได้สองแบบคือแบบปุ่มซ้ายขวาหรือแบบคันโยก ซึ่งส่วนตัวถนัดแบบคันโยกมากกว่า และในปุ่มฝั่งขวาจะเป็นปุ่มการ Interact ต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกได้ตามใจชอบ ตามความถนัดส่วนทางนี้เลือกแบบโต้ตอบอิสระเพราะกดถนัดกว่า นับว่าเป็นข้อดีที่ว่าผู้เล่นถนัดการบังคับแบบไหนก็มีให้เลือกสรรหรือหากยังไม่ถูกใจอีกก็มีการตั้งค่าปุ่มแบบละเอียดซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในเมนู Setting ได้เช่นกัน ระบบการเล่นที่ดูเรียบง่ายแต่ต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเกมนี้มันคือการต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่าแบบ 1 ต่อ 4 ซึ่งจริงๆ ควรเรียกว่า หนู 4 ตัวรุมแมวตัวเดียวมากกว่าเพราะ Jerry สามารถโจมตีใส่ Tom ได้หากมีของให้เก็บพร้อมหวดตามฉากหรือไอเท็มติดตัวหรือสกิลเฉพาะ ทำให้งานของ Tom นั้นโคตรลำบาก แต่มันดีที่ทั้งฝ่าย Tom และ Jerry สามารถเลือก Costume ได้ซึ่งชุดแต่งเหล่านี้จะมีสกิลเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีเทคนิคการเล่นจะหลากหลายมากแค่หน้าตาจะซ้ำๆ กันเฉยๆ อย่างเช่น Tom ชุดปกติก็มีแค่สกิลยิงปืนจับ Jerry แต่พอเป็น Tom ชุดคาวบอยก็จะเปลี่ยนสกิลเป็นเอาแส้ไล่หวดสร้าง Debuff พร้อมกับสกิลเรียกกระทิงไล่ชน และที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายสามารถใช้บัตรความรู้เป็นเหมือน Perk ใช้ตัวไหนก็ได้เพื่อความหลากหลายและชิงความได้เปรียบ ทีเด็ดของเกมนี้เลยคือระบบการเล่นและการบังคับต่างๆ ซึ่งสภาพบรรยากาศภายในเกมจะเป็นการไล่จับภายในบ้าน แบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่าง Tom และ Jerry และตัวเกมก็จะแบ่งเป็นสองช่วงคือ Prepare Phase และ Action Phase โดยช่วงเตรียมตัวหรือ Prepare Phase เจ้าแมวสีน้ำเงินของเราก็ต้องดักตบหุ่นยนต์หนูสอดแนม ขัดขวางไม่ให้เอาเค้กเข้ารูหนู การตบหนูหุ่นยนต์ได้จะเป็นการเพิ่ม EXP ใว้อัพสกิล ส่วน Jerry ก็เอาพวกหนูสอดแนมไปค้นหาตำแหน่งชีสและชิงชิ้นเค้กพร้อมกับเอาไว้กับตัวจนกว่าจะหมดเวลาช่วง Prepare Phase ให้ได้เพื่อทำแต้มและเพิ่ม EXP ในการอัพสกิลเช่นกัน พอเข้าสู่ช่วง Action Phase งานของเจ้าแมว Tom ไม่ต้องคิดอะไรมาก จับพวกหนูมัดเข้าประทัดรอนับเวลาถอยหลังปล่อยขึ้นฟ้าไปเลย หาก Tom สามารถจับเจ้าพวกหนูมัดกับประทัดส่งขึ้นฟ้าได้มากกว่าสามตัวจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะไปเลย แม้ว่าจะมีหนูรอดไปเพียงตัวเดียวก็ตาม แต่หากจับมัดประทัดได้ทั้งหมดพร้อมส่งขึ้นฟ้าจะเป็นการจบเกมและชนะทันที แต่ก็ต้องระวังที่ว่า Jerry สามารถดิ้นให้หลุดจากประทัดได้และ Tom เองก็มี HP สามารถโดนโจมตีได้จากสิ่งต่างๆ หาก HP หมดเจ้าแมวจะหายซ่าและลงไปนั่งมึนกับพื้นรอฟื้นฟู HP ทำให้เสียเวลาการตามล่าอีก ส่วนงานของ Jerry ไม่มีอะไรมาก หาก้อนชีสยัดเข้ารูให้ครบ พร้อมกับขัดขวางไม่ให้ Tom มาจับเราผูกกับประทัดได้ ซึ่งตัวเจ้าหนู Jerry นั้นบอบบางมาก โดย Tom โจมตีไม่กี่ครั้ง HP ก็หมดหลอดลงไปนอนมึนกับพื้น แต่มีข้อได้เปรียบคือตัวเล็กและมีความพริ้วมากกว่า อาศัยการหลบหลีก, ก่อกวน Tom และหาชีสยัดเข้ารูให้ครบ สุดท้ายประตูทางออกจะเปิดโดยให้เรารวมพลังการทำลายประตูให้พังก็สามารถหลบหนีออกไปได้ หากฝ่ายหนูรอดมากกว่าสองตัวถือว่าชนะไป อุปสรรค์ต่างๆ และของทุกชิ้นบนพื้นคืออาวุธ นี่คือไฮไลต์เด็ดของเกมนี้ที่ขาดมันไปก็เหมือนขาดสีสันนั้นก็คือระบบอุปสรรค์ต่างๆ ทั้งทางลื่นของน้ำที่เดินเข้ามาแล้วตัวจะสไลด์หรือแม้ถ้วย แก้ม จาน ชาม หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตกบนพื้นหรือในห้องสามารถใช้เป็นอาวุธตอบโต้กันไปมาได้ทั้งฝ่าย Tom และฝ่าย Jerry ลองนึกภาพว่าฝ่ายหนูมีอาวุธครบมือแทนที่จะคิดหนีแต่กลับไล่หวดแมวซะเอง นี่แหละถึงเรียกว่าเป็นเกม 4 รุม 1 เสียมากกว่า ================================================== นี่คือทั้งหมดของเกม Tom & Jerry: Chase ที่ได้ลองเล่นมาสักพัก บอกเลยว่าติดใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นติดงอมแงม พอเล่นฆ่าเวลาหรือเล่นให้หายคิดถึงวันวานสมัยเด็กที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะให้กลิ่นอายครบ แต่การบังคับหรือการกดเข้าเมนูต่างๆ ยังกดยากและเข้าได้ช้า ไม่ค่อยลื่นไหลนัก โดยรวมแล้วสนุกไม่แพ้เกมแนว Survivor 1 ต่อ 4 แบบเกมอื่นๆ เลยซึ่งมันก็ไม่มีความเลือดสาดนอกจากความตลกโปกฮาตามแบบฉบับของ Tom & Jerry หากในอนาคตมีการอัพแผนที่ใหม่ๆ หรือโหมดใหม่ๆ เข้ามาพร้อมกับปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งกว่านี้ก็อาจจะกลายเป็นเกมที่สนุกไปอีกขั้นก็ได้ [penci_review id="66291"]
10 Sep 2020
No Straight Roads Review : จังหวะร็อคปลดแอก กระแทกเข้าที่หัวใจ!
หมายเหตุ : รีวิว No Straight Roads ชิ้นนี้ อ้างอิงจากเกมเวอร์ชั่น PlayStation 4 ซึ่งตัวเกม มีวางจำหน่ายบน Nintendo Switch และ PC (ที่ร้าน Epic Game Store) ด้วย หมายเหตุ 2 : รีวิวนี้ ได้รับการสนับสนุนเกมโดยบริษัท Maxsoft ถ้าจะพูดกันถึงเกมแนว ‘Musical’ แล้วนั้น แม้ว่าจะมีชิ้นงานอยู่มากมายในท้องตลาด แต่ก็เป็นแนวเกมที่มีความเฉพาะตัวอย่างมาก (ไม่ว่าจะทั้ง Dance Dance Revolution ก็ดี Beat Mania ก็ดี ไปจนถึง Guitar Heroes หรือ Rocksmith) แต่การ ‘ผสมผสาน’ เกมแนวดนตรีเข้ากับเกมแนวอื่นนั้น กลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง อาจจะด้วยความแตกต่างและความเฉพาะตัวอย่างมาก ซึ่งในแวดวงวิดีโอเกมที่ผ่านมา ก็เห็นจะมีเพียง Brutal Legend จากปี 2009 เท่านั้น ที่ดูจะเข้าข่ายและอาจจะกลายเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็น ‘Musical Action Games’ ได้อย่างเต็มปาก แต่น่าเสียดาย ที่ยอดขายมันสวนทางกับคำชม เพราะแม้จะได้ Jack Black มาให้เสียงพากย์ จนถึงเหล่าเมทัลสตาร์รุ่นเก๋ามาร่วมแจมแบบขนกันมาหมดแวดวง แต่วี่แววของภาคต่อก็ยังคงเงียบกริบแม้เวลาจะผ่านไปเกือบทศวรรษก็ตาม [caption id="attachment_66451" align="aligncenter" width="616"] Brutal Legend เกม Musical Action Game ชั้นเยี่ยม ที่...ไม่ได้ไปต่อ[/caption] และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ ‘No Straight Roads’ ผลงานเดบิวของ Metronomik Production ทีมพัฒนาเกมสัญชาติมาเลเซีย กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นทันตาเห็น เพราะไม่ว่าจะเป็นการกระโดดจากทีม Outsources สร้างงานอาร์ตให้กับเกมอย่าง Final Fantasy 15 ก็ดี หรือการที่พวกเขาเลือกที่จะเปิดตัวด้วยเกมแนว ‘Musical Action Games’ ก็ดี เหล่านี้ ทำให้สายตาต่างจับจ้องมองมา ว่าทีมพัฒนาอินดี้กลุ่มนี้ จะไปได้ไกลแค่ไหน (ซึ่งทาง GameFever ได้นำเสนอพรีวิวไปแล้วก่อนหน้านั้นในบทความนี้) กล่าวโดยสรุป พวกเขายังคงความฉมังในด้านการสร้างสรรค์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะทั้งงานอาร์ตไปจนถึงดนตรี รวมถึงเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่กระนั้น ในส่วนของเกมการเล่น มันยังคงปรากฏความ ‘ไม่อยู่มือ’ ที่พวกเขาต้องเก็บไว้เป็นบทเรียนสำหรับชิ้นงานถัดไป อย่างไม่อาจจะมองข้ามได้ Rock ปลดแอก กับทางแยกสาย EDM [caption id="attachment_66453" align="aligncenter" width="696"] Mayday และ Zuke สองนักดนตรี พันธุ์ร็อค แห่ง Bunk Bed Junction กับภารกิจคว่ำ NSR[/caption] No Straight Roads บอกกล่าวถึงเรื่องราวของสองคู่หู Mayday และ Zuke นักดนตรี ‘พันธุ์ร็อค’ วง Bunk Bed Junction แห่งเมือง Vinyl City ที่ถูกปฏิเสธจาก NSR (No Straight Roads) บริษัทดนตรียักษ์ใหญ่ของเมือง ที่มองว่า เพลงร็อคนั้น ‘ขายไม่ได้ และตายไปแล้ว และดนตรี EDM คืออนาคตแห่งดนตรี แต่แล้วเมื่อกระแสไฟฟ้าพลังงานที่หล่อเลี้ยงเมืองถูกตัดขาด และสงวนเอาไว้ให้กับเหล่า ‘ศิลปิน’ สังกัด NSR สำหรับงานปาร์ตี้ที่ไม่รู้จบ ทั้งสองจึงเริ่มกระบวนการ ‘ปลดแอกทางดนตรี’ โดยมีเป้าหมายเพื่อคว่ำบริษัท NSR นี้ลงให้จงได้ ในแง่งานศิลป์นั้น น่าจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ No Straight Roads เลยก็ว่าได้ เพราะมันถูกนำเสนอในรูปแบบสุดโฉบเฉี่ยว ประหนึ่งงานอนิเมชันจากช่องอย่าง Cartoon Network ติดกลิ่นของเกมอย่าง Psychonauts อยู่บางๆ รวมถึงบทสนทนาของทั้ง Mayday และ Zuke นั้นก็มีลูกรับส่งหยอดมุกได้อย่างพอเหมาะ ช่วยให้ทั้งสองเป็นตัวละครที่ผู้เล่นสามารถรักและติดตามได้อย่างไม่ยากเย็น งานศิลป์ดังกล่าวยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น เพราะมันควบรวมไปกับเหล่า ‘ศิลปิน’ ใต้สังกัด NSR ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวภายใต้ดนตรีสาย EDM ไม่ว่าจะทั้ง DJ Subatomic Supernova ผู้คลั่งไคล้ดนตรีแห่งจักรวาล, 1010 กับกองทัพดนตรีบอยแบนด์, DK West กับดนตรีสาย Street Rap ชวนติดหู เหล่านี้ บ่งบอกถึงความสร้างสรรค์ของทีม Metronomik ในด้านการนำเสนอได้อย่างเหนือชั้น สมกับที่เป็นสตูดิโอที่ทำงานด้านอาร์ตมาเป็นเวลานานแรมปี หลากหลายดนตรี ที่มีเกมเพลย์อันแตกต่าง ในส่วนของเกมเพลย์ของ No Straight Roads นั้น จะเป็นไปในรูปแบบกึ่ง Open-World ที่ทั้ง Mayday และ Zuke จะต้องทำการ ‘ปลดแอก’ แต่ละย่านที่ถูกปกครองโดยศิลปินแห่ง NSR ด้วยการเล่นแบบ Beat-em-up ที่สามารถสลับตัวเล่นได้โดยอิสระ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน Mayday กับกีตาร์ไฟฟ้าที่โจมตีช้าและหนักหน่วง หรือท่ารัวกลองของ Zuke ที่หนักน้อยกว่า แต่ต่อคอมโบได้มากกว่า ที่จะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ (แน่นอนว่า เกมนี้ สามารถเล่นพร้อมกันได้สองคน แต่การสลับสับเปลี่ยนตัวละครแม้จะเล่นคนเดียวก็เป็นไปอย่างลื่นไหลไร้รอยติดขัด) การปะทะกับเหล่าศิลปินหรือบอสในแต่ละพื้นที่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ และเต็มไปด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์อย่างมาก มันไม่ได้มีแค่เพียงการฟาดแบบ Beat-em-up แต่ยังมาพร้อมมินิเกมและเมคานิคแปลกๆ ที่ชวนให้รู้สึกสนุกเวลาเล่น ไม่ว่าจะการปะทะกับ Sayu ‘ไอดอลเวอร์ชวล’ ที่ต้องจัดการกับเหล่าโปรแกรมเมอร์และนัก MoCap ที่อยู่เบื้องหลัง, การหลบตัวโน้ตแบบเกมสาย Guitar Heroes ของ DK West ไปจนถึงการ ‘ไล่จัดการ’ กับกองทัพบอยแบนด์ของ 1010 ท่ามกลางเสียงดนตรี EDM ซึ่งทั้งหมด ถูกผสานเข้ากับดนตรีประกอบพื้นหลังได้อย่างกลมกล่อม ควบรวมไปกับการใช้สกิลพิเศษของ Mayday และ Zuke ที่เพิ่มความได้เปรียบ ไม่ว่าจะการรัวกีตาร์ปล่อยพลัง หรือการรัวไม้กลองเพื่อเพิ่มพลังการโจมตี ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่แปลก และเล่นได้สนุกมากๆ ด้วยงานภาพ ผสานเกมการเล่นที่ลงตัวพอเหมาะ และผ่านการคิดมาเป็นอย่างดีไม่น้อย นอกเหนือจากการปะทะบอสแล้ว ภารกิจของ Bunk Bed Junction ในการฟื้นฟูเมือง Vinyl City ในพื้นที่แบบกึ่ง Open-World ก็จัดเป็นช่วงให้พักหายใจได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะการฟื้นฟู ‘กระแสไฟฟ้า’ ตามจุดต่างๆ ของเมือง การเปิดพื้นที่ใหม่ และการ ‘อัพเกรดความสามารถ’ ของทั้ง Mayday และ Zuke ที่ใช้แต้ม ‘ความคลั่งไคล้ของแฟนๆ’ ทั้งจากการสู้ชนะบอส ไปจนถึงการฟื้นฟูย่านต่างๆ ให้กลับมาอีกครั้ง นอกเหนือจากนั้น สิ่งของหรือ Collectible ก็มีให้เก็บทั้งในแผนที่กึ่งเปิด และการสู้ชนะบอสในแต่ละจุด ทำให้เกมไม่เป็นเส้นตรงจนเกินไป (แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะค่อนข้างจำกัดอยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าเปิดกว้างแต่ร้างซึ่ง Content อย่างที่หลายเกมได้เป็นมา) เมื่อบวกรวมกับเนื้อหาที่น่าสนใจ เข้มข้นเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ดำเนินไป ก็ทำให้เกมนี้เล่นได้สนุกติดพันได้อย่างไม่ยากเย็น เล่นดนตรี ต้องมีผิดคีย์กันบ้าง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า No Straight Roads จะเต็มเปี่ยมไปด้วยโปรดัคชันขั้นเยี่ยม ดนตรีสุดติดหู เนื้อหาและมุกตลกที่ชงตบได้อย่างพอเหมาะ และเกมการเล่นที่น่าสนใจ แต่ดูเหมือนว่าทีม Metronomik จะยังคงติดความเป็น ‘สตูดิโอสายโปรดัคชัน’ อยู่ค่อนข้างมาก เพราะเมคานิคของเกมการเล่น หลายครั้งมันถูกนำหน้าด้วยงานศิลป์ ทุกอย่างดูสับสนและ ‘ไม่เคลียร์’ ชัดเจน ว่าต้องทำอะไร หรือต้องจัดการ ‘แบบไหน’ เหล่านี้ ก่อให้เกิดการสะดุดระหว่างที่เล่น เพราะเมื่อทุกอย่างที่อยู่บนหน้าจอนั้นลายตาไปด้วยสีสันและดนตรีที่ก้องกังวานอยู่ในหู มันก็ยากที่จะแยกโสตประสาทออกจากกัน หลายครั้งผู้เขียนต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับการต่อสู้กับบอสแต่ละตัวค่อนข้างนาน (และเป็นไปในแบบที่งงๆ อยู่ไม่น้อย) ซึ่งถ้ามองในแง่ของการสร้างเกม ความชัดเจนและความง่ายในการเข้าถึงของเกมนี้ยังจัดว่าไม่ผ่าน (ยิ่งเมื่อเทียบกับ Brutal Legend จากปี 2009 ที่เป็นเกมแนวเดียวกันแล้ว ก็ดูเหมือนว่า No Straight Roads จะมีความ ‘สวยแต่รูป จูปไม่หอม’ จนเกินพอดีไปนิดหนึ่ง) อีกประการที่สำคัญ คือเกมนี้ ‘สั้นมาก’ ในระดับที่ถ้าคุณไม่คิดจะเก็บหรือสำรวจ หรือเป็นพวก Perfectionist ที่ต้องเก็บทุกอย่างให้ครบ คุณสามารถเล่นมันจนจบได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะหัวใจหลักของเกมมันคือ ‘Boss Rush’ ที่เข้าปะทะบอส ไม่มีด่านหรืออุปสรรคอื่นใดมาคั่นกลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงเนื้อหาว่า บริษัท NSR นั้น ‘คุมทุกซอย’ ของ Vinyl City และนั่นทำให้อายุการเล่นและการน่ากลับมาเล่นซ้ำน้อยลงอย่างน่าใจหาย จังหวะร็อคปลดแอกกระแทกหัวใจ ท้ายที่สุดนี้ แม้ว่าเราจะเห็นความ ‘ไม่อยู่มือ’ ในด้านการออกแบบเกมเพลย์ของทีม Metronomik แต่สำหรับผลงาน ‘เดบิว’ ชิ้นแรกของทีมพัฒนาสัญชาติมาเลเซียกลุ่มนี้ ก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ยากจะมองข้าม มันมีงานอาร์ตสุดงาม ดนตรีที่สนุก เนื้อหาที่น่าสนใจ และตัวละครที่ชวนให้เรารักและหลงใหล อาจจะน่าเสียดายไปบ้างที่ส่วนของเกมการเล่นยังเหมือน ‘ปรุงไม่สุก’ และต้องการการปรับปรุงเพิ่มเติมในโอกาสชิ้นงานถัดไป (ถึงขั้นที่สำนักรีวิวบางเจ้าบอกว่า เกมนี้มันควรจะเป็น อนิเมชัน อย่างเดียวเลยด้วยซ้ำ...) แต่ก็อาจจะเช่นเดียวกับเพลงร็อค ไม่ว่าจะสาย Mainstream หรือ Indy ที่อาการ ‘เพี้ยนคีย์’ ก็อาจจะจัดได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง มันคือความเป็นธรรมชาติ มันคือเอกลักษณ์ที่ยากจะมองข้าม และมันเป็นสิ่งที่สะท้อนถึง ‘หัวใจ’ ของผู้เล่นที่อยู่บนเวทีและแสงไฟ ผู้เขียนไม่อาจรู้ได้ว่าหลังจาก No Straight Roads ชิ้นนี้ ทีม Metronomik จะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใดตามมา และจะออกมาเป็นแนวใด แต่ถ้าเปรียบพวกเขาเป็นวงร็อคแล้วนั้น…. “นี่คือวงร็อค Indy ที่น่าจับตามอง และ No Straight Roads ก็มีศักยภาพสูงพอที่จะพาพวกเขาก้าวเข้าสู่แถวหน้าของแวดวงได้อย่างมั่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว” [penci_review id="66450"]
09 Sep 2020
GameFever Review: Marvels Avengers "ประสบการณ์ฮีโร่ที่แฟนๆ Marvel คู่ควร"
นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ Iron Man ออกฉายครั้งแรกในปี 2008 ก็นับเป็นเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรตมาแล้วที่เหล่าตัวละครจากทีมฮีโร่อันดับหนึ่งของค่าย Marvel อย่าง The Avengers ได้ออกมาโลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ทั่วโลก จนกลายเป็นปรากฏการณ์ และทำให้มีแฟนๆ นับล้านชีวิตทั่วโลกได้เติบโตมาพร้อมกับเหล่าฮีโร่ในดวงใจเหล่านี้ สำหรับคนที่เคยเป็นแฟนของภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel มาก่อน เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยจินตนาการถึงความรู้สึกของการได้ก้าวเข้าสู่บทบาทของฮีโร่เหล่านั้นเสียเอง และกระโจนเข้าไปต่อสู้กับวายร้ายกลุ่มใหญ่ เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับเหล่าสหายฮีโร่ เฉกเช่นฉากสงครามในหนัง Avengers: Endgame อย่างไรอย่างนั้น เกม Marvels Avengers ถือเป็นเกมที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ว่านี้ให้คุณได้ดีในระดับหนึ่ง ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่น RPG ที่สนุกและท้าทายกว่าที่หลายคนอาจจะคิด รวมไปถึงเนื้อเรื่องและบทพูด ที่เรียกได้ว่าแทบจะถอดสูตรมาจากภาพยนตร์จักรวาล MCU เลยทีเดียว แม้เกมจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ จากองค์ประกอบด้านการนำเสนอบางประการ รวมไปถึงระบบ Live Service ที่เพิ่มความยุ่งยากหลายๆ อย่างเข้าไปในเกม แต่สำหรับคนที่โหยหาฉากแอคชั่นดุเดือดอลังการแบบเดียวกับในภาพยนตร์แล้วล่ะก็ นี่เป็นเกมที่สร้างมาเพื่อตอบโจทย์คุณโดยเฉพาะ แอคชั่นระดับซุปเปอร์ฮีโร่ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง ถ้ามองในขั้นพื้นฐาน เกมเพลย์แนวแอคชั่น RPG ของ Marvels Avengers ก็อาจจะไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมาก ตัวละครฮีโร่แต่ละตัวจะมีความสามารถพื้นฐานคล้ายๆ กัน เช่นการโจมตีหนัก-เบาผสมกันเป็นคอมโบ หรือการใช้สกิลพิเศษประจำตัว ซึ่งบอกกันตามตรงว่าในตอนที่เล่นใหม่ๆ ผู้เขียนก็แอบรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้ว ระบบแอคชั่นของ Marvels Avengers กลับมีมิติที่ลึกกว่าตาเห็นพอสมควร แถมยังมีความท้าทายกว่าที่คาดเอาไว้มาก จนเรียกว่ามีจังหวะหัวร้อนขึ้นมาได้อยู่เหมือนกันในบางภารกิจ มิติขั้นที่หนึ่ง มาจากเหล่าศัตรูในเกมนั่นเอง โดยแม้จะไม่ได้มีความหลากหลายมากนัก ส่วนใหญ่เป็นหุ่นยนตร์หน้าเดิมๆ ทั้งเกม แต่ศัตรูชนิดพิเศษแต่ละแบบก็บังคับให้ผู้เล่นต้องใช้กลวิธีในการรับมือต่างกัน เช่นเหล่าหุ่นยนตร์ Riotbot ที่ถือโล่ห์ ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ท่าชาร์จโจมตีหนักเพื่อทำลายโล่ห์ซะก่อน หรือศัตรูชนิด Adaptoid ที่ต้องรอจังหวะปีดป้อง (Parry) ก่อนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเกมส่งศัตรูหลายๆ ชนิดเข้าใส่ผู้เล่นพร้อมกันเป็นปริมาณมากๆ ก็ทำให้ตึงมือขึ้นมาได้เหมือนกัน เพราะต้องคอยหลบหลีก ป้องกัน และพยายามโจมตีจุดอ่อนของศัตรูรอบตัวไปด้วย ยิ่งบางทียังอาจจะมีภารกิจย่อยให้ต้องทำไปด้วย เช่นการทำลายสิ่งของในฉาก หรือการป้องกันพื้นที่ต่างๆ ยิ่งทำให้ผู้เล่นต้องตั้งใจฝึกทักษะพื้นฐานของเกมให้ดีๆ มิติขั้นที่สองที่ช่วยเพิ่มความซับซ้อนให้กับเกมเพลย์ของเกม ก็คือความสามารถที่แตกต่างกันของฮีโร่แต่ละตัว ที่นอกจากจะทำให้การต่อสู้เปลี่ยนไปแล้ว ยังทำให้ความสามารถในการเดินทางในฉาก หรือกระทั่งความสามารถในการแก้ไขพัซเซิ่ลต่างๆ ไม่เหมือนกันอีกด้วย ตัวละครแต่ละตัวจะมีวิธีปัดป้อง (Parry) การโจมตีของศัตรูที่ต่างกัน รวมไปถึงความสามารถติดตัวต่างๆ ที่ทำให้การเล่นฮีโร่แต่ละตัวมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นตัวละคร The Hulk จะมีความสามารถที่เรียกว่า RAGE ทำให้เมื่อกดเปิดสกิลค้างไว้ จะได้รับพลังโจมตีเพิ่มขึ้น พร้อมกับดูดความเสียหายที่สร้างต่อศัตรูกลับมาเพิ่มเลือดตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง หมายความว่ายิ่งสู้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมี RAGE ไว้ดูดเลือดมากเท่านั้น Hulk จึงเป็นตัวละครที่เหมาะกับผู้ที่ชอบการต่อสู้แบบมุทะลุ แลกหมัดกับศัตรูแบบเน้นๆ ในทางกลับกัน ตัวละคร Iron Man จะไม่สามารถเพิ่มเลือดด้วยตัวเองได้ แต่จะแลกมาด้วยความสามารถในการบิน แถมยังมีอาวุธระยะไกลหลากหลายชนิด ทำให้ Iron Man เหมาะจะรับหน้าที่ในการเก็บศัตรูจากระยะไกลในแนวหลัง ซึ่งการเล่นตัวละครทั้งสองก็ทำให้เกมเพลย์ของ Marvels Avengers แตกต่างกันพอสมควรแล้ว และยิ่งเก็บเลเวลและอัพเกรดตัวละครมากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งปลดล๊อคความสามารถที่ทำให้แนวทางของแต่ละตัวชัดเจนมากขึ้นไปอีก มิติขั้นสุดท้ายของเกมเพลย์ ก็คือระบบของสวมใส่ในเกมนั่นเอง นอกจากค่า Gear Score ที่ติดมากับไอเทมทุกชิ้น ซึ่งเป็นมาตรฐานของเกมแนว Live Service นั้น ของสวมใส่ในเกม Marvels Avengers ยังมีค่าสถานะต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มขัดจำกัดของตัวละครเข้าไปตามความต้องการของผู้เล่น บางคนอาจจะชอบการเตะต่อยทำคอมโบระยะประชิด ก็อาจจะหาไอเทมที่เพิ่มค่า Might มาใส่เยอะๆ ในขณะที่อีกคนชอบโจมตีระยะไกล ก็อาจจะใช้ค่า Precision แทนเป็นต้น เมื่อรวมกับ Perk มากมายที่สามารถสุ่มติดมาพร้อมอาวุธ (เช่นต่อยศัตรูแล้วติดแช่แข็ง หรือโดน Pym Particle ย่อขนาด) ก็ทำให้สามารถเลือกสร้างสายตัวละครที่เหมาะกับแนวทางส่วนตัวได้อีกด้วย ข้อเสียของระบบนี้คือแอบยุ่งยากไปซักนิด และแทบจะไม่ได้เห็นผลเท่าไหร่ตลอดการเล่นเนื้อเรื่อง รวมไปถึงการเล่นโหมด Multiplayer ช่วงแรกๆ อีกด้วย จึงเป็นระบบที่มีความยุ่งยากประมาณหนึ่ง จนกว่าจะถึงช่วงท้ายเกมที่สามารถเล่นภารกิจระดับสูงๆ ได้นั่นเอง หนัง Marvel ที่คุณ "เล่นเองได้" ในภาพยนตร์ Marvel อันเป็นแรงบันดาลใจหลักของเกม มักจะมีฉากบู๊แบบดุเดือดเลือดพล่านที่มีลายเซ็นแบบ "หนัง Marvel" อยู่ชัดเจน อาจจะเป็นฉากที่เหล่าฮีโร่ Avengers ต้องรับมือกับฝูงหุ่นยนตร์ของ Ultron หรือฉากสงครามใน Avengers: Endgame โดยมักจะเป็นฉากที่เหล่าฮีโร่ทั้งกลุ่มต้องต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ๆ พร้อมกัน ในขณะที่กล้องก็ขยับตามเพื่อรับท่วงท่าสุดเท่ของฮีโร่แต่ละคนไปด้วย อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไปในบทความ "3 จุดแข็ง (และ 3 จุดอ่อน) ของเกมในช่วงเบต้า" ก่อนหน้านี้ อาจจะถือเป็นเรื่องที่น่าชมมากที่สุด ที่เกม Marvels Avengers สามารถยกเอา "ประสบการณ์" แบบนั้นของภาพยนตร์ และนำมาใส่เอาไว้ในเกมได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในฉากภารกิจเนื้อเรื่องแบบ Singleplayer ทั้งหลายของเกม ที่มักจะออกแบบมาแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้สามารถมีจังหวะลุ้นๆ เหมือนในหนัง เช่นฉากที่ Tony Stark ต้องพยายามหาเก็บเศษส่วนชุดเกราะมาใส่ในขณะที่กองทัพหุ่นยนตร์กำลังโจมตี หรือตอนที่ต้องหลบหนีการจับกุมของ AIM ในฐานะตัวละครใหม่ Kamala Khan (หรือ Ms. Marvel) ซึ่งน่าจะเติมเต็มความฝันวัยเด็กของผู้เล่นหลายๆ คนไปได้สบายๆ เนื้อเรื่องของเกม Marvels Avengers จะติเริ่มต้นขึ้นที่การสลายตัวของกลุ่ม Avengers หลังโศกนาฏกรรม A-Day เมื่อยานรบ Helicarrier ลำใหม่ล่าสุดของกลุ่มระเบิดขึ้นกลางเมือง San Francisco นำไปสู่การเสียชีวิตของกัปตันอเมรีกา และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเมือง นอกจากนี้ สาร Terrigen ที่ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงของยานยังถูกแผ่กระจายออกไปทั่ว ทำให้ผู้คนธรรมดาหลายคนที่สูดดมสารเข้าไปได้รับพลังพิเศษขึ้นมาอย่างปริศนา โดยเหล่าผู้ที่ได้รับพลังพิเศษเหล่านี้ถูกเรียกว่า Inhuman (อมนุษย์) ภายในช่วงเวลาอันโกลาหลนั้น องค์กรวิทยาศาสตร์ปริศนาที่เรียกตัวเองว่า AIM ก็ได้เสนอตัวขึ้นเพื่อดูแลความเรียบร้อย พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะกำจัด "โรค Inhuman" ให้สิ้นซาก แน่นอนว่าเจตนาของ AIM ไม่ได้สวยหรูเท่ากับที่กล่าวมาทั้งหมด โดยเด็กสาว Inhuman ที่ชื่อว่า Kamala Khan ได้รับทราบถึงความจริงเบื้องหลังองค์กร ทำให้เธอตัดสินใจออกเดินทางเพื่อรวบรวมกลุ่ม Avengers กลับมาอีกครั้ง และหยุดยั้งแผนการอันน่ากลัวของ AIM พูดกันตามตรงว่าเนื้อเรื่องของเกม Marvels Avengers ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ากล่าวถึงเป็นพิเศษ เพราะแค่จากที่เล่ามาก็เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะพอเดาได้แล้วว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร และจบอย่างไร ซึ่งสำหรับผู้เขียนก็ไม่ได้มองว่าเป็นจุดอ่อนซะทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องของเกมก็ถือว่าสร้างมาเพื่อตอบโจทย์แฟนๆ ของจักรวาล Marvel เต็มที่ และก็ยังสนุกชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบไม่เสื่อมคลาย (บอกเลยว่ามี Easter Egg จากหนัง Marvel ให้ควานหากันมากมาย) ต้องกล่าวชมทีมเขียนบทและนักแสดง/นักพากย์เสียงทุกคน ที่ช่วยทำให้โลกและตัวละครของเกมมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากในภาพยนตร์ โดยเฉพาะตัวละคร Kamala และ Bruce Banner (ให้เสียงโดย Troy Baker) ตัวเอกหลักสองตัวของเรื่อง ที่ช่วยทำให้เนื้อเรื่องมี "น้ำหนักทางอารมณ์" ในระดับที่ผู้เขียนเองยังคาดไม่ถึงเลย ไม่มีฮีโร่คนไหนที่ไร้เทียมทาน พูดถึงข้อดีกันไปซะเยอะ มาพูดถึงสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของเกมกันบ้างดีกว่า (เดี๋ยวจะหาว่าไม่แฟร์) อย่างแรก แม้ว่าระบบต่อสู้โดยรวมของเกมจะทำออกมาได้ค่อนข้างสนุก แต่ในหลายๆ จังหวะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เล่นกับผู้เล่นคนอื่นเต็มทีม 4 คน ความสนุกของเกมก็ถูกบดบังโดยแสงสีเอฟเฟกต์มากมายของเกมเองเช่นกัน ทั้งเอฟเฟกต์การโจมตีของผู้เล่นแต่ละคนและของศัตรูนับสิบๆ ชีวิตในด่าน ไปจนถึงเศษซากของสิ่งของในฉากที่ปลิวว่อนไปมาพร้อมๆ กับการโจมตีเหล่านั้น ที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะเสริมอารมณ์ "ฮอลลีวู้ด" ของเกมได้ดี แต่บางครั้งก็มากเกินงามไปซะหน่อยจนทำให้เล่นเกมไม่ค่อยรู้เรื่องได้เหมือนกัน ทั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่เกมเปิดให้ทดลองเล่นเบต้าครั้งแรก ก็ต้องถือว่าผู้พัฒนาได้ปรับปรุงเรื่องเอฟเฟกต์ไปแล้วพอสมควรเมื่อเทียบกับช่วงเบต้า ทำให้รู้สึกว่ายังพอมีหวังว่าผู้พัฒนาอาจจะสามารถออกอัพเดทมาแก้จนได้ในอนาคต ต่อมาคือเรื่องการนำเสนอของเกม ที่ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ทั้งการออกแบบตัวละครที่ออกจะธรรมดาๆ เมื่อเทียบกับเกมในจักรวาล Marvel ก่อนหน้านี้อย่าง Marvels Spider-man หรือกับเกมในจักรวาล DC ทั้ง Arkham และ Injustice แถมแม้ว่าจะมีระบบ RPG ให้สวมใส่ไอเทมได้ แต่ไอเทมเหล่านี้กลับไม่ได้ส่งผลต่อหน้าตาของตัวละครเลย โดยหน้าตาของตัวละครจะต้องเปลี่ยนทั้งตัวแบบเป็น Skin เท่านั้นอีกด้วย แม้ว่าสกินหลายอันจะสามารถหาได้จากการทำภารกิจในเกม แต่ส่วนใหญ่ๆ (แน่นอนว่ารวมไปถึงสกินระดับสูงๆ ที่มักจะเท่ที่สุด) จะต้องใช้เงินในเกมจำนวนเยอะมากๆ ซื้อเอา หรือไม่ก็เติมเงินเอา ทำให้เกมขาดความสนุกของการ "ตกแต่งตัวละคร" ที่มีอยู่ในเกม RPG แนวเดียวกันเกมอื่นๆ ไปซะอย่างนั้น อาจไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบในขณะนี้ แต่ Marvels Avengers ก็ถือเป็นเกมที่นำเสนอประสบการณ์ของการเป็นฮีโร่ Marvel ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีเกมเพลย์ที่สนุกและท้าทายกว่าที่หลายคนน่าจะคาดเดาเอาไว้ สำหรับคนที่ใฝ่หาความรู้สึกของการได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ในจักรวาล Marvel นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์คุณได้ในขณะนี้ ยิ่งถ้าหาเพื่อนมาเล่นด้วยกันได้ บอกเลยว่าโคตรมันส์! [penci_review id="65357"]
03 Sep 2020
รีวิว Date A Live: Spirit Pledge เมื่อเราต้องเดทกู้โลกพิชิตรัก เพื่อพิทักษ์หัวใจเหล่าสาวๆ
เมื่อวันหนึ่ง โลกใบนี้ได้พบกับปรากฎการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Spacequake พร้อมกับกลืนกินทุกอย่างจากจุดศูนย์กลางของพื้นที่นั้น ต้นตอของความเสียหายนี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่เราเรียกกันว่า Seirei ที่แปลว่าเหล่าภูติ ทำให้ต้องมีการส่งกองกำลังเพื่อสังหารเธอเสียก่อนที่โลกจะวุ่นวายมากกว่านี้ แต่จริงๆ แล้วเหล่าภูติก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวที่ควบคุมพลังนั้นไม่ได้ แค่ต้องการใครสักคนช่วยเหลือเธอเท่านั้น และมีแต่คุณเท่านั้นที่จะผนึกพลังของเธอโดยไม่ให้เกิดการสูญเสียนี้ได้ คุณจะกล้าตัดสินใจเผชิญกับอันตรายนั้นหรือไม่ ? คุณคือผู้ตัดสินชะตาโลกและชะตารักในครั้งนี้... จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นแค่เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ Light Novel และอนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Date A Live หรือมีชื่อไทยคือ พิชิตรัก พิทักษ์โลก ซึ่งเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในปี 2013 และปัจจุบันกระแสของเรื่องนี้ก็ยังไม่จางหายจนกระทั่งได้ทาง Kadokawa มาพัฒนาเกมลงมือถือแนว Action RPG, Hackn Slash ผสมผสานกับแนว Visual Novel ภายใต้ชื่อ Date A Live: Spirit Pledge ซึ่งตัวเกมจะสนุกขนาดไหน ทาง GameFever TH จะขอรีวิวให้รบชมกัน ================================================== เนื้อเรื่องยังคงเคารพต้นฉบับเดิมๆ ได้น่าประทับใจ พอได้เข้าไปสัมผัสตัวเกมนี้ครั้งแรก เราจะรับบทบาทเป็นผู้เล่นที่มีพลังแฝงในการผนึกพลังของ Seirei ที่มาจากต่างมิติ ต้นเหตุของการเกิด Spacequake ซึ่งแม้ในฉากคัตซีนจะไม่โชว์หน้าตัวละครของเรา แต่สำหรับคนที่เคยติดตามเรื่อง Date A Live ก็จะรู้เลยว่า เราได้รับบทบาทเป็น อิสึกะ ชิโดว เสียมากกว่า แต่เข้าใจทางทีมพัฒนาแหละว่าจะให้เราจินตนาการเป็นตัวเราเองพร้อมสามารถตั้งชื่อเราเองว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ คิดซะว่าเป็นเนื้อเรื่อง Date A Live โลกคู่ขนานที่มีตัวเราเป็นพระเอกของเรื่องแล้วกัน ส่วนเนื้อเรื่องจะอิงจาก Date A Live Season 1 เลยเพราะเปิดตัวมาก็ได้เห็น Yatogami Tohka ในร่าง Seirei กำลังหวดกับ Tobiichi Origami ที่เป็นคนของหน่วย AST อย่างดุเดือดโดย Origami มีเป้าหมายคือการกำจัดภัยคุกคามอย่าง Seirei ทำให้พวกเธอต่อสู้กันในครั้งแรก หลังจากการดำเนินเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ ก็แทบจะตรงตามเส้นทางของเนื้อเรื่องในอนิเมะ Date A Live แทบจะทุกอย่าง หากใครเคยดูอยู่แล้วมาเล่นเกมนี้ก็อาจจะทำให้อินกับมันมากขึ้น แต่หากใครไม่เคยดูก็อาจจะงงกับบทในเกมนิดหน่อยเพราะบทพูดในเกมรวมถึงการดำเนินเนื้อเรื่องช่วงต้นอาจจะเร็วเกินไป บทการดำเนินเรื่องอาจจะดูดขัดๆ ไปเสียหน่อยซึ่งมันทำให้งงได้ แนะนำว่าหามีเวลาแนะนำลองหาอนิเมะ Date A Live มานั่งดูกันเพื่อเพิ่มความอินเนอร์เข้าไปนั้นเอง Interface ที่ดูสบายตา มี Achievement ให้ทำเยอะมาก กล่าวในส่วนของ Interface กันเสียหน่อย ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามันรกก็ไม่ใช่เพราะการจัดองค์ประกอบเมนูต่างๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ต้องเรียกว่า มันมีเมนูต่างๆ และฟังก์ชั่นให้เล่นเยอะแยะถึงจะถูกต้อง แต่บางครั้งก็อาจจะมีการงงกับเมนูบ้าง โชคดีที่ตัวเกมเป็นเวอร์ชั่น Global ภาษาอังกฤษเข้าใจง่าย นอกจากนี้เราสามารถเลือก Seirei ที่เราต้องการโดยจะขอหยิบยก Tohka ออกมาเป็นตัวอย่างซึ่งเราสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับเธอได้ด้วยการเอานิ้วแตะตัวตามส่วนต่างๆ ซึ่งคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd ในรูปแบบ Live 3D โดยจะเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้เรื่อยๆ ตามช่วงเวลาเพื่อปลดล็อคความสนิทสนมและบทคำพูดที่มากขึ้น แต่หากแตะเยอะเกินไปหรือไปลวมลามเธอระวังจะโกรธเอานะ แน่นแนว่าการแตะไปที่คุณน้อง Tohka ไม่ว่าส่วนไหนก็ตามก็สามารถเรียกหน้าต่างเมนูเปลี่ยนชุด Costumeได้ด้วย ( แต่อย่าไปแตะบริเวณหน้าอกบ่อยล่ะ แล้วหาว่าจะไม่เตือน เราโดนเธอโกรธหนักมากมาแล้ว ) ในส่วนของการปรับแต่ง Costume ตัวละครหรือการปรับแต่งฉากหลังก็มีให้เลือกได้หลากหลายมากเลยตั้งเปลี่ยนเวลาฉากหลังช่วงกลางวัน-กลางคืนได้แบบ Real-time มีการเพิ่ม BGM ประกอบหน้า Lobby ได้ด้วย โดยทั้งหมดนี้สามารถหาเพิ่มเติมได้ด้วยการทำ Archievment ต่างๆ ภายในเกม และจุดสำคัญของหน้าเมนูต่างๆ ภายใน Lobby เลยก็คือเมนู Achievment ที่จะบอกสถิติเราว่าเราได้ผ่านจุดไหนมาบ้าง เก็บอะไรมาแล้ว ซึ่งทำให้เรารู้ได้ด้วยว่าเราขาดเหลืออะไร ไปเดทกับใครมาบ้าง นั้นหมายความว่าทำให้เรามีเป้าหมายกับเกมนี้และไม่รู้สึกว่าเกมมันน่าเบื่อง่ายๆ แน่นอน กาชาเกมนี้ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ ในส่วนระบบกาชาที่ต้องพูดด้วยเพราะว่ามีให้เลือกสุ่มหลายตู้มาก ทั้งตู้สุ่มชุด Costume สวยๆ หรือสุ่มหาสาวๆ Seirei ที่ชอบ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ในการออกก็ไม่ถึงกับว่าเกลือจนเค็มปี๋ และ Fate Badge ที่ใช้แลกเปิดกาชานั้นสามารถหาได้จากการทำเควสต์, เก็บ Archievement และเอาเพชรไปแลกซื้อได้ซึ่งเพชรมีให้แจกทุกวันจนเยอะมากเลยล่ะ ระบบการออกเดทที่มีความน่าสนใจและไม่ยากจนเกินไป แน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็น Date A Live ก็ต้องมีเรื่องระบบการออกเดทกับสาวๆ อยู่แล้วซึ่งทางทีมพัฒนาได้นำจุดแข็งของเกม Date A Live เวอร์ชั่น Console ภาคก่อนหน้าที่เน้นขายระบบแนวจีบสาวก็ถูกใส่ลงมาในนี้ด้วย โดยพยายามลงในเวอร์ชั่นมือถือให้ดูลงตัวที่สุด หลังเข้ามาในระบบการออกเดทแล้วเราสามารถเช็คได้ว่าเรานัดสาวคนไหนไปเดทด้วยรวมถึงเช็คค่าความสัมพันธ์, ติดตามสถานที่รวมถึงเช็คสิ่งที่พวกเธอชื่นชอบด้วย แน่นอนว่าการออกเดทจะเป็นการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ที่รวดเร็วที่สุด เพื่อการปลดล็อคสิ่งต่างๆ เช่นบทคำพูดเพิ่มเติมหรือ CG สวยๆ กับฉากน่ารักๆ ให้เราได้ฟินกัน และเมื่อเราเริ่มเลือกสาวที่ต้องการไปออกเดทแล้ว เราจะไม่สามารถข้ามคัตซีนได้เลย ฉะนั้นใครที่ชอบเร่งๆ กดๆ ให้เกมดำเนินเนื้อเรื่องไวขึ้นก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ไม่อยากให้ข้ามเช่นกัน โดยเมื่อเนื้อเรื่องการออกเดทของเราดำเนินไปได้สักพัก จะมีคำตอบให้เราเลือกตอบ โดยบางครั้งจะมีเวลาจำกัดในเราเลือกตอบ หากเลือกไม่ดีก็ส่งผลต่อเนื้อเรื่องรวมถึงการความสัมพันธ์ที่จะได้มากหรือน้อยหลังจบการเดทด้วย แต่ไม่ต้องห่วงในเกมก็ไม่ได้ใจร้ายเพราะมีโอกาสให้แก้ตัวภายในการเดทของสาวเหล่านั้นถึงสามครั้งต่อวัน แต่ถึงอย่างนั้นเราควรที่จะมีความเข้าใจในภาษาเสียหน่อยแล้วบอกเลยว่าเนื้อเรื่องชวนฟินให้จิกหมอนมากเลยล่ะ จุดที่ทำให้รู้สึกว่าระบบการจีบสาวของเกมนี้มีมิติมากขึ้นคือเราสามารถเลือกไปทำงาน Part-time ภายในเมืองได้โดยของตอบแทนจะเป็นไอเท็มสำหรับพัฒนาเลเวลและสกิลของ Seirei ที่เราเลือกไว้ใช้ในระบบต่อสู้ รวมถึงไอเท็มที่สาวๆ ชอบไว้มอบเป็นของขวัญได้ด้วย โดยไม่ว่าระบบการออกเดทหรือทำงาน Part-time ต่างต้องใช้ Energy รูปดอกไม้สีชมพูทั้งสิ้น ฉะนั้นหากวันไหนต้องนัดเดทกับสาวๆ หลายคนก็บริหาร Energy ดีๆ ล่ะ การปรับแต่งและเสริมพลังตัวละครต้องพึ่งพาการฟาร์ม ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบการต่อสู้ ก็ต้องพูดถึงส่วนนี้ก่อนนั้นคือในส่วนของสเตตัสต่างๆ ของเหล่า Seirei ที่มีนั้น สามารถอัพเพิ่มตามเลเวลของผู้เล่น เช่นหากผู้เล่นมีเลเวล 13 เพดานเลเวลของ Seirei ก็จะเพิ่มขึ้นตามเรา รวมถึงระบบ Crytal ที่ไว้เพิ่ม Status, ระบบ Sephira ที่เหมือนระบบ สติกม่าของเกม Honkai Impact 3rd มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความหลากหลาย, ระบบ Angel ที่เป็นระบบเพิ่มขีดความสามารถของ Skill ในรูปแบบ Skill Tree, ระบบ Astral Dress ก็จะเป็นการเปลี่ยนชุดของ Seirei ตอนออกไปสู้รบได้ ขอโฟกัสในส่วนของระบบ Angel อีกสักนิดซึ่งระบบนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่มีความสำคัญ โดยเราสามารถอัพเกรดให้กับความสามารถต่างๆ ของเธอได้ด้วยการใช้ขนนกซึ่งจะได้จากการทำเควสต์และการเลเวลอัพของสาวๆ คนนั้น ซึ่งการอัพเกรดสกิลจะใช้จำนวนขนนกต่างหาก และหากสกิลไหนอัพเต็ม ก็จะปลดล็อคสกิลต่อไปเรื่อยๆ จนสุดทางและสามารถเลือกอัพส่วนไหนก่อนก็ได้เพื่อสร้างความแตกต่างและให้เข้ากับสไตล์ของเรา โดยสามารถสร้าง Profile เลือกสายการอัพเกรดได้ถึงสี่ Profile สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานะการณ์เช่น Profile แรกไว้เน้นต่อสู้ด้วยการใช้สกิล อีก Profile อาจจะใช้เพื่อการคอมโบการโจมตีเป็นหลักก็ได้ ระบบการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นต้องอลังการก็สนุกกับมันได้ กล่าวถึงส่วนในระบบการต่อสู้กัน จะต้องใช้ข้าวปั้นเสมือน Energy อีกรูปแบบหนึ่งที่เราต้องจ่าย และเราจะต้องตะลุยด่านตามโหมดเนื้อเรื่องที่ปูให้ไว้ โดยตัวละครตามเนื้อเรื่องบางครั้งจะถูกล็อคและไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ตัวอื่นแทนเป็นตัวหลักได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาไว้ค่อยสับเปลี่ยนเป็นตัวที่เราชอบระหว่างการเล่นก็ได้ จึงไม่ค่อยมีผลอะไรมากเว้นเสียว่าอยากอินกับเนื้อเรื่องก็ให้ใช้ตัวละครตามระบบเกมที่ล็อคไว้ให้ดีกว่า การควบคุมภายในเกมจะเป็นแนว Hackn Slash แบบ Side-Scrolling หรือแบบตะลุยด่านด้านข้าง การบังคับไม่มีอะไรซับซ้อน มันก็เหมือนกับเกมบุกตะลุยทั่วไป ปุ่มซ้ายคือคันบังคับขึ้นลง หน้าหลัง ปุ่มทางขวาจะเป็นปุ่มโจมตีและสกิลต่างๆ ไว้ทำคอมโบกัน โดยใช้เวลาการเล่นในแต่ละด่านบอกเลยว่าสั้นเอามากๆ แต่เข้าใจได้เพราะมีด่านอื่นๆ อีกหลังจากนี้เพียบ และการทำสามดาวในแต่ละด่านก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถนัก ถ้าเป็นสายเสพเนื้อเรื่องก็อาจจะโอเค แต่หากสายชอบความท้าทายอาจจะน่าเบื่อ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะแต่ละด่านจะมี Hard Mode และ Hell Mode ให้เล่นกันอีกหลังเคลียร์ด่านนี้ไปได้และเลเวลเราสูงพอก็จะปลดล็อคระดับความยากขึ้นไปอีก และในบางด่านอาจจะเป็นด่านพิเศษที่เปลี่ยนแนวทางการเล่นจาก Hackn Slash เป็น Bullet-Hell เสียอย่างนั้น แต่ก็ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างโดยเราแค่บังคับทางด้านซ้ายให้ตัวละครเคลื่อนที่หลบกระสุนเท่านั้นก็พอเพราะตัวเราจะยิงกระสุนแบบ Auto ให้ แค่เอาตัวรอดจนกว่าจะผ่านด่านเป็นอันใช้ได้ ไม่มีอะไรซับซ้อนนัก โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่ ต้องเรียกว่าออกไปทางแนวเฉยๆ กับระบบการต่อสู้มากกว่า กราฟิคสไตล์ Visual Novel คือจุดเด่นของเกมนี้ หลายๆ เกมที่สนุกได้ไม่จำเป็นต้องมีเอฟเฟคหรือกราฟิคอลังการก็ทำให้เราอินไปกับมันได้อย่างดี เมื่อพูดถึงเกมในจักรวาล Date A Live ก็ต้องพูดถึงงานภาพและกราฟิคแบบอนิเมะที่งานดีสุด ซึ่ง Kadokawa ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตัวละคร Seirei ทุกตัวเคลื่อนไหวแบบ Live 2D ได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เสียงพากย์ตัวละครแต่ละคนก็คัดคนที่มีประวัติการทำงานมากมายเพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครมากที่สุด ทำให้เราหลงรักเหล่าสาวๆ ได้อย่างหมดใจ และในระหว่างกำดำเนินโหมดเนื้อเรื่องแล้ว นอกจากการต่อสู้ก็ยังมีเนื้อเรื่องในการออกเดทแทรกในเนื้อเรื่องหลักด้วย ทำให้ตัวเกมก็จะสลับไปมาระหว่างการต่อสู้และการออกเดท ซึ่งในส่วนการออกเดทก็จะมีฉาก CG สวยๆ ให้เราได้เสพซึ่งเราชอบช็อตไหนก็สามารถเข้าโหมดถ่ายรูปเพื่อลบหน้าข้อความการสนทนาออกเหลือแต่ภาพสวยๆ ให้เราได้แคปเก็บไว้กัน และในส่วนฉากอนิเมชั่นคัตซีนที่แทรกระหว่างตัวเกมทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคเลยล่ะ งานสวย ไม่มีการเผาแต่อย่างใด แต่บางคนอาจจะขัดใจที่มีซับภาษาจีนด้วย แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเกมนี้ได้เข้าตีตลาดในจีนเป็นที่แรกๆ อาจจะมีบางจังหวะที่ดูทื่อๆ ไปนิดซึ่งคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ไม่งั้นแล้วอาจจะกลายเป็นเกมที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในตัวเลยก็ว่าได้ แต่รวมๆ แล้วดีงามมากๆ เลยล่ะ ================================================== สรุปแล้วเกม Date A Live: Spirit Pledge เป็นเกมที่ดีอีกเกมสำหรับแฟนๆ ซีรี่ส์ Date A Live ที่หายไปนานแล้วกลับมาทำให้แฟนๆ ได้สัมผัสจนหายคิดถึง เนื้อเรื่องเคารพต้นฉบับมากๆ ระบบ Visual Novel ทำได้ดีเกินคาด และฉากต่างๆ ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง เสียดายที่ระบบการต่อสู้ดูค่อนข้างน่าเบื่อไปเสียหน่อย แต่อาจจะมีอิเวนท์สนุกๆ เพิ่มเข้ามาในอนาคตก็ได้ แม้ช่วงนี้จะมีแต่อิเวนท์ให้ฟาร์มของก็ตาม แต่โดยรวมแล้วเป็นเกมที่สนุก เนื้อเรื่องดีมากๆ และจะดีกว่านี้หากได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ด้วย และสุดท้าย...โทคิซากิ คุรุมิคือนางเอก ไม่ใช่โทวกะหรอกนะ! ( ล้อเล่นน่า แค่ชอบคุรุมิมากที่สุดในเรื่องเอง ) [penci_review id="65301"]
31 Aug 2020
รีวิว Hyper Scape เกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ของคนจริง วิ่งสู้ฟัด
จะว่าไปแล้ว เกมแนว Battle Royale ถึงหลายคนจะบ่นว่าเริ่มเยอะ ไม่ค่อยมีเป้าหมายนอกจากการเอาตัวรอด หรือแม้กระทั่งคนเขียนที่ไม่ค่อยชอบแนวนี้ก็ตามเพราะไม่ถนัดการเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ยอมรับโดยดีว่าเป็นแนวเกมที่ยังอยู่กับเราอีกนานด้วยความสนุกและรูปแบบการปะทะนั้นจะไม่มีวันซ้ำซากน่าเบื่อ แถมยังเล่นได้เรื่อยๆ ด้วย ซึ่งล่าสุดท้าย Ubisoft ก็ได้เปิดตัวเกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ภายใต้ชื่อว่า Hyper Scape นั้นเอง โดยเกม Hyper Scape นี้ได้ทีมพัฒนาของ Assassins Creed และ Rainbow Six: Siege มาร่วมกันพัฒนาเกมนี้ขึ้นมา เลยทำให้มีกลิ่นอายทั้งสองเกมผสมกันอยู่ แถมทำออกมาได้น่าประทับใจด้วย แต่ประทับใจขนาดไหนกันนั้น ทาง GameFever TH จะข้อเล่าประสบการณ์ที่ได้เล่นเกมนี้ให้รับชมกัน ================================================== เปิดตัวเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนแต่รู้สึกถึงความกระหายได้ การเข้าเกมครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก เปิดตัวด้วยการปูเนื้อเรื่องว่าในจักรวาลของ Hyper Scape มันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไรแบบคร่าวๆ สรุปเลยก็คือ ในยุคปี 2054 ทางบริษัท Prisma Dimension ได้สร้างเกมแนว Battle Royale ที่เรียกว่า Hyper Scape โดยจำลองเมือง Neo Arcadia ทั้งเมืองให้ผู้เล่นที่สนใจ สวมอุปกรณ์จำลองเสมือน, สร้างอวตารและดวลฝีมือกันด้วยอาวุธและทุกอย่างที่มี ผู้อยู่รอดเพียงหนึ่งจะมีโอกาสได้คว้าสิ่งที่เรียกว่า มงกุฎ ซึ่งผู้ที่ได้มันมา ว่ากันว่ามันคือรางวัลที่จะเปลี่ยนชีวิตของคน คนนั้นไปตลอดกาลเช่น หากผู้ชนะเป็นคนยาจก จะกลายเป็นมหาเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนหรือหากมีอะไรที่อยากได้ ก็จะได้ตามปราถนา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ทว่ากลับมีการมาของพวก Hacker ที่เข้ามาแทรกแซงเกม Battle Royale นี้ พร้อมเข้าทำร้ายผู้เล่นจนเเกิดการบาดเจ็บจริงๆ ขึ้นมา ไม่รู้ว่าเข้าแทรกแซงได้ด้วยวิธีไหน แต่รู้เพียงแค่ว่าพวกนั้นก็ต้องการ มงกุฎ เช่นเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องหลังจากนี้ ผู้เล่นจะต้องสืบหาเรื่องราวผ่านการเก็บ Memory Shard ซึ่งจะกล่าวในภายหลัง สำหรับคนที่ไม่ชอบแนว Battle Royale อย่างคนเขียนแล้ว รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนชวนปวดหัวแต่กลับมีความลึกลับในเวลาเดียวกัน ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ขึ้นมา และในส่วนที่รู้สึกให้ความสนใจส่วนตัวคือ บริษัท Prisma Dimension ภายในเกมนี้มีความลับชวนอยากรู้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเกมปูให้ผู้เล่นได้เตรียมตัวเป็นนักสืบระหว่างการเล่นเพื่อขยายเนื้อเรื่องที่ถูกซ่อนไว้ ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้ต้องมีให้ทำมากกว่าการเอาตัวรอดจนเหลือคนสุดท้าย อย่ากดข้าม Tutorial ไม่งั้นคุณจะเล่นไม่รู้เรื่อง มีหลายๆ เกมที่เราข้ามโหมดการฝึกสอนก็ได้ไม่ส่งผลต่อการเล่นหรือบางคนมีพื้นฐานอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าโหมดนี้แต่สำหรับเกม Hyper Scape ขอให้โยนพื้นฐานรูปแบบการเล่นเดิมๆ ทิ้งออกไปเลย เพราะคุณจะได้เรียนรู้การอัพเกรดอาวุธหรือ Fuze ด้วยการเก็บอาวุธตัวเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสียหาย, การฝึกการเคลื่อนไหวแบบ Free Running, การใช้ Gadget ที่เรียกว่า Arsenal ทำให้โหมดการฝึกสอนนี้มีความสำคัญจริงๆ นอกจากนี้เราสามารถเลือก Avatar ได้มากถึงแปดตัวละครด้วยกันซึ่งแต่ละตัวละครนั้นอาจจะยังไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าหน้าตา, รูปร่างและประวัติแบบผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วประวัติตัวละครต่างๆ ที่ถูกซ่อนไว้จะอยู่ภายในเกมโดยต้องตามหาสิ่งที่เรียกว่า Memory Shard เช่นกันแต่จะกล่าวถึงส่วนนี้ภายหลังเช่นกันเพราะมันค่อนข้างสำคัญ โหมดการเล่นที่มีให้เลือกถึงสามแบบ โหมดการเล่นภายในเกมจะมีให้เล่นถึงสามแบบมีดังนี้ Squad: จะเป็นโหมดที่เล่นร่วมกับทีม 3 คน พร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คน โดยเราและเพื่อนร่วมทีมจะต้องเอาตัวรอดและเหลือเป็นทีมสุดท้ายให้ได้ Solo: จะเหมือนกับโหมด Squad แต่เราจะลุยเดี่ยวพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คนด้วยเช่นกัน ขอให้เราเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายก็ถือว่าชนะ Faction War: จะเป็นการเล่นแบบแบ่งทีมออกไปทั้งหมด 4 ทีม ทีมละ 24 คนแล้วถล่มกัน ทีมไหนรอดเป็นทีมสุดท้ายไม่ว่าจะกี่คนก็ตามถือว่าชนะไปเลย การควบคุมและ Interface ไม่ซับซ้อนแต่ต้องเชี่ยวชาญ การควบคุมจะเป็นมุมมองแบบ First Person Shooting ที่ต้องใช้ปุ่มวิ่ง, ก้ม, สไลด์, การปีนป่ายแบบ Free Running และการกระโดดที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายนัก ควบคุมง่ายรวมถึง Interface ที่ดูไม่รกเกินไป ถึงว่าออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว ในระหว่างรอคนใน Lobby นี้ อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยเฉพาะผู้เล่นใหม่ เพราะทุกสิ่งสามารถฝึกเราในการวิ่ง สไลด์หรือกระโดดข้ามสิ่งต่างๆ เพราะเกมนี้เป็นเกมค่อนข้างเร็ว ถือว่าออกแบบห้อง Lobby ได้ค่อนข้างอย่างชาญฉลาด ทำให้รู้สึกว่าผู้เล่นใหม่ได้มีเวลาวอร์มอัพกับการฝึกการเคลื่อนไหว การ Landing ลงพื้นก่อนใช่ว่าจะได้เปรียบ โดยปกติของเกมแนว Battle Royale แล้ว การลงพื้นก่อนย่อมสร้างความได้เปรียบในการค้นหาอาวุธและยุทโธปกรณ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเกม Hyper Scape เพราะคนที่ลงทีหลังเขาอาจจะเห็นกล่องอาวุธซุกซ่อนอยู่ชั้นบนหรือตามซอกตึกต่างๆ ซึ่งกล่องพวกนี้จะให้อาวุธคุณภาพที่ดีกว่าเสียส่วนใหญ่ สร้างความได้เปรียบได้มากกว่านั้นเอง Free Running คือหัวใจหลักของสนามแห่งนี้ ในแผนที่ Neo Arcadia จะเป็นลักษณะตัวเมืองที่มีตึกสูงเสียส่วนใหญ่ และระบบการเคลื่อนไหวที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป, สามารถสไลด์ระหว่างวิ่งได้ และมีระบบที่ช่วยปีนป่ายเมื่อใกล้ขอบมุมต่างๆ ทำให้เกิดการวิ่งแบบ Free Running ภายในเกม เคลื่อนที่ข้ามตึกต่างๆ ได้อย่างไม่มีสะดุด สำหรับเกมนี้การอยู่บนพื้นจะเป็นอะไรที่เสียเปรียบมากๆ ตรงกันข้ามหากอยู่ที่สูงกลับได้เปรียบ ฉีกกฎเกณฑ์จากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง Hacks Arsenal นี่คือสิ่งที่จะช่วยพลิกสถานะการณ์ ระบบนี้ที่ทำให้ Hyper Scape มีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ เลยก็คือระบบ Hack Arsenal ซึ่งพูดง่ายๆ เลยก็คือระบบสกิลที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 9 แบบด้วยกัน โดยล่าสุดได้เพิ่มสกิล Magnet ที่สามารถดูดคู่แข่งให้รวมอยู่จุดที่ใช้สกิลได้ ซึ่งสกิลทั้งหมดเราสามารถเลือกใช้งานได้สองสกิลเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะพลิกสถานะการณ์จากหลังมือเป็นหน้ามือได้เลยล่ะ อาวุธในเกมมีให้เล่นมากถึง 11 ชิ้น อาวุธภายในเกมที่มีตั้งแต่ตัวเกมเปิดตัวมาก็มีให้เยอะมากถึง 11 ชิ้นด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นสี่ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ปืนกล, ปืนพก, ไรเฟิล(รวมลูกซองด้วย) และ Launcher โดยตัวผู้เล่นสามารถแบกอาวุธติดตัวได้สองชิ้นให้เหมาะกับสถานะการณ์ได้ แต่ทว่าอาวุธในเกมกับมีพลังการทำลายที่ค่อนข้างเบามากๆ ยิงกันตายยากเสียเหลือเกินถ้าหากไมไ่ด้ทำการ Fuze หรืออัพเกรดตัวปืน ก็อาจจะรู้สึกหงุดหงิดในช่วงแรกๆ แต่เล่นไปสักพัก เดี๋ยวก็ชินเอง ระบบ Fuze อัพเกรดปืนให้เทพ แรงและดุดัน หากคุณประสบกับปัญหาอาวุธในเกม Hyper Scape ยิงใครไม่ค่อยตายล่ะก็ ขอทำความรู้จักกับระบบ Fuze หรือระบบอัพเกรดอาวุธภายในเกม ง่ายๆ เพียงคุณหยิบอาวุธตัวเดียวกันมาเพิ่ม ก็จะทำการอัพเกรดประสิทธิภาพทันที โดยเก็บซ้ำได้สูงสุดสี่กระบอก (รวมเก็บใช้ครั้งแรกก็เท่ากับต้องเก็บปืนเดียวกันห้ากระบอก) นอกจากนี้ยังสามารถทำการ Fuze พวก Arsenal เพื่อลดคูลดาวน์ได้ด้วย Memory Shard เนื้อเรื่องลับที่ถูกซ่อนไว้ในเกม สำหรับใครที่เป็นสายเสพเนื้อเรื่องแล้วชอบเล่นเกมแนว Battle Royale ในเวลาเดียวกันอาจจะถูกใจกับเกม Hyper Scape ก็เป็นไปได้เพราะตอนแรกเนื้อเรื่องอาจจะพูดถึงกันผิวเผิน แต่จริงๆ เนื้อเรื่องส่วนต่างๆ ถูกกระจัดกระจายและซุกซ่อนไว้ใน Memory Shard โดยสามารถตามหาพวกมันได้ตามจุดต่างๆ ภายในเกม โดยภายในจะมีการกล่าวถึงด้านลับๆ ของบริษัท Prisma Dimension รวมถึงประวัติตัวละครต่างๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกด้วย มันทำให้รู้สึกว่า มันไม่ใช่การเล่นเกมนี้เพื่อเอาชนะอย่างเดียว แต่หากใครรู้สึกยุ่งยากก็สามารถเมินเฉยกับมันได้เช่นกัน เลือกที่จะ ฆ่า หรือเลือกที่จะเป็น ผู้ถือมงกุฎ สำหรับวิธีการเอาชนะคู่แข่งในโหมด Solo และ Squad นอกจากการสังหารคนอื่นๆ ให้หมดจนเหลือรอดเพียงแค่หนึ่งเดียว ก็มีอีกวิธีที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้เช่นกันโดยเรียกมันว่า Showdown Time โดยไอ้ Showdown Time มันคือการมาของ มงกุฎ ซึ่งจะปรากฎให้เห็นในช่วงท้ายเกม โดยผู้เล่นจะต้องทำการชิงมันแล้วถือครองไว้ให้ได้ภายใน 45 วินาทีโดยผู้ที่ถือครองจะถูกแสดงตัวตนพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ จะทำการไล่ล่าเรา ฟังดูเหมือนใช้เวลานิดเดียว แต่สำหรับเกมนี้ 45 วินาทีถือว่ายาวนานมากๆ เพราะด้วยระบบเกมที่ว่องไว ฉะนั้นจึงต้องงัดทักษะและอาวุธทุกอย่างที่มีเพื่อมงกุฎอันล้ำค่านี้ บอกเลยว่า โค-ตะ-ระ มันมากๆ แต่มันก็อาจจะไม่มันเท่าไหร่สำหรับมือใหม่นัก เพราะมันคือการชิงไหวชิงพริบสกิลเพลย์ของผู้เล่นระดับสูงนั้นเอง หากคุณตาย อย่าเพิ่งออกเกมเพราะเราชุบได้ ในช่วงเวลาที่เราตายสำหรับโหมด Squad และ Faction War เราจะได้รับโอกาสในการชุบชีวิตโดยมีเงื่อนไขว่า เราจะต้องไปยังจุดที่คู่แข่งตาย จะปรากฎจุด Restore ทรงสามเหลี่ยมขึ้น ให้เรายืนรอในนั้นแล้วรอเพื่อนมากดชุบชีวิตอีกที แน่นอนว่าเราไม่สามารถยืนบนจุด Restore ของตัวเองได้ ทำให้ระบบการชุบชีวิตเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ไปเลย และยังสามารถชุบได้เรื่อยๆ ตราบใดที่มีจุด Restore จากการสังหารศัตรูให้เราเข้าไปรอเพื่อนชุบชีวิต โหมด Faction War ยกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกม คงอาจจะไม่พูดถึงโหมด Solo หรือ Squad มากนักเพราะมันก็แทบไม่แตกต่างอะไรนัก แต่สำหรับโหมด Faction War คงไม่พูดไม่ได้ เรายกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกมนี้ เพราะมันคือการนำทีม 24 คน มาตะลุมบอนกับทีมที่เหลืออีกสามทีม บอกเลยว่าสู้กันดุเดือดมากๆ และเหมาะกับผู้เล่นใหม่ที่สุดเพราะว่าไม่ต้องกังวลว่าเราอาจจะสู้ใครไม่ได้ เพราะเรามาเยอะ แน่นอนว่าสามัคคีคือพลังแม้ว่าเราจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม เพียงแค่อยู่แนวหลังค่อยๆ ช่วยยิงก็พอแล้ว ที่เหลือคือเรียนรู้พัฒนาฝีมือจนแกร่งกล้าก็ค่อยเล่นโหมดอื่นก็ยังไม่สาย ทำให้รู้สึกได้เลยว่าโหมดนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่และยิ่งคนเยอะ ทำให้เกมเพลย์ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดจึงพอสามารถยิงต่อสู้ได้บ้าง เจอรถเหลือง อย่าไปเหยียบหรือใกล้มัน ระบบนี้ถึงจะเป็นระบบเล็กๆ แต่ก็ไม่ควรจะละเลยมันคือรถสีเหลืองพวกนี้ หากเราเข้าใกล้หรือตกจากที่สูงไปเหยียบหลังคารถเมื่อไหร่ มันจะส่งเสียงดังพร้อมเผยตำแหน่งของเรา มันจะแย่มากหากเล่นในโหมด Solo หรือ Squad แต่มันก็จะแทบไม่มีผลอะไรกับโหมด Faction War นักเพราะพวกเยอะ ใครจะกล้ามายิงเรา Event Time สิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนการเล่นของเราชั่วพริบตา ระหว่างการเล่นนั้นเราอาจจะได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่า Event Time โดยจะมีปรากฎการณ์แบบสุ่มขึ้นมาในรูปแบบจำกัดเวลาเช่น เลือดฟื้นฟูไวขึ้น, กระโดดได้ถึงสี่สเต็ป, กระโดดสูง หรือแม้กระทั่งกระสุนไม่จำกัด นอกจากนี้ยังมีอื่นๆ อีกมากมายที่จะรอเซอไพร์สเราอีก มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นและบางครั้งมันอาจจะเปลี่ยนหรือพลิกสถานะการณ์ได้เลยล่ะ กราฟิคและ Performance ในเกมอาจจะยังขัดใจ สำหรับกราฟิกในเกม Hyper Scape ก็สวยใช้ได้ในแบบของมัน แต่ถามว่ามันดูลื่นไหลหรือดีขนาดนั้นไหม ก็ตอบได้เลยว่าอาจจะไม่โดยเฉพาะโหมด Faction War ที่บางครั้งหากตะลุมบอนกันจำนวนมากในจุดเดียวอาจจะเกิดการ Lag หรือกระตุกได้ รวมถึงบัคเสียงหายที่ยังแก้ไม่หายในช่วง Closed Beta Test จากที่เล่นเกมฟังเสียงระทึกมันๆ จู่ๆ เสียงก็หายไปดื้อๆ อาจจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันเสียหน่อย ================================================== โดยสรุปแล้ว Hyper Scape เป็นเกมแนว Battle Royale ที่แปลกใหม่ แต่ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่เช่นกัน (ยกเว้น Faction War) ด้วยระบบเกมที่ไว ยิงไว เคลื่อนที่ไว แต่ยิงตายกันยากหากไม่แม่นพอ แต่ใช่ว่ามือใหม่จะเล่นไม่ได้เลยต้องอาศัยเวลาการปรับตัวระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วสนุก ใช้เวลาจบเกมไม่นานและที่สำคัญเลยคือหากใครชอบแนวเกมไว Hyper Scape อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทายและตอบโจทย์ได้อย่างดีแน่นอน [penci_review id="65106"]
24 Aug 2020
รีวิวเกม Necrobarista กาแฟแก้วสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์
-หมายเหตุ : ผู้เขียนใช้เวลาในการ เล่น และ อ่าน เนื้อหาของเกมนี้ทั้ง 10 Episodes เป็นเวลา 6 ชั่วโมง และยังคงพยายามเก็บเนื้อหา Side-Story ที่ยังเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง ระยะเวลาในการเล่นขึ้นกับผู้เล่นแต่ละคนเป็นสำคัญ... -หมายเหตุ 2 : Necrobarista มีอยู่บนระบบ Mac iOS ผ่าน Apple Arcade ที่ผู้ใช้ Mac สามารถหามาเล่นได้จาก ที่นี่ และมีกำหนดจะพอร์ทลงสู่ระบบ Playstation 4 และ Nintendo Switch ในปี 2021 ที่จะถึงนี้ ถ้าหากจะพูดกันถึง ‘ร้านกาแฟ’ แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านที่มีเชนสาขาขนาดใหญ่ หรือร้านแผงเล็กๆ ในปากซอยหมู่บ้าน ต่างก็มีเสน่ห์และบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป มันเป็นทั้งที่ดื่มด่ำในรสชาติของกาแฟอย่างเข้มขรึม เป็นที่รวมพลถกเรื่องราวในสังคม เป็นที่พักใจเล็กๆ สำหรับนักเขียน และอาจจะเป็นสถานที่สุดพิเศษที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนที่หลากหลาย และแน่นอนว่า ร้านกาแฟ ก็ปรากฏในสื่อบันเทิงอยู่มากมาย อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Settings ที่พบเห็นได้บ่อยเป็นลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ (เช่น นวนิยายญี่ปุ่น ‘เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น (Café Funiculi Funicula)’ ของโทชิคาซึ คาวางุจิ ที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะพิเศษ จนได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 2018) [caption id="attachment_63988" align="aligncenter" width="555"] เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น ของโทชิคาซึ คาวางุจิ แปลโดยคุณฉัตรขวัญ อดิศัย แพรวสำนักพิมพ์ เป็นนวนิยายแสนอบอุ่นขนาดกะทัดรัดที่ผู้เขียนขอแนะนำ[/caption] แต่สำหรับแวดวงวิดีโอเกม ร้านกาแฟ กลับเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก ท่ามกลางความสุดสวิงของเนื้อหาที่หลากหลาย ความเรียบง่ายและง่ายงามของร้านกาแฟกลับเป็นสิ่งที่ยากจะพบ และนั่นทำให้ ‘Necrobarista’ จากทีมพัฒนาสายอินดี้สัญชาติออสเตรเลีย Route 59 นั้น ดูมีความพิเศษขึ้นมา ไม่ใช่แค่ในส่วนของเนื้อหา หากแต่เป็นองค์ประกอบศิลป์โดยภาพรวม ที่ขับเน้นให้เกม ‘Visual Novel’ ชิ้นนี้ โดดเด่นจับตาและมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน -The Terminal : ร้านกาแฟแห่งนี้ขอต้อนรับ ทั้งคนเป็นและคนตาย (แต่ไม่มี WiFi โปรดเข้าใจ...) Necrobarista บอกเล่าเรื่องราวของร้านกาแฟ ‘The Terminal’ กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่เป็น ‘จุดเปลี่ยนผ่าน’ ระหว่างคนเป็นและคนตาย กับวิถีชีวิตของ Maddy ‘บาริสต้าหมอผี (Necrobarista)’ ผู้ทำหน้าที่ชงกาแฟแก้วสุดท้ายให้กับผู้วายชนม์ที่แวะเวียนเข้ามา และให้ใช้เวลา 24 ชั่วโมงสุดท้ายร่วมกับคนเป็นก่อนจะเดินทางไปสู่โลกหน้า และในเกมนี้ ก็คือเรื่องราว 24 ชั่วโมงอันสุดพิเศษ ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน ความโกลาหล การเล่นแร่แปรมนต์ และผู้คนที่ผ่านทางเข้ามา ไม่ว่าจะทั้งคนเป็นหรือคนตาย [caption id="attachment_63973" align="aligncenter" width="1024"] Maddy บาริสต้าหมอผี (Necrobarista) แห่งร้าน The Terminal กับชีวิตอันไม่สามัญระหว่างคนเป็นและคนตายที่เธอต้องพบเจอ[/caption] ในเบื้องต้น สิ่งที่โดดเด่นเป็นอย่างมากสำหรับ Necrobarista นั้น คือการที่มันเป็นเกม Visual Novel ที่เลือกใช้การนำเสนอกราฟิกแบบ 3d สไตล์ Cel-Shaded โทนสีอบอุ่นสบายตา คลอไปกับดนตรีประกอบแบบ Lo-Fi ที่ฟังแล้วสบายใจ ในขณะที่เรื่องราวของ Maddy ดำเนินไป ผ่าน Episode ทั้ง 10 ในรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมง อันเป็นกิจวัตรอันแสนจะเป็นปกติสำหรับเธอ (ที่ก็ยุ่งเหยิงจนเราเผลอลืมไปว่าที่แห่งนี้ คือจุดพักกึ่งกลางระหว่างคนเป็นและคนตาย) [caption id="attachment_63974" align="aligncenter" width="1024"] การใช้งานศิลป์แบบ 3d Cel-Shaded โทนสีอบอุ่น คลอไปด้วยเพลงแบบ Lo-Fi ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ประหนึ่งอยู่ในร้านกาแฟจริงๆ อย่างไงอย่างงั้น[/caption] แน่นอนว่าองค์ประกอบศิลป์ที่โดดเด่น ถูกนำมาขับเน้นด้วยบรรดาตัวละครเสริมที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทั้งตัวของ Maddy, Chay เชฟและผู้ช่วยจิปาถะ อดีต บาริสต้าหมอผี อมตะอายุ 200 ปี, Ashley เด็กสาวอัจฉริยะนักประดิษฐ์ผู้เสพติดคาเฟอีนเข้าเส้น จนถึง Kishan วิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาใช้เวลาร่วมกับพลพรรคแห่งร้าน The Terminal ใน 24 ชั่วโมงสุดท้าย ยังไม่นับรวมเหล่าตัวละครอื่นๆ ที่มีทั้งฮิปสเตอร์, มาเฟีย, คนจร และสมาชิกสภาผู้วายชนม์ (Council of Death) ผู้คุมกฎแห่งร้าน (และเป็นผู้ออกกฎ 24 ชั่วโมงที่ไม่อาจละเมิดได้…) ที่ทำให้เรื่องราวนั้น น่าติดตาม เพราะมันไม่ได้เพียงแค่บอกเล่าเนื้อหาที่เหนือธรรมชาติ แต่มันยังพูดถึงความรักความผูกพัน ความลำบากใจ ปัญหาชีวิต การรักษาสมดุลระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย การทำสิ่งตกค้างที่เหลืออยู่ ไปจนถึงการปล่อยวางในวาระสุดท้าย เรียกได้ว่ามันเป็นนวนิยายภาพที่ครบรส และอ่านได้สนุก ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ชวนให้ติดตามเป็นอย่างมาก [caption id="attachment_64281" align="alignnone" width="1024"] แม้จะเป็นวิญญาณจร แต่ Kishan ก็เป็นตัวละครที่ชวนให้เราตั้งคำถามกับ ชีวิต ได้อย่างลึกซึ้ง ภายใต้การบอกเล่านำเสนออย่างลื่นไหล และชวนให้กระตุกความคิดไว้อย่างมาก[/caption] แน่นอนว่าในประเด็นเนื้อหาหลักใหญ่นั้น มองดูเผินๆ แล้วจะดำเนินผ่านสายตาของ Maddy กับ Chay แต่การพูดถึง ชีวิตและความตาย กับ การรับมือในห้วงวาระสุดท้าย ก็ต้องยกให้ตัวละครอย่าง Kishan ที่ในตลอดทั้ง 10 Episodes นี้ คือคนที่แบกรับความรู้สึกไว้หนักหน่วงที่สุด ความสงสัยในสาเหตุการตาย การหลงเหลือสิ่งที่ตกค้างที่ยังไม่ได้ทำ การผูกความสัมพันธ์กับผู้คน (ที่มันอาจจะสั้นเพียงแค่ 24 ชั่วโมง) และการทำความเข้าใจกับสภาวะปัจจุบันของตัวเองและการต้อง เลือก ที่จะก้าวข้ามไปโลกหน้าโดยไม่เหลือสิ่งใดค้างคา หากแต่เต็มไปด้วยความกลัวและไม่แน่ใจ เหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถนำเสนอออกมาได้อย่างง่ายๆ (เพราะเรื่องหลังความตาย ตกอยู่ในขอบเขตที่เป็นนามธรรม เปิดกว้างต่อการตีความอย่างสูง...) แต่บรรดาตัวละครที่ผ่านทางเข้ามา ก็ช่วยให้มันมีความ ลื่นไหล และ ติดดิน ภายใต้ Settings ที่ผสมผสานความเหนือจริงเข้ากับวิถีชีวิตในแบบปกติธรรมดา ที่ทีมงาน Route 59 ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม กลมกล่อม และหลายครั้งก็ชวนให้กระตุกคิดถึงชีวิตในฐานะ คนเป็น อย่างเราๆ อยู่ไม่น้อย -ชีวิตหลากสีสัน ในแต่ละวันของ The Terminal นอกเหนือจากเนื้อหาหลักทั้ง 10 Episodes แล้วนั้น ตัวเกมยังพ่วงด้วยระบบ ‘เนื้อหาเสริม (Side-Story)’ ที่จะปลดล็อคด้วย Token ที่จะมีให้เลือกในระหว่าง Episode เอาไว้สำหรับปลดล็อคเนื้อหาในช่วง Intercourse ซึ่งก็มีตั้งแต่เรื่องราวชวนหัวเบาสมอง เรื่องราวที่ซีเรียสจริงจัง แม้จะไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อไปให้ถึงปลายทางตอนจบของเกม แต่การได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชายชราขาจรที่ชื่อพ้องกับเหล้า Jack Daniels ผู้ชอบร่ำดื่มในโอกาสพิเศษ, ความขัดแย้งของ Maddy กับ Ned สมาชิกสภาผู้วายชนม์ คู่กัดไม้เบื่อไม้เมาเกี่ยวกับการ อนุโลม ให้วิญญาณจรอยู่เกิน 24 ชั่วโมง (ที่กลายเป็นปัญหา หนี้เวลา ที่เธอยังหาทางชดใช้ไม่ได้...) ไปจนถึงเรื่องเบาสมองของการประดิษฐ์หุ่นยนต์ของ Ashley ที่น่ารักหยิกแกมหยอก ก็ช่วยขยายโลกของเกม และเรื่องราวของร้าน The Terminal แห่งนี้ให้ชัดเจน จับต้องได้มากยิ่งขึ้น [caption id="attachment_63976" align="aligncenter" width="1024"] เนื้อหาเสริมหรือ Side-Story ที่มีให้ปลดล็อคและ อ่าน คั่นจังหวะระหว่างแต่ละ Episode ที่เปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย น่าติดตาม[/caption] -เน้น เล่า ไม่เน้น เล่น... อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเนื้อหาที่อ่านได้สนุก งานภาพสวยงาม ดนตรีไพเราะ และตัวละครที่มีสีสันและบุคลิกเฉพาะตัว แต่ Necrobarista นั้นก็ทำหน้าที่เป็น ‘Visual Novel’ หรือนวนิยายภาพชนิดตั้งแต่หัวจรดท้าย นั่นเพราะสิ่งที่ผู้เล่นสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ ก็คือการเดินสำรวจ ดูเรื่องราว และปลดล็อคเนื้อหาเสริม ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น และเรียกร้องการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาด้วยการ ‘อ่าน’ ที่มากอย่างมีนัยสำคัญ [caption id="attachment_63977" align="aligncenter" width="1024"] การเลือก คำ เพื่อปลดล็อค Token สำหรับเนื้อหาเสริม ดูจะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ในการดึงผู้เล่นให้เข้าสู่โลกอีกด้านของตัวเกม...[/caption] ซึ่งในจุดนี้ ถ้าเทียบกับเกมแนวที่ใกล้เคียงกันอย่าง VA-11 Hall-A: Cyberpunk Bartender Action ของ Sukeban Games ทีมอินดี้จากเวเนซุเอลา หรือ Coffee Talk ของ Toge Productions (ที่คุณสามารถอ่านรีวิวโดยคุณ ll7777ll ได้จาก ที่นี่) แล้วนั้น จะพบว่าสองเกมที่กล่าวถึง จะมีการปฏิสัมพันธ์และการใส่ Mini-Games ที่ผู้เล่นสามารถ ‘เล่น’ ได้มากกว่า ซึ่งทำให้ Necrobarista นั้น อาจจะกลายเป็นยาขมหรือยานอนหลับชวนง่วงไปเสียก่อนถ้าหากคุณไม่ใช่สายอ่านอย่างจริงจัง (แม้ว่าไดอะล็อกจะถูกเขียนขึ้นอย่างคมคาย ทั้งเนื้อหาและจังหวะการหยอดมุกก็ตาม) ไปจนถึงปัญหาทางเทคนิคประปราย จากการที่เกมถูกสร้างด้วยเอนจิ้น Unity (ที่ผู้เขียนแม้จะใช้การ์ดจอ RTX 2070 Super แต่ก็ยังมีแอบพบอาการกระตุกให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว) แต่ถ้าจะนับสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ สำหรับ Necrobarista นั้น คือระบบการปลดล็อค Side-Story หรือเนื้อหาเสริม ที่การเลือก Keyword ในระหว่าง Episode เพื่อสะสม Token นั้น แทบจะไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าผู้เล่นจะได้รับ Token แบบไหนมาอยู่ในมือ ซึ่งในขณะที่พิมพ์บทความชิ้นนี้ ผู้เขียนก็ปลดล็อคไปได้แค่ครึ่งเดียว และวัดจากจำนวนแล้วก็อาจจะน้อยไปสักนิด แม้ว่าทาง Route 59 สัญญาว่าจะเพิ่มเติมในส่วนนี้เข้ามาให้ฟรีๆ ในอัพเดทภายหลังก็ตาม -แก้วสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร Necrobarista ก็ถือได้ว่าเป็นผลงานที่ชัดเจนในแนวทางของตัวเอง ไม่ประนีประนอมต่อรูปแบบการนำเสนอ และผ่านการคิดและเขียนขึ้นอย่างละเมียดละไม มันใช้ฉากหลังที่ผสมเรื่องราวเหนือธรรมชาติ  (บาริสต้าหมอผีกับเหล่าวิญญาณจรที่ผ่านทางเข้ามา…) แต่ในแต่ละเรื่องราว มันกำลังพูดถึงความเป็น ‘มนุษย์’ ที่ชัดถ้อยในจุดประสงค์ มีแง่มุมให้ขบคิด และชวนให้เราย้อนระลึกว่าความรักความผูกพัน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และการ ‘ปล่อยวาง’ ในช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ มีคุณค่าและความสำคัญมากเพียงใด กล่าวโดยสรุป มันอาจจะไม่ใช่เกมที่เหมาะสมสำหรับทุกคน (อย่างที่กล่าวไปข้างต้น มันไม่ประนีประนอมในการนำเสนอเลยแม้แต่นิดเดียว) และเรียกร้องการมีส่วนร่วมอย่างสูง แต่ Pace และเนื้อหาที่มันนำเสนอ ก็น่าเอนกายผ่อนใจให้เราชะลอจังหวะชีวิต ค่อยๆ จิบและดื่มด่ำกับเรื่องราวที่จะคลี่ห่มอย่างอบอุ่น เช่นเดียวกับการห่อหุ้มความรู้สึกด้วยรสชาติแห่งกาแฟ มันคือเกมขนาดเล็ก แต่บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เล็ก และมีคุณสมบัติที่ครบพร้อม แม้ว่ามันจะใช้เวลาถึงสามปีกว่าที่จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ฉายให้เห็นว่า เส้นทางของทีม Route 59 นั้น มีรสนิยม เข้าใจคิด ไม่ติดในเรื่องการนำเสนอ และยังทอดยาวออกไปได้ไกลแค่ไหน … “ซึ่งถ้าเปรียบพวกเขาเป็นบาริสต้าแล้วนั้น เรื่องราวที่หลากหลายผสมผสานกันในครั้งนี้ ก็ยอดเยี่ยม เฉกเช่นกาแฟที่คั่วจากเมล็ดชั้นดีที่ชวนให้เราร่ำดื่ม และย้อนกลับมาหามัน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่านั้นเอง…” [penci_review id="63970"]
24 Aug 2020
เผยความรู้สึกหลังเล่น Mortal Shell "ส่วมเปลือกแล้วออกล่าปืศาจ ด้วยศาตราทั้งสี่"
Mortal Shell คือเกมแนว Action RPG สไตล์ Dungeon Crawler น้องใหม่ ที่วางจำหน่ายครั้งแรกวันที่ 18 สิงหาคม 2020 โดยเกมนี้เป็นผลงานแรกจากทาง Cold Symmetry ที่ก่อตั้งในปี 2017 ตัวเกมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Dark Souls นั้นจึงหมายความว่าในเรื่องของความยากแล้ว สามารถขาดหวังจากเกมนี้ได้อย่างแน่นอนครับ เป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้พัฒนา ซึ่งก่อตั้งได้ไม่นานอย่าง Cold Symmetry เลือกที่จะพัฒนาเกมแรกเป็นแนวนี้ (เอาจริงๆ เกมแนวนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมมากมายอะไรขนาดนั้น) ดังนั้นถ้าพูดตรงๆ คือผมคาดหวังกับเกมนี้ไว้พอสมควรเลยครับ เพราะการที่กล้าทำเกมแรกของตัวเองออกมาเป็นแนวนี้ แปลว่าต้องมั่นใจพอสมควรเลยว่าจะขายได้ ส่วนว่าเกมนี้จะดีอย่างที่คิดรึเปล่า ไปดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ ผู้เล่นจะตื่นขึ้นมาในโลกที่วางเปล่า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร มีเป้าหมายอะไร หรือมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร สิ่งเดียวที่รู้คือโลกที่เราตื่นขึ้นมาใบนี้ไม่ใช้โลกของเราเอง และโลกใบนี้กำลังพังทลายลงอย่างช้าๆ เมื่อออกเดินทางไปได้สักพัก ผู้เล่นจะได้พบกับยักษ์ปริศนาที่ถูกจองจำด้วยโซ้ขนาดใหญ่ โดยเขาจะไหว้วานให้เราช่วยไปเอาของบางอย่างจากส่วนลึกสุดของวิหารทั้ง 3 รอบๆ นี้มาให้ แต่เส้นทางที่จะไปยังส่วนลึกสุดของวิหารทั้ง 3 ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด และได้แต่หวังว่าจะได้พบคำตอบของการเดินทางครั้งนี้ในเร็ววัน อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่ผมกล่าวมาในข้างต้นเป็นสิ่งที่ สรุปเอาเองจากข้อมูลต่างๆ ที่สามารถหาอ่านได้ในเกมเอง กล่าวคือ เกมนี้ไม่ได้เริ่มต้นโดยมีการเกริ่นนํา หรือคัทซีนให้ดู สิ่งที่ผู้เล่นจะได้รับมีสิ่งเดียว คือการถูกโยนเข้าไปในโลกของเกมเลย การหาคำตอบของเนื้อเรื่อง จึงต้องทำเอาเองจากการอ่าน Dialog กับคำอธิบายของไอเทมต่างๆ ในเกม จากบทสัมภาษณ์ IGN Summer of Game Interview ผู้พัฒนาได้ได้เคยกล่าวว่า "ในเกม ทุกสิ่งมีชีวิตต่างค้นหาคำตอบและเป้าหมายของการมีชีวิต ไม่ใช้แค่ผู้เล่น แต่เหล่า NPC รวมไปจนถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ เองก็เช่นกัน บ้างก็ได้พบกับมัน บ้างก็ไม่" ดังนั้นผมคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่าเนื้อเรื่อง ที่ผมเข้าใจคือสิ่งที่ผู้พัฒนาอยากจะสื่อจริงๆ หรือไม่ ครับ ในจุดนี้ผมเองก็พูดได้ไม่เต็มปากเหมือนกันว่ามันเป็นข้อดีหรือข้อเสียของเกม เพราะสำหรับผู้เล่นที่ชอบปริศนา กับการตีความก็คงจะสนุกที่ได้หาคำตอบของเนื้อเรื่องในเกมนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช้ทุกคนที่จะชอบการทำอะไรแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าแค่อยากเล่นเกมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตีความหรือคิดอะไรให้ปวดหัว ผมแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปเลยครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC ด้วยการตั้งค่ากราฟิกแบบ "Ultra" ซึ่งต้องยอมรับว่า Mortal Shell เป็นเกมที่ทำในเรื่องของกราฟิกมาได้ค่อนข้างสวยงามครับ น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ผู้เล่นจะได้เดินทางอยู่ในสถานที่ค่อนข้างมืดมิด ทำให้ไม่ค่อยได้เห็นเอฟเฟ็คแสงอาทิตย์เท่าไหร่นัก แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นเกมที่ภาพสวยมากเกมหนึ่งเลยครับ ถ้าให้จำกัดความง่ายๆ คงต้องบอกว่า "MS (Mortal Shell) คือเกม DS (Dark Souls) ขนาดย่อ" ครับ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาย, โทนสี, มุมมอง รวมไปจนถึงการใส่คำอธิบายรายละเอียดของไอเทมต่างๆ ทั้งของสวมใส่ หรือไอเทมกดใช้ ล่วนแล้วแต่มีความเหมือนกับ DS เป็นอย่างมาก ถ้าถามว่า "ทั้ง 2 เกมแตกต่างกันตรงไหน" คงต้องตอบว่าเป็นในส่วนของ เกมเพลย์ ครับ โดยผมจะข่อกล่าวต่อข้างล่างนี้ ถ้าจะพูดถึงข้อเสีย คงเป็นในเรื่องความใหญ่ของโลกภายในเกม เพราะเอาจริงๆ ตัวเกมนั้นมีขนาดของแผนที่โลกค่อนข้างเล็ก เราสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 10 - 18 ชั่วโมงในการเล่นเกมนี้จนเคลียร์ (ถ้าเล่นเกมแนวนี้เก่งมากๆ อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น) แถมโลกของ MS ก็ไม่ค่อยมีความลับอะไรให้สำรวจมากมายด้วยครับ คือถ้าเกิดว่าผู้พัฒนาใส่ใจรายละเอียดมากกว่านี้, มีการใส่ไอเทมลับเข้าไปในจุดต่างๆ ของเกมมากกว่านี้, และมีความยาวของเกมมากกว่านี้ ตัวเกมอาจถือว่ายอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้ [caption id="attachment_64891" align="aligncenter" width="1920"] กราฟิกสวยมาก[/caption] ◊ เกมเพลย์ ◊ ในเรื่องของเกมเพลย์ ถ้าบอกว่าเป็นเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก DS หลายคนคงเห็นภาพว่าเกมนี้จะต้องยากมากๆ แน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว MS ก็เป็นเกมที่ยากจริงครับ แต่ยากคนละแบบกับเกมในตระกูล Soulsborne ถ้าให้สรุปง่ายๆ คงต้องบอกว่าเกมตระกูล Souls ความยากจะอยู่ที่ความหลากหลายของศัตรูในเกม โดยความหลากหลายดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการต่อสู้ใหม่อยู่บ่อยๆ แต่ใน MS ความยากของเกมนี้อยู่ตรงที่ ผู้เล่นจะทำการเพิ่มเลือกของตัวละครได้ยากมากแทนครับ ใน DS ผู้เล่นจะเกิดมาพร้อมกับ Estus Flask ที่สามารถใช้เพิ่มเลือดได้ และจะเติมจนเต็มทุกครั้งถ้าเรากดนั่งพักที่ Bonfire ทำให้ผู้พัฒนาสามารถออกแบบศัตรูในเกมให้เก่งได้อย่างเต็มที่ เพราะผู้เล่นมีไอเทมที่ใช้เพิ่มเลือดเหลือเฟือ แต่เนื่องจาก MS ไม่ใช้เกมที่ใหญ่ และมีความแตกต่างของศัตรูมากมายเท่า DS ผู้พัฒนาจึงทำให้ในเกมนี้วิธีการเพิ่มเลือดให้กับตัวละครของเราทำได้ยากแทน ดังนั้นการพลาดโดนท่าโจมตีตีหนักๆ หนึ่งครั้ง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ถึงตายได้ง่ายๆ เลยครับ มาพูดถึงระบบต่อสู้ในเกมบ้าง ภายใน MS มีหนึ่งระบบที่น่าสนใจมากๆ อยู่ครับ ระบบดังกล่าวคือการ ทำให้ตัวละครของเรา "แข็งขึ้น" โดยตอนที่เราตัวแข็งอยู่นั้น การโจมตีเกือบทั้งหมดในเกม จะไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย แต่ก็สามารถรับการโจมตีได้ครั้งเดียวเท่านั้น การกดแข็งสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่โจมตี, กระโดด, วิ่ง, หรือว่าล้มอยู่ ซึ่งมันทำให้รูปแบบการต่อสู้ กับการเอาตัวรอดในเกมนี้แปลก และไม่เหมือนใครทั้งยังมีสเนห์มากครับ ในทางกลับกันระบบสตามิน่าของเกมนี้จะค่อนข้างแตกต่างจาก DS ที่แถบจะเริ่มรีทันที หลังจากเราหยุดออกท่าโจมตี หรือวิ่ง แต่ใน MS สตามิน่าของเราจะเริ่มต้นรีหลังจากหยุดออกท่าประมาณ 0.5 วินาที พูดง่ายๆ ว่าผู้เล่นจำเป็นต้องเหลือสตามิน่าไว้เล็กน้อยทุกครั้งเพื่อใช้ในการหลบ จนส่งผลให้ความเร็วในการต่อสู้ของเกมนี้ โดยรวมช้ายิ่งกว่า DS เสียอีก แต่เมื่อจับจังหวะได้แล้ว การสู้กับศัตรูในเกมนี้ก็ไม่ใช้เรื่องยากอีกต่อไปครับ เพราะอย่างที่บอกว่าเกมนี้มีความหลากหลายของศัครูที่ค่อนข้างน้อย การจับจังหวะของ 1 ตัวได้ หมายถึงการจับจังหวะของอีกหลายๆ ตัวในเกมได้เลยนั้นเอง แตกต่างจาก DS ที่ให้ผู้เล่นสามารถนำชุดเกราะ จากศัตรูต่างๆ มาใส่ได้อย่างอิสระ MS นั้น มีชุดเกราะ กับอาวุธแค่อย่างละ 4 แบบ ให้เราเลือกใช้เท่านั้น โดยชุดเกราะทั้ง 4 ก็คือ "Shell" หรือ "เปลือก" นั้นเอง ซึ่งเปลือกแต่ละอันก็จะมีสเตตัสที่แตกต่างกันไป บางเปลือกอาจมีเลือกเยอะ แต่สตามิน่าน้อย, บางเปลือกอาจมีมานาเยอะ แต่มีเลือด กับสตามิน่าน้อย หรือบางเปลือกอาจมีสเตตัสทุกอย่างสมดุลกัน ในส่วนของอาวุธ ด้วยความที่เกมนี้มีอาวุธให้เราใช้เพียงแค่ 4 อย่างเท่านั้นคือ ดาบสองมือ, ดาบใหญ่, คทาเหล็กยักษ์, และค้อนกับลิ่ม มันจึงทำให้รูปแบบเกมเพลย์ของ MS นั้นน้อยตามลงไปด้วย แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้เราสามารถใช้อาวุธหนึ่งชนิดได้ชำนาญอย่างรวดเร็วเช่นกัน ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนกันไปครับ ทั้งเปลือก และอาวุธสามารถอัพเกรดได้ในเกมนี้ แต่ไม่เหมือน DS ที่ผู้เล่นสามารถเลือกใส่ความสามารถ หรือธาตุเข้าไปในอาวุธได้อย่างอิสระ ใน Mortal Shell อาวุธแต่ละชิ้นจะมีธาตุ กับความสามารถของตัวเองอยู่แล้ว การอัพเกรดในเกมนี้ จึงเป็นเหมือนการปลกล็อคความสามารถของอุปกรณ์มากกว่าครับ ◊ สรุป ◊ ถ้าเอาแค่ความรู้สึกของผมหลังจากได้เล่นเลย คงต้องบอกว่าผิดหวังครับ พูดตรงๆ เลยผมคิดว่าเกมนี้มีองค์ประกอบที่ดีครับ ถ้าหากว่าทำโลกออกมาให้ใหญ่กว่านี้, มอบอิสระให้กับผู้เล่นมากกว่านี้, และใส่ใจกับรายละเอียดของเกมมากกว่านี้ Mortal Shell จะกลายเป็นหนึ่งในเกมที่ดีมากๆ แต่ด้วยข้อจำกัดที่ผมพูดมาก่อนหน้านี้ มันเลยทำให้รู้สึกแค่ ธรรมดา ค่อนไปทางห่วยมากกว่า ถ้าถามว่าเกมนี้ควรจะได้คะแนนเท่าไหร่ ผมคิดว่าคงจะอยู่ที่ประมาณ 7 เต็ม 10 เท่านั้นครับ แต่ในเมื่อบอกว่า "นี้คือเกมแรกจากทาง Cold Symmetry ที่เพิ่งก่อตั้งในปี 2017" แล้ว คิดว่าก็เข้าได้อยู่ที่เกมนี้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรมากมายนัก ต้องรอดูต่อไปว่าผลงานชิ้นที่ 2 ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรครับ [penci_review id="64796"]
20 Aug 2020
เล่าประสบการณ์ หลังสัมผัส Rocket Arena "ทำไมถึงไม่เป็นเกม F2P?!"
Rocket Arena เกม Hero Shooter แบบ 3v3 ที่ผู้เล่นทุกคนจะได้ใช้อาวุธปืนยิงจรวดในการเผชิญหน้ากัน เกมดังกล่าวนี้ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับ Overwatch เล็กน้อย แต่จุดเด่นของเกมนี้คือการที่ผู้เล่นจะได้ใช้ปืนยิงจรวดในการปะทะกันพร้อมกับทำเป้าหมายต่างๆ ที่เกมสุ่มมาให้ในแต่ละแมตซ์ให้สำเร็จ แต่ตัวเกมนี้ถึงแม้จะมีหลากหลายโหมดและหลายเป้าหมายให้ผู้เล่นได้เล่นกันก็ตาม แต่มันยังไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความคุ้มค่ามากนักหากต้องซื้อเกมนี้มาเล่นในราคาเต็ม 999 บาท เพราะอะไรผู้เขียนจึงคิดเช่นนี้ ก็สามารถอ่านได้จากข้างล่างนี้เลยครับ! กราฟิก กราฟิกของเกม Rocket Arena นั้นโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันค่อนข้างสวยทีเดียวครับ สีสันสดใสแต่ไม่ได้ระคายตาแต่อย่างใด โมเดลตัวละคร 3D ก็นับว่าน่ารักใช้ได้ ส่วนวัตถุแวดล้อมต่างๆ ในแผนที่ อย่างก้อนหิน ต้นเสา ต้นไม้ นั้นไม่ได้สวยเท่าไหร่นัก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะไม่ได้เน้นตกแต่งรายละเอียดสภาพแวดล้อมมากนัก แต่ก็พอเข้าใจเรื่องนี้ได้ครับ เนื่องจากเกมนี้เป็นเกมที่ตัวละครของผู้เล่นจะเคลื่อนไหวแทบตลอดเวลา แถมแต่ละแมตซ์ในเกมก็จบค่อนข้างเร็ว อีกทั้งการเคลื่อนไหวของตัวละครก็เร็วพอสมควร ดังนั้นผู้พัฒนาจึงละทิ้งรายละเอียดของพวกก้อนหิน หรือกำแพงไป เพื่อเน้นในเรื่องอื่นแทน แต่สิ่งที่มาทดแทนความสวยงามของสภาพแวดล้อมพวกนี้ก็คือความสวยงามของเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์สกิล และเอฟเฟกต์อาวุธของตัวละคร เนื่องด้วยอาวุธของตัวละครนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นกระสุนระเบิด แต่ก็มีทั้งรูปแบบระเบิดไพ่ เครื่องยิงระเบิดน้ำ หรือกระทั่งหอกระเบิด ดังนั้นเอฟเฟกต์ต่างๆ ภายในเกมนี้จึงเยอะมาก แต่สำหรับเครื่องคอมระดับกลางๆ ก็ไม่ได้เกิดอาการกระตุกเลยแม้แต่น้อยครับ และเกมนี้มีแผนที่หลายแบบเหมือนกัน ทั้งแบบที่มีอาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่โล่งกว้างที่มีเพียงหิน นอกจากนี้โมเดลตัวละครก็ถือว่าน่ารักมากเช่นกัน รูปลักษณ์ตัวละครทั้งสิบภายในเกมนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่ถือ อุปกรณ์ที่สวมใส่ หรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนที่ อย่างเครื่องไอพ่นที่ติดอยู่บริเวณหลังสำหรับลอยตัวกลางอากาศไปจนถึง Hoverboard ของ Rev ที่เธอสามารถใช้เร่งความเร็วในการเคลื่อนที่หรือใช้โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย เกมเพลย์ ตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาเอง ทั้งการใช้สกิลเพื่อโจมตีหรือหลบหลีก และเกมนี้จะค่อนข้างเป็นเกมที่ตัวละครเคลื่อนที่เร็ว ทั้งพุ่งไปข้างหน้า บินขึ้นฟ้า หรือการหมุนตัวเพื่อหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นสำหรับคนที่เป็น Motion Sickness อาจจะเล่นเกมนี้ไม่ไหวครับ โดยเกมนี้จะมีโหมดให้เล่นทั้งหมด 3 แบบในตอนนี้ ส่วนโหมด Rank มีอยู่ในเกมแล้วแต่ยังไม่เปิดให้เราได้เล่นกัน ที่สำคัญสำหรับคนที่เคยเห็นหรือเคยเล่นเกมอย่าง Super Smash Bros. หรือ Brawlhalla มาก่อนก็จะคุ้นเคยกับการที่จะต้องโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนกว่าจะ K.O. (Knockout) หรือผลักฝ่ายตรงข้ามออกนอกแผนที่เพื่อที่จะให้ฝ่ายตรงข้าม K.O. กันดีครับ เพราะเกมนี้ก็ใช้ระบบแบบนั้นเช่นกันครับ ส่วนระบบการรอห้องถ้าเป็นเกมแนว Multiplayer แล้วล่ะก็ทุกคนคงต้องกังวลกับการต้องใช้เวลารอห้องอย่างแน่นอน ซึ่งตัวเกมไม่ได้ทำให้การหาห้องของเกมนี้นานจนเกินไป เพราะเกมนี้สามารถเลือกเปิดให้เล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ ดังนั้นผู้เล่นจะได้เจอผู้เล่นฝั่ง PC กับฝั่งคอนโซลอย่าง PS4 ได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ จำนวนผู้เล่นก็จะมากขึ้นและหาห้องได้ไวขึ้น แต่ด้วยการนำผู้เล่นจากทุกแพลตฟอร์มทั่วโลกมาเล่นรวมกันต้องยอมรับเลยว่าจะต้องมีความเลื่อมล้ำของค่า PING อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้มากเสียจนไม่สามารถเล่นได้ครับ โดยโหมดต่างๆ ของตัวเกมมีดังนี้ Arena Mode จะเป็นโหมดที่เล่นตามเป้าหมายที่เกมจะสุ่มมาให้ เช่นการเก็บเหรียญบนพื้นที่หากทีมใดสามารถครองเงินไว้ในมือได้สูงสุดก็จะชนะไป หรือเป้าหมายสุดเบสิกที่เห็นได้บ่อยๆ ในหลายๆ เกม อย่างการครองพื้นที่ ที่ผู้เล่นจะต้องอยู่ในวงกลมตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อยึดพื้นที่จุดนั้น โดยระหว่างนั้นก็ต้องต่อสู้กับทีมตรงข้ามที่จะมาแย่งเรายึดพื้นที่ไปด้วยเช่นกัน   Knockout Mode เป้าหมายของโหมดนี้ก็ตามชื่อเลยครับ เป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นวัดฝีมือ และความพริ้วไหวในการยิงจรวดใส่ฝ่ายตรงข้าม การชนะในโหมดนี้นับจากจำนวนที่ K.O. อีกฝ่ายได้ ทีมไหนแต้มเยอะกว่าก็ชนะไป ถ้าหากใครต้องการความตื่นเต้นที่จะมีกระสุนจรวดพุ่งมาได้ทุกทิศทุกทางก็ต้องโหมดนี้เลยครับ!   RocketBot Attack Mode โหมดต่อสู้กับบอทที่เราสามารถร่วมสู้ไปกับเพื่อนๆ ได้ โดยโหมดนี้จะจำกัดการถูก K.O. ของฝั่งผู้เล่นไว้ที่ 9 ครั้ง และฝั่งบอท 30 ครั้ง หากฝั่งไหนถูก K.O. ครบก่อนก็จะแพ้ไป ระบบเติมเงิน เกม Multiplayer ไม่ว่าเกมไหนก็ต้องมีระบบนี้จริงๆ ครับ ถ้าหากจะถามว่าควรจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ทั้งๆ ที่ซื้อตัวเกมมาแล้วก็ตอบตรงนี้ได้เลยครับว่าไม่ได้จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มขนาดนั้น เพราะจากการเล่นเกมใน 1 แมตซ์ หากเป็นฝ่ายชนะจะได้เงินราวๆ สองถึงสามพันเลยทีเดียว แต่หากแพ้ก็จะได้อยู่ที่หนึ่งพันกว่าๆ ซึ่งถ้าจะให้พูดก็คือตัวเกมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นต้องเติมเงินขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นสินค้าในหน้าร้านค้าบางชิ้นก็มีแต่ต้องเติมเงินเพื่อที่ได้จะมันมาครับ แต่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หากเฉลี่ยราคาของสกินรวมไปถึงเอฟเฟคต่างๆ ของตัวเกมจะอยู่ที่ 1 หมื่นไปจนถึง 5 หมื่น หากเล่น 5 แมตซ์ ขึ้นไปก็สามารถซื้อของได้โดยไม่ต้องเติมเงินเลย แต่หน้าร้านค้าในเกมตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้เรายอมเสียเงินซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้นอกจากสกินตัวละคร ลายธงที่โชว์ตอนเริ่มแมตซ์ ก็มีเอฟเฟกต์ควันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครอยากสวยงามและเด่นกว่าคนอื่นในเวลาอันรวดเร็วไม่อยากต้องรอคอยแล้วหล่ะก็จะเติมเงินเพื่อซื้อก็ไม่เสียหาย   ตัวละคร ตัวละครในเกมนี้ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปข้างต้นรูปแบบการเล่นของแต่ละตัวนั้นจะต่างกัน ทั้งสกิล เทคนิคการยิง และกระสุนจรวด ทุกตัวจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ นอกจากนี้ตัวละครยังสามารถเปลี่ยนสกินได้มากมาย แน่นอนว่ามันต้องซื้อ และในเกมนี้ยังมีไอเทมพิเศษสำหรับช่วยผู้เล่นอย่าง Artifact ที่สามารถใส่ได้สามชิ้นต่อหนึ่งตัวละคร โดยบางชิ้นอาจเพิ่มความสูงตอนกระโดดเล็กน้อย และบางชิ้นก็อาจเพิ่ม Damage ให้ผู้เล่นเมื่อทำการ K.O. ฝ่ายตรงข้ามได้ ในส่วนของ Artifact นั้นไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นมากนักในช่วงเริ่มต้นแต่เมื่อผู้เล่นอัพเลเวล Artifact โดยการสวมใส่มันแล้วนำไปเล่นในโหมดใดๆ ก็ตาม Artifact จะได้ EXP หลังจบเกม และเมื่อ Artifact เลเวลสูงขึ้นค่าสถานะที่ Artifact ชิ้นนั้นๆ เพิ่มให้กับผู้เล่นก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยบางชิ้นอาจจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่บางชิ้นก็บอกเพียงแค่ว่าเพิ่มความสูงของการกระโดดจากพื้นดินเพียงเท่านั้น สรุป เกมนี้หลังจากที่ได้ลองเล่นดูก็นับว่าไม่ได้แย่อะไรครับ เกมเพลย์ค่อนข้างสนุก สามารถเพลิดเพลินไปกับเพื่อนๆ ได้ดีเลย คอนเซ็ปต์ที่มีแต่ปืนยิงจรวดก็น่าสนใจดี ในส่วนของเรื่องกราฟิกโดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบครับ แต่เมื่อเทียบกับเกมใหม่ๆ ที่ออกมาในปีนี้แล้ว กราฟิกของเกมนี้ดูไม่เหมาะกับปี 2020 ไปเลย และในส่วนของราคาเกมนี้อยากที่กล่าวข้างต้นว่าอยู่ที่ 999 บาท ซึ่งในความคิดของผู้เขียน มันถือว่าแพงเกินไปสำหรับคุณภาพของเกมในตอนนี้ ถ้าหากลดมาอยู่ในช่วง 400 - 500 บาท หรือเปิดให้เล่นแบบ Free-to-play ไปเลยมันจะสมเหตุสมผลมากกว่า โดยรวมแล้วถือเป็นเกมที่ไม่จำเป็นต้องหามาเล่นก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากหาเกมยิงสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกับเพื่อนๆ เกมนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ไม่น้อย เพียงแต่จะดีกว่าถ้ารอซื้อตอนเกมนี้ลดราคาครับ ข้อดี หนึ่งแมทช์ใช้เวลาไม่นาน ตัวเกมเข้าใจง่าย มีการสอนก่อนเริ่มเล่นจริง เล่นได้ทุกเพศทุกวัย เพราะไม่มีเลือด หรือภาพตัวละครถูกสังหาร ข้อเสีย เกมมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับระบบของเกมในตอนนี้ ระบบการยิงนั้นปกติ แต่การยิงให้โดนตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่โดดไปมาอยู่นั้นนับว่ายากมากสำหรับผู้เริ่มเล่นแนวนี้
18 Aug 2020
รีวิวเกม Might & Magic: Era of Chaos เกมรบทัพจับศึกสุดแฟนตาซี
ซีรีส์ Might & Magic เป็นซีรีส์เกม RPG สวมบทบาทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฝั่งยุโรป ถือว่าเกมนี้เป็นระดับตำนานเลยก็ว่าได้ โดยตัวเกมตัวแรกสุดของซีรีส์ Might & Magic ปล่อยออกมาในปี 1986 หลังจากนั้นมา ตัวเกมก็มีภาคใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่แพลตฟอร์มมือถือเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดเกมแนวใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย Might & Magic เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งเกม ที่ได้ทำการวิวัฒตัวเองไปสู่เกมรูปแบบใหม่เช่นกัน Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG บนแพลตฟอร์ม Android และ iOS เปิดให้บริการโดยค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างค่าย Ubisoft โดยตัวเกมแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น Strategy RPG  ก็ตาม แต่เอาจริง ๆ ตัวเกมสามารถเรียกได้ว่าเป็นเกมแนว RPG สไตล์จัดทีมตัวละคร ที่จะส่งให้ทีมตัวละครของเราและฝั่งศัตรูได้ออกไปสู้กันโดยอัตโนมัตินั่นเอง ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเกม Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG ที่เราจะได้เลือกฮีโร่และจัดทีมกองทัพของตัวเอง ให้ออกไปต่อสู้กับกองทัพของศัตรู ตัวเกมโดดเด่นเป็นอย่างมากในการหยิบเอาตัวละคร ธีมเกม ฉาก รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ มาจากซีรีส์ Might & Magic ซึ่งได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่มีทั้งเผ่า โลก เวทย์มนตร์ และตัวละครสำคัญ ๆ ที่มีเสน่ห์มากมายให้เราได้หลงใหล กราฟฟิก และงานออกแบบ "กราฟิก 2D รายละเอียดดี ภาพประกอบคุณภาพงานแฟนตาซีแท้" กราฟฟิกตัวเกมของ Might & Magic: Era of Chaos จะมาในรูปแบบสไตล์แนวการ์ตูน 2D แต่คงไว้ด้วยรายละเอียดต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีตครบถ้วน โดยเฉพาะภาพประกอบต่าง ๆ ของตัวละครที่ทำออกมาในรูปแบบการ์ด ก็ทำออกมาได้ดูดีมาก ถ้าปริ๊นออกมาเป็นการ์ดจริง ๆ ผมว่าสามารถนำมาขายได้เลยละ จุดหนึ่งที่ตัวกราฟฟิกทำออกมาดี คือฉากการต่อสู้ เพราะในเกมในสไตล์เดียวกันกับ Might & Magic: Era of Chaos ฉากต่อสู้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างและมาก ๆ ดูไม่ออกว่าใครสู้กับใคร ใครทำอะไรบ้าง มันทำให้เราพลาดความเท่ห์ หรือเสน่ห์ของตัวละครที่ทำออกมาอย่างดีไปเสียหมด แต่สำหรับฉากต่อสู้ของ Might & Magic: Era of Chaos ถือว่าทำออกมาดูดีทีเดียว เราสามารถเห็นกลุ่มก้อนของยูนิตแต่ละตนได้เป็นอย่างดี และเห็นว่าตัวละครเหล่านั้นทำอะไรลงไปบ้าง ระบบเกมเพลย์ "จัดทัพตัวละคร วางกลยุทธ์ตำแหน่ง เหมือนเล่นเกมหมากกระดาน แต่ตัวหมากมีชีวิต สกิล และความแข็งแกร่งที่สามารถสอดผสานกันได้" ตัวระบบเกมเพลย์หลักหรือระบบต่อสู้ภายในเกม จะมาในรูปแบบของเกมแนว RPG จัดทีม ที่ปล่อยให้ฮีโร่ของเราออกไปต่อสู้กับทีมฮีโร่ของฝั่งศัตรูโดยอัตโนมัติ แต่แตกต่างนิดหน่อยตรง Might & Magic: Era of Chaos จะให้ความรู้สึกถึงความเป็นกองทัพมากกว่า โดยภายในตัวเกม เราจะสามารถจัดกองทัพของเราได้สูงสุด 8 ยูนิต ซึ่งยูนิตบางประเภทจะไม่ได้ออกมายืนโดดเดี่ยวตนเดียว แต่จะมายืนเป็นกลุ่ม เวลาต่อสู้ จึงเหมือนการเคลื่อนพลของกองทัพ มากกว่าเห็นเป็นตัวละครวิ่งเข้าไปต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ความพิเศษของ Might & Magic: Era of Chaos คือเรามีพื้นที่ให้วางยูนิตทั้งหมด 4 x 4 ช่องเท่านั้น และจะแบ่งแถวหน้าหลังไว้เท่า ๆ กันที่ 2 x 4 ช่อง โดยยูนิตภายในเกมแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 สาย โดย โจมตี ป้องกัน และจู่โจม จะเป็นยูนิตแถวหน้า ส่วน ระยะไกล กับคาสเตอร์จะถูกล็อคไว้ให้อยู่แถวหลัง โดยการวางตำแหน่งตัวยูนิต ถือว่ามีความสำคัญมาก ๆ เพราะจะหมายถึงการปะทะ หรือการเจาะเข้าสู่ตำแหน่งยูนิตแถวหลัง ซึ่งมีพลังป้องกันที่น้อยกว่าได้ นอกจากการจัดทัพตัวยูนิตแล้ว ตัวเกมยังมีระบบ "ฮีโร่" หรือคนคุมกองทัพ โดยในปัจจุบันฮีโร่ของ Might & Magic: Era of Chaos มีมากถึง 23 ตน ฮีโร่เป็นตัวละครที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะช่วยบัพโบนัสค่าสเตตัสให้ตัวยูนิตในกองทัพของเราเองแล้ว ฮีโร่ยังเป็นตัวแปลในการใช้สกิลในระหว่างการต่อสู้อีกด้วย โหมด & ระบบการเล่น "การันตีเรื่องโหมดการเล่นที่เยอะมาก ตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน" ใน Might & Magic: Era of Chaos การปลดล็อคระบบต่าง ๆ ทำได้ด้วยการเพิ่มระดับเลเวลของตัวเรา ตัวเกมมีระบบให้เราได้เล่นได้ศึกษาเยอะมาก ตั้งแต่ระบบอัปเกรดร้อยแปด ทั้งอัปเกรดยูนิต อัปเกรดฮีโร่ ระบบภารกิจ ระบบแจกของมากมาย โหมดเนื้อเรื่อง โหมด PVP โหมด PVE ระบบ Guild โหมดอีเวนท์รายวันรายสัปดาห์ ระบบค่ายทหาร และอีกมากมายหลายหลากตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน ระบบกาชา "ระบบกาชาแบบเศษยูนิต พร้อมการสุ่ม SSR แบบ 100%" ระบบกาชาของ Might & Magic: Era of Chaos แม้จะมีแจกให้เราได้หมุนฟรีวันละ 1 ครั้ง แต้ตู้กาชาของตัวเกมก็ค่อนข้างที่จะหมุนให้ได้ยูนิตตามที่ต้องการยาก เพราะภายในตู้จะไม่ได้ออกมาแค่ยูนิตเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับเศษของยูนิต ซึ่งการจะได้ตัวละครระดับ SSR มาครองค่อนข้างหวังกับการสุ่มเป็นครั้ง ๆ ได้ยาก เน้นกาชาให้ครบ 100 ครั้งจะดีกว่า เพราะพอครบ 100 ครั้ง ระบบจะสุ่มปล่อยยูนิต SSR มาให้เราได้เชยชม 1 ตัวแบบ 100% อย่างไรก็ตาม เศษยูนิตของฮีโร่ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะมันเอาไว้สำหรับอัปเกรดเพิ่มดาวให้ตัวละคร ซึ่งจะทำให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้นั่นเอง นอกจากนี้ตัวละครระดับ SR ก็เป็นตัวละครที่อัปเกรดได้ง่าย สามารถสอดผสานกันได้ดีไม่แพ้ตัวละครระดับ SSR ดังนั้นต่อให้เกมนี้ยูนิต SSR จะออกยากไปหน่อย แต่ยูนิตระดับ SR ก็เจ๋งไม่แพ้กันเลย สรุป "เกมจัดทัพตัวละครที่ให้อารมณ์วางกลยุทย์ และควบคุมกองทัพใหญ่จริง ๆ แม้ว่าตัวเกมจะเป็นเกม RPG ทั่ว ๆ ไปก็ตาม" ผมชอบสเน่ห์ของ Might & Magic: Era of Chaos ตรงตัวละคร และงานออกแบบต่าง ๆ เรารู้สึกได้เลยว่านี้คือโลกแฟนตาซี การจัดทีมตัวละคร ให้อารมณ์เหมือนการจัดกองทัพมากกว่าจะเรียกว่าเป็นแค่การจัดทีม เราต้องรู้จักวางกลยุทธ์ให้กองทัพของเราได้เปรียบกว่ากองทัพศัตรู การกดใช้สกิลของฮีโร่ระหว่างการต่อสู้มีผลต่อรูปเกมเป็นอย่างมาก ให้อารมณ์เหมือนเราเป็นผู้วิเศษของกองทัพ ที่สามารถใช้พลังเวทย์กวาดต้อนกองทัพของศัตรูให้ราบเรียบได้ในครั้งเดียว หากคุณชอบเกมแนว RPG แฟนตาซี ที่ให้อารมณ์การจัดกองทัพ การวางกลยุทธโดยอิงตำแหน่งของตัวละครเป็นหลัก Might & Magic: Era of Chaos สามารถตอบโจทย์ความชอบของคุณได้แน่นอน ดาวน์โหลดเกม Might & Magic ®: Era of Chaos  [penci_review id="63847"]
18 Aug 2020
รีวิวเกม Neon Abyss "ควงปืน โดดลงเหว ปราบเทพยุคใหม่"
Roguelike เป็นเกมแนวที่มีหัวใจหลักอยู่ที่การสุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสุ่มด่าน ศัตรู หรือไอเท็มต่างๆ ทำให้เราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ และต้องระวังตัวให้ดีเพราะว่าถ้าตาย ไอเท็มและค่าพลังที่อัพเกรดมาจะหายไป กลับไปเริ่ม 1 ใหม่ เป็นแนวเกมที่สนุกและท้าทาย เพราะแบบนั้นมันถึงเป็นหนึ่งแนวเกมที่หลายคนชื่นชอบ วันนี้ GameFever TH จะมาแนะนำเกม Roguelike เกมหนึ่งที่มี Theme สะดุดตาและการเล่นที่สนุกสะใจ กับเกม Neon Abyss ระบบเกมและภาพรวม Neon Abyss เกมแนว  roguelite action-platformer ที่ว่ากันด้วย Hades เทพแห่งนรกถูกเหล่า Titan ชิงพลังไปและกำลังสถาปนาตัวเองเป็นเทพยุคใหม่ แล้วออกอาละวาดไปทั่ว Hades ได้ใช้พลังส่วนสุดท้ายจัดตั้งกองกำลังที่ไม่มีวันตาย Grim Squad ขึ้นมาเพื่อที่จะหยุดเหล่า Titan และชิงพลังกลับคืนมา ซึ่งเราก็เป็น 1 คนในกองกำลังนั้น แต่เอาเข้าจริง เนื้อเรื่องก็ไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก เป็นแค่เหตุผลอธิบายเฉยๆว่าเราสู้กับอะไรและทำไมเราไม่ตายก็เท่านั้นเอง ส่วนงานภาพและ Theme ได้นำไฟนีออนที่สว่างสดใสกับท่อระบายน้ำที่ดูมืดมนมารวมกัน เรียกว่าเข้ากันได้แบบแปลกๆ แถมยังสะดุดตามากๆอีกด้วย และถ้ายิ่งมีห่ากระสุนที่เรายิงออกไปด้วย ก็จะยิ่งตระการตากว่าเดิมแน่นอน (บางครั้งก็จ้าจนตาแทบบอด 5555+) ในส่วนของเกมการเล่น ก็จะเหมือนเกมแนว roguelite ทั่วไปที่ทุกอย่างจะสุ่ม แต่สิ่งที่เกมนี้แตกต่างจากจากเกมอื่นๆก็คือ ก็ต่อสู้ในเกมนี้จะใช้ปืนและระเบิด!! ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก ใช้ปืนและระเบิดจัดการกับศัตรูทุกตัวที่ขวางหน้า แทนที่จะเป็นดาบหรือเวทมนต์ ยังไม่รวมไอเท็มสุดแปลกและศัตรูที่แสนจะสร้างสรรค์  มาพูดถึงช่วงเตรียมตัวก่อนจะเล่นก่อน Lobbyก่อนเล่นเกมจะเป็น Bar ที่เต็มไปตัวแสงนิออน ในที่แห่งนี่เราสามารถปรับระดับความยาก อัพเกรด Abyss (อัพเกรดให้ตัวดันเจี้ยนมีของให้เล่นมากขึ้น เช่น ไอเท็ม ห้องมินิเกม) เปลื่ยนตัวละคร (ตัวละครมีให้เลือกถึง 10 ตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีความสามารถและสเตตัสเริ่มต้นที่แต่ต่างกัน) และเตรียมตัวก่อนโดดลงเหวไปจัดการกับเรา Titan ทั้งหลาย  เมื่อโดดลงมาแล้ว เราจะได้ปืนเริ่มต้น และของต่างๆตามสเตตัสของแต่ละตัว โดยแต่ละอย่างจะมีหน้าที่ของมัน และมีอยู่จำกัด เราจะต้องบริหารจัดการให้ดี ได้แก่ หัวใจ เป็นพลังชีวิตของตัวละคร ถ้าหมดก็ตาย ระเบิด ใช้จัดการกับศัตรู หรือใช้ระเบิดหิน/กล่องหินที่อยู่ตามฉาก กุจแจ ใช้เปิดประตู หรือเปิดกล่องทองที่อยู่ตามฉาก เงิน ใช้ซื้อของ เปิดประตูบางประเภท หรือใช้เล่นมินิเกม คริสตัล ใช้เปิดประตูคริสตัล กล่องคริสตัลที่อยู่ตามฉาก หรือใช้สกิลของปืน ในส่วนของแผนที่จะเป็นดันเจี้ยน (จะคล้ายท่อระบายน้ำหน่อยๆ) ที่จะแบ่งเป็นห้องๆเราสามารถจะเดินไปทางไหนก่อนก็ได้ เมื่อเข้าแต่ละห้อง เราจะโดนขังและต้องจัดการกับศัตรูภายในห้องให้หมดก่อน ถึงจะไปยังห้องต่อไปได้  ถึงเราจะมีปืนแต่ก็ใช่ว่าจะผ่านง่ายๆ เพราะศัตรูจะมีหลายแบบ โจมตีต่างกัน บางห้องจะแคบ แถมมีกับดัก และที่สำคัญเราสามารถโดนความเสียหายจากระเบิดหรือกระสุนของตัวเองได้อีกด้วย ทำให้เกมมันไม่ง่ายเลย ต้องระวังตัวให้ดี ไม่งั้นอาจจะตายไม่รู้ตัว ซึ่งห้องต่างๆในดันเจี้ยนก็จะมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นห้องวาป ห้องสมบัติ ห้องร้านค้า แล้วยังมีห้องแปลกๆที่จะมีมินิเกมให้เล่นเพื่อรับไอเท็มเมื่อชนะเกม เช่น ห้องตกปลา ห้องหนีบตุ๊กตา ฯลฯ แถมยังมีห้องลับที่ซ่อนอยู่ไว้ด้วย (ส่วนวิธีเข้าก็หากันเอาเอง พูดไม่ได้ - -’’) แต่การจะผ่านด่านเพื่อขึ้นไปชั้นถัดไปนั้น เราจะต้องจัดการกับบอสของชั้นที่อยู่ในห้องสีแดง ซึ่งจะสุ่มแบบมาให้เราเจอ (มีแค่บางชั้นที่จะล็อคไว้ให้เจอแต่บอสตัวเดิมๆ (เป็นบอสเนื้อเรื่อง)) มีทั้งบอสที่เท่มาก รวมไปถึงบอสแปลกๆกาวๆด้วย แล้วเมื่อจัดการบอสได้ เราจะได้ไอเท็มอัพเกรด ประตูขึ้นไปชั้นถัดไป และGemสีเหลืองที่เอาไว้ใช้อัพเกรด Abyss ให้มีของมากขึ้น แต่ก่อนจะไปตีกับบอสนั้น ก็ต้องอัพเกรดตัวเองซะก่อน เราสามารถอัพเกรดโดยการหาไอเท็ม ปืน และสัตว์เลี้ยง ยิ่งมีของเยอะ เราจะยิ่งเก่ง ปืนจะอลังการขึ้นเรื่อยๆ (บางครั้งกระสุนเต็มจอ จนแยกไม่ออกว่าของใครบ้าง 555+) ไอเท็ม จะเป็นอารมณ์ประมาณของสวมใส่ จะเก็บกี่ชิ้นก็ได้ แต่ละชิ้นจะมีคุณสมบัติต่างกัน มีทั้งดี ไม่ดี และของแปลกๆ  เช่น ถุงป็อบคอร์นที่จะเปลื่ยนกระสุนเราเป็นระเบิด กระทะที่เพิ่มโอกาศกันกระสุนจากศัตรูได้ ซึ่งเราจะไม่รู้คุณสมบัติของไอเท็มเลย จนกว่าเราจะเก็บมัน รู้แค่รูปร่างของไอเท็มเท่านั้น (ยกเว้นจะมีความสามารถอ่านคุณสมบัติไอเท็ม)  ปืน จะเป็นอาวุธหลักของเรา มีหลายประเภทมาก ทั้งยิงระเบิด ชาร์จยิง เลเซอร์ และแต่ละปืนจะมีสกิลที่แต่ต่างกัน สัตว์เลี้ยง จะได้จากไข่เท่านั้น (มีให้เก็บตามด่าน) ซึ่งเราต้องมานั่งลุ้นว่า ไข่จะฟักออกมาเป็นตัวไหม ถ้าออกก็สุ่มว่าจะเป็นตัวไรอีก (ถ้าได้ซ้ำจะอัพเกรดสัตว์เลี้ยง) สัตว์เลี้ยงจะช่วยเราในหลายๆเรื่อง แล้วแต่ตัว เช่น ยิงศัตรู กันกระสุน เก็บของ  โดยการเล่นในแต่ละรอบจะมีกำหนดชัดเจนว่ามีบอสกี่ตัว (ยกเว้นจะเจอบอสลับ) เมื่อเราชนะบอสตัวสุดท้ายหรือตาย ก็จะกลับไปเริ่มใหม่ที่ Bar และจะมีสรุปว่ารอบนั้นเราเก็บไอเท็มอะไรมาบ้าง ได้Gemสีเหลืองรวมกี่เม็ด และCode เซ็ทไอเท็มของรอบนั้น (สามารถเอาCode ไปกรอกที่เสานอกBarได้ เพื่อที่จะได้เล่นไอเท็มรอบนั้นอีกครั้ง แต่เราจะไม่ได้Gemสีเหลืองเพิ่มในการเล่นCodeนั้น) มาพูดถึงข้อเสียกันดีกว่า อย่างแรก ตอนนี้ยังมีบัคที่มีผลต่อการเล่นให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น ระเบิดหินไม่แตก เดินออกห้องไม่ได้ ทำให้เมื่อเจอก็หมดอารมณ์เล่นกันเล่นทีเดียว อย่างที่2 เกมนี้ออกกลางเกมไม่Saveให้ ทำให้การจะหยุดเล่นเกมนี้นอกจากจะเล่นให้จบรอบ/ตาย ก็ต้องทำใจทิ้งรอบนี้ เล่นรอบใหม่ไปเลย และข้อสุดท้ายในแต่ละรอบมีบอสจำนวนชัดเจน ทำให้Gemสีเหลืองที่ได้แต่ละรอบจำกัดเช่นกัน แถมถ้ารอบไหนฟาร์มมาดี ปืนโหดๆ ก็จบถูกตัดจบเพราะบอสในรอบนั้นหมดแล้ว ก็คงจะเซ็งไม่น้อย (ผมละคนหนึ่ง - -) ความรู้สึกหลังเล่น บอกตรงๆเลยว่าติดหงอมแหงมเลยครับ เป็นเกมที่สนุกมาก และสะใจสุดๆ แถมผมก็ชอบเล่นเกมแนว Roguelike อยู่แล้วเลยชอบเข้าไปอีก (ถามว่าหนักแค่ไหนก็ตอนนี้ก็เล่นไปเกือบ 30 ชม.แล้ว)  ถึงจะเจอบัคอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร (ถ้าไม่ใช่บัคที่ทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้อะนะ) และหวังว่าจะมีของอัพเดทเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ส่วนตัวแล้วคงหยิบมาเล่นได้อีกยาวเลย (อวยหนักมาก) สรุป Neon Abyss เป็นเกมแนว Roguelike ที่สนุกมากๆอีกเกมหนึ่ง ถ้าใครที่สนใจหรือชอบแนวนี้อยู่แล้ว ก็ควรที่จะซื้อมาเล่นดู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน link : https://store.steampowered.com/app/788100/Neon_Abyss/ [penci_review id="63734"]
10 Aug 2020
พาชมระบบใน V4 ที่จะทำให้คุณตกหลุมรักเกมนี้
V4 หรือในชื่อเกมเต็มว่า Victory For เกม MMORPG กราฟฟิกสุดอลังการจากค่าย Nexon โดยตัวเกมเน้นการผจญภัยใน Open World ที่กว้างใหญ่ และยังมีคอนเทนต์สนุก ๆ ที่สามารถทำข้ามเซิฟเวอร์กันได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมทั้งโลกเข้ามาไว้ได้ในเกมเดียว และสำหรับบทความนี้ Game Fever จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับระบบเบื้องต้นของเกมที่เรียกได้ว่า "ตก" ผู้เล่นได้เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นนักแคสเกมและสตรีมเมอร์หลายท่านออกปากบอกเลยว่า "เกมนี้เล่นยาว ๆ" กันถ้วนหน้า อะไรที่ทำให้เหล่า Player รักเกมนี้ได้ขนาดนั้น เราตามไปส่องพร้อม ๆ กันเลยจ้า~ Cross-Platform อย่างที่บอกว่าการเล่นเกมนี้ ก็เหมือนกับเราได้เชื่อมต่อกันทั้งโลก ไม่ว่าคุณจะเล่นบนโทรศัพท์ Android IOS หรือแม้แต่บน PC ก็สามารถมาเจอกันได้ หากมีสเปคเครื่องตามนี้ สำหรับ PC เราจะได้เล่นผ่าน Nexon Luncher ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทางการจากเจ้าของเกมเอง ฉะนั้นหมดห่วงเรื่องปัญหาเกี่ยวกับ Emulator ได้เลย ใครถนัดแบบไหนก็เลือกได้ หรืออยากเล่นโดยไม่ขาดตอนแม้ไม่ได้อยู่หน้าคอมก็ยังได้ เยี่ยมไปเลยเนอะ   Character เมื่อโลกถูกปกคลุมด้วยความชั่วร้าย ปีศาจได้พยายามรุกรานโลกที่เคยสงบ จึงเป็นหน้าที่ของ "กัปตัน" อย่างเรา ที่จะนำทีมปราบปรามภัยคุกคามของโลกใบนี้ให้สิ้นซาก โดยเราสามารถเลือกสไตล์การต่อสู้ที่เหมาะกับตัวเองได้จาก 6 คลาส ได้แก่... Enchantress - นักเวทย์สาวสวย ผู้ใช้คฑาเวทมนต์โจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรงต่อเหล่าศัตรูที่บังอาจเข้ามาใกล้ Warlord - นักรบผู้ใช้ค้อนโลหะฟาดศัตรูให้กระจุยด้วยพลังอันมหาศาล Slayer - ผู้ใช้ดาบสังหารศัตรูด้วยความแม่นยำฉับไว ทำให้ศัตรูผู้อ่อนแอพบจุดจบอย่างรวดเร็ว Knight - นักรบสาวผู้แข็งแกร่งในสนามรบ ด้วยความสมดุลทั้งการโจมตีและป้องกัน จึงยากที่จะโค่นเธอได้ Gunslinger - สาวนักแม่นปืน ที่สามารถสร้างบาดแผลฉกรรจ์ต่อเป้าหมายที่เธอเล็งไว้ได้อย่างไม่มีพลาด Boomblad - ถึงตัวจะเล็กแต่ขวาน+ปืนของเธอ ทำให้การโจมตีของเจ้าตัวเล็กปรับเปลี่ยนได้หลากหลายและยากต่อการคาดเดา   Quest เกม MMORPG บนมือถือ แน่นอนค่ะว่าต้องใช้ระบบ Auto-Quest ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อเริ่มเกมมาจะมีระบบแนะนำให้กดเควสใช่ไหมล่ะ แต่เกมนี้ไม่! เริ่มเกมปุ๊บ เควสหลักรันปั๊บ แล้ว NPC ก็พาเราวิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ รอบเมืองทันที ความรู้สึกแรกคือ นึกว่าดูหนังอนิเมชั่นสักเรื่องอยู่ แต่ความจริงก็ยังเล่นเกมอยู่นั่นแหละจ้า ซึ่งก็นับว่าสะดวกมากสำหรับใครที่เบื่อการกดรับเควสบ่อย ๆ แต่เควสที่เราต้องกดเองจริง ๆ ก็มีนะ โดยในแต่ละพื้นที่จะมีเควสประจำพื้นที่และเควสเสริมอยู่ และหากเราอยู่ในระยะ เควสจะเสนอขึ้นมาให้เรากดรับ ถ้าอยากทำก็กด ถ้าไม่อยากก็สามารถปล่อยผ่านได้ ชีวิต (ในเกม) ง่ายเลยใช่ไหม?   Game Guide คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อกดปุ่มเมนูแล้วมีระบบให้เราเล่นขนาดนี้... เป็นปกติเมื่อเราเล่นไปสักระยะจะสามารถปลดล็อคระบบใหม่ ๆ และเราอาจจะงงว่า "มันใช้ยังไงหว่า" แต่ในเกมนี้จะมีระบบแนะนำแบบทันที (ซึ่งแน่นอนว่าใครไม่อยากดูก็กดข้ามไปได้เลย) ฉะนั้น หมดห่วงเรื่องระบบเยอะ ยุ่งยาก ซับซ้อน เพราะไกด์อธิบายดีและละเอียดแบบครั้งเดียวเล่นเป็นเลย รับประกันจ้า!!   Warp จุดนี้ส่วนตัวชอบมากเลยค่ะ ปกติเมื่อเราเปลี่ยนแผนที่จะต้องเข้าวาร์ปแล้วรอโหลดเพื่อเปลี่ยนฉากใช่ไหมล่ะ แต่สำหรับ V4 เมื่อเราก้าวข้ามเขตแมพจะมีแสงวาบเบา ๆ 1 ครั้ง พร้อมขึ้นว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน หากมองเผิน ๆ เหมือนกับเราวิ่งแล้วข้อความเด้งขึ้นมาเฉย ๆ เลย นับเป็น Open World แบบไร้รอยต่อจริง ๆ และมันเกิดขึ้นกับเกมที่ให้บริการบนมือถือด้วย สุดยอดมาก!!!! https://youtu.be/p0sisOKmgQo   สหาย โดยคอนเซปต์ของ MMORPG เราต้องปาร์ตี้กับคนในเกมใช่ไหมล่ะ? แต่สำหรับบางคนที่ชอบโซโล่ ทำให้รู้สึกว่าภารกิจในแต่ละวันมันเยอะเหลือเกิน V4 ได้แก้ปัญหาให้ด้วยการเพิ่ม "ระบบสหาย" ซึ่งก็คือ NPC ที่เราเจอช่วงทำเควสซะส่วนใหญ่นั่นแหละ หรืออาจจะเปิดสุ่มจากร้านค้าเอาก็ได้เช่นกัน โดยสหายแต่ละคนจะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่น เก็บรวบรวม ออกล่า พิชิตพื้นที่ เป็นต้น นอกจากไม่เหงาตอนวิ่งเควสแล้ว ยังมีผู้ช่วยฟาร์มของอีก อะไรมันจะดีขนาดนั้น~   ระบบพักหน้าจอ อันนี้ขอพูดถึงหน่อย เพราะปกติการพักหน้าจอเกมมือถือ คือการปล่อยให้ตัวละครตีมอนสเตอร์หรือเดินเควสอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องเฝ้า และเพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อเปิดใช้ ส่วนใหญ่เราก็จะไม่รับรู้อะไรในเกมอีกเลยจนกว่าจะปลดล็อคใช่ไหมล่ะ แต่ใน V4 แม้จะพักหน้าจอไปแล้ว เราก็สามารถรู้ทุกความเคลื่อนไหวภายในเกมได้ โดยไม่ต้องแสดงฉากและตัวละคร ทั้งไอเทม ค่าประสบการณ์ที่ได้รับ ช่องแชท แม้แต่หลอด HP ก็แสดงบนหน้าจอที่พักอยู่ด้วย ไม่ต้องลุ้นว่าปลดล็อคมาแล้วจะเจออะไรที่คาดไม่ถึง ซึ่งนับว่าเจ๋งกว่าเกมอื่นเยอะเลยล่ะ   Camera อันนี้ต้องบอกว่าเป็นตัวชูโรงสำหรับสายโซเชียลเลยนะ ระบบกล้องและมุมมองในเกม V4 สามารถปรับได้ถึง 4 แบบ ดังนี้ 1. Normal - จะเป็นเหมือนกล้องวิ่งตามตัวละคร แบบเพื่อนถ่าย Vlog การผจญภัยของเราไว้เลยล่ะ https://youtu.be/BZtwZvKNEB0 2. Action - อันนี้คือสุดยอดมาก ถ้าใครอยากให้เกมของเรากลายเป็นภาพยนตร์ เปิดโหมดกล้องนี้เลยค่ะ เพราะจะปรับมุมมองให้ดูตื่นเต้นและได้อรรถรสในการต่อสู้มากขึ้น (แต่ระวังเวียนหัวนะ อิอิ) 3. Free - อันนี้จะคล้ายแบบ Normal แต่กล้องไม่ได้ตามเราทุกฝีก้าวขนาดนั้น เรายังสามารถหมุนมุมมองได้ตามต้องการ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบภาพที่ตัดเปลี่ยนไว ๆ และโหมดนี้ทำให้เวียนหัวน้อยที่สุดด้วย 4. Quarter - มุมมองด้านบน สำหรับใครที่ชอบมุมภาพกว้าง ๆ จากมุมสูง นอกจากนี้ เรายังสามารถปิด UI ได้ทุกเมื่อ เพื่อการอัดคลิปหรือแคปหน้าจอได้ทันทีที่ต้องการ ภาพสวยแบบนี้ มีชอตถูกใจทีก็ แชะ! ได้สบายเลย   Lets Talk บรรยากาศเกมจ้า https://youtu.be/vWQo9xuQoCA เป็นอย่างไรกันบ้างคะ น่าเล่นใช่ไหมล่ะ? ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแค่ระบบ UI พื้นฐานเท่านั้น ภายในเกมยังมีระบบที่น่าสนใจอีกเยอะมาก ๆ ๆ ๆ เลยค่ะ เพื่อน ๆ ลองตามไปเล่นกันดูนะ ใครลองเล่นแล้ว ประทับใจเกมนี้เพราะอะไร ลองคอมเมนต์คุยกันหน่อยน๊า~~
06 Aug 2020
รีวิว The Everlasting Regret หมึก 3 สี กับเรื่องราวบนปลายพู่กัน
ในปัจจุบันเกมมือถือส่วนใหญ่ที่เราเห็นในตลาด มักจะเป็นเกมที่เปิดให้ผู้เล่นสามารถแข่งขันกับ คนอื่นได้ หรือไม่ก็เป็นเกมกาชาที่ให้เราสะสมตัวละครจำนวนมากที่ทางผู้พัฒนาออกแบบมา มีไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นเกมเนื้อเรื่อง เล่นคนเดียวทีเป็นเกมมือถือ อย่างน้อย The Everlasting Regret เกมใหม่จากทาง Tencent Games ที่มาในธีมโลกภาพวาดย้อนยุคของจีน ก็เป็นหนึ่งในนั้น     The Everlasting Regret เป็นเกมพิเศษที่ผู้เขียนไม่เคยได้พบเห็นที่ไหนมาก่อน และไม่คิดเลยว่าเกมแบบนี้จะสามารถสร้างขึ้นมาได้เช่นกัน แต่ในเมื่อมันมีหลักฐานให้เห็นอยู่ตรงหน้าขนาดนี้แล้ว ดังนั้นวันนี้จะขอรีวิวให้เพื่อนๆ ชาว GameFever Th ได้รู้กันว่า เจ้าเกมเนื้อเรื่องเล่าผ่านภาพวาดนี้ มีดีที่ตรงไหน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ     เนื้อเรื่อง     The Everlasting Regret จะกล่าวถึงเรื่องราวของการพานพบ และความรัก ระหว่างสตรีโฉมงามนางหนึ่งที่มีชื่อว่า หยางกุ้ยเฟย กับจักรพรรดิ์ราชวงค์หนึ่งในจีนยุคโบราณ เรื่องราวจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเธอยังเป็นเด็ก ไปจนวันที่เธอได้เป็นหนึ่งในนางสนมคนสำคัญ ผ่านยุคที่สงบสุข, ผ่านยุคสงคราม, จนกระทั้งถึงวันที่ต้องแยกจากกัน     ความยาวทั้งหมดของเนื้อเรื่องถูกแบ่งออกเป็น 4 บท โดยแต่ละบทจะไม่ได้มีความยาวมากมายอะไร ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอ่านนิทานอยู่มากกว่าเล่นเกมเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็ทำให้ตัวผมรู้สึกสนุกสนานไปกับมันพอสมควรครับ     กราฟิก / การนำเสนอ       ในส่วนกราฟิกของเกมนี้ ต้องยอมรับเลยว่าทีมผู้พัฒนานำเสนอได้น่าสนใจมากครับ แตกต่างจากเกมมือถือในยุคนี้ทีมักจะใช้ภาพ 3D สมจริง นำเสนอกราฟิกที่สวยงามอลังการ The Everlasting Regret กลับใช้กราฟิกที่เป็นเหมือนภาพวาดในคำภีร์โบราณของจีน ซึ่งช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับเกมเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง     ในเกมนี้ใช้การเปลี่ยนฉากของเนื้อเรื่อง เป็นการเปิดม่วนคำภีร์เพิ่มเติม มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังอ่านชีวประวัติอยู่จริงๆ นอกจากนี้ในแต่ละช่วงยังมีการนำเสนอบทกลอนด้วยตัวอักษรภาษาจีนที่เขียนด้วยพู่กัน ยิ่งช่วยเสริมสร้างอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี คือต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีจริงๆ ครับ     เกมเพลย์     ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รู้จักกับหมึก 3 สี ที่มีชื่อว่า Vivify, Bond และ Erase แต่ละอันจะมีความหมายไม่เหมือนกัน โดย Vivify หมายถึงการดำเนินไปหรือย้อนกลับ, Bond หมายถึงสายสัมพันธ์ ส่วน Erase คือการลบออกไป ในการเล่นเกมนี้ผู้เล่นจะต้องใช้หมีกที่มีความหมายแตกต่างกันนี้ ในการเสริมสร้าง, เชื่อมโยง, หรือลบออกไป เพื่อดำเนินเนื้อเรื่อง โดยมีอักษรที่สีแดงเป็นคำใบ้     ความน่าสนใจของระบบนี้ ก็คือการที่ผู้เล่นสามารถใช้หมึกสีต่างๆ สร้างเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น นอกเหนือไปจากที่เป็นเส้นทางหลักของเนื้อเรื่องได้ เช่น ถ้าหากว่าเหล่านางสนมทั้งหมดเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วัยเด็ก จะเป็นเช่นด้วยการใช้หมึกแรกในการย้อนเวลาเหล่าสนมทั้งหมด และใช้หมึกที่สองในการเชื่อมโยง หรือถ้าหากว่าองค์ราชาได้เจอกับสนมเอกตั้งแต่เด็กจะเป็นเช่นไร ภาพแบบไหนที่เราจะได้เห็น แน่นอนว่าเส้นทางที่ถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียว แต่การที่เปิดให้เราใช้จินตนาการสร้างสรรค์เนื้อเรื่องได้อย่างอิสระเช่นนี้ ก็เป็นอะไรที่ต้องยอมรับว่า แปลกใหม่ ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์อย่างมากครับ         แน่นอนว่าในการเล่นเกมนี้ ไม่ได้ให้ผู้เล่นเลือกสีของน้ำหมึก แต่งแต้มเรื่องราวต่างๆ เพียงอย่างเดียว บางครั้งผู้เล่นอาจต้องวาดภาพ หรือทำการเลื่อนฉากให้เหมือนกับว่าตัวละครกำลังเดินทางด้วยเช่นกัน ด้วยความที่เกมเพลย์ และเนื้อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นบนกระดาษ เลยทำให้เกมเพลย์ของ The Everlasting Regret เรียกได้ว่ามีเสน่ห์มาก     น่าเสียดายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมเนื้อเรื่องแล้ว ก็ต้องพบกับปัญหาที่เรียกว่า กำแพงของภาษาครับ สำหรับใครที่ไม่แข็งในภาษาอังกฤษ หรือจีน การเล่นเกมนี้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะจำเป็นต้องเรื่องสีของหมึก, วาดรูป หรือเลื่อนฉากให้ตรงกับคำใบ้ของเกม ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษครับ     สรุป     The Everlasting Regret ถือเป็นเกมเนื้อเรื่องที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง ทั้งยังเป็นเกมที่ใช้เวลาในการเล่นไม่นาน เหมาะกับการเล่นระหว่างเดินทางบนรถไฟฟ้า หรือไปต่างจังหวัดเป็นอย่างมาก มีเกมเพลย์ที่พิเศษ และน่าสนใจ โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบเกมนี้ แต่ต้องยอมรับว่า The Everlasting Regret ไม่ใช้เกมที่สามารถใครก็สามารถสนุกไปกับมันได้ ยิ่งกำแพงเรื่องภาษาเรียกได้ว่าคงทำให้ใครหลายคนไม่สามารถเล่นเกมนี้ได้เลยทีเดียว      เอาข้อดีหักออกจากข้อเสียทาง GameFever TH จึงให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ยอมรับเลยว่าเนื้อเรื่องรวมไปจนถึงเกมเพลย์ทำออกมาได้น่าสนใจจริงๆ  สำหรับใครที่สนใจก็สามารถดาวน์โหลดมาเล่นได้ที่ด้านล่างนี้เลยครับ ดาวโหลดน์เกมบน PlayStore ดาวโหลดน์เกมบน AppStore  
30 Jul 2020
Review: รีวิวเกม Ghost of Tsushima "Assassin ก็ไม่ใช่ Jedi ก็ไม่เชิง"
ถ้าให้พูดกันตามตรง เกม Ghost of Tsushima / ‘นักรบปีศาจแห่งสึชิมะ’ ถือเป็นเกมที่ “สนุก” มากๆ เกมหนึ่ง ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่นโลกเปิดอันดุเดือด ที่ผสมผสานการต่อสู้อันท้าทายของเกมอย่าง Star Wars Jedi: Fallen Order เข้ากับการลอบเร้นและโครงสร้างของเกม Assassin’s Creed จนทำให้ในหลายๆ จังหวะ เกมรู้สึกเหมือนเป็น “เกม Assassin’s Creed สไตล์ญี่ปุ่น” ที่แฟนๆ เรียกร้องจะได้เล่นมาตลอดเลยก็ว่าได้ ยังไม่นับรวมองค์ประกอบด้านการนำเสนออย่างกราฟิกและเพลง ที่ล้วนสร้างบรรยากาศให้การสำรวจโลกไม่น่าเบื่อตลอดระยะเวลาที่เล่น แต่ Ghost of Tsushima ก็ยังประสบปัญหาหลายๆ อย่างที่มักพบในเกม Open World โดยเฉพาะในแง่ของเนื้อเรื่อง รวมไปถึงปัญหาด้านการนำเสนอบางประการ ที่ทำให้เกมมีความรู้สึก “เก่า” ไปซะหน่อย เมื่อเทียบกับเกมฟอร์มใหญ่อื่นๆ ทุกวันนี้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกมวางจำหน่ายเร็วกว่านี้ซักปีสองปี คงทำให้สามารถมองข้ามสิ่งที่เกมขาดไปได้ง่ายกว่านี้ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของเกม Ghost of Tsushima จะอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์ปี ค.ศ. 1274 เมื่อกองทัพจากจักรวรรดิ์มองโกลได้เริ่มต้นการรุกรานญี่ปุ่น โดยกองเรือมองโกลได้เทียบท่าที่เกาะสึชิมะ (Tsushima) เป็นอันดับแรก ผู้เล่นจะรับบทเป็นซามูไรหนุ่ม Jin Sakai (จิน ซาไค) ผู้รอดชีวิตไม่กี่คนจากการโจมตีระลอกแรกของกองทัพมองโกล ผู้ซึ่งตัดสินใจหันหลังให้กับวิถีนักรบอันทรงเกียรติ์ เพื่อต่อสู้กับเหล่าผู้รุกรานโดยไม่เลือกวิธีในฐานะ “นักรบปีศาจแห่งสึชิมะ” (The Ghost) พร้อมกับเหล่าเพื่อนพ้องนักรบ ที่พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของพวกเขา เนื้อเรื่องเส้นหลัก หรือที่เกมเรียกว่า “Tale of Jin” (บันทึกของจิน) จะถูกแบ่งออกเป็นสาม “องค์” เกี่ยวกับความพยายามในการปลดแอกเกาะสึชิมะจากการปกครองของเหล่าผู้รุกราน ซึ่งในมิตินี้ เนื้อเรื่องหลักของเกม Ghost of Tsushima ค่อนข้างจะตามสูตรเรื่องราวแนวเดียวกันค่อนข้างจะเป๊ะๆ เลย จินก็คือนักรบผู้ถูกเลือก ทีต้องออกเดินทางอย่างโดดเดี่ยวเพื่อรวบรวมผู้กล้ากลุ่มเล็กๆ และปลุกใจชาวบ้านที่ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านเหล่าวายร้ายที่มีจำนวนมากกว่า ซึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องโดยรวมไม่ได้น่าจดจำเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้แย่ แต่ก็รู้สึก “เฉยๆ” มาก อีกอย่างก็คือ เนื้อเรื่องหลักของเกมพยายามจะนำเสนอประเด็นความขัดแย้งในใจของจิน เขาต้องทำในสิ่งที่ขัดกับคำสอนและความเชื่อทั้งหมดที่เขาเติบโตมา เพื่อปรับตัวเข้ากับศัตรูกลุ่มใหม่ ที่ไม่มีปัญหากับการ “เล่นสกปรก” เพื่อชัยชนะ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกมใช้เป็นแก่นทางอารมณ์ (Emotional Core) ของเนื้อเรื่อง ปัญหามันเกิดตรงที่ว่าเกมนำเสนอชัดเจนเหลือเกินว่ามันมีทางเลือกที่ “ถูกและผิด” อยู่ในสถานการณ์นี้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งในช่วงต้นๆ เกม เมื่อจินจำเป็นต้องช่วยชีวิตชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจากเหล่าผู้รุกราน โดยตัวเขารู้ดีว่าถ้าเขาบุกเข้าไปโจมตีทหารมองโกลตรงๆ จะทำให้ชีวิตของชาวบ้านอยู่ในอันตราย เขาจึงต้องจำใจขัดวิถีซามูไร และลอบสังหารศัตรูทั้งหมดแบบเงียบๆ เพื่อให้สามารถรักษาชีวิตของชาวบ้านได้ ในสถานการณ์ที่ยกมา ผู้เขียนรู้สึกว่ามันช่างชัดเจนเหลือเกินว่าทางเลือกที่ถูกต้องคืออะไร หากจุดประสงค์ของจินคือการช่วยชีวิตชาวบ้าน งั้นทางเลือกที่จินเลือกก็น่าจะถูกต้องแล้ว ดีกว่าการรักษาเกียรติ์ของตนเองแต่ต้องแลกมากับชีวิตของผู้บริสุทธิ์ แต่จินก็ยังดูจะเป็นทุกข์กับการตัดสินใจของเขาอยู่ดี ทำให้ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยอินกับประเด็นนี้เท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าบางครั้งก็เหมือนตัวละคร "คิดมาก" ไปเอง ในอีกมุมหนึ่ง อาจจะมองได้ว่าเกมพยายามจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ไม่มีทางออกระหว่างแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป และคนรุ่นเก่าที่พยายามจะคงไว้ซึ่ง “วัฒนธรรมและค่านิยมอันดีงาม” ที่พวกเขาถูกเสี้ยมสอนมาตลอดชีวิต และความลำบากใจของคนรุ่นใหม่ ที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านและล้มล้างความคิดเหล่านั้นเพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า แม้จะต้องปะทะกับเหล่าคนรุ่นเก่า ที่ในหลายครั้งก็เป็นคนที่เรารักและเคารพอยู่ แม้ว่าเราจะไม่สามารถยอมรับความคิดของพวกเขาได้อีกต่อไป ซึ่งก็ถือเป็นมิติที่น่าสนใจในเนื้อเรื่อง แต่สุดท้ายแล้ว เกมก็ยังคงนำเสนอประเด็นดังกล่าวออกมาได้ไม่ดีนัก เพราะสุดท้ายก็นำเสนอ “ฝั่งที่ถูกต้อง” อย่างชัดเจนอยู่ดี ในทางกลับกัน เนื้อเรื่องส่วนที่เป็นเควสเสริมประจำตัวละครเพื่อนร่วมกลุ่มทั้งหมด กลับมีความน่าสนใจมากกว่าเนื้อเรื่องของจินเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าลูกศิษย์ผู้ทรยศของ Sensei Ishikawa ไปจนถึงการตามล้างแค้นเพื่อครอบครัวของ Lady Masako ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่เข้มข้นน่าติดตาม ในระดับที่ทัดเทียมกับเนื้อเรื่องของเควสเกมอย่าง The Witcher 3 เลยทีเดียว เนื้อเรื่องเหล่านี้ยังมักจะปลดล๊อคบทใหม่ๆ ตามเนื้อเรื่องหลักไปเรื่อยๆ และมักจะตั้งคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง “ซามูไร” และ “ปีศาจ” (หรือความขัดแย้งระหว่างคนสองรุ่น) ในใจของจินได้ดีกว่าในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก ทำให้การเล่นเนื้อเรื่องเสริมของตัวละครเหล่านี้ ย้อนกลับไปทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องหลักน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย แม้สุดท้าย เควสเสริมส่วนใหญ่ที่มีให้เล่นในเกมจะค่อนข้างสั้น และมีเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่ด้วยเนื้อเรื่องหลักที่ “พอใช้” บวกกับเควสเสริมประจำตัวละครที่เขียนบทมาได้อย่างดี และนักแสดงและนักพากย์เสียงที่ยอดเยี่ยม (กล่าวถึงเพิ่มเติมในส่วนการนำเสนอ) ก็เพียงพอจะทำให้ผู้เขียนใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินไปกับเกมไม่ต่ำกว่า 30-40 ชั่วโมงก่อนจะจบเนื้อเรื่อง ◊ เกมเพลย์ ◊ อย่างที่กล่าวไปในหัวเรื่อง เกมเพลย์ของ Ghost of Tsushima อาจจะบรรยายได้แบบกว้างๆ ว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างการต่อสู้ของเกมอย่าง Star Wars Jedi: Fallen Order ที่เน้นการปัดป้อง (Parry) และหลบหลีกการโจมตีของศัตรู และปลิดชีพศัตรูอย่างรวดเร็วในการโจมตีไม่กี่ครั้ง เข้ากับการลอบเร้นและโครงสร้างของเกม Assassin’s Creed ที่ให้ผู้เล่นเดินทางไปรอบๆ แผนที่เพื่อทำเควสเนื้อเรื่อง เควสเสริม รวมไปถึงกิจกรรมยิบย่อยอีกมากมาย พร้อมกับการพัฒนาความสามารถและอุปกรณ์ของตัวละครไปด้วย ในระหว่างการต่อสู้อย่างซามูไร เกมเพลย์ของ Ghost of Tsushima อาจจะเปรียบได้กับเกมอย่าง Star Wars Jedi: Fallen Order ที่เน้นการหลบหลีกและปัดป้อง (Parry) การโจมตีของศัตรู เพื่อหาช่องว่างในการสวนกลับด้วยการโจมตีหนัก/เบา ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนท่าถือดาบให้ตรงตามชนิดของศัตรูเพื่อสร้างความได้เปรียบด้วย เกมมักจะแบ่งชัดเจนว่าการโจมตีแบบไหนที่ควรหลบหลีก และแบบไหนควรปัดป้อง โดยท่าที่ตั้งใจให้ปัดป้องทั้งหลายมักจะออกมาเป็นชุด และมักจะติดตามการหลบหลีกของผู้เล่นได้ตลอด จึงอาจจะพูดได้ว่าในขณะที่เกมอย่าง Jedi: Fallen Order หรือกระทั่ง Sekiro: Shadows Die Twice ยังเปิดให้ผู้เล่นที่อาจไม่ถนัดการกะจังหวะเพื่อปัดป้องสามารถใช้ความคล่องแคล่วมาทดแทนกันได้ ใน Ghost of Tsushima เกมแทบจะบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องฝึกฝนการปัดป้องให้ชำนาญระดับหนึ่งเลย แม้กระทั่งในการต่อสู้กับศัตรูระดับต่ำ เพราะความสมจริงของเกมหมายความว่าทั้งศัตรูและผู้เล่นจะสามารถรับการโจมตีได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นก่อนจะตาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่า Ghost of Tsushima มีความยากกว่า Jedi: Fallen Order หรือ Sekiro: Shadows Die Twice แต่อาจจะพูดได้ว่าเกม “คาดหวัง” ให้ผู้เล่นทุกคนสามารถใช้เครื่องมือทุกอย่างที่เกมมอบให้ให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นทักษะพื้นฐานอย่างการหลบหลีกและป้องกัน ไปจนถึงระบบ Stance หรือท่าถือดาบ ที่มักจะเปลี่ยนท่วงท่าการโจมตีของผู้เล่นเพื่อรับมือกับศัตรูชนิดต่างๆ เช่นท่าหนึ่งเอาไว้รับมือกับศัตรูที่ถือดาบ ในขณะที่อีกท่าเอาไว้รับมือกับศัตรูที่ถือหอก เป็นต้น แม้จะไม่ค่อยเห็นผลในช่วงแรกๆ แต่ในช่วงท้ายๆ เกมศัตรูจะเริ่มใส่เกราะหนักที่ทำให้รับการโจมตีได้มากขึ้น ทำให้การพยายาม Stagger ศัตรูผ่านท่าโจมตีเฉพาะของแต่ละ Stance มีความจำเป็นขึ้นมา และทำให้ยิ่งเกมดำเนินไปเท่าไหร่ การต่อสู้ในเกมก็จะมีมิติมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เกมมักจะทดสอบฝีมือของผู้เล่นอยู่เป็นระยะผ่านการต่อสู้แบบ Duel หรือการดวลดาบแบบตัวต่อตัวในพื้นที่จำกัด ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นเกมเพลย์ส่วนที่หินที่สุดในเกมเลย เพราะศัตรูในการดวลมักจะมีท่วงท่าและจังหวะการโจมตีที่ซับซ้อนกว่าศัตรูทั่วไป ที่จะบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ฝีมือในการต่อสู้ของตัวเองเพียวๆ 100% มีการดวลหลายครั้งที่ผู้เขียนตายแล้วตายอีกนับสิบๆ รอบกว่าจะผ่านไปได้ แต่ทุกครั้งที่เอาชนะศัตรูเหล่านี้ลงได้ ผู้เขียนก็สังเกติได้ถึงพัฒนาการในการเล่นของตัวเองเช่นเดียวกัน จึงทำให้การดวลเหล่านี้ยังคงสนุกทุกครั้ง และทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซามูไรยอดฝีมือขึ้นมาจริงๆ เลย ในทางกลับกัน ต้องยอมรับว่าเกมเพลย์การลอบเร้นใน Ghost of Tsushima นั้นอาจจะเรียกได้ว่า “เบสิก” มากๆ ผู้เล่นจะสามารถกดปุ่มอนาล๊อคขวา (R3) เพื่อย่อตัวลงและหลบซ่อนในพงหญ้าได้ หรือจะปีนป่ายภูเขา/อาคาร/ต้นไม้ในสภาพแวดล้อมเพื่อหาจังหวะลอบสังหารศัตรูจากด้านบนก็ได้ ผู้เล่นจะมีเครื่องมือเช่นกระดิ่งและประทัดที่สามารถใช้ปาไปดึงดูดความสนใจของศัตรูได้ หรือลูกดอกพิษที่ทำให้ศัตรูเห็นภาพหลอนและโจมตีศัตรูด้วยกันเป็นต้น มีธนูไว้ใช้สังหารศัตรูเงียบๆ จากระยะไกล หรือจะเข้าไปปาดคอในระยะใกล้ก็ได้ เมื่อถูกเจอ ผู้เล่นก็สามารถปาระเบิดควันลงพื้นเพื่อหลบซ่อนจากศัตรูอีกครั้งได้ คือขาดไปแค่รถเข็นใส่กองฟางก็จะเป็น Assassin’s Creed แล้วจริงๆ แต่อาจจะจำกัดมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเกมไม่ได้เปิดให้ปีนป่ายได้อย่างอิสระเท่า AC แถมองค์ประกอบอย่างการเคลื่อนย้ายศพศัตรูก็ไม่มี ที่สำคัญ A.I. ศัตรูในเกมนี้ก็ไม่ค่อยจะฉลาดนัก โดยเฉพาะในระดับความยาก Normal นี่แทบจะเรียกว่าหูหนวกตาบอดกันหมดเลยทีเดียว ผู้เขียนสามารถกระโดดจากตึกสองชั้นลงมายืนข้างหลังศัตรูได้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัวอะไรเลย แม้จะตกลงมาเสียงดังแค่ไหน หรือตัวเอกจะโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่สองวิเต็มๆ (เพราะโดดลงมาสูงเกินแล้วโดน Fall Damage) แต่ผู้เขียนก็ยังสามารถปาดคอพวกมันได้โดยที่ไม่มีใครรู้ แม้การปรับระดับความยากขึ้นมาเป็น Hard จะทำให้ศัตรูหูตาไวขึ้นพอสมควร และทำให้การลอบเร้นมีความท้าทายขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นรูปแบบการลอบเร้นแบบพื้นๆ ที่ค่อนข้างง่าย และอาจไม่ค่อยสนุกสำหรับคนที่โหยหาความท้าทายระดับเดียวกับการต่อสู้ในเกม ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่เกมพยายามจะปลดล๊อคความสามารถฝั่งลอบเร้น (เช่นมีดบิน ระเบิดควัน ประทัด)ไปตามเนื้อเรื่อง เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของตัวเอก กว่าจะปลดล๊อคเครื่องมือทั้งหมดในการลอบเร้น ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเกมแล้ว (20-25 ชั่วโมง) ทำให้การลอบเร้นในช่วงองค์แรกของเกม (5-10 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความขยันในการเก็บเควส) ค่อนข้างจำกัดมากๆ ซึ่งแม้จะมีเหตุผลสนับสนุนในเนื้อเรื่อง แต่ก็ทำให้การลอบเร้นของเกมในครึ่งแรกทั้งหมดรู้สึกน่าเบื่อไปซะหน่อยสำหรับผู้เขียน ที่มักจะเลือกเดินเข้าไปท้าศัตรูซึ่งๆ หน้าเลยเพราะสนุกกว่า การลอบเร้นจะเริ่มรู้สึกมีความจำเป็นขึ้นมาจริงๆ ในช่วงท้ายเกม ที่เริ่มมีเครื่องมือและเงื่อนไขในภารกิจที่เน้นการลอบเร้นมากขึ้น แถมศัตรูระดับสูงยังมักจะมีชุดเกราะและอาวุธที่ทนทานกว่าช่วงต้นเกมหลายเท่า การลอบเร้นเข้าไปตัดกำลังกองทัพศัตรูอย่างเงียบๆ ก่อนจึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้เขียนทำเพราะรู้สึกจำเป็น (ไม่งั้นโดนรุมตาย) มากกว่าเป็นทางเลือกจาก “ความสนุก” และมักจะเหลือศัตรูไว้ในค่ายจำนวนหนึ่งเพื่อต่อสู้ตรงๆ เสมอ (แต่ยอมรับว่าคนที่อยากได้อารมณ์ Assassin’s Creed แบบคลาสสิคในยุคญี่ปุ่นโบราณ น่าจะอินได้ไม่ยาก ในส่วนของการสำรวจ Ghost of Tsushima จะมีลักษณะคล้ายๆ กับเกมโลกเปิดส่วนใหญ่ในแง่ของโครงสร้าง ที่จะมีภารกิจหลักและเสริม รวมไปถึงกิจกรรมย่อยๆ อย่างการแช่บ่อน้ำแร่เพื่อเพิ่ม Max HP หรือการสำรวจศาลเจ้าเพื่อรับเครื่องราง กระจัดกระจายให้ทำอยู่เต็มแผนที่ ซึ่งแน่นอนว่าบางกิจกรรมก็สนุก เช่นการสำรวจศาลเจ้า ที่มักจะมาในรูปแบบของพัซเซิ่ลการปีนป่าย (Platforming Puzzle) แบบเบาๆ หรือการเคลียร์ค่ายทหารมองโกล ที่ทำให้ได้รับแต้มความสามารถเพิ่ม ในขณะที่บางกิจกรรมก็ไม่ค่อยสนุก เช่นการแต่งกลอนไฮกุ หรือการวิ่งไล่หมาจิ้งจอก อาจจะแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่อย่างน้อยระบบ Fast Travel ของเกมก็ทำให้ผู้เล่นสามารถเดินทางไปยังตำแหน่งของกิจกรรมที่พบในแผนที่ได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นการจะทิ้งกิจกรรมที่ไม่อยากทำไว้จนถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ ค่อยมาทำก็ยังง่ายดาย เพราะสามารถวาร์ปกลับไปยังตำแหน่งนั้นๆ ได้ทันที การสำรวจจะผูกเข้ากับระบบการพัฒนาตัวละครด้วย เพราะกิจกรรมแทบทุกอย่างที่ทำได้บนแผนที่จะมอบประโยชน์ให้กับตัวละครแตกต่างกันไป เช่นการแช่บ่อน้ำร้อนเพื่อเพิ่ม Max HP หรือการฝึกฟันไม้ไผ่เพื่อเพิ่มเกจ Resolve ที่เอาไว้ใช้ปล่อยท่าพิเศษและฟื้นฟูพลังชีวิตของผู้เล่นขณะต่อสู้ นอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถเลือกใส่ชุดเกราะ (ต้องเลือกเปลี่ยนทั้งชุด ยกเว้นหมวกกับหน้ากากสามารถผสมกันได้) และเครื่องรางชนิดต่างๆ ได้ เช่นเกราะซามูไรที่ใส่แล้วได้พลังโจมตีและพลังชีวิตเพิ่ม หรือเครื่องรางที่ทำให้ปามีดสั้นได้เพิ่มขึ้น 2 เล่มเป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมอบความสามารถพิเศษต่างกัน และทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกสับเปลี่ยนให้เข้ากับสไตล์การเล่นหรือสถานการณ์ได้ เราอาจจะเลือกใส่เกราะหนักและใส่เครื่องรางที่เพิ่มพลังป้องกันเมื่อต้องดวลเดี่ยวกับบอส แต่เปลี่ยนมาใส่เกราะโรนินที่ทำให้ศัตรูมองเห็นเราช้าลงเมื่อต้องการลอบเร้นเป็นต้น ทำให้ชุดเกราะทุกชุดมีประโยชน์ และทำให้ผู้เล่นสามารถเตรียมตัวรับสถานการณ์ได้อย่างหลากหลาย แม้จะไม่ได้ลึกเท่าระบบชุดเกราะในเกม RPG ก็ตาม ซึ่งก้อาจไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับหลายคนที่เบื่อหน่ายระบบ RPG ในเกมแอคชั่น ในการเดินทาง ผู้เล่นจะต้องพึ่งพา “สายลม” ในการนำทางไปสู่จุดหมายในลักษณะเดียวกับการปักหมุดหรือการตั้ง Way Point ในเกมอื่นๆ ซึ่งก็ช่วยทำให้การเล่น Ghost of Tsushima ส่วนใหญ่มี HUD เช่นหลอดเลือดหรือมินิแมพขึ้นมากวนใจน้อยมาก และทำให้ผู้เล่นสามารถรับบรรยากาศของเกมได้ในระหว่างที่เดินทางไกลด้วยการขี่ม้า กลับกันคือระบบนกนำทาง ที่มักจะส่งนกสีเหลืองๆ มาพาผู้เล่นไปยังตำแหน่งของกิจกรรมเสริมที่ใกล้ที่สุด ซึ่งมักจะโผล่มาแบบสุ่ม แถมเจ้านกยังมักจะบินติดฉาก หรือไม่ก็บินหายไปเฉยๆ (ไม่รู้ว่าเป็นบั๊คหรือหาไม่เจอเอง) แต่ที่แน่ๆ คือผู้เขียนพบว่านกเหล่านี้มักจะพาเราหลงและเสียเวลาไป มากกว่าที่จะพาไปเจออะไรที่มีประโยชน์จริงๆ นอกจากนี้ ผู้เล่นยังมีสิทธิจะพบกับหน่วยลาดตระเวน หรือกระทั่งค่ายทหารของพวกมองโกล ที่เมื่อกำจัดแล้วก็จะได้รับทรัพยากรมาใช้พัฒนาอาวุธชุดเกราะของเรา หรือกระทั่งได้รับ Technique Point มาใช้อัพความสามารถ เช่นการปัดลูกธนู ซึ่งการทำให้กิจกรรมเล็กน้อยทั้งหมดในแผนที่มีประโยชน์ในแบบของตัวเอง ก็ช่วยทำให้การสำรวจในเกม Ghost of Tsushima ไม่รู้สึกเสียเวลา เพราะต่อให้เป็นกิจกรรมเล็กน้อยแค่ไหนก็มีผลในการพัฒนาตัวละครไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กล่าวโดยสรุป การต่อสู้ในเกม Ghost of Tsushima ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของเกม และทำออกมาได้ค่อนข้างสนุกและท้าทายโดยที่ไม่ได้ยากจนเกินความสามารถ และสามารถปรับระดับความยากได้ตลอดเวลาในจังหวะที่รู้สึกว่าเล่นไม่ผ่าน นอกจากนี้ เกมยังมีแผนที่โลกที่กว้างใหญ่ ที่มีกิจกรรมให้ทำมากมาย และทุกกิจกรรมก็ล้วนช่วยพัฒนาตัวละครของผู้เล่นในวิธีที่ต่างกัน ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดอ่อน คงจะเป็นระบบการลอบเร้น ที่ค่อนข้างจะธรรมดาๆ และไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ใฝ่ฝันอยากจะได้เล่นเกม Assassin’s Creed ฉบับญี่ปุ่น โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Assassin’s Creed ยุคแรกๆ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของพวกคุณได้ดีที่สุดแล้วในขณะนี้ ◊ กราฟิก/การนำเสนอ ◊ จากภาพที่เปิดเผยออกมา ทั้งในเทรลเลอร์และในสกรีนช๊อตมากมายของเกม เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเห็นด้วยกับผู้เชียนว่า Ghost of Tsushima เป็นเกมที่ “สวย” มากๆ ด้วยสภาพแวดล้อมสีฉูดฉาดของเกม ไปจนถึงเอฟเฟกต์ใบไม้ใบหญ้าที่ปลิวไหวไปตามลมตลอดเวลา ที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่มีมนต์ขลังบางอย่างให้กับเกม แม้ว่าตัวเกมเองจะไม่ได้มีความแฟนตาซีก็ตาม ซึ่งก็ช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้กับโลกของเกม ให้เป็นมากกว่าแค่อ้างอิงจากญี่ปุ่นยุคโบราณมาตรงๆ ที่อาจจะไม่ได้น่าสนใจเท่า ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องของเพลงในเกม ที่ช่วยสร้างบรรยากศให้กับการเดินทางได้เป็นอย่างดี และย้อนกลับไปเสริมบรรยากาศของเกม และสร้างความรู้สึกน่าพิศวงให้กับการสำรวจเกาะสึชิมะอย่างน่าประหลาด แน่นอนว่าทั้งหมดทำให้การเดินทางไปมาในเกาะสึชิมะของเกมเป็นประสบการณ์ที่น่าเพลิดเพลินแทบจะตลอดเวลาเลยทีเดียว แถมผู้เล่นยังสามารถปลดล๊อคเพลงต่างๆ ให้ตัวละครจินสามารถเป่าขลุ่ยตามได้ ซึ่งการเป่าขลุ่ยยังเป็นวิธีการที่เกมเปิดให้ผู้เล่นควบคุมสภาพอากาศของเกมด้วย (เช่นเพลงหนึ่งอาจทำให้ฟ้าใส แต่อีกเพลงทำให้ฝนตก เป็นต้น) แม้ว่าสภาพแวดล้อมมักจะไม่ได้มีผลอะไรกับการเล่นเกมจริงๆ เท่าไหร่ก็ตาม อีกสิ่งที่น่าชมคือคุณภาพของการพากย์เสียง และการแสกนหน้านักแสดง ที่บอกเลยว่ามีหลายฉากที่ผู้เขียนเกิดความอินตามเนื้อเรื่องได้เพียงเพราะจากสีหน้าและน้ำเสียงของนักแสดงเลย โดยเฉพาะท่านลุงชิมูระ พ่อบุญธรรมและอาจารย์ของตัวเอก ที่อาจจะเป็นผลงานการแสดงและพากย์เสียงตัวละครที่ผู้เขียนชอบที่สุดชิ้นหนึ่งได้เลย (อย่างน้อยก็ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่ผู้เขียนเล่น) ซึ่งคุณภาพของเสียงพากย์และการแสดง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำชูเนื้อเรื่องของเกมเอาไว้อยู่ เพราะถ้าไม่ได้กลุ่มนักแสดงและนักพากย์นี้มา เชื่อว่าผู้เขียนคงหักคะแนนส่วนเนื้อเรื่องไปมากกว่านี้แน่นอน แต่ในความสวยงามของเกม ก็รู้สึกถึงความ ”ปรุงแต่ง” มากกว่าเกม Open World คู่แข่งหลายๆ เกมเช่นเดียวกัน จากการที่รายละเอียดหลายๆ อย่างในโลกขาดชีวิตชีวาไปอย่างชัดเจน เช่นเหล่า NPC ชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่มักจะยืนอยู่ที่เดิมเฉยๆ ทั้งเกม หรืออนิเมชั่นของน้ำและโคลนเมื่อวิ่งผ่าน ที่บ้างครั้งก็กระเซ็นแบบสมจริง แต่บางครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนผู้พัฒนาพยายามทำให้เกมสวยที่สุดเมื่อมองในภาพใหญ่ (ต้องยอมรับว่ามันสวยจริงๆ) แทนที่จะปั้นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดให้สวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างที่ผู้พัฒนาหลายๆ สำนักพยายามทำในปัจจุบัน ซึ่งว่ากันตามตรงก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมเพลย์เท่าไหร่นัก แต่เพราะเกมอื่นๆ หลายเกมดูจะแก้ไขปัญหานี้ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย เลยทำให้กลายเป็นข้อบกพร่องที่สังเกติง่ายในเกมนี้ ◊ ซับไทยและ Kurosawa Mode ◊ อย่างที่หลายคนอาจจะทราบกันดี เกม Ghost of Tsushima สนับสนุนบทบรรยายและเมนูภาษาไทยด้วย เช่นเดียวกับเกม PlayStation 4 Exclusive เกมก่อนหน้าอย่าง The Last of Us Part II ซึ่งเกม TLoU2 เป็นหนึ่งในเกมที่หลายๆ คน (รวมไปถึงทีมงาน GameFever ด้วย) ต่างชื่นชมว่าทำบทบรรยายไทยออกมาได้ดีมากๆ สำหรับเกม Ghost of Tsushima นั้น อาจจะด้วยความที่ผู้แปลพยายามจะรักษาความเป็นสมัยโบราณของเกมด้วย แต่บทบรรยายไทยของเกมมีความแข็งๆ ต่างจากเกม TLoU2 อย่างมาก และมีหลายคำที่แปลออกมาแปลกๆ สังเกติง่ายๆ แค่จากคำว่า “Continue” ในเมนูหลักของเกม ที่ถูกแปลออกมาเป็น “ทำต่อ” แทนที่จะเป็น “เล่นต่อ” เป็นต้น ผู้เขียนยอมรับตามตรงว่าทนเล่นซับไทยอยู่ได้ประมาณสองภารกิจ ก่อนที่จะทนไม่ไหวเปลี่ยนกลับไปเล่นซับอังกฤษ เพราะมันทำให้เสียอรรถรสและสมาธิขณะเล่นจริงๆ ในส่วนของโหมดพิเศษ Kurosawa Mode ของเกม หรือที่น่าจะเรียกกันง่ายๆ ว่า “โหมดขาวดำ” นั้น จะทำให้ภาพในเกมทั้งหมดกลายเป็นสีขาวดำ เช่นเดียวกับเหล่าหนังซามูไรในยุค 1950-60 ของผู้กำกับภาพยนตร์ในตำนาน คุโรซาวะ อาคิระ ที่ผลิตผลงานภาพยนตร์ซามูไรอันโด่งดังอย่าง Seven Samurai (1954) และ Yojimbo (1961) อันเป็นแรงบันดาลใจของเหล่าผู้พัฒนานั่นเอง โหมดจะใส่เอฟเฟกต์ Film Grain เข้าไปเพื่อจำลองความรู้สึกของภาพยนตร์ในยุคนั้น และจะทำให้ลมในเกมพัดแรงขึ้นมากๆ เพื่อเสริมอารมณ์ของเกม ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากนะ สำหรับผู้เขียนไม่ได้รู้สึกมันช่วยทำให้เกมสนุกขึ้นหรืออะไร แต่ก็คงมีคอหนังตัวยงที่อาจจะชื่นชอบความรู้สึกของการได้ “เล่นหนังซามูไร” ก็เป็นได้  ◊ สรุป ◊ เกม Ghost of Tsushima อาจไม่ใช่เกมที่พยายามนำเสนออะไรที่ใหม่กว่าคนอื่น และก็ต้องยอมรับว่ามีหลายองค์ประกอบที่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่ Ghost of Tsushima ก็ยังเป็นเกมที่สนุกในตัวของมันเอง ที่น่าจะมอบประสบการณ์นินจาซามูไรที่หลายคนต้องการมาตลอดได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่บทบรรยายไทยของเกมไม่สามารถคงมาตรฐานที่ The Last of Us Part II ตั้งมาได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ (หรือญี่ปุ่น) จริงๆ ก็ยังถือว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลยล่ะนะ [penci_review id="61128"]
20 Jul 2020
พรีวิว Genshin Impact การผจญภัยในโลกแฟนตาซี กับ Paimon ภูตน้อยจอมซน
ต้องขอบคุณทาง Mihoyo จริงๆ ที่ให้โอกาสพวกเราทีมงาน GameFever Th ได้มีโอกาสเข้าไปทดลองเล่น Genshin Impact ในรอบ Closed Beta ครั้งสุดท้าย โดยจริงๆ ก่อนหน้านี้ทางเราได้มีการพูดถึงความรู้สึกหลังได้เล่นเกมนี้ไปแล้ว หลังจากที่มีโอกาสได้เข้าไปเล่นในรอบ Closed Beta ครั้งแรก แต่ในรอบนี้ไม่เหมือนกัน เพราะตัวเกมได้เปิดให้สามารถเล่นได้บนระบบของมือถือด้วย ดังนั้นในบทความนี้จึงจะขอเล่าถึงความรู้สึก หลังจากได้เล่นเกมนี้บนเครื่องต่างๆ ว่าแตกต่างกันอย่างไร พร้อมทั้งจะขอเล่าถึงเนื่อเรื่องเกมนี้ ว่าเกี่ยวกับอะไรกันแน่ด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ! จุดเริ่มต้นของการเดินทาง เนื้อเรื่องของ Genshin Impact จะเริ่มต้นจากบรรยายที่ว่า มีฝาแฝดคู่หนึ่งกำลังเดินทางไปยังโลกต่างๆ เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แต่อยู่ดีๆ พวกเขาก็ถูกขัดขวางการเดินทางโดย เทพ ผู้ไม่ทราบชื่อ (ตรงนี้เราจะได้เลือกว่าจะเล่นเป็นฝาแฝดคนที่เป็นผู้หญิง หรือชาย) หลังจากต่อสู้อยู่นาน ทั้ง 2 ก็ได้ถูกเทพผู้ไม่ทราบชื่อ บังคับส่งไปยังต่างโลก หลังจากนั้นภาพจะตัดมาที่ตัวละครของเรา กำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างต้นให้กับ Paimon ภูตน้อยจอมซน ที่เป็นมาสคอตของเกม บริเวณชายหาดแห่งในหนึ่งในต่างโลก (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนว่าเวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลังจากเหตุการข้างต้น) ตัวละครของเราจะตัดสินใจว่า ต้องออกเดินทางในโลกนี้เพื่อตามหาพี่ชายที่หายตัวไป ซึ่ง Paimon จะตัดสินใจติดตามเราไปด้วย พร้อมกับสอนถึงสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับโลกใบนี้ และการผจญภัยของทั้ง 2 ก็ได้เริ่มต้นจากจุดนี้ ในช่วงต่อจากนั้นเนื้อเรื่องจะคล้ายๆ กับเกม RPG ทั่วไป เราจะได้เดินทางไปยังเมืองต่างๆ ค้นพบผู้คนมากมาย, รับฟังปัญหาของช่าวบ้าน หรือ NPC ต่างๆ และรับหน้าที่แก้ปัญหาเหล่านั้น บ้างครั้งก็ได้ของรางวัลมากมาย, บางครั้งก็ได้พวกพ่องคนใหม่ที่พร้อมจะเดินทางไปกับเรา เรียกได้ว่ามีองค์ประกอบของเกม RPG ที่ดีอยู่ครบเลยครับ การนำเสนอ ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆ ครับ ด่านการนำเสนอรวมไปจนถึงเก็บรายละเอียดของ Genshin Impact ผู้เขียนยอมรับเลยว่าทีมพัฒนาทำออกมาได้ดีจริง การเก็บรายละเอียดในทีนี้ไม่ได้หมายถึงความสวยงามของ Texture หรือ ความคมของภาพ แต่หมายถึงรายละเอียดของการกระทำ, ความสมจริง และสภาพแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากผู้เล่นเดินขึ้นบันไดตัว หรือเนินชันตัวละครเราจะเคลื่อนที่ช้าลง, เวลาสไลม์ไฟกระดึ๊บผ่านทุ่งหญ้าจะมีรอยไหม้บนพื้น ,เวลาใช้เวทพายุผ่านพื้นที่ติดไฟอยู่ พายุที่ออกไปจะกลายเป็นพายุไฟ หรือเวลาที่ตัวละครเราเพิ่งจะจึ้นมาจากน้ำ จะมีหยดน้ำจากเสื้อผ้าตกลงพื้นด้วย เป็นต้น อย่างที่บอกไปแล้วว่ารายละเอียดต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดี ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เกี่ยวกับเกมเพลย์เท่านั้น ในเชิงสภาพแวดล้อมเองก็ทำออกมาได้ดีด้วย ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากพบก็บริเวณที่เป็นไม้เลื้อยปิดทางอยู่เราสามารถใช้ การโจมตีที่เป็นธาตุไฟเพื่อเผาทำลายไม้ที่กีดขวางอยู่ได้ กระทั้งคบไฟที่ปีศาจถืออยู่ ก็ยังสามารถใช้เวทลมเพื่อพัดเปลวไฟไปเผาศัตรูได้ ผู้เขียนยอมรับเลยว่าทีมพัฒนาทำในส่วนนี้ออกมาได้น่าสนใจมากๆ ครับ [caption id="attachment_61552" align="aligncenter" width="1280"] ตอนแรกเป็นพายุสีเขียว[/caption] [caption id="attachment_61553" align="aligncenter" width="1280"] ผ่านไฟแล้ว กลายเป็นพายุไฟ[/caption] ประสบการ์ณเล่นเกมนี้บนเครื่องต่างๆ เนื่องจากว่าไอดี ที่ทางเราได้มาจากผู้พัฒนานั้น เมื่อเล่นในเครื่องไหนแล้ว จะไม่สามารถนำไอดีดังกล่าวไปเล่นในเครื่องอื่นได้ ทำให้ประสบการณ์ รวมถึงความประทับใจ ของทีมงานเราแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงจะขอสรุปความคิดเห็นของทีมงานเราแต่ละคนไว้ข้างล่างนี้ครับ บนเครื่อง PC โดย Wine2035 ในวินาทีแรกที่เริ่มควบคุมตัวละครได้ บอกได้เลยว่ารู้สึกประทับใจมาก เพราะตัวเกมเวอร์ชั่น PC ได้มีการตั้งค่าปุ่ม ให้สามารถเล่นได้ไม่ต่างอะไรกับเกม Action-RPG ดีๆ เกมหนึ่งเลย ปุ่มที่ถูกตั้งค่ามาก็รูปแบบคือ W,A,S,D + เมาส์ เหมือนกับเกม MMORPG ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาด ดังนั้นถ้าชินกับการเล่นเกมสไตล์ดังกล่าวบนเครื่อง PC อยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะยากเกินไปที่จะเล่นเกมนี้ได้อย่างชำนาญครับ ในส่วนของกราฟิกก็เรียกได้ว่าสวยมาก ชนิดที่ไม่คิดเลยว่าเกมที่ภาพสวยขนาดนี้ จะสามารถเล่นบนเครื่องมือถือได้ด้วยเช่นกัน (ซึ่งเอาจริงๆ เกมสามารถตั้งค่าคุณภาพพของกราฟิกได้ ดังนั้นน่าจะเล่นบนมือถือได้อย่างไม่มีปัญหาอยู่แล้ว) แต่ในเวลาเดียวกันก็คงต้องยอมรับว่าเกมกินสเปคเครื่องพอสมควร ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ได้มีเครื่อง PC แรงๆ ก็อาจจะปรับกราฟิกสูงๆ ไม่ได้ครับ บนเครื่อง PS4 โดย Miyui จะพูดว่าเกมนี้ออกแบบมาเพื่อ Console เลยก็ว่าได้ การควบคุมและมุมกล้องน่าพอใจมาก อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าความไวของโหมดเล็งเป้าได้ด้วย ระบบการต่อสู้ที่ไม่ได้กดแค่ปุ่มเดียวในการตบตีมอนสเตอร์ กับการเปลี่ยนตัวไปมาระหว่างต่อสู้เพื่อใช้ประโยชน์จากธาตุต่างๆ เมื่อควบคุมด้วยจอยแล้วก็รู้สึกสนุกเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องกราฟฟิก ถือว่าอยู่ในระดับท๊อปเลย ดีที่สุดหากเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ยิ่งเล่นกับทีวีจอใหญ่ๆ เปิดเสียงกระหึ่มๆหน่อย ได้ฟีลหลุดเข้าไปในต่างโลกเลยทีเดียว บนมือถือ โดย Lazefatboy ประสบการณ์การเล่นในมือถือนั้น การควบคุมต่างๆ อาจจะมีความยุ่งยากมากกว่าใน PC อยู่นิดหน่อย เนื่องจากข้อจำกัดของขนาดหน้าจอกับปุ่มกด แต่พอเล่นไปซักพักก็ชิน และไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนในด้านกราฟิกนั้นผู้พัฒนาถือว่าหยิบเอาเกมเวอร์ชั่นเดียวกันมาใส่แบบเต็มๆ เลย เพียงแต่รายละเอียดอาจจะมีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในด้าน Texture ส่วนในเรื่องการ Optimize อาจจะต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างกินสเปกเครื่องมากพอสมควร เพราะตัวผู้เขียนนั้นได้ใช้โทรศัพท์รุ่นเรือธงของ Android ในการเล่น ค้นพบว่าตัวเกมวิ่งอยู่เพียงแค่ 30 FPS พร้อมทั้งยังมีเฟรมเรทตกอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเล่นไปซักพักเครื่องจะร้อนเร็วมาก ส่วนตัวคิดว่าในเวอร์ชั่นนี้อาจจะยังไม่เหมาะที่จะใช้เล่นเป็นเครื่องหลัก เพราะมันอาจจะทำให้อายุการใช้งานโทรศัพท์ของคุณน้อยลงกว่าเดิมเนื่องจากความร้อน เหมาะสำหรับการที่คุณนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PC เป็นหลัก และย้ายมาเล่นบนมือถือเพียงแค่ชั่วครู่ราวๆ 1 ชั่วโมงประมาณนี้
16 Jul 2020
รีวิว No Straight Roads [DEMO] เกมแนว Rythm + Action Adventure กับการเสียดสีค่านิยมเพลงในปัจจุบัน
เชื่อว่าเกมเมอร์หลายๆ คนก็น่าจะเคยเล่นเกมแนว Rythm หรือเกมที่ใช้ดนตรีมาเป็นปัจจัยหลักมามากหลายเกม แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมที่เราได้เล่นส่วนใหญ่นั้นจะมีรูปแบบคล้ายๆ กัน นั่นคือการกดปุ่มที่ไหลลงมาให้ตรงตามจังหวะเพลง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราคุ้นชินและนิยามคำว่า Rythm Games ได้อย่างดี แต่ในปี 2020 ที่ไอเดียในการสร้างวิดีโอเกมเองก็มีความเปิดกว้างและไร้ขีดจำกัดมากขึ้น เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมอินดี้ที่โตขึ้นอย่างทวีคูณ จนในที่สุดมันจึงได้มีเกมหนึ่งเกมที่ออกมาแล้วฉีกทุกกฏเกณฑ์เดิมๆ ในเรื่องไอเดียกับการนำเอา Rythm Games มาผสมผสานกับเกมแนว Action Adventure ที่คนส่วนใหญ่ชอบ กลายมาเป็นเกมที่ชื่อว่า No Straight Roads จากฝีมือทีมพัฒนาสัญชาติอังกฤษอย่าง Sold Out Games พร้อมทั้งโปรเจกต์นี้ยังมีนักพัฒนารุ่นเก๋าผู้มีประสบการณ์อย่างคุณ Wan Hazmer หัวหน้าดีไซนเนอร์ของเกม Final Fantasy XV และ Daim Dziauddin อาร์ทดิสของเกม Street Fighter V ร่วมอยู่ด้วย  โดยตัวเกมนั้นมีกำหนดจะวางจำหน่ายออกมาให้เราเล่นในวันที่ 25 สิงหาคม 2020 แต่ทางเรานั้นได้มีโอกาสเข้าไปทดลอง DEMO ของเกมความยาวราวๆ 2 ชั่วโมง ด้วยความสงสัยที่ว่า Rythm Games + Action Adventure มันจะออกมาเป็นรูปแบบไหนกันนะ และสารภาพตามตรงว่าก่อนที่จะได้เข้าไปเล่นนั้น ผู้เขียนได้ลองเข้าไปดูคลิปวิดีโอเกมเพลย์จาก YouTube ต่างๆ มาก่อนหน้าบ้าง แต่ก็เฉยๆ กับมันและไม่ได้สนใจมันเท่าที่ควร !! ซึ่งหลังจากที่ผู้เขียนได้เข้าไปลองประสบการณ์ของมันด้วยตัวเองแล้ว ความคิดของผมเองก็เปลี่ยนไปตลอดกาล !! กราฟิก / การนำเสนอ No Straight Roads ใช้กราฟิก 3D ที่นำเสนอโลกแห่ง Cyberpunk ในอนาคตได้อย่างยอดเยี่ยม แสงสีหลอดนีออนฉูดฉาดบวกกับกลื่นอายความเป็นดิสโทรเปียที่ถือว่าเป็นของคู่กันกับธีมแนวนี้อยู่แล้ว  กับบ้านเมืองถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทันสมัย แต่ก็จะให้ความรู้สึกที่เสื่อมโทรมอยู่ตลอดเวลา และเนื่องจากกราฟิกของเกมที่ผู้พัฒนาจะต้องเลือกใช้ความเป็นการ์ตูนเพือให้เหมาะกับเกมเพลย์ที่ดีไซน์ออกมา การดีไซน์แอนิเมชัน ท่าทางบ้าๆ บอๆ การเต๊ะท่าผิดมนุษย์มนาที่พอมันอยู่ในเกมนี้แล้วกลับลงตัวอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งใครที่คิดภาพไม่ออก อารมณ์คล้ายๆ กับท่าทางการเต๊ะท่าของการ์ตูนเรื่อง Jojo Bizzare Adventure นั่นแหละ ยอมรับว่าในด้านกราฟิกถ้ามองเผินๆ มันก็เป็นงานอาร์ทที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานที่มีกลิ่นอายของ Street Art อยู่มาก แต่ค่านิยมงานแนวนี้ในด้านของวิดีโอเกมก็ต้องพูดว่ามันไม่ได้เป็นที่นิยมหรือสนใจต่อผู้คนมากเท่าไรนัก ซึ่งพอได้เล่นจริงๆ แล้ว หลายๆ อย่างที่ผู้พัฒนาสร้างมา ท่าทางตัวละคร หรือโลก Cyberpunk มันกลับมีเสน่ห์เกินกว่าทีคาดไว้ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของตัวเกมนำเสนอเรื่องราวของสองตัวละครอย่าง Mayday และ Zuke สมาชิกวงดนตรี Rock นามว่า Bunk Bed Junction ที่ต้องการจะต่อกรกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่ครอบงำผู้คนด้วยเสียงเพลงแห่ง EDM !! เอาจริงๆ แล้วถ้าให้มองเนื้อเรื่องของ No Straight Roads ดูเผินๆ มันก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่เรียบง่ายและซื่อตรงไม่ได้หวือหวากว่าเกมไหนๆ เพราะมันมีเกมอินดี้มากมายที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้กินใจกว่านี้เยอะ !! แต่ทว่าพอลองมองลงไปให้ลึกเข้าไปหน่อย เรานั้นจะได้เห็นว่าผู้พัฒนาพยายามที่จะส่งสารบางอย่างต่อโลกของเราในสมัยนี้เช่นกัน กับการที่ดนตรีแนว EDM นั้นค่อนข้างเข้ามามีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมเพลงเกือบทั่วทุกที่ และมันกลายเป็น Trend ที่แพร่ขยายออกไปมากขึ้นแบบไม่ทันได้รู้ตัว เพราะในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็มีนักร้องมากมายที่นำเอาดนตรีแนว EDM เข้ามาผสมผสานกับเพลงของตัวเองและโด่งดังมากมาย หรือศิลปินแนว EDM เองก็ค่อนข้างกลายเป็นที่รู้จักของโลกมากขึ้น โดยมันก็ส่งผลทำให้เพลงแนวอื่นเองก็ต้องปรับตัวผสมผสานเอาสไตล์เทรนใหม่นี้เข้ามาด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องและบอสต่าง ของเกมนี้เองก็มีการสื่อเป็นนัยๆ เกี่ยวกับประเด็นนี้เช่นกัน และสิ่งไหนที่เกิดขึ้นมา จะต้องมีสิ่งหนึ่งที่ดับไป !! ใช่แล้วครับหนึ่งแนวดนตรีที่ได้รับความนิยมน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็คือแนวดนตรีเพลง Rock ที่ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงขาลงของมันเลยก็ว่าได้ สังเกตุว่าศิลปินที่ทำดนตรีแนว Rock, Punk หรือ Heavy Metal เดี๋ยวนี้ไม่ได้รับความนิยมเหมือนดั่งเมื่อก่อน เนื้อเรื่องที่ No Straight Roads นำเสนอ มันจึงกลายเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องหยอกล้อเสียดสีสังคมได้เป็นอย่างดี ว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ EDM และเป็นการสะท้อนถึงปัญหาในเรื่องของความหลากหลายที่ตอนนี้แนวดนตรีบางแนวอาจจะมีที่ยืนในสังคมน้อยลงไปเรื่อยๆ รวมถึงอีกหนึ่งเสน่ห์หลักที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือความตลกในเรื่องของบทสนทนาที่นอกจากจะมีการหยอกล้อสังคมแล้ว ผู้พัฒนายังใส่มุขตลกสไตล์ฝรั่งที่ทำให้เรายิ้มและฮาได้เรื่อยๆ และค่อนข้างเป็นตลกน้ำดีที่มันเข้ากันกับธีมของเกมที่มีความเป็น Cyberpunk ได้อย่างยอดเยี่ยมและลงตัว ถึงแม้ว่าผู้เขียนนั้นจะเล่นเกมนี้เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เกมเพลย์ อย่างที่บอกไปว่า No Straight Roads เป็นเกมที่ผสมผสานเกมเพลย์ระหว่าง Rythm Games และ Action Adventure ซึ่งถือว่าเป็นไอเดียที่แปลกใหม่มากๆ ตัวเกมเพลย์ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าคุณอาจจะต้องใช้ประสบการณ์จากการเล่นเกมทั้งสองแนวเข้ามาใช้ โดยพื้นฐานการเล่นนั้นเราก็จะบังคับหรือโจมตีศัตรูในแบบของเกม Action Adventure ทั่วไป ตัวเกมมีความเป็น Hack and Slash เล็กๆ เพียงแต่ว่าทุกการโจมตีของศัตรูนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะดนตรีทั้งหมด ทุกๆ การต่อสู้ของเกม จะมีเพลงประกอบที่เป็น EDM ที่ศัตรูจะโจมตีคุณตามจังหวะ Beat ของเพลงประกอบที่เปิดอยู่ รวมถึงในการต่อสู้ในแต่ละมิชชัน เพลงก็จะมีกลิ่ยอายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย และเนื่องจากที่วง Bunk Bed Junction ประกอบไปด้วยสองตัวละครอย่าง Mayday และ Zuke เลยทำให้ตัวเกมเองรองรับการเล่นแบบ Co-op ในจอเดียวกันได้ด้วย รวมถึงแต่ละตัวละครจะมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันออกไปอย่างเช่น Mayday จะเป็นสายตีดาเมจแรงๆ แต่อาจจะตีช้า ซึ่งเหมาะกับการปิดดาเมจมอนสเตอร์ลูกกระจ๊อกได้อย่างไว แต่ทาง Zuke ที่เป็นมือสองจะตีเร็วและจะตีเบากว่า ซึ่งเหมาะในการตี Objective เพื่อเอาสิ่งของมาตีศัตรูเป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น !! ใครที่คิดว่าจะเข้าเกมนี้ไปตีศัตรูให้ตายจบๆ ด่านไปท่านก็อาจจะคิดผิด เพราะตัวผมอาจจะต้องนิยามเกมเพลย์ของมันว่าคือเกมแนว Rythm Games + Action Adventure + Soul Style มากกว่า ตัวเกมมีระดับความยากในระดับที่พาให้หัวของคุณนั้นลุกเป็นไฟได้อย่างง่ายดาย สาเหตุมาจากความเป็นดนตรีแนว EDM ที่มี Beat ค่อนข้างเร็วและ Melody ที่หลากหลาย และพอศัตรูนั้นโจมตีเราตาม Beat หรือ Melody อย่างที่กล่าวไป ทำให้ศัตรูนั้นโจมตีเราเป็นชุดอย่างห่าฝน เราจะต้องใช้ไหวพริบ สติและปฏิกริยาที่เฉียบพลันในการเล่นอยู่ตลอดไม่งั้นก็อาจจะไปคุยกับรากมะม่วงได้ คุณจะต้องฟังดนตรีอยู่ตลอดเวลาเพื่อจับจังหวะของแต่ละเพลง รวมถึงต้องเข้าใจรูปแบบการโจมตีที่มาเป็นห่าฝนของศัตรูอีก ซึ่งเอาจริงๆ เกมเพลย์มันค่อนข้างสนุกนะ ถ้าหากใครที่ชอบเล่นเกมแนวยากๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังวางใจได้ในระดับหนึ่งก็คือความยากของมันก็ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้อยู่ดี ไม่ง่าย และไม่ยากจนเกินไป สรุป No Straight Roads เป็นเกมที่ถูกสร้างออกมาได้ลงตัวในหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าหน้าของมันอาจจะดูไม่ได้น่าดึงดูดขนาดนั้น แต่พอได้เข้าไปสัมผัสตัวเกมจริงๆ แล้วคุณอาจจะหลงรักเกมนี้ได้อย่างง่ายๆ ทั้งเนื้อเรื่องที่มีนัยสำคัญหยอกล้อและต่อต้านสังคมโลกเราในสมัยนี้ หรือจะเป็นท่าทางบวกกับความตลกอันบริสุทธิ์ของตัวละครที่พร้อมจะสร้างความฮาให้คุณได้ เป็นความตลกที่ปราศจากความหยาคาย และความทะเล้นอย่างสิ้นเชิง พร้อมทั้งในเรื่องของเกมเพลย์เองต้องยอมรับว่าผู้พัฒนามีไอเดียที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วมันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ที่หลายๆ คนน่าจะไม่เคยสัมผัสมาก่อนแน่นอน ซึ่งส่วนตัวแล้ว No Straight Roads เป็นเกมที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับตัวผู้เขียนในปีนี้เลยทีเดียว และหวังว่ามันจะได้รับรางวัลอะไรซักอย่างในปีนี้นะครับ ส่วนตัวผมขอเอาใจช่วยเลย โดยเกม No Straight Roads ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ จะลงให้ทั้งเครื่อง PC [ Epic Games Store ], PS4 และ Xbox One ข้อดี สร้างโลกได้อย่างน่าสนใจ บทตัวละคร มุขตลกของเกมทำออกมาได้อย่างลงตัว เนื้อเรื่องค่อนข้างมีนัยหยอกล้อสังคมได้ดี แต่นำเสนอให้เข้าถึงง่าย เกมเพลย์แปลกใหม่ไอเดียดี ข้อเสีย 1. เกมมีความยากในระดับหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมง่ายๆ สบายๆ
14 Jul 2020
Review: รีวิว DLC Borderlands 3: Bounty of Blood
แม้จะไม่ได้ยกระดับตัวเกมต้นฉบับขึ้นมาเท่าไหร่นัก และคงไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนที่ไม่ได้สนใจ Borderlands 3 แต่แรกเปลี่ยนใจมาซื้อเกมได้ แต่ DLC เนื้อเรื่องตอนล่าสุดของเกม Borderlands 3 อย่าง Bounty of Blood ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการคืนฟอร์มที่ดีสำหรับจักรวาล Borderlands ในแง่ของการเล่าเรื่อง ด้วยโทนและตัวละครที่ให้ความรู้สึกซีเรียสกว่าในเนื้อเรื่องต้นฉบับ และเน้นการเล่าเรื่องตรงๆ มากกว่าจะพยายามยัดมุกหรือเหตุการณ์กาวๆ เข้าไปตลอดเวลา ซึ่งก็ทำให้การเล่นเนื้อเรื่องของ DLC นี้ (ใช้เวลาราวๆ 4-6 ชั่วโมง) เป็นประสบการณ์ที่รู้สึก "พอดี" กว่าการเล่นเนื้อเรื่องในเกมต้นฉบับพอสมควร (ขอบคุณ 2K Asia สำหรับโค้ดรีวิวด้วยครับ) เนื้อเรื่องของ DLC Bounty of Blood จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ใหม่ Gehenna หลังจากที่กลุ่ม Vault Hunter (ผู้เล่นนั่นแหละ) ถูกเรียกให้ไปช่วยกำจัดกลุ่มโจร Devil Riders แลกกับเงินรางวัลค่าหัวของเหล่าหัวหน้าแก๊ง ก่อนที่จะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับอดีตอันโหดร้ายของดายในฐานะแหล่งทดลองอาวุธชีวภาพ และช่วยเหลือ "นายอำเภอ" คนใหม่ในการกอบกู้ดาวเคราะห์ เอาเข้าจริงเนื้อเรื่องของเกมก็ไม่ได้หวือหวาหรือแปลกใหม่อะไรมาก และก็คงพูดได้ไม่เต็มปากว่ามัน "ดี" เมื่อเทียบกับเกมในตลาดอื่นๆ แต่สิ่งที่อาจจะทำให้การเล่นเนื้อเรื่องของ Bounty of Blood รู้สึกสบายกว่าเกมหลัก คือการที่เกมเลือกจะเล่าเรื่องตรงๆ มากกว่าการพยายามเล่นมุกห้าบาทสิบบาทในแทบทุกบทสนทนา ซึ่งก็ทำให้การเล่นภารกิจเนื้อเรื่องให้ความรู้สึกมีทิศทางที่ชัดเจนยิ่งกว่าในเกมต้นฉบับ ที่สำคัญคือเสียง NPC The Liar ที่เปรียบเสมือน "เสียงสวรรค์" ที่คอยบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ในหัวของผู้เล่นตลอดเวลา ที่ช่วยในการเซ็ตอารมณ์และบริบทของเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อีกสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบใน Bounty of Blood คือการออกแบบฉากของดาว Gehenna ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างความเป็นตะวันตกแบบคาวบอย กับการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น ที่ทำให้ทั้งสถานที่ต่างๆ บนดาว รวมไปถึงกลุ่มศัตรูที่มีความผสมผสานกันระหว่างยากูฆ่าและคาวบอย มีเอกลักษณ์ยิ่งกว่าสถานที่ในเกมต้นฉบับเสียอีก แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่น่าจะเป็นตัวตัดสินสำหรับหลายๆ คนก็คงหนีไม่พ้นเกมเพลย์ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่ได้รับการปรับปรุงน้อยที่สุดแล้วใน Bounty of Blood แม้ภารกิจเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะดำเนินไปค่อนข้างเร็วและสนุก แต่ภารกิจเสริมทั้งหลายใน DLC กลับไม่ได้แตกต่างจากที่พบได้ในต้นฉบับเลย ส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจ Fetch Quest ที่ให้เราวิ่งไปเก็บไอเทมจำนวนเท่านั้นเท่านี้มาส่ง NPC ซึ่งไม่ได้น่าสนใจเลยซักนิด ทำให้เนื้อหาใน DLC แอบรู้สึกเบาบางลงพอสมควร เพราะนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจอีกเลย อย่างน้อยในแง่ของเกมเพลย์การต่อสู้ก็ยังพอใช้ได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้เขียนที่ชื่นชอบเกม Borderlands 3 อยู่แล้ว แม้ต้องยอมรับว่าศัตรูที่พบใน DLC จะไม่ได้แตกต่างจากที่พบในเกมต้นฉบับมากนัก (แค่เปลี่ยนดีไซน์ไป) แต่สำหรับแฟนของเกมต้นฉบับอยู่แล้ว การสาดกระสุนใส่พวกศัตรูเหล่านี้ก็ยังสนุกสะใจไม่เสื่อมคลาย และการทดลองใช้ปืนสุดพิศดารทั้งหลายก็ยังคงน่าตื่นเต้นทุกครั้ง ซึ่งผู้เขียนก็ยังเชื่อว่าเกม Borderlands 3 น่าจะเป็นเกม "ซื้อมาเล่นขำๆ กับเพื่อน" ที่สนุกเป็นอันดับต้นๆ ในขณะนี้ และความคิดนั้นก็ยังคงจริงอยู่ใน DLC Bounty of Blood อย่างแน่นอน พูดง่ายๆ ว่าถ้าชอบเกม Borderlands 3 อยู่แล้ว Bounty of Blood ก็จะมอบทุกสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับเกมต้นฉบับให้กับคุณได้อีกอย่างแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเกม Borderlands 3 อยู่แล้ว Bounty of Blood ก็อาจจะไม่ได้มีอะไรที่น่าดึงดูดเป็นพิเศษ แม้การออกแบบฉากและการเล่าเรื่องจะปรับปรุงขึ้นมาประมาณหนึ่ง แต่เกมก็ยังคงเป็นเกม Borderlands 3 เหมือนเดิม และคนที่ไม่ได้ชื่นชอบการยิงหรือการเก็บปืนอันเป็นแก่นของ Borderlands เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว DLC นี้อาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ มาเปลี่ยนใจคุณเช่นกัน กล่าวโดยสรุป DLC Bounty of Blood ถือเป็นการคืนฟอร์มที่ดีในแง่ของการเล่าเรื่องในจักรวาลของ Borderlands หลังจากที่ต้นฉบับโดนจิวารณ์มาอย่างหนัก สำหรับแฟนๆ เกม Borderlands 3 ที่อยากจะกลับไปสู่เกมอีกครั้ง DLC Bounty of Blood น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอในการตามเพื่อนๆ มาร่วมล้างบางศัตรูกันสนุกๆ แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนเกมอยู่แล้ว Bounty of Blood ก็คงไม่ได้มอบอะไรใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจเช่นเดียวกัน
09 Jul 2020
รีวิวเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG เกมต่อสู้ในตำนานในรูปแบบเกม RPG
The King of Fighters คือหนี่งในซีรีส์เกมต่อสู้ชื่อดังที่อยู่ในสังเวียนเกมต่อสู้ควบคู่กับเกมอย่าง Street Fighter หรือ TEKKEN มานานแสนนาน โดย The King of Fighters เป็นเกมที่มาพร้อมกับเหล่าตัวละครที่โดดเด่นและทรงเสน่ห์มากมาย จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นตัวละครเหล่านี้มาโลดแล่นอยู่ในเกมสไตล์อื่นๆ บ้าง  เนื้อเรื่องและการนำเสนอ KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG คือการหยิบเอาซีรีส์ The King of Fighters มาทำเป็นเกม Card Battle รูปใหม่ ตัวเกมถูกพัฒนาโดยค่าย SNK ผู้เป็นเจ้าของเกมเอง ส่วนการเปิดให้บริการในไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เราได้ค่าย VNG Corp. มาเป็นผู้หยิบตัวเกมมาเปิดให้บริการให้ สำหรับตัวเกมเบื้องต้น ผมขอนิยามว่ามันไม่ใช่เกม Card Battle ในรูปแบบทั่วๆ ไปที่มีอยู่ในปัจจุบันเลย แต่มันคือเกมแนว Fighting Card Battle สุดเจ๋ง ที่จะให้เราได้ต่อคอมโบสกิลต่อเนื่อง ไม่ต่างไปจากการเล่นเกม Fighting ทั่วๆ ก็ว่าได้ KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG เป็นเกม Card Battle ที่นำเสนอกราฟฟิกในสไตล์ 2D เท่ห์ๆ ภายในเกมได้หยิบเอาตัวละครจากซีรีส์ KOF มากว่า 100 ตัวละครมาให้เราได้เลือกเล่นและสะสม โดยตัวละครแต่ละตัวจะมีระดับ (ความ OP) แยกออกเป็น 4 ระดับคือ R, SR, SR+ และ SSR พร้อมแบ่งสายตัวละครออกเป็น 3 สายคือ ATK, DEF และสกิล ทำหน้าที่เป็นเหมือนระบบธาตุในเกม Card Battle ทั่วๆ ไป ที่จะมีการแพ้ทางวนกันวนไปมา เกมเพลย์ แม้ตัวเกมจะได้ชื่อว่าเป็นเกม Card Battle แต่ตัวเกมก็ไม่ใช่เกม Card Battle ทั่วๆ ไป โดยภายในเกมเราจะได้ใช้เหล่าตัวละครจากซีรีส์ KOF ที่มีอยู่มากมายมาฟอร์มทีมขนาด 6 ตัวละคร สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในเกมนี้มากๆ คือเรื่องของรายละเอียดในตัวละครต่างๆ ที่เราสามารถดูข้อมูลความสามารถของตัวละครแต่ละตัวได้ตั้งแต่สเตตัสค่าความสามารถ สกิล การจับคู่ทีม อุปกรณ์ และที่เด็ดที่สุดนั่นคือตัวเกมมีการเขียนประวัติสั้นๆ ของแต่ละตัวละครให้เราได้อ่านอีกด้วย ตัวเกมมีระบบเนื้อเรื่องให้เราได้เล่นและปลดล็อคเป็นบทๆ ใครไม่เคยเสพเนื้อเรื่องของ The King of Fighters มาก่อน ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้เรื่องราวและความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครได้ในระดับนึง สำหรับระบบการต่อสู้ในตัวเกมที่ผมอยากจะแนะนำมากๆ ตัวเกมจะมีระบบการต่อสู้คล้ายๆ กับเกมแนว Brave คือเราเป็นคนกดสั่งตัวละครให้โจมตีในจังหวะต่างๆ แต่ต่างกันตรงที่ท่าต่างๆ ของตัวละครในเกมเป็นสกิลให้เรากด ซึ่งจะมีค่าร่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้นการกดท่าต่างๆ ในตัวเกมจึงต้องมีการวางแผนลำดับการกดท่าให้ดี เพื่อที่จะได้สามารถต่อคอมโบการโจมตีของตัวละครได้อย่างต่อเนื่อง โดยการกดท่าต่างๆ ของตัวละครจะมาพร้อมกับแผงคอมโบ ที่ถ้ากดได้ถูกต้อง เราก็จะได้เปรียบในการต่อสู้มากขึ้น เช่นคอมโบสกิลค่าร่าย 1 ไป 2 และไป 3 จะทำให้ตัวละครที่โจมตีเป็นคนที่ 3 จะสามารถใช้ท่าไม้ตายของตัวเองได้ทันที เป็นต้น ถ้าให้เปรียบเทียบ ก็เหมือนกับเรากดปุ่มต่อสู้หนักเบาต่อเนื่องจนเกิดเป็นท่าโจมตี หรือคอมโบที่ต้องการ ถูกต้องครับตัวเกมให้กลิ่นอายเหมือนเกมต่อสู้ แม้จะเป็นเกม Card Battle ก็ตาม ทั้งนี้การจัดทีมตัวละครน้อยๆ จะทำให้เราสามารถกดท่าของตัวละครแต่ละตัวได้มากขึ้น แต่ถ้าทีมเรามีตัวละคร 6 ตัว แต่ละตัวจะสามารถใช้ท่าของตนเองได้เพียง 1 ท่าเท่านั้น แม้ตัวเกมจะมีระบบต่อสู้ที่ดูใหม่และโดดเด่น แต่ระบบอัปเกรดตัวละครของเกมเกมนี้กลับเหมือนเกม Card Battle ในตลาดปัจจุบันทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะอัปเลเวล อัปดาว อัปเกรดอุปกรณ์ ระบบชีพจร และอีกหลายระบบที่ตัวเกมจะปลดล็อคตามเลเวลของตัวเรา มาพร้อมโหมดการเล่นที่หลากหลายซึ่งปลดล็อคตามเลเวลเหมือนกัน เช่นโหมดประลอง ท้ารบ และระบบกิลด์เป็นต้น สรุป อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบเกมๆ นี้คือตัวละครแต่ละตัวมาพร้อมท่วงท่าอนิเมชั่นตามต้นฉบับแบบแป๊ะๆ แถมเท่ห์มากๆ โดยเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG มีจุดเด่นที่ระบบต่อสู้ซึ่งไม่เหมือนเกม Card Battle ตัวไหนๆ ตัวละครค่อนข้างเด่นเต็มไปด้วยเสน่ห์ รวมถึงตัวเกมค่อนข้างที่จะเข้าใจง่าย ท่านสามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาเยอะ  แต่ข้อเสียหนึ่งคือตัวเกมมีระบบ Auto ที่ถ้าเรากดมันลงไป เสน่ห์ของระบบต่อสู้ที่ตัวเกมอุตส่าห์ปั้นมาจะหายไปในทันที นอกจากนี้ตัวละครอย่าง SSR เอง จะไม่สามารถสุ่มได้ หรือหาได้ด้วยวิธีปกติ แต่เราต้องรวบรวมเศษชิ้นส่วนมาสร้างขึ้นเองเท่านั้น ยังดีที่เกมเกมนี้ระดับที่ต่างกันอาจมีผลอยู่บ้าง แต่ถ้าให้ผมเลือก ผมจะเลือกเล่นตัวละครที่ชอบมากกว่า เพราะผมถือเป็นแฟนซีรีส์ KOF ในระดับนึงนั่นแล สำหรับคะแนนตัวเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG ที่ผมจะให้คือ 8 คะแนน ตัวเกมมีจุดเด่นในด้านเกมเพลย์ที่ค่อนข้างน่าชื่นชมมากๆ น่าเสียดายด้วยระบบการอัปเกรดตัวละครแบบเดิมๆ ในรูปแบบสไตล์เกม Card Battle รวมไปถึงระบบ Auto ถ้าทำออกมาสร้างสรรค์กว่านี้จะดีมากๆ ดาวน์โหลดเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG ได้ที่นี่ - https://kofasvng-th.onelink.me/sECN/PRArticle [penci_review id="58667"]
25 Jun 2020
รีวิวเกม Evans Remains "คำขอจากเด็กหนุ่มที่หายตัวไป"
ถ้าอยู่ๆคนที่หายตัวไปนานนับหลายปีติดต่อกลับมาหา และขอให้เราไปตามหาเขาในที่ที่แสนไกลไร้ผู้คน ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นคิดว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้  GameFever TH จะมาติดตามเรื่องราวของ Dysis เด็กสาวที่ถูก Evan เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่หายตัวไปนานหลายปีขอร้องให้ไปตามหาเขา ณ เกาะแห่งหนึ่งที่ไกลแสนไกล กับเกม Evans Remains เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Evan เด็กหนุ่มอัจฉริยะได้หายตัวไปจากศูนย์วิจัยที่เขาทำงานอยู่ หลายปีต่อมาอยู่ๆก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาโดยเขา โดยอ้างว่าเขาอยู่บนเกาะที่ไม่มีใครอยู่ที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิก และเขาขอเฉพาะเด็กสาวที่ชื่อ“ Dysis” เพื่อไปหาเขาที่เกาะนั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหรือใช่ตัวจริงหรือเปล่า มีแต่ต้องทำตามที่จดหมายเขียนไว้ ศูนย์วิจัยจึงได้ส่งตัวเธอไปที่เกาะนั้นตามคำขอในจดหมาย  ซึ่งเราจะได้รับบทเป็น Dysis เด็กสาวที่พึ่งมาถึงเกาะและต้องออกตามหา Evan ในเกาะมีแต่ซากอรายธรรมต่างๆเต็มไปหมด ถือเป็นการเปิดเรื่องมีแต่ปริศนาเยอะไปหมด เราแทบไม่รู้อะไรเลย แถมตัวเกมก็มีการเล่าที่ตัดไปตัดมา ทำเอาคนเล่นงงจัดๆกันเลย แต่ถ้าตั้งใจเสพเนื้อเรื่องดีๆแล้ว พอเล่นไปจนถึงท้ายเกม ความจริงทุกอย่างจะถูกเฉลย หักมุมแบบชนิดว่าร้อง WTF กันเลยทีเดียว (ในทางที่ดีนะ)   ส่วนเรื่องของงานภาพและเสียง จัดว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นเกม 2D ทุกฉากที่เล่นก็ทำออกมาได้สวยงาม รู้สึกได้เลยว่าเรากำลังอยู่บนเกาะที่ไร้ผู้คน แถมเพลงประกอบก็ฟังเพลินอีกด้วย ระบบการเล่น Evans Remains เป็นเกมแนว 2D Puzzle Platformer ที่เราจะต้องหาทางข้ามกำแพงของซากอรายธรรมเพื่อผ่านไปด่านต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นหินที่เหยียบแล้วจะหายไป แผ่นหิน Teleport แผ่นหินกระโดด เป็นต้น  และเมื่อเราผ่านด่าน กลไกใหม่ๆก็จะเพิ่มเข้ามา ทำให้ด่านยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เกมยากจนเกินไป แค่ต้องอาศัยการทดลองและสังเกตสักหน่อยก็จะสามารถผ่านด่านได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่ถ้าใครไม่อยากเล่นตัว Puzzle หรือรู้สึกว่ามันยากไป ตัวเกมก็สามารถกดข้ามด่านได้ที่หน้าเมนู Pause  มาพูดถึงข้อเสียกันดีกว่า ข้อแรก เกมนี้ใช้เวลาเล่นจบไวมาก เพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็สามารถเล่นจบได้แล้ว แถมไม่มีคุณค่าให้กลับไปเล่นใหม่อีกรอบตามสไตล์เกม Puzzle (นอกจากว่าอยากจะกลับไปเสพเนื้อเรื่องให้เข้าใจ)  ข้อต่อมา เกมนี้เน้นเนื้อเรื่องหนักเกินไป เน้นหนักชนิดว่าเวลาเกือบ 70% ของเกมอยู่กับการอ่าน Cutscene เนื้อเรื่อง ทำให้การเล่นตัว Puzzle นั้นน้อยตามไปด้วย เรียกได้ว่าจะมีตัว puzzle หรือไม่มีก็ได้ เหมือนมีไว้แถมให้มันยังเป็นเกมอยู่ยังไงยังงั้น  และข้อสุดท้าย ตัวเกมไม่มี tutorial ให้เลย ปล่อยให้เราหัดเล่นและสังเกตด้วยตัวเอง ถ้าเป็นคนที่เล่นเกมบ่อยๆก็จะไม่มีปัญหาอะไร(ยังพอคลำๆได้) แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เล่นเกมมาเจอ ก็คงนั่งงงเป็นพักใหญ่แน่ๆ ความรู้สึกหลังเล่น Evans Remains เป็นอีกเกมที่ผมถูกล่อซื้อจากงานภาพที่สวยงามและคิดว่าเป็นเกม Puzzle ที่น่าสนุก (55555+) แต่พอได้เล่นจริงๆ ก็บอกได้เลยว่าถ้าเกมนี้ตัดตัวปริศนาออกไป มันก็คือนิยายสั้นดีๆ เรื่องหนึ่งเลย อ่านเยอะมากกกกกก อ่านหนักมากกกกก แทบจะมีทุกครั้งที่ผ่านด่านย่อย แล้วตัว Puzzle ก็มีน้อยแทบจะนับครั้งได้ แถมไม่ได้ยากชนิดท้าทายสมองจนคิดหนักเลย แต่อย่างไงก็ตามเนื้อเรื่องก็จัดว่าดีมากเลยทีเดียว ถึงจะเล่าแบบงงๆไปหน่อยก็ตาม สรุป Evans Remains เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องที่ดีมาก และฉากจบที่สุดแสนหักมุม เหมาะมากกับผู้เล่นสายเสพเนื้อเรื่อง แต่ถ้าจะเล่นเกมนี้เพราะอยากเล่นเกม Puzzle ที่สนุกท้าทาย ก็ขอแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไป Link : https://store.steampowered.com/app/1110050/Evans_Remains/ [penci_review id="56721"]
18 Jun 2020
รีวิว SnowRunner สวมวิญญาณสิงห์รถบรรทุกพร้อมกราฟิกสุดอลัง
เกมเมอร์หลาย ๆ คนอาจจะเคยมีความฝันในการนั่งขี่รถในหนทางสุดลำบาก พร้อมกับบรรยากาศที่สุดชิว ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่าเกมเฉพาะทางแบบนี้มีน้อยเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นก็ได้มีเกมหนึ่งในที่ได้ทำออกมาเพื่อเอาใจเหล่าเกมเมอร์สายนี้โดยเฉพาะ ขอเชิญพบกับรีวิวเกม SnowRunner สวมวิญญาณ off-road พร้อมกราฟิกสุดอลัง โดยพวกเรา GameFever TH เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ได้มีอะไรมาก เราจะได้รับบทเป็นคนขับรถส่งของที่ต้องส่งพัสดุไปตามสถานที่ต่างๆ  เพื่อทำการพัฒนาเมืองและเก็บเงินในการอัปเกรดรถไปเรื่อย ๆ พร้อมกับรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่มากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งเนื้อเนื่องของเกมนี้มีแค่นี้จริงๆ ดังนั้นข้ามไปเถอะ การนำเสนอ / กราฟิก หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมขับรถแบบปกติละก็คุณจะต้องทิ้งตรรกะเดิมทิ้งไป เพราะในคราวนี้เราจะไม่ได้เน้นการขี่รถให้เร็วที่สุดแต่เน้นการขี่รถให้ปลอดภัยมากที่สุด SnowRunner นำเสนอในเรื่องของประสบการณ์ในการขับรถแบบชาวรถบรรทุก โดยในเกมนี้เราจะต้องเดินทางผ่านภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยดินโคลน หิมะ รวมถึงน้ำท่วมสูง ทำให้เราจะต้องวางแผนในการขับรถให้ดี ซึ่งในเกมนี้การขับรถจะเพิ่มความฮาร์ดคอไปอีกขั้นด้วยระบบการเข้าเกียร์แบบ Manual ทำให้คุณจะต้องปรับเกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพถนนตลอดเวลา นอกจากนี้รถของเราเองก็สมจริง เพราะในเกมนี้รถของเราจะใช้ระบบความเสียหายแยก ไม่ว่าจะเป็นเครื่่องยนตร์ ยาง โช๊ค ทุกส่วนสามารถที่จะเสียหายได้ ทำให้เราจะต้องขับรถให้ดีเพราะหากเครื่องพังอาจจะต้องเริ่มขนใหม่ตั้งแต่ Check Point ล่าสุด ซึ่งทำเอาหัวอุ่นได้เหมือนกัน ยังไม่นับกับระบบน้ำมันในเกมนี้ที่ต้องคำนวนให้ดี พูดถึงสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้คือบรรดาเหล่ารถต่าง ๆ ในเกมนี้ ที่จะทำให้เหมาะกับสถานการณ์ เอาง่าย ๆ ก็คือเลือกรถที่เหมาะกับงานนั่นแหละ โดยในเกมนี้ได้เอาใจสิงห์รถบรรทุกไปอีกขั้นด้วยการที่สามารถปรับแต่งได้อย่างมากมาย ซึ่งจะปลดล็อกเมื่อเราทำภารกิจไปได้เรื่อย ๆ ยังไม่นับกับระบบสำรวจแผนที่อีกเรียกได้ว่าคุ้ม กราฟิกของเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้สวยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่าง ๆ รวมไปจนถึงหิมะ ต้นไม้ โคลนไปจนถึงรายละเอียดของตัวรถที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในส่วนของรายละเอียดตัวเมืองกับทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เรียกว่าไหนเหมือนทีมงานจะลงทุนไปกับส่วนอื่น ๆ มากเกินไป ประสิทธิภาพ ผู้เขียนได้รีวิวเกมนี้ผ่านช่องทาง Epic Games Store ของ PC ด้วยสเปกเครื่องกลาง ๆ I5-9400f , RAM 16 GB, RTX 2060 สามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด เฟรมไม่ตก ในขณะที่เล่นเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงก็ไม่พบบั๊คที่กวนใจอะไรเลย เรียกได้ว่ายังไงก็ใช้ผ่าน ระบบการเล่น SnowRunner ไม่ใช่เกมขับรถง่าย ๆ เหมือนกับเกมอื่น ๆ ดังนั้นจงทำใจไว้เลยว่า 2-3 ชั่วโมงแรกของการเล่นเกมนั้นจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก เราจะต้องเรียนรู้ระบบต่างๆ มากมาย ซึ่งตัวเกมจะค่อยๆ สอนเราทีละนิด นอกจากนี้ยังมี Feature อื่นๆ ให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง ดังนั้นหากคุณไม่อดทนพอในช่วงแรก คุณอาจจะทิ้งเกมนี้ไปได้ง่ายๆ แต่หากคุณสามารถอดทนจนเริ่มเล่นเป็นคุณจะได้สนุกกับระบบการเล่นของเกมนี้ การขี่รถไปส่งของตามที่ต่างๆ การใช้ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคระหว่างทาง โดยเมื่อคุณทำภารกิจสำเร็จก็จะได้เงินในการอัปเกรดและซื้อรถของเราให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบเลเวลที่ใช้ในการปลดล็อกไอเทมต่างๆ อีกด้วย นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบให้เราเล่นกับเพื่อน ๆ ผ่านระบบออนไลน์ของเกมอีกด้วย ทำให้เกมเมอร์ที่ไม่ชอบการขับรถคนเดียวสามารถที่จะสนุกกับการเล่นเกมนี้ได้ ซึ่งก็ทำออกมาได้สนุกไปอีกแบบ ดังนั้นหากใครที่เหงา ๆ ก็ลองหาเพื่อนมาเล่นด้วยกันดู อย่างไรก็ตามแม้ระบบต่าง ๆ จะทำออกมาได้ดีแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เช่นการบังคับด้วย Mouse และ Keyboard ที่ไม่ค่อย Smooth มากนัก หากลองเปลี่ยนมาใช้จอยจะเล่นได้ดีกว่ามาก นอกจากนี้ในบางครั้งหากเรารับพัสดุแต่ว่าไม่รับเควส Progression ก็จะไม่ขึ้นแม้ว่าเราจะนำเอาของไปส่งถึงที่แล้วก็ตาม สรุป SnowRunner คือเกมแนว Driving Simulator game เกี่ยวกับรถบรรทุกได้ดีมาก ตัวเกมมีระบบการเล่นที่เพลิน ท้าทายและสนุกในคราวเดียวกัน หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่ชอบความสมจริงถือว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีเลย แต่หากคุณชอบเกมแข่งรถที่เน้นการทำความเร็วเป็นหลักก็คงจะต้องผ่านเกมนี้ไป ข้อดี -ระบบขับรถบรรทุกที่สมจริงมาก ๆ -กราฟิกที่สวยงาม -เล่นได้เพลิน ๆ เมื่่อเราชำนาญแล้ว ข้อเสีย -ระบบบางอย่างยังไม่ค่อยสมบูรณ์ -ต้องใช้ความอดทนสูง -เป็นเกมเฉพาะทาง รวมคะแนน 8/10
17 Jun 2020
รีวิว DLC Mortal Kombat 11: Aftermath
ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่มีใครคาด เมื่อผู้พัฒนา NetherRealm Studios ประกาศปล่อย DLC ชุดใหญ่ให้กับเกมต่อสู้สุดอมตะ Mortal Kombat 11 ทันวันครบรอบวางจำหน่าย 1 ปีของเกมในนาม Aftermath ชุดเสริมใหญ่ที่เพิ่มเนื้อเรื่องบทใหม่เข้าไปในเกม พร้อมกับตัวละครใหม่อีก 3 ตัวอย่าง Fujin, Sheeva และแขกรับเชิญสุดพิศดารอย่าง RoboCop อีกด้วย ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์เหล่าแฟนๆ ของเกม โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเล่นโหมดเนื้อเรื่องอันลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์ของซีรีส์ Mortal Kombat ยุคใหม่ ที่จะได้สัมผัสกับเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในโหมดเนื้อเรื่องของเกมหลัก แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเนื้อเรื่องและตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในเกมจะสร้างออกมาได้อย่างดี และรักษามาตรฐานโดยรวมของเกมได้ ผู้เขียนก็ยังอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าสิ่งที่เพิ่มมามันคุ้มค่ากับราคากว่า 1,200 บาทที่ผู้เล่นเก่าต้องจ่ายไปหรือไม่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่สนใจจะเล่นเกมในโหมดเนื้อเรื่องหรือเล่นเกมกับเพื่อนสนุกๆ เท่านั้น และยิ่งเมื่อเห็นว่าผู้พัฒนาวางจำหน่ายเกมเวอร์ชั่น Aftermath Kollection ซึ่งมัดรวมเกมต้นฉบับมาในราคาเท่ากับเกมตัวเต็มแล้วด้วย ยิ่งทำให้ความคุ้มค่าของ DLC Aftermath ดูจะลดน้อยลงไปด้วย แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมภาคหลัก Mortal Kombat 11: Aftermath Kollection ถือเป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับเกมในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุด ในราคาเท่ากับตอนเกมวางจำหน่ายได้ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจจะสัมผัสกับโหมดเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยมของเกม ก็ถือเป็นโอกาสอันดีแล้วเช่นเดียวกัน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของ DLC Aftermath จะเกิดขึ้นต่อจากเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องของเกมภาคหลักทันที หลังจากที่ Liu Kang ผู้ซึ่งได้พลังของเทพแห่งไฟ สามารถยับยั้งเทพแห่งเวลา Kronika ไม่ให้ทำลายล้างจักรวาลได้ แต่การจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จำเป็นต้องใช้มงกุฏของ Kronika ด้วย Liu Kang จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากศัตรูเก่าอย่าง Shang Tsung เพื่อเดินทางข้ามเวลาไปเอามงกุฏของ Kronika กลับมาให้เขา แม้จะมีความยาวไม่มาก เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงก็จบ แต่เนื้อเรื่องเสริมที่เพิ่มมาใน DLC Aftermath ก็ยังทำออกมาได้ดี และสามารถรักษามาตรฐานของเกม MK11 ต้นฉบับไว้ได้อย่างครบถ้วน จุดเด่นคงหนีไม่พ้นกราฟิกด้านหน้าตาตัวละคร ที่มีความสมจริงจากการใช้เทคโนโลยีการแสกนหน้าของผู้พัฒนา โดยเฉพาะในตัวละคร Shang Tsung ที่นักแสดงดูจะจัดเต็มเป็นพิเศษ ทำให้โหมดเนื้อเรื่องของเกม MK11 หรือเกมต่อสู้ของค่าย NetherRealm Studios ที่ผ่านมา สามารถ "เล่าเรื่อง" ได้อย่างเข้มข้นมากกว่าเกมแนวเดียวกันอื่นๆ อย่างมาก แม้เนื้อเรื่องนั้นจะไม่ได้ลึกซึ้งหรือ "ดี" เหมือนเกมแนวหน้าทั่วไป แต่ก็น่าจะตอบโจทย์แฟนๆ ของซีรี่ส์ ที่ชื่นชอบเนื้อเรื่องอันแสนพิศดารของเกม ◊ ตัวละครใหม่ ◊ ในส่วนของตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน DLC จะมีอยู่ 3 ตัวด้วยกัน คือ Fujin, Sheeva และ RoboCop ซึ่งแต่ละตัวก็มีเอกลักษณ์และลูกเล่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และมอบความสดใหม่ให้กับเกมในระดับที่แตกต่างกันไปด้วย ตัวละครตัวแรกคือเทพสายลม Fujin ที่เพิ่มลูกเล่นแปลกๆ เข้าไปในเกมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่าโจมตีที่ใช้สายลมของเขา ที่มักจะออกมาในมุมแปลกๆ ที่คาดไม่ถึง ไปจนถึงความสามารถอย่างวิชาตัวเบา หรือการเรียกลมหมุนที่ผู้เล่นสามารถควบคุมได้เอง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การเล่นตัวละครนี้มีความ "แปลกใหม่" พอสมควรเมื่อเทียบกับตัวละครอีกหลายๆ ตัวในเกม ในส่วนของ Sheeva จะมีความคล้ายคลึงกับตัวละคร Goro จากภาคก่อนๆ ซึ่งเน้นใช้ท่าจับทุ่มอันหลากหลาย พร้อมด้วยท่ากระโดดทับอันเป็นเอกลักษณ์ของ Goro ด้วย แต่ด้วยระยะโจมตีของเธอ ที่รู้สึกสั้นกว่าของ Goro อย่างชัดเจน ทำให้ผู้เล่นที่อาจจะคุ้นเคยกับตัวละครรู้สึกแปลกๆ บ้างในช่วงแรก แต่โดยรวมก็ถือว่าเธอสามารถกลบช่องว่างที่ Goro ทิ้งเอาไว้ได้พอดี สำหรับแฟนๆ ของเกมที่อาจคิดถึงตัวละครแสนคลาสสิคที่ล่วงลับไป ตัวละครที่น่าจะมีคนสนใจมากที่สุดอย่าง RoboCop กลับรู้สึกเป็นตัวที่น่าสนใจน้อยที่สุด จากการที่ความสามารถของเขาเกือบทุกอย่าง มีความ "ธรรมดา" ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยิงปืน การยิงจรวด หรือการใช้อาวุธไฮเทคทั้งหลาย ที่มีตัวละครอื่นๆ ที่ทำได้เหมือนกันหลายตัวแล้ว ทำให้การเล่น RoboCop ขาดความแปลกใหม่ รวมไปถึงเอกลักษณ์ของตัวเอง ต่างจากตัวละครอื่นๆ ในเกมทุกตัว ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากๆ ทั้งนี้ ความน่าสนใจของตัวละครทั้ง 3 ก็ได้รับผลกระทบจากราคาของชุด DLC ด้วยเช่นกัน เพราะต่อให้ผู้เล่นคนหนึ่งจะชอบตัวละครทั้งสามมาก แต่เมื่อต้องคำนวนความคุ้มค่าเทียบกับราคาโดยรวมของ DLC ก็อาจจะทำให้หลายคนตัดสินใจผ่าน DLC นี้ไปได้ และทำให้พวกเขาไม่ได้สัมผัสตัวละครเหล่านี้เลย จนกว่าผู้พัฒนาจะจับทั้งสามมาแบ่งขายแยกเป็นตัวๆ เหมือนตัวละครเสริมตัวอื่นๆ ◊ สรุป ◊ กล่าวโดยสรุป DLC Aftermath ของเกม MK11 ถือเป็นชุดเสริมที่ดี ที่เพิ่มเนื้อหาที่มีคุณภาพเข้าไปในเกม MK11 ได้ในรูปแบบของส่วนเสริมเนื้อเรื่อง และตัวละครใหม่ที่น่าสนใจ แต่อาจจะถูกทำร้ายโดยราคาของตัว DLC เอง ที่อาจจะหาความคุ้มค่ายาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยซื้อเกมตัวเต็มมาก่อนแล้ว น่าคิดว่าหากผู้พัฒนาเลือกจะปล่อย DLC เนื้อเรื่องแยกออกมา และวางจำหน่ายตัวละครใหม่ทั้ง 3 แยกกันเหมือนตัวละครอื่นๆ อาจจะทำให้ส่วนเสริม Aftermath น่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้เล่นทั่วไป ที่ไมไ่ด้เล่นเกม MK11 แบบจริงจังมากนัก [penci_review id="56748"] สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!
15 Jun 2020
รีวิว: The Last of Us Part II "ความยุติธรรมที่ไม่มีใครต้องการ"
ในหลายๆ จังหวะ การเล่นเกม The Last of Us Part II ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเกม PS4 Exclusive ชื่อดังอีกเกมอย่าง God of War (2018) ทั้งสองเกมมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ตั้งแต่มุมกล้องที่ติดตามตัวละครหลักของเกมอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา เพื่อให้ผู้เล่นได้เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในทุกช่วงเวลาตลอดการเดินทาง รวมไปถึงองค์ประกอบด้านภาพ เสียง และเกมเพลย์ระดับแนวหน้าของวงการ ที่ทำงานร่วมกันในการขับสาสน์และ “บรรยากาศ” ของเกมให้ถึงผู้เล่นอย่างชัดเจนตลอดระยะเวลาที่นั่งเล่น จนทำให้ “ประสบการณ์” โดยรวมของเกมน่าดึงดูดในระดับที่พูดได้เต็มปากว่า “วางจอยไม่ลง” เลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกัน แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า The Last of Us Part II เป็นผลงานวีดีโอเกมที่น่าทึ่งในหลายๆ ระดับ แต่ในความพยายามที่จะนำเสนอ “แง่มุม” อันหลากหลายมากขึ้นของผู้พัฒนา ทำให้เนื้อเรื่องของเกมขาดส่วนผสมบางอย่าง ที่ทำให้เกมอย่าง God of War (2018) หรือกระทั่งผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Naughty Dog เองทั้ง Uncharted และ The Last of Us ภาคแรก กลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมอันดับต้นๆ ในแง่ของเนื้อเรื่อง นั่นก็คือการที่เนื้อเรื่องของเกมเหล่านั้น “มุ่งเน้น” (Focused) ไปที่เรื่องราวของตัวละครเพียงไม่กี่ตัวตลอดการเดินทางของพวกเขา ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างความผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านั้น และติดตามการเจิรญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาได้อย่างเข้มข้น ทำให้เนื้อเรื่องโดยรวมขาด “น้ำหนัก” เมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ ที่กล่าวไปข้างต้น  แม้ว่าสุดท้ายแล้ว คงไม่สามารถบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม The Last of Us Part II นั้น “แย่” หรือ “ห่วย” ได้ เพราะเอาเข้าจริง เนื้อเรื่องของเกมถูกเขียนมาอย่างลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยสถานการณ์และตัวละครที่จะทำให้คุณตั้งคำถามกับ “ความถูกต้อง” ของทั้งตัวเองและตัวละครอยู่ตลอดเวลา แถมกราฟิกอันสุดยอดของเกมยังช่วยทำให้นักแสดงมากความสามารถทั้งหลายสามารถมอบ “ความเป็นมนุษย์” ให้กับตัวละครเหล่านี้ได้ในระดับที่ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นในเกมไหนมาก่อนเลย และทำให้คุณภาพของการแสดงและคัตซีนทั้งหมดเข้าใกล้คุณภาพระดับ “ฮอลลีวู้ด” มากกว่าเกมไหนๆ ที่ผ่านมาได้สบาย *หมายเหตุ: รีวิวฉบับนี้จะหลีกเลี่ยงการสปอยเนื้อเรื่องให้ได้มากที่สุด และจะกล่าวถึงเหตุการณ์และตัวละครในภาพกว้างเท่านั้น *หมายเหตุ 2: เนื่องจากทางผู้พัฒนากำชับมาให้ใช้ภาพประกอบที่พวกเขาส่งมาให้เท่านั้นในบทความรีวิวนี้ จึงไม่สามารถแสดงภาพบทบรรยายหรือเมนูภาษาไทยได้ ผู้ที่อยากเห็นว่าบทบรรยายของเกมหน้าตาเป็นอย่างไร สามารถรับชมได้ในวีดีโอรีวิวเกม The Last of Us Part II ของเราแทน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ มาพูดถึงเนื้อเรื่องให้จบๆ กันไปก่อนดีกว่า สำหรับคนที่อาจจะไม่ทราบ เนื้อเรื่องของเกม The Last of Us Part II จะเกิดขึ้น 4 ปีให้หลังจากตอนจบของเกมภาคแรก (ใครยังไม่เล่น แนะนำให้หามาเล่นเดี๋ยวนี้) โดยจะติดตามตัวละครเด็กสาว Ellie ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนผู้รอดชีวิตอันแสนสงบสุขในเมือง แจ๊คสัน รัฐไวโอมิ่ง แม้ว่าเธอและเหล่าชาวเมืองจะยังคงต้องเผชิญกับเหล่าผู้ติดเชื้อไวรัส Cordyceps ที่กระจายอยู่ทั่วไป และต้องคอยจัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อดูแลความเรียบร้อยรอบๆ เมืองอยู่ตลอด แต่พวกเขาก็ยังมีพื้นที่ให้งานรื่นเริง หรือกระทั่งความรักและมิตรภาพ หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบเพื่อเอาตัวรอดมาตลอด แต่ความสงบสุขของ Ellie ก็ถูกทำลายลง เมื่อเธอต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่หลวงในขณะที่ออกลาดตระเวนวันหนึ่ง และเพื่อทวงคืน “ความยุติธรรม” บางอย่างที่ถูกพรากไปจากเธอ Ellie จึงตัดสินใจออกเดินทางจากชุมชนอันอบอุ่นของเธอ ไปยังเมือง ซีแอตเทิล เพื่อชำระความแค้นที่สุมอยู่เต็มอกของเธอ อย่างที่ผู้พัฒนาเคยกล่าวไปในบทสัมภาษณ์มากมาย เนื้อเรื่องในเกม The Last of Us Part II จะเกี่ยวข้องกับ “วังวนแห่งความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ทั้งสองฝ่ายต่างเลือกที่จะแก้แค้นกันไปกันมา โดยไม่ได้หยุดคิดเสียก่อนเลยว่า “ความแค้น” ที่ต้องชำระนั้นยังคง “สำคัญ” หรือ “คุ้มค่า” แค่ไหนเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องแลกไป ซึ่งต้องบอกว่าผู้พัฒนา Naughty Dog ก็ยังคงแสดงออกถึงศักยภาพในฐานะผู้นำในด้านการเล่าเรื่อง จากบทพูดที่เขียนมาอย่างคมกริบ ไปจนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่องที่ล้วนแล้วแต่มีนัยยะ และตั้งคำถามเกี่ยวกับ “การกระทำ” ของ Ellie และตัวละครอื่นๆ ในโลกของเกมได้อย่างคมคาย ด้วยธรรมชาติของเนื้อเรื่อง ที่ต้องการจะท้าทายความคิดของผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้พัฒนาตัดสินใจที่จะให้ตัวละครอื่นๆ มีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องหลายตัว เพื่อช่วยกันเสริมทั้งโลกของเกมโดยรวม และเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงมุมต่างๆ ของ Ellie ผ่านความสัมพันธ์ที่เธอมีกับตัวละครเหล่านั้น โดยปัญหาของเนื้อเรื่องเกิดขึ้นเมื่อผู้พัฒนาใช้เวลาของเกมส่วนหนึ่งในการนำเสนอแง่มุมหรือเส้นเรื่องของตัวละครอื่นบางตัวค่อนข้างเยอะ จนทำให้เนื้อเรื่องของ Ellie ที่ควรจะเป็นแก่นหลักของเกมรู้สึก “เจือจาง” ลงไปอย่างมาก ซึ่งเป็นปัญหามากขึ้นไปอีกเมื่อเกมพยายาม “ดึงดัน” ว่าเนื้อเรื่องนี้ทั้งหมดยังคงเป็นเรื่องของ Ellie แม้ว่าซีกใหญ่ๆ ของเกมจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง แต่ในทางกลับกัน การที่เกมให้เวลาในการสำรวจชีวิตและความคิดของตัวละครอื่นๆ เหล่านี้ ก็เปิดช่องทางให้ผู้เล่นได้รับรู้ถึงแง่มุมของโลกที่อาจจะไม่ได้เห็นในฐานะ Ellie ซึ่งก็ช่วยทำให้โลกของเกมรู้สึกกว้างและสมจริงมากขึ้น จากการค่อยๆ เรียนรู้วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของมนุษย์กลุ่มต่างๆ หลังจากที่อารยธรรมได้ล่มสลายไปแล้วมากกว่า 20 ปี จึงอาจจะไม่ได้มีแต่ด้านลบไปทั้งหมด แต่ก็กลับไปสู่คำถามที่ว่า แล้วมันควรจะเป็นเรื่องราวของใครกันแน่ ผู้เล่นจำเป็นต้องรู้เรื่องราวเหล่านี้แค่ไหน และจะดีกว่าไหมถ้าเราใช้เวลาตรงนี้กับ Ellie และตัวละครรอบตัวเธอมากขึ้น สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ได้คิดว่าเนื้อเรื่องของ The Last of Us Part II นั้นแย่ไปเลยเช่นกัน และสุดท้ายอาจจะเป็นตัวผู้เขียนเองที่ตีความเนื้อเรื่องของเกมไม่ถูก หรือไม่ลึกพอก็เป็นได้ แต่ในตอนนี้ คงได้แต่บอกว่าเนื้อเรื่องเป็นเป็นส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดของเกม โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเกม The Last of Us ภาคแรกยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะเกมที่ “ยกระดับ” มาตรฐานการเล่าเรื่องของสื่อวีดีโอเกมให้ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ได้มากที่สุด จากการเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างตัวละครสองตัว ก็อดผิดหวังไม่ได้ที่เกมนี้ดูจะขาดเครื่องปรุงสำคัญที่เคยมีในภาคแรกไป ◊ เกมเพลย์ ◊ สำหรับผู้เขียน “เกม” มีข้อได้เปรียบประการหนึ่งในฐานะสื่อการเล่าเรื่อง ที่สื่ออื่นๆ ทั้งหนัง ทีวี หรือหนังสือนิยายไม่มี คือความสามารถในการเล่าเรื่องผ่าน “การกระทำ” ของผู้รับสื่อนั้น ซึ่งเกม The Last of Us Part II ถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดชิ้นหนึ่งของการเล่าเรื่องผ่าน “การกระทำ” ซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบเกมเพลย์ทั้งหมด ตั้งแต่การต่อสู้และลอบเร้น ไปจนถึงการสำรวจและการตามหาทรัพยากร ที่ออกมาให้ขับธีมของเนื้อเรื่อง โดยที่ยังมอบความสนุกท้าทายให้ผู้เล่นได้อย่างไม่ลดละ ตลอดระยะเวลากว่า 25 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการผ่านเนื้อเรื่อง แม้ว่าในภาพรวมแล้ว การเล่นเกม The Last of Us Part II จะให้ความรู้สึกคล้ายกับภาคแรกอยู่พอสมควร ด้วยการควบคุมและ “สัมผัส” ในการเล่นที่ใกล้เคียงกันมาก แต่เกมเพลย์ของ Part II โดยเฉพาะการต่อสู้ ก็ได้รับการเพิ่มเติมระบบเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปหลายข้อ ที่ทำให้การต่อสู้ในเกมมีความท้าทายและน่าตื่นเต้นกว่าที่พบในเกมแนวลอบเร้นสายเลือดแท้หลายเกมซะอีก ฉากต่อสู้ในเกม TLoU2 (The Last of Us Part II) มักจะดำเนินไปตามลำดับที่คล้ายกัน ในตอนเริ่มต้นฉากต่อสู้ส่วนใหญ่ในเกม ผู้เล่นจะสามารถใช้ความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นของ Ellie ในการหลบซ่อนจากศัตรู ที่มักจะยกโขยงกันมาเป็นกลุ่มใหญ่เสมอ ความสามารถสำคัญอย่างหนึ่งของ Ellie คือการที่เธอสามารถหมอบคลานลงไปกับพื้น เพื่อซ่อนตัวในพงหญ้าสูง หรือเพื่อหลบซ่อนใต้สิ่งของอย่างรถได้นั่นเอง โดยเมื่อใช้คู่กับความสามารถจากภาคแรกอย่าง “โหมดการฟัง” ที่ทำให้มองเห็นศัตรูผ่านกำแพงได้ ทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการลอบเร้นเพิ่มขึ้นจากภาคแรกพอสมควร แต่ถึงจะมีทางเลือกมากมายให้ผู้เล่น ความฉลาดที่เพิ่มขึ้นของศัตรูทั้งที่เป็นมนุษย์ รวมไปถึงลูกเล่นที่เพิ่มมาอย่างสุนัขดมกลิ่นของกลุ่ม W.L.F. ก็ทำให้การลอบเร้นผ่านศัตรูแต่ละกลุ่มไปโดยที่ไม่ถูกเจอตัวอย่างน้อยซักครั้ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในประสบการณ์ของผู้เขียน  อย่างที่ผู้พัฒนาเคยกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ศัตรูมนุษย์ในเกม TLoU2 ทุกคนจะมีชื่อเป็นของตัวเอง ที่พวกมันจะใช้ขานเรียกกันเป็นระยะตลอดเวลา หมายความว่าต่อให้เราปลิดชีพศัตรูด้วยวิธีที่เงียบแค่ไหน ซ่อนศพไว้ในมุมที่เปลี่ยวแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วศัตรูที่เหลือก็จะรู้อยู่ดีว่าเพื่อนของพวกมันหายตัวไป แถมยังรู้ด้วยว่าเพื่อนควรจะลาดตระเวนอยู่ตรงไหน และจะยกโขยงกันมาตามหาเพื่อน (และตัวผู้เล่น) อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้เล่นต้องคอยเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้โดนเจอตัว แต่การเคลื่อนที่ก็มีสิทธิ์จะโดนศัตรูตัวอื่นเห็นได้เหมือนกัน ทำให้การลอบเร้นในเกม TLoU2 ให้ความรู้สึกเหมือนกดดันมากๆ เพราะสถานการณ์สามารถพลิกจากการลอบเร้นเงียบๆ สู่การวิ่งหลบห่ากระสุนของศัตรูได้ตลอดเวลา การต่อสู้ในเกม TLoU2 ก็ทำออกมาได้น่าตื่นเต้นไม่แพ้การลอบเร้นในเกม จากการที่มักจะมีศัตรูปริมาณเยอะมากๆ ในแต่ละฉากต่อสู้ แถมศัตรูยังฉลาดพอที่จะใช้จำนวนที่มากกว่าให้เป็นประโยชน์ ด้วยการตีโอบผู้เล่นเพื่อโจมตีจากหลายมุม หรือกระทั่งการส่งทหารที่มีอาวุธระยะประชิดเข้ามาไล่ต้อน Ellie ออกจากที่กำบังให้เพื่อนยิง ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องคอยเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองตลอดเวลาเช่นเดียวกับการลอบเร้น ซึ่งก็สื่อความรู้สึกกระเสือกกระสนร้อนรนเพื่อเอาชีวิตรอดของ Ellie ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การเล็งปืนในเกมที่มักจะแม่นยำน้อยกว่าเกมยิงปืนทั่วไป บวกกับการที่ Ellie สามารถพกกระสุนปืนติดตัวได้ที่ละน้อยมากๆ (เป็นองค์ประกอบเดียวในเกมที่ไม่สมจริง) ก็ทำให้การต่อสู้ในเกมยังคงท้าทายและสมจริง ไม่ว่าผู้เล่นจะเล่นเกมยิงปืนแม่นแค่ไหนก็ตาม  ในส่วนของผู้ติดเชื้อ จะได้รับการพัฒนาในเรื่องของปริมาณ ความดุร้าย และความสามารถในการตรวจจับผู้เล่น แลกกับการที่ Ellie จะสามารถลอบสังหารเหล่าผู้ติดเชื้อได้ด้วยมีดพกของเธอ แทนที่จะต้องหาทรัพยากรมาสร้างมีดสั้นแบบที่ Joel ต้องทำในภาคแรก ซึ่งแม้ว่าโดยรวมๆ ศัตรูรันเนอร์และคลิ๊กเกอร์ที่พบได้บ่อยที่สุดจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ (นอกจากวิ่งเร็วขึ้นพอสมควร) แต่เกมก็เพิ่มมิติเข้าไปผ่านผู้ติดเชื้อชนิดอื่นๆ อย่าง “แชมเบลอร์” ที่สามารถโยนระเบิดพิษใส่เรา หรือปล่อยควันพิษรอบตัวได้ และ “สตอล์คเกอร์” ผู้ติดเชื้อที่เจอเพียงประปรายในภาคแรก แต่กลับมาพร้อมความสามารถในการหลบซ่อน และจะคอยลอบโจมตี Ellie พร้อมกับเรียกเพื่อนๆ มาช่วยอีกด้วย ซึ่งก็ล้วนเพิ่มมิติเข้าไปให้กับการต่อสู้ แม้จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่ากับศัตรูมนุษย์ก็ตาม ถ้าจะมีเรื่องให้ติ คงเป็นการที่เกมไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการที่มีศัตรูหลายๆ กลุ่มที่เป็นศัตรูกันเองในการต่อสู้ เช่นฉากหนึ่งในสถานีรถใต้ดิน ที่ให้ผู้เล่นสามารถหลอกให้ศัตรูมนุษย์และผู้ติดเชื้อในพื้นที่สู้กันเอง ซึ่งผู้เขียนมองว่าน่าสนใจมากๆ และสามารถให้ประสบการณ์การต่อสู้ที่แปลกใหม่ต่อผู้เล่นได้มากขึ้น แต่กลับมีฉากลักษณะนี้อยู่น้อยมากตลอดเกม ไหนๆ เนื้อเรื่องของเกมก็เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างกลุ่มมนุษย์กันเองอยู่แล้ว น่าจะเพิ่มองค์ประกอบนี้ลงไปในเกมมากกว่านี้หน่อย ให้มันมีความหลากหลายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพของเกมในภาพรวม อีกมิติของเกมเพลย์ใน TLoU2 ก็คือการพัฒนาตัวละคร ที่ทำได้ผ่านการสำรวจโลกของเกมเพื่อเก็บวัตถุดิบหลากหลายชนิดมาสร้างอุปกรณ์เช่นยาหรือระเบิด หรือหาของอัพเกรด เช่นชิ้นส่วนปืนหรืออาหารเสริม เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวละครโดยตรงด้วย ซึ่งนอกจากจะเสริมอรรถรสของการเป็นผู้รอดชีวิตในโลก Post-Apocalpyse แล้ว ยังเพิ่มเหตุผลให้ผู้เล่นเดินทางออกนอกเส้นทางหลักเพื่อสำรวจโลกของเกม เพื่อตามหาตำราที่จะปลดล๊อคสายการอัพเกรด และเพื่อปลดล๊อคเนื้อเรื่องเสริมที่มักพบได้ระหว่างทางด้วย แต่พื้นที่เสริมเหล่านี้ ก็มักจะมีศัตรูผู้ติดเชื้ออยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้เล่นต้องชั่งน้ำหนักว่าอยากจะเผชิญหน้าศัตรูเพื่อโอกาสในการเก็บของเพิ่มหรือไม่ ซึ่งก็ย้อนกลับไปเสริม “บรรยากาศ” และ “อรรถรส” ของเกมอีกที ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ อย่างที่เคยบอกไปในบทความพรีวิวเกมก่อนหน้านี้ องค์ประกอบที่น่าจะได้รับคำชมมากที่สุด และเป็นสิ่งที่มัดรวมทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันก็คือ “บรรยากาศ” ของเกม TLoU2 อันเป็นส่วนผสมขององค์ประกอบด้านภาพและเสียงทั้งหมด ที่ทำให้การเดินทางของ Ellie เต็มไปด้วยความตึงเครียด จากความรู้สึก “อันตราย” ที่แผ่ซ่านออกมาจากสภาพแวดล้อมในเกม  องค์ประกอบที่ดูเหมือนมีไว้แค่ “ประดับฉาก” ในเกมอื่นๆ มักมีความหมายเสมอ ในเกม TLoU2 ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยคราบเลือดหรือซากศพจากการต่อสู้ ที่บ่งบอกว่าเพิ่งมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มมนุษย์สองกลุ่ม และกลุ่มที่ชนะอาจกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า ไปจนถึงเชื้อรา Cordyceps ที่คืบคลานไปบนกำแพง ที่บอกใบ้ถึงกลุ่มผู้ติดเชื้อขนาดใหญ่ที่อาจยังอยู่ในบริเวณ องค์ประกอบในฉากของเกม TLoU2 ถูกออกแบบมาให้สร้างความรู้สึกเหมือนมีอะไรรออยู่ข้างหน้าเสมอ เมื่อรวมกับการออกแบบเสียงของเกม ที่มักจะใส่เสียงเล็กๆ อย่างเสียงแก้วแตก เสียงสุนัขเห่า หรือแม้แต่เสียงร้องของผู้ติดเชื้อเข้ามาอยู่เนืองๆ ก็เพียงพอจะทำให้สะดุ้งเล็กๆ ได้ตลอดเวลา เหตุผลใหญ่ๆ ข้อหนึ่งที่ฉากของเกมสามารถสร้างความตึงเครียดได้ขนาดนี้ มาจากความน่าทึ่งของกราฟิกในเกม TLoU2 ที่บอกได้แค่ว่าเหนือว่าที่ผู้เขียนคาดเอาไว้เสียอีก ตั้งแต่ความคมชัดของพื้นผิวสิ่งของต่างๆ ที่เสริมความสมจริงให้สภาพแวดล้อม ไปจนถึงหน้าตาตัวละคร ที่สามารถถ่ายทอดหน้าตาของนักแสดงจริงได้เหนือกว่าเกมอื่นในตลาดอย่างชัดเจน โดยความสมจริงของหน้าตาตัวละครยังช่วยเสริมองค์ประกอบอื่นๆ ให้มีส่วนในการสร้างบรรยากาศของเกมได้อย่างคาดไม่ถึงด้วย ถ้าจะให้ลองยกตัวอย่าง รายละเอียดเล็กๆ อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชอบในการต่อสู้ คือการที่หน้าตาของทั้ง Ellie และคู่ต่อสู้จะเปลี่ยนไปตลอดเวลาตามการกระทำของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นความโกรธและเกลียดชังในขณะที่ยัดมีดใส่พุงศัตรู ไปจนถึงความเจ็บปวดเมื่อต้องดึกลูกธนูที่ปักอยู่ตามร่างกายทิ้ง สีหน้าที่เปลี่ยนไปของ Ellie และตัวละครอื่นๆ ในเกมระหว่างการต่อสู้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกได้ถึงความกระเสือกกระสนเอาตัวรอดของทั้ง Ellie และตัวละครศัตรู ที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อฆ่าอีกฝ่ายและมีชีวิตรอดไปต่อไป ซึ่งก็ถูกเสริมด้วยการออกแบบเสียงของเกม เช่นเสียงโลหะกระทบเนื้อ หรือกระทั่งเสียงเลือดที่กระเซ็นไปติดกำแพง ที่มอบน้ำหนักให้กับการโจมตีของทั้งศัตรูและผู้เล่น จนในบางจังหวะก็อดรู้สึก “หวาดเสียว” แทนตัวละครในเกมไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้ เกมยังสามารถใช้ประโยชน์ของความเป็นเกมในรูปแบบของกระดาษโน้ตทั้งหลายที่ซ่อนอยู่ตามฉาก ที่มักจะเล่าเรื่องราวของเหล่า NPC ไร้หน้าในโลกของเกม เช่นจดหมายที่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้รอดชีวิตที่บังเอิญหลบซ่อนอยู่ในห้องอพาร์ตเมนต์ข้างๆ กัน ไปจนถึงชายชราผู้น่าสงสาร ที่ถูกลูกชายทั้งสองทอดทิ้งไปเข้ากลุ่มเซราไฟต์ ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องหลักโดยตรง แต่ก็ช่วยกันทำให้เห็นภาพของวิถีชีวิตของมนุษย์ในโลกของเกม รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของกลุ่มศัตรูทั้ง W.L.F. และเซราไฟต์ด้วย ถ้าจะให้สาธยายกันไปอีกแปดหน้าก็คงไม่จบ กับรายละเอียดด้านการนำเสนอเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด ที่ร่วมกันทำให้ระบบการเล่นทุกส่วนของ The Last of Us Part II กลายเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอเรื่องราวหรือ “ประสบการณ์” ของโลกและตัวละครในเกม และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับระบบทั้งหมด เพื่อให้ผู้เล่นได้เข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร รวมไปสาสน์ที่ผู้พัฒนาต้องการสื่อผ่านเนื้อเรื่องอีกด้วย เอาเป็นว่าของแบบนี้ ถ้าไม่มาลองกับมือและรับองค์ประกอบทั้งหมดของเกมพร้อมกัน มันบอกไม่ถูกจริงๆ ต่อให้รู้แค่เนื้อเรื่อง หรือเล่นแคเกมเพลย์ ก็ไม่มีวันเข้าถึงประสบการณ์เต็มของเกมได้เลย ◊ ภาษาไทย / ตัวเลือกอื่นๆ ◊ อย่างที่กล่าวไปแล้วในพรีวิว ภาษาไทยในเกม The Last of Us Part II ถือเป็นงานแปลที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นในเกมมา แน่นอนว่าอาจจะมีคำแปลผิดหรือเสียอรรถรสไปบ้าง จากการที่คำแปลไม่สามารถมีคำหยาบได้ หรือแค่จากการสื่อความหมายที่ตกหล่นไปในขั้นตอนการแปลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โดยรวมแล้วก็ถือเป็นบทบรรยายไทยระดับเดียวกับที่เห็นได้ในภาพยนตร์หรือทางเว็บสตรีมมิ่งอย่าง Netflix สบายๆ  นอกจากนี้ เกมยังมีคำแปลภาษาไทยให้กับตัวหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมดในเกมเลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่ป้ายบอกทางที่เอาไว้ประกอบฉาก ไปจนถึงเอกสารและจดหมายโน้ตทุกฉบับในเกม สามารถแปลไทยได้ในระดับเดียวกับบทบรรยาย ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดเนื้อเรื่องใดๆ ในเกมเด็ดขาด นอกจากตัวเลือกด้านบทบรรยาย เกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งการควบคุมและระดับความยากแบบแยกหมวดอย่างละเอียด เช่นความแรงการโจมตีศัตรู พลังป้องกันศัตรู ปริมาณกระสุนที่เก็บได้ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าจะช่วยผู้เล่นได้หลายคน เพราะต้องบอกว่าเกมแอบยากเหมือนกัน ยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชินกับเกมลอบเร้น ตัวเลือกเหล่านี้อาจจะช่วยให้คุณผ่านเกมไปได้โดยหัวไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ ผู้เขียนพบบั๊คที่ทำให้เกมไม่ยอมบันทึกการตั้งค่าปุ่มควบคุมใหม่ ส่งผลให้ผู้เขียนต้องคอยเข้าไปตั้งใหม่ทุกครั้งที่เข้าไปเล่นเกม แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ก็หวังว่าผู้พัฒนาจะสามารถแก้ไขจุดนี้ได้เมื่อเกมวางจำหน่าย ◊ สรุป ◊ แม้จะเป๋ไปบ้างในส่วนของเนื้อเรื่อง เมื่อเทียบกับเกมที่ผ่านมา แต่ TLoU2 ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเกมที่พัฒนามาได้อย่างปราณีตที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยได้เล่นมาเลย ด้วยองค์ประกอบทั้งหมด ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันอย่างพอดี และใช้ประโยชน์จาก “ความเป็นเกม” อย่างเต็มที่ คนที่ชื่นชอบ TLoU ภาคแรก โดยเฉพาะในส่วนของเกมเพลย์ ไม่ควรพลาดเกมนี้ด้วยประการทั้งปวง ต่อให้ไม่ชอบเนื้อเรื่อง แค่ซื้อมาเล่นเกมเพลย์ก็ยังคุ้ม บอกเลย! [penci_review id="55739"] สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!
12 Jun 2020
รีวิว Shadow Arena สุดยอดสนามประลอง ที่ชัยชนะเป็นของผู้ที่แข็งแกรงเท่านั้น!
ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน Battle Royale เป็นแนวเกมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีเกมสไตล์นี้เปิดตัวมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น PUBG, Apex Legend, หรือ Fortnite แต่จะมีสักกี่เกมที่ไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการต่อสู่? อย่างน้อย Shadow Arena เกมใหม่จาก Pearl Abyss ผู้สร้าง Black Desert ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ Shadow Arena คือเกมน้องใหม่ที่นำระบบ PVP อันโดดเด่นของเกม Black Desert มาพัฒนาต่อจนกลายเป็นเกม Battle Royale โดยนำเสนอการสู่เพื่อเอาชีวิตรอดด้วยอาวุธย้อนยุคอย่าง ดาบ, ธนู ,ขวาน ,มีด แทนที่จะเป็นปืน มีการใช้เกมเพลย์สไตล์เดียวกับ MMORPG และกำลังอยู่ในช่วง Early Access บน Steam ตอนนี้ ซึ่งวันนี้ตัวผมจะมารีวิวเกมนี้ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever TH ได้อ่านกันครับ ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ **ระดับของกราฟิกที่ผู้เขียนได้เล่น ถูกตั้งไว้ที่สูงสุดครับ** ในเรื่องของกราฟิก ผู้เขียนยอมรับเลยว่า SA (Shadow Arena) เป็นเกมที่มี แสง, สี, เสียง สุดยอดมาก โดยเฉพาะในส่วนของรายละเอียดสภาพแวดล่อม ไม่ว่าจะเป็นความเงาของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหมู่ไม้, ความลื่นไหลของสายน้ำในลำธาร, ตลอดไปจนถึงพื้นผิวของหินทุกก้อน ล่วนแล้วแต่ทำออกมาได้อย่างเป็นดี ชนิดที่ต้องยกนิวโป้งให้กับผู้พัฒนาเลยครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นเกม Battle Royale แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องมีในเกมแนวนี้ก็คือ "การบีบพื้นที่" เพื่อที่จะเพิ่มอรรถรสให้กับผู้เล่นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางผู้พัฒนาได้มีการทำให้หมอกของเกมมีลักษณะเป็นเงาดำๆ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของเกม "Shadow Arena" พอดี  เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมคิดว่ามีการออกแบบมาดีครับ (ลองหาข้อมูลเพิ่มเติม) น่าเสียดายที่ตอนนี้ SA มีด่านให้เล่นเพียงแค่ด่านเดียวครับ ซึ่งในจุดนี้ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าหากมีการเพิ่มด่านอื่นๆ เข้ามาให้สามารถเล่นได้แบบเดียวกับเกม PUBG จะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยังไงตัวเกมก็ยังอยู่แค่ในช่วง Early Access เท่านั้น ต้องรอดูต่อไปว่าในวันที่เกมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ จะมีการเพิ่มแผ่นที่อื่นๆ เข้ามาอีกก็เป็นได้ครับ [caption id="attachment_55844" align="aligncenter" width="1920"] กราฟิกสวยงามมาก[/caption] ◊ เกมเพลย์ ◊ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า SA เป็นเกมแนว Battle Royale ดังนั้นรูปแบบเกมเพลย์ของโหมดหลักที่เราจะได้เล่น จะเป็นการลงไปสู้กับผู้เล่นคนอื่นแบบตะลุมบอน เอาชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายให้ได้เหมือนกับเกมแนวนี้อื่นๆ ในตลาด เพียงแต่อาวุธที่เราจะได้ใช้ในเกมนี้จะไม่ใช้อาวุธปืน แต่เป็นดาบ, หอก, ขวาน, ธนู ซึ่งโหมดที่จะสามารถเล่นได้ในเกมนี้จะมีทั้งหมด 6 โหมดด้วยกัน คือ Solo เป็นโหมดแบบจัดอันดับ สถิติต่างๆ ที่ทำได้(ฆ่าไปกี่คน ได้อันดับที่เท่าไหร่) จะถูกเปลี่ยนเป็นคะแนน และไปเพิ่มอันดับของตัวผู้เล่นในตอนจบ Team การเล่นในโหมดนี้จะเหมือนกับ Solo เพี่ยงแต่เราจะสามารถพาเพื่อนเข้าไปเล่นด้วยได้ 1 คนครับ Dueling Grounds โหมดนี้จะการเล่นแบบ PVP คือให้ผู้เล่น 2 คน สู้กันแบบ 1 ต่อ 1 ถ้าจะฝึกสเต็ป กับจังหวะในการต่อสู้ก็ต้องโหมดนี้เลย Custom เป็นโหมดที่เปิดให้ผู้เล่นสามารถตั้งค่าต่างๆ ก่อนเริ่มเล่นได้อย่างอิสระ Normal โหมดนี้จะมีการเล่นแบบเดียวกับ Solo แต่คะแนนที่ได้จะไม่ถูกนำไปจัดอันดับด้วย AI โหมดนี้จะเหมือนกับ Solo แต่คะแนนที่ได้จะไม่ถูกนำไปจัดอันดับ และคู้ต่อสู้ของเราจะเป็น Ai แทน [caption id="attachment_55850" align="aligncenter" width="1920"] โหมดทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกม[/caption] ด้วยความที่เกมนี้ เหมือนกับว่าโคลนมาจาก Black Desert ก็เลยทำให้เกมเพลย์ของ SA จะเป็นแบบ Action จัดเต็มด้วยมุมมองจากด้านหลังของตัวละคร โดยใช้เมาส์ในการควบคุมทิศทาง และปุ่มทางฝั่งซ้ายของคีย์บอร์ดในการกดปุ่มเคลื่อนที่กับ Shotcut ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบเล่นเกม MMORPG แบบ Action หนักๆ อยู่แล้วคิดว่าน่าจะสามารถทำความเข้าใจระบบควบคุมของเกมนี้ได้ไม่ยากครับ SA มีการนำระบบตัวละครเข้ามาใช้เหมือนกันเกม Apex Legends หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือตัวเกมจะมีตัวละครให้เราเลือกเล่นทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีวิธีการเล่น รวมไปจนถึงสกิลที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง Jordine Ducas จะเป็นตัวละครที่ใช้ดาบ กับโล่เป็นอาวุธ สกิลของเขาก็จะมีทั้งสกิลป้องกัน และโจมตีให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ต่างๆ แต่ Haru ที่เป็นตัวละครนินจาจะมีสกิลเน้นไปที่การทำให้อีกฝ่ายติดสถานะผิดปกติ ในขณะที่ Gerhand Shultz จะมีสกิลแบบ Berserker ที่เน้นเข้าไปตะลุมบอนกับคู่ต่อสู้ตรงๆ เลย สามารถดูภาพตัวละครทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกมนี้ได้ข้างล่างครับ [caption id="attachment_55846" align="aligncenter" width="1920"] ภาพตัวละครทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกมนี้[/caption] เกมนี้จะเหมือนกับเกม Battle Royale  อื่นๆ คือในช่วงที่แมตช์เริ่ม เราจำเป็นต้องฟาร์มของส่วมใส่เอง ซึ่งวิธีฟาร์มของเกมนี้จะแตกต่างกับเกมแนว BR (Battle Royale) อื่นๆ นิดหน่อยครับ เพราะผู้เล่นจะสามารถหาอุปกรณ์สวมใส่ได้จากการฆ่ามอนสเตอร์ในด่านเป็นหลัก (แน่นอนว่ามีดรอปอยู่ตามพื้นเช่นกันแต่น้อยมาก) โดยจะมีการสุ่มเกิดบอส (Shadow Lord) ในบางพื้นที่ด้วย แน่นอนว่าไอเทมที่ส่วมใส่ที่เราได้รับจากบอส จะเป็นของที่ดีมากด้วย ดังนั้นเมื่อมีการประกาศจุดที่บอสจะเกิด จะมีผู้เล่นจำนวนมากวิ่งไปยังจุดนั้นด้วย (คิดซะว่าเป็น Air Drop ของเกมนี้ก็ได้ครับ) [caption id="attachment_55852" align="aligncenter" width="1920"] จุดที่บอสเกิด จะขึ่นเป็นสัญลักษณ์สีม่วงในแผนที่[/caption] [caption id="attachment_55853" align="aligncenter" width="1920"] หลังจากเอาชนะได้ จะได้ไอเทมพิเศษ ที่มีความสามารถพิเศษ[/caption] ข้อเสียที่ผู้เขียนรู้สึกได้เลยจากเกมนี้คือในเรื่องของบาลานซ์ครับ คือเท่าที่ผมได้เล่นมาจะมีตัวละครแค่เพียง 2-3 ตัวเท่านั้นที่มักจะได้แชมป์บ่อยๆ และบางตัวผู้เขียนยังไม่เข้าใจเล่นว่า "ด้วยสกิลแบบนี้จะต้องเล่นยังไงถึงจะสามารถอยู่เป็นคนสุดท้ายของเกมได้ (คืออาจจะเป็นตัวผู้เขียนเองที่ฝืมือกระจอกไม่สามารถเอาตัวอย่าง Herawen หรือ Badal ไปเป็นแชมป์ได้ 555+) อีกหนึ่งจุดที่ตอนเล่นรู้สึกไม่ชินเลย คือในเรื่องของการเพิ่มเลือดในเกมนี้ครับ โดย SA จะแตกต่างจากเกม BR อื่นๆ ตรงที่ว่าเวลาเรากดยาในเกมนี้เลือดจะขึ้นแบบช้าๆ แถมขึ้นไม่เต็มหลอดด้วย ไม่เหมือนกับเกม BR อื่นที่เมื่อใช้ยาหนึ่งครั้งจะได้เลือดมาเต็ม หรือเกือบเต็มทันที ดังนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อสู้แบบต่อเนื่องแล้วเอาชนะได้ เพราะเลือดของเราจะมีไม่พอนั้นเอง [caption id="attachment_55854" align="aligncenter" width="1920"] จะสังเกตุว่า กดยาไปแล้ว แต่เลือดไม่ได้ขึ้นจนเต็มในทันที[/caption] อีกหนึ่งข้อเสียของเกมนี้คือมีคอนเทนต์ให้เล่นน้อยครับ จะสังเกตุได้ว่าโหมดที่มีให้เล่นในเกมแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ดังนั้นการเข้าไปเล่นเกมนี้จึงเหมือนเป็นการเล่นแบบเดิมซ้ำๆ กัน จะแตกต่างก็เพียงแค่ตัวละครที่เรานำเข้าไปเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเล่นไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมงจะรู้สึกเบื่อมากๆ เพราะมันเหมือนกับว่าเรากำลังเล่นเกมติดลูปอยู่ครับ อีกหนึ่งจุดที่อาจเป็นปัญหากับผู้เล่นใหม่ ก็คือในเรื่องความเร็วของเกมครับ ด้วยความที่เกมนี้มีเกมเพลย์แบบ Action หนักมาก ดังนั้นความเร็วในการกดสกิลจึงเป็นสิ่งที่ชี้เป็นชี้ตายในเกมนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เล่น ที่ต้อง Action หนักๆ มาก่อน อาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาฝึกนานหน่อยครับ [caption id="attachment_55855" align="aligncenter" width="1920"] เมื่อโดนโจมตีแบบฉับพลัน จำเป็นต้องกดสกิลตอบโต้ให้เร็ว ไม่อย่างนั้นจะเสียเลือดเยอะมาก[/caption] ◊ สรุป ◊ Shadow Arena เป็นเกม Battle Royale น้องใหม่ที่มีรูปแบบเกมเพลย์เหมือนกับเกม MMORPG ซึ่งนับว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตัวเกมมีภาพกราฟิกที่สวยงามมาก ทั้งยังมีตัวละครให้เล่นหลากหลาย แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของความหลากในเรื่องของแผนที และโดยส่วนตัวแล้วคิดว่ายังทำบาลานซ์ออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ อีกทั้งเกมนี้ยังมีความเร็วในการเล่นที่สูงมาก สำหรับคนที่ไม่ชินอาจจำเป็นต้องใช้เวลานานพอสมควรถึง จากข้อดี และข้อเสียของเกม ทำให้ผมคิดว่าเกมนี้ควรจะมีคะแนนอยู่ที่ 7 เต็ม 10 ครับ ถ้าหากว่าสักวันหนึ่ง Shadow Arena มีกิจกรรมให้เล่นมากกว่านี้ รวมไปจนถึงปรับบาลานซ์ของเกมให้ดีได้ คิดว่าคงถูกใจใครหลายคนแน่นอนครับ [penci_review id="55558"]
08 Jun 2020
รีวิวเกม Fitforce "เกมออกกำลังกายเรียกเหงื่อที่เข้าถึงง่ายและฟรี"
ในช่วงที่แทรนรักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม หลายคนก็หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น แต่เพราะการออกกำลังกายมันน่าเบื่อ หรือขาดแรงจุงใจ หลายคนจึงหันมาใช้เกมเป็นทางเลือกในการสร้างสีสัน แล้วถ้าพูดถึงเกมออกกำลังกาย หลายคนก็คงจะนึกถึงเกม Ring Fit Adventure ของเครื่อง Nintendo Switch แต่ราคาที่สูงและของขาดตลาด เลยทำให้หลายคนไม่ได้ครอบครองมัน วันนี้  GameFever TH จะมาแนะนำเกมออกกำลังกายที่สามารถเล่นได้เพียงมีมือถือและคอม เป็นเกมฟรี แถมยังเป็นเกมของคนไทยอีกด้วย มาดูกันว่าเกมนี้จะน่าสนใจแค่ไหนกับเกม Fitforce ระบบเกมและภาพรวม Fitforce เป็นเกมออกกำลังกายฝืมือคนไทย ที่จะใช้การออกท่าทางของตัวเราเพื่อขยับตัวละครในเกม ถ้าใครคิดภาพไม่ออกก็จะอารมณ์ประมาณเกม Ring Fit Adventure หรือไม่ก็ Wii sports แต่เกมนี้ไม่ต้องซื้อเครื่องมาเล่น เพียงแค่มีมือถือ, คอมพิวเตอร์, Wi-Fi และกางเกงที่มั่นใจว่าใส่มือถือแล้วจะไม่หลุดออกมา (อันนี้สำคัญมาก เพราะหลายเกมต้องใส่มือถือในกางเกง) แถมเกมนี้ยังเป็นเกมฟรี ซึ่งเหมาะมากกับผู้เล่นที่มีงบน้อย (แต่ก็ยังมีขายมินิเกมเพิ่มเติม)  เมื่อก่อนเข้าเกม ต้องทำการเชื่อมต่อมือถือและคอมพิวเตอร์ โดยการสแกน QR Code ผ่านทางแอพพลิเคชั่น Fitforce (อย่าลืมโหลดแอพพลิเคชั่น Fitforce ลง SmartPhone ก่อนเล่น (มีทั้ง android และ ios)) และทั้ง 2 เครื่องต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi เดียวกัน เพียงแค่นี้ก็พร้อมจะเล่นเกมนี้แล้ว ไม่ต้องตั้งกล้องด้วย ถือว่าเป็นอะไรที่สะดวกมาก เพราะหลายๆเกมแนวนี้ มักจะมีปัญหาเรื่องการตั้งกล้องและจัดพื้นที่ในการเล่น เมื่อเชื่อมต่อเสร็จแล้ว จะเข้าสู่เมนูหลัก สามารถใช้งานผ่านมือถือ และตัวคอมพิวเตอร์จะแสดงผล (ตัวคอมไม่สามารถกดคลิกอะไรได้ นอกจากปุ่มออกและตั้งค่า)  ซึ่งจะมี 4 เมนูหลักๆ รายชื่อเกม เป็นเมนูเล่นเกมเดียว เมนูจะแสดงมินิเกมทั้งหมด สามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบ แต่ละเกมจะออกกำลังกายต่างกัน มีอยู่ทั้ง 8 เกม (ให้เล่นฟรี 3 เกม อีก 5 เกมที่เหลือสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ เกมละ 59 บาท) ถึงตอนนี้จะมีเกมน้อยไปหน่อย แต่คาดว่าจะมีเพิ่มในอนาคต โปรแกรม เป็นเมนูที่เราสามารถเลือกเล่นเป็นคอร์ส มีคอร์ส 15 นาที, 30 นาที และ 45 นาที โดยสามารถเลือกเกมที่อยากเล่นได้ (แต่ต้องเลือก 6 เกมขึ้นไป ถ้ามีเกมไม่พอก็จะไม่สามารถใช้เมนูนี้ได้) ข้อมูล เป็นเมนูที่จะเก็บสถิติของเราว่า ในวันนั้นเราออกกำลังกายไปเท่าไร กี่นาที ออกส่วนไหนบ้าง และยังสามารถแก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ด้วย แต่เมนูนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจะเก็บข้อมูลของวันที่เล่น แถมดูย้อนหลังไม่ได้ด้วย แต่งตัว เป็นเมนูที่เราสามารถเปลื่ยนตัวละครในเกมได้ โดยจะเป็นรูปแบบกาชาสุ่มตัวละคร สามารถใช้เหรียญที่เล่นเกมมากดกาชาได้ ถ้าเปลื่ยนตัวละคร ตัวเก่าก็จะหายไป ซึ่งโดยส่วนตัวรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่สามารถเก็บสะสมตัวละครได้ มาพูดถึงเกมกันบ้าง ในแต่ละเกมจะมีบอกว่าเน้นการออกกำลังส่วนไหน ใช้เวลากี่นาที และใช้พลังงานประมาณเท่าไร เมื่อเลือกเกมและกดเริ่มเกมแล้ว จอคอมจะแสดงวิธีเล่นของเกมนั้นๆ มีหลากหลายท่าให้ออกกำลัง(ขึ้นอยู่กับเกมแต่ละเกม) ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง, สควอท, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยานเป็นต้น เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วก็กดยืนยันที่มือถือ เป้าหมายของมินิเกมทุกเกมก็ง่ายๆ คือการเก็บแต้มให้ได้มากที่สุดโดยใช้ท่าที่เกมกำหนดไว้ ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งจะมีให้เก็บตามด่านอยู่เรื่อยๆ เมื่อหมดเวลา ตัวเกมก็จะสรุปคะแนนที่ทำได้ รวมถึงพลังงานและเวลาที่ใช้ในเกมนั้นๆ พร้อมกับรางวัลเป็นเหรียญเพื่อเอาไปกดกาชาตัวละครที่เมนูแต่งตัว และหลังจากที่ลองแล้วก็บอกได้เลยว่า เหนื่อยจริงๆ ยกตัวอย่างเกมว่ายน้ำที่ถึงเกมจะใช้เวลาน้อย แต่ต้องทำต่อเนื่องตลอดทั้งเกม ก็เล่นทำเอาหอบเลยทีเดียว มาพูดถึงปัญหาที่เจอกันดีกว่า ต้องบอกกว่าเกมนี้ยังอยู่ในช่วง Early Access จึงได้มีปัญหาเยอะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมมากนัก  ข้อแรก ข้อมูลมินิเกมทั้งก่อนเริ่มและหลังจบรวมไปถึงข้อมูลสถิติของมือถือและคอม ไม่ตรงกัน เช่น ก่อนเล่นเกมบอกใช้เวลา 5 นาที พอเล่นจริงมีแค่ 3 นาที, หน่วยพลังงานในจอคอมใช้ Kcal แต่ในมือถือใช้ Cal เป็นต้น  ข้อต่อมา ตัวละครในเกมขยับไม่ค่อยตรงกับตัวเราเท่าไร บางครั้งยืนเฉยๆ ตัวละครก็วิ่ง บางครั้งขยับมาก แต่ตัวละครกลับขยับน้อยมาก  ถึงจะไม่ได้เจอบ่อย แต่ก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง  และข้อสุดท้าย รางวัลเล่นจบรอบไม่ค่อยดึงดูดให้เล่นต่อ เพราะตอนจบรอบ จะมีรางวัลแค่เหรียญที่ใช้ในการกดกาชาตัวละครเท่านั้น แถมตัวละครก็สะสมไม่ได้ด้วย และรางวัลสำหรับการเล่นต่อเนื่องทุกวันก็ไม่มี ทำให้ความอยากเล่นซ้ำไม่ค่อยมีสักเท่าไร ถึงจะเจอปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เพราะเกมยังอยู่ในช่วง Early Access เราก็คงได้แต่รอให้มีการอัพเดท เพื่อจะได้พบกับตัวเกมที่สมบูรณ์ ความรู้สึกหลังเล่น ได้รู้จักเกมนี้ เพราะเพื่อนแชร์มาให้ลอง พอได้ลองเล่นแล้ว มีทั้งชอบและไม่ชอบ ชอบที่มันสนุก ได้เหงื่อดี ไม่ต้องเตรียมตัวเยอะ และมีเมนูภาษาไทยทำให้เข้าใจง่ายขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่ชอบเรื่องที่ต้องซื้อมินิเกมเพิ่มผ่านตัวแอพเท่านั้น ไม่สามารถซื้อผ่านSteam แยกขายเป็นเกมๆอีกตังหาก นั้นหมายความว่า โอกาสลดราคาของมินิเกมที่ต้องซื้อเพิ่มอาจจะมีน้อยหรือไม่มีเลย (- -*) แถมระบบกาชาตัวละครดันเป็นแบบเปลื่ยนใหม่แล้วทิ้งตัวเก่า ทำให้สายสะสมอย่างผมไม่ถูกใจเท่าไร  แต่ถึงอย่างงั้นอย่างน้อยเกมนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของการออกกำลังกายที่บ้านที่น่าจะแก้ขัดได้อยู่ แถมยังทำให้รู้ว่าคนไทยก็มีฝืมือพอที่ทำเกมแบบนี้ได้ สรุป หากใครกำลังตามหาเกมออกกำลังกายที่เล่นง่าย ไม่เตรียมตัวเยอะ และไม่เสียตัง เกมนี้ก็อาจเป็นคำตอบของคุณ แต่ก็ต้องทำใจที่มินิเกมมีน้อยไปสักนิดและไม่สามารถเล่นทุกมินิเกมได้ เพราะเป็นเกมฟรีแถมยังติด Early Access คงก็ได้แค่รอวันที่เกมนี้ออกมาแบบสมบูรณ์ แต่กว่าจะถึงวันนั้น เกมนี้ก็ยังพอเล่นแก้ขัดได้อยู่  link : https://store.steampowered.com/app/1081670/Fitforce/ [penci_review id="54930"]
08 Jun 2020
รีวิว C&C Remastered Collection : ไวน์เก่า ฉลากใหม่ กับรสไฉไลที่เราคิดถึง
หมายเหตุ : รีวิวชิ้นนี้ ได้รับการสนับสนุนคีย์โดย EA และบริษัท Play4Fun  หมายเหตุ 2 : รีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นโดยใช้ข้อมูลการเล่นจบภารกิจหลักของ GDI ในภาค Tiberian Dawn และภารกิจหลัก Soviet ในภาค Red Alert ที่ความยากระดับ Normal และทดสอบการเล่นโหมด Skirmish สองเกม กับโหมด Multiplayer ไปสามแมทช์ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มีคนมาบอกกับผู้เขียนว่า เกมแนววางแผนแบบจับเวลาจริงหรือ Real-Time Strategy นั้น จะล้มหายตายไปจากสารบบ กลายเป็นแนวเกมที่คนไม่นิยม และผู้สร้างไม่ปลื้มนั้น เชื่อว่าผู้เขียนในเวลานั้นคงรู้สึกตลกและหัวเราะจนปอดฉีกทะลุอกออกมาเหมือน Chestburster ในหนังซีรีส์ Aliens กันให้ได้เสียอย่างนั้น ก็ทำไมจะไม่ตลก ในเมื่อแวดล้อมรอบตัวเวลานั้น ผู้พัฒนาแต่ละค่ายต่างสรรหากลวิธี และนำเสนอชิ้นงานเกมแนว RTS ป้อนเข้าสู่ตลาดชนิดมากมายเล่นกันไม่หวาดไม่ไหว เป็นยุคสมัยที่เกมวางแผนจับเวลาจริงหลายเกมได้แจ้งเกิดและสร้างตำนานมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ Warcraft, Starcraft, Battle Realms, Age of Empires และเรือธงจาก Westwood Studios ที่ฮิตติดลมบนอย่างยาวนาน ซีรีส์ Command and Conquer ทั้งภาคหลัก และจักรวาลแยกอย่าง Red Alert โอกาสที่เกมแนวนี้จะเหี่ยวเฉาซบเซานั้น แทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว [caption id="attachment_55663" align="aligncenter" width="1024"] และ CnC ก็ทำให้โลกแห่งเกมได้รู้จักกับ Kane ตัวร้ายหัวล้านทรงเสน่ห์แห่ง Brotherhood of Nod ผู้เป็นดั่ง Icon สำคัญของซีรีส์นี้มากว่าสองทศวรรษ[/caption] แต่มาในวันนี้ ... ไอ้ที่เคยรู้สึกตลก ก็กลายเป็นเรื่องขำขื่นไปเสีย เพราะความไม่เที่ยงอันเป็นสัจธรรมแท้จริงของทุกสิ่งบนโลก ก็เกิดขึ้นกับเกมแนว RTS ที่แม้จะมีดาวเด่นอย่างซีรีส์ Starcraft ภาคสองที่ยังคงแข่งขันอย่างเข้มข้นบนเวที eSports ระดับสากล แต่ความนิยมในเกมแนวนี้ก็ดูจะเสื่อมถอย ไม่โชติช่วงเท่ากับเวลาตั้งต้นของมัน รวมทั้งเปลี่ยนโฉมเป็นแนว MOBA ที่รวดเร็วยิ่งกว่า เรียกว่าห่างไกลจากแสงไฟไปอย่างน่าเศร้า (และกลายเป็นตลกร้าย ที่เกม Turn-Based Strategy ที่เคยซบเซา กลับเข้ามาเป็นทางเลือกที่มีให้เล่นไม่หวาดไม่ไหวไปแทน) [caption id="attachment_55683" align="aligncenter" width="400"] แถมปิดฉากด้วยภาค Tiberian Twilight ที่สมควรถูกลืมไปจากสารบบเสียให้ได้อีกต่างหาก....[/caption] ที่กล่าวมานั้นไม่ใช่ว่าจะมารำพึงความเศร้าเล่าความหลังอะไร แต่มันเป็นสถานการณ์ที่น่าประหลาดใจ เมื่อ Command and Conquer ได้ประกาศจะกลับมาครั้งใหม่ ในแบบ ‘Remastered’ ที่สัญญาถึงคุณภาพที่ตามยุคสมัย ให้เหล่า Old School และหน้าใหม่ได้สัมผัสกัน กล่าวโดยสรุป Command and Conquer Remastered Collection ชิ้นนี้ อาจจะไม่ได้เป็นการปฏิวัติหรือพลิกฟื้นวงการ Real-Time Strategy ให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง แต่มันก็เป็นชิ้นงานระดับคุณภาพที่ผ่านการพัฒนาอย่างพิถีพิถัน โดยอดีตผู้สร้างดั้งเดิม เติมรสด้วยความทันสมัย ในแก่นกลางหลักหัวใจของการทำลายล้างที่รวดเร็วฉับไว ที่เคยสร้างตำนานอย่างยิ่งใหญ่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาให้กลับคืนมาอีกครั้ง สำหรับ CnC Remastered แพ็คเกจนี้ ขออย่าได้สับสนกับรวมฮิตเมดเล่ย์ 17 ภาคที่ออกมาก่อนหน้านั้นของ EA เพราะนี่คือชิ้นงานที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพตั้งแต่หัวจรดเท้า กับสองภาคหลักสุดคลาสสิค Command and Conquer : Tiberian Dawn และ Command and Conquer : Red Alert ที่ผนวกพ่วงเนื้อหาหลัก, เนื้อหาภาคเสริม และเนื้อหาภาคคอนโซลสมัย Playstation 1 มาบรรจุไว้ เรียกว่าครบเซ็ทสำเร็จเล่นได้ในแพ็คเดียวเลยก็ว่าได้ [caption id="attachment_55667" align="aligncenter" width="1024"] เทียบกันจะๆ ระหว่างกราฟิกแบบ Legacy ดั้งเดิม และแบบ Remastered ความละเอียด 4K[/caption] สิ่งที่โดดเด่นจนต้องขอกล่าวถึงในเบื้องแรกสำหรับ CnC Remastered ชิ้นนี้ คือคุณภาพกราฟิก ที่คมชัดเนียนกริบระดับ 4K ที่ผ่านการตกแต่งอย่างใส่ใจ ทุกพื้นที่ ทุกยูนิต ทุกสิ่งก่อสร้าง ถูกร่างและเพิ่มความละเอียดจนถึงขีดสุดประสิทธิภาพของยุคสมัย ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่แม้จะเป็นเกมเดิมก็ตาม รวมถึง Full Motion Video คั่นฉากภารกิจที่ได้รับการ Upscale ให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น แม้แต่เสียงพากย์ของ EVA ระบบ AI ของภาค Tiberian Dawn ก็ยังได้ Kia Huntzinger เจ้าของเสียงโมโนโทนต้นตำรับกลับมารับบทอีกครั้ง แต่สำหรับใครที่คิดถึงกราฟิกแบบพิกเซลลายจุด ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโหมด Legacy ได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม Spacebar เท่านั้น เรียกว่าเป็นความพิถีพิถันจากทีม Petroglyph อดีตเด็กเก่าค่าย Westwood Studios และทีม Lemon Sky Studios ที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วกับ Starcraft Remastered ดังนั้น เรื่องกราฟิกจึงหายห่วง มันลื่นไหล มันละเอียด และมันเนียนเสียจนให้ทุกเกมการเล่นสามารถดำเนินไปได้อย่างเพลิดเพลินเจริญสายตาเป็นอย่างยิ่ง [caption id="attachment_55669" align="aligncenter" width="1024"] โหมด Jukebox เลือกเพลงที่คิดถึงใส่ใน Playlist ได้ตามความชอบใจ กับทุกแทร็คกำกับใหม่ ความยาวร่วม 7 ชั่วโมงเต็ม[/caption] ความสุดยอดด้านกราฟิกอาจจะเป็นตัวนำ แต่เพลงประกอบก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญสำหรับซีรีส์ Command and Conquer ซึ่งในเวอร์ชัน Remastered ก็ได้ Frank Klepacki และวง The Tiberian Sons ประพันธกรดั้งเดิม กลับมาทำการ Rearrange ทุกเพลงที่มีทั้งภาค Tiberian Dawn และ Red Alert ด้วยจำนวนเพลงทุกแทร็คความยาวรวมกว่า  7 ชั่วโมง และสามารถเลือก Playlist แบบ Jukebox ได้ตามที่ชอบใจ สำหรับแฟนเก่าเดนตาย คงไม่มีอะไรจะสุดยอดเท่ากับการได้ฟังเพลงอย่าง Act on Instinct และระห่ำสะใจไปกับจังหวะเบสจากนรก Hell March ที่น่าหลงใหลนี้อีกแล้ว เป็นความอร่อยหูที่ให้ฟังเวียนซ้ำอีกกี่รอบก็ไม่มีเบื่อ อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นตามยุคสมัย คือในส่วนของโหมด Multiplayer ที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ Server แบบ Dedicated สร้างห้องแล้ว Join ได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด แน่นอนว่าในขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ จะยังไม่มีห้องให้เข้าไป Join อย่างเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ความสะดวกที่มี พร้อมทั้งโหมด Map Editor ที่รองรับ Mod Support ก็น่าจะช่วยขยายอายุการเล่นของสองภาคหลักในแพ็คเกจนี้ได้ดี แม้ว่าในสายเลือดแบบ Old-School จะยังคงคิดถึงการเชื่อมต่ออันแสนยากลำบากแบบ TCP/IP ดั้งเดิม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความสะดวกที่มาใหม่นี้ เป็นอะไรที่น่าจับตาและน่าจับใจผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและใหม่ให้มาโรมรันกัน อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องเตือนผู้เล่นกันเสียแต่เนิ่นๆ เพราะการกลับมาของ CnC ครั้งนี้ มันคือการ ‘Remastered’ ขนานแท้ เพราะแม้ว่าจะมีการเพิ่มและปรับปรุง Quality of Life ในการเล่น, กราฟิก, เพลงประกอบ และจำนวนภารกิจที่มีให้เล่นกันอย่างล้นหูล้นหัว แต่โดยแก่นแล้ว มันยังคงเป็น ‘เกมเดิม’ จากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่เมื่อเราถอดแว่นสีกุหลาบระลึกความหลังทิ้งไป คุณจะได้พบกับความ ‘เก่า’ ที่ยังคงตามติดประชิดหลอนในแบบที่ไม่สมควรพบเจอในเกมยุคโมเดิร์น ไม่ว่าจะด้วยความฉลาด AI ที่เข้าข่ายซื่อบื้อจนถึงขีดสุด (ถ้าไม่อยู่ในระยะทำการ ก็สามารถยืนนิ่งเป็นเป้ากระสุนไปซะเฉยๆ) , ไม่มีระบบเดินไปโจมตีไป จนถึงระบบค้นหาเส้นทาง Pathfinding ที่ห่วยแตกยังไงก็ยังงั้น (ผิดปกติจนเป็นปกติกันเลย...) [caption id="attachment_55672" align="aligncenter" width="1024"] ต่อให้มียูนิตมากมาย แต่สุดท้าย รถถัง ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการปิดบัญชี ... (ถ้าไม่นับการ Engineer Rush ช่วงต้นเกมล่ะก็นะ...)[/caption] ความเก่าเหล่านี้ รวมไปถึงการเล่นหลักที่ไม่ได้มี Strategic Layer อะไรซับซ้อนนอกไปจากการ Rush ยึดฐานด้วยทหารช่าง Engineer (แบบเดียวที่ Bay Riffer ได้ลองสาธิตในวิดีโอภาค Yuri’s Revenge) ไปจนถึงการปั๊มรถถังออกมาให้มากที่สุดเพื่อบุกถล่มให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ละยูนิตมีฟังก์ชันเพียงระนาบเดียว และไม่มีความสามารถหรือสกิลใดๆ สำหรับการพลิกเกมแม้แต่น้อย (และยูนิตที่มีความสามารถแปลกๆ ก็มีไว้เป็นเพียงแค่สีสันแต่เพียงเท่านั้น) เมื่อบวกรวมกับแผนที่ในโหมด Multiplayer ที่ปราศจากความสมดุลอย่างรุนแรง เชื่อว่านักเล่นสาย RTS แบบโมเดิร์นก็น่าจะขัดใจกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (และเชื่อเถอะว่า ถ้าเกมวางจำหน่ายเมื่อไหร่ คุณจะได้เจอกลยุทธ์ที่ว่าจากเหล่าเซียนสิงห์สนามแน่ๆ เรียกว่ารำมวยรอท่าไว้ล่วงหน้ากันเลยทีเดียว…) [caption id="attachment_55676" align="aligncenter" width="1024"] แผนที่ที่ปราศจากความสมดุลอย่างรุนแรง น่าจะทำให้สมรภูมิ Multiplayer นั้น น่าเล่นน้อยลงไปถนัดใจ....[/caption] แต่เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว Command and Conquer: Remastered Collections ก็ได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ไม่ใช่การปฏิวัติแวดวง RTS แต่เป็นเครื่องย้อนพากลับสู่อดีตอันน่าคิดถึง ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ชื่อของ Command and Conquer และ Westwood Studios นั้นยังเป็นยักษ์ใหญ่ยืนตระหง่านเป็นปูชนียสถานให้แก่นักพัฒนารุ่นอื่นๆ ที่ตามมา และภาค Remastered นี้ มันคือจดหมาย มันคือปูมบันทึก มันคือ ‘ไวน์’ ชั้นเลิศที่แม้จะถูกเปลี่ยนฉลากใหม่ แต่ยังคงหัวใจของรสชาติที่น่าลิ้มลอง ที่ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานกว่าสองทศวรรษ ก่อนที่จะได้รับการเปิดจุกคอร์กและดื่มร่ำให้เพลิดเพลินกันอีกครั้ง “มันคือรสอันนุ่มละมุน ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการทำลายล้าง ทุ่งราบไทบีเรียน และจักรวาลคู่ขนานแห่งเกม Real-Time Strategy ที่ทำให้หวนระลึกว่า เรานั้นได้เดินทางมา ไกลเท่าใดแล้ว…” [penci_review id="55661"]
08 Jun 2020
รีวิว Timelie เกมคุณภาพจากฝีมือคนไทย
สมมติถ้าย้อนเวลากลับไปสัก 5 ปีก่อน !! และมีคนบอกผมว่าในอนาคต คนไทยจะมีศักยภาพสามารถสร้างเกมดีๆ เทียบเท่าชาวต่างชาติได้ !! สารภาพตามตรงครับในวันนั้นผมเองก็คงไม่เชื่อ..... แต่ในทุกวันนี้ !! ความคิดแบบนั้นของผมมันหายไปหมดสิ้น เกมที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมเชื่อว่า "คนไทยเราพร้อมแล้ว ที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก" Timelie เป็นเกมอินดี้จากผู้พัฒนาชาวไทยนามว่า Urnique Studio ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมาแล้ว ด้วยการนำไอเดียของเกมนี้ไปเฉิดฉายให้ต่างชาติเห็น จคว้ารางวัล "เกมยอดเยี่ยม" ในการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Microsoft Imagine Cup เมื่อปี 2016 ได้อีกด้วย หลังจากได้รับรางวัลผู้พัฒนาเองก็ได้ขัดเกลาเกมนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างจนท้ายที่สุดตัวเกมก็ได้วางจำหน่ายออกมาให้เราเล่นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2020 บนร้านค้า Steam เนื้อเรื่องและการนำเสนอ และจากที่ได้ลองสัมผัสมา ส่วนตัวผมกล้าพูดเลยครับว่า Timelie คือเกมไทยที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยคอนเซ็ปต์ไอเดียอันแปลกใหม่แบบที่เราไม่เคยเห็นจากไหนมาก่อน พร้อมยังเห็นความละเมียดละไมในสิ่งที่ผู้พัฒนาอยากจะนำเสนอในทุกเวลาที่เล่นตั้งแต่ตอนจนจบ Timelie คือเกมแนว Puzzle Adventure เนื้อเรื่องของเกมนั้นค่อนข้างเรียบง่าย เราจะได้รับบทเป็นสาวน้อยที่ตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง และอยากหาทางกลับบ้านพร้อมกับมีน้องแมวคู่ใจคอยช่วยเหลือ โดยการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมนี้ผู้พัฒนาไม่ได้ใส่บทพูดให้กับตัวละครใดๆ เราจะได้รู้เนื้อเรื่องผ่านการกระทำ และเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งความสุข ความทุกข์ และความสัมพันธ์ของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้โอเคพอสมควร ในด้านกราฟิกของตัวเกมจะเป็นแนวการ์ตูนน่ารักตามสไตล์เกมอินดี้ทั่วไป ภาพและกลิ่นอายของตัวเกมจะออกไปในเชิงเหงาๆ ปล่าวเปลี่ยว และนำเสนองานแนวอาร์ตที่มีความนุ่มลึก, ราบเรียบ พร้อมกับดนตรีประกอบที่บรรเลงไปอย่างช้าๆ ไม่ได้มีความระทึกอะไรมากนักแต่ค่อนข้างลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ และจากที่เล่นมาตัวเกมไม่มี Bug หรือปัญหาเรื่องเฟรมเรทดรอปให้เห็นเลย ตัวเกมใช้สเปกในการเล่นค่อนข้างน้อย ซึ่งตัวผู้เขียนได้ใช้ Notebook ราคาหมื่นปลายๆ เล่นก็สามารถเล่นเกมนี้ได้เกิน 60 FPS อย่างสบายๆ เกมเพลย์ สิ่งที่จะทำให้เกมนี้เป็นที่พูดถึงนั่นคือเกมเพลย์ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ที่เราจะสามารถดูอนาคตเพื่อแก้ไขการกระทำของเราได้เหมือนโปรแกรมเล่นหนัง เราสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของศัตรู ใช้ความคิดหาจุดหลบหลีก สร้างความเป็นไปได้ทุกอย่างเพื่อผ่านด่าน ดูเผินๆ ตัวเกมก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจากเกมอินดี้อื่นๆ เสียเท่าไร แต่พอได้เล่นจริงเราจะได้เห็นความใส่ใจของผู้พัฒนาในการดีไซน์ด่านต่างๆ ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ในการเล่นให้ผ่านแต่ละด่านเราต้องใช้ความคิดทุกๆ อย่างที่ไม่เหมือนกันสักครั้ง ปริศนาของเกมมีความยากในระดับที่สามารถเผาหัวคุณจนร้อนได้ในทุกๆ ด่าน แต่ความพิเศษคือความยากที่กล่าวนั้น มันไม่ใช่ว่าตัวเกมสร้างมอนสเตอร์โหดๆ เข้ามาจัดการเรา แต่มันเป็นความยากที่เรานั้นพลาดจุดเล็กจุดน้อยเองทั้งสิ้น ยกตัวอย่างบางด่านที่ในแผนที่มีจุดให้หลบมากมายแต่เล่นเท่าไรก็ไม่ผ่าน สุดท้ายหนทางที่ดีที่สุดในด่านนั้นคือเดินตามหลังศัตรูแล้วหลบแค่มุมเรดาร์ศัตรูเฉยๆ ทุกการเล่นมีความเป็นไปได้เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นมันเท่านั้น บางทีเราถอยหลังสักก้าวใจเย็นสักนิด ค่อยๆ คิด หรือลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทางสว่างก็จะปรากฏตรงหน้าเอง ในตอนที่ผู้พัฒนาโปรโมทเกมนี้ พวกเขาได้บอกเอาไว้ว่าตัวเกมจะให้ประสบการณ์การเล่นแบบ Co-op ในเกม Single Player ซึ่งจากที่เห็นตอนแรกก็งงนะว่ามันคืออะไร แต่พอได้เล่นจริงสิ่งที่ผู้พัฒนาพูดมามันไม่ได้เวอร์วังเกินไปเลย เพราะว่าเกมนี้นอกจากที่เราจะได้บังคับสาวน้อยแล้วนั้น เราจะยังได้บังคับน้องแมวที่จะเป็นคู่หูในการช่วยเหลือผ่านด่านไปด้วยกัน ปริศนาในแต่ละด่านจะต้องใช้การเดินของทั้งคู่อย่างเช่นเราต้องบังคับน้องแมวให้ไปกดแท่นเพื่อเปิดประตูให้เรา หรือให้น้องแมวทำเสียงกวนเพื่อหลอกล่อศัตรูให้เดินออกจากพื้นที่เพื่อทำ Objective เป็นต้น ซึ่งการเล่นค่อนข้างทำได้ลื่นไหลและเข้ากันกับคอนเซ็ปต์ของเกมนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงตัวเกมยังมีความท้าทายเข้ามาให้เราเรื่อยๆ ในแต่ละ Chapter ตัวเกมจะมีการใส่ลูกเล่นใหม่ๆ มาให้เสมอ เพื่อไม่ให้เราเบื่อกับเกมการเล่นเดิมๆ อย่างเช่นการที่ตัวเกมก็สามารถให้เราใช้พลังสามารถทำลายศัตรูได้หลังจากเล่นไปสักพัก หรือคิดด่านที่มีไอเดียใหม่ๆ เช่นด่านที่มีจุดย้อนเวลา, วิธีจัดการศัตรูแบบใหม่ๆ เช่นการขังไว้ในห้อง และอีกมากมายที่ส่วนตัวไม่สามารถเล่าได้เพราะเดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยส์นั่นเอง สรุป Timelie คือเกมไทยที่ยกระดับไปอีกขั้น ตัวเกมอาจจะไม่ได้มีวิชชวลที่ทันสมัยหรือเอฟเฟคแอนิเมชันตระกาลตา แต่เกมนี้เปี่ยมไปด้วย "ไอเดีย" ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้าง เกมเพลย์เต็มไปด้วยความละเมียดละไมและมันแสดงออกมาให้เห็นเลยว่าผู้พัฒนาคิดและวางแผนมาอย่างดีและรอบคอบ มีคำเดียวที่สามารถพูดให้กับเกมนี้ได้นั่นคือกับว่า "Perfect" และค่อนข้างภูมิใจว่าผู้พัฒนาเกมชาวไทยสามารถสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ ส่วนในด้านของเนื้อเรื่องจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันอาจจะเบาบางไปนิด ตัวผมเองอยากให้ตัวเกมนำเสนอในจุดนี้มากขึ้น แต่ก็เข้าใจในระดับหนึ่งว่าจุดขายของเกมนี้ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ และลองมานึกคิดดีๆ แล้ว สมมติถ้าตัวละครมีบทพูดขึ้นมา มันอาจจะไม่สามารถนำเสนอกลิ่นอายของเกมออกมาได้ดีขนาดนี้ก็ได้ รวมถึงตัวเกมเพลย์ทำออกมาสนุกจนเกินที่คาดคิดไปมาก มันพร้อมจะพาคุณดำดิ่งตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างสบายๆ (ถ้าคุณเป็นคนชอบเกมแนว Puzzle แล้วมีเวลาเยอะนะ) นี่คือเกมที่จะทำให้อุตสาหกรรมวิดีโอเกมทั่วโลกหันมามองประเทศเรามากขึ้น นี่คือเกมที่สร้างมาตรฐานใหม่และยกระดับการพัฒนาเกมบ้านเราให้สูงขึ้น ว่าเกมที่ยอดเยี่ยมต้องเป็นอย่างไร มันไม่จำเป็นเป็นต้องเป็นเกมที่มีกราฟิกสวย เกมเพลย์มันๆ แต่ขอแค่เป็นเกมที่เปี่ยมไปด้วย "ไอเดีย" เท่านี้เราก็กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า "เกมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" ครับ ใครที่สนใจเกมนี้ท่านสามารถเข้าไปอุดหนุนได้ที่ Steam ในราคาเพียงแค่ 329 บาทเท่านั้น LINK [penci_review id="54460"]
24 May 2020
รีวิวเกม Mafia II: Definitive Edition เข้าสู่โลกแห่งมาเฟียอีกครั้ง ด้วยภาพที่ทันสมัยขึ้น
สำหรับหลายๆ คน Mafia II ถือเป็นหนึ่งในเกม Action Open World ที่น่าจดจำมากที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กับการนำเสนอเรื่องราวโลกของตระกูลมาเฟียอิตาลี ให้เราไปโลดแล่นและสัมผัสความคลาสสิคของประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยยุค 40s - 50s ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับตัวละครหลักอย่าง Vito Scaletta และเพื่อนซี๊ Joe Barbaro ที่หลายๆ คนยกให้มันเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำอันดับต้นๆ จนถึงทุกวันนี้ กับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ฝ่าฟันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ล่าสุดผู้พัฒนาก็ได้เซอร์ไพรส์เหล่าแฟนๆ ทำการเปิดตัว Mafia II: Definitive Edition กับการเอาเกม Mafia II ที่วางจำหน่ายในปี 2010 มาขัดเกลากราฟิกใหม่ให้ดูสวยงามตามยุคสมัย เพื่อให้เราได้มีโอกาสสัมผัสถึงความยอดเยี่ยมของมันอีกครั้งในรูปแบบที่สมบูรณ์กว่าเดิม และให้เกมเมอร์รุ่นใหม่ได้มีโอกาสลิ้มลองและเข้าใจว่าทำไมเกมนี้ถึงถูกยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดอของซีรีส์นี้ โดยในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้มาแล้ว และจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่ามันมีอะไรที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมบ้าง ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนเคยเล่น Mafia II เวอร์ชั่น Original มาก่อนหน้าแล้ว และพอได้มีโอกาสรีวิวเวอร์ชั่น HD นี้ก็เลยลองโหลดเวอร์ชั่นเก่ามาเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นใหม่ด้วย โดยผู้เขียนปรับกราฟิกของทั้งสองเวอร์ชั่นจนสุดทั้งหมด เพื่อจะได้เปรียบเทียบให้เห็นความต่างกันแบบชัดๆ ไปเลย เริ่มจากการมองด้วยสายตาก่อนเลยครับ Mafia II: Definitive Edition จะมีความคมชัดมากกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับเป็นอย่างมาก ใครที่เคยเล่นเวอร์ชั่นเก่าก็น่าจะเคยรู้สึกว่าภาพของตัวเกมมันมีความเบลอๆ จากการลดรายละเอียดฉากที่อยู่ไกลให้น้อยลง ส่วนหนึ่งเพื่อให้สามารถเล่นบนเครื่อง Console ยุคนั้นได้ด้วย แต่พอเป็นเวอร์ชั่นใหม่นี้ ตัวเกมก็ได้ปลดล็อคข้อจำกัดนี้ทั้งหมด ทำให้การมองดูสบายตามากขึ้น พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มแสงเงา บรรยากาศหรือควันต่างๆ ให้ดูสมจริงมากขึ้นไปอีก ซึ่งส่งผลให้เมืองของเกมรู้สึกกว้างขึ้นกว่าเก่า และทำให้ประสบการณ์ทั้งหมดมีความลื่นไหลขึ้น เพราะจะไม่ต้องทนมองภาพมัวๆ ให้รำคาญตาอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นใครที่คาดหวังว่ารายละเอียด Texture ของฉากจะมีความสมจริงขึ้น ก็อาจจะผิดหวังนิดหน่อยนะครับ เพราะตัวเกมดูจะเน้นเพิ่มรายละเอียดแสงเงาให้ดูสมจริงเพียงเท่านั้น แต่รายละเอียดตึกรามบ้านช่องกลับไม่ได้ต่างจากเวอร์ชั่นเดิมมากนัก พื้นผิวตามถนนเองก็ค่อนข้างเรียบแบนเหมือนเดิม ไม่ได้ปรับให้ดูสมจริงขึ้นแต่อย่างใด พูดง่ายๆ คือเกมแอบมีความ "สวยร้อยเมตร" ที่ถ้ามองผ่านๆ หรือมองไกลๆ จะดูดีขึ้นจากภาคเก่าถนัดตา แต่เมื่อเข้ามาดูใกล้ๆ ก็จะเริ่มสังเกตเห็นตีนกามากมายเช่นเดียวกัน ในเรื่องของฉากคัดซีนเองก็มีการเพิ่มเติมใส่รายละเอียดในเรื่องหน้าตาของตัวละครให้มากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับ สังเกตุจากภาพด้านล่าง เราจะเห็นแผลเป็นตรงคางของตัวเอกได้ชัดมากขึ้น ริ้วรอยย่นต่างๆ เองก็มีเยอะขึ้น แต่ที่เห็นได้ชัดเลยคือเรื่องของเงาสะท้อนที่ทำออกมาได้มีเฉดเงาที่เป็นธรรมชาติกว่าเดิม ใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชั่นเก่ามาก่อนท่านจะเห็นความแตกต่างเป็นอย่างมากเลยทีเดียว มาดูถึงเรื่องความลื่นไหลของตัวเกมกันบ้าง ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าผู้เขียนนั้นปรับกราฟิกแบบสูงสูดทุกอย่าง โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับรีวิวนั้น สเปกอยู่ที่ระดับกลางๆ คือ CPU Intel i5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB เท่านั้น แต่สามารถรันเฟรมเรทได้มากกว่า 60 FPS ตลอดเวลาไม่มีตก (จะอยู่ราวๆ 70-110 FPS) ซึ่งถือว่าลื่นมากๆ และไม่เคยมีปัญหาเกมเด้งเกมหลุดแต่อย่างใด ถือว่าผู้พัฒนาทำการปรับปรุงกราฟิกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าให้ถามว่ามีสิ่งที่ไม่ชอบบ้างไหม ก็ต้องบอกว่าส่วนตัวผู้เขียนมีปัญหาในการควบคุมด้วยจอย Xbox พอสมควร Mafia II: Definitive Edition ยังมีปัญหาเรื่องการบังคับอยู่บ้าง เช่นระบบการช่วงเล็งปืนหรือ Aim Assist ที่บางครั้งพึ่งพาไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างเวลาเราจะเล็งยิงศัตรู คนที่เคยเล่นเกมแนวยิงโดยใช้จอยมาก่อน ปกติแล้วเรามักจะหันมุมกล้องให้ศัตรูอยู่บริเวณกลางจอพอดี เวลากดเล็งเป้ามันจะล็อคเข้าตัวศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับเกมนี้บ่อยครั้งที่ระบบช่วยเล็งไม่ยอมล็อคตามที่เราต้องการ ทำให้การเล่นค่อนข้างเสียจังหวะเป็นอย่างมาก และต่อให้ปิดโหมด Aim Assist ตัวเกมก็ยังมีจังหวะแปลกๆ ช่วยเล็งให้เฉยทั้งๆ ที่ไม่ต้องการ ซึ่งคนที่เล่นด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดอาจจะไม่พบปัญหานี้ นอกไปจากการควบคุม ยังมี Bug แอนิเมชั่นของตัวละครที่อยู่ดีๆ ก็เดินติด หรือยืนเฉยๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่มากพอสมควร ส่วนเรื่อง Interface ก็เหมือนเวอร์ชั่นเก่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทำให้เกมรู้สึก "เก่า" กว่าที่ควรจะเป็นอยู่บ้าง ◊ เนื้อเรื่อง ◊ Mafia II เป็นหนึ่งในเกมที่น่าจดจำมากๆ โดยเราจะได้รับบทเป็น Vito Scaletta เด็กหนุ่มชาวอิตาลีที่อพยพมาอยู่ในเมือง Empire Bay (เมืองสมมติ) ในประเทศอเมริกา พร้อมมีเพื่อนคู่ซี้นามว่า Joe Barbaro ที่พวกเขาทั้งคู่ค่อยๆ เติบโตเพื่อก้าวสู้เส้นทางมาเฟีย โดยเราจะได้เห็นการเติบโตของ Vito ที่เริ่มจากการลักเล็กขโมยน้อย เริ่มทำงานเล็กๆ ให้กับมาเฟีย ถูกหลอกบ้าง ขยับขยายไปจนถึงงานใหญ่ๆ และเข้าสู่ครอบครัวมาเฟียอิตาลีเต็มตัว ตัวเกมนำเสนอทั้งเรื่องผลประโยชน์ การหักหลังคนในองค์กร หรือการตัดสินใจสุดแสนยากลำบาก ซึ่งคนที่คุ้นเคยกับหนังหรือเนื้อเรื่องแนวมาเฟียอยู๋แล้ว น่าจะพอเดาได้ว่าจะสามารถคาดหวังอะไรจากเนื้อเรื่องของเกมได้บ้าง แต่ถามว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้มันยอดเยี่ยมขนาดนั้นไหม ก็ต้องบอกว่ามันอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางดีครับ ไม่ได้เลิศเลอมาก เพราะตัวเกมกว่าครึ่งจะเล่าเรื่องเส้นทางของตัวเอก Vito และ Joe ก่อนจะเข้าสู่ครอบครัวมาเฟียอย่างเต็มตัว เลยทำให้บ้างช่วงแผ่วๆ ลงไปบ้าง กว่าจะถึงช่วงที่เข้มข้นก็อาจจะต้องรอเนื้อเรื่องช่วงหลังจากที่ทั้งสองเข้าร่วมตระกูลมาเฟียไปแล้ว แต่โชคดีหน่อยที่เกมนี้เล่าเรื่องได้ค่อนข้างกระชับ ไม่ยึดเยื้อเท่าไร เลยทำให้เราสามารถผ่านจุดน่าเบื่อไปได้ง่ายๆ แต่มันก็แลกมาด้วยการที่เกมนี้ใช้เวลาการเล่นเพียงแค่ 15 ชั่วโมงจบเท่านั้น อาจจะถือว่าจบเร็วไปหน่อยเพราะมาตรฐานเกม Open World ของหลายๆ คนน่าจะอยู่ที่ 20 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ถ้าให้เทียบกับคุณภาพของเกมที่วางจำหน่ายในช่วงปี 2010 ต้องบอกเลยว่า Mafia II เป็นเกมที่นำเสนอเนื้อเรื่องออกมายอดเยี่ยมเป็นอันดับต้นๆ เลย ◊ เกมเพลย์ ◊ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ก็ต้องบอกว่า Mafia II ก็คือเกมแนวแอคชัน Third-Person Open World ทั่วไป ที่ไม่ได้มีระบบอะไรหวือหวาหรือน่าสนใจเป็นพิเศษ ภารกิจส่วนใหญ่ก็จะเป็นการไปจัดการเป้าหมายเหมือนๆ กัน และค่อนข้างจะดำเนินแบบตามบท ไม่ได้มีลูกเล่นให้เราพลิกแพลงเยอะเท่าไหร่นัก เช่นในบางภารกิจตัวเกมสามารถให้เราลอบเข้าไปขโมยของได้ แต่พอลอบเข้าไปขโมยเสร็จพวกศัตรูก็จะรู้และแห่มาจัดการเราอยู่ดี ไม่ได้มีทางเลือกในการเล่นให้เราแอบหนีออกไปอย่างเงียบๆ แต่ก็อาจจะติได้ไม่ร้อยเปอร์เซนต์นัก เพราะเกม Open World ในยุคนั้นก็เป็นแบบนี้เกือบทั้งหมด ใครที่อยากจะหวังในด้านเกมเพลย์ต้องบอกเลยว่าท่านอาจจะผิดหวังกับมัน เพราะจุดเด่นมันไม่ใช่เกมเพลย์แม้แต่น้อย แต่มันเป็นอารมณ์ร่วมที่แต่ละภารกิจจะมีความสอดคล้องต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เช่นเราอาจจะได้รับภารกิจไปจัดการคนที่มันเคยมีประวัติไม่ดีกับเรา หรือการทำภารกิจนี้เพื่อคาดหวังบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมันเป็นแรงจูงใจหลักในการเล่นเกมนี้จนจบนั่นเอง Mafia II จึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเกมเน้นเนื้อเรื่องที่เอา Open World มาเป็นองค์ประกอบเท่านั้น ส่วนระบบการต่อสู้ ถึงแม้ว่ามันจะเรียบง่ายไม่แตกต่างจากเกมอื่น แต่ตัวเกมก็ยังแอบยากในระดับหนึ่ง เพราะ A.I. เกมนี้จัดว่ายิงแม่นมากๆ นี่คือความท้าทายที่มีเสน่ห์ที่สุดของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้เนื้อเรื่องจะเชิดชูให้ตัวละครเอกเราเก่งจัดการคนเป็นสิบได้  แต่พอเล่นจริง เราโดนศัตรูยิง 2-3 นัดก็ลงไปคุยกับรากมะม่วงได้อย่างง่ายดาย บวกกับการบังคับปืนหรือการช่วยเล็งที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเราอีก ใครที่ยังเป็นมือใหม่สำหรับเกมแนวนี้ ก็อาจจะต้องตายกันหลายรอบหน่อย (เมื่อก่อนผู้เขียนก็เป็น) รวมถึงระบบขับรถที่หลายๆ คนยังพูดถึงมาจนทุกวันนี้ เพราะระบบฟิสิกส์มันแย่มากๆ ตัวรถมักจะเหวี่ยงไปมาในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมชาติและคาดเดาลำบาก เวลาเจอภารกิจไล่ล่านี่ต้องมีหัวร้อนกันตลอด แต่ถ้าลองมองภาพให้กว้างขึ้น มันก็อาจจะสมเหตุสมผล เพราะว่าเกมนี้พยายามให้เราสัมผัสโลกในยุคปี 40 - 50 มากที่สุด การที่รถเหล่านี้ไม่สามารถซิ่งสะท้านฟ้าเหมือนรถยุคปัจจุบันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว รวมถึงระบบจราจรที่ค่อนข้างน่าหงุดหงิด แต่อาจเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ โดยจะมีตำรวจคอยตรวจสอบความเร็วของรถเราตลอด ถ้าหากว่าเรานั้นขับรถเร็วเกิน 40 km/ชั่วโมง ผ่านหน้ารถตำรวจก็เตรียมตัวเจอไล่ได้เลยจ้า ถ้าตำรวจไล่ล่านานๆ พวกเขาก็จะสามารถจำป้ายทะเบียนรถได้อีก เราต้องเปลี่ยนรถหรือเข้าอู่เปลี่ยนป้ายทะเบียนเพื่อให้รอดสายตา ซึ่งตัวระบบนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของซีรีส์ Mafia เลยก็ว่าได้ สรุป Mafia II: Definitive Edition สามารถปรับปรุงกราฟิกจากเวอร์ชั่น 2010 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เฉดเงาต่างๆ ทำออกมาได้สวยงดสดงาม สิ่งที่ประทับใจที่สุดเลยก็คือปัญหารายลดละเอียดฉากไกลสุดมัวที่หายไป ทำให้เกมดูสบายตามากขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องรายละเอียดพื้นผิวของเกมก็ยังไม่ได้เปลี่ยนมากนัก ส่วนตัวคิดว่ามันทำการปรับปรุงกราฟิกออกมาได้มากที่สุดที่มันจะสามารถทำได้แล้วแหล่ะ ตัวเกมนำเสนอโลกของเมือง Empire Bay ที่จำลองบางส่วนมากจากแมนฮัตตัน และบรูคลินได้สวยงามมากขึ้น เราจะได้เห็นอเมริกาในยุค 40s และ 50s พร้อมทั้งสถานที่น่าสนใจอย่างตึก Empire State และสะพานบรูคลิน ทั้งการแต่งตัวของเราและ NPC ที่ให้ความรู้สึกแบบวินเทจ ซึ่งส่วนตัวอยากให้คนที่ไม่เคยได้สัมผัสเกมนี้ลองซักครั้ง ในส่วนของเนื้อเรื่องของเกมนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ลึกซึ้งกินใจเหมือนเกมชั้นนำ แต่มันก็สามารถนำเสนอเรื่องราวของมาเฟียออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เราจะได้เห็นทั้งมิตรภาพ, ความทุกข์, ความสุข, การแก้แค้น, โดนหลอก และหักหลัง ของสองเพื่อนซี๊อย่าง Vito Scaletta และ Joel Barbaro พร้อมยังนำเสนอสังคมอันดำมืดและผลประโยชน์ของโลกมาเฟียให้เราได้เห็นอีกด้วย แม้เอาเข้าจริงต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องมีความ "เดาได้" สำหรับแฟนของหนังมาเฟีย แต่ถ้าคุณเคยคิดว่าอยากจะลองเล่นหนังมาเฟียเรื่องโปรดของคุณในฐานะเกม นี่อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งในตอนนี้ เช่นเดียวกับเกมเพลย์ ที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมที่สุด ระบบเกือบทั้งหมดก็มีให้พบเห็นได้ทั่วไป แต่องค์ประกอบโดยรวมที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องมันเกื้อหนุนกัน และทำให้ Mafia II เป็นเกมที่น่าจดจำมากๆ ในปี 2010 และผู้เขียนยกให้มันเป็นเกม Mafia ภาคที่ดีที่สุดเลยทีเดียว [penci_review id="54170"]
19 May 2020
Review: Persona 5 Royal สุดยอด JRPG ที่กลับมาขโมยใจคุณอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายเท่าซีรี่ส์รุ่นพี่จากแดนปลาดิบด้วยกันอย่าง Final Fantasy หรือ Dragon Quest แต่เกมซีรี่ส์ Persona ก็ถือเป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์เก่าแก่ ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัย PS1 แล้ว โดยเฉพาะในช่วง 5-10 ปีหลังมานี้ ที่เกม Persona เริ่มกลายเป็นเกม JRPG อันดับหนึ่งในดวงใจของใครหลายๆ คน สำหรับผู้เขียนเอง ออกตัวก่อนเลยว่าเป็นแฟนตัวยงของเกม Persona มาตั้งแต่ที่เล่นภาค 4 ในเครื่อง PS2 เมื่อหลายปีมาแล้ว (ถ้ารวมกับภาค Persona 4 Golden ที่วางจำหน่ายในเครื่อง PSVita ผู้เขียนเล่นเกมนี้จบรวมกัน 4 รอบแล้ว) ทำให้เวลา 150 ชั่วโมงที่ใช้ในการผ่านเนื้อเรื่องเกม Persona 5 ฉบับดั้งเดิมเป็นเวลาที่แสนสุขสำหรับผู้เขียน แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้ชอบเท่ากับเกม Persona 4 Golden แต่ก็ยังถือเป็นประสบการณ์ JRPG อันดับต้นๆ ในใจ ที่มอบทั้งเกมเพลย์ กราฟฟิค เนื้อเรื่อง และตัวละครที่ยอดเยี่ยม ตามมาตรฐานที่เป็นมาทุกภาคของเกม ความหวังที่ผู้เขียนมีในใจเมื่อเริ่มเล่นเกม Persona 5 Royal คือเกมอาจจะสามารถยกระดับ Persona 5 ให้กลายเป็นเกมในดวงใจของผู้เขียนได้อีกเกม แบบเดียวกับที่ Persona 4 Golden พัฒนาประสบการณ์ของเกม Persona 4 ขึ้นไปอย่างมหาศาล โดยผลลัพธ์ที่ออกมา แม้ว่า Persona 5 Royal จะยังไม่ได้ทำให้ประสบการณ์โดยรวมของเกมต้นฉบับพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นฉบับปรับปรุงของเกมที่ดีเลิศอยู่แล้ว ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไปอีกในทุกๆ ด้านเลยทีเดียว ข้อติเดียวที่พอจะนึกออก คือการทีเกมเพิ่มตัวละครใหม่ที่มีความสำคัญมากๆ เข้ามา แต่แทบไม่แตะต้องตัวละครเหล่านั้นเลย จนถึงเนื้อเรื่องใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังตอนจบของเกมภาคดั้งเดิมไปอีก หมายความว่าผู้ที่เคยเล่นภาคดั้งเดิมมาแล้ว และอยากสัมผัสกับเนื้อเรื่องใหม่ จำเป็นต้องเล่นเนื้อเรื่องดั้งเดิมใหม่อีกรอบซะก่อน ซึ่งแม้ว่าจะมีการปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงเกมเพลย์บ้างระหว่างทาง แต่ก็ยังใช้เวลาเฉียดร้อยชั่วโมงอยู่ดี ต่อให้เนื้อเรื่องส่วนที่เพิ่มเข้ามาจะเขียนออกมาได้อย่างดี และสามารถเสริมธีมและสาส์นที่เกมพยายามจะสื่อให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็ตาม แต่แม้ว่าตัวผู้เขียนเองจะชอบเกมขนาดไหน สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเกมคงไม่ได้เหมาะกับผู้เล่นทุกคนอย่างแน่นอน หากคุณไม่ใช่คนที่สามารถนั่งอ่านเนื้อเรื่องติดๆ กันได้เป็นชั่วโมงโดยที่ไม่มีการต่อสู้เลย หรือไม่ใช่คนที่ใจเย็นพอจะศึกษารายละเอียดยิบย่อยมากมาย ที่ทำให้เกม Persona มีเอกลักษณ์แตกต่างจากเกม JRPG ทั่วไปในตลาดทุกวันนี้ เพราะสิ่งที่ทำให้เกมพิเศษสำหรับแฟนๆ อาจจะน่าหงุดหงิดรำคาญใจสำหรับหลายคนเช่นกัน สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกม Persona 5 มาก่อน และมั่นใจว่าอยากลอง เกมภาค Royal ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้สัมผัสกับ JRPG ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งในยุคคอนโซลปัจจุบัน ในสภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ส่วนผู้เล่นที่เคยเล่นภาคดั้งเดิมมาแล้ว อาจจะต้องถามตัวเองว่าคุณพร้อมจะเล่นเนื้อเรื่องทั้งหมดนั้นอีกรอบไหม ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ด้วยความที่เกม Persona 5 เดิมทีแล้วถูกพัฒนาขึ้นสำหรับเครื่อง PS3 ด้วย และวางจำหน่ายพร้อมกันกับเวอร์ชั่น PS4 ทำให้เกมมีขีดจำกัดในแง่ของกราฟฟิคอยู่พอสมควร แม้ว่าเกมจะไม่ได้น่าเกลียดแต่อย่างใด แถมยังมีสไตล์การออกแบบศิลป์ที่จัดจ้าน ซึ่งช่วยยกระดับกราฟฟิคโดยรวมของเกมขึ้นมาได้มากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด แต่ก็มีจุดเล็กๆ หลายจุด เช่นการที่ภาพแตกเป็นพิกเซล ที่ถ้ากำจัดไปได้ ก็จะทำให้เกมรู้สึกใกล้เคียงกับมาตรฐานปัจจุบันมากขึ้น สำหรับเกม Persona 5 Royal ถือว่ากลบจุดอ่อนทั้งหมดที่ผู้เขียนเคยรู้สึกติดจากเกมฉบับดั้งเดิมได้ และยังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นอีกด้วย (โดยเฉพาะใน PS4 Pro) โดยนอกจากจะอัพกราฟฟิคทั้งหมดในเกมให้คมชัดยิ่งขึ้น ยังเพิ่มรายละเอียดยิบย่อยในฉาก และเพิ่ม NPC ให้หนาตามากขึ้นด้วย กราฟฟิคที่ปรับให้คมชัดยิ่งขึ้น ยังช่วยทำให้การออกแบบศิลป์ที่ยอดเยี่ยมของเกม เช่นหน้าเมนู หน้า U.I. หรือฟอนต์ เด่นขึ้นอีกด้วย ซึ่งแม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงข้อพัฒนาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเก่าอย่างรู้สึกได้เลยทีเดียว นอกจากเรื่องสไตล์การออกแบบศิลป์แล้ว เกมซีรี่ส์ Persona ยังโด่งดังในเรื่องของเพลงประกอบ และ Persona 5 ต้นฉบับก็มีเซ็ตเพลงประกอบแนว Acid-Jazz ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว โดยในภาค Royal จะเพิ่มเพลงประกอบใหม่เข้าไปอีก 20 เพลง แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่าจำเพลงที่เพิ่มมาได้อยู่ไม่กี่เพลง แต่ทุกเพลงก็ช่วยเสริมอรรถรสของเกมได้เช่นกัน โดยเฉพาะเพลงฉากต่อสู้ใหม่ (เพลงชื่อ Take Over) ที่ช่างเร้าอารมณ์ในฉากต่อสู้ได้ดีเหลือเกิน รับประกันว่าถ้าคุณได้ลองเล่นซักครั้ง จะต้องหาเปิดเพลง Soundtrack ฟังทั้งวันเหมือนผู้เขียนแน่นอน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องในเกม Persona 5 Royal ประมาณ 80-90% จะยกมาจากเกมต้นฉบับตรงๆ โดยเกมจะติดตามตัวเอกใบ้ (ซึ่งผู้เล่นตั้งชื่อเอง) ผู้ซึ่งโดนส่งเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองโตเกี่ยวคนเดียวเป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากที่โดนตำรวจยัดข้อหาทำร้ายร่างกายให้ แต่เมื่อมาถึงไม่ทันไร ตัวเอกก็ได้ค้นพบการมีอยู่ของมิติปริศนา ที่เกิดขึ้นจากจิตใจอันบิดเบี้ยวชั่วร้ายของเหล่าผู้ใหญ่ ตัวเอกและเพื่อนๆ จึงใช้พลังพิเศษที่เรียกว่า Persona ในการบุกเข้าไปยังมิติคู่ขนานเหล่านี้ เพื่อ "ขโมยหัวใจอันบิดเบี้ยว" ของผู้ใหญ่อันชั่วร้าย ให้พวกเขาสามารถกลับใจมายอมรับผิดได้อีกครั้ง ถ้าให้มองแบบกว้างๆ นั้น เนื้อเรื่องของเกม Persona 5 ิอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรนัก เผลอๆ อาจจะดูเหมือนพล๊อตการ์ตูนอนิเมะทั่วไปด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกม Persona ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางคือรายละเอียดภายในเนื้อเรื่อง ที่มักจะสะท้อนภาพเหตุการณ์หนักๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศ การฆ่าตัวตาย หรือกระทั่งการเมือง ซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เราพบเห็นในข่าวในชีวิตจริงอยู่เป็นประจำ ทำให้เหตุการณ์เหล่านี้ รวมไปถึงสาส์นที่เกมต้องการจะสื่อผ่านเนื้อเรื่อง รู้สึกมีน้ำหนักต่อความคิดและจิตใจเราจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เกม Persona 5 ยังแฝงไปด้วยแนวคิดของความ "ขบถ" ของคนรุ่นใหม่ ที่ลุกขึ้นมาปฏิเสธโลกอันบิดเบี้ยว ที่เหล่าผู้ใหญ่สร้างขึ้นมาเพื่อบำเรอตนเอง รวมไปถึง "บทบาท" ที่สังคมยัดเยียดให้พวกเขา ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าน่าจะเหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองทั่วโลกในปัจจุบันมากๆ  และน่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายคน ที่อาจจะรู้สึกสิ้นหวังกับทิศทางของโลกในปัจจุบัน เนื้อเรื่องส่วนที่เพิ่มมาในเกมภาค Royal จะเกี่ยวข้องกับตัวละครใหม่ที่เกมเพิ่มเข้ามา คือนักจิตวิทยา Maruki และเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนใหม่อย่าง Kasumi นั่นเอง โดยเกมจะเน้นปูเนื้อเรื่องของทั้งสองผ่านฉากคัตซีนที่สอดแทรกเข้าไปเพิ่มในเหตุการณ์ของเนื้อเรื่องหลัก และจะเริ่มเข้าสู้เนื้อเรื่องใหม่ของทั้งสองจริงๆ หลังตอนจบของเนื้อเรื่องหลักไปแล้ว แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เนื้อเรื่องส่วนที่เสริมมาจะเขียนมาค่อนข้างดี และมีเนื้อหาและข้อคิดที่หนักอึ้งให้นั่งขบคิดกันไม่ต่างจากเนื้อเรื่องหลัก (ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวสปอย) แต่ด้วยรูปแบบการนำเสนอ ที่นำเนื้อเรื่องของทั้งสองมาเล่าในช่วงท้ายเกมทั้งหมดทีเดียว ทำให้บางทีก็รู้สึกเร่งๆ เหมือนกัน เพราะต้องทำให้ตัวร้ายตัวใหม่รู้สึกน่าเกรงขามมากพอที่จะท้าทายเหล่าตัวเอกและผองเพื่อน ที่กำจัดบอสใหญ่ไปแล้วได้ แถมยังต้องมาพัฒนาตัวละครของ Kasumi ผู้ซึ่งเป็นตัวเอกอีกตัวของเนื้อเรื่องเสริมนี้อีก ทำให้อดเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเกมปูเรื่องมาให้เป็นธรรมชาติกว่านี้ และหาวิธีสอดเรื่องราวของ Kasumi เข้าไปก่อนสู้บอสใหญ่ อาจจะทำให้ทุกอย่างรู้สึกลงตัวมากกว่านี้   คนที่เล่นแล้วอาจจะเถียงว่า "ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องเสริม มันก็ต้องเล่าประมาณนี้แหละ" ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เถียง แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้อยู่ดีที่เกมไม่ได้ทำให้ Kasumi รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทีมจริงๆ จนกระทั่งถึงตอนจบ ซึ่งก็ทำให้ตัวละครของเธอขาดน้ำหนักไปพอสมควรเมื่อเทียบกับตัวละครดั้งเดิม นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของเกม Persona คือเนื้อเรื่องส่วนตัวของแต่ละตัวละครเอง ซึ่งจะปลดล๊อคผ่านระบบ Confidant ของเกมนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องเหล่านี้ แม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักโดยตรง แต่ก็ช่วยทำให้เราได้รู้จักกับตัวละครหลายๆ ตัวมากขึ้น เพราะมักจะเกี่ยวข้องกับการแก้ปมในใจ หรือปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวละคร ที่แม้จะไม่ได้ตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่เนื้อเรื่องเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่กินใจ และให้แง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิตเสมอ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนกับได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผองเพื่อนที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาด้วยกันจริงๆ ซึ่งก็กลับมาช่วยเสริมเนื้อเรื่องของเกมอีกที สำหรับคนที่เคยเล่นเกมมาแล้ว เนื้อเรื่องของ Persona 5 Royal อาจจะไม่ใช่จุดดึงดูดหลัก เพราะเอาจริงๆ ก็เหมือนเดิมไปซะเกือบทั้งหมดอยู่เหมือนกัน และถ้าอยากเข้าถึงเนื้อเรื่องใหม่ ก็ต้องผ่านเนื้อเรื่องเก่าที่กินความยาวได้เป็นร้อยชั่วโมงไปซะก่อน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อน และชื่นชอบการเสพเนื้อเรื่องเกมเยอะๆ ยาวๆ บอกเลยว่าเกมนี้มีให้คุณเสพจนอิ่มแน่นอน ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ Persona 5 (ทั้ง Royal และปกติ) น่าจะเป็นทั้งจุดแข็งที่สุดและจุดอ่อนที่สุด ขึ้นอยู่กับความชอบของคนที่เล่น การเล่นเกมจะสามารถแบ่งออกเป็นสองช่วงหลักๆ คือช่วงต่อสู้ตะลุยดันเจี้ยน (ที่เกมเรียกว่า Palace หรือวัง) และช่วงใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความสำคัญพอๆ กัน โดยปกติแล้ว เวลาส่วนใหญ่ในเกม P5R จะถูกใช้ไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเอก โดยมีจุดประสงค์สองอย่าง คือเพื่อพัฒนาค่าความสามารถทางสังคม (Social Stat) เช่นความหล่อ ความฉลาด หรือความใจดี และเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครเสริมอื่นๆ ในระบบ Confidant ของเกมนั้นเอง ซึ่งการพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละคร บางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ค่าสถานะทางสังคมถึงระดับหนึ่งก่อน โดยเกมจะดำเนินไปตามระบบปฏิทิน และเนื้อเรื่องจะมีจำนวน "วัน" ในเกมที่ตายตัว หมายความว่าผู้เล่นจะต้องบริหารเวลาให้ดี เพื่อให้สามารถเก็บค่าสถานะให้ได้มากที่สุด เพื่อปลดล๊อคเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน การปลดล๊อคเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้ ยังช่วยเพิ่มความสามารถพิเศษให้เราใช้ในการสำรวจดันเจี้ยนอีกด้วย ผู้เล่นจึงควรพัฒนาระดับ Confidant ของตัวละครให้มากที่สุดที่จะทำได้ จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่ทำให้หลายคนขยาดจากเกม Persona ไปได้ง่ายๆ เพราะเวลากว่า 60-70% ของการเล่นเกมมักจะถูกใช้ไปกับการนั่งอ่านเนื้อเรื่องเสียมากกว่า ในบางครั้งอาจต้องนั่งอ่านเนื้อเรื่องอย่างเดียวเป็นชั่วโมงเลยก็ได้ แน่นอนว่าคนที่ไม่ชอบอ่านเนื้อเรื่องเยอะๆ หรือมีปัญหาด้านภาษาอังกฤษ อาจจะทำให้เกมน่าเบื่อไปเลยได้เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องที่เกมนำเสนอก็เป็นเสน่ห์สำคัญอย่างหนึ่งของเกมด้วย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมคงไม่ถูกใจผู้เล่นกลุ่มใหญ่ๆ แน่นอน แม้ว่าจะได้รับคะแนนจากสื่อที่รีวิวดีแค่ไหนก็ตาม นอกจากการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ในแต่ละเดือน (ตามเวลาเกม) จะมีดันเจี้ยนที่ผู้เล่นจะต้องผ่านให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งผู้เล่นจะเลือกได้อย่างอิสระว่าในหนึ่งเดือนนั้น จะใช้เวลาลงดันเจี้ยนกี่วัน หรือจะใช้เวลาในการเตรียมตัวในโลกแห่งความจริงกี่วัน ซึ่งถ้าเคลียร์ดันเจี้ยนไม่ได้ในเวลาที่กำหนด ก็จะทำให้ Game Over ทันที การต่อสู้ของเกม Persona จะมีส่วนคล้ายคลึงกับเกมอย่างโปเกม่อนอยู่บ้าง ตรงที่เกมจะเปิดให้ผู้เล่นสามารถเก็บสะสมเหล่า Persona ต่างๆ ไว้กับตัวได้ ซึ่ง Persona แต่ละตัวก็จะมีความสามารถและจุดแข็ง/จุดอ่อนต่างกัน โดยการเลือกใช้การโจมตีให้ตรงกับจุดอ่อนของศัตรูถือเป็นหัวใจหลักของการต่อสู้ในเกม เพราะเมื่อโจมตีถูกจุดอ่อนของศัตรู (หรือโจมตีติด Critical) จะทำให้ศัตรูตัวนั้นล้มลง และทำให้ตัวละครที่โจมตีได้รับเทิร์นเพิ่มอีกด้วย ซึ่งเมื่อเราทำให้ศัตรูทั้งหมดล้มลงได้ เราจะสามารถปิดฉากด้วยการโจมตี All-out Attack ทันที หรือจะขู่กรรโชกศัตรู (ไม่ได้พูดเล่น) เพื่อแย่งไอเทมหรือเงิน หรือกระทั่งเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็น Persona ของเราเลยก็ยังได้ การหาจุดอ่อนของศัตรูแต่ละชนิดให้เจอจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ความท้าทายของเกม Persona อยู่ตรงที่ว่าศัตรูเองก็สามารถโจมตีถูกจุดอ่อนของเราได้ ซึ่งเมื่อโดนแต่ละครั้งนี่แทบจะโดนสวนม้วนเดียวนอนทั้งตี้ได้เลย โดยตัวละครเพื่อนร่วมปาร์ตี้ทุกคนจะมี Persona และจุดอ่อน/จุดแข็งตายตัว (ในขณะที่ตัวเอก/ผู้เล่นจะสามารถสับเปลี่ยน Persona ไปมาได้) ทำให้การเล่นเกมบางครั้งก็พึ่งโชคประมาณหนึ่ง ว่าศัตรูตัวนี้จะเลือกโจมตีตัวละครตัวไหน และจะใช้ท่าที่ตัวละครตัวนั้นแพ้ทางไหม เพราะถ้าโดนเข้าซักทีก็เตรียมปาดเหงื่อได้เลย (โดยเฉพาะในระดับความยากสูงๆ) นอกจากนี้ เกมยังมีไอเทมที่ใช้ฟื้นฟู SP (ค่าพลังที่เอาไว้ใช้ร่ายสกิลเวทย์) ให้ใช้น้อยมาก ซึ่งนี่จะเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในการตะลุยดันเจี้ยน เพราะเมื่อไม่มี SP ก็จะไม่สามารถใช้เวทย์เพื่อเล่นงานจุดอ่อนศัตรู หรือเพื่อเพิ่มเลือดได้ ทำให้แม้แต่การต่อสู้กับศัตรูกีกี้ธรรมดา กลายเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากๆ ผู้เล่นจึงต้องบริหาร SP ให้ดี ไม่เช่นนั้นก็อาจจะถูกบังคับให้ต้องหนีออกจากดันเจี้ยนกลางทาง ทำให้เสียเวลาในเกมไปกับการผ่านดันเจี้ยนมากขึ้น และมีเวลาไปใช้ชีวิตน้อยลง ซึ่งก็ทำให้การเตรียมตัวสำหรับดันเจี้ยนต่อไปยากขึ้น ส่งผลต่อกันเป็นทอดๆ ไป ในส่วนของเกม Persona 5 Royal ไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบไปเท่าไหร่นัก แต่เช่นเดียวกับในเรื่องกราฟฟิค เกมภาค Royal ได้เพิ่มข้อปรับปรุงเล็กๆ เข้าไปมากมาย ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกม Persona 5 ง่ายขึ้นกว่าเดิมพอสมควร อย่างแรกที่สุดที่ถูกปรับคือเกมเปิดช่องเวลาให้ผู้เล่นมากขึ้น จากเดิมที่จะมีช่องเวลาที่ถูกจำกัดตามเนื้อเรื่องเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้เล่นมีเวลาในการเก็บ Social Stat และ Confidant มากขึ้นไปด้วย ซึ่งในฐานะผู้เล่นที่ผ่านภาคดั้งเดิมมาก่อน ถือเป็นข้อปรับปรุงที่ดีที่สุด เพราะทำให้ผู้เขียนสามารถเก็บ Social Stat ได้เร็วกว่าเดิมมากๆ จนผู้เขียนสามารถเก็บระดับ Confidant สำหรับตัวละครเสริมครบหมดทุกตัว (กระทั่ง Confidant ที่เพิ่มมาใหม่อย่าง Faith และ Councillor) ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในภาคดั้งเดิม อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่เปลี่ยนไป คือระบบ Technical Damage ของเกม ซึ่งจะทำให้ศัตรูที่ติดสถานะผิดปกติ (เช่นติดพิษ ติดใบ้ เป็นต้น) ได้รับความเสียหายจากการโจมตีบางชนิดเพิ่มขึ้น โดยในเกมภาคดั้งเดิม ระบบนี้มักจะถูกมองข้าม เพราะการโจมตีจุดอ่อนของศัตรูไปเลยมักจะเป็นทางเลือกที่ง่ายและดีกว่า แต่ในเกมภาค Royal มี Persona หลายตัวที่ถูกปรับให้ไม่มีจุดอ่อน ทำให้จำเป็นต้องใช้การโจมตีแบบ Technical Damage ในการเอาชนะแทน ซึ่งก็ช่วยทำให้เกมท้าทายขึ้นมาบ้างสำหรับคนที่เคยเล่นมาก่อน เกมยังเปลี่ยนโครงสร้างและปริศนาภายในดันเจี้ยนทุกแห่ง และยังปรับปรุงการต่อสู้กับบอสในเกมให้แตกต่างจากภาคเก่าประมาณหนึ่ง โดยแม้ว่าอาจจะไม่ได้เยอะจนรู้สึกว่าทุกอย่างใหม่ไปหมด แต่ก็เพียงพอให้การเล่นเนื้อเรื่องซ้ำ (สำหรับคนที่เคยเล่นแล้ว)ไม่น่าเบื่อเท่าที่คิด องค์ประกอบสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือดันเจี้ยนกลาง Mementos ที่เปิดให้ผู้เล่นเข้าไปสำรวจเมื่อไหร่ก็ได้ (ต่างจากดันเจี้ยนประจำเดือนที่เปิดให้สำรวจได้เฉพาะในเดือนนั้นๆ) ซึ่งถูกทำให้กลายเป็นแหล่งเก็บเลเวลและเงินชั้นดีด้วยระบบ Stamps ใหม่ ที่ให้ผู้เล่นเก็บสติ๊กเกอร์รูปดาวไปให้ NPC ใหม่ที่ชื่อว่า Jose เพื่อปรับผลตอบแทนที่ผู้เล่นจะได้รับในดันเจี้ยน (มีให้เลือกว่าจะรับเงิน EXP หรือไอเทมเพิ่มขึ้น) ทำให้ Mementos กลายเป็นแหล่งฟาร์มชั้นดี แต่ในขณะเดียวกันก็แอบทำให้การตะลุยดันเจี้ยนเนื้อเรื่องง่ายขึ้นเยอะ เพราะมีเงินซื้อไอเทมใช้ไม่ขาดมือ ◊ สรุป ◊ กล่าวโดยสรุปแล้ว Persona 5 Royal ถือเป็นภาคที่สมบูรณ์ที่สุด ของเกมที่ดีที่สุดเกมหนึ่งในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ตราบใดที่คุณสามารถปรับความคาดหวังให้ถูกว่าเกมเป็นเกมแบบไหน เพราะถ้ากะซื้อมาเล่นส่วนการต่อสู้อย่างเดียว ก็คงจะไม่คุ้มเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามเนื้อเรื่องของเกมแบบยาวๆ หรือชอบเกมที่มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ บอกเลยว่าไม่มีเกมไหนเหมาะกับคุณเท่า Persona 5 Royal แน่นอน สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!       [penci_review id="52265"]
08 May 2020
รีวิวเกม Moving Out "บริษัทขนย้ายของหรรษา ที่มากับความวุ่นวายและความหัวร้อน"
หลายคนอาจจะรู้จักเกม Overcooked เกม Co-op ที่ต้องอาศัยความสามัคคีและความร่วมมือกัน (หรือไม่ก็ตีกัน 5555+) ทำอาหารให้ได้คะแนนตามกำหนดในเวลาที่จำกัด วันนี้ GameFever TH จะมารีวิวเกมใหม่จากค่ายเดียวกันที่เปลื่ยน Theme เป็นพนังงานขนย้าย มาดูสิว่าจะสนุก จะป่วน หรือจะวุ่นวายเหมือนที่เคยทำไว้ไหม กับเกม Moving Out  ระบบเกมและภาพรวม Moving Out เป็นเกมแนว co-op ที่จะให้เราสวมบทบาทเป็นกลุ่มพนังงานขนย้ายของมือใหม่ โดยจะทำยังไงก็ได้ บ้านจะพังก็ชั่ง ขอแค่ย้ายของที่ลูกค้าสั่งไว้ไปขึ้นรถให้หมด ภายในเวลาที่จำกัด  ถึงจะมีแค่เป้าหมายเดียว แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะของที่ต้องขนมีหลายแบบ เช่น ของชิ้นเล็กที่วิ่งยกคนเดียวและโยนได้ ของแตกง่ายที่ห้ามโดนกระแทก สัตว์ที่คอยวิ่งหนีไม่ให้เราขน หรือของใหญ่ที่ต้องใช้ 2 คนยก ฯลฯ แถมมีเรื่องสถานที่แสนแปลกประหลาด มีกลไกแสนซับซ้อน ผีเฝ้าบ้านที่คอยป่วน และอีกมากมาย เอาเป็นว่ามันเยอะละกัน นี่ยังไม่รวมการจัดของบนรถขนย้ายของเราที่มีพื้นที่จำกัดอีก ทำให้การขนย้ายในแต่ละด่านไม่ง่ายอย่างที่เห็น จากที่บอกไปข้างต้น ให้ลองนึกภาพดู ว่าคน 4 คน พยายามขนของให้ทันเวลา ในบ้านแคบๆดูสิ แค่คิดก็หายนะก็เกิดแล้ว 5555+ นี่ล่ะความสนุกของเกมนี้ คะแนนในแต่ละด่านจะมีอยู่ 2 แบบ คือ เหรียญคะแนนเวลา ซึ่งจะมีเกณฑ์เวลาบอกอยู่ ถ้าจบด่านภายในเวลาที่กำหนดก็ได้คะแนนตามนั้น แบ่งเป็น เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง Challenge ประจำด่าน คือการจบด่านโดยทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ถ้าทำสำเร็จจะได้เหรียญ Challenge (1 ด่านมี 3 เหรียญ) ซึ่ง Challenge จะปรากฎให้เห็นเมื่อจบด่านนั้นไปแล้ว 1 รอบ (แต่ถ้าบังเอิญทำ Challenge สำเร็จในครั้งแรกที่เล่นด่านนั้นก็ได้เหรียญเหมือนกัน) เกมนี้จะปลดด่านตามเนื้อเรื่อง (ซึ่งเนื้อเรื่องก็สุดแสนกาวเหลือเกิน) และเราสามารถย้อนกลับไปเล่นเมื่อไรก็ได้ โดยการขี่รถไปตามบ้านในแผนที่ (บ้านที่ปลดให้เล่นจะมีสัญลักษณ์อยู่บนบ้าน)  ถึงด่านตามเนื้อเรื่องจะมีแค่ 30 ด่าน แต่ก็ยังมีด่านเสริมให้เราแวะเล่น ซึ่งจะมีอยู่ 2 แบบ  ด่านเสริมเนื้อเรื่อง จะเป็นเนื้อเรื่องย้อนอดีตของบริษัทขนของที่เราสังกัดอยู่ (อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร) ซึ่งจะปลดได้เมื่อเราสะสมเหรียญคะแนนเวลาสีทองได้ตามที่กำหนด ด่านเสริม Arcade จะเป็นด่านที่มี Theme เป็นเกมตู้อาเขต ซึ่งจะปลดได้เมื่อเราสะสมเหรียญ Challenge ครบตามที่กำหนด เกมนี้สามารถเล่นร่วมกันได้มากสุด 4 คน สามารถเลือกตัวละคร เปลื่ยนสี/เครื่องประดับ และท่าเต้นได้ และจะปลดตัวละครใหม่ให้ตามเนื้อเรื่อง  ถึงเกมนี้จะเน้นให้เล่นแบบสามัคคีหลายๆคน แต่ก็เล่นคนเดียวได้ไม่ยากอะไร เพราะเกมจะปรับระดับความยากให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่เล่น แถมยังมีโหมด Assist ที่สามารถปรับแต่งเกมให้ง่ายขึ้นได้ ถือว่าช่วยคนสายเล่นเกมคนเดียวหรือพวกมือใหม่ให้เล่นง่ายขึ้นเยอะเลย มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง ข้อแรก เกมนี้ไม่มีระบบ Co-op แบบออนไลน์ ทำให้การเล่นร่วมกันกับเพื่อนจะต้องมาเล่นที่เครื่องเดียวกัน แต่อย่างน้อยตัวเกมยังรองรับระบบ Remote Play Together ของ Steam ที่ยังพอถูไถเล่นด้วยกันได้บ้าง และอีกข้อเสีย Challenge ประจำด่านบางอัน ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เป็นการบอกกรายๆว่า ถ้าอยากเก็บ 100 % ก็ไปหาเพื่อนเล่นด้วยซะ ความรู้สึกหลังเล่น ตั้งแต่ได้ลองเล่น Demo เกมนี้และผมรู้ว่าเป็นค่ายเดียวกันกับ Overcooked ผมก็ไม่ลังแลที่จะกด Pre-order เกมนี้ในทันที เพราะ Overcooked ทำไว้ดีมากและก็คาดหวังกับเกมนี้พอสมควรเลย  พอได้ลองเล่นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายตังเลย และสนุกมากด้วย (ได้ตีกับคนในบ้านด้วย 5555+) ชอบมากที่เกมมีโหมด Assist ช่วยให้เล่นง่ายขึ้นเยอะเลย แต่ก็เสียดายนิดหน่อยที่ตัวเกมมันสั้นไปนิด บวกกับตัวเกมไม่ได้มีระบบ Co-op Online ทำให้จะเล่นกับเพื่อนที่อยู่ไกลๆ ก็ต้องพึ่งระบบ Remote Play Together ของ Steam ซึ่งถ้าเน็ตไม่ค่อยดีก็จะเล่นกระตุกมากกกกก ก็หวังว่าจะมีอัพเดทอะไรเพิ่มเติมเข้ามาทีหลัง สรุป Moving Out เป็นเกม Co-op ที่สนุกมากสมกับที่เป็นค่ายเดียวกันกับ Overcooked เหมาะเหลือเกินที่จะเล่นกับเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัว ใครที่ชอบเกมแนวนี้ก็ไม่ควรพลาดที่จะสอยมาเก็บไว้ในคลัง Link : https://store.steampowered.com/app/996770/Moving_Out/ [penci_review id="52524"]
05 May 2020
Blade & Soul Revolution ตำนาน MMO สุดมัน ที่กลับมาอีกครั้งในรูปเกมมือถือ!
Blade & Soul เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเกม MMORPG ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทยช่วง 2-3 ปีก่อน วันนี้ตัวเกมได้กลับมาอีกครั้งบนมือถือในชื่อ Blade & Soul Revolution ที่จะเปิดให้บริการในประเทศไทยทั้งทาง iOS และ Android เร็วๆ นี้ ซึ่งทางเราต้องขอขอบคุณ Netmarble ที่ให้โอกาสเราเข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ก่อนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา วันนี้ก็เลยจะมาแนะนำระบบต่างๆ รวมไปถึงวิจารณ์เกมเพลย์แบบคร่าวๆ ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever ได้อ่านกันครับ ความรู้สึกแรกเมื่อเข้าเกม ระบบการควบคุมของเกม Blade & Soul Revolution อาจจะไม่ต่างกับเกม MMORPG ทั่วไปในตลาดตอนนี้ คือใช้ทางฝั่งซ้ายของหน้าจอในการควบคุมทิศทางการเดินของตัวละคร และใช้ทางขวาของหน้าจอในการกดโจมตี ดังนั้นถ้าเกิดว่าเล่นเกม MMORPG บนมือถือมาก่อน น่าจะทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากครับ ตัวเกมมีระบบพื้นฐานที่เกม MMORPG ทั่วไปมีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการตีบวก การซ่อมอุปกรณ์ที่เสียหาย หรือการลงดันเจี้ยน สามารถทำได้ทั้งหมดในเกมนี้ ดังนั้นอาจพูดได้ว่าถึงแม้จะทำการพอร์ตเกมมาลงมือถือแล้ว แต่ Blade & Soul Revolution นั้นก็ยังคงมนต์เสน่ห์ของ MMORPG ไว้ได้อย่างดีเยี่ยมครับ [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] UI เหมือนเดิม MMORPG บนมือถือทั่วๆ ไป[/caption] กราฟฟิคของเกมนี้เรียกได้ว่าสวยมากๆ เลยทีเดียวครับสำหรับเกมบนมือถือ กล่าวในฐานะที่ตัวผมได้เล่นมาเองกับมือ ต้องยอมรับเลยว่าในเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ต้นไม้ใบหญ้า ทะเล หรือป่าเขา ก็ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้สวยงามมากๆ ครับ และถ้าเกิดว่าใครที่มือถือไม่ได้มีสเปคที่สูงมาก ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะตัวเกมมีออฟชั่นที่ให้ผู้เล่นสามารถปรับคุณภาพของกราฟิกได้ด้วย ดังนั้นถ้าหากว่าอยากเล่นจริงๆ ก็แค่ปรับภาพให้สวยน้อยลงก็น่าจะทำให้เล่นได้แบบสบายๆ ครับ นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบนำทางเควสให้ด้วย ถ้าเกิดกลัวว่าจะไปทำเควสไม่ถูกจุด หรือไม่รู้จะไปทำเควสต่อที่ไหน เพียงแค่กดตรงเควส ระบบของเกมก็จะนำตัวละครของผู้เล่นไปยังตำแหน่งทำเควสนั้นให้เลยทันที นับว่าอำนวยความสะดวกให้แบบสุดๆ ดังนั้นใครที่ปกติชอบหลงทิศในเกม ก็ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะเล่นเกมนี้แล้วไม่มีหลงแน่นอน [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] ภาพสวยมากเวอร์[/caption] ตัวละคร เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ตัวผมเองแปลกใจมากๆ ครับ คือการสร้างตัวละครในเกมนี้สามารถปรับรายละเอียดได้เยอะไม่น้อยหน้าไปกว่าเกม MMORPG บนเครื่อง PC นอกจากนี้ตัวเกมยังได้นำเผ่าต่างๆ ที่สามารถเล่นได้ในเกม Blade & Soul Original มาใส่ไว้ในเกมนี้ทั้งหมดเลยด้วย! ซึ่งในเมื่อปรับแต่งตัวละครได้มากขนาดนี้ คิดว่าในอนาคตคงจะมีเสื้อผ้าแฟชั่นสวยๆ มากมายมาให้ผู้เล่นเลือกซื้อด้วยอย่างแน่นอนงานนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] ปรับแต่งได้เยอะมากๆ[/caption] เกมเพลย์ ในเรื่องแรกคืออาชีพที่มีให้เล่นในตัวเกมเวอร์ชั่นนี้ จะมีอาชีพให้เล่นทั้งหมด 4 อาชีพด้วยกันคือ Blade Master ที่เป็นเลิศในการใช้ดาบ, Kungfu Master ที่ใช้หมัดและร้างการเป็นอาวุธ, Destroyer ที่ใช้ขวานยักษ์ในการโจมตี, และ Force Master ที่เป็นเหมือนคลาสจอมเวทย์ของเกมนี้ แน่นอนว่าแต่ละอาชีพก็มีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไป ในส่วนนี้ก็แล้วแต่ผู้เล่นเลยครับ ว่าชอบอาชีพสไตล์ไหนมากกว่ากัน การเล่นส่วนใหญ่ของเกมนี้จะเน้นไปทำการทำเควส และเควสส่วนใหญ่จะให้เราไปต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่างๆ ตามสไตล์เกม MMORPG แต่เอาจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการกด Auto ให้ตัวเกมพาไปยังตำแหน่งทำเควสให้มากกว่าการเดินเอง แต่ละเควสมีความยาว หรือจำนวนมอนสเตอร์ที่ต้องฆ่าไม่เยอะเท่าไหร่ ดังนั้นการเก็บเลเวลของเกมนี้จึงทำได้ค่อนข้างเร็วครับ เล่นแค่ 1-2 ชั่วโมงก็เลเวล 20 แล้วครับ ในส่วนของเกมเพลย์ เกมนี้จะเน้นการต่อสู้ไปที่การกดสกิลคอมโบเช่น ใช้สกิลโจมตีอีกฝ่ายให้ติดสตั้น จากนั้นงัดอีกฝ่ายให้ลอย แล้วต่อด้วยคอมโบกลางอากาศ เป็นต้น โดยในจุดนี้แต่ละคลาสจะแตกต่างกันออกไป เพราะสกิลที่สามารถทำให้อีกฝ่ายติดสตั้น หรือลอยได้แต่ละคลาสจะมีไม่เท่ากัน ในจุดนี้ผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ของเกมนี้เลยก็ว่าได้ครับ นอกจากการกดสกิลเพื่อคอมโบแล้ว ผู้เล่นจะต้องกดสกิลในการเอาตัวรอดด้วยครับ แต่ละคลาสจะมีสไตล์การเล่นเพื่อเอาตัวรอดแตกต่างกันไป เช่น Kungfu Master จะเน้นไปที่การกันแล้วสวนกลับ ในขณะที่ทาง Blade Master หรือ Force Master จะเน้นไปที่การหลบแล้วโจมตีกลับมากกว่า (ส่วนคลาส Destroyer ผู้เขียนไม่ได้ทดลองเล่นครับ) ในส่วนของศัตรูที่มีให้เห็นในเกมนี้จะมีค่อนข้างหลากหลายครับ ไม่ว่าจะเป็น คน, สัตว์ต่างๆ , สัตว์ประหลาด , หรือว่าผี ก็มีให้เห็นในเกมนี้ ซึ่งศัตรูแต่ละแบบจะมีรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกันออกไป อย่างศัตรูที่เป็นคนจะมีการออกท่าโจมตีที่เหมือนกับผู้เล่นกดสกิล ดังนั้นการจะกดกัน หรือว่าหลบจะทำได้ค่อนข้างง่าย แต่กับศัตรูอื่นจะมีรูปแบบโจมตีที่แตกต่างกันไปต้องดูให้ดีเวลาสู้ครับ นอกจากมอนสเตอร์ปกติแล้ว ภายในเกมยังมีสิ่งที่เรียกว่า Field Boss อยู่ตามจุดต่างๆ ของเกมเหมือนกับเกม Blade & Soul เวอร์ชั่น Original ด้วย โดยการสังเกตุ Field Boss ก็ไม่ยากครับ เพราะจะมีสัญลักษณ์บนหัวมอนสเตอร์ชัดเจนเลยว่าตัวนี้คือ Field Boss แน่นอนว่าการชนะมอนสเตอร์พิเศษแบบนี้ได้ ย่อมได้รับของที่ดีด้วย ซึ่ง Field Boss แต่ละตัวจะดรอปไอเทมแตกต่างกันไปครับ! ติดตามข่าวสารของเกมนี้ได้ทาง Facebook Official Page เลยครับ [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] Field Boss ผีตัวเดิมคิดถึงกันรึเปล่า ?[/caption] สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!
05 May 2020
รีวิว มังกรหยก2 M เกมมือถือสานต่อตำนานนวนิยายกิมย้งชื่อดัง กับกราฟิกสุดอลังการ
ถ้าให้พูดถึงเกม MMORPG มือถือที่น่าจับตามอง และกำลังมาแรงก็คงจะหนีไม่พ้นเกม “มังกรหยก2 M” UU GAMES ลงให้ทั้ง iOS และ Android ที่ได้นำบทประพันธ์ของนักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดังอย่างกิมย้ง มาตีความใหม่พร้อมกับกราฟิกที่สวยงามและทันสมัย ซึ่งทางเรา GameFever TH ได้เล่นเกมนี้มาแล้วและจะมารีวิวคร่าว ๆ ถึงระบบต่าง ๆ ภายในเกมและความรู้สึกเล่นที่ได้เล่นมา จะเป็นอย่างไรไปตามผมมาเลยครับ !! กราฟิกและการนำเสนอ กราฟิกของเกมมีความสวยงาม กราฟิกเป็นสไตล์ 3D มีการดัดแปลงเอา NPC หลักของนิยายมังกรหยกเข้ามา บวกกับการเล่าเรื่องเชิงนิทานเข้าไป เพื่อให้เราทำเควสและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น (แต่เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มาเรียงตามนิยายขนาดนั้น) เรื่องราวของเกมจะยกเหตุการณ์มาเล่าเป็นตอน ๆ ไปเช่น เอี้ยก้วยกับพิษดอกรัก, การบุกโจมตีเมืองเซียงเอี๊ยงหรือ ความวุ่นวายของพรรคกระยาจก เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าหลายคนที่เป็นแฟนซีรีส์นี้คงชอบ และตามอ่านเนื้อเรื่องกันไม่มากก็น้อย ในระหว่างการเล่นเควสเนื้อเรื่อง ตัวเกมจะมีคัทซีนเข้ามาเป็นช่วง ๆ ที่สำคัญมาก ๆ คือตรงเสียงพากย์ของเกมที่ทำออกมาได้น่าสนใจ มีนักพากย์ดัง ๆ มากมายได้รวมตัวเพื่อเกมนี้ด้วย ผู้เล่นจะได้อารมณ์เดียวกับหนังหรือซีรีส์กำลังภายในสมัยก่อนที่เราติดตามกันทางโทรทัศน์เลยทีเดียว เกมเพลย์ เกมมังกรหยก2 M เป็นเกมแนว MMORPG สไตล์มือถือที่ผู้เล่นส่วนใหญ่คุ้นชินกัน เราจะได้สร้างตัวละครของเราเอและเข้าร่วมสำนักต่าง ๆ ได้อิงตามนิยายเรื่องนี้เลย ยกตัวอย่างเช่น สำนักต้าหลี่ สำนักดอกท้อ และสำนักพรรคกระยาจก โดยแต่ละสำนักเองจะมีจุดเด่นแตกต่างกันเช่น สำนักพรรคกระยาจกจะมีดาเมจคริติคอลศัตรูตัวเดียวสูง ภายในสำนักจะแบ่งแยกออกเป็นตัวละครที่ใช้อาวุธแตกต่างกัน ซึ่งตัวละครอาจจะมีการซ้ำกันบ้างในแต่ละสำนัก แต่ความสามารถก็จะแตกต่างกันนั่นเอง นอกจากการเล่นตัวละครหลักของเราแล้วนั้น เราจะต้องรวบรวมพรรคพวกจอมยุทธต่าง ๆ มาผจญภัยไปด้วยกัน ซึ่งแต่ละจอมยุทธจะมีสไตล์ที่แตกต่างกันไป บางตัวเป็นสายพลังภายใน (เวท) บางตัวเป็นสายพลังนอก (กายภาพ) หรือบางตัวเป็นสายรักษา ซึ่งเราสามารถจัดทัพได้ตามสไตล์ตัวละครของคุณ ถ้าตัวละครที่คุณเลือกเป็นสายรักษา คุณอาจจะใช้จอมยุทธที่เป็นพรรคพวกสายดาเมจเพื่อการโจมตี ในเกมผู้เล่นยังมีสัตว์เลี้ยงที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่กายอีกตัวที่จะคอยต่อสู้ไปด้วยกันข้างกาย ระบบการต่อสู้ของเกมนี้เป็นการต่อสู้แบบ Turn Base แต่โครงสร้างของเกมนี้จะค่อนข้างแตกต่างจากเกมอื่นตรงที่ ในโหมดเนื้อเรื่องตะลุยคนเดียว  การบังคับต่อสู้นั้นเราจะสามารถสั่งการโจมตีได้เพียงแค่ตัวละครเราและสัตว์เลี้ยงของเราเท่านั้น การโจมตีของเหล่าจอมยุทธเองจะเป็นการสุ่มการโจมตีทั้งหมด อาจจะมีบางตัวละครที่สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ใช้สกิลอะไรเป็นหลัก เช่น ให้ตัวละครนี้ใช้สกิลฮีลเป็นหลักได้ หรือ ให้ตัวละครนี้ใช้สกิลโจมตีเดี่ยวอย่างเดียวก็ได้ ในโหมดปาร์ตี้ ระบบพรรคพวกของเรานั้นจะถูกตัดออกให้เหลือเพียงการต่อสู้แค่ตัวละครหลักของเราและสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ทำให้การจัดทัพค่อนข้างที่จะต้องมีความบาลานซ์ บางทีเราอาจจะต้องหาเพื่อนร่วมทีมที่มีความสามารถคละ ๆ กันไปบ้างเพื่อความราบรื่นในการผ่านด่าน เนื่องจากที่เราสามารถบังคับได้เพียงแค่ตัวละครหลักและสัตว์เลี้ยงในการต่อสู้ ทำให้การอัพเกรดของของที่สวมใส่แค่ขึ้นอยู่กับตัวละครหลักเรา ความยุ่งยากในการเล่นจึงน้อยกว่าเกมอื่น ๆ เยอะเลยทีเดียว ไอเทมสวมใส่พวกนี้เองก็ไม่ต้องใช้เงินจริงซื้อเลย เพียงแค่ผู้เล่นเล่นภารกิจเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ ไอเทมดี ๆ จะโผล่มาให้เราใส่อยู่ตลอด GameFever LOVEs เลย!! ระดับของตัวละครเหล่าพรรคพวกจอมยุทธของเรานั้นขึ้นอยู่กับกาชาที่เราเปิดได้ หรือถ้าหากเปิดแล้วได้ชิ้นส่วน เราสามารถเอาไปตีบวกได้ สิ่งที่ส่วนตัวคิดว่าเกมนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินของเรามากเลยก็คือการที่ตัวเกมแจกตัวละครระดับสูงขั้น S ให้ใช้ตั้ง 5 ตัว ตัวละครพวกนี้ที่เราสามารถเอาเข้าทัพได้เลย ล็อกอินครบตามวันก็จะได้ S แล้ว 2-3 ตัว ไหนจะเป็นเพชรฟรีที่เราสามารถเอามาเปิดการันตีจอมยุทธระดับ S อีกด้วย การที่คุณมีจอมยุทธเยอะเป็นผลดีที่มันจะไปเพิ่ม Stat ให้ตัวละครเรา นอกจากนั้นกิจกรรมของเกมนี้ยังมาในหลายรูปแบบ ทั้งกิจกรรมแบบจริงจังเก็บเลเวล หรือจะเป็นกิจกรรมประเภทการลงดันเจี้ยน ปาร์ตี้ PvP มากมาย เกมนี้ไม่มีระบบ Stamina เล่นเยอะก็อาจจะเก็บเลเวลไวกว่าคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันสำหรับคนที่ไม่ชอบจริงจัง ผู้เล่นสามารถเล่นมินิเกมค่าเวลได้ เกมมังกรหยก2 M ยังมีระบบปลีกย่อยต่าง ๆ ที่ผู้เล่นจะได้ปลดล็อกเรื่อย ๆ เมื่อเลเวลสูงขึ้น สรุปความรู้สึก ตัวเกมค่อนข้างน่าประทับใจในเรื่องของกราฟิกที่ทำออกมาได้สวยงาม แม้ว่าเอฟเฟคสกิลจะไม่ตูมตามเหมือนเกมอื่น แต่มันก็ทดแทนด้วยความแปลกใหม่ของเกมเพลย์ เกมมีระบบการเล่นที่ค่อนข้างเยอะกว่าเกมอื่น ๆ มากพอสมควร ทั้งในเรื่องของกาชาที่ค่อนข้างสบายกระเป๋าและเหล่าขุนพลก็ไม่ได้มีผลต่อความเก่งมากขนาดนั้น เพราะระบบของเกมเองมันก็มีแจกตัวละครระดับเก่ง ๆ อยู่มากมายจนคุณไม่ต้องเติมเงินเป็นบ้าเป็นหลังก็ได้ ทำให้มันไม่ได้เหลื่อมล้ำกันจนเกินไปนั่นเอง อีกอย่างที่ต้องชมคืออนิเมชั่นที่ค่อนข้างน่าสนใจและสร้างสีสันได้ดี บวกกับเสียงพากย์ที่ส่วนตัวแนะนำให้เปิดเลยครับมันได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และอรรถรสมากขึ้น เสียงพากย์พวกนี้ยังเป็นประโยชน์เพราะบางครั้งจะมีการไกด์ไลน์การเล่นให้เราด้วย ข้อดี เกมเพลย์แปลกใหม่ที เข้าใจง่ายไม่ยุ่งยาก ระบบค่อนข้างเยอะ ยิ่งเลเวลสูงยิ่งมีระบบใหม่ ๆ เสียงพากย์และแอนิเมชั่นทำได้ดีเยี่ยม ข้อเสีย อยากให้เอฟเฟคสกิลดูตื่นเต้นมากกว่านี้ ***** ดาวน์โหลดเล่นเกมได้ที่นี่ : https://go.onelink.me/zbyR/PR เว็ปไซต์ทางการเกมคลิ๊กที่นี่ : https://tch.uugame100.com/ เฟสบุ๊คแฟนเพจเกมคลิ๊กที่นี่ : https://www.facebook.com/CondorHeroes2/  
02 May 2020
รีวิว XCOM : Chimera Squad ย่นขนาด ย่อส่วนความสนุก
หมายเหตุ : งานเขียนรีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นหลังจากใช้เวลาเล่น XCOM: Chimera Squad เป็นเวลา 20 ชั่วโมงที่ระดับความยาก Normal ซึ่งประสบการณ์การเล่น อาจจะแตกต่างออกไปในความยากระดับอื่นๆ หมายเหตุ 2 : ในขณะที่ผู้เขียนลงบทความชิ้นนี้ มีอีกหนึ่งชิ้นงาน Turn-Based Strategy อย่าง Gears Tactics ที่ออกวางจำหน่ายแล้ว ซึ่งยังไม่มีโอกาสได้ลอง แต่มีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ใครที่สนใจสามารถซื้อได้ที่ระบบ Steam ในราคา 699 บาท *********************************************************************************************************** ออกตัวกันก่อนว่า สำหรับผู้เขียน ถ้าลงว่าเป็นเกมแนว Turn-Based Strategy หรือเกมวางแผนแบบผลัดตากันเดินแล้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นของโปรดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับซีรีส์ ‘XCOM’ จากทีม Firaxis ที่ผู้เขียนเล่นมาตั้งแต่ภาคดั้งเดิมปี 1994 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผูกใจเล่นเป็นเวลานับร้อยชั่วโมง และนำกลับมาเล่นซ้ำได้อย่างไม่รู้เบื่อ (เฉพาะแค่ภาคสองกับส่วนเสริม War of the Chosen ก็สะสมเวลาเล่นไปแล้วถึงระดับ 200 ชั่วโมงกว่าๆ ในการเล่นสี่รอบ พร้อมลง Mod เติมคุณสมบัติต่างๆ ไปอีกมากมาย…) แต่ในขณะที่ผู้สร้างซีรีส์ดั้งเดิมอย่าง Julian Gollop ได้ออกเดินทางในผลงานใหม่อย่าง Phoenix Point เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทีม Firaxis ก็กลับมาพร้อมประกาศการมาของ ‘Chimera Squad’ ที่ไม่มีวี่แววใดๆ และโผล่มาในแบบปุบปับปัจจุบันทันด่วน สร้างความตกตะลึงในระดับเบาะๆ เพราะหลังจากการวางจำหน่ายภาคสองและส่วนเสริมไปเกือบสามปี มันไม่มีสัญญาณถึงภาคต่อที่จะมาถึงเลยแม้แต่น้อย (เรียกว่าประกาศเปิดตัว นับไปอีกหนึ่งอาทิตย์ก็วางจำหน่ายเลย) กล่าวโดยสรุป Chimera Squad นั้นมาด้วยสเกลที่เล็กกว่า XCOM สองภาคที่ผ่านมาค่อนข้างมาก และมาในแนวทางการเล่นที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง มันถูกย่อขนาดให้กระชับขึ้น เน้นการบอกเล่าเนื้อหา และใส่ใจกับการเล่นในระดับจุลภาคที่สามารถจบหนึ่ง Session การปะทะได้อย่างรวดเร็ว เป็นงานเกมขนาดย่อมที่สมน้ำสมเนื้อกับสนนราคาค่าตัว ซึ่งทีมสร้างมีความตั้งใจเพื่อใช้สำหรับทดลองแนวทางใหม่ ที่อาจจะถูกนำมาผนวกสำหรับภาคต่อขนาดใหญ่ที่รอคอยอยู่ภายภาคหน้าก็เป็นได้ Chimera Squad เปิดฉากเรื่องราวห้าปีหลังเหตุการณ์จากเกมภาคสอง เมื่อกองทัพต่างดาว Advent ปราชัยให้แก่กองกำลังต่อต้าน XCOM โลกกลับเข้าสู่สันติภาพ ที่ที่มนุษย์ เหล่าลูกผสม และเผ่าพันธุ์ต่างดาว ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในความสัมพันธ์แบบใหม่ โดยเฉพาะกับ City 31 เมืองแห่งความหลากหลายทางสายพันธุ์ แต่แล้วเมื่อการลอบสังหารนายกเทศมนตรีเกิดขึ้น สั่นคลอนความมั่นคงและการดำรงอยู่ของความสัมพันธ์ดังกล่าวจนอาจนำไปสู่ความโกลาหลในบั้นปลาย จึงเป็นหน้าที่ของกองกำลัง Chimera Squad หน่วยลูกผสมพิเศษพิทักษ์เมือง ที่จะต้องรักษาความสงบ และสืบสาวไปให้ถึงต้นตอว่าใครที่กำลังประสงค์ร้ายต่อความมั่นคงและสันติภาพของเมืองในครั้งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ความเปลี่ยนแปลงอย่างแรกที่สัมผัสได้จาก Chimera Squad ทีค่อนข้างชัดเจนเป็นอย่างมากคือ ตัวเกมมีสนามการเล่นที่เล็กลงจากเกมสองภาคก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะในขณะที่ XCOM ที่ผ่านมานั้นเน้นสเกลการเล่นแบบใหญ่ วางแผนกันในระดับโลก เกมนี้ถูกย่อส่วนลงมาให้เหลือเพียงแค่ระดับเมือง ที่ถูกแบ่งออกเป็น 9 พื้นที่หลัก ที่จะตามมาด้วยเหตุการณ์ที่เราจะต้องส่งกองกำลังลงสู่พื้นที่เพื่อเคลียร์สถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัวประกัน กวาดล้างกองกำลัง ไปจนถึงการค้นหาหลักฐานสำคัญก่อนถอนตัวออกจากพื้นที่ เป็นต้น แน่นอนว่าด้วยขนาดของกองกำลังที่เล็กลง ตัวเกมจึงเน้นเป็นพิเศษในส่วนของการปะทะในแต่ละครั้งที่แบ่งออกเป็น ‘Phase’ ที่จะเริ่มต้นด้วยการเลือกจุดที่จะเข้าปะทะ (Breaching Point) ที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงบางจุดที่อาจจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษที่เป็นเฉพาะ เช่น การทลายกำแพงด้วยระเบิด หรือการแฮ็คประตูด้วยบัตรผ่าน เหล่านี้ สร้างความหลากหลายในมิติของการวางแผนได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะในแต่ละจุด ก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป บางจุดสามารถให้โบนัสด้านการโจมตี บางพื้นที่เป็นเส้นทางตรงแต่มีข้อเสียที่ตามมา เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้เล่นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การบุกทะลวงในแต่ละ Phase นั้น เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากรูปแบบของ XCOM ดั้งเดิมที่สังเกตได้ คือรูปแบบการสลับตาเล่นของแต่ละยูนิตในสนามรบ เพราะใช้ระบบแบบ ‘ผลัดกันเดิน (Interleved)’ ที่ตาเดินของผู้เล่น จะผสานเข้ากับตาเดินของศัตรูในพื้นที่ แทนที่จะแบ่งออกเป็นส่วนใหญ่สลับกัน เหล่านี้ ขยายขอบเขตความเป็นไปได้ในการวางแผนให้มากยิ่งขึ้น เพราะไม่มีอีกแล้วกับการเลือกใช้กองกำลังที่ทรงพลังที่สุด เพื่อกวาดล้างทุกสิ่งให้จบสิ้นลงไปในหนึ่งตาเดิน แต่ต้องพิจารณาและเลือกใช้คุณสมบัติของหน่วยรบที่มีอยู่ในมือโดยดูจากลำดับเป็นสำคัญ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกมแนว Turn-Based Strategy ยุคโมเดิร์นในช่วงหลัง ที่ถูกนำมาประยุกต์ได้อย่างเข้ากันดีกับ Chimera Squad ที่ช่วยให้เกมมีความฉับไวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และด้วยรูปแบบของเกมที่เล็กลง ทีมสร้างได้เลือกใช้การกำหนดยูนิตของกองกำลัง Chimera Squad ที่เป็นตัวละครกึ่งสำเร็จรูป ที่มีพื้นหลังเรื่องราว คุณสมบัติ ไปจนถึงทักษะและความสามารถที่แตกต่างกัน ที่ผู้เล่นจะได้เลือก 8 จาก 11 คนที่มีให้พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เอเลียนยอดนักพลังจิตที่สามารถคุมความคิดของยูนิต, หน่วยรบพุ่งทะลวงฟันจอมถึก, สายลับนักเทคโนโลยี ไปจนถึงพลแม่นปืนและเอเลียนสายพันธุ์งูที่สามารถซอกซอนเข้าสู่จุด Breaching Point ในแบบที่ยูนิตอื่นไม่สามารถทำได้ ทั้งหมด ถูกกำหนดเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ มีความชัดเจน และให้ผู้เล่นได้เลือกผสมผสานจนเกิดเป็นรูปแบบการเล่นที่เป็นเฉพาะได้ตามที่ใจต้องการ กระนั้นแล้ว ภายใต้ข้อคุณสมบัติที่กล่าวไปในข้างต้น เราอาจจะไม่สามารถละเลยความจริงข้อหนึ่งของ Chimera Squad ว่า นี่เป็นเกมระดับ ‘ทุนต่ำ’ ของ Firaxis ที่สะท้อนออกมาในทุกช่วงของตัวเกม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Asset เก่าจากเอนจิ้นของเกมภาคสองที่ยังคงมีบั๊กส์ทางเทคนิคประปราย การลดสเกลการเล่นลงให้เหลือเพียงแค่การปะทะอย่างเพียวๆ จำกัดการปรับแต่งคุณสมบัติยูนิตที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างตายตัว ไปจนถึงการปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ทั้งเก้า ที่แทบไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าส่วนเสริมให้รู้สึกถึงภาพกว้างอย่างจำกัด ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับการเล่นอย่างมีนัยสำคัญมากนัก (นอกเสียจากการเป็นพื้นที่เพื่อให้ทรัพยากรในการพัฒนากองกำลัง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น) การกำหนดคุณสมบัติอย่างตายตัวของยูนิตกองกำลัง Chimera Squad ทั้งสิบเอ็ดคนก็ถือได้ว่าเป็นข้อจำกัดที่น่าขัดใจ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น พวกเขาเหล่านี้มาพร้อมกับทักษะและความสามารถอันเป็นเฉพาะ นั่นทำให้การปรับแต่งต่างๆ ที่เคยมีมาในภาคก่อนหน้านั้นถูกลดทอนลงไป อีกทั้งการที่ผู้พัฒนาเลือกที่จะ Focus ในส่วนของเนื้อหาให้ Streamlined เป็นเส้นตรง ก็นำมาซึ่งการถอด ‘Permadeath’ หรือการสูญเสียยูนิตแบบถาวรที่เคยเป็นเสน่ห์หลักของซีรีส์ XCOM ไป (ในเกมนี้ ถ้าคุณสูญเสียยูนิต สิ่งเดียวที่เกมอนุญาตให้ทำคือการเริ่มต้นการปะทะใหม่จนกว่าจะผ่าน….) และนั่น นำมาซึ่งข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของ Chimera Squad เพราะเมื่อคุณไม่สามารถสูญเสียยูนิตไปอย่างถาวร และการกำหนดยูนิตอย่างตายตัว มันทำให้เกมนั้น ‘ง่าย’ กว่าทุกภาคที่ผ่านๆ มา ไม่มีอีกแล้วกับความตื่นระทึกจากการวางแผน หรือการระแวดระวังไม่ให้ยูนิตที่ปั้นมาอย่างดีต้องล้มตายในสนามรบ เพราะเมื่อไม่มีระบบ Permadeath ยูนิตของคุณมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนภารกิจที่ผ่านไป และทุกการอัพเกรดที่เพิ่มเข้ามา และนั่น ทำให้ตัวเกมเลือกที่จะใช้เทคนิคโยนศัตรูจำนวนมหาศาลในหนึ่งการปะทะ แทนที่จะสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้น จนท้ายที่สุดแล้ว กลยุทธ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ บุกทะลวง แล้วทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในห้อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้การเล่นช่วงท้ายแผ่วปลายลงไปอย่างน่าใจหาย ไม่นับรวมสเกลความยากในช่วงท้ายที่ถูกถีบขึ้นอย่างน่างุนงง (แม้จะไม่ได้มากจนถึงขั้นเล่นต่อไม่ได้ แต่ออกจะน่ารำคาญใจเสียมากกว่า…) นอกเหนือจากนั้นแล้ว การบ่งบอกข้อมูลและรายละเอียดที่สำคัญผ่านหน้าจอของผู้เล่นหรือ User Interface ก็ยังคงมีส่วนขาดตกบกพร่องและไม่ได้บอกในสิ่งที่ผู้เล่นควรทราบเอาไว้อย่างชัดเจนและเพียงพอ (จนถึงในขณะที่เขียน ทักษะบางอย่างของบางยูนิตก็ยังคงเป็นที่ต้องสงสัยแม้จะเล่นจบไปแล้วก็ตาม) และแน่นอน เมื่อเป็นซีรีส์ XCOM โอกาสที่คุณจะได้เห็นการจ่อยิงแต่พลาดแม้เปอร์เซ็นต์การเข้าเป้าสูง (ที่ถูกเอาไปยำทำ Meme ให้ตลกขำขื่นกันมานักต่อนัก…) ก็จะยังกลับมาหลอกหลอนได้อย่างครบถ้วนไม่ขาดตกอีกเช่นเคย แต่ทั้งนี้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงโปรเจ็กต์ Spin-Off ต้นทุนต่ำที่ถูกย่นขนาดและย่อส่วนความสนุกลงไป แต่ Chimera Squad ก็อาจจะเป็นการตอบโจทย์ที่สำคัญของทีมสร้างและทิศทางของซีรีส์ XCOM ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ว่าเกมแนว Turn-Based Strategy นั้น มีคุณสมบัติที่จะ ‘เร็วขึ้น’ ได้มากน้อยเพียงใด และสามารถใส่และสร้างจุดร่วมทางเนื้อหาได้มากน้อยแค่ไหน ดังที่ผู้สร้างได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นว่า นี่เป็นงานที่ทำขึ้นเพื่อทดสอบคุณสมบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในเกมภาคถัดไป (ที่ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจ ว่ามันจะมีต่อแน่ๆ แต่เมื่อใดนั้น ก็ยากที่จะบอกได้) เพราะโลกแห่งแวดวงวิดีโอเกมนั้นเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง และซีรีส์ XCOM ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเกมแนว Turn-Based Strategy ของยุคโมเดิร์น ที่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง และการมาถึงของ Chimera Squad ที่แม้จะขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่มันก็ยังทำให้เราได้รู้สึกมั่นใจ ว่าผู้สร้างนั้นไม่ได้ละทิ้ง หรือยึดติดกับความสำเร็จแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมา หากแต่หาหนทางใหม่เพื่อขยายขอบเขตความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด เพื่อผลงานที่จะตามมาในภายภาคหน้า ที่จะดีขึ้น มากขึ้น และหลากหลายยิ่งขึ้น และผลสำเร็จของเกมนี้ ก็ตอกย้ำว่า สิ่งที่ดีๆ ดังที่ว่า จะเกิดขึ้นตามมา และชื่อของ XCOM ก็จะยังคงอยู่ต่อไป ไม่ล้มหายตายไปจากสารบบในเวลาที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน [penci_review id="52466"]
30 Apr 2020
รีวิว Predator: Hunting Grounds ไล่ล่าฆ่าฟันแบบดุเดือด ในแดนเขียวขจี!
Predator: Hunting Grounds คือเกม Multiplayer ใหม่จากทาง IllFonic ผู้ให้กำเนิดเกม Friday the 13th แต่ครั้งนี้ตัวเกมมาในรูปการเล่นแบบ 4v1 ในสนามที่มีพื้นที่จำกัดเหมือนกับเกม Dead By Daylight แต่จะแตกต่างตรงที่ทางฝ่าย 4 คน ยังพอจะสู้กับฝ่ายผู้ล่าได้อยู่บ้าง ตัวเกมวางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 24 เมษายน 2020 ที่ผ่านมา โดยลงให้กับเครื่อง PlayStation 4 กับ PC เท่านั้น เนื่องจากเกมนี้ไม่มีเนื้อเรื่อง หรือโหมด Campaign ให้เล่น ทำให้ในการรีวิวครั้งนี้จึงจะไม่มี Part ในส่วนของเนื้อเรื่องอยู่ด้วยครับ ส่วนว่าเกมนี้ทำออกมาได้ดีรึเปล่า? หรือ มีเกมเพลย์ที่สนุกมากน้อยขนาดไหน? ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ขอออกตัวก่อนเลยว่าทางผู้เขียนได้เล่นเกมนี้ผ่านเครื่อง PlayStation 4 Pro ดังนั้นความคิดเห็นในส่วนของกราฟิก จึงจะเป็นประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 Pro เท่านั้นครับ โดยในส่วนของ กราฟิก ส่วนตัวผมคิดว่าทำออกมาได้ค่อนข้างสวยเลยทีเดียว มีการเก็บรายละเอียดของทั้งก้อนหิน, แสงแดด, พื้นผิวของวัตถุ, น้ำ รวมไปจนถึงอาวุธ ชุดเกราะของทั้งฝั่ง Ai และผู้เล่นได้ดีทีเดียว แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเกมใช้ระบบการ Render แบบไหนครับ เพราะบางครั้งตัวฉาก หรือ Texture ของวัตถุจะเป็นภาพเบลอๆ เหมือนกับว่าตัวเกมโหลด Texture ไม่สำเสร็จอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้ตอนเล่นรู้สึกหงุดหงิดแบบแปลกๆ เหมือนกันครับ ในส่วนของการนำเสนอนั้น ฉากกว่า 80% ของเกมจะเป็นป่า และอีก 20% จะเป็นเหมือนกับ Camp ไม่ก็ฐานทัพ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันมีความหลากหลายที่สามารถเห็นได้ในเกมนี้น้อยเกินไป, ด่านทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกมก็น้อยมากๆ , ไม่ใช้แค่นั้นโหมดที่มีให้เล่นก็มีเพียงแค่โหมดเดียวด้วย คือโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเกมนี้มีคอนเทนต์ที่มีมันน้อยเกินไป ถ้าซื้อบน PC ในราคา $17.99 มันก็ดูโอเคอยู่ แต่ถ้าซื้อบนเครื่อง PS4 เกมนี้มีราคาถึง $39.99 ซึ่งผมคิดว่ามันแพงเกินไปครับ Predator: Hunting Grounds นับเป็นเกมที่เนื้อหารุนแรงมากๆ โดยในตลอดเวลาที่เล่นจะได้เห็นการระเบิด หรือไม่ก็เลือดอยู่เกือบจะตลอดเวลาเลย โดยส่วนตัวผมยอมรับว่ามันช่วยสร้างอรรถรสในการเล่นได้ดีเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายๆ ฉากที่ผมไม่เข้าใจว่าทำมาเพื่ออะไร? เช่น เมื่อ Predator กดใช้ท่าปิดฉากกับทาง Fireteam จะเป็นการเอามือแทงเข้าไปในตัวของอีกฝ่ายแล้วกระชากกระดูกสันหลังออกมา ประเด็นอยู่ที่ว่า "แล้ว Predator มันจะสะสมกระดูกสันหลังคนไปเพื่อ?" แต่ก็นั้นแหละครับต้องยอมรับว่ามันสร้างอรรถรสได้ดีจริงๆ [caption id="attachment_52576" align="aligncenter" width="1280"] Predator กำลังใช้ท่าปิดฉากเพื่อเก็บกระดูกของผู้เล่นฝั่ง Fireteam  [/caption] ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ Predator: Hunting Grounds นั้นจะเป็นแบบ 4v1 เหมือนกับเกม Dead By Daylight โดยในเกมนี้ฝั่ง 4 คนจะถูกเรียกว่า Fireteam ส่วนฝั่ง 1 คนจะถูกเรียกว่า Predator ทางฝั่ง Fireteam จะต้องทำ Objective บางอย่างในด่านให้สำเร็จซะก่อนจึงจะสามารถหนีออกไปได้ ส่วนทางฝั่งของ Predator ก็ต้องตามสังหารฝั่ง Fireteam ทั้งหมดให้จงได้ เกมเพลย์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะแตกต่างกันอยู่พอสมควร ซึ่งผมจะขอกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ครับ เกมเพลย์ฝั่ง Fireteam นั้นเริ่มต้นด้วยการเลือก Loadout กับ Perk ให้กับตัวเอง ซึ่งในส่วนนี้ก็แล้วแต่ใครว่าถนัดปืน, อาวุธแบบไหน และการเล่นแบบไหน ถายในเกมจะมีตั้งแต่ปืนสั้น ปืนกล ปืนลูกซอง ไปจนถึงปืนยิงระเบิดให้ผู้เล่นเลือกใช้ แน่นอนว่าเกมแนวนี้ผู้เล่นสามารถตกแต่งตัวละครของตัวเองได้ด้วย ส่วนเกมเพลย์จริงๆ ของทางฝั่งนี้จะเป็นมุมมองแบบ FPS ทั้ง 4 คนต้องรวมมือกันบุกเข้าไปในฐานทัพของ Ai ที่เป็นคนเหมือนกัน เพื่อขโมยข้อมูล หรือไม่ก็ทำลายอะไรบ่างอย่างให้ได้ จากนั้นจะต้องไปที่จุดนัดพบ แล้วเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ ซึ่งตลอดช่วงที่ทำภารกิจ Fireteam จะโดนผู้เล่นฝั่ง Predator ไลล่าไปด้วยในเวลาเดียวกัน ถ้าเกิดว่าพลาดโดยโจมตีจนเลือดหมด จะยังมีเวลาอีกเล็กน้อยให้เพื่อนวิ่งมาชุบเราได้ครับ [caption id="attachment_52590" align="aligncenter" width="1280"] Fireteam ที่กำลังพยายามยิง Predator ที่กระโดดไปมา[/caption] ส่วนทางฝั่ง Predator ผู้เล่นจะสามารถเลือก Loadout และ Perk ได้เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เป็นการเล่นแบบ 4v1 และทางฝั่ง Fireteam ยังสามารถยิงตอบโต้ได้ด้วย ทำให้ Predator จะมาพร้อมกับความสามารถอื่นๆ ที่ช่วยให้การเล่นง่ายขึ้นด้วย เช่น กระโดดไกล หายตัว หรือสแกนความร้อนได้ แน่นอนว่าทางฝั่ง Predator จะมีเลือด กับความเร็วที่มากกว่าทางฝั่ง Fireteam พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น คือถ้าเกิดว่าโดนกราดยิงแบบเต็มๆ ก็ตายได้ง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้นการเล่นในฝั่งนี้จะเป็นการเล่นแบบเน้น Stealth มากกว่าครับ ด้วยความที่แมพส่วนใหญ่เป็นป่าเกือบทั้งหมด และยังมีโหมดให้เล่นเพียงแค่โหมดเดียว รูปแบบการเล่นในแต่ละเกมจึงค่อนข้างซ้ำซากมากๆ โดยความหลากหลายของเกมนี้จะมีอยู่แค่จุดเดียวคือ การหาทางรับมือกับ Perk หรืออาวุธที่อีกฝ่ายเอาติดตัวมา แต่ภาพรวมของการเล่น เอาตรงๆ มันแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ตอนที่ผมเล่นพอเวลาผ่านไปได้ 1-2 ชม. ตัวผมก็เริ่มที่จะเบื่อแล้วครับ [caption id="attachment_52591" align="aligncenter" width="1280"] ความสามารถสแกนความร้อนของ Predator[/caption] เกมนี้ใช้ระบบ Level ในการปลดล็อคอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ หรือ Perk ก็จะปลดล็อคแบบออโต้เมื่อเลเวลถึงครับ และเกมนี้ใช้ระบบ Level แบบร่วมด้วย ซึ่งมันหมายความว่า ไม่ว่าจะเล่นเป็น Predator หรือ Fireteam แล้วเลเวลอัพ จะเป็นการปลดล็อคของ หรือสกิลต่างๆ ให้กับทั้ง Fireteam และ Predator ของ ID เรา โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบระบบนี้ เพราะมันต้องมีบ้างอยู่แล้วที่เราจะเบื่อเล่นเป็นข้างใดข้างหนึ่ง ระบบนี้จึงทำให้ เราสลับไปเล่นฝั่งไหนก็ไม่ต้องเสียเวลาเก็บเลเวลใหม่นั้นเองครับ ในจุดที่ผมคิดว่าเป็นข้อเสียของเกมเลยก็คือเรื่องของบาลานซ์ครับ คือเอาตรงมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ Predator จะฆ่า Fireteam ทั้ง 4 คนได้ เพราะเพียงแค่ทางฝั่ง Fireteam สื่อสารกันตลอดเวลา และเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม Predator ก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยครับ คือจริงอยู่ที่ Predator มีความสามารถในการหายตัว แต่หายตัวเกมนี้เอาจริงๆ คือมันก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดมากๆ อยู่ดีครับ จนบางที่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า "เกมนี้จะให้ Predator หายตัวได้ไปทำไม" ในเมื่อมันมองแล้วก็รู้เลยว่าจุดนั้นมี Predator อยู่ ดังนั้นอาจเรียกได้ว่าในเรื่องของบาลานซ์เกมถือข้อเสียที่ร้ายแรงมากๆ ของเกมครับ [caption id="attachment_52592" align="aligncenter" width="1280"] สกิลหายตัวของ Predator ไม่ค่อยมีประโยชน์[/caption] ◊ สรุป ◊ เกม Predator: Hunting Grounds นั้นเป็นเกม Miltiplayer แบบ 4v1 ที่มีคอนเทนต์น้อยมากๆ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ายังเป็นเกมที่ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเท่าไหร่ ในส่วนของเกมเพลย์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ พอจะเล่นแล้วสนุกอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้เกมนี้ไปต่อได้จริงๆ ยังไงผมคิดว่าทางผู้พัฒนาควรจะต้องแก้ไขบาลานซ์ของเกม รวมไปจนถึงรีบพัฒนาส่วนของคอนเทนต์ให้มากกว่านี้ครับ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วละก็ จำนวนของผู้เล่นจะต้องลดลงอย่างแน่นอนถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมา ผมคิดว่าเกมนี้ควรจะได้คะแนนเพี่ยงแค่ 6 เต็ม 10 เท่านั้น คือถ้าเอาแค่เกมเพลย์เลยก็โอเคอยู่ครับ แต่โดยร่วมแล้วน่าเบื่อไปจริงๆ [penci_review id="52450"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
29 Apr 2020
รีวิวเกม 112 Operator "มีเหตุด่วนเหตุร้าย ให้โทรหาเรา"
112 เป็นเบอร์ฉุกเฉินที่รับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย และกระจายข้อมูลไปยังหน่วยปฏิบัติงานด้านฉุกเฉินทั้งหมด (ตำรวจ กู้ภัย ดับเพลิง) เพื่อที่จะส่งเจ้าหน้าที่ไปจัดการกับเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที วันนี้ GameFever TH จะพามารู้จักเกมที่จำลองการทำงานของหน่วยงานรับแจ้งเหตุฉุกเฉินว่าเขาทำงานกันยังไง กับเกม 112 Operator ระบบเกมและภาพรวม 112 Operator เป็นเกมแนว Simulation ที่จะจำลองการทำงานของหน่วยงานรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ตั้งแต่การรับแจ้ง จนไปถึงการส่งเจ้าหน้าที่ไปยังจุดเกิดเหตุ และเกมนี้ยังเป็นภาคต่อของเกม 911 Operator ที่มีคะแนนรีวิวแง่บวกอย่างมากใน Steam อีกด้วย (คนเขียนไม่เคยเล่น 911 Operator มาก่อน คงจะพูดถึงได้ไม่มาก) เมื่อเข้าเกมครั้งแรก ตัวเกมจะตรวจสอบพิกัดที่เราอยู่และหาเมืองที่ใกล้เราที่สุด ให้เราเล่นในโหมด Free Play ซึ่งเลือกที่จะเล่นหรือไม่ก็ได้ ในเกมนี้จะมีอยู่ 2 โหมด คือ โหมด Campaign ที่เป็นโหมดเนื้อเรื่องที่จะให้เราประจำอยู่เมืองที่มีชื่อเสียง เช่น London, Paris หรือ Rome โดยเราจะได้คุมแค่เขตเล็กๆ จนขยายไปทั่วเมือง โหมด  Free Play เป็นโหมดอิสระ ที่เราสามารถเลือกเมืองไหนก็ได้ โดยเราสามรถค้นหาชื่อเมืองที่เราต้องการ และกำหนดตั้งค่าได้ตามต้องการ เมื่อเลือกเมืองที่จะไปประจำหน่วยแล้ว ก็ต้องเลือกตำแหน่งงาน (เลือกความยากของหน้าที่รับผิดชอบ) ซึ่งจะปลดระดับสูงขึ้นได้เมื่อเคลียรภารกิจถึงตามระดับที่กำหนดไว้ จากนั้นก็เลือกพื้นที่เรารับผิดชอบ โดยจะสามารถใช้แต้มหน้าที่ (Cereer Point) ปลดพื้นที่ได้ เราสามารถกำหนดเดือน ชื่อตัวเอง และกำหนดภัยพิบัติที่จะสุ่มออกมาได้ (ทำได้แค่ในโหมด Free Play ถ้าในโหมด Campaign จะกำหนดมาให้เลย) จากนั้นก็เลือกระดับความยากของเกมก่อนจะเริ่มเล่น เมื่อเริ่มเกม จะเข้าสู่ช่วงเตรียมตัว เราสามารถจัดการเพิ่ม/ลดทีมเจ้าหน้าที่ ย้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบภารกิจ email แจ้งเตีอนต่างๆ และสภาพอากาศของวันต่อไปได้ (หรือเพิ่มเขตรับผิดชอบ(ทำได้ให้โหมด Free Play)) หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าช่วงปฏิบัติ เราจะเห็นแผนที่พื้นที่เที่เรารับผิดชอบและตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ (ตรงกลาง) สถานะของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ (ด้านซ้าย) และสถานการณ์ของเหตุฉุกเฉิน (ด้านขวา) จะมีเหตุฉุกเฉินแจ้งเข้ามาเรื่อยๆ เราจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ที่ว่างและเหมาะสมกับเหตุการณ์ ไปยังจุดเกิดเหตุให้ทันเวลา โดยจะแบ่งเป็น 3 สี คือ สีแดงจะเป็นงานของหน่วยดับเพลิง สีขาวจะเป็นงานของหน่วยพยาบาล และสีฟ้าจะเป็นงานของตำรวจ ไม่ได้มีแค่เหตุฉุกเฉินแบบปกติเท่านั้น ในบางครั้งเราจะเจอเหตุการณ์สุ่มที่เราต้องรับโทรศัพท์รับเรื่องร้องเรียนด้วยตัวเอง เราจะต้องคอยตอบคำถาม และพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อที่จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปได้ถูก แต่ก็ต้องระวังอย่าตอบช้าเกินไป เพราะไม่งั้นอาจจะสายเกินไปที่จะเข้าช่วยเหลือ นี่ยังไม่รวมพวกที่โทรเข้ามาก่อกวนเจ้าหน้าที่อีกด้วย  เมื่อจบวัน จะมีการสรุปคะแนน มีบันทึกดูย้อนเหตุฉุกเฉินได้ และคำนวนเงินที่จะได้ให้วันนี้ (หักค่าใช้จ่ายแล้ว) ซึ่งเราสามารถนำเงินไปเพิ่มเจ้าหน้าที่ได้ เพิ่มรถ หรือจ้างหน่วยงานจากเขตอื่นมาช่วยชั่วคราวได้ด้วย  มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง ในโหมด Free Play จะใช้เวลาโหลดแผนที่นานมาก เป็นทุกครั้งที่เข้าแผนที่ใหม่หรือเปิดพื้นที่ใหม่ ซึ่งใช้เวลาประมาณเกือบ 20 นาที และถ้ายิ่งเปิดพื้นที่เยอะก็ยิ่งนานเข้าไปอีก และอีกข้อก็คือ เกมมีความซ้ำซาก ถึงจะมีเหตุการณ์โทรสุ่มเข้ามา เกิดภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินที่ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีแค่นั้น พอเล่นไปสักพักก็อาจจะทำให้เริ่มเบื่อ ความรู้สึกหลังเล่น ไม่รู้เป็นกักตัวอยู่บ้านนานจัด หรือเพราะอะไร ทำให้ช่วงนี้ชอบสรรหาเกมแนว Simulation มาเล่นบ่อยมาก ซึ่งเกมนี้ก็เป็น 1 ในนั้น โดนล่อซื้อด้วยคะแนนรีวิวภาคเก่า (911 Operator) ที่เห็นว่าดีจัดๆ พอได้เล่นก็บอกได้เต็มปากว่าของเค้าดีจริง มีรายละเอียดเยอะเต็มไปหมด ทั้งหน่วยงานต่างๆ เหตุการณ์โทรสุ่ม ภัยพิบัติ เป็นอีกเกมที่เล่นได้เพลินๆ แต่เล่นนานไม่ได้ เพราะอาจจะเบื่อที่ต้องอะไรซ้ำๆซากๆ และถ้าพูดถึงสิ่งที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นฉากโหลดแผนที่ ที่จะสอนวิธีรับมือเมื่อเจอเหตุฉุกเฉิน แถมเยอะและบอกละเอียดซะด้วย สรุป 112 Operator เป็นเกมที่เล่นเพลิน แก้เบื่อได้ดี แถมยังมีรายละเอียดเยอะเต็มไปหมด แต่ถ้าใครไม่ชอบการทำอะไรซ้ำๆ เกมนี้ก็ไม่เหมาะกับท่านซะเท่าไร Link : https://store.steampowered.com/app/793460/112_Operator/ [penci_review id="52094"]
27 Apr 2020
รีวิวเกม Bio Inc. Redemption "อยู่ หรือ ตาย เมื่อชีวิตคนไข้อยู่ในมือเรา"
เนื่องจากช่วงนี้เกิดโรคระบาด COVID-19 หลายๆคนก็ต้องหยุดงาน กักตัวอยู่บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไปเสี่ยงกับการติดเชื้อ แต่ก็ยังมีอาชีพหนึ่งที่ตอนนี้ก็ยังทำงานอย่างไม่ลดละ เพื่อต่อสู้กับการระบาดในครั้งนี้ นั้นก็คือ หมอและพยาบาล วันนี้ GameFever TH จะพาไปรู้จักกับเกมที่จำลองการต่อสู้ระหว่างหมอ และโรคร้าย โดยที่มีชีวิตคนไข้เป็นเดิมพัน กับเกม “Bio Inc. Redemption”  ระบบเกมและภาพรวม Bio Inc. Redemption เป็นเกมแนว Simulation ที่จำลองการต่อสู้ระหว่างหมอ และโรคร้าย โดยที่มีชีวิตคนไข้เป็นเดิมพัน ถ้านึกภาพไม่ออกว่าเป็นเกมแนวไหน ให้นึกถึงเกม Plague Inc : Evolved ที่เปลื่ยนจากคนทั้งโลก เป็นคนไข้คนเดียวแทน (มีคนเคยรีวิว Plague Inc : Evolved แล้ว สามารถไปตามอ่านได้ที่ Link นี้) ซึ่งเราสามารถเลือกข้างได้ว่า จะเป็นฝ่ายหมอเพื่อช่วยเหลือคนไข้ หรือ ฝ่ายเชื้อโรคเพื่อสังหารคนไข้   โดยเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 4 โหมด ได้แก่ Choose Life เป็นโหมดเนื้อเรื่องของฝ่ายหมอ Choose Death เป็นโหมดเนื้อเรื่องของฝ่ายเชื้อโรค Multiplayer เป็นโหมดเล่นแข่งกับเพื่อน (Friend play) หรือคนอื่น (Rank play)  Sandbox Mode เป็นโหมดเล่นอิสระ สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ มาพูดถึงระบบการเล่นกันบ้าง โดยจะแยกอธิบายของฝ่ายหมอและเชื้อโรค เพื่อความง่ายต่อการเข้าใจ แต่ก่อนจะแยกอธิบายของแต่ละฝ่าย เราจะอธิบายสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีเหมือนกันก่อน มีหลักๆ 2 อย่าง (เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนเล่นในแต่ละรอบ) คือ ระบบเลือกความยากง่าย ตั้งชื่อคนไข้ เลือกเพศ   เลือกติดตั้งตัวช่วย (Booster) เพื่อช่วยให้เราเล่นง่ายขึ้น (ใช้แต้ม LV ให้การใช้ตัวช่วย แต่ละฝ่ายจะแตกต่างกันเล็กน้อย) ฝ่ายหมอ เป้าหมายหลักๆของฝ่ายหมอ คือ รักษาคนไข้ให้หายดี หรือ ตรวจโรคให้ครบก่อนที่คนไข้จะตาย โดยเริ่มเกมเราจะเห็นคนไข้ (ตรงกลาง) พลังชีวิตรวม, พลังชีวิตแยกแต่ละระบบ (ด้านซ้าย) รายงานความคืบหน้า, คิวการตรวจรักษา (ด้านขวา) และค่าBio point, เวลา ,การอัพเกรด (อัพเกรดได้เมื่อตรวจเจอสาเหตุโรคได้ครบตามกำหนด) (ด้านล่าง) เราสามารถใช้ Biomap ในการดูได้ว่าคนไข้มีอาการเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้ตรวจและรักษาได้ถูกจุด (ใช้ Bio point เป็นค่าใช้จ่าย สามารถเก็บได้จากตัวคนไข้ (มีให้เก็บเป็นระยะๆ)) และเราสามารถสั่งให้คนไข้เปลื่ยน Lifestyle และเพิ่มสวัสดิการ เพื่อที่จะให้ชะรออาการป่วย และรักษาง่ายขึ้น ข้อเสียเปรียบของฝ่ายหมอ คือ คนไข้มักจะมาให้เราตรวจเมื่อมีอาการสักพัก หรือไม่ก็อาการแย่มาก ทำให้เราต้องค่อยรับมือกับอาการต่างๆที่มาพร้อมๆกัน แถมบางอาการก็มีที่มาจากหลายสาเหตุ ทำให้เกิดความสับสนในการตรวจ แถมต้องจ่ายทั้งค่าตรวจและค่ารักษาอีก แต่ข้อได้เปรียบของฝ่ายหมอ ก็คือ การตรวจจะพร้อมกันทุกจุดที่ใช้การตรวจแบบเดียวกัน ข้อต่อมาถ้าร่างกายแข็งแรงพอก็รักษาตัวเองได้ และถ้ารักษาได้จะเป็นการบล็อคไม่ให้ฝ่ายเชื้อโรคเล่นงานส่วนได้อีก แถมยังมีวิธีรักษาฉุกเฉิน คือการเปลื่ยนอวัยวะด้วย ฝ่ายเชื้อโรค เป้าหมายหลักๆของฝ่ายนี้ ก็จะตรงข้ามกับฝ่ายหมอทุกอย่าง นั้นก็คือ สังหารคนไข้ให้ตาย ก่อนที่หมอจะรักษาคนไข้จนหาย โดยเริ่มเกมก็จะคล้ายๆกับฝ่ายหมอ จะเห็นคนไข้ (ตรงกลาง) พลังชีวิตรวม, พลังชีวิตแยกแต่ละระบบ (ด้านซ้าย) รายงานความคืบหน้า, คิวการตรวจรักษา (ด้านขวา) และค่าBio point, เวลา ,การอัพเกรด (อัพเกรดได้เมื่อพลังชีวิตคนไข้เหลือต่ำกว่าที่กำหนด) (ด้านล่าง) เราสามารถใช้ Biomap ในการดูได้ว่าเราสามารถเล่นงานคนไข้ได้จากจุดไหนได้บ้าง (ใช้ Bio point เป็นค่าใช้จ่าย สามารถเก็บได้จากตัวคนไข้ (มีให้เก็บเป็นระยะๆ)) และเราสามารถสั่งให้คนไข้เปลื่ยน Lifestyle และเพิ่มอุปสรรค เพื่อที่จะให้อาการป่วยรุงแรงขึ้น และรักษายากขึ้น ข้อเสียเปรียบของฝ่ายเชื้อโรค คือ ถ้าร่างกายคนไข้แข็งแรงก็ทำร้ายคนไข้ได้ช้ามาก แถมถ้าฝ่ายหมอรักษาได้สำเร็จ ในส่วนที่ถูกรักษาไปจะไม่สามารถโจมตีได้อีก แต่ข้อได้เปรียบของฝ่ายเชื้อโรค ก็คือ คนไข้จะไม่ไปหาหมอจนกว่าเราจะลงมือโจมตีส่วนใดส่วนหนึ่ง ทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวพอสมควร (แต่ถ้านานเกินไป คนไข้ก็จะไปหาหมอเองอยู่ดี) และอาการป่วยบางอย่างมีได้หลายสาเหตุ ทำให้เกิดความสับสนให้การรักษา แถมถ้าเราทำให้พลังชีวิตของส่วนนึงหมด ฝ่ายหมอก็จะรักษาส่วนนั้นไม่ได้ และเรายังสั่งให้หมอประท้วงหยุดงานได้ชั่วคราวด้วย …………………………………………………………………………………………………………………………………………. มาพูดถึงข้อเสียของเกมกันบ้าง ข้อแรกตัวเกมต้องใช้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง เพราะระบบเกมมีอะไรเยอะมาก ต้องใช้เวลาเรียนรู้และสกิลภาษาพอสมควร แต่ถ้าเคยชินแล้วก็จะเล่นง่ายขึ้น ข้อต่อมาคือ เกมมีความซ้ำซาก ถึงคนไข้แต่ละรอบจะสุ่มอาการก็ตาม แต่เป้าหมายก็มีแค่รักษา/สังหารเท่านั้น นอกจากน้ันก้แค่ทำคะแนนให้ดีขึ้นกว่ารอบที่แล้ว และสุดท้าย Multiplayer หาห้องยากมาก ทั้งที่เป็นโหมดที่สนุกมาก แต่คนเล่นด้วยก็น้อยมากเช่นกัน ความรู้สึกหลังเล่น เป็นเกมที่ดองอยู่ในคลังมานานมาก (ประมาณปีกว่าได้) พึ่งกลับมาเล่นอีกครั้ง ยังเป็นเกมที่สนุก เล่นแก้เบื่อ และท้าทายตอนเล่นแข่งกับเพื่อน แต่ก็เล่นไปสักพักก็พอรู้สาเหตุที่เอาไปดองในคลัง เพราะเกมมันเล่นแบบเดิมซ้ำๆ มันเลยดูน่าเบื่อ ถึงมีโหมดเล่นแข่งที่สนุกมาก แต่ก็แทบไม่มีใครเล่นด้วยเลย (ส่วนตัวชอบฝ่ายเชื้อโรคมากกว่า ได้เห็นคนไข้ค่อยๆตายช้าๆ 55555+) สรุป Bio Inc. Redemption เป็นเกมสนุก เล่นแก้เบื่อได้ดี แถมท้าทาย แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวเกมดูน่าเบื่อที่ต้องมาทำอะไรซ้ำๆ แถมการเล่น Multi ก็หาห้องยากเสียเหลือเกิน Link : https://store.steampowered.com/app/612470/Bio_Inc_Redemption/ [penci_review id="50778"]
17 Apr 2020
รีวิว Yu-Gi-Oh! Legacy of the Duelist: Link Evolution
เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีเกม Yu-Gi-Oh! ภาคใหม่ออกมาวางจำหน่ายมทั้งใน PC PS4 Xbox One ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่ออกมาก่อนแล้วในNintendo Switich ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจของภาคนี้คือได้มีการเพิ่ม Yu-Gi-Oh! ภาคใหม่อย่าง Vrains เข้ามาทำให้มีลูกเล่นหลายอย่างเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นอย่ารอช้า GameFever TH จะพามาดูว่ามีอะไรที่น่าสนใจและคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ เนื้อเรื่อง ในส่วนของเนื้อเรื่องของเกม หรือก็คือโหมด Campaign เมื่อเข้าไปในโหมดนี้เราสามารถเลือกเนื้อเรื่องทั้ง 6 ภาค ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับภาคแต่อย่างใด กล่าวคือ เราสามารถเล่นเนื้อเรื่องภาคใหม่ล่าสุดอย่าง Vrains ก่อนแล้วค่อยกลับไปเล่นภาคแรกก็ได้ ซึ่งตรงจุดนี้บอกเลยว่าดีมากเพราะส่วนตัวเป็นคนที่เล่นแบบไม่ชอบจบทีเดียว ชอบสลับไปเรื่อยๆแล้วจบแบบพร้อมกัน ทำให้ตอนแรกที่เล่นรู้สึกประทับใจแบบสุดๆ และเมื่อเราเลือกภาคแล้ว ต่อไปก็จะเป็นส่วนของเนื้อเรื่องว่าเราจะเล่นตรงจุดไหน ซึ่งก็จะเรียงไทม์ไลน์แบบอนิเมะทุกอย่าง และเราสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเด็คของตัวเองหรือเป็นเด็คที่กำหนดให้ ซึ่งตรงจุดนี้เกมไม่ได้บังคับ ในส่วนของเด็คที่กำหนดให้นั้น จะเป็นเด็คที่เหมือนกับในอนิเมะทำให้ได้อารมณ์เหมือนเราเป็นตัวละครตัวนั้นไม่มีผิด ซึ่งถ้าคนติดตามอนิเมะแบบผู้เขียนคงจะรู้สึกดีเพราะไม่ใช่แค่เป็นตัวเอกอย่างเดียว แบบเกมภาคเก่าๆ ทำให้สามารถใช้เด็คได้อย่างหลากหลายตามแบบตัวละครนั้นๆ ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะทำให้เจอเด็คที่ถูกใจเพิ่มด้วยก็ได้ หรือถ้าเล่นแล้วแพ้ก็ยังกลับมาใข้เด็คเราได้อีกตรงนี้ก็ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี ส่วนความยาวของเนื้อเรื่องก็แล้วแต่ภาค บางภาคก็มีตอนน้อย บางภาคก็มีตอนเยอะ ส่วนถ้าถามว่าใช้เวลาเท่าไหร่ในการจบนั้นต้องบอกว่าไม่แน่ใจนัก แต่ถ้าคร่าวก็อาจแค่ภาคละ 10 ชั่วโมงก็เกินพอยกว้นว่าจะแพ้เยอะจริงๆ กราฟิก ในส่วนกราฟิก ต้องบอกเลยว่าสวยงาม แต่ไม่สุดเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมในเรื่องนี้เลยก็คือ เรื่องของการลงมอนสเตอร์ตัวเด่นๆ ที่เมื่อลงมาแล้วจะมีอนิเมชันตอนลงที่เท่เอามากๆ ในส่วนนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก และอาจจะดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยเห็นมา อาจจะมีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่เราไม่สามารถกดข้ามอนิเมชันได้และบางทีมันก็ทำให้ดูน่ารำคาญ เพราะบางทีมอนสเตอร์ตัวนั้นก็ลงมาหลายครั้งและเราต้องดูทุกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั้นการอัญเชิญแบบพิเศษไม่ว่าจะเป็น Fusion, Synchro, xyz, Pendulum หรือการอัญเชิญแบบใหม่อย่าง Link Summon ก็ตามเมื่อเราทำการอัญเชิญ จะมีเอ็ฟเฟ็คให้เราได้ดู ซึ่งแต่ละอันก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว และทำให้เราตื่นเต้นได้ทุกครั้ง เพราะการอัญเชิญที่ต่างกันก็ได้อารมณ์ที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าภาคอื่นก็มีแต่ไม่มีภาคใดที่เอ็ฟเฟ็คตระการตาเหมือนภาคนี้ เพราะภาคอื่นเฟ็คจะมาแบบเพียงเสี้ยววิแล้วก็หาย แต่ภาคนี้ให้เราได้เห็นการอัญเชิญเต็มๆแบบอนิเมะเลยก็ว่าได้ ตรงส่วนนี้ตอนเห็นตื่นเต้นแบบสุดๆไปเลย สำหรับในส่วนอื่นอย่างตัวละคร การ์ด และ บนฟิลด์ก็ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน สวยตามแบบมาตรฐานของเกม อีกทั้งของบรรยากาศรอบฟิลด์ถ้าสังเกตุดีๆจะไม่เหมือนกัน อย่างเช่นบางครั้งเราก็จะได้สู้ในป่า บางครั้งก็จะได้สู้ในอวกาศ เป็นต้น และถ้าเล่นเนื้อเรื่องบรรยากาศรอบสนามก็จะเหมือนกับเนื้อเรื่องไม่มีผิดว่าตอนที่สู้กันตอนนี้อยู่ตรงไหน นั่นทำให้ตรงจุดนี้ก็ถือว่าถูกใจคนดูอนิเมะแบบผู้เขียนอยู่ไม่น้อย เพราะเหมือนกับผู้สร้างเขาใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยได้เป็นอย่างดี จุดนี้ต้องขอชมจากใจ   เกมเพลย์ ในส่วนเกมเพลย์ ถือว่าทำออกมาได้ดียังคงเป็นรูปแบบ โซนมอนเสเตอร์ 5 ช่อง เวท กับดัก อีก 5 ช่อง แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาเลยก็คือ ช่องโซน 2 ช่อง ซึ่งมีไว้สำหรับมอนสเตอร์ในสำรับพิเศษ (Extra Deck )เท่านั้น และแน่นอนว่าภาคนี้ได้เพิ่มภาคใหม่อย่าง Vrains เข้ามา ทำให้ได้มีการอัญเชิญแบบพิเศษแบบใหม่นั่นก็คือการอัญเชิญแบบ Link Summon โดยการอัญเชิญนี้จะเป็นการอัญเชิญโดยเราทำการส่งมอนสเตอร์ลงสุสานตามค่าลิงค์ของมอนเสเตอร์ลิงค์ตัวนั้นๆ ซึ่งมอนเสตอร์ลิงค์แต่ละคัวก็จะมีค่าลิงค์ที่แตกต่างกันอีกทั้งบางตัวก็มีกฎในการอัญเชิญก็ด้วย คล้ายๆกับxyz โดยเมื่อมอนสเตอร์ลิงค์อัญเชิญสำเร็จจะอยู่ในช่องโซนเสมอนอกจากเราจะอัญเชิญมอนสเตอร์ลิงค์อีกหนึ่งตัว ตัวที่อัญเชิญที่หลังก็จะต้องมาอยู่ในลิงค์โซนของตัวแรก ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนแรกๆอย่างงเพราะตัวผู้เขียนไม่เคยดูอนิเมะภาคนี้มาก่อนทำให้ใช้เวลาทำความเข้าใจค่อนข้างนานพอสมควร สำหรับส่วนเงินของเกมนี้เมื่อสู้ทุกครั้งไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็จะได้เงินมา โดยเงินนั้นจะสามารถแลกซื้อการ์ดในร้านค้าได้ และเมื่อเข้าไปในร้านก็จะมีภาคให้เราเลือกและ มีตัวละครของภาคนั้นๆ 4 – 5 คนมาอยู่หน้าร้าน โดยเราสามารถเลือกซื้อการ์ดตามหน้าร้านนั้นๆได้ โดยตัวละครในร้านจะปลดตามเนื้อเรื่องของเกม   หมายความว่าถ้าจะให้เข้ามาในร้านแล้วเห็นตัวละครภาคนั้นๆครบ เราจะต้องเล่นเนื้อเรื่องไปสักพักแล้วค่อยมาซื้อ ซึ่งตรงนี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ ถ้าเราอยากได้การ์ดแบบเจาะจงเราต้องไปหาข้อมูลว่าการ์ดใบที่เราอยากได้นั้น อยู่ในร้านไหนแล้วไปซื้อร้านนั้นไปเรื่อยๆ เกมไม่ได้บอกทำให้ตอนแรกที่เล่นรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก   อีกโหมดหนึ่งในการซื้อการ์ดนั่นคือ Battle Pack โดยโหมดนี้ เราจะสามารถซื้อการ์ดได้ตามแพ็คที่เกมมีให้ และเมื่อเราซื้อแล้ว เกมจะให้เราสู้จนชนะเราก็จะได้เด็คนั้นไปครอบครอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ทำให้หัวร้อนเป็นอย่างมากเพราะการ์ดแพง และถ้าเราแพ้เราก็มีสิทธิ์ไม่ได้อีก แต่ข้อดีก็คือชุดนี้จะมีแต่การ์ดดีๆและหายากรวมกันไว้นั่นเอง   สรุป Yu-Gi-Oh! เกมนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากเกมภาคเก่าๆที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นโซนมอนสเตอร์ที่เพิ่มขึ้น การอัญเชิญแบบใหม่ แต่ก็ยังคงรูปแบบการเล่นไว้อย่างดีเยี่ยมอาจจะมีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อยอย่างเช่นการอัญเชิญ Pendulum ที่เมื่อก่อนเราสามารถอัญเชิญการ์ดที่ตรงตามเงื่อนไขได้ทุกใบจากบนมือและสำหรับพิเศษ แต่มาภาคนี้สามารถอัญเชิญได้แค่อย่างละ 1 ใบเท่านั้น ซึ่งในจุดนี้ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรมาก ส่วนอนิเมชันการอัญเชิญก็ทำออกมาได้อย่างดีไร้ที่ติใดๆ แต่สิ่งที่คิดว่าเป็นจุดบกพร่องที่สุดคือ การซื้อการ์ดที่ต้องหาข้อมูลการ์ดมาจากที่อื่น ไม่มีบอกในเกมว่าจะต้องซื้อกับคนไหน และโหมด Battle Pack ที่ทำให้ต้องชนะมาถึงจะได้ ซึ่งถือว่าเป็นความยุ่งยากและน่าปวดหัวเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าถ้าให้เทียบกับภาคที่ผ่านๆมาต้องบอกว่าเรื่องกราฟิกภาคนี้กินขาด ถึงแม้ว่าจะเคยมีภาคที่ตอนลงแล้วมีอนิเมชั่นแบบ Tag Force แบบ PSP แต่ตอนน้้นยังรู้สึกไม่ดีเท่าอันนี้ อีกทั้งเนื้อเรื่องที่เราสามารถเลือกเองได้ก็เท่าให้มีอิสระในการเล่นเป็นอย่างมาก อาจเรียกได้ว่าเกมนี้เกือบดีหมดติดอยู่แค่ร้านค้าที่ยุ่งยากเกินไปเท่านั้นเอง Steam https://store.steampowered.com/app/1150640/YuGiOh_Legacy_of_the_Duelist__Link_Evolution/ [penci_review id="50758"]
15 Apr 2020
รีวิว Asus Rog Zephyrus G GA502DU โน๊ตบุ๊คแรง ในราคา 35,900 บาท
การจะมีคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คดีๆ สักตัวไว้ใช้ทำงาน หรือเล่นเกมในช่วงที่ใครหลายคนโดนกักตัวอยู่บ้านแบบนี้ ดูเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งนับเป็นโชคดีของพวกเรา GameFever Th ที่ทาง AMD ได้ส่ง Asus Rog Zephyrus G GA502DU มาให้เราได้ลองใช้งานเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ก็ต้องขอขอบคุณทาง AMD ด้วยครับ วันนี้ก็เลยจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ดูกันว่าเจ้าโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีราคาเพียงแค่ 35,900 บาท ตัวนี้มีดียังไงบ้าง บอกเลยว่าเหนือความคาดหมายแน่นอนครับ สเปคของ Asus Rog Zephyrus G GA502DU โดยเจ้าโน็คบุคเกมมิ่งตัวนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า Asus ROG Zephyrus G GA502DU-AZ051T ซึ่งมาพร้อมกับ CPU AMD Ryzen 7 3750H กับการ์ดจอ GeForce GTX1660Ti Max-Q Design 6GB GDDR6 และ Ram DDR4 ถึง 16 GB แถมยังมาพร้อมกับจอที่มีค่า Refresh Rate สูงถึง 240Hz ซึ่งนับว่าค่อนข้างที่จะแรงทีเดียวในปัจจุบัน  เพื่อให้เห็นภาพตรงกัน ผมจะขอทำการแปะสเปคเต็มๆ ของเครื่องไว้ข้างล่างนี้ครับ CPU: AMD Ryzen 7 3750H GPU: NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti Max-Q (6GB GDDR6) Size: 15.6 inch (1920x1080) Full HD Panel Type: IPS Anti Glare – จอด้าน Refresh Rate: 240 Hz Ram: 16 GB DDR4 Storage: 512 GB SSD PCIe M.2 Weight: 2.10 kg OS: Window 10 Home ซึ่งเจ้าโน๊ตบุ๊คตัวนี้มีอยู่ 2 จุดที่ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจมากๆ โดยจุดแรกก็คือในเรื่องของความบางของเครื่องที่มีขนาดเพียงแค่ 20.4 มิลลิเมตร (ประมาณความสูงของเหรียญ 5 บาท) กับน้ำหนักเพียงแค่ 2.10 Kg เท่านั้นครับ เรียกได้ว่าน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายที่ชอบพกโน๊ตบุ๊คติดตัวไปด้วยตลอดเวลาอย่างแน่นอนครับ ส่วนอีกจุดหนึ่งก็คือ จอของตัวโน๊ตบุ๊คที่มีค่า Refresh Rate สูงถึง 240 Hz ทั้งยังเป็นจอแบบ IPS ที่สามารถให้สีได้สวยที่สุดอีกด้วย เพราะปกติจอ IPS ทั่วไปที่มีค่า Refresh Rate ถึง 240 Hz จะมีราคาที่แพงมาก จึงไม่คิดว่าในโน๊ตบุ๊คราคาเพียงแค่ 35,900 จะได้จอแบบนี้มาด้วยครับ ถ้าจะมีจุดที่เป็นข้อเสียของตัวเครื่องเลย คงจะเป็นในเรื่องของพัดลมเครื่องที่จะมีเสียงค่อนข้างดังเมื่อทำงานเต็มที่ แต่ไม่ถึงขนาดดังจนสร้างความรำคาญถ้าหากว่าใส่หูฟังในการเล่นเกมครับ และจริงๆ เสียงของพัดลมที่ดังมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คทำงานอย่างเต็มที่ ผมเลยรู้สึกว่าในจุดนี้ไม่ถึงกับเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงอะไรครับ อีกจุดที่เป็นข้อเสีย ก็คือในเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาแค่ 512 GB เท่านั้นครับ ดังนั้นถ้าเกิดว่าจะนำเจ้าเครื่องนี้ไปใช้งานเป็นเครื่องหลักแล้วละก็ อาจจะต้องมีการเพิ่มหน่วยความจำให้กับเครื่องนิดหน่อยครับ แต่นอกนั้นก็ถือได้ว่าเจ้า Zephyrus G GA502DU นี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่ดีมากๆ ครับ ความสามารถของเครื่องเมื่อเล่นเกม แน่นอนว่าในเมื่อเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งสิ่งที่เราจะเอามาใช้งานหลักๆ ก็คงจะเป็นการนำไปเล่นเกมเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งตัวผมก็ได้ทดลองนำเจ้า Asus ROG Zephyrus G GA502DU ไปทดลองเล่นเกมมา 3 เกมด้วยกัน นั้นก็คือ Battlefield V, Far Cry 5 และ Assassins Creed Odyssey โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างน่าพอใจครับ โดยเกมแรก Battlefield V ผมได้ทำการตั้งค่ากราฟฟิกของเอาไว้ที่ Ultra ทั้งหมด น่าเสียดายที่เกมนี้ไม่ได้มีตัว Benchmark มาให้ด้วยผมเลยต้องเข้าไปเล่นในเกมเอง แล้วสังเกตซ้ายบนของหน้าจอเองว่า โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้สามารถเล่นเกมนี้ได้ในค่า FPS เท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจครับ ตัวเกมรันอยู่ที่ 45-75 FPS และมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 FPS  ทำให้ตอนเล่นภาพลื่นมากๆ แทบจะไม่มีอาการกระตุกเลยครับ ต่อมาด้วยเกมที่สอง Far Cry 5 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีกราฟิกสวยมากๆ โดยเกมนี้ตัวเกมแนะนำการตั้งค่ากราฟิกมาให้อยู่ที่ High ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับการตั้งค่าเลย แล้วกด Benchmark ไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ก็ยังดีอยู่เหมือนเดิม ตัวเกมรันอยู่ที่ 46 - 82 FPS และมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ 68 FPS ครับ ปิดท้ายด้วย Assassins Creed Odyssey โดยคราวนี้ผมได้ทำการดันคุณภาพกราฟิก ขึ้นอีก 1 ระดับจากที่ตัวเกมแนะนำมาให้ แล้วเริ่มกด Benchmark ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ก็ยีงถือว่าเป็นที่น่าพอใจในเกมที่ไม่ได้ต้องการความลื่นไหลมากมายอะไรอย่างเกมนี้ ตัวเกมรันอยู่ที่ 21 - 66 FPS และมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ 42 FPS ครับ สรุป Asus ROG Zephyrus G GA502DU-AZ051T ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีราคาดีมากๆ เมื่อเทียบกับสมรรถนะของ Hardware ที่ได้มา ส่วนในเรื่องของความร้อนนั้น ผมสามารถเล่นเกมหนักๆ ในห้องพัดลมตั้งแต่ช่วงเวลา 13.00 - 16.00 ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นถ้าหากว่าปกติเล่นในห้องแอร์อยู่แล้ว หมดห่วงเรื่อง Overheat ไปได้เลยครับ โดยภาพรวมทั้งหมดแล้วถึงแม้ว่า Zephyrus G GA502DU จะไม่ใช้โน๊ตบุ๊คเกมมิ่ง High End ที่ถึงจะปรับกราฟิกของเกมเป็น Max ทุกอย่าง แล้วก็ยังสามารถดันค่า FPS ขึ้นไปได้สูงถึงหลักร้อยได้ แต่ Zephyrus G GA502DU ก็ยังถือเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีสมรรถนะที่ดี และมีราคาไม่แพงเกินไปครับ ถ้าหากว่าใครกำลังหาโน๊ตบุ๊คสำหรับเล่นเกมในราคาไม่แพงเกินไป ผู้เขียนค่อนข้างเชียร์ตัวนี้เลยครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
10 Apr 2020
รีวิว Final Fantasy VII Remake จุดเริ่มต้นใหม่ของตำนานบทเก่า
สำหรับเกมเมอร์ที่เติบโตมาในยุค 90 สมัยที่เครื่อง PS1 กำลังเฟื่องฟู เชื่อว่าคงเคยได้เห็นหรือได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเกม Final Fantasy VII มาไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะจากเนื้อเรื่องและตัวละครอันเป็นที่รักยิ่งของแฟนๆ มาตลอดระยะเวลาเกือบ 25 ปีนับตั้งแต่ที่เกมวางจำหน่ายในปี 1997 หรือจากอิทธิพลอันใหญ่หลวงมากมายที่เกมมีต่อทั้งแนวเกม RPG และวงการเกมในภาพกว้าง ในฐานะเกมแรกๆ ที่เปลี่ยนจากการใช้ภาพ 2D มาเป็นโมเดลโพลิก้อนแบบ 3D ในยุคนั้น และเป็นเกมแรกที่ใช้สไตล์การออกแบบศิลป์ที่ผสมผสานความเป็นแฟนตาซีและไซไฟเข้าด้วยกัน อันกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเกม Final Fantasy แทบทุกภาคตั้งแต่นั้นมา จึงไม่น่าแปลกใจที่วงการเกมโดยรวมจะยกย่องเกมในฐานะ "ตำนาน" ที่ยังคงมีคนติดตามอย่างเหนียวแน่นตลอดมา ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไป ทำให้การมาถึงของเกม Final Fantasy VII Remake เปรียบเสมือนฝันที่เป็นจริงของเกมเมอร์หลายๆ คนทั่วโลก ที่ถวิลหาโอกาสที่จะกลับไปผจญภัยในดินแดน Midgar อีกครั้ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยกระดับขึ้นมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นของเกมยุคปัจจุบัน และร่วมเดินทางกับเหล่าตัวละครผองเพื่อนที่ไม่ได้พบเจอกันมากว่า 20 ปี ในฝั่งของผู้เขียนเอง แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรนักจากเกมนี้ แต่ก็สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเกม Final Fantasy VII Remake ถือเป็น JRPG ที่ยอดเยี่ยมเกมหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยเกมเพลย์สไตล์แอคชั่นที่ดุเดือด ท้าทาย และแพรวพราว กับกราฟฟิคและการออกแบบโลกของเกม ที่ทำออกมาได้น่าสนใจและน่าค้นหา รวมไปถึงตัวละครหลักทุกตัว ที่ล้วนมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดที่ดูจะได้รับอนิสงค์จากกราฟฟิคที่พัฒนาขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็คงปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Final Fantasy VII Remake คงไม่ใช่เกมที่หลายๆ คนคาดหวังเอาไว้เช่นกัน ด้วยรูปแบบของเกมที่ดำเนินไปค่อนข้างเป็นเส้นตรง ไม่ค่อยเปิดโอกาสใหผู้เล่นได้สำรวจเมือง Midgar เท่าไหร่นัก แถมนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมมีอะไรให้ทำน้อยมากเมื่อเทียบกับเกม RPG ฟอร์มใหญ่ๆ ที่วางจำหน่ายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเมื่อเล่นจบแล้ว แทบจะไม่เหลือเหตุผลให้กลับไปเล่นต่อเลย ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับแฟนๆ ตัวยงของเกม แต่สำหรับผู้เล่นใหม่ หรือผู้ที่คาดหวังจะได้รับประสบการณ์เกม RPG แบบเน้นๆ อาจจะต้องปรับความคาดหวังกันซักเล็กน้อย ◊ เนื้อเรื่อง ◊ สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยติดตามเนื้อเรื่องของเกม FF7 มาก่อนจริงๆ เนื้อเรื่องของเกม Remake จะดัดแปลงมาจากช่วงแรกสุดของเกมภาคต้นฉบับ โดยจะติดตามตัวละครเอก Cloud Strife อดีตสมาชิกหน่วยทหารพิเศษ SOLDIER และผองเพื่อนในกลุ่ม Avalanche ในการต่อกรกับองค์กรพลังงาน Shinra ผู้ซึ่งผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยการดูดเอา Mako หรือพลังชีวิตของโลกมาใช้ คนที่เคยเล่นเกม FF7 ต้นฉบับมาก่อน น่าจะรู้ดีว่าเนื้อเรื่องที่แท้จริงของเกมมันยิ่งใหญ่กว่าแค่การต่อกรกับองค์กรชั่วร้ายอย่าง Shinra มาก แต่สำหรับเกม Final Fantasy VII Remake ผู้เขียนพบว่าเนื้อเรื่องส่วนที่ชอบมากที่สุด กลับเป็นช่วงเวลาเล็กๆ ที่เน้นการพัฒนาตัวละคร เช่นฉากที่ Tifa พยายามช่วย Cloud หาห้องพัก หรือฉากการสนทนาระหว่าง Cloud และ Aerith ระหว่างเดินทางหลบหนีทหาร Shinra มากกว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกราฟฟิคที่พัฒนาขึ้น บวกกับการพากย์เสียงที่ยอดเยี่ยมของเกมด้วย ทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตชีวา ทั้งในด้านอากัปกิริยาและเสียงพากย์ ที่ช่วยสื่อตัวตนที่แตกต่างกันของตัวละครแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในฉากเงียบๆ ที่เกมมีเวลาให้ใกล้ชิดตัวละครมากกว่า หรือฉากที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของชาวเมือง Midgar ที่ช่วยเสริมบรรยากาศและความรู้สึกกว้างขวางของนคร Midgar ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าเกมเองจะไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจเมือง Midgar มากเท่าไหร่ อาจจะด้วยความที่เกมจำเป็นต้องยึดอยู่กับโครงเรื่องเดิมของต้นฉบับ แต่เกม FF7R เป็นเกมที่มีความเป็นเส้นตรงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ RPG ใหญ่ๆ หลายเกมในปัจจุบัน ผู้เล่นจะไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างเขตต่างๆ ของเมือง Midgar ได้ หรือกระทั่งการกลับไปยังพื้นที่เก่าที่เคยผ่านมาแล้ว ก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน เพราะพื้นที่ที่ผู้เล่นจะสำรวจได้จะขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องของเกมเท่านั้น (เช่น Chapter 3 จะอยู่ในเขตหนึ่ง แต่พอไป Chapter 4 แล้วก็กลับไปไม่ได้อีก) หมายความว่าถ้าพลาดความลับหรือเควสย่อยไป จะต้องเล่นต่อไปจนจบเกมก่อนเพื่อปลดล๊อคระบบ Chapter Select จึงจะกลับไปเล่นต่อได้ และถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราจะมีอิสระ เพราะเมื่อเริ่มเล่น Chapter หนึ่งแล้ว จะต้องเล่นต่อจนจบ Chapter เกมจึงจะถือว่าเราเล่นเนื้อหาเหล่านั้นผ่านแล้วจริงๆ นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมยังมีเควสย่อยให้ทำอยู่ประปรายตามทางด้วย โดยต้องบอกตามตรงว่าเควสย่อยของเกม FF7R ยังทำออกมาได้ไม่ดีนัก แม้ว่าเนื้อเรื่องในเควสย่อยหลายเรื่องจะเปิดโอกาสให้พัฒนาตัวละคร และบางเควสถึงกับส่งผลต่อเหตุการณ์เล็กๆ ในเนื้อเรื่องหลักด้วย แต่ภารกิจที่เราต้องทำส่วนใหญ่จะเน้นการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ฆ่ามอนส์เตอร์ แล้วกลับมาส่งเควส การทำเควสเสริมส่วนใหญ่จึงไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ มีเพียงบางเควสจริงๆ ที่ทำแล้วได้ของรางวัลที่คุ้มค่า แต่เควสในเกมก็ไม่ได้มีเยอะแยะมาก (ราวๆ 20 กว่าเควส) การจะทำทั้งหมดจึงไม่ได้ใช้เวลามากมายเช่นกัน เหมือนเป็นของแถมให้ผู้เล่นได้มีเหตุผลในการใช้เวลากับเกมและโลกของเกมมากขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม FF7R ไม่ดี หรือเป็นปัญหาสำหรับการเล่นเกม แต่เรียกว่ามันรู้สึก "ธรรมดาๆ" มากกว่า คนที่คาดหวังว่าเกมจะมีความอิสระหรือเปิดกว้างเหมือนเกม RPG หลา่ยๆ เกมในตลาดอาจจะผิดหวังกันได้ และอาจจะด้วยความที่รู้อยู่แล้วด้วยว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดของเกมเป็นเพียงส่วนที่เล็กมากๆ เมื่อนำไปเทียบกับเนื้อเรื่องดั้งเดิมของต้นฉบับ มันเลยอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหตุการณ์หลายอย่างที่เห็นอยู่นี้ ไม่ได้มีความหมายขนาดนั้นในภาพใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อไปถึงช่วงท้ายเกม ที่ผู้พัฒนาเริ่มจะแย้มๆ ถึงศัตรูที่แท้จริงของเนื้อเรื่อง และทิศทางในอนาคตของซีรี่ส์ FF7R ต่อไป ซึ่งบอกได้สั้นๆ แบบไม่สปอยว่า "เหนือทุกความคาดหมาย" ของทุกคนแน่นอน ◊ เกมเพลย์ ◊ อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไปไม่ได้คือเรื่องระบบต่อสู้ ที่เปลี่ยนจากระบบแบบ Turn-based เหมือนภาคดั้งเดิม มาสู้ระบบที่เน้นแอคชั่นแบบ Real-time ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นดั้งเดิมหลายคนกังวลใจอยู่มากที่สุดเกี่ยวกับเกมภาคใหม่ แต่ถ้าวัดด้วยตัวของมันเอง (คือไม่เอาระบบดั้งเดิมเป็นมาตรวัด) ระบบต่อสู้ของ FF7R ถือว่าทำออกมาได้สนุกมาก และสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเล่นเกมแอคชั่นเต็มตัว และการต่อสู้ผ่านเมนูของเกม RPG คลาสสิคได้อย่างกลมกล่อม ในการต่อสู้นั้น ผู้เล่นจะต้องใช้การโจมตีธรรมดาไปพลาง ระหว่างรอให้เกจ ATB ของตัวละครเพิ่มจนเต็ม จึงจะสามารถใช้ความสามารถพิเศษหรือเวทย์มนตร์ของตัวละครนั้นๆ ได้ การสร้างหรือรับความเสียหายจะช่วยให้เกจ ATB เพิ่มเร็วขึ้นด้วย ผู้เล่นจะสามารถกดปุ่มเพื่อชะลอการเคลื่อนที่ทั้งหมด และเรียกเมนูคำสั่งขึ้นมาเพื่อเลือกใช้สกิล ผู้เขียนยอมรับว่าในช่วงชั่วโมงแรกๆ ของเกม ผู้เขียนรู้สึกติดขัดกับระบบนี้พอสมควร เพราะรู้สึกเหมือนโดนขัดจังหวะตอนบู๊ จึงพยายามใช้ปุ่มลัดในการกดสกิลเป็นหลัก แต่เมื่อเล่นไปซักพัก เริ่มทำความรู้จักระบบ Stagger ของเกม (คล้ายกับระบบใน FF13/15 ที่เมื่อโจมตีจุดอ่อนศัตรูไปเรื่อยๆ จะทำให้ศัตรูล้มลง และโดนความเสียหายมากขึ้นชั่วขณะ) และเจอศัตรูหลากหลายชนิด ที่ล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อนและเงื่อนไขในการ Stagger ไม่เหมือนกัน เช่นศัตรูตัวหนึ่ง จะต้องโจมตีสวนในจังหวะที่มันกำลังจะโจมตีเท่านั้น จึงจะทำให้ติด Stagger ได้ หรืออีกตัวที่ต้องใช้เวทย์มนตร์เท่านั้นเป็นต้น หรือกระทั่งศัตรูระดับบอส ที่มักจะมีชิ้นส่วนให้เราโจมตีได้หลายชิ้นเพื่อจำกัดการโจมตี ทำให้ผู้เขียนจำเป็นต้องปรับตัวและวางแผนมากขึ้น จนทำให้รู้สึกชอบระบบนี้ขึ้นมาในที่สุด เพราะระบบเปิดโอกาสให้ผู้เขียนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์และวางแผนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสำคัญมากในช่วงท้ายๆ ที่เกมเริ่มมีศัตรูหลายชนิดให้เราต้องรับมือพร้อมกัน แม้เกมจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นแอคชั่นมากขึ้น แต่รับประกันได้ว่าการใช้ความคิดและการวางแผนแบบ RPG ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมแน่นอน ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการควบคุมตัวละครเพื่อนร่วมปาร์ตี้ เพราะผู้เล่นจะสามารถควบคุมตัวละครโดยตรงได้แค่ทีละตัว ในขณะที่ตัวละครตัวอื่นๆ มักจะเดินไปเดินมา หรือยืนป้องกันเฉยๆ เพราะ A.I. ของเพื่อนร่วมปาร์ตี้ก็ไม่ได้ดีนัก การหยุดเวลาจึงทำให้เราสามารถสั่งการเพื่อนร่วมปาร์ตี้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในเวลาที่จำเป็น เช่นการสั่งให้ใช้เวทย์ป้องกัน หรือใช้สกิลใส่ศัตรูที่ Stagger อยู่เป็นต้น นอกเหนือไปจากการหยุดเวลาเพื่อออกคำสั่ง เกมยังเปิดให้ผู้เล่นสลับไปควบคุมตัวละครอื่นๆ ในปาร์ตี้ได้อย่างอิสระอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้เขียนชอบมากๆ เพราะแต่ละตัวจะมีวิธีการเล่นที่แตกต่างกันไปหมด เช่น Tifa จะเน้นการโจมตีเป็นคอมโบที่รวดเร็ว และมีการเคลื่อนที่ที่ว่องไวคล่องตัวเป็นพิเศษ ในขณะที่ Barret จะเน้นการโจมตีระยะไกลด้วยแขนปืน แต่จะเคลื่อนไหวช้า และกลิ้งหลบได้ระยะสั้นกว่าคนอื่น ซึ่งรายละเอียดที่ต่างกันเล็กน้อยเหล่านี้ล้วนช่วยเพิ่มมิติในการเล่นเกมขึ้นไปอีกขั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา เพราะ A.I. ของเพื่อนร่วมปาร์ตี้บางครั้งก็ไม่ฉลาดเอาซะเลย อย่างในการสู้กับบอสครั้งหนึ่ง ที่ตัวละคร Barret ของผู้เขียนดึงดันจะวิ่งไปยืนสาดกระสุนอยู่หน้าบอสให้ได้ แทนที่จะยืนยิงห่างๆ ในที่ปลอดภัย จนผู้เขียนรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ต้องควบคุมตัวเขาตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เขาวิ่งเข้าไปตายอย่างไร้ค่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากการต่อสู้ เกมมีระบบเกมเพลย์อันเป็นแก่นอยู่อีกอย่าง ก็คือการพัฒนาความสามารถของตัวละคร ซึ่งมีหลักๆ อยู่สองอย่าง นั่นก็คือระบบการอัพเกรดอาวุธ และระบบ Materia อันเป็นเอกลักษณ์ของ Final Fantasy VII ภาคดั้งเดิมนั่นเอง ระบบอาวุธของเกม FF7R จะค่อนข้างแตกต่างจากอาวุธในเกม RPG ส่วนใหญ่ แต่จะมีความใกล้เคียงกับระบบ Job Class มากกว่า โดยตัวละครแต่ละตัวจะได้รับอาวุธตัวละครประมาณ 4-6 ชนิด (เท่าที่ผู้เขียนหาได้) อาวุธแต่ละชนิดจะสามารถใช้แต้ม SP เพื่ออัพเกรดความสามารถไปได้เรื่อยๆ จนจบเกม ซึ่งแต่ละชิ้นมักจะอัพเกรดไปในทิศทางที่กำหนดแนวทางการเล่นของตัวละครนั้นๆ ไปเลย เช่นอาวุธชิ้นหนึ่งอาจจะสามารถเพิ่มพลังโจมตีกายภาพได้เยอะ ในขณะที่อาวุธอีกชิ้นหนึ่งจะเพิ่มพลังเวทย์และความเสียหายธาตุต่างๆ เป็นต้น แต่ละตัวละครจะได้รับอาวุธที่กำหนดแนวทางเหล่านี้เหมือนกัน (ทุกตัวจะมีอาวุธที่เน้นเวทย์ เน้นป้องกัน เน้นโจมตี เหมือนกัน) แม้ตัวละครแต่ละตัวอาจจะมีแนวทางที่เข้ากับความสามารถเฉพาะตัวมากกว่า เช่น Aerith ที่ไม่ว่ายังไงก็จะต้องเป็นตัวละครสายเวทย์มนตร์ หรือ Barret ที่มีความสามารถพิเศษที่เหมาะกับการใช้แทงค์ (แต่เอ็งใช้ปืนนะ?!) แต่ระบบก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถทดลองกับการจัดปาร์ตี้เพื่อให้เข้ากับความชอบหรือสถานการณ์ได้พอสมควร ระบบการอัพเกรดอาวุธก็จะทำงานควบคู่ไปกับระบบ Materia ที่เปรียบเสมือนสกิลที่เราสามารถสวมใส่ให้ตัวละคร โดย Materia ทุกชนิดในเกมสามารถใส่ให้กับตัวละครทุกตัว จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการกำหนดหน้าที่ของตัวละครแต่ละตัว เช่นตัวหนึ่งอาจจะมี Materia เวทย์หลายธาตุ ในขณะที่อีกตัวมี Materia ที่เพิ่ม Max HP เยอะๆ เอาไว้แทงค์ ซึ่งทั้งหมดนี้เองคือสิ่งที่เสริมมิติควมเป็น RPG ให้กับเกม เอาไว้ถ่วงดุลความแอคชั่นของการต่อสู้ สำหรับการเล่นในโหมด Classic ซึ่งจะทำให้เกมควบคุมส่วนแอคชั่นของเกมโดยอัตโนมัติ และให้ผู้เล่นควบคุมเพียงการกดเมนูเพื่อใช้สกิลเมื่อเกจ ATB เต็ม ผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เกม "ง่าย" ไปซะหน่อย ส่วนหนึ่งเพราะเกมจะปรับระดับความยากให้เทียบเท่ากับระดับ Easy โดยอัตโนมัติเมื่อเราเลือกเล่นในโหมดนี้ ทำให้ความรู้สึกดุเดือดเลือดพล่านของเกมหดหายไปอย่างมาก เพราะเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการป้องกันหรือหลบหลีกการโจมตีอีกต่อไป นอกจากการต่อสู้และพัฒนาตัวละคร เกมยังมี Minigame ต่างๆ ให้เล่นกัน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเกมคลาสสิคจากภาคเก่าด้วย เช่นการขี่มอเตอร์ไซค์ หรือการเต้นใน Honeybee Bee Inn ซึ่งก็เป็นกิจกรรมสนุกๆ เล็กน้อยให้ผู้เล่นได้ทำเพื่อเพิ่มมิติให้กับเกมเพลย์ จะได้ไม่ซ้ำซากเกินไป แฟนๆ ของเกมภาคดั้งเดิมอาจจะรู้สึกตื่นเต้นกับมินิเกมฉบับปรับปรุงใหม่เหล่านี้เป็นพิเศษ ถ้าจะพูดถึงจุดอ่อนของเกมเพลย์ คงเป็นเรื่องที่เกมไม่ค่อยมีความลับหรือเนื้อหาแบบ Endgame ให้ทำหลังเล่นจบเนื้อเรื่องเลย โดยนอกจากระบบ Chapter Select ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ การเล่นจบเนื้อเรื่องจะปลดล๊อคระดับความยาก Hard ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถตามหา Summon Materia เพื่อเรียกสัตว์อสูรที่หาได้เฉพาะในระดับ Hard เท่านั้น แต่ในเมื่อผู้เล่นเล่นเนื้อเรื่องจบแล้ว และเกมก็ไม่ได้มีบอสหรือดันเจี้ยนลับให้พิชิตหลังจบเกม ของรางวัลต่างๆ ที่ปลดล๊อคในระดับ Hard จึงรู้สึกไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่สำหรับผู้เขียน นอกจากเป็นของเอาใจแฟนเกม ด้วยการอวด Summon เท่ๆ มากกว่า ◊ กราฟฟิค/การนำเสนอ ◊ แม้ว่าเกม FF7R จะไม่ได้เปิดให้ผู้เล่นสำรวจมหานคร Midgar อย่างลึกซึ้งเท่าที่ผู้เขียนคาดหวังไว้ แต่ต้องกล่าวชมจริงๆ ว่าพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ในเกมนั้นทำออกมาได้ละเอียดละเมียดละไมเป็นอย่างยิ่ง แต่ละพื้นที่ของเกมมีกลิ่นไอที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่สื่อถึงความเป็นอยู่และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันของชาวเมือง Midgar เขตต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความซอมซ่อแต่มีชีวิตชีวาของสลัมเขต 7 (Sector 7 Slums) ไปจนถึงแสงสีที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของ Wallmarket เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ช่วงเวลาเล็กๆ ที่เกมใช้ในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่ผู้เล่นจะได้เห็นการปฏิสัมพันธ์น่ารักๆ ระหว่างตัวละคร น่าจดจำกว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ของเนื้อเรื่อง ที่มักจะเกิดขึ้นในโรงงานหรือดันเจี้ยนมืดๆ แคบๆ นอกจากนี้ เกมมีปัญหาเรื่องกราฟฟิคพื้นผิว ที่โหลดตามเกมไม่ทันบ้างบางครั้ง (เช่นเวลาหันกล้องเร็วๆ) แต่ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไร และแทบดูไม่ออกเลยในดันเจี้ยน อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้กับเกมได้เป็นอย่างดี คือเรื่องเสียงพากย์และสีหน้าท่าทางของตัวละคร ซึ่งถือว่าท๊อปฟอร์มเลยสำหรับเกมของ Square Enix ในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการขยับปากของตัวละคร ที่ดูแปลกๆ ไม่ตรงคำพูดอยู่บ่อยครั้ง หรือท่าทีกิริยาของตัวละครบางตัว ที่มีความเป็นอนิเมะสูงมาก จนบางทีก็ทำให้อารมณ์หลุดจากเกมเหมือนกัน (ไม่รู้ว่าถ้าเล่นเสียงญี่ปุ่นจะมีปัญหาพวกนี้ไหม) แต่โดยรวมๆ แล้วตัวละครทุกตัวของเกม FF7R ก็ถือเป็นสีสันหลักของเกมอย่างแน่นอน ในเรื่องของเพลงประกอบ ต้องบอกว่าเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดี แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนจะแอบชอบเพลงแบบต้นฉบับมากกว่า แต่เพลงเวอร์ชั่นรีมิกซ์ต่างๆ ของภาคใหม่ก็ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมได้ดี แม้ว่าจะมีปัญหาเล็กน้อยที่ความดัง เพราะในหลายฉากผู้เขียนรู้สึกว่าเกมเร่งเสียงเพลงขึ้นมาดังมาก จนแทบจะฟังเสียงพูดของตัวละครไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ นอกจากนี้ เกมยังมีบั๊คในระบบการคำนวนตำแหน่งเสียง ที่ทำให้เสียงพูดของตัวละครบางครั้งฟังดูแผ่วๆ เหมือนพูดมาจากระยะไกล ทั้งที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน หรือบางทีก็ตัดเข้าออกระหว่างระยะใกล้-ไกลกลางประโยคเลยก็มี ซึ่งจุดนี้ทำให้ฟังบทสนทนาไม่ออกบ่อยๆ (ยังดีอ่านซับได้) และทำให้อรรถรสของเกมเสียไปเล็กน้อยเวลาที่เกิดขึ้น ◊ สรุป ◊ แม้จะไม่ใช่เกมที่หลายคนคาดหวังจะได้เห็น แต่ในฐานะคนที่ไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งกับเกมต้นฉบับ ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากว่า FF7R เป็นเกม JRPG ที่สนุกเกมหนึ่ง ด้วยระบบการต่อสู้และพัฒนาตัวละครที่น่าสนใจ รวมไปถึงเหล่าตัวละครเอก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ เหมือนเป็นการตอกย้ำตัวเองว่าทำไมเกม Final Fantasy VII จึงเป็นที่รักของเกมเมอร์ได้ขนาดนี้ ถึงเกมจะมีข้อบกพร่องพอสมควรในหลายๆ ด้าน ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นเหตุมาจากการที่เกมไม่สามารถฉีกไปจากเนื้อเรื่องเดิมได้ก็ตาม สิ่งที่ไม่ได้พูดถึงมากนักในรีวิวนี้คือช่วงตอนจบของเกม ที่ไม่อยากสปอยมาก เพราะเชื่อว่าน่าจะเหนือความคาดหมายของทุกคน และทำให้อนาคตของซีรี่ส์ Final Fantasy VII Remake น่าตื่นเต้นขึ้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว แล้วรออ่านบทวิเคราะห์ตอนจบของเกมได้ทาง GameFever ต่อไปจ้าาาา! [penci_review id="49621"]
08 Apr 2020
รีวิวเกม The Curse of Zigoris "เกมอินดี้ตะลุยด่านน่าเล่น ที่แอบอยู่ในมุมของ Steam"
เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายต่างรู้จักโปรแกรมที่ชื่อว่า Steam กันอยู่แล้ว เป็นร้านค้าที่มีเกมหลากหลายค่าย ทั้งเกมใหญ่ เกมเล็ก รวมไปถึงเกมอินดี้ และเพราะมีเกมค่ายใหญ่เยอะมากจนทำให้เกมอินดี้หลายๆเกมโดนแย่งความสนใจแล้วถูกแอบไว้ในมุมร้านค้า บางเกมแทบไม่รู้เลยว่าเคยมีตัวตน วันนี้ GameFever TH จะพารู้จักกับเกมอินดี้เกมหนึ่งที่น่าสนใจ (และถ้าไม่ค้นหากันจริงจังก็คงไม่เจอแน่ๆ) กับเกม “The Curse of Zigoris” เนื้อเรื่องและบรรยากาศ The Curse of Zigoris เป็นเกมแนว 2D action adventure platformer (ตะลุยด่าน) เราจะได้รับบทเป็น Eva เอฟล์สาวที่อยู่ๆ หมู่บ้านของเธอก็ถูกทำลายโดยคำสาปของ Zigoris และเธอก็เป็นคนเดียวที่รอดจากคำสาปนั้น เธอจึงออกเดินทางไปจัดการกับ Zigoris เพื่อคลายคำสาปนั้น นับเป็นเนื้อเรื่องที่แสนคลาสิก และเป็นสูตรสำเร็จ (อารมณ์ผู้กล้าปราบจอมมาร) แต่ก็ไม่ต้องสนใจเนื้อเรื่องมากเท่าไร เพราะมีก็เหมือนไม่มี มีพอให้มีเหตุผลว่าทำไมต้องเดินทางผ่านด่าน ส่วนภาพและบรรยากาศ ทำออกมาได้คลาสิกสุดๆ ใช้ภาพแนว Pixel art และใช้เสียงประกอบแบบเกม RPG (เหมือนจะเป็นเสียงที่เปิดให้ใช้ฟรี) ซึ่งเข้ากับภาพได้ดี ทำให้นึกถึงเกมตะลุยด่านเก่าๆ  ระบบเกมและภาพรวม มาพูดถึงระบบการเล่น โดยเกมนี้จะเป็นออกเป็นด่านๆ แต่ละด่านจะยาวพอสมควรและมีศัตรู/กับดักเต็มไปหมด เป้าหมายของเกมมีแค่วิ่งไปถึงปลายทางของด่าน แต่อย่าคิดว่าเกมนี้จะง่ายๆ เพราะตัวเราตายง่ายมาก โดนโจมตี โดนกับดักไม่กี่ทีก็ตาย แถมถ้าเราตาย ไม่ว่าจะหัวใจหมดหรือตกเหว เราจะถูกส่งไปที่จุดเริ่มต้นของด่านทันที (ไม่มี save ระหว่างทาง) และแน่นอนว่าเราจะตายซ้ำตายซาก เพื่อเรียนรู้ว่าจะเดินทางยังไงให้รอดไปถึงอีกฝั่ง แต่ถึงเราจะตาย อย่างน้อยเงินและค่าประสบการณ์ที่เราเก็บมาจะไม่หายไปไหน โดยเราสามารถเอาค่าประสบการณ์มาอัพ Skill เพื่อให้เราเก่งขึ้นได้ (เป็น Skill ติดตัว ไม่หายไปไหน อัพได้ที่โต๊ะสีดำ) และเงินเราสามารถเอาไปซื้อของที่ร้านค้าได้ เช่น หัวใจ ยามานา เพิ่มพลังดาบ เพิ่มพลังเวทย์ได้ (แต่ของที่ซื้อมาจะใช้ได้แค่ในด่านนั้นเท่านั้น ขึ้นด่านใหม่ก็หายไป) ซึ่งร้านค้าจะอยู่ประมาณกลางด่าน จะเรียกเป็น Save zone ก็ว่าได้ มาพูดถึงข้อเสียกัน เกมนี้เสียงดังมาก แต่ก็ปรับ Option อะไรไม่ได้เลย นอกจากปรับปุ่มการเล่น  ต่อมาการโจมตีของศัตรูไม่ค่อยแน่นอนเท่าไร ปกติเวลาเราโจมตี ศัตรูจะชะงักจนศัตรูหยุดโจมตี แต่บางครั้งก็ไม่ชะงัก ทำให้เราโดนโจมตีโดยไม่จำเป็น แถมการวางศัตรู/กับดัก บางครั้งก็วางแบบว่ายังไงก็โดน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านด่านโดยไม่เจ็บตัว และสุดท้ายเราไม่สามารถมองพื้นที่ที่อยู่ข้างล่างเราได้ ทำให้เราไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรอยู่ อาจทำให้เราเจ็บตัวหรือไม่ก็ตายได้เลย ความรู้สึกหลังเล่น บอกตามตรง ที่หาเกมนี้เจอเพราะเบื่อๆจนไปค้นร้านค้า Steam เล่นและหลงไปเจอ (5555+) ตอนแรกก็ไม่ได้หวังอะไรกับเกมนี้มาก คงคิดว่าเป็นเกมตะลุยด่านเฉยๆ กะเล่นแก้เบื่อ และราคาก็ไม่แพง แต่พอเล่น บอกเลยว่า หัวร้อนพอสมควรเลย มันยากเพราะมอนเตอร์เยอะ กับดักก็เยอะ แถมเราตายง่ายมาก ก็นั่งเล่นไปพักใหญ่เลย แต่พอผ่านก็ดีใจนิดๆ และก็ต้องมานั่งเครียดกับด่านใหม่อีก (- -*)  สรุป The Curse of Zigoris เป็นเกมแนวตะลุยด่านที่สนุก เล่นง่าย และท้าทายพอสมควรเลย แถมราคาก็จับต้องได้ เหมาะกับผู้เล่นทุกแนว แต่ก็เป็นเกมที่เราตายบ่อยมาก ต้องใช้ความอดทนในระดับหนึ่ง ไม่งั้นอาจจะหัวร้อนจนเล่นเกมนี้ไม่จบก็ได้ link : https://store.steampowered.com/app/1249290/The_Curse_of_Zigoris/ [penci_review id="49122"]
07 Apr 2020
รีวิว Resident Evil 3 Remake สยองขวัญเหมือนเดิม แต่กินง่ายไปหน่อย
เปิดมาอย่างเซอร์ไพรส์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วสำหรับ Resident Evil 3 Remake ทำให้หลายๆ คนเฝ้ารอกันเป็นอย่างมาก เพราะหนึ่งในศัตรูที่น่าจดจำที่สุดของซีรีส์นี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าอาวุธชีวภาพอย่าง Nemesis ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดในการไล่ล่าตัวละครหลักทั้งเกม บวกกับคอสตูมเกาะอกฟ้าของตัวเอกอย่าง Jill Valentine (จิล) ที่กระแทกใจหนุ่มๆ สมัยนั้นมาแล้ว และจากประสบการณ์ในวัยเด็ก Resident Evil ภาคนี้น่าจะเป็นภาคที่ทำให้ชาวไทยได้รู้จักซีรีส์นี้กันแบบเต็มตัวอีกด้วย ซึ่งหลังจากที่เกมวางจำหน่ายมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2020 ทางเรา GameFever TH ได้ไปเล่นเกมนี้มาแล้วครับและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้อ่านกันว่ามันยังจะเป็นเกม Remake ยอดเยี่ยมเหมือนที่เคยทำไว้ใน Resident Evil 2 Remake หรือไม่ ไปชมกันเลยครับ เนื้อเรื่อง อย่างที่ทราบว่าในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของ Resident Evil 1 อย่าง Jill Valentine (จิล) โดยภาคนี้ดำเนินเรื่องราว 3 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ในภาคแรก ตัวเธอก็ยังใช้ชีวิตเป็นตำรวจหน่วย S.T.A.R.S ของเมือง Raccoon City เช่นเดิม และสืบหาความจริงของบริษัท Umbralla ต่อไป และในตอนนี้ตัวเมืองเองก็เกิดเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดเสียแล้ว ซึ่งจิลเองก็ได้วางแผนที่อยากจะหนีออกจากเมืองนี้ไปให้ได้ แต่ทันใดนั้นก็มีอาวุธชีวภาพอย่าง Nemesis เข้ามาทำร้ายเธอที่ห้องพัก และเหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มขึ้น !! ซึ่งใน Resident Evil 3 Remake เนื้อเรื่องของเกมเวอร์ชั่นนี้จะมีโครงเรื่องที่เหมือนกันกับเวอร์ชั่นปี 1999 อยู่ เพียงแต่การนำเสนอ หรือการดำเนินเรื่องราวอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่มากพอสมควร แต่โดยรวมนั้นก็ยังเป็นเนื้อเรื่องเส้นเดียวกันอยู่ดี และใครที่เคยเล่นภาคเก่ามาท่านก็น่าจะทราบว่าเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ มันเหมือนเป็นการขยายโครงเนื้อเรื่องหลักในภาคสอง และเพิ่มเนื้อเรื่องเสริมที่ทำให้เราเห็นบทสรุปความพินาศของเมืองนี้เยอะขึ้นเสียมากกว่า ตัวเนื้อเรื่องต้องยอมรับว่ามันก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากมายมีดราม่าเท่ากับ Resident Evil 2 เท่าไร ตัวเกมภาคนี้จะเป็นการดำเนินเรื่องในการพยายามหนีออกจากเมืองของจิลอย่างเดียว แต่มันก็ยังมีสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้ว้าวอยู่บ้างอาทิเช่นการใส่ Easter Egg เชื่อมโยงบางอย่างระหว่าง Resident Evil 2 Remake ภาคที่แล้ว ถึงอย่างนั้นอะไรแบบนี้มันก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไรภายในเกม กราฟิก / การนำเสนอ ตัวกราฟิกของเกมนี้ก็ยังใช้ RE Engine ที่ใช้มาตั้งแต่ Resident Evil 7 และการบังคับแบบเดียวกันกับ Resident Evil 2 Remake ซึ่งเราก็คงไม่ต้องไปกังขาอะไรสำหรับความยอดเยี่ยมของมันเลย และดีมากยิ่งขึ้นสำหรับการ Optimize ที่ทำให้ตัวเกมมีความลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งส่วนตัวใช้คอมพิวเตอร์ระดับกลางๆ I5 Gen 8 กับการ์จอ GTX 1060 ก็สามารถเล่นเกมนี้แบบ High ได้เกิน 60 FPS โมเดลตัวละครเองก็อาจจะเอาซอมบี้แบบเดิมมาเปลี่ยนแปลงชุดหน่อย หรือเอาโมเดลคล้ายๆ กันมาดัดแปลงอัพเกรดมากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเลยสำหรับ Mr.X และ Nemesis ที่แอนิเมชั่นเหมือนกันเป๊ะๆ พร้อมทั้งสคริปของซอมบี้บ้างอย่างเองก็อาจจะซ้ำๆ กันในภาคที่แล้วดูเป็นงานเผาๆ บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่จุดสำคัญอะไร ส่วนในเรื่องของการนำเสนอ กลื่นอายของเกมในภาคนี้จะมีความแตกต่างจากภาคก่อนหน้าอย่าง Resident Evil 2 Remake สิ้นเชิง โดยภาคที่แล้วจะเน้นการเล่าเรื่องเชิงลึกลับและสยองขวัญมากๆ สิ่งต่างๆ ที่เราเจอจะเป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่คาดคิดตลอดเวลา ไหนจะเป็นเรื่องของปริศนาของสถานที่อย่างสถานีตํารวจ ที่มีความลับมากมายให้เราได้ค้นหาการเล่นกับความมึดและความเก่าที่ทำได้อย่างดีงาม แต่ในภาคล่าสุดนี้ !! เนื่องจากตัวเนื้อเรื่องที่ตัวเอกค่อนข้างช่ำชองพวกซอมบี้แล้ว รวมถึงโลเคชั่นภายในเกมเองส่วนใหญ่อยู่แต่บนถนน ทำให้ความน่ากลัวนั้นน้อยลงไปเยอะ การเล่นกับความมึดก็ทำได้ไม่เท่าเดิมเนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่ มันเลยทำให้เกมภาคนี้จึงไปเน้นอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาทดแทน นั่นคือความ ชุลมุน ของเหตุการณ์อันวุ่นวายภายในเมือง ความสมเหตุสมผลของโลเคชั่นที่มันไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในสถานีตํารวจ ทำให้ฝูงซอมบี้เองก็มีมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความโกลาหลมากขึ้นอีก ไหนจะเป็นการไล่ล่าของ Nemesis ที่เราจะต้องซัดกับมันทั้งเกม ในภาคนี้จะเป็นเกมสยองขวัญที่จะกลิ่นอายความเป็นแอคชั่นที่มากขึ้นกว่าเดิม โดยหลายๆ คนก็อาจจะคิดว่าภาคนี้มันไม่ค่อยน่ากลัวและสยองขวัญเท่ากับภาคก่อนหน้าเลย ส่วนตัวผมนั้นสามารถหาข้อแก้ต่างให้กับผู้พัฒนาได้นะ ก็เพราะว่า Resident Evil ในสมัยก่อนนั้นภาพของเกมก็ยังไม่ได้มีการเล่นเฉดเงา และความมึดเหมือนดั่งภาคสมัยนี้ ความน่ากลัวของเกมมันเลยเน้นไปที่เหล่าซอมบี้สุดโหดพื้น, บรรยากาศความเงียบ และพื้นที่แคบๆ เสียมากกว่า และเรื่องของมุมกล้องเองที่เปลี่ยนมาเป็นมุมมองบุคคลที่สาม มันเลยทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ บวกกับในภาคสองที่ทางเดินมันจะเป็นทางแคบๆ ชวนรู้สึกน่าอึดอัดมากกว่าภาคสามที่ต่อให้ทางเดินจะกว้างพอๆ กัน แต่มันกลับมีวิวทิวทัศน์ที่ค่อนข้างมองให้เห็นไกลกว่ามาก !! "ถ้าคุณจะต้องเจอผีซักตัว คุณว่าเจอบนกลางถนน หรือเจอในห้อง อะไรน่ากลัวกว่ากันล่ะ" เกมเพลย์ การบังคับต่างๆ ของเกมภาคนี้ มันก็จะเหมือนกับภาคที่แล้วเกือบทั้งหมด จังหวะการยิงหรือแม้กระทั่งการผสมของที่ก็ยังเอาระบบจากภาคที่แล้วมาใช้ แต่อย่างที่พูดไปก่อนหน้าว่าอารมณ์ของเกมภาคนี้จะมีความแอคชั่น และมีความชุลมุนมากขึ้น ทำให้ภายในเกมภาคนี้เราจะได้ประทะและพบเจอกับเหล่าซอมบี้บ่อยกว่าแต่ก่อน ซอมบี้จะมาโจมตีเราจากทุกที่ทุกทางด้วยจำนวนที่มากขึ้น ผู้พัฒนาจึงได้ทำการใส่จุดดรอปกระสุนให้เรามากกว่าเดิมพอสมควรเพื่อรองรับในการต่อสู้ พร้อมทั้งยังใส่เครื่องทุนแรงมาประหยัดกระสุนอย่างมีดที่ภายในภาคนี้จะสามารถใช้ฟันศัตรูได้อย่างไม่จำกัด ผิดจากภาคที่แล้วเป็นเพียงแค่เอาไว้ป้องกันศัตรูจากการโจมตีอย่างเดียว และไอ้ระบบมีดที่เปลี่ยนใหม่นี่แหละมันกลับทำให้เราประหยัดกระสุนมากขึ้น เพราะในภาคที่แล้วเวลาเรายิงซอมบี้ล้มเราจะต้องยิงใส่มันเพื่อเช็คอีกครั้งว่าตายหรือไม่ ซึ่งมันค่อนข้างเปลืองกระสุนมาก แต่ในภาคนี้เวลายิงศัตรูล้อมคุณก็อาจจะเอามีดไปฟันมันตอนล้มได้ไม่เปลืองกระสุน ไหนจะเป็นการทุ่นแรง ที่ตามแผนที่มักจะมีระเบิดให้เก็บบ่อย หรือถังน้ำมันที่สามารถเอาไว้ยิงให้มันระเบิดใส่ซอมบี้ก็ได้ รวมถึงระบบ Dodge ที่ถ้าหากว่าคุณกดให้ตรงจังหวะ มันจะทำให้เราสามารถหลบการโจมตีของศัตรูได้ทันที ซึ่งระบบนี้สามารถกดได้แบบไม่มีหลอด Stamina มากวนใจเหมือนเกมอื่นๆ จึงสามารถใช้ได้ไม่จำกัดเลยทีเดียว ใครที่ชำนาญมันจะทำให้เราค่อนข้าง Over Power มากๆ หลบได้แม้กระทั่ง Nemesis เลยทีเดียว มาพูดถึงเจ้าตัว Nemesis กันหน่อยดิกว่า ซึ่งส่วนตัวได้เคยลองเล่นใน Demo มาแล้วรู้สึกประทับใจกับมันมากพอสมควร เพราะอย่างไปกล่าวไปว่าเกมนี้ค่อนข้างทำให้ตัวเรามีความสามารถมากไปหน่อย ทั้งการหลบหลีก กระสุนมีให้เก็บเยอะ ปืนดีๆ ก็หาง่ายในช่วงต้นเกม การมีเจ้า Nemesis เข้ามามันช่วยลดทอนความเก่งกาจของเราได้ดีนักเชียว เพราะมันวิ่งเร็ว, กระโดดดักหน้า, ดึงให้ล้ม และ มาแบบไม่พัก ต่อให้คุณสำรองเลือดยังไงก็จะหมดไปกับมันแน่นอน แต่พอได้เล่นตัวเกมเต็ม ส่วนตัวกลับรู้สึกผิดหวังเข้าขั้นรุนแรงเลยทีเดียว โอเคว่าความสามารถของ Nemesis ที่เราเจอจะเก่งมากโดยเถียงไม่ได้ แต่การปรากฏของศัตรูตัวนี้ในแต่ละครั้งจะเป็นสคริปแทบทั้งหมด ไม่มีการสุ่มปรากฏเหมือนที่เคยเจอกับ Mr.X เลยซักนิด ใครที่เล่นเกมนี้จบเพียงครั้งเดียวท่านก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอาวุธชีวภาพตัวนี้จะออกมาเมื่อไร ซึ่งมันค่อนข้างหน้าผิดหวังนะ เพราะมันทำให้ความตื่นเต้นและความรู้สึกกลัวเจ้าศัตรูตัวนี้ลดลงไปแทบทั้งหมด ถึงแม้ว่าเราจะพยายามชาเลนซ์ตัวเองฆ่ามันให้ได้ (ในด่านแรกๆ ) แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหล่ะ เพราะมันก็จะไม่เกิดมาใหม่อีกแล้วจนกว่าจะเข้าสคริปต่อไป ไม่เหมือน Mr. X ที่พอฆ่ามันเสร็จ เดี๋ยวอีกซักพักมันก็กลับมาได้ มันน่าตื่นเต้นตรงไหน และการที่เกมนี้มันมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับตัวละครเยอะจนเกินไป มันก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อเหมือนกันนะ ถ้าคุณเล่นไปซักพักคุณจะรู้ได้เลยว่ากระสุนต่างๆ ของเกม จะมีเพียงพอสำหรับซอมบี้และอสูรกายทุกตัวเสมอ ถ้าคุณบังเอิญไปเจอกระสุนให้เก็บเยอะก็เดาได้เลยว่าเหตุการณ์ข้างหน้าอีกไม่ไกล คุณจะเจอกับฝูงซอมบี้, ซอมบี้ตัวใหม่ ไม่ก็บอสแน่นอน บางทีมีไอเท็มและปืนที่ใช้ปราบศัตรูตัวนั้นก่อนที่จะเจอมันไม่ถึง 1 นาทีก็มี รวมถึงกระสุนที่มีให้พร้อมยิงตายแน่นอนไม่ต้องหนีขอแค่ยิงให้โดนนะ รวมถึงปริศนาภายในเกมที่ทำออกมาได้น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ปริศนาของเกมนี้จะไม่ใช่การไขกลไกต่างๆ เหมือนภาคก่อนหน้าแล้ว แต่จะเป็นการหาไอเท็มมาเพื่อใช้ในสิ่งๆ หนึ่งเท่านั้น มันเลยไม่ทำให้เราต้องคิด วิเคราะห์ใดๆ ทั้งนั้น เพียงแค่คุณหาไอเท็มให้เจอและก็ไปปลดล็อคมันซะ ซึ่งถ้าให้พูดเชิงความสมเหตุสมผลมันก็พอแก้ตัวได้บ้างเพราะในภาคนี้เราจะได้อยู่นอกอาคารไม่เหมือนกับภาคก่อนหน้าที่เขาปูมาเลยว่าสถานีตํารวจเป็นพิพิธภัณฑ์เก่า เลยทำให้กลไกมันเยอะ แต่มันก็มีฉากที่อยู่ในห้องแลปเหมือนกัน แต่ทำไมไอเดียปริศนาของภาคที่แล้วกลับดูเจ๋งกว่าหลายเท่าตัว ยกตัวอย่างไอเดียปริศนาเปิดสวิชไฟด้วยชนวนหมากรุกที่เราจะต้องไขปริศนาจากคำใบ้ หรือแม้กระทั่งการหาคลื่นเสียงเพื่อเปิดไฟ ซึ่งภาคก่อนหน้าทำได้ดีมาก แต่ในภาคนี้ทำเพียงแค่การหาของให้ครบภายในอาคารและก็เอาไปปลดล็อคแค่นั้น ในประเด็นนี้ผิดหวังอย่างแรง !! สรุป Resident Evil 3 Remake เป็นเกมที่พยายามทำให้มันมีความแตกต่างกับเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Resident Evil 2 Remake อย่างสิ้นเชิงถึงแม้ว่าจะมีเกมการเล่นที่คล้ายกัน โดยกลิ่นอายในภาคนี้จะมีความสยองขวัญที่ดูมีความชุลมุนมากขึ้นในเรื่องของจำนวนซอมบี้ และความเก่งกาจของเจ้า Nemesis แต่มันก็แลกมาด้วยความเก่งกาจของตัวละครเราที่ Over Power เป็นอย่างมาก และมีเครื่องทุ่นแรงจากสิ่งต่างๆ มาช่วยเหลือที่ส่วนตัวคิดว่ามันมากเกินไป Nemesis เองก็ไม่ได้ทำให้เรามีความรู้สึกกลัวมันเลยแม้แต่ครั้งเดียวสำหรับผู้เขียน เพราะเรารู้แน่นอนว่ามันจะมาตอนไหนซีนไหน ทำให้คุณมีเวลาฟาร์มของหาปริศนาปลดล็อคสิ่งเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ต้องกลัวอะไรเลย ผิดกับ Mr. X ในภาคก่อนหน้าที่เราแค่ได้ยินเสียงฝีเท้ามันก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว ส่วนการลดทอนระบบปริศนาให้มันง่ายกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะพวกเขาอยากให้คนรุ่นใหม่สามารถจับต้องมันมากขึ้นก็ได้ ส่วนตัวเองไม่ค่อยชอบในเรื่องนี้เสียเท่าไร เพราะปริศนาใน Resident Evil 2 Remake ค่อนข้างทำได้กลมกล่อมแล้ว ถึงอย่างนั้นผู้เขียนเองก็เข้าใจในประเด็นนี้นะ เพราะมันก็มีผู้เล่นหลายๆ คนเองก็ไม่ชอบปริศนายากๆ อยู่จำนวนหนึ่งเหมือนกัน และการนำเสนอที่แตกต่างจากภาคที่แล้วเองก็เป็นไอเดียที่ค่อนข้างดี แต่เอาจริงๆ มันยังขาดการขัดเกลาที่มากกว่านี้ เพราะภาคก่อนหน้าทำไว้ดีมากๆ ภาคนี้มันจึงถูกเปรียบเทียบเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้ว่าเกมภาคนี้จะมีหลายๆ สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบค่อนข้างเยอะ โดยรวม Resident Evil 3 เองก็ถือว่ามันเป็นเกมที่สนุกมากๆ เกมหนึ่ง ยังไงซะการเล่นครั้งแรกความตื่นเต้นต่างๆ มันมาเต็มอยู่แล้ว คุณสามารถสนุกกับมันแบบเล่นรวดเดียวจบได้ทันที แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากการที่ซีรีส์ Resident Evil ช่วงสามสี่ปีมานี้ มันเป็นเกมที่มีคนกลับมาคาดหวังอีกครั้ง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ ให้มัน Hardcore เพื่อรองรับผู้เล่นดั้งเดิมมากขึ้น แต่พอภาคนี้มันเบาลง เลยทำให้ผิดหวังอยู่หน่อยๆ [penci_review id="49508"]
07 Apr 2020
ความรู้สึกหลังเล่น Resident Evil Resistance [OBT] บอกได้ว่าน่าผิดหวัง
Open Beta ให้ทดลองเล่นกันแล้วสำหรับ Resident Evil Resistance เกมแนว Survival Multiplayer 4v1 ที่เปิดตัวได้อย่างน่าสนใจเมื่อปีที่แล้ว กับการที่เราจะได้จับมือไปกับเพื่อนๆ 4 คนตะลุยฝ่าเหล่าซอมบี้ที่กรูหน้าเขามา หรือจะเป็นอีกฝั่งที่จะคอยขัดขวางและเสกเหล่าซอมบี้มาจัดการคนให้สิ้นซาก แต่ถ้าให้พูดตามตรง จากที่ได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้มาในช่วง Open Beta บอกเลยว่า Resident Evil Resistance ให้ได้ประสบการณ์ที่ย่ำแย่ในการเล่นสำหรับตัวผู้เขียนเป็นอย่างมาก และรู้สึกผิดหวังสำหรับตัวเกมที่เหมือนจะยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ซึ่งเรา GameFever TH จะมาเล่าถึงประสบการณ์นี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ อย่างที่กล่าวไปในตอนแรกว่าเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ซึ่งจะแบ่งเป็น Survivor ผู้เล่น 4 คน และ Mastermind ผู้เล่น 1 คนที่เป็นฝ่ายซอมบี้ โดยทั้งสองฝ่ายจะมีเกมการเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง Survivor ฝ่ายนี้เราจะได้เล่นเป็นผู้รอดชีวิตที่เรามาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เรากับเพื่อนๆ จะต้องฝ่าฟันเพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ภายในเวลาที่จำกัดให้ได้ โดยเหล่าผู้รอดชีวิตจะต้องทำภารกิจคือการหากุญแจเพื่อปลดล็อกประตูและไปยันโซนต่างๆ จนกว่าจะออกจากตึก  ซึ่งศัตรูก็คือ Mastermind ผู้เล่นอีกฝั่งที่จะเสกซอมบี้มาไล่ฆ่าเรา และการเล่นแต่ละครั้งจุดดรอปของภารกิจ ก็จะแตกต่างกันไป และการเล่นของฝ่ายนี้จะต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมสูง ซึ่งในระหว่างการเล่นเราตัวเกมก็จะมีระบบเงินที่เราจะสามารถซื้อปืนที่มีทั้งปืนพก, ปืนกล, สมุนไพรเพิ่มเลือด หรือกล่องซ่อมของต่างๆ  รวมถึงฝ่ายนี้ถึงแม้ว่าจะโดนจัดการได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราตาย เพียงแต่แค่จำทำให้ล้มและรอเวลาเกิดใหม่เท่านั้น และเหล่าผู้รอดชีวิตเองก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกัน บางคนฮิลได้ บางคนมีสกิลต่อยแรง Mastermind ในฝั่งนี้เราจะได้เป็นผู้เล่นฝ่ายโกงที่จะดูเหล่า Survivor ผ่านกล้องวงจรปิดต่างๆ และคอยเสกซอมบี้มายื้อเวลาไม่ให้อีกฝ่ายสามารถออกจากตึกได้ก่อนเวลาที่กำหนด โดยการเสกซอมบี้ก็จะขึ้นอยู่กับค่า Stamina ซึ่งซอมบี้แต่ละตัวก็จะใช้เยอะน้อยไม่เท่ากัน และเราเองก็ยังสามารถกดเข้าไปควบคุมซอมบี้ที่เราเสกมาได้บางตัว หรือจะสามารถวางกับดักระเบิดเพื่อลดเลือดศัตรู ไม่ก็วางกับดักจับขาและเสกซอมบี้มาลุมหรือเสกปืนกลมายิงก็ได้ และที่พิเศษคือสกิล Ultimate ที่เราจะสามารถเรียกซอมบี้ระดับโหดสุดลงมาจัดการได้ ซึ่งในตอนนี้ตัวละครที่เปิดให้เล่นคือ Mr.X บอสตัวร้ายจาก Resident Evil 2 นั่นเอง  แถมฝั่ง Mastermind ยังสามารถเป็นคนกำหนดจุดดรอปของกุญแจหรือจุดไอเท็มต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับความชำนาญในการป้องกันได้ ************ ดูจากภายนอกส่วนตัวก็ค่อนข้างชื่นชอบไอเดียของตัวเกมนะครับสำหรับเกมการเล่นที่ดูเข้าถึงง่าย และมีความแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฝั่ง Mastermind ที่แต่ละรอบเราจะมีไอเดียและความแตกต่างในการเล่นที่ค่อนข้างต่างกันมากพอสมควร เพราะเราจะต้องแก้สถานการณ์เบื้องหน้าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการเล่นฝั่งนี้ส่วนตัวก็ต้องยอมรับว่ามันสนุกอยู่มากพอสมควร และเราก็สามารถหาไอเดียแปลกๆ เพื่อมาขัดขวางเหล่าผู้เล่นได้เยอะมาก อาทิเช่นการเอาซอมบี้ไปดักหน้าประตู เวลาเหล่า Survivor พังประตูมาก็จะโดนกัดพอดี หรือไม่เราอาจจะวางกับดักระเบิดไว้ตามจุดซอกมุมต่างๆ พอศัตรูเดินผ่านก็กดระเบิดไปเลย ซึ่งค่อนข้างสนุก แต่ความสนุกนั้นดูเหมือนมันจะตกอยู่ในฝั่ง Mastermind เป็นอย่างเดียว เพราะว่าฝั่งของ Survivor นั้นกลับเป็นฝั่งที่ค่อนข้างเล่นยากและเสียเปรียบมากๆ ในตอนนี้ เพราะตัวเกมอาศัยการเล่นเป็นทีมเวิร์คสูงมาก เราจะต้องสื่อสารและเล่นเป็นทีมให้ได้ถ้าคุณอยากชนะ การเดินดุ่มๆ ไปคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้เล่นแต่ละคนค่อนข้างมีหลอดเลือดที่น้อยมากๆ โดนศัตรูกัดสองสามทีก็ตายแล้ว แต่ถ้าหากมีเพื่อนเล่นด้วยกันก็อาจจะทำให้สามารถช่วยยิงศัตรูเวลาโดนจับได้ ซึ่งมันฟังเหมือนจะดูดี แต่มันยากมากๆ สำหรับผู้เล่นที่จะทำงานกันเป็นทีม เพราะแต่ละครั้งเราก็จะเจอคนที่เข้าใจเกมไม่เท่ากันไป บางคนเล่นเป็นทีมชอบสื่อสาร บาคนก็เล่นตามใจตัวเอง เอาจริงๆ ปกติแล้วก็ไม่ใช่ผู้เล่นทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอำที่จะชอบสื่อสาร ทำให้พอ Match Making เจอผู้เล่นที่ไม่เข้าขามากๆ อาจจะทำให้เซ็งและเบื่อง่าย พร้อมทั้งรูปแบบการเล่นของฝั่ง Survivor เองก็ค่อนข้างเดิมๆ ถึงแม้ว่าจุดหากุญแจจะแตกต่างกันไปในแต่ละรอบ เพราะขึ้นอยู่ว่าฝั่ง Mastermind จะจัดด่านยังไง แต่กลไกการเล่นกลับเหมือนเดิม คือหากุญแจและปลดล็อกด่านต่อไป ไม่ได้มีความท้าทายต้องจุ๊กผีเหมือนเกมอื่นๆ ฟิลลิงความน่ากลัวแทบไม่มี กลายเป็นเกมยิงผีง่อยๆ เท่านั้น และที่รับไม่ได้คือความกระด้างของแอนิเมชั่นที่ค่อนข้างขยับได้ลำบาก ซึ่งมันเป็นเพราะ Engine ตัวนี้ถูกดีไซน์มาเพื่อเกม Single Player เสียมากกว่า พอเวลาเจอศัตรูที่เป็นคนบังคับ และด้วยความโกงของตัวละครอย่าง Mr. X มันเลยทำให้การเล่นของฝ่ายมนุษย์นั้นยากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ความสมดุลย์ของเกมนี้ค่อนข้างเอนเอียงไปฝ่าย Mastermind เป็นอย่างมาก หาได้ยากเลยสำหรับการเล่นฝ่าย Survivor ที่จะมีความเป็นทีมเวิร์ค  และต่อให้คุณมีเพื่อนเล่นด้วย ผู้เขียนเองก็มั่นใจว่าคุณก็คงอยู่กับเกมนี้ได้ไม่นานเนื่องจากความซ้ำซาก และความตื่นเต้นที่ค่อนข้างน้อย บวกกับการดีไซน์อารมณ์ร่วมที่มันค่อนข้างทื่อเป็นอย่างมากเช่นการที่ทำให้เหล่าซอมบี้เลือดน้อยกว่าปกติ แต่เน้นจำนวนมากและตีแรงแทน มันเลยทำให้การเล่นของเหล่า Survivor ดูชุลมุนวุ่นวายสุดๆ ไหนจะต้องระวังระเบิดอีกกลายเป็นเกมแอคชั่นเลย จริงๆ ปัญหานี้มันก็ส่งผลต่อ Mastermind ด้วย เพราะเวลาบังคับเหล่าซอมบี้ธรรมดา การที่ซอมบี้มันเลือดน้อยเราก็แทบจะไม่สามารถเขาถึงตัวศัตรูได้ง่ายๆ เลย แต่ถ้าให้ลองคิดเล่นๆ ดูถ้าหากลองดีไซน์ให้ซอมบี้อัดขึ้นหน่อย แต่ทำให้ Mastermind เสกศัตรูได้ช้าลงหน่อย มันอาจจะทำให้เกมมีสปีดที่ช้าลง และถ้าสร้างบรรยากาศดีๆ อาจจะทำให้ตัวเกมมีความน่ากลัวมากขึ้นด้วย ต้องบอกเลยว่า Resident Evil Resistance อาจจะเป็นเกมที่จะต้องพัฒนาไปอีกซักพักเลยทีเดียว ต้องปรับสมดุลย์อะไรหลายๆ อย่างให้มันน่าเล่นทั้งสองฝ่ายมากขึ้น หรือสร้างกลไกต่างๆ ให้คนติดพันมากขึ้นไม่งั้นเกมนี้ก็อาจจะเป็นเกมที่เปิดมาได้แปปเดียวและจะร้างไปในปริยาย ถือว่าเป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้ ถ้าหากคุณอยากจะซื้อเกม Resident Evil 3 Remake มาเพื่อเล่นเกมนี้โดยเฉพาะ ส่วนตัวไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกตอนนี้ - ไม่ผ่านอย่างแรง
01 Apr 2020
รีวิวเกม Assemble with Care "ความทรงจำ ที่ซ่อนอยู่ในของเก่า"
“ช่างซ่อมของเก่า” เป็นอาชีพที่คอยซ่อมแซมของที่มีอายุยาวนาน ให้กลับมาใช้งานได้หรือให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ถึงของเก่าจะดูไม่มีค่าในสายตาคนหลายๆคน จนเอาไปทิ้ง หรือปล่อยให้พังไปตามกาลเวลา แต่สำหรับบางคนแล้ว ของสิ่งนั้นอาจมีความทรงจำ หรือคุณค่าทางจิตใจ จนอยากจะเก็บรักษาเอาไว้ให้สภาพดีที่สุด วันนี้  GameFever TH จะมาติดตามเรื่องราวของ Maria ช่างซ่อมของเก่า กับเกมที่มีชื่อว่า “Assemble with Care” เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม Assemble with Care เป็นเกมแนว Casual puzzle เนื้อเรื่องเกมนี้จะเล่าถึง Maria ช่างซ่อมของเก่า เธอกำลังเดินทางไปยังเมืองต่างๆเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าๆ ระหว่างทางเธอก็ทำงานรับจ้างซ่อมของไปด้วย เธอพึ่งจะมาถึงเมือง Bellariva และเธอก็คิดว่าจะใช้เวลาในเมืองนี้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะเดินทางต่อไป เนื้อเรื่องจะเล่าผ่านงานที่ Maria ทำ มีการเล่าเหตุการณ์ก่อนซ่อม ระหว่างซ่อมและหลังซ่อมของเสร็จ และเราจะได้รู้เรื่องเกี่ยวกับของชิ้นนั้นๆ ทั้งความสำคัญ ความทรงจำ หรือปัญหาของเจ้าของของชิ้นนั้น ซึ่งเกมนี้เล่าออกมาได้ค่อนข้างดี แต่เสียได้ที่มันสั้น และมีคนที่เราได้เจอน้อยมาก ถึงเราจะได้เห็นเมือง  Bellariva แค่บางมุมเท่า แต่ภาพในเกมนี้ที่ใช้ภาพออกแนวสีน้ำ ก็ทำให้ดูสบายตา และรู้สึกได้ว่าเป็นเมืองที่สงบสุขเหลือเกิน แถมเพลงประบอกให้อารมณ์ยุคปี 80 ฟังสบายๆ เข้ากับงานภาพของเกมแบบสุดๆ  ระบบการเล่น พูดถึงระบบการเล่นเบื้องต้นของเกมนี้ ในแต่ละด่านจะมีของให้ซ่อม ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา โทรศัพท์ เครื่องเกม กล้องถ่ายรูป ฯลฯ เราสามารถถอดชิ้นส่วน/ประกอบได้ หมุนของดูรอบๆเพื่อหาจุดที่ต้องซ่อม และแน่นอนเพราะเกมนี้เราเป็นช่างซ่อม จึงไม่มีคู่มือใดๆ ต้องนั่งงมหาวิธีซ่อมกันเอาเอง เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ใช้ Common Sense กันแบบสุดๆ ถ้าคิดภาพไม่ออก ให้นึกถึงตอนที่คนที่บ้านใช้ให้เราซ่อมของบางอย่างในบ้าน ทั้งที่เราไม่มีความรู้นั้นหล่ะ มาพูดถึงข้อเสียกันดีกว่า เกมนี้ควบคุมด้วยเมาส์ยากพอสมควร เนื่องจากเกมนี้เคยเป็นเกมมือถือมาก่อน การควบคุมจึงไวเป็นพิเศษ แค่หมุนหรือลากนิดหน่อยก็ไปไกลมาก ทำให้ช่วงแรกๆอาจจะหงุดหงิดนิดหน่อย ข้อต่อมาคือเกมมีบัคที่ทำให้ด่านบางด่านเล่นจบไม่ได้อยู่ (เคยเจอ 2 ครั้ง) แต่แก้ได้โดยรีด่านนั้นใหม่ และสุดท้ายเกมนี้สั้นมาก(กกกกกกกกกกกกกกกก) ถ้าเทียบกับราคา 159 บาท เกมมีแค่ 13 ด่าน และการใช้เวลาเล่นจบแค่ 1 ชั่วโมงก็ถือว่าเกมสั้นสุดๆ แถมไม่มีคุณค่าให้เรากลับไปเล่นซ้ำ เพราะเราจะรู้ทุกว่าต้องซ่อมยังไง ความรู้สึกหลังเล่น เป็นเกมที่ภาพสวย และเพลงฟังสบายอีกเกมหนึ่ง เนื้อเรื่องก็เล่ามาได้ดีพอสมควร แถม Gameplay ก็เล่นง่าย แต่เสียดายที่เกมมันสั้นมากกกกกกกกกกก สั้นจนรู้สึกว่าไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปเลย ถ้าเกมนี้ยาวขึ้นอีกสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย สรุป Assemble with Care เป็นเกมที่เนื้อเรื่องดี ภาพสวย เพลงฟังสบาย แถม Gameplay ก็เล่นง่าย เหมาะกับผู้เล่นสาย Casual แต่เสียดายที่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว เกมนี้ใช้เวลาจบไวไปหน่อย ทำให้รู้สึกไม่ค่อยคุ้มราคาที่จ่ายไป Link : https://store.steampowered.com/app/1202900/Assemble_with_Care/ [penci_review id="48044"]
30 Mar 2020
รีวิว Doom Eternal บัลเล่ต์แห่งความตาย ศิลปะแห่งการทำลายล้าง
หมายเหตุ : บทความรีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นหลังจากใช้เวลาเล่น Doom Eternal ระบบพีซีนับตั้งแต่วันวางจำหน่ายจนถึงปลายทางด้วยเวลา 27 ชั่วโมง เก็บ Secret และ Challenge จนครบที่ความยากระดับ Hurt Me Plenty (Normal) หมายเหตุ 2 : เกมนี้มีความไวของ Frame Rates ที่สูงมาก ผู้ที่มีประวัติอาการ Motion Sickness กับเกมแนว FPS ควรเล่นด้วยความระมัดระวัง *********************************************************************************************************** ถ้าหากนับตามอายุขัยแล้ว เกมประเภทเดินหน้ายิงหรือ First Person Shooting (FPS) ก็มีขวบปีที่จะย่างใกล้สามสิบเข้าไปทุกขณะ มันคือหนึ่งในแนวเกมที่ยืนยงคงกระพันนับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกของมันผ่านงานจากทีม id Software เช่น Wolfenstein 3D ในปี 1992 และผ่านการเติบโต วิวัฒน์พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานเข้ากับแนวอื่นๆ จนเป็นภาพจำที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และชื่อของ ‘Doom’ ก็เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ยังได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ … ด้วยบทแอ็คชันอันรวดเร็วสุดระห่ำ เทคโนโลยีด้านภาพที่ล้ำยุค (ในช่วงเวลานั้น) เพียงแค่สององค์ประกอบ ก็ทำให้มันติดลมบนจนเป็นที่กล่าวขาน และก้าวเข้าสู่สถานะของความเป็น ‘ตำนาน’ แห่งเกม FPS ที่แม้แต่คนที่เกิดไม่ทัน ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ หรือรับรู้การดำรงอยู่ของมันกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (แถมลงมันทุกระบบตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด จนถึงแพลทฟอร์มขนาดพกพาอย่าง Game Boy Advanced และ Nintendo Switch หรือแม้แต่ดัดแปลง Homebrew ไปเล่นบนเครื่องคิดเลขดิจิตอล!) แน่นอนว่ามันเคยพลาดพลั้งผิดจังหวะกันไปบ้าง กับผลงานอย่าง Doom 3 ในปี 2004 ที่ทางผู้พัฒนาคิดลองของให้มันเป็นเกมสยองเปิดไฟฉาย (แต่ก็ยังประสบความสำเร็จในยอดขายและเสียงวิจารณ์) และห่างหายไปจากแวดวงเป็นเวลาเกือบสิบสองปี ก่อนที่ ‘Doom’ จะกลับมาอีกครั้งในปี 2016 และสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ เมื่อมันกลับสู่รากเหง้าที่แท้จริงของความคลาสสิคสุดระห่ำ ตอกย้ำความเหนือชั้นด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เพิ่มเติมด้วยเทคนิคและลูกเล่นแบบที่เกมยุคสมัยโมเดิร์นพึงมีและพึงเป็น จากวันนั้น สี่ปีผ่านไป (และผ่านการเลื่อนการวางจำหน่ายไปหนึ่งรอบ) Doom Eternal คือการต่อยอดในแนวทางที่แผ้วถางเอาไว้ก่อนหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่ง เมื่อความระห่ำนั้นถูกทวีคูณขึ้นอีกสามเท่า เสริมรสแต่งแต้มสีสันด้วยเทคโนโลยี การบอกเล่าเนื้อหา ดนตรีประกอบ งานศิลป์ และเกมการเล่นอันสุดเร้าใจ เป็น ‘บัลเล่ต์แห่งความตาย’ ที่ราวกับจะเป็นการยืนหนึ่งอย่างท้าทาย ว่าในท้ายที่สุด ซีรีส์นี้ก็พร้อมจะทวงถามที่ทางของมันบนบัลลังก์แห่งราชาเหนือเกม FPS ทั้งปวง ดังที่มันเคยเป็น และจะยังคงเป็นโดยตลอดมา Doom Eternal สานต่อเรื่องราวจากภาคปี 2016 เมื่อกองทัพจากนรกรุกรานโลก เข่นฆ่าประชากรไปกว่าครึ่ง และเปลี่ยนพื้นพิภพให้เดือดไปด้วยไฟประลัยกัลป์ และเป็นอีกครั้ง ที่ ‘Doom Slayer’ ผู้พิฆาต จะต้องออกมากอบกู้วิกฤติครั้งนี้ ในการเดินทางผจญภัยที่ไม่เพียงแต่จะพาเขาไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุด แต่ยังไต่ขึ้นสู่บันไดแห่งสวรรค์ที่สูงที่สุด ท้าทายการคงอยู่ของสามโลกที่จะสั่นคลอนความเป็นไปของทุกสิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเบื้องต้น ต้องชื่นชมทีมเขียนบทของ id Software เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะสานต่อเนื้อหาที่รจนาเอาไว้จากภาค 2016 ได้อย่างละเมียดละไม แต่ยังมาพร้อมการนำเสนอผ่านคัทซีน ปูมบันทึก และการเรียงลำดับเรื่องราวได้อย่างหมดจด มันคือการขยายขอบเขตของการบอกเล่าที่ไปได้ไกลกว่า ที่จะพาผู้เล่นไปพบกับโลกที่ถูกเผาผลาญด้วยกองทัพปิศาจ, ขุมนรกที่ลึกที่สุด และสวรรค์ชั้นที่สูงที่สุด พร้อมผสมผสานพื้นหลังที่มาที่ไปของ Doom Slayer ให้มีมิติและมีความ ‘กลม’ ในฐานะตัวละครหลัก ที่เชื่อมโยงกับเกมภาคก่อนๆ อย่าง Doom, Doom 2 และ Doom 64 ให้มากขึ้นกว่าเดิม มันคือปกรณัมแห่งสามโลก เป็นการตีความสงครามนรกสวรรค์ในแบบใหม่ และอาจจะเป็นหนึ่งในเกมซีรีส์ Doom ที่มีเนื้อเรื่องที่เฉียบคมที่สุดเท่าที่มันเคยสร้างมาในตลอดระยะเวลาเกือบสามสิบปีเลยก็เป็นได้ พร้อมกันนั้น มันยังมีความ ‘ยั่วล้อ’ ตัวเองในแบบที่ไม่ซีเรียส ด้วยการยัดไส้ Easter Egg และ Reference จาก Doom ภาคเก่าก่อนและเกมของ id Software อันหลากหลาย ประหนึ่งว่าจะทำลายเส้นแบ่งระหว่างความจริงจังและความไม่เอาสาระ ที่ทำออกมาได้อย่างเรียบเนียน และน่ารักหยิกแกมหยอกอยู่ไม่น้อย แต่ก็เช่นเดียวกับ Doom ในทุกภาค การดำรงอยู่ของเนื้อหาอาจจะไม่ใช่สาระสำคัญเมื่อเทียบกับเกมการเล่น (ซึ่งผู้เล่นอาจจะไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำว่ามันจะถูกบอกเล่าออกมาอย่างไรตราบเท่าที่มีกองทัพปิศาจออกมาให้ฆ่า ตัด เฉือน) และ Eternal ก็พร้อมจัดให้ ในความระห่ำที่มากยิ่งกว่าภาคเก่าก่อน บอกลาได้เลยกับการสู้รบในพื้นที่ปิดแบบครั้งต่อครั้ง เพราะทุกการปะทะ มันคือความเดือดของการฆ่าและการทำลายล้าง ที่เหล่าปิศาจได้ขนกองทัพแทบจะหมดนรกมาเพื่อบดขยี้ Doom Slayer รอบทิศทางอย่างไม่มียั้ง (ซึ่งทำให้เกมโหดขึ้นกว่าภาคที่แล้วอีกสามเท่า...) ผ่านงานออกแบบ Level Design ที่เพิ่มพื้นที่สนามแห่งการสังหารให้มีมิติและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น มี Secret และลูกเล่นมากขึ้น และเริ่มต้นอย่างเร้าใจนับตั้งแต่ฉากแรกจนถึงฉากสุดท้าย เหล่านี้ ถูกเสริมความสะใจไปด้วยดนตรีเมทัลระดับจัดหนักโดยฝีมือของ Mick Gordon ประพันธกรมือเอกคู่บุญของค่าย ที่จะทำให้อะดรีนาลีนของผู้เล่นถูกสูบฉีดจนถึงขีดสุดในทุกการปะทะ เป็นโมเมนตัมของมหกรรมการเข่นฆ่าที่แทบไม่ทำให้ผู้เล่นได้หยุดพักหายใจ และมากยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา พร้อมกันนั้น ในความคลาสสิคของการปะทะที่เร้าใจ มันก็ยังไม่ลืมหัวใจของเกมแบบโมเดิร์น ด้วยลูกเล่นของการอัพเกรดอาวุธ ความสามารถ และท่วงท่าของ Doom Slayer ผ่านไอเทมที่มีให้เลือกเก็บและ Challenge ให้เลือกทำ ทุกอาวุธต่างมีโหมดที่สองเพื่อตอบสนองต่อการประหัตประหารได้ตามสถานการณ์ ไม่มีอีกแล้วกับอาวุธที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว เพราะศัตรูที่แตกต่าง ย่อมต้องการอุปกรณ์ในการสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่ทุกอาวุธต่างมีอรรถประโยชน์ใช้สอย แน่นอนว่ามันอาจจะชวนให้สับสนในเบื้องแรก ที่ต้องคอยสับเปลี่ยนมันอยู่บ่อยครั้ง (ท่ามกลางสนามแห่งการฆ่าที่ทุกวินาทีนั้นมีค่า และการเคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่งอาจหมายถึงการอยู่รอดหรือความตาย) แต่ความแข็งแกร่งจากการอัพเกรดตามเวลาและการสร้างความคุ้นเคยจะเกิดขึ้นตามมา จนกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เองโดยธรรมชาติ ที่จะช่วยให้การเล่นนั้นสนุกขึ้น สะใจมากยิ่งขึ้น และต่อเนื่องไร้รอยสะดุด อันเป็นจุดขายที่ซีรีส์ Doom ภาคคลาสสิคนั้นเคยเป็น และถูกนำมาต่อยอดได้อย่างเหนือชั้นในภาค Eternal ไม่มีครั้งไหนที่ผู้เล่นจะรู้สึกทรงพลัง ไร้เทียมทานฆ่าไม่ตาย ประหนึ่งความหายนะเดินได้ที่เหล่าปิศาจทั้งหลายจะต้องหลาบจำและหวาดกลัวเท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว ในด้านเทคโนโลยี Eternal ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแห่ง id Tech 7 ตัวใหม่ล่าสุดที่ได้รับการปรับปรุงจากตัวก่อนหน้า มันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในแง่ของการแสดงผลและการแปรเปลี่ยนงานศิลป์แห่งนรกและการเข่นฆ่าให้สุดยอดอลังการ ด้วยความละเอียดที่สูงขึ้น เหล่าปิศาจต่อฉากที่มากขึ้น และเอฟเฟกต์แสงสีที่ดีขึ้น โดยที่ไม่กระเทือนต่อ Performance ทรัพยากรเครื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมือได้จากทีมงานสาย id Software ผู้ก้าวล้ำนำหน้าด้านเทคโนโลยีอยู่เสมอ และเชื่อว่าเอนจิ้นตัวล่าสุด อาจจะกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้พัฒนารายอื่นๆ ให้ได้นำไปต่อยอดกันต่อไปในเวลาภายภาคหน้า กระนั้นแล้ว ใช่ว่า Eternal จะไม่มีจุดบกพร่องใดๆ ให้เห็น แน่นอนว่ามันยังเป็นสนามแห่งการฆ่าอันสุดเร้าใจ แต่ช่วง Downtime ที่ถูกแทรกด้วยปริศนากระโดดแบบ Platforming ที่มากขึ้นนั้นก็ดูน่าขัดใจและประดักประเดิดจนเกินกว่าความจำเป็น (และหลายครั้ง ยากในระดับที่ทำให้หัวอุ่นๆ กันพอประมาณ…) , Hub ศูนย์กลางอย่าง Doom Fortress ที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเห็นจริงในเชิงรูปธรรม (ซึ่งอาจจะต้องรอ DLC เนื้อหาที่จะตามมา…) , ปัญหาบั๊กส์และเชิงเทคนิคตั้งแต่เล็กๆ ไปจนถึงระดับถีบออกจากเกมและร้ายแรงอย่างไฟล์เซฟพัง (ที่เกิดน้อยมาก แต่อันตรายขั้นสุด...) ที่รอคอยการแก้ไขด้วยแพทช์ ไปจนถึงโหมดผู้เล่นหลายคนอย่าง Battlemode ที่ทำออกมาได้อย่างไม่สมดุลและแทบจะกลายเป็นอาณาเขตแดนร้างปราศจากผู้เล่นไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทาง id Software จะนำโหมด Arena แบบดั้งเดิมกลับมาหรือไม่ ก็คงได้แต่หวังกันไป…) แต่โดยสรุป แม้จะมีข้อเสียที่ชวนให้ขัดใจ แต่ Doom Eternal ก็คือสิ่งที่ตอกย้ำความอยู่มือและความไม่เป็นสองรองใครของทีม id Software ผู้ให้กำเนิดเกมแนว First Person Shooting ที่ปรับตัวตามยุคสมัย โดยที่ไม่ลืมซึ่งแก่นหลักและหัวใจที่ทำให้ซีรีส์ Doom นั้นยืนยงคงกระพันมาอย่างยาวนาน ที่มีแต่จะมากขึ้น ระห่ำขึ้น และเดือดขึ้นอย่างที่เกมแนวเดียวกันยุคสมัยใหม่ได้แต่มองด้วยความตกตะลึง ทึ่ง และอึ้งว่าสิ่งเก่าเหล่านี้จะสามารถวิวัฒน์ให้มายืนหยัดได้อย่างองอาจและท้าทายได้อย่างไม่เกรงกลัวใคร มันคือการเข่นฆ่าที่งดงามราวกับฟลอร์ของบัลเล่ต์แห่งความตาย และเท่ไปด้วยสไตล์ที่เปลี่ยนการทำลายล้างให้กลายเป็นงานศิลปะ ที่มีแต่ id Software เท่านั้นที่จะกล้า และสามารถทำได้ เฉกเช่นเดียวกับภารกิจของ Doom Slayer ผู้ยอมปวารณาตน ดำดิ่งไปสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุด และไต่บันไดสวรรค์ที่สูงที่สุด เพื่อหยุดยั้งและทำลายกองทัพปิศาจ ล้างบางเหล่าเทวฑูต และปกป้องมนุษยชาติอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีหยุด และไม่คำนึงถึงปลายทางใดๆ... และ Doom Eternalจะทำให้ชื่อของ Doom ยังคงสถิตอยู่ในใจของนักเล่น และแวดวงวิดีโอเกมในเวลาถัดจากนี้ต่อไป….ชั่วนิรันดร์ [penci_review id="47573"]
27 Mar 2020
รีวิวเกม Legend of Keepers: Career of a Dungeon Master "ตามติดชีวิตผู้ควบคุมดันเจี้ยน"
“ดันเจี้ยน” สถานที่แสนลึกลับที่มีทั้งมอนเตอร์ กับดัก และอันตรายมากมาย และในส่วนลึกของมัน ว่ากันว่ามีสมบัติล่ำค่าที่ยากจะประเมินค่าได้เก็บซ่อนอยู่ เพราะเหตุนี้เหล่านักผจญภัยทั้งหลายก็พร้อมที่จะลองท้าทายและเสี่ยงชีวิตเพื่อสมบัติเหล่านั้น แต่หารู้ไม่ในดันเจี้ยนทั้งหลายอาจจะมีใครจับตามองและควบคุมอยู่ก็เป็นได้ วันนี้ GameFever TH จะพามารู้จักกับเกมที่จะให้เรารับบทเป็นผู้ควบคุมดันเจี้ยนที่แสนลึกลับ และพร้อมที่จะจัดการผู้บุกรุกทุกคนที่เข้ามาท้าทายดันเจี้ยนของเรา กับเกมที่มีชื่อว่า “Legend of Keepers: Career of a Dungeon Master” เนื้อเรื่องและบรรยากาศ เกมนี้เป็นเกมแนว Dungeon Management (บริหารดันเจี้ยน) ผสม Roguelite เราจะได้รับบทเป็นผู้ควบคุมดันเจี้ยนมือใหม่ที่พึ่งเข้าทำงานในบริษัท Dungeons Company และได้ถูกส่งไปคุมดันเจี้ยนที่พึ่งสร้างเสร็จแห่งหนึ่ง (อารมณ์ประมาณบริษัทแม่ส่งผู้จัดการไปดูแลสาขาใหม่นั้นล่ะ) แถมสั่งไว้ว่าสมบัติในดันเจี้ยนนี้มีค่าต่อบริษัทมาก ห้ามให้มีผู้บุกรุกเอาไปได้เด็ดขาด ไม่งั้นโดนไล่ออก เกมนี้เป็นอีกเกมหนึ่งที่เล่าเรื่องของฝั่งตัวร้าย แทนที่จะเล่าเรื่องของฝั่งนักผจญภัยแบบทั่วไป ทำให้เราได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งว่าฝั่งผู้ควบคุมดันเจี้ยนก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเหมือนกัน แต่ถึงยังไงก็ตาม เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มีแค่ให้ไม่ให้โลกของเกมนี้ดูว่างเปล่า ดูมีเรื่องราวเฉยๆ  ส่วนเรื่องภาพและบรรยากาศ ถือว่าทำออกมาได้ดูลึกลับ และดูอันตรายสมกับเป็นดันเจี้ยนดี ทั้งตัวมอนเตอร์ กับดัก บอส และนักผจญภัย แถมเอฟเฟคแสงสีก็ดูอลังการ แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป ถึงเกมนี้จะใช้ภาพแบบ Pixel art ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศเกมดูดรอปลงแต่อย่างใด (ออกมาดูดีด้วยซ้ำ // ถูกใจผู้เขียนยิ่งนัก 555+) ระบบเกมและภาพรวม ก่อนเริ่มเล่น จะให้เราเลือกตัวละครบอสประจำดันเจี้ยนก่อน (ตอนนี้มีแค่ 2 ตัว) ซึ่งแต่ละตัว ก็จะมีค่าความสามารถและมอนเตอร์/กับดักเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เราสามารถอัพสกิลให้บอสก่อนที่จะเริ่มเกมได้ (เลเวลอัพจะได้แต้มมาอัพสกิล)  และเราสามารถปรับแต่งความยากง่ายในส่วนต่างๆของเกมได้ตามใจด้วย เช่น หาเงินง่ายขึ้น ผู้บุกรุกเก่งขึ้นเป็นต้น ซึ่งยิ่งปรับให้ยาก ค่าประสบการณ์หลังจบเกมก็จะมากขึ้นไปด้วย (คาดว่าจะมีระบบ Rank ตามมาที่หลัง // มีลิ้งค์กับ twitch ด้วย) มาพูดถึงเกมการเล่นกันดีกว่า ก่อนที่จะเข้าไปควบคุมดันเจี้ยนนั้นจะมีตารางอีเว้นท์ประจำสัปดาห์อยู่ จะมีอีเว้นท์หลายอย่างให้ทำ เช่นฝึกมอนเตอร์ อัพเกรดกับดัก ซื้อของ ฯลฯ (มันเยอะมาก มีประมาณ 10 กว่าแบบ) แต่ละสัปดาห์เราจะเลือกทำได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น เพราะงั้นเราต้องคิดให้ดี ก่อนจะเลือกทำอะไร ให้เกิดประโยชน์สุดสูง ในทุกๆ 4 สัปดาห์ (ก็ 1 เดือนนั้นล่ะ) จะมีผู้บุกรุกเข้ามาในดันเจี้ยนของเรา เราสามารถเลือกได้ว่าจะป้องกันผู้บุกรุกกลุ่มไหน  ผู้บุกรุกจะมีอยู่ 3 ระดับ (1 - 3 ดาว) ยิ่งระดับสูง ผู้บุกรุกก็ยิ่งเก่ง แต่ถ้าปราบได้รางวัลที่จะได้ก็มากขึ้นเช่นกัน และที่สำคัญดูให้ดีๆว่าผู้บุกรุกมาในดันเจี้ยนแบบไหนด้วย จะรู้ได้จากภาพด้านหลังในกรอบ เพราะแต่ละดันเจี้ยนก็มีผลต่อการวางแผนของเราเช่นกัน เมื่อเลือกว่าจะป้องกันดันเจี้ยนที่ไหนได้แล้ว จะมีให้เรา Set up มอนเตอร์และกับดักที่จะใช้ วางแผนจัดเตรียมคอมโบให้พร้อมก่อนที่จะลุย จากนั้นเกมจะให้เราการวางแนวป้องกัน โดยในดันเจี้ยนจะแบ่งออกเป็นห้องๆ มีอยู่หลักๆ 5 แบบ มีหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละรอบจะสุ่มลำดับห้อง (ยกเว้นห้องบอสที่อยู่ในสุด) ทำให้แต่ละรอบก็ต้องวางแผนจัดการให้ดีให้ดี ห้องแบบที่ 1 - ห้องกับดัก (รูปกับดักหมี) เราสามารถติดตั้งกับดัก เพื่อเล่นงานผู้บุกรุกได้ วางได้อย่างมาก 1 ชิ้นต่อห้องเท่านั้น ห้องแบบที่ 2 - ห้องมอนเตอร์ (รูปหัวกระโหลก 3 หัว) เราสามารถนำมอนเตอร์มาจัดแนวป้องกัน และต่อสู้ในห้องนี้ได้ วางมอนเตอร์ได้อย่างมาก 3 ตัวต่อห้อง (มีอย่างน้อย 2 ห้อง) (ตำแหน่งในการวางมีผลตอนต่อสู้ด้วย) ห้องแบบที่ 3 - ห้องเวทมนต์ (รูปลูกแก้ว) เราสามารถให้บอสของดันเจี้ยนร่ายเวทมนต์โจมตีผู้บุกรุกหรือบัพให้ดันเจี้ยนได้ ห้องแบบที่ 4 - ห้องภัยพิบัติ (รูปหอคอย) เราสามารถสร้างภัยพิบัติเล่นงานผู้บุกรุกได้ ซึ่งภัยพิบัติจะเปลื่ยนไปตามสถานที่ของดันเจี้ยน  และห้องแบบที่ 5 - ห้องบอส จะอยู่ในสุดของดันเจี้ยน เราสามารถใช้บอสโจมตีผู้บุกรุกได้ และเพราะบอสเป็นหัวใจของดันเจี้ยน ถ้าบอสตายก็จบเกมทันที พอวางแนวป้องกันเสร็จก็เข้าช่วงต่อสู้  ซึ่งเราสามารถจัดการผู้บุกรุกได้ 2 วิธี ฆ่าผู้บุกรุก โดยการโจมตีร่างกาย ทำให้เลือดผู้บุกรุกหมด (หลอดสีแดง)  ผู้บุกรุก และมอนเตอร์ จะมีการโจมตีธาตุและการแพ้ทางธาตุที่แตกต่างกัน โดยจะมีอยู่ทั้งหมด 5 ธาตุด้วยกัน (ไฟ น้ำแข็ง กายภาพ ธรรมชาติ อากาศ)  ทำให้หวาดกลัวจนหนีไป โดยการโจมตีจิตใจ ทำให้ค่ากำลังใจผู้บุกรุกหมด (หลอดสีม่วง)  การโจมตีจิตใจจะไม่มีการแพ้ทาง แต่จะเบามากถ้าเทียบกับการโจมตีร่างกายของผู้บุกรุก เมื่อจัดการกับผู้บุกรุกได้สำเร็จ เราจะได้รับเงิน และค่าเลือด(สีแดง)/ค่าความกลัว(สีน้ำเงิน) (ตามวิธีที่เราใช้จัดการผู้บุกรุก)  สำหรับการใช้จ่ายอัพเกรดดันเจี้ยน และเลือกของรางวัลเพิ่มเติมได้อีก 1 ชิ้น และก่อนที่จะขึ้นสัปดาห์ต่อไป จะมีขึ้นแจ้งเตือนว่า มอนเตอร์ที่เราใช้งานไปค่าความเหนื่อยล้าเหลือเท่าไร (จะลดเมื่อมอนเตอร์ตัวนั้นตายในดันเจี้ยน) ถ้าค่าความเหนื่อยล้าหมด เราก็จะไม่สามารถใช้มอนเตอร์ตัวนั้นได้อีกพักใหญ่เลย เกมจะเป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนว่าเราจะแพ้ หรือครบ 104 สัปดาห์ (2 ปีในโหมดธรรมดา) หลังแพ้ก็จะมีสรุปคะแนนให้ พูดถึงข้อเสียกันดีกว่า ถึงเกมจะมีรายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด แต่ก็ยังมีมอนเตอร์ กับดัก สถานที่ และผู้บุกรุกที่น้อยเกินไป เราจะได้เห็นอยู่ไม่กี่แบบ วนๆซ้ำๆ และยังมีบัคเล็กๆน้อยๆเต็มไปหมด (ไม่ร้ายแรง แค่เจอบ่อย) แต่เพราะเกมนี้ยังอยู่ในช่วง early access จึงต้องรอการอัพเดทเนื้อหาใหม่ๆ และแก้บัคกันไปก่อน ความรู้สึกหลังเล่น เป็นอีกหนึ่งเกมที่ผมถูกล่อซื้อด้วยงานภาพอีกแล้ว (ก็ Pixel art มันสวยอ่ะ 55555+) ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นเกม early access คงไม่มีอะไรมาก แต่ได้เล่นแล้วก็รู้ว่าเกมนี้รายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด (ถึงมอนเตอร์ กับดัก สถานที่จะน้อยก็ตาม) ทั้งการแพ้/ชนะธาตุ โจมตีด้านจิตใจ เผ่าของมอนเตอร์ ฯลฯ จนต้องมาคิดอีกทีว่านี่เกม early access จริงๆเหรอ  แต่สำหรับตัวผมเองก็บอกได้ว่าเป็นอีกเกมนึงที่ต้องนั่งคิดแล้วคิดอีกว่าจะจัดการผู้บุกรุกยังไง และตั้งหน้าตั้งตารอการอัพเดทเกมครั้งต่อไปอย่างแน่นอน สรุป Legend of Keepers: Career of a Dungeon Master เป็นเกม early access ที่มีภาพ Pixel artที่สวยงาม แต่Gameplayมีรายละเอียดเยอะมาก เลยอาจจะใช้เวลาทำความเข้าใจสักพัก ไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมแนว Casual แต่ถ้าชอบเกมที่ต้องคิดเยอะ วางแผนจัดการ เกมนี้ก็ตอบโจทย์มากเลยทีเดียว  Link : https://store.steampowered.com/app/978520/Legend_of_Keepers_Career_of_a_Dungeon_Master/ [penci_review id="46627"]
24 Mar 2020
รีวิว Nioh 2 ภาคต่อของเกมสไตล์ Soul บนธีมของแดนปลาดิบ!
Nioh 2 เป็นเกม Action-Adventure สไตล์ Soul ใหม่จากทาง Koei Tecmo ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเกมจะได้ใช้ชื่อว่าเป็นภาคที่ 2 แต่ตัวเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเกมภาคแรกเลย ทำให้ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเล่นเกมภาคแรกมาก่อนเลย ก็คงจะสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุกสนานเช่นกัน และถึงแม้ว่า Nioh 2 จะเป็นเกมสไตล์ Soul ที่ทุกคนเข้าใจว่า "มันต้องเป็นเกมที่ยากอย่างแน่นอน" แต่บอกเลยว่าจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เล่นมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น Dark Souls 1-3, Bloodborne, หรือ Sekiro เกมนี้ ยากกว่ามาก ครับ เอาล่ะอารัมภบทมามากพอแล้ว เกมนี้สนุกตรงไหน มีดียังไงบ้างไปดูกันเลยครับ! ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องจะกล่าวถึง Hide ผู้เป็นครึ่ง Yokai ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ในป่า ช่วงยุค Sengoku (1232 – 1603) โดยอยู่มาวันหนึ่งช่วงกลางดึก เขาก็ได้ยินเสียงคนมาขอให้ช่วย และกำลังทุบประตูบ้านของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย Hide เปิดประตูออกมาแล้วพบว่า ชายคนที่มาขอให้ช่วยนั้นโดน Yokai ไล่ตามมา Hide จึงได้ฟัน Yokai ตัวนั้นจนหัวขาด แต่ชาวบ้านคนที่มาขอให้ช่วย ดันไปเห็นสีตาที่เปลี่ยนไปของเขา จึงเกิดความกลัว และหนีไปในที่สุด Hide ปิดประตู้บ้าน หันหลังเพื่อที่จะกลับไปนอนอีกครั้ง แต่เขาก็พบกับจดหมายปริศนาที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ในบ้านของเขาได้อย่างไร จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Hide ต้องออกเดินทางไปยังจุดนัดพบที่ในจดหมายเขียนไว้ เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่ส่งจดหมายฉบับนี้มาให้เขา แต่หลังจากมาถึงหมู่บ้านที่เป็นจุดนัดพบ Hide ก็พบว่าเหล่า Yokai และโจรจำนวนมากได้ยึดหมู่บ้านนี้ไปแล้ว Hide ฝ่าฟันเหล่า Yokai และโจรจำนวนมาก จนสามารถเดินทางไปยังจุดนัดพบได้ แต่แทนที่จะได้พบกับคนที่ส่งจดหมายมาให้เขา Hide กลับพบกับปีศาจหัวม้าตัวใหญ่มากแทน เจ้าปีศาจตัวนี้พอเห็นการมาของ Hide มันก็เริ่มโจมตีเขาทันที ถึงจะใช้เวลาอยู่นาน แต่เขาก็สามารถปราบปีศาจม้าลงได้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องใช้พลัง Yokai ที่มีอยู่ในร้างด้วยเช่นกัน ซึ่งหลังจากที่ปราบปีศาจม้าได้ Hide กลับไม่สามารถควบคุมพลัง Yokai ของตนได้ ส่งผลให้เขาเริ่มเกิดอาการคลุ้มคลั่ง และอาละวาดเหมือนกับเหล่า Yokai ที่ขาดสติ โชคดีที่ Tokichiro ชายผู้ที่เป็นคนวางจดหมายปริศนาไว้ในบ้านของ Hide โผล่ออกมา และได้ใช้พลังของหิน Amrita ช่วยสยบพลัง Yokai ในตัวของ Hide จนส่งผลให้เขาคืนสติอีกครั้ง หลังจากนั้น Tokichiro ก็ได้ชวน Hide ให้เข้าร่วมกับเขา เพื่อทำตามความฝั่นที่สักวันจะได้เป็นใหญ่เป็นโต การเดินทางของ Hide และ Tokichiro จึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนี้ เนื้อเรื่องของเกมนี้จะไม่ได้เล่าแบบต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่จะมาในลักษณะ Dialog ก่อนเริ่มด่าน และใช้ฉาก Cinematic ตอนจบด่านในการเล่าเรื่องมากกว่า โดยส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของเกมนี้จะเป็นในลักษณะว่า Tokichiro ทราบข่าว หรือไม่ก็ได้รับภารกิจมาจากเหล่าผู้ใหญ่ เกี่ยวกับ Yokai จากนั้นก็เป็น Hide ที่ต้องไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสืบสวน หรือไม่ก็แก้ไขสถานการณ์เกี่ยวกับ Yokai ในเกม Nioh 2 นั้นมีการอ้างอิงบุคคลสำคัญทางประวัติศาตร์ของญี่ปุ่นมากมาย และให้พวกเขาเหล่านั้นมีบทบาทในเกมด้วย โดยต้องยอมรับว่าการทำแบบนี้ช่วยสร้างความรู้สึกร่วม ทั้งยังเพิ่มอรรถรสให้กับตัวเกมเป็นอย่างดีด้วยในเวลาเดียวกัน อีกทั้งปีศาจต่างๆ ที่เราได้เจอในเกม ก็ล่วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตำนานของประเทศญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ปีศาจวัว, ปีศาจงู หรือจิ้งจอกเก้าหาง ซึ่งถ้าใครทำเป็นคนชื่นชอบวัฒนธรรมของแดนปลาดิบอยู่แล้ว คงจะรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องของเกมนี้ได้ไม่ยากครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Nioh 2 นั้นเป็นเกมที่มีธีมของเกมเป็น ประเทศญี่ปุ่นในยุคสงคราม ซึ่งเรียกได้ว่ามันเข้ากับการต่อสู้กับเหล่า Yokai ที่ส่วนใหญ่จะเป็นปิศาจในตำนานโบราณ หรือนิทานปรัมปราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการเซ็ตติ้งของเกมไว้ให้อยู่ในยุคโบราณ ยังเป็นการชูความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นออกมาได้มากที่สุดอีกด้วย คงเรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวเป็นอย่างมาก ต้องคารวะคนที่คิด Concept ของเกมจริงๆ ครับ ในเรื่องของกราฟิก ก็คงต้องยอมรับว่า Nioh 2 นั้นเป็นเกมที่ภาพสวยมากเกมหนึ่งเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นโมเดลของปีศาจต่างๆ , ชุดเกราะของเหล่านักรบกับโรนิง ฉากในเกม, รวมไปจนถึงท่าทางการเคลื่อนไหวของตัวละคร ก็ล้วนแล้วแต่เก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น ด้วยความที่ Nioh 2 นั้นเป็นเกมที่ถูกระบุว่าเป็นเกมสไตล์ Soul ไม่ต้องพูดก็คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าเกมนี้จะมีความยากที่สูง อีกทั้งเกมนี้มี Action Speed ที่สูงกว่า Dark Soul อยู่มาก ดังนั้นอาจพูดได้ว่าเกมนี้มีความยากมากกว่า Dark Soul ซะอีกในเรื่องของการต่อสู้กับศัตรู ถ้าว่าหากเล่นแบบประมาทมากเกินไป หรือโลภมากเกินไป ก็สามารถตายได้ง่ายๆ เลย แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่าความยากของเกม มันก็เป็นเสน่ห์ของเกมเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลว่าเกมมันยาก ถึงทำให้ผู้เล่นรู้สึกอยากจะพยายามเพื่อเอาชนะให้ได้, ด้วยความที่เกมมันท้าทาย ถึงทำให้รู้สึกยินดีมากๆ ทุกครั้งที่เอาชนะได้นั้นเอง Nioh 2 เป็นเกมที่ออกแบบมาให้เล่นเป็น Mission ซึ่งในจุดนี้เป็นอะไรที่ผู้เขียนรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากสามารถทำเกมออกมาให้เป็นแบบ Open World ได้เลย คิดว่าคงจะทำให้เกมดูน่าสนใจกว่านี้มาก แต่เพราะว่าเป็นเกมที่เล่นเป็นแบบ Mission นี้แหละ เลยทำให้เครื่อง PS4 ไม่ต้องรับภาระที่หนักเกินไป และสามารถแสดงผล FPS สูงๆ ได้แทน ซึ่งมันทำให้การเกมเพลย์ของ Nioh 2 ลื่นไหลเป็นอย่างมาก เรียกว่าเสียหนึ่งอย่างไป ก็เลยได้อีกอย่างมาทดแทนครับ หนึ่งในสิ่งที่พิเศษมาก ๆ เลยของเกมนี้ของอาวุธที่มีให้เลือกเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ดาบคาตานะเดี่ยว, คาตานะคู่, ดาบยาว, หอก, ขวานคู่, ขวานใหญ่, เคียวยักษ์, ธนู, ปืน, เคียวโซ้ คือเรียกได้ว่ามีอาวุธให้เล่นเยอะจริง ๆ และสกิลของอาวุธแต่ละชนิดก็ถูกแบ่งออกจากกันอีกด้วย ซึ่งแต้มสกิลของอาวุธแต่ละชนิด จะขึ้นจากการเล่นอาวุธชิ้นนั้นเพียงอย่างเดียว นั้นจึงหมายความว่าถ้าหากอยากจะเป็นเจ้าแห่งศาสตราเกมนี้แล้วละก็ จำเป็นต้องใช้เวลาเล่นที่นานมาก ๆ เลยครับ เกมนี้ใช้ระบบ Status ที่ต้องเลือกอัพด้วยตัวเองเหมือนกับเกมแนวนี้อื่น ๆ แต่ Nioh 2 มีระบบหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจมาก นั้นคือระบบที่บอกว่าถ้าหากสเตตัสของเราไม่ถึงที่ของชิ้นนั้นต้องการ เราจะไม่ได้รับโบนัสต่างๆ จากของที่สวมใส่เลย แปลให้เข้าใจง่ายๆ ว่ายังใส่เก่งๆ เพื่อรับค่า Def ที่มากกว่าได้ตามปกติ แต่พวกออฟชั่นเสริ่มต่างๆ ที่ทำให้ตีแรงขึ้น หรือใช้ Stamina น้อยลง ที่มากับชุดนั้นเราจะไม่ได้รับผลเลย ระบบนี้จึงทำให้ผู้เล่นมีตัวเลือกในการเล่นที่มากขึ้นสุดๆ เลยครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ Nioh 2 จะเป็นการเล่นแบบ Full Action ผู้เล่นสามารถควบคุมตัวละครของเราให้เดิน วิ่ง สำรวจได้อย่างอิสระ อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเกมนี้ไม่ได้เปิดโลกให้ผู้เล่นสามารถเดินไปไหนมาไหนได้เองทั้งหมดแบบ Open World แต่จะเป็นการเข้าไปเล่น หรือทำภารกิจในแต่ละด่าน แต่สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้าเพื่อทดแทน คือความลับมากมายที่มีอยู่ในแต่ละด่านครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มครองต่างๆ หรือหีบที่ซ้อนอยู่ จึงทำให้ในแต่ละด่านหากต้องการจะเก็บให้ครบ 100% จำเป็นต้องใช้เวลาเล่น และการสำรวจที่นานมากครับ การต่อสู้กับศัตรูในเกมนี้จะใช้ระบบทีคล้ายๆ กับเกม Sekiro คือแต่ละตัวจะมีหลอด Stamina อยู่ โดยในการกลิ้ง, ป้องกัน, หรือโจมตี ล่วนแล้วแต่ใช้ Stamina ทั้งสิ้น เมื่อหลอดดังกล่าวหมด ศัตรู หรือตัวละครเราจะอยู่ในสถานนะเหนื่อย หากอยู่ในสถานะเหนื่อยแล้วละก็จะสามารถใช้ท่าโจมตีปิดฉากที่มีความรุนแรงมากๆ ได้ ถึงแม้ว่าการโจมตีปิดฉากนั้นไม่ได้ทำให้ตายโดยทันที่ แต่ก็สร้างดาเมจที่รุนแรงมากๆ อยู่ดี การบริหาร Stamina ให้ดีจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากครับ ในเกมนี้ผู้เล่นจะสามารถใช้ท่ายืนในการโจมตีได้ 3 แบบคือจรดสูง, จรดกลาง และจรดต่ำ(อ้างอิงตามท่าของเคนโด้) ซึ่งในท่ายืนแต่ละท่าจะมีความสามารถแตกต่างกันไปเช่น จรดสูงจะเป็นท่ายืนที่มีการโจมตีรุนแรง ทั้งยังมีระยะทีไกลสามารถลด Stamina ของตัวที่โดนได้เยอะ ในขณะที่จรดต่ำจะมีความเร็วในการโจมตีที่สูง แต่ก็ต้องแลกมากับดาเมจที่เบาแทบจะลดหลอด Stamina ของศัตรูไม่ได้เลย ส่วนท่าจรดกลางจะมีดาเมจ ระยะ กับความเร็วปานปลาง ทั้ง 3 ท่ายืนสามารถสลับไปมาได้ตลอดเวลา ส่งผลให้การต่อสู้ของเกม Nioh 2 มีมิติที่กว้างมาก บอกเลยว่าตอนเล่นสนุกสุดๆ ครับ (สีแดงแสดงท่ายืนว่าตอนนี้อยู่ในท่าจรดสูง , สีเหลืองแสดงหลอด Stamina ของศัตรูที่หมดลง เลยทำให้โดนโจมตีปิดฉากได้) เกม Nioh 2 นั้นมีศัตรูอยู่ 2 ประเภทคือ Yokai กับคน ซึ่งวิธีการต่อสู้กับคน จะแตกต่างจาก Yokai อยู่นิดหน่อย ในเมื่อเราสามารถใช้ท่ายืนได้ 3 แบบ ศัตรูบางตัวก็สามารถใช้ท่ายืนได้ 3 แบบ เช่นเดียวกันดังนั้น จำเป็นต้องคำนวน Stamina กับสังเกตุท่าทายืนของอีกฝ่ายเวลาที่สู้กับคนให้ดี เช่นถ้าหากอีกฝ่ายอยู่ในท่าจรดสูงจะฟันได้ช้า ถ้าเราเข้าประชิดแล้วใช้ท่าจรดต่ำยังไงก็ฟันได้ก่อนแน่นอน เป็นต้น ในขณะที่การสู้กับ Yokai นั้นจะไม่ต้องระวังท่ายืนให้วุนวายเหมือนสู้กับคน แต่พวก Yokai จะมีการโจมตีที่ต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่ามาก ท่าโดนเข้าไปจังๆ ครั้งเดียวก็อาจจะตายได้เลย อีกทั้งท่าโจมตีใหญ่ๆ ของพวก Yokai จะสร้างพื้นที่ ซึ่งทำให้ Stamina ของเราขึ้นได้ช้าหากอยู่ในนั้นด้วย การดูตำแหน่งยืนของตัวเอง และระวังเรื่องระยะห่างให้ดี จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการสู้กับเหล่า Yokai โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า ผู้พัฒนาสามารถออกแบบ การต่อสู้ในเกมนี้ออกมาได้ดีมากครับ (รูปแรกแสดงถึงการโจมตีของ Yokai ที่รุงแรงมาก, รูปสอง และสามแสดงถึงการโจมตีของคนที่ถึงจะไม่แรง แต่มีหลากหลายกว่า) พูดถึงการต่อสู้กับศัตรูทั่วไปแล้ว มาพูดถึงการสู้กับบอสบ้างละกันครับ การสู้กับบอสในเกมนี้บอกเลยว่า อาจจะทำให้หัวร้อนได้มากกว่าเกมในตระกูล Dark Soul ซะอีก เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า Yokai เกมนี้จะมีการโจมตีที่ต่อเนื่อง บอสส่วนใหญ่ในเกมนี้ก็เป็น Yokai เช่นกัน และด้วยความที่เกมนี้มีค่า FPS ที่ค่อนข้างสูง ทั้งยังมีรูปแบบเกมเพลย์ที่เร็ว ทำให้การสู้กับบอสในเกมนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในบอสแต่ละตัวเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากว่าตัดสินใจหลบผิดวิธี และโดนการโจมตีทั้งชุดของบอสแล้วละก็ ตายได้ง่ายๆ เลยครับ แน่นอนว่าเหมือนเกมแนวนี้อื่นๆ Nioh 2 เองก็สามารถเล่นแบบ Co-Op ได้เช่นเดียวกัน โดยการเล่นแบบนี้จะช่วยให้เราสามารถผ่านด่านยากๆ ได้ ด้วยการให้คนอื่นเข้ามาช่วย อีกทั้งการเล่นแบบ Co-Op ในเกมที่มีความยากแบบนี้ ก็ทำให้สนุกไปอีกแบบด้วยเช่นกัน  อยากให้ลองนึกถึงภาพเวลาที่เรากับเพื่อน พยายามด้วยกันเป็นสิบๆ รอบเพื่อที่จะเอาชนะบอสยากมากๆ ตัวหนึ่งให้ได้ เพราะหลังจากชนะแล้วมันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆ เลยครับ ◊ สรุป ◊ Nioh 2 เป็นเกม Action-Adventure สไตล์ Soul ที่สร้างเกมเพลย์ได้สนุกมาก ยิ่งระบบต่อสู้ในเกมนี้คือดีสุดๆ แน่นอนว่าเกมมีความยากที่สูงมาก บางครั้งก็ชวนหัวร้อนอยู่เหมือนกัน เพราะเล่นเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที แต่ส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่า เพราะว่ามันยากเนี่ยแหละเกมมันเลยสนุก ส่วนข้อเสียของเกมนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรที่เป็นข้อเสียร้ายแรงอะไรเลย จะมีก็แค่รู้สึกว่าท่าทำออกมาเป็น Open World ไปเลย อาจจะทำให้เกมน่าสนใจได้มากกว่านี้เท่านั้นเอง แต่โดยรวมแล้วคงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Nioh 2 คือเกมที่คุณควรหามาเล่นให้ได้ครับ จากการที่เกมแทบจะไม่มีจุดไหนให้ตำหนิเลยเราจึงคิดว่า Nioh 2 ควรจะได้คะแนน 9 เต็ม 10 ไปเลย ส่วนเหตุผลที่ผู้เขียนยังไม่ได้คะแนนเกมนี้ถึง 10 เต็ม เป็นเพราะยังรู้สึกว่าเกมมันยังสามารถออกมาดีกว่านี้ได้อีก และความสนุกที่ได้จากเกมนี้เอง ก็อยู่ในระดับเดียวกับเกมต่างๆ ที่เราได้เคยให้ 9 คะแนนไว้ในอดีตด้วย จึงคิดว่า 9 คือตัวเลขที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับ Nioh 2 ครับ! ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="45803"]
18 Mar 2020
รีวิว Call of Duty: Warzone เกม Battle Royale สุดโหด ไม่เดือดจริงอยู่ไม่ได้
จุดเริ่มต้นกระแสเกมแนว Battle Royale ต้องย้อนกลับไปในช่วงราวๆ 4 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่ PUBG ยลโฉมให้เล่นกัน แม้จะไม่ใช่เกม Battle Royale เกมนี้ ( เกมแรกที่คนคุ้นเคยจริงๆ คือ ArmA 2: Battle Royale mod ) แต่ก็ทำให้ทั่วโลกต่างสนใจและเกิดเป็นกระแส Fever จนค่ายเกมหลายๆ เจ้าเริ่มทำเกมแนว Battle Royale เป็นของตัวเองกันบ้าง ล่าสุดทาง Infinity Ward ก็ไม่น้อยหน้าเอาเกม Call of Duty: Modern Warfare ภาคล่าสุดที่เป็นกระแสไม่ดีสุดๆ ก็แย่แบบสุดโต่งในแง่การเมืองระหว่างประเทศ เพราะสำหรับชาวตะวันตกถือว่าละเอียดอ่อนมาก จับมาเพิ่มโหมด Battle Royale ภายใต้ชื่อว่า Warzone ซึ่งเป็นโหมดที่แยก Standalone ออกมาจากตัวเกมหลักและเล่นฟรีไม่คิดเงิน แถมคนเข้ามาเล่นกันจนแน่นเซิร์ฟเวอร์ภายในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทาง GameFever TH ก็ได้เห็นความมันและอลังการงานสร้างของโหมดนี้แล้วก็ชักจะพิสูจน์แล้วว่ามันจะสนุกมากน้อยเพียงไหน เอาล่ะคงไม่ต้องสาธยายให้ยาวมาก ไปดูกันเลยดีกว่าว่าความรู้สึกหลังจากได้เล่นโหมด Warzone ร่วมๆ 15 ชั่วโมงแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง ================================================== Call of Duty กับภาพลักษณ์ Battle Royale สุดโหด ตั้งแต่เข้าดู Trailer จนกระทั่งเข้าเกมมา แน่นอนว่าตัวเกมจะบังคับให้เราเล่น Tutorial ซึ่งบอกเลยว่าสำคัญมาก ใครคิดจะ Skip คิดว่าเกมแนว Battle Royale มันก็เหมือนๆ กันหรือออกเข้าเกมใหม่หวังจะเล่นเกมไวๆ ล่ะก็ ตัวเกมไม่อนุญาตจนกว่าเรียนรู้ Tutorial อย่างเข้มข้มให้เรียบร้อย ถือว่าเป็น First Impression ที่ชอบนะ คือคุณอยากเล่น คุณก็ต้องเรียนรู้ ถ้าคุณไม่เรียนรู้ คุณก็จะกลายเป็นไก่ ขนาดตัวเองมีเกม Modern Warfare ตัวเต็มก็ยังไม่ละเว้นที่ต้องเรียนรู้ Tutorial ก่อน ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า Warzone น่ะมีอะไรที่แตกต่าง ถือว่าควรค่าแก่การยอมสละเวลาสักนิดเพื่อศึกษาระบบโลกของ Battle Royale เกมนี้ดีกว่าไปลงสนามแบบไม่รู้อะไรเลย ส่วนหน้า Interface ก็ไม่มีอะไรมาก ด้านซ้ายจะมีโหมดให้เลือกเล่นได้แก่ โหมด Battle Royale: เป็นโหมดที่เรากับผู้เล่นอีกสองคน ร่วมฝ่าฝันและสังหารผู้เล่นคนอื่นๆ จำนวน 150 คน เข้าลงสมรภูมิ Verdansk ดินแดนสมมุติของประเทศรัสเซีย ( แต่ในเกมจะใช้ชื่อประเทศแบบเลี่ยงๆ กันดราม่านั้นแหละ ) ภารกิจคือ หลบหนีเข้ามายังเซฟโซนที่มีแก๊ซพิษไล่หลังเราเรื่อยๆ และอยู่รอดจนเป็นคนสุดท้ายหรือทีมสุดท้าย เป็นโหมดที่เน้นทักษะการเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุดเพื่ออยู่รอดให้นานที่สุด โหมด Plunder: โหมดนี้จัดได้ว่าค่อนข้างแหวกแนวหน่อยๆ โดยเรากับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน โดดร่มลงพื้นที่ Verdansk แล้วทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เงินมาแล้วส่งเงินขึ้นเฮลิคอปเตอร์หรือบอลลูนฉุกเฉินแย่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ อีก 150 คน โดยเราสามารถตายและเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ ตลอดเวลา ทีมไหนที่ส่งเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์หรือมีเงินสะสมมากที่สุดในทีมก็จะเป็นผู้ชนะ ถือว่าเป็นโหมดที่เน้นเอาสะใจมากกว่าเอาตัวรอดแบบปกติ โหมด Pratice: เป็นโหมดฝึกซ้อม หากใครผ่าน Tutorial ครั้งแรก็สามารถกลับมาเล่นซ้ำเพื่อทบทวนและฝึกฝนได้ Squad Fill: เราสามารถเลือกที่จะเติมคนนอกเข้ามาร่วมทีมแบบอัตโนมัติหรือไม่ แต่หากใครที่ชอบ Solo หรือแกร่งกล้าพอก็สามารถปิด Squad Fill ได้เช่นกัน ส่วนด้านขวาก็จะเป็นเควสต์ที่เป็นเควสต์ประจำวันและภารกิจที่อยู่ตลอดจนกว่าเราจะทำเสร็จ ซึ่งก็มีการแจกอุปกรณ์ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนัก Loadout, อาวุธปืนและ Perk ที่มีความสำคัญกับผู้เล่น อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ ทั้งคนที่มีตัวเกม Call of Duty: Modern Warfare หรือยังไม่มีขอเล่นฟรีก่อน สำหรับ Loadout ผู้เล่นสามารถปรับแต่งปืนแล้วสร้างเป็น Loadout ของตัวเองได้ โดยมันจะถูกใช้ตอนเราเรียก Loadout Package ตอนเล่นและเมื่อเปิดกล่องก็จะเป็นการเรียก Loadout ที่เราเซ็ตไว้แต่แรก ( พูดง่ายๆ ก็คือเรียกกล่องลงมานั้นแหละแล้วจะได้อาวุธที่เราตั้งค่าไว้ ) โดยผู้เล่นที่มีตัวเกมจะได้เปรียบอยู่นิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่เล่นมานาน อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ก็ปลดล็อคเกือบหมดแล้วจึงสามารถปรับแต่งอะไรได้มากกว่าในช่วงนี้ แต่สำหรับผู้เล่นฟรีไม่ต้องกังวลเพราะเกมนี้อาวุธทุกกระบอกมีความสำคัญพอๆ กัน และปืนกระบอกเดิมๆ แบบไม่แต่งก็ยังมีความสามารถที่จะหยุดยั้งศัตรูได้มากพอหากมีฝีมือ และสิ่งที่สายฟรีต้องพยายามมากกว่าคนที่มีตัวเกมเต็มก็คือ เกม Call of Duty: Modern Warfare นอกจากมีระบบเลเวลผู้เล่นแล้ว ก็ยังมีระบบเลเวลของปืนด้วย ซึ่งการที่จะเพิ่มเลเวลของปืนใน Warzone ก็คือการเรียก Loadout Package เลือกอาวุธที่เราตั้งค่าไว้แล้วให้ไปไล่ยิงศัตรูหรือทำเควสต์ตามทางให้ได้ ซึ่งทุกเลเวลของปืนจะปลดล็อคอุปกรณ์เสริมเพิ่มความสามารถของตัวปืนให้อีกด้วย คนเล่นเกมแนว Battle Royale เป็นประจำจะเข้าใจจุดนี้ดี อีกทั้ง Perk ต่างๆ ที่เป็นสกิลส่วนตัวช่วยเสริมความสามารถของผู้เล่นจะปลดล็อคตามเลเวลของผู้เล่นเอง  แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม้จะปืนเดิมๆ แต่ก็แทบไม่ได้ส่งผลอะไรกับการสู้มากนักหากมีฝีมือมากพอ Operator ไม่ได้มีส่วนช่วยทำให้ผู้เล่นได้เปรียบ หลายคนอาจจะคิดว่า "เฮ้ย คนมีเกมตัวเต็ม ปลดล็อค Operator หลายตัวย่อมได้เปรียบกว่าสายฟรีแน่ๆ" แต่ขอให้คิดใหม่สักนิดเพราะทาง Infinity Ward ก็ออกมายืนยันแล้วว่า Operator แค่ทำให้ตัวเองดูหล่อเท่ตอนลงบวกกันในสนามเท่านั้น แต่หากสายฟรีอยากปลดล็อค Operator ใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อ Skin Operator ตัวนั้นๆ ที่จะวนขายในเมนู Shop หรือจะซื้อตัวเต็มแล้วทำเควสต์ปลดล็อคก็ได้ไม่ผิดกติกาอะไร และตัว Operator ใน Warzone จะไม่สามารถแต่งตัวเลือกเป็นชิ้นๆ เช่นเสื้อผ้า หน้าผมแบบเกมแนว Battle Royale อื่นๆ แต่จะมีเป็นชุดเซ็ต ชุดเสื้อผ้าให้เลือกใส่แทน ถ้านึกภาพไม่ออกก็เหมือนกับ skin ของเกม Rainbow six: Siege อะไรแบบนั้นก็ได้ ซึ่งก็ต้องหาซื้อใน Shop หรือทำเควสต์ถึงจะได้ชุดมาสวมใส่เล่นหากเบื่อรูปลักษณ์ Operator เดิมๆ ล่ะนะ ฉะนั้นผู้เล่นสายฟรีสบายใจได้เลยว่า Operator ไม่ได้ Over Power แต่อย่างใด แถมตัว Operator เดิมๆ ที่สายฟรีมีนั้นมันก็เท่บาดใจอยู่แล้ว แต่ Operator อื่นๆ แค่มันดูหล่อเท่แบบ 300% เฉยๆ การ Cross-Flatform ใช่ว่าผู้เล่นสาย Console จะสู้ไม่ได้ จากนี้ก็จะเริ่มมีคำถามขึ้นมาแล้วว่า "เฮ้ย แล้วผู้เล่นสาย Console มาเล่นโหมดนี้ร่วมกับผู้เล่นบน PC จะไปรอดเหรอ ?" ขอบอกเลยว่ารอดและพวกเขาเล่นเก่งมากๆ ด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างบุคคลที่ 1 ในตารางนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องและถนัดการเล่นเกม CoD บน PlayStation 4 แต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งเก่งกว่าคนเขียนรีวิวเสียอีก จึงอุ่นใจมากๆ และมั่นใจว่าทีมจะชนะแน่ๆ เมื่อได้เล่นกับเขาคนนี้ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าคนเล่นสายจอยจะไม่เก่ง เพราะบางทีเขาก็อาจจะยิงแม่นกว่าคุณก็เป็นได้ เราไม่ได้มาแค่ 100 คน แต่เรามาถึง 150 คน! เมื่อเราลองเริ่มเล่น โดยขอประเดิมโหมด Battle Royale กันก่อน ซึ่งระบบ Matmaking นี่ทำออกมาโอเคเลยนะ หาห้องค่อนข้างไวดี ไม่เกิน 1 - 2 นาทีก็พร้อมเล่นได้แล้ว แต่อาจจะเพราะตัวเกมเพิ่งเปิดโหมดนี้ใหม่และให้เล่นฟรี คนอาจจะตามเพราะกระแสก็เป็นไปได้ ช่วงระหว่างเตรียมตัวโดดร่มในภาพนี้ก็มีการให้ยิงเล่นกันก่อน ฝึกมือฝึกความเคยชินสักครู่ก่อนโดดร่มกันจริงๆ จังๆ หากผู้ในแง่คนที่เล่นเกม CoD: MW ก็อาจจะชินกับวิธีกระสุนของเกมนี้ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นก็จะขอกบอกก่อนว่า ปืนเกือบทุกกระบอกจะมี Patern Recoil ที่กระสุนจะออกเบี่ยงไปทางขวา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปืนแต่ละกระบอก แต่ก็ไม่ใช่ทุกกระบอกที่จะเบี่ยงขวาฉะนั้นก็ระหว่างที่รอโดดร่มก็ศึกษาปืนที่ละปืนที่สุ่มให้ลองยิงเล่นให้เรียบร้อย โดยยิงใส่ชาวบ้านอีก 150 ชีวิตเนี่ยแหละ ซึ่งถือว่าเยอะมาก มีฉากคัตซีนตอนโดดร่มร่วมกับเพื่อนอีกสองคน "อย่างเท่!" การโดดร่มของที่นี่ ต้องมีศิลปะนิดหนึ่ง Call of Duty: Warzone ในช่วงที่เราเลือกตำแหน่งและโดดร่มลงมา เราสามารถเลือกที่จะสลัดร่มและกางร่มระหว่างที่เราร่วงลงมาได้ตลอดเวลาจนกว่าขาแตะพื้น ซึ่งมันสามารถทำให้เราควบคุมตำแหน่งการลงของเราที่ห่างจากตำแหน่งเครื่องบินตอนโดดร่มลงมาได้ไกลมากขึ้น โดยใช้วิธีกางร่มสลับสลัดร่มออกเพื่อให้ร่อนกลางอากาศได้นานและพุ่งไปหาตำแหน่งที่เราเลือกได้รวดเร็วในเวลาเดียวกัน ร่อนลงมาอย่างหล่อๆ แต่ว่าการร่อนลงมาถึงพื้นนั้นค่อนข้างช้าและไถลไปข้างหน้าค่อนข้างไว้ ฉะนั้นกะตำแหน่งลงล่วงหน้าก่อนขาแตะพื้นสักนิดก็เป็นอันใช้ได้ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนในภาพที่พยายามจะลงไปในสนามหญ้าแต่ดันลงกลางถนน สุ่มเสี่ยงต่อการโดนยิงมากๆ ระบบการเล่นที่ต้อง "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" ตลอดเวลา แน่นอนว่าพอสัมผัสการเข้ามาเล่นครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกมีความเป็น Apex Legend อยู่อย่างมาก ต้องเรียกว่าแทบไม่ได้ฉีกออกจากเกม Apex Legend เลยด้วยซ้ำ ทั้งระบบการ Ping ที่ทำออกมาคล้ายๆ กันแต่ใช้งานง่ายกว่าในปุ่มเดียว, การสไลด์แม้จะไม่ได้ไถยาวแบบ Apex Legend แต่ก็เป็นการสไลด์สั้นๆ ที่เน้นเข้ากำบังให้ไวหรือหลบกระสุนศัตรูให้ยิงโดนเรายากขึ้นเท่านั้น ( ที่จริงในตัวเกมเต็มก็มีการไลด์แบบนี้เหมือนกัน ) และมีกลิ่นอายของ PUBG ผสมอยู่นิดหน่อย แต่กลับมีเอกลักษณ์ความเป็น Call of Duty อยู่เต็มเปี่ยม และสิ่งที่ดูแตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale อื่นๆ เลยก็คือ เราจะมีปืนพกติดตัวทันทีหนึ่งกระบอกซึ่งเกมอื่นๆ อาจจะเป็นแค่ตัวเปล่า ทำให้กลายเป็นว่าใครที่ลงถึงพื้นก่อนย่อมได้เปรียบในการยิงใส่ศัตรูที่ลงพื้นช้าทันที แถมยังมีผู้เล่นร่วมอีก 150 ชีวิตพร้อมโถมบวกใส่คุณทุกเวลา ฉะนั้นเมื่อลงถึงพื้น " รีบยิงศัตรูให้ไวก่อนที่เขาจะยิงใส่คุณ แล้วเอาตัวรอดให้ได้ซะ" ระหว่างนี้เราสามารถเข้าสำรวจพื้นที่ต่างๆ เพื่อรูทของตามกล่องต่างๆ ที่ถูกสุ่มเพื่อค้นหาอาวุธ เสบียงต่างๆ และอุปกรณ์เสริมที่ต้องใช้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องใช้ช่องเก็บของเยอะแยะ เพราะ Warzone เราสามารถเก็บอาวุธได้แค่สองช่องเท่านั้น และจะไม่มีอุปกรณ์แต่งปืนดรอปตามทาง จะมีแต่ปืนที่ถูกแต่งมาเรียบร้อยแล้วดรอปให้เท่านั้น แต่หากรู้สึกไม่ถูกใจกับปืนที่ได้ ก็สามารถเรียก Loadout Package เพื่อใช้ปืนที่เราแต่งไว้ตั้งแต่แรกก็ได้โดยต้องหา Shop Station และใช้เงินแลกซื้อมันมา แม้เลือดจะ Regen เองได้ แต่ตัวละครเราตายง่ายเช่นกัน แม้ความไวในการเล่น Call of Duty: Warzone จะค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ Apex Legend แต่ว่าตัวเกมก็ใช้ระบบพลังชีวิตแบบฟื้นฟูเลือดอัตโนมัติเหมือนตัวเกมเต็ม คือหากเราไม่ตายแล้วหลบไปหาที่กำบังสักพัก เลือดก็จะกลับมาฟื้นฟูจนเต็ม แต่ตามสไตล์ของเกม CoD คือโดนยิง 3-4 นัดก็ลงไปนอนง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ปืนเกือบทุกกระบอกฆ่าศัตรูได้เพียงไม่กี่นัด แม้ว่าเราจะสวมเกราะจนเต็มหลอดแต่ก็โดยิงร่วงตายง่ายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะปืนซุ่มยิงหากยิงใส่แล้วเราไม่มีเกราะ เรามีสิทธิ์ลงไปนอนภายในนัดเดียว ต่อให้มีเกราะก็ไม่เกินสองนัด หากใครคิดจะปะทะแล้วใช้วิถีวิ่งเข้าไปบวกแบบไวๆ ล่ะก็คิดผิด หากยิงไม่แม่นโดนสวนก็ลงไปนอนง่ายๆ เพียงไม่กี่อึดใจ แม้เกมจะช้า แต่ตัวก็ตายไวจงวางแผนร่วมกับทีมดีๆ ยิงให้แม่นๆ เพื่อชัยชนะของเรา Gulag, Welcome to the Gulag! และสิ่งที่มองว่าเป็นหนึ่งในสอง Signature ของเกมนี้เลยก็คือ หากใครตายโดยเพื่อนเข้าไปช่วยตอนล้มไม่ทันโดนยิงซ้ำตายครั้งแรก เราจะถูกส่งเข้าไปในคุก Gulag ซึ่งเป็นคุกอันมีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายในรัสเซียตั้งแต่สมัยยุคสหภาพโซเวียต และเคยปรากฎในเกม Call of Duty: Modern Warfare 2 ในภารกิจช่วย Captain Price ออกมาจากคุกด้วย และทางนี้ชื่นชอบคัตซีนเป็นพิเศษทำให้รู้สึกว่าเกมโหมดนี้โคตรใส่ใจ โดยระหว่างที่เราอยู่ในคุก Gulag เราก็ต้องมานั่งดูผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก ต้องดวลกันแบบ 1 ต่อ 1 ด้วยอาวุธที่ถูกสุ่มมาให้ในห้องน้ำของคุก ( ฉากนี้คุ้นๆ ไหมล่ะ ) โดยเราต้องรอคิวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงคิวเรา ระหว่างนี้เราสามารถเกรียนใส่คนดวลกันด้วยการปาก้อนหินเล่นได้ ชั่วร้ายมาก ฮ่าๆๆๆ!! และเมื่อถึงตาเรา เราก็จะถูกวาร์ปลงมาห้องน้ำพร้อมอาวุธที่สุ่มบนมือ เป็นการดวลแบบ 1 ต่อ 1 กับผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก สิ่งที่เราทำก็คือ "ฆ่ามันซะแล้วเราจะได้รับโอกาสที่สอง" โดยการดวลครั้งนี้เราต้องมีฝีมือและทักษะอย่างมาก อย่าลืมว่าเราโดนยิง 2-3 นัดก็ลงไปนอนตายแล้ว ฉะนั้นหากแม่นพอให้เล็งที่หัวซะ นัดเดียวรู้เรื่อง และหายังฆ่ากันไมไ่ด้ ก็จะมีธงโผล่ออกมากลางห้องน้ำให้เราไปยึดก่อนหมดเวลา หากเราชนะไม่ว่าการฆ่าศัตรูได้ก่อน, ยึดธงได้หรือหมดเวลาการดวลแล้วเรามีเลือดเยอะกว่าอีกฝ่าย เราก็จะถูกส่งกลับไปลงสนาม Battle Royale ต่อ แต่หากเราแพ้การดวล ตัวเกมจะนับว่าเราตายจริงๆ ซึ่งต้องรอเพื่อนใช้พลุส่งสัญญาณชุบชีวิตเราอีกรอบ หลังจากเราได้โอกาสที่สองแล้ว หากเราตายอีก เราจะต้องรอเพื่อนเรียกพลุส่งสัญญาณชุบชีวิตอย่างเดียว ระบบ Shop ที่จะทำให้เราพลิกกลับมาได้เปรียบทันที Signature ของเกมนี้อีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะกล่าวเลยก็คือระบบ Shop โดยตัวเกมจะมี Shop Station กระจายไปตามจุดต่างๆ ในแผนที่ Verdansk โดยเราจะต้องใช้เงินในการซื้อของต่างๆ ภายใน Shop ไม่ว่าจะเป็น Killstreak ที่สามารถเรียก UAV ดูตำแหน่งศัตรู, Precision Airstrike เรียกเครื่องบิน A-10 ให้ใช้ปืนใหญ่ GAU-8 Canon ยิงกราดลงพื้นใส่ศัตรูเป็นแนวยาว หรือใช้ Cluster Strike เรียกระดมระเบิดถล่มในตำแหน่งที่เราระบุไว้ด้วยรัศมีที่กว้างเอาเรื่อง และยังสามารถใช้เงินเพื่อซื้อ Loadout Package เรียกกล่องลงมาเพื่อเปลี่ยนอาวุธเป็นแบบที่เราเซ็ตไว้ได้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อีกทั้งหากมีเพื่อนตายรอชุบก็สามารถใช้เงินเพื่อยิงพลุส่งสัญญาณ เรียกเพื่อนที่ตายกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แล้วเงินที่ว่านี่หาจากไหนกัน ? สำหรับเงินใน Warzone จะสามารถหาได้ด้วยกันสามวิธีคือ หาได้จากตามซอกมุมของสถานที่และจากกล่อง Root ต่างๆ: วิธีนี้หาได้ค่อนข้างง่ายและไว แต่จะได้เงินทีละประมาณ 200 - 500 ดอลล่าห์ในเกมซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย แต่ก็ปลอดภัยและมีโอกาสพบเจออาวุธไว้ป้องกันตัวระหว่างทาง จากการฆ่าศัตรู: เมื่อเราเริ่มเกมมาเราจะมีเงินติดตัวเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งการฆ่าศัตรูก็คงไม่ต้องอธิบายเยอะ หากฆ่าได้ก็จะได้เงินมา และหา่ศัตรูดองเงินในตัวไว้เยอะแล้วโดนโดนเราฆ่า เราก็จะกลายเป็นคนรวยในทันที จากการรับ Intel Quest แบบสุ่ม: ในแผนที่จะมีสัญลักษณ์เควสต์ขึ้นมาให้เราไปเก็บ Intel ขึ้นมาแล้วเควสต์จะปรากฎว่าให้เราทำอะไร หลักๆ ก็จะมีเควสต์ล่าค่าหัว, ยึดพื้นที่และสำรวจกล่อง Root เมื่อทำสำเร็จเราจะได้เงินจำนวนมาก และยิ่งทำเควสต์ต่อเรื่อง เงินรางวัลก็จะคูณเป็นเปอร์เซ็ต์เข้าไปทำให้เราได้เยอะกว่าเดิม แต่ข้อเสียคือ ทุกครั้งที่เราถึงจุดหมายของเควสตืที่กำหนด จะมีการยิงพลุส่งสัญญาณอัตโนมัติให้ศัตรูรู้ตำแหน่งของเรา เมื่อเรารู้วิธีแหล่งฟาร์มเงินแล้ว ก็สามารถเอาเงินไปยัง Shop Station เพื่อแลกซื้อของที่เราต้องใช้ในการเอาชนะในศึกครั้งนี้ แล้วโหมด Plunder ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ? ส่วนในโหมด Plunder จากที่ลองเล่นมา นับได้ว่าเป็นโหมด Battle Royale สำหรับคนที่ไม่ชอบเน้นการเอาตัวรอด แต่เน้นเอาสะใจเป็นหลักมากกว่า เพราะภารกิจก็คือ หาเงินให้มากที่สุดไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม ทั้งจากการ Root, การฆ่าศัตรูหรือทำเควสต์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และการเริ่มเกมเราไม่จำเป็นต้องไล่หาอาวุธปืน เราจะสวมใส่อาวุธและ Perk ต่างๆ จาก Loadout ที่เราเซ็ตไว้ก่อนเริ่มเกมทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหาอาวุธมากมายนัก จากนั้นเราก็ลงมาทำมาหากิน สะสมเงินได้เลย แต่ข้อควรระวังไว้บางอย่างก็คือ หากเราดองเงินไว้กับตัวมากจนเกินไป เราจะถูกระบุตำแหน่งให้ศัตรูไล่ล่าเราทันที เมื่อศัตรูไล่ล่าเรา ฉะนั้นจงต้องระวังตัวไว้เป็นพิเศษ เพราะหาเราตาย เงินก็จะตกทันที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหากเราตาย เราก็จะเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ โดยการโดดร่มลงมา เมื่อเรามีเงินมากพอแล้ว เราสามารถหาบอลลูเพื่อเอาเงินที่เราสะสมปล่อยขึ้นฟ้าแต่เราจะฝากเงินได้ไม่เยอะนัก หรือเราจะเรียกเฮลิคอปเตอร์เพื่อเอาเงินที่เราได้ทั้งหมดส่งให้ทีเดียวแต่ก็จะเป็นจุดเด่นให้ศัตรูเห็นและไล่ฆ่าเราด้วยเช่นกัน เกมนี้จบค่อนข้างไว ใครที่สะสมเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์ก่อนหรือจบเกมมีเงินสะสมรวมมากที่สุดก็เป็นผู้ชนะทันที มันจึงเป็นโหมดที่สำหรับเน้นเอาฆ่าเอาสะใจ ไม่เครียดแบบ Battle Royale ปกติ ================================================== โดยสรุปแล้ว Call of Duty: Warzone หากพูดได้เต็มปากว่าก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจาก Battle Royale ทั่วไป แถมออกไปทาง Apex Legend เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ไม่ได้มีสกิลประจำตัวต่างๆ มีเพียงแค่ฝีมือกับเงินไปแลกของเพื่อพลิกเกมเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นแต่กลับมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของ Call of Duty อย่างเต็มเปี่ยมทั้งระบบ Shop และระบบโอกาสที่สองที่เราต้องเข้าไปติดคุกใน Gulag กับระบบการเล่นที่ตายง่าย ทำให้เราตระหนักถึงทรัพยากรทุกๆ อย่างที่เราต้องเสียไปว่าควรใช้อย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยเราต้องรอด และสิ่งที่ทำให้ประทับใจสุดๆ คือ ฉากคัตซีนตอนเราชนะหรือขึ้นที่หนึ่ง "เป็นอะไรที่โคตรน่าจดจำและรู้สึกเราคือผู้ชนะจากก้นลึกของหัวใจจริงๆ" คืออินเนอร์มาเต็ม มีขึ้นรายชื่อผู้เล่นที่เสียชีวิตจากโหมด Battle Royale ทั้งหมดเหมือนกำลังดูฉากจบหล่อๆ ของหนังแอคชั่นระดับคุณภาพสักเรื่อง รู้สึกว่าเราได้ถึงจุดที่ลำบากที่สุดแล้วรอดมาเป็นคนสุดท้าย มันอินมากกว่าเกมอื่นๆ อีกนะ มันทำให้รู้ว่า Infinity Ward ทุ่มเทกับโหมดนี้แบบจริงจังมากเลยล่ะ บอกเลยว่าหากมีโอกาสแล้วล่ะก็ "ต้องเล่น Call of Duty: Warzone" ให้ได้อย่างน้อยสักครั้ง แล้วคุณจะได้สัมผัสว่า เวลาชนะโหมด Battle Royale แบบโคตรเท่ที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร [penci_review id="45429"]
13 Mar 2020
Final Fantasy VII Remake Demo : 23 ปีเพื่อนกัน และความมหัศจรรย์ของการพบกันอีกครั้ง
คุณเคยมีเพื่อนที่สร้างความประทับใจให้ไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะผ่านเวลามานานขนาดไหนหรือเปล่า? สำหรับผู้เขียน … ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ในวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 1997 ด้วยวัย 12 ขวบ ที่ยอมลาเรียน รบเร้าคุณพ่อให้พาไปต่อคิวหน้าศูนย์โซนีสาขาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน อันช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต มันเป็นวินาทีที่พิเศษที่สุด ที่ผลจากความพยายามเก็บเงินข้ามปี จำนวน 2180 บาท กำลังจะออกดอกผล เป็นแพ็คเกจแผ่นเกมเครื่องเล่น Playstation ใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อว่า …. Final Fantasy VII จากวันที่ได้รับแผ่น ผู้เขียนเล่นมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์แม้แต่ตัวเดียว เฝ้าเสาะแสวงหาบทสรุปของสำนักพิมพ์ต่างๆ มาประกอบการเล่น เล่นจบแล้วก็เล่นซ้ำไปมา เป็นห้วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ที่ได้ใช้ร่วมกันกับ ‘เพื่อน’ ผู้นี้ และเป็นสิ่งที่กำหนดตัวตน และความเป็น ‘คนเล่นเกม’ ของผู้เขียนมานับตั้งแต่นั้น…. เวลาผ่านไป 23 ปีมาจนถึงปัจจุบัน ที่ผู้เขียนเป็นชายวัยเกือบกลางคน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายพรรษา ผ่านชิ้นงานเกมหลากหลายแนวมานับไม่ถ้วน ได้เห็นวัฏจักรการเกิดดับของแต่ละ Cycle ของแวดวง และได้รับทราบถึง ‘การกลับมา’ ของเพื่อนคนเก่า ที่มาในรูปโฉมใหม่ มันอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ มันเป็นความตื่นเต้น อันเกิดจากความอยากรู้อยากเห็น ว่าเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านไป ‘เพื่อน’ คนนี้ จะยังคงน่าสนใจแค่ไหน และมีเรื่องราวใดที่จะมาบอกกล่าวกันกับผู้เขียน เรานัดเจอกันในเย็นย่ำวันธรรมดาหลังเลิกงาน เฝ้ารอให้เพื่อนเดินทางมาสถิตอยู่ในเครื่อง Playstation 4 Pro ใช้เวลาเพียงไม่นาน ‘เพื่อนเก่า’ ใน ‘โฉมใหม่’ ก็ได้มาอยู่ต่อหน้า พร้อมสำหรับการพูดคุยสนทนาวิสาสะกัน และนี่ คือการสนทนาของผู้เขียน กับ ‘เพื่อน’ คนนี้ … รูปลักษณ์ สุ้มเสียง สำเนียงที่เปลี่ยนไป ในเรื่องราวเก่าแก่ที่บอกกล่าวกันใหม่ตามช่วงเวลา เราเริ่มต้นทักทายกันด้วยความทรงจำและเรื่องราวเก่าเป็นบทเปิดโหมโรงพอเป็นพิธี แต่ก็สัมผัสได้ทันที ว่าเพื่อนผู้นี้ มีกลวิธีที่แตกต่างออกไปจากเดิม มันมีเสน่ห์มากขึ้นตามยุคสมัย แต่สามารถลงลึกถึงรายละเอียดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนได้อย่างแม่นยำ ฉากที่เป็น Signature หลายช่วงถูกนำเสนอออกมาในรายละเอียดที่มากขึ้น ที่แม้แต่ผู้เขียนก็คาดไม่ถึง ว่าเรื่องราวในครั้งนั้น จะมีสิ่งละอันพันละน้อยปลีกย่อยที่น่าสนใจได้ถึงขนาดนี้ มันช่วยเติมรสชาติที่แปลกใหม่ แต่ก็ยังมีความชวนให้หวนอาลัยต่อความทรงจำที่เคยได้รับมาในสถานการณ์เดียวกัน ดวงตาของผู้เขียนเป็นประกายราวกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ เหมือนได้ย้อนกลับไปยังวันเวลาเก่าก่อนอีกครั้ง ‘เพื่อน’ ไม่รอช้า เข้าสู่บทโหมโรงของเรื่องราวแห่ง Cloud Strife ทหารรับจ้าง กับภารกิจร่วมกับกลุ่ม Avalanche ในการทำลายเตาปฏิกรณ์ Mako ของบรรษัทยักษ์ใหญ่ Shinra Company แน่นอนว่านี่ เป็นเรื่องเก่า แต่ก็เป็นเรื่องเก่าที่น่าคิดถึง และยิ่งมาในรูปโฉมใหม่ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความน่าสนใจในการสนทนาครั้งนี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ตัวละครประกอบอย่างแก๊งส์ร่วมขบวนการอย่าง Biggs, Wedge และ Jessie ถูกขับเน้นให้มีตัวตน มีบุคลิก และ ‘มีความสำคัญ’ ดังที่เพื่อนได้กล่าวกับผู้เขียนว่า เรื่องราวถัดจากนั้น จะยิ่งเข้มข้นและลงลึกในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น (และอาจจะดึงดราม่าเรียกน้ำตากันได้ง่ายๆ...) ผู้เขียนพอจะทราบมาบ้างแล้วว่า เพื่อนผู้นี้มีความพยายามที่จะตามยุคสมัยและเวลาที่เปลี่ยนไปให้ทัน นั่นทำให้สิ่งรกรุงรังอย่างการผลัดกันตีผลัดกันเดิน ถูกทดแทนด้วยบทแอ็คชันประยุกต์ผสมผสานโหมด Active Time Bar (ATB) แบบฉบับดั้งเดิมให้เป็นในส่วนของคอมมานด์ที่สามารถกดใช้ได้แทบจะทันที หรือจะกดใช้แบบกึ่งชะลอจังหวะการเล่นเพื่อดูภาพรวมของสมรภูมิก็สามารถทำได้ ทำให้การออกท่วงท่าต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบเนียนไร้รอยสะดุด ช่วยให้การเล่นนั้นรวดเร็ว คมกริบ และง่ายต่อการเรียนรู้ เพียงแค่สองการปะทะ ผู้เขียนก็สามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วโดยแทบไม่ต้องมองจอยแพดที่อยู่ในมือ เขาบอกว่าเอาตัวอย่างบางส่วนมาจากภาค 15 เข้ามาปรับปรุง แต่ก็ยังเหลือเผื่อจังหวะให้ช้าลงเพื่อความสะดวกมากยิ่งขึ้น เป็นการประนีประนอมที่เข้าท่ามากๆ เพราะมันได้ทั้งความเร็ว และมิติทางการวางแผน อันเป็นมรดกสืบทอดจากช่วงเวลาอันแสนน่าคิดถึงเหล่านั้น ความรวดเร็วในการดำเนินเรื่องราวของเพื่อนยังคงไว้ซึ่งจังหวะอย่างต่อเนื่อง คลอไปด้วยดนตรีที่คุ้นเคย ไม่มีอีกแล้วกับการเดินในพื้นที่แล้วสู้กับศัตรูแบบสุ่ม ทุกอย่างถูกวางสคริปต์เอาไว้อย่างเหมาะเจาะ ทุกการปะทะถูกเตรียมพร้อมเอาไว้โดยมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน และเข้าถึงประเด็นได้โดยไม่ต้องเสียเวลาสาธยายความ แต่ไม่ละเลยซึ่งส่วนปลีกย่อยที่เล็กน้อยที่สุดอย่างการแสดงออกทางสีหน้าตัวละคร ท่วงท่าภาษากาย บทสนทนาตอบโต้ระหว่างกัน เป็นการบอกบุคลิกที่แตกต่างระหว่าง Cloud Strife และ Barret Wallace ในภารกิจทำลายเตาปฏิกรณ์ มันชัดเจน และขับเน้นตัวละครได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ บ่งบอกถึงการคิดมาอย่างดี พ่วงด้วยประสบการณ์ที่สะสมตามเวลามานานปี ที่ผู้เขียนมั่นใจ ว่าจะสามารถจับหัวใจได้ทั้งเพื่อนเก่าแก่ท่านอื่น และผู้ที่รู้จักกับเขาเพียงครั้งแรก ดังเช่นที่ผู้เขียนได้เพลิดเพลินกับการปรับโฉมในรอบนี้ เรื่องราวการผจญภัยมาถึงปลายทาง ผ่านบทต่อสู้กับบอสประจำพื้นที่อย่างหุ่นยนต์ Scorpion Sentry หน้าเก่า ที่กลับมาอย่างเร้าใจ มันมีลูกเล่นที่มากมาย และซุกซ่อนกลเม็ดเด็ดพรายที่ทำให้การต่อสู้นั้นท้าทายและเป็นมากกว่าการเดินเข้าตีอย่างดาดๆ มันต้องใช้ความคิดที่มากขึ้น ใช้ทักษะที่มากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ มันค่อนข้างจะเป็นการต่อสู้ที่ ‘ยาก’ เอาเรื่อง หลายครั้งที่ผู้เขียนเกือบจะพลาดพลั้งเสียที จนต้องเรียนรู้รูปแบบการโจมตีและท่วงท่าของมัน และเลือกใช้ความสามารถของสองตัวละครที่สลับผลัดเปลี่ยนในช่วงที่เหมาะสม จึงสามารถคว้าชัยชนะในการปะทะครั้งนี้ลงไปได้ ทั้งหมดนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า คือสิ่งที่เพื่อนอยากจะบอกกล่าวตั้งแต่กาลก่อน แต่ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี หรือด้วยวัยที่ยังใหม่ต่อโลกกว้าง ที่วงการยังอยู่ในระยะตั้งไข่ก้าวเดินออกไปได้ไม่นานก็ตาม จุดสะดุดในเรื่องเล่า แต่ก็เช่นเดียวกับเรื่องเล่าในทุกเรื่อง การบอกเล่าของเพื่อนยังไม่ได้สมบูรณ์แบบจนถึงที่สุด ยังมีจุดที่ยังน่ากังขาอยู่ไม่น้อยที่ยังรอคอยคำตอบ ไม่ว่าจะด้วยมุมกล้องที่ใช้งานได้ไม่สะดวกมากนัก ไปจนถึงระดับความยากของการเล่นที่ค่อนข้างสวิงไม่คงที่ แต่นั่นก็เป็นเพียงความไม่สะดวกเพียงเล็กน้อย ที่ไม่ได้ขัดขวางซึ่งความสนุกที่พึงได้รับแต่ประการใด รูปแบบการบอกเล่า (การเล่น) ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เพื่อนผู้นี้กังวล อาจจะเพราะด้วยความที่เขามีคนที่รักอยู่มากมาย การเปลี่ยนแปลงสไตล์จากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ อาจก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์ได้ทั้งทางบวกและทางลบ แต่ก็เป็นความกังวลที่แฝงไปด้วยความมั่นใจในน้ำเสียงอยู่ไม่น้อย ว่าจะสามารถมัดใจผู้ที่เข้ามาพูดคุยได้อย่างอยู่หมัด มันบ่งบอกชัดผ่านการนำเสนอที่ทั้งนอบน้อมต่อความทรงจำเก่าของเรา และความพยายามที่ก้าวสู่อาณาเขตของความร่วมสมัยที่สามารถสัมผัสได้แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม อีกทั้งเพื่อนผู้นี้ออกตัวกับผู้เขียนเอาไว้แต่เนิ่นๆ ด้วยว่า เขาอาจจะไม่ได้มีความพร้อมที่จะบอกเล่าทุกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบไปถึงปลายทางดังที่เคยเป็น อาจจะเพราะมีหลายสิ่งที่ได้รับการเพิ่มเติมเข้ามา หลายอย่างที่ช่วงเวลาได้บ่งเพาะให้มีความละเมียดละไม และหลายจุดที่ไม่สามารถละสายตาไปได้ แต่นั่นไม่ใช่สาระเท่าใดในความรู้สึกของผู้เขียน มันออกจะเป็นความน่าลุ้นเสียด้วยซ้ำว่าด้วยพรรษาที่ผ่านไป เขาจะเพิ่มเติมส่วนประกอบอันใดเข้าไว้ในเรื่องราวแต่หนก่อน ให้มีเสน่ห์และรสชาติที่น่าลิ้มลองอีกครั้ง การเฝ้าคอย และนับถอยหลังสู่การพูดคุยครั้งสำคัญ ผู้เขียนและเพื่อนใช้เวลาร่วมกันในการสนทนาครั้งนี้ที่ 45 นาที เป็นเวลาที่ดูเหมือนจะนาน แต่ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าใจคิด อดที่จะรู้สึกเสียดายไปไม่ได้ ที่การพบปะกันหลังเวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษจะต้องปิดฉากลงไปก่อนเป็นการชั่วคราว เพราะมันเป็นการพบกันที่น่าอภิรมย์ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่า เพื่อนผู้นี้ มีดีมากกว่าที่คิด และมีดีมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มรู้จัก แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองทศวรรษ และยิ่งเปล่งประกายเมื่อได้รับการขัดด้วยกาลเวลา ก่อนจากกัน เราให้สัญญานัดแนะอย่างเป็นมั่นเหมาะ ว่าจะพบกันเพื่อพูดคุยอีกครั้ง ในวันที่ 10 เมษายน ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจนี้  แน่นอนว่าผู้เขียนเองก็อดใจแทบไม่ไหว ที่จะได้เปิดวงสนทนากับเพื่อนผู้นี้กันให้อย่างเต็มอิ่มชุ่มปอด สวมกอดด้วยมิตรภาพที่มีให้มาอย่างยาวนานนับแรมปี และมันคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ย้อนระลึกถึงความเป็นเด็กวัย 12 อีกครั้ง ในวันที่ได้พบเจอกัน เพราะช่วงเวลาที่แสนสุข และยอดเยี่ยม มันไม่เคยเกี่ยง ว่าจะกลับมาในรูปโฉมไหน หรือออกมาในรูปแบบใด แล้วคุณล่ะ มีเพื่อนแบบนี้อยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า?
13 Mar 2020
รีวิว The Seven Deadly Sins: Grand Cross เกมดีจากการ์ตูนดัง
เพิ่งจะเปิดตัวกันไปเมื่อต้นเดือน มีนาคม 2563 นี่เองกับเกม The Seven Deadly Sins: Grand Cross ซึ่งหลายคนคงได้ลองเล่นกันแล้ว แต่ลุงไอซ์เพิ่งจะได้เล่นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง หลังจากได้เล่นแล้วก็เลยอยากจะเอามาเล่าสู่กันฟัง ว่าเกมนี้เป็นยังไง สนุกไหม มีข้อดี ข้อเสียยังไง The Seven Deadly Sins: Grand Cross ดูจากชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นเกมที่สร้างมาจากการ์ตูนดังเรื่อง ศึกตำนาน 7 อัศวิน ซึ่งเรียกกันสั้น ๆ ว่า 7 บาป นั่นเอง ซึ่งลุงจะไม่ขอพูดถึงการ์ตูนก็แล้วกัน ใครอยากอ่านก็ลองไปหาอ่านกันดูนะจ้ะ ในส่วนของตัวเกมเป็นเกมแนว Cinematic Adventure RPG คือเป็นเกมผู้เล่นสวมบทบาทเป็นตัวละคร โดยระหว่างการผจญภัยก็จะมีฉาก Cinematic เป็น Animation ให้ดูอยู่ตลอด ซึ่งสามารถทำได้สวยงามน่าติดตามมาก เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่ลุงไอซ์ไม่กดผ่านฉาก Cinematic เลย ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น เนื้อเรื่องหลักเหมือนการ์ตูนเกือบ 100% และเริ่มตั้งแต่ต้นทำให้คนที่ไม่ได้ติดตามการ์ตูนเรื่องนี้ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้โดยไม่ต้องกังวล ตัวเกมสามารถเล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนานราวกับได้ดู Animation ไปพร้อมกับเล่นเกม ระบบของเกมทำออกมาได้ดีมาก ทั้งเควสหลักและเควสรองมีเนื้อเรื่องที่ลื่นไหล การอัพเลเวลตัวละคร อัพเกรดอาวุธ และสกิลต่าง ๆ ครบถ้วน มีมินิเกมเป็นเจ้าหมูฮอร์ควิ่งเก็บเหรียญแก้เบื่อจากตัวเกมหลักได้ ส่วน Gasha ก็ไม่เกลือจนเกินไปนัก สามารถเก็บตัวละครที่ชอบได้ไม่ยาก ฉากต่อสู้สวยงาม มีระบบ Auto ช่วยสู้ และยังมีระบบ PVP ให้ได้มีการอวดความเก่งให้โลกได้รับรู้อีกด้วย คะแนนรีวิว 8/10 จุดแข็ง - ถือเป็นเกมจากการ์ตูนที่ดีอันดับต้น ๆ ในชีวิตลุงไอซ์เลย มีเนื้อเรื่องตรงตามต้นฉบับ ภาพสวยมาก Cinematic ลื่นไหลเหมือนดูการ์ตูน เกมมีระบบต่าง ๆ เกือบครบถ้วน ถือเป็นเกม RPG ที่สามารถเล่นได้เรื่อย ๆ โดยไม่เบื่อ จุดอ่อน - สูบแบตพอสมควร และไม่มีมีระบบกดผ่านการต่อสู้แบบง่าย ๆ ที่เคยชนะผ่านมาแล้ว หรือเร่งความเร็วการต่อสู้มากกว่า x2 อย่างที่มีให้ เพราะใช้เวลาในการต่อสู้แต่ละครั้งมากเกินไปหน่อยนะจ้ะ โดยรวมแล้ว The Seven Deadly Sins: Grand Cross เป็นเกมที่ดีมากเกมนึง ที่เล่นแล้วสูบวิญญาณอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับแฟนการ์ตูนเรื่องนี้อย่างลุง วันแรกนี่แทบไม่ได้นอนกันเลยทีเดียวเพราะ Stamina มันไม่หมดซักที 555+ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Netmarble ที่นำเกมดีมาให้ได้เล่นกันนะจ้ะ ลุงไอซ์ไปก่อนละจ้ะ บาย Official Website - https://7dsgc.netmarble.com/th Official Facebook Community - https://www.facebook.com/7ds.th/ โหลดตัวเกม Google Play iOS
13 Mar 2020
รีวิว Dreams Universe ดินแดนที่ความเป็นไปได้ กับความฝันห่างกันเพียงนิดเดียว!
Dream Universe เป็นเกมใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเกมนี้จะแตกต่างจากเกมทั่ว ๆ ไปที่เราหาเล่นได้ในปัจจุบันอยู่ 1 อย่าง นั้นก็คือเกมนี้ไม่ใช้เกมเปิดเล่นดำเนินเนื้อเรื่องจนจบ หรือเก็บ Achievement ในเกมจนครบแล้วนับว่าเคลียร์ แต่เป็นเกมที่จะให้ผู้เล่นสามารถเข้าไปเล่นเกมอื่น ๆ หรือสร้างเกมใหม่ขึ้นในเกมนี้แทน ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ Dreams นั้นเปรี่ยบเสมือนโปรแกรมที่เอาไว้เล่นเกมมากกว่าเป็นเกมด้วยตัวเอง ซึ่งในตอนนี้ก็มีเกมอยู่มากมายภายใน Dreams โดยเกมที่สามารถหาเล่นได้ใน Dreams นั้นก็มีตั้งแต่เกมใหญ่ ๆ ที่มีการทำเนื้อเรื่องของเกมออกมาอย่างจริงจัง, เกมสร้างเมืองแบบ Simulation, หรือเกมที่ไม่ได้มีจุดหมายอะไรเอาไว้เล่นแก้เบื่อเท่านั้น ก็มีอยู่เช่นกัน ดังนั้นการรีวิวในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับตัวผู้เขียน เพราะไม่รู้จะพูดถึงอะไรที่เป็นของ Dreams เองเลยดี แต่ไหน ๆ ก็ได้เล่นมาแล้ว ยังไงก็จะขอเล่าความรู้สึกที่มีต่อเกมนี้ให้ได้มากที่สุดครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เกม Dream Universe นั้นไม่ได้มีเนื้อเรื่องภายในเกมเป็นของตัวเอง แต่ด้วยความที่เกมนี้เปิดให้ผู้เล่นสามารถเข้ามาสร้างเรื่องราว , สร้างเกมของตัวเองได้ มันจึงอาจจะบอกได้ว่าเรื่องราวของ Dream นั้นมีร้อยแปดพันเก้า ไม่ว่าจะเป็นเกมไหน ต่างก็มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเกม RPG, เกม Hack and Slash หรือเกม Horror บ้างก็เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องดีมาก ๆ , บ้างก็เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องธรรมดา ๆ, บ่างก็เป็นเกมที่ไม่มีเนื้อเรื่องเลย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดของเกมต่าง ๆ ที่อยู่ใน Dreams ก็ถือว่าเป็นเนื้อเรื่องของ Dreams ทั้งหมดด้วยเช่นกัน มันทำให้ทุกครั้งที่กดเข้าไปเล่นเกมไหนก็ตาม เราจะรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกำลังจจะเข้าไปเล่นเกมใหม่ทุกครั้ง "จะมีเนื้อเรื่องแบบไหนรอเราอยู่กันแน่" จุดนี้สำหรับตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นเสน่ห์ของเกมครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Dreams นั้นมีรูปแบบของภาพ และกราฟิกที่หลากหลายมาก บางเกมก็ใช้เพียงแค่ตัวละคร 3D Solid Color ธรรมดา ๆ ไม่มีหน้าไม่มีตามาเป็นตัวดำเนินเนื้อเรื่อง, บ้างก็ทำเป็นตัวละครมีแขนมีขาใส่ Texture ให้ตัวละครอย่างจริงจัง, บ้างก็ทำเกมเป็นมุมมองบุคคลที่ 1 คือถ้าจะให้นับแค่ความหลากหลายที่เกมนี้มีคงเรียกได้ว่ามากที่สุดแล้วเท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นมาเลย ความหลากหลายนี้ทำให้ทุกครั้งที่เปิดเข้าไปทดลองเล่นเกมอะไรก็จะไม่รู้สึกเบื่อเลย ส่วนใหญ่จะทำให้รู้สึกตื่นเต้นซะด้วยซ้ำ "โลกแบบไหนที่รอเราอยู่" , "เกมที่กดเข้ามาเป็นแบบไหน" , "มีเกมที่เจ๋งขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ" ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ไม่ค่อยจะรู้สึกเบื่อที่จะเล่นเกมต่าง ๆ ในเกม Dreams เลยครับ ด้วยความหลากหลายที่เยอะมาก ๆ ก็ทำให้เกม Dreams นั้นขาดความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไปครับ คือสิ่งที่เป็นตัวยืนยัน และคอยบอกว่า "เกมที่เรากำลังเล่นอยู่มีชื่อว่า Dreams นะ" มันแทบจะไม่มีเลย จริงอยู่ว่าใน Dream นั้นมีเกมดี ๆ และสนุกมากมายจริง แต่คนที่เล่นจะไม่ได้จำชื่อของ "Dreams" แต่จะจำเป็น "ชื่อของเกม" ที่สนุก ๆ ใน Dreams แทน ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่าย เกมนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากโปรแกรมเล่นเกมครอบจักรวาลในสมัยก่อนเลย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าความไม่มีตัวตนของ Dreams นั้นเป็นทั้งข้อดี ทั้งยังเป็นข้อเสียในเวลาเดียวกันครับ ใน Dreams เราสามารถที่จะสร้างเกมของตัวเองเพื่อนำเสนอมุมมอง, การเล่น, รวมไปจนถึงเนื้อเรื่องได้ตามที่เราต้องการ ซึ่งทำให้เกมนี้เปรียบเสมือนพื้นที่ให้เหล่า Creator ได้โชว์ฝีไม้ลายมือกันอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน ตัวผู้เขียนยอมรับเลยว่าภายใน Dreams นั้นมีเกมที่ดี และสนุกมาก ๆ ไม่แพ้เกมที่วางขายอยู่ตามตลาดตอนนี้มากมายเเลยทีเดียว การซื้อ Dreams มาจึงเหมือนได้เกมอื่น ๆ นับร้อยแถมมาด้วย แถมยังเป็นการได้สถานที่ซึ่งเราสามารถใช้ในการสร้างเกมต่าง ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน ถึงแม่จะสามารถสร้างเกม และนำเสนอเรื้องราวของตัวเองได้ แต่ด้วยการที่สร้างเกมในเกมอีกทีหนึ่งมันก็จะทำให้มีข้อจำกัดมากมายในการสร้างเกมด้วยเช่นกัน เช่นภาพจะสวยไปมากกว่านี้ไม่ได้ หรือ ไม่สามารถใส่คำสั่งที่ซับซ้อนมากกว่านี้ได้เป็นต้น ส่งผลให้เกมที่ถูกสร้างใน Dreams จึงมีข้อจำกัดมากมายไปด้วยนั้นเอง ก็นับเป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นดาบสองคมของเกม Dreams ครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ ในเมื่อ Dreams ไม่ใช้เกมปกติทั่ว ๆ ไปที่มีเนื้อเรื่อง หรือรูปแบบการเล่นที่เป็นของตัวเอง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็นการเน้นให้เราเข้าไปเล่นเกมอื่น ๆ ที่มีข้างใน Dreams มากกว่า จะมีแค่ช่วงต้นของเกมเท่านั้น ที่มีการสอนวิธีเข้าไปเล่นเกมต่าง ๆ นอกนั้นจะเป็นอิสระของผู้เล่นเองว่าจะเข้าไปเล่นเกมไหนครับ เรื่องนี้ทำให้ความสนุกของเกม จะขึ้นอยู่กับ ความสนุกของเกมที่เราได้เข้าไปเล่น จึงไม่ใช้สามารถพูดได้เต็มปากว่าเกมนี้สนุก หรือห่วยแตกกันแน่ครับ ถึงแม้ว่า Dreams จะไม่ใช้เกมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ก็หมายความว่า Dreams คือเกมที่มีเกมทุกแนวทุกประเภทรวมอยู่ในที่เดียวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น FPS, Action Adventure, Horror Survival หรือ Simulation ก็มีให้เล่นทั้งหมดในเกมนี้ และมีหลายเกมเลยที่ผู้เขียนไม่รู้ว่าจะจัดอยู่ในหมวดหมูไหนดี อยู่หลายเกมเลยด้วย หลาย ๆ เกมมีความสนุกเป็นอย่างมาก อีกทั้งทุกครั้งที่เบื่อก็เพียงแค่กด Options แล้วออกไปเล่นเกมอื่นเท่านั้น ถ้าพูดตรง ๆ ก็เหมือนจ่ายตังครั้งเดียว แต่สามารถเล่นได้เป็นร้อย ๆ เกมครับ ◊ สรุป ◊ Dreams Universe เป็นเหมือนโปรแกรมที่เอาไว้ใช้เล่นเกมมากกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นเกม ด้วยความที่เราสามารถเล่นเกมได้มากมายภายในนี้ แถมยังมีเกมใหม่ออกมาให้เล่นอยู่เกือบจะตลอดเวลาด้วย คงเรียกได้ว่าการซื้อ Dreams เป็นการจ่ายเงินที่ดูคุ้มค่ามาก ๆ แน่นอนว่านอกจากการเล่นเกมต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นเหมือนสถานที่ซึ่งเอาไว้ใช้ปลดปล่อยจินตนาการของเรา ในการสร้างเกมให้คนอื่นเล่นได้ด้วย คงพูดได้เต็มปากว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับเงิน 1,290 บาทมาก ๆ แต่ก็นับเป็นเกมที่ขาดความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไป จริงอยู่ที่ใน Dreams มีเกมดี ๆ มากมาย แต่ผู้เล่นจะจำชื่อของเกมที่เล่นใน Dreams มากกว่าที่จะจำชื่อของ Dreams เอง อีกทั้งการสร้างเกมใน Dreams ก็ยังมีขีดจำกัดมากมายในตอนนี้ จากข้อดี และข้อเสียที่เราได้กล่าวมาส่งผลให้เราตัดสินใจว่าเกมนี้ควรจะได้ 8 เต็ม 10 จริงอยู่ที่ Dreams เป็นเกมที่ดีเกมหนึ่ง แต่ Dreams ไม่ได้สร้างภาพที่น่าจดจำเหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่เราให้ 9 - 10 คะแนนเช่นกัน ดังนั้นเราจึงคิดว่า 8 คะแนนจึงเป็นคะแนนที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับเกมนี้ครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="44387"]
12 Mar 2020
รีวิว Mario Kart Tour โหมด Multiplayer หนึ่งในสิ่งที่แฟน ๆ รอคอย!
นับตั้งแต่ Mario Kart Tour เปิดให้บริการประชันความเร็วบนมือถือ สิ่งที่ผู้เล่นต่างเรียกร้องและรอคอยอย่างมาก (จนบางคนก็เลิกรอไปแล้ว ) นั่นคือการเล่นแบบ Multiplayer ที่จะทำให้ได้แข่งกับผู้เล่นจริง ๆ และหลังจากที่รอคอยมากว่า 5 เดือน ในที่สุดก็สามารถเข้าเล่นโหมด Multiplayer กันได้อย่างเป็นทางการแล้วจ้า!! พวกเรา GameFever TH แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะพาทุกท่านมารู้จักกับโหมดใหม่นี้ ตามมาดูกันเลย~ วิธีการเข้าสู่โหมด Multiplayer สามารถเข้าได้ผ่านการเปิดหน้า Menu แล้วเลือก Multiplayer ที่มีไอคอนรูปเห็ด Toad หลากสี หรือจะเข้าง่าย ๆ ตรงมุมล่างซ้ายในหน้าแรกของเกมก็ได้เช่นกัน                                 เมื่อเข้ามาแล้ว จะเห็นหน้าเกมแบบภาพด้านบนนี้ โดย... แถบบนสุด ทางซ้าย คือระดับ (Rank) ในโหมด Multiplayer ของเรา ซึ่งจะมีผลต่อการจับคู่เข้าสนามแข่งขัน โดยจะเริ่มจากแรงค์ F เราสามารถเก็บค่าประสบการณ์จากการเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ระดับสูงขึ้นได้ ส่วนช่องกลางคือจำนวน Coin และทางขวาคือจำนวน Ruby เช่นเดียวกับที่ปรากฏในหน้าแรกของเกม ถัดลงมา ในกรอบคำพูดสีขาว จะบอกว่า สนามที่เราจะเข้าไปเล่นนั้น มาจาก Cup ไหน ซึ่งจะตรงกับโหมด Tournament  (สามารถแอบไปเช็คก่อนเข้าเล่นได้ เผื่อเจอด่านที่ไม่ถนัด) โดย Cup จะถูกรีเซ็ตทุก ๆ 15 นาที และด้านล่างชื่อ Cup จะบอกว่าเหลือเวลาแข่งขันสำหรัับ Cup นี้อีกกี่นาที หากเวลาของ Cup หมดในระหว่างที่เล่นอยู่ เราจะเข้าสู่ด่านใหม่ ใน Cup ถัดไปทันทีที่จบการแข่งขัน ในทางกลับกัน ถ้าเล่นครบ 3 ด่านของ Cup แล้ว เราจะวนกลับไปเล่นสนามแรกใหม่เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเวลาที่กำหนดของ Cup นั้น ในส่วน Worldwide จะเป็นส่วนของการเข้าแข่งขัน Multiplayer แบบออนไลน์ และแน่นอนว่าเป็นการแข่งขันกับผู้เล่น Mario Kart tour จากทั่วโลก!!!! Standard Race - คือสนามแข่งขันทั่วไป ที่ผู้เล่นทุกคนสามารถเข้าเล่นได้ Gold Race - คือสนามแข่งสำหรับ Subscriber รายเดือนของ Gold Pass เท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 สนามจะมีกติกาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน (เช่น เงื่อนไขความเร็วที่ใช้ได้ หรือจำนวนช่องไอเทมที่กำหนดให้ใช้ได้ในการแข่งขัน) สามารถเช็คได้ใต้ชื่อสนามแข่ง และส่วนล่างสุด คือการสร้างห้องส่วนตัว (Create Room) เพื่อชวนเพื่อน ๆ ที่มีในรายชื่อของเรามาแข่งขันกัน หรือดึงผู้เล่นที่อยู่ในเขตใกล้เคียงของเรา มาร่วมเล่นในห้องด้วยกัน ซึ่งในส่วนนี้ เราสามารถกำหนดเงื่อนไขของสนามแข่งได้เองด้วยนะ~ เมื่อเข้าสู่การแข่งขันแล้ว จะใช้เวลาสักครู่เพื่อหาผู้เล่น ก่อนที่จะให้เราเลือกตัวละคร, รถ และร่ม ในหน้าก่อนเข้าสนาม ซึ่งในส่วนนี้ ไม่ต่างกับโหมด Tournament เลย จากนั้น รอเวลานับถอยหลัง แล้วซิ่งกันเลย!!!! จากการแข่งรถทำคะแนนขำ ๆ สู่การเจอคนเล่นจริง ๆ ทำให้ Mario Kart Tour กลายเป็นเกมที่สนุกและน่าตื่นเต้นมากขึ้น เพราะเทคนิคต่าง ๆ ที่เราใช้ทำคะแนนกับ AI ในโหมด Tournament คนอื่นก็คิดและใช้เทคนิคเหล่านั้นได้เหมือนกัน นอกจากต้องมีฝีมือแล้ว ยังต้องชิงไหวชิงพริบกันในสนามแข่งมากขึ้น หนำซ้ำ หลังจบการแข่งขัน จะเข้าสู่กระบวนการหาผู้เล่นใหม่ ทำให้ตาต่อ ๆ ไป เราอาจเจอคู่ต่อสู้หน้าใหม่อยู่เสมอ กลยุทธ์ที่เคยใช้ก่อนหน้า อาจใช้ไม่ได้เสมอไปก็ได้ กลายเป็นเกมที่เล่นยากขึ้นมาทันตาเลยทีเดียว ข้อควรระวังในการเล่นโหมดนี้ คงไม่พ้นเรื่องความแรงอินเทอร์เน็ต จากการทดลองของผู้เขียนเอง หากเปิดใช้อินเทอร์เน็ตจากระบบโทรศัพท์มือถือ (3G/4G) จะขึ้น Error เข้าเล่นไม่ได้ (ตามภาพนี้) ในการเข้าเล่นโหมด Multiplayer จึงจำเป็นต้องต่อ Wifi และควรเป็น Wifi ที่มีสัญญาณเสถียรด้วยนะ ไม่อย่างนั้นอาจเกิด ping / แลค / กระตุก ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันได้ และสุดท้าย หมดห่วงได้ว่า Tournament รับของก็ต้องทำ อยากเล่นกับคนก็อยาก เพราะหลังจบการแข่งขันที่สนุกสนานกับเพื่อน ๆ คะแนนและผลงานทั้งหมดที่เราทำได้ในการแข่งขัน จะถูกนับรวมเข้ากับ High Score ของด่าน, Daily Mission และ Challange ด้วย!! เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ? ถ้าพร้อมแล้ว 3. 2. 1. GO! https://youtu.be/JQd94kcg7x4
12 Mar 2020
รีวิว Two Point Hospital บน PS4 ก็ไม่ได้บังคับยากอย่างที่คิด
ออกมาให้เล่นแล้วสำหรับเวอร์ชั่น PS4 และ Nintendo Switch ของ Two Point Hospital เกมแนว Simulator ที่เรานั้นจะได้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งตัวเกมถือว่าได้รับความนิยมมากพอสมควรเมื่อปีที่แล้วในเวอร์ชั่น PC ได้รับคำชมมากมายจากผู้เล่นเป็นอย่างดี ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนนั้นก็ต้องสารภาพว่าในเวอร๋ชั่นบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ตัวผู้เขียนไม่เคยแม้แต่แตะมันเลยสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนเองก็เคยเล่นเกมอื่นๆ ที่เป็นแนว Simulator คล้ายๆ กันอย่าง CIty Skyline หรือ Sim City มาบ้าง ซึ่งพอได้มีโอกาสรีวิวเกมแบบนี้บนเวอร์ชั่น PS4 ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ แล้วก็คิดว่า เอ๊ะ !! เกมแนวนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้เมาส์บังคับ แล้วพอมาเล่นบนจอยมันจะถนัดหรอ ? ซึ่งส่วนตัวได้เล่นเกมนี้มาแล้วครับและจะมารีวิวว่าการเล่นเกมแนวนี้บน PS4 มันแตกต่างกับเวอร์ชั่น PC หรือไม่ !! ซึ่งพวกเรา GameFever TH ต้องขอบคุณทาง Madeviral และ SEGA ที่ส่งเกมดีๆ แบบนี้ให้เราได้เล่นครับ เกมการเล่น ต้องแนะนำตัวเกมสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้ก่อนนะครับ Two Point Hospital เป็นเกมที่ให้เรานั้นจะต้องบริหารโรงพยาบาล แต่ละโซนต่างๆ ให้ มีรายได้และผู้เข้าใช้บริการให้เยอะๆ ซึ่งเราจะต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างพนักงานต้อนรับ สร้างคลีนิค รวมถึงสร้างห้องจ่ายยา มีการจ้างบุคลากรอาทิเช่น หมอและพยาบาล ที่แต่ละคนจะมีความเก่งและความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป ซึ่งถ้าหากเราเลือกหมอที่มีความสามารถตรงตามห้องที่เราสร้าง การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวเกมจะมีการให้เราดีไซน์ห้องรักษาต่างๆ ด้วยตัวเอง อยากให้ห้องนี้ใหญ่เพื่อรองรับคนมากๆ หรือห้องนี้เล็กๆ ก็สามารถทำได้หมด และจุดประสงค์ของเรานั้นก็คือการทำให้โรงพยาบาลนี้ประสบความสำเร็จ พอทำสำเร็จแล้วตัวเกมก็จะปลดล็อกด่านต่อไป ที่ตัวด่านจะมีความท้าทายมากขึ้น มีห้องให้สร้างมากขึ้น รวมถึงอาจจะมีผู้ป่วยที่มีอาการแปลกๆ มากขึ้น อาทิเช่นผู้ป่วยจิตเวชเป็นต้น และใครที่ไม่ถูกโฉลกกับเกมแนวนี้เพราะคิดว่าตัวเกมน่าจะเข้าถึงยากมากๆ ส่วนตัวตอนแรกก็คิดแบบนั้นครับ แต่พอได้เล่นจริงๆ แล้วตัวเกมกลับเข้าถึงง่ายเป็นอย่างมาก ตัวระบบไม่มีความซับซ้อนใดๆ เป็นเพราะระบบในเรื่องด่านที่แรกๆ จะมีลูกเล่นและความยากที่ไม่มากนัก ทำให้เราค่อยๆ เข้าใจมันไปเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ของแต่ละด่านจะมีการสอนเล่นฟังชั่นใหม่ๆ เล็กน้อย และมันก็จะปล่อยให้คุณเล่นเกมจนชิน และพอคุณชินกับมันเล่นจนอยู่ตัว ตัวเกมถึงจะปลดล็อกด่านต่อไปและเอาระบบใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งคุณสามารถใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็เข้าใจเกมเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมจะเล่นง่าย แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเกมนั้นใช้สมองความคิดไม่แตกต่างจากเกมแนวเดียวกันเลย เราจะต้องจัดสรรทรัยากรต่างๆ ให้สมดุลย์กัน บางทีอาคาร หรือบุคลากรเยอะก็เสียค่าใช้จ่ายเยอะในแต่ละเดือน ไหนจะเป็นการพักผ่อนของพนักงาน การขยับขยายอาคารให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งมันมีความท้าทายไม่แพ้เกมอื่นๆ เลยทีเดียว ความรู้สึกเวลาเล่นบนเครื่อง Console ขอบอกก่อนนะครับว่าเวอร์ชั่น Console ที่ผู้เขียนเล่นนั้น เป็นเกมเวอร์ชั่น PS4 ซึ่งตัวผู้เขียนไม่เคยเล่นเวอร์ชั่น Switch เลย แต่คิดว่าการบังคับต่างๆ คงไม่แตกต่างกันเท่าไรหรอก จากได้ลองเล่นเกมนี้มาหลายชั่วโมง ความรู้สึกของเกมแบบนี้บนเวอร์ชั่น Console ให้ความแตกต่างจากเมาส์พอสมควร แต่ถามว่ามันมีปัญหาและบังคับยากไหม ก็ต้องบอกว่าตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 แทบไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นเลย ตัวเกมใช้ปุ่มคันโยก Analog ในการบังคับมุมกล้อง ใช้ R2, L2 ในการซูมเข้าออก ซึ่งในเรื่องมุมกล้องแทบไม่รู้สึกติดขัดใดๆ  ปุ่มต่างๆ ที่ต้องใช้เมาส์กด ตัวเกมก็จะมีฟังชั่นคีย์ลัดมาใช้ ซึ่งพอเล่นสักพักก็ชิน และข้อดีในการที่เล่นบนเครื่อง PS4 คือถ้าหากว่าคุณนั้นมีจอ TV ที่ใหญ่ การนั่งเล่นบนโซฟา หรือนอนเล่นมันก็ให้ความสบายที่มากกว่าการนั่งเล่นบนคอมพิวเตอร์เสียอีก หรือถ้าหากคุณเล่นบนเครื่อง Switch เราก็สามารถพกเกมนี้ไปเล่นที่ไหนก็ได้ ซึ่งนี่น่าจะเป็นข้อดีหลักๆ เลยทีเดียว แต่ถามว่าข้อเสียมันก็พอมีบ้าง หรือจอย Analog ที่ค่อนข้างบังคับให้นิ่งยาก เวลาจะจัดเรียงสิ่งก่อสร้างให้ตรงกัน หรือจัดรูปลักษณ์ต่างๆ ให้ตรงตามใจเราก็ค่อนข้างทำได้ยากกว่าเมาส์พอสมควร และรู้สึกว่าติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย สรุป Two Point Hospital เป็นเกมที่เข้าใจง่ายถ้าให่เปรียบเทียบกับเกมแนว Simulator อื่นๆ ซึ่งค่อนข้างเข้าใจง่ายพอๆ กับเกม The Sim เลยทีเดียว ตัวเกมสามารถดูดเวลาคุณทั้งวันไปได้เพียงชั่วพริบตา และส่วนตัวที่ชอบเกมนี้มากๆ ก็เพราะการที่เขามีให้เลือกเป็นด่านๆ และค่อยๆ สอนแนวทางของเกมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามด่านใหม่ๆ และข้อดีก็คือมันสร้างอะไรใหม่ๆ ที่เรานั้นจะไม่ต้องไปจมปลักอยู่กับโรงพยาบาลเดิมๆ หาความท้าทายใหม่ๆ ในอาคารใหม่ๆ ดิกว่า ส่วนในเรื่องของการเล่นบน PS4 นั้นบอกเลยว่าการทดแทนกับเมาส์นั้นตัว Controller สามารถทดแทนได้อย่างดีเยี่ยมเลย ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังดีไม่เท่าเมาส์ก็เถอะ แต่มันก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายที่คุณสามารถนั่งเล่นบนโซฟา หรือนอนเล่นบนเตียงกับจอใหญ่ๆ นั่นเอง รวมถึงในเวอร์ชั่น Switch ที่เรายังจะสามารถหยิบเอาไปเล่นที่ไหนก็ได้อีก ซึ่งส่วนตัวแนะนำเลยครับ [penci_review id="45101"]
11 Mar 2020
รีวิวเกม Yes, Your Grace "ทางเลือกที่แสนลำบากใจของกษัตริย์ยุคกลาง"
ในหนังหรือซีรี่ย์ที่เกี่ยวกับยุคกลาง มักมีเหตุการณ์ที่สุดแสนจะบีบบังคับ ปัญหารุมล้อม ทำให้บางครั้งตัวละครก็เลือกทางเดินที่เห็นว่าไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร จนพวกเรามานั่งบ่นว่าทำไมไม่ทำอย่างนู่น ทำไมไม่ทำอย่างงี้ (อารมณ์ประมาณเด็กเกาะเบาะ 555+) วันนี้ GameFever TH  จะขอแนะนำเกม Yes, Your Grace ที่จะจำลองการเป็นกษัตริย์แห่งยุคกลาง ทำหน้าบริหารบ้านเมืองและรับมือกับปัญหาต่างๆ มาดูกันว่ามันลำบากยากเย็นแค่ไหน เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม เนื้อเรื่องจะเล่าถึงอาณาจักร Davern ที่ปกครองโดยกษัตริย์ Eryk ซึ่งแต่ละวันก็คอยรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ขอให้ช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมอนเตอร์บุกโจมตีหมู่บ้าน ของบไปสร้างโรงเตียม (ขอทานก็มีนะ) เป็นต้น แต่ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเดียว กษัตริย์ Eryk ต้องคอยดูแลเรื่องในครอบครัวของตนเองไปพร้อมๆกันด้วย แถมต้องค่อยจัดการเรื่องของขุนนางอีก ซึ่งก็ดูเหมือนจะคล้ายๆซีรี่ย์/หนังยุคกลางธรรมดาเรื่องนึง ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ ถึงเนื้อเรื่องจะดูธรรมดาไปสักหน่อย แต่เนื้อเรื่องเกมนี้ยาวมาก (ประมาณ 5-7 ชม.) เรียกได้ว่าเล่นกับตาแฉะกันเลยทีเดียว และต้องใช้ความรู้ทางภาษาสักหน่อยเพื่อเข้าใจเนื้อเรื่องและคำร้องเรียนมากขึ้น แถมตลอดเนื้อเรื่องจะมีเหตุการณ์สำคัญแทรกมาเป็นระยะๆ ทำให้เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ น่าตื่นเต้นอยู่ตลอด  ส่วนบรรยากาศในเกมทำออกมาได้ดี ถึงจะดูเงียบเหงาไปสักหน่อย เพราะตัวละครที่จะโผล่มาในพระราชวัง นอกจากประชาชนที่เข้ามาร้องเรียนแล้ว ก็มีแค่คนในครอบครัวกับทหารแค่ไม่กี่คนภาพในเกมใช้เป็นแบบพิกเซลอาร์ต แถมดนตรีก็ฟังเพลินดีด้วย ซึ่งเข้ากับธีมยุคกลางได้ดี ไม่รู้สึกขัดหูขัดตาอะไร ระบบเกมการเล่น  เริ่มเกมมา ตัวเกมจะขึ้นเตือนเราว่า “เกมนี้เป็นเกมทางเลือกที่แสนลำบากใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะสนองความต้องการของทุกคน บางครั้งอาจจะมาดี บางครั้งมีเจตนาชั่วร้าย  และบางครั้งอาจจะไปขวางทางคนอื่น จงบริหารทรัพยากรให้เพียงพอแต่ละสัปดาห์ก็พอแล้ว” เพราะอย่างงั้นทุกๆการตัดสินใจในเกมนี้ ทำให้เราต้องมานั่งคิดดีๆว่าควรทำหรือเปล่า เพราะบางครั้งการตัดสินใจเล็กๆ ก็อาจนำพาเรื่องใหญ่ตามมาในภายหลัง  พูดถึงระบบการเล่น จะคล้ายกับเกมแนว visual novel ที่เราต้องเลือกตัดสินใจทางเลือกต่างๆ แต่เกมนี้จะมีเรื่องของทรัพยากรพ่วงมาด้วย  โดยเกมจะแบ่งให้เราเล่นเป็นสัปดาห์ๆไป (ให้คิดสะว่า 1 สัปดาห์จะเปิดให้ร้องเรียนแค่ 1 วัน) จะมีประชาชนจำนวนหนึ่งเข้ามาต่อแถวร้องเรียนขอความช่วยเหลือที่ท้องพระโรง (เราสามารถเลือกว่าใครจะขึ้นมาร้องเรียนก่อนก็ได้ ไม่ต้องตามลำดับ)  ซึ่งแน่นอนการให้ความช่วยเหลือต้องใช้ทรัพยากร (ทรัพยากรมีทอง เสบียง กำลังทหาร หัวหน้าทหาร) ทำให้ต้องมานั่งคิดว่าทรัพยากรจะเพียงพอให้ช่วยเหลือหรือจะเผื่อใช้ในครั้งต่อไป เพราะทรัพยากรมีจำกัด เราไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน เราจึงสามารถตัดสินใจว่าจะช่วยเหลือหรือไม่ก็ได้ ถ้าช่วยเหลือ ค่าความสุข(ของประชาชน)เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ช่วย  ค่าความสุขจะลดลง  ถึงเรื่องการช่วยเหลือประชาชนจะสำคัญ แต่การดูแลคนในครอบครัวและขุนนางก็สำคัญไม่แพ้กัน เราต้องค่อยแก้ปัญหาความวุ่นวายในครอบครัวด้วย เพราะถึงจะไม่ได้ทำให้เราได้ทรัพยากร แต่ก็ช่วยให้ครอบครัวรักกันดี ไม่แตกแยก หรือมีโอกาสล่มบังลังก์ ส่วนขุนนางเราสามารถติดต่อได้โดยการส่งนกพิราบไป และขุนนางคนนั้นจะมาในสัปดาห์ต่อไป เราสามารถเป็นพันธมิตรได้ โดยทำตามเงื่อนไขของขุนนางคนนั้นๆก่อน ถ้าเป็นพันธมิตรกันแล้ว พวกเขาจะช่วยเหลือเรื่องทรัพยากรต่างๆ (แต่ถ้าไม่ลงรอยกันก็อาจมาทำร้ายเราที่หลังได้ )  ทุกครั้งที่เราตัดสินใจหรือมีความก้าวหน้าของเนื้อเรื่อง จะมีบันทึกให้เราสามารถเข้าไปอ่านย้อนความได้ (อยู่ข้างล่างซ้าย) หลังจากรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมดแล้ว เราสามารถเดินสำรวจพระราชวังของเราเราได้ โดยจะแบ่งเป็นส่วนต่างๆ เช่น คุก กำแพงเมือง สวน ฯลฯ ซึ่งจะมีรูปคริสตัลขึ้นอยู่ บงบอกว่าส่วนนั้นมีเนื้อเรื่องอยู่ (สีฟ้าเป็นเนื้อเรื่องหลัก สีเขียวเป็นเนื้อเรื่องเสริม) และเราสามารถส่งหัวหน้าทหารไปสำรวจบริเวณรอบอาณาจักรเพื่อหาทรัพยากรได้  เราสามารถจะข้ามไปสัปดาห์ต่อไปได้ แต่ต้องทำส่วนเนื้อเรื่องและหน้าที่หลักให้เสร็จก่อน โดยจะขึ้นเตือนว่าเราต้องไปทำอะไรเป็นคำพูดของกษัตริย์ Eryk (ข้ามเรื่องเสริมได้ แต่ก็ควรไปเก็บให้หมด) เมื่อจบ 1 สัปดาห์จะมีขึ้นบอกว่าสัปดาห์นี้เรามีรายได้รายจ่ายอะไรบ้าง เราสามารถอัพเกรดเมืองได้จากเมนูด้านซ้าย และตัวเกมจะเซฟเป็นสัปดาห์ๆไป เราสามารถย้อนมาเล่นแต่ละสัปดาห์ได้ (แต่เซฟสัปดาห์หลังจากนั้นจะหายไป) และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอฉากจบ มาพูดถึงข้อเสียกัน เนื่องจากเกมนี้มีเนื้อเรื่องที่ยาวมาก เลยทำให้บางช่วงอาจจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย จนเผลอๆกดข้ามบ้างให้ส่วนที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร และตัวเกมนอกจากเลือกตัดสินใจในเรื่องต่างๆแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย เราจะเจอแต่เกมเพลแบบนี้ตลอดทั้งเกม เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีอะไรทำ ทั้งที่มันน่าจะทำไรได้มากกว่านี้ ความรู้สึกหลังเล่น บอกตามตรง ตอนแรกที่ซื้อเกมนี่มา เพราะคิดว่าคงเป็นเกมเล่นเรื่อยๆ รับฟังปัญหาชาวบ้าน และจัดการทรัพยากรเฉยๆ ไม่คิดว่าจะมีเนื้อเรื่องหนักหน่วงขนาดนี้ จะเรียกได้ว่าเป็นซีรี่ย์ดีๆเรื่องนึงเลยก็ได้ แต่แค่เรากำหนดทิศทางของเรื่องได้ (ช่วงท้ายๆของเกม ตัวเลือกแต่ละทางมันช่างหนักใจสุดๆ บีบบังคับมากกกกก) ทำให้ต้องยอมเล่นเกมนี้จบ 2-3 รอบเพื่อหาฉากจบแบบอื่นๆ ถ้าพูดถึงฉากฉากชอบที่สุด ก็คงเป็นฉากสงคราม (บอกเยอะไม่ได้ เดียวสปอย) ดุเดีอดมาก แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยชอบตรงที่เกมนี้ต้องอ่านเยอะมากกกกกกกกกก (อ่านจนเหนื่อย จนบางครั้งก็กดข้ามๆก็มี) สรุป Yes, Your Grace เป็นเกมแนวจำลองเหตุการณ์ + บริหารทรัพยากรที่มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้น น่าติดตาม และจบได้หลายทาง แต่เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่ยาวและต้องอ่านเยอะมาก อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบตามเนื้อเรื่องสักเท่าไร แถมเกมเพลที่ซ้ำซากตลอดทั้งเกม เลยทำให้เกมดูไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้น Yes, Your Grace ก็ยังเป็นเกมที่น่าซื้อมาลองเสพเนื้อเรื่องอีกเกมนึงอยู่ดี Link : https://store.steampowered.com/app/1115690/Yes_Your_Grace/ [penci_review id="44737"]
11 Mar 2020
รีวิว Digimon X Ver.2 ครบรอบ 20 ปี V-pet Digimon Bandai
V-pet เป็นเครื่องเล่นเกมที่ฮิตในหมู่เด็กยุค 90 โดยเฉพาะV-pet Digital Monster ของ Bandai เรียกสั้นๆว่าดิจิไวซ์ ดิจิไวซ์ก็ผลิตออกมาหลายรุ่น จนมีรุ่นของ Digimon X Antibody ซึ่งเป็นมีการดีไซน์ตัวละครใหม่ที่เท่กว่าเดิมโคตรๆ และเนื่องในโอกาศครบรอบ 20 V-pet Digimon Bandai ก็ได้ออก V-pet รุ่นครบรอบ 20 ปีออกมา หลังจากนั้นก็ออก pendulum(รุ่นต่อมาของ V-pet) ครบรอบ 20 ปี และล่าสุดก็ได้ออก Serie Digimon X รุ่นครบรอบ 20 ปี โดยที่ Digimon X ตอนนี้มี X1 ที่ออกมาในเดือนมีนาคม ปี19 ที่ผ่านมี และ X2 ที่ออกมาในเดือนธันวาม ปี19 ซึ่งมาใน Theme ของ 7 Deadly Sin หรือ ดิจิมอน 7 บาปนั่นเอง Digimon X2 Purple (Lucemon X) และ Digimon X2 Red (Demon X) ตัวเครื่องจะมีปุ่ม 3 ปุ่ม เลื่อนเมนู เลือกเมนู และยกเลิก ระบบการเล่นจะเป็นการเลี้ยงดิจิมอนของเราเพื่อให้แข็งแกร่งและพัฒนาร่าง โดยทั้ง 2 สีจะมีดิจิมอนส่วนใหญ่เหมือนกัน แต่ก็จะมีตัว exclusive ของแต่ละเครื่องด้วย เช่น Black Wargreymon X, Lilithmon X, Ophanimon: Fallen Mode X ในเครื่อง Red และ Dark kightmon X, Belphemon X, Cherubimon (Vice) X ในเครื่อง Purple Digimon เริ่มแรกมาเราจะได้ไข่ Kiimon มา หลังจากนั้นเราก็ะเลี้ยงดูฟูมฟักมันจนกว่าจะเปลี่ยนร่างโดยแต่ร่างก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกัน และแน่นอนว่าทั้งหมดจะเป็นดิจิมอนสายดาร์คตาม Theme ของ X2 ซึ่งในมีให้เก็บสะสมมากกว่า 40 ตัว นับตั้งแต่ร่าง Baby I จนไปถึงร่าง Mega ระบบการเลี้ยง หน้าที่องเราคือดูแลดิจิมอนโดยการให้อาหาร พาไปฝึก พาไปลง dungeon เก็บเลเวล โดยจะมี Gauge หลักๆคือ ความแข็งแกร่ง ความหิว และ level ค่าที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการพัฒนาร่างของแต่ละตัว เหมือนจะเลี้ยงยากใช่ไหมครับ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ยากมาก หรืออย่างน้อยก็ไม่ยากเท่าเมื่อเล่นตอน 20 ปีที่แล้ว เนื่องจากแต่ละร่างใช้เวลาในการพัฒนาน้อยลง สามารถผ่านเงื่อนไขการพัฒนาเรื่องการชนะด้วยระบบดันเจี้ยน มีระบบตู้เย็น(pause)ทำให้เราหยุดเล่นได้เมื่อเบื่อหรรือมีธุระ เลี้ยงสูงสุดได้ 3 ตัว แล้วสามารถเล่นต่อได้เมื่อเปลี่ยนถ่านใหม่ ทำให้ไม่เสียดายเวลาที่เล่นไป (ุรุ่นเก่าๆเปลี่ยนถ่านปุ้บ เล่นใหม่ตั้งแต่ไข่ใบแรก เล่นเอาท้อไปเลย) ระบบ XAI เป็นระบบทอยลกเต๋าสุ่ม มีเลข 1-7 โดยการระบบนี้ในการต่อสู้ ปะสิทธิภาพของดิจิมอนในแต่ละวัน และโอกาสในการเจอตัวละครลับ ที่เมื่อเราชนะ เราสามารถปลดล็อคมาเลี้ยงได้ ระบบกาต่อสู้และดันเจี้ยน หลายคนเลิกเล่นดิจิไวซ์ไปเพราะไม่ผ่านเงื่อนไขต้องชนะตามจำนวนครั้ง แต่ปัญหานั้นได้หมดไปเพราะตัวเกมมีระบบดันเจี้ยน ซึ่งแต่ละดันเจี้ยนจะมีความเก่ง ให้ Exp และ Drop ขอไม่เหมือนกัน วิธีการต่อสู้คือทอยลูกเต๋าเพื่อกำหนดความเร็วลูกศร แล้วกดลูกศรให้โดนยอดที่สูงที่สุด เป็นระบบที่ง่าย ไม่เจ็บมือ(บางรุ่นใช้กดรัวๆ) ไม่น่ารำคาญ(บางรุ่นใช้เขย่า) นอกจากนี้ยังมีระบบเลเวลมาเกี่ยวข้องอีกด้วย โดยที่ยังคงระบบเชื่อมต่อเพื่อต่อสู้กับคนอื่นอยู่ โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าเป็นเครื่องที่น่าเล่น พกพาไปเล่นด้วยง่าย ไม่รู้สึกเสียสมาธิกับมันมากเพราะสามารถ pause ได้ Design ตัวเครื่องก็สวยงาม ถึงแม้มันจะย้อมแมวไปหน่อยก็เถอะ ถ้าเพื่อนๆชอบ Digimon สายดาร์ค Digimon X2 Purple และ Digimon X2 Red เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดเลย ส่วนคนที่ชอบระบบเครื่องแต่ยังไม่ถูกใจดิจิมอนใน X2 ก็สามารถไปตามหา X1 สีขาวและดำมาได้ โดยX1 จะมีตัวสายพระเอกมากกว่านี้ และ X3 ที่กำลังจะออกมาในอีกไม่ช้า ซึ่ง X3 จะเป็น Theme Royal Knight หากมีอะไรอัพเดท ผมจะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
06 Mar 2020
รีวิวเกม Iris and the Giant "สาวน้อยเงียบงันกับยักษ์แห่งจิตใจ"
Iris and the Giant เป็นเกมแนว Card game RPG Roguelite ที่จะพาเราไปผจญภัยในจิตใจของน้อง Iris ที่ดูเหมือนจะเจอปัญหารุมเร้า จนมีปีศาจมากมายเข้ามาทำร้ายจิตใจของเธอ วันนี้  GameFever TH จะมารีวิวโลกของเกมนี้กัน ว่าจะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน เนื้อเรื่องและบรรยากาศ Iris  เด็กสาวคนหนึ่งที่เป็นคนไม่แสดงออก (จะเรียกว่าไม่แสดงอารมณ์เลยก็ว่าได้) และไม่ค่อยพูดคุยกับใคร (แม้แต่พ่อของเธอก็ตาม) ในวันหนึ่งอยู่ๆ Iris อยู่ๆก็ได้สลบไป พอได้สติ เธอก็อยู่บนเรือกับคนพายเรือที่กำลังพาไปยังซากหอคอยที่มียักษ์นั่งร้องไห้อยู่บนสุดหอคอย พอถึงฝั่งคนพายเรือได้ให้กระเป๋าที่มีการ์ดเต็มกระเป๋ากับเธอ และได้พบกับปีศาจที่รอเธออยู่ แต่เธอไม่ได้มีอาการตกใจหรือกลัวแต่อย่างใด ราวกับเธอรู้ว่าเธอมาที่นี้เพื่อทำอะไร ที่เขียนมาข้างต้นคือ เนื้อเรื่องในช่วงแรกของเกม (อันนี้สปอยได้ มันอยู่ใน trailer) ซึ่งบอกอะไรกับเราน้อยมาก  แต่ถ้าเล่นเกมไปเรื่อยๆ Iris ก็จะมีพูดถึงสถานที่และสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ และจะมีชิ้นส่วนความทรงจำให้เก็บตามทาง ทำให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับน้อง Iris มากขึ้นว่าเคยเจอกับอะไร (สงสารน้องงง เจอBullyหนักมาก - -’’) แถมตัวเกมไม่ได้แค่เล่าเรื่องผ่าน cutscreen เพียงอย่างเดียว ตัวปีศาจและการ์ดที่เราเล่นก็ใช้มาเล่าเรื่องในบางฉากด้วย จัดว่าสร้างสรรค์ใช้ได้เลย ด้านงานภาพ ใช้ภาพที่เรียบง่าย และใช้สีเพียงไม่กี่สี (อันนี้ไม่รู้จริงๆว่ามันเป็นภาพแนวไหน) แต่ก็ทำให้รู้สึกสบายตา แถมแสดงออกถึงสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ได้อย่างชัดเจน แถมปีศาจและการ์ดในเกมก็ออกแบบให้เรียบง่ายและดูเข้าใจง่าย เรียกได้ว่าทั้งฉาก ตัวละครและการ์ด ดูเข้ากันไปหมด ไม่สะดุดตาเลย ระบบเกมและภาพรวม มาพูดถึงระบบการเล่นเบื้องต้น เราจะมีHPอยู่ 30 หน่วย (ในเกมใช้คำว่า Will(ความตั้งใจ)) การ์ดในกระเป๋าจำนวนหนึ่ง และมีการ์ดบนมือสุดสูง 4 ใบ และไม่สามารถเปลื่ยนการ์ดบนมือได้ ในหนึ่งเทิร์น เราจะเล่นการ์ดเพื่อจัดการปีศาจหรือบัพตัวเองได้แค่ 1 ใบเท่านั้น (นอกจากการ์ดบางใบที่บอกว่าใช้แล้วสามารถใช้การ์ดใบอื่นได้) หลังจากนั้นปีศาจทุกตัวที่สามารถโจมตีได้จะโจมตีใส่เราทั้งหมด ผลัดกันเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะผ่านด่านได้ก็ต้องขึ้นบันไดไปชั้นถัดไปเท่านั้น (มีทางแยกด้วย) และเราจะแพ้ก็ต่อเมื่อHPเราหมด หรือการ์ดในกระเป๋าหมด ถึงจะเห็นว่าการเล่นดูเรียบง่ายก็ตาม แต่มันไม่ได้ง่ายเลยที่จะขึ้นไปถึงชั้นบนสุด (เกมนี้มี 21 ชั้น) เพราะเราต้องหาวิธีผ่านไปชั้นถัดไป โดยที่ไม่ตาย ใช้การ์ดให้น้อยเผื่อใช้ในชั้นถัดไป ยังต้องหาการ์ดใหม่เข้ากระเป๋าอีก แถมด่านหลังๆปีศาจจะเริ่มถือโล่ และใส่เกราะ ทำให้จัดการยากขึ้นไปอีก แต่เราก็สามารถเก่งขึ้นระหว่างการเดินทางได้เหมือน ซึ่งเราจะเก่งขึ้นได้มีอยู่ 4 วิธีหลักๆ หาการ์ดเพิ่มใส่กระเป๋า สามารถหาได้จากหีบที่อยู่ตามด่าน เพื่อการ์ดที่รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ จัดการปีศาจ เราจะได้ดาวสีฟ้ามา เมื่อเก็บได้ตามจำนวนแล้วเราจะสามารถเพิ่มขีดจำกัดของตัวเราได้ เช่น HP เพิ่มขึ้น, ถือการ์ดได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น จัดการบอสของชั้น เราจะได้ดาวสีแดง เมื่อเก็บได้ เราจะได้สกิลที่จะช่วยให้การ์ดของเรามีความสามารถที่เพิ่มขึ้น เช่น ใช้อาวุธประเภทธนูได้ไม่จำกัดครั้ง, ลดความเสียหายที่ได้รับ เป็นต้น ตามด่านจะมีผลึกสีแดงอยู่ ถ้าเก็บครบตามจำนวนแล้ว เราจะได้การ์ดพิเศษ เช่น ดาบที่ใช้แล้วจะกลับไปอยู่ในกระเป๋า (ไม่ใช้แล้วทิ้ง), บันไดทางลัดข้ามหนึ่งชั้นได้ทันที เป็นต้น มาดูส่วนของการเตรียมตัวก่อนเริ่มเกมรอบใหม่กันบ้าง เราสามารอัพถสกิลติดตัวได้ โดยใช้ชิ้นส่วนความทรง (Memories) ที่แอบอยู่ตามด่าน และเราสามารถเลือกเปลื่ยนไปอัพสกิลอื่นได้ตามใจชอบ และเราสามารถพาเพื่อนร่วมทางติดตัวไปได้ด้วย (Imaginary Friends (ตัวเล็กมาก อารมณ์เหมือนสัตว์เลื้ยงมากกว่า)) โดยเพื่อนร่วมทางแต่ละคนจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถปลดล็อคเพื่อนร่วมทางได้จากการทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ (ประมาณ Challenge) และแน่นอนตามสไตล์เกม Roguelite ทุกครั้งที่เราตาย เราจะเก่งขึ้น โดยจะได้รางวัลเป็น ชิ้นส่วนความทรง (Memories) และ Gifts เป็นการปลดล็อคของใหม่ และโบนัสที่จะเพิ่มให้ในรอบถัดไป (Gifts จะดีขึ้นตามจำนวนดาวที่เก็บได้จากรอบที่แล้ว) ทำให้การเล่นแต่ละรอบต้องเปลื่ยนวิธีเล่น เพื่อใช้ประโยชน์จาก Gift ให้มากที่สุด พูดถึงข้อเสียที่พบเจอในเกมนี้ ก็คือการเล่าเรื่อง ถึงจะเล่าเรื่องได้ดีและสร้างสรรค์ก็ตาม แต่เพราะตัวเกมเป็นแนว Roguelite การที่จะไปถึงเนื้อเรื่องจนจบนั้น เราต้องเล่นซ้ำไปมาหลายรอบมาก เพื่อที่จะเก็บชิ้นส่วนความทรงมาปะติดปะต่อเนื้อเรื่อง และอัพสกิลติดตัวให้เก่งพอที่จะบุกไปด่านหลังๆไหว เลยอาจจะทำให้เบื่อไปเสียก่อนที่จะรู้เนื้อเรื่องจนจบ แถมเกมตอนนี้ก็ยังมีบัคที่ทำให้เกมค้าง(แบบเล่นต่อไม่ได้) อยู่บ่อยครั้งมาก เลยทำหงุดหงิดพอสมควรเลย ความรู้สึกหลังเล่น ประทับใจตั้งแต่งานภาพของเกม ที่ดูเรียบง่าย แต่ก็สวยงาม ส่วนตัวระบบเกมสนุกใช้ได้เลย ทำให้ติดพันได้พอสมควร ยิ่งตัวคนเขียนเองชอบเกมแนวนี้อยู่แล้วด้วย เลยชอบเป็นพิเศษ ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย (บางครั้งก็ต้องพึ่งดวงสักหน่อย) และส่วนที่น่าประทับใจก็คงเป็นเนื้อเรื่องของเกมนี้ เศร้า ซึ้ง และกินใจ แถมวิธีเล่าก็รู้สึกแปลกดีด้วย (อยากเล่านะ แต่เล่ามากไม่ได้ เดียวสปอย - -’’) แต่ก็หงุดหงิดพอสมควรเลยที่เกมยังมีบัคที่ทำให้เกมค้าง แถมเจอบ่อยด้วย สรุป Iris and the Giant เป็นเกมแนว Card game RPG Roguelite ที่เล่นสนุกและเพลินมาก ถึงภาพจะดูเรียบง่ายก็สวยงามในแบบของมัน แถมการเล่าเนื้อเรื่องก็ดีและสร้างสรรค์ แต่กว่าจะได้เสพเนื้อเรื่อง ก็เล่นซ้ำเยอะมาก อาจจะทำให้เบื่อก่อนได้ เลยไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ และตอนนี้เกมก็ยังมีปัญหาเกมค้างอยู่บ่อยครั้ง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป เกมนี้ก็เหมาะที่จะเอามาเล่นฆ่าเวลาและเสพเนื้อเรื่องอีกเกมหนึ่ง LINK : https://store.steampowered.com/app/1127610/Iris_and_the_Giant/ [penci_review id="43748"]
03 Mar 2020
รีวิว Patapon 2 Remastered การกลับมาของ Side-Scrolling ในตำนานบนเครื่อง PS4!
Patapon เป็นเกมแนว Rhythm Action RPG ที่ใช้มุมมองแบบ Side-Scrolling และวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่อง PlayStation Portable (PSP) ในปี 2007 ตัวเกมได้รับกระแสตอบที่ดีมาก ๆ จนส่งผลให้มีเกมภาค 2 และ 3 ออกในเวลาต่อมา วันนี้เกม Patapon 2 กลับมาอีกครั้งในชื่อ Patapon 2 Remastered ซึ่งก่อนจะเริ่มรีวิว ผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ไม่เคยสัมผัสเกมในซีรีส์นี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นในการรีวิวครั้งนี้จะเป็นความประทับใจแรกของผู้เขียนล้วน ๆ สวดว่าผู้เขียนมีความคิดเห็นยังไง มาดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่อง Patapon 2 นั้นจะเป็นเหตุการต่อจากภาคแรก โดยหลังจากที่เหล่า Patapon สามารถเอาชนะพวกปีศาจ Zigoton ได้ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขผ่านไปไม่นาน เหล่า Patapon ก็ตัดสินใจที่จะต่อเรือ เพื่อออกเดินหาแผนดินใหม่ แต่การเดินทางมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด การเดินของเหล่า Patapon พบกับอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นพายุที่โหมกระหน่ำ , ปีศาจปลาหมึกที่เข้ามาจูโจม ถึงแม้ว่าเหล่า Patapon จะมีหัวใจ กับร้างกายที่เข้มแข็ง แต่ไม่ใช้กับเรือที่โดยสารมา เมื่อผ่านไปได้ 49 วัน เรือของเหล่า Patapon ก็ได้จมลง Hatapon (ตัวโบกธง) ตื่นขึ้นมาที่ชายหาดบนแผนดินที่ไม่รู้จัก พร้อมกับธงคู้ใจของเขา ทุกอย่างยังปกติยกเว้นแต่เพื่อน ๆ Patapon ที่หายไป เราจึงต้อง ตีกลอง กูร้อง ออกเดินทางเพื่อรวบรวมพวกพ้องที่หายไป หลังจากออกเดินทางได้ไม่นาน เหล่า Patapon ก็ได้พบกับเผ่าประหลาดที่กำลังทำร้าย Patapon ตัวหนึ่งอยู่ หลังจากขับไล่และช่วย Patapon ปริศนาเอาไวได้ เธอได้แนะนำตัวเองว่าเธอมีชื่อว่า Medan เป็นหนึ่งในเผ่า Patapon ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าของเธอก็ทำให้เรารู้ว่า บนแผ่นดินนี้เคยมีเหล่า Patapon อาศัยอยู่ เธอจะขอให้เราทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ กับเผา Patapon กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ กราฟิกของเกม Patapon นั้นไม่ได้มีความสวยงามสมจริงอะไรเหมือนกับเกมส่วนใหญ่ในยุคสมัยนี้ แต่ด้วยภาพ และกราฟิกของเกมที่ดูตะมุตะมิน่ารัก ๆ ก็ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับเกมได้มากพอสมควรเลยทีเดียว ยิ่งโมเดิลต่าง ๆ ของเหล่าสัตว์ประหลาดนี่มีความน่ารักมากกว่าน่ากลัวซะอีก จนทำให้บางครั้งผู้เขียนก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเข้าไปกอดมากกว่าวิ่งเข้าไปฆ่ามัน ถ้ากำลังหาเกมเล่นแก้เบื่ออยู่ละก็ ผู้เขี่ยนคิดว่าเกมนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเลยครับ ในด้านการนำเสนอ ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมแบบ Side-Scrolling ที่มักจะทำให้รู้สึกห่างเหินเวลาเล่น แต่การเล่าเรื่องที่เหมือนว่าเราเป็นผู้นำของเผ่า หรือพระเจ้าของเผ่า มันทำให้รู้สึกว่าอยากจะชี้นำให้เผ่า Patapon นี้ สามารถเอาชีวิตรอดในโลกอันแสนโหดร้ายนี้ไปให้ได้ แถมการเล่าเรื่อง หรือฉาก Cut Scene ก็ถูกเล่าผ่าน Gameplay ทั้งหมด ทำให้ระหว่างเล่นจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดำเนินไปอย่างลื่นไหล่มาก ๆ ซึ่งมันทำให้เราเพลิ่นเพลนไปกับการเล่นพอสมควรครับ ด้วยความที่ตัวละครส่วนใหญ๋ในเกมนี้มันจะหน้าตาเหมือน ๆ กันไปหมดก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่มีตัวไหนเลยที่น่าจดจำ จริงอยู่ที่โมเดิลของตัว Patapon เองมีความเป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำอยู่มาก แต่ความที่หน้าตาเหมือนกันไปหมด มันทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครไหนเป็นพิเศษเลย ซึ่งอาจจะเป็นข้อเสียเพียงเล็กน้อยของเกมนี้ครับ อีกทั้งยังมีความรู้สึกว่าผู้พัฒนา น่าจะยังสามารถทำเกมออกมาให้ดีกว่านี้ได้อีก คือมีความรู้สึกว่าเกมนี้ยังดูไม่สมกับ เกมบนเครื่อง PS4 เลยครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ อย่างที่บอกข้างต้นว่าเกมนี้เป็นแนว Rhythm Action ดังนั้นการเล่น การเดิน การโจมตี รวมไปจนถึงการป้องกัน จำเป็นต้องกดตัวโน๊ตของเกมให้ถูกต้อง ซึ่งปุ่ม เอ็ก , โอ , สามเหลี่ยม , สี่เหลี่ยม จะแทนที่ด้วยโน้ตเพลงต่าง ๆ เช่นถ้าหากจะเดินหน้าก็ต้องกด สี่เหลี่ยม , สี่เหลี่ยม , สี่เหลี่ยม , โอ ตามจังหวะเพลงให้ถูกต้อง ถ้าอยากจะโจมตีต้องกด โอ , โอ , สี่เหลี่ยม , โอ ตามจังหวะเพลงแทน รูปแบบการเล่นนี้เห็นครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่า ดูยุ่งยากน่ารำคาญ แต่พอได้เล่นเองจริง ๆ กลับทำให้รู้สึกตื่นตัว , เพลิดเพลิน , และสนุกมากกว่าที่คิดครับ จริงอยู่ที่ด้วยระบบเกมเพลย์นี้ทำให้ผู้เล่นต้องตื่นตัวตลอดเวลา แต่เพราะว่าเป็นระบบแบบนี้แหละ ถึงทำให้ไม่สามารถเล่นเกมนี้แบบชิล ๆ ได้เช่นกัน ทุกครั้งที่เล่นจำเป็นต้องมีสมาธิกับเสียงจังหวะ และหน้าจอสูงมาก ดังนั้นถ้าวันไหนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นเกมซึ่งต้องใช้สมาธิได้ ก็จะไม่สามารถเล่นเกมนี้ได้ในเวลาเดียวกัน หรือเมื่อเล่นไปสักพักอาจจะรู้สึกว่าหนักหัว เพราะใช้สมาธิมากเกินไปได้เช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่านับเป็นข้อเสียรึเปล่า แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่าเรื่องนี้นับเป็นข้อเสียของเกมครับ แน่นอนว่าเวลาเราไปออกรบหรือสำรวจ เหล่า Patapon ไม่เคยเดินทางคนเดียว แต่เดินทางไปเป็นกองทัพ ดังนั้นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ทำให้การเล่นเกมนี้สนุก ก็คือการจัดกองทัพเพื่อเตรียมออกเดินทาง ตัวชนควรอยู่ตรงไหน , นักธนูควรอยู่ตรงไหน , พลหอกควรอยู่ตรงไหน ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นระบบเล็ก ๆ แต่ผู้เขียนกล้าพูดเลยว่า การที่ต้องมานั่งคิดทุกครั้งก่อนจะออกเดินทาง นั่งจินตนาการว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง และต้องเอาตัวไหนไปบ้างถึงจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ก็เป็นหนึ่งในความเพลิดเพลินที่หาได้ในเกมนี้เช่นกันครับ ◊ สรุป ◊ Patapon 2 Remaster เป็นเกม Rhythm Action RPG ที่ใช้มุมมองแบบ Side-Scrolling ตัวเกมมีภาพน่ารัก , เป็นเอกลักษณ์ , ระบบเกมเพลย์เองก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้ดี มีความสนุกอยู่มากพอสมควร แต่เกมนี้จำเป็นต้องมีสมาธิเต็มร้อยในตอนที่เล่น ดังนั้นการเล่นนาน ๆ อาจจะทำให้เกิดความเหนื่อยล้ามาก ๆ ได้เช่นกันครับ แต่ถ้าตัดข้อนี้ออกไปแล้ว เกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวครับ จากทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผู้เขียนจึงได้ให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถ้าจะเก็บเกมนี้ไว้เล่นตอนเบื่อ ๆ ก็คิดว่าคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยครับ [penci_review id="43723"]
28 Feb 2020
รีวิวเกม Necronator: Dead Wrong "บุกตีปราสาทแบบฉบับแม่ทัพปีศาจมือใหม่"
เกม Early Access เป็นเกมที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่ปล่อยออกมาขายก่อน เพื่อให้คนที่สนใจซื้อมาลองเล่น และผู้พัฒนาก็จะได้นำข้อผิดพลาด/ความคิดเห็นจากผู้เล่นมาพัฒนาต่อยอด จะเรียกว่าเป็นเกมที่ผู้เล่นและผู้พัฒนาช่วยกันทำให้เกมสมบูรณ์ก็ไม่ผิด แต่ก็มีหลายเกมที่ไปไม่รอด วันนี้ GameFever TH จะมารีวิว 1 ในเกม Early Access ที่น่าสนใจ (และคนเขียนอยากให้มันไปรอดเหลือเกิน) นั้นก็คือ Necronator: Dead Wrong ระบบเกมและภาพรวม Necronator: Dead Wrong เป็นเกมแนว RTS (real-time strategy) Deckbuilding ที่เราจะได้รับบทเป็นแม่ทัพปีศาจมือใหม่ที่พึ่งจบจากโรงเรียนปีศาจ และได้รับภารกิจให้ไปบุกโจมตีอาณาจักรของเหล่ามนุษย์ สำหรับเนื้อเรื่องเกมนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก เป็นแบบสูตรสำเร็จที่เราอาจจะเห็นได้บ่อยครั้ง แต่ก็จะมีเหตุการ์ณสุ่มโผล่ออกมาระหว่างทางเพื่อเป็นสีสันนิดหน่อย ก่อนเริ่มเล่น จะให้เราเลือกตัวละครแม่ทัพก่อน (ตอนนี้มีแค่ตัวเดียว) แต่ละตัวละครจะมี Deck กองทัพเริ่มต้น และ Relic เริ่มต้น (บัพถาวรที่จะทำให้กองทัพให้เก่งขึ้น) ที่แตกต่างกัน จากนั้นจะให้เล่นเลือกอาณาจักรที่เราต้องไปตี (ก็คือแผนที่นั้นล่ะ ตอนนี้มีแบบเดียว) แผนที่จะสุ่มแบบและเส้นทางทุกครั้งตามตัวเลข Seed ด้านล่าง (หรือจะกำหนดเองก็ไม่ว่ากัน) และสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นด่าน Tutorial หรือไม่ ในแผนที่จะมีหมู่บ้าน ร้านค้า ค่ายพัก ปราสาทและเหตุการ์ณสุ่มกระจายอยู่ทั่วไป และจะมีเส้นทางที่บอกว่าเราสามารถไปทางไหนได้บ้าง เราต้องเลือกและวางแผนการเดินทางให้ดี เพื่อที่จะพากองทัพของเราบุกอาณาจักรให้สำเร็จ โดยสถานที่ต่างๆจะมีเนื้อเรื่อง เหตุการ์ณและ รางวัลที่แตกต่างกัน เช่น หมู่บ้าน (รูปดาบ) เราจะต้องทำการบุกตีหมู่บ้านให้แตก ถ้าบุกชนะ เราจะได้วิญญาณ(ค่าเงินในเกม) และการ์ดเพิ่มใน deck ของเรา (ความเสียหายที่ฐานทัพเราได้รับจะยังคงอยู่จนกว่าจะได้พื้นฟูได้ที่ค่ายพักแรม)  ร้านค้า (รูปตราชั่ง) สามารถใช้วิญญาณ(ค่าเงินในเกม) ซื้อการ์ด หรือ Relic เพื่อเสริมแกร่งกองทัพ และสามารถนำการ์ดที่ไม่ต้องการออกจากเด็คได้ ค่ายพักแรม (รูปกองไฟ) สามารถพื้นฟูพลังของฐานทัพ สามารถนำการ์ดที่ไม่ต้องการออกจากเด็คได้ หรืออัพเกรดกองทัพ (เลือกการ์ด 1 ใบเพื่ออัพเกรด ตัวอย่างดูตามรูป) ปราสาท (รูปดาบ) จะคล้ายกับหมู่บ้านที่ยากกว่า แต่ถ้าบุกชนะ เราจะได้วิญญาณ(ค่าเงินในเกม), Relic และการ์ดเพิ่มใน deck ของเรา เหตุการ์ณสุ่ม (รูปธง) จะเป็นเหตุการ์ณแบบสุ่ม อาจจะดี หรือแย่ ก็แล้วแต่ที่จะเจอ มาพูดถึงระบบการเล่นหลักเบื้องต้น เริ่มมาเราจะจั่วการ์ดจาก Deck 4 ใบ และเล่นการ์ดเพื่อบุกฐานใหญ่ฝั่งตรงข้ามให้ได้ แต่ละการ์ดจะต้องใช้มานาในการเล่นการ์ด มีทั้งยูนิตและเวทมนต์ (ไม่ต้องควบคุม ยูนิตจะเดินตามทางและโจมตีเอง) ซึ่งฐานของเราจะสร้างมานาเรื่อยๆ เมื่อเล่นการ์ดแล้วการ์ดจะลงกองทิ้งการ์ด และจั่วการ์ดใหม่ ถ้า Deck หมด กองทิ้งการ์ดจะสับมาเข้า Deck ใหม่ และถ้าไม่พอใจการ์ดในมือ สามารถใช้มานาเพื่อทิ้งการ์ดทั้งหมดแล้วจั่วใหม่ได้ เป้าหมายหลักของเรา คือ จะต้องพากองทัพของเราตีฐานใหญ่ของฝั่งตรงข้ามที่ปลายทางให้แตก ฝั่งตรงข้ามจะปล่อยทหารออกมาป่วนเรื่อยๆ และมีฐานย่อยอยู่ระหว่างทาง ซึ่งเราสามารถยึดได้ ถ้ายึดสำเร็จ ฐานย่อยจะช่วยสร้างมานาและค่อยยิงศัตรูให้ แต่เราก็ต้องรีบบุกฐานใหญ่ภายในเวลาที่กำหนด เพราะเมื่อหมดเวลา ฐานใหญ่จะส่งกำลังเสริมออกมาเยอะมากชนิดว่าสู้ยังไงก็ต้านไม่ไหว แต่ถ้ากองทัพเราแกร่งพอก็อีกเรื่อง เพราะถ้าเราต้านกองกำลังเสริมนี้ไหว ฝั่งตรงข้ามจะปล่อยทหารออกมาน้อยมาก และจะไม่มีเวลาจำกัดอีกต่อไป เมื่อเราแพ้ หรือชนะทั้งอาณาจักรได้แล้ว เราจะได้ค่าประสบการ์ณของตัวละครแม่ทัพของตัวละครที่เราเล่น และเมื่อเลเวลตัวละครแม่ทัพอัพไปถึงระดับนึง ก็จะได้ของรางวัล เช่น Deck กองทัพเริ่มต้นใหม่, Relic เริ่มต้นชิ้นใหม่ หรือ การ์ดแบบใหม่ที่จะเข้ามาในเกม พูดถึงเรื่องภาพกราฟิก ช่วงเมนูและเลือกตัวละคร จะใช้ภาพแนวการ์ตูนน่ารักๆ แต่ในเกมจริงๆนั้น เราจะไม่เจอภาพแบบนั้นอีกเลย (เสียดายจัง แม่ทัพออกจะน่ารัก - -) จะเป็นภาพและโมเดลแบบ Pixel แทน แต่ถึงอย่างงั้น ภาพ Pixel ตอนกองทัพตีกันก็ดูน่ารักและวุ่นวายดี ไม่ได้ออกมาแย่เลย มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง ตอนนี้เกมยังมีอะไรให้เล่นน้อยไปสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพที่เลือก จำนวนการ์ด เหตุการ์ณสุ่ม ฯลฯ แต่ก็เพราะเป็นเกม Early Access ที่พึ่งออกเลยต้องทำใจรออัพเดทสักหน่อย แต่ปัญหาที่รู้สึกขัดใจก็คือ เรื่องสีของสถานที่ที่สามารถเลือกได้ในแผนที่ ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ทำให้ช่วงแรกๆที่เล่นจะงงๆหน่อย ว่าต้องเลือกอะไร และตอนได้รางวัลจากการตีหมู่บ้าน จะมีปุ่มย่อยรางวัลเป็นวิญญาณอยู่ ซึ่งเด่นกว่าปุ่มรับรางวัลซะอีก ทำให้เผลอย่อยรางวัลอยู่บ่อยครั้ง จนไม่ได้รางวัลตามที่ควรจะได้  ความรู้สึกหลังเล่น พูดตามตรงเลยนะ ถ้าเห็นแค่ปกเกมก็คิดว่าเป็นเกมภาพการ์ตูนน่ารักๆ เข้ามาดูกลายเป็นภาพ pixel เฉยเลย (โดนหลอก 5555+) แต่เพราะชอบเกมแนวนี้อยู่แล้ว เลยซื้อมาลองเล่น ปรากฏว่าสนุกกว่าที่คิดเยอะเลย ระบบเกมจัดว่าทำได้ดี แต่ก็เสียดายที่แม่ทัพแสนน่ารักมีบทออกน้อยไปหน่อย และเพราะตอนนี้เกมพึ่งเปิดตัวแถมติด Early Access เกมเลยมีอะไรให้เล่นน้อยมาก แต่ก็มีแผนที่ผู้พัฒนาออกมาบอกว่าจะอัพเดทเรื่อยๆ ทำให้อุ่นใจว่าเกมนี้ยังมีอะไรใหม่ๆเรื่อยๆแน่นอน สรุป Necronator: Dead Wrong เป็นเกมที่สนุก เล่นง่าย ตัวละครน่ารัก (ถึงตอนเล่นจะไม่ค่อยออกมาให้เห็นก็ตาม) จัดว่าเป็นเกม Early Access ที่น่าสนใจเกมนึง และมีแผนที่จะอัพเดทเกมอยู่เรื่อยๆ (หวังว่าจะไม่โดนเททิ้ง) ใครที่สนใจเกมนี้ ก็ลองซื้อมาเล่นกันได้ แต่ก็น่าจะรออีกสักหน่อย ให้มีการอัพเดทมากกว่านี้ เพราะตอนนี้เนื้อหาที่มีให้เล่นมันมีน้อยจริงๆ [penci_review id="42763"]
19 Feb 2020
รีวิว! Granblue Fantasy Versus สุดยอดการรวมร่างระหว่าง RPG และ Fighting
Granblue Fantasy Versus คือเกมไฟท์ติ้งใหม่ล่าสุดจากทาง Cygame ที่ร่วมพัฒนากับ Arc System Works ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้พัฒนาเกมไฟท์ติ้ง ที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็น Guilty Gear , Under Night in Birth หรือ Blaze Blue ก็ล่วนแล้วแต่เป็นผลงานของค่ายนี้ทั้งสิ้น และเกมใหม่ล่าสุดของพวกเขาอย่าง Granblue Fantasy Versus ก็เป็นได้มากกว่าเกมไฟท์ติ้งทั่วไป เพราะได้มีการเพิ่มโหมด RPG แบบเล่นตะลุยด่าน โดยใช้การบังคับ กับการต่อสู้แบบเกมไฟท์ติ้งเข้ามาด้วย เรียกได้ว่าสร้างมิติใหม่ ๆ ในการเล่นได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ส่วนว่าเกมนี้จะมีดีแค่ไหน หรือสนุกยังไง วันนี้เราจะมาดูกันครับ! ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องเกมนี้จะกล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางของเหล่า Skyfarer ที่ออกเดินทางไปตามเกาะลอยฟ้าต่าง ๆ โดยตัวเอกของเรื่อง Gran เขามีเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อที่จะ ตามหาคุณพ่อของเขาที่หายสาบสูญไป แต่อยู่ดี ๆ เพื่อน ๆ ของเด็กหนุ่ม Gran ก็เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เริ่มหันมาโจมตีเขาแทนที่จะเป็นศัตรู ซึ่งการที่ต้องสู้กับเพื่อน ๆ ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาไม่รู้กี่สนามรบ มันก็เป็นอะไรที่ลำบากมาก ๆ อยู่แล้ว ไหนจะต้องคอยปกป้อง Lyria เด็กสาวผมสีฟ้าที่มีพลังสามารถสื่อสารกับสัตว์ผลึกดวงดาวได้ จากเหล่าทหาร Empire ที่จ้องจะจับตัวเธอไปอีก การเดินทางอันแสนยากลำบากของ Gran เพื่อหาความจริงเกี่ยวกับท่าทีของเพื่อน ๆ ที่เปลี่ยนไปจึงได้เริ่มต้นขึ้น โดนรวมแล้วเนื้อเรื่องของเกมจัดว่าสนุก และน่าติดตามพอสมควรเลยทีเดียว แต่จะมีข้อเสียก็ตรงที่ เนื้อเรื่องของตัวเกมในเวอร์ชั่นนี้จะเริ่มมาในช่วงกลาง ๆ เนื้อเรื่องในจักรวาลหลักของ Granblue Fantasy เลย ถึงแม้จะมีการอธิบายย้อนหลังอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงแค่การอธิบายแบบหยาบ ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ถ้าหากไม่เคยดู หรือสัมผัสตัวเนื้อเรื่องของ Granblue มาก่อนเลย จะแทบไม่ได้รับอรรถรสจากเนื้อเรื่องของเกมนี้เลยครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Granblue Fantasy Versus เป็นเกมที่ถูกดัดแปลงมากจาก Granblue Fantasy ซึ่งเป็นเกมมือถือจากประเทศญี่ปุ่น บวกกับได้บริษัท Arc System Works มาร่วมพัฒนาด้วยทำให้สไตล์ของภาพในเกมจะออกไปทางการ์ตูนญี่ปุ่นมาก ๆ ทั้งยังเรียกได้ว่ามีการออกแบบ Character มาเป็นอย่างดี ทำให้ระหว่างเล่นมีความรู้สึกว่า ตัวเนื้อหาของเกมดูไม่ค้อยมีความรุ่นแรงเท่าไหร่ (ทั้ง ๆ ที่ตัวเกมมีเนื้อหาเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย) และด้วยความที่ตัวภาพมันออกไปทางการ์ตูน เวลาออกท่าโจมตีที่เป็นการใช้พลังพิเศษอย่าง ไฟ , น้ำแข็ง , หรือลม มันก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเกมมีความ Fantasy สมชื่อมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าเกมนี้ไม่ได้มีแค่โหมดไฟท์ติ้ง แบบจับคู้ต่อยกันให้เล่นอย่างเดียว แต่ยังมีโหมด RPG สำหรับเล่นเก็บเนื้อเรื่องของเกมด้วย ภายในโหมดนี้จะเป็นการเล่นแบบ Side Scrolling ใช้การกดท่าแบบเดียวกับในโหมดเกมไฟท์ติ้ง แต่จะแตกต่างเล็กน้อย เพราะผู้เล่นสามารถเลือกสกิล Support เพื่อช่วยในการเล่นได้ 2 สกิล ความสามารถของสกิลก็มีหลากหลายให้เลือกใช้ เช่นสกิลที่จะลดเกราะของศัตรู , สกิลที่ฮีลตัวเองและเพื่อนรวมทีม หรือสกิลที่จะเพิ่มพลังโจมตีให้กับตัวละครเราช่วงระยะเวลาหนึ่ง ระบบนี้ทำให้มิติในการเล่นในโหมด RPG มันมีมากขึ้นอย่างมากเลยครับ อีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจก็คือระบบจัดอาวุธในทีม ทุก ๆ ครั้งที่เราผ่านด่านต่าง ๆ จะมีการดรอปอาวุธธาตุต่าง ๆ มาด้วย ซึ่งเราสามารถเลือกใส่อาวุธให้กับตัวละครได้ 10 ชิ้น เมื่อติดตั้งอาวุธให้กับตัวละครแล้ว ก็จะได้ความสามารถของอาวุธนั้นมา สกิลที่ได้มาจากอาวุธก็มีหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มพลังโจมตี , เพิ่มเลือด , หรือจะโจมตีแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามเปอร์เซ็นต์ของเลือดที่หายไปก็มีเหมือนกัน อีกระบบหนึ่งที่น่าสนใจในเกมนี้ก็คือระบบธาตุ Granblue Fantasy Versus มีธาตุในเกมอยู่ 6 ธาตุด้วยกันคือ ไฟ , น้ำ , ดิน , ลม , แสง และ ความมืด ถ้าหากเราเอาตัวละครที่มีธาตุชนะทางศัตรูเข้าไปโจมตี ก็จะทำให้เราสามารถโจมตีได้แรงขึ้น ทั้งยังทำให้เราโดนดาเมจจากตัวที่แพ้ธาตุเบาลงด้วย ในทางกลับกันเราจะโดนโจมตีจากมอนสเตอร์ที่มีธาตุชนะทางเราแรงขึ้น รวมถึงโจมตีมอนสเตอร์เหล่านั้นเบาลงด้วยเช่นกัน ซึ่งธาตุของตัวละครจะเป็นธาตุเดียวกันกับอาวุธที่เราใส่ในช่องแรกครับ ไม่ใช้ว่าเกมนี้จะไม่มีข้อเสียเลยเสียทีเดียว อย่างในโหมด RPG เอง ในช่วงด่านแรก ๆ ของเกม ต้องบอกว่าแทบจะไม่มีควาทท้าทายในการเล่นเลย คือศัตรูที่เราต้องเจอในด่านแรก ๆ มันกระจอกมาก ๆ (ชนิดที่ให้หลับตาเล่นก็น่าจะผ่านไปได้แบบไม่ยาก) ทำให้ในช่วงแรก ๆ ของเนื้อเรื่องนี้คือน่าเบื่อมาก ๆ น่าเบื่อขนาดที่ว่าผู้เขียนเคยหลับในขณะที่มือยังถือจอยสติ๊กอยู่มาแล้ว อย่างที่รู้ว่าโดยพื้นฐานแล้วยังไงเกมนี้ก็เป็นเกมไฟท์ติ้ง ซึ่งในเกมไฟท์ติ้งมันควรจะมีตัวละครให้เราเลือกเล่นได้เยอะ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อ แต่เกมนี้เปิดตัวด้วยตัวละครที่สามารถเล่นได้เพียงแค่ 11 ตัวเท่านั้น พูดตรง ๆ คือมันน้อยมาก ๆ คือเกมไฟท์ติ้งที่ออกในสมัยเครื่อง PS1 ยังมีตัวละครให้เล่นเยอะกว่านี้เลยด้วยซ้ำ ทำให้ในระหว่างที่เล่นแบบ Online เราจะเจอแต่ตัวละครซ้ำ ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้รู้สึกว่าเกมมันน่าเบื่อมาก เนื้อเรื่องในโหมด RPG สั้นมาก ๆ ด้วยความที่ตัวละครเล่นได้มันมีอยู่น้อยมาก ๆ ทำตอนแรกผู้เขียนคิดว่า ในโหมด RPG เนื้อเรื่องน่าจะมีความยาวพอสมควร เพื่อเป็นคอนเทนต์ทดแทนที่มีตัวละครน้อย แต่เปล่าเลยเนื้อเรื่องของเกมนี้สามารถเล่นให้เคลียร์ได้ภายในเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็ก ๆ เหมือนกันครับ เพราะยังไงเกมนี้ก็มีราคาถึง 1,600 บาท ก็เลยมีความรู้สึกว่าไม่คุ้มเงินเท่าไหร่ ◊ เกมเพลย์ ◊ Granblue Fantasy Versus ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เกมไฟท์ติ้ง ดังนั้นคอนเทนต์หลักของเกมนี้ก็คือการจับคู่ตีกันเหมือนกับเกม ไฟท์ติ้งอื่น ๆ ซึ่งการเล่นของเกมนี้ตัวละครแทบทุกตัวจะมีมูฟเซ็ตประมาณ 6-8 แบบเท่านั้น และทุกท่าการโจมตีพิเศษของเกมนี้ ก็สามารถกดได้แบบง่าย ๆ ด้วยการกดปุ่มทิศทางพร้อมกับปุ่ม R1 ทำให้ Granblue Fantasy Versus เป็นเกมไฟท์ติ้งที่ต่อให้เป็นมือใหม่ด้านเกมไฟท์ติ้งเลย ก็สามารถเล่นให้เก่งได้อย่างไม่ยากครับ รูปแบบการต่อสู้ของเกมนี้ จะเน้นไปที่การป้องกัน กับการจับจังหวะสวนกลับ ด้วยความที่เป็นเกมไฟท์ติ้งเข้าใจง่าย และเล่นง่าย ๆ  บวกกับเกมนี้ท่าที่โจมตีรุนแรงมาก ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการ Reset Knock Down ให้กับฝ่ายที่โดนไปด้วย หรือแปล่ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือไม่ค้อยมีการคอมโบจากการกดอย่างเดียวที่ยาว และรุนแรงมาก ๆ จนถึงตายเท่าไหร่ในเกมนี้ พอเอาไปรวมกับวิธีกดท่าโจมตีที่ง่าย ก็อาจจะพูดได้ว่า นี้เป็นเกมที่ค้อนข่างเป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่ครับ ในขณะเดียวกันการที่เกมนี้ เป็นไฟท์ติ้งที่เล่นได้ง่าย แถมยังเป็นเกมที่มีเพี่ยงแค่ 2 มิติเท่านั้น ทำให้รูปแบบเล่นที่เป็นไปได้ในเกมนี้มันน้อยมาก ๆ ด้วยเช่นกัน คือ 1 ตัวละครจะเล่นได้แค่ 1 - 2 แบบเท่านั้นยิ่งเป็นเกมที่มีตัวละครน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีความหลากหลายที่น้อยมาก ๆ เข้าไปอีก ก็นับเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงไปในเวลาเดียวกันครับ ในด้านเกมเพลย์ของโหมด RPG ก็จะมีวิธีการเล่นที่คล้าย ๆ กับโหมดไฟท์ติ้ง วิธีกดท่าโจมตีเหมือนกันเป๊ะ ๆ เลย แต่จะแตกต่างก็ตรงที่ในโหมดนี้ ศัตรูไม่ได้มาเพียงแค่ตัวเดียว ในทางกลับกันมอนสเตอร์แต่ละตัวจะ ไม่ได้โจมตีแรง หรือมีเลือดเยอะอะไรเช่นกัน ทำให้การจัดการมอนสเตอร์เป็นสิบ ๆ ตัวพร้อมกันไม่ใช้เรื่องที่ยากเกินไปครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเกมนี้จะมีเรื่องของระบบธาตุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ก่อนที่เราจะลงด่านแต่ละครั้ง จะต้องเช็คให้ดีก่อนว่าธาตุที่เราเข้าไปไม่ได้แพ้ทางมอนสเตอร์ในด่านนั้นใช้หรือไม่ เพราะถ้าหากธาตุที่เอาเข้าไปแพ้ทางขึ้นมา การเล่นในด่านนั้นจะยากขึ้นพอสมควร แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่มีธาตุที่ชนะทางด่านนั้นจริง ๆ ตัวเกมก็ยังมีระบบสกิล Support ที่พอจะช่วยให้เราเล่นผ่านด่านนั้นไปได้อีกด้วย ซึ่งตัวผู้เขียนคิดว่านี้เป็นระบบเล็ก ๆ ที่ทำให้เกมนี้มีมิติในการเล่นมากขึ้นสุด ๆ ครับ แต่ในช่วงด่านแรก ๆ ของ RPG โหมดศัตรูจะมีความอ่อนแอเป็นอย่างมาก ๆ (ชนิดที่ว่าใส่อาวุธธาตุแพ้ทางเข้า แล้วไม่กดใช้สกิลอะไรเลยก็ผ่านได้ง่าย ๆ อยู่ดี) ทำให้ช่วงแรก ๆ ของเกมผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า มันเป็นการเล่นที่โคตรจะน่าเบือ นอกจากนี้ในโหมดนี้ยังมีการต่อสู้แบบ Raid Battle หรือการสู้กับบอสด้วย ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับเลยครับว่าการเล่นในโหมด RPG แล้วสู้กับบอสเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ เพราะ 1 ในโหมด RPG ผู้เล่นสามารถเล่นกับเพื่อนได้ 2 บอสแต่ละตัวจะมีธาตุ และแมคคานิคในการสู้ที่ไม่เหมือนกัน ผู้เล่นจะต้องคิดดี ๆ ว่าจะติดตั้งอาวุธอะไรเพื่อเอาสกิลไหนให้กับตัวละครบ้าง ควรพก Support สกิลไหนเข้าไปสู้กับบอสตัวนี้ นับเป็นจุดที่ทำให้เกมนี้สนุกมาก ๆ ◊ สรุป ◊ Granblue Fantasy Versus เป็นเกมที่นำเสนอในเรื่องของการผสมผสาน ระหว่างเกม RPG กับ Fighting ได้อย่างน่าสนใจ , ตัวเกมเล่นค่อนข้างง่าย ถึงไม่เคยเล่นเกม Fighting มาก่อนเลยก็สามารถเล่นให้เป็นได้ไม่ยาก , เป็นเกมที่มีการเล่นแบบสู้กับ Raid Boss ที่สนุกมาก ๆ สามารถเล่นกับเพื่อนได้ แต่ขาดความหลากหลายที่เกม Fighting อื่น ๆ ในตลาดมี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ จำนวนตัวละครที่เล่นได้ หรือ ความหลากในการกดท่าโจมตีต่าง ๆ  , มีความท้าทายในการเล่นช่วงแรก ๆ ที่ต่ำเกินไป ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ สรุปได้ว่า Granblue Fantasy Versus จัดเป็นเกม Fighting หน้าใหม่ที่นำเสนอ แนวทางการเล่นเกม Fighting แบบใหม่ได้น่าสนใจ แต่ตัวเกมก็มีความหลากหลายที่น้อยเกินไปครับ ส่งผลให้ทางเราให้คะแนนเกมนี้เพี่ยงแค่ 7 เต็ม 10 เท่านั้น [penci_review id="42077"]  
14 Feb 2020
รีวิวเกม The Pedestrian "ในป้ายบอกทาง มีใครเดินทางอยู่?!"
สิ่งต่างๆบนโลกนั้น มักจะมีการเดินทางและจุดหมายของมัน คนเราก็มีการเดินทาง มีจุดหมาย สัตว์เองก็มีเช่นกัน แต่ใครจะไปรู้ว่า มนุษย์ก้างในกระดาษหรือป้ายบอกทาง อาจจะมีการเดินทางของมันอยู่ก็เป็นได้ วันนี้เรา GameFever TH จะพามาพบกับการเดินทางของมนุษย์ก้าง ที่ออกเดินทางไปในโลกที่แสนกว้างใหญ่ กับเกม The Pedestrian ระบบเกมและภาพรวม The Pedestrian เป็นเกมแนว 2.5D side scrolling puzzle platformer ที่เราจะได้รับบทเป็นมนุษย์ก้าง (ในตัวเกมจะเรียกว่า The Pedestrian(คนเดินถนน)) ที่ออกเดินทางไปยังจุดหมาย โดยจะเดินทางผ่านป้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ป้ายจราจร กระดานดำ จอคอม ฯลฯ ซึ่งตัวเกมจะแบ่ง Theme ของป้ายต่างๆ ตามสถานที่นั้นๆ เช่น สี่แยกใหญ่ โกดังเก็บของ ดาดฟ้าตึก เป็นต้น  เริ่มเกมมา ตัวเกมจะโยนคุณเข้าสู่โลกของ The Pedestrian ทันที ไม่ได้มีการปูเนื้อเรื่องและผ่านเมนูใดๆ ให้เราซึมซับผ่านการเล่นด้วยตัวเอง เราสามารถเลือกว่าจะเล่นเป็นตัวผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ได้ (ไม่มีผลต่อความยากง่ายของเกม) ตัวเกมจะเริ่มสอนเราไปเรื่อยๆผ่าน กระดาษโน๊ต หรือจอทีวีที่อยู่แถวๆนั้น และตัวเกมก็ใช้สัญลักษณ์ง่ายๆแทนไอเท็มต่างๆ ทำให้เรียนรู้ระบบเกมได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่าย ตัวปริศนาจะมีโผล่มาระหว่างการเดินทาง โดยจะมีกระดาษโน็ตแปะไว้ ทำให้รู้ว่าอยู่ในโซนของปริศนาแล้ว ซึ่งเราจะมีอยู่ 2 โหมด คือ โหมดควบคุม เราจะสามารถควบคุมตัวละครเดินไปมาได้ และโหมดจัดป้าย ตัวละครเราจะถูกหยุดค้างเอาไว้ เราสามารถย้ายป้ายต่างๆ ไว้ตำแหน่งไหนก็ได้ตามใจชอบ และสามารถเชื่อมป้ายแต่ละป้ายได้ โดยจะเชื่อมได้ผ่านจุดที่เป็นประตูหรือบันไดเท่านั้น (จับคู่ซ้าย/ขวา หรือ บน/ล่าง เท่านั้น) และเราสามารถเปลื่ยนโหมดได้ตลอดเวลา  แต่ใช่ว่าเราจะเชื่อมทางแล้วผ่านไปง่ายๆ เพราะเส้นทางที่เราเชื่อมไป ถ้าเดินผ่านไปแล้วจะไม่สามารถไปเชื่อมกับเส้นทางอื่นได้ เพราะถ้าทำ มันจะเป็นการรีเซ็ทปริศนานั้นทันที และเราไม่สามารถวางป้ายให้ชิดหรือเฉียงเกินไป เพราะจะทำให้เส้นทางที่เราเชื่อมไว้ขาด  ตัวปริศนาจะถูกแบ่งตาม theme ของสถานที่นั้นๆ ทำให้แต่ละสถานที่จะมีปริศนาที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน เช่น ปล๊กไฟ กระดานเด้ง คันโยก ฯลฯ เมื่อเข้าสู่สถานที่ใหม่ ตัวปริศนาจะเรียงลำดับจากง่ายไปยาก เพื่อสร้างความคุ้นชินกับเอกลักษณ์ของปริศนาของสถานที่นั้น และจะมีปริศนาชุดใหญ่ ที่เป็นจะมีปริศนาย่อย เพื่อที่จะเก็บไอเท็มมาแก้ปริศนาใหญ่อีกที (ส่วนใหญ่มักจะเป็นปริศนาสุดท้ายของสถานที่นั้นเพื่อที่จะเดินทางไปสถานที่ใหม่) ส่วนด้านภาพและบรรยากาศในเกม ถือว่าทำได้ดีมาก ป้ายที่เป็นเส้นทางของตัวละคร กลมกลืนกับฉากของสถานที่นั้นๆ รู้สึกว่ามันเป็นป้ายที่ควรอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่รู้สึกขัดใจแต่อย่างใด  ฉากหลังก็ดูมีชีวิตชีวา ถึงในฉากจะไม่มีคนอยู่เลยก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าโลกในเกมไม่ได้เงียบเหงาแต่อย่างใด พูดถึงข้อเสียข้อเกม ถึงเกมไม่ได้มีบัคอะไรให้กวนใจมาก แต่ก็มีบางอย่างขัดใจเล็กน้อย คือ เกมซ่อนเมนูได้เนียนเกินไป ถ้าไม่เผลอไปกด ESC จริงๆ ก็คงไม่รู้ว่ามีเมนูอยู่ในเกมนี้ ส่วนต่อมาคือ เกมไม่สามารถเลือกด่านได้ เพราะการนำเสนอของเกมที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถย้อนกลับไปเล่นด่านหรือปริศนาที่ชอบได้  และสุดท้ายเกมนี้ใช้เวลาสั้นมากในการเล่นจบ เพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นก็เพียงพอกับการเล่นเกมนี้จนจบได้ แถมเมื่อเล่นจบ เกมก็เตะเราออกจากเกมแทบจะทันทีที่ credit จบ ความรู้สึกหลังเล่น แค่เห็นงานภาพกับคอนเซ็ปเกม ก็หลงซื้อเกมนี้มาซะแล้ว พอได้เล่นก็รู้สึกพอใจกับเกมนะ ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก (แต่บางอันนี่ งงเป็นพักเลย) เรื่องภาพกับฉากก็สวยงามมากสำหรับเกม puzzle แต่ที่ประทับใจ(และประหลาดใจ)ที่สุดกับเกมนี้ ก็คือเนื้อเรื่อง ในตอนแรกไม่ได้คาดหวังกับเนื้อเรื่องมาก คิดว่าไม่มีด้วยซ้ำเพราะเกมไม่ได้มีการปูเรื่องอะไรเลย ตัวอักษรสักตัวก็ไม่มี พอเล่นจนจบและกลับไปย้อนดูก็พบว่าเกมมีเนื้อเรื่องที่ WTF มาก (ในทางที่ดีนะ 55555+) มีการบอกใบ้เนื้อเรื่องอยู่ตลอดทาง (แค่ไม่ได้สังเกตเอง)  แต่ก็เสียดายสุดๆที่เกมมันสั้นมาก สรุป เกม The Pedestrian เป็นเกม puzzle ที่สนุก ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไป ภาพสวยงามดูมีชีวิตชีวา เหมาะกับทุกวัย ชนิดเล่นไว้แก้เบื่อได้ แต่ก็เสียดายที่เกมใช้เวลาเล่นจบสั้นมาก (ถ้าเทียบกับราคา 289 บาท) ถ้าใครสนใจที่จะซื้อเกมนี้มาเล่น แนะนำให้รอช่วงลดราคาจะดีกว่า [penci_review id="41525"]
09 Feb 2020
รีวิว Coffee Talk “ชงเครื่องดื่มอุ่นๆ กับเรื่องเล่าร้านกาแฟต่างโลก”
ในยามที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน เราอาจจะนอนพัก เดินเล่นเปลื่ยนบรรยากาศ หรือไม่ก็จิบกาแฟอุ่นๆสักแก้ว แน่นอนกับเกมก็เช่นกัน เราอาจจะเหนื่อยล้าจากการเล่นเกมหนักๆ เนื้อหาแน่นๆ ก็มีบ้างที่เราอยากจะเปลื่ยนบรรยากาศ ไปเสพอะไรเบาๆ (โยงเก่ง 5555+) วันนี้เรา GameFever TH จะพาทุกคนมารู้จักเกม visual novel เบาๆ เนื้อเรื่องสบายๆ กับบรรยากาศในร้านกาแฟ ที่จะทำเรารู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง กับเกม Coffee Talk เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม ในปี 2020 ในโลกที่หลายหลากเผ่าพันธ์ุ มีทั้งเอลฟ์ อ็อค แววูฟ แวมไพร์ ฯลฯ อยู่ร่วมกันในสังคม เราจะได้รับบทเป็น Barista เจ้าของร้านกาแฟ Coffee Talk  ที่อยู่ในเมือง Seattle และได้พบปะกับลูกค้าหลากหลายเผ่าพันธ์ุที่ปัญหาหรือเรื่องเล่าต่างๆ มาเล่ามาระบายให้ฟัง เราก็ค่อยรับฟังพร้อมกับชงเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้กับลูกค้าเหล่านั้น เรียกได้ว่าเป็น set up เนื้อเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย มีการพูดถึงเกี่ยวประเดินต่างๆ เช่น ความรักต่างเผ่าพันธุ์ การเรียนรู้วัตนธรรมต่างถิ่น สายสัมพันธ์ในครอบครัว ฯลฯ (บอกแค่นี้ก่อน บอกเยอะไม่ได้ เดียวจะเป็นการสปอย) แถมเนื้อเรื่องเกมนี้ถือว่าเสพได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ถึงเนื้อเรื่องจะเสพง่าย ก็ไม่ได้ทำให้เกมน่าเบื่อแต่อย่างใด เนื้อเรื่องจะแบ่งให้เล่นเป็นวันๆไป มีการสลับหัวข้อแต่ละวัน ตัวละครต่างๆที่เราได้พบเจอ และเรื่องน่าประหลาดใจมีให้เห็นอยู่ตลอดทุกวันที่เราเล่น แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าเนื้อเรื่องออกจะเป็นเส้นตรง และสั้นไปสักหน่อย  บรรยากาศในเกมนี้ทำออกมาได้ดี บรรยากาศในร้านกาแฟ ฝนตกยามค่ำคืน มีเพลงประกอบแนวแจ็ส และ lo-fi เล่นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าชิลสุดๆ ทำให้อยากไปชงกาแฟมานั่งจิบตอนเล่น (คนเขียนทำมาแล้ว 55555+) และภาพเกมนี้เป็นแบบพิกเซลอาร์ตที่มีสีสัน ทำให้รู้สึกสบายตา และอินไปกับบรรยากาศในเกม  * แนะนำให้เล่นเกมนี้จบ 2 รอบ เพื่อที่จะได้รู้เนื้อเรื่องที่แท้จริง ระบบการเล่น ระบบการเล่นจะไม่เหมือนเกม visual novel ทั่วไป เราจะไม่ได้เลือกตอบคำถามเพื่อเลือกฉากจบ แต่เราจะทำการชงเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้กับลูกค้าแทน การชงเครื่องดื่มของเราจะมีผลกับเนื้อเรื่องไม่มากก็น้อย บางครั้งเราอาจจะต้องชงเครื่องอื่นที่ไม่ตรงกับที่ลูกค้าสั่ง เพื่อฉากจบที่ดีกว่า (แอบสปอยนะเนี่ย - -”) แต่ถ้าจะพูดจริงๆ การชงเครื่องดื่มของเรา ดูเหมือนจะมีผลต่อเนื้อเรื่องน้อยไปสักหน่อย (ตามความรู้สึกนะ) การชงเครื่องดื่มในเกมนี้ จะเป็นการเลือกส่วนผสม 3 อย่างมารวมกัน เราจะต้องเลือกเครื่องดื่มพื้นฐาน (Base) ส่วนผสมหลัก (Primary) และส่วนผสมรอง (Secondary) เพื่อชงออกมาเป็นเครื่องดื่ม 1 แก้ว แล้วถ้าชงแล้วตรงกับสูตรเครื่องดื่ม ก็จะมีการบันทึกสูตรไว้ในโทรศัพท์ มีเมนูเครื่องดื่ม 30 กว่าสูตร (เราสามารถในโทรศัพท์ ดูสูตรเครื่องดื่ม เปลี่ยนเพลง อ่านข่าวประจำวัน และส่องโปรไฟล์ของตัวละครอื่นได้ด้วย) แถมบางเมนูเราสามารถทำ latte art ได้ด้วย (วาดยากมากกกกก ต้องใช้ฝืมือสักหน่อย) แต่ในเนื้อเรื่อง เราจะได้ชงเครื่องดื่มน้อยมาก แค่ 3 - 4 แก้วต่อ 1 วัน เกมนี้เลยมีโหมด Endless แยกไว้ให้ สำหรับคนที่คิดว่าชงในเนื้อเรื่องยังไม่จุใจ มีโหมด Free Brew สำหรับชงเครื่องดื่มตามใจอยาก และโหมด Challenge สำหรับแข่งชงเครื่องดื่มตามสั่งแบบจับเวลา  ความรู้สึกหลังเล่น รู้สึกเพลินมากๆ รู้ตัวอีกทีก็เล่นจนเคลียร์ achievements 100 % ไปซะแล้ว (เล่นยาวๆ 8 ชั่วโมง ไม่เรียกเพลินก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว 5555+) เนื้อเรื่องเกมนี้เสพง่าย ไม่น่าเบื่อ แถมรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ได้รับการฮิลจริงๆ แต่เนื้อเนื้อเรื่องจะดูเป็นเส้นตรง และสั้นไปสักหน่อย เพลงประกอบฟังง่าย เรื่อยๆดี และเกมเพลย์ชงเครื่องดื่มดูเหมือนจะมีส่วนร่วมในเกมน้อยไปหน่อย แต่ก็สนุกดี แล้วยังท้าทายมากในโหมด Challenge (กดชงกันมือหงิกเลย)   สรุป Coffee Talk ถือว่าเป็นเกมแนว visual novel ที่มีเนื้อเรื่องเบาๆ สบายๆ แต่ก็รู็สึกอบอุ่นหัวใจ และไม่น่าเบื่อ มีเกมเพลย์ที่ไม่เหมือนเกมแนว visual novel ทั่วไป ไม่ยากและก็ไม่ได้ง่ายมาก เหมาะกับผู้เล่นทั่วไป หรือผู้เล่นสายเสพเนื้อเรื่อง แต่เสียดายนิดๆที่เกมมันใช้เวลาจบไวไปหน่อย ส่วนใครที่ลังแลว่าจะซื้อดีไหม ก็ขอแนะนำว่าควรค่าแก่การซื้อมาเล่นจริงๆ ไม่เสียดายเงินอย่างแน่นอน   [penci_review id="40906"]
04 Feb 2020
รีวิว True Sight 2019 บอกเล่าเส้นทางแชมป์ครั้งที่สองของ OG
True Sight คือสารคดีเกี่ยวกับเกม Dota 2 ที่นำเสนอเรื่องราวของการแข่งขัน Esport ของเกมนี้ เพื่อให้เหล่าผู้เล่นได้มองเห็นเบื้องลึกเบื้องหลังว่าเกิดอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งแต่ละปีจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันและนี่คือรีวิว True Sight 2019 สารคดีเกี่ยวกับเกม Dota 2 ที่ทุกคนควรดู กับการบอกเล่าเส้นทางแชมป์ครั้งที่สองของ OG จะเป็นอย่างไรตามพวกเรา GameFever TH มาได้เลย เรื่องราวที่มากกว่าการแข่งขันเกม True Sight 2019 นำเสนอเรื่องราวของการแข่งขัน The International 2019 งานแข่งขัน Dota 2 ชิงแชมป์โลก โดยมีรางวัลเดิมพันคือเงินรางวัลมหาศาลและความหวังที่ทีม OG จะสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นแชมป์สองสมัยแบบ Back to Back ทำให้การแข่งขันครั้งนี้น่าติดตามมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ในส่วนของเนื้อหา Valve ได้นำเสนอถึงบรรยายของทั้งสองทีมอย่าง Liquid และทีม OG ที่พวกเขาทั้งสองต่างพกความมั่นใจมาอย่างเต็มที่ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนเกม Dota 2 คุณจะรู้สึกอินมาก ๆ เพราะว่าคุณมีพื้นฐานมาส่วนหนึ่ง ทำให้คุณสามารถเข้าใจพวกเขาได้อย่างง่ายดายและหลอมรวมความรู้สึกไปกับทีมที่คุณเชียร์ได้ ในขณะที่หากคุณไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเกม Dota 2 อารมณ์คุณจะดูเหมือนสารดีเกี่ยวกับเกมที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดี Kuroky vs Ceb สิ่งที่เหล่าคนดูจะได้เห็นระหว่างการชมสารคดีนี้ถือสองหัวใจหลักของทีมอย่าง Ceb จากทีม OG และ KuroKy จากทีม Liquid ที่ทั้งสองคนเป็นแกนหลักในการเชื่อมให้สมาชิกในทีมทำงานร่วมกัน ต่อสู้ร่วมกันและเอาชนะด้วยกัน คุณจะได้เห็นการวางแผน การสั่งการและที่สำคัญที่สุดคือการให้กำลังใจและการปลุกใจกับเหล่าสมาชิกในทีม อันทำให้เราเห็นว่าการที่จะเป็นยอดทีมไม่ใช่เฉพาะฝีมือเท่านั้นแต่ยังมีทักษะอื่น ๆ ด้วย นอกจากสองตัวละครเด่นแล้วเราจะได้เห็นมุมมองของผู้เล่นคนอื่น ๆ ในทีมเช่น Mind Control ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก Topson กับความนิ่งในการเล่น W33 ที่ต้องรับมือกับความกดดันอย่างสูงแม้จะได้เล่นตัวละครที่ถนัดเป็นต้น ซึ่งอารมณ์ที่สื่อออกมานั้น หาก Valve ได้ถ่ายทำสารคดีนี้ออกมาก็ยากที่เราจะได้รู้ถึงมุมมองด้านนี้ ชัยชนะ มิตรภาพ การต่อสู้ ในโลกของการแข่งขันหลาย ๆ คนมักจะมองแต่ผลลัพธ์หรือ "ชัยชนะ" เพียงด้านเดียว แต่ในสารคดี True Sight เราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าชัยชนะคือ "มิตรภาพ" ของทีมต่าง ๆ ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญของพวกเขาในการที่จะก้าวเดินต่อ ๆ ไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะใน "การต่อสู้" มิตรภาพและความเป็นเพื่อนจะยังคงอยู่เสมอ ซึ่ง Valve สื่อทั้งสามอย่างนี้ออกมาได้อย่างดีมาก ๆ สรุป True Sight 2019 คือสารคดีเกี่ยวกับการแข่งขันเกม ที่เน้นหนักไปยังเรื่องของอารมณ์และมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ต่าง ๆ หากคุณเป็นเกมเมอร์หรือแฟนเกม Dota 2 คุณต้องชอบสารคดีนี้อย่างแน่นอน แต่หากคุณเป็นบุคคลธรรมดา สารดีเรื่องนี้ก็ทรงคุณค่าในการรับชมเช่นกัน [penci_review id="40531"]
29 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Mini 4wd Hyper Dash Grand Prix เกมมือถือแต่งรถทามิย่าที่แท้ทรู
มนุษย์ยุค80-90 น่าจะจำการ์ตูนเกี่ยวกับรถ Mini 4wd ของ Tamiya กันได้ดี กับเรื่อง Let’s&Go นักซิ่งสายฟ้า ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีคนเล่นเจ้ารถจิ๋วกัน และยังมีการจัดแข่งofficialอยู่เรื่อยๆ แต่ไอ้ครั้นจะไปเล่นที่ร้านก็กลัวเสียเวลา เสียเงิน ซื้อรถมาแต่ง แล้วผมบอกเลย(จากประสบการณ์ตรง) ค่าแต่งจิ๋วพวกนี้ซักคันนึงก็แพงมากสำหรับของเล่น และใช้ความละเอียดอ่อนในการmodifyค่อนข้างสูง เกมแนวนี้จริงๆก็มีคนทำแล้วอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ของ Tamiya!!!! แต่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมาเกม Mini 4wd Hyper Dash Grand Prix ก็ได้ลงstore ทั้ง iOS และ Android ตัวเกมจะเป็นยังไงนั้น วันนี้เรา GameFever TH จะพามารู้จักกับเกมนี้กันครับ Gameplay เมื่อเข้าเกมมา เกมก็จะให้เราเลือกรถมา 1 จาก 3 คัน ซึ่งคือ Dash Emperor, Avante Junior และ Saber Magnum รถของพระเอกทั้ง 3 gen นั่นเอง ซึ่งแต่ละคันจะมีstatusแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็คงจะเลือกคันที่ตัวเองคิดว่าเท่กันซะมากกว่า ส่วนตัวผม ผมเลือก Sabr Magnum ครับ บินไปแมกนั่มมมมมม!!!!! หน้าที่ของเรา เหล่า Racer มี 2 อย่างคือ นำรถไปแข่ง โดยการปล่อยรถแล้วก็ดูมันวิ่ง(เหมือนที่เราเล่นกัน) ซึ่งจังหวะการปล่อยตรงจังหวะเราก็จะได้ออกตัวก่อน แต่ถ้าปล่อยผิดก็จะปล่อยช้าไปเลย ในตอนนี้ยังไม่มีระบบ Real Time แต่มีเนื้อเรื่องมาให้แล้ว 5 Chapter และมีโหมดRankingให้เราเล่นด้วย แต่งรถ ตรงนี้แหละครับคือจุดที่น่าสนใจของเกมนี้ การแต่งรถในเกมนี้มีความอิสระมาก โดย itemในเกมก็เหมือนกันกับของจริงเลยแหละครับ แล้วมี Feature ที่ให้แกะออกจากห่ิ ทำให้รู้สึกเหมือนตอนเป็นเด็กแล้วไปซื้อมาประกอบเลยครับ  ทำให้การแต่งมีความหลากหลายมาก itemแต่ละชิ้นก็จะมีstatusต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับแต่งรถเพื่อให้เข้ากับสนามนั้นๆ ซึ่งเกมนี้ก็ทำสัญลักษณ์บอกไว้ให้ด้วย เช่น St<สีแดง>คือสายความเร็ว Cr<สีฟ้า>เป็นสายเข้าโค้ง เป็นต่อ ผมรู้สึกว่าทำให้ง่ายต่อกันปรับแต่งมากขึ้น Tuning เกมนี้จะเน้นเรื่องการ Tuning รถเป็นหลักครับ รถหนึ่งคันประกอบไปด้วยหลายส่วนมาก ทั้ง โครงรถ มอเตอร์ ล้อ ยาง roller กันชน Body(หน้ากาก) ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละชิ้นมีเสตตัสแทบไม่เหมือนกันเลย เช่น Body ของ Magnum ก็จะเร็วกว่า แต่ของ Sonic ก็จะเข้าโค้งได้ดีกว่า โดยitemแต่ละชิ้นสามารถหาได้จากการชนะด่าน ซื้อจากร้านค้า แจกตาม Event และ กาชา (ใช่ครับ เกมนี้เป็นเกมกาชา) Item แต่ละชิ้นจะสามารถอัพเกรดstatusเฉพาะตัวได้ตามจำนวนดาว กาชาจะสุ่มสูงสุดได้ 4ดาว Item ทุกชิ้นสามารถอัพเกรดเป็น 6 ดาวได้ Customization อย่างที่บอกครับว่าเกมนี้มีความอิสะในการแต่สูงมากกกกกกก สามารถแต่งได้แทบจะทุกอย่าง ผมยังใส่ล้อหลังจาก Front Tire เลยครับ ตัว Body ส่วนใหญ่จะมาจากการ์ตูน ดังนั้นเพื่อนๆสามารถเข้าไปแต่งรถคันโปรดในดวงใจให้หายคิดถึงกันได้ นอกจากนี้เรายังสามารถสร้างด่านขึ้นมาเองได้ ทำรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลยละครับ โดยส่วนตัวผมชอบเกมนี้มาก เพราะผมชอบถทามิย่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น่าจะถูกใจแฟนการ์ตูนเรื่องนี้กัน และปั้นโมเดลออกมาได้สวยงาม อันนี้ผมชอบมากเลย มันเหมือนผมได้ประกอบรถของตัวเอง ระบบการแต่งรถก็ค่อนข้างละเอียดและ ไม่รู้สึกว่า Pay to Win จนเกินไป ช่วงแรกๆอาจจะงงๆหน่อย แต่พอจับทางการประกอบได้แล้วจะเพลินยาวๆ ระบบตอนแข่งอาจจะง่ายไปหน่อยแต่ก็นะ… ของจริงเราก็แค่ปล่อยเหมือนกัน 55555 ไอเทมถ้าอยากได้ครบเซตเช่นพวกล้อ ยาง Roller ถ้าอยากได้ set อาจจะยากหน่อยเพราะแต่ละสีมันดันคนละอันกัน รถช่วงแรกก็ะออกมาแฟนซีๆนิดนึง ตอนนี้ยังไม่มีระบบแข่งกันกับผู้อื่น แต่น่าจะมีในอนาคต ยังไงก็รอติดตามกันต่อไปนะครับ หากมีข่าวสารเพิ่ม จะนำมาแจ้งให้ทราบกันครับผมม อย่างไรก็ตามตอนนี้เกมนี้ก็ยังสามารถดาวน์โหลดได้จาก Store ของญี่ปุ่นเท่านั้น เราก็ได้แต่หวังว่า ลุงบันจะเอาเกมนี้ลง Store ไทยในไม่ช้า [penci_review id="40618"]
29 Jan 2020
Review: รีวิวเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2
สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองว่าแฟนตัวยงของเกมแนว JRPG เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้จักกับซีรี่ส์ Shin Megami Tensei มาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะรู้จักมาจากเกมภาคแยกอันโด่งดังอย่าง Persona หรือจะติดตามมาจากเกมซีรี่ส์ย่อยอื่นๆ อย่าง Devil Summoner ก็ดี แม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักในระดับเดียวกับซีรี่ส์ JRPG ยักษ์ใหญ่อย่าง Final Fantasy หรือ Dragon Quest แต่ Shin Megami Tensei ยังมีเกมเมอร์ที่ติดตามซีรี่ส์อย่างจดจ่ออยู่มากมายทั่วโลก จนทำให้ซีรี่ส์สามารถผลิตเกมใหม่ๆ ออกมาได้เรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 แล้ว เกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 ถือเป็นการก้าวเข้าสู่สังเวียนมือถือครั้งแรกของซีรี่ส์ ที่พกพาระบบหลักๆ อันเป็นลายเซ็นของซีรี่ส์มาครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ลุ่มลึกน่าติดตาม ไปจนถึงเกมเพลย์การสะสมภูติผีปีศาจ เพื่อใช้ในการต่อสู้แบบ RPG เนื่องในโอกาสที่ช่วงนี้เกมกำลังจัดกิจกรรมฉลองวันครบรอบการเปิดให้บริการครบ 2 ปี ทางทีมงาน GameFever จึงได้ลองเข้าไปทดลองเล่นเกมกันมาประมาณหนึ่ง เลยอยากจะมารีวิวเกมให้อ่านกัน เผื่อจะสนใจไปโหลดมาเล่นกันบ้างจ้า! เนื้อเรื่อง ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมซีรี่ส์ Shin Megami Tensei จะไม่พูดถึงเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นสมาชิกกลุ่ม Liberator ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องมวลมนุษย์จากปีศาจร้าย ด้วยการใช้แอพมือถือในการจับปีศาจเหล่านี้มาใช้ต่อสู้กันเอง (คล้ายๆ โปเกม่อน) โดยผู้เล่นและตัวละคร NPC อื่นๆ ในกลุ่ม Liberators จะต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองโตเกียว เพื่อต่อกรกับองค์กรชั่วร้ายที่ต้องการจะทำลายล้างโลก เนื้อเรื่องของ Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 น่าจะคุ้นเคยสำหรับผู้ที่เล่นเกมซีรี่ส์นี้ในคอนโซลมาก่อน แม้จะไม่ได้ลึก หรือเขียนมาละเอียดเท่ากับภาคเต็มๆ ในคอนโซล แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความหมายที่ลุ่มลึกเกี่ยวกับสังคมปัจจุบัน และนิสัยการใช้โซเชี่ยลมีเดียวของคนอีกด้วย แถมยังมีปริศนามากพอที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากจะเล่นต่อ เพื่อให้รู้เนื้อเรื่องตอนต่อไปเสมอ ถือว่าไม่น่าผิดหวังเลยสำหรับคนที่ติดตามซีรี่ส์มาจากคอนโซลอย่างผู้เขียน เสน่ห์อีกอย่างของเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 คือเหล่าตัวละครเพื่อนร่วมทีมแต่ละตัว ที่มาพร้อมกับอุปนิสัยแปลกๆ ที่สร้างตัวตนให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเพื่อนคนแรกที่จะได้พบอย่าง Rika สาวน้อยผู้คลั่งไคล้อาวุธปืน หรือหัวหน้าทีม Liberators ที่เป็น Youtuber ชื่อดัง Megakin ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้เกมได้เป็นอย่างดี ภายในแพตช์อัพเดทล่าสุด (เวอร์ชั่น 3.0.00) ยังมีการเพิ่มเนื้อเรื่องบทใหม่หรือ Season 2 อีกด้วย แน่นอนว่าผู้เล่นจะต้องเล่นเนื้อเรื่องภาคแรก (Season 1) ให้จบทั้ง 8 ตอน และผ่านบทนำ Intermission Epilogue เสียก่อน จึงจะสามารถสลับไปมาระหว่างเนื้อเรื่องทั้ง 2 ภาคได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่น่าเสียดายคงจะเป็นการที่เกมไม่สนับสนุนภาษาไทย ทำให้การติดตามเนื้อเรื่องและระบบต่างๆ อาจจะท้าทายซักหน่อยถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ แถมเกมยังชอบใช้ศัพท์แสลงเยอะมากๆ ใครจะเล่นก็มองในแง่ดีเข้าไว้ว่าเราจะได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในตัวนะ... เกมเพลย์ อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จะใช้ระบบเกมเพลย์แบบเดียวกับเกมซีรี่ส์หลักในคอนโซล ซึ่งสามารถแบ่งระบบออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือการต่อสู้ และการจับปีศาจนั่นเอง สำหรับการต่อสู้ของเกมนี้ โดยพื้นฐานอาจจะเปรียบได้กับเกมอย่างโปเกม่อน ภายในเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จะมีปีศาจมากกว่า 160 ชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีความสามารถและจุดอ่อน/จุดแข็งต่างกัน แต่สิ่งที่ซับซ้อนกว่าโปเกม่อนเล็กน้อยคือเมื่อเราโจมตีถูกจุดอ่อนของศัตรู (เช่นใช้ธาตุที่ปีศาจเป้าหมายแพ้) จะทำให้เราได้รับเทิร์นเพิ่มขึ้นหนึ่งเทิร์น การหาจุดอ่อนของศัตรูให้เจอ และใช้จุดอ่อนนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงมีความสำคัญมากๆ ในเกมนี้ เพราะศัตรูเองก็จะได้รับเทิร์นเพิ่มเช่นกันถ้าโจมตีโดนจุดอ่อนของเรา ทำให้การจัดทีมปีศาจทุกครั้งต้องใช้การวางแผนอย่างดี ไม่งั้นเสี่ยงโดนศัตรูตีเอาเทิร์นฟรีจนตายได้ง่ายๆ เลย เนื้อเรื่องของเกมจะดำเนินไปในรูปแบบเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ โดยในเนื้อเรื่องแต่ละบทจะประกอบไปด้วยการต่อสู้กับศัตรูระดับต่ำ 3-4 รอบ ก่อนที่จะต่อสู้กับบอสใหญ่ของบท (มีฉากเนื้อเรื่องคั่นเป็นระยะๆ) ซึ่งในช่วงบทที่หนึ่งจะค่อนข้างง่าย แต่เมื่อขึ้นบทที่สองแล้ว เกมจะยากขึ้นอย่างรู้สึกได้แน่นอน ทำให้องค์ประกอบหลักส่วนที่สองของเกมมีผลมากขึ้น นั่นก็คือการจับปีศาจมาเป็นพวกนั่นเอง! ทั้งนี้ การจะได้ปีศาจมาเป็นพวกทำได้หลายวิธี โดยแน่นอนว่าด้วยความเป็นเกมมือถือกาชาของ Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 แล้ว การหมุนตู้กาชาก็เป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่เกมกำลังฉลองวาระครบรอบ 2 ปีของเกม ที่ให้ผู้เล่นหมุนกาชาฟรีๆ วันละถึง 10 ครั้ง ทำให้เรามีโอกาสสูงในการได้รับปีศาจระดับ 5 ดาวมาร่วมทีมตั้งแต่เนิ่นๆ กันไปเลย สำหรับตู้กาชาที่โดดเด่นในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นตู้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปีศาจระดับ 5* ตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Tenma Asura Lord อยู่แล้ว โดยในช่วงกิจกรรมครบรอบ 2 ปีนี้ ผู้เล่นจะสามารถกดหาทั่น Asura ได้หลากหลายวิธี แต่หลักๆ แล้วก็ควรจะทำตามขั้นตอน Step-up Summon ไปซะเลย นอกจากจะได้ลุ้นเจ้า Asura และผองเพื่อนระดับ 5* เก่งๆ อีกหลายตัว ยังสามารถสะสมไอเทม Tome of Tenma ไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปแลกป๊ศาจได้ด้วย เอาไว้เป็นประกันเผื่อเกลือนะจ๊ะ นอกจากนั้น ในช่วงกิจกรรมนี้ยังมีดันเจี้ยนพิเศษ Lord of the ASURAS ซึ่งเป็นดันเจี้ยนแรกในระบบ Aura Gate SP ที่จะเปลี่ยนรูปทรงและทางเดินไปตลอดเวลา ทำให้การสำรวจแต่ละครั้งมีความตื่นเต้นแตกต่างกัน โดยระบบนี้จะสามารถเลือกระดับความยากได้ (ตั้งแต่ Novice ไปจนถึง Master) ซึ่งแน่นอนว่าของตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมแตกต่างกันอีกด้วย                     วิธีหลักอีกอย่างในการนำปีศาจมาเป็นพวกก็คือระบบการ เจรจา กับปีศาจเหล่านั้น ในระหว่างการต่อสู้กับปีศาจบางตัว เกมจะมีสัญลักษณ์ขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าปีศาจตนนั้นกำลังสนใจจะพูดคุยกับผู้เล่น โดยเมื่อกดเข้าไปแล้วก็จะสามารถสนทนากับปีศาจ เพื่อต่อรองให้มาเป็นพวกของเราได้ ตราบใดที่เราตอบคำถามต่างๆ ได้ถูกต้องตามที่ปีศาจอยากได้ยินนั่นเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเดาเอา เพราะมันพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง) ถ้าสามารถตอบคำถามได้ดีพอ ป๊ศาจจะยื่นข้อเสนอให้เรา ซึ่งมักจะเป็นของเล็กน้อยอย่างไอเทม หรือ HP/MP ของตัวละครในปาร์ตี้ แต่ก็ต้องระวังให้ดี เพราะบางครั้งปีศาจอาจจะขอชีวิตของเพื่อนในทีมไปเลยก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้การต่อสู้รอบต่อๆ ไปลำบากขึ้น เมื่อได้ปีศาจมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากการหมุนกาชา หรือการเจรจาระหว่างต่อสู้ อีกวิธีที่ทำให้เราสามารถได้ปีศาจตนใหม่ๆ ก็คือการผสมร่างหรือ Fusion นั่นเอง โดยระบบนี้ของเกมมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก กับการทำความเข้าใจว่าปีศาจชนิดไหนผสมกับชนิดไหนได้บ้าง แต่อย่างน้อยเกมก็มีระบบที่สรุปให้เราเองเลยว่าเราสามารถผสมปีศาจตัวไหนได้บ้าง จากปีศาจทั้งหมดที่เรามีอยู่ จึงช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้ กราฟิค/การนำเสนอ กราฟิคของเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จัดอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเลยสำหรับเกมมือถือ โดยแม้ว่าฉากหลังและตัวละครมนุษย์ในเกมเกือบทั้งหมดจะเป็นเพียงภาพวาด 2D เท่านั้น แต่ในฉากต่อสู้ จะเห็นปีศาจทั้งหมดเป็นโมเดล 3D ระดับสูงทุกตัว แถมยังมีอนิเมชั่นการโจมตีเฉพาะตัวอีกด้วย ในจุดนี้จึงต้องชมผู้พัฒนาจาก Atlus และ SEGA มากๆ สรุป ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเกม JRPG ที่เกมเพลย์และเนื้อเรื่องดีๆ บนมือถือซักเกม บอกได้เลยว่า Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ด้วยเนื้อเรื่องและเกมเพลย์มาตรฐานเกมคอนโซล แถมช่วงนี้เกมยังมีกิจกรรมลดแลกแจกแถมกระหน่ำ ไม่ต้องเสียตังซักแดงเดียวก็มีปีศาจเทพๆ ไว้อวดคนอื่นได้ ใครอยากหาเกม RPG เล่นยาวๆ ซักเกม ห้ามพลาด!
27 Jan 2020
รีวิว DEEEER Simulator‌ : Your Average Everyday Deer Game “ระวัง!! แถวนี้กวางดุ”
ณ เวลานี้มีเกมแนวจำลองเหตุการ์ณ (เกม Simulator) ออกมาให้เราเล่นมากมาย โดยส่วนใหญ่นั้นมักมีจุดเด่นที่ภาพสวยสุดอลังการ หรือไม่ก็สมจริงอย่างกะเรากำลังทำสิ่งนั้นๆ แต่สิ่งที่ DEEEER Simulator‌ : Your Average Everyday Deer Game จะนำเสนอนั้นไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง แต่เป็นความบ้าหลุดโลกสุดแสนจะคิดได้ พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ระบบเกมและภาพรวม เกมนี้จะให้เราสวมบทบาทเป็นกวาง!! ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก กวางนั้นหล่ะครับ ตามชื่อเกมเลย เป็นแค่กวางตัวเล็กๆในโลกอันแสนกวางใหญ่ ทำได้ก็มีแค่ วิ่ง 2 ขาได้, ต่อยรถพังได้, ปล่อยคลื่นพลังได้, เปลื่ยนเขาเป็นปืนได้ และยึดคอได้ (กวางธรรมดาจริงๆนะ 555555+) สิ่งที่เราต้องทำก็มีแค่ผจญภัยในโลกอันแสนกว้างใหญ่(และแปลกประหลาด)อย่างอิสระ ค้นหาความลับ และอย่าตายก็พอ  เรามีความอิสระในแทบทุกอย่าง จะไปไหนก็ได้ (ตอนนี้มีแค่ 1 เมือง) จะขี่พาหนะอะไรก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ วัว ปลาทูน่า และอีกเยอะมากๆ) จะทักทายคนข้างทาง หรือชวนเข้าร่วมแก็งกวางก็ได้ รวมไปถึงการทำลายข้าวของด้วย แทบทุกอย่างในโลกนี้สามารถทำลายได้ (ต้นไม้ ตึก รถยนต์ เป็นต้น ยกเว้นแค่ไม่กี่อย่างที่ทำลายไม่ได้) และทุกครั้งที่ทำลายได้จะมีอาวุธดรอปให้เราสามารถเก็บไปใช้ได้ (แต่จะใช้ยังไงนั้นดูภาพประกอบเอา 555+) เรามีพลังชีวิตแค่ 3 หัวใจเท่านั้น (มุมซ้ายบน) แต่ไม่ว่าเราจะตกตึกเป็นร้อยชั้น หรือโดนรถชนกระเด็นไปไกล ก็ไม่ทำให้พลังชีวิตลดได้เลย จะมีแค่ศัตรูที่โจมตีพลังชีวิตเราได้ นั้นก็คือ ตำรวจ และบอสประจำเมือง (ตอนนี้มีแค่นี้ อาจจะมีเพิ่มเติม) ตำรวจจะออกมาไล่ล่าเราเมื่อเราสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจนถึงระดับที่กำหนด ซึ่งจะมีหลายแบบ เช่น มือปราบแกะ รถตำรวจหมีขาว มือปืนกระต่าย (ตอนนี้มีแค่ 3 แบบ) ส่วนบอสจะปรากฏอยู่ในเมือง แต่จะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะสร้างความเสียหายให้บอส เมื่อพลังชีวิตหมด เกมจะบังคับรีเซ็ตกลับสู่จุดเริ่มต้นทันที เราสามารถตามหาความลับต่างๆที่ซ่อนอยู่ในเมืองได้ เมื่อเราตามหาและทำเงื่อนไขบางอย่างสำเร็จ เราจะได้ของตอบแทนมา เช่น หุ่นยนต์ยักษ์ อาวุธใหม่ เป็นต้น และในเมืองยังมีมินิเกมให้เราแวะเล่นได้ด้วย ความรู้สึก เกมนี้ก็เป็นเกมที่เล่นได้เพลินๆ ครับ อารมณ์เหมือนเล่นเกม Goat Simulator นั่นแหละ เล่นสนุกๆ หาอะไรบ้าๆ ทำครับ โดยรวมตัวเกมก็ดูเพี๊ยนๆ ดีครับ และข้อเสียตอนนี้เกมยังบัคเล็กๆ น้อยๆเต็มไปหมด ตามภาษาเกม Early Access ที่พึ่งออก แต่ถ้าจะให้พูดถึงปัญหาใหญ่ๆก็ เกมไม่เสียงดนตรีประกอบเลย มีแค่เสียงเอฟเฟคเท่านั้น ทำให้เกมดูเงียบเหงาเหลือเกิน แถมเมื่อเรายิงปืนเยอะๆ ทำลายของเยอะๆ หรือมีตำรวจไล่ล่าเรา เกมจะกระตุกมากๆ และสุดท้าย เกมมีอะไรให้เล่นน้อยเกินไป คงต้องรอการอัพเดทเนื้อหาเรื่อยๆไปก่อน เป็นเพราะตอนนี้เกมพึ่งจะเปิดตัว และยังอยู่ในช่วง Early Access เลยอาจจะทำให้เกมดูมีอะไรให้เล่น ให้สำรวจน้อยไปสักหน่อย และเกมยังไม่ลื่นเท่าที่ควร แต่อย่างน้อยเกมนี้ ก็ยังสนุก และปล่อยให้เรามีอิสระสุดๆ เท่าที่เกมจะมีได้ ใครที่คิดจะซื้อเกมนี้คงต้องรอค่อยการอัพเดทใหม่ซะก่อน เพื่อที่จะทำให้ตัวเกมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น [penci_review id="40307"]
27 Jan 2020
รีวิว Dragon Ball Z: Kakarot เกมที่นำเสนอโลกของการ์ตูนเรื่องนี้ ได้ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
ออกกันมาทุกปีจริงๆ สำหรับเกมจากซีรีส์การ์ตูนสายหลักชื่อดังอย่าง Dragon Ball พัฒนาโดย BANDAI NAMCO ซึ่งหลังจากปีที่แล้วก็พึ่งปล่อย JUMP FORCE ที่มีการ์ตูนเรื่องนี้ไปผสมด้วย แต่มันก็ไม่ค่อยจะน่าพิศมัยซักเท่าไหร่ เพราะตัวเกมยังสร้างโลกของจั๊มออกมาได้ไม่ตอบโจทมากพอทั้งในด้านเนื้อเรื่อง และการนำเสนอ ในปีนี้ผู้พัฒนาก็อยากที่จะเล่นใหญ่ขึ้นคือการยกระดับเกมของตัวเองสร้างเกมแนว Openworld ออกมาโดยใช้ธีมของโลก Dragon Ball เป็นตัวดำเนินเรื่องเลยได้กลายมาเป็นเกม Dragon Ball Z: Kakarot ที่จะดำเนินเรื่องราวเนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้ในภาค Dragon Ball Z เป็นต้นไป เพื่อให้เราเหล่าแฟนๆ ได้หวนวันวานอีกครั้ง พร้อมทั้งยังได้ท่องโลกของการ์ตูนเรื่องนี้แบบอิสระครั้งแรกด้วยตัวเองอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้หลังจากที่ได้เล่นมาว่ามันจะยอดเยี่ยมเหมาะแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ? ไปชมกันได้เลย เนื้อเรื่อง อย่างที่บอกว่าเกมนีจะดำเนินเรื่องราวในช่วงภาค Dragon Ball Z เนื้อเรื่องหลังจากที่จัดการจอมมารปีศาจพิคโคโร่และศึกชิงเจ้ายุทธภพ ซุน โกคู ตัวเอกของเรื่องก็ถึงช่วงโตเต็มไวแต่งงานและมีลูกอย่างโกฮังหนึ่งคน โดยการเล่าเรื่องนั้นจะเหมือนกับต้นฉบับเป๊ะๆ ตั้งแต่บทของราดิช ไปจนถึงตัวสุดท้ายคือจอมมารบลูเลยทีเดียว รวมถึงการนำเสนอของเกมนี้ที่ได้เล่าเรื่องให้อารมณ์เป็นเชิงการ์ตูนจ๋ามากๆ ใครที่เคยดูการ์ตูนยุคเก่าจะจำได้เลยว่ามันมักจะมีการนำเสนอตอน ว่าตอนนี้ชื่ออะไร ซึ่งภายในเกมนี้ใส่อะไรแบบนี้ในการแบ่งช่วงเนื้อเรื่อง และก็ต้องบอกว่าอะไรแบบนี้มันช่วยมาเติมเต็มความทรงจำในวัยเด็กเราได้ดีเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งบทพูดต่างๆ นาๆ ของเกมนี้เองเหมือนคุณกำลังนั่งดูการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ และที่พิเศษก็คือความรวบรัดของเนื้อเรื่องที่มีสเกลเทียบเท่ากับในหนังสือการ์ตูนมังงะมากๆ ไม่มีฉากชาร์จพลัง และ Flash Back สุดยาวเหยียดแล้ว ทำให้การเสพเนื้อเรื่องมีความอรรถรสมากพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้น เนื่องจากมันเป็นการเอาเนื้อเรื่องของการ์ตูนภาคหนึ่งมาใส่โดยแทบไม่ตัดเนื้อหาสำคัญเลย บวกกับเกมเพลย์ต่างๆ นาๆ เราก็จะใช้เวลาเล่นเกมนี้ไม่ต่ำกว่า 25-30 ชั่วโมงในการเคลียร์ Main Quest รวมถึงระหว่างเนื้อเรื่องยังมีการสอดแทรก เนื้อเรื่องเล็กๆ ระหว่างเนื้อเรื่องหลักเข้ามาอย่างเช่น การฝึกฝนของโกฮังกับพิคโคโร หรือช่วงการฝึกวิชาสามปีเพื่อต่อสู้กับหมายเลข 17-18 ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่พอเล่นจริงๆ แล้วกลับทำให้จังหวะของเนื้อเรื่องมันดูขาดตอนและค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย แต่โดยรวมก็ทำออกมาได้น่าสนใจนะ กราฟิก Dragon Ball Z: Kakarot นำเสนอโลกของการ์ตูนเรื่องนี้ได้อย่างดี ตอบโจทย์แฟนการ์ตูนซีรีส์นี้ที่อยากจะเห็นโลกของการ์ตูนในดวงใจ แต่เอาจริงๆ แล้ว Dragon Ball เองก็เป็นการ์ตูนที่ไม่ได้นำเสนอโลกของพวกเขามากเท่าไรนักนอกจากตัวละครผู้ร้ายและคนดีเท่านั้น อาจจะมีที่น่าสนใจหน่อยก็คือสวรรค์ หรือดาวนาเม๊กเท่านั้น ส่วนโลกของ Dragon Ball เองก็จะมีที่น่าสนใจแค่ดีไซน์บ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ นิดๆ หน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่พิ้นดินกว้างๆ เอาไว้ต่อสู้ตามสไตล์การ์ตูนเรื่องนี้นั่นแหละ รวมถึงแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Openworld แต่ก็ต้องบอกได้ว่าตัวเกมจะเป็นกึ่งๆ โลกเปิดซะมากกว่า เพราะเนื่องจากที่ผู้พัฒนาคงไม่อยากต่อพื้นที่ให้มันกว้างเปิดไป เพราะมันน่าจะเป็นปัญหาเรื่องการ Optimise ก็ได้ ตัวเกมจึงมีพื้นที่แบ่งเป็นโซนๆ ติดต่อกัน โดยเราจะต้องวาร์ปไปแต่ละโซนแผนที่แทน ซึ่งเอาจริงๆ ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนะ แต่พอเล่นจริงๆ เกมนี้ไม่ได้มี Loading Screen ที่นานเกินไป การโหลดแผนที่แต่ละครั้งเองก็ไม่ได้เสียเวลามากเท่าไร ก็ถือว่าหยวนๆ กันได้ รวมถึงโมเดลของตัวละครในเกมถึงแม้ว่าจะเป็น 3D แต่กราฟิกก็ยังมีกลิ่นอายและธีมของความเป็นการ์ตูนมากกว่าเกมก่อนหน้าอย่าง JUMP FORCE เป็นอย่างมาก อาจจะมีบ้างฉากที่โมเดลที่ตัวละครคุยกันทื่อๆ แต่ส่วนใหญ่ตัวละครก็ทำอารมณ์ออกมาพอใช้ได้ รวมถึงแต่ละตัวละครก็จะใส่เสียงออกมาทุกบทพูดแล้ว ไม่เหมือนเกมเก่าๆ ที่เผางานเป็นกล่องข้อความทื่อๆ พร้อมทั้งเอฟเฟคต่างๆ ก็มีความสวยสดงดงามออร่าอลังการได้อารมณ์สุดๆ เกมเพลย์ ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ก็ยังเป็นการเอายกฟังชั่นดีไซน์มาจากเกมเก่าๆ ของ BANDAI NAMCO เหมือนเดิม การกดสกิลต่างๆ ก็จะเหมือนกับเกมอย่าง JUMP FORCE หรือ Dragon Ball: Xenoverse เป๊ะๆ เอาจริงๆ เรื่องระบบการต่อสู้เองก็ทำให้คนที่เคยเล่นเกมเก่าๆ ที่ว่ามา รู้สึกเบื่อนิดๆ นะ เพราะว่ามันไม่ได้ให้ความแปลกใหม่ใดๆ เลยของเกม แต่ข้อดีคือมันก็ยังเป็นเกมที่เล่นสนุกได้เหมือนเดิมถ้าหากคุณไม่คิดอะไร เพราะเอฟเฟคสกิลที่สวยงาม หรือเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม มันก็สามารถมาลดทอนในตรงนี้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงเกมนี้เองก็ได้ใส่องค์ประกอบความเป็น Action RPG Openworld อยู่ครบถ้วนทั้งการอัพเกรดต่างๆ นาๆ หรือจะเป็นการสร้างไอเท็ม, ตกปลา ล่าสัตว์ต่างๆ มาเพื่อทำอาหารบัพค่าพลังของเรา และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการที่เราจะได้มีส่วนร่วมกับสิ่งที่เราเคยได้อ่านหรือได้ดูมา อย่างเช่นการตามหาดราก้อนบอลให้ครบทั้ง 7 ลูกเพื่อเรียกเทพเจ้ามังกรออกมาขอพร, การไปขอถั่วเซียนจากท่านเทพคามิ หรือการที่เราเองจะต้องฝึกฝนตัวละครแต่ละตัวให้มีสกิลใหม่ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีระบบ Soul Emblem ที่เราจะสามารถรวมสัญลักษณ์ของตัวละครต่างๆ ในเกมมาใส่เพื่อเพิ่มสเตตัส ซึ่งสัญลักษณ์แต่ละตัวก็จะมีความสอดคล้องและผูกพันธ์กันทำให้เราสามารถได้รับสเตตัสมากขึ้นอย่างเช่นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับศัตรูในอดีตและมาเป็นมิตรในวันนี้ ซึ่งมันก็จะมีป้ายเท็นชินฮัง, พิคโคโร่, โกคู และเบจิต้า เป็นต้น รวมถึงยังมี Emblem หลากหลายสายอย่างเช่นสายทำอาหาร สายฝึกวิชา หรือสายต่อสู้เป็นต้น ซึ่งเราสามารถรวบรวม Emblem พวกนี้ได้ทั้ง Main Quest และ Main Quest ความรู้สึก จากความรู้สึกที่ได้เล่นเกมนี้มา เอาตามตรงว่าตัวเกมมันก็ยังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ นอกจากการนำเสนอแบบสไตล์การ์ตูนอนิเมะที่น่าสนใจเท่านั้น ระบบของเกมดูท่าจะมีความโบราญไปด้วยซ้ำ และต่อให้เกมนี้จะมีระบบให้เราได้เล่นมากมาย ถึงอย่างนั้นตัวเกมเองก็สร้างระบบพวกนี้เอาไว้หลวมๆ และไม่ได้มีกลไกที่ซับซ้อนอะไร อย่างเช่นการล่าสัตว์เราก็เพียงแค่เข้าไปใกล้ๆ และกดโจมตีทีเดียวเราก็ได้เนื้อแล้ว เลยอาจจะทำให้แรงจูงใจมันไม่ได้มีมากเท่าที่ควร รวมถึงผลกระทบในการทำกิจกรรมเพื่อเพิ่มสเตตัสในช่วง Free Roam เองก็ไม่ได้มีผลในเนื้อเรื่องหลักมากนัก เพราะเรารู้อยู่ว่าตัวละครภายในเรื่องจะเก่งขึ้นอย่างทวีคูณเป็นสิบๆ ร้อยๆ เท่าหลังจากที่จัดการศัตรูเบอร์ใหญ่ไปแล้ว การเก็บสเตตัสหรือกินอาหารเพิ่มบัพก่อนเข้าบทเป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะง่ายขึ้นเพียงนิดเดียวเท่านั้น เพราะส่วนตัวลองไม่ไล่เก็บเลเวลในแผนที่เลยก็สามารถชนะได้ เพียงแค่ตุนเลือดไว้เยอะๆ หน่อย และศัตรูเกมนี้ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นส่วนตัวคิดว่าความสนุกจริงๆ ของเกมมันไม่ใช่พวกระบบ Openworld เลยซักนิด มันมีไว้เพื่อให้เราได้เสพบรรยากาศของโลก Dragon Ball เสียมากกว่า จุดประสงค์จริงๆ ของเกมนี้คือความเสพสมกับประสบการณ์ที่เราได้เคยอ่าน หรือเคยได้ดูมาตั้งแต่สมัยเด็กเสียมากกว่า อย่างเช่นการที่เราได้รวบรวมลูกแก้วมังกรให้ครบ 7 ลูก และเรียกเทพเจ้ามังกรออกมาเนี่ย คิดดูว่าใครที่เป็นแฟนเกมแนวนี้จะฟินขนาดไหน การที่เราจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องหลัก ที่ครั้งนี้เราจะได้ต่อสู้กับศัตรูที่เราชอบ หรือ เกลียด แค่นี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหลงรักมันจนหัวปักหัวปำแล้ว สรุป สรุปได้เลยว่า Dragon Ball Z: Kakarot นั้นเป็นเกมที่ถ้าหากใครเป็นแฟนของการ์ตูนเรื่องนี้ คุณต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ถึงแม้ว่าระบบเกมเพลย์ต่างๆ นาๆ จะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ การวางระบบ Openworld ไว้หลวมๆ จะเล่นกับมันก็ได้ หรือจะเน้นเนื้อเรื่องกับมันก็สามารถเล่นจบได้ แต่สิ่งที่มันทำให้คุณชอบคือการนำเสนอความเป็นโลก Dragon Ball ที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน การเล่าเรื่องที่กระทัดรัดเหมือนคุณได้กลับไปดูการ์ตูนเรื่องนี้อีกครั้ง การที่คุณได้มีส่วนร่วมไปกับมันเพื่อเติมเต็มความทรงจำในวัยเด็กของคุณเป็นอย่างดี ถ้าคุณเป็นเด็กผู้ชายที่โตมากับการ์ตูนเรื่องนี้ ไม่มีเหตุใดเลยที่คุณจะเกลียดมัน ข้อเสียต่างๆ ของเกมนี้หรือระบบเก่าๆ ที่คุณอคติจะถูกหักล้างไปจนหมดคุณจะหลงรักมัน !! Dragon Ball Z: Kakarot อาจจะไม่ใช่เกมที่มีระบบสนุกที่สุด และกลไกลึกซึ้งที่สุดในเกมแฟรนไชส์ แต่มันเป็นเกมที่นำเสนอโลกของการ์ตูนเรื่องนี้ได้ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีมา [penci_review id="40221"]
24 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Arknights เมื่อเราสูญเสียความจำ ถูกเลือกเป็นผู้นำของเหล่ามวลมนุษย์
หากวันหนึ่ง คุณฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้งหลังหัวใจคุณหยุดเต้น แต่ทว่ากลับสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ พร้อมกับภัยอันตรายรายล้อมตัวคุณไปหมด มีเพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้า พวกเธอไม่ใช่มนุษย์แต่บอกว่าเราคือผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้...คุณจะเชื่อหรือไม่ ? และนี่คือคำเกริ่นทั้งหมดจากเกมที่เรียกว่า Arknights ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีนได้หนึ่งปี ผลที่ได้คือชาวจีน Hype กับการมาของเกมนี้อย่างมากจนกระทั่งได้เปิดตัวขยายฐานเซิร์ฟเวอร์พร้อมกันสามที่ได้แก่ ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้และโซนอเมริกาหรือที่เรียกติดปากว่าเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์นั้นแหละ แล้วเกมนี้ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเพราะเล่นง่าย แต่แฝงด้วยการใช้ความคิด การจัดวางตำแหน่งให้ถูกที่เพื่อให้ผ่านด่าน แถมเนื้อเรื่องก็โดดเด่น แน่นอนว่าทางเรา GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกมนี้มารีวิวแบบจัดเต็มบนเวอร์ชั่นเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์ให้อ่านกัน ================================================== เราสูญเสียความทรงจำ แต่กำชะตามนุษย์เอาไว้ Arknights เป็นเกมแนว Defend Tower วางหมากป้องกันตำแหน่ง จากทีมพัฒนา Hypergryph และ Studio Montagne เปิดให้บริการโดย Yostar เจ้าของเดียวกับสาวเรือ Azur Lane แต่เกมนี้เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทว่าเนื้อเรื่องกลับมีความโดดเด่น จนน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว จุดเริ่มต้นของทั้งหมดภายในเกม มาจากวัตถุที่มีชื่อว่า Originium ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มาว่าได้เข้ามาหรือถูกค้นพบบนพื้นที่โลกใบนี้จากไหนกันแน่ ( ล่าสุดเนื้อเรื่องยังไม่มีการเฉลย ) แน่นอนว่ามันก็ได้แพร่อนุภาคเสมือนเป็นไวรัสกระจายไปเกือบทั่วโลก จึงถูกเรียกโรคนี้ว่า Oripathy ในเวลาต่อมา ส่งผลกระทบต่อมนุษย์สองอย่างนั้นก็คือ มนุษย์ที่ได้รับอนุภาคนี้เข้าไปก็จะกัดกินร่างกายและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่หากต่อสู้กับมันได้ ก็จะทำให้มนุษย์คนนั้นได้รับพลังจาก Originium มาด้วย หากผู้ใดรอดจากการติดเชื้อครั้งนี้จะได้รับพลังทั้งได้พลังจากกายภาพหรือได้รับพลังจิตที่เรียกว่า Art ใช้โจมตีศัตรูระยะไกลได้ นอกจากนี้ภายในจักรวาล Arknights จะมีมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะคือหูกับหางเป็นสัตว์ต่างๆ โดยพวกเขาอยู่ร่วมกับมนุษย์ดั้งเดิมมานานแล้ว โดยเราจะได้สวมบทบาทเป็น "ดอคเตอร์" ซึ่งนัยยะของเกมเราจะเสมือนเป็นศาสตราจารย์ ไม่ใช่หมอนะซึ่งเราก็ติดเชื้อ Origidium เหมือนกันแต่เรากลับไม่แสดงอาการทรมานแถมยังอยู่ดีมีสุข ซึ่งตัวเรานั้นมีองค์ความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ในทางที่ดีขึ้นได้ วันหนึ่งเราได้เดินทางมายังเมือง Chernobog ซึ่งบังเอิญเป็นวันที่กลุ่มล่าพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกตัวเองว่า Reunion เข้าโจมตีเมืองนี้แล้วบังเอิญไปทำลายอาคารที่เราอยู่พอดีและทำให้ซากตึกตกใส่เราบาดเจ็บสาหัส หัวใจหยุดเต้น โชคดีที่ Amiya เด็กสาวมนุษย์สายพันธุ์์ใหม่ที่มีหูคล้ายกระต่าย ( แต่จริงๆ เธอเป็นคิเมร่า ) กับพรรคพวกของเกาะโรดส์ ( Rhodes Island ) ได้เข้ามาช่วยชีวิตเราและทำการกู้ชีพฟื้นจากความตายได้สำเร็จ แต่เราก็สูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด จำได้แค่เพียงความสามารถในการบัญชาการและการวางแผนการรบเท่านั้น และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องในเกม เอาจริงๆ พล็อตเนื้อเรื่องในเกมมันไม่ค่อยต่างจาก X-men หรือ JoJo ภาค 5 เท่าไหร่นัก เพราะมีการเล่นประเด็นมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ถูกเหยียดหยามจากโลกใบนี้หรือรอดจากโรคแล้วได้รับพลังพิเศษมาเพราะพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่นั้นติดเชื้อ Oripathy ได้ง่ายกว่ามนุษย์ดั้งเดิมมาก แต่สิ่งที่ทำให้ดูแตกต่างและน่าสนใจคือ พลังที่ได้จาก Originium ของจักรวาลเกม Arknights ในสายตาของทุกคนได้มองมาเป็นโรคร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ทำให้เห็นการพัฒนาของตัวละครแต่ละตัวและมีความมุ่นมั่นอย่างชัดเจนอย่าง Amiya ที่เธอเป็นผู้นำของเกาะโรดส์ เกาะที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ติดเชื้อ เธอมีความตั้งใจว่าจะเป็นที่ที่มนุษย์ได้ต่อสู้กับการติดเชื้อและเป็นที่พักพิงของเหล่ามนุษย์ทั้งสองสายพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ทำให้รู้สึกว่าเธอดูอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนต่อโลก เป็นตัวละครเอกที่มีด้านเทา ไม่ขาวไม่ดำ ทำให้มีเสน่ห์มากๆ เลยล่ะ Arknights เป็นเกมใจป๋า ขนนักพากย์ญี่ปุ่นมาเพียบ สิ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจเกมนี้เลยก็คือ การขนนักพากย์จากญี่ปุ่นชื่อดังหลายท่านมาร่วมภาพย์ตัวละครในเกม Arknights ชนิดที่เรียกว่าครบทุกตัว ไม่ต้องกังวลว่าตัวละครใหม่ๆ จะไม่มีเสียงพากย์แต่อย่างใด แถมแต่ละคนก็มีประวัติการภาคไม่ธรรมดาเสียด้วย ยกตัวอย่างคุณ Nana Mizuki นักพากย์และนักร้องชื่อดังระดับเอเชียและอเมริกา ได้พากย์ตัวละครในเกมที่ชื่อว่า Mostima แสดงให้เห็นว่าเกมนี้มีทุนหนาขนาดไหนถึงจ้างนักพากย์ดังๆ ได้หลายคนมาก หากใครเป็นผู้ที่ชื่อชอบเหล่าเซย์ยูหรือติดตามนักพากย์ดังๆ บอกเลยว่าเกมนี้จะทำให้ใครหลายคนได้ฟินอย่างแน่นอน อีกสองความประทับใจเลย อย่างแรกคือการแปลภาษาจากภาษาจีนมาเป็นภาษาอังกฤษออกมาอ่านได้อย่างลื่นไหล เข้าใจง่าย ถือว่าทาง Yostar ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังหรืออ่านแล้วสะดุด และอย่างที่สองคือภาพอาตหรือฉากคัตซีนทำออกมาสื่อออารมณ์ได้ชวนหดหู่ เห็นภาพความโหดร้ายของการถูกเหยียดเผ่าพันธุ์, สงครามและฉากเท่ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกข้อที่น่าชมเชยสำหรับสายเสพเนื้อเรื่องเป็นหลัก เมนูใช้งานง่าย แถมกาชาก็ไม่เกลืออย่างที่คิด สำหรับหน้า Iobby เมนูต่างๆ ออกแบบมาได้อย่างเรียบง่าย ตัวอักษรใหญ่ชัดเจนโดยเฉพาะค่า Sanity นี่เด่นมากซึ่งมีความหมายตรงตัวว่าสภาวะทางจิต สื่อเป็นกิมมิคสำคัญขำๆ ที่ว่าหากเราเล่นจน Sanity หมดแสดงว่าคุณจิตไม่ปกติแล้วนะ อย่าลืมหาหมอด้วยล่ะ ( 555+ ) ที่สำคัญ มีเวลากับระดับแบตเตอร์รี่มือถือบอกไว้ด้วย ทำให้เรารู้ตลอดเวลาว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เสียดายที่เวลานั้นถูกเซ็ตให้เป็นเวลาโซนท้องถิ่นของอเมริกา ไม่สามารถเซ็ตเวลาเป็นบ้านเราได้ ในด้านระบบภารกิจนั้นเขียนออกมาได้ชัดเจนดีกว่าให้ทำอะไร มีภารกิจให้ทำเยอะแยะมาก ทำได้ทุกวัน ได้ประโยชน์ทุกวัน โดยเมื่อทำสำเร็จเราก็จะได้ตัวหมากรุกมา ซึ่งตัวหมากรุกสามารถเอาไปแลกของทางด้านซ้ายมือได้ทันที มีทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์ ส่วนภารกิจเนื้อเรื่องนั้นจะได้แบบทันทีเมื่อผ่านตามเงื่อนไขไม่ต้องเก็บสะสมตัวหมากรุกแต่อย่างใด ซึ่งมันอาจจะดูน่าเบื่อแต่เห็นจำนวนของที่แจกแล้วไม่ทำคงไม่ได้ ให้เยอะจริงๆ และอีกหนึ่งระบบเด่นที่ชอบมากๆ เลยก็คือฐานบัญชาการของเรา พอกดเข้าไปแล้ว...."นี่มัน Fallxxx Shelter นี่หว่า" ซึ่งทั้งหน้าตาและระบบก็คล้ายคลึงกันจริงๆ นั้นแหละ โดยการสร้างฐานอะไรแต่อย่าง ทุกฐานจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเช่น ฐานบัญชาการจะดูแลเรื่องโดรนขนส่งซึ่งมีความจำเป็นต่อทุกฐาน, โรงผลิตไฟฟ้าซึ่งผลิตไฟฟ้าและใช้เป็นพลังงานในการต่อเติมหรือสร้างฐานอื่นๆ ในอนาคต, โรงแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนทองให้กลายเป็นเงินหรือเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ หรือแม้กระทั่งโรงเครื่องพิมพ์สามมิติที่สามารถผลิตใบเร่ง EXP หรือผลิตทองไว้แลกเงินได้อีก ฉะนั้นทุกฐานจะสร้างให้ทุกไปเลยฐานใดฐานหนึ่งไม่ได้ ต้องสร้างและอัพเกรดไปด้วยกัน ทำให้รู้สึกว่าทุกฐานสำคัญหมด อัพอันไหนก่อนหลังก็ไม่เป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าอยากใช้ทรัพยากรส่วนไหนก่อนมากกว่า ส่วนเรื่องระบบ Recruit หรือระบบหา Operator ใหม่ๆ มาเสริมทัพนั้นจะหาได้สองรูปแบบ แบบแรกคือการใช้งานแบบเกณฑ์คน ซึ่งพูดง่ายๆ คือการต่อหาบุคลากรนั้นเองซึ่งสูงสุดจะมีโอกาสลุ้นได้ 5 ดาวแบบสุ่ม แต่ส่วนใหญ่ได้ 4 ดาวกับ 3 ดาว ก็ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ และแบบที่สองที่จะหาบุคลากรมาเสริมทัพได้ก็คือ "การเปิดตู้กาชา" นั้นเอง โดยจะใช้แร่ Originium สะสมให้ครบ 6000 เม็ดเปิดกาชา 10 ครั้งหรือใช้ตั๋วเหลือง Headhunt เปิดลุ้นตัวละครระดับ 6 ดาวซึ่งสำหรับคนที่มาเล่นครั้งแรกจะมีตู้การันตี 6 ดาวหนึ่งตัวด้วย ซึ่งมันดีสำหรับผู้เล่นใหม่มากเลยล่ะ ส่วนเปอร์เซ็นต์ในการออก 6 ดาวก็ไม่ถือว่าเกลือนักแต่มันก็ขึ้นอยู่กับดวงผู้เล่นอยู่ดี ระบบการเล่นแสนง่าย ตัวละครดาวน้อยก็สำคัญ ขอบอกก่อนเลยว่าระบบการเล่นของเกมนี้จะดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนนัก เพราะจุดประสงค์ของเกมนี้คือ การวางตัวละครป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้ามายังจุดหมายได้ เอาตัวละครทั้งหลายที่เตรียมไว้มาวางแนวป้องกันในจุดที่ต้องการ แต่ใช่ว่าถึงมาก็หยิบตัวที่ชอบมาวางใส่ได้ทันทีเพราะเกมนี้จะถูกกำหนดด้วย Deploy Point โดยค่านี้จะมันจะค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ และจะถูกใช้เมื่อเราหยิบตัวละครลงไปในสนาม บางตัวละครก็ใช้ Cost เยอะมาก ฉะนั้นการใช้งานตัวละครแต่ละตัวจะต้องคิดหน้าคิดว่าว่าควรวางตัวไหนก่อน ตัวไหนวางทีหลัง พวกที่ใช้ Cost น้อยๆ ก็จะวางได้ก่อน ป้องกันศัตรูฝูงแรกๆ เพื่อสะสม ที่สำคัญในแต่ละด่านจะมีการกำหนดจำนวนตัวละครที่เราลงได้ด้วย ยิ่งต้องบริหารให้ดีเลยล่ะ ฉะนั้นตัวละครทุกตัวมีความสำคัญหมด ขึ้นอยู่กับการใช้งาน, การรับมือศัตรูประเภทต่างๆ, การใช้ตัวละครแต่แบบให้เหมาะสมกับด่าน ซึ่งโดยรวมแล้ว การเล่นนั้นง่าย แต่การผ่านแต่ละด่านก็หินเอาเรื่อง เหมือนได้ฝึกสมองไปในตัว และอีกข้อที่เกม Arknights แตกต่างจากเกมแนว Defend Tower ทั่วไปก็คือการใช้ Skill ซึ่งแต่ละตัวละครก็จะมีสกิลที่แตกต่างกันทั้งสามารถใช้แบบ Auto หรือต้องกดใช้ด้วยตัวเอง บอกเลยว่าหากเจอด่านยากๆ เราไม่สามารถกดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือกดใช้ๆ ทิ้งไปไม่ได้ เพราะมันจะช่วยพลิกสถานะการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยหากใช้งานได้ถูกจังหวะ แต่หากใช้ไม่ถูกสถานะการณ์ มันจะนำพาความซวยมาให้อย่างแน่นอน มันทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเบื่อและชวนลุ้นตัวโก่งได้เสมอ ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการรีวิวเกม Arknights ถือว่าเป็นเกมแนว Defend Tower ที่มีความน่าสนใจทั้งระบบการเล่นและเนื้อเรื่อง ส่วนข้อตำหนิของเกมนี้มีเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นความยากของเกมที่ใครไม่ค่อยอดทนก็หัวร้อนกับเกมแนวนี้ค่อนข้างง่ายเลยล่ะ หรือไม่ก็การฟาร์มหาของมาอัพเกรดตัวละครหรือฐานซึ่งของบางอย่างจะเปิดให้หากันในโหมดพิเศษเฉพาะวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องแบ่ง Sanity มาวนหาของพวกนีั แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เกมเสียอรรถรสแต่อย่างใด และที่สำคัญ เกมนี้ไม่กินสเปคจ้า มือถือระดับราคาย่อมเยาว์ถึงระดับกลางก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ฉะนั้นหากใครอยากลองบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
22 Jan 2020
ไกด์ King of Fighter: ALL STARS รีวิวตัวละคร Whip
จากที่หลายบทความที่ผ่านมาได้ รีวิวแต่ ตัวละครชายในเกม มาเยอะ วันนี้ผมเลยเปลี่ยนบรรยากาศรีวิวตัวละครฝั่งหญิงซึ่งตัวละครนี้ก็พึ่งเข้ามาในเซิฟได้ไม่นานซึ่่อของเธอนั่นคือ วิป นั้นเอง แน่นอนว่าการจะได้คุณเธอมานั้นค่อนข้างยากพอสมควรเนื่องจากต้องเสี่ยงรูเล็ตเพื่อที่จะได้เธอมาครอบครองนั้นเอง และนั้นทำให้เกิดข้อสงสัยแก่เหล่าผู้เล่นหลยๆคนว่า การที่พยายามคว้าตัวเธอมาครอบครองนั้น คุ้มค่าแก่ เงิน และ เวลาที่เสียไปกับการเสี่ยงรูเล็ตหรือไม่ ซึ่ง ทาง GameFeverTH จะมาไขกระจ่างแก่ผู้เล่นทั้งหลายให้หายข้องใจกันไปเลย ข้อมูลสกิล Leader Skill : พลังโจมตีของไฟท์เตอร์ประเภทป้องกัน เพิ่มขึ้น 60% และ พลังป้องกันลดลง 10% เอฟเฟคคอร์หลัก [มูชิโกะ] : เมื่อแท็กเอาท์ ดาเมจที่ได้รับจากการเผาไหม้ของสมาชิกทีม ยกเว้นตัวเอง ลดลง 30% นาน 10 วินาที เอฟเฟคคอร์หลัก [ศิลปะการต่อสู้โดยใช้แส้] : เมื่อแอคทีฟสกิลเข้าเป้า ดาเมจที่ด้รับจากการเผาไหม้ ลดลง 30%  นาน 5 วินาที   Active Skill [บูมเมอร์แรง ช็อต "code SC"] : สร้างความเสียหาย 585% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู และทำให้ศัตรู หมดสตินาน 1.6 วินาที   Active Skill [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล]: สร้างความเสียหาย 576% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู   Active Skill [ สตริง ช็อต ไทป์ A "โค้ด ยูเอทส์" EX ] : สร้างความเสียหาย 810% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู เมื่อใช้สกิล สมาชิกในทีมทั้งหมดจะฟื้นฟู HP 2%          Finish Skill [ซุปเปอร์ แบล็ค ฮอว์ก] : สร้างความเสียหาย 936 % ของพลังโจมตีแก่ศัตรู                       Special Finish Skill [โซนิค สล็อตเตอร์ "code KW"]: สร้างความเสียหาย 2122% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู   Striker Skill [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล] : สร้างความเสียหาย 289% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู   จุดแข็ง วิปมีสกิลที่ทำให้ศัตรูติดเอฟเฟค หมดสติได้ ซึ่งค่อนข้างก่อกวนศัตรูได้ดีพอควร มีสกิลฮีลเพื่อนร่วมทีมทั้งทีมซึ่งค่อนข้างดีในแง่ยื้อชีวิตเพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะถ้าในทีมมีไฟท์เตอร์ที่เลือดเหลือน้อยๆ Finish skill [โซนิค สล็อตเตอร์ "code KW"] สร้างความเสียหายแบบทั่วแมพซึ่งมีประโยชน์ในแง่เคลียร์ศัตรูพวกลูกกระจ๊อก  มีเอฟเฟคคอร์ที่ช่วยเด้ง พาวเวอร์เกจให้เร็วขึ้น   จุดอ่อน  พลังป้องกันพื้นฐานต่ำกว่ามาตรฐานแทงค์ค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยมีเอฟเฟคคอร์ที่เน้นไปทางป้องกันเหมือนแทงค์ทั่วไป สกิลของวิปค่อนข้างช้าและมีช่องโหว่ทำให้โอกาสหลุดคอมโบ หรือศัตรูหลุดคอมโบได้ง่าย เอฟเฟคคอรืหลักของวิฟค่อนข้างเฉพาะทางเกินไป แนวทางการเล่น วิปเป็นไฟท์เตอร์สายป้องกันที่ค่อนข้าง "พิเศษ" โดยที่วิฟนั้นไม่ได้เป็นไฟท์เตอร์สายป้องกันแนวหน้าที่คอยรับดาเมจให้เพื่อน แต่วิปเป็นไฟท์เตอร์ป้องกัน สายซัพพอร์ตแนวหลังซะมากกว่า อาจะเรียกว่า เป็นแทงค์สายซัพพอร์ตตัวแรกในเซิฟนี้เลยก็ว่าได้เนื่องจากว่าเอฟเฟคคอร์และสกิลส่วนใหญ่เน้นช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมซะมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการฮีลให้เพื่อนร่วมทีม หรือ ลดความเสียหายเผาไหม้ให้เพื่อนร่วมทีม ทำให้ วิปดูจะเป็นไฟท์เตอร์ที่เหมาะกับการเล่น PVE มากกว่า PVP ซะมากกว่า สำหรับเบสิกคอมโบเหมือนเล่นวิปนั้น ให้เปิดด้วยสกิล [บูมเมอร์แรง ช็อต "code SC"]  ซึ่งจะทำให้ศัตรูติดสถานะปกติ หลังนั้นให้ ต่อคอมโบด้วย [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล] แล้วเลี้ยงคอมโบด้วยการโจมตีปกติก่อนจะปิดท้ายด้วย [ซุปเปอร์ แบล็ค ฮอว์ก] กรณีต้องการทำคอมโบรวมทั้งฮีลเพื่อนไปในตัวให้เปิดด้วยสกิล [บูมเมอร์แรง ช็อต "code SC"] แล้วรีบต่อด้วย สกิล [ สตริง ช็อต ไทป์ A "โค้ด ยูเอทส์" EX ] ซึ่งสกิลนี้จะช่วยฮีลเพื่อนร่วมทีมไปในตัว ก่อนจะต่อคอมโบด้วย [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล] และปิดท้ายด้วย [ซุปเปอร์ แบล็ค ฮอว์ก] แต่ถ้าพาวเวอร์เกจเต็มหลอด อาจะเก็บไว้ใช้สกิล [โซนิค สล็อตเตอร์ "code KW"] แทนเพื่อใช้เคลียร์ตัวลูกกระจ๊อกตามด่าน แต่ไม่ว่าจะใช้คอมโบแบบไหนก็ตามต้องจำให้ขึ้นใจว่าวิปไม่ใช้ตัวแทงค์แนวหน้าเพราะฉะนั้นให้รีบแท็กเปลี่ยนตัวเพื่อนร่วมทีมมาทำดาเมจแทนเพราะนอกจากช่วยให้วิปมอบบัฟลดเามจจากความเสียหายเผาไหม้ให้เพื่อร่วมทีมที่ถูกเปลี่ยนตัวมาแทนได้ด้วย สำหรับแบทเทิลการืดของวิปพิเศษนิดนึง เพราะนอกจาก สเตตัสหลักๆที่ต้องเน้น อย่าง อัตราคริติคอล และ พลังโจมตี เนื่องจากว่าเอฟเฟคคอร์ของวิปที่มีทั้งเพิ่มความเสียหายคริติคอลกับเพิ่มพลังโจมตีแล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่ต้องหาให้วิปคือ ลดเวลาคูลไทม์เมื่อโดนแท็ก  เนื่องจากว่าเมื่อไฟทืเตอร์โดนแท็กเปลี่ยนตัวนั้น จะมีเวลาคูลไทม์ช่วงนึงก่อนจะกลับไปเปลี่ยนตัวไฟท์เตอร์คนนั้นคืนได้ ซี่งถ้าหาว่ามีการืดที่ช่วยลดคูลไทม์ช่วงนี้ได้ นั้นจะทำให้วิปถูกเปลี่ยนตัวเร็วขึ้นและทำให้วิปเปลี่ยนตัวกลับแล้วใช้บัฟให้เพื่อนร่วมทีมได้ถี่ขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน สรุปแล้ววิปนั้นถือเป็นไฟทเตอร์อีกตัวที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นสายแทงค์แนวหลังที่เน้นช่วยเหลือเพื่อนมากกว่าจะเป็นตัวชนให้เหมือนแทงค์ทั่วๆไป ถึงแม้ว่าเซ็ตคอร์ และ สกิลค่อนข้างเฉพาะทางไปบ้าง ต่ถ้าหากใช้เข้าใจการใช้งานวิปได้ดี และถูกสถานะการณ์แล้ว โดยรวมวิปถือเป็นไฟท์เตอร์สายป้องกันอีกตัวที่น่าสนใจไม่แพ้กันและรับรองว่าถ้าใช้เป็นจะไม่เสียแรงที่ไปหมุนรูเล็ตหาตัวมาอย่างแน่นอน                                                                                                          
20 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Magia Record สานตำนานสาวน้อยเวทมนตร์ Madoka
หากย้อนไปเมื่อสักราวๆ 8 ปีที่แล้ว อนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Mahō Shōjo Madoka Magika หรือสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะ ที่ทำให้ใครหลายคนได้ดูรู้สึกตับได้รับการตีบวกจนแข็งแกร่ง มีความใสๆ แฝงไว้ด้วยความมืดมน จนหลายคนขนานนามให้เป็นอนิเมะที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนั้น และปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงกันอยู่แต่ก็เริ่มเบาบางไปตามกาลเวลา จนกระทั่งได้มีการเปิดตัวเกมมือถือแนว Turn-based RPG ในชื่อ Magia Record ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสกลับมาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่คึกคักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีอนิเมะเป็นของตัวเองก็ทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักอย่างมาก แถมออกอากาศไปแล้วสามตอนด้วยกัน รับประกันเลยว่าตับได้รับความแข็งแกร่งอย่างแน่นอน และทาง GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกม Magia Record มารีวิวกันว่ามันสนุกแค่ไหน ================================================== เกม Magia Record เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นบนไทม์ไลน์คู่ขนาน เกม Magia Record จะเป็นเนื้อเรื่องไทม์ไลน์คู่ขนานผ่านตัวละครที่ชื่อ ทามากิ อิโรฮะ ซึ่งเธอเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ที่จำไม่ได้ว่าเป็นได้อย่างไร และได้ฝันเห็นถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในห้องพยาบาล เธอพยายามพูดกับอิโรฮะแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงให้ได้ยินราวกับอยู่คนละมิติกัน ทำให้อิโรฮะตัดสินใจมายังเมือง "คามิฮามะ" เพื่อตามหาคำตอบและต้องการตามหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คิวเบย์" ซึ่งเธอคิดว่าอาจจะได้คำตอบจากมัน แต่ทว่าการเพิ่มจำนวนของพวก Witch ในเมืองนี้มีมากจนผิดปกติและแข็งแกร่งเอามากๆ ทำให้เธอได้เจอกับสิ่งที่ยากจะรับมือได้ซึ่งจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในเกมและในอนิเมะตอนแรก แต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องในเกมกับในเมะจนคล้ายคลึงกันช่วงแรก และก็จะแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ราวกับคนละเรื่องไปเลย ซึ่งหลังจากเล่นไปได้สักพักใหญ่ๆ เนื้อเรื่องและปริศนาก็เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกงง ตรงกันข้ามกลับให้ชวนติดตามมากกว่าตามสไตล์ซีรี่ส์สาวน้อยเวทมนตร์สายมืดมน และหากใครไม่เคยดูอนิเมะเรื่องสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเล่นเกมนี้ไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็นไทม์ไลน์คู่ขนาน ไม่เคยดูก็เล่นรู้เรื่อง จึงถือว่าบทที่วางไว้ต่างๆ ในเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ประทับใจแรกที่เห็น มันคือ First Love โดยแท้จริง ส่วนความประทับแรกที่ได้เข้ามาเล่นเกมนี้คือตัวละครทุกตัวที่คุณมี จะเป็น Live 2D ทั้งหมด ทั้งหน้า Lobby หรือใน Dialog ตอนตัวละครคุยกันตามบทบาทเนื้อเรื่อง พวกเธอขยับโต้ตอบได้แบบ Live 2D ทำให้รู้สึกว่าเราได้เห็นตัวละครที่ชื่นชอบโต้ตอบกับเรามากขึ้น...โดยเฉพาะตอนหนูเรน ( ในภาพ ) ยิ้มให้ เอาซะคนรีวิวฟินตายคาที่ ณ ตรงนั้นไปเลย นางน่ารักจริงๆ นะ ขยับได้ด้วย มันกลายเป็น First Love หรือรักแรกพบเลยล่ะ ส่วนของเรื่อง Interface ในหน้า Lobby ออกแบบมาค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อนนัก พอลองเข้าไปสำรวจเมนูต่างๆ ก็พูดได้เต็มปากว่า เกมนี้ได้ใช้ระบบการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดเลเวล, อัพเกรดอุปกรณ์เสริมต่างๆ มีแรงบัลดาลใจจากเกม Fate/Grand Order แต่ใช่ว่าจะก๊อปปี้มาเสียทั้งหมด เพราะส่วนเมนูการจัดรูปแบบทีมจะมีความแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในระบบการจัดทีมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจะมีการเพิ่มระบบ "ขบวนทีม" ซึ่งตำแหน่งที่สาวน้อยเวทมนตร์ยืนอยู่จะมอบค่าสเตตัสเสริมแตกต่างกันไป เช่นหากเอาเรมอไปยืนข้างหน้าก็จะได้ค่า Defend เพิ่ม และเอาอิโรฮะไปยืนข้างหลังก็จะได้ Attack เพิ่ม ซึ่งขบวนทีมจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป สาวน้อยเวทมนตร์จะมีรูปแบบและความถนัดที่แตกต่างกัน สาวน้อยเวทมนตร์ในเกม Magia Record จะมีธาตุประจำตัว, อาวุธ และรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกันออกไปโดยเริ่มแรกจะให้เลือกสาวน้อยเวทมนตร์ระดับสี่ดาวได้ทันที ซึ่งต้องศึกษาดีๆ ว่าอยากได้ตัวแทงก์, ตัวสายโจมตีหรือสายสนับสนุน เพราะเลือกได้แค่ครั้งเดียวแล้วต้องใช้งานคุณเธอยาวๆ หรือหากอยากได้เพิ่มก็ต้องซื้อเพชรมาหมุนกาชาลุ้นเกลือยาวไป โดยสามารถเช็คค่าสถานะต่างๆ และประวัติของพวกเธอด้วยการกดปุ่ม Profile ยกตัวอย่างน้องอิซุสุ เรน ที่เป็นสาวน้อยเวทมนตร์ธาตุมืดสายโจมตี ท่าโจมตีที่เน้นเพิ่มเกจท่าไม้ตายกับการโจมตีหมู่เป็นหลัก และท่าไม้ตายจะเป็นการโจมตีศัตรูตัวเดียวและจะเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเองอีกหนึ่งเทิร์นอีกด้วย ซึ่งเอาจริงๆตัวละครเริ่มต้นพวกนี้ดีหมดทุกตัว ขึ้นอยู่กับความชอบและแนวทางการใช้งานเสียมากกว่า แต่หากใครแฟนมาโดกะก็อาจจะเลือกหนึ่งในแกงค์ของพวกเธอก็ไม่ผิดอะไรเช่นกัน และในด้านกาชา จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เลยคือ การตามหา Fate Weave หรือผู้สานโชคชะตา ซึ่งก็คือการเปิดกาชาหาสาวน้อยเวทมนตร์ โอกาสที่จะได้สี่ดาวมีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ออกแนวเกลือหนักมากบุญไม่ถึงก็อาจจะได้แค่หนึ่งหรือสาวดาว ขนาดสามดาวยังเปิดได้ยากเอาเรื่องเลย และตู้กาชาอีกประเภทคือพวกการ์ด Memoria หรือการ์ดความทรงจำซึ่งเสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับเหล่าสาวๆ โดยเอาไปติดตั้งในตัวได้ทันที โดยใช้ค่าดาวเขียวซึ่งหาได้จากในเกมเป็นตัวแลกเปลี่ยน โดยรวมแล้วเกมนี้คิดจะเติมเพื่อหาสาวๆ ที่เราอยากได้แล้วล่ะก็ ต้องทำใจว่าหากอาจจะได้เกลือเค็มๆ ไปกินย้อมใจแทน ระบบการเล่นแนว Turn-based ที่ต่อยอดมาจาก FGO ส่วนในรูปแบบการเล่นจะเป็นแนว Turn-based ที่ดูเผินๆ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเกม Fate/Grand Order เพราะมีการโจมตีแต่ละเทิร์น สามารถทำได้สามครั้ง ให้เลือกสามรูปแบบได้แก่ Accele: เป็นการโจมตีเพิ่มเสริมเกจ Magia หรือท่าไม้ตาย Charge: เป็นการโจมตีที่เพิ่มค่าเม็ด Connect และเสริมพลังโจมตีในการโจมตีครั้งถัดไปภายในเทิร์น Blast: เป็นการโจมตีแบบหมู่ ซึ่งจะมีการโจมตีทั้งรูปแบบทั้งหน้ากระดานและแถวตอนลึก ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หากตัวละครเดียวกันโจมตีสามครั้งจะเป็นการเสริมดาเมจแบบมหาศาล ซึ่งต่างจาก FGO ที่จะเป็นการโจมตีแบบพิเศษเป็นสี่รอบ หรือหากใช้งานรูปแบบการโจมตีประเภทเดียวกันทั้งหมด จะช่วยเสริมคุณสมบัติบางอย่างเข้าไปแทน และระบบ Magia หรือท่าไม้ตายจะรองรับสกิลเสริมซึ่งจะช่วยเพิ่มเสริมพลังท่าไม้ตายได้อีก แต่สิ่งที่เกม FGO มีไม่เหมือนกับเกม Magia Record เลยก็คือ ระบบ Connect โดยระบบ Connect จะใช้งานได้เมื่อเกจ Connect เต็มจากการใช้รูปแบบการโจมตีประเภท Charge เมื่อเราใช้งาน ตัวละครที่ใช้ระบบ Connect จะมอบพลังเวทให้กับตัวละครที่ต้องการโจมตี เป็นการเสริมพลังแบบมหาศาล สามารถเสริมให้กับท่าไม้ตายหรือใช้เสริมคอมโบการโจมตี โดยการใช้ Connect จะขึ้นกับรูปแบบการโจมตี หากใช้แบบ Charge การโจมตีที่เสริมด้วย Connect รอบนั้นจะเป็นการโจมตีแบบ Charge เป็นต้น ================================================== โดยสรุปแล้ว เกม Magic Record มีความคล้ายคลึงกับ Fate/Grand Order โดยเฉพาะระบบการเล่น แม้ว่าตัวเกมจะพยายามสร้างความแตกต่างออกไปก็ตาม ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก มันยังคงความสนุกตามสไตล์สาวน้อยเวทมนตร์ แต่สิ่งที่ชูโรงตัวเกมนี้ก็คือ เนื้อเรื่องอันแสนหนักหน่วงชวนน่าติดตามนั้นแหละ และยิ่งมีกระแสอนิเมะเรื่องนี้ก็ยิ่งปังเข้าไปใหญ่ แต่ข้อเสียสำหรับเกมนี้ที่เห็นได้ชัดเลยคือ เป็นเกมแนว Grinding หรือต้องมีความอดทนในการฟาร์มของ แม้ว่าเราจะมีตัวละครดาวสูงๆ แต่ใช่ว่าจะเก่งตั้งแต่แรก ต้องออกไปฟาร์มของ ฟาร์มไอเท็มมาเสริมพลัง มาปลดล็อคสกิลต่างๆ มากมายอีก หากใครไม่ใช่สายอดทนก็อาจจะเบื่อไปเลย แต่หากใครสายเสพเนื้อเรื่อง สายฟาร์มไม่หวั่นแม้วันมามาก เกม Magia Record ก็ถือเป็นอีกเกมที่น่าเล่น สาวๆ ทุกคนเป็น Live 2D และกินสเปคไม่หนักด้วย แนะนำให้ลองเลย! [penci_review id="38980"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Punishing: Grey Raven กับไซไฟสุดล้ำดำดิ่งสู่ความสิ้นหวังของมนุษย์
หากจะพูดว่าเกม Honkai Impact 3rd ที่เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash แล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงเลยคือบทเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากๆ แรกๆ ก็ดูสดใสคล้ายแนวฮีโร่วัลคีรี่ย์สาวออกไปปกป้องโลก หลังๆ ชักไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า เพราะว่ามันขั้นออกไปทางดาร์คและปวดตับกันเลยทีเดียว แต่ใครจะรู้ว่ามันก็ยังมีอีกเกม เกมหนึ่งที่มีแนวการเล่นคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd แต่ทำเนื้อเรื่องออกมาเข้มข้นไม่แพ้กัน บทความนี้ทางเรา GameFever TH ได้ไปเจอเกมดีๆ ที่น่าสนใจอีกหนึ่งเกม โดยมีชื่อเกมว่า Punishing: Grey Raven ซึ่งพัฒนาโดย Kuro Games เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash เหมือนกัน แต่กลับมีสิ่งที่แตกต่างออกไปแถมมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย และตัวเองก็เพิ่งเปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีน Bili Bili ได้ไม่นาน จึงต้องมาพิสูจน์กันว่าทำไมคนที่เล่นเกมจีนถึงได้พูดถึงเกมนี้กันมากนัก ================================================== แค่เปิดตัวก็อย่างอลัง แฝงมนต์ขลังความไร้ที่ติ หลังจากที่โหลดเกม Punishing: Grey Raven ผ่าน BiliBili ด้วยความยากลำบากเสียเล็กน้อย ซึ่งโชคดีที่เคยสมัครไอดีมานานมากแล้วก็ยังสามารถใช้ได้อยู่เลยไม่เสียเวลาสมัครมากนัก แถมตัวเกมใช้เวลาในการโหลดนานมากเพราะใช้เนื้อที่ราวๆ 2.5 GB ยังดีที่มือถือมีเนื้อทีเหลือๆ อยู่ พอเปิดเกมเท่านั้นแหละก็รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่ากับการรอคอย นี่คือสิ่งแรกที่ได้เห็น เพราะแทบไม่เคยเจอเกมมือถือที่สื่อถือโทนมืดตัดกับแสงแบบนี้ จากคนที่เคยทำงานเกี่ยวกับภาพวาดมาก่อน ตัวละคร Liv ( ในภาพ ) หลับตา ไม่มองมายังผู้เล่นบนพื้นที่เต็มไปด้วยความมืดแต่ก็ยังมีแสงเล็ดลอดออกมา มันสื่อถึงตัวเกมที่พยายามจะบอกเราว่า "เกมนี้มีเนื้อหาดาร์คมากๆ จะเล่นจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?" หลายคนอาจจะมองว่าภาพเปิดเกมไม่สวยเลย มีแต่โทนดำๆ มืดๆ แทบไม่มีแสงสี แต่หากมองจากองค์ประกอบเหล่านี้ที่เราได้บอกมา ถือว่าเป็นการแฝงความขลัง แฝงความไร้ที่ติของตัวมันเอง จุดนี้ที่ทำให้รู้สึกว่าแม้จะถูกห้ามเราก็ต้องเข้าไป หลังจากกดเข้าเกมแล้ว ก็จะตัดมาที่โหมดฝึกสอนพร้อมเนื้อเรื่องที่จะเริ่มเล่าเกี่ยวกับจักรวาลของเกมนี้...ถึงมาก็มีคนตายต่อหน้าเราเลยซึ่งเธอมีชื่อว่า Lucia ซึ่งแบบถึงมาก็ใส่ความจัดหนักจัดเต็มเลย แต่ว่ามันยังไม่พีคเท่าจู่ๆ Lucia ก็ลุกขึ้นมาทำร้ายเราจนเกือบจะฆ่าเรา โชคดีที่ Liv มาช่วยทันเวลาและต้องฆ่านางให้ตายเป็นรอบที่สอง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่งงเป็นไก่ตาแตก แถมเป็นภาษาจีนอีก อ่านไม่ออกยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอ่านไม่ออก มันก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนรู้สึกว่า แค่ Prologue เนื้อเรื่องเป็นภาษาจีนอ่านไม่ออกยังชวนให้ติดตามนี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว เนื้อเรื่องที่ฉีกแนวเดิมๆ เพิ่มเติมคือภาพอาร์ตอันสวยงาม เนื้อเรื่องของเกม Punishing: Grey Raven จะอยู่ในช่วงยุคปี ค.ศ. 2079 หรออนาคตจากเราไปอีกห้าสิบปีข้างหน้า เมื่อยุคหนึ่งที่มนุษย์เคยรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด มีการพัฒนาโลกเสมือนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ ด้วยการฝังชิป ทำให้เกิดช่องทางการติดต่อรูปแบบใหม่แทนระบบอินเตอร์เน็ตแบบเดิมๆ แต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นหายนะเพราะได้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า Punishing Virus เป็นไวรัสประเภท Cybernatic ที่เป็นอันตรายต่อเครื่องจักรและมนุษย์ที่ได้รับการฝังชิป ส่งผลทำให้เครื่องจักรเกิดการคุ้มคลั่งทำร้ายมนุษย์ ส่วนมนุษย์ก็จะตายภายในเวลาอันรวดเร็วและก็กลับมามีชีวิตไล่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง นำไปสู่หายนะจนเกือบทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ในปี ค.ศ 2140 เจ้า Punishing Virus ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถอาศัยอยู่บนทวีปในปัจจุบันได้ ต้องอพยพมาทางตอนเหนือของรัสเซียไม่ก็สร้างประเทศใหม่บนทวีปแอนตาร์คติกเพราะไวรัสเข้าถึงได้ยาก มนุษย์เริ่มดัดแปลงเหล่าผู้ที่สมัครใจและผู้ที่ถูกเลือกให้กลายเป็นไซบอร์กเพื่อต่อกรกับเหล่าเครื่องจักรและมนุษย์ที่ติดไวรัสโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เรียกว่า Structured โดยมนุษย์ไซบอร์กนี้หากพวกเขารู้ว่ากำลังจะตายในการต่อสู้ก็ยังสามารถแบคอัพจิตสำนึกและข้อมูลต่างๆ ไปยังส่วนกลางที่เรียกว่า Sea of Consciousness (SOC) เสมือนเป็นเซิร์ฟเวอร์กลางของฐานทัพฝ่ายมนุษย์ และรอการคืนชีพพร้อมนำจิตสำนึกเดิมเข้าสู่ร่างกายไซบอร์กอันใหม่อักครั้ง เหล่า Structured แม้จะมีขีดความสามารถในการสู้รบสู้มากๆ เสมือนเป็นทหารรูปแบบใหม่ในเกมนี้ แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสระหว่างการต่อสู้เหมือนกัน ทางแก้ก็คือ เหล่า Structured จะต้องมีผู้บัญชาการที่เป็นมนุษย์แท้ๆ ไว้สนับสนุนหรือออกคำสั่ง วางแผนการรบให้กับคนเหล่านี้ ( ตัวผู้เล่นเอง ) โดยตัวเราจะเชื่อมกับ Module ส่งจิตสำนึกไปเชื่อมต่อกับ Structured เพื่อบล็อคการทำงานของไวรัส เหมือนเป็นวัคซีนรักษาโรค แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนไม่มีวันตาย ร่างพังก็รอกลับไปคืนร่างใหม่ แต่หาก Structured คนไหนส่งจิตสำนึกเข้าสู่ส่วนกลางไม่ทันก่อนตาย ก็จะตายอย่างถาวรไม่กลับมาคืนชีพได้อีก โดยส่วนตัวจากที่ได้แปลเนื้อเรื่องออกมา บอกเลยว่าค่อนข้างแหวกแนวและนำเสนอได้แปลกใหม่มาก ตัวละครหลักอย่าง Lucia สาวผมแดงมาดเท่ ที่เปิดตัวมาก็ตายให้เราเห็นแต่ก็คืนชีพใหม่ได้อีกรอบ, Liv อดีตแพทย์สนามสาวที่เคยตายมารอบหนึ่ง และกลับมาในฐานะ Structured แสนน่ารัก หรือ Lee หนุ่มมาดเงียบขรึมหล่อกระชากใจ ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่น่าจดจำ ลายเส้นภาพอาร์ตต่างๆ ยอมรับเลยว่าสวยคมบาดตาบาดใจมาก เสียดายที่เป็นภาษาจีน บางตัวก็แปลไม่ออกเหมือนกัน ถ้ามีเซิร์ฟเวอร์อังกฤษเมื่อไหร่บอกเลยว่าน่าจะได้อารมณ์ในการเล่นมากกว่านี้ Interface ไม่ซับซ้อน อ่านไม่ออกก็ใช้งานง่าย ในด้าน Interface ต้องขอชมเชยว่าออกแบบมาดี ให้ความคล้ายคลึงกับ Arknights หรือ Girls Frontline คือมันเรียบง่ายแต่สวย ใช้งานง่าย แยกออกว่าอะไรเป็นอะไรแม้ว่าจะอ่านภาษาจีนไม่ออกก็ตาม ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้เมนูต่างๆ สักพักแต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานแต่อย่างใด แถมตัวละครก็เป็นแบบ 3D ด้วย จิ้มๆ ก็มีการโต้ตอบกับเราพอให้ฟินได้บ้าง ในส่วนของเรื่องการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดตัวละคร, สกิล, อาวุธหรือระบบการ์ด บอกเลยว่ามีความคล้ายคลึงกับ Honkai Impact 3rd เป็นอย่างมาก หากใครเคยเล่นเกมนี้ก็จะเรียนรู้ได้ไวในส่วนนี้ โดยเฉพาะระบบการ์ดซึ่งหากนำใบการ์ดซ้ำมาใส่ ก็จะเป็นการเพิ่มคุณลักษณะ ค่าสถานะต่างๆ แบบเป็น Set ส่งผลต่อการเล่นทั้งโหมดปกติหรือการลงอิเวนท์ ในส่วนระบบกาชาบอกเลยว่า ใช้ตั๋วเยอะมาก ต้องใช้ถึง 2500 ในการเปิดกล่องกาชาสิบกล่องเพื่อการันตีได้ตัวละคร นอกนั้นก็จะเป็นอาวุธและไอเท็มต่างๆ สำหรับพัฒนาตัวละคร แต่เปอร์เซ็นต์ในการออกตัวละครหายากก็ไม่ค่อยเกลือจนน่าเกลียดนัก แม้พกดวงมาน้อยแต่ก็ยังสามารถรอคอยตัวเทพๆ ได้เพียงแค่ใช้ตั๋วเยอะไปหน่อย การอดทนฟาร์มหาของหาตั๋วจึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากคิดจะเปย์ก็ไม่ผิดกติกาอะไร ยังไงก็ศึกษาการเติมเงินของเกมจีนก่อนนะ กราฟิคสวย แม้เครื่องไม่แรงก็ยังเล่นได้ คราวนี้ก็มาถึงส่วนของระบบการเล่นกันบ้าง หากดูจากหน้า HUD แล้วก็มีความคล้าย Honkai Impact 3rd โดยจะมีปุ่มบังคับทิศทาง, ปุ่มโจมตีที่กดย้ำๆ ตัวละครก็โชว์ท่าทาง, ปุ่มหลบเมื่อหลบถูกจังหวะ ศัตรูจะถูกหยุดเวลาไว้และปุ่มตัวละครสนับสนุนอีกสองตัวสามารถเรียกหรือใช้ต่อยอดคอมโบแบบ Quick Time Event ได้ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ ปุ่มท่าโจมตีพิเศษเพิ่มเติมสามท่า เมื่อเราโจมตีธรรมดาไปเรื่อยๆ ท่าโจมตีพิเศษจะขึ้นเรียงเป็นแถวแบบสุ่มทั้งหมดสามท่า แต่ละท่าจะมีการบอกสีอย่างชัดเจน ซึ่งท่าโจมตีพิเศษมีดังนี้ สีแดงคือท่าโจมตีที่ใช้โจมตีเป็นวงกว้างเป็นหลักหรือใช้การโจมตีแบบรุนแรงในทีเดียว สีเหลืองคือท่าที่ใช้โจมตีเพื่อทำการจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูหรือ Crown Control เช่นทำให้ลอยหรือสตั้น สีฟ้าจะเป็นการโจมตีแบบลดค่าสถานะต่างๆ ของศัตรูหรือจะเป็นการเพิ่มสถานะการต่อสู้ให้กับตัวเราเอง และหากเมื่อกดใช้ท่าโจมตีพิเศษ มันก็จะหายไป ท่าโจมตีพิเศษใหม่ๆ ก็จะต่อแถวและสุ่มไปเรื่อยๆ หากเราทำการ Stack ต่อท่าโจมตีพิเศษเป็นสีเดียวกันสองตัวหรือสามตัว เมื่อกดใช้ก็จะเป็นท่าโจมตีพิเศษของตัวละครโผล่ขึ้นมาให้เห็นด้วย ส่วนด้านกราฟิค ซึ่งรีวิวนี้ได้ใช้มือถือ Samsung Galaxy A50 ซึ่งเป็นมือถือสเปคกลางๆ ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่นไหลไม่กระตุกแม้คุณภาพของโมเดลตัวละครอาจจะดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หากใครที่มีมือถือสเปคแรงกว่านี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์ที่สุดยอดก็เป็นไปได้ ส่วนระยะเวลาในการเล่นแต่ละด่านค่อนข้างสั้น เล่นหน่อยเดียวก็จบด่านแล้วซึ่งหลายคนก็อาจจะไม่ชอบ รู้สึกไม่เต็มอิ่ม แต่หากใครเคยเล่นเกมแนวๆ นี้ก็อาจจะชินพอยอมรับทำใจได้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ================================================== โดยรวมแล้ว Punishing: Grey Raven ถือเป็นเกมคุณภาพอีกหนึ่งเกมที่มีกราฟิคสวย แม้มือถือสเปคกลางๆ ก็ยังเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ใช่อัพกราฟิคโหดๆ จนกลายเป็น Mobile Destroyer อย่างที่หลายๆ เกมเป็นในปัจจุบัน เสียดายที่โมเดลตัวละครในเกมอาจจะยังดูแข็งๆ ไปนิด เคลื่อนไหวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก แต่ปั้นโมเดลได้สวยและน่ารักเลยพอรับได้ และเกมนี้นับว่าต้องเล่นแบบ Grinding หรือใช้ความอดทนในการฟาร์มของให้ตัวละครได้เก่งขึ้น ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่ขี้เบื่อง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นเกมที่น่าเล่นในปี 2020 นี้เลยล่ะ! [penci_review id="39016"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิว Phoenix Point เกมจากผู้ให้กำเนิด XCOM
Phoenix Point ถือว่าเป็นหนึ่งเกมดราม่าประจำปี 2019 เนื่องจากทีมงานแม้มาจากการระดมทุนของเหล่าเกมเมอร์ โดยมี  Julian Gollop หนึ่งในผู้ให้กำเนิดซีรีส์เกมแนว Turn Base อย่าง XCOM เป็นคนเริ่มต้นโปรเจกต์ สุดท้ายดันกลับลำกลายเป็นเกม Exclusive ใน Epic Games Store และ Microsoft Store แทน ทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ คนต่างด่าทีมผู้พัฒนาอย่างไม่ไยดี ในตอนนี้ตัวเกมได้วางจำหน่ายแล้ว จะยอดเยี่ยมสมกับที่รอคอยหรือไม่เชิญพบกับรีวิวของเกมนี้ได้เลย เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Phoenix Point ว่าด้วยเรื่องราวของโลกยุคอนาคตที่เชื้อโรค Pandoravirus แพร่ระบาดจากพื้นมหาสมุทร ทำให้สังคมโลกเริ่มล่มสลาย มนุษย์เริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หน่วยงาน Phoenix Point จึงต้องกลับมาดำเนินงานอีกครั้งหลังจากปิดตัวไป และปกป้องมวลมนุษยชาติให้ได้ภายใต้ความวุ่นวายนี้ เรื่องราวในเกมถือว่ามีความน่าสนใจมาก ๆ ทั้งในแง่ของผู้เล่นและ Lore ในโลกของเกม ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ในเกมมากขึ้น ผ่านทั้งการวิจัยและภารกิจหลักในเกมรวมถึงการออกสำรวจ แต่หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่ไม่ชอบการอ่าน คุณอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในโลกของเกมมากนักและไม่อินก็เป็นได้ กราฟิก กราฟิกของเกมนี้หากเอามาตรฐานของปี 2019 ก็ดูเหมือนว่าจะตกยุคไปหน่อย แต่แลกมากลับการกินทรัพยากรที่น้อย โดยหากคุณมีสเปกเครื่อง I5-9400F Ram 16 GB และการ์ดจออย่าง RTX 2060 ก็สามารถเล่นเกมนี้บนความละเอียด 1080 ได้แบบสบาย ๆ สำหรับสเปกเครื่องที่ต่ำกว่านี้ก็อาจจะเล่นเกมนี้ได้ไหว เกมการเล่น Phoenix Point แม้หลาย ๆ คนจะมองว่าเป็นเกม XCOM ในรูปแบบอื่น ๆ แม้ว่าแกนหลักของเกมจะเป็นเกมแนวบริหารจัดการทรัพยากรผสมกับเกมแนววางแผนการรบแบบสลับกันเดิน แต่ว่าเกมนี้ได้พยายามฉีกตัวเองออกจากผลงานเดิม ๆ โดยได้เพิ่มไอเดียใหม่ ๆ มากขึ้น Gameplay หลักของ Phoenix Point จะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือหน้าแบบภาพรวมที่เราจะต้องออกเดินทางทำภารกิจจากทั่วทุกมุมโลก ผ่านยานขนส่งของเรา ซึ่งในแผนที่เราจะไม่ได้เดินแบบอิสระแต่เราจะต้องใช้การ Scan ในการหาทรัพยากรและไอเทมอีกด้วย นอกจากนี้ตัวเกมก็ไม่ให้เราสำรวจโลกแบบอิสระจนลืมภารกิจหลัก เพราะตัวเกมจะมีภารกิจให้เราทำอยู่เนื่อง ๆ ทั้งการป้องกันฐานทัพจากการถูกบุก การทำภารกิจหลัก ภารกิจรอง ที่สำคัญยังมีแถบ Oneiric Delirium Index ด้านบนที่หากถึง 100% เมื่อไหร่ก็ Game Over การบริหารของเกมนี้จะทำให้เราต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการหาทรัพยากร การพัฒนาตัวละครและการแข่งกับเวลา เพราะในเกมนี้เราจำเป็นที่จะต้องใช้ไอเทมหลายอย่างมาก รวมถึงการวิจัยที่มากมายเพื่อแลกกับทรัพยากร ภายใต้ความกดดันต่าง ๆ การปรับแต่งทีมสำหรับเกมนี้ก็ทำออกมาได้ดี โดยตัวละครต่าง ๆ จะมีให้เราปรับแต่งผ่านสองแบบหลัก ๆ ถือ 1.การปรับแต่งผ่านไอเทมในเกม ที่จะทำให้เรามีอาวุธในการต่อกรอีกฝ่ายที่หลากหลายขึ้นแต่เราก็ไม่สามารถที่จะขนไปแบบหนึ่งคนหนึ่งคลังแสงได้เพราะตัวเกมมีระบบน้ำหนักในการบรรทุกสัมภาระ 2.คือในส่วนของการอัปสกิลที่จะเน้นการผสมผสานคลาสต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สำหรับส่วนที่สองคือหน้าของ Combat ตัวเกมจะเปลี่ยนจากเกมแนวบริหาร ทรัพยากรมาเป็นเกมวางแผนการรบ ที่การเดินทุกตามีความหมาย โดยเราจะต้องจัดวางตำแหน่งของกองทัพเราให้ดี นอกจากนี้ยังต้องคอยศึกษาศัตรูให้ดีว่าตัวไหนควรจัดการก่อน จัดการทีหลังเพราะหากเราเรียงลำดับไม่ดีเกมก็อาจจะยากจนเล่นไม่ผ่าน ในส่วนของการต่อสู้ของเกมนี้เราสามารถที่จะเลือกยิงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเอเลี่ยนได้ โดยการยิงจุดต่าง ๆ จะให้ผลลัพธ์เป็น Debuff ที่แตกต่างกันเช่น ยิงหัวบริเวณขาจะทำให้ศัตรูเดินได้น้อยช่องลง การยิงที่หัวจะทำให้ศัตรูไม่สามารถใช้ความสามารถพิเศษได้หรือการยิงที่มือจะทำให้ศัตรูไม่สามารถใช้อาวุธได้เป็นต้น นอกนี้เราจะไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่เป็นเหล่าพวกกลายพันธ์ุอย่างเดียวเท่านั้น  แต่เราจะต้องต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย ในเกมจะมี Faction หรือฝ่ายให้เราได้เลือกที่จะช่วยเหลือ โดยการช่วยเหลือพวกเขาจะทำให้ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นและจะทำได้เราได้เทคโนโลยีของฝ่ายนั้นมาใช้ ในขณะเดียวกันฝ่ายอื่นที่เรามีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีก็จะเปิดศึกกับเราเช่นกัน รวมถึงเราจะไม่ได้เทคโนโลยีฝ่ายอื่น ๆ ด้วยทำให้เราต้องปรับความสัมพันธ์อยู่บ่อย ๆ ทำให้ภาพรวมของเกม Phoenix Point จะอยู่ในลูปของการทำภารกิจ ออกไปสู้กับศัตรู อัปเกรดทีมของเราให้เก่งขึ้นเพื่อที่จะทำภารกิจที่ยากขึ้นและศัตรูที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่เหมือนว่ารายเอียดต่าง ๆ ยังทำออกมาได้ไม่สุดในหลาย ๆ ด้าน นอกจากนี้ตัวเกมยังมีบัคหลาย ๆ อย่างจนในบางครั้งก็ทำความสนุกของเกมลดลงไปอย่างมาก สรุป Phoenix Point ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมวางแผนรูปแบบ Turn Base ที่ถือว่าเล่นได้สนุกพอสมควร ตัวเกมมีกิจกรรมให้ทำหลาย ๆ อย่างและมีความท้าทายที่สูง แต่ด้วยกราฟิกที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ ระบบต่างที่ยังทำออกมาได้ไม่ค่อยสุดและ Bug ที่มีให้เห็นได้บ่อย ๆ ทำให้หากคุณไม่ใช่สาวกแนว Turn Base ก็อาจจะยังไม่ต้องขวัญขวายหาเกมนี้มาเล่นก็ได้ แต่หากคุณเป็นแฟนเกม XCOM และอยากลองไอเดียใหม่ ๆ เกมนี้ถือว่าตอบโจทย์ โดยเกมนี้วางจำหน่ายแล้วใน Windows Store และ Epic Games Store แต่หากคุณอยากลองเล่นเกมนี้ในราคาประหยัดก็สามารถเล่นได้ผ่าน Xbox Game Pass PC ได้เลย [penci_review id="37754"]
02 Jan 2020
รีวิว Fight of Animals เกมต่อสู้ของเจ้าสัตว์บ้ากล้าม
Digital Crafter ผู้พัฒนาเกมที่เคยมีผลงานเกม Fight of Gods เกมต่อสู้ที่เคยเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ จนต้องถูกถอดออกจากร้านค้า Steam ในหลายๆ ประเทศ วันนี้เขากลับมาพร้อมกับเกมใหม่แสนน่ารัก (และฮาในเวลาเดียวกัน) ที่มีชื่อว่า Fight of Animals ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบครับ ระบบเกม     Fight of Animals เป็นแนวต่อสู้ที่เราจะนำสัตว์ต่างๆ มาต่อสู้กัน ถ้าเป็นสัตว์ธรรมดามันคงจะไม่พิเศษอะไร แต่ไม่ใช่สำหรับเกมนี้ เพราะสัตว์ที่เรานำมาต่อสู้กันนั้น มีต้นแบบมาจากสัตว์ต่างๆที่เป็น Meme ในโลกออนไลน์ เช่น Power Hook Dog หมาต่อยหนัก, Mighty Fox จิ้งจอกนักกล้าม, Magic Squirrel กระรอกจอมเวทย์ เป็นต้น ในตอนนี้มีสัตว์นักสู้ในเลือก 6 ตัวด้วยกัน และสนามต่อสู้อีก 4 แห่ง (คาดว่าจะมีเพิ่มอีกในภายหลัง) Fight of Animals มีโหมดให้เล่นทั้งหมด 4 โหมดด้วยกัน Arcade โหมดอาเขต ทีี่ต่อสู้กับสัตว์ทุกตัวเพื่อขึ้นเป็นที่หนึ่ง Versus โหมดปะทะ เลือกสัตว์มาต่อสู้กันได้ตามอิสระ Online โหมดออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้าง/เข้าร่วมห้องได้มากสุด 8 คน Training โหมดฝึกซ้อม ไว้ฝึกซ้อมคอมโบต่างๆ เรื่องการควบคุมของเกมนี้ จัดว่าสะดวกและเข้าใจง่าย เพราะ มีปุ่มให้กดเพียงไม่กี่ปุ่ม แถมยังมีระบบ Auto Combo ให้ใช้สำหรับมือใหม่ ช่วยให้โจมตีได้อย่างต่อเนื่อง และเกมนี้ตัวละครทุกตัวไม่มี Combo List เราเลยไม่จำเป็นจะต้องจำคอมโบท่าของตัวละครอีกต่อไป และท่าไม้ตายก็สามารถใช้ได้เพียงแค่ปุ่มเดียวเท่านั้น ทำให้เราสามารถเรียงคอมโบด้วยตัวเอง ตามแต่ที่ตัวเองถนัด ไม่ต้องกังวลเรื่องกดคอมโบท่าไม่ติดอีกต่อไป และอีกอย่างที่เกมนี้ทำได้ดี นั้นก็คือ บอทของคู่ต่อสู้ มีให้เลือกหลายระดับ และบอทไม่ง่ายจนเกินไป เผลอๆ เราอาจจะโดนบอทจัดหนักจนล้มไปนอนได้โดยที่เราไม่ได้ทันทำอะไรเลย ถึง Fight of Animals จะเป็นเกมต่อสู้ที่เล่นง่ายและสนุก แต่ความดึงดูดในการเล่นโหมด Arcade จัดว่าน้อยมาก เพราะว่าหลังเล่นชนะโหมดนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีของรางวัล อย่างเช่น สี/ชุดตัวละครพิเศษแต่อย่างใด มีเพียงแค่  achievement ขึ้นเท่านั้น แถมในโหมดออนไลน์ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยดีสักเท่าไร มีกระตุก และหลุดเป็นบางครั้ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………. Fight of Animals ในตอนนี้อาจจะเป็นเกมที่มีเนื้อหาและตัวละครน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ยังเป็นเกมต่อสู้ที่เข้าถึงได้ง่าย แถมราคาก็ไม่ได้สูงมาก เพียงแค่ 119 บาทในร้านค้า Steam และคาดว่าจะมีอัพเดทเนื้อหาใหม่ๆ มาเรื่อยๆ ถ้าหากกำลังหาเกมต่อสู้ที่สนุก เล่นง่าย และไม่แพง เกมนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เรียบเรียงโดย !!7777!! (นาย อภิรัฐ ธนวันต์ภิญโญ)  
24 Dec 2019
รีวิว SuperMash เกมอินดี้ Concept สุดล้ำ (PC)
ตอนเป็นเด็กหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากเราเล่นเกม Super Mario ในโลกของ Metroid หรือเล่นเกม RPG โดยที่ใช้ระบบ Stealth  แน่นอนว่าต้องมีกันบ้างในบางครั้งที่คิดแบบนี้ ทำให้ทีมพัฒนาเกมกลุ่มหนึ่งปิ้งไอเดียอันแปลกประหลาดนี้ไปทำเป็นเกมจริง ๆ ขอเชิญพบกับรีวิวเกม SuperMash แบบฉบับ GameFever TH ครับ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของ SuperMash ว่าด้วยเรื่องราวของ Tomo และกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเปิดร้านขายเกม โดยการนำเอาเกมสองชนิดมารวมกันผ่านเครื่องที่เรียกว่า Create Mash และพัฒนาเกมไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นบริษัทใหญ่ที่สุด สำหรับเนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ได้มีอะไรมาก ดังนั้นข้ามส่วนนี้ไปก็ได้ เกมการเล่น Supermash จะเน้นไปยังเกมการเล่นที่เน้นการผสมผสานระหว่างเกมสองแนว(game genre) ให้ออกมาเป็นเกมใหม่ที่นำเอกลักษณ์ของทั้งสองเกมมาร่วมกับพร้อมกับให้เราสามารถปรับระดับความยาก ความยาวของเกมรวมถึงตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างอิสระผ่านหน้า Developer Card หรือเราจะปล่อยให้ตัวเกมสุ่มทุกอย่างออกมาให้เราก็ได้ เมื่อเราสร้างเกมขึ้นมาแล้ว ตัวเกมจะใช้วิธีการเล่นเป็นสองเกมที่เราเลือกมา เช่นหากเราเลือกเล่นเกมแนว Stealth กับ Metroidvania ผลที่ออกมาอาจจะเป็นเกมคล้าย ๆ Castlevania แต่มีศัตรูแบบ Metal Gears ก็เป็นได้ หรือหากเราเลือกเกมแนว Shootem up มาผสมกับเกม JRPG ผลที่ออกมาอาจจะเป็นเกมแนวคล้าย ๆ Final Fantasy แต่ตัวหลักเป็นยานรบเป็นต้นโดยเมื่อเราเล่นเกมจนจบเราจะได้การ์ด 3 ใบและเงินจำนวนหนึ่งที่จะวัดตาม Mash Score ที่ยิ่งสูงเราจะยิ่งได้รางวัลที่เยอะ ซึ่งจะวัดจากความยากและความยาวของเกมที่เราสร้าง นอกจากนี้เมื่อเราปลดล็อกด่านไหม ๆ จะเข้ามาเพิ่มในหน้า Prime Mash Journal ที่เมื่อเราปลดล็อกจนครบก็จะให้เราได้ต่อสู้กับบอสประจำเกมแนวนั้น ๆ ทำให้เราจะอยู่ในการวนลูปการเล่นเรื่อย ๆ และนำเงินที่ได้ไปหมุนกาชาปอง Developer Card เพราะเกมบางแนวต้องการเงื่อนไขในการปลดล็อกที่ต่างกัน ในตอนแรกนั้นคุณจะรู้ว้าวกับระบบหลาย ๆ อย่างแต่เมื่อผ่านไปสักประมาณ 1 ชั่วโมงคุณจะเริ่มเบื่อกับ Content ของเกมเพราะคุณจะต้อง grinding ไปเรื่อย ๆ ซึ่งหากคุณชอบการเล่นเกมแบบแปลก ๆ คุณก็จะชอบอะไรเหล่านี้ แต่หากคุณเป็นเกมเมอร์เบื่อง่ายการเล่นเพียงชั่วโมงเดียวอาจจะเพียงพอแล้ว เพราะตัวเกมมีให้เราทำแค่นี้จริง ๆ แม้ว่าในการเล่นบางครั้งตัวเกมจะมี Glitch เพื่อทำให้เกมรู้สึกแปลกใหม่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ทำให้เรารู้สึกว่า Concept ที่เกมนำเสนอนั้นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ตัวเกมการเล่นของตัวเกมที่ยังทำออกมาได้ไม่ดีพอ โดยเฉพาะการทำให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกกับการเล่นซ้ำ ๆ สาเหตุไม่ใช่อะไรเลยคือรางวัลที่เกมนี้ให้มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเล่นเกมเพียงแค่จบ ๆ ไป เพราะของที่ได้มาก็สุ่ม ต้องเอาเงินไปเปิดกาชาปองเพื่อสุ่มการ์ดใหม่วนไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะเบื่อ กราฟิก สำหรับเกมเมอร์ท่านไหนที่โตมาในยุค 1990s - 2000s ที่เคยผ่านเกม Famicom , Super Nintendo, Gameboy Color คุณจะต้องชอบเกมนี้อย่างแน่นอน งานอาร์ท Sound ต่าง ๆ แทบจะทำมาเอาใจเกมเมอร์สาย Retro ที่ชอบการเล่นเกมเก่า ๆ และยิ่งมีการอ้างอิงเกมเก่า ๆ อีกก็ทำให้กราฟิกของเกมนี้ดูเข้าท่าดี แต่หากคุณเป็นเกมเมอร์รุ่นใหม่คุณอาจจะไม่ชอบกราฟิกแนวนี้ก็ได้ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน ประสิทธิภาพ เกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่ผู้เขียนตกหลุมทีมงาน Digital Continue อย่างจังด้วยการซื้อเกมมาเล่นในวันแรกที่วางจำหน่าย ตัวเกมเรียกได้ว่าบัคเยอะมาก ๆ จนบางครั้งเรางงว่าเป็นบัคที่เกิดขึ้นจากเกมหรือเกิดขึ้นจากเกมในเกมกันแน่ ปัจจุบันผ่านไป 2 สัปดาห์ตัวเกมได้มีการอัปเดตแก้บัคไปหลายส่วน ทำให้ตัวเกมลื่นพอสมควร สรุป SuperMash ถือว่าเป็นเกมอินดี Concept ดีเกมหนึ่งที่เหมาะสำหรับเกมเมอร์ทุกเพศทุกวัย พร้อมทั้งเกมการเล่นที่ทำให้คุณลองอะไรใหม่ ๆ ได้เรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกันตัวเกมกลับมีแรงดึงดูดผู้เล่นที่น้อยเกินไป ทำให้การซื้อเกมนี้ในราคาเต็มอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก เพราะเกมราคา 346 บาทที่ดีกว่าเกมนี้ยังมีอีกเยอะหรืออาจจะรอให้ทางทีมพัฒนาเกมทำการอัปเดตตัวเกมให้มากกว่านี้ค่อยซื้อจะดีกว่า [penci_review id="36619"]
23 Dec 2019
รีวิว The Witcher ฉบับ Netflix
The Witcher ถือว่าเป็นหนึ่งในนวนิยายขายดีประจำประเทศโปแลนด์ผลงานจากนักเขียนชื่อดัง Andrzej Sapkowski ก่อนที่ทาง CD Projekt จะนำเอามาดัดแปลงเป็นเกมจำนวนสามภาค ซึ่งได้รับคำชมจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมากโดยเฉพาะตัวเกมภาคที่ 3 The Witcher 3: Wild Hunt ที่ทำออกมาได้ดีมากจนคว้ารางวัล Game of The Years 2015 ไปครอง ปัจจุบันแม้จะผ่านมา 5 ปีแล้วตัวเกมยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและลงเครื่อง Nintendo Switch ไปเมื่อไม่นานมานี้ ในที่สุด Netflix ก็นำเอากระแสของ Witcher มาทำเป็นซีรีส์ให้เราได้ดูกัน ซึ่งเรื่องนี้หลาย ๆ คนน่าจะติดตามพอสมควร เนื่องจากความนิยมของเกมและนิยาย แต่ด้วยการที่ตัวซีรีส์มาจากสิ่งที่หลาย ๆ คนชอบทำให้ต้องเจอกับคำวิจารณ์หลาย ๆ อย่างตั้งแต่การ Cast นักแสดงไปจนถึงตอนถ่ายทำ จนในวันที่ 20 ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมาซีรีส์นี้ก็ออกสู่สายตาชาวโลกเสียทีและนี่คือรีวิวจากพวกเรา Gamefever เนื้อเรื่อง The Witcher ฉบับ Netflix หรือชื่อไทยเดอะ วิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร จะเล่าเรื่องราวของ 3 คนคือ Geralt of Rivia (นำแสดงโดย Henry Cavill) , Cirilla Fiona Elen Riannon (นำแสดงโดย Freya Allan) และ Yennefer (นำแสดงโดย Anya Chalotra) ที่แม้ชีวิตของพวกเขาจะเริ่มต้นไม่เหมือนกันแต่โชคชะตาก็นำพาให้พวกเขามาพบกันในที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อชะตากรรมของคนทั้งทวีปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเนื้อหาจะมีจำนวนทั้งหมด 8 ตอนและมีความยาวประมาณ 50 นาทีต่อตอน เนื้อเรื่องถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของ Witcher ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มไหน ๆ ซึ่งทางผู้กำกับเลือกที่จะเอาเล่าแบบสลับ Timeline แบบฉากต่อฉาก และไม่เรียง Timeline ทำให้เรารู้สึกว่าทางผู้ถ่ายทำต้องการนำเสนอโลกของ Witcher แบบภาพรวมก่อนที่จะนำเอาทุกอย่างมาประกอบกันในตอนท้าย ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ไม่เลวเลยแต่ติดตรงที่การเล่าเรื่องในช่วงแรก ๆ ที่ทำออกมาดีมากแต่ในช่วงหลัง ๆ เรื่องราวนั้นไม่ได้เข้มข้นเหมือนกับช่วงแรก ๆ ของซีรีส์ ซึ่งกว่าที่เราจะรู้สึกสนุกอีกครั้งก็เกือบ ๆ ท้ายของซีรีส์ที่ปมต่าง ๆ เริ่มได้รับการเปิดเผย ทำให้เราได้แต่หวังว่า Season ถัดไปเนื้อเรื่องจะได้รับการสานต่อ การแสดง ในส่วนของการแสดงต้องบอกว่าตัวละครหลักนั้นถือว่า Cast มาได้อย่างดี โดยเฉพาะ Henry Cavill ในฐานะ Geralt เขาก็ไม่ได้ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เขาสามารถเข้าถึงบทนี้ได้เป็นอย่างดีการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เล่นได้อย่างดี โดยเฉพาะฉาก Action ที่พี่แกใส่แบบไม่ยั้ง นอกจากนี้ในซีนที่ต้องเล่นมุกตลกพี่แกก็ยังคงความเป็น Geralt ในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้อย่างไหลลื่น อีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Anya Chalotra ที่แม้ว่าหลาย ๆ คนจะไม่ค่อยชอบเธอในฐานะของ Yennefer มาตั้งแต่ตอน Cast แต่เธอก็เล่นบทนี้ออกมาได้ดีเยี่ยม รวมถึง Freya Allan กับบท Ciri ก็ทำออกมาได้ประทับใจพอสมควร แต่เป็นที่น่าเสียดายนอกจากตัวละครหลักแล้วตัวละครรองและนักแสดงบทบาทสมทบอื่น ๆ ดันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นอกจากนี้แล้วเหมือนว่าทางซีรีส์พยายามที่จะเพิ่มความหลากหลายของตัวละคร ทั้งในเรื่องของสีผิวและเชื้อชาติ ทำให้สิ่งนี้อาจจะขัดใจแฟน ๆ ของ The Witcher หลาย ๆ คน แต่หากคุณไม่ซีเรียสเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ฉากในเรื่อง Wicther ฉบับ Netflix ยังคงกลิ่นอายแบบที่แฟนเกมและแฟนนิยายคุ้นเคย ฉากต่าง ๆ จะให้ความรู้สึกของการที่เราได้อยู่ในโลกของ Witcher อย่างครบถ้วนและทำออกมาได้ดี ปีศาจต่าง ๆ ฉากการกินยา การร่ายเวทมนตร์ถือก็ทำออกมาได้ดี นอกจากนี้ซีรีส์มาพร้อมกับ Rate 18 + ทำให้เราจะเห็นฉากรุนแรงแบบจัดเต็ม ชนิดที่ว่าหากคุณไม่ชอบดูอะไรโหด ๆ แนะนำว่าให้เตรียมใจเล็กน้อยก่อนที่จะดู ฉากโป๊เปลือยก็ทำให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ ทั้งจากตัวละครหลักและนักแสดงคนอื่น ๆ ดังนั้นน้อง ๆ ที่อายุไม่ถึง 18 ปีไม่ควรจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับเรื่องฉากในเรื่องคงจะเป็นชุดของทหาร Nilfgaard ที่ดูแล้วไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ ต่างกับชุดของทหารจากอาณาจักรอื่น ๆ ที่ทำออกมาได้เท่มาก สรุป สรุปแล้ว Wicther ฉบับ Netflix ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ดูได้สนุกเรื่องหนึ่ง ตัวซีรีส์มีหลากหลายรสชาติให้เราได้สัมผัสในแง่มุมต่าง ๆ อย่างครบถ้วน แต่หากคุณเป็นแฟนที่ติดภาพมาจากนิยายหรือเกม คุณจะเจอกับเรื่องขัดใจในหลาย ๆ จุด ดังนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วว่าจะดูหรือไม่ [penci_review id="37176"]
23 Dec 2019
รีวิว Athenion เกมการ์ดฝีมือคนไทย เปิดมิติใหม่ในการเล่น
สวัสดีครับวันนี้ Game Fever TH ได้มีโอกาสไปสัมผัสเกมการ์ดสัญชาติไทยที่เปิดให้บริการในบ้านเราอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 10 ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา โดยจากประสบการณ์คนเล่นเกมการ์ดมาตลอดเกมนี้ทำได้ดีมากในระดับเกมมือถือ นอกจากไม่กินสเป็คแล้ว ยังมีภาพการ์ดในสไตล์อนิเมะที่สวยงาม พร้อมเสียงประกอบเฉพาะตัวอีกด้วย STORY จักวาลแห่งอธีเนียน เริ่มต้นมาจาก The Void พื้นที่สีดำว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด และ The First Born สิ่งมีชีวิตทรงภูมิตนแรกที่กำเนิดมาจากการหลอมรวมของพลังงานและสสารต่างๆใน The Void The First Born นั้นถือกำเนิดมาด้วยพลังแห่งการสรรสร้างที่แทบจะไม่มีขีดจำกัด เขาได้สร้างจักรวาล ดวงดาว ผืนน้ำ ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตต่างๆไปทั่วทั้ง The Void เพื่อศึกษาการสร้างจักรวาลที่สมบูรณ์แบบที่สิ่งมีชีวิตทุกหนแห่ง สามารถอยู่ด้วยกันได้โดยไร้ซึ่งความขัดแย้ง นอกจากนี้ The First Born ก็ได้สร้าง Athenion Tower ที่เป็นศูนย์กลางแห่งดวงดาว และยังได้สร้าง High Borns ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของเขา มาเป็นผู้ดูแล Athenion Tower ประจำดาวดวงนั้นๆอีกด้วย หน้าที่ของเหล่า High Borns คือจะต้องทำการศึกษาเรียนรู้สิ่งมีชีวิตบนดาว การใช้ชีวิต การวิวัฒน์ การเมือง ฯลฯ และบันทึกเรื่องราวต่างๆเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานและส่งต่อไปให้ The First Born ผ่าน Athenion Tower แต่กฏหนึ่งที่ยังคงส่งผล ไม่เว้นแม้แต่ผู้สร้างสรรพสิ่งอย่าง The First born นั่นก็คือ กฏของการเสื่อมสลาย พลังของ The First Born นั้น หากมีเพียงแต่การสรรสร้าง แต่ไม่มีการป้อนกลับ ก็อาจจะทำให้พลังของ The First Born นั้นหมดไปได้ ซึ่ง High Borns ทุกคนนั้นรู้ดี มันจึงนำพามาถึงการปฏิวัติครั้งแรก เริ่มต้นจากดาวดวงหนึ่ง ค่อยๆลามไปถึงดาวอีกดวง และขยายไปถึงระบบดาวทั้งระบบ High Borns หลายคนเริ่มที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านและนำพลังที่สมควรจะส่งมอบให้กับ The First Born มาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง The First Born รับรู้ว่า หากปล่อยไป ตนก็คงถึงคราวเสื่อมสลาย จึงได้ใช้พลังครั้งสุดท้ายในการสร้าง Prayer นับล้าน กระจัดกระจายไปยังดาวดวงต่างๆ พร้อมกับข้อความสุดท้ายที่ว่า “จักรวาลแห่งนี้ได้ถูกสรรสร้างค์ขึ้นมา เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยภายใต้กฏที่จะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข หากแต่การกลืนกินของผู้หลงทาง กำลังนำพาจักรวาลแห่งนี้ไปยังจุดจบ ข้าขอให้พวกท่าน เหล่า Prayer ทั้งหลาย ตามหาเหล่าผู้หลงทาง แก้ไขปัญหา และทำให้การไหลเวียนของเรื่องราวและพลังงานกลับสู่ปกติด้วยเถิด อนาคตแห่งจักรวาลนี้ ขึ้นอยู่ในมือของพวกเจ้า” GAMEPLAY จากเกมการ์ดที่เราจะเล่นแค่โจมตีตั้งรับและหาเวทย์มนต์มาช่วยเหลือในไลน์เดียว หรือ ทำแค่โจมตีป้องกัน ใช้เวทย์แต่ในตัวเกมจะให้เราวางการ์ดบนกระดาน 4x4 โดยมีโซลที่ใช้การลงการ์ดแค่ 3 หน่วย ผลัดกันเดินแบบ turn base ครับ แล้วมันมีผลในการเล่นเกมประเภทการ์ดยังไงละกับกระดาน 4x4 ? ปกติการเล่นเกมการ์ด จะมีแค่การโจมตีป้องกันหรือการใช้การ์ดเวทย์และการ์ดกับดักทริคเกอร์ในมิติเดียวคือการแก้ทางคู่ต่อสู้ แต่ตอนนี้นอกจากหาวิธีโจมตี ใช้เวทย์ เราต้องหาทิศทางของการโจมตีโดยการ์ดแต่ละใบมีทิศทางโจมตีไม่เหมือนกัน และ การสร้างแนวป้องกันของตัวเอง ยังต้องรักษายูนิตไว้เพื่อการโจมตีฮีโร่ฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย ทำให้เกิด Mechanic เกมการ์ดในรูปแบบใหม่ โดยมีเด็คมาให้ใช้ 6 รูปแบบตามตัวละครฮีโร่ โดยแต่ละเด็คก็จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันไปอีกตามนิสัยและภูมิหลังของตัวละครแต่ละตัว หน้าต่างทักทายที่คุ้นเคยและฉากการแตกกระจายของคู่ต่อสู้ น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเกมรุ่นพี่อย่าง Heart Stone โหมดในการเล่น นอกจากโหมดฝึกสอนที่จะสอนเราละเอียดยิบเกี่ยวกับเกมนี้ยังมีโหมด ไต่ Rank เกมทั่วไปและการฝึกซ้อมหรือเล่นกับเพื่อนอีกด้วย ฟังดูซ้ำซากใช่ไหมละครับ แต่ตัวเกมจะมีกิจกรรมพร้อมกับแจกของตกแต่งพื้นหลังการ์ด ภาพโปรไฟล์ และ ฮีโร่ด้วยเหมือนกันครับ วิธีทำอาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ของสวยๆฟรีๆใครก็ชอบ บทนำที่สอนวิธีการเล่นเบื้องต้นและการ์ดฮีโร่ธาตุต่างๆ โหมดการเล่นแบบปกติและจัดอันดับ หน้าตาเมนูการเล่นในโหมดกิจกรรมที่ให้เราสู้กับ NPC ก็ไม่หมูเหมือนบอทธรรมดานะครับ ลงผิดชีวิตเปลี่ยน ระบบการ์ด การด์ในเกมเราจะหาได้จากการเปิดซองการ์ดในร้านค้าครับ เรทกาชาเกมนี้ดูเป็นมิตรมากๆ(กับผมนะ)แต่ก็การ์ดแรร์บ่อยครับแต่ไม่ตรงกับธาตุที่อยากเล่นสักที 55 การ์ดแต่ละใบจะประกอบไปด้วยสามส่วนคือทิศทางการโจมตี ค่าพลัง เอฟเฟค ภาพจาการเปิดการ์ด :D ไม่เกลือแต่ไม่ได้ที่อยากเล่นสักที 5555 ส่วนประกอบของการ์ด การ์ดบางใบจะมีค่าเกราะติดมากับตัวเลยสำหรับช่วยลดทอนดาเมจในแต่ละครั้งที่ถูกโจมตี โดยจะหักลบกันก่อนลด HPนอกจากการ์ดธรรมดายังมีการ์ดฟรอยแบบสะท้อนแสงให้เราเก็บสะสมสวยไปอีกแบบ รับเหรียญฟรีง่ายๆแค่อัพเลเวล นอกจากการเล่นปกติเราสามารถไ้เหรียญรางวัลจากการทำเควส หรือ อัพเลเวล เพื่อเอาเงินไปเปิดเด็คได้ด้วยครับซึ่งเด็คใช้เงินในเกมซื้อก็ให้เรทที่กำลังดีเป็นมิตรกับผู้เล่น และยังมีการ์ดแจกเมื่ออัพเลเวลสังกัดฮีโร่ที่เราเลือกเล่นแจกกระจาย เป็นเกมที่ทำให้ผมได้รับประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆในการเล่นการ์ดจริงๆครับเกมนี้ นอกจากมีพื้นฐานระบบที่เข้าใจได้ง่ายวิธีการพลิกแพลงของยูนิตที่หลากหลาย ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบคุมยูนิตมากกว่าใช้เวทย์ทรงพลัง op เกมนี้เป็นเกมที่เหมาะกับคุณอย่างมากเลยครับ ถ้ายิ่งเจอคนเก่งๆด้วยกันยิ่งมันส์อัดกันการ์ดแทบหมดมือ ชิงไหวชิงพริบดีจริงๆ เหมาะสำหรับผู้เล่่นทุกระดับเลยครับ แต่ถ้าเป็นผู้เล่นใหม่ในเรื่องเกมการืดแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนิดนึงครับ ในตอนนี้ตัวเกมยังได้มีกิจกรรม Starry Night อีเว้นท์แบทเทิลในครั้งนี้ผู้เล่นจะมีโอกาสสุ่มได้เด็ค 2 แบบของแมรี่ นั่นก็คือเด็คฮีลและเด็คออร่า เพื่อไปเอาชนะเจ้าโจรขโมย มาช่วยซานตี้แมรี่สั่งสอนเด็กไม่ดีด้วยกันได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ของรางวัลสวยๆเพียบเลยครับยังไงลองไปเข้าร่วมกันดูนะครับ เดียวเราจะมีไกด์เจาะลึกวิธีเล่นของการ์ดในเด็คทั้ง 6 แบบตามมาด้วยนะครับ อย่าลืมติดตามบทความดีๆจาก Game Fever TH ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้เลยครับ
17 Dec 2019
รีวิวเกม Tools Up! มาปรับปรุงห้องให้สวยงาม หรือจะพังยิ่งกว่าเดิม
ใกล้ช่วงเวลปีใหม่แล้ว หลายๆคนอาจจะไปเที่ยว หรือพักผ่อน แต่เกมเมอร์อย่างเราๆ การเล่นเกมกับเพื่อนๆ ก็คงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการใช้เวลาในช่วงหยุดยาวนี้ แต่ถ้าหากคุณกำลังหาเกมที่สามารถเล่นกับเพื่อน ๆ ในเวลาที่นัดรวมกลุ่มกันหรือปาร์ตี้สังสรรค วันนี้เรา GameFever TH ขอแนะนำเกมที่จะได้ใช้พลังมิตรภาพของคุณและเพื่อน ๆ ในการปรับปรุงห้องให้สวยงามเหมือนใหม่ (หรือพังยิ่งกว่าเดิม - -’’) นั้นก็คือเกม Tools Up!  ระบบเกม Tools Up! เป็นเกมแนว Co-op ที่จะให้เราสวมบทบาทเป็นกลุ่มช่างสุดเก่ง (ที่เริ่มเกมมาก็ถอยรถชนเสาไฟหักซะแล้ว - -’’) ในการมาปรับปรุงห้องของลูกค้า (ที่เห็นสภาพแล้วคงต้องมีบ่นกันว่าใครมันเป็นคนออกแบบห้องนี้) ให้มีสภาพเหมือนตามแบบที่ลูกค้าต้องการ ด้วยวิธีที่หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นการ ทาสี, ฉาบปูน, ปูกระเบื้อง, ย้ายของ, ทุบกำแพง และอีกมามาย (มันเยอะมาก) เราจะต้องทำเป้าหมายให้สำเร็จ และเก็บกวาดของทั้งหมด ภายในเวลาที่กำหนดไว้ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 โหมด คือ  โหมดเนื้อเรื่อง มีเวลากำหนด แล้วเก็บคะแนนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โหมด Party ไม่มีเวลากำหนด นับคะแนนตามเวลาที่ทำได้  โดยที่เป้าหมายของแต่ละด่าน จะออกมาในรูปแบบ Blueprint ที่ถูกทิ้งไว้ในด่าน เราต้องไปตามหาและเปิดอ่านว่าด่านนั้นๆ ต้องทำอะไรบ้าง แต่ Blueprint ก็บอกเราแค่คร่าวๆ ว่าต้องทำอะไรบ้างพร้อมกับบอกคะแนนของเป้าหมาย ซึ่งคะแนนของด่านนั้น ๆ จะคิดแยกเป็นส่วน ๆ ถ้าเราทำเป้าหมายของส่วนนั้นเสร็จ ก็จะได้คะแนนในส่วนนั้นไป หลังจากทำเป้าหมายทุกอย่างเสร็จแล้ว เราจะต้องเก็บกวาดงานโดยการย้ายอุปกรณ์ช่างทั้งหมดออกจากห้องนั้นด้วย เพื่อที่จะได้คะแนนการเก็บกวาด แล้วเราจะได้ดาวของด่านนั้นตามเกณฑ์คะแนนที่ด่านตั้งไว้ (3 ดาวเป็นคะแนนเต็มของด่าน) เกมนี้สามารถเล่นร่วมกันได้มากสุด 4 คน สามารถเลือกตัวละครและเปลื่ยนสีได้ แถมถ้าเก็บดาวจากด่านจนครบกำหนด ก็จะปลดล็อคตัวละครใหม่ให้เลือกใช้ด้วย และขอแนะนำว่าอย่าเล่นคนเดียว เพราะ เกมนี้ไม่ตัวละคร AI ช่วยเล่น ทำให้จะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แล้วคุณจะทำภารกิจได้ไม่ครบตามเวลาอย่างแน่นอนในด่านหลัง ๆ (อาจจะครบ แต่ก็เหนื่อยหน่อย) เกมนี้เป็น 1 ในเกมที่รองรับกับระบบ Remote Play Together ของ Steam คุณสามารถชวนเพื่อนที่อยู่กันคนละที่มาเล่นร่วมกันได้ โดยที่มีคนซื้อเกมเพียงแค่คนเดียว แต่การใช้ระบบนี้ก็ต้องพึ่งอินเตอเน็ตที่แรงพอสมควรเลย ถึง Tools Up! จะเป็นเกมที่เน้นเล่น co-op แต่ยังไม่มีระบบ co-op แบบ online ทำให้การเล่นร่วมกันกับเพื่อนจะต้องมาเล่นที่เครื่องเดียวกัน และปุ่มในการควบคุมด้วยคีย์บอร์ดนั้น เกมก็ไม่ได้รองรับการเล่นหลายคนในจอเดียว(มีปุ่มแค่เซ็ตเดียวและไม่สามารถตั้งค่าได้) ทำให้การเล่นร่วมกัน 4 คนนั้นจะต้องมีคนใช้จอยถึง 3 คนและอีกคนใช้คีย์บอร์ด เหมือนกับเป็นการบังคับให้คุณต้องซื้อจอยหรือใช้ระบบ Remote Play Together ถ้าอยากเล่นเกมนี้กับเพื่อน ๆของคุณ ยังไม่รวมกับบัคมากมายที่คอยมากวนใจให้เราหงุดหงิดเล่น (บางบัคถึงกับทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้ จนต้องปิดเกมเปิดใหม่) …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ถึงตอนนี้เกมยังจะมีปัญหาหลายอย่าง เหมือนอย่างกะเกมที่ยังอยู่ในช่วง early access ก็ตาม แต่ Tools Up! ก็ยังเป็นเกมที่สนุก มีเสน่ห์ และสามารถสร้างเสียงหัวเราะ(หรือเสียงบ่นด่า 5555+)ได้ในกลุ่มเพื่อน ๆ ได้ จัดว่าเป็นเกม co-op ที่ดีมากเกมหนึ่ง เพียงแต่ต้องรอการอัพเดทแก้ไขปัญหาอีกสักหน่อย  เรียบเรียงโดย !!7777!! (นาย อภิรัฐ ธนวันต์ภิญโญ) [penci_review id="36055"]
10 Dec 2019
แนะนำเกม Frostpunk กับการเอาชีวิตรอดดินแดนหิมะที่คุณต้องเลือก
หลังจากผ่านการรอคอยกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดประเทศไทยก็ดูเหมือนจะเข้าสู่หน้าหนาวได้อย่างเต็มตัว ในตอนนี้ทุกคนคงจะเริ่มได้หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ หรือเริ่มหาเครื่องดื่มอุ่นๆ มาจิบกันแล้ว แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะหนาวขนาดไหนก็ไม่มีทางหยุดเกมเมอร์อย่างเราๆ จากการผจญภัยได้อยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำเกมที่ดูจะเข้ากับบรรยากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ให้กับเพื่อน ๆ นั่นก็คือเกม Frostpunk นั่นเอง Frostpunk หนึ่งในเกมลูกผสมระหว่างเกมแนว City-Building และ Survival ที่มีฉากหลังเป็นโลกในปี 1886 ที่กำลังล่มสลายหลังจากที่สภาพอากาศเข้าสู่วิกฤตเยือกแข็ง ซึ่งได้นำพาโลกทั้งใบกลับเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง โดยผู้เล่นจะได้รับบทบาทเป็นผู้นำของกลุ่มผู้รอดชีวิตชาวอังกฤษที่อพยพมาจากเมือง London และระหว่างที่การเดินทาง คณะสำรวจของคุณก็ได้พบเข้ากับ The Generator เตาพลังงานจากถ่านหินที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ในหลุมขนาดใหญ่กลางทุ่งหิมะกว้าง และดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างที่มันยังสามารถงานได้ นั่นทำให้ไฟแห่งความหวังที่จะมีชีวิตรอดของทุกๆ คนได้ถูกจุดให้ติดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับไฟจาก The Generator ที่จะคอยหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งหลายที่จะต้องยืนหยัดเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป การปกครองที่มีชีวิตคนนับร้อยเป็นเดิมพัน Frostpunk จะมอบโอกาสให้ผู้เล่นที่จะเป็นคนที่ชี้นำชะตาชีวิตของผู้อพยพทุกคนด้วยการสร้างและพัฒนาเมืองของคุณขึ้นมาบนพื้นที่รอบ ๆ The Generator โดยคุณจะต้องส่งคนออกสำรวจและเก็บทรัพยากรสำคัญต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ในพื้นที่รอบ ๆ เพื่อนำมาเป็นวัสดุที่จะนำมาใช้สร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น การสร้างที่พักให้กับชาวเมือง, การก่อตั้งโรงงานและศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาและค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเพื่อช่วยในการเอาชีวิตรอด, การสร้างโรงล่าสัตว์ในการหาอาหารมาประทังชีวิตแก่ผู้คน และสถานพยาบาลเพื่อรักษาและช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บหรือล้มป่วย ไปจนถึงการส่งทีมออกสำรวจพื้นที่โดยรอบตัวเมืองเพื่อตามหาทรัพยากรหรือผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะที่ทอดยาวไปสุดสายตา ทรัพยากรที่คุณจะต้องบริหารอย่างชาญฉลาด ในการสำรวจและสะสมทรัพยากร ผู้เล่นนั้นจำเป็นที่จะต้องส่งคนงานจากในตัวเมืองออกไปเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่อยู่กระจัดกระจายโดยรอบของ The Generator ในตอนต้นเกม หรือส่งคนไปสำรวจในทุ่งหิมะกว้างแล้ว คุณยังจำเป็นที่จะต้องวิจัยโรงงานหรือส่วนอุสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่จำกัดเงื่อนไขมากขึ้น เช่นเหมืองถ่านหิน, โรงเลื่อย ไปจนถึงโรงหลอมเหล็กเพื่อเข้าถึงทรัพยากรที่มากขึ้น นอกจากการหาทรัพยากรที่ใช้ในการก่อสร้างหรือการวิจัยอย่าง ไม้และเหล็กแล้ว ในเกม Frostpunk คุณยังจำเป็นต้องหาทรัพยากรประเภทใช้แล้วหมดไปตลอดเวลาอย่างเช่น อาหารที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในตัวเมือง โดยผู้เล่นจำเป็นจะต้องสร้างโรงล่าสัตว์หรือเรือนเพาะปลูกเพื่อคอยหาเสบียงมาให้ก่อนที่จำนำเข้าสู่โรงครัวเพื่อทำการแปรรูปเป็นอาหารให้กับชาวเมืองทุกคน และอีกส่วนสำคัญที่คุณยังจำเป็นที่จะต้องหานั่นก็คือ ถ่านหิน หรือ Coal มาใช้ในการเติม The Generator ให้ยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยหากคุณปล่อยให้ Coal หมดจากคลังไปหรือหาได้ในปริมาณที่น้อยกว่าการใช้งานก็จะทำให้มันดับลงในที่สุด และเชื่อเถอะว่านั่นจะเป็นฝันร้ายที่สุดของทุก ๆ คนในเมืองของคุณอย่างแน่นอน ระบบการปกครองที่คุณจำเป็นจะต้องเลือก ในการปกครองผู้คนหมู่มากเพื่อให้เกิดความสงบและความเรียบร้อย ผู้ปกครองก็ย่อมที่จะมีการตั้งกฏเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อรักษาระเบียบและทำให้ผู้คนไม่ออกนอกลู่นอกทาง แต่ Frostpunk สภาพแวดล้อมสุดแสนโหดร้ายและผู้คนต่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง กฏนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่ออยู่รอดเป็นหลักดังนั้นบางครั้งคุณก็อาจจะต้องยอมไร้ความปราณีไปบ้างก็ตาม Frostpunk นำเสนอระบบที่จะให้อิสระแก่คุณในการตั้งข้อกฏหมายขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อความอยู่รอดของตัวเมือง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกฏเกี่ยวกับแรงงาน เงื่อนไขในการรักษา ความเป็นอยู่ของชาวเมือง ไปจนถึงภาวะดิ้นรนไร้ทางเลือกอย่างการนำมนุษย์ด้วยกันมาเป็นอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าบางครั้งสิ่งที่ดูผิดศีลธรรมอาจจะจำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดมากกว่าความถูกต้อง ความอยู่รอด หรือ มนุษยธรรม บางครั้งในระหว่างการเล่นเกม ผู้คนในเมืองจะมีการเรียกร้องหรือสื่อสารกับผู้เล่นผ่านรูปแบบ Event ให้คุณได้เลือกตอบคำถามโดยจะอิงกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น เช่นการที่คนงานในเหมืองออกมาร้องขอให้คุณอนุญาติให้เขาได้กลับบ้านเพื่อไปใช้วาระสุดท้ายของตัวเองกับครอบครัว หรือหากคุณออกกฏหมายให้มีการใช้แรงงานเด็ก ก็อาจจะได้เจอกับ Event ที่ผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองจะออกมาขอร้องให้คุณหยุดส่งลูกของเธอและเด็กคนอื่น ๆ เข้าไปทำงานเสี่ยงอันตรายถึงตาย และแน่นอนว่าทุกคำตอบ ทุกตัวเลือกของคุณนั้นจะย่อมทำให้เกิดผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนในเมืองจะรับรู้ถึงการกระทำทุกอย่างของคุณ ทำให้คุณอาจถูกมองเป็นผู้นำที่โหดร้ายเลือดเย็น คุณก็จำเป็นที่จะต้องคอยระวังความโกรธแค้นของชาวเมืองที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรง แต่หากคุณเลือกที่จะใจอ่อนหรือเมตตา คุณก็อาจที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงจากสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดตามมาในอนาคตด้วยเช่นกัน ประโยคที่คุณจะต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ท้ายที่สุดแล้วประโยคนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นหัวใจหลักของเกมที่คุณจำเป็นจะต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นผู้นำที่เป็นที่น่าศรัทธาของชาวเมืองประดุจพระเจ้าของพวกเขา หรือจะเป็นเผด็จการที่เลือดเย็นที่ไม่มีใครกล้าต่อต้านแม้แต่คนเดียว หากคุณประมาท หรือตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อย ผลที่จะเกิดตามมาก็ย่อมหมายถึงจุดจบของเมืองได้เช่นกัน เพราะอย่างนั้นคุณจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญและระมัดระวังกับทุกย่างก้าวของคุณ ไปจนถึงการยอมตัดสินใจในสิ่งที่อาจจะตรงข้ามกับความรู้สึกของคุณเองก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นประโยคนี้ไม่อย่างไม่มีข้อยกเว้น บทความโดย Laventear ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
09 Dec 2019
รีวิวเกมดูดวิญญาณ Cave heroes Idle แนวผู้กล้าตะลุยดันสร้างเมือง
ถ้าคุณกำลังเบื่อๆเซ็งๆ เพราะโทรศัพท์ไม่แรงพอจะเล่นเกมอะไรได้ละก็ Game Fever TH ขอแนะนำเกม ฆ่าเวลาสนุกๆที่มาในแนวผู้กล้าตะลุยดันเจี้ยนเกมนี้ดูครับ Cave Heroes : Idle RPG ที่ลงให้บนเครื่องมือถือทั้ง iOS และ Android สร้างโดยค่าย Iron Horse Games ที่ฝากผลงานเกมแนวนี้ไว้มากมายใน Store ตัวเกมยังเป็นเกมที่เปิดให้ทดสอบอยู่นะครับ เกมเพลย์ เกมนี้ให้คุณรับบทเป็นทั้งทีมผู้กล้าที่ต้องลงไปตะลุยดันเจี้ยนและเก็บทรัพยากรกลับมาสร้างเมืองต่างๆ โดยตัวเกมจะแบ่งเป็น 2 พาร์ทครับ พาร์ทของการลงดัน จะแบ่งผู้กล้าเป็นคลาสต่างๆ ทั้งหมด 3 คลาส นักดาบ จอมเวอย์ นักธนู ลงไปปราบจอมมากในดันเจี้ยนใต้ดินครับ ตัวเกมจะมีกลิ่นอายของความเป็นเกมแนว RPG สมัยเก่า อาจจะเป็นเพราะตัวกราฟิกของเกม เพียงแต่ระบบการต่อสู้นั้นจะเป็นการต่อสู้อัตโนมัติไม่ใช่แบบ Turn Base โดยเราจะต้องซื้อบัฟ กองทหาร และ อุปกรณ์ต่างๆเพื่อให้เหล่าผู้กล้าลงดันได้ง่ายขึ้น ถ้าผู้กล้าตายก็จะลงวนลูบไปเรื่อยๆครับ พาร์ทของการสร้างเมือง ในตัวเกมเนียมีระบบความลึกในสิ่งก่อสร้างและค่าพลังของตัวฮีโร่ ไอเทมสวมใส่ค่อนข้างมากโดยเฉพาะระบบการสร้างเมือง นอกจากจะใช้ทรัพยากรแตกต่างกันในการสร้างแล้ว เวลาที่เราอัพเกรดสิ่งปลูกสร้างต่างๆก็จะเพิ่มค่าพลังต่างให้กับเหล่าฮีโร่ เพื่อให้ลงไปในดันเจี้ยนให้ลึกขึ้น นอกจากเกมจะให้เราจัดสรรทรัพยากรในการใช้ก่อสร้าง ยังรวมไปถึงคนงาน ที่พักคนงานด้วยครับ ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือระบบการรีเซ็ทworld ใหม่ทำให้เล่นวบลูบได้เพราะถึงจุดที่ฮีโร่ลงดันลงไปลึกมากๆจนสู้ไม่ไหวต้องรีเซ็ทโลกเพื่อกลับมาฟาร์มก่อน เราจะได้ไอเทมและทรัพยากรกลับมาทำให้ฟาร์มได้ง่ายขึ้นด้วย   ความรู้สึก ความรู้สึกหลังจากที่ได้เล่นเกมนี้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเล่นเกม JRPG ในสมัยเด็กๆปนกับเกมสร้างฐานอย่างพวก KKND แต่มีความลื่นไหลและบทสนทนาต่างๆในเกมหรือรายละเอียดก็ไม่ขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่น้อย โดยรวมเป็นเกมดูดวิญญาณที่สมบูรณ์แบบเกมนึงเลย ถ้าพัฒนาเสร็จสิ้นก็อยากกลับไปเล่นอีก   กราฟฟิก ภาพในเกม เนื้อหา เพลงประกอบ ทำให้เรานึกถึงเกมผจญภัยสมัยก่อนที่ Classic สุดๆไปเลย น่าเสียดายที่เกมนี้ยังอยู่ระหว่างพัฒนา ในเกมเลยยังไม่ค่อยมีไอเทมให้ฮีโร่สวมใส่เลยในช่วงที่ผมไปทดสอบขนาดโฆษณาที่กดแล้วได้เพชรก็มีน้อยมากๆ มีให้กดแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ต้องรอนานพอสมควรกว่าจะได้เพชรฟรีอีกครั้งแต่ก็แอบคาดหวังอนาคตจะได้เห็นฮีโร่ใหม่ๆและไอเทมอื่นๆในเกมตัวเต็ม ถ้าทำออกมาดีติดชาจได้ง่ายๆเลยครับเกมนี้   [penci_review id="34969"]
28 Nov 2019
Review: รีวิวเกม Star Wars Jedi: Fallen Order เกมสตาร์วอร์ที่แฟนๆ คู่ควร
แม้ว่าจะเป็นแฟรนไชส์เก่าแก่ที่มีแฟนๆ จากทั่วโลกติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ Star Wars กลับเป็นแฟรนไชส์ที่มีเกมดีๆ จริงๆ ให้แฟนๆ ได้เล่นกันน้อยมากๆ ยิ่งในยุคคอนโซลล่าสุด ที่เกม Star Wars เด่นๆ มีเพียงซีรี่ส์ Battlefront เท่านั้น และถึงแม้ว่าเกมทั้งสองจะทำยอดขายได้น่าพอใจระดับหนึ่ง แต่ก็มีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้เกมถูกจดจำในทางที่ไม่ดีนัก แฟนๆ Star Wars ที่เป็นเกมเมอร์จึงไม่มีอะไรให้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว จนกระทั่งปีนี้ เมื่อผู้พัฒนามือฉมัง Respawn Entertainment ได้ปล่อยเกม Star Wars Jedi: Fallen Order ออกมา เกมแอคชั่น Star Wars สายเลือดแท้ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมยอดนิยมอย่าง Sekiro: Shadows Die Twice ของค่าย From Software ที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างให้ความคาดหวังว่าอาจจะเป็นการคืนสู่วงการเกมของแฟรนไชส์ Star Wars ที่รอคอยกันมาหรือไม่?! หลังจากที่เล่นเกมมาระยะเวลาหนึ่ง ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า Star Wars Jedi: Fallen Order ถือเป็นเกมที่สนุกมากๆ ด้วยเกมเพลย์แอคชั่นที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น ซึ่งเป็นส่วนผสมของเกมยอดนิยมต่างๆ ตั้งแต่ Sekiro: Shadows Die Twice และซีรี่ส์ Uncharted ไปจนถึงกลิ่นอายความเป็น Star Wars ยุคใหม่ ที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูรายละเอียดของเกม ซึ่งน่าจะช่วยตอบโจทย์สำหรับคนที่เฝ้ารอจะได้กวัดแกว่งดาบไลท์เซเบอร์ในฐานะเจไดผู้ทรงพลังได้ แต่ถึงอย่างนั้น Star Wars Jedi: Fallen Order ก็ยังไม่อาจถือเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมหรือพิเศษ เพราะแม้ว่าระบบเกมเพลย์ต่างๆ จะทำออกมาได้ดีและสนุก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ใหม่หรือน่าตื่นตาตื่นใจนัก ที่สำคัญคือเกมยังมีปัญหาเรื่องบั๊คและความเสถียรอยู่พอสมควร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกเสียดายที่เกมไม่สามารถสร้างออกมาให้เนี๊ยบกว่านี้ได้ Star Wars Jedi: Fallen Order อาจจะไม่ใช่เกมที่จะสามารถวัดกับเกมตัวเป้งๆ ที่วางจำหน่ายในปีนี้หลายๆ เกม แต่สำหรับแฟนๆ ที่รอสัมผัสประสบการณ์เกม Star Wars ที่สนุก และตอบโจทย์ในแง่ของบรรยากาศ บอกได้เลยว่าคุณจะไม่ผิดหวังกับเกม Star Wars Jedi: Fallen Order แน่นอน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของเกม Star Wars Jedi: Fallen Order (SWJFO) จะเกิดขึ้น 5 ปีหลังจากที่เหล่าเจไดถูกกวาดล้างจนแทบจะหมดจักรวาล อันเป็นผลมาจากคำสั่ง Order 66 ในช่วงท้ายของสงคราม Clone Wars (หรือประมาณ 5 ปีหลังจากหนัง Star Wars Episode 3 นั่นเอง) เกมจะติดตามตัวละครหลัก Cal Kestis อดีตเจไดฝึกหัด ผู้ซึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในฐานะพนักงานแยกชิ้นส่วนยานบนดาวเคราะห์ Bracca หลังจากที่เขาและอาจารย์ถูกเหล่าทหารโคลนทรยศ แต่แล้วความลับของ Cal ก็ถูกเปิดเผยขึ้นจนได้ เมื่อวันหนึ่งเขาถูกบังคับให้ต้องใช้พลัง Force ที่เขาซ่อนเอาไว้อีกครั้ง เพื่อช่วยชีวิตของเพื่อนเขาที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน จนทำให้เหล่า Inquisitor (เจไดด้านมืดที่ทำหน้าที่ในการตามล่าเจไดผู้รอดชีวิตจาก Order 66) ตามหาเขาจนพบ แต่ก่อนที่ Cal จะถูก Inquisitor สาวผู้ใช้ชื่อว่า Second Sister ปลิดชีพลง เขาก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างไม่คาดคิดโดยยาน Mantis ซึ่งมีอดีตเจได Cere Junda และนักขับยาน Greez Dritus เป็นเจ้าของ หลังจากที่หนีรอดมาได้ Cal ก็ได้รับทราบแผนการของ Cere และ Greez ในการสร้างนิกายเจได้ (Jedi Order) ขึ้นมาใหม่ ด้วยการตามหาสุสานลับของชนเผ่า Zeffo เผ่าพันธุ์เอเลี่ยนโบราณที่มีพลัง Force แก่กล้า เขาจึงเข้าร่วมกับภารกิจของทั้งสอง เพื่อต่อต้านกองทัพจักรวรรดิผู้ชั่วร้าย และเพื่อนำความสงบสุขกลับมาสู่จักรวาลอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้เขียน ที่เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ Star Wars มาตลอดตั้งแต่ยังละอ่อน ต้องถือว่าเนื้อเรื่องของ SWJFO มีความเป็น Star Wars อยู่สูงมากๆ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกใจแฟนๆ ของแฟรนไชส์เป็นพิเศษ ตั้งแต่รูปแบบของเรื่องที่ติดตามกลุ่มกบฏเล็กๆ ที่พยายามต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิชั่วร้าย ไปจนถึงธีมของการค้นหาตัวตน และการปะทะกันของความดีและความเลว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เป็งองค์ประกอบหลักของภาพยนตร์ Star Wars ทุกภาคที่ผ่านมา แม้ว่าสุดท้ายแล้วผู้เล่นที่ติดตามแฟรนไชส์มาตลอดอาจจะพอเดาได้ว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร (เรารู้แน่ๆ ว่า Cal จะไม่สามารถสร้างนิกายเจไดใหม่ได้ เพราะรู้อยู่แล้วว่า Luke จะเป็นคนทำหลังภาค 6) แต่เนื้อเรื่องของ SWJFO ก็ยังเป็นเนื้อเรื่องตามสูตร Star Wars ที่สนุกและน่าติดตามอยู่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อติซะทีเดียวเช่นกัน โดยจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเนื้อเรื่องเกมน่าจะเป็นตัวเอก Cal Kestis เอง ที่ไม่ได้มีภูมิหลังหรือเส้นทางการพัฒนาตัวละครที่น่าสนใจนัก โดยเฉาะเมื่อเทียบกับตัวละครอื่นๆ ที่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็น Cere ที่เป็นอดีตอัศวินเจไดที่ตัดขาดตัวเองจากพลัง Force ด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือแม้กระทั่งตัวร้ายอย่าง Second Sister ก็ยังมีภูมิหลังที่น่าสนใจ ต่างกับ Cal ที่ภูมิหลังเดาได้ตั้งแต่เริ่มเกม แถมยังไม่ค่อยได้พัฒนาหรือ โต ขึ้นเลยตามเนื้อเรื่อง มีหลายครั้งที่ผู้เขียนรู้สึกว่า Cal แทบจะเป็นตัวประกอบในเรื่องราวของ Cere และ Second Sister ซะด้วยซ้ำไป อีกหนึ่งองค์ประกอบเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนชอบ และคิดว่าน่าจะถูกใจแฟนๆ ของซีรี่ส์ คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับจักรวาล Star Wars ที่ผู้เล่นสามารถพบได้จากการใช้หุ่นดรอย BD-1 ที่เกาะไหล่เราอยู่ แสกนสิ่งของและศัตรูที่พบในเกมนั่นเอง โดยรายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้มีส่วนช่วยในการพัฒนาจักรวาลของเกมให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ซึ่งก็เป็นของแถมเล็กๆ น้อยๆ ให้แฟนๆ ของเกมจากผู้พัฒนา ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ SWJFO นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสามส่วนหลักๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมอื่นๆ มากมาย ทั้งระบบต่อสู้ที่แทบจะยกมาจาก Sekiro: Shadows Die Twice เปี๊ยบๆ ระบบการสำรวจเกมจาก Metroid/Castlevania และ การแก้พัซเซิ่ลจากเกมอย่าง Uncharted หรือ Tomb Raider นั่นเอง ซึ่งเกมที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเกมที่โดดเด่นในด้านของตัวเอง โดยในจุดนี้ต้องขอชม SWJFO ที่สามารถนำจุดเด่นของเกมแต่ละเกมมาผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกล่อมและลงตัวขนาดนี้ ซึ่งทำให้เกมเพลย์ของ SWJFO มีความหลากหลายมากกว่าแค่การทะลวงฟันไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ตาม เกมเพลย์ส่วนที่ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะให้ความสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องระบบต่อสู้ของเกม โดย SWJFO จะใช้ระบบต่อสู้ที่คล้ายคลึงกับเกม Sekiro: Shadows Die Twice ที่จะเน้นการหลบหลีกหรือป้องกันและ Parry การโจมตีของศัตรูให้ถูกจังหวะ เพื่อที่จะค่อยๆ ลดเกจการป้องกันของศัตรูให้หมด ก่อนที่จะปลิดชีพศัตรูนั้นในการโจมตีไม่กี่ครั้งนั่นเอง โดยตัวเลือกต่างๆ ในการต่อสู้นั้น ผํู้เล่นจะสามารถโจมตีศัตรูด้วยดาบไลท์เซเบอร์ของ Cal ได้ และยังสามารถใช้ความสามารถ Force ต่างๆ ที่ปลดล๊อคตามเนื้อเรื่องในการต่อสู้ได้ด้วย เช่นผลักหรือดึงศัตรูเข้าหาตัว หรือการชะลอการเคลื่อนไหวของศัตรูเป็นต้น การใช้พลังทุกอย่างผสมผสานกันสามารถทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักรบเจไดผู้ทรงพลังได้ง่ายๆ เลยเมื่อชำนาญแล้ว แต่ในทางกลับกัน ก็ทำให้ช่วงต้นๆ ของเกมท้าทายมากๆ เช่นกัน เพราะผู้เล่นจะยังมีพลังพิเศษไว้ใช้น้อย จึงต้องพึ่งฝีมือในการเอาตัวรอดและหาจังหวะเอาชนะศัตรูด้วยดาบอย่างเดียว ทั้งนี้ ผู้เขียนเล่นเกมที่ระดับความยาก Jedi Master ซึ่งเป็นระดับที่เกมแนะนำสำหรับคนที่เล่นเกมแอคชั่นเก่งอยู่แล้วประมาณหนึ่ง และ/หรือคนที่เคยผ่านเกม Soulsborne อื่นๆ มาแล้ว ทำให้เกมมีความท้าทายพอสมควร แต่เกมก็มีระดับความยากที่ง่ายกว่านี้ให้เลือกด้วยเช่นกัน ฉะนั้นคนที่ไม่มั่นใจหรือ กลัวว่าจะเล่นไม่สนุกเพราะเกมยากเกินไป ก็ยังสามารถเลือกระดับความยากต่ำๆ เพื่อให้ยังสนุกกับเกมได้อยู่ สำหรับระบบการเล่นดังกล่าวถือเป็นระบบต่อสู้เกมแอคชั่นที่พิสูจน์มาแล้วว่าสนุก แต่สิ่งที่คนอาจจะไม่ได้คาดคิดที่จะได้เห็นกับเกม Star Wars คือความยากของเกม ที่แม้ว่าจะไม่ได้เทียบเท่าเกมอันเป็นแรงบันดาลใจอย่าง Sekiro แต่ก็จำเป็นต้องใช้ฝีมือและความตั้งใจในการเล่นสูงมากในการต่อสู้กับศัตรู ถึงแม้ทหาร Storm Trooper ส่วนใหญ่ที่เราพบในเกมจะล้มได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ก็มีศัตรูระดับสูงและศัตรูที่เป็นสัตว์อันตรายประจำดาวต่างๆ ที่จะคอยบังคับให้ผู้เล่นต้องเรียนรู้เทคนิคเฉพาะตัวมาเพื่อต่อสู้ด้วย แถมเกมยังมักจะปล่อยศัตรูหลากหลายชนิดลงมาให้เรารับมือพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้เล่นต้องใช้เครื่องมือและความสามารถทั้งหมดของ Cal ในการเอาชนะ อีกหนึ่งส่วนสำคัญของเกมเพลย์ในเกม SWJFO ก็คือเรื่องของการสำรวจนั่นเอง โดยการสำรวจในเกมจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมอย่าง Metroid/Castlevania อยู่มาก โดยเกมจะให้ผู้เล่นสำรวจดาวเคราะห์หลายดวงเพื่อทำภารกิจ โดยที่ในดาวแต่ละดวงจะมีพื้นที่ๆ ต้องใช้พลังพิเศษเพื่อเปิดเข้าถึงได้ เช่นอาจจะมีจุดที่เราต้องใช้พลัง Force Push เพื่อทลายกำแพงหิน หรือบางจุดอาจจะต้องให้เราใช้สกิลโดดสองรอบเพื่อขึ้นไปถึงเป็นต้น ระบบนี้ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเดินทางไป-กลับดาวเคราะห์ที่เคยผ่านมาแล้วทุกครั้งที่ปลดล๊อคพลังใหม่ได้ เพื่อลองดูว่ามีพื้นที่หรือความลับใหม่ๆ อะไรให้เราค้นพบด้วยพลังใหม่ของเรานั่นเอง โดยดาวเคราะห์ต่างๆ ออกแบบมาได้เป็นอย่างน่าสนใจ มีพื้นที่ลับให้ตามหามากมาย แม้กระทั่งในจุดที่ผู็เล่นอาจจะรู้สึกว่าเดินผ่านมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง ซึ่งในจุดนี้ก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายและระยะเวลาการเล่นให้กับเกมได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าการสำรวจส่วนใหญ่จะให้ของรางวัลที่ไม่ได้ส่งผลต่อเกมเพลย์ อย่างชิ้นส่วนดาบไลท์เซเบอร์หรือเสื้อผ้าใหม่ แต่ก็ยังอาจจมีสิทธิ์เจอ Force Echo ที่ทำให้หลอดเลือดและหลอด Force ของเราเพิ่มขึ้นด้วย ผู้เล่นจึงมีเหตุผลให้ย้อนกลับไปสำรวจดาวที่ผ่านมาแล้วเสมอ องค์ประกอบเกมเพลย์หลักส่วนสุดท้ายก็คือเรื่องของปริศนาพัซเซิ่ลต่างๆ ที่ผู้เล่นจะได้พบระหว่างการสำรวจสุสานเผ่า Zeffo ที่กระจัดกระจายอยู่ตามดาวเคราะห์ที่เกมพาเราไปนั่นเอง เช่นเดียวกับการสำรวจ การแก้พัซเซิ่ลเหล่านี้มักจะต้องใช้พลังพิเศษต่างๆ ของ Cal รวมกับความคิดสร้างสรรค์ของผู้เล่นเองในการแก้ไข โดยระดับความยากของพัซเซิ่ลส่วนใหญ่นั้นถือว่าอยู๋ในระดับที่พอดี (ย้ำอีกครั้งว่าพัซเซิ่ล ส่วนใหญ่) คือไม่ได้ง่ายจนไม่ต้องใช้สมองเลย แต่ก็ไม่ได้ยากจนหัวร้อนเช่นกัน โดยรวมๆ แล้ว แม้ว่าเกมเพลย์ของ SWJFO จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบซะทีเดียวเช่นกัน อย่างในการต่อสู้ของเกม ที่บางครั้งก็รู้สึกติดขัดมากกว่าที่ควรจะเป็นจากการที่เกมไม่ยอมให้ผู้เล่นยกเลิกอนิเมชั่นการโจมตีได้เหมือนเกมแอคชั่นอื่นๆ หลายเกม หมายความว่าถ้ากดโจมตีไปแล้ว ผู้เล่นจะไม่สามารถกดกลิ้งหลบหรือป้องกันกลางคันได้เลย ซึ่งในจุดนี้ผู้เล่นบางคนอาจจะบอกว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยทำให้เกมท้าทายมากขึ้น เพราะหมายความว่าผู้เล่นจะไม่สามารถกดปุ่มมั่วๆ ได้ในระหว่างการต่อสู้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้การต่อสู้กับศัตรูหลายๆ ชนิดรู้สึกยากกว่าที่ควรจะเป็นเช่นกัน โดยเฉพาะศัตรูที่เป็นสัตว์ร้ายทั้งหลาย ที่มักจะโจมตีอย่างรวดเร็วกว่าศัตรูจำพวก Storm Trooper ต่างๆ มากมายนัก แถมเวลาผู้เล่นพลาดตายขึ้นมาแต่ละครั้งยังต้องเข้าหน้าจอโหลดเกมค่อนข้างนานกว่าจะสามารถกลับไปเล่นเกมต่อได้ ทำให้บางครั้งก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาได้เหมือนกัน ◊ กราฟิค/การนำเสนอ ◊ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าเกลียดแต่อย่างใด แต่กราฟิคของเกม SWJFO น่าจะเป็นจุดอ่อนที่สุดของเกมแล้วก็ว่าได้ จากการรีวิวเกมในเครื่อง PS4 Pro พบว่าเกมแสดงผลกราฟิคในด้านพื้นผิว (Texture) ของสิ่งของได้ไม่ค่อยดีนัก ยิ่งในส่วนของหน้าตาตัวละครต่างๆ ในเกม ที่ดูเนียนๆ แบนๆ ชอบกล แถมยังขยับได้แข็งๆ เหมือนเป็นหุ่นยนต์หุ้มหนัง มากกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ อีกด้วย ซึ่งในจุดนี้ก็ทำให้ในฉากอารมณ์ต่างๆ มีความติดตลกมาซะหน่อย เมื่อตัวละครพยายามจะดึงหน้าดราม่า แต่กราฟิคของเกมกลับไม่สามารถแสดงผลออกมาได้ตามที่นักแสดงสื่อออกมา ทั้งนี้ ความไม่คมชัดในเรื่องกราฟิคส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ผู้เขียนเลือกเล่นโหมด Performance มากกว่าโหมด Resolution ทำให้เกมจำกัดความคมชัดของตัวเองเอาไว้ที่ 1080p เท่านั้น (แทนที่จะเป็น 4K) แลกกับการที่เกมสามารถรันที่เฟรมเรตสูงกว่า 30FPS ได้ แต่ผู้เขียนพบว่าการเล่นในโหมด Resolution หลายครั้งทำให้เกมเกิดอาการกระตุกหรือเฟรมตกได้ ซึ่งสำหรับเกมแอคชั่นที่เน้นการเคลื่อนไหวอันแม่นยำอย่างนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคืออนิเมชั่นการปลิดชีพศัตรูในเกม ที่จะมีให้เพียงหนึ่งอนิเมชั่นต่อศัตรูหนึ่งชนิดเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ และคงไม่ได้ถือเป็นข้อเสียของเกมซะทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นอนิเมชั่นการปลิดชีพเท่ๆ หลายๆ แบบมาเพิ่มสีสันให้กับการต่อสู้บ้าง นอกเหนือไปจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น การนำเสนออื่นๆ ของเกม SWJFO ทำออกมาได้ตอบโจทย์ความเป็น Star Wars มากๆ ไปว่าจะเป็นในแง่ของการออกแบบฉากและศัตรู หรือเสียงพากย์เกม ที่มีคุณภาพสูงระดับ AAA คู่ควรกับการรอคอยของแฟนๆ แน่นอน ดาวต่างๆ ที่ผู้เล่นได้ไปสำรวจก็มีความแตกต่างกันชัดเจน ทำให้การโดดไป-กลับระหว่างดาวต่างๆ ไม่น่าเบื่อเลยเช่นกัน [caption id="attachment_34798" align="aligncenter" width="1024"] STAR WARS Jedi: Fallen Order™_20191108155934[/caption] ◊ สรุป ◊ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นเกมที่จะเป็นที่จดจำไปอีกนานๆ ในฐานะเกมระดับแนวหน้า แต่ Star Wars Jedi: Fallen Order ก็ยังถือเป็นการคืนวงการเกมอย่างงดงามของแฟรนไชส์ Star Wars และเป็นเกมแอคชั่นที่ท้าทายและน่าสนใจมากๆ อีกด้วย เกมอาจจะยังสามารถพัฒนาได้อีกเยอะในหลายจุด แต่สำหรับแฟน Star Wars และแฟนเกมแอคชั่นแล้ว Star Wars Jedi: Fallen Order คือเกมเจไดที่คุณคู่ควรอย่างแท้จริง [penci_review id="34692"]
24 Nov 2019
รีวิว Monkey King Hero is Back มาเป็น ซุนหงอคง กันเถอะ!
Monkey King Hero is Back คือเกมที่สร้างมาจาก Animation ที่ถูกฉายครั้งแรกในปี 2015 ตัวเกมจะกล่าวถึงหนึ่งในตำนานชื่อดังที่โลกรู้จัก ตำนานของ ราชาวานร ซุน หงอคง (Sun Wukong) ตัวเกมจะเป็นแนว Action Adventure มุมมอง Third Person ซึ่งเกมนี้ไม่ได้มีความยาวมากมายอะไรนัก (ประมาณ 6-8 ชั่วโมง เท่านั้น) ต้องบอกก่อนเลยว่าเวอร์ชั่นที่เป็นเกมนี้ ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่เหมือนกับเวอร์ชั่น Anime แบบ 100%  ไม่ใช้การเดินไปชมพูทวีปกับพระถังซัมจั๋งและผองเพื่อนเหมือนที่มักจะได้ยินบ่อยๆ แต่จะเป็นเนื้อที่เพิ่มเติ่มจากฉบับ Animation อีกนิดหน่อยนั้นเอง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องจะกล่าวถึง ราชาของเหล่าวานรตัวหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก จึงได้ไปฝึกวิชากับผู้วิเศษแห่งอมรโคยานทวีป ด้วยความเอ็นดูผู้วิเศษก็ได้ตั้งชื่อให้กับ ราชาวานรว่า ซุนหงอคง (Sun Wukong) หลังจากฝึกวิชาจนสำเร็จ ราชาวานรก็ได้เข้าท้าทายกับราชามังกรทั้ง 4 หลังจากปราบเหล่ามังกรลง  ซุนหงอคงก็ได้รับกระบองวิเศษกับชุดเกราะวิเศษมาเป็นของรางวัล แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นราชาวานรได้เข้าท้าทายกับเหล่าเทพเจ้า ซึ่งแม้แต่เทพที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่สามารถเอาชนะราชาวานรได้ จนกระทั้งซุนหงอคงเข้าท้าทายกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเหล่าเทพเจ้า "พระพุทธเจ้า (Buddha)" นั้นเอง แต่ไม่ว่า ราวานรจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถเอาชนะ พระพุทธเจ้าได้ หลังจากจบการต่อสู้ พระพุทธเจ้าได้กักขังราชาวานรไว้ในหินผลึก และซ้อนไว้ในถ่ำแห่งหนึ่งเป็นเวลา 500 ปี เนื้อเรื่องของเกม จะเริ่มต้นเมื่อหลังจากผ่านไป 500 ปี แล้ว เมื่อมีเณรน้อยนามว่า ลัว(Liuer) ได้หลงทางเข้ามาในถ่ำที่ผนึกราชาวานรไว้ และได้ปลดปล่อย ดาชอง(Dasheng) หรือราชาวานรที่ถูกผนึกมาเป็นเวลานานให้เป็นอิสระ แต่ดาชองที่ตื่นจากการจองจับกว่า 500 ปี นั้น กลับไม่สามารถใช้พลังได้เหมือนกับแต่ก่อน จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมบอกกับดาชองว่า "วิธีเดียวที่จะได้รับพลังทั้งหมดคืนมาก็คือ การทำความดีเท่านั้น" ดาชองเลยจำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ กับลัว เพื่อให้ได้พลังของตนกลับคืนมา อีกครั้ง เนื่อเรื่องของเกมจะไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมายนัก แต่จะค่อนข้างเป็นเส้นตรงมากกว่า เราจะต้องเล่นเป็น ดาชองเดินทางไปตามเมืองต่างๆ คอยช่วยเหลือผู้คน ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้ถึงแม้จะไม่ค้อยมีอะไร แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องของเกมมันอ่านง่าย เข้าใจง่าย มันทำให้เล่นได้แบบสบายๆ ไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรมากมายนัก ไม่ต้องปวดหัวกับคำศัพท์ ยากๆ เอาไว้เล่นแก้เบื่อได้เป็นอย่างดีครับ ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่เนื้อเรื่องของเกมค่อนข้างจะเป็นเส้นตรง ทำให้เรามักจะคาดเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก บวกกับจุดที่พีคของเนื้อเรื่องเองก็ไม่ค้อยมีให้เห็นเท่าไหร่ ถ้าเล่นตอนที่ง่วงนี้ก็อาจจะหลับได้อยู่เหมือนกัน และยังมีเนื้อเรื่องที่สั่นมากๆ ถ้าเล่นจริงๆ อาจจะใช้เวลาแค่เพียง 6-7 ชั่วโมง ก้สามารถเคลียร์เกมนี้ได้แล้ว ทำให้ไม่รู้สึกว่าไม่คุ้มกับเงิน 1,200 บาทค่าเกมเท่าไหร่ครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ กราฟิกของเกมนี้ ถึงแม้จะเล่นในเครื่อง PS4 Pro แล้ว ก็ไม่ได้มีกราฟิกที่สวยงามสมจริงอะไร แต่เกมนี้จะมีกราฟิกที่การ์ตูนมากๆ แทน ทำให้ตอนเล่นรู้สึกสบายตา รู้สึกว่าจะสามารถเล่นได้เรื่อยๆ ทางด้านอนิเมชั่นกับการเคลื่อนไหวของตัวละคร ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเช่นกัน มีความลื่นไหล มีเอฟเฟคเบาๆ เวลาตัวละครแลกหมัดกัน ก็เรียกได้ว่าถึงแม้จะไม่ได้สวยสมจริงอะไร แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดเล่นแล้วรู้สึกสะดุดเช่นกันครับ ด้านการนำเสนอ เกมนี้ฉาก Cut Scene กับเกมเพลย์แทบจะเป็นอันเดียวกันเลย ทำให้ตอนเล่นเราจะรู้สึกเหมือนว่า ดูการ์ตูนอยู่ตลอดเวลา พูดตรงๆ ก็เป็นเสน่ห์ อย่างหนึ่งของเกมนี้ ทางด้านการแสดงสีหน้าของตัวละครต่างๆ ก็ดีพอสมควร ถ้าจะมีข้อเสีย อาจจะเป็นเรื่องที่หน้าตาของศัตรู มันดูเหมือนกันไปจนหมด แค่เปลี่ยนสีนิดหน่อย ทำให้รู้สึกน่าเบือเล็กๆ  เพราะเจอแต่ตัวหน้าตาเดิมๆ ทางด้านเสียงเพลงประกอบ กับ เสียงพากย์ของตัวละคร ก็ล้วนแล้วแต่ธรรมดามากๆ ไม่ได้แย่จนรู้สึกขัดหูเวลาที่ฟังนานๆ แต่ก็ไม่ได้ ดีมากจนสื่ออารมร์ของตัวละครออกมาได้ทั้งหมดเช่นกัน เอาเป็นว่าธรรมดาสุดๆ ทีมพัฒนาเกมที่ไหนก็คงจะสร้างเสียงประมาณนี้ออกมาได้เหมือนกันนั้นแหละครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ รูปแบบการเล่นของเกมนี้จะเป็นแบบ Action-Adventure โดยใช้การควบคุมง่ายๆ ใครก็เล่นได้ มีต่อยหนัก, มีต่อยเบา, และกระโดด เดินหน้าต่อสู่กับพวกสัปหลาดตัวเล็กๆ ที่มักจะโผล่ออกมาก่อกวนเราอยู่เป็นระยะๆ และมีสัปหลาดตัวใหญ่โผล่มาให้สู้บ้างบางครั้ง นอกจากนี้ผู้เล่นสามารถใช้สิ่งของต่างๆ เช่น เก้าอี้ , หิน หรือ ไม้กระบอง ที่ตกอยู่ตามฉากต่างๆ เพื่อทุนแรงในการต่อสู้ได้ ด้วยความที่การเล่นมันง่าย รวมถึงมีภาพออกไปทางการ์ตูน ทำให้เกมนี้ดูจะเหมาะกับผู้เล่นทุกเพศทุกวัยด้วยนั้นเอง เกมนี้จะให้ผู้เล่นสามารถเลือกอัพเกรดความสามารถของ ดาชองได้ โดยการอัพเกรดจะแบ้งออกเป็น 2 แบบ คือ อัพเกรดสกิลกดใช้ หรือ อัพเกรด Passive ซึ่งจะใช้คนละ Point กันในการอัพ ด้านสกิลกดจะใช้ Red Soul ที่ได้จากการกำจัดศัตรูต่างๆ มากน้อยตามความยากง่ายของตัวที่เราสู้ ในขณะที่ Passive จะใช้ Earth God ที่มักจะซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ของแมพ โดยสามารถสังเกตุได้ง่ายๆ เพราะจุดที่ Earth God ซ้อนอยู่มันจะเป็นภูเขาดินเด่นๆ เลยในฉาก โดยรวมแล้ววิธีการเล่นของเกมนี้ค่อนข้างจะเข้าใจง่าย ขนาดตอนเริ่มเล่นไม่ต้องศึกษาอะไรมาก ก็สามารถเล่นได้เลย อีกทั้งความยาวเนื้อเรื่องเกมนี้เป็นการทำขึ้นมาใหม่ ไม่ใช้การเดินไปชมพูทวีปเหมือนที่เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับตำนาน Sun Wukong (ไม่งั้นเล่นทั้งชาติก็คงไม่จบ) แต่จะเป็นเนื้อเรื่องสั่นๆ เพียง 6-8 ชั่วโมงเท่านั้น การเล่นเกมนี้จึงเป็นอะไรที่ เบาสมองสามารถเล่นเพื่อคลายเครียดได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เรียบง่าย ทำให้มิติของการเล่นเกมนี้ มันค้อนข่างน้อยด้วยเช่นกัน ไม่ได้มีการผสมท่าโจมตีต่างๆ จนเป็น Combo ได้เมามันเหมือน DMC และก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ดีมากเข้มข้นเหมือนกับ Death Stranding อีกด้วย แต่ราคาของเกมนี้มันก็ยังอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาทเลย ทำให้ตอนเล่นจนจบ ก็ยังไม่ณไม่รู้สึกว่าคุ้มเลยซักนิด เสียดายตังมากกว่าครับ ◊ สรุป ◊ Monkey King Hero is Back เป็นเกม Action Adventure ที่มีกราฟิกและภาพออกไปทางการ์ตูน เกมเพลย์เข้าใจง่าย ใครก็สามารถเล่นจนเก่งได้ มีความลับอีกเล็กน้อยให้ตามหาในเกม ใช้เวลาในการเล่นจนเคลียร์ไม่นาน แต่ก็เป็นเกมที่ไม่ว่าจะเป็นด้าน เนื้อเรื่อง เกมเพลย์ หรือ ความสวยงามของกราฟิก ก็ธรรมดามากๆ คือไม่ได้มีจุดไหนเลยของเกมที่จะทำให้รู้สึกว่า "ว้าว" มีความรู้สึกไม่คุ้มเงิน 1,200 บาทที่เสียไปมากกว่าครับ ถ้าจะให้คะแนนเกมนี้ เราคงให้อยู่ที่ 5 เต็ม 10 เท่านั้น เพราะการเล่นที่มันธรรมดาโคตรๆ ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจหรือน่าติดตามด้วย ถ้าใครที่คาดหวังว่าซื้อเกมมาแล้วต้องเล่นได้นานๆ มีอะไรให้ทำเยอะๆ แนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปได้เลยครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="34273"]  
20 Nov 2019
รีวิว Need For Speed: Heat เมื่อ EA อยากจะปลุก NFS ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
Need For Speed : Underground 2 และ Need for Speed: Most Wanted (2005) ถือว่าเป็นสองเกมแข่งรถในดวงใจของผู้เขียนเลย โดยเฉพาะความทรงจำในวัยเด็กที่ดีมากๆ กับสองเกมนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดตามตัวเกมอีกเลย แต่เมื่อทาง EA ประกาศทำเกม Need For Speed: Heat ที่จะเป็นการรวมเอาสองภาคที่กล่าวมาข้างต้นไว้ในเกมเดียวกันและเป็นการทำเกมซีรีส์ NFS ครั้งแรกในรอบเกือบๆ 3 ปี ทำให้ผู้เขียนเกิดความตื่นเต้นและอยากจะเล่นเกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะสมกับความ Hype ที่ตั้งไว้หรือเปล่าขอเชิญอ่านได้ในรีวิวนี้เลย เนื้อเรื่อง Palm City สวรรค์ของนักแข่งรถที่มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายทั่วทั้งเมืองในรูปแบบที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย แต่แล้วการมาถึงของร้อยโท Frank Mercer หัวหน้าคนใหม่ของสถานีตำรวจเมือง Palm City ที่พร้อมจะกวดขันกับเหล่านักแข่งรถทุกคนอย่างไร้ความปรานี เรา(ผู้เล่น) ในฐานะนักแข่งหน้าใหม่ที่ต้องการจะสร้างชื่อในเมืองนี้และได้พบเจอกับพี่น้อง Rivera เรื่องราวต่างๆ จึงได้เริ่มต้นขึ้น Need For Speed: Heat ถือว่านำเสนอเนื้อเรื่องได้อย่างน่าสนใจ เราจะเรียนรู้ว่าการเป็นนักแข่งรถนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะการแข่งรถใต้ดิน เราจะได้เห็นถึงความกดดันต่าง ๆ การทะเลาะกันของสองพี่น้อง ทำให้ภาพรวมของเนื้อเรื่องทำออกมาโอเคเลย ระบบการเล่น การแข่งรถสุดมันส์ เร้าใจ Need For Speed: Heat นำเสนอเกมการเล่นที่แบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือการแข่งกลางวันที่เป็นเหมือนกับการแข่งรถที่ถูกกฏหมาย โดยมีจุดเด่นในเรื่องของจำนวนเงินในแต่ละรอบที่สูงและในส่วนของการแข่งขันกลางคืนที่เป็นเหมือนกับการแข่งรถผิดกฏหมายที่จะให้ผลตอบแทนเป็นค่าชื่อเสียงที่จะใช้ในการปลดล็อกไอเทมต่างๆ ในการแต่งรถรวมไปจนถึงรถใหม่ๆ การแข่งรถทั้งสองแบบจะให้ความรู้สึกต่างกัน ในการแข่งกลางวันเราจะรู้สึกว่าเราเป็นนักแข่งมืออาชีพที่ทุกวินาทีมีความหมายต่อเงินรางวัลที่ได้ ในขณะที่กลางแข่งกลางคืนจะท้าทายอย่างมาก เพราะนอกจากเราจะต้องแข่งกับคนอื่นๆ แล้วเหล่าจราจรของเกมนี้นับว่าโหดมาก หากเราสเต็ปไม่ดีจริงยังไงก็ไม่รอด โดยหากเราถูกจับได้เราจะเสียเงินค่าปรับและทำให้ระดับ Heat ของในคืนนั้นหายไปทันที เป็นกิจกรรมที่ความเสี่ยงสูง แต่ก็มีผลตอบแทนสมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว ในส่วนของการแข่งขันหลักๆ จะประกอบไปด้วย Circuit Race, Drift, Sprint Race, และ Time Trial ที่จะต้องใช้ความสามารถในการบังคับรถที่ต่างกัน รวมถึงประเภทของเราที่ใช้แข่งด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ ในเกมนี้เลยคือการ Drift (ดริฟต์) ที่เราจะต้องกดปุ่มเบรกพร้อมกับกดปุ่มคันเร่ง ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรเลยในการฝึกฝนให้ชำนาญ ในส่วนของโหมดออนไลน์ก็ทำออกได้สนุกและท้าทาย โดยเราสามารถใช้รถในโหมดเนื้อเรื่องไปแข่งกับผู้เล่นอื่นได้เพียงแต่ว่าเราจะต้องเข้าไปท้าผู้เล่นมาแข่งด้วย ซึ่งอันนี้ก็วัดดวงกันไปว่าจะมีใครมาตามคำเชิญเราหรือไม่ คำแนะนำสำหรับผู้เขียนก่อนจะเล่นโหมดนี้ควรเล่นโหมด Solo ให้คล่องๆ และมีรถแรงๆ ก่อนถึงจะพอเอาชนะคนอื่นได้ รถเยอะมาก ของแต่งรถก็เยอะเช่นกัน EA ต้องการเรียกศรัทธาของแฟนๆ Need For Speed กลับมา จึงได้มีการนำรถเข้ามาในเกมมากถึง 127 คันให้เราได้เลือกใช้งาน โดยแต่ละคันจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน บางคันแรงแต่บังคับยาก บางคันช้าแต่ว่าเข้าโค้งดีเป็นต้น ซึ่งรถจะปลดล็อกเมื่อเราเก็บค่าชื่อเสียงได้ถึงที่กำหนดไว้ ในส่วนของแต่งรถน่าจะถูกใจหลายๆ คนเพราะคุณสามารถที่จะแต่งรถได้อย่างละเอียดมากๆ จัดเต็มในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสีของรถ อุปกรณ์เสริมทั้งหลาย  ไปจนถึงเสียงของท่อรถเรา สามารถที่จะออกแบบตามใจของเราเลย นอกจากนี้หากใครเป็นคนที่แต่งรถไม่เก่ง ตัวเกมก็มีระบบ Community ที่ให้เราสามารถลอกลายรถคนอื่นได้อีกด้วย สำหรับส่วนของเครื่องยนต์ จะแยกออกไปต่างหาก โดยเครื่องยนต์แต่ละอย่างจะแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ซึ่งของเหล่านี้หากเราจะซื้อมาเสริมความแรงให้รถ เราจะต้องใช้ทั้งเงินและค่าชื่อเสียงในการซื้อ ยิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ของแต่งในส่วนนี้จะยิ่งดีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรถที่เราซื้อมาด้วย เนื่องจากบางคันอาจจะมีเครื่องยนต์ที่มีระดับสูงอยู่แล้ว ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเสริมในส่วนนั้น เก็บเงินและชื่อเสียงไปเสริมในส่วนอื่นๆ ดีกว่า แผนที่กว้างใหญ่และสวยงาม แผนที่ของเกมนี้ถือว่าทำออกมาสวยงามมากๆ ในด้านของแสงและสี แม้ว่ารายละเอียดตัวเมืองอาจจะไม่ได้สวยเหมือนกับเกมแข่งรถอื่นๆ และดูโล่งไปหน่อย แต่มันก็ทดแทนด้วยไอเทมให้เราเก็บมากมาย รวมถึงกิจกรรมย่อยๆ อยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทำให้การออกสำรวจเมืองก็นับว่าสนุกไม่น้อย กราฟิกและเสียงประกอบ Palm City คือเมืองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมือง Miami ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ฉากของเมืองนี้สวยมากๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งคุณปรับภาพในแบบ Ultra ยิ่งทำให้ภาพในเกมสวยขึ้นไปอีก โดยสเป็กที่ผู้เขียนใช้รีวิวเกมนี้คือ i5-9400F, RTX 2060, Ram 16 GB สามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างลื่นไหลแม้จะปรับสุด หรือแม้จะทำการสตรีมไปด้วยก็ไม่ได้กินสเป็กเครื่องมากเท่าไหร่ ในส่วนของเสียงถือว่าเป็นพระเอกของเกมนี้เลย เสียงดนตรีประกอบ เสียงเครื่องยนต์ ทำออกมาได้ดีมากยิ่งคุณมีหูฟังดีๆ หรือลำโพงแจ่มๆ คุณจะเล่นเกมนี้ได้เพลินเป็นพิเศษ สรุป Need For Speed: Heat ถือว่าเป็นแนว Racing ที่เหมาะสำหรับเกมเมอร์ Causal ที่ต้องการเกมแข่งรถสนุกๆ ไม่ยากจนเกินไปหรือว่าสมจริงจนเครียด หรือหากคุณชอบเกมแช่งรถแบบแข่งไปเก่งไป เกมนี้ถือว่าตอบโจทย์คุณอย่างมาก แม้ว่าองค์ประกอบบางอย่างของเกมนี้ยังคงต้องได้รับการปรับปรุง แต่โดยภาพรวม Need For Speed: Heat คือเกมแข่งรถที่คุณควรลองเล่นสักครั้ง Need For Speed: Heat เปิดให้เล่นแล้ววันนี้ใน Origin ทั้งในรูปแบบของเกมเต็มและ Origin Access Premier ป.ล. ใครที่จะสตรีมเกมนี้ใน Facebook ให้ปิดเพลงในเกมมิฉะนั้นวิดีโอจะโดนบล็อคได้ [penci_review id="33688"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
15 Nov 2019
แนะนำเกม Path of Exile หนึ่งในเกมฟรีคู่แข่ง Diablo
ในวงการเกมการหยิบยืมไอเดียกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ จึงไม่แปลกใจที่เรามักจะเห็นระบบการเล่นของอีกเกมไปอยู่ในอีกเกมหนึ่ง จนไปถึงบางทีมพัฒนาเกมที่นำเอาระบบเกมของคนอื่นมาต่อยอดและทำออกมาได้ยอดเยี่ยมกว่าต้นฉบับก็มี และหนึ่งในเกมที่สามารถทำแบบนั้นได้คือ Path of Exile ที่นำเอาไอเดียของเกมอื่นมาต่อยอดจนกลายเป็นเกมที่ดีมาก ๆ ได้เกมหนึ่งเลยทีเดียว อะไรคือ Path of Exile https://www.youtube.com/watch?v=TFIuqeWPx9Y Path of Exile หรือว่า PoE คือเกมแนว Action - Hack n Slash/MMO จากทีมงาน Grinding Gear Games ที่ได้นำเอาไอเดียของเกม Diablo 2 มาต่อยอดในรูปแบบของตัวเอง พร้อมทั้งได้พัฒนาระบบต่าง ๆ จนถูกใจแฟน ๆ เกมแนวนี้ โดยเฉพาะเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่ชอบการสร้างตัวละครต่าง ๆ ที่คุณสามารถสร้างตัวละครของคุณได้หลากหลายแนวทาง ทั้งการใช้สกิลและการปรับ Passive ที่จะทำให้เราคลุกอยู่กับเกมนี้ได้ทั้งวัน  ระบบการเล่นของ PoE คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับเกมแนวนี้ ตัวละครที่หลากหลาย สำหรับเกมแนว Hack n Slash มักจะพ่วงหนึ่งข้อเสียสำคัญคือการเล่นที่ล็อคสายและไม่หลากหลายเท่าที่ควร แต่สำหรับเกม POE ขอให้คุณลืมเรื่องนั้นไปเพราะตัวเกมถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนสามารถที่จะเล่นข้ามสายไปหากันได้ ขอเพียงแค่เงื่อนไขตรง โดยตัวละครเริ่มต้นของเกมมีดังนี้ Marauder ตัวแทนของสายกายภาพ เน้นพลังชีวิตที่สูงและดาเมจทางกายภาพที่รุนแรง Ranger ตัวแทนของการสายกายภาพแบบโจมตีระยะไกล มีอัตราการหลบหลีกที่สูงและความรวดเร็วในการโจมตีที่สูง Witch จอมเวทย์ประจำเกมที่เน้นความเสียหายทางด้านเวทมนต์ รวมถึงการเรียกใช้งานเหล่าซัมมอน Duelist เป็นสายผสมระหว่าง Marauder และ Ranger ทำให้ตัวละครนี้เน้นไปยังการทำดาเมจกายภาพ ผสมกับการโจมตีที่รวดเร็ว Shadow สายผสมระหว่าง Ranger และ Witch ทำให้มีความเร็วในการโจมตีที่สูง รวมถึงพลังเวทมนต์ที่รุนแรง โดยจุดเด่นของตัวละครนี้คือสามารถเข้าถึงความสามารถด้าน Critical ได้มากกว่าตัวละครอื่น ๆ Templar เป็นสายผสมระหว่าง Marauder และ Wicth ทำให้ตัวละครนี้มีพลังชีวิตที่สูงและมีดาเมจด้านเวทมนต์ที่แข็งแกร่ง Scion ลูกผสมของ Marauder , Ranger ,Witch  มีจุดเด่นคือแนวทางการเล่นที่หลากหลาย สามารถสร้างทิศทางการเล่นได้แบบไม่เหมือนใคร แต่ก็แลกมากับการที่ต้องใช้ไอเทมและเลเวลสูงกว่าตัวละครอื่น ๆ โดยทุกตัวละครจะมีคลาสเสริมหรือที่ในเกมใช้คำว่า Ascendancy อีกอาชีพละ 3 คลาส ที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันอย่างมาก เรียกได้ว่าหลากหลายมาก ๆ สร้างสกิลในแบบของเรา ระบบสกิล PoE จะทำงานผ่าน Gem โดยแต่ละ Gem จะต้องนำเอามาติดตั้งในอาวุธหรืออุปกรณ์สวมใส่เราจึงจะสามารถใช้งานได้ โดยระบบ Gem จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ Skill Gem ที่เมื่อนำไปใส่ในไอเทมจะสามารถใช้งานได้และ Support Gem ที่จะไม่ทำงานโดยตรงแต่จะสนับสนุนการทำงานของ Skill Gem แทน (ต้องมีเงื่อนไขตรงกัน) ทำให้เราสามารถที่จะออกแบบสกิลในรูปแบบของเราจะให้มีความสามารถพิเศษอะไรก็สามารถเลือกได้ตามที่เราต้องการ เพียงแต่ว่า Gem บางอันอาจจะต้องใช้เลเวลในการปลดล็อค ระบบ Passive ที่ออกแบบได้ตามใจเรา ถือว่าเป็นจุดที่หากชอบก็ชอบไปเลย หากไม่ชอบก็เกลียดไปเลยกับระบบ Passive แบบอิสระที่จะทำให้เราสามารถเลือกอัปได้ตามใจของเรา ไม่มีคำแนะนำ มีแต่ความถูกใจและแนวทางการเล่นของเรา ทำให้เราจะต้องติดให้ดีที่อัป Passive ต่าง ๆ ยิ่งตัวละครของเราเลเวลสูงการแก้ Passive จะเป็นเรื่องยาก จนทำให้หลาย ๆ คนลงทุนสร้างตัวละครใหม่กันเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลาย ๆ คนท้อเพราะเลเวลก็สูงแต่ดันไม่เก่งเหมือนคนอื่น นอกจากนี้ใน Passive จะมี Node ใหญ่ที่จะให้ความสามารถที่สุดแกร่งและอาจจะเปลี่ยนแนวทางการเล่นของเราไปเลย แต่ Node เหล่านี้ไม่ได้มาฟรี ๆ มักจะมีสิ่งที่เราจะต้องแลก ดังนั้นอาจจะต้องศึกษาให้ดี เน้นการแลกเปลี่ยนและการฟาร์ม ในเกม PoE จะไม่มีระบบเงินเหมือนกับเกมแนว MMO อื่น ๆ แต่ผู้เล่นในเกมจะใช้การแลกเปลี่ยนไอเทมกันแทน โดยมีหน่วยกลางคือ Chaos Orb หรือ Exalted แทนซึ่งเราสามารถที่จะฟาร์มเองได้ในเกม ผ่านการแลกเปลี่ยนไอเทมกับ NPC รวมถึงหาได้จากระบบการ์ด ทำให้เกมนี้เน้นการฟาร์มอย่างมากโดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่ดวงไม่ดี อาจจะต้องฟาร์มอย่างหนักเพื่อให้ได้ไอเทมมา โดยการแลกเปลี่ยนนั้นส่วนมากผู้เล่นจะนิยมโพสต์ไอเทมขายผ่านทาง poe.trade ให้เราหาเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม เล่นฟรีและไม่ต้องเติมก็เทพได้ ในยุคนี้ต้องยอมรับการ Free to Pay แต่ Pay to Win ถือว่าเป็นเรื่องปกติของเกมแนว MMO แต่สำหรับเกมนี้การเติมนั้นไม่ได้ทำให้คุณเก่งขึ้นอย่างไร แต่จะเพิ่มความสะดวกสบายและความเท่ให้กับตัวละครของเราแทน ทำให้เราสบายใจได้ว่าเกมนี้ไม่มีเทพทรูอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีระบบอีกมากมายที่ให้เพื่อน ๆ ได้ลองเข้าไปสัมผัส โดยเกม PoE เปิดให้เล่นแล้วในวันนี้ผ่านทาง Steam หรือผ่านทางเว็บไซต์ของทีมพัฒนาเกมได้ผ่านทาง pathofexile.com นอกจากนี้ยังสามารถเล่นเกมนี้ผ่านเครื่อง PlayStation 4 (โซนบ้านเราเล่นไม่ได้) และ Xbox One ได้อีกด้วย
11 Nov 2019
รีวิว NBA 2K20 สมจริงขึ้น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก
ออกมาแล้วสำหรับเกมบาสเกตบอลรายปีของทาง 2K Games กับ NBA 2K20 ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก กับเอกลักษณ์ในความสมจริงของเกม เปรียบดั่งคุณได้เข้าไปเล่นเกมนั้นจริงๆ ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้หลังจากได้เล่นมา ว่ามันควรค่าแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ไปชมกันเลย !! เนื้อเรื่องของ Career Mode ในโหมด  MyCareer สนุกขึ้นนะในความเห็นส่วนตัว เพราะการดราฟผู้เล่นใน NBA มันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะแต่ละการดราฟ มันส่งผลให้ผู้เล่นนั้นมีรายได้และชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งใน 2k20 ก้ได้ใส่เนื้อเรื่องตอนช่วงดราฟไปเยอะขึ้นมาก โดยเริ่มตั้งแต่ มีการวัดสมรรถภาพ ด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น การชู๊ตบาส ความสูงในการกระโดด การยกน้ำหนัก (อันนี้ยากมาก แอดเองก็ทำไม่ได้ ทำได้ไม่กี่ที) ความเร็วในการวิ่ง ความคล่องตัวต่างๆ และหลังจากนั้นเราต้องไป ซ้อมในทีมที่สนใจเรา ซึ่งแต่ละส่วนที่ผมพูดมานั้น มันมีผลต่ออันดับในการดราฟ และ ค่าตัวของเราหลังจบเกม พอมันออกมาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกประทับใน ทำให้การเล่นเกมบาสที่มันมีแค่เล่นบาส มีอะไรมากขึ้น ส่วนเนื้อเรื่องข้างในก็อาจจะไม่ได้ต่างอะไรกับเวอร์ชั่นเก่าๆ ซักเท่าไร และมันก็มักจะสร้างดราม่ามาเร้าอารมณ์ขึ้นแค่นั้นแหละ เลยทำให้นอกจากการดราฟที่มีอะไรมากขึ้น แต่จุดอื่นๆ เองก็ต้องบอกว่ามันไม่ค่อยต่างเท่าไร เลยอาจจะทำให้หลายๆ อย่างดูเดิมๆ ไปหน่อย แอนิเมชั่นและกราฟิก โดยเกมภาคนี้มีความสมจริงเพิ่มมากขึ้น แอนิเมชั่นการเคลื่อนที่เมื่อวิ่งผ่านฝั่งตรงข้ามมีความหนืดมากขึ้นเนื่องจากความสมจริง ซึ่งมันก็สมจริงในด้านกีฬาบาสเกตบอล ต่างจากภาคเก่าๆ ที่แทบจะไม่มีความหนืดเลยวิ่งฝ่านได้ฉิวซึ่งมันไม่สมจริงเอาสะเลย ท่าทางการชู๊ต ก็ทำได้สมจริงมาก บวกกับเรื่องของท่าทาง ดั้ง หรือเลย์อัพก็สมจริง โมเดลตัวตัวละครในเกมเหมือนจริงขึ้นมากๆ มองหน้าผ่านๆ ยังรู้เลยว่าคนนี้เป็นผู้เล่นคนไหน ไม่ใช่แค่ผู้เล่นระดับ All Star แต่ผู้เล่นอื่นๆก็ทำได้สมจริงเช่นกัน พื้นสนาม และด่านต่างๆก็ทำได้ดีจัดว่าดีมาก มีการสะท้อนของพื้นในบางจุด เกมเพลย์ อย่างที่บอกว่าตัวเกมมีความสมจริงขึ้น เลยทำให้การเล่นมันยากขึ้้นมาก ในภาคที่ผมเคยเล่นมันจะมีสูตรในการเล่นตายตัวของเกมภาคเก่าๆ คือสกรีนให้เพื่อนแล้วเราพลิกมาจับบอลยิง เล่นแบบนี้แทยทุกช้อตยังไงก็ได้แต้ม แต่พอมาภาคนี้ พยายามแล้วพยายามอีก ก้จับจุดมันไม่ได้สักที เหมือนเราพยายามหาจุดอ่อนของเกม แต่มันหาได้ยากขึ้น ทำให้แอบท้อแท้ในช่วงดราฟเข้า NBA ใหม่ๆ แต่ก็มีความท้าทายมากขึ้น บางทีลองเล่นแบบง่ายสุดยังเอาตัวเองแทบไม่รอดเลย ซึ่งจุดที่ผู้เขียนไม่ชอบก็เป็นเรื่องของการที่มันยิงยากไปนิดนึง หรือว่าตัวละครเรายังอ่อนอยู่ (รึอาจจะเป็นที่ตัวผมอ่อนก็ไม่รู้ 555) แบบโล่งๆยิงไม่ลงทั้งๆที่อัพแสตทสามแต้มไปเยอะ แล้วก็อีกเรื่องคือบอทใน My career มันยังเป็นบอทเกินไปในเกมบุก มีแพทเทินที่แบบเดาได้จนเกินไป มันทำให้น่าเบื่อในบางครั้ง แต่ว่าโดยภาพรวมถือว่าผ่านในสายตาผม ผมคิดว่ามันสนุกขึ้น มันท้าทายขึ้น ภาพสวยมากขึ้น โดยเฉพาะ ตัวละครต่างๆในเกม เหมือนตัวจริงจนน่าตกใจ สรุป NBA2K20 ก็ยังรักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้ และกลับมาพร้อมกับกราฟิกแอนิเมชั่นที่สมจริงมากขึ้น แต่ก็ต้องบอกว่าอะไรหลายๆ อย่างมันก็ยังดูเหมือนกับภาคที่แล้วอย่างกับแกะ ความแปลกใหม่ของมันอาจจะไม่เพียงพอที่จะดึงดูดใจให้ซื้อมาเล่นซักเท่าไร แต่ถ้าหากใครที่เป็นแฟนๆ NBA2K20  เล่นมาทุกภาคมันก็ยังมีคุณค่าที่จะซื้อมาเล่นครับ เพราะเอาจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่รูปเกมเพลย์มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ส่วนใครที่อยากจะซื้อเกมนี้มาเล่นปาร์ตี้กับเพื่อน แต่ถ้าท่านมีภาค 18 / 19 อยู่แล้ว ก็อยากจะบอกว่าให้ผ่านภาคนี้ไปก่อนก็ได้ เอาไว้ภาคหน้าๆ ถ้ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นค่อยซื้อมาเล่นอีกทีแล้วกัน [penci_review id="33235"]  
05 Nov 2019
Review: รีวิวเกม Death Stranding "เกมจำลองชีวิตบุรุษไปรษณีย์ในโลก Post-Apocalypse"
เป็นที่จับตามองมาตลอดตั้งแต่เปิดตัวแล้วกับเกม Death Stranding เกมแอคชั่นสุดลึกลับใหม่ล่าสุดจากตัวพ่อแห่งวงการพัฒนาเกมคุณ ฮิเดโอะ โคจิม่า ที่วางมือจากการพัฒนาเกมซีรี่ส์ Metal Gear มาสร้างเกมซีรี่ส์ใหม่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยตลอดระยะเวลา 2-3 ปีตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวครั้งแรกในงาน E3 2016 เกมก็ได้รับการกล่าวขานถึงความน่าพิศวงของเนื้อเรื่องและเกมเพลย์มาโดยตลอด แม้ว่าผู้พัฒนาจะเริ่มเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเกมมากขึ้นแล้วในช่วงก่อนวางจำหน่าย แต่ผู้เล่นหลายคนก็ยังได้แต่งงว่าสรุปแล้วเกมเป็นเกมแนวไหน เล่นยังไงกันแน่ และฉากคัตซีนของเกมที่เปิดเผยออกมาในตัวอย่างทั้งหลายจะปะติดปะต่อกันเป็นเนื้อเรื่องแบบไหน หลังจากที่ได้เล่นเกม Death Stranding จนจบเนื้อเรื่อง (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดที่ใช้รีวิวเกมล่วงหน้า) ผู้เขียนพูดได้เลยว่าเกม Death Stranding ถือเป็นเกมที่สร้างนวัตกรรมใหม่ในการเล่นเกมแบบ Connected Single Player (การเล่นเกมคนเดียวแต่เชื่อมต่อกับผู้อื่นตลอดเวลา) ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยระบบเกมที่ทำให้ทุกการกระทำของผู้เล่นส่งผลไปยังโลกในเกมของผู้เล่นคนอื่น อย่างมีนัยยะสำคัญ พร้อมด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่น่าติดตามอันเป็นลายเซ็นของคุณโคจิม่าผู้สร้าง ทำให้เกม Death Stranding เป็นเกมที่น่าสนใจเสมอตลอดระยะเวลากว่า 30-40 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการผ่านเนื้อเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมเพลย์ของ Death Stranding นั้นคงไม่ใช่เกมเพลย์ที่น่าสนุกสำหรับทุกคน ดังที่เขียนไปในหัวบทความว่าเกมเป็น "เกมจำลองชีวิตบุรุษไปรษณีย์ในโลก Post-Apocalypse" เกมเพลย์ของ Death Stranding จะวนเวียนอยู่กับการขนพัสดุต่างๆ จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งตลอดทั้งเกม และมีส่วนที่เป็นเกมแอคชั่นเบาๆ อยู่เพียงประปรายเท่านั้นตลอดระยะเวลาการเล่นส่วนใหญ่ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะถามว่าแปลว่าเกมน่าเบื่อหรือเปล่า คำตอบที่ผู้เขียนให้ได้ดีที่สุดคือเกมไม่ได้น่าเบื่อ แต่ก็อาจจะไม่ได้ สนุก ในลักษณะเดียวกับเกมส่วนใหญ่ๆ ในตลาดเช่นเดียวกัน คำจำกัดความที่ผู้เขียนรู้สึกว่าถ้าจะใช้คำที่เหมาะสมกว่า สนุก น่าจะเป็นคำว่า เพลิน มากกว่า เพราะแม้ว่าเกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการนำพัสดุไปส่ง แต่ก็มีระบบยิบย่อยต่างๆ อย่างการบริหารน้ำหนักกระเป๋าสะพาย หรือการตามหาทรัพยากรต่างๆ มาใช้เพื่อสร้างอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลาย ทำให้การส่งของทุกครั้งจำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อนในแง่ของการวางแผน แถมเนื้อเรื่องของเกมยังทำออกมาได้อย่างมีคุณภาพและน่าติดตาม เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นออกไปทำภารกิจเพื่อปลดล็อคเนื้อเรื่องต่อไปเรื่อยๆ นั่นเอง เกม Death Stranding อาจจะไม่ได้เน้นเกมเพลย์ที่ตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา แต่ก็เพลิดเพลิน เล่นได้เรื่อยๆ รวมไปถึงภายในเกมที่มีศัตรูให้สู้อยู่บ้าง ในรูปแบบของโจร ผู้ก่อการร้าย และเหล่าผี BT รูปแบบต่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีบ่อยนัก ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของเกม Death Stranding นั้นจะเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย เมื่อประชากรมนุษย์ต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ปริศนาในชื่อ Death Stranding ส่งผลให้โลกแห่งความตายล้นทะลักเข้าสู่โลกของคนเป็น ทำให้เหล่าคนตายหรือพวกผีที่เกมเรียกว่า BT ออกอาละวาดจู่โจมผู้คน และทำให้เกิดฝนเวลาที่เรียกว่า Time Fall ซึ่งจะดูดเวลาของคนที่โดนฝนไปเรื่อยๆ ทำให้มนุษย์ที่ตากฝนเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ถึงกับแก่ตายไปในพริบตาได้เลย เพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายอันใหญ่หลวงทั้งสอง มนุษย์ที่ยังเหลือรอดจึงถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งหลบภัยใต้ดินที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ประเทศ ในขณะที่สิ่งปลูกสร้างตั้งแต่อาคารไปจนถึงถนนบนดินเกือบทั้งหมดที่เคยมีถูกฝน Time Fall ชำระล้างไปจนไม่เหลือแม้แต่ซาก คนทั่วไปจึงต้องพึ่งพากลุ่มคนส่งของที่เกมเรียกว่า Porter เป็นหนทางหลักในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนทรัพยากรกันระหว่างแหล่งหลบภัยแต่ละที่นั่นเอง ถึงอย่างนั้น กระทั่งชาว Porter นี้ก็ยังต้องเอาตัวรอดจากฝน Time Fall และเหล่า BT ด้วยในระหว่างการเดินทาง ทำให้การสื่อสารและส่งของด้วยวิธีดังกล่าวมีความเสี่ยงมาก ทำให้แหล่งหลบภัยแต่ละที่แทบจะตัดขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นตัวละครหลัก Sam Bridges (รับบทโดย Norman Reedus) บุรุษส่งของในตำนานผู้รักสันโดษ เขาถูกมอบหมายภารกิจสำคัญโดยประธานาธิบดีคนสุดท้ายของอเมริกาในการเชื่อมต่อแหล่งหลบภัยเข้าด้วยกัน ผ่านเครือข่าย Chiral Network ในเกมนี้เปรียบเสมือนอินเตอร์เน็ตที่ทำให้สามารถส่งทั้งข้อความและทรัพยากรที่ไม่มีชีวิต เช่นเหล็ก กระเบื้อง หรือปูนไปหากันระหว่างแหล่งหลบภัยแต่ละที่ได้ เพื่อเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกันและทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่รวมตัวกัน หรือสหรัฐ(United) อีกครั้ง ผ่านภารกิจในการเดินทางไปยังแหล่งหลบภัยทั่วอเมรีกา เพื่อเชื่อมต่อทุกคนเข้าด้วยกัน แต่ไหนๆ จะลำบากเดินทางไกลแล้ว จะไปตัวเปล่าก็น่าเสียดาย เกมจึงมักจะให้ Sam นำพัสดุจากแหล่งหลบภัยหนึ่งไปส่งที่แหล่งหลบภัยอื่นต่อไปเรื่อยๆ ด้วย จะได้ไม่เสียเที่ยว จึงเป็นที่มาของเกมเพลย์ "จำลองชีวิตบุรุษไปรษณีย์" ของเกมนั่นเอง (เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสปอยให้มากที่สุด เราจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องนอกจากบทย่อ แต่จะขอพูดถึงความรู้สึกโดยรวมที่ได้รับจากเนื้อเรื่องมากกว่า) การติดตามปะติดปะต่อเนื้อเรื่องของ Death Stranding ในช่วงต้นของเกมนั้นค่อนข้างยาก ส่วนหนึ่งมาจากลวดลายการเล่าเรื่องของคุณโคจิม่า ที่ค่อยๆ เปิดปริศนาและตัวละครใหม่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการคลี่คลายปริศนาเก่าๆ ทำให้ผู้เล่นเกิดคำถามในหัวตลอดเวลา แถมยังกั๊กการคลายปมทั้งหมดไปไว้ช่วงท้ายสุดของเกม อีกส่วนมาจากการที่เกมมักจะใช้ศัพท์ค่อนข้างยาก ทั้งคำศัพท์ที่มีอยู่จริงและคำศัพท์ไซไฟต่างๆ จนบางครั้งก็ตามไม่ทันเหมือนกันว่าตอนนี้ตัวละครกำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าปริศนาที่เกมยกขึ้นมาก็น่าสนใจมากพอที่จะทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากรีบเล่นต่อเพื่อไขปริศนาของเกมอยู่เสมอเช่นกัน เคยมีคำพูดจากคุณ ชูเฮย์ โยชิดะ (ประธานบริษัท Sony Interactive Entertainment ผู้ดูแลเกม Exclusive ของ PS4 ทั้งหมด) ที่บรรยายการเล่าเรื่องของเกม Death Stranding เป็นเหมือน ซีรี่ส์ทาง Netflix ที่มีคุณภาพสูงเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นคำจำกัดความที่ดีสำหรับเกม Death Stranding ที่เล่าเนื้อเรื่องในลักษณะเป็น Episode หรือเป็นตอนๆ แต่ละตอนจะมีความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญแต่ละตัวที่ผู้เล่นพบเจอระหว่างทาง แก่นหลักของเรื่องมักจะมีความเกี่ยวข้องกับธีมของความเป็นความตาย และจิตวิญญาณ รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นและคนตาย ซึ่งโคจิม่าเขียนบทออกมาได้หนักแน่นและน่าดึงดูด นอกจากนี้การแสดงของเหล่าดาราระดับฮอลลีวู้ดมากมายยังส่อิทธิพลให้การเคลื่อนไหวและสีหน้าของตัวละครมีความละเอียดในระดับที่ยังหาเกมอื่นเทียบได้ยาก ถ้า Call of Duty: Modern Warfare ภาคใหม่ไม่ออกมาซะก่อน ผู้เขียนคงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำไปแล้วว่านี่คือเกมที่ใช้เทคโนโลยีการแสกนและ Motion Capture ใบหน้านักแสดงได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว (ตอนนี้ถือว่าสูสีกัน) ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของ Death Stranding เหมือนจะถูกออกแบบมาให้เล่นให้จบในเวลาที่สั้นที่สุด เช่นเดียวกับซีรี่ส์ Netflix ที่มักจะปล่อยออกมาพร้อมกันทีเดียวโดยหวังให้ผู้ชมนั่งดูหนึ่งรวดจบ เพราะทุกรายละเอียดมีความหมายในภาพรวม เหตุการณ์ตอนต้นอาจมีนัยยะสำคัญมากในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้ถ้าเว้นระยะการเล่าเรื่องระหว่างฉากนานเกินไปอาจจะส่งผลให้ผู้เล่นรู้สึกขาดตอนได้ เหมือนบางทีก็ลืมไปแล้วว่าตอนต้นเรื่องที่เราเล่นไปเมื่อ 30 กว่าชั่วโมงที่แล้วมีรายละเอียดยังไงบ้าง โดยเกมมักจะเล่ารายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ออกมาในคัตซีนและการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง Sam และตัวละครอื่นในระหว่างที่เดินทางอยู่ ซึ่งบางจังหวะก็ทำให้พลาดข้อมูลสำคัญไปได้ง่ายๆ เพราะมัวแต่พยายามปีนเขาอยู่ เป็นต้น หรืออาจจะมีระยะการเดินทางไกลและใช้เวลา ทำให้หลงลืมรายละเอียดบางส่วนที่เพิ่งรับรู้มาระหว่างที่พยายามจัดการกับการเล่นเกมจริงๆ กล่าวโดยสรุปว่าเนื้อเรื่องของ Death Stranding มีความลึกซึ้งและน่าค้นหามาก บทพูดเองก็เขียนมาดีระดับหนังฮอลลีวู้ดแม้จะเข้าใจยากในบางจุด แถมแก่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็น ความตาย และความสัมพันธ์ยังสื่อออกมาได้อย่างแยบยลผ่านทั้งบทสนทนา การแสดง และ Art Direction หรือการออกแบบศิลป์ของเกม ที่ล้วนแต่ช่วยเสริมกันและกันได้อย่างพอดีผ่านวิสัยทัศน์ของคุณโคจิม่า แต่ด้วยรายละเอียดในเนื้อเรื่องที่ถูกขั้นโดยเกมเพลย์ ทำให้การติดตามปะติดปะต่อปริศนาต่างๆ ค่อนข้างยาก เหมือนคุณโคจิม่ากำลังพยายามเขียนหนังที่สามารถเสพได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง มากกว่าเกมที่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์เพื่อเล่นให้จบ และไม่สามารถย้อนกลับไปดูตอนก่อนหน้าได้ ◊ เกมเพลย์ ◊ สำหรับเกมเพลย์ของ Death Stranding นั้นจะมีลักษณะเป็นวงจร เริ่มจากการรับภารกิจจากแหล่งหลบภัยหนึ่ง เลือกจัดพัสดุและอุปกรณ์ ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังแหล่งหลบภัยต่อไปเพื่อส่งพัสดุและดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปนั่นเอง แม้ว่าในภาพใหญ่แล้ว เกมเพลย์ของ Death Stranding จะเป็นการนำของจากจุด A ไปส่งจุด B เท่านั้น แต่การส่งของแต่ละครั้งก็มีความละเอียดอ่อนในด้านการวางแผนที่ต้องพิจารณามากมายด้วย สิ่งแรกที่ผู้เล่นจะต้องทำคือการเลือกว่าจะบรรทุกพัสดุไปส่งอย่างไร โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกที่จะแบกพัสดุไว้บนหลังก็ได้ถ้าชิ้นใหญ่ หรือถ้าชิ้นเล็กหน่อยก็อาจจะแขวนไว้บนราวที่ติดมากับชุดก็ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นยังต้องเลือกว่าจะนำอุปกรณ์อะไรติดตัวไปใช้ระหว่างเดินทางบ้าง ไม่ว่าจะเป็นบันไดพับ เชือกปีนเขา ตลอดจนอาวุธและยาเพิ่มเลือดต่างๆ ซึ่งผู้เล่นสามารถสร้างได้โดยการใช้ทรัพยากรต่างๆ การเลือกตำแหน่งการบรรทุกของเหล่านี้มีความสำคัญมากๆ เพราะถ้าเกลี่ยน้ำหนักของสิ่งของที่แบกอยู่ให้สมดุลทุกด้าน หรือแบกของหนักเกินไป อาจจะทำให้ตา Sam หกล้มระหว่างทางได้ ซึ่งก็จะทำให้พัสดุตกหล่นเสียหายและส่งผลลบต่อการประเมินหลังทำภารกิจด้วย เมื่อจัดแจงของเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการออกเดินทางเพื่อนำของไปส่งนั่นเอง ผู้เล่นก็ต้องพิจารณาว่าจะเลือกใช้เส้นทางไหนในการเดินทางบ้างซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่นสองคนต่างกันอย่างมากเลยก็ได้  อย่างผู้เขียนเป็นคนที่ชอบเดินทางเป็นเส้นตรงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ทำให้บางครั้งก็ต้องเผชิญกับสภาพภูมิประเทศที่ไม่เป็นมิตร อย่างการข้ามภูเขาหิมะหรือเหว ในขณะที่ผู้เล่นอีกคนอาจจะเลือกที่จะใช้เส้นทางที่อ้อมกว่าแต่ภูมิประเทศมีความราบเรียบเดินทางสะดวกกว่า โดยผู้เล่นจะสามารถสำรวจภูมิประเทศด้วยการเปิดแผนที่ดู หรือจะใช้ตัว Odradek Scanner ที่ติดไหล่ตัวเอกเพื่อแสกนพื้นที่ด้านหน้าเพื่อหาเส้นทางที่น่าเดินทางไปมากที่สุดซึ่งก็ทำให้การเดินทางของทุกคนต่างกันไปด้วย สิ่งที่น่าสนใจอย่างแรกเกี่ยวกับการเล่นเกมก็คือระบบการแบ่งสิ่งของและสิ่งปลูกสร้างของผู้เล่นต่างๆ ที่จะทำให้สิ่งที่ผู้เล่นต่างๆ สร้างเอาไว้ในโลกของตัวเองถูกส่งไปอยู่ในโลกของผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วย เช่นผู้เล่น A อาจจะสร้างสะพานเอาไว้ตรงจุดหนึ่ง ผู้เล่น B ก็จะสามารถมองเห็นและใช้สะพานนั้นได้ราวกับมันมีอยู่ในเกมมาตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างถนน บ้านพัก หรือที่ชาร์จแบตเตอรี่ส่วนตัวด้วยการนำวัตถุดิบอย่างเหล็กหรือกระเบื้องมาใส่เข้าในเครื่อง หรือกระทั่งส่งของให้กันผ่านทางตู้เก็บของก็ยังได้ ซึ่งแม้ว่าผู้เล่นทั้งหลายจะไม่ได้พบเจอกันหรือสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้โดยตรง แต่ทุกคนก็สามารถร่วมมือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคได้ เสมือนว่าเกมต้องการจะสื่อว่าแม้ว่าเราจะเหมือนอยู่คนเดียวในเกมตลอดการเดินทางข้ามทวีป แต่แท้ที่จริงแล้วเราก็มีแรงเกื้อหนุนจากเหล่าผู้เล่นคนอื่นที่กรุยทางมาให้ก่อนแล้ว ระหว่างการเดินทาง เราจะสามารถพบเจอกับพัสดุที่เหล่าผู้เล่นหรือ NPC ทำตกหล่นเอาไว้ได้ (ของที่เราทำหล่นไว้ก็จะสามารถมีผู้เล่นอื่นมาเก็บไปส่งได้เช่นกัน) ซึ่งเราสามารถนำของเหล่านี้ไปส่งตามแหล่งหลบภัยต่างๆ เพื่อเก็บค่าความสามารถให้ Sam เช่นแบกน้ำหนักได้มากขึ้น หรือทำให้พัสดุเสียหายน้อยลงเวลาล้มเป็นต้น นอกจากนี้ เรายังสามารถพบกับกล่องวัตถุดิบหลากชนิด ระหว่างทางได้ด้วย ซึ่งกล่องเหล่านี้ก็สามารถเก็บมาบริจาคคืนแหล่งหลบภัยเพื่อสะสมไว้สร้างอุปกรณ์หรือกระทั่งยานพาหนะได้ ระบบเกมเพลย์การขนของนี้อาจจะฟังดูยุ่งยาก (ซึ่งเอาเข้าจริงก็แอบยุ่งยากอ่ะแหละ) แต่ก็มีความท้าทายในแบบของมันเองอยู่ด้วย ผู้เล่นจะต้องใส่ใจกับสภาพแวดล้อมของตัวเองเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่ขนพัสดุขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากๆ นอกจากนี้ยังต้องคอยสังเกติตา Sam ตลอดเวลาไม่ให้ล้มจนของเสียหายด้วยการกด R2 หรือ L2 ค้างเอาไว้เพื่อถ่ายน้ำหนักไปทางขวาหรือซ้ายอยู่เรื่อยๆ แถมการเลือกเส้นทางเดินก็มีความสำคัญ เพราะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของพัสดุ เช่นห้ามเปียกน้ำหรือห้ามเสียหาย หรือบางภารกิจอาจจะมีจำกัดเวลาด้วยว่าต้องไปส่งให้ได้ในเวลาเท่าไหร่ ทำให้เกมยังคงต้องใช้ความใส่ใจในการเล่น มากกว่าแค่เดินไปเรื่อยเปื่อย แต่นอกจากภูมิประเทศที่ไม่เป็นมิตรแล้ว อีกสองอุปสรรคใหญ่ๆ ที่ทำให้การใช้ชีวิต Porter ของตา Sam มีความลำบากก็คือเหล่าศัตรูที่เป็นมนุษย์อย่างโจรกับผู้ก่อการร้าย และเหล่าศัตรูที่เป็นผี BT นั่นเอง โดยศัตรูทั้งสองชนิดนี้จำเป็นต้องใช้การรับมือที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมักจะถูกวางเอาไว้ในจุดที่หลบเลี่ยงลำบากเสมอๆ เหล่าศัตรูที่เป็นมนุษย์จะสามารถใช้วิธีแบบเกมแอคชั่นในการรับมือ เช่นการต่อยให้สลบหรือใช้ปืนยิง หรือการลอบเร้นด้วยการหลบในพงหญ้าเพื่อเก็บศัตรูอย่างเงียบๆ เป็นต้น โดยคนที่เคยเล่นเกมอย่าง Metal Gear Solid 5: Phantom Pain มาก่อนน่าจะรู้ว่า A.I. ในเกมของคุณโคจิม่านั้นฉลาดมากๆ แม้ว่าเหล่าศัตรูมนุษย์ในเกมนี้อาจจะไม่ได้เก่งเท่าใน Metal Gear แต่ก็ค่อนข้างฉลาด จะหลบในพงหญ้าแล้วแอบเก็บง่ายๆ ทีละตัวนี่อย่าหวังเลย ในขณะเดียวกันเหล่า BT มักจะพบได้ในจุดที่มีฝน Time Fall ตกหนัก และเกมจะหยุดเตือนเราทุกครั้งเมื่อเราเข้าใกล้ BT ถึงระยะหนึ่ง โดยจะเป็นเหมือนอุปสรรคทางภูมิประเทศมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ศัตรูเหล่านี้มักจะบังคับให้ผู้เล่นเปลี่ยนวิธีหรือจังหวะในการเคลื่อนที่มากกว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากันตรงๆ จนกว่าผู้เล่นจะทำเสียงดังหรือเดินชน BT เข้าให้ โดย BT จะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพื่อเตือน ก่อนที่จะพยายามดึงผู้เล่นลงสู่น้ำสีดำที่ซึมขึ้นมาจากพื้น โดยผู้เล่นจะมีโอกาสเอาตัวรอดด้วยการสลัดเหล่าวิญญาณคนตายที่โผล่ขึ้นมาดึงตัวเราและพาตัวเองออกไปจากวงน้ำสีดำให้ได้นั่นเอง ถ้าผู้เล่นถูกดึงลงสู่วงน้ำจะทำให้มีบอส BT ตัวใหญ่ๆ ออกมา ซึ่งเราต้องเอาชนะบอสให้ได้ ไม่ก็หนีออกจากพื้นที่วงน้ำสีดำให้ได้เพื่อเอาตัวรอด แต่ถ้าเอาชนะบอสลงได้นอกจากจะทำให้ฟ้าใสแล้ว ยังจะทำให้เราสามารถเก็บแร่ Chiral Crystal เพื่อใช้สร้างอุปกรณ์หรือสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนมากได้ด้วย การถูก BT จับได้จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว ตราบใดที่เราสามารถเอาชนะบอสเหล่านั้นลงได้ องค์ประกอบสำคัญในการรับมือกับเหล่า BT ก็คือเด็กทารกที่อยู่บนอกของ Sam หรือ BB นั่นเอง โดย BB จะทำงานร่วมกับเครื่อง Odradek Scanner บนไหล่เราเพื่อบอกตำแหน่งของ BT ตัวที่ใกล้ที่สุด และทำให้เรามองเห็น BT ได้เมื่อหยุดอยู่กับที่ด้วย โดยผู้เล่นจะต้องคอยระวังไม่ให้ BB เครียดมากเกินไปจากการกระทำต่างๆ เช่นการเดินลุยน้ำหรือการเข้าใกล้ BT มากๆ รวมไปถึงการลื่นหกล้มอีกด้วย ผู้เล่นจะสามารถลดความเครียดของ BB ได้ด้วยการโอ๋เวลาน้องร้องไห้ แต่ถ้าปล่อยให้เครียดจนหลอดหมดก็จะทำให้เราไม่สามารถมองเห็นหรือจับตำแหน่งของ BT ได้จนกว่าจะพา BB ไปรักษาที่แหล่งหลบภัยที่ใกล้ที่สุด การดูแล BB จึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในระหว่างการเดินทาง เพราะเราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ฝนจะตกและเหล่า BT จะออกมาหากิน ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่ต้องบอกก็คงพอจะนึกกันออกแล้วว่าระบบเกมเพลย์ของ Death Stranding มีความลึกมากๆ แม้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้เล่นจะต้องทำส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการส่งของก็ตาม ซึ่งเกมอาจจะไม่ได้สนุกตลอดเวลาโดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางระยะไกลๆ โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่นัก แต่ในจังหวะที่ทุกอย่างลงตัวก็ต้องชมคุณโคจิม่าอีกครั้งที่ออกแบบทุกอย่างให้เข้ากันได้อย่างพอดี ระบบเกมเพลย์ทำให้การเดินทางส่งของม่ีความท้าทายและน่าสนใจมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมื่อเริ่มปลดล๊อคอุปกรณ์มากขึ้น และมีระบบการร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นเข้ามาเสริม ทำให้การเล่นเกมมีความน่าสนใจมากขึ้น แถมยังถูกผูกเข้ากับแก่นของเรื่องที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และการเชื่อมต่อซึ่งกันและกันอีกด้วย อาจจะพูดได้ว่าแม้ว่าเราจะรู้สึกเหมือนเล่นเกมอยู่คนเดียว แต่เรากำลังร่วมมือกับผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อผ่านเกมไปด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว ◊ กราฟิก/การนำเสนอ ◊ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Death Stranding น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่ใช้เทคโนโลยีการแสกนหน้านักแสดงและการ Motion Capture ท่าทางการขยับร่างกายได้ดีที่สุดเกมหนึ่ง บางคนอาจบอกว่าดีกว่าเกมที่ขึ้นชื่อเรื่องความสมจริงอย่าง Red Dead Redemption 2 ด้วยซ้ำ แม้ว่าสีหน้าของตัวละครเป็นอะไรที่สามารถถูกควบคุมได้ (ดังที่เห็นจากภาพมีม Photo Mode ทั้งหลาย) สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องแววตาตัวละคร ซึ่งสะท้อนความรู้สึกของนักแสดงออกมาได้เต็มที่ราวกับมีชีวิต ตาไม่ลอยเหมือน NPC ในเกมทั่วๆ ไปเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าความสมจริงทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้การเล่าเรื่องในฉากคัตซีนต่างๆ มีคุณภาพสูงมาก ในบางมุมเกือบจะดูเหมือนภาพ Live-Action ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ใช่เพียงแค่ตัวละครเท่านั้นที่สมจริงราวกับมีชีวิต โลกของเกมเองก็เช่นกัน แม้ว่าอเมริกาของเกมจะไม่ได้มีขนาดเท่าทวีปในชีวิตจริง (ไม่งั้นเล่นกันทั้งปีก็ไม่จบ) แต่ก็ยังใหญ่พอให้มีภูมิภาคต่างๆ ที่มีภูมิประเทศแตกต่างกันชัดเจน แถมเกมยังมีระยะการมองเห็น (Draw Distance) ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ส่งผลให้รู้สึกตลอดเวลาว่าโลกของเกมมีความกว้างใหญ่ และทำให้ผู้เล่นรู้สึกได้ถึงความยากลำบากของตัวละครหลักในการฝ่าฟันระยะทางเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย อีกหนึ่งองค์ประกอบที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้คือเรื่องของการออกแบบศิลป์หรือ Art Direction ของเกม ซึ่งครอบคลุมไปถึงการออกแบบทุกอย่างในเกมนั่นเอง เกมสามารถสร้างตัวตนที่แตกต่างจากเกมแนวใกล้เคียงกันที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของ Sam ไปจนถึงสิ่งปลูกสร้างของเกม ที่ออกแบบมาให้มีความเป็นไซไฟแต่ก็ยังดูสมจริง หรือกระทั่งดีไซน์ของเหล่า BT ในเกม ที่ทำออกมาได้มีเอกลักษณ์และน่ากลัวได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็นเพียงเงาๆ ก็ตาม ที่น่าชื่นชมพอๆ กันคือการที่เกมแทบจะไม่มีบั๊คหรือปัญหาด้านการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเลยตลอดการเล่นของผู้เขียน อาจจะมีเพียงครั้งเดียวช่วงท้ายเกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเกิดบั๊คเล็กๆ ขึ้นกับเครื่อง Odradek Scanner แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร และเกมก็แก้ไขตัวเองในเวลาไม่นานอีกด้วย ที่สำคัญคือแม้ว่าเกมจะมีรายละเอียดในด้านกราฟิกแค่ไหน แต่ผู้เขียนไม่เคยรู้สึกถึงอาการเฟรมตกหรือกระตุกเลยแม้แต่น้อย นอกจากหน้าจอโหลดที่โผล่ขึ้นมาตอนเข้าเกมครั้งแรก (และอีกประปรายเวลาเข้าหรือออกคัตซีนใหญ่ๆ) เกมก็ไม่มีการโหลดอีกเลย ซึ่งในจุดนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าสดชื่นมาก เพราะขนาดเกมโลกเปิดหลายเกม ที่มีรายละเอียดและระบบการเล่นที่ลึกซึ้งน้อยกว่านี้หลายขุม ยังวางจำหน่ายพร้อมบั๊คเต็มเกมให้เห็นอยู๋บ่อยๆ การมีเกมที่คุณภาพสูงเท่า Death Stranding แต่กลับไม่มีปัญหาด้านเทคนิคจึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจทุกครั้งที่ได้เล่น องค์ประกอบสุดท้ายคงเป็นเรื่องของเสียง (เสียงพากย์คงไม่ต้องพูดถึง ดูจากนักแสดงแต่ละคน) เกมมักเลือกเปิดเพลงขึ้นในจังหวะที่เดินทางใกล้ถึงที่หมาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษ เพราะช่วยเสริมความรู้สึกของการเข้าใกล้ที่หมายได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเพลงที่เกมเลือกใช้ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเพลงจากวงค์ที่ชื่อว่า Low Roar ซึ่งเป็นวงแนว Post-rock จากศิลปินชาวอเมริกันและไอซ์แลนด์ ให้อารมณ์เศร้าๆ เปลี่ยวๆ แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง ต้องชมทีมพัฒนาเกมที่สามารถเลือกเพลงมาให้เสริมอรรถรสของเกมได้กลมกล่มขนาดนี้ ◊ สรุป ◊ ถ้าสุดท้ายต้องตอบว่าเกม Death Stranding สนุกแค่ไหน ก็คงต้องตอบว่าเกมคงไม่ได้สนุกสำหรับทุกคน ด้วยเกมเพลย์ที่ค่อนข้างช้า และเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนเข้าถึงยาก แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้ว ก็คงได้แต่ยอมรับว่า Death Stranding เป็นเกมที่สร้างออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ในแง่ของวิสัยทัศน์เบื้องหลังองค์ประกอบต่างๆ ของเกม แม้ว่าเกมจะแปลกๆ อยู่บ้างตามสไตล์ของคุณโคจิม่า แต่ Death Stranding ก็ยังเป็นเกมที่น่าเล่น อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์การเล่นเกมแบบ เล่นคนเดียวร่วมกับคนอื่น ที่แปลกใหม่ น่าลุ้นว่าในอนาคตคุณโคจิม่าจะสร้างเกมที่ใช้ระบบแบบนี้ออกมาอย่างไรอีกในอนาคต ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="32748"]
01 Nov 2019
รีวิว Fallen Knight เกมมือถือฝีมือคนไทยใน Apple Arcade
มากันอีกหนึ่งเกมในปีนี้แต่รอบนี้มาในรูปแบบฉบับเกมมือถือนั่นคือเกม Fallen knight เกม action Side Scrolling ค่ายน้องใหม่ฝีมือคนไทยอย่าง Fairplay Studios ด้วยเกมเพลย์สไตล์ Rockman โดยการออกแบบตัวละครที่ทันสมัย ให้อารมณ์เหมือน Spiral Knight ผสานกับการดึงข้อดีของเกม action สมัยใหม่มาผสมกันได้อย่างลงตัวและออกมาเป็นตัวเกมในรูปแบบที่ดูสดใหม่และมีการนำเสนอเนื้อที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย เนื้อเรื่อง จะเล่าถึงเรื่องราว ในโลกอนาคตของ กลุ่มอัศวินโต๊ะกลม ที่ได้ค้นพบ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า Holy Grail และยังพบว่ามันสามารถให้พลังงานบริสุทธิ์อันไร้ขีดจำกัดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยมี Cathedral เป็นองค์กรที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลพลังงานศักดิ์สิทธิ์นี้ Cathedral จึงได้ทำการสร้าง หอคอยศักดิ์สิทธิ์ Holy Pilar ขึ้นมา 4 แห่งทั่วโลก เพื่อเป็นแหล่งบรรจุและเป็นตัวกระจายพลังงานศักดิ์สิทธิ์นี้ให้กับทุกๆคน แต่กลุ่มก่อการร้ายที่ขนานนามตัวเองว่า The Purge ได้ประกาศที่จะเปิดเผยความจริงว่า Holy Grail นั้นไม่ใช่พลังงานศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่ทุกคนคิด และจะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ The Purge เริ่มต้นด้วยการก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย 5 จุดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อสร้างความรุนแรงและความโกลาหลให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่ของ Cathedral ซึ่งแต่ละจุดจะมีเหล่ายอดนักรบของThe Purge อย่าง “ผู้ชำระล้างทั้งหก” (The 6 Purifiers) เป็นผู้นำในการก่อสร้างความวุ่นวายในแต่ละจุด ตัวเกมเราจะรับบทเป็น Lancelot และ Galahad (คู่หูของ Lancelot) ในฐานะอัศวินโต๊ะกลม ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ Cathedral ต้องรีบออกไปรับมือกับสถานการณ์ให้เร็วที่สุด ส่วนตัว ที่ได้ดูเนื้อเรื่องครั้งแรกก็ติดว่ามันไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะของที่มาใครเป็นอะไรมาจากไหนแต่นี่ก็อาจจะเป็นความจงใจของผู้พัฒนาใส่ไว้เพื่อให้เราโฟกัสกับเกมเพลย์และเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป เกมเพลย์ มีจุดเด่นในการเล่นคือ การควบคุมและโจมตีที่รวดเร็วลื่นไหล มีระบบแพรี่ และ เค้าเตอร์ศัตรู แถมยังฟื้นตัวด้วยระบบ soul คล้ายกับ hallow knight ในเกมเราต้องทำมิชชั่นเพื่อหยุดยั่ง The 6 Purifiers บอสทั้ง 6 ตัวในเกม ซึ่งมีรูปแบบการต่อสู้ที่แตกต่างกัน ความยากในระดับที่หัวร้อนกันได้เลยทีเดียว ความรู้สึกหลังจากได้บังคับตัวละครเกมนี้สักพัก ว่าการขยับตัว โมชั่นต่างๆ ดูลื่นไหลมากสำหรับเกมมือถือและศัตรูก็ไม่ได้แค่ระเบิดไปเฉยๆแต่ก็มีโมชั่นต่างกันด้วยครับ "ตาแดงๆแบบนี้เตรียมตัวสวนได้เลย" ในเกมยังมีระบบ Customize เป็นระบบปลดล็อคสกิลตัวละคร ทำให้เรามีการเคลื่อนไหว การโจมตีใหม่ๆ เราสามารถปรับแต่งและเลือกอัพได้ตามที่ถนัดครับระบบ Shop ร้านค้าที่ใช้ Honor point ในการเพิ่มระดับความสามารถของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้ดีดูไม่โกงเกินไปหรือดูน่าเบื่อเกินไปเกมดำเนื้อเรื่องได้รวดเร็วตามสไตล์เกม action บอสตัวแรกที่เจอนี่เล่นเอาผมต้องปรับตัวอยู่พักนึงเลยคิดว่าจะหมู แต่การออกท่าโจมตีของบอสในเกมนี้ไม่ธรรมดาจริงๆถ้าใครคิดจะจำท่าทั้งหมดก็คงจะงานหนักหน่อยครับ สรุปหหลังจากที่ได้เล่นเกมนี้ส่วนตัว รู้สึกเหมือนเกมนี้พยายามนำเอาข้อดีของเกมรุ่นพี่หลายๆเกมมาปรับปรุงเพื่อให้เป็นสไตล์ของตัวเองและทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร โมชั่นการขยับตัวต่างๆของศัตรู แม้แต่ฉากหลังของแต่ละด่านก็ทำออกมาได้ดีและใส่ใจในรายละเอียด และทำให้เรารู้สึกย้อนวัยในนึกถึงบรรยากาศที่ชวนคิดถึงเมื่อนานมาแล้ว และ ความประทับใจหลังจากโค่นบรรดาบอสพวกนี้ลงได้ สำหรับใครที่เป็นแฟนร็อคแมนหรือเกมประเภทนี้เกมนี้คือเกมที่คุณต้องผ่านมือสักครั้ง ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="32685"]
01 Nov 2019
รีวิว The Outer Worlds หนึ่งในเกม Action - RPG ยอดเยี่ยมประจำปี 2019
The Outer Worlds ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ใครหลาย ๆ คนจับตามอง เนื่องจากเป็นการทำเกมของยอดทีมงานอย่าง Obsidian Entertainment อีกทั้งยังออกมาชนกับเกมขวัญใจมหาชนอย่าง Call of Duty : Modern Warfare อีก แสดงว่าทีมงานจะต้องมั่นใจในเกมของพวกเขาพอสมควร ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ขอเชิญพบรีวิวกับหนึ่งในเกม Action - RPG ยอดเยี่ยมประจำปี 2019 ที่คุณต้องหามาลองเล่นให้ได้ เนื้อเรื่อง The Outer Worlds ว่าด้วยเรื่องราวของยุคอนาคตที่บริษัทใหญ่ต่างมีอำนาจมากมายมหาศาล และเริ่มที่จะส่งมนุษย์ออกไปยังดาวอาณานิคมต่าง ๆ เราคือหนึ่งในผู้อพยพที่กำลังจะเดินทางไปยังกลุ่มดาว Halcyon แต่แล้วยานโดยสารของเราก็เกิดหลงทางจนไปไม่ถึงยังสถานที่เรากำหนดไว้ แต่แล้วเรากลับถูกช่วยโดย Phineas Welles นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการปลดปล่อยอาณานิคมแห่งนี้ เนื้อเรื่องของเกม The Outer Worlds จะเริ่มต้นด้วยการไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ทำให้ในช่วงแรกของเกมเราอาจจะงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่เมื่อเราเล่นไปสักพักหนึ่งตัวเกมจะเริ่มปล่อยข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Lore ในเกม ผ่านบทสนทนาต่าง ๆ จากการสอบถาม NPC ให้เราทีละนิดจนทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนเราเข้าใจในที่สุด ซึ่งทำออกได้ดีเลยทีเดียว โดยในส่วนของการดำเนินเนื้อเรื่องนั้นแต่ละคนจะออกมาไม่เหมือนกัน เพราะตัวเกมจะมีระบบในการเลือกตอบคำถาม ซึ่งบางค่าจะต้องใช้ Stat ในการตอบด้วย ดังนั้นอย่าแปลกใจที่หากคุณเล่นเกมนี้พร้อมกันกับเพื่อนแล้วเนื้อเรื่องแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เกมเพลย์ The Outer Worlds นำเสนอความเป็น Action - RPG - Sandbox ที่ยอดเยี่ยม ตัวเกมจะให้เราเลือกแนวทางการเล่นตั้งแต่การสร้างตัวละคร โดยเราจะมีทางเลือกในการสร้างตัวละครที่หลากหลายตามแนวทางการเล่น ตั้งแต่สายต่อสู้ระยะประชิดไปจนถึงสายเจรจาที่เน้นการร่วมมือกับคู่หูเป็นต้น ในโลกของ Outer World จะไม่ได้เป็นเกม RPG แบบโลกเปิดเหมือนกับเกมอื่น ๆ แต่จะเป็นแผนที่เล็ก ๆ หลาย ๆ แผนที่ต่อ ๆ กันไป โดยเราจะมียานอวกาศของเราเป็นเสมือนกับแหล่งเชื่อมต่อไปยังดินแดนต่าง ๆ ถึงกระนั้นแม้จะเป็นแผนที่เล็ก ๆ แต่ก็มีความลึกในการสำรวจอีกทั้งยังน่าค้นหาอีกด้วย ซึ่งในเกมนี้ Stat ทุกอย่างมีผลต่อเกมการเล่นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมวดของ Dialog ที่หากค่า Stat บางอย่างของเรามีเพียงพอเควสบางเควสอาจจะจบลงแบบไม่ต้องมีใครนองเลือดหรืออาจจะประหยัดระยะเวลาในการทำเควสไปเลย นอกจากนี้ Stat ในหมวดนี้ยังมีผลต่อการพูดคุยกับ NPC เช่นหากเรามีค่า Medicine สูงพอ เราสามารถที่จะวินิจฉัยโรคให้กับ NPC ได้เลยทันทีทำให้ไม่ต้องไปหาข้อมูลว่าต้องใช้ยาอะไรในการรักษาโรค หรือหาก NPC ป่วยแล้วบอกไม่ให้เราเข้าใกลแต่หากเรามีค่า Strange มากพอ NPC ก็จะเปิดใจกับเราเป็นต้น นอกจากนี้ระบบเควสในเกมจะขึ้นแต่ลูกศรบอก Objective แต่การรับเควสนั้นจะไม่เหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่ NPC จะมีสัญลักษณ์ขึ้นบนหัวชัดเจน เราจะต้องที่จะเข้าไปสอบถามกับ NPC เอง ซึ่งเควสในเกมนี้มีมากมายหลายเควส อีกทั้งแต่ละเควสก็มีความน่าสนใจมาก ๆ จนทำให้เนื้อเรื่องหลักของเราแทบจะไม่เดินเลยทีเดียว ซึ่งการทำเควสนอกจากจะได้ค่าประสบการณ์แล้ว ยังทำให้เราเข้าใจตัวเกมมากขึ้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เกมการเล่นของ Outer Worlds ลึกมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันตัวเกมก็มาพร้อมกับหนึ่งในข้อเสียที่หลาย ๆ คนน่าจะคิดออกนั่นคือเรื่องภาษา เนื่องจากตัวเกมต้องใช้การอ่านเยอะมาก อีกทั้งยังต้องใช้ความเข้าใจในบริบทของการสนทนาเพื่อที่จะตอบคำถาม ทำให้เราต้องเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มิฉะนั้นคำตอบกับสิ่งที่เราอยากจะให้เกิดนั้นอาจจะสวนทางกันได้ ยิ่งคุณเป็นผู้เล่นสาย Skip คุณอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เป็นได้ The Outer Worlds นำเสนอการต่อสู้ในรูปแบบของ Action - RPG คล้าย ๆ กับเกม Fallout ที่เราจะต้องออกไปสู้กับเหล่าศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่มีความอันตรายต่างกันตั้งแต่เหล่าสัตว์ประหลาดไปจนถึงหุ่นยนต์สุดล้ำ โดยในระบบการต่อสู้ของภาคนี้เราจะมี Time Tactical Dilation ที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นถึงจุดอ่อนของศัตรู รวมถึงจุดอ่อนต่าง ๆ ทำให้เราสามารถรับมือได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมี Perk ที่จะทำให้เกมการเล่นของเราสนุกยิ่งขึ้น โดยสิ่งนี้เป็นเหมือนกับ Passive ติดตัวที่จะทำให้เราเก่งขึ้นตามแนวทางที่เราเลือก ซึ่ง Perk จะได้มาในสองรูปแบบคือ การอัปเลเวลและเกิดจากการที่เราทำเงื่อนไขพิเศษบางอย่างของตัวเกมได้เช่น การยิงปืนเลเซอร์จนศัตรูไหม้จนถึงจำนวนที่กำหนดหรือการถูกศัตรูชนิดเดิมโจมตีมาก ๆ เป็นต้น สำหรับอาวุธของเกมนี้ก็มีให้เราเลือกใช้หลายประเภท ตั้งแต่อาวุธระยะประชิดไปจนถึงอาวุธหนัก โดยอาวุธต่าง ๆ จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป  รวมถึงสามารถที่จะ Mod ได้ซึ่งการเลือกจะใส่ Mod ต่าง ๆ ต้องคิดให้ดีเพราะว่าเมื่อเราสวมใส่แล้วเราจะถอดออกไม่ได้ ดังนั้นเราจะต้องเลือกอาวุธดี ๆ ก่อนใส่ Mod ที่จะข้ามไปไม่ได้เลยคือระบบ Companion หรือคู่หู ที่ในเกมนี้เราจะสามารถพาคู่หูติดตามมาด้วยถึงสองคน โดยแต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถที่จะสั่งการพวกเขาให้โจมตีได้หรือใช้สกิลพิเศษได้แบบเท่ ๆ อีกด้วย นอกจากนี้คู่หูแต่ละคนของเราจะมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ อีกทั้งยังเข้าร่วมสนทนากันกับเราได้อย่างลื่นไหลทำให้สิ่งนี้กลายเป็นสีสันให้กับเกมอย่างมากเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ AI ของศัตรูในเกมนี้อาจจะไม่เก่งเท่าที่ควรหาเล่นในโหมด Easy หรือ Regular ทำให้หลาย ๆ คนอาจจะหมดความท้าทายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากคุณต้องการความท้าทายอาจจะต้องปรับความยากให้สูงกว่าปกติ กราฟิก The Outer Worlds มาพร้อมกับภาพกราฟิกที่แม้ว่าดูภายนอกอาจจะตกยุคเมื่อเทียบกับเกมอื่น ๆ แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสวยงาม แสง เงารวมถึง Texture ในเกมต่าง ๆ ล้วนแต่ทำออกมาได้ดี นอกจากนี้ตัวเกมยังไม่ได้กินสเปกมากนัก โดยเครื่องของผู้เขียนสามารถที่จะเล่นได้ในกราฟิกระดับ Epic แบบสบาย ๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทางการ์ดจอตระกูล Geforce ยังไม่ได้อัปเดต Driver (28/10/2019) สำหรับเกมนี้ทำให้ไม่สามารถวัดค่า FPS ของตัวเกมได้ ทำให้ต้องกะด้วยสายตาที่ก็ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล  จะมีปัญหาก็เพียงการกระตุกเล็กน้อยตอนเข้าเกมใหม่ ๆ จากนั้นก็จะไม่พบอาการกระตุกอะไรอีกเลย สรุป The Outer Worlds คือเกม Action RPG ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเกมหนึ่งของปี 2019 มีเรื่องราวที่เข้มข้น แนวทางการเล่นที่หลากหลายและอิสระในการสำรวจ ทำให้หากคุณมองหาเกมดี ๆ ที่เล่นได้ไม่รู้สึกเบื่อเลยสำหรับปีนี้เกมนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณ สำหรับใครที่ต้องการหาเกมนี้มาเล่นก็สามารถซื้อตัวเกมได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้ PC: Epic Games Store, Microsoft Game Store PlayStation 4: PlayStation Store Xbox One: Xbox Store [penci_review id="32380"]
30 Oct 2019
รีวิว Call of Duty Modern Warfare การกลับมาของ Captain Price ขวัญใจมหาชน
ในปัจจุบันมีเกมแนว First Person Shooter (FPS) อยู่มากมายในตลาด แต่ถ้าพูดถึงเกม FPS ที่มีความคลาสสิคที่สุดแล้วละก็ ชื่อของ Call of Duty: Modern Warfare นั้นจะอยู่ในใจหลายๆ คนอย่างแน่นอน วันนี้เกมนี้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพา Captain Price ขวัญใจมหาชนกลับมาด้วย เรื่องราวในภาคนี้ก็ยังคงเข้มข้นสมชื่อ CoD: Modern Warfare เหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมด Multiplayer อีกมากมายให้เลือกเล่นกัน ส่วนเกมนี้จะสนุกขนาดไหนนั้น ไปดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Modern Warfare ภาคก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เนื้อเรื่องภาคนี้ก็ยังคงอยู่กับการปฏิบัติการพิเศษอยู่เหมือนเดิม เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงการมีอยู่ของ Chlorine Gas ในประเทศ  Kastovia และอาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคง ทาง U.S จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ CIA และหน่วยนาวิกโยธิน เข้าไปจัดการเรื่องนี้ ในขณะที่ปฏิบัติการกำลังเป็นไปได้ตามแผนอย่างสวยงาม เหล่าทหารของอเมริกาก็ถูกโจมตีโดยมือที่ 3 ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร และยังถูกช่วงชิง Chlorine Gas ไปอีกด้วย ทางอเมริกาจึงได้ให้ Captain Price เข้ามาช่วยดูแลเรื่องนี้อยากจริงจังนั่นเอง เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงหลายๆ มุมมองไม่ว่าจะเป็นจากฝั่ง Alex เจ้าหน้าที่ CIA ที่ตามหา Chlorine Gas ที่หายไป หรือ Kyle Garrick เจ้าหน้าที่ SAS หน่วยข่าวกรองลับของอังกฤษ ที่กำลังสืบเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในเมือง London อยู่ ทำให้เราได้เห็นหลายๆ เหตุการพร้อมกัน นอกจากนี้ตัวเนื้อเรื่องยังมีความเข้มข้นสุดๆ รวมไปจนถึงมุมมองที่บางครั้งเราต้องยอมทิ้งคนส่วนน้อยเพื่อช่วยคนส่วนมาก ทำให้เรารู้สึกว่านี้แหละคือหน้าที่ของทหารที่ควรกระทำ ตลอดระยะเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ทำให้เราอินกับเนื้อเรื่องมากๆ ถ้าเป็นข้อเสียของเนื้อเรื่องภาคนี้แล้ว คงจะเป็นเรื่องของความรุนแรง ภาคนี้เนื้อเรื่องนั้นจะมีความสมจริงมากขึ้น ดังนั้นคนไหนที่ช่วยไม่ได้ก็คือตายต่อหน้าต่อตาเราเลย ยิ่งการใช้ความรุนแรง, เลือด, ฉากปาดคอ เรียกได้ว่าสมจริงจนไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาเล่นเลย การที่เนื้อเรื่องทั้งหมดอิงตามเหตุการณ์ก่อการร้ายและการสู้รบที่สมจริงเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของการเสริมอรรถรสของเนื้อเรื่องให้ผู้เล่นอินกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าผู้เล่นควรใช้วิจารณญาณในการเล่นเกมด้วยเหมือนกันครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ เวอร์ชั่นที่เราได้ทำการเล่นนั้นเป็นเวอร์ชั่น PC ดังนั้นพูดตรงๆ ว่าเรื่องของภาพนี้คือแบบ "สวยมากเวอร์" ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ต้องการจะทำให้เกมนี้มันออกมาสมจริงที่สุด ทำให้เกมนี้มีภาพสวยมาก ยิ่งตอนที่เป็นฉากคัตซีนยาวๆ นี้แยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็น CG หรือ Live Action (ซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะเป็น CG) ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ในตอนที่เล่น ด้านการนำเสนอก็อย่างที่ได้เขียนไว้ข่างต้น คือ ตัวเกมให้เราได้เห็นหลายๆ มุมมองในเวลาเดียวกัน นับเป็นการชูเนื้อเรื่องให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปในเวลาเดียวกัน และเกมยังมีความเป็น Butterfly Effect เล็กๆ ในหลายๆ ฉากในเกมยกตัวอย่างเช่น มีฉากหนึ่งที่ ผู้ก่อการร้ายเอาปืนจ่อไปที่เด็กคนหนึ่งอยู่พร้อมกับเรียกร้องให้เราเปิดประตู (ซึ่งเราเลือกไม่เปิด) เด็กที่ถูกเอาปืนจ่ออยู่นั้นก็ถูกยิงตาย ถ้าหากเลือกที่จะเปิดประตูในฉากนั้นเด็กอาจจะรอดก็เป็นได้ เหตุการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในเกม และเราทราบมาว่าเนื้อเรื่องจะแตกต่างกันไปเล็กน้อยด้วย นับเป็นจุดที่น่าสนใจมากๆ ของเกมนี้ครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ จุดแข็งเลยของภาคนี้คงจะเป็นความหลากหลายอย่างมากในการเล่น เพราะมีโหมดให้เลือกเล่นที่เยอะมากๆ ยกตัวอย่าง , Ground War, Cyber war, Team Deathmatch และอื่นๆอีกมาก นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่ง Loadout ของตัวเองได้ตามใจชอบ, แต่งปืนได้ม เลือกใช้ความสามารถ Perk กับ Field Upgrade ได้อีกมากกว่า 10 รูปแบบ ความหลากหลายในการเล่นนี้เรียกได้ว่าเยอะสุดๆ สมกับที่มีขนาดไฟล์เกมถึง 150 GB จริงๆ ซึ่งในภาคนี้นอกจากโหมดเนื้อเรื่องและโหมด Multiplayer อันเป็นตัวชูโรงของซีรี่ส์แล้ว ในภาคนี้ยังมีโหมด Co-op หรือโหมดร่วมมือเล่นกับเพื่อนเป็นหนึ่งในสามโหมดหลักของเกมอีกด้วย ซึ่งต้องบอกว่าในภาคนี้ทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะโหมด Spec-Ops ของเกมที่ให้ผู้เล่น 4 คนร่วมมือกันทำภารกิจต่างๆ ในแผนที่ Sandbox (กึ่งโลกเปิด) ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่น Far Cry อยู่ เพราะเกมจะเปิดให้ผู้เล่นบรรลุภารกิจได้หลากหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการลอบเร้นเข้าไปในฐานศัตรูอย่างเงียบๆ หรือการบุกตะลุมบอนตรงๆ ก็ได้ ซึ่งแต่ละภารกิจต้องบอกเลยว่าท้าทายมากๆ ถ้าไม่วางแผนและสื่อสารกันให้ดีแทบจะเล่นให้ผ่านไม่ได้เลย ทำให้ผู้เขียนนึกถึงการเล่น Heist ใน GTA: Online ขึ้นมาเลยทีเดียว สำหรับโหมด Spec-Ops Survival ซึ่งเป็นโหมดที่จำกัดไว้ให้ผู้เล่น PS4 เท่านั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นโหมดนี้ในเครื่อง PS4 Pro มาเล็กน้อย ต้องบอกว่าโหมด Survival นี้น่าจะเป็นส่วนที่น่าสนใจน้อยที่สุดแล้วในบรรดาโหมด Co-op ทั้งหลาย เพราะโหมดเป็นเพียงการต่อสู้แบบ Horde Mode ที่ให้ผู้เล่นเอาตัวรอดจากศัตรูเป็นระลอกๆ เท่านั้น ไม่ได้ต้องใช้ความร่วมมือหรือการวางแผนที่ซับซ้อนเหมือนกับโหมด Spec-Ops ทั่วไป ผู้เล่น PC หรือ Xbox ที่รู้สึกน้อยใจที่ไม่ได้เล่นโหมดนี้น่าจะวางใจได้ว่าพวกคุณไม่ได้พลาดอะไรไปมากนักเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังน่าเสียดายที่ตัวเกมเวอร์ชั่นอื่นๆ นอกจาก PS4 ไม่สามารถเล่นโหมด Survivor ได้ ถึงแม้จะเป็นแค่โหมดเล็กๆ ที่ไม่ได้สนุกมากมายอะไรขนาดนั้น เมื่อเทียบกับโหมดอื่นนับสิบของเกมที่เล่นได้ แต่นั้นไม่ได้ปฏิเสธว่า เราถูกจำกัดการเข้าถึงคอนเทนท์ทั้งหมดของเกมอยู่ดี ทำให้รู้สึกขัดใจอยู่พอสมควร ที่ซื้อบนเครื่องอื่นๆ อย่าง PC หรือ Xbox One ด้วยราคาเกือบ 2000 บาท แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงคอนเทนต์อีก 1% ของเกมได้ครับ เกมเพลย์ภาคนี้ก็ยังคงมันสมกับที่เป็น Call of Duty เหมือนเดิม คือมีไดนามิคในการเล่นที่สูงมากๆ ทำให้เราต้องตื่นตัวอยู่เกือบตลอดเวลา แต่การเล่นก็ยังคงจำเจอยู่เหมือนเดิม เกิดมาวิ่งไปยิงกันเหมือนเดิม ฝ่ายไหนเก็บคิลได้เยอะกว่าชนะ ไม่ได้มีระบบการเล่นที่ใหม่อะไรน่าตื่นเต้นขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมายหากเคยเล่น COD ภาคก่อนๆ มา แต่ไม่มีอะไรใหม่ๆ เลยมันก็ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กๆ เหมือนกัน ◊ สรุป ◊ Call of Duty ภาคใหม่นี้ มาพร้อมกับระบบ Multiplayer ที่มีให้เลือกเล่นหลากหลายรูปแบบ เกมเพลย์ที่มีไดดามิคสูงตอนเล่นจะรู้สึกมันมากๆ ด้านเนื้อเรื่องที่ยังคงเข้มข้นสมชื่อ Modern Warfare เหมือนเดิม ทั้งยังนำเสนอหลายมุมมองต่างๆ ได้น่าสนใจมาก แต่มีเนื้อหาของเนื้อเรื่องที่รุนแรงมาก ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ระบบการเล่นที่ไม่ได้ต่างจากภาคก่อนๆ เท่าไหร่ และคนที่ซื้อในเครื่องอื่นที่ไม่ใช่ PS4 ก็โดนจำกัดการเข้าถึงคอนเทนต์ของเกมอีกด้วย จากข้อดีและข้อเสีย เราจึงให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถึงจะน่าหงุดหงิดที่ไม่ได้เล่นคอนเทนต์ของเกมเต็ม 100% แต่ความมันในการเล่นและความหลากหลาย รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่ดี ก็ช่วยให้เกมนี้มีดีพอตัวครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="32415"]
29 Oct 2019
รีวิว Doraemon Story of Seasons เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน 14
Platform : Nintendo Switch, PC (Steam) Release Date : 11 ตุลาคม 2019 (Ver. Eng) Doraemon Story of Seasons คือเกมแนว Farming Simulation ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดจากทีมผู้พัฒนานามว่า Marvelous ที่เคยสร้างเกมปลูกผักในตำนานอย่าง Harvest Moon : Back to Nature (วางจำหน่ายเมื่อปี 1999) จนเป็นกระแสดังเปรี้ยงปร้างชนิดที่ว่าในยุคนั้นหากใครพูดชื่อนี้ขึ้นมา น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก และได้เป็นแรงบันดาลใจการสร้างเกมแนวนี้ต่อมาจนปัจจุบัน (หนึ่งในนั้นคือ Stardew Valley) กลับมาคราวนี้ทาง Marvelous ได้ร่วมมือกับ Brownies สตูดิโอพัฒนาเกมอีกแห่งหนึ่ง เพื่อสร้างโลกที่มีคอนเซปต์คือการรวมเอาระบบการเล่นของเกม Harvest Moon และเรื่องราวการผจญภัยของโนบิตะและผองเพื่อนเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายคือการขยายจักรวาลของซีรีส์ Story of Seasons ให้กว้างขึ้น ส่วนจะเวิร์คหรือไม่นั้น เราคงต้องมาดูกันเป็นข้อๆ ไป เนื้อเรื่อง เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อโนบิตะต้องทำโปรเจคสำหรับช่วงปิดเทอมฤดูร้อนส่งอาจารย์ จึงตัดสินใจปลูกเมล็ดพันธุ์ลวดลายประหลาดที่บังเอิญเจอ เพื่อใช้จดบันทึกเป็นการบ้าน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาด ดูดโดราเอมอน โนบิตะ และเพื่อนๆ ผ่านช่องว่างระหว่างมิติมาโผล่อีกโลกหนึ่ง สำหรับแฟนเดนตายของการ์ตูนซีรีส์อมตะอย่าง "โดราเอมอน" มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือการนำเอาองค์ประกอบจากเนื้อเรื่องภาคเก่าๆ มายำเป็นงานชิ้นใหม่ จึงไม่ค่อยสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ในพาร์ทเนื้อเรื่องซักเท่าไรนัก ยิ่งบวกกับการเล่าที่ค่อนข้างเนิบนาบก็อาจทำให้แฟนเกมบางส่วนต้องเบื่อกันไปซะก่อน ยอมรับว่าในส่วนปฐมบทช่วงแรกผู้เขียนแทบจะหลับคาจอยเลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุณไม่ติดในส่วนที่กล่าวมานี้ คุณก็จะพบกับความเพลิดเพลินของการเปิดลิ้นชักความทรงจำเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัยของโนบิตะและผองเพื่อน เพื่อตามหาของวิเศษของโดราเอมอนที่หายไประหว่างข้ามมิติคืนมา ความน่ารักน่าชังของตัวละครที่กลับมามีชีวิตให้เราได้หายคิดถึงในโมเมนต์ต่างๆ เช่น โดราเอมอนกับของวิเศษที่ไม่เคยพึ่งได้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไจแอนท์เกเรโผงผาง แต่ก็รักเพื่อนพ้อง เป็นต้น กราฟิก นี่น่าจะเป็นจุดดึงดูดที่ทำให้หลายๆ คน หันมาสนใจเกม Doraemon Story of Seasons เนื่องจากถ้าใครได้เห็นตัวอย่างมาบ้าง ก็จะรู้ว่าทีมงานสามารถทำออกมาได้สวยงามน่าประทับใจ โดยส่วนตัว ผมคิดว่ามันคือตัวชูโรงของเกมๆ นี้ เลยทีเดียว คาดว่าทาง Marvelous กับ Brownies น่าจะสร้างเอนจิ้นสำหรับพัฒนาเกมนี้โดยเฉพาะ เพราะเนื้อภาพให้ความรู้สึกเหมือนสีน้ำที่ถูกระบายลงบนกระดาษร้อยปอนด์ ซึ่งช่วยสร้างเอกลักษณ์ และบรรยากาศอบอุ่นที่เข้ากับธีม เนื้อเรื่อง รวมถึงระบบการเล่นได้เป็นอย่างดี ส่วนการเคลื่อนไหวของตัวละครก็ทำได้ดูมีน้ำหนัก น่ารักสมเป็นตัวการ์ตูน เมื่อบวกกับเสียงประกอบต่างๆ  แล้ว ทำให้โลกของ "โดราเอมอน" ดูสมบูรณ์ชัดเจนขึ้นมา เรียกว่าหาที่ติในด้านกราฟิกได้ยากจริงๆ ระบบการเล่น อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น ว่าคอนเซปต์ของ Story of Seasons ภาคนี้ คือการรวมเอาเกม Harvest Moon กับการ์ตูนซีรีส์โดราเอมอนเข้าด้วยกัน แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าระบบเกมมันจะเหมือนกันแบบเป๊ะๆ ราวกับฝาแฝดขนาดนี้ ถ้าใครเคยได้สัมผัสกับ Harvest Moon : Back to Nature มาบ้าง จะรู้ได้เลยว่าโครงสร้างโดยรวมของเกมนั้นเหมือนกันมาก ทั้งองค์ประกอบของหมู่บ้าน ขั้นตอนการพัฒนาฟาร์มและเครื่องมือต่างๆ หรือแม้กระทั่งฉากหลังในหน้าเมนู!!! เพียงแต่เอาธีม "โดราเอมอน" มาฉาบไว้เท่านั้นเอง ระบบการเล่นพื้นฐานของเกมนี้ ก็เหมือนกับเกมทำฟาร์มทั่วไป ที่มีหลักสำคัญคือการบริหารเวลาในแต่ละวันเพื่อหาเงินนำมาพัฒนาฟาร์ม โดยการขายผลผลิตจากการปลูกผัก, เลี้ยงสัตว์, ตกปลา, ขุดแร่ ฯลฯ ระหว่างนั้นก็ต้องเพิ่มความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านเพื่อปลดล็อคเหตุการณ์ต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในภาคนี้ได้ตัดระบบจีบสาวออกไป และเพิ่มเรื่องราวการผจญภัยของกลุ่มเพื่อนโนบิตะเข้ามาแทน ทำให้แฟนเกมบางส่วนรู้สึกเสียดาย แต่ตัวผู้เขียนกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะมันจีบกันมายับๆ ตั้งกี่ภาคแล้ว รอบนี้มาในธีม "โดราเอมอน" มันก็ควรจะเป็นเรื่องราวของ โดราเอมอน, โนบิตะ, ไจแอนท์, ซึเนโอะ และ(กางเกงใน)ชิซุกะสิ! แน่นอนว่าจะให้โนบิตะกับชิซุกะมาผลิตลูกกันมันก็กระไรอยู่ เพราะฉะนั้นเกมมันจึงต้องมีเนื้อเรื่องคุมโทนเป็นการผจญภัยตามการ์ตูนเช่นนี้แล ส่วนแฟนๆ ที่เคยเล่น Harvest Moon มาก่อนก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะถึงแม้ระบบการเล่นจะเหมือนเดิม แต่ทางผู้พัฒนาก็ใส่รายละเอียดยิบย่อยเพิ่มเข้ามา ทำให้มิติของเกมกว้างขึ้น เช่น การตกแต่งบ้านที่ทำได้ค่อนข้างหลากหลาย และลูกเล่นต่างๆ ที่ถูกใส่เข้ามาในแผนที่ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า สิ่งก่อสร้างโบราณที่จะมีส่วนสำคัญในเนื้อเรื่อง อีกทั้งยังมีของวิเศษยอดฮิตจากโดราเอมอนที่ขนมาให้เราได้เห็นตลอดเกม อย่าง ปืนใหญ่อัดอากาศ, ประตูทุกหนแห่ง, วุ้นแปลภาษา, ไม้เท้าตามหาคน ซึ่งบางชิ้นเราสามารถนำมาใช้เพื่อแบ่งเบาภาระในการเล่นได้ด้วยนาจา สรุป จากที่ผมได้ใช้เวลานั่งเล่นอยู่ราวๆ 20 กว่าชั่วโมง ก็สามารถบอกได้ว่า การกลับมาของซีรีส์ Story of Seasons ในครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งจะสร้างระบบการเล่นใหม่ๆ ให้กับเกมแนว Farming Simulation แต่เลือกที่จะทำให้จักรวาลของซีรีส์มีความแข็งแรงขึ้น โดยการนำระบบพื้นฐานดั้งเดิมที่ "เก๋า" อยู่แล้ว มานำเสนอผ่านตัวการ์ตูนอมตะอย่าง "โดราเอมอน" เพื่อสร้างความประทับใจในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็ได้ผล แม้จะยังมีจุดที่ขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง อย่างคัทซีนที่มาถี่ แถมไม่ดึงดูดพอ จนสร้างความรู้สึกติดขัดระหว่างการเล่นอยู่พอสมควร แต่โดยรวมเราก็ยังสามารถสนุกไปกับมันได้อยู่ดี เป็นการกลับมาให้หายคิดถึง แม้ในคราวหน้าเราอาจไม่หลงกลให้กับกระบวนท่านี้อีกแล้วก็ตาม [penci_review id="31749"]    
22 Oct 2019
รีวิวเกมมือถือ Bad 2 Bad: Extinction
เกมแนว Action - Rpg ที่มีความโดดเด่นในด้านตัวละครและเกมเพลย์ จากทีมพัฒนสัญชาติเกาหลี DAWINSTONE ค่ายเกมนี้ดูใส่ใจผู้เล่นมากนะครับ ดูจากการคอมเม้นตอบโต้ผู้เล่นใน Store และ การทำภาษาไทยมา เป็นเกมที่ต่อยอดจากความสำเร็จของภาคก่อนหน้าที่เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ เนื้อเรื่องเกม จะเกี่ยวกับ วันสิ้นโลก ซอมบี้ และรับจะบทเป็นทหารหน่วย Delta ที่เป็นสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพนด้า ลิง หมาป่า และตัวอื่นๆให้เราเลือกใส่ลงในหน่วย ซึ่งตัวเกมจะมีความน่ารักมุ้งมิ้งอยู่ทำให้มันไม่ได้กลิ่นอายถึงความรุนแรงมากนัก รวมถึงตัวเกมมีภาษาไทยภายในเกมในเราได้เล่นด้วย แม้บางคำแปลอาจจะแปลกๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไร ระบบในเกมจะประกอบด้วย ระบบสร้างอาวุธ ปรับแต่งอาวุธจากชิ้นส่วนต่างๆ ที่ดรอบจากมอนหรือรางวัลภาระกิจ สามารถเอาปืนในระดับเดียวกันมาผสมกันเพื่อเป็นปืนแบบใหม่ได้ ระบบหน่วยรบที่สามารถใส่ยูนิตเพิ่มเข้ามาในหน่วยเพื่อทำให้ปฎิบัติภาระกิจได้ง่ายขึ้นมีตนช่วยยิงและรับดาเมจแทน หน่วยรบจะไม่หายไปเมื่อตายนะครับหรือจะชุบเพื่อนเพื่อให้กลับมาทำภาระกิจต่อถ้าตายในภาระกิจก็ได้ ระบบการอัพสกิล ทำให้ตัวละครใช้ปืนได้คล่องขึ้น ทำให้รีโหลดได้เร็ว ยิงได้แรงขึ้น หรือยิงหัวแม่นขึ้น ระบบหุ่นผู้ช่วยโดยเราสามารถซื้อหุ่ยบต์มาช่วยเรารบจะแบ่งเป็าหุ่นที่ช่วยเราโจมตี กับหุ่นยนต์ที่เข้ามาช่วยเราเก็บเหรียญกับเพชรที่ดรอบตามพื้น เกมเพลย์ ในตัวเกมเพลย์จะแบ่งเป็นโซนสำหรับการสำรวจ ทำภาระะกิจ และ ช่วยตัวผู้ที่ติดอยู่ในอาคาร ตัวเกมเริ่มเล่น กวาดล้างซอมบี เมื่อทำความเข้าใจระบบบภายในเกม เกมจะค่อยๆสนุกขึ้นเราจะทำภาระกิจได้มากขึ้น แต่ก็ระวังซอมบี้ในตอนกลางคืนเพราะมันจะมีพลังมากขึ้นไม่ควรละเลยนาฬิกาบนหน้าจออย่างยิ่ง ไม่งั้นคุณอาจจะตายยกหน่วยได้ ในการทำภาระกิจแต่ละครั้งเมื่อเราทำสำเร็จจะ เพิ่ม%ความเสร็จสมบูรณ์เพื่อปลดล็อค คอนเท็นในเกมต่างๆประจำโซนนั้น ถ้าคุณกำลังมองหาเกมยิงซอมบี้ที่มีรายละเอียดในตัวเกมที่กลางๆไม่ลึก ไม่ตื้นมากเกินไปเกมนี้กำลังดีสำหรับสายเดินยิงมีเนื้อเรื่อง และ คาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นแต่ดูสบายตา ความรู้สึกหลังจากได้เล่นเกมนี้​  ตัวเกมคงความสนุกของการยิงซอมบี้​ได้อย่างครบถ้วน ยิ่งเล่นยิ่งปลดล็อคคอนเท็นของเกมยิ่ง​ ชวนให้ผูกพันกับตัวละครที่เราพาไปทำภาระกิจด้วย​ เป็นเกมยิงซอมบี้ที่ทำเกินความคาดหมายและนำเสนอสิ่งต่างๆในรูปแบบแตกต่างจากเกมแบบเดียวกันได้ดี​ สำหรับคนที่กำลังมองหาความแปลกใหม่ในเกมแนวนี้คุณไม่ควรพลาดเกมดีๆแบบนี้ครับ ข้อดีของเกมนี้ ฟรีเขาจะให้ทองคุณฟรีๆทันที ที่คุณดูโฆษณาด้านซ้ายมือ เพชรก็สามารถหาได้ในเกมจากการดรอบ มีระบบการยิง auto ที่ดี ไม่ว่าผู้เล่นหน้าใหม่หรือเก่าก็ไม่ต้องห่วงจะยิงไม่โดน มีอาวุธที่หลากหลาย ตัวละครแต่ละตัวมีบทพูดและบุคลิกภาพที่แสดงออกมาในเกมแตกต่างกันชัดเจนดูแล้วไม่น่าเบื่อ ข้อเสียของเกม การบังคับยังไม่ค่อยลื่นไหลเท่าที่ควร AI ฝั่งเราที่ดูยังไม่ค่อยฉลาดเช่นช่วยเราเก็บ object ไม่ได้ หรือ เก็บที่เติมเลือดเอง การวางฉากที่ดูงงๆซ้ำๆกันไปนิดและจะมีตู้หรือของยื่นออกมาทำให้เราเดินไปติดได้ ปืนบางกระบอกก็ไม่ค่อยดีพอจะเอามาใช้ยิงกับซอมบี้จำนวนมากได้ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
21 Oct 2019
รีวิว Plants vs Zombies Battle For Neighborville มหาสงครามถล่มสวนข้างบ้าน!
ถ้าพูดถึงเกม Plants vs Zombies แล้วใครๆ ก็คงจะรู้จักเกมนี้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากเป็นเกมที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัยแล้ว ตัวเกมยังมีความสนุกอย่างมากด้วย วันนี้เกมนี้กลับมาอีกครั้งในชื่อ Plants vs Zombies Battle For Neighborville ซึ่งเปลี่ยนจากเกมแนว Tower Defence ไปเป็นแนว Third Person Shooter ซะแล้ว! นอกจากนี้ Zombie ที่เราต้องสู้ด้วยในภาคนี้ก็ไม่ใช้ Ai โง้ๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นผู้เล่นด้วยกันเอง ส่วนเกมนี้จะสนุกขนาดไหนนั้น ไปดูกันเลย ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ กราฟิกของเกมนี้ เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนดัง Plants vs Zombie ภาคก่อนๆ ตัวภาพนั้นจะมีความเป็นการ์ตูนสูงมาก ด้วยภาพที่ออกแนวการ์ตูนของเกมทำให้ตอนเล่นรู้สึกสบายตา สามารถเล่นนานๆ โดยไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีภาพที่สวยสมจริงเหมือนเกมในตลาดอื่นๆ แต่ต้องยอมรับว่าสไตล์ภาพแบบนี้ทำให้ตัวเกมมันยูนีคในแบบของตัวเองไปด้วย ท่างด้านการนำเสนอนั้น พูดได้เลยว่า การเคลื่อนไหวของตัวละครทุกตัวนั้นทำออกมาได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Plants ที่เวลาเดินจะต้วมเตี้ยมหน่อยๆ หรือ ฝั่ง Zombies ที่จะเดินเป๋ไปเป๋มา ในส่วนที่เรียกว่าจุดขายของเกมนี้เลยคงจะเป็นความน่ารักของตัวละครทั้งทางฝั่ง Plants และ Zombies ถึงแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมที่ต้องวิ่งเข้าไปฆ่าฟันกัน แต่ด้วยความน่ารักของตัวละครมันทำให้เกมนี้ดูไม่รุนแรงเลยสักนิด นอกจากการเล่นในแต่ละแมทช์แล้ว ภายในเกมนั้นยังมีเมืองของ Plants หรือ Zombies ให้เข้าไปเดินเล่น ,ซื้อของ ,พูดคุยกับผู้เล่นคนอืนๆ ในเมือง ,แต่งตัว หรือ จะไปซ้อมยิงเป้าก็ได้ เพื่อบางวันเล่นไปหลายแมทช์แล้วเบื่อๆ หรือใครอยากหาเพื่อนเล่นเกมด้วย จะเข้าไปเดินเล่นในเมื่อง พูดคุยกับคนอื่น ก็ดูเป็นการแก้เบื่อที่ดีไม่น้อย ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมนี้ใช้ระบบเกมเพลย์ที่เหมือนกับเกม Overwatch คือแบ่งตัวละครออกเป็น 3 ประเภทคือ DPS, Tank, Support แต่ละตัวก็มีความสามารถเป็นของตัวเอง เล่นในโหมดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ในรูปแบบภารกิจ (ดันรถ, ยึดจุด,คอนโทรลพ้อย, บลาๆ) , Team Deathmatch , หรือจะเล่น Co-op แบบช่วยกันสู้กับบอท ก็ได้เช่นกัน แน่นอนว่าสามารถเปลี่ยนไปเล่นตัวละครอื่นๆ ได้เวลาที่ตายแล้วด้วย ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องยอมเปลี่ยนตัวที่เล่นเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เรียกได้ว่ามีความสนุกหลากหลายรูปแบบ ในเกมๆ เดียวเลยทีเดียว ส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ด้วยความที่ ตัวละครของเกมนี้ถูกแบ่งเป็น 2 เซ็ต คือฝั่ง Plants กับ Zombies ตัวละครทั้ง 2 ฝั่งก็มีหลายตัว แต่ละตัวก็มีความสามรถที่ต่างกันไปอีก ทำให้มีความหลากหลายมากๆ นอกจากนี้เรายังสามารถเลือก Passive ให้กับตัวที่เราเล่นได้อีก โดย Passive ก็มีให้เลือกตั้งแต่สกิล Cooldown เร็วขึ้น ,มีเลือดเยอะขึ้น ,วิ่งเร็วขึ้น ด้วยความที่ตัวละครมันหลากหลายมากๆ ความสามารถก็หลากหลายมากๆ แล้ว 1 ตัวละคร ยังใส Passive ได้อีกเป็นสิบๆ แบบ ตอนเล่นนี้บอกเลยว่าไม่มีเบื่อครับตื่นเต้นตลอดเวลาซะด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะเกมเพิ่งจะเปิดใหม่ๆ ทำให้ตอนนี้ยังไม่ค้อยมีคนในเซิฟเวอร์ บางครั้งการหาห้องก็นานมากๆ หรือ นั่งรออยู๋ในห้องคนเดียวแบบนานจัดๆ ก็ยังไม่มีคนเข้ามาเล่นด้วยเลยแม้แต่คนเดียว แต่คิดว่าปัญหานี้คงจะเริ่มหายไปตามการเวลาครับ ดังนั้นถ้าจะซื้อเกมเล่นตอนนี้ก็อาจจะต้องอดทนหน่อยตอนหาห้องนั้นเอง ด้วยความที่สิ่งที่ต้องยิงมันไม่ได้มีรูปร้างเหมือนกันคน อย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ในเกม FPS หรือ Third Person Shooter อื่นๆ ทำให้ต้องปรับตัวอยู่พอสมควร ยิ่งถ้าเล่นเป็นฝั่ง Zombies แล้วต้องยิง Plants นี้บอกเลยว่ายากสุดๆ กลับกันตอนที่เล่นเป็นฝั่ง Plants ก็ต้องยิงเป้าที่เดินเป๋ไปเป๋มา บอกตรงๆ ว่ากะไม่ถูกเลยเหมือนกันครับ ถ้าเล่นไปนานๆ แล้วคิดว่าคงชินไปเอง แต่ก็ต้องมี 5-6 ชั่วโมงอยู่เหมือนกัน ◊ สรุป ◊ สิ่งที่เป็นจุดแข็งแบบถึงที่สุดของเกมนี้ คงเป็นเรื่องของความหลากหลายอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยตัวละครที่หลากหลาย การอัพ Passive ที่ทำได้เป็นสิบๆ แบบ โหมดที่มีให้เลือกเล่นอีกเยอะสุดๆ ทำให้เวลาเล่นเกมนี้ไม่ค้อยจะรู้สึกเบื่อเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังมีภาพสไตล์การ์ตูนที่ทำให้ตอนเล่นรู้สีกสบายตา สามารถเล่นได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากซื้อมาช่วงนี้ก็อาจจะเจอปัญหา รอนานหน่อยเวลาหาห้อง ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีคนเล่นเยอะขนาดไหนในอนาคต และอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พอสมควรจึงจะสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างช่ำชองครับ หากเอาข้อดีมาหักในส่วนข้อเสียออกแล้วละก็ เราให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 9 เต็ม 10 เลยทีเดียว ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีการอัปเดตคอนเทนต์เข้ามาอีกมากขนาดไหน เพราะต่อให้ตอนนี้จะหลากหลายยังไง ถ้าไม่เพิ่มคอนเทนต์เข้ามาเรื่อยๆ ยังไงเกมก็จะน่าเบื่ออยู่ดีในสักวันครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="31592"]
18 Oct 2019
รีวิว Concrete Genie โลกสวยด้วยมือเรา
Platform : PlayStation 4 Release Date : 8 ตุลาคม 2019 Concrete Genie เกมแนว Action Adventure ที่ถูกพัฒนาโดย PixelOpus ซึ่งเป็นทีมผู้พัฒนาที่ทำงานภายใต้ Sony Interactive Entertainment โดยตรง ถือว่าเป็นอีกเกมหนึ่งที่มีภาพลักษณ์ค่อนข้างน่าสนใจ แตกต่างจากเกมระดับ AAA ในกระแสอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความสร้างสรรค์และสดใสจึงสามารถดึงดูดผู้เล่นทั่วไปได้ไม่ยาก จากการตีความฮีโร่ในมุมของศิลปินตัวน้อยที่ต้องตวัดปลายพู่กันแทนดาบเพื่อสร้างสีสันให้กับเมืองของเขา ซึ่งถูกความมืดกลืนกินให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้แล้วส่วนสำคัญอีกข้อที่ทำให้เกม Concrete Genie น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวไทยอย่างเราๆ ก็คือ ตัวเกมรองรับภาษาไทย ทำให้คนที่ภาษาอังกฤษยังไม่แข็งนักสามารถเอ็นจอยไปกับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เนื้อเรื่อง เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในเมือง Denska เมืองท่าที่เคยสดใสและมีชีวิตชีวาเมื่อครั้งอดีต กลับกลายเป็นมืดมนและเสื่อมโทรมหลังจากที่เรือบรรทุกน้ำมันเกิดอุบัติเหตุชนโขดหิน ทำให้น้ำมันจำนวนมหาศาลไหลลงทะเล จนเกิดความมืดปริศนาเข้าเกาะกินตามส่วนต่างๆ ของเมือง ในรูปแบบของรากไม้ลึกลับ โดยเราจะได้รับบทเป็น Ash หนุ่มน้อยผู้มีศิลปะในจิตใจ ซึ่งมีไอเทมคู่กายเป็นสมุดสเก็ตซ์ภาพเล่มเล็ก เขามักจะวาดสิ่งต่างๆ ลงไปในนั้นตามแต่จะนึกคิด ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์รูปร่างน่าเกลียดน่าชัง พืชพรรณรูปทรงประหลาด และแน่นอน ภาพความทรงจำของเมือง Denska ก่อนที่จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนมาวันหนึ่ง ขณะที่ Ash กำลังนั่งวาดรูปอยู่บนรั้วไม้ริมทะเล ก็ถูกก่อกวนโดยแก๊งวัยรุ่นอันธพาลที่เข้ามาวุ่นวาย ถึงขั้นฉีกสมุดสเก็ตซ์โยนทิ้งด้วยความสนุกสนาน และส่งเขาขึ้นกระเช้าลอยฟ้ามุ่งหน้าสู่ภัตตาคารผีสิง นี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในเรื่องราวสุดแฟนตาซี ซึ่งเราจะต้องเป็นคนค้นหาข้อมูล เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวด้วยตนเอง รวมถึงสะสมหน้ากระดาษจากสมุดสเก็ตซ์ภาพที่หายไปตามจุดต่างๆ ของเมือง และแน่นอน การค้นพบพู่กันวิเศษที่สามารถสรรสร้างชีวิตให้กับสัตว์ประหลาดหน้าขนที่จะมาช่วยเราทำภารกิจยิ่งใหญ่อย่างการฟื้นฟูเมือง Denska ให้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ว่ากันตามตรง พล็อตเรื่องก็ไม่ได้แปลกใหม่ซักเท่าไรนัก เพราะเมื่อเราเล่นไปจนถึงช่วงเวลานึง ก็จะรู้ได้ว่าเกมพยายามพูดถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการเพื่อน ต้องการการยอมรับ ต้องต่อสู้กับสังคมรอบตัวรวมถึงความรู้สึกภายในใจของตัวเอง ซึ่งถ้าใครเป็นคอหนังน่าจะได้สัมผัสเรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วความลึกลับที่ปกคลุมเป็นฉากหลัง ก็สามารถผลักดันองค์ประกอบต่างๆ ให้มันไปในทิศทางของมันเองได้ กราฟิก Concrete Genie ถูกนำเสนอด้วยภาพสไตล์ Animation 3D ที่ลายเส้นออกไปทางฝั่งตะวันตก ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียน การออกแบบตัวละครไม่ได้รู้สึกโดดเด่น หรือเป็นที่จดจำเท่าใดนัก กลับกันในส่วนของภาพวาดที่ถูกรังสรรค์โดยตัวละครของเราบนกำแพงต่างๆ นั้นทำได้สวยงามน่าประทับใจ เราจะได้เห็นอากัปกริยาน่ารักน่าชังของ “Genie” มอนสเตอร์หน้าขนที่จะวิ่งไปช่วยเราตามจุดต่างๆ เท่าที่กำแพงจะไปถึงราวสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง การเคลื่อนไหวของดอกไม้ใบหญ้า ละอองเรืองแสงที่ล่องลอยออกมาจากภาพวาดจากปลายพู่กันของเรา สิ่งเหล่านี้ เมื่อตัดกับดีไซน์ของเมืองที่ลงรายละเอียดได้ลึกลับดูน่าค้นหา ก็ช่วยสร้างบรรยากาศของการผจญภัยในโลกเหนือจริงได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังช่วยขับคอนเซ็ปต์ของเกมให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย ถึงอย่างนั้นเกมก็ยังมีปัญหาสำคัญ คือการแสดงผลที่ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร โดยเฉพาะจังหวะหมุนเปลี่ยนมุมกล้องที่แสดงอาการกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบนเครื่อง PS4 ธรรมดา และ PS4 Pro แม้ว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายไปแล้ว ซึ่งทำให้ผู้เล่นเสียอรรถรสไปไม่น้อย ก็ต้องมารอดูกันว่าทาง Sony จะออกแพตช์แก้ออกมาในอนาคตหรือไม่ ระบบการเล่น ระบบการเล่นหลักๆ ของเกมจะเป็นการแก้ปริศนาเพื่อเข้าไปสำรวจตามส่วนต่างๆ ของเมือง ซึ่งออกแบบมาค่อนข้างดี ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป มีการใช้ความสามารถของ Genie แต่ละประเภทในการผ่าน เช่น ธาตุไฟมีความสามารถในการเผา, ธาตุไฟฟ้าสามารถกระตุ้นอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ทำงาน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสะสมชิ้นส่วนเรื่องราว รวมถึงปลดล็อค Genie และแพทเทิร์นการวาดรูปแบบใหม่ๆ ต่อไป ลูกเล่นอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือระบบ "Motion Sensor" ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Nintendo Switch โดยวิธีการวาดรูปบนกำแพงเราจำเป็นต้อง "โยก" หรือ "ลาก" คอนโทรลเลอร์ไปยังทิศทางที่ต้องการแทนที่จะกดแค่ปุ่มทิศทาง (D-pad) ซึ่งก็ให้ความรู้สึกสดใหม่ดี เพียงแต่ตัวเกมไม่ได้ให้อิสระกับผู้เล่นในการวาดเต็มที่ขนาดนั้น แต่จะออกไปในทางจัดองค์ประกอบเสียมากกว่า ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการแต่งเติมสีสันบนกำแพงที่เปรียบเสมือนผ้าใบผืนยักษ์ และเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ที่เราวาดลงไปราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสว่างไสวให้กับเมือง Denska ในระหว่างการดำเนินเนื้อเรื่อง เราต้องคอยหลบหลีกแก๊งอันธพาลที่จะเข้ามาก่อกวน หรือตะโกนหลอกล่อพวกนั้นออกจากจุดที่เราต้องการจะไป ซึ่งผู้เล่นสามารถหลบตามตัวตึก ปีนขึ้นไปบนหลังคา หรือโหนสายไฟไปยังบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังได้ แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมจะถูกจัดอยู่ในหมวด Action Adventure พาร์ทต่อสู้กลับน้อยนิดจนน่าใจหาย เพราะกว่าที่เราจะได้หยิบพู่กันขึ้นมาฟาดกันจริงๆ ก็เป็นช่วงท้ายของเกมแล้ว อีกทั้งระบบการต่อสู้ยังขาดมิติ และความท้าทาย เนื่องจากไม่ว่าเราจะตายจากการตกจากที่สูง หรือจมน้ำ เกมจะให้เราเริ่มเล่นใหม่ตรงจุดเดิมทันที โดยไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งสิ้น ตรงนี้สามารถบอกได้ว่า บางทีกลุ่มเป้าหมายของ PixelOpus อาจจะไม่ใช่ Hardcore Gamer แต่เป็นผู้เล่นทั่วไปที่ต้องการรับรสชาติใหม่ๆ นอกจากเกมเนื้อเรื่องหนักๆ หรือเกมที่เรียกร้องสกิลเพลย์ที่ค่อนข้างสูง สรุป ท้ายที่สุดแล้ว คงจะไม่แฟร์ซักเท่าไรหาก Concrete Genie จะต้องถูกยกไปเทียบกับเกมฟอร์มยักษ์ต่างๆ บนเครื่องคอนโซล เพราะจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสตั้งแต่ต้นจนจบ เกมยังขาดองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่จะทำให้ตัวเกมมีความสมบูรณ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเนื้อเรื่อง กราฟิก และเกมเพลย์ ไหนจะเพลงประกอบที่ยังไม่มีบทบาทเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับเกมแนวนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกเหนือจากข้อเสียจุดเล็กๆ ที่ได้กล่าวไป Concrete Genie ก็ยังถือว่าเป็นเกมดี เราได้เห็นความพยายามของทีม PixelOpus ในการหยิบจับไอเดียใหม่ๆ มาทำเป็นเกม ลำดับการเล่าเรื่องและกราฟิกที่ค่อนข้างสวยจนเหมือนได้นั่งดูแอนิเมชันเรื่องนึง แน่นอนด้วยซับไทย! ที่แปลได้อย่างไร้ที่ติ ไม่พบคำผิดหรือปัญหาสระลอย ถือว่าเป็นอีกเกมหนึ่งที่ซื้อเอามาเล่นแก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี และหากจะให้นิยาม คำว่า "เรียบง่ายแต่งดงาม" ก็คงไม่เกินไปนัก [penci_review id="31260"]
16 Oct 2019
รีวิว Tom Clancys Ghost Recon: Breakpoint การกลับมาของหน่วยผี ในรูปแบบที่ไม่มีใครขอ...
อาจจะไม่ได้เป็นซีรี่ส์ที่คนคิดถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อนึกถึงผู้พัฒนาขวัญใจมหาชนอย่าง Ubisoft ในยุคนี้ แต่ซีรี่ส์ Ghost Recon ครั้งหนึ่งก็เคยได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในซีรี่ส์เกมยิงปืน Tactical Shooter ที่ดีอันดับต้นๆ ในช่วงที่วางจำหน่ายใหม่ๆ ส่งผลให้เกมได้รับภาคต่อมากมายตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา Tom Clancys Ghost Recon: Breakpoint คือภาคล่าสุดของเกม Tactical Shooter ยอดนิยมนั้น ซึ่งต่อยอดระบบต่างๆ จากเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Wildlands กับการพัฒนากราฟฟิคและระบบการเล่นต่างๆ พร้อมกับการผสมผสานระบบเกมเพลย์แบบ RPG ที่พบได้ในเกมของ Ubisoft ที่วางจำหน่ายในช่วงหลังๆ มาอย่าง Assassins Creed: Odyssey และ The Division 2 อีกด้วย แต่แม้ว่าเกม Assassins Creed และ The Division 2 จะได้รับคำชื่นชมมากมายจากการผสมผสานแนวเกมแบบ RPG เข้ากับเกมเพลย์ดั้งเดิมของซีรี่ส์ ระบบ RPG ดังกล่าวกลับกลายเป็นจุดอ่อนถึงตายของเกม Ghost Recon: Breakpoint เลยทีเดียว แม้ว่าเกมเพลย์การยิงปืนและลอบเร้นเบื้องต้นของเกมจะยังสนุกได้อยู่บ้าง แต่ระบบ RPG ของเกมกลับกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาขัดขวางความสนุกมากกว่าเป็นการเสริมเกมในทางบวก ทำให้ Ghost Recon: Breakpoint กลายเป็นเกมที่ขาดแนวทางอันชัดเจน มีความครึ่งๆ กลางๆ อยู่ตลอดระยะเวลาการเล่น สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่นกับเพื่อนๆ ในเกมภาค Wildlands มาก่อนอาจจะสามารถหาความสนุกแบบเดียวกันได้อยู่ แต่ถ้ากล่าวในภาพรวมแล้วนั้น คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Ghost Recon: Breakpoint เป็นเกมที่มีปัญหาอยู่มากเช่นกัน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของ Ghost Recon: Breakpoint นั้นถือเป็นภาคต่อกลายๆ ของเกม Ghost Recon: Wildlands โดยเนื้อเรื่องในเกมจะติดตามตัวละครผู้เล่นที่ใช้ชื่อว่า Nomad ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้สืบหาเบาะแสการหายสาปสูญไปของเรือ USS Seay ในบริเวณหมู่เกาะ Auroa อันเป็นที่ตั้งของเกมนั่นเอง แต่ภารกิจเกือบจะล่มเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เมื่อเฮลิคอปเตอร์ที่บรรทุก Nomad และสหายหน่วย Ghost อีกหลายชีวิตกลับถูกโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธปริศนาที่ใช้ชื่อว่า Wolves (หมาป่า) จนทำให้เหลือผู้รอดชีวิตเพียงหยิบมือเท่านั้น ผู้เล่นในฐานะ Nomad จึงต้องรวบรวมเหล่าสมาชิกหน่วย Ghost ผู้รอดชีวิตเพื่อร่วมมือกับชาวเกาะ Auroa ในการต่อสู้กับกลุ่ม Wolves ที่นำโดยอดีตทหารหน่วย Ghost อย่าง Cole D. Walker และสืบหาความจริงเบื้องหลังการทรยศครั้งนี้! คนที่คุ้นเคยกับเกมแฟรนไชส์ Tom Clancy อยู่แล้วน่าจะพอนึกภาพออกว่าเนื้อเรื่องของ Ghost Recon: Breakpoint นั้นจะดำเนินไปอย่างไรบ้าง โดยเนื้อเรื่องของ Breakpoint นั้นว่ากันตามตรงว่าค่อนข้างตามสูตรของเกมที่มีเนื้อเรื่องแนวทหารส่วนใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งในจุดนี้ก็แล้วแต่คนจะมองว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย สำหรับผู้เขียนแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ช่วยเสริมอรรถรสหรืออารมณ์ของเกมได้ขนาดนั้นเช่นกัน เหมือนเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงขับให้ตัวละครเฉยๆ แต่ถึงไม่ได้ตั้งใจติดตามก็คงไม่ได้พลาดอะไรไปนัก เหตุผลที่ผู้เขียนไม่ได้รู้สึกมีความสนใจในเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งมาจากวิธีการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมด้วย โดยเกมจะแบ่งย่อยภารกิจหลักต่างๆ รวมถึงภารกิจเนื้อเรื่องออกเป็น ไฟล์การสืบสวน เมื่อผู้เล่นทำภารกิจย่อยๆ สำเร็จก็จะได้พบกับเนื้อเรื่องเพิ่ม ให้ความรู้สึกคล้ายกับการค่อยๆ คลี่คลายเงื่อนงำเพื่อเปิดเผยเส้นเรื่องของภารกิจนั้นๆ นั่นเอง ผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะทำภารกิจย่อยอันไหนก่อนหลังได้อย่างอิสระ ทำให้เส้นทางการดำเนินเรื่องของผู้เล่นแต่ละคนมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งในจุดนี้ก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน เพราะในแง่หนึ่งการเปิดให้ผู้เล่นสามารถดำเนินเส้นเรื่องในแบบที่ตัวเองต้องการได้ก็ช่วยเสริมความอิสระอันเป็นจุดขายของเกมได้ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง การทำแบบนี้บางครั้งก็ทำให้จังหวะการดำเนินเรื่องแปลกๆ ไปได้เหมือนกัน เพราะเราอาจจะทำภารกิจย่อยข้อหนึ่งที่ถ้าดูตามเนื้อเรื่องควรจะเกิดขึ้นหลังอีกภารกิจหนึ่งที่เรายังไม่ได้ทำเป็นต้น แม้ว่าปัญหานี้จะสามารถแก้ได้ด้วยการเล่นเส้นเรื่องอันใดอันหนึ่งจนจบทีละเส้นเรื่องไป แต่การเล่นแบบนั้นก็ค่อนข้างยากสำหรับเกมลักษณะนี้ เพราะเราจะไม่ได้ปลดล๊อกอุปกรณ์เสริมหรืออาวุธใหม่ๆ ที่เป็นของรางวัลจากภารกิจเสริมเช่นกัน อันที่จริงการดำเนินเรื่องในลักษณะนี้ก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นๆ ของ Ubisoft อย่าง Assassins Creed Odyssey หรือเกมรุ่นพี่อย่าง Ghost Recon: Wildlands มากนัก ซึ่งคนที่เคยชินหรือชื่นชอบแนวทางการเล่าเรื่องของเกมเหล่านั้นอาจจะไม่ได้รู้สึกติดขัดกับการเล่าเรื่องของ Breakpoint แต่คนที่อยากติดตามเนื้อเรื่องของเกมอย่างจริงจังอาจจะต้องวางแผนการดำเนินภารกิจให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดการทำภารกิจข้ามเนื้อเรื่อง ◊ เกมเพลย์ ◊ ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมซีรี่ส์ Ghost Recon แน่นอนว่าเกมเพลย์ของ Breakpoint ย่อมเน้นไปที่การลอบเร้นและกำจัดศัตรูแบบเงียบๆ ด้วยปืนสไนเปอร์ระยะไกลหรือปืนใส่ที่เก็บเสียงต่างๆ ซึ่งในจุดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Wildlands มากนัก นอกจากการปรับปรุงลูกเล่นต่างๆ เช่นการพรางตัวระหว่างที่หมอบคลานอยู่ การอีพเกรดปืน หรือการตัดรั้วเหล็กเพื่อเปิดทางลอบเข้าสู่ฐานทัพของศัตรูเป็นต้น คนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Wildlands อยู่แล้วน่าจะทำความเคยชินกับการควบคุมของเกมได้ไม่ยาก ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าการควบคุมของเกม Breakpoint อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ทั้งระบบการยิงปืนที่มีการตอบสนองสมจริงและการลอบเร้นที่น่าตื่นเต้น แม้ว่าเมื่อมองในภาพรวมแล้วเกมเพลย์ของ Breakpoint จะยังมีปัญหาอยู่หลายจุดก็ตาม สิ่งแรกที่เป็นปัญหามากๆ เกี่ยวกับเกมเพลย์ของ Breakpoint คือระบบ A.I. ของศัตรูที่ค่อนข้างซื่อบื้อและถูกเอาเปรียบได้ง่าย ซึ่งทำให้เกมเพลย์ที่ควรจะน่าตื่นเต้นของเกมรู้สึกง่ายขึ้นมาเลย ศัตรูในเกมมักจะตอบสนองต่อการพบศพของเพื่อนด้วยวิธีที่คาดเดาได้เสมอ ทำให้เราใช้ศพศัตรูเป็นตัวล่อให้ศัตรูตัวอื่นๆ เดินเข้ามาให้ยิงแบบเรียงตัวได้ตลอดเวลา แถมในกรณีที่ถูกจับได้ การจะหลบหลีกเหล่า A.I. เพื่อเริ่มการลอบเร้นใหม่ หรือกระทั่งการฆ่าล้างบางศัตรูก็ง่ายเหลือเกิน ทำให้ไม่ค่อยอินกับบทบาทนายทหารมือฉกาจที่ต้องต่อสู้กับศัตรูทั้งเกาะด้วยตัวคนเดียวที่เกมพยายามจะมอบให้เท่าไหร่ การปรับเกมให้เป็นโหมดยากก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้เท่าไหร่นักเพราะ A.I. ก็ไม่ได้ฉลาดขึ้นเท่าไหร่นัก อย่างที่สองที่เป็นปัญหามากๆ คือระบบ Gear Score หรือค่าเฉลี่ยไอเทมของผู้เล่นแต่ละคน ซึ่งเป็นระบบ RPG ที่เกมยกมาจากเกมอื่นๆ ของ Ubisoft อย่าง Assassins Creed Odyssey และ The Division 2 แต่กลับไม่มีความจำเป็นเลยในเกม Ghost Recon ที่เน้นการลอบเร้นและการวางแผน เพราะศัตรูมนุษย์ทุกตัวในเกมจะยังพิชิตได้ด้วยการยิงเข้าที่หัวเพียงนัดเดียวอยู่ดี (อาจจะมากกว่านัดเดียวถ้าศัตรูใส่หมวก แต่ก็ไม่เกิน 2-3 นัดแน่นอน) แม้จะเอาปืนเริ่มต้นไปยิงศัตรูระดับสูงที่สุดก็ยังคงตายง่ายๆ ด้วยการยิงหัว ทำให้ระบบดังกล่าวไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่นิดเดียวในเกม Breakpoint นี้ สถานการณ์เดียวที่ Gear Score ของผู้เล่นจะมีความหมายขึ้นมาก็คือในการต่อสู้กับศัตรูชนิดหุ่นโดรนต่างๆ ในเกม ซึ่งจะต้องใช้ปืนที่มีค่าความแรงสูงๆ ถึงจะล้มลงได้ ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องสงสัยว่าจำเป็นต้องมีระบบนี้จริงๆ ไหมถ้ามันจะต้องใช้ในสถานการณ์ที่จำกัดมากๆ แบบนี้ ยังไม่นับว่าการต่อสู้กับหุ่นโดรนทุกครั้งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมอย่าง The Division 2 อยู่มากกว่าเกม Ghost Recon ด้วยซ้ำ จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า Ubisoft มีเจตนาอะไรกันแน่ในการเพิ่มระบบนี้เข้ามาในเกมทั้งๆ ที่เกมเพลย์ดั้งเดิมของซีรี่ส์ไม่ได้เหมาะกับระบบ RPG แบบนี้เลย อีกระบบ RPG ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกม Breakpoint คือระบบคลาสของเกม ที่ให้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ 4 ชนิดด้วยกันคือ Assault (แนวหน้ากล้าบุก), Panther (สายลอบสังหาร), Sharpshooter (สายสไนเปอร์), และ Field Medic (หมอ) นั่นเอง ซึ่งแต่ละคลาสจะมีผังสกิลให้เลือกอัพเกรดได้คล้ายๆ กัน ต่างกันเพียงแค่แต่ละคลาสจะได้รับสกิลพิเศษเฉพาะของตัวเอง (เช่น Panther จะสามารถโยนระเบิดควันเพื่อพรางตัวได้ หรือ Sharpshooter จะมีเซนเซอร์ไว้จับตำแหน่งศัตรู) ซึ่งระบบนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งระบบที่น่าสงสัยว่าจะใส่มาทำไม เพราะความแตกต่างระหว่างแต่ละคลาสมีเพียงนิดเดียวเท่านั้น การจำกัดอุปกรณ์พิเศษอย่างระเบิดควันหรือกล่องปฐมพยาบาลตามคลาสจึงดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ น่าจะเปิดให้ผู้เล่นเลือกเปลี่ยนไปมาได้เหมือนในระบบ Specialization ของเกม The Division 2 เพื่อเสริมความหลากหลายในการเล่นมากกว่า สิ่งที่น่างงมากพอๆ กับการเพิ่มระบบ RPG ที่ไม่จำเป็นเข้ามามากมายก็คือการถอดเอาระบบบางอย่างที่เป็นลายเซ็นของซีรี่ส์ Ghost Recon ออกไป อย่างระบบ Sync-Shot ที่แม้จะยังมีอยู่ แต่ถูกเปลี่ยนจากการร่วมกับ NPC เพื่อนร่วมทีมยิง กลายเป็นการปล่อยโดรนออกไปยิงตัวที่เราไม่ได้เล็งแทน หรือระบบ A.I. เพื่อนร่วมทีมโดยรวมที่หายไปเลย (ผู้เล่นจะต้องเล่นเกมคนเดียวตลอดยกเว้นจะมีคนอื่นมาเล่นด้วยทางออนไลน์) ทำให้ความเป็นหน่วยผี Ghost Recon ที่คุ้ยเคยจากเกมภาคก่อนๆ ต้องเปลี่ยนไป ซึ่งพอดูจากระบบอื่นๆ ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นการแลกกันที่คุ้มค่าหรือไม่ กล่าวโดยสรุป แม้ว่าเกมเพลย์พื้นฐานอย่างการเคลื่อนที่หรือการยิงปืนของเกม Ghost Recon Breakpoint จะอยู่ในจุดที่ดีประมาณหนึ่ง แต่ระบบโดยรอบของเกมกลับไม่ได้ช่วยเสริมกันเองเท่าไหร่ จนในบางครั้งก็กลายเป็นปัญหาจุกจิกน่ารำคาญในการเล่นขึ้นมาจาก A.I. ศัตรูที่น่าผิดหวัง หรือการพะว้าพะวงกับตัวเลข Gear Score และไอเทมสวมใส่ทั้งๆ ที่มีผลต่อเกมน้อยมาก (แต่ก็ต้องทำเผื่อเจอหุ่นโดรนขึ้นมา) จน Ghost Recon Breakpoint รู้สึกเหมือนเป็นเกมที่พยายามรวบรวมระบบเกมเพลย์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดของ Ubisoft มายำรวมกันเฉยๆ จนเสียตัวตนของตัวเองไปในหลายๆ จุด ◊ กราฟฟิค/การนำเสนอ ◊ ในระดับเบื้องต้น Ghost Recon Breakpoint ถือเป็นเกมที่มีกราฟฟิคค่อนข้างสวยทีเดียว ตั้งแต่หน้าตาของตัวละครสำคัญต่างๆ ในคัตซีนที่สมจริงยิ่งกว่าตอน Assassins Creed Odyssey ซะอีก ไปจนถึงการเคลื่อนที่ของต้นไม้ใบหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามลม ทำให้การเดินทางไปบนเกาะ Auroa มีความเพลิดเพลินสบายตาอยู่พอสมควร ซึ่งถือเป็นข้อดีมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องเดินทางไปมาบนเกาะ Auroa เยอะมากๆ ตลอดทั้งเกม ที่น่าชื่นชมอีกจุดคือสภาพแวดล้อมของเกาะ Auroa เอง ที่มีความหลากหลายมากกว่าภาค Wildlands พอสมควร ทั้งส่วนที่เป็นป่าทึบ ภูเขาหิมะขาวโพลน ไปจนถึงอาคารรูปร่างทันสมัยไฮเทคต่างๆ ช่วยทำให้เกาะรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่จริงๆ มากกว่าจะเป็นแค่ฉากหลังให้ผู้เล่น อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือบทบรรยายภาษาไทยของเกม โดย Ghost Recon Breakpoint ถือเป็นเกมแรกจากผู้พัฒนา Ubisoft ที่ทำบทบรรยายไทยไว้ในเกมด้วย ซึ่งในจุดนี้ต้องยอมรับกันตามตรงว่าอาจจะด้วยความที่เป็นครั้งแรก แต่คุณภาพของบทบรรยายและการแปลนั้นยังไม่ค่อยดีนัก ภาษาที่ใช้ยังมีความแข็งๆ ทื่อๆ แถมยังมีแปลผิดอยู่พอสมควรเลย แต่บทบรรยายก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่พอปะติดปะต่อความหมายที่ตัวละครพูดออกมาได้อยู่ จึงถือว่า Ubisoft สอบผ่านสำหรับความพยายามทำซับไทยครั้งแรกนี้ ในด้านของความเสถียรของเกมนั้น ต้องขอชมว่า Ghost Recon Breakpoint ถือเป็นเกมที่มี Performance ค่อนข้างนิ่ง เฟรมเรตไม่ค่อยเหวี่ยง (ผู้เขียนรีวิวเกมบน PC การ์ดจอ 1050TI, 8GB RAM) แต่ก็มักจะพบบั๊คเช่นการ Clipping (เมื่อตัวละครในเกมเดินทะลุพื้นผิวที่ไม่ควรทะลุได้) หรือการที่สิ่งของบางอย่างโหลดช้ากว่าปกติ โดยปัญหาหนึ่งที่ผู้เขียนพบบ่อยคือการที่โหลดเข้าเกมแล้วแต่โมเดลปืนกลับโหลดตามมาทีหลัง ทำให้ตัวละครของผู้เขียนต้องถือปืนล่องหนอยู่เป็นนาที (จะเล็งก็ไม่ได้เพราะมองไม่เห็นทั้ง Scope และ Cross-hair หรือเป้าเล็ง) ก่อนที่จะสามารถมองเห็นปืนได้ ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยพอสมควรเช่นกัน ◊ สรุป ◊ ถ้าให้กล่าวโดยสรุป Ghost Recon Breakpoint เป็นเกมที่มีโครงดีอยู่แล้ว ด้วยเกมเพลย์พื้นฐานและการควบคุมที่ทำได้ค่อนข้างดี รวมไปถึงแนวเกมยิงปืนบุคคลที่สามแบบลอบเร้นที่เล่นกับเพื่อนได้ง่าย แต่เกมกลับทำพลาดอย่างมหันต์ด้วยการเพิ่มระบบ RPG ที่ขัดแย้งกับแนวทางดั้งเดิมของซีรี่ส์อย่างสิ้นเชิง จนทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในตัวตนของเกมว่าพยายามจะเป็นเกมแบบไหนกันแน่ ยังไม่นับรวม Microtransaction (ของที่ใช้เงินจริงซื้อ) ที่แลดูออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาความน่ารำคาญที่เกมสร้างขึ้นมาเองด้วย ทำให้ Ghost Recon Breakpoint เป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดจากผู้พัฒนา Ubisoft ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว [penci_review id="30846"]
11 Oct 2019
รีวิว John Wick Hex สวมบทเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬ Baba Yaga
John Wick ถือว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ Action ที่ได้รับความนิยมมากไปทั่วโลก โดยได้ดารานำอย่าง Keanu Reeve และบทของ Johnathan Wick นี้เองที่ทำให้เขากลับมาเป็นดาราระดับโลกอีกครั้ง จนทำให้มันมีเกมเป็นของตัวเองเลยทีเดียว เมื่อภาพยนตร์ถูกทำมาเป็นเกม ในฐานะผู้เขียนที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้จึงกัดฟันซื้อมารีวิวให้ท่านผู้อ่านชาว GameFever TH ได้รู้ว่าเกมนี้เป็นอย่างไร เนื้อเรื่อง - การต่อสู้ของ Baba Yaga ตัวเนื้อเรื่องนำเสนอเรื่องราวก่อนภาคที่ 1 จักรวาลหนังว่าด้วยเรื่องของ Hex วายร้ายขององค์กรโฉดที่ได้จับตัว Winston และ Charon เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง John Wick ในฐานะของเพื่อนสนิทจึงต้องถือปืนเพื่อออกตามหา Hex แล้วช่วยเหลือเพื่อนของเขา เนื้อเรื่องของเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ตามสไตล์มาตรฐาน เมื่อเราเล่นผ่านฉากไปเรื่อย ๆ ตัวเกมก็จะเปิดเผยเรื่องราวออกมาทีละนิดให้เราได้ซึมซับ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนของหนังคุณจะรู้ดีว่าพวกเขากล่าวถึงอะไร ตุลาการคืออะไร สภาสูงคืออะไร Baba Yaga , Helen หมายถึงใคร ในทางกลับกันหากคุณไม่เคยดูหนังมาก่อน คุณจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวในเกมมากนัก แม้ว่าจะมีการเกริ่นเพื่อให้แฟน ๆ หน้าใหม่บ้างก็ตาม งาน Art Work ที่ไม่เหมือนเกมไหน ๆ เกมนี้เปิดตัวด้วยกราฟิกที่ไม่ได้เน้นความสมจริงดั่งเกมสมัยใหม่ แต่จะเน้นสีฉูดฉาดออกแนวการ์ตูนๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับทำให้เกิดดูเป็นงาน Art ที่น่าสนใจสำหรับใครหลายคน แต่ในบางครั้งตัวกราฟิกของเกมก็มีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะมันทำให้เราเห็นศัตรูบางตัวไม่ชัดหรือไม่เห็นพื้นที่ในการเดินหรือเคลื่อนไหวในบางครั้ง ทำให้เราตัดสินใจพลาดไปบ้าง ซึ่งข้อนี้ก็อยู่ที่ท่านผู้อ่านว่าจะชอบหรือไม่ เกมเพลย์ - สวมวิญญาณของ John Wick จุดเด่นของเกมนี้จริง ๆ คือระบบเกมการเล่นที่เป็นการผสมผสานระหว่างเกมแบบ Strategy กับ Action ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการถึงจุด Check Point ของแต่ละด่านให้เร็วที่สุดและเผชิญหน้ากับเหล่าบอสในฉากสุดท้ายของแต่ละ Location ตามสไตล์ John Wick โดยการกระทำทุกอย่างของผู้เล่นจะมี Time Phase ด้านบนที่จะเดินทุก ๆ ครั้งเราสั่งให้ตัวละครทำ Action ต่าง ๆ จะแสดงให้เราเห็นด้านบนว่าเราทำอะไรบ้าง เมื่อระบบพบเจอศัตรูตัวเกมจะทำการหยุดอัตโนมัติ ให้เราได้เลือกว่าจะวางแผนอย่างไร จะยิงปืนหรือจะโจมตีระยะประชิด ซึ่งบาง Action อาจจะใช้ Focus Point ที่เปรียบเสมือนกับค่าความเหนื่อย หากไม่ค่านี้หมดตัวละครของเราจะใช้ท่าทางพิเศษไม่ได้เลย แม้ว่าเราจะสามารถฟื้นฟูได้แต่พยายามรักษาให้เต็มไว้ตลอด ในส่วนของ Stance ที่ให้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดยการเปลี่ยน Stand จะทำให้ John Wick ได้รับโบนัสความแม่นในการยิงปืนและการหลบหลีกมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการเคลื่อนที่ทุกครั้งจะต้องใช้ค่า Focus รวมถึงไม่สามารถให้การโจมตีระยะประชิดได้ ทำให้เราจะต้องเลือกใช้ให้ถูกจังหวะ นอกจากนี้ก่อนเริ่มภารกิจเรายังมีเหรียญทองที่ใช้ในการเลือกผลพิเศษในด่าน เช่นบางท่าใช้ค่า Focus น้อยลง Action บางอย่างสามารถทำในระยะไกลขึ้น หรือเราจะไม่เอาผลพิเศษก็ได้แต่เราจะเอากระสุนและยาไว้ในฉากสำคัญ ๆ เพื่อทำให้เรามีพลังชีวิตที่พร้อมสู้กับศัตรูได้เสมอก็เป็นได้ ระบบเหล่านี้ทำให้เกมการเล่นของเกมนี้ออกมาอย่างลงตัว เราจะรู้สึกท้าทายในทุก ๆ ฉาก เพราะการตัดสินใจช้าเพียง 1 วินาทีอาจจะทำให้ Game Over เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังทำให้เราตัดสินใจแต่ละครั้งต้องคิดให้ดีเนื่องจากว่าการเล่นของเกมนี้จะเล่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะฆ่าบอสเสร็จถึงจะผ่านฉากไปได้ ทำให้เราต้องเล่นอย่างระมัดระวังเพราะหากไปถึงด่านสุดท้ายแล้วเลือดของเราเหลือน้อย เกมจะกลายเป็นโหมด Very Very Hard ทันที ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยเจอประสบการณ์สู้กับบอสด้วยเลือดเพียงแค่ 1 แต้มมาแล้ว เมื่อเราผ่านแต่ละด่านตัวเกมจะ Replay ให้เราได้ดู ซึ่งจะให้ความรู้เหมือนกับการดูภาพยนตร์ที่ John Wick ต้องต่อสู้กับศัตรูแบบ Non-Stop จนกว่าจะผ่านด่าน แม้ว่ามุมกล้องบางครั้งอาจจะไม่เป็นใจแต่ก็พอดูได้เพลิน ๆ สรุป John Wick Hex คือเกมเกี่ยวกับตัวละคร John Wick ที่ผสมผสานระหว่างความเป็น Action และ Strategy ได้อย่างลงตัว ทำให้ใครที่ชอบเล่นเกมนี้ก็เล่นได้ยาว ๆ แต่หากคุณไม่ค่อยชอบเกมประเภทที่ต้องวางแผนเยอะ ๆ และเหนื่อยกับตัดสินใจให้เฉียบขาดเกมนี้ ก็ข้ามเกมนี้ไปได้เลย John Wick Hex วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 8.99$ หรือประมาณ 271 บาทใน Epic Games Store ใครที่สนใจสามารถที่จะหามาเล่นกันได้ที่นี่ [penci_review id="30797"]
10 Oct 2019
รีวิว The Sims 4 Realm of Magic มาสวมบทเป็นพ่อมดกันเถอะ!
ถ้าพูดถึงเกมเล่นไปเรื่อยๆ แบบชิลล์ๆ แล้วละก็ The Sims คือหนึ่งในเกมที่ถ้าพูดชื่อขึ้นมาทุกคนจะต้องร้องว่า "อ้อ" แน่นอน The Sims 4 ที่เป็นภาคล่าสุดนั้นก็ยังคงออก Expansion ต่างๆ มาเรื่อยๆ จนทำให้ทุกวันนี้เราทำได้แทบจะทุกอย่างที่สามารถทำได้ในโลกความจริงแล้ว ตั้งแต่สร้างบ้าน, ไปเล่นดนตรีข้างถนน, ต้มตุ๋นคนอื่น และล่าสุดก็ยังมีการออก Expansion ตัวใหม่มาในชื่อ Realm of Magic ที่จะทำให้เราสามารถใช้เวทมนต์ดั่งพ่อมดในเรื่อง Harry Portter ได้เลยทีเดียว ส่วนเกมเพลย์จะเป็นยังไง มีอะไรเพิ่มเข้ามาบ้างใน Expansion นี้ ไปดูกันครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ The Sims 4 เป็นเกมที่มีอายุพอสมควรแล้ว ดังนั้นในเรื่องกราฟิก จึงไม่ได้มีความสวยงามอะไรมากมายนัก ถึงแม้ว่าจะออก Expansion ใหม่มา แต่ตัวที่ออกมาก็ไม่ได้ช่วยให้กราฟิกในเกมมันใหม่หรือสวยขึ้นไปด้วย แต่ถ้ามองในทางกลับกัน เกมนี้ก็ไม่ต้องการสเปคเครื่องที่สูงในการเล่นเช่นกัน และถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีภาพที่สมจริงอะไร แต่กราฟิกสไตล์การ์ตูนนิดๆ ของเกมก็จัดว่าเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเกมเช่นกัน ในด้านการนำเสนอ สามารถนำเสนอการแสดงออกของอารมณ์ตัวละครได้ดีมาก ในเกมภาคนี้ตัวละครจะมีการแสดงออกถึงอารมณ์ได้ชัดเจนมาก มีการเดินกระทืบเท้าเมื่อโกรธ มีการเดินหอเหี่ยวเมื่อรู้สึกเศร้า เป็นต้น ต่างจากในเกมภาคก่อนๆ ที่ตัวละครจะมีการเคลือนไหวแข็งๆ เหมือนกับหุนยน นอกจากนี้ใน Expansion ใหม่นี้ ก็ยังสามารถทำอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวเวลาใช้เวทมนต์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ตอนเล่นเราจะไม่รู้สึกสะดุด กับการเคลื่อนไหวเลย ถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีอายุถึง 5 ปีแล้วก็ตาม ◊ เกมเพลย์ ◊ ด้านนี้ต้องยอมรับเลยว่าทาง The Sims Studio ออกแบบ Expansion นี้มาได้ดีมากๆ เพราะปกติแล้วเวลาเราเล่น The Sims เราจะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากไปกว่า การดูตัวละครของเราใช้ชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ แต่ใน Realm of Magic นั้นเราจะต้องเลือกว่าตัวละครเราจะเป็น Master ในศาสตร์ด้านไหน เพราะทุกครั้งที่ระดับจอมเวทย์ของเราเลื่อนขั้น เราจะได้ Point มาอัปความสามารถของตัวละคร ในการเป็นพ่อมดนั้นจะมีสาขาวิชาเวทมนต์อยู่ 5 สายคือ เวทมนต์กลั่นแกล้ง, เวทมนต์ต่อสู้, การปรุงยา, เวทมนต์ในการใช้ชีวิต, และการเก็บเกี่ยว ดังนั้นเมื่อได้ Point มาต้องคิดดีๆ ว่าเราอยากเป็นมาสเตอร์ด้านไหนนั้นเอง ทำให้เกมมันดูมีสีสันขึ้นเยอะเลยครับ การใช้ชีวิตในสังคมนั้น มนุษย์มักจะสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมา ในโลกของ Realm of Magic ก็เช่นกัน โลกเวททนต์ภายในเกมจะประกอบด้วยสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เขตร้านค้าที่ขายไม้กายสิทธิ์ ไม้กวาดสำหรับขี่ วัตถุดิบต่างๆ หรือ เขตลานประลองเวทมนต์ที่เอาไว้ชิงความเป็นหนึ่ง ทำให้เวลาที่เราเดินสำรวจสถานที่ต่างๆ ในโลกเวทมนต์นั้น จะเหมือนผจญภัยอยู่ในโลกแฟนตาซีเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ The Sims ก็ยังคงเป็น The Sims อยู่วันยังค่ำ ดั้งเดิมแล้วเกมนี้จะให้เราเล่นและใช้ชีวิตประจำวันอย่างคนปกติ ดังนั้น กิน, นอน, เข้าห้องน้ำ, เข้าสังคม มันก็เป็นสิ่งที่ยังต้องทำอยู่เรื่อยๆ ในเกมเหมือนเดิม เวลาเล่นชีวิตจะเหมือนติดลูป ถึงแม้ว่า Realm of Magic จะทำให้เรามีเป้าหมายในการเล่น แต่การติดลูปของเกมมันทำให้เราเบื่อเวลาเล่นเกมนี้นานๆ นั้นเอง ◊ สรุป ◊ The Sim 4 Realm of Magic เป็น Expansion เสริมที่ทำให้เกม The Sims 4 นั้นดูมีอะไรให้ทำระหว่างเล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยา, ตามหาสมุนไพรหายากต่างๆ, ประลองเวทมนต์ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มเป้าหมายในการเล่นให้กับผู้เล่นกับการเป็นสุดยอดพ่อมดแขนงต่างๆ ด้านการนำเสนอมุมมองต่างๆ ของโลกเวทมนต์ภายในเกมก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน ทำให้การเล่น The Sims มันสนุกมากกว่าที่เคยเป็นไปพอสมควร แต่ก็ยังคงไม่สามารถแก้ข้อเสียเดิมๆ ของเกมได้เช่นกัน การเล่นยังคงเป็นการเล่นแบบติดลูปใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ เหมือนเดิม ถ้าเล่นนานๆ แล้ว ก็อาจจะหลับได้ครับ จากผลสรุปแล้วทำให้เราให้คะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถ้าหากเป็นคนที่เล่นเกมเพียงแค่ประมาณวันละ 1-2 ชั่วโมง เกมนี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีพอสมควร แต่ถ้าหากเป็นสายเล่นเกมวันละ 4-5 ชั่วโมงแล้วละก็ เกมนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์อะไรมากมายนักครับ [penci_review id="30470"]
10 Oct 2019
รีวิว Gears 5 สุดยอดซีรีส์เกมยิงกับการผจญภัยครั้งใหม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม (PC)
ซีรีส์ Gears of War ถือว่าเป็นจุดขายของเครื่อง Xbox และทาง Microsoft มาอย่างยาวนานทำให้ผู้เขียนนั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสซีรีส์นี้เท่าไหร่ แต่เมื่อทาง Microsoft ประกาศว่าเกม Gears 5 จะลง PC พร้อมกับการนำเสนอในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน Gears 5 จะสมกับที่รอคอยหรือไม่ ติดตามได้ในรีวิวนี้เลย การผจญภัยครั้งใหม่ของเหล่า Gears เนื้อเรื่อง Gears 5 จะดำเนินต่อมาจากเกมภาคที่ 4 ทีมของเราได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจยังดินแดน Ausura แต่ระหว่างทางนั้นเอง Kait ก็ได้เห็นนิมิตแปลกประหลาด และระหว่างที่พวกเขากำลังสำรวจดินแดนของนี้อยู่นั่นเอง พวกเขาพบว่าเหล่า Locust ที่ควรจะตายไปแล้วกลับไม่ตาย แต่พวกเขาได้พัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งกว่าเดิมในชื่อ Swarm พร้อมทำสงครามกับเหล่ามนุษย์อีกครั้ง ทำให้ Kait ต้องออกตามหาที่มาของนิมิตประหลาดและหาทางรับมือกับเหล่า Swarm ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ตอนแรกผู้เขียนเองไม่เข้าใจว่าทำไมชื่อเกมภาคนี้ตัดคำว่า of Wars ออกทั้ง ๆ ที่อยู่คู่กับเกมนี้มาอย่างยาวนานและทาง Aaron Greenberg หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Xbox บอกว่าอยากที่จะตัดคำนี้ออกเพราะว่าเกมเมอร์ฺจะสามารถจดจำได้ง่ายขึ้น หลังจากเล่นโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จบจึงเข้าใจนอกจากเหตุผลด้านการตลาดแล้ว เหตุผลด้านเนื้อเรื่องก็มีความสำคัญ Gears 5 จะไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังทำสงครามอยู่ แต่มอบความรู้สึกของการอยากค้นหาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ ที่ทางทีมงานเขียนบทออกมาได้ดีมาก ตัวละครต่าง ๆ จะมีบทที่ดี ทำให้เรารู้สึกอินกับตัวละครมาก ๆ อีกทั้งยังสอดแทรกมุกตลกตามแบบอเมริกัน ทำให้ตัวละครมีสีสันไม่น้อย สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกมภาคก่อนมาก็ไม่ต้องห่วงเพราะตัวเกมจะมีการเล่าย้อนเหตุการณ์ภาคเก่า ๆ ในช่วงแรกของเกม นอกจากนี้ตัวเกมยังใส่จุดหักมุมรวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ในจังหวะที่พอดี ทำให้เนื้อเรื่องของเกมที่มีความยาว 15 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้น เราจะไม่รู้สึกเบื่อเลยเราอยากจะเล่นต่อให้จบ ซึ่งเชื่อผมเถอะว่าซื้อเกมนี้มาเล่นโหมดเนื้อเรื่องก็คุ้มค่าแล้ว การต่อสู้สุดมันกับเหล่า Swarm Gears 5 ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ที่ทำมาอย่างยาวนานในฐานะของเกม Cover base Shooters สุดมัน ที่เน้นการยิงกันเข้าว่า มาในภาคนี้ทางตัวเกมได้ขยับความมันและความเดือนขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่เราสามารถที่จะลอบสังหาร (Stealth) การที่มีหุ่นอย่าง Jack ที่จะคอยช่วยเก็บกระสุน รวมถึงใช้สกิลต่าง ๆ ในการต่อสู้กับเหล่าศัตรู เมื่อประกอบกับระบบ Perfect Reload ที่จะให้โบนัสพิเศษแก่เรา หากกดปุ่ม Reload แล้วกดอีกครั้งให้ถูกจังหวะ ทำให้การต่อสู้ของเกมนี้สนุก ๆ มาก ๆ โดยเฉพาะเกมเมอร์สายยิง ในขณะเดียวกันศัตรูของเกมนี้ก็ไม่ได้ดาหน้าเข้ามาให้เรายิงแบบง่าย ๆ พวกมันจะมีการวางแผน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่ศัตรูโผล่มาทีละหลาย ๆ ตัว ทำให้เราจะต้องใช้ความสามารถในการต่อสู้อย่างเต็มที่ รวมถึงเราต้องจัดลำดับของศัตรูให้ดีไม่งั้นเราจะอยู่ในจุดที่เสียเปรียบสุด ๆ แม้ว่าจะมี Cover ต่าง ๆ มาช่วยเราก็ตาม นอกจากนี้ในบางช่วงของเกมตัวเราจะไม่ได้ยิงแต่ศัตรูเท่านั้น แต่ตัวเกมจะให้เราออกไปสำรวจยังโลกกว้าง ที่จะมีภารกิจหลักและภารกิจเสริมให้เราทำ โดยภารกิจหลักจะมีผลต่อเนื้อเรื่องของเกม แต่ภารกิจรองจะให้รางวัลแก่เราเป็นการอัปเกรดของ Jack ทำให้เราไม่อยากที่จะพลาดภารกิจเสริมเลย อีกทั้งตัวเกมเองยังมีสิ่งของต่าง ๆ ให้เราได้เก็บที่จะทำให้เราเข้าใจจักรวาลของ Gears มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันตัวเกมก็เน้นยังการยิงกันอย่างเดียว ทำให้หากคุณไม่อินกับการยิงกันคุณจะรู้สึกเบื่อเร็วมาก เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวเกมแม้จะมีโหมดลอบเร้นแต่สุดท้ายก็ยิงกันตูมตามอยู่ดี Multiplayer ที่แสนสนุก หลังจากจบโหมดเนื้อเรื่องแล้ว จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือโหมด Multiplayer ที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ไม่ว่าจะเป็นโหมด Versus ที่ให้เราได้ใช้ความสามารถที่เรียนรู้มาจากโหมด Single Player มาจัดการผู้เล่นอีกฝ่ายหรือโหมดอย่าง Horde โหมด Co-op สุดมันที่ให้เราได้ร่วมมือกับผู้เล่นอื่นในการต่อต้านเหล่า Locust และโหมดอย่าง Escape ที่ให้เราผ่าฝูงด่านต่าง ๆ ในแบบ Co-op เพื่อทำเวลาให้ดีที่สุด กราฟิกในเกมที่สวยงามตามสไลต์ Gears Gears 5 ถือว่าเป็นเกมหนึ่งที่มีกราฟิกสวยงามมากเกมหนึ่งในปีนี้ รายละเอีดยต่าง ๆ ฉาก แสงในเกมรวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ใน Cut scene ก็ทำออกมาได้อีกมาก โดยหากคอมพิวเตอร์ของคุณสามารถปรับให้เล่นแบบ Ultra ได้คุณจะเห็นถึงความสวยงามของเกมแบบเต็มตา ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กินสเปกเครื่องมากนัก โดยสเปกขั้นแนะนำของเกมก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยิ่งคุณเล่นในเครื่อง Xbox One X จะสัมผัสได้ถึงความสวยในระดับ 4K นอกจากนี้ตัวเกมยังเอาใจคนสเปกเครื่องแรงด้วยการเพิ่ม Ultra-HD Texture Pack ที่จะทำให้ภาพในเกมสวยยิ่งขึ้นไปอีกแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแลกมากับสเปกเครื่องที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดย FPS จะลดลงไปมากถึง 15- 20 FPS [caption id="attachment_30517" align="alignnone" width="1024"] Gears 5 กับกราฟิกแบบปรับสุด+ Ultra texture[/caption] แต่หลาย ๆ คนอาจจะเจอปัญหาเมื่อเกมเข้าสู่ช่วง Open World จะมีอาการกระตุก ซึ่งผู้เขียนแม้ว่าจะใช้การด์จอระดับ RTX 2060 เฟรมเรตก็ร่วงไปถึง 20-30 FPS จนบางครั้งต่ำกว่า 60 FPS ก็มี ทั้ง ๆ ที่ในฉากอื่น ๆ FPS แทบจะเกิน 120+ ซึ่งคำแนะนำหากยังเล่นได้กระตุกอยู่ก็อาจจะต้องมีการปรับลดคุณภาพของกราฟิกลง รวมถึงในบางครั้งกราฟิกของตัวเกมมีอาการติด Bug ให้เราเห็นบ้างในบางครั้ง สรุป Gears 5 คือแพคเกจของเกม Shooters ขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องที่แสนเข้มข้นและระบบการเล่นที่สนุก ในราคาเริ่มต้นเพียง ฿699.00 (Steam) และยิ่งคุณสมัครสมาชิกของ Xbox Game Pass Ultimate ในช่วงทดลองคุณจะสามารถเล่นเกมนี้ได้ในราคาเพียง 35 บาทเท่านั้น สเปกเครื่องที่ใช้ในการรีวิวเกมนี้ CPU: Intel i5 - 9400F GPU : ZOTAC GAMING GEFORCE RTX2060 - 6GB GDDR6 RAM : 16 GB [penci_review id="30515"]
07 Oct 2019
[Review] Call of Duty: Mobile เมื่อสมรภูมิถูกย่อลงมือถือ นี่คือความมันระดับพระกาฬ
หลังจากตัวเกม Call of Duty: Mobile ได้เปิดให้บริการพร้อมกันทั่วโลกในช่วง 1 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมี Activision เป็นผู้ให้บริการ ส่วนเซิร์ฟเวอร์เอเชียของเรานั้นจะได้ Garena เป็นผู้เปิดให้บริการแทน ถึงแม้ผู้ให้การบริการทั้งสองเจ้าจะคนละเจ้าแต่ความสนุกและความมันชนิดระเบิดเขา เผากระท่อมก็ยังมีอย่างครบครัน ราวกับเอาเกมบน PC มาย่อลงในมือถือให้เล่นกันได้ทุกที่ทุกเวลา ต้องขอย้อนไปช่วงที่ทาง Activision เริ่มลุยเกม Call of Duty ลงบนมือถือตอนแรกๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขอบอกเลยว่าเล่นไปแป๊บเดียวแทบจะลบเกมทิ้ง ณ เดียวนั้นเลย เหมือนรู้สึกว่าตลาดมือถือยังไม่ใช่ทาง จนกระทั่งในปัจจุบันเมื่อมือถือมีศักยภาพมากพอที่สามารถเล่นบนภาพกราฟิคสวยๆ ในราคาที่จับต้องได้ และมีหน้าจอกว้างพอที่เอื้อต่อการบังคับด้วยระบบสัมผัสบนปลายนิ้ว จนเกิดเกม Call of Duty: Mobile ที่พร้อมท้าชนเกมแนว Shooting รุ่นพี่ได้อย่างน่าสนใจ บทความนี้จะเป็นการรีวิวเกมมือถือสุดมันโดยเครื่องที่ใช้เล่นเกมนี้เป็น Samsung Galaxy A50 มือถือสเปคกลางๆ ไม่หวือหว๋า มาดูกันว่ามันจะสนุกไม่แพ้บน PC หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ================================================== มันคือ Call of Duty ที่พกสนามรบไปตบกันได้ทุกหนแห่ง Call of Duty: Mobile เป็นเกมแนว Shooting มุมมองบุคคลที่หนึ่งและมุมมองบุคคลที่สามสำหรับโหมด Battle Royale ที่มีระบบพื้นฐานต่างๆ อ้างอิงมาจากภาค Black Ops 2 เป็นหลัก พร้อมนำจุดเด่นและ Signature ของภาคอื่นๆ มาใส่รวมไว้ในนี้ด้วย แถมมีตัวละครสำคัญๆ อย่าง Ghost, Price, Soap จากภาค Modern Warfare หรือแม้กระทั่ง Alex Mason จากภาค Black Ops และ David Mason ลูกชายของเขาจากภาค Black Ops 2 ก็ยกขบวนมาอยู่ในเกมนี้ด้วย นอกจากนี้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในเกมจะอิงจาก Modern Warfare เป็นหลัก แต่ที่น่าสนใจคือ Signature Weapon หรือ Operator Skill ซึ่งเป็นอาวุธปืนสุด OP จาก Black Ops 3 และ 4 ถูกใช้ในเกมนี้ด้วย หากใครเก่งๆ ได้ฆ่าบ่อยๆ จนเกจเต็มก็สามารถไล่กราดยิงใส่ให้ราบเป็นหน้ากลอง  แต่เห็นเอาระบบต่างๆ จากภาค Modern Warfare และ Black Ops มารวมกันแบบนี้ กลับลงตัวอย่างน่าประหลาดและไม่ได้รู้สึกว่ามันเยอะจนเกินไป ความประทับใจแรกของเกมนี้ เห็นทีมี WOW สิ่งแรกที่ทำได้น่าประทับใจจนไม่น่าเชื่อเลยก็คือการใช้เวลาจับคู่กับผู้เล่นคนอื่นๆ ซึ่งไม่เกินสามวินาทีก็ได้เล่นกันเลย แต่กลับเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะยังไม่ทันจะหยิบขนมเข้าปากเลยเกมก็เริ่มเสียแล้ว (อย่างหลังล้อเล่นนะ) สำหรับในโหมด Battle Royale กลับใช้เวลานานกว่านิดหน่อย ใช้เวลาไม่เกินสามสิบวินาทีโดยเฉลี่ยเพราะต้องจับคู่ทีเดียวหนึ่งร้อยคนต่อหนึ่งแมตช์ซึ่งอันนี้เข้าใจได้แต่ก็ยังถือว่าเร็วมากๆ อยู่ดี ส่วนต่อมาที่ชอบเหมือนกันก็คือระบบกราฟิค ซึ่งเครื่องที่ใช้ในการรีวิวเกมนี้เป็น Samsung Galaxy A50 ที่มีสเปคเครื่องไม่แรงมากนัก แต่สามารถขับ Framerate วิ่งอยู่ที่ 60 FPS ได้อย่างสบายๆ ในระดับ Medium ซึ่งหากปรับ High ก็มีอาการหน่วงอยู่บ้าง Framerate จะอยู่ประมาณ 45 ถึง 50 FPS ก็ยังถือว่าพอรับได้ กลายเป็นว่าเกมนี้มีกราฟิคสวยๆ ลื่นๆ แต่กินสเปคไม่โหดอย่างที่คิด หากใครที่ใช้โทรศัพท์สเปคแรงกว่านี้ก็สามารถทำ Framerate 60FPS ในระดับ High ได้ดีเยี่ยมเลยล่ะ และอีกจุดที่ชอบมากคือ หากคิดว่าเกมนี้ไม่อำนวยต่อผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่มีทักษะเกม Shooting บนมือถือ ระบบการยิงของเกมก็มีการยิงแบบอัตโนมัติง่ายๆ เพียงแค่เลื่อนเป้าปืนให้ตรงกับศัตรูปืนก็จะยิงออกไปอย่างอัตโนมัติ หรือใครชอบความยากชนิด Try Hard ก็สามารถปรับระบบการยิงแบบ Advance ได้ซึ่งจะมีรายละเอียดปรับรูปแบบการยิงให้เหมาะกับสไตล์ที่เราเล่นกับปืนที่ละกระบอก Interface ไม่ซับซ้อนและ Feature เด่นๆ ไม่ซ้ำใคร ในด้านของ Interface และเมนูต่างๆ นั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก ตั้งแต่หน้า Loadout ที่สามารถปรับแต่งได้โดยง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส คำอธิบายเรื่อง Perk เสริมความสามารถต่างๆ บ่งบอกชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย ถือเป็นจุดที่ดีแต่ก็ไม่ได้ถึงกับประทับใจมากนัก หน้า Interface ภายในเกมนั้นแม้ปุ่นมันเยอะจริงๆ แต่ภาพโดยรวมนั้นถือว่าไม่ถึงกับบดบังสายตาจนน่ารำคาญแต่อย่างใด ถือว่าเป็นการจัดหน้า Interface ได้อย่างชาญฉลาดและลงตัวมากสำหรับเกมแนว Shooting ที่ต้องการพื้นที่ในการมองให้มากที่สุดเพื่อความได้เปรียบในการเล่น เมนูร้านค้าต่างๆ ใช้สัญลักษณ์เป็นการบอกหมวดสินค้าซึ่งก็เข้าใจง่ายดี แต่เพราะมันไม่บอกว่าคืออะไรบางคนอาจจะไม่เข้าใจก็ต้องลงไปจิ้มๆ อย่างละเอียดอีกทีว่า ในโหมดนี้มีอะไรขาย ซึ่งปืนในร้านค้าที่เอามาขายนั้นแม้จะเป็นกระบอกใหม่แต่ค่า Status ต่างๆ เท่ากับตัวปืนพื้นฐาน ฉะนั้นหมดกังวลเรื่องปืนเติมเงินมีผลต่อเกม สาย Pay-2-win จะไม่มีในนี้ ซึ่งประทับใจจริงๆ แต่ว่าราคาสินค้ามันสูงไปเสียหน่อย ความน่าซื้อเลยหายไประดับหนึ่ง ส่วนตัวละครนั้นจะมีพื้นฐานให้สามตัวซึ่งสามารถซื้อเพิ่มเติมได้จาก Bundle ในเมนู Shop ของเกม แน่นอนว่าตัวละครอันแสนคุ้นเคยรอสายเปย์มาซื้อไปใช้งานนั้น ราคาก็จะสูงๆ หน่อย แต่อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เกมนี้เปย์เพื่อเอาความเท่ ความสวยงาม ไม่มีผลต่อการเล่นแต่อย่างใดซึ่งมันก็แฟร์ดี อาวุธต่างๆ ในเกมเมื่อเราเล่นจบแต่ละเกมก็จะมีเลเวลของปืนเพิ่มขึ้นเพื่อปลดล็อคอุปกรณ์เสริม หากบางคนขี้เกียจก็สามารถใช้บัตร Weapon XP ในการเร่งเลเวลได้เพียงชั่วพริบตา Signature Weapon หรือ Operator Skill ถือเป็นไพ่ตายของผู้เล่น สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัดเช่น ปืนกล Minigun ที่สามารถสังหารศัตรูได้ทุกระยะเพียงไม่กี่อึดใจ, เครื่องยิงลูกระเบิดที่ยิงออกไปแล้วทำความเสียหายแบบวงกว้าง สามารถสังหารหมู่ได้เพียงนัดเดียว หรือแม้กระทั่งเครื่องพ่นไฟแม้ระยะของไฟจะใกล้แต่หากโดนแล้วไฟจะลามเผาไปทั่วร่างจนตายอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องการได้อาวุธจำพวกนี้มาจะต้องปลดล็อคด้วยเลเวลของตัวผู้เล่นให้ถึงกำหนดเสียก่อนถึงจะใช้งานมันได้ ในด้านโหมด Battle Royale นั้นสามารถเลือกได้ที่จะใช้มุมมองแบบบุคคลที่หนึ่งหรือมุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งแล้วแต่ความถนัด เพิ่มทางเลือกให้ผู้เล่นได้ ส่วนใน Interface ตัวเกมในโหมด Battle Royale นั้นแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากโหมด Multiplayer ปกติ เพียงแต่มีการเสริมปุ่มการสลับมุมมองที่ซ้ายล่างและสามารถปรับโหมดการยิงจากยิงทีละนัดเป็นแบบยิงอัตโนมัติได้ตามสถานะการณ์ และปุ่ม Signature Weapon จะถูกเปลี่ยนเป็น Class Skill แทน Class Skill คือสิ่งที่ช่วยให้เรารอดพ้นสถานะการณ์อันเลวร้ายต่างๆ ในโหมด Battle Royale ได้เป็นอย่างดี ทั้งสกิลฮีลหมู่, สกิลยิงสลิงปีนปายขึ้นที่สูงหรือสกิลตั้งกำแพงเหล็กฉุกเฉิน หากใช้ถูกจังหวะมันจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว Gameplay ที่ โค-ตะ-ระ มัน แต่เวลาสั้นเหลือเกิน แผนที่ต่างๆ ภายในเกมนั้น ก็เอามาจากซีรี่ย์ Black Ops เป็นหลักตั้งแต่ภาคแรกถึงภาคล่าสุด หากใครไม่เคยเล่นภาค Black Ops ก็จะใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับแผนที่สักหน่อย แต่ส่วนตัวจากที่ติดตามและเล่นภาค Black Ops มาทุกภาค จึงปรับตัวได้รวดเร็วและทำให้ชวนคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยเล่นบน PC เนื่องจากมันเกมมือถือ จึงต้องย่นระยะเวลาการเล่นแต่ละเกมให้จบไวขึ้น ยกตัวอย่างเช่นโหมด Team Deathmatch ในเวอร์ชั่น PC ทีมจะต้องฆ่าให้ครบ 75 คะแนนหรือ 100 คะแนน แต่ในเวอร์ชั่นมือถือจะตัดเหลือเพียง 40 คะแนน ในรูปแบบเกม 5 ต่อ 5 แน่นอนว่าความสนุกนั้นไม่ได้กลับหายไป แต่มันแอบสะดุดที่ว่า เกมมันจบไวเกิน อารมณ์มันค้าง ต้องหาเกมใหม่ เล่นแป๊บๆ จบ และก็หาเกมใหม่วนไปเรื่อยๆ มันเลยรู้สึกเล่นไม่เต็มอิ่มเสียเท่าไหร่ และก็รวมถึงโหมด Domination หรือโหมดยึดพื้นที่ ปกติคะแนนที่เราจะชนะอยู่ที่ 200 คะแนน แต่ในมือถือจะเหลือเพียง 100 คะแนน แม้ระยะเวลาการเล่นจะนานขึ้นมานิด แต่ก็รู้สึกจบไว ไม่เต็มอิ่มอยู่ดี เมื่อเกจ Signature Weapon หรือ Operator Skill เต็ม ก็เตรียมเปิดทุ่งสังหารกันได้เลยเพราะเมื่อเราได้ชักอาวุธสุด OP ออกมา แม้ยิงนัดแรกพวกมันจะไม่เป็นไร แต่นัดต่อไปก็จะได้เห็นศัตรูกระเด็นติดกำแพง ใครๆ ก็เห็นว่าตายหมู่ บอกเลยว่าจังหวะนี้เป็นอะไรที่แอบฟินและซาดิสม์นิดๆ กับการยิงไม่เลือกหน้าเพราะของเขาดีจริงๆ แถมสิ่งนี้จะช่วยทำให้เราพลิกเกมกลับมาชนะด้วย แต่ก็ต้องระวังด้วยว่ามันมีระยะเวลาจำกัดในการใช้ จึงต้องเลือกใช้ในสถานะการณ์ที่เหมาะจริงๆ เท่านั้นเนื่องจากแต่ละรอบมันใช้ได้ครั้งเดียว และหากเราตายขณะที่เรากำลังใช้ อาวุธสุด OP ก็จะหายไปด้วย แต่ความมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะเกมนี้ใช้ระบบ Score Streak เก็บคะแนนสะสมจากการฆ่าศัตรู, ช่วยเหลือการยิงหรือการสนับสนุนต่างๆ เมื่อถึงจุดที่กำหนดเราสามารถเรียกการสนับสนุนการยิงได้ต่างๆ มากมายทั้ง Predator Drone ที่ลงกลางหัวศัตรูสามารถสังหารหมู่ได้เพียงครั้งเดียว, เรียก Helicopter ออกมากราดยิงศัตรูเป็นระยะ สร้างความได้เปรียบในการเล่นหรือสามารถเรียก VTOL ซึ่งเป็นเครื่องบืนเพดานสูง เรียกปืนใหญ่ลงถล่มจากภาคพื้นได้โดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมดหรือถูกโจมตีสวนขึ้นมาได้ง่ายๆ เหมือนเรากำลังได้ขยี้สิ่งมีชีวิตตัวน้อยด้วยเพียงปลายนิ้ว อีกทั้งเสียงระเบิดตูมตามสะใจนี่ฟินเสนาะหูดีเหลือเกิน พอมาถึงคิวของโหมด Battle Royale นี่ฉากเปิดตัวอลังการมาก แต่ดันตกม้าตายเพราะไอ้การแปลภาษาไทยข้างล่าง ดด/วว/ปปป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะแปลส่วนนี้มาทำไม ใส่เวลาบอกไปเลยน่าจะดูดีกว่าเยอะ เห็นจุดนี้ทีถึงกับเบ้ปากมองบนเลยล่ะ พอเมื่อเท้าแตะพื้นและได้ลองเล่นโหมดนี้ได้สักพัก กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นหรือหวือหว๋ามากนัก แม้จะมีลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาอย่างการขับ Helicopter,ขับรถหุ้มเกราะ,มีปืนสำหรับยิงต่อต้านยานเกราะและต่อต้านอากาศยาน, มี Class Skill ไว้เพื่อใช้ในสถานะการณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งมีซอมบี้วิ่งไล่ตบแบบสุ่มก็ตาม แต่ใช่ว่ามันไม่สนุกเลย มันโอเคเลยล่ะ เล่นง่ายกว่าเกมแนว Battle Royale หลายเกม ระยะเวลาในการเล่นก็ไม่นานเกินไป เพียงแต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ก็เท่านั้น ================================================== ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะได้เจอในเกม Call of Duty: Mobile แม้ว่าโหมด Zombie จะยังไม่เปิดให้เล่นในตอนนี้ แต่โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีมาก กราฟิคลื่นไหลแม้ใช้มือถือที่สเปคไม่แรง และที่สำคัญเลยคือโหมด Multiplayer ทำออกมาดีงามพระรามแปดไม่แพ้รุ่นพี่บน PC เลยล่ะ โดยเฉพาะตอนได้ขึ้น VTOL แล้วสาดกระสุนปืนใหญ่ลงมา แต่ทว่าในโหมด Battle Royale กลับทำออกมาเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะเกมแนวนี้มีมานานและมีเยอะพอสมควรจึงรู้สึกไม่ค่อยมีอะไรใหม่มากนัก ส่วนใครกลัวว่าเกมนี้อาจจะต้องเจอคนที่เล่นผ่าน Emulator ล่ะก็ขอให้สบายใจได้เพราะทางทีมงานได้ยืนยันแล้วว่าคนที่เล่นผ่าน Emulator ก็จะเจอคนเล่นผ่าน Emulator ด้วยกันทำให้เกิดความแฟร์และหมดกังวลเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบ สุดท้ายนี้ เกม Call of Duty: Mobile เหมาะกับใครหรือเล่นสไตล์ไหน ก็ขอตอบเลยว่าเป็นเกมที่เหมาะกับคอร์เกมสาย Shooting เกมไว หากคนไม่คุ้นเคยอาจจะรู้สึกมึนหัวเสียเล็กน้อย  และสามารถเล่นได้ทั้งแบบเล่นฆ่าเวลาหรือเล่นจริงจังก็ทำได้หมด เพราะนี่คือสมรภูมิย่อส่วนบนมือถือที่ดีที่สุดในขณะนี้ยังไงล่ะ สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
03 Oct 2019
[REVIEW] Mario Kart Tour เกมแข่งรถมาริโอสุดฮิตบนเครื่องมือถือ
หากคุณเป็นสาวก Nintendo เจ้าแห่งเครื่องและเกมคอนโซลจากแดนอาทิตย์อุทัย ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักมาริโอ และเกมการแข่งรถในตำนานของพวกเขา อย่าง Mario Kart แน่นอน  ตัวละครน่ารักน่าชังและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ Gamer ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของวงการเกม กับการพลิกบทบาท ที่ให้พลพรรคมาริโอ ได้ทำมากกว่าการกระโดดโหม่งอิฐ, มุดลงท่อ, เหยียบกระดองเต่า, ชักธง ฯลฯ มาจับพวงมาลัยซิ่งโกคาร์ตแทน นับว่าเป็นเกมในจักรวาล Mario ที่น่าเล่นเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้  ณ วันนี้ Nintendo ได้เปิดตัวเกมใหม่ของซีรี่ย์ Mario Kart ให้เราได้เล่นกันบนมือถือ ทั้งบนระบบ Android และ IOS แล้ว เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ในชื่อ Mario Kart Tour [caption id="attachment_30027" align="aligncenter" width="1500"] Image from: Mario Kart Tour, twitter official account[/caption]   มาทำความรู้จักกับ Mario Kart กันหน่อย Mario Kart เป็นเกม Arcade แข่งรถโกคาร์ต ที่ถูกพัฒนาโดย ชิเงรุ มิยาโมโตะ แห่งบริษัท Nintendo ซึ่งเขานี่แหละ เป็นคนสร้างเกม Super Mario Bros. ขึ้นมา เขาได้ไอเดียในการจับมาริโอ้มาขับโกคาร์ต จากการพูดคุยกับกลุ่มเด็กในเมือง Dayton รัฐ Ohio ซึ่งความสำเร็จของ Mario Kart นั้น ได้มาจากการที่ผู้เล่นสามารถนำตัวละครที่คุ้นเคยจาก Super Mario Bros. มาสนุกกับเกมประเภทแข่งรถแนวใหม่ได้นั่นเอง และแน่นอนว่า เกมนี้ต้องเล่นบนเครื่องคอนโซลของ Nintendo เท่านั้น โดยซีรี่ย์เกมของ Mario Kart ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1992 ชื่อว่า Super Mario Kart บนเครื่องซุปเปอร์แฟมิคอม (Super Famicom) หรือในชื่อเต็มๆว่า Super Nintendo Entertainment System เป็นเครื่องเล่นเกม 16-bit ที่มีประสิทธิภาพด้านกราฟฟิคและเสียงสูงมากในยุคนั้น ต่อมา เมื่อ Nintendo พัฒนาเครื่องเล่นเกมให้มีความทันสมัยมากขึ้น Mario Kart เองก็ได้พัฒนาซีรี่ย์ใหม่ๆ และพาตัวเกมไปบรรจุอยู่ในเครื่องเกมเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเครื่อง Nintendo64 (ปี 1996), เกมบอยแอดวานซ์ (ปี 2001), Nintendo GameCube (ปี 2003), Nintendo DS (ปี 2005), Wii (ปี 2008), Nintendo 3DS (ปี 2011), Wii U (ปี 2014) และ Nintendo Switch ในปี 2017 นอกจากบนเครื่องคอนโซลแล้ว Mario Kart ยังมีเกมบนตู้ Arcade กับเขาด้วยนะ ในชื่อซีรี่ย์ Mario Kart Arcade GP โดยความร่วมมือกับ Bandai Namco ตั้งแต่ปี 2005 และได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนตอนนี้มีทั้งหมด 4 เวอร์ชั่นแล้ว ล่าสุด! Nintendo ได้ฉีกกรอบจากการพัฒนาเกมลงเฉพาะเครื่องคอนโซล มาเป็นเกมในมือถือกับเขาบ้างแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้มีเกมจากซีรี่ย์มาริโอ้อย่าง Mario Run และ Dr. Mario World ออกมาให้ได้เล่นกันก่อน และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ก็ได้นำเกมซีรี่ย์ยอดฮิต Mario Kart มาเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ ในชื่อ Mario Kart Tour แล้วจ้า เริ่มเล่น Mario Kart Tour กันเถอะ! Mario Kart Tour เปิดให้บริการแบบ Free-To-Start ทั้งบนระบบ Android และ iOS เพียงเข้าไปหน้า Play Store หรือ App Store แล้วกดดาวน์โหลดได้เลย เมื่อเข้าเกมมาแล้ว หลายคนอาจจะตกใจ เพราะตัวเกมจะถามหา Nintendo Account ซึ่งถ้าคุณไม่ใช่สาวก Nintendo มาก่อนคงร้อง อ้าว! แน่นอน (เนื่องจาก ปกติหลายๆเกมมักจะให้ล็อคอินผ่าน Faceook ได้เลย) แต่ที่จริงแล้ว การสมัคร Nintendo Account ไม่ได้มีความซับซ้อนหรือเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น ถ้าเรายังไม่มี Nintendo Account ตัวเกมจะพาเราไปยังหน้าเว็บไซต์ของ Nintendo โดยระบบจะให้เราสามารถสร้างบัญชีโดยเชื่อมกับ Facebook, Google หรือ Twitter ได้เลย เพียงกรอกรายละเอียดเพิ่มนิดหน่อย พร้อมยืนยันการสร้างบัญชีผ่านอีเมล ก็เป็นเสร็จเรียบร้อย สิ่งแรกที่เราจะได้ทำตั้งแต่เริ่มเกม คือ.. การสุ่มตัวละคร!! ตัวเกมจะขอให้เราดึงเจ้าท่อสีเขียว หนึ่งใน  Gimmick ของเกมมาริโอ้ เพื่อจุดพลุ จากนั้นจะมีตัวละครสุ่มออกมาให้ เมื่อเรามีตัวละครแล้ว ระบบจะแนะนำวิธีการเล่นเบื้องต้นให้ เมื่อเราจบ Training ก็จะได้สุ่มตัวละครเพิ่มอีก 1 ครั้ง ก่อนลุยสนามจริง ในส่วนของการเริ่มต้นเกม ถือว่าแนะนำได้เข้าใจง่าย สามารถจับจุดการเล่นได้ภายในการฝึกแค่ไม่กี่นาที แถมฝึกจบแล้ว ยังมีตัวละครให้ถึง 2 ตัว ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ในการเลือกตัวละครให้เหมาะสมกับการเล่นในแต่ละสนาม ดีกว่าได้มาตัวเดียว ลงสนามแล้วเสียเปรียบก็ต้องทนใช้ไป ถือได้ว่า แค่ First Impression ก็ซื้อใจคนเล่นได้ค่อนข้างอยู่หมัดทีเดียว ขับรถอย่างไร ใน Mario Kart Tour ขอบอกก่อนว่า เกม Mario Kart Tour สามารถเล่นได้บนแนวตั้งเลย ตามสไตล์เกม Arcade บนมือถือ และเป็นเทรนด์เกมมือถือญี่ปุ่นในขณะนี้ ที่ไม่ต้อง Rotate หรือหมุนจอภาพมาเป็นแนวนอนเพื่อเล่น และสามารถบังคับได้อย่างสะดวกสบายด้วยมือข้างเดียว การเคลื่อนที่ของรถ จริงๆแล้วเรียกว่าเป็นระบบอัตโนมัติก็ไม่เชิง เพราะต่อให้เราไม่ทำอะไรกับหน้าจอเลย รถก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามอัตราความเร็วของรถที่เราปรับแต่งมาแล้ว หากให้เทียบกับการเล่นบนจอยคอนโซล ก็คือระบบจะกดเดินหน้าให้เราอัตโนมัติแล้วนั่นเอง  แต่การออกตัวที่ดี ทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง! ถ้าอยากให้รถที่เราขับนั้นออกตัวได้เร็ว แรง ต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่ก่อนสตาร์ท โดยระหว่างนับถอยหลัง ให้เรากดค้างเพื่อ Boost ความเร็ว เมื่อหน้าจอขึ้นว่า Go เลื่อนนิ้วบนหน้าจอไปข้างหน้าเพื่อผลักรถให้ออกตัว เท่านี้ ต่อให้ลำดับรถเราอยู่รั้งท้าย ก็มีโอกาสพุ่งขึ้นที่ 1 ได้อย่างง่ายดายถ้าเราปล่อยรถถูกจังหวะ แต่ถ้าปล่อยรถพลาด ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปฟรีเพราะเอฟเฟคมึนงงได้นะ แต่หลังออกจากเส้นสตาร์ทแล้ว รถจะเคลื่อนที่เองโดยที่เราไม่ต้องกดอะไรเพิ่ม แค่ควบคุมหน้าจอในการเลี้ยวหรือเข้าโค้งก็พอ ส่วนรถจะแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งของเราเองแล้วล่ะ ในส่วนของการเลี้ยวรถ ก็ทำได้ง่ายๆด้วยการเลื่อนนิ้วไปซ้าย-ขวาตามเส้นทางที่ต้องการ ความพิเศษอยู่ตรงที่ เราสามารถตั้งค่าได้ตั้งแต่ในโหมดการฝึก ว่าการเลื่อนนิ้วของเรา จะเป็นการเลี้ยวเบาๆตามแรงเหวี่ยงของมือ หรือหากชอบความแรงในการเข้าโค้ง เลื่อนนิ้วปุ๊บ รถดริฟ (Drift) ทันที ก็ได้เช่นกัน  การเลี้ยวอีกระบบที่น่าสนใจคือ การตั้งค่าเลี้ยวด้วยการเอียงจอ (Gyro Handling) ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่ต้องการความเซนซิทีฟในการเข้าโค้ง เลี้ยวธรรมดาได้ ดริฟได้ ตามใจชอบ โดยไม่ต้องเกร็งนิ้ว ในระหว่างลงสนามแข่ง เราจะสามารถพบ Item Box ได้ระหว่างทาง ซึ่งเมื่อเราเก็บแล้ว จะได้ไอเท็มที่ช่วยให้การแข่งขันน่าตื่นเต้น และมีการเปลี่ยนแปลงอันดับได้ หากต้องการใช้เมื่อไหร่ แค่จิ้มลงไปบนหน้าจอ ไอเท็มก็จะถูกใช้งานทันที สะดวกสบาย และไม่รบกวนการขับด้วย แนะนำเล็กน้อยสำหรับขาซิ่งที่ชอบการป่วนสนาม หากเรากำลังเร่งเครื่องแซงรถคันหน้า อย่าลืมชนรถคันนั้นด้วยถ้ามีโอกาส เพราะจะทำให้รถที่ถูกชนเสียจังหวะและหยุดกะทันหัน ทำให้เรามีโอกาสทิ้งห่างได้มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น การที่รถถูกชน จะทำให้เหรียญ Coin ที่รถคันนั้นเคยเก็บได้ กระเด็นตกออกมาอยู่บนสนาม ใครขับผ่านก็ลาภปากเก็บไปได้เลย ลงไปสำรวจสนามแข่งกัน สำหรับ Mario Kart Tour จะแบ่งช่วงการแข่งขันออกเป็นทัวร์นาเม้นท์ (ถ้าเทียบกับเกมอื่น คงเรียกว่า “ซีซั่น”) โดยในทัวร์แรกนี้ มีชื่อว่า New York Tour เริ่มเข้าแข่งขันได้ตั้งแต่วันเปิดเกมจนถึง 9 ตุลาคมนี้  ในทัวร์แต่ละครั้ง จะแบ่งสเตจออกเป็นรายการชิงถ้วยรางวัลต่างๆ ในแต่ละถ้วยการแข่งขัน จะมีสนามแข่งให้เราเข้าแข่งขันทั้งหมด 4 สนามแข่ง เพื่อเก็บแต้มคะแนน, ค่าประสบการณ์, เหรียญ Coin และดาว Grand Star แบ่งเป็นการแข่งทำเวลาและอันดับ 3 สนาม ส่วนในสนามที่ 4 เกมจะให้เราเคลียร์ภารกิจที่การแข่งขันกำหนด โดยถ้วยแรกที่เราจะได้เข้าชิงคือ Mario Cup การแข่งขันถ้วยต่อๆไป ก็ได้ใช้ชื่อตัวละครในมาริโอ้มาตั้งเป็นชื่อการแข่งขันทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ตัวเกมได้ทยอยเปิดถ้วยใหม่แบบวันเว้นวัน เราคนเล่นก็ค่อยๆเคลียร์ด่านตามไปแล้วกันเนอะ~ ยิ่งผู้เล่นสะสมดาว Grand Star จากแต่ละด่านได้มากเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถใช้ปลดล็อคการแข่งขันในถ้วยต่อไปได้แล้ว หลังจบทัวร์ฯ ก็จะได้รับรางวัลตามจำนวน Grand Star ที่สะสมไว้ด้วย ส่วนสภาพแวดล้อมของสนามแข่งขันที่ให้เราลงไปขับนั้น ขอบอกเลยว่าถอดแบบจากด่าน Mario Kart ในเวอร์ชั่นคอนโซลมาเป๊ะ! เช่น Cheep Cheep Lagoon, Mario Circuit, Toad Circuit, Rock Rock Mountain ฯลฯ เห็นไหมล่ะ แผนที่เดียวกันเลย ใครที่เคยเล่นมาบ้าง ต้องคุ้นตากันสักด่าน สองด่านอย่างแน่นอน และใน Mario Kart Tour นี้ ไม่มีการตกสนามแข่งนะจ๊ะ ต่อให้หลุดโค้งแค่ไหน ก็ไปต่อได้ แค่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง   มีอะไร ใน Item Box ไอเท็มที่เราสามารถเก็บจากสนามแข่งใน Mario Kart Tour เชื่อว่าสำหรับแฟนเกม Mario Kart ต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแน่นอน เพราะไอเท็มพื้นฐานนั้น เป็นไอเท็มที่เคยปรากฏในภาคก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น เช่น... Mushroom สัญลักษณ์ของเกมมาริโอ้ ที่ใครเห็นก็อยากเก็บ สำหรับใน Mario Kart เจ้าเห็ดสีแดง จะช่วย Boost ความเร็วในการขับขี่ของเราได้ แต่ถ้าหากได้เห็ดสีเหลือง หรือ Mega Mushroom จะช่วยให้เราตัวใหญ่ขึ้น และสามารถชนรถคันอื่นให้ติด Stun ได้สบายเลยล่ะ Shell กระดองเต่า ที่หากโดนแล้วทำให้เสียสมรรถภาพในการขับขี่ทุกคน กระดองสีเขียว เมื่อปาไปข้างหน้าจะกระดอนในบริเวณที่ถูกปล่อย ถ้าเจอก็หักพวงมาลัยหลบกันให้ดี ส่วนกระดองสีแดงและกระดองหนามของ Browser แค่มีผู้เล่นอยู่ในระยะสายตาด้านหน้า มันจะพุ่งไปหาคนเล่นทันที อันนี้ทำใจ.. หลบยากหน่อยนะ Banana ขึ้นชื่อว่าเปลือกกล้วย หากเยียบเข้าอาจทำให้ลื่นล้มได้ เช่นกันกับใน Mario Kart ถ้าเราขับรถทับเจ้าเปลือกกล้วยเมื่อไหร่ รถจะหมุนและเสียจังหวะทันที Blooper ถ้าเห็นเจ้าหมึกมาเต้นบนหัวเมื่อไหร่ เตรียมตัวจอเปื้อนได้เลย เพราะหมึกจะปล่อยน้ำหมึกสีดำ ทำให้ทัศนวิสัยในการขับรถเราแย่ลง ถ้าโดนเข้าแล้วก็ระวังแหกโค้งกันด้วยนะทุกคน Bob-omb น้องระเบิดน้อย ที่เมื่อถูกปล่อยออกมาแล้วมันจะเดินซนไปบนสนาม เมื่อนับถอยหลังครบเวลาแล้ว มันจะระเบิดเป็นพื้นที่กว้างรอบตัว ตอนขับก็อย่าเฉียดเข้าไปใกล้มันนะ เดี๋ยวโดนลูกหลง Bullet Bill เมื่อกดใช้ไอเท็มนี้ นักขับจะแปลงร่างเป็นกระสุนขนาดยักษ์ พุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง นอกจากเป็นไอเท็มที่ช่วยพลิกเกมให้ขึ้นนำแล้ว ยังสามารถก่อกวนผู้เล่นคนอื่นที่ถูกชน ให้ติด Stun ได้เช่นกัน Coin เหรียญทอง ซึ่งปกติมันจะดรอปบนถนนของสนามแข่งอยู่แล้ว แต่ก็สามารถสุ่มได้จาก Item Box เช่นกัน ซึ่งจะยิ่งเพิ่มจำนวนเหรียญให้เราสะสมไปใช้กันได้มากขึ้น   นอกจากนี้ ยังมีไอเท็มพิเศษประจำตัวละคร ซึ่งเราสามารถเช็คได้ในหน้า Driver โดยสังเกตได้จากมุมล่างซ้ายของกรอบตัวละครว่าถ้าใช้ตัวละครนี้ จะได้ไอเท็มอะไร ส่วนรายละเอียด สามารถกดรูปตัวละครและอ่านได้จากส่วน Special Skill    เลือกให้ดี! ก่อนเข้าแข่งขัน ทุกครั้งก่อนเริ่มลงสนาม ตัวเกมจะให้เราเลือกตัวละครเป็นอันดับแรก โดยแต่ละด่าน จะมีบางตัวละครที่มีความได้เปรียบในการเก็บไอเท็ม (เก็บได้ 2 หรือ 3 ชิ้น) ซึ่งยิ่งเก็บได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสทำคอมโบไอเท็มได้ด้วย สมมุติว่าในด่าน Toad Circuit เราเลือกตัวน้องเห็ด Toad ที่สามารถเก็บไอเท็มได้ 3 ชิ้น เมื่อเราขับชน Item Box แล้วได้ Banana ทั้ง 3 ช่อง จะทำให้เราปล่อยเปลือกกล้วยได้ไม่จำกัดจำนวน ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งคอมโบนี้นับว่าป่วนสนามได้อย่างมาก คันที่ขับตามหลังเรา ต้องหลบไม่ได้อย่างแน่นอน ต่อมา คือการเลือกรถ เช่นกัน รถแต่ละแบบจะให้ Bonus point ที่ต่างกันสำหรับแต่ละด่าน หากใครไม่แคร์คะแนนตอนจบเกม ก็สามารถตัดสินใจเลือกรถจาก Special Skill ในหน้า Karts ได้ เช่นบางคันออกตัวได้ดี บางคันทำให้รถเหิน (Jump Boost) ได้ดี Dash ได้ดี หรือเข้าโค้งได้ดี ซึ่งส่วนตัวแนะนำว่า เลือกรถที่เข้ากับสไตล์การเล่นของเราจะดีที่สุด สุดท้าย คือการเลือกเครื่องร่อน (Gliders) ซึ่งในส่วนนี้มีประโยชน์ คือ เพิ่มโอกาสการได้ไอเท็มตามประเภทของเครื่องร่อนที่เราเลือก ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากมุมซ้ายของรูปได้เลย สำหรับในส่วนนี้ จะมีข้อดีในการทำคอมโบไอเท็มได้ง่ายขึ้น และหากเลือกเครื่องร่อนได้เข้ากับสนามแข่ง ก็ยิ่งเพิ่ม Combo Bonus เข้าไปด้วย ระบบเพิ่มเติม ที่นักขับควรรู้ Point หรือผลการนับคะแนนท้ายเกม ขึ้นอยู่กับ 1. Base Point จากการเลือกตัวละคร รถ และเครื่องร่อนก่อนเริ่มเกม 2. Bonus Point จากผลการขับ (Performance) ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการดริฟ, กระโดด, ใช้ไอเท็ม ฯลฯ 3. Position Point หรือลำดับที่เราเข้าเส้นชัยนั่นเอง นอกจากผลคะแนนจะมีไว้เพื่อเก็บสถิติส่วนตัวแล้ว ในทุกๆ 1,000 แต้ม จะทำให้เราได้รับเหรียญ Coin เพิ่มอีก 1 เหรียญด้วย Level ในช่วงเริ่มเกม การรีบเก็บเลเวลนั้นสำคัญมาก เพราะจากเลเวล 2 ไป 3 และจากเลเวล 3 ไปเลเวล 4 เราจะได้รับ cc ของรถเพิ่มขึ้น จาก 50cc เป็น 100cc และ 150cc ตามลำดับ ยิ่ง cc รถมาก ยิ่งทำให้รถของเราวิ่งได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนตั้งแต่เลเวล 5 เป็นต้นไป จะได้รับของขวัญพิเศษตามที่ตัวเกมกำหนด Shop แม้เกมจะโหลดฟรี แต่ก็มีร้านขายของยั่วใจให้เสียเงินอยู่ดี โดยระบบการจับจ่ายส่วนใหญ่ที่ทุกคน ได้ใช้แน่นอน คือ Ruby ในการสุ่มท่อเขียว ซึ่งเราสามารถได้รับเป็นของขวัญจากการเล่นเกม (ในจำนวนเล็กน้อย) หรือถ้าอยากมีไว้ใช้เยอะๆ ก็ต้องเติมตามระเบียบ และในแต่ละช่วง จะมี Special Offer เป็นชุดเซ็ตของใช้ให้เราซื้อด้วยเงินจริง ส่วนเหรียญ Coin ที่เราสะสมจากสนามแข่ง ก็สามารถนำมาใช้ได้ในส่วน Daily Selects ที่มีตัวละคร รถ และเครื่องร่อน สุ่มมาให้เราเลือกซื้อไม่ซ้ำแบบในแต่ละวัน Gold Pass คือระบบบัญชีพิเศษ ที่ต้องเติมเงินรายเดือน เดือนละ 149 บาท เพื่ออัพเกรดบัญชีของเรา หากเราเล่นด้วยบัญชี Gold Pass เราสามารถได้รับของรางวัลพิเศษเพิ่มเติมจากภารกิจต่างๆภายในเกม และที่น่าสนใจที่สุดคือ เราสามารถปลดล็อคความเร็วรถที่ 200cc ได้ แรงแซงโค้งไปเลย~ สำหรับบัญชีผู้เล่นใหม่ ตอนนี้ ทาง Nintendo เปิดให้ลงทะเบียนทดลองใช้ฟรี 2 สัปดาห์ แต่หลังจาก 2 สัปดาห์แล้ว ระบบจะตัดรายเดือนอัตโนมัติ หากไม่ต้องการเสียเงินเพิ่ม อย่าลืมเข้าไปยกเลิก Gold Pass ก่อนครบกำหนดเวลาด้วยล่ะ Tour Gift เมื่อเราเคลียร์ถ้วยการแข่งขันผ่านไปได้ 3 ถ้วย เราจะพบกับกล่องของขวัญ คั่นก่อนเข้าสู่สเตจถัดไป หากเราสะสมดาว Grand Star จากสเตจก่อนหน้าได้ตามที่กล่องของขวัญกำหนด เราจะสามารถเปิดกล่อง Tour Gift และรับของรางวัลภายในกล่องไปได้เลย  Ranking หลังจากเปิด Tour Gift กล่องแรกได้แล้ว เกมจะเปิดระบบ Friends ให้เราเพิ่มเพื่อนในเกมได้ นอกจากนี้ยังมีความประหลาดใจที่ตามมาติดๆ เมื่อเปิด Koopa Troopa Cup นั่นคือ การจัดอันดับประจำสัปดาห์ โดยวิธีการจัดลำดับ มาจากคะแนนสะสมของการแข่งขันทั้ง 3 สนามในสเตจนั้น เมื่อครบสัปดาห์แล้ว คะแนนอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ จะได้รับรางวัลประจำอันดับนั้นไปครองทันที ทั้งนี้ ระบบ Ranking และ Friends ที่เปิดขึ้นมาพร้อมกัน นั่นเพราะ ให้เราสามารถเทียบคะแนนสะสมของเราและเพื่อนในเกมได้ด้วยนั่นเอง   ==================================================   จากใจแฟนเกม Mario Kart ขอบอกเลยว่าประทับใจมาก~ ส่วนตัวผู้เขียนเคยเล่นเกมนี้แบบจริงจังบนเครื่อง Wii มาก่อน และรอคอยมาสักพักใหญ่ๆแล้วว่าจะหาเกมนี้เล่นได้จากที่ไหนอีกนะ?  ให้ซื้อเครื่องคอนโซลมา เราก็ไม่ค่อยเล่นซะด้วย จนมาเห็นบน App store ไม่กี่วันก่อนเปิดนี่แหละ และทาง Nintendo เองก็ไม่ได้ทำให้สาวกเกมอย่างเราผิดหวัง เพราะยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น Mario Kart ไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งบรรยากาศที่คุ้นเคย ระบบเกมที่ยังคงคอนเซปต์เดิมทุกประการ อาจมีปรับเปลี่ยนรายละเอียดบ้างเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับการเล่นบนมือถือ สำหรับผู้เล่นเก่าก็แค่เปลี่ยนวิธีการควบคุม ผู้เล่นใหม่ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แถมตัวเกมยังมีขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่ในโทรศัพท์อีกด้วย ถึงแม้ว่าถ้าจะให้เทียบกับเวอร์ชั่นหลักที่ลงคอนโซล ตัวเกมเวอร์ชั่นมือถือก็อาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่า เพราะเรื่องของความท้าทายของด่านในการเล่น แต่มันก็ถือว่าเป็นเกมมือถือที่สนุก และอาจจะเป็นเกมแข่งรถมือถือที่ดีที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ แต่ที่น่าเสียดายคือ ระบบในตอนนี้ ยังเป็นการเล่นคนเดียว เคลียร์ด่านไปเรื่อยๆ เก็บคะแนนแบบเหงาๆ แข่งกับบอทไปวันๆ เต็มที่ก็แข่ง Ranking กับเพื่อน ทั้งนี้ คงต้องรอดูว่า Mario Kart Tour จะเปิดระบบการเล่นแบบ Multiplayer เมื่อไหร่ แต่เพราะอย่างนี้ เลยทำให้อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า.. Nintendo รีบเปิดเกมหรือเปล่า เลยทำให้โหมดเกมในส่วนนี้ยังไม่เรียบร้อย หรือเป็นความตั้งใจว่าในทัวร์ฯ แรกๆ อยากให้ผู้เล่นเข้ามาทดสอบระบบให้อยู่ตัวก่อนก็เป็นได้ เอาเป็นว่า Mario Kart Tour ได้เปิดตัวไปอย่างสวยงามและประสบความสำเร็จในระดับทลายสถิติ จนทะยานขึ้นที่ 1* ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ ก็คงต้องรอดูกันแล้วว่า ทางผู้พัฒนาของ Nintendo จะมีอะไรเด็ดๆมาเซอร์ไพรส์เราในอนาคตบ้าง เมื่อถึงเวลานั้น พวกเรา Game Fever จะเกาะติดข่าวอัพเดต มาให้ทุกคนได้ทราบในทันทีเลยจ้า   *ข้อมูลจากการจัดอันดับ Top Free Games ของ App Store บนระบบ IOS
30 Sep 2019
รีวิว Home Sweet Home EP.2 ทวีคูณความสยองกว่าเดิม !!
รอกันมากกว่า 2 ปี ตอนนี้ก็ออกมาให้เราเล่นแล้วสำหรับ Home Sweet Home EP.2 เกมสยองขวัญภาคต่อฝีมือคนไทย ที่จะเป็นการสรุปเรื่องราวละปมต่างๆ ของเกมในภาคแรกที่ยังค้างคาอยู่ หลังจากที่ตัวเกมได้สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกและสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยอย่างเรา ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ได้ไปลองเล่นเกมภาคนี้มาเรียบร้อยแล้ว และจะมาเล่าถึงความรู้สึกว่ามันจะยอดเยี่ยมหรือไม่ ? ไปชมกันเลย ปล. นี่เป็นการรีวิวตัวเกมจากประสบการณ์ที่เล่นใน Part 1 เท่านั้น ปมทุกอย่างของเกมจะเฉลยในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ! ซึ่งทางเราจะทำการแก้ไขข้อมูลอีกครั้ง ถ้าหากได้เล่นตัวเกมครบสมบูรณ์ เนื้อเรื่อง เรื่องราวภาคนี้เองก็ยังต่อจากภาคแรก เรานั้นจะได้รับบทเป็นติมที่จะต้องตามหาแฟนที่หายตัวไป ซึ่งในภาคนี้เนื้อเรื่องของเราจะมีการเปิดเผยเรื่องราวของผีนางรำที่เป็นกิมมิคของเกม โดยการดำเนินเรื่องในภาคนี้จะเข้าใจง่ายกว่าภาคที่แล้ว เอกสารต่างๆ จะไม่ได้มีให้อ่านเยอะที่ต้องรวบรวมข้อมูลเอาเองเหมือนภาคแรก แต่ในภาคนี้จะเล่าเรื่องราวผ่าน Flashback ที่จะเฉลยให้เราดูเรื่อยๆ ซึ่งตัวเนื้อเรื่องเองไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรมากมาย ตรงประเด็น ตรงไปตรงมา ซึ่งส่วนตัวชอบนะ เข้าใจง่าย อารมณ์เหมือนได้ดูหนังผีไทยซักเรื่อง ถึงมันจะไม่ได้แบบว่าโอ้วว้าว สุดยอด เดอะเบส ขนาดนั้น แต่ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนมากหรอก ขอแค่มันมีที่มาที่ไปนิดหน่อยก็เพียงพอจะพาเราอินไปกับมันได้ง่ายๆ เพราะเอาตามตรงวัฒนธรรมความเชื่อของไทยมันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรืออ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะต้องหาเหตุผลมารองรับให้ปวดหัวอยู่แล้ว เนื้อเรื่องที่เล่าง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ก็ไม่เลว กราฟิก ในเกมภาคนี้ก็น่าจะใช้ Engine ตัวเดียวกับภาคแรกทำ แต่ความรู้สึกคิดว่าในภาคนี้โมเดลรายละเอียดต่างๆ จะมีความสวยงามและสมจริงกว่าภาคเก่าอยู่หน่อยๆ ถึงแม้ส่วนตัวอาจจะผิดหวังกับโมเดลศัตรูบางตัวอย่างลูกกระจ๊อก หรือกระสือที่ไม่ค่อยน่ากลัวซักเท่าไร ซึ่งเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เน้นในจุดนี้ แต่สิ่งที่ต้องชมคือตัวผีนางรำทำออกมาได้น่ากลัวและสมจริงเป็นอย่างมาก สยบคำพูดของคนทั่วไปที่บอกว่านางรำสวยเกิน อยากจับทำมิดีมิร้ายมากกว่า หึหึหึ !! บอกเลยว่าอยากให้ลองเองจริงๆ เดี๋ยวรู้เลย !! บรรยากาศของเกมในภาคนี้เราจะได้เข้าไปสัมผัสถึงความเป็นไทยมากขึ้น ได้เข้าไปในป่า บ้านไม้ โรงละครโบราณ บวกกับความมึดอันสุดวังเวง หลอนๆ มาเต็มที่สามารถทำให้คุณกลัวได้จนถึงขีดสุด ซึ่งมันเป็นก็ไปได้ที่คนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะได้รับการปลูกฝังเรื่องเล่าสยองๆ ของกิตติศัพท์ผีไทยโบราณ ไศยศาสตร์ มาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องซาวด์ประกอบเองยังทำออกมาได้ดีเช่นเคย ซึ่งแม้เสียงระทึกจะยังใช้ตัวเดียวกับภาคเก่า แต่ก็มีการเพิ่มในส่วนของซาวน์ดนตรีไทย เสียงไม้กระทบกัน เสียงจิ้งจก หรือเสียงกระดิ่งจากตัวผีนางรำที่การันตรีเลยว่า ถ้าคุณได้ยินเสียงนี้ก็เตรียมตัวรับความสยองขวัญ และหาลู่ทางซ่อนในดีๆ เพราะมัน !! อยู่ใกล้ๆ คุณ !! เกมเพลย์ Home Sweet Home EP.2 ก่อนหน้านี้ตัวเกมเผยให้เห็นถึงการสู้ผีต่างๆ นาๆ ส่วนตัวก็คิดว่าเอ~ มันจะน่ากลัวน้อยลงไหม มันจะถูกดัดแปลงจนเกมมันไปเข้าข่ายแนวเดียวกับพวก Resident Evil หรือเปล่า ? (สยองขวัญและมีอาวุธให้สู้ตลอดทาง) แต่ผิดมหันต์เพราะหลังจากที่ได้ลองเล่นมาแล้วนั้น ตัวเกมก็ยังเน้นความเป็น Horror ไม่ต่างจากภาคแรก เราจะต้องลอบเร้นเข้าไปหาของเพื่อผ่านไปยังพื้นที่ต่อไป ซึ่งในภาคนี้ศัตรูที่พบเจอส่วนใหญ่ก็จะเป็นผีนางรำที่เราจะเจอตั้งแต่ช่วงประมาณ 20 นาทีแรกของเกมไปจนถึงจบ Part 1 เลย ซึ่งก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าผีนางรำนี่โหดเหียมมาก น่ากลัวกว่าผีน้องเบลในภาคแรกอีก หูไวตาไว และดุร้ายกว่ามาก ตัวภารกิจปริศนาต่างๆ ที่ได้เล่นบางอันทำได้ดูน่าสนใจดีเหมือนกัน และก็ดูแปลกใหม่ดี แต่ส่วนตัวมีความรู้สึกชอบไอเดียของปริศนาในภาคแรกเสียมากกว่า ปริศนาภาคนี้ก็มีให้คิดบ้าง แต่มันไม่ค่อยเยอะเท่าไร และก็ง่ายไปนิด ส่วนใหญ่ลอบเร้นหนีจากผีนางรำที่ขวางทางผ่านในการทำภารกิจ และอาจจะมีกลับมาที่เดิมบ้าง แต่เราก็ต้องรอดูใน Part 2 ว่าจะมีปริศนาที่น่าสนใจเพิ่มเติมมากขึ้นอีกไหม แต่มันก็มีบางระบบที่ทำให้เกมสนุกขึ้นเช่นกัน อย่างระบบต่อสู้ที่ส่วนตัวรู้สึกชอบนะเวลาสู้กับผีนางรำ เพราะว่าตัวศัตรูนั้นจะปรากฏมาตามหุ่นต่างๆ ถ้าหากเราเอาตะปูไปตอกไว้และบังเอิญว่าศัตรูเกิดมาจุดนั้นพอดี มันจะเป็นการตรึงศัตรูไว้ชั่วขณะทำให้เราโจมตีศัตรูได้ ซึ่งมันตื่นเต้นมากๆ เพราะตัวหุ่นภายในแผนที่มีหลายจุด เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าผีนางรำจะออกมาจากหุ่นตัวไหน มันเป็นความระทึกที่จะต้องลุ้นและท้าทายพอสมควร ถือว่าเป็นเกมการเล่นใหม่ๆ ที่ส่วนตัวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ในจุดนี้ต้องชม รวมถึงตัวเกมก็ยังใส่ระบบต่างๆ เข้ามาเพิ่มอย่างการกินเลือด ทำให้เราสามารถโดนผีจับได้หลายครั้ง แต่นั่นแหละมันก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผีนางรำมันดุกว่าผีน้องเบลนั่นเอง หรือจุดเซฟทำให้เราต้องบริหารและวางแผนการเล่นมากกว่าเดิม ซึ่งก็ถือว่าแปลกใหม่กว่าภาคที่แล้วดี สรุป Home Sweet Home EP2 ก็ยังเป็นเกมที่รักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้ ถึงแม้บางระบบอาจจะดูดรอปๆ ลงไปจากภาคที่แล้ว แต่มันก็มีระบบและการเล่นใหม่ๆ เข้ามาทดแทนได้อย่างยอดเยี่ยม เนื้อเรื่องและเกมเพลย์ของเกมนี้ทำให้เราติดพันจนสามารถเล่นจบได้ในรวดเดียวยิงยาวสบายๆ รวมถึงบรรยากาศของเกมนั้นน่ากลัวกว่าภาคที่แล้วเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะตัวเกมพาเราเข้าสู่ความเป็นไทยมากขึ้น ผีนางรำที่สร้างออกมาได้อย่างสยดสยอง ตัวเกมเล่นกับความมึดและเสียงได้ดีเยี่ยม เผลอๆ ทำได้ดีกว่าเกมสยองขวัญสเกลใหญ่ๆ เสียอีก ที่เพียงแค่คุณได้ยินเสียง คุณก็ขนลุกแล้ว !! นี่คือเกมที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด ไม่ใช่ว่ามันเป็นเกมคนไทยอย่างเดียว แต่มันคือความภาคภูมิใจที่คนไทยสามารถสร้างเกมยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่แพ้ต่างชาติ อยากให้ทุกท่านช่วยสนับสนุนซื้อตัวเกมเพื่อให้ผู้พัฒนา YGGDRAZIL GROUP มีเงินทุนเพื่อสร้างเกมเจ๋งๆ แบบนี้ และสเกลใหญ่กว่านี้ให้เราชาวไทยครับ สั่งซื้อเกม Home Sweet Home EP.2 ได้ที่ : LINK [penci_review id="29748"]
27 Sep 2019
รีวิว Cat Quest 2 เกม RPG Openworld ผจญภัยไปในโลกน้องเหมียว
Cat Quest 2 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่หลายๆ คนสนใจตั้งแต่ภาคแรก เนื่องจากตัวเกมเป็นเกมแนว Action / Fantasy ที่ผสมเอาความน่ารักของน้องแมวและสุนัขมาทำเป็นจุดขายของเกม รวมถึงตัวเกมยังรองรับภาษาไทยอีกด้วยทำให้เกมนี้น่าเล่นเอามากๆ และเกมภาคใหม่นี้มีความสนุกตรงไหน มีความน่าเล่นอย่างไรวันนี้พวกเรา GameFever TH จะนำมาแนะนำท่านผู้อ่านกัน เนื้อเรื่อง Cat Quest 2 ว่าด้วยเรื่องราวโลกเดิมมีดาบขององค์ราชันที่คอยรักษาสมดุลของสิ่งต่าง ๆ แต่แล้วการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธ์ุหมาและแมว ก็ทำให้ดาบนี้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เราและคู่หูในฐานะสองราชาที่ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับสงคราม และรวบรวมดาบเล่มนี้เพื่อนำพาสันติสุขกลับคืนสู่โลกและสองเผ่าพันธ์ุ เนื้อเรื่องถือว่าทำออกมาได้มาตรฐานตามสไตล์เกมแนวผจญภัยที่ทำออกมาได้อย่างสนุกและน่าติดตาม นอกจากนี้ Lore หรือเรื่องราวภายในเกมก็ยังน่าสนใจอีกด้วย ซึ่งเราจะสามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านทางเควสเสริม ที่จะบอกว่าทำไมสองเผ่าพันธ์ุนี้ถึงทำสงครามกัน วิธีการคิดของทั้งสองเผ่าพันธ์ุแตกต่างกันอย่าไง ยิ่งตัวเกมเป็นภาษาไทยการเสพเนื้อก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น กราฟิกสวยงาม น่ารักสดใส ถือว่าเป็นจุดของเกมนี้ไปแล้วกับกราฟิกของเกมในสไตล์น่ารักสดใส ไม่มีความรุนแรงทำให้สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ฉากของสกิลต่าง ๆ แอนิเมชั่นในการโจมตีต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในส่วนของตัวละครนั้นต้องบอกว่า ‘น่ารัก’ มาก ๆ ตั้งแต่ตัวละครเอกไปจนถึงบอสประจำด่าน อีกทั้งยังมีการนำเอาแมวและสุนัขพันธ์ุต่าง ๆ มาเป็นตัวละครในเกมอีกด้วย ระบบการเล่น ความเป็น Action ที่ผสมกับความเป็น RPG ได้ลงตัว Cat Quest 2 เป็นเกม Action ที่เราจะต้องใช้ทั้งฝีมือตามแบบเกม Action Hack n’ Slash เนื่องจากในเกมนี้ศัตรูจะมีระยะการโจมตีออกมาเตือนผู้เล่นเสมอ หากยังตั้งหน้าตั้งตาตีก็อาจจะเจ็บหนักได้ โดยเกมนี้ไม่มีน้ำยารีเลือด/มานา นอกจากสกิลฮีลหรือคุณสมบัติของชุด ดังนั้นเราจะต้องเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาคอยหลบการโจมตีของศัตรูที่ดี โดยเฉพาะสกิลหมู่ที่อาจจะทำให้ตายได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ศัตรูบางตัวการโจมตีไม่สามารถทำอะไรได้ต้องใช้กับสภาพแวดล้อมในการจัดการอย่างเดียว ในส่วนของความเป็น RPG นั้นตัวเกมมีระบบค่าประสบการณ์ที่เมื่อเลเวลของเราเพิ่มขึ้น ค่าสถานะต่าง ๆ ของเราก็จะเพิ่มทั้งเลือดและพลังโจมตี นอกจากนี้เงินในเกมนี้ยังมีความสำคัญเพราะว่าต้องใช้ในการอัปเกรดอาวุธและสกิล ทำให้เราจะต้องออกไปฟาร์มบ้างไม่เช่นนั้นตัวเกมอาจจะยากจนเกินไป ในส่วนของคู่หูเราที่เป็น AI ก็คือว่าทำออกมาได้ดีไม่ว่าจะเป็นจังหวะในการโจมตีหรือการใช้สกิลในการสนับสนุนเรา แต่ในการสู้กับศัตรูที่เก่งกว่านั้น AI ของเรามักจะพลาดบ่อยโดยเฉพาะเหล่าบอส ทำให้เราต้องสู้กับบอสแต่เพียงลำพังหลายครั้ง ดังนั้นถ้าหากเกมมันยากเกินไปฟาร์มมาแล้วก็ยังสู้ไม่ไหว เรียกเพื่อนมาเถอะ อิสระในการเล่น ในเกม RPG หลาย ๆ เกมหากเราเล่นสายไหนเราจะต้องเล่นสายนั้นไปจนจบเกม ทำให้ในบางครั้งหากเราเจอศัตรูที่แพ้ทาง เราจะเข้าสู่โหมดยากของเกมทันทีแต่ในเกมนี้เราสามารถที่จะเปลี่ยนแนวทางการเล่นได้ตลอดเวลา โดยแนวทางการเล่นหรือ Build จะผูกกับสกิลที่เราใช้และไอเทมที่สวมใส่ที่หากเราชอบการโจมตี เราก็ใส่สกิลเพิ่มพลังในการโจมตีและใส่ชุดเพิ่มดาเมจ หรือเราจะเล่นเป็นตัวชนให้เพื่อนเราก็สวมชุดเพิ่มเกราะและเลือดเป็นต้น ทำให้เกมนี้เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยนสายได้ตลอดเวลา โดยหากเราชอบไอเทมไหนมาก ๆ ก็สามารถอัปเกรดเพื่อเพิ่มความสามารถได้อีกด้วย นอกจากนี้ระบบไอเทมของเกมยังสร้างสรรค์มาก โดยในเกม RPG อื่น ๆ หากเราทำการดรอปไอเทมซ้ำจะเป็นการเปลืองช่องในกระเป๋าทำให้เราต้องโยนขายที่ร้านหรือทิ้งไป แต่เกมนี้หากเราได้ไอเทมซ้ำตัวเกมจะอัปเกรดไอเทมขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น เรียกได้ว่ายิ่งได้ไอเทมซ้ำมากเท่าไหร่ยิ่งประหยัดในส่วนของเงินที่ใช้ในการอัปเกรดนี้เท่านั้น โลกที่น่าค้นหา ยิ่งผจญภัยยิ่งเก่ง ตัวเกมเป็นเกมแนว Open World ที่แม้รายละเอียดอาจจะไม่เยอะเหมือนกับเกมอื่น ๆ แต่ตัวเกมก็เต็มไปด้วยดันเจี้ยนและเควสเสริมที่มีอยู่อย่างมากมาย ทำให้เราอยากจะสำรวจและทำเควสของเกม โดยภารกิจเสริมนอกจากจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเกมแล้ว เรายังได้ Exp และเงินเพื่อมาพัฒนาตัวละครของเรา ในขณะดันเจี้ยนจะเป็นเหมือนกับสถานที่ในการอัปเกรดอาวุธและปลดล็อกสกิล ทำให้เราอยากจะสำรวจทุกที่ แต่ถึงกระนั้นตัวเกมก็กลัวว่าผู้เล่นจะลุยทุกดันเจี้ยนเร็วเกินไป ตัวเกมเลยมีการทำเลเวลที่แนะนำก่อนที่จะเข้าดันเจี้ยนไว้ ซึ่งหาเราเลเวล 30 อยากจะลงดันเจียนเวล 99 ย่อมทำได้แต่รับรองว่าไม่รอดอย่างแน่นอน ดังนั้นเข้าเมื่อเลเวลพร้อมจะดีกว่า ประสิทธิภาพดีเยี่ยม เกมนี้เดิมทีมีกำหนดเปิดให้เล่นในวันที่ 24 กันยายน 2019 ในแพลตฟอร์ม PC ส่วน Nintendo Switch , PlayStation 4 และ Xbox One จะตามมาในภายหลัง แต่สำหรับสมาชิก Apple Arcade สามารถเล่นได้เลยตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนได้ลองเล่นใน iPad Air 2019 การตอบสนองต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล กราฟิกสวยงาม โดยผู้เขียนเล่นหลายชั่วโมงเจอ Bug เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าประสิทธิภาพของตัวเกมทำออกได้ดีมาก ๆ สรุป เกมนี้ถือว่าเป็นเกม Action / RPG ที่เล่นได้สนุกเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ดังนั้นหากคุณกำลังหาเกมแนวผจญภัยที่มีกลิ่นอายของความเป็นเกมแนว RPG และ Action รวมถึงกราฟิกที่สวยงาม รวมถึงเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและเต็มไปด้วยรายละเอียดเกมนี้ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว [penci_review id="29259"]
23 Sep 2019
รีวิว FIFA 20 สมจริงขึ้นทุกปี Volta Football ก็โคตรมัน !!
เปิดตัวออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับ FIFA 20 เกมฟุตบอลซีรีส์หลักจากทาง EA ที่ในภาคนี้ได้ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างพร้อมทั้งโหมดใหม่ที่น่าสนใจอย่าง Volta Football ที่จะพาเราไปสัมผัสประสบการณ์ของจุดเริ่มต้นและแก่นของกิฬานี้อย่างสตรีทฟุตบอลนั่นเอง พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มเติมความสมจริงของเกมให้มากขึ้นรวมถึงสายออฟไลน์ตัวเกมก็ได้เพิ่มเติมระบบของ Career Mode ที่จะทำให้คุณสนุกกับการเล่นมากขึ้น ซึ่งพวกเรา GameFeverTH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่ามันจะยังยอดเยี่ยมเหมือนภาคก่อนๆ หน้านี้หรือไม่ ? **ซึ่งพวกเราต้องขอขอบคุณทาง Digitas และ EA ที่ได้ส่งคีย์เกมมาให้เรารีวิวด้วยครับ** โหมดหลัก เกมเพลย์ของ FIFA 20 นี้บอกตามตรงว่ามันแตกต่างจากภาคที่แล้วพอสมควร แอนิเมชั่นของตัวเกมกลับมามีความสมจริงมากขึ้น หลังจากที่ใน FIFA 19 มันออกการ์ตูนๆ หน่อยๆ ตัวเกมเพลย์จะมีสปีดที่ช้ากว่าเก่าภาคเล็กน้อยๆ จะให้อารมณ์ความรู้สึกถึง FIFA 18 อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งส่วนตัวชอบนะมันให้ความรู้สึกถึงความเป็นนักฟุตบอลจริงๆ แต่เมคคานิคการเล่นของภาคนี้ก็ยังคล้ายๆ เดิม เวลาเล่นกับคนจริงๆ ก็ต้องระวังเรื่องของเกมรับเช่นเคย ถ้าวิ่งเพรสซิ่งมั่วๆ นี่อาจจะโดน 3-0 ตั้งแต่ครึ่งแรกก็เป็นได้ เพราะแอนิเมชั่นของตัวละครที่ช้าๆ ในภาคนี้นี่แหละทำให้เกมรับเล่นยาก กะจังหวะไม่ดีหลุดยาวๆ ส่วนเรื่องการส่งบอลในภาคนี้จะมีความสมจริงขึ้น เนื่องด้วยจากข้อจำกัดด้านแอนิเมชั่นทำให้บางจังหวะใน FIFA 19 ทำได้ หรือคิดว่าทำไงได้ฟะ ภายในภาคนี้จะมีให้เห็นน้อยลง Volta Football เป็นโหมดที่เข้ามาแทน The Journey ที่จะพาเราเข้าไปเล่นฟุตบอลแบบสตรีท ตัวเกมเพลย์จะเป็นแนวฟุตบอลรูหนูมีการเล่นแบบ 3v3, 4v4, 5v5 และแบบฟุตซอล ซึ่งแต่ละเกมการเล่นจะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และถือว่าแปลกใหม่เป็นอย่างมาก และถ้าใครคิดว่าตัวเกมจะเหมือนกับ FIFA Street ที่เคยเล่นในสมัย PS2 ก็อาจจะคิดผิด เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีความคล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้น มันไม่ได้แฟนตาซีหรือจะเล่นท่าสวยงามขนาดนั้น ตัวเกมจะเน้นการต่อบอลไวเพื่อส่งบอลเข้าปากประตูซะมากกว่า แต่การเล่นท่าทางก็พอจะทำได้แต่มันก็จะใช้กลไกเดียวกับเกมเพลย์หลักนั่นแหละ สิ่งที่ชอบสำหรับ Volta Football ก็คงจะเป็นในเรื่องของความยากในการยิง เนื่องจากที่ตัวโกลมันเล็กเลยทำให้การที่จะส่งลูกบอลเข้าโกลจะทำได้ยาก เราจะได้กำหนดทิศทางการยิงให้ตรงเข้าเป๊ะๆ ถึงจะสามารถส่งมันไปทำคะแนนได้ ผิดกับในเกมเพลย์หลักที่ขอแค่ทิศทางใกล้เคียงโอกาสเข้าก็สูงแล้ว แต่ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะอะไรที่ยากๆ นี่แหละมันท้าทายสุดๆ บางทีเราอาจจะโดนสวนขึ้นไป แต่มันก็การันตรีไม่ได้ร้อยเปอรเซ็นต์ว่าศัตรูจะสามารถยิงได้หรือไม่ !! แต่ถึงอย่างนั้นการเล่นกับบอทเองก็ยังมีปัญหาเพราะตัว AI ถูกเซ็ตออกมาให้ฉลาดเกินไป มันถูกตั้งค่าให้เล็งเป้าได้ตรงเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ จึงทำให้โหมดนี้ถ้าเล่นกับเพื่อนจะสนุกมากกว่าไม่หัวร้อนด้วย ตัวเกมยังมีโหมดอื่นๆ ให้เล่นด้วยอย่างเช่นโหมดออนไลน์กับผู้เล่นคนอื่นที่จะมีการจัดลีคไต่เต้าขึ้นไปได้เรื่อยๆ สามารถเล่นกับเพื่อนๆ ได้โดยใช้ตัวละครที่เราสร้าง รวมถึงในโหมดนี้เองก็ยังมีโหมดเนื้อเรื่องเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่ในภาคนี้จะแตกต่างจากภาคก่อนๆ เพราะเราจะสามารถเลือกตัวละครได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ต้องมาจมปลักเล่นแต่ Alex Hunter เหมือนภาคก่อนๆ แต่ติดอยู่เล็กน้อยตรงที่ต่อให้เราสร้างตัวละครยังไง ตั้งชื่อแบบไหน NPC ที่เรียกเราว่า REVVY อยู่ดีๆ แต่การตั้งชื่ออาจจะไปใช้ในโหมดออนไลน์แทน ตัวเนื้อเรื่องเองก็ยังมีความดราม่าไม่ต่างจากภาคก่อนหน้า แต่ก็มีติดเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเดิมที่ตัวเกมก็พยายามจะใส่ดราม่าเข้ามาแบบอะไรวะ !! อยู่บ้าง ในภาคนี้ได้ตัดระบบตอบคำถามออกไปและเน้นเนื้อเรื่องเส้นตรงแทน แต่ถามว่ามันแย่กว่าภาคก่อนไหมก็ไม่ !! เพราะภาคก่อนๆ ต่อให้มีคำถามให้เลือก แต่เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้พาเราอินหรือแตกต่างกันมามายอยู่ดีแต่ละเส้นทาง Career Mode ผู้พัฒนาภูมิใจนำเสนอมากๆ เอาใจผู้ชอบเล่นแบบออฟไลน์กับ Career Mode ที่ในภาคนี้จะมีระบบใหม่เพิ่มเข้ามาให้เล่นนอกจากเกมเพลย์แบบเดิมคือเราสามารถปรับแต่งตัวผู้จัดการได้มากขึ้น มีระบบ ถาม/ตอบ ของผู้จัดการช่วง Press Conference ก่อนเกมแมทใหญ่ๆ, หลังเกม หรือการพูดคุยกับนักเตะ ซึ่งทั้หมดจะส่งผลต่อค่า Morale ของผู้เล่น ที่จะส่งผลต่อฟอร์มการเล่น หรือบอร์ดบริหารว่าชอบเราหรือไม่ รวมถึงตัวระบบที่เพิ่มเข้ามาคือ Dynamic Player Potential ศักยภาพของผู้เล่นจะเปลี่ยนไปตามประสิทธิภาพในแต่ละฤดูกาล ถ้าหากผู้เล่นบางคนฟอร์มไม่ดี หรือเวลาที่ได้ลงเล่นน้อย ในฤดูกาลหน้าการพัฒนาของเขาก็อาจจะช้าหรือลดนั่นเอง [caption id="attachment_29357" align="aligncenter" width="1024"] เลือกผู้จัดการได้มากขึ้น และปรับแต่งหน้าตาได้[/caption] เอาตามตรงตัว Career Mode เองไม่ได้มีข้อติอะไรมากมาย กลับอยากรู้สึกขอบคุณทาง FIFA 20 ที่ใส่ใจและนำระบบต่างๆ เข้ามาเพิ่ม เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเล่นโหมดนี้เป็นชีวิตจิตใจเลย การมีระบบใหม่ๆ มามันก็เป็นการสร้างสีสันของการเล่นให้มากขึ้น และหวังว่าใน FIFA ปีหน้าๆ ตัว Career Mode จะมีการเพิ่มระบบเข้ามาอีกเยอะๆ นะ สรุป FIFA 20 ถือว่าเป็นภาคที่มีการพัฒนาใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่มันนิ่งๆ มาตั้งแต่ FIFA 17 ตัวระบบเกมเพลย์หรือเมคคานิคของเกมมีความสมจริงมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งยังคงความยอดเยี่ยมไว้ไม่เสื่อมคลาย และที่สำคัญคือโหมด Volta Football ทำออกมาได้สนุกมาก มีเกมเพลย์ใหม่ๆ ที่เราไม่ค่อยจะได้พบเจอจากเกมไหนๆ เปรียบเสมือนซื้อ 1 และได้ 2 เกมเลยทีเดียว ส่วนใครที่เป็นสายเล่นคนเดียว Career Mode ตัวระบบอาจจะไม่ได้มีการเพิ่มเติมอะไรมากมาย แต่นี่ก็เป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าทางผู้พัฒนาก็เริ่มใส่ใจโหมดนี้บ้างแล้ว และตัวระบบ ถาม/ตอบ นี่ต่อให้มันจะดูทื่อๆ ไปหน่อย แต่มันก็เข้ามาสร้างสีสันและอะไรใหม่ๆ ได้มากโขเลย [penci_review id="29282"]
23 Sep 2019
Review: รีวิวเกม Borderlands 3 "การกลับมาของตัวพ่อเกม Shooting-RPG"
แนวเกม: Shooter-Looter (FPS/RPG) ผู้พัฒนา: Gearbox Software ผู้จัดจำหน่าย: 2K Games เวลาที่ใช้เล่น: ประมาณ 30 กว่าชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง) แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (Epic Games store) รีวิวใน PS4 Pro ถ้าจะให้พูดถึงแนวเกมเกมแนว Shooter-Looter หรือเกมยิงปืน (ทั้งแบบ FPS และบุคคลที่สาม) ที่ผสมผสานองค์ประกอบของเกม RPG เข้าไปด้วย ถือเป็นแนวเกมลูกผสมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคคอนโซลปัจจุบันนี้ ตั้งแต่เกมอย่าง Destiny, Anthem, The Division, Warframe, หรือเกมที่กำลังจะออกอย่าง Ghost Recon: Breakpoint ต่างก็จัดอยู่ในเกมแนว Shooter-Looter ทั้งสิ้น และทุกเกมก็เป็นเกมที่มีคนจับตามองอย่างใกล้ชิดตลอดการพัฒนา (แต่วางจำหน่ายมาแล้วรุ่งหรือร่วงอีกเรื่องหนึ่ง...) อีกหนึ่งเกมแนว Shooter-Looter ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในฐานะผู้ให้กำเนิด (หรืออย่างน้อยก็เป็นเกมที่ทำให้แนวนี้ฮิตขึ้นมา) ซึ่งก็คือเกมซีรี่ส์ Borderlands ที่วางจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 โดยนำเกมเพลย์แบบชู้ตติ้งบุคคลที่ 1 (FPS) มาผนวกเข้ากับระบบการพัฒนาตัวละครและไอเทมของเกม RPG จนทำให้เกมกลายเป็นซีรี่ส์ในดวงใจของคนหลายๆ คนตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนขนาดเกมภาคต่อ Borderlands 2 (วางจำหน่ายเมื่อปี 2012) ยังคงมียอดผู้เล่นหลายล้านคนจวบจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่เว้นช่วงให้คิดถึงไปหลายปี ในที่สุดเกมเมอร์ทั่วโลกก็จะได้มีโอกาสหวนคืนสู่ดาว Pandora อีกครั้งกับเกม Borderlands 3 ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ที่กลับมาพร้อมกับองค์ประกอบด้านกราฟฟิคลายการ์ตูน Cel-Shade อันเป็นเอกลักษณ์ และเกมเพลย์แบบคลาสสิคที่สามารถรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมของซีรี่ส์เอาไว้พร้อมๆ กับการปรับปรุงรายละเอียดเกมเพลย์ให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งน่าจะตอบโจทย์แฟนๆ ดั้งเดิมของซีรี่ส์ที่เฝ้ารอมาตลอดได้เป็นอย่างดี ◊ เนื้อเรื่อง ◊ สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Borderlands 3 จะเกิดขึ้น 5 ปีหลังจากการตายของตัวร้าย Handsome Jack (แจ๊คหน้าหล่อ) จากเกมภาคที่แล้ว โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกรับบทเป็นนักล่าสมบัติ (Vault Hunter) หน้าใหม่ทั้งหมด 4 ตัวเพื่อร่วมมือกับกลุ่มนักสู้ Crimson Raiders ที่นำโดยตัวละครอดีตนักล่าสมบัติจากเกมภาคแรก Lilith เพื่อต่อกรกับสองคู่หูฝาแฝดผู้ชั่วร้าย Calypso Twins และเหล่าลูกสมุนนับล้านจากกลุ่ม Children of the Vault และยับยั้งแผนในการยึดครองจักรวาลของทั้งสองคนนั่นเอง แม้ว่าอาจจะไม่ใช่องค์ประกอบที่ผู้เล่นเกม Borderlands จะคิดถึงเป็นอย่างแรกเมื่อพูดถึงจุดเด่นของเกม แต่เนื้อเรื่องในเกม Borderlands 3 ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยบทอันยียวนกวนประสาทของเกมที่ปล่อยมุกตลกตลอดเวลา ไปจนถึงเหล่าตัวละครทั้งเก่าและใหม่ที่วนเวียนกันเข้ามาสร้างความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ทำให้การเล่นผ่านเควสเนื้อเรื่องที่มีอยู่มากมายของเกมผ่านไปได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ อย่างผู้เขียนใช้เวลาเล่นจนจบเนื้อเรื่อง (เล่นเควสเสริมน้อยมาก) ยังใช้เวลาไปเกือบ 35 ชั่วโมง แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่านานเลยซักนิดเดียว ยังสามารถเล่นต่่อไปได้เรื่อยๆ เพราะอยากเห็นว่าเกมจะมีตัวละครเพี้ยนๆ แปลกๆ อะไรออกมาให้เราเจออีก ที่น่าชมอีกอย่างคือเนื้อเรื่องของภารกิจเสริมหลายๆ อัน ที่มีความละเอียดและต่อเนื่องไม่ต่างกับภารกิจเนื้อเรื่องเลยด้วย แม้จะไม่ใช่ภารกิจเสริมทั้งหมดที่จะมีคุณภาพดีขนาดนั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายภารกิจที่สนุกไม่แพ้เนื้อเรื่องหลัก แถมภารกิจส่วนใหญ่ยังมีวิธีการผ่านที่ค่อนข้างแตกต่างกัน (ไม่ได้แค่ให้ ฆ่ามอน 5 ตัว หรือ เก็บของ 5 ชิ้น) หรือบางอันอาจจะมีเงื่อนไขในการผ่านที่แปลกแหกวแนวในแบบที่เราคาดไม่ถึง ทำให้แม้จะทำไปเยอะแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆ มาให้ตื่นเต้นหรือตลกไปกับมันแทบจะตลอดเวลาเลย แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยความที่เกมเป็นภาคต่อ รวมไปถึงความยาวของเนื้อเรื่องและรูปแบบการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า (เมื่อเทียบกับเกมทั่วไป) อาจจะทำให้ผู้เล่นที่ไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องหรือตัวละครของเกมภาคเก่าๆ มาก่อนรู้สึกงงกับเนื้อเรื่องหรือมุกล้อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออาจจะหงุดหงิดกับการดำเนินเรื่องอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ได้คาดหวังจะได้รับประสบการณ์เนื้อเรื่องแบบจริงจังอย่างในเกมเนื้อเรื่องทั่วๆ ไป ก็น่าจะยังหาความบันเทิงกับมุกตลกหรือตัวละครกาวๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของซีรี่ส์ได้อยู่ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ แม้ว่าเกม Borderlands 3 จะไม่ได้ใช้กราฟฟิคที่สวยสมจริงเหมือนเกมหลายๆ เกม แต่คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าภาพกราฟฟิคลายการ์ตูน Cel-Shade ของเกมนั้นไม่สวย โดยเฉพาะในเกม Borderlands 3 นี้ ที่ผสมผสานกราฟฟิคอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้ากับเทคนิคการแสดงผลแสงและเงาที่ทันสมัย ทำให้สิ่งแวดล้อมของเกม Borderlands 3 มีมิติกว่าทุกครั้ง ซึ่งทำให้การสำรวจแผนที่สนุกกว่าเดิมขึ้นไปอีกขั้น เป็นผลดีมากในภาพรวมเพราะเกม Borderlands มักจะบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเดินทางไปๆ กลับๆ ในแผนที่เดิมหลายต่อหลายครั้งอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าผู้เล่นอยากจะเก็บภารกิจเสริมที่มีอยู่มากมายในเกม การที่ปรับปรุงสภาพแวดล้อมก็ทำให้การเล่นจุดนี้ไม่น่าเบื่อเหมือนหลายๆ ภาคที่ผ่านมา ที่พัฒนาไปอีกขั้นก็คือกราฟฟิคโมเดลของปืนทุกชนิดในเกม ที่เพิ่มความละเอียดขึ้นมาอย่างมาก ปืนทุกกระบอกจะมีรายละเอียดหรือกลไกเล็กๆ น้อยๆ ที่ขยับอยู่ตลอดเวลา ปืนแต่ละชนิดยังมีกราฟฟิคกระสุนและเสียงยิงที่แตกต่างกัน ขนาดปืนที่หน้าตาคล้ายกันสองกระบอกยังอาจจะยิงกระสุนออกมาเป็นคนละแบบอย่างสิ้นเชิง แถมด้วยจำนวนปืนที่เกมมีให้ลองใช้กันเป็นหลักพันล้านกระบอก ทำให้การได้ปืนมาใหม่ซักกระบอกมีความหมายมากกว่าแค่การพัฒนาความสามารถตัวละคร เพราะแม้จะเล่นไปแล้วเป็นสิบชั่วโมง แต่ผู้เขียนก็ยังตื่นเต้นที่จะได้ลองหยิบปืนกระบอกใหม่ๆ แปลกๆ ขึ้นมาลองใช้ตลอดเวลา ความพิเศษอีกอย่างในเกมภาคใหม่นี้คือการเปิดให้ผู้เล่นสามารถเลือกปรับให้เกมแสดงผลโดยเน้น Resolution (ความคมชัด) หรือ Framerate (เฟรมเรต) ได้ด้วย การเลือกโหมด Resolution จะทำให้เกมเน้นแสดงภาพพื้นผิวและแสง/เงาในระดับ 4K แต่จะล๊อคเฟรมเรตไว้ที่ 30FPS ส่วนโหมด Framerate จะทำให้เกมลดความคมชัดของกราฟฟิคลง แลกกับการเล่นที่รู้สึกลื่นไหลมากขึ้น สำหรับผู้เขียนรีวิวเกมในเครื่อง PS4 Pro และเลือกโหมด Framerate ทำให้เกมแสดงผลที่ความชัด 1080p 60FPS จากการทดสอบพบว่าการเลือกโหมด Resolution นั้นทำให้ภาพพื้นผิวทั้งหมดในเกมสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่เกมเองก็ไม่ได้ใช้กราฟฟิคสมจริงเป็นพิเศษด้วยแล้วด้วย เรียกว่าอาจจะใกล้เคียงกับใน PC เลยก็ว่าได้ ในขณะที่การเลือกโหมด Framerate นั้นทำให้ภาพมีความ แบน ลงอย่างชัดเจน ไม่ถึงกับทำให้ภาพไม่สวย แต่ก็ลดความมีมิติลงอย่างชัดเจนเลย แลกมากับการที่เกมปลดล๊อคเฟรมเรตให้ขึ้นไปได้ถึง 60FPS (แม้ว่าเฟรมเรตของเกมมักจะเหวี่ยงไปมาพอสมควรในจังหวะชุลมุน) ทั้งนี้ แม้ว่ากราฟฟิคของเกมในภาพรวมจะถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่เกมก็ยังคงมีปัญหาเรื่องเฟรมตกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาเล่นออนไลน์ ที่บางครั้งเกมก็จอค้างหรือมืดไปเลยในเวลาที่กำลังบู๊ๆ กันอยู่เพราะเอฟเฟกต์กระสุนอันอลังการของทั้งเราและศัตรู แถมบางครั้งเสียงของเกมก็ชอบตัดไปเอง หรืออาจจะช้าตามภาพไม่ทัน ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาที่มักจะพบเจอในเกม Borderlands 2 ซึ่งวางจำหน่ายมาแล้วเกือบ 10 ปีด้วย แม้จะเกิดขึ้นบ่อยหรือรุนแรงจนส่งผลเสียกับความสนุกของเกมขนาดนั้นในความเห็นของผู้เขียน แต่ทั้งหมดก็เป็นปัญหาที่น่าจะแก้ไขให้หมดไปได้นานแล้วอยู่ดี ◊ เกมเพลย์ ◊ เช่นเดียวกับในเกมภาคที่ผ่านๆ มา สิ่งแรกที่ผู้เล่นจะต้องทำเมื่อเริ่มเล่นเกม Borderlands 3 ก็คือการเลือกตัวละครนักล่าสมบัติที่เราจะเล่น (จากทั้งหมด 4 ตัว) ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละตัวจะมาพร้อมกับความสามารถและจุดดี-จุดด้อยที่แตกต่างกันไป อย่างตัวละคร Amara ที่มาพร้อมกับความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดและการสร้างความเสียหายแบบ Elemental (ธาตุ) หรือ FL4K ที่สามารถใช้สัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ ควบคู่ไปกับความสามารถสายนักล่าอย่างการล่องหนเพื่อเพิ่มความเสียหายแบบ Critical Damage (ความเสียหายเมื่อยิงจุดอ่อนศัตรู) เป็นต้น แต่ในขณะที่เกมภาคเก่าๆ จะให้นักล่าสมบัติตัวหนึ่งมีความสามารถพิเศษเพียงอย่างเดียว เกมนี้จะทำให้นักล่าสมบัติแต่ละตัวมีความสามารถพิเศษให้เลือกใช้ถึงตัวละ 3 อย่าง เช่นตัวละคร Zane จะมีความสามารถในการเรียกหุ่นโดรนออกมาช่วยโจมตี หรือสร้างเกราะบาเรียเพื่อป้องกันเพื่อนในทีม หรือจะสร้างร่างแยกขึ้นมาหลอกศัตรูก็ได้ ทำให้นักล่าสมบัติแต่ละตัวมีแนวทางในการพัฒนาที่หลากหลายขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มาก แถมเกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถรีเซ็ตความสามารถของตัวละครเพื่อเปลี่ยนสายได้ตลอดเวลาด้วย (ใช้เงินในเกมเพียงน้อยนิด) ถือเป็นข้อปรับปรุงที่ใหญ่หลวงมากๆ สำหรับเกม เพราะการจะเล่นให้จบเนื้อเรื่องซักครั้งต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมง ทำให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนแนวการเล่นให้รู้สึกใหม่ได้ตลอดเวลาด้วย นอกจากระบบตัวละครที่พัฒนาแล้ว ยังมีเกมเพลย์การยิงปืนและเคลื่อนเบื้องต้นที่ถูกปรับให้ทันสมัยเทียบเท่ากับเกม FPS ยุคใหม่ด้วย โดยในจุดนี้ผู้เขียนยกให้เป็นข้อปรับปรุงที่ดีที่สุดในเกมภาคใหม่นี้เลย คนที่เคยเล่นเกม Borderlands ภาคเก่าๆ มาก่อนน่าจะรู้ดีว่าระบบการยิงปืนในเกมมักจะมีความลอยๆ หวิวๆ แปลกๆ เมื่อเทียบกับเกม FPS ทั่วไป ซึ่งเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ เกม FPS ไม่ค่อยชอบเกมภาคเก่าๆ นั่นเอง แต่ในภาคนี้ปัญหาเหล่านั้นได้หมดไปอย่างสิ้นเชิง ปืนทุกกระบอกให้ความรู้สึกเวลายิงที่ดี แม้ว่าความสามารถประจำตัวของปืนเหล่านั้นจะพิศดารแค่ไหนก็ยังรู้สึกดี มีการตอบสนองทุกครั้งที่ลั่นไก การเคลื่อนที่ของตัวละครแม้จะไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเท่าการยิงปืน แต่ก็เพิ่มความสามารถอย่างการปีนป่ายและการสไลด์ ที่ทำให้การสำรวจแผนที่มีความง่ายและอิสระขึ้นมาเล็กน้อย ในส่วนของระบบปืนนั้น เกม Borderlands 3 ได้เคยโฆษณาเอาไว้อย่างภาคูภูมิว่าเกมจะมีปืนและระเบิดให้เลือกใช้กันได้นับพันล้านชนิด! ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่ได้พูดปากเปล่าแน่นอน จากการเล่นของผู้เขียน พบว่าแม้จะมีปืน/ระเบิดหลายกระบอกที่หน้าตาคล้ายๆ กัน หรือปรับเปลี่ยนแค่เพียงตัวเลขค่าสถานะ แต่ส่วนใหญ่เมื่อนำมาใช้ยิงจริงๆ กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลย แถมหลายๆ กระบอกยังมีความสามารถกวนๆ อย่างปืนที่มีขางอกออกมาวิ่งไล่ยิงศัตรูด้วยตัวเอง หรือปืนที่จะเพิ่มความรุนแรงเมื่อเรายิงตูดศัตรู หรือกระทั่งปืนที่ยิงแล้วมีเสียงตัวร้ายคอยกวนเราตลอดเวลา ทำให้การได้ปืนใหม่ๆ ในเกมเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นทุกครั้งแม้จะมีปืนผ่านมือกี่กระบอกก็ตาม โดยเฉพาะปืนระดับตำนานหรือ Legendary (สีเหลือง) ซึ่งมักจะมีความสามารถเพี้ยนๆ ฮาๆ ที่คาดไม่ถึงติดมาด้วยเสมอ สภาพแวดล้อมที่เพิ่มเข้ามาใหม่อีกมากมายก็มีส่วนช่วยทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้นด้วย เพราะในแต่ละดาวที่เราไปเยือนตามเนื้อเรื่องมักจะมาพร้อมกับศัตรูชนิดใหม่ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราต้องวางแผนการต่อสู้และเปลี่ยนปืนใช้อยู่เสมๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเหล่าทหาร Maliwan ที่เราต้องเจอบนดาว Prometheus ซึ่งมักจะมีเกราะบาเรียติดตัว ทำให้เราต้องใช้อาวุธธาตุสายฟ้าเพื่อทำลายบาเรียซะก่อน หรือศัตรูจากดาว Eden-6 ที่มักจะมีเลือดเยอะ ทำให้เราต้องใช้ปืนธาตุไฟเพื่อลดเลือดเร็วๆ เป็นต้น ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยเสริมระบบปืนอันหลากหลายได้ดี ทำให้ผู้เล่นมีเหตุผลในการหาปืนใหม่ๆ ใช้ตลอดเวลา ความหลากหลายของศัตรูจะเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อสู้กับเหล่าบอสน้อยใหญ่ที่เราพบเจอได้ในเกม ที่มักจะมาพร้อมกับเทคนิคการเอาชนะที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้เล่นต้องใช้การวางแผนแทนการดระโดดเข้าไปสาดกระสุนเฉยๆ เหมือนศัตรูทั่วไป ทำให้การสู้บอสทุกตัวมีความท้าทาย และทำหน้าที่เป็นช่วงขั้นระหว่างการบู๊แหลกได้เป็นอย่างดี องค์ประกอบสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือเรื่องของการเล่นกับเพื่อนหรือโหมด Multiplayer ที่ปรับปรุงมาใหม่เช่นกัน โดยในภาคนี้ได้ใส่ระบบใหม่ที่สำคัญลงไปสองอย่างคือ Loot-Instancing และ Level-scaling โดยอันแรก (Loot-Instancing) นั้นจะทำให้ผู้เล่นทุกคนที่เล่นด้วยกันจะได้รับไอเทมเป็นของตัวเอง ตั้งแต่กระสุน หลอดเพิ่มเลือด ไปจนถึงปืนต่างๆ ที่เก็บได้ตามฉาก ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปแย่งกันเองเหมือนภาคก่อนๆ อีกต่อไป (แต่ก็ยังปรับให้แย่งกันเหมือนภาคเก่าได้นะ) ส่วน Level-scaling จะทำให้ผู้เล่นทุกคนต่อสู้กับศัตรูตามเลเวลของตัวเอง เช่นถ้าตัวละครผู้เล่น A เลเวล 5 ก็จะสู้กับศัตรูเลเวล 5 ในขณะที่ผู้เล่น B ซึ่งเลเวล 20 ที่อยู่ในห้องเดียวกันจะเห็นศัตรูเป็นเลเวล 20 ทั้งหมด หมายความว่าผู้เล่นจะสามารถเข้าร่วมเล่นกับเพื่อนได้ตลอดไม่ว่าเลเวลจะห่างกันแค่ไหน โดยที่เกมจะยังคงมีความท้าทายเหมาะสมกับระดับของผู้เล่นคนนั้นๆ เองด้วย ถือเป็นระบบใหม่ที่น่าสนใจมากๆ เพราะจะหมดปัญหาเรื่องการนัดเวลาเล่นให้ตรงกันไปเลย ทำให้การเล่นกับเพื่อนง่ายกว่าทุกครั้ง เชื่อว่าระบบนี้น่าจะถูกนำไปปรับใช้กับเกมแบบ Multiplayer อื่นๆ อีกในอนาคต พูดมาถึงตรงนี้ คงต้องเอ่ยถึงข้อเสียของเกมซะบ้าง โดยข้อเสียหลักๆ ของเกม Borderlands 3 น่าจะเป็นเรื่องของการแลคหรือกระตุกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยพอสมควร โดยเฉพาะเวลาเล่นออนไลน์กับเพื่อน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงจนทำให้เล่นไม่ได้หรือไม่สนุก แต่ก็เป็นปัญหาที่มีมาตั้งแต่สมัย Borderlands 2 แล้ว และไม่ควรเกิดขึ้นแล้วในเกมที่ออกมาในช่วงนี้ การเลือกปรับให้เกมรันในโหมด Performance อาจจะช่วยตรงจุดนี้ได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ปัญหาตรงนี้หายไปเลยได้อยู่ดี ◊ สรุป ◊ แม้จะไม่ใช่เกมที่เพอร์เฟ๊ค แต่ Borderlands 3 ก็เป็นเกมที่เล่นสนุกมากๆ แทบจะตลอดเวลาที่ได้เล่น ด้วยเกมเพลย์ที่เรียบง่ายแต่เร้าใจ กราฟฟิคลายการ์ตูนสีสันสดใสที่แม้จะผ่านไปเป็นสิบๆ ชั่วโมงก็ยังน่ามองอยู่เสมอ และความหลากหลายของอาวุธปืนและระเบิดที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา ทำให้เกม Borderlands 3 สามารถทวงศักดิ์ศรีในฐานะผู้บุกเบิกแนวเกม Shooter-Looter ได้อย่างสมภาคภูมิ ใครที่ต้องการเกมที่เล่นสนุกๆ กับเพื่อนได้ยาวๆ ไม่ควรพลาด! ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="29087"]
20 Sep 2019
รีวิว GreedFall การรวมร่างของ Soul และ Witcher
แนวเกม  Action RPG,Open World,Choice Matter ผู้พัฒนา Spiders ผู้จัดจำหน่าย Focus Home Interactive เวลาที่ใช้เล่น : ประมาณ 8 ชั่วโมง แพลตฟอร์ม Microsoft Windows, PlayStation 4, Xbox One GreedFall เป็นเกม Action RPG จากผู้พัฒนา Spiders เซ็ตติ้งของเกมถูกตั้งไว้ที่ ยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 และเป็นโลกที่มีเวทมนต์ ตัวเกมจะให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ของการสำรวจดินแดนใหม่ ผู้คนที่ไม่รู้จัก ภาษาที่แตกต่าง และการแก้ปัญหาในเชิงของการเมือง ซึ่งบางครั้งก็ต้องใช้ความรุนแรง บางครั้งก็สามารถทำได้ด้วยสันติวิธี ทั้งหมดนั้นเราจะต้องเลือกบนระบบ Choice Matter ที่จะส่งผลถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในอนาคต เกมนี้ยังถูกสร้างมาให้การใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องที่ต้องคิดดีๆ ก่อนเสมอ เนื่องจากศัตรูถูกตั้งค้าไว้เก่งมากๆ จากภาพรวมนั้นทำให้ได้ความรู้สึกว่ากำลังเล่น The Witcher ที่มีความยากระดับเดียวกับ Darksoul นั้นเอง ◊ เนื้อเรื่อง ◊ GreedFall จะกล่าวถึงโรคระบาด Malichor ที่กำลังระบาดอยู่บนแผนดินของ Serene ประชาชนกำลังรู้สึกสิ่นหวังกับการที่ไม่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้ แต่แล้วเหมือนแสงแห่งความหวังก็บังเกิด เมื่อได้รู้ถึงการมีอยู่ของเกาะ Teer Fradee ดินแดนซึ่ง Malichor ไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ เราจึงต้องแบกความหวังของคนทั้งประเทศ เดินทางเข้าสำรวจเกาะอันลึกลับแห่งนี้ พร้อมความหวังที่จะค้นพบวิธีรักษาหรือป้องกันโรคระบาด Malichor ด้านความเข้มข้นของเนื้อเรื่องในประเด็นต่างๆ เรียกว่าทำออกมาได้น่าติดตามอยู่พอสมควร เพราะการออกเดินทางตามหาวิธีรีกษาโรคระบาดนี้ มันทำให้เราต้องเข้าไปมีส่วนรวมในสงครามต่างๆ บนเกาะด้วย เราจะได้เห็นถึงมุมมองของอาณาจักรและชนเผ่าต่างๆ ทั้งยังนำเสนอในด้านความโลภของมนุษย์ออกมาได้เป็นอย่างดี ทางด้าน Side Quest เองก็มักจะมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง(บางอันนี้อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงมากกว่าเนื้อเรื่องหลักซะอีก) โดยภาพรวมทางด้านการดำเนินเรื่องและความสมเหตุสมผลในเหตุการต่างๆ คิดว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้เกม AAA เลยทีเดียว พอเป็นเกมย้อนยุค ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาย้อนยุคไปด้วย จึงกำเนิดข้อเสียของเกมในเรื่องคําศัพท์ต่างๆ ที่ตัวละครพูดออกมา บางอันนี้ไม่เข้าใจความหมายเลยด้วยซ่ำ(เป็นคําศัพท์ที่ไม่ค้อยได้ใช้) แถมยังมีภาษาชนพื้นเมืองที่อยู่บนเกาะ ซึ่งไม่ได้แปลให้ในเกมด้วย (คืออ่านไม่ออกเลย เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้) ในส่วนนี้คิดว่าผู้พัฒนาต้องการใส่มาเพื่อให้เราอินไปกับเนื้อเรื่อง แต่เกมมันเป็น Choice Matter ทำให้ถ้าอ่านไม่ออก มันก็เลือกตัวเลือกที่เราต้องการไม่ได้ เพราะเราอาจจะเข้าใจความหมายของประโยคที่คุยกันไปก่อนหน้าไม่ถูกต้องนั้นเอง ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Greedfall สามารถทำในเรื่องกราฟิกของตัวละคร, ความสวยงามของสภาพแวดล้อม และเก็บรายละเอียดได้ดี กระทั้งรายละเอียดเล็กๆ อย่างการสั่นไหวของต้นหญ้าเองก็ทำได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเกมที่มีความสวยงามทางด้านกราฟิกเป็นอย่างมากเกมหนึ่งเลยทีเดียว แต่เกมนี้นำเสนอในส่วนของการแสดงอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ไม่ดีนัก สีหน้าของตัวละครบางครั้งมีความแข็งมากเกินไป จึงสื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาได้ไม่ดีพอ ในจุดนี้ถ้าเทียบจากความสามารภในการเก็บรายละเอียดแล้วคิดว่า น่าจะสามารถทำออกมาได้ดีมากกว่านี้อีกนิด แต่เพราะทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดี ก็พอจะทดแทนกันไปได้อยู่ มาว่ากันด้วยเรื่องข้อเสียบ้างดีกว่า ไม่แน่ใจว่ารีบพัฒนารึเปล่า ทำให้ตอนเล่นเจอบัคระหว่างเล่นพอสมควร ประเด็นอยู่ที่ว่าบัคที่เจอบางอันมันร้ายแรงมาก จนทำให้ไม่สามารถทำเควสได้เลยที่เดียว(จุดที่ให้ทำเควส ขึ้นในแผนที่แต่ไม่สามารถกดสำรวจได้) เล่นเอาหงุดหงิดสุดๆ เพราะดันเป็นเควสหลักด้วยทำให้ไปต่อไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องปิดเกมเปิดใหม่ถึงจะสามารถทำเควสได้ สุดท้ายคือในเรื่องของ World Map คือถ้าเป็นเป็นเกม Open World แล้ว เราควรจะสามารถเคลื่อนที่ทะลุป่า บุกเขา ลงห้วยได้แต่เกมนี้เราจะถูกจำกัดเส้นทางที่สามารถเดินไปได้ไว้ อีกทั้งตัวเกมไม่ได้เป็นแบบ World Map ใหญ่ แต่เป็นแบบ Map เล็กหลายๆ อันต่อกันจนเป็นแผ่นที่โลก ทำให้ไม่ได้อารมณ์ของการเล่นเกม Open World ในยุคนี้เท่าไหร่นัก เป็นอารมณ์แบบ Open World กึ่ง Sandbox มากกว่า ◊ เกมเพลย์ ◊ เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องที่ทำให้เกมนี้มันสนุกสุดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเกมที่ทำในด้านของเกมเพลย์ออกมาได้ดีมากในหลายๆ เรื่อง โดยเรื่องแรกที่จะพูดถึงคือระบบต่อสู้ของเกมนี้ที่มันสนุกมากๆ เราสามารถเลือกติดตั้งอาวุธได้ 2 อย่าง สลับออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ทำให้เรามีลูกเล่นในการต่อสู้ที่เยอะมาก บวกกับเกมนี้เวลาเราเจอมอนสเตอร์ มันไม่เคยอยู่ตัวเดียว มันมาแบบเป็นฝูงตลอดและไม่ได้กระจอกด้วย ทุกตัวเก่ง! ทำให้ตอนเล่นเราต้องระวังตัวแทบจะตลอดเวลา ระหว่างเล่นก็จะรู้สึกตื่นเต้นแทบจะตลอดเวลา (โดนแบบ เต็มๆ หนึ่งที่ไปเกิดใหม่ได้เลย) เป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกสนุกสุดยอดไปเลยในเวลาเล่นเกมนี้ Choice Matter อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ทำให้เรานั่งคิดจริงจังว่าจะเลือกหัวข้อไหนดี เพื่อส่งให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดตามที่เราต้องการ ระบบนี้ทำให้เราจะอยากตั้งใจอ่านเนื้อเรื่องอยู่ตลอดเวลา บวกกับเกมนี้ก็ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีเหมือนกัน มันทำให้ทั้งสองอย่างประกอบกันเป็นความสนุกที่ลงตัวและเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของเกมนี้เลย Boss Battle อันนี้โดยส่วนตัวคิดว่าสนุกมากๆ เพราะบอสเกมนี้ทำออกมาได้เก่งสุดๆ เหมือนเล่น Dark Soul อยู่เลย คือเราตีบอสแทบจะไม่เข้าเลย กลับกันเราโดนบอสตบเต็มๆ หนึ่งที่แทบจะหมดหลอดกันเลยทีเดียว (บางตัวตายเป็น สิบๆ รอบเลยที่เดียว) ทำให้เวลาต่อสู้เราจะตั้งใจเล่นมากๆ พอแพ้ถี่ๆ ก็ทำให้อยากจะเรียนรู้การโจมตีของบอสและกลับมาสู้ใหม่จนกว่าจะชนะ จนทำให้คิดว่าการที่เกมทำให้เรารู้สึกอยากจจะเล่น อยากจะชนะได้ มันถือว่าประสบความสำเร็จที่เกิดมาเป็นเกมแล้วนั้นเอง ฟังข้อดีกันไปเยอะแล้วมาฟังข้อเสียบ้าง คือเกมนี้มันมีบัคร้ายแรงมากๆ คือ มีเพลเยอร์หลายๆ คนที่ไม่สามารถ เซฟเกมนี้ได้ (คนเขียนเองเป็นหนึ่งในนั้น) คือเกมนี้เป็นเกมแบบกึ่ง Open World แล้วเซฟไม่ได้? นี้เป็นถือบัคร้ายแรงมากๆ เพราะเกมที่จำเป็นต้องเล่นยาวๆ แล้วเซฟไม่ได้นี้มันบ้าไปแล้ว! (คนเขียนเล่นไปไกลมากๆ วันต่อมากลับไปเริ่มใหม่ตั่งแต่บอสตัวแรก หัวไหม้เลยทีเดียว) ตรงนี้ขอหัก 1.5 คะแนน ◊ สรุป ◊ GreedFall เป็นเกมที่นำเสนอมุมมองของเนื้อเรื่องออกมาได้ดีมากๆ ทั้งยังทำเกมเพลย์ออกมาได้สนุกสุดๆ จากระบบต่อสู้ที่ให้ผู้เล่นสามารถเล่นได้อย่างหลากหลายรูปแบบ สามารถทำให้ความยากของเกมเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเกมได้ ทั้งหมดนี้ทำให้เกมนี้ควรจะเป็นเกมที่ดีมากๆ เกมหนึ่ง แต่ดันไปตกม้าตายในเรื่องของ บัคซึ่งเป็นจุดร้ายแรงของเกม Open World ในเรื่องที่ไม่สามารถเซฟได้ กับระบบเกมที่ถ้าเป็น Open World แบบจริงๆ ไปเลยคงจะดีกว่าเยอะ พอเอาจุดแข็งของเกมมาหักลบกับจุดอ่อนแล้วทำให้ เราให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถ้าคุณกำลังหาเกมแนว Action RPG ที่สนุกเล่นอยู่ หรืออยากได้เกมที่มีองค์ประกอบทั้งการเล่นและเนื้อเรื่อง เกมน่าจะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้แน่นอน แต่อาจจะต้องมาเสียเวลานั่งแก้บัคของเกมกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง หวังว่าจะมีความสุขกับการเล่นเกมนี้ครับ [penci_review id="28809"]
18 Sep 2019
รีวิว Catherine Full Body มหากาฬรักสี่เส้า ตำนานก็ยังเป็นตำนาน
Title: Catherine: Full Body ผู้พัฒนา: Atlus แพลตฟอร์ม: PS4 (สั่งซื้อเกมนี้แบบกล่อง ในราคาถูกกว่าใคร LINK ) วางจำหน่ายออกมาแล้วสำหรับ Catherine: Full Body เกม Action-Puzzle Thriller ภาค Remake ของเกมที่เคยออกมาให้เราเล่นตั้งแต่ปี 2011 ที่ได้รับความนิยมขายได้มากกว่า 1 ล้านชุดทั่วโลก จากฝีมือผู้พัฒนาแดนปลาดิบขั้นเทพ Atlus ทีมที่เคยฝากฝังผลงานอย่าง Shin Megami Tensei และ Persona มาแล้ว อย่างที่รู้ว่าเกมนี้ได้รับการกล่าวขานปากต่อปาก ถึงความยอดเยี่ยมของเนื้อเรื่องรักสามเศร้าอันเข้มข้นและ Puzzle สุดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องขอบอกตามตรงว่าตัวผู้เขียนนั้นไม่เคยเล่นเกมเวอร์ชั่นแรกมาก่อน แต่จากคำบอกเล่าเองก็อยากที่จะได้ลองสัมผัสเกมนี้ซักครั้ง ซึ่งในวันนี้ตัวผู้เขียนเล่นจบแล้วครับและเรา GameFever TH จะมารีวิว Catherine Full: Body ให้ทุกท่านได้ชมกัน กับการรีวิวเกมโดยคนที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน มันจะดีอย่างที่เขาว่าหรือไม่ ? ไปชมกัน เนื้อเรื่อง ตัวเนื้อเรื่องของเกมเราจะได้รับบทเป็นชายหนุ่ม Vincent คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ที่กำลังคิดหนักเรื่องแฟนสาวนามว่า Katherine ที่อยากจะแต่งงาน แต่ตัวเขานั้นเองยังไม่อยากแต่งเพราะอยากที่จะใช้ชีวิตอิสระให้มากกว่านี้ อยู่มาวันหนึ่งตัวเขานั้นบังเอิญไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับ Catherine สาวสวยที่ตรงสเปกเขาทุกอย่าง จึงทำให้เรื่องวุ่นๆ รักสามเศร้าเกิดขึ้นกระทันหัน และในภาค Remake นี้จะมีการเพิ่มตัวละครเข้ามาใหม่อย่าง Rin หรืออีกชื่อทีเรียกว่า Qaterine จนทำให้กลายเป็นรักสี่เศร้าคิดหนักขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึงตำนานภายในเนื้อเรื่องที่ Vincent และชายหลายๆ คนในเมือง ได้พบเจอกับเรื่องประหลาด ที่เขาจะต้องฝันร้ายทุกๆ คืนว่าจะต้องปีนเขาสุดอันตราย และบางคนถ้าทำไม่สำเร็จจะต้องตายนั่นเอง ซึ่งตัวเรานั้นจะต้องทำการตอบคำถามต่างๆ และจะต้องตัดสินใจว่าเรานั้นจะเลือกใคร ซึ่งตอนจบของเกมนี้ทางผู้พัฒนาบอกว่ามีความเป็นไปได้กว่า 18 แบบ ขึ้นอยู่กับที่เราตอบคำถามยังไง จากที่เล่นเกมนี้จนจบแล้ว 1 รอบต้องบอกเลยว่าตัวเกมนำเสนอเรื่องราวออกมาได้เข้มข้นมากๆ ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องราวของแต่ละวันที่จะมีจุดพีคต่างๆ ให้เราช็อคและตะลึงทุกๆ วัน รวมถึงตัวเนื้อเรื่องเองมีการนำเสนอออกมาได้อย่างชาญฉลาด หลายๆ อย่างที่เราตอบ เราเองแทบจะเดาได้ยากมากว่าตัวเกมจะจบไปในทางไหน หรือบางทีเนื้อเรื่องมันก็ตอกกลับกระแทกหน้าเราอย่างจังกับสิ่งที่เราคิดว่ามันดีแล้ว ฉากที่ใช้ภายในเกมก็ไม่ได้มีโลเคชั่นเยอะคือบ้านของตัวเอก ร้านคาเฟ่ บาร์ และความฝันเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ความน่าเบื่อแต่อย่างใด เพราะนั่นไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุดของเกม ตัวกราฟิกเองก็ยังเป็นตัวเดียวกับภาคก่อน เพียงแต่อัพเกรดให้สวยงามมากขึ้น รวมถึงตัวเกมจะสลับภาพที่เป็น 3D และภาพ Animation สลับกันไป และตัวเนื้อเรื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเองก็มีทั้งสองแบบและสอดแทรกเข้าไปในเนื้อเรื่องเก่าได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ เกมเพลย์ ตัวเกมเพลย์จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ 1. ส่วนเนื้อเรื่องถามตอบ และ 2. ส่วน Puzzle 1. ส่วนเนื้อเรื่องถามตอบ - ในทุกๆ วันจะตัวเอกของเราจะต้องไปพบเจอกับเพื่อนๆ ในบาร์ หรือพบเจอกับสาวๆ บ้าง ซึ่งเราจะต้องตอบคำถามต่างๆ ที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องทุกอย่าง การส่งข้อความพูดคุยกับสาวๆ หรือการตอบคำถามของเนื้อเรื่องจะมีช้อยส์ขึ้นมาให้เลือก แต่เราจะคาดการณ์ไม่ได้เลยว่าตอนจบของเนื้อเรื่องจะไปทางไหน ซึ่งมันขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้เล่นนี่แหละเป็นคนยังไง ส่วนตัวแนะนำให้ลองตอบตามที่ใจอยากตอบดูและรอดูผลลัพธิ์นี่มันสนุกมากเลย เพราะการตอบคำถามต่างๆ จะส่งผลในด้านจิตใจของ Vincent ทั้งหมด และมันก็จะส่งผลตรง Cutscene ของเกมเวลาเจอเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงส่งผลยันไปถึงตอนจบอีกด้วย ซึ่งในส่วนของการตอบคำถามนั้นสำคัญพอๆ กันกับเกมเพลย์อื่นๆ เลย [caption id="attachment_28819" align="aligncenter" width="1024"] การตอบข้อความต่างๆ จะส่งผลต่อตอนจบ และความสัมพันธ์ของผู้หญิงแต่ละคน[/caption] [caption id="attachment_28818" align="aligncenter" width="1024"] การตอบคำถามต่างๆ จะส่งผลกับค่าอารมณ์จิตใจของ Vincent ซึ่งจะมีผลใน Cutscene และเนื้อเรื่องของเกม[/caption] 2. ส่วน Puzzle - จะเป็นเรื่องราวตอนที่ Vincent กำลังฝันอยู่ ซึ่งตัวปริศนาก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากเพียงแค่การที่เราจะต้องต่อ Block เพื่อขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้ ซึ่งตัวปริศนาก็มีความยากให้เราแก้อยู่ในระดับไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไป อาจจะต้องจับทางและอาศัยไหวพริบเล็กๆ น้อยๆ แต่ความมันสนุกก็อยู่ที่ตัว Block นั้นบางอันก็จะมีสถานะต่างๆ มาคอยกวนใจเราบ้างอย่างเช่น Block น้ำแข็งที่เราจะลื่นเวลาเหยียบ หรือ Block กับดักเป็นต้น และยิ่งถ้าหากเราเล่นระดับยากขึ้นมันก็จะมีให้เล่นหลากหลายมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าในส่วน Puzzle มีความสนุกใช้ได้เล่นได้เพลินๆ สำหรับคนที่ชอบความท้าทาย และปริศนาให้คิดมากขนาดว่าเส้นผมบังผู้เขาแต่ทำไมไม่รู้นะท่านจะได้เห็นในเกมแน่นอน ไหนจะมีโหมดแยกอย่างออนไลน์ที่เราจะสามารถเล่นกับคนอื่นได้อีกด้วย รวมถึงภายในโหมดนี้ตอนจบแต่ละด่านก็จะมีคำถามให้ตอบซึ่งมันก็จะส่งผลต่อจิตใจของ Vincent และเนื้อเรื่องของเกมเช่นกัน แต่มันก็ต้องมีข้อติเล็กน้อยในเรื่องของการบังคับที่มันดูเก้ๆ กังๆ และไม่ค่อยจะได้ดั่งใจมากนัก เนื่องจากเราจะต้องบังคับโดยปุ่มอนาล็อก สรุป ต้องยอมรับเลยว่าตัวผู้เขียนนั้นชอบเกมที่มีเนื้อเรื่องกินง่ายไม่ซับซ้อนมากเหมือนเกมนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีปมซ่อนเงื่อนและปริศนามากมายแต่มันก็อยู่ในขอบเขตของชีวิตประจำวัน เรื่องรักๆ ไคร่ๆ ชู้ๆ ที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นในบางฉากตัวเกมก็ตอกหน้าเราด้วยอะไรที่ไม่คาดคิดบ้างซึ่งทำออกมาได้น่าประทับใจ และเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามเป็นอย่างมาก และยิ่งตัวเกมมีตอนจบที่เป็นไปได้กว่า 18 แบบทำให้เราอยากจะกลับไปเล่นเกมใหม่อีกครั้งเรื่อยๆ เพราะการที่เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไป นี่เปลี่ยนแปลงเกือบๆ ทุกอย่างเลย ทั้ง Cutscene บริบทในการพูด หรือ Animetion ก็จะแตกต่างกัน หรือเพิ่มเติมเข้า คุณอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นในรอบที่แล้วก็ได้ ซึ่งมันมีน้อยนะครับสำหรับเกมที่สร้างแรงจูงใจให้เรากลับไปเล่นอีกครั้ง ซึ่งเกมนี้สามารถทำได้ต้องขอชมเลย ส่วนตัว Puzzle นั้นเอาตามตรงมันอาจจะไม่ใช่แนวของผู้เขียนซักเท่าไร แต่ต้องบอกเลยว่าตัวเกมเพลย์มีความท้าทายเป็นอย่างมาก มีปริศนาให้เราคิดเยอะแยะไปหมด และมีอะไรใหม่ๆ มาทุกๆ Chapter ให้เราไม่เบื่อ ซึ่งใครที่อยากหาเกม Puzzle ดีๆ ยอดเยี่ยมและเล่นยาวๆ ซักเกมท่านต้องห้ามพลาด แต่ถ้าใครอยากจะเล่นเฉพาะเนื้อเรื่องก็ยังคุ้มค่ามากๆ อยู่ดี บอกตามตรงว่าเกมนี้ส่วนตัวแทบจะหาข้อเสียไม่ได้เลย สิ่งที่จะพอคิดได้ก็คือคนที่เล่นเกมนี้อาจจะต้องใช้ความสามารถในภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจเลยท่านก็อาจจะไม่อินและเล่นเกมนี้ด้วยความสนุกเต็มร้อยไม่ได้ แต่ข้อดีของมันคือศัพท์ภายในเกมที่ใช้ไม่ได้ยากจนเกินไป ใครที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นเกมนี้สามารถช่วยท่านได้ Caterine Full Body เป็นเกมที่ท่านควรหามาเล่นอย่างยิ่ง อยากได้ความระทึก แนวเกมใหม่ๆ ปริศนาเจ๋งๆ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง สามารถสั่งซื้อเกมนี้ในราคาพิเศษได้ที่ LINK [penci_review id="28765"]
16 Sep 2019
TGS2019: ลองเล่นเกม Project Resistance แนวทางใหม่ของ RE จะรุ่งหรือร่วง?
ถือเป็นปีที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับค่ายพัฒนารุ่นเก๋าอย่าง Capcom ที่ประสบความสำเร็จจากยอดขายอันยอดเยี่ยมของเกมซีรี่ส์หลักเก่าแก่ของค่ายถึงสองเกมอย่าง Resident Evil 2: Remake และ Devil May Cry 5 ที่วางจำหน่ายท่ามกลางเสียงชื่นชมกึกก้องจากสื่อทุกสำนักทั่วโลกว่าเป็นการคืนชีพทั้งสองซีรี่ส์ในสายตาของผู้เล่น และทำให้ค่าย Capcom กลายเป็นค่ายที่หลายคนเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดอีกครั้งในรอบหลายปีเลยทีเดียว จากความสำเร็จดังกล่าว คงไม่น่าแปลกใจถ้า Capcom จะอยากสร้างเกมใหม่ๆ ขึ้นมาบนพื้นฐานของเกมทั้งสองที่กล่าวไป และเกม Project Resistance ก็คือผลงานชิ้นแรกที่เพิ่งเปิดตัวไปเพียงไม่กี่วันนี้ ที่สร้างจากพื้นฐานของ Resident Evil 2: Remake โดยใช้พื้นฐานเกมเพลย์เดียวกัน แต่เปลี่ยนจากเกม Survival เล่นคนเดียวมาเป็นเกมมัลติเพลย์เยอร์เต็มรูปแบบที่ให้ผู้เล่น 4 คน (ที่เกมเรียกว่า Survivor) พยายามเอาตัวรอดจากศูนย์วิจัยของ Umbrella Corporation ที่ถูกควบคุมโดยชายปริศนาที่ชื่อว่า Mastermind ผู้คอยควบคุมทุกอย่างในศูนย์วิจัย ตั้งแต่กับดักต่างๆ ไปจนถึงเหล่าซอมบี้น้อยใหญ่ที่จะคอยขัดขวางไม่ให้เหล่าผู้เล่นสามารถหนีออกไปได้ โดยลูกเล่นที่น่าสนใจที่สุดของเกมคือ Mastermind เองจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ศัตรู A.I. เหมือนเกม Resident Evil ที่ผ่านมา แต่จะถูกควบคุมโดยผู้เล่นตัวเป็นๆ อีกคนนั่นเอง! การตัดสินใจสร้างเกมแนวมัลติเพลย์เยอร์แบบไม่สมมาตร (Asymmetrical Multiplayer หมายถึงเกมที่ทีมสองทีมมีจำนวนคนไม่เท่ากัน) ถือเป็นความกล้าหาญมากของค่าย Capcom เพราะการทำเกมแนวนี้ให้มีความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้พัฒนาอย่าง Capcom ที่ไม่ค่อยได้ทำเกมมัลติเพลย์เยอร์แบบสองฝ่าย เกมส่วนใหญ่ของค่ายที่มีมัลติเพลย์เยอร์ (ที่ไม่ใช่เกมไฟท์ติ้ง) ก็มักจะเป็นแบบ Co-op หรือให้ผู้เล่นร่วมมือกันมากกว่า การจะโดดมาสร้างเกมมัลติเพลย์เยอร์แบบไม่สมมาตรทันทีจึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นเกม Project Resistance ในงาน Tokyo Game Show 2019 ที่ผ่านมา (ขอบคุณบริษัท SICOM Amusement และ Capcom ที่จัดช่องเวลาไว้ให้ครับ) และแม้ว่าสุดท้ายแล้วผู้เขียนจะรู้สึกว่าเกม Project Resistance เป็นเกมที่สนุกและน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเกมยังขาดความสมดุลอยู่มากจากที่ผู้เขียนได้เล่นมา แต่ถ้า Capcom สามารถกลบจุดอ่อนตรงนี้ไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง Project Resistance จะต้องกลายเป็นเกมมัลติเพลย์เยอร์ที่ยอดเยี่ยมและแปลกใหม่ได้แน่นอน ก่อนจะพูดถึงความรู้เห็นของผู้เขียนที่มีต่อเกม เรามาพูดถึงวิธีการเล่นเบื้องต้นของทั้งฝั่ง Survivor และ Mastermind กันก่อนดีกว่า SURVIVOR วิธีเล่นของฝั่ง Survivor จะอิงการควบคุมจากเกม Resident Evil 2: Remake เป็นพื้นฐาน แต่อาจจะเพิ่มความคล่องตัวของตัวละครขึ้นมาประมาณหนึ่ง การยิงปืนและการเคลื่อนที่ถูกปรับให้เร็วกว่าเกมต้นแบบพอสมควร ใกล้เคียงกับเกมแอคชั่นบุคคลที่ 3 ทั่วไปมากขึ้น แต่ก็ยังมีความหน่วงๆ ช้าๆ จากเกมต้นแบบอยู่บ้าง โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกเล่นเป็นตัวละครทั้งหมด 4 ตัวประกอบไปด้วย Tyrone, Samuel, January, และ Valerie ที่มีความสามารถเป็นสกิลกดใช้แตกต่างกัน เช่น: Tyrone จะมีตำแหน่งแทงค์ มีความสามารถในการลดความเสียหายให้เพื่อนรอบๆ ตัว Samuel: อดีตนักมวยตำแหน่ง Damage Dealer มีความสามารถเปิดโหมดบ้าพลังที่ทำให้สร้างความเสียหายระยะประชิดอันหนักหน่วงด้วยหมัดดุ้นๆ ได้ January: สาวแฮ๊คเกอร์สุดพั๊งค์ที่สามารถแฮ๊คกล้องวงจรปิดในด่านได้ชั่วคราว ซึ่งทำให้ Mastermind ไม่สามารถส่งซอมบี้หรือกับดักลงมาเพิ่มได้ Valerie: สาวแว่นตัวฮีล สามารถวางเสาที่ปล่อยก๊าซเพิ่มเลือดออกมาเพื่อฟื้นฟูพลังของเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ใกล้เคียงได้ โดยตัวละครแต่ละตัวจะสามารถเลือกสกิลรองได้อีก 1 สกิล (จาก 4) ซึ่งทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการเล่นตามสไตล์ที่ตัวเองชอบได้มากขึ้นนั่นเอง (ผู้เขียนมีโอกาสลองเล่นตัวละคร Survivor เพียงสองตัวคือ Tyrone และ Samuel) การเล่นเกม Project Resistance ฝั่ง Survivor นั้นจะมีความใกล้เคียงกับเกมอย่าง Dead by Daylight หรือ Friday the 13th ผสมเข้ากับเกมแนว Horde Mode ทั่วๆ ไป ที่ให้ผู้เล่นช่วยกันผ่านภารกิจต่างๆ ในแต่ละฉากเพื่อผ่านไปฉากต่อไปและเก็บแต้มไปแลกอาวุธหรือไอเทมไว้ใช้เรื่อยๆ นั่นเอง โดยภารกิจที่ผู้เขียนได้เล่นนั้นจะให้ผู้เล่นเก็บสะสมชิ้นส่วนของแผนที่ 3-4 ชิ้นมาประกอบกันให้ครบ ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างธรรมดาสำหรับเกมแนวนี้ MASTERMIND การเล่นของฝั่ง Mastermind น่าจะเป็นจุดที่ผู้เขียนรู้สึกสนใจมากที่สุดแล้ว ผู้เล่นที่เป็น Mastermind จะต้องสลับไปมาระหว่างกล้องวงจรปิดต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามด่านเพื่อขัดขวางเหล่า Survivor ด้วยการวางกับดัก ล๊อคประตู ปิดไฟในห้อง หรือกระทั่งเรียกซอมบี้ชนิดต่างๆ ออกมา ตั้งแต่ซอมบี้ธรรมดาๆ ไปจนถึงตัว Licker หรือกระทั่ง Mr. X เลยทีเดียว โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกตำแหน่งในการวางทั้งหมดได้อย่างอิสระ เช่นอาจจะวางกับดักทุ่นระเบิดเอาไว้บนพื้นข้างๆ ไอเทมเพื่อเล่นงาน Survivor ที่เข้ามาเก็บ หรืออาจจะล๊อคประตูห้องที่ผู้เล่นเพิ่งเดินเข้าไปและเรียก Mr. X ออกมาในห้องนั้นเป็นต้น ในส่วนของ Mastermind จะมีความคล้ายเกมการ์ดอยู่หน่อย ตรงที่ลูกเล่นต่างๆ ที่ผู้เล่นจะสามารถใช้ได้ (นอกจากการล๊อคประตูหรือปิดไฟ) จะถูกกำหนดแบบสุ่ม และการเรียกซอมบี้หรือวางกับดักจะต้องใช้แต้มมากน้อยตามระดับ เช่นการเรียกซอมบี้ธรรมดาอาจจะใช้แต้ม 3 แต้ม แต่ถ้าอยากเรียก Licker อาจจะต้องใช้ 5 แต้มเป็นต้น โดยเมื่อใช้แล้วก็จะ จั่ว การ์ดใบใหม่ขึ้นมาแทนที่ และผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งชุดการ์ดของตัวเองได้ด้วยเมื่อเกมวางจำหน่าย นอกจากนี้ ผู้เล่น Mastermind ยังสามารถกระโดดเข้าไปควบคุมเหล่าซอมบี้ต่างๆ ที่เรียกออกมาได้โดยตรงด้วย (รวมถึง Mr. X ด้วยนะ!) ซึ่งซอมบี้แต่ละชนิดก็จะมีท่าพิเศษให้ใช้ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้เล่นมีโอกาสสลับบทบาทจากเกม RE ทั่วไปที่เป็นคนหนีซอมบี้มาเป็นซอมบี้ให้คนหนีซะเองได้ด้วย (จนกว่าจะถึงกำหนดเวลา หรือซอมบี้ที่ควบคุมอยู่โดนฆ่า) ซึ่งน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับแฟนๆ ซีรี่ส์นี้ ความรู้สึกจากการเล่น ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นทั้งฝ่าย Survivor และฝ่าย Mastermind และต้องบอกเลยว่าในตอนนี้สมดุลของเกมยังเอนเอียงไปฝั่ง Mastermind อยู่ค่อนข้างมาก อาจจะด้วยระบบการควบคุมของฝั่ง Survivor ที่มีความเชื่องช้า แถมด่านที่ได้ลองเล่นยังมีลักษณะเป็นทางเดินแคบๆ ซะเยอะ ทำให้เหล่า Survivor มีปัญหาเรื่องการเดินขวางกันเองหรือการโดนต้อนจนมุมง่ายมาก และถึงแม้ว่าจะสามารถซื้อปืนมาใช้ได้ตั้งแต่ตอนแรกๆ แต่ด้วยกระสุนอันน้อยนิดและปริมาณซอมบี้ที่ Mastermind สามารถเรียกออกมาได้แบบไม่ขาดตอน ทำให้การเล่นเป็น Survivor มีความท้าทายมาก แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถโจมตีระยะประชิดได้ค่อนข้างแรง แต่ระบบการต่อสู้ระยะประชิดก็ยังไม่ค่อยเข้าที่ ทำให้หลายๆ ครั้งการโจมตีที่เหมือนจะโดนกลับไม่โดน แถมอนิเมชั่นก็นาน ตีพลาดทีนึงอาจจะโดนซอมบี้ฟาดคืนสองทีหรือโดนกัดคอเอาง่ายๆ นอกจากนี้ ในแต่ละฉากยังจะมีกำหนดเวลาที่บังคับให้ผู้เล่นฝั่ง Survivor ไม่สามารถค่อยๆ เล่นอย่างระมัดระวังเหมือนในเกม Resident Evil ทั่วไปได้ แถมเวลายังจะลดลงเร็วขึ้นเมื่อโดนโจมตีหรือติดกับดักอีก ทำให้การเล่นเป็น Survivor มีความกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร จะเล่นเร็วมากก็ไม่ได้เพราะเสี่ยงจะโดนซอมบี้รุมตาย แต่จะช้าก็ไม่ได้อีกเพราะเดี๋ยวจะหมดเวลาผ่านด่านซะก่อน แต่ผู้เล่นสามารถเพิ่มเวลาให้ตัวเองได้เช่นกันด้วยการโจมตีซอมบี้หรือการทำภารกิจให้สำเร็จ ในทางกลับกัน การเล่นเป็น Mastermind กลับมีความแปลกใหม่และง่ายกว่ามากด้วยเหตุผลเดียวกับที่กล่าวไปด้านบน แถมการวางแผนดักผู้เล่นฝั่ง Survivor ยังให้ความรู้สึกน่าพอใจทุกครั้งเมื่อทำแผนสำเร็จ เช่นครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนเรียกตัว Licker ออกมาต้อนให้ Survivor ต้องเข้าไปหลบในห้องแคบๆ ก่อนที่จะล๊อคประตูและปิดไฟภายในห้องนั้นพร้อมกับเรียก Mr. X ออกมาลงแขก ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวร้ายสติเฟื่องแสนเจ้าเล่ห์ได้จริงๆ แต่ด้วยความไม่สมดุลของเกมด้วยแล้ว แค่ผู้เล่น Mastermind เรียกซอมบี้ออกมาติดๆ กันเรื่อยๆ ก็สามารถชนะได้ไม่ยากแล้วเหมือนกัน สุดท้ายนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าเกม Project Resistance มีโครงสร้างเบื้องต้นที่น่าสนใจมากพอจะทำให้เกมประสบความสำเร็จได้ แต่ยังต้องผ่านการปรับสมดุลอีกมากเพื่อให้การเล่นทั้งฝั่ง Survivor และ Mastermind มีความแฟร์มากกว่านี้ เพราะถ้าการเล่นฝั่งใดฝั่งหนึ่งยากหรือง่ายเกินไป จนทำให้ผู้เล่นรู้สึกขยาดที่จะเล่นเป็นฝั่งนั้นๆ เกมก็คงไปไม่รอด แบบเดียวกับที่เกม Evolve ต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีใครอยากเล่นเป็นสัตว์ประหลาดให้คนอื่นล่านั่นเอง Project Resistance จะวางจำหน่ายสำหรับเครื่องเกม PS4 และ Xbox One แต่ยังไม่มีข้อมูลเรื่องเวลาวางจำหน่าย ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
14 Sep 2019
ลองเล่นมาแล้ว! พรีวิว Final Fantasy VII Remake "การกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีของ RPG ในตำนาน"
ให้สาธยายกันสามวันสี่คืนก็ไม่จบจริงๆ กับอิทธิพลอันใหญ่หลวงที่เกม Final Fantasy VII มี ทั้งต่อเหล่าเกมเมอร์ที่เติบโตขึ้นในยุคค.ศ. 90 ตอนปลาย ไปจนถึงแนวเกม RPG และวงการเกมในภาพกว้าง ตั้งแต่การใช้กราฟฟิคแบบโพลิกอน 3D ทั้งเกมเป็นเกมแรกๆ ของยุค แนวทางการออกแบบศิล์ปที่ผสมผสานเทคโนโลยีไฮเทคเข้ากับความเป็นแฟนตาซีที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของซีรี่ส์ Final Fantasy จวบจนทุกวันนี้ แถมยังเป็นเกมที่ยกระดับให้ค่ายเกมญี่ปุ่น Square Soft กลายเป็นค่ายเกมแนวหน้าที่รู้จักกันไปทั่วโลกแม้กระทั่งในตลาดตะวันตก แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่เกมวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1997 แต่เกม Final Fantasy VII ก็ยังคงเป็นเกม JRPG โปรดของผู้เล่นเกมหลายๆ คน ที่ยังคงยกให้เกมเป็นหนึ่งใน JRPG ที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมาเลยทีเดียว ด้วยประการต่างๆ ที่ว่าไปข้างต้น ทำให้การมาถึงของเกม Final Fantasy VII Remake สร้างความตื่นเต้นและกังวลให้กับเหล่าแฟนเกมทั่วโลกไปพร้อมๆ กัน ในแง่หนึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหล่าแฟนเกมรุ่นใหญ่จะได้หวนคืนสู่โลก Gaia และเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักที่ถูกสร้างใหม่ด้วยกราฟฟิคอันสวยงามของเกมยุคปัจจุบัน แถมยังเป็นโอกาสอันดีที่เหล่าเกมเมอร์รุ่นเด็กๆ จะได้สัมผัสกับเกม RPG ระดับตำนานนี้เป็นครั้งแรกในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายกว่าการหาเกมยุค PS1 กลับมาเล่นอีกด้วย แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเกม Final Fantasy VII Remake ที่ผู้พัฒนาประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นอันเป็นหัวใจหลักไปอย่างสิ้นเชิง อาจจะทำให้แฟนๆ เกมที่ยังคงรักเกมภาคเก่าหัวปักหัวปำรู้สึกไม่ถูกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเกมในดวงใจ และอาจจะแอบผิดหวังเล็กๆ กับระบบการเล่นใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนการเล่นแบบคลาสสิคที่โหยหาจะได้สัมผัสอีกครั้ง ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นเกม Final Fantasy VII Remake ในงาน Tokyo Game Show 2019 ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณ Square Enix และ PlayStation ที่จัดช่องเวลาเอาไว้ให้) โดยเดโมที่ได้ลองเล่นคือฉากการวางระเบิดเตาปฏิกรณ์ Mako ซึ่งมีคนบอกมาว่าคือฉากเปิดเกมภาคดั้งเดิม โดยเราจะสามารถควบคุมตัวละครได้สองตัวคือตัวเอก Cloud Strife และ Barret Wallace สลับไปมาระหว่างตัวละครทั้งสองได้ตลอดเวลา สิ่งแรกที่ผู้เล่นทุกคนน่าจะสังเกตคือภาพกราฟฟิคของเกม ที่ทำออกมาได้สมจริงคมชัดยิ่งกว่าเกมของ Square Enix หลายๆ เกมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ตั้งแต่กราฟฟิคส่วนพื้นผิวของสิ่งของ ไปจนถึง Particle Effect แสงสีระยิบระยับตามฉาก ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีต เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดที่ยิ่งสังเกต ลงไปก็ยิ่งเห็นมากขึ้น เช่นเดียวกับอนิเมชั่นและสีหน้าของตัวละครต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยี Motion-Capture ทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายและใบหน้าของตัวละครมีความลื่นไหลสมจริงมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบที่สามารถเสริมอรรถรสในส่วนของเนื้อเรื่องเกมได้เป็นอย่างดี การเปลี่ยนมาใช้มุมมองแบบบุคคลที่สามก็ช่วยในการสร้างบรรยากาศของเกมได้อีกเช่นกัน เพราะผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครให้สำรวจตามฉากเพื่อหาไอเทมได้อย่างอิสระ โดยมุมมองที่เปลี่ยนไปยังทำให้สถานที่ในฉากที่เคยเป็นเพียงภาพแบนๆ มีมิติขึ้นมา ช่วยสื่อถึงขนาดและ/หรือความตื้นลึกหนาบางของแต่ละสถานที่ได้ดีกว่าเดิม ทำให้ฉากที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน [caption id="attachment_28612" align="aligncenter" width="1024"] ภาพเก่าเอามาเล่าใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม[/caption] ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ระบบการเล่นของเกม Final Fantasy VII Remake จะผสมผสานการควบคุมแบบแอคชั่นเต็มรูปแบบเข้ากับระบบ ATB ที่พบเห็นได้ในเกม Final Fantasy หลายๆ ภาคที่ผ่านมา โดยการต่อสู้จะเน้นใช้การโจมตีธรรมดาเป็นคอมโบเพื่อเก็บเกจ ATB ของตัวละคร ซึ่งจะกลายมาเป็นทรัพยากรสำหรับใช้ท่า Ability ต่างๆ ของตัวละครอีกที ตัวแทนจาก Square Enix ได้อธิบายว่าเกมถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นใช้การโจมตีธรรมดา (ปุ่มสี่เหลี่ยม) เพื่อเพิ่มเกจ ATB เป็นหลักมากกว่าเพื่อสร้างความเสียหาย และใช้ความสามารถพิเศษต่างๆ เพื่อปลิดชีพศัตรูอีกที ถ้าจะให้เปรียบความแอคชั่นของเกมกับเกมอื่นๆ ของผู้พัฒนา Square Enix อย่าง Final Fantasy XV หรือ Kingdom Hearts ผู้เขียนรู้สึกว่า FFVIIR (Final Fantasy VII Remake) น่าจะใกล้เคียงกับ Final Fantasy XV มากกว่า เพราะผู้เล่นก็ยังมีความสามารถในการกลิ้งหลบหรือป้องกันการโจมตีของศัตรูไม่ต่างกัน แต่ในขณะเดียวกัน FFVIIR ก็ยังมีความลื่นไหลมากกว่า Final Fantasy XV อยู่หน่อยจากอนิเมชั่นการโจมตีที่รวบรัดกว่า [caption id="attachment_28613" align="aligncenter" width="1024"] การต่อสู้แบบแอคชั่นที่ดุเดือดรวดเร็ว[/caption] นอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถสลับไปมาระหว่างตัวละครเพื่อใช้ความสามารถเฉพาะตัวของตัวละครนั้นๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนเป็น Barret เพื่อใช้แขนปืนกลของเขากำจัดศัตรูที่อยู่ที่สูงที่ Cloud ใช้ดาบฟันไม่ถึงนั่นเอง น่าสนใจว่าตัวละครร่วมทีมอื่นๆ จะมีความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันแค่ไหน แต่อาจจะด้วยความที่เดโมถูกปรับให้ง่าย หรืออาจจะเพราะเป็นส่วนเริ่มต้นของเกมก็ดี ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าแทบไม่ได้จำเป็นต้องใช้ท่าพิเศษหรือใช้การวางแผนใดๆ ก็สามารถกำจัดศัตรูธรรมดาๆ อย่างทหารชินระหรือหุ่นโดรนตัวเล็กๆ ตามฉาก ได้แบบไม่มีปัญหาด้วยการกดปุ่มโจมตีซ้ำๆ เฉยๆ ทำให้ยังไม่ค่อยเห็นภาพนักว่าถ้าเกมเริ่มเพิ่มลูกเล่นต่างๆ มากขึ้น (เช่นมนต์ซัมม่อน หรือแค่เพียงเพิ่มตัวละครในปาร์ตี้อีกซักตัวสองตัว) จะทำให้เกมเพลย์ท้าทายมากกว่านี้แค่ไหน แต่โดยเบื้องต้นนั้นถือว่าเกมเพลย์ของ FFVIIR สอบผ่านในแง่ของความรู้สึกอันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะยังไม่ได้ต้องใช้ความคิดหรือฝีมือนักในเดโม นอกจากนี้ เกมยังมีระบบการ Stagger คล้ายๆ กับในเกม Final Fantasy XV ที่เมื่อโจมตีศัตรูจนล้ม (สังเกตได้จากหลอดสีส้มๆ ใต้หลอดเลือด) จะทำให้ศัตรูติดสถานะ Stagger ส่งผลให้โดนความเสียหายแรงขึ้น ซึ่งการเล่นในส่วนหลังๆ น่าจะมีความสำคัญขึ้นมา แต่ในเดโมที่ผู้เขียนเล่นยังไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่นัก [caption id="attachment_28617" align="aligncenter" width="1024"] ท่า Triple Slash สุดคลาสสิค[/caption] ส่วนเดียวของเดโมที่ทำให้ผู้เขียนต้องใช้การวางแผนซักหน่อยก็คือส่วนของบอสหุ่นยนต์แมลงป่องช่วงท้ายเดโม ที่จะคอยยิงจรวดติดตามใส่เราตลอดเวลาทำให้ต้องคอยหยุดโจมตีและหันมาป้องกันหรือกลิ้งหลบบ้าง และยังสามารถเปิดเกราะบาเรียที่ต้องใช้เวทย์สายฟ้า Thunder ของ Barret ใส่เพื่อลบออกก่อนจะโจมตีได้ แถมพอเลือดเหลือน้อยยังสามารถยิงปืนใหญ่เลเซอร์ใส่เราได้อีก ทำให้ผู้เล่นต้องวิ่งไปหลบหลังสิ่งกีดขวางตามฉากเพื่อไม่ให้โดนเลเซอร์ ซึ่งในจุดนี้ก็ทำให้เห็นภาพมากขึ้นว่าระบบต่อสู้ของเกมจะท้าทายผู้เล่นอย่างไรบ้าง [caption id="attachment_28618" align="aligncenter" width="768"] ลุง Barret หล่อกว่าเดิมเยอะเลย[/caption] อีกหนึ่งองค์ประกอบของระบบต่อสู้ที่น่าพูดถึงคือระบบ Tactical Mode ที่จะชะลอการเคลื่อนไหวทั้งหมดในจอเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเลือกใช้ไอเทม สกิล หรือกระทั่งท่าสุดยอดอย่าง Limit Break จากเมนูเหมือนเกม RPG ทั่วไปได้ และสามารถใช้สั่งเพื่อนร่วมทีม A.I. ให้ทำนู่นทำนี่ได้ด้วย (ลองนึกภาพเกมเพลย์ของ Dragon Age: Inquisition แต่ไม่ลึกเท่า) ซึ่งในจุดนี้ผู้เขียนยังไม่รู้สึกถึงความจำเป็นในการใช้ระบบนี้เท่าไหร่นักในเดโมเพราะทุกอย่างรวมถึงบอสสามารถรับมือได้ด้วยการโจมตีธรรมดาๆ หรือการใช้ปุ่มลัดโดยการกด L1 ค้างและกดปุ่มสัญลักษณ์เพื่อใช้สกิลเหมือนเกมแอคชั่น แต่ก็พอจินตนาการได้ว่าถ้าเริ่มเจอศัตรูระดับสูงที่มีจุดอ่อนที่ซับซ้อนกว่านี้ ก็อาจจะกลายเป็นระบบที่จำเป็นมากก็ได้เช่นกัน [caption id="attachment_28619" align="aligncenter" width="768"] เมื่อเข้า Tactical Mode จะทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง และจะมีเมนูขึ้นมาตรงมุมซ้ายล่าง[/caption] ต้องยอมรับตรงๆ ว่าผู้เขียนไม่ใช่คนที่ตื่นเต้นกับเกม Final Fantasy VII Remake มากเท่ากับคนอื่นๆ ที่เป็นแฟนตัวยงของเกม แต่เสี้ยวเดโมที่ได้เล่นก็สนุกและน่าสนใจมากพอที่จะทำให้ผู้เขียนอยากจะเล่นและสำรวจเกมๆ นี้ต่อไปอีกยาวๆ เลยทีเดียว Final Fantasy VII Remake มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 3 มีนาคม 2020 สำหรับเครื่อง PS4 โดยเฉพาะ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
13 Sep 2019
ความรู้สึกหลังได้ลองเล่นเดโม FIFA 20
เผยเดโมออกมาให้เราได้เล่นกันแล้วสำหรับ FIFA 20 เกมฟุตบอลจากทาง EA ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งในภาคนี้ทางผู้พัฒนาเองก็ได้ปรับเปลี่ยนระบบใหม่ๆ เข้ามามากมาย และพิเศษสุดน่าจะเป็นเรื่องของโหมดใหม่อย่าง Volta Football ที่เราจะได้ย้อนกลับไปเล่นฟุตบอลสตรีทอีกครั้ง ซึ่งพวกเรา GameFever TH ได้ไปลองมาแล้วครับและมาเล่าถึงความรู้สึกให้ท่านได้ชมกัน เกมเพลย์หลัก ในเกม FIFA 20 เองก็ยังใช้หน้า Interface หรือสไตล์ต่างๆ คล้ายกับภาค FIFA 19 อยู่เกือบหมดเลย (แอบผิดหวังเล็กๆ ) แต่จากที่ได้ลองเล่นมาก็ต้องบอกเลยว่าสปีดความเร็วของภาคนี้จะมีความช้ากว่าภาคที่แล้วอยู่หน่อยๆ แอนิเมชั่นตัวละครจะมีท่วงท่าที่เยอะและช้ากว่า และมันทำให้ส่วนตัวพอจะจับทางได้เลยว่าซีรีส์นี้ ถ้าหากลงท้ายด้วยเลขคี่ตัวเกมเพลย์จะมีความรวดเร็วหน่อย แต่ถ้าลงท้ายด้วยเลขคู่ก็จะช้าๆ หน่อย ซึ่งพูดตามตรงว่าสนุกทั้งคู่เลย แต่ใครที่เล่นภาคเก่ามาก็อาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย กราฟิกของเกมนี้ในด้านรายละเอียดสนามเองมีความรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากภาคเก่าเลยซักนิด แต่ที่เปลี่ยนไปมากคือโมเดลของตัวละครที่จะมีความสมจริงขึ้นเยอะ แอนิเมชั่นต่างๆ มีความเป็นคนจริงๆ มากกว่าภาคไหนๆ เลยทีเดียว ซึ่งมันมีเสน่ห์มากๆ เพราะส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าไม่ค่อยชอบโมเดลตัวละครในภาค FIFA 19 ซักเท่าไร Volta Football กติกาของเกมนี้จะมีมีเวลาครึ่งละ 3 นาที แต่ใครที่สามารถยิงได้ 4 ลูกก่อนจะเป็นผู้ชนะ ในเดโมจะเปิดให้เล่นเพียงแค่ 3v3 เท่านั้น ตัวเกมจะเป็นเกมแนวสตรีทโดยแท้ การบังคับเหมือนกับเกมเพลย์หลักทุกอย่าง เพียงแต่ว่าตัวเกมจะไม่มีบอลออกขอบสนามเพราะมีกำแพงกั้นไว้ ซึ่งเราสามารถยิงให้เด้งกลับมาหาเราได้ แต่ตัวเกมก็ยังมีระบบฟาล์วถ้าหากว่าสะกัดไม่ดี หรือถ้ายิงสูงเหนือออกกำแพงไป ความสนุกของเกมนี้เป็นเพราะตัวเกมจะใช้โกล์รูหนูมาทำให้เราจะต้องเล็งยิงให้ดีถึงจะเข้า ซึ่งมันเลยมีความท้าทายและยิงกันยากพอสมควร จึงทำให้ประตูเพียงแค่ 4 ลูกจบนี่กำลังดีเลยนะ [caption id="attachment_28592" align="aligncenter" width="1024"] การยิงจะเล็งยากหน่อยเพราะเป็นโกล์รูหนู[/caption] แต่ถ้าใครที่คาดหวังว่า Volta Football จะมีความคล้ายคลึงกับ FIFA Street ที่เคยออกมาในสมัย PS2 ผมก็อยากให้ท่านคิดใหม่ครับ เพราะตัวเกมยังคงความสมจริงและไม่ได้มีการเล่นท่าทางแบบแฟนตาซีขนาดนั้น การเล่นท่าต่างๆ ท่านเองก็จะต้องกดเหมือนกับในเกมเพลย์หลักนั่นแหละ แต่แอนิเมชั่นของตัวละครก็อาจจะมีเล่นท่าแปลกๆ อยู่บ้างถ้าหากเรากดส่งหรือกดโยนบ้าง จากที่เพียงแค่ได้ลองเดโม บอกเลยว่าส่วนตัวชอบมาก ตัวเกมมีความสมจริงในเรื่องโมเดลแอนิเมชั่นของตัวละครมากพอสมควร เล่นแล้วได้ฟิลที่ดีมากๆ ส่วน Volta Football รู้สึกก็ผิดคาดจากที่หวังไว้หน่อยๆ เพราะอยากให้มันมีการเล่นท่าทางที่ง่ายกว่านี้หน่อย อยากให้มันแฟนตาซีกว่านี้หน่อย แต่ถามว่าเกมมันก็ยังสนุกอยู่ดีนะ อันนี้เพียงแค่จริตส่วนตัวเท่านั้น ภาคนี้บอกตามตรงว่าเป็นเกมที่ทุกท่านห้ามพลาด เพราะนอกจากระบบที่พูดไปในเดโมแล้วนั้น Career Mode เองก็ได้ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น หลังจากที่ซ้ำๆ ซากๆ มาหลายปีแล้ว ใครสนใจ FIFA 20 มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 27 กันยายน 2019 บนเครื่อง PC, PS4, Xbox One และ Nintendo Switch เข้าสู่ร้านค้าเกมนี้ LINK 
13 Sep 2019
รีวิว Control เกม Action ไซไฟพลังจิต กับเนื้อเรื่องที่ติสแตก
ออกมาแล้วหลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปีกับค่ายเกมชื่อกระฉ่อนอย่าง Remedy Entertainment ค่ายที่เคยฝากฝังเกมชื่อมาแล้วอย่าง Max Payne 1 - 2, Alan Wake และ Quantum Break โดยครั้งนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับเกมใหม่ Control ภายใต้ผู้จัดจำหน่ายรายใหม่อย่าง 505 Games หลังจากที่จากลากับทาง Microsoft ไป ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ในทุกท่านได้ทราบกันครับว่า Control จะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมรุ่นพี่ที่เคยออกมาได้หรือไม่ ? เนื้อเรื่อง Control จะเล่าเรื่องราวของสาวแกร่งคนหนึ่งนามว่า Jesse Faden ที่ได้รับตำแหน่งให้มาเป็น Director ขององค์กร Federal Bureau of Control (FBC) หน่วยงานลับของรัฐบาลที่คอยจัดการเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่บังเอิญภายในหน่วยงานนี้เองก็ถูกศัตรูลึกลับนามว่า The Hiss เข้าโจมตีในอาคาร จึงทำให้วันแรกที่ทำงานเรานั้นจะต้องแก้ไขสถานการณ์เพื่อฟื้นฟูองค์กรให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง, หาสาเหตุปริศนาของพลังเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น รวมถึงเสาะหาน้องชายของเขาที่สมัยเด็กได้ถูกพาเข้ามาในนี้แล้วหายตัวไป โดยสไตล์การเล่าเรื่องของเกมนี้ก็ต้องบอกเลยว่ามันมีความแปลกใหม่ในการนำเสนอมากๆ ตัวเนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน รวมถึงในช่วงเริ่มต้นเองเราอาจจะยังไม่สามารถจับต้นชนปลายถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องหาตามหาอ่านเรื่องราวตามเอกสาร รวมถึงภายในเรื่องถ้าเล่นไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ เผยรายละเอียดทีละนิด โดยในช่วงแรกๆ ตัวเกมมีปริศนาเยอะมาก เนื่องจากการเล่าเรื่องที่ต้องใช้การตีความ มีกลิ่นอายในความติสแตกเหมือนหนังของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนยุคแรกๆ ยังไงอย่างงั้น แต่ข้อดีคือพอถึงบทสรุปตัวเกมก็เฉลยปมต่างๆ ได้และเคลียดี แต่ข้อเสียของการดำเนินเรื่องแนวนี้คือ ถ้าคนที่ชอบก็คือชอบไปเลย แต่ถ้าคนไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลย เพราะการเล่าเรื่องมันไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่กินง่ายเหมือนเกมอื่น ยิ่งตัวเกมเป็นแนวไซ-ไฟ ที่จะมีศัพท์เทคนิคเข้าใจยากอยู่แล้ว ไหนจะมีปมต่างๆ อีกหลายทบ ไอ้ความติสนี่แหละมันทำให้บางครั้งเราอาจจะตามเนื้อเรื่องไม่ทัน ผิดกับเกมก่อนหน้าอย่าง Quantum Break ที่ต่อให้เป็นแนวไซ-ไฟเหมือนกัน มีศัพท์เทคนิคคล้ายกัน แต่ตัวเนื้อเรื่องเองก็ดำเนินได้ไม่ซับซ้อน มีความซื่อตรงกว่าทำให้เข้าใจง่ายมากกว่า กราฟิก กราฟิกของ Control นั้นต้องชมในเรื่องของแสงเงาที่ผู้พัฒนาใส่ใจรายละเอียดตรงนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากในเวอร์ชั่น PC ของเกมนี้รองรับระบบ Ray Tracing อีกด้วย ตัวกราฟิกเอกก็สวยตามยุคสมัย แต่ธีมของเกมนี้จะเน้นความลึกลับมากกว่าหลายๆ เกม มันจะมีกลิ่นอายความเป็น Psycho อยู่หน่อยๆ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ไม่เลวเลย แต่สิ่งที่รู้สึกผิดหวังก็อาจจะเป็นโมเดลของตัวละครที่รู้สึกว่าจะดรอปกว่าเกมก่อนหน้าอย่าง Quantum Break เป็นอย่างมาก มีความรู้สึกว่าคุณภาพของ Motion Capture ของ Control จะดูด้อยกว่าหน่อยๆ รวมถึงฉากคัทซีนต่างๆ ของเกมนี้ก็จะดูน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และจะเน้นเพียงแค่การที่ NPC ยืนคุยกับเราง่อยๆ เท่านั้น ซึ่งเดาได้ว่างบในการสร้างอาจจะไม่เยอะเท่ากับ Quantum Break ก็เป็นได้เพราะ Microsoft น่าจะมีทุนที่เยอะกว่า 505 Games รวมถึงสิ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือ Performance ของเกมทำออกมาได้ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไร ในเวอร์ชั่น PC เพราะคอมพิวเตอร์ที่ผู้เขียนเล่นนั้นก็แรงในระดับหนึ่ง i7 Gen 8 + 1070 แต่จะต้องปรับ Low หรือเรนเดอร์โมเดลให้ถึง 1080p ไม่ค่อยจะได้ เพราะมันจะเกิดอาการหน่วงๆ เฟรมดรอปลงมาจนน่ารำคาญหลายครั้ง เกมเพลย์ ตัวเกมเพลย์ของ Control เองก็ต้องบอกเลยว่ามันก็จะยังคงความเป็นเกมค่าย Remedy อยู่ ที่จะเป็นเกมแนวเดินหน้ายิง บวกกับความสามารถของตัวละครต่างๆ ที่จะมาช่วยเพิ่มความสนุกให้มากยิ่งขึ้น แต่ความสามารถของตัวละครเอกก็จะแตกต่างตามธีมของเกมไป ซึ่งเกมนี้มีธีมเกี่ยวกับปรากฏการลึกลับเหนือธรรมชาติ มีความเป็นไซ-ไฟบวกอารมณ์ผีสางอยู่หน่อยๆ จึงทำให้ Jesse มีความสามารถในการใช้พลังจิตเป็นหลัก สามารถลอยขึ้นไปในอากาศได้อย่างอิสระ มีพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุเพื่อใช้โจมตีศัตรูต่างๆ นาๆ ปืนที่เราใช้ก็จะเป็น Service Weapon ปืนมีชีวิตที่จะ Reload กระสุนให้เอง ซึ่งเราสามารถเก็บวัตถุดิบต่างๆ เพื่อหาของมาอัพเกรดเปลี่ยนสไตล์ของปืนได้ให้เป็นปืนกล หรือปืนชาร์จยิงบลาๆ รวมถึงเรายังสามารถที่ใส่ MOD เพื่อเพิ่ม Passive ให้กับปืนของเราได้อีกด้วย แต่วัตถุดิบที่มีให้ไม่เยอะ เราก็อาจจะเลือกใช้และเลือกอัพเกรดว่าเราอยากจะเล่นสไตล์ไหน เพราะว่าต่อให้ปืนมีรูปแบบเยอะยังไง เราก็ใส่ได้เพียงแค่ 2 แบบ สไตล์เพลย์เกมนี้จะมีความ Run and Gun มากพอสมควร ที่จะทำให้สปีดของเกมมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และจุดเด่นของ Control ที่ไม่เหมือนเกมอื่นๆ ก็น่าจะเป็นความยากของเกมที่ศัตรูมีความโหดเหียมกว่าหลายๆ เกมที่ผ่านมา ความยากระดับพอๆ กับเกม Max Payne เลยก็ว่าได้ ที่เราอาจจะโดนศัตรูยิงไม่กี่ทีก็ลงไปกอง รวมถึงเหล่าศัตรูเองก็ไม่ได้อยู่เพียงแค่ภาคพื้นดิน มันจะมีบางตัวที่ลอยได้วนเวียนไล่ฆ่าเราทุกทิศทาง ถึงอย่างนั้นใช่ว่าตัวเกมจะไม่มีข้อเสีย เพราะต่อให้เกมนี้จะมีระบบความสามารถที่แปลกใหม่ให้เราได้เล่น แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกตัวผู้เขียนกลับคิดว่ามันมีความหลากหลาย และความว้าวน้อยกว่าเกมก่อนหน้า Quantum Break อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าเกมนี้จะมีจุดเด่นในเรื่องของการเปลี่ยนสไตล์ปืนหรือการใส่ Passive ถึงอย่างนั้นแรงจูงใจของมันก็ไม่เร้าใจพอ เพราะว่าสิ่งที่มันจะมาเพิ่มความว้าวของเราก็คือสกิลใหม่ๆ ที่ได้ลองเล่น และมีผลต่อเกมการต่อสู้มากๆ ซึ่งเกมนี้ต่อให้มีสกิลใหม่ๆ มันก็เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบในการผ่านด่านแต่นั้น อย่างเช่นระบบการบินที่เราไม่สามารถจะไปบินยิงซึ่งๆ หน้ากับศัตรูได้เลย เพราะดาเมจที่ได้รับมันหนักหนาเกินไป ผิดกับ Quantum Break ที่จะมีสกิลสโลว์เวลาให้เราวิ่งเข้าถึงศัตรูอย่างรวดเร็วและ Takedown ศัตรูเป็นต้น พร้อมทั้งการโจมตีบางอย่างมันก็จะดู Over Power เกินไปหน่อย อย่างสกิลพลังจิตที่เราจะสามารถยกของไปโจมตีศัตรูได้ ซึ่งแรกๆ มันก็ท้าทายเพราะสกิลเราไม่แรงเท่าไร แต่พออัพเกรดไประดับสูง ตัว Service Weapon ก็กลายเป็นอาวุธรองไปเลย เพราะเราสามารถใช้พลังจิตโจมตีศัตรูไม่กี่ทีก็ลงไปนอนแล้ว ตัวปืนเป็นส่วนประกอบที่จะทำเพียงแค่ลดดาเมจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อรอคูลดาวน์พลังจิตเท่านั้น สรุป Control ก็ยังเป็นเกมที่มีสูตรสำเร็จและแนวเกมที่ถนัดของค่าย Remedy เช่นเดิม แต่ก็ปรับเปลี่ยนในเรื่องของธีมเกมและการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเสนอการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนขึ้นไปอีก เหมาะสำหรับคนที่ชอบเนื้อเรื่องที่ต้องใช้การตีความต่างๆ นาๆ มีปริศนาและปมให้เราติดตาม และมาตบเนื้อเรื่องสุดเซอร์ไพร์สในตอนท้าย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนดาบสองคมที่ตัวเกมอาจจะต้องใช้ความสามารถในการอ่านและตีความเยอะๆ เพื่อที่จะได้ตามและเข้าใจในการนำเสนอของเกมที่มีการเล่าเรื่องแบบติสๆ งานอาร์ทเยอะๆ แบบนี้ ส่วนในเรื่องของเกมเพลย์ก็ยังทำออกมาได้ดีถ้าหากใครที่ไม่คิดมากในเรื่องนีก็อาจจะเล่นได้เพลินจนจบเกม แต่เสียดายที่ส่วนตัวอยากให้เกมมีความหลากหลายมากกว่านี้ รวมถึงตัวเกมมีการลดสเกลการสร้างในหลายๆ ส่วน (หรืออาจจะเป็นการจงใจก็ได้)  จึงทำให้เกมนี้อาจจะมีติดๆ ขัดๆ ในเรื่องความคิดสำหรับผู้เขียนที่เล่นเกมของค่ายนี้เป็นประจำ และเกม Quantum Break ทำเอาไว้ดีมาก แต่ Control ยังไม่สามารถที่จะก้าวผ่านความยอดเยี่ยมนี้ไปได้ซักเท่าไร อาจจะเป็นในเรื่องปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่เอื้ออำนวยก็เป็นได้   แต่ถามว่ามันแย่ขนาดนั้นไหมก็ไม่ใช่ เพราะยังไงนี่มันก็เป็นเกมที่ดีและอยู๋ในเกณฑ์ของความสนุกเหมือนเดิม ยังสามารถเล่นได้เพลินๆ และติดพันกับมันจนจบเกมได้อย่างสบายๆ เหมาะสมกับราคาของเกมที่สบายประเป๋า ที่ตัวเกมวางจำหน่ายเพียงแค่ 699 บาทเท่านั้น ซึ่งคุณจะสามารถเต็มอิ่มกับเกมได้มากกว่า 8-10 ชั่วโมง อย่างสบายๆ [penci_review id="27913"]
05 Sep 2019
รีวิว The Dark Pictures : Man of Medan ตะลุยเรือผีสิงจากยุคสงคราม
แนวเกม Horror,Choices Matter ผู้พัฒนา Supermassive Games ผู้จัดจำหน่าย BANDAI NAMCO Entertainment เวลาเล่น : ประมาณ 4-6 ชั่วโมง แพลตฟอร์ม Microsoft Windows, PlayStation 4, Xbox One The Dark Pictures เป็นซีรีส์เกมที่จะเล่าถึงเรื่องราวสยองขวัญต่างๆ ในรูปแบบของเกม Choices Matter ทั้งยังเป็นผลงานจากผู้สร้างเกม Until Dawn ชื่อดังอีกด้วย เพลเยอร์สามารถเลือกการกระทำหรือคำพูดของตัวละครภายในตัวเลือกที่มีให้ได้อย่างอิสระ การเลือกของเพลเยอร์จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องโดยตรง ทำให้เกิดฉากจบที่มีมากกว่าหลายสิบแบบ เรื่องแรกที่ออกมาในซีรีส์นี้ก็คือ Man of Medan ที่เป็นเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ดันจับพลัดจับผลูไปขึ้นเรือร้างจากสมัยสงครามโลก แต่เหมือนว่าเรือลำนี้จะไม่ใช่แค่เรือร้างธรรมดาซะนี่ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ Man of Medan คือเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่น 5 คนไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดโดยเลือกที่จะไปดำน้ำในพิกัดที่ Brad คนในกลุ่มแนะนำมา ระหว่างที่ดำน้ำอยู่ก็ไปเจอกับเครื่องบินจากสมัยสงครามโลกอับปางอยู่ก้นทะเล แต่แล้วเหตุการไม่คาดฝันต่างๆ ก็เกิดขึ้นจนทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ต้องขึ้นไปสำรวจเรือร้างจากสมัยสงครามโลก เนื้อเรื่องของเกมจะมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก ประหนึ่งดูหนังยาวอยู่เลยก็ว่าได้ โดยการเล่าเรื่องจะเริ่มเล่าในมุมมองของตัวละครต่างๆ ที่เจอเหตุการต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน เราจะได้สัมผัสถึงอารมณ์, ความหวาดระแวง, ความกลัว ของแต่ละคนอย่างใกล้ชิดทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องของเกมเป็นอย่างมาก พอเล่นไปได้สักพักมันก็เกิดความรู้สึกว่า "แล้วบทสรุปของเกมจะเป็นยังไง ใครจะรอด ใครจะตายบ้าง?" มันกลายเป็นความรู้สึกอยากเล่น อยากเห็นบทสรุปของเกม รู้ตัวอีกทีก็ 4ชม. ผ่านไปแล้ว เรียกได้ว่าทำให้เรารู้สึกอยากติดตามอยู่แทบจะตลอดเวลาเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เป็นเกมแนวดำเนินเนื้อเรื่องเพียงอย่างเดียวทำให้แทบจะไม่มีฉากแอคชั่นให้ได้เล่นหรือลุ้นเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าเป็นเพลเยอร์ที่เล่นเกมสายแอคชั่นจัดๆมาโดยตลอด เกมนี้อาจจะไม่ถูกใจคุณ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาเกม Horror ที่เราสามารถเลือกการกระทำและอยากเห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำต่างๆ ที่เราได้เลือกระหว่างเล่นเกมแล้วละก็ เกมนี้อาจจะตอบโจทย์มากกว่าที่คุณคิดลองไปหาเล่นดูครับ สุดท้ายในด้านของตัวละคร บอกตรงๆ ว่า ห่วยแตกมาก ทำออกมาสร้าง Impact ได้น้อยสุดๆ ไม่ค่อยมีความรู้สึกอยากจะให้ตัวนี้รอดหรือตัวนั้นตายเท่าไหร่เลย คือเนื้อเรื่องมันดีนะแต่มาตกม้าตายตรงสร้างตัวละครออกมาไม่น่าจดจำเนี่ยแหละ ในขณะที่เกม Until Dawn ที่ออกมาก่อนกลับทำได้ดีกว่า จึงเป็นจุดที่รู้สึกผิดหวังมากของเกมนี้ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ เพราะเกมถูกออกแบบมาให้เล่นเป็นสไตล์เหมือนดูหนัง ทำให้เราควรจะสามารถรับชมเนื้อเรื่องของเกมนี้ไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันควรจะเป็นจุดแข็งของเกมนี้ แต่ทางด้าน Cut Scene ของเกมนี้กลับมีความกระโดดจากฉากที่เราเล่นอยู่หรือ Cut Scene อันก่อนหน้าในบางครั้ง จนทำให้เกิดความงงกับเหตุการที่เกิดขึ้น เช่นเดินผ่านห้องนี้ไปแล้ว อยู่ดีๆภาพก็กระโดดกลับมาห้องเดิมเฉยเลยหรือ Cut Scene ที่ตัวละครกำลังยกแขนอยู่ แต่พอขึ้น Scene ต่อมาตัวละครกลับเอาแขนลงเรียบร้อยแล้ว ความกระโดดนี้ทำให้อ่านเนื้อเรื่องกำลังอินๆอยู่เจอภาพวาปเข้าไป ก็รุ้สึกหงุดหงิดสุดๆด้วยเหมือนกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "ทำไมถึงไม่เก็บรายละเอียดให้ดีกว่านี้" หรือ "แล้วมันมาอยู่ที่นี้ได้ไงอะ?" เกมที่เน้นไปที่เนื้อเรื่องกลับทำ Cut Scene มาให้ไม่สามารถปะติดปะต่อเนื้อเรื่องได้ คิดยังไงก็เป็นจุดที่แย่ของเกมนี้ตามความรู้สึกของเรา   (2 รูปข้างบนเป็น Cut scene ต่อกันที่ภาพกระโดด) ในส่วนของบรรยากาศของเกมถือว่าทำออกมาได้หลอนมากๆ คือใช้ความมืดภายในเกมได้ดีมากในส่วนของมุมกล้องก็สามารถช่วยสร้างบรรยากาศออกมาได้เป็นอย่างดี ด้านของกราฟิกถือว่าทำกราฟิกในช่วงต่างๆของเกมออกมาได้ดี พอเอาสองเรื่องนี้มารวมกัน เกมนี้ก็เลยสร้างความน่ากลัวออกมาได้ดีมาก เล่นแล้วจะรู้สึกหวาดระแวงตลอดเวลา กลัวแทบทุกอย่างในฉากเลยก็ว่าได้ ถือว่าประสบความสําเร็จในฐานะเกม Horror แล้วนั้นเอง ทางด้านของ UI ก็สามารถออกแบบได้แปลกใหม่และมีความเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ภายในเกมกลับมีการใช้ Jump Scare ที่เรามองว่าเยอะเกินความจำเป็น คือเยอะมากๆ มาแทบจะทุกๆ 10 นาที พอโดนบ่อยๆมันไม่ได้รู้สึกกลัวแต่เป็นรู้สึกรำคาญมากกว่า แค่บรรยากาศมันดีอยู่แล้วแต่ Jump Scare ที่มีเยอะเกินไปเนี่ยแหละทำให้เกมมันสนุกน้อยลง ◊ เกมเพลย์ ◊ เราจะได้เล่นผ่านมุมมองของตัวละครหลักทั้ง 5 ตัว โดยเราจะสามารถเลือกการกระทำหรือคำพูดในเหตุการต่างๆได้อย่างอิสระเหมือน Until Dawn ทุกๆการเลือกของเราจะส่งผลถึงอารมและความความสัมพันธ์ของตัวละครอื่นๆด้วย ทุกอย่างจะส่งผลถึงฉากจบโดยตรง นั้นทำให้ทุกครั้งเราต้องมานั่งเดาว่าถ้าเลือกทางนี้จะดีรึเปล่า,หรือถ้าไม่เลือกเลยจะดีกว่า? เราจะตั้งคำถามกับทุกการกระทำในทุกเหตุการระหว่างเล่น ส่งผลให้เราใช้สมาธิกับเกมเยอะมากๆ รู้ตัวอีกที่ก็รู้สนุกที่จะได้รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าจะออกมาดีหรือจะออกมาร้าย ทำให้เกมนี้มีความสนุกในแบบของตัวเองไปในตัว ภายในเกมยังมีรูปภาพปริศนาถูกแขวนไว้จุดต่างๆ ถ้าหากเข้าไปกดสำรวจรูปภาพเหล่านี้เราจะได้เห็นภาพนิมิตที่เป็นเหมือนคำใบ้ให้เราสามารถดำเนินไปถึงฉากจบที่ดีที่สุดได้ หรือเป็นคำใบ้ถึงเหตุการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เป็นกิมมิคเล็กๆ ที่จะทำให้เราอยากจะเดินไปสำรวจแทบทุกจุดในเกมและกลายเป็นความสนุกอย่างหนึ่งกับการตามหารูปภาพพวกนี้ไปด้วย ภายในเกมยังมีระบบ Quick Time Events ที่ออกมาให้กดเป็นช่วงๆตลอดเกม ถ้าหากกดไม่ทันก็จะส่งผลถึงเนื้อเรื่องของเกมด้วยเหมือนกัน จุดนี้เป็นจุดที่ทำออกมาแก้ความง่วงในเวลาเล่นได้ดีมาก เพราะเราจำเป็นต้องตื่นตัวตลอดเวลามันมักจะมาโดยไม่รู้ตัว แล้วถ้ากด Quick Time Events พลาดผลลัพธ์ก็จะส่งผลถึงเนื่อเรื้องด้วยเหมือนกัน บางครั้งพลาดโง่ๆทีเดียว ก็ทำให้ตัวละครตายไปเลยได้เหมือนกัน ต้องระวังกันไว้ให้ดีนะครับ ◊ สรุป ◊ Man of Medan เป็นเกม Horror แบบ Choices Matter ที่สามารถสร้างบรรยากาศให้รู้สึกหลอนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังนำเสนอมุมมองในด้านของตัวละครอื่นๆได้ดี มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม ผลของการกระทำที่ออกมาเป็นฉากจบที่หลากหลายจนไม่สามารถคาดเดาได้ ทั้งหมดนี้คือข้อดีที่ทำให้เกมนี้น่าเล่น แต่ในทางกลับกัน ตัวละครกลับถูกสร้างออกมาได้ไม่น่าดึงดูดจนทำให้เราไม่มีความรู้สึกรักหรือเกลียดตัวละครไหนเลย (กระทั้งตัวร้ายที่ควรจะเกลียดยังรู้สึกเฉยๆ) การใช้ Jump Scare ที่เยอะมากจนเกินไปทำให้เกมมันออกน่าเบื่อมากกว่าน่ากลัว ทั้งยังทำ Cut Scene ในบ้างฉากได้ไม่มีความต่อเนื้อง เล่นแล้วบ้างครั้งก็งงว่า"มาอยู่ที่นี้ได้ยังไง"หรือ"มันมาอยู่ตรงนี้ตอนไหนวะ"บ่อยๆ โดยรวมแล้วเกมนี้อยู่ในระดับกลางๆ จุดที่สนุกก็มี จุดที่แย่เองก็เยอะ เกมนี้เราจึงให้คะแนนเพียง 6 เต็ม 10 เท่านั้น ถ้าให้พูดตรงๆแล้วคิดว่า Until Dawn ทำออกมาได้ดีดว่าด้วยซ้ำ หวังว่าเนื้อเรื่องต่อไป Little Hope ที่จะออกปีหน้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น [penci_review id="27627"]  
03 Sep 2019
รีวิว Remnant: From the Ashes นี่มันเกม Dark Souls ฉบับยิงปืนชัดๆ !!
เดี๋ยวนี้กระแสเกมแนว Dark Souls เองก็กำลังเป็นที่นิยมมากๆ กับเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงมหากาฬความยากที่เหล่าศัตรูนั้นสามารถฆ่าเราด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ที แต่ถึงอย่างนั้นเกมแนวนี้มันได้มอบความท้าทายของเกมที่หาได้ยากกว่าเกมแนวอื่นๆ ตัวเกมเหมาะสำหรับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่มีสกิลเพลย์สูงๆ ปัจจุบันนี้มันก็มีหลายเกมนะครับ ที่นำเอาระบบของเกมแนวนี้มาใช้เป็นแรงบันดาลใจ เอามาต่อให้ยอดเป็นรูปแบบเกมเพลย์ของตัวเอง อย่างเช่นเกม God of War (2018) ก็ได้นำระบบแนวนี้มาพัฒนาต่อบวกกับเนื้อเรื่องต่างๆ นาๆ ทำให้เกมนี้ได้รับรางวัล Game of the Years ปี 2019 ภายในงาน The Game Awards เลยทีเดียว และ Remnant: From the Ashes เองก็เป็นหนึ่งในเกมที่เอาระบบนี้มาต่อยอดเช่นกัน และได้ทำการดัดแปลงแนวการเล่นจากที่ส่วนใหญ่มักจะใช้อาวุธระยะประชิด ให้กลายมาเป็นการใช้ปืนแทน จากฝีมือผู้พัฒนาที่เคยสร้างเกมดังมาแล้วอย่าง Darksider II และ Darksider III พร้อมกับใส่ความเป็นเกมแนว RPG เข้ามาให้เกมดูแปลกใหม่มากขึ้น ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ชมกันครับว่า มันจะสามารถเข้ามาสู้กับเกมรุ่นพี่อื่นๆ ที่เป็นเกมแนวคล้ายกันได้หรือไม่ ? เนื้อเรื่อง ตัวเกมจะเซ็ตอยู่ในหลังการล่มสลายของโลก ด้วยการบุกรุกของเหล่าอสูรกายในตำนาน โดยเราจะได้รับบทเป็นนักผจญภัย (สร้างตัวละครได้ทั้งชายและหญิง) ที่เราจะต้องหาทางหยุดยั้งหายนะครั้งนี้ แต่เส้นทางของเราบังเอิญได้ไปจับพลัดจับผลูพบกับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บน Ward 13 ที่จะมีผลึก Red Eyes ทำให้เราสามารถวาร์ปไปยังดินแดนต่างๆ ได้อย่างอิสระ รวมถึงเรายังจะได้เสาะหาการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้ก่อตั้ง Ward 13 อีกด้วย โดยเนื้อเรื่องต่างๆ ของเกมนั้นก็จะมีคำตอบให้เราเลือก ซึ่งแต่ละคำตอบเราก็จะได้รับผลลัพธิ์ที่แตกต่างกัน หรือได้รับของรางวัลที่แตกต่างกันบ้าง แต่จากที่ได้ลองเล่นมาก็ต้องบอกเลยว่าตัวเนื้อเรื่องนั้นมันเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบที่ทำให้เรามีเหตุผลต่างๆ นาๆ ไปไล่ฆ่ามอนสเตอร์นั่นแหละ ตัวเนื้อเรื่องอาจจะดูน่าสนใจบ้างถ้ายิ่งเราเล่นไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ขนาดที่ว่าจะดึงอารมณ์ให้พาเราเข้าไปอินขนาดนั้น และถ้าเอาเนื้อเรื่องมาต่อๆ กันมันก็ดูค่อนข้างเนือยๆ พอสมควรเลยทีเดียว เพราะจุดเด่นของเกมนี้มันอยู่ที่เกมเพลย์เสียมากกว่า กราฟิก กราฟิกของเกมนี้ได้ใช้ Unreal Engine ในการพัฒนา ที่เราเองก็น่าจะรู้ถึงความสวยงามของมันดี แต่ก็ต้องบอกว่ารายละเอียดต่างๆ ของเกมก็อาจจะไม่ได้เทียบเท่าขนาดเกมระดับ AAA ซักเท่าไร แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะกราฟิกมันก็ไม่ใช่ทุกอย่าง รวมถึงงบในการสร้างเกมนี้ก็อาจจะไม่ได้เวอร์วังอลังการขนาดนั้น แต่สิ่งที่ต้องชมคือ Performance ของเกมทำได้ลื่นไหลเป็นอย่างมาก ปัญหาต่างๆ ในเรื่องกราฟิกหรือเกมค้างเกมหลุดเองไม่พบเจอให้เห็นซักครั้ง ตัวเกมสามารถปรับแต่งอะไรต่างๆ ได้เยอะ ใครที่คอมแรงก็จัดกราฟิกสูงๆ ไป คุณก็จะได้ภาพที่สวยสดงดงาม แต่ถ้าใครคอมไม่แรงก็อาจจะปรับภาพลงมา ถึงแม้กราฟิกอาจจะดูต่างกันอย่างชัดเจน แต่มันจะแลกมาด้วยเฟรมเรทที่ได้เยอะขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่า แสดงว่าเกมนี้คอมที่ไม่แรงก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา รวมถึงแผนที่ด่านต่างๆ ของเกมนี้ก็เป็นกึ่งๆ Openworld ซึ่งมันก็เลยทำให้เกมไม่กินแรง CPU เราเท่ากับเกมอื่นๆ แต่ขอเสียก็เห็นบ้างอย่างเช่นบัคประปรายของแอนิเมชั่นตัวละครหรือเควสต่างๆ โดยส่วนตัวบัคที่เคยพบเจอก็คือชื่อเควสใหม่ไม่เด้ง หรือบัคศัตรูบอสติดและเรายิงฟรี แต่ถึงอย่างนั้นในวันที่เขียนรีวิวเหมือนผู้พัฒนาจะแก้บัคไปเยอะแล้ว หลังๆ ไม่เห็นเลย เกมเพลย์ อย่างที่บอกว่า Remnant: From the Ashes เป็นเกมแนว Souls ในแบบฉบับการยิงปืน แต่ถ้าใครที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน เกมส่วนใหญ่มันจะเป็นเกมที่ใช้อาวุธระยะประชิด ทำให้ความยากของมันอยู่ที่เราจะต้องเข้าไปใกล้ศัตรูเพื่อโจมตี แต่ส่วนของเกมนี้อาวุธต่างๆ ที่ใช้โจมตีมักจะเป็นอาวุธปืน เลยทำให้เกมนี้อาจจะดูง่ายและได้เปรียบกว่าเกมอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นผู้พัฒนาก็น่าจะรู้ในจุดนี้ จึงทำให้การต่อสู้ของเกมนี้มีสปีดที่สูงกว่าทุกเกม รวมถึงจำนวนของศัตรูเองก็แห่แหนกันมาอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งเวลาสู้บอสศัตรูจะทำการเสกลูกน้องออกมาเป็นสิบๆ ตัวคอยก่อกวนเรา จึงทำให้ตัวเราจะต้องรับมือกับศัตรูหลายๆ ด้านทั้งบอส และลูกกระจ๊อก มันเลยทำให้เกมนี้มีความไม่ง่ายอยู่นั่นเอง เพราะจากที่เล่นมาก็ต้องบอกเลยว่ามันก็ยากและพาหัวร้อนพอสมควร ทั้งมอนสเตอร์ธรรมดา และบอสต่างๆ ก็ต่างพากันตีแรงมากๆ ยิ่งดำเนินเรื่องไปไกลเรื่อยๆ ศัตรูจะดุร้ายขึ้นอีกด้วย ตัวละครของเรานั้นสามารถเลือกคลาสได้ในช่วงแรก ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบคือ Hunter - จะเก่งในระยะไกล ใช้ปืนสไนเปอร์หลัก และอาวุธระยะประชิดเป็นดาบ Ex-Cultist - จะเก่งในระยะกลาง ใช้อาวุธปืนกลเป็นหลัก และอาวุธระยะประชิดเป็นขวานเล็ก Scrapper - จะเก่งในระยะใกล้ ใช้อาวุธลูกซองเป็นหลัก และอาวุธระยะประชิดเป็นค้อน แต่ละคลาสจะได้รับสกิลต่างๆ หรือจุดเด่นในเรื่องของค่าป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถที่จะสลับเปลี่ยนอาวุธ ชุดและสกิลของสายอื่นได้อยู่ดี ระบบ Combat ต่างๆ เองก็อ้างอิงมาจากเกมแนว Souls หลายๆ อย่างเช่นระบบเซฟ Checkpoint ก็คล้ายๆ กัน อย่างเกม Dark Souls จะมี Bonfire ที่จะเพิ่มเลือดและยาให้อัตโนมัติ ส่วนเกมนี้เองก็เช่นกันแต่จะเปลี่ยนเป็นคริสตัล Red Eyes แทน ระบบ Stemina เองก็คล้ายๆ กันที่จะใช้วิ่ง, กระโดดหลบ บลาๆ รวมถึงระบบเพิ่มเลือดก็จะสามารถกดเพิ่มเลือดได้ 3 ครั้ง ซึ่งถ้าอยากจะเติมเลือดก็แค่ไปที่คริสตัลนั่นเอง ระบบการโจมตีเองเป็นสิ่งที่ดีไซน์ออกมาได้ดีมาก เพราะตัวละครเราจะมีอยู่สองปืนที่จะสามารถสลับไปมาได้ (ผู้เขียนเล่นใน PC กดตัว X เพื่อสลับปืน) เวลาจะยิงเราต้องกดเล็งก่อนแล้วถึงยิงได้ แต่ถ้าอยากใช้อาวุธระยะประชิดก็แค่กดโจมตีโดยไม่ต้องเล็ง ซึ่งมันสะดวกมากๆ ในเรื่องของการเล่น เพราะเราจะไม่ต้องมาสลับอาวุธไปๆ มาๆ ให้หลอนประสาทเวลาที่ศัตรูแห่มาตีเราเยอะๆ และจุดเด่นของระบบอาวุธที่ส่วนตัวชอบอีกอย่างคือการ Mod ที่จะเป็น Perk สกิลติดตัวเสริม ให้เราสามารถใช้สกิลได้ถ้าหากเก็บเกจพลังจนเต็ม โดยตัว Mod ยิ่งเราผ่านบอสใหญ่ๆ ได้ มันก็จะมีสกิลใหม่ๆ มาให้เราใช้ที่เหมาะกับสถานะการณ์ต่างๆ อีกด้วย [caption id="attachment_27131" align="aligncenter" width="1024"] Mod ติดปืนสกิลสร้างบาเรียเพื่อป้องกันศัตรูยิงไกลชั่วขณะ[/caption] แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากตัวเกมมีระบบความเป็น RPG เข้ามา ทำให้เราสามารถฟาร์มหรือเก็บของอัพเกรดอาวุธ และชุดต่างๆ ให้ตัวละครเราเก่งในระดับหนึ่งก่อนได้แล้วค่อยมาสู้กับเหล่าบอสทีหลังมันก็จะทำให้เราเล่นได้ง่ายขึ้น หรือจะทำการเล่น Co-op กับเพื่อนๆ เพื่อมาช่วยกันยิงบอสก็ได้ จึงทำให้ความยากของเกมนี้อาจจะพาให้เราหัวร้อนบ้าง ตายวนเวียนกันหลายๆ รอบ แต่มันก็ไม่ถึงขนาดที่จะยากเท่ากับ Bloodborne, Dark Souls หรือ Sekiro ระบบการอัพเกรดนั้นก็ทำออกมาได้ไม่ซับซ้อนเท่าไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะเราก็แค่ไปหาเศษเหล็ก (เงิน) และพวก Material ต่างๆ ที่สามารถหาได้ตามด่าน มาอัพเกรดเป็นขั้นๆ ไป มีการอัพเกรดทั้งชุดอาวุธต่างๆ เป็นการตีบวกไปเรื่อยๆ ยิ่งเลเวลสูงขึ้นก็จะใช้วัสดุที่มากขึ้น หรืออาจจะใช้วัสดุที่ระดับสูงขึ้นแค่นั้น แต่สิ่งที่ไม่ชอบก็เป็นในเรื่องของคอสตูมต่างๆ ที่เป็นชุดเดิมและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใดๆ เลย แต่ละคลาสมีอยู่ชุดเดียวและตีบวกให้เก่งเท่านั้น รวมถึงตัวเกมมีระบบ Status ที่เรียกว่า Trait ที่เราจะสามารถได้รับมาหลังจากปลดเงื่อนไขบางอย่าง ซึ่งแต่ละเลเวลเราจะได้รับ 1 Point หรือสามารถหาเก็บได้ตามแผนที่ต่างๆ โดย Trait แต่ละชนิดจะตันอยู่ที่ 20 เลเวล ซึ่งเราสามารถอัพได้อย่างอิสระ และขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเลือกอัพอะไร ตามสไตล์ที่ท่านชอบได้เลย ระบบการ Co-op เองจะสามารถเล่นได้ทั้งหมด 3 คน ซึ่งมันจะช่วยทำให้คุณผ่านด่านได้ง่ายขึ้น โดยก่อนเริ่มเกมเราสามารถที่จะเปิด Public ให้คนเข้ามาได้ หรือจะเปิดเฉพาะเพื่อน ไม่ก็เล่นแบบออฟไลน์คนเดียวได้หมด และต้องบอกเลยว่าการเล่นกับเพื่อนทำให้เกมนี้มีอรรถรสมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เกมเล่นง่ายขึ้นก็เถอะ แต่เชื่อว่ามันเป็นความยากพอดีที่ไม่ยากจนเกินไป และไม่ง่ายจนเกินไป (เล่นกับเพื่อนสองคนเจอบอสก็ตายอยู่ 3-4 รอบนะกว่าจะผ่าน) สรุป Remnant: From the Ashes เป็นเกมที่นำจุดเด่นของเกมแนว Dark Souls มาใช้เกือบทั้งหมด แต่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างให้เป็นเกมของตัวเองมากขึ้น มีการใส่ระบบ RPG เข้ามาให้ผู้เล่นได้มีแรงจูงใจในการฟาร์มของต่างๆ และทำให้ตัวละครเก่งขึ้น การดีไซน์ระบบการต่อสู้เองก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กับการกดเล็งถึงเป็นการใช้ปืน กดตีธรรมดาเป็นการใช้อาวุธประชิด ซึ่งมันสะดวกมากๆ รวมถึงการเล่นกับเพื่อนนั้นทำให้เกมนี้ทำให้สนุกมากขึ้นด้วย เราอาจจะต้องคุยกับเพื่อนเพื่อหาแบบแผนรองรับต่างๆ นาๆ ยิ่งถ้าเพื่อนที่เล่นด้วยรู้งาน มันจะยิ่งสนุกขึ้น แต่กระนั้นความยากของเกมเองก็อาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่ากับตำนานอย่าง Dark Souls หรือ Sekiro ได้ อาจจะเป็นในเรื่องของที่เราสามารถโจมตีศัตรูได้ในระยะไกลนั่นเอง เราเลยไม่จำเป็นจะต้องโดดเข้าไปใกล้จนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านอยู่ดี เพราะลูกน้องศัตรูมันก็จะแห่มาช่วยลูกพี่มันตีแบบไม่มีพัก ส่วนตัวชอบมากเพราะว่าเกมนี้มีความยากในระดับที่เข้าถึงได้ ไม่ร้อนจนเกินไปอาจจะแค่อุ่นๆ นิดหน่อยเวลาอะไรต่างๆ ไม่ได้ดั่งใจ แต่สิ่งที่ไม่ชอบก็คงเป็นในเรื่องของสีสันด้านภาพที่มันอาจจะไม่ได้เจิดจรัสเท่าเกมอื่นๆ หรือจะเป็นในเรื่องคอสตูมที่แม๊ !! อุส่ามีอุปกรณ์หลายๆ ชิ้นให้ใส่ ผู้พัฒนาก็น่าจะสร้างคอสตูมหรือสร้างชุดแปลกๆ ดีไซน์อื่นๆ มาอีก เพราะเท่าที่มีอยู่มันดูจืดชืดยังไงไม่รู้ รวมถึงอาวุธต่างๆ เองก็อยากให้มีอาวุธเดิมแต่เปลี่ยนดีไซน์เหมือนกัน หรือเป็นอาวุธเดิม และปรับแต่งลูกเล่นมากกว่าจะเป็นอาวุธอีกแบบไปเลย อาวุธที่ดรอปได้ภายในดันเจี้ยนมันไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่อยากให้เราจะหยิบมาใช้เท่าไร เพราะว่าอาวุธหลักเราอัพเกรดไปเยอะแล้ว จากที่เล่นมาผู้เขียนเองยังใช้อาวุธเดิมตั้งแต่เริ่มและอัพเกรดเอาอย่างเดียว ปืนอื่นไม่สนใจ แต่ในเรื่องของอาวุธก็อาจจะมีข้อดีของ Mod สกิลมันมีให้เปลี่ยนหลากหลายซึ่งอันนี้เป็นจุดที่ต้องชื่นชม รวมถึงราคาของเกมเองเพียงแค่ 699 บาทเท่านั้น ไม่แพงเกินเอื้อมคุ้มค่าคุ้มราคา ร้านค้า Remnant: From the Ashes: LINK [penci_review id="27029"]
27 Aug 2019
GENESIS เกม MOBA ไซไฟของ PS4 กับกราฟิกระดับเทพ
เมื่อพูดถึงเกมแนว Multiplayer Online Battle Arena หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า MOBA คงไม่มีชาวเกมคนไหนไม่รู้จักเกมประเภทนี้แน่ สืบเนื่องมาจากความยอดนิยมในอดีตตั้งแต่มีแมพในตำนานอย่าง Defense of the Ancient(DotA) หรอโดต้า ก็ได้สร้างกระแสและรูปแบบการเล่นเกมที่แปลกใหม่และมีเสน่ห์ไม่ซ้ำใครขึ้นมา จึงทำให้มีเกมประเภทนี้เปิดตัวมาใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งบน PC และ Smartphone จวบจนกระทั่งล่าสุด, เกม Genesis ได้เปิดตัวบนแพลตฟอร์มคอนโซลอย่าง Play Station 4 ที่ออกแบบมาเพื่อการบังคับตัวละครด้วยจอยคอนโทรลเลอร์โดยเฉพาะ ทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่และได้เล่นเกมแนว MOBA บนเครื่องคอนโซลกันสักที เนื้อเรื่อง   ว่าด้วยเรื่องราวในยุคของอนาคตปี 2332, ยุคที่ทั่วทั้งจักรวาลมีแต่การแตกดับและความตาย ยุคที่พระเจ้าและผู้คนต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาแหล่งที่อยู่ใหม่ซึ่งเป็นปราการและความหวังสุดท้าย นั่นหมายถึงการรุกรานเอเลี่ยนเจ้าบ้านอย่าง Superviod ผู้บัญชาการที่มีเลือดนักรบสูง พร้อมนำทัพเหล่าแมลงเอเลี่ยนต่างมิติสุดร้ายกาจมาโจมตีมนุษยชาติ แต่ทางฝั่งของเหล่าเทพเจ้าและมนุษย์กลับต้องมีศึกถึงสองด้าน, นอกเหนือจากการต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยน ยังมีการต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจของตำแหน่งแม่ทัพที่ใช้ในการควบคุมเหล่า Dominion ลูกสมุนพร้อมนวัตกรรมบุกดวงดาวล้ำสมัย ตำแหน่งแห่งเกียรติยศที่สามารถควบคุมจักวาลใบใหม่นี้ได้! การบังคับ โดยการใช้ Controller ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ทำให้เกิดความเหมาะสมลงตัวแถมยังครบถ้วนสำหรับเกม MOBA ทุกอย่าง เพื่อตอบสนองต่อผู้เล่นหน้าใหม่ที่เพิ่งเคยสัมผัสกับเกมแนวนี้ และผู้เล่นระดับโปรเพลยเยอร์ที่กำลังเสาะหาประสบการณ์แบบใหม่ในการเล่นเกมแนวนี้อยู่ โหมดการเล่น   นอกเหนือจากการเล่นแบบออนไลน์ 5v5 แล้ว ยังมีโหมดเนื้อเรื่อง(Campaign) ที่จะเป็นด่านความท้าทายให้เราฟอร์มทีมกับเพื่อน(หรือเลือกจะลุยเดี่ยว) ตั้งแต่การทำภารกิจป้องกันฐานทัพจวบจนถึงการจัดการสังหารกับบอสใหญ่ประจำด่าน ได้รับเกียรติยศพร้อมรับรางวัลเป็นไอเท็มแฟชั่นและไอเท็มสวมใส่ที่ช่วยเพิ่มสเตตัสให้กับฮีโร่ พร้อมลุยในการต่อสู้ครั้งถัดไป ความเหมือนที่ดูแตกต่าง Hero ถูกจัดหมวดหมู่ไว้หลากหลายแนว ตั้งแต่การเป็น Tank, Warrior, Psionic, Marksman, Assassin, Support และบางตัวยังเป็นได้ถึง 2 หมวดหมู่ในตัวเดียวกัน นี่แค่การจำแนกฮีโร่ตามสกิลนะ, แต่สายของฮีโร่ที่เราเลือกจริงๆจะเปลี่ยนไปตาม “Perks” และการออก “Items” ที่ง่ายและเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของเกมนี้ ส่วนอีกหนึ่งข้อที่อดพูดไม่ได้คือ โมเดลที่มีเอกลักษณ์ธีม Sci-Fi เป็นของตนเองไม่ซ้ำใคร(แต่สกิลอาจจะซ้ำบ้าง) ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดและประณีตพร้อมกับสกิน, อาวุธ, ปีก, วอร์ด, การวาร์ป และอุปกรณ์ตกแต่งส่วนอื่นๆอีกมากมาย  “Original Skin ดั้งเดิมที่บ่งบอกความเป็นไซไฟสูง”      “Classic Skin โมเดลตามแบบฉบับยุคกรีก” Perk คือระบบการเลือกอัพเกรดความสามารถพิเศษในโหมด 5v5 ตั้งแต่เริ่มต้นเกม(ก่อนจะออกไอเท็มซะอีก) นั่นจึงทำให้เกิดความหลากหลายต่อการเล่นฮีโร่ตัวเดียวเป็นอย่างมาก ความแตกต่างที่ถ้าออกแบบวางแผนมาอย่างดี จะสามารถการันตีชัยชนะจากศึกครั้งนั้นๆได้เลย   “ฮีโร่ทุกตัวได้ถูกแนะนำโดยระบบให้เลือก Perks ที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่การเลือกที่แตกต่าง จะนำพามาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างเช่นกัน ลองคิดดูถึงฮีโร่ Mid lane ที่รวยอยู่แล้วจากการจำกัดครีปและเดินแก๊งเลนอื่นๆ แทนที่จะอัพ Physical เพื่อเพิ่มพลังโจมตี แต่เลือก Perks: Gold ที่ช่วยเพิ่มเงินตอนเริ่มเกมให้ 500 หน่วย แถมยังช่วยเพิ่มอัตราในการเด้งเงินฟรีๆในทุกนาทีอีกด้วย คิดเอาว่าจะรวยขนาดไหน!?” Skill ถูกออกแบบมาให้ใช้อย่างง่ายดายแม้จะใช้คอนโทรลเลอร์ในการเล่น เพราะระยะและทิศทางในการแสดงผลของสกิลจะถูกชี้ออกมาอย่างชัดเจน ว่าเริ่มต้นและสิ้นสุดถึงระยะไหน แม้กระทั่งการโจมตีปกติก็ยังมีระยะบอกที่ชัดเจน เหมือนกับการเล่นบน Smartphone เลยล่ะ(แต่ที่นี่มี 4 สกิล นะ) เมื่อเลเวลของฮีโร่เราอัพ ระบบจะทำการอัพสกิลให้อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว แม้สกิลของบางตัวเราจะคุ้นเคยในเกมแนวนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับเกมนี้สกิลพวกนั้นได้ถูกอัพเกรดให้มีความแรงและความสามารถพิเศษมากขึ้น ทำให้การปะทะกันแต่ละทีนั้นดุเดือดไม่เบาเลยล่ะ “โดนดักกลางป่า แต่เลือดเหลือแค่นี้ ก็เตรียมลาโลกเลยแล้วกัน!”   Item ที่มีความสลับซับซ้อนแต่ไม่งงเลยสักนิด(เพราะความสามารถคล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ) ก็ยังคงเอกลักษณ์ของเกมไว้คือการนำไอเ็มเก่าๆ มาอัพเกรดความสามารถ รวมและผสมกันเป็นอีกอย่างที่ Over Power ไปอีกขั้น เน้นสาดสกิลและไอเท็มใส่กันสุดตัว แถมยังอำนวยความสะดวกโดยการที่ผู้เล่นสามารถออกไอเท็มได้ทุกที่ทุกเวลา แหม สะดวกสุดๆไปเลยครับ Ward ที่ไม่ได้มีแค่เงินก็ออกได้ เพราะในราคา 100 Gold ช่างเป็นเงินที่หายง่ายอะไรขนาดนี้ แต่เดี๋ยวก่อน เพราะเงื่อนไขในการใช้ต่อหนึ่งทีมคือ ห้ามมีวอร์ดเกิน 4 จุดในเวลาเดียวกัน! เอ่าล่ะ คราวนี้ได้เกิดสงครามในทีมเดียวกันแน่ๆ Rune สุดแสนจะอำนวยความสะดวก จะเป็นตัวช่วยให้เราปักวอร์ดมากยิ่งขึ้น เพราะในสมรภูมิแห่งอวกาศนี้ การเกิดของรูนกลางอาวกาศ(แม่น้ำ) จะเกิดแบบจุใจให้ทั้ง 2 ฝั่งในทุกๆ 2 นาทีเช่นเดียวกันครับ Dominion and Behemoth หรือเรียกให้เข้าใจกันง่ายๆว่า “ครีป” และ “ครีปป่า” จะมีความคล้ายคลึงกับต้นฉบับพอสมควร สามารถใช้เทคนิคการ stack ครีปป่าได้ในทุกๆวินาทีที่ 55 เช่นเดียวกันครับ  “วินาทีที่ 55, เทคนิคนี้เคยเรียนมา!” Boss ทั้งสองจุดนี้จะมีความแตกต่างจากเกมต้นฉบับพอสมควร เพราะหลังจากการสุ่มเกิดของบอสชนิดต่างๆ หลังจากการสังหาร เราจะได้ไอเท็มพิเศษที่แตกต่างกันซึ่งไม่สามารถหาซื้อจากร้านค้าได้ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ที่เก็บไอเท็มโดนสังหารล่ะก็ ไอเท็มเหล่านั้นจะตกลงพื้นและเข้าไปสู่กำมือของฝ่ายตรงข้ามทันที! ภาพรวม   Genesis ยังคงเป็นเกมฟรีที่น่าเล่น ที่พร้อมอ้าแขนเปิดรับชาวเกมแนว MOBA ในคอนโซลทั้งมือเก่าและมือใหม่ ซึ่งจะมอบความบันเทิง(หัวร้อน) และประสบการณ์ในการควบคุมด้วยคอนโทรลเลอร์ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนทำได้มาก่อน แม้จะรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับฮีโร่บางตัวที่เราคุ้นเคยมากจากเกมก่อนๆ แต่ความมันส์และความสะดวกรวดเร็วในการเล่นนั้นไม่เป็นสองรองใครแน่นอนครับ คราวหน้าพวกเรา GAMEFEVER จะมาเจาะลึกประวัติและสกิลฮีโร่แต่ละตัวแบบละเอียด พร้อมแนะนำการเลือก Perks และ Items แบบพิศดาร ไว้พบกันใหม่บน Galactic Battlefield วันนี้กระผมผมขอลาไปท่องอวกาศก่อน กราบสวัสดีครับ :)
26 Aug 2019
รีวิว The Cycle (Early Access) เกมฟรีแนวใหม่ ออกทำภารกิจกึ่ง Battle Royale!
The Cycle เกม Free-to-Play ใหม่ล่าสุดจาก Yager Development ทีมผู้พัฒนาที่เคยฝากผลงานดังอย่าง Yager และ Spec Ops: The Line รวมถึงเคยร่วมพัฒนาเกม Dead Island 2 อีกด้วย โดยในเกมล่าสุดของพวกเขา The Cycle เป็นเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (First-Person Shooter) แนวเกม Competitive Quest Shooter (PvEvP) หรือลูกผสมระหว่างวิ่งทำภารกิจ เดินยิงสัตว์ประหลาด รวมถึงเข้าต่อสู้หรือร่วมมือกับผู้เล่นคนอื่น และเอาชีวิตรอดกลับออกไปให้ได้ พูดง่ายๆคือเกม Battle Royale ที่โดดลงไปเพื่อแข่งทำภารกิจยิงสัตว์ประหลาดนั่นเอง! ถือเป็นแนวเกมที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเพิ่งมีเกมนี้เกมแรกที่ทำเกมแนวนี้ขึ้นมานั่นเอง และทางเรา GameFever จะมาทำการ รีวิว The Cycle เกมนี้กัน เนื้อเรื่องของเกมนั้น เราจะรับบทเป็น Prospector ลงจากสถานีอวกาศไปยังพื้นผิวของดาว Fortuna III เพื่อทำภารกิจและเก็บวัตถุดิบต่างๆกลับขึ้นไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ดาวจะเปลี่ยน “วงจร” จากสภาพอากาศปกติเป็นสภาพอากาศอันเลวร้าย ฟ้ามืดครึ้ม และพายุกัมมันตรังสีที่พร้อมจะคร่าชีวิตใครก็ตามที่ยังอยู่บนพื้นผิว อันเป็นที่มาของชื่อเกม “The Cycle” (วงจร, วัฎจักร, การหมุนเวียน) นั่นเอง แล้วระบบ Competitive Quest Shooter ในเกมนี้ทำงานอย่างไร? ในแต่ละเกมจะมีการจัดอันดับผู้เล่นเมื่อเกมจบ คนที่ทำภารกิจสำเร็จได้มากที่สุดและเอาชีวิตรอดกลับขึ้นยานแม่ได้ก็จะเป็นผู้ชนะไป บนดาว Fortuna III นั้นมีภารกิจให้ทำหลายรูปแบบ ซึ่งก็ไม่ง่ายนักเพราะสิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่นนั้นไม่พอใจกับการรุกรานของเราเท่าไหร่ ทำให้เราต้องควักปืนมายิงตอบโต้เพื่อเอาชีวิตรอด และมีโอกาสที่เราจะเจอสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเช่นกัน ซึ่งระหว่างการออกทำภารกิจก็จะมีโอกาสพบเจอผู้เล่นอื่นด้วย เราสามารถร่วมมือเป็นทีมกับเพื่อนที่เจอ ไล่ยิงทุกคนที่ขวางหน้าเพื่อชิงอาวุธ หรือขัดขาคนที่ทำยอดภารกิจได้มากที่สุดก็ย่อมได้ กราฟฟิคของตัวเกม ตัวเกมใช้ Unreal Engine เป็นเอนจิ้นทำกราฟฟิคเกมที่ได้รับความนิยมมากตัวหนึ่ง อีกทั้งเอนจิ้นตัวนี้ยังเป็นตัวเดียวกับเกม Fortnite และ Dauntless ใช้อีกด้วย ลักษณะกราฟฟิคของตัวเกมจะออกแนวการ์ตูนหน่อยๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นโลกต่างดาว ทั้งสีสันของดาว ลักษณะพื้นราบ ต้นไม้ เทือกเขา หรือสัตว์ประหลาดต่างๆที่เราได้พบเจอก็ล้วนทำออกมาได้ดี กราฟฟิคไม่ค่อยกินสเปคเพราะสามารถปรับความคมชัดได้ตามใจ จะปรับต่ำเพื่อให้ภาพลื่น ยิงมอนได้อย่างไม่กระตุกหรือจะปรับสูงเพื่อสัมผัสความเป็นโลกต่างดาวแบบคมชัดก็ได้เช่นกัน ระบบ Gameplay ออกทำภารกิจ เดินยิงสัตว์ประหลาดบนโลกต่างดาว เมื่อเริ่มเกมแล้ว เราจะลงมายังพื้นผิวดาวพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นอีก 20 คน และเวลาอีก 20 นาที แต่ละคนจะถูกกระจายไปทั่วแผนที่ และแข่งกันทำภารกิจให้ได้มากที่สุด โดยภารกิจก็มีถึง 5 แบบ ทั้งการขุดแร่ ส่งมอบวัตถุดิบ ส่งสัญญาณข้อมูลสำคัญ ต่อไฟให้โรงงานกลับมาทำงานอีกครั้ง หรือล่าค่าหัวคนที่ไล่สังหารผู้อื่น (Ruthless) ซึ่งทุกครั้งที่เราทำภารกิจเสร็จ เราจะได้รับดาวมา ผู้เล่นที่ได้ดาวสูงก็จะยิ่งอยู่ในอันดับที่สูงเหนือผู้เล่นอื่นตามไปด้วย (แข่งกันที่จำนวนภารกิจ) แต่ละจุดการทำภารกิจจะมีสัตว์ประหลาดมากมายมารุมโจมตีเรา ทำให้เราต้องใช้ปืนของเรายิงพวกมันเพื่อเอาชีวิตรอดและทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งบางครั้งเราจะได้เจอกับสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งที่จะดรอปวัตถุดิบดีๆให้เราไปคราฟต์อาวุธใหม่ๆมาใช้ได้ด้วย ไม่ต้องไปคุ้ยกล่องเพื่อหาอาวุธดีๆ มีเงินก็ซื้อเลย ตอนเริ่มเกมเราจะมาพร้อมปืนพกเพียงอย่างเดียว หลังจากเราสังหารสัตว์ประหลาดและได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้ว เราสามารถกดซื้อปืนใหม่มาใช้งานได้ เพื่อให้การออกล่านั้นง่ายขึ้น นอกจากอาวุธก็มีพวกไอเท็มช่วยเหลือด้วย เช่น ระเบิดปา ป้อมปืนขนาดเล็ก ช่วยให้เราทำภารกิจได้ง่ายขึ้น เพราะบางครั้งเราก็จะได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดดุร้าย ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องอัพเกรดปืนหรือซื้อปืนดีๆมาใช้เพื่อต่อกรกับมัน ทำภารกิจคนเดียวมันเหนื่อย หาเพื่อนมาช่วยดีกว่า! เมื่อเราพบเจอผู้เล่นอื่นระหว่างเกม เราสามารถชวนเข้าร่วมทีม (Pacting) เพื่อร่วมกันทำภารกิจยากๆ หรือจะช่วยกันยิงตอบโต้ผู้เล่นอื่นที่หมายปองชีวิตพวกเราก็ได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องวัดใจกันหน่อยว่า ผู้เล่นอื่นที่เราจะเจอจะโบกมือชวนเราหรือโบกปืนมาสาดกระสุนใส่กันแน่ ทว่าการรวมกลุ่มกับเพื่อน แลกกับการที่เราจะไม่มีหลอดโล่ ก็เลือกเอาได้ว่าจะเป็นโซโล่เพลย์เยอร์ หรือจะยอมมีเพื่อนช่วยทำดาเมจไปด้วยกัน อุ่นใจกว่า ระบบการ Ping และปักหมุดแมพ เมื่อเราได้จับคู่เล่นกับผู้เล่นอื่นแล้ว ตัวเกมก็มีระบบ Ping สื่อสารกับคนอื่นด้วย ทั้งการปักหมุดแผนที่ การส่งสัญญาณให้ลุย การส่งสัญญาณให้หยุด หรืออื่นๆ ทำให้ง่ายต่อการมุ่งหน้าทำภารกิจไปกับเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ที่เราได้พบเจอ ระบบเลือด เกราะ และเวลาโดนยิงจนทรุด ระบบหลอดเลือดและเกราะของเกมนี้ เมื่อไม่ได้รับดาเมจชั่วขณะหนึ่งจะทำการรีเจนกลับมาอัตโนมัติ แต่หากเราโดนยิงจนบาดเจ็บหนัก เราจะเดินช้าลงและไม่สามารถยิงตอบโต้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง ทว่าตัวเกมก็มีชีวิตที่สองให้เราด้วย เมื่อโดนยิงจนบาดเจ็บหนัก เราสามารถกดขอความช่วยเหลือจากยานแม่ได้ เราจะถูกส่งไปยังจุดอื่นพร้อมเลือดและเกราะที่กลับมาเต็มอีกครั้ง สามารถใช้งานได้เพียง 1 ครั้งต่อเกม แต่หากโดนตามมาซ้ำตอนบาดเจ็บอยู่แล้วล่ะก็จะถูกนำออกจากเกมทันที บ๊ายบายจ้า! เวลาใกล้หมด พายุใกล้มา ต้องรีบกลับยานแม่! เสมือนท้องฟ้าวิกฤตแปรปรวนทันใด ฟ้าครึ้ม สภาพอากาศเริ่มเลวร้าย เราจำเป็นต้องละทิ้งภารกิจต่างๆและมุ่งไปยังท่าเทียบยานเพื่อกลับขึ้นไปยานแม่ก่อนพายุกัมมันตรังสีจะมา ซึ่งบางครั้งจะได้พบเจอกับสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งมากมายระหว่างทาง รวมถึงเหล่าผู้เล่นที่ไม่หวังดีกับเราด้วย ซึ่งในช่วงเวลาที่พายุใกล้มา จะมีเวลาเตือนถึงช่วงเวลาที่ยานลงมาเทียบท่าเพื่อรับเรา ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องไปให้ตรงเวลาก่อนจะถูกทิ้งให้ตายอยู่บนดาวด้วยกัมมันตรังสี เพราะพวกเขาไม่รอคนสายหรอกนะ สิ่งต่างๆ ในหน้าเมนู Launch Bay ทั้ง Tutorial ก็มีให้เล่นอีกรอบ หรือเข้า Training Ground ไปฝึกยิงรอ เกมนี้ไม่จำเป็นต้องไปคนเดียว รวมก๊วนออกสำรวจก็ยังได้ สามารถไปเดี่ยว ไปคู่ หรือตั้ง Squad เพื่อออกสำรวจพร้อมกับเพื่อนๆได้ด้วย SOLO: ลุยเดี่ยวไปพร้อมกับผู้เล่นอีก 20 คน สามารถร่วมทีมกับผู้เล่นที่พบเจอได้ DUO: ไปเป็นคู่กับเพื่อนคู่ใจ แข่งขันกับผู้เล่นอีก 10 คู่ TEAM: ฟูลทีม 4 คน ต่อสู้ทำภารกิจกับผู้เล่นอีก 5 ทีม Loadout สามารถเปลี่ยนปืนพกที่ใช้ สกิลความสามารถ ปรับแต่งหน้า Gear Store ที่เราสามารถซื้อปืนใหม่หรือไอเท็มต่างๆเมื่ออยู่บนผิวดาวได้จากตรงนี้ Crafting วัตถุดิบที่เก็บได้จากผิวดาวจะนำมาใช้ตรงนี้ เราสามารถนำวัตถุดิบต่างๆมาคราฟต์ปืนใหม่ที่แรงกว่าปืนที่มีได้ คราฟต์ได้ทั้งทั้งปืนหลักปืนรอง ไอเท็มต่างๆ และสกิลความสามารถ Faction ฝักฝ่ายต่างๆ เมื่อเริ่มเกมเราสามารถเลือกได้ว่าจะผู้ฝ่ายใด เมื่อทำภารกิจต่างๆตอนอยู่บนดาวก็จะได้ค่า Exp ของฝ่ายที่เราเลือกด้วย ซึ่งยิ่งเวลสูงก็จะได้บัพในการเล่น รวมถึงปลดล็อคสกิลและอาวุธต่างๆได้ Apprerance ในเกมมีตัวละครต่างๆ (Archetype) มาให้เราเลือกเล่นได้ฟรี สามารถปรับแต่งสีผมหรือชุดที่ใส่ได้ตามใจ และที่สำคัญ ไม่มี Pay-to-Win! สิ่งที่เสียเงินซื้อได้ในเกมนี้มีเพียงสกินอาวุธและเครื่องแต่งกายของเหล่า Archetype เพื่อความสวยงามเท่านั้น ไม่มีการใช้เงินจริงเพื่อซื้ออาวุธ แถมทางทีมผู้พัฒนาสัญญาไว้ด้วยว่าเกมนี้จะไม่เป็นเกม Pay-to-Win แน่นอน! สรุป: รีวิว The Cycle เล่นเพลิน ไม่ยากไม่ง่าย พอเล่นสนุก ตัวเกมค่อนข้างอิสระและเปิดกว้างให้เราว่า เราจะทำอะไรก่อนก็ได้ จะมุ่งหน้าทำภารกิจ หรือจะไปยิงคนเพื่อชิงอาวุธ แย่งชิงจุดการทำภารกิจกัน หรือจะร่วมทีมกับผู้เล่นแปลกหน้าที่เราเพิ่งพบเจอก็ยังได้ ในแต่ละตากินเวลาไม่มาก สามารถจบได้ภายใน 20 นาที ยิงคนก็ได้ ยิงสัตว์ประหลาดก็ดี มุ่งหน้าทำภารกิจไปด้วยพลางๆ เป็นอีกแนวการเล่นที่แปลกใหม่ หากคุณชอบทั้งการยิงมอนสเตอร์และไม่หวั่นแม้เจอคนก็อาจถูกใจเกมนี้ได้ไม่ยาก อีกทั้งยังเป็นเกม Free-to-Play แถมไม่มีการ Pay-to-Win ไม่ลองไม่ได้แล้ว! ตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access ซึ่งน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า ต่อไปจะมีอัพเดตอะไรใหม่ๆน่าสนใจมาให้เราได้เล่นกันหรือไม่ The Cycle (Early Access) เปิดให้เล่นฟรีแล้ววันนี้ และเป็นเกม Exclusive บน Epic Games Store เท่านั้น ติดตามข่าวสารวงการเกมเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟสบุ๊ค GamFever TH!
26 Aug 2019
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเล่น Remnant: From the Ashes [PC, PS4 และ Xbox One]
Title: Remnant: From the Ashes Genre: Third-Person Survival Action Game Platform: PC, PS4 และ Xbox One Release Date: 20 สิงหาคม 2019 Developer: Gunfire Games https://www.youtube.com/watch?v=PqeDvBJraMk https://www.youtube.com/watch?v=F19sUoWk4Hk Remnant: From the Ashes เป็นเกมแนว Third-Person Survival Action Game จากทาง Gunfire Games ทีมผู้สร้างซีรีส์ Darksiders ที่เราจะสามารถสร้างตัวละครให้เหมาะกับสไตล์การเล่นของผู้เล่น สามารถเล่นได้ Singleplayer และ Multiplayer ที่มีจุดเด่นกับการต่อสู้อันดุเดือดทั้งระยะประชิด และระยะไกล มีการสร้างอุปกรณ์มีการพัฒนาตัวละคร เนื้อเรื่อง ในโลกที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังมีเพียงเศษซากของมนุษย์ที่เหลืออยู่ที่ถูกล่าจนใกล้สูญพันธ์ จากสัตว์ประหลาดสุดสยองขวัญของอีกโลกหนึ่ง โดยการใช้ชีวิตของมนุษย์ส่วนใหญ่มีชีวิตเหมือนหนูในซาก แต่มีผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดประตูสู่โลกอื่นเพื่อสู้กับผู้รุกราน พวกเขาจะต้องดิ้นรนเพื่อตั้งหลัก สร้าง และนำสิ่งที่หายไปกลับมาใหม่ Gameplay ต่อสู้, พลิกแพลง, เอาชนะ แต่ละโลกจะนำเสนอความท้าทายและศัตรูต่างๆ ที่เราจะต้องเอาชนะ ตลอดการผจญภัยของเราจะพบเจอกับสัตว์ประหลาดหลายสิบตัวในแต่ละสภาพแวดล้อม คุณจะต้องต่อสู้, ฟันหรือตรึงสิงมีชีวิตทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ตั้งแต่ศัตรูระดับใหญ่เท่าอาคารหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนับไม่ถ้วน โดยเราจะต้องปรับตัวให้เขากับสถานะการณ์เพื่อเอาชนะ หรือจะตาย !! [caption id="attachment_26422" align="aligncenter" width="702"] มีการใช้ทั้งมีดและปืน[/caption] สำรวจสิ่งมหรรศจรรย์กับอาณาจักรที่น่าสะพรึงกลัว โลกอันสวยงามภายในตัวเกมที่สร้างขึ้นแบบไดนามิก โดยสิ่งมีชีวิตภายในโลกจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เราจะต้องสำรวจเพื่อเก็บประสบการณ์และปรับกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเอาตัวรอดจากอันตรายของแต่ละโลก โดยภายในเกมจะมีอยู่ 4 โลกคือ Earth, Yaesha, Rhom และ Corsus Craft. Upgrade. Specialize รวมตัวกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสของเรา มีการปกป้องและผูกมิตรกับ Skilled Tradesmen และใช้บ้านของเราเป็นปีหลบภัยของคนเหล่านั้น ในทางกลับกันพวกเขาจะเสนอทักษะและทรัพยากรที่มีคุณค่า เพื่อช่วยให้เราอัพเกรดฝีมือและพัฒนาอาวุธและอุปกรณ์ของคุณ [caption id="attachment_26423" align="aligncenter" width="725"] มีการพูดคุยตอบคำถามกับ NPC[/caption] [caption id="attachment_26421" align="aligncenter" width="824"] เลือก Class ได้[/caption] Strength in Numbers การบุกรุกโลกอื่นเพื่อค้นหาจุดจบของ Root ที่อันตรายและไม่การันตรีถึงความปลอดภัย การรวมทีมกับคนอื่นอีกสองคนเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด การทำงานเป็นทีมคือสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ผ่านความท้าทายที่ยากสุดของเกม และมันจะสามารถปลดล็อครางวัลที่ยิ่งใหญ่ [caption id="" align="aligncenter" width="752"] ศัตรูที่ตีเราโจมตีแรงในระดับหนึ่ง อารมณ์เกมคล้ายๆ กับ The Evil WIthin แต่ถ้าศัตรูระดับยากอาจจะคล้ายเกม Soul[/caption]
19 Aug 2019
รีวิว Secret Neighbor (Beta) ล้วงความลับ จับเพื่อนบ้าน
เกม Free to Play ที่มาแรงของ Steam ในขณะนี้ คงต้องยกให้ซีรี่ส์ภาคต่อจากเกม Hello Neighbor ที่เพิ่มความสนุกในการค้นหาความลับของเพื่อนบ้านมากขึ้นในชื่อ “Secret Neighbor” ที่ได้เปิดตัว Beta ให้ลองเล่นกันแล้วจ้า โดยคอนเซปต์ของเกมนี้ ยังคงเป็นการเข้าไปในบ้านของลุงข้างบ้าน เพื่อสืบหาปริศนาอะไรบางอย่างถูกซ่อนไว้ แต่คราวนี้ไม่ใช่การเล่นเดินเนื้อเรื่องเหมือนอย่างเคย ใน Secret Neighbor เราจะต้องร่วมเล่นกับผู้เล่นอื่นๆถึง 6 คน ในกลุ่มของพวกเราจะมีหนึ่งคนที่เป็นลุงเจ้าของบ้านปลอมตัวมา หน้าที่ของเหล่าเด็กๆนอกจากจะต้องหากุญแจมาไขห้องลับใต้ดินของเพื่อนบ้านแล้ว ยังต้องคอยระวังการขัดขวางจากเจ้าของบ้านที่ปลอมตัวปะปนในหมู่พวกเราด้วย ได้อารมณ์การเล่น Dead by daylight ผสมกับ Deceit (แต่ภาพน่ารักกว่ามากนะ) ที่ได้ทั้งความระทึกใจและทำลายมิตรภาพไปพร้อมๆกันในเกมเดียว อย่างที่บอกว่าภารกิจหลักของเกม คือการที่กลุ่มเด็กจอมซนเข้าไปในบ้างของลุงเพื่อนบ้าน ซึ่งชาวแก๊งค์จะแบ่งออกได้ 6 คาแรคเตอร์ ซึ่งแต่ละคนก็มีความสามารถติดตัวที่ต่างกันออกไป ซึ่งใครเป็นสายไหนในกลุ่ม ก็สามารถเลือกได้ตามชอบ Bagger หมูอ้วนกับกระเป๋าของเขา สามารถเก็บของได้มากกว่าคนอื่น Leader ที่คอยเชียร์เพื่อนๆ ช่วยให้ตื่นตัวและเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น Detective พร้อมกล้องถ่ายรูปที่จะช่วยหาเบาะแสว่ากุญแจอยู่ตรงไหน Inventor ผู้สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยเด็กๆในการต่อกรกับลุงข้างบ้านได้ดียิ่งขึ้น Scout ลูกเสือสายลุยกับหนังสติ๊กคู่ใจ และสกิลความไวในการเคลื่อนที่ และ Brave สาวเบสบอลสายบวก ที่ยิ่งทำดาเมจ จะได้สกิลหนีจากการโดนจับเป็นของแถม มาทางฝั่งของเพื่อนบ้าน ในตัว Beta นี้จะมีให้เลือก 2 คาแรคเตอร์ คือ คุณลุง ที่เราเคยเจอใน Hello Neighbor นั่นแหละ และตัวตลก ที่ฝีมือไม่ตลกเลย ซึ่งแต่ละตัวก็มีสกิลที่คอยปั่นป่วนทีมได้ อย่างกับดักของคุณลุง หรือการแปลงร่างเป็นไอเท็มในเกมของตัวตลก อีกทั้ง เรายังสามารถจำกัดพื้นที่การเล่นโดยการโยกนาฬิกาเพื่อเปิด-ทางได้ด้วย ก็แน่สิ! นี่บ้านของฉันนะ!! โดยหากเริ่มเกมแล้วเราได้รับเลือกให้เป็น Neighbor เราสามารถสลับระหว่างร่างเด็กและร่างของ Neighbor ได้ ภารกิจของฝ่าย Neighbor คือจับเด็กๆทุกคนให้หายสาบสูญ โดยเมื่อมีเด็กเข้ามาใกล้ สามารถดึงอีกฝ่ายเข้ามาและทำให้กลายเป็นตุ๊กตาจนสลายกลายเป็นใบประกาศเด็กหาย จึงจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ถึงระบบเกมจะรวมจุดเด่นจากหลายแนวเกม แต่การควบคุมนั้นถือว่าง่ายมาก เพราะในเกมจะมีคำแนะนำอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเก็บของ, แปลงร่าง, ใช้สกิลของตัวละคร ให้กดที่ปุ่มไหน เมื่อเจอกุญแจก็มีเสียง กริ๊ง! เป็นสัญญาณ ไม่ต้องกลัวเด๋อให้โดนเพื่อนด่าฟรี รวมไปถึงไอเทมที่เก็บได้ในเกม นอกจากจะมีไว้ปาใส่คนกับหน้าต่างแล้ว บางไอเทมจะมีข้อมูลบอกว่าสามารถกดปุ่มไหน จะใช้ฟังชั่นก์ใดได้บ้างอีกด้วย ถือว่าสะดวกสบาย แม้ไม่ใช่สายเกม PC ก็เล่นเป็นได้อย่างง่ายดาย อย่าลืมลองเล่นไอเท็มให้ครบทุกชิ้น รับรองว่าสนุกสนานเฮฮาจนลืมภารกิจกันเลยทีเดียว     ถึงพื้นที่การเล่นจะดูไม่เยอะ แต่ด้วยไอเท็มที่มีให้เลือกหยิบเยอะเหลือเกิน ทำให้วิ่งอยู่ดีๆก็หลงทางในบ้านได้เหมือนกัน ระหว่างที่หลงก็ลุ้นไปกับเสียงเปิดประตู เสียงเพื่อนวิ่ง เสียงแจ้งเตือนทางเปิดหรือไขกุญแจชั้นใต้ดิน ทำเอากังวลจนต้องเหลียวไปดูว่ามีใครตามมาหรือเปล่า ถ้าได้เป็นฝ่ายเพื่อนบ้านก็ต้องลุ้นอีก ว่าจะโดนเพื่อนปาของสุ่มจับผิดหรือเปล่า จะจับเด็กได้ก่อนหรือโดนจับได้ก่อน เอาเป็นว่าทำเอาใจเต้นพอๆกันไม่ว่าจะถูกเลือกให้เล่นฝ่ายไหน ยิ่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนสนิท ยิ่งปั่นกันมากขึ้น ยิ่งคูณความสนุกไปอีกเป็นเท่าตัว! จึงไม่น่าแปลกเลยที่ Secret Neighbor จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีตั้งแต่วันเปิดตัวในงาน E3 ปี 2018 เพราะแม้จะเป็นตัว Beta แต่ระบบการเล่นและเนื้อหาเกมกลับมีทั้งความโหด มันส์ ฮา จนทำให้ประทับใจได้ขนาดนี้ มารอดูกันว่าตัวเต็มจะสนุกขนาดไหน สำหรับใครที่สนใจ สามารถไปโหลดได้เลยที่ LINK ทดลองเล่นได้ถึงวันที่ 19 สิงหาคมนี้เท่านั้นนะจ๊ะ
13 Aug 2019
ลองเล่นเดโม Home Sweet Home 2 กับความสยองขวัญของผีไทยแท้ !!
ในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้มีโอกาสทดลองเล่นเดโมของเกมไทยชื่อดังอย่าง Home Sweet Home 2 ที่ตัวเกมจริงกำลังจะวางจำหน่ายให้เราเล่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งต้องบอกก่อนว่าตัวเดโมนี้เป็นตัวเดียวกับที่เคยเปิดให้คนทั่วไปเล่นที่งาน Thailand Game Expo by Ais Esports 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้เราจะมารีวิวและเล่าถึงความรู้สึกของการเล่นเดโมตัวนี้คร่าวๆ พร้อมภาพประกอบให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ ** รูปที่โชว์บางรูปจะขอเบลอตรงส่วนหน้านะครับ เพราะทางทีมงานบอกว่าคุณภาพของเดโมยังไม่สมบูรณ์ เราจึงอาจจะให้ทุกคนเห็นภาพต่างๆ ไม่ได้หมดครับ ** บรรยากาศ และกราฟิก จากที่ได้เล่นมาต้องบอกเลยว่าตัวบรรยากาศของเกมนั้นทำออกมาได้ดีมากๆ ตัวเกมเล่นกับความมึดของเราได้ดีทีเดียว รวมถึงในภาคนี้ผู้พัฒนาอยากจะพาเราไปพบเจอกับเรื่องราวของผีสางนางไม้มากขึ้น ฉากต่างๆ ที่เคยอยู่ในมหาลัยดั่งภาคแรกถูกนำออกไป (แต่ไม่รู้ว่าเกมจริงยังจะมีไหม) ซึ่งในภาคนี้เราจะได้อยู่ในป่า ในวัดมากขึ้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าบรรยากาศมันต่างจากภาคแรกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว รวมถึงตัวเกมเน้นความมึดที่ถ้าหากคุณไม่ขี้โกงเปิด Brightness เยอะ บอกเลยว่าถ้าไม่มีไฟฉายนี่แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย เสียงประกอบต่างๆ ตัวเกมก็ทำออกมาได้รู้สึกหวาดระแวงมากๆ ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้พัฒนาหรือไม่ แต่การเดินแต่ละครั้งมันทำให้เรารู้สึกเหมือนคนเดินตามตลอดเวลา ซึ่งมันจะเห็นผลชัดอย่างมากในตอนที่ใส่หูฟังเล่น มันจะหลอนๆ และตระหนกอยู่ตลอดเวลาว่ามันจะมีตัวอะไรออกมาหรือเปล่าฟะ !! 5555+ ถึงแม้จะรู้ว่าในใจลึกๆ แล้วเราอาจจะหลอนไปเอง หรือไม่ก็เป็นเสียงหลอกที่สร้างบรรยากาศเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่าไอ้เสียงแบบนี้แหละถ้าหากมันมีอะไรโผล่มาเกมจริงคงจะกรี๊ดกร๊าดมิใช่น้อย และหลอนกันไปยาวๆ เกมเพลย์ ระบบเกมเพลย์เองก็ยังไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากภาคแรกเท่าไร มีการทำปริศนาต่างๆ ก็ยังมีเหมือนเดิมเฉกเช่นเดียวกับภาคแรก แต่ในเดโมที่ได้เล่นก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้มีอะไรให้ทำมากนัก มันก็อารมณ์คล้ายๆ กับเดโมของภาคแรกนั่นแหละ ซึ่งในเดโมตัวเกมก็จะเน้นกับบรรยากาศ ดั่งที่เคยพูดไปด้านบน และก็จะมีการจั๊มสแกร์บ้าง ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว จังหวะจะโคนพาเราสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นแหละมันก็จะเล่นเราด้วยความตุ้งแช่แบบเต็มๆ ในขณะที่เล่นเราจะได้เห็นการรายงานวิทยุ ซึ่งคาดได้เลยว่าการดำเนินเรื่องของเกมนี้มันก็น่าจะมีเอกสารต่างๆ หรือวิทยุให้เก็บอ่าน หรือฟังตามฉากเหมือนเดิมดั่งในภาคแรกที่ว่า ถ้าหากเราอยากรู้ความเป็นมาของตัวละครให้ลึกซึ่งก็ต้องตามเก็บให้ครบนั่นเอง และศัตรูหรือผีที่เจอนั้นก็ตรงตามที่เดาไว้เลยว่า เราจะได้เจอกันเหล่าผีสางนางไม้ต่างๆ ซึ่งในเดโมเราจะได้เจอกับผีกระสือ และผีป่า (ไม่รู้ว่าคือผีอะไร เป็นเหมือนนางไม้ที่ใส่ชุดสีน้ำตาลนะ 5555+) ซึ่งจากที่ได้เล่นมารูปแบบการโจมตีก็จะคล้ายๆ กับภาคแรก แต่ดูเหมือนว่าเราจะมีหลอดเลือดชัดเจน ซึ่งส่วนตัวลองๆ เดินให้ผีตบเล่นแล้วก็รู้สึกว่าผีน้องเบลของภาคแรกจะดูโหดกว่าหน่อย เพราะน้องแกแทงเราสามทีก็ร่วงแล้วในภาคนี้รู้สึกว่าเราจะถึกกว่าเดิม แต่นี่เป็นแค่เดโมเองจึงสรุปอะไรไม่ได้ รวมถึงระบบ Quick Time Event เองก็ยังมีให้กดเช่นเดิมซึ่งจะเป็นการผลักศัตรูให้ออกไปไกลๆ หรือสลัดหลุดออกจากการถูกจับ ส่วนที่ไม่ชอบของเกมนี้ก็อาจจะมีอยู่เล็กน้อยในเรื่องของโมเดล หรือฉากต่างๆ ที่ยังมีซ้ำกันอยู่ให้เห็น จริตส่วนตัวก็เลยยังไม่ได้อินกับมันเท่าไร แต่จะให้สรุปไปเลยว่ามันไม่ดีก็ไม่ได้เพราะเอาจริงๆ ในเดโมของภาคแรกโมเดลตัวละครผีเองก็ก็ไม่ได้สมจริงเท่ากับเกมจริงที่ออกมา แต่ก็เชื่อใจผู้พัฒนาเถอะ เพราะโมเดลผีน้องเบลนี่ก็น่ากลัวใช่ย่อย และภายในภาค 2 นี้เตรียมสยดสยองได้เลย ♥ เพราะว่าเราจะได้เจอสุดยอดผีอย่าง "ผีนางรำ" ที่เราเคยเห็นถึงความน่ากลัวสยดสยองมาแล้วในภาคแรก   สรุป เดโมของ Home Sweet Home 2 เองก็ทำบรรยากาศออกมาได้น่ากลัวกว่าเดิมมาก ทั้งในเรื่องบรรยากาศ เสียงต่างๆ บอกเลยว่าส่วนตัวไม่เคยเล่นเกมผีที่ไหนแล้วต้องหันซ้ายหันขวาเพราะหลอนเสียงมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นอาจจะมีโมเดลต่างๆ ของเกมที่อาจจะรู้สึกขัดใจเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็เป็นเพียงแค่เดโมเท่านั้น ซึ่งคาดหวังได้เลยว่าในเวอร์ชั่นจริง มันจะต้องสมบูรณ์แบบแน่นอน ไม่รู้ว่าตัวเกมภาคต่อนี้ จะวางจำหน่ายเมื่อไร แค่ส่วนตัวคาดว่าต้องมาในปีนี้แหละ ฉะนั้นก็อยากให้เหล่าเกมเมอร์ทุกท่านซื้อเกมนี้กันเยอะๆ ครับ ไม่ใช้ว่าอยากให้ซื้อเพราะเป็นแค่เกมไทย แต่อยากให้ซื้อเพราะประเทศของเรานั้นมีความสามารถพอที่จะสร้างเกมดีๆ และไม่แพ้เกมจากต่างประเทศได้นั่นเอง และมันจะได้เป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกมไทยให้ก้าวไกลมากขึ้น เพื่อให้บริษัทดีๆ แบบนี้มีโอกาสและมอบโอกาสให้กับคนรุ่นหลังทำเกมแบบนี้ต่อไปได้อีกด้วย ติดตามข่าวสารวงการเกม Facebook: GameFever TH ติดตามคอนเทนท์วิดีโอของเรา Youtube: GameFever TH
08 Aug 2019
รีวิว OLYMPIC GAMES TOKYO 2020 ประเดิมซีรีส์โอลิมปิกตัวแรกจากทาง SEGA
ออกมาแล้วสำหรับหนึ่งในซีรีส์ต้อนรับกิฬาโอลิมปิกปี 2020 จากทางค่าย SEGA กับเกม OLYMPIC GAMES TOKYO 2020 ที่ตัวเกมได้รวบรวมมินิเกมกิฬาที่ใช้แข่งขันโอลิมปิกที่กำลังจะมาในปีหน้าให้เราได้รับบทเป็นผู้เข้าแข่งขันเพื่อชิงเหรียญทอง ซึ่งในวันนี้เรา GameFever จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ และก่อนที่เราจะไปชมกันกระผมก็ต้องขอขอบคุณทาง SEGA ที่ส่งเกมนี้มาให้เรารีวิวครับ!! กราฟิก โดยกราฟิกของเกมนั้นมีโทนที่ไม่ได้ดูจริงจัง จะเทไปในทางการ์ตูนอยู่เยอะ แต่ดูเหมือนว่าผู้พัฒนาจงใจที่อยากจะทำให้เกมออกเป็นโทนนี้ เพื่อที่จะทำให้ตัวเกมมีความเข้าถึงง่ายนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นแสงเงาของเกมนั้นก็ต้องบอกเลยว่าทำได้ดีเป็นอย่างมาก ถึงขนาดคิดว่าสมมติถ้าผู้พัฒนาตั้งใจที่จะทำโมเดลให้สมจริงล่ะก็บอกเลยว่าหนาวแน่ และเนื่องจากที่เกมนี้ถูกสร้างโทนมาให้ไม่มีความจริงจัง ตัวเกมเลยมีการใส่ความแฟนตาซีเข้าไปอย่างเช่นแสงไฟลุกตอนวิ่ง หรือแสง Effect ต่างๆ ให้ดูน่าตื่นเต้นขึ้น ซึ่งส่วนตัวรู้สึกชอบนะและคิดว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าลองย้อนไปดูเกมอื่นๆ ของซีรีส์ OLYMPIC GAMES ที่จะออก ซึ่งจะออกแนวสดใสน่ารักหมด ส่วนตัวจึงแอบเสียดายว่าเอ๊ะ !! ถ้าเกมนี้ทำโทนออกมาจริงจังให้แหวกแนวกับเกมอื่นๆ ก็น่าจะดีมิใช่น้อย !! เกมเพลย์ อย่างที่บอกว่าตัวเกมได้รวบรวมกิฬาต่างๆ ของโอลิมปิกเอาไว้ในนี้ จากที่ได้เล่นนั้นตัวเกมมีให้เล่นทั้งหมด เกมคือ วิ่งร้อยเมตร เบสบอล วิ่งกระโดดข้ามรั้ว บาสเก็ตบอล ขว้างค้อน ฟุตบอล กระโดดไกล บีช วอลเลย์บอล ว่ายน้ำร้อยเมตรฟรีสไตล์ ปิงปอง ว่ายน้ำสองร้อยเมตรเมดเลย์ เทนนิส BMX มวย ซึ่งภายในหนึ่งปีทางผู้พัฒนาจะเพิ่มกิฬาเพิ่มๆ มาอีกด้วยอย่างเช่นยูโดหรือรัคบี้เป็นต้น จากที่ได้ลองเล่นมาก็เหมือนเป็นการรวมเกมมินิเกมหลายๆ เกมเข้าด้วยกัน เพราะแต่ละเกมจะใช้เวลาไม่มากอาจจะราวๆ 1 นาทีไปจนถึง 10 นาทีเท่านั้น รวมถึงตัวเกมยังสามารถเล่นออนไลน์ หรือเล่นกับเพื่อนอีกหนี่งจอยได้ ซึ่งพอเราเล่นแต่จบแต่ละรอบเราจะได้รับเงินในเกมซึ่งสามารถนำไปซื้อเสื้อผ้าต่างๆ ใส่ให้กับตัวละครของเราได้อีกด้วย โดยชุดต่างๆ ก็จะมีความแปลกๆ พิศดาล ชุดฮาๆ เพียบ วิธีการเล่นในแต่ละมินิเกมก็ไม่ได้ซับซ้อนเสียเท่าไร อย่างเช่นกิจกรรมพวกวิ่งแข่งต่างๆ ก็เพียงแค่กดปุ่ม X ตัวเดียวในการวิ่งเท่านั้น หรือต่อให้ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อยากเกินไปอยู่ดี อย่างเช่นการใช้ปุ้มอนาล็อคบังคับทิศทางเป็นต้น ซึ่งเอาตามตรงว่าส่วนหลังนี่ออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว แต่จากที่ได้ลองเล่นมานั้นก็ต้องยอมรับเลยว่าแต่ละมินิเกมนั้นก็ไม่ได้สนุกทุกเกม ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยชอบเกมที่เป็นการแข่งกันด้วยความเร็วเช่นพวกวิ่ง ว่ายน้ำ หรือ BMX ซักเท่าไหร่ เพราะกลไกของเกมเพลย์มันไม่ค่อยทำให้เรารู้สึกสนุกกับมัน อาจจะมีการกดให้ตรงจังหวะบ้าง แต่หลักๆ ก็เพียงแค่การกด X รัวๆ เท่านั้น ซึ่งเล่นได่ตาสองตาก็เบื่อแล้ว รวมถึงบางเกมเองก็ยังทำออกมาได้ขาดๆ เกินๆ อย่างเช่นฟุตบอลที่ต้องยอมรับว่ามันดูแข็งกระด้างไม่มีความลื่นไหลเป็นอย่างยิ่ง หรืออย่างบาสเก็ตบอลที่เอาจริงๆ แล้วทำออกมาได้ดีนะ แต่เวลาแต่ละแมตที่ให้กลับน้อยเกินไปนิดนั่นเอง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย เพราะบางเกมทำออกมาได้ดีจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง เพราะมินิเกมอื่นที่เหลือทำออกมาได้ดีมากๆ มีความลื่นไหลและท้าทายอยู่มากพอสมควร ซึ่งแต่ละเกมเหมาะมากๆ ที่จะเอามาเล่นกับเพื่อนๆ  อย่างเช่นพวกปิงปอง, เทนนิส, บีชวอลเลย์บอลเป็นต้น และที่สนุกที่สุดที่ต้องยอมรับเลยก็คือเกมมวย ที่ดีไซน์ออกมาได้ดีมากๆ การต่อยต่างๆ เราจะตองบังคับด้วยอนาล็อคทั้งซ้ายและขวา เปรียบเสมือนมือทั้งสองข้าง ไหนจะมีระบบหลบ ป้องกัน Parry รวมถึงท่าไม้ตายต่างๆ อีกด้วย ซึ่งตัวเกมมวยนี่บอกตามตรงทำดีๆ สามารถเอามาต่อยอดได้อย่างสบายๆ เลย สรุป ถึงแม้ว่าชื่อเกม หรือดูรวมๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้รู้สึกเชิญชวนให้ซื้อมาเล่นเท่าไรนักกับเกม OLYMPIC GAMES แต่ก็อยากจะบอกว่าเกมนี้ทำออกมาได้น่าพอใจ ถึงแม้ว่าบางเกมอาจจะไม่สนุก หรือโดยรวมมันจะขาดๆ เกินๆ ไปหน่อย แต่การันตรีเลยว่า เกมนี้มันจะสามารถมาสร้างความสีสันให้กับปาร์ตี้ของคุณ ที่อาจจะทำให้คุณขำจนท้องแข็งไปกับเกมมวย ปิงปอง เทนนิส หรือเกมอื่นๆ สามารถนำเกมนี้ไปเล่นกับเพื่อนเพื่อสร้างกิจกรรมต่างๆ หรือชาเลนซ์ต่างๆ ได้ ถ้าหากคุณมีเครื่อง Console เช่น PS4 ถ้าอยากหาเกมปาร์ตี้ติดบ้านก็แนะนำเลย แต่ถ้าหากคุณเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ตคอร์ที่อยากจะลองเข้าไปสัมผัสความเป็นกิฬาอย่างแท้จริง ก็ต้องบอกว่าคุณอาจจะผิดหวังกับมันและเกมนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ในสิ่งที่ควรจะเป็น รวมถึงใครที่มีเครื่อง Switch และมีแผนอยากจะซื้อเกม Mario&Sonic OLYMPIC GAMES อยู่ก็ไม่ต้องรีบร้อนที่จะซื้อเกมนี้ก็ได้ เพราะแค่คอสตูมดีไซน์ต่างๆ ก็กินกันขาดแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมในซีรีส์เดียวกัน และจากผู้พัฒนาเดียวกันก็เถอะ รอดิกว่า !! [penci_review id="25164"]
31 Jul 2019
Warframe เกมนินจาอวกาศตะลุยจักรวาล เกมฟรีและดีที่มีอยู่จริง
Warframe ข้อดี เกมฟรี ไม่มี Pay-to-Win ซะทีเดียว ส่วนมากจะเติมซื้อของตกแต่งตัวละคร ตัว Warframe หลากหลาย มีรูปร่างและความสามารถเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงอาวุธที่มีให้เลือกใช้มากมาย ทำให้สนุกไปกับการหาอะไรใหม่ๆมาใช้ ภาพสวยไม่น้อยไปกว่าเกมอื่นๆ เลย สามารถเล่นได้เพลินๆ มีอะไรให้ทำเยอะมาก ผู้พัฒนาใส่ใจ มีอัพเดตใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ข้อเสีย ผู้เล่นใหม่ในช่วงต้นเกมมักจะทำอะไรไม่ได้มาก ใช้เวลาซักพักใหญ่กว่าจะถึงจุดที่สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระ แต่หากไม่รีบอะไรก็สามารถเล่นได้แบบเพลินๆ เน้นการฟาร์มเพื่อหาของ หากใครที่ไม่ชอบการทำอะไรซ้ำๆ ก็อาจเบื่อเกมนี้ได้ การเคลื่อนที่ในเกมนี้ค่อนข้างไว คนที่ไม่ชินอาจเมามุมกล้องได้ง่าย แนวเกม Action ผู้พัฒนา Digital Extremes ผู้จัดจำหน่าย Digital Extremes เวลาเล่น เล่นได้ยาวๆ ถ้าไม่เบื่อ แพลตฟอร์ม Microsoft Windows, PlayStation 4, Xbox One, Nintendo Switch Warframe คืออะไร Warframe คือชื่อเกม Action Sci-fi มุมมองบุคคลที่สามแบบ Free-To-Play โดย Digital Extremes ที่เปิดให้เราได้ควบคุมหุ่นเกราะในชื่อเดียวกันที่ถูกปลุกขึ้นมาหลังระยะเวลาหลายพันปี หุ่น Warframe ในเกมมีมากถึง 40 ตัวให้เลือกใช้ และจะมีตามมาเพิ่มอีกในอนาคต ทุกตัวเป็นหุ่นที่มีความสามารถสูงและเก่งกาจกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ รวมถึงมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ สามารถต่อกรกับศัตรูทั่วท้องอวกาศได้อย่างไม่กลัวใคร แต่ละตัวก็มีความสามารถที่น่าจดจำและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่าง 3 ตัวแรกที่ผู้เล่นสามารถเลือกก็ได้แก่ Excalibur ที่สามารถเรียกดาบออกมาฟาดฟัน, Mag สาวพลังแม่เหล็กที่สามารถดึงและบนขยี้ศัตรูได้ และ Volt ที่มีพลังสายฟ้าที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อช็อตศัตรู อีกทั้งสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ได้เหมือน The Flash ระบบเนื้อเรื่องน่าสนใจ ระบบเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็เข้มข้นน่าติดตามมากทีเดียว โดยเมื่อเปิดเรื่องมา Warframe ของเราถูกปลุกขึ้นมาหลังระยะเวลาหลายพันปีบนโลกโดย Admiral Vor โดยหวังจับมาใช้งาน ทว่าเราเก่งกาจกว่าและฝ่ากองทัพ Grineer ออกมาได้ เราได้รับการช่วยเหลือโดยผู้หญิงสวมหน้ากากชื่อ ‘Lotus’ เธอเล่าให้เราฟังว่าแท้จริงแล้วชาติพันธุ์ของเราก็คือ Tenno ผู้ผดุงความยุติธรรมและต่อกรกับเหล่าวายร้าย เมื่อขึ้นมาบนยานก็พบว่ามี Ordis ปัญญาประดิษฐ์คอยดูแลยานของเราด้วย และแล้วการผจญภัยของเราก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้นี่เอง เมื่อเราผจญภัยออกไปเรื่อยๆ และลุยเนื้อเรื่องต่อ เราก็จะเริ่มรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเรามากขึ้น และมีอะไรอีกมากมายรอเราเข้าไปค้นหาอยู่ กราฟฟิคสวยงามไม่แพ้เกมตะลุยอวกาศเกมอื่นๆ อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นมากของเกมนี้ก็คือกราฟฟิคของตัวเกม ทั้งที่เป็นเกมฟรีแต่กราฟฟิคก็มีความสวยงามและตระการตามาก ทั้งวิวทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หรือทุ่งหิมะขาวโพลนสลับเทือกเขาสูงชัน สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่โอ่โถงที่เราได้พบเจอ หรือแม้แต่ด่านที่เราได้เข้าไปทำภารกิจก็ล้วนทำออกมาได้ดีงามเหมือนเราได้เข้าไปผจญภัยอยู่ที่นั่นจริงๆ เกมเพลย์สนุก มีอะไรให้ทำมากมาย นอกจากความเป็นเอกลักษณ์และสกิลเฉพาะตัวแล้ว อาวุธต่างๆในเกมก็น่าสนใจและหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหลัก รอง หรือประชิด ให้เราได้เลือกมาลองเล่นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีสัตว์เลี้ยง (Companion) ที่จะคอยช่วยเหลือเราเวลาออกไปทำภารกิจได้ด้วย ภารกิจต่างๆที่เราสามารถทำได้ก็มีภารกิจที่แตกต่างกันถึง 21 แบบ เช่น ภารกิจช่วยเหลือ ภารกิจป้องกัน ภารกิจลอบทำลาย เป็นต้น ซึ่งก็จะมีรูปแบบการสำเร็จภารกิจที่แตกต่างกันไป และยิ่งดาวที่ห่างไกลจากโลกมากเท่าไหร่ก็จะยากมากขึ้นเท่านั้น ระบบภารกิจไม่ได้มีเพียงบนพื้นดาวหรือภายในยานอวกาศ เกมนี้ก็มีอุปกรณ์ Archwing ที่สามารถช่วยให้ Warframe ของเราเคลื่อนที่ในน้ำ บินบนท้องฟ้า และท่องอวกาศได้อย่างอิสระ รวมถึงมีอาวุธให้ใช้ด้วย ทั้งปืนยิงและดาบฟาดฟัน บู๊ได้ไม่หวั่นแม้ไม่ใช่บนพื้นก็ซ่าได้ [caption id="attachment_24839" align="aligncenter" width="1024"] พร้อมลุย![/caption] ในเกมมีเพียง 2 ดาวเท่านั้นที่มีเมืองและสามารถเข้าไปผจญภัยในโลก Open World นั่นก็คือบนโลก (เมือง Cetus และทุ่ง Plains of Eidolon) และดาวศุกร์ (เมือง Fortuna และดินแดน Orb Vallis) ที่เปิดให้เราเข้าไปทำภารกิจ เดินเล่น ตกปลา ขุดแร่ ล่าสัตว์ รวมถึงสามารถล่าบอสขนาดยักษ์ได้ด้วย อีกระบบที่สำคัญนั่นคือการ Crafting, หากเราอยากมี Warframe หรืออาวุธและสิ่งอื่นๆเพิ่มเติม เราต้องรวบรวมแบบแปลนและวัตถุดิบต่างๆมาเพื่อ Craft สิ่งเหล่านั้นออกมา โดยวัตถุดิบพวกนี้ก็มีทั้งหาง่ายและหายากแตกต่างกันไป รวมถึงการฟาร์มหา Mod ที่สามารถนำมาใช้เพิ่มพลังให้กับ Warframe และอาวุธของเราด้วย การฟาร์มเป็นเรื่องธรรมดาของเกมนี้ คนที่รักสวยรักงาม เกมนี้ก็มีให้คุณด้วยเช่นกัน มีของตกแต่งมากมายที่สามารถช่วยเสริมสวยเสริมหล่อให้กับผู้เล่นด้วยเช่นกัน อย่างผ้าคลุมหรือเกราะ หรือแม้แต่ของตกแต่งสัตว์เลี้ยง ของตกแต่งยาน และชุดสีมากมายให้เลือกสรร ทำให้ผู้เล่นหลายๆคนเลือกที่จะเติม แต่ไม่ใช่เพราะต้องการเก่งกว่าคนอื่น ต้องการเพิ่มความเท่ต่างหาก! [caption id="attachment_24834" align="aligncenter" width="1024"] จะตกแต่งยานจัดเต็มขนาดไหนก็ทำได้[/caption] Community & Clan สังคมในเกมนี้เป็นมิตร อยู่คนเดียวก็สามารถไปรวมกลุ่มกับผู้เล่นอื่นเพื่อฟาร์มของก็ได้ เพราะในเกมมีช่องแชท Recruiting ให้เราได้มองหากลุ่มที่มองหาคนร่วมฟาร์มอยู่ หรือแม้แต่การ Trading สิ่งของกับผู้เล่นอื่นก็สามารถทำได้ รวมถึงระบบ Clan คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกอย่างถ้าเล่นเกมนี้แล้วมีเพื่อนเล่นด้วยจะสนุกมากเลย พากันฟาร์มสนุกสนาน อัพเดตต่อไป Warframe: Empyrean เป็นอีกครั้งที่เกมจะมีอัพเดตใหญ่ โดยอัพเดตก่อนหน้าคืออัพเดต Fortuna การมาของเมือง Fortuna และดินแดน Orb Vallis บนดาวศุกร์ ซึ่งสร้างความฮือฮาในเรื่องของธีมเมืองที่ออกมาในแนวนีออน และภูมิทัศน์ภายนอกที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลนทั้งๆที่ดาวศุกร์เป็นดาวที่มีอากาศร้อนมากๆ [embed]https://www.youtube.com/watch?v=wEgRfCef3Q4[/embed] และเป็นอีกครั้งที่เกมได้พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดจากครั้งที่แล้ว จากการประกาศในงาน TennoCon 2019 ที่ผ่านมา ทางทีมผู้พัฒนาได้เผยว่า อัพเดตต่อไปมีชื่อว่า Empyrean ที่มีระบบที่หลายๆคนรอคอย นั่นคือการมาของยาน Empyrean ขนาดยักษ์ที่สามารถขับออกไปจัดการยานศัตรูบนอวกาศร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ขับยานเข้าไปเทียบท่าและส่งเพื่อนเข้าไปทำลายจากภายใน ซึ่งระบบนี้ถูกปล่อยออกมาเป็นเกมเพลย์ออกมาก่อนหน้านี้ภายใต้ชื่อ Railjack โดยรวมแล้วการมาของมันช่างเป็นการขยายสเกลภารกิจให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างน่าตื่นเต้น [embed]https://youtu.be/8DObN_3ha6M[/embed] อีกทั้งโลก Open World ต่อไปที่มีชื่อว่า Duviri Paradox ซึ่งยังไม่ปรากฎว่าจะตั้งอยู่บนดาวดวงไหน แต่จากวิดีโอตัวอย่าง โลกมีความหม่นและมีการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย ยิ่งงุนงงเข้าไปอีกว่า Open World รอบนี้จะออกมาเป็นอย่างไร และเควสเนื้อเรื่องใหม่ New War เป็นอีกเควสที่หลายคนรอคอย เพราะจากเควสเนื้อเรื่องอันก่อนค่อนข้างทิ้งปมใหญ่ๆไว้ให้เราสงสัยและอยากรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อแล้วเต็มที (ไม่สปอยล์หรอก) โดยทางทีมผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยวิดีโอเกี่ยวกับสถานที่และสภาพแวดล้อมในเควส ซึ่งทำออกมาได้อลังการและแปลกใหม่ทีเดียว (พี่ยังเป็นเกมฟรีจริงป่ะเนี่ย) ถึงตัวเกมจะอายุ 6 ปีแล้วก็ยังไม่ตาย เรียกได้ว่าเล่นกันไปยาวๆเลยสำหรับเกมนี้ เป็นอีกหนึ่งเกมฟรีเกมดีที่มีอยู่จริง Warframe ให้บริการทั้งบน PC, PS4, Xbox One และ Nintendo Switch ติดตามข่าวสารวงการเกมจากเราเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟสบุ๊ค GameFever TH * ขอบคุณรูปภาพประกอบจากแคลน Forbidden403_Forma ประจำ Alliance Unauthorized401
29 Jul 2019
Review - รีวิวเกม Judgment (PS4): เกมนักสืบกระทืบยากูซ่า
ข้อดี เนื้อเรื่องเข้มข้นน่าติดตาม ไม่แพ้ซีรี่ส์ฝรั่งทุนสร้างสูงๆ เลย เกมเพลย์มีความเรียบง่าย เข้าถึงได้ไม่ยาก เหมาะกับผู้เล่นหลากหลายแบบ กราฟิคบางส่วนทำออกมาดีมาก มินิเกมหลากหลาย มีอะไรให้ทำเยอะมาก เล่นคุ้มแน่นอน ข้อเสีย มีองค์ประกอบเรื่องกราฟิคที่พัฒนาได้อีกมาก เกมเพลย์ยังสามารถทำให้แปลกใหม่ได้มากกว่านี้ (แต่ไม่ได้ถึงกับไม่ดี) ภารกิจเสริมมักมีเนื้อหาที่ขัดกับความจริงจังของเนื้อเรื่อง แนวเกม: แอคชั่น ผู้พัฒนา: Ryu Ga Gotoku Studios จัดจำหน่าย: SEGA เวลาเล่น: ราวๆ 35 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่องโดยเล่นภารกิจเสริมไปเล็กน้อย) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4 (รีวิวใน PS4 Pro) หลังจากที่ง่วนผลิตเกมนักเลงในซีรี่ส์ Yakuza มาเนิ่นนาน ถึงเวลาแล้วที่ค่ายพัฒนามือฉมังของ Sony อย่าง Ryu Ga Gotoku Studio ก็ได้ฤกษ์โชว์ผลงานใหม่กับเค้าซะทีกับเกม Judgment (หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า Judge Eyes) เกมแอคชั่นผจญภัยใหม่ล่าสุด ที่ให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักสืบอิสระ เพื่อสืบสวนเงื่อนงำเบื้องหลังคดีฆาตกรรมโหดในเมืองคามูโระโจ แต่อาจจะด้วยความคุ้นเคยของทีมพัฒนาเอง บวกกับระยะเวลาการพัฒนาที่ค่อนข้างสั้น ทำให้เกม Judgment ยังคงมีความคล้ายคลึงกับเกมซีรี่ส์รุ่นพี่อย่าง Yakuza อยู่ค่อนข้างมาก ตั้งแต่ในเรื่องของกราฟิค การนำเสนอเนื้อเรื่อง ไปจนถึงเกมเพลย์ที่เรียกว่ายกเครื่องมาจาก Yakuza แทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีซะทีเดียว เพราะซีรี่ส์ Yakuza เองก็มีมาตรฐานเกมเพลย์และเนื้อเรื่องอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์ผู้เล่นที่เป็นแฟนๆ เกม Yakuza อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่คาดหวังจะได้รับประสบการณ์เกมเพลย์ที่แปลกใหม่ หรือคนที่ต้องการเล่นเป็นนักสืบแบบลึกซึ้งเข้มข้นแล้ว Judgment อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์คุณเท่าที่คาดหวังไว้ก็เป็นได้ เนื้อเรื่อง สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Judgment นั้นจะให้ผู้เล่นรับบทเป็น Takayuki Yagami อดีตทนายที่ผันตัวมาเปิดสำนักงานนักสืบอิสระ หลังจากที่เค้าได้ช่วยว่าความให้กับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมอันโด่งดังจนหลุดพ้นจากความผิดได้ แต่พ้นผิดได้ไม่ทันไร ผู้ต้องหาคนนั้นกลับก่อเหตุสะเทือนขวัญด้วยการแทงแฟนสาวของตนเองพร้อมจุดไฟเผาเธอทั้งเป็นอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ Yagami รู้สึกสูญเสียความมั่นใจในฐานะทนายจนต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักสืบนั่นเอง เนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มขึ้นสามปีให้หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อวันหนึ่ง Yagami ได้รับจ้างให้ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับรองหัวหน้าแก๊งยากูซ่าตระกูลหนึ่ง หลังจากที่เค้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง จนทำให้ Yagami ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ใหญ่โตกว่าที่ใครๆ คาดคิดเอาไว้ เช่นเดียวกับเกมพี่น้องร่วมค่ายอย่าง Yakuza เนื้อเรื่องของเกม Judgment อาจจะถือเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดตายของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมจะทำออกมาได้อย่างดี มีคุณภาพการเขียนบทและดำเนินเรื่องระดับเดียวกับซีรี่ส์ยาวทางทีวีที่เข้มข้น แต่เมื่อมาอยู่ในเกม การค่อยๆ เล่าเรื่องช้าๆ ผ่านฉากคัตซีนที่มีบทพูดเยอะๆ ก็อาจจะพาลทำให้ผู้เล่นเกมหลายๆ คนเบื่อไปได้เหมือนกัน ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าเกมมีฉากคัตซีนเยอะมากๆ ในบางช่วงแทบจะเป็นคัตซีนติดๆ กันเป็นครึ่งชั่วโมงเลยก็มี ฉะนั้นคนที่ไม่ได้ชอบเสพเนื้อเรื่อง หรือไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องของเกม อาจจะหมดความอดทนกับเกมไปซะก่อน (แต่ก็กดข้ามได้นะถ้าต้องการ) และอาจจะด้วยความที่เนื้อเรื่องเป็นแนวสืบสวนคดีฆาตกรรมแบบนี้ด้วยแล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของ Judgment มักจะมีความมืดมนมากกว่าเกมรุ่นพี่อย่าง Yakuza อยู่ประมาณนึง ซึ่งเมื่อนำมารวมกับเนื้อเรื่องเสริมกวนๆ แปลกๆ อันเป็นลายเซ็นของเกม Yakuza แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนโดนขัดอารมณ์ หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นคนละเกมกันไปเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับคนที่ชอบเกมที่มีเนื้อเรื่องให้ติดตามเยอะๆ หรือชอบดูซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว เกม Judgment อาจจะเป็นเกมที่คุณมองหามาตลอดเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณไม่ชอบนั่งดูคัตซีนทีละนานๆ จะข้ามเกมนี้ไปก่อนก็ไม่เสียหาย เกมเพลย์ ถ้าจะให้พูดถึงเกมเพลย์ของ Judgment อย่างสั้นๆ คงจะบรรยายง่ายๆ เลยว่ามันก็คือเกม Yakuza ที่แปลงกายมาเท่านั้นแหละ! เพราะตั้งแต่ระบบต่อสู้ ระบบการพัฒนาตัวละคร ไปจนถึงระบบเสริมต่างๆ อย่างระบบชื่อเสียงนั้นแทบจะถอดแบบมาจาก Yakuza เกือบทั้งสิ้นเลย สำหรับระบบต่อสู้ของเกมนั้นจะเป็นแนวแอคชั่นเต็มตัว โดยผู้เล่นจะสามารถกดปุ่นสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมสลับกันเพื่อสร้างเป็นคอมโบต่างๆ ได้ (นึกภาพเกมแนว Musou) และสามารถเก็บสิ่งของตามฉากมาใช้เป็นอาวุธได้อีกด้วย โดยในภาคนี้จะมีจุดเด่นที่รูปแบบการต่อสู้ของตัวละคร Yagami ที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้สองแบบคือ Crane (นกกระเรียน) ซึ่งเน้นการโจมตีเป็งวงกว้างด้วยลูกเตะ และ Tiger (เสือ) ที่เน้นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั่นเอง ซึ่งระบบนี้ก็คล้ายๆ กับระบบการเปลี่ยน Style ของเกม Yakuza 0 นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีท่าพิเศษที่เรียกว่า EX Action (หรือก็คือ Heat Action จากเกม Yakuza) ที่ให้เราสามารถเผด็จศึกศัตรูด้วยท่าโจมตีพิเศษต่างๆ อีกด้วย แม้ว่าระบบต่อสู้ของเกมจะค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้มีพื้นที่ให้ผู้เล่นพลิกแพลงอะไรได้มากมายนัก แต่ก็ทำออกมาได้อย่างลื่นไหลกว่าเกม Yakuza ทุกภาคที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบเล่นเกมแนวแอคชั่นเตะ-ต่อยที่ให้ความรู้สึกเกมยุคเก่าๆ เหมือนกัน เช่นเดียวกับระบบต่อสุ้ ระบบการพัฒนาตัวละคร/อัพสกิลก็เรียกว่ายกมาจากเกม Yakuza ทั้งดุ้นเลย โดยผู้เล่นจะได้รับแต้มสกิลที่เรียกว่า SP จากการต่อสู้และการทำกิจกรรมต่างๆ ในเมืองด้วย เพื่อนำมาแลกกับสกิลใหม่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นท่า EX Action ใหม่ๆ ไปจนถึงการเพิ่มเลือด/พลังโจมตี/ความเร็วของตัวละครเป็นต้น ซึ่งระบบก็ค่อนข้างเรียบๆ ไม่ได้มีอะไรให้พลิกแพลงหรือทดลองอะไรมากนัก นอกซะจากสกิลจำนวนน้อยที่ต้องใช้วิธีหา QR Code หรือตำราสกิลตามเมืองเอาเอง จึงไม่ได้มีอะไรจะวิจารณ์นักกับระบบการพัฒนาตัวละครของเกม เพราะมันก็ต้อบโจทย์ของมันได้พอดี แม้จะไม่ได้มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษก็ตาม นอกเหนือจากการต่อสู้และการผ่านภารกิจเนื้อเรื่องนั้น ผู้เล่นเกม Judgment จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมาย ตั้งแต่การทำภารกิจย่อยไปจนถึงกิจกรรมเสริมอย่างการเล่นตู้เกมหรือการหวดเบสบอลนั่นเอง ซึ่งจุดนี้ถือว่ารักษามาตรฐานจากเกม Yakuza มาได้เป็นอย่างดี ทุกกิจกรรมและภารกิจเสริมออกแบบมาได้ค่อนข้างสนุก มีเรื่องราวของตัวเองให้ติดตาม (แม้ว่าบางครั้งจะกระชากอารมณ์ไปนิดเมื่อเทียบกับความจริงจังของเนื้อเรื่องหลัก) ซึ่งนอกจากจะช่วยทำหน้าที่คั่นเวลาระหว่างภารกิจเนื้อเรื่องแล้ว ยังช่วยยืดเวลาการเล่นของเกมขึ้นไปได้อีกเยอะมากๆ เลยทีเดียว เอาใจคนที่ชอบเล่นเกมแบบยาวๆ คุ้มๆ แน่นอน องค์ประกอบเกมเพลย์เพียงอย่างเดียวที่น่าตำหนิก็คือมินิเกมที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีทั้งหลาย ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าเบื่อหรือน่ารำคาญอยู่พอสมควร อย่างมินิเกมการสอบปากคำที่ให้เราเลือกหลักฐานต่างๆ ที่พบมาใช้มัดตัวโจทย์ ที่ไม่ว่าจะเลือกผิดกี่ครั้งก็สามารถกลับไปเลือกใหม่ได้โดยไม่มีผลเสียใดๆ ต่อเราเลย หรือมินิเกมการสะกดรอยตาม ที่ไม่สนุก แถมบางครั้งยังน่ารำคาญด้วยเพราะโจทย์ที่ถูกเราสะกดรอยมักจะชอบหันหลังมามองบ่อยๆ (เซนส์แรงกันเหลือเกิน...) ทำให้เราต้องหลบเข้าที่กำบังและรอจนกว่าโจทย์จะหันหลังกลับไป ซึ่งบางครั้งก็ทำให้รู้สึกเสียเวลาเหมือนกัน ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกมไม่สามารถทำให้ระบบเกมเพลย์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนมีความเข้มข้นหรือท้าทายกว่านี้ ทั้งๆ ที่เป็นจุดขายหลักของเกมอย่างนึง กราฟิค/การนำเสนอ ถ้าจะให้พูดในแง่ภาพรวมโดยกว้างแล้ว คงต้องยอมรับว่ากราฟิคและการนำเสนอของเกม Judgment ยังสามารถทำให้หน้าสนใจได้มากกว่านี้อีกมาก มีองค์ประกอบด้านการนำเสนออย่างกราฟิคพื้นผิวสิ่งของ (Texture) หรืออนิเมชั่นการขยับตัวของตัวละคร ซึ่งยังคงทำออกมาได้แข็งๆ ทื่อๆ เหมือนเกมสมัย PS3 อยู่ในบางจุด แถมกราฟิค U.I. หรือหน้าเมนูต่างๆ ก็ทำออกมาเรียบๆ ไม่ค่อยน่าสนใจนัก เหล่า NPC ตามถนนในเมืองก็หน้าซ้ำกันเยอะแยะมากมาย พูดง่ายๆ คือเกมยังสามารถปรับปรุงเรื่องของกราฟิคได้อีกมากโขเลยถ้าอยากจะเทียบเท่าเกมอันดับต้นๆ ในตลาดตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกัน (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียน) ความแข็งๆ ทื่อๆ ของเกม Judgment เองก็อาจจะถือเป็นเสน่ห์หรือลายเซ็นของเกมอย่างนึงที่คงมาจากซีรี่ส์ Yakuza ก็ได้ เพราะทั้งสองเกมเป็นเกมที่มีเนื้อหาค่อนข้าง ติดดิน ในแง่ที่ว่าทั้งสองเกมเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีอยู่จริง (ย่าน Kamurocho ของเกมออกแบบมาจากย่าน Kabukicho ซึ่งมีอยู่จริง) และทั้งสองเกมก็มีเนื้อหาที่อิงโลกจริงๆ ซึ่งพอมารวมกับกราฟิคที่ดูดาษๆ เรียบๆ แล้วก็ให้ความรู้สึก จริง ที่ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมขึ้นมาได้อย่างดีทีเดียว ใช่ว่าเกมจะมีแต่ข้อเสียซะทีเดียว ยังมีองค์ประกอบด้านการนำเสนอหลายอย่างที่เกมทำได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของเมือง Kamurocho ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ไปจนถึงหน้าตาของตัวละครหลักทุกตัว ที่แสดงรายละเอียดสีหน้าได้ดีเยี่ยม แถมยังมีเรื่องเสียงพากย์ภาษาอังกฤษ ที่แม้จะเป็นครั้งแรกที่เกมของค่าย Ryu Ga Gotoku Studio จะมีเสียงพากย์ภาษาอังกฤษ แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ คุณภาพเสียงพากย์ทุกตัวไม่ต่างจากเสียงนักแสดงในซีรี่ส์ฝรั่งเลยทีเดียว ทั้งนี้ เกมยังมีปัญหาในเรื่องของการโหลดเข้า-ออกคัตซีนอยู่บ้าง โดยเกมมักจะเกิดอาการค้างไปชั่วขณะ หรือไม่ก็กระตุกๆ แปลกๆ บ่อยครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เสียอารมณ์การเล่นไปมากมายนัก แต่ถ้าปรับปรุงได้ก็จะยกระดับเกมขึ้นมาได้อีกนิดหน่อยสำหรับผู้เขียน สรุป แม้จะไม่ได้พลิกแพลงสูตรไปจากเกมรุ่นพี่อย่าง Yakuza ไปเท่าไหร่นัก แต่เกม Judgment ก็ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่ดีสำหรับค่าย Ryu Ga Gotoku Studio และเป็นข้อพิสูจน์ว่าค่ายสามารถรักษามาตรฐานของเกมที่ปล่อยออกมาได้แน่นอน ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม ไปจนถึงเกมเพลย์ที่แม้จะไม่ได้แปลกใหม่ แต่ก็ตอบโจทย์ในสิ่งที่พยายามจะทำได้อย่างน่าพอใจ ใครที่หาเกมเล่นยาวๆ คุ้มๆ ในช่วงเกมออกน้อยอย่างช่วงนี้ควรจะพิจารณาเกมนี้ดูนะ! [penci_review id="24251"]  
09 Jul 2019
รีวิว Days Gone หนึ่งในเกมซอมบี้ยอดเยี่ยมของปีนี้
Days Gone เกมแนวซอมบี้ Openworld จากทาง SIE Bend Studio ของ Sony ที่ได้กลิ่นอายการผสมผสานของซีรีส์ The Walking Dead และ Son of Anachy เข้าด้วยกัน (ผู้พัฒนาบอกว่าได้รับรางบรรดาลใจมาจากสองเรื่องนี้) โดยตัวเกมเปิดตัวมาตั้งแต่งาน E3 2016 แต่ตัวเกมก็อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเกมที่ล่าช้ากว่าปกติด้วยเหตุผลบางประการ จนแฟนๆ ต่างรอกันเหงือกแห้ง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมนี้ก็ออกมาให้เราเล่นสมใจอยากแล้ว และในบทความนี้เรา GamefeverTH จะมารีวิวเกม Days Gone ให้ทุกท่านได้ชมกัน ว่ามันยอดเยี่ยมหรือไม่!! ชอบหรือไม่ชอบยังไง และสมแก่การรอคอยอันเนิ่นนานกว่า 3 ปีไหม? ซึ่งเราก็ต้องขอขอบคุณทาง PlayStation ที่ได้ส่งเกมนี้มาให้ทางเรารีวิวด้วยครับ เนื้อเรื่อง **รูปภาพอาจจะมีสปอยส์เล็กๆ ในบางเนื้อหา** เรื่องราวของเกมนี้จะตั้งอยู่ในโลกหลังจากเกิดซอมบี้ระบาดสองปี ทำให้ผู้คนแบ่งเป็นหลายกลุ่มการปกครอง โดยเราจะได้รับบทเป็น Deacon St. John นักล่าค่าหัว อดีตสมาชิกกลุ่ม Drifter (แก็งค์ช็อปเปอร์) ที่จะต้องใช้ชีวิตให้รอดอยู่ในดินแดนอันว่างเปล่านี้ พร้อมกับหาความลับและความจริงในเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้เข้าไปพบเจอ โดยกลิ่นอายของเนื้อเรื่องก็ยังตามแบบฉบับของเกมในเครือ Sony แต่ที่พิเศษคือตัวเกมนั้นเปิดเรื่องมาไม่ได้ซับซ้อน ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบเนื้อเรื่องก็อาจจะคล้ายๆ กับซีรีส์ The Walking Dead ที่เน้นความสมจริง การอยู่รอดของกลุ่มคนต่างๆ มีการปฏิสัมพันธ์กับคนหลายรูปแบบ แต่เนื้อเรื่องก็จะพาให้เราเข้าใจเรื่องราวและรับรู้ความจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อย การดำเนินเนื้อเรื่องจะแบ่งเป็นเควส ซึ่งจะมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง แต่จะดำเนินภารกิจพร้อมๆ กันไปทุกๆ เควส โดยส่วนตัวต้องขอชมความไม่ซับซ้อนของเนื้อเรื่องเกมนี้ มันเลยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ง่าย แต่มันก็อาจจะมีจุดเสียอยู่บ้าง เพราะบางทีมันก็เปิดเรื่องมาแบบงงๆ ไม่เล่าที่มาที่ไปมากนัก แต่เราก็จะค่อยๆ เข้าใจมันไปทีละนิด รวมถึงในบางเรื่องราว เนื้อหาบางประเด็นอาจจะเล่นไม่สุด !! จุดพีคต่างๆ ของบางเนื้อเรื่องอาจจะเค้นอารมณ์ไม่มากพอทั้งๆ ที่ปูมาดี แต่มันก็เป็นแค่เนื้อเรื่องบางส่วนเท่านั้น เพราะบางเนื้อเรื่องก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม กราฟิก ตัวกราฟิกของเกมนั้นก็ทำออกมาไม่ได้สวยกว่าเกมอื่นๆ เท่าไร แต่มันก็ยังสวยและดูทันสมัยกว่าในตัวอย่างที่เคยออกมา ฉากภายในเกมก็ทำรายละเอียดออกมาได้ดีเยี่ยม แต่ส่วนใหญ่ฉากของเกมก็จะเป็นป่าไปซะหมด ซึ่งเอาตามตรงมันก็จะมีกลิ่นอายคล้ายๆ กับเกม Far Cry อยู่หน่อยๆ เลยทำให้การขับรถกินลมชมวิว ไม่ค่อยอภิรมย์มากนัก NPC ที่จะมี Interactive ตามฉากเราก็อาจจะไม่ได้เห็นมากนักเหมือนเกมอื่น ถึงอย่างนั้นมันก็จะมีอีเวนท์เหตุการณ์สุ่มมาบ้าง แต่ยอมรับตามตรงว่ามันก็ไม่ได้มีชีวิตชีวาเท่าเกมอื่น ที่มีผู้คนทำกิจกรรมภายในแผนที่มากมาย แต่ถ้าจะให้คิดอีกแบบ ที่ผู้พัฒนาทำแบบนี้มันอาจจะเป็นไปตามธีมของเนื้อเรื่องก็เป็นได้ ที่ว่าเกมนั้นเต็มไปด้วยซอมบี้ ผู้คนธรรมดาก็คงจะไม่อยากไปเดินเล่นให้ผีมันไล่กัดเอาก็ได้ 5555+ ส่วนตัวเคยทดสอบเกมนี้ทั้งจอ Full HD และ 4K มาแล้ว ยอมรับตามตรงว่าความสวยงามของทั้งสองจอนี่ห่างชั้นกันเยอะเลย ใครมีจอ 4K และมี PS4 Pro ส่วนตัวบอกเลยว่าคุณจะได้รับประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมของเกมนี้แน่นอน และนอกจากภาพที่ให้อารมณ์มากกว่าแล้วนั้น ตัวเกมยังไม่หน่วงเหมือนบางเกมที่ดัน 4K แล้วเกมเฟรมเรทตก เกมเพลย์ จากตัวอย่างในงาน E3 2016 ใครที่คิดว่าตัวเกมจะเน้นการยิงซอมบี้เป็นฝูง ผมเองก็อยากให้ทุกท่านคิดใหม่เลยครับ เพราะจากที่เล่นมา เกมนี้มีความเป็น Survival อยู่มากพอสมควร โดยเกมนี้ได้เอาระบบความเป็น RPG มาใช้ ในเริ่มต้นตัวเราจะไม่ได้มีอาวุธดีๆ กระสุนเป็นร้อยๆ นัดทันที !! สเตตัสต่างๆ ของตัวเราเองก็ไม่มากพอที่จะสู้กับศัตรูเหล่านั้นไหว เพราะ Freaker (ซอมบี้ในเกมนี้) หรือศัตรูอื่นๆ เนี่ย ตีเราแรงมากๆ ตบเรา 3-4 ทีก็ลงไปนอนแล้ว เลยทำให้รูปแบบการเล่นเน้นไปในทางลอบเร้นจะดูเข้าท่าที่สุดในช่วงแรก เพราะประหยัดกระสุน และทรัพยากรอื่นๆ ได้มากที่สุด รวมถึงตัวช่วยในการรอบเร้นเองก็ทำออกมารองรับเราได้อย่างดี เช่นการใช้หินโยนสร้างความหันเหให้ศัตรูและค่อยๆ เก็บทีละตัว มีหน้าไม้ยิงเก็บเสียง หรือปืนต่างๆ ก็มีปอกเก็บเสียงให้เรารอบเร้นเข้าไป ซึ่งส่วนตัวชอบในระบบนี้นะ เพราะมันทำให้เรามีกลยุทธ์ในการเล่นมากกว่าการประจันหน้าไล่ยิงไล่ฟันซอมบี้เหมือนเกมอื่นๆ ตัวเกมยังสามารถทำให้เรากลัวศัตรูทุกตัวได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกกระจ๊อกก็เถอะ แต่ถ้าหากใครที่อยากจะไฝว้กับ Freaker เป็นฝูง คุณเองก็สามารถทำได้ !! แต่ตัวละครของคุณนั้นจะต้องเก่งหรือว่ามีความสามารถระดับ End Game แล้วนั่นเอง ซึ่งมันก็อาจจะต้องใช้เวลาในการอัพเกรดความสามารถของตัวละครในระดับหนึ่ง และรับประกันเลยต่อให้คุณมีความสามารถที่จะบวกกับซอมบี้เป็นฝูงได้แล้ว แต่ด้วยความท้าทายและความโหดของซอมบี้ที่คุณได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้ มันไม่มีทางที่จะทำให้คุณรู้สึกชิลๆ ในการต่อสู้แน่นอน   ศัตรูสุดโหด และอันตรายรอบด้าน สิ่งที่เราจะต้องปะทะภายในเกมจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดนั่นคือ Freaker ซอมบี้ที่อยู่ทั่วทุกทิศทาง มีจำนวนเยอะแต่ข้อเสียคือความฉลาดจะน้อย, สัตว์ดุร้ายต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหมาป่า ซึ่งจะมีความเร็วในการไล่กวดเรามากสุด หูไวตาไวแต่เลือดน้อย (ยกเว้นหมี) และสุดท้ายคือมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งจะหูไวตาไว มีการเดินหาเวลาเจอสิ่งที่ผิดสังเกตุ และสไนเปอร์ยิงเราร่วงจากรถได้ในระยะไกล แต่ข้อเสียก็มีอยู่บ้างคือ A.I ของเกมนี้ก็อาจจะมีอาการเอ๋อๆ ให้พบเจอเหมือน ในบางจุดที่ควรจะเห็นเราก็ไม่เห็น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีในการผ่านด่าน แต่ข้อเสียคือความท้าทายก็อาจจะลดลงไปนิดหน่อย เลยทำให้ความกดดันของเกมนี้จะอยู่ที่จำนวนของศัตรูในแผนที่ ที่มีมากในระดับหนึ่ง และความแรงในการโจมตีจนทำให้เราไม่อยากจะโดน   เน้นความ Survival และการสำรวจ โดยเกมนี้ผู้พัฒนาน่าจะอยากให้เราสัมผัสความเป็น Survival มากพอสมควร เนื่องจากทรัพยากรต่างๆ ที่มีจำกัด อุปสรรค์ในเรื่องรถเป็นปัจจัยหลักของเกมนี้อีกด้วย เพราะส่วนใหญ่ตัวเราจะใช้เวลาอยู่บนรถช็อปเปอร์คู่ใจของเรา ซึ่งมันจะต้องเติมน้ำมันอยู่ตลอดเวลา โดยมันสามารถหาได้จากการเอาน้ำมันมาเติม ตามปั๊ม, สถานที่หรือแคมป์ต่างๆ รวมถึงตัวรถเองก็มีเลือดของมัน ซึ่งถ้าหากเราโดนศัตรูยิง, หรือขับชน ตัวรถของเราเองก็จะพังและวิ่งไม่ได้ ซึ่งเราก็สามารถไปซ่อมไปตามแคมป์ หรือหาเศษเหล็กตามแผนที่มาซ่อม [caption id="attachment_21382" align="aligncenter" width="1024"] ขับรถมากก็ต้องเติมน้ำมัน ขับชนก็ต้องซ่อม ไม่งั้นรถวิ่งไม่ได้[/caption] การ Fast Travel ของเกมนี้เองก็ทำออกมาได้ไม่เหมือนเกมอื่น เพราะใช่ว่าเราจะสามารถวาร์ปไปไหนก็ได้ตลอดเวลา แต่เราจะต้องใช้น้ำมันในการวาร์ปด้วย อารมณ์เหมือนว่าการวาร์ปเราก็คือการขับรถข้ามเมืองโดยไม่ต้องขับเองนั่นแหละ และที่สำคัญคือ ถ้าหากเส้นทางของเราที่จะไปมันมีรังซอมบี้ขวางทางอยู่ในแผนที่ มันก็จะทำให้เราไม่สามารถวาร์ปได้นั่นเอง ซึ่งเราก็จะต้องไปไล่เผารังของพวกมันก่อนเพื่อจะสามารถ Fast Travel ได้ และลดความอันตรายของแผนที่ด้วย Fast Travel ต้องใช้เวลา และน้ำมัน [caption id="attachment_21386" align="aligncenter" width="1024"] เผารังซอมบี้เพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องเกิดแถวนี้เยอะ[/caption] รวมถึงการสำรวจสถานที่ต่างๆ เองก็เป็นสิ่งที่เราห้ามละเลย เพราะทรัพยากรต่างๆ อย่างเช่นวัสดุที่จะเอามาคราฟของหรือยาต่างๆ นั้นจะต้องหาตามแผนที่ หรือเก็บเอาจากศพที่ฆ่าได้ พร้อมทั้งยังมีการไปสำรวจที่พักนักวิจัยซึ่งมันจะมีไอเท็มอัพเกรดตัวละครในนั้นคือการเพิ่มเลือด, เพิ่ม Stamina และเพิ่มความแม่นในการยิง (จะต้องเลือกเอาว่าจะอัพอะไร) [caption id="attachment_21383" align="aligncenter" width="1024"] หาของคราฟ, ยา, กระสุน ตามบ้านและศพ[/caption] [caption id="attachment_21384" align="aligncenter" width="1024"] งัดรถเพื่อหาเศษเหล็กไว้ซ่อม[/caption] ระบบ Level เวลาฆ่าศัตรูหรือทำเควสเสร็จ ตัวละครเรานั้นจะได้รับ XP มาด้วย ซึ่งถ้าหากเลเวลอัพเราก็จะได้แต้มเพื่อมาอัพความสามารถต่างๆ ได้ โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 สายนั่นคือสายโจมตีระยะใกล้ (ใช้อาวุธระยะประชิด), สาย (สายใช้ปืน) และสายการเอาตัวรอด ซึ่งเราก็สามารถอัพข้ามสายไปมาได้ และแต่ละสายก็จะแบ่งเป็นระดับไป แคมป์ ในการดำเนินเนื้อเรื่องไปสักพัก ตัวเราจะได้เข้าไปพักไปแคมป์ของผู้นำต่างๆ ที่ในนั้นจะมีไอเท็มขายเช่นยา, กระสุน, ปืน, ของแต่งมอเตอร์ไซต์ รวมถึงแหล่งซ่อมรถและเติมน้ำมันก็สามารถซื้อได้ในนี้ ซึ่งมันจะอำนวยความสะดวกเราได้มากมาย แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ที่ว่าตัวแคมป์จะใช้แต้มในการซื้อของ ซึ่งแต่ละแคมป์จะใช้แต้มแยกกัน ไม่สามารถใช้แต้มแคมป์หนึ่งอีกของอีกแคมป์หนึ่งได้ โดยแต้มต่างๆ ก็หาได้จากการทำเควสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแคมป์นั้นๆ เช่นเควสเนื้อเรื่อง หรือเควสล่าค่าหัวนั่นเอง รวมถึงแต่ละแคมป์ก็จะต้องใช้ค่า Trust ที่แต่ละเลเวลของค่านี้จะทำให้เราซื้อของดีๆ ได้มากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าค่านี้แต่ละแคมป์แยกกัน รวมถึงของดีๆ ที่จะซื้อได้ก็ต่างกันด้วย เช่นแคมป์นี้เด่นเรื่องของแต่งมอเตอร์ไซต์ แต่อีกแคมป์จะเด่นเรื่องอาวุธปืนเป็นต้น พร้อมทั้งเรายังสามารถพบเจออีเวนท์พิเศษอื่นๆ ได้ตามแผนที่ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะไปช่วยคนแปลกหน้าและพาเขาไปอยู่ตามแคมป์ต่างๆ ซึ่งเราเองก็จะสามารถได้สิทธิพิเศษของแคมป์นั้นตอบแทนอีกด้วย สรุป Days Gone ก็ยังเป็นเกมที่คงมาตรฐานของเกมในเครือ Sony ได้อย่างดี รูปแบบเกมเพลย์เองก็ทำออกมาได้น่าสนใจ และสามารถทำให้ผู้เล่นนั้นติดพันได้ไม่ยาก เราสามารถจมปลักอยู่กับเกมนี้ได้มากกว่า 30 ชั่วโมงเฉพาะเนื้อเรื่องหลัก และสามารถบวกเวลาเพิ่มได้อีก ถ้าหากคุณเน้นอัพเกรดตัวละครหรือเปิดแผนที่ทำกิจกรรมให้ครบ ซึ่งมันก็จะดูดเวลาคุณเพิ่มขึ้นไปอีก แต่มั่นใจได้ว่าบางคนก็อาจจะผิดหวังที่เราอาจจะไม่ได้เห็นการยิงซอมบี้เป็นฝูงเหมือนในตัวอย่างมากนัก แต่บอกเลยว่าตัวระบบลอบเร้นหรือระบบการต่อสู้ส่วนใหญ่นั้นทำออกมาได้ดีมากๆ และทำให้เรารู้ถึงความท้าทายมากกว่าเกมแนวฝูงซอมบี้ดั่งเกมอื่นๆ มันให้อารมณ์ความรู้สึกว่านี่แหละซอมบี้จริงๆ ที่ควรจะเป็นในเกมสไตล์นี้ และที่เด่นมากที่สุดนั่นคือตัวเนื้อเรื่องของมันที่ทำได้เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย มีการเล่าเรื่องไม่ซับซ้อน ถึงแม้ว่าอาจจะเปิดตัวมาด้วยความไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง แต่นี่มันเป็นความตั้งใจของผู้พัฒนาที่อยากให้เราเรียนรู้ความจริงไปพร้อมๆ กับตัวละครนั่นเอง เพราะเวลาคุณยิ่งรู้ความลับของเกมนี้เรื่อยๆ มันจะยิ่งทำให้คุณสนใจ และอยากรู้มันมากขึ้น แต่เนื้อเรื่องก็จะมีจุดที่น่าเบื่อเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจในระบบเกม Openworld ที่เนื้อเรื่องไม่ได้มีแค่ประเด็นเดียว เลยทำให้ความต่อเนื่องและการเฉลี่ยเนื้อเรื่องอาจจะขาดไป ถึงอย่างนั้นโดยรวมๆ แล้วเนื้อเรื่องก็อยู่ในขั้นที่โอเค แต่อาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเหมือนเกม Sony อื่นๆ [penci_review id="21343"]
25 Apr 2019
รีวิวเกม Sekiro: Shadows Die Twice - นินจาไร้ปราณี ตายกี่รอบก็ไม่พอ
ข้อดี เกมเพลย์ดีมากๆ ท้าทายอย่างยุติธรรม บรรยากาศของเกมมีความน่าสนใจ มีความแฟนตาซีผสมกับความบิดเบี้ยวในแบบฉบับเกมตระกูล Soul เนื้อเรื่องติดตามง่ายกว่าเกม From Software อื่นๆ แต่ก็ยังมีความลับให้สำรวจเยอะมาก ข้อเสีย เกมยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกก จนอาจจะไม่เหมาะกับผู้เล่นทุกคน อนิเมชั่นการปลิดชีพศัตรูซ้ำๆ กันทั้งเกม แนวเกม: แอคชั่น ผู้พัฒนา: From Software จัดจำหน่าย: From Software, Activision เวลาเล่น: ราวๆ 20 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง แต่เวลาเล่นจริงจะผกผันตามฝีมือคนเล่น) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (รีวิวใน PS4 Pro) (รีวิวโดย: Devil Takoyaki) แม้ว่าจะมีประวัติยาวนานมามากกว่า 30 ปี (ค่ายก่อตั้งปี 1986) แต่ค่ายพัฒนา From Software ก็คงไม่ได้ถูกนับเป็นหนึ่งในค่ายพัฒนาระดับแนวหน้าของวงการเกม ที่มีผู้คนรอเล่นเกมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งการมาถึงของเกม Demons Souls เกม RPG มหาโหดของค่ายที่ได้รับการจดจำในฐานะเกมที่ยากอันดับต้นๆ ของยุค แต่กลับสามารถดึงดูดกลุ่มผู้เล่นได้มหาศาล จนก่อนให้เกิดเกมตระกูล Souls (Dark Souls และ Bloodborne ก็นับด้วย) ตามมาอีกหลายภาคตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยแน่นอนว่าเกมทุกภาคยังคงเกมเพลย์ที่ท้าทายชวนหัวร้อนของเกมต้นตำหรับเอาไว้ (และเผลอๆ จะเพิ่มให้หนักขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ด้วย) ด้วยความนิยมอันท่วมท้นของเกมตระกูล Souls จึงไม่แน่แปลกใจที่เกมเมอร์ทั่วโลกจะให้ความสนใจกับเกมใหม่ล่าสุดของค่ายอย่าง Sekiro: Shadows Die Twice เกมแอคชั่นนินจาซีรี่ย์ใหม่ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ได้ลองเล่นจนจบเนื้อเรื่องมาแล้ว ก็พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเกม Sekiro นี้ยากในระดับที่ทำให้เกมตระกูล Souls ที่ผ่านๆ มาดูเป็นเกมเด็กเล่นไปได้เลย ด้วยระบบเกมเพลย์แบบแอคชั่นที่ต้องใช้ฝีมือดิบๆ ล้วนๆ โดยไม่มีเวทย์มนตร์หรืออาวุธพิเศษ (ถ้าไม่นับอาวุธนินจาในแขนกล) มาเป็นตัวช่วย ไม่มีการเก็บเลเวลเพื่อเพิ่มค่าความสามารถ มีเพียงฝีมือในการเล่นเกมเท่านั้นที่จะช่วยให้เราพิชิตเหล่าศัตรูน้อยใหญ่อันร้ายกาจในเกมได้ แต่ก็เพราะแบบนี้เองเช่นกัน ที่ทำให้เกม Sekiro: Shadows Die Twice ถือเป็นหนึ่งในเกมแอคชั่นที่ดีเยี่ยมในลักษณะคล้ายๆ กับเกมอย่าง Devil May Cry 5 ที่เพิ่งวางจำหน่ายไป เพราะทั้งคู่ถือเป็นเกมที่สนุกอย่าง บริสุทธิ์ เป็นเกมที่ต้องใช้ฝีมือและไหวพริบในการเอาชนะเท่านั้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีระบบเล็กๆ ยุบยับไปหมดให้ต้องคำนึงถึง แต่วัดความสำเร็จทั้งหมดจากความสามารถและความคุ้นเคยต่อเกมของผู้เล่นทั้งหมด แม้ว่าจะมีองค์ประกอบในส่วนขอการนำเสนอที่อาจจะปรับปรุงได้บ้าง แต่โดยรวมก็ยังถือว่า Sekiro: Shadows Die Twice เป็นเกมที่ออกแบบมาได้อย่างปราณีตและสนุกมากๆ เหมาะกับเกมเมอร์ที่อยากจะท้าทายตัวเอง ให้รู้กันไปเลยว่าจริงๆ แล้วเราเล่นเกม เก่ง แค่ไหนกันแน่ เนื้อเรื่อง สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Sekiro: Shadows Die Twice นั้นจะติดตามนินจาหนุ่มที่ใช้ชื่อว่า โอคามิ (แปลว่าหมาป่านั่นเอง) ผู้ซึ่งดำรงค์ตำแหน่งนินจาอารักขาขององค์ชายคุโระ ผู้สืบสายเลือดคนสุดท้ายของโชกุน และเป็นผู้สืบ สายเลือดมังกร เป็นคนสุดท้ายด้วย โดยเหตุการณ์ของเกมจะเริ่มขึ้นเมื่อองค์ชายคุโระถูกลักพาตัว โดยโอคมิก็ไม่รอช้ารีบรุกไปช่วยเหลือองค์ชาย แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับซามูไรข้าศึกจนต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่โชคดีของโอคามิ ทำให้เค้าได้รับการช่วยเหลือจากชายแก่ปริศนาคนหนึ่ง ซึ่งมอบแขนกลนินจาให้กับโอคามิ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางเพื่อตามหาองค์ชายผู้เป็นนายอีกครั้ง แม้ว่าเนื้อเรื่องในเกม Sekiro: Shadows Die Twice จะไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเมื่อเทียบกับเกมฟอร์มใหญ่ๆ หลายๆ เกมที่วางจำหน่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เนื้อเรื่องของเกมก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ซึ่งก็คือการมอบแรงขับหรือจุดประสงค์ให้กับการกระทำของโอคามิ (ซึ่งก็คือผู้เล่นนั่นแหละ) ถ้าจะต้องชม ก็คงต้องชมในประเด็นการนำเสนอของเนื้อเรื่อง ที่มีความตรงไปตรงมามากกว่าเกมที่ผ่านๆ มาของผู้พัฒนา From Software (เกมตระกูล Soulsborne ทั้งหลาย) ที่มักจะมีเรื่องราวลึกซึ้ง แต่ต้องอาศัยความพยายามของผู้เล่นในการตามหาข้อมูลเอาเองจาก NPC หรือไอเทมในเกม โดยแม้ว่า Sekiro จะยังคงมีเกร็ดเนื้อเรื่องลับๆ ให้เราได้ตามหาอยู่ แต่อย่างน้อยผู้เล่นที่ไม่ได้อยากจะใช้เวลาในการตามเก็บความลับทุกอย่างก็จะยังพอมีเนื้อเรื่องให้ติดตามอยู่บ้าง ต่างกับเกม Soulsborne อื่นๆ ที่ถ้าไม่พยายามตามหาเอาเองก็แทบจะไม่เล่าอะไรให้เราฟังตรงๆ เลย แน่นอนว่าพวกเกร็ดเนื้อเรื่องเสริมที่เราสามารถพบได้ระหว่างทางก็ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเกมค่าย From Software อยู่แล้วด้วย ซึ่งใน Sekiro ก็มีเนื้อเรื่องเหล่านี้จาก NPC ตามทางมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมได้อย่างดีมากๆ แถมยังช่วยเสริมประเด็นเรื่องความตายของเกมได้มาก ทำให้โลกของเกมรู้สึกลึกและน่าสนใจกว่าเดิม มีความรู้สึกว่าทุกอย่างมีเรื่องราวที่มีความหมายแฝงอยู่ ซึ่งก็ช่วยทำให้การเล่นเกมมีเป้าหมายมากกว่าแค่การตะลุยด่านสู้บอสไปเรื่อยๆ ได้เหมือนกัน กราฟิค/การนำเสนอ เมื่อพูดถึงซีรี่ย์ Soulsborne นั้น แน่นอนว่าสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเกมเพลย์ของซีรี่ย์ แต่อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้ผู้เขียนหลงไหลเกมตระกูล Soulsborne (โดยเฉพาะ Bloodborne) ก็คือลายเซ็นการออกแบบฉากและศัตรูใยนซีรี่ย์ ที่มักจะมีความอัปลักษณ์ บิดเบี้ยว แม้จะเป็นศัตรูที่อิงจากสิ่งมีชีวิตจริงๆ อย่างหมาป่าหรือมนุษย์ก็ตาม ซึ่งเมื่อนำมารวมกับการออกแบบฉากที่เน้นโทนสีมืดๆ ก็ช่วยเสริมบรรยากาศอันน่ากดดันของซีรี่ย์ขึ้นไปอีกระดับ ทำให้รู้สคกว่าศัตรูทั้งหมดในเกมมีความอันตรายจริงๆ ทุกครั้งที่เห็น แม้จะไม่ได้ถือเป็นเกมตระกูล Soulsborne กับเค้าด้วย แต่ Sekiro ก็ยังคงแนวทางการออกแบบฉากและศัตรูแบบเดียวกับเกมรุ่นพี่ด้วย โดยแม้ว่าศัตรูและบอสหลายๆ ตัวในเกมจะเป็นเพียงทหารหรือซามูไรมนุษย์ธรรมดาๆ แต่เมื่อออกแบบในสไตล์ของ From Software แล้วก็ทำให้หน้าตาและรูปร่างของศัตรูเหล่านี้มีความเป็น อมุษย์ อยู่ด้วย ซึ่งก็ช่วยเสริมบรรยากาศอันน่ากดดันของเกม ความบิดเบี้ยวที่ว่านี้ยังครอบคลุมไปถึงการออกแบบฉากด้วย โดยแม้ว่าเกม Sekiro จะไม่ได้ใช้โทนสีทะมึนๆ เพียงอย่างเดียวเหมือนเกม Soulsborne แต่ความสดใสของ Sekiro กลับมาหลายๆ ส่วนที่ทำให้รู้สึกน่าขยะแขยงอยู่ ซึ่งก็ช่วยเสริมบรรยากาศอันตรายของเกมในแบบเดียวกับเกม Soulsborne ได้ด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่าชมทีมออกแบบที่ยังสามารถสร้างโลกที่ให้ความรู้สึกสวยและกดดันพร้อมๆ กันแบบนี้ได้ ทั้งนี้ กราฟิคของเกม Sekiro คงจะไม่ได้ถูกจดจำเป็นพิเศษ อาจจะด้วยสไตล์การออกแบบของค่ายที่ทำให้ไม่สามารถทำให้กราฟิคมีความสมจริงได้มากกว่านี้ แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก ถ้าจะมีอะไรที่อยากจะตำหนิจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องของอนิเมชั่นการปลิดชีพศัตรู ซึ่งค่อนข้างจะคล้ายๆ กันไปหมดไม่ว่าจะใช้ใส่ศัตรูชนิดไหนก็ตาม เห็นไม่กี่ครั้งก็รู้สึกไม่ตื่นเต้นซะแล้ว (แต่เป็นอนิเมชั่นที่ต้องเห็นนับร้อยๆ ครั้งตลอดเวลาที่เล่นเกม) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบย่อยๆ ที่น่าจะเพิ่มความสนุกให้กับเกมได้อีกมากถ้ามีความหลากหลายมากกว่านี้ เกมเพลย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของ From Software เชื่อว่าไม่ต้องบอกก็น่าจะพอรู้กันอยู่บ้างว่าเกมเพลย์ของ Sekiro: Shadows Die Twice นั้นจัดว่ายากมหาหินเลยทีเดียว ในฐานะคนที่เล่นเกมตระกูล Soulsborne จบมาแล้วทุกภาค ผู้เขียนพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเกมเพลย์ของ Sekiro นั้นยากกว่ามากๆ (จะบอกว่าโคตรๆ ก็กลัวหยาบคาย) แต่เช่นเดียวกับในเกม Soulsborne ความยากของเกม Sekiro ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเกมไม่แฟร์ โดยในความเป็นจริงนั้นเกมได้มอบเครื่องมือทั้งหมดที่ต้องใช้มาให้ผู้เล่นแล้วเรียบร้อย เหลือก็แต่ตัวผู้เล่นเองที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจและฝึกฝนจนชำนาญไปเอง สำหรับเกมเพลย์ของ Sekiro นั้นจะเน้นการกระทำเพียง 4 อย่างง่ายๆ ประกอบไปด้วย โจมตี พุ่งหลบ ป้องกัน และอุปกรณ์เสริมจากแขนกลนินจา โดยเกมจะไม่ได้มีระบบ RPG แบบเดียวกับเกมรุ่นพี่ค่ายเดียวกันที่ผ่านๆ มา (มีก็แต่การเพิ่มหลอดเลือด/พลังโจมตี/อัพสกิลเล็กน้อย และใช้ของหายาก) หมายความว่าจะไม่มีการอัพสเตตัสช่วยเพื่อให้ตัวเราถึกขึ้น/โดนโจมตีเบาลง หรือเพื่อใส่อาวุธพิเศษที่เลเวลสูงมากๆ เป็นต้น ทำให้การจะอยู่หรือตายในเกมนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่นในการเลือกการกระทำที่เหมาะสมกับสถานการณ์และจังหวะมากที่สุดเพียงอย่างเดียวเลย เช่นการจดจำจังหวะการโจมตีของบอสเพื่อป้องกัน/หลบหลีกได้ง่าย หรือการเลือกใช้อาวุธลับให้ตรงกับจุดอ่อนของศัตรูที่ต่อสู้ด้วย เป็นต้น อีกระบบที่ทำให้เกม Sekiro แตกต่าง/ยากกว่าเกม Soulsborne นั้นก็คือระบบ การทรงตัว หรือ Posture นั่นเอง โดยใน Sekiro นั้นนอกจากจะมีหลอดเลือดเหมือนเกมทั่วไปแล้ว ศัตรูทั้งหลายในเกมจะยังมีหลอด การทรงตัว เพิ่มเข้ามาด้วย โดยหลอดการทรงตัวจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อศัตรูโดนโจมตีหรือโดนป้องกันการโจมตี (Deflect หรือการกดป้องกันในจังหวะที่ศัตรูโจมตีพอดี) ซึ่งเมื่อหลอดนี้เพิ่มจนเต็ม จะทำให้ผู้เล่นสามารถกดปลิดชีพศัตรูได้เลยทันทีในดาบเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นก็จะมีหลอดการทรงตัวของตัวเองเช่นกัน ซึ่งเมื่อโดนโจมตีจนหลอดเต็มจะทำให้เราป้องกันการโจมตีไม่ได้ไปชั่วขณะ (ซึ่งร้ายแรงมากเพราะศัตรูเกือบทุกตัวฟันเราเข้าทีละครึ่งหลอด) ระบบการทรงตัวนี้ถือเป็นจุดที่ทำให้เกม Sekiro มีความยากกว่าเกมรุ่นพี่หลายขุมเลย เพราะหลอดการทรงตัวนั้นจะค่อยๆ ลดลงเองเมื่อเราเว้นระยะห่างจากศัตรู โดยเฉพาะบอส ทำให้การต่อสู้กับบอสหลายๆ ตัวต้องใช้ความดุดันมากกว่าเกมอย่าง Dark Souls/Bloodborne ที่เน้นการรักษาระยะห่างและหาจังหวะค่อยๆ ตอดเลือดบอสไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเว้นระยะห่างนานเกินไปใน Sekiro จะทำให้ล้มบอสยากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว (แถมบางตัวมีหลอดเลือดมากกว่า 1 หลอดด้วย) ทั้งนี้ เกมดูจะหยิบยื่นความปราณีให้ผู้เล่นในรูปแบบของระบบการคืนชีพ (ที่มาของชื่อเกม Shadows Die Twice/เงาตายได้สองครั้ง) ซึ่งจะเปิดให้ผู้เล่นสามารถฟื้นจากความตายมาสู้ต่อได้ครั้งหนึ่ง (พอคืนชีพแล้วต้องเก็บไอเทมเพื่อให้คืนชีพได้อีกครั้ง) โดยจะฟื้นขึ้นมาด้วยหลอดเลือดครึ่งนึงเท่านั้น โดยระบบนี้ก็ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถลองผิดลองถูกได้มากขึ้นเวลาที่ต่อสู้กับบอสเป็นครั้งแรก แต่ถ้าคิดว่าบอสแต่ละตัวแทบจะฟาดหลอดเลือดเราหายไปทีละครึ่งหลอดอยู่แล้ว การคืนชีพก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้เกมง่ายขึ้นขนาดนั้นสำหรับผู้เล่นหลายๆ คน รู้อย่างนี้แล้ว ผู้เล่นบางคนอาจจะรู้สึกโล่งใจว่าอย่างน้อยเกมก็ยังพอมีควมปราณีให้เราอยู่บ้าง แต่ไม่เลย! เพราะระบบคืนชีพนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียตามมาถ้าใช้บ่อยไป โดยเกมจะมีระบบที่เรียกว่า Dragonrot ซึ่งเป็นโรคร้ายที่จะถูกส่งต่อไปยัง NPC ต่างๆ ที่เราพบเจอตามทาง ซึ่งถ้าโดนโรคกัดกินนานเกินไปก็อาจจะทำให้ NPC เหล่านั้นถึงกับตายไปเลยก็ได้ ซึ่งก็จะทำให้เราไม่สามารถรับเควสหรือความช่วยเหลืออื่นๆ จาก NPC ตัวนั้นๆ ได้อีกต่อไป แน่นอนว่าเกมยังมีไอเทมรักษาโรคให้เราใช้ได้ในยามคับขัน แต่ก็ไม่พอสำหรับ NPC ทุกตัวแน่นอน ผู้เล่นจึงมีแรงจูงใจที่จะ ไม่ตาย อยู่ แม้ว่าจะสามารถคืนชีพได้ก็ตาม เมื่อนำระบบทั้งหมดมารวมกันแล้ว ทำให้เกม Sekiro เป็นเกมที่เรียกร้องความตั้งใจและมุมานะจากผู้เล่นในระดับที่เกมส่วนใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลย ระบบในเกมเกือบทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความกดดันให้ผู้เล่นตลอดเวลา ตั้งแต่การบังคับให้ผู้เล่นต้องเข้าประชิดศัตรูที่พร้อมจะหวดหลอดเลือดเรากระเด็นหายไปเลยในดาบเดียว ไปจนถึงระบบการคืนชีพที่แทนที่จะให้ความรู้สึกปลอดภัยกับผู้เล่น กลับกลายเป็นตัวเลือกที่ยากลำบากทุกครั้งเมื่อต้องแลกมาด้วยความช่วยเหลือของ NPC ต่างๆ ในเกม ซึ่งในจุดนี้เองทำให้เกม Sekiro น่าจะถูกใจแฟนเกมสาย Soulsborne ที่โหยหาความท้าทายที่แม้จะแฟร์แต่ก็ไร้ปราณี แต่ในขณะเดียกวัน ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าแม้ว่าเกม Sekiro จะเป็นเกมที่ดีขนาดไหน แต่เอาตามตรงก็ไม่ใช่เกมที่ใครๆ จะหยิบมาเล่นและสนุกกับมันได้เช่นกัน อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Sekiro เป็นเกมที่เรียกร้องความพยายามและเวลาของผู้เล่นในแบบที่น้อยเกมมากๆ จะทำ ซึ่งคนที่ไม่ได้มีเวลาจะมานั่งเรียนรู้และฝึกฝนระบบทั้งหมดของเกมอย่างจริงจังอาจจะพาลหัวร้อนซะเปล่าๆ ถ้าเล่นเกมนี้ แต่ถ้าพยายามจนช่ำชองแล้วก็ถือเป็นประสบการณ์เกมที่น่าพึงพอใจทุกครั้งที่สามารถเอาชนะบอสตัวใดตัวหนึ่งได้ เพราะกว่าจะผ่านได้แต่ละตัวเล่นกันจนปวดตั้งแต่นิ้วยันหัวไหล่เลยทีเดียว สรุป แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน แต่ Sekiro: Shadows Die Twice ก็ยังถือเป็นเกมแอคชั่นที่สนุกและท้าทายในแบบที่น้อยเกมมากๆ จะสามารถเทียบได้ สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบเกม Sekiro: Shadows Die Twice ก็ตาม แต่ถ้าได้ลองเล่นมันไปซักครั้งแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นเกมที่ลืมไม่ลงไปอีกหลายปีเลยทีเดียว... [penci_review id="20854"]
08 Apr 2019
Review - รีวิวเกม Devil May Cry 5
ข้อดี เกมเพลย์ไร้ที่ติ ดีไปหมดทุกองค์ประกอบ กราฟิคและอนิเมชั่นสวยสมจริงระดับเมพ แต่คงสไตล์อันจัดจ้านของซีรี่ย์ไว้ได้ เป็นเกมที่มีความบริสุทธิ์ เน้นเกมเพลย์สนุกโดยไม่ต้องมีอะไรปรุงแต่ง เกมรันได้อย่างลื่นไหลตลอด แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นบนจอตลอดเวลา ข้อเสีย เนื้อเรื่องมีความเอาใจแฟนๆ สูง ถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อนก็งงได้ แนวเกม: แอคชั่น ผู้พัฒนา: Capcom จัดจำหน่าย: Capcom เวลาเล่น: ราวๆ 15 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (รีวิวใน PS4 Pro) หากพูดถึงซีรี่ย์เกมญี่ปุ่นขวัญใจเกมเมอร์ทั่วโลก เชื่อว่าน่าจะมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่เลือกใส่ซีรี่ย์เกม Devil May Cry ลงไปในรายชื่อเกมสุดรักของตนด้วย จากเกมเพลย์แนวแอคชั่นล้างผลาญอันดุเดือดของเกม รวมไปถึงตัวละครหลักที่ยียวนอย่างมีเสน่ห์อย่าง Dante ที่ทำให้เกมได้รับขนานนามเป็นซีรี่ย์แอคชั่นระดับแนวหน้าของวงการเกมมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PS2 แล้ว แม้ว่าเกมภาคที่ปล่อยมาล่าสุดอย่าง DMC: Devil May Cry จะไม่ได้รับความนิยมเท่าภาคหลักอื่นๆ แต่ Devil May Cry ก็ยังถือเป็นเกมที่มีแฟนๆ รอติดตามอย่างแน่นหนามาเป็นระยะเวลานานเช่นกัน หลังจากที่ปล่อยให้รอกันจนเหงือกแห้งมาเป็นสิบปี (ภาค 4 วางจำหน่ายครั้งแรกปี 2008) ในที่สุดแฟนๆ เกมซีรี่ย์ปีศาจร่ำไห้ก็จะได้หวนคืนสู่เกมที่รักอีกครั้งใน Devil May Cry 5 เกมภาคล่าสุดที่ผู้พัฒนา Capcom วางจำหน่ายอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเกมได้รับคะแนนรีวิวสูงลิบลิ่วจากสื่อต่างชาติแทบทุกสำนักกันเลยทีเดียว ทางทีมงาน GameFever เองก็เพิ่งจะเล่นเกมจนจบเนื้อเรื่องไปเมื่อเร็วๆ นี้ (เพราะผู้เขียนแอบกาก...) และต้องยอมรับจริงๆ ว่า Devil May Cry 5 ถือเป็นนิยามของวลีเด็ด Gameplay is King (เกมเพลย์เท่านั้นที่ครองโลก) จริงๆ เกมสามารถออกแบบระบบต่อสู้แนวแอคชั่นออกมาได้อย่างยืดหยุ่น มีตัวเลือกและท่าโจมตีให้ร้อยเรียงเป็นคอมโบได้ไม่รู้จบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเนี๊ยบของการควบคุมไว้ได้ ทำให้เมื่อเล่นจนคล่องแล้วรู้สึกเหมือนว่าการกระทำของตัวละครทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราตั้งใจ ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าชื่นชมเป็นพิเศษเพราะเกมมีตัวละครที่เล่นไม่เหมือนกันถึง 3 ตัวให้เลือกใช้ นอกจากนี้ กราฟิคและอนิเมชั่นจากอาวุธลับของ Capcom อย่าง RE Engine ก็ยังคงให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเสมอ โดยกราฟิคของเกมภาคล่าสุดนี้ดูจะเพิ่มความ สมจริง เข้าไปมากขึ้น ทั้งในฉากและหน้าตาท่าทางตัวละคร ซึ่งก็ช่วยเสริมความรู้สึก เนี๊ยบ ของเกมขึ้นไปอีกระดับอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสไตล์อันจัดจ้านหลุดโลกของซีรี่ย์เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน สำหรับคนที่ต้องการเกมที่เล่นแล้ว สนุก ในทุกวินาทีที่ได้เล่น หรือคนที่เหน็ดเหนื่อยกับระบบอันยุ่งยากมากมายในเกมสมัยใหม่ และต้องการจะหวนกลับไปสู่อดีตอันหอมหวานที่เกมอยู่หรือตายด้วยความสนุกของเกมเพลย์เพียงอย่างเดียว Devil May Cry 5 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าจะถูกใจคุณมากที่สุดแล้วในขณะนี้ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องในเกมภาค 5 นี้เริ่มขึ้นเมื่อพระเอกจากภาค 4 อย่างเนโรโดนชายปริศนาตัดแขน Devil Bringer ของตนไปโดยราชาปีศาจ Urizen ผู้ซึ่งต้องการจะครองโลกด้วยการแพร่พันธุ์ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ไปทั่วโลก โดยการกระทำนี้ยังปล่อยปีศาจจากนรกขึ้นมาอาละวาดบนโลกด้วย ทำให้แก๊งนักล่าปีศาจร่ำไห้เจ้าเก่าอย่าง Dante, Trish, Lady, Nero และ สมาชิกใหม่อย่าง V ต้องออกเดินทางเพื่อเอาชนะ Urizen ให้ได้ และป้องกันไม่ให้โลกถูกมิตินรกกลืนกิน ออกตัวกันก่อนเลยว่าผู้เขียนไม่ได้เป็นแฟนซีรี่ย์ Devil May Cry มาตั้งแต่ดั้งเดิม เคยเล่นจริงๆ ก็เพียงประปรายสมัย PS2 เท่านั้น จึงอาจจะไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์จากภาคก่อนๆ มาได้มากนัก แต่สิ่งที่ผู้เขียนบอกได้สำหรับเนื้อเรื่องในเกมภาคล่าสุดคือมันยังคงอารมณ์กวนๆ หลุดๆ ของซีรี่ย์เอาไว้ได้อย่างดีเลยทีเดียว แน่นอนว่าคงไม่ได้เป็นเนื้อเรื่องระดับที่จะทำให้ใครๆ พูดถึง แต่ก็ถือว่าช่วยเสริมอารมณ์ของเกมได้ดีอยู่ นอกจากนี้ เกมยังดูมีความตั้งใจจะเอาใจแฟนๆ อย่างเต็มที่ ด้วยการนำตัวละครเก่าๆ อันเป็นที่รัก (ทั้งที่เฉลยแล้วและยังไม่เฉลย...) กลับมากันแทบจะพร้อมหน้าเลย แถมคัตซีนต่างๆ ก็ได้อนิสงค์จาก RE Engine ทำให้ฉากแอคชั่นเลือดเดือดทั้งหลายของเกมดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะพอทุกอย่างดูสมจริงมากๆ ก็ยิ่งทำให้แอคชั่นอันบ้าระห่ำตามสไตล์ของ Devil May Cry ดูสุดโต่งยิ่งกว่าที่ผ่านมาอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น บอกตรงๆ ว่าสำหรับผู้เขียน เนื้อเรื่องของเกม Devil May Cry 5 ไม่ได้มีความสำคัญกับตัวเกมนัก อาจจะช่วยเสริมอารมณ์หรือบรรยากาศของเกมได้พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ดีหรือน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของซีรี่ย์เช่นกัน แต่สำหรับคนที่ติดตาม Devil May Cry อย่างใกล้ชิดมาตลอด บอกเลยว่าเกมตั้งใจทำมาเพื่อพวกคุณโดยเฉพาะ กราฟิค ไม่รู้จะสาธยายยังไงให้จบจริงๆ กับคุณงามความดีของชุดอุปกรณ์ RE Engine ของค่าย Capcom ที่ทำให้เกมหลังๆ ของค่ายได้รับการยกระดับกราฟิคขึ้นมาจนผู้พัฒนาเกมสายฝรั่ง ที่มักจะได้เปรียบค่ายฝั่งญี่ปุ่นในแง่ของเทคโนโลยี ยังต้องยอมศิโรราบกันไปอย่างไร้ทางสู้ ตั้งแต่เกม Resident Evil 7 ต่อไปยังเกม Resident Evil 2 Remake มาจนถึงเกม Devil May Cry 5 นี้ล้วนแล้วแต่มีกราฟิคที่น่าทึ่งทั้งสิ้น และน่าทึ่งขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเกมทั้งสามสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล แทบไม่มีปัญหาด้านเทคนิคเลยตลอดการเล่น (หรืออย่างน้อยก็ไม่รุนแรงเท่าอื่นเกมหลายๆ เกม) สำหรับกราฟิคของ Devil May Cry 5 นั้นดูจะเน้นหนักไปที่ความ สมจริง และความละเอียดมากกว่าเกมภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา อย่างที่เห็นได้จากหน้าตาตัวละครและฉากหลังต่างๆ ที่ทำออกมาให้มี texture เหมือนของจริง มากกว่าจะแซมความเป็นการ์ตูนเข้ามาเหมือนอย่างภาคก่อนๆ เกมให้ความรู้สึกว่าได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบศัตรูและสิ่งของมาจากเกมพี่น้องอย่าง Bayonetta อยู่บ้าง ซึ่งในแง่ของการออกแบบก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมานิดนึงเมื่อนำไปเปรียบกับเกมภาคที่ผ่านๆ มา แต่ถึงเกมดูจะให้ความสำคัญกับความสมจริงมากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะละทิ้งสไตล์แอคชั่นสุดเปรี้ยวที่เป็นลายเซ็นของซีรี่ย์ โดยเหล่านักล่าปีศาจในเกมทุกคนยังคงล้างบางศัตรูไปพร้อมๆ กับการปล่อยมุขตลกและท่าทางยียวนกวนประสาทตลอดเวลา เกมยังคงให้ความสำคัญกับความ เท่ อยู่มากในการต่อสู้ (มีต่อในช่วงเกมเพลย์) และทั้งบทพูดและคัตซีนต่างๆ ก็ยังคงแนวแอคชั่นสุดเว่อร์วังตามแบบฉบับของซีรี่ย์ ซึ่งทั้งหมดก็ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมให้สะใจได้ตลอดเวลาที่เล่น สิ่งที่น่าชมที่สุดเกี่ยวกับกราฟิคของเกมคงเป็นเรื่องของอนิเมชั่นตัวละคร ที่ยังคงดูสมจริงและเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเกมจะเร็วขนาดไหนก็ตาม โดยอนิเมชั่นทั้งหลายมีความลื่นไหลมากพอที่ทำให้ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของคนจริงๆ อยู่บ้าง เมื่อเปรียบกับเกมอย่าง Red Dead Redemption 2 ที่ก็มีความละเอียดในอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวของตัวละครสูงมากๆ อนิเมชั่นของ Devil May Cry 5 ยังอาจจะมีความได้เปรียบอยู่นิดนึงด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดๆ แบบเดียวกับในเกม RDR2 ด้วย เกมเพลย์ พูดถึงข้อดีเรื่องการออกแบบและนำเสนอมาแล้วพอสมควร แต่เอาเข้าจริง สิ่งที่จะทำให้เกม Devil May Cry 5 ถูกจดจำในฐานะเกมที่ดีอันดับต้นๆ ของปี 2019 คงหนีไม่พ้นเกมเพลย์แอคชั่นของเกม ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีตในระดับที่น้อยเกมมากๆ ที่จะทำกันทุกวันนี้ แอคชั่นทุกท่าของตัวละครสามารถต่อเข้าหากันได้อย่างอิสระและลื่นไหล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนจอให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใต้การควบคุมของเราไม่มากก็น้อย เป็นเกมที่ต้องอาศัยฝีมือและทักษะจำเป็นในการเล่นเกมล้วนๆ (ความเร็ว ไหวพริบ ความแม่นยำในการควบคุม ฯลฯ) เพื่อเอาชนะมัน ซึ่งก็ทำให้หวนนึกไปถึงเกมยากๆ สมัยเด็ก ที่คุณภาพแทบจะวัดกันง่ายๆ ด้วยเกมเพลย์เพียงอย่างเดียว ถ้าจะต้องหาคำมานิยามความดีงามของเกมเพลย์ใน Devil May Cry 5 นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคำว่า บริสุทธิ์ น่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่รู้สึกมากที่สุด เกม Devil May Cry 5 นั้นไม่ใช่เกมที่พยายามจะปรุงแต่งการเล่นด้วยระบบเสริมหรือรายละเอียดตามฉากที่สวยเป็นพิเศษ แต่เป็นเกมที่ทุ่มกำลังทั้ง 120% ไปกับเกมเพลย์ทุกๆ วินาทีเลยทีเดียว แม้ว่าระบบการทำคอมโบของเกมอาจจะมีความซับซ้อนอยู่พอสมควรสำหรับผู้เล่นใหม่ แต่เมื่อเล่นจนคล่องแล้วก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สะใจทุกครั้ง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเทพทุกครั้งที่สามารถเรียงท่าการโจมตีออกมาเป็นคอมโบเท่ๆ ยาวๆ ได้ การที่เกมมีตัวละครให้เลือกเล่นถึง 3 ตัว และทั้ง 3 ตัวยังมีสไตล์การเล่นและท่าทางที่แตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์/อุปนิสัยของตัวเอง ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดที่ผู้เขียนชอบมากๆ เกี่ยวกับเกม Devil May Cry 5 เช่นกัน โดยตัวละครทั้ง 3 ตัวที่มีให้เลือกเล่นก็ประกอบไปด้วยนักล่าปีศาจมือเก๋าอย่าง Dante หนุ่มแขนด้วนเลือดร้อน Nero และพ่อหนุ่มปริศนาหน้าใหม่อย่าง V นั่นเอง สำหรับการเล่นของเนโรนั้นสามารถสื่อถึงความอัดอั้นคับแค้นของตัวละครได้เป็นอย่างดี (ก็โดนเค้าดึงแขนขาดไปนี่เนอะ...) จากท่วงท่าการเหวี่ยงดาบมือเดียวแบบทิ้งไปทั้งตัว ราวกับอยากจะใช้ดาบฟาดศัตรูให้เละกระจุยไปเลยมากกว่าการเฉือดเฉือนธรรมดาๆ โดยเกมเพลย์ของเนโรนั้นเรียกได้ว่ามีความตรงไปตรงมาที่สุดจากนักล่าทั้งสาม เน้นการใช้ท่วงท่าของดาบกับการยิงปืนควบคู่กันไป โดยมีลูกเล่นเล็กน้อยจากแขนกลชนิดต่างๆ ที่เลือกใส่ได้ ที่เปิดให้เราสามารถใช้ความสามารถพิเศษแตกต่างกัน เช่นแขนกลเบื้องต้นที่สามารถปล่อยไฟฟ้าเพื่อโจมตีศัตรูได้ หรือแขนกล Ragtime ที่ทำให้เราชะลอเวลาในพื้นที่เล็กๆ ได้ ซึ่งท่วงท่าการโจมตีทั้งหมดสามารถจับมาต่อกันเป็นคอมโบสุดเท่ได้อย่างอิสระเลยทีเดียว โดนเนโรจะเหมาะกับคนที่ชอบเกมเพลย์แบบแอคชั่นเพียวๆ ไม่ต้องพะวงกับระบบปลีกย่อยอื่นๆ เท่ากับตัวละครสองตัวที่เหลือ ส่วนตัวละคร V ก็แทบจะตรงข้ามกับเนโรไปเลย เพราะในขณะที่เนโรจะเน้นเข้าไปคลุกวงในเหล่าปีศาจ การเล่น V จะเน้นการรักษาระยะห่างกับศัตรูไปพร้อมๆ กับการสั่งให้อสูรรับใช้ของ V ต่อสู้แทน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์การเล่นอีกแบบ ทำให้ผู้เล่นต้องแยกประสาทระหว่างการโจมตีในฐานะสัตว์อสูร และการป้องกัน/หลบหลีกในฐานะ V ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นเกมเพลย์แบบที่ไม่ค่อยเห็นในเกมแอคชั่นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความเร็วและความปราณีตในการควบคุมของเกมเอาไว้ได้ทั้งหมดเลย โดยทั้งหมดนี้เองก็ยังสื่อถึงตัวตนของ V ในเนื้อเรื่อง ที่ดูจะเป็นคนที่คอยสังเกติการณ์เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ห่างๆ ในขณะที่ดันเต้และเนโรพุ่งเข้าไปรับมือกับศัตรูซึ่งๆ หน้า และแน่นอนว่าคงจะเป็นเกม Devil May Cry ไปไม่ได้ถ้าขาดลุงนักล่าปีศาจสุดกวนอย่างดันเต้ ที่กลับมาคราวนี้พกลูกเล่นมาเยอะมากจนผู้เขียนเลือกใช้ผิดๆ ถูกๆ ไปเลย ดันเต้ในภาคนี้ให้ความรู้สึกนักล่าปีศาจรุ่นพระกาฬจริงๆ ด้วยสไตล์การต่อสู้ทั้ง 4 และอาวุธพิศดารต่างๆ อีกหลายชิ้น ที่สามารถสลับสับเปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลาระหว่างคอมโบ ทำให้ดันเต้เป็นตัวละครที่เปิดให้ผู้เล่นที่เล่นเก่งแล้วได้โชว์ของกันอย่างเต็มที่เลยทีเดียว แต่เพราะแบบนี้ก็ทำให้ดันเต้เป็นตัวละครที่เล่นให้เก่งจริงๆ ยากที่สุดในตัวละครทั้ง 3 ด้วยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างตัวละครทุกตัวนั้นช่วยเสริมความหลากหลายในการเล่นเกมขึ้นไปอีกมาก เพราะแต่ละตัวก็เล่นไม่เหมือนกันเลยจริงๆ ทำให้ผู้เล่นต้องคอยเปลี่ยนวิธีเล่นอยู่เรื่อยๆ แทนที่จะใช้คอมโบเดิมๆ ซ้ำๆ ตลอดเกม แต่ในขณะเดียวกัน คนที่มีสไตล์การเล่นที่ชื่นชอบเป็นพิเศษก็อาจจะขัดใจได้บ้างเมื่อเกมบังคับให้เราต้องเล่นเป็นตัวละครที่ไม่ถนัดตามเนื้อเรื่อง นอกเหนือไปจากตัวละครของผู้เล่นแล้ว เกม Devil May Cry 5 ก็ยังคงความท้าทายอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรี่ย์เอาไว้ได้เช่นกัน แม้ว่าชนิดของศัตรูในเกมอาจจะไม่ได้มีเยอะมากนัก แต่ศัตรูทุกชนิดก็มีอุปนิสัยและวิธีการรับมือของตัวเอง ที่ทำให้เราต้องเล่นอย่างตั้งใจมากขึ้นกว่าเกมแอคชั่นหลายๆ เกมที่แค่กดปุ่มโจมตีรัวๆ ก็ผ่านไปได้แล้ว ทั้งนี้ ความท้าทายของเกมอาจจะทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนท้อแท้ได้เหมือนกัน เมื่อต้องรับมือกับวิธรการควบคุมของเกมที่แม้จะออกแบบมาได้อย่างดีแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนเกมแอคชั่นอื่นๆ และต้องใช้ความแม่นยำในการกดปุ่มคู่กับการเลือกทิศทางด้วยอนาล๊อค ที่อาจจะทำความเคยชินยากสำหรับผู้เล่นบางคน ยิ่งเมื่อเกมมีความเร็วมากๆ ขนาดนี้ ยิ่งทำให้การกดท่าต่างๆ ในจังหวะเร็วๆ บางครั้งก็ทำได้ยากเหมือนกัน แต่ถ้าฝึกไปเยอะๆ (เกมมีโหมดฝึกซ้อมที่ชื่อ The Void เอาไว้ให้ด้วย) ก็น่าจะกลบปัญหานี้ไปได้ประมาณหนึ่ง อีกเรื่องสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือเรื่องของ Micro-transaction หรือการขายของในเกมด้วยเงินจริง ซึ่งในภาคล่าสุดนี้จะเปิดให้ผู้เล่นสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อ Red Orb หรือหินแดงที่ใช้ในปลดล๊อคความสามารถพิเศษของตัวละคร ทั้งท่วงท่าการต่อสู้ไปจนถึงหลอดเลือดและหลอด Devil Trigger ด้วย ซึ่งในช่วงที่ผู้พัฒนาประกาศข่าวออกมาก็ทำให้ผู้เล่นหลายคนพากันเป็นห่วงว่าจะทำให้สมดุลของเกมเสียไหม หรือว่าเกมจะขี้เหนียวหินแดงเพื่อบังคับให้เราซื้อหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงต้องบอกว่าผู้เขียนเองแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเกมเปิดให้ซื้อหินแดงได้ เพราะเกมให้หินแดงจากการฆ่าศัตรูและการผ่านด่านเยอะมากๆ อยู่แล้ว จนผู้เขียนไม่เคยรู้สึกอยากจะต้องเจียดเงินซื้อเพิ่มเลย ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการมอบทางเลือกให้ผู้เล่น โดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อเกมเพลย์โดยรวมแต่อย่างใด สรุป สำหรับเกม Devil May Cry 5 นั้นคงไม่ต้องสรุปอะไรให้ยืดยาว เป็นเกมที่ทำให้นึกย้อนกลับไปยังสมัยที่เราเริ่มเล่นเกมใหม่ๆ ที่ความสนุกของเกมเพลย์นับเป็นองค์ประกอบเดียวที่สามารถชี้เป็นชี้ตายความสำเร็จของเกมได้ และบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ถ้าเล่นให้เป็นแล้วแทบจะไม่มีจังหวะที่ไม่สนุกเลย สำหรับคนที่ต้องการเกมที่ให้ความสนุกกับเราอย่างเต็มที่ ไม่พยายามปรุงแต่งประสบการณ์ด้วยระบบหรือเนื้อเรื่องซับซ้อน เกมนี้ถือเป็นเกมที่สร้างมาเอาใจคุณโดยเฉพาะ [penci_review id="20469"]
20 Mar 2019
รีวิว Jump Force ผู้พัฒนายังคงชอบทำอะไรแบบนี้ใช่ไหมในปี 2019 ?
Jump Force คือหนึ่งในเกมที่เกมเมอร์ทั่งโลก รอคอย กับการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของนิตยสารโชเน็งจัมป์ โดยนำเอาตัวละครจากการ์ตูนมาต่อสู้กันในเกม เพื่อเป็นการสนอง Need แฟนๆ ให้หายคิดถึง และล่าสุดตัวเกมได้วางจำหน่ายเรียบร้อยบนเครื่อง PC, PS4 และ Xbox One ในบทความนี้พวกเราชาว Game Fever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ดี / ไม่ดี ยังไง ควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ไปชมได้เลยจ้า เนื้อเรื่อง ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่โดนลูกหลงจากการบุกโจมตีของ ฟรีซเซอร์ ตัวร้ายสุดคลาสสิกของการ์ตูรชนดราก้อนบอล และในวินาทีที่เราจะสิ้นใจ ก็ได้ทรังค์อีกหนึ่งตัวละครจากดราก้อนบอลมาช่วยไว้ โดยเขาจะมอบ Umbras Cube ให้กับเรา จนเปลี่ยนให้เรากลายเป็น Jump Man (หนึ่งในทีมงานของเราตั้งให้ 555+) เพราะว่าตัวเรานั้นสามารถใช้สกิลต่างๆของตัวละครในการตูนได้มากมาย เช่น ท่าโจมพิเศษเป็นการเรียกดาบผนึกเห่งแสงของยูกิแต่ท่าไม้ตายเป็นกระสุนวิญญาณของยูสุเกะ ฟังดูก็เข้าท่าไม่เลวนะ และเราก็จะได้เข้าร่วมกับกองกำลัง J Force เพื่อรวบรวมพรรคพวกต่างๆ ในการ์ตูนที่โดนครอบงำด้วย Cube แดง พร้อมทั้งคอยปราบสิ่งชั่วร้ายทั่วโลก ซึ่งมันก็เรียกได้ว่าเป็นแพทเทิร์นเกมแนวต่อสู้การ์ตูนลูกผู้ชาย เพื่อนไม่ทิ้งกัน ตรงตามแบบฉบับของสไตล์สายหลักของนิตยสาร Shonen Jump เลยก็ว่าได้ แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ทำออกมาได้น่าผิดหวังมากๆ เพราะมันแทบทื่อไม่มีเสน่ห์ใดๆ ทั้งสิ้น และเควสต่างๆ หรือภารกิจเนื้อเรื่องก็จะเป็นแบบเดิมซ้ำๆ หลายเควสติดต่อกัน ยกตัวอย่างภารกิจส่วนใหญ่จะเริ่มด้วย เอ๊ะ !! คนแปลกหน้าคนนี้ถูกครอบงำ (ตัวการ์ตูนในจัมป์นั่นแหละ) เราไปดูหน่อยสิ พอไปถึงก็สู้ๆ เสร็จเก็บคิวบ์ครอบงำมาได้ พวกเราก็รับตัวละครนั้นเข้ากองกำลัง J Force ซึ่งถ้าหากว่าเควสแบบนี้มันมีแค่ 1-2 ภารกิจเราก็ยังพอรับได้ แต่มันมีมากกว่า 80% เลยนี่สิ มันบ่งบอกได้เลยว่าเกมนี้ผู้พัฒนาไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องเสียเท่าไร และเขานั้นขาดชั้นเชิงกับความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก บทพูดของตัวละครเองก็บ่งบอกได้ว่าผู้พัฒนาไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะในช่วงต้นเกมหรือฉากใหญ่ๆ ตัวละครทุกตัวในฉาก (ยกเว้นตัวเรา) จะมีเสียงพากษ์หมด แต่พออยู่ในเควสมิชชั่น เสียงภาคกับไม่มี กลายเป็นตัวละครพยักหน้า ขยับปาก และมีกล่องคำพูดขึ้นมาแทนซะงั้น ซึ่งแฟนๆ บางท่านอาจจะโต้แย้งผมในเรื่องประเด็นนี้ว่ามันเป็นปกติของเกมจาก Bandai Namco ที่เขามักจะทำแบบอย่างงี้แหละ แต่ก็อยากจะบอกว่านี่มันเป็นเกมสเกลใหญ่นะครับ เพราะถ้าไม่ให้คงไม่ขายถึง 60$ เท่ากับเกม AAA ที่ทำได้ดีกว่านี้หลายเท่า และไอ้ระบบพวกนี้เนี่ยมันเคยมีมาตั้งแต่สมัย PS2 แล้วนะ ผู้พัฒนาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันบ้างเลยหรือ ?   กราฟิก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวกราฟิกเองของ Jump Force ก็ทำออกมาได้สมกับการเป็นเกม Next Gen จริงๆ !! ภาพต่างๆ มีความสวยงามตามท้องเรื่องมาก ถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นของตัวละครมันจะดูทื่อๆ ในบางครั้ง แต่พวกสกิลเอฟเฟค การต่อสู้นี่เอาไปเต็มสิบกับความมันสนั่นจอ ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะมีข้อติอยู่บ้างที่ตัวเกมถ้าหากคุณใช้เครื่อง PS4 Pro แล้วเล่นจอ 4K ตัวเกมจะมีเฟรมเรทดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเล่นในจอ 1080p ปกติตัวเกมก็สามารถคงความลื่อไหลได้ดี และสิ่งที่ต้องวิพากษ์เลยสำหรับในประเด็นนี้คือตัวเกมใส่ Loading Screen เข้ามาเยอะจนน่ารำคาญ ผู้พัฒนาออกแบบระบบหน้าจอได้โหลโท่ยมากๆ ตัวเกมมี Loading Screen ทุกๆ ฉาก แม้กระทั่งฉากเปิดตัวก่อนเข้าไปหน้าต่อสู้ก็โหลด พอสู้เสร็จมีฉากพูดสองประโยคก็โหลด กลับไปอีกหนึ่งซีนก็โหลด ซึ่งบางทีในบางฉากมันควรจะต่อเนื่องกันหรือไม่ ? ดูอย่างเกม Street Fighter, Mortal Kombat หรือ Justice League เขาออกแบบมาได้ดีเยี่ยมและลื่นไหลกว่า Jump Force เยอะเลย [caption id="attachment_20137" align="aligncenter" width="1366"] Loading Screen มันทุกๆ 30 วิ น่าเบื่อที่สุด[/caption] เกมเพลย์ ถ้าจะให้พูดข้อดีอย่างเดียวของ Jump Force ก็คงหนีไม่พ้นตัวเกมเพลย์ ซึ่งถือแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเกมที่เคยทำมาก่อนหน้าอย่างเช่น Dragonball: Xenoverse, Naruto Shippuden: Ultimate Ninja Storm หรือ One Piece: Burning Blood แต่สิ่งที่รู้สึกแปลกตาที่สุดก็คือระบบการจัดทีมตัวละครที่เราสามารถเลือกตัวละครในจั๊มได้ 3 ตัวจาก 40 ตัวที่มีให้เลือก รวมถึงการกดคอมโบต่างๆ ในภาคนี้ถือว่าง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก เพราะการโจมตีเป็น 2 แบบ คือโจมตีเบา (สี่เหลี่ยม) กับ โจมตีหนัก (สามเหลี่ยม) การป้องกัน, การพุ่งเข้าหา ซึ่งเรียนรู้ได้ไม่ยาก มันเลยทำให้คนที่ไม่ได้เป็นสาย Hardcore เกมแนวต่อสู้ก็สามารถเล่นแบบนี้ได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีท่าโจมตีพิเศษ ซึ่งจะสามารถใช้ได้ตามเกจ MP ด้านล่างค่าพลังชีวิต ซึ่งแต่ละตัวละครจะมีท่าพิเศษอยู่คนละ 3 ท่า และมีท่าไม้ตายสุดยอดอีกคนละ 1 ท่า โดยแต่ละท่ามีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกัน เช่น การโจมตีระยะใกล้ การโจมตีระยะไกล ซึ่งมันทำให้เราสามารถพลิกแพลงในการต่อสู้ได้หลากหลาย ถือว่าเป็นข้อดีของเกมนี้เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จะให้ติในเรื่องนี้ก็คงจะมีแค่อย่างเดียวคือเกจหลอดเลือดที่ 1 รอบมีให้แค่หลอดเดียวเท่านั้น ต่อให้คุณไม่เปลีย่นตัวละครเลย แต่โดนต่อยจนเลือดหมดก็แพ้ได้ เอาจริงๆ ส่วนตัวชอบระบบเลือดในเกม Dragonball: Fighter Z มากกว่าที่มีการปั๊มเลือด มีเลือด 3 หลอด (ตัวละครละ 1 หลอด) ทำให้เกมสามารถพลิกแพลงได้ แต่ต่างกับ Jump Force ที่ทำได้ยากมากในการพลิกเกม ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนตัวละครจะมีผลในรูปเกม และคอมโบอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวมันควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้นะ รวมถึงตัวละครเองถึงแม้ว่าผู้พัฒนาจะใส่มาให้กว่า 40 ตัว แต่อย่างที่ทราบว่านิตยสารโชเน็งจั๊มป์เองมีเป็นร้อยๆ พันๆ เรื่อง แฟนๆ เองก็น่าจะมีตัวละครที่ชอบแตกต่างมากมาย แต่ภายในเกมหลักๆ 7-8 ตัวก็เป็น Dragonball แล้ว ไหนจะมี Naruto และ One Piece ก็รวมกันเป็นสิบๆ ตัว ซึ่งนี่ก็เกินครึ่งละ ส่วนตัวละครจากเรื่องอื่นๆ ก็จะมา เรื่องละ ตัวสองตัว รวมถึงบางตัวที่ควรจะมีก็ไม่มี อย่างผู้เขียนเองเป็นแฟน กินทามะ, นูเบ บลาๆ แต่กลับไม่มีตัวละครนี้ปรากฏเลย หรือว่าตัวละครพวกนี้น่าจะมาในแบบ DLC เพื่อหาเงินในอนาคตงั้นหรือ ? สรุป เอาจริงๆ บางทีตัวผู้เขียนเองอาจจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของ Bandai Namco ในการทำเกมนี้ก็ได้ เขาอาจจะอยากทำเกมเพื่อสนอง Need สาวกจั๊มป์ขนานแท้ หรือที่เนื้อเรื่องไม่เน้นเพราะอยากเน้นการเล่นแบบปาร์ตี้กับเพื่อนสู้ๆ กันไปก็ได้ ? (งั้นหรือ) ถ้าอย่างนั้นส่วนตัวคิดว่า Bandai Namco อย่าทำเกมเนื้อเรื่องเลย มันอาจจะทำให้ความศรัทธาที่มากล้น ค่อยๆ ลดทอนลงไป ยอมรับตามตรงว่าผมนั้นไม่เคยเล่นเกมไหนที่รู้สึกหงุดหงิด และอยากเลิกเล่นตลอดเวลาแบบนี้มาก่อน ในองค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมมันชวนง่วงจริงๆ การต่อสู้ก็ท้าทายดี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการเจอ Loading Screen มากมายขนาดนี้ รวมถึงในเรื่องบทพูดเอง ถ้าจะให้มองแบบคลาสสิค ตัวเกมก็อาจจะอยากพาเราย้อนไปเล่นแบบรูปแบบเก่าๆ ให้ชวนคิดถึง แต่ให้มองในแง่ของการพัฒนา และราคาที่ขายถึง 60$ คาดได้เลยว่าผู้พัฒนาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลยซักนิด ตัวเกม Jump Force ได้นำระบบของเกมเก่าๆ มาใช้ทั้งหมด ซึ่งเข้าใจว่ามันเป็นสูตรสำเร็จที่เขาเคยทำมาเมื่อสมัย PS2 ในการโด่งดังมาจากเกม Dragonball: Budokai รวมถึงเกม Dragonball: Xenoverse เองก็ได้รับคำชมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่านี่มันเป็นปี 2019 แล้วนะ !! ผู้พัฒนาหลายๆ ค่ายต่างเค้นระบบเจ๋งๆ และน่าทึ่งออกมานำเสนอมากมาย แต่ในเกมนี้ Bandai Namco กลับเลือกวิธีเดิมๆ แนวทางความสำเร็จเดิมๆ ในยุคที่แฟนๆ มีตัวเลือกในการเล่นเกมดีๆ มากขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ และอยากจะถามผู้พัฒนาว่า พวกเขาภูมิใจกับการทำอะไรแบบนี้ใช่ไหม ? [penci_review id="20062"]
06 Mar 2019
พรีวิวเกม Days Gone - ความรู้สึกจากการเล่นเดโม 2 ชม.
อย่างที่เกมเมอร์หลายคนน่าจะเคยได้สัมผัสมากับตัวเองไม่มากก็น้อย หนึ่งในเสน่ห์ของเกมแนวซอมบี้ก็คือการต่อสู้เอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้นับร้อยๆ ตัวที่ถาโถมเข้าใส่เหล่าผู้เล่นอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นเกมยอดนิยมอย่าง Left 4 Dead, Dead Rising หรือ Dying Light ล้วนเป็นเกมที่ใช้ธรรมชาติของซอมบี้ที่มักจะอยู่กันเป็นฝูงๆ ได้อย่างดี ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดันจากศัตรูนับไม่ถ้วนที่กรูเข้ามาแบบไม่คิดชีวิต สถานการณ์การต่อสู้กับเหล่าปีศาจกระหายเลือดทีละนับร้อยๆ ตัวนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดขายหลักของเกม Days Gone เกมซอมบี้ PS4 Exclusive ใหม่ล่าสุดจาก Bend Studio เลยก็ว่าได้ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางทีมงาน GameFever ได้มีโอกาสไปร่วมงานเดโมเกม Days Gone ที่จัดโดย Sony Thai และ PlayStation SEA และได้มีโอกาสทดลองเล่นเกม Days Gone แบบยาวๆ ถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว แม้ว่าในเดโมจะไม่ได้มีโอกาสได้ลองต่อสู้กับฝูงซอมบี้กลุ่มใหญ่แบบที่เห็นในเทรลเลอร์ แต่ก็ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสกับการควบคุมและระบบต่างๆ ของเกมนอกไปจากการต่อสู้ ตั้งแต่ภารกิจเนื้อเรื่องไปจนถึงระบบการสร้างอาวุธและปรับแต่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจ จึงอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันซะก่อน เพื่อจะได้เห็นภาพกันว่าเกมนี้เหมาะกับคุณหรือไม่ หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ใช่การรีวิว และความเห็นทั้งหมดที่กล่าวไปในบทความเป็นความเห็นจากการเล่นเกมเวอร์ชั่นที่ยังไม่สมบูรณ์เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการวิจารณ์เกมเวอร์ชั่นสมบูรณ์ กราฟิค/การนำเสนอ ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่องค์ประกอบที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุด นั่นก็คือเรื่องของกราฟิคและการนำเสนอของเกม Days Gone นั่นเอง โดยเกมจะตั้งอยู่ในรัฐ Oregon ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมรีกา รัฐมีลักษณะเป็นป่าทึบและภูเขาเป็นหลัก และมีน้ำตกและทะเลสาบมากมายกระจายอยู่รอบๆ ซึ่งทั้งหมดทำออกมาได้อย่างละเอียดสวยงาม ดูมีชีวิตชีวา และให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปในแต่ละ เขต ของเกมอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับกราฟิคใบหน้าตัวละคร ที่ทำออกมาให้สื่อความรู้สึกนึกคิดได้อย่างชัดเจนทั้งทางใบหน้า บทพูด และภาษากาย ถือเป็นเรื่องสำคัญเลยกับเกมที่ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องเหมือน Days Gone (อ่านต่อได้ในหมวดเนื้อเรื่อง) โดยผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นช่วงชั่วโมงแรกของเกม (ก่อนที่ผู้พัฒนาจะโหลดเซฟให้เล่นส่วนกลางๆ เกม) ที่เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักของเกม ซึ่งต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีในระดับที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอินไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะไม่ได้มีความสนใจเนื้อเรื่องของเกมเป็นพิเศษเลย แต่ถึงแม้ว่าเกมจะทำได้ค่อนข้างดีในเรื่องของกราฟิค สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยชอบก็คือเรื่องของ U.I. หรืออินเตอร์เฟซเกม (พวกหลอดเลือด เมนู ตัวเลขนับกระสุน ฯลฯ) ซึ่งดูแล้วรู้สึกจืดๆ ไม่น่าสนใจ แต่ดันใหญ่คับจอไปหมด ซึ่งก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ก็เป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่ถ้าทำให้ดีได้ก็คงทำให้ผู้เล่นสามารถใส่ใจกับรายละเอียดในฉากได้มากกว่านี้ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของ Days Gone จะติดตามตัวเอก Deacon St. John อดีตสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์ ที่ต้องกลายเป็นนักล่าค่าหัวพเนจรในโลกซอมบี้ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเกิดขึ้น 2 ปีหลักจากที่เชื้อซอมบี้แพร่ระบาดไปทั่วโลก และจะเน้นไปที่การติดตามชีวิตของตัวละคร Deacon ไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่เขาพยายามจะหาเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ในโลกซอมบี้นี้ หลักจากที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปในตอนที่เชื้อเริ่มระบาด ยอมรับตรงๆ ว่าผู้เขียนไม่เคยสนใจเนื้อเรื่องของเกม Days Gone เลยแม้แต่น้อย เพราะคิดไปเองว่าก็คงไม่ได้มีอะไรให้น่าสนใจเท่าไหร่ ซึ่งการเล่นเกมกว่าสองชั่วโมงนั้นทำให้ผู้เขียนต้องเปลี่ยนความคิดนี้ไปบ้าง เพราะแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมในส่วนที่ได้ลองเล่นมาจะยังไม่ได้มีอะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ตัวละคร บทพูด และการแสดงกลับมีความติดดิน เป็นเนื้อเรื่องที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกัน มากกว่าการกอบกู้โลกหรือการต่อสู้กับองค์กรชั่ว ซึ่งก็ช่วยทำให้ผู้เขียนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร จนอยากจะเล่นเกมต่อแค่เพื่อจะได้รู้ชะตากรรมของตัวละครเหล่านี้ต่อไปเลยทีเดียว ในตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าจะบอกได้ว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดของ Days Gone จะออกมาดีมากน้อยแค่ไหน แต่จากเวลาสั้นๆ ที่ผู้เขียนได้ใช้ไปกับเกม ก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่อาจจะน่าสนใจที่สุดแล้วก็ได้ในขณะนี้ เกมเพลย์ ถ้าจะให้พูดตรงๆ จากสามองค์ประกอบที่พูดถึงในบทความนี้ (กราฟิค เนื้อเรื่อง เกมเพลย์) เกมเพลย์ของ Days Gone อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจน้อยที่สุดแล้วก็ได้ ด้วยการควบคุมที่รู้สึกติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ไปจนถึงระบบการยิงปืนที่รู้สึกหลวมๆ ยิงยาก ก็ทำให้การเล่นเกม Days Gone เกิดจังหวะที่รู้สึกไม่สนุกขึ้นมาบ่อยๆ เช่นกันเพราะรู้สึกเหมือนตัวละครพยายามจะฝืนการควบคุมของเราตลอดเวลา อีกหนึ่งองค์ประกอบเกมเพลย์ที่สำคัญคือมอเตอร์ไซค์ของเรา ที่ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะเพียงหนึ่งเดียวที่เราจะสามารถหาได้ในเกม โดยมอเตอร์ไซค์ของเกม Days Gone จะบังคับให้ผู้เล่นต้องใส่ใจกับตำแหน่งของมันตลอดเวลา เพราะจะต้องกลับไปที่มอเตอร์ไซค์เป็นระยะๆ เพื่อเดินทางไปรอบๆ แผนที่ แถมยังต้องหมั่นเติมน้ำมันและซ่อมแซมความเสียหายอีก (เหมือนการเลี้ยงม้าใน RDR2 เป๊ะ) ซึ่งจากที่ลองเล่นมาก็ช่วยสร้างประสบการณ์สนุกๆ ได้ อย่างตอนที่ผู้เขียนน้ำมันหมดกลางทางจนต้องแวะสำรวจอาคารใกล้เคียงเพื่อหาน้ำมัน จนพบเข้ากับกลุ่มซอมบี้และต้องต่อสู้เอาตัวรอด หรืออย่างตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ล่อฝูงซอมบี้ให้เข้าไปโจมตีรังโจรเป็นต้น แต่ก็มีสิทธิ์จะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ง่ายๆ เช่นกันถ้าเราเกิดน้ำมันหมดในที่ที่ห่างไกลแหล่งน้ำมัน หรือถ้ารถเกิดเสียหายจนวิ่งไม่ได้จากอุบัติเหตุข้างทาง สำหรับระบบปลีกย่อยอื่นๆ อย่างการปรับแต่งมอเตอร์ไซค์หรืออาวุธนั้น ผู้เขียนได้สัมผัสมาเพียงเล็กน้อย โดยยังไม่เห็นอะไรที่พิศดารหลุดโลกเหมือนในเกมแนวโลกล่มสลายอื่นๆ (ใครหวังจะติดปืนกลบนมอเตอร์ไซค์อาจจะต้องคิดใหม่) และปืน/อาวุธระบะใกล้ที่มีให้ใช้ก็ยังธรรมดาๆ อยู่ เกมมีระบบ RPG เบาๆ ที่ให้ผู้เล่นอัพสกิลของตัวละครเพื่อพัฒนาการเล่นด้านต่างๆ (เช่นการยิงปืน การต่อสู้มือเปล่า การเอาตัวรอด เป็นต้น) แต่โดยรวมก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากถึงขนาดที่จะเปลี่ยนวิธีการเล่นไปได้ ทั้งนี้ ผู้เขียนยังไม่มีโอกาสได้ทดลองการต่อสู้กับฝูงซอมบี้กลุ่มใหญ่เหมือนที่เห็นในเทรลเลอร์ และก็ยังมีองค์ประกอบต่างๆ อย่างการบุกฐานศัตรูมนุษย์และการทำลายรังซอมบี้ (ที่เกมเรียกว่า Freakers) ที่ยังต้องทดสอบอีกเยอะ จึงยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเกมเต็มๆ จะออกมาสนุกแค่ไหน แต่เท่าที่ได้ลองจากเดโมนั้น ต้องบอกว่า Days Gone ยังมีอะไรให้ปรับปรุงได้อีกเยอะก่อนที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 26 เมษยนนี้ สรุป ในความเห็นของผู้เขียน ในตอนนี้ยังอาจจะเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า Days Gone เป็นเกมที่ดีแค่ไหนกันแน่ เพราะยังมีองค์ประกอบสำคัญหลายอย่างที่ผู้เขียนยังไม่ได้ลองเล่นเอง แต่ในเบื้องต้นนั้น Days Gone ยังไม่ได้แสดงอะไรที่จะทำให้รู้สึกว่าเกมแตกต่างไปจากเกมซอมบี้ในตลาดเท่าไหร่ เป็นเกมซอมบี้แนว Third-Person อีกเกมเท่านั้น คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเมื่อได้ลองเล่นเกมตัวเต็มจะทำให้รู้สึกสนุกมากกว่านี้หรือไม่
06 Mar 2019
รีวิวเกม Anthem - โครงเกมที่ดี...ถ้ามีเวลาอีกซัก 6 เดือน
ข้อดี เกมเพลย์สนุกมาก ระบบต่อสู้เล่นได้เรื่อยๆ กราฟิคสวยมาก ละเอียดกว่าเกมคู่แข่งแนวเดียวกันทุกเกมที่ผ่านมา ข้อเสีย เกมบังคับให้ต้องนั่งรอหน้าจอโหลดเกมบ่อยและนานมาก ปัญหาด้านเทคนิคและการออกแบบระบบปลีกย่อยยังเยอะมาก ระบบสกิลมีความจำกัดแปลกๆ ไม่สามารถเลือกได้เท่าที่ควร เนื้อหาน้อย พอจบเนื้อเรื่องแล้วไม่ค่อยรู้สึกอยากเล่นต่อ แนวเกม: Shooter-Looter RPG ผู้พัฒนา: Bioware จัดจำหน่าย: Electronic Arts (EA) เวลาเล่น: 50 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง และ Endgame ประมาณหนึ่ง) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (รีวิวในทั้ง PS4, PC) (ขอบคุณโค้ดรีวิวเกมจาก EA) เพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้อ่านบทความ พรีวิว Anthem - เล่าความรู้สึกจากเดโมครั้งล่าสุด ที่ทาง GameFever ปล่อยออกมาช่วงที่เกมเปิด Open Demo ระหว่างวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อาจจะพอจำกันได้ว่าผู้เขียนถือเป็นแฟนเกมแนว Shooter-Looter อยู่พอสมควร และ Anthem ก็เป็นหนึ่งในเกมที่ผู้เขียนคาดหวังเป็นอันดับต้นๆ ของช่วงต้นปี 2019 นี้เลยทีเดียว และแม้ว่าประสบการณ์ช่วงเดโมจะทำให้หวั่นๆ ใจไปบ้างว่าเกมอาจจะไม่ได้มีเนื้อหามากพอจะดึงความสนใจของผู้เล่นได้นานนัก ผู้เขียนก็ยังคงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ลองเข้าไปเล่นเกมตัวเต็มจริงๆ แต่หลังจากที่ได้เล่นเกมตัวเต็มแล้ว ก็พบว่าปัญหาต่างๆ ที่ผู้เขียนเคยประสบในช่วงเดโมนั้นไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควรเลย หน้าจอโหลดเกมที่รอนานจนหลับคาจอย (เกิดขึ้นจริงมาแล้ว) ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าที่ควรแม้จะมี Day-One Patch มาช่วยก็ตาม (โดยเฉพาะใน PC) ปัญหาการหลุดจากเกมก็ยังคงมีอยู่บ่อยมาก และที่สำคัญที่สุด เนื้อหาที่เกมตัวเต็มมีให้สำหรับคนที่เล่นจนจบเนื้อเรื่องแล้วก็มีอยู่น้อยมากๆ แถมยังไม่ได้แตกต่างจากเกมเพลย์ช่วงต้นหรือกลางเกมเท่าไหร่เลยด้วย ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนถึงตายของเกมแนวนี้เลยทีเดียว [caption id="attachment_19821" align="aligncenter" width="1920"] Roadmap อัพเดทของเกม หวังว่าผู้เล่นจะไม่เลิกกันไปก่อนนะ[/caption] แม้ว่าระบบเกมเพลย์ (การยิงปืน การใช้สกิล การบิน) จะยังคงสนุกอยู่มาก แต่ปัญหาแวดล้อมต่างๆ ของเกมกลับทำให้ประสบการณ์การเล่น Anthem นั้นเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิดจากการหลุด และความเบื่อจากการรอหน้าจอโหลดเกม มากกว่าความสนุกที่ได้รับจากการตะลุยภารกิจซะอีกในหลายๆ ช่วง ถ้าจะให้กล่าวโดยสรุป Anthem เป็นเกมที่มีโครงเกมเพลย์ที่ดีมากๆ และเกมน่าจะสามารถกลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมได้แน่นอนถ้าได้รับการแก้ไขปัญหาและเพิ่มเนื้อหามากกว่านี้ แต่แค่ไม่ใช่ในสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้นเอง กราฟิค/การนำเสนอ ดังที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ กราฟิคของเกม Anthem อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเกมเลยก็ว่าได้ ด้วยแผนที่ที่ออกแบบมาอย่างสวยงามและละเอียด มีสภาพแวดล้อมอันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลสาป ไปจนถึงซากปรักหักพังและถ้ำใต้ดิน ที่ทำให้การบินสำรวจโลกของเกมกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้ เพราะมีสภาพแวดล้อมและรายละเอียดในฉากให้ชื่นชมและค้นหาแทบจะตลอดทางเลยทีเดียว แถมการเพิ่มระบบการบินอย่างอิสระยังทำให้ผู้พัฒนาสามารถซ่อนความลับและ/หรือสมบัติไว้ตามมุมต่างๆ ได้มากกว่าเกมอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้การสำรวจโลกของเกม Anthem เป็นประสบการณ์ที่สนุกและน่าค้นหาอยู่ตลอด คุณภาพของกราฟิคยังครอบคลุมไปถึงชุด Javelin ที่มีรายละเอียดบนชุดเยอะมากๆ แถมรายละเอียดเหล่านี้ยังมีการขยับเขยื้อนไปมาตามการเคลื่อนไหวของเราตลอดเวลาอีกด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่เกมมีตัวเลือกชิ้นส่วนในการตกแต่งชุด Javelin น้อยเหลือเกิน มีตัวเลือกเพิ่มมาเพียงไม่กี่เซ็ตต่อชุดเท่านั้น แถมแต่ละชุดยังต้องใช้เงิน Coin ในเกม (หรือเติมเงิน Premium เอา) เพื่อซื้อ ฃซึ่งการมีตัวเลือกชุดเกราะเยอะๆ ถือเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้เล่นได้อย่างมากมาย แทนที่ทุกคนจะสวมใส่ชุดหน้าตาเหมือนๆ กันหมดทั้งเซิฟเวอร์เหมือนในปัจจุบัน [caption id="attachment_19829" align="aligncenter" width="1920"] ฉากใส่ชุด Javelin ที่ดูสิบครั้งก็เท่สิบครั้ง[/caption] แต่ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ผู้เขียนชอบที่สุดเกี่ยวกับการนำเสนอของเกม คงเป็นการที่เกมใช้ระบบการสั่นของจอยได้ดีมากๆ โดยจอยของเราจะสั่นเป็นจังหวะตามที่หุ่นก้าวเท้าเดิน หรือสั่นตามจังหวะการยิงของปืนเป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเสริมความ Immersive หรือความสมจริงของการเล่นขึ้นไปอีกระดับ เหมือนดูหนัง 4D เลยทีเดียว ซึ่งนี่อาจจะเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่หลายคนอาจจะไม่สังเกติด้วยซ้ำในระหว่างที่เล่น แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่เสริมประสบการณ์เกมได้ดีเลยทีเดียว อีกหนึ่งองค์ประกอบการนำเสนอที่เกมทำได้ดีคือกราฟิคหน้าตาตัวละครต่างๆ ในเกม โดยเฉพาะเหล่าตัวละครหลักทั้งหลาย ที่ทำสีหน้าออกมาได้ละเอียด แสดงออกความรู้สึกชัดเจนทั้งทางสีหน้าและภาษากาย ทำให้รู้สึกจริงๆ ว่าตัวละครเหล่านี้มีชีวิตชีวา โดยคุณภาพของการพากย์เสียงก็ช่วยเสริมตรงนี้ได้ดี แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้ทำให้สิ่งที่พูดน่าสนใจขนาดนั้นก็ตาม (อ่านต่อได้ในหมวดเนื้อเรื่อง) [caption id="attachment_19785" align="aligncenter" width="1920"] หน้าตาตัวละครมีชีวิตชีวาใช้ได้[/caption] ในแง่ของความลื่นในการรันเกมนั้น ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนเป็นคนที่เล่นเกมใน PS4 เป็นหลัก และเล่นเกมใน PC น้อยมากๆ จึงอาจจะไม่สามารถออกความเห็นได้ว่าเกม Anthem ถือเป็นเกมที่กิน spec เครื่องหนักมากน้อยกว่าเกมอื่นๆ ในตลาดหรือไม่ แต่ในกรณีของ Anthem ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมบนเครื่อง PC ที่มี spec ดังนี้: Intel Core i7-7th Gen, GTX 1060ti, 8GB RAM สามารถปรับกราฟิคระดับ High ได้ (เกมปรับเองอัตโนมัติ) และสามารถรันเกมได้ที่เฟรมเรตเฉลี่ยประมาณ 30-40 FPS ซะส่วนใหญ่ และมีจังหวะที่เฟรมเรตตกไปถึง 20 นิดๆ ด้วยในบางสถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่ก็ถือว่ายอมรับได้ ความกระตุกหรืออืดอาดที่พบดูเหมือนจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตซะมากกว่า ในส่วนของ PS4 นั้น แม้ว่ากราฟิคจะสู้ใน PC ไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเสถียรของตัวเกม โดยผู้เขียนพบว่าการเล่นเกมใน PS4 นั้นทั้งโหลดเร็วกว่า หลุดน้อยกว่า (แต่ใช่ว่าไม่หลุดเลย) และแม้ว่าเฟรมเรตจะไม่ได้สูงเท่ากับใน PC แต่ก็มีความนิ่งมากกว่า ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกถึงอาการกระตุกหรือหน่วงเท่าใน PC [caption id="attachment_19781" align="aligncenter" width="1920"] หน้าจอที่คุณจะได้เห็นบ่อยที่สุดในเกม[/caption] โดยรวมๆ นั้นการนำเสนอของ Anthem ถือว่าทำออกมาได้ในระดับที่พอใช้ แม้ว่ากราฟิคจะสวยและละเอียดขนาดไหนก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องความเสถียรก็ทำให้ไม่สามารถชมการนำเสนอของเกมโดยรวมได้อย่างเต็มปากนัก ที่สำคัญคือเกมพลาดโอกาสง่ายๆ ในการทำให้เกมเล่นสนุกขึ้นสำหรับผู้เล่น อย่างการเพิ่มตัวเลือกชิ้นส่วนชุดเกราะให้เยอะขึ้น หรือการเพิ่มโมเดลปืนไม่ให้ซ้ำกันไปหมดเป็นต้น เนื้อเรื่อง หนึ่งในสิ่งที่หลายคนคาดหวังจากเกม Anthem มากกว่าเกมคู่แข่งแนวเดียวกันน่าจะเป็นส่วนของเนื้อเรื่อง ที่เป็นจุดอ่อนของเกมคู่แข่งอย่าง Destiny และ The Division มาตลอด ด้วยชื่อเสียงเรียงนามของค่ายผู้พัฒนาเกม RPG ที่โด่งดังมาแล้วมากมายอย่าง Bioware ด้วย จึงทำให้หลายคน (รวมถึงผู้เขียนด้วย) มีความคาดหวังต่อเนื้อเรื่องของเกมมากกว่าเกมอื่นๆ จึงเป็นความหนักใจของผู้เขียนที่ต้องพบว่าเนื้อเรื่องของ Anthem นั้นทำออกมาได้แย่มากๆ ถึงขนาดที่แทบจะจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลยทีเดียว เกมพยายามจะนำเสนอโลกไซไฟ-แฟนตาซีอันลึกซึ้ง มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถเล่าเรื่องราวนั้นออกมาให้น่าติดตามได้ แถมเกมยังพยายามแนะนำตัวละครสำคัญใหม่ๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ โดยที่แทบจะไม่มีคำอธิบายเลยว่าตัวละครตัวนั้นๆ คือใคร มาจากไหน ในขณะที่กลุ่มตัวละครเสริมรอบๆ ตัวพระเอกกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จนสุดท้ายทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมในเนื้อเรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว เนื้อเรื่องหลักของเกมจะให้เรารับบทเป็น Freelancer (นักบินที่ใส่ชุด Javelin) นิรนาม ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับแผนการของกองทัพ The Dominion อันชั่วร้าย ที่ต้องการควบคุมวัตถุลึกลับที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเหล่าเทพผู้สร้างโลก (Shapers) เพื่อจะสามารถควบคุมพลังงานปริศนาที่มีชื่อว่า The Anthem of Creation (บทเพลงแห่งการสรรค์สร้าง) เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง [caption id="attachment_19831" align="aligncenter" width="1212"] ตัวร้ายที่โผล่มาซัก 5 ครั้งตลอดเกม[/caption] อาจจะด้วยรูปแบบของเกมที่ถูกตัดแบ่งออกเป็นภารกิจชัดเจนด้วยแล้ว ทำให้ Anthem ไม่สามารถใช้เวลากับการปูเรื่องราวของโลกและเกมได้เท่าที่ควร ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ กับเกมไซไฟจ๋าๆ ขนาดนี้ในการปูพื้นเรื่องราวของโลกให้ผู้เล่นรู้สึกเข้าใจว่าสิ่งที่ตนทำไปในเนื้อเรื่องมีความสำคัญอย่างไรกันแน่ เมื่อเกมพลาดองค์ประกอบนี้ไป ก็ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ที่ตามมาในเนื้อเรื่องแลดูขาดเหตุผลไปได้เหมือนกัน ซึ่งก็ส่งผลให้ยิ่งเกมดำเนินไปไกลเท่าไหร่ ความสนใจในเนื้อเรื่องมีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะไม่รู้เรื่องแล้วว่ามันคุยอะไรกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่องโหว่และปัญหาในเนื้อเรื่องหลายๆ จุดอาจจะสามารถแก้ได้ถ้าเกิดผู้เล่นเลือกที่จะหาข้อมูลเอาเองจากการคุยกับ NPC ทั้งหลายในเมือง Fort Tarsis ของเกม แต่สำหรับผู้เขียนบทสนทนาเหล่านี้ก็ประสบปัญหาไม่ต่างกับเนื้อเรื่อง นั่นก็คือการขาดอารมณ์ร่วมจากการที่เกมปูพื้นเนื้อเรื่องมาไม่ดีนั่นเอง ซ้ำร้าย ระบบตัวเลือกบทสนทนาของเกมก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นเกมของผู้เล่นโดยตรงแต่อย่างใด จะมีก็เพียงท่าทีของตัวละครบางตัวที่อาจจะเปลี่ยนไปตามทางเลือกของผู้เล่น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีผลเสียอะไรกับเรา ถ้าไม่นับการปลดล๊อคตัวเลือกในการปรับแต่งหุ่นหรือ Blueprint (พิมพ์เขียว) สำหรับการสร้างอาวุธ/ไอเทม ซึ่งไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ดูเหมือนจะปลดล๊อคได้อยู่ดี จนทำให้ผู้เขียนเลือกที่จะกดข้ามบทสนทนาเหล่านี้ไปเลยเพื่อจะได้ไปลุยภารกิจต่อได้เร็วๆ กล่าวโดยสรุป คนที่คาดหวังว่า Anthem จะมีเนื้อเรื่องน่าติดตามในแบบฉบับเกม Bioware อื่นๆ นั้นอาจจะต้องปรับความคาดหวังกันใหม่ทั้งหมดเลย เพราะ Anthem ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งหรือน่าสนใจใกล้เคียงกับเกมอย่าง Dragon Age และ Mass Effect เลยซักนิด อาจจะดีกว่า Destiny ภาคแรกในช่วงที่วางจำหน่ายใหม่ๆ อยู่หน่อยนึง แต่ก็ยังถือว่าไม่ผ่านในความเห็นของผู้เขียน ไม่ได้ช่วยเสริมประสบการณ์ของเกมแต่อย่างใด กลับทำให้เกมแย่ลงด้วยซ้ำ เพราะต้องบังคับให้ผู้เล่นกลับเมืองเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องอยู่ตลอด เป็นการขัดจังหวะการเล่นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความนานในการโหลดของเกม เกมเพลย์ สำหรับผู้เขียนที่ยอมรับตรงๆ ว่าเป็นแฟนเกมแนวนี้อยู่แล้ว เกมเพลย์ของ Anthem ถือเป็นองค์ประกอบที่ทำออกมาได้ดีที่สุดแล้วก็ว่าได้ การเหาะไปในอากาศและการต่อสู้ของเกมยังคงสนุกอยู่แม้ว่าผู้เขียนจะเล่นเกมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ชั่วโมงก็ตาม ด้วยระบบหลายๆ อย่างรวมกันที่ทำให้การเล่นมีมิติมากกว่าแค่เกม Third-Person Shooter (เกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม) ทั่วไป ในส่วนของระบบต่อสู้นั้น แม้ว่าการยิงปืนในตัวของมันเองอาจจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่ Anthem สามารถสร้างควา่มแตกต่างให้ตัวเองด้วยระบบคอมโบของเกม ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมรุ่นพี่ค่ายเดียวกันอย่าง Mass Effect นั่นเอง โดยหุ่นแต่ละชนิดในเกม Anthem จะสามารถใส่ความสามารถพิเศษไปใช้ในการต่อสู้ได้สามชนิดด้วยกัน คือสกิลธรรมดา สกิล Primer และสกิล Detonator นั่นเอง โดยสกิลธรรมดานั้นจะเน้นไปที่การสร้างความเสียหายตรงๆ อย่างเดียว ในขณะที่สกิล Primer จะทำให้ศัตรูติดสถานะผิดปกติ และเมื่อโจมตีศัตรูตัวนั้นซ้ำด้วยสกิล Detonator ก็จะทำให้เกิดคอมโบ ซึ่งจะส่งผลแตกต่างกันไปตามชนิดของหุ่นที่เป็นคนปิดคอมโบอีกด้วย [caption id="attachment_19784" align="aligncenter" width="1920"] ระบบคอมโบถือเป็นจุดแข็งของเกมอย่างหนึ่ง[/caption] ในเบื้องต้นนั้น ระบบคอมโบสามารถทำให้การเล่นเกมมีความหลากหลาย มีมิติมากขึ้นตามสกิลที่ผู้เล่นแต่ละคนเลือกใช้ แต่ในเบื้องลึกขึ้นนั้น ระบบคอมโบสามารถเปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถวางแผนร่วมกันเพื่อก้าวข้ามสถานการณ์ต่างๆ ก็ได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากเอฟเฟกพิเศษจากการปิดคอมโบของหุ่นแต่ละชนิด เช่นเมื่อโดนรุมหนักๆ ก็สามารถให้หุ่น Colossus ปิดคอมโบเพื่อสร้างความเสียหายต่อศัตรูเป็นวงกว้างได้ หรือถ้ามีศัตรูระดับบอสที่หนังเหนียวเอาไม่ลง ก็ให้หุ่น Ranger ข่วยปิดคอมโบเพื่อสร้างความเสียหายต่อบอสมากขึ้นก็ได้เป็นต้น นอกจากนี้ หุ่นแต่ละตัวยังมีแนวทางการเล่นที่แตกต่างกันอย่างมาก ยกตัวอย่างหุ่น Storm ที่มีความสามารถเหมือนอาชีพนักเวทย์ มีสกิลที่สร้างความเสียหายสูงในวงกว้างเยอะ แต่ก็เปราะบางมากๆ เช่นกัน แต่หุ่นจะได้รับเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นเมื่อบินอยู่กลางอากาศ ทำให้ผู้เล่นหุ่น Storm ต้องพยายามหาวิธีต่อสู้กลางอากาศตลอดเวลาเป็นวิธีเอาตัวรอด ในขณะที่หุ่น Colossus นั้นจะเน้นที่พลังล้วนๆ ทั้งสำหรับการโจมตีและป้องกัน สามารถใช้อาวุธหนักอย่างปืน Autocannon และ Grenade Launcher ได้ สามารถดึงโล่ห์ออกมาใช้กันการโจมตีได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จะไม่มีเกราะบาเรียเหมือนหุ่นตัวอื่นๆ (ต้องดึงโล่ห์ออกมากันเท่านั้น) แถมยังอืดอาดกว่า บินนานไม่เท่าหุ่นตัวอื่นๆ และที่สำคัญคือไม่สามารถพุ่งหลบเหมือนหุ่นตัวอื่นๆ ได้เป็นต้น [caption id="attachment_19832" align="aligncenter" width="1920"] หุ่น Storm ที่ต้องเอาตัวรอดด้วยการลอยตัวตลอดเวลา[/caption] อย่างที่เห็นว่าหุ่นทั้งสองตัวก็มีวิธีเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งลึกกว่าความแตกต่างในเรื่องของสกิลหรือค่าสถานะเท่านั้น แถมผู้เล่นคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนหุ่นได้ตลอดก่อนเริ่มภารกิจ ซึ่งก็ช่วยเสริมให้เกมเพลย์มีความหลากหลายมากขึ้นเช่นกัน ถ้าจะต้องตำหนิก็คงเป็นระบบช่องสกิล ที่ทำให้เราไม่สามารถเลือกผสมคอมโบสกิลได้ตามใจเท่าที่ควร โดยหุ่นแต่ละชุดจะมีช่องสกิลอยู่สองช่อง และแต่ละช่องจะมีรายชื่อสกิลที่สวมใส่ได้ตายตัว ยกตัวอย่างเช่นสกิล Burning Orb ของหุ่น Storm ที่ต้องใส่ช่องเดียวกับสกิล Frost Shards ทำให้ผู้เล่นที่อยากจะใช้สกิลสองสกิลนี้คอมโบกันไม่สามารถทำได้เป็นต้น อาจจะไม่ใช่จุดบกพร่องที่สลักสำคัญมากนัก แต่ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ถ้ามีน่าจะทำให้เกมมีความสนุกมากกว่านี้ [caption id="attachment_19826" align="aligncenter" width="3840"] ของในร้านค้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่น่าจะมีตัวเลือกเยอะกว่านี้[/caption] แต่แม้ว่า Anthem จะสนุกขนาดไหนในระหว่างที่ได้ต่อสู้ องค์ประกอบเกมเพลย์อื่นๆ นอกเหนือไปจากการต่อสู้กลับทำได้ไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่เกมเพลย์ส่วนเมือง Fort Tarsis ที่เชื่องช้าและน่าเบื่อ ไปจนถึงระบบการสนทนากับ NPC ที่ก็น่าเบื่อไม่แพ้กัน แต่เกมกลับบังคับให้ผู้เล่นต้องกลับไปที่เมือง Fort Tarsis ทุกครั้งหลังจบภารกิจเพื่อรับเควสและปรับเปลี่ยนอาวุธ/สกิลของหุ่น ทำให้การเล่นเกม Anthem เหมือนขัดจังหวะตัวเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ เนื้อหาที่เกมมีในขนาดนี้ยังถือว่าน้อยมากๆ เช่นจำนวนดันเจี้ยน (หรือที่เกมเรียกว่า Stronghold) ที่มีเพียง 3 ที่เท่านั้น ไปจนถึงไอเทมในเกมที่มีอยู่น้อย และหาได้ไม่ยาก (โดยเฉพาะในระดับเลเวลสูงๆ) ทำให้การเล่นเกมรู้สึกตันเร็ว เล่นไม่นานก็ผ่าน/เก็บหมดทุกอย่างแล้ว (ผู้เขียนใช้เวลาเล่นราว 50 ชั่วโมง ใส่ของระดับ Masterwork เกือบทั้งตัว) ซึ่งสำหรับเกมแนวนี้ ที่ผู้พัฒนาคาดหวังให้ผู้เล่นกลับมาเล่นเรื่อยๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือน/ปี ถือเป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้เกมต้องตายไปก่อนเวลาอันควรได้เลย แม้ว่าผู้พัฒนาจะออกมาพูดถึงเนื้อหาที่จะเพิ่มเข้ามาในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกันว่ากว่าอัพเดทเหล่านี้จะออกมา ผู้เล่นหลายๆ คนอาจจะบอกลาเกมโดยไม่หันหลังกลับไปซะแล้ว ซึ่งจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะผู้เขียนเชื่อจริงๆ ว่า Anthem จะสามารถกลายเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ถ้าเกมมีเวลาพัฒนาเนื้อหาไปอีกซักระยะหนึ่ง [caption id="attachment_19815" align="aligncenter" width="2549"] การสู้บอสตัวยักษ์สนุกดี แต่ดันมีน้อย[/caption] สรุป ถ้าถามผู้เขียนว่า Anthem เป็นเกมที่ สนุก หรือไม่ ผู้เขียนก็คงได้แต่ตอบตามความเห็นตัวเองว่าเกมยัง สนุก อยู่แน่นอนในเรื่องของการต่อสู้ ที่แม้จะเล่นมาแล้วเกิน 50 ชั่วโมงก็ยังไม่รู้สึกเบื่อเลย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าถามผู้เขียนว่า Anthem เป็นเกมที่ ดี หรือไม่ ผู้เขียนคงตอบได้ไม่เต็มปากนัก เพราะแม้เกมจะมีโครงสร้างเกมเพลย์ที่ดีอยู่ แต่ปัญหาด้านอื่นๆ ทั้งในเรื่องของปริมาณเนื้อหาไปจนถึงปัญหาเรื่องหน้าจอโหลดเกมและความเสถียร ก็อยู่ในระดับที่สามารถทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมเสียไปเลยได้เหมือนกันสำหรับหลายๆ คน สำหรับคนที่รู้สึกว่าอาจจะมองข้ามข้อบกพร่องต่างๆ ของเกมไปได้ Anthem น่าจะเป็นเกมที่มอบความเพลิดเพลินให้คุณและเพื่อนๆ ได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าจะต้องแนะนำจริงๆ อยากจะแนะนำให้รอไปก่อนซัก 3-6 เดือน เพื่อให้ผู้พัฒนาได้ปรับปรุงปัญหาต่างๆ และเพิ่มเนื้อหาเข้าไปมากกว่านี้ซะก่อน เพราะผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าถ้าเกมสามารถอยู่รอดไปได้จนถึงตอนนั้น (คือผู้เล่นไม่พากันเบื่อหน่ายหายตัวไปซะก่อน) Anthem ก็มีศักยภาพที่จะกลายเป็นเกมฮิตได้ไม่ต่างจาก Destiny หรือ The Division เลยเช่นกัน [caption id="attachment_19813" align="aligncenter" width="1454"] อนาคตที่สดใส(อาจจะ)รอเราอยู่...[/caption] [penci_review id="19319"]
28 Feb 2019
รีวิว Far Cry New Dawn ดีที่มีไอเดียใหม่ แต่เน้นเกินไปหรือเปล่า ?
Far Cry New Dawn เกมภาคใหม่ซีรีส์ไกลตะโกนจากทาง Ubisoft ที่เปิดตัวอย่างม้ามึดในงาน The Game Awards 2018 กับการต่อยอดเรื่องราวของเกม Far Cry 5 ที่จบได้อย่างตราตรึงใจ และทำให้คนอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อ รวมถึงในครั้งนี้ทางผู้พัฒนาก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นให้ต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง กับการใส่ความเป็น RPG ที่ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ และพวกเราชาว Game Fever TH จะมารีวิวเกมนี้อย่างละเอียด ดี หรือ ไม่ดียังไง ควรค่า !! แก่การซื้อหรือไม่ เราไปชมกันเลยครับ เนื้อเรื่อง ในเกม Far Cry New Dawn เป็นเรื่องราวต่อจาก Far Cry 5 ประมาณ 17 ปี ที่ในตอนจบภาค 5 นั้นเมือง Hope County ได้เกิดระเบิดนิวเคลียร์ลง ซึ่งหลังจากนั้นผู้คนที่หลงเหลือจากการหลบภัยใต้ดินก็ได้ก่อร่างสร้างอริยธรรมขึ้นมาใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้มีกลุ่มโจรนามว่า Highwaymen ผู้นำคือสองฝาแฝดสุดเกรียนอย่าง Mickey และ Lou ที่ต้องการจะปล้นดินแดนนี้ โดยเราจะได้รับบทเป็น Captian (ตัวละครที่สร้างเอง) หนึ่งในทีมผู้ช่วยเหลือที่ได้เดินทางมาเมือง Hope County เพื่อเข้ามากอบกู้ภัยร้ายจากสองฝาแฝดนั่นเอง ถึงแม้ว่าเรื่องราวของภาคนี้กับภาค 5 จะมีระยะห่างกันหลายปี แต่หลังจากได้เล่นมาก็ต้องบอกเลยว่านี่มันคือการสรุปจบเรื่องราวของตัวร้ายหลักในภาคที่แล้วอย่าง Josept Seed ด้วยส่วนหนึ่ง และมีการปูเส้นทางของภาคใหม่ที่เพิ่มตัวร้ายอย่าง Mickey และ Lou เข้ามา แต่ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้ค่อนข้างอ่อนกว่าภาค 3-4-5 เยอะพอสมควร ตัวเนื้อเรื่องจริงๆ แล้วไม่มีความซับซ้อนใดๆ เท่าไร ทั้งที่มีการปูเนื้อเรื่องหลายๆ อย่างที่น่าสนใจเข้ามา !! ในช่วงเริ่มต้นตัวเกมมีการดำเนินเรื่องที่ไวมากๆ ซึ่งส่วนตัวชอบนะเพราะมันจะทำให้เราไม่เบื่อ แต่เปล่าเลย ผมคิดผิด !! เนื้อเรื่องของเกมนี้มันไม่ได้ไว แต่เนื้อเรื่องมันน้อยเกินไปต่างหาก มันเลยดูเหมือนเป็นการเล่าเร็ว แต่แป๊ปๆ เอ้าจบแล้วหรอวะ !! ทั้งๆ ที่มันควรจะขยายความเนื้อเรื่องให้มากกว่านี้เซ่ !! รวมถึงมิติของตัวละครกลับแบนราบไม่ได้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะด้วยเนื้อเรื่องที่น้อยนิดของเกมนี้ บวกกับตัวละครที่ใส่เข้ามามากมาย มันเลยทำให้บทของแต่ละตัวละครเฉลี่ยกันออกมาไม่มากพอ เช่นในบางฉากที่ควรจะดึงดราม่าเรียกความเศร้าสร้อย แต่เนื่องจากความผู้พันธ์ที่น้อยเกินไป เราจึงไม่รู้สึกอินกับมันซักนิด และยิ่งหนักเลยก็คือตัวละครอย่าง Josept Seed ที่ภาค 5 นั้นมีมิติมาก เป็นคนที่น่าค้นหา น่าสงสัย ไม่แพ้กับ Vaas (Far Cry 3) หรือ Pagan Min (Far Cry 4) แต่ในภาค New Dawn เขากลับเป็นตัวละครที่แบนราบ บทน้อย ความเป็นมาเป็นไปในบางสาเหตุก็เล่าได้ไม่ชัดเจน ถึงแม้ตัวละครนี้อาจจะมีบทบาทต่อเนื้อเรื่องในช่วงท้าย แต่การเล่าเรื่องที่น้อยเกินไป มันเลยทำให้ตัวละครนี้ขนาดเสน่ห์เกินกว่าที่จะเป็น กราฟิก สำหรับกราฟิกในภาคนี้ก็ยังใช้ Engine เดียวกับเกม Far Cry 5 ที่เด่นในเรื่องแสงเงาอันสมจริงมาก แต่ก็ได้ปรับปรุงเฉดสีกราฟิกให้มีสีสันมากกว่าเดิม ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าให้มองดีๆ ตัวกราฟิกเองก็เหมือนกับภาคที่แล้วแหละ แต่มันต่างก็คงจะเป็น ในเรื่องทิวทรรศซะที่สีมันสวยขึ้นซะมากกว่า เช่นดอกไม้ใบหญ้า ที่มีสีชมพูเข้ามาตัด สีของชุดตัวละคร ซากปรักหักพังที่มีการทาสีให้สวยงามขึ้นบลาๆ มันเลยทำให้เกมภาค Far Cry New Dawn ดูสบายตามากขึ้น ฟิลของภาคนี้และภาค 5 จะแตกต่างกันอย่างเช่นเจน รวมๆ แล้วภาคก่อนหน้าจะดู Realistic มากกว่า แต่ในภาคนี้ดูเผินๆ จะมีกลิ่นอายความเป็นการ์ตูนนิดๆ แต่อย่างที่บอกว่าถ้ามองในเรื่องรายละเอียดจริงๆ กราฟิกของมันเองไม่ได้การ์ตูนเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่เฉดสีมันทำให้เราคิดไปแบบนั้น ซึ่งอันนี้อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนว่าจะชอบแบบไหนมากกว่า แต่ส่วนตัวรู้สึกชอบนะเพราะมันทำให้สบายตาเวลาเล่นมากกว่าเดิม และเล่นได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกปวดหัวเลย เกมเพลย์ เอาจริงๆ แล้วเกมในซีรีส์ Far Cry หลายๆ ภาคก็ใส่กลิ่นอายของความเป็น RPG เข้าไปเช่นระบบพัฒนาตัวละคร หรือการคราฟของ แต่ในภาคนี้จะเอาความเป็น RPG มาใช้แบบ 100% อย่างเช่นการขึ้นดาเมจการโจมตีแบบชัดเจน ตัวปืนมี Stats ความแรงให้ดูแบบจะๆ ที่ทำให้เราคาดการณ์ได้ดาเมจได้ ตัวปืนเองก็มีรูปแบบชัดเจนเช่น สีขาว, ฟ้า, ม่วง และทอง แต่จะมีการตัดระบบการแต่งปืนออกไปแทน ซึ่งของแต่งปืนจะติดมาให้เลยในอาวุธที่คราฟพวก Scope ซูมต่างๆ นาๆ โดนของแต่งมันจะดีขึ้นตามระดับของปืนอีกด้วย [caption id="attachment_19559" align="aligncenter" width="1024"] เวลายิงศัตรูจะมีเลขดาเมจขึ้นชัดเจน[/caption] [caption id="attachment_19560" align="aligncenter" width="1024"] ระบบปืน หรือรถจะแบ่งเป็นระดับ ที่จะมีความแรงต่างกันชัดเจน รวมถึงของแต่ง[/caption] ระบบการพัฒนาตัวละครทุกอย่างในภาคนี้จะรวมอยู่ด้วยกันเป็นการอัพเกรดบ้าน ถ้าหากว่าเราอัพเกรดในส่วนนี้เราจะได้รับเลือดมากขึ้น หรือ การอัพเกรดตรงนี้จะสามารถคราฟอาวุธระดับสูงได้เป็นต้น โดยการอัพทุกอย่างจะใช้แต้มเดียวกันที่เราสามารถหาได้จากการบุกยึดพื้นที่ศัตรู [caption id="attachment_19561" align="aligncenter" width="1024"] ระบบอัพเกรดบ้าน ที่จะมีจุดให้อัพเกรดหลายจุด และแต่ละจุดก็จะเพิ่มประสิทธิภาพแตกต่างกันไป[/caption] ส่วนบางระบบของเกมที่มีอยู่ในภาค 5 เองก็จะถูกนำมาใช้ในแบบเดียวกัน อย่างเช่นการคราฟของที่เราจะต้องหาวัตถุดิบต่างๆ ตามแผนที่หรือทำการล่าสัตว์ แล้วนำหนังไปขายก็จะได้วัตถุดิบมาเป็นของตอบแทน ระบบคู่หูที่จะมีความสามารถแต่งต่างกันไป สามารถบังคับให้โจมตี เดินไปในจุดต่างๆ ด้วยฟังชั่นสั่งการที่ใช้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง [caption id="attachment_19578" align="aligncenter" width="1024"] ระบบ ROSTER เพื่อนร่วมทางที่จะมีความสามารภแตกต่างกัน และสามารถอัพเลเวลหรืออัพเกรดเพื่อนได้ด้วย (ส่วนตัวใช้แต่หมา 5555+)[/caption] [caption id="attachment_19562" align="aligncenter" width="1024"] สามารถล่าสัตว์แล้วเอาหนังมาขายได้ ซึ่งจะได้วัตถุดิบเป็นของรางวัล[/caption] [caption id="attachment_19579" align="aligncenter" width="1024"] ตามแผนที่จะมีของคราฟให้เก็บ หรือจะสามารถทำเควสเสริมที่ได้รางวัลของคราฟโดยตรงก็ได้[/caption] โดยในเกม Far Cry New Dawn ต้องบอกเลยว่าทางผู้พัฒนานั้นได้ใส่ปัจจัยต่างๆ ให้เราจมลึกอยู่ในเกมเพลย์มากขึ้น ระบบต่างๆ ที่เรียนรู้ไม่อยาก และมันมีแรงจูงใจมากกว่าภาคก่อนๆ ที่จะทำให้เราอยากจะทำให้ตัวละครเราเก่งมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากความเป็น RPG ขนาดแท้ของเกมนี้จะมีระดับของศัตรูออกมาชัดเจน มันทำให้เรารู้ได้เลยว่า อาวุธเพียงแค่นี้ไม่สามารถที่จะจัดการศัตรูไหวแน่ เลยทำให้เราต้องไปหาปืนดีๆ มาใช้ก่อนที่จะทำภารกิจนั้นเป็นต้น จากความคิดเห็นส่วนตัว เอาตามตรงผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยชอบเกม FPS ที่มีความเป็น RPG จ๋าๆ ซะเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้น !! ก่อนที่เล่นเกมนี้ตัวผมเองก็ได้ตัดอคติออกไปทั้งหมด จึงได้รู้ว่าเกมเพลย์ของ Far Cry New Dawn เองมันก็สนุกใช้ได้เลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการนำระบบเก่าๆ ที่เคยมีในเกมเก่าๆ มาใช้ เช่นระบบ RPG เองก็เป็นข้อดีที่เคยทำแล้วประสบความสำเร็จมาในเกม Assassin Creed หรือระบบหลายๆ อย่างก็เป็นการปรับปรุงมาจากภาค 5 แต่ถึงอย่างนั้น โดยรวมของเกมเพลย์เองก็ยังยอดเยี่ยม เพราะในความเป็น RPG นั้น มันก็ยังมีกลิ่นอายของเกม Far Cry อยู่เช่นเดิมไม่เสื่อมคลาย ซึ่งสิ่งนี้แหละที่มันยังคงเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่า ฉันก็คือ Far Cry นะจ๊ะ !! สรุป โดยรวมของเกมนี้ส่วนตัวไม่ดีข้อติในเรื่องเกมเพลย์เลย เพราะมันยังยอดเยี่ยมอยู่เช่นเดิม ถึงแม้ว่าระบบของเกมจะคล้ายๆ กับภาคก่อนหน้า แต่การดีไซน์อะไรใหม่ๆ มันเลยทำให้เรานั้นมีแรงจูงใจในการดื่มด่ำกับเกมเพลย์ได้มากขึ้นกว่า Far Cry ภาคเก่าๆ ที่ต้องยอมรับว่า ผมเล่น Far Cry มาถูก แต่ไม่ค่อยมีความต้องการอยากอัพเกรดตัวละครให้เก่งซักเท่าไร แต่ในภาคนี้ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองต้องเก่งอยู่ตลอดเวลาไม่งั้นสู้เขาไม่ไหว ถึงแม้ระบบการอัพเกรดของมัน จะดูเหมือนเป็นการบังคับให้เราต้องเก่งก็เถอะ แต่ผมเองก็ยอมรับในจุดนี้ได้นะ เพราะพวกปืนม่วง ปืนทองต่างๆ มันน่าเย้ายวนใจให้คราฟมาใช้จริงๆ ส่วนข้อเสียและสิ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือตัวเนื้อเรื่องที่เล่าได้แย่มากกว่าภาคก่อน ส่วนตัวคิดว่าทางผู้พัฒนาอยากจะเน้นในเรื่องเกมเพลย์มากเกินไป เลยทำให้เนื้อเรือ่งอ่อนลงอย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้วเนื้อเรื่องภาคนี้ปูเริ่มมาได้ไม่แย่ แต่เนื่องจากคอนเท้นเนื้อเรื่องที่น้อยเกิน บวกกับต้องการจะดันเกมเพลย์เยอะๆ ดั่งที่กล่าวข้างต้น มันเลยดันเรื่องราวได้ไม่สุดและอินมากพอ เอาตามตรงเนื้อเรื่องของ Far Cry New Dawn น่าจะขยายความให้มากขึ้นอีกซัก 5-10 ชั่วโมงก็ยังดี ตอนนี้ส่วนตัวรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าซักเท่าไร เพราะอย่าลืมว่าจุดเด่นของฟาครายที่คนยังชื่นชอบกันอยู่ ก็คือเรื่องเกมเพลย์บวกกับเนื้อเรื่องที่ลงตัวกันพอดี ถึงแม้ว่ามันอาจจะเทียบชั้นไม่ได้ถ้าให้เปรียบเทียบกับเกมบางเกมก็เถอะ แต่มันก็เพียงพอที่ผู้คนจะหลงไหลกับมันแล้วแหละ ไม่เหมือนภาคนี้ที่เด่นอยู่ตรงแค่เกมเพลย์ส่วนเดียว แต่เรื่องราวแทบไม่มีอะไรให้พูดถึงมากเท่าไร [penci_review id="19318"]
22 Feb 2019
รีวิว Kingdom Hearts 3: จุดจบอันสมเกียรติของมหากาพย์กุญแจแห่งแสง
ข้อดี เกมกราฟิคสวยมาก มีเอกลักษณ์ตามสไตล์ Kingdom Hearts เกมเพลย์แนวแอคชั่นสายฟ้าแล่บยังสนุกไม่เสื่อมคลาย เนื้อเรื่องเอาใจแฟนๆ ของซีรี่ย์สุดชีวิต คลายปมจากเกมทุกภาค ข้อเสีย เกมค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ ในซีรี่ย์ มีอะไรให้ทำน้อย เนื้อเรื่องซับซ้อนมาก ถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อนน่าจะเข้าใจยาก แนวเกม: แอคชั่น RPG ผู้พัฒนา: Square Enix จัดจำหน่าย: Square Enix เวลาเล่น: ราวๆ 25 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One (รีวิวใน PS4 Pro) (ขอบคุณโค้ดรีวิวเกมจาก PlayStation SEA) ในช่วงที่เกมออกมาใหม่ๆ ในปี 2002 คงไม่มีใครคาดคิดว่า Kingdom Hearts จะกลายเป็นเกมมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่และยืนยงมานานนับทศวรรษfขนาดนี้ ด้วยคอนเซปสุดพิศดารที่จับเอาตัวละครสุดอมตะของดิสนี่ย์มาผสมกับความเป็น JRPG สไตล์จัดจ้านแบบ Final Fantasy ของ Square Enix ดูเป็นสองรสชาติที่น่าจะจับมาปรุงให้เข้ากันยากประมาณหนึ่ง แต่อย่างที่หลายๆ คนน่าจะได้ค้นพบ เกม Kingdom Hearts กลับกลายเป็นเกมที่สนุกกินใจมากกว่าที่หลายคนคิด และกลายเป็นซีรี่ย์ JRPG ตัวใหญ่ที่มีเกมภาคยิบย่อยปล่อยออกมาให้เล่นกันในเครื่องคอนโซล PS2 และคอนโซลพกพาหลายๆ รุ่นทั้งของโซนี่และนินเทนโด้ถึง 8 ภาคตลอด 16 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงเกม Kingdom Hearts 3 เกมภาคที่ 9 ในซีรี่ย์และภาคสุดท้ายของไตรภาค Xehanort ที่ดำเนินมาตลอดตั้งแต่ Kingdom Hearts ภาคแรกนั่นเอง [caption id="attachment_18135" align="aligncenter" width="1280"] ตาราง Timeline ของซีรี่ย์[/caption] ผู้เขียนเองก็อาจจะถือว่าเป็นแฟนของซีรี่ย์นี้อยู่ประมาณนึง และก็เคยเล่นเกมภาคหลักและภาคเสริมทั้งหลายมาแล้วเกือบทุกภาค (แต่จบบ้างไม่จบบ้าง) จึงมีความตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เห็นจุดจบของการเดินทางของโซระและผองเพื่อนเสียที และในฐานะแฟนก็คงต้องบอกว่าเกม Kingdom Hearts 3 ถือเป็นจุดจบที่น่าพอใจมากๆ สำหรับผู้เขียน เกมสามารถคลายปมที่ผูกเอาไว้จากเกมภาคต่างๆ ได้เกือบหมด และยังคงเกมเพลย์แอคชั่นสุดเท่ของซีรี่ย์ไว้ได้เป็นอย่างดี อาจจะไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดใจกับอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องที่ปูมาตลอดซีรี่ย์นั้นมีความลึกและยาวเกินกว่าจะสามารถเล่าให้เข้าใจแบบสั้นๆ ได้ และการที่เกมพยายามคลายปมทั้งหมดที่ผูกเอาไว้ในเกมภาคเสริมทั้งหลายก็แปลว่าคนที่ไม่เคยเล่นภาคเสริมทั้งหมด (หรืออย่างน้อยไม่รู้เรื่องมาก่อน) ก็อาจจะงงไปกับเหตุการณ์และตัวละครมากมายที่มีอยู่ในเกมได้ง่ายๆ เลย ที่สำคัญที่สุด โครงสร้างของเกมดูจะได้รับอิทธิพลมาจากเกม Final Fantasy 15 มาพอสมควรทั้งในรูปแบบของเกมเพลย์และเนื้อเรื่อง ซึ่งก็อาจจะไปขัดใจหลายๆ คนได้เช่นกัน ถ้าให้สรุปสั้นๆ เกม Kingdom Hearts 3 น่าจะเป็นเกมที่เหมาะกับแฟนๆ ของซีรี่ย์ที่รอคอยเกมนี้มาตลอด แต่ความต้องการจะตอบโจทย์แฟนๆ ก็ทำให้เกมเข้าถึงยากสำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามซีรี่ย์มาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน กราฟิค/การนำเสนอ ดังที่เห็นกันในเทรลเลอร์และสกรีนช๊อตมากมายที่ผ่านมา เกม Kingdom Hearts 3 ยังคงกราฟิคอันสดใสสไตล์ดิสนี่ย์ผสมกับสไตล์อันจัดจ้านของ JRPG สูตร Square Enix เอาไว้ได้เป็นอย่างดี อนิเมชั่นการเคลื่อนไหวและรายละเอียดของตัวละครและสิ่งของตามฉากสามารถรักษาตัวตนของโลกดิสนี่ย์นั้นๆ เอาไว้ได้ ที่สำคัญคือเกมรันอยู่ที่เฟรมเรต 60 FPS (ใน PS4 Pro) แบบคงที่แทบจะตลอดทั้งเกม ซึ่งก็น่าชมเพราะเกมมีเอฟเฟคและแสงสีจากท่าโจมตีพิเศษต่างๆ เยอะแยะเต็มจอแทบจะตลอดเวลา [caption id="attachment_18372" align="aligncenter" width="1920"] มีแสงระยิบระยับเต็มจอตลอดเวลาที่ต่อสู้[/caption] สิ่งที่น่าชมที่สุดเกี่ยวกับกราฟิคของเกมคือการที่เกมสามารถรักษาเอกลักษณ์ของโลกดิสนี่ย์ต่างๆ ไว้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกของเล่นใน Toy Story ไปจนถึงโลกจากหนัง Live-action (หนังคนแสดงจริง) อย่าง Pirates of the Caribbean ทุกโลกล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามโลกนั้นๆ ซึ่งก็ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมให้มีความหลากหลายขึ้นมาจริงๆ เพราะโซระในโลกหนึ่งก็อาจจะมีชุดหรือกระทั่ง Texture ตัวละครที่เปลี่ยนไปด้วย แน่นอนว่าข้อปรับปรุงเหล่านี้ทั้งหมดก็ส่งผลต่อคุณภาพของฉากคัตซีนด้วย โดยฉากคัตซีนของ Kingdom Hearts 3 ก็ยังคงลายเซ็นแอคชั่นไร้แรงโน้มถ่วงของผู้กำกับ Tetsuya Nomura เอาไว้ได้ (นึกภาพไม่ออกลองไปดูหนัง Final Fantasy VII: Advent Children) ซึ่งพอนำมารวมกับกราฟิคแนวการ์ตูนของ Kingdom Hearts แล้วก็ทำให้ฉากคัตซีนมีความน่าตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง แถมตัวละครทั้งหลายยังแสดงสีหน้าต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้การสื่ออารมณ์ตามเนื้อเรื่องพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งด้วย [caption id="attachment_18374" align="aligncenter" width="1920"] เห็นน้ำตาตัวละครเป็นหยดๆ[/caption] ข้อปรับปรุงอีกอย่างนึงในเรื่องของการนำเสนอที่ส่งผลต่อเกมเพลย์อย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของแผนที่ ที่เปลี่ยนจากแบบเก่าที่เป็นห้องเล็กๆ หลายๆ ห้องต่อกัน และต้องเข้าหน้าจอโหลดเกมทุกครั้งที่เปลี่ยนห้อง โลกส่วนใหญ่ใน Kingdom Hearts 3 จะมาในรูปแบบของแผนที่กว้างๆ เพียงอันเดียว ซึ่งเปิดโอกาสให้เราสามารถสำรวจโลกได้ลึกกว่าที่ผ่านมา แถมการออกแบบฉากยังสามารถเพิ่มความสูงหรือความกว้างได้มากขึ้น ซึ่งก็ทำให้การเคลื่อนที่อันสุดเหวี่ยงของเกมเปิดกว้างขึ้นไปอีกระดับด้วย เนื้อเรื่อง สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Kingdom Hearts 3 จะเริ่มขึ้นต่อจากเกมภาค Dream Drop Distance ที่วางจำหน่ายสำหรับเครื่อง 3DS ในปี 2012 นั่นเอง โซระและริกุได้เข้ารับการทดสอบ Mark of Mastery เพื่อเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ Keyblade เพื่อเตรียมรับมือกับ Xehanort แต่ในขณะที่ริกุสามารถผ่านการทดสอบได้นั้น โซระกลับทำผิดพลาดจนเกือบโดน Xehanort เข้าครอบงำ และแม้ว่าสุดท้ายโซระจะหลุดพ้นจากการครอบงำมาได้ แต่พลังที่สั่งสมมาตลอดก็ดันโดน Xehanort ดูดเอาไปด้วย จึงไม่ผ่านการทดสอบในที่สุด เนื้อเรื่องของเกม Kingdom Hearts 3 จึงเริ่มขึ้น โดยโซระจะต้องออกเดินทางไปยังโลกดิสนี่ย์ต่างๆ เพื่อฟื้นฟูพลังแห่งแสงในตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่ริกุและราชามิกกี้เมาส์ก็ออกเดินทางเพื่อหาวิธีปลดปล่อยปรมาจารย์ Aqua จากดินแดนแห่งความมืด เพื่อที่จะได้ปลุกชีพ Ventus ขึ้นมาและรวบรวม แสงทั้ง 7 ไว้ต่อกรกับ Xehanort และ ความมืดทั้ง 13 นั่นเอง [caption id="attachment_18375" align="aligncenter" width="1920"] Xehanort และความมืดทั้ง 13[/caption] นอกซะจากว่าคุณจะเป็นแฟนตัวยงที่เล่นเกมภาคเสริมอย่าง Dream Drop Distance และ Birth By Sleep มาก่อน แค่เรื่องย่อด้านบนก็คงทำให้งงหัวหมุนกันไปหมดแล้ว แต่สำหรับแฟนๆ ที่เล่นเกมภาคเสริมมาแล้วนั้น เนื้อเรื่องของเกม Kingdom Hearts 3 เปรียบเสมือนบทสรุปของเหตุการณ์ทั้งหมดในซีรี่ย์ ที่จะนำทุกอย่างกลับมาบรรจบกันเป็นเส้นเรื่องเดียวจนได้ ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับเกมนี้ ในแง่นึงก็ทำหน้าที่ของภาคต่อได้ดีเพราะสามารถคลายปมทั้งหมดได้อย่างน่าพอใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกมดูจะไม่แยแสคนที่ตามเนื้อเรื่องไม่ทันเท่าไหร่เช่นกัน พูดง่ายๆ คือคนที่อยากจะเล่น Kingdom Hearts 3 ให้สนุก จะต้องรู้เรื่องเกมภาคเก่าๆ มาก่อนเป็นอย่างดีประมาณหนึ่ง ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าจะเข้าใจสิ่งที่ตัวละครคุยกันเลย อีกหนึ่งจุดอ่อนของเกมคือปัญหาเรื่อง Pacing หรือการจัดจังหวะของเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องที่มีความไม่สม่ำเสมอ เพราะเกมต้องเล่าทั้งเนื้อเรื่องของเกมเอง และเนื้อเรื่องของการ์ตูนดิสนี่ย์ต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในหลายครั้งก็เกี่ยวข้องกันเพียงเบาบางเท่านั้นเอง จึงมีจังหวะที่ทำให้รู้สึกเหมือนเนื้อเรื่องหลักหยุดอยู่กับที่เหมือนกัน เช่นตอนที่เกมบังคับให้โซระและผองเพื่อนต้องหยุดฟังเอลซ่าร้องเพลง Let It Go (แบบเต็มเพลง) ขนาดที่เพื่อนร่วมทางของโซระอย่าง Goofy และ Donald ยังแซวหลายครั้งตลอดการเดินทางว่า นี่มันใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ?! [caption id="attachment_18376" align="aligncenter" width="1920"] เอาเวลาไปกู้โลกเถอะหนุ่ม Rabbit ไม่ได้กล่าวไว้[/caption] อิทธิพลของเกม Final Fantasy 15 (ซึ่งเป็นเกมที่คุณ Tetsuya Nomura ผู้กำกับเกมมีส่วนช่วยออกแบบเยอะมาก) ออกมาชัดเจนที่สุดในช่วงท้ายเกมในขณะที่เนื้อเรื่องเริ่มเร่งความเร็วสู่ตอนจบ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทำให้รู้สึกเหมือนเกมกำลังพยายามเร่งตัวเองให้จบขึ้นมานิดหน่อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีจังหวะน่าตื่นเต้นและซาบซึ้งเอาใจแฟนๆ มากมายเช่นกัน จึงอาจจะไม่รู้สึกขัดใจเท่ากับในกรณีของ Final Fantasy 15 โดยรวมๆ แล้ว ต้องยอมรับว่าในแง่ของโครงสร้างเนื้อเรื่องเกม Kingdom Hearts 3 ยังคงมีส่วนให้ปรับปรุงได้เยอะเมื่อเทียบกับการเล่าเรื่องในเกมภาคก่อนๆ แต่เกมก็มีตอนจบที่น่าพอใจมากพอที่แฟนๆ ของซีรี่ย์น่าจะทำใจมองข้ามข้อด้อยเหล่านั้นไปได้ แต่คนที่ไม่อินกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่อาจจะรู้สึกขัดๆ คล้ายๆ กับในเกม Final Fantasy 15 เช่นกัน เกมเพลย์ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น Kingdom Hearts 3 ไม่ได้แตกต่างกับเกมภาคก่อนหน้าอย่างภาค 2 เท่าไหร่นัก โดยยังคงใช้ระบบแอคชั่นแบบเลือกจากเมนูเหมือนภาคเก่าๆ เปี๊ยบเลย แตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่เกมเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนที่จากภาค Dream Drop Distance ที่ให้เราสามารถวิ่งไต่กำแพงหรือใช้สิ่งของในฉากในการช่วยต่อสู้ได้ประมาณหนึ่ง และยังมีระบบการใช้ท่าหรืออาวุธพิเศษจาก Birth By Sleep อยู่ด้วย แต่นอกจากนั้นก็ถือว่าการควบคุมยังเหมือนเดิมแทบจะทั้งหมดเลย สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคงจะเป็นระบบอาวุธ Keyblade ที่ก็ดูจะได้รับอิทธิพลมาจากเกม Final Fantasy 15 อีกเช่นกัน โดยในภาคนี้โซระจะสามารถสวมใส่ Keyblade ได้พร้อมกันถึงสามเล่ม ซึ่งสามารถเปลี่ยนไปมาได้ตลอดระหว่างการต่อสู้ และแต่ละเล่มยังมีความสามารถในการกลายร่างเป็นอาวุธชนิดต่างๆ ได้อีก ทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายเปลี่ยนไปตาม Keyblade/อาวุธที่ใช้ในขณะนั้น และสามารถเปลี่ยนอาวุธไปมาได้อย่างอิสระตามสถานการณ์อีกด้วย ซึ่งก็เหมือนกับความสามารถของ Noctis ที่สามารถสวมใส่และสับเปลี่ยนอาวุธได้อย่างอิสระ ซึ่งระบบนี้ก็เพิ่มความหลากหลายในการต่อสู้ได้ประมาณหนึ่ง อย่างอาวุธโล่ห์ Counter-Shield ที่ได้จาก Keyblade ของโลก Olympus ซึ่งมาพร้อมกับความสามารถในการกดกันค้างไว้ได้ (ปกติเวลากันจะกันเพียงพริบตาเดียว ทำให้ต้องกะจังหวะกันดีๆ) และมีท่าโจมตีสวนขึ้นอยู่กับว่ากันการโจมตีได้กี่ครั้ง ซึ่งก็ทำให้วิธีการที่เราต่อสู้กับศัตรูเปลี่ยนไปได้ [caption id="attachment_18243" align="aligncenter" width="1200"] Keyblade จากโลก Olympus กลายร่างเป็นโล่ห์ได้[/caption] แต่ก็ไม่ใช่ Keyblade ทุกเล่มที่จะสามารถเปลี่ยนวิธีเล่นไปได้อย่างชัดเจนเท่าโล่ห์ Counter-Shield เช่นกัน โดยเฉพาะเล่มท้ายๆ เกมที่เริ่มมีความสามารถซ้ำกับ Keyblade ช่วงต้นเกม (เช่น Keyblade จากโลก Tangled และหมีพูห์ ที่เปลี่ยนเป็นปืนทั้งคู่) ซึ่งก็น่าเสียดายที่ระบบนี้ไม่สามารถมอบความหลากหลายได้มากกว่านี้ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นระบบใหม่ที่ทำให้การต่อสู้น่าสนใจมากขึ้นมาได้นิดหน่อย [caption id="attachment_18377" align="aligncenter" width="1024"] ปืนยิงน้ำผึ้ง ของขวัญจากหมีพูห์[/caption] นอกจากนี้ ยังมีท่าพิเศษชุดใหม่ที่เกมเรียกว่า Attraction ซึ่งอิงมาจากเหล่าเครื่องเล่นต่างๆ ในสวนสนุก Disney Land เช่นเรือไวกิ้งหรือม้าหมุนเป็นต้น โดยท่าเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับมินิเกมเล็กๆ ของตัวเอง ซึ่งในแง่หนึ่งก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้การต่อสู้ได้บ้าง แต่เพราะจำนวนท่าที่ค่อนข้างน้อย (มีอยู่เพียง 5-6 ท่าเท่านั้น) แถมแต่ละท่ายังจะมีคัตซีนสั้นๆ ทุกครั้งที่กดใช้อีก และที่สำคัญที่สุด เราจะไม่สามารถเลือกได้ว่าท่าเหล่านี้จะใช้ได้เมื่อไหร่ และเลือกไม่ได้ด้วยว่าพอใช้ได้จะออกมาเป็นท่าไหน เพราะไม่ใช่ทุกท่าที่จะใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ทำให้ช่วงหลังๆ รู้สึกน่ารำคาญขึ้นมามากกว่าจะมีประโยชน์ในบางครั้ง [caption id="attachment_18378" align="aligncenter" width="1920"] เรียกเรือไวกิ้งออกมาชนซะเลย[/caption] อีกหนึ่งระบบที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการต่อสู้คือระบบ Link หรือที่หลายๆ เกมน่าจะเรียกว่าซัมม่อนนั่นเอง โดยโซระจะสามารถเรียกผองเพื่อนตัวละครจากการ์ตูนดิสนี่ย์เช่น Simba (จาก Lion King) หรือ Wreck-it-Ralph ออกมาช่วยต่อสู้กับศัตรูและเพิ่มเลือดของเราไปพร้อมๆ กัน โดยแต่ละตัวจะมาพร้อมกับมินิเกมย่อยๆ ของตัวเองเหมือนกับท่า Attraction แต่เพราะเราสามารถเลือกใช้ได้ทุกเมื่อ ทำให้ท่าเหล่านี้รู้สึกมีประโยชน์กว่า สามารถใช้พลิกสถานการณ์คับขันหรือลดจำนวนศัตรูเวลาโดนรุมได้ สำหรับแฟนๆ ของซีรี่ย์น่าจะคุ้นเคยและทำความเข้าใจกับระบบต่อสู้ของเกมได้ไม่ยากอยู่แล้ว และเอาเข้าจริงน่าจะเล่นได้ง่ายกว่าเกมภาคก่อนๆ ประมาณนึงเพราะโซระดูจะมีตัวเลือกในการโจมตีมากขึ้น จนทำให้เราแทบจะไม่ต้องหลบหรือกันเลยเพราะสามารถบุกได้ตลอดเวลา แต่สำหรับคนทั่วไปอาจจะมีความสับสนอยู่เล็กน้อยด้วยความสามารถของตัวละครที่มีอยู่เยอะ และมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเก็บเลเวลตัวละครสูงขึ้น จึงพูดได้ว่าเกมอาจจะต้องใช้ความเคยชินประมาณหนึ่งซะก่อนถึงจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความลื่นไหลในการต่อสู้ของเกม [caption id="attachment_18379" align="aligncenter" width="1024"] Simba กลับมาด้วยความหัวร้อนกว่าทุกครั้ง[/caption] นอกเหนือจากการต่อสู้นั้น Kingdom Hearts 3 ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรให้ทำเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น โดยความหลากหลายของเกมเพลย์จะมาจากวิธีการเล่นที่แตกต่างกันไปเล็กน้อยในโลกดิสนี่ย์แต่ละใบนั่นเอง เช่นโลก Toy Story ที่ให้เราสามารถขึ้นไปขี่หุ่น Gigas Mech เพื่อต่อสู้กับศัตรู (ที่ก็สามารถขี่หุ่นได้เช่นกัน) หรือระบบการล่องเรือของโลก Pirates of the Caribbean ที่ช่วยทำให้เกมเพลย์ไม่จำเจกันตลอดทั้งเกม แต่ก็เป็นเพียงโบนัสเล็กๆ เท่านั้น และพอจบเนื้อเรื่องของโลกแต่ละใบก็ไม่มีเหตุผลให้เราต้องกลับไปเล่นซ้ำอีก [caption id="attachment_18380" align="aligncenter" width="1486"] ขับเรือโจรสลัดสนุกสนานในโลก Pirates of the Caribbean[/caption] เกมเพลย์อีกส่วนที่เราจะได้สัมผัสบ่อยๆ ตลอดการเดินทางก็คือระบบการขับยาน Gummi Ship ไปมาระหว่างโลกต่างๆ นั่นเอง โดยแม้ว่าในภาคนี้จะพัฒนาระบบนี้ให้จริงจังขึ้นมามากกว่าครั้งก่อนๆ และเปิดให้เราสามารถสำรวจจักรวาลของเกมได้อย่างอิสระ แทนที่จะเป็นด่านแยกๆ กันเหมือนที่ผ่านมา แต่เกมเพลย์ของ Gummi Ship ก็ยังเป็นเพียงตัวขั้นเวลาเล็กๆ ในระหว่างการสำรวจโลกเท่านั้น แถมของรางวัลที่ได้รับจากการเล่นก็มักจะเป็นของที่ใช้ได้ในโหมด Gummi Ship เท่านั้นอีก เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องสนใจกับระบบมากกว่าที่จำเป็นเลย คนที่ไม่ชอบก็จะไม่ต้องใช้เวลากับมัน ซึ่งก็คงเป็นเรื่องดีที่เกมให้ทางเลือกนี้กับผู้เล่น แต่ในอีกแง่ก็น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถทำให้ระบบนี้สนุกได้แบบเดียวกับในเกมอย่าง Nier: Automata ที่มีระบบคล้ายๆ กัน [caption id="attachment_18381" align="aligncenter" width="1920"] ขับยาน Gummi Ship ท่องอวกาศได้แบบอิสระ[/caption] โดยรวมๆ แล้วเกมเพลย์ของ Kingdom Hearts 3 ก็ไม่ได้แตกต่างกับเกมเพลย์ของภาค 2 มากนัก อาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำจากการที่ผู้เล่นมีเครื่องมือสำหรับต่อกรกับศัตรูมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความสนุกและท้าทายในระดับที่ทำให้เกมไม่น่าเบื่อ แม้ว่าเกมเพลย์โดยรวมจะไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมายก็ตาม สรุป 8/10 [caption id="attachment_18382" align="aligncenter" width="1920"] บทสรุปการเดินทางของโซระและผองเพื่อน[/caption] ในฐานะแฟนซีรี่ย์คนหนึ่งที่ติดตาม Kingdom Hearts มาตลอดระยะเวลาหลายปี ผู้เขียนพูดได้เลยว่าเกม Kingdom Hearts 3 คือเกมที่แฟนๆ คาดหวังจะได้เล่นมาตลอด และเป็นเกมที่ตอบคำถามที่ค้างคาใจแฟนๆ ได้อย่างน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเกมจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และยังค่อนข้างจำกัดในเรื่องของกิจกรรมที่มีให้ทำก็ตาม ผู้ที่ติดตามซีรี่ย์มาตลอดไม่ควรพลาดบทสรุปการเดินทางของโซระและผองเพื่อนแน่นอน แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่คาดหวังให้เกมนี้เป็นบทเริ่มต้นเพื่อเข้าสู่ซีรี่ย์ Kingdom Hearts นี่อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน [penci_review id="18192"]
30 Jan 2019
รีวิว Resident Evil 2 Remake ว่าที่ "เกมแห่งปี" มันไม่ได้เวอร์วังเกินไปเลย
ย้อนกลับมาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วทางทีมงาน Invader Studios ได้ปล่อยตัวอย่างเกม Resident Evil 2 แบบฉบับ Fan Made ออกมา ซึ่งตัวเกมเปลี่ยนจากมุมมองแบบมุมสูงให้กลายเป็นแนว 3rd Person แบบเต็มตัวและมันก็ทำให้แฟนเกมหลายๆ คนต่าง Hype และพูดถึงโปรเจคนี้กันยกใหญ่ แต่เวลาต่อมาทาง Capcom เองก็ได้มาสั่งยกเลิกโปรเจคนี้ พร้อมกับอธิบายว่าพวกเขานั้นจะสร้างเกมนี้ขึ้นมาเอง และเชิฐให้ทาง Invader Studios เป็นผู้ร่วมออกไอเดียเกมนี้ จนในเดือนมกราคม ปี 2019 !! ตัวเกม Resident Evil 2 Remake ก็ปล่อยออกมาให้แฟนๆ เล่นกันแล้ว !! กับความสยอง ความน่ากลัวแบบจัดเต็ม !! ที่จะทำให้คุณขนลุกชูชันราวกับปวดท้องเข้าห้องน้ำ !! และในบทความนี้ผมจะมารีวิวเกมนี้แบบละเอียดทุกซอกทุกมุมให้ทุกท่านได้ทราบ กับประสบการณ์ที่ผมได้รับหลังจากไปเล่นเกมนี้มา แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองนั้นก็ไม่ใช่แฟนเกมซีรีส์นี้โดยตรงเท่าไร ด้วยอายุอานามก็ยังไม่โตพอที่จะเล่น Resident Evil 2 ในสมัย PS1 แบบลึกถึงแก่นแก้ แต่ส่วนตัวก็เคยเล่นเกม Resident Evil 7 มาบ้าง จึงทำให้การรีวิวในบทความนี้เป็นความเห็นของเกมเมอร์หน้าใหม่ที่พึ่งเข้าวงการไม่นานนั่นเอง   Story โดยในเกมภาคนี้เราจะดำเนินอยู่ในช่วงปี 1998 เราได้รับบทเป็นสองตัวละครนั่นคือ Leon S Kennedy ตำรวจหน้าใหม่ที่พึ่งจะได้รับหน้าที่ให้มาประจำการเมือง Raccoon City วันแรก และ Claire Redfield น้องสาวของ Chris Redfield เจ้าหน้าที่หน่วย S.T.A.R ตัวเอกจากภาคแรก โดยเธอนั้นมาตามหาพี่ชายที่ประจำการอยู่เมืองนี้เนื่องจากขาดการติดต่อไป และในความซวยนั่นเอง พวกเขาทั้งสองเดินทางมาในเมือง Raccoon City ในช่วงเวลาที่เมืองเกิดวิกฤติซอมบี้ระบาดพอดี ซึ่งในตอนเริ่มเราจะสามารถเลือกเล่นตัวละครใดตัวละครหนึ่งก่อนได้ โดยจะแบ่งเป็นเนื้อเรื่อง A และ B ซึ่งเราจะสามารถเล่นเนื้อเรื่อง Leon แบบ A และ Claire แบบ B Clare แบบ A และ Leon แบบ B รวมๆ แล้วเราสามารถเล่นเกมนี้ได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว ซึ่งระบบนี้ก็มีมาตั้งสมัยเกมเวอร์ชั่น PS1 แล้ว [caption id="attachment_18258" align="aligncenter" width="1500"] ส่วนตัวเล่น Claire แบบ A เนื้อเรื่องจะพาเราเข้าสถานีตำรวจทางด้านหน้า และวิธีการเล่นจะคล้ายกับตัว Demo[/caption] [caption id="attachment_18259" align="aligncenter" width="1500"] เล่น Leon เวอร์ชั่น B จะเข้าสถานีตำรวจอีกทางทำให้เกมเพลย์แตกต่างจากพาร์ทแรก[/caption] ตัวเนื้อเรื่องของทั้งสองจะมีเส้นเรื่องที่ต่างกันออกไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นการเล่าเรื่องของ Leon จะพาให้เราไปเจอกับ FBI สาวชาวจีนอย่าง Ada Wong แต่ตัว Claire นั้นจะไปพบเจอกับเด็กสาวที่ชื่อว่า Sherry Birkin นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่ผมเล่นจบมาทั้งสองแบบแล้ว ตัวมอนสเตอร์หรือบอสต่างๆของทั้งสองตัวละครที่เจอ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่อาจจะมีบอสบางตัวที่ทาง Claire เจอแต่ Leon ไม่เจอ....หรือ.... Leon เจอแต่ Claire ไม่เจอ ความแตกต่างที่เห็นชัดเจนมากๆ ก็คือในช่วงกลางเกม ที่เราจะได้มีโอกาสบังคับตัวละครรอง ซึ่งถ้าหากคุณเล่นเนื้อเรื่อง Leon มันจะมีช่วงที่ให้คุณบังคับ Ada แต่ถ้าคุณเล่นเนื้อเรื่อง Claire มันก็จะมีช่วงที่ให้คุณบังคับ Sherry ซึ่งการเล่าเรื่องจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายเส้นเรื่องต่างๆ ช่วงบั้นปลายมันก็จะไปประจบในจุดเดียวกัน [caption id="attachment_18261" align="aligncenter" width="1500"] เกมเพลย์ของ Ada Wong ในเนื้อเรื่องของ Leon[/caption] [caption id="attachment_18262" align="aligncenter" width="1024"] เกมเพลย์ของ Sherry Birkin ในเนื้อเรื่องของ Claire[/caption] ถึงแม้เนื้อเรื่องจะบรรจบคล้ายๆ กัน แต่มันก็จะมีแรงจูงใจที่จะให้เราเข้าไปเล่นใหม่อีกรอบอยู่ดี !! เพราะมันจะทำให้คุณได้ทราบถึงอีกหนึ่งมุมมอง เนื้อเรื่องด้านใหม่ๆ ที่ถ้าหากว่าคุณเล่นไม่ครบทั้งสองตัวละครมันจะเกิด Plot Hole ที่จะทำให้คุณไม่เข้าใจ หรือความเป็นมาบางอย่างที่เล่าไม่หมดในแต่ละเนื้อเรื่อง ถึงแม้ว่าตอนจบมันจะพาให้เราไปเจอบอสตัวเดียวกันก็เหอะ แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มค่า รวมถึงพวกบทสนทนาของตัวละครบางตัวที่อาจจะพูดแตกต่างกันถ้าหากเราเล่นเนื้อเรื่องคนไหนอีกด้วย ซึ่งนี่มันก็คือหนึ่งในเสน่ห์หลักของเกมนี้เลย กราฟิก ซึ่งเกมภาคนี้ก็ยังใช้ RE Engine ที่เคยสร้าง Resident Evil 7 มาก่อน หน้า Interface, HUD และ Inventery ต่างๆ ก็จะเหมือนเดิมเกือบหมด แต่ในเรื่องเงาต่างๆ ของเกมนี้ก็ต้องบอกเลยว่ามันทำได้ดีกว่าภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าหากว่าคุณคิดว่า Resident Evil 7 ภาพสวยแล้ว ผมว่าภาคนี้ต่อให้โมเดลจะทรงเดิม แต่ภาพมันสวยขึ้นและสมจริงมากขึ้นอีกนะ [caption id="attachment_18276" align="aligncenter" width="1024"] หน้า Inventory และ HUD จะคล้ายกับทาง Resident Evil 7[/caption] และทางผู้พัฒนาได้เปลี่ยนแปลงเกมนี้ให้กลายมาเป็นเกมแนว 3rd Person ซึ่งมันทำให้ความระทึกมันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะในเกมเวอร์ชั่นเก่าเราก็จะรู้สึกว่ามอนสเตอร์หรือบอสต่างๆ มันกำลังไล่ฆ่าตัวละครในเกม แต่การที่มันเป็นมุมมองนี้ มันจะทำให้เรารู้สึกว่ามันกำลังไล่ล่าเราอยู่จริงๆ เพราะเราจะจ้องหน้ากับมันอย่างชัดเจน บรรยากาศที่เน้นความมึด ความน่ากลัวที่ให้อารมณ์ต่างจากภาคก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิงที่จะเป็นความน่ากลัวแบบจิตๆ หลอนประสาท แต่ในภาคจะน่ากลัวในเชิงสัตว์ประหลาดชีวภาพที่จะคอยไล่ฆ่าเรา เกมเพลย์ ต้องบอกว่าด้านเกมเพลย์นั้น Resident Evil 2 Remake ยังคงความเป็นเกมฉบับคลาสสิคไว้อย่างเต็มร้อย ดั่งที่เกม Resident Evil 7 เคยทำมาเมื่อก่อนหน้า โดยตัวเกมจะเน้นการเล่นแบบ Survival จริงๆ ที่ไม่มีความรู้สึกถึงการเป็นเกม Action ดั่งในภาค 5-6 เลย ซึ่งหลักๆ ของเกมจะมีการแก้ไขปริศนาต่างๆ เพื่อหาทางออก รวมถึงตัวแผนที่ของเกมนี้ก็จะถอดแบบมาจากเวอร์ชั่นเก่าเป๊ะ แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนรายละเอียด หรือเปลี่ยนแปลงบางจุดเล็กน้อยตามยุคตามสมัยไป [caption id="attachment_18303" align="aligncenter" width="1024"] ห้อง Library หนึ่งในห้องที่มีอยู่ในเวอร์ชั่นเก่า ถอดแบบมาเป๊ะๆ[/caption] [caption id="attachment_18304" align="aligncenter" width="1500"] ห้องของหน่วย S.T.A.R หรือห้องทำงานของ Chris Redfield พี่ชายของ Claire Redfield ตัวเอก แต่ว่าในภาคนี้เราจะไม่ได้มาพบกับ Leon เหมือนในเวอร์ชั่นเก่าแล้ว[/caption] โดยตัวปริศนาในภาค Remake นี้มีความคล้ายคลึงกับทางเวอร์ชั่นแรกบางส่วน แต่ก็จะมีบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาหรือแตกต่างกันไป หรือไอเท็มบางอันในภาคเก่าหาจุดนี้ แต่ในภาคใหม่หาอีกจุด รวมถึงในบางปริศนาหน้าตาคล้ายกัน แต่มันอาจจะมีจุดประสงค์ที่ไม่เหมือนกันเป็นต้น รวมถึงการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ หรือช่องทางใหม่ๆ ที่เนื้อเรื่องแบบแรกไม่ได้เข้าไปอีกด้วย และในส่วนของเนื้อเรื่อง A และ B ตัวปริศนาจะและเกมเพลย์มีความแตกต่างกัน ถึงแม้ว่ารวมๆ แล้วจะคล้ายกัน แต่การแก้ไขปริศนาจะเปลี่ยนแปลงไปคนละแบบ ซึ่งนี่มันถือว่าเป็นความท้าทายใหม่ถึงแม้โดยรวมมันยังเหมือนเดิม (คำใบ้ปริศนาของเนื้อเรื่อง A และ B จะแตกต่างกัน ดูได้จากรูปด้านล่าง) และในเกมนี้อย่างที่บอกเกมเพลย์มันกลับไปเป็นรูปแบบคลาสสิคที่มีความ Survival อยู่เต็มเปี่ยม !! ทรัพยากรต่างๆ พวกกระสุนยา มันก็จะมีให้เราจำกัด รวมถึงพวกซอมบี้ในเกมนี้มันถึกมากๆ ถึกว่าหลายภาคที่ผ่านมาเลยทีเดียว บางตัวถ้าหากคุณบังเอิญยิงติดคริติคอลแล้วมันตายเลยก็โชคดีไป แต่ในความเป็นจริงการยิงแล้วติดครินี่เป็นเรื่องยากมากๆ อาศัยดวงล้วนๆ ซึ่งปกตินี่ยิงซอมบี้ตัวนึงต้องใช้กระสุนเป็น 10 นัดกว่าจะตาย ซึ่งคุณไม่มีทางที่จะสามารถฆ่าศัตรูทุกตัวแล้วยังมีกระสุนเพียงพอให้ใช้แน่ ถึงแม้ต่อให้คุณจะเล่นเกมนี้ในโหมดง่าย กระสุนที่มีให้เก็บเพิ่มมันก็ไม่พออยู่ดีถ้าไม่ประหยัด ซึ่งบังเอิญถ้าหากคุณตะบี้ตะบันยิงเล่นจนกระสุนหมด และบังเอิ๊ญอีก !! ไปจ๊ะเอ๋กับบอสพอดีในฉากหน้า !! ส่วนตัวก็ต้องบอกว่า กู๊ด ลั๊ค แฮ๊ป ฟัน ! นะจ๊ะ ! อิอิ ซึ่งมันทำให้คุณต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะเอายังไงดี เลือกที่จะฆ่าให้หมดเพราะจุดนี้เราต้องมาบ่อย หรือเลือกที่จะวิ่งหลบเอาเพราะประหยัดกระสุนเป็นต้น รวมถึงพวกระเบิดแฟลช ระเบิดมือ หรือมีด ที่นอกจากจะใช้ปาใส่ศัตรู ใช้ฟันแล้วนั้น ข้อดีของมันคือเอาไว้เคาน์เตอร์มอนสเตอร์ที่มากระโดดงับเราด้านหน้าได้อีกด้วย [caption id="attachment_18301" align="aligncenter" width="1500"] จุดนี้เราต้องวิ่งมาบ่อย เลยต้องฆ่าศัตรูให้หมด[/caption] [caption id="attachment_18307" align="aligncenter" width="1024"] บางทีเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเพื่อประหยัดกระสุน[/caption] [caption id="attachment_18308" align="aligncenter" width="1024"] มีการเคาน์เตอร์ศัตรู เมิ้อถูกศัตรูเล่นงานจากด้านหน้า[/caption] รวมถึงตัว Leon และ Claire นั้นจะมีอาวุธที่แตกต่างกัน ซึ่งตัว Leon จะมีปืนพกตำรวจ อาวุธพิเศษจะเป็นลูกซอง, แม็กนั่ม, ปืนไฟ ส่วนของ Claire จะเป็นปืนลูกโม่, M79 และ ปืนช็อตไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อย่างเช่นตัวปืนพกของ Leon จะมีกระสุนเยอะมากถ้าหากแต่งครบ ซึ่งมันจะทำให้เคลียร์ซอมบี้ได้ง่ายไม่ต้องกังวลเปลี่ยนแม็คบ่อย ต่างกับ Claire ที่ลูกโม่ใส่กระสุนได้ 5 นัดเท่านั้น แต่ผมรู้สึกว่าปืนมันแรงกว่าและยิงศัตรูกระเด็นได้ดีกว่า [caption id="attachment_18309" align="aligncenter" width="1500"] แคลร์จะมีปืน M79 ให้ใช้[/caption] [caption id="attachment_18310" align="aligncenter" width="1500"] Leon จะมีปืนลูกซอง[/caption] และรายละเอียดต่างๆ ของเกมที่จะทำมันสนุกมากขึ้นอย่างเช่นการอัพเกรดอาวุธปืนที่เราจะต้องไปหาคำใบ้หรือปลดล็อคสิ่งต่างๆ ตามฉาก รวมถึงในบางครั้งมันก็จะมีพวกซอมบี้ทะลุกำแพงมาจากทางหน้าต่าง ซึ่งตัวเกมมันก็จะมีระบบรองรับอย่างการเอาไม้ไปปิดเพื่อไม่ให้ศัตรูเข้ามา การคราฟกระสุนหรือยา ที่เราจะต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ตรูจะคราฟอะไรดีฟ๊ะเพื่อประโยชน์ที่สุดนั่นเอง รวมถึงความลับต่างๆ ตามเอกสารที่จะทำให้เรารู้เนื้อเรื่องความเป็นมาของเกมมากขึ้น รวมถึงมันอาจจะมีคำใบ้เกี่ยวกับการแก้ไขปริศนาบางอย่างด้วย   [caption id="attachment_18311" align="aligncenter" width="1500"] มีการคราฟกระสุนหรือยา ที่เหมือนกับภาคที่แล้ว[/caption] [caption id="attachment_18312" align="aligncenter" width="1500"] มีการเอาไม้มาตอกกั้นหน้าต่าง กันผีทะลุออกมาในจุดที่เราต้องวิ่งมาประจำ[/caption] ซึ่งบรรยากาศภายในเกมนั้นก็ต้องบอกเลยว่ามันมีความมึด, ความระทึกกับเหล่าซอมบี้หรือ Licker ที่จะมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง แต่ความระทึกของคุณจะเข้าถึงขั้นขีดสุดก็ต่อเมื่อคุณเจอกับมัน !! เจ้า Mr.X ที่มันจะคอยเดินตามหลอกหลอนฆ่าเราทุกที และที่ระทึกไปกว่านั้นคือ เราฆ่ามันไม่ตาย !! อาจจะมียิงให้มันล้มบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จะกลับมาใหม่ทุกที มันเหมือนเป็นปลิงที่คอยหลอกหลอนเราเวลาที่เรากำลังวิ่งแก้ไข้ปริศนา ซึ่งใครที่เคยเล่น Resident Evil 7 มันก็จะคล้ายๆ กับที่คุณวิ่งหนีไอ้ลุง Baker นั่นแหละ บอกเลยว่าระทึกมาก !! เครียดมาก !! คนที่กลัวเกมสยองขวัญที่แทบจะปิดเกมทิ้งเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับไอ้เจ้าลุงโล้นนี่เลย และถ้าบังเอิ๊ญญญ เราไปเจ๊อะกับ Mr.X ที่ต้องวิ่งหนี อยู่กับเจ้า Licker ที่จะต้องเดินนิ่งๆ ห้ามส่งเสียง นั่นแหละครับคำว่านรกบังเกิดมีจริง 55555555555555+ [caption id="attachment_18313" align="aligncenter" width="1500"] เจอ Licker เจอ Boss ว่าระทึกแล้ว !! แต่มันน้อยนิดมากถ้าหากคุณได้เจอกับ Mr.X !![/caption] ความรู้สึก บอกเลยว่า Resident Evil 2 Remake มันเป็นเกมที่ทำออกมาให้ตอบโจทแฟนๆ มากเลยทีเดียว และต้องบอกเลยว่าในภาคนี้มันเพิ่มสเกลความระทึกและความยากมากกว่า Resident Evil 7 เสียอีก ถึงแม้ว่าความน่ากลัวของภาคนี้ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เน้น Jump Scare แบบภาคที่แล้วให้เรากลัว แต่เนื่องการจำกัดของทรัพยากรที่มีให้น้อย บวกกับความระทึกของมอนสเตอร์ที่ไล่ล่าเราไม่หยุด บวกไปกับบรรยากาศเลือด เศษซากศพ ความเหวอะหวะ ความมึดวังเวงที่ทำออกมาได้ดีมากๆ จึงทำให้ภาพรวมของมันกลายเป็นเกมที่่น่ากลัวไม่แพ้ใครเลยทีเดียว รวมถึงความยากของเกมนี้อยู่ในขั้นพอดี ที่มันไม่ยากมากจนเกินเหตุ แต่ก็ไม่ง่ายจนเกินไป คนที่ไม่ใช่แฟนเกมแนวนี้ก็เล่นได้โดยไม่รู้สึกยากอะไร แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าความยากระดับนี้มันจะถูกใจแฟนๆ สายฮาร์ดคอร์ของเกมนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าให้พูดถึงความรู้สึกส่วนตัวต้องบอกเลยว่า เกมนี้ไม่มีที่ติในเกือบทุกด้าน ถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องผมอาจจะตะขิดตะขวงใจหน่อยๆ เกี่ยวกับ Plot Hole ที่ยังรู้สึกมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในเรื่องเกมเพลย์ที่ระลึก ความสยดสยองมันแทบจะทำให้ลืมข้อเสียของเกมนี้ไปโดยปริยาย และเคยมีสื่อต่างประเทศได้รีวิวเกมนี้ไว้ว่า Capcom ปล่อยว่าที่ Game of the Year มาตั้งแต่ต้นปีเลยหรอ ซึ่งผมต้องบอกเลยว่าคำๆ นี้ที่สื่อต่างประเทศเขากล่าวมา.....มันไม่ได้เวอร์วังเกินไปเลย [penci_review id="18155"]  
29 Jan 2019
รีวิว Alien: Blackout น่ากลัว แต่ยังไม่สนุกพอ
เกมในซีรีส์ Alien ภาคล่าสุดที่ผมเล่นเป็นเกมบน PC เมื่อหลายสิบปีก่อนนู่น สมัยที่ยังซื้อเกมเพราะดูแค่หน้าปกเฉยๆ ซึ่งความน่ากลัวของการได้เล่นเป็นทหารธรรมดาๆ ท่ามกลางเหล่าอสุรกายที่น่าเกรงขามทำให้ต้องเก็บเกมไว้นานเพราะไม่กล้าเล่นต่อ ส่วนความสะใจของการได้เล่นเป็นเอเลี่ยนนับตั้งแต่ตัวเล็กๆ หาอาหารกินจนกลายเป็นฝันร้ายแห่งอวกาศก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์เล่นเป็นตัวร้ายที่สะใจที่สุดครั้งหนึ่ง Alien: Blackout พาความน่ากลัวแบบนั้นกลับมา แต่กลับทิ้งอะไรหลายๆ อย่างที่หลายๆ คนน่าจะจินตนาการไว้เมื่อได้ยินคำว่าเกม Alien ไป จนทำให้นี่กลายเป็นเกมที่น่าผิดหวังอีกเกม Alien: Blackout ให้ผู้เล่นรับบทเป็น Amanda Ripley ตัวเอกประจำซีรีส์ ซึ่งคุณจะได้ซุกตัวอยู่ในท่อหรือห้องแคบๆ ตลอดทั้งเกม ไม่ได้ออกไปพบปะพูดคุย สังหารเอเลี่ยน กับใครเลย หน้าที่หลักของผู้เล่นคือการดูแผนที่ จากนั้นแนะนำลูกเรือผู้รอดชีวิต ผ่านแผนที่ ให้ไปยังจุดหมายที่กำหนด โดยคอยบอกเส้นทางที่ปลอดภัย และแจ้งให้ลูกเรือหลบ ซ่อนตัว รีบวิ่ง หรือเดินอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่ให้เจ้าเอเลี่ยนที่ไต่มาตามท่อสังหารเรา [caption id="attachment_18111" align="alignnone" width="2248"] หน้าตาของห้องที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ ออกไปไหนไม่ได้[/caption] การสำรวจตำแหน่งของเอลี่ยนทำได้ 3 วิธี อย่างแรกคือเปิดเครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหว อย่างที่สองคือดูจากกล้องวงจรปิด และอย่างที่สามคือฟังเสียงเคลื่อนไหวของเอเลี่ยนที่กำลังวิ่งอยู่ในท่อ วิธีป้องกันลูกเรือจากเอเลี่ยนคือบอกให้ซ่อนตัว แนะนำให้เดินไปทางอื่น หรือกดปิดประตูเพื่อกันเอเลี่ยนออกไป วิธีป้องกันตัวเองคือให้กดปิดประตูท่อเมื่อได้ยินเสียงเอเลี่ยนบุกเข้ามา แต่ละด่านจะผ่านได้เมื่อลูกเรือทำตามภารกิจได้ครบ ส่วนการแพ้ของเกมจะเกิดขึ้นเมื่อลูกเรือโดนกินหมด หรือไม่ก็เราโดนเอเลี่ยนบุกเข้ามากิน ป้องกันไม่ทัน [caption id="attachment_18112" align="alignnone" width="2248"] หน้าตาของแผนที่ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่นหลักของเกม[/caption] การต้องคอยสลับหน้าจอไปมาระหว่างแผนที่ กล้องวงจรปิด และภายในท่อ แรกๆ อาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย แต่พอเราชินกับระบบแล้ว กลายเป็นว่านี่เป็นเกมที่สร้างความลุ้นระทึกได้ดีกว่าเกมฟอร์มยักษ์หลายๆ เกมด้วยซ้ำ แม้นี่จะไม่ใช่เกมที่ปล่อยให้เราสำรวจฉากได้อย่างอิสระ แต่ความน่ากลัวของเสียงเอเลี่ยนที่คืบคลานเข้ามา และความพลาดพลั้งที่บังคับให้เราต้องเริ่มด่านใหม่เมื่อตัวละครตายหรือลูกเรือตายหมด โดยไม่มีจุดเซฟระหว่างฉาก ทำให้นี่เป็นเกมบนมือถือที่น่ากลัวจริงๆ [caption id="attachment_18114" align="alignnone" width="2248"] มุมมองจากกล้องวงจรปิด เห็นอะไรแวบๆ หรือเปล่า?[/caption] ความดีของเกมจบอยู่เพียงเท่านั้น ด่านทั้งหมดของเกมที่รวมเวลาเล่นทั้งหมดไม่ถึง 1 ชั่วโมง เต็มไปด้วยความซ้ำซาก แม้แผนที่จะหน้าตาเปลี่ยนไปแต่เราก็ยังคงต้องจ้องแผนที่ไร้ชีวิตจากจอคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ แนะนำลูกเรือแบบเดิมๆ ป้องกันเอเลี่ยนแบบเดิมๆ แม้เกมจะสั้นมากแต่ด้วยความที่เกมมีความยากอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นทำให้เราต้องเล่นด่านเดิมซ้ำๆ และการแพ้ในแต่ละครั้งก็ไม่ได้ทำให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดซักเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้พลาดจากฝีมือ แต่จากตำแหน่งของเอเลี่ยนที่เปลี่ยนไปในแต่ละรอบมากกว่า ชื่อ Blackout ของเกมที่หมายถึงการดับไฟ ซึ่งเป็นระบบหนึ่งของเกมที่บังคับเราต้องผ่านด่านให้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นไฟจะดับ เกมโอเวอร์ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเท่าไหร่ เวลาในแต่ละด่านมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ ความพ่ายแพ้เกิดจากการโดนเอเลี่ยนกินมากกว่า การลงโทษผู้เล่นเมื่อเราทำพลาดด้วยการให้เริ่มด่านใหม่โดยไม่มีจุดเซฟแม้จะช่วยสร้างความน่ากลัวให้กับเกมเป็นอย่างดี แต่เมื่อเกิดขึ้นซ้ำๆ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถบอกได้ว่ารอบหน้าจะเล่นดีขึ้นได้ยังไง เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกว่ารอบนี้ดวงไม่ดี แทนที่จะเป็นว่ารอบนี้เล่นไม่ดี ทำให้เกมกลายเป็นความน่าหงุดหงิดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเราต้องมาฟังบทสนทนาตอนเริ่มด่านซ้ำๆ โดยไม่สามารถกดข้ามได้ [caption id="attachment_18115" align="alignnone" width="2248"] Alien ในเกมดูน่าสะพรึงจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้สู้กับเข้าพวกนี้เลย[/caption] จริงๆ แล้วนี่เป็นเกมที่สนุกทีเดียว เพราะระบบของเกมออกแบบมาได้ดี สร้างความน่ากลัว สร้างความลุ้นระทึกได้ แต่ด้วยปัญหาของเกมอย่างที่กล่าวไปทำให้ความประทับใจในเกมหายไปอย่างรวดเร็ว จนคิดว่าถ้า Alien: Blackout ไม่ใช่เกมเต็ม แต่เป็นเพียงฉากฉากหนึ่งในเกม Alien สักภาค เป็นมินิเกมให้เล่นในเกม Alien อีกที นี่น่าจะแก้ปัญหาเรื่องความซ้ำซากได้อย่างดี เพียงแต่ Alien: Blackout เป็นเกมตัวเต็มที่ผู้เล่นต้องเสียเงินซื้อ ความคาดหวังที่เกมน่าจะมีอะไรมากกว่านี้จึงมากตาม อย่างน้อยก็น่าจะให้มีโอกาสสู้กับเอเลี่ยนหรือเห็นฉากตายโหดๆ บ้าง [penci_review id="18069"]
28 Jan 2019
Florence หนึ่งในประสบการณ์เล่นเกมบนมือถือที่ดีที่สุดในปี 2018
การชวนให้ใครบางคนไปหาเกมบางเกมมาเล่นนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองเหตุผลหลักๆ อย่างแรกคือการหาเพื่อนเล่นเกม ซึ่งเกิดกับเกมยอดนิยมที่เน้นการเล่นหลายคนทั้งหลาย อย่าง RoV, PUBG, Dota 2, หรือ FIFA เหตุผลอย่างที่สองเกิดกับเกมเล่นคนเดียวที่เรารู้สึกว่าทำออกมาดีจนต้องบอกต่อ ซึ่งเบื้องหลังของการแนะนำเกมดีให้เพื่อนเล่นหากจะยอมรับกันจริงๆ แล้วก็คงไม่พ้นความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับรู้ว่าเราเป็นคนแนะนำอะไรดีๆ ให้กับเพื่อนนั่นเอง Florence คือเกมนั้นสำหรับผม เกมที่ผมหวังว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนแนะนำเกมนี้ให้เพื่อนฝูงรู้จักจะทำให้ผมดูดีมีรัศมีของการเป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมดีๆ ตามไปด้วย "Florence คือเรื่องราวความรักของหญิงสาวคนหนึ่งจากวันเวลาที่ความรักเบ่งบานไปจนถึงวันที่ทุกสิ่งเหี่ยวเฉาลง" นี่คือคำโปรยของเกมใน Play Store ซึ่งจะว่ากันตามตรงแล้วก็คือไม่มีความน่าสนใจเลยสักนิด เรายังมีหนัง ละคร นิยายที่พูดเรื่องความรักของผู้หญิงคนหนึ่งไม่พออีกหรือ ทำไมยังจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ในวิดีโอเกมอีก ถ้าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมก็ขอควบม้า ตีป้อม หรือไล่ยิงคนอื่นจะดีกว่าไหม? สารภาพตามตรงว่าผมคงไม่มีทางเสียเงินราคาประมาณ 100 บาทที่สามารถเอาไปสั่งกาแฟร้อนดีๆ ดื่มได้เพื่อซื้อเกมนี้ หากไม่ใช่เพราะว่า Florence คือเกมที่ชนะรางวัล The Game Awards 2018 ในหมวดเกมมือถือยอดเยี่ยมแห่งปี และการตัดสินใจครั้งนี้กลายเป็นสิ่งที่กาแฟดีๆ สักกี่แก้วก็ไม่สามารถทดแทนได้ เพราะกาแฟดีๆ แก้วหนึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตในวันนี้ช่างแสนสมบูรณ์แบบอะไรแบบนี้ แต่การรับบท ฟลอเรนซ์ โหยว หญิงสาวตัวเอกของเกมนี้อาจทำให้คุณมองเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตตัวเอง นึกถึงความสุขและเศร้าจากความรักที่ผ่านมา ทบทวนความสัมพันธ์กับแม่ หรือแม้กระทั่งครุ่นคิดถึงความฝันและความปราถนาของตัวเอง การเล่าเรื่องอันยอดเยี่ยม ถ้าพูดกันตามภาษาเกม ภารกิจอย่างแรกของเกม Florence ก็คือการตื่นขึ้นมาและแปรงฟัน... ซึ่งทำได้ด้วยการใช้นิ้วจิ้มเพื่อกดปิดนาฬิกาปลุก จากนั้นจึงใช้นิ้วถูซ้ายขวาที่หน้าจอเพื่อแปรงฟัน [caption id="attachment_15792" align="alignnone" width="1080"] ภารกิจแรกของเกมคือการกดปิดนาฬิกาปลุก[/caption] [caption id="attachment_15793" align="alignnone" width="1078"] สามารถแปรงฟันได้ด้วยการเลื่อนนิ้วไปมา[/caption] ในขณะที่เกมหลายๆ เกมเริ่มเปิดฉากแรกด้วยเหตุการณ์น่าตื่นเต้นด้วยความหวังว่าจะดึงผู้เล่นให้ติดหนึบอยู่กับเกมตั้งแต่วินาทีแรก Florence กลับใช้อะไรง่ายๆ แบบนี้ เริ่มเกมด้วยเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่มีโอกาสสูงว่าคุณน่าจะเพิ่งทำไปเมื่อเช้านี้ ซึ่งนับเป็นวิธีที่ฉลาดทีเดียว เพราะนี่คือการบอกใบ้ตั้งแต่แรกว่าจริงๆ แล้วชีวิตของ ฟลอเรนซ์​ โหยว ที่คุณกำลังจะได้สำรวจต่อไปนี้ ไม่ได้ต่างไปจากชีวิตของคุณเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงเหมือนเธอ จะใช้แปรงสีฟันสีเดียวกับเธอหรือไม่ก็ตาม เกมเล่าเรื่องต่อไปด้วยการที่ตัวเอกไปทำงาน ตกหลุมรัก ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันกับแฟน เดินทางตามหาความฝัน หมดรัก ชีวิตจืดชืด ทะเลาะกัน แยกทางกัน เริ่มต้นชีวิตใหม่ นี่คือเรื่องราวตั้งแต่ต้นจบจบของเกม ซึ่งเป็นเรื่องราวซ้ำซากที่ถูกเล่ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ Florence ใช้จุดเด่นของการเป็นเกมมือถือยกระดับเรื่องราวเหล่านี้ให้กลายเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมด้วยการให้เราได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเล็กๆ ในการดำเนินชีวิตของตัวละครตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการกดรับโทรศัพท์จากแม่ เลือกของที่จะย้ายมาไว้ที่บ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งช่วยผลักแฟนที่ไม่ค่อยมั่นใจให้ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนดนตรี ทั้งหมดนี้ช่วยดึงเราจากการเป็นแค่ผู้มองเวลาเรารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ผ่านนิยายหรือภาพยนตร์ กลายมาเป็นบุคคลที่พบเจอเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทำให้เราเกิดความรู้สึกร่วมกับเหตุการณ์เหล่านี้มากกว่า แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่ามาเป็นพันครั้งแล้วก็ตาม [caption id="attachment_15821" align="alignnone" width="1080"] คุณแม่โทรมาหา[/caption] [caption id="attachment_15820" align="alignnone" width="1080"] คะยั้นคะยอให้แฟนหนุ่มทำตามฝัน[/caption] การเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นอีกจุดเด่นของเกมนี้ ในขณะที่ภาพยนตร์หลายเรื่องพยายามใช้เทคนิคด้านภาพเพื่อสื่อความหมาย แต่ความหมายเหล่านี้หลายๆ ครั้งก็เข้าถึงยากจนผู้ที่จะเข้าใจได้หรือแม้แต่สังเกตเห็นก็มีแต่คนที่ตั้งใจตีความวิเคราะห์จริงๆ หรือคนสร้างภาพยนตร์เท่านั้นเอง ด้วยความเป็นเกม Florence พาการเล่าเรื่องด้วยภาพไปอีกระดับหนึ่ง ภาพที่หลายๆ คนคุ้นชินอย่างการเห็นตัวละครยืนอยู่ในห้องน้ำคนเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราเห็นเธอยืนกับแฟนมาตลอด เมื่ออยู่ในภาพยนตร์การใช้วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกว่าผู้กำกับพยายามยัดเยียดความหมายมากเกินไป หรืออย่างดีก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะเคยเห็นมาบ่อยแล้ว แต่ใน Florence ที่คุณได้เห็นการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่การใช้ชีวิตคนเดียว ใช้ชีวิตคู่ และกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวอีกครั้ง โดยทั้งหมดคุณได้มีส่วนร่วมในการบังคับตัวละครมาตลอดนั้น ทำให้วิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ใช้กันจนชินตานี้สร้างความเหงาให้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา [caption id="attachment_15822" align="aligncenter" width="504"] ชีวิตที่ว่างเปล่าไม่เหมือนเคย[/caption] นอกจากนี้ Florence เองยังมีการใช้ลูกเล่นของการแบ่งภาพเป็นช่องๆ แบบหนังสือการ์ตูนเพื่อช่วยในการเล่าเรื่อง สลับกับส่วนที่ให้เราบังคับตัวละคร  ซึ่งพอบวกกับสีสันและเสียงประกอบ รวมถึงการเลือกสถานการณ์ที่เลือกมาได้อย่างดีว่าเหตุการณ์ใดที่ควรจะเป็นแค่ภาพการ์ตูนเฉยๆ หรือเหตุการณ์ใดที่เราควรได้มีส่วนร่วม (เพื่อเน้นย้ำอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง) ก็ทำได้อย่างลงตัวจนรู้สึกสนุกเหมือนอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่งอยู่เลย [caption id="attachment_15830" align="aligncenter" width="503"] มีอะไรอยู่ในเจ้ากล่องสีชมพูนี้กันนะ?[/caption] รูปแบบการเล่นสุดสร้างสรรค์ ในวงการเกมนั้นเทคโนโลยีในการเล่นเกมที่สร้างสรรค์มีออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่วิดีโอเกมที่สร้างมาโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนั้นได้ดีจริงๆ จนทำให้รู้สึกสนุกไปกับเกมนั้นนานๆ ทีจะเห็นมีออกมาสักทีหนึ่ง จนทำให้เกมส่วนใหญ่ก็ยังใช้วิธีการเล่นแบบเดิมๆ หรือกลับไปใช้จอยกดแบบเดิมๆ กันอยู่ สำหรับเกมมือถือนั้นเกมที่ผมรู้สึกว่าทำระบบการเล่นออกมาได้สร้างสรรค์จนน่าประทับใจมากๆ ก็คือ Superbrothers: Sword & Sworcery EP ที่ออกมาเมื่อปี 2011 นู่นเลย Florence เองจริงๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนเกมบนเครื่อง PS4 อย่าง Detroit: Become Human นั่นคือเป็นเกมที่เน้นเนื้อเรื่องเป็นหลัก หน้าที่หลักของผู้เล่นจริงๆ คือคอยกดปุ่มตามสถานการณ์เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องของเกมต่อ แม้อาจจะดูเป็นการไม่ยุติธรรมเมื่อนำเกมบนมือถือไปเทียบกับเกมบนเครื่องคอนโซล แต่ที่ต้องนำมาเปรียบเทียบเพราะว่าสำหรับผมแล้ว Florence เป็นเกมที่ความสนุกของเกมนั้นชนะขาดลอย ในขณะที่ Detroit เน้นจุดเด่นที่ระบบทางเลือกที่ส่งผลต่อฉากจบที่หลากหลาย แต่รูปแบบการเล่นของเกมนั้นซ้ำๆ เดิม เป็นการกดปุ่มในแบบเดิมๆ แค่เปลี่ยนสถานการณ์ นั่นทำให้ใครที่ชอบเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะสนุกกับเกมไปเลย แต่คนที่เฉยๆ กับเนื้อเรื่องก็จะพบว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของเกม กลับมาที่ Florence ที่ใช้เพียงระบบสัมผัสของหน้าจอโทรศัพท์กับนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว แต่เกมออกแบบวิธีการใช้การสัมผัสนี้ออกมาได้ดีมาก ซึ่งมีตั้งแต่อะไรพื้นฐานอย่างการกดปุ่มรับโทรศัพท์, กด Like รูปบนโลกโซเชียล, ไปจนถึงอะไรที่ทำให้รู้สึกว้าวอย่างการใช้นิ้วระบายหน้าจอเพื่อวาดความฝันที่ตัวเอกจินตนาการไว้กับแฟนหนุ่ม หรือฉากที่น่าประทับใจอย่างตอนที่ตัวเอกมีปัญหากับแฟนหนุ่ม ซึ่งมีชื่อฉากว่า ปล่อยไป และวิธีการผ่านฉากนี้คือการปล่อยให้ทั้งสองคนเดินห่างออกจากกันเรื่อยๆ แทนที่จะคอยแตะหน้าจอให้ตัวเอกเดินรอแฟนหนุ่มโดยไม่ยอมปล่อยไป [caption id="attachment_15853" align="alignnone" width="1080"] นอนคุยกันถึงความฝัน[/caption] [caption id="attachment_15854" align="alignnone" width="1078"] การปล่อยไปอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด[/caption] ดนตรีประกอบอันประณีต Florence เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่ขึ้นข้อความเตือนผู้เล่นก่อนเริ่มเกมว่าให้ใส่หูฟังเพื่อประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีที่สุด และที่เกมกล้าทำแบบนี้ก็เพราะดนตรีถูกสร้างสรรค์และคัดเลือกมาอย่างดี ผมเชื่อว่าดนตรีประกอบเกมดีๆ ไม่จำเป็นต้องติดหู แต่ต้องทำหน้าที่ในการช่วยทำให้เกมสนุกขึ้น ดนตรีของ Florence เป็นแบบนั้น จริงๆ แล้วถ้าเล่นจบโดยไม่ได้สังเกตก็อาจไม่ได้รู้สึกชื่นชมอะไรกับดนตรีของเกมนี้ขนาดนั้น แต่พอมาเปิดเล่นอีกรอบเพื่อเขียนถึงเลยพบว่าดนตรีถูกเลือกออกมาให้เข้ากับแต่ละฉากเป็นอย่างดี และอธิบายเหตุว่าทำไมฉากทะเลาะกันถึงรู้สึกกดดันขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะในเกมมีเสียงเชลโล่ลุ้นระทึกเป็นฉากหลังอยู่นั่นเอง [caption id="attachment_15856" align="alignnone" width="2199"] ตามเสียงเพลงนั่นไป[/caption] ประสบการณ์ที่ทำให้นึกถึงตัวเอง ด้วยความที่ Florence เลือกเล่าเรื่องง่ายๆ ด้วยวิธีที่ทรงพลัง บวกกับการใช้ประโยชน์จากดนตรีและระบบการเล่นที่สร้างสรรค์ ทำให้เมื่อเราสวมบทบาทเป็นฟลอเรนซ์เราก็เผลอจำลองตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว วันเวลาที่ผ่านไปทำให้เรากับเพื่อนในวัยเด็กห่างเหินกันไปแค่ไหน? เวลาทะเลาะกับแฟนเราฟังหรือเราเถียงเพื่อที่จะชนะ? ในขณะที่เรารู้สึกรำคาญคนที่อยู่ปลายสาย คนคนนั้นโทรหาเราเพื่ออะไร? คำถามทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เกมมอบให้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำถามสำคัญที่กว่าหลายคนจะได้ถามก็สายไปแล้ว [penci_review id="15427"]
24 Dec 2018
รีวิว Kynseed เกม RPG ทำฟาร์มสุดน่ารักจากผู้สร้าง Fable
เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเกม Kynseed ได้ถูกวางขายบน Steam ในรูปแบบ Early Access โดยทีมพัฒนากลุ่มเล็กๆ ที่ใช้ชื่อว่า PixelCount Studios ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Lionhead Studio ทีมพัฒนาเกมดังในอดีตอย่างซีรีส์ Fable ตัวเกมถูกวางคอนเซ็ปต์ไว้ว่าเป็นแนว RPG Adventure + Life Sim ที่ให้คุณได้ออกสำรวจโลกกว้างในรูปแบบ 2D มีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคราฟเบียร์, ทำธุรกิจเปิดร้านขายยาหรือโรงเตี๊ยม, การเกิดแก่เจ็บตายและส่งต่อความสามารถไปสู่รุ่นลูก, พัฒนาความสัมพันธ์กับ NPC ที่มีการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเองและสามารถจดจำทุกการกระทำของเรา, ต่อสู้กับมอนสเตอร์พร้อมตามหาความลับของโลกในเกมที่มาในธีม dark faery tale และสุดท้ายท้ายสุดสิ่งที่ต้องมีแน่นอนคือการทำฟาร์ม ซึ่งจะเป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งที่คุณสามารถเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ [caption id="attachment_14882" align="aligncenter" width="800"] แผนที่โลกในเกมค่อนข้างกว้าง พร้อมรอการสำรวจ[/caption] [caption id="attachment_14883" align="aligncenter" width="800"] ผจญภัยไปกับสัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ ที่จะคอยบอกตำแหน่งสมบัติใต้ดินให้คุณค้นหา[/caption] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกมพูดถึง “Kynseed” เมล็ดพันธุ์ลึกลับ โดยเริ่มอารัมภบทสั้นๆ จากหญิงชราผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านรองเท้า เธอเลี้ยงดูเด็กๆ มากมายด้วยตัวคนเดียว และเหมือนว่ากำลังมีปัญหากับจำนวนของเด็กน้อยเหล่านี้ ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น ด้วยท่าทีอ่อนโยนเขาเลือกรับเลี้ยงฝาแฝดชายหญิงเพื่อไปช่วยดูแลฟาร์มเล็กๆ ในหุบเขาที่ชื่อว่า Quill ดินแดนแสนสงบที่ผู้คนอาศัยอยู่ด้วยความกลมเกลียว แต่กลับรายล้อมไปด้วยอันตรายจากมอนสเตอร์ในป่าลึก และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะรับบทเป็นตัวละครเด็กชายหรือเด็กหญิง [caption id="attachment_14885" align="aligncenter" width="800"] แฝด ชาย-หญิง ตัวละครที่คุณสามารถเลือกเพศในการเล่นได้[/caption] เกมเพลย์ ในด้านเกมเพลย์จริงๆ แล้วยังไม่สามารถสรุปอะไรได้มากนักเพราะเกมยังเป็นเพียงแค่ตัวทดลองที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อหางบเพิ่มในการพัฒนา และเปิดรับความคิดเห็นจากแฟนเกม ภารกิจส่วนใหญ่ที่มีให้ทำจึงเป็นการสอนให้รู้จักระบบของเกมคร่าวๆ เช่น การปลูกผัก, เลี้ยงสัตว์, เก็บผลผลิต, ขุดเหมืองเพื่อนำแร่มาตีอาวุธและอุปกรณ์, ขายของ หรือทำอาหาร ซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่เกมแนว Life Sim พึงมี โดยจะมีมินิเกมเล็กๆ ให้เราเล่นขั้นในบางกิจกรรมก็ช่วยเพิ่มสีสันได้ดี เช่น เมื่อมีการต่อรองระหว่างการขายสินค้า จะมีเกจขึ้นมาให้เรากด ถ้าตรงจังหวะนั่นหมายถึงว่าเราต่อรองชนะ และขายสินค้าได้แพงขึ้น แต่ถ้าพลาดก็ขาดทุน จนแบบจ๋อยๆกันไป [caption id="attachment_14886" align="alignnone" width="800"] อย่าลืมรดน้ำพืชผักในฟาร์ม[/caption] [caption id="attachment_14887" align="alignnone" width="800"] สามารถเช่าแผงลอยเพื่อขายผลผลิตที่คุณหามา[/caption] [caption id="attachment_14888" align="alignnone" width="800"] มินิเกมระหว่างการปรุงอาหาร[/caption] ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้เห็นระบบสุดพิเศษต่างๆ ที่ทางผู้พัฒนาได้เคลมไว้ ด้วยแผนที่ที่ค่อนข้างกว้าง การผจญภัยในบรรยากาศของนิยายปรัมปราเพื่อตามหาความลับของภูติแต่ละชนิดและไอเท็มต่างๆ ที่มาในรูปแบบของบทกลอนตลกๆ หรือข้อความชวนหัว ก็สร้างความเพลิดเพลินได้มิใช่น้อย แต่นั่นก็เรียกร้องสกิลภาษาอังกฤษจากผู้เล่นด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีกิมมิคน่ารักๆ อย่างการบอกเวลาด้วยดอกแดนดิไลออน หรือการขี่หมู (ในโลกของ Kynseed ม้าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว!) ก็สร้างเอกลักษณ์หรือภาพจำให้กับตัวเกมได้เป็นอย่างดี ส่วนที่น่าสนใจอีกข้อคือระบบสกิล ถึงแม้จะยังไม่ค่อยชัดเจน แต่ตัวเกมก็บ่งบอกว่าในอนาคตผู้เล่นสามารถพัฒนาความสามารถของตัวละครได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ชาวสวน, นักตกปลา, ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้, พ่อครัว, นักผจญภัย หรือแม้แต่นักกวี [caption id="attachment_14890" align="alignnone" width="800"] การขี่หมู เทรนด์ใหม่มาแรงในโลกของ Kynseed[/caption] [caption id="attachment_14891" align="alignnone" width="800"] สกิลสายต่างๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีเปิดให้เห็นแค่ Fishing กับ Melee[/caption] กราฟิก Kynseed นำเสนอกราฟิกในรูปแบบของ Pixel Art ซึ่งลงรายละเอียดสีสันในเกมได้ค่อนข้างสวยงาม ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของฉากหลังที่เป็นป่าเขาได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ดึงดูดนักเล่นเกมนอกกระแส หรือผู้เล่นทั่วไปได้ไม่ยาก อีกทั้งเพลงประกอบในเกมก็น่ารักสดใสให้บรรยากาศของเกม RPG แม้จะไม่ถึงกับติดหูแต่ก็กลมกล่อมไปกับตัวเกมได้แบบไม่หลุดธีม [caption id="attachment_14892" align="aligncenter" width="800"] การตกปลาท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง[/caption] สรุป สุดท้ายนี้ จากการที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นในช่วง early access (ราคา189บาท) ก็พบว่าตัวเกมมี bug บานตะไท (แหงสิ!) แต่เกมก็มีทิศทางที่น่าสนใจ ถ้าหากว่าผู้พัฒนาสามารถทำได้อย่างที่ว่าไว้ และพัฒนาระบบการเล่นบางอย่างที่ยังดูไม่ค่อยสมบูรณ์ เช่น การที่ต้องหา NPC บางตัวเพื่อทำภารกิจ ซึ่งบางครั้งหายากเหลือเกินเนื่องจากไม่มีตัวช่วยอะไรเลย ผู้เล่นต้องคลำหาเอง หรือระบบแผนที่ ที่ยังใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ เพราะไม่สามารถย่อ - ขยาย ได้ ทำให้ดูรายละเอียดค่อนข้างยาก แถมยังมาร์คจุดเพื่อกำหนดเป้าหมาย หรือเพื่อกันลืมไม่ได้อีกต่างหาก ทั้งๆที่ควรจะมี และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ NPC ชาวบ้าน ที่ยังขาดความน่าสนใจ หรือเอกลักษณ์ที่สามารถดึงดูดให้ผู้เล่นจมจ่อมอยู่ในโลกของ Kynseed ก็คงได้แต่เฝ้ารอเฝ้าหวังว่าทางผู้พัฒนาจะมองเห็นและแก้ไขเพื่อให้ตัวเกมออกมาสมบูรณ์ที่สุด โดยเกมมีกำหนดวางขายตัวเต็มช่วงปลายปี 2019 ที่กำลังจะถึงนี้ แล้วมาดูกันว่า Kynseed จะสามารถเฉิดฉาย สร้างชื่อให้กับ PixelCount Studios ได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่หนึ่งเกมแป้กที่ติดอยู่ใต้ร่มเงาของ Stardew Valley [caption id="attachment_14894" align="aligncenter" width="800"] แผนที่ในฟาร์มซึ่งดูรายละเอียดค่อนข้างยาก ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร[/caption] [caption id="attachment_14895" align="aligncenter" width="800"] ระบบต่อสู้และฉากหลังที่เหมือนจะยังไม่เรียบร้อยดี (ถึงโดนมอนสเตอร์ตีก็ไม่ตาย)[/caption] สรุปคะแนนในตอนนี้ทางผู้เขียนยังไม่สามารถให้คะแนนได้ เนื่องจากเกมยังเป็นเพียงแค่ Early Access บน Steam เท่านั้น  
11 Dec 2018
รีวิว Battlefield V เจ้าแห่งเกมสงคราม ที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่
แนวเกม: FPS ผู้พัฒนา: DICE จัดจำหน่าย: EA แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (Origin) Battlefield V เกมแนว FPS ภาคต่อจากซีรีส์แนวสงครามของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง EA ที่คุณรู้จักกันดี โดยในภาคนี้ตัวเกมจะพาให้คุณเข้าไปสัมผัสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่ามหาอำนาจอย่างฝ่ายสัมพันธมิตร และ ฝ่ายอักษะ เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง โดยตัวเกมได้พัฒนาระบบต่างๆ ให้แตกต่างจากภาค Battlefield 1 อยู่มากพอสมควรเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวผู้เล่น และถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากสำหรับเกมนี้ที่ต้องบอกว่าพวกเขากล้า !! และอาจจะเป็นมิติใหม่ของเกมที่เราจะได้เห็นไปอีกซักพักสำหรับซีรีส์ Battlefield ภาคถัดๆ ไป ถึงแม้ว่าในช่วงเปิดตัวนั้น ตัวเกมได้รับคำวิจารณ์ในเชิงลบอยู่มากพอสมควร จนทำให้บัลลังค์ชื่อเสียงคำว่าเฟรนไชส์เกมยอดเยี่ยมนั้นสั่นคลอนลงมาเลยทีเดียว ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและไปปรับแก้ระบบต่างๆ จนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ตัวเกมนั้นก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยในบทความนี้พวกเราชาว GamefeverTH จะมารีวิวเกมนี้อย่างละเอียด ดีหรือไม่ดีตรงไหนจากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน พร้อมทั้งการเปรียบเทียบระหว่างภาคนี้กับ Battlefield 1 ที่มันแตกต่างกันยังไง และต้องขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีอย่าง NGIN ที่ส่งแผ่น PS4 เกมนี้มาให้เรารีวิวครับ เอาล่ะเราไปชมกันเลย กราฟิก ถึงแม้ว่าตัวกราฟิกของเกมภาคนี้จะใช้เอ็นจิ้น Frostbite 3 เหมือนในภาคที่แล้ว แอนิเมชั่นต่างๆ ก็จะคล้ายกันในหลายๆ อย่าง แต่ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของภาคนี้กลับทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แสง เสียง เงาต่างๆ ก็ดูสมจริงมากขึ้น เพราะใน Battlefield 1 ที่เราคิดว่าภาพสวยแล้วนั้น แต่มันก็ยังมีความเรียบของดีเทลเล็กน้อยในเรื่องของ แสง เงา ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันยังไม่สมจริงเท่าที่ควร แต่ต่างจากในภาคนี้ เรื่องแสง เงา คือจัดเต็ม !! จัดเต็มมาก !! กะเอาให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด เหมือนต้องการให้เราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจรืงๆ รวมถึงสำหรับสาวก PC ที่คอมแรงก็จะโชคดีกว่าคนอื่น เพราะตัวเกมนี้ก็จะมีระบบ Ray Tracing ที่จะเป็นการสะท้อนเงาฉากในเกมให้เกมสมจริงขึ้นอีกไปอีก แต่ถ้าหากใครที่ต้องการจะใช้ระบบนี้ คุณก็อาจจะต้องใช้การ์ดจอระดับ High End ของค่ายเขียวซีรีส์ 2000 ขึ้นไปด้วย ซึ่งถ้าว่าคอมคุณทำได้ ต้องบอกเลยว่านี่คือเกมที่ภาพสวยที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียว [caption id="attachment_13824" align="aligncenter" width="1280"] ในภาค Battlefield V จะมีรายละเอียดเรื่องแสง และเงาที่สวยกว่า[/caption] Single Player ในภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงคอนเซ็บที่จะเล่าเนื้อเรื่องในหลายๆ มุมของยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ดั่งที่เคยทำมาในเกม Battlefield 1 โดยการนำเสนอของภาคนี้จะเน้นเนื้อเรื่องในอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทุกคนไม่เคยเห็นในแต่ละประเทศ โดยจะมีเนื้อเรื่องอยู่ทั้งหมด 4 บทนั่นคือ Nordlys - สาวน้อยนักฆ่าความสามารถสูงที่จะต้องปลดแอกประเทศ Norway ของตัวเอกจากฝ่ายนาซี พร้อมทั้งต้องช่วยเหลือครอบครัวที่โดนจับตัวไป Under No Flag - เล่าถึงเรื่องโอกาศที่สองของอาชญากรนามว่า Billy Bridger ที่จะต้องเข้าร่วมกองกำลังรบอังกฤษ เพื่อมารับใช้ชาติแทนที่จะเข้าคุก Tirailleur - การต่อสู้ของกองกำลังเซเนกัลประเทศฝรั่งเศษที่จะต้องปกป้อง Homeland พื้นที่ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน The Last Tiger - จะเล่าเรื่องของทหารฝ่ายนาซี กับลูกเรือบนรถถัง The Tiger คนหนึ่งที่เริ่มสงสัยและตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของประเทศตัวเอง (แต่ในเนื้อเรื่องนี้ผมยังไม่ได้เล่น เพราะว่าผู้พัฒนาบอกว่ามันจะตามมาทีหลังนั่นเอง) โดยตัวเกมเพลย์ในภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะระบบการเล่นนั้นจะกลายเป็นรูปแบบ Openworld เต็มตัว มีแนวทางการเล่นหลากหลายมากกว่าก่อน มีอิสระในการผ่านด่านต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างเช่นการบุกประจันหน้าเข้าไป หรือจะเป็นการลอบเร้นเข้าไปก็ได้ อาวุธภายในเกมก็มีหลากหลายเพียงแต่เราอาจจะต้องไปไล่เก็บตามแคมป์ศัตรูต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เราต้องสำรวจมากขึ้นนั่นเอง มีการส่อง Mark ตำแหน่งของศัตรูเพื่อให้เล่นได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นการคอยๆ เก็บทีละตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรู Alert และไปกดเสาสัญญานขอความช่วยเหลือให้เพื่อนมาช่วยเป็นต้น [caption id="attachment_13827" align="aligncenter" width="1280"] โหมดเนื้อเรื่องกลายเป็นแนว Openworld เต็มตัว[/caption] [caption id="attachment_13853" align="aligncenter" width="1280"] มีการส่องกล้องหาศํตรูหรือจุดดรอปปืนเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเรา[/caption] [caption id="attachment_13829" align="aligncenter" width="1280"] สามารถรอบเร้นเข้าไปเก็บทีละคนได้[/caption] แต่เนื่องจากที่ระบบการเล่นแบบนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องใหม่ที่ Battlefield เคยทำ มันเลยทำให้การดีไซน์ต่างๆ ของแผนที่นั้นออกมาไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นภายในเนื้อเรื่องที่เราจะต้องแอบเข้าไปในดงศัตรูเพื่อทำภารกิจ ซึ่งในเนื้อเรื่องของมันก็บังคับแบบกลายๆ แล้วว่าเราจะต้องลอบเร้นเข้าไป แต่ตัวศัตรูนั้นนอกจากที่จะหูไวตาไวแล้ว ข้อจำกัดในการเล่นหรืออาวุธที่เราใช้มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้เราผ่านด่านได้แบบ Perfect เพราะบางครั้งศัตรูเองก็จะไม่เดินไปเดินมาเหมือนเกมอื่น อาวุธเริ่มต้นก็จะไม่มีปืนเก็บเสียงนอกจากมีดลับที่สามารถปาให้เข้าหัวเท่านั้น แต่มันก็จะมีพวกปืนเก็บเสียงบ้างตามแคมป์ ซึ่งมันก็แลกกับการที่เราจะต้องไปควานหามันก่อนที่จะทำภารกิจ โดยถ้าใครชอบระบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนถ้าใครไม่ชอบระบบนี้ก็คงจะน่ารำคาญเล็กน้อย และอย่างที่แย่เลยก็คือใครบางครั้ง ศัตรูนั้นหันหน้าไปทางเดียวกันหมดทุกคน มันเลยทำให้การลอบเร้นยากกว่าเดิมเลยทำให้ความสนุกมันลดทอนลงไป ถ้าให้เปรียบเทียบระบบการลอบเร้นของเกมนี้ มันก็ดูเหมือนเกม Metal Gear Solid V: The Phanton pain เล็กน้อย เพียงแต่เกมนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือกลไกของเกมที่ทำให้เราลอบเร้นสนุกมากกว่าเกมนี้หลายเท่า [caption id="attachment_13832" align="aligncenter" width="1280"] บางพื้นที่ศัตรูหันหน้าทางเดียวกัน ซึ่งมันทำให้การรอบเร้นฆ่าทีละตัวยากกว่าเดิม[/caption] ส่วนตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ เนื่องจากที่แต่ละบทจะใช้เวลาเพียงแค่ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น การเล่าเรื่องในซีนสำคัญๆ มันเลยทำให้เราไม่อินเท่าที่ควร เพราะเราเองก็พึ่งจะรู้จักตัวละครพวกนี้ได้ไม่นาน เราเลยยังไม่ผูกพันธ์พวกเขาเท่าที่ควร แต่ก็ต้องชมเลยว่าในเรื่องของซีนที่จะสื่อถึงความรักชาติ หรือทำให้เรารู้สึกหึกเหิม ตัวเกมจะสื่อออกมาได้ดีมากๆ ซึ่งส่วนตัวของผมนั้นจะชอบในบท Under No Flag มากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องมันจะทำให้เราเอาใจช่วยเจ้าหนูคนนี้ตลอดเวลา   Multiplayer ในเกม Battlefield V ระบบมัลติเพลยเยอร์นั้นก็จะมีโหมดการเล่นอยู่ด้วยกัน โหมดนั่นคือ Conquest - โหมดคลาสสิค ที่มีมาตั้งแต่ภาคเก่าๆ เป็นการต่อสู้ในสเกลใหญ่ที่เราจะต้องยึดพื้นที่ต่างๆ โดยในภาคนี้ระบบจะไม่เหมือนกับภาคก่อนหน้าตรงที่การนับคะแนนคือการตาย ซึ่งถ้าหากว่าเราถูกยึดจุดมากกว่าครึ่งจะทำให้คะแนนลดมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งมันทำให้การ Comeback ของฝ่ายเสียเปรียบทำได้ง่ายขึ้น Domination - การต่อสู้ภาคพื้นดินที่จะสเกลเล็กลงมากว่าโหมด Conqest เราจะพบเจอศัตรูได้ง่ายกว่า Team Deathmatch - โหมดยิงประจันหน้าที่มีอยู่ทุกเกม โดยตัวเราและศัตรูจะสุ่มเกิดในพื้นที่ขนาดเล็กอยู่เรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเข้าไปฝึกยิงให้คล่อง Frontlines - โหมดภารกิจยึดจุด ในธีมที่เหมือนกับการเล่นชักกะเย่อ ถ้าหากว่าฝ่ายเรายึดจุดมากกว่าอีกฝ่ายเราก็จะชนะไป Breakthrough - โหมด Capture the flags ที่เรารู้จักกันดีฝ่ายบุกต้องเข้ายึด ส่วนฝ่ายกันก็จะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้ฝ่ายบุกเข้ามาได้ Grand Oparation - โหมดสเกลใหญ่ที่รวมหลายๆ โหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งตัวโหมดนี้เองก็มีตั้งแต่ภาคก่อนหน้า ตัวเกมใช้เวลาในการเล่นนาน และเนื้อเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้แพ้ชนะของแมทนั้นๆ โดยเกมนี้จะเน้นการเล่นเป็นทีมไม่ต่างจากในเกมภาคที่แล้ว เพียงแต่วิธีการเล่นเป็นทีมจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และระบบต่างๆ จะปรับเปลี่ยนใหม่อย่างเช่น ในเกม Battlefield 1 ตัวละครของเราถ้าหากไม่ใช่คลาส Medic เราก็จะไม่มียาให้เพิ่มเลย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าหากว่าเรารอเวลาซักนิดตัวละครก็จะค่อยๆ ฟืนเลือดมาเรื่อยๆ จนเต็มแต่มันจะเสียเวลา ซึ่งการมี Medic ในทีมนั้นสำคัญเป็นอย่างมากเพราะจะคลาสนี้จะคอยเติมเลือดให้เราได้ไว ส่วนในเกมภาคใหม่ทุกคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะมียาเพิ่มเลือดให้คนละ 1 อัน  แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราไม่มียาเลือดของเรานั้นก็จะเพิ่มไม่เต็มหลอดทำให้เสียเปรียบนั่นเอง ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างอย่างหนึ่ง และการชุบเพื่อนเราไม่จำเป็นต้องรอ Medic อย่างเดียวเหมือนภาคที่แล้ว เพราะในภาคนี้ไม่ว่าคุณจะเล่นคลาสไหน ก็สามารถที่จะชุบเพื่อนได้ เพียงแต่ว่าคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะใช้เวลาชุบที่นานมากกว่านั่นเอง และในภาคนี้ก็จะตัดระบบการวิ่งชาร์จที่มีข้อดีในการเข้ายึดจุดไว หรือ Take Down ศัตรูในทีเดียวออกไป พร้อมทั้งยังตัดระบบชุดเกราะพิเศษในภาค 1 ที่จะทำให้เราถึกขึ้นปืนโหดขึ้น มันเลยทำให้ความแฟนตาซีลดลงไป และให้ความสมจริงมากขึ้น เจาะจงการเล่นเป็นทีมมากขึ้น เกาะกันเป็นกลุ่มมากกว่าแต่เก่านั่นเอง [caption id="attachment_13839" align="aligncenter" width="1280"] เป็นคลาส Assault แต่มียามาให้ 1 ชิ้น[/caption] [caption id="attachment_13840" align="aligncenter" width="1280"] ทุกอาชีพสามารถชุบเพื่อนได้ เพียงแค่ Medic จะสามารถชุบได้เร็วกว่าคลาสอื่นนั่นเอง[/caption] ระบบการต่อสู้แบบเดินเท้าก็จะสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะว่าตัวเกมได้ตัดทอนความสามารถของยานพาหนะให้เก่งน้อยลงกว่าภาคก่อนๆ เยอะ ซึ่งตัวผมเองเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 และเห็นรถถังเดินบู๊ฆ่าแหลกน้อยมาก เพราะตัวรถถังมันโดนทำลายง่ายพอสมควร เนื่องจากที่ฝ่าย Assault นั้นมีปืนระเบิดไว้ทำลายรถถังหลายลูกต่อหนึ่งคน มันเลยทำให้การสู้ด้วยยานพาหนะจะต้องใช้แบบแผนมากยิ่งขึ้นกว่าในภาค Battlefield 1 ที่ก่อนจะปรับสมดุล ตัวรถถังมัน OP มากๆ สามารถบู๊แหลกเก็บทั้งทีมได้สบายๆ พร้อมทั้งระบบ Behemoth ที่มีในเกม Battlefield 1 ก็ได้ตัดออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยระบบนี้จะเป็นการนำยานพาหนะขนาดใหญ่เข้ามาร่วมรบสำหรับฝ่ายที่มีคะแนนน้อยและใกล้แพ้ แต่เอาตามตรงมันก็ไม่ค่อยจะช่วยให้เราชนะซักเท่าไร เพราะตัว Behemoth นั้นมีพื้นที่จำกัดในการเคลื่อนที่ รวมถึงถ้าหากคนที่ใช้ปืนเล่นไม่เก่งและสามารถเก็บฝ่ายศัตรูให้เรียบได้ มันก็แทบจะไร้ประโยชน์เลยทีเดียว แถมมันยังทำให้ผู้เล่นมัวแต่ไปขี่ตัว Behemoth จนไม่มาช่วยกันยึดจุดด้วยซ้ำ ซึ่งในภาคนี้ได้ใส่ระบบแต้มคะแนนของ Squard เข้ามาแทนที่ถ้าหากว่าเราและเพื่อนร่วมทีมสามารถเก็บคะแนนได้เยอะๆ หัวหน้าทีมสามารถเรียกคำสั่งนี้เพื่อที่จะใช้ให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิด ใส่ศัตรู หรือเรียก Supply มาให้ก็ได้ รวมถึงภาคนี้ยังได้ใส่ระบบการก่อสร้างเพื่อเราจะได้สร้างที่กำบังให้สามารถเพิ่มความได้เปรียบกับตัวเราได้ อย่างเช่นการเอาถุงทรายมาเป็นป้อม สร้างถุงทรายให้กลายเป็นกำแพง หรือการซ่อมหน้าต่างที่กำบังในบ้านเพื่อทำที่หลบภัยให้กับสไนเปอร์ รวมถึงตัวเกมยังมีระบบ Peek Over เล็กๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาตัวไปหลบในที่กำบังแล้วกดเล็ง ตัวเราจะชโงกหน้าออกมาเล็งอัตโนมัติ ซึ่งมันเหมาะทั้งในทีมบุกและทีมรับ เพราะตัวทีมบุกเองก็สามารถบุกหลบในหลุมขนาดใหญ่บนพื้น แล้วสร้างที่กำบังเพื่อหลบภัยชั่วครู่แล้วจึงค่อยบุกต่อก็ได้ ส่วนทีมกันก็สามารถสร้างที่หลบภัยเพิ่มเติมถ้าหากว่าตัวสิ่งก่อสร้างมันโดนพังเป็นต้น แต่ข้อเสียของระบบนี้คือตำแหน่งในการสร้างบนภาคพื้นดินจะมีอยู่จำกัดและสร้างที่กำบังไม่ได้ทุกพื้นที่ รวมถึงมันต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมสูง ถ้าหากจะให้ระบบนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเราจะได้ช่วยกันสร้างป้อมทุกมุมได้ไวขึ้น หรือถ้าหากเราเผลอโดนศัตรูยิงก็จะสามารถช่วยกันชุบได้ หรือช่วยกันแจกกระสุน ยาเป็นต้น และพอใช้งานจริงระบบนี้กลับไม่ค่อยจะมีคนนิยมเท่าไร เพราะมันทำให้รูปเกมช้าลงอย่างเห็นได้ชัด คนในเซิร์ฟเลยเลือกที่จะเล่นในแบบเดิมๆ มากกว่า แต่จะมักนิยมสำหรับคนที่เล่น Sniper ที่สามารถยิงปืนได้ในระยะไกลนั่นเอง รวมถึงการ Peek Over ส่วนตัวมันรู้สึกเอ๋อๆ กดได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง ทำไมบางจังหวะมันผิดพลาดไปหมด ระบบคลาสของเกมนี้ในแต่ละคลาสก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปอีก โดยฟังชั่นนี้จะเรียกว่า Combat Role ในการเล่นได้ ซึ่งมันก็จะไปเพิ่ม Passive ให้เราเก่งในสายนั้นๆ อย่างเช่น Role ของฝ่าย Assault ก็จะมี Role ที่จะเน้นระเบิดรถถัง หรือ Role ที่เน้นการยิงเป็นต้น พร้อมทั้งในเกมภาคนี้ได้ตัดระบบ Season Pass ออกไปไม่ต้องเทพทรูอีกแล้ว การได้ของใหม่ๆ ก็จะสามารถเก็บเลเวล รวมถึงแต่ละเลเวลก็จะมีของที่บอกชัดเจนว่าจะปลดล็อคอะไร พร้อมทั้งสกีนต่างๆ ซึ่งเราสามารถทำเควสหรือซื้อด้วยเงินเครดิตในเกมได้เช่นกัน และก่อนหน้านี้ที่ทางผู้พัฒนาโดนโจมตีเรื่องสกีนของตัวละครที่คาดว่าจะมีระบบ Lootbox เข้ามาให้เราเปิดสกีน ซึ่งดูเหมือนว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ตัดระบบนี้ออกไปเลยทำให้สกีนหรือชุดสวมใส่ต่างๆ ก็จะดูไม่แฟนตาซีมาก ซึ่งตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่าระบบสกีนจะมีมาเพิ่มในอนาคตหรือไม่เราต้องรอดูกัน [caption id="attachment_13847" align="aligncenter" width="1280"] ระบบ Combat Role ที่จะเป็นคลาสย่อยของแต่ละคลาสหลักที่จะมีความสามารถแตกต่างกัน[/caption] [caption id="attachment_13848" align="aligncenter" width="1280"] ชุดไม่แฟนตาซี เพราะตัวเกมไม่มีระบบ Lootbox อย่างที่คนกลัวกัน (แต่อนาคตไม่แน่ใจว่าจะมีเข้ามาไหม)[/caption] สรุป ต้องบอกเลยว่าระบบ Singleplayer ของเกมนี้ทำออกมาได้แปลกใหม่ และถือว่าเป็นการเริ่มต้นได้ดีมากๆ เพราะระบบ Openworld ที่เราสามารถเลือกวิธีเล่นได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต้องยอมรับว่ามันยังดีไซน์ออกมาได้ไม่ดีพอ เพราะตัวเกมมีความยากในการเล่น แต่ข้อจำกัดอาวุธที่ใช้ต่างๆ มันทำให้ความสนุกถูกบั่นทอนลงมา แต่ถ้าหากใครที่ชอบแบบนี้มันอาจจะเป็นเรืองดีก็ได้ ส่วนระบบ Multiplayer เกมนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ระบบเดินเท้าทำออกมาได้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราเล่นคนเดียวประสบการณ์ที่เราจะได้รับมันอาจะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าหากคุณมาคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่สนุก เพราะถ้าหากคุณเล่นเป็นงานคุณก็คอยช่วยเหลือเพื่อน หรือช่วยเหลือทีม Squard อื่น เพื่อสร้างความได้เปรียบได้เช่นกัน และเนื่องจากที่มันเน้นความสมจริง สปีดการเล่น หรือเข้าทำก็จะช้าลงกว่าภาคก่อนหน้า เพราะระบบต่างๆ มันเอื้อต่อการเล่นเป็นทีม ซึ่งถ้าหากคุณวิ่งมั่วๆ คุณอาจจะโดนสอยตายได้ง่ายๆ แต่ก็บอกว่านี่แหละมันคือเสน่ห์หลักของภาคนี้เลยทีเดียว เพราะไอ้ความสมจริงนี่แหะมันเลยทำให้เราอินกับคำว่าสงครามโลกมากยิ่งขึ้น นี่อาจจะเป็นเกม Battlefield ภาคที่เปิดตัวออกมาโดนด่ามากที่สุด แต่ทางผู้พัฒนาเองก็ได้แก้ไขจุดต่างๆ เอาใจความคิดเห็นของผู้เล่นมากขึ้น จนทำให้มาตรฐานของมันก็ยังดีเยี่ยมเหมือนอย่างเคย [penci_review id="13607"]
29 Nov 2018
Review: รีวิวเกม Hitman 2 - มือปืนโล้นซ่า ทวงบัลลังค์ราชาเกมลอบเร้น!
แนวเกม: Stealth-Action (แอคชั่น-ลอบเร้น) ผู้พัฒนา: IO Interactive (จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Interactive) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC เวลาเล่น: จบเนื้อเรื่อง (ราว 8-10 ชั่วโมง) ข้อดี: เกมเพลย์แนวลอบเร้นที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเหมือน มีความท้าทายในระดับที่พอดี ไม่ได้ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ยากจนหงุดหงิด เปิดช่องให้ผู้เล่นได้ใช้ความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ฉากเกมเพลย์มีความน่าสนใจและหลากหลายในตัว เล่นซ้ำได้ไม่เบื่อ ข้อเสีย: รายละเอียดกราฟิคปรับปรุงได้อีกเยอะ เนื้อเรื่องสั้น/ด่านน้อย แถมยังเล่าไม่สนุก โหมดออนไลน์ไม่ค่อยสนุกถ้าไม่ได้เล่นกับเพื่อน เกมซีรี่ย์ Hitman นั้นถือเป็นซีรี่ย์ที่เปลี่ยนแก่นเกมเพลย์ไปน้อยมากๆ แม้ว่าจะวางขายมาแล้วเกือบ 20 ปี (ภาคแรกวางจำหน่ายปี 2000) เกมยังคงให้ผู้เล่นรับบทเป็นสายลับ 47 เหมือนเดิม ยังคงให้เราลอบเข้าไปในฐานศัตรูด้วยการเปลี่ยนชุดปลอมตัวไปเรื่อยๆ เพื่อหาโอกาสลอบสังหารเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆ จะเปลี่ยนไปก็เพียงแค่เรื่องคุณภาพและกราฟิคของเกม ที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เกม Hitman 2 ภาคล่าสุด (คนละภาคกับ Hitman 2: Silent Assassin ปี 2002) ก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงสูตรเกมเพลย์ของซีรี่ย์ไปแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Hitman (2016) ที่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งในเรื่องของเกมเพลย์และกราฟิค แต่เหตุผลที่เกมไม่เปลี่ยนไปก็ไม่ใช่ว่าเกมจะรู้สึกตกยุคหรือติดขัดแต่อย่างใด กลับกันซะอีก เกมเพลย์การลอบเร้นของ Hitman 2 ยังคงสนุกและท้าทาย แถมยังมีเอกลักษณ์ที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีเกมไหนทำได้เหมือนกัน ต้องใช้ไหวพริบ ความคิดสร้างสรรค์ และความใจเย็นมากกว่าฝีมือในการเล่นเกมยิงปืน แน่นอนว่าเกมก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ด้วยกราฟิคและอนิเมชั่นที่ถือว่ายังปรับปรุงได้มากในหลายจุด แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบเกมแนวลอบเร้นแบบฮาร์ดคอร์ และใฝ่หาเกมที่ท้าทายความคิดเรามากกว่าความแม่นยำ เกม Hitman 2 น่าจะตอบโจทย์ของคุณได้ดีเลย [caption id="attachment_12862" align="aligncenter" width="1920"] เป็นอุบัติเหตุจริ๊งๆ...[/caption] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Hitman 2 จะติดตามสายลับ 47 ในระหว่างการเดินทางรอบโลกเพื่อค้นหาอดีตอันลึกลับของตัวสายลับ 47 เอง พร้อมๆ กับการตามหาองค์กรลับชั่วร้าย ที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตของเขา และคือผู้ที่ลบความทรงจำของเขาออกไปตั้งแต่แรกนั่นเอง ว่ากันตามตรงว่าเนื้อเรื่องของเกม Hitman 2 ไม่ได้น่าสนใจหรือสำคัญต่อเกมเลยแม้แต่น้อย เกมเลือกที่จะเล่าเหตุการณ์เนื้อเรื่องต่างๆ ผ่านฉากคัตซีนที่ใช้ภาพนิ่งผสมกับกราฟิคไฮเทคต่างๆ ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องของเกมตามยากมากเพราะเล่าแบบโดดไปมาเยอะ แถมเพราะฉากเนื้อเรื่องเหล่านี้มักจะถูกเล่าเฉพาะช่วงก่อนและหลังทำภารกิจเท่านั้น ทำให้การเล่าเรื่่องขาดช่วงไปในระหว่างภารกิจ และแต่ละภารกิจยังมีเนื้อเรื่องย่อมๆ ของตัวเองอยู่แล้วด้วย ยิ่งทำให้การติดตามเนื้อเรื่องของเกมยากเข้าไปใหญ่ พูดง่ายๆ คือผู้เขียนยังไม่สามารถบอกได้อย่างถูกต้อง 100% เลยว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร แม้จะเล่นจนจบและนั่งดูคัตซีนทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 2-3 รอบแล้วก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เนื้อเรื่องของเกมค่อนข้างมีปัญหาก็ไม่ได้ส่งผลต่อความคาดหวังที่มีต่อเกมเท่าไหร่ อาจจะเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ถ้าทำให้ดีได้ก็จะช่วยเสริมเกมให้น่าสนใจกว่าที่เป็นอยู่ แต่สำหรับผู้เขียน การที่เนื้อเรื่องของเกม Hitman 2 มีปัญหามากๆ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย แต่คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวของเกม และไม่ใช่แฟนเกมลอบเร้นอยู่แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เกมสำหรับคุณ กราฟิค/การนำเสนอ สำหรับคนที่เพิ่งเล่นเกม Red Dead Redemption 2 มาอย่างผู้เขียน เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากราฟิคของเกม Hitman 2 ยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับเกมที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Red Dead Redemption 2 หรือกระทั่ง Assassins Creed: Odyssey ไม่ได้หมายความว่าเกมภาพน่าเกลียด เพราะฉากต่างๆ ก็มีการใช้แสงสีที่สดใส ไม่น่าเบื่อ แถมยังออกแบบมาให้มีรายละเอียดเล็กๆ อยู่เต็มด่าน แต่ในขณะที่เกมหลายๆ เกมในตลาดให้ความรู้สึกว่าภาพสวยในแบบที่ สมจริง ภาพของ Hitman 2 กลับมีความปรุงแต่งอย่างชัดเจน และดูเหมือนเป็นวีดีโอเกมตลอดเวลา แต่แม้ว่าเกมจะทำได้ไม่เลวในเรื่องของสีสันและการใช้แสง แต่ในเรื่องของการขยับตัวและสีหน้าของตัวละครก็ยังมีความแข็งๆ เป็นหุ่นยนต์อยู่เยอะ แถมเพราะในแต่ละด่านมี NPC อยู่นับร้อยๆ ตัว ทำให้เกิดปัญหาการใช้โมเดลตัวละครซ้ำขึ้นมาบ้างเวลาเล่น ซึ่งก็ทำให้เกมรู้สึกเหมือนทุนต่ำขึ้นมาได้เหมือนกัน แน่นอนว่าปัญหาที่กล่าวมาไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไร และเอาเข้าจริงส่งผลต่อการเล่นน้อยมากๆ แต่ก็เป็นปัญหาเล็กๆ ที่ผู้พัฒนาเกม AAA หลายๆ ค่ายน่าจะแก้ได้แล้วในยุคนี้ [caption id="attachment_12864" align="aligncenter" width="1920"] แค่ภาพนี้ก็มี NPC หน้าซ้ำหลายตัวแล้ว[/caption] ในส่วนของอินเตอร์เฟซ เกม Hitman 2 ได้กลับไปสู่อินเตอร์เฟซแบบ น้อยได้มาก ของภาคก่อนหน้า ที่เน้นใช้อินเตอร์เฟซเป็นกล่องๆ สี่เหลี่ยมง่ายๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใช้แอพมือถืออยู่อย่างไงอย่างนั้น แม้ในตอนแรกอาจจะรู้สึกดูสบายตา แต่พอไปนานๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเมนูที่ค่อนข้างน่าเบื่อเหมือนกัน เพราะเราจะต้องขุดเมนูเหล่านี้บ่อยๆ ทั้งช่วงก่อนและระหว่างทำภารกิจทุกครั้ง ในแง่นึงก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่ผู้พัฒนาทำให้เมนูของเกมง่ายต่อการใช้ โดยเฉพาะในจังหวะฉุกละหุก (เช่นการทิ้งปืนเวลาโดนศัตรูขอค้นตัว) แต่ผู้พัฒนาเองก็น่าจะหาวิธีนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ให้น่าตื่นเต้นกว่าแค่เป็นเมนูกล่องๆ ธรรมดา ดูไร้ชีวิตจิตใจไปหน่อย เกมเพลย์ ในหลายๆ แง่ เกมเพลย์ของ Hitman 2 ก็ทำให้หวนคิดถึงการเล่นเกมแนวพัซเซิ่ล (แก้ปริศนา) หรือแนว Adventure แบบเต็มตัวมากกว่าจะเป็นเกมแนวแอคชั่น เพราะการประสบความสำเร็จในเกมนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการแก้ปัญหาหรือการสำรวจ/หาของมากกว่าการยิงปืนหรือการต่อสู้ใดๆ (ความจริงเกมแทบจะไม่อยากให้เราต้องต่อสู้เลยด้วยซ้ำ เพราะการฆ่าตัวละครที่ไม่ใช่เป้าหมายจะทำให้โดนลดคะแนนตอนจบด่านด้วย) ถ้ามองผ่านๆ ระบบการเล่นของ Hitman 2 อาจจะไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับเกมแอคชั่น 3rd-Person ทั่วไป มีระบบการย่องหลบในกอหญ้าสูง และระบบการยิงปืนและการเข้าที่กำบังเป็นต้น แต่ระบบเกมเพลย์ที่สำคัญที่สุดของเกม Hitman 2 (หรือจะเรียกว่าที่สุดในทั้งซีรี่ย์เลยก็ได้) ก็คือระบบการปลอมตัว ที่ให้เราสามารถสวมรอยเป็นตัวละคร NPC ตัวไหนก็ได้เพื่อลอบเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม หรือเพื่อหลอกให้เป้าหมายตายใจ โดยระบบนีั้แหละคือสิ่งที่ทำให้เกม Hitman 2 ต่างจากเกมลอบเร้นทั้งหมดในตลาด เพราะเกมนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการไม่ถูกเห็นมากเท่ากับการซ่อนตัวในที่แจ้ง และการหาเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการแก้โจทย์ที่เกมมอบให้ ในการเริ่มด่านแต่ละครั้ง ผู้เล่นจะต้องหาช่องทางต่างๆ ที่จะเปิดช่องให้เราสามารถลอบสังหารเป้าหมายได้ โดยแต่ละด่านจะมีสิ่งที่เรียกว่า Mission Stories ที่เปรียบเหมือนภารกิจย่อยๆ ที่จะเปิดช่องในการสังหารเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆ อย่างในด่านแรกของเกมที่ให้เราต้องลอบสังหารเป้าหมายในงานแข่งรถ ซึ่งมีเป้าหมายต้องกำจัดสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นนักแข่งรถด้วย ในตอนที่ผ่านด่านนี้ครั้งแรก ผู้เขียนบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาของตัวละครตัวหนึ่งที่แต่งชุดมาสคอตนก ปรากฏว่า NPC ตัวนี้เป็นพนักงานของหนึ่งในเป้าหมาย ซึ่งกำลังพยายามจะแบล๊คเมล์เจ้านายตัวเอง โดยมีนัดกับเป้าหมายดังกล่าวเพื่อรับเงินแลกกับเอกสารแบล๊คเมล์ ผู้เขียนจึงจัดการล๊อคคอ NPC จนสลบและเปลี่ยนไปใส่ชุดมาสคอตนกและไปพบกับเป้าหมายตามนัดแทน และก็สามารถรอให้ถึงจังหวะที่เป้าหมายเผลอ และผลักเป้าหมายลงไปตายในช่องลิฟต์ได้ในที่สุด [caption id="attachment_12856" align="aligncenter" width="1920"] ใครจะไปคิดว่าเราเป็นนักฆ่า...[/caption] แน่นอนว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายวิธีที่เราจะเข้าถึงตัวเป้าหมายได้ เราอาจจะปลอมตัวเป็นพนักงานรปภ. เพื่อลักลอบเข้าไปในงานได้โดยไม่ถูกค้นตัว (หรือจะยอมให้ค้นตัวแต่โดยดีก็ได้ถ้าไม่พกปืน) พอมีจังหวะเราก็เปลี่ยนไปปลอมตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร เพื่อจะได้วางยาพิษในเหล้าให้เป้าหมายกิน หรือปลอมตัวเป็นทีมช่างรถแข่งเพื่อถอดน๊อตล้อรถก็ได้ แต่ละทางเลือกก็จะมีโจทย์ที่เราต้องแก้แตกต่างกันไป ทำให้ฉากแต่ละฉากสามารถเล่นซ้ำๆ กันได้หลายครั้งเพื่อค้นพบวิธีการลอบสังหารศัตรูและรายละเอียดเนื้อเรื่องเล็กๆ ในแต่ละด่านเพิ่มได้ตลอดเวลา แถมการผ่านด่านครั้งแรกจะปลดล๊อคทางเลือกเช่นจุดเริ่มต้นตอนเข้าภารกิจ หรืออาวุธที่เราจะพกติดตัวไว้ตอนเริ่มด่าน ซึ่งก็เปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถทดลองวิธีการผ่านด่านเดิมๆ ด้วยวิธีใหม่ได้หลากหลายขึ้นไปอีก [caption id="attachment_12859" align="aligncenter" width="1920"] เข้าไปเปิดดูได้ในเมนู[/caption] ทั้งนี้ ผู้เล่นจะเปิดหรือปิดตัว Mission Marker (ตัวบอกตำแหน่งภารกิจ) ในเกมเพื่อค้นพบ Mission Stories เหล่านี้ด้วยตัวเองจากการแอบฟังบทสนทนา NPC หรือการลักลอบเข้าไปขโมยเอกสารต่างๆ ได้ ซึ่งก็ช่วยเสริมความรู้สึกการแก้ปัญหาของเกมได้ดี ผู้เขียนอยากจะแนะนำให้ทุกคนเริ่มต้นแต่ละด่านมาด้วยการปิดสัญลักษณ์บอกตำแหน่งเหล่านี้ เพื่ออรรถรสสูงสุด เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นผลจากการกระทำของเราจริงๆ แทนที่จะเป็นสิ่งที่เกมกำหนดไว้ให้แล้วนั่นเอง ถ้าเข้าไปแล้วติดไม่รู้จะทำอะไรต่อค่อยเปิดก็ยังไม่สาย (กดเข้าเมนูหลักเพื่อเปิด-ปิดได้ตลอดเวลา) นอกจากโหมดภารกิจทั่วไปแล้ว เกม Hitman 2 ยังมีโหมดการเล่นออนไลน์อีกสองโหมดคือ Sniper Assassin และ Ghost Mode ด้วย สำหรับ Sniper Assassin จะให้เราร่วมมือกับผู้เล่นอีกคนเพื่อลอบสังหารศัตรูด้วยการยิงปืนสไนเปอร์จากระยะไกลเท่านั้น โดยเราจะสามารถสังหารศัตรูด้วยวิธีการสร้างสรรค์ต่างๆ ได้เช่นเดียวกับในภารกิจเนื้อเรื่อง แต่ปัญหาของโหมดนี้คือต้องอาศัยการร่วมมือระหว่างผู้เล่นทั้งสองคนสูงมาก ทำให้ถ้าไม่ได้เล่นกับเพื่อนก็แทบจะวางแผนเท่ๆ อะไรไม่ได้เลย กลายเป็นการพยายามรีบยิงศัตรูให้หมดด่านก่อนที่จะหนีไปเท่านั้น [caption id="attachment_12860" align="aligncenter" width="1280"] ในตอนนี้โหมดมีให้เล่นด่านเดียวเอง[/caption] ส่วนโหมด Ghost Mode จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างผู้เล่นสองคนเพื่อฆ่าเป้าหมายในด่านทั้ง 5 ตัวให้ได้ก่อนคู่แข่ง ซึ่งจะอยู่ในแผนที่เดียวกันแต่ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ (เป็นเหมือนโลกคู่ขนาน) โดยโหมดนี้ก็มีความท้าทายไปอีกแบบจากการลอบฆ่าเป้าหมายในโหมดเนื้อเรื่อง แต่พอมีเรื่องการแข่งขันและการจำกัดเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้เสน่ห์ของเกมอย่างการวางแผนหรือการลอบเข้าไปหาเป้าหมายอย่างช้าๆ หายไปด้วย เพราะผู้เล่นทั้งสองจะต้องพยายามหาวิธีที่เร็วที่สุดเท่านั้น หลายคนอาจจะพอสนุกกับโหมดนี้ได้ถ้าเล่นเกมจนเซียนแล้วจริงๆ แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่าโหมดมีความตรงข้ามกับสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนชอบเกม Hitman 2 ตั้งแต่แรก จึงไม่ได้ถูกใจเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเพื่อนเล่นแข่งกันขำๆ ก็อาจจะดีกว่านี้เหมือนกัน สรุป ในภาพรวมแล้ว เกม Hitman 2 ไม่ใช่เกมที่จะสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับเกมยอดเยี่ยมหลายๆ เกมที่ออกมาในปีนี้ ด้วยกราฟิคระดับกลางๆ และรูปแบบเกมเพลย์ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสูตรดั้งเดิมของซีรี่ย์ แต่ก็ยังเป็นเกมลอบเร้นที่สนุกและท้าทายในแบบที่แตกต่างจากเกมลอบเร้นอย่าง Assassins Creed หรือ Tomb Raider ไปมากเลย เกมอาจจะมีจำนวนด่านน้อยเพียง 5 ด่านเท่านั้น (รวมด่านสอนเล่นด้วย) แต่ด่านทุกด่านกลับสามารถพลิกแพลงวิธีผ่านได้หลากหลายไม่รู้จบ เป็นเกมที่เหมาะกับคนที่อยากท้าทายความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง [caption id="attachment_12858" align="aligncenter" width="1920"] ปลอมเป็นพยาบาลมาฆ่าเป็าหมาย[/caption] [penci_review id="12396"]
21 Nov 2018
Review - รีวิวเกม Red Dead Redemption 2 เกมดีๆ ที่ไม่ต้องสนุกตลอดเวลา
แนวเกม: Action-Adventure ผู้พัฒนา: Rockstar Games แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One เวลาเล่น: ไม่ต่ำกว่า 50 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) ข้อดี เกมสมจริงและละเอียดในระดับที่ไม่เคยเห็นในเกมไหนๆ มาก่อน ระบบยิงปืนสนุก ระทึกใจทุกครั้ง โลกและ NPC ที่มีชีวิต มีอะไรเกิดขึ้นรอบๆ ตัวผู้เล่นตลอดเวลา เนื้อเรื่องจริงจังแต่สนุก มีความเป็นเกมผู้ใหญ่สูง โลกสวยมาก มีภูมิประเทศหลากหลาย มีอะไรให้ค้นหาสำหรับคนที่ชอบผจญภัย เป็นเกมที่น่าทึ่งจนทำให้รู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของคอนโซลเจนถัดไปเลย ข้อเสีย ความสมจริงบางครั้งก็ทำให้เกิดสถานการณ์ที่น่ารำคาญได้เหมือนกัน เกมปลายเปิดเกินไป บางครั้งก็รู้สึกไร้ทิศทางได้ อธิบายระบบต่างๆ ไม่ค่อยดี มีหลายอย่างที่เกมไม่ได้บอก การเดินทางใช้เวลานานมากๆ ทำให้เกมรู้สึกเนือยได้เวลาต้องขี่ม้านานๆ คำเตือน: รีวิวฉบับนี้จะไม่สปอยเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลัก แต่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นแบบแรนด้อมที่ก็อาจจะถือเป็นสปอยได้สำหรับคนที่อยากไปเจอด้วยตัวเอง ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของค่ายพัฒนาในตำนานอย่าง Rockstar Games บวกกับความนิยมของเกมภาคแรกในเครื่อง PS3/Xbox 360 ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆ คนจะคาดหวังกับเกม Red Dead Redemption 2 จนถึงกับยกให้เป็นหนึ่งในเกมตัวเต็งตำแหน่ง Game of the Year ไปได้สบายๆ ตั้งแต่เกมยังไม่วางจำหน่ายด้วยซ้ำ หลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 40-50 ชั่วโมง ผู้เขียนสามารถยืนยันได้เลยว่าในแง่ของคุณภาพและรายละเอียดนั้น เกม Red Dead Redemption 2 ถือเป็นเกมที่ตั้งบรรทัดฐานใหม่ให้กับเกม Open-World ทั้งหมดต่อจากนี้ได้เลย ด้วยกราฟิคและการใช้แสงที่สมจริงจนบางมุมดูเหมือน Live-Action (คนแสดงจริง) ไปแล้ว และโลกของเกมที่มีชีวิต ดำเนินไปได้เองแม้ไม่มีผู้เล่น แถมยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งสามารถเกิดกับตัวผู้เล่นได้ตลอดเวลา ทำให้การเล่นเกม Red Dead Redemption 2 ให้ความรู้สึกเหมือนการใช้ชีวิตจริงในบางครั้ง ที่เราไม่สามารถควบคุมได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ในทางกลับกัน ความพยายามสร้างความสมจริงทุกกระเบียดนิ้วของผู้พัฒนาก็ทำให้มีจังหวะที่รู้สึกไม่สนุกอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน อย่างในเรื่องการขยับตัวและการปฏิสัมพันธ์กับโลกในบางแง่ แถมบางครั้งเกมยังดูจะลงโทษผู้เล่นที่อยากจะแค่เล่นเกมให้เป็นเกม และไม่ได้อยากจะเสียเวลาพะวงหน้าพะวงหลังกับระบบยิบย่อยต่างๆ ในเกมอย่างการกินข้าวหรือการโกนหนวด ที่ล้วนส่งผลต่อตัวผู้เล่นทั้งสิ้น ถามว่าแล้วแบบนี้หมายความว่าเกมไม่ดีหรือเปล่า? ตอบได้เต็มคำว่า ไม่ใช่ Red Dead Redemption 2 ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนเคยเล่นมาในยุค PS4/Xbox One แม้ว่าความสมจริงของเกมจะสร้างความลำบากในการเล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ผู้เขียนกลับมองว่าความไม่เป็นมิตรของเกมกลับช่วยเสริมความสมจริงและเนื้อเรื่องของเกมได้ดี ให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรง่าย และในบางจังหวะที่เกมเป็นเกมจริงๆ ก็ยังสนุกไม่ต่างกับเกมอื่นๆ ของผู้พัฒนาอย่าง GTA V เลย แถมยังชนะขาดในเรื่องของการนำเสนอและความปราณีตในทุกรายละเอียดไปเลย เกม Red Dead Redemption 2 อาจจะไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Rockstar Games ได้สร้างผลงานที่ยกระดับเกมแนว Open-World ขึ้นไปอีกระดับในแบบที่น้อยเกมในประวัติศาสตร์จะสามารถทำได้เช่นกัน เกมอาจจะต้องใช้เวลาและความใจเย็นมากกว่าเกมแนวเดียวกันที่ผ่านมา แต่รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้จะตราตรึงใจผู้เล่นหลายๆ คนไปอีกนาน [caption id="attachment_10782" align="aligncenter" width="3840"] เหมือนภาพถ่ายจริงอย่างน่ากลัว[/caption] การนำเสนอ/กราฟิค ในจุดนี้คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าในเรื่องของการนำเสนอทั้งในด้านกราฟิค เสียงพากย์ตัวละคร ไปจนถึงอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว ทุกอย่างถูกออกแบบมาอย่างปราณีตในระดับที่เกมอื่นๆ ในตลาดเทียบไม่ติดเลยทีเดียว แถมอีกหนึ่งองค์ประกอบที่เกมทำได้ดีมากๆ คือการทำให้ตัวละครและโลกรู้สึกมีชีวิตจริงๆ บทสนทนาและการใช้เสียงพากย์ทำออกมาได้อย่างมีคุณภาพสมชื่อ Rockstar เช่นในฉากเนื้อเรื่องฉากนึงตอนต้น ที่จะมีตัวละคร NPC ผู้หญิงสามคนนั่งรถม้าไปกับเรา พร้อมกับร้องเพลงประสานเสียงไปด้วย โดยจุดที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจมากๆ คือจังหวะที่หนึ่งในตัวละคร NPC ร้องเพลงผิดเนื้อร้อง และหัวเราะเยาะตัวเองและร้องเพลงต่อไปอย่างธรรมชาติ ไม่ต่างกับสิ่งที่คนจริงๆ จะทำเมื่อร้องเพลงผิดเลย [caption id="attachment_10777" align="aligncenter" width="3840"] บางครั้งการตอบทางเลือกที่ถูกก็อาจช่วยให้เลี่ยงการปะทะได้[/caption] แต่อาจจะด้วยความสมจริงที่ผู้พัฒนาต้องการสร้างหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ผู้เขียนเห็นว่าการใช้เมนูต่างๆ ในเกมมีความช้าๆ ขัดๆ มาก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะอยากสร้างความรู้สึกเหมือนเราหยิบสมุดหรือแผนที่ออกมาดูจริงๆ อย่างถ้าจะดูสถานะเช่นอุญภูมิของสถานที่รอบๆ (เกมมีระบบที่ให้เราต้องแต่งตัวให้อุ่นหรือเย็นตามสภาพอากาศ) หรือความสามารถของตัวละคร ก็จะต้องเข้าไปในเมนูของเกมซึ่ง Interface ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมการทำแบบนี้บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะการเล่นได้เหมือนกันเวลาที่พยายามจะทำอะไรง่ายๆ กลับมีขั้นตอนมากมายแบบนี้ และแน่นอนว่าในเกมระดับนี้ ย่อมต้องมีบัคอยู่ไม่มากก็น้อย ต้องพูดว่าสำหรับเกมที่อิสระ กว้าง และละเอียดเท่านี้ จำนวนหรือรูปแบบของบัคที่เจอกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดใจอะไรนัก ส่วนมากจะเป้นเรื่องการ Clipping (สิ่งของทะลุกันเอง) หรือการที่ปุ่มคำสั่งหลายๆ อย่างทำงานช้าๆ ขัดๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพราะอนิเมชั่นกิริยาตัวละครหลายๆ อย่างของเกมสร้างมาอย่างสมจริงจัด ไม่สามารถลัดขั้นตอนหรือท่าทางได้เหมือนเกมอื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนพอรู้สึกว่ายอมแลกกันได้บ้าง โดยรวมแล้วการนำเสนอของเกมนี้ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้น Red Dead Redemption 2 ก็ยังถือว่าเป็นต่อเกมคู่แข่งในตลาดทั้งหมดในแง่นี้เช่นกันเมื่อวัดจากสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกเมื่อได้เล่น เพราะกราฟิคของเกมในบางจังหวะก็ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เราเพิ่งเริ่มเล่นเกมคอนโซลเจนใหม่เป็นครั้งแรก ที่เราตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกมสามารถทำได้เลย [caption id="attachment_10790" align="aligncenter" width="3840"] ธรรมชาติอันงดงามในเกม[/caption] เนื้อเรื่อง อย่างที่บางคนอาจจะทราบกันดี เนื้อเรื่องของ Red Dead Redemption 2 เป็นการเล่าย้อนไปก่อนเหตุการณ์ในเกมภาคแรก โดยเราจะรับบทเป็นนาย Arthur Morgan สิงห์ปืนไวมือขวาของ Dutch Van der Linde ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งโจร Van der Linde ที่ตัวเอก John Marston เคยเป็นสมาชิก และต้องออกตามล่าในเกมภาคแรกนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่การล่มสลายของแก๊งในยุคที่ความเจริญเริ่มคืบคลานเข้ามาในดินแดนคาวบอยอันไร้กฏหมาย [caption id="attachment_10784" align="alignnone" width="3840"] การนั่งพักคุยกับเพื่อนในแคมป์ก็ช่วยพัฒนาตัวละครได้ดี[/caption] เนื้อเรื่องของเกม Red Dead Redemption 2 นั้นไม่ได้เกี่ยวกับการกู้โลกหรือภารกิจใหญ่ๆ เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่เปรียบเหมือนเหตุการณ์เล็กๆ หลายเรื่องที่สะสมจนนำไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ๆ ในชีวิตของตัวละครต่างๆ มากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนการดูซีรี่ย์ ที่จะเล่าเหตุการณ์เล็กๆ ที่เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวกับเส้นเรื่องหลัก แต่ก็ค่อยๆ เล่าและปูทางไปสู่เส้นเรื่องหลักจนได้ โดยการเล่าเรื่องแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง ในแง่นึง การเล่าเรื่องเป็นเหตุการณ์เล็กๆ เช่นนี้ก็ช่วยให้ผู้เล่นได้ทำความรู้จักกับตัวละครในเกมอย่างลึกซึ้ง ทั้งตัวนาย Arthur เอง สมาชิกแก๊ง และเหล่าคนแปลกหน้าที่พบเจอได้ในโลกของเกม แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาสามารถสำรวจเรื่องราวที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับช่วยเสริมตัวละคร Arthur และโลกของเกมได้ดี ยกตัวอย่างเช่นภารกิจการเก็บเงินจากลูกหนี้ ที่ตอนแรกๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นภารกิจที่มีเส้นเรื่องที่ผู้เขียนชอบที่สุดเลยเป็นต้น เพราะทำให้การกระทำของตัวละคร Arthur สามารถตีความให้ลึกซึ้งได้มากขึ้นจากการพัฒนาตัวละครจากภารกิจเสริม ซึ่งถ้าไม่ได้เล่นก็อาจจะทำให้การมองตัวละครของผู้เขียนเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลยก็ได้ [caption id="attachment_10775" align="aligncenter" width="3840"] ขนาดเล่นไป 50 ชั่วโมงยังเปิดแผนที่ไม่หมด[/caption] เช่นเดียวกับเหล่าเนื้อเรื่องเล็กๆ ที่เราอาจจะได้สัมผัสเมื่อเจอเหตุการณ์แรนด้อมข้างทาง เช่นอาจจะมีผู้หญิงขอติดม้าเข้าเมือง หรืออาจจะมีคนกำลังถูกปล้น หรือกระทั่งเราถูกดักปล้นซะเอง โดยเหตุการณ์เหล่านี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือกทางเลือกง่ายๆ ได้ว่าจะพยายามค่อยพูดค่อยจา หรือจะเกรียนใส่อีกฝ่ายก็ได้ ทำให้ตัวละคร Arthur สามารถมีมิติเปลี่ยนไปตามทางเลือกของคนเล่น แต่ในอีกแง่ การเล่าเรื่องแบบเป็นซีรี่ย์เช่นนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะบางครั้งก็มีช่วงที่เนื้อเรื่องถึงจุดเอื่อยเป็นระยะเวลานานๆ และเมื่อรวมกับเวลาการเดินทางที่ค่อนข้างนานไม่แพ้กัน ทำให้บางทีก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเป็นพักใหญ่ๆ ได้เช่นกัน แต่คนที่สามารถมองข้ามจุดบอดเหล่านี้ไปได้จะพบกับเนื้อเรื่องที่เขียนมาได้อย่างปราณีต และมีความเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ผู้พัฒนาหลายๆ เจ้าคงไม่กล้าทำ [caption id="attachment_10785" align="aligncenter" width="3840"] เนื้อเรื่องบางช่วงก็ทำให้ต้องฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกัน[/caption] เกมเพลย์ ในส่วนของแก่นเกมเพลย์นั้น เกม Red Dead Redemption 2 ไม่ได้ต่างจากเกม Action-Adventure Open-World อื่นๆ มากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เกมมีความพิเศษที่สุดก็คือความสมจริงในทุกองค์ประกอบของเกม เรียกว่าสมจริงจน "เยอะ" ในบางจุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพยายามสมจริงของเกมนี้ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกมพิเศษที่สุด และผู้เขียนก็ยอมรับว่าความสมจริงนี้คือต้นตอของความสนุกหลายๆ อย่างในเกมนี้ และคือสิ่งที่ทำให้เกมมีความเหนือชั้นกว่าเกมในตลาดอื่นๆ ในขณะนี้ อย่างสิ่งที่เป็นจุดเด่นจริงๆ คงเป็นเหล่าเหตุการณ์ บังเอิญ ที่เราสามารถเจอได้ในเกม เช่นการเจอคนข้างทางคอยโบกให้ช่วยเหลือด้วยเหตุผลต่างๆ หรือกระทั่งการถูกแก๊งคู่อริดักปล้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมาชาติมากกว่าสิ่งที่เกมเนรมิตขึ้นมาเอง แถมบางภารกิจยังนำไปสู่เหตุการณ์น่าจดจำที่ไม่น่าจะพบได้ในเกมอื่นอีกด้วย [caption id="attachment_10786" align="aligncenter" width="3840"] กินอะไรผิดสำแดงมาล่ะหนุ่ม[/caption] หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผู้เขียนชอบมากๆ เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังขี่ม้าอยู่ในเมือง จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาโบกให้ช่วย โดยบอกกับผู้เขียนว่าต้องการให้ตามขึ้นไปในห้องบนโรงแรม (คิดเหมือนผู้เขียนล่ะสิ) แต่เมื่อขึ้นไปแล้วก็พบศพของผู้ชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ และก็ถูกวานให้นำศพของผู้ชายคนนั้นไปทิ้ง ระหว่างที่ผู้หญิงที่วานให้ช่วยตอนแรกทำลายหลักฐานในห้อง เมื่อผู้เขียนนำศพไปทิ้งกลับมาก็รับรางวัลจากผู้หญิงตามปกติ ในเกมอื่นๆ ภารกิจคงจบตรงนี้ แต่ผู้เขียนเดินผ่านนายอำเภอพอดี เลยกด L2 เพื่อจะทักทายตามประสา และพบว่าสามารถแจ้งความให้นายอำเภอไปจับผู้หญิงที่ให้ภารกิจได้! เมื่อลองกดแจ้งความไปก็ลองเดินตามนายอำเภอไปถึงห้องโรงแรม และนายอำเภอก็จับผู้หญิงคนนี้ไปจริงๆ! ในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นนั้นผู้เขียนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ (ไม่ใช่คัตซีนหรือภารกิจ) ซึ่งก็จะทำให้พลาดเหตุการณ์นี้ไปเลยเช่นกัน แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างของความ สมจริง ที่ผู้พัฒนาต้องการจะสร้างในเกมนี้ และเหตุการณ์ในเกมที่ให้ความรู้สึกละเอียดกว่าเกมทั่วๆ ไปมากๆ [caption id="attachment_10787" align="alignnone" width="3840"] บอกเลยว่าเหี้ยมกว่าตำรวจ GTA เยอะ[/caption] แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าความสมจริงเหล่านี้ก็เป็นต้นตอของความน่ารำคาญและน่าเบื่อของเกมได้ แถมยังมีการตัดสินใจหลายอย่างที่ทำไปเพื่อความสมจริงซะจนรู้สึกว่าทำให้เกมเพลย์ไม่ค่อยสะดวกในบางแง่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องจุกจิกเล็กๆ ซะส่วนมาก เช่นการที่เราไม่สามารถใช้ระบบ Fast Travel เพื่อเดินทางกลับค่ายของแก๊งได้ (สามารถ Fast Travel จากค่ายไปที่อื่นได้ แต่ถ้ากลับค่ายต้องควบม้ากลับเท่านั้น) หรือการที่ถูกบังคับให้ต้องเดินช้าๆ ในบางสถานที่ (จริงๆ มีปัญหากับความเร็วการเดินเกมนี้โดยรวมๆ) ซึ่งทำให้การเล่นเกมรู้สึกจำกัดแบบไม่มีเหตุผลเวลาเจอการตัดสินใจแปลกๆ เหล่านี้ จริงๆ แล้วเกม Red Dead Redemption 2 มีปัญหาใหญ่ๆ ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ในการเล่น แต่เกมมีความลึกซึ้งสูงมากๆ และระบบหลายๆ อย่างก็มีความเกี่ยวโยงกันไปมาอีกด้วย อย่างหลายๆ คน (รวมถึงตัวผู้เขียนด้วยจนไปดูมาจากยูทูป) อาจจะไม่รู้ว่าเกมมีระบบที่ให้เราต้องกินอาหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาน้ำหนักของร่างกายด้วย โดยการกินอาหารมากหรือน้อยเกินไปก็ส่งผลต่อการเล่นเช่นกัน การกินอาหารเยอะจนอ้วนก็จะทำให้เราวิ่งได้ช้าและสั้นลง แต่ทำให้เราอึดทนต่อความบาดเจ็บต่างๆ มากขึ้น ในทางกลับกันถ้ากินน้อยจนผอมก็จะวิ่งเร็วขึ้นแต่โดนยิงแรงขึ้นเป็นต้น และการจะดูว่าเราอยู่ในระดับการกินไหนก็ต้องขุดหาเอาจากเมนูหลายขั้นถึงจะเจอ หรือกระทั่งทริคง่ายๆ ว่าเราสามารถเปิดแผนที่ด้วยการกดปุ่ม Option ค้างไว้แทนการกดเปิดเมนูแล้วเข้าแผนที่ทุกครั้ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนช่วยให้เกมเล่นง่ายขึ้นสำหรับคนเล่น แต่เกมกลับสื่อข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ค่อยดีเลย ขนาดเล่นมาหลายสิบชั่วโมงแล้วก็ยังมีทริคง่ายๆ ที่ถ้าไม่มีคนมาบอกหรือไม่ไปอ่านมาจากที่อื่นก็ไม่มีทางรู้เลย [caption id="attachment_10791" align="aligncenter" width="3840"] เมื่ออารยธรรมเริ่มคืบคลานเข้ามา ก็ถึงคราวสูญพันธ์โจรโฉด[/caption] อีกอย่างคือความบอบบางของ NPC ที่แค่ขี่ม้าเฉี่ยวนิดๆ ก็ตกใจจะเป็นจะตาย รีบวิ่งไปแจ้งนายอำเภอจับเรา ซึ่งนอกจากจะโดนค่าหัวแล้วยังต้องรอหน้าจอโหลดเกมอีกพักใหญ่ อาจจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ถ้า NPC สามารถหลบออกจากเส้นทางได้ด้วยตัวเอง แต่หลายๆ ครั้ง NPC ดูจะเต็มใจให้เราควบม้าเหยียบตลอด และทำให้เราต้องมีปัญหากับตำรวจตลอดเช่นกัน แน่นอนว่าการที่ผู้เขียนเล่นเกมมาหลายสิบชั่วโมงโดยที่ยังอยากเล่นต่อก็หมายความว่าข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้สาหัสถึงขั้นที่รับไม่ได้ แน่นอนว่าเกมคงจะสามารถให้ประสบการณ์การเล่นที่ราบรื่นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็เข้าใจได้ถ้าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถอดทนกับความไม่เป็นมิตรของเกมในหลายๆ ด้านได้เช่นกัน สรุป [caption id="attachment_10788" align="aligncenter" width="3840"] บางครั้งสันติภาพก็ไม่ใช่ทางออก[/caption] Red Dead Redemption 2 ถือเป็นเกมที่น่าทึ่งที่สุดในปี 2018 ได้สบายๆ เลย แม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเกมที่ถือว่าเข้าใกล้เจนคอนโซลต่อไปมากที่สุดในขณะนี้ สามารถทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของเกมในยุคต่อไปอีกครั้ง ยิ่งถ้าโหมด Red Dead Online ที่กำลังจะตามมาสามารถต่อยอดเกมไปได้แบบเดียวกับ GTA: Online แล้ว Red Dead Redemption 2 อาจจะเป็นเกมที่อยู่กับเราไปได้จนถึงเจนคอนโซลต่อไปแบบเดียวกับ GTA V ในขณะนี้ได้สบายๆ [penci_review id="10224"]
02 Nov 2018
Review - รีวิว Assassins Creed Odyssey "เกมที่ดีที่สุดในซีรี่ย์"
แนวเกม: Action RPG ผู้พัฒนา: Ubisoft แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC, Nintendo Switch (ญี่ปุ่นเท่านั้น, Cloud Version) เวลาเล่น: ประมาณ 30 ชั่วโมง (รีวิวบน PS4 Pro - ขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ubisoft ครับ) ข้อดี เกมเพลย์ทำออกมาได้ดี เล่นสนุก มีอะไรหลากหลายให้ทำตลอดเวลา เนื้อเรื่องน่าสนใจ เสริมโดยระบบตัวเลือกบทสนทนา ภาพสวยมาก รายละเอียดเยอะ ระบบ RPG ลึกกว่าเดิมมาก สามารถพัฒนาตัวละครได้ตามสายที่ต้องการ ข้อเสีย โหลดบ่อยและนานพอสมควร ระบบเกมเพลย์หลายส่วนบังคับผู้เล่นให้สู้ตรงๆ เท่านั้น ไม่ว่าคุณจะคิดว่านี่เป็นเกม Assassins Creed หรือไม่ก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกม Action RPG ที่มีคุณภาพมากๆ เกมนึง ด้วยระบบต่อสู้ที่ต่อยอดมาจากภาค Origins ได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังมีระบบการปรับแต่งตัวละครด้วยไอเทมและสกิลแบบ RPG ที่ลึกซึ้ง เปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถสร้างตัวละครที่เข้ากับวิธีการเล่นของตัวเองได้อย่างเหมาะเจาะ แถมยังมีโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยกิจกรรมหลากหลายชนิดให้ทำตลอดเวลา พูดได้เต็มปากเลยว่าในแง่เกมๆ นึง Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกมที่สนุกและคุ้มเงินมากๆ อาจจะเป็นเกมที่ดีที่สุดที่ Ubisoft ปล่อยออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นเกมก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าเกมระดับครูอย่าง The Witcher 3 หรือ God of War ได้ในเรื่องของรายละเอียด อาจจะด้วยเนื้อหาที่อัดแน่นทุกกระเบียดนิ้วของเกม ทำให้ผู้พัฒนาต้องยอมเสียสละคุณภาพของรายละเอียดเล็กๆ ไป เช่นการขยับตัวของตัวละครในฉากสนทนาหรือหน้าตาตัวละครย่อยๆ ที่ยังติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นหลักของเกมมากแต่อย่างใด เรียกว่าเป็นข้อด้อยเล็กๆ เพียงไม่กี่อย่างที่ถ้าแก้ได้ก็จะเป็นเกมระดับเทพได้เลย [caption id="attachment_7405" align="aligncenter" width="3840"] Assassins Creed® Odyssey[/caption] เกมเพลย์ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น Assassins Creed Odyssey ก็ไม่ได้หนีจากสูตรเกม Open-world ของ Ubisoft ที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยเล่นเกมภาคที่แล้วอย่าง Assassins Creed Origins มาน่าจะคุ้นเคยกับรูปแบบการเล่นนี้ดีเลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปตามพื้นที่ต่างๆ ของเกมที่แบ่งมาแล้วชัดเจนตามเลเวล เพื่อรับภารกิจเนื้อเรื่องและเควสเสริมตามทาง รวมไปถึงกิจกรรมย่อยๆ อย่างการบุกฐานศัตรูหรือการหาสมบัติในซากโบราณสถาน การทำภารกิจจะมอบรางวัลให้ผู้เล่นเป็นไอเทมสวมใส่ทั้งอาวุธชุดเกราะชนิดต่างๆ รวมไปถึงค่าประสบการณ์สำหรับการพัฒนาเลเวลและสกิลของตัวละครด้วย [caption id="attachment_7396" align="aligncenter" width="1024"] อาวุธ/ชุดเกราะเยอะจนลายตา[/caption] ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดระหว่างเกมภาคนี้และภาคก่อนหน้าคงเป็นความลึกของเกม ที่พัฒนาขึ้นจากเกมภาค Origins ทุกๆ แง่เลยทีเดียว ตั้งแต่ขนาดของเกม ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผู้พัฒนา Ubisoft เคยสร้างมา ไปจนถึงระบบ RPG ที่ลึกและเปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถเล่นตามทางที่ตัวเองต้องการจริงๆ โดยระบบสกิลในเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสามสายคือ Hunter (ธนู), Warrior (ต่อสู้) และ Assassin (ลอบเร้น) ซึ่งแต่ละสายจะให้ความสามารถที่เข้ากับวิธีการเล่นของผู้เล่นแต่ละคน และทุกสายสามารถผ่านภารกิจส่วนใหญ่ของเกมได้ดีพอๆ กัน แถมเกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถรีเซ็ตสกิลได้ตลอดเวลาเมื่ออยากจะลองเปลี่ยนสาย จึงถือเป็นระบบที่สร้างความหลากหลายให้กับเกมเพลย์ได้ดีไม่ว่าจะเล่นไปไกลขนาดไหนก็ตาม แถมเกมยังมีระบบเครื่องสวมใส่คล้ายๆ เกมอย่าง Diablo ที่ให้ของดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจให้ผู้เล่นทดลองเล่นหลายๆ สายเมื่อได้อาวุธเมพๆ ในสายที่เราอาจจะไม่ได้ใช้ หรือแค่เพื่อพัฒนาตัวละครไปเรื่อยๆ ก็ได้ [caption id="attachment_7393" align="aligncenter" width="1024"] สกิลแต่ละสาย สามารถรีเซ็ตได้ตลอดเวลา (มุมขวาล่าง)[/caption] แน่นอนว่าขนาดที่เพิ่มขึ้นของแผนที่ก็เปิดให้ผู้พัฒนาสามารถใส่สถานที่น่าสนใจและกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากขึ้น อย่างระบบการบังคับเรือและการต่อสู้ทางทะเลที่กลับมาเป็นส่วนหลักของซีรี่ย์อีกครั้งเพราะลักษณะของแผนที่กรีกโบราณที่มีความเป็นหมู่เกาะ เมื่อรวมเข้าไปกิจกรรมอื่นๆ ของเกมแล้วหมายความว่าเราแทบจะไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำเลย เพราะวิ่งไปหน่อยเดียวก็เจอถ้ำหรือค่ายโจร ไปอีกหน่อยก็มี NPC ให้ภารกิจย่อย พอลงเรือไปก็มีโจรสลัดมาโจมตี บางทีขนาดยืนอยู่เฉยๆ ก็มีอะไรวิ่งเข้ามาหาเอง อย่างระบบนักล่าค่าหัว Mercenary ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับเอาระบบ Phylakes จากภาค Origins และระบบ Nemesis System ของเกมตระกูล Shadow of Mordor มาผสมกัน โดยภายในเกมจะมีนักล่าค่าหัวเร่ร่อนคอยเดินทางไปมาในโลกของเกมตลอดเวลา และจะออกล่าผู้เล่นเมื่อโดนตั้งค่าหัว (มีเกจคล้ายๆ ดาวตำรวจใน GTA คอยบอก) ซึ่งก็นำไปสู่จังหวะการเล่นระทึกๆ ได้เยอะเวลามีนักล่ามาตามรังควานระหว่างการทำภารกิจหรือกระทั่งการเดินซื้อของในเมือง ในขณะเดียวกัน เกมก็ให้แรงจูงใจให้ผู้เล่นอยากเผชิญหน้ากับเหล่านักล่าเช่นกัน เพราะทุกตัวจะมาพร้อมอาวุธชุดเกราะระดับสูงที่จะดรอปให้ผู้เล่น แถมเกมยังมีระบบ Lieutenant ที่ให้เราชวนศัตรูตัวไหนก็ได้ในเกมมาเป็นลูกน้องบนเรือเราได้ด้วย (ต้องทำให้สลบแทนการฆ่า) [caption id="attachment_7404" align="aligncenter" width="3840"] เจอหมวกแดงๆ แบบนี้ก็รีบหนีนะจ๊ะ (หรือจะตามฆ่าเอาไอเทมดีๆ ก็ได้)[/caption] แต่แม้ว่าเกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นมีอิสระในการเล่นอย่างที่ต้องการ ก็มีบางจังหวะที่ผู้เขียนรู้สึกว่าโดนบังคับให้ต้องเล่นสาย Warrior เท่านั้น อย่างในกิจกรรมสงคราม Conquest Battle ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราล่าผู้นำของเขตแดนต่างๆ ซึ่งจะทำให้กองทัพ Sparta และ Athens เข้ามาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงพื้นที่นั้น โดยเราในฐานะทหารรับจ้างจะเลือกเข้าข้างไหนก็ได้ แต่กิจกรรมนี้จะมีลักษณะเป็นสงครามที่ผู้เล่นต้องตะลุมบอนกับศัตรูซึ่งหน้า ไม่สามารถใช้การลอบเร้นหรือการต่อสู้ระยะไกลได้ หรือการล่าสัตว์ในตำนานที่ซ่อนอยู่ตามแผนที่ ซึ่งไม่สามารถใช้การลอบเร้นได้เช่นกัน แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถรีเซ็ตสกิลของตัวเองได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถหาวิธีที่จะทำให้การเล่นทุกสายมีวิธีผ่านกิจกรรมทั้งหมดแตกต่างกัน แทนที่จะทำให้กิจกรรมหลายอย่างเอื้อต่อการเล่นแบบซึ่งๆ หน้าอย่างเดียว โดยรวมๆ แล้วเกมเพลย์ของ Assassins Creed Odyssey ก็ยังถือว่าสนุก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ที่เน้นแอคชั่นมากขึ้นของภาค Origins เป็นเกมที่มีอะไรให้ทำแบบไม่รู้จบ ยิ่งกว่าเกมอย่าง The Witcher 3 ซะอีก เอาใจคนที่อยากได้เกมแบบเล่นได้ยาวๆ คุ้มๆ [caption id="attachment_7394" align="aligncenter" width="3840"] เล่นมา 30 ชม. แล้วสำรวจแผนที่ไปไม่ถึงครึ่ง[/caption] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของ Assassins Creed Odyssey ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เกมพัฒนาจากภาค Origins ไปมาก โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเด็กกำพร้าชาว Spartan (เลือกได้ว่าจะเป็นชายหรือหญิง) ที่หนีออกมาจากบ้านเกิดด้วยเหตุผลบางอย่าง และเติบโตขึ้นมาในฐานะทหารรับจ้าง ซึ่งจะต้องเข้าไปพัวพันกับลัทธิชั่วร้าย Cult of Kronos ที่วางแผนจะยึดครองโลกโดยใช้เทคโนโลยีของอารยธรรมแรก (First Civilization) [caption id="attachment_7409" align="aligncenter" width="1920"] สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเป็นหญิง (Kassandra) หรือชาย (Alexios)[/caption] โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ไม่ได้ต่างจากภาคก่อนๆ นัก แม้ว่าจะตั้งอยู่ก่อนการกำเนิดของภาคีนักฆ่า (Assassins Brotherhood) โดยเรายังคงต้องต่อสู้กับองค์กรลับที่คอยชักใยประวัติศาสตร์จากเบื้องหลังไม่ต่างจาก Abstergo (หรือพวก Templars) และเข้าไปมีบทบาทบางอย่างในเหตุการณ์สำคัณทางประวัติศาสตร์อย่างสงครามเพโลพอนนีเซียนระหว่าง Sparta (สปาต้า) และ Athens (เอเธนส์) รวมไปถึงฉากเหตุการณ์ปัจจุบันที่ติดตาม Layla Hassan จากภาคที่แล้วอีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องของ Assassins Creed Odyssey แตกต่างไปคือระบบตัวเลือกบทสนทนา ที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกมสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนละอย่างได้เลยตามทางเลือกของคนเล่น ผู้เล่นจะได้รับทางเลือกว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า NPC สำคัญในเนื้อเรื่องหลายตัว ซึ่งล้วนส่งผลต่อเนื้อเรื่องของเกมทั้งสิ้น รวมไปถึงฉากจบที่มีหลากหลายเป็นครั้งแรกของซีรี่ย์ (หมายเหตุ: ผู้เขียนยังเล่นไม่จบเนื้อเรื่อง แต่ทราบมาว่ามีฉากจบต่างกันถึง 9 แบบ) ระบบอาจจะไม่ได้ลึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ช่วยเพิ่มอรรถรสให้เนื้อเรื่องได้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น เพราะเหตุการณ์ต่างๆ อาจจะมาจากการกระทำ (หรือไม่กระทำ) ของผู้เล่นเอง [caption id="attachment_7401" align="aligncenter" width="3840"] จะช่วยหรือไม่ช่วยดีล่ะ?[/caption] นอกจากทางเลือกในบทสนทนาแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการกระทำเล็กๆ ของผู้เล่นด้วย เช่นในเควสย่อยเควสหนึ่งที่ผู้เขียนเจอ มี NPC บอกว่าให้เราลักลอบเข้าไปขโมยของเงียบๆ แต่ผู้เขียนดันโดนเจอระหว่างลอบเข้าไป เมื่อจะกลับไปส่งภารกิจก็พบว่า NPC ตัวนั้นกำลังโดนคู่อริโจมตีอยู่เพราะผู้เขียนไม่ยอมลอบเข้าไปเงียบๆ อย่างที่ NPC เตือนมานั่นเอง โดยระบบนี้ช่วยเสริมความรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกในเกมจริงๆ และทำให้ต้องใส่ใจคำพูดของ NPC มากกว่าที่ผ่านๆ มาด้วย ซึ่งทำให้เกมรู้สึกเหมือนเป็น RPG คล้ายๆ The Witcher 3 นั่นเอง ทั้งนี้ ข้อติอย่างนึงที่ผู้เขียนพบคือเกมใช้เวลานานมากๆ กว่าที่เนื้อเรื่องจะถึงจุดที่น่าสนใจจริงๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มจริงๆ จังๆ ก็เล่นไปเกือบ 10 ชั่วโมงแล้ว (ไตเติ้ลเพิ่งขึ้น) แถมขนาดของเกมที่ให้ผู้เล่นต้องเดินทางไม่ต่ำกว่า 10-20 นาทีระหว่างสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องรู้สึกขาดช่วงได้เหมือนกันในบางครั้ง แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร [caption id="attachment_7411" align="aligncenter" width="1280"] ลัทธิ Cult of Kronos ซึ่งเป็นเหล่าบรรพบุรุษของพวก Templar[/caption] กราฟิค/การนำเสนอ ถ้ามองจากไกลๆ Assassins Creed Odyssey เป็นเกมที่ทำกราฟิคออกมาได้น่าทึ่งมากๆ ด้วยทิวทัศน์อันหลากหลายและการใช้แสงที่สวยงามของเกม (ใช้ Photo Mode คุ้มเลยจ้า) และสีหน้าตัวละครที่ทำออกมาได้ชัดจนเกือบจะเป็น Live-action อยู่แล้ว แต่เมื่อเจาะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่ายังมีรายละเอียดเล็กๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์นัก โดยเกมยังมีปัญหาเรื่อง Clipping (การที่สิ่งของทะลุกันเองทั้งที่ไม่ควร) เยอะมากๆ ซึ่งเห็นได้ชัดในอนิเมชั่นการลอบสังหาร และยังมีการขยับตัวแปลกๆ ของตัวละครย่อยอยู่ เรียกง่ายๆ ว่าทุกอย่างดูสวยในระดับ texture หรือพื้นผิวเท่านั้น แต่ในรายละเอียดเชิงลึกยังปรับปรุงได้อีกมาก ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเกมกราฟิคไม่ดีหรือไม่สวย แต่ด้วยขนาดของเกมที่ใหญ่และมีสิ่งของต่างๆ มากมายกระจายอยู่ทุกมุมของโลก คงไม่แปลกที่เกมจะต้องยอมเสียสละรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างไปบ้าง แต่อย่างน้อยในประสบการณ์ของผู้เขียนยังไม่เจอบัคหรือปัญหาอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งก็ถือว่ายังดีสำหรับเกม Open-world กราฟิคสวยๆ แบบนี้ [caption id="attachment_7399" align="aligncenter" width="3840"] เกมใหญ่และสวยมาก สามารถเดินถึงทุกที่ที่เห็น[/caption] อีกหนึ่งปัญหาเล็กๆ ที่พบคือเรื่องการโหลด ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่เข้า-ออกฉากสนทนากับ NPC (ซึ่งหมายความว่าเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ในเกมนี้) โดยไม่ได้แค่โหลด 2-3 วิเสร็จ แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนโหลดยาวเป็นนาทีเลยก็มี ซึ่งพอเจอบ่อยๆ เข้าในระยะติดๆ กันก็ทำให้รู้สึกรำคาญขึ้นมาได้เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ส่งผลต่อการเล่นได้สำหรับคนที่มีเวลาเล่นไม่เยอะ สรุป Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกมที่ครบเครื่องที่สุดในซีรี่ย์ Assassins Creed เลยก็ว่าได้ แม้ว่าเกมจะยังไม่ได้ว้าวในระดับเดียวกับเกมใหญ่ๆ อาจจะเน้นปริมาณของเนื้อหามากกว่าคุณภาพในบางจุด แต่ในส่วนที่เกมทำได้ดีก็ถือว่าตอบโจทย์ที่ควรตอบทั้งหมดเช่นกัน ใครที่อยากได้เกมแอคชั่น RPG ที่เล่นได้นานๆ มีอะไรให้ทำให้เก็บตลอดเวลา นี่เป็นเกมที่คุณคู่ควรแน่นอนครับ   [penci_review id="7185"]
10 Oct 2018
รีวิว Mega Man 11 การกลับมาอย่างสวยงามของเจ้าหุ่นสีน้ำเงิน
แพลตฟอร์ม: PS4 (และ Xbox One, Windows, Nintendo Switch) แนวเกม: Action-platform ผู้พัฒนา: Capcom เวลาที่ใช้เล่นเพื่อรีวิว: จบเกม Mega Man 11 (หรือ Rockman 11 ในเวอร์ชันญี่ปุ่น) เป็นการกลับมาอีกครั้งของเกม Mega Man ภาคต้นฉบับ หลังจากที่ภาค 9 กับ 10 ที่เป็นเหมือนการกลับมาครั้งแรกออกมาในปี 2008 และ 2010 โดยกลับไปใช้สไตล์ภาพแบบคลาสสิก คราวนี้อีกแปดปีให้หลังเจ้าหุ่นสีน้ำเงินกลับมาอีกครั้งในรูปโฉมใหม่ เปลี่ยนไปใช้ภาพแบบ 3D ผสมกับ 2D และที่ไม่ธรรมดาคือเป็นการกลับมาฉลองครบรอบ 30 ปีของซีรีส์เสียด้วย [caption id="attachment_7004" align="alignnone" width="3840"] เหล่าหุ่นยนต์ที่กำลังจะถูกล้างสมองกลายเป็นบอสของภาคนี้[/caption] เนื้อเรื่อง | ของ Mega Man 11 ดำเนินตามสูตรของเกม Mega Man ภาคอื่นๆ นั่นคือการที่เจ้าหุ่นยนต์ทั้งหลายถูกควบคุมโดยดอกเตอร์ผู้ชั่วร้ายอย่าง Wily สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับโลก ทำให้ Mega Man ต้องรับหน้าที่กำจัดเหล่าหุ่นยนต์ที่แปรพักตร์เหล่านี้เพื่อนำความสงบสุขของโลกกลับมาอีกครั้ง โดยชนวนความขัดแย้งในครั้งนี้ก็คือเจ้าอุปกรณ์ที่เรียกว่า Double Gear System ที่ Dr. Wily สร้างไว้ในวัยหนุ่ม ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มพลังให้กับหุ่นยนต์แต่อาจมีผลทำให้เกิดอันตรายกับหุ่นตัวนั้นเนื่องจากเป็นการฝืนขีดจำกัดของตัวหุ่นเอง ด้วยเหตุนี้ผลงานของ Dr. Wily จึงแพ้งานวิจัยของ Dr. Light ที่ต้องการพัฒนาหุ่นที่มีความคิดเป็นอิสระจากมนุษย์ Dr. Wily เก็บความแค้นในครั้งนี้เอาไว้เนิ่นนาน แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจสานต่องานที่คั่งค้างไว้ให้เสร็จ และเริ่มแผนการครองโลกครั้งใหม่พร้อมด้วยการติด Double Gear System ให้กับหุ่นทั้งแปดตัว [caption id="attachment_7005" align="alignnone" width="3840"] บอสตัวใหญ่ยักษ์ผู้มีพลังทำลายอันน่ากลัว[/caption] กราฟิก | ของภาคนี้เปลี่ยนไปใช้แบบ 3D ผสมกับ 2D โดยที่โมเดลตัวละครต่างๆ จะเป็นโพลิกอนแต่สภาพแวดล้อมจะเป็นแบบ 2D ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเมื่อเห็นภาพของเกมเมื่อมีข่าวเกมออกมาก็รู้สึกไม่ประทับใจเท่าไหร่นัก เพราะกราฟิกของเกมทำให้นึกไปถึงเกมที่ทำออกมาเพื่อเด็กๆ ที่เน้นความน่ารักน่าเอ็นดูของภาพมากกว่าความสนุกในการเล่น คนที่เล่น Mega Man มาตลอดทุกภาคจะค่อยๆ เห็นพัฒนาการของกราฟิกที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะมาถอยลงในภาค 9 และ 10 ที่เลือกกลับไปใช้สไตล์ภาพแบบคลาสสิก พอมาถึงภาค 11 ความหวังว่าเกมจะถูกพัฒนากราฟิกให้ดีขึ้นก็ต้องถูกทำลายลงด้วยกราฟิกที่ดูจากภาพนิ่งแล้วดูจะไปไม่สุดสักทาง แต่พลังของกราฟิกในภาคนี้จะเผยออกมาจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้นั่งลงเล่นเกมจริงๆ เพราะจุดเด่นของกราฟิกในภาคนี้คือความลื่นไหลของภาพ ความลื่นไหลในส่วนนี้ทำให้การเล่นสนุกขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นการปีนป่าย การกระโดด หรือการยิงก็รู้สึกว่าเป็นไปด้วยความรวดเร็วในแบบที่กำลังพอดี ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป ในขณะเดียวกันความลื่นไหลในส่วนนี้ก็ทำให้ศัตรูต่างๆ ที่เราพบตามฉากเคลื่อนที่ได้แบบมีชีวิตชีวามากขึ้น ดูมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะกับบอสตัวใหญ่ยักษ์ที่พอเห็นวิธีการเดิน วิธีการขยับตัวแล้วรู้เลยว่าหุ่นตัวนี้ต้องโจมตีอย่างหนักหน่วงมากแน่ๆ ข้อดีในจุดนี้ทำให้ลืมความไม่ประทับใจแรกเมื่อเห็นภาพนิ่งของเกมไปเลย จนรู้สึกว่าถ้าเกมเลือกสไตล์ภาพที่ดูจริงจังกว่านี้ก็อาจไม่ได้รู้สึกสนุกเท่านี้ [caption id="attachment_7006" align="alignnone" width="3840"] ตะลุยสวนสนุกก่อนเจอบอส[/caption] รูปแบบการเล่น | ของภาคนี้ยังคงวิธีการเล่นแบบเกม Mega Man ต้นฉบับ นั่นคือเป็นเกม Action แบบ Platform ที่เราจะได้บังคับ Mega Man ตะลุยฉาก 2 มิติสั้นๆ โดยการวิ่งไปทางขวาของฉากเรื่อยๆ โดยจะเจอบอสย่อยกลางฉากและบอสใหญ่ท้ายฉาก เกมเน้นความไวในการโจมตีและหลบศัตรู และความสามารถในการผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ในฉาก เมื่อปราบบอสสำเร็จจะได้อาวุธของบอสตัวนั้นมา ซึ่งเมื่อเอาไปใช้กับบอสที่แพ้ทางอาวุธนั้นจะทำให้ปราบบอสตัวนั้นได้ง่ายมากๆ คนที่เป็นแฟน Mega Man อยู่แล้วและไม่เคยเบื่อไม่ว่าเกมจะออกมาสักกี่ภาคน่าจะถูกใจกับเกมในภาคนี้เหมือนเดิม และในภาคนี้เกมยังเพิ่มระบบใหม่ที่เรียกว่า Double Gear System ที่จะทำให้แฟนเกม Mega Man สนุกกับเกมมากขึ้น และอาจทำให้คนที่ไม่ค่อยสนุกกับเกมในภาคก่อนๆ หันมาสนุกกับเกมนี้ได้เช่นกัน [caption id="attachment_7008" align="alignnone" width="3840"] พลังของ Power Gear ของเล่นใหม่ในภาคนี้[/caption] Double Gear System เป็นระบบใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาในภาคนี้ เป็นเทคนิคที่ได้มาตั้งแต่เริ่มเกม อย่างแรกเรียกว่า Power Gear เมื่อกดใช้แล้วจะทำให้โจมตีได้แรงขึ้น เมื่อใช้พร้อมกับการยิงแบบชาร์จจะเป็นการยิงลูกพลังแบบชาร์จออกไปถึง 2 ลูก และเมื่อใช้คู่กับอาวุธที่ได้มาเมื่อปราบบอสแต่ละตัวจะเป็นการใช้ท่าโจมตีที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากการโจมตีแบบธรรมดาและมีความรุนแรงมากขึ้น เทคนิคอีกอย่างคือ Speed Gear ที่จะทำให้ทั้งฉากกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น ทำให้หลบการโจมตีได้ง่ายขึ้น รวมถึงผ่านฉากในหลายๆ จุดที่ต้องใช้ความเร็วได้ง่ายขึ้นด้วย และเมื่อพลังชีวิตเราลดลงจนถึงจุดวิกฤติเราจะสามารถกดใช้ทั้ง Power Gear และ Speed Gear พร้อมกันได้ด้วย Gear ทั้งสองอย่างนี้จะมีเวลาที่ใช้ได้จำกัด หากใช้จนหมดเวลาจะทำให้เครื่องช็อต ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นจะสามารถใช้ได้ใหม่อีกครั้ง เทคนิคง่ายๆ สองอย่างนี้ทำให้การเล่นเกมมีความหลากหลายขึ้นมาก โดยเฉพาะกับ Speed Gear ซึ่งค่อนข้างจะได้ใช้บ่อยกว่า Power Gear เพราะการออกแบบฉากในหลายๆ จุดมีความจำเป็นให้เราต้องใช้เพื่อหยุดไม่ให้เราโดนสิ่งกีดขวางที่โดนทีเดียวตาย ลูกเล่นง่ายๆ นี้ที่ดูภายนอกเหมือนเป็นลูกเล่นธรรมดาที่ไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่ กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกมภาคนี้สนุกขึ้นมาก และทำให้เกมแตกต่างจากเกมในภาคก่อนๆ ที่คงรูปแบบการเล่นแบบเดิมมาตลอด ถือเป็นการอัปเกรดรูปแบบการเล่นแบบดั้งเดิม โดยไม่ได้ทำให้ความสนุกเก่าๆ หายไปแต่อย่างใด [caption id="attachment_7009" align="alignnone" width="3840"] จับจ่ายใช้สอยที่ห้องแล็บของ Dr. Light[/caption] เกมภาคนี้ยังมีความยากในแบบเดิม แต่กับคนที่ชินกับเกมยากๆ ในยุคนี้อย่างเกมในซีรีส์ Souls หรือเกมอย่าง Cuphead ที่คล้ายคลึงกับเกมนี้มากกว่า น่าจะปรับตัวกับความยากของเกมนี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเกมภาคนี้ก็ถือว่าค่อนข้างง่ายด้วยไอเทมต่างๆ ที่มีให้ซื้อใน Dr. Lights Lab ซึ่งเงินที่เราได้มาจากการผ่านด่านต่างๆ ค่อนข้างจะมีให้ใช้ซื้อไอเทมเหล่านี้อย่างเหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็น Part ที่เป็นไอเทมที่เราสามารถติดไว้ที่ตัวละครอย่างถาวรเพื่อเพิ่มความสามารถต่างๆ อย่างเช่น รองเท้าที่ทำให้ลื่นบนพื้นหิมะน้อยลง ไอเทมที่ชาร์จ Mega Buster ให้โดยอัตโนมัติ ไอเทมที่ทำให้เกจ Double Gear เพิ่มเร็วขึ้น ด้วยไอเทมสนับสนุนประเภท Part ต่างๆ และไอเทมที่ใช้แล้วหมดไปอย่างถัง E (เพิ่มหลอดพลังชีวิต) ถัง W (เพิ่มหลอดพลังอาวุธ) หรือ Continue ที่มีให้ซื้อเพิ่มได้ ทำให้คนที่ไม่อยากเสียเวลาไปกับการฝึกฝนตัวเอง กับการตายซ้ำๆ มากๆ ก็สามารถใช้ไอเทมพวกนี้ช่วยทุ่นแรง ช่วยทำให้ผ่านเกมได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น หรือหากเกมยังยากเกินไปก็สามารถปรับระดับความยากได้หลายระดับตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ไม่ว่าผู้เล่นที่ชำนาญเกมยากๆ หรือผู้เล่นหน้าใหม่ก็สามารถสนุกกับเกมนี้ได้ในแบบของตัวเอง [penci_review id="6975"]  
04 Oct 2018
พรีวิว Ace Combat 7: Skies Unknown จาก TGS 2018
https://www.youtube.com/watch?v=WCviD66new0&feature=youtu.be Ace Combat 7: Skies Unknown เป็นเกมแนว Combat flight action videogame หรือเกมแนวแอคชั่นจำลองการขับขี่อากาศยานและปฏิบัติการสู้รบ จากผู้พัฒนาในเครือ Bandai Namco  อย่าง Project Ace โดยภาคนี้ถือเป็นภาคที่ 17 ของซีรีส์ มีแผนจัดจำหน่ายใน PS4 และ Xbox One วันที่ 18 มกราคม 2019 ส่วน PC จะตามมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 แม้จะถูกทิ้งช่วงจากภาคเก่า Ace Combat Infinity (PS3) ที่ออกมาในปี 2014 ไปถึง 6 ปี และติดโรคเลื่อนจากที่เกมควรจะออกปี 2015 ย้ายมาเป็น 2017 จนกระทั่งประกาศว่าจะออกใน 2019 ล่าสุด GameFever ก็ได้มีโอกาสได้เล่นเดโมในงาน Tokyo Game Show 2018 เสียที เนื้อเรื่องของ Ace Combat 7: Skies Unknown ถูกเซ็ทขึ้นในปี 2019 ที่ประเทศ Erusea ประกาศสงครามกับฝ่าย Osean Federation โดยเราจะได้รับบทให้เป็น Trigger เดนทหารอากาศภายใต้สังกัดของ Osean สู้รับกับโดรนรบของฝั่ง Erusea ทำหน้าที่เป็นตัวล่อศัตรูให้เผยตำแหน่ง ซึ่งทางกองทัพอากาศไม่เห็นค่าชีวิตของเหล่า Trigger เลยแม้แต่น้อย ฟังดูเหมือนจะแย่แต่ถ้าว่ากันตามแบบฉบับของซีรีส์เกม Ace Combat ที่เคยมีมาแล้ว ตัวละครของเราจะค่อยๆ เก็บสะสมความเก่ง จนกลายเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งจนเป็นตำนานได้ในที่สุด ด้านระบบการเล่น เริ่มแรกเกมจะอธิบายภารกิจให้เราฟัง จากนั้นจะให้เราได้เลือกเครื่องบินรบ พร้อมหัวรบ ให้เหมาะกับสไตล์การเล่นและสถานการณ์ ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีข้อจำกัดและจุดแข็งที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องบินบางรุ่นเหมาะสำหรับการใช้โจมตีศัตรูบนบก ส่วนบางรุ่นก็เหมาะกับการใช้ต่อต้านเครื่องบินรบอากาศ โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดในเกมอ้างอิงมาจากนวัตกรรมการรบที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน อย่าง เครื่องบินรบ 3 รุ่นแรกที่ผู้เขียนได้เล่น ได้แก่ F-2A, F-14D และ F-35C ก็มีอยู่จริง ความสนุกอีกอย่างคือเราสามารถเก็บสะสมเครื่องบินรบที่เราได้รับจากการทำภารกิจได้ เหมือนกับได้สะสมของที่ชอบไปในตัว เกมนี้เลยน่าจะถูกใจแฟนๆ ที่ชอบศึกษาเรื่องเครื่องบินรบ หรือมีงานอดิเรกชอบสะสมเครื่องบิน ด้านการบังคับเครื่องบิน แบ่งเป็นสองโหมดคือ ระบบบังคับเอง กับ Auto-pilot ส่วนใหญ่ถ้าทำภารกิจเราจะต้องบังคับเครื่องบินเองมากกว่า ซึ่งเกมก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว เพราะการควบคุมทำได้ไม่ยากมาก ให้อิสระแก่ผู้เล่น สามารถบินควงสว่านได้ ในขณะเดียวกันก็มีลูกศรคอยชี้เป็นไกด์ให้ว่าเป้าหมายของเราอยู่ตรงไหน ทำให้เวลาเล่นมีหลักยึดและไม่รู้สึกเคว้ง สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเล่นเกมขับเครื่องบิน (อย่างเช่นตัวผู้เขียนเอง) ช่วงแรกก็อาจจะรู้สึกเหวอๆ กับการบังคับอยู่บ้าง เหมือนยังกะจังหวะ ความเร็ว หรือความสูงไม่ถูก มีหลายครั้งที่บินผ่านเป้าหมายไป แล้วต้องวนกลับมา ที่สำคัญคือหากบังคับไม่ดีก็อาจจะเอาเครื่องบินโหม่งลงพื้น หรือชนกับภูเขาจนเครื่องบินระเบิดเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน ตอนที่เล่นเอาจริงๆ ก็ตายไป 3 รอบ จนคนที่เล่นเครื่องข้างๆ ถึงกับหันมามอง ส่วนภารกิจไม่ค่อยมีอะไรมาก ให้เราบินไปไปหาเป้าหมาย ล็อกเป้าแล้วกดทิ้งมิสไซล์ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะช่วงแรกเรายังเป็นแค่ทหารเดนตายอยู่ มีหน้าที่อย่างเดียวคือล่อความสนใจของศัตรูให้มาอยู่ที่เรา ทำให้กองทัพของเราทำงานได้ง่ายขึ้น โดยระหว่างการเล่นก็จะต้องคอยหลบมิสไซล์ของศัตรูไปด้วย หากเล่นเกมจริงน่าจะมีภารกิจอะไรที่ท้าทายให้ทำในระหว่างที่เราเลื่อนขั้นผ่านการพิสูจน์ฝีมือการรบ ถ้าเทียบเรื่องการบังคับเครื่องบินแล้ว ถือว่าเกมทำออกมาได้มีประสิทธิภาพ ตอนที่เล่น Ace Combat 7: Skies Unknown ก็ยังแอบแปลกใจ อุส่าห์เตรียมตัวเมารถมาอย่างดีเพราะปกติผู้เขียนเป็นคนที่มึนหัวง่ายกับเกมสไตล์นี้ (ล่าสุดเพิ่งเล่น No Mans Sky ไปแล้วมีโหมดขับยานที่คล้ายกัน ทำเอาเล่นไปซักพักก็มึนหัวจนต้องลุกเดินออกไปทำอะไรก่อน) ทว่าตอนที่จับคันโยกบังคับเครื่องบินรบ บินวนไป หมุนมาก็ยังไม่รู้สึกมึนหัวซักนิด ในมุมมองของคนที่ไม่ใช่แฟนเกมแนวนี้ต้องบอกว่า Ace Combat 7: Skies Unknown ทำออกมาได้น่าประทับใจ ภาพสวย กราฟิกดีและฟิสิกส์สมจริง อย่างเครื่องบินของเราสามารถระเบิดได้เพราะโดนลูกหลงจากการที่เราบินต่ำและปล่อยมิสไซล์ทำลายศัตรู สมกับที่เป็นเกมในซีรีส์ที่ทำรายได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของค่าย Bandai Namco จริงๆ ใครที่เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้ก็น่าจะประทับใจได้ไม่ยาก ที่เหลือก็คงต้องมารอลุ้นกันต่อไปว่าทางผู้พัฒนาจะปล่อยเกมออกมาในปี 2019 จริงๆ หรือเปล่า หรือว่าจะติดโรคเลื่อนอีก ทั้งนี้ Ace Combat 7: Skies Unknown มีแผนจัดจำหน่ายใน PS4 และ Xbox One วันที่ 18 มกราคม 2019 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์จะมีเวอร์ชัน PC ตามมา  
23 Sep 2018
พรีวิว Devil May Cry 5 จากงาน TGS 2018
แม้เกมในตำนานอย่าง Devil May Cry 5 จะพกเซอร์ไพรส์มาเอาใจแฟนๆ มากมายในงาน Tokyo Game Show 2018 ทั้งการเปิดตัวอาวุธอย่าง Rock Buster และเทรลเลอร์ใหม่ที่เผยโฉมทั้งเกมเพลย์ของ Dante ทั้งตัวละครใหม่ ทั้งการกลับมาของสาวๆ อย่าง Trish และ Lady แต่ในส่วนของเดโมที่มีให้เล่นนั้นออกจะน้อยหน้าเกมอื่นๆ ไปหน่อย เนื่องจากใช้เดโมตัวเดียวกับงาน Gamescom เมื่อเดือนที่แล้ว https://www.youtube.com/watch?v=nmZdyeCRgus เดโมตัวนี้เป็นฉากสั้นๆ ที่แนะนำระบบการต่อสู้ ด้วยการให้เราต่อสู้กับปีศาจลูกสมุนตามฉาก ก่อนที่จะพาเราไปปะทะกับบอสขนาดยักษ์นามว่า Goliath ซึ่งทางผู้พัฒนาบอกว่าเป็นความพยายามในการนำประสบการณ์การต่อสู้กับบอส Berial กลับมา แต่ยกระดับขึ้นไปอีก ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ ใครที่ได้เคยดูเกมเพลย์จากงาน Gamescom ไปแล้วอาจข้ามพรีวิวนี้ไปเลยก็ได้ เพราะพรีวิวนี้ไม่มีอะไรใหม่ในแง่ของสิ่งที่แฟนๆ เกมควรรู้ เนื่องจากเป็นเดโมตัวเดิม ซึ่งหลายๆ คนคงรีบดูทันทีที่มีคลิปออกมาให้ชม หรือหากเพิ่งเคยเห็นจากคลิปด้านบน การดูวิดีโอก็น่าจะเป็นทางเลือกให้เห็นภาพได้ชัดเจนกว่า แต่สิ่งที่ผมจะทำในพรีวิวต่อไปนี้คือการเล่าความรู้สึกในฐานะเกมเมอร์ชาวไทยคนหนึ่งที่ตามเล่นเกมในซีรีส์มาทุกภาคและได้มีโอกาสต่อแถวเข้าคิวเพื่อเล่นเดโมเกมในตำนานเกมนี้ สิ่งแรกที่ได้พบเมื่อเปิดเข้าเล่นเดโมก็คือกราฟิกของเกมที่ต้องเรียกได้ว่าไม่ได้น่าประใจเป็นพิเศษในเรื่องของความสวยงาม ซึ่งไม่ใช่เพราะว่ากราฟิกไม่สวย นี่คือ Devil May Cry ที่พัฒนากราฟิกขึ้นกว่าทุกภาค แต่เป็นเพราะซีรีส์นี้ก็ไม่ได้เป็นซีรีส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องกราฟิกอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว เกมในซีรีส์นี้มักจะทำกราฟิกได้สวยตามมาตรฐานของเกมในยุคนั้น แต่ไม่ได้เด่นกว่าเกมอื่นอย่างชัดเจน ความรู้สึกว้าวที่เกิดขึ้นในเรื่องของกราฟิกจึงเกิดขึ้นแค่เพียงตอนเห็นภาพจากเกมครั้งแรก พอได้สัมผัสเกมจริงๆ หลังจากที่ติดตามข่าวมาตลอดจึงไม่ได้ประทับใจอะไรมาก แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือสีหน้าท่าทางของตัวละคร โดยเฉพาะในฉากคัตซีนที่ทำออกมาได้ดีมาก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นสีหน้าของคนจริงๆ ซึ่งตลอดที่เล่นซีรีส์นี้มาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อน พอบวกเข้ากับบทของเกมที่เขียนให้ Nero เป็นคนกวนๆ เลยทำให้การกวนบาทาปีศาจในครั้งนี้ออกมาสะใจได้อารมณ์มากๆ จนถึงกับอมยิ้มออกมา น่าสนใจว่าพอเอาไปปรับใช้กับตัวละครอย่างพวกปีศาจแล้วจะทำได้น่าสนใจมากแค่ไหน ด้านระบบการเล่นต้องเรียกได้ว่าสนุกเหมือนเดิม เกมยังคงมีระบบการเล่นที่ฉับไว สามารถต่อคอมโบได้อย่างไม่มีสะดุด ซึ่งเกมให้ความรู้สึกว่าเป็นเกมที่ไวกว่าภาคก่อนๆ อาจจะไม่ได้ไวกว่าภาค DMC: Devil May Cry มาก แต่ไวกว่าภาค 1-4 มากแน่นอน สิ่งที่น่าสนใจคือแขนกล Devil Breaker ของ Nero จะเป็นไอเท็มที่มีให้เก็บทั่วไปตามฉาก ที่เป็นแบบนี้เพราะแขนกลสามารถแตกได้เมื่อใช้ถึงจุดหนึ่ง จริงๆ แล้วผมเองเพิ่งสังเกตจุดนี้ตอนได้เล่นเดโมด้วยตัวเอง ถ้าได้รู้มาก่อนหน้านี้คงรู้สึกผิดหวังที่เกมมีอาวุธที่ใช้แล้วหมดไป ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาการทำแบบนี้ทำให้เราไม่ได้ใช้อาวุธที่เราชอบจริงๆ เพราะอยากเก็บเอาไว้ใช้กับบอสยากๆ มากกว่า แต่พอได้ลองจริงๆ ก็พบว่าเกมค่อนข้างทำได้อย่างลงตัว พอแขนกลพังก็เลยบังคับให้เราได้ลองแขนใหม่ๆ ลองใช้ท่าใหม่ๆ อย่างเช่นแขนที่แปลงเป็นจรวดได้ ซึ่งตอนที่เห็นในเทรลเลอร์ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร แต่พอได้ใช้จริงๆ นี่กลายเป็นแขนที่ชอบที่สุดไปเลย ผมเข้าใจว่าสำหรับหลายๆ คนแล้ว เกมที่มีระบบต่อสู้ที่ดีคือเกมที่ออกแบบมาให้เราต้องฝึกกดปุ่ม ฝึกจับจังหวะอย่างดี ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ยังเป็นคนที่สนุกกับเกมที่กดปุ่มมั่วๆ แล้วดันทำคอมโบเท่ๆ ทำท่าเท่ๆ ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เกมรู้สึกง่ายเกินไป การต่อสู้กับบอสยักษ์ Goliath ของผมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเท่าที่ลองดูคนอื่นๆ เล่นในระหว่างต่อแถว บอสตัวนี้ดูไม่น่าจะต่อกรได้ง่ายๆ เลย มีเพียงไม่กี่คนที่เล่นจนชนะบอสได้ คนส่วนใหญ่ต้องวางจอยก่อนจะออกจากบูธไปเพราะเกมในเวอร์ชันเดโมไม่มี Continue ต้องกลับไปเล่นใหม่ตั้งแต่แรกอย่างเดียวเท่านั้นหากพลาดพลั้งตายไป ซึ่งเวลาที่เล่นได้แต่ละรอบมีไม่พอให้เล่นจนถึงบอสอีกรอบ แต่พอรู้ตัวอีกทีผมกลับพา Nero ขี่แขนจรวดของตัวเองไต่หลังบอส พาหลอดเลือดของบอสลดฮวบไปกว่าครึ่ง ในขณะที่พลังของตัวเองยังอยู่เกือบเต็มหลอด โดยที่มีตัวอักษรสีทองแสดงคอมโบระดับ SSS อยู่ข้างๆ พร้อมกับความรู้สึกในใจว่ากูชนะแน่ๆ ผสมกับความรู้สึกว่านี่กูทำไปได้ยังไงวะเนี่ย ก่อนที่พริบตาถัดมากลับต้องพาตัวเองออกจากบูธก่อนเวลาอันควรเพราะดันโดนบอสตบตาย ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นกันอยู่​... เอาเป็นว่า Devil May Cry 5 สอบผ่านในเรื่องความสนุกของระบบการเล่นอีกครั้งในภาคนี้ จริงๆ แล้วด้วยความที่ต้องเขียนรีวิวเกมด้วย ทำให้หลายๆ ครั้งแม้จะเล่นเดโมเกมก็เลยอดให้คะแนนเกมไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเดโมก็ตาม ซึ่งต้องบอกเลยว่าการกลับมาของ Devil May Cry 5 ในครั้งนี้ยังไม่ได้สร้างความผิดหวังให้สักอย่าง มีแต่จะเพิ่มคะแนนให้ตลอดเวลาเมื่อมีการประกาศข่าวเซอร์ไพรส์ในแต่ละครั้ง และการที่ Capcom ยอมให้บอสยักษ์อย่าง Goliath มาเป็นบอสให้สู้ในเดโม แสดงว่าบอสที่เหลือจะต้องเป็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้มากๆ แน่ๆ เมื่อเกมออกมาจริงๆ คงให้คะแนนไม่ต่ำกว่า 9 คะแนน (เต็ม 10) ยกเว้นว่าทีมงานจะหาทางมาทำอะไรให้เกมแย่ลง ซึ่งน่าจะเป็นงานที่ยากเอาการ
22 Sep 2018
Resident Evil 2 Remake: พรีวิวเกมเพลย์ Claire Redfield จากงาน Tokyo Game Show 2018
ตั้งแต่สมัยยังละอ่อน ผู้เขียนก็เป็นเกมเมอร์เด็กขี้กลัวที่ไม่ค่อยถนัดเกมแนว Survival Horror เลยเพราะกลัวเกินกว่าจะสนุกกับมันได้ ในขณะที่เพื่อนๆ ของผู้เขียนต่างก็สนุกสนานกับเกม Resident Evil 2 (สมัยนั้นยังเรียก Biohazard กันอยู่เลย) ผู้เขียนก็มักจะปลีกตัวไปเล่นเกมอื่นคนเดียวแทน ผ่านเวลามากว่า 20 ปี ในตอนนี้ผู้เขียนเองก็มีภูมิต้านทานต่อเกมน่ากลัวมากขึ้นพอสมควร พอได้มีโอกาสมาถึงงาน Tokyo Game Show 2018 ทั้งที จะไม่ลองเล่นเกมยอดนิยมอย่าง Resident Evil 2 Remake ก็กระไรอยู่ แถมยังได้ข่าวมาว่าในงานจะเปิดให้ลองเกมเพลย์ฝั่ง Claire Redfield เป็นครั้งแรกอีกด้วย ผู้เขียนก็เลยกัดฟันเดินตรงเข้าไปในบูธเดโมของ Capcom ที่สร้างขึ้นมาให้เหมือนกับสถานีตำรวจ R.P.D. ในเกมนั่นเอง ทันทีที่เดินผ่านประตูสถานีตำรวจที่เต็มไปด้วยถุงเก็บศพ ก็มีทีมงานประจำบูธแต่งตัวชุด Claire เดินมาต้อนรับ พร้อมกับอธิบายว่าผู้เขียนมีเวลาเล่นเกมเพียงห้านาทีเท่านั้น! และถ้าตายก่อนหมดเวลาจะถือว่าหมดสิทธิ์เล่นต่อทันที! (เข้าใจแหละเพราะผู้เขียนเองก็ต้องเข้าแถวเป็นชม.อยู่กว่าจะได้เข้าไปเล่น...) เดโมในงานเปิดให้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นฝั่ง Claire หรือ Leon โดยเดโมของ Leon นั้นจะเป็นตัวเดียวกับที่เปิดให้เล่นในงาน PSX 2018 ที่เมืองไทย (อ่านพรีวิว ที่นี่) ในส่วนของเดโม Claire นั้น ผู้เขียนได้รับทราบก่อนจะเลือกว่าจะไม่มีศัตรูที่เป็นซอมบี้ธรรมดาให้สู้ แต่จะมีเพียงบอส William Birkin ให้สู้เพียงตัวเดียว ได้ยินแล้วก็แอบใจแป้วนิดๆ เพราะบอสตัวนี้คือตัวการที่ทำให้ผูัเขียนขยาดเกม Horror ไปเลยตอนเป็นเด็ก... อย่างที่เคยเห็นในภาพข่าวที่ผู้พัฒนาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ เดโมของฝั่ง Claire จะให้ผู้เล่นได้ต่อสู้กับบอส Birkin ในฉากทางระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งต้องขอชมผู้พัฒนาที่แปลงฉากใต้ดินจากเกมดั้งเดิมออกมาได้น่ากลัวไม่แพ้สมัยผู้เขียนเป็นเด็กเลย หลังจากที่เดินสำรวจได้ซักพัก แอบมีสะดุ้งบ้างในจังหวะที่ท่อน้ำตามฉากพ่นไอน้ำออกมา ผู้เขียนก็พบกับคัตซีนสั้นๆ (ซึ่งทีมงานบูธบอกให้กดข้ามเพื่อรักษาเวลา) ก่อนที่จะถูกส่งเข้าไปเผชิญกับ Birkin ทันที ด่านของบอส Birkin ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเดินแคบๆ ที่มีทางแยกออกไปประปรายตามทาง บางทีก็เป็นทางตัน แต่บางทีก็มีไอเทมอย่างกระสุนหรือยาเขียวให้เก็บบ้าง ซึ่งคนที่เคยเล่นเกมภาคดั้งเดิมอาจจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้เขียนที่เคยเห็นฉากนี้ผ่านๆ แค่ประปราย ถือว่าฉากช่วยขับอารมณ์ความสิ้นหวังและกดดันได้ดีมากๆ ประมาณว่าเราไม่มีที่ไหนให้หนีได้จริงๆ ผู้เขียนรีบชักปืนยิงระเบิด Grenade Launcher ออกมาก่อนเป็นอย่างแรก (ในเดโม Claire จะได้รับปืนระเบิด ปืนกลสั้น และปืนลูกโม่) และบรรจงอัดระเบิดใส่หน้า Birkin รัวๆ จนหมดตัวเลย ซึ่งดูเหมือนจะพอสร้างความเสียหายได้บ้าง แต่ก็ยังไม่พอจะล้มบอส ที่ยังคงค่อยๆ เดินเข้ามาหาผู้เขียนทีละนิดๆ หลังจากที่ชักปืนกลออกมายิงไปได้ซักพัก ลูกตาลูกใหญ่ตรงไหล่ของบอสก็เปิดขึ้น ผู้เขียนไม่รอช้ารีบชักปืนลูกโม่ออกมาเล็งลูกตสทันที ในส่วนของเกมเพลย์การยิงปืนไม่ได้ต่างจากของ Leon โดยผู้เล่นจะต้องกด L2 ค้างไว้ซักพักก่อนที่เป้าเล็งจะหดตัวลงมาแคบพอที่ผู้เขียนจะยิงปืนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้เกมยังคงความกดดันจากภาคดั้งเดิมไว้ได้แม้จะเปลี่ยนมาเป็นระบบการยิงแบบ Third-person (มุมมองบุคคลที่ 3) หลังจากที่เล่นวิ่งไล่จับไปได้อีกแปบนึง (และอัดกระสุนลูกโม่เข้าตาบอสจนหมดตัว) ในที่สุดผู้เขียนก็สามารถพิชิตบอส Birkin ลงได้ทันกำหนดเวลา จนพนักงานบูธถึงกับเอ่ยปากชมฝีมือเลยทีเดียว (ไม่ได้โม้นะจะบอกให้) ก่อนจะนำผู้เขียนออกไปนอกบูธ โดยรวมแล้วประสบการณ์การสู้บอส Birkin ครั้งนี้ถือว่าดีกว่าครั้งแรกที่ผู้เขียนเจอเมื่อ 20 ปีที่แล้วแน่นอน ถ้าถามว่ายังน่ากลัวอยู่ไหมก็คงต้องตอบว่าน่ากลัวจริงๆ ด้วยองค์ประกอบตามฉากและระบบเกมเพลย์ที่เพิ่มความกดดันให้ผู้เล่นตลอดเวลา แม้ว่าสุดท้ายการสู้บอสจะค่อยข้างเรียบง่ายไปซักนิด อาจเพราะอาวุธครบมือ (ไม่รู้ว่าในเกมจริงจะมีปืนระเบิดให้ใช้แบบนี้ไหม) และการโจมตีของบอสที่ค่อนข้างช้า เมื่อรวมกับวิธีการควบคุมตัวละครแบบใหม่ ทำให้การวิ่งหนีออกมาตั้งหลักเพื่อยิงจุดอ่อนง่ายกว่าในภาคดั้งเดิมพอสมควร แต่ด้วยการออกแบบบอสที่มีความน่ากลัวน่าขยะแขยงก็ช่วยให้เรายังคงรู้สึกกดดันทุกครั้งที่ต้องมองบอสค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาช้าๆ ในระหว่างที่รอให้เป้าเล็งค่อยๆ หดลงมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจทีเดียวกับเดโมเกมเพลย์ครั้งนี้ ซึ่งกลบจุดอ่อนของบอสเกม Resident Evil ภาคหลังๆ (ยกเว้นภาค 7) ที่เอาความน่ากลัวแลกกับฉากแอคชั่นเท่ๆ ซะมากกว่า แถมยังเพิ่มความมั่นใจให้ผู้เขียนประมาณนึง จนตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า Day One แน่นอนเกมนี้! Resident Evil 2 Remake จะวางจำหน่ายวันที่ 25 มกราคม 2019 สำหรับ PS4, Xbox One, PC อ่านพรีวิวเกมอื่นๆ จาก Tokyo Game Show 2018 ได้ ที่นี่
22 Sep 2018
ผจญภัยในโลกกว้างไปกับเจ้าหนุ่มหมวกฟาง! - พรีวิว One Piece: World Seeker จากงาน TGS 2018
https://www.youtube.com/watch?v=sZR44R87E6U&feature=youtu.be อีกหนึ่งเกมที่พลาดไม่ได้สำหรับค่ายเกม Bandai Namco ก็คือ One Piece: World Seeker เกมแนวแอคชั่นผจญภัยแบบ Open World ที่ให้ผู้เล่นได้สวมบทบาทเป็น Monkey D. Luffy ออกตามล่าวันพีชพร้อมกับผองเพื่อน เมื่อมาเยือนถึง TGS 2018 แล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะไปทดลองเล่นเกมเพื่อจะได้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง โดยเดโมตัวที่เราเล่น เป็นตัวเดียวกับที่เคยเผยโฉมมาก่อนแล้วในงาน Gamescom 2018 ที่ผ่านมา จากที่ชมในเทรลเลอร์ต่างๆ ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษสำหรับการออกผจญภัยในฐานะ "ลูฟี่" ครั้งนี้ เพราะแทบจะเป็นครั้งแรกที่ One Piece มีเกมแบบ Open World ออกมาให้แฟนเกมได้สัมผัสบรรยากาศของการท่องไปในแกรนด์ไลน์ ทว่าพอได้ลองเล่นจริงๆ ตัวเกมกลับทำได้ไม่น่าประทับใจเท่ากับที่คาดหวังเอาไว้ สิ่งที่ผู้เขียนผิดหวังกับตัวเกมมากที่สุดน่าจะเป็นระบบ Open World ซึ่งถ้าเทียบกับ Marvels Spider-man ที่เป็นเกมแนวแบบเดียวกันแล้ว เรียกได้ว่า One Piece: World Seeker แทบจะไม่ติดฝุ่นไอแมงมุม ในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้จะเปรียบเทียบด้านภาพ มุมกล้อง หรือเนื้อเรื่องของเกม แต่จะพูดถึงความอิสระในเกม จากที่เล่นในเดโม แทบไม่รู้สึกเลยเสียด้วยซ้ำว่าเกมเป็นระบบแบบเปิดที่เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แน่นอนว่าลูฟี่ไม่ได้ใช้มือยางยืดตึ๋งหนืดในการเดินทางบ่อยเท่ากับสไปเดอร์แมนที่พ่นใยอยู่ตลอดเวลา แต่การเดินหรือวิ่งก็มีพื้นที่จำกัดจำเขี่ยมาก ตัวเกมมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยกันไม่ให้เราออกนอกพื้นที่ ชวนให้รู้สึกอึดอัด แทบไม่ต่างจากการเล่นเกมแบบเป็นด่าน ไม่เหมือน Marvels Spider-man ที่ให้อิสระแก่ผู้เล่นในการชักใย ห้อยโหนและกระโจนไปไหนก็ได้ตามใจอยาก โดยไม่มีขอบเขต รวมถึงทุกสถานที่ที่ไปยังมีภารกิจยิบย่อยให้ทำ เสมือนกับว่าเราได้ไปเดินอยู่ในนิวยอร์กแล้วได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในเมืองจริงๆ ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ One Piece: World Seeker ยังขาดไปอยู่ ส่วนการใช้มือยางยืดเพื่อการเคลื่อนที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ในการเล่นแบบ Open World ที่แผนที่ค่อนข้างกว้าง และตัวละครจำเป็นต้องมีท่าที่ทำให้เคลื่อนที่ได้เร็ว ทว่าในความเป็นจริงตัวเกมกลับทำระบบนี้ออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อมือที่ยืดออกไป ยืดได้ไม่ยาวพอ กะระยะยาก อีกทั้งยังใช้ได้กับวัตถุหรือสิ่งของแค่บางอย่าง เช่น ต้นไม้ หรือหอคอยเป็นต้น ไม่สามารถใช้จับขอบเนินดินแล้วปีนขึ้นได้ ต้องคอยเดินไปตามทางลาดที่เกมกำหนด ด้านการต่อสู้ "ลูฟี่" ตัวละครหลักของเราจะต้องเข้าไปสู้รบและประมือกับทหารเรือมากมาย ตัวเกมทำออกมารองรับรูปแบบการเล่นที่มีตั้งแต่การให้ Stealth ไปจนถึงการเปิดตัวด้วยการลุยดะแบบไม่แคร์ใคร สไตล์กัปตันผู้ไม่คิดมาก นอกจากนี้เกมยังถ่ายทอดความเป็นเจ้าหนุ่มหมวกฟางออกมาด้วยการใส่กิมมิคฮาๆ เข้าไปเล็กน้อย อย่างการเข้าไปแอบซ่อนให้ถังเหล้าแล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปแบบ (ไม่) เนียน เป็นต้น ทว่าการต่อสู้ที่น่าจะเป็นจุดขายของเกมแนวแอคชั่นอย่าง One Piece: World Seeker กลับทำออกมาได้ขาดๆ เกินๆ แม้จะมีการอ้างอิงท่าต่อสู้ของลูฟี่มาจากอนิเมะหรือมังกะ อย่างฮาคิ หรือท่ายางยืดต่างๆ แต่กลับไม่ได้มีท่าที่หลากหลายมากพอในการจะสร้างคอมโบต่อสู้แบบมันส์ๆ นอกจากนี้ระบบการต่อสู้ก็ไม่ได้ไหลลื่นอย่างที่คิด ที่ผู้เขียนรู้สึกอึดอัดที่สุดคือ One Piece: World Seeker ถือเป็นเกมที่เล็งเป้ายากเอาการ ทำให้การโจมตีหลายต่อหลายครั้งก็พลาดเป้าได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่แสนจะเบสิค การโจมตีคอมโบ หรือท่าพิเศษก็ตาม นอกจากนี้ในการยืดมือออกไปจับศัตรูแล้วพุ่งไปหาก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่าสนุก ย่นระยะเวลาเดินทางไปได้เยอะ แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อพอพุ่งเข้าไปหาเหล่าทหารเรือแล้วกดใส่คอมโบหรือโจมตีกลับวืดไม่เป็นท่า จนกลายเป็นว่าแทบจะไม่สามารถ "ยืด จับ พุ่ง และโจมตี" ได้เลย แม้ตอนสู้กับ "อาคาอินุ" บอสในเดโม จะค่อนข้างทำให้เกมสนุกขึ้นบ้าง แต่เมื่อเทียบกับระบบการต่อสู้ของ Marvels Spider-man เกมไอแมงมุมกลับทำออกมาได้ดีกว่าเยอะ ทั้งๆ ที่ Spider-man ไม่ได้มีท่าคอมโบหรือท่าที่ใช้โจมตีศัตรูมากเท่ากับท่าของลูฟี่เองเสียด้วยซ้ำ แต่กลับมีการโจมตีแบบคอมโบลื่นไหลกว่า และมันส์กว่า นอกจากนี้ตัวเกมยังขาดความตื่นเต้นและท้าทายอีก ทั้งภารกิจก็ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เราเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครอย่างลูฟี่ หรือเพิ่มความอินกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใด โดยตลอดเวลาที่ตลอดเวลาที่ได้เล่นเกมประมาณ 20 นาทีก็แอบมีจังหวะที่เกิดความรู้สึกเบื่ออยู่บ่อยๆ ภารกิจที่ได้รับแทบจะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ นอกจากเดินไปยังยอดเขาที่ตัวเกมกำหนด ค่อยๆ กำจัดทหารเรือไปทีละตัวสองตัว ตามเปิดกล่องที่กองอยู่บนพื้น แถมยังต้องค่อยๆ เดินไปตามทาง ทำให้นอกจากกำจัดทหารเรือไปเรื่อยๆ แล้วก็แทบไม่มีอะไรให้ทำอีก ที่สำคัญคือเกมขาดความสมจริง ในฐานะเกมที่มีพื้นฐานเนื้อเรื่องมาจากการ์ตูน โดยลูฟี่ที่เราเล่นใน One Piece: World Seeker สามารถถูกโจมตีด้วยกระสุนปืนธรรมดาของทหารเรือ หากจะบอกว่าทหารเรือทุกคน ทุกเมืองใช้กระสุนไคโรอยู่ตลอดก็คงจะไม่ใช่ แม้จะเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากยึดตามเรื่องจริงทั้งหมด ลูฟี่ของเราก็แทบจะเป็นอัมตะ เพราะนอกจากจะโจมตีแบบระยะไกลได้แล้ว ยังแทบไม่มีอะไรมาทำร้ายตัวละครของเราได้ แต่ตรงจุดนี้ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ จนไม่ค่อยอินกับตัวเกมอยู่เหมือนกัน หากจะให้รีบตัดสินว่า One Piece: World Seeker เป็นเกมที่ไม่คุ้มค่าในการเสียเวลาเล่นก็อาจจะเป็นการรีบด่วนสรุปไป ต้องรอดูกันต่อไปว่าเมื่อเกมออกมาแบบเต็มรูปแบบแล้ว จะมีการปูเนื้อเรื่อง สร้างบรรยากาศให้เราอินกับตัวเกมได้ขนาดไหน หรือเมื่อมีเหล่าผองเพื่อนกลุ่มหมวกฟางเข้ามาร่วมจอยอาจทำให้เล่นสนุกขึ้นก็เป็นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะต้องเตรียมใจเผื่อไว้หากเกมไม่ได้สนุกอย่างที่เพื่อนๆ คาดหวัง ทั้งนี้ One Piece: World Seeker จะจัดจำหน่ายให้เล่นผ่าน PlayStation 4, Xbox One และ PC ในปี 2019
22 Sep 2018
ดาบเดียวสังหาร - พรีวิวเกม Sekiro: Shadows Die Twice จากงาน Tokyo Game Show 2018
วันนี้ในงาน Tokyo Game Show 2018 ทาง Sony ได้เปิดให้สื่อมวลชนที่ร่วมงานบางส่วนได้เข้าทดลองเล่นเกม Sekiro: Shadows Die Twice เกมซามูไรสุดโหดจากเจ้าพ่อเกมหัวร้อน From Software อันโด่งดังนั่นเอง ทางทีมงาน GameFever เองก็ได้รับโอกาสในการเข้าเล่นเกมด้วย จึงอยากจะนำความรู้สึกนึกคิดจากเกมมาเล่าสู่กันฟัง ให้เพื่อนๆ ที่รอเล่นเกมอยู่ได้ตื่นเต้นกันก่อนที่เกมจะวางจำหน่ายช่วงต้นปีหน้าจ้า! (ปล. ด้วยปัญหาด้านเทคนิคเล็กน้อย ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีความเบลอไปซะหน่อย ต้องขออภัยเพื่อนๆ ด้วยนะครับ) ถ้ามองผ่านๆ Sekiro: Shadows Die Twice อาจจะดูเป็นเกมที่ง่ายกว่าเกมซีรี่ย์ก่อนๆ ของ From Software อย่าง Dark Souls หรือ Bloodborne ในบางแง่ ด้วยระบบการเคลื่อนที่ที่คล่องตัวและอิสระกว่าเกมอื่นๆ ของค่าย และลูกเล่นใหม่ๆ อย่างการลอบเร้น (Stealth) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถฆ่าศัตรูหลายๆ ตัวได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ในความเป็นจริง Sekiro: Shadows Die Twice เป็นเกมที่รักษาความท้าทายซึ่งเป็นลายเซ็นของ From Software เอาไว้ครบถ้วน แถมยังอาจจะเพิ่มความยากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ ด้วยระบบเกมเพลย์ที่เน้นการหลบ/ป้องกันการโจมตีของศัตรูไปเรื่อยๆ เพื่อหาจังหวะออกดาบสังหารในครั้งเดียว ทำให้แม้กระทั่งการต่อสู้กับศัตรูหลายๆ ครั้ง ต้องใช้สมาธิและความใจเย็นอย่างที่น้อยเกมจะเรียกร้องจากผู้เล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้อย่างเจ็บปวดจากการตายซ้ำๆ ไม่ต่ำกว่า 5-6 ครั้งในระยะเวลา 20 นาทีที่ได้ลองเล่นเกม   เดโม Sekiro: Shadows Die Twice ที่โซนี่ได้นำมาให้เล่นในงานคือเดโมตัวเดียวกับที่เคยปล่อยเกมเพลย์ออกมาให้ดูกันก่อนหน้านี้ ซึ่งสื่อต่างประเทศหลายสำนักได้ปล่อยวีดีโอออกมาให้ดูกันบ้างแล้ว โดยเทรลเลอร์เปิดมาด้วยฉากนอกปราสาทสไตล์ญี่ปุ่นที่มีทหารยืนเฝ้าประตูอยู่ประปราย ซึ่งทำการสอนให้เราใช้แขนกลในการพุ่งไปมาระหว่างหลังคาปราสาทได้ (ตามจุดเขียวๆ ในภาพ) และสามารถลอบฆ่าศัตรูได้ด้วยการกระโดดใส่และกดโจมตีให้ถูกจังหวะ ผู้เขียนสามารถสังหารเหล่าทหารเฝ้าประตูได้ไม่ยากเย็นนักด้วยการกดฟันรัวๆ (ปุ่ม R1) แต่แล้วก็มาติดอยู่ตรงบอสย่อยตัวแรก (จากบอสในเดโมทั้งหมดสามตัว) ที่เป็นแม่ทัพซามูไรตัวเดียวกับในภาพหัวเรื่อง ที่ฟันให้ตายยังไงก็ฟันไม่เข้าซะที จนโดนเก็บอย่างอนาถในเวลาอันสั้น... สิ่งที่ผู้เขียนทำผิดพลาด (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) คือการคิดว่า Sekiro เหมือนเกมตระกูล Souls/Borne ที่เน้นการหลบและสวนบอสทีละนิดไปเรื่อยๆ และไม่ได้สังเกตุเห็นหลอด Stamina สีเหลืองๆ บนหัวศัตรูที่เด้งขึ้นมาเวลาเรากดโจมตีศัตรู สิ่งที่ผู้เขียนเรียนรู้หลังจากที่ตายไปแล้วกว่า 3 ครั้งคือจริงๆ แล้วเกมไม่ได้ต้องการให้เราหลบและสวน แต่ต้องการให้เราหาช่องว่างทำคอมโบเพื่อลดหลอด Stamina ของศัตรูให้หมด ซึ่งจะทำให้มีวงกลมสีแดงๆ ขึ้นบนหัวของศัตรูและจะทำให้เราสามารถสร้างความเสียหายได้เยอะมากๆ ในการโจมตีครั้งเดียว โดยการลด Stamina ทำด้วยการหลบหรือ Parry การโจมตีด้วยการกด L1 ในจังหวะที่ศัตรูฟันมาพอดี ผลที่ออกมาคือเกมเพลย์ที่จะช้าก็ช้า จะเร็วก็เร็ว เพราะการเคลื่อนที่ในเกมทั้งของศัตรูและของผู้เล่นเองมีความรวดเร็วกว่าเกม Souls/Borne อย่างชัดเจน (เร็วกว่า Nioh อีก) แต่ในขณะเดียวกัน เกมก็เตรียมตัวลงโทษคนที่เอาแต่หลบและสวนทีละน้อยเช่นกัน โดยเฉพาะในการสู้บอส เพราะการฟันธรรมดาๆ ของเราแทบจะไม่สะกิดหนังบอสเลยซักนิด ทำให้การต่อสู้ในเกมมีความช้าในจังหวะที่รอหลบ/กันการโจมตีของศัตรู แต่ก็ต้องใช้ความรวดเร็วมากๆ ในการหลบให้ทันและปล่อยคอมโบในจังหวะที่ถูกต้องเพื่อลดหลอด Stamina ของศัตรูเช่นกัน ในส่วนของระบบการการลอบเร้น ผู้เล่นสามารถกดอนาล๊อคขวาเพื่อก้มลงและหลบตามพุ่มหญ้าสูงได้ และสามารถลอบฆ่าศัตรูได้อย่างรวดเร็วถ้าโจมตีศัตรูในขณะที่ซ่อนอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสทดลองระบบนี้มากนัก (ในเดโมเปิดโอกาสให้ลอบฆ่าศัตรูธรรมดาเพียงสองตัว) แต่เท่าที่เล่นมาในเดโมดูเหมือนระบบจะค่อนข้างมีความหยาบอยู่บ้าง บางครั้งศัตรูก็ตาดีมองเราเห็นซะแต่ไกล แต่บางทีก็เดินผ่านหน้าเราไปเฉยๆ เหมือนไม่เห็นทั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้า และที่สำคัญคือตัวผู้เล่นไม่ได้มีความสามารถอะไร (มากกว่าการลอบสังหาร) ที่ทำให้การลอบเร้นรู้สึกพิเศษหรือสำคัญเลย จึงรู้สึกเหมือนระบบถูกเพิ่มเข้ามาให้ใช้ได้ประปรายเป็นรสชาติมากกว่าจะเป็นระบบการเล่นหลัก ด้วยเวลาเล่นที่ค่อนข้างสั้นทำให้ผู้เขียนไม่สามารถทดสอบวิธีใช้อาวุธลับในแขนกลชนิดต่างๆ ได้มากนัก โดยในเดโมมีอาวุธลับให้ใช้สามชนิดคือ ดาวกระจาย ขวาน และเครื่องพ่นไฟ ซึ่งรู้สึกว่าจะมีวิธีใช้ที่ถูกต้องอยู่ (แต่ยังหาไม่เจอ) อาวุธลับชนิดเดียวที่ผู้เขียนได้ทดสอบจริงๆ มีแค่ขวาน ซึ่งมีความสามารถในการโจมตีทะลุการป้องกันของศัตรูและลดหลอด Stamina เยอะกว่าปกติ แต่จะช้ากว่าการใช้ดาบพอสมควร แต่ดาวกระจายกับเครื่องพ่นไฟยังไม่มั่นใจว่าควรใช้ในจังหวะไหนกันแน่ อีกหนึ่งอย่างที่อยากพูดถึงคือเรื่องการรองรับภาษาไทยของเกม ซึ่งต้องชมว่าเมนูและตัวหนังสือเป็นภาษาไทยทั้งหมดจริงๆ และส่วนใหญ่ก็อ่านรู้เรื่องด้วย แต่ในขณะเดียวกันคำแปลหลายส่วนก็แปลออกมาแปร่งๆ อยู่บ้าง อย่างคำสั่งในภาพด้านบนที่อธิบายไว้ว่า ละทิ้ง ซึ่งจริงๆ แล้วคือการหลบซ้ายขวา แต่พอใช้คำว่า ละทิ้ง ก็ทำเอางงอยู่เหมือนกัน ถ้าต้องให้คะแนนความสมบูรณ์คงให้ประมาณ 70-80% ในส่วนของกราฟิคนั้น ผู้เขียนไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะเป็นเดโมหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ในขณะเล่นมีบัคด้านกราฟิคอยู่เยอะ เช่นภาพแตกหรือรายละเอียด Texture หายเป็นต้น แถมอนิเมชั่นบางอย่างเช่นการใช้แขนกลดึงตัวเองขึ้นไปบนหลังคาก็ดูแข็งๆ แปลกๆ อยู่บ้าง ไม่ได้หมายความว่าเกมกราฟิคไม่สวยหรืออะไร แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจในการนำเสนอเท่าที่ควร ซึ่งก็อาจจะถูกแก้ทันเวลาที่เกมออกก็เป็นได้ สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่าเกม Sekiro เป็นเกมที่สนุกไหม ผู้เขียนก็คงบอกว่าเป็นเกมที่สนุกใช้ได้อยู่ เล่นแล้วนึกถึงเกมอย่าง Metal Gear Rising: Revengeance ขึ้นมาแว่บๆ ในบางช่วง ด้วยเกมเพลย์ที่รวดเร็วและท้าทายมากๆ แต่เมื่อฝึกไปซักพักก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนยอดนักดาบที่รับมือกับทุกอย่างได้เช่นกัน (ใช่ว่าผู้เขียนจะทำได้แล้วนะ...) โดยเฉพาะในจังหวะที่ศัตรูฟันมาเป็นชุดแล้วเรา (ฟลุ๊ค) ปัด/หลบการโจมตีของมันได้หมด แต่บอกเลยว่ากว่าจะคล่องนี่ไม่ง่ายแน่นอน Sekiro: Shadows Die Twice จะวางจำหน่ายสำหรับ PS4, Xbox One, PC ในวันที่ 22 มีนาคม 2019
21 Sep 2018
พรีวิว Jump Force จากงาน Tokyo Game Show 2018
https://www.youtube.com/watch?v=tm_-1DnNcXQ&feature=youtu.be ถ้าพูดเกมแนวต่อสู้ที่มีแนวโน้มว่าจะมาแรงในอนาคตก็คงไม่หนีไม่พ้น Jump Force เกมแนวต่อสู้ที่รวบรวมตัวละครจากทั้งอนิเมะและมังกะของ Weekly Shonen Jump มาลงสังเวียน ต่อสู้เพื่อหาความเป็นหนึ่ง โดยเป็นเกมจากผู้พัฒนา Spike Chunsoft และผู้จัดจำหน่ายเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น Bandai Namco ทาง Game Fever ก็ได้เล่น Demo Jump Force ในงานTokyo Game Show 2018 มาเหมือนกัน เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ต้องเกริ่นก่อนว่าเกมนี้มีรูปแบบเกมเป็นการต่อสู้แบบ 3 ต่อ 3 ซึ่งล่าสุดตัวเกมมีตัวละครให้เลือกกว่า 20 ตัว มาจาก 7 ซีรีส์ด้วยกัน ได้แก่ Bleach, Dragon Ball, Hunter x Hunter, Naruto, One Piece, Yu-Gi-Oh! และ Yu Yu Hakusho (มีตัวละครจาก Death Note ด้วย ทว่าจะปรากฎตัวในโหมดเนื้อเรื่องแทน) ด้านภาพ ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะได้ลองเล่น ก็เคยดู Trailer ของ Jump Force มาแล้วหลายตัว รวมถึงไปส่อง Screen Shot มาก็หลายครั้ง พอไปเล่นเองก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทำภาพออกมาได้ค่อนข้างดี ทั้งรายละเอียดหน้าตารูปลักษณ์ตัวละคร ความสวยงามของฉาก ที่เด็ดที่สุดคือเอฟเฟ็กต์การใช้ท่าของตัวละคร ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังได้ดูภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องหนึ่งพร้อมกับเล่นเกมต่อสู้อยู่ ทว่าเกมก็ยังมีปัญหาด้านการให้น้ำหนักกับภาพมากเกินไป อย่างเอฟเฟ็กต์ของตัวละครบางตัวก็ใหญ่เกินไป จนบดบังมุมมอง ทำให้เล่นเกมได้ไม่ค่อยลื่นและทำให้รู้สึกรำคาญในบางครั้งอยู่เหมือนกัน ระบบการต่อสู้ แต่เกมก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีขนาดนั้น แม้ภาพจะสวย แต่การต่อสู้กลับไม่ได้บู๊มันเท่าที่ควร เหมือนกับแค่กดปุ่มไปแล้วรอตัวละครระเบิดพลังออกมาใส่ศัตรูมากกว่า แทบจะไม่ต้องใช้เทคนิคการเล่นอะไรมากมายเหมือนกับต่อสู้แบบ Tekken ทำให้เกมถูกลดเสน่ห์ลงไปพอสมควร ถ้าให้นึกถึง Jump Force ในแง่ของการจัดแข่งขันเกมแนวต่อสู้แล้ว แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ในภาพรวมแล้วเกมทำออกมาได้ในระดับโอเค หากเป็นเกมเมอร์ที่เป็นคอการ์ตูน อยากเล่นเกมไฟต์ติ้งสนุกๆ แบบไม่คิดอะไรมาก เกมนี้ก็อาจเหมาะ ทว่าหากเป็นแฟนเกมที่ชอบบู๊แบบจัดหนักจัดเต็ม เน้นการเล่นแบบใช้เทคนิคแล้วก็อาจจะต้องตัดสินใจดีๆ สิ่งที่เราอาจพอคาดหวังได้ก็คือ Jump Force คล้ายกับเกม J-Stars Victory VS ของ Bandai Namco ที่ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีของนิตยสาร Weekly Shonen Jump เมื่อปี 2014 แล้ว จะเรียกว่าเป็นเวอร์ชันใหม่ของ J-Stars Victory VS ที่ผ่านการปรับปรุงภาพมาแล้วก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะเป็นการรวม All Star เหมือนกัน ระบบการเล่นส่วนใหญ่เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็คล้ายกันมาก อาจคาดหวังได้ในอนาคตว่า Jump Force อาจเจริญรอยตาม J-Stars Victory VS ด้วยการนำตัวละครในเครือที่มีสเกลพลังต่างกัน หรือไม่น่ามีความสามารถในการต่อสู้ และเป็นตัวละครที่ไม่ได้มาจากอนิเมะต่อสู้ อย่าง Ryotsu คุณตำรวจป้อมยาม, Lucky Man หรือแม้กระทั่งไซคิ มางัดกับตัวละครพลังยิ่งใหญ่แบบโงกุน นารูโตะ หรือลูฟี่ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงคงทำให้เกมมีมิติที่แปลกใหม่และแตกต่างจากเกมแนว Fighting อื่นๆ ของค่ายมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีโหมด story เพิ่มเข้ามาอีกก็น่าลุ้นว่าตอนเกมออกมาจริงๆ จะสนุกสมกับที่แฟนๆ รอคอยกันหรือเปล่า ทั้งนี้ทาง Bandai Namco ยังประกาศเปิดตัว 4 ตัวละครใหม่ประจำ Jump Force ที่ดีไซน์โดยคุณ Akira Toriyama โดยตัวละครที่ชื่อ Glover และ Navigator จะเป็นฝ่ายพันธมิตร ส่วน Galena และ Kane จะอยู่ฝั่งศัตรู ทว่ายังไม่มีข้อมูลออกมาแน่ชัดว่าเราจะสามารถเล่นตัวละคร 4 ตัวนี้ได้หรือไม่ หากใครสนใจก็สามารถติดตามข่าวสารกันได้ โดย Jump Force จะจัดจำหน่ายผ่าน PS4, Xbox One และ PC ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019
21 Sep 2018
พรีวิว Kill la Kill the Game
"ภาพลักษณ์น่าตื่นตาแต่มีอะไรให้ทำน้อยเกินไป" นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกเมื่อได้ลองเล่นเกมครั้งแรกในงาน TGS 2018 ในฐานะแฟนอนิเมะ ผมทึ่งกับคุณภาพการดัดแปลงในครั้งนี้มาก ตัวละครและ Ragalias ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแม่นยำและดูเจ๋งเหมือนตอนได้ดูอนิเมะครั้งแรก ภาพเวลาโจมตีและใช้สกิลทำได้เหมือนในอนิเมะ ตัวอักษรคันจิและสีสันบาดตาที่เป็นเอกลักษณ์ของอนิเมะทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ต้องยกความดีให้สตูดิโอ Arc และ Trigger ที่จัดการงานศิลป์ออกมาได้ดีมาก แต่ความดีความชอบด้านงานศิลป์ก็ไม่สามารถชดเชยให้กับเกมเพลย์ที่ยังด้อยอยู่ได้ ในฐานะเกมต่อสู้จากอนิเมะแล้วนี่เป็นเกมที่เรียบง่ายมาก มีปุ่มโจมตีเพียงสองปุ่มเท่านั้น (โจมตีระยะไกล กับโจมตีระยะใกล้) กับอีกหนึ่งปุ่มโจมตีทำลายเกราะ (หรือจะเรียก Parry ก็ได้) เวลาส่วนใหญ่ของผมหมดไปกับการกดปุ่มโจมตีศัตรูเพียงหนึ่งหรือสองปุ่มเท่านั้น คอมโบจะอยู่กับการโจมตีระยะใกล้ แต่สามารถแทรกการโจมตีระยะไกลเข้าไปได้ ก็หวังว่าตัวละครที่มีให้เล่นมากขึ้นตอนเกมออกจะมีการโจมตีหรือท่าต่างๆ ที่หลากหลายกว่านี้ การต่อสู้ในสังเวียนของเกมนี้คล้ายเกมต่อสู้เกมอื่นๆ นั่นคือคุณตายเมื่อพลังชีวิตหมด เกมมีระบบแถบ Power Up ที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อต่อคอมโบได้ แต่สิ่งที่ต่างกันคือแต่ละตัวมีการเพิ่ม Power Up ที่ต่างกัน อย่างเช่น Gamagori จะมีแถบเพิ่มขึ้นมาอีกแถบหนึ่งที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเรา "ทำร้ายตัวเอง" เนื่องจากตัวละครตัวนี้เป็นพวกมาโซคิสม์ชอบความเจ็บปวด จึงได้รับ Power Up เพิ่มขึ้นเมื่อทำร้ายตัวเองจนเจ็บปวดเพียงพอ สิ่งนี้ทำออกมาในเกมได้ดีมาก ตัวละครนี้จะทำร้ายตัวเองในขณะที่สู้กับคุณอยู่เพื่อเพิ่มแถบ Power Up นั้น และใช้ประโยชน์จาก Power Up ที่ได้รับ ความแตกต่างกันระหว่างตัวละครแบบนี้น่าจะสร้างความหลากหลายได้ดีทีเดียว ระบบ Power Up ของเกมนี้สัมพันธ์กับระบบ "ท่าไม้ตาย" ตัวละครที่มีแถบ Power Up มากกว่า 50% จะสามารถใช้ท่าไม้ตายได้ ซึ่งเมื่อกดใช้แล้วผู้เล่นแต่ละคนจะต้องมาเล่นเกม "เป่า ยิ้ง ฉุบ" กัน ถ้าชนะ 3 ครั้ง ผู้เล่นคนนั้นจะใช้ท่าไม้ตายได้ ซึ่งท่าไม้ตายทำภาพออกมาได้สุดยอดมาก แต่ระบบ "เป่า ยิ้ง ฉุบ" นี้ก็เข้ามารบกวนการต่อสู้ที่เรียบง่ายและรวดเร็ว สุดท้ายแล้วระบบนี้เข้ามาทำให้สิ่งที่สุดยอดมากอย่างท่าไม้ตายออกมาง่ายเกินไป โดยรวมแล้ว เราประทับใจกับงานศิลป์ของเกมนี้มาก แต่รู้สึกว่าระบบของเกมเป็นอะไรที่ตื้นเขินแต่สวยงามซึ่งเข้ามารบกวนเกมเพลย์มากเกินไป ก็หวังว่าตัวละครที่หลากหลายจะทำให้เกมมีความสมดุลมากขึ้น
20 Sep 2018
คลิปเกมเพลย์เดโม Mega Man 11 ด่าน Fuse Man จาก TGS 2018
แพลตฟอร์ม​​: PS4, Xbox One, PC, Switch ผู้พัฒนา: Capcom วันวางจำหน่าย: 2 ตุลาคม 2018 ในงาน Tokyo Game Show 2018 รอบพิเศษสำหรับสื่อวันนี้ Capcom ได้เปิดให้เล่น Demo ของ Mega Man 11 ซึ่งมีด่านให้เล่นทั้งหมด 4 ด่าน ซึ่งมากกว่า Demo ที่มีให้โหลดกัน ซึ่งเล่นด่าน Block Man ได้เพียงด่านเดียว ด่านที่เพิ่มเข้ามาได้แก่ด่าน Blast Man, Fuse Man, และ Pile Man สามารถชมคลิปด่าน Fuse Man ซึ่งทีมงาน GameFever ได้ไปทดลองเล่นมาได้ด้านล่าง https://www.youtube.com/watch?v=7fF-C4jKYP4 คลิปด่าน Fuse Man https://www.youtube.com/watch?v=Ka1GVr-4I6Q คลิปสู้บอส Fuse Man ด่าน Fuse Man ค่อนข้างจะง่ายกว่าด่าน Block Man ที่มีให้เล่นกันมากทีเดียว ซึ่งเกิดจากด่านที่มีความเป็นพัซเซิลที่หากเราพลาดจะทำให้เราเสียพลังชีวิต ในขณะที่ด่าน Block Man การพลาดจะเป็นการตกเหวตายไปเลย ส่วนบอสของด่านก็ไม่ยากจนเกินไป  ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะจำการโจมตีได้หลังจากสู้เพียง 1-2 ครั้ง คนที่เคยชินกับการเล่นเกมยากๆ มาในระดับหนึ่งน่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก
20 Sep 2018
พรีวิว: Dragon Quest Builders 2 จากงาน Tokyo Game Show 2018
ถ้าพูดถึงเกมดังจากค่ายผู้พัฒนา Square Enix หนึ่งในเกมยอดฮิตในดวงใจของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นเกมแนว JRPG สุดมันส์อย่าง Dragon Quest ที่เพิ่งออกภาค DRAGON QUEST XI: Echoeds of an Elusive Age เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีเพื่อนๆ หลายคนที่เล่นจบไปแล้ว ต่อไปก็เป็นคิวของเกม Spin-off อย่าง DRAGON QUEST BUILDERS 2 ที่กำลังจะออกในเดือนธันวาคมปีนี้ ทาง GameFever ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมที่งาน Tokyo Game Show 2018 เลยอยากมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้อ่านเป็นออร์เดิร์ฟก่อนเกมออก DRAGON QUEST BUILDERS 2 เป็นเกมพิเศษที่แยกออกมาจากภาคหลัก ทว่าก็ยังคงเนื้อเรื่องหลักพร้อมภารกิจให้ทำ เรียกได้ว่าเป็นเกมลูกผสมระหว่าง JRPG และ Sand box เลยก็ว่าได้ มีหน้าตาทรงลูกบาศก์และระบบการเล่นคล้ายกับเกมดังอย่าง Minecraft ที่จะให้เราออกสำรวจโลก ฟาร์มของ เก็บทรัพยากร และสร้างสรรค์โลกขึ้นมาใหม่ในฐานะ "นักสร้าง" เนื้อเรื่องของ Dragon Quest Builders 2 จะเริ่มต่อจากฉากที่ Shidoh ตัวร้ายจาก Dragon Quest II: Luminaries of the Legendary Line (2530) พ่ายแพ้ให้แก่ผู้กล้า ในขณะที่โลกกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสงบสุขกลุ่ม "Hargon Order" อดีตลูกน้องของบอสตัวแรกๆ ของเกม Hargon ก็พยายามที่จะทำลายโลกอีกครั้ง พร้อมกำจัดเหล่าผู้สร้างที่สามารถกอบกู้อารยธรรมของโลกได้ [caption id="attachment_6017" align="alignnone" width="1280"] Shidoh บอสจาก Dragon Quest II[/caption] โดยเกมก็ละเอียดพอที่จะสร้างบรรยากาศเก่าๆ ให้เราหวนนึกถึง Dragon Quest II ทั้งเพลงตอนเลือกตัวละคร ลักษณะภาพในมินิแมพ รวมไปถึงบอสจากภาคเก่า เรียกได้ว่ารวบรวมความคลาสสิคที่แฟนเกม Dragon Quest จะชื่นชอบไว้อย่างครบครัน เริ่มเกมมาเราจะสามารถเลือกเพศของตัวละครได้ว่าจะเล่นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แตกต่างจาก DRAGON QUEST BUILDERS 1 มีเพลง Love song (Only lonely boy) จากเกมหลักภาค 2 เปิดคลอให้ได้บรรยากาศและความคิดถึงเก่าๆ หลังจากนั้นก็ยังเลือกได้ว่า ตอนเริ่มเกมอยากเริ่มเล่นจากจุดไหนก่อน มีทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน [caption id="attachment_6018" align="alignnone" width="1280"] ผู้กล้าถูกจับโดยกลุ่ม Hargon Order[/caption] แบบแรกคือ การเริ่มเล่นจากตอนที่เราอยู่บนเรือโดยมีเนื้อเรื่องต่อจากตอนจบของ Dragon Quest II (2530) ถือเป็น Tutorial แรกของเกมที่จะสอนเราว่าระบบการเล่นเป็นอย่างไร ตั้งแต่การนอนและกินเพื่อเพิ่มเลือด การต่อสู้แบบมือเปล่า การคราฟท์ของ การเก็บทรัพยากร การต่อสู้กับมอนสเตอร์ รวมไปถึงการยกของ ซึ่งเราจะเรียนรู้ได้จาก Shidoh (Malroth) บอสภาค 2 ที่เป็น NPC อยู่บนเรือคอยป้อนภารกิจที่จะค่อยๆ ทำให้เราชินกับตัวเกม จนเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจบนเรือแล้ว จู่ๆ เรือก็อัปปางเราก็หมดสติไปและตื่นขึ้นมาอยู่บนเกาะที่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัย แบบที่สองคือ การเริ่มจากเราอยู่บนเกาะเลย โหมดนี้จะสอนให้เราเริ่มต้นเก็บทรัพยากร คราฟท์ของ และสร้างบ้าน ผ่าน NPC ต่างๆ ที่จะช่วยสอนระบบการเล่น ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อนที่คอยติดตามเรามาคือบอสจากภาคสอง อย่าง Shidoh ที่มาในร่างเด็กหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำ และได้กลายมาเป็นคู่หูร่วมผจญภัยไปกับเราด้วย ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีฉากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ที่ Shidoh จะกลายมาเป็นบอสในภารกิจสุดท้ายก่อนจบเกมหรือไม่ [caption id="attachment_6016" align="alignnone" width="1280"] ผู้สร้าง และคู่หูบอสเก่า Shidoh[/caption] ด้านกราฟิกทำออกมาได้น่าสนใจมาก ภาพระหว่างเกมสวย ดูสมัยใหม่ ในขณะที่ก็ให้ความรู้สึกคลาสสิคตามแบบฉบับเกมแนว Famicom ผ่านรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างหน้าตาของมินิแมพที่ดูย้อนยุค ลดทอนดีเทลของแผนที่ให้ออกมาในแนวเรโทร นอกจากนี้เมื่อกดปุ่ม touch pad แล้วยังเปลี่ยนมุมมองของมินิแมพให้เป็นมุม Bird eye view ซึ่งก็ใช้สไตล์ที่ย้อนยุค ถูกใจแฟนเกมคลาสสิคแน่นอน   สิ่งที่แตกต่างไปจากภาคก่อนๆ มีดังนี้ น้ำ: น้ำกลายเป็นส่วนสำคัญของเกม ในภาคนี้เราสามารถเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ สร้างภูมิประเทศได้หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโลกใต้น้ำให้เหล่านักสร้าง (Builder) ได้ลงไปสำรวจอีกด้วย EXP:การตีมอนสเตอร์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น เมื่อในภาคนี้ตัวละครของเราสามารถเก็บ Exp ได้จากการฟาร์มมอนสเตอร์ หลอดเลเวลไม่ได้เป็นเลเวลของบ้านเหมือนภาคแรก ทั้งนี้เนื่องจากเราได้ลองเล่นไปแค่ 20 นาทีและยังไม่ได้ไปจนถึงจุดที่สามารถอัพเลเวลได้เยอะๆ เลยยังไม่แน่ใจว่าหลอดเลเวลนี้ส่งผลอย่างไรต่อตัวเกมกันแน่ Builder Point: ภาคนี้มีเกจ Builder Point เพิ่มขึ้นมา โดยทุกครั้งที่เราทำภารกิจเกี่ยวกับการสร้างบ้านสำเร็จ NPC จะแจกหัวใจให้ ซึ่งเราก็ยังไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่าหากเลเวลอัพแล้วจะสามารถทำอะไรได้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่เหมือนกับทั้งเลเวลบ้านและของตอบแทนจากภาคก่อนอย่าง Seed of life แน่นอน ถุงมือยกของ: ภาคนี้เราจะได้เครื่องไม้เครื่องมือมาเพิ่มคือถุงมือวิเศษที่จะช่วยให้เราเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ฟังดูเผินๆ ก็เหมือนจะคล้ายกับภาคแรกที่สามารถยกของได้เลยด้วยมือเปล่า แต่ที่พิเศษกว่าก็คือเราสามารถใช้ถุงมือที่ว่านี่เคลื่อนย้ายดินหรือก้อนหินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาทุบแล้วค่อยขนย้ายให้เสียเวลาเหมือนภาคเก่า ถือว่าเป็นเครื่องทุ่นแรงที่ดีจริงๆ การวิ่ง: ภาคนี้เราสามารถวิ่งได้โดยกด R1 โดยท่าวิ่งจะคล้ายกับท่าวิ่งของอาราเล่ ช่วยลดเวลาในการเคลื่อนย้ายได้มาก ทว่าก็ไม่สามารถใช้ได้ตลอดเพราะเมื่อกดวิ่งจะลดค่า Stamina การนอน: ในภาคก่อนหากเราเลือดลดแล้วต้องการจะฟื้นเลือด เราสามารถนอนได้ซึ่งจะเป็นการผลัดเปลี่ยนวันโดยอัตโนมัติ แต่ภาคนี้การนอนไม่ได้ทำให้เราสามารถข้ามเวลาได้อีกต่อไป เป็นแค่การค่อยๆ เพิ่มเลือดทีละ 2 หน่วยต่อวินาที หากเลือดเต็มแล้ว ตัวละครก็สามารถใช้ชีวิตต่อได้อย่างปกติ จุดนี้น่าจะเป็นเปลี่ยนการดำเนินเรื่องของเกมอยู่พอสมควร เพราะทำให้เราไม่สามารถข้ามตอนกลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาอันตรายไปได้ การคราฟท์: การคราฟท์ของถือเป็นส่วนที่สำคัญมากของเกมแนว Sand box โดยในภาคใหม่นี้ ตัวเกมได้ช่วยลดภาระทำให้การคราฟท์ของง่ายขึ้นอีกเยอะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องแปรรูปทรัพยากรมากเท่าภาคเก่า เช่น หากเราต้องการเชือก เราสามารถฟาร์มจากเถาวัลย์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเก็บใบไม้ไปคราฟท์เป็นเชือกอีกทอด เท่าที่ผู้เขียนได้ลองเล่นเกมมาประมาณ 20 นาที ถือว่า Dragon Quest Builders 2 ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ เหมาะกับแฟนเกมซีรีส์ Dragon Quest ทั้งภาคเก่าและ Builders ที่เคยออกมาแล้ว เพลงและกราฟิกภาพสามารถดึงภาพเก่าๆ ของ Dragon Quest II ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงระบบการเล่นที่ปรับปรุงใหม่ ก็ช่วยลดเวลาและความยุ่งยากไปได้เยอะเลยทีเดียว  
20 Sep 2018
Review | รีวิว Naruto to Boruto: Shinobi Striker เมื่อโลกนินจาน่าอยู่น้อยกว่าที่เคย
แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, Windows (รีวิวบน PS4) แนวเกม: Fighting ผู้พัฒนา: Soleil เวลาที่ใช้เล่นเพื่อรีวิว: 7 ชั่วโมง Naruto to Boruto: Shinobi Striker แหวกแนวเกมไฟท์ติ้งจากมังงะหรืออนิเมะที่ปกติจะตอบสนองความต้องการของผู้เล่นด้วยการให้เราบังคับตัวละครที่เราชื่นชอบ รัวหมัด ละเลงเท้า ปลดปล่อยท่าไม้ตายใส่ตัวละครที่เราหมั่นไส้จากเวอร์ชันต้นฉบับ มาคราวนี้ผู้เล่นอย่างเราจะได้รับบทเป็นนินจาที่เราสร้างขึ้นใหม่ ทั้งชื่อ หน้าตา ทรงผม เครื่องแต่งกาย หรือแม้กระทั่งวิชานินจาที่เลือกใช้ แถมคราวนี้ยังพาเราเข้าทีม 4 คนเพื่อต่อสู้กับทีมฝั่งตรงข้ามอีก 4 คนด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ฟังดูทีเดียวที่คราวนี้เราจะได้เล่นเกมนารูโตะที่ไม่ใช่แค่เพียงอัพเดตกราฟิก อัพเดตตัวละครใหม่เท่านั้น แต่เปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปเลย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามในครั้งนี้กลับทำให้โลกนินจาน่าอยู่น้อยลงกว่าที่เคย [caption id="attachment_5253" align="alignnone" width="1024"] สามารถเลือกนินจาเก่งๆ ที่เราชื่นชอบเป็นอาจารย์ได้[/caption] เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ใครสักคนชื่นชอบในการ์ตูนสักเรื่องหนึ่งก็คือเนื้อเรื่องและตัวละครจากการ์ตูนเรื่องนั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนารูโตะจึงเป็นการ์ตูนในดวงใจหลายๆ คน ทั้งๆ ที่นินจาก็เป็นอะไรที่อยู่คู่กับโลกนี้มานานแล้ว แต่เราไม่เคยมีคาถาอัญเชิญกบยักษ์ ไม่เคยมีหมู่บ้านโคโนะฮะ ไม่เคยมีนินจาขี้แพ้ที่มีจิ้งจอกสถิตอยู่ในร่างอย่างนารูโตะ คาถาและวิชานินจาหลายๆ อย่างยังอยู่ในเกมนี้ แต่ตัวละครที่เรารักกลับกลายเป็นเพียง NPC ที่คอยให้เควสต์ เป็นเพื่อนร่วมปาร์ตี้ หรือเป็นศัตรูเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เกมนี้น่าสนใจน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เพราะเราได้เพียงแค่บังคับตัวละครที่เราไม่มีความผูกพันอะไรมาก่อนหน้านี้เลย ลองนึกภาพเกมสไปเดอร์-แมนที่เราไม่ได้เล่นเป็นพระเอกหนุ่มปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ แต่กลับได้รับบทเป็นหนุ่มน้อยที่มีคุณลุงปีเตอร์คอยเป็นเทรนเนอร์ให้แทน ความรู้สึกของการเล่นเกมนารูโตะแล้วไม่ได้บังคับนารูโตะก็เป็นอะไรประมาณนั้น อย่างที่บอกไปว่าเนื้อเรื่องและตัวละครเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การ์ตูนสักเรื่องสนุก ในเมื่อเกมจากการ์ตูนเกมนี้ทำให้เราผิดหวังกับตัวละครไปแล้ว สิ่งที่น่าจะหวังได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อเรื่อง ซึ่งเนื้อเรื่องของเกมนี้นั้นคือการที่เราได้รับบทเป็นนินจาฝึกหัดที่ต้องการจะเป็นนินจาที่เก่งกาจ ซึ่งเราทำเช่นนั้นด้วยการเข้าต่อสู้ในโปรแกรม VR จำลองเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นั่นหมายความว่าเกมนี้แทบไม่มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองเลย แถมระบบอย่างหนึ่งของเกมนี้ก็คือการเลือกอาจารย์ที่จะช่วยเราต่อสู้และมอบวิชานินจาให้เราเมื่อระดับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น แต่อาจารย์ที่ว่าก็เป็นเพียง VR จำลองอาจารย์อีกเช่นกัน ซึ่งส่งผลอย่างมากในเรื่องความรู้สึก เพราะกลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วเราแทบไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวละครในเวอร์ชันต้นฉบับเลย [caption id="attachment_5254" align="alignnone" width="1024"] ใช้คาถาพ่นไฟ[/caption] เกมเปลี่ยนรูปแบบจากเกมไฟท์ติ้งที่ต่อสู้กันในฉากแคบๆ และเน้นการวัดฝีมือ ทำคอมโบ เพื่อจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว มาเป็นการต่อสู้ในฉากกว้างๆ ที่ใช้ปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มแทน เกมมีลูกเล่นอย่างการให้เราเลือกประเภทของวิชานินจาที่เราใช้ ซึ่งได้แก่ Attack, Range, Defense, และ Heal ซึ่งมีคาถาและอาวุธที่ใช้ได้ รวมถึงวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันตามชื่อประเภทวิชานั่นเอง ถ้าเป็น Attack ก็เน้นโจมตีระยะใกล้ ใช้คาถาโจมตีอย่างกระสุนวงจักร แต่ถ้าเป็น Range ก็จะโจมตีไกลขึ้นหน่อย และใช้คาถาอย่างคาถาพ่นไฟเป็นต้น ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ได้อย่างอิสระ จะเป็นนินจาที่ใช้ทั้งพันปักษา ทั้งคาถาเชิญงูก็ได้ ไม่ว่ากัน แม้จะมีระบบการปรับแต่งที่น่าสนใจ แต่เพราะเกมไปเน้นการเล่นเป็นทีม เน้นโหมดต่างๆ อย่างโหมดชิงธง โหมดยึดฐาน เลยทำให้ความสนุกในการต่อสู้วัดฝีมือกันหายไปเยอะ พอเกมไปเน้นระบบเล่นเป็นทีมที่ให้ความสำคัญกับการเก็บคะแนน เลยทำให้ตัวละครเราตายง่ายมากๆ ต้องไปเน้นการหลบ การป้องกันแทน ช่วงแรกๆ ที่ยังปรับตัวไม่ทันนี่พอเล่นคนเดียวก็รู้สึกว่าเกมง่ายเกินไป แต่พอเล่นหลายคนเจอกับผู้เล่นเก่งๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างดูมั่วซั่วไปหมด ไม่ทันไรก็ตายซะแล้ว ซึ่งเกมไฟท์ติ้งที่สนุกจริงๆ ควรจะให้เราได้มีโอกาสอัดกันให้สนุกกว่านี้ แน่นอนว่า Naruto to Boruto: Shinobi Striker ไม่ใช่เกมไฟท์ติ้งเต็มรูปแบบ แต่สิ่งที่เกมอยากจะเป็นจริงๆ ก็ไม่ได้ทำได้สนุกขนาดนั้น เหมือนกับว่าเกมไปไม่สุดสักทาง จะเป็นเกมไฟท์ติ้งอัดกันอย่างสะใจก็ไม่ใช่ จะเป็นเกมที่เน้นโหมดเล่นเป็นทีมก็สู้โหมดนี้ในเกม Shooting ไม่ได้อีก [caption id="attachment_5255" align="alignnone" width="1024"] เลือกสร้างนินจาในแบบของตัวเองได้ตามใจ[/caption] ถ้าไม่นับโหมดผู้เล่นหลายคนที่ตอนนี้มีให้เล่นแค่ 2 โหมดจากทั้งหมด 4 โหมด ที่เหลือก็เป็นโหมดภารกิจ VR ที่เราสามารถเลือกทำคนเดียวหรือชวนเพื่อนมาทำแบบออนไลน์ได้ ภารกิจแบ่งเป็น Rank ตามระดับความยาก เป็นภารกิจ VR จำลองภารกิจที่เกิดขึ้นในการ์ตูนต้นฉบับ อย่างเช่น ชิงกระดิ่งจากคาคาชิ หรือสืบหาข้อมูลเพน ซึ่งก็ยังใช้ระบบการต่อสู้ป้องกันฐาน ยึดฐาน ปราบศัตรูตามที่กำหนด หรือวิ่งเก็บของตามทาง ไม่ได้น่าสนใจเป็นพิเศษ จะตื่นเต้นหน่อยก็ตอนที่ได้สู้กับบอสตัวใหญ่ๆ อย่างเก้าหาง แปดหาง ตอนแรกดูๆ ไปก็เหมือนจะมีภารกิจให้ทำเยอะอยู่ แม้จะดูซ้ำซากไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีเนื้อเรื่องกำกับนิดหน่อย เปลี่ยนหน้าตาศัตรูก็ยังพอให้สนุกอยู่บ้าง และในตอนแรกดูจากรายชื่อภารกิจที่ยังไม่ปลดล็อคแล้วก็คิดว่าน่าจะมีภารกิจให้ทำมากมายทีเดียว แต่อยู่ดีๆ เกมก็ขึ้นเครดิตจบขึ้นมาเฉยๆ ทำเอาไม่ทันตั้งตัวไม่คิดว่าเกมนี้จะมีฉากจบด้วย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังฉากจบก็คือ ภารกิจเกือบทุกภารกิจในทุก Rank จะปลดล็อคให้เรา ซึ่งผู้เล่นก็จะพบว่าเป็นภารกิจซ้ำๆ ที่เพิ่มระดับความยากเท่านั้นเอง! หลังจากเครดิตขึ้นแล้วทำให้พบว่าตัวเกมจริงๆ แทบไม่ได้มีอะไรให้เราทำเลย มีโหมดภารกิจที่ให้ทำภารกิจซ้ำๆ โหมดผู้เล่นหลายคนที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ต่างกันขนาดนั้น 4 โหมด และนอกนั้นก็เป็นการเก็บของ เก็บคาถา แต่งตัวละคร หมู่บ้านโคโนะฮะก็เป็นเพียงลานแคบๆ ที่เอาไว้รับภารกิจ เอาไว้เป็น Lobby รอเล่นกับคนอื่นเท่านั้นเอง [caption id="attachment_5257" align="alignnone" width="1024"] หมู่บ้านโคโนะฮะ[/caption] [penci_review id="5180"]
08 Sep 2018
Review | รีวิวเกม Marvels Spider-man (PS4)
แนวเกม: Action-Adventure ผู้พัฒนา: Insomniac Games แพลตฟอร์ม: PlayStation 4 เวลาเล่น: ประมาณ 20 ชั่วโมง (รีวิวบน PS4 Pro – ขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony ด้วยครับ) คำเตือน: รีวิวฉบับนี้อาจมีสปอยระบบการเล่นเล็กน้อย แต่ไม่สปอยเนื้อเรื่องแน่นอน (ภาพส่วนใหญ่มาจากเกมเพลย์สามชั่วโมงแรกของเกมและ/หรือเทรลเลอร์ที่ผู้พัฒนาเคยปล่อย เพื่อหลีกเลี่ยงสปอยให้มากที่สุด) ข้อดี ระบบเกมเพลย์การต่อสู้ + โหนใยสนุกมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Spider-man จริงๆ กราฟิค (ส่วนใหญ่) สวยมาก ระบบการพัฒนาตัวละครเข้าใจง่าย กิจกรรมเสริมเพลิดเพลิน ไม่รู้สึกเสียเวลา ฉากคัตซีนหลายๆ ฉากออกแบบมาได้มันส์สุดๆ ข้อเสีย เนื้อเรื่องเล่าช้า ต้องเล่นไปซักพักใหญ่ๆ กว่าจะเริ่มสนุก เกมเพลย์ส่วนที่เล่นเป็นตัวละครอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Spider-man ทำให้รู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะ ภารกิจย่อยไม่ค่อยน่าสนใจ ในหลายๆ แง่สไปเดอร์แมนก็มีความคล้ายกับแบ๊ทแมนของค่าย DC ตรงที่เป็นตัวละครที่ใครๆ ก็รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นแฟนการ์ตูนหรือไม่ก็ตาม ทั้งสองตัวละครยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของค่ายการ์ตูนของตัวเองด้วย ในขณะที่แบ๊ทแมนเป็นตัวละครที่สื่อถึงความมืดมนต์และซีเรียสของจักรวาล DC สไปเดอร์แมนก็เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของความร่าเริงติดตลกของจักรวาลมาร์เวล (อย่างน้อยเมื่อเทียบกับ DC) การเปรียบเทียบนี้ยังคงใช้ได้กับเกม Marvels Spider-man ด้วย เกมที่สามารถบรรยายง่ายๆ ในประโยคเดียวว่า เกม Batman: Arkham ฉบับมาร์เวล ที่สามารถแปลงประสบการณ์ของการเป็นไอ้แมงมุมโหนตึกออกมาในรูปแบบวีดีโอเกมได้แทบจะสมบูรณ์แบบพอๆ กับที่ Batman: Arkham สามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแบ๊ทแมนจริงๆ ด้วยระบบการเล่นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาอย่างชัดเจน (มีฉากนึงเต็มๆ ที่แทบจะลอกแบบกันมาเลย) แต่เปลี่ยนให้สดใสมีชีวิตชีวาในแบบฉบับของมาร์เวล ข้อเสียใหญ่ที่สุดของเกมเพียงหนึ่งเดียวคงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอ แถมยังเดาง่ายตามสูตรหนังมาร์เวลแทบทุกอย่าง ทำให้เกมยังไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับ Batman: Arkham ได้ แต่ Marvels Spider-man ก็ยังคงเป็นเกม Open-World ที่ครบเครื่องและน่าจะถูกใจคนที่ชอบเกมแนว Action-Adventure ทุกคน โดยเฉพาะแฟนๆ ตัวยงของสไปเดอร์แมน เนื้อเรื่อง เกม Marvels Spider-man จะให้เรารับบทเป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (หรือสไปเดอร์แมนนั่นแหละ) ในวัย 23 ปี ซึ่งต้องต่อกรกับทั้งปัญหาในการงานและชีวิตส่วนตัว พร้อมกับรับมือกลุ่มโจรกลุ่มใหม่หรือแก๊ง Demons นำโดยตัวร้าย Mister Negative ที่ฉวยโอกาศที่เจ้าพ่อคนเก่าอย่าง King Pin โดนจับกุมเพื่อเข้ายึดเมืองนิวยอร์คตามจุดประสงค์ลึกลับบางอย่าง ถ้ามองโดยรวมๆ แล้วเนื้อเรื่องของเกม Marvels Spider-man ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ จริงๆ ค่อนข้างจะมีความเป็นหนังมาร์เวลอยู่สูงมากๆ เลยด้วยซ้ำ ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะมองว่าเป็นข้อดี แต่ปัญหาอย่างนึงคือเมื่อนำเนื้อเรื่องตามสูตรหนังมาร์เวลมายืดให้เข้ากับเกมความยาว 20 ชั่วโมงแล้ว สิ่งที่ได้คือความช้าในการดำเนินเรื่อง โดยเฉพาะในฉากที่เกมพยายามจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างปีเตอร์และตัวละครอื่นๆ อย่างป้าเมย์ซึ่งไม่ค่อยน่าสนใจ อีกข้อเสียหนึ่งของหนังมาร์เวลหลายๆ เรื่องคือการเล่าไม่หมด/ไม่ครบเพราะมีเรื่องต้องเล่ามากเกินไป การที่เกมพยายามจะผูกเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของปีเตอร์เข้ากับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้เกมต้องใช้เวลาในการค่อยๆ เล่าความสัมพันธ์ระหว่างปีเตอร์และตัวละครอื่นๆ ซึ่งในบางครั้งก็อดรู้สึกว่าเป็นการขัดจังหวะการเล่นของเกมได้เหมือนกัน (ตะกี้ยังสู้กันมันส์ๆ จู่ๆ ก็ตัดเข้าคัตซีนเอื่อยๆ เฉ้ย) ปัญหานี้มักจะพบเจอบ่อยที่สุดในช่วงต้นเกมที่กำลังปูเนื้อเรื่อง กว่าจะปูเสร็จและเข้าสู่ช่วงที่น่าตื่นเต้นจริงๆ อย่างฉากที่เหล่าตัวร้ายต่างๆ เช่น Electro, Rhino, Scorpian และอื่นๆ พากันแหกคุก (เหมือนในวีดีโอเกมเพลย์ที่ผู้พัฒนาเคยปล่อยออกมา) ก็ปาเข้าไป 2/3 ของเกมแล้ว (เล่นไปแล้วเกิน 10 ชม.) ทำให้ช่วงต้นของเกมรู้สึกว่าเล่าช้า แต่ช่วงท้ายเกมกลับรู้สึกว่ารีบเล่าเหลือเกิน เหล่าแก๊งตัวร้ายมีบทนิดเดียวช่วงก่อนจบเกมเท่านั้น และทำให้ตอนจบซึ่งพยายามจะดึงอารมณ์ผู้เล่นไม่สำเร็จอีกด้วย เพราะปูทุกอย่างจนไม่มีเวลาพัฒนาตัวละครอย่างเป็นจริงเป็นจัง ผู้พัฒนาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าพยายามจะให้ความสำคัญกับทั้งสไปเดอร์แมนและปีเตอร์ให้เท่าๆ กันในเกมภาคนี้ แต่กลับไม่สามารถทำให้เรื่องของปีเตอร์น่าสนใจได้เท่าเรื่องของสไปเดอร์แมนเลยแม้จะมีความสัมพันธ์กันโดยตรงก็ตาม ซึ่งจุดนี้เป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกมไม่สามารถเทียบเท่า Batman: Arkham ได้ เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปด้านบน เกม Marvels Spider-man มีความคล้ายคลึงกับเกม Batman: Arkham หลายจุด ซึ่งส่วนที่เปรียบเทียบได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นระบบต่อสู้ ที่เน้นการทำคอมโบและสวนการโจมตีของศัตรูไปพร้อมๆ กันเมื่อเห็นสัญลักษณ์ขึ้นบนหัว ควบคู่ไปกับการใช้อุปกรณ์ Gadget ต่างๆ ไปด้วย ที่แตกต่างกันก็คือในขณะที่แบ๊ทแมนเป็นปรมจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่สามารถยืนเฉยๆ แล้วรอสวนการโจมตีของศัตรูได้ สไปเดอร์แมนเป็นฮีโร่ที่เน้นใช้ความว่องไวเป็นหลัก ทำให้การเคาน์เตอร์ศัตรูในเกม Batman: Arkham เปลี่ยนไปเป็นการตีลังกาหลบการโจมตีแทน พูดง่ายๆ ก็คือการต่อสู้ในเกม Marvels Spider-man จะเร็วกว่า และอาศัยการเคลื่อนที่ของตัวละครมากกว่าใน Batman: Arkham มาก และในบางครั้งก็ท้าทายกว่าเพราะการกระโดดหลบไม่ได้รับประกันว่าเราจะไม่ได้รับความเสียหาย เราอาจจะกระโดดหลบหมัดศัตรูตัวหนึ่งไปโดนหมัดของอีกตัวหนึ่งแทนได้ แต่เมื่อเล่นจนคล่องแล้วทำให้การต่อสู้ทุกครั้งดูเหมือนฉากบู๊ในหนังมาร์เวลที่ถูกจัดฉากมาแล้วอย่างดีอีกด้วย ดูยังไงก็ไม่เบื่อเลย แต่นอกนั้นก็ค่อนข้างคล้ายๆ กันหมด เช่นชนิดและความสามารถของศัตรูที่แทบจะลอกกันมาเลย มีศัตรูถืออาวุธที่ไม่สามารถโจมตีซึ่งๆ หน้าได้ ศัตรูตัวใหญ่ที่ต้องสตันซะก่อนถึงจะโจมตีได้ ศัตรูถือโล่ห์ที่ต้องลอบไปโจมตีจากด้านหลัง เป็นต้น โดยศัตรูบางชนิดจะมีความสามารถพิเศษเพิ่มเข้ามาตามฝ่ายของศัตรูนั้นๆ เช่นศัตรูถืออาวุธของฝั่ง Demon จะสามารถปล่อยคลื่นพลังใส่เราได้ ในขณะที่ศัตรูของฝ่ายกองกำลัง Sable จะเน้นใช้ปืนและเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้ในเกมตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะนอกจากจะต้องคอยหลบการโจมตีธรรมดาๆ แล้วยังต้องคอยคำนึงถึงชนิดของศัตรูและวิธีการรับมือไปพร้อมๆ กันตลอดเวลา ภารกิจเนื้อเรื่องของ Marvels Spider-man ถือเป็นจุดเด่นของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะออกแบบมาให้เล่นสนุกแทบจะทุกภารกิจอย่างละเอียดเลยทีเดียว แถมยังผสมผสานการเล่นทั้งการต่อสู้ Stealth และการเคลื่อนที่ (โหนใย) เอาไว้ด้วยกัน ในขณะที่ภารกิจเสริมส่วนใหญ่ของเกมกลับไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ หลายๆ เควสดูจะแค่ให้เราเดินทางไปที่แห่งนึงและต่อสู้กับศัตรูเป็นกลุ่มเฉยๆ ไม่ได้มีภารกิจที่เนื้อเรื่องพิศดารหรือมีวิธีเล่นพิเศษอะไร (นอกจากภารกิจเสริมชุดนึงที่ให้เราต่อสู้กับตัวร้ายจากการ์ตูนตัวนึง) เมื่อผ่านภารกิจหรือการต่อสู้ เราจะได้รับ EXP จำนวนหนึ่งเพื่ออัพเลเวล ซึ่งทุกครั้งที่อัพเลเวลใหม่เราจะได้รับสกิลพ้อยหนึ่งแต้ม เอาไว้อัพเกรดความสามารถของตัวละคร เช่นการใช้ใยกระชากอาวุธออกจากมือศัตรู หรือความสามารถในการยิงใยสวนการโจมตีของศัตรูเมื่อกดหลบถูกจังหวะ ระบบนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แถมเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ จะสามารถปลดล๊อคสกิลพ้อยพอสำหรับการปลดล๊อคสกิลทั้งหมดอยู่ดี จึงถือว่าเป็นระบบที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ไม่ต้องพะวงว่าจะอัพสกิลผิด ในระหว่างภารกิจ เราจะสามารถเดินทางไปมาในเกาะ Manhattan ของนครนิวยอร์คได้อย่างอิสระเพื่อทำกิจกรรมยิบย่อยต่างๆ ในแผนที่ เมื่อทำสำเร็จจะได้ Token มาพัฒนาอุปกรณ์เสริมและปลดล๊อคชุดของตัวละคร เช่นการเก็บกระเป๋าสะพายที่ปีเตอร์ซ่อนไว้ตามเมืองในวัยเด็ก หรือการปราบอาชญกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองแบบแรนด้อม โดยกิจกรรมแต่ละชนิดจะให้ Token ตามชนิดของกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งการอัพเกรดหรือปลดล๊อคชุดจะใช้ Token หลายๆ ชนิดผสมกันจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นเดินทางและสำรวจกิจกรรมทุกชนิดในเมืองตลอดเวลา กิจกรรมต่างๆ จะถูกเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เมื่อเราปลดล๊อคเสาสัญญาณในพื้นที่เพื่อเปิดแผนที่ ไม่ค่อยต่างจากการปีนหอคอยใน Assassins Creed อาจจะเป็นระบบที่หลายๆ คนไม่ค่อยชอบในเกมอื่นๆ แต่ใน Marvels Spider-man กลับไม่ได้แย่ขนาดนั้นเพราะการโหนใยไปมาในเมืองสนุกมาก! ผู้เล่นสามารถโหนใยโดยอัตโนมัติด้วยการกดปุ่ม R2 ค้างเอาไว้ ผสมผสานกับการพุ่งหรือเหวี่ยงตัวไปข้างหน้าด้วยปุ่ม X ซึ่งการโหนใยจะอิงตามฟิสิกส์ของโลกจริง หมายความว่าสไปเดอร์แมนต้องยิงใยไปติดกับตึกจริงๆ จึงจะสามารถโหนใยได้ แม้จะทำให้เกิดปัญหาบ้างในบางพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีตึกให้โหน แต่ระบบนี้ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้การโหนใยรู้สึกสมจริงมากขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนโหนใยจริงๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนตัวเองรับบทเป็นไอ้แมงมุมอยู่นั่นเอง จุดอ่อนในเรื่องของเกมเพลย์คงจะเป็นฉากเนื้อเรื่องบางช่วงที่ให้เรารับบทเป็นตัวละครอื่นๆ อย่าง Mary Jane (แฟนของปีเตอร์) ซึ่งฉากเหล่านี้ส่วนใหญ่จะให้ผู้เล่นต้องหลบหลีกศัตรูตามฉากแบบ Stealth และจะแพ้ทันทีถ้าโดนศัตรูพบเข้า แม้ว่าฉากเหล่านี้จะไม่ได้ยากเย็นหรือผ่านยากแต่อย่างใด แต่ก็น่ารำคาญอยู่ดีเวลาที่จู่ๆ ก็แพ้เพราะศัตรูตรงมุมห้องที่เราไม่เห็นดันเห็นเราเข้าจากอีกฝากห้อง ทำให้ต้องเริ่มเล่นฉากนั้นๆ ใหม่แต่ต้น ที่สำคัญคือภารกิจเหล่านี้มักถูกแทรกมาในภารกิจเนื้อเรื่อง ทำให้บางทีก็รู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะเพราะกำลังต่อสู้อยู่มันส์ๆ เนื้อเรื่องกำลังถึงจุดน่าตื่นเต้น แต่ดันถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเล่นเกม Stealth แบบช้าๆ ซะงั้น แต่จะไม่มีก็ไม่ได้เพราะฉากเหล่านี้กลับสำคัญต่อเกมเพราะเป็นการเล่าถึงตัวละครรอบๆ ตัวปีเตอร์ตามเจตนาของผู้พัฒนา แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะดีกว่าถ้าไม่มีฉากแบบนี้เช่นกันเพราะจะทำให้เกมดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า กราฟิค/การนำเสนอ เกมจะโดนดาว์นเกรดจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ผู้เขียนมองว่ากราฟิคของเกมนี้ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากอยู่แล้วโดยเฉพาะในฉากคัตซีน ซึ่งมีรายละเอียดทั้งในเรื่องของสิ่งของในฉากและสีหน้าท่าทางตัวละครหลักดีมากๆ แถมเกมยังรันอย่างลื่นไหลตลอด แทบไม่ประสบปัญหาเฟรมตกเลยทั้งระหว่างการโหนใยในเมืองและการต่อสู้ เมื่อคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ และความเร็วของเกมแล้วจึงค่อนข้างน่าทึ่งที่เกมสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดเลยได้ขนาดนี้ สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือรายละเอียดบนชุดต่างๆ ของสไปเดอร์แมนที่ผู้เล่นสามารถปลดล๊อคได้ในเกมที่มีเกือบ 30 ชุด แถมชุดที่เราเลือกใส่จะแสดงในหน้าจอการโหลดและในฉากคัตซีนทั้งหมดอีกด้วย ทำให้เราสามารถเลือกเล่นเป็นสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นโปรดของตัวเองได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเกมเลย ชุดต่างๆ ยังปลดล๊อคท่าพิเศษใหม่ๆ ประจำชุดด้วย (สามารถเลือกพลังพิเศษแยกกับชุดได้) จึงส่งผลต่อการเล่นมากกว่าแค่เป็นสกินตัวละครอย่างเดียว เมืองนิวยอร์คของเกมก็สมควรได้รับคำชม เป็นเมืองที่ดูมีชีวิตชีวาไม่ต่างกับเมืองจริงๆ มีผู้คนและรถเดินไปมาตลอดเวลาด้วย แถมเมืองยังมีความหลากหลายในรูปลักษณ์ของตึกพอสมควร แต่ละเขตของเมืองก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเขต Harlem ซึ่งเป็นเขตที่ผู้คนมักมีรายได้ต่ำ ก็จะมีลักษณะเป็นโรงงานหรือตึกเตี้ยๆ โทรมๆ ซะเยอะ ในขณะที่เขตใจกลางเมืองอย่าง Times Square หรือเขตคนรวยอย่าง Financial District ก็จะมีผู้คนหนาตากว่า มีตึกสูงสวยๆ ให้โหนได้เยอะกว่า เป็นต้น ที่อาจจะทำได้ไม่ค่อยดีคือกราฟิคหน้าตาของตัวละครย่อยๆ ที่นอกจากจะไม่ค่อยมีรายละเอียดแล้ว ตัวละครย่อยหลายๆ ตัวไม่ขยับปากด้วยซ้ำเวลาพูด แถมท่าทางก็เก้งก้างไม่เหมือนตัวละครหลักๆ อย่างชัดเจน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้อด้อยเล็กๆ ที่หลายๆ คนอาจจะไม่สังเกติด้วยซ้ำ แต่ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ถ้าปรับปรุงแล้วจะทำให้เกมดูมีชีวิตขึ้นกว่าเดิมมากๆ สรุป Marvels Spider-man ถือเป็นเกม Action Open-world ที่สนุกตามสูตรของเกมแนวนี้ทุกอย่าง ด้วยระบบการต่อสู้และการเดินทางที่ยอดเยี่ยมและกิจกรรมต่างๆ ในแผนที่อันกว้างและละเอียด ซึ่งเยอะและส่งผลต่อตัวละครโดยตรงทำให้รู้สึกเหมือนเกมมีอะไรให้เราทำตลอดเวลา ข้อเสียอย่างเดียวคือเนื้อเรื่อง ที่ดูจะครึ่งๆ กลางๆ อยู่ระหว่างการเล่าชีวิตของปีเตอร์และการเล่าเรื่องซุปเปอร์ฮีโร่สไตล์มาร์เวล แต่ก็ไม่ถึงกับไม่สนุกหรือน่าเบื่อไปเลย แฟนๆ เกมแอคชั่นและ/หรือ Open-World น่าจะชอบ ส่วนสำหรับแฟนๆ ซุปเปอร์ฮีโร่หรือแฟนๆ สไปเดอร์แมน นี่ถือเป็นเกมสำหรับคุณโดยเฉพาะเลย [penci_review id="4861"]
04 Sep 2018
Review | รีวิว Little Dragons Café
แพลตฟอร์ม: PS4 (เวอร์ชันที่ใช้รีวิว), Switch แนวเกม: Strategy เวลาที่ใช้เล่นเพื่อรีวิว: 12 ชั่วโมง ผมเห็นเทรลเลอร์ Little Dragons Café เมื่อหลายเดือนก่อน แล้วก็เก็บเกมนี้ไว้ในซอกหลืบความทรงจำแบบไม่ไยดี จนเมื่อได้รับรู้ว่านี่คือเกมจากผู้สร้าง Harvest Moon เกมที่สร้างรอยยิ้มให้กับวันหยุดปิดเทอมหลายต่อหลายครั้ง จึงตัดสินใจควักกระเป๋าสตางค์ พาแผ่นเกมเลี้ยงมังกรผสมบริหารคาเฟ่ออกจากร้านขายแผ่นเกม ใส่เข้าเครื่อง PlayStaion 4 เพื่อเตรียมพบเกมที่จริงๆ แล้วรวมความชอบในวัยเด็กของตัวเองไว้ ทั้งการปลูกผักและความชื่นชอบในมังกร [caption id="attachment_4010" align="alignnone" width="1024"] ตัวใหญ่เกินไปเข้ามาข้างในไม่ได้แล้วสินะ[/caption] เนื้อเรื่องของ Little Dragons Café เกิดขึ้นในคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่งในเกาะที่เต็มไปด้วยสัตว์หน้าตาประหลาด (ซึ่งนับเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกว่าไก่ที่ธรรมชาติออกแบบมาน่ารักกว่าไก่ที่อยู่ในเกม) เราจะได้รับบทเป็นหนึ่งในตัวละครสองพี่น้องหญิงหรือชายแล้วแต่เราจะเลือก ตัวละครที่เราไม่ได้เลือกจะกลายเป็นผู้ช่วยเราแทน นอกจากสองพี่น้องแล้วก็มีคุณแม่ที่จะสอนให้เราเรียนรู้ชีวิตในคาเฟ่ ตั้งแต่การออกไปเก็บของป่า เก็บไก่เพื่อเอาไว้ไข่ ตกปลา ทำอาหาร รับออเดอร์ลูกค้า ล้างจาน ก่อนที่อยู่ๆ คุณแม่ของเราก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา พร้อมกับมีตาลุงประหลาดปรากฏตัวออกมา แล้วมอบไข่มังกรให้ บอกให้เราเลี้ยงดูเจ้ามังกรน้อยให้เติบโต เพื่อช่วยคุณแม่ให้ฟื้นจากการหลับใหล [caption id="attachment_4016" align="alignnone" width="1024"] จะเลือกทำเมนูไหนดีน้า[/caption] เราจะต้องคอยบริหารคาเฟ่ สร้างชื่อเสียง ทำเมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อชวนลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา และลูกค้าบางคนจะมาพร้อมกับปัญหาของตัวเอง ซึ่งเราจะต้องช่วยคลี่คลาย ก่อนที่ลูกค้าบางคนจะกลายมาเป็นผู้ช่วยอีกคนหนึ่งของร้านเราในที่สุด ซึ่งนี่คือระบบการเล่าเรื่องของเกมนี้ ผ่านตัวละครต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในคาเฟ่ ซึ่งการจะปลดล็อกให้ตัวละครเหล่านั้นเข้ามาที่คาเฟ่ของเราและผ่านเนื้อเรื่องของตัวละครนั้นก็คือการทำตามเงื่อนไขที่เกมบอกไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วมีไม่กี่อย่าง นั่นคือทำให้ชื่อเสียงของคาเฟ่เพิ่มขึ้น ทำอาหารตามเมนูที่บอก และการนอนหลับตื่นขึ้นมาเพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อ ซึ่งการนอนดูจะเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดจนมีอยู่หลายวันที่ตัวละครตื่นขึ้นมาแล้วทางเลือกที่ดีที่สุดถ้าต้องการผ่านเนื้อเรื่องก็คือนอนต่อแบบข้ามวันเลย ระบบของเกมมีไม่มาก และทุกอย่างเป็นไปอย่างผิวเผิน แม้จะเป็นเกมจากผู้สร้างเกมปลูกผักแต่องค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมที่มีอายุหลายสิบปีกลับไม่ได้อยู่ในเกมนี้ การหาวัตถุดิบเกือบทั้งหมดของเราจะมาจากการเก็บ ไม่ใช่การปลูก ซึ่งจริงๆ แล้วกับของป่ายังพอเข้าใจได้ แต่แม้แต่แปลงผักข้างบ้านเราเองก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ โตของมันเองและรอเวลาให้เราไปเก็บเกี่ยว อยากได้ไข่ก็ไปจับนกไข่ (Egg Bird) มาไว้ แล้วมันจะออกไข่ให้เราเอง ระบบการหาวัตถุดิบของเกมนี้จึงเป็นการวิ่งวนเก็บของซ้ำๆ ใครขยันวิ่งหน่อยก็ได้วัตถุดิบเยอะขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำอย่างนั้น ลำพังอาหารไม่กี่เมนูก็สามารถพาคาเฟ่ของเราชื่อเสียงเพิ่มขึ้นมากพอจนผ่านเนื้อเรื่องได้ [caption id="attachment_4011" align="alignnone" width="1024"] ซ้าย ขวา ซ้าย หั่น ฉับ ฉับ[/caption] การทำอาหารเราจะต้องมีเมนูอาหารชนิดนั้นก่อน ซึ่งได้จากการเก็บชิ้นส่วนสูตรอาหารที่อาจได้มาจากการคุยกับผู้คน ได้มาตามเนื้อเรื่อง หรือเก็บเอาตามทาง จากนั้นเวลาทำอาหารเราจะได้เลือกส่วนผสม ก่อนที่เกมจะตัดเข้ามินิเกมเล็กๆ ให้กดปุ่มตามจังหวะ คล้ายๆ กับเกมดนตรี ซึ่งหากกดไม่พลาดเลยอาหารก็จะออกมามีคุณภาพดีที่สุด นอกจากนี้เรายังมีอิสระในการเลือกส่วนผสมที่นำมาใช้ได้บ้าง ส่วนผสมที่มีระดับดีขึ้นก็จะส่งผลให้อาหารออกมาดีขึ้นตาม แต่ทั้งมินิเกมที่ว่าและการเลือกส่วนผสมก็กลายเป็นสิ่งที่ซ้ำซากไปในภายหลัง การที่ต้องมากดปุ่มทุกๆ ครั้งเวลาทำอาหารให้มังกรกินกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ และเนื่องจากเกมไม่ได้มีความท้าทายขนาดนั้น การมีอาหารที่คุณภาพดีขึ้นก็กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น [caption id="attachment_4012" align="alignnone" width="1024"] อาหารมาเสิร์ฟแล้วคร้าบบบ[/caption] ในส่วนของการบริหารคาเฟ่เราสามารถเลือกเมนูประจำคาเฟ่ได้จากอาหารที่เราเคยทำ เมนูที่ดีก็จะสร้างความพอใจให้ลูกค้ามากขึ้น รวมถึงคอยเปลี่ยนเอาเมนูที่อาจมีวัตถุดิบไม่พอทำออก แต่อย่างที่บอกไปว่าคุณภาพอาหารไม่ได้มีผลกับการผ่านเกมขนาดนั้น การบริหารคาเฟ่ในส่วนนี้จึงไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไหร่ สิ่งที่มีผลกับความพอใจของลูกค้ามากกว่าก็คือการช่วยงานในร้าน รับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร และล้างจานให้ทันท่วงที และทั้งหมดกลับมาที่การกดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มเหมือนกับการเดินเก็บวัตถุดิบนั่นเอง และการรับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร หรือหยิบจานไปล้าง เราจะต้องถือทีละจาน รับทีละออเดอร์เท่านั้น งานในส่วนนี้จึงกลายเป็นความน่าเบื่ออย่างรวดเร็ว ถ้าเด็กๆ เล่นเกมนี้แล้วเอาตัวอย่างการหยิบจานไปล้างทีละจานทั้งๆ ที่มีจานกองอยู่ที่โต๊ะตั้งสามจาน ไม่นานก็คงกลายเป็นเด็กๆ ที่ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับการล้างจานแน่ๆ และนั่นคือทั้งหมดของการบริหารคาเฟ่ ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านั้น แม้แต่การขยับขยายคาเฟ่ก็เป็นไปตามเนื้อเรื่อง ไม่ได้เกิดจากการเก็บวัตถุดิบ เก็บเงิน (ซึ่งในเกมไม่มี) เลย [caption id="attachment_4013" align="alignnone" width="1024"] เจ้ามังกรน้อยหม่ำๆ[/caption] กลับมาที่มังกรน้อยของเรา ซึ่งเราสามารถให้อาหาร ลูบหัว ขอให้ช่วยเก็บวัตุดิบ วิ่งชนสัตว์อื่น (เพื่อล่าวัตุดิบ) รวมถึงขี่เจ้าหนูน้อยได้เมื่อมันโตจนวิ่งเข้ามาเกะกะขวางทางในคาเฟ่ไม่ได้แล้ว อาหารแต่ละอย่างที่เราทำจะมีสีประจำอาหารนั้นอยู่ ซึ่งหากเราให้มังกรกินอาหารสีนั้นบ่อยๆ เจ้ามังกรก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั้นในที่สุด นอกจากอาหารจะมีผลต่อสีของมังกรก็ยังช่วยเพิ่มค่า Stamina ซึ่งจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อมังกรเดิน วิ่ง ช่วยเราเก็บวัตุดิบ หรือเมื่อเราขี่มัน และเมื่อมังกรกินอาหารมังกรจะอึออกมาเอาไว้เร่งความเร็วในการเกิดของวัตถุดิบและเพิ่มระดับ (คุณภาพ) ของวัตถุดิบได้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลต่อการเติบโตของมังกรหรือความรักที่มันมีต่อเราเลย เพราะมังกรน้อยจะเติบโตตามเนื้อเรื่อง และค่า Stamina ก็จะขึ้นจนเต็มทุกครั้งที่ขึ้นวันใหม่ เราสามารถเลี้ยงมันแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ต้องให้อาหารเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้อยากให้มังกรเปลี่ยนสี ความผูกพันกับเราที่มีกับมังกรน้อยที่ปรากฏตัวทั้งในชื่อเกมและปกเกมจึงลดน้อยลงอย่างมาก กับเกมอื่นอย่าง Zelda: Breath of the Wild ที่มีระบบขี่ม้า จับม้า และความสัมพันธ์กับม้า แม้ม้าจะไม่ได้มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง ให้อาหารไม่ได้ ใช้ไปเก็บวัตถุดิบไม่ได้ นอนด้วยกันในบ้านไม่ได้ เราก็ยังจะรู้สึกผูกพันกับม้าในเกมนั้นได้มากกว่า เพราะม้าสามารถตายได้จริงๆ และการชมม้าของเรามีผลต่อความสัมพันธ์และพฤติกรรมของม้าต่อเรา ในขณะที่เกมนี้สิ่งที่เราทำแทบไม่ได้มีความหมายกับมังกรเลย [caption id="attachment_4014" align="alignnone" width="1024"] ทำไมเราถึงต้องแบ่งแยกกันด้วยล่ะ[/caption] เนื่องจากระบบของ Little Dragons Café เป็นไปอย่างผิวเผิน ความหวังอย่างเดียวที่น่าจะฝากไว้ได้ก็คือเนื้อเรื่องของเกมนี้ที่ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของเกม ซึ่งจาก 12 ชั่วโมงที่ผมเล่นไปต้องบอกว่าทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง เนื้อเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาในคาเฟ่ ซึ่งนอกจากโดยส่วนตัวจะรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว ยังไม่ได้เข้าใกล้เนื้อเรื่องหลัก ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แม่จะฟื้น ไม่รู้ว่าทำไมตาลุงลึกลับถึงชอบหายเข้าไปอยู่ในห้องกับแม่ตลอดเวลา หากเล่นไปมากกว่านี้เนื้อเรื่องของเกมเก็บของบริหารคาเฟ่ขี่มังกรเกมนี้อาจจะน่าตื่นเต้นขึ้นจนทำให้เกมนี้กลายเป็นเกมที่สนุกขึ้นมามากๆ แต่นั่นก็อาจเป็นการเรียกร้องเวลาที่ผ่านไปอย่างไม่ได้สนุกเท่าไหร่ของผู้เล่นมากเกินไป [caption id="attachment_4017" align="alignnone" width="1024"] ถึงว่าทำไมผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบให้ออกไปเล่นข้างนอก...[/caption] ด้านกราฟิกของเกมต้องชมในส่วนที่เลือกสไตล์เหมือนภาพจากสมุดระบายสี ซึ่งสร้างบรรยากาศความน่ารักได้ดีมาก แต่พอออกไปนอกคาเฟ่ก็มีส่วนที่น่าติอยู่หลายอย่าง สิ่งแวดล้อมต่างๆ ดูทำออกมาลวกๆ ดูแข็งๆ ขาดความพิถีพิถัน ต่างจากเวลาอยู่ในคาเฟ่ รวมถึงสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนก หรือแมวบินได้ ก็ออกมาแบบได้ประหลาดๆ ไม่ได้มีความน่ารักน่าเอ็นดูอะไรทั้งสิ้น [penci_review id="3981"]
24 Aug 2018
รวมพรีวิวเกมจากงาน PSX
จบกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับงานเกมสุดยิ่งใหญ่จาก Sony อย่าง PlayStation Experience​ South East Asia ที่ยกทัพมาจัดกันถึงที่ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ขนเกมดังที่จะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้มาให้ชาวเกมเมอร์ได้ทดลองเล่นกันก่อนใคร รวมถึงมีเซอร์ไพรส์ประกาศเกมเวอร์ชันภาษาไทยเพิ่มด้วย ทางทีมงาน GameFever ก็ได้รับเกียรติให้เข้าไปลองเล่นเกมในงานเหมือนกัน เลยอยากจะมาบอกเล่าความรู้สึกให้เพื่อนๆ ที่พลาดไม่ได้ไป หรืออาจไปแต่อาจพลาดไม่ได้ลองเกมบางเกม เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้ตัดสินใจเก็บเงินกันตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่พลาดเกมดังที่น่าเล่นเกมไหนไป (สำหรับเกม Marvels Spider-man ทีมงาน GameFever ได้มีโอกาสไปลองเล่นแบบหนำใจ 2 ชั่วโมงที่งาน Press Preview มาก่อนหน้านี้ ไปอ่านพรีวิวตัวนั้นได้ ที่นี่) Kingdom Hearts 3 Kingdom Hearts 3 เป็นเกมแรกที่ผมพาตัวเองไปเล่น เนื่องจากความชอบในภาคก่อนๆ ที่มีอยู่เดิม ในเวอร์ชันที่ได้เล่นนี้มีสองด่านให้เล่น ด่านสู้กับยักษ์ Colossus ที่เราจะได้ไต่หน้าผาและปีนป่ายศัตรูร่างยักษ์ รวมถึงใช้ Summon เรียกรถไฟมาช่วยสู้ด้วย ในฉากนี้รู้สึกว่าบอสตายง่ายไปนิด รวมถึงมุมกล้องมีความแปลกๆ ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนปีนยักษ์ และอีกด่านคือ Toy Story ด่านนี้ผมเล่นไม่จบเพราะเวลาที่ได้ลองหมดก่อน และเป็นฉากที่มีคัทซีนคุยกันค่อนข้างนาน ซึ่งพอมาโผล่เอาฉากนี้ ไม่ได้ติดตามเกมมาตั้งแต่แรกเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าติดตามเท่าไหร่ ส่วนความรู้สึกในระบบต่อสู้ของทั้งสองฉากยังคงเหมือนตอนที่ได้เล่นภาคก่อนๆ นั่นคือความสนุกจากความรวดเร็วในการต่อสู้ยังอยู่ครบ ใครที่เคยชอบระบบต่อสู้ในภาคก่อนๆ ก็น่าจะยังสนุกกับเกมภาคนี้ได้อยู่ แต่นอกจากความสนุกที่ว่าแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเคยได้เห็นฉากเหล่านี้ผ่านตาจากสื่อต่างประเทศมาก่อนแล้ว ตอนเกมตัวเต็มออกจริงๆ คงต้องลุ้นเอาว่าเนื้อเรื่องและฉากที่ยังไม่เห็นจะสร้างความประทับใจให้ได้มากขนาดไหน จะมีลูกเล่นอะไรในโลกต่างๆ บ้าง  มีอะไรมาเซอร์ไพรส์บ้าง - MuscleBoyFirst ความรู้สึกแรกที่ได้รับจากการเล่น Kingdom Hearts 3 ของผมคือ นี่มันเหมือน Kingdom Hearts 2 เลยนี่หว่า! ซึ่งก็อาจจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะในฉากที่สู้กับบอส Colossus ที่มีความรู้สึกแข็งๆ ไปซักหน่อยในเรื่องของ mechanic (วิธีการเล่น) ไม่ค่อยให้ความรู้สึกแตกต่างกับบอสจากเกมภาคเก่าๆ เท่าไหร่ ไม่ได้มีระบบหรือวิธีการสู้ที่หวือหวาหรือให้ความรู้สึกว่า ยกระดับ ขึ้นไปจากตอน Kingdom Hearts 2 นัก ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าเกมไม่สนุก โดยเฉพาะคนที่ชอบภาค 2 และภาค Birth By Sleep ใน PSP น่าจะชอบการต่อสู้ของภาคนี้เป็นพิเศษ เพราะจะมีท่าใหญ่ๆ อลังการๆ มาให้ใช้ตลอดเวลา เกมยังคงความเร็วในการต่อสู้ที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ และด่านที่กว้างขึ้นก็ช่วยทำให้เรามีพื้นที่ในการเล่นมากขึ้น แต่เกมนี้ก็ยังคงเกมเพลย์ของ Kingdom Hearts ที่เราคุ้นเคยเอาไว้อย่างครบถ้วน รวมไปถึงปัญหาในเรื่องของมุมกล้องที่ตามความเร็วของโซระไม่ค่อยทัน หรือเรื่องของระบบล๊อคออน (lock-on) ที่ยังรู้สึกแข็งๆ แปลกๆ ไม่ต่างกับภาคก่อนๆ สรุปสั้นๆ Kingdom Hearts 3 (อย่างน้อยจากที่เล่นมา) จะเป็นเกมที่ตอบโจทย์คนที่โหยหาประสบการณ์แบบเดียวกับ Kingdom Hearts 2 แน่นอน แต่เกมจะมีอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ มาให้แฟนๆ ที่รอคอยมากว่าสิบปีได้ว้าวกันหรือเปล่าคงต้องรอดูอีกทีตอนเกมออกเลยจ้า - OcelotBoy Resident Evil 2 Resident Evil 2 เป็นเกมที่ผมประทับใจมากที่สุดในงานนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าปริศนาในภาคนี้กลับมามีความยากอยู่พอประมาณ ทำให้ต้องเดินวนหาทางไปต่อ พาความรู้สึกเก่าๆ กลับมา จนแอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าก่อนหมดเวลาที่ให้ลองเล่นรอบละ 20 นาทีจะได้ยิงซอมบี้สักตัวไหม ด้านระบบต่อสู้ก็น่าประทับใจตามมาตรฐานของเกมในภาคหลังๆ การยิง การเคลื่อนไหว การใช้อาวุธมีความลื่นไหล พอบวกกับกราฟิกที่ทำออกมาสวย รวมถึงเอฟเฟ็กต์ต่างๆ เวลายิงถูกซอมบี้อย่างเอฟเฟ็กต์เลือดกระจาย ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ และเกมให้ความรู้สึกแบบที่ Capcom บอกไว้ก่อนหน้านี้ คือรู้สึกว่าเกมนี้เป็นเกมใหม่ ไม่ใช่แค่เกม Remake ภาคเก่าธรรมดาๆ พอบวกกับเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว รวมถึงศัตรูๆ ของภาคนี้ที่จะได้เจอในเกมตัวเต็ม คิดว่าเกมภาคนี้ต้องออกมาดีและเป็นเกมที่ห้ามพลาดแน่นอน - MuscleBoyFirst ผมเป็นเกมเมอร์สายขี้กลัวที่พยายามหลีกเลี่ยงเกมผีมาตลอดสมัยเด็กๆ ทำให้อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมเท่าไหร่เมื่อพูดถึงเกม Resident Evil 2 Remake แต่ด้วยกราฟิคและเกมเพลย์ที่ปรับปรุงใหม่ก็ทำให้ผมสนใจเกมขึ้นมาเหมือนกัน เรื่องกราฟิคไม่อยากเน้นเยอะเพราะเห็นๆ กันอยู่แล้วว่าปรับปรุงมาแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากชมคือเรื่องความสมจริงของฟิสิกซ์ในเกม สิ่งที่ปรัทับใจมากๆ คือการที่ร่างกายของซอมบี้ดูจะแสดงความเสียหายสัมพันธ์กับจุดที่โดนยิง เช่นถ้ายิงโดนหัวด้านหน้าก็จะเห็นหัวด้านหน้าแหว่งไปจริงๆ ในด้านเกมเพลย์ ผมเคยแอบสงสัยกับตัวเองมาตลอดว่าเกมจะยังคงความน่ากลัวและท้าทายของการต่อสู้เอาไว้ได้ยังไงเมื่อปรับมาเป็นมุมกล้องแบบ Third-Person เพราะคนที่คุ้นเคยกับการเล่นเกมแนวนั้นก็น่าจะเล็งยิงหัวซอมบี้ได้สบายๆ แต่พอได้เล่นจริงๆ ถึงรู้ว่าเกมทำให้การยิงปืนมีความยากจริงๆ ด้วยการทำให้ตัวละครต้องใช้เวลาตั้งท่าเล็งซะก่อน crosshair (เป้าเล็ง) ถึงจะนิ่งและแคบพอให้เรายิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งต่างกับเกมยิงปืนส่วนใหญ่ที่จะทำให้เป้าโฟกัสทันทีเมื่อกดเล็ง ผลคือความระทึกเมื่อเราต้องถูกบังคับให้ยืนนิ่งๆ มองซอมบี้ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเราซักสองสามก้าวก่อนจะยิงได้อย่างมั่นใจ ในเรื่องของปริศนา ด้วยความที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในซีรี่ย์นี้ บวกกับเวลาเล่นอันน้อยนิด ทำให้ไม่สามารถแก้ปริศนาได้ทันก่อนเวลาหมด แต่ก็รู้สึกว่าระบบทำมาให้เสริมความรู้สึกน่าอึดอัดของเกมได้ดี เพราะเกมจะบังคับให้เราต้องใช้เวลาสอดส่องทุกซอกทุกมุมของฉากเพื่อหาไอเทมที่จะนำไปแก้ปริศนา - OcelotBoy Mega Man 11 นี่เป็นเกมที่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนแรกๆ เพราะไม่ประทับใจกับงานด้านภาพของภาคนี้เท่าไหร่ รวมถึงคิดว่า Capcom ตั้งใจจะปล่อยเดโมมาให้เล่นก่อนเกมออกอยู่แล้วด้วย พอได้ลองเล่นแล้วพบว่าเกมมีความสนุกกว่าที่คิดมากๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะติดภาพว่าพอเกมเลือกใช้ภาพตัวละครแบบ 3D แล้วเกมจะมีความช้า แต่จริงๆ แล้วเกมภาคนี้มีความเร็วกว่าเกมภาคเก่าๆ อีก และเกมยังคงมีความยากในแบบเกมภาคเก่าๆ จำเป็นต้องใช้ทักษะการหลบ การจำวิธีการโจมตีของศัตรู และอาวุธที่มีให้ใช้ซึ่งม่ความสามารถในการทำให้เวลาช้าลงก็เป็นอะไรที่น่าสนใจให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมมากๆ - MuscleBoyFirst Dragon Quest 11 เกมภาคนี้ให้ความรู้สึกเหมือนภาค 8 ด้วยเหตุผลหลักๆ ก็คือภาพที่เลือกใช้เป็นภาพสไตล์เซลเฉดแบบเดียวกัน ในเดโมที่ได้เล่นได้ลองขี่ม้า และลองเข้าฉากต่อสู้เพื่อทดลองระบบต่อสู้ ฉากต่อสู้มีความรวดเร็วน่าประทับใจ ขัดกับความเชื่อเดิมๆ ว่าเกมที่มีฉากต่อสู้แบบเทิร์นเบสจะมีความช้า เกมใช้วิธีตัดเข้าฉากต่อสู้ด้วยการเดินไปชนกับศัตรูที่อยู่ตามแผนที่ หากไม่ต้องการสู้ก็สามารถเดินหลบได้ ด้านการขี่ม้าทำได้ไม่น่าประทับใจนัก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของม้าทำออกมาได้แข็งๆ รู้สึกขัดใจอยู่พอสมควร อีกส่ิงที่ไม่ค่อยชอบคือฉากบทสนทนาของภาคนี้ที่ให้ความรู้สึกว่าค่อนข้างยืดยาด น่าเบื่อไปนิด - MuscleBoyFirst Shadow of the Tomb Raider Tomb Raider ภาคนี้ยังคงระบบการเล่นเช่นเดียวกับสองภาคแรก เรียกว่าใครเคยเล่นภาคก่อนๆ มาก็จับจอยเล่นภาคนี้ต่อได้เลย ระบบการต่อสู้ (คล้ายๆ กับเกม Uncharted) และระบบสำรวจทำได้ดีอยู่แล้ว คงต้องไปลุ้นตอนเกมออกว่าเนื้อเรื่อของงภาคนี้จะทำได้น่าประทับใจแค่ไหน ซึ่งการเลือกใช้ตำนานของชนเผ่ามายาเป็นฉากหลังก็น่าจะสร้างความน่าสนใจได้พอสมควรอยู่ - MuscleBoyFirst Naruto to Boruto: Shinobi Striker ผมได้มีโอกาสลองเล่นเกมอนิเมะในงานทั้ง 2 เกมคือ Shinobi Striker และ Jump Force ซึ่งต้องยอมรับตรงๆ ว่าไม่ค่อยชอบเกมไฟติ้งอนิเมะสไตล์ 3D (ที่ดูจะเป็นแนวนี้ทุกเกม) แต่ Shinobi Striker กลับเป็นเกมที่น่าสนใจกว่าที่คิดไว้มากด้วยระบบการเล่นที่เปลี่ยนไปจากเกมไฟติ้งอนิเมะทั่วไปที่สู้กันในด่านแคบๆ มาเป็นเกมแอคชั่นแบบ PvP ซะมากกว่า สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ Shinobi Striker ไม่เชิงจะเป็นเกมแนวไฟติ้ง แต่เป็นเกมแนวแอคชั่นที่มีระบบ PvP มากกว่า เกมไม่ได้เน้นให้เราต้องเลือกตัวละครที่คอมโบกันได้ดีเป็นหลัก แต่ต้องเลือกตัวละครให้มีความสมดุลในเรื่องของคลาสด้วย เพราะตัวละครแต่ละคลาสก็มีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกันไป เมื่อเล่นออนไลน์เป็นทีมกับคนอื่นก็ต้องร่วมมือกันและใช้ความสามารถของคลาสตัวเองให้ดีที่สุดไม่ต่างกับเกมแนว MOBA เท่าไหร่ เช่นคลาส Attack ก็ต้องเน้นเข้าไปตะลุมบอนเพื่อสร้างความเสียหายใส่คลาส Healer ของศัตรู ในขณะที่คลาส Defense ก็ต้องใช้ความสามารถเพื่อป้องกันเพื่อนๆ ไม่ให้ถูกโจมตี เป็นต้น ทำให้เกมมีความน่าสนใจมากกว่าแค่เกมไฟติ้งที่สู้กันเองสองคน ในเรื่องของด่าน ด่านในเกม Shinobi Striker จะเป็นแผนที่กว้างที่เราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ บวกกับความสามารถในการเดินบนกำแพงด้วย ทำให้ด่านๆ นึงมีความรู้สึกกว้างกว่าที่เห็น เปิดช่องให้ใช้ทีมเวิร์คและการวางแผนต่างๆ มากกว่าแค่การพุ่งเข้าไปตีกันทื่อๆ - OcelotBoy Jump Force ในขณะที่ Shinobi Striker เป็นเกมอนิเมะที่ดีกว่าที่คาดไว้ Jump Force กลับเป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดในทุกเกมที่ผมได้ลองเล่นในงาน เพราะแม้จะมีกราฟิคที่ปรับปรุงใหม่เป็นแนวอนิเมะผสมภาพเสมือนจริงที่น่าสนใจ แต่เกมเพลย์กลับเป็นแค่เกมไฟติ้งอนิเมะแบบเดียวกับเกมอื่นๆ ในตลาด แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย แม้ว่าในเดโมที่ลองจะมีตัวละครให้เลือกเล่นไม่กี่ตัว แต่ทุกตัวก็เล่นคล้ายๆ กันหมด คือมีท่าปล่อยพลังระยะไกล ท่าคอมโบต่อเนื่องระยะใกล้ เป็นต้น แม้แต่กราฟิคที่ปรับปรุงใหม่ก็ใช่ว่าจะดีไปซะหมด เพราะอนิเมชั่นการโจมตีท่าพิเศษที่อลังการบางทีก็ทำให้มองเห็นอะไรต่อมิอะไรไม่ค่อยชัด ปล่อยคลื่นเต่าทีก็เต็มจอมองอะไรไม่เห็นแล้ว ทำให้รู้สึกว่าเกมให้ความสำคัญกับกราฟิคและรูปลักษณ์อื่นๆ มากกว่าเกมเพลย์ - OcelotBoy Sekiro: Shadows Die Twice เกมจากค่ายผู้พัฒนาซีรีส์ Soul ที่แม้ไม่ได้มีให้เล่นในงาน แต่ก็มาพร้อมกับเซอร์ไพรส์ประกาศเวอร์ชันภาษาไทย และคลิปเกมเพลย์ที่มีให้ดูในงานก็ทำให้อยากเล่นขึ้นเป็นกอง ดูจากคลิปแล้วเกมยังมีความยากแบบเดียวกับเกมของค่ายนี้ ซึ่งผู้เล่นจะต้องเน้นบริหารการป้องกัน สวนกลับ และหลบให้ดี แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือธีมของเกม ที่เป็นฉากในญี่ปุ่น ศัตรูจะเป็นพวกนักรบใช้ดาบ ใช้ธนู เลยทำให้รู้สึกว่าความยากในเกมดูมีความสมเหตุสมผลขึ้นมามากๆ โดนฟันแต่ละทีก็ควรจะอันตรายถึงชีวิตจริงๆ และบอสในเกมก็ทำออกมาได้น่าสนใจมาก มีทั้งงูยักษ์ ทั้งคนร่างยักษ์ในแบบญี่ปุ่น ซึ่งให้ความรู้สึกน่ากลัวมากๆ ผิดกับที่เคยเห็นตัวละครพวกนี้ในการ์ตูนจนชิน ชาวเอเชียที่คุ้นเคยกับนินจา ซามูไร น่าจะอินกับเกมนี้ได้ไม่ยาก - MuscleBoyFirst
20 Aug 2018
Review | รีวิว Salt and Sanctuary
เครื่อง: Switch  แนวเกม: Action RPG, Platformer   จำนวนชั่วโมงที่เล่นเพื่อทำการรีวิว: ประมาณ 10 ชั่วโมง   “การตายซ้ำๆ ซากๆ ที่สนุกสุดๆ โดยเฉพาะถ้าได้ตายไปพร้อมๆ กับเพื่อน” คือคำบรรยายสั้นๆ ที่ผมจะให้กับเกมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมซีรีส์ Souls เกมนี้ เกมเริ่มต้นในเรือลำหนึ่งที่กำลังพาเจ้าหญิงจากประเทศไม่ทราบชื่อไปยังประเทศตรงฝ่ายตรงข้ามเพื่อแต่งงานกับกษัตริย์ของประเทศนั้นและหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ทันใดนั้นเรือก็ถูกบุกจู่โจมและปล้นฆ่าโดยกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะถูกซ้ำเติมด้วยสัตว์ประหลาดยักษ์หน้าตาคล้ายปลาหมึก ซึ่งเราจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและปกป้องเจ้าหญิง ก่อนจะพบว่าความพยายามไร้ผล เมื่อสุดท้ายเรือก็ถูกทำลายแตกอยู่ดี ตัวละครของเราตื่นขึ้นอีกทีอย่างโดดเดี่ยวในเกาะบรรยากาศน่ากลัวที่เต็มไปด้วยผีดิบ ซอมบี้ หมาป่ายักษ์กระหายเลือด และบอสสุดโหด ราวๆ 10 ชั่วโมงต่อจากนั้นผมยังคงวงเวียนอยู่กับศัตรูเดิมๆ และฉากหน้าตาเดิมๆ ตายแล้วเกิดใหม่นับครั้งแล้วมากกว่าการตายทั้งหมดในเกมที่เล่นจบไปสามสี่เกมก่อนหน้านี้รวมกัน แต่ถึงอย่างนั้น 10 ชั่วโมงที่ผ่านไปก็เรียกได้ว่าเป็น 10 ชั่วโมงที่สนุกจนลืมเวลา กราฟิก | ของเกมนี้ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนกับเกมจากค่ายอินดี้อีกจำนวนมากที่มีให้เลือกเล่นในร้านค้าออนไลน์ของเครื่องเล่นจากนินเทนโดเครื่องนี้ ซึ่งเมื่อดูจากภาพและเทรลเลอร์แล้วก็ดูไม่ได้น่าสนใจอะไร และบรรยากาศของเกมยังมืดๆ ทึมๆ ดูหน้าตาคล้ายกันไปหมด แต่พอได้สัมผัสแล้วถึงได้รู้ว่างานด้านภาพและเสียงของเกมจะแสดงศักยภาพจริงๆ เมื่อได้ลองเข้าไปเล่นในเกมด้วยตนเอง จุดเด่นเลยก็คือความลื่นไหลของการเดิน การขยับตัว และการออกท่าทางการต่อสู้ต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้เกมรู้สึกเล่นสนุกขึ้นมาก เพราะพอไปรวมกับเอฟเฟ็กต์การกระจายของเลือดเวลาโจมตีโดนศัตรู กับเสียงเวลาใช้อาวุธ เวลาที่ฟันดาบโดนศัตรู เวลาที่ใช้ท่าโหดๆ เพื่อปลิดชีพ ต้องบอกว่าเกมสร้าง “ความสะใจ” ตามสไตล์โหดๆ ของเกมได้ดีมาก อาจจะเรียกได้ว่าทำได้ดีกว่าเกม 3D หลายๆ เกมด้วยซ้ำ เพราะเกมกราฟิกสวยๆ เหล่านั้นไม่ได้มีความลื่นไหล รวดเร็ว ฉับไวขนาดนี้ ระบบการเล่น | ของเกมนี้ต้องเรียกว่าเป็นการผสมกันระหว่างเกม Castlevania และเกมในซีรีส์ Souls เกมเหมือน Castlevania ตรงที่ใช้การเดินฟันด้านข้างในฉากแบบ 2D ขนาดใหญ่ที่เกิดจากแผนที่ย่อยจำนวนมากเชื่อมต่อกัน ส่วนความยากของเกมต้องเรียกว่าถอดแบบมาจากซีรีส์ Souls ผู้เล่นจะต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวละครโดนศัตรูโจมตีให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการกลิ้งหลบ การใช้โล่ป้องกัน และการ Parry สวนการโจมตี ที่จะทำให้ศัตรูมึนและเปิดโอกาสให้เราใช้ท่าปลิดชีพที่รุนแรงกว่าการโจมตีปกติได้ แต่ท่าทางทุกอย่างที่ใช้เพื่อหลบหรือป้องกันการโจมตีจะใช้ค่า Stamina ซึ่งถึงแม้จะฟื้นให้เองอยู่ตลอด แต่ก็หมดไวมากๆ จนต้องบริหารจัดการให้ดี ไม่อย่างนั้นรู้ตัวอีกทีก็ไปเกิดใหม่ได้ง่ายๆ เมื่อเราฆ่าศัตรูได้เราจะได้เงินและสิ่งที่เรียกว่า Salt (เกลือ) มา เงินจะใช้ไปกับการซื้ออาวุธ ชุดเกราะ ไอเทม ส่วนเกลือจะใช้ในการอัพเกรดอาวุธและอัพเลเวลตัวละคร ซึ่งทุกๆ ครั้งที่เราเลเวลขึ้นเราจะได้ Skill Point มาเพื่ออัพเกรด Skill เพิ่มความสามารถให้กับตัวละครได้ ความตายของเกมนี้มีบทลงโทษก็คือการสูญเสียเงินที่พกติดตัวจำนวนหนึ่ง และเกลือที่มีอยู่ทั้งหมด โดยเราสามารถตามไปจัดการกับศัตรูตัวที่เพิ่งฆ่าเราไปเพื่อเก็บเกลือทั้งหมดที่ถูกขโมยไปคืนได้ แต่หากเราดันพลาดตายซะก่อนที่จะเก็บเกลือคืน เกลือที่หายไปจากการตายครั้งก่อนจะหายไปตลอด ไม่สามารถแย่งกลับมาได้อีก  ความรุนแรงในการโจมตีของศัตรู และความยากในการกะจังหวะหลบ Parry และป้องกัน รวมถึงบทลงโทษเมื่อตัวละครตายทำให้เกมนี้มีความยากมาก แต่จุดหนึ่งที่เกมทำได้ดีก็คือการที่จุดเซฟของเกมอยู่ใกล้กับบอสและฉากต่างๆ มาก ทำให้การตายและเกิดใหม่ซ้ำๆ เพื่อสู้กับบอสหรือศัตรูยากๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและน่าหงุดหงิดอย่างที่คิด เพราะเราสามารถเกิดและวิ่งกลับไปฉากเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากความรวดเร็วในการตายแล้วเกิดใหม่แล้ว อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ในเรื่องของกราฟิกก็คือการเคลื่อนไหวต่างๆ มีความรวดเร็วมาก ซึ่งความรวดเร็วทั้งหมดนั้นถือเป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่สร้างความสนุกให้กับเกมนี้ ผู้เล่นสามารถเลือกอาชีพที่ต้องการได้ตั้งแต่ตอนเริ่มเกม โดยอาชีพที่เลือกได้คือ Knight, Mage, Paladin, Thief, Chef (เชฟ), Cleric, Pauper (ขอทาน), และ Hunter แต่ละอาชีพจะมีสกิลติดตัว ค่าสถานะ และอาวุธที่แตกต่างกัน ซึ่งด้วยสกิลและอาวุธติดตัวในตอนแรกที่ต่างกันนี้ทำให้ประสบการณ์ในการเล่นตอนแรกต่างกันไปเลยเหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยความต่างกันในเรื่องของความเร็วของอาวุธที่ใช้ ความต่างในเรื่องความสะใจระหว่างการใช้กระทะทุบของอาชีพเชฟและการยิงลูกไฟของอาชีพนักเวทย์ หรือความต่างของรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าเกรงขามของอัศวินและความดูน่าจะกลับไปเข้าครัวมากกว่าของเชฟ ความต่างทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความน่าสนใจและน่าสนุกที่จะลองเล่นอาชีพอื่นๆ โหมดผู้เล่นหลายคน | ของเกมนี้ทำให้การเล่นสนุกขึ้นมากๆ แม้ว่าจะไม่มีโหมดออนไลน์ และเงื่อนไขอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย คือต้องมีเซฟตัวละครอย่างน้อยสองเซฟ และต้องมีไอเทมที่ใช้สำหรับการเรียกเพื่อนมาช่วยเล่น แต่พอได้ร่วมกันแชร์ความยากและโหดสะใจของเกมแล้ว ต้องเรียกว่าอยากเล่นเกมตั้งแต่ต้นจนจบกับเพื่อนและแอบเสียดายเหมือนกันที่เกมไม่มีโหมดออนไลน์ ต้องเล่นบนเครื่องเดียวกันเท่านั้น เพราะอย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่าการตายและเกิดใหม่ของเกมทำได้อย่างรวดเร็ว เลยช่วยเสริมให้การเล่นกับเพื่อนไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่หากเพื่อนพลาดพลั้งตายไปก่อน ทำให้หลายๆ ครั้งก็ยอมตายเพื่อให้เกิดใหม่เล่นกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ข้อเสียอย่างเดียวของโหมดก็คือจอของเครื่อง Switch ค่อนข้างจะเล็กเกินไปสำหรับการเล่นสองคน ทำให้ต้องอาศัยการต่อเล่นกับโทรทัศน์ช่วย อีกสิ่งที่สนุกจนต้องเรียกว่าห้ามพลาดเลยในการเล่นหลายคนก็คือระบบ PVP ที่ถอดระบบการต่อสู้กับศัตรูในเกมมาทุกอย่าง รวมถึงการ Parry การโจมตีเพื่อสวนกลับด้วย เรียกได้ว่าตอนสู้กับศัตรูแล้วสนุกยังไง ตอน PVP ก็สนุกแบบนั้นเลย แต่บวกความสนุกเข้าไปอีกหลายเท่าจากการลุ้นอยู่ข้างๆ กันว่าใครจะชนะ พอลองเปลี่ยนอาวุธมาใช้มีดเหมือนกัน ก็ทำให้การต่อสู้หลังจากนั้นกลายเป็นการดวลมีดกันแบบตัวต่อตัวที่สนุกและลุ้นระทึกมาก .   .   . โดยรวมแล้ว Salt and Sanctuary เป็นเกมที่มีหลายๆ อย่างลงตัวมาก โดยเฉพาะกับคนที่ชอบความท้าทายในเกม แม้เกมจะออกมาก่อนแล้วให้กับเครื่องอื่นๆ แต่การพอร์ตมาลง Switch ในครั้งนี้ถือว่าทำได้อย่างลงตัวทีเดียว การเล่นในโหมด Handheld ทำได้อย่างดี และเหมาะกับเกมที่เราต้องตายบ่อยๆ อย่างเกมนี้มาก เพราะหลายๆ ครั้งที่ตายจนรู้สึกอยากออกมาจิบชงชา หรือรดน้ำต้นม้งต้นไม้ ออกไปให้อาหารหมีที่เลี้ยงไว้ พักไว้แล้วค่อยกลับมาเล่นต่อ ก็สามารถปิดเครื่องเข้าโหมด Sleep และกลับมาเล่นต่ออีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว [penci_review id="3015"]
09 Aug 2018
Review | รีวิว No Mans Sky NEXT
แนวเกม: Action-adventure survival ผู้พัฒนา: Hello Games แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (Steam)   ข้อดี แต่ละดาวมีความแตกต่างกัน มีระบบ Multi-player เล่นกับเพื่อนได้ มีโหมดการเล่นหลากหลาย รองรับผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมแนว Sandbox ถ่ายรูปได้เพลิน ข้อเสีย ระบบแนะนำการเล่นทำออกมาได้ไม่ดี เนื้อเรื่องไม่เข้มข้น ใช้เวลานานกว่าจะเริ่มตั้งตัวในเกมได้ เล่นแล้วอาจทำให้เวียนหัว   สำรวจจักรวาลอันไกลโพ้นไปกับ No Mans Sky Next  หากเพื่อนๆ เป็นเกมเมอร์ชาวไทยที่ชื่นชอบการเล่นเกมแนว Sandbox ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อเกม No Mans Sky กันมาอยู่บ้าง เพราะถือเป็นเกมแนวเดียวกับเกมระดับตำนานอย่าง Minecraft แต่เปลี่ยนฉากมาเป็นการสำรวจและเอาตัวรอดในห้วงอวกาศแทน สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นมาก่อน No Man’s Sky เป็นเกมแนวเอาชีวิตรอด ที่ผู้เล่นจะต้องดิ้นรนต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต โดยตั้งแต่เริ่มเกมเราจะตื่นขึ้นมาอยู่กลางดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ต้องหาทรัพยากรมาคราฟของที่จำเป็น และซ่อมยานเพื่อที่จะได้บินออกไปสำรวจจักรวาลอันกว้างใหญ่ ซึ่งในทุกดาวที่เราไปจะมีสภาพอากาศ สิ่งมีชีวิต และทรัพยากรที่ต่างกัน โดยทุกอย่างเกิดจากการสุ่มของเกม เรียกได้ว่าจะเดินทางไปเยือนกี่ดาว แต่ละดาวก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากดาวอื่นๆ ถือเป็นจุดขายหนึ่งของเกมเลยก็ว่าได้ ทว่าหากพูดถึงเกม No Mans Sky กับขาเกมเก่าแล้ว ความรู้สึกของคนที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนน่าจะมีความทรงจำที่ไม่ค่อยน่าประทับใจ เพราะตั้งแต่เกมออกมาเมื่อ 2 ปีก่อน ตัวเกมกลับไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ผู้พัฒนาได้โฆษณาและให้สัญญาเอาไว้ ขาดระบบหลักๆ ของเกมหลายอย่าง เหมือนเกมถูกปล่อยออกมา ทั้งๆ ที่ยังพัฒนายังไม่เสร็จ ทำให้แฟนเกมไม่พอใจถึงขั้นขอคืนเงินกันเลยทีเดียว (ตอนเกมออกใหม่ๆ สนนราคาอยู่ที่ 60 USD หรือเกือบ 2,000 บาท) แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ 2 ปีก่อน ล่าสุด Hello Games ผู้พัฒนาได้ปล่อยแพทช์ใหม่ที่มีชื่อว่า Nextโดยมีพระเอกหลักในการอัพเดทครั้งนี้ คือ ระบบ Multi-player (ที่ควรจะมีมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน) มาในรูปแบบของการตั้งห้องให้เพื่อนหรือผู้เล่นแปลกหน้าเข้ามาร่วมจอยปาร์ตี้ได้สูงสุด 4 คน แม้เกมจะไม่ได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นระบบผู้เล่นหลายคนแบบเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่สามารถเดินไปเจอกันได้โดยบังเอิญ แต่แค่การได้ฟาร์มของ แชร์ทรัพยากร สำรวจถ้ำ หรือร่วมสร้างฐานทัพให้ยิ่งใหญ่ไปกับเพื่อน ก็ทำให้เกมสนุกขึ้น ช่วยลดความเหงาไปได้อยู่เหมือนกัน นอกจากนี้แพทช์ Next ยังเพิ่มการออกแบบตัวละคร ให้ผู้เล่นได้เลือกรูปลักษณ์ภายนอกได้ถึง 5 เผ่าพันธุ์ เปลี่ยนชุด เลือกสีกันได้ตามใจชอบ และมีการเพิ่มมุมมองกล้องแบบบุคคลที่ 3 เข้ามา ทำให้เพื่อนๆ สามารถเห็นตัวละครของตัวเองได้ เมื่อพูดถึงภาพในเกม ก็ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีแต่ไม่สุด ภาพดูเรียบๆ ไม่ค่อยมีรายละเอียดมากเท่าที่ควร แต่โดยรวมก็ให้บรรยากาศแบบ Sci-fi รู้สึกถึงความเป็นอวกาศแบบล้ำๆ ดูแปลกตาตั้งแต่สิ่งแวดล้อมบนดาว ไปจนกระทั่งหน้าตาอันหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งหากเปรียบเทียบภาพกับช่วงก่อนหน้านี้ Next ถือเป็นการยกระดับกราฟิกเกมครั้งใหญ่เลยทีเดียว นอกจากนี้หากกดเข้าโหมดถ่ายภาพ ก็อาจได้ภาพสวยๆ เดินถ่ายภาพได้เพลินอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เกมนี้ไม่เหมาะกับคนที่เมารถง่าย เพราะภาพค่อนข้างมึนหัวอยู่พอสมควร อย่างจังหวะกดวิ่งเร็วๆ ที่กล้องจะสั่น การเปลี่ยนทิศทางไปมาในเกมที่เร็วจนเกินไป แต่ภาพที่ชวนเวียนหัวที่สุดต้องยกให้กับการขับขี่ยานอวกาศ เพราะสามารถหมุนได้ 360 องศา บินควงสว่านได้แบบสบายๆ แต่หากช่วงแรกที่ยังไม่ชินมือ ถือว่าบังคับได้ค่อนข้างยาก ไม่ต่างอะไรจากการตีลังกาหมุนไปมา เล่นๆ อยู่ยังต้องหยุดไปพักสายตา รอให้อาการมึนเริ่มหายถึงจะกลับมาเล่นต่อได้ ด้านเสียงไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เสียงในเกมส่วนใหญ่จะเป็นเสียงจากกิจกรรมที่เราทำ อย่าง การวิ่ง ยิงเลเซอร์ สลับกับเสียงของโดรนตำรวจที่บินไปมา และเมื่อออกมานอกชั้นบรรยากาศ จะได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึงอยู่ตลอด  เท่าที่สังเกตในเกมแทบไม่มีเสียง Background โผล่มาให้ได้ยิน มีเด่นๆ ก็แค่ฉากที่ต่อสู้ ถือว่าเสียงไม่ได้ทำหน้าที่เพิ่มอรรถรสให้กับเกมได้ดีเท่าที่ควร [caption id="attachment_2876" align="alignnone" width="786"] No Mans Sky Review GameFever TH[/caption] ส่วนการเล่นเกม ในช่วงแรกจะงงๆ หน่อย เพราะตัวเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องอะไรปูให้มาก่อน  อยู่ดีๆ เราก็ตื่นมาอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง มีปืนเลเซอร์อยู่หนึ่งอัน ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็อาจถูกแก๊สพิษ กัมมันตภาพรังสี หรืออากาศที่ร้อน-หนาวเกินไป ฆ่าตายง่ายๆ ไม่ก็อาจตายด้วยวิธีที่เรียบง่ายที่สุดอย่างอ็อกซิเจนหมด ตอนแรกที่ผู้เขียนเริ่มเล่นใหม่ๆ ก็ตายไปแบบไม่รู้สาเหตุหลายครั้งจนเกือบท้ออยู่เหมือนกัน ขนาดเล่นโหมด Normal ที่ถือว่าเป็นโหมด Survival ที่ง่ายที่สุดของเกม ยังรู้สึกว่าเกมไม่ค่อยเป็นมิตรต่อผู้เล่นใหม่อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการคราฟของหรือทำเควส ผู้เล่นจะต้องงมเอาเองแทบทั้งหมด ทั้งนี้เป็นเพราะเกมไม่ได้ให้เราเข้าสู่ Tutorial โดยตรง มีเพียงแค่ภารกิจหลักให้ทำ แม้จะสามารถเข้าไปดูข้อมูลเควสใน Guide ได้ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเกมไม่ได้ซัพพอร์ทผู้เล่นเสียเท่าไหร่ เหมือนเอาเรามาวางทิ้งไว้แล้วให้หาทางไปต่อเอง แม้เมื่อเล่นไปซักพักจะเริ่มจับจุดได้ แต่ระหว่างการทำภารกิจก็ยังมีจังหวะที่สับสนอยู่บ่อยๆ พอเล่นไปได้ประมาณ 10 ชั่วโมงแล้วก็รู้สึกว่าเกมยังไม่ไปถึงไหน วนอยู่หลักๆ กับแค่การเก็บทรัพยากร คราฟของที่จำเป็น และออกสำรวจดาว แม้ว่าการสำรวจจะเป็นหัวใจหลักของเกม แต่เอาเข้าจริงแล้วเวลาส่วนใหญ่ของเราจะหมดไปกับการฟาร์มของเสียมากกว่า ทรัพยากรบางชนิดกว่าจะยิงเลเซอร์เสร็จก็ใช้เวลานานเกินความจำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นผู้เล่นก็ต้องยอมเสียเวลา เพราะทรัพยากรเป็นของที่ต้องมี เป็นสิ่งที่ต้องใช้ แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติของเกมสไตล์ Survival แต่เครื่องมือเครื่องไม้ที่ใช้ทุ่นแรง อย่าง frigate ยานที่จะช่วยเราฟาร์มของ ก็จะได้มาหลังจากการที่เราเล่นเกมไปแล้วหลายชั่วโมง และหลายชั่วโมงในที่นี้หมายถึงประมาณ 20 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากเนื้อเรื่องที่ไม่เข้มข้นแล้ว นี่ก็ถือเป็นข้อเสียอีกจุดหนึ่งของเกมที่ยังแก้ไม่ได้ และอาจทำให้หลายคนเลิกเล่นเพราะเบื่อไปเสียก่อน แต่หากเราอดทน ค่อยๆ เล่น สร้างเนื้อสร้างตัวไปแบบไม่รีบร้อน เกมก็มีอะไรหลายอย่างให้ทำ เช่น การสแกนหาทรัพยากร หรือสิ่งมีชีวิต การผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่น ให้อาหารสัตว์ประหลาดบนดาว การสู้รบกับโจรสลัดอวกาศ หรือกลายเป็นโจรสลัดเสียเอง นอกจากนี้ยังมีการซื้อหรือสะสมฝูงบินอวกาศ สร้างฐานทัพขนาดใหญ่ และถ่ายรูป เป็นเกมที่สามารถเล่นได้เรื่อยๆ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสำรวจจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด โดยรวมแล้วการอัพเดทแพทช์ Next ครั้งนี้ ทำให้ No Man’s Sky พลิกโฉมจากเวอร์ชันก่อนไปพอสมควร กราฟิกสวยขึ้น มีกิจกรรมให้ทำมากขึ้น และสามารถเล่นกับเพื่อนได้ แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่ากับที่โฆษณาเกมไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนอยู่ดี เป็นเกมที่ต้องใช้เวลาในการเล่นนานกว่าจะได้ของแบบครบๆ แถมระบบ Multi-player ก็ไม่ค่อยให้ความรู้สึกถึงความเป็นปาร์ตี้เดียวกันเท่าที่ควร เหมือนกับว่าแค่มีเพื่อนมาเล่นด้วยแก้เหงามากกว่า แต่ทั้งนี้ก็อาจจะถูกใจคอเกมสาย Survival ที่ใจเย็น ชอบฟาร์มของ  และหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ใครที่เคยลองเล่นมาก่อนอาจจะกลับไปเล่นแล้วชอบก็ได้ ส่วนนักสำรวจมือใหม่อาจต้องตัดสินใจชั่งน้ำหนักดู แม้เกมจะมีข้อเสียและยังทำออกมาได้ดีไม่สุด แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ผู้พัฒนาจะทยอยอัพเดทเกมให้ดีขึ้นอยู่เหมือนกัน หวังว่าสุดท้ายแล้ว No Man’s Sky จะได้กลายเป็นเกมในฝันของใครหลายคนจริงๆ เสียที [penci_review id="2859"]
04 Aug 2018
พรีวิว 2 ชั่วโมงแรกของเกม Marvel’s Spider-man
เมื่อวันที่ 22-23 กรกฏาคมที่ผ่านมา ทีมงาน GameFever ได้มีโอกาสเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมงานอีเว้นท์พิเศษสำหรับเกม Marvel’s Spider-man (ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีจากบริษัท Sony สำหรับคำเชิญครับ) โดยนอกจากจะได้พูดคุยกับนักพัฒนาเกมจากค่าย Insomniac Games อย่างคุณ James Stevenson แล้ว (อ่านบทสัมภาษณ์ ที่นี่) ยังมีโอกาสได้ทดลองเล่นเกม Marvel’s Spider-man ถึงสองชั่วโมง! จึงอยากจะนำความรู้สึกมาแบ่งปันเกี่ยวกับเกม ก่อนที่เพื่อนๆ จะได้สัมผัสด้วยตัวเองในวันที่ 7 กันยายนนี้จ้า! เมื่อพูดถึงเกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดี่ที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำตอบในใจของหลายๆ คนคงหนีไม่พ้นเกมซีรี่ย์ในตำนานอย่างตระกูล Batman: Arkham ที่สื่อและนักวิจารณ์หลายสำนักยกให้เป็นเกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเลยทีเดียว รู้อย่างงี้แล้วจะไม่ให้เอาเกมน้องใหม่อย่าง Marvel’s Spider-man ไปเทียบก็คงจะยาก แน่นอนว่าทั้งสองเกมย่อมมีความแตกต่างกันมากพอๆ กับที่ฮีโร่ตัวเอกของทั้งสองเกมแตกต่างกันราวแสงกับเงา แต่ด้วยความเป็นที่เกมแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนกันแล้วก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคล้ายคลึงกันบ้าง ในระบบต่อสู้ ระบบการซุ่ม (Stealth) และการเคลื่อนที่ไปมาอย่างอิสระในโลก Open-world แต่จากที่เห็นใน 2 ชั่วโมงแรกของเกม สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนพูดได้เต็มปากก็คือ เกม Marvel’s Spider-man สามารถทำให้เรารู้สึกสนุกกับการเป็นไอ้แมงมุมไม่ต่างจากที่ Batman: Arkham ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัศวินรัตติกาลเลย มาเข้าเรื่องกันก่อนเลย เกม Marvel’s Spider-man เป็นเกมแนวแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่แบบ Open-World ไม่ต่างกับเกมอย่าง Batman: Arkham หรือเกมตระกูล Shadow of Mordor ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ในแผนที่เพื่อรับภารกิจตามเนื้อเรื่อง โดยจะมีกิจกรรมย่อยๆ ให้ทำระหว่างทางเช่นการรับภารกิจเสริมหรือการเก็บของสะสมตามสัญลักษณ์ในแผนที่ โดยแผนที่ของเกมจะยังไม่แสดงรายละเอียดหรือจุดสนใจจนกว่าผู้เล่นจะตามซ่อมเสาสัญญาณ Oscorp ตามโซนต่างๆ เพื่อเปิดแผนที่ในเขตนั้นๆ ไม่ค่อยต่างจากเกมอย่าง Assassin’s Creed นัก  ได้ยินอย่างนี้แล้วหลายๆ คนอาจจะกุมขมับ แต่ข้อดีของเกม Marvel’s Spider-man คือระบบการเคลื่อนที่สนุกมาก! และที่สำคัญคือง่ายมากๆ ด้วย การปีนป่ายหรือโหนใยไปตามเมืองนิวยอร์คจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อผู้เล่นกดปุ่ม R2 ค้างเอาไว้ และสามารถกด X เพื่อเหวี่ยงตัวไปให้ใกลขึ้นหรือพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างที่ผู้พัฒนาเปิดเผยไปแล้วว่าเกมจะใช้ระบบฟิสิกส์แบบของจริง แปลว่าใยของสไปเดอร์แมนต้องมีจุดยึดจริงๆ (เช่นตึกหรือเสาไฟฟ้า) จึงจะสามารถโหนได้ ระบบการกด R2 ค้างอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกว่าการเคลื่อนที่อาจจะน่าเบื่อ แต่เพราะระบบการโหนใยที่ให้ความรุ้สึกเป็นอิสระอย่างอธิบายไม่ถูก ทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยรู้สึกขัดกับระบบการเคลื่อนที่ กลับรู้สึกว่าดีด้วยซ้ำ เพราะการโหนใยไปชนตึกหรือติดบันไดหนีไฟคงไม่สนุกเหมือนกัน ภารกิจเนื้อเรื่องในเกมส่วนที่ผู้เขียนได้เล่นมามีความหลากหลายในตัวพอสมควร เกมออกตัวแรงด้วยการให้ผู้เล่นกระโดดเข้าไปร่วมวงการต่อสู้ระหว่างตำรวจ NYPD และเหล่าสมุนของเจ้าพ่อ Kingpin ในตึกออฟฟิศสูงเสียดฟ้าที่พาเราผ่านสถานการณ์มากมายทั้งการต่อสู้กับศัตรูเป็นระลอกๆ แบบเกมแอคชั่นทั่วไป ไปจนถึงการไล่เก็บศัตรูอย่างเงียบๆ ทีละตัว หรือกระทั่งฉากระทึกใจแบบอลังการงานสร้างระดับเดียวกับหนังมาร์เวลที่ออกมาให้ดูกันมากมาย ทั้งหมดรวมกันในฉากเดียว เกมใช้ระบบต่อสู้ที่น่าจะคุ้นเคยสำหรับคนที่เล่นเกมแอคชั่นอย่างตระกูล Arkham มาก่อน ผู้เล่นสามารถกดให้สไปเดอร์แมนโจมตีศัตรูเพื่อค่อยๆ สร้างคอมโบเพื่อนำไปสู่การใช้ท่าสุดยอดต่างๆ และสามารถกดปุ่มเพื่อหลบหลีกการโจมตีของศัตรูเมื่อมีสัญญาณแมงมุมขึ้นบนหัว ความแตกต่างระหว่าง Marvel’s Spider-man และเกมแอคชั่นที่ยกตัวอย่างมาคือความแตกต่างในวิธีต่อสู้ของตัวเอก สไปเดอร์แมนอาจจะไม่สามารถสวนกลับการโจมตีของศัตรูได้จากทุกทิศทางได้เหมือนแบ๊ตแมน การกดปุ่มตามสัญญาณจะทำให้สไปเดอร์แมนกระโดดหลบการโจมตีแทนที่จะสวนกลับ แต่สไปเดอร์แมนก็ทดแทนมาด้วยความว่องไวในการเคลื่อนไหว ที่ทำให้จังหวะการเล่นเกมมีความแตกต่างและท้าทายกว่าในเกมแอคชั่นที่ยกตัวอย่างมาในบางครั้ง เพราะปุ่มกระโดดหลบอาจจะทำให้เรากระโดดเข้าสู่อุ้งเท้าหรือกระสุนของศัตรูตัวอื่นๆ ได้เหมือนกัน ทำให้ต้องแบ่งความสนใจไปสู่ศัตรูรอบตัวมากกว่าเกมตระกูล Arkham ซะอีก (ระหว่างเล่นผู้เขียนยังโดนยิง/แทง/กระทืบตายตั้งหลายรอบเพราะชินกับจังหวะของเกมอื่น...) ศัตรูในเกมก็น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาดีสำหรับคนที่เคยเล่นเกมตระกูล Arkham มาก่อน นอกจากพวกสมุนตัวประกอบใดๆ แล้ว จะมีเหล่าศัตรูที่ถืออาวุธเช่นท่อหรือไม้หน้าสามที่สามารถป้องกันการโจมตีของเราได้ ศัตรูที่ถือโล่ห์ทำให้ต้องอ้อมไปตีจากด้านหลัง หรือกระทั่งศัตรูตัวใหญ่ๆ ที่ต้องเหวี่ยงม้านั่งใส่ (หรือยิงใยเข้าปาก) ให้มึนก่อนถึงจะสามารถโจมตีได้ แน่นอนว่ายังมีศัตรูที่ถือปืนชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปืนอัดลมไปจนถึงบาซูก้า ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งกลายเป้นเหมือนการแสดงเต้นกายกรรมที่สไปเดอร์แมนต้องกระโดดตีลังกาไปมาเพื่อหลบและหาโอกาสโจมตีศัตรูซะเอง แต่ที่แน่ๆ คือการต่อสู้ทุกครั้งทำเอาผู้เขียนใจเต้นตุบตับไปหมดทีเดียว ไม่ว่าจะสู้กับสมุนมาเฟียหรือกุ๊ยปล้นเซเว่นข้างถนน พูดถึงกุ๊ยปล้นเซเว่น เกมมีภารกิจย่อยให้ทำหลากหลายชนิดทั้งที่เกี่ยวกับการต่อสู้และไม่เกี่ยวเลย ในระหว่างการเดินทางไปในนิวยิอร์คหรือทุกครั้งที่เปิดแผนที่ เกมจะแสดงจุดที่กำลังเกิดอาชญกรรมในระยะใกล้เคียงเพื่อให้เราไปหยุดยั้ง หรืออาจจะแสดงของสะสมอย่างกระเป๋าสะพายที่ปีเตอร์ซ่อนไว้ตามเมืองสมัยเด็กๆ ไปจนถึงจุดที่สามารถถ่ายรูปคู่กับสถานที่สำคัญต่างๆ ในนิวยอร์คเช่นสถานีรถไฟ Grand Central Station หรือสวนสาธารณะ Central Park ซึ่งการทำภารกิจย่อยๆ เหล่านี้นอกจากจะให้ค่า XP เพื่อใช้ในการอัพสกิลต่างๆ แล้ว ยังจะให้ Token ตามชนิดของภารกิจ ซึ่งสามารถนำไปแลกชุดสไปเดอร์แมนสไตล์อื่นๆ ได้ โดยแต่ละสไตล์จะมีท่าไม้ตายไม่เหมือนกัน ในเดโมที่ผู้เขียนเล่นมีสไตล์ที่ทำให้เกจคอมโบเพิ่มขึ้นเองตลอดเวลา (ใช้ในการเพิ่มเลือดหรือใช้ไม้ตาย) หรืออีกชุดที่ทำให้เราไม่ได้รับความเสียหายเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นต้น โดยชุดในเกมมีให้ปลดล๊อคได้มากกว่า 24 ชุด (ผู้พัฒนาขอมาว่าให้อุบไว้ก่อนว่ามีชุดอะไรบ้าง จะได้ให้เพื่อนๆ ไปพบเจอกันเอง) อาจจะมีให้ทำหลากหลาย แต่ภารกิจย่อยต่างๆ กลับไม่ได้รู้สึกพิเศษหรือแตกต่างไปกว่าภารกิจในเกมอื่นๆ นัก เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การไปเก็บของเฉยๆ แต่ถ้ามองอีกมุมก็เป็นการสร้างเหตุผลให้เราออกไปสำรวจเมืองนิวยอร์ค ที่สร้างมาได้อย่างสมจริงทั้งในรูปลักษณ์และบรรยากาศ ซึ่งต้องขอชมทีมพัฒนาในเรื่องของการสร้างโลกที่รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างในเกมนี้ ที่มีผู้คนเดินไปมาบนถนนตลอดเวลา และพร้อมจะตบมือ High-Five หรือควักมือถือมาแชะเซลฟี่กับเราได้ทุกเมื่อเวลาลงไปเดินบนถนน แฟนๆ ของตัวละครสไปเดอร์แมนน่าจะรู้ดีถึงความผูกพันธุ์ที่ปีเตอร์มีต่อนครนิวยอร์ค ซึ่งเกมสามารถสร้างเมืองออกมาให้มีเสน่ห์จนไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เมืองนิวยอร์คใน Marvels Spider-man เป็นแผนที่ Open-world ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เงียบเหงาแน่นอน
02 Aug 2018
รีวิวเกม The Banner Saga 3 (PC, Steam) - จุดจบแห่งการเดินทาง!
แนวเกม: Turn-based Tactical RPG ผู้พัฒนา: Stoic แพลตฟอร์ม: Nintendo Switch, PlayStation 4, Xbox One, Windows + Mac (Steam) (รีวิวบน PC - ขอบคุณโค้ดรีวิวจากผู้พัฒนา Stoic ด้วยจ้า) ____________________________________________________________________________ ข้อดี เกมเพลย์สนุก ท้าทาย เนื้อเรื่องแฟนตาซีน่าติดตาม สามารถเปลี่ยนตามทางเลือกผู้เล่น (ถ้าเคยเล่นภาคก่อนๆ ทางเลือกในเกมนั้นๆ จะมีผลด้วย) ภาพวาดมือดูสบายตา ฉากหลังสวย ดนตรีฟังเพลิน ข้อเสีย U.I. ไม่สวย เหมือนเกมเล่นผ่าน Browser เมนูหลายๆ อย่างอธิบายไม่ละเอียด ข้อมูลอ่านยาก ระบบหลายๆ อย่างค่อนข้างซับซ้อนและเกมอธิบายได้ไม่ค่อยดีนัก เนื้อเรื่องต่อจากภาคก่อนๆ ถ้าไม่เคยเล่นก็ไม่รู้เรื่อง ดำเนินมาถึงภาค 3 กันแล้วกับซีรี่ย์เกมอินดี้แนว RPG วางแผน The Banner Saga จากค่ายพัฒนา Stoic สำหรับ The Banner Saga 3 ก็ยังคงเป็นโปรเจ็ค Kickstarter อีกตามเคย โดยคราวนี้ระดมทุนสร้างไปได้ทั้งหมด 4 แสนกว่าเหรียญ (มากกว่าเป้าหมายที่ผู้พัฒนาตั้งไว้ที่ 2 แสนเหรียญไปถึงสองเท่า) แต่แม้จะไม่ใช่เกมที่ทุนสร้างสูง The Banner Saga 3 ก็ยังคงเป็นเกมที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้งในด้านเกมเพลย์ที่ท้ายทาย และภาพกราฟิคที่วาดด้วยมือทั้งหมดตั้งแต่ตัวละครไปถึงฉากหลังที่เหมือนภาพวาดสีน้ำมัน ช่วยสื่ออารมณ์และบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดีทีเดียว บางองค์ประกอบของเกมอาจจะสะท้อนความทุนต่ำไปบ้าง แต่ถ้าวัดกันที่เกมเพลย์และเนื้อเรื่องแล้ว The Banner Saga 3 ก็ยังถือเป็นเกมที่คุ้มค่าแก่การเล่นมากๆ เกมนึงเลย แต่ในขณะเดียวกันเกมก็คาดหวังให้ผู้เล่นเคยเล่นภาคก่อนๆ มาแล้ว เพราะเนื้อเรื่องแทบจะเริ่มต่อจากภาคสองทันที แถมเกมยังไม่ค่อยมีตัวช่วยในการเล่นมากนัก ทำให้ผู้เล่นที่ไม่คุ้นเคยกับระบบต่างๆ ต้องลองผิดลองถูกเองบ้างในการต่อสู้และอัพเกรดตัวละคร สำหรับเนื้อเรื่องโดยคร่าวๆ ของเกม The Banner Saga นั้นเกี่ยวกับการเดินทางของคาราวานชนเผ่าผู้อพยพ ที่ต้องออกเดินทางเพื่อหนีเหล่าปีศาจ Dredge ที่บุกโจมตีดินแดนมนุษย์ โดยเรื่องราวในภาค 3 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับเรื่องราวของคาราวานเมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของดินแดนหรือ Aberrang และอีกส่วนติดตามกลุ่มนักรบที่ติดตามเหล่านักเวทย์ Juno และ Eyvind เพื่อยับยั้งการคืบคลานของความมืดก่อนที่โลกจะถูกกลืนกิน อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงงว่าอะไรคืออะไร นั่นเพราะเกมแทบจะดำเนินเรื่องต่อจากถาคก่อนๆ ทันทีตั้งแต่เริ่มเกมเลย นอกจากหนัง Recap สั้นๆ ที่เราสามารถกดดูได้จากเมนูหลัก (ซึ่งก็แทบจะไม่ได้เล่าอะไรเลย) เกมไม่มีการเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ เลย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เคยเล่นภาคก่อนๆ มาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเนื้อเรื่องของเกมเขียนมาค่อนข้างดีทีเดียว โดยทีมพัฒนา Stoic เองก็มีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้พัฒนามือฉมังจาก Bioware ยุคเก่าทั้งนั้น ทำให้เนื้อเรื่องและการเชื่อมทางเลือกผู้เล่นจากภาคสู่ภาคทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องน่าติดตามคือฉากอันสวยงามของเกมที่วาดด้วยมือทั้งหมด ที่ช่วยเสริมบรรยากาศน่าสิ้นหวังของเกมได้เป็นอย่างดี แม้ว่ากราฟิคในด้าน U.I. และเมนูของเกมอาจจะทำออกมาได้ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ฉากภาพวาดใหญ่ๆ หรือฉากคัตซีนที่เป็นภาพการ์ตูนก็ยังช่วยให้มองข้ามจุดด้อยในด้านการนำเสนอตรงนี้ไปได้พอสมควรเหมือนกัน สำหรับเกมเพลย์ของ The Banner Saga 3 สามารถแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆ ด้วยกัน คือการเดินทางในคาราวานและการต่อสู้ โดยการเดินทางในคาราวานจะเป็นช่วงที่เราดำเนินเนื้อเรื่องต่างๆ และบริหารทรัพยากรเช่นอาหารและจำนวนชาวบ้านหรือนักรบในคาราวาน โดยทรัพยากรเหล่านี้จะสามารถได้มาหรือเสียไปขึ้นอยู่กับทางเลือกของผู้เล่นต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่อง การบริหารเสบียงหรือนักรบให้เพียงพอต่อความต้องการของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญเพราะถ้าบริหารไม่ดีอาจจะทำให้ตัวละครในปาร์ตี้ผู้เล่นบางตัวไม่พอใจจนหนีไป หรือกระทั่งก่อจลาจลได้เลยทีเดียว แถมยังมีผลต่อตอนจบของเกมอีกด้วย จึงน่าเสียดายที่บางทีระบบดูจะขึ้นอยู่กับการเสี่ยงดวงบ่อยไปหน่อย จนรู้สึกว่าเราไม่ได้สามารถควบคุมมันได้จริงๆ เวลาได้หรือเสียทรัพยากรไป การเดินทางในคาราวานจะมีเหตุการณ์ต่างๆ มาขั้นเป็นช่วงๆ ซึ่งบางเหตุการณ์อาจจะนำไปสู่การต่อสู้หรือไม่ขึ้นอยู่กับทางเลือกของผู้เล่นด้วย เลือกผิดก็อาจจะต้องต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ หรืออาจจะได้ตัวละครใหม่มาใช้ในการต่อสู้ถ้าเลือกถูก ข้อดีของระบบนี้อยู่ตรงที่ทางเลือกของผู้เล่นจากภาคก่อนๆ จะส่งผลโดยตรงมายังทางเลือกในภาคนี้ ตัวละครที่เราเคยบาดหมางด้วยในภาคก่อนๆ อาจจะกลับมาแก้แค้น หรืออาจจะมีเพื่อนร่วมศึกที่เก็บความรู้สึกไม่พอใจมาตลอดจากทางเลือกของเรา ซึ่งเกมสามารถสร้างความรู้สึกเจ็บใจเวลาเสียเพื่อนที่ร่วมรบกับเรามาตั้งแต่ภาคแรกได้ดีมากๆ ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่เคยเล่นเกมภาคอื่นๆ มาอาจจะไม่อินกับองค์ประกอบนี้ของเกมนัก สำหรับระบบการต่อสู้ The Banner Saga 3 เป็นเกมแนว Turn-based RPG ที่มีระบบค่อนข้างลึก ผู้เล่นที่คุ้นเคยกับเกมอย่าง Final Fantasy Tactics น่าจะเข้าใจระบบการเดินตัวละครไปตามตารางสีเหลี่ยมเพื่อโจมตีหรือใช้เวทย์มนต์อยู่แล้ว แต่เกมก็มีระบบต่างๆ เพิ่มเข้ามาที่ทำให้ท้าทายความคิดการวางแผนของผู้เล่นตลอดเวลาเช่นกัน เรียกได้ว่าบุกเข้าไปฟันมั่วๆ จะผ่านเกมนี้ยากมากๆ ระบบเด่นอย่างแรกคือระบบสองหลอดเลือด ประกอบไปด้วย Armor และ Strength โดยเกมจะบังคับให้ผู้เล่นต้องโจมตีหลอด Armor หรือเกราะของศัตรูซะก่อนจึงจะสามารถโจมตีเลือดหรือ Strength ของศัตรูได้ ซึ่งผู้เล่นจะต้องเลือกตัวละครให้เหมาะกับสถานการณ์ บางตัวอาจจะถนัดตี Armor ในขณะที่บางตัวแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเจอศัตรูที่มี Armor สูงๆ นอกจากนี้ เกมยังคำนวนดาเมจจากค่า Strength ของตัวละครด้วย หมายความว่ายิ่งตัวละครใกล้ตายก็จะยิ่งตีเบาลงเรื่อยๆ ระบบนี้ทำให้ผู้เล่นต้องบริหารตำแหน่งของตัวละครทั้งของตัวเองและศัตรู เพื่อให้ตัวละครของเราสามารถเข้าถึงศัตรูได้ถูกตัว และกันไม่ให้ศัตรูเข้ามาโจมตีตัวละครเกราะบางของเราเช่นกัน เช่นเดียวกับในเกม RPG ทั่วๆ ไป ตัวละครต่างๆ ของเราจะได้รับค่าประสบการณ์จากการฆ่าศัตรู ซึ่งพอเก็บถึงจุดนึงจะสามารถใช้ค่าประสบการณ์หรือ Renown ในการอัพเลเวลตัวละครได้ โดนการอัพเลเวลแต่ละครั้งจะได้รับค่า Stat 2 หน่วยเพื่อนำมาอัพเกรด Perk ต่างๆ ขึ้นอยู่กับค่า Stat ที่เราเลือก เช่น Perk ที่ทำให้เรากันความเสียหายต่อ Armor ได้สองหน่วยเป็นต้น เป็นระบบที่พอเล่นจริงๆ ก็ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งเกมอธิบายระบบได้ไม่ค่อยดีนัก ผู้เล่นที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน (หรือกระทั่งคนที่เคยเล่นภาคก่อนมาเมื่อนานมากๆ แล้วอย่างผู้เขียน) จึงอาจจะงงได้ง่ายๆ ว่าควรอัพอะไรก่อนบ้าง แถมค่า Perk เหล่านี้ยังมีผลสำคัญมากๆ ในการต่อสู้ ทำให้การเล่นช่วงแรกๆ อาจจะมีความยากกว่าที่ควรถ้าอัพ Perk ไม่ถูก ตัวละครในเกมนี้จะมีคลาสอาชีพที่แบ่งแบบง่ายๆ ได้จากอาวุธที่ใช้ ตัวละครที่มีอาวุธเหมือนกันก็มักจะมีสกิลเดียวกัน แต่ก็จะมีตัวละครส่วนน้อยที่ดันถืออาวุธแบบนึงแต่กลับมีหน้าที่ไม่เหมือนตัวละครตัวอื่น เช่นไวกิ้งถือขวาน Oli ที่เป็นตัวละครระยะใกล แม้จะถือขวานและโล่ห์เหมือนตัวละครอื่นๆ อีกหลายตัวที่โจมตีระยะประชิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้จนลองใช้ตัวละครจริงๆ ทำให้การต่อสู้บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกขัดขาตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย ซึ่งจุดนี้อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่สำหรับผู้ที่รู้จักตัวละครอยู่แล้วจากภาคเก่า นอกจากนี้ เกมยังมีระบบไอเทมแบบง่ายๆ โดยตัวละครแต่ละตัวจะสามารถถือไอเทมได้คนละหนึ่งอย่างเพื่อรับโบนัสต่างๆ เช่นเพิ่มพลังป้องกัน/โจมตี หรือเพิ่มเลเวลของ Perk ต่างๆ เป็นต้น ระบบนี้จริงๆ แล้วก็ส่งผลต่อการต่อสู้เยอะมาก แต่เกมกลับอธิบายค่าพลังโบนัสจากอาวุธได้ไม่ละเอียดตามเคย ทำให้ผู้เล่นต้องลองผิดลองถูกเองซักหน่อยกว่าจะรู้ว่าไอเทมไหนควรให้ตัวไหนถือ เกม The Banner Saga 3 เป็นเกมที่มีเกมเพลย์และเนื้อเรื่องดีจริงๆ แต่ก็เป็นเกมที่ต้องเล่นภาคก่อนๆ มาก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถสนุกกับมันได้ คนที่เคยเล่นเกมภาคก่อนๆ มาไม่ควรพลาดตอนจบของเนื้อเรื่องนี้แน่นอน ส่วนคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนแต่สนใจเกม RPG แนววางแผนก็ยังอาจจะพอหาความสนุกได้บ้างถ้าใจเย็นพอจะศึกษาระบบต่างๆ แต่ทางที่ดีไปหาภาคเก่าๆ มาเล่นก่อนดีกว่าจ้า สรุปคะแนน: 7.5/10 (สำหรับคนทั่วไป ถ้าเคยเล่นภาคก่อนๆ ให้ 8.5/10) [penci_review id="2681"]
31 Jul 2018
รีวิวเกม Earthfall (PC, Steam)
รีวิวเกม Earthfall (PC, Steam) แนวเกม: Co-op FPS ผู้พัฒนา: Holospark แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (Steam) ____________________________________________________________________________ ข้อดี แนวเกมเข้าใจง่าย สนุกเมื่อเล่นกับเพื่อน ราคาใน PC ถูก ข้อเสีย ด่านน้อยและเล็ก เล่นไม่กี่ครั้งก็เบื่อ ไม่ค่อยมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ไม่มีระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เล่นออนไลน์กับคนที่ไม่ใช่เพื่อนแล้วแลค/หลุดบ่อย ระบบการตกแต่งตัวละคร/ปืนไม่น่าสนใจ เกมเมอร์ชาวไทยหลายๆ คนน่าจะมีความทรงจำดีๆ กับเกมซีรี่ย์ Left 4 Dead เกมยอดฮิตประจำร้านเน็ตที่ให้เราร่วมมือกับเพื่อนๆ เพื่อเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้นับร้อยๆ ตัว เพื่อทำภารกิจจากด่านแต่ละด่าน เป็นรูปแบบการเล่นเกมที่ตื่นเต้นและเอื้อต่อการสร้างจังหวะที่น่าจดจำ เช่นจังหวะที่เราช่วยเพื่อนจากการถูก Smoker จับ หรือจังหวะที่เราร่วมมือกันเพืื่อล้ม Tank ลงจนได้ แถมยังสามารถเล่นซ้ำได้เรื่อยๆ เพราะด่านจะสุ่มตำแหน่งของไอเทมและซอมบี้ทุกครั้ง ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เข้าไปเล่น เกม Earthfall เป็นเกมที่สร้างมาเพื่อคนที่โหยหาการเล่นเกมแบบ Left 4 Dead อย่างเต็มรูปแบบ แทบจะเรียกว่ายกเกม Left 4 Dead มาหมดแค่เปลี่ยนซอมบี้เป็นเอเลี่ยนหน้าตาธรรมดาๆ ก็ได้ แต่ด้วยการออกแบบฉากที่ค่อนข้างจำกัด รวมกับความตายตัวในโครงสร้างของด่านแต่ละด่านและองค์ประกอบย่อยอื่นๆ ทำให้เกมขาดความรู้สึกตื่นเต้นของเกม Left 4 Dead ไป Earthfall อาจจะเป็นเกมที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการหาเกมเล่นเพลินๆ กับกลุ่มเพื่อนเมื่อไม่มีอย่างอื่นจะเล่น โดยเฉพาะใน PC ที่เกมราคาถูกมากๆ (ขณะเขียนรีวิวเกมมีราคาใน Steam เพียง 379 บาทเท่านั้น) แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอกลับไปเล่น Left 4 Dead 2 ดีกว่า เกม Earthfall เป็นเกมที่ให้เรารับบทเป็นผู้รอดชีวิต 4 คนในโลกที่ล่มสลายจากการโดนเอเลี่ยนถล่ม ที่ต้องเดินทางไปด้วยกันเพื่อตามหาวิธีเอาตัวรอดจากเหล่าเอเลี่ยน โดยเกมจะตั้งอยู่ในยุคอนาคตอันใกล้ และดำเนินเนื้อเรื่องผ่านบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างตัวละครตอนเริ่มฉาก ซึ่งแฟนๆ เกมแนว Left 4 Dead หรือ Call of Duty: Zombies น่าจะคุ้นเคยกันดี เนื้อเรื่องของเกมแนวนี้อาจจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก แต่การเล่าเรื่องในเกมแบบนี้ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบการเล่นในฉากต่างๆ ให้น่าสนใจได้ อย่างใน Left 4 Dead 2 ที่มีด่านที่ผู้เล่นต้องเติมน้ำมันใส่รถในห้างเพื่อหลบหนี หรือฉากที่ผู้เล่นต้องต่อสู้กับซอมบี้กลางเวทีวงร๊อคเพื่อรอเฮลิคอปเตอร์มาช่วย ซึ่งเนื้อเรื่องใน Earthfall ก็ถือว่าตอบโจทย์ตรงนี้ได้บ้าง แม้ว่าสุดท้ายภารกิตต่างๆ ในด่าน รวมไปถึงตัวด่านเองจะไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าที่ควร จะมีก็เพียงแค่ด่านสุดท้ายของเนื้อเรื่องสองภาคในเกม (ภาคละ 5 ด่าน รวมเป็น 10) ที่พอจะมีความน่าตื่นเต้นอยู่บ้าง เรื่องด่านถือเป็นจุดอ่อนที่สุดของ Earthfall เลยก็ว่าได้ ด่านทุกด่านถูกออกแบบมาค่อนข้างแคบ ทำให้การทำภารกิจในแต่ละด่านต้องวนๆ อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แบ่งเป็นห้องๆ ไม่กี่ห้องในแต่ละด่าน เมื่อรวมกับความซ้ำซากในจุดเกิดของอาวุธและไอเทมในด่าน (ศัตรูยังพอมีสุ่มจุดเกิดกันบ้าง) ทำให้การเล่นด่านเดิมซ้ำๆ ขาดความน่าตื่นเต้นไปพอสมควร เพราะรู้หมดแล้วว่าจังหวะไหนที่ศัตรูจะแห่มาเยอะๆ จังหวะไหนกำลังจะมีของเพิ่มเลือดหรืออาวุธให้เก็บเพิ่ม อีกหนึ่งจุดที่เกมทำได้ไม่ค่อยดีคือเรื่องของเหล่าเอเลี่ยนพันธุ์พิเศษ ที่ลอกมาจาก Left 4 Dead เกือบทุกตัว เช่นเอเลี่ยนที่คอยตะปบคนที่อยู่ห่างจากเพื่อนร่วมทีม เอเลี่ยนที่จะวิ่งมาลากเพื่อนร่วมทีมไปจากกลุ่ม เอเลี่ยนที่ระเบิดเป็นควันพิษ เป็นต้น ซึ่งการที่เหล่าเอเลี่ยนพิเศษทุกตัวมีความคุ้นเคยมากๆ ก็ทำให้เกมขาดความน่าตื่นเต้นไปอีกเช่นกัน สำหรับระบบอื่นๆ ของเกมอย่างระบบ FPS หรือไอเทมพิเศษอย่างรั้วกั้นหรือเครื่องพิมพ์ปืนนั้นทำออกมาได้ค่อยข้างธรรมดาๆ ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่หรือพิเศษอะไรกับเกม โดยข้อด้อยนี้รวมถึงระบบการแต่งชุดตัวละครและปืนด้วย ที่ทำออกมาได้อย่างจืดชืด ไม่ได้น่าสะสมหรือค้นหาเลย การเล่นออนไลน์กับเพื่อนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่การหาห้องเล่นกับคนแปลกหน้ามักจะมีปัญหาเรื่องการหลุดหรือแลคจนเห็นตัวละครคนอื่นหายตัวไปมาได้เลย ซึ่งจุดนี้อาจจะพออนุโลมได้บ้างถ้าเกมมีกราฟิคสวยงามหรือน่าสนใจ แต่กราฟิคของเกมใน PC (ปรับกราฟิคระดับ High ด้วยการ์ดจอ GTX 1050ti) กลับทำให้นึกถึงเกมยุค PS3 ที่ผ่านการ Remaster มากกว่า ถ้าถามว่าสุดท้ายแล้วเกม Earthfall สนุกหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าด้วยรูปแบบการเล่นก็สามารถสร้างความเพลิดเพลินได้บ้างเมื่อมีโอกาสได้เล่นเฮฮากับเพื่อน แต่ก็มีเกมรูปแบบเดียวกันมากมายในตลาดอย่าง Warhammer: Vermintide หรือ Call of Duty: Zombies หรือกระทั่ง Left 4 Dead เองที่มีความน่าสนใจกว่ามากทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และระบบการเล่น [penci_review id="1993"]
16 Jul 2018
Review: Octopath Traveler
แนวเกม: JRPG ผู้พัฒนา: Square Enix แพลตฟอร์ม: Nintendo Switch ข้อดี ระบบต่อสู้สนุก เพลงเพราะ ระบบสำรวจเมืองดี ข้อเสีย เนื้อเรื่องน่าเบื่อ อาร์ตสไตล์น่าอึดอัด Octopath Traveler ผลงานจากค่ายผู้เชี่ยวชาญในการทำเกม JRPG อย่าง Square Enix เป็นเกม RPG เทิร์นเบสที่มีระบบการเล่นและงานด้านภาพและเสียงแบบเดียวกับเกม RPG ในยุคซูเปอร์แฟมิคอมเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว แต่ได้รับการปรับปรุงขึ้นให้มีคุณภาพระดับ HD และเพิ่มลูกเล่นต่างๆ ให้มีความสดใหม่ขึ้น ในเกมนี้จะมีตัวละครหลักทั้งหมด 8 ตัว ตามชื่อของเกม (Octo แปลว่า แปด) แต่ละตัวจะมีอาชีพ เนื้อเรื่อง และทักษะเฉพาะของตัวละคร แบ่งเป็นบทให้เลือกเล่น เกมจะบังคับให้เราสลับไปเล่นตัวละครต่างๆ โดยใช้ข้อจำกัดด้านเลเวลท่ีบทหลังๆ จะมีความยากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถลุยเนื้อเรื่องตัวละครเดียวจนจบได้หากอยากเล่นแบบสบายๆ ไม่ต้องเสียเวลาเก็บเลเวลนานๆ https://www.youtube.com/watch?v=f4S9LQJojJg ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นทำได้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่นักเพราะเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่เป็นแกนหลัก แต่ตัวละครแต่ละตัวจะมีเนื้อเรื่องแยกออกจากกันไปเลย ตัวละครจะอยู่ด้วยกันแค่ในปาร์ตี้ ในฉากต่อสู้ แต่พอตัดเข้าคัทซีนเนื้อเรื่องของแต่ละตัวครก็จะเหลือแค่ตัวละครเจ้าของเนื้อเรื่องนั้นทันที และเนื้อเรื่องไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไร พอบวกกับวิธีการเล่าเรื่องด้วยข้อความเป็นหลักแบบเกมในยุคเก่าก็ทำให้รู้สึกง่วงหรืออยากกดข้ามอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ทางด้านงานภาพต้องเรียกว่าทำได้ดีแต่ไม่น่าประทับใจ เกมผสมผสานกราฟิก 2D แบบเกมยุคซูเปอร์แฟมิคอมเข้ากับเทคนิคด้านกราฟิกต่างๆ อย่างการเคลื่อนไหวของน้ำ การเคลื่อนไหวของต้นไม้ เมฆ ได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าถ้าเอาไปเทียบกับเกมที่มีงานภาพแบบนี้ Octopath ทำได้ดีกว่าในทุกๆ ด้าน พากราฟิกแนวนี้ไปอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว แต่เพราะเกมมาออกเอาตอนนี้เลยทำให้ความประทับใจที่ได้หายไปเยอะจากการที่เกมเลือกใช้งานภาพแบบ 16 Bit แบบเกมยุคเก่า จุดด้อยอีกอย่างของกราฟิกคือเกมใช้เทคนิคด้านภาพอย่างการโฟกัสที่ทำให้จุดที่ตัวละครอยู่มีความคมชัด ส่วนจุดที่อยู่ไกลออกไปจะมองเห็นเป็นภาพจางๆ ทำให้ฉากดูมีมิติ ซึ่งแม้จะทำให้ฉากมีความสวยขึ้นแต่ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกันเพราะรู้สึกว่าฉากถูกบีบให้มีความแคบไปหมด แม้งานด้านภาพจะมีความล้าสมัยไปบ้างแต่เพลงประกอบต้องเรียกว่าทำได้ยอดเยี่ยม อาจไม่ใช่เพลงที่ฟังแล้วติดหูทันทีอย่างเกมจากซีรีส์ไฟนอลแฟนตาซี แต่เพลงแต่ละเพลงสร้างอารมณ์ร่วมและเลือกมาให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีมาก แต่ละเพลงมีการใช้เครื่องดนตรีจัดเต็มอลังการงานสร้างสุดๆ ใครที่ชอบฟังเพลงประกอบดีๆ ต้องถูกใจแน่นอน ระบบการต่อสู้คือจุดเด่นจริงๆ ของเกมนี้ เกมทำให้การต่อสู้แบบเทิร์นเบสที่ล้าสมัยไปแล้วสนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรายังต้องใช้การเลือกคำสั่งโจมตี ป้องกัน ใช้เวทมนต์ ใช้ไอเทม หนี แบบเกม RPG เทิร์นเบสอื่นๆ แต่เกมเพิ่มระบบใหม่อย่างระบบการ "Break" เกราะของศัตรู ศัตรูแต่ละตัวจะมีเกราะอยู่และมีตัวเลขกำกับไว้ เราจะต้องใช้การโจมตีที่เป็นจุดอ่อนของศัตรูนั้นตีศัตรูไปเรื่อยๆ จนเกราะเหลือ 0 ซึ่งจะทำให้ศัตรูมึนและเสียเทิร์น และการโจมตีของเราหลังจากนั้นจะแรงขึ้นมาก ซึ่งจุดนี้เกมให้ความสำคัญมาก ไม่ได้เป็นแค่โบนัสแต่เป็นสิ่งจำเป็น แม้แต่ศัตรูง่ายๆ เราก็จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากจุดนี้ การต่อสู้แต่ละครั้งจำเป็นต้องวางแผน แม้จะมีเลเวลเท่าๆ กับศัตรูแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ จุดนี้ทำให้เกมมีความยากแต่ก็กลายเป็นส่วนสำคัญของความสนุก ทำให้เกิดความลุ้นระทึก การวางแผน ไม่ใช่กดปุ่มโจมตีไปเรื่อยๆ เฉยๆ เพราะระบบการแพ้ทางข้างต้นเราจึงต้องวางแผนตัวละครที่เราจะจัดเข้าปาร์ตี้ด้วย ซึ่งข้อเสียก็คือตัวละครที่เราไม่ได้เอาเข้าปาร์ตี้จะไม่ได้รับค่าประสบการณ์เลย และการอัพเลเวลจะค่อนข้างยาก แม้การพาตัวละครเลเวลน้อยๆ เข้าปาร์ตี้ไปตีศัตรูเก่งๆ จะทำให้ได้เลเวลเร็วขึ้นแต่ก็ไม่ได้เร็วขึ้นมากแบบเกมอื่นๆ นอกจากอาชีพทั้ง 8 ตามตัวละครแต่ละตัวแล้ว เรายังสามารถเข้าไปใน Shrine ของแต่ละอาชีพเพื่อนำอาชีพทั้ง 8 มาติดตั้งเป็นอาชีพเสริมให้กับตัวละครอื่นๆ ได้ด้วย อย่างเช่นตัวละครที่เป็น Scholar ที่ปกติใช้แต่เวทมนต์ก็อาจติดอาชีพเสริมเป็น Thief เพื่อใช้ประโยชน์จากอาวุธอย่างมีดที่ปกติ Scholar ใส่ไม่ได้ เพื่อทำให้เรามีตัวละครที่สามารถ Break เกราะศัตรูได้เยอะขึ้น จุดนี้ทำให้ระบบการเล่นของเกมมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก ในฉากต่อสู้เกมยังมีระบบการ Boost เพิ่มพลังให้ตัวละครของเราโจมตีได้แรงขึ้น หรือหลายครั้งขึ้น ทั้งโจมตีปกติโจมตีด้วยสกิล หรือเวทมนต์ โดยเราจะได้สิ่งที่เรียกว่า Bonus Point ทุกๆ เทิร์นเอาไว้สำหรับ Boost ซึ่งก็ต้องวางแผนดีๆ อีกเช่นกัน หากเก็บไว้ใช้ทีเดียวก็จะโจมตีได้แรงขึ้นมาก หรืออาจใช้เพื่อให้ตัวละครโจมตีตีได้หลายครั้ง เพื่อทำให้ศัตรูทุกตัวเข้าสู่สภาวะ Break โจมตีเราไม่ได้ แต่หากใช้ช้าเกินไปตัวละครก็อาจโดนบอสตบตายก่อน ลูกเล่นอย่างหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของ Octopath ก็คือระบบสกิลสำรวจของแต่ละตัวละครที่เรียกว่า Path โดยปกติแล้วเกมแนวนี้เวลาอยู่ในเมืองสิ่งที่เราจะทำได้ก็คือพูดคุย รับเควสท์ ซื้อของ นอนพักในโรงแรม แต่ด้วยระบบ Path ของเกมทำให้เราสามารถใช้ทักษะพิเศษของแต่ละตัวละครได้ อย่างตัวละครที่เป็น Thief เราจะสามารถขโมยของจาก NPC ในเมืองได้ และอาวุธและชุดเกราะดีๆ หลายชิ้นจำเป็นต้องได้มาด้วยวิธีนี้ หรือตัวละครอย่าง Scholar เราจะมีความสามารถในการมองตัวละคร NPC อย่างพิจารณาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม อย่างการได้ลดราคาค่าโรงแรม หาที่อยู่ไอเทมลับ เป็นต้น ซึ่งในภารกิจย่อยหลายๆ ภารกิจเราก็จำเป็นต้องใช้ทักษะพวกนี้ในการผ่านด้วย ทำให้เกมมีความหลากหลายในการสำรวจเกมเพิ่มขึ้นมาก โดยรวมแล้วแม้เกมจะมีจุดด้อยในหลายจุด แต่ต้องยอมรับว่าจุดที่สำคัญจริงๆ อย่างความสนุกของเกม เกม JRPG ย้อนยุคเกมนี้ก็ทำได้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นคนชอบเกมแนว RPG เทิร์นเบสอยู่แล้วน่าจะถูกใจกับระบบการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นมากของเกมนี้ คนที่ไม่ชินกับเกมแนวนี้น่าจะต้องใช้การปรับตัวสักหน่อยแต่ก็น่าจะสนุกกับเกมได้เช่นกัน คนที่น่าจะผ่านเกมนี้ไปเลยจริงๆ ก็คือคนที่ไม่ชอบเล่นเกมยากๆ เพราะเกม Octopath Traveler ไม่ยอมให้ผู้เล่นกดปุ่มเดียวไปเรื่อยๆ เพื่อผ่านเกมแน่นอน [penci_review id="1952"]
13 Jul 2018
Review: The Crew 2
Platform: PS4, Xbox One, Windows (รีวิวบน PS4) The Crew 2 เป็นเกม Racing ออนไลน์ที่เราสามารถบังคับได้ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เรือ และเครื่องบิน ซึ่งมาพร้อมกับระบบเกมแบบ Open World สามารถขับตะลุยได้ทั่วทั้งอเมริกา พร้อมด้วยภารกิจมากมายและระบบปรับแต่งรถปรับแต่งตัวละคร ทางทีมงาน GameFever ได้ลองเล่นเกมภาคต่อเกมนี้ทั้งแบบเล่นคนเดียวและเล่นกับเพื่อน จึงอยากนำความรู้สึกหลังจากได้เล่นมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ว่าเกมขับรถเกมนี้จะคุ้มค่าการรอคอยหรือเปล่า เชิญอ่านกันได้เลยจ้า ในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้นั้นจะมีแบบหลวมๆ ไม่ได้เน้นมากนัก โดยเกมจะแบ่งเป็นบ้านใหญ่ๆ 4 บ้านที่เราสามารถเข้าร่วมได้ แต่ละบ้านจะมีชนิดของการแข่งขันที่แข่งได้ต่างกัน หากอยากขับแบบ Street Racing ต้องไปบ้านนี้ อยากขับแบบ Rally ต้องไปบ้านนี้เป็นต้น แต่ละบ้านก็จะมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง มีตัวละครที่มีบทเฉพาะสำหรับบ้านนั้น แต่เนื้อเรื่องที่ว่าก็เป็นเพียงฉากคัทซีนบทสนทนาง่ายๆ หรือบางครั้งก็เป็นเพียงเสียง Voice Over ระหว่างแข่ง ด้วยเวลาที่จำกัดทางทีมงานจึงไม่สามารถเล่นจนจบครบทุกภารกิจได้ แต่เท่าที่ได้เล่นไปส่วนหนึ่งคาดว่าในส่วนเนื้อเรื่องก็น่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอด คือเป็นคัทซีนง่ายๆ อาจจะดูมีอะไรมากหน่อยตอนเปิดเนื้อเรื่องเล่นบ้านนั้นครั้งแรก และน่าจะไปมีอีกทีตอนเล่นจบครบทุกภารกิจของบ้านนั้นเลย เพราะฉะนั้นใครคาดหวังว่าจะได้เนื้อเรื่องเข้มข้นสไตล์หนังแข่งรถอย่าง Fast and Furious อาจจะต้องผิดหวังในส่วนนี้ ในด้านภาพและกราฟิกต้องขอแยกเป็นสองส่วนคือส่วนของยานพาหนะและสภาพแวดล้อม เรื่องยานพาหนะทำได้สวยสมจริงหากมองจากด้านนอก แต่ในส่วนของด้านในรถที่นั่งคนขับยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ยังรู้สึกถึงความแข็ง ขาดรายละเอียดอยู่ ส่วนสภาพแวดล้อมหากดูผ่านๆ อาจดูสวยอยู่ แต่ถ้ามองดูใกล้ๆ จริงๆ จะพบว่าค่อนข้างทำออกมาหยาบไปหน่อย และมีความโล่งกว้างซะเยอะ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีในยุคนี้ เพราะแมพทำออกมากว้างมาก เราสามารถขับรถวนรอบประเทศอเมริกาได้โดยไม่มีการตัดฉากเลย ถ้าขับรถเพลินๆ ชมวิวก็ยังเพลิดเพลินอยู่ แต่ถ้าหยุดแวะชมสาวๆ ระหว่างทางอาจจะผิดหวังได้ โดยเฉพาะกับคนที่ชินกับเกม Open World ที่โลกเล็กกว่านี้แต่รายละเอียดเยอะกว่านี้ รถมีระบบความสกปรกหากขับลุยดินลุยโคลน แต่ก็ไม่ได้มีรายละเอียดสมจริงอะไร ไม่ได้มีรายละเอียดว่าเลอะเยอะเลอะน้อยแบบชัดเจน และที่น่าผิดหวังคือเวลาขับลุยพื้นที่ที่เป็นดินหรือน้ำ เกมใส่รายละเอียดการกระเด็นของน้ำของดินไว้น้อยมาก ทำให้ขาดความสนุกไปเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเกมแข่งรถเกมอื่นๆ ที่ออกมานานแล้วก็มีระบบนี้กัน ด้านระบบการเล่นเราสามารถกดเลือกภารกิจได้จากไอคอนบนแผนที่เลย หรืออาจใช้วิธีขับเล่นตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ก็ได้ หากเข้าใกล้สถานที่เริ่มภารกิจเกมจะขึ้นเตือนขึ้นมาให้กดเข้าร่วมภารกิจได้ทันที เรื่องของภารกิจโดยมากแล้วก็จะเหมือนเกม Racing เกมอื่นๆ คือมีเป้าหมายที่การเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 หรือติดท็อป 1 - 3 หรือไม่ก็ทำคะแนนให้ได้คะแนนตามที่กำหนดหากเล่นภารกิจแบบดริฟต์ จะมีพิเศษหน่อยก็อย่างเช่นการขับเครื่องบิน ที่นอกจากจะมีภารกิจแบบปกติแล้วยังมีแบบที่ให้เล่นท่าผาดโผนให้ได้คะแนนตามที่กำหนด เป็นการเล่นที่เพลินไปอีกแบบ ภารกิจต่างๆ จะปลดล็อกออกมาตามเลเวลของเรา ยิ่งเลเวลสูงยิ่งมีภารกิจให้เลือกเล่นมาก และบางภารกิจเราจำเป็นต้องเก็บเงินซื้อยานพาหนะเฉพาะสำหรับการแข่งประเภทนั้นก่อน หากอยากแข่งดริฟต์ก็ต้องมีรถดริฟต์ก่อน เป็นการปลดล็อกรูปแบบการเล่นแบบใหม่ๆ ด้วยการซื้อรถ หลังจบภารกิจเราจะได้สิ่งที่เรียกว่า Followers มา ซึ่งจริงๆ แล้วก็เทียบได้กับ Exp ในเกมอื่นนั่นเอง เมื่อ Followers ถึงจุดที่กำหนดเราก็จะเวลเวลขึ้น ปลดล็อกภารกิจมากขึ้น โดยการได้ Followers นอกจากการจบภารกิจแบบปกติแล้วก็สามารถได้จากการขับรถผาดโผนเล่นท่าสวยๆ ได้ด้วย (ทำอะไรเจ๋งๆ ได้ก็มีผู้ติดตามมากขึ้นนั่นเอง) นอกจากการแข่งในรูปแบบนี้แล้วยังมีภารกิจพิเศษที่ให้เราไปถ่ายรูปสิ่งต่างๆ ในแผนที่ ถ่ายหมี ถ่ายนกฟลามิงโก ถ่ายหอไอเฟล โดยเกมจะไม่ได้บอกตำแหน่งมา เราต้องไปตามหาในโลกอันกว้างใหญ่ของเกมเอาเอง ภารกิจประเภทนี้คนที่ชอบเก็บอะไรให้ครบ ชอบสำรวจโลกในเกมน่าจะชอบมาก การขับขี่ยานพาหนะจะใช้ระบบเดียวกัน มีปุ่มเร่งเครื่อง ปุ่มเบรก ปุ่มเทอร์โบ (ไนตรัส) แต่พอขยับไปใช้เครื่องบิน ใช้เรือก็อาจมีลูกเล่นมากขึ้นหน่อย บินกลับหัวได้ กดปุ่มให้เรือเพิ่มความเร็วได้เป็นต้น ซึ่งเราสามารถสลับไปเล่นยานพาหนะทั้งสามแบบ คือเรือ เครื่องบิน และรถยนต์ ได้ตลอดเวลาผ่านปุ่มบนจอย โดยไม่ต้องเข้าหน้าจอโหลด ขับเครื่องบินอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นรถยนต์ได้กลางอากาศเลย นอกจากนี้เกมยังมีการแข่งแบบพิเศษที่จะให้เราขับยานพาหนะทั้งสามแบบในการแข่งขันเดียว ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นจุดขายของเกมนี้เพราะเป็นภารกิจแบบแรกที่ให้เล่นตอนเปิดเกมเลย โดยเมื่อแข่งไปถึงจุดหนึ่งเกมจะตัดเปลี่ยนเป็นยานพาหนะอื่นให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างน่าประทับใจอยู่เหมือนกัน (โดยเฉพาะในฉากเปิดเกมต้องเรียกว่าเป็นประสบการณ์ชั้นยอดในการเล่นเกมเลย) ยานพาหนะในส่วนของเรือ เครื่องบิน และมอเตอร์ไซค์นั้นมีให้เลือกใช้ไม่เยอะเท่าไหร่นัก แต่กับรถยนต์ต้องเรียกว่ามาแบบจัดเต็ม มีรถที่ไม่เจอในเกมอื่นๆ ใครที่ชอบสะสมรถต้องถูกใจแน่นอน โดยทุกๆ คันแม้จะไม่มีเงินซื้อก็สามารถกดมาทดลองขับเล่นก่อนได้ โดยมีเวลาจำกัด ยานพาหนะทุกอย่างเราสามารถอัพเกรดได้  โดยแบ่งเป็นสองส่วน อัพเกรดระบบภายในกับอัพเกรดรูปลักษณ์ภายนอก สำหรับภายในอย่างเกียร์ เครื่องยนต์ เราจะได้ส่วนต่างๆ จากการเก็บ Lootbox ที่จะตกมาหลังจากเราผ่านภารกิจ การอัพเกรดในส่วนนี้จะทำให้รถเรามีสมรรถนะดีขึ้น เร็วขึ้น บังคับได้ดีขึ้น และไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเล่นซ้ำซากเพื่อให้ได้ของดีๆ เพราะของที่ตกทุกครั้งจะดีกว่าของที่เรามีเสมอ ถ้าใช้รถแพงๆ ดีๆ แข่ง ของที่ตกก็จะดีกว่าที่รถคันนั้นมีติดตัวมาเสมอ ส่วนการอัพเกรดรูปลักษณ์ภายนอกจะไม่มีผลต่อสมรรถนะของรถ เราสามารถปรับสี ติดโลโก้ เปลี่ยนยาง เปลี่ยนแม็กซ์ เปลี่ยนสีที่นั่งคนขับ เปลี่ยนประโปรงรถ ทำได้อย่างอิสระเลย เรียกได้ว่ายังไม่มีเงินซื้อรถจริง ไม่มีเงินแต่งรถจริง ก็มาลองในเกมก่อนก็ได้ โดยการปรับแต่งในส่วนนี้จะใช้เงินที่หามาได้ในเกม ซึ่งเท่าที่ดูไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายอะไร ลำพังเงินจากการผ่านภารกิจไปเลยๆ ก็เปลี่ยนรถที่ขับเป็นรถในฝันได้ ในส่วนของการเล่นออนไลน์กับเพื่อนนั้นเท่าที่ได้ลองยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เราสามารถชวนเพื่อนเข้า Crew และหลังจากนั้นเมื่อเราหรือเพื่อนเล่นภารกิจ เกมจะส่งคำเชิญไปหาเพื่อนใน Crew ที่ออนไลน์อยู่โดยอัตโนมัติ หากเพื่อนตอบตกลงเราจะเข้าเล่นภารกิจนั้นร่วมกัน และภารกิจจะดำเนินไปเหมือนตามปกติแต่ที่พิเศษคือหากมีใครคนหนึ่งผ่านภารกิจทุกคนใน Crew ที่เข้าเล่นภารกิจนั้นจะผ่านด้วยทันที แม้ว่าเพื่อนอีกคนจะรั้งท้ายอยู่เป็นที่ 8 ก็ตาม นอกจากการเล่นแบบนี้แล้วทางทีมงานยังไม่เจอการเล่นในส่วนอื่นอีก แอบหวังว่าพอขับรถเจอคนอื่นจะกดท้าให้แข่งรถกันได้ตอนนั้น หรือระบบ Crew จะมีอะไรอย่างการตั้งแก๊ง สร้างนู่น สร้างนี่ ท้าแก๊งอื่นแข่งได้ อะไรแบบนั้น ก็หวังว่าพอเกมเปิดจริงๆ แล้วจะมีอะไรให้ทำมากกว่านี้ (เซิร์ฟเวอร์ที่เล่นยังมีเฉพาะสื่อที่ได้รับสิทธิ์ให้เล่นก่อน) หรือไม่งั้นเวลาผ่านไปอาจมีอัพเดตให้ทำอะไรได้มากขึ้น เพราะถ้าทำได้เท่านี้หมดแค่นี้จริงๆ ก็คล้ายๆ กับว่าเกมเป็นเกมเล่นคนเดียวแต่บังคับให้เราต่อออนไลน์เท่านั้นเอง หรือถ้าเห็นรถของผู้เล่นคนอื่นขับกันมากกว่านี้ก็อาจให้ความรู้สึกต่างไปจากเดิม เพราะตอนนี้เจอผู้เล่นคนอื่นในแผนที่น้อยมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อจำกัดของเกมที่จำนวนรถที่เราเจอในแผนที่น้อย หรือว่าเป็นเพราะผู้เล่นที่เล่นในตอนนี้มีน้อยเอง โดยรวมแล้ว The Crew 2 เป็นเกมที่มีนู่นมีนี่ให้ทำ แต่สิ่งที่ทำได้ก็ไม่ได้ต่างจากเกมแข่งรถเกมอื่นๆ นัก แต่เพิ่มลูกเล่นอย่างการกระจายภารกิจเหล่านี้ไปตามโลกแบบ Open World ให้ได้สนุกกัน ใครที่ชอบเล่นเกมขับรถ ชอบรถอยู่แล้วน่าจะสนุกกับเกมนี้ได้ไม่ยาก แต่คนที่ไม่ใช่ขาประจำเกมขับรถอาจไม่ถูกใจเกมนี้นัก เพราะไม่ได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ เกมเป็น Open World แผนที่ใหญ่ก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำนอกจากการขับรถ ขับเครื่องบิน ขับเรือ ขับจักรยานยนต์ ถามว่าเป็นเกมที่สนุกมั๊ยก็สนุกดี แต่ว่ายังไม่ได้สนุกแบบ "ว้าว" แบบที่เกมสัญญาไว้ในเทรลเลอร์ตัวอย่างเท่านั้นเอง [penci_review id="1717"]
02 Jul 2018
[รีวิว] ICEY ฟันฉับๆ สนุกสะใจบน Nintendo Switch
แนวเกม: 2D Side-Scrolling Action Platform: Nintendo Switch วางจำหน่าย: 31 พฤษภาคม 2018 พิเศษสำหรับเวอร์ชัน Switch: เสียงพากษ์ภาษาญี่ปุ่น หมายเหตุ: สามารถอ่านเวอร์ชันย่อได้โดยเลือกอ่านเฉพาะที่เขียนด้วยข้อความตัวหนาสีดำ สารภาพตามตรงว่าผมซื้อ Switch มาเพื่อเล่น Zelda กับ Mario แล้วตั้งใจว่าคงไม่ได้แตะเครื่องอีกเลยจนกว่าจะมีภาคใหม่ของทั้ง 2 เกมออกมา เมื่อได้เห็นเทรลเลอร์ของ ICEY ที่ลงให้กับเครื่อง PlayStation 4, PC, Android, และ iOS ไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้รับเกมจากเพื่อนมาฟรีๆ ก็เลยลองเล่นดูซะหน่อย ไหนๆ ก็ไม่ได้มีเกมอื่นที่อยากเล่นเป็นพิเศษในช่วงนี้อยู่แล้ว หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปกับเกมนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าการนั่งอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปเรื่อยๆ อาจสนุกกว่าการเล่นเกมแอคชั่น 2D Side-Scrolling เกมนี้ หลังจากหันซ้ายหันขวาเห็นเพื่อนฝูงเดินเล่นอยู่จึงรีบส่งเครื่อง Switch ให้เพื่อนๆ ลองเล่นดู เผื่อว่าเพื่อนๆ จะมีความเห็นที่ต่างออกไป เผื่อจะช่วยเพิ่มคะแนนให้กับเกมนี้ได้บ้าง ไม่อยากจะใจร้ายกับเกมมากเกินไป ซึ่ง... เพื่อนๆ ทั้งสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมสนุกในตอนแรกๆ แต่พอผ่านไปสักพัก (ประมาณห้านาที) เกมก็เข้าสู่ความน่าเบื่ออย่างรวดเร็ว ทุกคนลงความเห็นว่ายังไงก็คงให้เกมนี้ไม่เกิน 7 คะแนน ในด้านกราฟิกและเพลงประกอบของเกมนี้ก็ไม่ได้น่าประทับใจเป็นพิเศษ ทำได้ตามมาตรฐานของเกมและเข้ากับธีมเกมได้ดี สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ของเกมนี้และทำให้ห้านาทีแรกของคนที่ได้ลองเล่นเป็นความประทับใจก็คือระบบต่อสู้ของเกม การต่อสู้ของเกมนี้ทำออกมาได้อย่างดีมาก ตัวละครสาว ICEY ของเราจะมีอาวุธคือดาบคู่ใจที่สามารถฟันและต่อคอมโบได้อย่างรวดเร็วมาก รวมถึงตัวละครของเรายังสามารถแดชพุ่งตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกการโจมตี ทำให้การต่อสู้ยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก เกมนี้ยังมีระบบต่อสู้ที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจากเกมอื่น ซึ่งก็คือท่าปลิดชีพและการสวนการโจมตี เมื่อเราโจมตีศัตรูจนศัตรูใกล้ตายเราจะสามารถกดปุ่มเพื่อปลิดชีพศัตรูได้ ซึ่งตัวละครของเราจะออกท่าโจมตีเท่ๆ กำจัดศัตรูและยังเป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเราด้วย เป็นการฟื้นฟูพลังชีวิตทางเดียวของเกมนี้ ส่วนการสวนการโจมตีจะเกิดขึ้นเมื่อเราใช้ท่าแดชสวนในขณะที่ศัตรูโจมตีมาได้ถูกจังหวะ โดยเกมจะเข้าสู่โหมดสโลว์โมชั่น และเราจะสามารถกดปุ่มได้แบบเดียวกับตอนที่เราปลิดชีพศัตรู การโจมตีจะรุนแรงขึ้น และเราจะได้พลังชีวิตคืนมาเช่นกัน แต่ทั้งการปลิดชีพศัตรูและการสวนกลับการโจมตีก็กลายเป็นความน่าเบื่อหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เนื่องจากเกมง่ายเกินกว่าที่เราจะต้องมาพึ่งการฟื้นพลังหรือพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นจากการกระทำทั้งสองอย่าง เพียงแค่เรากดฟันไปเรื่อยๆ ก็สามารถผ่านเกมได้อย่างไม่ยากเย็น  แถมพลังชีวิตของเราก็มีมากพอให้โดนศัตรูโจมตีแบบไม่ต้องใส่ใจนักได้สบายๆ ซึ่งเกมไม่ได้ให้เราเลือกระดับความยากตรงๆ แต่ใช้การถามคำถามซึ่งคำตอบที่เราตอบจะเป็นตัวกำหนดระดับความยากของเกมโดยไม่สามารถเปลี่ยนภายหลังได้ (จริงๆ เปลี่ยนได้แต่ต้องใช้วิธีพิเศษ ไม่ได้มีให้เลือกเปลี่ยนตรงๆ ) การเล่นเกมในโหมด Easy เพื่อฟันศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่รู้จักจบสิ้นในฉากเดิมๆ ที่ไม่ได้เดินไปไหนเลย แบบที่เพื่อนเดินผ่านไปผ่านมาไม่รู้กี่รอบชะโงกหน้ามาดูจอก็ยังเห็นแต่ฉากเดิมๆ เลยกลายเป็นความสนุกที่มากกว่ากวาดบ้านเพียงนิดเดียว เรื่องควรจะจบแค่นั้น แต่ระหว่างนั้นผมลองเข้าไปดูคะแนนเกมในเวอร์ชันที่เคยออกไปก่อนหน้านี้บน Steam แล้วก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อพบว่าคะแนนรีวิวเฉลี่ยจากผู้เล่นสูงจนผมชักไม่แน่ใจว่ากำลังเล่นเกมเดียวกันอยู่หรือเปล่า แต่ก็มีคนที่เขียนอะไรประมาณว่า “คนสร้างเกมบอกให้ผมมารีวิวให้  5 เต็ม 5” อยู่หลายคนเหมือนกัน แต่อีกหลายคนก็ดูเขียนชมเกมจากใจจริง ด้วยความสงสัยผมจึงตัดสินใจเริ่มเกมใหม่อีกรอบ คราวนี้ตั้งใจตอบคำถามให้ได้ความยากระดับ Normal ซึ่งก็ไม่ได้ดั่งใจอีกเช่นเคย เพราะคราวนี้ดันเลือกได้ Hard ความยากที่ผมไม่ค่อยแตะนัก แต่ก็ไม่อยากจะเริ่มเกมใหม่เพื่อตอบคำถามใหม่อีก สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนระดับความยากเป็น Hard ในครั้งนี้ก็คือความประทับใจในระบบต่อสู้ของเกมจากที่เคยมีแค่ห้านาทีแรกกลายเป็นความสนุกสุดยอดตั้งแต่ต้นจนจบเกมชนิดที่แม้เครื่อง Switch จะหนักจนเมื่อยแขนแต่ก็ทนเล่นติดต่อกันโดยไม่อยากวางเลย ที่เป็นแบบนี้เพราะพอเกมปรับระดับความยากขึ้นจากที่เราไม่จำเป็นต้องหลบศัตรูหรือสวนกลับการโจมตีก็ได้ ก็กลายเป็นว่าเราต้องมีสมาธิในการเล่นมากขึ้น จะปล่อยให้โดนโจมตีง่ายๆ แบบตอนเล่นแบบ Easy ไม่ได้อีกแล้ว และพอโดนโจมตีแล้วก็ต้องหาทางสวนกลับเพื่อฟื้นพลังตัวเองให้ได้ ศัตรูตัวเล็กตัวน้อยที่เคยรำคาญตอนสู้กับบอสก็มีความสำคัญขึ้นมา เพราะเจ้าพวกตัวเล็กๆ พวกนี้เราสามารถสวนการโจมตีหรือปลิดชีพได้ง่ายกว่า ทำให้มีโอกาสฟื้นพลังได้มากกว่า ส่วนเรื่องที่ศัตรูดาหน้าเข้ามาไม่หยุดจนเราไม่ได้เดินไปไหนเลยก็เป็นเพียงเพราะว่าผมดันไปเจอความลับของเกมเข้าโดยบังเอิญ นั่นคือด่านพิเศษที่ให้เราได้สู้กับศัตรูทุกตัวรวมถึงบอสเ พื่อพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งถ้าเราไม่ได้ต้องการเล่นในส่วนนั้นตัวเกมก็รวดเร็วเหมือนการต่อสู้ของเกม คนที่ชอบและติดใจระบบต่อสู้ของเกมนี้น่าจะเล่น ICEY จนจบได้โดยไม่ได้มีโอกาสเบื่อเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่ระบบต่อสู้ที่สนุกมากๆ (เมื่อเล่นในระดับที่ไม่ง่ายเกินไป) ก็ทำให้คะแนนเกมนี้ในใจผมเพิ่มขึ้นมากแล้ว  แต่สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างและเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ก็คือความลับในเกม ซึ่งถ้าพูดไปก็จะเป็นการสปอยล์ เอาเป็นว่าถ้าเล่นเกมนี้พยายามอย่าไปทำตามเสียงบรรยายในเกมมากละกันครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงมีคนเขียนรีวิวอะไรแปลกๆ ไว้บน Steam งานนี้คนที่ชอบหาความลับในเกมต้องยิ้มแน่นอนครับ [penci_review id="566"] ICEY ไม่ใช่เกมฟอร์มยักษ์คงจะไปแข่งขันอะไรกับเกมดังจากบริษัทใหญ่ๆ ในหลายๆ เรื่องไม่ได้ รวมถึงเกมยังสั้นมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็จบแล้ว แต่เวลาทุกวินาทีที่ใช้ไปกับเกมนี้คือความสนุกแบบที่เกมฟอร์มยักษ์หลายๆ เกมยังต้องอาย ใครที่มี Switch แล้วมองหาเกมเล่นอยู่ ICEY เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอน (เกมมีราคาแค่ $9.99) ขอแค่อย่าเล่นโหมดง่ายสุดและหลงเข้าไปด่านโบนัสที่ต้องสู้กับศัตรูและบอสไปเรื่อยๆ ในครั้งเดียวก็พอ รีวิวโดย MuscleBoyFirst
31 May 2018
รีวิว Stifled (PS4) พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!
Stifled เป็นเกมสยองขวัญบน Playstation 4 ที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ด้วยการใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในเกม โดยมีคำโปรยต่อท้ายชื่อเกมว่า THEY HEAR YOU FEAR (พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!) เพื่อนๆ สามารถใช้ Playstation VR และไมโครโฟนเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ตัวเกมออกไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาลง PSN โซนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยการกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทยอีกด้วย ไปดูกันเลยว่าทีมงาน GameFever มีความเห็นอย่างไรหลังจากเล่นเกมที่ได้รับรางวัลด้านความสร้างสรรค์มากมายเกมนี้จนจบ ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เนื้อเรื่องเริ่มต้นของเกมมีแค่นั้นจริงๆ โดยผู้เล่นจะรู้เรื่องราวที่เหลือจากการเล่นเกม ผ่านบันทึก จดหมาย เสียงข้อความที่เพื่อนบ้านฝากไว้กับโทรศัพท์ และสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถสำรวจได้ เกมแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นฉากภายในอาคารซึ่งเป็นส่วนที่เราจะได้เดินสำรวจ ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้มีการใช้ฟังก์ชันเสียงของเกมเท่าไหร่นัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าผู้เล่นไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ต้องการในการเล่นผ่านส่วนนี้จริงๆ ก็คือการเดินไปถึงจุดที่กำหนด รวมถึงสำรวจอะไรที่เกมกำหนดไว้ ส่วนที่สองของเกมคือส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ เป็นส่วนที่ผู้เล่นจะได้ใช้ฟังก์ชันเสียงของเกม เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นลุ้นระทึกกว่า เนื่องจากเป็นส่วนที่เราจะต้องคอยหลบหนีศัตรู รวมทั้งรอบกายเรายังเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยภาพในเกมจะเปลี่ยนเป็นฉากสีดำและเราจะเห็นสิ่งรอบกายเป็นเพียงโครงร่างสีขาวในระยะการมองเห็นที่จำกัดมากๆ จุดนี้เราจะต้องใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง (Echolocation) โดยเราสามารถหยิบข้าวของที่อยู่ตามพื้นเพื่อปาให้เกิดเสียง หรือใช้การส่งเสียงของเราเองผ่านไมโครโฟน (หรือใช้ปุ่มบนจอยในกรณีที่ไม่มีไมโครโฟน) ซึ่งเสียงที่เกิดจากการกระทำทั้งสองอย่างจะไปสะท้อนกับสิ่งรอบตัวเรา ปรากฏเป็นโครงร่างสีขาวขึ้นมา ทำให้พื้นที่การมองเห็นของเรามากขึ้นกว่าเดิม เราจะต้องใช้การสำรวจด้วยเสียงภายในฉากแบบนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่เราใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทางนั้นเราจะต้องคอยระวังว่าเสียงของเราจะไปถึงเหล่าปีศาจภายในเกมด้วย โดยศัตรูจะมองไม่เห็นเรา แต่หากเราส่งเสียงเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเพียงเสียงเดิน ศัตรูที่เดินอยู่จะพุ่งเข้าโจมตีเราทันที และเราไม่สามารถที่จะจู่โจมกลับได้ ส่วนนี้เราจะต้องหาทางหลอกล่อศัตรูให้ไปทางอื่นด้วยเสียง แบบเดียวกับที่เราใช้เพื่อสำรวจฉาก รูปแบบการเล่นในส่วนนี้ซึ่งเป็นจุดขายของเกมนี้ซึ่งดูเหมือนจะน่าสนใจ เอาเข้าจริงๆ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนของเกมเพราะทำมาได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะบอกว่าเราใช้เสียงเพื่อสำรวจฉากแต่เอาเข้าจริงๆ เรายังต้องใช้การมองเห็นเป็นส่วนหลักของเกมอยู่ดี การส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางน่าสนุกอยู่ในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพูดหรือตะโกนซ้ำๆ เพื่อทำให้ตัวละครเรามองเห็นฉากเท่านั้นเอง ถึงแม้เสียงเบาหรือดังจะมีผลต่อระยะการมองเห็นแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ การหยิบของตามพื้นเพื่อปาล่อศัตรูไปที่อื่นนั้นมีประโยชน์และได้ผลดีกว่ามาก และการสำรวจฉากส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปด้วยการพูดเสียงปกติเนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่การมองเห็นที่มากขึ้นด้วยการพูดเสียงดัง เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาภาพที่เรามองเห็นก็จะกลับมามืดเหมือนเดิมและต้องส่งเสียงใหม่อยู่ดี และการพูดเสียงเบาก็ให้พื้นที่ในการมองเห็นน้อยเกินไป กลายเป็นว่าการสำรวจฉากด้วยวิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการย้ายฟังก์ชันที่อยู่ในปุ่มมาทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง เกมนี้เป็นเกมสยองขวัญที่แทบไม่มีความน่ากลัวเลย สาเหตุอย่างแรกก็คือกราฟิกที่มีคุณภาพต่ำ ความประทับใจแรกที่ผู้เล่นจะได้พบเมื่อสวมแว่น VR เพื่อดำดิ่งเข้าสู่โลกของเกมก็คือสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับเป็นของปลอม และเพราะแบบนั้นประสบการณ์ร่วมจากการคิดว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริงๆ จึงลดลงอย่างมาก ในส่วนที่เราต้องคอยหลบศัตรูซึ่งถึงแม้จะตื่นเต้นกว่าแต่เนื่องด้วยกราฟิกที่เปลี่ยนเป็นสไตล์แบบภาพโครงร่างของสิ่งรอบตัวทำให้เหล่าปีศาจในเกมแทบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย ความตกใจที่เกิดขึ้นเป็นแบบความตกใจแบบที่เกิดขึ้นเวลามีเพื่อนแอบแกล้งให้เราตกใจแค่นั้นเอง ซึ่งพอผู้เล่นปรับตัวให้เข้ากับความตกใจแบบนั้นได้ การเจอศัตรูแต่ละครั้งก็กลายเป็นความรำคาญมากกว่าความล้นระทึก เหล่าปีศาจกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อที่คอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อมากกว่าที่จะเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เราขนลุก และเนื่องจากเราไม่ค่อยจะตกใจกลัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการที่ศัตรูสัมผัสความกลัวจากเสียงตกใจของเราได้จึงแทบไม่ได้ทำงานเลย เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ได้เห็นเกมที่มีทั้งเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทย เมื่อคิดถึงความรู้สึกร่วมที่มากขึ้นและความเข้าใจเนื้อเรื่องที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับเกมที่ส่วนหนึ่งของเกมคือการค่อยๆ เผยเนื้อเรื่องจากการอ่าน การฟังสิ่งต่างๆ ในเกม คำบรรยายของเกมทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือพวกเอกสารหรือบันทึกต่างๆ ในเกมที่สามารถกดดูคำแปลได้หมด ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องราวในเกมได้ง่ายขึ้นมาก ส่วนเสียงพากย์นั้นถือว่าทำได้น่าผิดหวังพอสมควร นั่นเพราะเสียงของตัวละครหลักมีการเลือกนักพากย์มาได้ไม่เข้ากับตัวละครเลย และน้ำเสียงค่อนข้างขัดกับบรรยากาศอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเล่นแบบไม่ใช้ไมโครโฟน เราจะได้ยินเสียงตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาเมื่อกดปุ่มให้ตัวละครส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง จากบรรยากาศที่ควรจะน่ากลัวก็กลายเป็นว่าตลกไปเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้ใช้เฉพาะคำบรรยายภาษาไทยแต่ใช่เสียงพากย์ต้นฉบับได้ หากอยากเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นก็ต้องแลกมากับเสียงพากย์แบบนี้ สรุปคะแนน: 6.5/10 Stifled เป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ บวกกับกราฟิกที่ทำให้เราไม่อินไปกับเกมความน่ากลัวที่ปรับตัวให้ชินได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อเรื่องที่เราต้องปะติดปะต่อเอาเองก็ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ทำให้เกมนี้สนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ ความคุ้มค่าในการเล่นกับ VR: 2/5 การเล่นกับ VR ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นกว่าการเล่นแบบปกติ หากใครมี VR อยู่แล้วและสนใจเล่นเกมนี้ แนะนำให้เล่นด้วย VR ไปเลย แต่หากยังไม่มี VR มาก่อน เกมนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผลในการซื้อหามาเล่น เพราะทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก
11 May 2018
รีวิว God of War ตัวเต็ม
เชื่อว่าเกมเมอร์หลายๆ คนคงรู้จักกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อยกับเกม God of War ซีรี่ย์แอคชั่นรุ่นเก๋าที่เพิ่งปล่อยภาคใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นการยกเครื่องใหม่กันหมด ตั้งแต่ สถานที่ตั้งของเกม ที่ย้ายจากดินแดนกรีกโบราณมาอยู่ในดินแดนของเหล่าเทพ Norse (เทพไวกิ้งอย่าง ธอร์ หรือ โอดิน นั่นแหละ) ไปจนถึงระบบต่อสู้ ที่เปลี่ยนจากกล้องมุมสูงมาเป็นมุมมองแบบ Third-Person แต่ทีเด็ดจริงๆ ต้องยกให้เนื้อเรื่องและวิธีการเล่า ที่ยกระดับซีรี่ย์นี้ขึ้นไปเทียบเกมในตำนานของเครื่อง PS4 อย่าง The Last of Us หรือ Uncharted ได้สบายๆ ทีมงาน GameFever เองเพิ่งจะเคลียร์โหมดเนื้อเรื่อง จึงอยากจะนำความรู้สึกนึกคิดมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ แบบไม่มีการสปอย กับเกมที่แฟนเกมทุกคนไม่ควรพลาด! สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้ดำเนินต่อจาก God of War 3 (ที่ปล่อยตั้งแต่ปี 2010) โดยเริ่มขึ้นที่การจากไปของคนรักใหม่ของ Kratos ทิ้งไว้เพียงคำขอสุดท้ายให้ Kratos และลูกชายหรือ Atreus นำอัฐิของเธอไปโปรยลงจากยอดเขาที่สูงที่สุด แต่การเดินทางของทั้งสองกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเหล่าเทพเจ้าถิ่นเริ่มสนใจสองพ่อลูกเทพสงครามผู้บุกรุกในดินแดนของตน โดยความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูก Kratos และ Atreus ถือเป็นแกนหลักของเกมเลยก็ว่าได้ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เน้นไปที่การพัฒนาของสองตัวละครอย่างลึกซึ้ง หลายคนคงรู้จัก Kratos ในฐานะเทพสงครามบ้าเลือด แต่เกมนี้กลับสร้างมิติให้ตัวละครในฐานะพ่อ ที่มีความห่วงใยต่อลูกแต่กลับแสดงออกไม่ถูก ด้วยความกลัวว่าลูกจะกลายเป็นเหมือนตัวเองในอดีต จึงทำได้เพียงแค่ปกป้องลูกอยู่ห่างๆ ทั้งจากภัยยันตรายรอบตัว และจากอดีตอันคาวเลือดของตัวเอง ในขณะเดียวกัน Atreus เองก็มีปมที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความรักจากพ่อ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าสามารถดูแลตัวเองได้ แต่แน่นอนว่ายิ่ง Atreus ดูจะพยายามเป็นเหมือนพ่อเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ Kratos ลำบากใจและตีตัวออกห่างมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ Atreus ทำได้แค่ผูกใจเจ็บที่ตัวเองดูจะไม่ดีพอเสียที การใช้เรื่องราวของทั้งสองเป็นแกนหลัก ยังเป็นการสร้างคุณค่าให้กับเกม ให้เป็นมากกว่าแค่เกมแอคชั่นฟาดฟันเกมนึงที่เนื้อเรื่องเคยถูกเมินอีกด้วย และยกระดับ Kratos ในฐานะตัวละครแบนๆ มิติเดียว เป็นตัวละครที่ลึกซึ้งน่าติดตาม มีอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้น แม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย (ไม่งั้นคงไม่ใช่ God of War) แต่เทพเหล่านั้นก็ยังถือเป็นตัวประกอบในเรื่องของสองพ่อลูกอยู่ดี จากการเล่นไปเกือบ 30 ชั่วโมงของทีมงาน GameFever พบว่าเกมแทบจะไม่มีการเฟรมตกหรือติดบัคใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าน่าทึ่งมากสำหรับเกมที่ใหญ่และรายละเอียดหนาตาขนาดนี้ แต่ที่สุดยอดที่สุดคงเป็นเรื่องมุมกล้อง ที่ถ่ายต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มจนจบเกมโดยไม่มีการตัดเปลี่ยนฉากหรือเข้าหน้าจอโหลดเกมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ผู้เล่นสามารถชื่นชมความงดงามของฉากได้อย่างเต็มที่ รวมกระทั่งการตัดเข้า-ออกคัตซีนด้วย โดยการเปลี่ยนมุมกล้องนี้ ที่ติดตาม Kratos และ Atreus ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่ตัดไปไหนเลยยังทำให้ผู้เล่นสามารถติดตามอารมณ์ของสองตัวละครตลอดเวลา ทำให้เราเห็นและรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างใกล้ชิด แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องภาคนี้ดูจะมีความติดดินกว่าภาคก่อนๆ ทำให้เกมมีโอกาสในการโชว์ฉากแอคชั่นระเบิดระเบ้อเหมือนภาคเก่าๆ น้อยหน่อย โดยจะเน้นไปที่การเดินทางผ่านป่าเขาหรือซากปรักหักพังแทน แต่ทั้งหมดก็ยังถือว่าสวยมากๆ เป็นเกมที่ดูมาแล้วเป็นสิบๆ ชั่วโมงก็ยังไม่เบื่อเลย สำหรับคนที่เคยเล่นเกมแอคชั่นหรือเกม God of War ภาคก่อนๆ มาอาจจะพอคุ้นเคยกับระบบโจมตีหนัก-เบาอยู่บ้าง โดยเกมภาคล่าสุดก็ยังไม่ทิ้งวิญญาณเกมแอคชั่นล้างผลาญที่มีมาแต่เดิม แต่อาจจะทำให้ช้าลงมาหน่อย การต่อสู้ทำโดยการกดปุ่ม R1 กับ R2 เพื่อโจมตีเบาและหนักตามลำดับ ผู้เล่นสามารถกดการโจมตีทั้งสองแบบสลับกันเพื่อสร้างเป็นคอมโบต่างๆ ได้ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย แต่ก็ลึกซึ้งเมื่อนำมารวมกับระบบอื่นๆในเกมอย่างการใช้โล่ห์ป้องกัน การหลบ หรือกระทั่งการปาขวานระยะใกลเพื่อโจมตี แช่แข็ง หรือขัดขาศัตรูให้ล้มแล้ววิ่งเข้าไปต่อยศัตรูมือเปล่าแทน ซึ่งการต่อสู้มือเปล่าก็มีหน้าที่ของมันในการเก็บหลอด Stun Meter ของศัตรู ซึ่งเมื่อเต็มแล้วจะเปิดโอกาศให้เราเข้าไปทำท่าปลิดชีพสุดโหดอันโด่งดังของซีรี่ได้อีกด้วย อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเรื่องราวของพ่อลูก Kratos และ Atreus ถือเป็นแกนหลักของเกม การต่อสู้ก็เช่นกัน โดยเราจะสามารถสั่งเจ้าลูกชายของเราให้โจมตีศัตรูด้วยธนูได้ ซึ่งนอกจากจะสามารถขัดจังหวะการโจมตีของศัตรูได้แล้ว ยังสามารถเพิ่มหลอด Stun Meter ได้เร็วอีกด้วย โดยเราสามารถอัพสกิลเพื่อเพิ่มความสามารถทั้งของตัวเองและลูกชายได้ ซึ่งระบบผูกเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างแยบยล ด้วยการปลดล๊อคความสามารถบางอย่างของ Atreus ตามจุดที่เราอยู่ในเควสหลัก ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถร่วมมือกับลูกได้ดีมากขึ้น สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ค่อยๆ พัฒนาไปตามเนื้อเรื่อง โดยแรกๆ อาจจะรู้สึกว่าต้องเลือกอัพสกิลให้ดี เพราะการเก็บ EXP ในช้วงแรกค่อยข้างช้า แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ กลับอัพสกิลเต็มหมดแต่เหลือ EXP กระจุย ทำให้ระบบสกิลที่ตั้งใจเล่นอย่างระวังตอนแรกกลายเป็นไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ในท้ายเกม ถ้าระบบสกิลมีความหลากหลายกว่านี้ก็คงจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้ระบบต่อสู้ได้อีกมาก ดูเหมือนง่าย แต่เกมนี้ถือเป็นเกมที่มีความยากพอสมควร โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่เรายังไม่มีชุดเกราะหรือสกิลมารับมือกับศัตรูกลุ่มใหญ่ๆ ที่มักจะเจอตามด่านเป็นระยะ ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ทักษะอันยืดหยุ่นของเกมในการเล่นงานจุดอ่อนของศัตรูแต่ละชนิดอีกด้วย การเพิ่มเลือดระหว่างต่อสู้ก็ค่อนข้างลำบากในหลายๆ ครั้ง ทำให้ต้องระมัดระวังการโจมตีของศัตรูมากเป็นพิเศษ เกมจึงรู้สึกช้าๆ กว่าเกมแอคชั่นเลือดเดือดอย่าง Devil May Cry แต่ใกล้เคียงเกมอย่าง Bloodborne มากกว่า (แต่ไม่ยากขนาดนั้นนะเออ) เกมอาจจะบังคับให้ผู้เล่นใช้ความตั้งใจในการเล่นมากขึ้น แต่เมื่อคล่องแล้วก็สามารถกระโดดเข้าไปล้างบางศัตรูให้สมชื่อเทพสงครามได้เหมือนกัน เกมนี้ถือเป็นเกมแรกในซีรี่ที่ใช้ระบบกึ่งๆ open-world ซึ่งเปิดโอกาศให้ผู้เล่นสามารถดำเนินเนื้อเรื่องได้ตามใจของตัวเอง หรือจะเลือกไปทำภารกิจย่อยต่างๆ ที่ตัวละครอื่นๆ ในเกมมอบให้ก็ได้ ในเกมยังมีความลับและปริศนาต่างๆ ซ่อนไว้ให้ผู้เล่นค้นหา ซึ่งปริศนาในเกมนี้บางทีก็ทำให้เกิดความหัวร้อนจากความยากขึ้นมาได้เหมือนกันในบางครั้ง แต่โดยรวมก็ถือเป็นข้อดี เพราะทำให้เรารู้สึกมีแรงจูงใจในการออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในเกม เพราะบางครั้งการแก้ปริศนาเหล่านี้อาจจะให้รางวัลเราเป็นของเพิ่มหลอดเลือด หรือชิ้นส่วนในการอัพเกรดชุดเกราะหายากที่กำลังต้องการอยู่พอดี การแก้ปัญหาในเกมส่วนใหญ่ทำด้วยการใช้ขวานน้ำแข็งคู่ใจหรือ Leviathan Axe ของเรา ที่นอกจากจะใช้จามศัตรูได้อย่างหนักหน่วงสะใจแล้วยังสามารถนำมาใช้ปาเพื่อตัดเชือกแก้ปริศนาอีก โดยเราสามารถกดปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเรียกขวานให้บินกลับมาเข้ามือ Kratos ได้ตลอดเวลาอีกด้วย (เป็นอะไรที่ทำกี่ทีๆ ก็ไม่เบื่อจริงๆ ) เมื่อเราดำเนินเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มมีความสามารถพิเศษในการใช้แก้ปริศนาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นถ้าเจอปริศนาที่ดูเหมือนไม่มีทางแก้อย่าเพิ่งท้อ เกมอาจจะให้เรากลับมาแก้อีกทีภายหลังก็เป็นได้ แถมการสำรวจที่ต่างๆ ในเกมยังเปิดโอกาสให้ตัวละครพ่อ-ลูกได้คุยกันมากขึ้น ทำให้เราสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในมุมใหม่ๆ ได้อีกด้วย สรุปคะแนน: 9.5/10 ทีมงาน GameFever พูดได้เต็มปากจริงๆ ครับว่าเกม God of War ภาคใหม่นี้ถือเป็นเกมที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ของ PS4 เลยทีเดียว เป็นเกมที่แฟนซีรี่ God of War หรือแฟนเกมแอคชั่นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ยิ่งคนที่ชอบเสพเนื้อเรื่องดีๆ ด้วยแล้ว ควรซื้อมาประดับเพลย์สี่กัน ข้อดี - เนื้อเรื่องระดับท๊อป - ภาพสวยอันดับต้นๆ แม้ในเครื่อง PS4 ธรรมดา - ระบบต่อสู้เข้าใจง่ายแต่ลึกและท้าทาย - เกมเปิดโอกาสให้สำรวจเยอะ มีปริศนาท้าทายให้แก้ตลอดทาง ข้อเสีย - ระบบสกิลมีความสำคัญแค่ต้นเกม ท้ายเกมอัพได้หมดอยู่ดี - ปริศนาบางอันก็ทำหัวร้อนอยู่เหมือนกัน 555  
24 Apr 2018
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "รีวิว"
[Review] รีวิวเกม Marvel's Spider-man 2 "ภาคต่ออันน่าทึ่ง สนุกจนติดหนึบวางจอยไม่ลง"
ด้วยความสำเร็จของเกม Marvel’s Spider-man ภาคแรกในฐานะเกม Exclusive ยอดนิยมจากสมัย PlayStation 4 ที่ได้รับเสียงชมและคะแนนรีวิวสูงลิบลิ่วจากสื่อทั่วโลก ที่ยกย่องเกมให้เป็นทั้ง “เกมสไปเดอร์แมนที่ดีที่สุดที่เคยมีมา” และเป็นหนึ่งใน “เกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” แน่นอนว่าผู้พัฒนา Insomniac Games ย่อมต้องเผชิญกับโจทย์หินในการพัฒนาเกมภาคต่ออย่าง Marvel’s Spider-man 2 ที่ไม่เพียงต้องรักษามาตรฐานอันสูงลิบลิ่วของเกมภาคแรก แต่ยังต้องนำเสนอข้อปรับปรุงที่ใหญ่พอให้สมกับเป็นเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 5 อีกต่างหาก หลังจากที่ใช้เวลาเล่นเกมมาไม่น้อยกว่า 40 ชม. ต้องบอกว่าเกม Marvel’s Spider-man 2 สามารถทำได้เหนือกว่าความคาดหวังของผู้เขียนในส่วนทีสำคัญที่สุดอย่างเกมเพลย์การต่อสู้และการเดินทาง/โหนใย ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้สนุกและอิสระกว่าเดิมเป็นอย่างมาก และทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมมีความลื่นไหลจนเล่นลืมเวลาทั้งวันไปได้ง่ายๆ เลยแม้ว่าเกมอาจต้องเสียสละในส่วนของกราฟิกและเนื้อเรื่องไปบ้าง แต่ถ้าคุณชื่นชอบเกมเพลย์ของซีรีส์นี้เป็นพิเศษ เกม Marvel’s Spider-man 2 จะตอบสนองความต้องการทุกอย่างของคุณได้อย่างแน่นอนเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของ Marvel’s Spider-man 2 จะเริ่มขึ้น 9 เดือนหลังตอนจบของเกมภาค Miles Morales และติดตามการต่อสู้ระหว่างเหล่าฮีโร่แมงมุมทั้งสองกับวายร้าย คราเวน เดอะ ฮันเตอร์ ผู้ซึ่งนำกองกำลังทหารขนาดใหญ่เข้ารุกรานมหานครนิวยอร์ค เพื่อจุดประสงค์ในการ “ล่า” เหล่ายอดมนุษย์มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์แมนทั้งสองอีกด้วย โดยผู้ที่ติดตามสื่อการตลาดของเกมมาน่าจะทราบดีว่าคู่ปรับอันโด่งดังของสไปเดอร์แมนอย่าง วีน่อม เองก็จะมีบทบาทในเนื้อเรื่องด้วย (แต่จะเกี่ยวอย่างไร ให้ไปติดตามกันเอาเอง!)หากมองในภาพรวม แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะไม่ได้แย่เมื่อเทียบตามมาตรฐานของเกมทั่วไป แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามีความด้อยกว่าเนื้อเรื่องของเกมสองภาคที่ผ่านมาอย่างชัดเจน จากการที่เกมจำเป็นต้องแบ่งเวลาเพื่อเล่าปมเนื้อเรื่องของตัวเอกทั้งสองแยกกัน แตกต่างจากเกมสองภาคแรกที่เน้นเล่าเรื่องราวของตัวเอกคนใดคนหนึ่งอย่างเข้มข้น ซึ่งก็ทำให้เกมได้มีเวลาค่อยๆ เล่าหรือคลายปมในเนื้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ ผลของการแบ่งเวลาเช่นนี้ทำให้การเล่าเรื่องหลายๆ ส่วนในเกมรู้สึกรวบรัดเกินไปนิด ซึ่งก็ส่งผลให้ซีนอารมณ์ช่วงท้ายเกมหลายซีนรู้สึกเบาบางกว่าที่ควรจะเป็นไปด้วย ยังไม่นับรวมการที่เกมต้องพยายามวางปมให้กับตัวละครสมทบสำคัญๆ อย่าง แมรี่ เจน อีกด้วย ยิ่งดึงเวลาไปจากตัวเอกทั้งสองมากกว่าเดิมไปอีกที่สำคัญไม่แพ้ตัวเอกทั้งสองก็คือตัวร้ายใหญ่ที่มี 2 คนเช่นกันทั้ง คราเวน และ วีน่อม ซึ่งทั้งสองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวเอกนั่นค่อไม่ไดรับการพัฒนาเท่าที่ควร โดยเฉพาะในแง่ของแรงจูงใจซึ่งมีความเป็นการ์ตูนขาว-ดำไปซะหน่อย ผลลัพธ์คือเนื้อเรื่องหลักที่แม้จะไม่ได้แย่อะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีน้ำหนักหรืออารมณ์เข้มข้นเท่าภาคก่อนๆ เช่นกันนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมยังมีเนื้อเรื่องย่อยๆ ที่ให้ผู้เล่นค้นหาจากกิจกรรมเสริมในเกม ซึ่งมักพาผู้เล่นไปเจอกับตัวละครหรือวายร้ายคนอื่นๆ ในจักรวาลของสไปเดอร์แมนที่อาจไม่ได้ปรากฏในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนๆ ของจักรวาลสไปเดอร์แมนไม่น้อย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจรู้สึกน่าขัดใจบ้างเมื่อเส้นเรื่องเหล่านี้มักให้ความรู้สึกเหมือนจบกลางคัน และหากจะตามให้จบก็คงต้องจ่ายเงินซื้อ DLC เพิ่มในอนาคตเท่านั้นเกมเพลย์ตอนที่รับชมตัวอย่างเกมเพลย์ของ Marvel’s Spider-man 2 ในช่วงที่เกมเปิดตัว บอกตามตรงว่าผู้เขียนไม่ได้คาดหวังให้ประสบการณ์เกมเพลย์โดยรวมแตกต่างจากเกมภาคก่อนๆ มากนัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเกมเพลย์จากภาคเก่าๆ ก็ทำมาได้อย่างลงตัวมากๆ แล้วทั้งในแง่ของการต่อสู่และการโหนใยไปมา แต่เมื่อได้ลองเล่นเกมด้วยตัวเองจริงๆ แล้วจึงเข้าใจว่าข้อปรับปรุงทั้งหลายที่เห็นนั้นส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมมากขนาดไหนสิ่งแรกที่ผู้เขียนพบหลังจากที่เล่นเกมไปได้ไม่นาน คือ Spider-man 2 มีความ “ยาก” ขึ้นกว่าที่ผ่านมาพอสมควร ทั้งในแง่ของจำนวนศัตรูที่ต้องพบในแต่ละฉาก ชนิดของศัตรูอันหลากหลาย ไปจนถึงตัว A.I. ศัตรูที่ฉลาดขึ้น และมักใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของตัวเองในการจู่โจมผู้เล่นจากหลากหลายมุมพร้อมๆ กัน ศัตรูบางตัวยังสามารถโจมตีเป็นคอมโบด้วยการผสมผสานท่า “โจมตีหนัก” ที่ไม่สามารถหลบได้ (ต้องปัดป้องเอา) เข้ากับท่าโจมตีปกติ แถมบางตัวยังมีการดึงจังหวะให้เราหลบ/ปัดป้องพลาดเหมือนในเกม Souls อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเจอกับตัวเองถึงจะเห็นภาพว่ามันเปลี่ยนความรู้สึกเวลาเล่นไปแค่ไหนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังส่งเสริมแกมบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ทั้งแก๊ตเจตและความสามารถประจำตัวของสไปเดอร์แมนแต่ละคนอย่างฉลาดขึ้นเพื่อรับมือกับศัตรูไปด้วย ต่างจากในเกมภาคก่อนๆ ที่ผู้เขียนเองแทบไม่เคยใช้แก๊ตเจตใดๆ เลยด้วยซ้ำ โดยเกมยังมักจะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เข้ามาให้เราต้องรับมืออยู่เป็นระยะตลอดการดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้การต่อสู้ยังคงรู้สึกท้าทายอยู่เสมอแม้จะปลดล๊อกแก๊ตเจตและความสามารถจนครบแล้วก็ตามในส่วนของการโหนใย/เดินทางไปมา เกมได้เพิ่มข้อปรับปรุงที่สำคัญมากๆ เข้ามานั่นก็คือระบบ “เว็บวิง” หรือปีกที่ให้เราร่อนไปมาได้อย่างอิสระ ซึ่งทำให้การเดินทางในเกมมีความลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ เพราะจุดอ่อนใหญ่ของระบบการเดินทางในเกมคือพื้นที่แบนๆ ที่ไม่มีตึกสูงให้โหนใย โดยปีกเว็บวิงเหล่านี้สามารถทำให้ผู้เล่นบินข้ามพื้นที่เหล่านี้ได้โดยไม่เสียความเร็ว และทำให้การเดินทางในเกมมีความราบรื่นขึ้นไปด้วยแน่นอนว่าระบบเว็บวิงนี้ยังสอดรับกับแผนที่มหานครนิวยอร์คของเกม ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแผนที่ในเกมสองภาคที่ผ่านมารวมกันซะอีก แถมแต่ละเขตของเมืองนิวยอร์คยังมีส่วนสูงของอาคารที่อยู่ในพื้นที่และจุดสังเกตที่แตกต่างกันที่มักบังคับให้ผู้เล่นต้องเปลี่ยนวิธีหรือจังหวะในการโหนใยผ่าน ทำให้การเดินทางไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจและมีความสนุกท้าทายในแบบของตัวเอง โดยภายในเมืองมักจะมีกระแสลมที่ช่วยพัดให้ผู้เล่นสามารถบินว่อนไปมาทั่วไปเมืองได้อย่างรวดเร็ว จนเมื่อเล่นคล่องๆ ก็สามารถเดินทางทั่วแผนที่โดยที่เท้าไม่แตะพื้นได้เลยจริงๆรอบๆ เมืองนิวยอร์คยังมีกิจกรรมย่อยและมินิเกมเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ ให้ผู้เล่นได้เลือกทำได้ในกรณีที่ต้องการพักจากการต่อสู้ โดยการทำกิจกรรมเหล่านี้มักจะปลดล๊อคเหรียญตราหลากหลายชนิดไว้เพื่อปลดล๊อคชุดตกแต่งตัวละครให้กับทั้งปีเตอร์และไมล์ รวมไปถึงนำเสนอแง่มุมวิถีชีวิตของชาวนิวยอร์คให้เราไปด้วย ซึ่งก็ช่วยเสริมชีวิตชีวาให้กับเกมได้พอสมควรกราฟิกในช่วงที่ได้รับโค้ดเกมมารีวิวแรกๆ ผู้พัฒนาได้แจ้งสื่อทุกสำนักเอาไว้ล่วงหน้าว่ากราฟิกในเกมขณะนั้นอาจจะยังไม่อยู่ในระดับสมบูรณ์ 100% และผู้พัฒนาจะทำการปล่อยอัพเดทเพื่อปรับปรุงกราฟิกในเกมครั้งสุดท้ายไม่กี่วันก่อนจะถึงกำหนดรีวิว โดยผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมทั้งก่อนและหลังอัพเดทดังกล่าวแล้วแต่แม้ว่ากราฟิกโดยรวมของเกม Marvel’s Spider-man 2 จะยังคงอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของแสงสีที่ได้เทคโนโลยี Ray Tracing เข้ามาเสริมให้รู้สึกสมจริงเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่ารายละเอียดบนใบหน้าตัวละครและพื้นผิวสิ่งของบางส่วนในเกมภาคใหม่นี้กลับดูไม่ละเอียดเท่าภาคเก่าอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการเพิ่ม Ray Tracing ที่ทำให้แสงเงาในเกมมีความนุ่มนวลขึ้นหรือเปล่า แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าผิวหน้าตัวละครแทบทุกตัวในเกมมีความ “เนียน” เกินจริง ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่เคยรู้สึกในเกมภาคก่อนๆในอีกมุมหนึ่ง การที่เกมมีขนาดใหญ่กว่าเกมภาคก่อนๆ อย่างมหาศาลอย่างที่กล่าวไปข้างต้น รวมไปถึงการที่เกมทำให้ผู้เล่นสามารถเดินทางเข้า-ออกอาคารบางแห่งได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอโหลดเกมเหมือนที่ผ่านมา ก็ทำให้รู้สึกยอมรับได้ถ้าเกมจะต้องปรับลดรายละเอียดบางส่วนลงมาบ้างเพื่อให้เกมยังคงรันได้อย่างลื่นไหล ซึ่งในจุดนั้นก็ถือว่าเกมยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผู้เขียนเล่นเกมในโหมด Performance ที่ให้เฟรมเรต 60 FPS อย่างเสถียรแทบจะตลอดทั้งเกม แม้ในขณะที่มีศัตรูและแสงสีเอฟเฟกต์ปลิวว่อนเต็มจอก็ตาม ซึ่งสำหรับผู้เขียนและเกมเมอร์หลายๆ คน น่าจะเป็นจุดที่สำคัญกว่าความละเอียดของผิวหน้าตัวละครคุณภาพซับไทยข่าวดีสำหรับแฟนๆ ชาวไทยก็คือการที่เกม Marvel's Spider-man 2 จะสนับสนุนภาษาไทยด้วย (ต้องเข้าไปตั้งค่าภาษาของเครื่อง PS5 เป็นไทยเท่านั้น เปลี่ยนในเกมไม่ได้) ซึ่งในภาพรวมก็ถือว่าทำได้ไม่แย่มาก แม้ว่าในแง่ของการใช้ภาษาอาจยังมีผิดๆ ถูกๆ และการแบ่งวรรคประโยคแปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ความหมายโดยรวมก็ครบถ้วนดี คำอธิบายต่างๆ ก็เข้าใจง่ายหากจะมีอะไรให้ตำหนิเป็นพิเศษ คงเป็นการที่ในบางช่วงคนแปลอาจไม่เข้าใจว่าตัวละครกำลังพูดกับใคร หรือพูดถึงใคร จึงมักใช้สรรพนามแปลกๆ เช่นเรียกบุคคลที่ไม่ควรเรียกว่า "มัน" หรือเรียกตัวละครผู้หญิงว่า "หมอนั่น" เป็นต้น แต่โดยรวมก็ไม่ได้เยอะมากจนรู้สึกว่าเป็นปัญหามากนักสรุปแม้จะมีรายละเอียดยิบย่อยให้จุกจิกอยู่บ้าง แต่ Marvel’s Spider-man 2 ก็ยังเป็นภาคต่ออันยอดเยี่ยมสำหรับหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของ PlayStation ซึ่งสามารถต่อยอดสูตรเกมเพลย์ของเกมดั้งเดิมได้มากกว่าที่ผู้เขียนคาดหวังเอาไว้ซะอีก แม้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจะมีเกมวางจำหน่ายหลายเกม แต่ Marvel’s Spider-man 2 เป็นเกมเดียวจริงๆ ที่ผู้เขียนเล่นแล้วรู้สึกว่าติดหนึบจนวางจอยไม่ลงเลย
16 Oct 2023
[Review] รีวิวเกม Assassin's Creed Mirage: หวนสู่เกมเพลย์นักฆ่าสูตรต้นตำหรับที่หลายคนต้องการ
หลังจากที่ผันตัวไปสู่แนวเกม RPG มาหลายปี ในที่สุด Assassin’s Creed ก็หวนคืนสู่ตัวตนดั้งเดิมในฐานะเกมนักฆ่าสไตล์ลอบเร้นอีกครั้งใน Assassin’s Creed: Mirage ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ จำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่าเกมภาค RPG ทั้งหลายดูจะตั้งใจหันหลังให้กับตัวตนที่ว่านี้ สำหรับผู้เขียน ในฐานะแฟนเดนตายที่ติดตามเล่นเกม Assassin’s Creed มาทุกภาคตั้งแต่ต้น ต้องยอมรับว่าในแง่หนึ่งผู้พัฒนามีความ “เข้าใจโจทย์” จริงๆ เพราะเกมให้ความรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปเล่นเกมภาคเก่าๆ ที่หลายคนจดจำในฐานะ “ยุคทอง” ของ Assassin’s Creed ตามที่ผู้พัฒนารับปากไว้ แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่ หวือหวา หรือน่าจดจำเป็นพิเศษก็ตามทีเนื้อเรื่องเรื่องราวของเกม Assassin’s Creed: Mirage จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นตัวละคร Basim Ibn Ishaq ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในเกมภาค Valhalla ก่อนหน้านี้ และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเนื้อเรื่อง โดยเกม Mirage จะติดตามเส้นทางชีวิตของ Basim จากจุดเริ่มต้นในฐานะโจรกระจอก ไปสู่ปรมาจารย์แห่งภาคีนักฆ่าที่เรารู้จัก โดยผู้ที่เล่นเกมภาค Valhalla มาก่อนน่าจะรู้ดีว่า Basim ยังมีบทบาทลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างอีกด้วยเมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม Assassin’s Creed หลายภาคที่ผ่านมา ข้อตำหนิหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันคือการที่เนื้อเรื่องเกมมีความยาวและซับซ้อนเกินจำเป็นไปมาก โดยเฉพาะในเกมภาค Valhalla ที่ให้ผู้เล่นต้องติดตามเนื้อเรื่องสงครามอันยุ่งเหยิงระหว่างแคว้นต่างๆ ทั่วแดนอังกฤษ ต่างจากเกมภาคเก่าๆ ที่เนื้อเรื่องมักโฟกัสอยู่กับเรื่องราวของตัวเอกเป็นหลัก การที่เกม Assassin’s Creed: Mirage จำกัดวงเนื้อเรื่องลงมาให้ติดตาม Basim อย่างใกล้ชิดจึงถือเป็นข้อดี ทำให้เนื้อเรื่องติดตามได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมากแต่แม้ว่าเนื้อเรื่องจะติดตามง่าย ผู้เขียนก็รู้สึกว่าตัวละคร Basim ไม่ค่อยจะมีเสน่ห์หรือบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในแบบเดียวกับตัวเอก Assassin’s Creed ยอดนิยมอย่าง Ezio Connor หรือ Edward ซึ่งล้วนมีอุปนิสัย เป้าหมาย และแรงขับที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้ผู้เขียนรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้จนอยากจะติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Mirage ไม่ดีหรืออย่างไร โดยแม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาจนรู้สึกติดขัดรำคาญใจเวลาเล่น และยังติดตามเป็นเรื่องเป็นราวง่ายกว่าเกมภาคที่ผ่านๆ มามาก  เกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกมเมอร์ที่เรียกร้องหา “เกมเพลย์สไตล์ดั้งเดิม” ของซีรีส์ Assassin’s Creed ก็ต้องยอมรับว่า Mirage ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในส่วนนี้ ผู้เขียนพูดได้เต็มปากเลยว่าการเล่นเกมนี้ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเล่นเกม Assassin’s Creed ภาคเก่าๆ ที่คิดถึงเหล่านั้นมาก ด้วยเกมเพลย์ที่เน้นการลอบเร้นอย่างเข้มข้นมากขึ้นในทุกระดับ รวมถึงการถอดระบบ RPG ใหญ่ๆ จากภาค Origin/Odyssey/Valhalla ออกแทบทั้งหมด โดยยังเหลือร่องรอยของ RPG มากพอในส่วนของอาวุธ ชุดเกราะที่ให้โบนัสพิเศษต่างกันเล็กน้อย ให้เกมรู้สึกมีความหลากหลายอยู่บ้างในการปั้นตัวละครพัฒนาการที่สำคัญที่สุดของภาค Mirage คงหนีไม่พ้นระบบต่อสู้ของเกม ซึ่งยังมีอิทธิพลจากเกมภาค RPG ทั้งสามอยู่มากในแง่ของการควบคุม แต่ก็ถูกปรับจูนให้เน้นหนักไปที่การหลบหลีกและปัดป้องการโจมตีและรอสวนกลับมากกว่าการเป็นฝ่ายรุกเสียเอง เพื่อขับเน้นความรู้สึกว่าการต่อสู้เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เท่านั้น เข้ากับแฟนตาซีของการเป็นนักฆ่ามืออาชีพเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ผู้เขียนรู้สึกเช่นนี้น่าจะเป็นตอนที่เล่นเกม Assassin’s Creed: Unity เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว แต่แม้ว่าระบบต่อสู้จะได้รับการพัฒนาขึ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเกมเพลย์การลอบเร้นกลับไม่ได้รู้สึกมีพัฒนาการเท่าที่ควร และยังคงมีจุดอ่อนเดิมๆ ที่เราเคยเห็นมาแล้วในเกมทุกภาคที่ผ่านมา อย่าง A.I. ศัตรูที่ไม่ค่อยฉลาด การออกแบบจุดหลบซ่อนที่จำเจ หรืออุปกรณ์เดิมอย่างระเบิดควัน มีดบิน หรือประทัด ที่ทำงานเหมือนในเกม Assassin’s Creed 2 เป๊ะๆ ซึ่งก็อาจถูกใจผู้เล่นบางกลุ่ม แต่สำหรับบางกลุ่มก็อาจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจำเจขึ้นมาบ้างจุดที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับระบบลอบเร้นของภาค Mirage คงเป็นระบบ Opportunity ที่ยืมมาจากภาค Unity ซึ่งมีลักษณะเป็นภารกิจย่อยๆ แทรกอยู่ในภารกิจใหญ่ที่มักเปิดโอกาสในการลอบสังหารเป้าหมายง่ายขึ้น เช่นการขโมยชุดยามเพื่อปลอมตัว หรือการสร้างความวุ่นวายรูปแบบต่างๆ เพื่อล่อเป้าหมายออกมาในที่แจ้ง ซึ่งก็ทำให้ภารกิจลอบสังหารรู้สึกน่าสนใจมากขึ้นเล็กน้อยในส่วนของการสำรวจ การที่เกมจำกัดแผนที่ลงมาให้ครอบคลุมอาณาเขตรอบๆ กรุงแบกแดด (Baghdad) ทำให้ผู้พัฒนาสามารถวางจุดสนใจต่างๆ ไว้ได้ใกล้กันมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลๆ ระหว่างจุดสนใจบนแผนที่ และช่วยให้ประสบการณ์เล่นเกมโดยรวมรู้สึกลื่นไหลมากขึ้นไปด้วย แม้ว่ากิจกรรมที่มีให้ทำจะไม่ได้หลากหลายเท่าไหร่ก็ตามทีกราฟิก/การนำเสนอจากการเล่นเกมในโหมด Performance บนเครื่อง PlayStation 5 หากจะมีองค์ประกอบใดของเกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าทำได้เกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้ คงจะเป็นในส่วนของกราฟิกเกม ซึ่งแม้ในภาพรวมอาจดีขึ้นจาก Assassin’s Creed Valhalla ไม่มากนัก แต่กลับให้ความรู้สึก “เนี๊ยบ” กว่ากันอย่างรู้สึกได้ (อย่างน้อยก็บน PS5) โดยแทบไม่เห็นบั๊คยิบย่อยที่พบได้ทั่วไปใน Valhalla เลย แถมเกมยังรักษาเฟรมเรต 60FPS ได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้เขียนเล่นด้วย (ยกเว้นในบางคัตซีนที่เหมือนจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 30FPS)หากจะมีอะไรให้ตำหนิ คงเป็นเรื่องที่ว่ากรุงแบกแดดของเกมไม่ค่อยมีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นให้รู้สึกน่าค้นหาเท่าไหร่ โดยเมืองแทบไม่รู้สึกแตกต่างจากเมืองทะเลทรายหลายแห่งที่เราเคยสำรวจมาแล้วในเกม Assassin’s Creed ภาคอื่นๆ เลย เมื่อรวมกับกิจกรรมในเกมที่มีให้ทำอยู่ไม่กี่อย่างจึงไม่ค่อยมีแรงจูงใจให้ผู้เขียนสำรวจเมืองเท่าไหร่ และมักใช้ระบบ Fast Travel หรือระบบ Follow Road เพื่อขี่อูฐไปยังภารกิจถัดไปโดยอัตโนมัติแทนการวิ่งไปมาในเมืองสรุปทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าข้อเท็จจริงหนึ่งที่ลืมไปไม่ได้ในการวิจารณ์ Assassin’s Creed: Mirage คือการที่ครั้งหนึ่งเกมเคยถูกวางแผนให้เป็นส่วนเสริม (expansion) ของเกมภาค Valhalla ก่อนที่จะแยกมาเป็นเกมของตัวเอง ซึ่งก็คงส่งผลไม่มากก็น้อยต่อโครงสร้างหรือรูปแบบในการนำเสนอองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของเกม ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องดูจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงปูพื้น/ประวัติของ Basim ที่รู้สึกรวบรัดรวดเร็วกว่าของตัวละครอื่นๆ มาก ราวกับว่าผู้พัฒนาคาดหวังให้ผู้เล่นรู้จักเขาอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มเกม เช่นเดียวกับระบบเกมเพลย์หรือการออกแบบเมืองแบกแดด ที่อาจไม่ได้มีการวางแผนอย่างลึกซึ้งหรือจริงจังเท่าเกมภาคหลักอื่นๆเมื่อคำนึงถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าแม้เกมจะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่เกมก็ยังประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ Assassin’s Creed สูตรต้นตำหรับที่หลายๆ คนน่าจะคิดถึงกัน ตามที่ผู้พัฒนา Ubisoft ว่าเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน สำหรับคนที่คาดหวังจะเห็นวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงก้าวต่อไปของซีรีส์จริงๆ คงต้องไปรอลุ้นเอาในผลงาน Assassin’s Creed: Red หรือ Hexe ที่กำลังพัฒนาอยู่แทน
04 Oct 2023
[Review] รีวิวเกม My Hero Ultra Rumble เหล่านักเรียนยูเอเปิดศึก Battle Royale กับคุณภาพเกมที่สนุกกว่าที่คิด
จากการ์ตูนชื่อดังของ Shonen Jump อย่าง My Hero Academia สู่เกม Battle Royale ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด มันมีอะไรที่น่าเล่นและแตกต่างกว่าเกมอื่น มาดูกันได้ในรีวิวนี้ของเราเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ อีกหนึ่งความแปลกใหม่ของเกม Battle Royale สำหรับเกมนี้ แน่นอนชัดเจนว่าไม่มีโหมดเนื้อเรื่อง หรือ Single Player เป็นเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยมีสไตล์เป็นเกม Battle Royale แบบจับทีม 3 คน ไม่มีโหมด Solo ดังนั้น การเจอคนนอกที่อาจจะเล่นได้เรื่องบ้าง หรือไม่ได้เรื่องบ้าง นับเป็นเรื่องปกติมาก ทางที่ดี ไหน ๆ ก็เป็นเกมฟรีอยู่แล้ว สามารถลองชวนเพื่อนให้โหลดมาเล่นด้วยกันครบทีมเลยก็ได้จะเวิร์คกว่า และนับตั้งแต่ PUBG จุดกระแสเกมแนว Battle Royale ตั้งแต่ปี 2017 เกมแนวนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอมา และพยายามฉีกตัวเองออกไป จากหาปืนยิงกัน ไปเป็นการสู้กันด้วยวิธีอื่นเรื่อย ๆ My Hero Academia ก็จะเข้าข่ายการต่อสู้กันที่ผสมผสานกันทั้งระยะประชิดและระยะไกล ข้อดีคือวัตถุดิบที่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว เพราะเกมนี้ตัวละครทุกตัวจะอิงตามการ์ตูน คือแต่ละคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า "อัตลักษณ์" ให้ใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นเกมอื่นมันก็เหมือนกับ Hero Shooter นั่นแหละ ดังนั้นรับรองว่าความสนุกไม่แพ้กับเกม Battle Royale อื่น ๆ แน่นอน โดยตัวเกมจะรองรับการเล่นแบบทีม 3 คนเท่านั้น แบ่งเป็น 8 ทีม รวมแล้ว 24 คนต่อเกม 1 รอบBattle Royale ยุคใหม่ เน้นเกมไว จบไว จัดเต็ม Live Services !นับตั้งแต่การมาถึงของ PUBG หลายคนอาจจะมองว่า PUBG เป็นเกม Battle Royale ที่ต้องใช้เวลาในการเล่นพอสมควร จะขยับตัวแต่ละทีก็ต้องวางแผน ป้องกันการส่งเสียง หรือกลัวศัตรูดัก แต่เกมสมัยใหม่จะเน้นให้ผู้เล่นเข้าปะทะกันมากกว่าที่จะมานั่งหลบ ๆ ซ่อน ๆ แน่นอนว่า My Hero Ultra Rumble เอง ด้วยฉากหลังที่เป็ฯโรงเรียนฮีโร่ จะมานั่งหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันก็ใช่เรื่อง เกมนี้เขาเลยเน้นสาดพลัง สู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย วัดกันไปเลยว่าใครเก่งกว่ากันสำหรับโหมดเกมตอนนี้จะมีอยู่เพียง 2 โหมด คือโหมด Unranked และ Ranked โดยเกมจะมีขั้นตอนการหาห้องที่ค่อนข้างแปลก นั่นคือเราจะต้อง Matchmaking หาสมาชิกร่วมทีมก่อน จากนั้นทุกคนจะต้องกด Ready เกมถึงจะเริ่มต้นค้นหาห้องการแข่งขันให้เรา โดยใน 1 ทีมจะมี 3 คน แต่เราไม่สามารถเลือกเล่นตัวละครตัวเดียวกันได้่ ต้องมีคนใดคนหนึ่งยอมเปลี่ยน และตามสไตล์เกม Battle Royale ยุคใหม่ นั่นคือเราไม่จำเป็นจะต้องโดดร่มลงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ในช่วงเริ่ม เกมจะให้เราเลือกจุดที่จะ Landing ลงไป และเมื่อเวลานับถอยหลังหมดลง เราจะเกิดตรงนั้นทันที พร้อมกับเผยตำแหน่งทีมศัตรูอื่น ๆ ในเกมด้วย ทำให้เราสามารถเลือกได้เลยว่า จะหนีไปฟาร์มของก่อน หรือจะงัดนัวศัตรูเลย ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนของผู้เล่นเองฮีโร่แต่ละตัวจะมีการโจมตีทั้งหมด 4 รูปแบบ คือการโจมตีปกติหรือ Melee ที่ทุกตัวสามารถทำได้ นอกนั้นอีก 3 สกิลจะเป็นสกิลอัตลักษณ์ของตัวเองทั้งสิ้น อัตลักษณ์ของฮีโร่แต่ละคนจะสามารถอัปเกรดระหว่างเกมได้สูงสุดที่เลเวล 9 ทุก ๆ การอัปเกรดเลเวล 5 กับ 9 จะส่งผลให้ขนาดของการโจมตีและพลังโจมตีพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเราสามารถอัปเกรดสกิลได้จากการตามหา Power Card ในระหว่างเกมการเล่น โดยมักจะเปิดได้จากหีบสมบัติสีทองที่ต้องใช้เวลาในการเปิด โดยจะสุ่มดรอป 1-3 ใบ แล้วแต่ดวง หรือถ้าเป็นหีบสมบัติขนาดใหญ่ก็มีโอกาสได้ไอเทมหลากหลายอย่าง เปรียบเสมือน Supply Drop ของเกมนี้ หัวใจสำคัญของเกมนี้คือการอัปเกรด Power Card เพราะฝีมือดีแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้การโจมตีที่รุนแรงและเหนือกว่าได้ หากเป็นเลเวลใกล้ ๆ กันยังพอว่า แต่ถ้าเป็นสกิลเลเวล 5 หรือ 9 ขึ้นไป ความแรงจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีสกิลและความสามารถพิเศษเฉพาะ ซึ่งก็จะอิงจากในการ์ตูนด้วย เช่น อุรารากะ โอชาโกะ ที่มีความสามารถในการลดแรงโน้มถ่วงให้กับทีม ทำให้กระโดดลอยตัวได้ หรืออาซุยที่ใช้ลิ้นกบเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้กับตัวเองเป็นต้น ดังนั้นเราแนะนำว่า ศึกษาความสามารถของแต่ละตัวละครเอาไว้ให้ดีก่อนหยิบเลือกตัวอะไรก็ตามนอกจาก Power Card แล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Ability Card สำหรับ Ability Card นั้น จะมาในรูปแบบของการ์ดตัวละครตัวต่าง ๆ ทั้งหมดในเกม โดยหากเป็นการ์ดตัวละครตัวเดียวกับที่เราเล่นอยู่ การเก็บ Ability Card จะเป็นการเพิ่มสกิลอัตลักษณ์ของเราทันที แต่ถ้าเป็น Ability Card ของตัวละครอื่นนั้น จะเป็นการเพิ่มบัฟพิเศษแบบกดใช้ให้เรา ยกตัวอย่างเช่น หากเราเก็บการ์ดของอีดะ เท็นยะ มา จะได้ความสามารถความเร็วเคลื่อนที่ 10% เมื่อกดใช้ และหากเราเก็บการ์ดใบเดิมซ้ำอีก ก็จะเป็นการอัปเกรดขั้นให้กับความสามารถนั้น ๆ แต่เชื่อเถอะว่า โอกาสเก็บซ้ำได้นั้น น้อยมาก เพราะตัวละครเกมนี้ถือว่าเยอะพอตัว จึงมีโอกาสสุ่มได้การ์ดที่แตกต่างกันไป และ Ability Card นี้ เราสามารถติดตั้งลง Shortcut ได้ 3 อย่าง แต่ปกติแล้ว อีกช่องนึงเราจะเผื่อไว้ใส่ยาฟื้นพลังมากกว่า ก็นับเป็น 2 ช่องไป เมื่อถึงเวลาก็อย่าลืมกดใช้งานก็พอและด้วยความที่เราเป็นนักเรียนโรงเรียน U.A. สิ่งที่ต้องทำคือ การช่วยเหลือประชาชน เพราะเราเป็นฮีโร่ ตรงนี้เกมก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ต้องบอกว่า เข้าใจคิดสุด ๆ ในเกมนี้ บางพื้นที่ที่เป็นพื้นที่อุบัติเหตุ อย่างเช่นโซนตึกถล่ม หรือตึกไฟไหม้ จะมีประชาชนทั่วไปที่บาดเจ็บ นอนโอดโอยอยู่ที่พื้น โดยหากเราเข้าไปช่วยเหลือจะได้รับไอเทมพิเศษ อย่างแรกคือ Potion ระดับเทพ Potion ที่ว่านี้ เมื่อเรากดใช้งาน ทั้งทีมจะได้ผลประโยชน์ไปด้วย ! แม้จะใช้เวลาในการใช้งานนานก็ตาม โดยจะเป็นการฟื้นค่าเกราะและพลังชีวิตแบบเต็ม 100% ดังนั้นต้องบอกว่า มีติดตัวไว้สักขวดสองขวด อุ่นใจแน่นอน หากใครสักคนบาดเจ็บระหว่างไฟท์ อีกคนสู้อยู่ เรากดใช้ เลือดเกราะเด้งเต็ม ยังไงก็ได้เปรียบกว่าเห็น ๆ ส่วนอีกอย่างที่ประชาชนจะมอบให้เราคือ Revive Card เจ้าการ์ดนี้เปรียบเสมือนเครื่องชุบชีวิตเพื่อนร่วมทีม โดย Revive Card จะมีสองแบบ สีดำกับสีชมพู ส่วนมากการช่วยประชาชนจะดรอปเป็นสีดำมาให้เป็นส่วนใหญ่ หากเราสะสมการ์ดสีดำได้ครบ 3 ใบ มันจะกลายเป็นสีชมพู 1 ใบทันที ซึ่งใบสีชมพูจะเป็นใบที่ใช้งานได้ อธิบายง่าย ๆ สีดำคือเศษนั่นแหละ สะสมครบก็ใช้งานได้แล้ว ส่วนของการชุบชีวิตเพื่อนที่ตายไปนั้นก็ทำได้ง่ายกว่าเกมอื่น ขอเพียงมี Revive Card สีชมพูติดตัวไว้ เราจะชุบชีวิตเพื่อนเราตรงไหนก็ได้ เป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เพราะเราสามารถไปหลบเนียน แอบชุบตามจุดต่าง ๆ ได้อย่างสบาย ๆ เป็นอีกระบบที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีในด้านภาพรวมของเกมการต่อสู้ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีและสนุกเอาเรื่องเลย เพียงแต่ว่ามันมั่วเกินไปเท่านั้น และสกิลของแต่ละตัวละครก็ถือว่าทำออกมาได้เดือดมาก อย่างเช่นการโจมตีของบาคุโก ที่เป็นเหมือนการยิงปืนสไนเปอร์ที่แรงมากออกไป แต่เกมนี้การโจมตีปกติจะมีคูลดาวน์ของมันเหมือนกับการยิงอาวุธ ดังนั้นหากเราใส่มั่ว กดมั่ว รับรองว่าถึงเวลาสำคัญ ไม่มีสกิลใช้งานแน่ ๆ และ Movement การเคลื่อนไหวของตัวละครก็ถือว่าเร็ว โดยเฉพาะตัวละครสาย Rapid อย่างอีดะที่เคลื่อนไหวได้เร็วมาก ๆ เกมนี้ต้องใช้สกิลเพลย์ในด้านการเล็งและการยิงอยู่พอสมควรเลยนอกจากนั้นตัวเกมก็จัดเต็มความเป็นเกม Live Services ด้วยระบบอย่าง Battle Pass ที่มาในรูปแบบของ License ที่จะมีทั้งไอเทมต่าง ๆ ให้ปลดล็อครวมไปถึงตัวละครและฮโร่บางคนด้วย และมีระบบเติมเงิน เพื่อปลดล็อคของแต่งตัว หรือกล่องกาชาที่มีสกินระดับ Limited ให้ได้เก็บสะสมกัน แต่ปัญหาของเกมนี้เองก็มีเยอะเอาเรื่องอย่างแรกเลยคือเรื่องของสกิน เกมนี้ถือเป็นเกมที่มีการออกแบบสกินห่วยมาก สกินระดับ 3 ดาวคือสกินที่เอาตัวละครมาคลุกฝุ่น บาดเจ็บ ซึ่งมันไม่น่าเก็บสะสมเอาซะเลย แถมยังใช้คูปองสุ่มที่เยอะกว่เากมอื่น ๆ ถ้าเทียบกับเกมแนวเดียวกัน และที่สำคัญเลยคือ UX/UI ของเกมนี้ออกแบบมาได้ค่อนข้างแย่ กว่าจะรู้เรื่องว่าอะไรคืออะไร เมนูที่เราอยากรู้ อยากเห็น หรือจำเป็นต้องใช้ อยู่ส่วนไหน ก็ทำเอางงกันไม่น้อยเลย ซึ่งตัวเกมน่าจะต้องขัดเกลากันอีกพอสมควรยังมีเรื่องของสมดุลฮีโร่ที่เรียกได้ว่ามีปัญหาอย่างชัดเจน บางตัวก็โหดเกินหน้าเกินตาตัวอื่น ๆ มาก อย่างเช่นบาคุโก ที่ยิงแรงเกินใคร หรือบางตัวที่เล่นได้ยากมาก อย่างเช่นดาบิเป็นต้น บางตัวเป็นฮีโร่สายสนับสนุน ถือว่าเอาตัวรอดได้ยากมาก เวลาคลุกวงใน ดู ๆ แล้วเกมนี้ต้องขัดเกลากันอีกเยอะในด้านของ Balance ตัวละครแต่ถึงอย่างไรก็ตาม My Hero Ultra Rumble ถือเป็นเกมที่มี Potential ค่อนข้างสูงมาก ต่อจากนี้อยู่ที่ทีมพัฒนาแล้ว ว่าจะใส่คอนเทนต์อะไรใหม่ ๆ เข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน และประคองยอดผู้เล่นไปให้ไกลได้มากน้อยเพียงใด แต่ตอนนี้ใครอยากลองโหลดมาเล่น จัดได้เลย ทั้งบน PC และ Console
29 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Daymare: 1994 Sandcastle ไอเดียดีงาม แต่ดันตกม้าตายซะงั้น
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนได้มีแฟนเกมกลุ่มนึงนามว่า Invader Studios ที่ได้ลองทำ Demo เกมสยองขวัญในอดีตชื่อดังอย่าง Resident Evil 2 ที่เป็นฉบับ Fanmade ซึ่งคลิปวิดีโอนั้นก็ทำให้ถูกพูดถึงไปทั่วโลก และสร้างกระแสอยากให้เกมนี้ออกมาจริง ๆ จนในที่สุดภายหลังทางผู้พัฒนาเกมอย่าง Capcom ก็ได้สั่งให้ทางสตูดิโอรายนี้ยุติการพัฒนาเพื่อที่ทางเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริงพัฒนาเกมเวอร์ชันจริงออกมา แต่ก็ยังให้ทาง Invader Studios ให้คำแนะนำจนในที่สุดตัวเกม Resident Evil 2 Remake ก็ได้วางจำหน่ายออกมาอย่างเป็นทางการในปี 2019 และมันก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นทาง Invader Studios ที่พัฒนาเกมตัวนี้มาระยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้นำโปรเจกต์นี้เปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นเกมที่ชื่อว่า Daymare: 1998 และตัวเกมก็ค่อนข้างได้รับคะแนนวิจารณ์บนร้านค้า Steam ในแง่บวกอย่างมาก จนในปี 2023 ตัวเกมภาคต่อก็กลับมาอีกครั้งโดยใช้ชื่อว่า Daymare: 1994 Sandcastle โดยจะเล่าเรื่องราวก่อนหน้าของเกมภาคแรก และในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบว่าตัวเกมนี้จะดีงามเท่าภาคแรกหรือไม่กราฟิกสำหรับตัวกราฟิกตัวเกมก็จะยังใช้ขุมพลังอย่าง Unreal Engine 4 ดั่งที่ใช้ในเกมภาคที่แล้ว ต้องยอมรับว่าตัวกราฟิกก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมใด ๆ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมซีรีส์นี้ก็คือการเล่นกับความมืด ความน่ากลัว ด้านของเสียงที่พร้อมจะทำให้เราตกใจได้ทุกเมื่อ ซึ่งในภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงสิ่งน่ากลัวเอาไว้ ส่วนสิ่งที่ทำได้ดีมากขึ้นจากเกมภาคก่อนก็คงจะเป็นด้านแอนิเมชันของศัตรูที่มันไม่ดูเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนในภาคแรกแล้ว ศัตรูค่อนข้างมีแอนิเมชันที่สมจริงมากขึ้น และดูน่ากลัวมากขึ้นด้วยเนื้อเรื่องสำหรับเรื่องราวของเกมจะย้อนกลับไป 4 ปีของเกมภาคแรก ติดตามเรื่องราวของ Dalila Reyes เจ้าหน้าที่หน่วย H.A.D.E.S ที่ได้รับหน้าที่ในการเข้าไปยังพื้นที่ Area 51 ศูนย์วิจัยลับของอเมริกาที่เกิดเหตุบางอย่าง และพวกเขาจะต้องพบเจอกับสิ่งน่ากลัวสุดสยองที่นั่นโดยการดำเนินเรื่องของตัวเกมก็จะมีความเรียบง่ายที่เรานั้นจะได้รับภารกิจบางอย่าง พบเจอกับศัตรูสุดเซอร์ไพรส์ และเรื่องราวก็จะค่อย ๆ เข้มข้นไปเรื่อย ๆ และเราเองก็จะรู้ความจริงไปเรื่อย ๆ ซึ่งตัวเนื้อเรื่องเองก็ทำออกมาได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย เกมเพลย์สำหรับเกมเพลย์ในภาคนี้ผู้พัฒนาทำการปรับเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างเยอะะมาก และแตกต่างจากเกมภาคแรกอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นศัตรูตัวใหม่ที่ในภาคนี้จะไม่ใช่ซอมบี้เหมือนในภาคที่แล้ว แต่จะเป็นเหมือนลูกไฟสายฟ้า ที่สามารถปลุกชีวิตศพให้เข้ามาโจมตีคุณได้ และศัตรูในภาคนี้ก็จะมีความดุร้ายมากกว่าเดิม ทั้งวิ่งเร็ว โจมตีเร็วจนเราแทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว หนึ่งในกลไกการต่อสู้ของเกมที่ถูกใส่เข้ามาเป็นฟีเจอร์หลักก็คืออุปกรณ์การพ่นไอเย็นแช่แข็งศัตรู อย่างที่กล่าวไปว่าศัตรูหลักของเกมนั้นคือลูกกลม ๆ สายฟ้า ที่มันนสามารถไปสิงศพให้ลุกมาไล่ตีเราได้ ซึ่งต่อให้เราจัดการศพเหล่านั้นได้ เจ้าลูกไฟฟ้าก็สามารถที่จะวิ่งไปสิงศพอื่นและเกิดขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน ทำให้จังหวะนั้นเราจำเป็นจะต้องใส่ไอเย็นในการโจมตีมันให้หายไปได้ด้วยนอกจากนี้ตัวลูกไฟฟ้าก็ยังมีตัวพิเศษที่จะเป็นไฟฟ้าสีแดง ซึ่งเราจะต้องใช้วิธีพืเศษในการจัดการกับพวกมัน เพราะศัตรูไฟฟ้าสีแดงจะทนทานต่อกระสุนต่าง ๆ ของเราถ้ายิงไปตรง ๆ แต่เราจะต้องใช้ไอเย็นในการแช่ให้ศัตรูแข็งเสียก่อน เราถึงจะสามารถจัดการมันได้นั่นเอง ทำให้การต่อสู้หลัก ๆ ของเกมนี้เราจะต้องผสมผสานการเล่นระหว่างการใช้อาวุธปืน และการใช้ที่แช่แข็งในการต่อสู้กับเหล่าศัตรูนอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีระบบการไขปริศนาต่าง ๆ ที่เราจะต้องไปหาอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนบางอย่างเพื่อทำการปลดล็อคพื้นที่ต่อไป หรือในระหว่างนั้นก็จะมีปริศนาให้เราได้ไข แก้ Puzzle บางอย่าง และมันก็ไม่ยากจนเกินไป ความรู้สึกหลังเล่นหลังจากที่เล่น Daymare: 1994 Sandcastle มาต้องยอมรับในด้านของบรรยากาศของเกมผู้พัฒนาทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลย ทั้งเสียงหลอดไฟระเบิดที่มันสามารถ Jump Scare เราได้ การเล่นกับความมืดที่ค่อนข้างดี แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็มีข้อเสียที่ค่อนข้างใหญ่มากก็คือแอนิเมชั่นของตัวละครที่ค่อนข้างเงอะงะ แถมศัตรูในเกมภาคนี้ก็ค่อนข้างที่จะวิ่งเร็ว จู่โจมเร็วกว่าเดิม ทำให้การเล่นต่าง ๆ มันค่อนข้างติดขัด ไม่สมูท และหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จนทำให้ไอเดียเกมเพลย์เจ๋ง ๆ กลายเป็นแย่เลยทีเดียว
26 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Lies of P จักรกลผจญเมืองคลั่ง เกมโซลแต่เปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวเองที่สนุกไม่แพ้กัน
หลังจากรอคอยกันมาอย่างยาวนาน เกม Souls-like ที่มีตัวเอกหน้าหล่อ แถมยังเป็นการหยิบเอาเรื่องราวของพินอคคิโอมาตีความใหม่แบบเข้มข้นขึ้นอย่าง Lies of P ก็ได้ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และเกมนี้จะเป็นยังไง คุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่ มาดูกันได้ในรีวิวของเรา ภารกิจผจญเมืองคลั่งปกติแล้วเกมสไตล์โซลแบบนี้ มักจะมีเนื้อเรื่องแบบดารค์แฟนตาซียุคกลาง แต่ Lies of P ขอแหวกด้วยการหยิบยืมเอานวนิยายชื่อดังของโลกอย่าง The Adventures of Pinocchio ที่เล่าเรื่องราวของ Pinocchio หุ่นเชิดที่แตกต่างจากหุ่นเชิดตัวอื่น ๆ ในเกมนี้ เหล่าหุ่นเชิดถูกประดิษฐ์ขึ้นในเมือง Krat เมืองนี้ได้ค้นพบแหล่งพลังงานที่เรียกว่า Ergo และหุ่นเชิดก็ถูกใช้เป็นแรงงานเยี่ยงทาสเพื่อให้ทำงานให้กับมนุษย์ และเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิด Geppetto จึงคอยสั่งสอนและโปรแกรมเหล่าหุ่นเชิด เพื่อไม่ให้โกหกหรือโจมตีพวกมนุษย์ แต่ท้ายที่สุดเหล่าหุ่นเชิดก็ก่อกบฎ เมือง Krat กลายเป็นนรกบนดิน ซ้ำร้ายยังเกิดโรคระบาดปริศนา ที่คนจะค่อย ๆ ตาบอด และกลายเป็นหิน แถมบางทีก็ทำให้กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดสุดสะพรึงได้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Pinocchio ที่ตื่นมาบนขบวนรถไฟร้าง ตอนนี้ในเมือง Krat โดนพวกหุ่นเชิดก่อกบฎและยึดเมืองนี้เอาไว้แล้ว เราจะได้เดินทางไปถึงโรงแรม Krat และเจอกับหญิงสาวชื่อ Sophia และเราจะได้เริ่มต้นการผจญภัยครั้งนี้ หลัก ๆ เลยคือการตามหาผู้สร้างของเราอย่าง Geppetto และหาตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อกบฎในครั้งนี้หากเทียบกับเกม Souls เกมอื่น ๆ หรือโดยเฉพาะกับต้นฉบับอย่าง FromSoftware นั้น Lies of P ถือว่าเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างกว่ามาก แต่เราอาจจะต้องใช้เวลาในการตามหาเอกสาร อ่านบทสนทนา หรือพยายามออกสำรวจมุมเล็ก ๆ ต่าง ๆ ของเมือง จะมีไฟล์เอกสาร และข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยบอกเล่าและขยายสถานการณ์ของตัวเกมและโลกในเกมเข้าไปให้ ดังนั้นขอแค่ผู้เล่นสำรวจ และอ่านให้เยอะ ยังไงก็รับรู้เรื่องราวของเกมแน่นอน ไม่ได้เหมือนเกมตระกูลโซลที่หลายอย่างจะปิดไว้ให้ผู้เล่นไปสำรวจ หรือตีความต่อเอาเอง และจังหวะการเล่าเรื่องของเกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี มีความสับสนน้อยกว่าเกมอื่น ๆ และเล่าเรื่องแบบเส้นตรงซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การจะเล่นเกมนี้ให้ครบจบสมบูรณ์นั้น จำเป็นจะต้องเล่นไม่ต่ำกว่า 3 รอบด้วยกัน และแต่ละรอบ การตัดสินใจสำคัญ ๆ จะมีส่วนที่ส่งผลกับตอนจบ ซึ่งการตัดสินใจสำคัญ ๆ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือความรากเลือดของเกมนี้ที่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน และนี่แหละคือระบบเกมเพลย์ของเกมนี้มนตร์เสน่ห์แห่งเมืองคลั่งที่ผสมความหลอนเอาไว้ได้อย่างลงตัวก่อนจะเข้าไปในเรื่องเกมเพลย์นั้น มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือเรื่องของบรรยากาศและการนำเสนอของเกมนี้ นับตั้งแต่เกมเปิดตัว หลายคนก็นำเกมนี้ไปเทียบกับสุดยอดเกม Souls-like ในตำนาน ที่อายุอานามใกล้ 10 ปีเข้าไปแล้ว อย่าง Bloodborne เพราะความเป็น Dark Fantasy หรือ Gothic มืด ๆ หม่น ๆ เหมือนกัน จนกระทั่งเกมเต็มออกวางจำหน่าย เราก็รู้สึกว่า เกมนี้มีหลายอย่างที่ได้ Bloodborne เป็นแรงบันดาลใจจริง ๆ นับตั้งแต่บรรยากาศไปจนถึง NPC บางตัวเมือง Krat ที่เป็นเมืองสมมติขึ้นมา แต่ดูแล้วก็น่าจะได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากยุควิคตอเรียนของอังกฤษ ทั้งสถาปัตยกรรมรูปแบบต่าง ๆ สิ่งของ ตึก อาคาร เหมือนเราได้ย้อนไปเที่ยวอังกฤษยุคเก่ากันอีกครั้ง ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ใครชอบเกมที่มีการดีไซน์ฉากหรือเมืองสวย ๆ รับรองว่าชอบเกมนี้ นอกจากนั้น แม้เกมนี้จะไม่มีระบบกลางวัน กลางคืนแบบ Fix แต่การไปในแต่ละสถานที่ อาจจะเกิดช่วงเวลาขึ้นแบบสุ่ม เช่นเป็นช่วงกลางคืนแบบเต็มตัว เป็นช่วงเย็นที่แสงอาทิตย์กำลังโพล้เพล้ หรือเป็นช่วงกลางวันที่เมฆหมอกหนา ระบบนี้ทำให้การเล่นเกมของเรามีอรรถรสมากยิ่งขึ้น หรือเปลี่ยน Mood ของเกมกันไปเลย อย่างเช่นการไปเจอศัตรูสุดสยองในช่วงเวลากลางคืนก็แทบจะเปลี่ยนให้เกมกลายไปเป็นเกม Horror เลยก็ว่าได้ หรือถ้าไปเจอฝูงศัตรูหุ่นยนต์ตอนกลางวัน ก็อาจจะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเกมแอ็คชั่นทั่วไป ระบบนี้ถือว่าเวิร์คมาก และอาจจะมีค่ายอื่น ๆ หยิบไปสานต่อเพิ่มในภายหลังได้ การออกแบบและดีไซน์แผนที่ ใครที่เคยเล่นพวกเกมตระกูล Souls ก็น่าจะเข้าใจได้ดี มันจะเป็นทางเดียวไปต่อเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะไปเจอบอสหรือศัตรูระดับ Elite ซึ่งถ้าเราจัดการมันลงได้ อาจจะเป็นการปลดล็อค Shortcut หรือทางลัดให้เส้นทางเชื่อมต่อกันอย่างง่าย ๆ ตามสไตล์ของเกมแนว Souls-like และนอกจากนั้น บางฉากยังดีไซน์ฉากแบบแนวดิ่ง ผสมแพลตฟอร์ม คือผู้เล่นจะต้องค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นที่สูงไปเรื่อย ๆ เพื่อไปต่อ และมีอุปสรรคเป็นฉาก รวมไปถึงศัตรู บางทีขึ้นไปสูงมาก แต่โดนสกัดตกลงมาตาย หรือร่วงลงมาที่แรก ก็แทบจะกลายเป็นความพยายามอันไร้ค่า นอกเสียจากการเรียนรู้ ทำให้เกมนี้ หัวอุ่นกับศัตรูไม่พอ ยังต้องมาหัวอุ่นกับฉากอีกด้วย และเกมนี้ค่อนข้างจะท้าทายฝีมือผู้เล่นอยู่พอสมควร เพราะจุด Stargazer ที่เปรียบเสมือนกับ Bonfire หรือ Checkpoint นั้น จะค่อนข้างอยู๋ไกลจากจุดไปต่อมากพอสมควร ดังนั้นในเรื่องความยากและความท้าทายนั้น Lies of P ไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ และใครที่หลงทางง่าย อาจจะมีปัญหากับระบบแผนที่ในเกมนี้กันซะหน่อย นอกจากเกมนี้จะไม่มีแผนที่เพราะเป็นปกติของเกมแนวนี้อยู่แล้ว แต่ในช่วงกลางเกมขึ้นไป แผนที่จะค่อนข้างมีความซับซ้อนมาก เราจำเป็นจะต้องอาศัยความจำของตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ อุปสรรคระหว่างฉากก็ไม่ได้มีแค่ศัตรู เราอาจจะเจอกับดัก เจอบ่อพิษ เจอศัตรูปาระเบิดไฟใส่จนติดสถานะต่าง ๆ เรียกได้ว่า กว่าจะฝ่าจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งได้ อาจรีดเอาพลังงานคนเล่นมาใช้จนหมดเลยทีเดียวแต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถือว่า Lies of P นั้น ออกแบบเกมมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในส่วนของบรรยากาศตัวเมือง และระบบการเล่น และส่วนต่อไปคือ Gameplay ที่ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยมเกินความคาดหมายแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม แต่ก็ใส่ความเป็นตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่ปกติแล้ว เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตระกูล Souls ส่วนมากจะหนีไม่พ้นเรื่องของความยากเป็นทุนเดิม และไม่ค่อยต่อยอดอะไรใหม่ ๆ เข้าไปมากนัก แต่ Lies of P สรรหาวิธีใหม่ ๆ ที่จะทำให้การเล่นของผู้เล่นสนุกขึ้น แต่ยังคงไว้ลายซึ่งความยากชนิดปาจอยทิ้งและชวนถอดใจอย่างมาก อย่างแรกที่ต้องเรียนรู้กันก่อนเลยก็คือ ระบบการป้องกันและการ Parry ของเกมนี้ ที่วัดฝีมือผู้เล่นอย่างมาก การกดป้องกันอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้ผู้เล่นรอดจากการโดนดาเมจ เพราะพลังชีวิตของเราจะลดลง และหลอดเลือดจะขึ้นเป็นสีเทา ๆ อยู่ ระบบนี้จะคล้าย ๆ กับ Bloodborne โดยหากเรารีบเข้าไปโจมตีคืนในช่วงที่หลอดพลังชีวิตเป็นสีเทา ๆ อยู่นั้น เราจะมีโอกาสได้พลังชีวิตคืน ดังนั้นหากคุณ Perfect Parry ไม่เก่ง หากโดนโจมตีแล้วก็ต้องรีบสวนคืนเพื่อชิงเอาพลังชีวิตคืนมาส่วนอีกแบบหนึ่งคือระบบ Perfect Parry การจะกดป้องกันด้วยระบบนี้ คือผู้เล่นจะต้องกดป้องกันในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ศัตรูโจมตีเข้ามาแบบเป๊ะ ๆ 100% ห้ามช้ากว่าหรือเร็วกว่า เสี้ยววินาทีก็ไม่ได้ หาก Perfect Parry ติดจะเกิดเป็นแสงและเสียงสีแดงที่เห็นได้ชัดเจนมาก การป้องกันประเภทนี้ผู้เล่นจะไม่ได้รับดาเมจใด ๆ เลย และมีโอกาสที่จะเป็นการทำลายอาวุธของศัตรูอีกด้วย แต่การ Perfect Parry นี้ก็ถือว่าทำได้ยากเอาเรื่อง สำหรับคนที่เป็นมือใหม่เกมตระกูลนี้ อาจจะต้องฝึกและเรียนรู้กันพอสมควร และเกมนี้ยังมีระบบหลากหลายอย่างที่เกมโซลเกมอื่นไม่มี ยกตัวอย่างเช่นระบบผสมอาวุธ โดยระหว่างการผจญภัย หากเราออกสำรวจหรือสังหารบอสลงได้ ก็มีโอกาสที่จะได้รับอาวุธเป็นเซ็ต โดยจะแบ่งเป็นส่วนของหัวอาวุธและด้ามอาวุธ เราสามารถสลับส่วนหัวและด้ามไปให้กับอาวุธชิ้นใดก็ได้แล้วแต่ความสะดวก แต่ก็ต้องดูเรื่องของการคำนวณค่าสเตตัสว่าเมื่อผสมอาวุธกันไปแล้ว จะยังสามารถใส่เพื่อใช้งานได้หรือไม่ ระบบนี้ทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่นเป็นอย่างมาก โดยอาวุธก็จะมีหลายแบบ ทั้งแบบคม แบบทื่อ แบบใหญ่ แบบเล็ก การใช้อาวุธที่ต่างกันจะส่งผลต่อน้ำหนักตัวละคร รวมไปถึงการใช้ Stamina ในแต่ละครั้งที่เราโจมตีด้วย นอกเหนือไปจากนั้นเราสามารถพกของใน Extra Bag ไปได้อีก 4 ชิ้น โดยจะเป็นทั้งของขว้างระยะไกลที่จะช่วยให้เรากำจัดศัตรูที่เกินระยะการโจมตี หรือจะเป็นไอเทมน้ำยาบัฟ หรือลบล้างสถานะต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นจะบริหารจัดการอย่างไรและเกมนี้เราจำเป็นจะต้องคอยซ่อมแซมอาวุธของตัวเองตลอดเวลา อย่าตีเพลินจนลืมดู เพราะถ้าอาวุธพังจนหลอดแดง เราจะไม่สามารถใช้เลื่อยยนต์ที่ติดตัวอยู่ซ่อมอาวุธได้ ต้องกลับไปซ่อมที่ Stargazer เท่านั้น แต่เราสามารถพกอาวุธติดตัวเอาไว้ได้ 2 ชิ้น และกดสลับได้ง่าย ๆ จากหน้าเมนูตัวละคร แต่ทางที่ดีอาวุธไหนใช้เป็นหลักก็พยายามอย่าให้มันพังระหว่างทางจะเล่นได้ง่ายกว่า และอีกทีเด็ดของเกมนี้คือระบบ Legion Arm หรืออาวุธแขนกลที่ติดอยู่ที่มือซ้ายของตัว Pinocchio โดย Legion Arm นี้จะมีหลายแบบให้เราได้เลือกใช้งาน และมันจะมีความสามารถที่ต่างกันออกไปด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ Arm ไหน โดย Arm แต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติในการใช้งานไม่เหมือนกัน บางประเภทเน้นทำดาเมจ บางประเภทเน้นขัดจังหวะศัตรูและสร้างสถานะพิเศษ ดังนั้นการคอมโบระหว่างอาวุธที่เหมาะสมกับ Arm ที่ดี อาจจะทำให้เกมนี้เล่นได้สะดวกสบายมากขึ้น และแน่นอนว่าทั้งอาวุธและ Legion Arm และทั้งอาวุธและ Legion Arm นั้น สามารถเก็บ Ergo หน่วยเงินของเกมนี้มาอัปเกรดได้ทั้งหมดสิ่งแรกที่เราแนะนำในการเข้ามาเหยียบเกมนี้เลยคือ พยายามเรียนรู้ที่จะใช้ Perfect Parry หรือการตั้งการ์ดก่อน เพราะเกมนี้จะมีระบบที่ต่างไปจากเกมโซลเกมอื่น ๆ หากเราเอาหน้าไถโดยไม่รู้อะไรเลย รับรองว่ายังไงก็ไม่รอด บอสไฟท์แต่ละตัวยังมาพร้อมกับมหึมายิ่งใหญ่ตามสไตล์เกมประเภทนี้ แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้าย การ Perfect Parry นั้น ถือว่าปรับปรุงมาได้ดีจากช่วง Demo รวมไปถึงมีจังหวะ i-Frame ให้ได้พักหายใจหายคอกันได้เยอะขึ้น แต่ยังคงต้องระวังค่าสถานะพิเศษที่มาจากแหล่งต่าง ๆ อย่างเช่นการ Overheat ที่มาจากการติดไฟ ที่จะลดพลังชีวิตเราไปเรื่อย ๆ หรือแสบมาก ๆ อย่าง Decay ที่เมื่อโดนจนเต็มหลอด มันจะกัดกร่อนความคงทนของอาวุธเราไปเรื่อย ๆ ดังนั้นก่อนออกรบจากจุด Checkpoint ที่ต้องเตรียมเลยคือพวกน้ำยาลบล้างสถานะต่าง ๆ เพราะถ้าโดนขึ้นมาแล้วไม่มียาแก้ เกมจะเล่นยากขึ้นอีกหลายเท่าลูกเล่นอื่น ๆ ที่ช่วยให้เราต่อสู้ได้ก็ยังมีทั้งการเคลือบธาตุอาวุธ โดยใช้ไอเทมพิเศษ ที่จะช่วยทำให้อาวุธของเราสามารถสร้างดีบัฟเอฟเฟกต์ให้กับศัตรูได้ด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นช็อตไฟฟ้า หรือเผาศัตรู ซึ่งสถานะส่วนมากก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ศัตรูทำใส่เราได้ เพียงแต่พอเราทำใส่ศัตรูบ้าง ก็เหมือนโดนเนิร์ฟลงซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ระบบนี้เป็นการบอกเราว่า หนทางชนะไม่ได้มีแค่การเอาหน้าเข้าไปไถ ปะทะกับศัตรูโดยตรง เราสามารถใช้ทริค เทคนิค Legion Arm และสกิลต่าง ๆ ผสมผสานกันเป็นสุดยอดการโจมตีที่หลากหลายได้ส่วนระบบการอัปเกรดตัวละครนั้น ก็จะยังคงใช้แบบเดียวกันกับเกมโซล นั่นคือการเก็บสะสม Ergo หรือแต้มเงินประจำเกมนี้ เจ้า Ergo นี้ได้จากการต่อสู้กบัมอนสเตอร์ทุกระดับ ทุกประเภท และยังมีโอกาสได้มาในรูปแบบของก้อนพลังให้กดใช้แล้วจะได้ทีละจำนวนมาก ๆ โดยเราสามารถกลับมาที่โรงแรม Krat ที่เป็นเหมือนกับ HUB ของเกมนี้ เราจะได้เจอกับ NPC สำคัญ ๆ อย่างเช่น Sophia ที่เอาไว้อัปเลเวลตัวละคร และแบ่งค่าสเตตัสที่เราเลือกได้ว่าจะเล่นสายใด ตีแรง แบกของเยอะ พลังชีวิตเยอะ หรือหลอดท่าพิเศษเยอะขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้ Pinocchio ของเรานั้น โดดเด่นในด้านใด และนอกเหนือไปจากนี้ ใครที่ผ่านประสบการณ์เกมโซลมาเยอะ ๆ ก็น่าจะรู้วิธีสู้ วิธีเอาชนะกันหมดแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของผู้เล่นแต่ละคน ว่าจะยอมโดนเกมนี้นวดอีกกี่ยกถึงจะเข้ามือLies of P ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างผิดคาด จากที่หลายคนแอบเผื่อใจไว้ว่ามันจะแป้ก แต่ท้ายที่สุดมันก็ทำออกมาได้ดีในทุกแง่มุม ยิ่งดูเครดิตรายชื่อผู้สร้าง จะเห็นว่านี่คือผลงานของสตูดิโอชาวเกาหลีล้วน ยิ่งทำให้เห็นว่า อีกไม่นาน เกาหลีอาจจะผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ ในวงการเกม เพราะเขารู้แล้วว่าอะไรคือจุดแข็ง อะไรคือจุดอ่อน และจะปรับยังไงให้มันสนุก และสมดุล งานนี้รอดูกันในอนาคตเลยว่า ทีมทำเกมจากเกาหลี หรือทีมนี้นี่แหละ จะมีงานอะไรเด่น ๆ ออกมาให้เราได้ว้าวกันอีกบ้าง
22 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Sea of stars ปัดฝุ่น Turn-Based ระบบเก่า ๆ มาปรับให้เล่นสนุกขึ้น แถมยังมี Style เป็นของตัวเอง
Sea of stars ของดีแห่งเดือนกันยายน จั่วมาแบบให้ความหวังกันเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ เอาฮะชีวิตคนเราต้องมีหวัง ผมได้เล่นเกมนี้จนจบไปแล้ว เล่นกันแบบที่ว่า Non Stop 3 วัน 3 คืน กันไปเลย (อันนี้ผมก็โม้เอาเท่ไปงั้น แต่ผมเท่จริ๊งงง ว้าวุ่นเลยทีนี้ 5555) เอาเป็นว่าผมก็ดำเนินเกมมาจนถึงจุดจบของมัน พลาดไอเทมในจุดลับบางอย่างไปบ้าง แต่ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายอยู่ในระดับที่ตัวผมเองพอใจ เนื่องจากผมไม่ได้เล่นเกมแนว RPG Turn-Based มานานเพราะเบื่อความซ้ำซากของเกมเพลย์ ต้องยืน ๆ ตี ๆ เลือก ๆ เมนูสกิลมั่ง ไอเทมมั่ง ฮีลมั่งอะไรมั่ง กว่าจะถึงเทิร์นตัวเมนของเรา แหม!!! มันช่างนานเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละครับ มันก็เป็นเสน่ห์ของเกมแนวนี้ที่ผมคิดถึง เห็น Sea of stars เปิดวางจำหน่ายแบบตัวเต็มเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2023 ผมเลยกดลงคลัง แล้วเล่นแบบยิงยาวมาเลย ปะไปดูกันดีกว่าว่าเนื้อเรื่อง เกมเพลย์ คอนเทนต์ต่าง ๆ ในเกมมันจะแจ่มว้าวขนาดไหน แต่บอกเลยเตรียมเงินไว้ด้วยนะครับ เพราะผมจะป้ายยาแน่นอน อิอิอิอิเนื้อเรื่องแบบมีหลากหลายความรู้สึก มีมิติในทุกทุกโมเมนต์ (สัญญาว่าจะสปอยล์นิดเดียว)ผมจะขอตัดช่วง Intro แบบเกริ่นนำโดย ผู้เดินทางข้ามกาลเวลา เป็นอัมตะ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ และเป็นนักเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างเดินทาง เอกสารสำคัญทางกาลเวลา เหตุการณ์ต่าง ๆ เขาคนนี้เป็นผู้เขียนและจัดเก็บไว้ทั้งหมด(เขาโม้มาแบบนั้นเลยนะ ฮ่า ๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่เขาจะเป็นผู้ร่วมทางกับเราในช่วงกลางเกมครับ) อะอะตัดออกไปก่อนเดียวจะสปอยล์ซะก่อน งั้นเดี๋ยวผมจะไปพูดถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นสักหน่อย เรื่องราวของเด็กที่มีพลังพิเศษ 2 คน Zale และ Valare ที่ถูกจัดส่งมาโดยนกอินทรีย์ และเราจะต้องเล่นเป็นพวกเขาครับจุดเริ่มต้นของตัวละครผมจะเล่าต่อจากด้านบนเลยนะ ผมจะเล่าแบบรวบรัดเลย รวมรัดเกมนี้เชื่อผมเถอะครับว่ายาวแน่ ๆ เพราะเนื้อเรื่องเกมนี้สนุกครับ ตัวละครหลาย ๆ ตัวจะมีปูมหลังกันมาหมด เราจะพูดถึงไอ้เด็กห้าวเป้ง 3 คน ในช่วงคัตซีนหลัง Intro เท่านั้นมั้ง 55555 เรื่องราวจะเริ่มต้นที่เด็ก 3 คน ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ได้แก่ Zale, Valare และ Garl Zale และ Valare เป็นเด็กที่มีพลังเวทมนตร์ หรือที่ในเกมเรียกว่า Children of the Solstice เด็ก ๆ เหล่านี้จะถูกส่งลงมาที่โลกของเราในทุก ๆ ศตวรรษ แต่ Zale และ Valare มีความแปลกกว่า Children of the Solstice คนอื่น ๆ ที่เคยถูกส่งลงมา เพราะพวกเขา 2 คน ถูกส่งมาภายในปีเดียวกันครับ เด็ก ๆ จะถูกตั้งชื่อโดยชาวเมือง และมีอาจารย์คอยฝึกเด็ก ๆ ให้เป็น Solstice Warriors เพื่อไปต่อสู้กับ The Fleshmancer และคอยสกัดกั้นทุกพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ The Fleshmancer ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (เราจะเลือกเล่นใครก็ได้ระหว่าง Zale หรือ Valere เพื่อที่จะให้เป็น Lead Party ครับ)ส่วน Garl เนี่ยเป็นเด็กธรรมดาในหมู่บ้านที่ Zale และ Valere อาศัยอยู่ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร อารมณ์แบบตัวโจ๊กเลย ฮ่า ๆ เขาจะตัวติดกับ Zale และ Valere ตลอดเวลา ก่อนที่ Zale และ Valere จะถูกอาจารย์ใหญ่ Moraine เรียกไปฝึกแบบจริงจังบน Zenith Academy ไอ้ไอเดียของเพื่อน Garl จอมเบียวของเรานั้นก็ได้เร่งให้ทุกอย่างมันดำเนินไปเร็วขึ้น เพราะไอ้ต้าว Garl พลังบวกมันพูดปลุกใจ Zale และ Valere ให้ไป Forbidden Cavern เพื่อที่จะโชว์ออฟว่าเด็ก ๆ อย่างเราน่ะเก่งและสามารถผ่านไปอีกฝั่งของถ้ำได้โดยที่ไม่ต้องฝึกครับ มันจะชวนเพื่อนหนีนั่นแหละ ฮ่า ๆพอมาจริง ๆ นูบก็คือนูบครับ 5555 เด็กน้อยสามคนที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกอะไรใดใดทั้งสิ้น เวทมนตร์ที่มีอยู่ก็เบ่งออกมาใช้ได้เหมือนลมตด ก็เลยทำให้พอเจอมอนสเตอร์ในถ้ำทำให้เด็กทั้ง 3 คนนั้นเป็น Panic ไอ้เด็กที่มีเวทมนตร์น่ะมันชวนกลับตั้งแต่เข้าถ้ำมาแล้ว แต่ไอ้เด็กเบียวน่ะมันปลุกใจอยู่ อะแต่ยังดีนะพอเจอภัยจริง ๆ ไอ้ Garl จอมพลังของเรานี่แหละครับ ที่รับดาเมจจากมอนสเตอร์แทนเพื่อน ๆ หายซ่าตาบอดไปข้าง โดนจับแยกกับเพื่อนอีกเป็นปีปี เพราะเพื่อนต้องขึ้นไปบนโรงเรียนลอยฟ้าเพื่อฝึกวิทยายุทธ เด็กสามคนไม่ได้เจอกันนานแรมปี พอ Zale และ Valere ฝึกวิชาจนครบหมดทุกกระบวนท่าและพร้อมจะออกเดินทางแล้ว จอมเบียวของเรามันก็เก่งขึ้นแล้วเหมือนกัน มันข้ามไปรอเราที่อีกด้านหนึ่งของถ้ำก่อน Solstice Warriors อี๊ก เอาสิใจมันได้ การผจญภัยของเด็กหนุ่มธรรมดา 1 คน ที่ทำอาหารเก่งมว๊ากกก และ 2 Solstice Warriors ก็ได้เริ่มต้นขึ้นตรงนี้แหละครับ ส่วนที่เหลือผมเล่ามาขนาดนี้แล้ว กดซื้อได้แล้วม้างงงงงงงง ฮ่า ๆ ๆเอาจริง ๆ สำหรับผมในด้านเนื้อเรื่อง ใจหนึ่งก็แอบคิดว่าเบียวนิด ๆ แหละ ฮ่า ๆ ฟีลคล้าย ๆ แบบตอนอ่านวันพีชสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก(จนตอนนี้จะ 40 อยู่แล้ว วันพีชยังไม่มีท่าทีจะจบสักที 5555) มิตรภาพดีงามพระรามแปด เพื่อพวกพ้อง ต้องร้องไห้ อะไรแบบนั้นเลยครับ แต่ก็ไม่ได้จะเบียวไปซะอย่างเดียว ยังมีจุดที่แบบเหมือนจะสวิตช์ความรู้สึกคนเล่นไป ๆ มา ๆ เพราะบางอย่างมันหักมุมจากที่เราคิด มันก็เลยทำให้สตอรีไลน์ในมุมคนเล่นอย่างผมนั้นได้เกิดการเซอร์ไพร์สอยู่บ่อย ๆ "อ้าว!!! สรุปใช้วิธีนี้ได้เหรอ? ไม่ต้องสู้ก็ได้เหรอ? อ้าว!!! ตีอยู่ตั้งนานเป็นสัตว์เลี้ยงมีหัวใจก็ไม่บอก สงสารน้อน 555"เดินเข้าห้องไปคุยกับ NPC บางทีเตรียมใจจะสู้ไว้แล้ว แต่ NPC ก็ยื่นไอเทมมาให้ง่าย ๆ ซะอย่างนั้นเลย บางทีมีมุกแบบเจ้าของบ้านเดือดดาลไล่ลูกน้องออกด้วย เพราะดันมาช่วยเรา (เจ้านายจ้างให้เฝ้าบ้าน แต่ดันมาช่วยผู้บุกรุกอย่างเราหน้าตาเฉย 5555) มุกอะไรต่าง ๆ ก็น่ารักทำให้อมยิ้มได้ โดยเฉพาะ Garl จอมเบียวของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะดูรักพวกพ้องจนน่ามั่นไส้ แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราได้พินิจพิเคราะห์ตัวละครนี้อย่างจริง ๆ จัง ๆ เราจะเห็นว่าเขาเป็นคนรูปแบบหนึ่งที่ถ้ามีในโลกของเราเยอะ ๆ จะทำให้ผู้คนยิ้มได้ ไม่มีพิษมีภัย เป็นมิตรกับทุกสิ่ง พยายามมองปัญหาในแง่บวก และแก้ปัญหาแบบบวกบวก การมีความคิดสร้างสรรค์ในเชิงบวก ก็ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้ดำเนินไปอย่างน่ารักจริง ๆเกมเพลย์บอกเลยว่าลืม RPG Turn-Based แบบง่วง ๆ ในอดีตไปซะอันนี้ดี อันนี้ชอบ อันนี้ปัง เป็นการเล่น Turn-Based ที่เพลย์เยอร์อย่างเราเราได้มีส่วนรวมในการต่อสู้ เนื้อเรื่องก็ไม่เนิบนาบ Puzzle ที่มีให้เล่นก็สนุก การซ่อนของต่าง ๆ ให้หาก็ไม่ได้ยากจนเกินไป มอนก็ไม่ได้ออกมาบังคับให้ต่อสู้จนน่ารำคาญ Movement ของตัวละครที่ไม่ได้ช้า และแมปต่าง ๆ ก็ไม่ได้กว้างมาก ทำให้การเล่นเกมเกิดความลงตัวและรู้สึกว่าแค่นี้แหละกำลังดี เดี๋ยวแยกเป็นหัวข้อให้อ่านกันเลย แต่อาจจะยกเอามาทั้งเกมไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมจะเอาอันที่เด่น ๆ และคอนเทนต์ที่ผมรู้สึกว่าดีกว่าเกมแนว Turn-Based ที่ผมเคยเล่นมาในอดีต เกมสุดท้ายที่ผมเล่นน่าจะเป็น Crono Cross ในเครื่อง PS1 นู่นเลยนะ นานจนจำอะไรไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องคืออะไร 55555 ซึ่งเกม Turn-Based ยุคเก่า ๆ มันก็จะมีความน่าเบื่อของมันอยู่ เดี๋ยวผมจะยกไปพูดรวมทีเดียวเลยในหัวข้อย่อยด้านล่างนะฮะ ถ้าใครอ่านแล้วมีไฟในใจแบบอยากเล่นแล้ว ไม่อยากอ่านต่อแล้ว ก็ไปซื้อเลยฮะ เกมโคตรดี ย้ำเลยว่าถึงจะเบียวแต่ดีครับ 55555ระบบการต่อสู้ - การต่อสู้ในรูปแบบของเกม Turn-Based โดยส่วนใหญ่ในทุก ๆ เกมที่ผมเล่นมานั้น จะแบ่งเป็นเทิร์น ๆ ให้ได้เล่น พอถึงเทิร์นตัวละครตัวไหนแล้ว ก็จะมีเมนูการต่อสู้มาให้เราเลือก ทำอยู่แบบนี้วน ๆ ไป น่าเบื่อมาก ๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรให้ทำนอกจากนี้เลย ถึงจะมีเอฟเฟกต์ให้ดูท่าไม้ตาย หรือการซัมมอนสัตว์อสูร แรก ๆ ก็ตื่นเต้นดีและอลังการหลัง ๆ ก็เริ่มเบื่อละได้ดูบ่อยเกิ๊น แล้วกินระยะเวลาเนิ่นนาน บอสบางตัวตีกันเป็นหลัก 20 นาที โดยที่เราไม่มีส่วนร่วมอะไรกับตัวละครเลย กด เลือก รอการต่อสู้ วนลูปมันอยู่ร่ำไป แต่เกมนี้ครับ Dev ดูเหมือนหรืออาจจะรับทราบถึงความน่าเบื่อตรงนั้น อัปเกรดระบบการต่อสู้มาให้เข้ากับอุปนิสัยของคนรุ่นใหม่ เราจะต้องคอยสังเกตท่าของเราและมอนสเตอร์ในการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเราต้องคอยบล็อกการโจมตีของมอนสเตอร์ในระหว่างที่เราเป็นฝ่ายตั้งรับ และการบล็อกทุกครั้งเราก็จะได้รับเกจไปสะสมเอาไว้เพื่อใช้ท่าคอมโบกับเพื่อนในทีม รวมถึงการใช้ Skill ต่าง ๆ ก็ต้องกดให้ตรงจังหวะเมื่อตัวละครของเราออกท่าทางการต่อสู้ไปแล้ว เมื่อเรากดตรงจังหวะเราก็จะได้รับโบนัสเป็น Mana คืนมา หรือได้รับเกจในส่วนของท่า Ultimate มาสะสมไว้ด้วยความสนุกไม่ได้มีเท่านี้ครับ ลูกเล่นในการต่อสู้ที่ผมคิดว่าดีมาก ๆ ของเกมนี้ยังมีอีกอย่างก็คือ การที่เราสามารถเบรกการต่อสู้ของมอนสเตอร์ได้ โดยการสังเกตสัญลักษณ์เอฟเฟกต์ท่าการต่อสู้ที่ขึ้นมาบนหัวของมอนสเตอร์ เราจะได้คิดทุกครั้งว่าเราจะต้องใช้คอมโบไหนเพื่อที่จะให้ครบตามสัญลักษณ์ที่แสดงขึ้นมาภายในเทิร์นที่กำหนด หรือถ้าเราทำได้ไม่ครบเพราะเทิร์นมันค่อนข้างสั้นแต่สัญลักษณ์แสดงขึ้นมา 8 อย่าง (ส่วนใหญ่จะเจอแบบนี้กับบอสครับ) เราสามารถตีมอนสเตอร์ตามสัญลักษณ์ต่าง ๆ เท่าที่เราทำได้เพื่อลดดาเมจในการโจมตีของมอนสเตอร์ลงได้ครับ บอกเลยว่าเป็น Turn-Based ที่ต้องคิดอยู่ตลอด และมันสร้างประสบการณ์การเล่นเกมแนว Turn-Based ที่ดีให้กับผมมาก ๆ มันทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในการต่อสู้ระหว่างเทิร์นด้วยครับอีกส่วนที่ทำให้ผมประทับใจก็น่าจะเป็นในส่วนของ Relics หาซื้อได้ตามร้านค้าตามเมืองต่าง ๆ ที่เราไป มันคือของที่ระลึกแต่มีเอฟเฟกต์ให้เราใช้ในการต่อสู้นั่นแหละครับ อย่างในรูปด้านล่างตอนที่เรายังไม่มีมัน หลังการต่อสู้ทุกครั้งเราต้องตั้งแคมป์นอนพักเพื่อฟื้นฟู HP ของเรา แต่หลังจากที่ผมได้ Relics ชิ้นนี้มาแล้วและเปิดใช้ ทุกครั้งหลังการต่อสู้เลือดของผมจะถูกรีโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องตั้งแคมป์ฟงแคมป์ไฟอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว และ Relics ที่เราหามาได้ทุกชิ้นสามารถเปิดใช้พร้อมกันได้ทั้งหมด แจ่มสุด ๆ มันช่วยลดความเสียเวลาให้เพลย์เยอร์ได้หลายสิ่งหลายอย่างเลยครับอีกอย่างที่ต้องชมก็เห็นจะเป็นเรื่องการอัปเลเวลของตัวละคร ซึ่งถึงแม้ตัวละครนั้นเราจะไม่ได้เลือกสลับลงไปร่วมสู้ด้วยเลย ก็ยังจะได้รับค่าเลเวลเหมือนเพื่อน ๆ อยู่ดี เวลาเลเวลอัปมันก็จะอัปพร้อมกันทุกตัวเลย ตรงนี้ผมมองว่าดี ไม่ต้องไปเสียเวลาปั้นตัวละคร บางทีก็นะมีตัวในใจไง มีเมนอยู่เลือกแต่ตัวเมนมาเล่นแหละ ตัวอื่นเลเวลไม่อัปกันเลย ฮ่า ๆ อันนี้ก็ได้ตัดเรื่องความลำเอียงตรงนั้นไป อัปมันให้หมดทุกตัวจะว่าไปก็ไม่ได้มีส่วนที่ผมชอบไปซะทั้งหมด มันก็มีจุดที่ผมไม่ชอบอยู่เหมือนกัน ในระบบปาร์ตี้ของเกมนี้เนี่ยเราจะมีเพื่อนร่วมเดินทางที่ต่อสู้กับเราได้เต็มที่คือ 5 คน แต่เวลาเราลงต่อสู้เนี่ย เกมนี้จะให้สู้ได้สูงสุดแค่ 3 คนครับ ซึ่งจะมีปุ่มให้สลับตัวละครไป ๆ มา ๆ เมืออยู่ในการต่อสู้ ซึ่งผมชอบระบบที่ปาร์ตี้แบบ 6-7 คนก็อัดกันลงมาได้เลยแบบใน Final Fantasy มากกว่า การพบเจอมอนสเตอร์ของเกมนี้ผมต้องขอลุกขึ้นยืนปรบมือให้เลยครับ ชอบมากกกกกกก ผมรู้สึกถึงการไม่บังคับให้สู้ มันยังเจอมอนนะ แต่ไม่ได้เจอเป็นวินาทีแบบหลาย ๆ เกมที่ผมเคยเล่นมา เอาแค่ตระกูล Final Fantasy เนี่ย เดินปุ๊บดึงเข้าสู้เลย โอเคมันกดหนีได้ถ้าไม่อยากสู้ แต่หลัง ๆ มันเบื่อจนหนีตลอดเลยอะ 5555 ส่วนใน Sea of stars ถ้าสู้หมดแล้วคือหมดเลย ไม่ต้องเจอมอนสเตอร์แล้ว จนกว่าจะเดินออกจากแมปนั้นไป แล้วกลับเข้ามาใหม่มอนถึงจะ Respawn กลับมา อันนี้ดี เกมเมื่อก่อนเนี่ยถ้าผมไม่มี Action Replay แล้วใส่โค้ดสูตร ไม่เจอมอน ขยับนิดหนึ่งมันก็ดึงเข้าไปสู้แล้วครับ สู้เสร็จเพิ่งออกมาจะเดินถึงเมืองอยู่แล้ว แหมมันวาร์ปให้เข้าไปสู้อีกละ ยังไม่ทันหายใจเลย เกมนี้คือดีผมไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้สู้ แล้วไม่ต้องสู้ถี่ให้ผู้เล่นอย่างผมมีเวลาวิ่งเล่นหาหงหาหีบบ้างอะไรบ้าง เพลิน ๆ ขอบพระคุณกับระบบนี้มาก ๆ ครับMovement - เป็นส่วนที่อยากจะกดไลก์หัวใจให้สัก 100 ดวง ตัวละครเกมนี้ไม่ได้เดินช้าอืดอาด อาจจะมีช้าบ้างตอนเดินอยู่ในแมปแบบ Bird eye view แต่พอเข้าฉากไปแล้วก็จะเดินแบบเอาใจสายซิ่งไปเลย จากเกมอื่น ๆ ที่เดินกันช้า ๆ กว่าจะเร็วขึ้นได้ต้องรอพาหนะก่อน อันนี้ไม่ต้องพอได้เรือมาแล้วก็ไว หลัง ๆ นี่แบบโดนใจวัยรุ่นไปเลย บินเองแม่งเลย 5555 แล้วบินไวด้วยนะ ผมนี่นึกว่า Miss Marvel พอบินได้ มันก็จะมีเกาะแก่งต่าง ๆ ในแผนที่เปิดให้เราเข้าไปเล่น Puzzle เพื่อหาของอี๊ก คือแบบเพื่อน ๆ ต้องซื้ออะ มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ ขนาดว่าเนื้อเรื่องหลักจบไปแล้ว ก็มีประตูลับเปิดตอนเกมจบให้เล่นอีก 680 บาทสำหรับผมคือโคตรคุ้มค่าPuzzle & Mini Game - หีบสมบัติเยอะมากกกกก แค่หาหีบบอกเลยแก้ปริศนากันสนุกมาก ๆ แล้ว เพราะมีซ่อนให้เราได้เข้าไปค้นไปหาได้ทุกซอกทุกมุมจริง ๆ เอาเป็นว่าเมืองบาดาลอะเข้าทุกบ้านเจอทุกบ้าน 5555 ยังไม่นับการผ่านประตูบางอย่างที่จะต้องแก้ปริศนา ย้ายก้อนหินไป ๆ มา ๆ มีทั้งระดับง่าย ๆ แบบเด็กอนุบาลก็เล่นได้ ไปจนถึงระดับที่ว่าต้องนั่งดันหินกันเป็นนาทีก็มี บางอย่างผมก็ปล่อยผ่านเพราะหาทางเข้าไปเอาของไม่เจอจริง ๆ ผมเห็นนะว่าอยู่ตรงไหนเดินหาทั่วทั้งแมปแล้วก็ไม่รู้จะเข้าทางไหน ได้แต่โบกมือลา แล้วไปสอยของที่ดีกว่าในเนื้อเรื่องถัดไป แต่บางอย่างสถานการณ์บังคับ ยังไงเราก็ต้องพยายามแก้ปริศนาให้ผ่านเพราะเราจะได้รับสกิลคอมโบใหม่ ๆ ซึ่งถ้าเราพลาดแล้วเนี่ยก็จะไม่สามารถหาซื้อได้ครับ ฉะนั้นบาง Puzzle อย่าเดินหนี พยายามใช้หมองนั่งมาธิแล้วแก้ให้ผ่านด้วยครับเพื่อน ๆมินิเกมจะมีให้เราเล่นตาม Tavern (โรงเตี๊ยม) ที่เราไปนอนนั่นแหละครับ บอกเลยว่าแรก ๆ ผมเล่นก็ยังงง ๆ กับกติกาของเกม แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะเอาตัวพิเศษ และเหรียญไปแข่งชิงแชมป์กับ อะผมลืมจริง ชื่ออะไรผมจำไม่ได้แล้ว แต่เขาอยู่บนหอนาฬิกาครับ เราต้องเล่นแบบชิงแชมป์ให้ชนะทุกคนก่อนถึงจะไปแข่งกับเขาได้ มินิเกมนี้มีชื่อว่า Wheels ครับ ซึ่งพอเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวหมากของเรามีให้เลือกเล่นเยอะขึ้น ก็จะยิ่งสนุกขึ้นซึ่งแต่ละตัวก็จะมีความสามารถแตกต่างกันไป แต่บอกเลยว่าผมเล่นจนติดมาก ๆ ผมอยู่กับไอ้โต๊ะ Wheels นี่วันวันเป็นชั่วโมง ถ้าเพื่อน ๆ ซื้อเกมแล้วลองเข้าไปเล่นดูฮะ แรก ๆ ก็จะยากหน่อย พอเข้าใจแล้วก็จะง่ายขึ้นมาก และก็จะวางแผนรูปแบบในการชนะได้ดีมากขึ้นด้วยครับBoss Fight - บอสบางตัวมีหลายเฟส หลายฟอร์มให้ได้กระหน่ำใส่นัวกัน ช่วงแรก ๆ อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะยังไม่มี Ultimate พอช่วงหลัง ๆ เก็บเกจอัลติได้ การต่อสู้กับบอสก็จะหย่นเวลาลงครับ และคัตซีนของอัลติเมตก็สวยงามตระการตามาก ๆ บอสตายง่ายขึ้น บอสเนี่ยแม้แต่เนื้อเรื่องรอง หรือใน Puzzle ต่าง ๆ ก็มีโผล่มาให้เราได้สู้อยู่อย่างต่อเนื่องครับ แม้กระทั่งในอารีน่า(อันนี้ช่วงหลัง ๆ เวลาเราพักในโรงแรมให้เดินไปคุยกับ B'st ถ้าเขาพูดถึงอารีน่า ก็แสดงว่าอารีน่าเปิดแล้วให้ไปได้เลย) การตกปลา ที่ดูไม่ค่อยมีความจำเป็นเกมนี้เราสามารถตกปลาได้นะครับ เราจะได้เนื้อปลา เนื้อกุ้งมาไว้ใช้สำหรับทำอาหารให้เรา การตกปลาเกมนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร แค่โยนเบ็ด รอปลากินเหยื่อ แล้วก็ดึงขึ้นมาตามกระแสน้ำ โดยที่เราบังคับทิศทางของปลาไปซ้ายหรือขวาตามกระแสน้ำที่เห็นครับ จริง ๆ ระบบนี้ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ผมเข้าใจว่าที่ Dev ต้องใส่ลงมาเพราะว่ามันมีระบบทำอาหารนี่แหละครับ ซึ่งสำหรับผมมันดูไม่จำเป็นทั้งสองอย่างนั่นแหละ เพราะว่าอาหารบางอย่างก็มีขายอยู่แล้ว แล้วเล่นมาทั้งเกมผมแทบจะไม่ได้แตะกับระบบพวกนี้เลย เพราะมีวัตถุดิบอย่างอื่นที่ใช้ทำอาหารแทนได้เช่นกัน และหาได้ง่ายกว่าปลา คือปลาเกมนี้เราต้องตั้งใจไปตกเท่านั้นเลย เพราะจะมีเป็นบ่อให้ตก ซึ่งถ้าตอนที่เรายังบินไม่ได้จะโคตรเสียเวลาเดินทางมาก ๆ ซึ่งพวกมะเขือเทศ มัน หรือหัวหอม มันหาได้ง่ายกว่าตามทาง และอาหารสามารถหาซื้อเอาได้ตามร้านค้าในเมือง ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะตกปลาไปทำไม นอกจากจะเก็บ Acheivement ใน Steamการเพิ่มเลือดด้วยอาหาร ถ้าเปลี่ยนเป็น Potion น่าจะดีกว่าที่ผมจั่วหัวมาแบบนี้มันก็มีเหตุผลนะครับ หลัก ๆ น่าจะเป็นที่ว่าอาหารเราจะได้สูตรมาตลอดการผจญภัยของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นเปิดหีบ ซื้อจากร้านค้าในเมืองต่าง ๆ หรือได้รางวัลมา คือสูตรเยอะมาก แต่อาหารที่ทำมาไม่ว่าจะหลากหลายขนาดไหนมันก็เพิ่มให้เราได้แค่ HP และ MP เท่านั้นครับ คือสกิลที่ให้ใช้อะมันก็มีสกิลฮีลอยู่เกือบจะทุกตัวละครอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มเล่นเกมจนจบเกม ผมกินอาหารน้อยมาก ๆ ส่วนใหญ่ก็อัดสกิลเลย เพราะมันเพิ่มเลือดได้เยอะกว่ากินอาหารมาก ผมอยากให้อาหารไปเพิ่มค่าสเตตัสให้ในส่วนอื่น ๆ มากกว่า เช่น เพิ่มพลังโจมตี, เพิ่ม DEF, เพิ่ม M.ATK, โจมตีบอสแรงขึ้นไรเงี้ย แต่มันไม่ใช่ไงครับ มันเลยแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ทำคอนเทนต์ของระบบปรุงอาหารมาน่ารักมาก แต่ผมแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากอาหารเท่าไหร่เลยเกมไซซ์เล็ก ๆ เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ แถมใช้ Game Pad ได้อีกด้วยถ้าใครหาเกมที่แบบไม่ต้องใช้ Spec เครื่องสูง ๆ แล้วชอบเล่นเกมแนว Turn-Based ผมบอกเลยว่าเพื่อน ๆ เทใจมาที่เกมนี้ได้เลย ภาพน่ารักสีสันสดใส แล้วตอนใช้อัลติภาพก็สวยงามงานดีมาก ๆ ถึงแม้มันจะเป็นเกมภาพ 2D ก็ตาม ผมมองว่ามันเป็น Turn-Based สมัยใหม่ ที่ปรับปรุงมาให้เราได้สนุกกับเกมมากขึ้น ถ้าใครอยากใช้จอยเล่นแบบผม ผมก็แนะนำเลยว่าให้ซื้อที่มี Analog และพวกปุ่ม LS RS ด้วย ส่วนผมอยากจะแบบย้อนวันวานไง ใช้จอย Game Pad ของ 8Bitdo รุ่น ที่ทำเลียนแบบจอย Super Famicom แล้วคือปุ่มมันไม่สามารถใช้ได้ทุกฟังก์ชันของเกม ผมก็เลยต้องใช้ปุ่มบางอย่างจากคีย์บอร์ดด้วย 5555 ถ้าใครจะใช้ก็ซื้อแบบปุ่มครบ ๆ มาเลย จะได้ไม่เซ็งเหมือนผม อยากจะอินวันวนวันวาน แต่ไม่ยอมดูสังขารของจอยเลยว่าไม่แมตช์ แต่ใช้ Game Pad เล่นได้ฮะสำหรับเกมนี้ และได้อรรถรสด้วย ไม่ต้อง Setting ให้วุ่นวาย Connect จอยปุ๊บมันตั้งค่าให้เราเลย เล่นแล้วได้ฟีลดีกว่าคีย์บอร์ดมาก ๆ ครับ และเราไม่เมื่อยด้วย ย้ำอีกทีถ้าอยากจะอินให้ซื้อตัวที่มี Analog นะฮะอันนี้คือตัวที่ผมใช้ ฟีลได้มาก ๆ เหมือน Super Famicom เลยครับ แต่ปุ่มใช้งานไม่พอ 5555สรุปSea of stars สำหรับผมนั้นมันเป็นเกม RPG Turn-Based ที่สร้างมุมมองที่ดีให้ผมมองเกมแนวนี้เปลี่ยนไป คือต้องบอกตรง ๆ ว่าเมื่อก่อนตอนเล่นเกมแนว Turn-Based ใหม่ ๆ ตอนยุคผมเด็ก ๆ นั้น ผมก็สนุกกับมันอยู่ช่วงหนึ่งแหละ เพราะผมต้องเอาไปคุยโม้กับเพื่อนที่โรงเรียนว่าผมเล่นถึงไหนแล้วไง 5555 เด็ก ๆ ในยุคของผมนั้นเรียกเกมแนวนี้ว่าเกมภาษา สิ่งที่ทำหลังเกมออกก็คือรอซื้อบทสรุป พูดแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นมาก ๆ ครับ (น้ำตาคลอเลย แอบเบียวเหมือน Garl ไปอี๊ก 55555) แต่เกม Turn-Based ในยุคนั้นคือมีให้เล่นเยอะมาก ๆ รูปแบบเกมมันก็จะวน ๆ ยิ่งตอนเจอมอนสเตอร์เนี่ย เจอถี่_ิบหาย มันจะถี่อะไรขนาดน้านนนน แบบโคตรน่าเบื่อ เกมนี้เนี่ยเหมือน Dev เกิดในยุคของผมอะ แล้วเป็นคนประเภทเดียวกัน ฉันเบื่ออะไรแบบนี้ พอมาทำเกมเอง Dev ได้แก้จุดบอดของเกมแนว Turn-Based เดิม ๆ ให้กลับมาเล่นได้สนุกขึ้น โดยการใส่ลูกเล่นระหว่างต่อสู้ มอนสเตอร์ที่ไม่ได้บังคับให้เราสู้อยู่ตลอดเวลา มันก็เลยทำให้การเล่นเกมดูผ่อนคลายขึ้น ถึงแม้เกมนี้จะไม่ได้แปลเป็นภาษาไทย แต่ภาษาอังกฤษที่ใช้ในเกมก็ไม่ได้ยากจนเกินไป บอกเลยว่าคุ้มค่ากับราคา 680 บาท ใครสนใจตามไปจิ้มมาเล่นเป็นเพื่อนผมได้เลยใน Steam คอนเทนต์ในเกมอัดมาให้เล่นแบบเยอะมาก แค่มินิเกมที่ชื่อว่า Wheel เนี่ยบอกเลยว่าเล่นเพลินได้เป็นชั่วโมง ถึงแม้ว่าการตกปลากับการทำอาหารที่ผมมองว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ เนื้อเรื่องและเกมเพลย์ของ Sea of stars ก็ทำให้ผมมองข้ามเรื่องความไม่สมเหตุสมผลของการทำอาหารและการหาปลาไปได้ ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องบางช่วงจะดูเบียว ๆ เหมือนตอนอ่านมังงะ อารมณ์ประมาณนั้นเลย 5555 แต่ผมเชื่อว่าคนเบียว ๆ แบบ Garl ถ้ามีอยู่ในโลกของเรียลลิตี้ก็คงน่ารักดี แต่ในมุมของผม อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเองแบบ Garl เลยครับ รักตัวเองก๊อนนนนน เอาเป็นว่า Sea of stars ถ้าใครชอบเสพเนื้อเรื่อง ชอบเล่นเกมแนว Turn-Based เพื่อน ๆ มาลองเปิดใจกับเกมนี้ดู ผมรับประกันว่าจะไม่ผิดหวังครับ กดคืนเงินไม่ทันหรอก แค่ต้นเรื่องตอนเล่าเรื่องไอ้เด็กห้าว 3 คนก็อ่านเพลินจนหมดเวลารีฟันด์แล้ว เขาเอา Turn-Based ระบบเก่า ๆ มาปรับให้เล่นสนุกขึ้น แถมยังมี Style เป็นของตัวเอง ใจคอยังจะขอรีฟันด์กันอีกเหรอ จิตใจทำด้วยอะไรอะฮะ ฮ่า ๆ ๆ ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1244090/Sea_of_Stars/ป้ายยาจอยเพื่อเติมช่องว่างในหัวใจใครสนใจเล่น Sea of Stars ผ่านจอยผมแนะนำรุ่นนี้เลย มี Analog 2 ข้าง มีปุ่ม L2 R2 ด้วย จับง่ายกระชับมือ แต่ถ้าสำหรับคนมือใหญ่ ๆ อาจจะรู้สึกค่อนข้างเล็กครับ Blutooth เชื่อมต่อง่าย ใช้ได้ทั้ง PC, มือถือ และ Nintendo Switch 8Bitdo ถ้าสั่งจากจีนมีของปลอมครับ ราคาถูกก็จริงแต่เราอาจจะโดนของปลอมได้ด้วย ใครอยากได้ตามไปตำร้านเดียวกับผมรับประกันว่าได้ของแท้แน่นอน เสียตังซื้อเกมมาแล้ว ซื้อจอยไปเอา Feeling ตอนเล่นเกมด้วย ถือว่าซื้อมาเล่นเป็นเพื่อนผมละกัน ป้ายยาเลยตัวนี้ ซื้อครั้งเดียวเล่นได้ทุกเกม เจ็บแต่จบ 5555สั่งซื้อจิ้มเลย 
07 Sep 2023
[Review] รีวิว Starfield เกม RPG ตะลุยอวกาศจาก Bethesda ที่สุดเจ๋งมากๆ แต่ต้องทนเล่นให้จบ 1 รอบก่อน!
หลังเปิดตัวนับตั้งแต่ปี 2018 ในที่สุดเกมใหม่แนว Open World RPG จากค่าย Bethesda อย่าง Starfield ก็ได้วางขายแล้วเสียที!!! โดยเกมนี้วางขายห่างจากเกมก่อนหน้าของค่ายอย่าง Fallout 4 นานมากถึง 8 ปีเลยทีเดียว ทำให้หลายๆ คนก็น่าจะคาดหวังความพัฒนา และสนุกขึ้นกว่า Fallout 4 จากเกมนี้กันเยอะมาก แต่มันจะเป็นแบบนั้นหรือแย่ลง ... วันนี้ทาง GameFever ก็จะขอรีวิวเกม Starfield มาให้ชมกัน!!! ดูกันได้ตามด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างเกมโหมโรงStarfield คือเกมอะไร?Starfield เป็นเกมเน้นประสบการณ์ Open World RPG ในยุคที่มนุษย์มียานอวกาศให้ขับเดินทางไปดาวต่างๆ ได้แล้ว เกมจะเน้นให้ผู้เล่นมาเจอเควสสุดน่าติดตาม และให้มาใช้ชีวิตในโลกอีกใบหนึ่ง โดยหลักๆ ก็คือการต้องมาเก็บเลเวลปลดล็อกสกิล หรือสร้างบ้านออกมาให้สวยๆ พร้อมอัปเกรดหรือไปฟาร์มอาวุธ, ชุดเกราะ หรือยานอวกาศเทพๆ มาขับกัน ซึ่ง Bethesda ถือเป็นค่ายที่ทำเกมแนวนี้ออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก และมักยังมีความเจ๋งด้าน Sandbox หรือให้ผู้เล่นได้ Roleplay รูปแบบการเล่นต่างๆ ได้หลากหลายสาย ทำให้มีแฟนหลายคนรอเล่นเกมนี้กันเยอะStoryเนื้อเรื่องเปิดมาแบบแสนง่ายมาก เพราะเริ่มเกมมาคุณนั้นคือ "นักขุดแร่ทีมงาน Argos Extractos" ที่กำลังมาทำงานขุดแร่บนดาวแห่งหนึ่ง แต่ชีวิตก็เล่นตลกอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ดีๆ คุณก็ได้ขุดไปเจอ "เศษวัตถุลึกลับ" ที่เมื่อจับก็ทำให้ตัวเองสลบ และเห็นภาพหลอนอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะมีคนจากองค์กรแห่งการไขปริศนาอวกาศ Constellation เดินทางมาซื้อเศษวัตถุลึกลับ และหลังเขาได้ทราบว่าคุณจับแล้วเห็นภาพหลอน ก็จึงทำให้เขาได้ส่งคุณมาร่วมองค์กรเพื่อไขปริศนาวัตถุลึกลับนี้ คุณจึงได้เปลี่ยนอาชีพกลายมาเป็นนักไขปริศนาแห่ง Constellation มีหน้าที่ผจญภัยเพื่อ "ตามหาเศษวัตถุลึกลับทุกชิ้นนำมาร่วมร่างกัน และไขปริศนาว่ามันคืออะไรกันแน่" โดยเป้าหมายนี้จะเป็นเควสหลักของคุณไปตลอดทั้งเกม แต่ระหว่างทางก็จะได้เจอสิ่งปริศนาที่มีทั้งน่าสนใจ และเป็นภัยร้ายสุดๆ... พร้อมกับจะได้พบเจอ NPC สุดพิสดารหลายคน หรือได้สร้างมิตรภาพร่วมกับ NPC บางคนจากองค์กร Constellation ที่เราสามารถให้เขาเป็นคู่หูเดินทางไปร่วมกับเราได้NPC คู่หูแต่ละคนจะมีความสามารถ และเนื้อเรื่องที่ต่างกันไป แถมเราสามารถจีบจนแต่งงานได้เลยทีเดียว!Starfield จะยังคงเป็นเกม RPG ที่ให้ผู้เล่นผจญภัยตามเนื้อเรื่องหลัก และระหว่างทางเราก็จะได้พบเนื้อเรื่องจากเควสเสริมในโลก Open World ที่มีเยอะไปหมดเช่นเคย แถมยังมีเนื้อหาแปลกใหม่น่าสนใจไม่เหมือนกันเยอะมาก และเกมนี้ก็จะยังให้ตัวเอก "มีเนื้อเรื่องก่อนเริ่มเกม" มากขึ้นด้วย เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าตัวเอกนั้นมี Background กับ Traits แบบไหน โดย Background คือการให้เลือกว่าตัวเอกเคยทำงานอะไรมาก่อน ถ้าเลือก "นักล่าค่าหัว" ก็จะทำให้เรามีสกิลขับยานล่าศัตรูเก่งมาก และเวลาเจอเควสที่เกี่ยวกับนักล่าค่าหัว เกมก็จะมีบทสนทนาพิเศษมาให้เลือกตอบ NPC และทำให้เราได้ข้อดีกว่าการตอบแบบทั่วไป ส่วน Traits คือชีวิตเราเคยผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง ยกตัวอย่างถ้าเลือก "ยังมีครอบครัว" ก็ทำให้เรายังสามารถไปเจอหน้าพ่อแม่ได้ แต่ทุกอาทิตย์ในเกมเราจะต้องส่งเงินให้เขาใช้ด้วย ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าสิ่งพวกนี้ไม่ได้แค่ทำให้ตัวเอกมีมิติมากขึ้น แต่ยังทำให้เนื้อเรื่องในเกมมีความแตกต่างน่าสนใจต่อการเล่นแต่ละรอบไปอีกBackground กับ Traits ก็มีให้เลือกเยอะสุดๆ แต่หลายคนน่าจะชอบ Traits "ฮีโร่" เพราะมันจะทำให้เรานั้นเป็นคนดัง และจะมีแฟนๆ คอยมาให้ของขวัญหรือขอผจญภัยไปกับเราได้อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องหลักภายในเกมนี้ก็กลับ "เบาบาง & ไม่น่าติดตาม" โดยเป็นเพราะเควสหลักช่วงแรกจนถึงกลางเกม ผู้พัฒนานั้นต้องการจะนำเสนอให้ผู้เล่นรู้สึก "อยากติดตามว่าไอ้วัตถุลึกลับนี้มันคืออะไร ทำให้ใช้วิธีการเล่าก็จะเแบบไร้ความชัดเจน ให้ผู้เล่นอยากรู้อยากเห็นแบบขั้นสุด" แต่ผู้เขียนนั้นกลับรู้สึกว่า "มันจืดชืดอ่ะ ไม่มีความอยากเล่นให้จบเพื่อรู้เลย แถมหลายเควสก็ไม่ได้มอบรางวัลดีๆ หรือทำให้รู้สึกคุ้มที่จบเควสนั้น" แม้ช่วงที่เราจะต้องไปตามหาวัตถุลึกลับแต่ละชิ้น เราจะได้พบกับ NPC ที่น่าสนใจ และการผจญภัยไปหลายๆ ดาวแล้วก็ตาม เหมือนกลับว่าผู้พัฒนา "ประสบความล้มเหลวที่จะเล่นมุขเนื้อเรื่องแบบนี้" แต่ยังดีที่ช่วงท้ายเกมมีการ "เปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องให้ชัดเจนขึ้น" ทำให้ผู้เล่นอยากเล่นจนจบเกมมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดทุกเควสมันก็ "ไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนของเกม RPG ก่อนๆ จาก Bethesda" เพราะงั้นถ้าใครจะเล่นเกมนี้แค่เฉพาะเนื้อเรื่องหลัก ผู้เขียนขอแนะนำว่ามันอาจจะเป็ความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเล่นเอาเนื้อหาเควสเสริม หรือมีเวลาเล่น New Game Plus อันนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาหน่อย เพราะเนื้อหาช่วงเควสเสริมทำออกมาน่าติดตามกว่ามากPresentationStarfield เป็นเกมที่จะให้ผู้เล่นได้ผจญภัยทั้งบนภาคพื้นดิน และใช้ยานอวกาศขับเพื่อไปดาวต่างๆ ที่มีมากกว่า 1 พันดวง โดยการเล่นหลักๆ ก็ยังคงให้ผู้เล่นไปรับเควส และก็ออกผจญภัยเพื่อทำเควสให้สำเร็จ พร้อมกับตอนเข้าสถานที่ทำเควส (ดันเจี้ยน) เราก็ต้องจับอาวุธสู้กับศัตรูแบบสุดมันส์ หรือตอนขับยานอยู่ก็อาจมีโจรสลัดมาให้เราบินยานสู้กัน ซึ่งหลังสู้เสร็จเราก็จะได้เก็บของจากศัตรูเพื่อนำมาใช้ให้ตัวเองเก่งขึ้น หรือจะนำไปขายเพื่อได้เงินไปทำอย่างอื่น แถมแน่นอนว่านี่คือเกมที่คุณไปเหยียบดวงดาวได้ถึง 1 พันดวง เกมก็จะมีให้เราได้สำรวจบนดาวต่างๆ ว่ามีสถานลึกลับอะไร และเก็บทรัพยากรต่างๆ มาหา "สร้างที่พักอาศัยสักแห่งบนดาวดวงหนึ่ง" ที่คุณยังสร้างโต๊ะเพื่อปรับแต่งปืนหรือชุดเกราะหรืออื่นๆ ได้หลายรูปแบบ แถมถ้าคุณมีเงินเยอะๆ ก็เอาไปซื้อยานลำใหม่ที่มีความเก่งต่างกันได้หลายชนิด หรือจะไปหาปล้นจากชาวบ้านเขาเอาก็ได้ รวมทั้งยานก็ยังมีระบบปรับแต่งรูปลักษณ์ได้อิสระ หรืออัปเกรดให้แข็งแกร่งขึ้นไปได้อีกการปรับแต่งรูปลักษณ์ยานจะให้เอา Part ส่วนต่างๆ มาประกอบรวมร่างกันได้ตามใจชอบเลย ทำให้เรายังสร้างยานแบบใน Star Wars ก็ได้ด้วยอย่าลืมว่าเกมมีให้เก็บเลเวลด้วย และหลังเลเวลอัปจะได้แต้มมาเลือก 1 สกิล โดยเกมนี้ก็มีสกิลน่าสนใจให้เลือกอัปไปหมด ไม่ว่าจะสกิลสายต่อสู้, สายคราฟ, สายขับยาน, สายลอบเร้น หรือสายอื่นๆ อีกเพียบในด้าน Presentation สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว้าวมากๆ เกี่ยวกับเกมนี้เลยคือระบบ "New Game Plus" โดยของเกมนี้จะไม่เหมือนของเกมทั่วไป ซึ่งถ้าผู้เขียนบอกว่ามันเป็นยังไงก็อาจทำให้ "สปอย" แต่เอาเป็นว่า New Game Plus สามารถทำให้คุณเล่นเกมนี้ได้เพลินๆ จนจบไปได้อีกไม่ต่ำกว่า "10 รอบ" แล้วผู้เขียนก็มองว่า New Game Plus คือจุดที่ทำให้เกมนี้ยอดเยี่ยม และเป็นเอกลักษณ์ปฎิวัติวงการเกมสุดๆ แถมมันช่วยให้ทุกส่วนในเกม Starfield น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก อีกส่วนที่ดีคือเกมนั้น "มีภารกิจสุ่มหรือกิจกรรมที่ให้ตัวเอก Roleplay ได้เป็นอย่างดี" ยกตัวอย่างในเมืองจะมีให้ผู้เล่นรับภารกิจสุ่มไปล่าค่าหัวอยู่ตลอด แถมการสุ่มภารกิจก็ทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง ส่งผลให้ใครเพิ่งได้ดูซีรี่ส์ Mandalorian พอมาเล่นเกมนี้ต่อก็จะอินมากถ้าคุณอยาก Roleplay เป็นทหารรับจ้าง, นักส่งของข้ามกาแล็กซี่, นักขุดแร่ขาย หรือนักค้าของเถื่อนแบบ Hans Solo เกมนี้ก็มีระบบ หรือภารกิจให้ทำแบบนั้นได้แน่นอน โดยอาจทำออกมาได้ไม่เจ๋งขนาดนั้น แต่ก็ช่วยตอบโจทย์ได้ดีเลยเกมนี้ยังจะเหมือนกับเกมก่อนอย่าง Skyrim ที่จะมีหลายๆ ฝ่ายให้ผู้เล่นไปเข้าร่วม และจะได้เจอภารกิจเนื้อเรื่องที่ต่างกันไปอีก ทำให้เรื่องเนื้อหาเกมนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะน้อยเท่าเกมหลัก Fallout 4 เยอะเท่าของ Skyrim แน่นอนแต่ถึงแม้ New Game Plus จะช่วยยกระดับให้เกมน่าสนใจมากขึ้น สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ "ในช่วงที่คุณเล่นเกมนี้ตอนรอบ 1 มันจะรู้สึกจืดสุดๆ" เพราะแม้เกมจะใส่ระบบเจ๋งๆ มาเยอะแยะไปหมด แต่ปัญหาก็คือระบบต่างๆ นั้นทำออกมาได้ไม่สุดหลายส่วนเลย ยกตัวอย่างระบบแต่งปืนของเกมนี้มันก็มีไว้ "ให้อัปเกรดความแข็งแกร่ง & ให้ดูเท่ขึ้นเฉยๆ" ขณะที่ถ้าของเกมก่อนอย่าง Fallout 4 มันยังสามารถทำสุดได้ระดับ "เปลี่ยนปืนพกเป็นปืนไรเฟิลได้" แล้วถ้าพูดถึงส่วนๆ อื่นจะรู้สึกได้เลยว่าทุกอย่างภายในเกมดูธรรมดาไปหมด ซึ่งผู้เขียนก็ถึงขั้นมองว่า "มันเหมือนเป็นเกม RPG ทั่วไปที่ผสมร่วมร่างกับเกม No Man's Sky ก็แค่นั้น" ส่งผลให้จุดนี้เป็นเรื่องที่ต้องเป็นบทเรียนให้ผู้พัฒนาเกมมากๆ เพราะเกมก่อนหน้าทั้งหมดมักจะต้องมีสักระบบที่ทำได้ดีสุด แต่ถ้าคุณสามารถทนเล่นได้ไปจนถึง New Game Plus ทุกส่วนในเกมก็จะเจ๋งขึ้นเอาเรื่องจริงๆ ขอแนะนำรีบโฟกัสเล่นเนื้อเรื่องหลักให้จบไวๆ เพื่อไป New Game Plus ไว้ก่อน แต่รวมๆ เกมนี้ก็อยู่ในขั้นที่ดีนะ ไม่ใช่เกมอยู่ในขั้นแย่ แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมประณีตแบบเกมก่อนๆ แล้วเควสหลักมีทั้งหมด 20 เควส ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 30 ชั่วโมง และช่วงหลังเควส 13 จะเล่นเพลินขึ้น เพราะภารกิจเริ่มมีเนื้อหาที่แปลกใหม่ตลอด แต่ก็ยังรู้สึกว่าทุกเควสมันจืดๆ ไม่ได้มีเนื้อหาน่าจดจำอยู่ดีGameplayStarfield จะเป็นเกมที่ให้ผู้เล่นได้ใช้เวลาเดินพื้นบนดวงดาวต่างๆ มากกว่าใช้เวลาขับยานอวกาศ เนื่องจากเกมนั้นต้องการเน้นให้ผู้เล่นได้สำรวจภาคพื้นดิน และพูดคุยกับ NPC โดยการสำรวจดาวต่างๆ ก็จะทำให้ผู้เล่นเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละดาวก็จะมีพืช, ทรัพยากร, เอเลี่ยน และสถานที่ลึกลับต่างกันไป ส่วน NPC หลายๆ คนก็จะมีให้ผู้เล่นเลือกตอบบทสนทนาได้หลายรูปแบบ แถมเกมนี้ยังมีระบบ Persuasion ให้ผู้เล่น "คุยโน้มน้าว NPC" แบบสุดเจ๋งกว่าเกมก่อนแบบสุดๆ เพราะก่อนจะโน้มน้าวผู้เล่นจะต้อง "สังเกตุนิสัย & ดูว่า NPC เป็นคนยังไงให้ดีๆ" แล้วเราต้องมาเลือกบทสนทนาที่มีโอกาสโน้มน้าว NPC ได้สำเร็จให้ได้แต้มครบตามที่กำหนด ถ้าผู้เล่นตอบผิดก็อาจทำให้โน้มน้าวไม่สำเร็จ หรือถ้าผู้เล่นดวงดีก็อาจโน้มน้าวเขาสำเร็จในคำตอบเดียว ซึ่งมันช่วยทำให้การ Persuasion สนุกขึ้นจากเกม Fallout 4 มากๆ เลยถ้าผู้เล่นไปหาเบาะแสจุดอ่อนของ NPC คนนั้นมาก่อนหน้า ตอนใช้ระบบ Persuasion ก็จะทำให้โอกาสสำเร็จง่ายขึ้นด้วย ส่งผลให้ผู้เล่นสายเจรจาจะฟินมากส่วนเรื่องระบบ "ต่อสู้" เกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเหมือนของเกม Fallout 4 ไม่ว่าจะตอนสู้ด้วยปืนหรือตอนขับยาน โดยตอนขับยานผู้เล่นนั้นยังจะต้อง "บริหารพลังงานว่าจะไปเน้นที่ระบบไหนไปด้วย" สมมุติเราสามารถลดพลังงานความเร็วของยานให้บินช้าลง แล้วเอาพลังไปเพิ่มให้ปืนของยานโจมตีแรงขึ้นได้ หรือเราจะถอดพลังงานทุกระบบออก และใส่พลังงานความเร็วเพียงแค่ระดับ 1 เพื่อทำให้ยาน "ลอบเร้นไม่ให้ศัตรูตรวจพบเจอ" ก็ทำได้เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจอีกอย่างมากๆ คือ "เกมมีระบบให้ผู้เล่นต้องรับมือหลายอย่างมาก" ยกตัวอย่างถ้าเราไปเดินบนดาวที่ไม่มีอ็อกซิเจน เราก็สามารถค่อยๆ พลังชีวิตลดแล้วตายได้ ถ้าหากไม่ใส่หมวกให้อ็อกซิเจน หรือเราสามารถป่วยแล้วมีอาการ "ไอ" ทำให้ Stealth แตกง่าย และต้องไปหายามารักษา (พวกอาการป่วยในเกมนี้มีหลากหลายแบบมาก) โดยจุดนี้อาจไม่ทำให้เกมเพลย์ท้าทายขึ้นขนาดนั้น แต่มันช่วยให้ผู้เล่นได้อรรถรสมนุษย์ยุคอวกาศเอาเรื่องเลยในเกมนี้มีอาวุธประชิต และอาวุธปืนให้เลือกใช้เยอะมาก รวมทั้งอย่าลืมว่าสามารถปรับแต่งได้ แถมปืนยุคมนุษย์ยังอยู่แค่บนโลกก็มีให้ใช้นะระบบชุดเกราะในเกมนี้จะมีทั้งแบบ "ชุดธรรมดา" กับ "ชุดเกราะสามารถป้องกันพิษอันตรายต่อร่างกาย" เราสามารถตั้งให้เวลาที่ตัวเอกอยู่บนดาวไม่อันตรายจะไม่ต้องใส่ชุดป้องกัน แล้วตอนไปอยู่บนดาวมีพิษก็ให้ใส่อัตโนมัติก็ได้ ซึ่งมันช่วยเพิ่มอรรถรสมากแม้เกมเพลย์ของ Starfield จะฟังดูดีไปหมด แต่ในส่วนนี้ก็มีข้อเสียที่ร้ายแรงเหมือนกัน อย่างแรกคือ "การผจญภัยในเกมนี้ทำได้ไม่ดี" โดยหลักๆ เป็นเพราะระบบขับยานในเกมนี้ส่วนใหญ่จะให้ผู้เล่น "Fast Travel เพื่อลงจอดพื้นดาวหรือบินขึ้นอวกาศ รวมถึงตอนจะไปดาวดวงใหม่ๆ ก็ใช้วิธี Fast Travel" ซึ่งฟังเหมือนดูดีที่ทำให้ผู้เล่นได้ประหยัดเวลา แต่ผู้เล่นก็จะไม่รู้สึกได้ผจญภัยด้วยยานอวกาศเลย แถมยังทำให้ผู้เล่นต้องมาพบเจอหน้าคัทซีท & หน้าโหลดเยอะจนไม่ฟิน รวมทั้งแม้ผู้เขียนจะบอกว่าระบบต่อสู้ทำได้ดี แต่มันก็มีการ Downgrade จากเกม Fallout 4 ที่ทำให้ช่วงท้ายๆ เกมก็รู้สึกระบบต่อสู้น่าเบื่อได้เช่นกัน เพราะระบบต่อสู้นั้นจะมีแค่ให้ผู้เล่นยิงๆ ศัตรูจนพลังชีวิตหมดหลอดแบบไม่ค่อยมีลูกเล่นให้ใช้ลูกเล่นพิเศษอะไรมาช่วย แถมก็ยิงแขนขาศัตรูขาดตอนตายแบบเกม Fallout 4 ไม่ได้แล้วเวลาจะ Fast Travel ไปลงจอดบนดาวต่างๆ ยังต้องเข้าเมนูของเกมที่ไม่ลื่นไหลด้วย เรียกว่านอกจากไม่ทำให้อินก็ยังทำให้เสียอารมณ์อีกส่วนการผจญภัยภาคพื้นดินบนดาวต่างๆ แม้เราจะได้ไปเจอสภาพแวดล้อม, พืช, ธาตุ และเอเลี่ยนต่างกัน แต่มันก็งั้นๆ มาก แถมถ้าผู้เล่นจะสำรวจหาดันเจี้ยนหรือจุดลึกลับ ก็ต้องเดินไปแบบน่าเบื่อหลายร้อยเมตร แทบไม่เจอเซอร์ไพร์สอะไรตลอดทาง ส่งผลให้การผจญภัยเกมนี้ไม่ดีเท่าเกมก่อนๆ เช่นกันPerformance & GraphicStarfield ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ก่อนวางขาย มีหลายคนนั้นกลัวมากๆ ว่า "เกมจะบั๊กเยอะ & เล่นไม่ลื่น" ตามสไตล์เกมก่อนๆ ของค่าย Bethesda แต่ทว่าเกมนี้ก็ถือว่าสร้างเซอร์ไพร์สมากๆ เพราะผู้เขียนนั้นแทบจะไม่พบเจอบั๊กในเกมเลย!!! ตั้งแต่เล่นมาเจอบั๊กที่ทำให้เล่นเควสต่อไม่ได้แค่ 1 ครั้งเท่านั้น ขณะที่พวกอาการ Crash หรือค้างบ่อยก็ไม่มีเลย สามารถเล่นได้ลื่นๆ อย่างมีความสุขบั๊กที่ผู้เขียนเจอคือกำลังจะไปคุยกับ NPC รับเควสหลัก แต่ NPC ดันบินขึ้นฟ้าหนีไปซะงั้น แต่แก้ไขได้ด้วยการโหลดก่อนมาเจอ NPC คนนี้นอกจากเกมจะลื่นๆ ปัญหาน้อย สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนถูกใจในเกมนี้มากๆ คือ "เกมมีการทำฉากได้สวยงานอลังจัดเต็ม" ไม่ว่าจะตอนที่ผู้เล่นไปลุยดันเจี้ยนต่างๆ หรือตอนเข้าไปในเมืองต่างๆ ตามหลายดาวของเกม ซึ่งในเมืองแรกนี่ก็จะเป็นเมืองใหญ่อลังมาก แต่ผู้เล่นยังเข้าไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ ได้เยอะด้วย แถมเกมยังมีการใส่ใจทำสถานที่ต่างๆ ออกมาให้ได้อรรถรส & พาผู้เล่นฟินสุดๆ ส่วนด้านกราฟิกเกมนี้ก็อาจไม่ได้สวยอันดับต้นๆ ของเกมยุคนี้ แต่พวก Texture นั้นก็ดูดี และเรื่องแสงภายในเกมก็ทำให้ภาพดูได้อลังเอาเรื่อง ส่งผลให้ด้าน Graphic นี่ถือว่าน่าประทับใจอยู่เช่นกันเมืองแรกสุดของเกม เชื่อว่าหลายคนต้องร้องว้าวแน่นอน แต่เกมก็ยังมีเมืองสวยอื่นๆ ให้เจออีกเพียบแต่ในด้าน Performance นั้นก็มีอย่างนึงคือเกมนั้น "กินสเปคการ์ดจอกับ CPU เอาเรื่องเลย" โดยผู้เขียนได้ใช้ซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ RTX 3070Ti สิ่งที่พบคือถ้าผู้เขียนจะเล่นลื่นๆ ที่ 40-60fps ก็ต้องปรับภาพกราฟิกอยู่ระดับ Medium ขณะที่ถ้าปรับ High หรือ Ultra ก็มีตกลงมาที่ 30fps เลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมบน XBOX Series X l S ถึงล็อกที่ 30fps ด้วยนั่นเองเกมนี้ไม่มีระบบ Ray Tracing และมีระบบ AMD FSR2 ที่ช่วยลดขนาดจอภาพของเกมเพื่อให้เล่นลื่นขึ้น แต่ภาพตอนเล่นก็ยังสวยเหมือนปกติ โดยใช้ได้ทั้งชาวการ์ดจอ Nvidia หรือ AMD หรือ IntelสรุปStarfield เป็นเกมที่อยู่ในระดับดี แต่มันก็อาจไม่ได้ดีระดับยอดเยี่ยมเป็นถึงขั้นเกมแห่งปี เนื่องด้วยที่เกมนั้นทำเนื้อเรื่องมาได้ไม่น่าติดตามช่วงต้นถึงกลางเกม และระบบที่ใส่มาเพียบไปหมด แต่ดันทำได้ไม่สุดหลายส่วนจนทำให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นเกมตะลุยอวกาศที่ไม่ได้มีความเจ๋งพิเศษ แต่ก็ด้วยความที่ในปัจจุบันมีเพียงเกม Starfield ที่ทำออกมาเป็นแนว Open World Action RPG ธีมยุคอวกาศ จึงส่งผลให้มันก็ยังถือเป็นเกมที่คุณไม่ควรพลาด หากเป็นคนชอบเล่นเกมแนว RPG หรือเกมที่ให้คุณได้เอาเวลาจำนวนมากไปใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกใบหนึ่ง รวมทั้งถ้าทนเล่นไปได้จนถึงช่วง New Game Plus คุณก็จะได้พบความเจ๋งที่ยังไม่เคยมีเกมไหนทำได้ขนาดนี้มาก่อน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมงนั่นเอง*ขอขอบคุณทาง Edelman Thailand ด้วยนะครับที่ส่งเกม Starfield มาให้พวกเราได้รีวิว*
05 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม Atlas Fallen อีกหนึ่งความย่ำแย่ของผลงานวิดีโอเกมในปีนี้ ที่น่าผิดหวังในทุกภาคส่วน
ผลงานใหม่ของ Deck 13 เจ้าของผลงาน The Surge หันมาจับเกม Action RPG ทั่วไปกับเขาบ้าง เลยออกมาเป็น Atlas Fallen เกมนี้ แต่มันจะมีอะไรดี หรือน่าสนใจหรือไม่ วันนี้มาดูรีวิวของเรากันเรื่องราวแบบเหล้าเก่าในขวดใหม่อีกครั้ง ของคนไร้ชื่อที่บังเอิญได้กลายเป็นฮีโร่เรื่องราวของ Atlas Fallen เล่าถึงเทพผู้ต้องการพลังอย่าง The Essence ซึ่งพลังดังกล่าว ดันเติบโตและเก็บเกี่ยวได้บนโลกมนุษย์ เทพ Thelos เลยพยายามหาวิธีทำลายล้างโลกมนุษย์ด้วยการค่อย ๆ เก็บเกี่ยวพลังไปพร้อม ๆ กับวางแผนก่อการใหญ่ ในขณะที่ Nyaal วิญญาณลึกลับที่มีพลังได้สร้างถุงมือวิเศษขึ้นมา และขังตัวเองไว้ในนั้นจนกลายเป็นถุงมือพูดได้ (คุ้น ๆ ใช่หรือไม่ ?) และผู้ที่ได้พลังนั้นมาครอบครอง กลับเป็นตัวเอกไร้นาม (ที่ในเกมใช้ชื่อ The Unnamed) ที่กำลังเผชิญหน้ากับกองทหารรุกราน และต้องเอาตัวรอดจากไฟสงคราม แน่นอนว่าภารกิจครั้งนี้ ทั้งการเอาตัวรอดจากหายนะสงคราม และหายนะระดับโลกแดนดินจึงได้เริ่มต้นขึ้นอาจจะถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่ค่อนข้างพอเหมาะพอเจาะไปเสียหน่อย เมื่อ Atlas Fallen ดันมีพล็อตแบบถุงมือวิเศษพูดได้อย่าง The Gauntlet อยู่ในเกม เพราะเมื่อช่วงต้นปี เกมของ Square Enix อย่าง Forspoken ก็มีพล็อตจำพวกกำไลโบราณพูดมากแบบนี้อยู่ เพียงแต่ว่าถุงมือโบราณในเกมนี้ไม่ได้พูดมากน่ารำคาญเท่า และฉากหลังของเกมก็ไม่ได้พาผู้เล่นไป Isekai ต่างโลกแบบ Forspoken ด้วย ดังนั้นถ้าจะมีจุดเหมือนก็น่าจะแค่การมีวัตถุแปลก ๆ ปากมากในเลเวลที่ต่างกันเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนื้อหาที่ Atlas Fallen ตั้งใจจะนำเสนอมันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย มันยังคงเป็นเรื่องราวของคนไร้นามที่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นวีรบุรุษ หรืออาจจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาอะไรสักอย่าง ซึ่งในเกมนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องของบ้านเกิดเมืองนอน หรือแผ่นดินใหญ่อยู่ดี รวมไปถึงทางผู้สร้างเอง เขาก็ไม่ได้คิดที่จะพยายามนำเสนออะไรที่มันใหม่ไปมากกว่านี้ด้วย ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ตรงแบบสุด ๆ บวกกับบทสนทนาที่เหมือนขาดการขัดเกลา ตลอดเวลาการเล่น เราจะเห็นบทสนทนาง่าย ๆ ไม่ลึก ไม่ซับซ้อน ไม่คมคาย อารมณ์เหมือนกับเขียนบทมาให้มันจบ ๆ ไป ซึ่งถามว่ามันดีไหม มันก็อยู่ในระดับที่สนุกไปกับมันได้ แต่ก็ไม่ใช่ของใหม่ที่เราจะต้องว้าวกันอย่างแน่นอน ทำให้เนื้อหาของ Atlas Fallen เป็นอีกครั้งที่เราต้องใช้คำว่า "เหล้าเก่าในขวดใหม่"ระบบการนำเสนอและเกมเพลย์การเล่นที่ตกยุคแบบสุด ๆน่าเสียดายสำหรับใครที่ผิดหวังในส่วนของเนื้อเรื่องและจะมาหวังกับ Gameplay เราขอดักคอไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า น่าผิดหวังไม่ต่างกัน จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมบางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปีนี้มีเกมนี้ออกวางจำหน่ายด้วย สำหรับ Atlas Fallen นั้น ใช้เกมเพลย์แบบที่แฟน ๆ คุ้นเคยกันดีนั่นคือ Open World ผสมกับความเป็น Action RPG ที่แทบจะไม่มีอะไรใหม่ใส่เข้ามาด้วยเลย แต่การนำเสนอระบบแบบต่าง ๆ นั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงไป แต่ส่วนมากก็คือการหยิบเอาบางระบบนั่นแหละมาดัดแปลงใหม่ ใส่เป็นของตัวเอง ในแง่ของระบบเกมเพลย์การเล่น ใครที่เล่นเกม Action RPG มาเยอะ ๆ จับแปปเดียวก็น่าจะรู้เรื่อง มันคือเกมที่เราจะได้ออกลีลาวาดลวดลายต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์โดยเกมนี้เราจะได้ใช้ถุงมือที่มีพลังโบราณเป็นอาวุธ และมี Stance การต่อสู้ให้เลือกใช้สองแบบด้วยกันคือ Sandwhip และ Dunecleaver แต่เราสามารถสลับไปมาระหว่าง 2 Stance นี้ได้ง่าย ๆ ด้วยการคลิกซ้ายหรือคลิกขวาง่าย ๆ โดยแบบ Sandwhip จะมีความรวดเร็วและความคล่องตัวที่สูงกว่า ส่วนแบบ Dunecleaver จะมีพลังโจมตีสูงกว่าแต่ช้ากว่านอกจากนั้นตัวละครยังมีหลอด Momentum ที่เปรียบกับเกมอื่น ๆ แล้ว มันก็คือหลอดมานาสำหรับกดร่ายสกิลต่าง ๆ แต่สำหรับเกมนี้ก็ดูไม่มีค่าความสำคัญอะไรเลย นอกเสียจากการกดใช้เพื่อออกท่าโจมตีพิเศษที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยการเก็บหลอด Momentum นี้ก็ได้จากการโจมตีปกติทั่วไปตามสูตรเกมเดิม ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ นอกจากอาวุธสองโหมดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือระบบ Essence Stone การใส่หินนี้ให้กับตัวละคร จะทำให้การโจมตีรูปแบบต่าง ๆ ได้รับการอัปเกรด เช่นต่อยเป็นพายุหมัดทอร์นาโด หรือใช้ค้อนออกมาสองอันพร้อมกัน โดยหิน Essence Stone ก็ได้ทั้งจากการทำภารกิจหลัก และภารกิจรองต่าง ๆ และมันมีรูปแบบทั้งหมดที่เราสามารถเก็บได้ แต่เอาจริง ๆ ถึงเวลาเล่น เราก็จะเจอแบบที่ชอบอยู่แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นแหละ และบางสกิล ใส่ซ้อนกันก็ใช่ว่ามันจะทำงานพร้อมกันได้ดี สรุปก็คือแทบไม่มีความจำเป็นจะออกไปเก็บให้ครบ หาอันดี ๆ สักชุด แล้วอัปเกรดใช้งานไปเรื่อย ๆ ก็เพียงพอแล้วและเวลาต่อสู้กับมอนสเตอร์ ส่วนมากก็จะเป็นรูปแบบเดิม ๆ คือการพยายามหลบหลีกการโจมตีของศัตรูและสวนกลับเท่านั้น การจะหาหีบไอเทมที่เป็นวัตถุดิบสำหรับการอัปเกรดถุงมือหรือ Essence Stone ก็คล้ายกันหมด ทำให้เกมเพลย์นั้นรู้สึกซ้ำซากจำเจอย่างถึงที่สุด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมสตูดิโอที่เคยสร้างเกมเจ๋ง ๆ อย่าง The Surge ถึงมามือตกเอา และดูเหมือนเป็นเกมที่ไม่ได้รับความใส่ใจในการพัฒนาเลยแม้แต่น้อยโลกของเกมถูกนำเสนอเป็นแบบ Open World ก็จริง แต่ก็ไม่ได้กว้างขวาง หรือมีพื้นที่อะไรให้เราสำรวจมากมายนัก แต่จุดที่ต้องขอชม และชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือเรื่องของการเดินทางภายในเกมที่มีความคล้าย Forspoken อยู่อีกส่วน โดยในเกมนี้ หากเหยียบอยู่บนพื้นดินปกติ ก็จะเป็นการเดินทางแบบทั่วไป แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเหยียบไปบนพื้นทราย ตัวละครของเราจะเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวไปเป็นการขี่ทราย เหมือนกับการขี่เซิร์ฟบอร์ดบนน้ำทะเล เท่ใช้ได้ และที่สำคัญคือ เป็นการทำให้การเคลื่อนไหวของตัวละครค่อนข้างลื่นไหลกว่าที่คิด แต่ก็นั่นแหละ เพราะสุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมาก หากเดินทางบ่อย ๆ ในระยะไกล การใช้ Fast Travel ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้วที่น่าปวดใจก็คือ เกมนี้ขายความเป็น Open World ในระดับหนึ่ง แต่โลกของเกมมันช่างอ้างว้าง เงียบเหงา ไร้ซึ่งความน่าสนใจใด ๆ ด้วยความที่อยากจะขายฉากหลังเป็นเมืองท่ามกลางทะเลทรายอยู่แล้ว นอกเสียจากซากปรักหักพัง และเมืองที่ค่อนข้างแห้งแล้ง เกมก็ขาดความน่าสนใจในการออกสำรวจอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่ว่าถ้าไม่มีเควสท์หรือภารกิจใด ๆ ให้ทำก็แทบจะไม่อยากออกสำรวจ อยากจะดิ่งเนื้อเรื่องให้มันจบ ๆ ไป แถมดีไม่ดี บางคนอาจจะเล่นไม่จบด้วยซ้ำถ้าให้มองหาข้อดีนั้น อาจจะพอบอกได้ว่า Movement และบางช่วงของเกมก็สนุกดี จากการออกแบบระบบการเคลื่อนที่บนทราย และความสามารถในการ Double Jump หรือ Air-Dash แต่เกมอื่นเขาก็มีระบบแบบนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่เกมนี้เอามาใช้และทำให้มันสนุกได้ในบางช่วง ซึ่งก็นั่นแหละครับ ทุกอย่างล้วนตกยุค ผิดที่ผิดทางไปหมด ยิ่งภารกิจเนื้อเรื่องนี่ยิ่งงงหนัก ว่าทำไมต้องให้เราทำอะไรซับซ้อน เช่นการไปหาเศษถุงมือมาอัปเกรด รวมไปถึงไม่บอกตำแหน่งที่ชัดเจนด้วย ปล่อยให้ผู้เล่นคลำหากันเอง รับรองว่าใครเบื่อง่าย เจอเส้นเรื่องภารกิจหลักเข้าไป โอกาสเลิกจากตรงนี้ สูงมาก ๆ..หากเกมนี้ได้รับการโปรโมทที่ดังกว่านี้ มันอาจจะโด่งดังขึ้นมาในฐานะเกมยอดแย่ก็ได้ ซึ่งก็ดีแล้วที่มันไม่ดัง และเราคงอยากบอกคุณผู้อ่านที่สนใจเกมนี้ว่า เก็บเงินไว้รอซื้อเกมอื่น ๆ ยังน่าจะดีกว่ากดเกมนี้มาเล่น ต่อให้ลดราคา เราก็ไม่แนะนำ..
02 Sep 2023
[Review] รีวิวเกม CORNUCOPIA เกมทำฟาร์มมุมมอง Side Scrolling น่ารักเล่นเพลิน
CORNUCOPIA เกมแนว 2.5D ที่มีบรรยากาศแบบชนบท มี NPC กว่า 50 ตัว, มีระบบนวัตกรรมการทำปุ๋ย, ระบบการ์ดที่ไม่เหมือนใคร และสูตรอาหารกว่า 200 สูตร เจอเพื่อนพบปะแต่งงานและมีลูกกับ NPC 31 คน (คอนเซ็ปต์ดูเป็นไอ้ต้าวคนเจ้าชู้มาก ๆ ฮ่า ๆ) ร่วมงานเฉลิมฉลอง, เทรดสัตว์ที่การประมูล, ตกปลา, สร้างของ, ทำการเกษตร และเล่นมินิเกมต่าง ๆ มากมาย เอาจริง ๆ ในตอนแรกแค่อ่านคอนเซ็ปต์ของเกมผมแค่เริ่ม ๆ สนใจเองนะ ยังไม่ได้อยากลองเล่นอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นภาพของเกมเท่านั้นแหละกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาเลย เลยไปจัดตัวทดลองมาวอร์ม ๆ ดูก่อน ภาพเกมคือแบบทำให้คิดถึงเกมระดับตำนานอย่าง Kunio มาก ๆ เป็นเกมทำฟาร์มที่มีแนวการเล่นที่ดูแปลกใหม่ แปลกตา ถ้าให้ดูจากภาพเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการทำฟาร์มแบบ Side-scrolling น่าสนใจจุงเบย การตีหินตีไม้ก็มีค่าพลังขึ้นมาเหมือนเล่น Ragnarok ดูภาพตัวอย่างเกมไปก็ได้แต่ร้อง ว้าว ว้าว ว้าว ปะไปดูในเกมกันดีกว่าครับว่าจะบ้งไม่บ้ง มาฮะมา มาโดนผมป้ายยาซะดีดีเนื้อเรื่องแบบนี้หรือว่าเราจะเป็นกัปตัน? (ไม่สปอยล์ แค่เนื้อหาช่วง Intro)เราโดนพบเจอระหว่างที่โดนแช่แข็งอยู่ในเหมืองเก่า (นี่หรือเราจะเป็นกัปตันก้นสวย? 555) โดยคุณลุงชาวบ้านท่านหนึ่งชื่อว่า Rufus คุณลุงท่านนี้นี่แหละที่ไปตามคุณหมอ Andre มาดูอาการให้เรา คอยเป็นห่วงเป็นใยเราอยู่ตลอด ไม่มีใครคิดเลยครับว่าเราจะรอด จนคุณหมอได้ละลายน้ำแข็งและได้ยินเสียงหัวใจของเราเต้นครับ ทุกคนตกใจ ประหลาดใจ และดีใจมาก ๆ ที่เรารอด คุณลุงที่เป็นคนเจอเราได้พาเรานั่งรถเพื่อกลับเข้าเมืองเพื่อไปพักฟื้นที่บ้านของเขา ระหว่างทางก็จะมีอุปสรรคต่าง ๆ มาเป็น Toturial สอนเราใช้งานการบังคับปุ่มต่าง ๆ ภายในเกมครับ เมื่อถึงบ้านของคุณลุง เราจะได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของฟาร์ม เขาจะให้เราพักอาศัยอยู่กับเขาไปก่อนจนกว่าความทรงจำของเราจะฟื้นกลับมา แหมเนื้อเรื่อง Intro มันมาดีเว้ยเกมนี้ ระบบการเล่นอะไรก็ดูดี และแปลกใหม่อยู่เหมือนกัน อันนี้ผมวัดจากที่ผมลองเล่นจาก Toturial นะฮะ ปะเราไปดูด้านเกมเพลย์กันต่อดีกว่าครับทุกคนนนนน ผมนี่ตื่นเต้นเหมือนจะได้เจอเพชรเม็ดงาม ฮ่า ๆเกมเพลย์ดูดีมีลูกเล่นบางอย่างที่แตกต่างจากเกมแนวเดียวกันคอนเทนต์ในเกม CORNUCOPIA นั้นทำให้ผมได้เห็นว่า ถึงจะเป็นเกมแนวเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ เกมเพลย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเกมอื่นมากนักครับ เราจะได้ทำไร่ ทำฟาร์ม เลี้ยงสัตว์ แบบวนลูปอยู่ดี แต่ในเกมนี้นั้นผู้พัฒนาได้ใส่ลูกเล่น ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้เล่นอย่างเราได้สัมผัสกับประสบการณ์ในเกมที่แตกต่างจากเกมแนวนี้ในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นการถอนหญ้าด้วยมือ การเด็ดดอกไม้ การดึงเห็ด มันเลยทำให้การเล่นเกมสนุกมากขึ้นสัตว์ต่าง ๆ ในฟาร์มของเราเราสามารถนำน้อง ๆ มาช่วยเราทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการทุบหิน กำจัดวัชพืช ตัดไม้ เออก็สร้างความสะดวกให้กับผู้เล่นดี และก็แปลกตาไปมาก ๆ จากเกมอื่น ๆ เควสต่าง ๆ จาก NPC ที่มาเพิ่มความสนุกให้กับการเล่นเกม ต้องหาของ ต้องไปรังลับ ไหนจะต้องไปลงดันเจี้ยนเพื่อตีมอนสเตอร์อีก ก็เป็นอะไรที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้เล่นได้ การทำอาหารที่ต้องใส่วัตถุดิบเอง ต้มเอง ใส่น้ำเอง เบาไฟอะไรเอง เออมันแอบสร้างแรงดึงดูดในเกมเล่นเกมอยู่นะทำเล่นไป ฮ่า ๆ ปะเดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าในเกมมีอะไรน่าเล่นบ้าง เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างคอนเทนต์ในเกมมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะฮะ แต่ต้องขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ด้วยว่า อาจจะป้ายยาทุกระบบในเกมไม่ได้ เพราะลูกเล่นของเกมนี้เขาเยอะเกินกว่าที่ผมจะขนมาเขียนให้เพื่อน ๆ อ่านในบทความนี้ได้ ฉะนั้นถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ไปซื้อมาเล่นเป็นเพื่อนกันอีกสักเกมก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ ฮ่า ๆการทำฟาร์มมีลูกเล่นเป็นของตัวเองอยู่บ้างโดยทั่วไประบบการทำไร่ ไถนาของเกมนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเกมอื่นมากนักครับ แต่เมล็ดพืชพรรณต่าง ๆ เนี่ยก็จะดรอปมาจากเวลาเราดึง เราฟัน หรือเราเด็ดวัชพืช เกมนี้ก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่ผมมองว่า เราเดินเก็บนู่นเก็บนี่โยนตลาด เราก็รวยแล้วครับ เพราะต้นไม้ต่าง ๆ ในเกม มันโตเร็วมาก อาจจะไม่เร็วขนาด Orange season แต่ก็ถือว่าเร็วสำหรับผม ผลผลิตเกมนี้เราสามารถใช้อุปกรณ์เก็บเกี่ยวก็ได้ ใช้มือถอนออกมาก็ได้ ซึ่งการถอนในเกมนี้เนี่ยก็จะทำให้เราได้ไอเทมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นด้วย แต่แค่เราต้องเสียเวลากับการถอนมันทีละต้นครับการรดน้ำต้นไม้ ที่จะบอกว่าคือดี เกมนี้เราสามารถคราฟต์อุปกรณ์รดน้ำแบบออโต้ได้ตั้งแต่ต้นเกมเลยครับ แต่ใครจะใช้บัวรดน้ำก็ได้ มีมาให้ได้ใช้งานอยู่เหมือนกัน การรดก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเกมอื่น ก็เดินรดมันไปเรื่อย ๆ จนครบ น้ำหมดก็เดินไปตักน้ำ ก็เป็นสไตล์เดิม ๆ ที่เพลย์เยอร์อย่างเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วครับดินของเกม CORNUCOPIA นี่แหละครับ ที่ผมมองแล้วว่ามันดูแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ให้สังเกตจากสีของดินเวลาเราขุดเพื่อที่จะปลูกผัก ดินที่มีแร่ธาตุเนี่ยก็จะแตกต่างจากสีดินปกติครับ เมื่อเราปลูกผักในบริเวณนั้น ๆ ก็จะทำให้เราได้ผลผลิตที่เยอะเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเราใส่ปุ๋ยเพิ่มลงไปอีกนะ เราก็จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี เก็บเกี่ยวได้ในจำนวนที่มากขึ้น เวลาเราเอาผักไปโยนขาย เราก็จะได้กำไรมากขึ้นด้วยครับการเลี้ยงสัตว์น่ารักจัง เดินตามได้ด้วยเราก็แค่เล่นเกมตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเราจะได้สร้างฟาร์มครับ สัตว์ต่าง ๆ จะถูกเลี้ยงอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ตื่นเช้ามาก็ต้องแวะมาให้อาหาร คุยกับน้อนเพิ่มความรักความห่วงใยกันหน่อย เลี้ยงไปเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถได้ผลผลิตจากน้อน ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น นม ไข่ เราก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่นได้ จะเก็บไว้ทำอาหารเพื่อเพิ่มบัฟให้กับตัวเองก็ได้ หรือให้เป็นของขวัญกับชาวเมืองก็ได้อีกเช่นกันครับ แล้วความน่ารักไม่ได้จบแค่ที่ผมได้เล่ามา ถ้าเพื่อน ๆ มีสัตว์ตัวโปรด เราสามารถตั้งค่าน้อง ๆ ให้เดินตามเราได้ น้องจะช่วยงานเราครับ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ การช่วยเก็บผลผลิต การขุดดิน ฯลฯ แหม!!! มันน่ารักอย่างเดียวไม่พอ มันยังมีประโยชน์ให้กับเราอีกด้วยการต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์เกมนี้มีเลเวลตัวละครครับ เราสามารถมาฟาร์มมอนเพื่อเก็บค่าประสบการณ์ในเหมืองได้ด้วย ได้ทั้งแร่ ทั้งเลเวล มอนต่าง ๆ มีระดับเลเวลแตกต่างกันไปตามระดับความลึกของเหมือง ผมมองว่าการมาเข้าเหมือง เหมือนการเข้าดันเจี้ยนยังไงยังงั้นเลย เพราะมีบอสให้เราได้สู้ด้วย เราสามารถอัปสกิลต่าง ๆ ได้เมื่อเลเวลเราอัปครับ ถ้าเราอยากได้บัฟต่าง ๆ นั้น เราสามารถทำอาหารเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับตัวละครของเราได้ แถมยังพาสัตว์เลี้ยงตัวโปรดไปช่วยต่อสู้ได้ด้วย ผมลืมบอกไปว่ามอนสเตอร์นั้นไม่ได้มีอยู่แค่ในเหมืองเท่านั้นนะครับ เราสามารถเจอมอนได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา หรือแม้แต่บ้านของเรา ฮ่า ๆ และในเหมืองยังมีปริศนาต่าง ๆ ให้เราได้ไปแก้กันด้วยMinigameผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกมันว่ามินิเกม หรือการสุ่มดวงดี ฮ่า ๆ เมื่อเราทำฟาร์ม ทำเควส หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ได้รางวัล บางทีเราจะได้รับ หวยขูด (เรียกงี้ได้ไหมอะ ฮ่า ๆ) เออก็เพลิน ๆ ดีนะ ได้มาหลายใบ มีหลากหลายรางวัล รางวัลก็จะแตกต่างกันไปตามลักษณะรูปภาพ สมมติว่าเป็นรูปอาหาร เมื่อเราขูดล็อตโต้แล้ว รางวัลในล็อตโต้ที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัตถุดิบอาหาร ซึ่งมันสนุกดีที่ได้ลุ้นตลอดว่าแจ็กพ็อตจะแตกไหม ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ชีวิตจริงหวยกินยังไง ในเกมก็โดนอย่างนั้นแหละ ฮ่า ๆสรุปถึงแม้ปัจจุบันจะอยู่ในสถานะ Early Access น่าเสียดายที่เป็นเกมอินดี้ที่คนไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ เกมนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงหมาพูดได้, การทำเควส, การตกปลา และอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย ที่ผมไม่ได้ยกมาพูดถึงในบทความนี้ เพราะผมกลัวบทความจะยาวจนเกินไป ถ้าถามว่าควรซื้อไหม ผมก็มองว่าเกมนี้เนี่ยวัดดวงเลยครับ มันวัดดวงยังไง คือถ้าคนไม่ชอบเนี่ยก็คือจะไม่ชอบเลย ด้วยความที่มันเป็นการทำฟาร์มแบบ Side scrolling เดินซ้ายขวาบนล่างคล้าย ๆ กับเกม kunio แล้วแมปมันก็ไม่ได้กว้างและไม่ได้รวมกันอยู่ในพื้นที่เดียว เราต้องเดินเปลี่ยนฉากไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันทำให้ผมเกิด motion sickness อยู่บ่อยครั้ง ถ้าใครเมาเกมแบบผมผมบอกเลยว่า มันจะเกิดอาการเล่น ๆ หยุด ๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้การเล่นเกมขาดตอนครับ ครั้นพอจะมาเล่นอีกก็กลัวจะปวดหัว ส่วนถ้าใครที่เล่นแล้วชอบเนี่ย แล้วทนทางต่อแรง G มากกว่าผม ผมบอกเลยว่าเพื่อน ๆ จะหลงรักเกมนี้แน่นอนครับ ด้วยความที่เกมเพลย์มันแปลกใหม่แตกต่างจากเกมทำฟาร์มเดิม ๆ มีเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามว่าเราเป็นใครมาจากไหน ทำไมโดนแช่แข็งอยู่ในเหมือง ตื่นมาพร้อมกับความทรงจำที่หายไป แล้วมันหายไปได้ยังไงกันล่ะ? เรานี่แหละครับที่ต้องไปตามหาปริศนาในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละครของเรา ในเกมมีมินิเกมให้เราได้แก้ Puzzle กันอีกหลายภาคส่วน ใครสนใจผมบอกเลยว่าเป็นเกมอินดี้ที่น่ามีสะสมเอาไว้ครับ ราคาไม่แรงสามารถสั่งซื้อได้ผ่าน Steam สนนราคาเพียง 495 บาทเท่านั้น! ใครกลัวไม่คุ้มแนะนำรอลดครับ ใกล้จะถึงช่วงลดกระหน่ำท้ายปีแล้ว มีหลากหลาย Sale ให้เราได้รอไปจับจ่ายใช้สอยกันไม่ว่าจะเป็น Halloween Sale ช่วงเดือนตุลา, Autumn Sale ลากยาวกันไปจนถึง Black Friday Sale ในช่วงเดือนพฤศจิกา, แล้วไปปิดท้ายที่ Winter Sale ยาวไปจนถึงช่วง New Year Sale ผมคิดว่าไปรอซื้อช่วง Sale ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เราจะประหยัดเงินได้อีกหลายร้อยเลยสำหรับเกมนี้สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1681600/Cornucopia/
24 Aug 2023
[Review] รีวิวเกม ORANGE SEASON เกมทำฟาร์มภาพ Pixel ที่กำลังสร้าง มองข้ามไปก่อนก็ได้
ORANGE SEASON เกมทำฟาร์ม เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ สไตล์ Stardew Valley ตัวภาพมีความน่ารักคิกขุอาโนเนะ เปิดวางขายบน Steam มาตั้งแต่ 22 เมษายน 2017 ผมได้แต่นั่งมองนอนมองว่าเมื่อไหร่มันจะลดสักที จริง ๆ มันลดไปหลายรอบแล้วแต่ด้วยความที่ดองเกมไว้เยอะมาก ๆ เลยได้แต่เมียงมองไว้ก่อน ฮ่า ๆ จนวันนี้... อาจจะไม่ใช่วันที่เพื่อน ๆ มาอ่านนะฮะ อาจจะเลยไปนานแล้ว ถ้ามาอ่านช้าไปก็รอมันลดรอบต่อไปละกันนะฮะเพื่อน ๆ อะอะมาว่ากันต่อจนวันนี้ผมนั่งไถ ๆ ดูเกมใน Wishlist แล้วก็ได้สะดุดกึ้ก!!! มือไม้สั่นรีบเติมเงินเข้า Steam เพราะ ORANGE SEASON ลดอยู่ 30% ราคากำลังน่ารักน่าชังเลยกดมาลงคลังไว้สักหน่อย เอาจริง ๆ ไม่อยากจะคาดเดาอะไรทั้งนั้น แต่แอบมีคิดในหัวอยู่เบาเบาเหมือนกันว่ามันจะสู้ Stardew ได้ไหมน้าาา อยากจะป้ายยาเพื่อน ๆ แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สนุกขนาดนั้นน่ะสิ งั้นเอางี้ผมรีวิวตามจริงเลยละกัน ห้ามงอนกันนะถ้าผมไม่ได้อวย ฮ่า ๆเนื้อเรื่องเริ่มมาแบบง่าย ๆ พุ่งเข้าประเด็น ไม่เท้าความเนิบนาบปกติเกมแนวนี้ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดี เนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มมาเหมือน ๆ กันที่หนีชีวิตในเมือง หนีงาน หนีปัญหา มาทำไร่ ทำฟาร์ม เลี้ยงหมู เลี้ยงหมาไปวันวัน ได้รับมรดกจากโคตรเหง้าศักราช คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือแม้แต่คุณลุง ทั้งชวนมาอยู่ตอนมีชีวิตบ้าง จากโลกนี้ไปแล้วบ้าง ซ้ำซากจำเจวอแวอยู่กับเนื้อเรื่องแบบนี้กันมาทุกเกม แต่เกมนี้แตกต่างออกไป เริ่มเกมปุ๊บเข้าประเด็นปั๊บ...ตัวเอกที่เราบังคับเนี่ยซื้อฟาร์มมาครับ เราเนี่ยคิดว่าฟาร์มที่เราซื้อมาจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะถูกทิ้งร้างและได้มาในราคาถูก เนื้อเรื่องเริ่มต้นมามีเพียงเท่านี้ และไม่ได้เท้าความอะไรให้เยอะแยะครับ เปิดตัวมาเราจะยืนคุยอยู่กับ Julia นายกเทศมนตรีของเมือง Orange Season และน้องชายของเธอชื่อ Benjamin คุยกันไปกันมาจูเลียจะต้องไปทำธุระต่อที่อื่นจึงมอบหมายให้เบนจี้น้องชายของเธอดูแลเราต่อ และคอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ เบนจี้จะพาดูเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในฟาร์ม และสอนเราใช้งาน และเบนจี้จะมอบอุปกรณ์ทำฟาร์มเอาไว้ให้เรา ซึ่งเป็นของขวัญต้อนรับเราจากชาวเมืองครับ (เขาหุ้นกันซื้อมาให้เราเลยนะ) หลังจากนั้นเบนจี้ก็จะกลับไปและทิ้งเควสเอาไว้ให้เราฝึกฝีมือการเพาะปลูกเล็กน้อยไอ้รวบรัดอะมันก็ดี แต่นี่แทบไม่รู้เลยว่าตัวเอกเป็นใครมากจากไหน? ทำอะไรมา? ผมได้แต่นั่งงงว่าชาวเมืองเขาไม่อยากรู้หัวนอนปลายเท้าคนแปลกหน้าคนนี้เลยเหรอ? ฮ่า ๆ ในส่วนนี้ผมว่าดีตรงที่มันไม่ยืดยาดน่ารำคาญ คุยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วได้เล่นเกมเลย แต่ในมุมกลับกันมันก็น่าจะมีมิติของสตอรีไลน์อะไรให้ลุ้นมากกว่านี้หน่อย ให้เราอินกับตัวละครสักนิด เออนายมีปูมหลังมาแบบนี้นะ ไม่ใช่จบที่ว่าเบนจี้แค่อยากเผือกนิดหน่อย มีบทสนทนาก่อนเบนจี้จะกลับบ้าน...Benjamin : เออก่อนผมจะกลับ ผมอยากรู้ว่าทำไมนายถึงเลือกจะมาซื้อฟาร์มแล้วทิ้งทุกอย่างมาอยู่ที่เมืองชายขอบแบบนี้ล่ะ?Me : เหตุผลง่าย ๆ นิดเดียวเลยครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกถึงการมีชีวิตชีวิตโหดร้ายขนาดไหนกันวะเนี่ยยยยยย ก่อนหน้านี้คือตายล้วน? หยอกหยอก ฮ่า ๆ ๆ สรุปพวกเราก็ยังไม่ได้รู้อะไรอยู่ดีครับ เอาน่าเล่นไปเรื่อย ๆ อาจจะค่อย ๆ คลายปม หลังจากนี้ผมและเพื่อน ๆ ต้องต่างคนต่างเล่นแล้วนะฮะ ถ้าอยากรู้เรื่องราวต่อไปปะไปซื้อเกมกัน ป้ายยา ป้ายยา ว่าแต่ยาไม่ค่อยแรงเลย ฮ่า ๆเกมเพลย์เล่นไปเล่นมาติด Bug จนท้อบอกเลยว่าสำหรับเกมเพลย์และคอนเทนต์ต่าง ๆ ของเกมนี้ สร้างความหงุดหงิดใจและความน่าเบื่อให้ผมเลยตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่เริ่มเล่นเกม คอนเทนต์ที่หละหลวมและมีข้อบกพร่องให้พบเห็นค่อนข้างเยอะ Bug มากมายที่ไม่เป็นมิตรกับเพลย์เยอร์ เลยทำให้การเล่นเกมไม่มีความสมูตและลื่นไหล เสียดายที่ภาพของเกมทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ แต่ผมต้องพยายามเล่นมัน ที่ผมใช้คำว่าพยายามคือพยายามจริง ๆ นะฮะ ฝ่าฟันกับอภิมหา Bug การ Interact กับสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่รู้จะยากไปไหน ยากจนเศร้า คืออยากเล่นต่อ แต่กลายเป็นว่าต้องเล่นแบบฝืน ๆ เพราะอยากจะเอามารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน เดี๋ยวผมจะแยกย่อยตามหัวข้อต่าง ๆ ให้เห็นเลยว่า เราจะติดบัคกันในทุกอิริยาบถ ของทุก ๆ คอนเทนต์ในเกม ฮ่า ๆ ๆ ก่อนเข้าเกมผมบอกเลยว่าผมกะมาอวยยศให้เขาเลย พอเล่นแล้วยิ้มแห้ง แอบเสียดายเงินนิดนุง 555555การทำไร่ที่คุ้นเคย แต่ไม่อยากจะเอ่ยถึงบัวรดน้ำการทำฟาร์มของเกม ORANGE SEASON นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นมากนักครับ ใช้จอบขุดดิน โรยเมล็ดลงไป และขั้นตอนสุดท้ายก็คือการรดน้ำ แต่ที่จั่วหัวมาว่าไม่อยากพูดถึงพี่บัวรดน้ำก็เพราะ "มัน Bug ครับ" ไอ้แหล่งน้ำเกมนี้ต้องชมเลยว่ามันมีบ่อน้ำใกล้ ๆ กับแปลงผักของเรา ซึ่งเราจะไม่ต้องเดินไปตักน้ำไกล ๆ ให้เสียเวลา แต่ แต่ แต่ ไอ้พี่บัวรดน้ำของเราเนี่ย บางทีก็กรอกน้ำได้ บางทีก็กรอกน้ำไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ!!! ตอนเราเอาพี่เขามารดน้ำต้นไม้ น้ำมันดันไม่โดนต้นไม้เว้ยเพื่อน ๆ ขยับหามุมนิดหนึ่งยังไม่โดนต้นที่เราต้องการ รดจนน้ำหมด เดินไปกรอกน้ำใหม่ น้ำเข้าพี่บัวบ้างไม่เข้าพี่บัวบ้าง บางทีกดตักน้ำ แต่ไปยืนรดน้ำอยู่ตรงบ่อน้ำก็มี ฮ่า ๆ กลับมารดน้ำกันใหม่ ยืนเปลี่ยนมุมเปลี่ยนทิศทาง อห ได้สักที (อห ที่ไม่ได้แปลว่าโอ้โห ฮ่า ๆ) แค่เริ่มเกมมาทำเควสปลูกหัวไชเท้า ผมก็เซ็งแล้วฮะ ได้แต่นั่งทำตาปริบปริบ ว่า Dev ปล่อยออกมาขายแบบนี้ได้ยังไงกันฟระ ผ่าน QA Tester มาได้ยังไงก๊อนนนนน อะหรือไม่มี QA Tester ??? ผ่านไปแล้วกับการปลูกผัก นี่เพิ่งเริ่มเกมเองนะครับเพื่อน ๆ ไปครับไปนั่งงงเป็นเพื่อนผมกันต่อในหัวข้อถัดไปกันดีกว่าฉันนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง แปลกใจฉันจริงปลาไม่กินเหยื่อเอาจริง ๆ นะผมไม่แน่ใจเลยว่า Dev เขาอัประบบตกปลาเข้าเกมมาหรือยัง ? แต่มีเบ็ดให้นะ แล้วก็มีเหยื่อเป็นไส้เดือนให้เก็บด้วย แต่ แต่ แต่ สรุปว่าไม่มีช่องให้ใส่เหยื่อคือตกได้เลยโดยไม่ต้องใช้ไส้เดือนครับ แล้วไส้เดือนมีไว้ทำไม ขายทิ้ง? อะอะไม่เป็นไรใส่เหยื่อไม่ได้ไม่เป็นไร ไหนไหนลองกด Space Bar ตกเลยละกัน อุ๊ยปลากินเหยื่อแล้ว กด Space Bar อีกทีเพื่อดึงปลาขึ้นมา อ้าวปลาหนีไปแล้ว ตกอยู่เป็นสิบสิบรอบ รู้หมดว่าได้ปลาอะไร แต่แ_่งหนีหมดเลยเว้ยเพื่อน ๆ หนีเก่งเกิ๊นนนน ตกอยู่ 20 นาที ไม่ได้ปลาแ_่งสักตัว ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันมาทำอะไรที่นี่ ♪♫♬♩ คิดในแง่ดี เราอาจจะเล่นไม่เป็นเองก็ได้ ตัวเกมมีสอนแต่อาจจะลืมดูก็ได้ว่าเขาให้กดอะไร ฮ่า ๆ ๆ มามาลองใหม่กันอีกสักตั้ง 10 นาทีต่อมา... ตกได้โคลน 55555 ล้อกันเล่นใช่ไหมครับเนี่ยยยยยยย อะไรกันครับเนี่ย TT จุดนี้ผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าคอนเทนต์นี้มันยังไม่เปิดให้เล่น หรือว่าผมติดบัค แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะว่ามันมีเบ็ดมาให้เราตั้งแต่ต้นเกมเลยปลาเกมนี้จะมีจุดตกปลา เราจะไม่สามารถหย่อนเบ็ดตรงไหนก็ได้เหมือนใน Stardew หรือ Harvestmoon มันก็เลยทำให้ฟีเจอร์นี้ค่อนข้างขาดอิสระอยู่พอสมควรครับ แม่น้ำมีรอบเมืองเลย แต่ต้องเดินมาที่จุดตกเท่านั้น แล้วเดินมาไกลปลาก็ตกยากมาก ๆ และไม่มีมินิเกมให้เล่นเกมตอนตกปลา เราแค่หย่อนเบ็ดดึงขึ้นแล้วลุ้นเอาว่าได้หรือไม่ได้ ไม่มีเกจอะไรให้ได้มีส่วนร่วมกับการตกปลาเหมือนใน Stardew เลยแม้แต่น้อย เล่ามาถึงตรงนี้ผมก็ยังตกอะไรไม่ได้เลยนอกจากโคลน ฮ่า ๆเก็บแค่ของป่าก็รวยแล้ว ไม่ต้องทำฟาร์มให้เสียเวลาคอนเทนต์นี้ผมบอกเลยว่ามันทำให้ผมเริ่มหมดความอดทนในการเล่นเกม คือแบบมันเสียสมดุลตั้งแต่เริ่มเล่นกันไปเลย ของป่าแบบมีเยอะมาก ๆ เต็มพื้นที่ไปหมดทั้งที่ร่วงอยู่บนพื้นและออกผลอยู่บนต้น แล้วแตงโมมันขายได้ลูกละ 100 กว่า $ (ค่าเงินในเกม) บางฤดูมีเห็ด แล้วมันจะ Respawn ในวันรุ่งขึ้นอีกเยอะมาก ๆ คือผมเดินเก็บได้ทุกวัน เก็บแตงโมเก็บเห็ดขายอย่างเดียว ผมไม่ตองทำไรแล้วนะ ผักก็ไม่ต้องปลูก สัตว์นี่เลี้ยงเอาฮาเฉย ๆ ก็ได้ จริง ๆ เก็บแล้วมันควรหมดไปเหมือนเกมอื่น ๆ ไม่ใช่มีให้เก็บเป็นรายวัน ควรมีเวลาให้ออกดอกออกผลสักหน่อย แล้วไม่ต้องมีต้นที่ให้ผลเรี่ยราดเต็มแผนที่ไปหมดขนาดนี้ก็ได้ เดินไปทางไหนก็เจอ ผมไม่ต้องปลูกอะไรเองในฟาร์มของผมเลยยังได้ เดินเก็บเอาตามทาง พอหมดก็รอวันใหม่ แล้วมาเก็บวน ๆ ไป ผมเจอความไม่บาลานซ์นี้ ผมไม่มีแรงดึงดูดอะไรให้เล่นเกมนี้อีกเลยรูปนี้ผมไม่ได้ยืนรดน้ำต้นไม้นะครับ ผมจะกดเก็บแอปเปิลก็อย่างที่เห็นเก็บยากเก็บเย็น ระบบ Interact ของเกมนี้ผมขออนุญาตใช้คำว่า อนาถมาก ฮ่า ๆ ๆ ๆระบบหนังสือ คอนเทนต์อะไรก็ยังไม่เปิดให้เล่นเกมแนวนี้เกือบทุกเกมเราจะมีหนังสือหรือระบบ Information ที่เอาไว้ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ เรามีไก่กี่ตัว, รู้จักใครในหมู่บ้านบ้างแล้ว, เราตกปลาชนิดไหนได้บ้าง อารมณ์เหมือนหนังสือสะสมความสำเร็จ หรือสะสม Achievment ต่าง ๆ ส่วนเกมนี้เราเปิดไปตรงไหน อยากตรวจเช็กอะไรก็จะมีข้อความขึ้นมาแต่ว่า "ตัวเลือกนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ" เฮ้ย!!! ผมเข้าใจนะว่าเกมอยู่ในช่วง Early Access แต่พัฒนามาตั้งแต่ปี 2017 แล้วไง ผ่านมาแล้ว 6 ปี หัวข้อต่าง ๆ ในสมุดยังเป็น "อยู่ระหว่างดำเนินการ" คนซื้อแบบจ่ายเงินบอกตรง ๆ ว่าเสียความรู้สึกครับ ถ้าเทียบกับ Stardew ที่อัปเดตตลอดเวล่ำเวลาทั้ง ๆ ที่เป็นตัวเต็มแล้ว ส่วน Orange Season เดินไปทางไหนก็เจอแต่บัค สงสารตัวเองมาก ๆ ที่กดซื้อมาการ Interact ยากเหลือเกิน ไม่ว่ากับคน สัตว์ หรือสิ่งของอันนี้เป็นเรื่องที่ไม่เป็นมิตรกับเพลย์เยอร์เอาเสียเลย การเดินไปเก็บไอเทมต่าง ๆ, เก็บผลไม้ทั้งจากต้นหรือบนพื้น, การกดเพื่อพูดคุยกับคน, การกดให้อาหารสัตว์, การปลูกต้นไม้, การขุดดิน ฯลฯ เป็นอะไรที่ผมนั่งส่ายหัวอยู่หลายครั้ง เพราะมันทำได้ยากเหลือเกิน การเก็บผลไม้ต่าง ๆ และการพูดคุยกับชาวบ้าน บางครั้งต้องจิ้มเมาส์อยู่หลายทีกว่าจะเก็บผลผลิตหรือพูดคุยได้ ตอนแรกผมคิดว่าผมติด Bug และเป็นอยู่คนเดียว เลยเข้าไปอ่านคำวิจารณ์ใน Steam และค้นพบว่ามีเพื่อนผู้ประสบภัยมากมายที่เป็นเหมือนผมเต็มไปหมด ฮ่า ๆ ปัญหาและบัคเหล่านี้สร้างความเบื่อหน่ายในการเล่นเกมให้กับผม ทำให้ผมท้อหยุดเล่น และออกจากเกมมากด Refund เพื่อขอคืนเงิน กระบวนการเหล่านี้ผมแทบจะทำโดยไม่ต้องคิดอะไร เสียดายจริง ๆ ที่ตัวเกมน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ ภาพของเกมชวนเล่นมาก ๆ แต่ด้วยระบบ Interact แบบต้องคลิกหลายที มันก็ทำให้ผมค่อนข้างท้ออยู่พอสมควร ขอยกธงขาวครับ!!!ผมไม่ได้รดส้มนะครับ ผมกดเก็บไม่ได้ มันเลยรดน้ำอยู่แบบนั้น เพราะด้านขวาผมถือบัวรดน้ำอยู่ระบบขายของก็ทำให้มันยากเข้าไว้แหละบอกเลยว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่แย่กว่าเกมอื่น ๆ อยู่มาก ฮ่า ๆ เกมนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บอกผมได้แบบตะโกนเลยว่า "ถ้าเกมอื่นเขาทำระบบเอาไว้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องพยายามแตกต่าง" คือเวลาเราต้องการจะขายของแล้วไม่สามารถโยนของลงหีบได้ เราต้องมานั่งคอยกดขายทีละอัน ถึงแม้ว่าจะใส่จำนวนได้แต่เป็นอะไรที่ทำให้เสียเวลามากครับ นอกจากดับเบิลคลิกเพื่อขายไม่ได้แล้ว ก็ยังลากของไม่ได้อีกด้วย UI ต่าง ๆ ก็แทบจะไม่ได้อำนวยความสะดวกอะไรผู้เล่นอย่างผมเลย ระบบนี้ถ้าทำให้กด Enter ได้ผมมองว่ามันน่าจะสะดวกกับผู้เล่นมากขึ้น เพราะต้องเอาเมาส์จิ้มเพื่อคอนเฟิร์มการขายทุกออเดอร์ก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญอยู่พอสมควร ผมขอทิ้งความเจ็บช้ำเหล่านี้ไว้ที่หัวข้อสุดท้ายนี้แล้วกันนะครับ ไม่ไหวจะบ่นแล้ว ฮ่า ๆสรุปผมย้ำอีกทีเลยว่าตอนกดซื้อเกมนี้มาผมนี่กะจะเข้ามาอวยยศอย่างเต็มเหนี่ยวเลย เพราะภาพของเกมสีสันสดใสและน่ารักมาก ๆ เป็นแนวที่ผมชอบเล่นด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาบลัฟว่ามันไม่ดีหรือทำให้เสียเครดิตอะไรใดใดทั้งสิ้น แบบตั้งใจมาป้ายยาเพื่อน ๆ เลย แต่แบบว่าเกมเปิดให้เล่นมาตั้งแต่ปี 2017 ณ ตอนนี้ยังเป็น Early Access อยู่เลย ระบบอะไรหลาย ๆ อย่างก็ยังไม่เปิดให้เล่น กดไปตรงไหนก็ Unavailable คือยังไงนะ? จะไม่ทำต่อแล้วใช่ป่าว? คือมันเกินไป และผมก็จำเป็นต้องรีวิวอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ถ้าอวยไปนี่เพื่อน ๆ ซื้อไปเล่น เพื่อน ๆ ก็จะรู้ได้เองว่าผมอะสตรอว์เบอร์รีอย่างแน่นอน ถ้าผมอวยนอกจากผมจะโป๊ะแล้วผมก็จะทำให้เพื่อน ๆ เสียเงินฟรี ๆ กับเกมที่ยังแทบจะไม่พร้อมอะไรสักอย่าง อัปเดตที่ค่อนข้างช้าแพตช์ล่าสุดที่อัปเดตเข้ามาคือวันที่ 9 มิถุนายน 2023 แล้วคือ Bug ยังมีให้เห็นอยู่เลยถ้าถามถึงความคุ้มค่าสำหรับผม ผมคิดว่าเกมแนวนี้มีให้เลือกเล่นอย่างมากมายมหาศาลเลยครับในท้องตลาด ไปเล่นเกมอื่นกันเถอะ ฮ่า ๆ ผมโกรธจริง Dev ดูไม่ใส่ใจอะไรเลย ตั้งแต่ปี 2017 แล้วนะครับพี่ ใครที่คิดจะซื้อเกมนี้ผมขอบอกเป็นคำคมเลยครับว่า "กำลังสร้าง มองข้ามไปก่อน" 55555 เกมนี้ทำให้ทุกอย่างมันดูยากสำหรับผู้เล่นไปหมด การที่จะมาเล่นเกมแก้เครียดแต่ผมดันเครียดกว่าเดิม เพราะระบบต่าง ๆ ที่มันควรจะอำนวยความสะดวกให้กับเพลย์เยอร์มันดันสร้างความลำบากให้กับเรานี่แหละ แล้ว Bug แบบวิ่งไปทางไหนก็เจอ กับราคา 319 บาท ถึงแม้ตอนนี้มันจะลด 30% ก็เถอะ ผมขอคืนเงินไปกดเกมอื่นมาเล่นดีกว่า ส่วนใครไม่เชื่อผมแล้วอยากลองของด้วยตัวเอง สามารถกดซื้อผ่าน Steam ได้เลยครับ อย่างที่ผมเคยบอกไว้เสมอจริตการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกัน ผมมองว่าแย่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแย่ในสายตาเพื่อน ๆ ฉะนั้นไปกดมาลองเล่นเองดูก่อนถ้าสมมติว่าเพื่อน ๆ อยากเล่นจริง ๆ ถ้าความรู้สึกตรงกันกับผมก็อย่าเล่นเกิน 2 ชั่วโมงนะฮะ จะได้รีฟันได้จบปิ้งผมเดินอยู่บนขอบหินเลย เพราะผมติดบัคครับ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/416000/Orange_Season/?snr=1_5_1100__1100
23 Aug 2023
[Review] รีวิวเกม I Am Future กับการเอาชีวิตรอดสุดชิลล์ เหมาะสำหรับคนชอบเกมง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่คุณภาพคับแก้ว
ปี 2023 แล้ว แต่เกม Survival หรือแนวเอาตัวรอดก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เสมอ แถมเกมนี้มาแปลก ด้วยคอนเซปต์ Cozy Survival หรือเกมที่เน้นความสะดวกสบายเอาไว้ก่อน และหลังจากเราได้เล่นแล้ว ก็บอกเลยว่า นอกจากจะสะดวกสบายสมชื่อจริง ๆ แล้ว มันยังสนุกอีกด้วย ! เพราะอะไรเกมนี้ถึงถูกใจจนเราหยิบมาแนะนำ มาดูกันได้ในรีวิว I Am Futureเหมือนจะเล่นเอาสนุก แต่เนื้อเรื่องก็มีความลึกซ่อนเอาไว้เรื่องราวของตัวละครเอกที่ตื่นมาจากเครื่องหลับใหล แล้วก็พบว่าวันเวลาผ่านไปหลายปี เท่านั้นยังไม่พอ ยังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จนทั้งเมืองไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ แต่โชคดีที่เราอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเราตื่นขึ้นมาและพบว่าน้ำท่วมโลกไปแล้ว เราจึงต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ร่วมกับเหล่าหุ่นยนต์จิ๋ว และเหล่าหุ่นยนต์ที่เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นตู้เย็น หรือโดรน และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงหาคำตอบว่า ในระหว่างที่เราหลับลึกไปนานหลายปี เกิดอะไรขึ้นกันแน่ น้ำถึงได้ท่วมโลก เบาะแสต่าง ๆ จะอยู่ในทุกที่ที่เรากำลังไป และสำรวจ ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใส่ Backstory และเนื้อหาลงไปในเกมได้ดีมาก แต่ผู้เล่นก็ต้องขยันอ่านหน่อย เพราะเกมนี้มาแบบเกมอินดี้ทั่วไปอีกครั้ง คือ Text ล้วน ไม่มีเสียงพากย์หรือคำบรรยายใด ๆ แต่ตัวหนังสือในเกมนี้ก็ไม่ได้เยอะเกินกว่าที่คุณจะอ่านแน่นอน และเนื้อเรื่องเกมนี้ก็ทำออกมาได้น่าสนใจมากด้วย แนะนำให้ลองอ่านกันไว้ดีกว่าแม้จะดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องมันไม่ได้ลึกล้ำซับซ้อนอะไรมาก แต่ไม่แน่ว่าในการอัปเดตในอนาคต เราอาจจะได้เห็นความล้ำของเนื้อหาต่าง ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา และนี่คือปัญหาของเกม Early Access ที่ต้องทำใจว่า เนื้อเรื่องของเกมในตอนนี้จะยังไม่ได้ไปไหนไกลนัก และอาจจะต้องทิ้งช่วงกันสักพัก ใครที่อยากอิน อยากอิ่มทีเดียวก็น่าจะต้องรอกันไปก่อน แล้วค่อยซื้อทีหลัง หรือจะซื้อมาเล่นเอาระบบเกมสนุก ๆ อย่างเดียวเลยก็ได้เหมือนกัน แต่เชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่เกมอัปเดตเนื้อเรื่องใหม่เข้ามา รับรองว่าน่าสนใจแน่ ๆเอาตัวรอดสุดชิลล์ แบบที่ฉีกจากเกมอื่นไปเลย แม้ปกตินั้น เกมการเอาตัวรอดในปัจจุบัน จะมาพร้อมกับการที่เราจะต้องเอาตัวรอดด้วยการหาน้ำ หาอาหาร และสร้างที่พักของเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากอุปสรรคต่าง ๆ ภายในเกม และแม้ว่าเกมนี้จะมี Key Objective ที่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างกันจะอยู่ที่ความชิลล์ ที่เกมนี้ใส่ไว้ในชื่อเกมเลย กับสโลแกน Cozy Apocalypse Survival Game นั่นคือเล่นได้แบบชิลล์ ๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไรมากตัวละครหลักของเราจะติดตั้งแขนกลที่เป็นเลื่อยยนต์เอาไว้แทน โดยเราสามารถแยกชิ้นส่วนของทุกอย่างภายในเกมได้ ด้วยการเข้าไปกดตอบโต้กับสิ่งของต่าง ๆ แล้วเราจะสามารถย่อยสิ่งของต่าง ๆ ได้ เช่นถ้าไปตัดต้นไม้ก็จะได้ไม้ ตัดเศษเหล็กจะได้เหล็ก และหากเป็นวัตถุขนาดใหญ่ ก็จะได้วัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่นเสาไฟ ก็จะมีโอกาสได้หลอดไฟด้วย หรือถ้าเป็นพวกตู้กดน้ำอัตโนมัติก็จะมีโอกาสได้แผงวงจร หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพิ่มเติม และไอเทมทั้งหลายจะเชื่อมโยงกันเป็นลูป และนำไปต่อยอดกับสิ่งของใหม่ ๆ ได้แทบจะทั้งหมดรวมไปถึงโต๊ะอุปกรณ์ต่าง ๆ เราสามารถอัปเกรดต่อยอดได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Campfire หรือกองไฟ ที่เมื่ออัปเกรดแล้วแทบจะกลายเป็นโต๊ะทำอาหารหรือเครื่องครัวขนาดย่อม หรือ Workbench โต๊ะสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เมื่ออัปเกรดจะสามารถคราฟท์สิ่งของใหม่ ๆ เพิ่มเติมขึ้นได้ แต่กว่าจะเราจะอัปเกรดได้ ก็ต้องใช้เวลาในการหาทรัพยากร รวมไปถึงอัปเกรดด้วย อย่างเช่นการสร้าง Panel Foam นั้น จำเป็นจะต้องใช้เครื่องสร้างระดับ 2 รวมไปถึงใช้เวลาผลิตอีกชิ้นละ 2 นาทีเป็นต้นสิ่งที่เป็นจุดเด่นและเป็นทั้งฟีเจอร์ของเกมนี้เลยก็คือการใช้พลังงานจากธรรมชาติเข้ามาช่วยผลิตสิ่งของจำเป็น โดยเมื่อเราปลดล็อคสูตรคราฟท์ของต่าง ๆ เราจะสามรรถผลิตสกุลเงินแบบดิจิทัลใช้เองได้ โดยในเกมนี้คือ U-Coin แต่การที่เราจะผลิต U-Coin ขึ้นมาได้ ก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องปั่นไฟเพื่อจ่ายพลังงาน และทรัพยากรที่สำคัญก็คือการนำเอาเศษใบไม้แห้งมาเป็นแหล่งพลังงานนั่นเอง เหมือนเป็นการนำเสนอให้นำเอาทรัพยากรขยะมารีไซเคิลใหม่ในอีกต่อหนึ่ง ซึ่งทรัพยากรขยะนั้นก็เป็นอะไรที่หาได้ง่ายมากในเกมอยู่แล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า หากเป็นเกมแนวเอาชีวิตรอดในยุคที่น้ำท่วมโลก เหตุใดยังต้องใช้สกุลเงินดิจิทัลอย่าง U-Coin กันอยู่ นั่นเพราะมีสาเหตุจำเป็นบางอย่างที่โลกภายในเกมนี้ ยังมีผู้เหลือรอดชีวิตอยู่เป็นจำนวนมาก และล้วนแล้วต่างก็อาศัยอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงด้วยกันทั้งสิ้น ในการแลกเปลี่ยนนั้น พวกเขาก็จะใช้สกุลเงิน U-Coin ในการแลกเปลี่ยน โดยการส่งเจ้าหุ่นโดรนจิ๋วบินไปแลกเปลี่ยนกันและกัน ถือเป็นระบบที่ครีเอทีฟในด้านการออกแบบ เพราะถ้ามองจริง ๆ แล้ว มันก็คือการนำเอาระบบซื้อขายมาใส่ไว้ในเกมนั่นเอง สิ่งต่าง ๆ ที่เราปลดล็อคได้ จะเริ่มตั้งแต่โต๊ะคราฟท์ของทั่วไป รวมไปถึงหัวใจสำคัญคือ Tower Station ระบบนี้จะเป็นเหมือนกับเสาส่งสัญญาณที่ทำให้เราสามารถส่งโดรนจิ๋วบินออกไปสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงเป็นการปลดล็อคฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มในเกมได้ด้วย เพราะในเกมนี้ เราจะไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการทำเองทุกอย่าง เมื่อเล่นไปถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว เราจะสามารถสร้างไอเทมขึ้นมาอำนวยความสะดวกให้กับเราได้มากมาย และหัวใจสำคัญเลยคือหุ่นยนต์ผู้ช่วย ที่จะมาช่วยเราเก็บทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งเราจะสามารถสร้างได้ก็ต่อเมื่อผ่านภารกิจไปสักช่วงหนึ่ง และใช้ทรัพยากรสำคัญจากการสำรวจด้วย Tower Stationเจ้าหุ่นยนต์ผู้ช่วยนี้จะมีความสามารถในการเก็บไอเทมทุกอย่างที่เราทำหล่นเอาไว้ หรือแม้แต่ทรัพยากรที่ตกอยู่ตามฉาก โดยที่เราสามารถตั้งค่าเจ้าหุ่นยนต์ตัวต่าง ๆ ได้ เช่นให้มันเก็บของตามที่เรากำหนด หรือเลือกเก็บบางชิ้น และยังเลือกได้ด้วยว่าจะให้เจ้าหุ่นของเราเอาของไปเก็บไว้ที่หีบเก็บของใบไหน และไม่ใช่แค่นี้ ยังมีอีกหลายอย่างที่มันทำให้เกมนี้กลายเป็นเรื่องของการบริหารจัดการไปเลย ยกตัวอย่างเช่น การวางแหล่งจ่ายพลังงาน เพราะเจ้าหุ่นยนต์จำเป็นจะต้องใช้แท่นชาร์จพลังงานด้วย การที่เราจะสร้างแท่นชาร์จพลังงานได้ ก็ต้องมีแหล่งจ่ายไฟที่เพียงพอ และหาทรัพยากรมาให้เพียงพอ รวมไปถึงอุปกรณ์ในระดับสูงนั้น ล้วนต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้า จึงเป็นหน้าที่ของผู้เล่นว่าจะวางแผนอย่างไร ทั้งเรื่องการบริหารพลังงาน และการจัดวางพื้นที่ยังมีภารกิจย่อย ๆ ที่เราสามารถรับได้จากพวกตู้อัตโนมัติ โดยส่วนมากจะเป็นการนำเอาของที่ตู้ต้องการกลับมาส่ง และจะเป็นการปลดล็อคคีย์ไอเทมที่ทำให้เราสามารถเล่นคอนเทนต์หลักของเกมต่อได้ เช่น การสร้างเครื่องปั๊มน้ำที่ทำให้เราสามารถเก็บน้ำได้เลยโดยไม่ต้องถ่อลงไปถึงจุดตกปลา และที่สำคัญคือเกมนี้มีสิ่งที่คุณต้องกังวลน้อยมาก ศัตรูส่วนใหญ่ก็เป็นแค่หนอนแมลง ที่เราสามารถคราฟท์สเปรย์มาฉีดไล่ได้ และอาจจะทำลายรังมันได้ทีหลัง ในเกมจะมีอยู่แค่สองหลอด คือหลอดพลังชีวิตที่ได้จากการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งหากเราไปจับหนอนแมลงหรือสารพิษเข้า พลังชีวิตก็จะลดลง แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการนอนหลับ ส่วนอีกค่าที่จำเป็นคือค่าความหิว ที่ได้จากการกินอาหารเท่านั้น ในช่วงแรกเราอาจจะหาอาหารลำบาก แต่พอถึงจุดที่ปั๊มน้ำได้ รับรองว่าเหลือเฟือ เป็นเกมที่มีระบบ Cozy สมชื่อจริง ๆแม้ภาพรวมในด้านเนื้อเรื่องนั้น I Am Future จะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก เพราะยังคงเป็นเกม Early Access อยู่ แต่ในด้านระบบและเกมเพลย์การเล่น บอกเลยว่าเสียเงินหลักร้อย แต่เล่นได้หลายสิบชั่วโมงแน่นอน หรือใครที่อยากอัปเกรดของให้สุดทุกอย่างก็อาจจะเป็นร้อยชั่วโมงตามสไตล์เกมทำฟาร์มเลยก็ได้ ตอนนี้ซื้อมายังไงก็คุ้มแน่นอนสำหรับคนที่ชอบเกมสายนี้I Am Future วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน Steam
21 Aug 2023
[Review] รีวิวเกม Gravity Circuit แรงบันดาลใจจาก Mega Man แบบจัดเต็ม แต่ก็ยังมีความเป็นตัวเองที่โดดเด่นจนไม่ควรพลาด
Capcom มัวแต่ห่วงแฟรนไชส์อื่นจนหลายคนอาจจะคิดว่าลืม Mega Man ไปแล้ว แต่เกมเหล่านี้ การจะหาตัวแทนผู้สืบทอดจิตวิญญาณเอง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจาก 20xx และ 30xx เราอาจจะกำลังได้เกมแนวนี้ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ต้นฉบับ เกมนี้มีอะไรดี มาหาคำตอบกันในรีวิว Gravity Circuit  ภารกิจยับยั้งกองทัพไวรัส เนื้อเรื่องที่เห็นกันมาไม่รู้กี่รอบแล้วGravity Circuit ยังคงใช้ฉากหลังยอดนิยมของโลกวิดีโอเกม นั่นคือความเป็น post-Apocalypse หรือโลกหลังการล่มสลาย แต่โลกหลังการล่มสลายของเกมนี้จะเต็มไปด้วยเหล่าจักรกลที่มีความรู้สึกนึกคิดราวกับมนุษย์ โลกในตอนนี้ถูกคุกคามโดยศัตรูเก่าที่กองทัพ Guardian Cops เคยปราบไปในอดีต นั่นคือ Virus Army หรือกองทัพไวรัส ที่แสดงตัวตนอีกครั้ง โดยมาพร้อมเป้าหมายในการยึดครองโลกมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ แต่เพราะ Guardian Cops เองก็อ่อนแอลงอย่างมาก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปขอความช่วยเหลือจากวีรบุรุษสงครามจากการต่อสู้ครั้งก่อนอย่าง Kai ยอดนักสู้ที่ยังคงมีพลังในการควบคุมพลังเอาไว้ได้ ในฐานะที่เป็นวีรบุรุษคนสุดท้าย เขาจึงกลายเป็นความหวังเดียวของการต่อสู้ในครั้งนี้ต้องบอกว่า ใครที่เห็นสไตล์เกมภาพพิกเซลแบบนี้แล้วคาดหวังว่าจะมีเนื้อเรื่องล้ำ ๆ ก็อาจจะคิดผิด ทั้งรูปแบบการนำเสนอ ทั้งเนื้อหา ต่างทำให้เราหวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ สมัยเกม Arcade กำลังโด่งดัง เกมนี้ก็เน้นนำเสนอเรื่องราวที่เหมาะสมกันดี นั่นคือการมีเนื้อเรื่องที่เรียบง่าย ก็แค่มีตัวร้ายบุกโลก มีฝ่ายตัวดีที่มีฮีโร่ในตำนานและต้องออกโรงเอง เนื้อเรื่องของเกมนี้แทบไม่มีความซับซ้อนใด ๆ ดังนั้นใครที่คิดจะหาเนื้อเรื่องดี ๆ จากเกมนี้ ปล่อยจอยไปเกมอื่นได้เลยมนต์เสน่ห์แห่งเกมเก่า ที่เกมนี้รักษาเอาไว้ได้ครบถ้วนสิ่งแรกที่ต้องชมหลังได้สัมผัสเลยคือ ความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายคนที่เคยสัมผัสเกมแนวนี้ น่าจะกลับมาแบบครบถ้วน และเกมได้แรงบันดาลใจอย่างหนักเลยทีเดียว จากเกมแอ็คชั่นแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Mega Man หรือร็อคแมนที่เรารู้จักกันดี เอามาแทบจะทุกส่วนเลยก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่เกมก๊อปปี้แบบที่คิด แม้เราจะบอกว่าเอามาแทบทุกส่วน แต่มันเป็นการหยิบเอามาต่อยอด และทำให้มันมีเอกลักษณ์หรือลายเซ็นเป็นของตัวเอง บางส่วนที่เหมือน ก็เอามาดัดแปลงจนดูไม่น่าเกลียดเกินไปนัก และเป็นอะไรที่ให้อภัยกันได้ บางส่วนที่เราอาจจะรำคาญจาก Mega Man ภาคเก่า ๆ เกมนี้ก็หยิบมาปรับปรุงแก้ไข แต่ก็มีบางอย่างที่ Mega Man เป็นอย่างไร เกมนี้ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกันเริ่มจากระบบความสามารถของตัว Kai ที่ต่างไปจากตัว Mega Man อยู่บ้าง ตัว Mega Man นั้นจะใช้แขนปล่อยพลังโจมตีระยะไกล และชาร์จได้ ส่วนตัว Kai จะเป็นการเข้าไปต่อสู้ระยะประชิดด้วยหมัดติดตั้งอุปกรณ์ เอาแค่การโจมตีระยะประชิดนั้น ก็ทำให้รูปแบบเกมการเล่นต่างกันออกไปมากแล้ว แต่ก็ใช่ว่า Kai ของเราจะไม่มีอะไรเอาไว้ใช้เพิ่มระยะการต่อสู้เลย ตัวละคร Kai จะมีสาย Grappling Hook ที่เอาไว้ยึดเกี่ยวกับทุกสิ่ง รวมไปถึงตัว Kai เอง ยังสามารถกระโดดเกาะพื้นผิวต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหมดปัญหาเรื่องตกเหว ถ้าคุณไวพอ ก็สามารถปีนกำแพงกลับขึ้นมาได้ด้วยการกระโดดเกาะกำแพงรัว ๆ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกมการเล่นแตกต่างไปจาก Mega Manเพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่าง มันเป็นการยืมเอาระบบ Mega Man มาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การท้าประลองกับเหล่าบอสต่าง ๆ ที่มาเหมือนกันเป๊ะ คือเมื่อถึงห้องบอสจะมีจุด Checkpoint รอเราอยู่ด้านหน้า ถ้าเป็นเกมโซลก็คือรู้เลยว่าเป็นห้องบอส แต่ปัญหาของเกมนี้จากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นมาทั้งหมด น่าจะเป็นเรื่องของความยากที่แกว่งไปมาแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้ว่าในตอนเลือกฉาก เกมจะมีหลอดบอกระดับอยู่สองแบบ คือแบบ MAP และ POW โดยเข้าใจได้ว่า Map น่าจะหมายถึงกลไกความยากของแผนที่ในฉากนั้น และ POW น่าจะเป็นเรื่องของความยากในการสู้บอส แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้น ใครเก๋าเกมจริงก็เลือกตัวยาก ๆ แต่แรกเลยก็ได้ เกมมันไม่ได้ห้ามให้คุณสู้ข้ามขั้นอยู่แล้วนอกจากนั้น การดีไซน์ด่านยังมีการออกแบบฉากให้เข้ากับความสามารถของผู้เล่น เช่นการใช้ Grappling Hook ห้อยโหนตัวเพื่อหลบกับดักหนาม ซึ่งกับดักหนามนี้ถ้าเราโดน จะไม่ตายทันที แต่จะเสียพลังชีวิต และเราจะโดดดีดกลับไปยังจุด Checkpoint ใกล้ ๆ แทน และการดีไซน์ฉาก ยังมีความยากและท้าทายมาก ๆ เอาจริง ๆ แล้วมันอาจจะยิ่งกว่าการต่อสู้ด้วยซ้ำไป อย่างที่บอกไปว่า เราสามารถกระโดดเกาะกำแพง ยิงฮุคได้ ทำให้บางจุดเราจำเป็นจะต้องใช้ทักษะเหล่านี้ หรือบางจุดก็ต้องใช้แบบต่อเนื่องกันไปเลย ถึงจะเอาอยู่ ซึ่งบอกเลยว่าบางครั้งนี่ทำเอาปวดมือกันเลยทีเดียว เพราะต้องใช้ความรวดเร็วอย่างมากในการควบคุม ที่ผู้เขียนชอบ คือการออกแบบด่านที่โดดเด่นเป็นเอกเทศน์ของตัวเองมาก ๆ การที่คุณเล่นด่านก่อนหน้ามาอย่างคล่องแคล่ว ไปเจอด่านต่อไป คุณอาจจะตายกันรัว ๆ จนต้องพักการเล่นไปก่อนเลยก็ได้ เพราะแต่ละด่านถูกดีไซน์มาแบบเป็นเอกเทศ คุณไม่สามารถเอาความเชี่ยวชาญที่ได้จากด่านก่อนไปใช้กับด่านต่อไปได้ แถมการอัปเกรดพลังต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำให้เราเอาชนะบอสตัวใหม่ ๆ ได้เหมือน Mega Man ซะด้วย ซึ่งตรงนี้นี่แหละที่ทำให้ความยากแกว่ง บอสบางตัวจะมีรูปแบบการโจมตีสุดปวดหัว และรวดเร็ว กว่าเราจะจับทางได้ และเอาชนะ ก็อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งมีบรรยากาศและกลิ่นอายเกมเก่าอยู่เต็มไปหมด ใครคิดถึงเกมคลาสสิคที่ต้องใช้ฝีมือและความอดทนในการเรียนรู้จริง ๆ น่าจะชอบเกมนี้ได้ไม่ยากเรื่องของกราฟิกอาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่อยากลองเล่นเกมนี้ เพราะตัวเกมใช้การนำเสนอแบบเกม Retro ย้อนยุค กราฟิกจะถูกนำเสนอเป็นแบบพิกเซล 16 Bit และโทนสีจะไม่ได้มีมากเท่า ใครที่ชอบเกมสีสันจัดจ้าน อาจจะไม่ถูกใจเกมนี้ แต่นอกเหนือจากด้านการนำเสนอที่อาจเป็นเรื่องเฉพาะทางนั้น เกมนี้ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐาน คือการนำเอาของเก่ากลับทำใหม่ และให้แฟนเกมยุคปัจจุบันสนุกไปกับมันได้ด้วยความที่เป็นเกมอินดี้ ขายคุณภาพ เกมนี้จึงไม่ค่อยมีความยาว หรือ Replayable Value ในการเล่นซ้ำมากขนาดนั้น รวมไปถึงราคาที่ค่อนข้างสูงในโซนไทย ทำให้มันอาจจะเป็นราคาที่ต้องพิจารณากันเสียหน่อย ว่าควรค่าที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเก่า หรือเกมย้อนยุค รับรองว่าคุณจะถูกใจตั้งแต่ฉากเปิดเกมเลยก็ว่าได้Gravity Circuit วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PC (Steam, GOG)
28 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม Sun Haven เกมปลูกผักทำฟาร์มลูกผสม RPG ลากเพื่อนตัวดีไปบู๊ได้สูงสุดถึง 8 คน
Sun Haven เกมปลูกผักทำฟาร์มกึ่ง RPG ที่มีระบบเก็บเลเวลต่อสู้ สร้างฟาร์มและสานความสัมพันธ์กับชาวเมือง หรือลุยไปกับภารกิจแห่งเวทมนตร์ สัตว์ประหลาด และมังกร สาย Solo ผจญภัยคนเดียวก็เล่นได้สบาย ๆ สาย Party ลากเพื่อนไปร่วมวงตะลุมบอนมัน ๆ กับมอนสเตอร์ได้สูงสุดถึง 8 คน แค่คอนเซ็ปต์ของเกมผมบอกเลยว่าโคตรโดนใจ & น่าสนใจ ไหนจะมีสกิลให้อัป มีคลาสให้ปรับแต่ง แถมยังแต่งตัวละครได้ด้วย มีหรือผมจะพลาด เอาเงินผมไปเดี๋ยวนี้เล๊ยยยยยย!!!เกมนี้ลงวางจำหน่ายใน Steam มาตั้งแต่ 28 พ.ค. 2021 ในแบบ Early Access ดูจากผลตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะเป็นเกมใหม่มาแรงติดเทรนด์ใน Steam ณ ช่วงเวลานั้นครับ ผมกดเดย์วันมาเพราะตอนนั้นมันลดอยู่ 10% ด้วย แต่ก็ดองเอาไว้เพราะใจอยากรีวิวเกมอื่น ๆ ก่อน และแล้วตอนนี้ Sun Haven ได้มีการอัปเดตมาเป็นตัวเต็ม เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2023 ได้เวลาแล้วที่ผมจะเข้าไปวิ่งเล่นในเกม ดูตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อยเพื่อรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ จะได้โงหน้าออกจากเกมอีกทีเมื่อไหร่ ผมนี่แทบจะเดาไม่ได้เลย ดูดวิญญาณอีกแล้ว ชัวร์!!! ฮ่า ๆ ๆ ๆเนื้อเรื่องแค่เริ่มมาก็อบอุ่นหัวใจแล้ว สาวน้อยคนหนึ่งที่ต้องจากบ้านไปไกลแสนไกล (ไม่สปอยล์)เนื้อเรื่องเริ่มมาที่บทสนทนาของแม่ลูกคู่หนึ่ง Lynn ลูกสาวมีความกังวล เพราะเธอต้องเดินทางจากบ้านเกิดไปที่เมืองใหญ่เพียงคนเดียว เธอไม่อยากพลาดขบวนรถไฟ แม่ของเธอได้เห็นความผิดปกติของลูก เพราะดูกระวนกระวายและไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงได้เอ่ยปากถามออกไปว่า...Mom : เกิดอะไรขึ้นเหรอ Lynn?Lynn : ถ้าหนูย้ายไปอยู่เมืองที่ไกลแสนไกลอย่าง Sun Haven ก็กลัวจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกMom : โอ้, ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวพวกเราจะเก็บเงินไว้เยอะ ๆ แล้วไปเยี่ยมลูกเองLynn : แม่ต้องทำงานหนัก และไม่ได้ฉลองวันเกิดก็เพราะหนูMom : ที่ Sun Haven น่ะนะ มี Blacksmith ที่เลื่องชื่อ หนูจะสบายมากถ้าได้ไปทำงานอยู่กับเขา นอกจากนั้นยังจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายเลย หนูไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราเลยนะ ไปผจญภัยและพบเจอสิ่งใหม่ ๆ ซะ ใครจะไปรู้หนูอาจจะได้แต่งงานก็ได้!!!Lynn : แต่งงาน?Mom : ใช่ค่ะลูกกกก หนูจะไม่ได้โตขึ้นแค่ในด้านการเป็น Blacksmith เท่านั้นนะ แม่หมายถึงชีวิตในทุก ๆ ด้านของหนูก็จะโตขึ้นด้วย Sun Haven น่ะเป็นตำนาน เป็นเหตุผลที่คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่พวกเขาตามหาอยู่คุณแม่ได้เรียกเธอเข้าไปดูบางอย่าง ในเวลาต่อมา Lynn ได้รับของขวัญจากคุณแม่ของเธอเป็นเกราะอันเก่าของคุณยาย คุณแม่ของเธอให้เหตุผลกับเธอว่า...Mom : เมื่อลูกสวมใส่เกราะตัวนี้ลูกจะได้รู้ตัวเองเสมอว่าลูกเป็นใครมาจากไหน และลูกกำลังทำงานเพื่ออะไร ชุดนี้เปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น และตอนนี้มันก็เป็นของลูกแล้วนะคะLynn : พอดีเป๊ะเลยค่ะแม่ ขอบคุณค่ะ หนูจะจากไปโดยที่จะไม่ลืมทุก ๆ คนเลย คุณตา คุณยาย รวมถึงทุก ๆ คนในหมู่บ้านของเราด้วยค่ะMom : พวกเราทุกคนจะคิดถึงหนูเช่นกันจ่ะ อ่า!!! ได้เวลาแล้ว เราต้องไปกันแล้วนะคะลูกและเรื่องราวของเด็กสาวก็ได้ดำเนินต่อไป Lynn ได้ออกเดินทางขึ้นรถไฟจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเธอมุ่งหน้าสู่ Sun Haven ผมเชื่อว่าเมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุด ๆ นี้ เพื่อน ๆ ต้องอยากรู้อยากเห็นกันมากแน่ ๆ ว่าการเดินทางของ Lynn นั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป? แล้วเราจะได้รับบทเป็นใครในเกม? หมอกสีดำที่ปกคลุมพื้นที่รอบ ๆ Sun Haven คืออะไร? ผมต้องกราบเรียนให้เพื่อน ๆ ไปซื้อเกมมาเล่นเป็นเพื่อนผมเร็ว ๆ เลยฮะ เพราะถ้าเล่าหมด เดี๋ยวเพื่อน ๆ ไปเล่นเองแล้วจะอดลุ้นไปกับเรื่องราวของตัวละครว่ากว่าจะเป็น Lynn ที่แข่งแกร่ง น้องต้องเจอกับอะไรมาบ้าง!!! ใบ้ให้นิดหนึ่งว่าเธอกับเราจะเจอกันบนรถไฟขบวนนี้นี่แหละ แต่จะเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของเราทั้งสองคนอ๊ะเปล่า มาให้คุ้กกี้ทำนายกัน ผมเป็นปีศาจร้ายที่น่ารัก ระวังตัวไว้ละกันนะฮะสาวน้อย ฮ่า ๆด้วยแมปที่ใหญ่มาก ทำให้เกมเพลย์ดำเนินไปอย่างเนิบนาบเหลือเกินเอาเป็นว่าในช่วงแรก ๆ ที่เรายังอัปสกิลได้น้อยนิด ตัวละครของเราจะเดินช้าแบบช้าไปไหนก่อนนนน แม้ว่าเราจะซื้อ DLC ที่เพิ่มสัตว์ขี่เข้ามาด้วย ถึงมันจะเพิ่มความเร็วให้เราเพิ่มขึ้นมาอีก 30% นั่นก็ยังไม่สร้างความรู้สึกที่รวดเร็วขึ้นให้กับใจของผมเลย คือใจคนเล่นอะมันไปถึงที่หมายแล้วไง แต่ว่าในความเป็นจริงยังเดินอืด ๆ อยู่เลย ช่วงแรก ๆ คือถ้าใครใจร้อนบอกเลยว่าเกมนี้จะไม่เหมาะกับคุณอย่างรุนแรง ผมมองว่าแม้กระทั่งคนใจเย็นแบบผม ยังรู้สึกว่า Speed เริ่มแรกตัวละครของเรา ณ ช่วงเริ่มต้นของเกมนั้น มันดูจะสร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับการเล่นเกมของเราซะเหลือเกินครับ ด้วยแมปที่ใหญ่มากของเกมนี้ การเดินเปลี่ยนฉากตามแผนที่ ทุกอย่างมันดูเชื่องช้าไปหมด ต้องใช้ความอดทนสูงมาก ๆ กับทุกสิ่งทุกอย่าง จนกว่าเราจะอัป Speed ในขั้นที่ 5 ได้ นั่นหมายความว่าเราจะต้องใช้เวลาอืดอาดยืดยาดไปเรื่อย ๆ แม้เกมนี้จะมีอะไรให้ทำเยอะสิ่ง แต่ทุกกิจกรรมก็ต๊ะต่อนยอนมันไปซะหมดทุกอย่าง พิธีรีตรองมันทุกโมเมนต์ คัตซีนก็เยอะซะเหลือเกิน แทนที่จะผ่อนคลาย มันดันสร้างความอึดอัดให้กับผมอย่างบอกไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ใช่ตัวสลอธผมบอกเลยว่าให้มองข้ามเกมนี้ไปได้เลย ไม่ถูกจริตกับคนใจซิ่งอย่างแน่นอน ผมขอนั่งยัน ยืนยัน นอนยัน การันตีเลยว่าเบื่อแน่ ๆ ฮ่า ๆสามารถเลือกเผ่าตัวละครได้ และแนวทางสกิลที่หลากหลายถ้าคุณไม่ได้ติดกับเรื่องความเนิบนาบ เกมนี้มีตัวละครให้เราเล่นถึง 8 เผ่า มันไปเลย ได้แก่Human : เผ่ามนุษย์นั้นเราจะได้สกิลติดตัวตอนเริ่มเกมมาคือ Expert Crafter Effect เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นสายคราฟต์สิ่งของต่าง ๆ เพราะตัวละครของเราจะ Craft ทุกอย่างได้เร็วขึ้นกว่าเผ่าอื่น ๆ ครับElf : ถ้าเราเลือกที่จะเล่นเผ่าเอลฟ์เราจะได้รับ Elvan Eyes Effect จะทำให้การใช้ Crossbows ในการต่อสู้จะมีดาเมจที่แรงขึ้นกว่าเผ่าอื่น ๆ สายบู๊กับมอนสเตอร์ขอเรียนเชิญมาทางนี้Demon : เผ่าปีศาจจะมีเวทมนตร์ Shadow Rush Spell มาให้ใช้งานตั้งแต่เริ่มเกม คาถานี้ถ้าเรากดใช้จะช่วยเพิ่มความเร็วการเคลื่อนที่ให้เราช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งแบบแป๊บเดียวมาก ๆ แป๊บจนเซ็งว่าช้าอีกแล้วเหรอ ฮ่า ๆAngel : เผ่าเทวดานางฟ้านางสวรรค์ ซึ่งจะมี Miracle Spell ติดตัวมาให้ใช้ ซึ่งช่วงแรก ๆ แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หลัง ๆ พอได้บู๊กับมอนสเตอร์ก็ได้เห็นถึงประโยชน์อันมหาศาลของมัน เพราะเราจะสามารถเพิ่มเลือดให้กับตัวเองและเพื่อนบริเวณรอบ ๆ ตัวเราได้ สายซัปนี่คือสิ่งที่คุณต้องเลือก เหล่านางฟ้าของโผมมมมAmari : ผมไม่แน่ใจว่ามันคือเผ่าอะไร แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเผ่าภูติ อารมณ์เหมือนจิ้งจอกเก้าหางอะไรแบบนั้นเลย แบบผูกจิตวิญญาณกับธรรมชาติ เผ่านี้เราจะได้รับ Primal Nature effect เป็นสกิลติดตัวมา คล้าย ๆ ฮีลลิงของเผ่า Angel แต่ต่างกันตรงที่อันนี้ต้องต่อสู้ก่อน ถึงจะได้รับเลือดกลับมาฟื้นฟู HP ของเรา มันก็คือสกิลดูดเลือดนั่นแหละ ตอนต้นเกมไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน พอได้สู้ขึ้นมาน่ารักน่าเลิฟเลยทีเดียวElemental : เผ่าธาตุ ควรเน้นแต้มสกิลไปที่การอัปเกรดพลังโจมตีด้วยเวทมนตร์ คนเล่นจะได้ใช้สกิลเวทย์หนัก ๆ ในขณะต่อสู้ เพราะเป็นเผ่าที่เน้นการ Restore หรือ ฟื้นฟูมานาเป็นหลักครับ จะได้รับ Elemantal Tap Spell ติดตัวมา ในเกมจะมีให้อัปพวกสกิลเวทย์ของธาตุด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำ หรือ ไฟ ใครเน้นต่อสู้ด้วยเวทมนตร์ให้มากองรวมกันตรงนี้ได้เลยครับNaga : เผ่านาคหรือเงือก ซึ่งก็แล้วแต่คนจะอ่านตำราหรือตำนานไหนมา เอาเป็นว่าแล้วแต่เพื่อน ๆ เลยละกัน แต่ผมขอเรียกนาคตามรากศัพท์ของคำว่า Naga แล้วกันนะครับ เราจะได้รับ Mermaid's Touch Effect เพิ่มความสามารถให้เราอย่างมากมายขณะตกปลา เพราะไม่ว่าเราจะไปตรงไหน เหยื่อเราจะหวานสำหรับปลาเสมอ ทำให้เผ่านี้สามารถตกปลาได้ดีกว่าเผ่าอื่น ๆ ใครชอบตกปลาเป็นหลัก เผ่านี้คือที่ของคุณบอกเลยว่าในส่วนนี้ก็ทำให้ใจเบิกบานได้อยู่บ้างทดแทนกับความ Slow Life ของเกมได้ดี มีระบบให้อัปสกิลไม่ว่าจะเป็น การสำรวจ, การทำฟาร์ม, การขุดเหมือง, การต่อสู้, และการตกปลา ส่วนผมเนี่ยหาทางอัปอะไรก็ได้ให้มันไปถึงการอัป Speed การเคลื่อนที่ให้ได้ก่อน ไม่งั้นไม่ไหว มันช้าไปหมดทุกกิจกรรมเลย ไม่ว่าจะการทำเหมือง การสะสมวัตถุโบราณให้กับพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่มันเป็น Openworld ด้วย แมปในเมืองว่าใหญ่แล้ว โอโห้ยังมีแมปรอบ ๆ เมืองให้เดินเปิดอีก คิดดูนะถ้าเราไม่อัป Speed ก่อน แล้วต้องเดินเปิดแผนที่ไปด้วยเนี่ย ผมบอกเลยว่าอึดอัดจนอ้วกแทบอยากพุ่งแน่ ๆ ฮ่า ๆ แต่สายของสกิลมีให้เลือกเล่นเยอะมาก ๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเพื่อน ๆ เลยว่าอยากจะอัปมันไปในทิศทางไหน จะเด่นการต่อสู้, การทำฟาร์ม, การทำเหมือง, การตกปลา, ปลูกผลไม้, เลี้ยงสัตว์, ทำขนม หรือการสำรวจ ฯลฯ เพื่อน ๆ สามารถเลือกเส้นทางของตัวเองในเกมได้เลยครับ ตรงนี้ค่อนข้างอิสระและมีให้เลือกเล่นเยอะมากระบบแฟชั่นที่มากับ DLC เยอะจนไม่รู้จะใส่อะไรก่อนดีใครสายแฟชั่นแล้วเงินเหลือ ๆ เนี่ยผมแนะนำให้กด DLC มาได้เลยครับ บอกเลยว่ามีชุดให้เลือกใส่เยอะจนต้องคราฟต์กล่องเก็บของกันแบบเยอะแยะตั้งแต่ต้นเกม แล้วชุดที่ใส่ก็เป็นแค่แฟชั่นไม่ได้เพิ่มค่าสถานะอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วมันก็ไม่ได้สวยขนาดที่จำเป็นจะต้องเสียเงินซื้อ DLC คือใส่เอาสวยได้ครับ แต่ถ้าเป็นสาย Solo ชุดในเกมที่ NPC มันแจกตอนเราไปทำเควสหรืออะไรผมก็มองว่ามันก็เพียงพอแล้ว สัตว์ขี่ต่าง ๆ ที่แถมมากับ DLC หรือแม้แต่สัตว์ที่หาได้จากในเกม มันก็เพิ่มความเร็ว 30% เหมือนกัน ซึ่งพอเอามาใช้ก็เร็วกว่าเดินนิดเดียว มีไม่มีก็แทบไม่ต่างกันอยู่ดี แล้วช่วงแรกบ้านก็เล็กแต่งอะไรก็ไม่ได้ ของจึงนอนอยู่ในกล่องเก็บของซะส่วนใหญ่ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรสักนิดเสียดายเงินมาก ๆ กับพวกแพ็ก DLC สัตว์เลี้ยงที่ไม่รู้ให้มาทำไมตั้งมากตั้งมาย ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ระบบความรักกับสัตว์แบบที่เพิ่มหัวจงหัวใจแบบเกมอื่น ๆ ก็ไม่มี เดินกันรกแ_่งเต็มบ้านไปหมด แต่ไม่เห็นประโยชน์อะไร ถ้าไม่ใช่คนเงินเหลือ ๆ ผมแนะนำว่าเก็บเงินเอาไว้ซื้อเกมอื่นเล่นดีกว่า จากใจเลยครับเกษตรกรแบบทำซ้ำทำซากทำทำไม?การทำฟาร์มของเกมนี้ไม่แตกต่างจากเกมอื่น ๆ มากนักครับ ในส่วนที่ดีก็มีอย่างเช่นการถางหญ้าวัชพืชต่าง ๆ นั้นเราสามารถฟันทิ้งเป็นหมู่คณะได้เลย ซึ่งตรงนี้ผมชอบที่มันทำให้ผู้เล่นไม่เสียเวลาดีมีเกจค่าพลังให้ดูว่าต้นไม้ต่าง ๆ มีพลังอยู่เท่าไหร่ไม่ต้องมานั่งนับเป็นครั้ง ๆ แบบเกมอื่น ๆ ส่วนการรดน้ำไม่ต้องพูดถึงยืดยาดแน่นอนครับ เพราะเราต้องเดินไปตักน้ำเวลาน้ำหมด เสร็จแล้วก็เดินรดมันไปทีละต้น ส่วนเกมนี้การขุดดินช่อง Cell ที่มันแบ่งดินจะค่อนข้างแปลกประหลาดจากเกมอื่น ๆ เหมือนเราต้องขุดดินช่องละ 2 ที อะอันนี้ยังพอเข้าใจได้ไม่เสียเวลาเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้เสียเวลาผู้เล่นมาก ๆ คือหลังจากเราเก็บเกี่ยวผลผลิตนี่แหละครับ ซึ่งเราต้องขุดดินใหม่ทุกครั้งถ้าเราต้องการจะปลูกพืช โอโห้จะให้เล่นแบบนี้ไปตลอดทั้งเกมจริง ๆ บ่ หนิ? แล้วตัวละครเรามันเดินช้าไงครับ พอมันเดินช้ากิจกรรมทุกอย่างมันเลยพาน่าเวทนาไปหมด ฮ่า ๆ บอกเลยว่าใจเย็นจนเริ่มจะชา ด๊า ด๊า ดี ด่า ดาาาา  ♬ ♫ ♭  ♩ ♪ระบบพิพิธภัณฑ์ใช้งานไม่ยากแต่ไม่สะดวกสร้างความปวดหัวให้กับผมมาก ๆ เพราะต้องเดินหาตามแท่นวางว่าเราสามารถวางวัตถุโบราณที่เราเจอมาได้ที่แท่นไหนได้บ้าง คือของบางอย่างมันกำหนดหมวดหมู่ให้ไม่ได้และเราก็ไม่แน่ใจว่ามันควรอยู่ในหมวดหมู่ไหน เราก็ต้องเดินหาตามแท่นวางไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรจะทำให้เสียเวลาและสร้างความหงุดหงิดให้ผมขั้นสุด แทนที่เราจะคุยกับเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์แล้วฝากวางได้เลยเหมือนเกมอื่น ๆ ก็ทำไม่ได้ คือมันไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นเลยสักนิดเพราะมันไม่ได้มีแค่ห้องเดียว เราต้องเดินหามันทุกห้อง ไอเทมบางชิ้นที่เราได้มาก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถนำไปให้พิพิธภัณฑ์ได้ แต่พอเอามาจริง ๆ กลับไม่มีพื้นที่ให้แสดง ถึง Dev จะทำระบบแบบนี้เพื่อเอาใจสาย Collector แต่ผมเนี่ยก็สายนี้เหมือนกัน บอกกันตามตรงอะไรที่เกมอื่นเขาทำให้มันง่ายไว้อยู่แล้ว อย่าเอามาทำให้ยากนักเลยครับ มันเหนื่อย!!!เควสเยอะ แต่ระบบยังน้อยไม่เหมาะกับเกม Open world ยุคใหม่ผมชอบตรงที่มันมีเควสให้ทำเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากชาวเมือง หรือจากบอร์ดขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยความที่เกมมันเป็น Open world แล้วแมปที่โคตรจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่มันดันไม่มีระบบนำทางอะไรให้เลย ยิ่งเป็นเควสที่รับมาจากกระดานในหมู่บ้าน เราแทบจะต้องคลำเองมันไปทุกอย่าง ซึ่งเกมนี้ไม่มีภาษาไทยคนที่เล่นได้ ภาษาอังกฤษจะต้องพอได้ระดับหนึ่ง ไม่งั้นจะแทบหาอะไรไม่เจอเลย ออกเป็นแนว RPG โบราณที่ไม่มีการจับมือพาทำเควสอะไรทั้งนั้นเราจะต้องเดาปริศนาและตำแหน่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด เอาเป็นว่าถ้าใครคิดถึงเกมเก่า ๆ ก็คงจะสนุกไปกับการทำเควสของเกมนี้ แต่ผมแก่แล้ว อะไรที่มันช่วยหย่นระยะเวลาให้ผู้เล่นได้ก็ใส่มาเถอะครับ เวลาเล่นเกมผมมีน้อยระบบต่าง ๆ ภายในเกมSun Haven เป็นเกมทำฟาร์ม + RPG Open world ที่มีภาพแบบ Pixel Art 2D ที่มีความน่ารักแต่อาจจะไม่ถูกจริตสำหรับทุกคน ถ้าใครที่ชอบภาพแนวเกม AAA น่าจะไม่ชอบภาพสไตล์นี้ สามารถแต่งตัวให้กับตัวละครได้ มีเสื้อผ้าต่าง ๆ ให้สวมใส่มากมาย สายแฟชั่นน่าจะถูกใจกับสิ่งนี้แน่ ๆ ถึงแมปในเกมจะกว้างใหญ่ไพศาลสักแค่ไหน แต่เกมนี้เป็นเกมที่มีไซส์เล็ก ๆ เครื่องไม่ต้องแรงก็สามารถเล่นได้ เพียงแค่คุณต้องอดทนกับความอืดอาดยืดยาดของเกมได้ แล้วจะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคในการเล่นเกมนี้สำหรับคุณระบบการบังคับปุ่มต่าง ๆ ก็ใช้เหมือนกับเกมแนวเดียวกันในท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นปุ่ม W,A,S,D ที่ใช้บังคับทิศทางการเดินของตัวละคร หรือเมาส์เอาไว้จิ้ม ๆ กดเลือกเมนูต่าง ๆ แต่ระบบหลาย ๆ อย่างก็ไม่เป็นมิตรกับ Users เท่าไหร่ เพราะใช้งานค่อนข้างยาก จริง ๆ มันควรง่ายเหมือนเกมอื่น ๆ แหละ แต่ผมก็ไม่เข้าใจ Dev เหมือนกันว่าจะทำให้ยากกว่าเกมอื่นทำไม? ส่วนระบบการสอนการใช้งานระบบต่าง ๆ ภายในเกมไม่ต้องพูดถึงเลยครับ มีแต่น้อยมาก เน้นคลำเองเป็นหลัก แต่เอาว่าไม่ได้ยากขนาดที่เข้าใจไม่ได้ แต่เขาไม่ได้สอนแบบจับมือทำครับUser interface ในส่วนนี้ก็แบ่งเป็นระบบใช้งานง่ายดีไม่ว่าจะหน้าต่างตัวละคร เวลาแต่งตัวอะไรก็ลากไอเทมชุดอาวุธไปใส่ได้เลย ตารางสกิลที่ดูง่าย ช่องคีย์ลัดที่เอาไว้ใส่อุปกรณ์การทำฟาร์มหรืออาวุธของเราก็อยู่ด้านหน้าและดูง่าย แต่สิ่งที่ดูจะไม่สะดวกก็คงจะเป็นสัตว์ขี่ที่กดเลขในคีย์ลัดแล้ว ก็ยังต้องกดคลิกเมาส์ซ้ายเพื่อที่จะขี่ด้วย เลยทำให้ตรงนี้ดูยุ่งยากและซับซ้อนอยู่บ้างครับสำหรับผมสรุปแอบเสียดายเงินเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็น DLC หรือตัวเกม ผมมองว่าตัวผมค่อนข้างคาดหวังกับมันจนเกินไป แต่พอได้มาสัมผัสกับมันจริง ๆ แล้วความอืดอาดยืดยาดในการเคลื่อนที่ของตัวละครเป็นอะไรที่ทำให้ผมเบื่อเกมนี้อย่างรวดเร็วครับ ผมอาจจะไม่ได้เล่นจน Expert อะไรเลยสำหรับเกมนี้ เพราะผมรู้สึกอึดอัดในการเล่นจนไปต่อกับมันไม่ไหวจริง ๆ แต่ถ้าใครที่อดทนกับความเชื่องช้าของเกมนี้ได้ใจต้องรักมันจริง ๆ ด้วย ถ้าอยู่ได้เนื้อเรื่องเกมนี้ผมบอกเลยว่ามีอะไรให้น่าค้นหาติดตามอีกมาก ช่วงหลัง ๆ ของเกมก็มีอะไรให้เราทำและสนุกสนานกับระบบต่าง ๆ อีกเยอะ!!! ถ้าใครยังดึงดันจะเล่นต่อไปผมแนะนำให้อัป Movement Speed ไปให้ถึงขั้นที่ 5 เพราะถึงแม้เราจะเล่นเผ่า Demon สกิลที่ให้มาติดตัวนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่เพราะมันกดใช้งานได้แป๊บเดียวเท่านั้น หลังจากกดใช้งานไปแล้ว คูลดาวน์จะนานอะไรขนาดน้านนนนน ใครสนใจถ้าอยากไปสัมผัสการเล่นเกมแบบตัวสลอธสามารถไปกดซื้อได้ใน Steam เลย ราคาตอนนี้อยู่ที่ 319 บาท ซึ่งผมว่ากดบันเดิลคู่กับอีกเกมมาเลยจะคุ้มค่ากว่าเพราะมันลดราคาเพิ่มให้ด้วยอีก 10% ราคา Sun Haven + Sun Down Survivors Bundle จะอยู่ที่ 390.60 บาท เราจะได้เกมเนิบนาบมาเล่นถึง 2 เกมคุ้มค่าสุด ๆ ตกเกมละ 195.3 บาทเองครับ ถ้าใครจะทำตัวเชื่องช้าเหมือนเกมก็รอไปกดตอนลดราคาก็ได้ ตะโกนบอกกลับไปเลยว่าเราก็ไม่รีบ ฮ่า ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้รีวิวมานั้นมันเป็นความไม่ชอบโดยส่วนใหญ่ของผม ซึ่งไม่จำเป็นว่าเพื่อน ๆ จะต้องรู้สึกแบบเดียวกับผมนะครับ อย่างไรแล้วผมก็อยากให้เพื่อน ๆ ไปกดเล่นดูก่อน ถ้าไม่ถูกจริตก็อย่าเล่นเกิน 2 ชั่วโมง จะได้กดคืนเงินได้ ใครที่อ่านบทความมาจนถึงตรงนี้ก็ขอกราบขอบพระคุณที่อ่านสิ่งที่ผมบ่นมาจนจบ ขอบพระคุณที่ตามอ่านกันมาตลอดครับ ด้วยรัก xoxoสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1432860/Sun_Haven/
23 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม KINGDOMS AND CASTLES เกมสร้างเมืองเข้าถึงง่าย ระบบไม่ซับซ้อน เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
KINGDOMS AND CASTLES เกมนี้เราจะได้รับบทเป็นราชาที่ต้องมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ๆ ย้ายรกรากมาพร้อมกับลูกสมุนและไพร่พลจำนวนหนึ่ง เป็นเกมสร้างเมืองแบบยุคกลางที่มีสีสันสวยงามน่าสนใจมากสำหรับผมครับ เป็นเกมสร้างเมืองไซส์เล็ก ๆ ที่ผู้เขียนกดมาเพราะผมเห็นว่ามันลดราคาอยู่พอดิบพอดี เลยตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะราคาแค่ 143.40 บาทเท่านั้นเอง!!! ลงวางขายใน Steam มาตั้งแต่ 20 ก.ค. 2017 แต่คาดเดาด้วยสายตาแล้วว่ามันน่าจะไม่ต่างอะไรกับเกมอื่น ๆ มากนัก แต่ผมก็อยากจะลองเล่นมันดูจะได้รีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเพื่อตัดสินใจกันครับ ว่าลดราคารอบหน้าสายสร้างเมืองอย่างเรา ๆ จะซื้อมันมาสะสมลงคลังเอาไว้ดีไหม? เกมเพลย์หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร? ตามไปอ่านกันต่อดีกว่าครับเกมเพลย์เรียบง่าย แต่เล่นเพลินเกินราคาKINGDOMS AND CASTLES ผู้เขียนมองว่ามันเป็นเกมสร้างเมืองที่ค่อนข้างเล่นง่ายและไม่ซับซ้อน แค่เพียงคุณต้องบริหารและบาลานซ์ Demand & Supply ให้มันพอ ๆ กัน เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ง่าย ๆ ขึ้นนะครับ เช่นทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในเมืองของเราครับ การทำงานของประชากรของเราตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ตัวเกมจะส่งไปแบบอัตโนมัติ คือเราไม่ควรสร้างเมืองให้โตเร็วจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเมืองจะโตกว่าคนครับ (อารมณ์คล้าย ๆ สมัยที่เซี่ยงไฮ้เจริญมาก ๆ เทคโนโลยีแบบโตเร็วแบบหยุดไม่อยู่ แต่คนหรือประชากรโตไม่ทันเมือง) บางสถานที่ที่เราสร้างมาจึงไม่มีคนไปทำงาน ผลผลิตก็จะไม่ได้ ประชากรเรามีแค่ไหน เราก็ควรดูจำนวนคนที่ว่างงานให้มันดูเยอะพอสมควรก่อน แล้วค่อยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกชิ้นต่อไปครับ ส่วนถ้าเราสร้างบ้านเพื่อให้คนมาอาศัยเยอะเกินสิ่งปลูกสร้างเกินไป เกมนี้พื้นที่ต่าง ๆ นั้นจะถูกจำกัด เราไม่สามารถทำฟาร์มได้ทุกที่ที่เราต้องการ ผลผลิตทางด้านอาหารจึงมีจำกัด จึงทำให้อาหารไม่เพียงพอต่อประชากร และจำทำให้คนของเราล้มตายจากโรคภัยครับ นี่คือหัวใจหลักของเกมนี้เลย อารมณ์เหมือนว่าพวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ คือสิ่งสิ้นเปลือง ถ้าประชากรของเรายังไม่ร้องขอ เราก็ยังไม่จำเป็นตรงสร้างก็ได้ครับ  บอกเลยว่าแค่ผมนั่งวางแผนแค่เรื่องเหล่านี้ก็สร้างความเพลิดเพลินให้กับผมได้หลายชั่วโมง เล่นง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องคิดอะไรระหว่างเล่น เอาจริง ๆ ผมมองว่าเหมาะกับมือใหม่ที่อยากลองเล่นเกมสร้างเมือง เพราะ Ai ไม่ได้โหดอะไรขนาดนั้นครับระบบการป้องกันเมืองที่เหมือน Tower defense ทำให้เกมสนุกไปอีกแบบส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้เขียนชอบเป็นการส่วนตัวครับ การปกป้องเมืองที่เป็นแบบ Tower defense ในช่วงแรก ๆ ที่ไวกิ้ง หรือมังกรบุกเมือง บอกกันตามตรงเลยว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะป้องกันเมืองได้ยากมาก ๆ ด้วยตัวเกมบังคับให้ทุกอย่างต้องใช้ทรัพยากร และคนต้องทำงาน ตารางงานต่าง ๆ เราเลยต้องเป็นคนควบคุมเอง ซึ่งยังไงช่วงแรก ๆ เนี่ย เราจะยังไม่มีเงินอัปกำแพงเมือง หรืออัปกองกำลังทหารแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะไม่มีกำลังคน แล้วเราก็ไม่สามารถเดาได้ว่าฆ่าศึกหรือมังกรจะบุกมาจากทิศทางไหนด้วย ช่วงหลัง ๆ เมื่อเรามีเงินมีประชากรเพียงพอต่อการฝึกทหารได้แล้ว ก็สร้างป้อมยาว ๆ ล้อมเมืองเอาไว้ พอฆ่าศึกมาป้อมต่าง ๆ ก็จะเป็นคนยิงให้เอง เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย ผู้เขียนมองว่าเรียบง่าย แต่ก็สนุกดีตรงที่ได้บริหารจัดการไพร่พลนี่แหละครับ ว่าจะให้ชาวเมืองหยุดกิจกรรมการทำงานอะไรก่อนเพื่อมาป้องกันประเทศ แต่ถ้าศัตรูไม่เดินผ่านตรงป้อมที่เราวางไว้ เมืองก็จะถูกตีเละเทะ และอาจจะสูญเสียทรัพยากรบางส่วนรวมถึงเงินทองของเราด้วยครับหัวใจหลักคือจำนวนประชากรอย่างที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้วว่า เกมนี้หัวใจหลักของเราคือประชากร อยากได้คนเข้าเมืองมาเพิ่มก็ต้องสร้างบ้านเพิ่ม แล้วประชากรไม่ใช่มีแค่บ้านเพิ่มแล้วจะมีคนย้ายเข้ามา ค่าความสุขของประชากรในเมืองที่เราอยู่ก็ต้องเกิน 60 ขึ้นไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอยู่ครับ เพราะเราต้องบริหารจัดการผู้คนให้ไปทำงานด้วย สภาพแวดล้อมรอบ ๆ บ้านก็ต้องดีด้วย คือเอาง่าย ๆ ว่าปัจจัย 4 ต้องครบ แต่มันยากตรงที่ว่าถ้าให้ทุกอย่างครบ และค่าความสุขเพิ่มขึ้นสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็ต้องมีคนไปทำงาน ซึ่งมันสนุกตรงนี้นี่แหละครับ เพราะเราต้องคอยจัดคนให้พอดีกับงาน ผลผลิตยังได้รับปกติ คนของเราไม่อดตาย การต่อสู้ก็ต้องไม่ขาด แต่ถ้าช่วงไหนประชากรมีอยู่แค่เพียงหยิบมือ ก็คงต้องปล่อยตามมีตามเกิดไปก่อน ความยากอีกอย่างก็คือประชากรมีเกิดแล้วตาย ทั้งอุบัติเหตุ หมาป่ากัด มังกรบุก พวกไวกิ้งรุกราน หรือแม้แต่ตายตามธรรมชาติ พอมีการตายเกิดขึ้นปัญหาที่ตามมาคือ คนงานขาดแคลน ถ้าแพ้หรือมีคนตาย ค่าความสุขก็จะลดลงด้วย แล้วมันบุกกันมาบ่อยด้วย ฮ่า ๆ เอาจริง ๆ ระบบตรงนี้แรก ๆ ก็เพลินดี แต่หลัง ๆ พอสร้างเมืองจนครบ เราก็จะเจออะไรพวกนี้ซ้ำ ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่านี้อีกแล้ว ผู้เขียนมองว่าตัวเกมยังมีจุดตันอยู่ พอเราเล่นไปเรื่อย ๆ มาถึงจุดหนึ่งเราก็จะเบื่อครับ แต่ก็มองว่ากว่าจะเบื่อก็เล่นเกินราคาเกมไปแล้วสิ่งปลูกสร้างไม่มีเปลี่ยนยุค และของอัปเกรดค่อนข้างน้อยสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมนี้ยังมีน้อยเกินไปนั่นก็น่าจะเป็นระบบอัปเกรดของเกมครับ ของอัปเกรดมีค่อนข้างน้อย อันนี้ยังขอยืนยันเหมือนเดิมว่าผมยังชอบระบบอัปสิ่งปลูกสร้างตามยุคของเกม Foundation มากกว่า (ถ้าใครเคยอ่านรีวิวที่ผ่าน ๆ มาของผมมาบ้างแล้ว จะรู้ว่า Foundation คือนับบ้าวันในใจ ฮ่า ๆ) สิ่งที่ทำให้เกมค่อนข้างตันไวก็คงเป็นเพราะมันไม่มีอะไรมากมายให้อัปครับ แค่มีเงินก็สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ดีกว่าได้แล้ว เช่น ช่วงหลัง ๆ เราจะหาทรัพยากรต่าง ๆ ได้เยอะมาก เอาเป็นว่าเยอะจนชนิดที่ว่าล้นแล้วล้นอีก แต่คือเราก็ไม่สามารถอัปเกรด ยุ้งฉางและโรงเก็บของของของเราให้ใหญ่ขึ้นกว่าระดับ 2 ที่ตัวเกมมีให้สร้างได้ เอาง่าย ๆ ว่ามันมีแค่ให้เลือกระดับเล็กกับใหญ่ เราก็ต้องสร้างวน ๆ ไปจนแบบเยอะมาก ๆ ครับ ถ้ามีให้อัปเกรดเยอะกว่านี้อีกหน่อย เกมคงมีมิติมากขึ้นได้อีกระบบการค้าที่น้อยและยังไม่สุดระบบการซื้อขายของเกมนี้ มันไม่ซับซ้อนเลยและใช้งานง่ายมาก ๆ แต่มันติดนิดเดียวที่มันบังคับสินค้าที่ให้เราขายได้ค่อนข้างน้อย (อาจจะอิงมาจากเรื่องจริง เรื่องน้ำหนักของการเดินเรือ) แต่ผู้เขียนก็มองว่ามันน้อยกว่าเกมอื่น ๆ ไปมากครับ ของที่ขายได้ค่อนข้างน้อยทำให้การเงินของเรามีปัญหา และการขายสินค้าไม่สามารถช่วยให้สภาพคล่องทางการเงินของเราดีขึ้นได้ ส่วนระบบเทรดนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มี เสียดายมาก ๆ ที่ไม่สามารถเทรดสินค้าที่เรามีมากจนล้นกับเมืองอื่น ๆ ได้ ถ้าเกมไหนเราเพิ่ม Ai เพื่อเล่นเป็นอีกเมือง เราสามารถนำเรือของเราไปซื้อขายกับเมืองของ Ai ได้ แต่ถ้ารอบไหนมันสุ่มมาให้แบบไม่มีอีกเมือง เรือสินค้าของเราก็ทำบ้าอะไรไม่ได้เลยครับ เพราะมีระบบกำหนดจุด Node เส้นทางการเดินเรือ แล้วไม่รู้จะไปปัก Node ไว้ที่เมืองไหน เลยงงว่ามีเรือสินค้าไว้ทำไม??? ระบบต่าง ๆ ภายในเกมKINGDOMS AND CASTLES เป็นเกม 3D ภาพเหลี่ยม ๆ ที่มีสีสันสดใสครับ เป็นเกมสร้างเมืองยุคกลาง ระบบการเล่นทั่ว ๆ ไปจะคล้าย ๆ กับเกม Banished เพลงประกอบคืองานดียังกับอยู่ใน Game of thrones ตึง ตือ ดือ ดือ ดึง ตือ ดือ ดือ ดึง (ฮัมเพลงเป็นตัวหนังสือให้เพื่อน ๆ อ่าน ได้ยินเสียงไหมฮะ ฮ่า ๆ) เป็นเกมสร้างเมืองไซส์เล็ก ๆ ที่ควรมีสะสมไว้ในคลังครับระบบการบังคับโดยทั่ว ๆ ไปแล้วเหมือนกับเกมสร้างเมืองอื่น ๆ ตามท้องตลาด แต่ที่ดูจะประหลาดกว่าชาวบ้านเขา และสร้างความสับสนในการเล่นให้กับผมอยู่พอสมควรก็น่าจะเป็นเรื่องซูมเข้าออกนี่แหละครับ เกมนี้จะสลับกับเกมอื่น ๆ คือถ้าเราหมุนลูกกลิ้งเมาส์เข้าตัวคือคือซูมออก และถ้าเราหมุนลูกกลิ้งเมาส์ออกคือซูมเข้า ผมงงอยู่พักใหญ่ ๆ ฮ่า ๆUser interface เกมนี้ผมว่าก็ตามราคาแหละครับ หน้า Manage การจัดการงานของประชากรอาจจะต้องใช้ความเข้าใจอยู่บ้าง เพราะเราต้องดูจุดสำคัญของงานว่าเราให้ความสำคัญกับงานไหนของชาวเมือง จะมีตัวเลขให้เรียงลำดับความสำคัญอยู่ เล่นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะปรับตัวกับมันได้ส่วนเเรื่องระบบการสอนของเกมนี้ผมให้ไปในทางที่ค่อนข้างแย่มาก ๆ เพราะแทบจะไม่ได้สอนอะไรเลยครับ สอนแค่นิด ๆ หน่อย ๆ เอาเป็นว่าแค่มีบอกเฉย ๆ ว่าอันนี้วางตรงไหนได้หรือไม่ได้ ถ้าใครต้องการระบบสอนแบบจับมือทำให้มองข้ามเกมนี้ไปก่อนเลยครับ เพราะต้องใช้ความเข้าใจของตัวเองล้วน ๆ แต่เอาจริง ๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้นนะเพราะเกมมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมมองว่าถ้าคนเล่นฃคลำ ๆ ไป เดี๋ยวจะเข้าใจได้เอง มือใหม่ก็เล่นได้ จริ๊งงงงงง!!!สรุปสำหรับผมแล้วมันเป็นเกมสร้างเมืองที่ดีเกมหนึ่งเลยครับ แม้ส่วนตัวจะคิดว่าถ้าเพิ่มอะไรมามากกว่านี้อาจจะทำให้เกมมีมิติกว่านี้ได้อีก แต่เท่านี้ก็ถือว่าดีเกินคาดจากบรรทัดฐานในใจของผมก่อนเล่นไปมาก ๆ แล้ว อาจจะด้วยระบบอัปเกรดที่ไม่เป็นอย่างใจ ระบบขายสินค้าที่คอนเทนต์ดูน้อยไปหน่อย ก็เลยทำให้เกมนี้เสียเปรียบเกมอื่น ๆ ที่มีวางขายอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบในท้องตลาดยูนิตการต่อสู้ที่ไม่ซับซ้อนผมก็มองว่ามันต้องมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ ส่วนตัวผมไม่ได้ชอบการทำสงครามมากมายอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะชอบสร้าง ๆ เมือง และบริหารทรัพยากรไปเรื่อย ๆ การที่มันเป็นระบบ Tower defense ผมก็เลยชอบตรงที่ผมไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับกองทหารมาก ถึงแม้เมืองจะพังไปก็สามารถซ่อมให้กลับมาใหม่ได้ หลัง ๆ มี Ai คอยสร้างแบบออโต้ให้อีก ส่วนตัวแล้วผมชอบฮะ ฮ่า ๆ แต่ถ้าอยากเล่นระบบการทหารที่มีมิติมากกว่านี้ เกมนี้น่าจะไม่ตอบโจทย์จริตของผู้เล่นบางคนเช่นกันครับแต่ยังไงผู้เขียนก็มองว่าด้วยราคาเกมที่ไม่แรง และระบบการเล่นที่สนุกแบบไม่ซับซ้อน ถ้าเป็นมือใหม่ที่หาเกมสร้างเมืองดีดีเล่นสักเกม จะเลือกเกมนี้เป็นเกมแรก ๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีครับ หรือผู้ปกครองหาเกมให้ลูก ๆ หลาน ๆ เล่นฝึกทักษะการบริหารจัดการหรือวางผังเมือง ผมว่าเกมนี้น่าจะสนับสนุนพัฒนาการของน้อง ๆ หนูได้ไม่มากก็น้อย อีกทั้งราคาค่าตัวยังแค่ 239 บาทเท่านั้นเองครับ บอกเลยว่าเกมเพลย์ดีเกินราคาไปมาก มากแบบจึ้ง! เกมเล็กติ๊ดเดียว แต่คุณภาพยิ่งใหญ่เสียจริง (อวยอีกแล้ววววววว)สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/569480/Kingdoms_and_Castles/
16 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม HUMANKIND สร้างประวัติศาสตร์วัฒนธรรม อารยธรรม ศาสนา การเมือง ที่ชอบด้วยมือเรา
HUMANKIND เกมที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเดินทางข้ามยุคของมนุษยชาติ ไล่ตั้งแต่ยุคหินยันยุคอวกาศ เปลี่ยนผ่านเปลี่ยนแปลง กำเนิดอารยธรรม วัฒนธรรม ความเป็นมาเป็นไปของมนุษย์ คอนเซ็ปต์ก็ฟังดูคุ้นเคย จนอดคิดถึงเกมที่มีมามากมายหลายภาคอย่างตระกูล Civilization ไม่ได้จริง ๆ ครับผู้เขียนเชื่อว่าถ้าเพื่อน ๆ ได้เริ่มเล่นเกมนี้เมื่อไหร่ จะต้องอดใจเอามันไปเปรียบเทียบกับเกมเก่าที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เล่นเกมสาย Strategy อย่าง Civilization ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะดูจากรูปเกมลักษณะการเล่นเกมเพลย์ต่าง ๆ นั้นผมเชื่อว่า HUMANKIND ต้องได้แรงบันดาลใจหรืออิทธิพลมาจาก Civilization ไม่มากก็น้อยนั่นแหละHUMANKIND ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2021 ตอนนี้มันลดราคาอยู่ 80% ผู้เขียนจิ้มมันลงคลังอย่างรวดเร็ว เพราะราคาเหลือแค่ 249.8 บาทเท่านั้นเอง และถึงแม้ว่าถ้าผมเล่นแล้วรู้สึกฟินไม่เท่า Civilization อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่เสียดายเงินแหละครับงานนี้ ฮ่า ๆ ไทม์ไลน์ของวัฒรธรรม อาจจะไม่ถูกจริตกับผู้เล่นทุกคนเกมมีวัฒนธรรมหรือ Culture ให้เลือกเล่นเยอะมาก แบ่งออกเป็น 6 ยุค โดยเริ่มจากยุคหินแล้ววิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ แต่ละ Culture จะมีบัปพิเศษ สิ่งก่อสร้างพิเศษและยูนิตพิเศษให้มาอย่างละ 1 อัน สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบที่สุดในเกมนี้คือการที่เราไม่สามารถ Roleplay วัฒนธรรมเดียวไปได้เรื่อย ๆ จนจบเกมได้ ผมเลยมองว่ามันเหมาะกับคนที่เล่นแล้วชอบปรับตัวเองไปตามสถานการณ์ที่เกมสร้างขึ้นมาให้มากกว่า แต่สำหรับผมที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเกมแบบยาว ๆ ว่าอารยธรรมนี้มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร อยากจะสวมบทบาทแบบอินจ๋า ๆ ไปกับวัฒนธรรมของชนเผ่านั้น ๆ เลยจนจบเกมสำหรับเกมนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะตัวเกมจะมีเหตุการณ์ให้เราเลือกเส้นทางของอารยธรรมอยู่ตลอดเวลา มันดีตรงยืดหยุ่น แต่จะไม่สนุกถ้ามาเทียบกับไทม์ไลน์ของประวัติศาสตร์จริง ๆ ของมนุษย์เราครับระบบแพร่ขยายทุกขั้วอำนาจ ยังสร้างมาให้เล่นเหมือนขอไปทีระบบการทูต อิทธิพล ศาสนา ยังออกแบบมาได้ตื้นเขินมากกกกกกกครับ เหมือนแค่ให้มีไว้ประดับเกมเฉย ๆ อยู่ใกล้ ๆ เดี๋ยวมันก็เป็นพวกเราเองแหละ (ฮ๊ะ!!! อิหยังวะ) แต่พอประเทศข้าง ๆ ซึมซับอิทธิพล หรือ ศาสนาของเราไปแล้วก็เหมือนจะไม่มีผลอะไรเลย นอกจากได้รับแต้ม Leverage หรือ Faith ที่สูงขึ้น เล่นยันจบเกมก็ยังไม่รู้ว่ามีเอาไว้ทำอะไรจริง ๆ (อ๋อ ประกาศสงครามได้บ่อยขึ้นนิดนุง ฮ่า ๆ) จริง ๆ ยังมีอีกเยอะที่ผู้เขียนไม่ชอบ แต่ถ้าบ่นจนหมดก็คงไม่ได้พูดถึงข้อดีหรือไปบ่นหัวข้ออื่น ๆ ต่อแล้วยูนิตในเกมหลากหลายและลื่นไหลยูนิตแต่ละอย่างภายในเกมจะมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นยูนิตพิเศษของแต่วัฒนธรรม หรือยูนิตทั่วไปที่ปลดล็อกจากเทคโนโลยี ขนาดว่าข้ามยุคไปแล้วเรายังสามารถจ่ายเงินเพื่ออัปเกรดยูนิตได้ด้วย แล้วพวกยูนิตอย่าง Spy หรือ Settler สำหรับเกมนี้เราสามารถนำมาใช้งานอย่างอื่นนอกจากสู้รบได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นตัดไม้ Clear พื้นที่ เป็นต้น ซึ่งผมมองว่าตรงนี้แอบดูดีกว่า Civilization เพราะลื่นไหลและยืดหยุ่นกว่า เล่นสนุกกว่าโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเดินไปเจอยูนิตของฝั่งศัตรูแล้วจะเป็นหง่อยทำอะไรเขาไม่ได้เลย สามารถต่อสู้ สามารถล่าสัตว์ต่าง ๆ ได้ เลยทำให้การเล่นยูนิต Scout เป็นอะไรที่ไม่ต้องคอยเดินหลบหลีก บางครั้งถ้ามั่นใจเราสามารถเข้าไปบวกกับสัตว์ป่าได้เลย เลยทำให้ตรงนี้สำหรับผมค่อนข้างสนุกกับการเล่นเกมอยู่ครับเปลี่ยนยุคไวจัด การวิจัยก็ดีไม่สุดเกมมันข้ามยุคเร็วมาก ต่อให้เลือก Pace ของเกมให้ช้าที่สุดแต่ก็รู้สึกมันเร็วเกินไปอยู่ดี บางทีเราวิจัยปลดล็อคยูนิตพิเศษยังไม่เสร็จเลย หืม!!! พร้อมให้ขึ้นยุคใหม่แล้วจริง บ่ หนิ? ฮ่า ๆ บางคนอยากจะเอ็นจอยกับยุคโบราณหรือยุคกลางให้นาน ๆ สักหน่อย แต่ถ้าไม่รีบขึ้นยุคใหม่เดี๋ยวโดนฝ่ายอื่นแย่ง Culture ดี ๆ ไปหมดอีก ระบบ Tech สายวิทยาศาตร์ส่วนตัวผมมองว่ายังน้อย คือมันมีให้เลือกเล่นแหละ แต่ผมว่ามันยังน้อยเกินไปมากถ้าเทียบกับ Civilization เลยทำให้เกมดูเล่นง่ายไปหมด ดูเป็นเส้นตรงแปลก ๆ มันเลยทำให้เกมตรงนี้ดูขาดมิติไปเยอะมาก ๆ ครับอีเวนต์ของเกมสร้างฟีลลิ่งที่หลากหลายยังกับขั้วตรงข้ามผมค่อนข้างชอบระบบอีเวนต์ของเกมนี้มาก ถ้าเราได้ตามอ่านเนื้อหาจะยิ่งรู้สึกอินกับเกมมากขึ้น บางอีเวนต์ก็จะเกิดจากสิ่งที่เราทำลงไปด้วย เช่น อีเวนท์วาฬใกล้สูญพันธ์ เพราะเราสร้างสิ่งก่อสร้างท่าเรือล่าวาฬมากเกินไป หรืออีเวนต์ฝุ่นควัน PM 2.5 ปกคลุมเมืองเพราะเราสร้างโรงงานมากเกินไป (แล้วไอ้เมืองที่ผมเจออีเวนต์เนี่ยคือ Bangkok ซะด้วย ฮ่า ๆ)มลพิษทางอากาศ (Pollution) ถือเป็นเงื่อนไขจบเกมอย่างนึง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อทุกฝ่ายปล่อยควันมากเกินไปจนโลกอยู่ไม่ได้ แต่เราไม่รู้เลยว่ามลพิษมันเกิดจากจุดไหนบ้างและมีสูตรคำนวณยังไง เพราะไอ้หน้าต่าง UI มันแทบไม่บอกอะไรอีกแล้ว แถมดูแล้วไม่มีทางแก้ไขปัญหามลพิษได้ด้วย ต่อให้ปลูกป่าเยอะแค่ไหนก็ไม่เห็นมันจะยืดเวลาโลกแตกออกไปได้เลย คือใจคอจะให้ตายกันหมดโลกอยู่ดีว่างั้น ที่เห็นทางแก้ชั่วคราวมีแค่เทคโนโลยีอันสุดท้ายที่ลดปริมาณปล่อยมลพิษลงครึ่งหนึ่งแค่นั้น งงไปหมด ฮ่า ๆระบบต่าง ๆ ภายในเกมHUMANKIND เป็นเกมสร้างเมือง strategy ทีมีระบบภาพ และโมเดลที่สวยงามมาก ๆ ครับ ถ้าใครเครื่องเทพ ๆ ลองปรับภาพสูงสุดตอนช่วงท้ายเกมดูจะได้ร้องว้าวววววววว ผู้พัฒนาเก็บรายละเอียดสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ได้ดี เมืองต่าง ๆ เชื่อมกันหมดด้วยถนน สามารถซูมดูความสวยงามตอนคนเดินไปเดินมาได้ ยิ่งถ้าเมืองมี Wonder แลนด์มาร์กอย่างพีระมิดหรือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจะสวยงามตระการตามาก ๆ ครับการบังคับของเกมนี้ไม่ได้สร้างความยุ่งยากให้กับเราครับ ถ้าใครเคยเล่น Civilization จะปรับตัวกับเกมนี้ได้เลย แต่สิ่งที่ผมมองว่ามันสร้างความวุ่นวายให้กับเราน่าจะเป็นระบบการสอนของเกมที่โคตรเข้าใจยาก เพราะจะเป็นตัวหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการสาธิตให้ดู หรือจับมือเราทำเท่าไหร่นักครับ UI เกมนี้ค่อนข้างซับซ้อนและใช้งานยากสำหรับผู้เล่น ถ้ามือใหม่มาเล่นนี่บอกเลยว่ากลับไปเล่น Civilization ดีกว่าครับ การดูข้อมูลต่าง ๆ ที่ยากเกินไป แล้วก็ผลรวมบัปต่าง ๆ ที่เรามีก็ดูไม่ได้อีก ต้องไปเปิดย้อนดูเอาแต่ละยุคแทนว่าแจกบัปอะไรไว้บ้าง ต้องใช้ความเข้าใจกับมันเยอะมาก ๆ มากขนาดที่ว่าอาจจะต้องไปเปิดดูใน Google ช่วยอะครับ ว่าส่วนไหนเอาไว้ทำอะไรสรุปHUMANKIND ทางด้านเกมเพลย์ถือว่าเล่นสนุกใช้ได้เลย เราสามารถมีส่วนร่วมกับเกมได้เยอะดี จับยุคนั้นยุคนี้มาผสมผเสปนเปกัน แต่คอนเซ็ปต์ของเกมก็ถือว่าเป็นดาบสองคม เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเดินหน้าไปพร้อมกับความยืดหยุ่นของเกมในการแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า และเปลี่ยนวัฒนธรรมแบบฉีกมันไปเลย เลยทำให้เกมนี้มันไม่เหมาะสำหรับการเล่นแบบ Roleplay และอินไปกับบทบาททางวัฒนธรรม แถมมาด้วยระบบที่ทำร้ายผู้ใช้งานอย่าง UI ที่ไม่รู้ว่าจะต้องงมคลำขนาดไหน เพื่อที่จะหารายละเอียดต่าง ๆ ให้เจอ แต่ถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาค่อนข้าง Active เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ตอนนี้ตั้งแต่เกมออกวางจำหน่ายผ่านมาแล้วถึง 2 ปี ถ้าระบบยังคงเป็นแบบนี้อยู่ ถ้าอยากจะขึ้นมาเทียบชั้นกับ Civilization ผู้เขียนมองว่ายังคงเป็นไปไม่ได้สำหรับ ณ ช่วงเวลาปัจจุบันใครที่สนใจสั่งซื้อ HUMANKIND ผู้เขียนแนะนำว่าให้รอช่วงลดราคาวนกลับมาอีกรอบจะดีกว่าฮะ เพราะถ้าเพื่อน ๆ จะซื้อราคาเต็มที่ 1249 บาท ผมมองว่าจะไม่คุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าของเราเท่าไหร่ และอย่างน้อย ๆ ถ้าใครได้ราคาตอนลดราคา 80% มาเหมือนผมสิ่งที่ดีของเกมนี้ก็คือ เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์ทางวัฒธรรม อารยธรรม ศาสนา หรือการเมืองได้เลย โดยที่ไม่ต้องสิ้นหวังกับ สว. 250 คนสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1124300/HUMANKIND/
13 Jul 2023
[Review] รีวิวเกม Park Beyond รับบทเป็นผู้บริหารสวนสนุกสุดแนว กับไอเดียการสร้างรถไฟเหาะที่ไร้ขีดจำกัด
ถ้าให้พูดถึงเกมแนวบริหารธุรกิจ หนึ่งในเกมแนวบริหารสวนสนุกก็มักจะเป็นเกมยอดนิยมอย่างมากต่อเหล่าเกมเมอร์ที่เรานั้นจะได้สร้างสวนสนุก ออกไอเดียรถไฟเหาะตีลังกาที่เราต้องการได้ และภายในปี 2023 นี้ก็ได้มีเกมแนวบริหารกิจการสวนสนุกตัวหนึ่งที่ถือว่าน่าจับตามองกับเกมอย่าง Park Beyond พัฒนาโดยทาง Limbic Entertainment และจัดจำหน่ายโดย Bandai Namco Europe S.A.S.ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกมนี้น่าสนใจมาก ๆ ก็คือการที่ตัวเกมจะเพิ่มความแฟนตาซีของเกมเข้าไป กับการเปิดโอกาสให้เรามีไอเดียในการสร้างสวนสนุกในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร มีเครื่องเล่นไอเดียสุดล้ำที่ชีวิตจริงไม่น่าจะทำได้ หรือเราจะสามารถสร้างเส้นทางสุดเจ๋งที่ไม่มีใครเคยทำก็ได้เช่นกัน และในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมาแนะนำตัวเกมนี้ให้ทุกท่านได้รู้จักกัน ว่าตัวเกมมีอะไรน่าสนใจบ้าง รวมถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบมีอะไรบ้างระบบการเล่นที่เข้าใจง่าย มีโหมดแคมเปญที่ค่อย ๆ สอนเราสำหรับเกมแนว Simulation ปัญหาหลัก ๆ ของหลาย ๆ เกมที่เราเจอนั้นก็คงจะเป็นความซับซ้อนของเกมที่มากจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นใหม่นั้นจะต้องค่อย ๆ คลำหาระบบต่าง ๆ อยู่หลายชั่วโมง แต่ผิดกับเกม Park Beyond ซึ่งจะมีระบบการเล่นที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่อยู่ในระดับหนึ่ง ทั้งความเข้าใจง่าย การที่ตัวเกมมีระบบ Tutorial หรือการสร้างเครื่องเล่นบางอย่างตัวเกมก็จะมีบอกเลยว่าเราจะเปิดให้บริการเครื่องเล่นนี้จะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ซึ่งถ้าหากใครไม่เข้าใจจริง ๆ ตัวเกมก็จะมีโหมดแคมเปญให้เราเข้าไปเล่นได้ ซึ่งตัวแคมเปญก็จะค่อย ๆ สอนระบบต่าง ๆ ให้เราเข้าใจ และจะค่อย ๆ เปิดระบบต่าง ๆ ให้เราเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ จนเราสามารถไปเล่นโหมด Sandbox ที่จะเปิดระบบทุกอย่างเต็มที่ออกแบบรถไฟเหาะสุดล้ำ สุดเกินจริงจุดเด่นของเกม Park Beyond ก็คงจะเป็นการออกแบบรถไฟเหาะที่เราสามารถทำได้อย่างอิสระ ที่เราสามารถออกแบบการเดินของรางรถไฟได้ตั้งแต่เมตรแรก ว่าเราจะให้มันวิ่งไปแบบไหน อยากให้มีการทำมุมโค้งแบบไหน หรือมีการตีลังกากี่ตลบก็ทำได้ รวมถึงเราสามารถวางตำแหน่งของรางให้สามารถลอดใต้อุโมง หรือจะทะลุใต้ดืนลงไป 50 เมตร 100 เมตรก็ยังสามารถทำได้ ตัวเกมค่อนข้างให้อิสระของคุณอย่างหนักมาก ๆ (หรือจะใช้แบบ Preset ของเกมที่มีให้ก็ได้)รวมถึงยังมีการวางจุดประสงค์ของเครื่องเล่นว่าอยากให้สร้างมารองรับผู้เล่นกลุ่มใด ถ้าเน้นครอบครัวก็อาจจะต้องเป็นเครื่องเล่นที่ไม่รุนแรงมาก หรือจะเหมาะสมกับวัยรุ่นก็จะต้องเน้นความเร็วและผาดโผน โดยการออกแบบทุกอย่างเราจะต้องทำตั้งแต่เริ่ม นอกจากนี้ตัวเกมยังมีดีไซน์รถไฟเหาะสุดแฟนตาซีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยิงปืนใหญ่แคนนอนที่เราสามารถยิงผู้เล่นไปยังจุดหนึ่งได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นของจริงคงไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ สามารถสร้างหอไฟเหาะสุดโหดสุดมันส์ เท่าที่คุณจะสามารถคิดได้เลย ก็ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังมีหลักของความเป็นจริงอยู่บ้าง ยังไงซะคุณเองก็จะต้องออกแบบรางรถไฟที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้เล่น หรือการทำทางโค้งที่ไม่หักมากเกินไปจนรถไฟตกรางสร้างและบริหารสวนสนุกในฝันแน่นอนว่านี่คือเกมบริหารสวนสนุก คุณก็จะได้รับบทเป็นผู้บริหารสวนสนุกที่จะได้เข้ามาออกแบบและดูแลสวนสนุกในฝันแห่งนี้ให้กลับมามีคนสนใจอีกครั้ง โดยเราจะเริ่มตั้งแต่การวางแผนออกแบบว่าเราอยากให้สวนสนุกแห่งนี้เป็นแบบใด มีธีมแบบใด หรือแม้กระทั่งการวางกลยุทธ์ ออกแบบว่าเครื่องเล่นของคุณนั้นจะเหมาะกับผู้เล่นกลุ่มใด (โดยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือครอบครัว วัยรุ่น และผู้ใหญ่) โดยในระหว่างการเล่นตัวเกมก็จะมีเควสตามฉากเพื่อให้เราปลด หรือก็จะมีเควสเล็ก ๆ ให้เราทำเพื่อผ่านเควสด้วย มีการวางจุดการขายของเพื่อทำยอดขายให้กับสวนสนุกของเรามากขึ้น หรือจะเป็นการดึงดูดผู้เล่นให้สนใจเครื่องเล่นบางตัวโดยการลดราคาค่าตั๋วเล่นลงมาก็ทำได้ นอกจากนี้เรายังมีการตรวจค่าความสนุกของเหล่าผู้มาเที่ยวว่าความรู้สึกของลูกค้าตอนนี้เป็นอย่างไร ที่พักเพียงพอหรือไม่ ร้านขายน้ำ ขายอาหารมากเพียงพอหรือไม่ หรือแม้กระทั่งมีเครื่องเล่นที่สามารถรองรับผู้เล่นบางกลุ่มได้หรือไม่ ? โดยเราจะต้องบริหารกำไร ทำยอดขายไม่ให้ล้มละลาย โดยการที่สวนสนุกของคุณมีผู้เข้ามาเล่นเยอะ มันก็จะทำให้คุณจะปลดเลเวลของสวนสนุกได้ โดยเลเวลก็จะนำไปวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เราสามารถเปิดกิจการร้านค้าใหม่ ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านน้ำ เราสามารถเปิดกิจการเครื่องเล่นใหม่ ๆ หรือรถไฟเหาะไอเดียใหม่ ๆ ได้เช่นกันนอกจากนี้ตัวเกมยังเปิดโอกาสให้เราได้ปรับแต่งภูมิทัศน์ของฉากได้อย่างอิสระ อย่างสร้างภูเขา สร้างแม่น้ำ ออกแบบสิ่งต่าง ๆ ให้สวนสนุกของคุณนั้นสวยงามมากขึ้น ก็สามารถทำได้เช่นกันความรู้สึกหลังเล่นต้องยอมรับว่าส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ได้เล่นเกมแนวนี้เยอะนัก (แต่ก็มีเล่นบ้าง) ยอมรับเลยว่า Park Beyond เป็นเกมที่ค่อนข้างเปิดโอกาสให้เรามีไอเดียสุดล้ำในการสร้างสวนสนุกได้มากมาย เราจะสามารถสร้างรถไฟเหาะตีลังกาด้วยท่วงท่าไหนก็สามารถทำได้ รวมถึงยังมีไอเดียสุดล้ำเกินจริงใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความหรรษาให้กับเกมด้วย นอกจากนี้ด้วยความที่เกมค่อนข้างเข้าใจง่าย เป็นเกมที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากลองเล่นเกมแนวนี้อย่างมาก เพราะตัวเกมเข้าใจง่าย ไม่ต้องศึกษาอะไรมากมายให้ซับซ้อนเลยแต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ตัวเกมเข้าใจง่าย มันก็อาจจะเป็นหนึ่งในข้อเสียด้วย เหตุเพราะว่าแฟนเกมแนวนี้ที่เล่นเกมบริหารสวนสนุกมาอย่างช่ำชองก็อาจจะคิดว่าตัวเกมค่อนข้างมีความตื้นมากเกินไป ในบางระบบที่ตัวเกมใส่เข้ามาก็แทบไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อเกมมากนัก การบริหารสิ่งต่าง ๆ ก็ค่อนข้างง่าย และแก้ไขปัญหาง่าย ซึ่งมันก็อาจจะทำให้ความท้าทายลดหายไปเยอะ ซึ่งพอเล่นไปนาน ๆ ก็อาจจะเกิดอาการเบื่อได้และอีกสิ่งที่อาจจะต้องติก็คงจะเป็นบัคจุกจิกของเกมที่พอมีให้เห็นบ้าง ดีหน่อยสำหรับผู้เล่นที่เล่นเกมนี้หลังจากเดย์วันทำให้ผู้เขียนไม่พบเจอบัคเท่าไร แต่ก็มีให้พบเห็นการขยับปากของตัวละครที่ผิดเพี๊ยนไม่สอดคล้องกับคำที่พูด หรือบัควางสร้างสิ่งปลูกสร้างบางอย่าง ที่อยู่ดี ๆ มันก็ซ้อนทับกันได้เฉย และต้องมาแก้กันใหม่แค่นั้น โดยรวมแล้วตัวเกมถือว่าทำออกมาไม่เลวเลย แต่มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมถ้าหากคุณเคยเล่นเกมแนวนี้มาเยอะแล้ว
03 Jul 2023
[Review] รีวิว Asus ROG Strix SCAR 18 โน้ตบุ๊คราคาหลักแสน เล่นเกมใหม่ลื่นๆ ได้อีกหลายปี!
ถ้าคุณกำลังมองหาโน้ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีประสิทธิภาพสูง และมีดีไซน์พรีเมี่ยมดูแพงสุดๆ พร้อมไฟ RGB เพียบ Asus ROG Strix Scar 18 (2023) G834 อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณ และวันนี้ GameFever จะพามาดูรายละเอียดของเครื่องนี้กัน แต่แจ้งไว้ก่อนว่าใครจะจัดเครื่องนี้ต้องมีงบหลัก 1 แสน+ ขึ้นไปนะ!!!สเปคหน้าจอ: 18 นิ้ว, QHD+, 240Hz, 3msซีพียู: Intel Core i9-13980HXการ์ดจอ: Nvidia RTX 4090 VRAM 16GBRAM: 64GB DDR5ที่เก็บข้อมูล: SSD NVMe PCIe 4.0 2TBระบบเสียง: DTS:X Ultraการเชื่อมต่อ: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2, USB-C, USB-A, HDMI, DisplayPortความน่าประทับใจ: สเปคของ ROG Strix Scar 18 นี้เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก ด้วยการ์ดจอ RTX 4090 และซีพียู Intel Core i9 ที่อยู่อันดับต้นๆ ฮาร์ดแวร์ ทำให้มันดีกว่ารุ่นอื่นๆ ในตลาดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนักหรือเล่นเกม สเปคนี้สามารถรับมือได้ทุกสถานการณ์ ไม่ต้องกลัวว่าจะแรงสู้ตัวอื่นไม่ได้ พร้อม VRAM ที่มีมากถึง 16GB ก็การันตีว่าใช้เล่นเกมได้อีกนานหลายปีแน่นอน (ปัจจุบันควรมี VRAM 12GB อยู่เลย)การออกแบบ และวัสดุวัสดุ: โลหะอลูมิเนียมพร้อมลายเลเซอร์สวยงามคีย์บอร์ด: RGB Per-Key ที่สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบระบบระบายความร้อน: Liquid Metal และพัดลม AeroBlade 3Dน้ำหนัก: 2.9 กิโลกรัมการออกแบบของ ROG Strix Scar 18 นี้สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ด้วยวัสดุโลหะอลูมิเนียมที่คงทน และลายเลเซอร์ที่สวยงาม ทำให้เครื่องดูหรูและทันสมัยการออกแบบของ ROG Strix Scar 18 นี้ไม่เพียงแต่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังทำให้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนมาจากโลกอนาคต ด้วยไฟ RGB ที่ประกอบตัวเครื่อง สร้างความสวยงามและดุจริเล่นได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสีของคีย์บอร์ดหรือไฟที่ตัวเครื่อง ทุกอย่างดูเป็นระบบที่เชื่อมต่อกันได้สมบูรณ์แบบ (ไฟ RGB มีที่ด้านล่างตัวเครื่องเป็นแถบยาวๆ และตรงโลโก้บนเครื่องด้วย) อีกหนึ่งส่วนที่น่าชมมากคือตัวกล่องดีไซน์อลังการ ตอน Unbox จึงทำให้ฟินมาก ถ้าจะมีข้อเสียก็คงเรื่องดีไซน์นั้นทำให้ตัวเครื่องก็หนักมาก พกพาได้ยากการใช้งานระบบปฏิบัติการ: Windows 11 Proแบตเตอรี่: แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมงซอฟต์แวร์พิเศษ: Armoury Crate สำหรับการปรับแต่งและติดตามสถานะของเครื่องการใช้งานของ ROG Strix Scar 18 นี้ลื่นไหล และซอฟต์แวร์ Armoury Crate มีหน้าตาที่ดี และใช้งานปรับไฟ RGB ได้ง่าย ทำให้การปรับแต่งเครื่องสะดวกสบายหลังจากที่ผู้เขียนได้ใช้งาน ROG Strix Scar 18 นี้ระยะหนึ่ง รู้สึกประทับใจในทุกด้านที่มันสามารถนำมาใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการเล่นเกม ทุกอย่างดูลื่นไหล จนรู้สึกดีไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่น การเปิดแอปพลิเคชันหลากหลายตัวพร้อมกัน หรือการโหลดเกมขนาดใหญ่ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไม่มีสะดุด แถม Armoury Crate ก็เป็นโปรแกรมปรับแต่งที่หน้าตาดี และให้ความพรีเมี่ยมสูง พร้อมมีการปรับแต่งที่หลากหลายลูกเล่นมาก ทำให้การใช้งานได้ใจไปทุกด้าน (ควรเปิดโหมดพัดลมใช้งานแบบปกติ ถ้าเปิดโหมดเงียบทำให้เครื่องร้อนโหดมาก) อาจมีแอบขัดใจหน่อยคือแบตเตอรี่ไม่ได้ทนขนาดนั้นถ้าหากเล่นเกมแรงๆ ส่งผลให้ต้องเน้นเสียบปลั๊กเล่นมากกว่าการเล่นเกมประสิทธิภาพ: สามารถเล่นเกม AAA ในการตั้งค่า Ultra ได้แบบลื่นไหลระบบระบายความร้อน: มีประสิทธิภาพสูง ไม่มีปัญหาเรื่อง Overheating แม้ในการเล่นเกมที่มีกราฟิกสูงการแสดงผล: จอ QHD+ ทำให้ภาพเกมดูสวยงามและคมชัดการเล่นเกมบน ROG Strix Scar 18 นี้เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นเกม Cyberpunk 2077 ได้ภาพสวยระดับสูงสุด และเฟรมเรทสูง ทำให้การเล่นเกมเป็นเรื่องที่สนุกสนาน นอกจากการที่ผมได้ลองเล่นเกม Cyberpunk 2077 ผู้เขียนยังได้ใช้ Notebook ตัวนี้ไปลองเล่นเกม Hogwarts Legacy และ Resident Evil 4 Remake ด้วย และผลลัพธ์ที่ได้ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เล่นลื่นไหล ไม่มีสะดุด และภาพกราฟิกที่สวยงาม ทำให้ผู้เขียนจุ่มจิ้มในโลกของเกมได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจโลกวิเศษใน Hogwarts Legacy หรือการต่อสู้กับซอมบี้ใน Resident Evil 4 Remake ทุกสถานการณ์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างลงตัว ทำให้การเล่นเกมบนเครื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด (ตอนเล่นเกมไม่แนะนำให้เปิดโหมด Silence ใน Armoury Crate ไม่งั้นเครื่องร้อนโหดมาก ถ้าเล่นเกมก็ปล่อยให้พัดลมดังไปปกติดีกว่า)สรุปผ่านการใช้งานและการทดสอบจากผม สรุปได้ว่า Asus ROG Strix Scar 18 (2023) G834 นี้เป็นเครื่องที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การใช้งาน หรือการเล่นเกม ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่หลากหลาย และมีราคาที่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับ แน่นอนว่ามันคือตัวเลือกที่ดีสำหรับทุกคนที่ต้องการ Notebook ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีคุณภาพในการใช้งานแบบครบวงจร แต่ก็ด้วยราคาหลักแสนนั้นก็ทำให้เข้าถึงได้ยากหน่อย ขณะที่ใครเงินถึงก็ฟินไปหลายปีแน่นอน..............................พบเกม PC ลดราคาแรงตลอดปีที่ร้าน 2gameซื้อผ่านลิงก์ https://2game.com?ref=gamefeverth และใส่รหัสคูปอง Gamefever เพื่อรับส่วนลดเพิ่ม!
23 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Levistone Story ตั้งค่ายตะลุยดันเจี้ยนสุดแฟนตาซีบนมือถือภาพ Pixel สไตล์ Roguelike
คงไม่มีการผจญภัยไหนน่าตื่นเต้นไปกว่าพื้นที่ลึกลับ ยากจะเข้าถึง และเต็มไปด้วยความมืดรอบตัวอย่างใน "ดันเจี้ยน" จึงไม่น่าแปลกที่ช่วงหลังมานี้จะมีเกมที่สร้างพื้นที่ดันเจี้ยนขึ้นมาเป็น Gimmik หลักของการผจญภัยมากมายเช่นเดียวกับ Levistone story เกมผจญภัยแนว Roguelike บนมือถือ ที่มีพื้นที่สำรวจหลักก็ถือหุบเหวลึก แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เพราะกราฟฟิคของเขามาในแบบ Pixel สุดน่ารัก พร้อมฟังก์ชั่นต่าง ๆ มากมาย ตัวเกมจะเป็นอย่างไรบ้าง? มีระบบอะไรให้เล่น? ในบทความนี้เราจะเล่าให้ฟังเอง!เนื้อเรื่อง  เป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่ Prometheus พระเจ้าสูงสุดได้นำ Levistone มาให้ชาว Triberians ผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้ความสามารถของ Levistone พวกเขาสามารถใช้คริสตัลชิ้นนี้ร่ายเวทย์ทุกรูปแบบ แต่ไม่กี่ปีมานี้ Prometheus ได้หายไปใน Abyss โดยไม่ทราบสาเหตุ Central Council ได้ค้นพบความผิดปกติใน Triberias นี้ จึงได้ส่ง Levistone pillar มายังโลก  จากนั้น จึงได้มีการตั้งค่ายหน้า Abyss เพื่อทำภารกิจเคลียร์ดันเจี้ยนและค้นหาทรัพยากรจำเป็นในการดำรงชีพ จัดกำลังพลให้พร้อมแล้วออกไปผจญภัยกันเลย!รูปแบบการเล่น    ก่อนที่จะเริ่มผจญภัย เราก็ต้องมีทีมสำรวจกันก่อน โดยเราสามารถจ้างฮีโร่มาร่วมทีมได้ 3 คน โดยฮีโร่จะแบ่งเป็นการโจมตี 3 รูปแบบ คือ ระยะประชิด, ธนู และเวทย์ และแต่ละตัวก็จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป เช่น อบอุ่น, ใจร้อน, เย็นชา, ว่องไว, บอบบาง หรือสามัญธรรมดา เป็นต้น รวมประมาณ 36 แบบ ซึ่งนิสัยแต่ละแบบจะส่งผลต่อค่าสถานะความสามารถของตัวละครด้วย และยิ่งฮีโร่มีระดับที่สูงขึ้น จากสีเทา > เขียว > ม่วง > ส้ม > แดง ก็จะยิ่งเก่งและเป็นกำลังหลักที่ดีให้กับทีมอีกด้วย    เมื่อเราลงมาใน Abyss หรือที่เราน่าจะคุ้นปากว่า "ดันเจี้ยน" จะได้พบกับเหล่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลกใต้หุบเหวนี้ หน้าที่ของเหล่าฮีโร่คือกำจัดพวกมันเพื่อไปสำรวจห้องอื่นและลงไปยังชั้นถัดไป    ใน Abyss เราสามารถเก็บรวบรวมทรัพยากรเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นและอัปเกรดต่าง ๆ ภายในค่ายได้ รวมถึงเราสามารถหาอุปกรณ์สวมใส่รวมถึงยาฟื้นฟูได้จากภายในเหวลึกแห่งนี้ด้วย และพิเศษ หาเราเจอแท่นพลัง เราสามารถกดค้างเพื่อรับค่าความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพื่อให้เราผ่าน Abyss ภายใน Terminal แต่ละรอบได้ง่ายขึ้นด้วยอีกระบบหลักที่หลายคนอาจชอบใจก็คือ "ค่าย" ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราสามารถรับผลประโยชน์ต่าง ๆ จากระบบ Idel ของเกม ใช้คลังเก็บของ ว่าจ้างฮีโร่ ซื้อของจากร้านค้า และพบปะนักผจญภัยท่านอื่น เรียกได้ว่าทุกอย่างรวมไว้ในสถานที่พักผ่อนสุดสุขใจแห่งนี้ที่เดียวเลย  ระบบและฟังก์ชั่นพิเศษต่าง ๆ    นอกจากการสำรวจ Abyss และอัปเกรดค่ายแล้ว ในเกม Levistone Story ยังมีกิจกรรมให้ทำอีกหลากหลาย เพื่อความเพลิดเพลินและผ่อนคลายจากการผจญภัยอันเหนื่อยล้า ได้แก่...ปลูกผัก ทำอาหาร - มีค่ายแล้วก็ต้องมีอาหารยังชีพ โดยเราจะสามารถทำฟาร์มเพื่อปลูกผักภายในค่ายได้ และผลผลิตจากฟาร์มยังสามารถนำมาปรุงอาหารเพิ่มค่าประสบการณ์ให้ฮีโร่ของเราได้ด้วยภารกิจประจำวัน - ถ้าการลงดันเจี้ยนมันสูบพลังเกินไป ลองผจญภัยเล็ก ๆ ในภารกิจพิเศษซึ่งใช้เวลาทำไม่นาน โดยสามารถทำได้วันละ 4 ครั้ง ทำครบรับโบนัสพิเศษไปได้เลยWorld map - หากเราเข้าสู่ World Map เราจะได้พบพื้นที่ในการทำกิจกรรมมากขึ้น ทั้งผจญภัยในเหมือง หาแร่ ตกปลา และ Mirage Tower ที่เราสามารถทำภารกิจ co-op ร่วมกับเพื่อนได้สัตว์เลี้ยง - หนึ่งในของแจกที่เกมให้มาไม่อั้นก็คือ "ไข่สัตว์เลี้ยง" ที่เราสามารถนำไปฟักได้ในค่าย แล้วรอลุ้นว่าจะได้ตัวอะไร นา่รักแค่ไหน และมีความสามารถอย่างไร หากถูกใจสามารถให้น้องร่วมทีมกับเหล่าฮีโร่ในการผจญภัยและทำภารกิจต่าง ๆ ได้========================================================และทั้งหมดนี้ก็คือบรรยากาศภายในเกม จะเห็นได้ว่าต่อให้เราเปิดกราฟฟิคสูงสุดก็สามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น เพราะกราฟฟิคแบบ Pixel bit ที่ไม่เปลืองทรัพยากรเครื่องมากจนเกินไป การ Performance จึงตอบสนองได้ดีมากด้วยอีกหนึ่งความพิเศษที่มาคู่กับภาพ Pixel ก็คือเพลง 16 Bit ที่พาเราย้อนเวลาให้คิดถึงเกมเครื่อง Playstation รุ่นแรก หรือเกม PC ยุคบุกเบิก นับเป็นการประยุกต์งานศิลป์ที่เข้ากันดีมาก ๆ อีกทั้งเสียเอฟเฟคที่ไม่หวือหวามากเกินไป ทำให้ไม่รู้สึกว่ามีเสียงรบกวนจากการสั่งการต่าง ๆ ภายในเกมก็ขอแนะนำเลย โดยเฉพาะสาวกเกมคอนโซลยุคเก่า หากใครอยากตามไปลองเล่น ก็สามารถโหลดได้แล้วทั้งบน Google Play และ App Store เลยจ้า~
22 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Final Fantasy XVI: "ความพยายามเล่นใหญ่ ที่อาจแพ้ภัยความคาดหวัง"
ขอบคุณ SIE Singapore และ Square Enix สำหรับโค้ดรีวิว)***รีวิวนี้จะไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องเกมอย่างเฉพาะเจาะจง แต่อาจมีการออกความเห็นที่ผู้อ่านบางท่านถือเป็นการสปอยได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***เมือลองย้อนดูบทสัมภาษณ์มากมายจากทีมผู้พัฒนาเกม Final Fantasy XVI ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะสัมผัสได้ถึง “ความคาดหวัง” ที่ทีมงานมีให้กับเกม Final Fantasy XVI ในฐานะวิวัฒนาการใหม่ของซีรีส์ โดยโปรดิวเซอร์ใหญ่ประจำเกมอย่างคุณ Naoki Yoshida ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าต้องการให้เกมสามารถ “ยกระดับซีรีส์ Final Fantasy ให้กลายเป็นแฟรนไชส์ RPG ระดับแนวหน้าอีกครั้ง” หลังจากที่ความนิยมของซีรีส์ดูจะเสื่อมไปในหมู่เกมเมอร์ยุคใหม่คำสัมภาษณ์อันใหญ่โตมากมาย บวกกับเดโมสั้นของเกมที่ได้รับความนิยมล้นหลามจากทุกสารทิศ ก็ยิ่งทำให้ “ความคาดหวัง” ของกลุ่มผู้เล่นพุ่งกระโจนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเกมเพลย์แอคชันอันดุเดือด ฉากคัตซีนการต่อสู้ระหว่างเหล่า Eikon ร่างยักษ์ ไปจนถึงเนื้อเรื่องสไตล์ผู้ใหญ่ที่ดูจะเล่นกับประเด็นหนัก ๆ อย่างการเมือง แรงงานทาส การเหยียดชาติพันธุ์ ไปจนถึงความโหดร้ายของสงคราม ที่ล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่า Final Fantasy XVI จะสามารถตอบโจทย์ความคาดหวังอันใหญ่หลวงของผู้พัฒนาได้จริง ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดเช่นนั้นด้วยจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต้องรายงานว่าแม้เกม Final Fantasy XVI จะยังมีจุดแข็งอยู่ไม่น้อยในฐานะเกมแอคชัน และการนำเสนอแสง สี เสียง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนใหญ่ ๆ อีกมากมายที่ฉุดรั้งเกมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องและตัวละครที่น่าสับสน ความแห้งแล้งของโลกในเกม ไปจนถึงระบบ RPG ที่เบาบางมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าจะยังนับเกมนี้เป็น RPG ได้จริงหรือไม่…?“ไฟนอล DMC กับความเป็น RPG ที่หล่นหาย”สำหรับคนที่เล่นเดโมเกมมาแล้ว หรือได้ติดตามตัวอย่างเกมเพลย์มากมายที่ปล่อยออกมา น่าจะทราบกันดีว่าเกมเพลย์ของ Final Fantasy XVI มีความเป็นเกมแอคชันสูงมาก โดยหลาย ๆ คนเปรียบกับระบบต่อสู้ของ Devil May Cry หรือ Bayonetta (ซึ่งไม่น่าแปลกเพราะ FFXVI มีอดีตผู้พัฒนา DMC ร่วมทีมอยู่ด้วย) ที่ผสมผสานทักษะการโจมตีทั้งระยะประชิดและระยะไกล เข้ากับสกิลเวทมนต์ Eikon ทั้งหลายเพื่อประกอบกันเป็นคอมโบยาว ๆ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่เร็วไฟลุก ตามความตั้งใจของผู้พัฒนาที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาพจำแบบเทิร์นเบสของซีรีส์ Final Fantasy ที่สำหรับหลาย ๆ คนหากจะวัดกันในเรื่องของ “คุณภาพ” ล้วน ๆ ผู้เขียนพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าระบบการต่อสู้ของ Final Fantasy XVI ถือเป็นระบบแอคชันที่ยอดเยี่ยม มีการควบคุมที่ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่อาจจะเล่นเกมแอคชันสไตล์ DMC ไม่ค่อยคล่อง (อย่างผู้เขียน) ยังสามารถเรียนรู้ที่จะร้อยเรียงคอมโบต่าง ๆ ได้ในระดับที่รู้สึกน่าพอใจ โดยที่ไม่รู้สึกง่ายจนน่าเบื่อในเวลาเดียวกัน ยิ่งในการต่อสู้กับศัตรูระดับบอสที่มีระบบ Stagger เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เรามีช่องว่างในการทำคอมโบแบบจัดเต็มได้อย่างหนำใจสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์สไตล์นี้ ยังไม่นับการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเอฟเฟกต์พิเศษเวลาที่หลบการโจมตีศัตรูได้ในวินาทีสุดท้าย (Precision Dodge) ที่ทำให้การต่อสู้รู้สึกรวดเร็ว ดุเดือด มีน้ำหนักเสมอแต่ถึง Final Fantasy XVI จะเป็น “เกมแอคชันที่ดี” อย่างไม่ต้องสงสัย ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเกมอาจไม่ใช่ “แอคชัน RPG” ที่ดีนัก โดยแม้ว่าเกมจะมีระบบ RPG อย่างการอัพสกิล การสวมใส่อาวุธ/ชุดเกราะ/เครื่องประดับ รวมถึงการอัพเลเวล แต่ระบบเหล่านี้กลับมีอยู่ในระดับที่ผิวเผินที่สุดเท่านั้น แถมบางระบบยังส่งผลน้อยมาก ๆ จนแทบไม่สังเกตเลยด้วยซ้ำหากนึกถึงเกมแอคชัน RPG อันเป็นแรงบันดาลใจของเกมนี้อย่าง The Witcher จะเห็นว่าแม้เกมจะมีระบบต่อสู้ที่เน้นแอคชันคล้าย ๆ กัน แต่ผู้เล่นกลับมีตัวเลือกในการ “ปั้น” Geralt ของตัวเองได้หลากหลายพอสมควร บางคนอาจจะเน้นอัพสายฉาบพิษบนดาบ บางคนก็เน้นสายโด๊บยา ในขณะที่บางคนก็อัพสายควงดาบโต้ง ๆ ซึ่งทั้ง 3 สายล้วนมีสไตล์การเล่นรวมถึงสกิลและของสวมใส่ที่สนับสนุนแต่ละสายที่เลือกโดยตรง ยังไม่นับรวมเวทมนต์ที่อัพเกรดได้หลากหลาย จนบางครั้งเปลี่ยนวิธีการทำงานของเวทมนต์นั้น ๆ ไปเลยในทางกลับกัน ระบบต่าง ๆ ของเกม Final Fantasy XVI ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้คิดหรือตัดสินใจเท่าไหร่นัก เช่นระบบอาวุธชุดเกราะ ที่มีลักษณะเป็นการอัพเกรดตัวเลขเท่านั้น โดยดาบและของสวมใส่ทุกชิ้นที่ตัวละครได้รับในเกมจะไม่มีเอฟเฟกต์พิเศษใด ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อการเล่นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในขณะที่ระบบเครื่องประดับแต่ละชิ้นก็มักจะส่งผลต่อสกิล Eikon เพียงสกิลเดียวเท่านั้น และส่งผลในระดับที่เล็กมาก ๆ เช่นการเพิ่มดาเมจ 10% หรือการลดคูลดาวน์ 2 วินาที มีน้อยชิ้นมาก ๆ ที่จะส่งผลต่อการเล่น (เช่นชิ้นหนึ่งที่ทำให้ตัวละครชาร์จเวทมนต์โดยอัตโนมัติตลอดเวลา เป็นต้น) แม้แต่ระบบการอัพสกิล Eikon ที่อาจจะดูเป็นระบบที่ RPG ที่สุดก็ไม่ได้ลึกไปกว่า “เลือกอัพสกิลที่ชอบที่สุดจนเต็มเพื่อให้แรง/ใหญ่ขึ้น” เท่านั้น ไม่ได้มีการปรับแต่งเพื่อเสริมเอฟเฟกต์พิเศษให้ผู้เล่นได้ “ปั้น” ตัวละครอย่างหลากหลายอีกจุดที่ควรพูดถึงเกี่ยวกับ Final Fantasy XVI คือการที่เกมไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากการต่อสู้ แม้ว่าเกมจะมีระบบไซด์เควสอยู่ แต่เควส “ทั้งหมด” ในเกมมีลักษณะเป็น Fetch Quest ที่มักให้ผู้เล่นวิ่งไปมาเพื่อคุยกับ NPC เป็นหลัก และอาจมีการต่อสู้เพียงประปรายกับศัตรูชนิดเดิม ๆ ไม่กี่ชนิดที่มีอยู่ในเกม ซึ่งการทำเควสเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มีรางวัลให้เป็นเพียงเงิน (ซึ่งนอกจากเติม Potion แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร มีเหลือเฟือมาก) หรือทรัพยากรณ์สำหรับคราฟของ (ซึ่งก็ไม่รู้จะคราฟอะไรอีก) โดยมีเพียงหยิบมือหนึ่งที่อาจให้รางวัลที่น่าสนใจจริง ๆ เช่นการเพิ่มปริมาณ Potion ที่เราถือ หรือปลดล๊อคน้องนก Chocobo มาขี่ในขณะเดียวกัน แผนที่เกมส่วนใหญ่ก็มีลักษณะเป็นทางเดินแคบ ๆ ต่อ ๆ กันเป็นแผนที่ใหญ่ โดยที่ไม่มีอะไรให้สำรวจเลย ไม่มีดันเจี้ยนหรือเมืองลับให้หา จะมีก็เพียงศัตรูบอสเสริมจากระบบ Hunt Board เท่านั้นที่เกมจะให้พื้นที่กว้าง ๆ มาให้เราวิ่งหาเอาเอง แต่ด้วยความจำกัดของแผนที่ ทำให้บ่อยครั้งเพียงแค่เปิดแผนที่ใหญ่ขึ้นมาดูก็แทบจะเห็นได้ทันทีว่าบอสน่าจะอยู่ตรงไหน เพราะเกมมักมีทางเดินแยกไปสู่ห้องทรงกลมใหญ่ ๆ อยู่ประปรายในแทบทุกแผนที่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อตำหนิเกมเฉย ๆ แต่เพื่อบ่งชี้ให้เห็นว่าเกมยังขาดระบบหลายอย่างที่เรานึกถึงกันเวลาพูดถึงเกมแอคชัน RPG (หรือเกม RPG ทั่วไป) ซึ่งถ้ามองในฐานะเกมแอคชันเพียว ๆ แล้วเกมก็นับว่าสนุกสะใจตลอดทางตั้งแต่ต้นจนจบอยู่เหมือนกัน“เนื้อเรื่องดี ๆ ดันไปอยู่ที่เควสเสริม แต่…”เมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม FFXVI อาจเป็นจุดที่น่าผิดหวังมากที่สุดสำหรับผู้เขียนเลยก็เป็นได้ เพราะแม้ว่าโทนความเป็นผู้ใหญ่และพล๊อตสไตล์การเมืองของเกมจะดูน่าตื่นเต้นในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วเนื้อเรื่องของเกมก็ยังคงดำเนินไปตามสูตรของ JRPG ที่เราคุ้นเคยกันดี และยังคงติดกับดักต่าง ๆ ที่เป็นจุดอ่อนของเกมแนวนี้มาตลอดอีกด้วยอย่างแรก ผู้เขียนรู้สึกว่าผู้พัฒนามีความ “เล่นใหญ่” เกินจำเป็นด้วยการวางฐานเรื่องราวสงครามระหว่างอาณาจักรมากมายที่มาตัวละครและภูมิหลังของตัวเอง ซึ่งเมื่อรวมกับจังหวะการเล่าเรื่องที่มีการโดดไปโดดมาระหว่างสถานที่หลายแห่ง มีคู่ขัดแย้งหลายฝ่าย ทำให้การเล่าเรื่องในเกมบ่อยครั้งตามยากว่าสรุปใครเป็นใคร ใครเป็นพวกกับใคร ใครหักหลังใครอยู่ ฯลฯ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ ๆ มักเกิดขึ้น “นอกจอ” ในขณะที่ผู้เล่นกำลังติดตามตัวเอก Clive อยู่อีกด้วย และแม้จะมีระบบตัวช่วยอย่าง Active Time Lore มาเพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่บ้าง (รวมถึง NPC อีกบางคนที่ช่วยอธิบายอีกทาง) แต่ถ้าผู้เล่นไม่เปิดขึ้นมาอ่านเอง (หรือเดินไปคุยกับ NPC) ก็ยากจะเข้าใจ “ภาพรวม” ของเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีการเล่าเรื่องที่สะดวกเท่าไหร่นักสำหรับคนเล่นอีกจุดที่อาจทำให้เนื้อเรื่องติดตามยากขึ้นไปอีกสำหรับผู้เล่นชาวไทยหลายคนคือการที่เกมเลือกใช้ภาษาอังกฤษแบบสำบัดสำนวนสุดขีด แถมยังใช้คำแสลงหรือศัพท์โบราณอีกเพียบ จนขนาดที่มีซัพ (ภาษาอังกฤษ) ให้อ่านแล้วก็ยังงงไปหลายจังหวะเหมือนกันการ “เล่นใหญ่” ของเกมยังนำไปสู่จุดอ่อนอีกข้อ คือการที่เกมมีตัวละครเยอะเกินไปจนไม่มีเวลามากพอจะพัฒนาตัวละครตัวไหนได้จริง ๆ เพราะเกมไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานพอเพราะต้องดำเนินเส้นเรื่องหลักอยู่เสมอ ซึ่งก็ทำให้การตัดสินใจของตัวละครหลาย ๆ ตัวในเนื้อเรื่องมีความรู้สึกไร้เหตุผลหรือไร้น้ำหนัก มีแต่ตัวละครมิติเดียวที่ไม่ค่อยน่าจดจำ ซึ่งรวมถึงตัวร้ายหลักด้วย ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องรู้สึกขาดน้ำหนักไปด้วยโดยปริยายในอีกมุมหนึ่ง ใช่ว่าเกมจะสอบตกไปหมดในด้านเนื้อเรื่อง โดยผู้เขียนพบว่าเนื้อเรื่องส่วนที่น่าจดจำที่สุดในเกมมักถูกซ่อนอยู่ในเควสเสริม ซึ่งมีทั้งเควสสั้น ๆ ไปจนถึงเควสยาวที่เนื้อเรื่องติดต่อกัน ที่มักเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจแนวคิดผู้ใหญ่ที่เกมปูพื้นมา โดยเฉพาะประเด็นการเมืองอย่างสงครามและชาติพันธุ์ ถึงขนาดที่ทำเอาผู้เขียนเสียน้ำตาได้เลยในบางครั้ง แต่ก็ยังติดข้อเท็จจริงที่ว่าเกมเพลย์ของเควสเสริมเหล่านี้ไม่ได้น่าสนุกเท่าไหร่ แถมของรางวัลก็ไม่ได้ดีนัก ซึ่งก็อาจทำให้ผู้เล่นหลายคนเลือกที่จะข้ามเควสเหล่านี้ไปในที่สุด“ภาพและเสียงอลังการงานสร้างสมราคาคุย”หากจะมีองค์ประกอบใดที่รู้สึกว่าต้องชื่มชมเกมเป็นพิเศษ น่าจะเป็นงานกราฟิกและงานเสียงส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่คิดว่าน่าจดจำมากที่สุด และประสบความสำเร็จมาก ๆ ในการปกปิดหรือกลบเกลื่อนจุดอ่อนบางประการที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ในส่วนของงานภาพ เกมดูจะใช้ฐานกราฟิกเดียวกับผลงานของทีมพัฒนา Creative Business Unit 3 อย่าง Final Fantasy XIV (14) ซึ่งแม้จะทำให้อนิเมชันตัวละครนอกคัตซีนมีความแข็ง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เกมสามารถสร้างฉากหลังที่ยิ่งใหญ่ตระการตาได้ อย่างเช่นฉากเมืองหลวงของจักรวรรดิ Sanbreque ที่มีลักษณะเป็นปราสาทสูงตระหง่านฟ้า และมีฉากหลังเป็นคริสตัลสีน้ำเงินขนาดมหึมา ซึ่งการออกแบบฉากหลังเช่นนี้ส่งผลให้โลกของเกมรู้สึก “กว้างใหญ่” กว่าที่เป็นจริงอีกด้วยการใช้เอนจิ้นของเกมภาค 14 ในการพัฒนาเกมภาค 16 ยังส่งผลให้เกมสามารถใส่รายละเอียดลงไปในโมเดลตัวละครมอนส์เตอร์ได้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็ช่วยในการเสริมชีวิตชีวาให้โลกของเกมขึ้นมาได้บ้าง และทำให้โลกของเกมมีเอกลักษณ์ของ Final Fantasy อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ากราฟิกสุดตระการตานี้ก็อาจจะมีราคาที่ต้องจ่ายเล็กน้อย โดยแม้ว่าผู้เขียนเล่นเกมในโหมด Frame Rate ที่แสดงผล 60FPS ก็ยังพบว่ามีอาการเฟรมตกจนสังเกตได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยจนรู้สึกรำคาญ แถมผู้เขียนยังไม่พบบั๊กใด ๆ เลยด้วยระหว่างการเล่น ในแง่ของ Performance จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหานัก แต่ผู้พัฒนาก็บอกว่าจะมีแพทช์ Day One ออกมาเพื่อปรับปรุงจุดนี้อยู่แล้วด้วยในฝั่งของเสียง เกมได้รับการแต่งเพลงโดยคุณ Masayoshi Soken ผู้ซึ่งมีผลงานแต่งเพลงให้กับเกม Final Fantasy XIV มาช้านาน ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับคำชมเรื่องเพลงประกอบหนาหูมาตลอดเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของเพลงฉากต่อสู้ต่าง ๆ ที่เร้าใจมาก ยิ่งพวกฉาก Eikonic Battle ที่มีตัวละครแปลงร่างเป็นเทพ Eikon ขนาดยักษ์มาสู้ก่อนนี่บอกเลยว่าน่าโหลดมาเก็บไว้หลายเพลงทีเดียวเกมมีเสียงพากย์ให้กับคัตซีนเกือบทั้งหมด จึงเป็นเรื่องน่าชมที่เกมสามารถรักษามาตรฐานของเสียงพากย์อันยอดเยี่ยมเอาไว้ได้สำหรับตัวละครแทบทุกตัวในเกม โดยการที่เกมใช้สำเนียงภาษาอังกฤษหลากหลายก็ช่วยทำให้ตัวละครรู้สึกมีเอกลักษณ์มากขึ้น สามารถแยกตัวละครจากพื้นเพต่าง ๆ กันได้อีกทางหนึ่ง และเสริมอรรถรสแนวแฟนตาซีของเกมได้ด้วย แม้ว่าอาจจะฟังยากไปซะหน่อยในบางกรณี “ความคาดหวังที่น่าตั้งคำถามของ Square Enix”ตลอดระยะเวลาที่เล่นเกม Final Fantasy XVI ผู้เขียนมักนึกย้อนกลับไปถึงความตั้งใจและคำให้สัมภาษณ์ของผู้พัฒนาที่กล่าวไปในช่วงต้น ที่ต้องการให้เกมภาค XVI นี้ทำให้ Final Fantasy กลายเป็นที่กล่าวขานในฐานะสุดยอดซีรีส์ RPG อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจการตัดสินใจและการออกแบบองค์ประกอบหลาย ๆ ส่วนของเกม ที่แลดูต้องการจะตีตัวออกห่างจากนิยามของความเป็น RPG ในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจกัน จนอาจจะทำให้ความคาดหวังของผู้เล่นกลุ่มใหญ่ ๆ คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงที่เกมเป็นอย่างมากสุดท้ายนี้ สำหรับคนที่ลังเลว่าเกม Final Fantasy XVI จะเหมาะกับคุณหรือไม่ คำถามที่ควรถามอาจไม่ใช่ว่า “คุณชอบเกม Final Fantasy แค่ไหน” แต่เป็น “คุณชอบเกม Character Action อย่าง Devil May Cry หรือ Bayonetta แค่ไหน” มากกว่า
21 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Everdream Valley เกมทำฟาร์มแบบ Open World กิจกรรมเยอะ สัตว์เลี้ยงเพียบ
Everdream Valley เกมทำฟาร์มสุดน่ารัก ที่จะพาเราผจญภัยในโลกของเกมทำไร่ทำสวนในรูปแบบ Open World ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติในเกม ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2023 ผู้เขียนกดลงคลังไว้ตั้งแต่วันแรกเหมือนเดิม ตามดูตัวอย่างเกมมาสักพักผมก็คิดว่ามันต้องมีอะไรในเกมให้เราทำเยอะแน่ ๆ เลยตัดสินใจเอาเกมนี้มาเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ความน่ารักเนี่ยผมบอกเลยผมให้เต็ม 10 ส่วนระบบต่าง ๆ เกมเพลย์ ฟีลการเล่นจะเป็นยังไงนั้น ตามมาอ่านกันต่อที่ด้านล่างได้เลย ฝากให้เธอเลี้ยงดู ให้อยู่กับเธอแล้วกัน (เนื้อเรื่องคร่าว ๆ)เราจะได้รับบทเป็นเด็กคนหนึ่ง (เลือกเพศได้) ที่พ่อและแม่ของเรามีงานเข้า ประจวบเหมาะว่าเป็นช่วงวันหยุดของเราพอดี และไม่สามารถทิ้งให้เราอยู่บ้านคนเดียวได้ คุณแม่เลยพาเรามาฝากไว้ที่บ้านไร่ของคุณตาและคุณยายครับ คุณตาและคุณยายตบปากรับคำคุณแม่ไปว่า"ไม่ต้องห่วงนะ นี่จะเป็นวันหยุดที่สนุกของเราแน่นอน"และแล้วคุณแม่ก็กลับไป เหลืออยู่แค่เราและคุณตาคุณยายครับ ไอ้เราเนี่ยอยากให้พ่อกับแม่ของเรามารับบทชาวสวนชาวไร่ด้วย แต่พ่อแม่ของเรามาด้วยไม่ได้ ช่วงแรก ๆ หน้าก็เลยจะบูด ๆ ให้คุณตาถามตลอดว่า "ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ" ฮ่า ๆ แต่จุดเริ่มต้นความสนุกของเด็กน้อยอย่างเราก็จะเริ่มต้นขึ้นตรงนี้แหละฮะ คุณตาและคุณยายจะหาอะไรให้เราทำอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่จากนี้ไปมีระบบให้แต่งตัวด้วยอาจจะไม่ได้มีระบบการแต่งตัวอะไรให้เราเลือกมากนักนะครับ ก่อนเข้าเกมเราจะได้เลือกชุดเสื้อผ้า เลือกหน้าเลือกตาอยู่บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ตัวเกมใส่มาให้ แต่เมื่อเล่นเกมไปเรื่อย ๆ ถ้าเราทำเควสผ่าน หรือแม้แต่นอนเพื่อผ่านวัน อุปกรณ์การแต่งกายก็จะปลดล็อกออกมาเรื่อย ๆ จะมีข้อความแจ้งในเกม สามารถซื้อชุดสวมใส่ได้ที่คุณลุงพ่อค้า โดยการเอาผลผลิตจากฟาร์มของเราไปขายแลกเป็นเงิน แล้วนำเงินไปซื้อเสื้อผ้าได้ครับ เสียดายมีทรงผมให้เลือกน้อยไปหน่อยการเลี้ยงสัตว์ แบบคิวต์คิวต์ (สัตว์ที่ให้วัตถุดิบ)กุ๊กไก่ - เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่เราจะได้เลี้ยงในฟาร์มครับ คุณตาของเราจะให้ภารกิจไปตามไล่จับน้อน ๆ ที่หนีออกไปซุกซนอยู่ด้านนอกของฟาร์ม เพราะคุณตาไม่ได้เลี้ยงไว้นานแล้ว จะมีเล้าไก่พัง ๆ เราก็ต้องเป็นคนไปซ่อม ที่กกไข่ต่าง ๆ เรานี่แหละที่ต้องเป็นคนคราฟต์มันขึ้นมา ระบบตรงนี้คือน่ารักมาก ๆ ตัวเกมจะให้เราวิ่งไปหากุ๊กไก่ที่ซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ต่าง ๆ สอนให้เราดูแผนที่ ตรงไหนเป็นจุดเควสก็จะมีวงบอก อารมณ์เหมือนเล่นเกม MMORPG ในแบบทำฟาร์มเลยครับไก่เกมนี้จะมีทั้งตัวเมียตัวผู้นะครับ ตรงนี้จะมีเครื่องฟักไข่ให้เราเอาไข่ไก่มาวางไว้ได้ (เล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ จะได้เครื่องฟักมาครับ) เราสามารถเก็บไข่เพื่อเอาไปขายหรือทำอาหารได้ แต่ไก่เกมนี้ไม่ได้ไข่ทุกวัน หรือไม่แน่ใจว่าไข่ทุกวันไหมเพราะระบบตรงนี้ก็ยังค่อนข้างให้ความกำกวมกับผมอยู่ ไก่หรือสัตว์อื่น ๆ ต้องกินข้าว แต่ตัวเกมไม่ได้สอนครับว่าสัตว์แต่ละชนิดกินอาหารอะไร ตรงนี้ผมงมอยู่นานมาก และยังหาคำตอบไม่ได้ ก็เลยมองว่าระบบตรงนี้ค่อนข้างสร้างความสับสนให้ผู้เล่นอยู่พอสมควรพี่วัว - อันนี้จะอยู่ในเนื้อเรื่องที่คุณตาจะให้เราไปทำภารกิจเหมือนกัน พี่วัวชื่อ Willow เป็นวัวตัวโปรดของคุณยายที่หายไป คือแบบน่ารักมาก ที่ให้เด็กน้อยไปเป็นนักสืบกับเจ้าหมาคู่ใจ ตามหาพี่วัวที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผู้เขียนมองว่าเออเกมนี้มันมีฟีเจอร์อะไรต่าง ๆ เป็นกิมมิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้เล่นอย่างเราได้มีส่วนร่วมกับเกม แต่ผมก็ยังแอบไม่ชอบตรงที่มันสอนไม่ค่อยละเอียดนี่แหละ ว่าต้องเอาไอเทมไหนให้หมาก่อนหมาถึงจะรับคำสั่งจากเรา แล้วเดินออกตามหาพี่วัว ผมหาวิธีด้วยตัวเองอยู่สักพักเพราะระบบ Hint ก็หายากและบอกรายละเอียดที่ค่อนข้างสับสนครับวัวจะผลิตนมให้เรา ซึ่งก็ไม่ได้ให้นมทุกวันเหมือนกัน อันนี้ค่อนข้างแน่ใจว่ากินฟางแน่ ๆ มีระบบให้คราฟต์ฟางให้พี่วัวกินครับ ซึ่งแตกต่างจากไก่ ที่ผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าน้องกินอะไร การได้รับนมวัวจากเกมนี้เราต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่าเหยือก หาได้ตามฟาร์มนั่นแหละมีให้เก็บอยู่หลายจุด พอมีสัญลักษณ์เป็นป็อปอัปรูปเหยือกที่หัวพี่วัวเมื่อไหร่ เราก็สามารถเอาเหยือกไปใส่นมที่เต้านมของพี่วัวได้ จะมีมินิเกมเล็ก ๆ ให้เรารีดนมวัวใส่เหยือกของเรา บอกเลยว่าน่ารักและสนุกมาก ๆ เพราะสร้างความสมจริงให้กับตัวเกม ว่าการรีดนมวัวจริง ๆ มันก็จะประมาณนี้แหละจ้าาาาาา บอกเลยว่าเป็นเกมที่สอนวิธีการใช้ชีวิตในฟาร์มได้ดีมาก ๆแกะและอัลปาก้า - ผู้เขียนขออนุญาตเอาสัตว์ทั้ง 2 ชนิดมาใส่รวมกันไว้เลยนะครับ เพราะให้วัตถุดิบชนิดเดียวกันนั่นก็คือขน ตอนเราเจอแกะเราจะได้รับเควสจากคุณตาเพื่อไปฝึกน้องหมาของเราในการต้อนแกะ บอกเลยว่าการใช้หมาต้อนสัตว์ต่าง ๆ กลับฟาร์มในช่วงแรก ๆ นั้นยากมาก ๆ ในการบังคับ แต่พอจับจุดได้มันก็จะเข้าใจไปเอง แต่ผมมองว่ามันก็ยากเกินไปมาก ๆ ที่ต้องคอยชี้เป้าให้หมาของเราวิ่ง สุดท้ายพอถึงฟาร์มก็ต้องไปคอยลูบ ๆ ตัวแกะแล้วพาเขาคอกอยู่ดีครับส่วนอัลปาก้านั้น ผู้เขียนไปเจอเข้าด้วยความบังเอิญตอนไปสำรวจแผนที่ แล้วเจอว่าน้องมีสัญลักษณ์แปลก ๆ เป็นรูปปรอทอยู่ที่บนหัว หลังจากพากลับมาอยู่ที่ฟาร์มจึงได้รู้จากคุณยายว่านั่นคือสัตว์ป่วยครับ คุณยายจะสอนวิธีคราฟต์ยาให้กับเราและสอนว่าทำไมสัตว์ต่าง ๆ ถึงป่วย ส่วนคุณตาก็จะสอนวิธีสร้างเพิงเพื่อที่จะให้สัตว์ไม่โดนฝน เมื่อไม่ต้องอยู่กลางฝนสัตว์ก็จะมีที่พักพิงและไม่ป่วย สนุกและได้ความรู้เหมาะให้ลูก ๆ หลาน ๆ มาเล่นมว๊ากกกก ยังมีระบบอีกเยอะแยะมาก ๆ บทความยาวแน่ ๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนนะครับทุกคน สัตว์เลี้ยงที่ต้องคลุกคลีอยู่กับเราตลอด (สัตว์ใช้งาน)ในบทความนี้ผู้เขียนจะขอพูดถึงแค่น้องหมาและน้องแมวเท่านั้นนะครับ เพราะไม่งั้นบทความนี้จะยาวมาก ๆแมวส้ม - เจ้าแงวตัวนี้กับเราจะได้พบกันตั้งแต่ย่างเท่าเข้ามาในฟาร์มเลยครับ เป็นสัตว์เลี้ยงที่ยังมีอยู่และไม่ได้หนีหายไปของคุณตาคุณยาย ถ้าเราอยากใช้งานเจ้าเหมียว เราต้องไปตีซี้ทำตัวสนิทสนมกับน้องซะก่อน โดยการฝึกน้องเล่นลอดห่วงบ้าง หรือลูบเนื้อลูบตัวน้องไปเรื่อย ๆ เมื่อค่าการเรียนรู้ของเจ้าเหมียวเต็มแล้ว น้องจะวิ่งตามเราไปตลอด คอยช่วยจับหนูจับแมลงให้ครับระบบนี้แรก ๆ สำหรับผู้เขียนก็สร้างความตื่นเต้นได้นิด ๆ หน่อย ๆ เพราะเล่นไปเรื่อย ๆ ระบบการสอนสัตว์ก็ค่อนข้างจำเจไม่มีอะไรให้ทำ ผมไม่ชอบที่เกจการเรียนรู้ หรือความสนิทสนมสามารถลดได้ และเราต้องคอยฝึกน้องเรื่อย ๆ ถึงฝึกจนเต็มแล้วถึงแม้จะจับแมลงจับหนูให้เราบ่อยขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์น้องอีกว่าจะจับหรือไม่จับ แล้วก็วิ่งค่อนข้างมั่วไม่ได้ตามเราตลอดน้องหมา - เจ้าตูบตัวนี้เราจะได้มาจากลุงพ่อค้า เราสามารถเลือกสายพันธุ์ในการเลี้ยงได้ การฝึกน้องหมาบอกเลยว่าแทบจะไม่มีอะไรให้ทำ เราทำได้แต่นั่งลูบตัวน้องไปเรื่อย ๆ รอจนกว่าค่าความสนิทจะเต็ม คือตรงนี้จะไม่มีกิจกรรมมินิเกมให้เราเล่นเหมือนกับน้องแมว ลูบหัวลูบตัวหมาวน ๆ ไป ประโยชน์ก็แค่เอาไว้ใช้ตามรอยสัตว์ต่าง ๆ ที่หายไปจากฟาร์ม กับต้อนสัตว์ต่าง ๆ กลับฟาร์ม เอาจริง ๆ พอหลัง ๆ อยู่ดีดีก็ไม่มีอะไรให้ตามหา แล้วน้องหมาก็ดูจะมีประโยชน์น้อยกว่าน้องแมวไปซะอย่างนั้น หลัง ๆ ก็วิ่งตามเราอย่างเดียวแทบไม่มีอะไรให้เรียกใช้บริการน้องเลยระบบคราฟต์จริง ๆ ยังมีสัตว์ให้เลี้ยงอีกเยอะมาก ๆ ที่ผู้เขียนยังไม่ได้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็น เป็ด, ห่าน, หมู, ม้า, ผึ้ง, กวาง หรือแพะ ฯลฯ แต่ลักษณะการเลี้ยงก็จะคล้าย ๆ กันหมด ถ้าพูดถึงทุกชนิดเดี๋ยวเราจะไม่ได้พูดถึงหัวข้ออื่น ๆ กันเลย เพราะระบบเกมนี้มันมีอีกเยอะมาก ๆ ผู้เขียนเลยจะหยิบเอาตรงนั้นมานิด ตรงนี้มาหน่อย อยากให้ผู้อ่านเห็นภาพรวม ๆ ของความน่ารักของเกมนี้ครับการคราฟต์ของเกมนี้ไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่น ๆ เลย มีโต๊ะคราฟต์เหมือนกัน แต่เราต้องซ่อมมันให้เรียบร้อยก่อนมันถึงจะใช้ได้ และไม่ใช่ว่าซ่อมแล้วเราจะสามารถคราฟต์ได้ทุกอย่าง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราสามารถคราฟต์ได้นั้นจะปลดล็อกตามการสอนงานของคุณตาและคุณยาย ก็คือต้องรอคุณตาคุณยายอนุญาตและให้ความรู้กับเราก่อนนั่นแหละครับ ระบบใช้งานง่ายครับจะแจ้งหมดว่าเราต้องใช้วัตถุดิบอะไร จำนวนเท่าไหร่ การคราฟต์บางอย่างอาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อที่จะได้รับวัตถุดิบอย่างเช่น ไม้กระดาน เราต้องเอาท่อนซุงไปเลื่อยที่โต๊ะเลื่อย ซึ่งก็จะมีมินิเกมให้เราเล่น โดยการเลื่อนไปมาให้ตรงจังหวะ จะมีขีดให้เราดูว่าเราจะต้องเลื่อนไปทางไหน ช่วงแรก ๆ ก็เพลินดี แต่ช่วงหลังรู้สึกเสียเวลา เพราะเราต้องใช้วัตถุดิบที่ค่อนข้างเยอะครับ แต่ตัวเกมก็มีระบบรองรับให้กด E แล้วจะได้รับไม้กระดานเลย แต่จำนวนที่ได้จะได้น้อยกว่าเราเลื่อยเอง หลัง ๆ ผมก็กด E รัว ๆ ไป ไม่สนแล้วครับว่าจะได้ไม้มากหรือน้อยกว่า เซฟเวลา ฮ่า ๆระบบการทำอาหารแรก ๆ ดูดี เวลาเล่นทำอาหารจะมีมินิเกมให้ทำ อาหารต่าง ๆ ให้ค่า Energy กับเราเวลาเราใช้พลังงานจนหมด เมื่อพลังงานหมดจะทำให้เราเดินช้า เราก็สามารถอัดอาหารที่ทำมาเพื่อฟื้นฟูเกจ Energy ของเราได้เลย และอาหารสามารถนำไปขายที่ลุงพ่อค้าได้ค่อนข้างได้ราคาดี แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ หลังจากหมดแพชชันกับมันแล้ว จะรู้สึกเสียเวลากับการทำอาหารมาก ๆ เพราะเราก็ต้องทำวน ๆ อยู่แบบนั้น ไม่มีออปชันให้เลือกว่าจะทำกี่ชิ้น คือเราต้องทำมันไปทีละชิ้นเท่านั้น กด E เพื่อรับวัตถุดิบเลยแบบอุปกรณ์อื่น ๆ ก็ไม่ได้ บอกเลยว่ายืดยาดมาก ๆ ครับ อุปกรณ์การใช้งานต่าง ๆ ภายในฟาร์มทุกอย่างในฟาร์มเราสามารถเคลื่อนย้ายได้แบบอิสระเสรี อยากตบแต่งความสวยงามยังไง อยากให้โซนไหนอยู่ตรงไหน เราสามารถสร้างเองได้หมดครับ แต่ช่วงแรก ๆ ค่อนข้างมีความจำกัดเพราะวัตถุดิบของเราจะมีน้อย ส่วนใหญ่ผู้เขียนก็จะวางสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ที่เดิมของมันก่อน เพราะถ้าจะให้เริ่มมาสวยงามเลยสำหรับเกมนี้ผมมองว่ายากครับเพราะแมป หรือพื้นที่ของฟาร์มเราค่อนข้างใหญ่ หลัง ๆ จะมีบ้านต้นไม้ให้เราตบแต่งได้แบบเพลิน ๆ อยู่ครับผจญภัยความฝันถ้าเราเลือกนอนหลับเพื่อผ่านวัน หลังจากเราสร้างหุ่นไล่กาแล้ว เราจะมีความฝันแปลก ๆ ในทุก ๆ ครั้งที่เราเข้านอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับสัตว์ในฟาร์ม เราจะได้เบาะแสต่าง ๆ มากมายว่าเราจะหาสัตว์อะไรได้จากตรงไหน ได้คุยกับหุ่นไล่กา ได้เล่นมินิเกมต่าง ๆ ตื่นขึ้นมาก็จะได้รับรางวัลจากในฝันด้วย ผมมองว่าตัวเกมยัดเยียดมินิเกมให้ผู้เล่น เล่นจนเยอะเกินไป ผมชอบนะที่มีเนื้อเรื่องจากการฝันด้วย แบบได้ไปสืบเสาะเรื่องราวว่าสัตว์บางชนิดอยู่ตรงไหน แต่ไม่ค่อยชอบมินิเกมที่ดูพร่ำเพรื่อมาก ๆ มีอยู่แทบจะทุกอริยาบทในเกมการทำฟาร์มปลูกผักต่าง ๆ เหมือนเกมอื่น ๆ นั่นแหละครับ แต่เมล็ดพืชต่าง ๆ ไม่ต้องไปหาซื้อ แต่เราต้องไปหาผักจากในป่าเพื่อนำกลับมาปลูกที่บ้านของเรา มีรดน้ำ ขุดดินใส่ปุ๋ย เหมือนเกมแนวนี้ทั่ว ๆ ไปครับ แต่หลัง ๆ ตัวเกมบังคับให้เราติดสปริงเกอร์เพื่อรดน้ำต้นไม้แทน ผมก็ไม่ชอบเท่าไหร่ที่เดินสายยากมาก ต้องหาสายยางมาเดินสายให้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติถูกปั๊มขึ้นมาเพื่อรดน้ำในฟาร์ม คือบอกเลยว่าเก็บเงินซื้อของแต่ละอย่างเหนื่อยมาก ๆ เทศกาลงานรื่นเริงผู้เขียนแทบไม่เห็นการเปลี่ยนฤดูกาลของเกมนี้เลย เลยคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเกมที่ไม่มีฤดู เพราะว่าเด็กน้อยในเกมคุณแม่แค่มาฝากคุณตาคุณยายเลี้ยงแค่ในช่วงวันหยุดยาว งานสำคัญตั้งแต่ที่ผมเล่นมานั้นมีงานเดียวให้ได้เห็นน่าจะเป็นวันเกิดคุณยายครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมเป็นเกมทำฟาร์มสไตล์ Open World แมปกว้างมากสำหรับเกมทำฟาร์ม วิ่งเปิดแผนที่กันวน ๆ ไป เกมไม่ต้องใช้คอมระดับเทพก็เล่นได้ครับ ส่วนคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ ก็สามารถเล่นได้เพียงแต่อาจจะต้องปรับต่ำทั้งหมดเพื่อไม่ให้ภาพกระตุกจนเกินไปเฉกเช่นเครื่องผมเองระบบการบังคับก็เหมือนเกม MMORPG อื่น ๆ ทั่วไป แต่ปุ่ม Interact สิ่งของค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับผู้เล่นอยู่พอสมควร ไอ้เรื่องปุ่ม F เก็บของ หรือ E ใช้งานอุปกรณ์ แล้วไอ้ตัวรื้อถอนวัตถุที่ก่อสร้างเข้ากระเป๋า หรือเติมของเข้าเครื่องอุปกรณ์มันดันอยู่ปุ่ม F เหมือนกัน บางทีเผลอกด F ติด ๆ กันอุปกรณ์ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋า ค่าต่าง ๆ ที่ตั้งเอาไว้ก็โดนยกเลิกหมด สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผมมาก ตรงนี้ผมคิดว่า Dev ควรแยกปุ่มการใช้งานไปเลยส่วน UI ของเกมก็ออกแบบมาได้ดีน่ารัก ดูง่าย ช่องเก็บของต่าง ๆ ใช้งานได้ไม่ซับซ้อน มีเควสคอยสอนการใช้งานระบบต่าง ๆ ภายในเกม แต่ถ้าต้องการกลับไปดูวิธีการเล่นต่าง ๆ หา Guide หรือ How to ในเกมยากมาก ๆ ครับ จะขึ้นมาให้เราดูครั้งเดียวเวลาเราเจออะไรใหม่ ๆ การสอนของเกมนี้ค่อนข้างจะไม่ Clear บางอย่างเล่นไปสักพักแล้วก็ยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร หรือใช้งานอย่างไร ต้องงมอยู่เยอะพอสมควร ค่อนข้างเป็นอุปสรรคในการเล่นเกมในช่วงแรก ๆ อยู่บ้างครับสรุปEverdream Valley เป็นเกมที่มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ แต่ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่า หลาย ๆ อย่างก็ดูเกินความจำเป็นมากเกินไป มินิเกมที่เยอะแยะมากมายแม้ขณะนอนหลับ หรือบางอย่างที่ขาด ๆ เกิน ๆ อย่างระบบของน้องหมาที่อยู่ดีดีความสามารถช่วงต้นเกมก็แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ที่น่าเบื่ออีกอย่างคือการฝึกแล้วฝึกอีกฝึกมันอยู่นั่น แล้วก็เดินสะเปะสะปะจับแมลงให้บ้าง ไม่จับให้บ้าง และมันเป็นเกมที่เล่นมาสักพักแล้ว แต่เราก็ยังใช้งานอุปกรณ์บางอย่างไม่เป็น (หรือว่าเป็นที่ผมเอง ฮ่า ๆ) อย่างการให้น้องหมาหาของในช่วงแรก ๆ กว่าจะรู้ว่าต้องกดไอเทมชิ้นนี้ก่อน แล้วเอาชิ้นปริศนาให้น้องหมาดม ก็ใช้เวลาอยู่นานมาก ๆแต่เกมนี้สำหรับผมก็ยังเป็นเกมที่น่ารักมาก ๆ อยู่ดี เนื้อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ น่าติดตาม การมีสัตว์ให้ตามช่วยเยอะ ถึงแม้ว่าตอนพาสัตว์กลับฟาร์มจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ เพราะมันค่อนข้างที่จะต้องเดินทางไกล แต่ถ้าถามผมว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะซื้อไหมผมก็บอกเลยว่าผมจะซื้ออยู่ดี ใครที่ชอบความน่ารักเหมือนผมสามารถหาซื้อได้จากหลายแพลตฟอร์มเลยนะฮะ ไม่ว่าจะเป็น Epic Store, GOG.COM และ PS4-5 ส่วนผู้เขียนกดผ่าน Steam มาในราคา 495 บาท แค่เดินให้ครบในแผนที่ผมบอกเลยว่าเกินราคาไปแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าระบบอื่น ๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้นำมาพูดถึงในบทความนี้มีอะไรอีกบ้างไปซื้อมาเล่นเป็นเพื่อนผมได้ เพราะผมบอกเลยยังมีอะไรให้ผู้เล่นอย่างเราทำอีกเพียบ สิ่งที่ผมเอามารีวิววันนี้เป็นเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น!สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1403650/Everdream_Valley/
15 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Godlike Burger เปิดร้านอาหารสุดจิต เบอร์เกอร์รสเนื้อมนุษย์ต่างดาว
Godlike Burger คุณจะเปิดร้านอาหารบ้าคลั่งที่สุดในกาแล็กซี! ทำให้ลูกค้ามึนงง วางยา และฆ่าให้ตายด้วยวิธีมากมาย… แล้วเปลี่ยนเป็นเนื้อเบอร์เกอร์! ไม่ต้องกังวลไป เหล่าเอเลี่ยนจะเข้ามาเรื่อย ๆ หากคุณวางแผนอย่างชาญฉลาด ใครจะไปรู้ว่าการกินเนื้อเผ่าพันธุ์ตัวเองจะอร่อยถึงเพียงนี้!!!คอนเซ็ปต์เกมแบบอ่านแล้วยังไงก็ต้องซื้อ เพราะมันยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร เบอร์เกอร์มาก ๆ ที่เราจะต้องขายเบอร์เกอร์ไปด้วย ดักทุบลูกค้าไปด้วย เกมนี้ลงวางขายใน Steam มาตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. 2022 ผู้เขียนเห็นตัว Supporter Bundle ลดราคาอยู่ 5% เลยกดซื้อมาเลย เพราะจะเอามาลองเล่นและเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ตัวผมเนี่ยยังไม่รู้เหมือนกันว่าเกมเพลย์ หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ในเกมนั้นเป็นยังไง เดี๋ยวเราไปสัมผัสบรรยากาศในเกมพร้อมกันดีกว่าครับทุกอย่างมีที่มาที่ไป จากปมในหัวใจของชายคนหนึ่ง (เนื้อเรื่องแบบสปอลย์)เกมทำเบอร์เกอร์เบอร์ใจ ของคนหัวใจเฮิร์ต ๆ ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับวันหมอง ๆ กับชีวิตที่สุดแสนจะเฮงซวย อยู่ดีดีก็ตกงาน เกิดอุบัติเหตุขาขาด ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดนรังแกมาตลอด แม่ก็ดันมาตายจากโรคหัวใจอีก (เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเศร้าใจเป็นที่สุด) ก่อนคุณแม่จะตาย คุณแม่ของเขาเปิดร้านเบอร์เกอร์ที่โด่งดังไปทั่วทั้งกาแล็กซี เอเลี่ยนทั้งหลายต่างเคยแวะเวียนมาลิ้มรสชาติเบอร์เกอร์ร้านคุณแม่ของเขาทั้งนั้น แต่เมื่อคุณแม่ตายร้านนั้นก็ได้ปิดกิจการไปวันหนึ่งเขามีความตั้งใจที่แน่วแน่อยากจะกลับมาฟื้นฟูร้านเบอร์เกอร์ในตำนานของคุณแม่ให้กลับมาโชติช่วงชัชวาลอีกครั้ง แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยมีความรู้ด้านการทำเบอร์เกอร์เลย รสชาติช่วงแรกที่ทำออกมานั้นเลยโคตรห่วยแตก แบบแหลกไม่ได้ ทำให้ลูกค้าชาวเอเลี่ยนต่าง ๆ ที่คาดหวังว่าเบอร์เกอร์ของเขาจะต้องรสชาติเหมือนฝีมือคุณแม่นั้น ต่างผิดหวัง และพากันมารุมประณามเขาและแล้วก็ตู้มมมมมม!!!! God of galaxy ก็ปรากฎร่างขึ้นมา ฟาดงวงฟาดงาไล่ลูกค้าของเขาออกจากร้าน แล้วจับตัวเขาไว้ ถามความอยากจากก้นบึ้งของหัวใจ ของชายขายเบอร์เกอร์"นายอยากได้อะไรระหว่างความตาย และสูตรเบอร์เกอร์ขั้นเทพ?"เขาเลือกเบอร์เกอร์อย่างไม่ต้องคิด เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมใบแจ้งหนี้มากมายและวัตถุดิบในร้านก็เน่าเสียหมดแล้วรวมถึงเงินของเขาด้วย เหลือแต่เพียงซากศพของเอเลี่ยนมากมายที่นอนตายอยู่ในร้านของเขา ปิ๊ง!!! ไอเดียก็ผุดขึ้นมาจากความกดดันต่าง ๆ มากมาย ซากศพเหล่านั้นเป็นเพียงทางออกทางเดียวของเขาที่จะทำให้ร้านอยู่รอดต่อไปได้ จุดเริ่มต้นหยอง ๆ ของเบอร์เกอร์เนื้อเอเลี่ยนที่อร่อยที่สุดในกาแล็กซี!!!ไม่ได้ง่ายเหมือนภาพที่เห็น เกมเพลย์โหดหินกว่าที่คิดมากเห็นภาพเกมน่ารัก ๆ แบบนี้ เกมเพลย์จริง ๆ นั้นค่อนข้างต้องใช้ความเข้าใจสูงมาก ๆ ครับ อาจจะเพราะเนื้อหาต่าง ๆ แม้แต่เนื้อเรื่องคงไม่ได้ออกแบบมาให้เด็ก ๆ เล่น ระบบต่าง ๆ ที่ค่อนข้างกดดันกับเรื่องเวลา เรื่องผู้บริโภคจะหนีออกจากร้าน เงินอัปเกรดเพื่อเปลี่ยนด่าน หรือต้องทำเควสให้ผ่านทั้งหมดถึงจะเปลี่ยนไปเล่นด่านอื่น ๆ ได้ บอกเลยว่าเกมนี้มีทั้งความสนุกและความเครียดอยู่ในเกมเดียวกันเกมโหดถึงขนาดที่ว่าถ้าตัวละครตายเราจะต้องกลับไปเริ่มใหม่กันตั้งแต่ด่านแรกเลย ไม่ว่าเราจะเล่นไปได้ไกลแค่ไหนแล้วก็ตาม บอกเลยว่าไม่เหมาะกับคนหัวร้อนเป็นอย่างยิ่ง ช่วงแรก ๆ ที่เริ่มเกมผมยอมรับตรงนี้เลยว่าเป็นเกมที่ผมรีเซ็ตเพื่อเริ่มใหม่ตั้งแต่ด่านแรกบ่อยที่สุดตั้งแต่เคยเล่นเกมมา เพราะต้องการทำความเข้าใจกับระบบของเกมจริง ๆ การบังคับที่ต้องใช้คีย์บอร์ดมันก็ทำให้หลาย ๆ อย่างยากสำหรับเราคนเล่นด้วย บอกแบบตะโกนเลยครับว่ายากอิ๊บอ่าย ฮ่าๆ ส่วนรายละเอียดและฟีเจอร์ต่าง ๆ ของเกมนั้นมีอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะจำแนกแยกย่อยให้ได้อ่านกัน ตามมาฮะอาหารจานร้อน ร้อนมายันใจการทำอาหารของเกมนี้ถ้าใครเคยเล่น Diner Dash คงจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะลูกค้าจะเดินมาสั่งออเดอร์เอาไว้ก่อน เราก็ทำอาหารตามออเดอร์ทางด้านซ้ายมือของจอ อาหารสามารถเสียได้ถ้าเราไปทำภารกิจฆ่ามนุษย์ต่างดาวเพื่อเอาเนื้อไว้ขายต่อ ถ้าเราย่างเนื้อทิ้งไว้บอกเลยว่ามันจะไหม้ แล้วการเสียของเนื้อเกมนี้จะเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก ๆ เพราะเราต้องไปฆ่ามนุษย์ต่างดาวตัวอื่น รอเนื้อถูกชำแหละ จะมีเกจบอกเราว่ากระบวนการตอนนี้ไปถึงไหนแล้วสิ่งที่สร้างความหัวร้อนให้เราไม่ใช่แค่ความกดดันที่ลูกค้ากำลังจะหมดความอดทน หรือที่ต้องทำอาหารแข่งกับเวลา แต่เกมนี้มันมีระบบอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สามารถเสียได้และมันเสียแบบโคตรบ่อย ตอนที่เสียแบบได้จังหวะนี่ดีมาก ๆ อย่างช่วงที่เราแว๊บไปแอบหลอยมนุษย์ต่างดาวเพื่อเอาเนื้อ การซ่อมก็ไม่ได้ยากฮะแค่เตะอุปกรณ์ที่เสียไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมไอ้ตรงระบบการทำอาหารตรงนี้ช่วงแรกผู้เขียนมองว่ามันยังไม่ยากเท่าไหร่ครับ มันจะไปยากเมื่อเราเปลี่ยนด่านนี่แหละเพราะด่านแรกมนุษย์ต่างดาวมีชนิดเดียว พอด่านหลัง ๆ มันมีสปีชีส์ของเอเลียนที่มากขึ้น การกินเนื้อที่หลากหลายมากขึ้น บอกเลยว่าการเล่นเกมของผู้เล่นเนี่ยจะสะดุดไปเลยครับ ความกดดันที่เวลาเราตายจะเริ่มเกมใหม่ทันที พอเริ่มใหม่ซ้ำ ๆ ก็ทำให้เกมหมดสนุกไปเลยสำหรับผม ถึงแม้ว่าจะอยากรู้ว่าด่านหลัง ๆ มีอะไรใหม่ ๆ ให้เล่นบ้าง แต่ใจมันก็ไม่สู้แล้ว ฮ่า ๆไม่ทำเควส ก็ไม่ได้ไปไหนเงื่อนไขการผ่านด่านอีก 1 อย่าง ที่ผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกครั้ง ที่เปิดดูหลังจากตายมากแล้ว ฮ่า ๆ คือบางอันมันยากมากกกกก และจะทำให้การผ่านด่านของเราช้ามากยิ่งขึ้น แล้วด้วยความที่เกมนี้มันรีเซ็ตไม่ได้ ทางเลือกของผมก็มีแค่ 2 ข้อ คือเดินไปทุบลูกค้า 1 ทีแล้วให้ลูกค้าฆ่าผมซะเพื่อที่จะเริ่มเกมใหม่ ซึ่งมุกนี้จะใช้ได้แค่ด่านแรกเท่านั้น ถ้าเราไปใช้ที่ด่านหลัง ๆ มันก็จะวนกลับมาที่ด่านแรกใหม่ ทางเลือกที่สองของผมก็คือทนเล่นไปจนจบแล้วไปเสีย 2$ เพื่อรีเซ็ตเกมใหม่ทั้งหมด ซึ่งผมลองแล้วมันก็ทำได้แค่ด่านแรกเท่านั้น เพราะมันจะเริ่มใหม่ทั้งหมด คือเข้าใจนะครับว่าอยากให้เล่นแบบชาเลนจ์ตัวเอง แต่แบบถ้ามันต้องวนกลับมาเล่นด่านแรกบ่อย ๆ มันก็ทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่ายได้ ไอ้ที่เคยอยากรู้ พอเริ่มใหม่บ่อย ๆ ก็ไม่อยากรู้แล้วครับกลับมาพูดถึงเรื่องเควสกันต่อดีกว่าครับ เควสที่เราได้รับมาจะเป็นแบบสุ่ม ถ้าเราตายเควสก็จะรันมาใหม่ทันทีเลือกไม่ได้ เควสมีให้ทำหลากหลาย บางอันสนุกบางอันบ้งก็แล้วแต่ดวงของเราจะสุ่มได้มา แต่สำหรับผมผมชอบนะมันทำให้เราไม่ผ่านด่านเร็วจนเกินไปมีเวลาเก็บเงิน เพราะเราต้องมีค่าชื่อเสียงที่ถึงเป้าหมายด้วย และต้องทำให้เควสผ่านไปด้วย เราก็จะได้ทำความเข้าใจกับเกมได้มากขึ้นครับ แต่มันก็จะติดเหมือนเดิมนี่แหละถ้าเราตายบ่อย ๆ ทุกอย่างจะถูกรีเซ็ตไปที่ด่านแรก นี่แค่คิดก็เป็นเศร้าแล้วครับ ฮ่า ๆค่าชื่อเสียง สอดคล้องกับเควส เรื่องเควสเราได้คุยกันไปแล้ว ทีนี้มาถึงเรื่องค่าชื่อเสียงกันบ้าง ถ้าเราทำได้ไม่ถึงเป้าหมายของดาวดวงที่เราต้องการย้ายไปขายเบอร์เกอร์ เราก็จะไม่สามารถย้ายไปได้ ซึ่งค่าชื่อเสียงเนี่ยเราจะได้รับต่อเมื่อเอเลียนที่มากินเบอร์เกอร์ที่ร้านเรารอดจากการฆาตกรรมของเราออกวาร์ปไปได้แบบทุกอย่างต้องปกติ คือไม่โดนเราทำร้ายร่างกาย, ได้รับออเดอร์ที่ถูกต้อง, กินอาหารจนหมด, จ่ายเงิน และเดินออกวาร์ปไป ถ้ามีการตายเกิดขึ้นเราจะไม่ได้รับค่าชื่อเสียงครับระบบนี้ผมว่าสนุกดี เพราะเราจะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่จนกว่าเราจะอยากย้ายเมือง ผมอยากจะอยู่เล่นด่านแรกเก็บเงินอัปเกรดร้านของผมไปเรื่อย ๆ ก็ได้ พอเราพร้อมย้ายเมืองแล้วเราก็ไม่ต้องฆ่าลูกค้าของเรา แล้วขายของยาว ๆ ไปอย่างเดียว เราก็จะได้รับค่าชื่อเสียงแบบรัว ๆ เลย ผมชอบที่มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรานี่แหละ ว่าจะให้รูปเกมเป็นอย่างไร ณ ตอนนั้นการหลอยเอเลี่ยนอันนี้สนุกดีฮะ มีให้ทำหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นวางกับดักหรือจะฆ่าด้วยตัวเองกับดัก - มีให้เลือกมากมาย ลูกเล่นหลากหลาย ทั้งสตั๊นเหยื่อ ปลิดชีพเหยื่อ บางครั้งการจะให้เอเลี่ยนเดินไปที่กับดักของเรา เราอาจจะต้องวางยาในอาหารที่พวกเขาออเดอร์ไว้ ทำเสร็จเมื่อเอเลี่ยนทานอาหารของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะเดินไปตามบริเวณสรรพคุณของยาที่เราวางครับ เช่น ยาอยากบุหรี่ หรือยาถ่าย เป็นต้น เริ่มแรกจะมีแค่ปืนลูกซองให้ฟรีมา 1 กระบอก สามารถอัปเกรดความแรง ระบบออโต้ และระบบทำลายหลักฐานอัตโนมัติ (พอฆ่าเหยื่อเสร็จเหยื่อจะถูกวาร์ปไปเลยเราไม่ต้องเป็นคนไปจัดการเอง) อัปเกรดได้ที่ฐานลับของเราครับ ส่วนกับดักอื่น ๆ เราจะต้องไปซื้อเพิ่มเอาเอง ซื้อได้ที่ฐานลับของเราเช่นเคย หลังจากใช้กับดักจะมีเวลานับถอยหลังบอกเราอยู่ว่ากับดักจะพร้อมใช้อีกเมื่อไหร่การฆ่าเหยื่อด้วยตัวเอง - อีโต้ในมือของเรานั่นแหละคืออาวุธสังหารเอเลียนผู้เคราะห์ร้าย คนไหนดวงขาดเราก็จะเอาอีโต้นั่นแหละสับลงไปที่หัวของเอเลียน ค่าความทนทานหรือ HP ของแต่ละสปีชีส์นั้นก็ไม่เท่ากัน บางตัวฟาด 2 ที บางตัวฟาด 3 ที บางตัวก็ฆ่าด้วยอีโต้ไม่ได้ ต้องวางกับดักเท่านั้น ยิ่งด่านหลัง ๆ ก็จะต้องใช้ไหวพริบที่มากขึ้น สร้างความเพลิดเพลินให้กับผมเป็นอย่างมาก แต่ที่ยังไม่ชอบเหมือนเดิมก็คือถ้าเราพลาดท่าให้กับเหยื่อ หรือมีพยานเห็นเหตุการณ์ (บางสปีชีส์มารุมสู้เรา บางสปีชีส์โทรแจ้งตำรวจ) จะทำให้เราเล่นยากทันที เพราะถ้าตายคือกลับไปเริ่มใหม่ แล้วช่วงแรกเราสามารถทุบเหยื่อได้ 2 ที ถ้าทุบพลาดต้องวิ่งหนีจนกว่าพลังการต่อสู้จะถูกชาร์จจนเต็ม แล้วถึงวิ่งกลับมาทุบใหม่ได้ ก็ต้องคอยล้างเลือดที่เลอะตัวทุกครั้งไม่งั้นถ้ามีคนเห็นจะโดนแจ้งตำรวจหรือพวกเอเลียนจะพุ่งเข้าทำร้ายเราเพราะรู้ว่าเราทำร้ายเพื่อนพวกเขาครับฐานทัพลับ ๆ ของร้านเบอร์เกอร์นี่คือศูนย์รวมทุกสิ่งจำเป็นของเราเอาไว้ไม่ว่าจะเป็น การจ่ายบิล, การอัปเกรดร้าน, การซื้อวัตถุดิบ, ตู้เซฟสำหรับเก็บเงิน (เพราะตายแล้วเงินหายทั้งหมด), ผลิตยาพิษ, และการย้ายร้านไปขายที่ดาวดวงอื่นการจ่ายบิล - อันนี้จะพูดถึงช่วงด่านแรก ๆ นะครับ เพราะผมพยายามแล้วแต่เล่นไปด่านลึก ๆ ไม่ได้สักที เริ่มใหม่ตลอดไม่รู้จะยากไปไหน ที่เห็นหลัก ๆ จะมีบิลอยู่ 2 ประเภท คือ บิลค่าเช่า (จ่ายพวกค่าน้ำค่าไฟค่าแก๊ส) และจ่ายบิลค่าปรับให้คุณตำรวจ (มีพยานในเหตุการณ์เจอศพหรือตัวคุณเปื้อนเลือดแล้วไปห้ามคนปากโป้งไม่ทัน)การอัปเกรดร้าน - อัปเกรดได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น เพิ่มเตา, เพิ่มที่วางออเดอร์, เพิ่มความไวของเรา, เพิ่มความไวของการทำอาหาร, เพิ่มช่องสำหรับชำแหละวัตถุดิบ, เพิ่ม Status ให้เรา (HP, Stamina, Energy) เป็นต้น จริง ๆ มีเยอะกว่านี้นะครับ ที่เหลือเพื่อน ๆ ไปเล่นกันเองบ้างการซื้อวัตถุดิบ - พวกเนื้อต่าง ๆ ที่นี่จะไม่สามารถซื้อได้ เราต้องไปหาเนื้อเบอร์เกอร์เอาเองจากการฆ่าเหยื่อ ในส่วนนี้เราจะซื้อพวกขนมปังเบอร์เกอร์, ผัก, ชีส และพวกซอสต่าง ๆ ก็คือการซื้อวัตถุดิบในการทำเบอร์เกอร์นั่นแหละครับ สามารถหาซื้อได้จากตรงนี้ ส่วนนี้เราต้องคำนวณดีดี เราต้องพอจะคาดเดาได้บ้างว่าร้านจะคนเข้าเยอะไหม ถ้าของหมดตอนเปิดร้านเราจะซื้อใหม่ไม่ได้ เราต้องฆ่าลูกค้าทั้งหมดร้านนั่นแหละ เพราะไม่มีของให้ขายการย้ายดาว - ผู้เขียนจะไม่พูดถึงทุกอย่างทั้งหมดในฐานลับของเรานะครับ อันนี้จะเป็นหัวข้อสุดท้ายที่จะมาพูดถึงกัน การย้ายดาวเราจะต้อง มีค่าชื่อเสียงที่ถึงเป้าหมายตามที่เกมกำหนด บวกกับการทำเควสทั้ง 2 เควสให้ผ่านทั้งหมด และมียอดเงินที่ถึงกำหนดด้วยเช่นกัน เพราะเราต้องใช้เงินในการย้าย เมื่อย้ายไปแล้วก็ทำเหมือนเดิม ขายเบอร์เกอร์ เก็บเงิน ทำเควสให้ผ่าน และมีค่าชื่อเสียงที่ถึงเกณฑ์ ทำมันวน ๆ ไปจนถึงด่านสุดท้ายนั่นแหละ แต่ผมไปไม่ถึงนะ ขออนุญาตยกธงขาวไว้ ณ จุด ๆ นี้เหยื่อของเรานี่คือเรื่องสุดท้ายที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ ช่วงแรก ๆ จะง่ายเนื่องจากดาวดวงแรกมีเหยื่อแค่ชนิดเดียวและชอบกินเนื้อพวกเดียวกันเองครับ แต่ดาวหลัง ๆ นั้นจะมีเหยื่อหลายรูปแบบมาก ๆ และชอบกินเนื้อคนละชนิดกัน เราต้องคอยจำว่าสปีชีส์ไหนชอบกินเนื้อของสปีชีส์ไหน ถึงแม้ตัวเกมจะมีระบบให้เรากดจดจำความชอบของเอเลียน หรือเอเลียนสปีชีส์นี้ฆ่าได้ง่ายด้วยวิธีไหน ถึงกระนั้นมันก็สร้างความเสียเวลาในการเปิดดูให้เราอยู่ดี ซึ่งสำหรับผมการจดจำไว้ในหัวของเรา น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ จะมาเปิดดูข้อมูลจริง ๆ ในกรณีที่นึกยังไงก็นึกไม่ออก พูดง่าย ๆ คือลืมนั่นแหละครับ ฮ่า ๆระบบต่าง ๆ ภายในเกมGodlike Burger เป็นเกมแนว เสิร์ฟอาหาร เป็นเกมตลกร้ายที่มีการฆาตกรรมแล้วให้กินเนื้อพวกเดียวกันเอง มีภาพน่ารักแนวการ์ตูน แต่เนื้อหาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ เกมไซส์เล็กเครื่องไม่แรงก็เล่นได้ครับการบังคับของเกมนี้นั้นใช้คีย์บอร์ดอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้เมาส์ได้เลย ถามว่ายากไหมก็บางครั้งกดไม่ค่อยติด หรือต้องกดเลือกคำสั่งของกับดัก ก็ทำให้การเล่นเกมล่าช้าไปบ้าง แต่พอเล่น ๆ ไปเดี๋ยวก็จะคุ้นเคยกับมันครับUI น่ารักดีใช้งานง่าย ช่วงแรก ๆ จะมีสอนการเล่นเกม จะกด Skip โหมดฝึกสอน ไปหัดเอาเองในเกมเลยก็ได้ ถ้าเคยเล่นพวก Diner Dash มาแล้ว เพราะคล้ายกันเลยฮะ แต่ถ้ามือใหม่ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่ง Skip ให้ฝึกจากใน Toturial ไปก่อนสรุปGodlike Burger เธอจะยากไปไหน ฮ่า ๆ ถึงแม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะซื้อตัวได้ หรือได้รับพรจาก God Of Galaxy แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น ก็ตายเริ่มใหม่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผู้เขียนบอกเลยว่าถ้าใครหัวร้อนง่ายแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปเลยไม่ต้องซื้อมาเล่นครับ ขนาดผู้เขียนเป็นคนใจเย็น ผมยังเลิกเล่นแล้วเลยเพราะไม่สามารถดันตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ เนื้อเรื่องที่เคยอยากรู้พอตายบ่อย ๆ ก็หมดอารมณ์อยากรู้ไปซะดื้อ ๆ เลยส่วนใครที่คิดว่าเกมนี้ภาพน่ารักมีเอเลียนเอใจอยากซื้อให้ลูกเล่น ผมจะตีผู้ปกครองให้ด้วยนะ นี่แหนะ ๆ ฮ่า ๆ เนื้อหาไม่น่ารักสำหรับเยาวชนนะฮะผมบอกเลย 18+ มาก ๆ มีการฆ่า มีเลือด มีการวางกับดัก เอาเนื้อเอเลียนสปีชีส์เดียวกันมาขายให้สปีชีส์เดียวกันเองกิน ถ้าใจคอจะให้ลูกเล่นผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วนะ จริงงงงง ฮ่า ๆแต่ผมว่าถ้าเล่นไปได้เรื่อย ๆ แบบตอนที่ผมยังไม่ตาย เกมนี้เป็นเกมที่สนุกมาก เพลิน สามารถฆ่าเวลาได้ดี ถึงจะเป็นเกมที่จำเจ แต่ก็เป็นเกมที่มีกิมมิก ให้เราจดจำว่าเอเลียนตัวไหนชอบหรือไม่ชอบอะไร ต้องฆ่าแบบไหน หรือจะหลอกยังไงให้ไปยืนในที่ ๆ เราอยากให้ไปยืนเพื่อลอบฆ่าด้วยกับดัก คอนเซ็ปต์เกมคือดีมาก ๆ ไม่ได้เป็นฆาตกรรมที่อึดอัดขนาดนั้นเพราะเป็นเรื่องของชาวต่างดาว ถ้าใครหัวใจเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็งแนะนำให้กดมาเล่นเลยครับ ใน Steam สนนราคาอยู่ที่ 339 บาทเท่านั้นเอง!!!สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1432910/Godlike_Burger/
14 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Kingdoms Reborn สร้างอารยธรรมสู่ยุครุ่งเรือง เกมสร้างเมืองฝีมือคนไทย
Kingdoms Reborn พอผู้เขียนได้ยินมาว่ามันเป็นเกมของคนไทย ที่พัฒนาเกมนี้มา 3 ปี มิหนำซ้ำยังสร้างเกมนี้ขึ้นมาเพียงคนเดียว ผู้เขียนก็ตัดสินใจซื้อเกมนี้มาในทันทีแบบไม่ลังเลเลยครับ เพราะผมอยากจะสนับสนุนคนไทยด้วยกัน Kingdoms Reborn ลงวางขายใน Steam ในรูปแบบ Early Access มาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2020 แล้วผมดองเกมนี้เอาไว้ในคลังอยู่นานมาก ๆ เพราะเกมสร้างเมืองใน Account ผมมันช่างเยอะซะเหลือเกิน เลยยังไม่มีโอกาสได้เล่น Kingdoms Reborn สักที วันนี้ปัดฝุ่นเคลียร์คลังเช็กดูว่าเกมไหนยังไม่เคยแตะเคยเล่นบ้าง ก็หยิบมาเล่นดูเสียหน่อย เจอเกมเข้าท่าเข้าทีที่พัฒนาโดยคนไทยอย่าง Kingdoms Reborn ผู้เขียนก็เลยคิดว่า "เออ เอาเกมนี้แหละ"เผื่อมีคนมาตามอ่านบทความของผมแล้วสนใจเกมของคนไทยด้วยกัน จะได้ตามไปช่วย Dev อุดหนุนกันเยอะ ๆ ว่าแล้วอย่าเสียเวลาอารัมภบทให้ยืดยาว ตามไปอ่านเนื้อหาของเกมเพลย์ด้านล่างกันได้เลยยยย!!!เกมเพลย์ช่วงแรกเล่นโคตรเพลิน เลือกได้หมดว่าอยากเล่นอารยธรรมไหนเนื้อเรื่องของเกม Kingdoms Reborn มีเพียงนิดเดียวเท่านั้น คือ เราจะเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตจากยุคน้ำแข็งที่จะต้องมาลงหลักปักฐาน และเราจะต้องมาสร้างอารยธรรมของเราภายในเกมให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งครับ ตอนนี้ตัวเกมมีให้เลือกเล่น 4 อารยธรรมด้วยกัน ได้แก่ ดัชชี, เอมิเรตส์, นอร์สเม็น และสุดท้ายคือโชกุน ความยากง่ายของแมปในการเล่น โบนัสในเกม หรือทรัพยากร จะแตกต่างกันออกไปครับ ซึ่ง เอมิเรตส์ และนอร์สเม็นระดับความยากจะมากกว่าโชกุนและดัชชี ด้วยสภาพแวดล้อมของแมปไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย เพราะเอมิเรตส์เป็นพื้นที่ที่มีแต่ทะเลทราย ส่วนนอร์สเม็นมีแต่น้ำแข็งและหิมะก็เลยทำให้การเล่นเกมของเราเกิดความท้าทายมากขึ้น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ เดี๋ยวผมจะเขียนแยกเป็นหัวข้อให้ได้อ่านกันนะครับ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นการสร้างเมืองแบบมีเงื่อนไข - ในช่วงเริ่มเกมแรก ๆ นั้นสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของเราจะเป็นเลเวล 1 ทั้งหมด ถ้าเราอยากให้เมืองก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นเราจะต้องเก็บเกี่ยวค่าการเรียนรู้ของชาวเมืองครับ ในส่วนนี้เดี๋ยวผู้เขียนจะเก็บไว้พูดในหัวข้อการวิจัย ตอนนี้เรากลับมาพูดถึงสิ่งปลูกสร้างกันก่อนแล้วการสร้างเมืองแบบมีเงื่อนไขในเกมนี้ก็คือ สิ่งปลูกสร้างแบบอยู่อาศัยจะแบ่งเป็น Tier ครับ มันจะอัปเกรดให้เราเองเมื่อเปลี่ยนยุคสมัย แต่มันจะไม่อัปให้เราเลยถ้าสิ่งของหรือทรัพยากรยังไม่ตรงตามเงื่อนไขความต้องการครับ ซึ่งบ้านเลเวล 6 ขึ้นไปค่อนข้างยากมาก ๆ เพราะเราต้องสามารถเก็บเกี่ยวของมีค่าระดับ 3 ได้ 3 ชนิดขึ้นไป ถ้าเราทำไม่ได้ติดต่อกันไปนาน ๆ บ้านจะโดนดาวน์เกรดลงมาแต่ทั้งหมดทั้งมวลผู้เขียนดูแล้วว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของเราไปซะทั้งหมดครับ เหมือนจะเป็นบัคของตัวเกมด้วย เมื่อประชากรเริ่มเยอะ เครื่องมือต่าง ๆ ของเรา Ai มันไม่ยอมเดินเข้าไปทำงานทั้ง ๆ ที่ค่าความสุขสูงมาก ๆ และหลัง ๆ มันแทบจะไม่สร้างสิ่งก่อสร้างอะไรให้เราเลย และนั่นก็สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผมมาก ๆ ทรัพยากรต่าง ๆ พอ Ai มันไม่ทำงาน ก็หามาสร้างได้ไม่พอ บัคตรงนี้หรือระบบ Ai ที่เพี้ยน ๆ ก็ทำให้การเล่นเกมค่อนข้างลำบากมาก ๆ ในช่วงกลาง ๆ เกมครับระบบการ์ดที่มีทำไม? - เป็นระบบที่ช่วงต้นเกมสร้างสีสันและความสนุกให้กับผู้เขียนได้ดีทีเดียว แต่พอเล่น ๆ ไปแล้วระบบการ์ดนี่ก็สร้างความรำคาญให้กับผู้เขียนมาก ๆ เนื่องจากช่วงหลังการมีอยู่ของระบบนี้แทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อการเล่นเกมแล้ว ยังสร้างความล่าช้าให้แก่ผู้เล่นด้วย เพราะไอ้ระบบไวลด์การ์ดเนี่ยพอกดใช้การ์ดทุกใบที่เราวิจัยมาแล้วจะขึ้นมาให้เราเลือกทั้งหมด แต่ถึงจะมีระบบให้เสิร์ชหาการ์ดใบที่เราต้องการก็จริงแต่บางทีจำชื่อไม่ได้ไงครับ การ์ดมีเป็นสิบ ๆ ใบ จะให้จำชื่อทั้งหมดบางทีเหนื่อย และมีการพิเศษที่จะเพิ่มค่าโบนัสต่าง ๆ ให้แก่สิ่งปลูกสร้างของเรา โดยเอาการ์ดที่มีไปวางใน Slot Card ของสิ่งปลูกสร้าง เอาจริง ๆ นะ ทำเป็นอัปเกรดให้เลยดีกว่า ใช้การ์ดแบบนี้มันโคตรจะเสียเวลาที่ผู้เล่นต้องเอาการ์ดมาใส่ทีละใบทีละใบ แล้วหลัง ๆ สิ่งปลูกสร้างเยอะมาก ส่วนช่วงแรกก็ลุ้นหน่อยว่าเงินจะพอให้กดซื้อการ์ดใบที่เล็งเอาไว้ได้หรือไม่ ส่วนช่วงหลัง ๆ ก็มีเยอะจนใช้ไม่ทัน เพราะเงินเริ่มหาง่าย ระบบใช้การ์ดเผาเงินที่จะช่วยให้เกมบาลานซ์ นอกจากไม่ช่วยเรื่องเงินแบบที่ Dev ตั้งใจแล้ว มันยังสร้างความน่ารำคาญให้กับผู้เล่นโดยไม่จำเป็นด้วยครับระบบอัปเกรดที่เกือบดี - เอาจริง ๆ ผู้เขียนก็มองว่าระบบอัปเกรดของเกมนี้ไม่ได้แย่นะฮะ แต่รู้สึกว่าถ้าไม่ติดว่าบางอย่างต้องอัปเกรดโดยกดอัปที่สิ่งปลูกสร้างของเราโดยใช้ทรัพยากรบางส่วน เปลี่ยนไปให้มันอัปเกรดแบบออโต้โดยใช้เงื่อนไขว่าเมืองต้องมีอะไรเท่าไหร่แบบการอัปเกรดบ้าน (บ้านของชาวเมืองสามารถอัปเกรดได้เองตาม Tier ทรัพยากรที่เราหาได้) ผมมองว่ามันทำให้ผู้เล่นไม่ต้องตามเปิดดูสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพื่อคอยอัปเกรดครับ เพราะช่วงหลัง ๆ สิ่งปลูกสร้างชนิดเดียวกันจะเริ่มเยอะมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะกด Shift เพื่ออัปเกรดสิ่งปลูกสร้างชนิดเดียวกันแบบ All ได้ แต่ทรัพยากรที่หามาได้มันก็จะไม่พออยู่ดี ผู้เขียนมองว่าถ้าให้ Ai มันอัปเกรดได้เองแบบตามยุคของเมืองที่เราทำการวิจัยมาแล้ว มันน่าจะสะดวกกับผู้เล่นมากกว่า แต่ระบบนี้ก็โอเคครับเข้าใจได้ว่าอยากให้เกมบาลานซ์ ได้นำทรัพยากรที่มันล้น ๆ มาใช้งาน ถือว่ายังไม่แย่ แต่ผมมองว่ามันทำให้ดีกว่านี้ได้อีกระบบการวิจัย - เป็นระบบที่เราจะเก็บ Point ต่าง ๆ มาจากการเติบโตของเมือง เพื่อวิจัยให้เราก้าวสู่ยุคของโลกที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ในส่วนนี้ผู้เขียนมองว่าก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมสร้างเมืองอื่น ๆ มากนัก ถ้าเพื่อน ๆ ได้มาเล่นก็อาจจะทำความคุ้นเคยกับมันได้ไม่ยากครับ เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากให้เมืองของเราเด่นไปทิศทางไหน อุตสาหกรรม, เกษตรกรรม, ทุนนิยม, คอมมิวนิสต์, หรืออุตสาหกรรมเหมือง เราสามารถเลือกได้จากตรงนี้ครับเมื่อเราวิจัยมาจนถึงยุคเปลี่ยนผ่านจากเมืองยุคกลาง ไปเมืองยุคใหม่ ไปเมืองยุคอุตสาหกรรม ทุกการเปลี่ยนผ่านตรงนี้เราจะได้แต้มโบนัสพิเศษไปบรรจุเอาไว้ที่ศาลากลางของเมืองเราครับ ว่าเราอยากปกครองเมืองนี้ให้ไปในเส้นทางไหน แต่รูปแบบการปกครองของเมืองนี้ผู้เขียนมองว่ายังค่อนข้างน้อย เลยทำให้ความหลากหลายในการเล่น หรือกฎหมายต่าง ๆ ไม่มีให้เลือกเล่นมากเท่าที่ควรครับระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน - เศร้ามาก ๆ ในช่วงที่ทรัพยากรของเราเยอะมาก ๆ ครับ เพราะมันไม่สามารถระบายสินค้าได้ทันอย่างที่ใจเราหวังเลย เพราะมีการกำหนดจำนวนสินค้าในแต่ละรอบ ถ้าเรามีระบบการค้าขายแบบอัตโนมัติทุกอย่างจะถูกกำหนดเอาไว้ว่ารอบหนึ่งการส่งออก นำเข้า ต่อเดือนนั้น จะได้กี่ชิ้น ซึ่งที่ผู้เขียนเล่นมานั้นสามารถทำได้แค่หลักร้อยต่อโรงเรือนเท่านั้นครับ ถ้าอยากได้อีกก็มีความจำเป็นต้องสร้างติด ๆ กันเอาไว้ ซึ่งผมมองว่าอะไรที่ควรมีระบบอัปเกรดเพื่อเพิ่มจำนวนได้ก็ไม่มีครับ ฮ่า ๆ มันเลยทำให้สินค้าในเมืองผมค่อนข้างล้น แม้ผมจะสร้างเอาไว้ 5 แห่งแล้วแต่โชคยังดีที่มีระบบการค้าแบบอื่นอีกที่เราสามารถระบายสินค้าของเราได้บ่อยขึ้นหน่อยในระบบแมนนวล ซึ่งเราต้องสร้างท่าเรือสินค้าที่เอาไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับตลาดโลก สามารถอัปเกรดให้ส่งสินค้าได้มากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงครับ และช่วงหลัง ๆ เราก็ไปเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองรอบข้างเพื่อเปิดเส้นทางการค้า ชีวิตความเป็นอยู่ทางการเงิน และการระบายสินค้าของเราก็จะลื่นไหลมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีที่จะต้องมาคอยเปิดขายเองอยู่ตลอดการยึดเมือง - เราต้องสร้างการ์ดทหารที่ Town Hall ของเมืองก่อน ยิ่ง Tier ของทาวน์ฮอลล์เราสูงขึ้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะผลิตการ์ดทหารยิ่งเยอะมากขึ้นเท่านั้นครับ อย่างเช่นช่วง Tier 1 เราอาจจะสร้างการ์ดทหารได้เต็มที่ 6/6 เมื่อสร้างเสร็จแล้วเราสามารถไปกดที่เมืองที่เราต้องการจะเข้ายึดหรือโจมตี เราต้องสู้กับชาวบ้าน 2 รอบด้วยกัน รอบแรกจะเป็นการรุกรานเมืองเล็ก ๆ ที่เราต้องการจะให้เป็นอาณานิคมของเรา แต่เราจะไม่สามารถสร้างอะไรในบริเวณนั้นได้ ต้องพาทหารไปตีเมืองอีกรอบเพื่อไล่ชาวบ้านให้ออกไป ถ้าไม่อยากยึดก็สามารถสานสัมพันธไมตรีได้ ด้วยการให้เงิน ระบบก็ไม่มีอะไรมากแค่นั่งรอให้ทหารของเราสู้กับชาวบ้าน แล้วก็จะมีเลขนับถอยหลังให้ดูว่าเหลือชาวบ้านกี่คนแล้ว แค่นั้นเลยผู้เขียนมองว่าเหงาเกินไปมากสำหรับระบบนี้ เหมือนเอาส่วนดีของเกมอื่น ๆ มาใส่รวม ๆ กันไว้ให้มีอะไรทำระบบต่าง ๆ ภายในเกมเป็นเกม 3D แนวสร้างเมืองที่มีมุมมองจากด้านบนลงมา ที่สำคัญสร้างโดยคนไทยและมีภาษาไทยด้วยครับ ตัวเกมเป็นเกมไซส์เล็ก ๆ ที่ไม่กินเนื้อที่ของเครื่องเรามาก แต่ว่าพอเล่นไปจนเมืองใหญ่มาก ๆ แล้วสำหรับคนที่คอมไม่แรงมาก อาจจะเซ็ง ๆ หน่อยเรื่อง FPS ที่ค่อนข้างตก และทำให้การเล่นเกมมีความกระตุกอยู่เป็นระยะการบังคับและระบบควบคุมต่าง ๆ ถ้าเคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้วไม่ต้องกังวลเลยครับ เหมือนเกมอื่นเด๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็น W,A,S,D ใช้เลื่อนขึ้นลงซ้ายขวา Q,E ที่ใช้หมุนมุมกล้อง ลูกกลิ้งเมาส์ที่ใช้ซูมภาพเข้าออก แต่ผมก็ยังพบว่าการซูมภาพเข้าออกของเกมนี้ จะทำให้เกมในเครื่องของผมนั้นค้างไปเลยสักระยะหนึ่ง แต่ถ้าไม่ซูมก็สามารถเล่นได้ปกติ ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นบัคของตัวเกมไหม ถ้าใครเล่นแล้วก็ระวังตรงนี้นิดหนึ่งนะครับUI นั้นโอเคครับ สร้างมาให้ใช้งานง่าย แต่น่าเสียดายที่ตารางงานของชาวเมืองไม่ละเอียดอะไรมากนัก เราต้องไปกดที่ศูนย์หางานหรือทาวน์ฮอลล์ ซึ่งฟีเจอร์ตรงศูนย์หางานนี่แหละที่ค่อนข้างสร้างความสับสนและงงมาก คือเราไม่สามารถกดให้ชาวบ้านไปทำงานตรงไหนก็ได้ เหมือนมีเลขให้เราดูและจัดลำดับความสำคัญของงานที่จะให้ Ai เดินจากบ้านไปทำเท่านั้น แล้วช่วงหลัง ๆ บอกเลยว่า มันแทบจะไม่ทำงานเลยครับ ถึงแม้ว่าจะสร้างบ้านให้ใกล้กับอุตสาหกรรมที่เราต้องการให้ Ai ไปทำงานแค่ไหนมันก็ไม่ไปทำ ถึงแม้ว่าเราจะกด Favorite ว่าตรงนี้ต้องการแรงงานอย่างมาก มันก็ไม่ไปทำ ซึ่งบัคตรงนี้ก็ทำให้การเล่นเกมในช่วงหลังหมดความสนุกไปเยอะเลยสรุปKingdoms Reborn สำหรับผู้เขียนนั้นมองว่าเป็นเกมที่สนุกในช่วงแรก ๆ ที่เล่น และสร้างความน่าเบื่อหน่ายในช่วงหลัง ๆ ครับ ยิ่งยุคอุตสาหกรรมนี่ผมไม่สามารถดันเมืองไปให้ไกลกว่านี้ได้แล้ว เพราะ Ai แทบจะไม่ไปทำงานในส่วนที่ผมต้องการให้มันไปทำ หลัง ๆ ให้ไปสร้างบ้านขนาดว่าใส่คนก่อสร้างเอาไว้ 20 คน มันก็ไม่สร้างให้แล้ว แต่ช่วงหลัง ๆ เราสามารถใช้เงินกดสร้างอัตโนมัติได้เลยโดยการทำการวิจัยระบบสร้างอัตโนมัติ แต่ถึงยังไงเกมแนวนี้ผมก็อยากให้ประชากรในเมืองเป็นคนสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ อยู่ดี ไม่ใช่ว่าแก้ด้วยการเพิ่มระบบอัตโนมัติเข้ามาในการวิจัยแล้วระบบตารางงานต่าง ๆ ที่ไม่อำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่นอย่างเราเลย พอคนยิ่งเยอะผู้เขียนแทบจะไม่รู้แล้วว่า Ai ทำงานอยู่ตรงไหน และตรงไหนมันไม่ทำงาน แต่กดดูส่วนใหญ่มันแทบจะไม่ไปทำงานให้เราเลยด้วยซ้ำ จะเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อตอนอาหารขาดแคลน ทั้ง ๆ ที่มีฟาร์มหมูอยู่เต็มเมืองไปหมด แต่กดไปดูอีกที อ้าว...ไม่มีคนมาทำงานซะแล้ว ระบบเทรดก็ระบายของที่ผลิตได้ไม่ทัน ถึงแม้จะมีระบบเทรดให้อัตโนมัติ แต่เทรดได้เต็มที่แค่ 240/240 แต่ของมีเป็นหมื่น ๆ ชิ้น ที่เก็บของก็เต็มแล้วเต็มอีก และน่าเบื่อตรงที่ต้องนั่งกดขายของอยู่ตลอดเวลา ด้วยการสร้างท่าเรือเพื่อขายของไว้เป็นสิบ ๆ แห่ง มันโคตรจะแปลกเลยครับถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ ที่เขาให้อัปเกรดเอาระบบการวิจัยช่วงยุคท้าย ๆ ก็มีแต่อะไรที่ไม่จำเป็น เพิ่มค่าเงิน เพิ่มอิทธิพล ของแต่งเมืองแบบมีทำไม ฮ่า ๆ ซึ่งตอนหลัง ๆ แค่เดินยึดเมืองนี่ก็รวยไม่ไหวแล้วครับ ช่วงสุดท้ายการวิจัยพวกนี้ผมก็เลยยังไม่เห็นประโยชน์ของมันเลย แล้วการเกษตรบางอย่างก็ไม่สมเหตุสมผล เช่น พวกระบบแปรรูปต่าง ๆ ที่เราทำการเกษตรมาตั้งแต่ต้นเกม แต่มาแปรรูปได้ช่วงท้ายเกม แล้วเรื่อง Ai ไม่ทำงานมันก็ส่งผลกระทบกับ Tier ของบ้าน พอคนงานไม่ทำงานบ้านก็จะถูกลดระดับลงมา แล้วหลัง ๆ เมืองก็จะไปไหนไม่ได้วนลูปอยู่แบบนี้ ผู้เขียนแอบเสียดายที่เกมตอนเล่นแรก ๆ ดูดีกว่านี้มาก ๆ อาจจะเพราะ Dev ทำงานคนเดียวทั้งหมด อาจจะต้องค่อย ๆ แก้กันไป ตรงนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาบลัฟหรืออะไร ผมอยากเขียนรีวิวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ Dev เห็นจุดผิดพลาด แล้วนำไปแก้ไขให้เกมดียิ่งยิ่งขึ้นไป เพราะผมมองว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีมาก ๆ แต่มันยังดูไม่สุดกับอะไรสักทาง และผู้เขียนจะเป็นกำลังใจให้ Dev ด้วยการรอสนับสนุน DLC ที่อาจจะมีออกมาในอนาคตนะครับ ใครสนใจอยากตามไปสนับสนุนคนไทยด้วยกัน สามารถสั่งซื้อเกมได้ใน Steam ราคา 369 บาท เท่านั้นเอง ผมเชื่อว่าเกมนี้จะไปได้ไกลกว่านี้ครับ สู้ ๆ ครับ Devสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1307890/Kingdoms_Reborn/?l=thai
10 Jun 2023
[Review] รีวิว Diablo 4 ตำนานเกมถล่มปีศาจนรก Action RPG ที่ภาคนี้ทำได้ยอดเยี่ยมถูกใจแฟนๆ สักที!
วางขายแล้วสักทีสำหรับเกม Diablo 4 โดยภาคนี้คนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้ต้องรอพัฒนานานขนาดนั้น แต่สำหรับแฟนๆ เดนตายเชื่อได้เลยว่าพวกเขา 'ต้องรอกันนานมาก' เนื่องจากตอนเกมภาค 3 ก็ทำด้าน Gameplay ได้ไม่ถูกใจแฟนๆ หลายอย่าง (แฟนๆ เขาชอบ Gameplay แบบเกมภาค 2 แต่ภาค 3 นี่เปลี่ยนไปเกือบเป็นคนละเกม) และหลังภาค 3 ทางค่าย Blizzard ก็ดันไปจับมือ Netease เอาเวลาไปทำเกมมือถือ Diablo Immortals จนแฟนๆ ไม่พอใจกลายเป็นเรื่องราวดราม่าสุดใหญ่โต ซึ่งส่งผลให้ทาง Blizzard จึงได้รีบเข็นเกมภาค 4 มาวางขาย และเกมภาคนี้ก็จึงเป็นความหวังว่ามันจะกลับไปสนุกยอดเยี่ยมแบบภาค 2 มากที่สุด แต่มันจะทำได้ และคุ้มค่ากับการรอคอยมานานขนาดนี้หรือไม่ วันนี้ทาง GameFever จึงขอมารีวิวเกม Diablo 4 ให้รับชมกัน!!! สามารถดูเต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างเกมโหมโรงDiablo 4 คือเกมอะไร?เกมนี้เป็นแนว Isometric Action RPG โดยจะมีมุมมองอยู่ด้านบนตัวละคร และให้ผู้เล่นเลือกอาชีพ จากนั้นก็ต้องไปถล่มเหล่าฝูงมอนสเตอร์แบบสุดมันส์ ซึ่งผู้เล่นก็จะต้องเก็บเลเวลเพื่อมาอัปสกิลต่างๆ ได้หลายสาย รวมทั้งก็ต้องฟาร์มอาวุธกับชุดเกราะหรืออื่นๆ ให้ตัวละครสวมใส่แข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ส่งผลให้เกมนี้จะเน้นความสนุกด้าน RPG ให้ฟาร์มเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนเพื่อปั้นตัวละครให้แข็งแกร่ง รวมทั้งภาคนี้จะเป็นเกมออนไลน์ Live Service เต็มตัว ทำให้ผู้เล่นจะมีอะไรทำเรื่อยๆ ช่วงท้ายเกมพร้อมมีอัปเดตบ่อยๆ ในอนาคต รวมทั้งก็เจอเพื่อนกับผู้เล่นอื่นได้ตลอดเวลา Storyเกม Diablo 4 จะเล่าเรื่องต่อมาจากของเกมภาค 3 ที่แผ่นดิน Sanctuary ได้กลับมาเกิดความวุ่นวายเพราะปีศาจอีกครั้ง เนื่องจากปีศาจ Lilith ลูกสาวของ 1 ใน 3 ราชาปีศาจ Mephisto ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการถูกจองจำ โดย Lilith นั้นยังเรียนรู้ว่าถ้าเอาแต่ใช้กำลังเข้ายึดครอง Sanctuary จะส่งผลให้เธอนั้นต้องมีจุดจบเหมือน 3 ราชาปีศาจแน่นอน เธอจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 'เจ้าเล่ห์ & ปลุกปลั่น' จากที่ทุกทีจะต้องไปทำลายพวกมนุษย์หรือฝั่งสวรรค์ ก็เปลี่ยนเป็นไปทำให้พวกมนุษย์หลงผิดมาเข้าข้างฝั่งตัวเอง และทำให้พวกฝั่งสวรรค์มาติดกับดักสังหาร ซึ่งด้วยวิธีนี้ก็ทำให้แผ่นดิน Sanctuary นั้นเละกว่าเดิมแบบไร้อนาคตกว่าทุกที ส่วนคุณนั้นก็จะได้สวมบทเป็นคนโนเนมที่ตอนต้นเกมก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะพายุหิมะ แต่กลับมีสิ่งลึกลับตนหนึ่งได้ช่วยชีวิตคุณไว้ เพราะคุณนั้นถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith ให้โลกกลับมาสงบสุขได้เกมจะเริ่มมาในตอนที่ Lilith เริ่มป่วน Sanctuary จนเกือบเละไปแล้วทำให้การเปิดเรื่องเกมภาคนี้ทำมาได้แบบอารมณ์สิ้นหวังสุดๆ แต่ก็ยังมีหวังประมาณ 5 - 10%ในเกม Diablo ทุกภาค เราจะเห็นได้เลยว่าเกมก็มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และเข้มข้นอยู่ตลอด แม้เกมๆ นี้จะไม่ได้เน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่ยังไงในเกมทุกภาคมันก็จะมีความ 'ย่อยง่าย' ในรูปแบบที่เราจะได้เป็นผู้วิเศษแห่งโลก Sanctuary ออกผจญภัยไปกระทืบปีศาจทุกตัวให้ตาย พร้อมกับมีชาวเมืองคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขณะที่พอมาเป็นเกมภาค 4 เนื้อเรื่องจะมี 'ความซับซ้อน & พลิกแพลงไปมาบ่อยๆ & ชวนให้รู้สึกหดหู่แทน' เพราะแม้คุณจะคือผู้ถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith แต่เส้นทางจะไปปราบ Lilith ในภาคนี้มันช่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และหดหู่อย่างมาก เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าดินแดน Sanctuary นั้นได้เละไร้อนาคต แถม Lilith ก็ใช้วิธียึดครองโลกแบบใหม่สุดจีเนียสกว่าเดิม จึงส่งผลให้เราต้องเผชิญกับ 'กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือคุณไม่ได้ & ต้องการจะปราบคุณแทน' ทำให้ภาคนี้คุณแทบจะไม่รู้สึกว่าจะมีทางไปปราบ Llith ได้ง่ายๆ เลย แล้วยังมีเหตุการณ์ชวนทำตัวไม่ถูกให้เจอหลายรอบอีก แต่ท้ายที่สุดในจุดนี้ก็ถือว่า 'เป็นการนำเสนอเนื้อเรื่องที่มีเสน่ห์มาก' โดยถึงแม้มันอาจไม่ใช่ไอเดียเนื้อเรื่องแปลกใหม่ แต่พอเอามาใช้กับเกม Diablo ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า 'ทำไมไม่นำเสนอเนื้อเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนภาค 1' เพราะมันเข้ากับจักรวาลเกมนี้ และทำให้น่าติดตามกว่าเดิมมากเลย ส่งผลให้นี่จะไม่ใช่เกมเน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่มันก็ทำส่วนนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ในตัวเนื้อเรื่องก็อาจไม่ได้น่าสนใจ หรือรู้สึกเยี่ยมตลอดเวลาแต่ด้วยไอเดียการนำเสนอที่เข้ากับเกม Diablo แบบนี้ ก็จะทำให้คุณอยากติดตามเนื้อเรื่องไปจนจบแน่นอนอีกส่วนหนึ่งที่น่าชมในเนื้อเรื่องคือ 'เกมจะมีการเล่นมุมกล้องผ่านฉากคัทซีน'บางทีก็เป็นฉาก One Take สวยๆ จนคุณรู้สึกว่านอกจากน่าติดตามก็ยังรู้สึกมันเล่าเรื่องได้เจ๋งแปลกใหม่ดีอย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้เขียนนั้นเคยเล่นเกม Diablo มาแล้วทุกภาค สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนกลับรู้สึกถึงข้อเสียได้ในเนื้อเรื่องภาคที่ 4 คือ 'มันเล่าเรื่องได้ไม่กระชับเหมือนภาคก่อน' โดยมันอาจเป็นเพราะเกมภาคนี้เน้นให้เป็นเกมออนไลน์เต็มตัว และผู้เล่นต้องมาฟาร์มเลเวลให้ตันที่ 100 จึงส่งผลให้เกมพยายามทำเนื้อเรื่องยืดเยื้อมากๆ จนบางทีคุณอาจหงุดหงิดว่าทำไมเหตุการณ์นี้มันยาวนานจังกว่าจะจบ ถ้าไม่หาอะไรทำไปด้วยก็อาจเบื่อหรือหลับก่อนได้เลย แล้วอีกส่วนหนึ่งที่หายไปคือ 'ภาคนี้ไม่มีเนื้อเรื่องต่างกันของแต่ละอาชีพ' เพราะในภาค 3 ถ้าผู้เล่นเลือกอาชีพอาชีพหนึ่งก็จะมีบุคลิกต่างกันชัดเจน หรือมีที่มาก่อนเริ่มเกมต่างกันยังไง รวมทั้งเวลาเจอเหตุการณ์บางส่วนก็มีบทพูดต่างกัน ซึ่งมันช่วยให้ตัวละครเรามีความน่าติดตามขึ้นมาก แต่เกมภาคนี้เหมือน 'ทำไม่ทัน' เลยได้ตัดออกไป ถือเป็นส่วนที่น่าเสียดาย แต่ผู้เขียนก็ยังมองว่าเนื้อเรื่องภาค 4 ก็ทำออกมาอยู่ในระดับดี รวมทั้งเกมแบบนี้ เขาไม่ได้ให้เน้นเสพเนื้อเรื่องสักหน่อยนี่!!!Graphic / Soundในด้านภาพกราฟิก หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าแฟนๆ Diablo จะชอบแบบของเกมภาค 2 อย่างมาก เนื่องจากมันจะให้อารมณ์มืดๆ มัวหมองแฟนตาซี เหมือนเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ และไม่มีแสงสว่างให้โลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่พอมาเป็นเกมภาค 3 เกมก็กลับกลายเป็นภาพในรูปแบบ 'ฉากสว่างๆ เน้นสวย' จนแฟนเกมนั้นแอบรู้สึกว่าเอกลักษณ์มันหายไป (หนึ่งในเหตุผลให้คนไม่ชอบเกมภาค 3) ขณะที่เกมภาค 4 จะมีการทำฉากออกแนวมืดๆ มัวหมองเหมือนตอนภาค 2 แล้วนะ รวมทั้งนี่คือเกมฟอร์มยักษ์ที่วางขายตอนปี 2023 จึงทำให้มีภาพกราฟิกที่สวยคมอย่างมาก!!! เราจะได้เห็นดีเทลเล็กน้อยในฉากต่างๆ จนคุณจะรู้สึกฟินอยู่บ่อยๆ แถมรายละเอียดตัวละครก็ดูเหมือนคนจริงๆ เลย แต่แอบน่าเสียดายนิดๆ ที่ในเกมจะไม่ค่อยใส่สถานที่อลังๆ มาให้เห็นบ่อยครั้ง แถมพวกฉากในเมืองใหญ่ก็จะรู้สึกธรรมดาไม่ได้อลังอะไร ส่งผลให้แอบรู้สึกเสียดายที่ภาพมันสวยมากแต่ไม่ค่อยได้เห็นสถานที่อลังให้รู้สึกฟินขั้นสุด ผู้เขียนเห็นรีวิวเกมนี้หลายเจ้าก่อนวางขายชมว่า 'โลกในเกมนี้มันสวยงามมาก'โดยผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่มันคงจะยอดเยี่ยมกว่านี้ถ้ามีฉากอลังสวยๆ ให้เห็นบ่อยส่วนด้านเสียง ต้องบอกเลยว่าภาคนี้ออกแบบได้ดีทุกส่วน ไม่ว่าจะเรื่องเสียงประกอบหรือเสียงจากการต่อสู้ ตอนผู้เล่นใช้สกิลสายฟ้าลงมาโจมตีศัตรู เสียงของมันจะมีความทรงพลังหนักแน่นจนอยากใช้สกิลนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นต้น ขณะที่พวกเสียงพากย์ตัวละครต่างๆ ก็ชวนได้อารมณ์หนังยุคกลางแฟนตาซี ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเล่นหรือคัทซีน แถมเพลงประกอบภาคนี้ก็กลับมาทำเหมือนภาค 2 ที่จะให้ผู้เล่นรู้สึกหลอนๆ ผสมกับการกระตุ้นให้เราอยากผจญภัย ทำให้งานด้านศิลป์ของเกม Diablo 4 เรียกว่าอยู่ในระดับดีอันดับต้นๆ กลับไปเหมือนภาค 2 แน่นอนเสียงพากย์แต่ละตัวละครจะมีเสน่ห์ และพาจดจำตัวละครต่างๆ ที่บทอาจไม่เยอะได้ง่ายเลยPresentation เมื่อเริ่มเกม Diablo 4 เราจะได้เลือกเล่นเป็นอาชีพต่างๆ ทั้งหมดดังนี้Barbarian นักรบคนเถื่อน ชำนาญการใช้อาวุธประชิตทุกชนิด และยังถึกยืนแท้งค์ได้Rogue จอมโจรมีดคู่กับธนู เน้นเข้าโจมตีอย่างว่องไว เป็นอาชีพแห่งการตบบอสSorcerer จอมเวทย์ 3 ธาตุ เก่งด้านแก้ทางศัตรูทุกชนิดจากระยะไกลNecromancer จอมเวทย์ด้านความตาย เน้นปลุกปีศาจมาช่วยสู้ หรือใช้พลังเวทย์คำสาป Druid จอมเวทย์โบราณ แปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเข้าต่อสู้ระยะประชิต หรือเรียกพลังธรรมชาติมาโจมตีทั้ง 5 อาชีพ จะให้ผู้เล่นปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้ โดยอาจปรับแต่งได้ไม่เยอะ แต่ก็ถือว่าทำให้ผู้เล่นมีอิสระสร้างตัวละครในฝันพอสมควร จากนั้นเราก็จะได้เข้าสู่การเริ่มเนื้อเรื่อง และช่วงเก็บเลเวล ซึ่งเราจะได้พบว่าเกมนั้นก็จะแนวๆ รับเควสตามเนื้อเรื่องแบบเกม RPG ทั่วไปเลย แต่จะมีแผนที่ในรูปแบบ Open World ที่พอซูมออกมาจะรู้สึกว่ามัน 'กว้างใหญ่มาก' แล้วพอเลเวลอัปก็จะได้พบกับระบบอัปสกิล Skill Tree ที่ 'มีความหลากหลายให้เลือกอัปเอาเรื่อง' แถมผู้เล่นใหม่ก็จะไม่รู้สึกปวดหัว เนื่องจาก Skill Tree นั้นทำออกมาอธิบายให้ผู้เล่นเข้าใจง่ายมาก และมันก็ไม่ซับซ้อนที่จะเลือกอัป แล้วยังรีฟันตอนไหนก็ได้อีกด้วย!!! (ถ้าช่วงหลังๆ การรีฟันจะต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่เยอะให้รู้สึกต้องระแวงว่าเลือกอัปอันไหนดี)Skill Tree จะคล้ายๆ ของภาค 3 ที่มีการแบ่งหมวดเป็นสกิลโจมตีปกติ, สกิลหลัก, สกิลป้องกัน หรือสกิลไม้ตายแต่ผู้เล่นต้องเลือกอัปเองด้วยแต้มที่จำกัด และแต่ละสกิลยังมีให้อัปด้านย่อยๆ ไปได้ 2 รูปแบบเมื่อเล่นไปได้สักพักประมาณเลเวล 15 ผู้เล่นก็จะพบว่าเกมจะยังมีอีก 1 ระบบสกิลในชื่อ Specialization ที่ระบบสกิลตรงนี้จะ 'ต่างกันไปตามแต่ละอาชีพ' ยกตัวอย่างของอาชีพ Druid จะเป็นระบบสกิลติดตัวพิเศษที่ได้จากการฆ่ามอนแล้วนำวิญญาณไปถวายเทพสัตว์ทั้ง 4 ขณะที่ของ Barbarian จะเป็นสกิลติดตัวเพิ่มความแข็งแกร่งให้อาวุธประชิตต่างๆ จากการใช้อาวุธประชิตชนิดนั้นๆ จนเลเวลอัป หรือของ Sorcerer ก็จะเป็นระบบให้เอาสกิลกดใช้งานมาแปลงเป็นสกิลติดตัว ถ้าเป็นสกิลใช้งานเรียกฟ้าผ่าก็จะกลายเป็นสุ่มเรียกฟ้าผ่าลงมาใส่ศัตรูแทน โดยตรงนี้ช่วยให้การเล่นแต่ละอาชีพนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก แถมแค่นั้นยังไม่พอนะ เพราะตอนเลเวล 50 ผู้เล่นก็จะได้ปลดล็อกระบบสกิลที่มีชื่อว่า Paragon ที่จะให้ผู้เล่นมาเลือกอัปสกิลติดตัวยาวเป็นแถวในกระดานจนกว่าจะถึงเลเวล 100 แต่ถ้าผู้เล่นอัปครบเงื่อนไขของ Paragon กระดานที่ 1 เกมก็ยังมี 'สกิล Paragon กระดานที่ 2' ให้ผู้เล่นได้เลือกด้วยว่าอยากได้สกิลติดตัวแนวๆ ไหน ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าระบบสกิลภาคนี้มันจัดเต็มมาก และทำให้ผู้เล่นอยากฟาร์มมาปลดสกิลใหม่เรื่อยๆ Paragon กระดานที่ 2 ต่อ 1 อาชีพจะมีประมาณ 7 รูปแบบส่งผลให้ภาคนี้ปั้นตัวละครได้หลายสายเอาเรื่องจริงๆส่วนในโลก Open World นอกจากผู้เล่นจะได้ผจญภัยเพื่อทำภารกิจหลัก เกมก็ยังมีพวก 'เควสเสริม' จำนวนมากเหมือนเกม Open World RPG เน้นเนื้อเรื่องอีกต่างหาก แถมหลายๆ เควสก็ทำเนื้อหาออกมาได้น่าสนใจมาก แล้วในโลก Open World ก็ยังมีกิจกรรมให้ผู้เล่นไปสำรวจหาดันเจี้ยนลับ หรือไปหาทรัพยากรมาอัปเกรดไอเทมหรือขวดยาเพิ่มเลือดหรือสร้างขวดยาไว้ใช้บัฟตัวละครหลายสถานการณ์ แล้วช่วงคอนเทนต์ท้ายเกม Endgame ก็จะมีเควสสุ่มให้ผู้เล่นไปตามหาแต้มเพื่อแลกรับของรางวัลเรื่อยๆ รวมทั้งยังมีให้ไปหาวิธีปลดล็อก 'ดันเจี้ยนระดับยากสุด' แถมยิ่งเก็บเลเวลไปถึงระดับหนึ่งก็มีการให้ปลดล็อก World Tier เพิ่มความยากให้ตัวเกมรวมๆ ได้มากขึ้นถึงระดับ 4 แล้วยิ่งระดับสูงขึ้นก็จะทำให้ 'ไอเทมระดับสีสูงสุดในเกมมีโอกาสตกมาให้ผู้เล่น' ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าเกมภาคนี้จัดเต็มด้านคอนเทนต์เอามากๆ อย่างกับเกมภาค 3 ที่มีการใส่คอนเทนต์ภาคเสริมมาให้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าช่วงท้ายเกมจะไม่มีอะไรทำเลย!แผนที่ Open World ตอนซูมครั้งแรกสุดจะไม่รู้ว่าพื้นที่มีความใหญ่ยังไงบ้าง (เพราะมีหมอกบังอยู่)แต่ก็สัมผัสได้เลยว่ามันใหญ่สุดๆ ไม่รู้จะสำรวจครบตอนเล่นไปกี่ชั่วโมงเกมยังมีกิจกรรมยิบย่อยอีกเพียบนะ ไม่ว่าจะ World Event ให้ไปทำเควสสุ่มร่วมกับผู้เล่นอื่นหรือเควส World Boss ให้ไปร่วมมือกับผู้เล่นอื่นตบบอสสุดท้าย แล้วไหนเกมจะมีระบบ Clan อีกรวมทั้งระบบ Battle Pass ที่ให้ฟาร์มแต่ละซีซั่นปลดของตกแต่งยาวๆ ไปอย่างไรก็ตาม แม้คอนเทนต์เกมนี้จะดูมีเยอะมาก แต่ด้วยความที่เกมนี้มีเควสเสริม ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันไปทำให้เควสหลักดู "สั้น" แล้วทำให้เนื้อเรื่องหลักนั้นดูไม่สุดอยู่เช่นกัน (แล้วก็อย่างที่บอกปว่าเควสหลักมันยืดเยื้ออีก กว่าจะจบแต่ละเหตุการณ์) และแม้ขนาดแผนที่จะใหญ่มหึมา แต่ว่าความใหญ่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรให้รู้สึกดีขนาดนั้น เหมือนทำใหญ่เพื่อให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาเดินทางไปดันเจี้ยนต่างๆ ที่มีหลายแห่งเฉยๆ (แล้วสถานที่สวยๆ ก็ไม่ค่อยมีให้พบอย่างที่บอกไป) ซึ่งถึงแม้ในบางพื้นที่จะมีสภาพแวดล้อมหรือชนิดศัตรูที่ต่างกันเยอะมาก แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างแปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แถมหลายดันเจี้ยนก็ไม่ได้มีความต่างอะไรกันเยอะอีกนอกจากรูปลักษณ์สถานที่ ส่งผลให้บางทีผู้เล่นก็จะรู้สึกว่าเกมมันมีความกว้างใหญ่กิจกรรมให้ทำเยอะ แต่ 'คุณภาพความยอดเยี่ยมไม่ได้มีเยอะตาม' (ที่จะสื่อคือถ้าเกมย่อขนาดแผนที่ให้เล็กลง ลดจำนวนดันเจี้ยนให้น้อยลง มันอาจดูดีกว่านี้)อีกส่วนที่น่าพูดถึงคือระบบต่างๆ แม้จะดูทำออกมาดี แต่ถ้าเทียบกับเกมคู่แข่งอื่นๆ ก็อาจดูธรรมดาไปหน่อยทำให้คนที่ผ่านเกมคู่แข่งอื่นๆ มาเยอะ ก็อาจไม่ชอบเกมนี้ หรือเล่นได้แปปๆ ก็ไปเล่นเกมคู่แข่งอื่นGameplayจริงๆ ตอนช่วง Beta ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมภาคนี้มีระบบต่อสู้ที่ 'อืด' จนอาชีพอย่าง Barbarian หรือ Druid นี่คือเล่นไม่ไหวเลย เนื่องจากมันทั้งเดินช้าแล้วสกิลก็โจมตีช้าจนจะหลับ แต่มาในตัวเกมที่วางขายจริงๆ ระบบต่อสู้นั้นได้มีปรับความรวดเร็วไม่อืดได้อารมณ์แบบภาค 3 แล้ว!!! ทำให้ผู้เขียนนั้นได้หยิบ Druid มาเล่นเป็นตัวแรกเสียเลย แล้วก็พบว่าอาชีพนี้เล่นมันส์มาก ไม่ว่าจะตอนกดโจมตีหรือตอนใช้สกิล โดยผู้เขียนได้ลองเน้นปั้น Druid ทั้งสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี, เรียกก้อนหินมาโจมตี, แปลงร่างเป็นหมาป่า และแปลงร่างเป็นหมี ผลปรากฎว่าการเล่นทุกสายนั้นมีความแตกต่าง และได้อรรถรสเอาเรื่อง เพราะอย่างสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี มันก็มีกลไกที่ผู้เล่นต้องทำตามแต่ละสกิลเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด (ยกตัวอย่างต้องทำให้ศัตรูติดสถานะเปราะบาง เวลาผ่าจะได้ฟื้นฟูพลังชีวิต) และเวลาได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมามันก็สะใจ แต่พอไปเล่นสายหมี มันก็มีกลไกที่ต้องทำตามเพื่อให้ได้ค่าสถานะ 'ลดความรุนแรงจากการถูกโจมตี' แล้วเวลาใช้หมีกดสกิลทุบพื้นก็ได้อารมณ์มันส์สะใจ ทำให้ใครเคยเล่นช่วง Beta แล้วรู้สึกระบบต่อสู้น่าเบื่อ ผู้เขียนอยากแนะนำให้ลองเปิดใจใหม่ เพราะตอนแรกผู้เขียนก็คิดแบบนั้นแต่พอได้เล่นจริงกลับมันส์กว่าเดิมมากสายต่างๆ ของแต่ละอาชีพก็ไม่ได้มีความตายตัวนะเพราะเกมจะมีสกิลให้เล่นเป็นสายผสม ส่งผลให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์สายแปลกๆ ได้อยู่ส่วนในช่วงผจญภัยโลก Open World ตอนช่วงแรกๆ ผู้เขียนนี่แอบรู้สึกเบื่อการผจญภัยเลย เพราะด้วยความที่แผนที่มันใหญ่มาก แต่เกมกลับให้ผู้เล่น 'ผจญภัยด้วยการเดินเท้าอย่างเดียว' จนกว่าจะถึงแต่ละสถานที่ ขณะที่พอเล่นเนื้อเรื่องหลักไปช่วงกลางๆ เกมจะมีการให้ 'ม้า' ไว้ใช้เดินทางอย่างรวดเร็ว โดยตรงนี้ก็ขอแนะนำให้ทุกคนเล่นเนื้อเรื่องมาถึงตรงนี้ก่อน ไม่งั้นจะเหนื่อยมากเวลาผจญภัย รวมทั้งในช่วงก่อนจะถึงเลเวล 50 ผู้เล่นนั้นจะสามารถเลือกความยาก World Tier ได้เพียง 2 ระดับเท่านั้น โดยระดับ 1 นั้นจะเล่นได้ชิลๆ ระดับนึง แต่ระดับ 2 นั้นจะยากระดับที่ผู้เล่นต้องพยายามหลบการโจมตีที่รุนแรงด้วยการกดสกิล Dodge แล้วสกิลนี้เวลากดใช้ 1 ครั้งก็จะมีคูลดาวน์ประมาณ 5 วินาที ทำให้ผู้เล่นต้องหาจังหวะใช้ให้ดีๆ และตรงนี้เป็นการนำแนวเกม Souls-like มาประยุกต์ใช้กับเกมแนวนี้ได้ดีมาก แต่ด้วยความที่เกมดีไซน์มาแบบนี้ ผู้เขียนกลับรู้สึกพวกอาชีพที่โจมตีระยะไกลจะเหนื่อยน้อยกว่าอาชีพที่โจมตีระยะใกล้สุดๆ แถมผู้เขียนก็รู้สึกว่าความสมดุลของเกมนี้ก็แปลกๆ เนื่องจากผู้เขียนลองปั้น Druid ทุกสายแบบให้ดีสุดในช่วงเวลานั้น แต่พอเอาไปสู้บอส World Tier 2 ก็กลับแพ้แบบราบคาบ ขณะที่คนเล่น Sorcerer หรือ Rogue นั้นกลับโซโล่บอสต้อง Coop ระดับสูงๆ ได้อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดเลยว่าบางอาชีพในเกมนี้อ่อนแอเกินเหตุแม้เป็นคอนเทนต์ PvE!เกมภาคนี้ยังมีบอสให้สู้เพียบด้วย มีเกิน 10 ตัวแน่นอน แล้วยังมีมินิบอสอีกเพียบแต่ว่ามันมีแค่บอสกับมินิบอสบางตัวเท่านั้นที่สู้สนุก และน่าจดจำ ใส่มาเยอะแต่คุณภาพไม่เยอะตามอีกแล้วPerformanceถ้าใครยังจำกันได้ ผู้เขียนได้บอกไปว่า Diablo 4 นั้นถือเป็นเกมที่ภาพสวยสมยุค 2023 แล้วพวกดีเทลก็ยังทำออกมาดีอีก แต่ในส่วนนี้ก็ยังมีเรื่องให้น่าชมเพิ่มด้วย เนื่องจากเกมนั้นจะไม่กินเสปค PC แบบเห็นได้ชัด ผู้เขียนได้ลองทั้งคอมพิวเตอร์แรงระดับกลางๆ อย่างซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ GTX 3070 Ti ผลปรากฎว่าสามารถปรับภาพระดับ Ultra ได้อย่างสบายๆ ที่ 1440p60fps แล้วก็ได้ลองใช้คอมที่เกือบอยู่ระดับล่างๆ ซีพียู Ryzen 9 6900HS กับการ์ดจอ GTX 3050 Laptop GPU ก็ยังสามารถปรับที่ Medium เล่นได้สบายๆ ที่ 1080p60fps เช่นกัน แถมเกมก็มีการรองรับปรับกราฟิกได้หลายแบบระดับหนึ่ง และก็มี DLSS หรือ Freesync ให้ใช้งานอีกต่างหาก ส่วนคอมที่เสปคต่ำกว่านี้ ผู้เขียนมองว่าสามารถเล่นได้ลื่นๆ ที่ 30fps อยู่แน่นอนอย่างไรก็ตาม แม้เกมจะทำมาให้เล่นลื่นมากๆ แต่ตอนนี้ปัญหา Performance ที่ผู้เขียนพบเจอขั้นรุนแรงคือ 'Video Memory Leak' หรือก็คือเกมจัดการ VRAM ของ PC ผู้เล่นได้ไม่ดี และจะมีการกินเกินความจำเป็น ทำให้ผู้เขียนถ้าจะเล่นเกมนี้นานๆ ก็จะปรับ High หรือ Ultra ไม่ได้เลย เพราะการ์ดจอ GTX 3070 Ti มี VRAM เพียง 8GB เท่านั้น แต่เกมก็กินเกิน 8GB บ่อยมาก (ถ้า VRAM 12GB อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้) ส่งผลให้ต้องปรับลงมาที่ Medium ถึงเล่นได้ยาวๆ ไม่งั้นเกมจะกระตุกเล่นไม่ไหวเลย หรืออีกวิธีนึงคือผู้เขียนต้องกด Reset การตั้งค่ากราฟิกบ่อยๆ เพื่อให้ VRAM เลิกกินเกิน แถมปัญหานี้ผู้เขียนก็รอมาเกิน 1 อาทิตย์แต่เกมก็ยังไม่มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ส่งผลให้ก็เป็นเรื่องน่าขัดใจอยู่เหมือนกันสรุปเห็นได้ชัดเลยว่าในที่สุด Diablo 4 นี่คือภาคที่สร้างมาตอบโจทย์แฟนๆ แล้วสักที แถมยังมีความเจ๋งเพิ่มคือด้านเนื้อเรื่อง และคอนเทนต์ที่มีให้ไปเล่นยาวๆ เยอะมาก แถมยังเล่นลื่นกับ PC ในสเปคหลายรูปแบบอีก โดยแม้คอนเทนต์จะเยอะแล้วคุณภาพไม่ค่อยมี รวมทั้งระบบต่างๆ มันอาจดูธรรมดาไปหน่อยถ้าเทียบกับเกมคู่แข่ง แต่ Diablo 4 ก็คือหนึ่งในเกมที่ 'ยอดเยี่ยมผสมเล่นเพลิน' ของใครหลายคนแน่นอน ใครที่เป็นสาย RPG ยังไงก็ควรซื้อไปเล่นยาวๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ใช่สาย RPG ก็ไม่ต้องกลัว เพราะเกมภาคนี้ออกแบบมาให้เล่นง่ายกว่าเกมอื่นๆ ถ้ามาเริ่มที่เกมนี้ก็อาจกลายเป็นสาย RPG ก็เป็นได้!
07 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Ravenous Devils เปิดร้านธุรกิจเชือด ล้วง ลับ ลวง พราง อาจจะเป็นรสชาติของคนคุ้นเคย
Ravenous Devils เกมฆาตกรรมอำพราง เอาเนื้อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาทำอาหารขาย อารมณ์บรรยากาศของเกมเหมือนหนังเรื่อง Sweeney Todd The Demon Barber of Fleet Street ของ ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับคู่บุญของป๋า จอห์นนี เดปป์ เกมนี้บางฉากผู้เขียนขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนและน้อง ๆ หนู ๆ ที่ยังไม่สามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะได้เป็นอย่างยิ่ง มีฉากฆาตรกรรมที่รุนแรง และค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน ไม่ว่าจะเป็น ฉากการฆ่า การเชือด การหั่นศพ การบดศพ การปั่นศพ สารพัดวิธี คิดซะว่ามันเป็น Diner Dash เวอร์ชันเลือดสาดละกัน ฮ่า ๆ เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2022 ผู้เขียนดองเอาไว้ในคลังมาเป็นปีปี บวกกับไม่ค่อยชอบเล่นเกมแนวนี้เท่าไหร่ เพราะผมรู้สึกว่าต้องทำเหมือนว่ามันปกติ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ปกติ ถึงแม้เรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น และเป็นแค่เกมที่นำมาสร้างอรรถรสในการเล่นให้เราเพียงเท่านั้น แต่ยังไงมันค่อนข้างสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับผมอยู่ดี ผมเลยอยู่แต่กับเกมสร้างบ้านสร้างเมืองบริหารจัดการมาโดยตลอด งั้นวันนี้ขอลองเปลี่ยนแนวมาเป็นไอ้ต้าวคนโรคจิตดูบ้าง และจะรีวิวอย่างเป็นกลางที่สุดสัญญาครับ ฮ่า ๆเนื้อเรื่องของคนโรคจิตกับคนโรคจิตกว่า (สปอยล์นิดหน่อย)Ravenous Devils เนื้อเรื่องเล่าถึงตัวละครหลักที่เป็นคู่สามีภรรยา ตัวสามีนั้นมีนามว่าเพอร์ซิวาล และภรรยาสุดที่รักของเขานามว่าฮิลเดรด ย้ายมาอยู่ที่เมือง Londoned (ชื่อเมืองในเกม) ตัวสามีนั้นเปิดร้านขายเสื้อและเป็นช่างตัดเสื้อ และจะเป็นคนที่คอยเชือดเหยื่อเพื่อส่งศพไปให้ภรรยาของเขาทำอาหารที่ห้องครัวด้านล่าง ส่วนเสื้อผ้าของศพนั้นเพอร์ซิวาลก็จะเอามาตัดเย็บใหม่เพื่อขายในร้านเสื้อผ้าของเขาครับ ส่วนฮิลเดรดเมื่อได้เนื้อมา นางก็จะเอามาทำอาหารเพื่อเสิร์ฟให้กับลูกค้าของนางในส่วนของร้านอาหารด้านล่างเนื้อเรื่องไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่สองสามีภรรยานั้นหาเงินด้วยการฆ่าคน ยังมีโรคจิตอีกคนที่มี AKA ว่า J เขาชอบลิ้มลองเนื้อมนุษย์เป็นที่สุดแบบหาจุดหยุดไม่ได้ จึงคอยส่งจดหมายแบล็กเมลมาเร้าหรือข่มขู่สองผัวเมีย อีกทั้งยังคอยส่งเหยื่อมาให้เพอร์ซิวาลเชือดเพราะต้องการกินเนื้อคนเหล่านั้นแต่ตัวเองดั๊นไม่ต้องการมือเปื้อนเลือดเพราะเป็นคนมีชื่อเสียงในเมือง และเหยื่อที่เขาส่งมาให้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนเขาเกือบทั้งสิ้น ยังมีเนื้อเรื่องยิบย่อยของเกมที่จะทำให้เราตกตะลึงเกี่ยวกับตรรกะต่าง ๆ ของคนจิต ๆ ที่มีชุดความคิดป่วย ๆ อีกเยอะแยะมากมายครับ แต่ผู้เขียนจะขอหยุดไว้ ณ ตรงนี้ก่อนเพราะไม่งั้นได้สปอยล์เนื้อเรื่องจนจบแน่เกมเพลย์คือดี แต่บางทีแอบคิดว่าไม่สุดในมุมมองของใครหลาย ๆ คนเกมนี้เป็นเกมที่สร้างความเพลินและฆ่าเวลาได้ดีมาก ๆ จากที่ผมได้ตามอ่านรีวิวต่าง ๆ ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็มีความคิดไปในทิศทางนี้เหมือนกันครับในช่วงแรกที่เล่นเกม แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่เราต้องทำอะไรจำเจ เนื้อเรื่องสั้น การ interact ที่อืดอาด และบัคที่เยอะมาก ๆ ค่อนข้างสร้างความหัวเสียให้ผู้เขียนระดับที่คิดว่า"เออไม่เล่นแล้วก็ได้" ตัวเกมเพลย์คล้าย ๆ เกมตระกูล Diner Dash แต่การบังคับตัวละคร หรือการ Interact กับสิ่งของในเกมบอกเลยว่ายังสู้เขาไม่ได้ เดี๋ยวผมจะจำแนกหัวข้อต่าง ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านและเห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้นครับการแบ่งหน้าที่กันระหว่างสองผัวเมียบอกเลยว่าเป็นคู่รักที่ศีลเสมอกันแบบไม่มีอะไรมากั้น เป็น Bad Romantic ที่ลงตัว ระหว่างฮิลเดรดและเพอร์ซิวาล มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานตามความถนัดของคนทั้งคู่ แต่ความหลงไหลหลักของทั้งสองคนก็คือการฆ่า ศพ และเงิน งั้นเราจะให้เกียรติด้วยการพูดถึงฝ่ายหญิงก่อนละกัน (Lady First)Hildred (ฮิลเดรด) - ตัวภรรยามือวางอันดับ 1 ด้านการทำอาหารจากเนื้อคน เพราะคู่แข่งส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นปุ๋ยหรืออาหารไปแล้ว คนปกติเขาก็คงไม่มาแข่งอะไรแบบนี้ด้วย ฮ่า ๆ ส่วนใหญ่ถ้าเราสวิตช์มาเล่นฮิลเดรดเราจะอยู่ในห้องครัวที่ชั้นใต้ดินเป็นหลัก รอสามีของนางหลอกเหยื่อมาสังหารจากชั้นบน และคอยโยนศพลงมาให้ภรรยาทำการแล่เนื้อและปรุงอาหารที่ชั้นล่าง อุปกรณ์ในช่วงแรก ๆ นั้นจะมีแค่เครื่องบดเนื้อ เตาอบ และแป้ง ถ้าอยากได้มากกว่านี้เราต้องคอยอัปเกรดไปเรื่อย ๆ โดยใช้เงินจากการขายอาหารและเสื้อผ้าครับหลังจากฮิลเดรดทำอาหารเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องกดเดินเพื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 ส่วนนี้จะเป็นร้านอาหาร เราต้องเอาอาหารที่เราทำไปจัดใส่ชั้นวางอาหารให้เรียบร้อย ช่วงแรก ๆ เราสามารถวางได้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น เมื่ออัปเกรดไปจนสุดจะสามารถวางได้ 12 ชิ้นครับห้องครัว - มีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ    • เตาอบ - สามารถอัปเกรดให้อบอาหารเร็วขึ้นได้ และซื้อเพิ่มได้เต็มที่ 3 เตา    • เครื่องบดเนื้อ - สามารถนำศพมาบดได้ อัปเกรดให้บดเร็วขึ้นได้ สามารถบดและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • เครื่องทำไส้กรอก - สามารถเอาศพมาแปรรูปเป็นไส้กรอก สามารถแปรรูปและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • เครื่องหั่น - สยดสยองที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ทั้งหมด จะเห็นการหั่น การควัก การล้วงศพชัดเจนที่สุด ผลิตเนื้อแดงไว้สำหรับทำอาหาร ผลิตและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • แมว - เป็นทาสในชีวิตจริงไม่พอ ต้องตามมาเป็นทาสมันในเกมด้วย ฮ่า ๆ สามารถสั่งให้ไปจับหนูมาทำอาหารให้ได้แบบไม่จำกัด    • ลิฟต์ - หลังจากเล่นตามเนื้อเรื่องไป จนมีเด็กรับใช้มาคอยช่วยเหลือเราแล้ว ระบบลิฟต์จะเปิดให้ใช้งานครับ ทีนี้เราก็จะขลุกอยู่แต่ในห้องครัว และส่งอาหารขึ้นไปให้เด็กรับใช้ของเราจัดการเสิร์ฟ และจัดเรียงเข้าชั้นวางได้เลย เด็กรับใช้ราคา 70 ปอนด์    • วัตถุดิบในการทำอาหารที่ไม่ใช้เนื้อ - ผู้เขียนเห็นมันมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 5 อย่าง ได้แก่ แป้ง (มีไม่จำกัด), หอม (10/10), มะเขือเทศ (10/10), มันฝรั่ง (10/10) และไข่ (10/10) หอม มะเขือเทศ มันฝรั่ง หลังจากที่เราปลดล็อกในหน้าต่างอัปเกรดแล้ว เพอร์ซิวาลจะขึ้นไปใช้ห้องเรือนกระจกที่ดาดฟ้าเพื่อปลูกผักสวนครัวครับ แล้วคอยส่งวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวมาให้ฮิลเดรดผ่านทางลิฟต์ส่งของ ส่วนไข่นั้นอยู่ที่โรงเพาะปลูกเหมือนกัน จากที่อ่านดูน่าจะเป็นไข่นกพิราบ แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันบัคหรือเปล่า ผมอัปเกรดบ้านนกแล้วด้วย แต่ก็ไม่มีนกมาอาศัยหรือวางไข่เลย เป็นเศร้า TTร้านอาหาร - ร้านของเราจะอยู่ที่ชั้น 2 ของตัวบ้านครับ ช่วงแรก ๆ จะเป็นร้านแบบ Take away (ซื้อกลับบ้าน) เท่านั้น ลูกค้าจะเดินเข้าร้านจ่ายเงินแล้วหยิบอาหารของเราออกไป เราต้องคอยทำอาหารมาเติมที่ชั้นวางเรื่อย ๆ ไม่ให้ขาด เพราะถ้าไม่มีอาหารแล้วลูกค้ายืนรอเป็นเวลานาน ๆ ลูกค้าจะไม่พอใจแล้วเดินออกจากร้านไป แล้วค่าความนิยมของร้านเราจะติดลบครับ เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ พอเรามีเงินซื้อโต๊ะมาจัดร้านแล้ว บอกเลยว่าฉุดทุกอย่างให้ช้าไปหมด เพราะต้องทำอาหารตามออเดอร์ ลูกค้าจะมีค่าความอดทน ในช่วงแรกตอนที่เรายังไม่ได้อัปเกรดของตบแต่งร้านเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับลูกค้า หรือเสิร์ฟเหล้าจินเพื่อช่วยทำให้ลูกค้าอารมณ์ดี บอกเลยว่าหลอดความอดทนลดไวมาก ๆ ไวจนผู้เขียนกดรีเกมใหม่ซื้อแค่โต๊ะเดียวก่อน สูตรทำอาหาร - สูตรอาหารในหนังสือจะถูกเพิ่มเข้ามาเมื่อเราอัปเกรดอุปกรณ์ เช่น ถ้าเราซื้อเครื่องทำไส้กรอก หลังจากเปิดดูในหนังสือ Recipe (สูตรอาหาร) ทางด้านซ้ายมือบนของจอ จะมีอาหารเกี่ยวกับไส้กรอกเพิ่มเป็นสูตรเข้ามาให้เราดูว่าเวลาจะทำต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง ถ้าทำอาหารโดยที่ยังไม่ได้รับสูตรมาอาหารจะเน่าและใช้ไม่ได้Percival (เพอร์ซิวาล) - สามีแห่งชาติรักเมียมาก เมียแซะก็งอนบ้างไรบ้าง แล้วเดี๋ยวก็ไปง้อเองอะไรเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ และคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นโรคจิต มีกรรไกรคู่ใจที่ใช้เป็นอาวุธในการสังหารเหยื่อ ลับคมอยู่ตลอด เพอร์ซิวาลนั้นจะสิงอยู่ที่ชั้น 3 เป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นช่างตัดเสื้อ เปิดร้านตัดเสื้ออยู่ด้านบนร้านอาหารของฮิลเดรด ถ้าเราสวิตช์ไปเล่นเพอร์ซิวาลนั้นเราจะต้องคอยหาเหยื่อเพื่อโยนไปให้ฮิลเดรดทำอาหาร เหยื่อจะเดินเข้ามาที่ห้องวัดตัวของเพอร์ซิวาลเองครับ จังหวะที่เพอร์ซิวาลทำท่าทีวัดสัดส่วนให้ลูกค้านี่แหละ ก็หยิบกรรไกรขึ้นมา ยุบ ย่อ ชิด ยก จิ้ม จ้วง แทงสวบเข้าให้ เพอร์ซิวาลจะทำลายหลักฐานของเหยื่อแม้กระทั่งเสื้อผ้า ปลดออกมาจากศพแล้วตัดเย็บใหม่นำไปใส่หุ่นตั้งขายที่หน้าร้าน ได้ทั้งขึ้นทั้งร่องสนองนี๊ดการอยากฆ่าคนอื่นของตัวเอง แถมยังได้เงินมาใช้อีก แล้วหลักฐานอะไรก็ไม่เหลือเพราะอยู่ในท้องของลูกค้าร้านอาหารไปหมดแล้วนอกจากหน้าที่การตัดเย็บเสื้อผ้า ฆ่าเหยื่อ และหาเนื้อสดให้ฮิลเดรดทำอาหารแล้ว หน้าที่ของเพอร์ซิวาลอีกอย่างก็คือ ต้องคอยปลูกผักที่โรงเพาะปลูกบนดาดฟ้า โดยใช้ศพนี่แหละครับไปทำเป็นปุ๋ยโรยต้นไม้ของเรา หลังจากได้ผลผลิตแล้วก็ส่งให้ฮิลเดรดทางลิฟต์ห้องวัดตัว - มีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ     • จุดเชือด - จะอยู่บริเวณกระจก เพอร์ซิวาลจะใช้กรรไกรแทงเหยื่อ    • กองผ้า - เมื่อฆ่าเหยื่อแล้วเพอร์ซิวาลจะปลดเสื้อผ้าของเหยื่อออก แล้วโยนไปไว้ที่กองผ้า ช่วงแรก ๆ จะได้แค่ 1 ชิ้น / 1 ศพ เมื่ออัปเกรดจนสุดแล้วจะปลดได้ผ้า 3 ชิ้น / 1ศพ สามารถปลดและเก็บไว้ได้เต็มที่ 10/10    • จักรเย็บผ้า - นำผ้าจากกองผ้าไปเย็บ มีเกจเวลาบอก เมื่อเย็บเสร็จแล้วสามารถนำเสื้อที่เย็บเสร็จไปสวมที่หุ่นโชว์    • ไม้ถูพื้น - ต้องนำมาเช็ดเลือดของเหยื่อบริเวณพื้น ถ้าเราไม่เช็ดเหยื่อใหม่จะไม่เดินเข้ามาในห้องห้องขายเสื้อ - เราสามารถนำเสื้อที่ตัดเย็บเสร็จแล้วมาสวมหุ่นโชว์ได้เลย ในช่วงแรกนั้นจะมีหุ่นแค่ตัวเดียวเท่านั้น หลังจากที่เราเล่นไปเรื่อย ๆ เราสามารถนำเงินไปซื้อหุ่นโชว์เพิ่มได้อีก สามารถเพิ่มได้เต็มที่คือ 4/4 โรงเพาะปลูก - มีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ    • มะเขือเทศ - จะมีกระบะให้เราปลูก ต้องซื้อที่หน้าต่างอัปเกรดก่อนถึงจะสามารถปลูกได้ หลังจากซื้อมะเขือเทศแล้วจะปลดล็อกผัดสวนครัวอีก 2 ชนิด คือ หอม และ มันฝรั่ง    • หอม - จะสามารถซื้อได้หลังจากซื้อมะเขือเทศมาปลูก จะมีกระบะสำหรับปลูกหอม ปลูกได้ไม่จำกำกัดตราบใดที่ปุ๋ยยังเหลือ    • มันฝรั่ง - เหมือนหอมทุกอย่าง มาหลังมะเขือเทศ มีกระบะเป็นของตัวเอง ถ้าปุ๋ยยังเหลือก็ปลูกได้    • บ้านนก - ผู้เขียนติดบัค นกไม่มาและไม่มีไข่ให้เก็บ แต่จากที่อ่านรายละเอียดสิ่งที่เกมจะให้เราเลี้ยงมันคือนกพิราบครับ เลี้ยงเพื่อเอาไข่ สามารถเก็บเกี่ยวแล้วเอาใส่ลิฟต์ส่งให้ฮิลเดรดทำอาหารขายได้    • อ่างปุ๋ย - เป็นอ่างอาบน้ำ ที่เราจะเอาศพมาหมักเป็นปุ๋ยไว้ครับ เก็บปุ๋ยได้เต็มที่ 10/10    • ต้นไม้ประหลาด - เพอร์ซิวาลเจอเมล็ดที่ลูกค้าทำตกไว้ เลยเอามาลองปลูก มีเนื้อเรื่องในส่วนนี้แต่ผมยังให้ปุ๋ยมันไม่โตสักทีเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยกับต้นไม้ครับสรุปRavenous Devils บอกเลยว่าการทำอาหาร การแบกศพ การจัดการกับศพ การปลูกต้นไม้ การตัดเสื้อผ้า การฆ่าเหยื่อ เอเวอร์รี่ติง จิงเกอเบล ที่เราจะต้องทำในเกม สร้างความอึดอัดใจให้กับผมมาก ไม่ใช่ว่าภาพมีความน่าสะอิดสะเอียนหรือสยดสยอง เพราะมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นครับ แต่สิ่งที่สร้างความอึดอัดให้กับผมก็คือความล่าช้าในการทำขั้นตอนต่าง ๆ ภายในเกม (ไม่มีให้เร่งให้ความเร็วของเกมด้วย) หรือการ Interact กับสิ่งของ บางทีก็กดได้บ้างกดไม่ติดบ้าง ต้องกดหลาย ๆ ครั้ง และอีกทั้งมันยังไม่สามารถกดแบบต่อเนื่องเป็น To do list ไว้ก่อนได้ แบบ Diner Dash มันก็เลยสร้างความล่าช้าในการทำสิ่งต่าง ๆ และถึงแม้ว่าบางอย่างจะอัปเกรดได้ แต่ความเร็วดูแทบจะไม่ได้กระดิกเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่ ส่วนตัวละครไม่ต้องพูดถึงครับอัปเกรดอะไรไม่ได้ มีแต่สกินเสื้อผ้าให้เปลี่ยนเล่น ๆ เท่านั้นเอง เดินช้ายังไง ก็ช้าอย่างนั้น มือมีตั้ง สองมือแต่ถือวัตถุดิบต่าง ๆ ได้ทีละชิ้น อห ที่แปลว่า โอโห้ นั่นแหละครับ ฮ่า ๆ โคตรเสียเวลาจัด ๆ กว่าจะทำอาหารได้แต่ละที ถ้าเป็นเรื่องจริงคนคงไปหมดร้านแล้ว ไหนจะต้องคอยสลับไปบังคับตัวละครอีกตัวด้วย ช่วงหลัง ๆ ก็ยังดีหน่อย ยังจ้างเด็กรับใช้มาช่วยงานได้ด้วยเงิน 70 ปอนด์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก คอยเสิร์ฟอาหาร จัดอาหารเข้าชั้นให้ แลกกับการห้ามไปหาใบสะระแหน่ที่ชั้นอื่น ๆ (อยู่ได้แค่ตรงเคาน์เตอร์เท่านั้น) Bug ที่มีก็เป็น Critical Bug แบบตะโกนเลย แต่ผู้พัฒนาก็ไม่แก้ไขมัน หลังจากจบเกม จริง ๆ จะต้องมีเนื้อเรื่องต่อไปอีกนิดหน่อย พอจบ End credit ปุ๊บ ฮิลเดรดของผมตัวแข็งปั๊บ ขยับไม่ได้ ยืนค้าง ๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ขายอาหารนั่นแหละไม่ขยับเขยื้อน พอฮิลเดรดติด Bug ก็ทำอาหารไม่ได้ เกมก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ผมพยายามแก้ดูแล้ว ทำยังไง๊ยังไงก็แก้ไม่ได้ ผมเลยตัดใจปิดเกมและนอนหลับแบบหัวอุ่น ๆ เพราะเนื้อเรื่องเกมนี้บอกเลยว่าน่าติดตามมาก ๆ ผมเซ็งที่ไม่ได้รู้ว่าเนื้อเรื่องที่มีมาต่อหลัง End credit เฉลยปมต่าง ๆ แบบไหน ครั้นจะให้เล่นใหม่ตั้งแต่ต้นก็กลัวว่าสุดท้ายก็จะมาค้างมันที่เดิมอยู่ดี เดี๋ยวจะเกรี้ยวกราดไปกันใหญ่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ แต่ถึงผู้เขียนจะบ่นมาซะเยอะแยะแต่เกมเพลย์โดยรวมของเกมนี้สนุก ถ้าตัดความล่าช้าต่าง ๆ และความจำเจออกไป ก็ถือว่าเป็นเกมที่เล่นเพลิน ๆ เกมหนึ่งเลยฮะ ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อเรื่องที่มีปมเข้มข้นน่าติดตาม แถมอ่านแล้วยังเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดแจ่มแจ๋วเพราะตัวเกมมีภาษาไทย แต่บอกเลยว่าเกมนี้ไม่เหมาะกับเด็ก ๆ แบบตะโกนเลยครับ เพราะภาพในเกมไม่ค่อยน่าดู ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของเนื้อเรื่อง ความโรคจิตของตัวละครต่าง ๆ การใช้กำลัง มีศพมากมาย การที่เด็กคนหนึ่งแม่หายไปแล้วกลับมาตามหาที่ร้านแล้วต้องมากินเนื้อแม่ตัวเองนี่คงไม่จรรโลงใจวัยเยาว์เท่าไหร่นักนะครับ (ผู้ปกครองแสกนนิดหนึ่ง) ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราเรา ก่อนเล่นเกมใช้วิจารณญาณเยอะ ๆ เลยฮะในการเล่น ใครสนใจตัวเกมวางขายอยู่ใน Steam ราคาแบบจับต้องได้ 99 บาท เท่านั้นเอง!!! ราคาแบบสะกดจิตสะกดใจ เล่นแล้วอย่าเอาตรรกะของเพอร์ซิวาลมาใช้นะฮะ เสพแค่เนื้อเรื่องก็พอ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1615290/Ravenous_Devils/
02 Jun 2023
[Review] รีวิวเกม Street Fighter 6 เกมต่อสู้รุ่นใหญ่ ที่ปูพรมต้อนรับเหล่านักสู้หน้าใหม่อย่างเต็มที่
เมื่อพูดถึงเกมแนวต่อสู้ (Fighting) แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยตรงกันว่าเป็นแนวเกมที่ใคร ๆ เล่นสนุกได้ไม่ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่เหล่านั้นมักเล่นเกมโดยไม่ได้คิดถึง "วิธีเล่น" เกมเหล่านั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเทคนิคและระบบ (Mechanic) ต่าง ๆ หรือแม้แค่กระทั่งการจำวิธีปล่อยท่าก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจนัก ซึ่งก็ทำให้กลุ่ม "ผู้เล่นเกมต่อสู้" ที่ใส่ใจต่อระบบในเกมอย่างจริงจังมีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เสมอมา โดยการดึงดูดผู้เล่นใหม่ ๆ ให้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ "วิธีเล่น" ของเกม จึงเป็นโจทย์ที่นักพัฒนาเกมต่อสู้แทบทุกค่ายต่างพยายามแก้กัน หลังจากที่ได้ใช้เวลาระยะหนึ่งกับสุดยอดเกมต่อสู้ระดับเรือธงของ Capcom อย่าง Street Fighter 6 ซึ่งกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยระบบเนื้อเรื่องและ "ปุ่มลัด" มากมายที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นมือใหม่สามารถเข้าถึงความลึกล้ำของระบบต่อสู้ของเกมได้ง่ายขึ้น ทำให้เกม Street Fighter 6 เป็นเกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าสู่สังเวียนเป็นครั้งแรกขอขอบคุณทาง SICOM AMUSEMENT ตัวแทนจำหน่ายเกมในเครือของ Capcom อย่างเป็นทางการ ที่ส่งเกมนี้ให้เรารีวิวครับโลกของนักสู้สายเลือดใหม่ ที่ทำออกมาได้ดีแต่แผลยังเยอะอยู่เนื้อเรื่องในภาคนี้ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับภาคเดิม ๆ ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้เลย จะกล่าวว่านี่เป็น Soft Reboot ของซีรีส์ก็ได้ แต่ตัวละครต่าง ๆ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจะกลับมาอย่างครบถ้วน อย่าง Luke ที่เป็นตัวละครใน DLC ของภาค 5 มาภาคนี้เขาก็ถูกดันให้เป็นตัวละครหลักบนปกเกม และจะคอยมาเป็นพี่เลี้ยงของเราด้วย สำหรับเนื้อหาในภาคนี้ เราจะรับบทเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาเอง เป้าหมายก็คือฝึกฝนวิชาต่อสู้เพื่อแสวงหาคำตอบของคำว่า 'แข็งแกร่ง' เราจะได้เข้าไปยังคอร์สอบรมการต่อสู้ของ Luke และพาให้เราออกเดินทางไปทั่วโลก ค้นหาความหมายของความแข็งแกร่ง ผ่านการต่อสู้กับเหล่านักสู้คนต่าง ๆ และตัวละครที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ในโซนพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้เราได้สัมผัสการเล่าเรื่องของ Street Fighter ในแบบที่ไม่มีภาคไหนทำได้มาก่อน ระหว่างการผจญภัยในโหมดเนื้อเรื่อง เราจะได้พบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ตลกขำขันไปจนถึงซีเรียสจริงจัง ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติใหม่ที่แฟน ๆ Street Fighter ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพียงแต่ว่าการมีรสชาติใหม่ก็ใช่ว่ามันจะดี ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า มันเป็นการเริ่มต้นหาอะไรใหม่ ๆ ให้แฟรนไชส์ได้ยอดเยี่ยม และทำออกมาดีใช้ได้เลย แต่หลายอย่างมันก็ยังผิดแปลกไปซะหน่อย เหมือนทีมสร้างยังหาจุดลงตัวไม่เจอ ว่าจะทำให้เกม Fighting มีเนื้อเรื่องยังไง เล่าเรื่องแบบไหน และทำยังไงให้มันเหมาะสมกับความเป็นแนวเกมต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมองว่าเขายังทำได้ไม่ดีมากเท่าไรนัก จากตื่นเต้นช่วงแรก ๆ เล่นไปนาน ๆ จะเริ่มน่าเบื่อและดรอปความสนุกลงไปเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียที่ดี ซึ่งหาก Street Fighter เขาจะทำเนื้อเรื่องเพิ่มในเกมภาคต่อไป ก็อยากให้เอาไอเดียหลายอย่างในภาคนี้ไปขัดเกลาเพิ่ม ไม่แน่ว่าเกมต่อสู้เกมอื่น ๆ อาจใช้ Street Fighter 6 เป็นมาตรฐานใหม่ของการมี Story Mode ก็เป็นได้อัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แถมปูพรมต้อนรับมือใหม่อย่างเต็มที่ปกติแล้ว เกมแนว Fighting มักจะขึ้นชื่อว่าจะเน้นหนักไปที่โหมดออนไลน์ซะเป็นส่วนใหญ่ แถมยิ่งเป็นแนวเกมต่อสู้ โอกาสที่จะดึงดูดแฟนเกมหน้าใหม่มานั้นถือว่ายาก แต่ Street Fighter 6 กำลังจะหาจุดตรงกลางที่พอดี ด้วยการ Launch ตัวเกมให้มีคอนเทนต์ที่อัดแน่นเพียงพอทั้งโหมดออนไลน์และออฟไลน์ โดยสำหรับโหมด World Tour หรือโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ เราจะได้ใช้เวลาไปกับตัวละครที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ออกผจญภัยไปในแผนที่กึ่งโลกเปิด คือมันไม่ได้กว้างใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ และซอกซอยให้เราแวะไปสำรวจอยู่บ้าง และการออกสำรวจก็ค่อนข้างจะสำคัญเสียด้วย เพราะในโหมดเนื้อเรื่อง มันได้เปลี่ยนเกม Street Fighter ให้กลายเป็นเกม Fighting RPG ไปเลย มีการเก็บเลเวล อัปเกรดสกิล กินอาหารบัฟ แต่งตัว และบอกเลยว่าเนื้อหาของโหมดเนื้อเรื่องนั้น มีความยาวชนิดที่ว่าอิ่มจุใจ คุ้มค่าแน่นอน แต่รายละเอียดตา่ง ๆ อาจมีปํญหาไปหน่อย ซึ่งเราจะอธิบายในหัวข้อถัดไปต่อมาคือคอนเทนต์หลักที่ทำให้เกมมีอายุยืนยาวอย่างโหมดออนไลน์ที่ภาคนี้จัดเต็มมาให้แบบครอบคลุมมาก ไม่ว่าคุณจะอยาก Matchmaking อยากออกไปหาคู๋แข่งตามเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเองผ่านระบบ Battle Hub หรือแม้แต่ต่อจอยสองเพิ่มเพื่อสนุกกับคนใกล้ชิด เกมนี้ออกแบบมาให้ครบ สำหรับระบบ Battle Hub ในภาคนี้ จะเป็นการที่เราจะเข้าไปยังพื้นที่ศูนย์กลางของเซิร์ฟเวอร์เกม โดยใช้ตัวละคร Avatar ของเรา ไปเล่นร่วมกับคนอื่นโดยการท้าประลองกันผ่านตู้ Arcade ถือว่าเป็นอะไรที่ครีเอทใช้ได้ แต่ปัญหาคือสำหรับการเล่นโหมดออนไลน์ในตอนนี้ ฟีเจอร์ Custom Room หรือสร้างห้องเล่นกันเองนั้น ยังไม่รองรับซะอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ Casual Match สามารถใช้วิธี Matchmaking กันได้ปกติ แต่การสร้างห้องตอนนี้ ยังต้องรอไปก่อน ซึ่งหากรองรับการเล่นแบบ Custom Room เราสามารถตั้งปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วไปลุยกับทีมอืนได้ น่าจะสนุกขึ้นอีกเยอะ สรุปคือตอนนี้คอนเทนต์ทั้งโหมดเนื้อเรื่องก็ยาวจุใจ โหมดออนไลน์ แม้จะไม่มี Custom Room แต่ความสนุกก็ไม่ได้ลดลง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงพีค หาห้องแปปเดียวก็เจอแล้ว หรือถ้าจะเอาชัวร์ ๆ เลยคือเข้า Battle Hub ในเซิร์ฟเวอร์ที่คนเยอะ ๆ ก็จะเจอคนให้ท้าประลองด้วยอย่างแน่นอน แต่ข้อเสียเดียวที่ผู้เขียนมองเห็นในตอนนี้คือตัวละครที่ยังมีน้อยมาก ๆ ณ เวลาที่เขียนรีวิวตัวนี้ Street Fighter 6 มีตัวละครให้เลือกเล่นเพียง 16 ตัวละครเท่านั้น แน่นอนว่าอนาคตตัวละครใหม่ ๆ มันมาแน่ ๆ แหละ แต่ก็หนีไม่พ้น DLC เสียเงินแน่นอน ใครที่ชอบความหลากหลายของตัวละครอาจจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อย แต่สำหรับฮาร์ดคอร์แฟนที่อยากจะลองฝึกเล่นสักตัวให้เก่ง ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วก็ได้เกมเพลย์ที่พยายามเข้าถึงผู้เล่นทุกคนให้ได้มากที่สุดก่อนจะเริ่มเขียนรีวิวตัวนี้ หลายสื่อจากต่างประเทศต่างก็ชมว่า นี่คือเกมต่อสู้ที่เป็นมิตรกับหน้าใหม่มากที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ทิ้งผู้เล่นเก่า ก่อนจะไปในส่วนของโหมดการต่อสู้ เรามาดูที่โหมด World Tour หรือว่าโหมดเนื้อเรื่องกันก่อน สำหรับโหมดเนื้อเรื่องนี้ เราจะได้สร้างและออกแบบตัวละครของตัวเองขึ้นมา ซึ่งปรับแต่งได้ค่อนข้างละเอียดมาก แถมความยาวของแขนและขาจะส่งผลในการต่อสู้จริงด้วย เช่นถ้าแขนยาวก็มีระยะการโจมตีที่มากกว่าศัตรูนั่นเอง สำหรับโหมดเนื้อเรื่อง จะเป็นการพาเราไปยังพื้นที่เปิดต่าง ๆ เราสามารถเดินทาง ออกสำรวจ และทำตามภารกิจหลักเนื้อเรื่อง หรือบางช่วงก็จะมีภารกิจย่อยเข้ามา โหมดเนื้อเรื่องจะใส่ความเป็นเกม RPG เข้ามาในตัวเองเลย คือมีระบบเลเวล ค่าประสบการณ์ ไอเทมบัฟ และผังทักษะหรือ Skill Tree วิธีการเพิ่มเลเวลก็คือออกไปทำาภรกิจเนื้อเรื่อง หรือภารกิจรอง และท้าสู้กับเหล่านักสู้ข้างทาง ต้องบอกเลยว่าเกมนี้นี่ทุกคนมีเลือดนักสู้กันเยอะมาก ท้าสู้ได้เกือบจะทุกคน และนักสู้แต่ละคนจะมีเงื่อนไขพิเศษ ถ้าทำได้ก็มีรางวัลเพิ่มให้อีกด้วย และ Skill Tree หรือผังทักษะนั้น เราไม่สามารถอัปเกรดทุกสกิลได้ แต่จะเลือกได้เพียง 1 สกิล และปลดล็อคขึ้นไปสูงขึ้น ๆ จนถึงระดับสูงสุดก็จะปลดสกิลชุดใหม่มาให้และในเมื่อเราเป็นตัวละครสร้างเอง กระบวนท่าต่อสู้ของเราในช่วงแรกก็จะเหมือนกับพวกนักสู้ข้างถนน จนเราได้เจอกับเหล่าตัวละครที่เป็นปรมาจารย์ในการต่อสู้ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่ก็เป็นพวกตัวละครหลักในเกม Street Fighter นี่แหละ อย่างเช่นช่วงแรก เราก็จะเป็นลูกศิษย์ของ Luke เราก็จะสามารถใช้ท่าของ Luke ในการต่อสู้ได้ แต่ถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ เจออาจารย์คนใหม่เรื่อย ๆ ก็จะสามารถสลับสับเปลี่ยนเอาท่าตัวละครนั้น ๆ มาใช้ โดยการใช้ท่าของอาจารย์คนไหน เมื่อชนะการต่อสู้ได้ ก็จะได้ค่าประสบการณ์ของอาจารย์คนนั้น ๆ ช่วยทำให้เราปลดล็อคท่าใหม่ ๆ ได้ และหากเราเก็บไอเทมพิเศษมา ก็สามารถนำไปมอบเป็นของขวัญให้อาจารย์คนนั้น และปลดล็อคสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วยนอกจากนั้นตัวละครของเรายังสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ และไม่ใช่แค่แต่งเอาสวยเอาหล่อเท่านั้น เพราะเครื่องแต่งกายต่าง ๆ จะบวกค่าสเตตัสบางอย่างให้สูงขึ้น เช่นเตะแรงขึ้น ต่อยแรงขึ้น โดยเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ก็มีวิธีการได้รับที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำภารกิจเนื้อเรื่อง ภารกิจรอง หรือใช้เงินซื้อจากร้านค้าโดยตรง แต่ช่วงแรกชุดแต่งตัวเราจะน้อยมาก ๆ จนดูเหมือนจะแต่งตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาในการเล่นเพื่อปลดล็อคไปก่อน ซึ่งก็ไม่แน่ว่ามันจะมาในรูปแบบของ DLC ด้วยหรือไม่ด้วยความที่เป็นเกมแบบ Open Area มีพื้นที่ให้สำรวจ จะให้ทั้งเมืองมีแต่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปท้าสู้ได้ก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย เกมนี้เลยมีพวก Mad Gear หรือแก๊งตัวร้ายอยู่ในเมืองนี้ด้วย และใช่แล้ว หากใครเคยเล่นเกมค่าย Capcom มา จะคุ้นชื่อแก๊งนี้ เพราะมันเป็นแก๊งในเกม Final Fight นั่นเอง พวก Mad Gear จะเป็นเหมือนกับศัตรูประเภท Aggressive ที่จะโจมตีเราก่อน เราจะวิ่งหนีก็ได้ หรือจะสู้กับมันไปเลยเพื่อเก็บเลเวลก็ทำได้ แต่บอกเลยว่าหลัง ๆ มันจะเยอะจนน่ารำคาญเลยทีเดียว โดยทุกครั้งหากเราเริ่มการต่อสู้กับใครก็ตาม จากการเล่นแบบเกม Open World มุมมอง TPS ทั่วไป เกมจะตัดฉากเข้าสู่รูปแบบเกม Fighting ทันที ซึ่งตอนแรกมันก็ว้าว แต่หลัง ๆ มาไอ้พวก Mad Gear นี่มันเยอะมาก เยอะจนเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้การโดนโจมตี หรือถูกบังคับให้เข้าโจมตีแบบนี้เสียเวลาในการเล่นไปไม่ใช่น้อยพื้นที่ภารกิจเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้มีแค่เมืองเดียว เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จะมีการ Fast Travel หรือออกเดินทางไปที่อื่น ซึ่งเป็นประเทศสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ในโลกได้ด้วย ทำให้โดยรวมแล้ว คอนเทนต์ของ Street Fighter 6 ในโหมดเนื้อเรื่องนั้น ถือว่าคุ้มค่าและเต็มอิ่มมาก เพียงแต่ว่าระบบหลายอย่างมันยังดูแปลก ๆ เช่นการสนทนาหรือคัทซีนที่ชวนง่วง ภารกิจดีไซน์เดิม ๆ ที่เน้นการวิ่งคุยกลับไปกลับมา ใครเบื่อง่าย อาจจะเล่นไม่จบเอาก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าภาคนี้เขาวางโครงระบบไว้ดีมาก ก็หวังว่าภาคแรกเราจะได้เห็นการปรับปรุงและพัฒนาในส่วนของเนื้อเรื่องให้ดีมากกว่านี้ทีนี้ข้ามมาดูโหมดไฮไลท์ของเกมกันบ้าง กับโหมดออนไลน์ ต้องบอกว่าโหมดออนไลน์กับเนื้อเรื่องนั้น จะมีการยืมระบบมาใช้กันเล็กน้อย แต่สบายใจได้ ไม่ใช่ระบบ RPG ระบบที่ว่าก็คือระบบใหม่แกะกล่องของภาคนี้อย่างระบบ Drive Gauge โดยระบบนี้จะเป็นหลอดพลังพิเศษที่อยู่ใต้พลังชีวิตของเรา และเป็นหลอดที่เป็นหัวใจสำคัญในเกมภาคนี้ ทุกครั้งที่เราโจมตี หลอดนี้จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าป้องกันหลอดนี้จะลดลง และเมื่อหลอดนี้โดนเบิร์นจนหมดอาจจะทำให้ตัวละครเข้าสู่สภาวะ Burnout หรือสูญเสียการป้องกันชั่วคราว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเกมต่อสู้เอาซะเลย ดังนั้นระบบการต่อสู้ของเกมภาคนี้จึงเป็นการเชิญชวนให้ผู้เล่นเดินหน้าเข้าปะทะกันมากกว่าที่จะเล่นเชิง ตั้งแง่หรือกดป้องกันรอสวนอย่างเดียว และ Drive Gauge เองนี่แหละที่จะมาช่วยในเรื่องของการโจมตีพิเศษที่มีสองแบบคือ Special Moves - Special Moves นี้จะเป็นคอมโบต่อเนื่องอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่วนอีกรูปแบบคือ Super Arts ที่จำเป็นจะต้องใช้เกจพลังสะสมที่อยู่ด้านล่างจอ การใช้ Special Moves จะอิงจากหลอด Drive Gauge ทำให้เราต้องบริหารให้ดี จะรับหรือจะรุก จะบล็อคหรือป้องกัน หรือสวนไปเลย เพราะท่า Special Moves สามารถทะลวงการป้องกันไปเบิร์นหลอด Drive Gauge ฝั่งศัตรูได้ด้วย แต่ถ้าอีกฝั่ง Parry ได้ก็มีโอกาสโดนสวนกลับเช่นกัน ยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เล่นเข้ามาแลกหมัดแลกเท้ากันมากขึ้นกว่าเดิมทีนี้มาดูที่ระบบปุ่มทั้งสองแบบ คือแบบ Modern และแบบ Classic ซึ่งเป็นชุดควบคุมที่ถูกออกแบบมาให้กับทั้งสองฐานผู้เล่น แบบ Modern นั้นจะมีความซับซ้อนในการคอมโบและโจมตีที่น้อยกว่า กดง่ายกว่า ส่วนแบบ Classic จะเป็นแบบปกติที่แฟน ๆ Street Fighter เล่นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความแตกต่างก็คือ พวกท่า Special Moves หรือ Super Arts ต่าง ๆ คนที่ใช้แบบ Modern จะกดติดง่ายก็จริง แต่ความแรงจะไม่เท่ากับคนที่ใช้ปุ่มแบบ Classic ซึ่งก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม กดติดง่ายกว่า แต่เบากว่า อีกฝั่งกดติดยากกว่า ก็แลกมากับความแรงเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้แรงถึงขั้นเสียสมดุลไปเลย ด้วยระบบนี้ผสมผสานกับ Drive Gauge ทำให้ภาคนี้เป็นการผสมผสานและเชื้อเชิญให้ผู้เล่นหน้าเก่า หน้าใหม่มาลองสู้กัน และหาวิธีการเก่งขึ้นในแบบฉบับของตัวเอง จะฝึกกับคนจริง ๆ แพ้ซ้ำ ๆ หรือจะเข้าไปฝึกเองในห้องเทรนก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าภาคนี้ เขาทำให้เกมมันเข้าถึงได้กับทุกคนจริง ๆสำหรับโหมด PvP หรือโหมดออนไลน์ของเกมนี้ ต้องบอกว่านอกจากการออนไลน์ไปสู้กับคนอื่นและการไต่แรงค์ในตอนนี้ยังแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจเท่าไร และมันเป็นการหยิบเอาอะไรเดิม ๆ มาขัดเกลา ปรับปรุง ต่อยอด และปรับให้คนเล่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อนาคตคอนเทนต์ของโหมดออนไลน์อาจจะต้องรอดูกันที่ตัวละครใหม่ ระบบฤดูกาลหรือซีซั่นที่จะเพิ่มเข้ามาในระยะยาว แต่เอาแค่ตอนนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว และสำหรับมือใหม่ที่ลังเล อยากลองก้าวขาเข้ามาสู่วงการเกมต่อสู้ เกมนี้ถือเป็นเกมรับน้องที่ดี แต่อย่าลืมว่า การฝึกปรือก็สำคัญเช่นกัน ลองล้มลุกคลุกคลานกับเกมนี้ดู สนุก ไม่เสียหายแน่นอนStreet Fighter 6 ถือเป็นเกมที่ยังคงทำให้ชื่อของ Capcom นั้น อยู่ในอันดับค่ายเกมคุณภาพเบอร์ต้น ๆ และมันน่าจะดึงดูดฐานแฟนหน้าใหม่เข้ามาได้อีกมาก จนกว่าจะมีภาคใหม่ตามออกมาดูรายชื่อร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเกมได้ ที่นี่
02 Jun 2023
[Review] รีวิว Etrian Odyssey Origins Collection ตำนานเกม JRPG สวมบทหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยฉบับ Remaster จากผู้พัฒนาเกม Persona
เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่รู้จักเกมซีรี่ส์นี้ แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในเกมจากทีมพัฒนา Atlus เจ้าของผลงานซีรี่ส์เกมชื่อดังอย่าง Persona เลยนะ!!! โดยจริงๆ เกม Etrian Odyssey นั้นได้วางขายครั้งแรกไปแล้วนับตั้งแต่ปี 2007 บนเครื่องคอนโซลพกพา Nintendo DS แต่ทางค่ายผู้จัดจำหน่าย SEGA ได้กำลังจะนำเกม Etrian Odyssey ภาค 1-3 กลับมา HD Remaster มัดรวมวางขายใหม่ในชื่อ 'Etrian Odyssey Origins Collection' ในวันที่ 1 มิถุนายน 2023 บน PC กับ Nintendo Switch ใครที่อยากรู้ว่าเกมนี้สนุกยังไง และการ Remastered จะทำให้เกมดีขึ้นยังไงบ้าง วันนี้ทางเรา GameFever ก็ขอมารีวิวเกมทั้ง 3 ภาคฉบับ Remaster มาให้ชมกันหลังจากได้เล่นก่อนไปหลายชั่วโมง!!! ดูรีวิวเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างดูก่อนโหมโรงEtrian Odyssey คือเกมอะไรเกมซีรี่ส์นี้จะเป็นแนว Simulation ผสม Turn-Based RPG โดยจุดเด่นหลักของเกมนี้ก็คือการที่เราต้องมา 'สร้างกิลด์นักผจญภัย' พร้อมต้องเกณฑ์คนเข้ากิลด์ และปั้นให้พวกเขาแข็งแกร่ง เพื่อไปรับเควสผจญภัยสุดอันตรายต่างๆ ที่อาจต้องไปเจอมอนสเตอร์โหดๆ ซึ่งความสนุกเกมนี้ก็คือการที่นักผจญภัยของกิลด์เราจะมีได้หลายอาชีพ และเราก็อัปเลเวลปั้นพวกเขาให้เก่งได้หลายสาย พร้อมกับเวลาผจญภัยจะเป็นแนว Dungeon Crawler Classic แบบตำนานเกมเกมอย่าง Wizardy อีกต่างหาก เชื่อว่าหลายคนคงเกิดไม่ทันมาเล่นตำนานเกมอย่าง Wizardyแต่ใครที่อยากรู้ว่า Dungeon Crawler Classic มันเป็นแนวยังไง ให้ดูตามคลิปตัวอย่างด้านล่างส่วนใน Etrian Odyssey Origins Collection จะมีเกมภาคที่นำมา HD Remaster ประกอบไปด้วยดังนี้Etrian Odyssey ภาค 1 วางขายครั้งแรกตอนปี 2007 บน Nintendo DSEtrian Odyssey ภาค 2 วางขายครั้งแรกตอนปี 2008 บน Nintendo DSEtrian Odyssey ภาค 3 วางขายครั้งแรกตอนปี 2010 บน Nintendo DS* จริงๆ เกมยังมีภาค 4-6 แล้วก็มีเกมภาค 1-2 ฉบับ Remake อีกต่างหาก ทำให้อนาคตน่าจะมีการ Remaster มัดรวมมาขายเพิ่มStory + Presentation + Gamepalyต้องขอบอกก่อนว่าเกม Etrian Odyssey ทั้ง 3 ภาคแรก นั้นจะไม่ใช่เกมเน้นเนื้อเรื่องนะ โดยถ้าเป็นภาคอื่นๆ จะมีการเน้นเนื้อเรื่องหลักเข้ามาด้วย แต่เกมทั้ง 3 ภาคแรกเริ่มมาผู้เล่นจะได้ "ตั้งชื่อกิลด์" แล้วทำการไปเกณฑ์นักผจญภัย และพาออกไปทำเควสทันที ไม่ได้มีเนื้อเรื่องหลักมาผลักดันว่าผู้เล่นจะตั้งกิลด์ไปทำไม หรือนักผจญภัยที่เราเอาเข้ากิลด์ก็ไม่ได้มีเบื้องหลังเนื้อเรื่องอะไรเช่นกัน แต่เกมนั้นก็จะมี 'เนื้อเรื่องเสริม' ที่แอบเล่าเนียนๆ ให้เราอินกับจักรวาล หรือการผจญภัยในดันเจี้ยนต่างๆ อยู่ด้วย รวมทั้งในเกมภาค 3 พวกเนื้อเรื่องเสริมตรงนี้ก็จะให้ผู้เล่น 'สามารถจบเกมได้หลายรูปแบบ' แต่ท้ายที่สุดแล้วซีรี่ส์เกมนี้ก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องเด็ดระดับเกม Persona เพราะงั้นใครจะเล่นเกมนี้ก็ควรจะคาดหวังไปที่ 'ระบบการเล่น + เกมเพลย์' เสียมากกว่านะทั้ง 3 ภาค จะมี NPC ให้พบเจอหลากหลายคนอย่างมาก และทุกคนจะมีประโยชน์กับเราต่างกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเสน่ห์ผ่านเนื้อเรื่องหรือบทสนทนาให้ผูกพันธ์อะไรขนาดนั้นหลังจากผู้เล่นตั้งชื่อกิลด์เรียบร้อย ผู้เล่นจะได้เกณฑ์นักผจญภัยมาร่วมกิลด์ได้แบบตามใจชอบมาก เพราะเกมจะให้เราเลือกได้ฟรีๆ เลยว่าจะเอานักผจญภัยอาชีพอะไร และมีหน้าตายังไงบ้าง โดยระบบตรงนี้จะเหมือนกับระบบ 'สร้างตัวละคร + เลือกอาชีพ' แบบในเกม RPG ทั่วไปเสียมากกว่า แต่ว่าการเลือกหน้าตาตัวละครจะเป็นเพียงภาพ Portrait เท่านั้น (ไม่มีเป็นโมเดล 3 มิติให้เห็นเลย) และกิลด์นึงจะมีนักผจญภัยได้สูงสุด 30 คน ขณะที่เวลาผจญภัยจะพาไปได้สูงสุดรอบละ 5 คน และหลังจากนั้นเราจะได้ 'จัดตำแหน่งทีม' ว่าจะเอาใครอยู่ตำแหน่งด้านหน้า (เพื่อให้เป็นแท้งค์หรือใช้อาวุธระยะใกล้) หรือตำแหน่งด้านหลัง (เพื่อโจมตีหรือสร้างประโยชน์จากระยะไกล) รวมทั้งต้องเอาเงินทุนตอนแรกไปซื้อ 'อาวุธ, อุปกรณ์ และไอเทม' ให้นักผจญภัยอาชีพต่างๆ จากนั้นเราก็จะได้รับภารกิจ และออกผจญภัยดันเจี้ยนต่างๆ นั่นเองแต่ละอาชีพจะมี Stat ความเก่งตัวละครต่างกัน และมีอาวุธกับชุดเกราะที่ใช้ต่างกัน รวมทั้งแต่ละอาชีพก็มีสกิลหรือสายการเล่นต่างกันไป แล้วเราก็ต้องจัดทีมที่มีอาชีพต่างกัน นำมาให้ต่อสู้ได้ทีมเวิร์คกัน แถมเกมภาค 1 ก็มีมากถึง 9 อาชีพแล้วในช่วงออกผจญภัยดันเจี้ยน เราจะต้องควบคุมนักผจญภัยทั้ง 5 คนออกเดินทางไปตามจุดต่างๆ แบบเกมแนว Dungeon Crawler Classic โดยตอนแรกเราจะไม่รู้เลยว่าต้องไปจุดไหน เนื่องจากในแผนที่จะไม่ขึ้นบอกว่ามีพื้นที่อยู่ตรงไหนบ้าง ทำให้เราต้องออกสำรวจว่ามีพื้นที่ตรงไหนที่ไปได้ และตรงไหนคือจุดที่เราจะทำเควสได้สำเร็จ แถมเกมยังมีระบบ 'วาดแผนที่' ที่ทำให้เราต้องมาวาดว่าทางแยกของพื้นที่ต่างๆ มีจุดไหนบ้าง หรือตรงไหนที่เป็นทางตันหรือมีสมบัติ ส่งผลให้มันช่วยเพิ่มอรรถรสการผจญภัยมากๆ เลยระบบการวาดแผนที่ จริงๆ มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายๆ ผ่านระบบ Touchscreen ของ Nintendo DS แต่พอมามีการปรับเปลี่ยนให้ใช้งานบน PC ผู้เขียนรู้สึกว่ามันใช้งานยากลำบากมาก แม้จะใช้ด้วยเม้าส์ก็ตาม แถมถ้าใช้จอยเล่นนี่คืออนาจเลย ถ้าบน Nintendo Switch ไม่มี Touchscreen ก็น่าทำหลายคนปวดหัวกับระบบนี้น่าดูส่วนระบบต่อสู้ Turn Based RPG อันนี้ก็เหมือนเกม JRPG ทั่วไปที่เราต้องผลัดกันโจมตีกับศัตรู และวางแผนว่าจะโจมตีปกติ, ใช้สกิล หรือหนี ขณะที่ 1 อาชีพก็มีสกิลให้เลือกอัปเยอะมากหลายสายตามที่ได้บอกไป โดยผู้เล่นต้องปลดล็อก 1 เลเวลแล้วมาปลดได้ 1 สกิล ซึ่งสกิลยังมีให้อัปเกรดความแข็งแกร่ง หรืออัปเกรดเพื่อให้ปลดล็อกสกิลที่แข็งแกร่งกว่าอีกหนึ่งส่วนที่น่าพูดถึงมากๆ คือนี่เป็นเกมบน Nintendo DS แล้วพอมา Remaster ก็ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรนอกจากทำให้เล่นบน PC หรือ Nintendo Switch ได้ดีขึ้น ขณะที่เกมบน Nintendo DS มันก็ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรเยอะ เนื่องจากข้อจำกัดของ Hardware หรือการจุไฟล์ได้ไม่เกิน 256mb ส่งผลให้เกมจะไม่ได้มีรายละเอียดเล็กน้อยให้พบเจอประทับใจสู้เกมก่อนที่ Remaster แล้วมีรายละเอียดเล็กน้อยให้ประทับใจกว่าสมัยนี้หลังจากเราผจญภัยจนนักผจญภัยทั้ง 5 คนมีพลังชีวิตหรือมานา TP น้อยจนไม่น่าไปต่อไหว สิ่งที่เราควรทำก็คือเดินทางกลับสู่เมือง เพื่อพานักผจญภัยทั้ง 5 ไปนอนพักผ่อนเติมพลังได้ แต่ก็อย่าลืมว่าตอนเราเดินทางกลับจะมีโอกาสเจอมอนเข้าโจมตีด้วย ทำให้เราต้องวางแผนให้ดีๆ ซึ่งนี่ก็คือทั้งหมดของการเล่นหลักๆ เกม Etrian Odyssey และมันก็ทำให้เราเห็นได้เลยว่าเกมนี้มีระบบการเล่นที่ยังแตกต่างจาก RPG หลายๆ เกม แถมทั้ง 3 ภาคก็มีให้เราพบเจอการผจญภัยที่สนุก, ท้าทาย และเพลินเล่นติดไปหลายวันสุดๆ จนผ่านไป 1 เดือนคุณก็อาจยังไม่หยุด เนื่องจากเกมแต่ละภาคที่ออกแบบเกมมาแบบนี้ ก็ยังให้ผู้เล่นเล่นซ้ำไปซ้ำมาได้ไม่น่าเบื่ออีกความแตกต่างทั้ง 3 ภาคในเกม Etrian Odyssey ภาค 1 - ตัวเกม และระบบการเล่นต่างๆ จะเหมือนตามที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ทั้งหมดตามด้านบนเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เล่นควรเตรียมใจตอนได้เริ่มเล่นภาคนี้คือเกมจะ "ดำเนินอย่างเชื่องช้า" ในช่วงแรกของการเล่น เนื่องจากเกมพยายามจะสอนคนเล่นให้เข้าใจระบบแบบ 100% แต่มันก็เป็นเกมภาคเดียวที่ผู้เขียนมองว่ามอบอรรถรสการผจญภัยได้ดีที่สุดแล้ว ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่ JRPG ก็ควรมาเริ่มเล่นภาคนี้ก่อนได้เลยเกมภาคนี้มีทั้งหมด 9 อาชีพ และแต่ละอาชีพจะเล่นต่างกันเป็นสายๆ ได้นิดหน่อย แต่นั่นก็เพียงพอให้กิลด์เราอยากมีนักผจญภัยอาชีพซ้ำกัน และไปมีสายการเล่นต่างกันส่วนในเกม Etrian Odyssey ภาค 2 - ตัวเกมจะมีหลายอย่างที่ไม่ต่างจากภาคแรก แต่เกมก็จะมีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ให้ระบบต่อสู้หรือการผจญภัยสนุกกว่าเดิม ยกตัวอย่างการเพิ่มระบบ 'สกิลไม้ตาย' ให้แต่ละอาชีพต้องทำหน้าที่ให้ดีสุดๆ เพื่อใช้สกิลสุดโหดของแต่ลอาชีพ และมีการปรับให้เวลาผจญภัยไม่ดำเนินอย่างเชื่องช้าแล้ว แต่ผู้เขียนมองว่ายังไงผู้เล่นก็ควรไปเริ่มที่ภาค 1 มาก่อนจะดีกว่าเกมภาคนี้มีทั้งหมด 12 อาชีพ โดยอาชีพจากภาคก่อนก็ยังมีอยู่ครบ แต่ด้าน Portrait ตัวละครต่างๆ จะดูสวยหล่อกว่าเดิม รวมทั้งทำให้ผู้เล่นอยากอัปสกิลต่างๆ ที่ได้ส่งผลต่อไม้ตายด้วยในเกม Etrian Odyssey ภาค 3 - ตัวเกมจะยังเล่นเหมือน 2 ภาคแรก แต่รอบนี้จะมีการอัปเกรดระบบต่างๆ และเปลี่ยนการนำเสนอไปหลายส่วนเลย โดยหลักๆ คืออาชีพจะมีการเปลี่ยนไปทั้งหมด และยังใส่ระบบให้อารมณ์ 'อาชีพเสริม' ให้แต่ละอาชีพมีการเล่นต่างกันได้หลายสายมากขึ้นไปอีก รวมทั้งภาคนี้จะมีการผจญภัยรูปแบบ 'ใช้เรือ' ที่ผู้เล่นต้องใช้ไปผจญภัยที่เกาะต่างๆ หรือไปสู้กับเรือลำอื่น ทำให้การเล่นจะแปลกใหม่ไปเยอะเลยเกมภาคนี้มีทั้งหมด 12 อาชีพ แต่อาชีพจะไม่เหมือนภาค 1 กับ 2 และไม่ได้เป็นอาชีพตรงตัวด้วย ยกตัวอย่างภาคก่อนจะเป็นอาชีพตรงตัวแบบ 'คุณหมอ' ที่เป็นสายฮีลล้วนๆ แต่ภาคนี้จะเป็นอาชีพ 'พระ' ที่เราเล่นสายฮีลหรือสายโจมตีหรือสายผสมก็ได้Performanceถ้าให้ย้อนวันวานไปตอนสมัย Nintendo DS ผู้เขียนจำได้เลยว่า Etrian Odyssey ถือเป็นเกมที่เล่นได้ลื่นไหลไม่มีสะดุดมาก โดยนั่นก็คงเป็นเพราะภาพในเกมมันไม่ค่อยมีอะไรเป็น 3 มิติสวยๆ แถมส่วนใหญ่ก็ใช้ภาพ 2 มิติมาประกอบเสียมากกว่า แต่สิ่งที่ผู้เขียนกลัวก่อนรีวิวมากๆ คือถ้าลองมองเกมจากฝั่งญี่ปุ่นที่เอามาวางขาย PC ใหม่อีกรอบ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเกมที่ปรับภาพกราฟิกได้ไม่เยอะ หรือมีปัญหาทางเทคนิคของการพอร์ทลง PC แต่สำหรับเกม Etrian Odyssey ทั้ง 3 ภาคนั้นจะมีตัวเลือกให้ปรับภาพกราฟิกบน PC ได้ระดับหนึ่งสำหรับคนคอมไม่แรง หรือคนคอมแรงเลย แถมเกมก็ยังให้ใช้ FPS Limit ได้สูงกว่า 60fps ได้ด้วย!!! รวมทั้งการได้เห็นฉากต่างๆ ก็รู้สึกได้เลยว่ามันคมชัดกว่าตอน Nintendo DS แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่เกมภาพสวยอะไร แต่การที่มันเล่นได้ลื่นเหมือนตอน Nintendo DS ก็ถือว่าน่าดีใจแล้วของเกมภาค 1 กับ 2 จะไม่ค่อยได้ให้เราเห็นฉากสวยๆ แต่ตอนภาค 3 จะมีฉากที่ดูดีหรือมีรายละเอียดที่เพิ่มอรรถรสการเล่นอยู่สรุปEtrian Odyssey ถือเป็นเกมที่แฟน JRPG ควรหามาเล่นมากจริงๆ เพราะผ่านมาหลายปี เกมก็ยังสดใหม่เล่นได้สนุกอยู่เลย และก็แน่นอนว่าด้วยตัวเกมที่ทำมาแบบนี้ก็ทำให้เล่นวนๆ ซ้ำทั้ง 3 ภาคได้หลายรอบมาก แถมก็ทำมาเล่นได้ลื่นรองรับกับ PC หลายรูปแบบ อาจมีให้ขัดใจหน่อยคือเรื่องการวาดแผนที่ไม่ลื่นไหลเหมือนตอน Nintendo DS แต่ปัญหาใหญ่ก็แน่นอนคือเกมสมัยนี้หรือเกม JRPG นั้นมีให้เราเลือกเล่นในยุคนี้เยอะมากๆ แถมมันก็มีภาพสวยหรือระบบการเล่นที่ก็แปลกน่าโดนใจเหมือนกัน ทำให้ชุดรวม Etrian Odyssey Origins Collection ที่จะขายราคาใกล้ๆ กับเกมฟอร์มยักษ์สมัยนี้ จึงทำให้หลายคนอาจอยากซื้อเกมนี้มาเล่นตอนไม่มีเกมอะไรจะเล่นแล้วนั่นเอง (ยกเว้นคุณจะเป็นแฟนเกม JRPG จริงๆ ถึงคงอยากซื้อมาเล่น เพราะยังไงก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเกมนี้คุณภาพเยี่ยมมาก)
30 May 2023
[Review] รีวิวเกม Crime Boss: Rockay City เกมแอ็คชั่นรวมดาราดัง ที่มาผิดที่ผิดเวลาแบบสุด ๆ
Crime Boss: Rockay City เป็นเกมแนว FPS Shooting จากทาง INGAME STUDIOS ที่เปิดตัวอย่างน่าสนใจ เพราะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ขนพลังดารายุค 90 มาใช้อย่างจัดหนักจัดเต็ม แต่พอหลังจากที่เกมวางจำหน่าย ต่อให้มีพลังดารามหาศาล มันกลับไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะอะไรรีวิว Crime Boss: Rockay City ของเรา GameFever TH มีคำตอบเนื้อเรื่องผิดยุคผิดสมัย แถมเล่าได้น่าเบื่อสุด ๆเรื่องราวของ Crime Boss: Rockay City จะว่าด้วยตัวละคร Travis Baker หัวหน้าแก๊งที่หวังจะโค่นเจ้าพ่อทั้งหมดในเมือง Rockay เพื่อขึ้นเป็นใหญ่ในวงการอาชญากรรมแทน ทำให้เขาค่อย ๆ เริ่มออกปล้นเล็กน้อย หาเงินไปซื้อตัวสมาชิกแก๊งเพิ่ม และค่อย ๆ ก่อการใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีสองสมาชิกร่วมอย่าง Casey ที่รับหน้าที่ช่วยเป็ฯเลขาและจัดการบัญชีแก๊ง กับ Nasara ที่มาเป็นคนคอยช่วยเหลือการวางแผนด้วย แต่การจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งในเมืองนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากแก๊งต่าง ๆ จะมีขุมกำลังเป็นของตัวเองที่ยากจะต่อกรด้วยแล้ว เมืองนี้ยังมีสุดยอดนายอำเภออย่าง Norris ที่พร้อมจะเด็ดหัวทุกแก๊งที่ก่อความไม่สงบอยู่ด้วย ภารกิจของ Travis Baker จึงไม่หมูอย่างที่คิดไว้ ต้องบอกว่านี่เป็นเกมที่มีดาราฮอลลีวูดมาร่วมแสดงกันอย่างคับคั่ง ทั้งใบหน้าแบบ Motion Capture และการให้เสียงพากย์ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เหมือนเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับส่วนของเนื้อเรื่องในเกมนี้เลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ Core Story ที่เบาบางมาก ๆ เอาง่าย ๆ มันคือเส้นทางการไต่เต้าขึ้นเป็นสุดยอดอาชญากรรมเบอร์หนึ่ง ที่เน้นการเล่าเรื่องแบบเส้นตรง นอกจากนั้นก็คือการใส่บทสนทนาสุด Cringe ที่ไม่ควรจะเห็นในยุคนี้แล้ว แต่ถ้าเอามันไปไว้ในช่วงปี 90 หรือปี 2000 คิดว่าน่าจะยังเหมาะสม แต่กับปัจจุบันก็คงได้แต่ส่ายหน้าหรือไม่ก็แค่หัวเราะเบา ๆ เท่านั้น คงไม่มีใครแก้ปัญหาด้วยกันหยิบปืนมาไล่ยิงกันกลางเมืองแบบนี้อีกแล้ว ทั้งส่วนของการทำคัทซีน ตัดสลับไปมาแบบงง ๆ ฉากนึงมีตัวละครสองตัวคุยอยู่ ตัดไปอีกฉาก ก็เป็นสองตัวเดิม แค่เปลี่ยนสถานที่ คือดูแล้วสัมผัสได้ว่า ทีมสร้างเกมนี้เขาไม่ได้อยากจะทำเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย เลยทำมาแบบสุกเอาเผากินเท่านั้น ใครหวังจะได้เห็นเกม Gangster ดุ ๆ บอกเลย ผิดหวังแน่ ๆ จุดขายคือเหล่าดารานักแสดงอันโด่งดัง (ในอดีต) จนน่าจะหมดงบไปกับส่วนนี้ไม่ใช่น้อยสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนมีความสุข คือการได้เห็นเหล่าดาราชื่อดังกลับมารวมทีมอยู่ในเกมนี้กันเป็นจำนวนมาก แต่ต้องบอกว่าเป็นอดีตซะเป็นส่วนมาก เพราะในปัจจุบัน แม้ดาราเหล่านี้จะยังคงมีผลงานการแสดงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจฮิตระเบิด เทียบเท่านักแสดงรุ่นใหม่แล้ว อย่างตัวเอกของเกมนี้อย่าง Travis Baker ก็ได้ Michael Madsen นักแสดงคู่บุญของ Quentin Tarantino มาแสดงนำ / Kim Basinger นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ ที่มาในเกมนี้ก็ถูกลดอายุจนเป็นตัวละครสาวทรงเสน่ห์ที่เป็นผู้ช่วยของ Travis และเกมยังมีนักแสดงอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น Michael Rooker (ยอนดู จาก Guardians of the Galaxy) Danny Trejoi (มาเชเต้) Danny Glover (Lethal Weapon) รวมไปถึงไฮไลท์เลยคือนักแสดงที่เป็นมีมระดับตำนานอย่าง Chuck Norris ที่มารับบทนายอำเภอ Norris งานนี้ไม่รู้คนสร้างเกมไปทาบทามอีท่าไหน เขาถึงตอบรับงานนี้ เพราะ Chuck Norris แทบไม่รับงานแสดงเลย นับตั้งแต่ The Expendables 2 เมื่อปี 2012 อยู๋ดี ๆ มารับเชิญทั้งให้เสียงพากย์และโมชั่นแคปเจอร์เกมนี้เฉยแต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่นักแสดงคับเกมขนาดนี้ เชื่อเหลือเกินว่าทีมพัฒนาเกมน่าจะหมดงบส่วนหนึ่งไปกับการจ้างเหล่าดารามาอยู่ในเกมมากมาย ส่งผลให้ส่วนอื่น ๆ ภายในเกมมันดูแปลกพิกลไปแทบจะทั้งหมด สำหรับคอนเทนต์หลักของเกมนี้จะมีทั้งโหมด Campaign ที่เป็นเนื้อเรื่องหลักที่เล่าถึงการขยายอำนาจของแก๊ง Travis Baker ที่จะเล่าเรื่องราวแบบเป็นเส้นตรง สลับกับพาไปดูมุมมองจากตัวละครอื่น ๆ บ้าง โดยโหมดเนื้อเรื่องนี้ยังรองรับการ Co-op ด้วยการชวนผู้เล่นอื่นเข้ามาแจมด้วยได้ นอกจากนั้นยังมีโหมดออนไลน์แยกโดยเฉพาะ ให้เราได้ตั้งทีมปล้นกับเพื่อน ออกไปปล้นแก๊งศัตรูหรือตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งบอกเลยว่ามันเหมือนกับ Payday แทบจะทุกกระเบียด แต่อยู่ในบริบทที่ย่ำแย่กว่าในทุก ๆ ด้านในด้านกราฟิกของเกม อันนี้ต้องชื่นชมเลยว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่เกมทุนสูง แต่กราฟิกของเกมและคัทซีนนั้น ถือว่าทำมาได้ดีสมราคามาก อย่างน้อยตอนนี้ถ้าเอไปเทียบกับเกมอย่าง Redfall กราฟิกของ Crime Boss ยังถือว่าชนะขาด รวมไปถึงใบหน้าและโมเดลของตัวละครก็ทำออกมาได้ดี ภาพรวมของ Crime Boss: Rockay City จึงเป็นเหมือนผลงานสร้างเอามันส์ สร้างนองนีดใครก็ตามที่ชื่นชอบดารายุคเก่า จึงจับเอาพวกเขาและเธอมารวมตัวกันกลายเป็นเกมนี้ มันอาจจะโอเคในแง่ของพลังดารา แต่ในความเป็นเกมนั้นถือว่ามีปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะกับเกมเพลย์ที่วางการออกแบบมาดี แต่มีบาดแผลเยอะเหลือเกิน ซึ่งเรากำลังจะบอกทั้งหมดในหัวข้อถัดไปออกแบบระบบเกมดี แต่เกมเพลย์ดันหลงทิศหลงทางไปหมดมันน่าเสียดายจริง ๆ ที่ Crime Boss: Rockay City นั้น ออกแบบระบบเกมการเล่นมาได้น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งเราจะเล่าให้ฟังทีละอย่าง อย่างที่บอกไว้ในส่วนของเนื้อเรื่อง เกมนี้เป้าหมายของเราคือการขยายอาณาเขตแก๊งให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยตอนแรกเราจะมีพื้นที่อยู่เพียงหยิบมือ การจะขยายพื้นที่ได้ เราจำเป็นจะต้องส่งสมาชิกแก๊งออกไปลุย ซึ่งในแผนที่หลัก เราจะได้เห็นว่าพื้นที่นั้น มีสมาชิกแก๊งใดครอบครองอยู่ และจะมีภารกิจขึ้นมาให้เราทำ แต่ละภารกิจก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น เปิดวอร์กับแก๊งศัตรู ขโมยของ ปล้นของ หรือไล่ถล่มแก๊งศัตรูจนพื้นที่ตรงนั้นไม่มีใครควบคุม เราก็นำกองกำลังแก๊งเราเข้าไปยึดพื้นที่ และรับเงินแบบ Passive Income ต่อวันซะเองเกมนี้จะมีความเป็นเกมกาชา + บริหารจัดการทรัพยากรอยู่ กาชาที่ว่าก็คือ การที่เราจะหาสมาชิกแก๊งที่มีประสิทธิภาพสูง เราจะสามารถหาได้จากการสุ่มด้วยเงินทุนที่เรามี เมื่อเราสุ่มเจอสมาชิกที่ชอบ มีค่าสเตตัสที่โอเค เราก็ค่อยจ้างเข้ามาอยู่ในแก๊งเรา โดยสมาชิกแก๊งแต่ละคนจะมีอาวุธประชิดและอาวุธปืนติดตัว รวมไปถึงหากนำไปออกลุยบ่อย ๆ เราจะสามารถเลื่อนขั้นให้สมาชิกแก๊งคนนั้นได้ด้วย เงื่อนไขก็คือสมาชิกแก๊งแต่ละคน จะออกไปทำภารกิจได้เพียง 1 ครั้งต่อวัน และต้องพักผ่อนจึงจะใช้ได้ใหม่อีกรอบ นั่นหมายความว่าเราต้องบริหารจัดการให้ดี ภารกิจไหนยาก ๆ ก็ต้องเอาตัวที่มีความสามารถสูง ๆ ไป หรือด่านไหนที่จำเป็นจะต้องใช้คนเยอะ ๆ ถึงจะเอาพวกที่มีความสามารถกลาง ๆ รวมทีมกันไปลุยรูปแบบภารกิจต่าง ๆ จะมีตั้งแต่การลักลอบเข้าไปปล้นของแบบเงียบ ๆ ซึ่งตรงนี้ผู้เล่นจะซุ่มเงียบแบบ Payday ก็ทำได้ เพราะเกมสามารถสั่งการบอทร่วมทีมได้อย่างเต็มรูปแบบในกรณีที่เราไม่มีเพื่อนเล่นด้วย เราสามารถสั่งให้ตัวประกันคุกเข่า ใช้เคเบิลไทด์มัดมือ และหลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิด ทุบตู้กระจก เครื่องคิดเงิน แล้วขโมยเงินหรือของมีค่าก่อนหลบหนีออกไปเงียบ ๆ หรือเราจะไม่สนใจ ชักปืนยิงโป้ง หรือตะโกนบอกว่า ข้ามาปล้น ก็ได้ แต่ตำรวจจะเริ่มแห่แหนเข้ามาจนเรารับมือไม่ไหว ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรก็ลองคิดให้ดี ทั้งตอนที่เล่นกับบอทหรือตอนที่เล่นกับเพื่อนด้วยกันเอง อีกภารกิจที่ค่อนข้างชอบ คือภารกิจชิงพื้นที่ โดยอันนี้เกมจะเปลี่ยนโหมดไปเป็นแบบ Team Deathmatch กันเลยทีเดียว ก่อนเริ่มภารกิจนี้เราจำเป็นจะต้องมีสมาชิกแก๊งที่มากเพียงพอก่อน แล้วตั้งเป็น Army (กองกำลัง) จากนั้นเลือกพื้นที่ที่เราจะไปบุกยึด เราก็บุกยิงแก๊งตรงข้ามให้หมด ถ้าสำเร็จก็จะยึดพื้นที่นั้นได้ และเราสามารถทำเงินแบบ Daily Income จากพื้นที่ที่เรายึดมาได้ด้วย ส่วนบางภารกิจก็จะเป็นการบุกไปป่วน ปล้น ทำลายของ และอื่น ๆ ที่จะทำให้เราขยายพื้นที่เข้ายึดครองได้ฟังดูเหมือนจะดี แต่อย่างที่บอกว่าระบบเกมดี แต่เกมเพลย์มันหมดสีสันสุด ๆ เพราะนอกจากการยิงแล้ว เกมเพลย์ก็แทบไม่มีอะไรเลย แถมการดีไซน์ต่าง ๆ ยังดูซ้ำซากอย่างเหลือเชื่อ อย่างเช่นฉากหลังของภารกิจที่บางฉากนั้น ซ้ำกันให้เห็นแบบโต้ง ๆ กันเลยทีเดียว รวมไปถึงกลไกการปรับแต่งทั้งตัวละครสมาชิกแก๊ง และอาวุธของเราก็มีน้อยมาก ๆ เรียกได้ว่าแทบจะ Fix กันแบบตายตัวเลยว่าตัวนี้ใช้อาวุธนี้เท่านั้น ทำให้ความหลากหลายของมันมีน้อยมาก เล่นได้ไม่นานก็รู้สึกว่าเราเจอแต่อะไรเดิม ๆ ไปหมดแล้ว ทำให้น่าเสียดายที่มีการวางระบบของเกมมาดี แต่ซ้ำซากเร็วไปมาก สไตล์การเล่นหลาย ๆ อย่างก็จะมีความคล้ายคลึงกับ Payday แทบจะหมด ไม่ว่าจะเป็นการเจาะสว่าน การโกยของมีค่า หรือเงินเข้ากระเป๋าและหลบหนี แต่เหมือนทุกอย่างถูกดาวน์เกรดลงมาให้ทำกันได้ง่าย ๆ โกยของ ขึ้นรถ หนี ไม่มีคัทซีน บางทีตำรวจยิงถล่มอยู่ด้านหลัง เราก็วิ่งหนีขึน้รถ จบภารกิจได้ง่าย ๆ ซะอย่างนั้น ระบบการหาเงินแบบ Daily Income หรือการทำธุรกิจผิดกฎหมาย แค่เห็นเกมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เขาวางคอนเซปต์เกมมาดี แต่มือไม่ถึงที่จะทำ มันเลยกลายเป็นเหมือนระบบเกมมือถือง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ทั่วไป ลากเมาส์ขายของ หาเงินเข้าตัวเองจบ นอกจากนั้นเกมยังมีโหมดออนไลน์ แต่ถือว่าเป็นโหมดออนไลน์ที่จืดชืดมาก ผู้เล่นจะได้ร่วมมือกับคนอื่น ๆ ในการทำภารกิจที่มีเงื่อนไขแบบเดียวกันกับโหมดเนื้อเรื่อง ยิ่งทำให้เกมการเล่นจบไวมาก เรียกได้ว่าหาห้องนานกว่าเล่นซะอีก เพราะหากสุ่มเข้าไปเจอคนเล่นเป็นงาน หรือรู้เส้นทาง อาจจะจบเกมได้ภายในเวลา 2-3 นาทีด้วยซ้ำไป หรือบางห้องก็ไม่สนใจทำตาม Objective เน้นชักปืนมายิงแหลก ทำให้อรรถรสของโหมดเกมบางเกมหายไปซะดื้อ ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็โทษคนเล่นไม่ได้ เพราะตัวเกมไม่มีระบบอะไรมารองรับเลยว่าถ้าทำนอกกติกาแล้วรางวัลจะลดลง ทำให้คนเล่นส่วนใหญ่ ชักปืนยิงแหลกมากกว่าลอบเร้นจนได้ฟีลแก๊งโจร เพราะสุดท้ายของรางวัลมันก็เท่ากันอยู่ดี เนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี มาเจอกับเกมเพลย์ที่อยู่ในระดับกลาง ๆ อย่างน้อยก็ทำให้ประสบการณ์ของ Crime Boss: Rockay City ไม่ใช่อะไรที่เลวร้ายจนเกินไปนัก แต่หากมองถึงมาตรฐานเกมปี 2023 เกมนี้ก็ถือว่าทำได้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ซึ่งก็น่าจะเป็นผลจากการที่ทีมพัฒนาเอางบไปลงกับทีมนักแสดงจนเกือบหมดนั่นแหละ น่าเสียดายตรงจุดจุดนี้แทนมาก ๆ ประสิทธิภาพเกมที่ลื่นไหลเกินกว่าที่คาดไว้เหนือสิ่งอืนใดที่ดูเหมือนว่าเกมนี้จะทำได้ดีกว่าเกมอื่น ๆ ดันเป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการรันเกม นอกจากกราฟิกที่ไม่ได้แย่อะไรแล้ว เกมยังสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลมาก ๆ มากชนิดที่ว่าไม่คิดว่าจะทำได้ดีขนาดนี้ แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเกมนี้ไม่ได้มีฉากเป็นโลกเปิดกว้าง แต่เป็นฉากพื้นที่ปิดธรรมดา ทำให้สามารถจัดการปรับปรุงและขัดเกลาให้ตัวเกมลื่นไหลได้ ในขณะเดียวกันตัวเกมก็ใส่การปรับปรุงและการตั้งค่ารูปแบบต่าง ๆ เข้ามาได้เยอะพอสมควร ดังนั้นใครที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านสเปคขั้นต่ำก็น่าจะเล่นเกมนี้ได้อย่างสบาย ๆ แม้ว่าหน้าเกมจะดูไม่น่าสนใจ แต่หลังจากได้ลองเล่นมาแล้ว ตัวเกมมีการวางโครงสร้างและระบบที่ดีมาก ซึ่งก็ย่าเสียดายอีกยกที่เกมเพลย์มันถูกออกแบบมาอย่างตื่นเขิน ซึ่งน่าจะเอาทุนไปลงกับนักแสดงและกราฟิกซะหมด งานนี้ก็ถือว่าน่าจับตามอง หากสตูดิโอนี้จะมีผลงานใหม่ออกมาในอนาคต เพราะถ้ามีทุน มีเวลาให้มากกว่านี้ ทีมนี้อาจทำผลงานคุณภาพออกมาเลยก็ได้
25 May 2023
[Review] รีวิวเกม Havendock สร้างชุมชนกลางน้ำสุดหรรษา สวรรค์แห่งใหม่สำหรับยุคน้ำท่วมโลก
Havendock เป็นเกมที่ผู้เขียนต้องใช้เวลาศึกษาระบบต่าง ๆ ของตัวเกมอยู่นานมาก ๆ เพราะระบบเยอะ กิจกรรมแน่น กว่าจะได้มาเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ก็ล่วงเลยมาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เกมลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2023 นี่ขนาดว่าเป็นช่วง Early Access เท่านั้นนะครับ ผมก็ประเมินดูแล้วว่าไม่น่าจะสามารถยกทุกระบบของเกมมารีวิวในบทความนี้ได้ เพราะจะทำให้บทความนี้ยาวจนเกินไป จึงกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย บอกเลยว่าชุมชนสวรรค์กลางน้ำของเรา สำหรับผู้เล่นมันคือนรกดีดีนี่เอง ฮ่า ๆเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ เพราะมีแค่ที่บอกนี้จริง ๆเรารับบทเป็นผู้ประสบภัยท่านหนึ่งที่เรือแตกหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงบนเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเรียกเกาะได้ไหม ? น่าจะเป็นกองทรายมากกว่า กะด้วยสายตาแล้วว่า "อ่า...มันอยู่ได้คนเดียวเท่านั้นครับ"เมื่อได้สติเต็มที่ก็ได้มองไปยังพื้นที่รอบ ๆ เราจะพบว่าเราอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แต่มองไปก็จะเห็นเกาะอื่น ๆ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ หรือแม้แต่ติดเกาะอยู่อย่างเหงา ๆ อยู่กับความเดียวดายยยเรื่องราวของเราจะเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ครับ ตัวเกมจะเริ่มสอนให้เราสร้างชุมชนกลางน้ำของเราเองขึ้นมาโดยหยิบสิ่งของต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวที่ลอยมาเกยตื้น เราก็หยิบวัตถุดิบเหล่านั้นนั่นแหละครับมาเริ่มสร้างไปเรื่อย ๆ ตามเควสที่ตัวเกมคอยป้อนมาให้ จบแล้วครับสำหรับเนื้อเรื่องอันเล็กน้อยของเรา ฮ่า ๆ มีระบบสร้างตัวละครด้วยนะเธอตัวละครที่เราสร้างในเกมนี้เราสามารถเลือกเพศได้นะครับ และสามารถตบแต่งหน้าตาได้ แต่สำหรับตอนนี้ผู้เขียนมองว่า ชุดต่าง ๆ ยังมีให้เลือกใส่น้อยมาก ๆ หน้าตาของตัวละครก็ยังมีให้เลือกไม่สะใจเท่าไหร่ และยังมีไอเทมพิเศษให้สวมใส่ จะเพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ ให้เราเล็กน้อยครับระบบในส่วนนี้เราสามารถตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนเล่นเกมได้ ไม่ว่าจะเป็น ผู้อาศัยสามารถตายได้ หรือสามารถไล่ผู้อาศัยได้ ซึ่งตัวผมก็เลือกเล่นเกมตามค่าเริ่มต้นของมันเลย ซึ่งจะไม่มีคนตายและไม่สามารถไล่คนบนชุมชนกลางน้ำของเราออกไปได้ครับวุ่นวายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว มันจะเรือแตกอะไรกันเยอะแยะ (เกมเพลย์)ตัวเกมจากที่ผู้เขียนได้ลองเล่น เส้นทางของเกมหนักไปทาง Manage (การจัดการ) เพราะเราจะมี คน สัตว์ หรือแม้แต่หุ่นยนต์มาช่วยเราทำงานบนท่าเรือแห่งนี้ ยิ่งรับคนมาเยอะทรัพยากรพวกน้ำหรืออาหาร ก็ต้องใช้เยอะขึ้น แล้วผมบอกเลยว่าคนยิ่งเยอะชีวิตของเราก็ยิ่งวุ่นวาย ด้วยความที่มันยังเป็น Early Access เลยทำให้ระบบการจัดการบางอย่างมันไม่ค่อยสมเหตุสมผล เดี๋ยวผู้เขียนจะจำแนกหัวข้อต่าง ๆ ออกไปให้เพื่อน ๆ ได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของระบบต่าง ๆ ได้มากขึ้นนะครับการเอาตัวรอดขั้นเริ่มต้น - เราต้องเก็บไอเทมที่ลอยตามน้ำมา ไม่ว่าจะเป็น ไม้, ใบไม้, ปลา หรือแม้แต่กล่องซัปพลาย ซึ่งในกล่องจะมีไอเทมเป็นจำนวนมากกว่าที่เราเก็บเองทีละชิ้นครับ และไอเทมบางอย่างในช่วงแรก ๆ เนี่ยเราจะยังผลิตมันไม่ได้ ก็อาศัยจากเจ้ากล่องซัปพลายเนี่ยแหละครับ ที่ทำให้เราอยู่รอดได้ในช่วงแรก ๆ ของทุกอย่างใช้จำนวนของวัตถุดิบในการสร้าง และบางอย่างต้องใช้ไอเทมผสมกันเพื่อสร้าง เช่น ปั๊มดูดน้ำทะเล และหม้อเปลี่ยนน้ำเค็มเป็นน้ำจืด ทั้ง 2 อย่างที่ผมพูดถึงนั้นเป็นไอเทมสำคัญในช่วงแรก ๆ ที่เราจำเป็นต้องสร้างเลยครับ เพราะตัวละครของเรามีเกจการกระหาย และเกจค่าความหิวเราต้องนำไม้มาสร้างพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย จะมีเป็น Cell ให้เราวาง ในส่วนของบางพื้นที่ที่สร้างเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเกาะ เราจำเป็นต้องใช้ Iron ในการสร้างสะพาน ซึ่งช่วงแรกเราจะได้ Iron จากการเก็บไม้ที่ลอยน้ำมา และได้จากกล่องซัปพลายครับ ถ้าเราต้องการหาวัตถุดิบด้วยตัวเอง เราจะต้องสร้างโต๊ะ Workshop เพื่อ Research (วิจัย) ก่อนการวิจัยเพื่อสิ่งที่ดีกว่า - นี่คือหัวใจหลักของเกมนี้เลย เพราะสิ่งปลูกสร้างหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ในชุมชนคนเราจะต้องเริ่มต้นที่โต๊ะตัวนี้ครับ ตัวเกมจะแนะนำให้เราสร้างโต๊ะ Workshop ฮะ เมื่อเราสร้างเรียบร้อยแล้ว จะมี Tree diagram (แผนภูมิต้นไม้) ใช้ไอเทมวัตถุดิบต่าง ๆ จากการแปรรูปจากอุปกรณ์ที่เรามีครับ การวิจัยจะถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ จากระยะเวลาในการเล่นเกม เพราะไอเทมบางอย่างต้องรอ Trader หรือพ่อค้าต่าง ๆ ที่แวะเวียนกันมาขายไอเทมให้กับเรา พ่อค้าแม่ค้าแต่ละคนจะมีคีย์ไอเทมที่นำมาขายแตกต่างกันไป และไอเทมที่เราต้องนำมาใช้ในการวิจัยบอกเลยฮะว่าแต่ละชิ้นนี่ราคาสร้างบ้านมาก ๆ ฮ่า ๆหลังจากวิจัยไปเรื่อย ๆ นอกจากเราจะได้อุปกรณ์เครื่องมือบนบกที่สามารถผลิตวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราและผู้อาศัยเอาตัวรอดดำเนินไปจนถึงจุดหนึ่งของเกมได้แล้ว เราจะสามารถวิจัยเรือดำน้ำได้ครับ และเราจะไปทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต่อที่ใต้ทะเลกัน (มีงานให้ทำเพิ่มมากขึ้น) ในโลกใต้ทะเลนี้จะมีไอเทมที่สำคัญมาก ๆ เป็นคีย์ไอเทมที่จะช่วยให้เราวิจัยเครื่องมือในขั้นที่สูงขึ้นได้ และยังมีไอเทมอีกเยอะแยะมากมายที่เราจะต้องค้นคว้าเพื่อปลดล็อกกันต่อไป และในส่วนนี้เพื่อน ๆ ต้องไปเล่นเพื่อเสพความสนุกกันเอง ถ้าผู้เขียนบอกหมดจะเล่นไม่สนุกแล้วนะฮะการซื้อขายแลกเปลี่ยน - เราต้องสร้างชุมชนกลางน้ำของเราไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงในส่วนที่เราสามารถจะสร้างประภาคารได้ซึ่งมันก็ไม่อยากเย็นอะไรนักครับ ในช่วงแรก ๆ ของเกมถ้าเราสะสมวัตถุดิบต่าง ๆ จากท้องทะเลได้มากพอ เราจะสามารถสร้างประภาคารได้ไวมาก ๆ หลังจากเราสร้างประภาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาติดต่อซื้อขายกับเราอยู่ตลอดครับ เมื่อเทรดเดอร์เดินทางมาถึงจะมีเสียงแตรและข้อความ Pop-Up แจ้งเตือนขึ้นมาครับ บอกขนาดที่ว่าพ่อค้าหรือแม่ค้าคนไหนที่เดินทางมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับเรา ถ้าเราไม่ต้องการซื้อของกับคนไหน เราก็ทำงานของเราต่อไปได้ เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าแต่ละคนจะมีเวลานับถอยหลัง เมื่อหมดเวลาพวกเขาก็จะแล่นเรือจากเราไปเองครับ แต่ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะไปแล้วไปเลยนะฮะ เขาวกกลับมาขายให้เราอยู่เรื่อย ๆ นั่นแหละ ส่วนของที่ใช้แลกเปลี่ยนก็คือไอเทมต่าง ๆ ที่เราฟาร์มมาจากอุตสาหกรรมบนชุมชนกลางน้ำของเรานั่นแหละครับ จะมีราคาแลกเปลี่ยนบอกหมดเลยว่าอะไรเท่าไหร่ และจะมีไอเทมคีย์ที่เราจะเป็นต้องนำมาใช้เพื่อการวิจัย เราจำเป็นต้องผูกมิตรกับพ่อค้าแม่ค้าเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความสนิทของหัวใจครับ โดยการอัดสิ่งแลกเปลี่ยนของเราให้เยอะกว่าราคาขาย เงินเท่านั้นที่ Knock everything ฮ่า ๆการรับผู้รอดชีวิต - นี่จะเป็นหัวข้อสุดท้ายที่ผู้เขียนจะพูดถึงนะครับ เพราะว่าระบบต่าง ๆ ของเกมนี้ยังมียิบย่อยอีกเยอะมาก ๆ นี่ขนาดแค่ช่วง Ealry Access เองนะเนี่ย ยังมีอะไรให้ทำจนแทบจะไม่ได้นอนกันเลย ผู้รอดชีวิตจะนั่งแพมาขอเราอาศัยอยู่บนชุมชนกลางน้ำของเราด้วยหลังจากที่เราได้ทำการสร้างท่าจอดเรือเรียบร้อยแล้วฮะหลังจากเรารับผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ มาอยู่บนชุมชนกลางน้ำของเราแล้วชีวิตของเราจะดีขึ้นเป็นอย่างมากกกก เพราะมีคนคอยช่วยงานเราแล้วครับ เย้!!! ผู้มาขออาศัยบางคนจะมีสกิลติดตัวมาด้วยไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำเก่งกว่าชาวบ้าน, กินน้อยกว่า, ทำอาหารเก่งกว่า, เป็นนักชงน้ำที่สุดยอดแห่งท้องทะเล, เป็นนักรบ หรือแม้แต่เป็นกัปตันที่เชี่ยวชาญการขับเรือเป็นที่สุด ตรงนี้เราก็ต้อง Manage หน้าที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสมสำหรับผู้อาศัยครับ และเรายังสามารถเพิ่มไอเทมสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับผู้อยู่อาศัยของเราได้อีกด้วย!ส่วนหน้าที่ต่าง ๆ เราสามารถตั้งค่าให้ผู้รอดชีวิตคนไหนทำ หรือไม่ทำอะไรก็ได้จะมีตารางให้เราจัดการตารางงานของคนในชุมชนของเราครับ แต่ผมก็ให้ทำมันทุกอย่างนั่นแหละ และที่สำคัญเราต้องสร้างบ้านให้พอดีกับจำนวนผู้รอดชีวิตของเราด้วยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมHavendock มีงานอาร์ตเป็นภาพ 3D ที่น่ารักมาก ๆ เป็นเกมบริหารจัดการสร้างชุมชนกลางน้ำให้กับผู้ที่รอดชีวิตหลังโลกประสบปัญหาน้ำท่วมโลก มีมุมมองจากด้านบนลงมา หมุนภาพได้ 360 องศา ตัวเกมใช้พื้นที่ของเครื่องไม่เยอะเป็นเกมไซส์เล็ก ๆ ที่อาจจะพบปัญหาการกระตุกหน่อย ๆ ถ้าเครื่องของเราไม่แรงมากครับ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดถ้าเราปรับทุกอย่างให้ต่ำสุด เราก็จะเล่นเกมนี้ได้แบบไม่ตะกุกตะกักการบังคับต่าง ๆ ทำให้เราได้เล่นเกมอย่างลื่นไหล แทบจะไม่ต้องปรับตัวกับปุ่มต่าง ๆ เพราะมันเหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราเคยเล่นมาเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น W,A,S,D ที่ใช้บังคับทิศทางในการเดินของตัวละคร Q,E หมุนมุมกล้อง ลูกกลิ้งซูมภาพเข้าออก และผู้เขียนมองว่าถ้าเลือกเกมนี้ให้ลูก ๆ หลาน ๆ เล่นก็สามารถเข้าใจกับเกมเพลย์และการควบคุมได้ไม่อยากเลยครับ เพราะมีเควสคอยสอนระบบการใช้งานต่าง ๆ ให้อย่างครบครันUI ต่าง ๆ ออกแบบมาให้ผู้เล่นใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นการ Manage กระจายงานให้กับคนในชุมชน ก็มีตารางและรูปภาพบอกเลยว่าอยากให้ใครไปทำอะไรหรือไม่ทำอะไรครับ มีปุ่ม ALL ให้ปิดไปทั้งหมดก่อน เพื่อสะดวกในการเลือกงานให้กับผู้รอดชีวิต แต่สิ่งที่ผมค่อนข้างไม่จอยเท่าไหร่น่าจะเป็นระบบของอุปกรณ์บางอย่างที่สามารถเพิ่มคนให้ทำงานได้ แต่บางอย่างเพิ่มไม่ได้ ซึ่งผมงงมากว่าทำไมถึงไม่ให้ทุกอย่างสามารถเพิ่มคนทำงานได้สรุปHavendock สำหรับผู้เขียนนั้นบอกเลยว่าเป็นเกมที่มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ สนุกสนานและน่าสนใจ ปลุกความอยากรู้อยากเห็นในตัวคุณ "เกาะตรงนั้นมีไรอะ?" "อุ๊ยแล้วเกาะด้านนู้นเราไปได้ไหมนะ พายเรือไปดีกว่า" พายมาจนถึงสุดท้ายเข้าไม่ได้ ฮ่า ๆ เพราะเลเวลเรือของเรานั้น Noob กว่าเกาะที่อยากขึ้นไปครับ เนี่ยมันมีอะไรแบบนี้ซ่อนเอาไว้ให้ทำเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นไอเทมคีย์ต่าง ๆ ที่มีขายในร้านค้าของเหล่าเทรดเดอร์ที่ปรารถนาเวียนวน อยากจะนำเสนอของมาขายให้เราอยู่ตลอดเวล่ำเวลา ใครที่ยังลังเลว่าจะซื้อดีหรือไม่ซื้อดีบอกเลยไปซื้อเลยครับ ตอนนี้ลด 10% เหลือ 314.1 บาทเท่านั้นเอง !!! แต่ถึงจะเป็นราคาเต็ม 349 บาท ก็ไม่ถือว่าเป็นราคาที่รุนแรงอะไรเหมาะสมกับคุณภาพของเกมมาก ๆ ฮะ แถมเกมนี้ยังเหมาะกับผู้เล่นทุกเพศทุกวัย ถ้าอยากซื้อให้น้อง ๆ หนู ๆ ที่เป็นลูก ๆ หลาน ๆ ของเราเล่นผมมองว่าจะสามารถฝึกจินตนาการให้เด็ก ๆ ได้ และยังได้ความรู้เกี่ยวกับบริหารจัดการอีกด้วย และที่สำคัญมันมีภาษาไทยด้วยครับทุกคนนนนนส่วนด้านไม่ดีของเกมนี้ที่ผู้เขียนมองเห็นหลัก ๆ สำหรับผมนั้นก็คือ Bug ที่ค่อนข้างเยอะมาก ๆ แต่ Dev ก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ตามอัปแพตช์แก้ไขให้อยู่ตลอดจนผมสงสัยว่า เขานอนบ้างหรือเปล่า? ฮ่า ๆ และการจัดสรรคนไปทำงานกับอุปกรณ์บางอย่างไม่สามารถทำได้ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะทำได้เหมือนกันในทุกอุปกรณ์ อันนี้ก็สร้างความรำคาญใจให้กับผมอยู่พอสมควร เพราะอุปกรณ์ไหนที่เรา Assign แรงงานเข้าไปไม่ได้ เราต้องเดินมาทำเองอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ทำให้การผลิตต่าง ๆ ของเราหยุดชะงักหากเราลืมบ่อย ๆ ครับ และการสร้างห้องเล่นกับเพื่อนนั้นก็หลุดบ่อยจนคิดว่า "โอเค๊เล่นคนเดียวก็ได้"สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/2020710/Havendock/
22 May 2023
[Review] รีวิว The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom เกมภาคล่าสุดที่สนุก ยอดเยี่ยม และยกระดับความเจ๋งด้วยของเล่นใหม่!
The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom เป็นเกมภาคล่าสุดที่มีเนื้อหาต่อมาจากภาค Breath of the Wild ที่เขย่าวงการเกมอย่างมากตอนปี 2017 โดยที่เกมภาคล่าสุดนี้ก็ยังคงมีให้เล่นบนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch เหมือนเดิม และก็ยังคงเป็นเกมแนว Action Open World เน้นการให้แก้ปริศนาแบบเพลินๆ เช่นกัน ซึ่งใครที่อยากรู้ว่าเกมภาคใหม่นี้จะมีความเจ๋ง และยอดเยี่ยมเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมอย่างไรบ้าง วันนี้ทางพวกเรา GameFever ก็ได้มารีวิวให้ชมกันแล้ว!!! รับชมเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลยคลิปตัวอย่างเกมให้ดูโหมโรงStoryในเกม The Legend of Zelda ภาค Tears of the Kingdom นั้นจะเล่าเรื่องหลังฉากจบของเกมภาค Breath of the Wild เป็นเวลา 'ผ่านไปแล้วหลายปี' โดยก็เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตสงบสุข และกำลังบูรณะดินแดง Hyrule ให้กลับมาน่าอยู่อีกครั้ง เนื่องจากไม่มีปีศาจตัวฉกาจของเกมทุกภาคอย่าง Ganon ที่ป่วนโลกมาเป็นเวลาถึง 100 ปีอีกแล้ว ขณะที่เจ้าหญิง Zelda กับตัวเอก Link ก็ได้ออกผจญภัยตามหาความลับต่างๆ เกี่ยวกับดินแดน Hyrule จนดันไปเผลอเจอเข้ากับ 'ร่างของราชาปีศาจ Ganondorf' ที่เหมือนจะกำลังหลับไหลอยู่ และ Zelda ก็ดันเผลอไปทำให้ร่างปีศาจนี้ตื่นขึ้นกลับมาสร้างความวายป่วนให้โลกอีกครั้งซะงั้น รวมทั้งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ Link นั้นต้องสูญเสียพลังทุกอย่างรวมไปถึงการต้องพลัดพรากจาก Zelda อีกแล้ว ทำให้ Link นั้นจะต้องมาวนลูปตามหาเจ้าหญิง Zelda และหาวิธีปราบ Ganondorf ให้สำเร็จเพื่อให้โลกกลับมาสงบสุขเหมือนทุกภาคจริงๆ เกมทุกภาคก็เป็นการให้ Link ต้องตามหา Zelda และไปปราบ Ganondorf เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว แต่ภาคนี้ผู้เขียนแอบขัดใจการปูเนื้อเรื่องช่วงต้นเกม อารมณ์เหมือนเกมควรจะปูด้วยเหตุผลที่น่าสนใจหรือยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่นี่ก็หมายถึงช่วงต้นเกมก่อนเริ่มผจญภัยเท่านั้นนะ รวมทั้งทางเราจะไม่เล่าอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเพิ่มเติมแล้ว ไม่งั้นเป็นการสปอยหนักมากการดำเนินเรื่องของเกมภาค Tears of the Kingdom จะมีความคล้ายคลึงกับของเกม Breath of the Wild นั่นก็คือการเล่าแบบตัวเอก Link ที่ตื่นขึ้นมาแบบไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ต้องออกผจญภัยตามหาเจ้าหญิง Zelda และช่วงผจญภัยก็จะได้พบเนื้อเรื่องเจ๋งๆ มากมายที่ไม่ได้มีอยู่แค่ในเนื้อเรื่องหลัก โดยคนที่เคยเล่นภาค Breath of the Wild จะรู้สึกได้เลยว่าช่วงแรก 'มันดำเนินคล้ายคลึงกับของภาคก่อนมากไปหรือเปล่า' แต่หลังจากเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่ามันก็มีการใช้มุกใหม่ๆ อย่างน่าสนใจ และทำให้คนเล่นผูกพันธ์กับดินแดน Hyrule มากขึ้นไปอีก แถมเมื่อเราเล่นไปจนถึงช่วงกลางเกม เราก็จะได้พบการเล่าเนื้อเรื่องแบบใหม่ที่ "เจ๋งมากๆ ตามชื่อเกมภาคนี้" ก่อนที่เราจะได้ไปเจอฉากจบของเกมที่ "ยอดเยี่ยมอลังการกว่าเดิม" และอีกจุดเจ๋งหนึ่งคือภาคนี้ก็ยังคง 'เล่าเรื่องแบบทำให้การผจญภัยโลก Open World น่าสนใจมากขึ้นด้วย' แถมนอกจากฉากจบของเกมจะยอดเยี่ยมอลังการกว่าเดิม เกมก็ยังมีการปั้นเนื้อเรื่องเนียนๆ ตั้งแต่ช่วงแรกของเกมเพื่อให้คนเล่นอินกับฉากจบมากขึ้นไปอีก เพราะงั้นในด้านเนื้อเรื่องยังไงมันก็ยังคงความเป็น Masterpiece ของเกมสไตล์ Zelda และทำให้รู้ด้วยว่าผู้พัฒนานั้นยังใส่ใจทำเกมแต่ละภาคออกมาให้ยอดเยี่ยม ไม่ได้ทำมาลวกๆเกมภาคนี้ยังให้โอกาสผู้เล่นสามารถจบแบบ 'ไปตีบอสตัวสุดท้ายตั้งแต่ช่วงต้นเกม' ได้เหมือนเดิม แต่ก็ต้องเตือนไว้เลยว่าช่วงบอสฉากจบภาคนี้สู้เหนื่อยกว่าของภาค Breath of the Wild มากๆ เตรียมใจกันให้ดีส่วน NPC เกมภาคนี้ที่เราจะได้พบเจอ ส่วนใหญ่จะเป็น NPC ที่มีตัวตนอยู่ในภาคก่อน และบางคนที่บทในภาคก่อนไม่ได้เยอะ มาในภาคนี้อาจกลายเป็นตัวละครสำคัญในเนื้อเรื่องหลักด้วยGraphic & Musicใครที่เคยซื้อเกมภาค Breath of the Wild มาเล่นตอนเครื่อง Nintendo Switch วางขายใหม่ๆ ก็น่าจะจำกันได้ว่านี่เป็นเกมที่มีฉากสวยๆ เยอะมาก และก็มีการทำเสียงประกอบหรือดนตรีได้ดี จนเป็นหนึ่งในเหตุผลให้หลายคนต้องตกหลุมรักเครื่องเกม Nintendo Switch แต่หลังจากนั้นชาวนินก็ได้มาพบว่าเราแทบไม่ค่อยได้เห็นเกมทำฉากสวยๆ แบบนี้อีกเลย เนื่องจากเกมค่ายแบบ Third Party ส่วนใหญ่ที่พอร์ทเกมมาลงก็มีเรื่องข้อจำกัดด้านภาพสวย หรือเกมค่าย Nintendo ส่วนใหญ่ก็ไปเน้นเรื่อง Gameplay มากกว่าจะทำฉากสวยๆ แบบนี้ แต่ The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom จะเป็นเกมที่พาคุณกลับมารู้สึกอะไรแบบนี้อีกครั้งแล้วนะ! เพราะแทบหลายฉากภายในเกมนี้ สิ่งที่เราจะสัมผัสได้เลยคือมันสวยอลังมากๆ จนบางคนอาจลืมไปแล้วว่าเครื่อง Nintendo Switch นั้นก็ทำเกมภาพสวยแบบนี้ได้นอกจากนี้ เกมภาค Tears of the Kingdom ก็จะมีให้เราได้ 'เหาะเหินบนอากาศ' หรือ 'ผจญภัยบนเกาะลอยฟ้า' อยู่บ่อยครั้งมากๆ จึงทำให้เราจะได้เห็นวิวที่สวยไปอีกแบบหนึ่ง แถมพวกงานเสียงกับดนตรีนั้นก็ยังทำมา 'รู้สึกผ่อนคลายชิลๆ' อย่างเป็นเอกลักษณ์น่าจดจำเหมือนเดิม ถ้าจะให้ติเตียนก็คือเรื่องที่แม้เกมจะทำฉากได้สวยๆ แต่ก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าภาพกราฟิกภาคนี้มันมีการลดคุณภาพ "ความละเอียดคมชัด" ลงจากภาค Breath of the Wild จนทำให้ถ้าเราตั้งใจดูที่ภาพดีๆ จะรู้สึกเบลอหรือรู้สึกภาพหยักๆ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเกมมีการใส่พื้นที่ใหม่ๆ หรือใส่เอฟเฟ็กต์กราฟิกที่กินเสปคเครื่องกว่าเดิม เพราะในเกมภาค Tears of the Kingdom หลายๆ ฉากมันดูมีดีเทลเยอะกว่าของภาค Breath of the WildPresentationจากที่ได้บอกไปว่าเกมภาคนี้จะดำเนินเรื่องคล้ายคลึงของภาค Breath of the Wild จึงทำให้แน่นอนว่าการนำเสนอในเกมภาคนี้ก็จะเหมือนกันด้วย เพราะเราจะเริ่มมาแบบเป็น 0 ทุกด้าน และก็ต้องออกไปผจญภัยในโลก Open World เพื่อหาทำกิจกรรมให้ตัวละครเก่งขึ้น และหาคุยกับ NPC เรื่อยๆ เพื่อรู้ว่าต้องทำอะไรเป็นสิ่งต่อไปจนกว่าจะจบเกม โดยกิจกรรมในภาคนี้ก็ไม่ต่างกันด้วย อย่างการที่เกมจะมีดันเจี้ยนให้ไปแก้ปริศนาจำนวนมาก หรือการต้องไปตามหาเจ้า Korok เพื่อได้ของไปแลกเป็นกระเป๋าเก็บของได้เพิ่มเติม รวมทั้งตามพื้นที่ต่างๆ ในเกมก็จะมีเจ้ามอนสเตอร์ที่จะขวางทางเรา หรือเราอยากไปฆ่ามันเพื่อหาไอเทมดีๆ แถมแผนที่ในเกมภาคนี้จริงๆ ก็ยกมาจากของภาค Breath of the Wild เลยด้วย แต่ก็จะมีการเปลี่ยนกับเพิ่มสถานที่ใหม่ๆ อย่างพวกเกาะลอยฟ้าตามที่ได้บอกไป สถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ ยกตัวอย่างเมืองใหญ่ทั้ง 4 ก็จะมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกับของภาค Breath of the Wild หลายส่วนเลย หรือพวกมอนสเตอร์ตามทางก็คล้ายคลึงกับของภาค Breath of the Wild แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะซ้ำซาก สิ่งพวกนี้จะมีเซอร์ไพร์สให้รู้สึกแตกต่างแน่นอนส่วนหลายระบบกิจกรรมแม้จะมีวิธีการต้องทำแบบเดิมๆ แต่บางกิจกรรมก็มีการต่อยอดมาเป็นภารกิจใหม่ๆ หรือเป็นภารกิจแนวใหม่อยู่พอสมควรด้วย ทำให้ถ้าจะเล่นเกมนี้จบ 100% ก็ต้องใช้เวลายิ่งกว่าภาค Breath of the Wildจากด้านบน เห็นได้ชัดเลยการนำเสนอเกมภาคนี้จะดูไม่ได้แค่คล้ายคลึง แต่เหมือนแอบยกของภาคก่อนมาให้เล่นต่อกันเลยแบบเห็นได้ชัด โดยสำหรับแฟน Zelda ก็คงไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะเกมเพลย์แบบเดิมมันก็สนุกมากๆ อย่างไม่น่าเบื่ออยู่แล้ว ขณะที่คนไม่ใช่แฟน Zelda ก็จะกังวลว่าเกมเหมือนภาค Breath of the Wild มากไปจนดูเป็นเกมภาคเสริมมากกว่าหรือเปล่า ซึ่งท้ายที่สุดผู้เขียนก็ขอบอกเลยว่าแม้จะคล้ายกันขนาดนี้ แต่ตอนได้เล่นยังไงก็ไม่รู้สึกเหมือนกัน แถมเกมยังใส่ลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาเยอะจนคุณรู้สึกถึงความแปลกใหม่ และยกระดับความยอดเยี่ยมของเกมมากไปอีก โดยเฉพาะระบบสกิล "Ultrahand" ที่จะให้ผู้เล่นเอาวัตถุต่างๆ มาประกอบรวมร่างกันจนเป็นสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ หรือยานพาหนะสุดมีประโยชน์ได้ แถมเกมก็ให้อิสระผู้เล่นสร้างสรรค์ขึ้นมาได้เยอะระดับนึงเลย จนตอนนี้ก็มีคนทำคลิปอวดยานพาหนะเดือดๆ อย่างรถถังหรือหุ่นยนต์ยักษ์ถล่มฝูงมอนให้ชมกัน แต่เกมก็ยังมีระบบ "Fuse" ที่ให้เอาอาวุธกับอุปกรณ์รวมร่างกันจนสร้างประโยชน์แปลกๆ ได้ด้วยนะ ยกตัวอย่างโล่ + จรวดก็จะทำให้เราได้ Jetpack เอาไว้ขึ้นที่สูงได้ไวๆ เร็วๆ หรือเอาบูมเมอแรง + ป้อมปืนพ่นไฟ เวลาปาบูมเมอแรงก็จะพ่นไฟออกมาเผาฝูงศัตรูแบบสุดโหดระบบ Ultrahand นั้นถือว่าช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่นทุกรูปแบบมากจริงๆ ไม่ว่าจะด้านการให้เราสร้างอะไรมากำจัดศัตรูง่ายๆ หรือช่วยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ยกตัวอย่างถ้าเรากำลังทำเควสหาปลาล่องหนมาคราฟชุดเกราะล่องหน ในเมื่อเรามองไม่เห็นปลาก็สร้างแพ + ป้อมปืนช็อตไฟฟ้าฆ่าปลาทั้งบ่อน้ำนั้นไปเลยสิ!เกมยังมีระบบสกิล Autobuild ที่พอเราสร้างสิ่งประดิษฐ์หรือยานพาหนะอะไรขึ้นมา ก็สามารถเซฟเอาไว้ไปสร้างตอนหลังๆ แบบให้อัตโนมัติได้ แถมตอนสร้างนั้นก็เข้าใจง่าย และไม่ยุ่งยากอะไร ส่งผลให้คนเล่นเกมไม่เก่งก็จะสร้างอะไรเจ๋งๆ ขึ้นมาได้แน่นอนอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพูดถึงคือระบบสกิล Recall ที่ให้ผู้เล่นสามารถย้อนเวลาวัตถุต่างๆ กลับไปได้ระยะหนึ่ง ยกตัวอย่างถ้ากดใส่ลูกตุ้มที่กำลังตกเขา เราก็สามารถใช้ Recall ให้มันกลับขึ้นไปบนเขาได้ และสิ่งนี้พอผสมกับระบบ Ultrahand ก็ทำให้ผู้เล่นสร้างสรรค์อะไรบางอย่างเพิ่มได้อีก แถมยังมีระบบสกิลอื่นๆ อย่าง Ascend หรืออย่างอื่นที่เจ๋งๆ แบบนี้ด้วยอย่างไรก็ตาม การใส่ระบบ Ultrahand กับ Fuse หรือสกิลอื่นๆ เข้ามาก็ทำให้เกมถอดสกิลจากภาค Breath of the Wild ออกไปบางส่วน ยกตัวอย่างสกิลสร้างระเบิดมาสแปมใส่ศัตรู หรือสกิลสร้างแท่งน้ำแข็งบนพื้นน้ำได้ ทำให้แอบรู้สึกได้อย่างเสียอย่างนิดๆ รวมทั้งเกมภาคนี้ยังมีระบบลูกเล่นใหม่ๆ ที่ถ้าเราบอกจะเป็นการสปอย แต่ระบบลูกเล่นนั้นก็จะแลกกับลูกเล่นภาคก่อนเช่นกันGameplayตอนเกมภาค Breath of the Wild เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าจุดสนุกหลักๆ ของเกมซีรี่ส์ The Legend of Zelda คือการแก้ปริศนาเพลินๆ เป็นซักส่วนใหญ่ แม้แต่การสู้บอสก็จะเน้นให้เราไปใช้เวลาแก้ปริศนา หรือหาวิธีเอาชนะอย่างชาญฉลาดเสียมากกว่า ขณะที่เกมภาค Tears of the Kingdom ก็ยังคงเป็นแบบนั้น แต่กลับทำได้ดีกว่าเดิมทั้งระบบแก้ปริศนาและระบบต่อสู้ด้วย เพราะอย่างที่บอกไปว่าเกมภาคนี้มีของเล่นใหม่ทั้ง Ultrahand หรือ Recall เป็นต้น การแก้ปริศนาในเกมนี้จึงมีความหลากหลายมากกว่าเดิม และเราก็ใช้วิธีได้มากกว่าเดิมต่อ 1 ปริศนาด้วย ส่วนระบบการต่อสู้ที่เรานั้นจะสร้างยานพาหนะโหดๆ หรืออาวุธสุดเถื่อนได้ บางทีมอนสเตอร์จึงจะมาเป็นฝูงพร้อมมินิบอส หรือบางมอนก็โจมตีเราโหดมากๆ ทำให้เกมนั้นจะมีให้เราอยากควักความเจ๋งของเกมไปใช้สู้อย่างเต็มอิ่มบ่อยๆ ซึ่งมันยกระดับจากภาค Breath of the Wild มากจนต้องยกนิ้วให้เลยดันเจี้ยนปริศนาในเกมภาคนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่าเราไม่ได้มีแค่ 1 ทางในการแก้ปริศนา ยกตัวอย่างดันเจี้ยนที่ให้เราต้องหาวิธีข้ามไปที่อีกฝั่งนึง เราก็อาจจะสร้างเครื่องบินเพื่อข้าม หรือใช้จรวดติดโล่พุ่งตัวเองขึ้นที่สูง และจากนั้นค่อยใช้เครื่องร่อนบินมาข้ามฝั่งก็ได้เป็นต้นนอกจากศัตรูบางทีจะมาเป็นฝูง หรือโจมตีได้รุนแรงอย่างมาก บางทีมันก็จะมาพร้อมยานพาหนะขนาดยักษ์เหมือนกัน ทำให้เราก็ต้องสร้างยานพาหนะไปต่อสู้ด้วยนั่นเองอีกส่วนหนึ่งที่น่าพูดชมมากๆ ในด้านเกมเพลย์คือ 'การทำให้เราสนุกที่จะผจญภัยในโลก Open World อย่างมาก' เพราะจากด้านบนทั้งหมดที่พูดมา การที่เราจะสร้างยานพาหนะหรืออาวุธเจ๋งๆ ก็จะต้องมีการไปตามหาวัสดุในพื้นที่ต่างๆ เสียก่อน โดยเกมก็จะยังมีลูกเล่นให้การตามหานั้นสนุกขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างบางวัสดุนั้นเราจะต้องหาของไปเปิดจาก 'ตู้กาชา' เพื่อสุ่มให้ได้วัสดุนั้นๆ (ไม่มีให้เติมเงินจริงๆ เพื่อเปิดนะ ไม่ต้องกลัว) แล้วพอมันมาบวกกับพวกกิจกรรมที่เกมมีอยู่แบบภาคก่อนๆ ก็ทำให้เกมน่าผจญภัย และได้ใช้เวลาออกสำรวจโลกแบบไม่น่าเบื่อมากขึ้นไปอีก แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วเกมภาคนี้ก็ไม่ได้จะเจาะตลาดผู้เล่น Casual มากขึ้นนะ เพราะระหว่างเล่นเกมก็จะมีการ 'ไม่บอกจุดเควสตรงๆ' เพื่อให้เราไปตามหาวิธีผ่านเควสเอาเอง หรือต้องใช้เวลาเยอะมากๆ ในการจะทำสิ่งต่างๆ เพราะงั้นถ้าคุณเคยเล่นภาค Breath of the Wild แล้วรู้สึกไม่ชอบหรือไม่ไหวกับอะไรแบบนี้ ภาคนี้ก็อาจทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นเหมือนเดิมนอกจากเรื่องวัสดุ หรือระบบกาชา การที่เราจะใช้สิ่งประดิษฐ์หรือยานพาหนะก็ยังจำเป็นต้อง 'ใช้งานแบตเตอรี่' โดยเกมจะมีไอเทมให้หาเก็บเพื่อเติมแบตเตอรี่ และทำให้หลอดแบตเตอรี่ยาวขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้ก็แน่นอนว่าเราจะมีกิจกรรมให้ทำเพิ่มยาวๆ อีกเช่นกันอีกเรื่องที่น่าพูดถึงคือเกมภาคนี้ไม่มีให้ปีนหอคอยเปิดหมอกแผนที่แล้วนะ แต่จะมีให้ตามหอคอยที่จะยิงเราขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเปิดหมอกแผนที่แทน และเรายังใช้ประโยชน์ตอนบินบนฟ้าด้วยการเดินทางไปที่ไหนไวๆ ได้ ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าเกมก็สนใจปรับปรุงเรื่อง QoL แบบเจ๋งมากๆPerformanceตอนเกมภาค Breath of the Wild วางขายใหม่ๆ หลายคนในเวลานั้นจะไม่ได้ว้าวกันเท่าไหร่ที่เกมสามารถเล่นได้ลื่นที่ช่วงเฟรมเรท 30FPS อยู่บ่อยๆ แต่มาในภาคนี้ที่มีการใส่สถานที่ใหม่ๆ แบบอลังกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่เป็นต้น ผู้เขียนมองว่าเราควรจะว้าวกับเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะเกมนั้นก็ยังสามารถเล่นได้ที่ช่วงเฟรมเรท 30FPS อยู่บ่อยๆ เหมือนเดิมเลย!!! จะมีเฟรมตกแค่ช่วงเอฟเฟ็กต์เยอะๆ อย่างการที่เราใช้ป้อมปืนไฟเผาศัตรูจำนวนมาก หรือตอนที่อยู่ใกล้กับเมืองใหญ่ๆ แถมตลอดการเล่นก็ไม่มีอาการค้างหรือปัญหาของเครื่อง Nintendo Switch ให้พบเจอเลย แล้วอย่าลืมว่าเกมนั้นก็ทำฉากสวยๆ มาให้เจอบ่อยมากเลยนะ เพราะงั้นนอกจากคุณภาพของเกมที่ดีมากๆ ทางผู้พัฒนาก็ยังคงใส่ใจ่เรื่องให้เล่นลื่นเหมือนเดิมเกมภาคนี้ตอนต่อ Docked จะเป็นแบบ Dynamic 900p ส่วนแบบ Handheld จะเป็นแบบ 720p ซึ่งทั้ง 2 แบบจะมีแค่โหมด 30fps ถ้าเล่นตอนต่อ Docked จะทำให้เฟรมเรทเสถียรมากขึ้น ถ้าตกมากสุดจะอยู่ที่ต้นๆ 20fpsสรุปThe Legend of Zelda: Tears of the Kingdom คือเกมภาคที่สมการรอคอยมากๆ มันคือภาคที่ทำให้คนเล่นรู้สึกว่า "อัปเกรด" ความยอดเยี่ยมไปเยอะขึ้นสุดๆ เลย แม้จะมีการถอดระบบหรือลูกเล่นบางส่วนจากภาคก่อน โดยภาคนี้อาจไม่ถึงขั้นเขย่าวงการเกมแบบ Breath of the Wild เพราะการดำเนินเรื่องหรือการนำเสนอก็ไม่ได้ต่างกันเยอะ แต่ใครที่ตกหลุมรักเกมภาคก่อน หรืออยากเล่นเกมที่สามารถทำให้เล่นบน Nintendo Switch ได้ดีที่สุด ยังไงก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลยจริงๆ แถมของเล่นใหมอย่าง Ultrahand กับ Fuse ก็สามารถทำให้คุณเล่นวนซ้ำๆ ได้นานกว่าภาคก่อนง่ายๆ เลย* ขอขอบคุณผู้ใจดีที่ส่งเกมนี้มาให้พวกเราได้รีวิวกันด้วยนะครับ *
20 May 2023
[Review] รีวิวเกม SD Shin Kamen Rider Rumble เกมสำหรับแฟน ๆ คาเมนไรเดอร์ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด
มาสค์ไรเดอร์ หรือคาเมนไรเดอร์ สุดยอดฮีโร่ประจำประเทศญี่ปุ่นที่ชาวไทยรู้จักกันดี และแม้ว่าจะได้ดูกันช้าไปหน่อย แต่ประเทศไทยเรากำลังจะได้สัมผัสกับ Shin Kamen Rider ผลงานตีความใหม่ของ Anno Hideaki กันแล้ว และจริง ๆ แล้ว นอกจากตัวภาพยนตร์ที่เข้าฉายไปในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2022 มันก็มีวิดีโอเกมตามออกมาด้วยเพื่อส่งเสริมกันและกัน นั่นคือ SD Shin Kamen Rider Rumble แต่ตัวเกมนี้จะเป็นยังไง คุ้มค่าที่จะลองเล่นหรือไม่ หรือแค่ทำมาโปรโมทหนังเฉย ๆ วันนี้เรามีคำตอบในรีวิวตัวนี้เนื้อหาสปอยล์ตัวหนังอย่างเต็มพิกัดจริง ๆ แค่ข้อแรก เราก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไงดี แต่เราคงบอกได้ว่า หากคิดจะไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรง ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อเกมนี้มาเล่น เพราะเนื้อหาของ SD Shin Kamen Rider Rumble จะเป็นการหยิบยกเอาเนื้อเรื่องหลักของหนัง Shin Kamen Rider มานำเสนอเป็นเนื้อเรื่องหลักในวิดีโอเกม สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Kamen Rider คือตัวละครแนวซเปอร์ฮีโร่ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องราวของฮอนโก ทาเคชิ นักแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ถูกองค์กรก่อการร้ายอย่าง Shocker พาไปดัดแปลงร่างกาย เพื่อหวังจะให้กลายเป็นขุมกำลังขององค์กร แต่การผ่าตัดเกิดผิดพลาด ทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์ดัดแปลง หรือคาเมนไรเดอร์ และเขาเลือกที่จะใช้พลังนั้นในการปกป้องโลกสำหรับเนื้อหาในเกมกับหนังนั้น แทบจะตรงกันแบบเป๊ะ ๆ และเป็นแบบเดียวกับที่กล่าวมาด้านบน แต่ระหว่างทางของตัวเกมและตัวหนังจะเป็นยังไง ชาวไทยก็รอติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์ ดังนั้นเอาเป็นว่าทั้งหนังและเกม ใช้เนื้อเรื่องแบบเดียวกัน แค่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเป็นคนละสื่อนั่นก็คือเกมและหนังนั่นเอง ซึ่งวันที่บทความรีวิวตัวนี้ลง เชื่อว่าแฟน ๆ คาเมนไรเดอร์ก็คงได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ Shin Kamen Rider กันในโรงมาแล้วการนำเสนอในรูปแบบ SD ตัวการ์ตูนสุดน่ารักตัวหนังมาอย่างโหด แต่ตัวเกมมาแบบน่ารักมาก เพราะเกมนี้ใช้กราฟิกและการนำเสนอแบบ SD หรือ Super Deformed หรือจะเรียกว่า Chibi ก็ได้ ทำให้มันเป็นรูปแบบการนำเสนอที่ต่างไปจากตัวหนังโดยสิ้นเชิง แต่ก็ถือว่าทำให้บุกตลาดได้ง่ายขึ้นมาหน่อย เพราะกราฟิกและภาพที่น่ารัก ยังไงก็ดึงคนได้แน่ ๆ แม้แต่คนที่ไม่สนใจคาเมนไรเดอร์ก็ตาม สำหรับเกมนี้จะเป็นแบบ Single Player ที่มีแต่โหมดเนื้อเรื่องเท่านั้น รูปแบบของเกมการเล่นจะเป็น Beat 'em up เดินหน้าซัดแหลก ตะลุยด่านไปเรื่อย ๆ โดยฉากต่าง ๆ ก็จะอิงมาจากหนัง Shin Kamen Rider ตามที่ได้บอกไปแล้ว ดังนั้นความยาวของเกมนี้จึงมีไม่มากเท่าที่ควร หลัก ๆ แล้วถ้าคุณเล่นเก่ง ๆ 4-5 ชั่วโมงก็อาจจะจบเกมได้ แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายจนถอดสมองเล่นได้ขนาดนั้นเหมือนกันและที่เจ๋งมาก ๆ คือเรื่องของดนตรีประกอบ ใน SD Shin Kamen Rider Rumble ก็จะใช้เพลงประกอบธีมเดียวกันกับหนัง และคาเมนไรเดอร์ในช่วงยุคโชวะ เอาแค่หน้าเข้าเกมนี่แฟน ๆ ไรเดอร์ก็คงฟินกันตาแตกแล้ว อย่างผู้เขียนนี่คือนั่งฟังเพลงจนเต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยกดเริ่มเกม และพวกฉากคัทซีน หรือบทสนทนาต่าง ๆ เขาก็เอาใจแฟน ๆ สายโชวะไรเดอร์กันอย่างเต็มที่ ประโยคที่คุ้นหู คุ้นตา สู้ต่อไปทาเคชิ สู้ต่อไป คาเมนไรเดอร์ จะมีมาให้เราได้เห็นกันตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะตอนลุย หรือตอนที่เราพ่ายแพ้จนเกมโอเวอร์ก็ตามแต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ด้วยความที่เกมมันก็ไม่ได้ยาวอะไรมาก บวกกับระบบของเกมที่ตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุด หากคุณไม่ใช่แฟนของคาเมนไรเดอร์ หรือ Shin Kamen Rider ตัวเกมในราคา 790 บาทก็ถือว่าเป็นราคาที่ตึงมืออยู่เหมือนกัน อาจจะรอลดราคาเอาก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่ลองมาดูหัวข้อเกมเพลย์เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเพิ่มเกมเพลย์แบบ Beat 'em up ที่อีกนิดก็น่าจะเลยเถิดไปเป็น Musouเกมเพลย์ของ SD Shin Kamen Rider Rumble นั้นต้องบอกเลยว่าง่ายแสนง่ายอย่างที่สุด มันคือการเดินหน้าลุยแหลก กระทืบเหล่ากีกี้และตัวหัวหน้าจากองค์กรช็อคเกอร์ให้ราบคาบ โดยเกมเพลย์จะเป็นรูปแบบเกมสมัยเก่า คือ Action Side Scrolling ที่เราจะเดินจากซ้ายไปขวา และกำจัดศัตรูให้หมดไปเรื่อย ๆ จนถึงบอสเป็นอันจบฉาก โดยระหว่างทางเราก็จะมีไอเทมช่วยเหลือ มีเงินให้เก็บ มีแต้ม Skill Point ให้เอากลับไปอัปเกรดที่ฐานทัพของเรา แต่ตามปกติแล้วตัวเกมในสไตล์ Beat 'em up นั้น จะมาในรูปแบบที่พอเหมาะ ให้เราได้สู้กันแบบสนุกสนาน แต่กับเกมนี้ เรียกได้ว่าอีกนิดก็เลยเถิดไปเป็นเกม Musou แล้ว เพราะปริมาณศัตรูที่อัดเข้ามาในหน้าจอนั้น เพียงพอต่อการรัวคอมโบได้ถึง 300-400 คอมโบเลยทีเดียว ถ้าเราไม่พลาดท่าทำคอมโบหลุดซะเอง และการทำคอมโบจะส่งผลต่อ Ranking Score ที่อยู่มุมขวาบนของหน้าจอด้วย ยิ่งทำ Ranking Score ได้ดี ผลตอบแทน รางวัลที่ได้ก็จะยิ่งสูงขึ้น แต่จำนวนศัตรูที่มากขนาดนี้ การจะเลี้ยงคอมโบไม่ให้หลุดเลยก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายใช่เล่นตัวละครคาเมนไรเดอร์ของเรานั้นจะมีท่าโจมตีอยู่สองแบบ แต่ผสมผสานกับท่วงท่าอื่น ๆ ได้อีกมากมาย คือการโจมตีหนักและเบา ทั้งสองแบบจะสามารถผสมผสานกับการจับทุ่มศัตรู การกระโดดโจมตี ที่หากกดเบาก็จะออกอีกท่า กดหนักก็จะเป็นอีกท่า ท่าโจมตีแบบพิเศษเองก็จะไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งมันส่งผลกับระยะการโจมตี แต่ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับดาเมจสักเท่าไร เอาแบบตรง ๆ เลยคือ จะกดอะไรก็กดไปเถอะ ค่าเท่ากัน แต่ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่า ท่ากระโดดต่อย กับกระโดดเหยียบหัว มันทำให้จังหวะเราเสียหลายครั้งมาก ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง คอมโบหลุดเพราะจังหวะพลาดหลายทีแล้ว ทีนี้มันไม่ใช่แค่เกม Beat 'em up ทั่วไป แต่เกมยังใส่ความแปลกใหม่อย่าง Roguelite เข้ามาในเกมด้วย (แปลกใหม่ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นคนทำเกมนี้ เพราะปกติเขาจะเน้นทำง่าย ขายง่ายไว้ก่อน) แต่ระบบ Roguelite ของเกมนี้จะไม่ใช่การสุ่มฉากหรือศัตรู แต่จะเป็นการสุ่มไอเทมที่ได้ในแต่ละฉากแทน ในทุก ๆ ครั้งที่เราเคลียร์ฉากได้ ระบบจะสุ่มอาหารเข้ามาให้เราเลือกกิน เลือกดื่มกัน โดยส่วนมากเมนูอาหารก็จะเป็นพวกอาหารที่คนญี่ปุ่นกินกันนั่นแหละ โดยจะมีบัฟที่ต่างกันหลายแบบ เช่นการโจมตีด้วยท่านี้แรงขึ้น โจมตีใส่ศัตรูที่มีเกราะแรงขึ้น หรือฟื้นพลังมากขึ้นเป็นต้น เราอยากจะได้บัฟแบบไหนก็เลือกเอาเลย และหลังจากเลือกบัฟแล้ว ก็จะมีทางไปต่อให้เลือก 2 ทางคือบนกับล่าง เราก็ดูที่ป้ายว่า รางวัลในด่านหน้าจะเป็นอะไร ก็เลือกเข้าได้เลย แต่บางทีก็มาแบบวัดดวง เป็นเครื่องหมายปริศนาทั้งสองทาง งานนี้ก็ลุ้นดวงเอาอย่างเดียวในช่วงท้ายฉากก่อนเปลี่ยนด่าน จะยังมีตัวช่วยเข้ามาเพิ่ม เช่นตู้เอทีเอ็มที่เอาไว้ฝากเงินทั้งหมดที่เราหามาได้ เพราะเกมนี้หากเราพลาดท่าตาย ถือเงินอยู่ก็อาจจะดรอปหายไปด้วย บางฉากจะเป็น Vending Machine หรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่จะขายไอเทมแบบสุ่ม 3 ชิ้นให้เรา อาจจะเป็นเครื่องดื่มฟื้นพลัง หรือบัฟชั่วคราว เราจะยอมเสียเงินซื้ออะไรก็แล้วแต่เลย หรือจะฝากเงินทั้งหมดไว้ในตู้เอทีเอ็มก็ได้ เพราะเกมนี้การจะอัปเกรดสกิล จำเป็นจะต้องใช้ทั้งอัญมณี Skill Point และเงินด้วยนั่นเอง และเห็นว่าศัตรูมาเยอะ สู้ง่าย อย่าคิดว่ามันจะง่ายยันจบเกม เพราะจากที่ลองเล่นมา แม้จะเลือกโหมดง่ายสุด แต่สิ่งที่ทำให้ใครหลายคนอาจจะสะดุดได้นั่นก็คือบอส บอสไฟท์ของเกมนี้ก็๗ะมีรูปแบบการโจมตีที่ค่อนข้างหลากหลาย และกวนประสาทมาก แต่ถึงอย่างนั้น การโจมตีของมันก็จะมีจังหวะที่ชัดเจน และมีแพทเทิร์นวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่แบบ วิธีรับมือคือสติเท่านั้น และระหว่างการต่อสู้ บอสเกือบทุกตัวจะเรียกลูกน้องออกมากวนเราเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้าสติไม่แน่นพอ ดังนั้นเชื่อว่าคนเล่นทุกคน ถ้าไม่เซียนจริง อย่างน้อยก็น่าจะตายก่อน 1 รอบถึงจะพอจับทางทั้งหมดได้ทีนี้มาดูระบบการอัปเกรดกันบ้าง สำหรับเกมนี้จะมีการอัปเกรดอยู่สองอย่าง คือตัวละคร และมอเตอร์ไซค์ แน่นอนว่าไม่มีความซับซ้อน การอัปเกรดก็จะบอกถึงสิ่งที่จะได้โดยตรง นั่นคือโจมตีแรงขึ้น พลังชีวิตเยอะขึ้น พลังป้องกันสูงขึ้น แต่ใครไม่รู้จะอัปอะไรก่อน ก็กดออโต้ไปเลย ระบบจะคำนวณให้เองว่าแต้มสกิลเท่านี้ เงินเท่านี้ อัปเกรดอะไรถึงจะเวิร์คที่สุด ส่วนของมอเตอร์ไซค์นั้น ตอนแรกก็งงว่าเกมมีให้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยหรือ แต่คำตอบก็คือ มันจะช่วยเป็นค่าสเตตัสแฝงให้กับตัวละครเรา และที่สำคัญคือมันสามารถใช้ลัดฉากได้ เช่น หากเราผ่าน Stage 1 ของเกมไปแล้วพลาดท่าตายขึ้นมา ถ้าอัปเกรดมอเตอร์ไซค์ไว้ ก็จะไปเริ่มที่ Stage 2 ได้เลย แถมได้โบนัสเพิ่มอีก เห็นแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้เห็นว่าการอัปเกรดมอเตอร์ไซค์ของเกมนี้ สำคัญจริง ๆทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถูกออกแบบมาให้เกมการเล่นนั้น สนุกสนานได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะแฟน ๆ คาเมนไรเดอร์ ที่นาน ๆ ที จะมีเกมที่ไม่ได้ทำออกมาลวก ๆ ให้ได้เล่นกัน แม้จะไม่ใช่เกม AAA ฟอร์มใหญ่อะไรแต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว ส่วนเรื่องของราคาก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะสะดวกจ่ายหรือไม่เท่านั้นถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใจพอสมควร ที่คราวนี้ไม่ได้ทำเกมออกมาลวก ๆ เพื่อโปรโมทหนัง อาจจะมีข้อเสียตรงที่เกมมันสั้นไป แถม Replayble Value นั้น น้อยมาก ๆ แตุ่ถ้าคุณเป็นแฟนคาเมนไรเดอร์ ก็จัดเลยครับ สนุกแน่นอน
18 May 2023
[Review] รีวิวเกม FABLEDOM มาสร้างดินแดนเทพนิยายในฝันกันเถอะ !
FABLEDOM เป็นเกมสร้างเมืองที่มีเกมเพลย์ที่น่ารักฟรุ้งฟริ้ง แบบที่เราจะเข้าไปท่องอยู่บนโลกแห่งเทพนิยายปรัมปรา แค่คอนเซปต์ของเกมผู้เขียนก็วาดฝันไว้ในใจเลยว่ามันต้องน่ารักตะมุตะมิแน่ ๆ สายแบ๊วจะต้องไม่ผิดหวัง ไปแอบดูภาพตัวอย่างของเกมมาเล็กน้อย แล้วกดลงคลังมาดองรอเล่นเอาไว้ก่อน ที่ผู้เขียนยังไม่รีบเพราะตัวเกมนั้นเป็นแบบ Early Access ลงวางจำหน่ายใน Steam เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2023 (ขนาดบอกว่าไม่รีบผมก็ยังกดซื้อมันมาตั้งแต่ Day One) ตัวเกมยังไม่ปล่อยฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้เล่นแบบเต็มสูบเท่าไหร่นัก ยังมีระบบต่าง ๆ อีกเยอะแยะมากมายก่ายกองที่ยังกั๊กรอปล่อยอัปเดตตาม Roadmap อยู่ครับ แต่ดูจากภาพของเกมและแผนการอัปเดตของ Dev ผมบอกเลยว่าต้องมาลองกันก่อนที่มันจะปล่อยตัวเต็มสักหน่อย (ความน่ารักมันดึงดูดอย่างรุนแรง)"ปะ ไปดูบรรยากาศภายในเกมกันดีกว่าครับ"เนื้อเรื่องแบบพอให้เห็นภาพเนื้อเรื่องเกมนี้สั้น กระชับ ฉับไว คือเราเป็นเจ้าชาย หรือ เจ้าหญิง (เลือกเพศได้) เกิดมาชีวิตดีเลย มีพ่อเป็นคิงส์แม่เป็นควีนส์ เส้นทางดูโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็นะ...ในเทพนิยายในท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่มีอะไรราบรื่นหรอกฮะ ถึงเวลาที่ตัวเอกอย่างเราต้องถูกพ่อและแม่ส่งไปสำรวจดินแดนใหม่ ออกไปต่อสู้ดิ้นรนเจอทั้งทุกข์และสุขด้วยตัวเองและผู้บรรยายในนิทานบอกเราว่า เราสามารถสร้างเรื่องราวของเราเองได้ ไม่ว่าจะครองรักกับเจ้าหญิง มีซัมติงกับเจ้าชาย หรือแม้แต่จะเป็นบ้าระรานอาณาจักรอื่น ๆ ก็สุดแล้วแต่กมลสันดานของเรา ตัวเกมจะไปจบที่ตรงไหนคุณนั่นแหละเป็นผู้สร้าง นิทานเรื่องนี้เป็นของคุณ! (ทำเสียงเป็นผู้วิเศษแบบในเกมด้วยครับจะได้เห็นภาพ ฮ่า ๆ)เหมือนหลุดมาจากนิทานได้บริหารสร้างเมืองสไตล์เจ้าหญิงเจ้าชาย จะเริศ จะเชิด ก็ได้ (เกมเพลย์)FABLEDOM จะมี 2 โหมดให้เราเลือกเล่นนะครับ ได้แก่Standard Mode - บริหารจัดการและสร้างเมืองไปตามเนื้อเรื่องของเกมครับ จะมีเสียงกระซิบจากผู้วิเศษคนหนึ่งที่คอยบอกเราตลอดทั้งเกม มีเควสให้ทำ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ปลดล็อกตามค่า milestone ในเกมCreative Mode - โหมดนี้ให้ความอิสระกับเรามาก ๆ สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างที่มีในเกมจะปลดล็อกให้เราหมดแล้ว เหมือนเราเล่นเพื่อมาเน้นสร้างความสวยงามมากกว่าแผนที่ต่าง ๆ - มีให้เลือกเล่นหลากหลายมากครับ เราสามารถกดสุ่มภูมิประเทศไปเรื่อย ๆ เพื่อหาสถานที่ที่ถูกใจที่สุดได้ เมื่อได้จุดภูมิศาสตร์ที่ถูกใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรต่าง ๆ, จุดที่ตั้ง, หรือสภาพแวดล้อม เราก็กดเลือกว่าเรากำลังมองหาอะไร เจ้าชาย หรือเจ้าหญิง หรือจะหามันทั้งหมดนั่นแหละก็ได้ เพราะตัวเกมเปิดกว้างเรื่องทางเพศครับการเอาชีวิตรอด - เมื่อได้ตำแหน่งที่ต้องการแล้ว ตัวเกมจะมีกลุ่มคนมาให้เรากลุ่มหนึ่งครับ เราต้องสร้าง Workplace และจัดสรรประชากร 2 คน ให้เป็นคนงาน เพื่อที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด ภายในบริเวณพื้นที่ที่กำหนด (ตอนแรกจะมีให้ Cell เดียว ต้องเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาเงินมาขยายพื้นที่)ที่อยู่อาศัย - เมื่อสร้างเกมไปเรื่อย ๆ ตัวเกมจะเริ่มมีสิ่งที่คนรักความเท่าเทียมจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ นั่นก็คือระบบแบ่งชนชั้นครับ งานบางอย่างต้องชนชั้นแรงงานเท่านั้นถึงจะทำได้ เช่น งานปศุสัตว์ หรืองานทำฟาร์ม ส่วนงานในโรงพยาบาลนั้นต้องเป็นชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นถึงจะทำได้ เป็นต้น (ซึ่งในเกมตอนนี้มีแค่ 2 ชนชั้นนะครับ)แม้แต่ที่อยู่อาศัยก็มีการเหยียดชนชั้นกันอย่างชัดเจน คอนโดมิเนียมชนชั้นกลางเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ และบ้านของชนชั้นล่างต้องสร้างให้ห่างจากคอนโดมิเนียมของชนชั้นกลางด้วยนะ เพราะไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ไม่มีความสุข (ก็คนเหมือนกันจะยี้ไรหนักหนา ฮ่า ๆ) ส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ถ้ามีเสียงดังไม่ใช่ว่าสร้างในระแวกที่อยู่อาศัยไม่ได้ แต่ว่าไม่ควรสร้างเพราะจะสร้างเสียงรบกวนให้ประชากรของเรา และทำให้ค่าความนิยมของเราลดลงครับ เมื่อลดลงตัวเกมก็จะไม่พาเราไปจุดที่ผ่าน Milestone อุปกรณ์ในลำดับต่อไปก็จะไม่ปลดล็อก แล้วก็จะเกิดปัญหาเรื่องการหาทรัพยากรต่าง ๆ ตามมาครับ ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ตัวเกมก็มีความบาลานซ์ดี แต่ไม่ชอบเรื่องการอัปเกรดสิ่งปลูกสร้างไม่ได้นี่แหละครับ ชนชั้นล่างก็จนมันอยู่แบบนั้นไม่ได้ขึ้นมาลำดับกลางสักที หึ!การผลิตอาหาร - ยิ่งคนเยอะยิ่งมีปัญหา เนื่องจากเกมนี้ระบบต่าง ๆ ยังอัปเดตมาค่อนข้างน้อย การหาอาหารให้เพียงพอต่อประชากรในเมืองก็ค่อนข้างมีปัญหาในช่วงหลังเอามาก ๆ ครับ เพราะทรัพยากรไม่พอ ทั้ง ๆ ที่มีฟาร์ม และมีโรงทำขนมปังเยอะมาก ๆ แต่ด้วยความที่มันดันอัปเกรดอะไรไม่ได้เลย จึงทำให้การทำงานของโรงงานบางอย่างผลิตวัตถุดิบให้เราได้ช้าลง และไม่เพียงพอเช่น โรงงานทำขนมปังของเราจะสามารถจ้างลูกจ้างได้แค่คนเดียว และทำขนมปังได้แค่ 1 ชิ้น ถ้าอยากได้ไวไวก็ต้องสร้างโรงงานขนมปังเพิ่มไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางทีพื้นที่ว่างหรือแรงงานเราไม่พอ ก็จะมีไซด์เอฟเฟกต์ให้ได้เห็นทันทีในช่วงฤดูหนาว เพราะเราจะทำการเกษตรไม่ได้เลย ถ้าของในคลังที่เราเก็บเกี่ยวไว้มีไม่พอ (ซึ่งมันจะไม่พอแน่ ๆ ครับเพราะระบบเทรดยังไม่มา) ประชากรของผู้เขียนจะอดข้าวตายเป็นเบือเลยฮะในช่วงฤดูหนาวถ้าบอกว่าจะหวังจากการทำปศุสัตว์ บอกเลยว่ายิ่งหนักกันเข้าไปใหญ่ เพราะเกมนี้ไม่ใช่ว่าตรงพื้นที่นั้น ๆ มีสัตว์แล้วเราจะออกไปล่าเอาเนื้อมากินได้ตลอด 1 ฝูงสัตว์จะเท่ากับว่าเราจะสร้างคอกสำหรับเลี้ยงได้ 1 คอก ซึ่งต้องเปิดพื้นที่หาสัตว์ไปเรื่อย ๆ ถ้าเจอในพื้นที่ถัดไปเราถึงจะสามารถสร้างได้อีกคอก และสามารถสร้างติดกับคอกเดิมได้ ระบบตรงนี้สร้างความอึดอัดให้ผมอยู่พอสมควร เพราะสัตว์มีน้อยมาก ๆ และอาหารก็จะขาดแคลนอยู่ดี มีหรือไม่มีแทบไม่ต่างกัน เป็นเศร้าการทำเควส - เควสจะอยู่ในช่วงแรก ๆ ของเกมเท่านั้นครับ เล่นไปเรื่อย ๆ พอทำเควสจนหมดแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลย ผู้เขียนเลยมองว่า น่าจะมีเพื่อเอาไว้สอนการเล่นเกมมากกว่า รางวัลที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเงินและทรัพยากรต่าง ๆ ในเกมครับ นอกจากเควสของระบบก็ยังมีเควสของตัวเกมที่จะเด้งผ่านมาตามจดหมายหรือการแจ้งเตือนต่าง ๆ อันนี้จะเป็นเควสวน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกมีปัญหาเราจะแก้ไขอย่างไร (ตรงนี้มีตัวเลือกให้เราเลือก)ในอนาคตผู้เขียนก็แอบหวังว่าถ้าตัวเกมมีการอัปเดต Dev อาจจะใส่เควสต่าง ๆ มาให้เพื่อสร้างความท้าทายและเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมของเราให้มากขึ้น ผมคาดหวังไว้หนัก ๆ เลย เพราะตอนนี้ถ้าให้ตอบตามจริงเลยคือเควสมันน้อยไปมากกกกกก พอไม่มีเป้าหมายก็แอบเคว้งอยู่เหมือนกันครับคำสาป - ผมบอกเลยว่าส่วนนี้ยังมาไม่สุด ฮ่า ๆ ขาดไปเยอะเลยครับ ตรงนี้ผู้เขียนมองว่าน่ารักดีที่ผู้พัฒนาหยิบกิมมิกตรงนี้จากนิทานหรือเทพนิยายมาใช้ครับ เพราะโลกของหนังสือที่เริ่มต้นด้วย Once upon a time... มักต้องอยู่คู่เคียงเบียดกันมากับแม่มดจอมอิจฉาริษยา แต่เกมนี้มีเพียงนางเดียวเท่านั้นแล้วสาปแบบเดิมตลอด คือสาปให้ชาวเมืองของเราเป็นโครงกระดูกเดินได้ แต่ไม่กี่วันก็หายไป อาจจะส่งผลกระทบกับค่าความเชื่อมั่นของชาวเมือง แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้มากมายอะไร และแทบจะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเลยนอกเสียจากประชาชนของเราไม่มีผิวหนัง ผมก็ยังคาดหวังเหมือนเดิมว่าในอนาคตขอให้ Dev สาปชุดใหญ่ ๆ มาเลย ไม่ครณามือหรอก!นี่มันหาพันธมิตรหรือเกมเกมหาคู่ - อ่านไม่ผิดหรอกครับ ฮ่า ๆ มันรวม 2 อย่างเอาไว้ด้วยกันนั่นแหละ เราสามารถที่จะทำการปรองดองกับพื้นที่หรือเมืองใกล้ ๆ เราได้ครับ พอเราส่งทูตของเราไปเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ถ้าเราสนใจเจ้าหญิงหรือเจ้าชายจากเมืองไหน เราสามารถให้ของขวัญเพื่อจีบได้ แต่ถ้าเราไปให้ของขวัญเมืองข้าง ๆ ด้วย เจ้าเมืองที่เราเคยไปเต๊าะเอาไว้จะโกรธทันทีและหัวใจก็จะลดลงไปถึงขีดสีแดง และสามารถสร้างความบาดหมางในอนาคตได้ และลุกลามไปจนถึงขั้นเปิดศึกสงครามที่มาจากความหึงหวงครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ (หล่อไม่ไหว)ส่วนถ้านิสัยเราเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงที่อันธพาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราจะชักศึกเข้าบ้านมันตั้งแต่เริ่มเลยก็ได้ โดยการส่งจดหมายไปกวนบาทาเจ้าเมืองต่าง ๆ ได้เลย ไม่นานเกินรอได้รบกันจริง แต่ช่วงแรก ๆ เราจะไม่มีทหารไว้สู้กับเขาสักคน ฮ่า ๆ ๆ ๆ ในส่วนนี้ของเกมผมมองว่าน่ารักดีต่างจากเกมอื่น ๆ มีให้จีบกันได้ เจ้าหญิงหรือเจ้าชายจะมีท่าทีเคอะเขินให้เรามั่นไส้อยู่บ่อย ๆ ผมเบะปากให้กับจริตของท่านชายและท่านหญิงในเกมอยู่บ่อยครั้ง ระบบต่าง ๆ ภายในเกมเป็นเกมสร้างเมืองแนวเทพนิยายที่มีภาพเป็นตัวการ์ตูน 3D น่ารัก ๆ แถมมาด้วยสีสันที่สดใสเล่นแล้วใจฟูเวรีมัช มีมุมมองจากด้านบนลงมา ใช้พื้นที่ในเครื่องไม่มากมายตัวเกมไซส์เล็ก ๆ เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับส่วนการบังคับของเกมนี้ไม่ซับซ้อนอะไร เหมือนเกมสร้างเมืองทั่ว ๆ ไป ใครเคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้วอาจจะไม่ต้องปรับตัวมากนักครับ ใช้ W,A,S,D ในการเคลื่อนย้ายมุมกล้อง ใช้ลูกกลิ้งเมาส์ซูมเข้าออก Q,E หมุนภาพซ้ายขวา เป็นต้น ส่วนใครที่เป็นมือใหม่กับเกมแนวนี้ หรือผู้ปกครองอยากหาเกมดีดีให้เด็ก ๆ เล่น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นไม่เป็นฮะ ตัวเกมมีเควสคอยสอนอยู่ตลอดว่าให้กดปุ่มไหนหรือทำอะไร รับรองว่าถ้าเล่นตามเควสไปยังไงก็เล่นได้แน่นอนUI ของเกมนี้ออกแบบมาน่ารักเหมือนภาพของเกมนั่นแหละครับ ใช้งานง่าย ตัวการ์ตูนน่ารักไม่รกตา และไม่ซับซ้อนอะไรเลย การเพิ่มคนงานลดคนงาน ย้ายจากอีกจุดไปอีกจุดก็มีหน้าต่างแยกออกมาให้ทำเลย เพราะช่วงหลัง ๆ ประชากรในเมืองเราจะเยอะ และค่อนข้างดูยากตัวเกมก็ใส่ตรงนี้มาเป็น Shortcut ให้เรา และอยู่ในจุดที่หาง่ายด้วยครับสรุปFABLEDOM สำหรับผมแล้วบอกเลยว่าเป็นเกมที่ดูดีมีอนาคตมาก ๆ ใครที่ต้องการเล่นเกมสร้างเมืองที่มันไม่เครียดจนเกินไป ผมมองว่าเกมนี้ก็สร้างความเพลิดเพลินให้ได้ระดับหนึ่งเลย ด้วยความที่ธีมของเกมเป็นโลกเทพนิยายแฟนตาซี ผู้เขียนมองว่าเกมนี้จะต่อยอดได้อีกไกลครับ ไม่ว่าจะเป็นแฟร์รี พิกซี โทรลล์ โกเลม แม่มด หรือแม้แต่ยักษ์ ก็สามารถยัดลงมาเป็นคอนเทนต์ให้กับเกมนี้ได้มันยังมีอะไรให้ต่อยอดไปอีกเยอะมาก แล้วยังมีกิมมิกเล็ก ๆ อย่างเสียงคนบรรยายที่มีลักษณะเสียงเป็นผู้วิเศษที่คอยไกด์เราอยู่ข้างหู มีมุกต่าง ๆ ในการพูดเล่นกับเราอยู่ตลอด ประกอบกับเสียงเพลงที่ไม่สร้างความรำคาญให้กับผมเลย (ปกติผู้เขียนจะชอบปิดเสียงเพลง) เลยทำให้การเล่นเกมไม่อึดอัดและสร้างเมืองไปได้เรื่อย ๆ ชิล ๆ มองนาฬิกาอีกทีก็เช้าแล้ว และเกมนี้ผู้เขียนมองว่าถ้าจะซื้อให้เด็ก ๆ เล่นฝึกทักษะการวางแผน บริหารจัดการ วางผังเมือง ผมมองว่าก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่เหมาะให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้เริ่มต้นครับ อาจจะฝึกทักษะบางอย่างให้น้อง ๆ ได้เจอตัวเอง (เริ่มจากเป็นสถาปนิกตัวน้อย ๆ ในเกมไปก่อน)พูดถึงข้อดึไปเยอะแล้ว มาดูในส่วนที่ผมไม่ค่อยชอบกันบ้างดีกว่า ด้วยความที่มันเป็น Early Access ตัวเกมจบคอนเทนต์ไปค่อนข้างไวมาก ๆ ครับ ไวจนรู้สึกว่าใส่อะไรมาให้อีกหน่อยก่อนได้ไหม อีกสักนิดก็ยังดี ฮ่า ๆ แต่ดูจาก Roadmap มีบอกช่วงเวลาจะอัปเดตสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ ผมก็หวังว่า Dev จะทำได้ตาม Roadmap เพราะผมมองว่าถ้าอัปเดตมาจนสุดได้เล่นกันเพลินกว่านี้แน่ ๆ ส่วนอีกเรื่องที่ผมมองว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นั่นก็คือการอัปเดตสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ตรงนี้แอบสร้างความน่าเบื่อเล็กน้อยให้กับการเล่นเกมอยู่เหมือนกันฮะ เช่น ถนน สมมติถ้าเราใช้ถนนเป็นทางดินธรรมดาแล้วเราต้องการอัปเกรดให้เป็นถนนหินซึ่งเราปูทับที่เดิมไม่ได้ เราต้องลบถนนเดิมแล้วสร้างใหม่ ตรงนี้ผมมองว่ามันค่อนข้างเสียเวลาอยู่ครับ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ก็อัปเกรดไม่ได้ อยากได้เพิ่มก็ต้องสร้างเพิ่ม ซึ่งทำให้ค่อนข้างกินเนื้อที่ ตอนนี้เราก็คงทำได้แค่นั่งรออัปเดตในอนาคตฮะ และก็ราคา 445 บาท ก็ยังถือว่าแอบแรงไปนิด แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ยอมจ่าย เพราะถือว่าเกมดูจะไปได้อีกไกล ผมประทับใจคอนเซปต์ของเกมนี้มาก ที่จะมาสร้างเทพนิยายด้วยตัวผมเองเนี่ย ใครสนใจตามไปกดได้ใน Steam เลยครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1651560/Fabledom/
17 May 2023
[Review] รีวิวเกม Terra Nil ให้โลกเราสวย พวกเรามาช่วยกัน
Terra Nil เป็นเกมจากผู้พัฒนาเดียวกันกับ The Wandering Village เกมที่เคยโด่งดังอยู่พักหนึ่งในช่วงเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมาครับ ที่เราจะต้องไปสร้างเมืองกันบนหลังไคจูตัวยักษ์ที่เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ไปโลดเล่นในเกมกันมาบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงเกมใหม่ล่าสุดจากค่ายนี้กันครับหลังจากเกมลงวางขายเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2023 ผู้เขียนกดซื้อมันมาเลยอย่างไม่รีรอ เพราะผมตามเสพตัวอย่าง trailer ของเกมจากช่องทางต่าง ๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว วันนี้มีโอกาสได้เล่นมันสักที เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของเกมเพลย์ที่ผมได้สัมผัสให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ (ที่สำคัญตัวเกมมีภาษาไทยด้วยนะฮะทุกคน)ฟื้นฟูระบบนิเวศ จากปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลากหลายพื้นที่ ที่มีความแตกต่างกันทางชีวภาพ (เกมเพลย์)Terra Nil ไม่ได้มีโหมดเนื้อเรื่องที่จริงจังมากนักครับ ตัวเกมจะปูทางให้เราได้ทราบว่า โลกเราเดินทางมาถึงจุดที่ว่าสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกแล้ว เราคนเล่นเนี่ยต้องรับบทเป็นผู้รอดชีวิตและเข้ามารับหน้าที่ฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมในจุดต่าง ๆ ให้สามารถกลับมาอาศัยอยู่ได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการนำสัตว์ต่าง ๆ กลับมาในพื้นที่, ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว, การกำจัดสารพิษ, สร้างสภาพอากาศให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย รวมไปถึงการรีไซเคิลสิ่งต่าง ๆ ที่จะสร้างมลพิษให้เราลำบากใจในอนาคต Terra Nil มาในรูปแบบของเกมวางแผนกึ่ง Puzzle ที่เราจะต้องจัดวางสัดส่วนต่าง ๆ ให้ได้เปอร์เซ็นต์ตามพื้นที่สีเหลี่ยมที่ตัวเกมกำหนดครับ สร้างอะไรมากไปก็ไม่ได้เพราะพื้นที่อาจจะไม่พอยิ่งช่วงหลัง ๆ ความยากของเกมจะถูกยกระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ แอบต้องรีสตาร์ตเกมด่านนั้น ๆ เล่นกันใหม่อยู่บ่อย ๆ สักแผนที่ที่ 3 ถ้าใครเล่นความยากระดับกลาง (นักนิเทศวิทยา) ขึ้นไปก็เริ่มจะท้อแล้วฮะ บอกเลยว่าเดือดเหมือนลาวาในแมปนั้นนั่นแหละเกมนี้แบ่งออกเป็น 3 ระดับให้เราได้เลือกเล่นครับ ได้แก่ชาวสวน (Easy Mode) - เล่นง่าย ๆ เพลินๆ เพราะให้ทรัพยากรเริ่มต้นมาเยอะแยะ เล่นแป๊บ ๆ ก็ผ่าน เหมาะกับผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นเกมด้านนี้มาก่อนนักนิเทศวิทยา (Normal Mode) - ทรัพยากรเริ่มต้นมีให้เราน้อยลง ต้องเริ่มวางแผนในการใช้งานมากขึ้นกว่าโหมดชาวสวน ถึงแม้ผู้เขียนจะมีประสบการณ์กับเกมแนวนี้มาบ้าง แต่นับจากแผนที่ที่ 3 เป็นต้นไป ก็ไม่ค่อยได้พักสมองอีกเลย ฮ่า ๆวิศกรสิ่งแวดล้อม (Hard Mode) - เหมาะสำหรับผู้เล่นที่เก่งเกินมนุษย์มนา เกิดมามีความอัจฉริยะในการวางแผนจัดสรรทรัพยากร ทรัพยากรเริ่มต้นที่ให้มามีน้อยที่สุดในบรรดาทุกโหมด เลยต้องวางแผนในการใช้งานครับ***หมายเหตุ : เราสามารถเปลี่ยนระดับความยากง่ายไปมาภายในเกมได้เลยนะครับ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มง่ายไปละ อยากจะเป็นวิศกรสิ่งแวดล้อม เราสามารถตั้งค่าได้เลยในเมนูตัวเลือกครับ***การเริ่มฟื้นฟูธรรมชาติTerra Nil เป็นเกมที่ไม่มีอะไรซับซ้อน มีแมปให้เล่นเพียง 4 แมปเท่านั้น หลังเล่นจบมีแมปเสริมปลดล็อกหลัง End Credit อีก 4 แมป ทั้งเกมมีให้เราเล่นแค่เพียงเท่านี้เลยครับ สร้างวนลูปจนครบทุกอย่างที่เควสในเกมมอบหมายให้เราทำ และเกมเพลย์ค่อนข้างจบเร็วมาก เร็วจนผมงง เพราะแอบรู้สึกไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเท่าไหร่ เดี๋ยวผู้เขียนจะแยกวังวนของเกมนี้ ขยายความแยกย่อยให้เพื่อน ๆ ได้เห็นภาพว่าหลักการเล่นมันประมาณไหนนะครับไฟฟ้า - การเริ่มต้นในทุก ๆ แมปที่เราเข้าไปเล่นนั้น จะต้องเริ่มจากการสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น พลังงานลม (กังหัน), พลังงานน้ำ (กังหันน้ำ) และพลังงานนิวเคลียร์ ที่ใช้งานแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่ผลลัพธ์เหมือนกันครับ ตัวเกมจะกำหนดจุดสำหรับวางสิ่งปลูกสร้างประเภทนี้ไว้ให้ เราไม่สามารถวางตามใจเราได้ และมีระยะทางการจ่ายไฟครับ กำจัดสารพิษ - หลังจากได้พลังงานไฟฟ้ามาแล้ว สิ่งที่ต้องทำอันดับต่อไปสำหรับเกมนี้ก็คือ การกำจัดสารพิษตกค้างในพื้นดินบริเวณรอบ ๆ ครับ จริง ๆ มันตกค้างทั้งแมปเลยนั่นแหละ แต่จุดที่เคลียร์ได้มันค่อนข้างจำกัด เพราะไอ้ตัวกำเนิดไฟของเรามันสามารถวางได้เป็นจุด ๆ  และจำกัด 1 เครื่องกำเนิดไฟสามารถวางสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ เต็มที่ได้เพียง 6 หรือ 8 ชิ้นเท่านั้น (แล้วแต่แมป และการกำหนดกติกาของด่านนั้น ๆ) แถมมันยังวางติด ๆ กันไม่ได้อีก นี่แหละครับ เลยทำให้การเล่นเกมค่อนข้างต้องวางแผน เพราะเราจำเป็นต้องทำให้ที่ตรงนั้นถูกเคลียร์ให้ได้เยอะที่สุด เพื่อขั้นตอนถัดไปครับ เพราะทุกอย่างในเกมนี้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ บางทีถ้าช่องว่างเหลือเยอะ ๆ ก็อาจจะทำให้ปูพื้นที่สีเขียวได้ไม่ครบตามจำนวนที่เกมต้องการ และเราจะผ่านไปเล่นในขั้นตอนต่อไปไม่ได้ครับ ปูพื้นที่สีเขียว - หลังจากกำจัดสารพิษในพื้นดินแล้ว ทีนี้เราก็จะมาวุ่นวายกับการปูหน้าดินครับ ไอ้ตรงนี้แหละก็เป็นส่วนสำคัญมาก ๆ เพราะเราจะได้ทรัพยากรใบไม้ในเกมมาใช้ซื้อของได้ ในเกมจะมีเปอร์เซ็นต์ให้ดูว่าเราปูพื้นที่ไปได้ถึงกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ครบ 100 เมื่อไหร่ ตัวเกมก็จะมีภารกิจการปลูกต้นไม้หรือสร้างสิ่งแวดล้อมประจำภูมิภาคนั้น ๆ ครับ บางแมปอาจจะไม่ใช่แค่การปูพื้นที่สีเขียวอย่างเดียว แมปหลัง ๆ เราอาจจะต้องเคลียร์สภาพน้ำให้สะอาดควบคู่ไปกับการปูหน้าดินด้วย เราถึงจะสามารถบรรลุภารกิจได้ครับการสร้างระบบนิเวศประจำถิ่น - เราจะมาเตรียมพื้นที่ให้เหมาะกับสภาพอากาศในโซนที่เราเล่นครับ ตรงนี้จะมีตารางเปอร์เซ็นต์ให้เราดูอยู่ทางด้านขวามือในเกม ว่าเราจะต้องเพิ่มอุหณภูมิหรือลดอุณหภูมิให้อยู่ที่เท่าไหร่, ในพื้นที่ควรมีป่าแบบไหนบ้าง, ควรมีบึงหรือมีป่าชายเลน ตัวเกมจะบอกเราหมดครับว่าต้องสร้างอะไรเป็นจำนวนเท่าไหร่ จะมีเกจบอกอยู่ว่าเราสร้างพื้นที่ป่าชนิดนี้เพียงพอแล้ว หลังจากทำครบทีนี้ตัวเกมจะให้เราไปพาสิ่งมีชีวิตมาอยู่อาศัยในพื้นที่ครับการส่องสัตว์ - เป็นระบบที่สนุกดีครับ คือเราจะต้องสร้างหอสังเกตการณ์สัตว์ขึ้นมาก่อน แล้วก็ต้องตามส่องมันในระบบนิเวศที่เราเพิ่งฟื้นฟูกลับขึ้นมาครบ 100% ตัวเกมจะมีรูปปริศนาพร้อมคำใบ้ครับ ว่าเจ้าสัตว์น้อยน่ารักพวกนี้มันชอบอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน เมื่อเราพอจะรู้แล้วก็เอาเมาส์ไปจิ้มบริเวณที่เราเดาว่าสัตว์ชนิดนั้นจะอาศัยอยู่ได้เลย ถ้าเราเดาถูกทั้งหมดสัตว์พวกนั้นก็จะปรากฎขึ้นมาบนแผนที่ในบริเวณที่เราจิ้มไปครับ ใน 1 การทาย ต้องทายให้ถูกครบทั้งหมด จะ 2 หรือ 3 อย่างก็ขึ้นอยู่แต่ละชนิดของสัตว์ครับ เช่นผู้เขียนอยากหาหมีขั้วโลก เริ่มต้นมานั้นผมยังไม่รู้หรอกว่าหมีขั้วโลกต้องอยู่แบบไหน ผมก็จะเดา ๆ จากคำใบ้ ว่ามันต้องมีลานหิมะนะยู เท่านั้นยังไม่พอต้องติดกับน้ำแข็งด้วย แถมให้ด้วยอะตรงนั้นต้องมีกวางเรนเดียร์ด้วย เพราะต้องเป็นอาหารพี่หมี อันดับแรกเลยแสดงว่าเราต้องหากวางให้เจอก่อนครับ แล้วเราก็ไปสร้างลานหิมะ แถว ๆ ตรงที่มันมีลานน้ำแข็ง ที่พูดมานี่เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนะฮะ สัตว์บางชนิดถ้าวางแผนการสร้างตั้งแต่เริ่มต้นมาไม่ดี บอกเลยบางทีได้กดเริ่มเล่นใหม่กันเลยครับแต่ถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้เป็นสายสะสมแบบผู้เขียนที่จะต้องเก็บสัตว์ให้ครบทุกชนิด จริง ๆ ตัวเกมมันให้หาแค่ 3 ตัว เราก็สามารถผ่านภารกิจได้แล้วครับการรีไซเคิล - อันนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะผ่านไปแมปต่อไปครับ เราแค่รื้อทุกสิ่งที่เราสร้างมาออก โดยการใช้เรือ รถไฟ หรือโดรนสำหรับรีไซเคิลครับ สิ่งปลูกสร้างของเราต่าง ๆ เราจะต้องเอาออกให้หมดก่อนถีงจะสามารถผ่านไปได้ ขั้นตอนนี้เราต้องสร้างญาณสำหรับย้ายที่รอไว้ด้วยครับ ไม่เช่นนั้นเราจะสร้างโรงรีไซเคิลไม่ได้ พอเก็บทุกอย่างออกจากระบบนิเวศที่เราฟื้นฟูกลับมาจนครบทุกชิ้น จะมีปุ่มสีแดงให้กด กดเมื่อไหร่ยานเราจะออกสตาร์ตไปด่านต่อไปทันทีครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมTerra Nil เป็นเกมวางแผนการบริหารทรัพยากร ภาพ 2.5 มิติ น่ารักตะมุตะมิ มีมุมมองจากด้านบนลงมา หมุนภาพไม่ได้ และสามารถเล่นได้คนเดียว ระบบการบังคับต่าง ๆ ไม่มีอะไรยุ่งยากเลยครับ เพราะใช้เมาส์เป็นหลัก เมาส์แบบออนลี ไม่มีคีย์บอร์ดมาเป็นแสตนด์อินใด ๆ นอกจากว่าเราจะอยากใช้ครับ ฮ่า ๆ ระบบ Toturial มีแทรกสอนอยู่ในเกมตลอดในช่วงแรกUI ต่าง ๆ ใช้งานง่ายครับ มีบางอย่างอาจจะน่ารำคาญไปบ้าง อย่างระบบส่องสัตว์ เพราะตอนส่องปิดเมนูไม่ได้ เลยทำให้มันบดบังทัศนียภาพในการหาสัตว์อยู่พอสมควรครับสรุปTerra Nil สำหรับผมนั้นมันยังไม่ใช่เกมสร้างเมืองในช่วงหลังโลกล่มสลายอย่างที่ผมวาดภาพในหัวเอาไว้ แต่มันเป็นเกมแนวบริหารทรัพยากรที่ต้องใช้หัวคิดอยู่พอสมควรครับ เกมไม่ได้ยากหรือง่ายเกินไป แต่ถามว่าตึงไหม มันจะเริ่มไปตึง ๆ แบบต้องกดเริ่มเกมใหม่อยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่แมป 3 เป็นต้นไป ผู้เขียนจัดวางระบบนิเวศบางส่วนไม่ดีจึงทำให้เปอร์เซ็นต์ต่าง ๆ มันขาดอยู่บ่อยครั้งครับ เกมยังมีบัคต่าง ๆ ให้ได้พบชวนงงอยู่บ้าง หรือผู้เขียนไม่แน่ใจว่า Dev เขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้หรือเปล่า สมมติถ้าเราเลือกเล่นโหมด Easy และเราได้ทรัพยากรเริ่มต้นมา 1000 แล้วเราปรับเป็น Hard ในเกม ตัวเกมก็จะยังให้ทรัพยากรเรา 1000 ไม่ได้ลดลงไปอยู่ที่ 500 เหมือนที่มันควรจะเป็น ตรงนี้ผมว่ามันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ราคาเกม 549 บาท กับ 4 แมป + อีก 4 แมปที่ปลดล็อกหลังจบเกม ผมมองว่ามันยังดูว่ามันแพงเกินไป เล่นไปจนถึงแมป 4 ก็คิดว่ามันจะต้องมีแมป 5 สรุปว่า End Credit ขึ้นมา ผมนี่ ห๊ะ!!! จบแล้วเหรอ??? เพราะผมรู้สึกว่าเพิ่งเล่นได้แป๊บเดียวเอง จบซะละ  ฮ่า ๆ แต่ไม่เป็นไรครับ เกมนี้เขาแบ่ง 8% จากยอดขายไปบริจาคให้กับองค์กรปกป้องถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า ที่ตั้งอยู่ในแอฟริกาด้วย เอองั้นโอเคผมยอมก็ได้ ถือว่าช่วยน้อน ๆ สัตว์ป่า และก็ถือว่ามันเป็นเกมที่เล่นได้เพลิน ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเลยด้วย ให้อภัยก็ได้ (แต่จบไวไปหน่อยอะมุแง้)สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1593030/Terra_Nil/
08 May 2023
[Review] รีวิวเกม Big Ambitions สวมวิญญาณ CEO บริหารธุรกิจแบบสมจริง
Big Ambitions เป็นเกมที่เราจะต้องมารับบทเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่ครับ เริ่มตั้งแต่ทำงานเล็ก ๆ ตามร้านค้าทั่วไป ทำงานหาเงินในเกมจนขยับขยายชีวิตตัวเองไปจนถึงจุดที่ว่าเราจะกลายเป็นนักธุรกิจท่านหนึ่ง ตัวเกมจะให้เราสวมบทบาทเล่นตามเนื้อเรื่องที่สมมติขึ้นมาเพื่อจำลองให้เราได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ของการมีชีวิต ให้ได้รู้กันไปเลยว่ากว่าจะประสบผลสำเร็จได้มันต้องประกอบไปด้วยตัวแปรอะไรบ้าง นี่แค่ไปดูข้อมูลมานิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนเล่นก็ได้แต่ร้องว้าวซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ฮ่า ๆ วันนี้ผมตั้งใจเลยว่าจะต้องเล่นมันให้ได้ แต่ไม่รู้ว่าเกมเพลย์จะเป็นอย่างที่ใจหวังไว้ไหมBig Ambitions ลงวางขายใน Steam แบบ Early Access เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2023 เกมเพิ่งออกมาได้ไม่กี่เดือนเองฮะ มาดูกันดีกว่าว่าถ้าได้ไปเล่นมันด้วยตัวเอง มันจะดึงดูดผู้เขียนได้สักแค่ไหนกันเชียว (คาดหวัง ๆ)เกมเพลย์ต้องว่างจริง ๆ ถึงเล่นได้Big Ambitions เป็นเกม Life Sims แบบ RPG ผู้เขียนเลือกเล่นแบบ Story Mode นะครับ เพราะ Custom Mode นั้นไม่เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่ เริ่มต้นมาเราจะได้เล่นเป็นเด็กหนุ่ม / เด็กสาว (แล้วแต่เราจะเลือกสร้างตัวละครครับ) อายุ 18 คนหนึ่ง ที่คุณย่าของเขาได้จากไป และในงานศพนั้นจะมีลุงของเขายื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่หลงทางอย่างเรา ว่าจะต้องเริ่มทำธุรกิจอย่างไร ช่วงแรกลุงจะเป็นคนแนะนำและไกด์ให้เราทุกอย่างเลยครับ ตั้งแต่ให้เริ่มไปสมัครงานก่อน เพื่อที่จะได้มีรายได้ที่สม่ำเสมอ และยื่นกู้กับธนาคารได้ เล่นมาถึงตรงนี้ผมนี่ว้าวเลยฮะ ทุกอย่างสมจริงเป็นอย่างมาก มีการสร้างสเตทมง เสตทเมนต์ ฮ่า ๆ หลังจากกู้เงินผ่านแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง ลุงแกก็สอนเราแบบไม่หวงวิชาเลยสักนิด เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันว่าหลังจากเรากู้เงินธนาคารมาแล้ว เราสามารถเอาชีวิตรอดไปกับโลกทุนนิยมของเกมได้ไหม ตามไปอ่านต่อกันได้เลย(เรากับลุงไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เด็กหนุ่มเลือกที่จะไว้วางใจลุงของเขา เพราะยังไงก็คือญาติกัน และเขาต้องการยืนด้วยลำแข้งของตัวเองครับ)ที่อยู่อาศัย - เริ่มแรกเราต้องเช่าห้องพักสำหรับอยู่อาศัยครับ ในเริ่มต้นนั้นเราจะได้เงินสำหรับการตั้งตัวมา 10,000$ หลังจากนั้นเราต้องเปิดแผนที่ตามที่ลุงสอน และเลือกห้องพักที่ถูกใจ (ตรงนี้ทำตามเควสไปเรื่อย ๆ ได้เลยครับ)ในห้องพักเราจำเป็นต้องมีตู้เย็นเอาไว้ใส่อาหารครับ เพื่อที่จะได้มีข้าวกินสำหรับเพิ่มพลังงาน (ลุงจะแนะนำให้เราไปซื้อ) ในส่วนนี้เราสามารถตบแต่งห้องของเราได้ แต่เราต้องไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก่อนครับ (อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกขายอยู่ในร้านเดียวกัน ตรงนี้เดี๋ยวลุงจะสอนเราว่าร้านไหนขายอะไรบ้าง)เช่น อย่างตู้เย็นเราอาจจะต้องไปซื้อที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า, โต๊ะเก้าอี้เราอาจจะต้องไปซื้อที่ร้านอุปกรณ์ออฟฟิซ ซึ่งบอกเลยว่าเกมนี้เราจะหมดเวลาไปกับการเดิน เดิน และเดิน เอาง่าย ๆ ว่าเดินจนเบื่อจะเล่นอะครับ ฮ่า ๆ เตียงนอนนั้นจะมีมาให้เราอยู่แล้ว เอาไว้มานอนเวลาเราต้องการจะ Skip เวลาในเกมให้มันไวขึ้นครับ สามารถตั้งปลุกไปในช่วงเวลาที่เราต้องการในวันถัดไปได้ และก็เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับตัวละครของเราด้วยเราสามารถโยกย้ายที่พักอาศัยได้ตามกำลังทรัพย์ และความสะดวกในพื้นที่ เอาเป็นว่าถ้าเราเริ่มมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว ควรเช่าตึกสำหรับทำธุรกิจของเราให้อยู่ใกล้ ๆ กับที่พักอาศัย ไม่เช่นนั้นเราจะเบื่อเกมนี้เร็วมาก ๆ เดินกันให้มันเป็นเส้นเลือดขอดไปเล้ยยยยการซื้อของ การสต็อกของ - ผมรวมเอามาไว้ด้วยกันเลย เพราะทำทุกอย่างเหมือนกันครับ การซื้อของใส่ตู้เย็นเพื่อเก็บเอาไว้กินนั้นเราสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Supermarket หรือ มินิมาร์ต เมื่อเข้าร้านไปอย่างแรกที่ต้องทำเลยคือหยิบตระกร้า เพราะยังไงเราต้องซื้อมากกว่า 1 ชิ้นอยู่แล้ว ถ้าเราจะถือของในมือ มันจะจำกัดแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นครับ เมื่อได้ของแล้วก็ถือถุงเดินกลับบ้าน หรือจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านก็ได้ แต่เสียเงินและต้องรอแท็กซี่ผ่านมาครับส่วนการซื้อของไปทำธุรกิจนั้นก็ต้องไปตามร้านขายส่งต่าง ๆ ซื้อตู้เย็นสำหรับขายโซดา, เตาเบอร์เกอร์, ตู้สำหรับวางเครื่องคิดเงิน, เครื่องคิดเงิน, ชั้นขายของ, และอุปกรณ์การทำความสะอาด การสต็อกของเราก็นำของที่ซื้อเดินไปใกล้ ๆ กับอุปกรณ์ครับ เช่นตู้น้ำโซดา - เอาโซดาแล้วเดินไปกดที่ตู้ โซดาทั้งหมดที่ซื้อมาจะถูกสต็อกอยู่ภายในตู้ให้ลูกค้าซื้อ หลังจากหมดแล้วเราต้องไปซื้อของมาเติมใส่ตู้ใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หลัง ๆ จะสะดวกขึ้นมาหน่อยตอนเรามี Warehouse แล้วของจะถูกเติมให้เองแบบอัตโนมัติเตาเบอร์เกอร์ เตาไส้กรอก ชั้นวางของสำหรับขายของขวัญ เราก็ทำเหมือนกับตู้โซดาได้เลยครับพาหนะ - เล่นไปเรื่อย ๆ ลุงของเราจะให้รถคันเก่าของเขามาใช้ครับ บอกเลยว่าไม่ค่อยปลื้มระบบขับรถเท่าไหร่ เพราะสมจริงมาก ๆ มันทำให้การเล่นเกมโคตรจะเสียเวลา ตอนแรกก็คิดว่าจะช่วยให้เร็วขึ้นครับ แต่นั่งแท็กซี่บอกเลยว่าไวกว่าเยอะ จอดไม่ดีก็เสียค่าปรับ ชนอะไรก็ไม่ได้เพราะค่าซ่อมแพงมาก ๆ ถึงแม้จะฝ่าไฟแดงได้เพราะในตอนนี้ยังไม่โดนใบสั่งจากการทำผิดกฎจราจร แต่ถ้าโดนรถคันอื่นชนขึ้นมาก็ไม่คุ้มกับค่าซ่อมอยู่ดีครับ บางทีรถติด เราก็ต้องติดอยู่กับมันแบบนั้นด้วย ในชีวิตจริงก็เบื่อแย่แล้วเรื่องรถติด ต้องตามมาเจอในเกมอีก สมจริงสุด ๆ ถึงแม้รถของเราจะขนของได้เยอะ แต่เราก็ต้องเดินมาขนออกจากรถทีละกล่อง ทีละกล่อง ซึ่งมันเป็นอะไรที่เสียเวลาชีวิตมากครับ แท็กซี่จึงตอบโจทย์ผู้เขียนมากกกกกกสำหรับเกมนี้ คือดีตรงที่ว่าเราสามารถเข็นรถเข็นออกมาจากร้านค้าต่าง ๆ ได้เลย แล้วเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งตามจุดที่เราต้องการ พอลงรถรถเข็นก็จะมากับเราด้วย (ซึ่งตรงนี้ไม่รู้ว่าเป็นบัคหรืออะไร) เข็นรถเข้าไปในร้านของเราได้เลย แล้วก็ค่อย ๆ หยิบกล่องสินค้าที่เราซื้อมาทีละกล่องไปลงสต็อกในร้านของเรา บอกเลยว่าแท็กซี่สะดวกกว่าขับเองเป็นอย่างมาก แต่แค่ต้องเสียค่าโดยสารอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็เลือกใช้วิธีเดินบ้าง เรียกแท็กซี่บ้างตามสถานการณ์การเงินในตอนนั้นครับการจ้างพนักงาน - เราจะต้องไปเรียนหลักสูตรการจัดการขั้นพื้นฐานจนจบหลักสูตรครบ 100% เสียก่อน ในส่วนนี้ถึงจะปลดล็อกครับ หลังจากเรียนจบแล้วให้ไปที่ศูนย์จัดหางาน แจ้งความจำนงค์ต่อเจ้าหน้าที่ไปครับว่าเราต้องการพนักงานอะไรบ้าง เพื่อไปทำงานที่ร้านไหนของเรา เจ้าหน้าที่เขาจะขอเวลาหาคนครับ เมื่อหาได้แล้วจะมี SMS แจ้งเราเข้ามาทางโทรศัพท์ ในครั้งแรกเราจะต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์จัดหางานก่อนครับ หลังจากนั้นถ้าเราต้องการรับสมัครพนักงานเพิ่ม เพื่อไปทำงานร้านอื่น ๆ ของเรา ก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่านมือถือของเราได้เลยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมBig Ambitions เป็นเกมแนว Life Sims บริหารจัดการแบบ RPG ได้เดินผจญภัยไปตามเมืองแมนฮัตตัน (ในเกมมีเขียนว่าเป็นย่านนั้นนะครับ) มีมุมมองจากด้านบนลงมา หมุนได้ 360 องศา ภาพเป็นการ์ตูน 3D บังคับตัวละครได้อิสระการบังคับในเกมใช้เมาส์ในการบังคับตัวละครครับ จิ้มให้เดินไปตามทิศทางที่ต้องการ ส่วนถ้าตอนเราขับรถจะใช้ปุ่ม W,A,S,D ในการบังคับทิศทาง ซึ่งสร้างความสับสนให้ผมตลอดทั้งเกม ระบบ Toturial มีสอนระบบต่าง ๆ ให้เราอยู่ตลอด โดยลุงของเราเองUI ต่าง ๆ สวยงามดีครับ ใช้งานง่ายไม่ว่าจะเป็นระบบเปิดปิดร้าน จัดตารางเวลาลูกจ้าง การขายอสังหาริมทรพย์ แผนที่อะไรต่าง ๆ ออกแบบมาให้ใช้งานไม่ยาก และดูไม่รกตาครับสรุปBig Ambitions สำหรับผู้เขียนนั้นต้องขอบอกกันตามตรงว่าเป็นเกมที่น่าเบื่อมาก ๆ เหมือนเกมโฟกัสไปในจุดที่ไม่ควรโฟกัส เพราะด้วยความที่มันไม่สุดไปสักทาง จะเป็น Life Sims ก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะมีระบบให้ตบแต่งห้องนอน ร้านค้าต่าง ๆ ของเราก็จริง แต่ก็ไม่รู้จะแต่งไปทำไม ตัวเลือกของตบแต่งก็มีน้อย ทำอะไรกับตัวละครก็ไม่ได้ ได้แค่กินกับเดินไปเดินมา เอาจริง ๆ ผมไปเล่นเดอะซิมส์ยังได้ฟีลลิงที่ดีกว่า ถ้าบอกว่าเกมนี้ไม่ใช่เดอะซิมส์แต่เป็นเกมทำธุรกิจ ก็เป็นธุรกิจที่ไม่ได้เจาะลึกอะไรมากมาย เล่นง่าย ๆ เหมือนเด็กเล่นขายของ ถึงจะเปิดร้านที่เป็นธุรกิจคนละประเภทกัน แต่การทำธุรกิจซื้อของอะไรต่าง ๆ เข้าร้าน มันดันทำออกมาเป็นแนวเดียวกันเลย การเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจก็ไม่ลึกมาก สร้างความเบื่อหน่ายเวลาไปซื้อของมาสต็อก ซึ่งช่วงหลัง ๆ อาจจะดีขึ้นหน่อยตรงที่มี Warehouse ซึ่งของเติมให้เองการสต็อกของน่าเบื่อเกิดจากอะไร เกิดจากการที่ต้องขับรถถูกกฎจราจร ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะต้องตรงเป๊ะตลอดเวลาในเกม ชีวิตจริงรถติดก็เครียดจะตายอยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมาเจอในเกมอีก ต้องกังวลว่าจะชนเพราะค่าซ่อมแพง ต้องจอดให้ดีเพราะโดนค่าปรับ แต่ยังดียังมีแท็กซี่ให้เรียก ช่วงได้รถมาใหม่ ๆ ผมนี่เดินล้วนครับไม่ไหวจะซ่อม ฮ่า ๆเอาเป็นว่านี่เป็นแค่ระบบในเกมส่วนหนึ่งที่ผมเอามายกตัวอย่างเพื่อเขียนรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้คัดกรองเกี่ยวกับเกมนี้เบื้องต้นว่าควรซื้อดีหรือไม่ซื้อดี ในส่วนนี้มันเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น เพื่อน ๆ ไปเล่นอาจจะมองอีกมุมมองหนึ่งก็ได้ คนเราชอบไม่เหมือนกันครับ ถามว่าเกมแย่ไหมก็ไม่ได้แย่แค่มันไม่ถูกกับจริตของผมเท่านั้นเอง ใครสนใจสามารถไปสั่งซื้อใน Steam ได้ 455.39 บาท แต่ผมว่าราคาแอบแรงไปหน่อย ใครรอได้ไปรอซื้อตอนลดราคาดีกว่าครับ อาจจะเพราะด้วยความที่มันเป็น Early Access ตัวเกมมันก็อาจจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ถ้า Dev Update ต่าง ๆ ได้ตาม Roadmap ที่วางไว้ หรือแก้ไขส่วนที่ไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง ในอนาคตเกมนี้อาจจะเป็นเกมที่สนุกกว่านี้ก็ได้ครับสำหรับผมสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1331550/Big_Ambitions/
05 May 2023
[พรีวิว] XDefiant เกมยิงเล่นฟรี ความหวังใหม่ของเกมออนไลน์จากค่าย Ubisoft
ต้องบอกว่าทาง Ubisoft ไม่เคยย่อท้อในการผลักดันเกมออนไลน์ประเภท Live Services หลังจากล้มเหลวไปแล้วกับ Hyper Scape เมื่อปี 2021 ตอนนี้ Ubisoft กลับมาอีกครั้งกับ XDefiant เกมยิงเล่นฟรีที่มาในสไตล์ Call of Duty แถมได้กระแสตอบรับที่ดีซะด้วย หลังจากเปิดทดสอบไปแล้ว ตัวเกมจะเป็นยังไง มาดูพรีวิวจากทางเรากันก่อนจะมาเป็น 'XDefiant'ย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2021 ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ Hyper Scape เปิดตัว Ubisoft ได้ประกาศเปิดตัว Tom Clancy's XDefiant ซึ่งมีคอนเซปต์เป็นการนำเอากลุ่ม Factions ต่าง ๆ จากเกมซีรีส์ Tom Clancy มารวมกันเป็นเกมยิงแบบ Team Base Shooter แน่นอนว่าตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ไปในแง่ลบซะส่วนมาก พร้อมโดนติติงว่า เหมือนเอาชื่อ Tom Clancy มาหากินเฉย ๆ ทำให้ทาง Ubisoft ตัดสินใจเลื่อนการเปิดทดสอบออกไป และหายเข้ากลีบเมฆไปยาวกว่า 1 ปีเต็มในปี 2022 Ubisoft ประกาศสั่งยกเลิกเกมหลายเกมในโครงการไปเพียบ แต่หนึ่งในเกมที่ยังอยู่รอดก็คือ XDefiant โดยประกาศว่าตัวเกมจะเปลี่ยนชื่อเกมใหม่ โดยตัด Tom Clancy ออก เหลือไว้เพียงคำว่า XDefiant ก่อนจะประกาศว่าจะมีการทดสอบภายใน ในช่วงต้นปี 2023 และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา XDefiant ก็พร้อมเปิดให้เล่นช่วง Beta Test โดยแจกโค้ดเข้าร่วมทดสอบตามสื่อต่าง ๆ และที่น่าเหลือเชื่อคือตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวความมุ่งมั่นจะเป็นเกม Live Services และกลิ่นอาย Call of DutyXDefiant เป็นผลงานเกมที่ได้สองผู้กำกับมากฝีมือมากำกับ คนแรกคือ Mark Rubin อดีตทีมงานของ Infinity Ward ที่เคยทำเกมดัง ๆ อย่าง Call of Duty: Modern Warfare ต้นฉบับทั้งสองภาค และอีกคนคือ Jason Schroeder ดังนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าใครที่เคยผ่านไปเห็นเกมเพลย์แล้วมีความรู้สึกว่ามันช่างคล้ายคลึงกับ Call of Duty เสียเหลือเกิน เหมือนเดิมกับที่ Ubisoft หมายมั่นปั้นมือไว้ ก็คือพวกเขาพยายามจะหาเกมสักเกมที่สามารถขายได้ในระยะยาวผ่านการอัปเดตเป็นฤดูกาล แต่อย่างที่เรารู้กัน สมัยนี้เกม Live Services ตัวโหดก็ยึดบัลลังก์ไว้แทบหมด ไม่ว่าจะเป็น PUBG, Apex Legends, Fortnite และนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Hyper Scape มันล้มเหลวในตอนแรก ทำให้คราวนี้ พวกเขาเลือกที่จะทำให้เกมเข้าถึงง่ายด้วยเกมเพลย์แบบ Old School เน้นยิงกันมัน ตายกันไว เกิดก็ไว ให้ผู้เล่นเอ็นจอยกับตัวเกมได้ง่ายที่สุด และเป็นสิ่งที่ Call of Duty ภาค Modern Ware ทั้งสองภาคทำได้ ก็คือเกมเพลย์ที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ให้ผู้เล่นสนุกไปกับตัวเกม ใครที่ได้ลองช่วงทดสอบมาแล้วจะรู้เลยว่า นี่คือกลิ่นอายของ Call of Duty ภาคเก่า ๆ จริง ๆ  แต่น่าแปลกใจที่แม้เกมจะเปิดต้วช้ามาก เรียกได้ว่ากว่าจะได้เล่นกันจริง ๆ ก็เกือบสองปีจากประกาศแรก แต่ฟีดแบคจากผู้เล่นนั้น ค่อนข้างไปในทางที่ดี ซึ่งเราจะเล่าประสบการณ์เกมเพลย์ในช่วงเบต้าให้ได้ดูกันโหมดเกมสุดคลาสสิค ระบบการเล่นสุดคลาสสิคและร่วมสมัยในเวลาเดียวกันในขณะที่เกม Shooter สมัยใหม่ พยายามจะแหวกแนวด้วยอะไรก็ตาม Ubisoft เลือกที่จะนำความ Old School กลับสู่เกมนี้ ด้วยกลิ่นอายความคลาสสิคทั้งระบบและโหมดเกมเพลย์การเล่น แต่ใส่ความร่วมสมัยเข้าไป อย่างเช่น Role ของตัวละคร โดยเกมนี้แบ่งออกเป็น 5 หน่วยรบ อ้างอิงจากหน่วยรบต่าง ๆ ในจักรวาลเกมของ Ubisoft ได้แก่ กองกำลัง Libertad จากเกม Far Cry 6 / หน่วยรบ Phantoms จาก Ghost Recon / หน่วย Echolon จาก Splinter Cell / Cleaners จาก The Division และ DedSec จาก Watch Dogs โดยหน่วย DedSec ไม่ได้เปิดให้เล่นในช่วงทดลองนี้ แต่ละหน่วยเองก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่น Libertad จะมีความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับทีม หรือ Phantoms สามารถสร้างโล่และเสริมความแข็งแกร่งชั่วคราวได้ ทำให้หากอธิบายภาพรวมให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น มันก็คือเกม Call of Duty ที่มีสกิลให้กดใช้งาน และรุกรับพลิกผันกันด้วยจังหวะการใช้สกิลด้วย แต่หลัก ๆ แล้ว ใครยิงคมกว่าก็ได้เปรียบอยู่ดี เพียงแต่ในเกมนี้ ปัจจุบันยังไม่มีระบบกดคนเล่นใหม่ซะยับเยินแบบ Killstreak หรือ Scorestreakในด้านโหมดการเล่น ในช่วงทดสอบหลัก ๆ จะมีให้เล่นกันอยู่ 4 โหมดคือ Escort โหมดการคุ้มกันหุ่นยนต์ไปให้ถึงที่หมาย คล้าย ๆ การดัน Payload ใน Overwatch / Zone Control โหมดยึดพื้นที่คล้าย ๆ โหมด Domination แต่จะมีพื้นที่ทั้งหมด 5 จุดให้ยึด / โหมด Domination อันนี้แฟนเกม Call of Duty ทุกคนต้องเคยเล่นกันอยู่แล้ว และ Occupy ที่คล้าย Domination แต่จะมีจุดเดียวให้ยึด สลับกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งยังมีโหมดแยกย่อยที่หมุนเปลี่ยนเวียนมาให้ได้เล่นกันอย่างต่อเนื่อง ใครอยากเล่นโหมดไหนก็ไปทางโหมดนั้นได้เลยสำหรับเกมเพลย์การเล่น ก็จะเป็นการแบ่งทีมแล้วสู้กันตามเงื่อนไขของโหมดนั้น ๆ ในด้านของ Gunplay ต้องบอกเลยว่า ใครเล่น Call of Duty มาก่อน จะปรับตัวได้ไม่ยาก แต่ในด้าน Movement และการเคลื่อนไหวนั้น จะค่อนข้างใช้ของเกมยุคเก่า ยังมีการสไลด์ตัวอยู่ ตัวละครแต่ละตัวจะมีสกิลและความสามารถให้กดใช้ รวมไปถึงท่าไม้ตายประจำคลาสนั้น ๆ การจะเร่งใช้ท่าไม้ตายหรือสกิล คือการยิงกำจัดศัตรู ทำให้ระบบตรงนี้มีความคล้ายคลึงกับ Scorestreak อยู่บ้าง แต่ความสามารถของเราจะไม่โกงขนาดนั้น แค่การใช้สกิลได้บ่อยขึ้น ไม่ได้ทำให้เราเก่งขึ้น เพราะสกิลของแต่ละหน่วยมีความสามารถไม่เหมือนกัน แต่จากการเล่นรอบทดสอบ บอกได้เลยว่า หลายสิ่งหลายอย่าง อาจจะต้องมีการปรับสมดุลและบาลานซ์กันพอสมควร โดยเฉพาะการฟื้นฟูพลังชีวิตของหน่วย Libertad ที่เลือดเด้งได้แบบโหดมาก ยิงไม่ตาย เอากันไม่ลงสักทีภาพรวมของ XDefiant นั้น ถือว่าออกแบบ Gunplay มาได้ค่อนข้างสนุก ด้วย TTK (Time to Kill) ที่ค่อนข้างต่ำมาก ยิงตายกันไวเป็นใบไม้ร่วง แต่ก็เกิดใหม่กันไวมาก ไม่มีจังหวะไหนที่รู้สึกว่าสะดุดเลย แต่ใครที่ไม่ชินกับเกมเพลย์เร็ว ๆ อาจจะต้องปรับตัวกันสักหน่อย เกมนี้ความเร็วในการยิงปะทะกันนั้น ระดับน้อง ๆ Call of Duty เลยก็ว่าได้ระบบ Progression ของตัวปืนในแบบของ Call of Dutyก็สมกับที่เป็นอดีตคนทำ Call of Duty มาทำเกมใหม่ทั้งที นอกจากเกมเพลย์จะมีความเหมือนกันแล้ว ระบบ Progression หรือแม้กระทั่งความคืบหน้าเองก็ยังเอาของ Call of Duty มาต่อยอดด้วย นั่นคือระบบที่จะทำให้คุณ Grinding กันแบบยับ ๆ เพื่อปลดล็อค Attachment ของปืนกระบอกนั้น ๆ โดยวิธีการอัปเลเวลปืน ก็คือการเอาปืนกระบอกนั้นไปใช้งานด้วยการยิงคน ทำสกอร์เยอะ ๆ เบื้องต้นเกมไม่ได้ระบุชัดเจนว่า การทำ Objective นั้น ได้คะแนนเสริมด้วยหรือไม่ แต่หลัก ๆ คือการใช้ปืนนั้น เอาไปเล่นให้บ่อย เมื่อเลเวลปืนอัปแล้ว เราจะสามารถเข้าถึง Attachment หรือของแต่งปืนใหม่ ๆ ได้มากมาย ซึ่งจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นอยากแต่งปืนของตัวเองให้ออกมาเป็นแบบไหน แต่แน่นอนว่าในตอนนี้ ของแต่งปืน และอุปกรณ์ทั้งหลาย ยังไม่เทียบเท่ากับอื่น ๆ แน่นอน เพราะอยู่ในช่วงทดสอบ และคาดว่าระบบนี้น่าจะมีการปรับปรุงกันอีกเยอะพอสมควรเลยทีเดียว เพราะลำพังแค่การปลดล็อคอาวุธอาจไม่มีแรงจูงใจพอให้คนอยู่กับมันได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เกมนี้เหมือนเป็นการโคลนนิ่งระบบต่าง ๆ ของเกอื่น ๆ มาแทบจะทั้งหมด ทำให้เกิดข้อเสียที่คิดไม่ถึงเลยคือ เราเหมือนไม่ได้เล่นเกมใหม่เลย เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่มากกว่าทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอดูกันไปว่า ในช่วงเปิดให้บริการจริงของ XDefiant นั้น จะออกมาเป็นยังไง แต่อย่างน้อยฟีดแบคของเกมนี้ก็ออกมาในทางที่ดี ซึ่งอาจจะทำให้ Ubisoft ชื่นใจขึ้นมาบ้าง หลังจากผลงานในยุคหลังโดนคำครหาไปเยอะพอสมควร เอาไว้ตอนเกมเปิดจริง ๆ เรามารอดูกันอีกทีว่าเกมนี้จะเป็นยังไงในอนาคต
29 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม Star Wars Jedi: Survivor ภาคต่อเกมเจได Souls Like ถึงไม่ใหม่ แต่เร้าใจไม่แพ้เก่า
ถ้าให้ยกหนึ่งในเกมจากแฟรนไชส์ Star Wars ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ ชื่ออันดับต้น ๆ ในลิสต์ก็คงจะเป็น Star Wars Jedi: Fallen Order เกมแนว Action Adventure จากทาง Respawn Entertainment ค่ายเกมดังที่สร้าง Titanfall และ Apex Legends จัดจำหน่ายโดยทาง EA ซึ่งอ้างอิงจากทางร้านค้า Steam ตัวเกมได้คะแนนคำวิจารณ์ในทางบวกสูงถึง 85% เหตุผลก็เพราะว่าตัวเกมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ใส่กลิ่นอายของความเป็นเกมแนว Souls Like เข้าไปและมันกลับกลายเป็นดีอย่างมาก เพราะเราจะต้องเรียนรู้การโจมตีของศัตรู ต้องใช้ไหวพริบในการต่อสู้มากกว่าเกมก่อน ๆ ของแฟรนไชส์ที่เน้นการฟัน ๆ แบบ Hack and Slash และในปี 2023 ทางผู้พัฒนาก็ได้ต่อยอดความสำเร็จสร้างเกมภาคต่อในชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมนี้จนจบแล้วและจะมีรีวิวตัวเกมนี้ว่ามันจะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมภาคแรกหรือไม่กราฟิก / การนำเสนอสำหรับตัวกราฟิก ในภาคนี้ก็จะยังใช้โมเดลเดิมดั่งในภาคแรก แน่นอนว่าพอดูด้วยตาเปล่าก็อาจจะ แต่ผู้พัฒนาก็ได้ใส่รายละเอียดเพิ่มเติมทั้งในแง่ของแสงเงาที่มากขึ้น รายละเอียดที่มากขึ้น ยิ่งในช่วงของฉาก Cutscene เหล่าตัวละครนี่แทบจะเป็นเหมือนคนจริง ๆ แล้ว อีกสิ่งทีน่าสนใจก็คงจะเป็นในด้านแอนิเมชั่นของตัวละครที่การขยับตัวท่าทางต่าง ๆ จะมีรายละเอียดที่มากขึ้นด้วยรวมถึงขนาดของแผนที่ที่ใหญ่มากกว่าเดิมถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ Open World แต่ตัวแผนที่จะมีโซนพื้นที่กว้างให้เราสำรวจได้เยอะมาก ๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงจะเป็นการ Optimise ตัวเกม ซึ่งผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 เป็นคอนโซลรุ่นปัจจุบัน แต่ตัวเกมไม่สามารถรันเฟรมเรทนิ่ง ๆ 60 FPS ได้เลย ยิ่งในเวลาที่อยู่ในพื้นที่กว้างเราจะเห็นการกระตุกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันค่อนข้างส่งผลต่อการเล่นพอสมควร เพราะว่าเกมที่มีกลิ่นอาย Souls Like ถ้ากระตุก หรือบังคับไม่ได้ดั่งใจนิดเดียว มันอาจจะส่งผลทำให้เราตายได้เลย เนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของเกม Star Wars Jedi: Survivor จะเล่าเรื่องราวหลังจาก 5 ปีของเกมภาคแรก ซึ่งไทม์ไลน์จะอยู่ระหว่างภาพยนตร์ภาค 3 และ 4 ยังติตตามตัวละครเดิมอย่าง Cal Kestis เจไดหนุ่มที่ยังทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเหล่า Empire มาตลอด แต่ในภาคนี้พวกเขานั้นก็ได้มีจุดหมายใหม่ในการค้นหาดวงดาวใหม่อย่าง Tannalor ที่อาจจะเป็นความหวังของการอยู่รอดของเหล่าเจไดจากที่ได้ลองเล่นมาเนื้อเรื่องหลักของเกมมากกว่า 70% จะเป็นการตามล่าหาเข็มทิศที่เป็นอุปกรณ์ในการไปยังดวงดาวแห่งนี้ ซึ่งยอมรับตามตรงว่าตัวเนื้อเรื่องทำออกมาได้ค่อนข้างจืดชืดเป็นอย่างมาก การผจญภัยต่าง ๆ ก็ดูค่อนข้างรวบรัดมากเกินไป สิ่งเดียวที่น่าสนใจก็คงจะเป็นมิติของตัวร้ายที่ทำออกมาได้ไม่แย่เลย พวกเขานั้นมีอุดมการณ์และมีเหตุผลในสิ่งที่ทำ ถึงแม้ว่าบทของบางตัวละครจะมีไม่เยอะมากก็เถอะแต่พอเกมดำเนินเรื่องราวมาถึงช่วง 3-4 ชั่วโมงท้าย กราฟต์ความสนุกและความเข้มข้นของเกมก็พุ่งสูงปรี๊ดดดดด และสุดท้ายก็ทำให้เราเข้าใจถึงแง่ประเด็นจริง ๆ ที่ผู้พัฒนาต้องการจะเล่า ที่จะพูดถึงการอยู่รอดของเหล่าเจไดจากการตามไล่ล่าของ Empire ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการของตัวเอง หรือเหตุผลของตัวเองแตกต่างกันไป นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเกมภาคนี้ถึงใช้ชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor จากตอนแรกที่รู้สึกผิดหวังกับเนื้อเรื่อง กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ไม่เลวเลยเกมเพลย์ระบบการต่อสู้สำหรับใครที่เคยเล่นเกมภาคแรก ตัวเกมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมแต่ใดเลย กับสไตล์เกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น Souls Like เข้ามา การต่อสู้แต่ละครั้งตัวเรานั้นจะต้องจับจังหวะการโจมตีของศัตรู เราจะต้องใช้ดาบบล็อคการโจมตี หรือแดชหลบ การต่อสู้แต่ละครั้งเราจะต้องตั้งสติและพยายามให้ตัวเองเสียเลือดน้อยที่สุด ถือว่าเป็นแฟรนไชส์ที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ผู้พัฒนาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับคนที่เล่นเกมแนวนี้ไม่เก่งนะครับ เพราะตัวเกมยังมีระดับตัวเลือกความยากให้เรานั้นสามารถเข้าไปสนุกกับเนื้อเรื่อง รวมถึงยังสามารถสนุกกับเกมในโหมดที่ง่ายขึ้นได้ รวมถึงทางผู้พัฒนายังมีระบบตัวเลือกใหม่อย่าง Jedi Padawan ซึ่งจะเป็นระดับที่ต่ำกว่า Jedi Knight ที่ภาคที่แล้วเป็นระดับความง่ายรองลงมาจาก Story Mode เพราะผู้พัฒนาเผยว่ามีหลายคนที่ได้เล่นโหมดนี้แล้วยังยากเกินไปนั่นเองสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอีกก็คือรูปแบบของ Lightsaber ที่ในภาคนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีท่วงท่าการต่อสู้ ประสิทธิภาพแตกต่างกันไป Single Blade ดาบสไตล์ปกติที่จะมีประสิทธิภาพอยู่ระหว่างกลางในทุกอย่าง, Dual Blade ดาบคู่เป็นอาวุธที่เน้นโจมตีแบบรวดเร็ว, Double Bladed ดาบปลายหัวท้ายที่จะเน้นโจมตีแบบหมู่, Cross Guard Blade จะเป็นอาวุธที่ตีช้า แต่รุนแรงมาก และ Bluster and Blade เป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ดาบและปืน ซึ่งจะสามารถทำดาเมจได้ไกล แต่จะทำดาเมจเบา โดยเราจะสามารถเลือกรูปแบบดาบไปใช้ในการต่อสู้ได้เพียงแค่ 2 รูปแบบเท่านั้น แต่ถ้าเจอจุดเซฟเราก็สามารถเปลี่ยนตรงนั้นได้เลย รวมถึงตัวเกมยังมีระบบการอัพเกรดที่เราสามารถอัพเกรดท่าต่าง ๆ ของรูปแบบขออาวุธที่เราอยากเล่นได้ด้วยและระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบ Companions ที่ในบางฉากตัวเราจะมีเพื่อนร่วมทางที่จะมาช่วยเราต่อสู้ด้วย และความสามารถของตัวละครเพื่อนนั้นไม่ได้ขี้เหร่เบน พวกเขาสามารถทำดาเมจใส่ศัตรูได้เยอะมาก ๆ และที่สำคัญก็คือเราสามารถสั่งให้เพื่อนให้สกิลพิเศษที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เพื่อนวางระเบิดสตั๊นให้เราเวลาเจอกับศัตรูที่ถึกได้เป็นต้นฉากสำรวจภายในเกมนี้ ตัวเกมจะยังพาเราไปผจญภัยตามดวงดาวต่าง ๆ เช่นเดิม โดยดวงดาวหลัก ๆ ที่เราจะได้ไปผจญภัยนั้นจะมีอยู่ด้วยกันราว ๆ 2 - 3 ดาว (ไม่รวมดาวอื่น ๆ ที่อาจจะมีภารกิจเดียว) แต่แน่นอนอย่างที่กล่าวไปว่าขนาดของแผนที่นั้นจะมีความกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น ซึ่งใหญ่ขึ้นราว ๆ 2 - 3 เท่าของภาคที่แล้ว และจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน ๆ แต่สำหรับบางพื้นที่เราอาจจะยังไปไม่ได้ในตอนแรก เพราะข้อจำกัดในความสามารถบางอย่างของตัวละครเราที่อาจจะต้องเล่นเนื้อเรื่องไปจุดหนึ่งก่อนถึงจะปลดล็อคไปยังพื้นที่ใหม่นอกจากนี้ตัวเกมยังมีดวงดาวที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งภายในนั้นก็จะมีอะไรให้เราทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปรับแต่งทรงผม หนวดเคราของตัวละคร ซื้อของที่จำเป็น การทำสวน หรือแม้กระทั่งการรับภารกิจเสริม (เรียกว่า Rumour) ที่จะให้เราได้ไปทำภารกิจต่าง ๆ อย่างเช่นการล่าค่าหัว การไปยังพื้นที่นอกเหนือจากเนื้อเรื่อง ซึ่งจะทำให้เราได้ของรางวัลพิเศษมา อีกหนึ่งจุดเด่นนอกจากระบบการต่อสู้นั่นก็คือการสำรวจ ที่เราจะต้องเข้าไปยังดินแดนลับ หรือดินแดนต้องห้ามต่าง ๆ แน่นอนว่าระบบการปีนป่าย ไต่กำแพงต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ในภาคที่แล้วก็ยังมีอยู่เช่นเคย แต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ได้ใส่ลูกเล่นอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เราไม่เกิดความรู้สึกจำเจ ซึ่งตัวไอเดียก็มีเยอะมากไม่ว่าจะเป็นการขี่นกร่อนไปบนอากาศ การวาร์ปทะลุกำแพงเลเซอร์ การกระโดดขึ้นบอลลูนเพื่อส่งแรงกระโดดให้สูงขึ้นเป็นต้น ความรู้สึกหลังเล่นเริ่มจากตัวเกมเพลย์ แน่นอนว่ารูปแบบโดยรวมนี่ก็ยังเป็นเกม Star Wars Jedi: Fallen Order ที่ตัวเกมยังมีความท้าทายเช่นเดิม ซึ่งใครที่ชอบเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะติดใจอะไร แต่การที่เรามีรูปแบบดาบไลท์เซเบอร์ให้เลือกเล่นถึง 5 แบบก็ทำให้เกมเพลย์มีความไม่จำเจมากยิ่งขึ้นไปด้วย และสิ่งที่ผู้เล่นไม่ชอบเกมภาคที่แล้วมาก ๆ ก็คือการที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ภายในโลกมากเกินไป ลองคิดว่าเราเองนั้นเป็นแฟนเกมสตาร์วอรส์เราเองก็อยากต่อสู้กับเหล่า Stormtrooper หรือหุ่นยนต์ Droids มากกว่า แต่ในภาคนี้เราจะมีโอกาสได้ต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้มากขึ้น บอกเลยว่าประทับใจจริง ๆและอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตั้งแต่ช่วงแรกของเกม เลยไปจนถึงกลางเกม ตัวเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างมีความจืดชืดมาก ๆ ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องการผจญภัย ตามหาของต่าง ๆ แน่นอนว่าเกมเพลย์ที่สนุกก็สามารถทดแทนกันได้ แต่พอเข้าถึงจุดไคล์แม็ก ตัวเนื้อเรื่องนั้นกลับเข้มข้น เล่าประเด็นที่อยากเล่าอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าสุดท้ายตัวเนื้อเรื่องจะยังคงสูตรสำเร็จไว้ แต่ก็มีบางประเด็นที่น่าสนใจ และทำให้เราอยากติดตามแฟรนไชส์นี้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย แถมสุดท้ายตัวเกมก็ยังมีซีนเซอร์วิสให้แฟน ๆ สตาร์วอส์ แถมยังเป็นเซอร์วิสที่ใกล้ชิดมากกว่าเซอร์วิสของภาคแรกด้วยแหละแต่สิ่งที่ไม่โอเคเลยกับเกมนี้ก็คงจะเป็นปัญหาด้าน Optimise ที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ขนา่ดคอนโซลเจนใหม่ยังไม่สามารถเล่นเกมนี้แบบ 60 FPS ได้ เวลาที่ตัวเกมต้องเรนเดอร์ฉากที่มีขนาดใหญ่ ทำให้อรรธรสในการเล่นน้อยลงเยอะ แต่ก็ต้องรอดูในอนาคตว่าผู้พัฒนาอาจจะมีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็ได้
26 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม Tchia ผจญภัยสุดหรรษา บนเกาะทะเลใต้ที่อ้างอิงมาจากประเทศ New Caledonia
อากาศร้อนๆ แบบนี้อยากเที่ยวเกาะเที่ยวทะเลเสียเหลือเกิน และดูเหมือนว่าจะมีเกมหนึ่งที่เพิ่งปล่อยมาไม่นานนี้สามารถมอบประสบการณ์ดังกล่าวได้นั่นก็คือ Tchia นั่นเอง ซึ่งเป็นเกมที่ออกตัวอย่างชัดเจนเลยว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศที่มีอยู่จริงอย่าง New Caledonia แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักนักแต่ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ถือว่าสวยงามและน่าจดจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะได้พบเห็นในเกมนี้ด้วย แค่เห็นก็อยากล่องเรือและโดดลงน้ำทะเลแล้ว รีรออะไรกันเล่ารีบไปผจญภัยกับน้อง Tchia กันดีกว่า!แรงบันดาลใจที่หล่อหลอมออกมาเป็นเกมนี้เมื่อเรากดเริ่มเกม เราจะได้อ่านข้อความจากทีมพัฒนาว่า เกมดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศ New Caledonia ไม่ว่าจะเรื่องภูมิประเทศ พืชกับสัตว์ต่างๆ วัฒนธรรม อาหาร ดนตรี ภาษา หรือแม้แต่เรื่องเล่าพื้นบ้าน การได้เล่นเกมนี้เหมือนได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศนี้คร่าวๆ เลยทีเดียว (ถึงกระนั้นเกมก็มีการปรุงเสริมเติมแต่งตามจินตนาการด้วยเพื่อความสนุกสนานในการเล่น)ซึ่ง Tchia เป็นเกมที่สวยมาก ไม่ว่าจะใต้ผืนน้ำ หาดทราย ภูเขา ป่าไม้ แค่ได้เดินทอดน่องชมวิวไปเรื่อยๆ หัวใจก็ได้รับการเยียวยาโดยธรรมชาติแล้วTchia สาวน้อยกับพลังเหนือธรรมชาติเราจะไม่สปอยล์ว่าน้องมีพลังนี้ได้อย่างไร แต่นี่คือพลังที่เราจะได้รับมาก่อนที่จะออกผจญภัยนั่นก็คือ Soul jumping เป็นความสามารถที่เราจะสามารถสิ่งสู่สัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่สิ่งของ เช่น สิงนกเพื่อบินบนฟ้า สิงปลาเพื่อว่ายน้ำได้เร็วขึ้น เป็นต้น ทำให้เราสามาถเดินเหินไปทั่วเกาะทั้งสองได้อย่างสนุกสนานนอกเหนือไปจากการใช้สองเท้า ผ้าร่อนและล่องเรือ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดก็มีความสามารถเฉพาะด้วยที่สามารถช่วยแก้ Puzzle ต่างๆ ในเกมได้อีกด้วยนอกจากตัวเธอเอง เครื่องดนตรีอูคูเลเล่คู่ใจเธอนั้น นอกจากจะสามารถเล่นตรีได้ตามปกติแล้วยังสามารถบรรเลงบทเพลง Soul-Melodies ที่มีพลังพิเศษหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนช่วงเวลาของวัน การเรียกกับหยุดฝน หรืออัญเชิญสัตว์ต่างๆ มาให้เราใช้งาน (ไม่เช่นนั้นคงต้องเดินหากันจนเหนื่อย) ซึ่งบทเพลงพวกนี้จะได้มาจากการตั้งสมดุลหิน เป็นหนึ่งในมินิเกมที่เราจะได้พบเจอในโลกอันกว้างใหญ่โลก Open World ที่แสนอิสระในโลกของ Tchia จะมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ให้เราได้สำรวจ จะปีนขึ้นยอดเขาหรือดำลงไปใต้น้ำก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทำเนื้อเรื่องหลักเพราะข้างนอกนั่นมีอะไรให้ทำเยอะมาก ไม่ว่าจะมินิเกมอย่างการยิงเป้า วิ่งเข้าเส้นชัยก่อนหมดเวลาหรือกระโดดน้ำ การไล่เก็บของต่างๆ อย่างผลไม้เพิ่มสตามิน่า หอยมุก ปลาตะเพียน (เป็นเกมที่มีอะไรให้เก็บเยอะเหลือเกิน)แนะนำว่าการเปิด Viewpoint เป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรทำเพราะจะทำให้เราเห็นของต่างๆ บนแผนที่ เช่นเดียวกับท่าเรือที่ทำให้เราสามารถ Fast Travel ระหว่างท่าได้กิจกรรมเยอะแยะมากมายจริงๆระบบแผนที่ที่เหมือนเราลงไปเดินทางด้วยตัวเองเกมนี้มีเพียงแผนที่และเข็มทิศเท่านั้นที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ที่แห่งใด เพราะเราไม่สามารถรู้ตำแหน่งปัจจุบันได้โดยทันทีด้วยการเปิดแผนที่ ถึงกระนั้นเราสามารถใช้ความช่วยเหลือของ Tchia ให้เธอบอกขอบเขตที่เราอยู่อย่างคร่าวๆ ได้ หากเจอป้ายบอกทางก็จะทำให้พอรู้ด้วยว่าอยู่ตรงไหน ชวนให้นึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังไม่มี Google Map เลยทีเดียว แอบให้ความรู้สึกแปลกใหม่ (ทั้งที่เป็นสิ่งที่เก่าในชิวิตจริง) ยังไงชอบกลแฟชั่นที่แต่งได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า อูคูเลเล่ไปจนถึงเรือความสวยงามน่ะเรื่องใหญ่! และเกมนี้ก็จัดเต็มเรื่องชุดที่เราสามารถจับ Tchia แต่งตัวได้ ซึ่งของ Cosmetic จะได้มาจากการเปิดกล่องเก็บของ อยู่บนเกาะบ้างอยู่ในทะเลบ้าง รวมถึงการทลายแคมป์ด้วยการใช้วัตถุระเบิด ...อะไรนะ? ใช่ ได้ยินถูกต้องแล้ว เพราะเกมนี้มีระบบการต่อสู้นั่นก็คือการเผาเจ้าวายร้ายเศษผ้าให้สลายกลายเป็นจุณเกมนี้ไม่ใช่เกมสำหรับเด็กสักเท่าไหร่ แต่ก็อบอุ่นและน่าประทับใจแม้ภาพจะดูสดใสและตัวเอกเป็นเด็กสาวตัวน้อย ทว่าเพียงไม่กี่นาทีแรกที่เราเล่นเกมนี้ก็พอจะทำให้รู้ว่าเกมนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็ก (และยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเห็นความจริงข้อนี้)ถึงกระนั้น เนื้อเรื่องก็ถือว่าน่าสนใจ เราจะได้พบเจอกับคนอื่นๆ เพื่อผูกมิตรช่วยเหลือกันและกัน ได้รับรู้ความจริงทีละนิดละน้อยเกี่ยวกับพลังของ Tchia และครอบครัวของเธอ ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้น.. คงต้องให้ทุกท่านได้ลองเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองเป็นเด็กเป็นเล็กหัดเล่นระเบิดนะสรุป: เป็นประสบการณ์การเล่นที่ชวนอินไปกับโลกของเกม Tchia แต่ก็ยังแอบตื้นเขินในบางจุดด้วยความที่ตัวเกมได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศที่มีอยู่จริง สิ่งที่หล่อหลอมตัวเกมขึ้นมาจึงทำให้เรารู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในโลกนี้จริงๆ ได้ไม่ยากเลย พวกมินิเกมหรือสิ่งต่างๆ ที่เราสามารถทำได้ในโลก Open World ก็ถือว่าเยอะและหลากหลายแต่ด้วยความที่ระบบเกมไม่ได้ลึกนัก เราจึงแอบเสียดายระบบ Soul jumping ที่น่าจะทำอะไรได้มากกว่าการสิงเพื่อกระทำบางสิ่งแล้วจบ บทบาทในพัซเซิลก็มีบ้างแต่น้อยนิดนัก ส่วนมากระบบนี้จึงถูกใช้ในการเดินทางในโลกอันกว้างใหญ่เสียมากกว่า เกมมีบัคบ้างประปรายจนเสียอรรถรสในบางจังหวะในส่วนของเนื้อเรื่องบางจุดค่อนข้างจะเบาและนำเสนอแบบเล่นง่ายไปหน่อย ตัวละครบางตัวมีบทบาทน้อยแบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจนไม่เป็นที่จดจำสักเท่าใด แต่โดยรวมแล้วทุกอย่างล้วนคลี่คลายในตอนจบได้กลมกล่อมดีไม่มีอะไรค้างคาค่ะโดยรวมแล้ว Tchia เป็นเกมโลกเปิดที่ถือว่าสนุกและมีอะไรให้ทำเพลินๆ แบบมากมายก่ายกอง หากใครกำลังมองหาเกมที่ไม่ยากมากเพื่อผ่อนคลายจากวันอันเหนื่อยล้าไปกับโลกเกาะทะเลใต้อันแสนงดงาม เกมนี้ก็เป็นเกมที่แนะนำค่ะ ผู้เขียนใช้เวลาราวๆ 8 ชั่วโมงในการจบเนื้อเรื่องหลัก (ขนาดมีเถลไถลบ้างแล้วนะ) และ 16 ชั่วโมงในการเก็บ 100% หากใครสมัคร PlayStation Plus ระดับ Extra สามารถโหลดเกมนี้มาลองได้ค่ะแพลตฟอร์มเกม: PlayStation 5, PlayStation 4, Microsoft Windows (Exclusive Epic Games Store)
22 Apr 2023
[Review] รีวิว Acer Nitro 5 โน๊ตบุ๊คสุดคุ้มที่เล่นเกมใหม่ๆ ได้ และยังมีไฟ RGB สวยหลากสี!
ถ้าคุณกำลังตามหาโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่เล่นเกมใหม่ๆ ออกวางขายในช่วงปี 2023 หรือหลังจากนี้ลื่นแบบ 'เน้นประหยัดคุ้มราคากำลังดี' และขอดีไซน์สวยๆ กับมีไฟ RGB งามสะใจ ACER Nitro 5 จะถือว่าตอบโจทย์ตรงใจคุณอย่างมาก และวันนี้ทางเราขอมารีวิวให้ชมกันว่าเจ้าโน๊ตบุ๊คตัวนี้มีข้อดีหรือข้อเสียยังไงบ้าง รับชมได้ที่ด้านล่างเลย!สเปคตัวที่เรานำมารีวิวคือ Acer Nitro 5 AN515-46-R8TG ที่วางขายครั้งแรกช่วงปี 2022 มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 50,990 บาท โดยตัวนี้ดูเหมือนว่าจะทำมาตอบโจทย์เกมเมอร์ที่อยากเล่นเกมยุคปี 2023 ได้ลื่นแบบ 'ราคาประหยัดคุ้มที่สุด' และต้องการโน๊ตบุ๊คมีไฟ RGB สวยๆ ให้รู้สึกฟิน ซึ่งสเปคจะมีแบบสรุปได้ดังนี้ซีพียูตัวท็อปอย่าง AMD Ryzen 7 6800H ส่วนการ์ดจอตัวระดับกลางอย่าง Nvidia RTX 3060VRAM อาจมีเพียง 6GB แต่ RAM นั้นมีถึง 16GB และเป็น DDR5 อีกต่างหาก แถมใส่แรมเพิ่มได้เป็น 32GBSSD M.2 PCle ขนาด 512GB และยังมี SSD M.2 PCle อีกช่องให้ใส่เพิ่มได้จอ IPS ที่รองรับสูงถึง 165 Hz และยังตอบสนองเร็ว 3ms มี FreeSync Premiumช่องเสียบ USB 3.2 Type A มากถึง 3 ช่อง และช่อง USB 3.2 Type C 1 ช่อง รวมทั้งต่อออก HDMI ได้ 1 ช่องเช่นเคยรองรับ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6Eจากด้านบน จะเห็นได้เลยว่าเจ้าโน้ตบุ๊กตัวนี้มีความคุ้มราคามาก เนื่องจากถ้าเทียบตัวอื่นในราคาใกล้ๆ กันจะไม่ได้จอ Hz สูงขนาดนี้ แต่ ACER Nitro 5 จะยกให้คุณไปเลยถึง 165 Hz ช่วยให้การเล่นเกมได้อรรถรสลื่นไหลมากขึ้นไปอีก และผู้เขียนเชื่อว่างบระดับนี้ ใครๆ ก็คงเล็ง ACER Nitro 5 เพราะระดับ Hz ที่สูงกว่าชาวบ้านเนี่ยแหละ แต่ถ้าจะให้ติก็คงเรื่องซื้อโน๊ตบุ๊คตัวนี้แล้วคุณจะยังไม่รู้สึกจบ เนื่องจากผู้เขียนเชื่อว่า SSD เพียง 512GB นั้นไม่พอสำหรับใครหลายๆ คนแน่นอน และ RAM 16GB กับเกมใหม่ๆ นั้นก็เริ่มจะไม่ดีแล้ว ส่งผลให้คุณจะรู้สึกอยากควักเงินเพิ่มนั่นเองการออกแบบ และวัสดุนอกจากเสปคที่สุดจะคุ้ม อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจมากคือ ACER Nitro 5 มีการดีไซน์โน๊ตบุ๊คมาให้ฝุ่นเข้ายากมาก และมันก็ยังส่งผลให้ตัวเครื่องนั้นดูสวยงามล้ำยุคอารมณ์แบบ Modern Gaming ทำนองนี้ด้วย อาจมีขัดใจอยู่นิดนึงคือดีไซน์ขอบจอนั้นทำมาดูบ้านๆ เหมือนพวกโน๊ตบุ๊คสายทำงาน หรือตรงขอบด้านหลังตัวเครื่องก็จะใช้ลวดลายสีแดงเข้มที่ทำให้คนชอบสีดำกลมกลืนไปเลยจะรู้สึกแปลกๆ แต่หลังจากที่คุณเปิดใช้งาน ACER Nitro 5 แล้วเจอเข้ากับ 'ไฟ RGB ของปุ่มคีย์บอร์ด' คุณจะลืมอะไรที่ขัดใจทิ้งทันที เพราะไฟ RGB นั้นทำมาสวยอลังหลากสีมาก และก็ยังปรับให้เป็นสีรุ้งเปลี่ยนกันไปมาอย่างสง่างาม แม้ตัวแป้นจะไม่ได้ดูพรีเมี่ยมกว่าโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งตัวอื่นๆ เพราะงั้นถ้าใครที่ไม่ได้คิดจะมองโน๊ตบุ๊คนอกจากจอภาพ และตรงไฟคีย์บอร์ดเป็นหลัก ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์เลยส่วนพวกวัสดุอันนี้ก็ดูแข็งแรง ไม่ว่าจะส่วนต่างๆ และส่วนตัวยึดจอให้พับขึ้นลงได้ และด้านหลังตัวเครื่องยังมี 'ที่รองพื้น' ช่วยกันฝุ่นให้เข้าจากทางด้านล่างไปอีก ส่งผลให้ดีต่อใจจริงๆ โดยเราลองเอาโน้ตบุ๊คตัวนี้ไปลุยฝุ่นมาด้วย ผลปรากฎว่าฝุ่นหรือสิ่งสกปรกจะติดที่ด้านหลังของจอ หรือแค่ที่วางขาด้านหลังของตัวเครื่องเท่านั้น ส่วนอื่นรอดฝุ่นสบายๆสายชาร์จ 180W ออกแบบมาสวยด้วยเช่นกัน และด้วย USB ที่เสียบชาร์จอยู่ด้านหลังตัวเครื่อง ทำให้ไม่เกะกะอย่างมากสำหรับใครที่จะอัปเกรด RAM กับ SSD ด้วยตัวเอง ด้านภายในตัวเครื่องก็สามารถทำให้ใส่ได้อย่างไม่ยุ่งยากนะ ส่วนอันนี้คือรูปด้านข้างสำหรับช่อง USB ที่มีให้เสียบการใช้งานหลังจากเปิดเครื่องขึ้นมา และว้าวกับเรื่องไฟ RGB กันไปแล้ว เราจะพบว่าเจ้าเครื่องตัวนี้จะมีการติดตั้ง Software น่าสนใจประกอบไปด้วยดังนี้AMD Adrenalin เอาไว้ใช้ปรับลูกเล่นต่างๆ ให้เล่นเกมได้ลื่นไหลขึ้นDTS ช่วยให้เสียงมีมิติมากขึ้นNitroSense โปรแกรมเฉพาะของ ACER Nitroสำหรับ NitroSense จะเป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์เยอะมากๆ โดยเมื่อคุณเข้ามาจะพบว่ามันเอาไว้เช็คการทำงานของ CPU & GPU และยังสามารถเลือกปรับแต่งพัดลมการทำงานได้หลายรูปแบบอีกต่างหาก แล้วเจ้าโปรแกรมตัวนี้ยังให้เราปรับพวกไฟ RGB บนคีย์บอร์ดได้ตามใจชอบ ยกตัวอย่างปรับให้เป็นสีฟ้าล้วนๆ หรือปรับเป็นคลื่นสายรุ้ง รวมทั้งเจ้าโปรแกรมนี้ก็ใช้งานได้ไม่ยาก ส่งผลให้นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดน่าสนใจของโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งจาก ACER Nitroเจ้าโน้ตบุ๊คตัวนี้ก็ยังคงมีลำโพงติดเครื่องมาด้วยเช่นเคย และเสียงของมันก็คุณภาพดี ไม่รู้สึกเสียงแตกอะไรแบบนั้นปรับความสว่างของจอได้สว่างจ้ามาก ถ้าเล่นนอกสถานที่ถือว่ามองเห็นชัดอยู่ รวมทั้งตอนในสถานที่ บางทีผู้เขียนต้องปรับแสงที่ 0% ไม่งั้นแสบตาส่วนการใช้งานทั่วไปผ่าน Windows 11 ตัวเครื่องก็ลื่นไหลไม่มีปัญหาให้ต้องไปตั้งค่าอะไรก่อนเลยการเล่นเกมพูดตรงๆ การ์ดจอ GTX 3060 แม้จะขึ้นชื่อเรื่องความแรงในระดับภาพ 1080p แต่ปัจจุบันก็ไม่สามารถใช้ปรับภาพสูงๆ ในเกมใหม่ๆ ได้ไหวแล้ว แต่ก็ด้วยเจ้าโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้มีการจูนปรับแต่งการกินไฟได้ดีมากๆ บางเกมนั้นจะกลับรีด FPS ได้สูงกว่าการเล่นเกมด้วยการ์ดจอ GTX 3060 ปกติ ยกตัวอย่างเกม Hogwarts Legacy ก็สามารถปรับ High แล้วเล่นได้ FPS ที่ไม่แย่เลย ส่งผลให้การเล่นเกมปี 2023 นั้นก็อยู่ในระดับลื่นอยู่ แต่ก็มีเรื่องให้ติอย่างหนักเหมือนกันคือ VRAM ที่จะทำให้คุณต้องเลือกปรับที่ Low หรือ Medium ในเกมใหม่ๆ ช่วงปี 2023 เนื่องจากปีนี้ VRAM 8GB ก็อยู่ในระดับที่แทบไม่พอแล้ว แต่เจ้า ACER Nitro 5 จะมี VRAM เพียง 6GB เท่านั้น ถ้าอย่างเกม The Last of Us Part 1 นี่แทบจะเล่นแบบ Low อย่างยากลำบากเลย เพราะเกมกิน VRAM สูงมากๆ ส่งผลให้คุณต้องไปนั่งหาวิธีปรับภาพให้ดีสุด ก็ถือว่าเป็นจุดน่าคิดว่าคุณชอบไหมว่าถ้าปรับเกมใหม่ๆ ได้แค่ Low หรือ Medium กับต้องมานั่งปรับเพื่อให้เล่นลื่นแต่ถ้าเกมฟอร์มยักษ์ต่ำกว่าปี 2023 เป็นต้นไป อันนี้ถือว่าเล่นลื่นทุกเกม ถ้าเกมอย่าง Forza Horizon 5 ปรับ Ultra เล่นได้สบายเลย แล้วยังได้ FPS เยอะแบบไม่น่าเชื่อถ้าคุณซื้อมาเล่นเกมออนไลน์สายแข่ง PvP หรือเกม Eposrts อันนี้ถือว่าเล่นลื่นสบายไปอีกหลายปีแน่นอน เนื่องจากเสปคนี้จะสูงกว่าที่เกมเหล่านั้นต้องการอยู่หลายเท่า รวมทั้งจอที่มี Refresh Rate สูงมากๆ จึงทำให้เล่นได้ภาพลื่นไหลเอาชนะอีกฝั่งง่ายๆ ยกตัวอย่างเกม Dota 2 กับ Valorant อันนี้สบายลื่นไหลสุดๆสรุปเห็นได้ชัดๆ ว่า ACER Nitro 5 ไม่ใช่โน้ตบุ๊กระดับเทพ ซื้อแล้วเล่นเกมฟอร์มยักษ์ AAA ยุคนี้หรือในอนาคตไปได้อีกยาวสบายๆ อะไรทำนองนั้น แต่มันคือโน๊ตบุ๊คสำหรับสายที่อยากเล่นเกมยุคนี้ได้ไหวอยู่ในราคาถูกที่สุด หรือสายที่ชอบเล่นเกมสายแข่ง PvP หรือเกม Esports เพราะเจ้าเครื่องนี้นอกจากจะเล่นได้ภาพสวยๆ ก็ยังมี Refresh Rate ที่สูงจนทำให้ภาพลื่นสะใจอย่างมากเหมือนพวกมอนิเตอร์ตั้งโต๊ะ ส่งผลถ้าใครอยากเล่นเกมฟอร์มยักษ์ AAA ได้ภาพระดับ High หรือ Ultra รวมทั้งซื้อแล้วรู้สึกจบเลย อันนี้ทางเราก็ขอแนะนำให้ต้องขยับงบขึ้นไปสัก 70,000 - 100,000 จะดีกว่า แต่ถ้าใครมองว่า Low หรือ Medium ก็ไม่ได้มีปัญหาจริงๆ ก็สามารถไปหาจัดกันได้เลยในราคา 50,990 บาท* ขอขอบคุณทาง ACER ที่ให้เราได้รีวิวโน๊ตบุ๊คดีๆ แบบนี้ด้วยนะครับ *
20 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม DREDGE มาเป็นชาวประมง ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องปลาปลา
DREDGE เป็นเกมตกปลาที่ผู้เขียนอย่างผมกด Wishlist รอเอาไว้มาอย่างยาวนาน และเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2023 ที่ผ่านมา DREDGE ได้ลงวางขายใน Steam อย่างเป็นทางการครับ ผมได้มีโอกาสดูตัวอย่างของเกมนี้ที่สะดุดตาด้วยภาพออกแนวการ์ตูนน่ารัก ๆ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและแอบน่ากลัวนิด ๆ DREDGE เป็นเกมแนว Horror ที่เราจะต้องมารับบทเป็นชาวประมงดวงซวยที่มาติดแหง็กอยู่ที่เมือง Greater Marrow แค่ตัวอย่างของเกมก็ทำให้ผมนั้นเนื้อเต้นจนต้องกด Wishlish มารอเอาไว้ สงกรานต์คนอื่นได้หยุดแต่ไม่ผมไม่ได้หยุด และในตอนนี้ผมก็มีโอกาสได้หยุดยาวกับเขาสักทีผมจะเสพเกมนี้ให้ชุ่มในหัวใจไปเลยฮะ มาดูกันว่าบทบาทที่ได้รับ เนื้อเรื่อง เกมเพลย์ของเกมนี้นั้นจะพาเราท่องโลกท้องทะเลตกปลาไปด้วย และแอบมีเรื่องลึกลับให้ได้สืบเสาะกันด้วยนั้นมันจะเป็นยังไง ตามผมมาเล่นเกมไปด้วยกันเลย ทาด๊าาาาาาเนื้อเรื่องหยอง ๆ ที่เกินสองบรรทัดเราจะได้รับบทเป็นชายชาวประมงคนหนึ่งที่เรืออับปางเพราะขับเรือชนโขดหินแถว ๆ ประภาคารเพราะไม่รู้ว่าใจลอยมาจากไหน เราจะมาฟื้นที่ท่าเรือของเมือง Greater Marrow และได้ของแถมมาเป็นโรคความจำเสื่อม (เล่นเกมไหนเขาก็พากันความจำเสื่อมไปหมดเลย ฮ่า ๆ)หลังจากเราลืมตาตื่นขึ้นมาจะมีนายกเทศมนตรีของเมืองมายืนรอต้อนรับเรา และบอกเราว่า"ไอ้หนุ่มเรือนายชนแถว ๆ ประภาคาร และโชคดีของนายจริง ๆ ที่ตอนนี้หมู่บ้านเรากำลังขาดคนหาปลาอยู่พอดี ตำแหน่งนี้ว่าง นายก็รับงานนี้ไปเลยละกันนะ เพราะเรือนายพังไปแล้ว เรามีเรือเก่า ๆ ให้ใช้งาน แล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันทีหลังเกี่ยวกับเรือลำนี้ (สุดท้ายแล้วนายกเทศมนตรีก็จะบอกเราว่าเรือของเราที่เอาไปชนมานั้นได้รับความเสียหายมากเกินกว่าจะซ่อมได้ ก็นั่นแหละฮะท่านผู้อ่าน ก็ตามคาดเอาเรือลำใหม่ไปและก็ทำงานใช้หนี้ให้เขาซะ!) ""แล้วย้ำเลยนะไอ้หนุ่ม นายต้องกลับเข้าเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนที่หมอกจะลง ไม่งั้นล่ะสยองแน่ ๆ"แหม...ขู่ขนาดนี้ ไม่อยากทำก็ไม่ได้โดนมัดมือชก ฮ่า ๆนายกเทศมนตรีน่ะ เขาบอกครับ แต่...เขาบอกไม่หมด! เขาบอกแค่ให้กลับก่อนพระอาทิตย์ตก ไม่งั้นจะเจอเรื่องไม่ดี แต่ที่จริงแล้วมันมีเรื่องลึกลับที่ซ่อนอยู่มากกว่านั้น อย่างแรกเลยนายกเทศมนตรีหมกเม็ดเรื่องราวของชาวประมงคนก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ และอย่างที่ 2 3 4 5 6 นั้นนายกเทศมนตรีก็ไม่ได้บอกว่าถ้าเรากลับไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินจะเจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดชวนมะลึกกึกกึ๋ย อย่างเช่น มีเรือประหลาดเมื่อเราขับไปใกล้ ๆ ก็จะหายไปดื้อ ๆ, โขดหินที่อยู่ดีดีนึกจะโผล่ก็โผล่ขึ้นมาให้เราเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ แม้แต่เรือที่อยู่ดีดีกลายเป็นปลายักษ์ที่พยายามจะหลอกกินเรา ความลี้ลับ สิ่งปริศนาต่าง ๆ เหล่านี้ มันจะค่อย ๆ ถูกยกระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามช่วงจังหวะของเกมที่เราเล่น เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อนั้นเพื่อน ๆ ต้องไปเล่นกันเองแล้วแหละครับ เล่าหมดนี่ไม่ต้องเล่นเองกันแล้ว ฮ่า ๆเกมเพลย์มีอะไรให้ทำเยอะ เล่นเพลิน ๆ ดูดเวลาชีวิตเอาง่าย ๆ ว่าตั้งแต่เราเรือชนแล้วลืมตาฟื้นขึ้นมาเนี่ย ก็ไม่มีเวลาให้เราได้พักหายใจกันเลยครับ นายกเทศมนตรีจะมอบเควสแรกให้เราทำ และมีเควสอื่น ๆ มากมายต่อแถวรอจากชาวเมืองคนอื่น ๆ อีกเพียบ เวลากลางคืนถึงแม้ว่ามันจะน่ากลัวและนายกเทศมนตรีเตือนเราเอาไว้แล้วว่าไม่ควรออกทะเล แต่บางภารกิจ มินิพัซเซิล หรือแม้แต่ปลาบางชนิด เราก็มีความจำเป็นต้องออกเรือเพื่อไปในเวลากลางคืนเท่านั้นครับ เกมเพลย์สำคัญ ๆ ของเกมนี้มีอะไรบ้างนั้น เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันการหาปลา - เกมนี้อุปกรณ์ตกปลาจะแบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ Coastal, Shallow, Oceanic, Abyssal,Hadal, Volcanic และ Mangraove ส่วน Dredge นั้นจะเป็นเกี่ยวกับการหาสมบัติหรือวัตถุดิบต่าง ๆ ในทะเลครับ (จะได้รับ Dredge เมื่อเราทำเควสไปเรื่อย ๆ) ในช่วงแรก ๆ อุปกรณ์ตกปลาของเรานั้นจะยังไม่สามารถหาปลาได้หลากหลายมากนัก เราจะหาได้เพียง Coastal และ Shallow เท่านั้น เต็มที่ถ้าอัปเกรดเรือไวไว ก็จะได้เบ็ดที่สามารถตกปลาประเภท Oceanic (เราสามารถสังเกตว่าตอนนี้เราสามารถตกปลาประเภทไหนได้บ้าง ได้ที่หมวด Cargo ครับ)เมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเกมจะพาไปเจอ NPC ในต่างพื้นที่ และปลาในต่างพื้นที่ก็จะแตกต่างกันออกไปครับ พวกปลาน้ำลึกอย่าง Abyssal และ Hadal นั้นเราจะต้องเล่นไปเรื่อย ๆ และทำเควสให้ผ่านและเราจะได้รับรางวัลมาเป็นเบ็ดที่ใช้ตกปลาประเภท Abyssal และถ้าเรามีเฟืองสำหรับวิจัยอุปกรณ์ตกปลาเหลือ ก็สามารถทำการวิจัยสำหรับเบ็ดประเภท Abyssal+Hadal เพราะใช้เฟืองแค่เพียง 1 อันเท่านั้น เราก็จะสามารถซื้อเบ็ดที่สามารถตกปลาประเภท Abyssal+Hadal ได้ (ทุกครั้งที่ทำการวิจัย อุปกรณ์ต่าง ๆ จะถูกเพิ่มลงร้านค้าของ NPC ในเมือง เราสามารถซื้ออุปกรณ์ได้ที่ NPC)เมื่อถึงเวลาต้องออกเรือไปตกปลา เกมนี้ไม่ได้มีระบบการตกปลาที่ซับซ้อนอะไร ตัวเกมแยกปลาเป็นประเภทเหมือนที่ผมได้อธิบายเอาไว้แล้วด้านบน เราแค่ต้องอัปเกรดเรือ และหาเบ็ดตามประเภทปลาเพื่อมาตกครับ ตอนตกเราก็แค่แล่นเรือไปจอดตรงที่มีปลาแล้วกด F เล่นมินิเกมที่มีขึ้นมา หลังจากนั้นก็จัดวางปลาตามช่องที่มี ถ้าช่องเต็มก็เอาปลากลับไปขายที่เมืองก่อน ง่าย ๆ แค่นี้เลยครับ และช่วงหลัง ๆ จะมีอวนให้เราใช้งาน แต่จำกัดเป็นวันพอครบวันแล้วต้องเอาไปซ่อม ส่วนปลาจะสุ่มจับขึ้นมาให้ ผมว่าตกเองสนุกกว่าระบบอัปเกรด - หลัก ๆ แล้วก็จะเป็นการเพิ่มคุณภาพให้เรือเราครับ โดยใช้วัตถุดิบที่เราดึงขึ้นมาจากทะเล ไม่ว่าจะเป็นไม้ แผ่นเหล็ก ผ้า หรือโลหะวัตถุต่าง ๆ เราต้องเล่นเกมทำเควสไปเรื่อย ๆ ก่อนเราถึงจะได้รับเครื่องมือที่ใช้ในการดึงของจากทะเลขึ้นมา เมื่อได้มาแล้วสถานะใน Cargo จะมีขึ้นมาว่า Dredge แสดงว่าเราสามารถ ลากวัตถุดิบที่เราเจอในทะเลขึ้นมาได้แล้วครับ อันนี้รวมไปถึงพวกสมบัติหรือของมีค่าต่าง ๆ ที่จมอยู่ในทะเลด้วย การอัปเกรดจะเพิ่มช่องต่าง ๆ ให้เรือของเรา ไม่ว่าจะเป็นช่องการติดตั้งเบ็ด, เครื่องยนต์, ไฟส่องทาง และขยายช่องเก็บของ (เราสามารถขนปลากลับมาได้เยอะขึ้น) เราเพียงแค่เอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มาใส่ตามช่องให้ตรงกับเงา เมื่อครบแล้วก็กดจ่ายเงิน ช่องต่าง ๆ ก็จะอัปเกรดให้เราเลยแบบอัตโนมัติ ในส่วนนี้สำหรับผมก็ไม่มีอะไรยุ่งยากและไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรกับมันมากนัก ซึ่งความไม่ซับซ้อนของเกมนี้นี่แหละ ที่ทำให้มันดูมีเสน่ห์เอามาก ๆระบบการวิจัย - เป็นการวิจัยอุปกรณ์ตบแต่งเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับเรือของเราครับ เราจะสามารถอัปเกรดได้เมื่อเราได้รับไอเทมที่เป็นเฟือง แต่ละอุปกรณ์จะใช้เฟืองในการอัปไม่เท่ากัน ยิ่งความสามารถของอุปกรณ์ดีเท่าไหร่ เราก็ต้องใช้เฟืองในการวิจัยมากขึ้นครับเฟืองสามารถหาได้จากการกู้ซากในทะเล การทำเควสต่าง ๆ บางครั้ง NPC ก็จะให้มันเป็นรางวัลกับเรา การไปค้นซากเรืออับปางที่มาเกยตื้นตามเกาะต่าง ๆ หรือจากที่อยู่อาศัยที่ร้างไปแล้วเมื่อหาเฟืองมาวิจัยได้ครบตามเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ไอเทมต่าง ๆ จะถูกนำไปขายในร้านของ NPC โดยอัตโนมัติครับ เราสามารถใช้เงินที่ขายปลามา นำมาซื้ออุปกรณ์ที่เราต้องการได้เลย อุปกรณ์บางอย่างค่อนข้างแพง ผู้เขียนแนะนำให้หาเงินไว้ก่อน โดยการจับปลาไปขายรอไว้เลยครับการต่อสู้กับสัตว์ร้ายในท้องทะเล - ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเราสามารถตอบโต้สัตว์ร้ายเหล่านั้นกลับได้ไหม แต่ที่ผมเล่นมาผมไม่สามารถสู้มันกลับได้ครับ อาศัยขับเรือหลบหนีเอาเพราะหลัง ๆ นั้นเรือของผมถูกอัปเกรดจนความไวเข้าขั้นว่าตามตัวจับผมยากแล้ว ฮ่า ๆ แต่พวกโขดหินที่โผล่มาแบบลึกลับในตอนกลางคืนก็เป็นเรื่องที่นักซิ่งอย่างผมก็ต้องระวังอยู่ดี เพราะตอนกลางวันไม่มีแต่ตอนกลางคืนนึกจะโผล่ก็โผล่ครับ ฉะนั้นไฟเรือก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แต่เปิดนานก็ไม่ได้เพราะจะเจอพลังงานลึกลับ ที่ถ้าโดนไฟจากเรือของเรามันจะเปลี่ยนตัวเองเป็นพายุ แล้วไล่ชนเรือเราไม่หยุดหย่อน (เป็นคนหาปลานี่มันเหนื่อยจริงจริ๊งงงง)ถึงแม้ว่าเราจะต่อสู้กับอสูรหรือสัตว์ในท้องทะเลไม่ได้ แต่ถ้าเราหลบเลี่ยงมันไม่ได้เราสามารถได้รับดาเมจและทำให้เรือเราพังได้ครับ ขึ้นอยู่ว่าเราอัปเกรดเรือไปถึง Tier ไหนแล้ว อย่างเช่น เรือของผู้เขียนตอนนี้อยู่ Tier 3 ผมสามารถโดนดาเมจได้เต็มที่ 5 ครั้ง ถ้าโดนครบ 5 ครั้งเรือผมจะจมครับ แล้วจะโดนพากลับไปที่จุดเซฟ ของที่เราได้มาก่อนหน้านี้ก็จะอันตรธานหายไป แม้แต่ของเควสต่าง ๆ ก็ต้องทำการฟาร์มกันใหม่แล้วการโดนดาเมจของเกมนี้นั้น ผู้เขียนว่า Dev ออกแบบมาได้ดีมาก ๆ ครับ เช่น บางครั้งเราโดนปลายักษ์โจมตี แต่ก็ต้องรอลุ้นว่าส่วนไหนของเรือจะได้รับความเสียหาย ถ้าโดนเครื่องยนต์ก็จะทำให้เรือไปได้ช้าลง (ซึ่งตรงนี้สร้างความรำคาญให้กับผมนิดหน่อยถ้าเครื่องยนต์เสีย เพราะมันจะแล่นช้ามาก) วิธีแก้คือผมใส่เครื่องยนต์สำรองเอาไว้อีกตัว ถึงแม้มันจะไม่ได้เร็วมาก แต่ดีกว่าไม่มีเลย ถ้าไม่มีเหมือนเราแล่นไปตามลม กว่าจะถึงที่ซ่อมคือหลับได้หลายตื่นมาก ๆ ไหนจะคราเคน ไหนจะอีกาที่มาคอยฉกปลาในคลังของเราไปกิน แถมบางวันออกเรือยังมีสายตาปริศนาที่จับจ้องเต็มไปหมด บอกเลยว่าถ้าขี้เกียจซ่อมเรือบ่อย ๆ ช่วงกลางคืนคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะกับการเดินเรือ และถึงแม้ว่าจะเลี่ยงไปเดินทางตอนกลางวันอย่างเดียว ในบางพื้นที่สัตว์ทะเลหรืออสูร เช่น คราเคน หรือปลาแห่งภูเขาไฟมันดันไม่นอนกลางวัน ผ่านมันนิดหน่อยทำเป็นชนเรือ โถ่...ขอผ่านนิดเดียวก็ไม่ได้ ฮ่า ๆเควส - นี่จะเป็นเรื่องสุดท้ายในบทความนี้นะครับ เพื่อไม่ให้บทความยาวจนเกินไป และกันสปอยล์ต่าง ๆ (ไปเล่นเองกันบ้าง เกมเขาออกจะดี หยอก ๆ นะครับ) เควสเกมนี้จะเน้นไปที่เนื้อเรื่องในแต่ละพื้นที่ครับ จะมีเควสจากชาวเมืองให้ทำงานสัพเพเหระ เช่น หาปลา, ไปส่งคนนู้นคนนี้, เจอคนติดเกาะพามาส่ง เป็นต้นเควสจากคนในผ้าคลุมปริศนา มีทั้งหมด 4 คนด้วยกัน เขาจะอยากได้ปลาเยอะมาก ๆ เราต้องคอยไปจับปลาชนิดที่พวกเขาต้องการแล้วขับเรือเอากลับมาให้ บางคนอยากได้ปลาที่อยู่อีกฟากจากจุดที่ตัวเองอยู่เลย แต่ก็นะผมเป็นพวกเห็นแก่รางวัลไกลแค่ไหนก็สู้ เควสที่เราจะได้รับรางวัลเป็นอุปกรณ์ของเรือ หรืออุปกรณ์ลากจูงสมบัติในทะเล เพราะบางจุดที่เราต้องไปทำเควสถ้าไม่มีอุปกรณ์บางอย่างจะไม่สามารถทำได้ เช่น จุดที่เราต้องไปตกปลาน้ำลึกให้นักวิจัย ตอนพูดคุยกันเราต้องบอกเขาไปว่าเราไม่มีอุปกรณ์ในการตกปลาน้ำลึก เขาก็จะให้อุปกรณ์พื้นฐานมาให้เราใช้งาน หลังจากนั้นเราก็สามารถไปทำการวิจัยเพื่ออัปเกรดให้ตกปลาน้ำลึกอีกประเภทหนึ่งได้ครับเควสพิเศษจากคนขายปลาบนโป๊ะ ที่เราต้องไปไล่ตามหาปลาในตำนานให้เขาครับ บางตัวเจอง่ายบางตัวเจอยากแล้วแต่เวรกรรมที่เราทำมา รางวัลที่ได้ก็จะได้รับเฟือง 2 อัน หลังจากส่งเควส (2 เฟืองต่อปลา 1 ตัว ผมก็มองว่าคุ้มอยู่ครับ)เควสจากนักสะสมสมบัติในตำนาน ผมมองว่าเหมือนเป็นเควสหลักที่ทำให้เกมเดินไปเรื่อย ๆ ครับ เพราะเราต้องไปตามหาชิ้นส่วนสมบัติให้กับเขาตามจุดมาร์กที่เขาส่งเราไป และเขาก็เป็นคนลึกลับคนหนึ่งที่เราพยายามจะสืบเสาะเรื่องต่าง ๆ จากเขาครับ ว่านายกเทศมนตรีน่ะเขาเป็นคนยังไง, ชาวประมงคนก่อนหายไปไหน, ทำไมหนังสือที่คุณถือมันถึงได้ดูแปลกจัง ช่วงแรกเราจะยังไม่ได้คำตอบอะไรจากเขาหรอกครับ แล้วเขาก็จะบอกว่าไม่ต้องถามเยอะ (ก็มันมีหัวข้อให้ถามอะ)แต่เราก็จะถามเขาทุกครั้งหลังจากที่ส่งสมบัติให้เขาเพราะหนังสือที่เขาถือจะมีเหมือนเวทย์มนตร์อะไรสักอย่าง ถ้าเป็นผมผมก็ถาม ฮ่า ๆ ส่วนรายละเอียดเควสยิบย่อยผมบอกเลย เพื่อน ๆ ต้องไปเล่นด้วยตัวเอง เกมสนุกมากเรียบง่ายแต่เล่นได้เรื่อย ๆ ระบบต่าง ๆ ภายในเกมDREDGE เป็นเกมที่เราจะต้องล่องเรือออกทะเลเพื่อไปตกปลาครับ เกมอาจจะไม่ใช่เกมตกปลาที่จริงจังอะไรขนาดนั้น เป็นการตกปลาง่าย ๆ สืบเสาะเรื่องราวลึกลับ มีภาพ 3D ที่น่ารักชวนเล่น คอมธรรมดาบ้าน ๆ ก็สามารถปรับสุดเล่นเกมนี้ได้ครับส่วนระบบการบังคับก็ไม่ได้สร้างมาให้ผู้เล่นเข้าใจยากแต่อย่างใด ปุ่มการบังคับทิศทางก็ยังเป็นปุ่มที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าง W,A,S,D กด Tab เพื่อเปิดช่องเก็บของของเรือ ใช้เมาส์ในการจัดวางปลา และทุกอย่างมี Toturial คอยแทรกสอนเราอยู่ในเกมทั้งหมดครับ แต่ถ้าใครเวียนหัวง่ายหรือเมาเรือเตรียมใจไว้หน่อยก็ดีฮะ เพราะผมก็เมาเรือบนบกตอนเล่นเกมนี้ ฮ่า ๆUser interface เรียบง่ายแต่ดี๊ดี คือใช้งานง่าย พัซเซิลในการตกปลารูปแบบก็เปลี่ยนไปตามแต่ละพื้นที่ การจัดวางของต่าง ๆ ใน Cargo กับปลาที่ตกได้ทำให้เข้าใจได้ทันทีเลยว่าเราต้องคอยจัดช่องเก็บของให้ดี เพราะเป็นกึ่งพัซเซิลหน่อย ๆ เอาเป็นว่าใช้งานง่ายมาก ๆ ส่วนที่ไว้ให้เปิดใช้งาน Cargo ก็วางเอาไว้ในจุดที่มันควรจะอยู่ มันก็เลยไม่ดึงตาและบดบังทัศนียภาพในการเล่นเกม โดนใจผมมาก ๆสรุปDREDGE เป็นเกมที่คู่ควรกับที่ผมกด Wishlist รอไว้มาอย่างยาวนาน เกมมีอะไรให้ทำเยอะ อาจจะน่ารำคาญหน่อย ๆ ช่วงเวลากลางคืนเพราะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ การออกแบบให้มีอุปกรณ์พังได้ ก็ทำให้เราได้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เกมค่อย ๆ ปล่อยให้ผู้เล่นอย่างเราได้ค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ในเกมไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแผนที่ การหาสมบัติ การซ่อนเรื่องราวไว้ตามเกาะต่าง ๆ การให้ได้ลุ้นว่าถ้าเราแล่นเรือไปไกลกว่านี้เราจะเจอกับอะไร ถ้าวางกับดักไว้ตรงนี้จะมีปูชนิดอื่น ๆ ไหม การไปตามล่าหาปลาโบราณ มันเลยทำให้เกมนี้มีอะไรน่าค้นหาเต็มไปหมด ผมจะนิยามมันว่า "เรียบง่ายแต่ไม่อึดอัด" เล่นได้เรื่อย ๆ เนื้อหาน่าสนใจ ไม่สั้นไม่ยาวกำลังดี ผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้มาลองเล่นด้วยกันจังDREDGE ลงวางขายอยู่ในหลายแพลตฟอร์มมาก ๆ แต่ผมซื้อใน Steam มาสนนราคาอยู่ที่ 750 บาทถ้วน! เกมไซส์เล็ก ๆ แต่ราคาแอบแรงอยู่เหมือนกัน แต่ผมบอกเลยว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ถ้าใครไม่รีบรอไปจัดช่วงลดราคาก็ได้ครับ น่าจะได้ราคาที่เบากว่านี้อีกหน่อย แต่ถ้าใครลังเลว่าจะซื้อดีไม่ดี? ซื้อเหอะครับแล้วคุณจะเพลิดเพลินไปกับมัน ถึงแม้ว่าตอนเครื่องยนต์พังจะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ก็ตาม ฮ่า ๆ
19 Apr 2023
[แนะนำเกม] Wytchwood แม่มดผจญภัย ออกเดินทางเก็บส่วนผสมมาปรุงน้ำยา
Wytchwood เป็นเกมที่เราจะได้เล่นเป็นแม่มด แน่นอนว่าเกมนี้เขาเน้นเรื่องคราฟต์ และการทำเควสเป็นหลักครับ แต่ผมจะเล่าไว้แค่นี้ก่อนมันเพิ่งจะหัวเรื่องเอง รับประกันว่าเกมนี้คุ้มค่ากับเงินหลักร้อยเหมือนเดิมฮะWytchwood ลงวางขายอย่างเป็นทางการใน Steam เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2021 ผมซื้อมันดองไว้ตั้งแต่ Winter Sale แต่ยังไม่มีเวลาได้โหลดมาเล่นสักทีครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างเยอะ และป่วยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เลยหลับตาจิ้มเกมที่ดอง ๆ ไว้ ผลลัพธ์หลังลืมตาออกมา ก็คือ...Wytchwood นี่แหละฮะ ภาพที่สดใสในเกมคงมาช่วยผ่อนคลายใจหมอง ๆ ของผมออกได้บ้าง (เกมที่ดีจะฮีลใจ คาดหวัง ๆ ฮ่า ๆ)มาดูกันดีกว่าว่าเรื่องราวในเกมจะเป็นยังไง น่าเล่นขนาดไหน ว่าแล้วก็ไปเล่นกันดีกว่าครับเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์เราจะได้รับบทเป็นแม่มดที่มีเครื่องแต่งกายประหลาด อาศัยอยู่ในบ้านที่ประหลาด ท่ามกลางบึงและสวนที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ในบ้านแม่มดมีเก้าอี้ที่ประหลาดตัวหนึ่งที่เธอได้เผลอหลับไป หลังจากตื่นขึ้นมา...ความทรงจำของเธอก็หายไป แล้วยังมาเจอกับแพะประหลาดตัวหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในบ้านของเธอ เธอตกใจและเตะโด่งแพะตัวนั้นออกจากบ้านของเธอไปครับ หลังจากที่เธอเดินเข้าไปในสวน เธอได้เห็นแพะตัวเดิม และได้มีการพูดคุยกันกับแพะตัวดังกล่าว เธอได้ค้นพบว่าเธอกับแพะนั้นเป็นเพื่อนกัน และเพื่อนของเธอได้กลับมาทวงสัญญาที่เธอได้ทำไว้กับเขาครับ จุดเริ่มต้นของการผจญภัยมันก็เริ่มมาจากตรงนี้ ตรงที่เราต้องไปทำตามสัญญาที่เราเคยรับปากกับเพื่อนแพะไว้ เราจะต้องไปตามล่าวิญญาณของสัตว์ต่าง ๆ แต่เพื่ออะไรนั้นตัวเราเองก็ยังไม่รู้ เพราะเพื่อนแพะก็ไม่ยอมบอก...การผจญภัยเพื่อตามหาส่วนประกอบของสิงสาราสัตว์ (เกมเพลย์)หลังจากที่เราคุยกับเพื่อนแพะเรียบร้อยแล้ว เราต้องเอากรรไกรไปตัดเถาวัลย์ ทางเข้าทางวาร์ปไปโซนต่าง ๆ ครับ พื้นที่การตามเก็บสะสมส่วนประกอบที่เราจะไปตามหาจะแบ่งออกเป็นโซน ๆ เช่น ป่า บึง ไร่ ฯลฯ เราจะมาแยกย่อยให้เห็นภาพชัด ๆ ทีละสัดส่วนนะครับการคราฟต์ - อย่างที่เกริ่น ๆ ไปบ้างแล้ว เกมนี้เราจะเน้นคราฟต์เป็นหลัก และจะต้องนำของที่คราฟต์ไป Interact กับสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกม เช่น คราฟต์กับดักมาจับสัตว์, คราฟต์ยาเพื่อกลับบ้าน, หรือคราฟต์คนโทเพื่อไปใส่น้ำ เป็นต้น ผสมตรงนู้นมาใช้กับตรงนี้ หรือผสมของบางอย่างเพื่อไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ของที่นำมาคราฟต์เราสามารถเก็บสะสมได้ตามทางที่เราผจญภัยไม่ว่าจะเป็น กิ่งไม้, ใบไม้, ก้อนหิน, ดิน, โคลน ฯลฯ เมื่อได้ครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว สามารถกด H เพื่อเข้าหน้าต่างการผสมวัตถุดิบ แล้วคราฟต์สด ๆ กันตรงนั้นได้เลยครับการได้รับไอเทมจำเป็นต่าง ๆ - ไอเทมจำเป็นในที่นี้ผมหมายถึงไอเทมที่เราต้องใช้ในการหาของไปคราฟต์ เช่น ขวาน, เสียม, ตาข่าย หรือกรรไกร เป็นต้น สิ่งของพวกนี้เราจะได้รับจาก NPC ภายในเกม ต้องทำตามความประสงค์ของ NPC ถึงจะได้รับของเป็นรางวัล อย่างเช่น การจับหิ่งห้อยให้ครบ 5 ตัว แต่ไอเทมส่วนใหญ่เราแค่คุยกับ NPC ที่เจอตามทางบางทีเขาก็ให้เรามาใช้งานเลยครับไอเทมเหล่านี้จะเอาไว้ใช้จับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ตัดขน เก็บเกี่ยว ถ้าเราไม่มีไอเทมเหล่านี้เราจะไม่สามารถเก็บสะสมไอเทมบางชนิดได้ครับ สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับชนิดของวัตถุดิบที่เจอ เช่น ก้อนดินใช้เสียมในการขุด, ขอนไม้ใช้ขวานในการตัด, หิ่งห้อยหรือแฟร์รีใช้ตาข่ายในการจับ และสัตว์บางตัวต้องใช้ไอเทม 2 ชนิดในการจับเราถึงจะสามารถไปเก็บเกี่ยววัตถุดิบบนตัวสัตว์นั้น ๆ ได้ เป็นต้น ถ้าเราไม่แน่ใจเราสามารถกด G เพื่อดูรายละเอียดได้ครับการต่อสู้ - ถ้าให้พูดถึงการต่อสู้แบบซึ่ง ๆ หน้าของเกมนี้จากที่ผู้เขียนเล่นมานั้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะต้องใช้ดาบ หรืออะไรไปสู้กับเหล่าสัตว์หรือแฟร์รีต่าง ๆ ภายในเกมครับ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถโดนสัตว์เหล่านั้นทำร้ายได้ สัตว์บางชนิดเราจำเป็นต้องใช้ทริกหรือเทคนิคในการล่อลวงจากการคราฟต์ของขึ้นมา เช่น หมาเฝ้าบ้านเราต้องโยนเศษเนื้อที่ผสมกับยานอนหลับให้กินแล้วเข้าไปตัดขนของมันเพื่อใช้ในการผ่านวัตถุประสงค์ของเควส ซึ่งถ้าเราเดินเข้าไปเลยจะโดนมันกัดแล้วหัวใจของเราสามารถลดได้ พอลดครบ 3 ดวงเมื่อไหร่ตัวเราก็จะแตกและของก็จะดรอปแล้วเราก็จะตายกลับจุดเกิด และเราต้องเริ่มต้นเดินทางใหม่จากบ้านของเราครับเควสง่าย ๆ กับปริศนาที่แก้ไม่ยากเกมนี้อย่างที่ผู้เขียนได้บอกเอาไว้ตลอดว่าเน้นการคราฟต์ แต่ตัวเกมนั้นจะเดินเรื่องไปตามเควสครับ ในเควสนั้นเราต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อไปเก็บรวบรวมสิ่งของให้เพื่อนแพะของเราไม่ว่าจะเป็น ขนหมา, ขนนก, เหมือกกบ และหินระยิบระยับ ฯลฯ สุดแล้วแต่เควสจะมอบวัตถุประสงค์มาให้ เราก็เพียงแต่ทำงานตามเควสไป จับนู่นมาผสมนี่ เพื่อแก้ปริศนาหรือใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาจากสัตว์ป่า ส่วนปริศนาเกมนี้ที่ผมบอกว่าแก้ไม่ยากก็เพราะว่าถ้าผสมของตามเควสเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าแก้ปริศนาต่าง ๆ ได้แล้วครับ หรือ NPC จะมอบหมายงานเล็ก ๆ ให้แม่มดอย่างเราทำ บางครั้งเราก็จะได้รับสิ่งของเป็นการตอบแทนครับ (แม้ว่าบางทีแค่เข้าไปคุยด้วยเฉย ๆ ก็ได้รางวัลมาแบบงง ๆ ฮ่า ๆ)ระบบต่าง ๆ ภายในเกมWytchwood เกม 2.5 มิติ ที่เน้นไปที่การคราฟต์ สำรวจผจญภัยแก้ปริศนา ใช้การคลิกเป็นหลัก ผู้เขียนมองว่าภาพเกมค่อนข้างสดใสสีสันสวยงาม การเล่าเรื่องเหมือนเราได้อ่านนิทานแบบที่มีเพลงบรรเลงประกอบให้ได้ฟังเพลิน ๆ เป็นเกมที่เล่นได้ทุกเพศทุกวัยการบังคับภายในเกมเราสามารถใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ดก็ได้ตามถนัด ในเกมมีการสอนใช้งานปุ่มต่าง ๆ สมมติว่าถึงเกมนี้จะไม่มีการสอนเล่นเกมใดใดเลย ผมยังคงมองว่าเกมนี้ยังเป็นเกมที่เล่นง่ายมาก ๆ  แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบการ Interact กับสิ่งของของเกมนี้สักเท่าไหร่ เพราะมองค่อนข้างยาก และบางครั้งก็กดใช้งานไม่ค่อยติดกดเก็บของแต่ตัวละครเรามันเดินเฉย ๆ ก็สร้างความน่ารำคาญให้กับผมอยู่เล็กน้อยส่วน UI ของเกมใช้งานไม่ยากครับ แค่กดคลิก ๆ เอา แต่ตรงเควสที่ขึ้นด้านขวาบน ตัวหนังสือก็จมไปกับสีของภาพ ก็อาจจะทำให้อ่านยากอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเปิดดูจากคีย์ลัดแทนได้ เพียงแค่กดตัว H แล้วเลือกที่ Tab JournalสรุปWytchwood เหมาะกับทุกเพศทุกวัยไหม ? ผู้เขียนมองว่าเกมนี้น่าจะเหมาะกับเด็ก ๆ มากกว่าครับ ภาพของเกมและเนื้อเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนกำลังอ่านนิทานอยู่ แต่ถึงแม้ว่าจะมีตัวเลือกระหว่างคุยกับ NPC แต่มันก็ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนักในการหาไอเทม ถ้าผู้ใหญ่เล่นก็อาจจะมีเบื่อ ๆ ไปบ้าง เพราะเกมถูกขับเคลื่อนด้วยข้อความเป็นหลัก อาจจะตอบโจทย์เด็ก ๆ มากกว่าผู้ใหญ่อย่างเราครับ ผู้เขียนมองว่าถ้าอยากจะหาเกมดีดีให้ลูกเริ่มเล่นสักเกม ผมก็มองว่า Wytchwood เป็นตัวเลือกที่ดีมาก ๆ สำหรับเด็ก ๆ ครับใครกำลังมองหาเกมให้เด็ก ๆ เริ่มเล่น เกมนี้วางขายอยู่ใน Steam ราคาไม่แรง 289 บาทเท่านั้นเอง! และเครื่องไม่ต้องแรงมากก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แบบไม่กระตุกเลยสักนิด ด้วยความที่มันไม่มีอะไรซับซ้อนเนื้อเรื่องน่ารัก เพลงบรรเลงเพราะ ๆ เกมนี้จะเป็นสิ่งที่เหมาะมาก ๆ ให้เราได้ใช้เวลากับลูก ๆ ของเราครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/729000/Wytchwood/
17 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม The Last of Us Part 1 บน PC เมื่อคุณต้องเอาชีวิตรอดจากทั้งเชื้อรา และปัญหาเล่นไม่ลื่น!
เป็นเกมที่หลายคนรอคอยลง PC กันเยอะมากแน่นอน แต่ก็อย่างที่เห็นกันว่าหลังวางขายบน PC ก็โดนคนไม่ปลื้มกันเยอะมาก เนื่องจากตัวเกมมีปัญหาประสิทธิภาพจากด้านการพอร์ท แต่ใครที่อยากรู้ว่ามันมีปัญหาประสิทธิภาพยังไงบ้าง และตอนนี้น่าซื้อบน PC มาเล่นหรือยัง ก็มารับชมรีวิวจากทางพวกเรา GameFever กันเถอะ!คลิปตัวอย่างเกม เอาไว้ดูโหมโรงThe Last of Us Part 1 คือเกมอะไร?เกมนี้เป็นแนว Survival Horror ให้อารมณ์แบบ Resident Evil แต่ธีมเกมนี้จะเปลี่ยนจากซอมบี้เป็นเชื้อรามีความสามารถสิงร่างมนุษย์ และด้วยความมนุษย์ตั้งตัวรับมือไม่ทันจึงถูกมันสิงร่างไปจำนวนมาก ส่งผลให้โลกล่มสลายแบบสิ้นหวังไม่มีทางป้องกัน แต่แล้ววันหนึ่งความหวังของ 'การสร้างวัคซีน' ก็เกิดขึ้น เราจะได้รับบทเป็น Joel ชายวัยรุ่นพ่อที่เสียลูกไปจากเหตุการณ์เชื้อราระบาดนี้ พร้อมกับต้องพาเด็กสาว Ellie เดินทางไปผลิตยารักษาให้สำเร็จ แต่ระหว่างทางก็ต้องพบเจอกับโจรหรือผู้ติดเชื้อ แถมก็ยังเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องอบอุ่นกับปวดใจ โดยเกมนี้ยังเป็นเวอร์ชั่น Remake จากเกม The Last of Us ภาค 1 ที่วางขายในปี 2013 ทำให้มีภาพกราฟิกสวยน่าเล่นในยุคนี้ด้วย และเกมเวอร์ชั่นนี้ยังรองรับ 'ภาษาไทย' อีกต่างหากด้านคุณภาพของเกมในบทความนี้เราจะไม่เล่าเยอะ ขอเน้นไปเล่าที่ด้านประสิทธิภาพบน PC แทน ซึ่งสรุปด้านนี้ให้ง่ายๆ เลยคือเกมนี้คุณภาพยอดเยี่ยมมากในด้านเนื้อเรื่อง และมีการเล่นประเด็นความสัมพันธ์ตัวละครเป็นจุดแข็งเอกลักษณ์ของเกมเลย รวมทั้งเกมเพลย์ก็มีจุดแข็งคืออนิเมชั่นที่ลื่นไหลเหมือนกำลังดูหนัง และมีรายละเอียดเล็กน้อยเยอะมาก แถมพวกระบบการเล่นหลักก็ทำได้สนุก เราจะต้องหาทรัพยากรมาเอาชีวิตรอดไปให้ถึงจุดสำเร็จ และก็มีให้อัปเกรดสิ่งต่างๆ ได้หลากหลายส่วน แต่ด้วยที่ทั้งพวกโจรกับผู้ติดเชื้อจะบุกมาฆ่าเราเป็นฝูง จึงส่งผลให้เราต้องวางแผนใช้กลยุทธ์จัดการมันให้ดีๆ ทั้งตอนบู๊หรือลอบเร้น รวมทั้งยังเข้าถึงผู้เล่นได้หลากหลายรูปแบบ เนื่องจากเกมปรับความยากได้ตั้งแต่เล่นง่ายระดับให้เด็กเล่นไปจนถึงระดับยากจนไม่กล้าตาย ส่งผลให้สาย Survival Horror ถูกใจเกมนี้เป็นอันดับต้นๆ แน่นอน และเกมมฉบับ Remake ยังมีช่วงฉากสวยๆ ให้พบหลายรอบด้วย>>> อ่านรีวิวเต็มๆ ด้านคุณภาพเกมได้ที่นี่
14 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม DREDGE ล่องเรือผจญภัยในน่านน้ำสยองขวัญ อีกหนึ่งเกมม้ามืดประจำปีที่ไม่ควรพลาด
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการล่องเรือหาปลา มีอะไรมากกว่านั้น และมีความสยองบางอย่างซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ นี่เป็นอีกเกมอินดี้ระดับคุณภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอะไรเราถึงคิดว่ามันเจ๋ง นี่คือรีวิว DREDGEDREDGE ว่าด้วยเรื่องราวของชาวประมงคนหนึ่งที่ล่องเรือไปยังชายฝั่งเมือง Greater Marrow ที่อยู่ในหมู่เกาะอันห่างไกล โดยเขาได้รับข้อเสนอให้เป็นคนตกปลาประจำเมือง แต่ที่เมืองแห่งนี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อในช่วงเวลากลางคืนจะเกิดหมอกปริศนา และหินลึกลับที่งอกขึ้นมาตามชายฝั่ง แถมยังพ่วงด้วยเรือผีสิง สัตว์ป่าสุดอันตราย ทั้งบนบก ทั้งในน้ำ เรียกได้ว่างานนี้การมารับงานที่นี่ อาจเป็นเรื่องที่ชาวประมงรายนี้คิดผิดก็เป็นได้ และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเกริ่นไว้ในช่วงคัทซีนเริ่มต้นเกมเท่านั้น เนื้อเรื่องส่วนที่เหลือ ผู้เล่นจะต้องไปตามเก็บข้อความในขวดแก้วที่ลอยอยู่ตามทะเล เพื่ออ่านเนื้อหาหลักของเกม โดยจะเป็นข้อความที่ภรรยาของตัวเองเขียนบันทึกเอาไว้ ซึ่งเป็นช่วงที่เธอเดินทางมาเยือนหมู่เกาะแห่งนี้ใหม่ ๆ ซึ่งใครที่อยากติดตามเนื้อเรื่องก็ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะมีการบอกรายละเอียดและบรรยายไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าเหตุใด สถานที่ หรือหมู่เกาะแห่งนี้จึงกลายเป็นสภาพอย่างที่เราได้เห็นกันในเกมเนื้อเรื่องของเกมนี้ถือว่าลึกลับและน่าสนใจ แต่ปัญหาที่ไม่น่าจะนับเป็นปัญหา ก็คือรูปแบบการนำเสนอเกมในสไตล์เกมอินดี้ คือจะไม่มีคัทซีน หรืออนิเมชั่นเคลื่อนไหวใด ๆ ให้เราได้ชมหรือติดตาม ส่วนมากจะเป็นเพียงบทสนทนาให้เราได้อ่านกัน และเกมนี้ยังมีการเลือกคำถามต่าง ๆ ที่ถ้าหากว่าเราอยากรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นก็สามารถเลือกถามได้ แต่ต้องอ่านกันจนตาเหลือกถึงจะรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นปูมหลัง สถานที่ หรือแม้แต่อดีตของตัวละครต่าง ๆ ที่เราไปพบเจอด้วย ใครที่อยากเก็บเนื้อหา และอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของโลกในเกม ก็เก็บให้ครบเลยก็ได้ แต่นี่ถือเป็นเกมอินดี้ที่ทุ่มเทมากในการสร้างโลกและเนื้อเรื่องในเกมขึ้นมา และทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวการผจญภัยในน่านน้ำสยองขวัญกับเรือลำน้อยรูปแบบเกมเพลย์การเล่นของ DREDGE จะเป็นเกมแนวผจญภัยผสมผสานกับเกมเอาตัวรอดที่ขีเนื้อเรื่องเป็นตัวขับเคลื่อน ผู้เล่นจะได้อาศัยอยู่บนเรือลำเล็ก ๆ โดยเราสามารถขับไปบนน่านน้ำ และแวะเทียบท่าตามเมืองต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกับ NPC รับภารกิจ และอื่น ๆ ด้วย แต่ตัวละครเราจะไม่ได้ลงมาจากเรือ การนำเรือไปจอดเทียบท่า จะเด้งเป็นหน้าเมนูขึ้นมา ว่าเราจะ Interact กับ NPC หรือร้านค้าร้านไหนเท่านั้น เรียกได้ว่าเกมนี้คือการใช้ชีวิตอยู่บนเรือแบบ 100% เราจะมีแผนที่ขนาดใหญ่และมีหมู่เกาะให้ล่องเรือไปหา แต่ในช่วงแรกเราจะอยู่ที่เกาะเดิม เพราะค่อนข้างจะครบเครื่องที่สุดแล้ว สามารถซื้อขาย อัปเกรดเรือ หรือพักผ่อนได้ที่นี่เลย แต่หลัง ๆ ผู้เล่นอาจจะต้องจำท่าเรือต่าง ๆ ให้แม่น เพราะไม่ใช่ทุกเกาะจะมีท่าเรือ และท่าเรือจะมีความสำคัญมากในการนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืน เพราะเกมเพลย์ช่วงกลางคืน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนให้เกมนี้มีความสยองขวัญเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลยทีเดียว ในน่านน้ำอันกว้างใหญ่ หลัก ๆ จะมีจุดเกิดของปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ อยู่ โดยการตกปลานี่แหละที่เป็นหัวใจสำคัญในการทำภารกิจและหาเงินมาอัปเกรดเรือของเรา เราจะมีสมุด Encyclopedia ที่เอาไว้บันทึกข้อมูลปลาที่ตกมาได้ โดยหากเราตกปลาตัวนั้นได้ จะมีบอกไว้ในสมุดนี้ ว่ามันคือสายพันธุ์อะไร พบเจอได้เวลาไหน และแถบใด ทำให้การหาปลาตัวนี้ในครั้งต่อ ๆ ไปเป็นเรื่องง่ายขึ้น ส่วนปลาที่เราตกมาได้ก็สามารถนำไปขาย หรือใช้ทำภารกิจได้ แต่จะเก็บไว้นานไม่ได้ เพราะปลาจะเน่าเสียนั่นเอง โดยการตกปลาทำได้โดยการไปยังจุดตกปลา เลือกเบ็ดให้ตรงกับพื้นที่ปลาชนิดนั้นแล้วเล่นมินิเกมแบบ Quick Time Event อีกเล็กน้อยก็สามารถตกปลาได้แล้ว โดยปลาจะมีมากมายหลายสายพันธุ์ ทั้งแบบน้ำตื้น น้ำลึก และสายพันธุ์ที่ต้องใช้เบ็ดพิเศษที่อัปเกรดแล้ว ถึงจะตกได้และที่เจ๋งมาก ๆ คือเกมนี้มีการบริหารจัดการช่องเก็บของด้วย ปลาแต่ละสายพันธุ์จะกินพื้นที่ Inventory ไม่เท่ากัน รวมไปถึงใช้พื้นที่แบบแปลก ๆ ซะด้วย ปลาสายพันธุ์แรก ๆ อาจจะใช่พื้นที่ไม่เยอะ แต่ปลาสายพันธุ์หลัง ๆ ที่เริ่มหายากก็จะค่อย ๆ กินพื้นที่เยอะ แถมแปลกด้วย เช่นครีบของมันอาจกินพื้นที่ซ้ายขวาเพิ่มอีกอย่างละ 1 ช่อง ทำให้การออกเรือแต่ละรอบ เราต้องบริหารทั้งเวลา พื้นที่ช่องเก็บของ และอีกหลาย ๆ อย่างเลยทีเดียว ช่วงแรกอาจจะรู้สึกลำบากไปสักหน่อย แต่ถ้าจับจุดได้ นี่เป็นอีกเกมบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมมาก และถ้าเราขับเรือไปชนอะไรก็ตาม เรือจะพังแบบสุ่ม เรือที่พังจะทำให้พื้นที่เก็บของของเราพังแบบสุ่มด้วย ยิ่งทำให้การบริหารจัดการมันยากมากยิ่งขึ้นนอกจากปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ แล้ว อีกอย่างที่เราตกได้ก็จะเป็นพวกทรัพยากร ที่เราจำเป็นจะต้องนำมาใช้เพื่ออัปเกรดเรือของเรา ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก เศษผ้า และฟันเฟืองที่ทำหน้าที่เป็น Research Point ที่จะพัฒนาเรือของเรา รวมไปถึงอุปกรณ์ที่รองรับให้ดีขึ้นได้ด้วย โดยพวกอุปกรณ์ต่าง ๆ จะพบเจอได้ตามจุดเฉพาะ เช่นซากเรือ ซากเมือง จะเจอทรัพยากรเหล่านี้เยอะเป็นพิเศษ โดยทรัพยากรเหล่านี้ก็ถือว่าจำเป็นมาก ๆ เพราะจะทำให้เรือของเราอัปเกรดได้ไวขึ้นถ้าเจอ มันก็โยงกลับไปหาส่วนแรกก็คือ ใน 1 วัน ผู้เล่นต้องเลือกว่าวันนี้จะไปทำอะไร จะไปทำภารกิจย่อย ช่วยเหลือเหล่า NPC ทำตามคำขอ หรือจะออกไปล่าปลาหาเงิน หรือจะไปหาพวกทรัพยากรอัปเกรดเรือก็ได้และความเพลิดเพลินก็คือการพยายามหาของต่าง ๆ มาอัปเกรดเรือ การอัปเกรดเรือจะแบ่งออกเป็นสองส่วน แบบแรกคือการอัปเกรดการวิจัยตัวเรือ การอัปเกรดประเภทนี้จะทำให้เราสามารถเข้าถึงอุปกรณ์สนับสนุนเรือประเภทใหม่ได้ เช่นเบ็ดตกปลา เครื่องยนต์เรือ ไฟส่องปลา และอื่น ๆ และการอัปเกรดอีกแบบจะเป็นการอัปเกตดตัวเรือโดยตรง การอัปเกรดประเภทนี้จะเพิ่มพื้นที่เก็บของบนเรือ ขนาดของตัวเรือ ซึ่งเราต้องทำทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไป การผจญภัยถึงจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นแต่อย่างที่บอก จุดเด่นของเกมนี้นอกเหนือไปจากการล่องเรือล่าปลาแล้ว มันยังมีทีเด็ดคือความสยองขวัญ ที่เราบอกไปในส่วนเนื้อเรื่องคือส่วนของหมอกปริศนาที่จะทำให้เกมมีความเป็นเกมสยองขวัญขึ้น โดยในช่วงเวลากลางคืน หากเรายังไม่ยอมกลับไปเทียบท่าและล่องเรืออยู่กลางน่านน้ำ เรามีโอกาสเจอเข้ากับสิ่งมีชีวิตลึกลับและปลาปีศาจขนาดยักษ์ที่จะส่งผลกับค่า Insanity หรือสภาพจิตใจ ที่อยู่นานไม่ได้ ไม่งั้นเดี้ยงแน่นอน ทางที่ดีคือช่วงเวลาใกล้ค่ำ ให้หาเรือไปจอดตามท่า แล้วกดนอนหลับพักผ่อนก็ได้ แต่ความสนุกในช่วงเวลากลางคืนเองก็มีอยู่เหมือนกัน เพราะปลาบางสายพันธุ์นั้นจะหาได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น โดยวิธีการที่เราจะออกไปหาปลาพันธุ์กลางคืนก็มีแต่ต้องยอมเสี่ยงตายออกไป แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีตัวช่วยเลย เพราะหนึ่งในของตกแต่งเรือของเราก็คือไฟส่องปลา ที่มีหลากหลายประเภท จะมีทั้งไฟที่ช่วยส่องแสงสว่างในเวลากลางคืน และไฟที่ทำให้ค่า Insanity ของเราลดช้าลงผู้เล่นจะได้ติดอยู่ในลูปการออกเรือ ทำภารกิจ ตามหาของ แวะน่านน้ำและหมู่เกาะต่าง ๆ ไปจนถึงการดำเนินเนื้อเรื่อง เพื่อหาไอเทมลับ และล่าปลาไปขายทำเงินที่ใช้ในการอัปเกรดเรือ ที่ต้องชมเพิ่มอีกอย่างคือบรรยากาศของโลกภายในเกมนี้ ที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะให้เราใช้ชีวิตอยู่บนเรือ แต่สภาพภูมิประเทศหรือ Biome ก็หลากหลายมาก ๆ จากน่านน้ำปกติที่มีคนอยู่อาศัย ไปโซนบึงพิษ โซนกึ่งภูเขาไฟ และมีปลาประหลาดว่ายน้ำมาไล่เรา บอกเลยว่าเจ๋งมาก ๆวงการเกมของปี 2023 เป็นอีกปีที่คึกคัก จะเกมฟอร์มเล็ก ฟอร์มใหญ่ ล้วนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี DREDGE เองก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เป็นเพชรเม็ดงามประจำปีนี้ และทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมในฐานะเกมทุนเล็ก ใครงบถึง หรือรอลดราคา บอกเลยว่าไม่ควรพลาด
13 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม Contraband Police ชีวิตตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่ใส่ใจในเกมเพลย์และออกมาดูดีกว่าที่คิด !
เป็นเรื่องปกติของเกมแนว Simulator ที่ปัจจุบันนี้ มีการจำลองสายอาชีพที่หลากหลายมาก ๆ ให้กับเกมเมอร์ได้ลองเป็นอาชีพนั้น ๆ ดู และอาชีพของ Contraband Police ก็ถือว่าเป็นอาชีพที่หลายคนน่าจะสงสัย ว่าเขาทำงานกันยังไง เกมนี้เลยจำลองสถานการณ์นั้นขึ้นมาให้เราได้เล่นกัน และงานของตำรวจตรวจชายแดนนั้น วัน ๆ หนึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกันในรีวิวของ Contraband Policeหน้าที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในประเทศที่เต็มไปด้วยการเมืองฉากหลังของเกมนี้คือช่วงปี 1981 ผู้เล่นจะรับบทเป็นนายตำรวจชายแดนคนใหม่ ที่มารับหน้าที่ประจำการยังชายแดนเข้าเมืองประเทศสมมติที่ชื่อ อคาริสตัน ประเทศแห่งนี้กำลังอยู่ในระหว่างสงครามการเมืองระหว่างรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านที่ชื่อกลุ่มกำปั้นโลหิต และดูเหมือนจะมีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นในหมู่ตำรวจด้วยกัน จนกระทั่งเพื่อนของคุณถูกฆ่าตายจากเหตุการณ์บุกจับการแลกเปลี่ยนของผิดกฎหมาย เพื่อตามสืบสาวเรื่องราวและตัวการหลักให้ได้ เราจึงทำหน้าที่อยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง คอยจับพวกลักลอบขนของเถื่อนเข้าประเทศที่อาจเป็นชนวนไปสู่ไฟสงครามในอคาริสตัน และต้องเลือกฝ่ายอย่างชัดเจน ว่าสถานการณ์ที่คุณเจออยู่ตอนนี้ คุณจะเลือกเข้าข้างรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้าน ที่จะส่งผลต่อฉากจบของเกมด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องในเกมนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนัก นอกจากให้เราได้เห็นแนวคิดของรัฐบาลและฝ่ายต่อต้าน ซึ่งผู้เล่นจะเลือกฉากไหนก็แล้วแต่ความชอบเลย เพราะถึงแม้จะบอกว่ามันส่งผลต่อฉากจบ แต่ระหว่างทางหรือเกมเพลย์การเล่นนั้น แทบไม่มีผลอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกความพยายามของทีมพัฒนาเกม ที่อย่างน้อยก็หาเนื้อเรื่องมาใส่ไว้ในเกมจนได้ชีวิตหน้าด่าน และบริเวณชายแดนสุดเถื่อนสิ่งที่เกมนี้นำเสนอ ต้องบอกว่าเป็นการผสมผสานกันเล็กน้อยระหว่างการจับเจ่าอยู่กับพื้นที่หน้าด่านชายแดน กับการนำเสนอแบบกึ่ง Open World ที่ผู้เล่นจะได้ขับรถไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกของเกมด้วย เพื่อไปทำภารกิจหรือไปหาระบบอื่น ๆ ของเกมที่ไม่ได้มีแค่การตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น พื้นที่ภายในเกมที่ผู้เล่นจะได้ใช้ชีวิตอยู่ตลอดเกม คือส่วนของป้อมตรวจที่เราอยู่ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ อยู่ด้วย และพื้นที่นอกด่าน ที่จะเป็นเหมือนกับบริเวณชายแดนของอคาริสตันทั้งหมด ส่วนนี้จะมีทั้งโรงไม้ ร้านอาหาร ร้านขายของ เหมือง ที่จะเกี่ยวพันกับระบบเกมทั้งหมด แต่ถึงแม้จะมีโซนกึ่งโลกเปิดก็ตาม แต่ชีวิตส่วนใหญ่ของเกมนี้ ผู้เล่นจะได้อยู่กับหน้าด่านซะเป็นส่วนมาก เพื่อรอรับคนเข้าประเทศ และตรวจตราเอกสารต่าง ๆ ที่คนขอเข้าประเทศจะยื่นเอกสารมาให้ โดยหลัก ๆ แล้วสิ่งที่เราจะต้องคอยตรวจก็คือ การเช็คชื่อ หมายเลขหนังสือเดินทาง วันหมดอายุของหนังสือเดินทาง เอาง่าย ๆ ชีวิตจริงเราโดนตรวจอะไรบ้าง ในเกมเราก็จะต้องตรวจแบบนั้น แต่จะต้องมีความละเอียดมากขึ้นตามเงื่อนไขของเกมยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ เงื่อนไขก็จะยิ่งสลับซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เราต้องอาศัยการจดจำมากขึ้น เช่น ต้องตรวจสิ่งของที่คนนำเข้ามา แบ่งแยกประเภทตามวัสดุ ตรวจดูรุ่นของรถ ป้ายทะเบียนรถ ไปจนถึงช่วงพีคสุดที่จะมีการตรวจวัคซีนหรือจำนวนโควต้าสิ่งของแต่ละประเภท บอกเลยว่าเรื่องความละเอียดของเกมนี้ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ทำให้ผู้เล่นอาจจะต้องมีโฟกัสและสมาธิอยู่กับเกมนี้สักหน่อย แต่รับรองว่าสนุกนอกจากการเฝ้าด่าน ผู้เล่นยังจะได้เจอกับเกมเพลย์แบบกึ่ง Open World ที่เราสามารถขับรถออกไปสำรวจนอกป้อมได้ แต่เอาจริง ๆ ก็เหมือนกับเป็นเกมเส้นตรงอยู่ดี เพราะพื้นที่ต่าง ๆ ในเกม แม้จะมีหลากหลาย แต่ถ้าไม่ได้ไปทำภารกิจเนื้อเรื่อง มันก็แทบไม่มีอะไรให้โต้ตอบด้วยเลย จะมีก็แค่บางพื้นที่ เช่นร้านค้าเท่านั้น ที่สามารถแวะไปซื้อของได้เท่านั้น ซึ่งก็พอเข้าใจได้ในฐานะเกมอินดี้ ว่าคงทำได้สุด ๆ เพียงเท่านี้ เอาแค่ระบบที่เกมใส่มาก็น่าประทับใจมากแล้ว ซึ่งเราจะเอาไว้ว่ากันในช่วงของเกมเพลย์การเล่นและที่ต้องพูดถึงกันอีกข้อคือเรื่องของการภาษาไทยภายในเกม ที่ต้องบอกเลยว่าอย่าได้คาดหวัง เพราะจากที่ลองเล่นมา ชัดเจนเลยว่ามันคือการโยนภาษาอังกฤษต้นฉบับไปให้ Google Translate แปล แล้วเอามาใส่ในเกมเลยโดยไม่มีการขัดเกลาหรือเรียบเรียงแต่อย่างใด ซึ่งก็น่าจะเหตุผลในด้านทุนสร้างของตัวเกมอยู่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าในด้านเนื้อหาของเกมที่มีการอ้างอิงการเมืองหรือใช้คำศัพท์ยาก ๆ การแปลแบบ Translate นี้ก็ช่วยได้เยอะ ดังนั้นใครที่อ่านแล้วเรียบเรียงเก่ง อาจไม่ใช่ปัญหา แต่ใครอ่านภาษาอังกฤษเก่งอยู่แล้ว สลับไปใช้ภาษาอังกฤษน่าจะดีกว่าเกมเพลย์ที่เน้นความรอบคอบเป็นหลัก แต่ก็มีความหลากหลายชวนให้เล่นได้ในระยะยาวแม้ว่าเกมนี้เราจะรับบทเป็นตำรวจประจำการที่ป้อมตรวจคนเข้าเมือง แต่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เราได้ทำกันมากกว่านั้น เริ่มจากการตรวจคนเข้าเมือง หากผู้เล่นมั่นใจว่าสายตาของตัวเองแม่นยำพอ และไม่ขาดตกบกพร่องใด ๆ เราสามารถใช้สายตาเปล่าของเราตรวจได้เลยโดยไม่ต้องคลิกเชื่อมโยงข้อมูล การคลิกเชื่อมโยงข้อมูล จะทำให้ข้อมูลถูกต้องแม่นยำจากการใช้ระบบตรวจสอบ แต่จะเสียค่าพลังงานแทน ค่าพลังงานจะมีจำกัด ยิ่งตรวจสอบเยอะ พลังงานก็ใกล้หมด การตรวจสอบจะกินเวลามากขึ้น พลังงานนี้จะฟื้นฟูได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อเราได้อัปเกรดที่พักให้ดีพอเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ การตรวจของเราจะค่อนข้างยากและต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น ในป้อมของเราจะมีกระดานแจ้งข่าว ที่จะเป็นตัวกำหนดว่า วันนั้น หรือช่วงเวลานั้นจะมีกฎหมายแบบใดในการควบคุม เช่นในวันนี้ เราอาจจะห้ามรับคนจากประเทศที่กำหนดเข้ามา เราก็ต้องมาตรวจสอบกันอย่างละเอียดตามระเบียบการ ข้อดีก็คือ เกมจะไม่จำกัดระยะเวลาในการตรวจสอบ เราอยากจะตรวจนานแค่ไหน เอาจนกว่าจะมั่นใจก็สามารถทำได้ ทำให้เกมเล่นง่ายพอสมควรทีนี้ความสนุกจะอยู่ที่การจับตัวคนร้าย และการปฏิเสธคนไม่ให้เข้าเมือง หากรเาตรวจสอบเอกสารแล้ว มีการทำผิดระเบียบ เช่น ชื่อบนบัตรประชาชนกับหนังสือเดินทางไม่ตรงกัน หนังสือเดินทางหมดอายุ หรือประชาชนคนนั้นทำผิดระเบียบนำเข้า เราก็ต้องปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าประเทศเราได้ หากเราปฏิเสธหรืออนุมัติการเข้าเมืองได้ถูกต้องก็จะได้รับเงินรางวัล มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แบบในการตรวจตรา ในกรณีที่เราตรวจเจอของเถื่อนซุกซ่อนอยู่ในรถ เราจำเป็นจะต้องจับคนนั้นเข้าคุก หรือถ้ายึดของเถื่อนมาได้ ก็ต้องเอาไปเก็บไว้ที่โกดัง ซึ่งทั้งคุกและโกดังนั้น ถ้ายังไม่อัปเกรดก็จะจุได้น้อยมาก ทำให้เราต้องคอยขับรถไปส่งนักโทษและนำของเถื่อนที่เราจับได้ไปส่งที่สำนักงานตำรวจด้วย โดยเราสามารถขับรถไปส่งเองได้ หรือโทรเรียกให้รถขายของกับรถจากสำนักงานใหญ่ได้ แต่ในช่วงแรกที่รายได้เราน้อยมาก การโทรเรียกอาจจะไม่คุ้ม ขับไปส่งเอง ยอมเสียเวลาจะดีกว่า แต่ระยะหลังหากมีรายได้จากการตรวจที่แม่นยำมากพอแล้ว ก็จะสามารถใช้บริการเหล่านี้ได้การตรวจหาของเถื่อน จำเป็นจะต้องใ้ชอุปกรณ์เสริมในการเปิดสิ่งของเช่น มีด ชะแลง ของเหล่านี้จะมีค่าความคงทนอยู่ด้วย ใช้บ่อย ๆ ก็พัง ก็ต้องขับรถไปซื้อใหม่เหมือนกัน รวมไปถึงอาวุธปืนและกระสุนด้วย อาวุธแต่ละเกรด อุปกรณ์แต่ละชิ้นก็จะมีความทนทานไม่เท่ากัน อันไหนดี ๆ หน่อยก็จะแพง ซึ่งทำให้เราต้องบริหารจัดการเงินให้ดี เพราะเงินเรายังต้องนำไปใช้อัปเกรดป้อม และที่พัก รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ในป้อมของเราด้วยเกมเพลย์การเล่นยังมีส่วนของการขับรถไล่ล่าผู้ร้ายที่พยายามแหกด่านหนี รวมไปถึงภารกิจเนื้อเรื่องที่จะมาในรูปแบบบังคับให้เราไปเข้าร่วมแบบวันต่อวัน (นึกภาพคล้าย ๆ Far Cry 5) ซึ่งเนื้อเรื่องก็พอจะมีความน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ในระดับหนึ่ง และอย่างที่บอกว่าเราอาจจะต้องเล่นกันสองรอบเพื่อเก็บ Achievement แต่หากใครเบื่อจริง ๆ รอบเดียวก็เกินพอแล้ว ในด้านของเกมเพลย์การยิงที่ใส่เข้ามาในบางช่วง บอกเลยว่าเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก เหมือนทีมงานนี้ไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำเกมยิงมาก่อน เราวางตรงเป้าแล้ว แต่ยิงไม่โดนก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้ว เกมเพลย์ส่วนของการยิงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหลบหลังกำบัง ออกไปยิงให้หมด ไม่ได้ลึกล้ำอะไรนัก ก็ตามประสาเกมอินดี้ความสนุกในการตรวจตราสิ่งของ และบริหารจัดการทรัพยากร หากเอาให้จบเนื้อเรื่องของมันก็อาจจะกินเวลาอยู่ที่ 8-10 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากมองว่านี่คือเกมอินดี้ เกมนี้ถือว่าเป็นเกมอินดี้ระดับคุณภาพ แต่ข้อเสียหลัก ๆ เลยคือ มันเป็ฯเกมที่กินสเปคสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว หากจะเล่นเกมนี้ลื่น ๆ ผู้เล่นจะต้องใช้ Intel i7 Gen 9 ขึ้นไป ไม่แน่ใจว่ามันหนักการประมวลผลอะไรกันแน่ แถมการ์ดจอยังต้องใช้ระดับ 2060 ขึ้นไปอีกด้วย ในฐานะที่เป็นเกมอินดี้ ก็ต้องบอกว่ากินสเปคเอาเรื่องแต่นอกจากส่วนของสเปค นี่เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ระดับคุณภาพ ที่ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมมันใช้เวลาในการพัฒนานานมากขนาดนี้ ได้เล่นเองก็พบคำตอบแล้ว
08 Apr 2023
[Review] รีวิวเกม 9 Years of Shadow อินดี้ระดับคุณภาพที่มาพร้อมงานศิลป์อันโดดเด่นจนเราไม่อยากให้พลาด
จริงอยู่ว่าปีนี้ เกมในช่วงต้นปี เรามีเกม AAA ฟอร์มยักษ์มากมายมาให้เราได้เล่นกัน แต่ฝั่งเกมอินดี้เองก็ใช่ย่อย และ 9 Years of Shadow ถือเป็นเกมม้ามืดที่เราแนะนำอย่างมาก เพราะนอกจากเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างดีแล้ว ความโดดเด่นของมันคือ Presentation ระดับเทพและการออกแบบงานศิลป์ งานออกแบบที่เราชอบมาก ๆ แต่ภาพรวมเกมเป็นยังไง วันนี้มาดูรีวิวของเรากับ 9 Years of Shadowดินแดนที่ถูกดูดกลืนสีสันนานมาแล้วในดินแดนแห่งหนึ่ง คำสาปลึกลับเข้ากลืนกินอาณาจักร สีสันถูกดูดกลินหายไปด้วย ผู้เล่นจะรับบทเป็น Europa เด็กสาวที่ต่อสู้เพื่อทวงคืนอาณาจักรและพ่อแม่ที่สูญเสียไปของเธอกลับคืนมา แต่เธอสู้มาตลอด 9 ปีเต็มก็ไม่มีทีท่าว่าจะชนะ ในขณะที่เธอกำลังจะถอดใจยอมรับความตาย ตุ๊กตาหมีสุดน่ารักก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมมอบพลังใหม่ให้เธอ และการกำจัดศัตรูทำให้เธอคืนสีสันให้กับอาณาจักรแห่งนี้ด้วย เมื่อความหวังใหม่เกิดขึ้น เธอจึงลุกขึ้นสู้ และมุ่งหน้าสู่ปราสาท Talos ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปอีกครั้งสำหรับเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ค่อนข้าง Cliche หรือเห็นได้ซ้ำ ๆ ทั่วไปตามประสาเกมอินดี้ และการเล่าเรื่องราวของเกม Metroidvania มักจะไม่ได้เล่าตรง ๆ แต่เล่าผ่านฉาก ไอเทม และ NPC ตัวต่าง ๆ ที่เราไปพบเจอด้วย ในขณะเดียวกัน NPC ที่พร้อมจะให้ข้อมูลด้านเนื้อเรื่องกับเรา ก็จะมีส่วนในระบบและเกมเพลย์ด้วย แต่ข้อดีของเกมนี้เลยคือ เนื้อเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไปนัก ในเกมอินดี้อื่น ๆ พยายามจะทำให้เนื้อเรื่องล้ำจนเข้าใจยาก แต่ไม่ใ่ชกับเกมนี้ มันเป็นเพียงการกอบกู้ดินแดนจากคำสาปชั่วร้ายของหญิงสาวที่มีโชคชะตาเป็นวีรบุรุษนี้เท่านั้น ซึ่งจะว่าดี มันก็ดี แต่มันก็ธรรมดาไปหน่อย แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่น นอกจากเนื้อเรื่องอันเรียบง่ายคือส่วนของการนำเสนอและเกมเพลย์การเล่นที่เราจะพูดถึงต่อจากนี้การออกแบบ ดีไซน์ และงานศิลป์ที่เหนือล้ำจนชวนให้เราเล่นต่อความโดดเด่นของ 9 Years of Shadow ที่สะดุดตาเราตั้งแต่แรก คือเรื่องของงานออกแบบ ที่เตะตาตั้งแต่โลโก้เลข 9 ที่มีโทนสีสว่าง อย่างสีม่วงตัดฟ้า โดยการใช้โทนสีนี้เองก็บ่งบอกถึงเรื่องราวในเกม โดยจะเป็นชุดที่นางเอกของเกมใส่ด้วย และเมื่อได้เข้าไปเล่นเกมก็จะพบว่า โลโก้นั้นยังเบา ๆ เพราะงานศิลป์ในเกมนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากมาก ทั้งการออกแบบฉาก ตัวละคร อาวุธ ชุดเกราะที่เราใช้ หรือแม้กระทั่งตัวศัตรูและบอส มันเป็นงานศิลป์ที่สวยงามโดดเด่นเหนือเกมอื่น ๆ ชนิดที่ถ้าเอามาวางเทียบกัน ยังไงเกมนี้ก็ต้องเตะตาคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยในขณะที่เกมอื่นนั้น การทำเกม Metroidvania จะเน้นความเป็นดาร์คแฟนตาซี แต่เกมนี้จะเน้นความสดใส สวยงาม สบายตา แม้จะมีดีไซน์ศัตรูที่ดูน่ากลัว น่าขนลุกอยู่บ้าง แต่มันก็ซอฟท์กว่าเกมอื่นเยอะ แถมศัตรูในเกมนี้ยังมีความหลากหลายมากทั้งพวกลูกกระจ๊อกและบอส มีทั้งสัตว์อสูร สิ่งมีชีวิตลึกลับแบบดาร์คแฟนตาซี อัศวินใส่เกราะ และประเภทอื่น ๆ อีกเพียบตลอดการเล่น ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการผจญภัยที่เจอแต่อะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา มันมีผลต่อความรู้สึกในการเล่นและสำหรับคนที่เล่นเกม Metroidvania จะคุ้นชินกับสไตล์เกมแบบนี้ นั่นคือเส้นทางของเกมจะไม่ใช่เส้นตรง ผู้เล่นอาจจะเจอทางไปต่อ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้ในตอนแรก อาจจะต้องเลยไปก่อน หรือหาทางแยกอีกทาง เพื่อไปเจอคีย์ไอเทม ปราบบอส ได้พลังใหม่ แล้วกลับมาไปต่อทางเดิมตามเนื้อเรื่องหลักเรื่อย ๆ พื้นที่ในเกมจะแบ่งเป็น Section แต่ละ Section จะมีสภาพภูมิประเทศที่ต่างกันออกไป เราอาจจะยังเข้าถึงไม่ได้ในทันที แต่ต้องปราบบอสประจำ Section เพื่อเข้าถึงคีย์ไอเทมก่อน และในพื้นที่นั้น ๆ ก็จะมีห้องเซฟ มีห้องของเหล่า NPC ที่เอาไว้อัปเกรด หรือเพิ่มพลังต่าง ๆ ได้ ใครที่ชื่นชอบการสำรวจ ไปทุกซอกทุกมุมของเกม เกมนี้อาจจะทำให้คุณเสียเวลากับมันได้หลายชั่วโมงแน่ ๆ เกมเพลย์ที่ทับเส้นระหว่างความยากและแฟร์อีกจุดที่เซอร์ไพรส์สำหรับเกมนี้คือระบบเกมเพลย์การเล่นที่ไม่คิดว่าจะออกแบบมาได้ดีขนาดนี้ เกมเพลย์ของ 9 Years of Shadow จะเป็นแบบ Action Side Scrolling ที่ตัวเอกอย่าง Europa จะมีอาวุธประเภทเดียวคือขวาน แต่สิ่งที่ทำให้รูปแบบการต่อสู้ของ Europa ต่างกันออกไป คือชุดเกราะที่อ้างอิงจากตำนานเทพกรีก โดยเกมนี้จะมีชุดเกราะให้เราปลดได้ทั้งหมด 3 เกราะด้วยกัน นอกจากจะทำให้รูปแบบการโจมตีของเราเปลี่ยนไปแล้ว ยังมีกลไกที่ช่วยให้เราผ่านด่านต่าง ๆ ได้ยกตัวอย่างเช่นเกราะโพไซดอนสีฟ้า ที่มีความสามารถในการแปลงร่างเป็นเงือกเพื่อว่ายน้ำในน้ำได้ เกราะไกอาสีเขียว ที่ทำให้เราดำดินลัดไปตามฉาก เกราะเฮลิออสสีแดงที่เน้นการโจมตีธาตุไฟ เกราะเหล่านี้คือ Elemental Armor ที่จะได้ตามเนื้อเรื่อง ดังนั้นเราจะได้สัมผัสทุกเกราะแน่นอน และแต่ละเกราะจะทำให้เราผ่านฉากต่าง ๆ ได้ตามเนื้อหาของมัน ในขณะที่อาวุธนั้นมีเพียงแบบเดียวคือขวานยาว แต่การโจมตีและรูปแบบของสกิลจะเปลี่ยนไปตามเกราะที่ใช้ด้วย บางเกราะอาจใช้พลังโจมตีช้า บางเกราะอาจโจมตีเร็ว นอกจากนั้น ประเภทของเกราะยังส่งผลให้เราโจมตีศัตรูบางประเภทเข้า หรือไม่เข้าได้ด้วย โดยวัดจากขอบสีของศัตรู ซึ่งเราต้องเปลี่ยนเกราะตามนอกจากขวานแล้วยังมีการโจมตีอีกแบบ คือการใช้ตุ๊กตาหมียิงพลังออกไป และระบบการใช้พลังงานของเกมนี้ค่อนข้างแปลกไปจากเกมอื่น พลังที่เราใช้ในการยิงพลัง กับพลังชีวิตจะใช้หลอดเดียวกัน แต่เกมนี้จะไม่มีไอเทมฟื้นพลังโดยตรง หลอดสีฟ้าที่เป็นพลังหลัก จะแทนทั้งพลังชีวิตและหลอดพลัง โดยเมื่อหลอดพลังหมด เราสามารถกดกอดเจ้าตุ๊กตาหมี เพื่อชาร์จพลังได้ แต่มันจะกินเวลานานมาก กับอีกวิธีคือหากโดนโจมตี จะมี Quick Time Event ขึ้นมาให้กด เพื่อฟื้นพลังแบบเต็มหลอดเลย แต่ส่วนมากจะเร็วจนเรากดแทบไม่ทัน เพราะฉากแอ็คชั่นในเกมก็ค่อนข้างเร็วอยู่แล้วด้วยปัญหาอีกอย่างของเกมนี้คือความยากที่ค่อนข้างแกว่ง ในเกมการเล่นตามฉากปกติ ศัตรูจะรับมือได้ไม่ค่อยยาก และแพทเทิร์นในการเล่นจะค่อนข้างเดิม ๆ แต่พอเป็นบอส เชื่อว่าผู้เล่นส่วนมาก ยังไงก็ตายแน่ ๆ เพราะไม่มีทางคาดเดารูปแบบการโจมตีได้เลย ยังไงก็ต้องตายสักรอบ ถึงจะพอสู้ได้ และคำเตือนสำหรับเกมนี้ พยายามหาห้องเซฟทุกครั้ง และเมื่อฆ่าบอสได้พยายามกลับไปห้องเซฟก่อน เพราะเกมนี้จะเซฟก็ต่อเมื่อเรากดเซฟเกมที่ห้องเซฟ ผู้เขียนเคยประสบปัญหาฆ่าบอสตายแล้วไปต่อ แต่ดันพลาดท่าตาย ย้อนกลับมาต้องสู้บอสอีกรอบ หัวแทบไหม้ ด้วยความยากที่ค่อนข้างแกว่งเลยอาจเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ถนัดเกมแนวนี้ แต่ในด้านความท้าทายและชวนให้เล่นเกมต่อ ความยากของเกมนี้ไม่ถึงระดับกับชวนหัวร้อน แต่ทำได้ดีเลยทีเดียว และถือว่าแฟร์ดีถือว่าเป็นปีทองของวงการเกมเลยก็ว่าได้ จะเกมเล็กเกมใหญ่ ปีนี้ทำได้ดีแบบเหลือเชื่อจริง ๆ สำหรับ 9 Years of Shadow ใครกำลังมองหาเกมอินดี้ดี ๆ ก็ไม่ควรพลาด
06 Apr 2023
[พรีวิว] Exoprimal เกมใหม่จากทาง Capcom กับการปะทะฝูงไดโนเสาร์นับพันตัวในเวลาเดียวกัน !
หลังจากหากินอยู่กับภาค Remake และแฟรนไชส์เดิม ๆ มานาน ปีนี้ Capcom ได้ออก IP ใหม่ แต่เจือปนไปด้วยกลิ่นอายของเกมเก่าอย่าง Dino Crisis อยู่ด้วย และนี่คือ Exoprimal เกม TPS Co-op ที่มาพร้อมฝูงไดโนเสาร์ถล่มโลก โดยผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในผู้สวมชุด Exo Suit และต่อสู้กับไดโนเสาร์เพื่อปกป้องโลก โดยตัวเกมมีการเปิดทดสอบรอบ Network Test กันไปเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเราได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ด้วย ประสบการณ์แรกจากการเล่นเกมนี้จะเป็นยังไง วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังกันฝ่าวิกฤติกองทัพไดโนเสาร์ กับเทคโนโลยีล้ำอนาคตของเหล่ามนุษย์เรื่องราวของ Exoprimal จะเล่าถึงโลกในอนาคตที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เกิดประตูมิติเกิดขึ้นและประตูมิตินั้นก็เกิดฝูงไดโนเสาร์จำนวนมากทะลักออกมาจนโลกเข้าสู่ความโกลาหล ผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในมนุษย์ปกติที่สมัครเข้าร่วมโครงการ Exo Suit ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง และสวม Exo Suit เข้าต่อสู้ปกป้องโลกเอาไว้ สิ่งที่ยังไม่อาจบอกได้ในตอนนี้ เนื่องจากในช่วง Network Test ที่ผ่านมา ตัวเกมไม่ได้เปิดเผยเนื้อเรื่องแบบละเอียดมากนัก เปิดเผยเพียงพล็อตคร่าว ๆ เท่านั้น แถมไม่มีโหมดเนื้อเรื่องหรือ PvE ให้ได้เล่นกันอีกต่างหาก คาดว่าเพื่อไม่ให้เป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องโดยตรง บวกกับเป็นการทดสอบระบบ Network ทำให้ทาง Capcom เลือกเปิดทดสอบแค่โหมดออนไลน์เท่านั้น ในโหมดที่ชื่อว่า Wargame และมันจะเป็นยังไง มาดูข้อมูลกันการผสมผสานแบบไฮบริดของเกมแนว PvEvP สู้กับมอนฯก่อน แล้วไปดวลกันในตอนท้ายโหมด Wargame หรือ PvEvP ของเกมนี้ จะมีรูปแบบการเล่นแบบไฮบริดที่ผู้เล่นจะแบ่งออกเป็นทีม แต่ละทีมมีสมาชิก 5 คน ใน Phase แรกของเกมการเล่น ผู้เล่นในทีมจะต้องร่วมมือกัน ต่อสู้กับฝู.ไดโนเสาร์ที่มีมากมายหลายแบบ หลายเงื่อนไข โดยเป็นการแข่งขันทำเวลากับอีกฝ่ายแบบเรียลไทม์ คือเราจะไม่ได้เจอกบัทีมศัตรู แต่เราจะเห็นทุกการกระทำของทีมศัตรูว่าอีกฝั่งทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว ผ่านทางหน้าจอแสดงผล และภาพโฮโลแกรม ใน Phase ของการแข่งขันนี้จะสนุกตรงที่ แต่ละทีมจะต้องประสานงาน และร่วมมือกันอย่างมาก มันไม่ใช่แค่การสแปมยิงไดโนเสาร์ให้จบ ๆ ไป แต่มันมีผลตั้งแต่พื้นที่ยืน ไปจนถึงชุด Exo Suit ที่เราเลือกใช้ การกำจัดไดโนเสาร์ จะมีทั้งการสแปมสกิล ยิงยับ หรือเน้นจุดอ่อน ซึ่งการเน้นจุดอ่อนก็ต้องอาศัยทีมเวิร์คและการรู้งานของคนทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตรงนี้นี่แหละที่แม้ว่ามันจะไม่ได้ฟาดฟันกับผู้เล่นอื่น แต่ก็เป็นการวัดทีมเวิร์คกันว่า ทีมเวิร์คใครจะเจ๋งกว่าโดยเมื่อผ่าย Phase แรกที่มีทั้งหมด 4 ภารกิจไปได้ Phase ต่อไป จะเป็นการสุ่มว่าจะได้เล่นแบบ PvP หรือไม่ ซึ่งจากที่ผู้เขียนทดสอบมานั้น ก็เจอแบบผสมปน ๆ กันไป ทั้งแบบ PvP และแบบ PvE โดยจะมีทั้งการแข่งขันชาร์จค้อน โดยผู้เล่นจะต้องถือค้อนไว้ และยิงฝูงไดโนเสาร์ให้เยอะที่สุดเพื่อชาร์จ เมื่อชาร์จจนเต็มแล้ว ให้นำค้อนไปทำลายแกนพลังงาน ทีมไหนทำลายได้ครบ 3 ครั้งก่อนก็ชนะไปโหมด PvP เพียว ๆ อย่างการแข่งขันเก็บคอร์พลังงาน อันนี้จะเป็นการ PvP ผู้เล่นแต่ละฝ่ายจะต้องแย่งกันเก็บคอร์พลังงานให้ได้ถึงคะแนนสูงที่สุดเพื่อจบเกม แต่นอกจากจะโดนฝูงไดโนเสาร์ถล่มและปั่นป่วนแล้ว อีกฝ่ายจะสามารถมาขัดขวาง และต่อสู้กับเราได้ เปลี่ยนให้มันกลายเป็นเกม PvP เต็มตัว เพราะถ้าพลาดท่าโดนฆ่าตาย คอร์พลังงานที่เก็บมาก็จะหล่นไปให้อีกฝ่าย แต่คอร์พลังงานเหล่านี้จะมีจุดเกิดด้วย เราสามารถเล่นแบบประสานงาน สื่อสารกันได้ ให้ใครคอยขัดขวาง ให้ใครไปเก็บคอร์ เพื่อคว้าชัยชนะร่วมกัน เป็นโหมดผสมผสานที่สนุกมาก ๆ คาดว่าในช่วงเกมเต็ม จะยังมีโหมดการเล่นอื่น ๆ ตามมาด้วย แต่สิ่งที่แฟน ๆ ฟีดแบคกลับไปหาทีมงานในช่วงทดสอบก็คือ อยากรู้และสัมผัสกับโหมดเนื้อเรื่องมากกว่า เพราะดีไซน์เกมเพลย์นั้น ค่อนข้างชัดเจนว่า เล่นแบบ PvE หรือแคมเปญเนื้อเรื่องน่าจะสนุกกว่าจริง ๆ Exo Suit ที่ทำหน้าที่แบ่งตำแหน่งผู้เล่น และเป็นความหลากหลายในการเล่นจุดเด่นสำคัญของ Exoprimal เลยก็คือระบบ Exo Suit ที่ทำหน้าที่เหมือนการแบ่งสายอาชีพภายในเกมนี้ โดยจะแบ่งออกเป็น Role ที่มีทั้งหมด 3 Role ดังนี้- Assault สูทประเภทนี้จะเน้นไปที่การสร้างความเสียหายให้กับศัตรู ทั้งระยะใกล้ กลาง ไกล มีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกันออกไปตามสูทแต่ละประเภท- Tank มีความสามารถในด้านพลังป้องกันและพลังชีวิตสูงมาก และมีสกิลยั่วยุไดโนเสาร์ให้หันไปรุมเขาได้ เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมโจมตีศัตรูได้อย่างเต็มที่- Support มีความสามารถในการช่วยเหลือทีม และมีความจำเป็นอย่างสูงที่สุด เป็น Suit ประเภทเดียวที่อาวุธและความสามารถช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตเพื่อนร่วมทีม และยังเพิ่มบัฟให้ทีม และสร้างดีบัฟให้ทีมศัตรูนอกจากนั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่า RIGS ที่เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Exo Suit ที่สามารถติดตั้งเสริมได้รอบละ 1 อย่างเท่านั้น ทำให้รูปแบบการเล่นของผู้เล่นแต่ละคน จะต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับ Exo Suit และ RIGS ที่ผู้เล่นคนนั้น ๆ ใส่มา ทำให้เกมเพลย์การเล่นในช่วงทดสอบของผู้เขียนนั้น เรียกได้ว่าสัมผัสถึงความหลากหลายได้เยอะเลยทีเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อปัจจัยสำคัญของเกมคือการแข่งขันทำความเร็ว ก็คงหนีไม่พ้น Meta ชุด และ RIGS ที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งก็อยู่ที่ทาง Capcom จะจัดการปัญหาบาลานซ์นี้ได้หรือไม่RE Engine โชว์ความเทพอีกครั้งนับตั้งแต่ Capcom เปิดตัว RE Engine เป็นครั้งแรกกับเกม Resident Evil 7 ในปี 2017 มันก็แทบจะกลายเป็นเอนจิ้นหลักของทาง Capcom มาตลอด เพราะเกมใหม่ ๆ ต่อจากนั้นทั้ง Resident Evil 2, 3, Village รวมไปถึง Monster Hunter และ Devil May Cry และเกมในอนาคตอย่าง Street Fighter 6, Pragmata และ Dragon's Dogma II ล้วนจะใช้ขุมพลังของ RE Engine ด้วยกันทั้งสิ้นฟีเจอร์หลัก ๆ และความสามารถของ RE Engine อยู่ที่การปรับปรุงต่อยอดจาก MT Framework และลบรอยหยักกับการเพิ่มแสงสว่างเชิงปริมาตรแบบใหม่ และมีเครื่องมือที่เอื้อต่อทีมพัฒนามากมาย จนทำให้มันกลายเป็นเอนจิ้นระดับเทพของ Capcomใน Exoprimal เองก็ใช้ RE Engine ตัวนี้ และมันก็โชว์ความเจ๋งของมันได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะจากที่ผู้เขียนทดสอบเล่นเกมนี้ แม้จะเป็นฉากที่มีไดโนเสาร์แห่เกิดออกมาพร้อมกันกว่า 1,000 ตัว ก็ยังแทบจะไม่เกิดปัญหาอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งเฟรมเรทดรอป ซึ่งถือว่าเป็นจุดพีคของ RE Engine ที่ได้ภาพที่สวยงาม แต่ก็ไม่ได้กินสเปคเครื่องจนเกินงาม แต่งานนี้ต้องรอดูว่าตอนเกมเปิดจริงจะเป็นยังไงต้องบอกเลยว่า Exoprimal ถือเป็นอีกหนึ่งความสุ่มเสี่ยงของทาง Capcom ด้วยความที่ขายเกมในราคาระดับ AAA แถมยังเป็นเกมแบบ Live Services ที่มีการขายอย่างอื่นภายในเกมด้วย เช่นระบบ Battle Pass และคอนเทนต์อัปเดตอีกมากมาย ในยุคที่เกม Live Services ร่วงกันเป็นใบไม้ งานนี้ต้องรอดูกันแล้วว่าจะเป็นยังไงสำหรับ IP ใหม่เกมนี้ 
30 Mar 2023
[Review] รีวิว Atomic Heart เกม FPS สู้ฝูงหุ่นยนต์ยุคโซเวียด ที่ควรถูกทำเป็นหนังมากกว่าเกม!
หนึ่งในเกมที่หลายคนจับตามองในปี 2023 เนื่องจากภาพกราฟิกในตัวอย่างมันสวยมากๆ และก็มีการนำเสนอที่ดูน่าสนใจต่างจากเกมอย่าง DOOM หรือ Wolfenstein พอสมควร แถมก็ยังไปทำให้สาวกเกม System Shock ถูกใจอีก วันนี้ทางเรา GameFever ขอพามาชมรีวิวเกม Atomic Heart ว่ามันจะเป็นเกมน้องใหม่ที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ ดูเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลย!!!คลิปตัวอย่างเกมก่อนไปชมรีวิวAtomic Heart คือเกมอะไรเกมนี้ถูกหลายคนจับตามอง เนื่องจากเป็นเกมจากทางค่ายรัสเซีย และก็มีเรื่องราวอยู่ในช่วงยุคโซเวียด พร้อมยังมีภาพกราฟิกสวยมากๆ และก็เป็นแนว FPS ให้ถลมฝูงศัตรูแบบเลือดสาด โดยเกมนี้ยังได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานเกม System Shock ที่ใครหลายคนรอภาค Remake กันในตอนนี้ แถมจุดเจ๋งอีกอย่างนึงของ Atomic Heart นับตั้งแต่ก่อนวางขายคือผู้พัฒนาแจ้งว่าเขาใส่ใจ่ทำให้เกมเล่นลื่น และคอมเก่ามากก็เล่นได้ รวมทั้งยังมีบน Game Pass อีกต่างหากด้านเนื้อเรื่องเกมเปิดเรื่องมาอยู่ในช่วงหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปแล้ว 10 ปี และเล่าแต่งเติมว่าทางโซเวียดนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำยุคกว่าทุกประเทศมากๆ จนถึงขนาดสร้างกองทัพหุ่นยนต์มาช่วยงานมนุษย์ได้ ส่วนตัวเอกนั้นก็เป็นทหารที่ผ่านมาหลายสงคราม แต่ดันพลาดท่าในสงครามหนึ่งแล้วถูกเทคโนโลยีล้ำยุคของโซเวียดช่วยชีวิตเอาไว้ (แต่ก็แลกกับความจำเสื่อม) เกมเริ่มเรื่องด้วยการที่ตัวเอกมาร่วมงานฉลองของคนที่ช่วยชีวิตเขา แต่งานฉลองนั้นก็ดันมีเหตุการณ์ที่ทำให้กองทัพหุ่นยนต์คลั่งอยากฆ่ามนุษย์ และเกิดเหตุร้ายอีกเพียบในศูนย์วิจัยของโซเวียด ทำให้ตัวเอกจึงต้องหาทางหยุดเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ให้ได้ เนื้อเรื่องของ Atomic Heart จะมีความซับซ้อนหักมุมอยู่บ่อยครั้งเอาเรื่อง และก็ยังนำเสนอเทคโนโลยีล้ำยุคด้วยไอเดียน่าสนใจเต็มไปหมด รวมทั้งยังมีการเอาเรื่อง 'คอมมิวนิสต์' มาขยี้ว่ามันดีหรือแย่ยังไง ทำให้คนที่ชอบพวกเนื้อเรื่องวิทยาศาสตร์ Sci-Fi หรือการเมืองก็จะสนใจในเกมนี้ แต่ว่าพอได้มาเล่นจริงๆ สิ่งที่คุณจะรู้สึกต่อจากนั้นก็คือ 'มันงั้นๆ ไปป่ะ?' เพราะคนส่วนใหญ่ก็คงเคยสัมผัสเนื้อเรื่องวิบัติของพวกหุ่นยนต์กันมาเยอะแล้ว และเกมนี้มันก็ไม่ได้มีแนวเรื่องให้รู้สึกว้าวแตกต่างจากเนื้อเรื่องวิบัติหุ่นยนต์อื่นๆ (ถ้าแตกต่างต้องแบบเกม Detroit Become Human) ยังดีหน่อยที่ถ้าคุณไม่เคยศึกษาเรื่องคอมมิวนิสต์ คุณจะว้าวกับเรื่องราวจักรวาลในเกมนี้มาก แต่ถ้าคุณเคยศึกษามาก่อนหน้าแล้ว คุณก็จะรู้สึกว่ามันก็ธรรมดาเหมือนกัน แถมเกมนี้ยังพยายามทำเป็น 'หนังเกรด B' ที่เนื้อเรื่องบางช่วงจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่เมคเซ้นส์แบบสุดโด่งเกินไป ส่งผลให้บางคนนั้นถ้าไม่รักเกมนี้ ก็อาจ 'เกลียดเนื้อเรื่องเกมนี้ไปเลย'เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์เกมนี้จะมีหลากหลายอย่างให้พบเจอแบบน่าสนใจทั้งนั้น แถมนอกจากกองทัพหุ่นยนต์ เราก็จะยังได้พบเจอ 'สิ่งทดลองจำนวนมาก' ในศูนย์วิจัยที่จะทำให้คุณช้อคกับที่มาที่ไปของมัน และสิ่งทดลองพวกนี้ก็ยังทำให้เห็นความน่ากลัวของโซเวียดหรือคอมมิวนิสต์ด้วยความเป็น 'หนังเกรด B' ของเกมนี้ น่าจะทำให้ใครหลายคนปรับตัวกับความสมเหตุสมผลของเกมไม่ทัน เพราะบางทีเกมก็ดูจะจริงจังในการเล่าเรื่องแบบสมจริง แต่เราก็ต้องมาพบเจอตัวเอกที่เท่เกินความสมเหตุสมผล หรือคุณยายโหดเหนือมนุษย์ จับปืนสู้ฝูงหุ่นยนต์แบบซุปเปอร์ฮีโร่ ถ้าคุณปรับตัวเข้าหาความไม่เมคเซ้นส์แบบสุดโด่งไม่ได้ คุณจะรู้สึกไม่ถูกใจเนื้อเรื่องในเกมนี้พวกบทสนทนาในเกมก็ดูจะทำได้ไม่ค่อยดีด้วย เพราะหลายทีก็มีบทพูดไม่น่าสนใจมาให้เห็น และบางทีก็เล่นมุกแป้กอีก รวมทั้งบางตัวละครยกตัวอย่าง 'AI ตู้อัปเกรดอาวุธ' ที่บทพูดจะอารมณ์น่าหงุดหงิดเหมือน 'จาจาบิงจาก Star Wars' แต่ถ้าคนชอบอะไรรั่วๆ ก็อาจถูกใจเหมือนกันด้านภาพ & เสียงในปี 2023 เราอาจไม่ได้เห็นเกมไหนที่สามารถทำภาพกราฟิกสวยได้เท่าเกม Atomic Heart เกมนี้เปิดมาด้วยฉากที่สวยอลังมาก นึกว่ากำลังอยู่ในโลกความเป็นจริงเลยทีเดียว และเกมนี้ก็ทำฉากได้สวยอลังตลอดจริงๆ พร้อมบรรยากาศมันก็ได้อรรถรสมาก รวมทั้งการดีไซน์ทุกอย่างก็ละเอียดสวยงาม ขณะที่พวกเสียงประกอบก็น่าประทับใจ โดยเฉพาะพวกเพลงประกอบที่ฟังได้เพลินมากๆ และยังมีเอกลักษณ์ตรงเป็นเพลงภาษารัสเซีย ส่งผลให้ด้านนี้คือจุดน่าจดจำของเกมเลยก็ว่าได้ และต่อไปนี้เกม Atomic Heart ก็น่าจะติดอยู่ในรายชื่อ 'ภาพสวยอันดับต้นๆ' ต่อไปอีกหลายปี แถมอีกหนึ่งสิ่งที่น่าชมคือธีมภาพในเกมจะดูมืดๆ ผสมกับบรรยากาศธรรมชาติสีสันสวยงาม ซึ่งนอกจากมันจะเข้ากันจนเป็นเอกลักษณ์แนวภาพแบบใหม่ ก็ยังส่งผลให้เรารู้สึกถึงความเป็นยุค 50 อีกด้วย! แต่แม้ถึงฉากจะสวยอลังมาก ใครที่เล่นเกมใหม่ๆ ในยุคนี้จะรู้สึกกับเกมนี้ได้เลยว่า 'มันไม่ค่อยมีชีวิตชีวา' พวกต้นไม้หรือหญ้าในเกมจะแทบไม่ค่อยขยับ หรือพวกของประกอบฉากก็ไม่ค่อยใส่ฟิสิกส์มาอีก ส่งผลให้คนชอบสังเกตุจะเสียอรรถรสจนรู้สึกว่าโลกในเกมมันปลอมมากๆ ได้เหมือนกันตอนเปิดเกมมา เราก็จะได้เจอฉากสวยอลังตั้งแต่ต้นเลย และก็จะได้เจอตลอดทั้งเกม ใครปรับได้ภาพสุดก็คือรู้สึกฟินแน่นอนถ้าใครเคยเห็นสิ่งก่อสร้าง หรือความเป็นยุค 50 จะเห็นเลยว่าเกมนี้ทำออกมาได้อรรถรสเหมือนยุคนั้นเลย และด้วยธีมภาพแบบนี้ก็สร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้านนำเสนอเกมนี้จะให้เราเล่นผ่านด่านไปตามฉาก และจะมีช่วงที่เป็นแนวกึ่ง Open World ให้เราออกสำรวจพื้นที่อย่างอิสระ โดยหลายช่วงก็จะมีทั้งให้เราสู้กับศัตรู และช่วงที่ต้องแก้ปริศนา แต่ด้วยความที่เกมนี้ยังมีความเป็น RPG ระดับเป็น 'แนวหลัก' ก็ทำให้การสำรวจผู้เล่นนั้นจะไม่ได้แค่ต้องผ่านภารกิจ แต่ยังต้องหาฟาร์มวัสดุมาอัปเกรดอาวุธ และสกิล ซึ่งผู้เล่นจะมีอาวุธทั้งแบบเป็นประชิต และปืนให้เลือกใช้เยอะมาก รวมทั้งจะมี 'ถุงมือ' ที่ให้ผู้เล่นใช้เทคโนโลยีอย่างกับพวกพลังเวทย์ได้ ยกตัวอย่างปล่อยพลังไฟฟ้าใส่ศัตรู หรือพลังน้ำแข็งแช่แข็งศัตรู แล้วเกมก็ยังมีระบบช่องเก็บของที่ทำให้เราต้องบริหารให้ดีว่าจะพกอาวุธกี่ชิ้น หรือเอายาไปกี่อัน ซึ่งในจุดนี้ข้อดีคือเกมทำพวกปริศนามาได้น่าสนใจ และก็เป็นการนำเสนอวิทยาศาสตร์ไอเดียแปลกๆ มาใส่เข้ากันให้คนเล่นว้าวด้วย และพวกการอัปเกรดอาวุธหรือถุงมือแต่ละชิ้นก็มีหลากหลายสายมาก แถมด้วยดีไซน์กึ่ง Open World ก็ทำให้การฟาร์มในเกมนี้จะสนุก เพราะวัสดุเกมนี้ก็มีหลายชนิด และก็ต้องไปหาได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น แต่คุณก็จะรู้สึกว่าแต่ละระบบมันก็ไม่ได้แปลกไปจากเกมอื่น และอาจรู้สึกเบื่อได้ด้วย รวมทั้งระบบเกมนี้แม้ใส่มาให้เยอะ แต่ว่าส่วนใหญ่มันก็ทำมาไม่สุด ยกตัวอย่างระบบช่องเก็บของที่รู้สึกได้เลยว่าไม่ต้องใส่มาก็ได้ และด้วยระบบที่เยอะหลากหลายก็ทำให้ 'คนเล่นต้องปรับตัวมากๆ ในช่วงแรก' โดยเฉพาะสาย FPS ที่ไม่ค่อยเล่นเกมแนว RPG มีมึนหัวแน่นอนอาวุธเกมนี้ 1 อาวุธจะอัปเกรดได้หลายสาย ยกตัวอย่างขวานยาวที่เลือกอัปด้าน 'ใบมีดขวาน' ไปเน้นชาร์จโจมตีแรงๆ หรือโจมตีเพื่อฟื้นฟูพลังงานให้ตัวละครเอาไปใช้เป็นกระสุนพิเศษได้ แล้วก็ยังมีให้เลือกอัปด้าน 'อุปกรณ์พิเศษประกอบใบมีดขวาน' ไปเน้นโจมตีเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิต หรือทำให้เวลาชาร์จโจมตีจะหมุนตัวโจมเป็นฝูงได้ แถมบางอาวุธอย่างขวานจะมีอัปเกรดให้ใส่ 'ขวดพลังธาตุ' เพื่อใส่ขวดธาตุไฟ หรือธาตุไฟฟ้า แล้วจะสามารถโจมตีเป็นธาตุนั้นๆ ได้ถุงมือจะมีให้อัปพลังธาตุมาใช้โจมตีได้ ยกตัวอย่างโจมตีด้วยพลังไฟฟ้า หรือพลังน้ำแข็งที่แช่แข็งศัตรูได้ด้วย แล้วแต่ละธาตุจะมีให้อัปเกรดเพิ่มลูกเล่นสกิลหรือความแรงได้ด้วย รวมทั้งยังมีให้อัปสกิลด้านติดตัวพิเศษอีกเพียบ แผนที่เกมนี้สร้างมามีพื้นที่ซับซ้อน และมีให้สำรวจเยอะแยะไปหมด รวมทั้งเราจะอยากไปสำรวจทุกที่ เพื่อให้ได้ทรัพยากรต่างๆ มาอัปเกรดนั่นเองด้านเกมเพลย์Atomic Heart ถือเป็นเกมที่จะให้เราได้ใช้หรือทำอะไรหลายอย่าง โดยพวกอาวุธก็มีทั้งประชิตกับปืน และถุงมือใช้พลังธาตุ แล้วเราก็ยังได้มาฟาร์มทรัพยากรกับคราฟสิ่งต่างๆ หรืออัปเกรดอาวุธตามที่บอกไป แถมนอกจากเนื้อเรื่องที่พาเราไปสู้ฝูงหุ่นยนต์กับบอส เกมนี้ก็ยังมีการใส่ 'การให้แก้ปริศนา' เพื่อผ่านด่านเข้ามาเยอะมากๆ และบางด่านก็มาพร้อมไอเดียเจ๋งๆ หรือความอลังการด้วย แต่ด้วยความที่เกมใส่ระบบต่างๆ เข้ามาเยอะขนาดนี้ แล้วทีมงานเกมนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีประสบการณ์ทำเกมมาเยอะ สิ่งที่คุณจะรู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกมเลยคือ 'มันใส่เข้ามาเยอะ แต่ไม่รู้สึกว่าตรงไหนทำมาสุดสักอย่างเลย' พวกอาวุธจะใช้ได้มันส์อยู่ และเวลาโจมตีก็มีฟิสิกส์สมจริง (ตัวขาดอะไรแบบนี้) ให้เห็นอยู่นะ แต่มันก็รู้สึกไม่หนักแน่น และเชื่องช้าจนรู้สึกว่ามันส์ไม่เต็มอิ่ม รวมทั้งพวกการคราฟหรืออัปเกรดสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้จะทำให้คุณรู้สึก 'สนุกมากขึ้น' ส่วนใหญ่ถ้าจะสนุกขึ้นก็เป็นการได้เจออาวุธใหม่ๆ เสียมากกว่า แต่อาวุธเกมนี้ก็ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น ทำให้คุณจะอิ่มกับความบันเทิงระบบพวกนี้ไวมาก ส่วนปริศนาเกมนี้แม้จะสร้างสรรค์ แต่บางทีมันก็เป็นปริศนา 'ยืดเยื้อ' จนคุณรู้สึกหงุดหงิดได้เลย ขณะที่พวกบอสในเกมหรือศัตรูนั้นทำให้เกมสู้เพลินๆ อยู่ แต่พวกบอสที่น่าติมากเลยคือ 'มันดีไซน์ได้บ้านๆ ไปนะ' ส่งผลให้ด้านเกมเพลย์ของเกมนี้มัน 'อ่อนเปียก' ไปเสียหน่อยถ้าเทียบกับเกมอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้จะบอกว่ามันอยู่ในขั้นแย่นะ แต่มันทำได้ธรรมดาพื้นฐานไปหน่อยจนน่าจะตัดระบบอะไรไป และเอาเวลาไปทำระบบใดระบบหนึ่งให้มันสุดมากๆ จนว้าวได้ยันจบเกมดีกว่าพวกพลังธาตุที่ปล่อยมาจากถุงมือ ช่วงแรกๆ คุณจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่นะ ยกตัวอย่างตอนได้ใช้ถุงมือน้ำแข็งแล้วแช่แข็งศัตรูได้ มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก แต่สักพักก็จะรู้สึกเบื่ออย่างรวดเร็วอาวุธเกมนี้ดีไซน์อ้างอิงจากยุคโซเวียดส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างปืน Ak-47 ก็มีนะ แต่ว่าทุกปืนจะมีการอัปเกรดให้ล้ำยุคขึ้นให้เข้ากับจักรวาลเกมยุคนี้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าระบบต่อสู้มันไม่หนักแน่น ถึงจะใช้มันส์แต่ก็ไม่รู้สึกสุดขนาดนั้นอีกส่วนที่น่าบ่นคือเรื่อง QoL หลายคนคงเห็นลูกเล่นเจ๋งๆ ของเกมนี้อย่างถุงมือที่จะมีแม่เหล็กดูดไอเทมมาเก็บเข้าตัวได้ง่ายๆ แต่จริงๆ แล้วระบบนี้มันก็ทำให้เกมซ้ำซากไปด้วย เพราะเวลาคุณฟาร์มก็ต้องมานั่งเสียเวลากดแบบนี้จนเบื่อ ถ้าเปิดตู้แล้วเก็บให้อัตโนมัติเหมือนเกมอื่นๆ น่าจะดีกว่าด้านประสิทธิภาพในขณะที่เกมยุคนี้มีปัญหาด้านประสิทธิภาพตอนวางขายใหม่ๆ ให้เห็นกันเยอะมาก แต่เกม Atomic Heart กลับไม่เอาด้วยเหมือนเกมอื่นๆ และผู้พัฒนาก็แจ้งเลยว่าพวกเขาจะทำให้เกมนี้เล่นได้ลื่นตั้งแต่วันแรก โดยมันก็เป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ซึ่งทางผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บน PC แต่ก็มีไปแวะเล่นบน PS4 ของเพื่อนแล้วก็พบว่า 'เกมสามารถเล่นได้ลื่น และภาพสวยอย่างไม่น่าเชื่อ' กลับมาที่บน PC ตัวเกมนั้นก็เล่นลื่นเช่นกัน และไม่มีปัญหาเฟรมตกให้เห็นแม้จะอยู่ในฉากใหญ่ๆ สวยอลังเลย (สเปคผู้เขียนคือซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ GTX 3070Ti) แถมเกมยังมีระบบรองรับคนเล่นบน HDD อีกด้วย ส่งผลให้คนคอมเก่ามากๆ ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลอยู่ แต่ประเด็นคือเกมนี้ใช้ Unreal Engine 4 ส่งผลให้การเล่นบน PC จะมีปัญหา 'กระตุกค้างเหมือนโหลดฉากไม่ทัน' ซึ่งนี่เป็นปัญหา Shader ที่เป็นทุกเกมที่ใช้ Unreal Engine 4 และแม้เกมนี้จะมีระบบ Pre Shader ปัจจุบันเกมก็ยังมีช่วงค้างให้เห็นอยู่ดี แต่ก็ยังดีที่มันจะค้างแบบไม่น่าขัดใจบ่อยขนาดนั้นปัจจุบันเกมยังอัปเดตเพิ่มระบบ FOV ปรับได้จนถึง 110 มาแล้วด้วย ตอนแรกไม่มีนี่คือแอบรู้สึกเสียอารมณ์ และทำให้การเล่นมึนหัวนิดๆ แต่ตอนนี้คือทำให้เกมภาพสวยอลังขึ้นไปอีกสุดท้ายนี้ถ้าหาก Atomic Heart ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ มันอาจจะออกมายอดเยี่ยมระดับ Avatar เพราะมีหลายฉากที่สวยอลังน่าจดจำ และก็เต็มไปด้วยไอเดียน่าสนใจ อาจมีปัญหาหน่อยคือด้านเนื้อเรื่องธรรมดาจนถึงขั้นย่ำแย่ ซึ่งคนดูก็คงไม่ซีเรียสได้เพราะเข้าโรงไปเสพความฉากตระการตาล้วนๆ แต่ก็เพราะมันถูกสร้างมาให้เป็นเกม และมันดันใส่ระบบเกมเพลย์เยอะแยะไปหมด แล้วก็ดันทำได้ไม่สุดสักอย่าง เกมเพลย์มันจึงธรรมดาไปจนไม่รู้สึกเกมฟอร์มยักษ์อื่นๆ ในช่วงนี้ได้ แต่ก็ยังดีที่ด้าน Performance มันใส่ใจมากระดับ PC เก่าๆ ก็เล่นได้ลื่น จึงส่งผลให้มันยังมีจุดขายคือการน่าซื้อมาเสพงานศิลป์ หรือความภาพสวยอยู่นั่นเอง* ขอขอบคุณทางผู้พัฒนาเกมด้วยนะครับ ที่ส่งเกมมาให้พวกเราได้รีวิวกัน *
29 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Wanted: Dead แตกต่างแบบแปลก ๆ กับเกมที่หาความสนุกไม่ได้ตั้งแต่เริ่มจนจบเกม !
จากความหวังที่มันจะเป็นเกมแอ็คชั่นม้ามืดรับต้นปี แต่กลับกลายเป็นเกมที่มีแต่ความแปลกและความ Cringe อยู่เต็มไปหมด เพราะอะไรมันถึงได้เป็นแบบนี้ ก็ลองมาหาคำตอบกันดูได้ กับรีวิว Wanted: Dead ซึ่งเราขอกระซิบบอกว่า มันแปลกตั้งแต่เนื้อเรื่องเกม ยันระบบเกมการเล่นกันเลยทีเดียวการรวมตัวของคนชั่วที่ต้องมารับใช้กฎหมายเรื่องราวของ Wanted: Dead มีฉากหลังอยู่ที่ประเทศฮ่องกง โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Hannah Stone นักโทษสาว ที่ได้รับโอกาสกลับเนื้อกลับตัวและกลายมาเป็นหัวหน้าทีมตำรวจฮ่องกงที่ชื่อ Zombie Squad ที่เป็นการรวมตัวเหล่าอาชญากรโทษสถานหนัก ให้มารับใช้กฎหมายภายใต้การดูแลของรัฐบาล ในขณะที่กำลังเฮฮาปาร์ตี้อยู่กับทีมของเธอ เธอก็ได้รับภารกิจให้ไปตรวจสอบ Dauer Synthetics แต่แทนที่จะรอกำลังเสริมและได้รับอนุญาตก่อน เธอก็บุกเข้าไปในอาคาร ก่อนจะพบว่าผู้บุกรุกไม่ใช่โจรกระจอก แต่เป็นทหารรับจ้างที่มาพร้อมอาวุธล้ำสมัย ผลจากการละเมิดคำสั่ง ทำให้เธอถูกเบื้องบนตำหนิอย่างหนัก แถมยังกลายเป็นอริกับบริษัท Dauer งานนี้พวก Hannah มีหรือจะยอม ปฏิบัติการวางแผนสืบหาความจริงที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ทั่วเกาะฮ่องกงจึงได้เริ่มต้นขึ้นพล็อตแบบนี้หากให้พูดตรง ๆ เลยคือมันแทบจะไม่ต่างอะไรกับหนังเกรดบี ประวัติที่มาที่ไปของตัวละครที่ง่ายและอ่อนยุบยับ จนทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะกดข้ามทุกคัทซีนเพื่อไปนั่งเล่นเกมให้มันรู้แล้วรู้รอด จะเกิดขึ้นกับเกมนี้บ่อยมาก หรือถ้าหากคุณคิดว่าจะตั้งใจดูคัทซีนเพื่อซึมซับเรื่องราว คุณอาจจะยิ่งผิดหวัง และนั่งอุทานกับความแปลกประหลาดของมัน ของการกระทำตัวละคร ของบทพูด เช่นฉากกินอาหารร่วมกันบนโต๊ะในซีนแรก ที่ชัดเจนว่าไม่มีความสำคัญใด ๆ แถมยังใส่ฉากวาบหวิว (และซ้ำซาก) เข้ามาโดยไม่จำเป็นอีกต่างหาก เรียกได้ว่าใครไม่ชอบความแปลก ความ Cringe คุณอาจจะทนฉากเปิดตัวไม่ได้ด้วยซ้ำไปและเพราะนี่คือเรื่องราวของ Zombie Squad ทีมของนางเอกอย่าง Hannah แต่สมาชิกร่วมทีมก็ขาดเอกลักษณ์และความน่าจดจำ แต่มีนิสัยแปลก ๆ แบบ Cringe (อีกแล้ว) แทบจะทุกตัว เช่น Herzog ที่บ้าผู้หญิงแบบสุดขั้ว หรือ The Beast ที่ชอบเสพยาปาร์ตี้ และทำให้ตัวละครเอกอย่าง Hannah ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาทันที จะบอกว่าเป็นการเชิดชูตัวละครหญิงทางอ้อมก็เป็นได้ แต่โชคดีที่มันไม่ชัดเจนและโจ่งแจ้งหรือยัดเยียดจนเกินไป แต่บอกเลยว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ รับรองปวดตับเพราะความห่วยของมันแน่ ๆ วิธีแก้ก็คือ Skip ไปเลย หรือใครอยากลองอะไรแปลก ๆ ก็ลองนั่งดูกันได้แปลกไปหมดทุกอย่าง จนหาความสนุกไม่ได้หากคุณผ่านช่วงเนื้อเรื่อง และคัทซีนช่วง Intro มาได้แล้ว คุณคิดว่าจะหมดสิ้นความแปลกแล้ว คุณอาจจะต้องปวดหัวหนักกว่าเดิมเมื่อได้เริ่มเล่นเกม หรืออาจจะปวดหัวกันตั้งแต่ตอน Tutorial เลยก็ว่าได้ สิ่งที่มีปัญหาอย่างหนักอย่างแรกคือเรื่องของการวาง Layout ของปุ่มควบคุม ซึ่งไม่รู้ว่าทีมพัฒนาคิดอย่างไรถึงวางการออกแบบปุ่มมาแบบนี้ สำหรับตัวละคร Hannah Stone นั้น ก็เหมือนกับพระเอกเกมแอ็คชั่นหรือหนังแอ็คชั่นทั่วไป โดยเธอมีความสามารถในการใช้ดาบคาทานะ ปืนพก และปืนไรเฟิลจู่โจม แต่ในขณะที่เกมอื่น จะเป็นการสลับอาวุธด้วยการกดปุ่มตัวเลข แต่เกมนี้กลับมีการจัดวางปุ่มที่แปลกมาก ๆ ใครที่เคยเล่นเกม FPS หรือเกม Shooting มาเยอะ จะรู้ดีกว่า ปกติแล้วการควบคุมของเกมแนวนี้จะไม่สลับซับซ้อน แต่กับเกมนี้วางปุ่มได้เพี้ยนไปหมด เช่นปุ่มวิ่ง เอาไปวางไว้ที่ Ctrl ที่ควรจะเป็นปุ่มย่อตัว ปุ่ม Spacebar ที่ควรจะเอาไว้กระโดดก็กลายเป็นการป้องกันไปแทน หรือการโจมตีด้วยอาวุธ คลิกขวา คลิกซ้ายเป็นการใช้ปืนจู่โจม แต่การใช้ดาบกลับเป็นลูกกลิ้งเมาส์กลาง บอกเลยว่าใครมาเล่นเกมนี้ ช่วงแรกคุณจะตายรัว ๆ เพราะงงกับการควบคุมนี่แหละ ยกเว้นแต่จะเสียบจอยเล่นและอีกระบบที่ต้องบอกว่าปวดหัวมาก ๆ คือเรื่องของการ Take Cover ถ้าเป็นเกมต้นตำรับอย่างพวก Gears of War นั้น จะมีปุ่ม Take Cover ให้กด เพื่อที่ให้เราเลือกว่าจังหวะนี้ หรือสถานการณ์นี้ จะหลบหรือออกไปสู้ได้ แต่กับเกมนี้กลับใช้จุดยืนของตัวละครในการทำให้ตัวละครเลือกที่จะหลบหรือไม่หลบแทน ดังนั้นเราจะมีโมเมนท์แปลก ๆ ในระหว่างการเล่นเกมนี้เยอะมาก เช่นตั้งใจจะหลบ แต่ก็โดนยิง โดนฟันแบบเต็มข้อ ไม่ใช่แค่การวางปุ่มควบคุมที่แปลกจนอดสงสัยไม่ได้ แต่การใช้ปุ่ม และเมนูต่าง ๆ ก็พามึนงงไปหมด เหมือนทีมพัฒนาเกมนี้เขาอยากจะแหวกแนวกว่าเกมอื่น ๆ อย่างการที่ปุ่มถอยกลับ หรือยกเลิก ต้องไปกด Backspace หรือการกดตกลงก็ต้องกด Enter ทั้ง ๆ ที่เกมก็รองรับเมาส์และคีย์บอร์ด เราอาจจะสับแหลกในด้านของปุ่มควบคุมเยอะไปหน่อย แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ลองเล่นเกมนี้ จะเข้าใจได้เองว่าเพราะเหตุใดเราถึงต้องสับขนาดนี้ระบบการต่อสู้ในเกมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเกมแอ็คชั่นทั่วไปเลย การนำเสนอของเกมเป็นเพียงการเดินหน้าลุยเป็นเส้นตรง กำจัดศัตรูให้หมด แล้วทะลุไปยังด่านต่อไป เจอบอสก็เข้าไปอัด ๆ ๆ ให้มันพ้นทางแล้วก็ไปต่อ แต่เกมพยายามจะเพิ่มความหลากหลาย และชวนให้ผู้เล่นรู้จักโลกในเกมมากขึ้นเล็กน้อย ก็คือการเก็บไฟล์เอกสารภายในเกม นอกจากจะรับรู้เรื่องราวของเกมมากขึ้นแล้ว (ถ้าคุณไม่ขี้เกียจอ่าน) ทุกไฟล์เอกสารในเกม จะทำให้คุณได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเติมด้วยเมื่อพูดถึงระบบนี้ ก็ต้องอธิบายกันอีกเล็กน้อย ระบบค่าประสบการณ์ในเกมนี้จะได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นกำจัดศัตรูได้ และค่าประสบการณ์จะถูกนำมาใช้ในการปลดล็อคสกิลที่มีทั้งหมด 3 สาย นั่นคือ Offense เน้นการโจมตีและเพิ่มลีลาท่าทางเพิ่มเข้ามา Defense เน้นเพิ่มพลังป้องกัน และโอกาสการเอาตัวรอด และ Utility เน้นการเพิ่มอรรถประโยชน์ที่ช่วยในการต่อสู้ เช่นเก็บระเบิด เก็บกระสุนได้มากขึ้นเป็นต้น จริง ๆ แล้วจะเลือกอัปเกรดสายใดก่อนก็แทบมองไม่เห็นความต่าง เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณก็สามารถอัปเกรดได้ครบอยู่ดีเกมเพลย์ของ Wanted: Dead นั้น แทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือมีอะไรให้น่าพูดถึงเลย มันเต็มไปด้วยความจำเจในแบบที่เกมแอ็คชั่นเกมอื่นเคยทำมานักต่อนักแล้ว แม้จะมีความสนุกอยู่บ้างในลีลาท่าทางฉากแอ็คชั่น เช่นตอน Finish Move ที่เกมนี้ถือว่าทำออกมาได้เท่มาก แต่ความเท่ของท่านี้อย่างเดียวแน่นอนว่ามันจะไปพอใช้งานอะไรได้ เพราะอย่างอื่นของเกมมันชวนติดขัดไปซะหมด นอกจากนั้นระบบอัปเกรดและการปลดล็อคพาร์ทอาวุธใหม่ ๆ มาให้ใช้งานก็ยังดูขาดแรงดึงดูด ผสมกับที่มันออกแบบหน้าต่างการเล่นเกมมาได้ชวนงงมาก และเมื่อความแปลกทุกอย่างไหลมารวมกันกลายเป็นเกม Wanted: Dead ก็เชื่อเหลือเกินว่าน้อยคนนักที่จะทำใจเล่นมันได้ (อย่างน้อยก็ผู้เขียนแล้ว 1 คน แต่ช่างเป็นการเล่นที่ไม่มีความสุขเอาซะเลยพูดไปก็แทบไม่เชื่อว่านี่คือผลงานของอดีตผู้สร้างเกมระดับตำนานอย่าง Ninja Gaiden มันขาดเสน่ห์ ขาดความพิเศษ ขาดแรงดึงดูดให้เล่น แถมมันยังมาในราคาระดับ A-AA ที่คิดว่ากำเงินไปซื้อเกมอื่นน่าจะได้อะไรที่ยอดเยี่ยมกว่านี้มาก หากคุณอยากลองของแปลก มันอาจจะเป็นของแปลกที่แพงจนเกินไปด้วยซ้ำ แนะนำว่าเกมนี้ หนีได้ก็หนีเถิด เอาเวลาไปเล่นเกมอื่นอาจเกิดประโยชน์กว่า
27 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Resident Evil 4 Remake นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซของแฟรนไชส์ผีชีวะ สนุก ระทึกทุกวินาที
เป็นแฟรนไชส์ที่หลาย ๆ คนคาดหวังสูงอย่างมากสำหรับแฟรนไชส์ผีชีวะ Resident Evil ผู้พัฒนาได้เลือกทำการ Remake เกมตั้งแต่ภาคแรก และก็ได้รับคำชมมาในทุก ๆ ภาค และนี่มันก็ถึงคิวของ Resident Evil 4 Remake ที่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งในด้านเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง รวมถึงยกระดับกราฟิกใหม่ทั้งหมด แถมยังได้สองผู้กำกับมือดีอย่างคุณ Yasuhiro Anpo และคุณ Kazunori Kadoi ที่เคยสร้างความหลอนในเกม Resident Evil 2 Remake มาแล้ว !! โดยในวันนี้พวกเราก็จะมารีวิวตัวเกมให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Resident Evil 4 Remake จะยังสามารถคงมาตรฐานความยอดเยี่ยมที่เคยทำในภาคก่อน ๆ ได้หรือไม่ และทางเรา GameFever TH ก็ขอขอบคุณทาง Sicom Amusement ตัวแทนจำหน่ายเกม Capcom อย่างเป็นทางการที่ได้ส่งเกมนี้ให้กับเราได้รีวิวครับกราฟิก และการนำเสนอสำหรับเกม Resident Evil 4 Remake ในภาคนี้ตัวเกมก็จะยังใช้ขุมพลัง RE Engine ที่เคยสร้างเกมภาคก่อน ๆ มาใช้ แต่สิ่งที่ภาคนี้ทำออกมาได้ดีกว่านั่นก็คือการเพิ่มเติมเรื่องแสงเงาที่ค่อนข้างสมจริงมากขึ้น ทั้งในแง่ของเงาตกกระทบ หรือรอยเท้ารวมถึงบรรยากาศของตัวเกมที่ทางผู้พัฒนาเลือกที่จะปรับเปลี่ยน Mood & Tone ให้มันดูมีความมืด ต่างจากเกมเวอร์ชันต้นฉบับที่จะมีภาพที่สว่างมาก ๆ ทำให้ตัวเกมภาคนี้มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ฉากเลือด ศพ เครื่องในจัดเต็มอย่างที่คุณเคยเล่นเกม Resident Evil 2 Remake เลยทีเดียวซึ่งส่วนตัวนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PC นะครับสิ่งที่น่าประทับใจมากก็คงจะเป็นในด้านของการ Optimize ทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก ๆ โดยคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้เล่นนั้นก็คือ Intel i5 - 8400 และการ์ดจอ Nvidia RTX 2070 Super สามารถเล่นเกมนี้ได้สูงตั้งแต่ 80 - 100 เฟรมเรท ใน Setting แบบ High ได้อย่างสบาย ๆ และเชื่อว่าคนที่มีสเปกคอมต่ำกว่านี้สามารถเล่นได้อย่างสบาย ๆ เพราะตัวเกมนั้นมีรายละเอียดให้ปรับได้เยอะมาก ๆ ทั้งในแง่ของแสงเงา รายละเอียดภาพ หรือจะสามารถเลือกลบรายละเอียดบางอย่างเช่นศพของศัตรูที่นอนกองที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เห็นในฉากเยอะหรือน้อย เพื่อลดแรงการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ได้ส่วนในด้านโมเดลของตัวละครก็ถือว่าทำออกมาได้สมจริงมาก ๆ รวมถึงยังมีการดีไซน์ตัวละครใหม่บางตัวให้มีความน่ากลัวมากขึ้น ดูสมจริงกับบรรยากาศมากขึ้น หรือจะเป็นการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของบางตัวละครให้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงอย่างเช่นตัวละคร Gatling Man ศัตรูที่ถือปืนกลแก็ตลิง ก็ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น Brute (Pig Head) เป็นคนใส่หัวหมูป่า ถือหน้าไม้ออโต้ยิงเราแทน หรือจะเป็นตัวละครใหม่อย่าง Brute (Cow Head) ที่จะเป็นคนใส่หัววัวคือฆ้อนใหญ่ก็มี ซึ่งมันจะสามารถนำเสนอความโรคจิต ผิดมนุษย์มนาของลัทธินี้มากขึ้นนั่นเองเนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของภาคนี้เราจะได้กลับมาเล่นเป็นตัวละครเอกพ่อสุดหล่ออย่าง Leon S. Kenedy ที่หลังจากรอดชีวิตจากเกมภาคสอง ตัวเขานั้นก็ได้เข้าร่วมกับหน่วยงานลับรัฐบาล ฝึกฝนตัวเองจนกลายเป็นสุดยอดเอเจนท์ ซึ่งในภาคนี้เขาเองก็ได้รับภารกิจในการตามหา Ashley Graham ลูกสาวของประธานาธิบดีที่ถูกทางลัทธิ Los Iluminados ที่นำโดยทาง Osmund Saddler จับตัวไปเป็นเชลย เพื่อเอาไปเป็นข้อต่อรองกับทางรัฐบาลอเมริกาโครงของเรื่องโดยรวมของเกมภาคนี้ก็จะยังมีเค้าโครงที่เหมือนเวอร์ชันต้นฉบับเกือบทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นในด้านของรายละเอียดภายในก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างอย่างเช่นการปรากฏตัวของบางตัวละครที่ในเกมเวอร์ชันเก่าเราอาจจะเห็นเขาเจอกันตั้งแต่ในช่วงต้นเกมแล้ว แต่สำหรับภาคนี้เราอาจจะได้เห็นเขาปรากฏในช่วงกลางเกม หรือบางตัวก็อาจจะปรากฏในช่วงท้าย ๆ เกมแล้ว อาจจะเป็นเพราะความอรรถรส เพิ่มชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่เวอร์ชั่นต้นฉบับมันอาจจะดูทื่อ ๆ ไป ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจพอสมควร ส่วนเนื้อเรื่องนั้นก็ยังเป็นไปตามเรื่องราวของเกม Resident Evil ที่มันก็ไม่อะไรที่ซับซ้อนครับ ผจญภัยไปในสถานที่ที่น่ากลัว ความสนุกของเกมคือความน่ากลัวที่เราคาดไม่ถึง หรือไม่คาดฝันของเหล่าลิทธิ แต่ถ้าใครอยากจะรู้เรื่องราวของเกมที่ละเอียดมากขึ้น เราก็สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากเอกสารภายในเกมได้ในการเล่นเกมทั้งหมดของภาคนี้ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นจบหนึ่งครั้งราว ๆ 10-12 ชั่วโมงนะครับ ซึ่งการเล่นครั้งแรกก็อาจจะเล่นนานกว่านั้นก็ได้ถ้าหลงทางเหมือนผมนะฮ่า ๆ โดยเกมภาคนี้ส่วนตัวคิดว่าน่าจะยาวมากกว่า Resident Evil Village เลยด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมภาคนี้จะยาว มันก็ไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย อาจจะมีดรอปลงไปบ้างนิดหน่อยบางฉาก แต่มันก็แบบเดียวก็กลับมาระทึกเหมือนเดิมโดยฉากของเกมนี้จะแบ่งฉากออกเป็นสามโซนซึ่งจะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปนั่นก็คือโซนหมู่บ้านที่มันจะให้ความรู้สึกในการเจอศัตรูที่เป็นคนผิดปกติ เป็นโซนที่พบเจอกับจุดเริ่มต้นของความพิศวง โซนปราสาทที่จะเน้นหนักที่มีความวังเวงและน่ากลัว ห้องทดลองสุดวิปริต มีความกังวลในทุกมุมห้องที่พบเจอ ซึ่งโซนนี้จะเป็นโซนที่ใช้เวลาเล่นมากที่สุด ส่วนโซนสุดท้ายก็จะเป็นโซนเกาะที่ความน่ากลัวอาจจะเบาลงมาที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นความระทึก ความโหดของศัตรูที่เยอะไม่แพ้กันเลยเกมเพลย์ในด้านของมุมกล้องภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ยังเลือกที่จะใช้มุมมองบุคคลที่สามเช่นเดิมเหมือนในเวอร์ชันต้นฉบับ ซึ่งในเวอร์ชันดั้งเดิมถึงแม้ว่าตัวเกมเพลย์จะเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งเวลาเล็งเราไม่สามารถที่จะเดินได้ แถมเวลาเดินเราก็จะทำได้เพียงแค่การเดินเป็นเส้นตรง (เดินหน้า ถอยหลัง) เท่านั้น แต่สำหรับภาคนี้จะใช้การเคลื่อนไหวแบบ Resident Evil 2 Remake และ Resident Evil 3 Remake ที่เวลาเล็งเราจะสามารถเดินได้อย่างอิสระ ซึ่งส่วนตัวชอบมาก ๆ เพราะผู้เขียนเองไม่ชินกับการหันมุมกล้องแบบเก่า แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็อย่าดีใจไป เพราะเกมเพลย์แบบใหม่ มันก็แลกมากับการที่ตัวเกมจะมีสปีดการเล่นที่เร็วมากขึ้น ทั้งในแง่ของศัตรูที่จะเดินเข้ามาหาเราเร็วมากกว่าภาคก่อน ๆ ส่วนศัตรูในภาคนี้เราจะไม่ได้เจอเหล่าซอมบี้เหมือนในเกมภาคสอง แต่เรานั้นจะต้องเจอกับเหล่าชาวบ้านที่ติดเชื้อปรสิตไล่ล่าเรา โดยศัตรูธรรมดาในภาคนี้จะไม่ได้ถึกยิงตายยากเหมือนซอมบี้ที่เราเคยเจอในเกมภาคก่อน ๆ (อ้างอิงจากภาค 2 ศัตรูบางตัวกว่าจะตายอาจจะต้องยิงเป็นแม็กเลย) แต่มันก็แลกมากับการที๋ศัตรูจะเยอะกว่าปกติ และสำหรับคนที่เคยเล่นภาคเก่า ๆ ต้องยอมรับว่ากระสุนที่มีให้เก็บนั้นค่อนข้างเยอะมาก ๆ มีให้ใช้แทบจะไม่มีวันหมด แต่เนื่องจากที่เกมเพลย์การบังคับของเกมภาคนี้ที่มันง่ายกว่า พวกของใช้ต่าง ๆ อย่างอาวุธหรือยา เราก็จะต้องประหยัดและคิดทุกครั้งในการใช้เช่นเดิม และสิ่งที่ทำให้เกมนี้มันน่าสนใจอย่างมากก็คงจะเป็นในด้านของเหล่าศัตรูของภาคนี้ที่เราจะได้เจอแบบหลากหลายมาก ๆ ทั้งชาวบ้านปกติ ศัตรูอย่าง Chainsaw Man ที่ถือเลื่อยวิ่งใส่เรา ศัตรูสุดโหดที่พร้อมจะฆ่าเราแบบ One Shot Kill สัตว์ประหลาดในน้ำ ศัตรูตาบอดสุดโหดที่ถ้าหากเราทำเสียงนิดเดียวมีเจ็บแน่นอน หรือที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นศัตรูอย่าง Regenerador ซึ่งมันจะเป็นศัตรูที่เราจะต้องจัดการจุดตายของมันเท่านั้น ต่อให้ยิงหัว หรือยิงแขนขาให้ขาด มันก็สามารถงอกใหม่ได้ ซึ่งในการเจอครั้งแรกมันเป็นอะไรที่น่ากลัวและยากมาก ๆ หรือจะเป็นศัตรูอย่าง Verdugo ที่มันจะสามารถมุดวิ่งไปตามท่อและจะโผล่มาจัดการเราได้ ซึ่งความสนุกของเกมภาคนี้ก็คือความรู้สึกตื่นเต้น ระทึกทุกครั้งที่เราจะต้องเจอศัตรูตัวใหม่ ๆ นั่นเองโดยตัวละคร Leon ที่เราได้เล่นในเกมภาคนี้ เขาจะไม่ได้เป็นมือใหม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตัวลีออนสามารถจัดการศัตรูได้หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการยิงศัตรูให้เซ และทำการเตะศัตรูให้ล้ม นอกจากนี้การใช้มีดสำหรับภาค Remake ก็ยังมีการปรับปรุงรายละเอียดให้ดีขึ้นมากกว่าภาคต้นฉบับที่ตัว Leon สามารถแทงศัตรูได้หลายท่าทางมากขึ้น มีการแทงแบบฟัน หรือแทงศัตรูแบบตรง ตัวเกมยังเพิ่มกลไกลอย่างการลอบเร้นและเข้าไปใช้มีดสังหารศัตรูภายหลัง รวมถึงเรายังสามารถใช้มีดในการ Parry การโจมตีของศัตรูได้ หรือสามารถใช้มีดในการโจมตีสวนศัตรูที่จะเข้ามาโจมตีเราได้เหมือนในภาคก่อน ๆ เช่นกัน ซึ่งมีดของเกมภาคนี้ค่อนข้างสารพัดประโยชน์มาก แต่มันก็แลกมาด้วยการที่มีดนั้นมีวันพัง ซึ่งเราก็จะต้องหาเก็บมีดเพิ่มตามฉาก หรือซ่อมที่ร้านค้าหนึ่งในจุดเด่นของเกมภาคนี้ก็คือตัวพ่อค้าปริศนา ที่จะปรากฏตามฉากให้เรานั้นได้ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ต่าง ๆ ปืนใหม่ ๆ ที่ในภาคนี้ปืนส่วนใหญ่จะต้องซื้อจากร้านค้าเท่านั้น มีการอัปเกรดความสามารถของปืนเพิ่มดาเมจ เพิ่มจุกระสุนเป็นต้น โดยเราสามารถหาเงินมาซื้อได้จากการจัดการศัตรูซึ่งมันจะดรอปเงิน หรือตามแผนที่จะก็มีพวกเพชรหรือสมบัติที่สามารถเอาของมาขายได้ รวมถึงระบบช่องเก็บของในภาคนี้ก็จะคล้าย ๆ กับเกมในทุก ๆ ภาคที่เราจะต้องบริหารจัดการทรัพยากรของเราในการออกไปลุย นอกจากนี้เรายังสามารถซื้อช่องเพิ่มกระเป๋าของเราได้จากร้านค้า รวมถึงเรายังสามารถเปลี่ยนสีกระเป๋าที่จะเพิ่มสเตตัสมากขึ้นอย่างเช่นกระเป๋าสีทองจะเพิ่มอัตราการดรอปเงินมากขึ้น ส่วนกระเป๋าธรรมดาจะเพิ่มอัตราการดรอปกระสุนมากขึ้นเป็นต้น รวมถึงระบบ Charm ติดกระเป๋าที่จะเพิ่มโบนัสบางอย่างด้วยอย่างเช่นเพิ่มโบนัสการคราฟต์ของเป็นต้น แต่สิ่งที่น่าปวดหัวของเกมภาคนี้ก็คือเรานั้นไม่สามารถเอากระสุนต่าง ๆ เก็บใส่ในช่องเก็บของได้ และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในภาคนี้ก็คือระบบ Side Quest ที่ตามฉากมันจะมีภารกิจย่อยมาให้เราทำระหว่างทางในการผจญภัย ซึ่งมันก็เป็นภารกิจง่าย ๆ ครับอย่างเช่นการไล่ยิงตราสัญลักษณ์ตามฉาก การขายเศษซากงูให้ครบจำนวนที่ต้องการ ซึ่งเราก็จะได้แต้มมาแลกกับทางพ่อค้าได้ ซึ่งมันก็มีของแลกเยอะแยะเลยครับไม่ว่าจะเป็นแผนที่สมบัติในด่านนั้น ๆ ของแต่งปืนต่าง ๆ ซึ่งใครอยากใช้อุปกรณ์ Laser ช่วยยิงปืนพก ก็ต้องใช้ของแต่งปืนที่แลกได้จากฟังชันนี้เช่นกัน ซึ่งตัว Side Quest ท่านจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้ครับ ถ้าทำคุณก็จะมีของแต่งปืนมากขึ้น แต่ถ้าไม่ทำก็สามารถเล่นจนจบได้ ซึ่งผมเองก็ทำบ้างไม่ทำบ้างครับอย่างที่กล่าวไปว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือแม่สาวน้อย Ashley Graham ซึ่งมันก็จะมีซีนที่เราจะได้ผจญภัยไปทำสาวน้อยคนนี้ ใครที่เคยเล่นเกมหรือติดตามมีมของเกมภาคเก่ามาบ้าง ท่านก็น่าจะรู้ว่าน้อง Ashley นี้ค่อนข้างเป็นภาระมาก ๆ เพราะตัวเธอก็จะค่อนข้างเกะกะ เวลาศัตรูอยู่ใกล้ ๆ ก็จะก้มหมอบลง และเวลาถูกศัตรูโจมตีตัวเธอก็จะตะโกนเสียงแหบ ๆ ดัง ๆ ว่า Help !! Leon แต่สำหรับภาคนี้ตัวเกมจะมีปุ่มให้ Ashley สามารถเดินตามเรา อยู่ให้รออยู่กับที่ก็ได้ รวมถึงตัว Ashley ก็จะไม่ได้มีเสียงที่น่ารำคาญเหมือนภาคต้นฉบับแบบ เสียงน้องมีความนุ่มนวลมากขึ้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะหลงรักตัวละครนี้ในเวอร์ชันนี้อย่างมากเลย ในด้านของปริศนาตัวเกม สำหรับภาคนี้ก็อาจจะมีไม่เยอะ ซึ่งมันก็คล้าย ๆ กับเกมเวอร์ชันต้นฉบับนั่นแหละครับ แต่ถึงอย่างนั้นปริศนาของเกมก็ค่อนข้างทำออกมาได้ดีเลย รวมถึงปริศนายังมีการเปลี่ยนวิธีการเล่นนิดหน่อย ซึ่งมันก็ไม่ยากไป หรือไม่ง่ายจนเกินไป พอมีปริศนาให้คิดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่เยอะครับสรุปต้องบอกเลยว่านี่คืออีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ Resident Evil ที่ทางผู้พัฒนาไม่ทำให้เราผิดหวังเลย ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเกมที่ใช้เวลาเล่นที่นานที่สุดถ้าให้เปรียบเทียบภาคเก่า ๆ แต่ความระทึก ความตื่นเต้นของเกมมาแบบจัดเต็มไม่มีพักเลย อีกสิ่งที่ชอบก็คงจะเป็นด้าน Mood & Tone ที่ปรับปรุงให้มีความน่ากลัวมากขึ้น จนสามารถลบคำสบประมาทคำว่าเกมภาค 4 ไม่ค่อยน่ากลัวได้เลย เกมเพลย์การ Movement ที่ทันสมัยไม่เก้ ๆ กัง ๆ เหมือนก่อน Resident Evil 4 Remake คือหนึ่งในเกมภาคที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยโดยเกม Resident Evil 4 Remake วางจำหน่ายแล้วบนเครื่อง PC, PS4, PS5 และ Xbox Series X/Sคะแนน 10/10
27 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Chef Life: A Restaurant Simulator สุดยอดเกมทำอาหารที่ละเอียดและใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด
หลายคนอาจจะชื่นชอบการกินมากกว่าการทำอาหาร เพราะการทำอาหารถือว่าเป็นอีกศิลปะระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ ในขณะที่เกมอื่น ๆ การเข้าครัวปรุงอาหาร อาจเป็นการจำลองสถานการณ์ทั่วไป แต่กับ Chef Life: Restaurant Simulator นั้น ถือว่าเป็นอีกเกมทำอาหารที่ให้อารมณ์ร่วมสุด ๆ ทั้งความสมจริงของระบบเกมและกราฟิกที่เรียกได้ว่าเล่นไป หิวไป เลยก็ว่าได้ แต่เกมจริงจะเป็นยังไง มาดูกันได้ในรีวิว Chef Life ของเราเรื่องราวของ Chef Life นั้น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก เราจะรับบทเป็นเชฟมือใหม่ที่เข้ามาช่วยเหลือภัตตาคารที่กำลังจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราจึงต้องรับหน้าที่เป็นเชฟปรุงอาหารและพาร้านไปสู่ความรุ่งเรืองให้ได้ และเราเองก็จะเติบโตเป็นเชฟฝีมือเยี่ยมประจำร้านด้วย เส้นทางสู่เชฟมือทองจึงได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์ของเกมแนว Simulator ที่มักจะเขียนเนื้อเรื่องขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีเหตุผลไปสนับสนุนเกมเพลย์การเล่น ดังนั้นจุดประสงค์ของคนที่จะเล่นเกมแนวนี้ยังไงก็คงไม่ใช่เนื้อเรื่องสุดล้ำอะไรอยู่แล้ว แต่เป็นการเข้าครัวทำอาหาร ที่มาพร้อมระบบสุดล้ำ และเกมนี้มันทำได้ยังไง ?สำหรับเกมเพลย์และระบบการเล่นของ Chef Life นั้น ต้องบอกว่าถ้าจะหาเกมทำอาหารที่สมจริงและใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดเล่น ณ นาทีนี้ ไม่น่าจะมีเกมไหนเกินเกมนี้แล้ว เพราะชีวิตหลังครัว กว่าจะมาเป็นอาหารสักจานให้เราได้รับประทานกันนั้น ต้องผ่านความประณีตแค่ไหน เกมนี้สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดเตรียมวัตถุดิบ การปรุง การจัดจาน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ต้องจริงจังเสมอในการปรุงอาหารในเกมนี้ Workstation หรือพื้นที่ทำงานของเราในเกมนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นห้องครัวเป็นหลัก โดยครัวในเกมนี้จะมีอุปกรณ์ทำอาหารแทบจะทุกอย่าง รวมไปถึงหนังสือสูตรอาหารที่เอาไว้ และด้านหลังของครัวก็จะเป็นพื้นที่ Store Room หรือห้องเก็บวัตถุดิบต่าง ๆ และยังมี Shelf หรือชั้นและตู้เก็บวัตถุดิบที่เราพร้อมจะหยิบมาใช้ตลอดเวลา แน่นอนว่าอุปกรณ์เครื่องครัวต่าง ๆ ทั้งหม้อ กะทะ ตะหลิวก็มาครบ และเราต้องเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับอาหารและการเตรียมวัตถุดิบที่ใช้ด้วยเมื่อเริ่มเล่นเกม ระบบจะสอนเราด้วย Tutorial ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญมาก ๆ ผู้เขียนแนะนำว่าหากใครอยากจะเล่นเกมนี้ พยายามอย่าข้าม Tutorial และเก็บทุกรายละเอียด เพื่อซึมซับข้อมูลทั้งหมด เพราะหากข้ามไปเราอาจไม่เข้าใจระบบหรือขั้นตอนการทำอาหารได้ และ Tutorial ของเกมนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เพราะถึงแม้คุณจะตกหล่นข้อมูล หรือจำอะไรไม่ได้ขึ้นมา ตัวเกมสามารถเข้าถึงหน้าเมนู Tutorial ได้ ผ่านเมนู Codex ในหน้าการ Setting การทำอาหารในเกมนี้ต้องบอกว่าละเอียดทุกขั้นตอน ใน Recipe Book นั้นจะมีขั้นตอนการจัดเตรียมวัตถุดิบและการปรุงไว้เรียบร้อย แม้จะฟังดูเหมือนว่ามันเป็นการให้ผู้เล่นทำตามขั้นตอนเป๊ะ ๆ เหมือนจะไม่ยากอะไร แต่เกมนี้ใส่รายเอียดเข้ามาชนิดที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด ในการเล่นช่วง Tutorial อาจจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่มีการกำหนดเวลา แต่เมื่อเข้าสู่เกมจริง ผู้เล่นจะต้องทำ Order อาหารให้ทันเวลาด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความกดดันที่เกิดขึ้นจริงแน่นอนในห้องครัวและการทำอาหารอยู่แล้วระบบเกมเพลย์การเล่นที่จะทำให้คุณรู้จักชีวิตของเชฟอย่างแท้จริงและที่ต้องบอกว่า Chef Life เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ก็คือตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบแล้ว ในเกมนี้เราจะต้อง Stock วัตถุดิบเอาไว้ใน Store Room และนำมาจัดวางบนชั้น เพื่อที่จะให้พร้อมนำไปปรุงต่อ และผู้เล่นสามารถปรุงวัตถุดิบเบื้องต้นเก็บเอาไว้ในตู้เย็นได้ เมื่อออร์เดอร์เข้ามาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตระเตรียมวัตถุดิบจนนานเกิน มันก็คือทางลัดในการส่งมอบอาหารได้เลย การทำอาหารในเกมนี้ก็เหมือนชีวิตจริงส่วนหนึ่ง คือรเาต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม มันฝรั่ง ต้องสับ ปลาต้องแล่เอาก้างออก หรือเนื้อหาก็ต้องสับให้ละเอียด จะต้ม ผัด แกง ทอด ใส่เครื่องปรุงก็ต้องทำให้พอดี แม้เกมจะมีกำหนดเอาไว้ก็จริง แต่หลัก ๆ เกมจะอาศัยประสบการณ์ของผู้เล่นเป็นส่วนมาก แม้จะสามารถเดินไปดูคู่มือซ้ำได้ แต่จะดีกว่าถ้าเราฝึกทำอาหารจานนั้นบ่อย ๆ จนเชี่ยวชาญแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินมา ในขณะที่เวลาการรอของออร์เดอร์ก็ลดลงไปทุกทีการปรุงอาหารทุกอย่างจะไม่มีระบบอัตโนมัติ และใช้เวลาในการรอคอยพอ ๆ กับชีวิตจริง และในระหว่างการรอ เกมก็ใส่เงื่อนไขต่าง ๆ เข้ามา เช่นการใช้ Chef Sense เพื่อดูว่า ควรใส่เครื่องเทศอะไรลงไปเพิ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่ยอดเยี่ยม หรืออย่างเช่นการทอดเนื้อ ก็ต้องคอยพลิกเนื้อทั้งให้มีความสุกที่เท่ากันทั้งสองฝั่ง หรือการทำอาหารที่มีความเหนียวติดหม้อหรือกะทะ เราก็ต้องคอยขนไม่ให้มันเหนียวเกินไป กล่าวได้ว่า นี่เป็นเกมทำอาหารที่เราต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับมันจริง ๆ ถ้าเล่นแบบเรื่อย ๆ ชิล ๆ อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไรนัก และเมื่อปรุงอาหารจนเสร็จแล้ว การตกแต่งอาหารจานนั้นให้ดูสวยงามน่ารับประทาน เกมจึงใส่ระบบตกแต่งจานอาหารเข้ามาให้ด้วย โดยผู้เล่นสามารถเลือกตกแต่งได้ตามใจชอบ เอาให้สวยงาม หรือเละจนดูไม่น่ากินก็ทำได้ แต่มันจะมีผลกับ Techinal Score หรือการประเมินคะแนนในช่วงท้ายด้วย ซึ่งจะส่งผลกับค่าประสบการณ์และชื่อเสียงร้านที่ได้ แน่นอนว่าเมื่อมีการสะสมค่าประสบการณ์ก็จะมีการอัปเลเวล โดยการอัปเลเวลจะเป็นการปลดล็อคสูตรอาหารใหม่ ๆ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ ให้ได้ใช้งานด้วยและจะเป็นเกม Simulator ไม่ได้เลย หากขาด Design Mode โหมดที่เราสามารถปรับแต่งร้านอาหารของตัวเราเองได้ โดยในช่วงแรกอาจจะยังปรับแต่งได้น้อย แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เราสามารถปรับแต่งร้านของเราได้ ราวกับเรามีร้านอาหารเป็นของตัวเองจริง ๆ กันเลยทีเดียว รวมไปถึงยังปรับที่ตั้งของอุปกรณ์ เครื่องครัวต่าง ๆ ได้ จะเปลี่ยนจากพื้นที่ว่าง เป็นเตาไฟฟ้า ที่วางกระทะ ที่หั่นผัก หรือชั้นวางเครื่องเทศ ล้วนปรับแต่งได้ตามใจชอบ ต้องบอกว่าครั้งแรกที่เราเห็นการเปิดตัวของเกม Chef Life ในราคาที่สูงถึง 590 บาท เราก็แอบตกใจอยู่ว่าราคามันแพงเกินไปหรือไม่ แต่หลังจากได้เข้าไปลองเล่น ได้เสพบรรยากาศ ได้สัมผัสกับระบบเกมและการทำอาหารที่เหนือล้ำกว่าเกมอื่น ๆ นี่เป็นอีกเกมที่คนอยากมีร้านอาหาร อยากทำอาหาร หรือชอบทำอาหาร ไม่ควรพลาด และเป็นอีกเกมฟอร์มเล็กที่น่าประทับใจมาก เปิดปี 2023 นี้เลยทีเดียว
25 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม A Little to the Left เกม Puzzle เรียงของสุดฟินที่สนองความ Perfectionist ในหัวใจ
A Little to the Left เป็นเกมอินดี้แนว Puzzle ที่ให้เราได้จัดเรียงข้าวของต่างๆ เสียใหม่ให้เข้าที่เข้าทางยิ่งกว่าเดิม ดังชื่อเกมที่แปลแบบน่ารักๆ ได้ว่า 'ขยับซ้ายนิดนึงแล้วกัน'คุณเคยขัดใจไหมที่ของมันไม่ได้เรียงอย่างที่ควรจะเป็น? คุณเคยเรียงดินสอสีไม้ให้เข้าที่แล้วนั่งชื่นชมในความสวยงามของมันไหม? ขอแค่ได้เรียงของใหม่ ไม่ว่าจะไล่สี เรียงตามขนาด วางซ้ายขวาสมมาตรหรือใส่ของไว้ในช่องแบบเป๊ะๆ ทั้งหมดที่ว่ามานี้มันทำให้ความ Perfectionist ในใจคุณมันรู้สึกฟินเสียไม่มี.. เกมนี้คือคำตอบค่ะเรียงของเข้าที่!เกมแนว Puzzle จ๋า เล่นง่ายแค่คลิกเม้าส์ลากวางแต่ละด่านล้วนไม่ได้บอกอะไรเรามากนักนอกจากเอาของมากองไว้ตรงหน้า ให้ผู้เล่นอย่างเราได้ใช้เซ้นส์นำพาลากๆ วางๆ มันไปไว้ในจุดที่ใจคิดว่าใช่ อาจจะเป็นการไล่สี เรียงตามขนาด ความสูงและอื่นๆ ตามแต่สิ่งของที่มีให้ อยู่ที่ว่าเราจะมองออกไหมว่าต้องจัดเรียงแบบไหนเกมมีการแบ่งย่อยเป็น 5 Chapter ซึ่งจะแยกเป็นธีมๆ ไป และด้วยจำนวนด่านโดยรวมที่มากกว่า 80 ด่านจึงมีความหลากหลายในระดับหนึ่ง (บางด่านมีวิธีผ่านมากกว่า 1 แบบด้วย) รวมไปถึงความยากง่ายที่สลับกันไป บางด่านอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่บางทีก็ต้องหยุดครุ่นคิดนานหน่อย ให้เราได้ใช้เวลาลองผิดลองถูกไปกับการโยกย้ายสิ่งของเรียงใหม่ให้หัวใจพองโตด้วยความฟินภาพประกอบโทนสีนวลตาและเพลงฟังสบายด้วยสไตล์อาร์ตที่มีเท็กเจอร์แบบดินสอสีไม้ ประกอบกับการออกแบบที่เรียบง่าย มินิมอลไร้ UI บดบังทัศนวิสัย เราจึงจะได้เห็นสิ่งของในฉากแบบเต็มจอเลยทีเดียว ทำให้ทุกครั้งที่ด่านใหม่ปรากฏขึ้นตรงหน้าล้วนแล้วน่าแคปเก็บไว้มากๆ (โดยเฉพาะตอนที่เรียงของเสร็จแล้ว) เพลงภายในเกมก็ช่วยเสริมอารมณ์ในการจัดของเป็นอย่างดีเป๊ะแบบไม่มีอะไรมากั้นดูสีที่ไล่กันอย่างสวยงามนั่นสิ.. ด่านนี้สามารถเรียงได้อีกแบบนึงด้วยนะ ดูออกกันไหม?ไม่เหงาเพราะเรา.. มีแมว!ทว่าเกมนี้ก็ไม่ได้ปล่อยให้เราได้จัดของอย่างสบายใจ เจ้าเหมียวตัวแสบก็ไม่วางเข้ามาก่อกวนให้ของที่เราตั้งใจเรียงหลุดไปจากตำแหน่ง แต่มีหรือจะโกรธได้ลงน่ะ (เจ้านายทำอะไรก็เอ็นดู) ซึ่งน้องจะมาแวะเวียนกวนเราอยู่เป็นพักๆ ให้หายเหงาใจสรุป: เกมจัดของชวนฟิน.. แต่ไม่ชิลล์เสียทีเดียวแม้เกมนี้จะจั่วหัวว่าเป็นเกมเรียงของ ทว่ามันเป็นเกมที่ใช้ความคิดอยู่ แม้ว่าเราจะพอรู้แล้วว่าจุดประสงค์หลักๆ ของเกมนี้คือการเรียงของให้เข้าที่ตามรูปแบบใดแบบหนึ่ง แต่บางทีกว่าเราจะมองออกว่าต้องทำอะไรก็ต้องคิดสักพักใหญ่เลยก็มี หรือแม้แต่การวางที่ต้องการความเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว (ก็สมกับเป็นเกมนี้ดี) ฉะนั้นใครที่มองหาเกมจัดของเล่นง่ายๆ เรียงเข้าที่ไปไม่ต้องคิดอะไรเยอะแบบ Unpacking เกมนี้อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณมองหาโดยรวมแล้วเกม A Little to the Left เป็นเกมที่คอเกม Puzzle น่าจะถูกใจ ด้วยจำนวนด่านที่อัดแน่นขนาดนี้คือเล่นกันแบบยาวๆ 3 ชั่วโมงได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถเข้ามาเล่นย้อนหลังในด่านที่สามารถเล่นผ่านได้หลายรอบด้วย (ในเกมคือการเก็บดาว) รวมถึงมีด่านประจำวันที่หน้าตาต่างจากปกติเล็กน้อยแพลตฟอร์มเกม: Windows, macOS, Nintendo Switchได้รับรีวิวระดับ Very Positive บนหน้าร้านค้า Steam พร้อมติดแท็ก Wholesome, Puzzle, Casual, Relaxing, Cute
24 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon ต้นกำเนิดการผจญภัยของแม่มดสาวซ่า
ในช่วงตอนแรกที่ตัวเกม Bayonetta ภาคที่ 3 แฟนเกมรวมถึงตัวคนเขียนเองก็ตื่นตาและเพลิดเพลินไปกับความสนุกแบบเต็มอิ่มโดยไม่คาดหวังอะไรเพิ่มสมการรอคอยมาตลอดห้าปี แต่ใครจะไปนึกว่าในช่วงเวลานี้ทางค่าย Platinum Games จะแอบสร้างโปรเจกต์เนื้อเรื่องย่อยของซีรีส์นี้ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังใส่ DEMO ตัวเกมไว้อย่างลับ ๆ ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon นี่เองถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยที่เกม Hack&Slash แอ็กชันจ๋า ๆ อย่าง Bayonetta จะถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นเกมปริศนา ผจญภัยภาพสวยงามดั่งนิทานก่อนนอน ถึงแม้มันจะฟังดูแปลก ๆ แต่ทางผู้พัฒนาก็รังสรรค์มันออกมาได้อย่างดี เติมความฝันของแฟนเกมและยังเปิดโลกใหม่ของจักรวาลซีรีส์ที่เพิ่งเล่นเรื่องราวมัลติเวิร์สอีกด้วย!สำหรับใครที่คิดว่าตัวเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon นั้นเป็น Spin-Off ออกมา แล้วกังวลว่าถ้าไม่เล่นเกมภาคหลักมาเสียก่อนจะไม่รู้เรื่องก็หายห่วงได้เลย! เพราะตัวเกมในเวอร์ชันนี้จะไม่ได้กล่าวถึงตัวเกมที่เคยมีมาแบบโต้ง ๆ เนื่องจากเป็นเนื้อเรื่องในอดีตช่วงที่แม่มดสาวนาม Cereza ของเรา ยังเป็นเด็กอายุสิบขวบที่ต้องการช่วยแม่ของเธอจากคุกสุดโดดเดี่ยวด้วยพลังอันเล็กน้อยที่เธอมีในตอนนั้นกับปีศาจหลงทางที่ดันไปสิงตุ๊กตาของเล่นชื่อ Cheshire ก่อนจะออกผจญภัยไปในป่าต้องห้ามที่มีความลึกลับซ่อนไว้อยู่จากที่กล่าวมาตามเนื้อเรื่องของเกมนั้น ผู้เล่นจะได้รับรู้เรื่องราวตัวละครแม่มดสาวน้อย Cereza และปีศาจตุ๊กตาแมว Cheshire ผ่านระบบการเล่าเรื่องแบบ 'นิทานภาพ' ที่มีเสียงพากย์เต็มรูปแบบและน่ารักมาก ดังนั้นหากใครจะหยิบเกมมาเล่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตามเนื้อหาไม่ทันเพราะเขาจะเล่าให้เราฟังเพลิน ๆ และหากยิ่งเป็นแฟนเกมหรือเคยเล่นซีรีส์เกมนี้มาก่อนก็จะมีความอิ่มเอมในด้านการเติมเต็มเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและที่มามากขึ้นอีกขั้น นับได้ว่าทาง Nintendo คงเล็งเห็นในส่วนนี้และให้พัฒนาเกมที่เหมาะกับทุกช่วงวัยและผู้เล่นมากขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่เนื้อหาเกมจะไม่สามารถย้อนความกลับไปรับชมได้หลังจากเกิดคัตซีนไปแล้วการแสดงผลของเกมจะมีรูปแบบเป็นสามมิติ ล็อกมุมกล้องเพื่อให้ผู้เล่นได้ใช้สายตาสอดส่องมากกว่าเกมปริศนาทั่วไปในการค้นหาไอเทมลับอย่างหีบสมบัติ จดหมายเหตุ ยา และบันทึกที่จะเปิดโลกเวทมนตร์ในจักรวาลนี้ให้กว้างขึ้นไปอีกขั้น สำหรับใครที่เป็นผู้เล่นสายสะสมของในเกมให้ครบ 100% ก็มีสิ่งให้วิ่งหาหลากหลายอย่างตั้งแต่ประวัติตัวละคร สำรวจแผนที่ ช่วยเหลือเหล่าวิญญานหลงทาง ไปถึงไอเทมทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้นถ้าให้พูดถึงรูปแบบเกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon ก็กล่าวได้ว่ามันได้เปิดรูปแบบการเล่นใหม่บนเครื่อง Nintendo Switch อีกด้วย เพราะตัวเกมจะใช้ในส่วนของ Joy-Con ฝั่งซ้ายและขวาแบบแยกการควบคุมระหว่างตัวแม่มดน้อยและปีศาจ หมายความว่าในขณะที่ผู้เล่นทำการควบคุม ต้องใช้โสตประสาทบังคับทั้งสาวน้อยและปีศาจด้วยมือสองข้างและสมองสองซีกในการผ่านปริศนา พัซเซิล หรือแม้แต่การต่อสู้กับเหล่า "แฟรี่" ศัตรูหน้าใหม่ที่เราจะได้พบเจอในตัวเกม และทั้งสองไม่สามารถห่างกันไกลเกินกว่าที่เกมกำหนด (ไม่มีการแบ่งจอเล่น จะเป็นการซูมภาพเข้าและออกเท่านั้น)โดย Joy-Con ฝั่งซ้าย ตัวจอยสติ๊กจะเป็นการควบคุม Cereza ในการเดิน วิ่ง หลบ, ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ผ่านปุ่ม L และเน้นหนักไปที่เวทมนตร์ผ่านปุ่ม ZL ที่เราจะใช้ในการ "เต้นอัญเชิญ" เลื่อนจอยให้ตรงตามจังหวะและทิศทางเพื่อขยายพันธุ์พืชนรก, เปิดทางลวงตา และล็อกขาศัตรูให้มึนงง ตรึงอยู่กับที่เป็นเป้านิ่งชั่วขณะ (ปุ่มลูกศรจะเป็นคีย์ลัดใช้ไอเทม)ในขณะที่ Joy-Con ฝั่งขวา จะเป็นตัวควบคุม Cheshire ซึ่งต่างกันเล็กน้อยตรงที่ปุ่ม R จะสามารถใช้ปัดความเสียหายในการต่อสู้และใช้ "พลังธาตุ" พืช, หิน, น้ำ, ไฟ ที่เราต้องพลิกแพลงการใช้งานตามปริศนาหรือศัตรูที่เราเจอ รวมถึงปุ่ม ZR ที่จะเป็นการโจมตี (ปุ่ม Y, X, B, A จะเป็นปุ่มเลือกธาตุที่ต้องการใช้)นั่นหมายความว่าถึงแม้เกมจะเป็นรูปแบบปริศนา ผจญภัยก็จริง แต่ผู้เล่นจะได้เผชิญระบบแอ็กชันจากการควบคุมสองตัวละครพร้อม ๆ กันให้เข้าที่เข้าทาง ตัว Cereza จะมีหน้าที่ช่วยเหลือและเติมพลังเวทให้ Cheshire เช่นเดียวกับที่มันต้องโจมตีและระวังไม่ให้เจ้านายของมันได้รับบาดเจ็บ เพราะตัวมันจะมีหลอดพลังเวท เมื่อโจมตีหรือโดนโจมตีจะลดชาร์จพลัง หากหมดลงมันจะกลายร่างเป็นตุ๊กตาและต้องให้ Cereza มากอดเติมพลังในส่วนนี้สักพักก่อนกลับไปสู้ใหม่ได้ ในทางกลับกัน เกมจะโอเวอร์ทันทีหากพลังชีวิตของเธอหมดลง ดังนั้นคุณผู้หญิงต้องมาก่อนเสมอ!อย่าห่วงไป! เพราะทุกคนย่อมมีการพัฒนาเช่นเดียวกับตัวละครตามเนื้อเรื่อง ผู้เล่นสามารถใช้อัญมณีกุหลาบและคริสทัลอัปเกรดความสามารถ สกิล คอมโบของตัวละครได้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเก็บยา, เวลาและจำนวนศัตรูที่ Cereza สามารถตรึงได้มากขึ้น, การโจมตีปิดฉากของ Cheshire และอื่น ๆ อีกมากมายในรูปแบบ Skill Tree ให้เราได้ไปต่อสู้อย่างดุเดือดอีกขั้นซึ่งพอพูดถึงระบบการต่อสู้ ก็ต้องขอยอมรับว่าการเผชิญหน้ากับเหล่าบอสเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ ถึงมากที่สุด เพราะนอกจากที่เราจะต้องโจมตีและหลบเลี่ยงแล้ว ผู้เล่นยังต้องใช้ทักษะแก้ไขพัซเซิลไปด้วยในเวลาเดียวกัน และแน่นอนตัวบอสและมอนสเตอร์ทุกตัวย่อมมีหน้าที่ พลัง และความสามารถต่างกัน เราจึงต้องมีสติในการใช้พลังธาตุตามที่กล่าวไปในข้างต้นให้ถูกต้องตามสถานการณ์อนึ่ง การควบคุมทั้งสองตัวละครพร้อมกันมันอาจจะยากเกินไป ตัวเกมก็มีระบบกดอัตโนมัติไว้ให้ผู้เล่นที่ต้องการจะเสพเนื้อเรื่องเพลิน ๆ เล่นง่ายขึ้นก็มีเสริมมาให้เพิ่มอีกด้วย หรือจะใช้วิธีกำปั้นทุบดินอย่างการแบ่งจอยให้เพื่อนเล่นคนละฝั่ง ตกลงกันเองว่าใครจะเป็น Cereza หรือ Cheshire ก็ได้เช่นกัน เพราะทั้งสองตัวละครนี้ไม่ได้มีปุ่มที่ต้องกดทำคอมโบข้าม Joy-Con เลย ขอแค่เรารู้หน้าที่ที่ต้องทำก็พอและในส่วนสิ่งที่จะไม่กล่าวถึงนอกเหนือจากภาพสไตล์กระดาษสีที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงามเป็นบุญตาจนสามารถถ่ายมาเป็นภาพพื้นหลังได้เยอะมาก ๆ ไม่ได้เลยก็คือเพลงประกอบที่สร้างความขนลุกให้ผู้เขียนได้ไม่น้อย เนื่องจากการนำเพลงในซีรีส์ภาคก่อนที่มีแนวดนตรีรวดเร็ว มัน ๆ เหมาะกับเกมต่อสู้ มาดัดแปลงให้เหมาะเข้ากับจังหวะเกมปริศนานี้ได้อย่างไร้ที่ติ ช่างเป็นความเพลินอันรื่นหูอย่างบอกไม่ถูกเอาเป็นว่าใครที่เป็นแฟนเกม Bayonetta อยู่แล้ว หรืออยากลองเกมเนื้อเรื่องที่มีปริศนา ผจญภัย แอ็กชัน ครบทุกอารมณ์ละก็ เกม Bayonetta Origins: Cereza and the Lost Demon ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ชาวเกมเมอร์ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว! โดยหากใครสนใจก็สามารถดูวิดีโอตัวอย่างเกมด้านล่างนี้ และดิ่งเข้าร้านค้าของ Nintendo Switch สั่งซื้อตั้งแต่วันนี้หรือทดลองเล่นได้ทันที! (ทั้งนี้ ตัวเกมนั้นมีไว้สำหรับแพลตฟอร์ม Nintendo Switch เท่านั้น ไม่มีการพอร์ตลงแพลตฟอร์มอื่นตราบใดที่ทาง Nintendo ไม่อนุมัติ ฉะนั้นอย่ารอช้าเลย!)
22 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม Scars Above เกมขายความเนิร์ดวิทยาศาสตร์ของทีมพัฒนา แต่ทั้งเกมเพลย์และเนื้อหา กลับธรรมดาจนไม่ควรค่ากับการเล่น
ไม่น่าเชื่อว่าในขณะที่ช่วงต้นปี 2023 ที่มีแต่เกมเกรดดี คุณภาพสูงออกมาไม่ขาดสาย แต่ทุกแสงสว่างย่อมมีเงา มีดีก็ต้องมีแย่ โชคดีที่คราวนี้มันไม่ใ่ชเกมที่โปรโมทหนักจนทุกคนคาดหวัง แต่ขนาดเราไม่คาดหวังแล้ว ยังผิดหวังกับมันได้อีก เพราะอะไร หาคำตอบได้ในรีวิว Scars Above ของเราพล็อตสุดแสนจะธรรมดา แต่โชว์ความเนิร์ดวิทยาศาสตร์เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Kate นักวิทยาศาสตร์สาวที่เป็นสมาชิกทีม Sentient Contact Assessment and Response (SCAR) โดยเธอได้รับเลือกให้ศึกษาโครงสร้างของ Metahedron วัตถุลึกลับที่มีโครงสร้างผิดแผกไปจากที่วิทยาการบนโลกจะเข้าถึงได้ แต่ในขณะที่กำลังศึกษา Metahedron กันอยู่นั้น มันกลับลากเอายานของ Kate และทีมไปยังดาวเคราะห์ลึกลับ Kate ได้ตื่นขึ้นมาบนดาวเคราะห์ที่มีสภาพแวดล้อมสุดอันตราย เธอจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับยานและเพื่อนร่วมงานทั้งหมดของเธอ งานนี้ Kate ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผจญภัยบนดาวเคราะห์แห่งนี้เพื่อสืบหาเบาะแส และรวบรวมสมาชิกในทีม รวมไปถึงจัดการกับ Metahedron ให้ได้เนื้อเรื่องของ Scars Above กล่าวได้ว่าเป็นการหยิบเอาสูตรสำเร็จของนวนิยายหรือหนังแนวไซไฟวิทยาศาสตร์ไป มาดัดแปลงให้เป็นวิดีโอเกม และใส่ความเป็นแอ็คชั่นและการเล่าเรื่องลงไปในแบบครึ่ง ๆ และลงตัวได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ไม่ได้เล่าแบบตรง ๆ ผ่านคัทซีนทุกฉาก แต่จะมีไฟล์เอกสาร มีร่องรอยบางอย่างที่เล่าเรื่องให้เราได้เห็น โดยต้องสังเกตให้ดี หรือสำรวจให้มากพอ ซึ่งก็เป็นสิ่งปกติที่เกมระดับกลาง ๆ จะใช้วิธีนี้ในการเล่าเรื่อง แต่คุณภาพเนื้อเรื่องของเกมนี้อยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น ใครคาดหวังว่ามันจะเป็นเกมเนื้อเรื่องขั้นเทพ ก็อาจจะต้องผิดหวังกันไป แต่ส่วนที่เกมนี้ทำได้ค่อนข้างดี คือใครที่ชอบอ่าน และเป็นเนิร์ดวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เกมนี้มีระบบสแกนสิ่งของ และบันทึกข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ไว้ด้วย ซึ่งบทพูดของตัวละคร Kate ในการบรรยายข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี แถมบางช่วงยังเหมือนว่าโลกในเกมจะถูกขยายและอธิบายมากขึ้นในบทพูดของ Kate ด้วย ดังนั้นใครรักการอ่านและไม่ได้มีสกิลภาษาอังกฤษที่แย่เกินไปนัก คุณอาจจะอินกับโลกภายในเกมนี้ก็ได้และที่น่าเสียดายอีกจุดคือความเป็นเส้นตรงของตัวเกม ไม่มี Plot Twist ไม่มีจุดหักมุม ไม่มีอะไรที่คนเล่นเกมมาเยอะ ๆ จะคาดเดาไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มันมีศักยภาพพอที่จะทำ แต่ด้วยความที่เป็นเกมเกรดกลาง ๆ ทำให้เหมือนทีมงานจะไม่ค่อยสนใจ หรือขัดเกลาส่วนของเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าพอจะให้อภัยกันได้อยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยก็อย่างที่บอก ว่ามันไม่ได้แย่จนรับไม่ได้การนำเสนอแสนน่าเบื่อ ที่เล่นรอบเดียวก็อาจเพียงพอ หรือเอาให้จบยังลำบากเกมเพลย์ของ Scars Above ในตอนแรกดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่เมื่อลองเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะรู้สึกถึงความแปลก ซึ่งไม่ใช่ความแปลกในทางที่ดีนัก แต่มันแปลกเพราะมันเหมือนพยายามจะใส่ความหลากหลายเข้ามาในตัวเกม แต่กลับไม่กลมกล่อมเอาซะเลย และบางครั้งมันก็พาลทำให้เกมน่าเบื่อไปโดยปริยายด้วย เพราะมันเหมือนกับความพยายามจะเอาหลาย ๆ เกมมารวม ๆ กัน แต่ดันปรุงแต่งออกมาได้ไม่ดีพอรูปแบบเกมการเล่นของ Scars Above จะเป็นเกม Action Adventure แบบตะลุยด่านผจญภัยไปข้างหน้า แต่มีการดีไซน์แผนที่ให้มีความซับซ้อน วกวนเล็กน้อย แต่หากลองเดินสำรวจ ลองวิ่งดูทุกซอกทุกมุมจริง ๆ จะเห็นว่ามันก็ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น บางช่วงคือบอกเลยว่าเป็นงานเผาก็ว่าได้ หรือบางฉากก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใส่มาทำไม เหมือนอยากใส่ให้มันดูใหญ่ไว้เฉย ๆ เพราะบางจุดไอเทมก็ใช่ว่าจะสำคัญอะไรมาก กล่าวเลยว่านี่คือเกมเส้นตรงแบบเพียว ๆ ไม่มีเลี้ยวสำรวจ ต่อให้ดูเหมือนจะมี สิ่งที่ได้ก็ไม่ใช่ของสำคัญอะไรมากอาวุธภายในเกมก็มีให้เล่นหลัก ๆ อยู่แค่สองอย่าง คืออาวุธระยะประชิด กับอาวุธระยะไกลที่เป็นอาวุธหลักของเราอย่างปืนพลังงานที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ธาตุคือไฟฟ้า ไฟ น้ำแข็งและพิษ โดยปืนธาตุทั้ง 4 แบบจะส่งผลต่อเกมเพลย์การเล่นทั้งการต่อสู้และการใช้เปิดทางหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่เทียบกับเกมอื่นแล้ว เกมนี้ถือว่ามีอาวุธน้อยจนน่าใจหายเลยก็ว่าได้ เหมือนเป็นเกมทำมาทดสอบฝีมือ และไอเดียว่าพอจะใส่อะไรลงไปได้บ้าง นอกจากอาวุธแล้ว ตัวเกมจะมีอุปกรณ์เสริม เช่นยาลบล้างสถานะผิดปกติ ยาเสริมเกราะชั่วคราว ซึ่งมันจะทำให้เราเล่นเกมนี้ได้ง่ายขึ้นแบบไร้ซึ่งปัญหาและอุปสรรคใด ๆ จะกลัวศัตรูมีพิษไปทำไม ในเมื่อมียาแก้พิษพร้อมใช้ตลอดเวลา จะกลัวเลือดน้อยไปทำไมในเมื่อมีโล่สำรอง แต่ถึงจะพูดแบบนี้สิ่งที่ทำให้เกมนี้ดูยากและท้าทาย ก็เป็นการออกแบบเกมเพลย์ของมันเอง แต่บอกไว้เลยว่า มันไม่ใช่เกมเพลย์ที่ดีและชวนเล่นให้จบเอาซะเลย ก็ตามที่หัวข้อนี้บอก อย่าว่าแต่เล่นรอบเดียวแล้วพอ เอาให้จบยังรู้สึกว่ายาก ยากที่จะทำใจเล่นต่อให้จบเนี่ยแหละการออกแบบเกมเพลย์สุดเรียบง่ายจนน่าเบื่อปัญหาหลัก ๆ ของเกมนี้อาจไม่ใช่การนำเสนอหรือเนื้อเรื่องที่ดูเรียบง่ายของมัน แต่มันเรียบง่ายยันเกมเพลย์การเล่นจนน่าเบื่อไปเลย ใครกัดฟันทนเล่นได้สัก 3-4 ชั่วโมงโดยไม่ถอดใจเลิก คุณอาจจะมีความสนุกกับเกมการเล่นที่เน้นแอ็คชั่นแบบโยนตรรกะและสมองทิ้งไป แต่เกมอื่นที่ทำได้แบบนี้ และดีกว่านี้ มันก็มีให้เห็นเยอะแยะไปอย่างที่บอกว่าตัวละคร Kate ของเรานั้น มีอาวุธหลัก ๆ ให้ใช้เพียง 4 แบบ คือปืน 4 ธาตุเท่านั้น และแต่ละธาตุนั้นก็จะแบ่งหน้าที่ที่ต่างกันอย่างชัดเจน ปืนหลักคือปืนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทำดาเมจเป็นหลัก ปืนไฟจะใช้ในการยิงจุดอ่อน ปืนน้ำแข็งจะเอาไว้สร้างทางเดินและช่วยสโลว์ศัตรูและท้ายที่สุดกับปืนพิษที่ใช้ในการต่อสู้ทั่วไปและลดความสามารถศัตรู เราจะได้ใช้อาวุธ 4 ประเภทนี้วนกันไปมาตลอดทั้งเกม ในขณะที่ศัตรูก็ไม่ได้มีหลายแบบมาก เป็นศัตรูมาตรฐานตามวิดีโอเกมทั่วไป บางตัวจะมาพร้อมจุดอ่อนที่สังเกตง่ายมาก คือนอกจากจะใหญ่จนมองเห็นได้ชัดแล้ว มันยังถูกไฮไลท์สีให้ตรงกับอาวุธของเรา เพื่อที่จะได้ใช้อาวุธจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกมการเล่นขาดความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะวิธีในการรับมือศัตรูมีอยู่ไม่กี่แบบเท่านั้นความท้าทายของเกมนี้จึงอยู่ที่จังหวะกับการเรียนรู้แพทเทิร์นการโจมตีของศัตรู โดยเฉพาะพวกตัวใหญ่ ๆ ที่เป็นเหมือนมินิบอสหรือพวก Elite ที่หลบได้ค่อนข้างยาก และรวดเร็วกว่าตัวอื่น ๆ แต่มันกลับเป็นความยากที่ไม่ได้ทำให้เกมสนุก แต่น่ารำคาญเสียมากกว่า แต่เกมยังพยายามสร้างความหลากหลายด้วยการทำให้ระบบสภาพอากาศมีผลกับการต่อสู้ เช่นหากบางพื้นที่มีสภาพอากาศฝนตก การใช้ปืนน้ำแข็งก็จะทำให้ศัตรูถูกแช่แข็งได้ไวขึ้นเป็นต้น ฟังดูเหมือนจะทำให้เกมสนุกขึ้นแต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเลยอยู่ดีส่วนของการอัปเกรด เราสามารถอัปเกรดสกิลและความสามารถของ Kate ได้ ที่จะทำให้เกมการเล่นง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนการ Reload ให้มีลูกเล่น Perfect Reload หรือความสามารถอื่น ๆ เช่นขยายหลอดพลังชีวิต หรือ Stamina ที่ใช้ในการกลิ้งหลบ ซึ่งการอัปเกรดตัวละคร จะได้จากการสะสมค่าประสบการณ์ในการกำจัดศัตรู ส่วน Equipment หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น จะได้จากการตามหาในฉากและแผนที่ หากคุณอ่านหัวข้อแล้ว อ่านมาจนถึงตรงนี้ต่อ น่าจะมองเห็นแล้วว่า ท้ายที่สุดแล้วเกมนี้แทบไม่มีอะไรสดใหม่ มันขาดความเป็นตัวเองแบบสุด ๆ ตั้งแต่เนื้อเรื่องไปจนถึงเกมเพลย์และระบบการเล่น เรียกได้ว่า มันมีแต่ความธรรมดาและความเป็นกลางอย่างไม่น่าเชื่อทั้งหมดนี้คือความธรรมดาเกินกว่าที่คนเล่นเกมยุคปัจจุบันจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่า เพราะทั้งเนื้อเรื่อง กราฟิก ระบบเกมเพลย์การเล่น ล้วนเป็นสิ่งที่แฟนเกมหลายคนน่าจะเคยสัมผัสมาจากเกมเก่า ๆ ทั้งหลาย และดีไม่ดี เกมอื่น ๆ ยังอาจจะทำได้ดีกว่าเกมนี้ด้วยซ้ำ ในความยาก และความเล่นซ้ำของมัน แว่บแรกที่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันเหมือนกันมาก ก็คือเกม AAA ของ PlayStation อย่าง Returnal เกมนี้อาจจะผิดที่ผิดเวลาเพราะดันมาออกชนกันกับที่ตัวเกม Returnal พอร์ตมาลง PC พอดีด้วยและคุณจะยิ่งตกใจเมื่อรู้ว่าความธรรมดาของเกมนี้ มีราคาสูงถึง 1,099 บาท ทั้ง ๆ ที่กราฟิกก็ไม่ได้ล้ำสมัย ระบบเกมเพลย์การเล่นก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ดังนั้นหากคุณสนใจเกมนี้จริง ๆ เราแนะนำว่าเก็บเงินเพิ่มอีกนิดแล้วไปซื้อ Returnal เลย ยังจะได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก ๆ
20 Mar 2023
[Review] รีวิว Wo Long: Fallen Dynasty เกมสามก๊ก Souls-like ที่ภาพดูตกยุค แต่เล่นสนุกเพลินมาก!
ทุกวันนี้เรามีเกมแนว Souls-like หรือเกมแนว Action RPG สุดยากท้าทายแบบ Elden Ring ให้เล่นแบบหลากหลายธีมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธีมซามูไรอย่างเกม Nioh หรือธีมกังฟูอย่างเกม Sifu หรือธีมยุคอนาคตสวมเกราะ Exoskeleton อย่างเกม The Surge โดยทุกเกมนั้นก็ดูจะทำให้เกมเมอร์ชอบ และขายดีกันมาจนถึงปัจจุบันด้วย ทำให้ทางค่าย Koei Tecmo ที่มีประสบการณ์ทำเกม Nioh มาถึง 2 ภาค ล่าสุดนี้ก็ได้วางขายเกมใหม่ในชื่อ Wo Long: Fallen Dynasty ที่มาในฉบับ 'สามก๊ก Souls-like' ให้เล่นกันแล้วนะ แต่ว่าเกมจะคุณภาพเยี่ยมเหมือนกับ Nioh หรือไม่ ก็มารับชมรีวิวจากทางเรากันเถอะ!!!คลิปตัวอย่างให้โหมโรงก่อนชมรีวิวคุณคือจอมยุทธเหนือมนุษย์ยุคสามก๊กเกมนี้จะเล่าเรื่องอ้างอิงจากวรรณกรรมสามก๊กมาเลย แต่ก็จะดัดแปลงใส่เหตุการณ์แฟนตาซีด้วย ยกตัวอย่างการมีพวกปีศาจให้พบเจอ และพลังกำลังภายในใช้สู้ศัตรูได้อย่างเวทย์มนต์ เรื่องราวของคุณนั้นคือคนปกติที่เผลอมาช่วยชาวบ้านถูกกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองบุกในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง (โจรพวกนี้มีจริงๆ ในช่วงเริ่มเรื่องสามก๊ก) และดันเจอคนแปลกหน้ามอบพลังวิเศษให้ ทำให้ต้องกลายเป็นจอมยุทธสามารถใช้พลังกำลังภายในได้ตามที่บอกไป แล้วเกมก็ยังคงจะอ้างอิงตามสามก๊กที่มีการแบ่งเมืองจีนออกเป็น 2 ถึง 3 ฝ่าย แต่ว่าเหตุการณ์ส่วนใหญ่จะให้เราไปช่วยรบกับฝ่ายธรรมมะ หรือไปช่วยทุกฝ่ายให้กำจัดผู้มีพลังปีศาจไม่หวังดีต่อโลกออกไปจากบ้านเมือง แล้วเราก็จะได้เจอตัวละครจากสามก๊กดังๆ อย่างโจโฉ, เล่าปี่ หรือกวนอูด้วย ซึ่งต้องขอชมว่าเกมเก็บรายละเอียดเอาพวกความเป็นสามก๊กหรือตำนานจีนมาเล่าเกี่ยวข้องกันได้ดีมาก ถ้าใครเคยอ่านวรรณกรรมหรือรู้เรื่องพวกตำนานจีนมาเยอะ คุณจะรู้สึกฟินเซอร์ไพร์สเกมนี้เอาเรื่องเลย* ผู้เล่นจะสามารถสร้างตัวละครแบบเลือกเพศ และปรับแต่งหน้าตาได้โดยของเกมนี้ปรับได้ละเอียดเอาเรื่อง ยกตัวอย่างปรับความยาวของเส้นผมเฉพาะด้านหน้าได้ ** พวกชุดเกราะหรืออาวุธ แน่นอนว่าอ้างอิงมาจากตอนจีนยุคกลางด้วยขณะที่บางชุดจะมีการทำให้มันดูแฟนตาซีสุดเท่มากขึ้น ** เกมขนตัวละครจากสามก๊กมากันเพียบ แม้ตัวนั้นๆ จะไม่ได้ดัง แถมหลายๆ ด่าน จะมีให้ตัวพวกนี้มาช่วยเราสู้ด้วย หรือเราเรียกมาช่วยเองก็ได้ต่างหาก *อย่างไรก็ตาม คุณก็ไม่ควรไปคาดหวังอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย เพราะเกมจะเล่าเรื่องตัดฉากไปมาแบบพามึนมาก อารมณ์แบบงบการสร้างนั้นไม่พอ หรือคนสร้างเกมต้องการจะบอกว่าไม่ได้ใส่ใจให้สนเนื้อเรื่องขนาดนั้น จะขายเกมเพลย์ยอดเยี่ยมเป็นหลักล้วนๆ โดยมันก็เป็นเรื่องที่น่ามองข้ามได้ตามสไตล์เกม Action RPG Souls-like แต่ก็แอบน่าเสียดายนิดๆ เนื่องจากเกมใส่เซอร์ไพร์สเรื่องราวสามก๊กหรือตำนานจีนไว้เยอะมาก แต่การเล่าเรื่องในเกมก็ไม่ได้ใส่ใจอธิบายว่าทำไมเราต้องสนใจตัวละครนั้นๆ หรือทำให้ต้องตื่นเต้นจนเป็นภาพจำอะไรในหัว ทั้งๆ ที่เกมนี้จะให้คุณได้ความรู้จากเรื่องราวสามก๊กตั้งแต่ต้นจบวรรณกรรมเลยแท้ๆ* ตัวละครทุกตัวในเกมนี้ ยังสร้างเสน่ห์ให้เราจำได้ว่าใครเป็นใครดีมากๆ ด้วยแต่ด้วยความที่เกมไม่เน้นใส่ใจเล่าเรื่อง แถมบางตัวก็โผล่มาแปปเดียว หรือแค่ด่านเดียว *นี่คือเกมที่ระบบ RPG ไอเดียดีมาก และยังทำให้หลากหลายเกมนี้จะยังคงเล่นเหมือนเกมแนว Souls-like อื่นๆ นั่นคือการผจญภัยตีมอนสุดท้าทายเรื่อยๆ และก็จะได้ไปเจอบอสที่ทำให้คุณต้องตายบ่อยๆ ส่งผลให้คุณต้องหาวิธีปราบ พร้อมกับเก็บแต้มมาอัปเลเวลให้ตัวละครเก่งขึ้นด้านใดด้านหนึ่ง แล้วก็หาฟาร์มชุดเกราะกับอาวุธให้ทรงพลัง โดยเกมนี้จะยังมีการเอาระบบการเล่นจาก Nioh ยกมาทั้งหมดเลย แต่ก็มีการปรับใหม่ให้คนเล่นเข้าใจง่ายขึ้น แถมน่าสนใจมากขึ้นอีก โดยอย่างแรกคือระบบอัป Stat ที่จะมีให้เลือก 5 รูปแบบ ยกตัวอย่างแบบ 'ธาตุไม้' ที่จะทำให้ได้ Stat ด้าน HP เพิ่มขึ้นเยอะมาก แล้วก็ยังได้พวกแต้มบล็อกการโจมตีได้บ่อยขึ้น ส่วนแบบธาตุน้ำจะทำให้เราลอบเร้นง่ายขึ้น และใช้อาวุธระยะไกลได้แรงขึ้น แล้วการอัปแต่ละธาตุยังจะทำให้เราปลดล็อกสกิลใหม่ๆ ของธาตุนั้นมาใช้ต่อสู้ได้ด้วย!!! เป็นอะไรที่ทำให้เกมหลากหลายกลับมาเล่นได้หลายรอบขึ้นมาก* ถ้าคุณเน้นอัปธาตุไม้เป็นหลัก ก็สามารถปลดสกิลเรียกฟ้าผ่ามาโจมตีศัตรูหรือจะทำให้เรียกลมมาสร้างบัฟโจมตีแล้วดูดพลังชีวิตศัตรูได้เป็นต้น ** เกมนี้ยังมีอาวุธมากถึง 16 ชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีความเจ๋ง และสกิลโจมตีพิเศษต่างกันไป 2 แบบแล้วการใช้ชนิดอาวุธไหนให้โจมตีได้แรงมากๆ ก็ขึ้นอยู่กับธาตุที่คุณใช้ ** ส่วนพวกชุดเกราะจะไม่มีระบบธาตุมาเกี่ยว แต่ก็มีชุดหลายแบบ พร้อมใส่เพื่อเพิ่มความต้านทานกับต้านพลังธาตุแล้วก็มีเรื่องน้ำหนัก ที่ถ้าเราใส่หนักน้อยๆ ก็สามารถหลบหลีกได้คล่องแคล่วดีกว่า *อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีในหลายเกม Souls-like คือ 'กองไฟจุด Checkpoint' ที่จะให้เราเกิดใหม่จุดนั้นได้เมื่อตาย หรือไว้ Fast Travel โดยของเกมนี้ก็ยังคงมีพร้อมคุณสมบัติแบบเกม Souls-like อื่นๆ แต่ได้เปลี่ยนใหม่ให้เป็น 'ธง' ที่เราจะปักแล้วไว้ใช้อัปเกรดตัวละคร, ปรับแต่งสกิล, ซื้อขายไอเทม, ตั้งห้อง Coop หรือไปบุกโลกชาวบ้าน และไว้ใช้เรียก AI มาช่วยสู้ได้ถึง 2 คน (ตามที่แจ้งไปว่าเราเรียกตัวละครจากโลกสามก๊กมาช่วยสู้ได้) ซึ่งที่มันมีประโยชน์เยอะขนาดนี้ก็เพราะเกมจะแบ่งเป็นด่านๆ ตายตัวไปเลย แต่ก็ยัง Fast Travel ไปด่านอื่นๆ หรือกลับหมู่บ้านไปอัปเกรดไอเทมได้ตลอดเวลา แล้วเกมจะยังมีระบบ 'ธงเล็ก' ที่ซ่อนอยู่ตามทุกด่านให้ผู้เล่นไปหาปักเพื่อเพิ่มคะแนน 'ขั้นต่ำของกำลังใจ' ซึ่งเรื่องคะแนนกำลังใจ Morale เราจะพูดถึงกันอีกทีภายหลัง แต่เจ้าระบบธงเล็กก็ทำให้เกมน่าสำรวจแผนที่มากขึ้น และแผนที่เกมนี้ก็ทำมาดีหลายด่านเลยทีเดียว* ด่านเกมนี้จะมีความกว้างใหญ่พอสมควร และมีพื้นที่ลึกลับให้พบเจอหลายเส้นทางทำให้ผู้สร้างเกมจะเอาธงเล็กไปซ่อนตามด่านต่างๆ ที่บางทีผู้เล่นต้องวนไปมาถึงหาเจอ ** แต่ละด่านในเกมนี้ยังส่งผลให้ผู้เล่นจะได้เจอความท้าทายไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างด่านอู่เรือที่เราเสี่ยงตกน้ำตายได้บ่อยๆหรือด่านที่มีสารพิษระบาด ถ้าโดนจะทำให้ตัวละครแรงหมดเรื่อยๆ แล้วเราก็ต้องไปโดนสารพิษเพื่อสู้มอนบ่อยๆ *พวกระบบสวมใส่ของตัวละครในเกมนี้ก็จะไม่มีความซับซ้อนอะไรด้วย เพราะผู้เล่นจะใส่อาวุธประชิตได้ 2 ช่อง, อาวุธโจมไกล 2 ช่อง, อุปกรณ์สร้างความได้เปรียบ 2 ช่อง, ชุดเกราะ 4 ช่อง, เครื่องราง 2 ช่อง และไอเทมไว้ใช้เพิ่มพลังชีวิต หรืออื่นๆ อีกหลายช่อง โดย UI ถือว่าทำมาได้เข้าใจง่ายเลย รวมทั้ง UI อธิบายคุณสมบัติอาวุธกับชุดเกราะก็เข้าใจไม่ยาก แต่ปัญหาเดียวที่พบคือไอเทมทั่วไปในเกมนี้มันเยอะมาก และ UI ของเกมก็อธิบายประโยชน์ของมันได้ไม่ดีเท่าไหร่ คุณจะต้องอ่านข้อมูลไอเทมนั้นๆ ด้วยตัวหนังสืออันยาวเยื้อย แล้วต้องอ่านไปอ่านมาถึงจะเข้าใจว่ามันคือ 'ไอเทมเพิ่มจำนวนยาเพิ่มเลือด' เป็นต้น ซึ่งผู้สร้างเกมน่าจะอธิบายง่ายๆ กว่านี้หน่อย มันทำให้คนเล่นหงุดหงิดต้องมานั่งอ่าน!!!* หน้าตา UI ช่องใส่ไอเทมรวม และช่องอธิบาย Stat ตัวละคร ** หน้าตา UI ที่เราต้องมานั่งอ่านคุณสมบัติไอเทมทั่วไปที่มีเยอะมากๆ แต่อธิบายซะยาวเยื้อย *ระบบต่อสู้ที่หลากหลาย และเป็นจุดขายเอาเรื่องเกมนี้จะมีระบบต่อสู้ที่เข้าใจง่ายมาก แต่ก็มีวิธีการต่อสู้หลายแบบเอาเรื่อง โดยท่าโจมตีปกติก็มีให้ใช้ทั้งรูปแบบโจมไวกับโจมช้าเหมือนของเกมอื่นๆ แต่ว่าผู้เล่นก็จะมีค่าความเหนื่อยจากการปล่อยท่าโจมตี (เป็นหลอดอยู่ใต้หลอดเลือด) และจะได้รับการฟื้นฟูทันทีหากโจมตีโดนศัตรู ซึ่งระบบนี้ก็เป็นมาตรฐานของทั้งตัวละครเรากับศัตรูด้วย ทำให้ถ้าศัตรูโจมเราตอนค่าความเหนื่อยเหลือ 0 เราก็จะติดสถานมึนทำอะไรไม่ได้ชั่วขณะ แล้วถ้าเราโจมศัตรูตอนค่าความเหนื่อยเหลือ 0 ก็จะได้ผลลัพธ์ให้ศัตรูติดสถานะมึนทำอะไรไม่ได้ชั่วขณะแทน แต่เกมยังจะให้ตัวละครเรามีความสามารถใช้ท่าโจมตีพิเศษได้อีก 1-2 แบบตามชนิดอาวุธที่เลือกใช้ (ถ้าใช้ดาบก็มีท่ากระโดดโจมตี หรือตีแล้วถอยหลังไวๆ เป็นต้น) โดยการใช้ก็จะต้องเสีย 'ค่าความเหนื่อย' เช่นกัน และการใช้สกิลที่ได้รับจากพลังธาตุต่างๆ ที่เราได้บอกไปแล้วก็ต้องเสียค่าความเหนื่อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกมนี้ให้รางวัลการเสี่ยงเข้าโจมตีรัวๆ สูงมาก แล้วไม่ได้มาเน้นป้องกันเหมือนเกมอื่นๆ เพราะถ้าเราโจมตีโดนศัตรูรัวๆ ก็จะได้ใช้ท่าโจมตีพิเศษหรือสกิลบ่อยๆ นั่นเอง* เกมยังมีหลอดค่าความเหนื่อยสีน้ำเงิน และจะได้รับตอนเราฟื้นฟูค่าความเหนื่อยเกินหลอดปกติสีส้มของตัวเองหลอดนี้ยังเอามาแปลงเพิ่มค่าโจมตีแรงๆ ตอนใช้ท่าโจมช้าปกติได้ด้วย *อย่างไรก็ตาม เกมก็จะมีการให้กดป้องกันอยู่ทั้ง 3 แบบได้แก่ 1. เอาอาวุธบล็อกการโจมตี 2. แพรี่ 3. กลิ้งหลบ โดยการแพรี่จะเหมือนกับของเกม Sekiro ที่เราต้องกดให้พอดีตอนศัตรูโจมมาใส่ และถ้าแพรี่ได้จะทำให้เราได้รับการฟื้นฟูค่าความเหนื่อยเช่นกัน แต่ศัตรูทุกตัวยังจะมีวิธีการ 'โจมตีรุนแรงเป็นพลังปีศาจสีแดง' ที่เราจะบล็อกการโจมตีไม่ได้ ต้องกลิ้งหลบเท่านั้น หรือถ้าเราแพรี่ได้ตอนศัตรูโจมตีรุนแรงเป็นพลังปีศาจสีแดง จะส่งผลให้เราใช้ท่าทำให้ศัตรูเสียหลักจนมึนงงชั่วขณะทันทีด้วย ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าการแพรี่ในเกมนี้ก็มีข้อดีมากๆ รวมทั้งทำให้เราต้องฝึกเอาไว้ เพราะถ้ารวมกับการที่เกมให้รางวัลเข้าโจมตีรัวๆ ก็ทำให้เราโจมตีศัตรูได้แบบไม่ต้องกลัวอะไรเลย!* เกมยังมีระบบลอบเร้นด้วย ถ้าเราโจมตีช้าปกติจากด้านหลังจะทำให้เป็นการโจมตีลอบฆ่าที่รุนแรงมากส่งผลให้สายลอบเร้นก็จะสนุกกับเกมนี้เหมือน Sekiro * นอกจากนี้ เกมยังมีระบบใหญ่ๆ ที่ชื่อว่า 'ค่าพลังใจ' โดยมันจะเหมือนเลเวลของผู้เล่น และจะอัปเลเวลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกำจัดศัตรูหรือไป 'ปักธงขนาดเล็ก' ที่ซ่อนอยู่ในจุดแผนที่ต่างๆ ตามที่เราเล่าให้ฟัง ซึ่งระบบนี้มันสำคัญมาก เพราะถ้าเลเวลศัตรูสูงกว่าจะทำให้มันโหดกว่าเรา แต่ถ้าเราสูงกว่าก็จะทำให้เราโหดกว่าศัตรู แล้วเลเวลตรงนี้จะเสียไปทั้งหมดถ้าเราตายหรือเล่นจบด่าน รวมทั้งถ้าเราโดนศัตรูโจมตีรุนแรงเป็นพลังปีศาจสีแดงใส่ก็จะเสีย 1 เลเวล ทำให้ผู้เล่นต้องพยายามไม่โดนหรือตายภายในเกมนี้เลย หรือถ้าเราไปตายตรงบอส ก่อนไปฆ่าบอสอีกรอบก็ต้องมานั่งฟาร์มแต้มตรงนี้ให้น่าไปสู้กัน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ท้าทายคนเล่นให้ต้องเก็บแต้มนี้ไว้ได้เยอะๆ ถ้าหัวร้อนพาตัวละครตายบ่อยก็เสียเวลาเล่นด่านนั้นอีกยาว* ถ้าผู้เล่นปักธงขนาดเล็ก มันจะช่วยเพิ่มค่าพลังใจเลเวลขั้นต่ำให้ด้วย ยกตัวอย่างถ้าตายก็จะมาเริ่มที่เลเวล 7 ไม่ใช่ 0 ใหม่หมด *ส่วนศัตรูในเกมนี้ก็ทำออกมาดี ศัตรูทหารจอมยุทธบางคนจะเข้าสู้กับเราเหมือน 'ในหนังจอมยุทธ' พวกมันจะบล็อก และมีการหลบท่าโจมตีของเราแบบเท่มากๆ จะบอกว่าผู้สร้างใส่ใจทำอนิเมชั่นให้ดีด้วยก็ว่าได้ เพราะการสู้ในเกมนี้มันทั้งเท่ทั้งมันส์ รวมทั้งหลายๆ ด่านก็จะมีศัตรูไปแอบในที่สุดน่ากำหมัด หรือเป็นด่านหน้าประตูปราสาท ทำให้ศัตรูจะอยู่บนกำแพงคอยโจมเราจากระยะไกล และเราก็หาวิธีเอาชนะได้ยากมาก แต่ท้ายที่สุดตรงนี้ก็มีข้อเสียหนักๆ อยู่ เนื่องจากก็มีศัตรูหลายตัวเลยที่ปราบง่ายมาก รวมไปถึงบอสหลายตัวในเกมนี้ก็ปราบง่ายแบบคุณอาจไม่ได้ตายเลย หรือตายอย่างมากแค่ 1-2 รอบ!!! ซึ่งจะบอกว่าเพราะผู้พัฒนาทำบอสมากระจอกก็คงไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะการที่เกมให้รางวัลผู้เล่นจากการเข้าโจมตีรัวๆ หรือการแพรี่มากจนโกงเกินไปเสียมากกว่า ส่งผลให้ถ้าคุณเคยผ่านเกม Souls-like มาก่อน คุณก็ไม่ควรจะหวังว่าเกมนี้จะยากท้าทายอะไรแบบนั้น และอาจแปลกใจด้วยซ้ำว่าทำไมแทบไม่ตายเลย แล้วควรมองว่ามันคือเกมเก็บเวล RPG สนุกมากๆ ไปแทน* บอสหลายตัวในเกมนี้ง่าย แต่ก็มีบอสบางตัวสู้ยากเอาเรื่องอยู่ ยกตัวอย่างลิโป้รวมทั้งการสู้บอสส่วนใหญ่ก็ให้ฉากเท่ๆ เหมือนดูหนังจอมยุทธเช่นกัน ** อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้บอสง่ายก็เพราะเราเรียกตัวละครจากสามก๊กมาช่วยสู้ได้รอบละ 2 คนเนี่ยแหละให้ 2 คนนี้ไปแท้งค์ให้ และเราก็หลอยโจมตีห่างๆ บอสแต่ละตัวเลยปราบง่ายเกินไป *คอนเทนต์ที่คุณจะได้พบในเกมนี้จนอิ่มใจขึ้นชื่อเกมค่าย Koei Tecmo แน่นอนว่ามีคอนเทนต์ให้ฟาร์มยาวมันส์ๆ จนอิ่มแน่นอน โดยอย่างแรกที่เราพูดให้ทราบไปแล้วคือระบบอัป stat ไปตามธาตุต่างๆ ที่ทำให้เกมต้องฟาร์มปลดทุกสกิลธาตุ หรือทำให้การเล่นใหม่แต่ละรอบไม่ซ้ำกัน แต่พวกระบบอาวุธกับชุดเกราะมันจะยังมีความลุ่มลึกกว่านั้นด้วย เนื่องจากเกมนี้จะมีการสุ่มอาวุธกับชุดเกราะที่มี 'เกรดดาว' กับ 'สกิลติดตัว' ให้ผู้เล่นไม่เหมือนกันตลอดเวลา ถ้าอยากได้อาวุธหรือชุดเกราะดีสุดคือต้องหาแบบ 5 ดาว แล้วพวกสกิลติดตัวต่อไอเทม 1 ชิ้นก็มีได้หลายสกิลอีก ส่งผลให้แค่นี้ผู้เล่นก็ต้องมาฟาร์มกันข้ามอาทิตย์แล้ว* อาวุธกับชุดเกราะยังเอาไปอัปเกรดตีบวกได้หลายชั้น และเปลี่ยนสกิลติดตัวได้ด้วยแต่ก็ต้องใช้วัตถุดิบที่เราก็ต้องไปหาฟาร์มมาอีกยาวๆ *ส่วนถ้าถามว่าแล้วหลังเล่นเนื้อเรื่องหลักจบจะมีอะไรให้ทำอีกบ้าง? แน่นอนว่าด้วยความที่เกมนี้เป็นแนว Souls-like สิ่งที่มีแน่นอนคือโหมด New Game Plus ให้ผู้เล่นกลับมาเริ่มผจญภัยใหม่อีกรอบ แต่มีของที่เคยฟาร์มมาให้ใช้ครบทุกอย่าง และช่วง New Game Plus ก็จะทำให้เกมยากสูงขึ้นกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัดด้วย (แต่พวกบอสก็ยังปราบง่ายเหมือนเดิม) ซึ่งก่อนจะไป New Game Plus เกมจะยังมีพวกเควสเสริมที่มีบอสต่างกันให้พบเจออีกจำนวนเยอะมาก ส่งผลให้เกมนี้จะพาคุณเล่นเกิน 100 ชั่วโมงได้สบายๆ แน่นอน* เกมยังมีระบบชื่อเสียงฉายา ให้เราปลดล็อกชื่อเสียงต่างๆ ด้วยการทำเควสสะสมสิ่งต่างๆ ให้ครบซึ่งก็มีอีกหลายเควสเลย ไม่ต้องกลัวว่าเล่นจบแล้วไม่มีอะไรทำไว *อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกมนี้เพิ่งวางจำหน่ายไปเท่านั้น และแจ้งด้วยว่าจะมีการขาย Season Pass ส่งผลให้เอาจริงๆ คอนเทนต์ช่วงท้ายเกมก็ยังไม่ได้หลากหลายมากถ้าเทียบกับเกม Souls-like อื่นๆ หรือ Nioh แล้วก็ต้องมารออัปเดตอีกเรื่อยๆ เลย แต่ผู้เขียนเชื่อว่าหลังผ่านไป 1 ปี เกมจะมีคอนเทนต์ท้ายเกมให้เล่นยาวเกิน 500 ชั่วโมงได้แน่นอน เนื่องจากผลงานเก่าๆ อย่างเกม Nioh นั้นคนซัดไปเกิน 1,000 ชั่วโมงยังมีเลยนะ!!!ประสิทธิภาพยังคงตามสไตล์เกมค่าย Koei Tecmoอย่างที่ใครหลายคนคงเห็นกันแล้ว ว่าเกมนี้ได้คะแนนรีวิวบน Steam อยู่ในระดับ 'แง่ลบเป็นส่วนมาก' เนื่องจากปัญหาการพอร์ทเกมที่ไม่ดีเลย และเล่นไม่ลื่นหรือมีอาการกระตุก โดยผู้เขียนก็ขอเป็นอีกหนึ่งคนที่ยืนยันว่าเกมนี้พอร์ทได้ไม่ดี แต่ถ้าเทียบกับ Wild Hearts (เกมที่ Koei Tecmo เพิ่งวางขายไปใกล้ๆ กับเกมนี้) มันก็ถือว่ากระตุกน้อยกว่ามากๆ เนื่องจากผู้เขียนจะไปกระตุกแค่ช่วงโหลดฉากหรือเริ่มฉากอะไรพวกนี้เท่านั้น แต่ปัญหาเรื่องเฟรมเรทคือหนักสุดๆ เพราะเสปคที่ผู้เขียนใช้คือ i5-12400f กับ RTX 3070Ti ที่เล่นเกมฟอร์มยักษ์อื่นยังได้สบายๆ แต่กลับเกมนี้ถ้าปรับกราฟิกสุดที่ระดับภาพ 2K เฟรมเรทหลายด่านจะอยู่ที่ 40-60 เฟรม ซึ่งด้วยความที่เป็นเกมต้องจับจังหวะแพรี่ดีๆ ด้วย การเล่นไม่ลื่นจึงส่งผลร้ายแรงอย่างมาก แต่โชคดีที่พอปรับกราฟิกปานกลาง หลายด่านจะนิ่งที่ 60 เฟรม แต่ความน่าแปลกคือเกมนี้มันก็ไม่ได้ภาพสวยอะไรขนาดนั้น ภาพในเกมจะอารมณ์เหมือนตอนยุค PS3 ทำให้เห็นได้ชัดว่าพอร์ทมาไม่ดีจริงๆ* แต่ถึงภาพไม่สวย เกมก็ยังทำหลายฉากให้ดูรู้สึกฟินเอาเรื่องอยู่ *ส่วนประสิทธิภาพโหมดออนไลน์ อันนี้ก็ทำได้ตามฉบับเกม Souls-like อื่นๆ เช่นกัน โดยก็ถือว่าอยู่ในขั้นดี เนื่องจากมีเซิร์ฟเวอร์เสถียร ทำให้ไม่มีปัญหาหลุดตอน Coop อะไรแบบนั้น แต่ก็แน่นอนว่าตอน PvP ปัญหาที่เราต้องไปเจอคือปิงคนเล่นไม่เสถียรก็ยังอยู่เช่นกัน ทำให้ผู้เล่นฝั่งศัตรูจะวาร์ปมาจ้วงหลังเราแบบงงๆ ได้สรุปWo Long: Fallen Dynasty เป็นอีกหนึ่งเกมแนว Action RPG ที่แปลกใหม่ และยอดเยี่ยมอย่างมาก พร้อมกับมีคอนเทนต์ให้ชาว RPG ได้ไปฟาร์มกันแบบอิ่มอกอิ่มใจแน่นอน แต่มันก็มีจุดปัญหาหลักๆ คือมันก็เป็นเกมแนว Souls-like แต่มันกลับไม่ได้ท้าทายให้ตายบ่อยเหมือนเกมอื่นๆ เพราะเกมดันทำให้ผู้เล่นเก่งกว่าบอสเกินไป ทั้งๆ ที่ในเกม Nioh ก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้ง่ายจนต้องแปลกใจขนาดนี้ โดยเอาจริงๆ ก็เป็นเรื่องมองข้ามไปได้ถ้าคุณชอบเกมที่ระบบ RPG หลากหลายมากกว่าจะต้องสู้กับศัตรูยากๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วก่อนซื้อคุณก็ต้องถามตัวเองต่ออีกว่า 'คุณโอเคที่จะเล่นเกม RPG ระดับเทพ แต่ภาพเหมือนเกมสมัย PS3 และยังกินเสปคระดับเกมยุคนี้หรือไม่?'ส่วนใครที่อยากได้เกมนี้แบบเป็นแผ่นไว้เล่นหรือสะสม ก็สามารถไปดูรายชื่อรวมร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในไทยได้ตามลิงก์นี้เลย : https://softsourcegame.weebly.com/where-to-buy.html #softsourcegames* ขอขอบคุณทางผู้จัดจำหน่ายเกมด้วย ที่ส่งเกมนี้มาให้พวกเราได้เล่น และรีวิวกันนะครับ *
07 Mar 2023
[Review] รีวิวเกม SEASON : A Letter to the Future ส่งต่อความทรงจำของมนุษยชาติยุคปัจจุบันสู่อนาคต
ในช่วงต้นปี 2023 นี้ ถือว่าเป็นปีที่วงการเกมกลับมาคึกคักอีกครั้ง เกมฟอร์มยักษ์ล้วนออกมาดี และประสบความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน เกมอินดี้ที่กลายเป็น Hidden Gem กันตั้งแต่ต้นปีเองก็มีเช่นกัน เกมที่ว่าคือ SEASON: A Letter to the Future เกมอินดี้สุดลึก ที่จะสอนให้คุณสัมผัสกับสิ่งของและผู้คนรอบตัว ก่อนที่โลกจะสูญสิ้น นี่คือเกมแนว Post-Apocalypse แบบใหม่ที่เราไม่ต้องสวมบทเป็นฮีโร่ แต่ให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในช่วงโค้งสุดท้าย และเกมนี้จะเป็นยังไง มาดูรีวิวของเรากันได้ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกคน เราเลือกจะทำอะไร ?SEASON: A Letter to the Future ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นหญิงสาวที่ชื่อ Estelle ที่เกิดและเติบโตมาในเมือง Caro ครอบครัวและเมืองของเธอรับรู้ถึงหายนะที่กำลังจะพัดพาทุกสิ่งบนโลกให้หายไป ในขณะที่ทุกคนเตรียมสังสรรค์และใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนที่รักในครั้งสุดท้ายของชีวิต Estelle ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดเป็นครั้งแรก โดยเป้าหมายของเธอคือบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เธอได้เจอ สถานที่ที่ไป ผู้คนที่ได้คุย เพื่อส่งต่อให้กับมนุษย์รุ่นถัดไปในอนาคตเนื้อเรื่องของ SEASON: A Letter to the Future นั้น ปูมาให้เราแค่นี้ ส่วนที่เหลือต้องอาศัยการผจญภัย การตีความของผู้เล่น แต่เกมมันก็ไม่ใช่การนำเสนอความลึกอะไรขนาดนั้น ทุกสิ่งอย่างรอบตัวของฉากในเกม จะเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราว เพียงแต่ผู้เล่นจะต้องขยันสำรวจ และตั้งใจอ่าน และสังเกตสิ่งของรอบตัว เพื่อเข้าใจว่าสถานที่ที่ Estelle เดินทางผ่านนั้น มันมีเรื่องราว มีเหตุการณ์อะไรซ่อนอยู่ และเกมจะเล่าสลับตัดกับเหตุการณ์ก่อนที่ Estelle จะออกเดินทาง ที่เธอได้พบเจอ และพูดคุยกับตัวละครต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นเนื้อเรื่องที่ทำให้เราหันกลับมาตั้งคำถามและมองตัวเองได้อีกแง่ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ ตัวเราจะตัดสินใจแบบไหน จะออกเดินทางหรือไม่ หรือจะใช้เวลาสุดท้ายร่วมกันกับทุกคนที่รักสำหรับเกมนี้ต้องบอกว่าเป็นเกม Story Rich อย่างแท้จริง เกมจะเต็มไปด้วยเนื้อหาทั้งจากตัวละครหลักและตัวละครเสริมในเกม และเป็นเนื้อเรื่องที่ผู้เล่นต้องทำความเข้าใจด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่อินกับโลกในเกมนี้เลย แต่สำหรับใครกำลังมองหาความแปลกใหม่ในการเสพสื่ออย่างวิดีโอเกม SEASON: A Letter to the Future ถือว่าทำออกมาได้ดีและลึกล้ำมาก ๆ แต่ด้วยความที่เป็นเกมนำเสนอแบบเน้นเนื้อหา ใครหวังจะได้เล่นเกมสนุก ๆ อาจจะต้องปล่อยผ่านเกมนี้ไป ซึ่งเรากำลังจะเล่าให้เข้าใจกันในส่วนของเกมเพลย์การนำเสนอและงานภาพที่อาจทำให้คุณแคปภาพเก็บไว้ทุกนาทีที่เล่นก่อนจะเข้าสู่เรื่องของเกมเพลย์ จุดขายที่เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์มาก ๆ ของเกมนี้เลยคือเรื่องของการนำเสนอและงานศิลป์กับภาพกราฟิก จริงอยู่ว่าเกมนี้ไม่ได้เน้นกราฟิกที่อลังการงานสร้างนัก แต่ด้วยขุมพลังของ Unreal Engine ทำให้เกมนี้ยังสามารถรังสรรค์งานภาพแบบการ์ตูนและโทนสีที่มีเอกลักษณ์มาก  นอกจากนั้น ในการดีไซน์โลกและพื้นที่ต่าง ๆ ของเกมก็ทำออกมาได้ดี อย่างเช่นเมือง Caro ที่เหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองที่มีอยู่จริง และเอาแค่ช่วงแรกที่มีการขี่จักรยานออกจากเมือง เพื่อเริ่มต้นการเดินทาง เราก็สามารถแคปรูปภาพสกรีนช็อตได้เป็นสิบรูปแล้ว เรียกได้ว่าใครชื่นชอบงานภาพสไตล์นี้ บอกเลยว่าเกมนี้มอบประสบการณ์การเสพงานภาพที่เต็มอิ่มและคุ้มค่าให้กับผู้เล่นแต่ถึงจะเป็นการออกเดินทางไปยังโลกกว้าง แต่ตัวเกมก็ไม่ได้นำเสนอเกมการเล่นในแบบ Open World แต่อย่างใด เมื่อถึงสถานที่สำคัญต่าง ๆ ผู้เล่นจะสามารถจอดรถจักรยาน และลงไปเดินสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ได้ หากพยายามจะออกนอกลู่นอกทาง จะเจอกำแพงลมเหมือนที่เกมอื่น ๆ ชอบใช้กัน และเกมนำเสนอเกมการเล่นแบบเส้นตรงเพียว ๆ ดังนั้นเกมนี้จะเป็นการปล่อยให้ผู้เล่นดื่มด่ำกับเนื้อหาแบบเต็ม ๆ และไปใช้สมองกับการตีความเนื้อหาและทำความเข้าใจเนื้อเรื่องกับเหตุการณ์ในโลกแทนแม้จะเป็นส่วนน้อยในด้านการนำเสนอ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันโดดเด่นมาก แทบไม่มีเกมไหนที่ใช้วิธีการนำเสนอแบนนี้ ในด้านงานภาพและการเล่าเรื่อง ยิ่งเดินทางผ่านไปเรื่อย ๆ เราจะยิ่งอิน ยิ่งอยากรู้ อยากสำรวจ อยากทำความเข้าใจว่า โลกที่ Estelle กำลังไปเจอ จะเป็นแบบไหน และเราจะได้สัมผัสอะไรจากมันบ้าง ใครกำลังมองหาเกมที่เหมือนกับศิลปะดี ๆ สักชิ้น บอกเลยว่านี่แหละคือคำตอบ แต่ใครไม่อิน อยากบู๊ อยากลุย นี่ไม่ใช่เกมแบบนั้นแน่นอน เกมเพลย์ที่เน้นการเก็บสะสมเรื่องราวและบรรยากาศจนเหมือนไม่ใช่ "วิดีโอเกม"ไม่รู้ว่าเกมเมอร์ยุคนี้ยังคุ้นเคยกับแนวเกม Point & Click อยู่หรือไม่ เกมแนวนี้ผู้เล่นจะไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากใช้เมาส์คลิก ๆ ไปตามฉากเพื่อสำรวจและเก็บของ แต่เกมนี้ไม่ใช่ Point & Click 100% เพราะมันยังมีหลายฉากที่ผู้เล่นต้องควบคุมด้วยคีย์บอร์ด เช่นการควบคุมตัวละคร Estelle หรือการใช้กล้องถ่ายรูปและเครื่องอัดเสียงเพื่อบันทึกเรื่องราวและความทรงจำแต่ที่เราบอกว่าเกมเพลย์มันเป็นแนว Point & Click นั้น เพราะเกือบ 70-80% มันจะเป็นแบบนั้น เมื่อเราอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เราสามารถที่จะโต้ตอบกับสิ่งของและวัตถุต่าง ๆ ในฉากนั้นได้ โดยสิ่งของในฉากต่าง ๆ ก็จะเป็นจดหมาย เป็นคำบอกเล่า เป็นอะไรก็ตามที่จะเล่าเรื่องราวหรือที่มาที่ไปในสถานที่นั้น ๆ หัวใจสำคัญของเกมนี้คือการสะสมเรื่องราวที่จะเป็นแรงบันดาลใจ (Inspiration) โดยนำเอาสิ่งของต่าง ๆ ที่เก็บได้ มาจดหรือแปะลงในสมุดบันทึกของเรา เมื่อได้ค่า Inspiration จนเต็ม เราจะได้ของตกแต่งมาตกแต่งสมุดเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเราจะบอกว่าทั้งเกมมันมีแค่นี้จริง ๆ หลายคนก็อาจจะยังไม่เชื่อ แต่ขอให้เชื่อว่านี่คือทั้งหมดของเกมเพลย์เกมนี้แล้ว เพราะหลัก ๆ เกมนี้จะให้เราดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และเสพเนื้อเรื่องในพื้นที่ต่าง ๆ จริงอยู่ว่ามีช่วงที่เราจะได้ปั่นจักรยานออกสำรวจพื้นที่ และอย่างที่บอกว่าเกมนี้ไม่มี Free Roam หรือการสำรวจใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่านี่อาจจะเป็นเหมือนการจดบันทึกก่อนโลกล่มสลาย แต่ไม่ใช่ในชีวิตจริง แต่เป็นวิดีโอเกม และทำให้มันดูเหมือนจะไม่ใช่เกมด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่คิดจะซื้อเกมนี้มาเล่น บอกเลยว่าต้องชอบการเสพบรรยากาศและการอ่านเท่านั้น เพราะจากที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นมา นี่เป็นอีกเกมที่มีวลีกินใจ และคำคมชวนฉุกคิดอยู่เป็นจำนวนมากตลอดการเดินทาง ซึ่งหากจะมองว่ามันทำได้ดี มันก็ดีแน่นอน แต่การที่มันนำเสนอตัวเองเป็นวิดีโอเกม อาจทำให้ใครหลายคนผิดหวังพอสมควร แต่หลังจากที่เราเก็บรวบรวมเรื่องราวลงในสมุดให้เป็นรูปแบบต่าง ๆ ได้แล้ว เกมจะตัดเข้าคัทซีนที่ค่อย ๆ เล่าเรื่องราวที่เราเก็บสะสมมาได้ เหมือนเป็นการระลึกถึงมัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดต่อไป ก็ถือว่าเป็นการนำเสนอในรูปแบบวิดีโอเกมที่ดีในด้านของประสิทธิภาพตัวเกม ดว้ยความที่ใช้ Unreal Engine ซึ่งมีเสถียรภาพของมันเองอยู่แล้ว และเกมนี้ยังสามารถขับภาพกราฟิกได้ด้วยการลบรอยหยักและใช้ประสิทธิภาพจากเทคโนโลยี DLSS ได้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ภาพดูสดใส สวยงามขึ้น แม้จะเป็นแค่กราฟิกแบบการ์ตูน แต่ก็ยังคงได้ภาพที่น่าประทับใจ และเป็นมิตรต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่พอจะเล่นเกมยุคปัจจุบันนี้ได้SEASON: A Letter to the Future เป็ฯอีกหนึ่งเกมที่ไม่ใช่วิดีโอเกม มันเป็นเหมือนงานศิลป์ เป็นจดหมายที่ผู้พัฒนา ตั้งใจส่งถึงผู้เล่นให้ลองคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่าถ้าเกิดวันนึงโลกเรามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ คำตอบแบบไหนที่เราจะตอบกับตัวเอง แม้เกมจะมีเรื่องราวที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง แต่หลายครั้งระหว่างเล่นที่เราอาจจะมานั่งคิดกับตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะมันมีช่องว่างของเกมเพลย์ที่ไม่ได้เป็นเกมขนาดนั้นให้เราคิดอยู่เสมอ
03 Mar 2023
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
***ขอขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment สำหรับอุปกรณ์ PS VR2 และเกมสำหรับรีวิว***หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ผู้เขียนได้มีโอกาสรีวิวเครื่องอุปกรณ์ PlayStation VR รุ่นแรก ที่แม้จะมีข้อจำกัดในด้านการใช้งานและศักยภาพอยู่มาก แต่ก็เป็นตัวเลือกเดียวสำหรับเกมเมอร์สายคอนโซลที่ต้องการจะสัมผัสกับประสบการณ์เกม VR โดยไม่ต้องลงทุนกับคอมพิวเตอร์ราคาแพง ยังไม่รวมอุปกรณ์ VR สำหรับ PC ในขณะนั้น ที่ล้วนมีราคาสูงกว่าเครื่อง PS VR อย่างมากหลังจากที่เวลาล่วงเลยมา 6 ปี ทาง Sony ก็ได้กลับมาอีกครั้งกับอุปกรณ์ PS VR2 ซึ่งแลดูจะเป็นการพลิกบทบาทจากเครื่อง PS VR รุ่นแรกไปอย่างสิ้นเชิง ในฐานะอุปกรณ์ VR คุณภาพสูงที่มีราคาแพงกว่าอุปกรณ์ของคู่แข่งอย่าง Oculus/Meta หรือกระทั่งราคาของเครื่องคอนโซลที่ต้องใช้ร่วมกันอย่าง PlayStation 5 ไปแล้ว ซึ่งก็ยิ่งทำให้คำถามเรื่อง “ความคุ้มค่า” ของอุปกรณ์กลายเป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงได้ยากขึ้นไปด้วยจากที่มีโอกาสทดลองใช้อุปกรณ์ PlayStation VR2 มาระยะหนึ่ง ต้องยอมรับว่า Sony ได้ปรับปรุงคุณภาพและประสบการณ์การใช้ขึ้นจากรุ่นแรกในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะในแง่ของภาพ เสียง ความละเอียดในการจับการเคลื่อนที่ และความสะดวกสบายในการติดตั้งและใช้งาน จนพูดได้เต็มปากว่าอุปกรณ์ PS VR2 สามารถมอบประสบการณ์เกม VR ระดับสูงได้อย่างแท้จริง แม้คำถามเรื่องความคุ้มค่าของตัวอุปกรณ์จะยังคงตอบยากในขณะนี้ ในขณะเดียวกันนั้น เกม Horizon: Call of the Mountain ที่วางจำหน่ายพร้อมอุปกรณ์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้ในการพูดถึงประเด็นเรื่อง “ความคุ้มค่า” ของอุปกรณ์ด้วย เราจึงจะทำการรีวิวเกมสั้นๆ ไปพร้อมกันในบทความนี้ฮาร์ดแวร์และการติดตั้งสำหรับเจ้า PS VR2 นี้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากอุปกรณ์ VR อื่นๆ ในตลาดนัก ซึ่งมีส่วนประกอบหลักๆ สองส่วนคือหน้าจอ/แว่นตา VR ที่ฉายภาพเข้าสู่ตาของผู้ใช้ และสายรัดเพื่อสวมใส่บนหัวนั่นเอง โดยตรงแว่นตา VR จะมีปุ่มที่ให้ผู้ใช้เลื่อนตัวแว่นตาเข้าหาหรือออกห่างจากลูกตาของตัวเองได้ รวมไปถึงหน้าปัดเพื่อใช้ปรับระยะห่างของเลนส์ภายในตัวแว่นให้เข้ากับสายตาของผู้ใช้ ในขณะที่สายรัดหัวเองก็มีจุดที่สามารถหมุนปรับความแน่นของสายรัด และยังมีช่องไว้เชื่อมต่อหูฟัง 3.5mm แบบพิเศษที่แถมมากับอุปกรณ์อยู่บริเวณด้านใต้ ทำให้การสวมและถอดเครื่อง PS VR2 มีความสะดวกสบายและรวดเร็วไม่น้อยลูกเล่นใหม่อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือปุ่ม Function บริเวณด้านใต้ส่วนแว่นตา VR ที่จะทำให้อุปกรณ์ฉายภาพสภาพแวดล้อมที่บันทึกโดยกล้อง 4 เลนส์ที่อยู่ด้านหน้าของตัวแว่นเข้าสู่สายตาของผู้ใช้ ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องถอดแว่น VR ออก ซึ่งก็ช่วยในเรื่องความสะดวกสบายในการใช้เป็นอย่างมากนอกจากนี้ แม้ว่าส่วนแว่นตา VR จะมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่สายรัดได้ถูกออกแบบมาให้ถ่ายน้ำหนักส่วนนั้นไปไว้ด้านบนของหัว ตัวแว่น VR จึงไม่ได้หนักไปทางด้านหน้าอย่างที่คิด และสามารถสวมใส่เป็นระยะเวลานานได้โดยไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของตัวอุปกรณ์มากนัก ยกเว้นเวลาที่ต้องเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนซึ่งจะทำให้น้ำหนักของส่วนแว่นกดลงมาทับลงมาบนหน้าตรงๆ โดยอาจไม่เป็นปัญหานักสำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ต้องใส่แว่น VR ครอบแว่นสายตาอีกที (อย่างผู้เขียน) ก็อาจจะโดนแว่น VR กดทับแว่นตาจนเจ็บได้เช่นกัน แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของ PS VR2 จะไม่ต่างจากรุ่นแรกนัก แต่สิ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างมหาศาลก็คือความสะดวกสบายในการใช้อุปกรณ์ โดยผู้ที่เคยใช้เครื่อง PS VR รุ่นแรกมาก่อนจะทราบดีถึงความลำบากในการใช้แต่ละครั้ง ไหนจะต้องเชื่อมตัวอุปกรณ์ VR เข้ากับกล่อง adapter ก่อนต่อเข้าคอนโซล แล้วยังต้องเซ็ตตัวกล้อง PS Camera ที่มีระยะเซ็นเซอร์เพียงแคบๆ จะเล่นแต่ละครั้งจึงมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงตอนที่เล่นเสร็จแล้วต้องเก็บทุกอย่างเข้าที่อีก ซึ่งความไม่สะดวกเหล่านี้ก็ส่งผลให้เกิดรู้สึกเหมือนมี “แรงต้าน” เวลานึกจะหยิบอุปกรณ์ออกมาเล่น แต่สำหรับเครื่อง PS VR2 ต้องใช้เพียงสาย USB-Type C ความยาว 4.5 เมตรจากตัวอุปกรณ์เข้าสู่คอนโซล PS5 เส้นเดียวเท่านั้นก็เล่นได้เลยทันที ทำให้แรงต้านในการหยิบใช้อุปกรณ์ลดน้อยลงจากรุ่นแรกอย่างมากหลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าเมื่อไม่มีกล้อง PS Camera มาคอยจับการเคลื่อนไหวแล้ว อุปกรณ์ PS VR2 จะติดตามการเคลื่อนที่ของผู้เล่นอย่างไร? คำตอบคือในขณะที่อุปกรณ์ VR ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการวางเซนเซอร์ไว้รอบห้องเพื่อคอยจับการกระทำของผู้เล่น เจ้า PS VR2 กลับใช้เทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหวด้วยการใช้กล้องขนาดเล็กด้านหน้าของตัวแว่น VR ในการแสกนสภาพแวดล้อมและจับตำแหน่งของจอยทั้งสองข้างไปด้วยแทนข้อดีของการใช้กล้องเซนเซอร์ในลักษณะนี้ ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการกำหนดพื้นที่การเล่นของตัวเองได้อย่างยืดหยุ่นมาก โดยเราสามารถใช้จอยเพื่อลากปรับขนาดหรือรูปทรงของพื้นที่ที่เราต้องการให้เซนเซอร์คอยจับ ซึ่งอุปกรณ์จะคอยเตือนเมื่อผู้เล่นก้าวออกจากพื้นที่ที่ตั้งไว้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เราไปเดินชนข้าวของขณะเล่นเกมเพลินๆ นั่นเอง ซึ่งความอิสระในการกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่เราต้องการเช่นนี้ก็สามารถช่วยให้ผู้ใช้ PS VR2 สามารถเล่นเกมที่อาจต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกายในพื้นที่จำกัดได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น จอยเกม PS VR2 Controller และการใช้งานโดยรวมอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากก็คือตัวจอย PS VR2 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ แทนที่จะใช้อุปกรณ์รีโมท PlayStation Move ที่ต้องซื้อแยกกัน โดยนอกจากจอย PS VR2 จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Haptic Feedback และ Adaptive Trigger จากจอย DualSense ของเครื่อง PS5 แล้ว กรอบทรงกลมที่ครอบส่วนด้ามจับของจอยยังทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์ที่ช่วยจับตำแหน่งมือของผู้เล่นอย่างแม่นยำตลอดเวลาอีกด้วยจอย PS VR2 Controller ยังสามารถจับการเคลื่อนไหวของนิ้วผู้เล่นได้ในระดับหนึ่งด้วย ผ่านการตรวจจับว่าผู้เล่นวางนิ้วไว้บนปุ่มหรือแกนอนาล๊อคบนจอยหรือเปล่า ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีผลต่อการเล่นเกมหรือการใช้จริงเท่าไหร่ แต่ก็นับเป็นรายละเอียดสนุกๆ ที่ช่วยเสริมความรู้สึกสมจริงของอุปกรณ์มากขึ้นไปด้วยแน่นอนว่าข้อปรับปรุงที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลต่อการเล่นเกมด้วย เช่นในระหว่างเล่นเกม Horizon: Call of the Mountain ที่จอยมักจะสั่นเบาๆ ทุกครั้งที่ผู้เขียนเอื้อมไปจับโขดหินเพื่อดึงตัวเองขึ้นในระหว่างที่ปีนเขาเพื่อจำลองความรู้สึกการเกร็งของข้อมือ หรือในจังหวะที่ง้างธนูค้างไว้ ที่จอยจะค่อยๆ สั่นเพื่อจำลองความล้าของแขน แม้แต่สายครอบหัวของ PS VR2 ก็ยังสั่นเพื่อจำลองความรู้สึกเหมือนมีอะไรลอยผ่านหัวไปเมื่อก้มหลบการโจมตีศัตรู ซึ่งเมื่อรวมกับคุณภาพกราฟิกของตัวอุปกรณ์ ก็เพียงพอจะหลอกสมองของผู้เขียนให้ “ลืม” ไปชั่วขณะเหมือนกันว่าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆในส่วนของกราฟิก เครื่อง PS VR2 มาพร้อมกับเลนส์ OLED ที่มีความละเอียดสูงถึงข้างละ 2,000 x 2,040 พิกเซลต่อตาหนึ่งข้าง ที่มีความเร็วถึง 120 Hz แถมยังสนับสนุนเทคโนโลยี HDR อีกต่างหาก ซึ่งถือว่าสูงกว่าอุปกรณ์ VR ที่ราคาเทียบเท่ากันยี่ห้ออื่นๆ พอสมควร ส่งผลให้การแสดงผลภาพที่เราเห็นนั้นมีความละเอียดสูงแทบไม่ต่างจากการดูภาพในทีวีจอแบนปกติเลยในบางจังหวะ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือเฟรมเรตที่สูงและเสถียรอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกมเพลย์รู้สึกลื่นไหลเป็นธรรมชาติแล้ว ยังทำให้รายละเอียดเล็กน้อยในฉากอย่างใบหญ้าที่ปลิวไหวไปตามลมรอบๆ ตัวผู้เล่นรู้สึกมีชีวิตชีวาสมจริงขึ้นมาเช่นกัน การที่ PS VR2 เชื่อมต่อกับเครื่อง PS5 ยังหมายความว่าผู้เล่นจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเสียง 3D Audio อันยอดเยี่ยมของคอนโซล ซึ่งก็ยิ่งเสริมความรู้สึกสมจริงในขณะเล่นเกมได้ โดยการเล่นเกม VR ที่ให้ผู้เล่นเข้าไปยืนอยู่ในสภาพแวดล้อมเหล่านี้จริงๆ ยิ่งเป็นการดึงเอาศักยภาพของเทคโนโลยีเสียงสามมิตินี้ออกมาได้มากยิ่งกว่าการนั่งเล่นเกมหน้าจอทีวีเฉยๆ อย่างไม่ต้องสงสัยหากจะต้องมีอะไรให้ตำหนิในจุดนี้ คงเป็นการที่จอย PS VR2 Controller ดูจะแบตหมดค่อนข้างเร็ว โดยการชาร์จจนเต็มแต่ละครั้งจะสามารถใช้งานได้ราว 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมการชาร์จจอยก็อาจจะมีความยุ่งยากอยู่บ้าง เพราะภายในชุด PS VR2 ให้สายชาร์จ USB-to-USB-Type C มาแค่เส้นเดียว ผู้ที่ไม่มีสายชาร์จสำรองอีกเส้นและ/หรือไม่มีหัวปลั๊กไว้เสียบ USB ก็มีทางเลือกเพียงเสียบชาร์จจอยกับ PS5 ทีละข้างเท่านั้น โดยคนที่คิดจะลงทุนซื้อเครื่อง PS VR2 อยู่แล้ว ก็อาจจะพิจารณาเพิ่มเงินอีกซักนิดเพื่อซื้อแท่นชาร์จจอยมาซะด้วยเลยเพื่อตัดรำคาญตรงจุดนี้Horizon: Call of the Mountain และความคุ้มค่าของเครื่อง PS VR2อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะพอเห็นภาพแล้วว่าผู้เขียนประเมิน “คุณภาพ” ของอุปกรณ์ PS VR2 อย่างไรบ้าง แต่นั่นก็เป็นคนละประเด็นกับ “ความคุ้มค่า” ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบได้ยากกว่ากันมาก โดยเกมเรือธงของอุปกรณ์ที่วางจำหน่ายพร้อมกันอย่าง Horizon: Call of the Mountain ที่ย่อมได้รับการสนับสนุนในแง่ของงบประมาณและเทคนิคมากเป็นพิเศษ อาจเป็นตัวชี้วัดที่ดีถึงศักยภาพหรือทิศทางของเกม “ระดับพรีเมียม” ที่เราอาจจะได้เห็นในอนาคตสำหรับ PS VR2 ในแง่หนึ่ง Horizon: Call of the Mountain อาจจะเป็นเกม VR เกมแรกที่ผู้เขียนเล่น ที่ให้ความรู้สึกของ “เกม AAA” ต่างจากเกม VR ส่วนใหญ่ที่คนนึกถึงทุกวันนี้ที่มีลักษณะเป็น “ประสบการณ์” (เช่น Dreams) หรือเป็น “มินิเกม” (เช่น Beat Saber) มากกว่าจะเป็นเกมเต็มรูปแบบในความหมายเดียวกับเกม PC/คอนโซลระดับ AAA ที่เรานึกถึงกัน โดยแม้ว่าระยะเวลาราว 6-7 ชั่วโมงที่ใช้ในการจบเนื้อเรื่องจะไม่ได้ยืดยาวนัก แต่เกมก็มีระบบการพัฒนาตัวละคร มีกลไก (Mechanic) เฉพาะตัวของตัวเองที่ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน และมีเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและน่าติดตามจากต้นจนจบ ซึ่งก็เป็นพัฒนาการที่รู้สึกได้จากเกมที่เคยเล่นในเครื่อง PS VR รุ่นแรกอย่างชัดเจนกราฟิกโคตรจ๊าบ ยกนิ้วให้!ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นเกม VRการเล่นเกม Horizon: Call of the Mountain สามารถแบ่งออกเป็น 2 ขาหลักๆ นั่นก็คือการปีนเขาและการต่อสู้ ซึ่งอย่างที่หลายคนพอจะเดาออกในฐานะเกม VR การปีนเขานั้นผู้เล่นจะต้องทำท่าทางปีนเขาจริงๆ ด้วยการเอื้อมมือ (ทั้งในเกมและในชีวิตจริง) ออกไปจับโขดหินและทำท่าดึงตัวเองขึ้นไป ก่อนที่จะเอื้อมมืออีกข้างไปจับโขดหินไปเรื่อยๆ โดยอาจจะมีบางช่วงที่ต้องเล่นพัซเซิล Platforming เล็กๆ มาขั้นบ้างประปราย เมื่อถึงเวลาต้องต่อสู้ เกมจะให้ผู้เล่นเผชิญหน้ากับเหล่าเครื่องจักรที่คุ้นเคยจากซีรีส์ Horizon ด้วยการยิงธนู ควบคู่ไปกับการหลบหลีกการโจมตีของเครื่องจักรไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นเองก็ต้องทำท่าทางตามตั้งแต่การถือคันธนู การเอื้อมไปหยิบลูกศรจากด้านหลัง การง้างและปล่อยคันธนู ไปจนถึงการก้มหลบท่าโจมตีบางท่าของเครื่องจักร โดยผู้เล่นจะสามารถสร้างและใช้ลูกธนูธาตุ รวมไปถึงเล็งยิงชิ้นส่วนของเครื่องจักรให้กระเด็นหลุดออกจากตัวมันได้ เช่นเดียวกับในเกมซีรีส์หลักอีกด้วยสำหรับผู้อ่านหลายๆ ท่าน (และผู้เขียนด้วย) การจะได้เล่นเกม Horizon ในรูปแบบ VR โดยที่ให้เราต้องปีนเขาเอง และเล็งยิงธนูเอง อาจจะฟังดูเหมือนเรื่องที่น่าสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย และผู้เขียนก็ยอมรับว่าเกมยังสามารถมอบช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างที่เราควรจะคาดหวังได้จากเกม Horizon ฉบับ VR แต่ในภาพรวมแล้วก็พบว่าการต้องยกแขนขึ้นลงเพื่อจำลองการปีนเขาหรือง้างคันธนูซ้ำๆ กันเป็นระยะเวลานาน ก็อาจจะส่งผลให้ล้าหรือปวดไหล่ได้แม้จะไม่ต้องออกแรงเหมือนของจริงก็ตาม ซึ่งก็อาจทำให้บางคนไม่สามารถนั่งเล่นเกมติดต่อกันได้เหมือนเกมปกติทั่วไป ยังไม่ต้องพูดถึงการพยายามก้มหลบการโจมตีของศัตรู ซึ่งคนที่มีพื้นที่ไม่พอจะยืนเล่นอาจจะต้องทุลักทุเลกันซักหน่อยนอกจากนี้ แม้ว่าผู้เขียนจะไม่ได้มีอาการเวียนหัวจาก “การเคลื่อนที่” ในเกม VR อย่างที่หลายคนอาจจะเป็น แต่ก็พบว่า “การหันกล้อง” ไปมาด้วยแกนอนาล๊อคกลับทำให้ผู้เขียนรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทุกครั้ง ซึ่งก็หมายความว่าคนที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่ไม่สามารถหันร่างกายได้แบบ 360 องศาเพื่อมองไปรอบตัว อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ว่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตลอดระยะเวลาที่เล่นข้อจำกัดทางกายภาพของผู้เล่นแต่ละคนย่อมสามารถส่งผลให้ประสบการณ์เล่นเกมของผู้เล่นสองคนแตกต่างกันอย่างมาก โดยผู้เล่นที่มีพื้นที่โล่งๆ มากพอจะเล่นเกมในโหมด Roomscale ที่ทำให้สามารถขยับตัวไปมาได้อย่างอิสระ (ใช้พื้นที่ราว 2x2 เมตร) ก็จะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากคนที่เล่นเกมบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ หรือคนที่เล่นเกมบนโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งความแตกต่างในประสบการณ์ที่ว่ามานี้ก็ควรถูกคำนึงถึงในการพยายามประเมินความคุ้มค่าของตัวอุปกรณ์ PS VR2 เช่นกันแม้ว่าเกม Horizon: Call of the Mountain จะมีช่วงเวลาที่น่าจดจำอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการได้เห็นเครื่องจักรขนาดยักษ์ล้มกลิ้งลงไปเพราะลูกธนูที่เราเป็นคนง้าง เล็ง และยิงเอง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นทุกครั้ง แต่เกมก็อาจมีข้อจำกัดทางกายภาพทั้งในแง่ของพื้นที่ที่ต้องใช้ในการเล่น ซึ่งอาจส่งผลต่อประสบการณ์เกมอย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงสภาพร่างกายของผู้เล่นแต่ละคนที่อาจเอื้อต่อการควบคุมเกมด้วยท่าทาง (Motion Control) มากน้อยแตกต่างกัน และเมื่อคำนึงถึงว่าการควบคุมเกมด้วยร่างกายเช่นนี้มีแต่จะถูกพัฒนาให้ซับซ้อนและสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อจำกัดเหล่านี้ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นไปด้วยในอนาคต โดยเฉพาะในเกมระดับพรีเมียมที่เป็นจุดดึงดูดสำหรับคนส่วนใหญ่ประเด็นเรื่อง “เกม” ที่จะมีให้เล่นบนเครื่อง PS VR2 ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา ซึ่งในขณะนี้เครื่อง PS VR2 ยังมีเกมที่เล่นได้จริงๆ ไม่มากขนาดนั้น เพราะเกมสำหรับ PS VR รุ่นแรกมาก่อนจะไม่สามารถนำเกมมาเล่นใน PS VR2 ได้ โดยแม้ว่าทาง Sony จะยืนยันว่าเกมส่วนใหญ่จะได้รับการวางจำหน่ายสำหรับ PS VR2 อย่างแน่นอนในอนาคต แต่เกมเหล่านี้ส่วนใหญ่ๆ ก็เล่นได้ในอุปกรณ์ VR อื่นอยู่แล้ว ในขณะที่เกม AAA ระดับเดียวกับ Horizon: Call of the Mountain ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาให้เล่นกันอีกเมื่อไหร่ ซึ่งก็อาจทำให้หลายคนไม่กล้าซื้อเครื่องในช่วงนี้ แต่ในทางกลับกัน การที่ยอดขายเครื่องไม่กระดิกก็อาจส่งผลให้ผู้พัฒนาเกมไม่อยากจะลงทุนสร้างเกมสำหรับเครื่องเช่นกัน นี่จึงยังเป็นอีกจุดที่ต้องดูกันต่อไปว่าวงการเกมโดยรวมจะสนับสนุนเจ้า PS VR2 แค่ไหนในอนาคตที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้ต้องการจะตำหนิตัวเครื่อง PS VR2 หรือเกม Horizon: Call of the Mountain แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า “ความสนุก” หรือ “ความน่าซื้อ” ของอุปกรณ์อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกราฟิกหรือตัวเกมเพียงอย่างเดียว แต่อาจต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ที่เรามีอยู่ หรือร่างกายของเรานั้นพร้อมรองรับประสบการณ์ VR เต็มรูปแบบที่เครื่อง PS VR2 พร้อมจะมอบให้หรือไม่ ซึ่งต่อให้มีเงินพร้อมก็อาจยังไม่น่าซื้อถ้าพื้นที่หรือร่างกายไม่เอื้อให้เราสามารถใช้งานมันอย่างเต็มประสิทธิภาพจริงๆสุดท้ายนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องเกม PS VR2 ถือเป็นอุปกรณ์เสริมคุณภาพสูง ที่มีศักยภาพในการมอบประสบการณ์เกม VR ระดับชั้นนำได้อย่างแน่นอน โดยเกม Horizon: Call of the Mountain ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ศักยภาพของอุปกรณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม หากคุณตัดสินใจแล้วว่าอยากหาอุปกรณ์ VR มาเล่นดูซักเครื่องให้ได้ ตัว PS VR2 ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับคนที่ยังสองจิตสองใจอยู่ ก็อาจต้องค่อยๆ หาคำตอบให้ตัวเองกันต่ออีกระยะหนึ่ง
22 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม DYSMANTLE หนียังไงให้รอด จากเกาะที่เต็มไปด้วยซอมบี้
DYSMANTLE เกมเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย และเต็มไปด้วย Zombie นานาชนิด ลงวางจำหน่ายใน Steam เมื่อ 16 พ.ย. 2021 จากผู้พัฒนา 10tons Ltd ผู้เขียนได้เกมนี้มาตอนช่วง Steam Winter Sale ราคากำลังน่ารัก ด้วยงานอาร์ตคิวต์ คิวต์ ของเกมนี้ ทำให้ผมนั้นตัดสินใจกดซื้อมันมาอย่างไปต้องชั่งใจมากนัก เน้นไปที่การผจญภัยต่อสู้กับเหล่าซอมบี้ ฟาร์มวัตถุดิบต่าง ๆ คราฟต์ของ เพื่ออัปเลเวลการเอาชีวิตรอดของเรา ให้ต่อสู้ไปจนถึงจุดจบของเกมครับ เนื้อหาในเกมเป็นยังไงนั้น ตามผมมาอ่านรีวิวได้เหมือนเดิมเลยยยยจุดเริ่มต้นของการผจญภัย (เนื้อเรื่อง)เราจะได้รับบทเป็นชายคนหนึ่งซึ่งมีนิสัยที่จะต้องเตรียมพร้อม กักตุนน้ำ อาหาร เผื่อวันใดวันหนึ่งโลกประสบภัยพิบัติ เขาจะสามารถยังอยู่รอดได้สักระยะภายในหลุมหลบภัยของเขา แล้ววันที่เขาเตรียมพร้อมแต่ไม่ได้รอคอยก็มาถึง...ตัวเอกของเราอาศัยอยู่ภายในหลุมหลบภัยนานหลายปี จนกระทั่งทรัพยากรที่เขากักตุนเอาไว้เริ่มร่อยหรอ เขาเลยจำเป็นต้องขึ้นจากหลุมหลบภัยมายังพื้นดินอีกครั้ง เพื่อหาทางหลบหนีออกจากเกาะที่เต็มไปด้วยซอมบี้ และต้องรีบหาทางไปที่ยานลี้ภัยเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะพาตัวละครของเราหนีออกจากเกาะแห่งนี้ครับคนเล่นอย่างเรานั้นจะต้องพาตัวละครผจญภัย ไปยังจุดหมายต่าง ๆ ตามเควส ไม่ว่าจะต้องฟาร์มหาของซ่อมนู่น นี่ นั่น บุกป่าฝ่าดงซอมบี้เราก็ต้องไป มาดูกันดีกว่าว่าผมจะพาตัวละครของผมรอดจากเกาะไปได้หรือไม่ ซอมบี้ที่เราต้องพบเจอนั้นจะโหดขนาดไหน ตามมาอ่านได้เลยครับการผจญภัยแสนเพลิน มีทั้งระบบเควส และมินิพัซเซิลเกมนี้สิ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบมาก ๆ คือ การผจญภัยตามเควสครับ มีให้ได้ทำหลากหลาย และบางเควสต้องใช้หมองกันสักหน่อยในการหาคีย์ไอเทมต่าง ๆ เกมนี้จะมีเควสคล้าย ๆ เกมเนื้อเรื่องทั่ว ๆ ไป คือจะมี Main Quest และ Side QuestMain Quest - จะเดินเป็นเส้นตรงไปที่ยานลี้ภัยเลยครับ ทุกเควสที่ให้มาคือเราต้องหาของเปิดประตู เปิดเส้นทางต่าง ๆ ไปที่ยานลี้ภัย จะมีสอนใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ และต้องคราฟต์ของตลอดทางเพื่อนำไปใช้เพื่อให้ผ่านเควสครับ ต้องอาศัยการเก็บเลเวลเพื่อที่จะให้ตัวละครของเราเก่งขึ้น เพราะเมื่อเลเวลอัปเราจะสามารถอัปสกิลติดตัวให้ตัวละครของเราได้ครับSide Quest - หาได้ตามทางที่เราเดินผ่านครับ ให้สังเกตเครื่องหมาย ! ตามแผนที่ เควสส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปริศนาต่าง ๆ จากคนที่เคยมีชีวิตและอาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างภายในเกม มีตั้งแต่การซ่อนสมบัติไปถึงการให้เราปราบปรามซอมบี้ให้ทันเวลาที่กำหนด เราจะได้รับรางวัลเป็น EXP ในเกมครับการต่อสู้ การฟาร์ม สกิล การอัปเลเวล และการอัปเกรดที่ผู้เขียนเอามาอยู่ในหัวข้อเดียวกันนั้น เพราะทุกอย่างในนี้เกี่ยวข้องกันหมดครับ เกมนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็จะได้ค่า EXP เพื่อมาอัปเลเวลของเรา เดี๋ยวเราจะมาแยกย่อยให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นครับการต่อสู้ - มีอาวุธให้เลือกใช้สอยมากมาย แต่เราต้องมีเลเวลมากพอที่จะปลดล็อกอาวุธบางประเภทครับ ระหว่างทางเราจะได้เจอซอมบี้มากมายหลายชนิด จะเริ่มเจอชนิดที่สู้ยากมากขึ้นเมื่อเราเดินทางไปพื้นที่ที่ไกลขึ้นในจุดเริ่มต้นตัวเกมจะมี Starter Pack ให้เราใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ ชุดต่าง ๆ ใช้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่อยากเปลี่ยน อาวุธหรือชุดที่เราใช้ เราสามารถอัปเกรดได้ครับเมื่อเลือดหมด เลเวลอัป เปลี่ยนชุดสวมใส่ หรือต้องการจะอัปสกิล เราสามารถทำได้ที่แคมป์ไฟที่เราเจอตามทางได้เลย แต่ทุกครั้งที่เราใช้แคมป์ไฟ ซอมบี้ที่เราเคยไล่ฆ่าไปทั้งหมด จะ Respawn กลับมาใหม่ครับที่แคมป์ไฟจะมีกล่องเก็บของ เนื่องจากเกมนี้ของที่เราฟาร์มมาจะเต็มค่อนข้างไว เราสามารถไปเปิดแค่กล่องเพื่อเก็บของได้ โดยไม่ต้องนั่งที่แคมป์ไฟ ในกรณีที่เรายังไม่พร้อมจะตีกับเหล่าซอมบี้ที่ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่การฟาร์ม - ในเกมนี้ของที่เราฟาร์มส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่เราเอาอาวุธของเราไปทำลายให้พังครับ (ทำลายข้าวของรอบตัวต่าง ๆ) แล้วเราก็จะได้รับวัตถุดิในการคราฟต์ หรือนำไปใช้อัปตาราง Survival ของเราเพื่อปลดล็อกสิ่งของอำนวยความสะดวกมาใช้ครับและสิ่งสำคัญในการฟาร์มของเรา คือเราต้องฟาร์มหาของเพื่อทำเควสหนีออกจากเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเสาสัญญาณต่าง ๆ (พอเปิดเสาแล้ว เราสามารถใช้ Fast travel และตั้งค่าเสาเพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่เราฆ่าไปแล้วภายในบริเวณนั้นกลับมาเกิดใหม่ได้ครับ) เปิดใช้งานเรดาร์ หรือการซ่อมประตูด่านกักกัก ไอเทมต่าง ๆ ที่เราฟาร์มมาทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ต้องกลัวเลยครับว่าจะไม่ได้ใช้ บอกเลยว่ามีเท่าไหร่ก็ไม่พอเราจะต้องอัปเกรดอาวุธของเราไปเรื่อย ๆ เพราะอาวุธของเราถ้าไม่อัปเกรดจะไม่สามารถทำลายของบางอย่างได้ครับ crowbar (ชะแลง) เป็นอาวุธชิ้นแรกที่ตัวเกมจะให้เราไว้ครับ แต่ถึงแม้อัปชะแลงจนเลเวลสูงสุดแล้ว เราก็ยังไม่สามารถใช้มันทำลายข้าวของบางอย่างได้ เช่น รถ หรือ barrier เราจึงจำเป็นต้องหาของ และอัปเลเวลของตัวละครของเราให้ถึงเป้าหมายที่ตัวเกมกำหนด เพื่อที่จะปลดล็อกขวานหรือค้อนมาใช้งานครับการอัปเลเวลและสกิล - เมื่อเลเวลอัปเราสามารถไปกดอัปสกิลได้ที่แคมป์ไฟเท่านั้น เราสามารถเล่นไปเรื่อย ๆ ได้ครับ เพราะเลเวลเกมนี้ช่วงหลัง ๆ ค่อนข้างขึ้นช้า เมื่อเราไปนั่งที่แคมป์ไฟแล้วจะมีสกิลให้เราเลือก 3 สกิลครับ เลือกได้เลยตามความชอบ ผู้เขียนแบบผมเป็นสายฟาร์ม เลยจะเน้นไปที่ช่องกระเป๋าล้วน ๆ ถ้าช่วงไหนไม่มีให้ผมเลือกจริง ๆ ผมก็จะเน้นอัปเลือดครับ ฮ่า ๆนอกจากนั้นยังมีในส่วนของตารางการคราฟต์ต่าง ๆ ที่สามารถคราฟต์ได้เมื่อเลเวลถึงเท่านั้น แยกเป็น ของสวมใส่, เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ, หยูกยา, และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครับ เมื่อของครบเลเวลถึง แล้วกดอัปสิ่งที่ต้องการ สกิลก็จะติดตัวถาวรไปเลย ส่วนของบางอย่าง เช่น ยา หรือมีดสั้น มันจะเป็นของใช้ที่หมดไป ถ้าเราต้องการจะเติมเราต้องมานั่งที่แคมป์ไฟเท่านั้น แล้วของที่หมดจะถูกเติมโดยอัตโนมัติครับ สะดวกสบายจริงจริ๊งการอัปเกรด - เราสามารถอัปเกรดอุปกรณ์เครื่องใช้ของเราได้ทุกส่วนเลยครับ สิ่งที่เราจำเป็นต้องอัปที่สุดของเกมนี้ผมมองว่าคงจะเป็นอาวุธ Malee ของเรานี่แหละ เพราะนอกจากจะฟาดศัตรูได้แรงขึ้นแล้ว ยังสามารถทำให้อาวุธของเราทำลายของในเลเวลที่สูงขึ้นได้อีกด้วย การฟาร์มของเราก็จะง่ายขึ้นครับอย่างอาวุธรองหรือยาต่าง ๆ ถ้าเราไม่อัปเราจะพกไปได้น้อย แต่เมื่อเราอัปแล้วเราจะพกมันไปได้มากขึ้น และถ้าเป็นอาวุธตอนเราไปปาใส่ซอมบี้จะแรงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ เสื้อผ้าบางชุดค่า Status ต่าง ๆ อาจจะบวกค่าพลังอาวุธประเภทปา ถ้าเราอัปเกรดเสื้อผ้าด้วย การปามีดใส่ซอมบี้ อาจจะทำให้ซอมบี้ขิตได้เลยใน 1 กระบวนท่า (ฤทธิ์มีดสั้นของแท้ ฮ่า ๆ)การอัปเกรดนั้นเราสามารถทำได้ที่แคมป์ไฟของเรา หรือถ้าเราไม่อยากนั่งแคมป์ไฟเพราะมันจะ Respawn เหล่าซอมบี้กลับมาใหม่ แต่เรายังไม่พร้อมจะบวก บางสถานที่จะมีโต๊ะคราฟต์ตามบ้านหรือโรงรถให้เราครับ แต่ว่ามันค่อนข้างจะหายากและมีน้อยมาก ๆ การตกปลา การทำสวน และการทำอาหารเกมนี้อาจจะไม่ได้เน้นไปที่การตกปลา หรือการทำสวนเท่าไหร่นักนะครับ แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบบางอย่างเพื่อนำมาทำอาหาร เพิ่มบัฟเพิ่มเลือดให้กับเราอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การตกปลา - ไม่มีอะไรยากเลยครับสำหรับเกมนี้ เมื่อเราเก็บเวเวลถึงกำหนด เราก็แค่ไปกดอัปเกรดสกิลในตารางสกิล แล้วก็มายืนริมน้ำ (ยืนดีดีนะครับ เกมนี้ถ้าตกน้ำเราตาย ฮ่า ๆ) เมื่อกดตกปลาจะเป็นการตกปลาแบบอัตโนมัติ ตัวละครของเราก็จะตกปลาไปเรื่อย ๆ จนกว่าปลาบริเวณนั้นจะหมด ถ้าหมดก็แค่ย้ายที่แค่นั้นเลยไม่มีอะไรยุ่งยากและซับซ้อนการทำสวน - เราจะต้องเดินทางไปจนถึงสถานที่ที่ชื่อว่า Packard Family Farm และจำเป็นต้องมีเลเวลถึงเกณฑ์ที่จะอัปจอบ, บัวรดน้ำ, และถุงเมล็ดพืช มาใช้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ไม่มีอะไรมาก ใช้จอบขุดดิน เอาเมล็ดหว่านลงไป ปิดจ็อบด้วยบัวรดน้ำแค่นั้นเลยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมDYSMANTLE เป็นเกม 3D สำรวจโลกแบบ Open World เอาตัวรอดในเกาะที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ภาพแนวการ์ตูนน่ารัก ภาพไม่จริงจังมาก ใครที่ชอบแนวนี้เหมือนผู้เขียนนี่บอกเลยว่าเล่นได้เพลิน ๆ ครับ สเปกเครื่องไม่ต้องสูงก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แบบลื่น ๆการบังคับต่าง ๆ ของเกมไม่ต้องปรับตัวกับมันมาก ใช้ W, A, S, D ในการบังคับทิศทาง ส่วนใครที่เล่นในมือถือก็กดลากตัวละครของเราได้เลย มีระบบสอนการใช้งานระบบต่าง ๆ แบบเข้าใจง่ายมาก ๆ ครับUI ของเกมออกแบบมาให้เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก สวยงาม แต่อาจจะงง ๆ หน่อยตรงระบบเปลี่ยนอาวุธ หรือของใช้ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ จะคุ้นมือไปเองครับ แต่โดยรวมแล้วผมชอบมาก ๆ สรุปDYSMANTLE สำหรับผมนั้นบอกได้เลยเป็นเกมที่ดีมาก ๆ เลยเกมหนึ่งครับ เพราะผมชอบเล่นเกมที่ภาพออกแนวการ์ตูน เห็นภาพน่ารัก ๆ แบบนี้ แต่พวกซอมบี้ต่าง ๆ ก็ไม่ได้ง่ายในการฆ่านะฮะ บางตัวอาจจะต้องใช้สเตปอยู่พอสมควร (ถ้าตอนนั้นเรายังไม่มีอุปกรณ์ที่มากนัก) การเปิดแผนที่ต่าง ๆ ก็มีเควสที่น่าสนใจให้ทำตลอดการเดินทาง การผจญภัยของเราและตัวละครก็เลยดูดเวลาชีวิตมาก ๆ ส่วนที่ผมไม่ชอบมาก ๆ สำหรับเกมนี้ก็คงมีแค่ระบบการเดินทางที่ไม่มีตัวเลือกมากนัก ถึงแม้จะมี Fast Travel แต่เสาแต่ละต้นกับรัศมีรอบ ๆ ที่เราต้องเดินไปที่เสาก็ค่อนข้างไกลอยู่ดีครับ แล้วกว่าเราจะเปิดเสาจนครบ คือเราเดินไกลแบบมาก ๆ ตรงนี้เลยทำให้เกมค่อนข้างน่าเบื่อไปบ้าง เพราะเดินเป็นหลัก แล้วบางทีจุดแคมป์ไฟค่อนข้างหายาก เจอซอมบี้ระหว่างทางตบตายอยู่บ่อย ๆ หลังจากนั้นต้องกลั้นใจเดินกลับมาใหม่จากจุดเซฟ ซึ่งไกลมากกกกกกก ถ้ามีระบบช่วยเรื่องการเดินทาง เกมนี้อาจจะสนุกได้มากกว่านี้อีกครับระบบ Co-op กับเพื่อนก็มีให้ได้เล่น แต่เป็นการแบ่งหน้าจอกัน ก็โอเคครับดีกว่าไม่มี ฮ่า ๆ ใครสนใจซื้อมาเล่น เกมนี้เขาเปิดจำหน่ายในหลาย Platform มาก ๆ ให้ถามตัวเองให้ดีก่อนว่า Lifestyle เราเหมาะกับแพลตฟอร์มไหน ก็ซื้อได้เลยตามสะดวกครับสั่งซื้อSteam : https://store.steampowered.com/app/846770/DYSMANTLE/Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.the10tons.dysmantle&hl=th&gl=USApp Store : https://apps.apple.com/th/app/dysmantle/id1403738209?l=th
20 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Definitely Not Fried Chicken เปิดร้านขายไก่บังหน้า แต่ข้างหลังทำธุรกิจสีดำ
Definitely Not Fried Chicken เป็นเกมแนวบริการกิจการ ที่มี Concept สุดเจ๋ง กับเบื้องหน้าที่เราจะได้เปิดร้านขายไก่ทอด แต่เบื้องหลังจะได้ทำธุรกิจมืดต่าง ๆ ซึ่งพอเห็นแนวคิดของเกมสุดเจ๋งขนาดนี้ ผู้เขียนก็ได้ซื้อลงคลังไว้ตั้งแต่วันที่เกมลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2023 ผมเนี่ยซื้อมันดองไว้นานมาก ๆ ไม่ว่างเล่นสักที ตอนนี้ได้หยุดงานแบบคนอื่นเขาบ้าง เลยได้ฤกษ์โหลดเกมมาเล่นครับ เย้!ผมได้ดู Trailer ของเกม Definitely Not Fried Chicken แล้วค่อนข้างที่จะสนใจมันมาก ๆ ด้วยความที่เกมออกแนวกวนบาทา มีไร่กัญชง กัญชา ให้เราได้ปลูกเพื่อนำไปผสมลงในไก่ทอดสูตรเด็ดของร้านที่เราจะบริหาร แค่ไอ้ชื่อเกมที่ย้อนแย้ง ในเกมบอกขายไก่ทอด แต่ชื่อเกมบอกเปล่านะ "ตูไม่ได้ขายอย่างแน่นอนเฟ้ย!!!" (แล้วสรุปขายอะไร๊???)สร้างความอยากรู้อยากเห็นทำให้ต่อมเผือกทำงานอย่างหนัก ในหัวเหมือนโดนสะกดจิตไว้ตลอด ว่าไม่ขายไก่แล้วมันขายอะไรของมันฟร๊ะ ???กุ๊กไก่ขายถูก ๆ ไม่ได้แถมกระดูกกับคนขายไก่ (เกมเพลย์มีธุรกิจอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย)เราไม่ได้ขายไก่ทอด จริง ๆ นะ เชื่อหรือไม่ครับว่านี่คือชื่อกิจการของเราในเกมนี้ โดยจดทะเบียนแบบ Incorporated (ห้างหุ้นส่วนจำกัด) เมื่อเราเข้าไป เราจะบริหารร้านไก่ทอด ที่ชื่อเกมบอกไม่ได้ทอดไก่ขาย อะ งง งง งงล่ะสิ ผู้เขียนก็งงเหมือนกันครับ ฮ่า ๆ เริ่มเกมมาตัวเกมจะพาเราเข้ามาที่ Toturial Mode ก่อน (สามารถเอาติ๊กถูกออกได้ ถ้าไม่อยากเล่น) ซึ่งมันจะสอนเราเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปและระบบต่าง ๆ การซื้อของเอยอะไรเอย มีเนื้อเรื่องให้เล่นไปเรื่อย ๆ เมื่อผ่านเควสก็จะมีเควสต่อไปมาสอนเราทันทีครับ เดี๋ยวผมจะยกรายละเอียดไปคุยกันในหัวข้อด้านล่างนะครับ (แรก ๆ อะสอนขายไก่ทอดจริง หลัง ๆ อะเริ่มไม่ใช่ไก่ละ ฮ่า ๆ ๆ)บังหน้าด้วยร้านรวงต่าง ๆเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเกมจะเริ่มพาเราเข้าสู่ด้านมืด แรก ๆ ทอดไก่ หลัง ๆ เดินยาครับ ฮ่า ๆ ธุรกิจหลักของเราในเกมนั้นแท้จริงแล้วเป็นธุรกิจสีดำ เราจะได้จำลองสถานการณ์เปิดร้านที่หลากหลายเพื่อบดบังฉากหลังอันดำมืดของเราครับ ไม่ว่าจะเป็น ร้านซักรีด, ร้านขายไก่ทอด, ร้านขายโดนัท, ร้านขายอาหารทะเล, ไนท์คลับ และโคสิโนการเปิดร้านต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีดีนึกอยากเปิดก็เปิดได้นะครับ เราต้องนำเงินไปจ่ายเพื่อขอใบอนุญาตในการเปิดร้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถเปิดร้านได้ตามใบอนุญาติที่ถือครองอยู่เท่านั้นการสร้างร้านค้าต่าง ๆเมื่อเรามีใบอนุญาตแล้ว เราก็จะได้รับที่ดินสำหรับสร้างร้านของเราด้วยครับ ถ้าเล่นตามเนื้อเรื่องของเควสไปที่ดินบางพื้นที่เราจะได้รับมาเลยเป็นรางวัลจากเควส หรือสามารถซื้อที่ดินได้ถูกกว่าราคาเดิมครับ หลัง ๆ ถ้าเราต้องการขยายร้านสามารถซื้อที่ดินบริเวณรอบ ๆ ได้เมื่อเริ่มก่อสร้างร้านค้า เราต้องสร้างห้องตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการจะใช้ครับ เช่นผู้เขียนต้องการสร้างร้านขายไก่ทอด - ผมก็เริ่มจากสร้างห้องครัว ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเล้าเลี้ยงไก่ (สร้างมันในห้องครัวกันไปเลยครับ ฮ่า ๆ และอุปกรณ์ที่อยู่ในเมนูของห้องครัวจะไม่สามารถไปติดตั้งที่ห้องอื่น ๆ ของร้านได้ครับ) อุปกรณ์ทอดไก่, อุปกรณ์ปั่นไก่ (บอกเลยว่าใครที่รักสัตว์อาจจะไม่ค่อยเอ็นจอยในส่วนนี้เท่าไหร่ เพราะมันหยิบไก่เป็น ๆ ไปปั่นเลย) หลังจากเซ็ตของในครัวเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องสร้างห้องน้ำให้พนักงาน และลูกค้า (ซึ่งในส่วนนี้ห้องน้ำแยกกัน), สร้างห้องสำหรับพักผ่อนให้พนักงาน, สร้างห้องสำหรับรับประทานอาหารให้พนักงาน เป็นต้น ซึ่งในส่วนห้อง, อุปกรณ์ต่าง ๆ และการจ้างพนักงานจะแตกต่างกันไปในแต่ละร้านครับการจ้างพนักงานไม่ได้เหมือนกันในทุก ๆ ร้านส่วนนี้ในเกม Definitely Not Fried Chicken สำหรับผู้เขียนถือว่าทางผู้พัฒนาทำออกมาได้ดีนะครับ ไม่ใช่ว่าทุกร้านจำเป็นต้องมีพนักงานในตำแหน่งนี้ ซึ่งถ้าเราทำร้านทั่ว ๆ ไปที่ใช้สำหรับการฟอกเงินอย่างเช่น ร้านซักรีด เราก็ไม่จำเป็นต้องจ้างการ์ดเพื่อมาป้องกันร้านของเรา พนักงานของเราก็จะมีตำแหน่งแบบในเกมทั่ว ๆ ไป เช่น  ช่างซ่อม, พนักงานคิดเงิน, พนักงานขนของ และพนักงานทำความสะอาด เราสามารถกำหนดหน้าที่ให้กับลูกจ้างของเราได้ มีปุ่มให้ติ๊ก ให้ตั้งค่าการพัก หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของลูกจ้างสร้างความสะดวกให้กับเรามาก ๆ ถ้าเราทำธุรกิจสีเทา อย่างพวกไนท์คลับ คาสิโน และธุรกิจหลักของเราที่เป็นสีดำ (ค้ายา) การจ้างพนักงานของเราจะต้องมีการ์ด หรือลูกน้องที่โหด ๆ หน่อยไว้คอยป้องกันธุรกิจของเราด้วย เพราะว่าจะมีคู่แข่งทางการค้ามาคอยก่อกวน หรือยกพวกมาถล่มเราจนลูกน้องของเราตายเกลื่อนถนนผมก็เห็นมาแล้ว ในส่วนนี้เมื่อเราปลดล็อกตามเควสในเกมไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถไปซื้ออาวุธที่ดีขึ้นได้ที่ร้านขายปืนครับ เมื่อซื้ออาวุธมาแล้วเราสามารถติดตั้งให้บรรดาลูกน้องของเราได้เลย หรือพวกชุดป้องกันก็สามารถสวมใส่ให้ได้เลยเช่นกันครับ มี Status บอกเราหมดว่าจะเพิ่มอัตราการต่อสู้เท่าไหร่ หรืออุปกรณ์สวมใส่มีออฟชันเสริมอะไรบ้าง บอกเลยว่าเพลินมาก ๆ ครับHotline สายด่วน ส่งตรงถึงบ้านระบบของเกมนี้ จะมีการส่งยาแบบ Delivery ครับ ซึ่งเราจะต้องสร้างโรงรถขึ้นมาก่อน และเราต้องไปซื้อเสาสัญญาณโทรศัพท์ ทำตามเควสไปได้เรื่อย ๆ เลยครับ เราจะได้เสามา 1 ต้นก่อน สามารถอัปเกรดได้เมื่อเราได้เสาสัญญาณมาแล้ว เราจะต้องกดเปิดระบบ เมื่อเปิดแล้ว ไรเดอร์ของเราจะทำการไปส่งของให้กับลูกค้าที่โทรสั่งเข้ามา ตรงนี้เราต้องกดอนุญาตในแผนที่ด้วยครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมDefinitely Not Fried Chicken เป็นเกมวางแผนจำลองสถานการณ์การขายยา และการฟอกเงิน มีภาพแบบ 3D ครับ ภาพในเกมอาจจะไม่ได้สวยงามตรงใจเท่าไหร่ จะน่ารัก? ผมก็มองว่าไม่ แต่เวลาบู๊ หรือลูกจ้างได้รับอุบัติเหตุจากอุปกรณ์ ก็จะได้เห็นเลือดสาด แบบไม่รุนแรงอยู่ครับ ฮ่า ๆ ตัวเกมไม่ได้กิน Spec ฉะนั้นคอมบ้าน ๆ ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้ แต่ถ้าเป็น Notebook เครื่องอาจจะร้อนหน่อย ๆการบังคับของเกมก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใดก็เหมือนเกมจำลองสถานการณ์ทั่ว ๆ ไป W,A,S,D ใช้เลื่อนภาพ Q,E ใช้หมุนมุมกล้อง R ใช้หมุนสิ่งก่อสร้าง Toturial มีสอนการใช้งานกันตั้งแต่ต้นเกม แต่เหมือนสอนไม่ดีเท่าที่ควร อยู่ ๆ ก็ทิ้งกันไปแล้วโยนเควสมาให้ทำเลย งงไปแป๊บหนึ่งUI ต่าง ๆ ผู้เขียนมองว่าบางส่วนออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรหน้าที่ให้กับพนักงาน หรือการกดตอบรับ Delivery แต่ที่ผู้เขียนไม่ชอบเลยก็คือไม่มีปุ่มให้ออกไปหน้า Main Menu ครับ มันเป็นสิ่งที่ควรมี ผู้พัฒนาลืมหรือยังไงอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เวลาผมอยากจะเล่นใหม่ ผมต้องกดออกเกมแล้วเข้าเกมใหม่เพื่อที่จะไปหน้า Menu คือมันไม่สมเหตุสมผลปะครับ Dev? (หรือมันซ่อนอยู่ในเมนูอื่น ๆ ซึ่งผมพยายามหาแล้วแต่หาไม่เจอจริง ๆ ครับ)สรุปDefinitely Not Fried Chicken ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก ๆ ครับ นี่ที่ผู้เขียนเอามาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เป็นแค่เพียงบางส่วนในเกมเท่านั้น ร้านขายไก่ทอดของเรานั้นไซร์ก็เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งในการฟอกเงินของเรานั่นเอง เกมนี้หลัก ๆ แล้วคือเราเป็นพ่อค้ายานั่นแหละครับ มีการต่อสู้กับคู่แข่งต่าง ๆ ซึ่งก็สร้างความเพลิดเพลินไปอีกแบบแต่ถ้าจะให้เทียบกับเกมที่ผู้เขียนเคยเล่นอย่าง Deadwater Saloon ผมมองว่า Definitely Not Fried Chicken ยังครบเครื่องไม่เท่าเขาครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งยา การหนีตำรวจ การต่อสู้ของแก๊งต่าง ๆ หรือแม้แต่การฟอกเงิน Deadwater Saloon จะให้เรามีส่วนร่วมในเกมที่มากกว่า เนื้อเรื่องเข้มขนกว่า (อันนี้เป็นแค่ความคิดเห็นและความชอบส่วนตัวของผมนะครับ)ถ้าถามว่า Definitely Not Fried Chicken เป็นเกมที่แย่ไหม? ผู้เขียนก็ตอบได้ว่ามันไม่แย่เลย สนุกและกวนประสาทดีครับ ก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้ไปลองด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเป็นเกมที่ควรสะสมไว้ในคลัง แต่ถ้าถามเรื่องราคาผมมองว่าก็ยังแพงเกินไปกับคุณภาพของมัน ราคา 495 บาท ผมมองว่ากำเงินไปซื้อตอนลดราคาดีกว่า แต่ถ้าใครอยากเล่นราคาเต็มก็จัดได้เลยตามฐานะเอาที่เราสะดวก แต่ด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างไปในทางที่ไม่ดี ผู้เขียนมองว่าเกมนี้ไม่น่าจะเหมาะกับทุกคน ใช้วิจารณญาณในการเล่นกันด้วยนะครับเด็ก ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1036240/Definitely_Not_Fried_Chicken/
20 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Hi-Fi Rush เปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ และสนุกแบบเซอร์ไพรส์ !
หลังจากปล่อย Ghostwire Tokyo ออกมาให้แฟนเกมได้ลุยปราบผีกันไปตั้งแต่ปีที่แล้ว Tango Gameworks กลับมาพร้อมเกมใหม่ที่เปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์แฟนเกม ด้วยการเปิดตัวเสร็จแล้วให้เล่นกันเลย ไม่ต้องรอนาน กับเกมแอ็คชั่นผสมบีทดนตรีสุดมันอย่าง Hi-Fi Rush ที่เรียกได้ว่าเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ไม่พอ ความสนุกของมันก็ยังมาแบบเซอร์ไพรส์อีกด้วย มันจะดียังไง มาดูรีวิวของเรากันได้ความผิดพลาดที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความสนุกHi-Fi Rush เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ Chai (ชัย,ชาย) วัย 25 ปี ที่พิการแขนขวา แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดยั้งความฝันที่อยากจะเป็นร็อคสตาร์ชื่อดัง เขามาถึงมหาวิทยาลัย Vandelay Technologies โดยยื่นขอเป็นอาสาสมัครในโครงการ Project Armstrong ที่เป็นโครงการทดลองเปลี่ยนอวัยวะของผู้เข้าร่วม แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้กระบวนการเปลี่ยนอวัยวะของ Chai ผิดพลาด ทำให้เครื่องเล่นเพลงของเขาถูกฝังติดไว้กับตัวเขาเอง และทำให้เขารับรู้ถึงจังหวะดนตรีรอบตัว และ Chai ก็ถูกตามล่าโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยทันที และเขาต้องลุยเอาตัวรอดไปในพื้นที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีที่ดังมาจากตัวเขาเองและรอบ ๆ เนื้อเรื่องของ Hi-Fi Rush นั้น ต้องบอกว่า ทำออกมาได้ตามมาตรฐานวิดีโอเกมทั่วไป เนื่องจากมันไม่ใช่เกมทุนหนา ทุนสูงอะไรนัก รวมไปถึงความตั้งใจในแง่ของการนำเสนอที่ตั้งใจจะให้เป็นแบบการ์ตูนของเด็ก ๆ ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องมันไม่ค่อยมีอะไรที่ซีเรียส หรือชวนเครียดจนเกินไป เป็นเนื้อเรื่องแบบสูตรสำเร็จ เด็กที่มีความฝัน กล้าคิด กล้าทำ กล้าท้าชนกับทุกสิ่ง ที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุจนทำให้มีความพิเศษอยู่ในตัวแบบบังเอิญ และต้องต่อสู้เปิดโปงความจริง พล็อตแบบนี้เราเห็นได้ตามสื่อหรือการ์ตูนทั่วไปกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความซับซ้อนของเนื้อเรื่องนั้น Hi-Fi Rush แทบจะเป็น 0 ซึ่งก็เหมาะสมกับการนำเสนอของตัวเกมดี ที่ไม่มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนใด ๆ เน้นสนุกไปกับบีทจังหวะของเสียงดนตรี ระหว่างทางเราก็อาจจะเจอกับตัวละครใหม่ ที่มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน ตามสไตล์การ์ตูนจ๋า ๆ และมันก็เล่าได้แบบสนุกสนาน อาจจะบอกได้ว่า Hi-Fi Rush ไม่ใช่เกมที่มีเนื้อเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรมาก แต่ก็ทำได้ดีกว่าที่เราคาดเอาไว้มากเลยทีเดียวการนำเสนอที่โดดเด่นทั้งงานภาพและเสียงดนตรีสำหรับคนที่เห็นการเปิดตัว Hi-Fi Rush และได้เห็นเนื้อเรื่องด้านบนกันไปแล้ว น่าจะเดากันได้ไม่ยากเลยว่าอะไรคือจุดสำคัญที่สุดของ Hi-Fi Rush แน่นอน เมื่อมันเป็นเกมที่มีจังหวะดนตรีเป็นหัวใจหลัก ก็ต้องเป็นเพลงประกอบ สำหรับเกมนี้ ทุกเพลงล้วนแต่งขึ้นมาใหม่หมด เป็น Original Soundtrack โดยได้ Shuichi Kobori ที่เป็นอดีตนักแต่งเพลงให้กับเกมในค่าย KONAMI และ Reo Uratani อดีตนักแต่งเพลงของ Capcom และนอกจากจะมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเองแล้ว เกมยังใช้เพลงแบบถูกลิขสิทธิ์อีก 10 เพลงด้วยกัน เช่น Lonely Boy ของ The Black Keys, Wolfgang's 5th Symphony ของ Wolfgang Gartner และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครที่ฟังแล้วติดใจ ทาง Bethesda ก็ได้จัดเพลย์ลิสต์เพลงเหล่านี้ให้ได้ฟังกันใน Spotify ด้วย อินกับเกมไม่พอ ไปอินกับเพลงนอกจอกันต่อ แน่นอนว่าการเลือกใช้เพลงลิขสิทธิ์ในเกมตัวเอง อาจส่งผลกับพวกสตรีมเมอร์ หรือ YouTuber ได้ เกมจึงแก้ปัญหาด้วยการมีโหมดที่แทนที่เพลงลิขสิทธิ์ทั้งหมดด้วยท่วงทำนองที่คล้ายกัน โดยได้วง The Glass Pyramids มาบรรเลงให้ใหม่ โดยเสียงเพลง และดนตรีของเกมจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะเกี่ยวเนื่องกันไปยันส่วนของระบบการเล่นด้วย ในด้านของกราฟิกและการนำเสนอนั้น Hi-Fi Rush ใช้กราฟิกแบบลายเส้นหนังสือการ์ตูนแบบขอบหนา และมีบางครั้งในช่วงคัทซีนที่เหมือนกับนำเสนอแบบการ์ตูน Stop Motion ส่วนโทนสีและการจัดวางองค์ประกอบ ต้องบอกว่ามันดูเป็นเกมที่สดใส ไร้พิษภัย เล่นได้ทุกเพศทุกวัยแน่นอน ด้วยการนำเสนอตัวเอกแบบบ้าพลังและมีความฝันสูงเหมือนกับการ์ตูนอนิเมะของญี่ปุ่น และเมื่อฉาก กับกราฟิกที่ดูสวยงามผสมผสานเข้ากับเพลงที่ยอดเยี่ยม ทั้งจากของต้นฉบับมีลิขสิทธิ์ และแบบที่เกมแต่งขึ้นมาเอง ทำให้ส่วนของการนำเสนอในเกมนี้เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ๆแอ็คชั่นและแพลตฟอร์มผสานจังหวะ มันส์ไม่เหมือนใครHi-Fi Rush มีเกมเพลย์ในรูปแบบของ Rhythm-Action หรือการต่อสู้แบบผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรี และไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่ฉากต่าง ๆ จะถูกออกแบบมาให้เข้ากับจังหวะดนตรีทั้งหมดด้วย ตามปกติแล้ว เกมแนวนี้มักจะถูกนำไปใส่ในเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น BPM: Bullet Per Minute หรือ Metal Hellsinger แต่ Hi-Fi Rush นำมันมาใส่เข้ากับเกมแนวผจญภัยทั่วไปแต่ถึงอย่างนั้น เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบการเข้าจังหวะดนตรี เพราะอยากต่อสู้แบบสนุก ๆ มากกว่า ซึ่งเกมนี้ก็เปิดโอกาสเป็นทางเลือกให้ เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องโจมตีให้ตรงจังหวะ เพียงแต่หากเรากดถูกจังหวะ มันจะเป็นการได้รับดาเมจที่มากขึ้นเท่านั้น และว่ากันตรง ๆ ร่างกายมนุษย์และหูของคนเราก็ฒักจะจับจังหวะดนตรีได้ง่ายอยู่แล้วด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเลยในการเล่นการคอมโบเป็นจังหวะดนตรีจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม ส่วนการ Parry นั้นจะทำให้ผู้เล่นสามารถสวนกลับการโจมตีได้ และนอกจากการโจมตีผสานจังหวะจะถูกนำมาใช้ในส่วนของการต่อสู้แล้วนั้น ยังมีพวกมินิเกม หรือฉากต่าง ๆ ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่ผสมผสานเข้ากับจังหวะดนตรีด้วย ฉาก อุปสรรค หรือแพลตฟอร์มที่ลอยได้ต่าง ๆ จะเป็นไปตามจังหวะดนตรีเกือบจะทั้งหมดด้วยเกมเพลย์การต่อสู้ของเกมนี้ ก็จะคล้ายกันกับเกมแอ็คชั่นทั่วไป และจะสนุกมากขึ้นเมื่อลุยไปตามจังหวะดนตรี จะให้ความรู้สึกว่าเราคือพระเอกสายร็อคสตาร์ตัวจริง แน่นอนว่าเกมแบบนี้ แม้จะไม่ใช่ RPG แต่ก็จะมีการอัปเกรดตัวละครให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเราสามารถใช้พวกเศษเหล็กที่เก็บมาได้ตามทาง เพื่อปลดล็อคท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ และสกิลใหม่ ๆ รวมไปถึงการอัปเกรดจำพวกถาวร เช่นเพิ่มพลังชีวิต และ Special Attack Bar เป็นต้น แม้จะไม่มีอะไรใหม่มากนัก แต่เมื่อเกมเพลย์ที่เข้ากับเสียงดนตรีถูกผสมผสานให้เหมาะสมกับความสนุกสนานที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เอาแค่การเปิดตัวแบบกะทันหันก็ได้ใจแฟนๆ มากพอแล้ว แต่เกมเพลย์จริงยังสนุกอีกด้วยส่วนของ Boss Fight นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้น่าตื่นเต้นดี โดยเกมจะแบ่งสเกลพลังชีวิตของบอสเอาไว้ชัดเจนมาก ๆ เมื่อโจมตีบอสจนพลังลดไปถึงระดับนึงแล้ว มันจะเริ่มมีท่าทางการโจมตีใหม่ ๆ ให้เราได้หลบหลีก หรือต่อสู้ด้วย ซึ่งยิ่งมันใกล้ตายก็จะยิ่งสู้ด้วยยากขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับความยากที่เราเลือกเล่นด้วย สำหรับเกมนี้ก็เหมาะสมทั้งคนที่ชอบความยากและความง่าย เพราะมีตัวเลือกให้ตั้งค่าตามความเหมาะสมและความถนัดของผู้เล่นถ้าจะมีข้อเสียให้ได้ติกัน ก็คงบอกได้แค่ว่า มันมีความธรรมดามากจนเกินไป เรียกได้ว่าเกมนี้แทบไม่มีอะไรที่ใหม่ หรือมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เลย เป็นเหมือนเกม Hack & Slash ทั่วไปที่ผสมผสานจังหวะดนตรีเอาไว้ได้อย่างลงตัว และเล่นสนุก ๆ เท่านั้น แต่บางที ความสนุกนี่แหละ ที่เราอาจจะมองหาอยู่ก็ได้เติมเต็มความยอดเยี่ยมด้วยปัญหาด้าน Performance ที่น้อยมาก ๆส่งท้ายกันด้วยเรื่องของการรันเกมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC ผ่านระบบ Xbox Game Pass และเล่นบน PC ระดับกลาง ที่ใช้การ์ดจอ RTX 2070 ก็ถือว่าหายห่วง ตัวเกมสามารถรันได้ด้วย Setting ระดับ High แบบสบาย ๆ และระหว่างการเล่น ก็แทบไม่พบเจอบั๊ก หรืออาการแปลก ๆ อย่างเฟรมเรทตก หรือเกมค้าง แครชไปแบบหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าเป็นเกมที่มั่นใจกับการ Surprise Launch มาก ๆ และทำได้ดีมากจริง ๆ เป็นการเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์ และมอบความสนุกให้กับผู้เล่นแบบเซอร์ไพรส์ไม่แพ้กัน งานนี้ใครที่อยากลองสัมผัสเกมสีสันสดใส ที่มาพร้อมดนตรีจังหวะสนุก ๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด ตัวเกมมีให้เล่นบน Xbox Game Pass / PC Game Pass ด้วย และเล่นได้แล้ววันนี้
19 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Like a Dragon: Ishin! เกมยากูซ่าสวมสกินซามูไร เลือดสาดสะใจในแบบที่คุณคุ้นเคย
สำหรับแฟนๆ ของเกมซีรีส์ Yakuza หลายคน อาจจะเคยได้ยินชื่อเกม Yakuza: Ishin! มาก่อน ในฐานะเกมภาคสปินออฟที่นำสูตรเกมเพลย์เฉพาะตัวของซีรีส์มาคู่กับฉากหลังญี่ปุ่นโบราณ ให้ผู้เล่นได้จับดาบคาตานะฟาดฟันกับศัตรูแทนการต่อสู้ด้วยกำปั้น แต่น่าเสียดายที่เกมวางจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014 เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น และไม่เคยได้รับการแปลภาษาเพื่อวางจำหน่ายในภูมิภาคอื่นๆ ทำให้แฟนเกมนอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถสัมผัสเกมได้จนถึงบัดนี้ เมื่อเกมได้รับการรีเมคภายใต้ชื่อใหม่อย่าง Like a Dragon: Ishin! นั่นเองหลังจากที่ได้เล่นเกมมาเป็นระยะเวลาราวๆ 35 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) บอกได้ว่าเกม Like a Dragon: Ishin! ยังคงสามารถมอบประสบการณ์แอคชัน RPG ที่เพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ด้วยระบบต่อสู้อันเรียบง่ายแต่เร้าใจ เนื้อเรื่องอันเข้มข้นน่าติดตาม รวมไปถึงกิจกรรมเสริมและไซด์เควสจำนวนมาก แม้ว่าเกมจะยังมีองค์ประกอบที่น่าขัดใจหลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึกเก่ากว่าที่ควรเปลี่ยนสกินซามูไร แต่ยังไม่ทิ้งลายดราม่าสืบสวนในเกม Like a Dragon: Ishin! ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Sakamoto Ryoma (ซากาโมโตะ เรียวมะ) ซามูไรหนุ่มผู้แทรกซึมเข้าสู่องค์กรซามูไร Shinsengumi เพื่อตามหานักดาบปริศนาผู้ปลิดชีพพ่อบุญธรรมของเขา ส่งผลให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวการปฏิวัติทางการเมืองครั้งใหญ่อีกด้วยเอาเข้าจริงแล้ว เนื้อเรื่องของเกมภาค Ishin! ก็ไม่ได้ต่างจากเนื้อเรื่องของเกม Yakuza ภาคอื่นๆ ที่ผ่านมานัก กล่าวคือเป็นเนื้อเรื่องดราม่าแนวสืบสวนสอบสวนคล้ายๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนฉากหลังหรือธีมจากยากูซ่า/นักเลง มาเป็นซามูไรเท่านั้นเอง ซึ่งเกมก็ยังคงรักษามาตรฐานเนื้อเรื่องอันเข้มข้นของซีรีส์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังคงมาพร้อมกับจุดอ่อนใหญ่ๆ ที่อยู่คู่กับซีรีส์มาตลอดเช่นเดียวกัน เช่นการที่เกมมักจะเล่าเรื่องผ่านคัตซีนบทสนทนาทีละ 5-10 นาทีโดยกดข้ามไม่ได้ ซึ่งนานๆ เข้าก็อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกเบื้อไปก่อนได้แต่เนื้อเรื่องหลักของเกมซีรีส์นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของเกมเท่านั้น โดยเนื้อเรื่องเสริมมากมายที่พบในไซด์เควสก็ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของซีรีส์เช่นกัน และ Ishin! ก็รักษามตารฐานในจุดนี้เอาไว้ได้ โดยแม้ว่าเนื้อเรื่องเสริมที่ผู้เขียนพบ (จากที่เล่นมาเพิ่งพบไปราว 50% เท่านั้น) จะไม่ได้มีเควสที่กาวสุดทางเหมือนในเกมซีรีส์หลักมากนัก แต่ก็ยังมีหลายเควสที่ทำให้ขำออกเสียงออกมา ไปจนถึงเควสที่ทำเอาซึ้งน้ำตาซึมก็มี บอกตามตรงว่าสำหรับผู้เขียนแล้ว การวิ่งเก็บไซด์เควสในเกมยังเพลินกว่าเล่นเควสหลักเสียอีกปัญหาอีกอย่างที่ผู้เล่นชาวไทยหลายคนอาจจะพบเมื่อเล่นเกมนี้ คือการที่เกมมักใช้ภาษาอังกฤษแบบติดสำเนียงหรือใช้คำภาษาถิ่นอันหลากหลาย เพื่อสื่อถึงพื้นเพที่แตกต่างกันของตัวละคร ซึ่งในบางครั้งก็อาจทำให้คนที่ไม่เป๊ะภาษาอังกฤษจริงๆ อาจจะเจอคำพูดหรือประโยคภาษาถิ่นที่ชวนงงได้ ยังไม่นับรวมศัพท์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจำนวนมากมายที่ถูกใช้อยู่ตลอดเวลาเกมเพลย์ที่ไม่ได้ไม่สนุก แต่ให้ความรู้สึกย้อนยุคสมธีมเกมอย่างที่กล่าวไปข้างต้น จะบอกว่าเกมเพลย์ของ Like a Dragon: Ishin! ถือเป็นการนำเกม Yakuza ภาคก่อนๆ มาสวมสกินซามูไรก็คงไม่เกินจริงไปนัก โดยผู้เล่นจะได้เดินสำรวจเมือง Kyo ของเกมอย่างอิสระเพื่อพูดคุยกับชาวเมือง กินอาหาร ซื้อขายของ หรือเล่นมินิเกม และในระหว่างสำรวจเมืองก็จะมีกลุ่มศัตรูเดินเข้ามาหาเรื่องเราอยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับเกม Yakuza เป๊ะๆสำหรับการต่อสู้ในเกม Ishin! จะใช้ระบบแอคชันอันเรียบง่ายที่เน้นการโจมตีหนัก-เบาเป็นคอมโบ ควบคู่ไปกับการหลบหลีกและป้องกันการโจมตีของศัตรู รวมไปถึงการหาโอกาสในการใช้ท่าพิเศษ Heat Action เพื่อสร้างความเสียหายทีละมากๆ ใส่ศัตรู โดยใน Ishin! ผู้เล่นจะสามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสไตล์การต่อสู้ 4 แบบคือ Brawler (กำปั้น) Swordsman (ดาบ) Gunman (ปืน) และ Wild Dancer (ดาบ+ปืน) ซึ่งล้วนมีความสามารถและจุดเด่นในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป โดยการสลับสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสไตล์การต่อสู้ทั้ง 4 ก็ช่วยทำให้เกมมีความหลากหลายขึ้นเช่นกันนอกจากเกมเพลย์ต่อสู้ขั้นพื้นฐานตามสูตร Yakuza แล้ว ระบบที่เพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษในเกมภาค Ishin! ก็คือระบบ Trooper Card ที่ให้เราเลือกสวมใส่ “การ์ดทหาร” เพื่อรับความสามารถพิเศษต่างๆ เช่นบัฟเพิ่มพลังโจมตี บัฟฟื้นฟู HP ไปจนถึงท่าโจมตีพิศตารๆ ปั่นๆ อีกจำนวนมาก ตั้งแต่การปล่อยสายฟ้าจากมือไปช๊อตศัตรู ไปจนถึงการปล่อยพลังคลื่นเต่า โดยเหล่าทหาร Trooper Card เหล่านี้ยังมีแขกรับเชิญสนุกๆ อย่างนักมวยปล้ำ Kenny Omega หรือ VTuber Nyatasha Nyanners ให้สะสมอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ช่วยทำให้เกมมีความหลากหลายและน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปด้วยสำหรับผู้เขียน เพราะอยากจะปลดล๊อค Trooper Card แปลกๆ มาลองใช้อยู่ตลอดเวลาทั้งนี้ แม้ว่าระบบต่อสู้ในเกม Ishin! จะสนุกตามมาตรฐาน แต่เกมกลับมีระบบเล็กน้อยหลายๆ อย่างที่ออกแบบมาไม่ค่อยดีนัก ซึ่งพอรวมกันมากๆ เข้าก็ส่งผลให้การเล่นเกมในบางแง่บางมุมให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเกมยุคเก่าที่มาพร้อมปัญหาจุกจิกติดขัดจำนวนมาก โดยปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เขียนคือการที่เกมดูจะเลือกแสดงตำแหน่งของไซด์เควสบางเควส แต่กลับไม่แสดงตำแหน่งของเควสอื่นๆ ซึ่งในหลายกรณีเป็นเควสที่ต้องวนกลับมาหา NPC ตัวเดิมหลายครั้ง ส่งผลให้ผู้เขียนจำเป็นต้องคอยจำตำแหน่งของ NPC หลายๆ ตัวเอาเอง ไม่งั้นก็ต้องวิ่งหาทั่วเมือง เมื่อรวมกับระบบวาร์ปที่จำกัดมากๆ ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนจำเป็นต้องวิ่งไปมาทั่วเมืองตลอดเวลาเพื่อเก็บเควสเสริม เสียเวลาโดยใช่เหตุกันไปยิ่งไปกว่านั้น เกม Like a Dragon: Ishin! ยังมีระบบ RPG ที่ให้ผู้เล่นต้องคอยพัฒนาอาวุธ ชุดเกราะ และสกิลของตัวละครอยู่เสมอ โดยเกมจะคอยเพิ่มเลเวลของศัตรูที่พบเจอได้ทั่วไปในตามการดำเนินเรื่องของผู้เล่น ยิ่งเล่นไปไกลก็ยิ่งเวลสูง แต่ปัญหาคือเกมกลับไม่บอกผู้เล่นเลยว่าควรจะมีเลเวลเท่าไหร่ก่อนที่จะเล่นภารกิจเนื้อเรื่อง ส่งผลให้ผู้เขียนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลเวลหรือไอเทมตามเกมไม่ทันโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะภารกิจที่ให้เราต่อสู้กับบอสระดับสูงโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเลยว่าเลเวลของเราถึงหรือยังกราฟิกไม่น่าประทับใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้คอมแรง…แม้ว่าเมือง Kyo ของเกมภาค Ishin! จะมีรายละเอียดและชีวิตชีวาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าคุณภาพกราฟิกของเกมยังไม่สามารถเทียบเท่ากับเกมระดับ AAA ทั่วไปได้ โดยรายละเอียดพื้นผิว (Texture) ต่างๆ ในเกมยังมีความหยาบอยู่มาก แถมอนิเมชันตัวละครส่วนใหญ่ก็ยังมีความติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าหลุดออกมาจากยุค PS3 อย่างไงอย่างงั้น ซึ่งหลายคนก็ยกให้เป็นเสน่ห์แปลกๆ ของเกมซีรีส์ Yakuza ไปแล้วในปัจจุบันนอกจากนี้ การเปลี่ยนสถานที่ตั้งจากเมืองยุคปัจจุบันอย่าง Kamurocho มาสู่เมืองญี่ปุ่นโบราณอย่าง Kyo ทำให้เกมสูญเสียแสงสีย่านกลางคืนอันเป็นจุดเด่นของซีรีส์ Yakuza ไป แถมอาคารและบ้านช่องสไตล์ญี่ปุ่นโบราณเหล่านี้ยังแอบมีความคล้ายกันไปหมด ทำให้ในบางครั้งก็จำสถานที่ผิดๆ ถูกๆ อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งนำมารวมกับระบบแผนที่ของเกมที่เลือกแสดงตำแหน่งของเควสแค่บางเควส ยิ่งทำให้การเดินทางในเมืองลำบากเข้าไปใหญ่แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนมาสู่ธีมซามูไรที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธอย่างดาบหรือปืน ก็ทำให้การต่อสู้ของเกมรู้สึกดุเดือด เลือดสาด โดยเฉพาะเมื่อนำมารวมกับระบบท่าปลิดชีพ Heat Action ซึ่งก็เสริมความสนุกให้เกมได้ไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับเกมซีรีส์ Yakuza ที่ผ่านๆ มา และแม้ว่าเกมอาจจะเสียคะแนนไปบ้างในส่วนของภาพ แต่เกมก็ทำได้ดีมากในส่วนของเสียง ตั้งแต่เสียงพากย์ เสียงดนตรี ไปจนถึงซาวด์เอฟเฟกต์ประกอบทั้งหลาย ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของเกมได้มากอีกข้อดีหนึ่งของภาพกราฟิกที่เรียบง่ายของเกมก็คือการที่เกมสามารถทำงานได้ดีมากบน PC โดยผู้เขียนได้เล่นเกมบนคอมพิวเตอร์แลปทอปที่มาพร้อมการ์ดจอ RTX 3060 / CPU i7-11370H / RAM 12GB ซึ่งก็เพียงพอจะปรับกราฟิกระดับสูงสุดได้โดยยังคงเฟรมเรต 60FPS เอาไว้ได้ในระหว่างเกมเพลย์ ในขณะที่ฉากคัตซีนทั้งหมดของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 30FPS เท่านั้นกล่าวโดยสรุป เกม Like a Dragon: Ishin! ถือเป็นการนำเสนอสูตรเกมเพลย์ของซีรีส์ Yakuza ภายใต้ “ลุค” ใหม่ โดยแม้ว่าระบบและโครงสร้างเกมหลายๆ จุดจะเริ่มรู้สึกล้าสมัยอยู่ไม่น้อย แต่ตัวตนของซีรีส์ที่ผู้คนชื่นชอบอย่างเนื้อเรื่องดราม่าอันเข้มข้น หรือการต่อสู้สไตล์แอคชันอันตรงไปตรงมา ก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้อย่างครบถ้วน น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถขัดเกลาข้อด้อยต่างๆ ของซีรีส์ไปด้วยได้ ส่งผลให้ Like a Dragon: Ishin! รู้สึกเหมือนเป็นการย่ำอยู่กับที่ของซีรีส์นี้ มากกว่าจะเป็นก้าวต่อไปที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
17 Feb 2023
[Review] Wild Hearts เกมล่าแย้น้องใหม่ที่ยอดเยี่ยมจนสมควรได้เป็น "คู่แข่งเบอร์ 1 ของมอนฮัน"
Wild Hearts เกมแนว Action RPG สไตล์เกมล่าแย้แบบ Monster Hunter แต่มาจากทีมพัฒนา Koei Tecmo ผู้เคยสร้างเกม Nioh หรือ Toukiden กับ EA Originals ผู้ให้ทุนสร้างเกมนี้ โดยเกมจะวางขายบน PC ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2023 ส่วนบนคอนโซลจะเริ่มให้เล่นวันที่ 17 ตอนเที่ยงคืนเป็นต้นไป แต่ใครที่ไม่กล้าซื้อเกมนี้มาเล่น เพราะไม่รู้ว่ามันจะสนุก หรือมันจะน่าถูกใจเหมือนของเกม Monster Hunter หรือไม่ วันนี้ทาง GameFever ที่เล่นเกม Wild Hearts ไปจนจบภายในเวลา 40 ชั่วโมง ก็ได้มาทำการรีวิวเกมนี้ให้ชมภายในบทความนี้แล้ว!!! รับชมกันได้ที่ด้านล่างเลย* ขอขอบคุณทาง Koei Tecmo กับ EA Originals ผู้ให้เกมนี้มารีวิวก่อนวางขายกันด้วยนะครับ *จักรวาลน่าสนใจ แต่เนื้อเรื่องธรรมดาเกินWild Hearts คือเกมที่ให้ผู้เล่นสวมเป็นซามูไรนักล่า Kemono (ชื่อเรียกของพวกมอนสเตอร์ในเกม) โดยงานของเราก็คือการต้องแข็งแกร่งเพื่อปราบมอนให้ได้ทุกชนิด และไปรับภารกิจจาก NPC ต่างๆ เพื่อช่วยให้หมู่บ้านเติบโตขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเนื้อเรื่องสูตรสำเร็จแบบ Monster Hunter แต่เกมนี้ก็มีเอกลักษณ์เนื้อเรื่องให้พบเห็นอย่างตัวเราที่ดูเป็นซามูไรมากๆ ทั้งพวกชุดที่ใส่หรืออารยธรรมต่างๆ ที่ส่งผลไปถึงการปฎิบัติตอนล่า แถมเกมนี้ยังเล่าเรื่องเริ่มมาแบบให้ 'เราไม่รู้อะไรเลย' ก่อนที่เราจะได้ผจญภัยเรียนรู้จักรวาลในเกมเรื่อยๆ แล้วก็ยังจะได้พบ NPC ที่มีเสน่ห์น่าสนใจ และเกมก็ยังออกแบบ NPC ทุกคนมาดีขนาดให้ฟิลเป็นเพื่อนหรือครอบครัวของเรา รวมทั้งเกมก็ยังให้เราได้อินความเป็นตัวเอกสุดๆ เพราะเราจะได้สร้างตัว + เลือกตอบบทสนากับ NPC ได้ตลอดทั้งเกม * เกมมีให้สร้างตัวละครด้วย เลือกเพศได้ และก็ปรับแต่งได้เยอะเหมือน Monster Hunter ** ชุดในเกมให้อารมณ์ซามูไร, นินจา หรือนักรบกับแม่ทัพหลายรูปแบบตามอารยธรรมญี่ปุ่น ** พื้นที่ต่างๆ ในเกมจะมีความเป็นญี่ปุ่น ยกตัวอย่างพื้นที่มีต้นซากุระงามๆ แถมตอนล่าก็จะได้ใช้วิชาต่อสู้แนวนักรบญี่ปุ่น หรือต้องปลิดชีพมอนแล้วทำท่าเคารพสไตล์ซามูไร** การเลือกบทสนาอาจไม่ระดับเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์เป็นคนละเส้นทางแต่มันจะทำให้อินกับการเป็นตัวเอก เพราะเราจะได้เลือกความรู้สึกหรือเลือกว่าตัวเองมีที่มาอย่างไร *จากด้านบนจะเห็นว่าเกมนี้ดูจะทำด้านเนื้อเรื่องออกมาได้ดี และให้พูดกันตามตรงคือจักรวาลก็ทำออกมาได้น่าสนใจพร้อมมีเรื่องราวให้น่าศึกษาเยอะเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะกลับไม่ทำให้คุณร้องว้าว เพราะเนื้อเรื่องหลักของเกมมันกลับทำธรรมดามากๆ มันดูไร้ประเด็นน่าสนใจหรือมีการหักมุมที่น่าจดจำ โดยจริงๆ มันก็มีเนื้อเรื่องช่วงนึงที่สร้างภาพประทับใจได้อยู่ แต่ก็ด้วยความที่ช่วงนั้นมันดันไป 'เหมือนเนื้อเรื่องของ Monster Hunter ภาค World' ก็ทำให้เรารู้สึกวามันประทับใจได้ไม่สุด และจุดพวกนี้แหละที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าแม้จักรวาลดีหรือ NPC จะมีเสน่ห์น่าสนใจขนาดไหน ท้ายที่สุดถ้าเนื้อเรื่องไม่ดีก็ดูจืดไปหมดเลย* จริงๆ เกมนี้ยังทำคัทซีนออกมาได้สวยงาม และดูดีจนพอเป็นภาพจำได้บ้าง แต่มันก็สวนทางกับด้านเนื้อเรื่องจนรู้สึกว่ามันดีงามไม่สุดอยู่ดี ** แม้ท้ายที่สุดเกมแนวล่าแย้จะไม่จำเป็นต้องมีเนื้อเรื่องดีๆแต่ของเกมนี้มันส่งผลให้มอนดูจืดไม่มีอะไรน่าจดจำไปด้วยในด้านการออกแบบหรือประวัติ ** อีกอย่างคือแม้เกมเล่าเรื่องแบบค่อยๆ ให้เรียนรู้จักรวาล จนอินกับเกมง่ายๆ เพราะเรียนรู้ไปพร้อมตัวเอกแต่ช่วงแรกที่เราไม่รู้อะไรเลย เกมก็ดูไม่มีอะไรน่าสนใจหรือน่าติดตามไปด้วย ทำให้คนอาจเผลอกดรีฟันก่อน *จุดแข็งคือการนำเสนอแปลกใหม่ และมันก็สดใหม่ตลอดเวลาเลยWild Hearts จะมอบประสบการณ์เล่นในเบื้องต้นเหมือนกับ Monster Hunter ทุกอย่างไม่ว่าจะลูปเกมให้เราทำสิ่งต่างๆ เตรียมตัวก่อนล่า และพอถึงตอนล่าก็ต้องศึกษาหรือหาวิธีจัดการมอนตัวนั้นให้ง่ายๆ แล้วพอล่าสำเร็จก็จะได้ทรัพยากรดีๆ จากมอนแต่ละชนิดมาอัปเกรดตัวละครเพิ่ม แล้วก็ยังหยิบยืมพวกระบบต่างๆ อย่างคู่หูที่ในมอนฮันจะเป็นเจ้าแมวน้อย แต่เกมนี้จะเป็นเจ้าหุ่นตัวน้อย หรือระบบมอนมีชีวิตที่สามารถหนีหรือโกรธ และเราตัดอวัยวะมันได้ แล้วมันก็ถึงระดับทำให้คิดว่าเกมนี้ใช้เอนจิ้นเดียวกันหรือเป็นเกมภาคต่อ Monster Hunter ภาค World เลยทีเดียว แต่เกมนี้จะไม่ได้เอาระบบไอเทมพกพามาด้วย ทำให้เกมไม่มีกินอาหารเพิ่มค่าความเหนื่อยหรือเอาหินขัดให้อาวุธคม แล้วเกมก็จะใส่ระบบที่เรียกว่า Karakuri มาแทน โดยมันคืออุปกรณ์ติดแขนไว้ใช้สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งมันสร้างได้หลายอย่างมาก พร้อมผู้เล่นต้องปลดล็อกเรื่อยๆ ทำให้ตลอดทั้งเกมเราจะได้เจออะไรสดใหม่อยู่ตลอดกับพวกสิ่งก่อสร้างไว้ใช้เพิ่มความสะดวกสบาย หรือใช้ช่วยสู้มอนเป็นต้น แล้วระบบนี้มันดีระดับทำให้เกมมีความอิสระสูง และกลายเป็นเกมแนว Sandbox พร้อมให้ผู้เล่นได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสู้มอนได้ แล้วที่ต้องแจ้งเลยคือมันใช้งานง่ายมาก!!! * หมวดแรกที่ Karakuri สร้างได้คือสถานที่ให้ความสะดวก ยกตัวอย่างใช้บินไปพื้นที่สูงๆ หรือยานพาหนะสิ่งพวกนี้สร้างได้ตรงไหนก็ได้ทุกแผนที่ และมีให้ปลดล็อกมาสร้างความสะดวกใหม่ๆ ตลอดทั้งเกม** หมวดสองคืออุปกรณ์ช่วยสู้มอน ยกตัวอย่างบล็อกสี่เหลี่ยมป้องกันการโจมตี หรือสปริงให้เราพุ่งตัวหลบการโจมแล้วยังมีสูตรให้สร้างผสมกันเป็นสถานที่ช่วยสู้มอน แล้วก็สร้างตรงไหนก็ได้ และมีให้ปลดใหม่เรื่อยๆ ** เจ้าหุ่นตัวน้อยจะช่วยนักล่าทั้งการโจมตี, ช่วงแท้งค์, ช่วยเติมพลังชีวิต หรือช่วยเติมของให้สร้าง Karakuri ได้แล้วผู้เล่นยังไปเก็บเจ้าหุ่นตัวน้อยอื่นๆ ที่ซ่อนในแผนที่มาอัปเกรดให้หุ่นตัวน้อยเราเก่งขึ้นได้ด้วย *จากด้านบนทั้งหมด เราจึงเห็นได้ว่าเกมนี้มีจุดการนำเสนอที่น่าสนใจ และแปลกใหม่จาก Monster Hunter อย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีหลายอย่างที่ใส่เข้ามาเหมือนกันเยอะมาก แต่เกมนี้กลับมีสิ่งนึงที่หลายคนได้เล่นจะรู้สึกเหมือนกันคือ 'ภาพไม่สวย' เพราะมันมีหลายพื้นที่ที่ Texture ดูหยาบหรือเป็นดินน้ำมันมาก และภาพก็ดูไม่ค่อยมีความละเอียดอะไรแบบนั้น จนเป็นอีกเหตุผลให้บางคนรู้สึกอยากรีฟันเกมตั้งแต่ช่วงแรก แต่ถึงอย่างงั้นเกมก็ออกแบบฉากในแผนที่ต่างๆ ได้ดูดีอลังมากเลยนะ แถมพวกเสียงเพลงประกอบกับอนิเมชั่นก็ทำออกมาดี พร้อมระบบ Karakuri ที่ให้ความสดใหม่ทั้งเกมก็ทำให้คุณสามารถลืมเรื่อง Texture หยาบๆ หรือภาพที่ดูไม่สวยได้เลยนะ!* ถ้าคุณดูภาพนี้ผ่านๆ จะเห็นว่าเกมภาพสวยนะ แต่ถ้าสังเกตุหลายๆ จุดจะเห็นว่ามีความหยาบอยู่ ** แต่ว่าทุกแผนที่ในเกมนี้ มันรับประกันต้องมีฉากสวยๆ แบบนี้ตลอดเลย *เกมเพลย์ก็ทำมาดี แต่ที่ดีต่อใจสุดๆ คือคอนเทนต์ระบบต่อสู้เกมนี้ก็จะคล้าย Monster Hunter โดยเราจะได้เลือกอาวุธหลักถึง 8 ชนิด และทุกอาวุธจะมีกลไกการต่อสู้ไม่เหมือนกัน และเกมก็จะมีระบบการโจมตีธาตุหลายแบบที่บางธาตุจะโจมมอนได้รุนแรงหรือเบากว่าแบบธรรมดา พร้อมพวกมอนสเตอร์ก็จะมีชนิดต่างกันที่ทำให้เราต้องศึกษารับมือท่าแปลกใหม่เรื่อยๆ แต่เกมนี้ยังมาพร้อมความ 'ท้าทายนึกว่า Dark Souls' เพราะระบบต่อสู้จะรวดเร็วทันใจกว่ามอนฮัน ทั้งด้านตัวนักล่ากับมอนสเตอร์ แล้วมอนสเตอร์มันจะเน้นโจมตีเร็วแบบไม่มีช่วงเวลาพักเลย แถมเกมนี้ยังไม่มีโล่หรืออาวุธที่ใช้บล็อกการโจมตีได้ มากสุดมีเพียงแค่การบล็อกหรืออาวุธร่ม Wagasa ที่ Parry ได้อยู่ แต่อาวุธทุกชนิดยังไงผู้เล่นก็ต้องฝึก 'กลิ้งหลบ' การโจมตีเป็นหลักเลย แล้วกลไกอาวุธส่วนใหญ่ยังเน้นให้เรา 'เข้าโจมมอนไม่พักเพื่อสามารถใช้ไม้ตายได้' ขณะที่ถ้าเผลอโดนมอนโจม 1-2 ตีก็ตายได้เลย ส่งผลให้เกมนี้มันท้าทายแบบน่าสนใจจากมอนฮันอย่างมาก* มอนช่วงแรกๆ จะไม่โหด แต่พอมาถึงตัว Lavaback ตามภาพ และหลังจากนี้มันจะเริ่มโหดท้ายนึกว่าเล่นเกมแนว Souls-like ** ภาพตัวอย่างว่ามอนตัวนึงจะมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน, แพ้ธาตุอะไร, แพ้การโจมตีกายภาพแบบไหนหรือสามารถติดสถานอะไรได้ง่าย  *นอกจากนี้เกมยังมีคอนเทนต์ให้ฟาร์มเยอะไปหมดเลย และคอนเทนต์หลายตัวยังมีลูกเล่นให้เพลินได้เกิน 100 ชั่วโมงสบายๆ ยกตัวอย่างระบบ 'อัปเกรดอาวุธ' ที่ถ้าอาวุธ 1 ชิ้นใน Monster Hunter จะมีให้เราเลือกสายธาตุการโจมตี และอัปเกรดจนถึงขั้นสุดท้ายหรือเปลี่ยนสายได้ไปนิดหน่อย แต่ของเกมนี้ 1 ชิ้นสามารถอัปได้ทุกสายเพื่อ 'เอาสกิลมาผสมกันกับอาวุธสายอื่น' โดยแค่นี้คนเล่นก็จะรู้สึกแล้วว่า 'ถ้าจะครอบครองอาวุธทุกสายที่ดีที่สุดคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า  500 ชั่วโมง' ส่วนข้อเสียด้านเกมเพลย์คือมอนจริงๆ มีต่างกันแค่ 10 ชนิดเอง แล้วมอนตัวอื่นยังมาเป็นแบบย้อมสีเพียบเลย ซึ่งเล่นเกมนี้ไปถึงช่วง 'กลางเกม' ก็ต้องมาเจอมอนหน้าตาซ้ำๆ กันแล้ว แต่ยังดีที่เกมนี้จะมีอัปเดตฟรีเพิ่มมอนหรืออย่างอื่นเรื่อยๆ พร้อมตอนนี้เกมก็มี 'มอนระดับเก่งกว่า' หรือ 'มอนกลายพันธุ์' แต่ละชนิดให้สู้ด้วย* ภาพตัวอย่างการอัปเกรดอาวุธชนิดดาบ ที่เราอัปได้หลายสาย และเราเอาสกิลติดอาวุธแต่ละสายมาผสมกันได้ตรงนี้เป็นหนึ่งในคอนเทนต์ให้ฟาร์มยันตอนท้ายเกม และช่วงท้ายเกมมีอะไรให้ทำอีกเพียบจัดๆ ** ระบบเกราะนอกจากมีให้หาใส่หลายแบบ ก็ยังมีให้อัปเกรดเป็นเกราะสายมนุษย์นักล่า หรือปีศาจนักล่าโดยแต่ละสายจะสามารถได้รับสกิลพิเศษมาใช้งานได้ไม่เหมือนกัน *ประสิทธิภาพเกมคือตัวปัญหาใหญ่พูดกันตามตรง เกมนี้ดูเหมือนว่า 'มันสร้างเสร็จแล้ว แต่เหมือนทีมพัฒนาไม่เคยทำเกมฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ หรือเวลาปรับปรุงไม่พอ' เพราะตัวเกมนั้นกินเสปคอย่างมาก บน Console ถ้าจะเล่นภาพแบบ 60fps จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 1080 เท่านั้น ทั้งๆ ที่เกมภาพแบบนี้ควรจะได้ระดับ 2K หรือ 4K สบายๆ เลย ส่วนบน PC แม้จะมีเสปคเกินความต้องการขั้นแนะนำอย่างผู้เขียนที่ใช้ i5-12400f & 3070Ti ก็ยังเล่นเกมนี้ได้ไม่ลื่นเลย พร้อมกับเกมก็ยังมีบั๊กน่าหงุดหงิด และบน PC ยังมีบั๊กที่ Option ในเกมไม่ทำงานหรือมีปัญหา แต่ล่าสุดนี้ผู้สร้างแจ้งแล้วว่าตัวเกมบน PC จะมีแก้ปัญหาในอาทิตย์หน้าหลังเกมวางขายให้เล่นลื่นขึ้นนอกจากนี้คือคุณจะดูออกเลยว่าทำไมเกมกินเสปค โดยมันก็เป็นเพราะเกมนั้นดูทำมาเสเกลใหญ่มากในเรื่องแผนที่มีฉากอลังเยอะๆ แต่ดันปรับปรุงให้เล่นลื่นไม่ได้นั่นเอง แถมผู้เขียนขอแชร์เรื่องนึงคือผู้เล่นไม่สามารถเข้าเล่นเกมนี้ไปได้ 2 วันเพราะ 'บั๊กไอดี Microsoft Account ที่ใช้ล็อกอินกับ Windows' ซึ่งผู้เขียนไม่คิดไม่ฝันว่าเกมจะเข้าเล่นไม่ได้เพราะอะไรแบบนี้ แต่หลังลองเปลี่ยนดูก็กลับมาเล่นได้ปกติถึงปัจจุบันจนทำให้สงสัย 'Microsoft Account มันทำให้เข้าเกมไม่ได้ด้วยหรอ เล่นเกมมาเกิน 20 ปีเพิ่งเคยพบเคยเจอ?'มาสรุปกันเถอะถ้ามองในรูปแบบเกมๆ หนึ่ง Wild Hearts อาจไม่ใช่เกมต้องหาเล่นให้ได้ในชีวิตหรือเกมท้าชิงยอดเยี่ยมแห่งปี 2023 แต่ถ้าพูดในรูปแบบเกมล่าแย้ แค่มันทำได้จนนึกว่าเป็นเกมภาคต่อ Monster Hunter ก็ดีมากแล้ว แต่เกมยังทำระบบ Karakuri ออกมาดีสุดๆ และยังยอดเยี่ยมสดใหม่ให้คนเคยเล่นเกมแนวล่าแย้จนเอียนๆ ก็ยังกลับมาเล่นเกมแนวนี้สนุกได้ มันอาจมีเรื่องน่าขัดใจหน่อยคือด้านการเล่าเรื่องดูทำมาดี แต่ตกม้าตายเพราะเนื้อเรื่องธรรมดา หรือมอนที่ยังมีไม่เยอะมาก แล้วต้องรออัปเดตเรื่อยๆ หรือประสิทธิภาพที่ก็ต้องรอแก้ไขให้เล่นลื่นขึ้น แต่สิ่งพวกนี้อย่าลืมว่ามัน 'แก้ไขได้ในอนาคต' ทำให้อนาคตมันอาจเป็นเกมคู่ควรกับคะแนน 9/10 หรือ 10/10 ได้เลย แต่ปัจจุบันทางเราก็ขอให้คะแนนมันเท่านี้ไปก่อน
16 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Hogwarts Legacy นี่คือเกมที่สร้างมาเพื่อแฟน Harry Potter อย่างแท้จริง !!
ถ้าให้พูดถึงหนึ่งในนิยายที่มีอิทธิพลและเป็นที่รู้จักในหมู่วัยรุ่น เชื่อว่าชื่อของนิยาย Harry Potter นั้นก็คงจะเป็นหนึ่งในลิสต์ที่ว่าไป เพราะเนื้อเรื่องจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์อันน่าทึ่ง และมันก็ได้เสริมสร้างจินตนาการให้กับคนอ่านอย่างมาก บวกกับยังมีการเอานิยายมาดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์ ให้เราได้เห็นโรงเรียนฮอกวอตส์ที่จินตนาการไว้อย่างเต็ม ๆ ตา และทำให้แฟรนไชส์นี้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าในสมัยที่ภาพยนตร์ปล่อยออกมา ทางผู้พัฒนาก็ได้เคยสร้างวิดีโอเกมจากแฟรนไชส์ Harry Potter ขึ้นมาโปรโมทอยู่ตลอด แต่หลังจากที่ภาพยนตร์จบลงไปในปี 2011 เราเองก็ไม่ได้เห็นวิดีโอเกมจากซีรีส์นี้อีกเลย แต่ในปี 2023 ก็ได้มีเกมใหม่จากซีรีส์นี้อย่าง Hogwarts Legacy ที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนฮอกวอตส์ในอดีตร้อยปีก่อนเนื้อเรื่องหลัก ตัวเกมจะให้คุณได้เข้าไปสัมผัสโลกของ Wizarding World ด้วยตัวของคุณเอง กับกราฟิกสุดอลังการงานสร้าง รวมถึงยังจะให้คุณได้สำรวจพื้นที่อื่น ๆ ของเกมอีกด้วย โดยในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Hogwarts Legacy จะยอดเยี่ยมเหมือนที่เคยได้ดูในหนังหรืออ่านในนิยายหรือไม่เนื้อเรื่องโดยเรื่องราวของเกม Hogwarts Legacy จะย้อนกลับไปราว ๆ หนึ่งร้อยปีจากในนิยายและภาพยนตร์ โดยเราจะได้เล่นเป็นตัวละครที่เราสร้าง เป็นนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนฮอกวอตส์ในชั้นปีที่ห้า แต่ประเด็นก็คือเรานั้นกลับมีพลังพิเศษในการมองเห็นเวทมนตร์ลึกลับโบราณ และทำให้เราจะต้องเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เนื้อเรื่องหลักของเกมนั้นจะก็จะเล่าเกี่ยวกับตัวเราที่จะต้องหาความจริงเกี่ยวกับเวมมนตร์โบราณนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเราจะก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวภายในโรงเรียนผ่านเควสเนื้อเรื่องเช่นกัน เข้าเรียนวิชาต่าง ๆ พบเจอกับนักเรียนคนอื่นมากมาย และเราก็จะได้รู้เรื่องราวของพวกเขามากขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบเกี่ยวกับ Companions หรือคู่หูของเรา ที่เราจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไปอย่าง Naisai Onai จากบ้านกริฟฟินดอร์ ที่เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้คน, Poppy Sweeting จากบ้านฮัฟเฟอร์พัฟ จะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเหล่าสัตว์วิเศษที่โดนเหล่า The Poacher จับไปแบบผิดกฏหมาย หรือจะเป็น Sebastian Sallow จากบ้านสลิธีรินที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสตร์มืดซึ่งจากที่เล่นมาก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่เลวเลย แต่มันก็อาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับในภาพยนตร์ รวมถึงเนื้อเรื่องของเหล่า Companions แต่ละคนก็ทำออกมาได้อย่างแน่สนใจไม่แพ้เนื้อเรื่องหลักเลยทีเดียว  เผลอ ๆ ส่วนตัวผู้เขียนชอบเนื้อเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์มืดของ Sebastian Sallow มากกว่าเนื้อเรื่องหลักอีก (ฮ่า ๆ) นอกจากนี้ตัวเกมยังมี Side Quest ที่จะให้เราได้สำรวจโรงเรียน หรือเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยภายในโรงเรียนนี้อีกมากมายแต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อาจจะรู้สึกเสียดายกับเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องความเป็นเส้นตรงของเกม ที่ถึงแม้ว่าการกระทำ หรือการตอบคำถามบางอย่างของเราอาจจะส่งผลต่อการโต้ตอบของ NPC หรือมีเนื้อเรื่องแตกต่างนิดหน่อย แต่ใครที่คาดหวังว่าเนื้อเรื่องมันจะเปลี่ยนแปลงไปเลยแบบสุดขั่วตัวเกมก็อาจจะยังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น เพราะสุดท้ายเรื่องราวของคุณก็จะถูกวางเอาไว้ให้เป็นวีรบุรุษในการกอบกู้โลกแห่งเวทมนตร์อยู่ดี ต่อให้คุณอยากเลือกที่จะเล่นเป็นคนที่ฝักใฝ่ในศาสตร์มืด แต่มันก็ไม่ขนาดจะทำให้คุณต้องกลายเป็นผู้ทำลายฮอกวอตส์ อาจจะมีปฏิกริยาของโลกและ NPC ต่าง ๆ ที่จะเปลี่ยนไปเท่านั้นกราฟิก / การนำเสนอสำหรับโลกของ Hogwarts Legacy จะนำเสนอพื้นที่โรงเรียนฮอกวอตส์ที่คุณจินตนาการเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ทั้งรายละเอียดหลาย ๆ อย่างอยู่ครบถ้วน เราจะได้เห็นห้องเรียนต่าง ๆ ทั้งห้องวิชาปรุงยา ห้องวิชาสมุนไพร ห้องป้องกันตัวจากศาสตร์มืด สนามควิชดิช ห้องพักศาสตราจารย์ใหญ่ หรือห้องโถงกินข้าว ซึ่งมันจะเสริมสร้างจิตนาการได้อย่างยอดเยี่ยม คุณจะได้สำรวจโรงเรียนฮอกวอตส์ในทุกซอกทุกมุมเท่าที่ทำได้ (แต่แรก ๆ อาจจะหลงหน่อยนะ ฮ่า ๆ)รวมถึงเรายังจะได้สำรวจพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับโรงเรียนอย่างหมู่บ้าน Hogsmeade ซึ่งทำออกมาได้สวยงามมาก ๆ ไม่แพ้กัน ซึ่งในนี้ก็จะเป็นศูนย์รวมในการขายของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายไม้กายสิทธิ์ของ Olivander ร้านตัดผมที่จะให้คุณได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของคุณได้ ร้านขายไม้กวาด หรือร้านขายพีชพันธุ์หรือสูตรปรุงยาก็มีแต่ถึงอย่างนั้นสำหรับคนที่เสพงาน Harry Potter แค่ในฉบับภาพยนตร์คุณอาจจะต้องทำใจไว้ก่อน เพราะรายละเอียดของ Hogwarts Legacy จะมีการดีไซน์ทุกอย่างใหม่ทั้งหมด  โดยมีการเอาดีไซน์จากในหนังสือและภาพยนตร์รวมกันนั่นเอง ทำให้รายละเอียดบางอย่างของโรงเรียนนั้นจะแตกต่างจากในภาพยนตร์ที่เคยดู ยกตัวอย่างหน้าตาของบันไดแปรสภาพที่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน รวมถึงเพิงโหยหวน หรือต้นวิลโล่จอมหวดก็ยังไม่มีนะครับ เพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้จะเกิดก่อนที่เขาจะปลูกต้นไม้นี้ขึ้นมาเป็นต้น แต่ไม่ต้องกลัวไปเพราะภายในเกมจะมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายมาทดแทน และต้องยอมรับว่าฮอกวอตส์ของเกมนี้มีงานศิลปะที่สวยงามและน่าทึ่งที่สุดส่วนในด้าน Performance สำหรับผู้เขียนนั้นโชคดีหน่อยเพราะเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันของ PlayStation 5 ซึ่งตอนปรับโหมดเร่งเฟรมเรทตัวเกมก็สามารถรันเกมได้อย่างลื่นไหล 60 FPS นิ่ง ๆ โดยไม่มีอาการเฟรมเรทดรอปตอนเอฟเฟกต์เยอะ ๆ อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นทางผู้เขียนก็ลองปรับกราฟิกแบบเน้นภาพสวยปรากฏว่าเฟรมเรทของเกมดรอปกระจายจนถึงขั้นไม่ควรเล่นเลย (เหมาะสำหรับการถ่ายรูปสวย ๆ น่าจะดีกว่านะ) ส่วนในเรื่องบัคก็อาจจะเกิดบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่บัคร้ายแรงขนาดต้องรีเกม มีมาแค่แวบ ๆ เท่านั้นแต่สำหรับคนที่เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC คุณก็อาจจะต้องลุ้นหน่อย เพราะมีเพื่อน ๆ ของผู้เขียนบางคนที่เล่นเกมนี้บนเครื่องคอมพิวเตอร์และเกิดปัญหามากมายอย่างเช่นอยู่ดี ๆ เกมเด้งบ่อยมาก ๆ เสียงหาย ทั้ง ๆ ที่เครื่องคอมของเพื่อนคนนั้นจัดอยู่ในเกณฑ์ที่แรงพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีบางคนที่ยังเล่นเกมนี้ได้ปกติเช่นกัน และประสิทธิภาพก็ทำออกมาได้ดีเลยด้วยส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็คงจะเป็นงานเรื่องความละเอียดของโลกในเกมสำหรับ NPC ทั่วไป ที่โอเคว่าภายในโรงเรียนจะมีนักเรียนให้เดินพลุกพล่านไปทั่วในตอนเช้า แต่ในตอนกลางคืนเราไม่เห็นตัวละครเหล่านักเรียนเดินไปมา หรือมีคนตรวจตราในตอนกลางคืนเลย หรือแม้กระทั่งในตอนกลางคืนเองเราก็ไม่เห็นนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนเลยด้วยซ้ำ รวมถึงกิจกรรมภายในโรงเรียนก็มีให้ทำน้อยมาก นอกจากการเดินเควสต่าง ๆ หรือการเดินหาปริศนา มันก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลย ส่วนตัวอยากให้กิจกรรมภายในโรงเรียนมากกว่านี้อีกหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ที่ทางผู้พัฒนาน่าจะสร้างระบบตรงนี้ไม่ทัน เพราะต้องไปสร้างส่วนอื่น ๆ เป็นหลักเกมเพลย์สำหรับการเล่นส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการที่เราจะต้องไปทำเควสต่าง ๆ จาก NPC ภายในโรงเรียนซึ่งก็จะมีทั้งเควสหลัก เควสรอง ซึ่งนอกจากเควสหลักเกี่ยวกับการหาความจริงเกี่ยวกับความลับโบราณ หรือเควสเนื้อเรื่องของ Companions แล้วนั้น เควสส่วนใหญ่ก็จะจำลองให้คุณนั้นได้เป็นนักเรียนในโรงเรียนฮอกวอตส์แห่งนี้ ตัวเกมจะมีเควสให้คุณได้เข้าเรียน ปลดล็อกคาถาใหม่ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ในการต่อสู้ได้ ซึ่งตัวคาถาก็จะค่อย ๆ ปลดล็อกไปเรื่อย ๆ (เล่นจนเกือบจบเกมถึงจะปลดล็อกได้หมด) มีเควสที่จะให้คุณได้ผจญภัยไปในสถานที่ต่าง ๆ มากมายรวมถึงในเควสเสริมก็จะมีให้คุณได้ทำซึ่งความน่าสนใจก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้เควสหลักเลย ไม่ว่าจะเป็นเควสที่จะให้ไปช่วยถล่มรังโจร เควสค้นหาปริศนาต่าง ๆ หรือเควสการผจญภัยเข้าไปในที่ที่ลึกลับ หรือบางเควสอาจจะมีการเซอร์วิสแฟน ๆ อย่างสถานที่ลับไปหมู่บ้าน Hogsmeade หลังรูปปั้นแม่มด ที่จะให้เราไปช่วยซ่อมทางเดินเป็นต้น  รวมถึงหลัง ๆ เราเองก็จะต้องทำเควสเสริมเพราะจต้องเรียนคาถาต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย ไม่ว่าจะเป็นคาถาสะเดาะกลอน คาถาโจมตีบางคาถา หรือคาถาเกี่ยวกับศาสตร์มืดก็จะต้องทำในเควสเสริม หรือจะเป็นการอัปเกรดไม้กวาดบินได้ก็จะต้องทำผ่านเควสเสริมเช่นกันส่วนระบบการต่อสู้นั้นจะอ้างอิงจากคาถาที่มีอยู่จริงตามที่เขียนในนิยาย และผลข้างเคียงของคาถาแทบจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ ส่วนระบบการต่อสู้นั้นถ้าให้พูดง่าย ๆ ถ้าคุณเคยเล่นเกมอย่าง Marvel's Spider-Man หรือ Battle Arkham ตัวระบบการต่อสู้จะมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก แค่เปลี่ยนจากการต่อเตะ เป็นการร่ายคาถาต่าง ๆ ใส่กัน นอกจากนี้ตัวเกมยังมีการใส่ลูกเล่นและความท้าทายออกมาให้เราไม่เบื่อด้วย อย่างเช่นระบบเกราะป้องกันของศัตรู ที่จะแบ่งออกเป็นสี ๆ (แดง ม่วง เหลือง) ซึ่งวิธีแก้ก็คือคุณจะต้องร่ายคาถาโจมตีสีเดียวกันกับโล่ของศัตรู มันจะเป็นการแก้ทางและทำให้โล่ศัตรูเสียหายทันทีเป็นต้น เราสามารถจัดสรรคาถาต่าง ๆ และใช้เพื่อคอมโบกันด้วยอย่างเช่นให้คาถาดึงให้ศัตรูมาใกล้ ๆ และทำดาเมจไฟใส่ หรือคาถาที่ทำให้ศัตรูลอยและโจมตีด้วยคาถาปลดอาวุธเป็นต้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบการปัดป้องคาถาหรือหลบการโจมตีของศัตรูได้ด้วย โดยข้อดีของการปัดป้องคาถาก็คือเราจะสามารถใช้คาถาในการโจมตีสวนกลับศัตรูได้ง่าย แต่ถ้ากดไม่ตรงจังหวะก็อาจจะปัดป้องไม่ได้ ส่วนการกระโดดหลบนั้นเอาไว้ใช้หลบการโจมตีบางอย่างที่ปัดป้องไม่ได้ ซึ่งการหลบแทบจะหลบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะเสียจังหวะในการโจมตีสวนกลับนั่นเอง และถึงแม้ว่า Slot การใส่คาถาจะมีให้เราใส่เพียงแค่ 4 ช่องในตอนแรก แต่พอเราเล่นไปสักพักเราก็จะสามารถปลดช่อง Slot เพิ่มเติมเอาไว้ใส่สกิลได้รวมถึงคาถาต่าง ๆ ก็จะสามารถ และเนื่องจากเกมนี้ที่มีองค์ประกอบความเป็น RPG ทำให้ตัวเกมจะมีระบบสวมใส่เพื่อเพิ่มสเตตัสให้กับตัวละครเราด้วย ซึ่งไอเท็มสวมใส่หรือ Gearrs ซึ่งก็จะมีทั้งผ้าคลุม ผ้าพันคอ ชุดด้านใด หรือว่าหมวก แต่เป็นมั้ยครับที่บางครั้งชุดที่ใส่มันอาจจะพวกพลังป้องกัน หรือพลังโจมตีที่เยอะมาก ๆ แต่ชุดนั้นมันดันไม่สวยเลย ซึ่งทางผู้พัฒนาเองก็น่าจะรู้ในจุดนี้ครับ พวกเขาก็เลยทำการใส่ระบบสกินเข้ามาซึ่งเรียกว่า Apperance โดยถ้าหากเราเคยดรอปชุดใด ๆ มาในคลังแล้วครั้งนึง ต่อให้ชุดนั้นจะมีค่าสเตตัสที่น้อย หรือต่อให้เราจะขายชุดลงร้านค้าไปแล้ว ชุดพวกนั้นก็จะเข้าไปอยู่ในระบบสกินแทน ทำให้เราสามารถเปลี่ยนชุดเท่ ๆ ตามที่ตรงการได้อย่างอิสระเลย เพราะส่วนตัวชอบใส่ชุดที่มันเหมือนนักเรียนทั่วไปแบบ NPC คนอื่น ๆ (อาจจะมีใส่ผ้าพันคอ และหมวกเท่านั้น) เพื่อที่จะได้อินมากขึ้น ฮ่า ๆและภายในเกมก็ยังมีลูกเล่นในการนำสิ่งอื่น ๆ มาช่วยสู้ได้ไม่ว่าจะเป็นการใช้ต้น Mandrake มาทำให้ศัตรูชะงักการเสกต้นกระหล่ำ หรือต้นพืชมีหนามมาช่วยทำดาเมจได้เช่นกัน รวมถึงตัวเกมยังมีน้ำยาที่จะเพิ่มความสามารถต่าง ๆ ให้คุณด้วย อย่างน้ำยาที่จะเสกฟ้าผ่ามาใกล้ ๆ ตัวและทำดาเมจใส่ศัตรูที่อยู่รอบ ๆ น้ำยาเพิ่มเลือด น้ำยาเพิ่มพลังป้องกันหรือดาเมจก็มีเช่นกันแต่ในช่วงแรก ๆ ถ้าหากคุณอยากที่จะปรุงยา หรือปลูกสมุนไพร คุณก็อาจจะต้องจุกจิกที่จะต้องวิ่งไปตามห้องเรียนต่าง ๆ อยากไปปรุงน้ำยาก็ต้องไปห้องปรุงยา อยากไปปลูกพีชก็ต้องไปห้องสมุนไพร แต่เรื่องน่าปวดหัวนี้จะหมดไป เพราะตัวเกมนั้นมีระบบ Room of Requirement (ห้องต้องประสงค์) ซึ่งจะเป็นห้องที่คุณสามารถใช้มันเป็นห้องส่วนตัวลับของคุณได้ ภายในนั้นคุณจะสามารถสร้างเครื่องปรุงยา สร้างเครื่องปลูกสมุนไพรได้ และถ้าหากคุณจะสร้างของต่าง ๆ มากขึ้น คุณก็จะต้องไปซื้อสูตรทำน้ำยาที่หมู่บ้าน Hogsmeade ตัวห้องยังมีการจับสัตว์วิเศษต่าง ๆ ตามแผนที่ และเอากลับมาเลี้ยงภายในห้องของเราได้ด้วย ซึ่งเราก็จะต้องทำการแปรงขน และให้อาหารพวกมัน โดยสัตว์เหล่านี้ก็จะมีดรอปวัตถุดิปที่จะให้เราสามารถอัปเกรดสเตตัส หรือเพิ่มออฟชันบางอย่างให้กับชุดที่เราสวมใส่ได้นั่นเอง รวมถึงเรายังสามารถเพาะพันธุ์เหล่าสัตว์วิเศษ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ดีมาได้รวมถึงภายในและนอกโรงเรียนก็จะมีปริศนาให้เราทำเยอะมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการไปไล่หาตุ๊กตา Demiguise Moon เพื่อทำเควสเพิ่มเลเวลคาถาสะเดาะกลอนในห้องที่ล็อกอยู่เพื่อหาของสวมใส่ดี ๆ มาใช้ การทำปริศนา Merlin ซึ่งจะเพิ่มช่องเก็บชุดสวมใส่เป็นต้น การหา Field Guide Page ที่ในนั้นจะมีการบอกเล่าเรื่องราวของโรงเรียนฮอกวอสต์และภายนอกโรงเรียน และได้รับ EXP มากขึ้น การทำภารกิจขี่ไม้กวาดบินชนบอลลูนบนฟ้า เพื่อจะได้รับของพิเศษคือไม้กวาดลายใหม่ ๆ หรือจะสามารถไล่จับสัตว์วิเศษ เพื่อที่จะเอาไปเลี้ยง ในห้องต้องประสงค์ หรือจะเอาไปขายเอาเงินก็ได้เช่นกันความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เล่นเกม Hogwarts Legacy มาต้องยอมรับว่านี่คือเกมจากซีรีส์ Harry Potter ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าจะให้พูดว่าตัวเกมนั้นยอดเยี่ยมขนาดที่จะไปเปรียบเทียบสุดยอดเกม Open World อื่น ๆ อย่าง The Witcher 3, GTA V หรือ Red Dead Redemption 2 ไหมก็อาจจะต้องยอมรับว่าตัวเกมอาจจะยังไม่ได้ละเอียดถึงขั้นนั้น เพราะในแง่ของความมีชีวิตชีวาของเกมก็ยังไม่ได้มีให้เห็น หรือการแตกแขนงของเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับเกม The Witcher 3 ทั้งที่ตัวเกมน่าจะมีศักยภาพที่จะทำได้ ในด้านเนื้อเรื่องทางผู้พัฒนาก็ทำออกมาได้ในระดับที่ค่อนข้างดี มีเนื้อเรื่องหลายอย่างที่เล่าทั้งเควสหลัก หรือเควสของคู่หู  ซึ่งทั้งหมดก็มีความน่าสนใจในตัวของมันเอง รวมถึงเควสเสริมบางอย่างด้วย เสียดายที่ส่วนตัวอยากให้มันมีการแตกแขนงเรื่องราวและผลลัพธิ์ที่มากกว่านี้ แต่ในแง่ของเกมเพลย์ตัวเกมนี้ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ความเป็นเกม Action สุดมันส์ !! ก็ต้องจัดให้เกมนี้ยอดเยี่ยมระดับเทียบเท่ากับเกม Marvel's Spider-Man ได้เลย ทั้งระบบการต่อสู้ที่มีความท้าทายอย่างมาก (ยิ่งเล่นโหมดยากยิ่งสนุก) เราจะรู้สึกท้าทายทุกครั้งในการต่อสู้ รวมถึงคาถาต่าง ๆ ก็มีให้ใช้ได้หลากหลาย แน่นอนว่าบางคาถาผลลัพธิ์มันอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนั่นคือการสร้างดาเมจให้แก่ศัตรู แต่มันคือคาถาที่ใช้จริงในนิยาย Harry Potter ซึ่งแค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วและต้องยอมรับเลยว่า Hogwarts Legacy นั้นเป็นเกมที่ถูกสร้างมาเพื่อแฟน ๆ Harry Potter ที่แท้จริง เพราะผู้พัฒนาพยายามจะใส่หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมาเอาใจแฟน ๆ นิยาย และภาพยนตร์อย่างเต็มที่ โดยที่พวกเขาไม่มีการกั๊กอะไรเอาไว้เผื่อภาคต่อเลย นอกจากโรงเรียนฮอกวอตส์อันสวยงามที่จะให้คุณได้สำรวจได้แบบทุกซอกทุกมุมแล้วนั้น เขายังให้เราทำอะไรมากมายอีกหลายอย่าง คุณอยากไปหมู่บ้าน Hogsmeade ก็ให้ไป อยากให้ไปเลือกไม้กายสิทธิ์ร้าน Olivander ก็ได้เลือก อยากเลี้ยงสัตว์วิเศษ ขี่สัตว์ ขี่ไม้กวาด ปรุงยา ปลูกสมุนไพร คุณก็ได้ทำภายในเกมนี้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าบางระบบของเกมที่ใส่มาอาจจะไม่ลึกซึ้งก็เถอะ แต่แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมและเติมเต็มความฝันของแฟน ๆ มากเพียงพอแล้ว นี่ยังไม่นับตัวละครบางตัวที่เป็นบรรพบุรุษของตัวละครสำคัญในเรื่องราวในนิยายภาคหลักด้วยอย่างเช่นคนในนามสกุล Weasley หรือคนในนามสกุล Black เป็นต้น
12 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Wylde Flowers เสกคาถาทำฟาร์ม สืบเสาะเรื่องลึกลับ ไปในโลกแห่งเวทมนตร์
ระหว่างที่รอ Hogwarts legacy เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ ผู้เขียนไปไถ ๆ เจอเกมที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Wylde Flowers อ่านคอนเซปต์คร่าว ๆ ดูก็คือการผจญภัยไขปริศนาในเมือง Fairhaven มีการทำฟาร์ม ตกปลา หาแร่ควบคู่ไปด้วย ตัดสินเอาเองว่า"เออ ก็เกมปลูกผัก อีกเกมหนึ่ง อย่างนั้นสินะ"ไล่ ๆ ดู Trailer ต่าง ๆ ของเกมมีความสะกดจิต สะกดใจ ให้อยากซื้อมาเล่นมาก ๆ ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2022 เกมยังไม่เก่ามากด้วย เลยตัดสินใจหวดลงคลัง Steam มาลองเล่นดูครับ เล่น ๆ ไป กลับกลายเป็นว่านี่มันเปฺ็นเกมที่เน้นไปที่เนื้อเรื่อง การทำฟาร์มหรือระบบต่าง ๆ เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของเกม Wylde Flowers เท่านั้นเอง! เกมมันดันสนุกเพราะเนื้อเรื่องของเกม ที่เราต้องรับบทเป็นแม่มดหน้าใหม่ที่มารับไม้ต่อจากคุณย่าของเธอ เรื่องราวจะเข้มขนน่าติดตามขนาดไหน มาตามอ่านกันได้เลยครับเนื้อเรื่องน่าสนใจ ได้ผจญภัยในโลกเวทมนตร์Wylde Flowers เราจะได้รับบทให้เล่นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อ Tara ซึ่งในช่วงที่ Tara ยังเป็นเด็กอยู่นั้นเธอเคยมาเที่ยวเล่นที่ฟาร์มของคุณย่าครับ เมื่อมาถึงเมืองเธอจะคุ้น ๆ กับสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงผู้คนในเมืองด้วย มาถึงเราจะต้องไปแนะนำตัวกับนายกเทศมนตรีของเมือง Fairhaven และเราจะได้รับเควสแรกของเกมจากนายกเทศมนตรีของเมือง เราจะต้องไปแนะนำตัวกับชาวเมืองให้ครบทุกคน และกลับมารับรางวัลครับอยู่ไปอยู่มาตัวเกมจะเริ่มเฉลยปมตัวละครต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกันในเมือง Fairhaven เริ่มจากคุณย่า Hazel Wylde ซึ่งเป็นไม้ใกล้ฝั่งมาก ๆ จึงอยากให้ Tara Wylde มารับไม้ต่อในเรื่องฟาร์มของเธอครับ แต่จริง ๆ แล้วคุณย่ามีอะไรแอบแฝงมากกว่านั้น ซึ่งในเกม Tara จะต้องคอยตามสืบจนรู้ความจริง แต่เอาจริง ๆ เหมือนคุณย่าตั้งใจให้รู้ความลับซะมากกว่า เพราะต้องการให้ Tara มารับไม้ต่อทางด้านการเป็นแม่มดเพื่อปกป้องเมืองแทนเธอครับ (เจ้าคือทายาทคนต่อไป)ตัว Tara เองก็กลัวว่าจะทำฟาร์มต่อจากคุณย่าไม่ได้เพราะเธอไม่เคยทำงานหนักแบบนี้มาก่อน และก็ไม่เคยได้ฝึกการเป็นแม่มดมาเลย แต่ก็ได้ลั่นวาจาสัญญากับคุณย่าเอาไว้แล้ว ในเกมมีให้เราเลือกคำตอบได้ครับ และผมเลือกตอบสิ่งที่คุณย่าอยากได้ยินทั้งหมด เพราะพอจะเดาเรื่องเศร้าในเกมออก และคุณย่าจะสอนเราทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำฟาร์ม หรือการเป็นแม่มดก่อนที่คุณย่าจะจากไปตลอดกาลครับส่วนปมของ Tara ที่ยอมมาอยู่ที่เมือง Fairhaven ทั้ง ๆ ที่เธอชอบชีวิตในเมืองใหญ่มากกว่านั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องความรักของเธอ เธอบอกกับคุณย่าว่ากำลังจะแต่งงานกับคน ๆ นั้นอยู่แล้ว ทุกอย่างมันดีมาก แต่ตื่นมาวันหนึ่งเธอพบจดหมายจากว่าที่สามีของเธอว่าไม่ต้องการจะไปต่อกับเธออีกแล้ว! ซึ่งคุณย่าที่เป็นคนฟังก็บอกว่านั่นเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดมาก ๆ ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นด้วยกับคุณย่าแค่บางส่วนครับ ถ้าตอนรักกันยังเผชิญหน้าเพื่อบอกรักกันได้ การจากลากับใครสักคนเราก็ควรจะทำเช่นนั้นด้วย เพื่อให้โอกาสอีกคนได้มูฟออน และได้อ่านสีหน้าว่าเราไม่ได้รู้สึกกับเขาแบบเดิมอีกต่อไปแล้วจริง ๆ แต่ในบางกรณี ในโลกจริง ๆ นั้น คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจครับ การจะบอกเลิกใครก็ต้องดูนิสัยของคนรักของเราด้วย ว่าควรบอกต่อหน้าหรือไม่? โดนแทงขึ้นมาก็ไม่คุ้มเหมือนกันครับ ฮ่า ๆ (มีตัวอย่างให้เห็นในข่าว) เรื่องราวของ Tara ที่เราต้องไปตามสืบยังมีอีกเยอะแยะมากมายเลยครับ ผู้เขียนอยากให้เพื่อน ๆ ได้ไปเล่นและสืบเรื่องลึกลับด้วยตัวเอง ว่าใครเป็นพ่อมดแม่มดในเมือง Fairhaven บ้าง แล้วพวกเขาตั้งสมาคมลึกลับมาเพื่ออะไร? ใครเป็นตัวโกง? เพื่อน ๆ ต้องไปเปิดโปงบางอย่างด้วยตัวเอง ถ้าผมเล่าหมดนี่เพื่อน ๆ เล่นเองไม่สนุกแล้วนะฮะ ฮ่า ๆเกมเพลย์ไม่ได้หนักไปที่การทำฟาร์มจนเกินไปอย่างที่ผู้เขียนได้เล่าไปบ้างแล้ว เกมนี้การทำฟาร์ม การตกปลา การหาแร่ เป็นแค่ส่วนประกอบให้ได้เล่นสนุกระหว่างสืบความจริงเท่านั้นเองครับ เดี๋ยวผมจะไปขยายระบบของเกมแยกให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเป็นหัวข้อ หัวข้อ ไปนะครับ เพื่อน ๆ จะได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเนื้อหาของเกมค่อนข้างยาวและมีระบบต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะ ผู้เขียนยังปลดล็อกออกมาได้ไม่หมด ดังนั้นผมจะหยิบหยกแค่ระบบสำคัญ ๆ ของเกมมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน เนื้อหาต่าง ๆ จะได้ไม่ยาวจนเกินไปการปลูกพืช - เราสามารถซื้อพืชผักได้จาก Lina Dahl-Johnson การทำไร่ของเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราต้องขุดดินเพื่อปลูกพืชผักต่าง ๆ แต่เกมนี้เราจะต้องสร้างกระบะไม้เป็นบล็อกขึ้นมา เราต้องหาวัตถุดิบให้ครบแล้วสร้างกระบะที่โต๊ะคราฟต์ เมื่อสร้างเสร็จตัวเกมจะมีพื้นที่ให้เราจัดวางแบบจำกัดครับ ถึงแม้ตอนหลังเราจะอัปเกรดขยายพื้นที่ เราก็ยังมีพื้นที่ที่จำกัดอยู่ดี เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ที่ถูกนำมาวางขายในร้านของ Lina จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูในเกมครับ1 กระบะสามารถปลูกได้ 4 ต้น แต่ใช้เมล็ดจากที่เราซื้อมาจะนับแค่ 1 เช่น ผู้เขียนซื้อมะเขือเทศมา 4 ถุง จากร้านของ Lina แล้วนำมาปลูก เมล็ดจะถูกโยนลงกระบะของเราไป 4 เมล็ด แต่หักจากถุงมะเขือเทศของเราที่ซื้อมา 4 ถุง ไป แค่ 1 ถุงเท่านั้นครับ ผมล่ะอย่างชอบเลยไม่ต้องมานั่งปลูกทีละ 1 ต้นเหมือนเกมอื่น ๆ ตอนเราจะปลูกแค่เราเดินไปยืนชิด ๆ กับกระบะ จะมีสัญลักษณ์รูปต้นกล้าขึ้นมา เราก็กดแล้วเลือกเมล็ดพืชที่ต้องการปลูกครับ หลังปลูกเสร็จ เราสามารถกดดูเวลาได้ว่าพืชที่เราปลูกใช้เวลาโตกี่วัน หลัง ๆ เมื่อเราใช้เวทมนตร์ได้แล้ว เราสามารถปรุงน้ำยาในหม้อปรุง เพื่อมาเสกต้นไม้หย่นระยะเวลาให้โตไวขึ้น หรือเสกให้ได้ผลผลิต x2 ได้อีกด้วย ในส่วนของการใช้เวทมตร์เดี๋ยวผู้เขียนจะไปเขียนในหัวข้อแยกนะครับพืชบางอย่างที่นำไปแปรรูปเป็นสาธารณูปโภคประเภทอื่น ๆ เช่น Cotton เราต้องไปซื้อที่ Thomas Lightfoot ที่เป็นเพื่อนบ้านคนสนิทของตระกูล Wylde ของเรา ฟาร์มของเขาอยู่ด้านล่างฟาร์มของเราครับ เราสามารถเอา Cotton ไปทอเป็นผ้า เพื่อนำไปขายได้ แล้วได้เงินดีซะด้วย ผมใช้วิธีนี้ในการหาเงิน เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ จะถูกนำมาขายเปลี่ยนไปตามฤดูของเกมครับส่วนต้นไม้ที่ให้ผลต่าง ๆ เช่น ส้ม, มะนาว, หรือแอปเปิล เราต้องไปซื้อเมล็ดที่ Kai Hoapili ของจะไม่ได้มีตลอด ช่วงไหนเจอต้นไม้ก็ให้สอยมาไว้ได้เลย ข้อดีของต้นไม้ที่ให้ผลก็คือไม่ต้องรดน้ำ สามารถโตเองได้ เราไม่ต้องเสียเวลาไปดูแลอะไรมันมาก หาซื้อได้ทุกฤดูการรดน้ำของเกมนี้ในช่วงแรก ๆ ยังคงสร้างความเบื่อหน่ายให้เราเหมือนเกมปลูกผักเกมอื่น ๆ นั่นแหละครับ ฮ่า ๆ เรายังต้องเดินรดไปทีละกระบะอยู่ดี แต่หลังจากที่เราอัปเกรดบัวรดน้ำของเราแล้ว เราก็แค่ยืนที่กระบะกลางสุดแล้วเราก็กดรดน้ำ กระบะด้านซ้ายและขวาของเราจะถูกรดไปด้วย มหัศจรรย์จริง ๆ เมื่อน้ำหมดและเราต้องการจะเติมน้ำ ถึงแม้จะมีแม่น้ำเยอะแยะรายล้อมมากมาย แต่เราก็ไม่สามารถเดินเอาบัวรดน้ำของเราไปจุ่มเพื่อเติมน้ำจากแม่น้ำลำธารต่าง ๆ ได้ เกมนี้เราสามารถเติมน้ำได้ที่บ่อน้ำเท่านั้น และมีเพียงบ่อเดียวอยู่ที่แปลงผักเริ่มต้นของเราครับการตกปลา - เราจะได้อุปกรณ์ตกปลาหลังจากที่เราไปคุยกับลุง Bruno Soft บอกเลยตาลุงคนนี้สร้างความเชื่อให้ผมว่าจริง ๆ แล้วแกเป็นพ่อมด แต่ที่ไหนได้ไม่ได้ใกล้เคียงเลยยยยยย ผมใบ้ ๆ แค่คนนี้นะ คนอื่นผมไม่บอกหรอก ฮ่า ๆ พอเราได้เบ็ดมาแล้ว เราสามารถนำไปตกปลาในทะเลก็ได้ ลำธารก็ได้ ทะเลสาบก็ได้ แต่การตกปลาเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราสามารถยืนตกตรงไหนก็ได้ Wylde Flowers จะมีจุดตกครับ ให้สังเกตจากเงาของปลา ตรงไหนเงาของปลาขึ้นให้ไปยืนตรงนั้น มันจะมีสัญลักษณ์ตะขอเบ็ดขึ้นมา แสดงว่าเราสามารถตกปลาตรงนั้นได้ปลาที่ให้ตกมีไซส์เล็ก ไซส์กลาง ไซส์ใหญ่ และสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากปลา ให้เราสังเกตจากเงาของปลาในน้ำ เล่นไปเรื่อย ๆ จะเข้าใจได้เองว่าเงาไหนจะได้อะไรครับ และที่สำคัญเกมนี้ต้องใช้เหยื่อในการตกปลา หาซื้อได้ที่ลุง Bruno อีกเช่นกันครับแผนที่ - ในเกมเราต้องทำเควสตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ บางสถานที่จึงจะปลดล็อกให้เราครับ และบางส่วนเราสามารถเดินสำรวจเพื่อปลดล็อกได้เลย พอเราปลดล็อกแล้วก้อนเมฆในแผนที่ก็จะหายไปครับตรงนี้ผมก็อยากให้หาชาวเมืองได้แบบ Coral island อยู่เหมือนกัน เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าใครอยู่ตรงไหน และถึงแม้ว่าเรารู้จักบ้านตัวละคร แต่บ้านตัวละครเกมนี้เข้าไปในบ้านไม่ได้ ต้องรอให้ตัวละครเดินออกจากบ้านมาก่อน ดีนะที่เกาะไม่ได้กว้างมาก ไม่งั้นเดินกันขาฉีกเลยครับ ฮ่า ๆการขุดแร่ - พอเล่นไปเรื่อย ๆ Natalia Kuznetsova จะเดินมาบอกเราว่าให้ไปหาวัตถุดิบให้กับ Parker Johnson เพื่อซ่อมแซมทางเข้าเหมืองที่พังครับ หลังจากซ่อมเสร็จ Natalia จะให้ Pickaxe เรามา ส่วนพลั่ว (shovel) นั้นเราต้องเก็บเงินเพื่อซื้อกับ Natalia เองครับ แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันเมื่อเข้าไปในเหมืองแล้วจะมีหินให้เราขุดหาแร่ เราก็ใช้ Pickaxe ที่เราได้จาก Natalia นั่นแหละครับขุดไปเรื่อย ๆ ถ้าเราอยากลงชั้นต่อไป เราก็ต้องขุดไปจนกว่าจะเจอกุญแจ ช่วงแรกเราจะขุดได้สูงสุดถึงแค่ชั้น 14 เท่านั้น จะต้องรอเนื้อเรื่อง เราถึงจะได้กุญแจชั้น 15 ครับแร่ต่าง ๆ จะมี Iron (เหล็ก), Copper (ทองแดง), Silver (เงิน), Gold (ทอง) และไอเทมชนิดอื่น ๆ ที่ไว้ทำเครื่องประดับ หรือเป็นส่วนผสมในการทำอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ทราย หรือดินเหนียว (ต้องเอาพลั่ว Shovel ไปขุด)เราสามารถนำแร่ที่ได้มาไปหลอม หรืออัปเกรดได้ที่ร้าน Natalia ครับเควส - เควสต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการขอความช่วยเหลือจากชาวเมืองครับ และเควสจากสมาคมลึกลับของเรา ที่เราจะต้องคอยไปทำเควสเพื่อฝึกการเป็นแม่มดของเรา ส่วนใหญ่เควสต่าง ๆ จะมีมาให้ตามเนื้อเรื่องที่เราเล่นไปถึง ทำเสร็จก็จะปลดล็อกระบบต่าง ๆ อย่างเช่น การลงเหมืองชั้น 15 หรือการไปเมืองคู่ขนานอย่าง Ravenwood Hollow ส่วนเควสรองจะอยู่ที่กระดานทั้ง 2 เมือง รางวัลก็จะได้เป็นเงินและค่าความสนิทสมาคมลับ - อันนี้คือส่วนสำคัญของเนื้อเรื่องเลยครับ คุณย่าของเราลากเรามาที่เมืองก็เพราะเรื่องนี้ เนื่องจากคุณย่าของเราต้องการผู้สืบทอดในตำแหน่งของตัวเอง ช่วงแรกที่เข้าไปเราจะยังได้ตำแหน่ง Novice อยู่ สังเกตได้จากที่เพื่อน ๆ ในสมาคมเรียกเรา เราจะต้องทำเควสต่าง ๆ ที่ทางสมาคมมอบให้เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและไว้ใจ เมื่อคนใดไว้ใจเราแล้วเขาจะเผยโฉมให้เรารู้ว่าเขาเป็นใครครับ ความสนุกจะเริ่มจากตรงนี้ที่เราต้องไปไขปริศนานี่แหละ ว่าคนที่เราได้รับเควสมาเป็นใคร เราจะต้องเอาของที่เขาสั่งทำจากตอนกลางคืนในสมาคมลับของเราไปให้เขาในตอนกลางวัน และบอกเขาว่า"ฉันเนี่ยมั่นใจเลยแหละว่าเธอเป็นพ่อมดหรือแม่มดในสมาคม" ถ้าทายผิดของก็จะหายไป ต้องไปทำมาใหม่และหากันใหม่ ถ้าทายถูกเขาจะเผยโฉมให้เราเห็นในตอนกลางคืนเมื่อเราไปสมาคม และเราจะได้รับของเควสคืนครับ พวกเขาเป็นใครกันนะ? เพื่อน ๆ ต้องไปหาคำตอบเอาเองนะครับ ผู้เขียนจะไม่ลงรูปเยอะ เดี๋ยวรู้กันหมดแล้วจะเล่นกันเองไม่สนุก แต่ผมน่ะรู้แล้วแต่ไม่บอกหรอก อิอิอิการซื้อขาย - Wylde Flowers จะไม่มีกล่องให้เราโยนวัตถุดิบเหมือนเกมอื่น ๆ เพื่อขายของครับ เราต้องนำของที่ได้ไปขายตามร้านของตัวละครต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และแต่ละร้านจะรับซื้อของไม่เหมือนกันครับ เช่น ร้านของ Lina Dahl-Johnson จะรับซื้อผลผลิตต่าง ๆ ที่ได้จากฟาร์มเรา แบบที่กินได้ อย่างเช่น ไข่ไก่, ผัก, ผลไม้, หรือนมวัว เป็นต้นร้านของ ตาลุง Bruno จะรับซื้อปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ประมาณนี้ครับ และเมื่อเราขายของให้ NPC เยอะเท่าไหร่ ตัวเกมจะมีเกจปลดล็อกของขายในร้านของตัวละครด้วยครับ จะมีดาวบอกทางขวามือว่าเราปลดล็อกร้านค้าของ NPC ร้านนี้ถึงระดับไหน มีตั้งแต่ไม่มีดาวไปจนถึง 5 ดาวกันเลย พอครบ 5 ดาวแล้วจะมีของขายในร้านที่หลากหลายขึ้นครับการทำอาหาร - ไม่ต้องหาซื้อเครื่องครัวให้วุ่นวาย เพราะคุณย่าซื้อไว้ให้หมดแล้ว ทำอาหารกันได้ตั้งแต่เริ่มเกมกันเลยครับ เพียงแค่เราต้องไปหา Recipe (สูตรอาหาร) จากที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การตกปลา, ขุดดินบนเขา, ซื้อจากร้านต่าง ๆ ของตัวละครในเมือง, หรือแม้แต่เปิดหีบในเหมือง เราจะมีโอกาสได้รับสูตรอาหาร อาหารแต่ละอย่างก็เพิ่มเกจพลังงานแตกต่างกันไปครับ และอาหารเราต้องพกไว้ตลอดเนื่องจากเกมนี้พลังงานในช่วงแรก ๆ หมดค่อนข้างไวนอกจากเพิ่มพลังงานได้แล้ว เราสามารถนำอาหารไปให้ของขวัญกับชาวเมืองเพื่อเพิ่มหัวใจได้ด้วยครับ ถ้าเราให้ของที่เขาชอบมาก ๆ รูปอาหารจะไปแสดงในประวัติส่วนตัวของตัวละครนั้น ๆ ด้วยครับว่าเขาเลิฟอะไรเวทมนตร์เพิ่มบัฟ - คุณย่าจะแกล้ง ๆ หลุดความลับว่ามีประตูอยู่ใต้พรมครับ แล้วมันก็จะสร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับ Tara เหลือเกิน จนคุณย่าจะต้องทำเป็นเผยความลับ ฮ่า ๆเมื่อลงไปในห้องใต้พรมจะมีหม้อของเราตั้งอยู่ตรงกลางห้องเลยครับ (คุณย่าบอกว่านั่นคือหม้อปรุงยาประจำตัวของเรา) คุณย่าและพ่อมดแม่มดในสมาคมลับจะคอยสอนวิธีปรุงยาให้เราครับ บัฟต่าง ๆ เช่น วิ่งเร็วขึ้น, หรือเก็บของเข้ากระเป๋าให้เราเลย จะไม่อยู่ถาวร แต่จะเพิ่มความสามารถให้เราแค่ 4 วันเท่านั้น หลังจากนั้นต้องไปผลิตใหม่ หรือเราจะหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตไว้เยอะ ๆ ก็ได้ครับ แล้วมาผลิตรวม ๆ กันทีเดียวจะได้มีใช้เรื่อย ๆในห้องใต้พรมจะมีโต๊ะคราฟต์อุปกรณ์ครับ เราสามารถสร้างอุปกรณ์ผลิตเวทมนตร์ของเราไปเรื่อย ๆ ได้ตามเควสที่สมาคมลับมอบหมายให้เราทำได้เลย และการใช้เวทมนตร์ทุกครั้งจะมีเกจสีม่วง เราใช้หมดหลอดเมื่อไหร่เราจะไม่สามารถผลิตของเกี่ยวกับเวทมนตร์เพิ่มขึ้นได้ เราต้องนำของไปบริจาคในหม้อของสมาคมของเราเพื่อเติมเกจเวทมนตร์ ใช้ดอกไม้จะเพิ่มพลังงานให้เราได้เยอะที่สุด ส่วนถ้าใครขี้เกียจเดินไปสมาคมบ่อย ๆ สามารถคราฟต์ของมึนเมาต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเกจเวทมนตร์ได้ แต่เกจค่าพลังงานการใช้ชีวิตของเราจะลดลงไปด้วยสัตว์เลี้ยง - มาถึงข้อนี้ผู้เขียนเริ่มเหนื่อยล้า ระบบเยอะแยะมากมายไปหมด ฮ่า ๆ มาพูดถึงน้องแงวววว ตัวเดียวที่มีอยู่ในเกมดีกว่า เราต้องหมั่นคอยให้ความรักกับน้องทุกวันครับ ช่วงแรกผู้เขียนก็ยังไม่รู้ว่าน้องมีประโยชน์อะไรพอเล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ เท่านั้นแหละครับ อ๋อ!!! น้องมีไว้สิงเพื่อไปสืบเรื่องราวต่าง ๆ ในเมือง ใช่ครับ Tara ของเราจะเสกตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวน้อนแมว วิ่งอย่างแว้นเลย ผมเลยชอบให้ Tara สิงน้อนแต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องสร้างความคุ้นเคยจนสนิทสนมกับน้องก่อน ถึงเวลาเล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ สมาคมจะให้เราถามน้องว่าน้องยินดีจะร่วมเดินทางไปกับเราไหม ถ้าน้องรักเราแล้วน้องก็จะยินยอมแต่โดยดีครับ ในส่วนนี้จะเชื่อมโยงกับเวทมนตร์บัฟ เพราะเราต้องสร้างใบสกิลที่ห้องใต้พรมเพื่อสิงน้องครับ (นี่แม่มดหรือผี ฮ่า ๆ ๆ)ปศุสัตว์ - ในส่วนนี้ตอนแรกจะไม่สามารถใช้งานได้นะครับ จะมีโรงนาพัง ๆ อยู่บริเวณพื้นที่ของเรา และต้องเล่นเกมไปเรื่อย ๆ จนกว่าเกมจะมีเควสมาให้สร้างโรงเลี้ยงไก่ เราก็ต้องไปฟาร์มหาวัตถุดิบให้ครบตามจำนวน แล้วเอาไปให้ Parker สร้างให้เราครับ หลังจากสร้างเสร็จเควสก็จะนำพา Marty Emerson สุดจะกวนบาทาเราตลอดเวลาเข้ามาอยู่ในเมือง เราต้องหาวัตถุดิบตามคำร้องขอของนายกเทศมนตรีของเมือง และ Thomas สร้างโรงนาให้กับ Marty ครับเมื่อ Marty ย้ายเข้ามาเขาจะจ่ายเงินค่าสร้างโรงนาให้เราครึ่งหนึ่งและจะขายไก่ตัวแรกให้กับเรา เขาจะพูดจากวนประสาทเราและถามเราว่าอยากตั้งชื่อไก่ตัวแรกว่าอะไร ซึ่งผมตอบไปว่า Marty ครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆซึ่งหลังจากเราสร้างโรงเลี้ยงไก่แล้ว เควสจะมีให้เราสร้างโรงนาสำหรับเลี้ยงวัวอีกครับ และเราสามารถซื้อวัว แกะ และอาหารสัตว์ได้ที่ตา Marty เช่นกันการเลี้ยงสัตว์ของเกมนี้ก็เหมือนกับเกมอื่น ๆ เราต้องให้อาหาร ให้ความรัก ซึ่งผมเลือกเลี้ยงแค่อย่างละสองตัวเท่านั้น เพราะใช้เวลาให้อาหารและแสดงความรักค่อนข้างนาน ผลผลิตก็ขายได้ราคาไม่แพง เพราะส่วนใหญ่ต้องไปใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารให้เราซะมากกว่าฤดูกาล - เกมนี้ฤดูกาลจะไม่เปลี่ยนไปแบบอัตโนมัติ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทางสมาคมลับของเราเริ่มรู้สึกว่าเราควรเปลี่ยนฤดูได้แล้ว หัวหน้าสมาคมจะแจ้งให้เราทำครับ โดยจะมีเควสเปลี่ยนฤดูมาให้ ส่วนเราต้องไปเตรียมวัตถุดิบให้ครบ เพื่อที่จะให้พ่อมดและแม่มดของเมืองเรา มารวมตัวกันเพื่อร่ายเวทย์เปลี่ยนฤดูครับ ส่วนถ้าเรายังไม่พร้อมเปลี่ยนก็เล่นเพื่อสะสมวัตถุดิบต่าง ๆ ของฤดูเดิมไปก่อนจนกว่าจะพอใจแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้ครับRavenwood Hollow - เป็นเมืองที่ภูติ หรือสัตว์ในเทพนิยายอาศัยอยู่ Tara โดนวาร์ปไปเมืองนี้โดยบังเอิญ และพยายามหาทางกลับมาเมืองนี้ด้วยตัวเองอีกครั้ง นั่นคือการซ่อมแซมเรือเก่าของคุณย่าของเธอเพื่อไปเมือง Ravenwood Hollow สิ่งมีชีวิตในเทพนิยายก็จะช่วย Tara ซ่อมไม้กวาดของคุณย่าให้กลับมาบินได้ (ต้องเล่นตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ ก่อน) Tara พยายามถามว่าเมืองนี้คือส่วนหนึ่งของ Fairhaven ใช่ไหม ชาวเมืองของเมืองนี้ก็จะตอบว่าไม่ใช่ มันไกลกว่านั้น แต่ Fairhaven เป็นประตูมิติที่เปิดทางมาที่นี่ เมืองนี้ก็จะมีเควสสำคัญต่าง ๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์ให้เราทำตลอด ส่วนใครอยากได้แฟนเป็นมนุษย์หมาป่า สามารถมาจีบ Westley Vuk ได้ที่เมืองนี้ครับ ตัวละครนี้จะโผล่มาตอนงานศพคุณย่าของเราสรุปโอ้โห! นี่แค่คร่าว ๆ นะครับ ตัวเกมยังมีระบบอีกเยอะมาก ๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้หยิบมาพูดถึงเพราะผมเองก็ยังเล่นไปไม่ถึงตรงนั้นอย่างเช่น ระบบแต่งงานของตัวละคร แต่จากการคาดเดาคือ ชาวเมืองที่มีหัวใจ 7 ดวง สามารถจีบเพื่อมาเป็นสามีหรือภรรยาเราได้ ผู้พัฒนาเกมนี้สนับสนุนเรื่องเพศหลากหลาย (LGBTQ+) เราสามารถแต่งงานกับตัวละครเพศใดก็ได้ ผู้เขียนชอบที่ Dev ใส่ตรงนี้เข้ามาด้วยครับ และเพิ่มความแฟนตาซีลงไปโดยที่เราสามารถแต่งงานกับมนุษย์หมาป่าก็ได้ เจ๋งเป๋งไปเลย (ขออินแบบ Y2K ฮ่า ๆ)ตัวเกมไม่สร้างความเสียเวลาในการปลูกผักทำฟาร์มมากมาย เหมือนเป็นแค่ส่วนเสริมเพื่อมีเอาไว้ผลิตวัตถุดิบให้เราไปใช้กับเควส, การทำอาหาร, การปรุงยาบัฟตัวละคร, หรือการนำไปคราฟต์ของเพื่อนำไปขายให้ NPC ซึ่งพอทุกสิ่งเหล่านี้มันเชื่อมโยงกันมันก็ทำให้เกิดความสนุกในการเล่นเกมมาก ๆ เราไม่ต้องไปใส่ใจกับการทำฟาร์มมาก เพราะเราจะสนใจเนื้อเรื่องของเกมมากกว่าครับ ระบบต่าง ๆ ในเกมเหมือนมีไว้เพื่อให้เราและ Tara ใช้ในการผ่านเควสและเรื่องราวภายในเกม ผลผลิตต่าง ๆ ที่ได้ก็จะใช้ปรุงยา ทำใบเวทมนตร์ ให้เรานำไปใช้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่เนื้อเรื่องของเกมก็สนุก มีให้แก้ปริศนาและค่อย ๆ คลายปมตัวละคร ให้เราได้ไขความลับว่าพ่อมดแม่มดในผ้าคลุมคนนี้คือใครในเมือง ให้เราผลิตใบเวทมนตร์ต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนฤดู หรือนำไปใช้ประโยชน์ในการปลูกพืช ขุดแร่ หรือแม้แต่เปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืน ขนาดเสกฝน Tara ก็ทำมาแล้ว คือตอนแรกผู้เขียนเห็นเกมมันไซส์เล็กนิดเดียวก็ไม่คิดว่าจะดูดวิญญาณผมได้ขนาดนี้เหมือนกันราคาก็ไม่แพงวางขายอยู่ใน Steam เพียง 319 บาทเท่านั้นเอง ใครอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้ ต้องซื้อมาเล่นเองแล้วแหละครับ บอกเลยเพื่อน ๆ จะไม่เสียดายเงินแน่นอน การเดินเรื่องต่าง ๆ ทำให้คนเล่นอย่างเราอยากรู้มาก ๆ ว่าจะเป็นยังไงต่อ การคลายปมแต่ละอย่างทำได้ดี มีให้ได้ลุ้นตลอด บางทีก็ไม่คิดว่าคน ๆ นี้จะเป็นพ่อมดก็ดันมาเป็นกับเราด้วย ฮ่า ๆส่วนใครไขปริศนาไม่เก่งเกมนี้ก็มีแฟน ๆ ทำข้อมูลต่าง ๆ ลงเว็บไซต์ fandom wiki ไว้ให้ได้หาข้อมูลกันด้วยครับ https://wylde-flowers.fandom.com/wikiสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1896700/Wylde_Flowers/
04 Feb 2023
[Review] รีวิวเกม Dead Space Remake การกลับมาทวงบัลลังก์ของตำนาน Sci-fi สยองขวัญ
ถ้าให้พูดตามตรงหนึ่งในธีมเกมที่ไม่เคยตกยุค และได้รับความนิยมในทุกยุคทุกสมัย เราเองก็ต้องพูดถึงเกมสยองขวัญต่าง ๆ ซึ่งผู้พัฒนาแต่ละคนก็ได้สร้างเรื่องราวสุดสยองขวัญอันมากมายของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการหนีจากซอมบี้ของเกม Resident Evil, หนีจากปีศาจร้ายอย่าง Silent Hill และถ้าจะให้พูดถึงเกมสยองขวัญที่เราจะต้องเอาตัวรอดจากมนุษย์กลายพันธุ์สุดโหด เชื่อว่าหนึ่งในเกมที่สร้างความกลัวให้เราอย่างมาก ชื่อของ Dead Space ภาคแรกในปี 2008 ก็น่าจะอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน กับการที่คุณจะต้องเอาตัวรอดในสถานีอวกาศที่มีพื้นที่อันคับแคบ และสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะโผล่มาฆ่าคุณทุกเมื่อ ซึ่งตัวเกมได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ คะแนนบนเครื่อง PC จากนักวิจารณ์บนเว็บไซต์ Metacritic ได้คะแนนสูงถึง 89/100 เลยทีเดียวและถึงแม้ว่าภายหลังจากสตูดิโออย่าง Visceral Games จะถูกปิดตัวลงไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทางเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง EA ก็ได้ตัดสินใจที่จะ Remake เกมนี้อีกครั้ง โดยให้ทางสตูดิโออย่าง Motive Studio ที่เคยสร้างเกมอย่าง Star Wars Battlefront II มาเป็นผู้ชุบชีวิตเกมนี้กลับมาอีกครั้ง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Dead Space Remake จะดีงามเหมือนต้นฉบับอีกหรือไม่!?กราฟิก / การนำเสนอสำหรับ Dead Space Remake ทางผู้พัฒนาได้สร้างตัวเกมขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยขุมพลังอย่าง Frostbite Engine โดยเราจะได้เห็นกราฟิกที่สมจริงมากขึ้น มีแสงเงาที่ทำออกมาได้ดีมากขึ้น ซึ่งจากที่ได้เล่นมาในด้านกราฟิกทางผู้พัฒนาทำออกมาได้ดีมาก ๆ และทำให้บรรยากาศของเกมน่ากลัวกว่าเดิมมากพอสมควร ซึ่งถ้าหากใครที่เคยเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันดั้งเดิมมาก่อน ท่านจะทราบว่าภาพของตัวเกมจะมีความสว่างในระดับหนึ่ง แต่ในเกม Dead Space Remake ในค่า Preset ของ Brightness ที่ถูกตั้งเข้ามาระดับ 50% ตัวเกมจะมีความมืดมากกว่าเดิมเยอะมาก ซึ่งมันเพิ่มบรรยากาศความน่ากลัวของเกมในระดับหนึ่งเลย (แต่ถ้าหากใครที่อยากได้ภาพที่สว่างเหมือนเวอร์ชันปกติ ท่านอาจจะปรับ Brightness ให้เป็น 75 - 100% ก็ได้เช่นกัน)หรือจะเป็นในด้านของบรรยากาศอื่น ๆ โดยรวมไม่ว่าจะเป็นด้านเสียงรอบทิศทางที่ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่ากำลังอยู่คนเดียว เพลงประกอบอันน่าตื่นเต้น หรือจะเป็นสคริปต์ของเหล่าศัตรูที่บางครั้งก็จะโผล่ออกมาโจมตีเราแบบไม่ทันตั้งตัว บางตัวอยู่ดี ๆ ก็กระโดดขึ้นไปบนเพดานและโผล่มาโจมตีเราในอีกทางก็มี หรือจะเป็นศัตรูบางตัวที่เราไม่สามารถฆ่ามันได้ เราทำได้เพียงแค่หนีเท่านั้นซึ่งมันก็เป็นอีกวิธีที่สร้างความกลัวได้เช่นกัน โดยก่อนหน้านี้มีผู้อำนวยการด้านเทคนิคของเกมนี้อย่างคุณ David Robillard ได้กล่าวว่าตัวเกมนั้นน่ากลัวเกินไปที่จะเล่นตอนกลางคืนและใส่หูฟังเล่น ซึ่งเขานั้นไม่ได้พูดเกินจริงเลยแต่สิ่งเดียวที่ไม่ชอบเกี่ยวกับหัวข้อนี้ก็คงจะเป็นในด้านของการ Optimise และการกินสเปกของเกมที่มันค่อนข้างกิน CPU ที่หนักมาก ๆ โดยตัวเกมต้องการสเปกขั้นต่ำก็คือ Ryzen 5 2600x หรือ Core i5 8600 ซึ่งสำหรับผู้เขียนนั้นใช้ CPU เพียงแค่ Core i5 8400 กับการ์ดจอ RTX 2070super ซึ่งเวลาเล่นถึงแม้ว่าจะรันเกมได้แต่มันก็จะเกิดอาการเกมกระตุกเป็นช่วง ๆ เพราะประมวลผลไม่ทัน (แต่พอเล่นได้ด้วยกราฟิกระดับ Low) แน่นอนว่าหลาย ๆ คนอาจจะโทษตัวผมเองที่เอาสเปกคอมรุ่นเก่ามาเล่น แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่าเกมทั่วไปในสมัยนี้หลาย ๆ เกม มันก็ยังไม่ได้กินสเปกโหดขนาดนี้เลย เหตุผลมันก็อาจจะเป็นเพราะตัวเกมไม่ได้มีการโหลดฉากใด ๆ ในเกมเลย ทำให้ตัวเกมอาจจะต้องประมวลผลตลอดเวลา ซึ่งถ้าท่านอยากจะซื้อเกมเวอร์ชัน PC ตรวจสอบให้ดีว่าคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านขั้นต่ำหรือไม่!? หรือทางที่ดีถ้าหากมี PS5 หรือ Xbox Series X/S แนะนำให้เล่นบน Console ดีกว่าเนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของ Dead Space Remake ก็จะยังคงเหมือนกับเวอร์ชันต้นฉบับทุกอย่าง โดยจะติดตามตัวละครอย่าง Isaac Clarke วิศวกรอวกาศที่ได้รับหน้าที่ในการเข้าไปยังยานอวกาศ USG Ishimura เพื่อซ่อมแซมระบบ แต่ถึงพอเข้ามาเขาและทีมจะต้องพบเจอกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เข้ามาไล่ล่าสังหารพวกเขา ซึ่งมันก็ทำให้เขาจะต้องหาทางรอดให้ได้ ซึ่งจากที่ได้อ่านพล็อตคร่าว ๆ พูดตามตรงตัวเกมมันก็มีเนื้อเรื่องที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์สยองขวัญต่าง ๆ ที่โยนผู้เล่นไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราไม่เข้าใจพร้อมกับมีสิ่งมีชีวิตปริศนาคอยไล่ล่า ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์อย่าง Alien ซึ่งเรื่องราวโดยรวมเราก็จะได้ติดตามตัวละครเอกที่จะต้องเอาชีวิตรอดไปเรื่อย ๆ มีภารกิจบางอย่างกับผู้รอดชีวิตคนอื่น พร้อมเรื่องราวก็ค่อย ๆ เฉลยมากยิ่งขึ้นแน่นอนว่าเรื่องราวโดยรวมอาจจะมีการวางหลวม ๆ และเน้นการผจญภัย การเอาตัวรอดในด้านเกมเพลย์เป็นหลัก แต่ถ้าหากเราอยากเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ของเกมมากขึ้น เราเองก็อาจจะต้องหาอ่านเอกสารของเกมที่พบเจอได้ตลอดเวลา ซึ่งมันก็จะทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับเกมมากยิ่งขึ้นทั้งสิ่งมีชีวิตปริศนานี้คืออะไร มาจาไหน เรื่องราวของสถาปัตยกรรมต่างดาวต่าง ๆ รวมถึงยังมีการใส่ปมเกี่ยวกับตัวละครเอกเข้ามาอีก ซึ่งถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของเกมจริง ๆ ตัวเกมมันก็มีเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้น่าสนใจพอสมควรเลยส่วนปัญหาเดียวก็อาจจะเป็นเนื่องจากตัวเกมนี้ได้คงการเล่าเรื่องแบบคลาสสิคดั้งเดิมเอาไว้ ทำให้ตัวเกมไม่ได้มี Cutscene ให้เราติดตามเนื้อเรื่องจริง ๆ จัง ๆ แต่ส่วนใหญ่การเล่าเรื่องก็จะมาจากบทสนทนาผ่านวิทยุของตัวเอกและตัวละครอื่นเป็นต้นเกมเพลย์ในด้านเกมเพลย์สำหรับใครที่เคยเล่นเกม Dead Space เวอร์ชันดั้งเดิมมา แน่นอนว่ารูปแบบเกมเพลย์มันก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ถึงอย่างนั้นระบบการเล่นของมันก็ไม่ได้มีความตกยุคแต่อย่างใด แต่ต้องยอมรับเลยว่าทางผู้พัฒนาที่คิดเกมนี้ในสมัยก่อนนั้นวางระบบการเล่นของเกมมาดีมาก โดยตัวเกม Dead Space จะอยู่ก้ำกึ่งระหว่างเกม Survival และกลิ่นอายความเป็น Action อยู่เล็กน้อย โดยภายในเกมนี้ตัวเกมจะไม่ใจร้ายกับเหล่าผู้เล่นเหมือนเกมสยองขวัญอื่น ๆ ที่จะต้องประหยัดกระสุน บริหารกระสุนให้ดี เพราะตัวเกมค่อนข้างมีกระสุนแจกเราอยู่มากพอสมควร แน่นอนว่าเราก็อาจจะต้องบริหารบางส่วนด้วย เพราะเวลาคับขันอาจจะลำบากได้ แต่กระสุนมันก็มีให้เราได้ใช้มากมาย แถมยังหาซื้อได้อีกด้วยแต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่มันต้องแลกมาด้วยความเท่าเทียมก็คือศัตรูที่มักจะแห่มากันทีหลาย ๆ ตัว ซึ่งมันจะสามารถผลาญกระสุนพอมากพอสมควร รวมถึงศัตรูแต่ละตัวก็มีดาเมจที่แรงและโหดมาก ๆ โดยผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้ในระดับกลาง มอนส์เตอร์ระดับธรรมดาก็สามารถฆ่าเราได้ด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ทีเท่านั้น ทำให้ความน่ากลัวของเกมนี้นอกจากบรรยากาศความหลอนแล้วนั้น ความกลัวที่จะถูกโจมตีจนตายมันก็สร้างความสยองขวัญได้ดีไม่แพ้กันและหนึ่งในลูกเล่นของเกมนี้ที่ทำให้เรารู้สึกไม่เบื่อเลยก็คงจะเป็นอาวุธต่าง ๆ ของเกมที่มีให้เลือกเล่นกว่า 6 ชิ้นซึ่งมันจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นปืนพลาสม่า ปืนไฟ ปืนกล ปืนยิง Beam หรืออื่น ๆ อีกมากมาย แถมปืนแต่ละชนิดก็จะมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันไปอีก อยากเช่นปืนกลที่สามารถยิงลูกระเบิดได้ ปืนไฟสามารถยิงลูกไฟไปในระยะไกลได้ด้วย รวมถึงเรายังสามารถอัปเกรดอาวุธต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มดาเมจ บรรจุกระสุนเพิ่ม ลดรีโหลดกระสุน หรือเราจะสามารถซื้อของปรับแต่งอาวุธนั้น ๆ ให้เราสามารถอัพเกรดความสามารถมากขึ้นไปอีกก็ได้เช่นกัน รวมถึงยังมีอุปกรณ์จากถุงมือของเราไม่ว่าจะเป็นพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ หรือจะเป็นพลังที่เอาไว้ศัตรูติดสโลว์โมชันก็มี ซึ่งมันทำให้ไม่เบื่อเลยนอกจากนี้ในระหว่างการเดินทางเราก็จะมีโอกาสในการหาเงินจากพื้นที่ต่าง ๆ หรือของเอามาขายในร้านค้า ซึ่งตัวร้านค้าก็จะมีของอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็นการซื้อกระสุน ยาเพิ่มเลือด (ที่อาจจะต้องหาซื้อมากกว่ากระสุนอีก) ชุดเกราะต่าง ๆ หรือแม้แต่เราจะสามารถซื้อของแต่งปืนในร้านค้าก็ได้เช่นกันความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เล่นมาตัวเกม Dead Space Remake ก็จะยังคงความน่ากลัวตามแบบฉบับเดิมไว้เป๊ะ แน่นอนว่าคนที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดั้งเดิมมาแล้ว ต้องยอมรับว่ามันแทบไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใดในด้านเกมเพลย์ แต่สิ่งที่ทำให้ส่วนตัวทึ่งก็คงจะเป็นในด้านของบรรยากาศที่น่ากลัวมาก ๆ หรือจะเป็นการเล่นในด้านความมึดของเกมที่ผมมองว่าต่อให้คุณเคยเล่นเกมเวอร์ชันแรกมาแล้ว คุณไม่เคยพบเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อนแน่นอน ในด้านเกมเพลย์พูดตามตรงว่าทางผู้พัฒนาดีไซน์มันออกมาโดยไม่มีที่ติเลย ทั้งอาวุธที่มีให้เล่นเยอะ มันทำให้เรามีความหลากหลายในการเล่น ไม่เบื่อกลางคันเลย ความโหดของศัตรูที่จะทำให้เราจะต้องระมัดระวังในการเดินแต่ละครั้ง เพราะไม่รู้ว่าศัตรูจะเข้ามาหาเราเมื่อไร การบริหารทรัพยากรถึงแม้ว่าภายในเกมเราก็ก็ยังจะต้องทำ แต่มันก็ไม่โหดร้ายถึงขนาดที่คุณจะต้องประหยัดกระสุนให้ได้ทุกนัด (ยกเว้นแต่คุณจะเล่นระดับยาก) สิ่งเดียวที่รู้สึกติดก็คงจะเป็นการที่ตัวเกมใช้สเปกในการเล่นที่สูงมากเกินไปนิด แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ก็สามารถที่จะเล่นเกมนี้ได้อย่างสบาย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็กินสเปกมากกว่าเกมในสมัยนี้ทั่วไปในระดับหนึ่งเลย และทำให้ตัวผู้เขียนกลับมาย้อนคิดแบบงง ๆ ว่า เอ๊ะ !! คอมเรามันเก่าไปแล้วหรือนี่ !? แต่บางเกมที่เคยเล่นไม่กี่เดือนก่อนก็เล่นได้แบบสบาย ๆ เลยนี่นา.... ก็นะ Frostbite Engine ของ EA มันไม่เคยปราณีใครอยู่แล้ว ดูอย่างเกม Battlefield ภาคล่าสุดสิ
25 Jan 2023
[Review] รีวิวเกม Endzone - A World Apart สร้างอาณานิคมในโลกที่ล่มสลาย อยู่รอดให้ได้หลังนิวเคลียร์ถล่มโลก
Endzone - A World Apart เป็นเกมที่เตะตาผู้เขียนเป็นอย่างมาก (โอ๊ยเจ็บใครเตะตา ตึ่งโป๊ะ!!!) ดีนะผมไม่ได้เล่นมุกเตะย่าเตะยาย กลัวเพื่อน ๆ จะขำจนอ่านต่อไม่ไหว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าออกทะเลกันตั้งแต่เริ่มเลย ที่ผมว่ามันเตะยายผมเนี่ย ถุ๊ย!!! ที่ผมว่ามันเตะตาผมเนี่ยเพราะความประทับใจเมื่อแรกเจอคือ ราคาที่ลด 75% ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยครับ ผมกดซื้อมาโดยยังไม่ได้อ่านคอนเซปต์ของเกมเลยด้วยซ้ำ แต่เห็นรูปโปรโมตของเกมมาแล้วนิดหน่อยครับ พอได้มาตั้งใจอ่านคอนเซปต์ของมันจริง ๆ "เออแฮะ มันน่าสนใจมาก ๆ ที่เราจะต้องมาสร้างเมืองในโลกพัง ๆ ให้กับผู้รอดชีวิตที่ประสบภัยนิวเคลียร์"อ่านเนื้อหาเสร็จผมโหลดเกมลงเครื่องเดี๋ยวนั้นเลย (ผมนี่วัน ๆ เล่นแต่เกมสร้างเมือง ใจมันรัก ฮ่า ๆ ๆ ๆ) ลืมบอกไปว่าเกมนี้เขาวางขายอยู่บน Steam มาตั้งแต่ 18 มี.ค. 2021 ตอนนี้เป็นเกมตัวเต็มแล้วนะครับ ไม่ใช่แบบ Early Access เดี๋ยวเราไปดูในเกมกันดีกว่าว่ามีเกมเพลย์อะไรน่าสนใจบ้างระบบต่าง ๆ ในเกมEndzone - A World Apart เป็นเกมแนว Survival/City Builder คือเราไม่ได้มาสร้างเกมเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมาเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ในเกมด้วยครับ อย่างเรื่องของการจัดหาน้ำและอาหารให้กับชาวเมือง การเก็บกู้ซากสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำมาผลิตเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการยังชีพ อย่างชุดกันรังสี ผ้าคลุม ที่กรองน้ำดื่ม เป็นต้นตัวเกมเป็นเกมก่อสร้างเมืองแบบมองจากด้านบนลงมา เรารับบทเป็นหัวหน้าของเมืองที่ทุกครั้งเวลามีเควส ชาวเมืองจะมาปรึกษาเราและเรียกเราว่า Chife (หัวหน้า) ครับ เกมเพลย์โหดกว่าที่คิด ต้องค่อย ๆ แก้ไปทีละเปราะEndzone - A World Apart เมื่อเข้าเกมไปจะมีโหมดให้เราได้เลือกเล่นอยู่ 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่Tutorial Mode - เป็นโหมดฝึกสอนที่จะคอยแนะนำเกี่ยวกับการเล่น และระบบต่าง ๆ ในเกมครับ ผู้เขียนแนะนำเลยว่าให้มาฝึกเล่นก่อน เพราะตัวเกมเพลย์ค่อนข้างเล่นยากอยู่พอสมควร ในโหมดนี้ก็มี Achievement ให้เราได้สะสมด้วยครับSurvival Mode - เป็นโหมดที่ให้อิสระเหมือน Free Play นะครับสำหรับเกมนี้ มีเควสจากชาวเมืองบ้าง มีให้เราได้แก้ปัญหาจากสภาพอากาศ ช่วงหน้าแล้งเกมนี้น้ำจะแห้งไปเลย หรือถ้าเราตุนอาหารไว้ไม่พอชาวเมืองก็จะพากันหนีออกจากเมืองหรือล้มตาย พอแก้เรื่องอาหารได้ ก็จะมีเรื่องการบาดเจ็บล้มตายแทรกเข้ามา ไม่ได้ให้พักกันเลยสำหรับโหมดนี้ครับ ผมเลือกเล่นแค่ระดับ Normal ซึ่งเป็นระดับที่มีความบาลานซ์ของเกมที่สุด แต่มรสุมก็รุมเร้าตลอด ได้ Restart เกมอยู่เรื่อย ๆ ครับ ฮ่า ๆScenarios Mode - เป็นโหมดที่ให้เราเล่นตามเควสเลยครับ มีเป้าหมายให้เราทำตลอดเวลาในการเล่นเกม เกมจะจบหลังจากที่เราปลดล็อกภารกิจทุกอย่างที่ NPC มอบหมายให้เราทำจนครบทั้งหมดครับการเอาตัวรอดต่าง ๆ ในเกมEndzone - A World Apart เมื่อเราสร้างระบบต่าง ๆ ในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็น ฟาร์มเลี้ยงสัตว์, ฟาร์มปลูกพืช, โรงทอ, โรงหาแร่, สถานกักเก็บน้ำ, การหาของป่า, การล่าสัตว์, การตกปลา, และอื่น ๆ อีกมากมาย เราต้องจัดสรรคนเพื่อไปทำอาชีพต่าง ๆ ด้วยครับ ถ้าประชากรเราขาด (ซึ่งขาดบ่อยเหลือเกิน) ทุกอย่างก็จะหยุดชะงักไปเป็นทอด ๆ ครับ แล้วกว่าจะหาคนกลับมาได้อีกคือเหนื่อยมาก ๆ สำหรับเกมนี้บอกเลยว่าเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเกมไม่ได้ใจดีให้เราได้พักหายใจขนาดนั้น เราจะเผชิญปัญหาน้ำขาด อาหารขาด ชุดขาด เครื่องมือขาด คนก็ขาด ขาดมันหมดทุกอย่างจนเราอยากจะร้องขอชีวิต (ไม่อยากเล่นใหม่แล้วโว้ยยยย ฮ่า ๆ) เรามาดูกันดีกว่าว่าระบบของการเอาตัวรอดในเกมนี้ทางผู้พัฒนาได้ใส่อะไรมาให้เราได้เล่นกันบ้างการหาน้ำ - เป็นสิ่งแรกในเกมเลยที่จำเป็นต้องสร้างครับ เพราะในเกมนี้จะมีช่วงหน้า Season(ฤดู) ที่แล้งน้ำครับ ไม่ได้แล้งธรรมดานะฮะ มันเหือดแห้งแบบไม่มีน้ำให้เราสักหยด ตัวเกมจึงออกแบบเครื่องมือในการหาน้ำให้เราหลากหลายแบบครับ ไม่ว่าจะเป็น การหาน้ำจากหยดน้ำค้าง, การรองน้ำฝน, การตักน้ำจากแหล่งน้ำหรือทะเลสาบ ห้วย หนอง คลอง บึง, ในแต่ละแบบใช้วัตถุดิบในการสร้างแตกต่างกันไป ในส่วนนี้เราต้องมีเครื่องมือรีไซเคิลผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้เราก่อนครับ และสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะดีขึ้นทันสมัยขึ้นจากการทำการวิจัย เราก็จะได้ระบบการผลิตน้ำที่ดียิ่งขึ้น หลัง ๆ เราจะผลิตน้ำด้วยไฟฟ้าแทนแรงงานคน แค่เรื่องระบบน้ำก็นันทนาการกันสุด ๆ แล้วครับสำหรับเกมนี้สภาพอากาศ - เกมนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลายครับ รวมไปถึงการมาของรังสีนิวเคลียร์ ช่วงแล้งบางทีน้ำก็แห้งไปเลย ช่วงมีฝนบางทีก็จะเป็นฝนพิษด้วยครับ ทำให้บริเวณต่าง ๆ ของเรามีพิษของสารนิวเคลียร์ที่ตกค้างไปด้วย ตรงนี้มีส่วนของเจ้าหน้าที่ที่ทำความสะอาดตรงนี้อยู่ แต่เราต้องสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ครบก่อนเราถึงจะสร้างหน่วยเก็บกู้ได้ครับ และยังมีพายุทรายที่พอพัดมาเราก็จะมองไม่เห็นอะไรเลย ประชากรของเราส่วนใหญ่จะป่วยเมื่อพบเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ในส่วนนี้ควรสร้างโรงพยาบาล หรือเก็บเกี่ยวสมุนไพรเอาไว้ เพื่อเอาไว้ใช้รักษาชาวเมืองครับ ไม่งั้นถ้ามีคนตายเราก็จะขาดคนงานในการทำสิ่งต่าง ๆ และเหมือนที่ผมได้บอกไปที่หัวข้อก่อนหน้านี้ พอคนขาดแล้วทุกอย่างก็จะหยุด เพราะทุก ๆ หน้าที่เกี่ยวโยงกันหมดครับ เราสามารถเช็คสภาพอากาศได้ล่วงหน้าที่แถบด้านล่างในตัวเกมจะมีบอก ค่อนข้างอำนวยความสะดวกให้คนเล่นอยู่เหมือนกัน ว่าวัน ๆ ต้องเจอกับอะไร ฮ่า ๆการหาอาหาร - อันนี้ก็สร้างความลำบากลำบนในเกมให้กับผมเหลือเกิน ฮ่า ๆ ๆ เข้าเกมมาหลังจากเราสร้างทุกอย่างเกี่ยวกับน้ำหมดแล้ว หลังจากนั้นเราต้องพยายามสร้างทุกอย่างเกี่ยวกับอาหารเอาไว้ให้ได้เยอะที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การล่าสัตว์, การจับปลา, การหาของป่า, การทำฟาร์มสัตว์ (เราต้องล่าสัตว์ก่อนถึงจะสามารถเอาสัตว์เข้ามาเลี้ยงในฟาร์มได้), การปลูกพืชผักผลไม้ เป็นต้น ถึงแม้ว่าเราจะสะสมกักตุนอาหารไว้มากมายขนาดไหน ตัวเกมก็จะสร้างความท้าทายให้กับเราอยู่เรื่อย ๆ คือ อาหารไม่พอ และคนก็จะล้มตาย หรือหนีออกจากเมืองของเราไปครับ ซึ่งคนที่หายไปถ้าหายไปแค่ 4-5 คนก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่เล่นหายไปครึ่งต่อครึ่ง จึงทำให้การผลิตทุกอย่างขาดตอน และเราต้องมาจัดสรรปันส่วนหน้าที่การงานให้คนที่ยังเหลืออยู่กันใหม่ แล้วกว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ พอเริ่มเป็นปกติมันก็จะเริ่มหาปัญหามาให้เราวน ๆ ไปแบบนี้ครับ เพื่อให้เกมไม่น่าเบื่อและมีอะไรให้เราทำ ถึงแม้อาหารที่เราหามาจะดูเยอะ แต่ถ้ามีพายุหรือประชากรเยอะ ๆ บอกเลยว่าพริบตาเดียวเท่านั้นครับ หันมาอีกทีช่องอาหารของเราแดงซะแล้ว เป็นเศร้า ฮืออออออการวิจัย - มีมาให้ได้เล่นกันทุกเกมครับ กับระบบนี้ เกมนี้วัตถุดิบ หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มีมาให้สร้างในตอนเริ่มเกมนั้นจะยังเป็นการประดิษฐ์จากการหาทรัพยากรจากซากต่าง ๆ มาดัดแปลง และยังไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือสิ่งปลูกสร้างที่ซับซ้อนอะไรครับ หลัง ๆ ถ้าเราทำการวิจัยแล้ว จะได้สิ่งปลูกสร้างและเครื่องมือที่มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ก็ต้องอัปในการวิจัยเสียก่อน เราถึงจะนำระบบไฟฟ้ามาใช้กับเมืองเราได้ สิ่งปลูกสร้างบางอย่างถ้าไม่มีไฟฟ้าเราก็จะไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนั้นเมื่อมีกำลังไฟฟ้าแล้ว เราก็ต้องเดินสายไฟให้ไฟนั้นกระจายไปตามบ้านเรือนของชาวเมืองซึ่งตรงนี้เกมสร้างความสนุกให้กับผมเป็นอย่างมาก เพราะเราต้องวางแผนผังเมืองอยู่พอสมควรครับ เพราะถ้าเราลากสายไม่ดี ไฟฟ้าก็จะไม่ทำงาน ต้องคอยเปิดดูเมนูในส่วนของไฟฟ้าเทียบด้วยว่าไฟเข้าบริเวณนั้นหรือเปล่า บอกเลยว่าถ้าใครชอบแนวเดียวกับผมนี่เพลินจิตเพลินใจสุด ๆการส่งคนไปหาของ - เกมนี้จะมีระบบ Scount ครับ เราจะเกณฑ์คนจำนวนหนึ่งออกไปขนของกลับมาที่เมืองของเราครับ เราจะไปรื้อค้นตามซากเมืองต่าง ๆ โรงพยาบาลร้าง, โรงงานร้าง, บ้านร้าง, เป็นต้น หลังจากเราได้เป้าหมายแล้ว ตัวเกมจะให้เราคัดคนไปขนของกลับมาได้เต็มที่ 5 คน ซึ่งไม่ต้องเอาไปจนเต็มจำนวนก็ได้ครับ เพราะมันต้องใช้ Point ในการค้นหา ซึ่งจะมีให้เพียง 1 Point เท่านั้นในช่วงแรก ซึ่งกดหาได้ครั้งเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็ต้องกลับมารอบหน้าเพื่อสำรวจอีกรอบ ทำแบบนี้วน ๆ ไปจนกว่าจะหาของในพื้นที่นั้น ๆ จนครบ 100% ครับ ส่วนของที่ได้ก็จะเป็นวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการก่อสร้าง ยา อาหาร เป็นต้นซึ่งก็จะช่วยเราได้ดีในช่วงที่เราหาไอเทมไม่ทันใช้ ถึงแม้ว่าของที่ได้กลับมาจะไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่ก็ถือว่าแก้ขัดได้ดี ทำให้เกมดำเนินต่อไปได้แบบถูไถไปก่อน โหดจริง ๆ ไม่จกตาเลยครับสำหรับเกมนี้ตัวเกมนั้นไม่ได้กินทรัพยากรของเครื่องมากนัก คอมไม่แรงหรือคอมเก่าแบบผมก็สามารถปรับภาพ High ได้ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ สิ่งปลูกสร้างในเกมเริ่มเยอะจะส่งผลถึง Frame rate ที่ค่อนข้างตกอย่างเห็นได้ชัดครับ หลัง ๆ นี่ถ้าเครื่องไม่แรงเกมค่อนข้างกระตุกครับ ถ้าเปรียบเทียบกับ Floodland ซึ่งอันนั้นภาพแทบจะไม่กระตุกเลยTutorial มีโหมดแยกไปให้ฝึก ผมคิดว่าเกมนี้ค่อนข้างเล่นยากครับ เพราะมีกลิ่นอายของ Banished อยู่เต็ม ๆ แค่เปลี่ยนธีมของเกมเป็นหลังโลกล่มสลาย ใครที่เล่น Banished มาอยู่แล้วคงจะค่อนข้างคุ้นชินกับตัวเกมครับ แต่ถ้ามือใหม่ผมแนะนำให้ไปฝึกในโหมดฝึกก่อน ไม่เช่นนั้นคุณจะงงกับมันมาก ๆ เพราะทุกอย่างการสร้างอะไรต่าง ๆ ค่อนข้างเชื่อมโยงกันหมดครับ และทุกอย่างทำงานเหมือนสายพาน ถ้าตรงไหนติดขัดส่วนอื่น ๆ ก็จะหยุดชะงักไปด้วย ถ้าลืมจุดไหนว่าใช้งานยังไงตัวเกมยังใส่ Survival Guide ให้ได้เข้าไปอ่านพร้อมภาพประกอบช่วยทวนความจำตอนเล่นจริงอีกด้วยการบังคับต่าง ๆ ไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นครับ ตรงนี้คนที่เล่นเกมแนวนี้มาแล้วแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย UI ของเกมก็ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวกกับผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดสิ่งปลูกสร้าง, การเพิ่มจำนวนคนงาน, การส่ง Scount ไปสำรวจ, หรือการลากจุดหาของต่าง ๆ ใช้งานไม่ยากอำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่น และเมนูต่าง ๆ ออกแบบได้สวยงามดีครับสรุปตัวอย่างด้านบนผู้เขียนได้ยกบางส่วนมาเท่านั้นนะครับ ยังมีระบบต่าง ๆ อีกมากมาย ให้ผู้เล่นอย่างเราได้เล่นไปกรี๊ดไปกับความยากของเกมอีกเยอะแยะมากมาย  Endzone - A World Apart อาจจะสร้างความหัวร้อนให้เราเป็นพัก ๆ แต่เกมนี้คือ banished ในธีมอาณาจักรที่ล่มสลาย ซึ่งผู้พัฒนาก็จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ มาให้คนเล่นอย่างเราได้แก้ไข ปรับปรุง อัปเดต เปลี่ยนแปลง ทุบคอมกันอยู่เป็นพัก ๆ (หยอก ๆ นะครับ) กฎหมายต่าง ๆ ถ้าเทียบกับ Floodland ที่เป็นเกมคล้าย ๆ กันตรงนี้ผมมองว่าเกมนี้ยังสู้เขาไม่ได้ครับ แต่ก็ยังมีกฎที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เช่น ห้ามคนเกิดในกรณีที่มีประชากรมากเกินไป และอาหารเริ่มไม่พอ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกฎเล็ก ๆ น้อย ๆ ประมาณนี้ ห้ามเกิด ห้ามกินเหล้า แต่ไม่ได้ออกเป็นบริบทกฎหมายอย่างจริงจังเหมือนในเกม Floodland ครับ ที่จะมีฝั่งซ้ายจัด ขวาจัด เสรีนิยม คอมมิวนิสต์ ให้ได้เลือกเล่น แต่ผมว่ามีแค่นี้ก็หัวร้อนแล้วอย่าเยอะไปกว่านี้ดีแล้วครับ ฮ่า ๆใครที่เป็นแฟนเกมอย่าง banished ผมอยากให้ทุกคนได้มาลอง ราคาไม่แรงครับ 379 บาท เท่านั้นเอง! แนะนำให้รอตอนลดครับ คิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 75% จะเหลือประมาณ 94.75 บาท อาจจะมีบัคให้เราได้พบเห็นอยู่ประปรายครับ และที่สำคัญถ้าเพื่อน ๆ ซื้อ Endzone - A World Apart จะมีส่วนในการช่วยเหลือโลกด้วย เพราะผู้พัฒนาจะนำเงินบางส่วนจากรายได้ไปปลูกต้นไม้จริง ๆ ใครที่ซื้อเกมนี้ก็จะมีส่วนในการบริจาคให้กับ Dev นำเงินไปปลูกต้นไม้ครับ สั่งซื้อ = ช่วยโลกhttps://store.steampowered.com/app/933820/Endzone__A_World_Apart/
23 Jan 2023
[Review] รีวิวเกม Aquaculture Land: Fish Farming Simulation แค่ตกปลาหรือทำฟาร์มมันธรรมดา จับรวมกันเป็นฟาร์มปลาซะเลย!
ช่วง Winter Sale 2022 ที่ผ่านมาผู้เขียนได้ไปเจอเกมที่น่าสนใจที่มีชื่อว่า Aquaculture Land: Fish Farming Simulation เป็นเกมที่เราจะต้องมารับบทเป็นผู้บริหารฟาร์มปลา"เออไอเดียเข้าท่า"ว่าแล้วก็กดซื้อมาดองทิ้งไว้ในคลังก่อน พอมีเวลาก็โหลดมาเล่นแบบไม่รีรอเลยครับ เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2019 แต่ตอนที่ผมกดซื้อมามันกำลังติดเทรนด์อยู่ใน Steam ก็หวังว่ามันจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง เรามาดูกันดีกว่าครับว่าภายในเกมมันมีอะไรน่าสนใจบ้างมีเนื้อเรื่องให้ได้เสพ แต่ต้องเดาเอาเองตามภาพAquaculture Land: Fish Farming Simulation ก่อนเริ่มเกมจะมีให้เราเลือกเล่น 2 โหมดด้วยกันนะครับ    Career Mode - เป็นโหมดเนื้อเรื่องที่เราต้องเล่นเกมเพื่อปลดล็อกสิ่งต่าง ๆ ไปตามเควสของเกมครับ    Free Mode - โหมดที่ให้อิสระกับเราเต็มที่ในการสร้างฟาร์มปลาครับ อยากสร้างอะไรสร้างเพราะทุกอย่างจะปลดล็อกหมดแล้วเนื้อเรื่องของเกมก็เหมือนเกมปลูกผักดัง ๆ ที่เราเคยเล่น อย่าง Stardew Valley ซึ่งเกมนี้เนี่ยตัวเอกของเราตกงานครับ ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีคนรับ (รู้สึกเหมือนอ่านเรื่องตัวเองเลย แต่โชคไม่ดีเหมือนตัวเอก ที่ลุงมีที่ให้ทำกิน ฮ่า ๆ) โชคดียังไงไม่ทราบได้วันหนึ่งลุง Bernard ได้ติดต่อมาว่า"เฮ้ยไอ้หนุ่ม ลุงมีที่เหลือในเมืองเล็ก ๆ ในชนบท เอ็งมาลองทำฟาร์มปลาดูไหมล่ะ"ตัวเอกของเราก็ได้เดินทางไปหาลุง Bernard ครับ และฟาร์มปลาของเราก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้ ลุง Bernard จะสอนเคล็ดลับให้เราและคอยเป็นพี่เลี้ยงให้เราตลอดทั้งเกมเลยครับเกมเพลย์เกมใจ ทำให้ได้คิดถึงเกม Tycoon ต่าง ๆ ในอดีตAquaculture Land: Fish Farming Simulation ตอนที่ผู้เขียนได้เล่น มันทำให้ผมอดคิดถึง Lemonade Tycoon ไม่ได้จริง ๆ ครับ ต่างกันแค่อีกเกมขายน้ำมะนาว และอีกเกมขายปลารูปแบบทุกอย่างดูคล้ายกันแต่ด้วยยุคสมัย Aquaculture Land: Fish Farming Simulation จะมีความซับซ้อนในการเล่นที่มากกว่าครับ เริ่มเกมมาลุง Bernard จะสอนให้เราสร้างบ่อปลาครับ บ่อ ๆ หนึ่งเรามีความจำเป็นต้องติดตั้งอะไรบ้างเพื่อให้ปลาในบ่อของเราเติบโต โดยเกมจะมี Worker(คนงาน) มาช่วยเราตอนเริ่มเกม 1 คน และต้องเสียค่าจ้างให้เขาเป็นรายเดือน หลัง ๆ พอเรามีบ่อปลาที่เยอะขึ้น เราสามารถจ้าง Worker(คนงาน) เพิ่มได้ครับอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องอัปเกรดเพื่อปลดล็อกเริ่มต้นเกมจะมีอุปกรณ์แบบ Basic มาให้เราใช้นะครับ แต่ด้วยปลาต่าง ๆ ที่เราเลี้ยง สามารถติดโรคได้ถ้าน้ำไม่สะอาด เมื่อปลาโตขึ้นพื้นที่การอยู่ในบ่อก็จะลดลงก็จะมีปัญหาเรื่อง Oxygen(ออกซิเจน) ในน้ำไม่พอ สภาพแวดล้อมภายในบ่อไม่เอื้อต่อการเติบโตก็จะทำให้เราได้ปลาที่ไม่มีคุณภาพ ถ้าอยากอัปเกรดอุปกรณ์เกมเลยบังคับให้เราทำเควสครับ เควสที่ว่านี้เราจะได้รับ EXP เพื่อเพิ่มเลเวลความสนิทกับ NPC ในเกม ยิ่งเราสนิทมากขึ้นเราสามารถปลดล็อกปลาสายพันธุ์ใหม่ ๆ หรืออุปกรณ์การเลี้ยงปลาใหม่ ๆ ได้ครับ เช่น ถ้าเราปลดล็อกของรางวัลจากลุง Bernard จนเต็มแล้ว ลุงเขาก็จะแนะนำ NPC หรือลูกค้าใหม่ ๆ ที่จะมาทำธุรกิจซื้อขายปลากับเรา แล้วระบบของเกมก็ขายแบบปากต่อปากวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเกมตันเลยครับ ส่งปลาขายตลาดก็ดี ส่งเควสก็ได้เมื่อเล่นตามเควสไปเรื่อย ๆ ระบบตลาดจะปลดล็อก ค่าความต้องการปลาต่าง ๆ เวลาเราขายในตลาดจะมีราคาปลาช่วงนั้นบอก ราคามีขึ้นลงตามความต้องการของผู้บริโภค ส่งขายตลาดก็ได้เงินและถ้าเป็นปลาชนิดเดียวกับที่เควสต้องการก็จะได้เงินจากเควสเพิ่มด้วยครับ หลัง ๆ เล่นไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรเลยรวยไม่ไหว ฮ่า ๆปลาต่าง ๆ ทาง NPC ที่รับซื้อ เขาจะแจ้งว่าอยากได้ปลารวมกันทั้งหมดน้ำหนักเท่าไหร่ และมีคุณภาพกี่ % ถ้าเราได้น้ำหนักที่ต้องการแล้ว แต่ค่า Quality(คุณภาพ) ไม่ผ่าน NPC ก็จะไม่รับซื้อปลาของเราครับ ตรงนี้เราต้องขุนปลาของเราไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณภาพปลาจะได้ตามความต้องการที่กำหนด แรก ๆ จะงง ๆ หน่อย เพราะกะไม่ค่อยถูกว่าควรใส่ปลาไปบ่อละกี่ตัว แต่เดี๋ยวเล่นไปเรื่อย ๆ จะช่ำชองเอง และหลัง ๆ จะมีธุรกิจเปิดบ่อตกปลาเพิ่มเข้ามาด้วย แต่ต้องเล่นกันไปพักใหญ่ ๆ เลยครับมีระบบ Breed(ผสมพันธุ์สัตว์น้ำ) มาช่วยให้เราได้ผลผลิตไวขึ้นไปอีกเกมนี้มีระบบให้เรา Breed สัตว์น้ำของเราครับ เพื่อที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโต คุณภาพ น้ำหนัก ให้กับปลาที่เราเลี้ยง ถึงแม้จะไม่มีระบบที่ซับซ้อนอะไร แค่เราจับคู่ปลาของเราไปเรื่อย ๆ แค่นั้นเลย พอตัวไหน % ดีขึ้นก็เอาตัวนั้นมาผสมพันธุ์กันวนไปเรื่อย ๆ ปลาของเราก็จะมีอัตราการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถสังเกตได้จากบ่อปลาตอนเลี้ยง ค่าเปอร์เซ็นต์ + น้ำหนักของปลาจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าตอนที่เรายังไม่ได้อัปเกรดอะไรครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมAquaculture Land: Fish Farming Simulation เป็นเกม 2D จำลองเหตุการณ์การทำฟาร์มปลา หรือสัตว์น้ำต่าง ๆ ครับ อารมณ์เหมือนเล่น Game Tycoon ในสมัยก่อน ตัวเกมไม่กินทรัพยากรของเครื่องเลยครับ คอมทั่วไปก็สามารถเล่นได้ระบบการบังคับก็เหมือนเกมทั่วไป ใช้เมาส์คลิก ๆ เลยครับ W,A,S,D ใช้เคลื่อนย้ายมุมกล้อง ส่วนระบบ Toturial ของเกมนั้นจะมีลุง Bernard คอยสอนเราในเกมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นเกมกันไปเลยUser interface ของเกมนี้ผมว่าก็สมกับราคาเกมแหละครับ ตัวเกมไม่ได้แพงมากการออกแบบบางอย่างก็เลยดูธรรมดาไปมาก ๆ แต่ก็ไม่ได้ใช้งานยากสำหรับผู้เล่นอย่างเราแค่นั้นสำหรับผมก็เพียงพอแล้วครับสรุปด้วยความที่มันเป็นเกมที่เล่นวน ๆ อยู่ในลูปของมัน เหมือนจำลองขายของในชีวิตจริงมาให้เราเล่น คือทุกอย่างเป็น routine(กิจวัตร) มันก็เลยทำให้เกมดูตันค่อนข้างเร็วสำหรับผมครับ เพราะแค่ 2 ชั่วโมงในการเล่นเกม ผมสามารถหาเงินจากการขายปลาได้เป็นล้านแล้ว มันก็เลยดูไม่มีอะไรให้ทำครับเหมือนว่าเล่นเพื่อปลดล็อก NPC ไปเรื่อย ๆ แค่นั้นเลย เพราะเรื่องการหาเงินของเกมนี้ค่อนข้างที่จะง่ายเกินไปและด้วยที่เกมเปิดขายมาเป็นปีแล้ว ยังไม่มีระบบอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาให้ทำเลย อย่างเช่น การตกแต่งฟาร์ม"ถามว่าเพลินไหม?"เนื่องจากมันไม่ใช่เกมที่แพงอะไร วางขายอยู่ใน Steam ราคาเพียง 189 บาทเท่านั้นเอง! ก็ซื้อมาเล่นแก้เบื่อได้ดีอยู่เหมือนกัน ช่วงแรกดูดเวลามาก ๆ เพราะอะไรก็ดูใหม่ไปหมด แต่พอเล่นไปได้ระยะหนึ่งแล้วอาจจะได้พบปรากฎการณ์คู่ตรงข้ามได้ครับ นั่นคือเล่น ๆ อยู่หลับ ฮ่า ๆ แต่ถ้าใครคิดถึงเกมอย่างพวก Lemonade Tycoon ซื้อไว้เหอะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/858630/Aquaculture_Land_Fish_Farming_Simulation/
19 Jan 2023
[Review] รีวิวเกม Stranded: Alien Dawn ลงหลักปักฐาน ณ ดวงดาวอันห่างไกล
Stranded: Alien Dawn เกมสร้างเมืองที่มีคอนเซปต์ที่โดดเด่นน่าสนใจ จนตัวผู้เขียนไม่สามารถหันหลังให้กับมันได้ครับ เห็นมันขึ้นเทรนด์ใน Steam อยู่พักใหญ่ ๆ ยิ่งกระตุ้นความอยากเล่นของผมให้มันมากขึ้นไปอีกลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 12 ต.ค 2022 เกมนี้เราจะได้รับบทเป็นผู้ประสบภัยกลุ่มหนึ่งที่ยานเกิดไปตกที่ดวงดาวอันห่างไกลครับ เราต้องมาสร้างอารยธรรมของเรากันบนดาวดวงใหม่เพื่อเอาตัวรอด ต้องพบเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ สัตว์แปลก ๆ จากดวงดาวดวงนี้ มาดูกันครับว่าในเกมมีอะไรน่าสนใจบ้าง และผมจะพาผู้คนภายใต้อาณัติของผมในเกมรอดไปได้ขนาดไหนเพื่อน ๆ ตามมาอ่านกันได้เลยเกมเพลย์เล่นเพลินจนไม่รู้ว่าจะได้นอนตอนไหนเข้าเกมมาตัวเกมจะถามเราว่าจะลองเล่น Toturial Mode ก่อนไหม ใครคิดว่าจะไม่งงกับระบบของเกมก็ข้ามตรงนี้ไปเลยก็ได้ครับ เพราะค่อนข้างกินเวลานานมาก ๆ ในการเรียนรู้ระบบต่าง ๆ แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ผู้เขียนแนะนำว่าให้เข้าไปเล่น Toturial Mode ก่อนจะดีกว่าครับ เพราะระบบของเกมค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่เหมือนกัน เอาจริง ๆ ความสนุกก็เริ่มสำแดงให้เห็นกันตั้งแต่โหมดฝึกสอนเลย อารมณ์เกมที่เล่นผมได้กลิ่นอายของ The Sims อยู่พอสมควรครับ ไม่ใช่เกมสร้างเมืองที่ต้องสร้างบ้านเป็นหลัง ๆ จัดวางผังเมืองตามไอเทมที่เกมมีมาให้ แต่เราต้องวิจัยไปเรื่อย ๆ เพื่อปลดล็อกอุปกรณ์หรือวัตถุที่ใช้ในการสร้างบ้าน และบ้านเป็นหลัง ๆ ของเกมนี้เราต้องออกแบบและสร้างมันด้วยตัวเองครับ เกมนี้เราต้องดูค่าความต้องการของ Sims ด้วยครับ เช่น ถ้าหิวก็ต้องไปทำอาหารที่แคมป์ไฟ, Sims เบื่อก็ต้องสร้างอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ให้ผ่อนคลาย เป็นต้น จะมีการบ่นให้ฟังด้วยว่า ณ เวลานั้นต้องการอะไร เบื่อผู้ร่วมชะตากรรมคนไหน ก็จะบ่นให้เราฟังทุกอย่าง เล่น ๆ ไปอาจจะมีคำถามให้เราตัดสินใจว่าสิ่งนี้เราทำได้หรือไม่ได้ตัวเกมจะให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับเกมด้วยครับStranded: Alien Dawn ยังมีเกมเพลย์ย่อย ๆ อีกเยอะแยะมากมาย ในบทความนี้ผู้เขียนคงเล่าให้ฟังได้ไม่หมด ฉะนั้นเดี๋ยวผมจะยกจุดเด่น ๆ ของเกมมาสาธยายให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะครับ แต่เดี๋ยวจะยกไปไว้ในหัวข้อด้านล่างเพื่อไม่ให้เนื้อหาดูยาวจนเกินไป ส่วนถ้าใครต้องการเจาะลึกแบบละเอียดต้องไปซื้อมาเล่นเองแล้วครับ บอกเลยเพื่อน ๆ จะไม่เสียดายเงินแน่นอน ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ณ จุดเริ่มต้นตัวเกมจะมีให้เราเลือกตัวละครที่จะขึ้นยานเพื่อไปผจญภัย 4 คนด้วยกันครับ สามารถเลือกความสามารถของตัวละครได้ ตรงนี้ผู้เขียนแนะนำว่าควรจะเลือกค่าความถนัดที่โดดเด่นคละ ๆ กันไปนะครับ เช่น ทำอาหารเก่ง, ต่อสู้เก่ง, คราฟต์ของเก่ง หรือทำการวิจัยเก่ง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะมีประโยชน์กับเราในการเล่นเกมมาก ๆ เพราะเกมนี้พอเล่นไปเรื่อย ๆ เราต้องแบ่งหน้าที่ให้กับสมาชิกครับตัวเกมสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ตามความสามารถ เลือกดวงจันทร์ก็ได้ เลือกดาวดวงที่จะไปตกก็ได้ (สภาพแว้ดล้อมบนดาวแต่ละดวงจะแตกต่างกันครับ) ซึ่งตอนนี้มีดาวให้เลือกเล่นแค่ 2 ดวง พอเริ่มเกมยานฉุกเฉินของเราจะมาตกบนดาวที่เราเลือก ความสนุกจะเริ่มเกิดขึ้นตรงนี้แหละฮะอย่างที่บอกเกมนี้มันเป็นเกมแนว Colony sim หลังจากยานตกเราจะได้เห็นอารมณ์ที่หลากหลายของตัวละครของเราแต่ละตัว เราต้องเริ่มสร้างฐานสร้างแคมป์เข้าป่าล่าสัตว์ทำอาหารสร้างโต๊ะคราฟต์ และที่จะลืมไม่ได้เลยคือโต๊ะวิจัยครับ เพราะเรามาอยู่บนดาวที่ไม่ใช่โลก พืชพรรณ หรือสัตว์ต่าง ๆ ก็จะหน้าตาประหลาดแตกต่างจากโลกของเรา เราก็ต้องมาทำการวิจัยว่ามันสามารถกินได้ไหม เป็นอันตรายกับเราหรือเปล่า? หรือเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้ไหม เป็นต้นการเอาตัวรอดการเอาตัวรอดบนดวงดาวที่เรามาตกนั้น เริ่มแรกเลยเราต้องสร้างแคมป์ไฟครับ ช่วงแรก ๆ อาจจะยังไม่ต้องแบ่งหน้าที่อะไรให้ใครมากนัก เพราะยังต้องช่วยกันทำทุกอย่างอยู่ หลัก ๆ ที่จะแบ่งย่อย ๆ แบบคร่าว ๆ ก็คือการสร้างแคมป์ - เริ่มแรกเลยเราจำเป็นต้องสร้างแคมป์แบบง่าย ๆ พอที่จะให้ตัวละครของเราเอาตัวรอดได้ก่อนในช่วงแรก สิ่งหลักที่ต้องสร้างก่อนเลยก็คือ ที่นอน (ควรสร้างให้พอดีกับจำนวนตัวละครของเรา), ที่เก็บของ เพราะถ้าไม่สร้างตัวละครของเราจะเดินไปเอาของไกลมาก ๆ เนื่องจากเกมนี้ข้อเสียก็คือไม่มีพาหนะให้เราใช้งานครับ, แคมป์ไฟอันนี้ขาดไม่ได้เลยเพราะเราต้องใช้ทำอาหาร ถึงแม้ช่วงแรกจะมีอาหารจากซากยานฉุกเฉินของเรา แต่ช่วงหลังต้องหาอาหารเองครับ แรก ๆ เราก็สร้างพอยังชีพไปก่อน พอหลัง ๆ ปลดล็อกสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาแล้วก็ค่อยจัดเป็นหมู่บ้านให้ชาวแก๊งยานแตกของเราได้พักอาศัยก็ได้ครับการทำอาหาร - ส่วนนี้เราต้องกำหนดหน้าที่ให้คนในทีมที่มีแต้มทักษะการทำอาหารเยอะที่สุดได้เข้ามาดูแลตรงนี้ ส่วนใหญ่วัตถุดิบจะได้จากการล่าสัตว์ต่าง ๆ บนดาว หรือการเพาะปลูก (ต้องทำวิจัยก่อน) ตัวละครที่เราตั้งค่าให้เป็นกุ๊กประจำ Base Camp ก็จะไปทำอาหารให้เราทานที่แคมป์ไฟครับ (จำเป็นต้องมีแคมป์ไฟก่อน) สามารถกำหนดได้ว่าเราจะให้ทำอาหารไปเรื่อย ๆ หรือกำหนดจำนวนที่ต้องการได้ครับ ผู้เขียนมองว่าตรงนี้เมนูต่าง ๆ ใช้ง่ายและสะดวกกับผู้เล่นมาก ๆ ครับดวงจันทร์เพื่อน ๆ คงสงสัยใช่ไหมว่าผู้เขียนจะพูดถึงดวงจันทร์ทำไม? เกมนี้ดวงจันทร์ที่เราเลือกตอนช่วงจะเข้ามาเล่นมีความสามารถในการเสก Ai มาบุกเรา ความสามารถและนิสัยของเหล่าแมลงที่มาบุกบ้านเรานั้นจะแตกต่างกันไปตามดวงจันทร์ที่เราเลือก ผมแนะนำว่าในส่วนนี้ให้ Random ไปเลย ไปลุ้นเอาหน้างานว่าผู้รอดชีวิตของเราจะต้องเจอกับอะไร ฮ่า ๆการวิจัยช่วงที่เราเลือกตัวละครเพื่อที่จะพามาซวยกับเราด้วยนั้น ผู้เขียนแนะนำว่าให้เลือกคนที่มีสมองมากับเราด้วย ฮ่า ๆ เพราะคนที่แต้มฉลาดสูงที่สุดจะช่วยให้เราทำการวิจัยได้ไวครับ และยิ่งไวเท่าไหร่อัตราการรอดของทีมเราก็จะสูงขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ จะปลดล็อกให้เราได้ใช้งานรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สิ่งหลัก ๆ เลยเราต้องมีอาวุธไว้ใช้งานครับ เพราะแมลงจะบุกมาก่อกวนเราเรื่อย ๆ ถ้าเราป้องกันมันได้ มันก็จะเป็นแหล่งอาหารที่มาเสิร์ฟให้เราถึงที่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราสู้มันไม่ได้เพราะเรายังไม่ได้ปลดล็อกอุปกรณ์ใด ๆ เลย เราและลูกทีมก็จะขิตเอาง่าย ๆ และความเจริญของเราจะต้องอาศัยการวิจัยเป็นหัวใจหลักเลยครับสภาพอากาศในเกมนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลาย ความร้อน หิมะ ฝน ซึ่งมันจะสร้างอุปสรรคให้เราเป็นอย่างมากเมื่อเข้าหน้าหนาวครับ มันก็เลยต่อเนื่องมาจากการวิจัย ซึ่งทุก ๆ อย่างล้วนต้องใช้การวิจัยในการแก้ปัญหาเกือบทั้งหมดครับ เรามีความจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศ หรือเตาผิง เพื่อช่วยสมาชิกของเราในทุก ๆ สภาพอากาศที่จะต้องเจอครับการทำฟาร์มมีทั้งการทำปศุสัตว์ และเกษตรกรรม เราทำเพื่อเป็นอาหารให้แก่สมาชิกยานแตกของเรา แต่ก่อนเราจะปลูกพืชได้นั้นเราก็ต้องส่งทีมไปสำรวจพืชผักต่าง ๆ ของดาวดวงนี้ก่อน ทีนี้เราก็ต้องเฟ้นหาสมาชิกที่มีแต้มการเพาะปลูก หรือการเก็บเกี่ยวที่เยอะที่สุดเพื่อมอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบไปเลยทั้งเกม เพราะลูกทีมที่มีค่าการเพาะปลูกสูงจะสามารถปลูกพืชและเก็บเกี่ยวได้ไว พืชในเกมนี้ก็จะมี ข้าวโพด, ฟักทอง, เบอร์รีป่า, ฝ้าย และดอกซิลิคอน เป็นต้น แต่จะมีหน้าตาที่แปลกประหลาดกว่าพืชผักในโลกของเรานะครับ ตรงนี้ผู้พัฒนาใส่ใจรายละเอียดดีผมชอบมาก ๆ การต่อสู้ดาวที่ยานเรามาตกนี้ มีสัตว์ท้องถิ่นอาศัยอยู่และเป็นอันตรายต่อเรามาก ๆ เพราะมันจะมารอกินผู้รอดชีวิต ผู้เขียนสอดส่องดูแแล้วว่ามันไม่ได้มีแค่ยานเราลำเดียวที่มาตกนะครับ มันยังมีซากยานอื่น ๆ อีกเยอะแยะเลยที่ให้เราได้ไปฟาร์มหาของกัน สัตว์ร้ายพวกนี้มีทั้งเดินมาหาเรา และบินมาหาเราครับ แต่ก็งง ๆ อยู่ว่าทำไมมันปีนบันไดไม่ได้ ฮ่า ๆ สิ่งที่เราต้องทำเพื่อลดภาระของเราในการที่จะต้องคอยมาฟาดฟันกับแมลงแบบ Malee (การต่อสู้ระยะประชิด) ลง ก็คือเราต้องรีบวิจัยป้อมปืนครับ ถ้าแมลงมาก่อกวน ป้อมปืนของเราจะทำงานเยี่ยงไบก้อนแบบออโต้ แมลงร้ายตายเรียบไม่มีเหลือ ฮ่า ๆ ในช่วงแรก ๆ ถ้าเรายังไม่มีป้อมปืนก็ไม่เป็นไรนะครับ เราก็เลือกสมาชิกที่มีแต้มการต่อสู้สูง ๆ แล้วใส่อาวุธไว้ให้ แต่ทางที่ดีเราควรใส่ไว้ให้ทุกคนจะดีกว่าครับ เพราะเวลาแมลงมาบุกมันจะโจมตีทุกคนที่มันเห็นครับ แล้วถ้าคนไหนไม่มีอาวุธแมลงตีเราฟรี ๆ เลย อย่างน้อยมีอาวุธไว้ให้ก็ยังสามารถต่อกรกับแมลงร้ายได้บ้างการคราฟต์อันนี้จะเป็นส่วนสุดท้ายที่เราจะมาพูดถึงกันนะครับ จริง ๆ ยังมีอีกหลายส่วนมาก ๆ ที่ผมไม่ได้หยิบมาพูดถึง เพราะมันเยอะมากจริง ๆ อยากให้ทุกคนได้ไปลองเล่นเองครับ การคราฟต์เกมนี้ก่อนที่เราจะคราฟต์ได้เราต้องหาวัตถุดิบให้ครบก่อน เพื่อที่จะเอามาสร้างโต๊ะคราฟต์ ในเกมมีบอกครับว่าต้องใช้อะไรเท่าไหร่โต๊ะคราฟต์จำเป็นไหม? ผู้เขียนบอกเลยครับว่าเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ควรสร้างรองลงมาจากโต๊ะวิจัย มันแทบจะเป็นสิ่งที่ใช้คู่กันเลยครับ เราจำเป็นต้องคราฟต์อาวุธเพื่อใช้ต่อสู้กับแมลงที่มาบุก Base Camp ของเรา หรือจะคราฟต์อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเราใน Base Camp ครับโบกมือลาเกมนี้มีจุดจบของมัน ถ้าเราสร้างสถานีส่งสัญญาณออกสู่วงโคจรสำเร็จเมื่อไหร่ เราจะได้กลับบ้านครับ ทุกคนคิดเหมือนผมใช่ไหมครับ อุตส่าห์สร้างระบบต่าง ๆ มาซะหรูหราหมาเห่าขนาดนี้ จะกลับบ้านทำไม? ถ้าคิดตามเรื่องราวจริง ๆ สมมติโยนตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้นนะฮะ ถ้าเราตัวคนเดียวก็อาจจะไม่เป็นไร ดาวดวงใหม่ก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเราที่จะช่วยลบอดีตที่ไม่อยากจำบางอย่างได้ แต่บางคนเขาอาจจะมีคนที่รอเขาอยู่ที่โลก เขาก็แค่อาจจะอยากกลับไปอยู่กับคนที่เขารักก็ได้ครับ ถึงแม้ว่าดาวดวงใหม่จะดีกว่าทุกอย่าง แต่คงไม่มีอะไรดีไปกว่าสิ่งที่เราเรียกว่าบ้านหรอกครับ (ผู้เขียนจินตนาการตามเหตุการณ์ในเกมเฉย ๆ นะฮะ อย่างอิน ฮ่า ๆ)ระบบต่าง ๆ ภายในเกมStranded: Alien Dawn เป็นเกมจำลองสถานการณ์ยานตก เหมือนเล่น The Sims 4 แต่ไม่ได้อยู่บนโลกครับ มีภาพ 3D ที่สวยมาก ๆ ปรับได้สูงสุดถึงระดับ 4K กันเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องกลัวว่าคอมบ้าน ๆ จะเล่นไม่ได้นะฮะ ผู้เขียนนั่งยันนอนยันว่าคอมธรรมดา ๆ ก็เล่นได้ แล้วที่ชอบก็คือไม่กระตุกเลย เลิฟมากToturial มีแยกโหมดออกมาให้เราได้ไปฝึกก่อนครับ ผมแนะนำว่าอย่าข้ามให้เข้าไปฝึกดูปุ่มต่าง ๆ ให้ชำนาญระดับหนึ่งก่อน เพราะเกมค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน การบังคับของเกมไม่ยุ่งยากเลยครับ แต่ผมไม่ชอบการหมุนมุมกล้องสูงต่ำที่ต้องใช้ Insert และ DeleteUserinterface บอกเลยว่าดีเกินราคาฮะ ผมชอบตรงที่ให้ใส่จำนวนของต่าง ๆ ที่เราต้องการผลิตได้สร้างความสะดวกให้กับผู้เล่นมาก ๆ ว่าอยากได้กี่ชิ้นก็ใส่ไปเลย Ai ก็จะผลิตตามความต้องการของเรา เมนูต่าง ๆ ก็คือดีสวยงามมาก ๆ ไม่สร้างความผิดหวังให้ผมเลยแม้แต่นิดเดียวสำหรับเกมนี้สรุปเป็นเกมที่ผู้เขียนคิดว่าดีเกินคาดไปมากครับ นี่ถ้าเครื่องผมแรง ๆ ได้เล่นภาพแบบ 4K คงจะฟินมาก ๆ เหมือนกัน เป็นเกมที่คอนเซปต์ดีมาก ๆ ผู้เขียนมองว่าถ้า Dev ไม่ทิ้งกันไปเสียก่อนเกมนี้มันน่าจะไปได้อีกไกล ทั้งภาพที่สวย กิจกรรมในเกมมีให้ทำเยอะเหลือเกิน แค่ตบตีกับแมลงนี่ก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ฮ่า ๆ ตัวละครในความดูแลของเรา เราจะทำไม่สนใจพวกเขาก็ไม่ได้ ต้องคอยอาศัยดูค่าความต้องการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เขาเศร้าจนเกินไป คิดดูนะครับถ้าเราต้องไปติดอยู่แบบนั้นก็คงเซ็งเหมือนกันถ้าไม่มีอะไรให้ทำ พอดูสถานะต่าง ๆ แล้วว่าตอนนี้ทรงอย่างแบด แซดบ่อย ๆ ก็จัดอุปกรณ์ต่อยมวยให้ได้ระบายอารมณ์กันไปเลย ฮ่า ๆนอกจากระบบต่าง ๆ ที่ผมประทับใจแล้ว ผมยังโคตรประทับใจตารางการทำงาน การจัดระบบการพักผ่อนที่โคตรจะเข้าใจง่ายมาก ๆ เราสามารถแบ่งกะให้สมาชิกทำงานได้ จัดสรรเวลานอน เพื่อที่จะให้มีคนเฝ้ายามกะดึก เป็นอะไรที่ใช้ง่ายและไม่สร้างความงงให้กับคนเล่น Dev อำนวยความสะดวกกันสุด ๆ ข้อเสียที่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผมคงมีเพียงสิ่งเดียวที่จับต้องได้ในเกมนี้ นั่นก็คือทำไมมันไม่มีพาหนะให้ใช้? มันเดินไกลมาก ๆ แบบโคตร ๆ เลยครับ เพราะเวลาเราไปฟาร์มของไม่ว่าจะเป็นตัดไม้ หรือหาของป่า ตัวละครของเราจะกองสิ่งที่หาได้ไว้ตรงนั้นก่อน แล้วก็จะมาช่วยกันขนกลับ Base Camp คือบางทีไกลมาก ๆ ก็เดินมันวน ๆ ไป ฮ่า ๆ ถ้าในอนาคต Dev เพิ่มระบบขนส่งเข้ามาหน่อยก็น่าจะสะดวกกับคนเล่นมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ต้องรอกันไปก่อนราคาเกมไม่แรงเลยครับ 509 บาทเท่านั้น บอกเลยผมไม่เสียดายเงินเลยสำหรับเกมนี้ ใครไม่รีบก็รอไปซื้อช่วงลดราคาก็ได้ครับ แต่ผมบอกเลยราคาเต็มก็คุ้ม!สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1324130/Stranded_Alien_Dawn/
30 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Floodland เกมสร้างเมืองเอาตัวรอดจากวิกฤตน้ำท่วมโลก
Floodland ตอนเลื่อน ๆ ชอปปิงหาเกมเล่นในช่วง Steam ลดราคาส่งท้ายปีกับเทศกาล Winter Sale ด้วยภาพของเกมที่เป็น First Impression (ความประทับใจเมื่อแรกพบสบตา ฮ่า ๆ) ที่ดึงดูดผมเข้ามา และคอนเซปต์ของเกมที่น่าสนใจ"โลกหลังน้ำท่วมงั้นเหรอ? เป็นเกมสร้างเมืองที่เออน่าสนใจดีแฮะ"เลื่อนลงไปดูราคา อ๊าาาาา ลด 20% เอง แต่เกมเพิ่งลงวางขายไปเมื่อ 15 พ.ย. 2022 ดูทรงแล้วในอนาคตผู้เขียนน่าจะหลังหักดังกร๊อบแกร๊บแน่ ๆ แต่ไม่เป็นไรครับคอนเซปต์เกมเขาดีขอกดลงคลังมาลองสักหน่อยเกมเพลย์หากได้ลอง 2 ชั่วโมงก็ไม่พอFloodland ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือดินแดนน้ำท่วมใช่ไหมครับ ฉะนั้นเราคนเล่นเนี่ยต้องมารับบทเป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งที่รอดจากเหตุการณ์โลกที่พังพินาศจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เนื้อเรื่องในเกมเปรย ๆ มาว่ามีเสียงกรี๊ดและความวุ่นวายเต็มไปหมด แล้วเราจะมาช่วยสร้างโลกใหม่ไปด้วยกัน โดยมีเควสให้ทำตลอดการสร้างอารยธรรมของเราในเกมครับเริ่มเกมมาเราต้องเลือกแคลนของผู้รอดชีวิตครับ สโลแกนของแต่ละแคลนก็แตกต่างกันไป เกมนี้ผู้คนในเกมจะนิยามโลกที่พวกเขาอยู่หลังน้ำท่วมว่าโลกใหม่ และโลกก่อนน้ำท่วมว่าโลกเก่านะครับ หัวหน้าแคลนที่ทางเกมส่งมาแคนดิเดตให้เราได้เลือกเล่นนั้น จะมีนโยบายในการมองโลกในอารยธรรมใหม่แตกต่างกันไป เช่น เน้นวิทยาศาสตร์ เน้นเกี่ยวกับอิสรภาพ เน้นเรื่องเอาตัวรอด หรือเน้นเรื่องการพัฒนาโลกใหม่ให้ดีกว่าโลกเก่าอันนี้ในเกมจะมีนโยบายตรงนี้ให้เราได้อ่านครับ และหลังจากเลือกว่าชอบนโยบายของแคลนไหนแล้วที่นี้เราก็ต้องมาดูตรง Clan traits (มันคือสกิลติดตัวของแคลนเราครับ) ซึ่งความสามารถของแต่ละแคลนจะแตกต่างกันออกไป เช่น ถ้าเราเลือกเล่นแคลนของคุณ Anna Brown สมาชิกในแคลนก็จะยอมอดมื้อกินมื้อเปอร์เซ็นต์อาหารในเกมก็จะลดช้าลงครับ ในส่วนนี้ผมมองแล้วว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะช่องอาหารเต็มอยู่ตลอด หรือสมาชิกในแคลนเดินเร็วขึ้น 10% หรือสามารถสั่งให้สมาชิกในแคลนทำงานกะกลางคืนได้ครับ อันนี้เลือกเล่นได้ตามความชอบเลยครับความยากง่ายสามารถปรับได้หลายระดับ จากที่ผมดูแล้วค่อนข้างยืดหยุ่นมาก ๆ คือเราไม่จำเป็นต้องปรับยากทั้งหมด อยากหาทรัพยากรง่าย ๆ กลัวบริหารไม่ไหวสมาชิกในแคลนอุตส่าห์รอดมาตั้งนานแต่ดันมาอดตาย เราก็ปรับให้หาทรัพยากรได้ง่าย แล้วในส่วนอื่น ๆ ยากบ้างง่ายบ้างแบบนี้ก็ได้ครับ หรืออยากจะชาเลนจ์แบบคิดว่าเราเอาอยู่ก็จัดแบบ Hardcore ที่เริ่มเกมมาก็อาจจะประสบปัญหากับความล้มเหลวได้เลย เริ่มเกมปุ๊บจบเกมปั๊บ ฮ่า ๆเกมนี้ยังมีส่วนที่น่าสนใจให้ผู้เขียนได้สาธยายให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันอีกหลายสิ่งหลายอย่างเลยครับ ผมจะพยายามย่อ ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย เพราะไม่งั้นมันจะยาวจนเกินไป เพราะโดยส่วนตัวผมชอบเกมนี้มาก ๆ เดี๋ยวผมจะยกเรื่อง ๆ การหาทรัพยากรไปอีกหัวข้อหนึ่งเลยละกันการหาทรัพยากรเพื่อเอาตัวรอดและทำการวิจัยในโลกที่มีแต่น้ำเรายกเกมเพลย์ย่อย ๆ มาคุยกันในหัวข้อใหม่ดีกว่า ไม่งั้นมันจะเยอะมาก ๆ เดี๋ยวผู้เขียนไม่รู้จะเอารูปไปใส่ไว้ตรงไหนดี ฮ่า ๆเริ่มเกมมาจะมีพื้นที่ที่เปิดให้เราเล่นแค่รัศมีวงกลมครับ เราต้องส่งคนไปสำรวจในบริเวณรอบ ๆ หรือตามซากปรักหักพังเพื่อปลดล็อกพื้นที่ไปเรื่อย ๆ ตรงนี้เควสจะเริ่มมามีบทบาทกับการเล่นเกมของเราแล้วนะฮะ (ส่วนใครอยากรู้สึกอิสระในการเล่นมากขึ้น สามารถเลือกที่จะปิดในส่วนของเควสไปได้ครับ แต่ผมแนะนำให้เปิดเอาไว้เพราะมันสนุกมาก ๆ) เราต้องไปค้นบ้านเพื่อหาผู้รอดชีวิตตามคำสั่งของเควสที่เราได้รับมา เพื่อปลดล็อกในส่วนของการวิจัยครับ แต้มการวิจัยต่าง ๆ ที่เราจะเอามาอัปเกรดเพื่อที่จะสร้างเต็นท์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใน Base Camp (ฐานตั้งมั่น) ก็ต้องใช้แต้มต่าง ๆ ช่วงชีวิตในเกมแรก ๆ เราต้องส่งสมาชิกในแคลนไปหาตามซากเมืองต่าง ๆ เพื่อหาทรัพยากร หลังจากนั้นเราก็สร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ตามเควสไปได้เรื่อย ๆ เพลินมาก ๆ ระบบอัปเกรดสิ่งต่าง ๆ เพิ่มความสนุกให้เกมนี้ไม่น่าเบื่อเมื่อเรามีแต้มสำหรับอัปงานวิจัยแล้ว สมมติว่าเราสร้างท่าเรือสำหรับจับปลาไว้แล้วแบบเลเวล 1 ถ้าเราอัปเกรดท่าเรือจับปลาในตารางวิจัยเป็นเลเวล 2 เราสามารถมากดจากท่าเรือเลเวล 1 ที่เราสร้างไว้แล้วได้เลยครับ แค่เราหาวัตถุดิบที่ระบบรีเควสมาให้ครบ และตรงนี้เราจะได้ส่วนลดวัตถุดิบที่ใช้อัปเกรดด้วย แม้กระทั่งผู้นำในแคลนของเรา เราสามารถใช้ศูนย์การวิจัยอัป EXP เพื่อเพิ่มเลเวลให้หัวหน้าแคลนของเราได้ด้วย จะเพิ่มสกิลติดตัวต่าง ๆ ให้กับแคลนของเราไปอีกครับ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกแคลนหาทรัพยากรเร็วขึ้น, สมาชิกในแคลนกินน้อยลง หรือสมาชิกในแคลนถ้าป่วยแล้วจะอัตราการตายจะน้อยลง เป็นต้นเควสและเนื้อเรื่องของเกมเชื่อมโยงกันทำให้ทุกอย่างดูลงตัวเริ่มต้นมาเกมนี้ก็จะมีเควสให้ทำเป็น Chapter ไปครับ ทำผ่านไปเรื่อย ๆ ระบบต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ทยอยปลดล็อกออกมาให้เราได้สนุกเพิ่มขึ้น แล้วก็จะมีปัญหายิบย่อยจากสมาชิกแคลนให้เราได้แก้ปัญหาอีกด้วยครับ อย่างเช่นที่ผู้เขียนเจอก็คือ มีครอบครัวหนึ่งครับพ่อควบคุมลูกไม่ให้ทะเลาะกับเพื่อนบ้านไม่ได้ และสร้างความรำคาญให้แก่ชาวแคลนจะมีเหตุการณ์ให้เราตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรกับครอบครัวนี้ดี ซึ่งผมรำคาญครับทะเลาะกันบ่อย ฮ่า ๆ ผมเลยตัดสินใจเนรเทศทั้งครอบครัวให้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีตัดรำคาญทั้งหมดวินวินทุกฝ่าย สมาชิกในแคลนคนอื่น ๆ จะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากครอบครัวนี้แล้ว, ผู้นำก็ไกล่เกลี่ยไปหลายรอบแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นก็จะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาเรื่องเดิมซ้ำ ๆสรุปว่าชาวเมืองไม่ได้ชอบการตัดสินใจของผมครับ และจะมีผลแจ้งให้เราทราบด้วยว่าสิ่งที่เราตัดสินไปสร้างความเอือมระอาให้กับชาวเมืองครับ เพราะดันเป็นวิธีที่อะลุ่มอล่วยเกินไป เพราะสังเกตนิสัยของสมาชิกภายในแคลนแล้วน่าจะเป็นฝั่งขวาจัดครับ คือพวกเขาต้องการให้ผมลงโทษครอบครัวที่ทำผิดแบบจริงจัง ฮ่า ๆ แค่เราตัดสินใจอะไรจะมีผลภายในแคลนทันทีตรงนี้ก็ต้องระวังให้มากเหมือนกันมันสามารถนำไปสู่การกบฏได้ครับออกแบบกฎหมายได้ตามความชอบเรื่องรสนิยมด้านการปกครองมันก็เป็นความชอบของแต่ละคน และในเกมนี้ก็ออกแบบมาได้ครอบคลุมมาก ๆ ครับ ไม่ว่าเราจะอยากเล่นแบบขวาจัดไปเลย ซ้ายจัดจนเลี้ยวกลับมาขวาไม่ได้ อนุรักษ์นิยมแบบที่โลกเดิมพังไปแล้วแต่ฉันก็ยังอยากจะทำแบบเดิม ๆ หรือแม้แต่เสรีนิยมที่ให้ความอสิระเหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ที่สุด ขนมาให้เลือกออกแบบได้ตามความพอใจของเราเลยครับ มีบริบทกฎหมายที่ทำโทษกันแบบจริงจัง และสร้าง Emotion (อารมณ์) ในเกมให้กับประชากรที่อยู่ภายใต้การดูแลในแคลนของเราครับ และตรงนี้แหละครับถ้าเรากำหนดมันไม่ดีอาจจะทำให้ Game Over ได้เลยครับ ฉะนั้นอย่าลืมดูลักษณะนิสัยโดยรวมของสมาชิกในแคลนเราก่อน ระบบกฎหมายจะปลดล็อกให้เราเลือกก็ต่อเมื่อเราทำเควสผ่านไปสักระยะหนึ่งครับ ระบบการควรคุมที่ใช้ง่าย นี่แหละที่ต้องการFloodland เป็นเกมที่มีมุมมองจากด้านบนลงมา เราได้รับบทเป็นพระเจ้าบริหารคนจำนวนหนึ่ง ภาพในเกมเป็นภาพแบบ 3D Polygon ทำได้สวยงาม การออกแบบสิ่งปลูกสร้างทำออกมาได้ดี (ตัวผู้เขียนชอบงานอาร์ตแนนนี้อยู่แล้วครับ) ไม่ต้องมีคอมที่ Spec สูง ๆ ก็เล่นได้ แต่ติดตรงที่เกมนี้เล่นไปเรื่อย ๆ frame rate จะดรอปไม่ว่าผมจะพยายามปรับภาพยังไงก็แก้ไม่ได้ ในส่วนนี้อาจจะต้องรอ Dev แก้ครับระบบการบังคับของเกมนี้โคตรเข้าใจง่ายเลยครับ มือใหม่ก็เล่นได้ใช้คลิก ๆ ไม่ต้องลากคลุมอะไร กดตัวเลือกการหาทรัพยากรแค่เราเอาเมาส์ไปวางจะมีเขตรัศมีบอกเลย สามารถทำซ้อนกันได้ตามความสามารถของผู้นำแคลนในช่วงแรกครับ ทุกอย่างแค่กดคลิกแล้วสั่งให้สมาชิกแคลนไปทำงานได้เลย เสียดายไม่มีระบบหมุนสิ่งปลูกสร้างวางได้แค่ทิศทางเดียวครับ ส่วน Toturial ในเกมมีสอนตลอด สามารถเปิดปิดได้ครับUI เกมนี้สวยงามมาก ๆ ครับใช้งานได้ง่ายและเข้าใจง่าย คนที่ไม่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อนปรับตัวนิดเดียวก็เล่นได้แล้วครับ ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่ไม่กินพื้นที่การเล่นเกมขึ้นมาให้บดบังสายตา ป็อปอัปต่าง ๆ เวลามีเควสแทรกเด้งขึ้นมาก็ทำได้ดีคือเป็นงานอาร์ตตัวละครมาเลยครับ ถือว่าเลิฟมาก ๆ เพราะงานอาร์ตสวย สรุปนี่เป็นแค่เกมเพลย์คร่าว ๆ ที่ผู้เขียนยกบางส่วนจากในเกมมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านนะครับ ในเกมเนี่ยยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะเลยไม่ว่าจะเป็น การเป็นพันธมิตรกับแคลนอื่นแล้วย้ายมาอยู่ด้วยกัน การส่งสัญญาณวิทยุออกไปค้นหาผู้คนและทรัพยากรในที่ ๆ ห่างไกล หลังจากค้นเจอแล้วก็ส่งคนของเราบางส่วนออกไปโกยทรัพยากรและคนกลับมา และอีกเยอะแยะมากมายไปหมด มันเป็นเกมที่สนุกมาก ๆ การบังคับที่ไม่ยากเกมเข้าใจง่ายมีอะไรให้ทำเยอะ ผมเลยมองว่ามันเป็นเกมสร้างเมืองอีกเกมหนึ่งที่ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ควรเก็บสะสมลงคลังเอาไว้มาก ๆ ครับแต่ไม่ใช่ว่าจะสนุกแล้วจะมีแต่ส่วนดีดีนะครับ ส่วนที่ไม่ดีผมก็พอมองเห็นอยู่เหมือนกัน อาจจะด้วยเกมเพิ่งวางขายก็ยังมีบัคให้เราได้พบเห็นอยู่ แต่ส่วนที่ผู้เขียนไม่ค่อยชอบเลยเห็นจะเป็นเรื่อง frame rate ช่วงแรก ๆ ที่เข้าเกมยังไม่มีปัญหากับมันสักเท่าไหร่แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ frame rate ตกอย่างเห็นได้ชัดครับ เล่นแรก ๆ ลื่น หลัง ๆ เฟรมดรอปแบบ 5 - 15 เฟรมทั้งเกม ไม่ว่าจะปรับภาพยังไงก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเครื่องที่ Spec โหดจะประสบปัญหาเดียวกันไหมอันนี้เพื่อน ๆ ต้องไปลองเทสด้วยตัวเองต่อจากผมแล้วครับ ฮ่า ๆส่วนเรื่องที่ผมไม่ชอบอีกอย่างก็คือระบบเทรดในเกมของเกมนี้ที่มันยังไม่มี มันเลยทำให้ทรัพยากรในเกมในช่วงหลังที่หามาได้มันล้นครับ และก็ไม่รู้จะระบายมันออกไปยังไง ในส่วนนี้ผู้เล่นหลาย ๆ คนใน Steam ก็เหมือนจะประสบปัญหาเดียวกัน เห็นในคอมมูของเกมนี้เห็นมีคนคอยแจ้ง Dev อยู่ตลอด ในอนาคตผู้พัฒนาอาจจะเพิ่มในส่วนนี้เข้ามาและมันน่าจะทำให้เกมนี้สนุกขึ้นไปอีก ตอนนี้ฤกษ์งามยามดีช่วง Winter Sale พอดี ราคาเกมตอนนี้ลด 20% สนนราคาอยู่ที่ 576 บาท จากที่ผมเล่นมาราคาเต็มก็ยินดีจ่ายครับ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลอง บอกเลยว่าสองชั่วโมงไม่พอ ใครที่วางแผนจะลองเล่นสัก 2 ชั่วโมงแล้วกดคืนเงินเรื่องนี้ลืมไปได้เลยครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1336180/Floodland/
26 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Lil Gator Game การผจญภัยของจระเข้น้อย ที่ชวนนึกถึงความความบริสุทธ์ของวัยเยาว์
Lil Gator Game เป็นเกมอินดี้ใหม่แกะกล่องที่เพิ่งวางขายไปเมื่อ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา จากตัวอย่างก็พอจะรู้ว่าเป็นเกมน่ารักเล่นสบายคลายสมอง เพราะน้องจระเข้ที่เป็นตัวเอกของเรานั้นช่างน่ารักตะมุตะมิเหลือเกิน ทว่าพอได้สัมผัสกับเกมนี้จริง ๆ ก็พบว่าเกินคาด การได้เล่นเกมสักเกมที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความคืบหน้าหรือมีอิสระขนาดนี้ก็ดีเหมือนกัน เนื้อเรื่องเองแอบทำเอาจุกจนตั้งตัวไม่ทันด้วย (ฮา) ถ้าใครชอบเกม A Short Hike เกมนี้คือห้ามพลาดโดยเกมนี้เป็นเกมแนวผจญภัยที่โลกทั้งเกาะคือสนามเด็กเล่น เปิดโอกาสให้คุณได้ใช้ความอยากรู้อยากเห็นและการเล่นสนุกนำพาคุณไป ฉะนั้นผู้เขียนขอเชิญชวนทุกท่านทิ้งสิ่งที่แบกรับเอาไว้แล้วกระโดดมาเล่นสนุกกันดีกว่า ได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็คงไม่เสียอะไรเป็นผู้กล้าในตำนานออกผจญภัยในโลกอันกว้างใหญ่เกมให้เรารับบทเป็นน้องจระเข้น้อยที่รับบทเป็นผู้กล้าอีกที ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นผู้กล้านั้นต้องทำคือการช่วยเหลือคนอื่น จัดการมอนสเตอร์กระดาษลัง ทำภารกิจให้สำเร็จและรับของรางวัลตอบแทน (คือเราเล่นเกม RPG เป็นน้องเข้ที่กำลังเล่นเกม RPG) เพราะสิ่งที่ผู้กล้าต้องทำคือช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและจัดการปีศาจยังไงล่ะ!นอกจากจะได้รับมิตรภาพแล้ว สิ่งของที่ได้รับคือเศษกระดาษที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกับคราฟต์ของ บ้างก็ได้รางวัลเป็นสูตรคราฟต์อุปกรณ์สวมใส่ที่ผู้กล้าต้องมี อาทิ หมวก อาวุธและโล่ รวมถึงความสามารถพิเศษที่จะช่วยเหลือเราได้ แต่ละอย่างภายเกมในนี้ก็หลากหลายทีเดียว อยากจะใส่อะไรก็ได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าสเตตัสหรือน้ำหนักสิ่งของ เลือกในสิ่งที่ตัวเองถูกใจที่สุดเพื่อเป็นผู้กล้าในแบบของตัวเอง เพราะจะใส่กระบังหน้าผากวิ่งท่านารูโตะก็ย่อมได้เกาะแห่งนี้คือสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยความอิสระโลก Open-world หรือเกาะแห่งนี้มีอะไรหลายอย่างให้สำรวจเลยทีเดียว ตั้งแต่พื้นที่ริมทะเล ที่ราบ ป่า หน้าผาและยอดเขาสูงเสียดฟ้า ตัวเกมไม่ได้บังคับให้เราต้องไปที่ไหนก่อนที่ไหนหลัง จะออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่ก็ย่อมได้ เพราะไม่ว่าจะไปตรงไหนก็มีอะไรรอเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นดงมอนสเตอร์กระดาษลังหรือเพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลือ มันจึงยิ่งส่งเสริมให้เราอยากวิ่งออกสำรวจทุกซอกทุกมุมและไปไกลเท่าที่ความอยากรู้อยากเห็นของเราจะไปถึงและตัวเลือกที่เกมนี้มอบให้เราผจญภัยก็มีอะไรมากกว่าแค่การวิ่ง น้องเข้ของเราสามารถว่ายน้ำ ไต่เชือก ปีนป่ายภูเขาและต้นไม้ (เป็นจระเข้จริงมั้ยเนี่ย?) ใช้เสื้อเป็นเครื่องร่อนเพื่อเคลื่อนที่ไปในอากาศ และใช้โล่เป็นแคร่เพื่อไถตัวเองลงจากภูเขา ทั้งหมดนี้ทำให้การผจญภัยไปทั่วเกาะแห่งนี้สนุกและไร้ขีดจำกัดมาก ๆงานภาพสุดน่ารัก สีสันสดใสชวนให้นึกถึงการ์ตูนเด็กปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากราฟิกของเกมนี้น่ารักมาก ไม่ว่าจะด้านโทนสีของตัวเกมหรือด้านการออกแบบสิ่งของ ฉากและตัวละคร ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รู้สึกได้ถึงความสดใสที่โอบล้อมไปทั่วอาณาบริเวณ และที่รู้สึกเอ็นดูที่สุดจะไปใครไปได้นอกจากน้องเข้ตัวเอกของเรา ตาโต ๆ กับรอยยิ้มใสซื่อ น่ารักชะมัดเลย!นอกจากภาพแล้วเรื่องเพลงประกอบก็เพราะด้วย ช่วยเพิ่มอารมณ์ร่วมไปกับการผจญภัยได้ดีเลยทีเดียวทุกตัวละครมีเรื่องราวและความหนักใจเป็นของตัวเองนอกจากบทสนทนาของบางตัวละครที่ชวนให้หัวเราะคิกคัก เรื่องราวของบางตัวก็ช่างคล้ายคลึงกับชีวิตจริงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยในเนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมทำให้เรารู้ว่าน้องเข้ของเรามีพี่สาวด้วย ดูเหมือนว่าพี่สาวจะเล่นการละเล่นแบบนี้กับน้องชายอยู่บ่อย ๆ ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ร่วงวันเวลาผ่านไปจนพี่สาวเติบโตขึ้น การบ้านและสิ่งที่รับผิดชอบทำให้เธอไม่อาจเล่นสนุกกับน้องได้ดังเดิม น้องเข้จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงความสนใจให้พี่สาวมาเล่นด้วย หนึ่งในนั้นคือการสร้างเกมที่สนุกที่สุดขึ้นมา แล้วน้องเข้ของเราทำสำเร็จหรือเปล่า? เรื่องนั้นคงต้องซื้อเกมนี้มาลองด้วยตัวเองแล้วสรุป: แม้จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แสนน่าเบื่อก็โปรดอย่าหลงลืมความเยาว์วัยในหัวใจเกมนี้มีความยาวประมาณ 6-7 ชั่วโมง และอาจใช้เวลามากกว่านี้หากต้องการเก็บ 100% เป็นเกมที่เกมเพลย์ตรงปกกับตัวอย่างเกม เราได้เล่นสนุกและผจญภัยอย่างที่ตัวเกมได้บอกไว้ แต่สิ่งที่แอบเหนือความคาดหมายคือเนื้อเรื่อง ไม่คิดเลยว่าในเกมเด็กน้อยจะมีเนื้อเรื่องที่ทำคนที่เลยวัยวิ่งเล่นจุกอกได้ เพราะบางเรื่องก็ช่างคล้ายกับชีวิตจริงเสียเหลือเกินสุดท้ายนี้ Lil Gator Game เป็นเกมที่ทำให้รู้สึกย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มอบโอกาสให้เราได้เล่นสนุกโดยไม่ต้องนึกถึงความรับผิดชอบร้อยแปดที่แบกรับเอาไว้ เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นที่บอกให้เราวางเรื่องทั้งหมดนั่นลงแล้วผ่อนคลายตัวเองเสียบ้างเพราะเด็กน้อยคนนั้นยังอยู่ในตัวคุณเสมอแพลตฟอร์มเกม: Windows, macOS, Nintendo Switchได้รับรีวิวระดับ Overwhelmingly Positive บนหน้าร้านค้า Steam พร้อมติดแท็ก Casual, Relaxing, Cozy, Cute, Family Friendly
24 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม The Knight Witch เกม Metroidvania ที่ย่อยง่าย แต่สนุกท้าทายเกินคาด
ตามปกติแล้วเรามักจะเห็นแม่มด หรือจอมเวทย์ใช้คาถาในการต่อสู้ แต่กับเกมนี้อาวุธที่เราใช้ แทบไม่ต่างอะไรจากปืนไรเฟิล ปืนกล แถมคอมโบด้วยการใช้ Spellcard สุดมัน และชวนหัวร้อนอีกต่างหาก เกริ่นมาซะน่าเล่นขนาดนี้ วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกันกับ The Knight Witch ผ่านรีวิวเกมของเรากันสี่แม่มดในตำนานผู้กลายเป็นฮีโร่ของแม่มดรุ่นใหม่สำหรับเรื่องราวและเหตุการณ์ใน The Knight Witch นั้น จะเริ่มต้นด้วยการเล่าย้อนไปหลายปีก่อนเกมจะเริ่ม เมื่อสังคมถูกปกครองโดยกองกำลัง Dagadai ที่ปกครองกดขี่ผู้คนอย่างไม่เท่าเทียม ความอัดอั้นตันใจก่อให้เกิดกบฎและสงครามกลางเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้นำสงครามคือเหล่าอัศวินแม่มดที่ถูกเรียกขานว่า The Knight Witch ทั้ง 4 คน แม้ว่าท้ายที่สุด สงครามปลดแอกจะส่งผลสำเร็จ แต่ก็เป็นการพลีชีพของเหล่า Knight Witch และโลกบนพื้นดินก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ประชาชนและชุมชนต้องย้ายลงไปอยู่ในโลกใต้ดินหลายปีผ่านไป ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Rayne หญิงสาวที่เป็นหนึ่งในน้องสาวของกลุ่ม The Knight Witch แต่ถูกกีดกันเพราะพลังไม่มากพอ แต่พวก Dagadai กลับมาล้างแค้น และเมื่อพวก Knight Witch กระจัดกระจายกันไป หน้าที่ปกป้องหมู่บ้านและเพื่อน ๆ ของเธอจึงตกมาอยู่ในมือของ Rayne หากเทียบกับเกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกันและเกรดเดียวกันนี้แล้ว The Knight Witch ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องมากกว่า มีช่วงของการบรรยายเหตุการณ์ คัทซีนแบบการ์ตูนแอนิเมชั่น รวมไปถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ชวนให้ติดตามตลอดเกม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าด้วยทุนสร้างและข้อจำกัดของเกมอินดี้ ทำให้เรื่องของคัทซีนดี ๆ รวมไปถึงเสียงพากย์นั้น ไม่มี และเป็นการทำลายอรรถรสของส่วนนี้ไป และดูเหมือนว่าทีมงานจะไกล่เกลี่ยบทได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก บางจังหวะที่ควรจะอิมแพคท์ก็เฉยซะจนไม่ตื่นเต้นอะไร หรือบางอย่างก็เฉลย หรือเปิดเรื่องไวเกินดังนั้นแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้จะถูกให้ความสำคัญมากกว่า Metroidvania เกมอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีขีดจำกัดในฐานะเกมอินดี้ และทำได้แค่ 'ดีกว่า' เกมทั่วไป แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม และถ้าเราจะเล่นแบบเอาเนื้อเรื่องก็ต้องขยันอ่านเฉกเช่นเดียวกันกับเกมอินดี้เกมอื่น ๆ ที่ไม่ได้จัดเต็มในแง่ของคัทซีนหรือเสียงพากย์การนำเสนอแบบ Metroidvania ฉบับ Minimal The Knight Witch นำเสนอตัวเกมในรูปแบบ Metroidvania เกมแนวนี้คือเกมที่ใน 1 ฉากมีทางเลือกในการไปต่อได้มากมายและหลากหลายเส้นทาง แม้ว่าทางไปสู่ Main Mission จะมีเส้นทางเดียว แต่ระหว่างทาง เรามักจะเจออุปสรรคขวางกั้น ทำให้เราต้องพยายามออกสำรวจอยู่เสมอ การสำรวจก็เป็นทั้งการทำเพื่อเปิดเส้นทางไปต่อ หรือได้มาซึ่งไอเทมอัปเกรดใหม่ ๆ มากมาย จะไม่ทำก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านมาแล้ว สุดท้ายเราก็จะโดนดึงดูดให้ทำอยู่ดีแม้จะเป็นเกม Metroidvania แต่ขนาดแผนที่ของเกมนี้ถือว่าไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ทำให้แม้จะมีทางเลือกมากมาย แต่ด้วยความที่ตัวเกมเองก็บอกทางไปต่อชัดเจน ผู้เล่นจะไม่มีการคลำทาง หรืองมกับทางไปต่อที่หาไม่เจอแน่นอน เรียกได้ว่าดีไซน์เกมมาแบบ Casual สุด ๆ และหากมองว่ามันเป็นเกม Metroidvania ก็ไม่อยากจะนับว่ามันเป็นข้อเสีย เพราะมันทำให้เกมการเล่นลื่นไหลอย่างมาก ไม่รู้สึกว่าต้องติด หรือวนเวียนอยู่กับฉากเดิมนาน ๆ แต่ดูเหมือนว่าบางฉากผู้ออกแบบเองก็เหมือนจะมันมือไปหน่อย เพราะมันยากเกินความจำเป็น อย่างฉากที่ต้องควบคุมตัวละครผ่านพื้นที่หนามแคบ ๆ ต้องค่อย ๆ กดถึงจะไปต่อได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เกมก็ไม่ได้มีฉากกวนประสาทแบบนี้ หรือต่อจากนี้ก็แทบจะไม่ได้เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ ไปคึกนึกสนุกอะไรขึ้นมา จนออกแบบฉากยาก ๆ แบบนี้มาขัดจังหวะเกมการเล่น หรือบางช่วง การจะเปิดทางไปต่อก็อาจจะต้องไปยังเส้นทางที่เราไม่รู้จัก เพื่อไปหา Key Item หรือไมก่็ไปเปิดสวิทช์ ซึ่งทั้งหมดจะพาคุณเข้าสู่การต่อสู้ได้แทบจะตลอดเวลาเรียกได้ว่าหากคุณเป็นคนที่สนใจเกมแนว Metroidvania และอยากหาเกมเริ่มเล่นสักเกมเพื่อรู้ว่าเกมแนวนี้มีกลิ่นอายนำเสนอยังไงแล้วล่ะก็ The Knight Witch เป็นเกมที่ไม่ควรมองข้ามเลย ก่อนจะอัปสเกลไปเล่นเกมที่โหดกว่านี้ และมีความเป็น Metroidvania มากกว่านี้เกมเพลย์การเล่นสุดสนุก แต่ระวังลายตากับหัวร้อน !ไม่รู้ช่วงนี้เทรนด์ทำเกมที่ต้องใส่ความยากเข้ามานิด ๆ หน่อย ๆ ไปโดนใจผู้พัฒนาหรืออย่างไรเข้า ทุกเกมมักจะต้องใส่ความยากในระดับที่ชวนของขึ้นนิด ๆ เข้ามาด้วยเสมอ The Knight Witch เองก็เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง ก่อนอื่นต้องอธิบายกันเรื่องระบบการต่อสู้ ตัวละคร Rayne ที่เราจะได้เล่นและควบคุมนั้น มีความสามารถในการลอยตัวได้ตลอด ทำให้มันตัดปัญหาความน่าหงุดหงิดในการหาทางไปต่อระหว่างแพลตฟอร์มได้เป็นอย่างดี เพราะเราสามารถบินไปบินมา และไปถึงจุดต่าง ๆ ในฉากได้อย่างเป็นอิสระ จะมีข้อจำกัดก็แค่ประตูมันถูกล็อคเอาไว้เท่านั้น และหัวใจสำคัญในการต่อสู้ของเกมนี้คือการยิงกระสุนพลังงานออกไปโจมตีศัตรูนั้นนับเป็นอาวุธหลัก ส่วนอีกระบบหนึ่งคือระบบ Spellcard ระบบนี้จะเป็นการใช้ความสามารถที่หลากหลายของการ์ดในการโจมตีศัตรู (หรือป้องกันตัวเอง เช่นเปลี่ยนอาวุธหลักให้ยิงรัวเป็นปืนกลได้ หรือสร้างพลังพิเศษขึ้นมาโจมตีศัตรู และป้องกันตัวเองได้ โดยมีค่าใช้จ่ายเป็น Mana ที่เราสามารถหาดรอปได้จากการกำจัดศัตรูหรือกล่องไอเทมตามฉาก และยิ่งผู้เล่นเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะมีโอกาสได้การ์ดใบใหม่ ๆ มากขึ้นแต่การ์ดในเกมนี้ก็ไม่ได้เยอะ ประเภทการ์ดจะถูกแบ่งออกเป็น Destroyer (สกิลโจมตี) Weapon (เปลี่ยนรูปแบบอาวุธ) Conjurer (เสกพลังงานขึ้นมาโจมตี) และ Trickster (เอาตัวรอด) การ์ดต่าง ๆ จะมีจำนวนจำกัดที่ระบุเอาไว้แล้ว หน้าที่ของผู้เล่นคือแค่ไปตามหาให้ครบ และผู้เล่นสามารถเลือกการ์ดติดตัวไปด้วยได้ 7 ใบก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาเล่นจริง ผู้เล่นจะกดใช้งานการ์ดได้เพียง 3 ใบ เมื่อใช้งานการ์ดใบนั้นไปแล้ว ระบบจะสุ่มการ์ดใบใหม่เข้ามาแทน ซึ่งอาจจะเป็นใบซ้ำ หรือใบอื่น ๆ ที่อยู่ใน Deck 7 ใบนั้นก็ได้ ทำให้เกมการเล่นมีความระทึก พลิกแพลงไปมาได้ จากการใช้การ์ดในแต่ละสถานการณ์ที่เราสุ่มได้มาฟังดูเหมือนจะสนุกดี แต่ด้วยความที่ระบบการเล่นและการต่อสู้ของเกมนี้ อีกนิดนึงก็เข้าข่าย Bullet Hell แล้ว ทำให้ผู้เล่นแทบจะไม่มีเวลามานั่งมองการ์ดในระหว่างการต่อสู้ เอาง่าย ๆ คือถือใบไหนอยู่ก็กด ๆ ไป เพราะถ้ามัวแต่มามองการ์ด อาจจะบินไปชนกระสุนตายเอาได้ง่าย ๆ อีกหนึ่งการอัปเกรดตัวละครคือ การ Link ความสัมพันธ์ของเหล่า NPC ตัวอื่น ๆ ที่มีให้กับเธอ วิธีการเพิ่มระดับ Link คือการช่วยเหลือ ทำภารกิจ พูดคุย ซึ่งปกติแล้วเราก็จะได้จากการเอาชนะบอสในพื้นที่นั้น ๆ อยู่แล้ว ขั้นตอนนี้หากผู้เล่นเลือกถามตอบดี ๆ ก็อาจจะเพิ่มโบนัสให้ Link ได้มากกว่าปกติด้วย การเลือกโกหกในบางสถานการณ์อาจทำให้ระดับ Link เพิ่มเร็วขึ้นก็จริง แต่ก็อาจจะส่งผลกับเนื้อเรื่องในภายหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่นเองและเมื่อเรา Link จนเลเวลอัปแล้ว เราจะเลือกได้ว่าจะอัปเกรดทักษะของความเป็น Knight หรือความเป็น Witch หากเลือกเพิ่มความสามารถด้าน Knight จะมีพลังโจมตี การยิงต่อเนื่องที่มากขึ้น แต่หากเลือกความเป็น Witch จะเพิ่ม Mana และใช้สกิลได้แรงขึ้น ซึ่งจะเลือกแบบไหนก็ได้ ไม่มีผลกับเนื้อเรื่อง ชองยิงหรือชอบกดสกิลมากกว่าก็แล้วแต่เลยในด้านของเกมเพลย์ของเกมนี้นั้น จะเล่นด้วยจอยคอนโทรลเลอร์ หรือเมาส์ คีย์บอร์ดก็ย่อมได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความถนัด การใช้จอยอาจจะช้ากว่า แต่แม่นยำกว่า ส่วนเมาส์เกมนี้อาจจะต้องพึ่งพาการ Setting ที่มีความเร็วเหมาะกับมือผู้เล่น ไม่อย่างนั้นรับรองว่ามีเล็งพลาดกันบ้างแน่ ๆ The Knight Witch เป็นเกมที่หยิบเอาแนว Metroidvania มาย่อยให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่การหยิบเล็กผสมน้อยของเกมต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เข้ากับตัวเอง เป็นอะไรที่ทำได้ดีมาก ๆ การผจญภัยที่สนุก การดำเนินเรื่องที่ไม่ถึงกับแย่อะไร ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่เกมนี้ถือว่าเป็นอีกเกมที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียว
20 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Blacktail การดัดแปลงนิทานสลาฟ ที่จะพาคุณสำรวจโลกแฟนตาซีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
การนำเอาเทพนิยาย หรือนิทานชื่อดังมาทำเป็นเกมนั้น มีให้เห็นกันมากมาย ทั้งเทพกรีก เทพโรมัน แต่จะมีสักกี่เกมที่ใช้นิทานพื้นบ้านมาเล่าเป็นเนื้อเรื่อง และ Blacktail คือเกมอินดี้ที่หยิบเอาเรื่องราวที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูนัก นั่นคือนิทานเรื่อง Baba Yaga ที่หลายคนอาจจะได้ยินชื่อเสียงผ่านสื่อบันเทิงอื่นมามากมาย มาเล่าเป็นวิดีโอเกม ส่วน Baba Yaga ในฉบับเกมนี้จะออกมาเป็นยังไง ลองมาดูในรีวิว Blacktail ของเรากันจากนิทานสลาฟ สู่เกม Indie RPG ที่เน้่นการนำเสนอเรื่องราวอย่างที่เรากล่าวไปในพาดหัว Baba Yaga อาจเป็นชื่อที่เราเคยได้ยินจากสื่อบันเทิงหลายสื่อ เอาที่โด่งดังหน่อยก็คือ John Wick แต่จริง ๆ แล้ว Baba Yaga คือชื่อของนิทานพื้นบ้านของชาวสลาฟ บ้างก็ว่าด้วยเรื่องราวของแม่มดที่อาศัยอยู่ในป่า ซึ่ง Blacktail หยิบจุดนี้มาเล่าเป็นวิดีโอเกมและนำเสนอเรื่องราวนี้ได้ค่อนข้างน่าสนใจและเข้าถึงง่ายกว่ามาก ผู้เล่นจะได้เริ่มต้นเกมด้วยการรับบทเป็นตัวละครสาวชื่อ Yaga จากนั้นก็เลือกเส้นทางของตัวเองว่าจะเลือกเดินเส้นทางสายสว่างหรือสายมืด เมื่อเลือกแล้วเกมก็จะเริ่มต้นขึ้นกับพล็อตยอดฮิต คือ Yaga จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำที่หายไป เธอจำได้เพียงเพื่อนและน้องสาวของเธอเท่านั้น และเธอก็ได้รับการชักนำจากเสียงปริศนาอย่าง The Voice ให้ออกเดินทางตามหาความจริงเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดและเหมือนว่าทีมพัฒนาเกมจะรู้ ว่าเกมของพวกเขานั้นอาจจะต้องอาศัยการเรียนรู้และการตีความที่มากเป็นพิเศษ เกมจึงมีโหมดการเล่น 2 โหมด คือโหมด Adventure และโหมด Story สำหรับโหมด Adventure นั้นจะเหมือนกับโหมดเกมความยากระดับปกติที่ผู้เล่นสามารถสนุก และท้าทายไปกับการต่อสู้ ในขณะที่โหมด Story จะเน้นให้ผู้เล่นได้ดื่มด่ำไปกับเนื้อเรื่อง และลดความยากในการต่อสู้ลง เพื่อให้ผู้เล่นได้โฟกัสไปกับการติดตามเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เกมนี้ภูมิใจนำเสนอมาตั้งแต่ตอนเปิดตัวคือเรื่องของระบบศีลธรรมหรือ Morality ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการกระทำและการเลือกดำเนินเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในเกม เรียกได้ว่า ดี-เลว ขึ้นอยู่กับตัวคุณกำหนด ตั้งแต่การเลือกเชื่อฟัง NPC ตัวใด หรือการกระทำเวลาเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นเวลาคุณเจอนกโดนปีศาจจับไว้อยู่ ถ้าเราเลือกช่วย มันก็จะช่วยเพิ่มคุณธรรมฝั่งดี แต่ถ้าเลือกปล่อยผ่าน หรือช่วยซ้ำเติมมันอีก ก็จะได้เพิ่มความชั่วร้ายในตัวให้สูงขึ้น ดังนั้นจะบอกได้ว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่นเองก็ย่อมได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการชูจุดเด่นที่เหมาะสมกับแนวเกมและพื้นหลังที่เลือกมาใช้ได้ดีโลกของนิทานสลาฟที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส และไม่ดาร์คอย่างที่คิดแม้จะบอกว่าเป็นเรื่องราวที่อิงมาจากนิทานสลาฟอย่าง Baba Yaga แต่ในความเป็นจริงแล้วเกมการเล่นมันก็ไม่ได้ชวนดาร์คอย่างที่คิด เกมนี้มีการนำเสนอในรูปแบบแฟนตาซีที่มีสีสันสดใสมาก จนแทบจะกลายเป็นจุดเด่นของเกมไปเลยตั้งแต่ตอนที่ได้เล่นครั้งแรก ใครที่ชื่นชอบสีสันสดใส ฉูดฉาด แบบ Far Cry 4 คุณอาจจะชอบเกมนี้ เพียงแต่กราฟิกจะเน้นหนักไปที่ความเป็นการ์ตูนมากกว่า และเพื่อให้สอดคล้องกับส่วนของเนื้อเรื่องที่จะนำเสนอประเด็นความดี ความชั่ว ทำให้ตลอดระยะเวลาการเล่น ผู้เล่นจะต้องเลือกชอยส์ในการตอบคำถามเหล่า NPC บ่อยมาก และทางเลือกในการตอบก็ดูเหมือนจะไร้ความประณีประนอม ต้องตอบแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น ว่าเราจะไปขาว หรือไปดำ เรียกได้ว่าเกมนี้เน้นไปสุดทาง ไม่มีตรงกลางให้เลือกแน่นอน และยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็จะยิ่งปลดล็อคความทรงจำที่ถูกนำเสนอเหมือนกับหนังสือนิทาน เพิ่มอรรถรสด้วยเสียงพากย์ระดับคุณภาพ ที่ทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องได้ง่ายมากและตัวเกมเป็นเกมผจญภัยในโลก Open World ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และยังคงคอนเซปต์ความสดใส ย้ำกันอีกรอบว่าแม้จะเป็นเรื่องราวของ Baba Yaga แต่มันไม่ได้มีความดาร์คใด ๆ เลย แถมตัวเกมยังมีทั้งระบบกลางวัน กลางคืน นี่ไม่ใช่ป่าในเทพนิยายทั่วไป แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความสวยงามที่ผู้เล่นแทบจะกดหยุดถ่ายภาพเป็นสกรีนช็อตกันได้แทบจะทุกที่ และยังเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด NPC ต่าง ๆ ที่จะมาดึงความสนใจเราจากเป้าหมายหลักได้ตลอดเวลา ในแง่ของการนำเสนอโลกในเกม ยังไงก็ต้องชื่นชมทีมพัฒนาเกมนี้จริง ๆ ที่ทำโลกนิทานสลาฟออกมาได้สวยงามขนาดนี้ด้วยความที่เป็นเกม Single Player แบบเล่นคนเดียว ทำให้ตัวเกมไม่ได้มีความยาวอะไรมากนัก หากเล่นแบบไถเอาเนื้อเรื่องไปเลยก็อาจจะจบได้ใน 5-6 ชั่วโมง แต่ถ้าจะออกสำรวจด้วย เอาทุกอย่างจนครบก็อาจจะมี 10 ชั่วโมงขึ้นไปอยู่ เทียบกับตัวเกมในราคา 552 บาท (โปรโมชั่นลดราคายาวถึงปีใหม่) ก็ถือว่าสมราคา แต่จะชอบหรือไม่ชอบเรื่องราวของเทพนิยายสลาฟหรือไม่ ก็แล้วแต่ตัวบุคคล แต่สำหรับในแง่การนำเสนอ ถือว่าทำได้ดีสำหรับ Blacktailธนูคู่ใจและพลังเหนือธรรมชาติ อาวุธที่จะอยู่คู่กับเราไปตลอดทั้งเกมแม้ว่าจะเป็นเกมแอ็คชั่น แต่ Blacktail ไม่ใช่เกมบู๊แหลกขนาดนั้น อาวุธที่เรามี จะมีเพียงธนูคู่ใจเท่านั้น และเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นการปลดล็อคพลังพิเศษ ที่ใช้ได้ทั้งในการต่อสู้และเปิดเส้นทางลับต่าง ๆ แต่ในทุก ๆ การต่อสู้ ธนูของเรานี่ล่ะ ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้และช่วยให้เรารอดสิ่งสำคัญนอกเหนือไปจากการต่อสู้ คือการที่เกมเพลย์ของเกมนี้ถูกผูกรวมเข้ากับระบบที่เป็นจุดขายของเกมคือระบบศีลธรรม ผู้เล่นจะไม่สามารถครอบครอง หรือมีทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ เพราะหากเราเลือกเส้นทางสายใดสายหนึ่งไปแล้ว อาจจะไม่สามารถเข้าถึงไอเทมได้ทุกชิ้น ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเป็นเรื่องปกติ และรวมไปถึงเรื่องของสกิลและความสามารถด้วยระบบการต่อสู้ของเกมนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก แม้กระทั่งบอสไฟท์ ใครที่เคยเล่นเกม Action RPG มาแล้วหลาย ๆ เกมก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันต่างกันมากจนเกินไปนัก เพราะถึงเวลาเราก็แค่ยิงให้โดน หลบให้ถูกจังหวะ เกมไม่ได้มีความยากอะไรขนาดนั้น เวลาเจอศัตรูใหม่ ของใหม่ เราอาจจะตายอยู่กับมันบ้างครั้งสองครั้ง แต่ถ้าจับจุดได้ทุกอย่างก็เรียบร้อยอยู่ดีการอัปเกรดตัวละครของเกมนี้จะมีเพียงสกิลเท่านั้น แต่ตรงนี้ตัวเกมแอบน่ารำคาญเล็กน้อย กรณีที่เราจะอัปเกรดสกิลได้นั้น เราจะต้องกลับไปที่กระท่อมที่เป็นเหมือนกับ HUB ของเรา และ Skill Tree ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก การจะอัปเกรดสกิลได้นั้นจะต้องตามหา Lost Page ที่ได้จากการเล่นตามเนื้อเรื่องและการออกสำรวจ รวมไปถึงสกิลระดับ HEX Type จะเป็นสกิลที่เราเปิดใช้งานได้เพียงครั้งเดียวระหว่างการเล่น ที่จะทำให้เรามีความสามารถของสัตว์ต่าง ๆ ในขณะที่ไอเทมจำพวกยาฟื้นพลังก็ถือว่าสร้างสรรค์ แต่ในบางช่วงก็น่ารำคาญเช่นกัน คือเราจะต้องไปล่าสัตว์เพื่อนำเนื้อของมันกลับไปยังแคมป์ไฟ จากนั้นเราจะต้องปรุงให้สุกโดยการเล่นมินิเกมเท่านั้น การออกแบบเกมเพลย์ของเกมนี้จึงมีความกลาง ๆ ผสมอยู่ คือมันทั้งน่ารำคาญและน่าสนุกในเวลาเดียวกัน แต่เชื่อเถอะว่ายิ่งเล่นนาน ยิ่งน่ารำคาญในด้านของระบบศีลธรรมหรือ Morality เอง ก็ถือว่ามอบผลประโยชน์ที่สำคัญให้กับผู้เล่นที่เลือกสายดี สายชั่ว ยกตัวอย่างเช่นหากเราเล่นสายชั่ว การกำจัดศัตรูจะมีโอกาสดรอปไอเทมพิเศษที่ทำให้ฟื้นฟูพลังชีวิตได้ ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการต่อสู้ เพราะเกมนี้วิธีการฟื้นฟูพลังชีวิตค่อนข้างจำกัด แต่ถ้าเราเล่นสายดี เราจะเก็บทรัพยากรและวัตถุดิบได้มากยิ่งขึ้น คือไม่ว่าคุณจะเลือกสายไหน มันก็จะมีประโยชน์ในตัวมันเองด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นเกมนี้ไม่มีผิดมีถูกใด ๆ เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของคุณเองระหว่างเล่นเกมเพลย์ของ Blacktail นั้น ไร้ซึ่งความซับซ้อน จุดเด่นของมันคือการเลือกทำดี ทำชั่ว ซึ่งสุดแล้วแต่ผู้เล่น แม้มันจะมอบประสบการณ์ในการเล่นคนละแบบ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ห่างกันมากจนเรารู้สึกว่ามันคือคนละเกม ถ้ามองในแง่ความจำกัดจำเขี่ยของงบที่ใช้พัฒนา ก็ถือว่าทีมงานเกมนี้ได้พยายามสร้างสรรค์อย่างถึงที่สุดแล้วPerformance ของเกม ที่แกว่งแบบขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัดเกมอินดี้ที่ถือว่าทำมาดีทุกอย่าง แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือในเรื่องของ Performance ทั้งที่เกมนี้ไม่ได้กินสเปคมากมายอะไร แต่ปัญหาที่เจอบ่อยมากคือ ทุกครั้งเวลาที่เราข้ามเขตแดนไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ จะเกิดอาการเฟรมเรทดรอป และแลคมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดดูเหมือนว่าสิ่งที่เกมนี้ต้องการมากกว่าการ์ดจอคือเรื่องของแรมที่ใช้มากถึง 16GB ใครที่ใช้แรมน้อยกว่านี้ จริงอยู่ว่ายังไงก็เล่นได้ แต่อาจจะเจอปัญหาเฟรมเรทดรอป และกระตุกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในขณะที่เครื่องผู้เขียนเอง มีสเปคเกินกว่าที่เกมต้องการไปพอสมควร แต่กลับมีปัญหา ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัญหามาจากการพอร์ทเกมหรือ Performance ของตัวเกมเอง ซึ่งคงจะมีแพทช์มาแก้ในภายหลังBlacktail เป็นอีกเกมอินดี้ที่เรียกได้ว่า ม้ามืดส่งท้ายปีนี้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีถึงขั้นไม่ควรพลาด แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ดี และถ้ามีโอกาสก็ควรลองเล่นดูสักครั้ง
19 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Chained Echoes หวนคืนสู่ยุคทองของ JRPG เกมอินดี้คุณภาพคับแก้วที่คุณไม่ควรพลาด
แม้ว่าปัจจุบันเกมแนว JRPG จะค่อนข้างตกยุค หรือไม่ก็ถูกนำเสนอให้มาในรูปแบบของกราฟิกยุคปัจจุบัน จะมีสักกี่เกมที่ยังกล้าทำในรูปแบบ Old School ไว้จนถึงขีดสุด แต่ Chained Echoes เป็นเกมที่กล้าทำเช่นนั้น และมันทำออกมาได้ดีมากซะด้วย ดีขนาดไหน หาคำตอบได้ในรีวิวเกมนี้ของเรากันหลากหลายตัวละคร หลากหลายเรื่องราว บรรจบเป็นหนึ่งเดียวกันผู้เล่นรับบทเป็น Glenn เมื่อเริ่มต้นมาเราจะพบว่าเรากำลังอยู่บนเรือเหาะที่กำลังมุ่งหน้าไปทำภารกิจที่ใคร ๆ ก็คิดว่า มันคือภารกิจแบบทิ้งชีวิต ทุกคนต่างบอกว่าเราคือยอดฝีมือในด้านการใช้ Sky Armor หรือเกราะแห่งเวหา เป้าหมายภารกิจคือการทำลาย Opus Stone และเราจะได้ออกปฏิบัติการร่วมกันกับ Kylian ระหว่างการใช้ Sky Armor ทั้งคู่ถูกยิงร่วงลงมาบนชายหาด แต่ดูเหมือนว่าแผนการทำลาย Opus Stone จะเป็นกับดักของศัตรูแต่แรก การทำลาย Opus Stone กลับเป็นการปลดปล่อยพลังงานบางอย่างระเบิดทำลายพื้นที่โดยรอบ ภาพตัดมาที่เหตุการณ์ใหม่ที่เล่าเกี่ยวกับ อาณาจักร Valandis ที่เคยอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน ตกอยู่ภายใต้ไฟสงคราม สามอาณาจักรต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่มากว่าหกชั่วอายุคน โดยแบ่งเป็นอาณาจักรพิรุณนิรันดร์ Taryn, อาณาจักรที่มีท่าเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางใต้ Escanya, และอาณาจักรทางตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน Gravos ต่อมา Taryn เปิดสงครามกับ Gravos แต่ก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก ทั้งสามอาณาจักรไม่มีใครยอมรับว่าครอบครองอาวุธอันตรายเอาไว้ สงครามที่ยืดเยื้อไปมีแต่จะสูญเสีย ทั้งสามอาณาจักรตัดสินใจลงนามสนธิสัญญาสงบศึก เป็นอันสิ้นสุดสงครามกว่า 156 ปีเกมจะนำเสนอตัวละครกลุ่มใหม่ ชุดใหม่ขึ้นมาให้เราได้รู้จักอยู่เรื่อย ๆ และความยิ่งใหญ่ของเกมนี้ ก็ทำให้เราเชือได้ว่า มันคือ Story Driven JRPG ของจริง ใครที่ชอบเสพเนื้อเรื่อง ชอบอ่านประวัติ ตำนาน บทสนทนาตัวละคร เกมนี้จะมอบให้คุณอย่างเต็มอิ่ม มีทั้งการสมคบคิด การวางแผนการต่าง ๆ และตัวละครแต่ละตัวก็จะมีความคิด มีบุคลิกและลักษณะนิสัยที่ต่างกันออกไป เรียกได้ว่าในด้านของเนื้อเรื่อง เกมนี้จัดเต็มมากซะยิ่งกว่าเกมระดับ AAA บางเกมด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะการเปิดตัวตัวละครใหม่ ๆ ก็จะมีการเล่าปูมหลัง ประวัติความเป็นมาให้เราได้ติดตามและรู้จักกันเพิ่มด้วย เพิ่มความอินและความผูกพันกับตัวละครตั้งแต่แรกและถึงแม้ว่าการเล่าเรื่องของเกมนี้จะเป็นแบบอ่านซะเป็นส่วนมาก ตามสไตล์เกม 16-Bit ยุคก่อน แต่เกมก็ยังใส่อากัปกิริยาต่าง ๆ มาให้เราได้เห็นแบบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฉษกคัทซีนแบบอลังการงานสร้างที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นจากเกมนี้ เราก็ได้เห็นกัน Chained Echoes จึงเป็นอีกเกมอินดี้ระดับคุณภาพในแง่ของเนื้อเรื่อง แต่คุณต้องชื่นชอบในการอ่านด้วย เพราะรายละเอียดเล็กน้อยทั้งหลายที่สำคัญ และเป็นจุดเชื่อมโยงและคาดเดาเนื้อเรื่องนั้น ส่วนมากจะอยู่ในบทพูดอันยืดยาวเหล่านั้น รวมไปถึงไกด์เกมสอนการเล่นเอง ก็จำเป็นจะต้องศึกษาและอ่านให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะเล่นแบบผิด ๆ ถูก ๆ และทำให้เกมยากขึ้นโดยไม่จำเป็น ดังนั้น เพื่อที่จะเสพเกมนี้ให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำได้ การอ่าน และเสพเนื้อเรื่องเป็นอะไรที่จำเป็นและสำคัญกับเกมนี้มาก ๆ และนี่เป็นอีกเกมที่มีจุดแข็งเป็นเนื้อเรื่องที่เราไม่อยากให้พลาดกันเลยทีเดียว การผจญภัยในอาณาจักรและดินแดนขนาดใหญ่มากมายหลากหลายสถานที่เกมนี้เราจะไม่ได้เล่นเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่งตลอด แต่จะมีการสลับสับเปลี่ยนตัวละครให้ได้เล่นกันไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Glenn ในช่วงเริ่มต้นเกม เจ้าหญิง Lenne และ Robb หรือ Victor ประชาชนที่เติบใหญ่ และกลายเป็นคนโด่งดังโดยไม่ใช่คนในราชวงศ์ ทุกครั้งที่มีการสลับสับเปลี่ยนตัวละครเล่น เราจะได้พบกับเกมเพลย์ที่หลากหลาย บางตัวละครจะพาเราไปผจญภัย บางตัวละครก็ให้เดินเล่นกินลมชมวิวในเมือง หรือบางตัวละครเราจะได้เห็นแง่มุมของโลกในเกมและตัวละครอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพียงแต่การโยกย้ายตัวละครไปมานั้น ออกจะเกิดขึ้นบ่อย ทำให้ผู้เล่นต้องพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของเกมให้ดี แต่สุดท้ายแล้วเกมจะมีจุดที่ตัวละครแต่ละตัวได้วนมาเจอกันอยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้เกมใด ๆ และทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระกับการที่ไม่มีตัวละครหลักนำเรื่องราว แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบแบบนี้สำหรับกราฟิกภายในเกมนี้ก็เป็นแบบ 16-Bit ที่ให้อารมณ์วิดีโอเกมยุคเก่า โดยเฉพาะยุคของเครื่อง Gameboy Color หรือ Gameboy Advanced และตัวละครในรูปแบบ Pixel Shade หากมองเผิน ๆ ตัวละครแต่ละตัวอาจจะไม่ค่อยน่าจดจำนัก แต่เวลามีบทสนทนา เกมจะมีหน้าตัวละครขนาดใหญ่ ทำให้เราจดจำตัวละครได้ดีขึ้น ฉากต่าง ๆ นั้นมีความหลากหลาย ทั้งเมืองหลวง ชนบท หมู่บ้าน ท่อระบายน้ำใต้ดิน เมื่อทั้งหมดถูกผสมผสานเข้ากับเนื้อเรื่องจากหลากหลายตัวละครที่น่าติดตาม บอกได้เลยว่า Chained Echoes กลายเป็นอีกเกม JRPG แบบ Old School ที่คนชอบเกม RPG ยุคเก่าอย่าง Final Fantasy / Dragon Quest จะต้องหลงรักในบางฉาก จะไม่ใช่แค่การหาเส้นทางเพื่อไปต่อเฉย ๆ แต่จะมีองค์ประกอบของแพลตฟอร์มเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เราได้เล่นเป็น Sienna โจรสาวผมแดง ที่เราจะต้องลงไปทำภารกิจในท่อระบายน้ำ เกมจะมีองค์ประกอบความเป็นเกมแพลตฟอร์มเข้ามาด้วย แต่มันก็ไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนแนวเกมหรือการนำเสนอไปเลย เพราะหลัก ๆ แล้วหัวใจหลักของเกมนี้คือเกมแนว RPG Turn Based อยู่ดี เพียงแต่เกมนี้โดดเด่นในด้านการนำเสนอตัวละครและโลกภายในเกมที่เป็นการผสมผสานสองแนวทางอย่างไซไฟและเวทมนตร์แฟนตาซีเข้าไว้ด้วยกัน ขนาดแผนที่ภายในเกมก็ถือว่าออกแบบมาได้ดี ไม่ได้กว้างจนเกินไปจนทำให้เราหลงทาง แถมยังสร้างซอกเล็กซอกน้อยมาไว้ให้เราสำรวจ เพื่อเปิดกล่องสมบัติ ไอเทมลับ และเส้นทางลับมากมาย และบางเส้นทางก็จะไปบรรจบเข้ากับจุดหมายปลายทางของภารกิจคุณพอดีและเพราะมันเป็นเกมที่เน้นเนื้อเรื่อง งานนี้อย่างที่บอกไปในส่วนของพล็อตด้านบน คือถ้าเรากดข้าม ไม่อ่านเลย รับรองว่าความอิน กับความสนุกจะหายไปจากเกมนี้พอสมควร บางช่วงบทสนทนาก็ยืดยาวซะเหลือเกิน ย้ำกันอีกรอบ หากคิดจะเล่นเกมนี้ เราแนะนำว่า ต้องคล่องภาษาในระดับหนึ่งเลยเกมเพลย์แบบ RPG Turn Based สุดคลาสสิค แต่ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในด้านเกมเพลย์การเล่น ก็อย่างที่บอกว่ามันคือแรงบันดาลใจของเกม JRPG จากหลาย ๆ อย่าง ผู้เล่นจะได้ออกสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภายในตัวเมือง พื้นที่เปิดกว้าง ดันเจี้ยนขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของ JRPG ที่แฟน ๆ ทุกคนต้องเคยเล่น เกมเพลย์บางช่วงก็จะเป็นแบบโลกเปิด แต่ก็ต้องตัดสลับไปกับการเล่าเรื่องและการเดินหน้าแบบเส้นตรง เพื่อไม่ให้การเล่าเรื่องมันยากจนเกินไป ระบบ Overdrive คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Chained Echoes มีความแตกต่างไปจากเกมอื่น สำหรับระบบ Overdrive จะเป็นเหมือนกับความลงตัวของตัวละครและสมาชิกในทีม หลอด Overdrive จะแสดงอยู่บนการต่อสู้ และมีทั้งสามสี คือเหลือง เขียว และแดง หากเราเลี้ยงเกจ Overdrive ให้เป็นสีเขียวได้ จะได้รับโบนัส ทั้งได้รับดาเมจน้อยลง ทำดาเมจได้มากขึ้น และใช้ TP ในการร่ายสกิลน้อยลงครึ่งหนึ่ง หน้าที่ของผู้เล่นคือเลี้ยงเกจนี้ไว้ให้อยู่สีเขียวได้ได้ตลอด เพื่อความได้เปรียบในการต่อสู้ การเลี้ยงเกจนี้เอาไว้มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้สกิลที่เกี่ยวข้อง การสลับตัวละคร เพราะถ้าหากเราปล่อยเกจ Overdrive เลยไปถึงขั้น Overheated จะทำให้เราโดนโจมตีแรงขึ้นซะเองแต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นก็คือระบบ Overdrive นี้ เพราะอย่างอื่นก็จะเหมือนกันกับเกม JRPG ทั่วไป ศัตรูแต่ละตัวจะมาพร้อมจุดอ่อน จุดแข็งในการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ เช่นถ้าเราใช้ธาตุโจมตีก็อาจจะโจมตีได้แรงขึ้น หรือบางตัวเราสามารถขโมยไอเทมมันได้อีกต่างหาก แต่หัวใจสำคัญคือทำยังไงก็ได้เพื่อบริหารจัดการหลอด Overdrive ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการใช้สกิลก็จะเป็นการใช้ค่า TP และมีท่า Ultimate Move ที่จะได้มาก็ต่อเมื่อเก็บสะสมหลอดไม้ตายจนเต็ม ระบบการต่อสู้ของเกมนี้จึงค่อนข้างสนุก เราต้องยืดหยุ่น ไม่บวกจนสุด มีจังหวะถอยได้ก็ถอย ในขณะที่การถอยเราอาจจะเป็นการตั้งรับ เช่น Defense การโจมตี หรือให้ตัวละครอยู่เฉย ๆ เกมเพลย์การเล่นจึงทำให้เราสนุกกับมันได้มากพอ ๆ กับการนำเสนอและนเื้อเรื่องของตัวเกมในขณะที่ตัวละครแต่ละตัวนั้น ไม่ได้มีเลเวลกำหนดไว้ แต่เราจะได้รับไอเทม Grimoire Stone หลังจากเอาชนะศัตรูระดับบอสได้ เมื่อใช้ไอเทมนี้กับตัวละครใดก็ตาม ตัวละครนั้น ๆ จะได้สกิลใหม่ และเลือกรูปแบบการเล่นได้ แต่ด้วยความที่กว่าเราจะได้ Grimoire Stone แต่ละก้อนมา อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน งานนี้ก็ต้องเลือกและพิจารณากันให้ดี ว่าจะให้ตัวละครนั้นเล่นเป็นตัวละครสายอะไร และมีรูปแบบการเล่นแนวไหน ส่วนการเอาชนะในแต่ละไฟท์ได้ จะได้ค่า SP ที่สามารถนำไปอัปเกรดสกิลนั้น ๆ ได้ ตัวละครทุกตัวที่ถูกหยิบมาลงสนามจะได้รับเหมือนกันหมด การอัปเกรดบางอย่างอาจจะทำให้ตัวละครบางตัวมีสายการเล่นแยกย่อยมากขึ้นเข้าไปอีกถือเป็นอีกหนึ่งเกมเพลย์ที่รักษาความเป็น Old School JRPG เอาไว้ แต่ก็พยายามใส่สิ่งใหม่ ๆ เข้ามา และทำให้มันลงตัวและเข้ากับระบบยุคเก่าได้เป็นอย่างดี และในเรื่องของสเปคที่ใช้ในการเล่น ด้วยความที่ภาพเป็น 16-Bit อยู่แล้วก็หายห่วงได้ การ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง GTX 780 ก็เอาอยู่ แถมยังใช้ CPU เพียงระดับ i5 งานนี้ใครกำลังมองหาเกมเล่นยาว ๆ เอาไว้สนุกข้ามปี และเต็มอิ่มไปกับเนื้อเรื่อง บอกเลยว่าเกมนี้คืออีกหนึ่งความสนุกส่งท้ายปีเช่นกันและข่าวดีคือใครที่เป็นสมาชิกของ Xbox Game Pass / PC Game Pass สามารถดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่นกันได้แบบฟรี ๆ ได้ด้วยเช่นกัน
18 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Choo-Choo Charles จากมีมยอดฮิต สู่เกมสยองขวัญจากมันสมองนักพัฒนาเกมเพียงคนเดียว
เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่สมัยนี้เรามักจะเห็น Solo Developer หรือนักพัฒนาเกมเพียงคนเดียว ออกมาโชว์ฝีไม้ลายมือในการทำเกมคอนเซปต์เจ๋ง ๆ หรือบางทีก็เจ๋งไปยันเกมเพลย์ และในปีนี้เองก็มีอยู่หลายเกม แต่มีอยู่เกมหนึ่งที่นักพัฒนามีอายุเพียง 20 กว่าปี และได้ไอเดียจากการนำเอามีมดังของโลกวิดีโอเกมอย่าง Thomas Tank Engine มาพัฒนาให้กลายเป็นเกมแอ็คชั่นสยองขวัญอย่าง Choo-Choo Charles ซึ่งเกมนี้นี่แหละจะเป็นเกมที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้รถไฟผีแห่งเกาะปริศนาผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักล่าปีศาจไร้ชื่อ เราเดินทางมายังเกาะปริศนาแห่งหนึ่งที่ชื่อ Aranearum โดยคำเชิญจาก Eugene เป้าหมายคือการกำจัดรถไฟที่มีขาเป็นแมงมุมและใบหน้าอันน่ากลัวอย่าง Charles ที่ทำให้ชาวบ้านอกสั่นขวัญผวากันไปหมด แทนที่จะหาทางกำจัดมัน แต่กลับกลายเป็นว่าเศรษฐีใหญ่ประจำเกาะกลับต้องการเก็บ Charles เอาไว้ โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน แถมยังมีการเกณฑ์คนงานไปขุดเหมืองและป้องกันไข่ปริศนาที่อาจจะเป็นกุญแจไปสู่การกำจัด Charles ได้ งานนี้ความหวังในการกอบกู้หมู่บ้านจากรถไฟแมงมุมมรณะจึงได้เริ่มต้นขึ้นหากว่ากันตามตรงแล้ว เนื้อเรื่องมันแทบจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่การมาปราบรถไฟผีขาแมงมุมเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดมาจากไหน หรือเป็นตัวอะไรกันแน่ เนื้อเรื่องของเกมนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้พัฒนาได้พยายามจะสร้างความลึกให้กับมันแล้ว แต่ตัวคนเดียวย่อมมีขีดจำกัดในการสร้างสรรค์โลกในเกม เนื้อเรื่องภายในเกมนี้จะถูกเล่าผ่านเอกสารซะเป็นส่วนมาก เพราะภารกิจหลัก และภารกิจรองแทบจะไม่ได้พูดถึงเนื้อเรื่องเลย มีพูดถึงบ้างแบบเบาบางเท่านั้น แต่ข้อดีคือ แม้มันจะเล่าในเอกสาร แต่ในทุก ๆ ที่ที่มี NPC รอเราอยู่นั้น หรือจุดที่เราจำเป็นจะต้องไปทำภารกิจหลัก หรือภารกิจรอง ส่วนมากจะมีกระดาษโน้ต วางรอให้เราเข้าไปกดอ่านอยู่แล้ว ต่อให้มันคือเกมโลกเปิดบนเกาะขนาดใหญ่ แต่เนื้อเรื่องก็แทบจะเป็นเส้นตรงทั้งหมด เมื่อเล่นจนจบเกม ผู้เล่นจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะมีก็เพียงบางอย่างเท่านั้นที่ไม่เคลียร์ แถมฉากจบสุดพีคที่เหมือนจะปูทางไปทำภาคต่อ ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าอนาคตจะได้ทำหรือไม่แม้จะเป็นผลงานของ Solo Developer และเห็นได้ชัดว่าเนื้อเรื่องมันไม่ได้มีอะไรมาก แต่ถือว่าเป็นความพยายามจะจัดการในส่วนของเนื้อเรื่องตัวเกมได้ดีเท่าที่คนคนเดียวจะทำได้แล้ว น่าเสียดายที่ตัวละครอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อเรื่อง มันแทบจะไม่ทำให้เรารู้สึกอยากติดตามเนื้อเรื่องเลย มีเพียง NPC ตัวละครหลักเท่านั้น ที่มีอารมณ์ร่วมกับตัวเนื้อเรื่องโดยตรง หากเราไปทำภารกิจย่อยของ NPC ที่ไม่เกี่ยวกับภารกิจหลัก มันก็อาจจะทำให้เราเอียงคอ เกาหัวด้วยความงง ว่าชีวิตบนเกาะสุดอันตรายแห่งนี้ เขาหรือเธอยังจะต้องการอะไรแบบนี้อีกหรือ ? แต่ก็นั่นแหละ หากหลับตาข้างหนึ่งแล้วมองว่ามันคือผลงานของคนเพียงคนเดียว มันก็ยังถือว่าน่าประทับใจในระดับกลาง ๆ ได้เช่นกันโลกของเกมที่กว้างใหญ่แต่ไร้ชีวิตชีวา และการดีไซน์ภารกิจที่ซ้ำซากเพื่อไม่ให้มองว่าเราอวยเกม และใช้คำว่า Solo Developer มาเป็นข้ออ้าง ในส่วนนี้เราจำเป็นจะต้องวิจารณ์กันอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าหลาย ๆ อย่างในเกมนี้จะน่าประทับใจจริง ๆ แต่มันก็ไม่อาจทำให้เรารู้สึกว่าบางอย่างมันแปลกจนเกินไป จริงอยู่ว่าตัวเกมเป็นเกม Open World มีพื้นที่เปิดกว้างบนเกาะ แต่ตลอดเกมการเล่นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเกมเส้นตรงซะมากกว่า แต่การออกสำรวจผู้เล่นจะได้รับรางวัลเป็นเศษเหล็กที่ใช้ในการอัปเกรดรถไฟที่เป็นไฮไลท์ของเกมนี้ ซึ่งเสษเหล็กของเกมนี้ทั้งเกมนั้นมันมีเยอะมาก ๆ และส่วนมากจะอยู่ตามพื้น ตามซอกหลืบ หรือตามสถานที่สำคัญที่ถ้าหากว่ายิ่งออกสำรวจก็จะยิ่งได้เยอะ แต่ตัวเกมนั้นค่อนข้างเงียบเหงามาก หากผู้เล่นไม่ได้แล่นไปตามรางรถไฟ ลงมาวิ่งเล่นบนทุ่งหรือเนินกว้าง มันก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำ หรือถึงขั้นไม่มีชีวิตชีวาอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่ออยู่นอกรถไฟ และการจะวิ่งไปสำรวจอะไรสักอย่างในเกมนี้ก็กินเวลาเอาซะมาก ๆ แถมไม่คุ้มค่าอีกต่างหากรวมไปถึงการออกแบบหน้าตาของ NPC ตัวก็ต้องบอกเลยว่าไม่ได้ดีสักเท่าไร ใครที่ขัดใจกับรูปลักษณ์หน้าตาตัวละคร รับรองว่าจะไม่โอเคกับส่วนนี้แน่ ๆ เพราะแม้ว่าสภาพแวดล้อมภายในฉากต่าง ๆ ของเกมจะทำออกมาได้ดี แต่พอถึงจุดที่ต้องคุยกับ NPC นั้น เรียกได้ว่าช็อตฟีลกันเลยก็ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นข้อจำกัดของการออกแบบและพัฒนาเกมด้วยตัวคนเดียวเช่นกันนอกจากนั้นดีไซน์ภารกิจต่าง ๆ ยังไม่ค่อยจะเวิร์ค เพราะเกือบทั้งเกมนั้นผู้เล่นจะได้เจอภารกิจที่มีอยู่แค่ไม่กี่แบบ เช่นการวิ่งไปหาของ การลักลอบเข้าไปในสถานที่แล้วขโมยของออกมา หรือเอาไอเทมไปส่งตามจุดต่าง ๆ และตลอดทั้งเกมก็มีอยู่เท่านี้ แม้กระทั่งภารกิจหลักอย่างการขโมยไข่ เพื่อไปอัญเชิญบอส ก็ยังเป็นแบบเดียวกันทุกจุด ต่างกันก็แค่สถานที่ คือเรียกได้ว่าดีไซน์เกมเพลย์ถือเป็นจุดอ่อนอย่างหนักของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ใครเล่นแล้วอาจจะขัดใจหลาย ๆ อย่างและด้วยความที่เกมมันสั้นมา หากผู้เล่นต้องการอัปเกรดรถไฟให้เต็มทุกอย่าง จำเป็นจะต้องไล่ทำภารกิจเสริมทุกภารกิจให้ครบ เพื่อให้ได้เศษเหล็กที่เพียงพอในการอัปเกรดทุกอย่างจนตัน แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเกมใช้เวลาในการเล่น + เก็บทุกสิ่งอย่างภายในเกมในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น สั้นมาก ๆ ในเรื่องของดีไซน์ภารกิจ ความยาวในการเล่น จริงอยู่ว่า มันคือข้อจำกัดของการทำเกมเพียงคนเดียว แต่หากใครคิดว่า 400 นั้นคุ้มค่า ก็จัดไป และที่ต้องชมอีกอย่างคือการแปลภาษาไทยของเกมนี้ แม้ว่าจะแปลได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็ถือว่าแปลได้ดีเลยทีเดียว คำผิดอาจจะมีอยู่บาง แต่การเรียบเรียงคำให้สละสลวย อ่านง่าย เข้าใจได้ทันทีนั้น อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เป็นอีกข้อที่ต้องชื่นชมในส่วนนี้แต่ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า จะคิดว่ามันคุ้มและลองซื้อมาเล่นดูดีหรือไม่ แต่สำหรับส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เป็นการหลับตาข้างหนึ่ง มองว่าตัวคนเดียว ทำได้ขนาดนี้ ก็เก่งมากแล้ว แต่ก็ตะชิมกันอย่างตรงไปตรงมาในแง่ของจุดอ่อนทั้งหลายเพียงเท่านั้นเกมเพลย์แบบเส้นตรง และน่าหงุดหงิดในบางจุดสำคัญและเอาจริง ๆ แล้วแม้กระทั่งในส่วนของเกมเพลย์มันก็ไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น อย่างที่เราได้เห็นกันไปในตัวอย่าง ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับยานพาหนะเป็นรถไฟจิ๋วสุดน่ารัก 1 ขบวน และบนรถไฟนั้นจะมีคอนโซลควบคุม 3 คันโยก คือการเดินหน้า ถอยหลัง และหยุดรถ ผู้เล่นสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง ส่วนท้ายรถจะเป็นอาวุธปืนที่เอาไว้ยิงต่อสู้ และมีหวูดรถไฟที่เอาไว้เรียงเจ้า Charles ออกมาปะทะกันได้ และในระหว่างการเดินรถไฟ เมื่อถึงจุดที่เป็นทางแยกผู้เล่นจะต้องลงจากรถไปสับรางด้วยตัวเองเกมเพลย์ของเกมนี้มันไม่มีอะไรมากเลย เพียงแค่ต้องเอาตัวรอดจากเจ้า Charles ให้ได้ และวิธีการจะจัดการมันขั้นเด็ดขาดก็คือการทำภารกิจเนื้อเรื่องเพื่ออัญเชิญมันออกมาต่อสู้ จะบอกว่าเกมเพลย์มันแทบไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ช่วงการต่อสู้นั้น ก็ถือว่าลุ้นระทึกดี กับการมีรถไฟหน้าผี ขาแมงมุมมาไล่ล่าเรา แต่เมื่อยิงทำดาเมจกับมันไปจนถึงจุดหนึ่ง มันก็จะหนีไปเองวิธีการได้อาวุธใหม่ ๆ นั้นทำได้จากการไปทำภารกิจสีแดง ที่เป็นภารกิจรับอาวุธใหม่ โดยอาวุธทั้งหมดภายในเกมนั้น จะมีทั้งหมด 4 แบบ คือปืนกลเริ่มต้น ปืนไฟ ปืนยาว และปืนยิงระเบิด ซึ่งทำดาเมจสูงที่สุดในเกม ซึ่งวิธีการจะได้มานั้นมันก็ไม่ยากอะไร แต่แม้ว่าเกมเพลย์ของมันจะเรียบง่ายเป็นเส้นตรงขนาดนั้น หลายส่วนของมันก็ค่อนข้างน่าหงุดหงิดใจอยู๋ไม่น้อยยกตัวอย่างเช่น ในภารกิจหลักที่เราต้องลักลอบไปเอาไข่นั้น เกมเพลย์การเล่นจะเปลี่ยนไปเป็นแบบลอบเร้นทันที เพราะเมื่อเราลงจากรถไฟนั้น เราจะไม่มีอาวุธใด ๆ ติดตัวเลย มีแต่มือเปล่า ๆ ในขณะที่ศัตรูมีอาวุธพร้อมจะยิงเราได้ทุกเมื่อ แต่แทนที่เกมจะทำให้ตรงส่วนนี้ตื่นเต้นจากการเล่นแบบลอบเร้น กลับกลายเป็นว่า A.I. ของมันก็ไม่ฉลาดพอจะฆ่าเราได้ มันเหมือนกับการเขียนโปรแกรม A.I. เกมนี้ คือเราไม่อยู่ในระยะยิง แต่เห็นเราเฉย ๆ มันจะวิ่งไล่ตามเรา ซึ่งทำให้เราสามารถวิ่งหนีได้ และในเมื่อมันทำแบบนี้ได้ การลอบเร้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป จะมีตลกบ้างก็ตอนที่ A.I. มันวิ่งไล่เราได้ไกลมาก ๆ ชนิดที่ว่าในช่วงแรก ถ้ารถไฟเรายังไม่ได้อัปเกรดความเร็ว มันก็วิ่งตามเราได้แบบหนังอินเดียกันเลยทีเดียวรถไฟที่เป็นยานพาหนะหลักของเรานั้น จะมีค่าสถานะให้อัปเกรดทั้งหมด 3 ค่า คือค่าดาเมจที่เพิ่มพลังโจมตี ค่าเกราะที่เพิ่มพลังป้องกัน และค่าความเร็วเคลื่อนที่ ที่จะทำให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้น การอัปเกรดต่าง ๆ จะอัปเกรดได้สูงสุดที่เลเวล 10 ทั้งหมด แต่การอัปเกรดเหล่านี้กลับมีความขัดแย้งในตัวมันเองคือเรื่องของการโจมตี เพราะท้ายที่สุดแล้วพลังโจมตีที่มากขึ้น ไม่ได้ทำให้เราฆ่า Charles ได้ เพราะเมื่อยิงจนพลังมันลดไปแล้วมันก็จะหนีไปอยู่ดี และจะสู้กับมันได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงศึกตัดสินที่ต้องเล่นไปตามเนื้อเรื่องของเกมเท่านั้น ส่วนความเร็วกับเกราะป้องกันนั้น ถือว่ามีความสำคัญกว่ามากวิธีการได้มาซึ่งเศษเหล็กที่ใช้ในการอัปเกรด ก็คือการทำภารกิจรองต่าง ๆ ที่อยู่ในแผนที่ ซึ่งมันให้เศษเหล็กเยอะมาก หากทำจนครบทุกอย่าง ก็อัปเกรดรถไฟจนเต็มได้แน่นอน ส่วนภารกิจสีแดงจะเป็นภารกิจอาวธใหม่ และภารกิจสีฟ้าคือภารกิจเนื้อเรื่องและทั้งหมดนี้ผู้เล่นสามารถเก็บจนครบได้ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง อย่างที่บอกว่า ส่วนอื่น ๆ ของเกมเพลย์นั้นมันแทบไม่มีอะไรให้เราทำเลย แถมตัวเกมยังดูแปลก ๆ ในช่วงที่เราต้องลงจากรถไฟนั้น เราจะไม่มีอาวุธให้ใช้งานหรือเอาตัวรอดเลย ถ้าเราต้องเจอกับพวกศัตรูถือปืน เราจะไม่สามารถต่อสู้ได้เลย นอกจากหนีเท่านั้น และใช้วิธีการลอบเร้น ซึ่งการลอบเร้นมันก็ดันทำมาได้ไม่ค่อยจะดีเท่าไรด้วย ทำให้เกมเพลย์ในส่วนของการลงรถไฟมาหาของนี้ เป็นอะไรที่น่าเบื่อและชวนหงุดหงิดไม่ใช่น้อยหากให้พิจาณณากันตรง ๆ Choo-Choo Charles เป็นการออกแบบและสร้างเกมของผู้พัฒนาเพียงคนเดียวที่น่าประทับใจ แต่มันก็มีหลายอย่างที่ไม่สามารถมองข้ามได้ แต่ก็ถือว่านี่คือผลงานเปิดตัวที่บ่งบอกถึงศักยภาพได้ดีมาก และน่าสนใจว่าถ้าอนาตตเขาได้งบและทีมงานในการช่วยทำเกม มันจะออกมาเป็นแบบไหน ถ้าไม่โดนจำกัดอิสรภาพจากการทำงานเป็นทีมChoo-Choo Charles วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน Steam ในราคา 400 บา่ท
16 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม ZERO Sievert เกมเอาตัวรอดแบบ 8Bit เกมไซส์กระจิ๊ดริดแต่ครบเครื่อง
ZERO Sievert เกมที่ผู้เขียนคิดว่าจะเอามาเล่นชิล ๆ ช่วงวันหยุด แต่กลับกลายเป็นว่าเห็นภาพ 8Bit น่ารัก ๆ แบบนี้ พอได้ลงไปสัมผัสกับเกมเพลย์เท่านั้นแหละครับ นี่มัน Escape from Tarkov แบบย่อส่วน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงเป็นเกมติดเทรนด์และมีคำวิจารณ์ในแง่บวกเป็นอย่างมาก (คือผมเห็นบางคนชมมาตั้งแต่ช่วง Demo แล้วครับ) ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2022อาจจะเป็นเกมเล็ก ๆ ที่คุณภาพไม่เล็ก พอได้ลองเล่นแล้ว เออเว้ยมันก็สร้างความสนุกให้ผมได้อย่างเพลินจิต เพลินใจ เพลินไปหมด ฮ่า ๆ และถ้าใครชอบความท้าทายผู้เขียนเชื่อว่าเพื่อน ๆ จะชอบเกมนี้เหมือนกันครับ เนื่องจากว่ามันเป็นเกมที่เล่นยากเอาเรื่องอยู่พอสมควร ใครที่ชอบเกมสไตล์ S.T.A.L.K.E.R. หรือ Escape from Tarkov ผู้เขียนอยากให้ลองมาสัมผัสเกมนี้ไปด้วยกัน ก่อนตัดสินใจจะกดมันลงคลังแวะมาอ่านรีวิวในบทความนี้ก่อนได้ครับเริ่มเกมมาก็มีสิ่งให้ต้องใช้ความคิดกันเลย กับการเลือกอาวุธคู่ใจก่อนเริ่มเกมตัวเกมจะให้เราเลือกเซ็ต Starter Pack ที่จะให้เรานำไปใช้ในเกมนะครับ ตอนนี้มีให้เลือกใช้ประมาณ 6 เซ็ตด้วยกัน ในเซ็ตต่าง ๆ นั้นถ้าเราเลือกอาวุธดี ๆ หน่อย อย่างเช่น อาวุธสุดฮิตอย่าง Rifle ก็อาจจะได้เครื่องป้องกันหรืออาหารที่น้อยลง ถ้าเลือกใช้พวกตู๋ตี๋หรือพวกปืนกลเบาเราก็จะได้รับพวกเครื่องป้องกันที่ดีขึ้น เราสามารถเลือกใช้สอยได้ตามความชอบของเราเลยครับ"อ้าวถ้าในอนาคตไม่อยากใช้ปืนนี้แล้วจะทำยังไง?" เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลยครับ ในเกมเราสามารถไปฟาร์มอาวุธชุดเกราะ หรือเทรดแลกเปลี่ยนกับ NPC ได้ ช่วงเริ่มเกมเราก็เลือกอาวุธแบบที่เราถนัดไปก่อนก็ได้ ปืนช่วง Stater มันก็ยังไม่ได้ดีอะไรมากอยู่แล้ว แล้วถ้าอยากใช้อย่างอื่นบ้างก็ค่อยไปฟาร์มเอาครับ รับประกันถ้าขยัน ๆ มีให้เลือกยิงเป็นคลังแสงเลยฮะเกมเพลย์ที่ดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายด้วยภาพที่เป็น 8Bit เอาจริง ๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นเกมยิง ๆ สไตล์น่ารัก แต่ที่ไหนได้พอเอาเข้าจริงมันคือ Takov + Stalker ที่รวมกันมาเป็นเกมนี้ เห็นแบบนี้ฮาร์ดคอร์เอาเรื่องอยู่นะครับ การออกไปฟาร์มแต่ละครั้งไม่ใช่ว่านึกอยากจะออกไปก็ไปได้ เราต้องวางแผนการเอาของใส่กระเป๋าออกไปกับเราด้วย เพราะไม่งั้นตัวละครของเราจะเดินอืด อย่างเช่นด้วยความที่ผมไม่รู้เพราะใน Safe Zone เราเดินได้ปกติไงครับ พอนั่งรถไฟออกไปฟาร์มเท่านั่นแหละ เดินอืดเลยครับวิ่งไม่ได้ มาเช็คกระเป๋า อ๋อน้ำหนักเกิน ฮ่า ๆ ๆ (กดเริ่มใหม่ดิครับรอไร)น้ำหรืออาหารที่เราจะพกพาออกไปก็ต้องวางแผนให้ดี เพราะเอาไปเยอะเกินก็ฟาร์มของได้ไม่มากเพราะน้ำหนักจะเกิน เอาไปน้อยเกินก็ไม่พอต่อการเอาตัวรอดภายในแมพการพันแผลต่าง ๆ ต้องหาที่แอบเพราะว่ามันค่อนข้างใช้เวลา ไม่งั้นยืนทำแผลในที่โล่งโดนโจมตีสามารถขิตกลับจุดเกิดได้เลยครับ แล้วพอตายแล้วของที่ฟาร์มมาก็จะหายไปด้วยเลยการหาเงิน การทำเควส การคราฟท์ และการเทรดเมื่อเราไปฟาร์มมาแล้ว ของที่ได้มานั้นสามารถนำไปขาย หรือนำไปเทรดแลก อาหาร ยารักษาโรคต่าง ๆ หรือผ้าพันแผลได้ครับ เริ่มต้นเลยเราต้องทำเควสตามออเดอร์ที่ NPC รีเควสมา เราก็จะได้รับผมตอบแทนเป็นเงิน ค่าความชื่นชอบ และอุปกรณ์ตบแต่งปืนของเราให้เท่ ให้คูล (เล่นคนเดียวไม่รู้ให้แต่งปืนไปอวดใคร ฮ่า ๆ ๆ)วัตถุดิบบางอย่างที่เรานำกลับมา เราสามารถนำมันมาคราฟท์เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับปืน หรือค่าสถานะต่าง ๆ ให้กับตัวเราได้ครับ อารมณ์เหมือนกับว่าการคราฟท์บางอย่างในเกมนี้ (Modules) เป็นการคราฟท์เพื่ออัพเกรดสกิลติดตัวให้เราครับนอกจากนั้นเราสามารถคราฟท์อาหาร ยา หรืออุปกรณ์ซ่อมแซมต่าง ๆ ได้เช่นกัน ถ้าเรารู้สึกว่ามีมากไปแล้ว เราสามารถนำของที่เราคราฟท์มาไปเทรดกับ NPC หรือขายเพื่อเอาเงินก็ได้อีกนั่นแหละครับ อยู่ที่เราสะดวกเลยแถมช่วงนี้มีกิจกรรม X'mas เราสามารถคราฟท์ Modules ของกิจกรรมมาสะสมได้ด้วยครับ เป็นชุดซานต้าคลอส กับปืนสีแดงแซ่บ ๆแผนที่ในเกม กับการเดินทางของน้อน 8Bitตอนนี้ในเกมจะมีแผนที่ให้เราออกผจญภัยเพื่อไปฟาร์มประมาณ 5 ที่ด้วยกันนะครับ ผู้เขียนเห็นอีกสองที่ว่าง ๆ อีกสองอันไม่แน่ใจว่าต้องเล่นเกมไปอีกสักระยะถึงจะปลดล็อค หรือเพราะว่ามันยังเป็น Early Access อยู่ Dev เลยยังไม่ได้ใส่ลงมาให้เล่น แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าครับเวลาเราจะออกไปฟาร์มเนี่ย เราก็แค่ออกจาก Safe Zone ไปบริเวณด้านหน้าแคมป์ของเรา จะมีบุคคลหนึ่ง (ซึ่งหน้าตาเหมือนกันทั้งเกมเลยครับ ฮ่า ๆ) ให้สังเกตคนที่ยืนอยู่ใกล้กับรถไฟที่สุด (นายสถานีของเราใส่ชุดสีฟ้า) ให้เราไปกด F เพื่อคุยกับบุคคลท่านนั้นครับ เขาจะถามเราว่าเราต้องการเดินทางไปที่ไหน อันนี้ก็แล้วแต่ผู้เล่นอย่างเราจะสะดวกเลือกเลย อย่างผู้เขียนก็เริ่มจาก Map แรกก่อนครับ ลองสมรภูมิ เข้าป่ากันไปเลยภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ หรือสภาพแวดล้อม ก็จะแตกต่างกันออกไปครับ การต่อสู้กับศัตรูก็จะไม่เหมือนกัน ผู้เขียนเลยมองว่าการมีอาวุธที่หลากหลายมันจะเริ่มมามีบทบาทตรงนี้แหละครับ เพราะบางพื้นที่ใช้ไรเฟิลก็ไม่ดี ใช้ลูกซองดันดีกว่า แต่ละครั้งที่ออกไปฟาร์มก็มองว่าต้องวางแผนค่อนข้างเยอะมาก ๆ ครับสำหรับเกมนี้แล้วอย่าลืมนะครับรอบไปมีคนไปส่ง แต่รอบกลับต้องหาทางออกมาเอง หาของเท่าที่จะแบกกลับมาได้ พาตัวเองไปจนถึงทางออก และพยายามอย่าให้น้อนตัวละคร 8bit ของเราตายไปซะก่อนระบบของเกมและการควบคุมZERO Sievert เป็นเกม 8Bit แอ็กชัน เอาตัวรอด ที่คล้าย ๆ เกมดังอย่าง Escape from Tarkov ที่เราจะต้องไปขนวัตถุดิบ หรือสาธารณูปโภคต่าง ๆ ออกมาจากแผนที่ที่เราเลือกจะไปเล่นครับ น่าเสียดายที่ไม่มีระบบ Multiplayer เพราะเกมมันเหมาะกับการมีผู้เล่นอื่น ๆ มาร่วมเล่นด้วยเป็นอย่างมาก ด้วยความที่มันเป็นเกมไซส์เล็ก ๆ มันก็เลยไม่กินทรัพยากรในเครื่องเรา และไม่ต้องมีคอมระดับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คอมบ้าน ๆ ทั่วไปก็เล่นได้ครับระบบการบังคับทิศทาง ใช้งานเหมือนเกม Shooting ทั่วไปเลย Q,W,E,R ใช้บังคับทิศทาง ลากเมาส์เพื่อยิงเป้าหมาย หรือกด Shift เพื่อ Sprint (วิ่ง) เกมก็จะมีเกจบอกครับถ้าเราเหนื่อยก็ต้องหยุดพัก เพื่อรอให้เกจเรากลับมาเต็มเหมือนเดิมยูสเซอร์อินเตอร์เฟซของเกมนี้ก็ตามสไตล์ 8bit เลยครับ ใช้งานได้แบบไม่ยุ่งยาก คำอธิบายต่าง ๆ อะไรก็หาง่าย เสียอย่างเดียวระบบ Toturial ระหว่างเกมไม่ค่อยมีสอนอะไร ต้องงมเอาเองอยู่พอสมควรครับ มาเล่นช่วงแรกนี่ต้องปรับตัวกันอยู่บ้างสรุปสำหรับตัวผู้เขียนมองว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีเลยนะครับ มันเหมือนเป็นลูกผสมของเกม Takov + Stalker และย่อยออกมาเป็น ZERO Sievert ผสมกันอย่างลงตัวฮะ เกมที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย และแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่ให้เราคิดวางแผนก่อนทุกครั้งก่อนจะออกไปทำภารกิจ ถ้าใครชอบเกมภาพแนวนี้และชอบสไตล์เกมแบบ Action Survival ผู้เขียนบอกเลยว่าเกมนี้ควรมีติดคลังเราเอาไว้เป็นอย่างยิ่งครับ แล้วดูจากกิจกรรมในเกมช่วงนี้ที่ Dev อัปแพทช์เข้ามา ก็ถือว่าผู้พัฒนาก็ใส่ใจผู้เล่นอยู่เหมือนกันราคาเกมก็ถูกเกินคุณภาพไปมาก (นี่มันกองอวยชัด ๆ) 400 บาทเท่านั้นเอง เลขกลม ๆ เลยฮะ แต่ว่าเดี๋ยวมันจะมีเทศกาล Winter Sale ลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ใน Steam น่าจะประมาณวันที่ 22 ธันวาคม 2022 เวลาตี 1 บ้านเรา ใครสนใจจริง ๆ ก็อดทนอดกลั้นกำเงินไปซื้อตอนนั้นก็ไม่สายครับ เพราะมันก็จะช่วยเราประหยัดไปได้อีก สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1782120/ZERO_Sievert/
15 Dec 2022
[Review] รีวิว The Callisto Protocol (PS5) สยองขวัญในคุกอวกาศ จากทีมงานผู้สร้าง Dead Space
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ได้มีหนึ่งโปรเจกต์ที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากสำหรับเกม The Callisto Protocol ที่ตอนแรกตัวเกมนั้นถูกวางเอาไว้ว่าจะมีเรื่องราวที่อยู่ในจักรวาลเดียวกันกับเกม PUBG เกมแนว Battle Royale ชื่อดังที่เรารู้จัก รวมถึงโปรเจกต์นี้ยังได้สตูดิโอใหม่อย่าง Striking Distance Studios นำทีมโดยคุณ Glen Schofield ครีเอเตอร์ผู้ที่เคยสร้างเกมสยองขวัญชื่อดังอย่าง Dead Space มาก่อน แต่พอหลังจากนั้นทางคุณ Glen Schofield ก็ได้ออกมาประกาศภายหลังว่าตัวเกม The Callisto Protocol จะไม่ได้มีเรื่องราวอยู่ในจักรวาล PUBG อีกต่อไป แน่นอนว่าสำหรับบางคนมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้รู้ว่าตัวเกมทั้งสองนั้นจะเชื่อมโยงยังไง แต่บางคนก็อาจจะคิดว่ามันดีแล้วเพราะทางผู้พัฒนาจะได้เล่าเรื่องของตัวเองได้เต็มที่ จนในที่สุดตัวเกม The Callisto Protocol ก็วางจำหน่ายออกมาให้เราได้เล่นกันแล้ว และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวตัวเกมให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเกมนี้น่าสนใจมากขนาดไหน และจะสามารถสร้างความสยองขวัญเหมือนที่เคยทำไว้ในเกม Dead Space หรือไม่ !?กราฟิก / การนำเสนอใครที่เคยเล่นเกม Dead Space มาก่อน ต้องยอมรับว่ากลื่นอายของเกม The Callisto Protocol ทั้งบรรยากาศความเป็นไซ-ไฟ ผสมผสานกับความสยองขวัญที่เต็มไปด้วยเลือด ความแหวะของอวัยวะ หรือจะเป็นความมืดในที่แคบ  และด้วยความที่ตัวเกม The Callisto Protocol ออกมาหลังกว่ามาก ทำให้ตัวเกมจำลองความสยองขวัญได้สมจริงมากยิ่งขึ้นด้วย Unreal Engine 4 รวมถึงตัวเกมมีการสร้างบรรยากาศความน่ากลัวในเรื่องของเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงศัตรูที่วิ่งอยู่ตามช่องแอร์ ศัตรูที่อยู่ในน้ำที่เราไม่รู้ว่ามันจะกระโดดพุ่งมาโจมตีเราเมื่อไร มีการสร้างบรรยากาศความไม่ไว้วางใจให้เราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องชมมาก ๆ ในด้านนี้ รวมถึงบรรยากาศโดยรวมของเกม The Callisto Protocol ค่อนข้างมีความมืดมากกว่า Dead Space ด้วยซ้ำส่วนในด้าน Preformance ต้องบอกก่อนว่าตัวผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้ในเวอร์ชัน PlayStation 5 จึงอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรเหมือนกับที่คนเจอในเวอร์ชัน PC แต่ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับบางฉากใน Cutscene ถึงแม้ว่าจะเล่นบนเครื่อง Console เจนใหม่ ผู้เขียนเองก็ยังเห็นอาการเฟรมเรทตกอยู่บ้างเนื้อเรื่องสำหรับในด้านเนื้อเรื่องของเกมจะเล่าถึงอาณานิคมใหม่บนดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี ซึ่งในอาณานิคมนั้นจะมีคุกเอาไว้ขังนักโทษที่เรียกว่า Black Iron ซึ่งเราจะได้รับบทเป็น Jacob Lee นักขับเครื่องบินส่งของระหว่างคุกและดินแดนอาณานิคม แต่อยู่ดี ๆ เขานั้นก็ได้ถูกจับไปเป็นนักโทษในคุก หลังจากที่ยานโดนบุกคุกจนเครื่องตก และบังเอิญในตอนนั้นตัวคุกก็กำลังเกิดความกลหล เหล่านักโทษได้ติดเชื้อบางอย่างจนกลายพันธ์เป็นสิ่งมีชีวิตสุดสยองขวัญนามว่า Biophage ซึ่งตัวเรานั้นเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่ทราบเหตุการณ์อะไรเลย จะต้องหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ และต้องหาทางออกจากคุกนรกนี้ให้ได้ซึ่งเนื้อเรื่องของตัวเกม The Callisto Protocol มีพลอตที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการวางโครงสร้างเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมาย แต่ตัวเกมใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างฉลาด เป็นสไตล์การเล่าเรื่องของหนังไซ-ไฟยุคเก่า กับการที่จะให้เราได้เริ่มต้นไปพร้อมกับตัวละครเอก จากเริ่มต้นที่ไม่รู้อะไรเลย และค่อย ๆ สืบหาข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไปพีคในช่วงท้าย แน่นอนว่าการเล่าเรื่องสไตล์นี้อาจจะค่อนข้างดูเรียบง่ายมากเกิน แต่มันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเราที่เป็นผู้เล่นที่ไม่จำเป็นต้องโดนอัดข้อมูลต่าง ๆ มากเกินไปจนล้น และให้เราได้ไปโฟกัสกับความสยองขวัญ การเอาตัวรอดต่าง ๆ มากกว่า และค่อยไปเล่นใหญ่ในเรื่องราวหลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็น DLC หรือภาคต่อก็ยังได้โดยเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นที่เรื่องราวของเกมที่ใช้เวลาเพียงแค่ 8-10 ชั่วโมงเท่านั้น แน่นอนว่าข้อดีของมันก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างกระชับไม่ยืดยาดจนเกินไป แต่มันก็ดันมีบางช่วงของเนื้อเรื่องที่ส่วนตัวมองว่ามันค่อนข้างอืดอาดโดยเฉพาะช่วงต้นของเกม แต่โดยรวมเนื้อเรื่องก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ขี้เหร่มาก เพราะช่วงหลัง ๆ ก็ค่อนข้างมีความเข้มข้นอยู่เกมเพลย์สำหรับเกมเพลย์ของ The Callisto Protocol สไตล์การเล่นจะมีความคล้ายคลึงกับเกม Dead Space แบบเกือบจะเป๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปืนยิงที่อวัยวะศัตรูจุดไหน ก็จะทำให้อวัยวะเหล่านั้นขาด ตัวเกมมีปืนมากมายให้เราได้ใช้ไม่ว่าจะเป็นปืนพก ปืนลูกซอง ปืน Nail Gun หรือปืนอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นข้อเสียใหญ่ของระบบปืนก็คงจะเป็นแอนิเมชันในการเปลี่ยนปืนที่ค่อนข้างอืดอาดมาก ๆ เหตุเพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้ การดีไซน์ปืนมันจะไม่ใช่การที่เราเปลี่ยนปืนเฉย ๆ ควักปืนเป็นสิบจากที่ไหนไม่รู้มา แต่เราจะต้องเอาของแต่งปืนอีกอันมาใส่กับวัสดุหลัก ทำให้การเปลี่ยนปืนแต่ละครั้งตัวละครจะต้องถอด และประกอบปืนใหม่ทุกครั้ง ทำให้เวลาเราจะควักปืนอื่นมาใช้ในระหว่างการต่อสู้กับศัตรูมากมาย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยซึ่งการดีไซน์ระบบปืนที่มันอืดอาดแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าผู้พัฒนาจะไม่ได้มีเหตุผลใด ๆ เหตุเพราะว่าพวกเขาอยากจะดีไซน์ให้เรานั้นผสมผสานการต่อสู้ระหว่างอาวุธระยะไกลเช่นปืน และอาวุธระยะประชิดที่เป็นกระบองไฟฟ้าของเรานั่นเอง ซึ่งระบบการต่อสู้ระยะประชิดในเกมนี้ค่อนข้างโดดเด่นมาก ๆ และมันแทบจะเป็นการต่อสู้หลัก ๆ ของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะต้องบอกก่อนว่าถึงแม้ว่าเราจะมีปืนที่มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นกระสุนที่เก็บได้มันก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะให้เราสามารถยิงศัตรูทั้งหมดนั่นเอง เราอาจจะต้องใช้กระบองมาหวดในระยะประชิดด้วย โดยระบบการต่อสู้ของอาวุธระยะประชิดก็ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะเรานั้นสามารถทั้งบล็อคการโจมตี หรือหลบการโจมตีของศัตรูได้ ซึ่งมันก็ทำให้ตัวเกมมีความท้าทายมากขึ้น หรือบางครั้งเราอาจจะมีการคอมโบกับอาวุธระยะไกลด้วยอย่างเช่นเราทำการหวดศัตรูให้เซและทำการควักปืนแบบรวดเร็วเพื่อปิดดาเมจใส่ศัตรูได้ ซึ่งวิธีการนี้มันจะช่วยให้เรามีโอกาศเซฟเลือดได้มากขึ้น และประหยัดกระสุนด้วยรวมถึงเกมนี้ยังมีอาวุธที่เรียกว่า GRP ซึ่งจะเป็นถุงมือที่จะทำให้เราสามารถดึงศัตรูเข้ามาใกล้ ๆ และกระแทกศัตรูให้ล้มได้ หรือจะจับศัตรูโยนไปที่เครื่องจักรกับดักต่าง ๆ เพื่อให้มันปั่นศัตรูให้แหลกก็ได้ แต่อาวุธตัวนี้ก็ใช่ว่าเราจะสามารถใช้ได้ตลอด แต่เราจะต้องไปเก็บพลังงานของอาวุธนี้เพื่อใช้งานด้วย ซึ่งมันก็สามารถช่วยเราได้ในระดับหนึ่งสำหรับบางฉากที่เราเจอศัตรูมากเกินไป เราใช้อาวุธนี้ในการฆ่าศัตรูทันที (จับศัตรูโยนไปที่เครื่องปั่น) เพื่อการประหยัดกระสุนและเลือดนั่นเองนอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบค่าเงิน ที่เราสามารถหาได้จากการกดใช้เท้ากระทืบศัตรู ซึ่งมันก็จะมีโอกาสดรอปกระสุนปืน รวมถึงเงินเครดิตที่จะให้เราเอาไปอัพเกรดอาวุธต่าง ๆ ทั้งปืน อาวุธระยะประชิด หรือจะเป็นกระบองไฟฟ้าของเรา ซึ่งจะมีทั้งอัพเกรดความแรง อัพเกรดความนิ่งของอาวุธได้ หรือจะเอาเงินเครดิตไปซื้อกระสุนเพิ่มก็ได้เช่นกันและสิ่งที่ผู้พัฒนาเคยบอกไว้ก่อนที่เกมจะออกว่าตัวเกมนั้นถูกดีไซน์ออกมาให้เราจะต้องตาย และเรียนรู้การตายบ่อย ๆ ทางผู้พัฒนาไม่ได้พูดเกินเลยแต่อย่างใด เพราะศัตรูของเกมนี้ค่อนข้างโหดมาก ๆ สามารถฆ่าเราได้โดยการโจมตีเพียงไม่กี่ที ทำให้เรานั้นมีโอกาสได้เห็นฉากตายของตัวเองที่ค่อนข้างน่าสยดสยอง และถึงแม้ว่าคุณจะลองเล่นเกมนี้ในระดับง่าย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังมีความยากที่จะทำให้คุณตายบ่อย ๆ อยู่ดี แน่นอนว่าคุณจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้ไปเรื่อย ๆความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้ลองเล่นมาสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างรู้สึกชอบสำหรับ The Callisto Protocol ก็คงจะเป็นในด้านของบรรยากาศของเกมที่ทำออกมาได้สยองขวัญมาก ๆ มีการสร้างบรรยากาศทั้งงานด้านภาพและเสียงที่ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง รวมถึงในด้านเนื้อเรื่องก็ค่อนข้างน่าติดตามถึงแม้ว่าจะไม่ได้ซับซ้อนมากขนาดนั้น แต่มันก็อยู่ในเกรดของหนังไซ-ไฟดูง่ายซักเรื่องที่ภาคแรก ๆ จะมีการจำกัดเรื่องราวอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ เปรียบเทียบกับหนัง Alien, Predator หรือแม้กระทั่งผีชีวะภาคแรก แต่ถึงอย่างนั้นความสั้นของตัวเกมก็อาจจะเป็นข้อเสียได้ เหตุเพราะตัวเกมเพลย์ไม่ได้มีเรื่องราวที่อาจจะทำให้เราอยากกลับมาเล่นอีกครั้งเสียเท่าไร พื้นที่ต่าง ๆ ในการเล่นก็ค่อนข้างเป็นเส้นตรงมาก ๆ พอเล่นจบแล้วก็ไม่อยากเล่นต่อแล้ว และมันก็จะรู้สึกว่าเกมมันจบไวเกินไปนั่นเอง จริง ๆ ในระหว่างการเล่นตัวเกมควรจะมีพื้นที่ให้เล่นมากกว่านี้เผื่อที่เราอาจจะอยากยื้อเวลาในการเล่นให้มากขึ้นนั่นเองสำหรับระบบการต่อสู้ตัวเกมค่อนข้างดีไซน์ออกมาได้ดี แต่หนึ่งในปัญหาใหญ่เลยก็คงจะเป็นระบบแอนิเมชันของเกมที่ค่อนข้างมีความอืดอาด ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี การหลบหรืออะไรก็แล้วแต่ยกตัวอย่างตัวผู้เขียนจะทำการหลบการโจมตีจากศัตรู  แต่บางครั้งมันกลับหลบไม่ได้ เหตุเพราะเราอาจจะกำลังติดแอนิเมชันอื่น ๆ อยู่นั่นเอง ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่เสียเลือดในระหว่างการต่อสู้ รวมถึงมันยังมีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างน่ารำคาญและรู้สึกไม่ค่อยแฟร์ในบางครั้ง อย่างเช่นจุดการอยู่ของศัตรูบางตัวที่มันไม่มีโอกาสให้เราได้หลบเลยยกตัวอย่างมันจะมีศัตรูตัวหนึ่งที่จะเป็นหัวคนหลบอยู่ในถุงเนื้อเยื่อ ซึ่งถ้าหากเราเข้าไปใกล้มันโดยไม่ระวัง มันอาจจะกระโดดมางับคอเราได้ซึ่งเราอาจจะต้องระวังศัตรูตัวนี้เป็นพิเศษ แต่มันก็มีบางจุดที่ศัตรูตัวนี้หลบมุมอยู่ในจุดที่เรามองไม่เห็น ซึ่งพอเราเดินไปเราแทบจะไม่มีโอกาสได้ป้องกันตัวหรือหลบแต่อย่างใด และมันแทบจะทำให้เราต้องเปลืองเลือดไปฟรี ๆ แบบไม่ได้โต้ตอบ ซึ่งทางผู้พัฒนาอาจจะดีไซน์มาให้เราจะต้องระวังทุก ๆ ฝีก้าวที่เราเดิน แต่ส่วนตัวมองว่ามันน่ารำคาญมากกว่านะโดยรวมแล้ว The Callisto Protocol ก็ยังไม่ใช่เกมที่สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการเกม ระบบต่าง ๆ ของเกมก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ Dead Space อย่างมาก อาจจะมีระบบใหม่เข้ามาเล็กน้อยอย่างระบบอาวุธระยะประชิด แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับเกมในสมัยนี้ที่เหล่าเกมเมอร์อยากให้มันมีลูกเล่นที่มากขึ้น สิ่งที่ทำให้เกมน่าสนใจก็อาจจะเป็นเนื้อเรื่องที่เราอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในคุกแห่งนี้ แต่ด้วยความเป็นเส้นตรงของมันมากเกินไปในด้านเกมเพลย์ สคริปของ A.I ที่เหมือนเดิมทุกอย่าง มันเลยไม่ทำให้เรามีแรงจูงใจที่อยากจะกลับไปเล่นเกมรอบที่สอง และยิ่งเนื้อเรื่องของเกมที่สั้นในระดับหนึ่ง ก็ยิ่งรู้สึกพาให้เกมมันดรอปลงไปอีก 
12 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม We Who Are About To Die ตัวตึงแห่งสังเวียน การต่อสู้ชั้นเซียนเพื่อเป็นเจ้าอารีน่า
We Who Are About To Die เป็นเกมติดเทรนด์ได้รับคะแนนรีวิวแง่บวกเป็นอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งใน Steam ครับ ซึ่งตัวผู้เขียนเองเนี่ยก็สนใจคอนเซปต์เกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะได้รับบทบาทมาเป็น "กลาดิอาเตอร์" ท่านหนึ่ง ลงไปต่อสู้เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมครับ ตัวละครในเกมของเราเจ็บจริง ตายจริง และถ้าต่อสู้จนอยู่รอดได้ยาวนานที่สุดก็จะโด่งดังจริง ๆ เช่นกันครับ (มีแฟนคลับ ๆ)เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2022 จริง ๆ ผู้เขียนซื้อเอาไว้ตั้งแต่วันที่ตัวเกมลงวางขายแล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีเวลาได้เข้ามาเล่นสักที วันนี้ฤกษ์งามยามดีครับ ได้เข้าเกมลงสังเวียนรีวิวตัวเกมให้เพื่อน ๆ ได้เข้ามาอ่านกัน ใครอยากรู้ว่าตัวเกมเป็นยังไง ดุเดือดเลือดสาดขนาดไหน แวะมาอ่านรีวิวกันก่อนได้ครับเล่นเอาเพลินได้ แต่ตัวเกมยังไม่มีอะไรมากเริ่มเกมมาเราจะได้รับบทเป็น กลาดิอาเตอร์ ที่ยังไร้ชื่อเสียงเรียงนามครับ ยังต้องต่อสู้ในอารีน่าเล็ก ๆ เพื่อเก็บชื่อเสียงไปก่อน ตัวเกมจะสุ่มตัวละครมาให้เราครับ มีประวัติพื้นเพให้อ่านว่ามีที่มาที่ไปยังไง หัวนอนปลายเท้ามาจากไหน และมีอุปกรณ์การต่อสู้ติดตัวมาให้จำนวนหนึ่งครับ รวมถึงค่าสเตตัสการต่อสู้ต่าง ๆ แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมาว่าจะสุ่มได้ดีขนาดไหน แต่ถึงสุ่มมาแล้วของขาดไปบ้าง เราก็สามารถเล่นต่อสู้เก็บเงินเพื่อซื้ออาวุธ หรือเครื่องป้องกันเพิ่มได้ครับ และด้วยความที่มันยังเป็น Early Access จึงทำให้มีแค่โหมดเดียวเท่านั้น และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือเล่นได้คนเดียวครับการต่อสู้ของกลาดิอาเตอร์หน้าใหม่ ไต่ระดับไปเรื่อย ๆWe Who Are About To Die จะมีอารีน่าให้เราเลือกลงประลองตามเลเวลครับ มีตั้งแต่การต่อสู้แบบ 1 vs 1, 2 vs 2, มากันแบบเป็นทีม 4-5 คน หรือแม้แต่ 5 รุม 1 ก็มีครับ อารีน่าต่าง ๆ ที่เราต้องการไปสู้นั้นจะมีความต้องการบอกเราว่า จะให้ต่อสู้แบบไหน เงินค่าตัวหลังจากชนะจะได้รับเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังมีอารีน่าแบบสุ่มที่จะไม่บอกอะไรให้เรารู้เลยว่ามีรูปแบบการต่อสู้แบบไหน แต่เงินค่าจ้างจะเยอะมาก ๆ ครับ เหมาะกับคนกำลังฟาร์มหาเงินซื้ออาวุธ หรืออุปกรณ์การต่อสู้เป็นที่สุด หลังจากการต่อสู้ถ้าเราชนะก็จะได้อัพแรงค์ครับ และมีของรางวัลให้เลือกว่าเราจะเอาโบนัสไปอัพสเตตัสเพิ่ม หรือจะเอาเงินเพิ่ม ก็แล้วแต่ผู้เล่นอย่างเราจะสะดวกเลือกครับตายแล้วไปไหนเกมนี้ตายแล้วไม่ได้ไปต่อครับ ต้องกลับไปเริ่มที่เลเวล 1 ใหม่ ไม่ว่า กลาดิอาเตอร์ ตัวเก่าของเราจะทำแรงค์ไว้สูงส่งขนาดไหน พลาดท่าเสียทีปุ๊บ สูงสุดจะกลับสู่สามัญโดยทันที และตัวเกมจะสุ่มกลาดิอาเตอร์คนใหม่ให้เราครับ แล้วก็เล่นแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ ตายก็กลับมาเริ่มนับ 1 ใหม่ แค่นี้เลยครับ ตัวเกมไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ และหลังจากการต่อสู้จบแล้ว ทุกครั้งในกรณีที่เราชนะมา จะมีข้อความจากเกมเป็นคำถามคอยถามเรา ตรงนี้ถ้าตอบไม่ดีจะมีผลกระทบกับการต่อสู้ของเราในอนาคตด้วยครับ เช่น ผู้เขียนได้คำถามว่า "ตอนนี้ในเมืองของเรามีสงคราม เราจะทำอย่างไรดี ?"ผมคนใจดีไง ไปตอบข้อบริจาคอาวุธเครื่องป้องกันทุกอย่างที่มีเพื่อให้ประเทศเอาไปทำสงคราม แล้วถึงเวลาต้องลงอารีน่า มีแต่ตัวเปล่า ๆ ครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ก็ขิตไปตามระเบียบครับ จะเอาอะไรไปสู้! เกมทำมาดีแล้ว แต่มันจะพังเพราะระบบควบคุมนี่แหละWe Who Are About To Die เป็นเกม 3D RPG ครับ เราจะต้องลงสังเวียนเพื่อไปต่อสู้กับ กลาดิอาเตอร์คนอื่น ๆ เป็นเกมแนวประวัติศาสตร์แบบบู๊กันเลือดสาดเลยครับ มีฟันกันคอขาดตัวขาดให้ได้เห็นกันจะจะไปเลยแล้วสิ่งที่ผมจะไม่พูดไม่ได้เลยเนี่ย คือไอ้ระบบควบคุมเจ้าปัญหาที่สร้างความยุ่งยากให้กับเราคนเล่นมาก ๆ ครับ ตัววางเป้าดูยากมาก ๆ ทำให้ฟัน Ai ไม่ค่อยโดน คือบอกเลยว่ามันสร้างความลำบากให้ผู้เขียนมาก ๆ จะกัน จะหลบ จะแทง จะฟัน ก็มั่วซั่วไปหมด กดซ้ายไปขวา บางทีกดแทงไม่แทง หมุนฟัน 360 องศากันให้ได้งงกันไปเลย บางทีกดป้องกันไปแล้วแต่โดนฟันหลังแอ่นมาก็มี เพราะหันหน้าผิดทาง ฮ่า ๆ ๆ อันนี้ใครถ้าจะซื้อมาเล่นผมบอกเลยว่าเตรียมใจตรงนี้ไว้ก่อนก็ดีครับส่วน User Interface ผู้พัฒนาออกแบบมาได้สวยงามดีครับ ใช้งานง่าย แต่ด้วยความที่มันยังอยู่ในการพัฒนาก็อาจจะเห็นตำแหน่งตัวอักษรที่แปลก ๆ ไปบ้างครับ แต่ก็ถือว่าเข้าใจได้ว่ามันคือ Early Accessตัวเกมมี Toturial สอนเราเล่นในช่วงเริ่มเกมครับ แต่ก็นั่นแหละครับด้วยการบังคับที่ยาก บางอย่างถึงมี Toturial สอนผู้เขียนก็ยังไม่สามารถทำตามได้ นั่นก็คือการปาอาวุธครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ จิ้มจิ้ม ทิ่มทิ่ม แทงแทง เอาก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ ๆสรุปเป็นเกมที่ผู้เขียนมองว่าสนุกมาก ๆ ครับถึงแม้ว่ามันจะซ้ำซาก วนไปวนมา ต่อสู้วน ๆ ไปให้ชนะ พอชนะแล้วก็เอาเงินไปอัพเกรดของ แต่สิ่งที่ผมมองว่าผู้พัฒนาอาจจะต้องแก้ไขอย่างจริงจังก็น่าจะเป็นระบบการควบคุมครับ คือด้วยคอนเซปต์กับระบบเกมเพลย์เนี่ยผู้เขียนบอกเลยว่ามันสนุกมาก ๆ แต่มันจะไปเสียอารมณ์ตรงที่การบังคับมันทำให้เกมไม่ลื่นไหลนี่แหละครับ กดฟันแต่กลายเป็นแทง กดแทงดันหันวนกลับหลังไปฟันอากาศ อาวุธปาใส่ศัตรูได้แต่ผมพยายามทำตาม Toturial อยู่หลายรอบมาก็ปาไม่ได้สักทีครับ ฮ่า ๆ ๆใครสนใจราคาเกมไม่แรงมากครับ สนนราคาอยู่ที่ 429 บาท ผู้เขียนก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่ซื้อมันมาสักนิดเลยครับ เพราะถึงแม้ว่าการบังคับจะยากไปหน่อย แต่เกมเพลย์นั้นสร้างความสนุกให้ผู้เขียนได้อยู่ครับ โดยเฉพาะเกม 5 รุม 1 ต้องหนีการโดนรุมถืบอย่างทุลักทุเล แต่บอกเลยอย่างมันอะครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ถ้าในอนาคตมีระบบ Multiplayer แล้วได้เล่นกับเพื่อน เกมนี้นี่อย่างปั่นอะผมบอกเลย เสียดายมาก ๆ ที่ตอนนี้ยังไม่มีครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/973230/We_Who_Are_About_To_Die/
12 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Evil West คาวบอยปราบแวมไพร์ กับเกมเพลย์แอคชันอันเรียบง่ายที่น่าคิดถึง
Flying Wild Hog ชื่อของสตูดิโอเกมนี้โด่งดังจากการชุบชีวิตเกมแอ็คชั่นสุดเดือดอย่าง Shadow Warrior ให้กลับมาเป็นที่รู้จักจนกลายเป็นเกมไตรภาค และคราวนี้พวกเขาอยากนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ จึงหันมาปั้นเกมใหม่เป็นเกมแนวแอ็คชั่นเช่นเดิม แต่เปลี่ยนจากยากูซ่าล่าปีศาจ ให้กลายมาเป็นคาวบอยแห่งแผ่นดินอเมริกาที่ต้องปะทะกับกองกำลังแวมไพร์ แต่เกมนี้ดียังไง ควรค่ากับการเสียเงินหรือไม่ มาดูกันกับรีวิว Evil Westประกาศสงครามระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ผู้เล่นรับบทเป็น Jesse Rentier มือปราบแวมไพร์ฝีมือดีของ Rentier Institute ที่เป็นสมาคมนักล่าแวมไพร์ที่ก่อตั้งโดยพ่อของเขา Williams Rentier ที่ต้องรับมือกับการบุกรุกของพวกปีศาจและแวมไพร์ Jesse ร่วมงานกับ Edgar มือปราบรุ่นเก๋าเพื่อสืบหาเบาะแสของ Peter D'Abano แวมไพร์หัวหมอที่ปลุกปั่นสงครามระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ แต่เหล่าแวมไพร์ผู้นำไม่เห็นด้วย เตรียมจะเชือดเขาทิ้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ Jesse และ Edgar ซุ่มโจมตีและนำหัวของ Peter กลับไปยังสมาคม แต่ลูกสาวของเขากลับกลายเป็นผู้นำกองทัพแวมไพร์ บุกโจมตีสมาคมนักล่าจนล่มสลาย พ่อของ Jesse ได้รับบาดเจ็บจนต้องหนีตายไปตั้งหลัก และหาวิธีเอาคืนรวมไปถึงหยุดแผนการร้ายของพวกแวมไพร์ชั้นสูงแน่นอนว่าพล็อตแบบนี้มีกันให้เห็นเพียบ ทั้งจากหนังและเกมที่มีเกรดรอง ๆ ลงมา ส่วนของเนื้อเรื่อง Evil West นั้น ในเมื่อเนื้อเรื่องธรรมดา จึงมีการสร้างตัวละคร สร้างเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ดี หรือเข้าขั้นมาสเตอร์พีซ สเตปการเล่าเรื่องของ Evil West จะคล้าย ๆ กันกับเกมที่มีพล็อตแนว ๆ นี้ คือตัวเอกห้าวเป้ง ไปหาเรื่องเขาก่อน โดนยกพลถล่มกลับจนรังแตก ต้องหนีไปตั้งหลัก ก่อนจะเจอตัวละครสนับสนุนคอยให้ความช่วยเหลือใหม่ ๆ และเตรียมกลับไปเอาคืน คือใครที่เล่นเกมแนวกลาง ๆ เกมแนวล่าปีศาจแบบนี้มาเยอะ ๆ จะเดาทางออกแทบจะทุกซีน ทุกฉากภายในเกมอยู่แล้ว เอาเป็นว่าส่วนของเนื้อเรื่องนั้น อยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้ว้าวจนต้องยกนิ้วให้ แต่ก็ไม่ได้แย่จนทำให้เราเบือนหน้าหนีเกมเส้นตรงที่เน้นความดุดัน สะใจ ใส่แอ็คชั่นล้วน ๆ !ในเมื่อเนื้อเรื่องมันไม่ได้ดีเด่อะไรมาก ดังนั้นสิ่งที่เกมนี้ต้องหามาทดแทนคือเรื่องของการนำเสนอและระบบเกมการเล่น แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใ่ชเกม Open World ที่เราจะได้วิ่งฟาร์มของ มาอัปเกรดตัวละครกัน แต่มันคือเกมแอ็คชั่นแบบเส้นตรง ที่มีพื้นที่แคบ ๆ ให้เราได้สำรวจกันเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจะไม่มีการวิ่งฟาร์มของจนตัวเต็ม แต่จะเป็นการเดินหน้าลุยไปยังพื้นที่ และฉากต่าง ๆ เราจะปลดล็อคอาวุธใหม่ สกิลใหม่ ความสามารถใหม่ ๆ เมื่อไปถึงพื้นที่ที่กำหนดแล้ว ทำให้มันกลายเป็นเกมเส้นตรงแทบจะเต็มรูปแบบ แต่การขยันเลี้ยวเข้าไปยังพื้นที่ซอกเล็กซอกน้อย อาจจะทำให้เราปลดของบางอย่างได้ไวขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ถึงกับได้อะไรโกง ๆ มาใช้ และรางวัลอีกประเภทหนึ่งคือประเภทสกินหรือของแต่งตัว ที่เอามาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวละคร Jesse ของเราให้เท่ขึ้นและสำหรับใครที่กลัวว่าจะน่าเบื่อ เพราะดูจากชื่อแล้วมันคงเป็นเกมแอ็คชั่นแดนคาวบอยตะวันตกกันอย่างเดียว ก็อยากจะบอกว่า คุณคิดผิดแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าเกมจะชื่อ Evil West แต่เอาเข้าจริงแล้ว เราจะได้ลุยกันในแดนตะวันตกคาวบอยก็แค่ช่วงแรก ๆ หลังจากนั้น เกมจะมี Setting หรือฉากหลังที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ดินแดนหิมะอันหนาวเหน็บ หมู่บ้านลึกลับที่มีพลังงานปริศนา ไปจนถึงบึงพิษ หนองน้ำมรณะ เรียกได้ว่าหลากหลายกว่าชื่อเกมไปเยอะ แค่ตัวเกมไม่ได้เผยมาให้เราเห็นในช่วงการโปรโมท ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรส์ผู้เขียนพอสมควรสำหรับเรื่องนี้ในด้านความยาวของตัวเกม แม้จะบอกไปหลายรอบว่ามันเป็นเกมเส้นตรง แต่เกมนี้ก็ไม่ได้สั้นชนิดที่ว่าสปีดรัน เล่นแปปเดียวจบได้ ตัวเกมจะมีความยาวมากถึง 16 Chapter ด้วยกัน บาง Chapter ก็สั้น บาง Chapter ก็ยาว บาง Chapter มี Mini Boss และ Boss Fight เข้ามาแทรก ทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการลุยแต่ละด่านนั้นไม่เท่ากัน แต่โดยรวมแล้วผู้เล่นสามารถจบเกมนี้ได้โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 10-12 ชั่วโมง แล้วแต่คน แต่บวกลบไม่เกินนี้ เทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าไม่ได้แย่มากนักสำหรับเกมเกรดกลาง ๆ ราคา 1,190 บาท แต่เกมนี้จะไม่มีการนำเสนอการเล่นซ้ำใด ๆ เลย ไม่มี New Game+ มี Collectible Item ให้เก็บ แต่ก็ไมไ่ด้สำคัญอะไรมากนัก เล่นทีเดียวแล้วจบไปเลย เน้นการให้ผู้เล่นสนุกกับเกมแบบรอบเดียวจบไปเลย ทีนี้มาดูในส่วนของเกมเพลย์กันบ้าง อย่างที่บอกไปว่านี่คือเกมแอ็คชั่นแบบเส้นตรง และดูเหมือนว่าทาง Flying Wild Hog เขาจะถนัดเหลือเกิน กับการทำเกมแอ็คชั่นที่สนุก สำหรับคนที่ไม่รู้ Flying Wild Hog นั้น มีประสบการณ์ในการทำเกม Shadow Warrior มาก่อน ซึ่งตัวเกมก็ขึ้นชื่อว่า บู๊แหลกสนกสนานมาก ๆ และการกลับมาใน Evil West นี้ พวกเขาได้พัฒนาฝีไม้ลายมือในการทำเกมมากขึ้นไปอีกขั้นJesse Rentier อีกหนึ่งตัวละครที่เก่งกาจรอบด้านจากการออกแบบเกมเพลย์ที่ดีหากใครดูเกมเพลย์ (หรือบางคนอาจจะได้เล่นเอง) อาจจะรู้สึกแปลก ๆ ในใจระหว่างการเล่นบ้าง นั่นคือทำไมเกมนี้มันมีความคล้ายกับ God of War ได้มากขนาดนี้ แต่ถ้าได้อ่าน Dev Blog หรือบันทึกการพัฒนาเกมของทีมพัฒนาเกมนี้ พวกเขาได้แรงบันดาลใจในการพัฒนาเกมนี้จาก God of War พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการต่อสู้และอื่น ๆ ที่มีอยู๋ในเกม หรือแม้กระทั่งอนิเมชั่นการออกลีลาท่าทางต่าง ๆ ก็มีความคล้ายคลึงกันในบางส่วนด้วยแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ขนาดก๊อปปี้กันมา แต่ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นแรงบันดาลใจ อย่างแรก Jesse Rentier นั้น เป็นตัวละครที่มีความสามารถรอบด้านมาก ๆ ด้วยทักษะการต่อสู้ที่เขามี ก็ส่วนหนึ่ง แต่อาวุธของเขาเองนั้น ถือว่าเยอะมาก ยิ่งเล่นยิ่งปลดล็อคออกมาเรื่อย จะมีข้อตินิดหน่อยคือ ท้ายที่สุดแล้ว อาวุธบางอย่างแทบจะไม่ค่อยได้ใช้งานเลย อย่างเช่นหน้าไม้ เพราะท้ายที่สุดปืนยาวก็ดีกว่าอยู่ดี หรือปืนไฟที่ถูกใช้ในการทำลายพุ่มไม้เท่านั้น แทบไม่ได้หยิบมาใช้ในการต่อสู้ด้วยอาวุธที่เยอะขนาดนี้ ผู้เล่นอาจจะกังวลว่าถึงเวลาจริงจะได้กดใช้หรือไม่ หากใครเคยเล่น Shadow Warrior มา จะรู้ว่าเกมที่มีอาวุธโคตรเยอะขนาดนี้ ทำให้การกดปุ่ม Hot Key หรือปุ่มอาวุธให้เป็นเลข 1-9 นั้น มันลำบากในการเล่นมาก ๆ ถึงแม้จะมี Weapon Wheel แต่ก็เหมือนกับว่ามันจะขัดกับเกมเพลย์ที่เน้นความรวดเร็วว่องไว และโชคดีที่ใน Evil West ทีมสร้างเขาหาวิธีอุดจุดอ่อนตรงนี้ได้แล้ว ต้องบอกผู้เขียนเล่นบน PC เป็นหลัก บนคอนโซลนั้น อาจจะมีความสะดวก และความถนัดแตกต่างกันออกไปตามหลักแล้วปุ่มการเคลื่อนที่ของตัวละครจะเป็นปุ่ม WASD ที่เราทุกคนเคยชินกัน คราวนี้พวกเขาเลยจัดวางปุ่มรอบ ๆ WASD ให้เป็นปุ่มควบคุมสำหรับการต่อสู้และใช้อุปกรณ์เสริมและสกิลแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Q-E-V-C-R-F เกือบจะทุกปุ่มที่อยู่รอบ ๆ ปุ่มเคลื่อนไหวนั้น ถูกออกแบบมาให้รองรับกับอาวุธ อุปกรณ์ และสกิลเสริมของ Jesse แทบทั้งสิ้น ใครที่กลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าหายห่วงแน่นอน ทำให้การต่อสู้ และความเป็นแอ็คชั่นของเกมนี้นั้น ลื่นไหลเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่เกมมันไม่ได้มีการคอมโบกันระหว่างอาวุธอะไรขนาดนั้น ท้ายที่สุดแล้ว อาวุธที่เยอะขึ้นจึงเป็นเพียงทางเลือกแห่งความสะใจว่า ผู้เล่นจะจัดการศัตรูด้วยวิธีใด การคอมโบต่ออาวุธกัน เน้นทำเพื่อความเท่เท่านั้น ไม่ได้ทำให้มีโบนัสดาเมจที่แรงขึ้น เช่นการต่อยศัตรูขึ้นอากาศ แล้วใช้ปืนรีโวลเวอร์รัวยิง อาจจะทำให้ศัตรูหมดโอกาสสวนเราได้ แต่ศัตรูเกือบทุกตัว ถ้าไม่ใช่ระดับบอส แค่เดินต่อยง่าย ๆ ก็เอาชนะได้แล้ว ส่วนศัตรูจำพวกที่บินได้ ก็สามารถใช้ปืนยาวยิงจัดการเอาได้เลย น่าเสียดายที่เกมนี้ออกแบบความหลากหลายของศัตรูมาได้น้อยไปหน่อย ไม่เหมือนกับสกิล อาวุธ และความสามารถของตัวละครเราที่มีเยอะจนเกินไปส่วนของสกิลและการอัปเกรดเองก็เช่นกัน ในเกมนี้จะแบ่งเป็น Perk และ Upgrade สำหรับ Perk นั้นเน้นไปที่สมรรถภาพของตัวละคร ทั้งการโจมตี การป้องกัน พลังชีวิตสูงสุด ส่วน Upgrade นั้นจะเป็นเรื่องของอาวุธและอุปกรณ์ที่จะทำให้ยิงแรงขึ้น แต่ Progression ของมันก็ไม่ได้น่าประทับใจ ด้วยความที่เป็นเกมเส้นตรง ทำให้ไม่มีการฟาร์ม ไม่มีการเก็บเลเวล หรือไปเล่นด่านพิเศษอะไร สกิลใหม่ ๆ Perk ใหม่ ๆ จะถูกปลดล็อคได้เมื่อเล่นไปถึงจุดที่กำหนด สังเกตได้ว่าทุก ๆ การเอาชนะมินิบอส ชนะบอส หรือผ้่านภารกิจสำคัญ ๆ เลเวลจะถึง และปลดล็อคพร้อมทันที นั่นหมายถึงระบบนี้ถูกกำหนดไว้ด้วยการดำเนินเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ทำให้มันดูขาดความน่าสนใจไปทันทีแต่ถึงอย่างนั้น เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ระบบเกมการเล่นของ Evil West นั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ ในยุคที่หลายทีมสร้าง พยายามอย่างหนักที่จะใส่ความซับซ้อน ความเข้มข้น ความดุเดือดในการต่อสู้ แต่สิ่งที่ทีมพัฒนาทำกับ Evil West คือการเสิร์ฟความสนุกแบบเน้น ๆ ม้วนเดียวจบ ไม่ต้องคิดมาก ให้ผู้เล่นได้เอ็นจอยไปกับการต่อสู้แบบดิบ ๆ ถอดสมองเล่นชิล ๆ ยังได้ ซึ่งมันก็ออกมาดีไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับเกมฟอร์มยักษ์เกมอื่น ก็ยังถือว่าห่างชั้นอยู๋เหมือนกันEvil West กลายเป็นอีกเกมแอ็คชั่นดิบ ๆ ส่งท้ายปี 2022 ที่ถึงแม้ว่ามันจะโดนกระแสเกมใหญ่ ๆ กลบไปจนมิด แต่สำหรับคนที่มีโอกาสได้ลองเล่น หรือสนใจจะเล่น เราบอกได้เลยว่ามันจะเป็นอีกเกมที่คุณไม่ผิดหวังเลย ถ้ากำลังมองหาความ "สนุก" และความ "มัน" จากตัวเกม
12 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม The Callisto Protocol (PC) เกมสยองขวัญตัวใม่ที่ยังไม่กล้าก้าวข้ามผลงานเก่าที่ตัวเองเคยทำไว้
เป็นเกม Survival Horror ที่หลายคนรอคอยกันมาตั้งแต่การประกาศเปิดตัวแล้ว เพราะนี่คือผลงานของผู้ที่สร้าง Dead Space เกมสยองขวัญขึ้นหิ้งระดับตำนานที่หยิบมาเล่นตอนนี้ก็ยังสนุก และมีหลายคนยังคงสะดุ้งกับฉาก Jump Scare และบรรยากาศ ความน่ากลัวของมัน แต่การกลับในผลงานใหม่นี้จะยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็มาดูกันในรีวิว The Callisto Protocol ของเราหนีตายจากสถานที่ปิดตายบนอวกาศสิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนกันกับ Dead Space คือ Setting หรือฉากหลังของโลกภายในเกม ที่เป็นสถานที่เกือบ ๆ จะปิดตายเมือนกัน ใน Dead Space นั้น อิงจากภาคแรกคือยานอิชิมูระ และใน The Callisto Protocol นั้น คือคุกจองจำกลางอวกาศที่มีชื่อว่า Black Iron ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ Jacob Lee (รับบทโดย Josh Duhamel) เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งสินค้าในอวกาศเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ และการทำงานครั้งนี้คือการขนของบางอย่างไปยังคุก Black Iron แต่เขากลับถูกโจมตีโดยกลุ่มต่อต้านที่นำโดย Dani Nakamura (รับบทโดย Karen Fukuhara) ยานของเขาจึงโหม่งไปยังพื้นผิวของดาวเคราะห์ที่เป็นที่ตั้งของคุก Black Iron เพื่อนสนิทของเขาเสียชีวิต แต่แทนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือ เขากลับถูกจับตัวไปในฐานะนักโทษ เรื่องราวบานปลายมากยิ่งขึ้น เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคุก Black Iron เกิดความโกลาหล เมื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาออกอาละวาดไล่ฆ่าคนในคุก แถมระบบความปลอดภัยในคุกยังถูกเปิดใช้งาน จนพวกจักรกลต่าง ๆ ไม่ได้แยกแยะ และไล่ล่าสังหารนักโทษที่คิดจะหลบหนี งานนี้ Jacob Lee จึงต้องหาทางเอาตัวรอด หาความจริงว่าทำไมเขาถึงโดนจับ และหนีตายจากจักรกลสังหาร และสิ่งมีชีวิตปริศนา และหาต้นตอของมันให้เจอเมื่อผู้เล่นได้เล่นไปเรื่อย ๆ เราจะรับรู้เรื่องราวผ่านสถานที่ ไฟล์เอกสาร และเตุการณ์ต่าง ๆ การบริหารคุก Black Iron ที่ทำให้นักโทษไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ถูกนำเสนอแบบเป็นเส้นตรงที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากต้นฉบับที่เป็น Dead Space มากนัก แต่ด้วยความที่มันเป็นเส้นตรงนี่แหละ ทางทีมพัฒนาเลยสามารถที่จะนำเอาความคิด ความสามารถไปทุ่มให้กับการนำเสนอและเกมเพลย์แบบเต็ม ๆ แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี มันดี เพียงแต่มันไม่ได้ว้าว หรือเซอร์ไพรส์ หรือเข้มข้นจนเรารู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม เพราะมันก็เป็นพล็อตแบบธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เราเห็นกันมานักต่อนักแล้ว กับการหนีตายเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตปริศนา แค่คราวนี้มันดู Sci-Fi ล้ำโลกอย่างคุกกลางอวกาศ แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องเกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือการที่ตัวเกมได้สองนักแสดงมากฝีมืออย่าง Josh Duhamel และ Karen Fukuhara มารับบทนำ และ Motion Capture + พากย์เสียงตัวละครด้วย ทำให้แม้เนื้อเรื่องจะดูธรรมดา แต่พลังดารา ทำใ้ห้เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตาม รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้กราฟิกเข้าใกล้ความสมจริงมากยิ่งขึ้น บอกเลยว่า ตลอดเกมการเล่นนี้ เหมือนนั่งดูภาพยนตร์ดี ๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่บอกว่าเนื้อเรื่องและบทของเกมนั้น มันไม่ได้แปลกใหม่อะไรมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป รับรองว่าเล่นจบแล้วยังไงก็เต็มอิ่มแน่นอน แต่จะมีข้อเสียตรงที่ ตอนจบของเกมนั้น ชัดเจนเลยว่ายังไม่จบ มีไปต่อกันที่ DLC แน่นอนยกระดับกราฟิกและโมเดลตัวละครที่เข้าใกล้ความสมจริงไปอีกขั้นสิ่งแรกที่ผู้เขียนประทับใจจริง ๆ นับตั้งแต่การเข้าเกมครั้งแรกเลยคือเรื่องของกราฟิกที่สวยงามมาก จุดเด่นไม่ใช่การนำเสนอฉาก และสถานที่ที่สวยงาม แต่สิ่งที่โดดเด่นมากเลยคือเรื่องของโมเดลตัวละคร ทั้งตัวละครเอก ตัวละครต่าง ๆ และพวกศัตรูที่มาในรูปแบบสมจริง ราวกับจับต้องได้ และเป็นภาพยนตร์มากกว่าเกมซะอีก นับตั้งแต่ฉากแรก ๆ ไปจนถึงจบเกม ผู้เขียนรู้สึกว่าโมเดลตัวละครนั้น ถูกออกแบบมาได้ดี และมีชีวิตชีวามาก มันดูเหมือนเป็นคนจริง ๆ ที่มาให้เราควบคุมเป็นวิดีโอเกม แม้จะยังไม่ใช่ Unreal Engine 5 แต่นี่เหมือนเป็นการรีดเอาประสิทธิภาพสูงสุดของ Unreal Engine 4 มาใช้แล้วรูปแบบเกมของ The Callisto Protocol นั้น อย่างที่บอกว่ามันเป็นเกมเส้นตรง และที่สำคัญคือเกมเน้นความ Immersive ทั้งบรรยากาศและตัวผู้เล่นเอง ตลอดเวลาการเล่นและการเอาตัวรอดในคุก Black Iron นั้น เวลาที่ผู้เล่นเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เรามักจะเจอทางแยก หรือเส้นทางให้สำรวจเพิ่ม เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเส้นทางไหน เป็นเส้นทางหลักที่เราไปต่อได้ หรือเป็นเส้นทางแยกที่เราสามารถไปสำรวจเพื่อหาของ หาไอเทมได้ ผู้เล่นต้องอาศัยการคาดเดา การอ่านป้ายบอกทาง หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจดจำไว้ว่า เราจะต้องไปทางไหน โชคดีที่บางจุดเรายังย้อนกลับมาได้ ถ้ามันเป็นการเดินทางตรงสู่เนื้อเรื่อง แต่บางจุดก็ย้อนไม่ได้ ก็ต้องระวังให้ดี ก่อนจะเดินหน้าต่อ เพราะเราอาจจะเสียโอกาสในการเก็บไอเทมต่าง ๆ ไปในส่วนของ UX/UI Interface นั้น ต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณของ Dead Space หนึ่งในคำชมที่ Dead Space ได้รับ คือการออกแบบ HUD / UX/UI ที่โดดเด่นมาก การมีพลังชีวิตเป็นเส้นตรงแกนกระดูกสันหลัง จำนวนกระสุนอาวุธที่เป็นเหมือนหน้าจอ LCD และช่องเก็บของ ถูกนำมาต่อยอดในเกมนี้จนเหมือนกับว่ามันโคลนนิ่งกันมาอย่างไรอย่างนั้น โดยใน The Callisto Protocol นี้ พลังชีวิตจะถูกระบุไว้ที่เครื่องที่ติดอยู่ตรงหลังคอ และมีจำนวนพลังงานแบตเตอรี่บอก ส่วนอาวุธปืนจะบอกจำนวนกระสุนแทน หน้าจอช่องเก็บของก็จะเป็นเหมือนจอ LCD ลอยขึ้นมา เรียกได้ว่าหน้าตาตัวเกมนั้น เหมือนหยิบเอา Dead Space มาต่อยอดแบบไม่มีผิด และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เราน่าจะได้เห็นกันตั้งแต่ตัวอย่างเปิดตัว และข่าวสารที่ออกมาแล้ว กับความรุนแรงชนิดจัดเต็มของเกมนี้ ถึงขั้นที่ว่าญี่ปุ่นไม่อนุมัติให้ขายกันเลยทีเดียว ในเกมนี้จะมาพร้อมกับความรุนแรงแบบเต็มข้อ เลือดสาด ตัวขาด 18+ ขึ้นกันแน่นอน สำหรับเราในการจัดการศัตรูนั้น อาจจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะมันคือสัตว์ประหลาด ยิ่งฆ่าโหดยิ่งสะใจ แต่หากเราพลาดท่าตายซะเอง นี่แหละความบันเทิง เกมนี้มีฉากตายหลากหลายรูปแบบให้เราได้เพลิดเพลินกับความตายของ Jacob Lee ถ้านับรวมทั้งการตายจากฉากด้วยแล้วก็น่าจะเกินกว่า 20 แบบขึ้นไป เอาแค่ศัตรู 1 ตัวก็สามารถฆ่าเราได้ 2-3 แบบแล้ว แถมแต่ละแบบนี่ โหด ๆ ทั้งนั้น ฉีกปากจนหน้าขาด หน้าแหว่ง ฉีกแขนจนขาด บีบหัวเราจนแตก จกลูกตา เอาว่าใครขวัญอ่อน ทนดูอะไรโหด ๆ ไม่ได้ เลี่ยงเกมนี้เลยจะดีกว่า แต่ใครที่ชอบความรุนแรง ชอบการเห็นตัวละครเอกตายอย่างทรมาน เกมนี้ถือว่าไปสุดทางมาก นี่ยังไม่รวมพวกการตายจากฉากต่าง ๆ ด้วย เห็นแล้วก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมญี่ปุ่นจึงตัดสินใจไม่อนุมัติขายเกมนี้ในประเทศตัวเองสำหรับความยาวของเกมนั้น เกมนี้เป็นเกมแบบเส้นตรงเพียว ๆ พื้นที่ให้สำรวจก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ผู้เล่นจะสามารถจบเกมนี้ได้ด้วยเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่ตอนนี้คอนเทนต์หลังจากจบ Endgame แล้วยังมีไม่มากนัก เพราะโหมด New Game+ จะมาถึงในช่วงปีหน้า พร้อมกับเนื้อหาเสริมจาก Expansion ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าด้วย แต่ในตอนนี้ เอาแค่แคมเปญหลักของเกมก็คิดว่าคุ้มราคาแล้ว ข้อเสียเดียวของมันคือ ดันจบไม่สนิท จบไม่จริงนี่ล่ะการต่อสู้ระยะประชิดที่ดุดัน ไม่เกรงใจใคร !หาก Dead Space เป็นทำระบบการยิงตัดอวัยวะของศัตรูออกมาได้ดีมาก เกมนี้ก็เป็นเหมือนกับอีกความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากให้มันออกมาเป็นขั้วตรงข้ามของ Dead Space ด้วยการเน้นและผลักดันการโจมตีระยะประชิดแทน จริงอยู่ว่าอาวุธปืนของเกมนี้มีให้ใช้งานตามปกติ แต่ความสะใจ ความดุดันจะไม่เท่ากับการใช้การโจมตีระยะประชิด เพราะมันออกแบบมาได้ลื่นไหล และมีฟิสิกส์ที่ดุดัน สะใจมาก การฟาดโจมตีศัตรูแต่ละครั้งเราจะสัมผัสได้เลยว่ามันรุนแรงจริง ๆ นอกเหนือไปจากการโจมตีระยะประชิด หลายสิ่งหลายอย่าง เหมือนกับทีมพัฒนาไม่อาจจะมูฟออนไปจาก Dead Space ได้ เพราะเราจะเห็นอะไรที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน ถูกใส่เข้ามาแทนที่ตลอด อย่างระบบการกระทืบซ้ำก็ยังคงใส่เข้ามา การใช้พลัง GRP ที่เหมือนกับพลัง Slow ของ Dead Space หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเราหยิบเกมนี้ไปเทียบกับ Dead Space เยอะเกินไปหรือไม่ แต่มันไม่อาจลีกเลี่ยงความจริงที่ว่า ตลอดเกมการเล่นของ The Callisto Protocol นั้น มันมีเงาของ Dead Space อยู่มากมายเหลือเกินสำหรับอาวุธหลัก ๆ ของเราจะอยู่ที่กระบองไฟฟ้าและปืน รวมไปถึง GRP ทั้งหมดนี้ผู้เล่นสามารถอัปเกรดได้ที่โต๊ะอัปเกรด โดยจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นดาเมจ คอมโบ จำนวนกระสุน เมื่อมีการอัปเกรดเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เราต้องออกสำรวจ เพื่อหาเงิน เงินในเกมนี้ก็จะได้มาทั้งจากการได้เป็น Callisto Credit โดยตรง หรืออีกวิธีคือได้มาในรูปแบบของไอเทมที่เอาไว้ขายโดยเฉพาะ ให้เรานำไอเทมนั้นมาขายหาเงินโดยตรงได้เลยเรื่องของระบบการต่อสู้ อย่างที่บอกไปว่าเรามีไอเทมเป็นกระบองไฟฟ้าและปืน แต่ลูกเล่นของการต่อสู้ก็จะมีทั้งการกดหลบหลีก ซึ่งก็ใส่กลยุทธ์เข้ามานิดหน่อย คือถ้าหากเราจะกดหลบหลีกนั้น หากหลบทางเดียวกันซ้ำเกินสองรอบจะไม่สามารถหลบหลีกได้ กระตุ้นให้ผู้เล่นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรือการกดถอยหลังขณะที่ศัตรูฟาดโจมตีเข้ามา ก็จะเป็นการบล็อกที่ช่วยลดดาเมจลงไปได้  แต่สิ่งที่เราอยากบอกผู้เล่นทุกคนว่า หากคุณไม่ใช่เกมเมอร์ที่ชื่นชอบความตึง การเล่นเกมนี้ด้วยโหมดง่ายนั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย มันอาจจะทำให้เกมสนุกมากขึ้น การปรับโหมดยาก-ง่าย ของเกมนี้ อาจจะไม่ได้แสดงผลออกมาผ่านความอึดของศัตรู แต่ตัวละครของเรานี่แหละที่จะอึดขึ้นมาก ๆ ชนิดที่ว่าโดนรุมตบ 3-4 ที เลือดยังเขียวอยู่ก็มี ทำให้ความยากของเกมนี้ ถ้าปรับง่ายสุด เชื่อว่าทุกคนเล่นได้ และสนุกด้วย แต่ใครที่เก้งแล้ว เชี่ยวชาญแล้ว อยากลองของ โหมดยากก็พร้อมจะเสิร์ฟความเข้มข้นฉบับถึงเลือดถึงเนื้อให้ผู้เล่นด้วย แน่นอนว่าความสามารถในการกดคอมโบ ผสมผสานอาวุธและการใช้งาน GRP นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเอง และถ้าใครที่เป็นคนจิตแข็ง และไม่กลัวอะไรเลย เราก็สามารถเล่นแบบลุย ๆ ก็ได้ เพียงแต่การออกแบบเกมของทีมพัฒนานี้เขาไม่ได้ออกแบบมาให้เราบู๊แหลกอะไรขนาดนั้น ยิ่งเล่นโหมดยาก ไอเทมที่ได้ จำนวนกระสุน ความอึดศัตรู ความอึดเรา จะเป็นตัวแปรในการต่อสู้มากกว่า แต่ในเรื่องของบรรยากาศความน่ากลัวนั้นก็ถือว่าทำได้ดี จังหวะ Jump Scare จังหวะที่ศัตรูโผล่หน้าออกมา ทำให้เราสะดุ้งได้อยู่หลายครั้ง รวมไปถึงฉากและความมืดบางส่วนของเกม และความเลือดสาด ทำให้เกมนี้ ถ่ายทอดความดุเดือดออกมาได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว บรรยากาศ ภาพรวมและความกดดันของมัน กลับไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า Dead Space เหมือนที่เราได้คาดหวังกันเอาไว้ ซึ่งคนจะมองแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะหลาย ๆ อย่าง เหมือนมันไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการหยิบเอาของเก่าที่มีอยู่แล้วมาต่อยอด เลยทำให้เรารู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เกมใหม่ซะทีเดียวภาพรวมของ The Callisto Protocol จึงดูเหมือเป็นเกมที่ตั้งใจทำ แต่ดันทำออกมาไม่สุดซะอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้ามูฟออนจากผลงานเก่าของตัวเอง หรือเพราะอยากคารวะผลงานเดิม ๆ เอาไว้ เลยทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เกมที่แย่ แต่อาจบอกได้ว่า เราคาดหวังกับมันมากจนเกินไป ซึ่งพอมันออกมาธรรมดา จะผิดหวังบ้างก็ไม่แปลกอะไรนัก แต่สำหรับตัวผู้เขียนแล้วก็ถือว่าสนุกดี แต่ใจก็คาดหวังไปที่ Dead Space Remake แทนแล้วในตอนนี้ปัญหา Performance ที่ยังไม่หายสนิทในตอนนี้และสำหรับใครที่ติดตามข่าวสารของเกมนี้มาอย่างใกล้ชิด จะรู้ดีว่า The Callisto Protocol นั้น เปิดตัวได้ไม่สวยเอาซะเลย เพราะปัญหา Performance ปัญหาหลัก ๆ ของมันคือการที่เกมเกิดอาการกระตุกอย่างหนักในการเข้าไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามุกตลกชาวเกมอย่างการโหลดผียังคงใช้ได้กับเกมนี้ เพราะแทนที่มันจะกระตุกเฉย ๆ แต่มันกลับเป็นสัญญาณบอกว่ามีศัตรูรออยู่ข้างหน้าจริง ๆ ทำให้จังหวะที่ควรจะน่ากลัวก็ไม่น่ากลัวซะอย่างนั้นโชคดีที่แม้ว่าปัญหาอาการกระตุกตอนไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ จะมีแพทช์แก้ในวันเดียว แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่ขาดจริง ๆ เลยคืออาการเฟรมเรทดรอปตอนต่อสู้ อย่างที่เราบอกไปว่าเกมนี้ใช้การต่อสู้ระยะประชิดสูงมาก หากมีเฟรมเรทดรอป จะทำให้ส่งผลกระทบต่อเกมการเล่น อย่างน้อยที่สุดคือเสียอรรถรส ซึ่งอาจจะเพราะ Particle Effect หรืออะไรก็ตาม ทำให้เกมนี้ เกิดอาการเฟรมเรทดรอปตอนสู้อยู่เป็นประจำ อย่างน้อยแพทช์แก้ก็ทำให้ตัวเกมเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ใครที่มีปัญหาส่วนนี้ก็คงต้องรอการแก้ไขกันต่อไปThe Callisto Protocol อาจเป็นความพยายามในการก้าวออกจากเงาของผลงานตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนมันยังคงยึดติดอยู่กับผลงานเดิมของ Glen Schofield น่าเสียดายที่มันยังไม่สามารถทำให้เราจดจำมันได้ในแบบเดียวกันกับ Dead Space แต่มันก็ไม่ใช่เกมที่แย่ แค่มันธรรมดาจนเกินไป
10 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Warhammer 40,000: Darktide ความมันส์ระดับ 10/10 แม้องค์ประกอบอื่นจะยังดิบไปหน่อยก็ตาม...
แม้จะไม่ได้โด่งดังแพร่หลายเท่าแฟรนไชส์ไซไฟชื่อก้องโลกหลาย ๆ แฟรนไชส์ แต่จักรวาลหรือแฟรนไชส์ Warhammer ทั้ง Fantasy และ 40,000 ก็นับเป็นแฟรนไชส์สุดอมตะที่อยู่คู่กับสังคมเกมเมอร์มาช้านาน และมีเกมออกมาให้ได้เล่นกันหลายภาคหลายแนวตลอดระยะเวลานับทศวรรษที่ผ่านมา โดยหนึ่งในผลงานเด่นที่หลายคนอาจจะรู้จักจากจักรวาลนี้ก็คือเกมแอคชัน FPS สุดระห่ำอย่าง Warhammer: Vermintide ของผู้พัฒนา Fatshark นั่นเอง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้พัฒนา Fatshark ก็ได้กลับมาอีกครั้ง โดยคราวนี้พวกเขาเลือกที่จะแฟรนไชส์ Warhammer อีกครั้งในรูปแบบของ Warhammer 40,000: Darktide เกม FPS Co-op สาดกระสุนสุดมันส์ ที่เพิ่งจะเปิดให้เล่นผ่าน PC (Steam และ Xbox Game Pass) ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผลงานใหม่นี้จะมาทำให้ซีรีส์นี้พัฒนาขึ้นไปในแนวทางไหน วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกันกับ Warhammer 40,000: Darktideเนื้อเรื่องของตัวละครที่ต่างที่มาที่ไป และเรากำหนดเองได้Warhammer 40,000: Darktide จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของกลุ่ม Inquistorial Agents ที่คอยสืบสวนและป้องกันการแทรกซึมของกองกำลัง Chaos ที่อาจสร้างหายนะให้กับดาว Atoma Prime แถมยังมีพวก Undead จำนวนมากบุกโจมตีดวงดาวอีกด้วย สำหรับใครที่มาเล่นเกมนี้แล้วรู้สึกว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ซีรีส์ต้นฉบับของ Warhammer 40,000 จริง ๆ แล้วคือบอร์ดเกมยอดนิยม และถูกนำมาดัดแปลงเป็นวิดีโอเกมออกมาเรื่อย ๆ ส่วนซีรีส์ 40,000 นี้ ส่วนมากจะถูกดัดแปลงออกมาเป็นเกมยิงมากกว่า อย่างเช่น Necromunda Hired Gun, Space Hulk เป็นต้นเรื่องราวของตัวละครที่เราจะสร้าง จะมีที่มาที่ไปต่างกัน ที่เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครแล้วว่าอยากให้ตัวละครของเราเกิดมามีปูมหลังยังไง และเป็นคนประเภทไหน ก่อนที่จะเริ่มเนื้อเรื่องหลักของเกมตามเหตุการณ์ที่เราเกริ่นไว้ข้างบนเกี่ยวกับดาว Atoma Prime เพียงแต่ด้วยรูปแบบการเล่นแบบ FPS Co-op แบบนี้ ทำให้มันเป็นข้อเสียในแง่ของการเล่าเรื่อง เพราะมันไม่สามารถเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรงแบบเกมอื่น ๆ ได้ ผู้เล่นอาจจะต้องปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง ซึ่งจากเดิมที่ใครงงเกี่ยวกับจักรวาล Warhammer อยู่แล้ว เจอการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบนี้เข้าไป อาจจะงงหนักกว่าเดิมก็เป็นได้เอาเป็นว่าในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ไม่ใช่ปัญหา แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวและโลกของ Warhammer หรือ Warhammer 40,000 ดีสักเท่าไร แต่เราก็สามารถที่จะสนุกไปกับตัวเกมได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้อินในส่วนของเนื้อเรื่องนัก แต่ที่บอกว่าไม่ใ่ชปัญหา เพราะเกมเพลย์และ Progression ของเกมนี้ก็ถือว่าสนุก เข้มข้นไม่แพ้เกม FPS Co-op เกมอื่น ๆ เลยด้วยอีกหนึ่งรสชาติความสนุกของเกมแนว FPS Co-op ภายใต้ฉากหลังของโลก Warhammerความโดดเด่นของ Darktide ที่แตกต่างไปจากเกมอื่น ๆ คือการหยิบยืมเอาฉากหลังและโลกภายในจักรวาลของ Warhammer 40,000 มานำเสนอ ในภาคนี้แม้จะมีกลิ่นอายแบบ Sci-Fi ผสมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ Sci-Fi ล้ำอนาคต แต่เป็นเหมือนกับยุค Dystopian มากกว่า ใครทไม่ค่อยชอบความมืด ความอึมครึม และบรรยากาศที่น่าอึดอัด อาจจะไม่ถูกจริตกับเกมนี้ เพราะหาสถานที่สว่าง ๆ สดใสแทบจะไม่ได้เลย หลากหลายฉากภายในเกมจะเป็นพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิดโล่งเพียงเล็กน้อย เอื้อต่อการทำภารกิจบางอย่างกับเราเพียงเท่านั้น การนำเสนอและโหมดการเล่นของเกมนี้จะคล้าย ๆ กับเกม FPS Co-op ทั่วไป คือเราจะหาห้องที่ผู้เล่นอื่นสร้างไว้ หรือเราจะสร้างขึ้นมาเองแล้วรอคนอื่นมา Join ก็ได้ ถ้าระหว่างนั้นไม่มีคนมา Join เล่นด้วย ก็จะเป็น Bot หรือ A.I. มาควบคุมแทน หรือถ้าใครหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมทีมไม่เป็นงาน จะล็อกเป็น Private Game ลุยไปกับบอทเฉย ๆ เลยก็ทำได้ บอทเกมนี้ถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ แล้วก็ถือว่ามีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์หนัก ๆ ก็อาจจะยังไม่ได้เรื่องได้ราวนัก แต่ถ้าเอาไว้เล่นฟาร์ม เก็บเลเวล หรือลุยเนื้อเรื่องคนเดียวก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่ดีกราฟิก อาจจะเป็นจุดที่หลายคนต้องมานั่งถกเถียงกันว่า สรุปแล้วมันสวยหรือไม่สวยกันแน่ ในช่วงของเกมเพลย์การเล่นนั้น ไม่มีปัญหา ตัวเกมแสดงให้เห็นว่าภาพของเกมยุคปัจจุบันนี้จะออกมาเป็นยังไง สวยงามสมยุคสมัยแน่นอน แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกแปลก ๆ คือเรื่องของฉากคัทซีต ที่มันมีการแสดงผล และมีความแปลกในส่วนของงานภาพ ที่ดูจะมีเส้นสีขาว ๆ เป็นเฉดหนาอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทีแรกก็นึกว่าบั๊กกราฟิก แต่ที่ไหนได้ มันเป็นแบบนี้ทั้งเกม และดูจากของผู้เล่นอื่น ก็เป็นเหมือนกัน สำหรับส่วนนี้เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล แต่สำหรับผู้เขียน รู้สึกว่ามันแปลกตาไปบ้างคอนเทนต์และเกมการเล่นตอนนี้ส่วนมากจะเป็นการตะลุยไปตามด่าน ทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นรับของรางวัล และอัปเกรดเลเวลตัวละครให้สูงขึ้น เพื่อปลดล็อคประสิทธิภาพและสกิลใหม่ ๆ ทำให้เกมการเล่นสะดวกขึ้น และกลับไปลุยด่านเดิม ๆ ซ้ำเพื่ออัปเกรดเป็นลูปวนไป ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้อยู่แล้ว ใครที่ชอบก็จะชอบไปเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบ เบื่อง่าย หรือไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ก็อาจจะไม่ชอบไปเลยเช่นกัน ซึ่งปกติแล้วเกมแนวนี้ หากเก็บ Progression ได้ตามที่ต้องการแล้ว ถ้าคอนเทนต์ช่วง Endgame ไม่น่าสนใจ หรือไม่น่าดึงดูดพอก็อาจจะรั้งผู้เล่นไว้ได้ยากสักหน่อย แต่สำหรับทีม Fatshark ผู้ดูแล Vermintide 2 มาอย่างยาวนานกว่า 4 ปีเต็ม ก็เชื่อมือได้เลยว่าพวกเขาน่าจะทำแบบเดียวกันกับ Darktide นี้ด้วยดุเดือด นัว ระทึก มันส์ทั้งยิง และสู้ประชิดสำหรับเกมเพลย์ของ Darktide ต้องบอกว่า ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้มันรู้สึกน่าเล่น ตื่นเต้น น่าเข้าไปลองเหมือนเกมอื่น ๆ เพราะหากคุณเป็นผู้เล่นเกม FPS Co-op มาแต่ไหนแต่ไร ผ่านเกมเด็ด ๆ มามากอย่าง Left 4 Dead, World War Z หรือแม้แต่ Back 4 Blood คุณก็น่าจะเข้าใจกฎกติการ และเกมการเล่นของเกมแนวนี้ดีอยู๋แล้ว หลัก ๆ คือจะเป็นการ Co-op ร่วมมือกันเอาตัวรอด ฝ่าด่านฝูงศัตรูที่เป็นพวก Undead และพวก Specialist สุดโหด ทำภารกิจและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ได้ เพื่อจบภารกิจและรับรางวัลสูงสุดสิ่งที่ต้องเรียนรู้กันก่อนคือเรื่องของคลาสตัวละครที่มีให้เลือกต่างกันถึง 4 คลาส และแต่ละคลาสก็จะเชี่ยวชาญความสามารถ และมีสกิลที่แตกต่างกันออกไป คลาสทั้งหมดแบ่งเป็น Psyker ที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้กับศัตรูประเภท Elite หรือ Specialist - Veteran ที่เชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล - Zealot เชี่ยวชาญการโจมตีประชิดและฟื้นฟูพลังชีวิต + สู้กับศัตรูประเภทเกราะได้ดี - Ogryn เชี่ยวชาญการต่อสู้ตะลุมบอน และเหมาะกับการรับมือ Horde หรือฝูงศัตรูจะเห็นได้ว่าทั้ง 4 คลาสเชี่ยวชาญการต่อสู้ในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ที่จริงแล้วทุกสถานการณ์ที่แต่ละคลาสเชี่ยวชาญนั้น มักจะเจอแบบทุกอย่างในเกมการเล่นรอบเดียว หรือหนักกว่านั้นคือ ทั้ง 4 สถานการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ความโกลาหล และความวุ่นวายนี้ เป็นบรรยากาศเดียวกันกับเกม FPS Co-op รุ่นพี่เกมอื่น ๆ แต่ก็ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้ามา ยกตัวอย่างเช่นในบางเงื่อนไข จะต้องใช้เครื่องมือกดตัวอักษรให้ถูก ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดัน ทั้งฝูงศัตรู ทั้งเพื่อนร่วมทีมที่อาจจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว บางอย่างของเกมนี้ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเองแบบนี้ความช่วยเหลือต่าง ๆ จะถูกวางไว้ระหว่างทางการเล่นของเกม และเกมนี้หากคุณเล่นคลาสที่ไม่ใช้อาวุธปืน มันจะกินกระสุนเยอะมาก เยอะเกินความจำเป็น อย่างเช่นตัวผู้เขียนที่เลือกเล่นคลาส Zealot ที่เน้นการโจมตีระยะประชิด อาวุธรองก็จะเป็นปืนกลเบา ที่มีความสามารถในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่า Veteran หากเจอศัตรูระดับ Elite การเข้าถึงตัวพวกมันก็จะเป็นเรื่องยาก ทำให้ Veteran โดดเด่นขึ้นมา หรือเมื่อเจอฝูง Horde ที่มากันแบบมืดฟ้ามัวดิน จึงเป็นหน่าที่ของ Ogryn ที่สามารถจัดการเวฟศัตรูได้รวดเร็ว Zealot เองอาจจะมีบทบาทในการล่อศัตรูเพราะพลังชีวิตเยอะ และเคลียร์ศัตรูได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นสูตรสำเร็จของเกม FPS Co-op ที่แต่ละตัวละครจะมีความสามารถที่ชัดเจน แต่อุปสรรคเองก็พร้อมจะสู้เรากลับเช่นกันระบบการบาดเจ็บของเกมนี้จะทำงานคล้าย ๆ กับ Back 4 Blood ตัวละครของผู้เล่นจะมีค่าพลังสองอย่าง อย่างแรกคือค่าเกราะ เมื่อเราถูกโจมตี ดาเมจจะไปลดตรงค่าเกราะก่อนเป็นอย่างแรก และค่าเกราะ หากไม่ถูกโจมตีสักระยะหนึ่ง มันจะรีเจ็นฟื้นขึ้นมาเองได้ จะมีความสามารถพิเศษของ Zealot ที่เวลาใช้การโจมตีประชิดสังหารศัตรูได้ จะช่วยฟื้นค่าเกราะให้ด้วย และหากเกราะหมด ความเสียหายก็จะไปหักลบพลังชีวิตแทน แต่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการโจมตีแบบพิเศษ จำพวกสารพิษ หรือการโจมตีหนักจากศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่จะไปลดพลังชีวิตสูงสุดของเราโดยตรง และถ้าพลังชีวิตสูงสุดของเราลดลงก็จะเป็นปัญหาทันที เพราะเราจะรับดาเมจได้น้อยลง วิธีเดียวที่จะฟื้นฟูพลังชีวิตสูงสุดของเราให้กลับคืนมาเต็มเหมือนเดิมได้ก็คือหาตู้ฟื้นพลังชีวิตที่อยู่ตามฉาก ซึ่งก็จะมีน้อยมาก และใน 1 ตู้จะใช้ได้ 4 ครั้ง เทียบเท่ากับจำนวนสมาชิกสูงสุดของทีม คล้าย ๆ Medical Cabinet ใน Back 4 Bloodในด้านความหลากหลายของศัตรู ก็ถือว่าเป็นการเอาของเก่าจากเกมอื่น ๆ มาต่อยอด ไม่ว่าจะเป็น Poxbuster ที่เหมือน Boomer ในเกมอื่น ๆ Pox Hound ที่จะทำให้เราล้มลงและตอบโต้อะไรไม่ได้ ต้องให้เพื่อนช่วยเท่านั้น ซึ่งตัวประเภท Pox Hound นั้น ยังมีอีกมากมาย เช่นศัตรูที่ใช้ตาข่ายไฟฟ้ารัดเราไว้ ต้องรอเพื่อนมาช่วยอย่างเดียว กล่าวคือเกมนี้ หัวใจสำคัญยังคงเป็นความพยายามในการผ่านด่านแบบร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดแน่ ๆ แม้จะดูว่ามันมักง่ายไปหน่อยที่เอาของจากเกมอื่นมาใส่เป็นของตัวเอง แต่ก็ถือว่ายังเป็นมาตรฐานเกมที่เล่นสนุกได้อยู่ดีเมื่อเล่นจบในแต่ละรอบ เราจะได้รับ EXP ที่เอามาอัปเลเวล การอัปเลเวลจะทำให้เราปลดล็อคสกิลและความสามารถต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และสุ่มได้รับอาวุธอุปกรณ์ใหม่ ๆ มา เราสามารถเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ในตัวได้ว่าชิ้นไหนดีกว่า แม้บางชิ้นจะมีค่าพลังที่สูงกว่า แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ดังนั้นก่อนเปลี่ยนอุปกรณ์ต้องศึกษาดูให้ดี อย่ามองแค่ว่าตัวเลขพลังเยอะแล้วจะดีกว่า นอกจากนั้นเมื่อเลเวลเราสูงขึ้น จะปลดล็อคระบบต่าง ๆ ภายใน HUB หรือศูนย์กลางของผู้เล่น ที่จะมีการนำเอาอาวุธเก่าไปแลกเปลี่ยนเป็นของใหม่ หรือใช้เงินซื้อของดี ๆ มาใช้โดยตรงได้เลยด้วยข้อเสียของเกมนี้ที่ผู้เขียนสัมผัสได้คือ การใช้เวลาในการเคลียร์ฉากแต่ละฉากของเกมนี้จะนานกว่าเกมอื่น ๆ มาก อย่างต่ำเลยก็ 20 นาที ถ้ารอบไหนตึงมือ หรือเจอคนเล่นไม่เป็นงานก็อาจจะอยู่ที่ 30 นาทีขึ้นไปด้วยซ้ำ ยังไม่รวมมหากาพย์ระหว่างทาง ที่อาจจะเจอวิบากกรรมในการเล่นตลอดเวลา แต่อย่างน้อย หากมีผู้เล่นหลุดระหว่างเกมการเล่น เราสามารถที่จะ Reconnect กลับเข้ามาในเกมได้ตลอดเวลา แต่กับเกมแนว FPS Co-op ด้วยกันแล้ว เกมนี้ถือว่าใช้เวลาในการเล่นนานกว่ามากการ์ดจออาจไม่ต้องสุด แต่ CPU คุณต้องแรงพอส่งท้ายกันด้วยเรื่องประสิทธิภาพของตัวเกมกันหน่อย เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เตือน ส่วนของการ์ดจอนั้น แม้ตัวเกมจะต้องการสูงถึง RTX 2060 แต่การ์ดต่ำกว่านั้นก็สามารถเล่นได้ แถมไม่ได้กินแรงการ์ดจอมากขนาดนั้นด้วย แต่ที่มันกินหนักจริง ๆ คือ CPU อาจจะเพราะจำนวนพวก Undead ที่ปรากฎตัวออกมาอย่างล้นหลามในฉากเดียว รวมไปถึงการต่อสู้กับบอสและฉากใหญ่ ๆ นั้น มีค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ฉากในเกมส่วนมากเป็นฉากปิด ไม่ใช่ Open World มันจึงไม่ได้กินแรงการ์ดจอเยอะ แต่กิน CPU มากเป็นพิเศษ ดังนั้นใครคิดจะเล่นเกมนี้ก็อยากให้เช็ค CPU มาเป็นอันดับแรก ส่วนการ์ดจอกลาง ๆ ยังไงก็ไหวแน่ ๆ และเป็นธรรมเนียมของเกมยุคสมัยใหม่ไปแล้ว ที่มักจะเกิดปัญหาตอนเกมเปิดตัวเสมอ Darktide นั้น เปิดให้เล่นกันมา 1 สัปดาห์ก่อนวันวางจำหน่ายจริง แต่ตัวเกมกลับมีปัญหาในด้าน Performance ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการเฟรมเรทดรอป หรือกระตุก และบั๊กการแสดงผลกราฟิกต่าง ๆ แม้จะไมไ่ด้เละมากจนเล่นไม่ได้ แต่ก็โดนแฟนเกมวิจารณ์กันพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับปัญหานี้สรุปว่า Warhammer 40,000: Darktide อาจไม่ใช่แนวเกมที่สดใหม่จนห้ามพลาด แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมแนว FPS Co-op ชอบบรรยากาศ กลิ่นอาย Dystopian ชอบบู๊แหลกไปกับคนอื่น ๆ มันก็ยังเป็นอีกเกมที่ถือว่าสนุก แต่อาจจะไม่น่าจดจำเท่าไรนัก และสำหรับสมาชิก Xbox Game Pass สามารถโหลดมาเล่นกันได้เลยด้วย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ
07 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Need for Speed Unbound ซีรีส์เกมซิ่งสุดเก๋า กับการยกเครื่องกราฟิกแนวการ์ตูนที่ไม่เหมือนใคร
ห่างหายไปนานถึง 3 ปีเต็ม สำหรับซีรีส์ Need for Speed เพราะถูกดึงทรัพยากรไปช่วยทำเกม Battlefield 2042 (ที่อาการสาหัสอยู่ในตอนนี้) และการกลับมาในรอบ 3 ปีที่มาพร้อมลุคใหม่ แนวทางใหม่ จะเป็นยังไง มาดูกันได้ในรีวิว Need for Speed Unboundเนื้อเรื่องที่สนใจก็ได้ ไม่สนใจก็ได้ ตามสูตรเดิมLakeshore เมืองสมมุติที่อ้างอิงและจำลองมาเมืองชิคาโกของสหรัฐอเมริกา กลายเป็นฉากหลังของเหล่านักซิ่งและกลายเป็นสนามประลองของเหล่าตีนผีที่พร้อมจะปั่นป่วนถนนให้ลุกเป็นไฟทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในนักซิ่งโนเนมที่มีเป้าหมายในการไต่เต้าขึ้นเป็นยอดนักขับที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยในเวลาเดียวกัน การตระเวณแข่งรถ เพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดจึงเริ่มต้นขึ้น ณ เมือง Lakeshore แห่งนี้แต่เดิมนั้น Need for Speed ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากในด้านการเล่าเรื่องอยู่แล้ว ในภาคนี้เองก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคนี้ที่เราไม่ได้ออกแบบตัวละครเองได้อย่างอิสระ แต่มี Preset ตัวละครที่หลากหลายมาให้เราเลือกใช้งานแทน และอย่าแปลกใจถ้าเกิดว่าคุณลุยเล่นเกมนี้จนจบแล้ว ก็ยังจับต้นชนปลายหรือจำหน้า หรือตัวละครบางตัวไม่ได้เลย เพราะเกมนี้มีคัทซีนให้ได้ดูกันน้อยมาก ๆ ตลอดทั้งเกม รวมกันแล้วอาจจะมีอยู่เพียง 20-30 นาทีเท่านั้น และด้วยการนำเสนอกราฟิกแบบใหม่ ที่เป็นการนำเสนอกึ่งการ์ตูน กึ่งสมจริง (Official เรียกว่าการนำเสนอแบบกราฟิตี้) ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครแต่ละตัว หรือแม้กระทั่งตัวเราเองนั้น ไม่น่าจดจำเอาซะเลย ดังนั้นอย่าแปลกใจว่า ทำไมเนื้อเรื่องมันดูไม่ค่อยมีอะไร หรือธรรมดาไปเสียหน่อย เพราะหากวัดกันแค่เนื้อเรื่องแล้วล่ะก็ Need for Speed Unbound ก็อาจจะเป็นบทหรือพล็อตสำเร็จรูปที่ไม่ได้หวือหวาอะไร แม้ว่าหลายคนจะอยากให้เนื้อเรื่องของเกมนี้เข้มข้น และระทึกขึ้นมาบ้าง แต่หากเป็นแบบนั้น เราอาจจะได้เนื้อหาแบบภาค The Run แทน ซึ่งก็ไม่อาจจะการันตีใด ๆ ได้ว่ามันจะออกมาดีทำให้เนื้อเรื่อง แม้จะเป็นอีกครั้งที่ Need for Speed ทำได้ธรรมดามาก ๆ แต่ไปโดดเด่นอย่างมากในแง่ของการนำเสนอและเกมเพลย์แทนที่เรากำลังจะพูดถึงต่อจากนี้การนำเสนอที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ต่อยอดของเดิมที่มีอยู่สิ่งที่ Need for Speed โดดเด่นมาทุกภาค คือเรื่องของการนำเสนอที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมาทุกภาค แม้บางภาคจะจืดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าทุกภาคล้วนน่าสนใจ และมีจุดขายและจุดจดจำประจำภาค นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ภาคนี้ฉีกแนวไปแบบสุดทาง และเมื่อตอนเปิดตัวอาจจะทำให้ใครหลายคนถึงขั้นไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ ก็คือการนำเสนอในรูปแบบกึ่งการ์ตูนกึ่งสมจริง หรือแบบกราฟิตี้ ที่ทำให้ตัวเกมมีความเป็นการ์ตูนที่มีเส้นหนารอบ ๆ หรือ Cell Shade แต่ถึงจะเป็นการนำเสนอแบบกราฟิตี้ก็ใช่ว่าจะตัดความสมจริงไปเลย เพราะกราฟิกที่นำเสนอแบบกราฟิตี้นั้น จะถูกใช้กับส่วนของตัวละครและคาแรคเตอร์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่โมเดลรถและบรรยากาศภายในเมือง รวมไปถึงวัตถุต่าง ๆ จะยังคงเป็นแบบสมจริงอยู่ เรียกได้ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างคนชอบกราฟิกแบบสมจริงและกราฟิกแบบการ์ตูนและสิ่งที่ผู้เล่นเลือกที่จะปรับเปิด-ปิดได้ตามใจชอบ คือกราฟิกแบบกราฟิตี้ แต่ถูกแสดงออกมาผ่านการแข่งขัน เป็นเอฟเฟคท์ของรถ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโค้ง การดริฟท์ การกดไนตรัส หรือแม้กระทั่งการทะยานไปบนอากาศแล้วร่วงลงมา ก็จะมีกราฟิกแบบกราฟิตี้ต่าง ๆ แน่นอนว่าระบบนี้ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากในซีรีส์ Need For Speed แต่เราเห็นได้ชัดเจนนับตั้งแต่การเปิดตัวเลยว่า มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ซึ่งโชคดีมากที่ตัวเกมสามารถเลือกที่จะ เปิด-ปิด กราฟิกเหล่านี้ได้ และสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กราฟิกเลยก็คือเรื่องของเพลง โดยในภาคนี้ได้ A$AP Rocky มาร่วมทำเพลงให้ แถมยังเป็นตัวละครอยู่ในเกมด้วย รวมไปถึงแรปเปอร์และศิลปินชื่อดังอีกมากมาย แฟนเกมที่เป็นแฟนเพลงสายแร็พอยู่แล้ว น่าจะจุใจกับเกมนี้แน่นอน ทีนี้มาดูเรื่องบรรยากาศภายในเมืองกันบ้าง อย่างที่บอกไปว่า ภาคนี้ Lakeshore คือเมืองที่จำลองมาจากชิคาโก เรื่องของความหรูหราอลังการของบรรยากาศในเมืองภาคนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นสองรองเกมไหน ๆ และที่หลายคนบ่นอุบมาหลายภาค ว่าตัวเมืองดูไม่ค่อยจะมีชีวิตชีวาเอาซะเลย ภาคนี้ก็ถือว่าปรับปรุงมาได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สุดอยู่ดี จริงอยู่ว่า เราได้เห็นเมือง Lakeshore ที่มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เราได้เห็นผู้คนสัญจรไปมาในตัวเมืองมากขึ้น แต่มันก็ยังไม่ได้สมจริงสมจัง หรือกลายเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามากขนาดนั้น บางจุดที่ควรจะมีคนก็แห้งแล้ง ไร้ซึ่งบรรยากาศหรือสัญญาณของชีวิต ในขณะที่บางจุดดูไม่น่าจะมีคนก็มีคนขึ้นมาซะเฉย ๆ และโชคดีที่เกมนี้ไม่ได้โหดร้ายอะไรมากขนาดนั้น เพราะทุกครั้งที่รถผู้เล่นโฉบเข้าไปใกล้ หรือทำท่าจะชน ตัวละคร NPC ที่เป็นชาวเมืองเหล่านั้นก็จะกระโดดหลบได้ราวกับพระเอก นางเอกหนังบู๊ ไม่มีการชนกันจนถึงเลือดตกยางออกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่ารำคาญใจแทน คือเรื่องของอัตราการเกิดของจำนวนคน ที่บางทีก็เกิดผิดที่ผิดทาง ทำให้บรรยากาศและอารมณ์ร่วมขาดหายไปพอสมควรเลยทีเดียวไม่ใช่แค่ในส่วนของผู้คนเท่านั้น แต่เหล่ารถราในเมืองที่เป็น NPC เองก็ด้วย บางช่วงก็ดูหนาแน่น จนทำให้การขับขี่ของเราลำบาก แต่บางช่วงก็โล่งอย่างกับเมืองผีสิง หรือบางทีก็มันเกิดเยอะ ๆ ตอนเรากำลังทำภารกิจแข่งขันอยู่ บอกได้ว่าการ Spawn ของ A.I. เกมนี้ มันไม่แน่นอนเอาซะเลย ถ้าตรงนี้ถูกปรับปรุงแก้ไข หรือขัดเกลามาดีกว่านี้ การนำเสนอของภาคนี้จะเข้าขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว น่าเสียดายที่หากจะต้องรีวิวแบบตัดคะแนน ตรงนี้จะเป็นส่วนที่โดนตัดไปและด้วยบรรยากาศตัวเมืองยุคปัจจุบัน กับการเลือกใส่กราฟิกแบบลูกเล่นแบบกราฟิตี้ Need for Speed Unbound จึงกลายเป็นอีกเกมที่มีเอกลักษณ์ในด้าน Presentation สูงมาก ทีนี้ก็อยู่ที่จริตของผู้เล่น ว่าจะชอบ หรือไม่ชอบ เพราะแม้จะตั้งค่าเปิด-ปิด ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง หรือทุกส่วนอยู่ดีเกมเพลย์ที่ถูกปรับปรุงให้เล่นได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แฟนเกมขับรถก็สนุกได้ต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนอาจไม่ใช่แฟนตัวยงของ Need for Speed สักเท่าไรนัก ภาค Heat ก็ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น แต่ในภาค Unbound นี้ กลับกลายเป็นภาคที่สามารถนั่งเล่นได้ยาว ๆ แบบไม่มีเบื่อ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นผลมาจากการนำเสนอของภาคนี้ด้วยในระดับหนึ่ง (ใช่แล้ว ผมชอบกราฟิตี้) แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้สนุกขึ้น เหมือนจะเป็นการปรับปรุงระบบบางอย่างให้อยู่ตรงกลางระหว่างคนเล่นเก่าและใหม่ในภาค Heat นั้น สิ่งที่คนพูดถึงกันมากพอสมควร คือเรื่องความโหดของพวกตำรวจที่ไล่ล่าผู้เล่นชนิดกัดไม่ปล่อย กว่าจะสลัดหลุดได้ ทำเอาเหนื่อยจนอยากเลิกเล่นไปทำอย่างอื่น แต่พอมากภาคนี้ ตำรวจก็โดนเนิร์ฟลงไปมากพอสมควรเลยทีเดียว เอาแค่ช่วงแรก ขับหนีแปปเดียวก็สลัดหลุดได้ง่าย ๆ แล้ว ใครที่เกลียดตำรวจโหดภาคที่แล้ว มาภาคนี้รับรองว่าง่ายสมใจ แต่อาจจะหงุดหงิดเพราะมันง่ายเกินไปด้วยก็มีแน่ ๆเกมเพลย์ของ Need For Speed จะเป็นอะไรไปอีกได้ นอกจากการแข่งรถ และขับรถไปทั่วเมือง ในเกมนี้จะมีการแบ่งเวลาเป็นทั้งกลางวัน และกลางคืน แต่ละช่วงเวลาจะมีอีเวนท์ต่าง ๆ เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน เอาที่โดดเด่นและเด่นชัดมากคือช่วงเวลากลางคืนนั้น จะมีตำรวจออกมาเพ่นพ่านคอยไล่ล่าผู้เล่นมากกว่าปกติ ส่วนเวลากลางวันนั้นก็มีบ้าง และบรรยากาศของทั้งสองช่วงเวลาจะแตกต่างกันด้วย สำหรับการแข่งขันในภาคนี้ จะมีการวางเงินเดิมพัน และหากแพ้ก็อาจจะเสียเงินเดิมพันไปด้วย แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้น เพราะรายการไหนที่ใช้เงินเดิมพันสูง จะมีการเตือนก่อน และถ้าเงินเราไม่พอจะวางเดิมพันก็ลงแข่งไม่ได้ด้วย อย่าหวังจะกินเงินก้อนใหญ่ฟรี ๆ ในระหว่างการแข่งเอง เราก็สามารถสะสมไนตรัสเอาไว้เร่งความเร็วได้จากหลากหลายวิธี แน่นอนว่ายังคงเป็นวิธีเสี่ยงอันตรายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขับรถสวนเลน การดราฟท์หรือการจ่อท้ายรถคันอื่นไปเรื่อย ๆ หรือแม้กระทั่งการดริฟท์ต่าง ๆ และการเล่นท่ายากระหว่างการแข่งขันจะเป็นตัวช่วยเติมไนตรัสของเราทั้งสิ้น โหมดการแข่งขันต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม บางโหมดก็อาจจะต้องพึ่งสไตล์รถที่ต่างกัน เน้นดริฟท์ เน้นทางตรง เน้นการเข้าโค้ง ซึ่งผู้เล่นแต่ละคนก็อาจจะต้องเลือกรถแต่ละคันมาใช้งานเอาเองว่าคันไหนที่เหมาะกับการแข่งแต่ละรอบหากแข่งในเวลากลางวัน จบแล้วอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่หากแข่งจบในเวลากลางคืน เราอาจจะต้องซิ่งกันต่อก๊อกที่ 2 เพราะตำรวจจะเริ่มไล่ล่าเราต่อทันทีหลังการแข่งขันจบลง แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ด้านบน ตำรวจภาคนี้มันดูไม่ค่อยจะโหดสักเท่าไร เว้นแต่คุณปรับความยาก ใครที่อยากโหด อยากมัน ก็อาจจะผิดหวังนิดหน่อย และเช่นเดิมกับภาค Heat เมื่อผ่านพ้นเวลากลางคืน และกลับไปที่โรงรถได้ เกมก็จะสรุปกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำในคืนนั้น คำนวณเงินและค่าประสบการณ์ให้ ซึ่งนำไปสู่ระบบต่อไปที่สำคัญสำหรับแฟนเกมนี้ คือเรื่องของการแต่งรถบอกเลยว่าใครที่เป็นเนิร์ดเกี่ยวกับรถยนต์ ชื่นชอบการแต่งรถ ภาคนี้ก็จะยังสนุกกับระบบนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะการแต่งรถภาคนี้ยังคงจัดหนัก จัดเต็ม และละเอียดมาก แต่งได้แทบจะทุกส่วนเลยก็ว่าได้ ฝากระโปรงหน้าหลัง สปอยเลอร์ หน้าต่าง กระจก ประตู ได้หมด และภาคนี้เป็นภาคแรกที่สามารถถอดกระจังหน้าได้ด้วย ใครอยากแต่งรถสายแปลก ๆ ให้มันออกมาหน้าตาประหลาด ๆ ก็ทำได้ หรืออยากแต่งรถโคตรหรู แต่เสียงแตรเป็นรถไอศกรีมกรุ๊งกริ๊งก็ทำได้เช่นกันและภาคนี้ยังมาพร้อมระบบสำหรับคนขี้เกียจแต่งจริง ๆ ด้วยการมาถึงของ Bodykit สำเร็จรูป ระบบนี้จะคล้าย ๆ กับ Blueprint หรือพิมพ์เขียวของรถคันนั้น เพียงจ่ายเงินซื้อมา และกดติดตั้ง รถของเราก็จะถูกปรับแต่งให้เป็นแบบที่เลือกไว้ ขจัดปัญหาขี้เกียจแต่งได้เป็นอย่างดี ส่วนการจูนรถ ปรับรถ ก็ไปทำกันต่อด้วยตัวเองได้เช่นกัน งานนี้เอาใจครบทั้งคนที่อยากแต่งเองอย่างเต็มที่ หรือขี้เกียจแต่ง อยากเล่นเฉย ๆ สำหรับข้อเสียของภาคน้ก็ต้องบอกว่ามีบ้าง แต่ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก เอาที่เด่นชัดที่สุดเลยคือ ความมืดของสนามแข่งในช่วงตอนกลางคืน หากเราไม่ปรับความาสว่างของหน้าจอ มันก็จะมืดมาก มืดจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า และหากเป็นการแข่ง Night Racing รับรองว่ามีแหกโค้ง ชนกันยับบ้างแน่นอน จนกว่าเราจะชินสนามไปเอง เราอาจจะปรับตั้งค่าตัวเกมเองได้ แต่ความเห็นส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่ามันก็ยังมืดเกินไปอยู่ดี ใครจะเล่นช่วงกลางคืนอาจจะต้องปรับแสงสว่างเพิ่่มขึ้นสักเล็กน้อยNeed For Speed Unbound เป็นการกลับมาในรอบ 3 ปีของซีรีส์ Need For Speed ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจ และเหมือนว่าทีมสร้างหาจุดลงตัวระหว่างคนเล่นเก่าและคนเล่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ทีนี้ก็ต้องวัดกันต่อในระยะยาวว่า คอนเทนต์ที่จะมาถึงในอนาคตนั้น จะมัดใจแฟนเกมนี้ไว้ได้นานแค่ไหน
06 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Marvel's Midnight Suns เกมการ์ดซุปเปอร์ฮีโร่ที่สนุกและชวนง่วงในเวลาเดียวกัน
เมื่อพูดถึงเกมที่สร้างโดยอิงจาก IP หรือแฟรนไชส์ชื่อดัง ๆ สิ่งหนึ่งที่แฟน ๆ ของแฟรนไชส์เหล่านี้คาดหวังจะได้เห็น คือการที่ทีมงานผู้รับผิดชอบโปรเจกต์มี 'แพชชัน' หรือใจรักให้กับแฟรนไชส์ที่พวกเขากำลังจะดัดแปลง ซึ่งก็ในทางทฤษฏีก็จะนำไปสู่ผลงานที่เคารพและเข้าใจความคาดหวังของแฟนแฟรนไชส์ เพราะพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มแฟนที่ว่านี้ซะเองเช่นเดียวกันแต่ในบางครั้ง การที่ผู้รับผิดชอบโปรเจกต์เหล่านี้เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ที่ตัวเองกำลังดัดแปลง ก็อาจจะส่งผลเสียต่อตัวเกมได้เช่นกัน ซึ่ง Marvel Midnight's Suns อาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้ที่ผู้เขียนได้พบมาในรอบหลายปีเลยทีเดียว โดยแม้ว่าเกมจะมีระบบเกมเพลย์สไตล์การ์ดเกมที่สนุกเพลิดเพลิน รวมถึงบทพูดและตัวละครที่มีเสน่ห์ แต่เกมเพลย์ฟาก Social Sim (จำลองการใช้ชีวิต) ของเกมกลับตกม้าตายอย่างน่าเสียดาย จากการที่เกมมีบทพูดและฉากสนทนาเยอะมากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อเล่นมุขหรือปล่อย Easter Egg เอาใจแฟน Marvel เท่านั้น จนรู้สึกว่าผู้พัฒนาอาจจะเขียนบทมันส์มือกันไปหน่อย และทำให้ประสบการณ์โดยรวมของเกมมีความไม่สม่ำเสมอเป็นอย่างมากหากคุณเป็นแฟนตัวยงของจักรวาลมาร์เวล โดยเฉพาะในส่วนของหนังสือการ์ตูน รับประกันว่า Marvel's Midnight Suns จะมีอะไรให้คุณได้ตื่นเต้นอมยิ้มเต็มอิ่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าคุณไม่ได้อินจักรวาลมาร์เวลระดับซุปเปอร์แฟน ที่สามารถนั่งอ่าน/ดู/ฟังบทสนทนาระหว่างตัวละครฮีโร่ชื่อดังเหล่านี้ได้เรื่อย ๆ เกมนี้ก็อาจจะมีอะไรให้รู้สึกติดขัดน่ารำคสญอยู่ไม่น้อยเช่นกันเนื้อเรื่องสูตรสำเร็จสไตล์มาร์เวล ให้คุณเสพจนลงแดงกันไปข้างเกม Marvel's Midnight Suns จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นฮีโร่ใหม่ที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งจะมีชื่อว่า 'The Hunter' นักรบลูกผสมระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ผู้ซึ่งถูกชุบชีวิตขึ้นมาจากการหลับไหลเพื่อต่อสู้กับ Lilith แม่มดร้ายผู้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาโดยองค์กรชั่ว Hydra เพื่อครองโลก โดยผู้เล่นจะได้ร่วมทีมกับเหล่าฮีโร่ชื่อดังจากจักรวาล Marvel มากกว่า 13 ชีวิตด้วยกัน ตั้งแต่ฮีโร่ชื่อดังที่ทุกคนรู้จักอย่าง Iron Man, Captain America, หรือ Wolverine ไปจนถึงฮีโร่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้จักนักอย่าง Magik, Blade, หรือ Nico Minoru เพื่อก่อตั้งกลุ่ม Midnight Suns นั่นเองแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกม Marvel's Midnight Suns จะดำเนินไปตามสูตรของหนัง/การ์ตูนฮีโร่แทบจะเป๊ะ ๆ จนรู้สึกว่าเดาทุกอย่างได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มเกม แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแย่ไปเลยเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับบทพูดของตัวละครฮีโร่ทั้งหลาย ที่เขียนมาได้ตลก คมคาย และแสดงออกถึงอุปนิสัยและเสน่ห์ของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างที่แฟนของจักรวาลมาร์เวลจริง ๆ เท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ซึ่งก็ทำให้บทสนทนาในหลาย ๆ ช่วงของเกมมีความน่าจดจำอยู่บ้าง เช่นการที่ Iron Man และ Doctor Strange เถียงกันเรื่องวิทยาศาสตร์และเวทมนต์ตลอดเวลา หรือการที่ Blade แอบชอบ Captain Marvel เป็นต้นแต่ปัญหาของเกมอาจไม่ใช่เรื่องของ 'คุณภาพ' ของเนื้อเรื่องหรือบทสนทนา แต่คือเรื่องของ 'ปริมาณ' มากกว่า ด้วยตัวละครมากกว่า 10 ตัวที่ผู้พัฒนาต้องพยายามพัฒนาให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันธ์ในระดับเท่า ๆ กัน ซึ่งก็ใช่ว่าจะทำออกมาได้ไม่ดี แต่ในหลาย ๆ จังหวะผู้เขียนก็พบว่าตัวเองต้องกลั้นใจไม่กดข้ามบทสนทนาอยู่บ่อยครั้ง เพราะอยากจะรีบ ๆ กลับไปเล่นเกมต่อซะที โดยผู้พัฒนา Firaxis Games ได้เคยเปิดเผยออกมาว่าเกมมีบทพูดมากถึง 65,000 ประโยค ซึ่งถ้าตัดออกไปได้ซักครึ่งหนึ่งอาจจะทำให้เกมรู้สึกลื่นไหลกว่านี้มากเอาเข้าจริง ผู้เขียนรู้สึกได้ถึงความ 'เยอะ' ของบทพูดในเกมตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งเกมด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเวลาอีกมากกว่า 30 ชั่วโมงที่เหลือที่ใช้ในการเล่นเนื้อเรื่อง (ใช้เวลารวมราว 50 ชั่วโมง) ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เขียนเปลี่ยนความรู้สึกไปในทางที่ดีขึ้นเลย นับเป็นเรื่องหายากเหมือนกันที่เกมซักเกมจะมีปัญหาเรื่องการพัฒนาตัวละครมากเกินไปจนเกินความจำเป็น แทนที่จะเป็นการพัฒนาไม่พอเหมือนในเกมหลาย ๆ เกมเกมเพลย์แนวการ์ดที่สนุกจนเสพติด!ในส่วนของเกมเพลย์ เกม Marvel’s Midnight Suns มีความใกล้เคียงกับเกมการ์ดหรือเกมพัซเซิ่ล มากกว่าเกม RPG แนววางแผนแบบที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญมาก ๆ ที่ผู้เล่นควรทำความเข้าใจซะก่อนที่จะกดซื้อเกมมาเล่น แต่จะเป็นข้อดีหรือข้อเสียก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นแต่ละคนชื่นชอบเกมแนวการ์ดแค่ไหน ระบบการ์ดของ Midnight Suns มีความลึกและสนุกกว่าที่คาดเอาไว้พอสมควรคนที่ชื่นชอบการเล่นเกมการ์ดหรือเกมวางแผนเข้มข้น ๆ น่าจะรู้สึกสนุกกับการเล่นเกมแนวนี้เป็นพิเศษ เพราะการต่อสู้แต่ละด่านมักให้ความรู้สึกเหมือนเกมพัซเซิ่ล ที่บังคับให้ผู้เล่นใช้การ์ดที่เล่นได้จำนวนจำกัดต่อตา ร่วมกับสภาพแวดล้อม เพื่อทำความเสียหายให้ได้มากที่สุด ชั่วโมงแรก ๆ ของเกมอาจรู้สึกจำกัดอยู่บ้าง จากการที่ผู้เล่นยังทำความเคยชินกับกฏกติกามากมายที่เชื่อมโยงกันไปมาตามฉบับของเกมการ์ด และจะเริ่มสนุกจริง ๆ ก็เมื่อผู้เล่นมีโอกาสสะสมการ์ดเพิ่มขึ้นมากพอจะจัดคอมโบของตัวเอง โดยในช่วงหลัง ๆ ผู้เขียนแทบจะสามารถกำจัดศัตรูได้ทั้งด่านในเทิร์นเดียวจากการผสมผสานคอมโบการ์ดของฮีโร่แต่ละตัวเข้าด้วยกันเลยทีเดียว แถมเกมยังมีระดับความยากให้ปรับได้ตลอดเวลาหลากหลายระดับ จึงไม่เคยรู้สึกว่าเกมง่ายเกินไปแม้จะมีคอมโบเด็ดแล้วก็ตามนอกจากนี้ จำนวนฮีโร่ที่มีให้เลือกถึง 13 ตัว ซึ่งล้วนมาพร้อมจุดเด่นและความถนัดของตัวเอง ทำให้ผู้เล่นมีพื้นที่ในการพลิกแพลงแผนการเล่นได้อย่างหลากหลายมาก ยกตัวอย่างเช่นตัวละคร Captain America ที่เป็นเหมืองตัวแทงค์ มีการ์ดที่ช่วยดึงดูดให้ศัตรูมาโจมตีตัวเองพร้อมกับช่วยเสริมการป้องกันของตัวเองไปด้วย หรือ Ghost Rider ที่มีความสามารถในการโจมตีรุนแรงที่สุดในหมู่ฮีโร่ทุกตัว แต่การโจมตีแต่ละครั้งต้องใช้ HP ของตัวเองเข้าแลกเป็นต้น โดยต้องชมผู้พัฒนาที่สามารถออกแบบฮีโร่ออกมาได้ค่อนข้างสมดุล ไม่ได้รู้สึกว่ามีฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่งที่เก่งหรืออ่อนกว่าคนอื่น ทำให้ผู้เล่นสามารถจัดทีมและการ์ดตามความชอบของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และทำให้เกมสามารถเล่นซ้ำได้หลายครั้งด้วยทีมหรือชุดการ์ดใหม่ ๆทั้งนี้ เกม Marvel's Midnight Suns ก็มีส่วนที่แอบรู้สึกจำกัดอยู่เหมือนกันเมื่อเทียบกับเกมวางแผนคล้าย ๆ กัน ซึ่งก็คือเรื่องของแผนที่ในเกม ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมโล่ง ๆ กว้าง ๆ เหมือนกันหมด จะแตกต่างก็เพียงตำแหน่งของสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่ในฉาก ที่เราสามารถใช้เพื่อโจมตีศัตรูได้ (เช่นปากล่องลังใส่ศัตรู หรือถีบศัตรูให้กระเด็นไปโดนถังแก๊ซระเบิด) ซึ่งส่งผลให้เกมขาดมิติในเรื่องของการเคลื่อนที่ รวมไปถึงรูปแบบของภารกิจที่แม้จะเป้าหมายแตกต่างกัน เช่นด่านหนึ่งอาจต้องแฮ๊คคอมพิวเตอร์สามเครื่อง ในขณะที่อีกด่านให้จับศัตรูมาสอบสวน แต่เมื่อเอาเข้าจริงกลับเล่นไม่ต่างกันเลย ยิ่งเล่นไปถึงช่วงท้าย ๆ ที่เริ่มจัดชุดการ์ดเป็นเรื่องเป็นราว ยิ่งแทบไม่ต้องสนใจภารกิจเลย เพราะสามารถจำกัดศัตรูแทบหมดด่านได้ตั้งแต่ตาแรกกราฟิกไม่ดี ใครว่าไม่มีผลต่อเกมเพลย์ในระหว่างการต่อสู้แต่ละด่าน ผู้เล่นจะถูกพาไปยังฐานทัพของกลุ่ม Midnight Suns ที่ชื่อว่า The Abbey ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่ให้ผู้เล่นเปิดหาการ์ดใหม่และจัดชุดการ์ดของฮีโร่แต่ละตัวแล้ว ผู้เล่นยังสามารถทำการค้นกว้า (Research) หลากหลายรูปแบบเพื่อรับทักษะแบบติดตัวได้หลากหลายชนิด เช่นการเพิ่มจำนวนไอเทมที่ใช้ได้ในแต่ละด่าน หรือเพิ่มปริมาณทรัพยากรณ์ที่ได้หลังผ่านด่านในเกมเป็นต้น ที่สำคัญคือผู้เล่นจะสามารถชวนฮีโร่ในทีมทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการเล่นไพ่ ดูหนัง กินเหล่า หรืออ่านหนังสือ เพื่อพัฒนาระดับ Friendship Level ระหว่าง The Hunter และฮีโร่นั้น ๆ ซึ่งก็จะปลดล๊อคทักษะติดตัวให้ฮีโร่แต่ละตัวนั่นเอง ซึ่งคนที่เคยเล่นเกมซีรีส์ XCOM ของผู้พัฒนา Firaxis Games น่าจะคุ้นเคยกับระบบตรงนี้ดีความแตกต่างสำคัญระหว่าง The Abbey และฐานทัพในเกม XCOM คือการที่ผู้เล่นจะสามารถสำรวจ The Abbey ได้อย่างอิสระในมุมมองบุคคลที่ 3 แทนที่จะเป็นเพียงการกดหน้าเมนูอย่างเดียวเหมือนใน XCOM ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน (ในฐานะคนที่เป็นแฟนเกม XCOM ด้วย) รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และทำให้เกมเพลย์ฝั่ง Abbey รู้สึกยุ่งยากและใช้เวลาเกินความจำเป็นไปหน่อย เพราะผู้เล่นต้องคอยวิ่งไปมาระหว่าง NPC หลายตัวซ้ำ ๆ ระหว่างการต่อสู้ทุกครั้งตลอดเกมเพื่อเปิดซองการ์ด อัปเกรดการ์ด ทำการค้นคว้าหลาย ๆ อย่าง เข้าฉาก Hangout กับฮีโร่ และอีกมากมาย แทนที่จะสามารถกดเลือกจากเมนูได้อย่างรวดเร็วจะได้รีบกลับเข้าฉากต่อสู้อันที่จริงผู้เขียนรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ฉาก The Abbey จำเป็นต้องเปิดให้สำรวจได้แบบ 3D เช่นนี้ เพราะทุกสิ่งที่สามารถทำได้ใน Abbey สามารถทำได้ง่ายกว่าจากหน้าเมนู โดยสิ่งเดียวที่ดูจะทำได้เฉพาะในระบบมุมมองบุคคลที่ 3 คือระบบการแก้พัซเซิ่ลและหาของสะสมจำนวนมากที่ซ่อนอยู่รอบ ๆ ฉาก The Abbey ที่จะปลดล๊อคเนื้อเรื่องเบื้องหลังตัวละคร The Hunter, The Caretaker, และ Lilith เท่านั้น (ทั้ง 3 เป็นตัวละครใหม่สำหรับเกม) ซึ่งผู้เขียนไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจเท่าไหร่ แถมพัซเซิ่ลที่ว่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบที่สามารถแก้ได้ในคลิ๊กเดียวด้วย ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันจึงรู้สึว่าฉาก The Abbey มีความยืดยาวเกินจำเป็นไปมาก อันเป็นเหตุจากการออกแบบของผู้พัฒนาเองการสำรวจฉาก Abbey อาจจะรู้สึกราบรื่นกว่านี้ ถ้ากราฟิกในเกมมีความสวยงามทันสมัยเหมือนเกม AAA หลายเกมในตลอด หรืออย่างน้อยก็มากพอจะทำให้ฉากรู้สึกสวยงามน่าประทับใจกว่านี้ แต่กราฟิกใน Midnight Suns กลับดูเหมือนหลุดมาจากปี 2014 มากกว่าเป็นเกมฟอร์มใหญ่ของปี 2022 ด้วยกราฟิกพื้นผิวและโมเดลตัวละครที่ออกจะหยาบ ๆ แข็ง ๆ อยู่ไม่น้อย แถมการออกแบบแผนที่ก็มักเป็นทางเดินแคบ ๆ อันว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้มองหรือทำเลย ซึ่งก็ทำให้ฉาก Abbey โดยรวมไม่น่าสนใจไปด้วย บอกตามตรงว่าถ้าเกมเพลย์ฝั่ง Abbey ถูกปรับให้กระชับกว่านี้ เกมคงได้คะแนนจากผู้เขียนไปมากกว่านี้พอสมควรหากคุณเป็นแฟนตัวยงของจักรวาลมาร์เวล หรือเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นการ์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ Marvel's Midnight Suns ถือเป็นเกมที่สร้างมาโดยคนแบบคุณ เพื่อคนแบบคุณเลย แต่สำหรับคนอื่น ๆ ก็อาจต้องลองถามใจตัวเองว่าเราชอบฮีโร่เหล่านี้แค่ไหน ชอบในระดับที่จะอดทนฟังพวกเขาร่ายยาวเกี่ยวกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ทีละ 5-10 นาทีได้ไหม ไม่อย่างงั้นคงได้กดข้ามฉากคัตซีนจนไม่รู้เรื่องแน่ ๆ
01 Dec 2022
[Review] รีวิวเกม Gungrave G.O.R.E. การกลับมาของซีรีส์เกมดัง ที่แทบไม่พัฒนาอะไรเลยจากยุค PS2?!
แม้ว่าเกมเมอร์รุ่นใหม่หลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่แท้จริงแล้ว Gungrave G.O.R.E นี้ ไม่ใช่เกมภาคแรก หรือ IP ใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเกมเก่าตั้งแต่สมัยยุค PlayStation 2 แล้ว แถมยังเป็นเกมที่มียักษ์ใหญ่ในวงการเกมอย่าง SEGA และ Sony ช่วยจัดจำหน่ายในโซนอเมริกาและเกาหลีอีกต่างหาก ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่เต็มไปด้วยอาชญากรและตัวยาลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ Seed และเล่าเรื่องราวของมือปืนลึกลับผู้ถูกชุบชีวิตขึ้นจากความตายชื่อ Grave ผู้ซึ่งออกเดินทางตามหา Harry Macdowell ชายลึกลับผู้ฆ่าเขา ตัวเกมต้นฉบับนั้นได้ Red Entertainment รับหน้าที่พัฒนา แต่ในภาค G.O.R.E. นี้ Iggymob สตูดิโอภายใต้การดูแลของ Red Entertainment รับหน้าที่ฟื้นฟูซีรีส์เกมนี้ขึ้นมาใหม่ เริ่มจาก Gungrave VR เมื่อปี 2017 และเปิดตัวภาคต่ออย่าง Gungrave G.O.R.E. (Gunslinger of REsurrection) กล่าวคือภาคนี้เป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการนั่นเองตอนแรกคิดว่าจะเป็นเกมแอ็คชั่นเข้ม ๆ มีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจและให้ทำ แต่พอได้ลองเล่นดูแล้ว นอกจากจะเซ็งเพราะมันธรรมดากว่าที่คิด ยังอาจจะต้องเปลี่ยนเมาส์ใหม่กันด้วย เหตุใดล่ะถึงเป็นแบบนั้น มาหาคำตอบกันใน Gungrave G.O.R.E ทำความรู้จักกับชื่อของ Gungraveสำหรับเรื่องราวในภาคนี้ ยังคงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ SEED ยาเสพติดที่รุนแรงถึงขั้นทำลายจิตวิญญาณ ตอนแรผู้คนต่างคิดว่ามันหายสาบสูญไปแล้ว แต่มันก็กลับมาอีกโดยไม่ทราบสาเหตุ Mika Asagi ได้ก่อตั้ง El-Alcangel องค์กรพิเศษที่เอาไว้ตามล่าเบาะแสเกี่ยวกับ SEED โดยเฉพาะ จนในที่สุดก็พบว่า Raven Clan ของ Ganpo Essex อยู่เบื้องหลัง งานนี้สงครามกวาดล้างยานรกจึงเปิดฉากขึ้นอีกครั้งแม้ว่าเนื้อเรื่องจะดูเยอะ ยิ่งใหญ่ราวกับหนังฟอร์มยักษ์ แต่น่าเสียดายที่ในภาคใหม่อย่าง Gungrave G.O.R.E นี้ ดันสอบตกในหลาย ๆ ด้าน และไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่ หรือบางทีผู้เล่นหน้าเก่ายังอาจจะงงซะเอง ว่าเหตุการณ์ภาคนี้มันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่ เพราะเนื้อหามันขาดช่วงและห่างจากภาคที่แล้วมานานเกินไป และตัวเกมเองก็ไม่ได้มีการ Recap หรือสรุปอะไรให้เราฟังก่อนเลย โครงเรื่องและเนื้อเรื่องของ Gungrave G.O.R.E. นั้น ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ตัวละครเอกที่พูดน้อย เน้นยิงก็ยิ่งทำให้เกมขาดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เอาเป็นว่าใครเห็นปกเกมเท่ ๆ คิดว่าจะได้เห็นเนื้อเรื่องคูล ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ คุณอาจจะผิดหวังกันตั้งแต่ส่วนของเนื้อเรื่องเลยก็ได้แม้ตัวเกมจะมาพร้อมความยาวที่เกิน 10 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ด้วยความที่มันไม่เป็นมิตรกับคนเล่นใหม่เลยแม้แต่น้อย รวมไปถึงเกมเพลย์ที่เรียกได้ว่า ห่างไกลจากคำว่าไม่ควรพลาด หากนำไปเทียบชั้นกับเกมอื่น ๆ ที่ออกมาในยุคหลัง ๆ นี้ จึงเป็นการยากจริง ๆ ที่เราจะแนะนำเกมนี้ให้ใครก็ตามได้ลองเล่นดู รวมไปถึงน่าจะสร้างฐานแฟน ๆ หน้าใหม่ได้ยากตามลีลามากมาย ความหมายเท่าเดิม ต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่ Gungrave G.O.R.E. ที่ใช้รูปแบบการเล่นแบบนี้ แต่ Gungrave ตั้งแต่สมัย PS2 ก็มีรูปแบบการเล่นแบบนี้มาแต่แรกแล้ว ผู้เขียนมองว่ามันคือเกมกึ่ง Rail Shooter สำหรับ Rail Shooter นั้น จะเป็นเกมที่ตัวละครจะเคลื่อนที่ไปเอง เรามีหน้าที่แค่ยิงโจมตี ส่วน Gungrave นั้นจะนำเสนอคล้ายกัน แต่ต่างกันตรงที่เราเดินได้ ควบคุมตัวละครหลักได้ และไม่ใช่แค่ยิงเท่านั้น ใน Gungrave ภาคใหม่นี้ ตัวละครเอกยังมีสกิลและความสามารถอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา รองรับฉากแอ็คชั่นและรูปแบบการต่อสู้ที่ค่อนข้างหลากหลายอยู่พอสมควรฉากหลังของ Gungrave G.O.R.E. จะเป็นโลกยุคอนาคตที่แม้จะออกแบบมาดี แต่ท้ายที่สุดมันกลับไม่ได้ถูกใช้งานให้เหมาะสมเท่าที่ควร เพราะการนำเสนอตัวเกมแบบเป็นเส้นตรงตลอดเกมการเล่น แถมการประเคนศัตรูออกมาแบบมืดฟ้ามัวดิน ก็อย่าหวังว่าเราจะได้พักหายใจหายคอในการไปกินลมชมวิว เสพบรรยากาศระหว่างฉาก แต่ถ้าว่ากันตรง ๆ มันก็ไม่มีอะไรให้เสพด้วยซ้ำไปแต่ที่ผู้เขียนคาใจไม่ใช่น้อย นั่นคือ Gameplay การเล่นของ Gungrave G.O.R.E. นั้น พยายามอย่างมากที่จะใส่ลีลาการต่อสู้อันหลากหลายของตัวเอกอย่าง Grave เข้ามา เราสามารถออกลีลาแอ็คชั่นได้เยอะสุด ๆ ใช้ปืนยิง กระโดดยิง ใช้โลงศพฟาดโจมตี ใช้ท่าไม้ตายแบบพิเศษ หรือแม้แต่การกระชากหรือเข้าหาตัวศัตรู และคอมโบสุดเท่อีกมากมาย แต่ศัตรูที่เกมนี้มีมาให้ มักจะเป็นเหมือนพวกลูกกระจ๊อกที่พร้อมเดินหน้ามาให้เราฆ่ายับ ๆ แถมยังรีไซเคิลกันแบบเห็น ๆ เช่นช่วงแรก เราอาจจะเจอศัตรูที่ใช้เครื่องยิงจรวด 1 ลูก แต่พอไปด่านหลัง ๆ มันก็ตัวเดิม แค่ใช้เครื่องยิงจรวด 4 ลูก ไม่ได้โหดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทำให้รูปแบบการโจมตีอันมากมายหลากหลายของ Grave นั้น แทบไม่มีความหมาย เรียกได้ว่าลีลามากมาย แต่ความหมายเท่าเดิมของจริง เพราะเอาจริง ๆ ผู้เล่นสามารถจบทั้งเกมได้ด้วยการคลิกเมาส์รัว ๆ และเดินแบบ W-A-S-D กับกด Spacebar เพื่อหลบได้แบบชิล ๆ ส่วนการต่อสู้กับศัตรูระดับ Boss ก็ใช่ว่าจะดีไปกว่ากัน นอกจากหลอดพลังชีวิตที่ยาวยืด กับไซส์ของมันที่ใหญ่ระดับมหึมา วิธีการกำจัดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสแปมคลิกเมาส์รัว ๆ คอยกำจัดลูกน้องที่มัน Spawn ออกมา ก็สามารถเอาชนะมันได้แล้ว คุณจะหาเกมไหนที่มันง่ายดายในการออกแบบไปมากกว่านี้อีกกัน !?แถมมันยังจืดชืดได้มากกว่านั้นอีก เมื่อภารกิจหลัก ๆ ในแต่ละ Chapter นั้น แทบไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งแบบเป็นเส้นตรง รวมไปถึงบทสนทนาที่สุดแสนจะน่ารำคาญ เกือบทั้งเกมคุณจะได้ยินเสียง Grave! Grave! นั้นนี่ จนหลอนดูไปหมด แถมพูดคำเดิมซ็ำ ๆ เหมือนก๊อปปี้แล้วตั้งเวลาให้มันพูดซ้ำเรื่อย ๆ ทีมพัฒนาเกมพยายามสร้างอะไรก็ตามที่มีความหลากหลายมากขึ้นโดยไม่ใช่แค่การฆ่าอย่างเดียว นั่นคือการเก็บเกจคอมโบ การรักษาเกจคอมโบไว้ได้นั้น บีบให้ผู้เล่นต้องฆ่าศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่พลาดถูกโจมตี หรือห้ามหลุดคอมโบ ตรงส่วนนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี และสนุกในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุด มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดการเล่นทั้งเกมกว่า 10 ชั่วโมง ก็ลองคิดดูว่า มันสนุกจริงหรือคุณจะชิงเบื่อมันไปซะก่อนจริงอยู่ว่าการดีไซน์ด่านต่าง ๆ ของเกมนี้ทำออกมาได้ดีมาก อย่างน้อยใแแง่ของการนำเสนองานศิลป์จากการออกแบบฉากต่าง ๆ แม้ว่ามันจะเป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรให้สำรวจ แต่นับตั้งแต่ย่านสลัม ท่อระบายน้ำ โรงงาน ไปจนถึงพวกเมืองหลวง ถือว่าเกมใส่ใจในการออกแบบมาก ๆ ปัญหาคือการออกแบบงานศิลป์ที่ดี แต่กลับติดขัดที่เกมเพลย์อย่างที่บอกไป เพราะมันมีแต่ภารกิจรูปแบบเดียว คือ A ไป B จบด้วยบทสนทนาที่วนไปวนมาอยู่กับคำเดิม ๆ ทำให้การดีไซน์ตรงส่วนนี้ถูกเหมารวมว่าแย่ไปด้วย ที่หนักกว่านั้นคือ เกมนี้มันไม่มีอะไรให้เราทำเลย มีแค่ลุย กับฆ่าแหลกผ่านด่านให้มันจบ ๆ ไป ไม่มี Secret Item ให้เก็บ ไม่มี Objective อะไรให้ทำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากเดินหน้าลุยไปให้สุดทางพร้อมกับ Waypoint นำทางที่ชดเจนและคำเตือนสำหรับคนที่หงุดหงิดหัวร้อนง่าย หากคุณอยากจะเล่นเกมนี้แบบชิล ๆ ไถเอาจบ หรือลองเล่นขำ ๆ บอกเลยว่าโหมด Easy หรือง่ายสุดคือทางออก เพราะในช่วงแรก เกมจะยังไม่มอบสกิลหรือความสามารถใด ๆ มาให้คุณ ทำให้เกมยากขึ้นโดยไม่จำเป็น บางฉากมันส่งศัตรูเข้ามามากเกินไป มากเกินกว่าที่เราจะเคลียร์ได้ไหว สำหรับผู้เล่นบางคน อาจจะรู้สึกเซ็งไม่น้อย ที่การเล่นเกมแล้วต้องดรอปความยากลง ไม่ใช่เพราะฝีมือไม่ถึง แต่เพราะดีไซน์เกมที่มันขาดความสมดุลอย่างหนักจริง ๆ โชคดีที่ในด้านของ Performance นั้น ตัวเกมถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่.. จะว่าดีก็ได้ไม่เต็มปาก เพราะดูจากคุณภาพกราฟิก หรือรูปแบบเล่นของตัวเกม ก็สมควรแล้วที่มันควรจะไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะบางฉาก บางช่วง ก็เห็นกันจะ ๆ เลยว่ากราฟิกมันหยาบกระด้าง เหมือนงานเผาอย่างไรอย่างนั้นแม้จะเป็นการกลับมาในรอบหลายปี แต่สำหรับ Gungrave G.O.R.E. นั้น บอกได้แค่ว่ามันเป็นการกลับมาที่เพียงแค่ทำให้แฟนเกมเดิม ๆ หายคิดถึง หรืออาจจะผิดหวังด้วยซ้ำที่ซีรีส์มันไม่ได้ก้าวน่าไปไหนเลย รวมไปถึงแฟนเกมหน้าใหม่ก็คงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ในเมื่อมีเกมอื่น ๆ ที่ดีกว่าให้ได้เล่นกันอยู่แล้ว สำหรับเกมนี้ก็มีให้บริการกันบนระบบ Xbox Game Pass / PC Game Pass ใครที่ไม่อยากเสียเงินเต็มก้อนเล่น ก็สามารถไปดาวน์โหลดมาเล่นกันได้วันนี้
30 Nov 2022
[Review] รีวิว Land of the Vikings เกมสร้างเมืองภาพสวย สไตล์ไวกิ้ง
หลังจากที่ผู้เขียนห่างหายไปนานเนื่องจากช่วงนี้อดตาหลับขับตานอนตรากตรำทำงานทั้งงานราษฎร์ งานหลวง จนไม่มีเวลาได้เปิดเกมเล่น วันนี้ผมเครียร์งานหมดแล้วครับทุกคน เล็ง ๆ เกมใน Steam เอาไว้อยู่นาน นั่นก็คือ Land of the Vikings ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้เล่นมันสักที (ฮั่นแหนะ ทุกคนผู้เขียนเล่นเกมเกี่ยวกับไวกิ้งนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคิดกัน ไวกิ้งนะครับ โนกิ้งอื่น สวงสวิง อะไรไม่ใช่นะครับ ฮ่า ๆ)Land of the Vikings วางจำหน่ายบน Steam เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2022 ในแบบ Early Access และติดเทรนด์บน Steam ในช่วงเวลานั้นด้วย ผู้เขียนอยากเล่นมาก ๆ และในที่สุดก็มีเวลาได้มาเล่นมันสักทีครับ ใครที่กำลังหาเกมสร้างเมืองใหม่ ๆ เล่นอยู่ มาอ่านรีวิวในบทความนี้ท่องโลกไวกิ้งไปกับผมก่อนได้เลยจงลืมภาพจำไวกิ้งที่เคยมีมา ลบมันออกจากหัวไปให้หมดเมื่อมาเล่นเกมนี้ชนเผ่าไวกิ้งในเกมนี้นั้นอาจจะดูไม่ได้ดุดันเหมือนในภาพจำของเราเท่าไหร่นัก ไม่ได้โหดร้ายป่าเถื่อนถือขวานปล้นฆ่า ขับเรือไล่ล่าอาณานิคมแบบโคตรพี่เบิ้มตามในภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่พวกเราเคยดูมา เกมนี้เราแค่เป็นชนเผ่าที่มีชื่อว่าไวกิ้งลงหลักปักฐานเพื่อสร้างเมืองอย่างสงบเมื่อเข้าเกมมาจะไม่มีโหมดให้เราเลือกครับ แต่มีแผนที่ให้เราได้เลือกเล่นแบ่งตามระดับความยากง่ายด้วยความใหญ่ของแผนที่ (ความยากง่ายของการหาทรัพยากร) เราสามารถสร้างสัญลักษณ์ และตั้งชื่อหมู่บ้านได้ตั้งแต่เริ่มเกม แต่อย่าคาดหวังนะครับเพราะมันไม่ได้มีให้เราเลือกมากนัก ฮ่า ๆ มีเควสให้เราได้ทำว่าควรสร้างอะไรสิ่งไหนก่อน เป็นกึ่ง ๆ Toturial ที่จะคอยสอนการเล่นเกมให้เราไปในตัวด้วยครับการสั่ง Ai ให้ไปหาทรัพยากรต่าง ๆ ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากระบบต่าง ๆ ในการหาทรัพยากรของเกมนี้ ดูออกแบบมาให้ง่ายต่อผู้เล่นเกมครับ เหมือนเอาข้อดีของเกมอื่น ๆ ที่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์มาดัดแปลงใส่ในเกมตัวเองให้ใช้งานง่ายขึ้น (ไม่ใช่ว่าเกมอื่น ๆ ยากหรือไม่ดีนะครับ แต่บางเกมมีคีย์ลัดในการลากคลุมบริเวณพื้นที่อาจจะค่อนข้างทำให้เราวุ่นวาย) เกมนี้เราแค่กดปุ่มตามอุปกรณ์ที่เราต้องการแล้วก็ลากคลุมพื้นที่ในบริเวณที่เราต้องการให้ชาวบ้านในหมู่บ้านไวกิ้งของเราไปหาทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น ตัดไม้, ขุดหิน, หรือแม้แต่การหาของป่า เป็นต้น คลุมพื้นที่ปุ๊บจะมีสัญลักษณ์ขึ้นแจ้งให้เราทราบทันทีทันใดว่าระบบได้ทำการมาร์กพื้นที่บริเวณนี้ไว้แล้ว ชาวบ้านจะเดินฉึบฉับ ๆ มาช่วยกันขนทรัพยากรกลับไปครับมีระบบอัพเกรดเหมือนเกมอื่น ๆ เลยไม่ได้ทำให้ประหลาดใจในส่วนนี้มากนักจากที่เล่นมานั้นผู้เขียนคิดว่า Dev ค่อนข้างเน้นกับสิ่งนี้อยู่เหมือนกันครับ จากรูปแบบ Skill Tree ที่ทำเป็นรูปต้นไม้เป็นเงาอยู่ด้านหลัง เมื่อเราเล่นเกมไปเรื่อย ๆ จะได้แต้มมาอัพในส่วนนี้ครับ อัพเพื่อปลดล็อค Decorate (ของตกแต่งต่าง ๆ) หรืออัพทักษะให้ชาวบ้าน เช่น ความสุขเพิ่มขึ้น 1% ความรวดเร็วเพิ่มขึ้น 1% เป็นต้นครับ ไม่อัพก็ได้ครับแต่จะไปไหนต่อไม่ได้เลยเพราะไม่ผ่านเควส ฮ่า ๆ ๆคอมต้องแรงระดับหนึ่ง ถ้าไม่อยากรอโหลดนาน ๆ ดับฝันคอมคุณปู่อย่างไม่ใยดีเกมนี้เป็นเกม 3D จำลองสถานการณ์อาณานิคม ที่มีมุมมองจากด้านบนลงมาครับ ซึ่งยังเป็นตัวเกมแบบ Early Access อยู่ครับ ถึงแม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้รีเควสความต้องการของระบบที่สูงอะไร แต่ Frame Rate ค่อนข้างตกบ่อยมาก ๆ สำหรับคอมของผู้เขียน ช่วงโหลดเข้าเกมก็จะรอนานมาก ๆ ครับ ถึงแม้ว่าความต้องการของระบบจะผ่าน แต่ผมมองว่าถ้าใครไม่ชอบเล่นเกมที่กระตุกบ้างเป็นบางจังหวะ ผมแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปก่อน รอดูว่าผู้พัฒนาจะมีการแก้ไขอะไรในส่วนนี้ในอนาคตหรือไม่? แล้วถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจอีกทีก็ได้ครับระบบการควบคุมของเกมนี้ไม่ได้ใช้งานยากเลยครับ ถ้าใครเคยเล่นเกมแนว ๆ นี้มาแล้วแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย การ interact (ปฏิสัมพันธ์) กับสิ่งปลูกสร้าง หรือของตกแต่งต่าง ๆ หรือการลากคลุมก็ไม่ต้องจำคีย์ลัดให้วุ่นวายเลย เพราะมี Hint การใช้งานอยู่ขวามือบอกเราอยู่ตลอดครับ มีเควสเป็นกึ่ง ๆ Toturial คอยสอนเราเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเราจนเราชำนาญเลยครับ ฮ่า ๆUser interface ของเกมนี้เรียบง่ายครับ ใช้งานง่ายอีกด้วย ไม่ต้องกลัวลืมปุ่มต่าง ๆ เพราะตัวเกมจะมีข้อความคอยบอกเราตลอดว่าต้องกดปุ่มไหนยังไง หมุนมุมกล้องใช้ปุ่มไหน หลังจากที่เรากดเลือกกิจกรรมต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น เราต้องการสร้างสิ่งปลูกสร้างจะมีข้อความทางด้านขวามือแจ้งบอกเราเลยว่า Rotate ปุ่มไหน เป็นต้น สะดวกสบายจริงจริ๊งงงงงสรุปสำหรับตัวผู้เขียนยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่กับเกมนี้ครับ ไม่แตกต่างอะไรจากเกมอื่นมากนัก แต่ผมกลับชอบระบบต่าง ๆ ในการเล่นเกมไม่ว่าจะคีย์ลัดต่าง ๆ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายกับผู้เล่นอย่างเราจริง ๆ ครับ ถึงแม้จะไม่ใช่ไวกิ้งในภาพจำอย่างที่เราเคยเห็นมาในภาพยนต์ หรือตามหนังสือการ์ตูนต่าง ๆ เกมนี้มันคือการสร้างอาณานิคมแบบไวกิ้งซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างตามวัฒนธรรมในแบบสแกนดิเนเวียใครชอบเกมแนวนี้ ผมว่าเกมนี้ถึงแม้การเล่นภายในจะไม่ต่างจากเกมอื่นมากนัก และมีบัคให้ได้เห็นแบบละลานตาเพราะอยู่ในช่วง Early Access แต่ก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่น่าสะสมไว้ในคลังใช้เล่นแก้เบื่อฆ่าเวลาได้อยู่ครับ อาจจะไม่ได้ดีมากแต่มันก็ทดแทนด้วยระบบ User interface ที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นอย่างเราเราใช้งานได้ง่าย ก็ถือว่าทำให้การเล่นเกมไม่น่ารำคาญและไม่ต้องไปงมกับมันมากว่าปุ่มอยู่ไหนใช้งานยังไง และถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์ของเราจะผ่านความต้องการของระบบ นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะได้ Frame Rate ที่เราคาดหวังเอาไว้นะครับ ถ้าใครทนเล่นเกมที่จะมีการกระตุกอยู่เรื่อย ๆ และต้องรอโหลดที่นานกว่าปกติ ผมบอกเลยว่าเกมนี้จะไม่ใช่ไทป์ของเพื่อน ๆ แน่นอนใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ใน Steam ราคา 289 บาทเท่านั้นครับ ไม่แพงใช่ไหมล่ะครับ (ซึ่งผมก็มองว่ามันไม่ได้แพงเกินไป) ถึง User interface จะเรียบง่ายไปหน่อยแต่ก็ถือว่าสมราคาแหละครับ แต่ตอนนี้เป็นช่วงปลายปีมี Sale ใหญ่ ๆ ใน Steam เยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็น Black Friday Sale, Winter Sale ยาวกันไปถึง New Year Sale ถ้าอยากสะสมติดคลังไว้ผู้เขียนบอกเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาทองของคุณแล้วครับ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1981570/Land_of_the_Vikings/
26 Nov 2022
[Review] รีวิว Call of Duty: Warzone 2.0 & DMZ สองโหมดเล่นฟรี !! คุณภาพคับแก้วจาก Call of Duty
หลังจากปล่อยให้แฟนเกมทั่วโลกที่ยอมเสียเงินไปดุเดือดกันในโหมด Multiplayer กันมาแล้ว คราวนี้แฟนเกมสายฟรีก็ถึงเวลาจะได้สัมผัสกับซีรีส์เกมยิงแห่งปีอย่าง Call of Duty กันบ้างใน Modern Warfare II ฉบับเล่นฟรี ที่มีให้เล่นกันถึง 2 โหมดอย่าง DMZ และ Warzone 2.0 ที่เป็นการยกเครื่องใหม่จาก Warzone ภาคแรก แต่ทั้งสองโหมดนี้มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน เราเล่นมาแล้ว เราจะมาเล่าและรีวิวให้ได้ดูกันDMZ โหมดใหม่สดระทึกกับเกมการเล่นแบบ PvPvEเริ่มกันที่โหมดแรกที่มาในรูปแบบเล่นฟรีก่อนเลย คือโหมด DMZ หรือเรียกอย่างเป็นทางการได้ว่า Extraction Mode หากใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงพื้นที่ Dark Zone ในเกม The Division หรือเกมเพลย์การเล่นที่ "คล้าย" กันกับ Escape from Tarkov เป้าหมายของเกมนี้ไม่มีความตายตัวหรือแน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า อยากจะทำอะไรในโหมดนี้ แต่หลัก ๆ แล้ว จะมีภารกิจของ Faction ต่าง ๆ มาให้เราทำ และเราก็ต้องเข้าไปลูทของ หาของในฉาก จากนั้นพยายามหลบหนีออกมาจากแผนที่Loadout ในโหมดนี้จะถูกแบ่งแยกออกมาจากเกมหลักและ Warzone เพราะรปแบบการเล่นที่ต่างกัน จึงใช้ระบบที่ต่างกัน ในโหมดนี้ ผู้เล่นจะได้รับอาวุธประเภท Contraband Weapon หรืออาวุธเถื่อน ได้จากการเข้าไปหาตามฉากเท่านั้น อาวุธประเภทนี้หากพลาดท่าตายขึ้นมาในเกมรอบนั้นจะหายไปเลย ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ ต้องไปหาใหม่เท่านั้น และอีกประเภทคือ Insured Weapon หรืออาวุธมีประกัน อาวุธประเภทนี้ก็จะเหมือนกับอาวุธใน Loadout ของเราที่สามารถเอาเข้าไปใช้ได้ แต่ถ้าพลาดท่าตายขึ้นมา มันจะไม่หายไป แต่จะติดคูลดาวน์ใช้งานไม่ได้ไป 2 ชั่วโมงแทนสำหรับโหมดนี้จะรองรับผู้เล่นสูงสุด 3 คน แต่ใครคิดว่าแน่พอ สามารถไปลุยคนเดียวได้ ก่อนเริ่มเกมเราจะได้จัด Mission List ที่เราจะรับเข้าไปทำในเกม รวมไปถึงจัด Loadout สิ่งของที่เราจะพกเข้าไปได้ และเมื่อเข้าสู่เกมแล้ว ผู้เล่นอยากจะทำอะไร หรือเล่นแบบไหน ก็แล้วแต่ผู้เล่นจะกำหนดเองเลย สำหรับแผนที่ในเกมนี้ก็คือ Al-Mazrah เป็นแผนที่ที่เราได้เล่นกันในโหมด Multiplayer หรือ Warzone อยู่ดี แต่จะไม่มีวงบีบ แต่มีเวลามาจำกัดแทน เกมการเล่นแต่ละรอบจะมีเวลาอยู่ที่ 25 นาที และเมื่อเวลาหมด 25 นาทีแล้ว หมอกพิษหรือวงบีบจะค่อย ๆ หดตัวเข้ามาในแผนที่ ซึ่งจะมีเวลาให้เราหาทางหลบหนีได้อีก 8 นาที รวม ๆ แล้วเกมการเล่น 1 รอบ ถ้าผู้เล่นเล่นแบบจัดเต็มก็จะใช้เวลาประมาณ 25 นาที แต่ถ้าเอ้อระเหยลอยชาย ลืมดูเวลา ก็อาจจะกินเวลาเป็นครึ่งชั่วโมงอย่างที่บอกไปว่าเกมนี้ไม่มีการระบุชัดเจนว่าผู้เล่นต้องทำอะไร แต่สิ่งสำคัญคือการทำภารกิจ Faction ให้สำเร็จ เพราะภารกิจ Faction นั้น ให้รางวัลตอบแทนที่สูงมาก แต่ยิ่งทำไปไกลก็ยิ่งมีเงื่อนไขที่ยากขึ้น เช่นการบุกไปยังสถานที่เฉพาะ การค้นหาของและ Exfil หรือหลบหนีออกมาด้วย ผู้เล่นอาจจะเข้าไปเล่นโดยไม่ต้องวางแผนอะไรเลยก็ได้ แต่ถ้าคิดไว้ก่อนว่าจะทำอะไร จะดีกว่า เพราะแผนที่ภายในเกมนั้นใหญ่มาก หากเล่นโดยไม่วางแผนไว้ก่อน เราอาจจะไม่ค่อยได้อะไรกลับออกมาเลย นอกจากเงินเล็กน้อย และค่า EXP เท่านั้น แต่หากทำภารกิจ เรามีโอกาสได้ทั้งเงินและ EXP ที่สูงกว่า และอาจจะได้อาวุธ Contraband ใหม่ ๆ มาใช้  กรณีที่เราสามารถ Exfil หรือหลบหนีออกจากพื้นที่ได้ ไอเทมทั้งหมดที่ได้มา จะถูกเก็บไว้ใช้ในรอบต่อไป แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาของทั้งหมดไปใช้ เราอาจจะเลือกเก็บบางอย่างไว้ และเอาบางอย่างไปใช้ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเกมรอบนั้น ๆ และโหมดนี้คือโหมดที่ผู้เล่นจะได้เจอทั้งศัตรูที่เป็น A.I. และศัตรูที่เป็นผู้เล่นด้วยกัน มันคือแนว PvPvE นั่นเอง แต่สำหรับคนที่เคยเล่น DMZ มาแล้ว น่าจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ทำให้เกมนี้น่ากลัวอย่างมาก คือ A.I. เพราะ A.I. เกมนี้มีหลากหลายแบบ แต่ความแม่นยำในการยิงผู้เล่นอย่างเรา ๆ นั้น เข้าขั้น Aimbot กันเลยก็ว่าได้ บางครั้งหลบอยู่หลัง Cover มันก็ยังยิงทะลุมาได้อยู่ดี แถมพวก A.I. ในพื้นที่โหด ๆ อย่าง Stronghold นั้น ถึงขั้นใส่เกราะหนา ชนิดที่ว่า สไนเปอร์ยิงหัวนัดเดียวแล้วยังไม่ตาย ดังนั้นโหมด DMZ นี้ หากคิดจะเล่นคนเดียวก็ถือว่ายากพอสมควร เพราะบอทโหดไม่พอ เจอผู้เล่นด้วยกันเองก็ตึงไม่แพ้กันแต่หัวใจสำคัญและไอเทมที่โดดเด่นในโหมดนี้คือ Weapon Caseสีทองที่ถูกระบุชัดเจนอยู่ในพื้นที่ หากมีทีมผู้เล่นคนใดก็ตามไปเอามาได้ จะถูกหมายหัวให้ผู้เล่นทั้งหมดที่เหลืออยู่ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ เอาง่าย ๆคือเราจะตกเป็นเป้าล่าของคนทั้งเกมในรอบนั้น ๆ ดังนั้นใครที่คิดจะไปเก็บ Weapon Case ก็ต้องใจถึงพึ่งได้กันทั้งทีม เพื่อหลบหนีออกมา ของตอบแทนก็จะเป็นสกินแบบพิเศษที่เท่โดนใจ คุ้มกับความยากลำบากในการฝ่าไปเอามันมาแน่ ๆ นอกจากนั้นอีกอย่างที่สำคัญคือ Radiation Zone ที่ตอนนี้เป็นพื้นที่ยอดฮิตในการเข้าไปเก็บอาวุธปืน Assault Rifle ที่เพิ่งอัปเดตเข้ามาในเกมอย่าง M13B Assault Rifle ด้วยแต่สำหรับคนที่ไม่ชอบไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เอาแค่ภารกิจ Faction ที่เรารับมา การไปสู้กับบอท หาของไปขายในตอนจบ ก็ถือว่าเป็นโหมดที่สนุกและระทึกตื่นเต้นมาก ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า วินาทีที่เราพอใจกับรอบนั้นแล้ว และต้องไปยังจุดส่งตัว เพื่อหนีออกจากแผนที่ ในขณะเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ และรอลุ้นว่าจะโดนดักโจมตี หรือจ๊ะเอ๋กับผู้เล่นอื่นระหว่างรอหรือไม่ เมื่อผสมผสานกับเกมเพลย์อันดุเดือดของ Call of Duty คงบอกได้แค่ว่า Call of Duty นั้น ยืมจุดเด่นของเกมดัง ๆ และสไตล์เกมอื่น ๆ มาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างลงตัวจริง ๆ โหมด Warzone 2.0 เกือบเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือปรับหลายอย่างให้ดีขึ้นและสนุกขึ้นมาต่อกันอีกทีอีกโหมดที่ชาวเกมสายฟรีได้สัมผัสกันกับ Warzone 2.0 แน่นอนว่าชื่อของ Warzone นั้นอยู่คู่กับซีรีส์ Call of Duty มาได้กว่า 2 ปีแล้ว นับตั้งแต่ภาค Modern Warfare 2019 ลากยาวมาจนถึงภาค Vanguard ซึ่ง Warzone 2.0 นั้น จะแยกตัวออกมา และพ่วงกับตัวเกมภาค Modern Warfare II (2022) นี้แทนสำหรับโหมดนี้ ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เริ่มจากเรื่องของแผนที่ ยังคงเป็น Al-Mazrah เหมือนกับโหมด DMZ สำหรับแผนที่นี้ก็ถือว่าเป็นแผนที่ที่เล่นสนุกอยู่เหมือนกัน เพราะมีรูปแบบดีไซน์แผนที่ที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ตัวเมืองขนาดเล็ก ที่มีอาคารชั้นเดียว หรือตัวเมืองขนาดใหญ่ที่มีอาคารหลากหลายชั้น ทำให้เกมเพลย์การเล่นในรูปแบบ Battle Royale ของ Warzone 2.0 นั้น มีหลากหลายสถานการณ์ให้เราปะทะด้วยอย่างน่าตื่นเต้นอย่างแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยคือ เรื่องของ Loadout ที่เหมือนจะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นสายฟรี กับผู้เล่นที่มีเกมเต็ม เพราะคราวนี้ Loadout ที่แต่งมาอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมีวิธีในการเข้าถึงที่หลากหลายกว่า แต่ก็ยากกว่า อย่างภาคแรก ผู้เล่นสามารถกดซื้อได้จาก Buy Station ได้เลย แต่ภาคนี้ การซื้อจาก Buy Station จะได้เพียงอาวุธชิ้นแรกใน Loadout นั้นเท่านั้น การจะได้ Loadout แบบเต็ม ๆ ที่เราแต่งไว้ จะต้องไปวิ่งหาจาก Loadout Drop Incoming ที่เหมือนกับ Airdrop ในเกมอื่น ๆ และอีกวิธีคือการบุกตี Stronghold ที่เป็นฐานที่มั่นของพวก A.I. แต่ก็มีความเสี่ยงในการโดนผู้เล่นอื่นบุกมาตลบหลังอีกทีด้วยนอกจากนั้น Buy Station แต่ละจุดยังมีไอเทมที่มีความสำคัญขายอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่น UAV ที่เป็นไอเทมสแกนพื้นที่รอบ ๆ เพื่อเปิดเผยตำแหน่งของศัตรู หากตรงไหนมีคนซื้อไปแล้ว ก็จะไม่สามารถซื้อซ้ำอีกได้ ทำให้เราอาจจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ Landing ลงพื้นแล้วว่าจะลงตรงไหน เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ดีที่สุดให้กับเราหรือทีมอีกส่วนสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนเลยคือเรื่องของคุก Gulag จากที่เป็นการดวล Gunfight 1vs1 แต่ในภาคนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเป็นการจับคู่กับคนอื่นแบบ 2vs2 แทน ถ้าเกิดเรากับเพื่อนในทีมตายมาด้วยกันหรือพร้อมกันก็จะได้จับคู่กันแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่เราก็จะได้จับทีมกับผู้เล่นอื่นแบบสุ่ม และได้อาวุธแบบสุ่มมาใช้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นปืนพก จากนั้นการต่อสู้ก็จะเริ่มต้นขึ้น และหากภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งสองทีมยังไม่สามารถจัดการกันเองได้ ก็จะมี Jailer หรือผู้คุมคุกออกมา คราวนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะร่วมมือกับทีมศัตรู แล้วโค่นผู้คุมคุกและหนีออกไปด้วยกันทั้ง 4 คน หรือจะฆ่ากันให้ตายเหมือนเดิมแล้วออกมาทีมเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกทางเลือที่สนุกและสร้างสีสันให้ไม่น้อยนอกจากนั้น สิ่งที่ยังคงอยู่ แต่ถูกเพิ่มเข้ามา หรือปรับเปลี่ยนบาลานซ์ให้เหมาะสมขึ้น ก็คือเรื่องของ Contract Mission หรือภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเกม ในภาคนี้หากคิดจะหาเงินในเกมให้ได้เยอะขึ้น การทำภารกิจดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด จากในภาคที่แล้ว การหาเงินจะทำได้ง่าย ๆ โดยการเปิดกล่องลูทของตามฉาก แต่ภาคนี้ การได้เงินจะยากขึ้นมาก ทำให้การชุบเพื่อน การซื้อของชิ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลามากขึ้น แต่การทำพวก Contract Mission จะทำให้ได้เงินมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงกับการเจอผู้คนมากขึ้นด้วยสำหรับ Warzone 2.0 นั้น อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างจากภาคแรกมากนัก แต่เป็นการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ ส่วน ให้ดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีเกมเต็มกับเล่นฟรีในภาคแรก บอกได้เลยว่า Call of Duty: Modern Warfare II ปีนี้ จัดเต็มทั้งเกมหลัก และเกมแยกสำหรับคนเล่นฟรีจริง ๆ ใครกำลังมองหาเกมฟรีเล่นอยู่ บอกเลยว่า จัดเต็มสำหรับเกมนี้
24 Nov 2022
[Review] Pokémon Scarlet & Violet ก้าวแรกสู่ Open-World แท้ของซีรีส์โปเกม่อน ที่อาจไม่สวยงาม แต่ยังสนุกตามสูตร
และแล้ว เวลาที่เหล่าโปเกม่อนเทรนเนอร์ทั้งหลายรอคอยก็มาถึง กับการมาของเกมในซีรีส์ภาคใหม่แกะกล่องบนเครื่อง Nintendo Switch ที่ได้มีการโปรโมตอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบเกมให้เป็นแบบ 'โลกเปิด' กับ Pokémon Scarlet & Violet นั่นเองหากบางคนยังไม่เข้าใจกับคำว่าโลกเปิด หรือ Open-World เราก็พร้อมที่จะแถลงไข ถ้ากล่าวแบบง่าย ๆ เลย คือรูปแบบของเกมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นจะทำอะไรก็ได้ มีอิสระในการเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ ไม่มีภารกิจอะไรมาบังคับให้ต้องทำเพื่อผ่านไปยังพื้นที่ถัดไปภายในเกมซึ่งปกติแล้วเกมซีรีส์ Pokémon เป็นระบบ 'คุณจะต้องไปจุด 1 แล้วไป 2 ต่อด้วย 3' และสานต่อไปเรื่อย ๆ มาแทบทุกภาค แต่ล่าสุดกับการโยนหินถามทางสร้างเกม Pokémon : Legend Arceus ในช่วงต้นปี 2022 ที่เป็นเกมกึ่งโลกเปิด ก็ทำให้พวกเขาได้นำมาปรับปรุงและสานต่อความสนุกในภาคใหม่นี้ได้ถูกทางแล้วนั่นเอง!การพัฒนาจากการนำสิ่งที่เคยสร้างมาเป็นพื้นฐานจากการที่ผู้เขียนได้สัมผัสเกม Pokémon ในเจนหลัก ๆ 1-8 มาครบแล้วนั้น สามารถบอกได้เลยว่าทางผู้พัฒนามีความใส่ใจในการเอารูปแบบการเล่น ความสนุกและน่าสนใจจากภาคเก่า ๆ มาดัดแปลงให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินจนอาจไม่ได้สังเกตเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบโลกเปิด อิสระในการเล่นตามใจ พัฒนามาจากภาค Legend Arceus ตามที่กล่าวไปในข้างต้น, ระบบโปเกม่อนเดินตามและคอยเก็บของตามเราสั่งจากภาค Heart Gold & Soul Silver, ระบบถ่ายและแต่งรูปภาพจาก XY, ระบบแชร์เลเวลและจดจำท่าที่เคยมี, ระบบสภาพอากาศ กลางวันและกลางคืนจากทั้งภาค Sun & Moon และ Sword & Shield และอื่น ๆแต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะมีแค่ของเก่านะ! เพราะระบบที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Terastallize ที่จะเพิ่มความสามารถให้โปเกม่อนของเราเปลี่ยนธาตุกลายเป็นธาตุอื่น เสริมความได้เปรียบในการต่อสู้มากขึ้น, ระบบส่งโปเกม่อนสู้ตามเส้นทางอัตโนมัติ ไม่ต้องเข้าหน้าแบทเทิล หรือจะเป็นระบบ Picnic ที่เปิดให้เราได้สานความสัมพันธ์กับโปเกม่อนด้วยการเล่นบอลและอาบน้ำ ซึ่งหากค่าความสัมพันธ์เราสูงถึงระดับหนึ่งมันจะช่วยในการต่อสู้ด้วย (เช่น โปเกม่อนของเราจะไม่ยอมสลบ แม้จะโดนโจมตีที่ควรสู่ขิตแล้วก็ตาม) รวมไปถึงการทำแซนด์วิช เพิ่มบัฟในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โอกาสการเจอโปเกม่อนหายาก, จับง่ายขึ้น, เลเวลสูงขึ้น และอื่น ๆรูปแบบการเล่นที่ไม่จำกัดคือเสน่ห์ของภาคนี้บางครั้ง ผู้เล่นอย่างเรา ๆ ก็อาจจะเคยคิดว่าทำไมเราต้องเดินตามรูปเกมที่กำหนดมาเสมอ หรือทำไมฉันต้องไปตามขจัดปัญหาร้อยแปดก่อนจะได้สู้กับยิมลีดเดอร์ด้วย? แน่นอน ยังไม่รวมถึงความยากลำบากหากเราเลือกโปเกม่อนตั้งต้นที่แพ้ทางยิมแรกและยิมอื่น ๆ ในช่วงต้นเกมจนไม่อาจผ่านไปได้ง่าย ๆ คงจะหงุดหงิดไม่น้อยแต่สำหรับภาค Scarlet & Violet ผู้เล่นจะได้ลิขิตชีวิตของต้นเองว่าจะเดินทางไปในระดับความง่ายไปยาก หรือท้าทายด้วยยากไปง่าย เพราะคุณจะสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ ทำอะไรก็ได้ตามใจไม่จำกัดก่อนหลัง อย่างที่ผู้เขียนเองก็ซนจัด ๆ ไปตียิมที่ยากที่สุดในเกมเป็นยิมที่สาม จนเล่นเอาเหงื่อตก แต่ก็ตื่นเต้นใช่ย่อย!แต่ว่า หากใครคิดว่าตัวเกมจะมีแกนหลักให้เราตียิม ตีจตุรเทพ แล้วก้าวเป็นแชมเปียนส์เหมือนภาคก่อน ๆ อย่างเดียว คุณคิดผิด! เพราะในภาคนี้จะมีเส้นทางเนื้อเรื่องหลักสามเส้นให้คุณได้เลือกออกเดินทาง โดยสามารถทำไขว้-สลับกันก็ได้ ได้แก่Victory Road - เส้นทางคว้าชัย ออกเดินทางตียิมทั้งแปด ก่อนเข้าชิงชัยเพื่อเป็นแชมเปียนส์ประจำภูมิภาคPath of Legends - ออกเดินทางตามหาสมุนไพรวิเศษ เผชิญหน้ากับโปเกม่อนยักษ์กลายพันธุ์ทั้งห้า อัพเกรดโปเกม่อนมอเตอร์ไซค์คู่ใจ Koraidon หรือ Mairaidon ให้มีความสามารถเดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้นStarfall Street - ภารกิจถล่มแก๊งเด็กหัวต่อต้าน Star ที่รวมพลเหล่าเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งและโต้กลับ จนสามารถเอาชนะพวกเกเรได้ แต่กลายเป็นกลุ่มเกเรซะเอง!แค่สามเส้นทางนี้ก็ได้มอบประสบการณ์ที่มากมายให้ผู้เล่นแล้ว แต่มันยังไม่หมด เพราะใน Scarlet & Violet สถานะของผู้เล่นนั้นเป็น 'นักศึกษา' หมายความว่าเราก็ต้องเรียนเช่นกัน! เข้าคลาสรูมในแต่ละวิชา ตอบคำถาม รวมไปถึงสอบกลางภาคและปลายภาคเพื่อรางวัลสุดคุ้มค่าก็น่าเลือกเล่นเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับการจบเกมแบบขึ้น End Credit และรู้เนื้อเรื่องหลักทั้งหมด ผู้เล่นจำเป็นต้องสำเร็จเส้นทางชีวิตหลัก ๆ ทั้งสามตามที่กล่าวมาต้อนรับการกลับมาของเนื้อเรื่องสุดสนุกและเข้าถึงอารมณ์ต้องกล่าวว่านับตั้งแต่เกมเจนที่ 5 ของซีรีส์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเนื้อเรื่องดีที่สุดนั้น ก็ยังไม่มีภาคต่อมาภาคไหน ๆ ที่เข้าไปถึงหัวอกหัวใจเทียบเท่ากับภาค Scarlet & Violet นี้เลย อิงจากเนื้อเรื่องที่เรา นักเรียน ที่มีความฝันได้เข้าไปโลดแล่นในโลกที่มีผู้คนมากมาย และหลายมุมมอง เชื่อมความสัมพันธ์กับโปเกม่อน เป็นเพื่อนได้มากกว่าเดิม เกินกว่าภาคอื่น ๆ ที่มีพวกเขาเป็นเหมือนแค่เครื่องมือเท่านั้นด้วยการที่ผู้พัฒนาเลือกที่จะเขียนบทซึ่งมีความใกล้เคียงกับชีวิตคนจริง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการจี้จุดอารมณ์ได้อย่างถูกจังหวะ มันจึงทำให้เกมภาคนี้เหมือนเป็นดั่ง 'รถไฟเหาะของความรู้สึก' จริง ๆ มีทั้งอารมณ์สนุก ตลก ครินจ์ (อายแทน) และปวดตับ ซึ่งผู้เขียนเองที่ไม่เคยน้ำตาแตกในซีรีส์เกมโปเกม่อนมาก่อน ยังไม่รอดกับภาคนี้ประสิทธิภาพเกมหลักสิบ ราคาเกมหลักพัน บัคหลักล้านโอ้ ไม่... ข้อเสียอย่างยิ่งใหญ่ของเกมภาคนี้ที่ทางเราไม่สามารถปล่อยผ่านได้ก็คือประสิทธิภาพเกมที่ถูกปล่อยออกมาได้แบบน่าหยุมหัวมาก ๆ แม้ภาพและกราฟิกจะอยู่ในขั้นที่พอรับได้ตามสภาพเครื่อง Nintendo Switch ซึ่งวิ่งได้แค่นั้น และภาพก็ไม่ได้ต่างจาก Pokémon : Legend Arceus เท่าไหร่นัก แต่ทั้งความเสถียรของภาพ FPS อาการหน่วง แลค และเด้งหลุด กลับผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดจนน่ารำคาญใจนี่ยังไม่รวมไปถึงบัคอันหลากหลายที่อาจทำลายความสนุกของผู้เล่นได้ เช่นเดินตกแมพ อนิเมชั่นตัวละครไม่โหลด ตัวละครบิดเบี้ยวกลายเป็นไททัน NPC ที่เดินเข้ามาในสนามต่อสู้แบบงง ๆ และอื่น ๆ อีกเพียบจนมันกลายเป็นสีสัน และมีมในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปหมดภายในวันเดียวที่ปล่อยเกมเอาเป็นว่า ถ้าใจให้กล่าวตรง ๆ นั้น Pokémon Scarlet & Violet ระบบเกมเพลย์และเนื้อเรื่องไม่แย่ แต่ห่วยแตกทางด้านประสิทธิภาพ หากใครที่รู้สึกว่าสามารถรับและทนได้กับความกระตุกหรือหน่วงเป็นบางครั้ง การเลือกภาคนี้มาเล่นก็ไม่ได้แย่เลยทีเดียว เพราะทางตัวเกมเองก็อาจจะปล่อยแพทช์อัปเดตมาในอนาคตสำหรับใครที่สงสัยว่าภาค Scarlet & Violet นั้นต่างกันยังไง เลือกภาคไหนดี ทางเราสามารถบอกได้ว่าจะต่างกันแค่ในส่วนของสีธีมส้มหรือม่วง, เนื้อเรื่องและตัวละครธีมอดีตและอนาคต และโปเกม่อนเฉพาะประจำภาค สุดแล้วแต่จะเลือกชอบและเล่นนั่นเอง ถ้าเลือกไม่ได้จริง ๆ ก็จัดทั้งสองภาคผ่านทางร้านค้า Nintendo eShop หรือร้านค้าแผ่นเกมทั่วไปเลย!
23 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Somerville ประสบการณ์เกมพัซเซิลอันเต็มไปด้วยปริศนาที่รอการตีความของคุณ
ถือว่าเป็นเกมอินดี้ที่เปิดตัวมาได้อย่างน่าสนใจมานานหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาที่เกมนี้จะต้องวางจำหน่ายสู่สายตาชาวโลก เกมนี้มีดีอะไร และสมควรเสียเวลาจะลองเล่นหรือไม่ ก็ลองมาดูกันได้กับรีวิว Somervilleผู้เล่นจะได้รับบทเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป พ่อ แม่ ลูกตัวน้อย และสุนัขประจำครอบครัว อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พวกเขากลับจากไปเที่ยวกันมาอย่างสบายใจ ทั้งครอบครัวเผลอหลับไปหน้าทีวี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อยานรบขนาดยักษ์ปรากฎตัว แถมกองกำลังมนุษย์ก็หันมาสู้กลับ พื้นที่บ้านของพวกเขากลายเป็นสนามรบโดยทันที ขณะที่ฝั่งต่างดาวคนหนึ่งโดนลูกหลงตกลงมาที่บ้านของชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ก่อนตายเขาได้ยื่นมือมาจับมือของชายหนุ่ม และส่งมอบพลังปริศนาให้ ซึ่งมันรุนแรงจนชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมา ภรรยาและลูกของเขาไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงน้องหมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาสลบไปนานแค่ไหน เมื่อตื่นขึ้นมา การเดินทางตามหาครอบครัวที่หายไปของเขา พร้อมกับพลังของมนุษย์ต่างดาวในตัวจึงได้เริ่มต้นขึ้น อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นความพยายามในการนำเสนอศิลปะและการถ่ายทอดเรื่องราวที่คล้ายกับภาพยนตร์หรือซีรีส์ แต่ใช้วิธีถ่ายทอดด้วยวิดีโอเกมแทน ตลอดทั้งเกมของ Somerville ผู้เล่นจะได้เห็นเพียงฉากคัทซีนที่โชว์ให้เราเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเท่านั้น ไม่มีบทสนทนา ไม่มี Subtitle ไม่มีคำบรรยายเหตุการณ์หรืออธิบายให้ผู้เล่นเข้าใจใด ๆ ว่าเรากำลังเจอกับอะไร สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น เกมนี้ถือว่ามาเพื่อกระตุ้นต่อมนั้นของผู้เล่นทุกคน แต่สำหรับคนที่ชอบเล่นเกม ผู้เขียนคิดว่าเกมนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคนแน่นอน เพราะการนำเสนอสุดแสนจะอินดี้ ชนิดที่ว่าถ้าใครเข้าไม่ถึงก็อาจจะถอดใจเลิกเล่นกันตั้งแต่แรกไปเลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม นี่ไม่ใช่เกมยาว ที่เราจะได้นั่งเล่นกันเป็นวัน หากคุณเป็นคนที่เชี่ยวชาญการไขปริศนาและ Puzzle อาจจะสามารถจบเกมนี้ได้ในเวล่า 4-5 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำไป แต่ต่อให้คุณอยากเป็นคนที่เสพเนื้อหาของเกมมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้ใช้ความพยายามในการเล่นสูงพอสมควรเลยทีเดียว ใครไม่อดทนพอ อาจจะเลิกกันตั้งแต่ฉากเปิดเกมแล้วโชคดีที่เนื้อเรื่องของมันยังมีความน่าสนใจอยู่ระดับหนึ่ง รวมไปถึงการมีตอนจบที่มีแบบ True Ending ด้วย โดยวิธีการได้ก็อาจจะต้องไปลองศึกษากันเอาเอง แต่ไม่ยากอย่างที่คิด และถือเป็นอีกหนึ่งผลงานเกมอินด้ขายไอเดียที่น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียวเน้นบรรยากาศและการนำเสนอ ส่วนเกมเพลย์อยู่ในขั้นมาตรฐานด้วยความที่เกมนี้สั้นมาก นั่งเล่นกันอย่างจริงจังเพียง 4-5 ชั่วโมงก็จบแล้ว (บางรายใน YouTube เพียง 2 ชั่วโมง) เราจะขอเล่าถึงส่วนของการนำเสนอและเกมเพลย์ไปพร้อม ๆ กัน Somerville เป็นเกมที่เน้นการนำเสนออย่างเต็มที่ อย่างที่บอกไปว่าตลอดทั้งเกม ผู้เล่นจะไม่เจอกับคำพูด ศัพท์บรรยายใด ๆ ในเกมนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างดึงดูดให้ผู้เล่นไม่อาจละสายตาจากหน้าจอไปได้ ไม่อย่างนั้นอาจพลาดเหตุการณ์สำคัญ โดยไม่เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเกมบ้าง ซึ่งหากว่ากันตรง ๆ แล้วก็ทำให้เกมนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียอย่างชัดเจน ข้อดีของมันคือการพยายามทำให้ผู้เล่นโฟกัสอยู่กับเกม อยู่กับเนื้อหาและเหตุการณ์ตรงหน้า ส่วนข้อเสียคือ คนที่ขี้เกียจเล่น หรือขี้เกียจตีความ ก็อาจจะเบื่อจนเลิกเล่นไปก่อนได้ในขณะที่เกมเพลย์ของ Somerville นั้น หลัก ๆ จะอยู่ที่การไขปริศนา เพื่อปลดล็อคเส้นทางในการไปต่อ ไม่ได้มีแอ็คชั่น ไม่ได้มีการต่อสู้อะไร แต่สิ่งที่เกมทำได้ดีคือการเลือกใส่จังหวะลุ้นระทึกต่าง ๆ ผ่านสถานการณ์โดยตรง แต่ข้อเสียเลยคือความคลีนของหน้าจอที่ไม่มี HUD ไม่มี UX / UI อะไรเลย อาจทำให้หลายคนงงจนตาแตกว่าเกมให้ทำอะไร ทำให้ผู้เล่นต้องคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าเกมมันให้เราทำอะไร หรือตรงไหนเป็นจุดที่น่าจะไป Interact ด้วย แล้วไปต่อได้ ซึ่งหากใครที่เคยเล่นเกมอย่าง Limbo หรือ Inside มา จะคุ้นเคยกับแนวเกมการเล่นแบบนี้ดี เกมจะเป็นมุมมองบุคคลที่ 3 ที่คล้ายกับเกมตะลุยแพลตฟอร์มและไขปริศนา ไม่มีบทสนทนา ใช้ฉาก สภาพแวดล้อมเป็นตัวเล่าเรื่อง ศัตรูของเราก็คือพวกจักรกลต่างดาว และพลังที่เราได้รับจากพวกต่างดาว จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนสถานะสารให้เป็นของเหลวและของแข็งได้ เพื่อใช้แก้ปริศนาไปสู่ฉากถัดไป ซึ่งจริงอยู่ว่า การนำเสนอเกมแบบ Limbo หรือ Inside นั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเกม Somerville กลับเหมือนขาดความประณีตไปสักเล็กน้อย ในเรื่องของการจัดวางมุมกล้อง และการควบคุมต่าง ๆ มีหลายครั้ง หลายหนที่เราพยายามควบคุมตัวละครให้ไปยังจุดต่าง ๆ แต่กลับเดินติดโน่น ติดนี่ โดยที่มองไม่เห็นว่ามันติดอะไร สร้างความน่ารำคาญใจให้ไม่น้อยเลยทีเดียวส่วนของการไขปริศนานั้น นับว่าไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป ภายในฉากมักจะมีอะไรแปลก ๆ โดดเด่นออกมาเป็นคำใบ้พอให้เราเดาได้กันอยู่แล้ว หรือบางครั้งอาจจะไม่ต้องให้เกมช่วยใบ้ แต่ให้ Common Sense ของเราเป็นตัวจัดการ ว่าตรงนี้เราควรจะทำอะไรถึงจะผ่านมันไปได้ บางอันก็ถือว่าดีไซน์มาได้ฉลาดมากจริง ๆ ต้องยอมใจคนดีไซน์เกมเพลย์แต่ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว Somerville นั้น เหมือนจะเป็นผลงานขายงานศิลป์และเนื้อเรื่องและการนำเสนอมากกว่า ในแง่ของเกมเพลย์ เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกไปกับเกมนี้แน่ ๆ แต่ในเรื่องของการนำเสนอ และบรรยากาศของเกม บอกได้เลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าเสียดายไม่น้อยที่มันไม่ได้เข้าชิงรางวัลอะไรเลยในเวทีต่าง ๆ ประจำปีนี้Somerville วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PC และ Console และสามารถเล่นได้บน PC Game Pass
22 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Marvel's Spider-Man: Miles Morales บน PC เมื่อสไปเดอร์แมนรุ่นน้อง ต้องดูแลทั้งเมืองให้รุ่นพี่!
Marvel's Spider-Man: Miles Morales เกมภาคแยกของเกมซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังจากค่าย Sony PlayStation อย่าง Marvel's Spider-Man โดยเกมภาคนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในเกมที่วางขายพร้อม PlayStation 5 และก็สร้างมาเพื่อโชว์พลังศักยภาพตัวเครื่อง PlayStation 5 ว่ายอดเยี่ยมขนาดไหน ซึ่งหลังจากวางขายไปครบ 2 ปี ในที่สุดเกมภาคนี้ก็ได้มาวางขายบนฝั่ง PC บ้างแล้วเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2022อย่างไรก็ตาม หลายคนก็น่าจะยังสงสัยว่าแล้ว Marvel's Spider-Man: Miles Morales เป็นเกมภาคที่ดีเหมือนภาคหลักไหม และตัวเกมที่พอร์ทมาลง PC จะดีให้น่าซื้อราคาเต็มหรือเปล่า วันนี้ทาง GameFever จึงขอพาทุกคนมาชมรีวิว Marvel's Spider-Man: Miles Morales ฉบับบน PC เกมจะดีหรือแย่ก็ดูกันได้ที่ด้านล่างเลย!!!มาดูกันที่ด้านคุณภาพตัวเกมฝั่งเนื้อเรื่องกันก่อนMarvel's Spider-Man: Miles Morales คือเกมที่เปลี่ยนตัวเอกมาเป็นสไปเดอร์แมนรุ่นน้องอย่าง Miles Morales ที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มาก และมีเนื้อเรื่องเล่าว่ารุ่นพี่ผ่านศึกมาเยอะอย่าง Peter Parker ได้ขอลาไปเที่ยวยุโรป แล้วช่วงที่รุ่นพี่ไม่อยู่ก็ดันมีวายร้ายวางแผนจะก่อเหตุการณ์ขั้นรุนแรงให้เกิดขึ้นในเมืองนิวยอร์ก จึงส่งผลให้รุ่นน้องที่ประสบการณ์ยังน้อยต้องทำทุกอย่าง เพื่อหยุดแผนร้ายนี้ให้ได้สำเร็จถือเป็นพอร์ทเรื่องที่น่าสนใจ และน่าจะเข้าถึงผู้เล่นหลายกลุ่มได้ดีกว่าภาคหลักอย่างมาก แล้วตัวเกมภาคนี้ก็สามารถทำแบบนั้นได้จริงๆ เพราะเนื้อเรื่องภาคนี้ก็ถือว่าทำออกมาดีมีภาพน่าจดจำเยอะ แถมคุณก็จะได้รู้สึกถึงความน่าติดตามตลอดการเล่น และก็ยังจะได้อินกับมิตรภาพตัวละครต่างๆ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักใครมาก่อนเลย เนื่องจากทุกตัวละคร NPC ในเกมนี้มีเสน่ห์สุดๆที่แจ้งไปด้านบนนั้นไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องหลักนะ แต่ในทุกๆ เนื้อเรื่องเสริม NPC ทุกคนก็มีเสน่ห์ และทำให้ทุกภารกิจนั้นน่าติดตาม หรือพวกฝ่ายตัวร้ายทุกฝั่งก็มีเอกลักษณ์ แถมทำให้คุณอินกับอุดมการณ์ของพวกเขาได้ ถือว่าเกมนี้มีจุดแข็งด้านดีไซน์ตัวละครจริงๆ เพราะสามารถทำให้คุณอินทุกซอกทุกมุมได้เก่งมากเนื้อเรื่องภาคนี้ยังมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้านครอบครัวของตัวเอกที่มีให้เห็นความสัมพันธ์ในหลายฉาก และเพื่อนของตัวเอกที่ไม่ได้มีพลังวิเศษ แต่ก็จะพยายามคอยช่วยตัวเอกตลอดเวลาจนดูเป็นอีกหนึ่งตัวละครน่าประทับใจ โดยถือเป็นการเล่าเรื่องในสเกลขนาดเล็กกว่าภาคหลักทั้งหมด แต่ก็กลับทำได้ทรงพลังจนทำให้ผู้เล่นรู้สึกอบอุ่นตลอดการเล่นอย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็กลับสั้นมากๆ เพราะมีแค่ 17 ภารกิจหลักเท่านั้น และคุณก็สามารถเล่นเกมนี้จบได้ภายในไม่ถึง 10 ชั่วโมง แถมช่วงท้ายๆ ภารกิจหลัก เราก็จะพบว่ามันเริ่มอิ่มหมดมุกแล้ว และเกมก็ยังจบได้ไม่ดีเท่าที่ควรเสียอย่างงั้น แต่ถึงจะมีข้อเสียตามที่บอกไป ยังไงเกมนี้ก็สามารถสร้างภาพจำอันงดงามดีๆ ให้คนเล่นมองข้ามสิ่งพวกนี้ไปได้อยู่จุดนำเสนอของเกมนี้ (ถ้าเคยเล่นภาคหลักข้ามหัวข้อนี้ไปได้เลย)นอกจากด้านเนื้อเรื่อง เกมนี้ก็ทำระบบ Open World ออกมาได้ดีอย่างมาก โดยตัวเมืองนิวยอร์กนั้นจะมีแลนด์มาร์กที่น่าสนใจให้พบตามโลกจริง และหลายๆ สถานที่ในเกมนี้ก็ยังใส่รายละเอียดเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ซึงในช่วงที่คุณลงมาเดินสำรวจตามถนนต่างๆ จะเห็นได้เลยว่าเหล่าชาวเมือง NPC นั้นใช้ชีวิตกันแบบดูได้อรรถรสสมจริง ถือเป็นเซอร์ไพร์สที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในเกมสไปเดอร์แมนถ้าคุณรู้เรื่องจักรวาล Marvel มาพอสมควร หรือเคยดูภาพยนตร์ต่างๆ มาก่อน คุณก็จะได้พบหลายๆ สถานที่ที่เคยเห็น และในเกมนี้ก็ยังมีการใส่สถานที่อย่างตึก Avenger Tower หรืออื่นๆ มาด้วย ทำให้การเล่นของคุณนั้นจะอินขึ้นไปอย่างมาก แต่ถ้าคุณไม่รู้เรื่องจักรวาล Marvel ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเกมนี้ก็จะทำให้คุณสนุก และอินได้อยู่ในตามด้านเนื้อเรื่องที่ได้บอกไป แถมนี่อาจเป็นก้าวแรกให้คุณหลงรัก Marvel ก็เป็นได้มาที่ส่วนเกมเพลย์กันบ้าง เราจะมีอิสระสามารถไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยการโหนไย โดยระบบเดินทางเกมนี้ก็ทำออกมาได้ลื่นไหล และเต็มอิ่มกับอรรถรสสุดๆ เลย แถมในช่วงโหนไยก็มีให้เล่นท่าสวยๆ ด้วย ซึ่งมันช่วยทำให้การเดินทางนั้นดูไม่น่าเบื่อ แล้วก็จะมีความสามารถตามสไปเดอร์แมนอย่างการไต่ตึกเป็นต้นส่วนระบบต่อสู้เกมนี้คือจุดเด่นอันดับต้นๆ เลย ระบบต่อสู้นั้นจะรวดเร็ว และเน้นทำคอมโบมันส์ๆ โดยที่พวกอนิเมชั่นจะดูสมจริงได้อรรถรสไม่ต่างจากการดูภาพยนตร์ แล้วพวกศัตรูนั้นจะมีหลายฝ่ายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีแนวทางการต่อสู้กันไปอีก ทำให้เราต้องใช้ทักษะต่อยเตะ หรือใช้อุปกรณ์ต่างๆ มาแก้ทางอยู่เรื่อย จุดนี้แน่นอนว่ายอดเยี่ยมสุดๆเอกลักษณ์ของเกมภาคนี้ในเกมภาคนี้จะนำเสนอระบบ 'พลังไฟฟ้า' ที่เป็นพลังวิเศษของตัวเอกภาคนี้ โดยเมื่อเรามีเกจพลังไฟฟ้าเต็ม 1 หลอด จะทำให้สามารถใช้ไม้ตายเป็นท่าต่างๆ ในการต่อสู้เพื่อสร้างความได้เปรียบหรือแก้ทางศัตรู แถมมันยังเอาไว้ใช้ในตอนเดินทางให้เคลื่อนที่เร็วกว่าเดิมได้ด้วย รวมทั้งก็จะมีให้เอาไปแก้ปริศนาอีกเพียบ ซึ่งระบบนี้เป็นเอกลักษณ์แปลกใหม่ที่จะทำให้คนเล่นฟินระดับหนึ่งเลยนอกนั้นก็คือเหล่ากิจกรรมต่างๆ ในแผนที่ที่ก็มีให้ทำระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นตามหาของมาอัปเกรดตัวละคร หรือไปกำราบฐานศัตรูตามจำนวนต่างๆ และเหล่าปริศนาให้เราตามเก็บจนเต็ม 100% แต่สิ่งพวกนี้จะทำได้หลังจากเล่นเนื้อเรื่องไประดับหนึ่ง แล้วเกมภาคนี้ยังมีระบบ 'มือถือ' ให้เรารับงานเควสเสริมหรือรับงานกำจัดโจรตามภารกิจสุ่ม ซึ่งก็ทำให้ผู้เล่นอินกับการผจญภัยในโลก Open World เกมนี้ได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตาม คอนเทนต์พวกกิจกรรมต่างๆ ก็ให้ความรู้สึกน้อยอย่างเห็นได้ชัดถ้าคุณเคยเล่นภาคหลักมาก่อน เพราะกิจกรรมจะแบ่งออกมาใหญ่ๆ ได้ประมาณ 6 กิจกรรมเท่านั้น แล้วจุดนี้พอบวกกับเนื้อเรื่องที่สั้นมากๆ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเกมภาคนี้ไม่ต่างอะไรกับการเป็นภาคเสริมเลย ทำให้ถ้าคุณจะซื้อในราคาหลัก 1,000 ขึ้นไปต้องคิดดีๆ กับตรงนี้หน่อย เนื่องจากเกมอื่นในราคาใกล้ๆ กันหรือเกมภาคหลักจะให้คุณได้เต็มอิ่มกับเนื้อหามากกว่านั่นเองแต่เกมภาคนี้ก็มี New Game Plus หรือระดับความยากหลายรูปแบบอยู่นะ ทำให้คนเล่นก็อยากกลับมาเล่นวนอีกรอบได้อยู่ รวมทั้งนี่ก็เป็นหนึ่งในเกมที่น่าถ่ายรูปสวยหลายจุด และก็มีโหมดถ่ายรูปแจ่มๆ มาให้ด้วย ส่งผลให้ถ้าใครเคยเล่นภาคหลักมาก่อน และมีทุนเยอะอยู่ระดับหนึ่ง จะซื้อมาเล่นก็ถือว่าคุ้มประสบการณ์บนฝั่ง PCเป็นอีกหนึ่งเกมจากทาง PlayStation Sony ที่พอร์ทลง PC มาได้ดีมากๆ โดย PC ที่ทางผู้เขียนใช้เล่นนั้นไม่พบปัญหาขณะเล่นหรือบั๊กอะไรเลย โดยสเปคเครื่องของผู้เขียนยังเล่นได้ที่ภาพระดับ 1080p 60fps สบายๆ แต่ตอนที่ลองเล่นทาง AMD ไม่ได้ปล่อยไดรเวอร์สำหรับเกมนี้มาให้อัปเดตเสียที จึงทำให้บางทีตอนโหนไยจะมีเฟรมหล่นไป 50fps แต่ก็นานๆ ทีถึงจะเป็นแบบนั้นสเปคที่ทางเราใช้เล่นเกมนี้ระบบปฎิบัติการ : Windows 10 64-bitโปรเซสเซอร์ : AMD Ryzen 5 5600Xหน่วยความจำ : แรม 16 GBการ์ดจอ : AMD Radeon RX 6600 XTพื้นที่จัดเก็บข้อมูล : SSDภาพกราฟิกบน PC นั้นจะเหมือนกับของเกม PlayStation 5 ในทุกส่วน ไม่ได้มีความสวยกว่าอะไรแบบนั้นให้เห็น แต่พวก Ray Tracing อันนี้ทางผู้เขียนใช้การ์ดจอ AMD จึงเปิดไม่ได้ (จริงๆ เปิดได้ แต่พวกประสิทธิจะไม่ดี เนื่องจาก AMD ไม่ได้รองรับ) แต่ทางผู้เขียนไปลองผ่าน PC การ์ดจอ GTX 3080 ก็พบว่าประสิทธิภาพนั้นทำดีมากๆ ไม่ต่างจากของ PlayStation 5 เช่นกันระบบการปรับภาพกราฟิกของเกมภาคนี้ก็ทำมาได้ดีตามมาตรฐาน และเหล่าพวก Ray Tracing ก็ให้ปรับได้หลากหลายสไตล์พอสมควร รวมทั้งเกมภาคนี้ยังรองรับระบบ DLSS ให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ลื่นขึ้นอีกด้วย ส่วนพวกระบบเสียงในเกมก็มีให้ปรับได้หลากหลายตามสไตล์ของเกม Sony เช่นกัน เพื่อให้ผู้เล่นได้อรรถรสเสียงในเกมแบบเต็มประสบการณ์ แต่เกมนี้ก็ปรับได้ตามมาตรฐานเกม Sony ไม่ได้ถึงขั้นให้ปรับแยกได้เยอะแบบ Uncharted 4 หรือ The Last of Us 2 นะแล้วด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมโชว์ศักยภาพ PlayStation 5 หรือ SSD อย่างเต็มรูปแบบ ถ้าสเปค PC ของคุณถึงตามระดับที่เกมต้องการ ก็จะทำให้เล่นเกมนี้ได้ฟินไม่ต่างจากบน PlayStation 5 เลย ไม่ว่าจะตัวเกมที่ทำระบบมาให้เห็นว่าไม่มีฉากโหลดมากวนใจ หรือพวกภาพกราฟิกที่จัดเต็มตลอดเวลา แล้วสิ่งพวกนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในเกมภาคหลักด้วยสรุปMarvel's Spider-Man: Miles Morales ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมดีที่สมการรอคอยมาลงบน PC แน่นอน แต่ปัญหาเดียวเลยคือมันเหมือนเกมภาคเสริม เพราะเนื้อเรื่องที่สั้น รวมทั้งคอนเทนต์ที่น้อย ทำให้ใครไม่เคยเล่นภาคหลักก็ควรไปสัมผัสภาคหลักก่อน แต่เกมภาคนี้ก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง รวมทั้งเป็นภาคที่โชว์ขุมพลัง PlayStation 5 กับ SSD จึงทำให้ภาคนี้จะมีอะไรให้ฟินต่างกับภาคหลักแน่นอน
21 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Call of Duty: Modern Warfare II ภาคต่อเจ้าพ่อ FPS สุดมันส์ แต่ดันพังเพราะบั๊ค?!
กลับมาอีกครั้งกับแฟรนไชส์เกมยิงสุดเดือด และภาคนี้ถือว่าเป็นภาคที่หลายคนรอคอย เพราะคือการสานต่อชื่อจาก Call of Duty ภาคที่โด่งดังที่สุดภาคหนึ่งอย่าง Modern Warfare II อีกครั้ง ซึ่งก็ทำให้เกมต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนซีรีส์อย่างมาก แต่การกลับมาคราวนี้จะเป็นยังไง ยอดเยี่ยมสมการรอคอยมากน้อยแค่ไหน ต้องลองมาอ่านรีวิวของเรากันเนื้อเรื่องที่สานต่อจากภาค Modern Warfare 2019เนื่องจากภาคนี้เป็นภาคต่อจากภาค Reboot เมื่อปี 2019 เนื้อหาจึงดำเนินเรื่องราวต่อกัน ในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นสมาชิกทีม Task Force 141 แต่จะได้เล่นเป็นคใร ตัวละครไหน ก็แล้วแต่ฉากและภารกิจนั้น ๆ เนื้อเรื่องในภาคนี้จะว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มก่อการร้าย Quds ที่นำโดย Hassan Zyani ที่อยู่ดี ๆ เขาก็มีอาวุธขีปนาวุธร้ายแรงของอเมริกาอยู่ภายในมือ ทำให้สมาชิกทีม Task Force 141 ถูกเรียกออกปฏิบัติการเพื่อสืบหาที่มาที่ไปว่า เหตุใดอาวุธของอเมริกาจึงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย และยังต้องร่วมมือกับหน่วยรบมากฝีมือจากเม็กซิโกสำหรับเนื้อเรื่องของภาคนี้ เสียงวิจารณ์นั้นค่อนข้างแตกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน คนที่ชอบก็ชอบ คนที่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบไปเลย แต่สำหรับผู้เขียนมองว่า ภาคนี้ตั้งใจนำเสนอแนวทางที่ต่างจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด ในภาคที่แล้ว เราจะได้ทำภารกิจแบบบู๊ระห่ำ เดินหน้าลุย ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในขณะที่ภาคนี้ เกมเน้นความเป็นกลยุทธ์ ความ Tactical ในภารกิจต่าง ๆ มากกว่า ทำให้รสชาติและอารมณ์ในการเล่นนั้น แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะจากที่ได้บู๊มัน ๆ ก็ต้องมานั่งเล่นกันแบบกลยุทธ์ ไม่ได้วิ่งยิงเหมือนภาคแรกและตัวเกมยังเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อประการนี้ ผู้เล่นจะรู้เลยว่าการถูกยิงแต่ละครั้งทำให้ตัวละครที่เราเล่น ดูขาดความเป็นมืออาชีพกันแบบสุด ๆ เพราะการนำเสนอที่เปลี่ยนไปของเนื้อหาในเกมภาคนี้ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะไม่ชอบ นอกจากนั้นเกมเพลย์บางส่วนยังฉีกแนวไปจากเดิม ซึ่งคาดว่าเป็นการตั้งใจนำเสนอเพื่อให้ผู้เล่นคุ้นชินกับระบบต่าง ๆ ที่จะมาใน Warzone 2.0ด้วยเหตุนี้ทำให้โหมดเนื้อเรื่องของเกม ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจขายเนื้อเรื่องจริง ๆ แต่ไปเน้นเกมเพลย์ที่ตั้งใจนำเสนอโหมดอื่น บวกกับเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงการนำเสนอ จึงไม่แปลกใจที่แฟน ๆ หลายคนจะเสียงแตกกันขนาดนี้ แต่อย่างน้อยมันก็ปูทางไปสู่ภาคต่อ (หรือ DLC) ได้อย่างน่าติดตามเหมือนเดิม และถือเป็น Call of Duty อีกภาคที่ประสบความสำเร็จในด้านการทำแคมเปญเนื้อเรื่องเกมราคาแพง แต่อัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ที่คุ้มค่าเกินราคาในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีเท่าไรในยุคนี้ เชื่อเหลือเกินว่าแฟนเกมบางคนต่อให้อยากเล่นแค่ไหน แต่เจอราคาขั้นต่ำ 2,300 บาทเข้าไป ก็ต้องมีคิดแล้วคิดอีกกันอยู่บ้าง แต่ใครที่เงินถึงแต่ยังลังเลว่ามันจะคุ้มค่าหรือไม่ เราก็ตอบให้ตรง ๆ ตรงนี้เลยว่ามันคุ้มค่ามาก ๆ โหมดเนื้อเรื่องหรือแคมเปญหลักของเกมนั้น อาจจะมีความยาวอยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สำหรับแฟน ๆ Call of Duty ที่เเล่นมาหลายภาคจะรู้ดีอยู่แล้วว่า Call of Duty นั้น สนับสนุนเนื้อหาในโหมด Multiplayer ยาวกันเป็นปี ๆ ดังนั้นคำเตือนสำหรับคนที่คิดจะซื้อมาเล่นจริง ๆ ก็คือ คุณต้องแน่ใจว่าคุณจะเล่นโหมดออนไลน์ของเกมนี้จริง ๆ และเล่นในระยะยาวด้วย ไม่อย่างนั้นซื้อมาเล่นแค่เนื้อเรื่องมันจะไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไรแต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเกม FPS Multiplayer สำหรับ Call of Duty นั้น แทบจะมีทุกโหมด เกมการเล่นแทบจะทุกแบบให้คุณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโหมด Co-op ที่เอาไว้เล่นเก็บสะสมของรางวัลประจำสัปดาห์ และเนื้อหาบางช่วงจะต่อจากแคมเปญเนื้อเรื่องหลัก โหมด Multiplayer ที่อัดแน่นไปด้วยโหมดต่าง ๆ มากมายให้เราได้สนุกกัน หรือแม้แต่โหมดขนาดใหญ่อย่าง Invasion หรือ Ground War เรียกได้ว่าคอนเทนต์ Multiplayer ของเกมนี้ อัดแน่นไปด้วยรูปแบบเกมการเล่นที่ครบเครื่อง คือถ้าคุณซื้อมาแล้วเล่น ยังไงก็คุ้มค่าแน่นอน ยังไม่รวมถึงระบบต่าง ๆ นา ๆ ที่จะทำให้คุณเสียเวลาชีวิตไปเป็นร้อยชั่วโมงกับระบบของเกมนี้เอาง่าย ๆ คือแม้จะมีราคาสูงถึง 2,000 บาทขึ้นไป แต่สำหรับแฟนเกมยิงออนไลน์แล้วล่ะก็ นี่คือเกมที่คอนเทนต์คุ้มค่าอย่างมาก เพราะมันมีอะไรต่อมิอะไรให้คุณได้ทำเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเลเวลตัวละคร เลเวลอาวุธ และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณเป็นแฟน Call of Duty และอยากลงหลักปักฐานกับเกมอะไรสักเกมที่มีอนาคตยาวไกลแล้วล่ะก็ Call of Duty: Modern Warfare II ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วเกมเพลย์ที่รองรับคนทุกประเภท อยากเล่นอะไร COD มีให้หมดนอกจากคอนเทนต์จะอัดแน่นแล้ว สิ่งที่ตามมากับคอนเทนต์ที่เยอะมาก ๆ คือเกมเพลย์ สำหรับเกมเพลย์ของ Call of Duty นั้น แต่ไหนแต่ไรก็เอาใจผู้เล่นทุกกลุ่ม ทุกประเภทกันอยู่แล้ว อยากเล่นโหมดไหน กี่คน เล่นยังไง มีหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมดพื้นฐานทั่วไปอย่าง Team Deathmatch หรือ Domination หรือจะเป็นโหมดที่เน้นวิ่งลุย ยิงกันตลอดเวลาอย่าง Hardpoint หรือจะไปโหมดจริงจังก็มี Search & Destroy หรือโหมดวางระเบิด และกับโหมดใหม่อย่าง Prisoner Rescue ที่เป็นโหมดชิงตัวประกัน ที่เราสามารถยิงล้มและชุบกันได้ 1 ครั้ง / 1 รอบการเล่น เรียกได้ว่า Call of Duty จัดเต็ม ใส่ทุกอย่างเท่าที่เกมยิงจะมีได้เข้ามาแล้วยังไม่รวมถึงโหมดเกมยิบย่อยอย่างเช่น Co-op ที่เป็นการป้องกันจุด ทำให้ได้อารมณ์เกมแนว Tower Defense หรือภารกิจปลดชนวนมิสไซล์ที่กลายเป็นเกม Co-op ตะลุยด่าน คือบอกได้เลยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเกมเมอร์สายอะไร เกมนี้มีทุกอย่างให้คุณเล่นแต่สำหรับหัวใจหลักของโหมด Multiplayer ยังไงก็น่าจะหนีไม่พ้นโหมดเกมหลัก ๆ ที่มีให้เลือกเล่นกว่า 9 โมหด แต่ส่วนมากแล้วในโซนเอเชียของเรานี้ จะเจออยู่แค่โหมด Domination / Hardpoint / Kill Confirmed หรือ Team Deathmatch เพราะเล่นง่าย สนุก จบไว ได้สู้กันตลอด เกมเพลย์ของภาคนี้ก็ยังคงความดุเดือดเอาไว้เหมือนกับภาค 2019 แต่ความเร็วอาจจะถูกลดลงมาเล็กน้อย ใครที่ไม่เคยเล่น หรือไม่ได้สังเกตจริง ๆ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไป หรือใครที่อยากเล่นกับเพื่อนสนุก ๆ อยากยิงบอทก็สามารถไปเล่นโหมด Co-op ที่เล่นกัน 2 คนได้ เกมเพลย์การเล่นในโหมด Co-op นี้ก็ยังใส่ระบบอย่างกการป้องกัน หรือ Tower Defense ใส่เอาไว้ด้วย แถมในอนาคตยังมีโหมดฟรีอย่าง Warzone / DMZ ตามเข้ามาอีก ครบทุกอย่างที่แฟนเกมต้องการสิ่งสำคัญจริง ๆ ของภาคนี้คือระบบของอาวุธ หรือ Gunsmith 2.0 ที่ทางตัวเกมภูมิใจเสนอตั้งแต่เกมยังไม่ออก ระบบ Gunsmith ภาคนี้ จะส่งผลให้ผู้เล่นต้องเล่นปืนหลากหลายกระบอก เพื่อปลดล็อคของแต่งปืน อย่างเช่น คุณต้องการของแต่งปืนกระบอกแรก ก็อาจจะต้องไปเล่นปืนกระบอกที่ 2 แต่ปืนกระบอกที่ 2 เองก็ยังไม่ได้ปลด ต้องไปเล่นปืนกระบอกที่ 3 เป็นต้น ด้วยระบบนี้ แม้ว่ามันจะดูยุ่งยากซับซ้อนไปซะหน่อย แต่อีกมุมหนึ่ง มันทำให้ผู้เล่นไม่ยึดติดอยู่กับการเล่นปืนกระบอกเดียวมากเกินไป และตอนนี้ เอาแค่แพทช์ ณ ปัจจุบันก่อน Season 1 เกมก็มีปืนให้เลือกใช้มากมายอยู่แล้ว เพิ่มความหลากหลายและทำให้ผู้เล่นติดพันมากยิ่งขึ้นกว่าภาคก่อนหน้าสำหรับเกมเพลย์ของการยิงก็ดูจะไม่ค่อยต่างจากภาคก่อนหน้านี้สักเท่าไร มีเพียงการ Mantling หรือการเกาะขอบต่าง ๆ ช่วยเพิ่มลูกเล่นในการเล่นให้มีสีสันมากขึ้น เพียงแต่การ Mantling นั้น จะทำให้เราใช้ได้แต่อาวุธรองเท่านั้น ระบบอื่น ๆ อย่าง Killstreak / Scorestreak เองก็ยังอยู่ครบ และสลับไปมาได้ เลือกได้ว่าจะฆ่าให้ได้เยอะ หรือเอาคะแนนแทน อย่างที่บอวก่าเกมเพลย์ของ Modern Warfare II นั้น รองรับผู้เล่นแทบจะทุกกลุ่ม ทุกไซส์ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังมีไม่ครบ แต่ในอนาคต ในการอัปเดต รับรองว่ามาอีกเพียบ เล่นกันได้หมด ทั้งคนเสียเงินซื้อหรือเล่นฟรี และเราคงต้องบอกกันอีกรอบว่า ใครกำลังมองหาเกมยิงเล่นระยะยาวชนิดที่ว่าเล่นได้เป็ฯปี ๆ โดยคุณไม่เบื่อก่อน ก็ต้อง Call of Duty: Modern Warfare II นี่แหละแม้จะสอบผ่านด้าน Performance แต่ปัญหาจุกจิกก็มีเพียบจนถึงปัจจุบันข้อดีของ Modern Warfare II คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับกลาง ๆ ก็ยังคงเล่นได้ อาจเพราะตัวเกมยังคงต้องลงให้กับเครื่องเจ็นเก่าอย่าง PlayStation 4 อยู่ด้วย และคอมพิวเตอร์ระดับกลาง หรือต่ำ ปรับ ๆ หลาย ๆ อย่างใน Setting Menu หน่อยก็พอจะเล่นได้บ้าง แต่กราฟิกจะออกมาประมาณไหนก็ต้องไปดูกันเอาเองแต่ Performance ของเกมที่มีปัญหาจริง ๆ อยู่ที่บั๊กต่าง ๆ ของเกมที่เปิดตัวมาด้วยปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมแครช เกมเด้ง หลุด ค้าง ที่โดนกันถ้วนหน้า หรือภาพกะพริบที่ชาว Nvidia ต้องอัปเดตไดรเวอร์การ์ดจอแก้กันอย่างสนุกสนาน โชคดีที่ปัญหาด้านเฟรมเรทตก หรือตัวเกมขณะเล่นนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่จะมามีปัญหาตรงพวก Error ต่าง ๆ นี้เยอะไปซะหน่อย จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะแก้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีคนเจอปัญหานี้อยู่บ้าง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันต่อไปCall of Duty: Modern Warfare II เป็นอีกหนึ่งเกมยิงแห่งปีที่หากคุณชื่นชอบเกมออนไลน์ เกมยิง ยังไงก็ต้องเกมนี้ แต่อาจจะต้องทนรับสภาพปัญหาบั๊กกันสักหน่อยในตอนนี้
14 Nov 2022
[บทความ] แนะนำ Anthem เกมสุดพัง แต่ก็ยังมีความปังให้น่าซื้อมาเล่น!
Anthem ชื่อนี้คงน่าจะทำให้ใครหลายคนเห็นภาพถึงหนึ่งในเกมประสบความล้มเหลวจากค่าย EA เนื่องจากตัวเกมตอนออกมาวางขายมีแต่ข่าวเสียๆ เต็มไปหมด อารมณ์เหมือนเกมนั้นยังสร้างไม่ทันเสร็จดี และหลังผ่านไปหลายปี EA ก็ยังประกาศเลิกอัปเดตเกมนี้ไปดื้อๆ จนเกมไม่ได้มีการแก้ตัวให้กลายมาเป็นยอดเยี่ยมแบบเกมอย่าง No Man's Sky หรือ Cyberpunk 2077 โดยก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมากอย่างไรก็ตาม เกมๆ นี้แม้จะพังไปขนาดไหน แต่มันก็ยังมีความปังให้น่าซื้อมาเล่นในช่วงเวลานี้อยู่นะ!!! แถมตอนเกมลดราคาก็จะเหลืออยู่ที่ประมาณ 100-300 บาททั้งบน PC โปรแกรม Origin หรือบน PlayStation กับ XBOX แถมเกมนี้ก็มีอยู่ในบริการรายเดือน EA Play อีกด้วย โดยใครที่สงสัยว่าแล้วเกมนี้มันมีความปังอะไรบ้าง!? รับชมเต็มๆ กันได้ที่ด้านล่างเลย[บทความนี้เป็นการแนะนำกึ่งรีวิวนะถ้าไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ก็ไปดูสรุปสั้นๆ และคะแนนความน่าซื้อได้ที่ด้านล่างเลย]ชุดเกราะสุดไฮเทค Exosuit คือพระเอกของเกมนี้แบบสุดๆขอพูดตั้งแต่แรกเลยว่าถ้าคุณชอบ Iron Man และอยากเล่นเกมที่ให้เป็น Iron Man เกมนี้สามารถเล่นได้ทดแทนสูงอย่างมาก โดยจะเพราะอะไรให้ดูตามที่ด้านล่างๆ (ชุดเกราะ Exosuit เกมนี้มีชื่อเรียกใหญ่ๆ ว่า Javelin)เกมนี้จะแบ่งชุดเกราะ Exosuit 4 รูปแบบ โดยทุกรูปแบบจะมีวิธีต่อสู้ต่างกัน เหมือนกับการแบ่งอาชีพในเกม RPG เลย โดย 2 แบบแรกนั้นได้แรงบันดาลมาจาก Iron Man ด้วยนั่นคือ Ranger เกราะเก่งรอบด้าน และ Colossus เกราะเน้นถึก ส่วนอีก 2 คือ Storm เกราะจอมเวทย์ และ Intercepter เกราะเน้นความเร็วถือมีดไปไล่ซัดหน้าภาพเกราะ Rangerภาพเกราะ Colossusภาพเกราะ Stormภาพเกราะ Intercepterทุกเกราะจะมีวิธีต่อสู้ต่างกันไปหมด ต่างกันยันรูปแบบการเคลื่อนที่ ยกตัวอย่าง Storm ที่จะเป็นเกราะสไตล์จอมเวทย์ (แต่เวทย์วิทยาศาสตร์นะไม่ใช่แฟนตาซีหลุดโลก) ทำให้เราจะมีบาเรียรอบตัว และเวลาเคลื่อนที่ไวจะเป็นการลอยตัวพุ่งไปข้างหน้าเท่ๆ รวมทั้งสกิลโจมตีส่วนใหญ่จะเป็นการใช้พลังธาตุต่างๆ ประกอบด้วยไฟ, ไฟฟ้า และน้ำแข็งที่ใช้ได้เรื่อยๆ จนแทบไม่ต้องจับปืน แล้วตอนใช้ไม้ตายจะเป็นการคอมโบทั้ง 3 ธาตุ ซึ่งตรงนี้คนอ่านจะยังสงสัยว่าจุดเด่นรวมๆ เป็นยังไง แต่จะเห็นได้ชัดว่าชนิดชุดเกราะแบบนึงจะให้อารมณ์การเล่นต่างกันไปหลายส่วนเลยอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ระบบชุดเกราะ Exosuit ในเกมนี้แจ่มสุดๆ คือมันให้อรรถรสในการเล่นอย่างมาก ไม่ว่าจะอนิเมชั่น และฟิสิกส์ในการทำอะไรต่างๆ ยกตัวอย่างตอนที่ผู้เล่นบินจะฟินสุดๆ แถมไม่ว่าคุณจะเล่นด้วยจอยหรือคีย์บอร์ด เกมก็ยังทำให้คุณได้ฟิลน้ำหนักของชุดเกราะด้วย ทำให้ถ้าใครอยากเล่นเกมได้สวมเกราะ Exosuit เจ๋งๆ หรืออยากเป็น Iron Man นี่คือเกมที่จะตอบโจทย์คุณจริงๆ สุดท้ายคือเกมนี้จะมีร้านค้าสกิน Exosuit ที่สกินต่างๆ จะสวยงาม และเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปได้ทั้งตัวด้วย รวมทั้งเรายังเปลี่ยนแค่เฉพาะส่วนต่างๆ ได้ (ส่วนหัวหรือแค่ขาเป็นต้น) โดยสกินพวกนี้หาซื้อได้ด้วยการเติมหรือฟาร์มค่าเงินในเกมไปซื้อ แล้วตัวชุดเกราะยังปรับแต่งพวกสีหรือชนิดชิ้นส่วนๆ นั้นได้ (ชิ้นส่วนทำมาจากผ้าจะทำให้สีดูบางๆ หรือหนังสัตว์จะทำให้ดูสีเข้มๆ อะไรแบบนี้) ทำให้ถ้าคุณเป็นสายแต่ง เกมนี้ตอบโจทย์เอาเรื่องหน้าตาร้านค้าหน้าตาชุดสกินของเกราะ Ranger ถ้าคุณซื้อเกมแบบเวอร์ชั่น Deluxeแล้วก็สามารถปรับแต่งสี หรือใส่แแค่บางส่วนแล้วไปผสมกับสกินอื่นได้อิสระการออกแบบโลกในเกมที่น่าสำรวจมากๆหัวข้อนี้เราจะพูดกันทั้งเรื่องโลกในเกม และเนื้อเรื่องในเกม โดยเริ่มที่เนื้อเรื่องก่อนว่าเราจะได้เป็นฮีโร่ตกอับ แต่ก็เพิ่งกลับมาได้รับงานให้ไปหยุดพวกลัทธิตามหาพลังยึดโลก ซึ่งระหว่างทางเราจะได้ผจญภัย และรับภารกิจแปลกๆ ตลอดเวลา แถมตรงนี้ก็ทำออกมาได้ดีแบบเสพเพลินๆ เหมือนเรากำลังดูภาพยนตร์ Sci-FI อย่าง Star Wars หรือ Avatar อะไรทำนองนี้เลยเราจะได้พบเจอกับ NPC มากมาย และทุกคนจะมีให้เราได้สร้างความสัมพันธ์เรื่อยๆ และตรงนี้ก็มีเซอร์ไพร์สให้พบเจอเยอะมาก โดยบางบทสนทนาจะมีให้เราเลือกตอบแบบคนมองโลกแง่ดีกับแง่ร้ายได้ด้วย ซึ่งมันอาจไม่ส่งผลอะไรต่อเกมเลย แต่ก็จะทำให้ผู้เล่นอินไปกับจักรวาลในเกมเอาเรื่อง ส่งผลให้ใครเก่งอังกฤษ และชอบตีสนิทกับ NPC จะชอบเกมนี้เป็นพิเศษด้วย เพราะมันมีเยอะจนคาดไม่ถึง.มาต่อกันที่จักรวาลภายในเกม จักรวาลเกมนี้จะเป็นแนวยุคอนาคต แต่โลกในเกมจะแนวแบบมีเมืองเล็กๆ และเต็มไปด้วยป่าที่มีสิ่งสวยงามกับสัตว์ประหลาด โดยทั้งฉากตอนอยู่ในเมืองกับในป่า ทุกฉากสวยอลังมากๆ รวมทั้งในฉากจะมีการซ่อนสิ่งของเป็นเรื่องราวน่าสนใจให้ชมหรืออ่านศึกษาประวัติของมันกัน ทำให้ใครเป็นชอบอ่านก็จะอินเกมนี้เพิ่มไปอีกภาพฉากในเมืองภาพฉากในป่าพวกศัตรูในเกมนี้ก็มีหลายฝ่าย และหลายแบบพอสมควร โดยศัตรูจะมีฝ่ายให้อารมณ์แบบเป็นโจรมาหาปล้นสะดม หรือวายร้ายที่จะคว้าพลังยึดครองโลก ซึ่งทุกฝ่ายจะมีชนิดศัตรูต่างกันไป แล้วบางสถานที่อาจมีเป็นป้อมปืนสู้กับเราอะไรแบบนี้ แล้วก็ยังมีพวกมอนสเตอร์ตามจุดต่างๆ ในป่า ที่หลายตัวไม่เกีย่วกับเนื้อเรื่องเลย แต่มันก็มีเอกลักษณ์ต่อสู้ต่างกันสุดๆ แถมยังมีเป็นระดับไททันยักษ์เลยนั่นเองสุดท้ายนี้ อีกสิ่งที่อยากจะชมคือแม้ผู้สร้างจะดูทำเกมนี้ไม่เสร็จ แต่พวกเขาก็ทำให้จักรวาลเกมนี้มีมิติหลายอย่างที่สมบูรณ์แบบมากเลย ไม่ว่าจะด้านคนในเมืองที่ยังจะมีแบ่งเป็นฝ่ายตำรวจ, ฝ่ายนักสำรวจ, หรือฝ่ายฮีโร่สวมเกราะ Exosuit ทุกอย่างมันมีอะไรให้ค้นพบเต็มไปหมด จึงส่งผลให้สายเนื้อเรื่องน่าจะชอบเกมนี้เอาเรื่อง แต่ว่าสุดท้ายแล้วเนื้อเรื่องเกมนี้ก็สั้นเอาเรื่องอยู่นะ เพราะงั้นอย่าหวังว่าจะได้เต็มอิ่มมากขนาดนั้น แม้จักรวาลมันจะมิติเยอะระบบ RPG ที่ทำให้เกมเล่นได้เพลินเอาเรื่องอยู่ระบบ RPG ในเกมนี้อาจไม่ได้เทพมาก แต่ก็ถือว่าทำให้เกมน่าเล่นไปเรื่อยๆ โดยจะมีทั้งตัวระบบการทำดาเมจศัตรู, การคอมโบโจมตี และการฟาร์มหรือคคราฟไอเทมมาเริ่มที่ระบบแรกคือการทำดาเมจศัตรู โดยจะทำให้ศัตรูทุกตัวมีหลอดเลือด และเราจะทำดาเมจแบบปกติหรือ Critical ได้ (ถ้ายิงโดนหัวก็นับเป็น Critical) แล้วเกมจะมีระบบคอมโบโจมตีด้วย ซึ่งจะเกิดจากการเราใช้สกิลที่มีชนิดพลังต่างกัน แล้วจะเกิดเป็นปฎิกิริยาต่างๆ มาทำพลังดาเมจที่รุนแรงมาก (อารมณ์เหมือนคอมโบธาตุของเกม Genshin Impact เลย แต่เกมนี้มาจากสกิลที่ชนิดพลังต่างกันจากตัวละครเดียว)ตารางการคอมโบโจมตีส่วนการฟาร์มเกมนี้ก็จะให้ฟาร์มพวกอาวุธปืน, อาวุธประชิต, อาวุธสกิล, สกิลช่วยให้รอดตาย และชิ้นส่วนเสริมพลังเกราะ โดยพวกอาวุธปืนก็มีหลายชนิด ส่วนอาวุธสกิลจะส่งผลให้มีการโจมตีต่างกันสิ้นเชิงไปเลย ยกตัวอย่างของ Ranger มีสกิลยิงจรวด แต่เราเปลี่ยนเป็นสกิลยิงเลเซอร์แทนได้ แถมสกิลทุกอันของแต่ละอาชีพยังไม่เหมือนกันอีก ส่วนชิ้นส่วนเสริมพลังเกราะ จะมอบสกิลติดตัวพิเศษให้เรา ยกตัวอย่างใส่แล้วจะบินได้นานขึ้นเป็นต้นจากด้านบน ทุกชิ้นจะมีความแกร่งขึ้นอยู่กับเลเวล และจะมีระดับสีความเก่งที่ต่างกันไป ทำให้การฟาร์มเกมนี้มีมิติให้เล่นเพลินได้เรื่อยๆ แล้วช่วงท้ายเกมก็มีคอนเทนต์ยากๆ ที่เราต้องไปลุยอยู่ รวมทั้งมีให้ปรับความยากที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องฟาร์มจนมีค่าพลังให้ถึงตามความยากนั้นๆ ก่อนด้วยเกมยังมีเควสหลายรูปแบบเพียบ และมีเควสประจำวันอะไรแบบนี้ให้ได้ค่าเงินไปซื้อสกินสวยๆ มาใส่ โดยจุดนี้ถือเป็นคอนเทนต์ท้ายเกมให้เล่นได้เรื่อยๆ แล้วเกมก็ยังมีโหมดอารมณ์แบบ Open World ให้เราบินไปทำเควสสุ่มหรือเควสท้าทายต่างๆ ได้สิ่งที่ควรเตรียมใจก่อนซื้อเกมนี้บน PC สามารถเล่นได้ลื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไรหากคอมสเปคตรงตามที่เกมต้องการ แต่บน Console ไม่ว่าจะยุคเก่าหรือใหม่ เกมนี้จะเล่นได้เพียงแบบล็อก 30FPS เท่านั้น เนื่องจากเกมไม่มีอัปเดตให้ PlayStation 5 หรือ XBOX Series X l S แต่ภาพที่เล่นได้จะเป็น 4K อยู่ (บน XBOX Series X สามารถปลด 60FPS ได้ด้วยระบบพิเศษของเครื่อง แต่ความละเอียดภาพจะหล่นไปต่ำกว่า 1080P เสียอีก ทำให้ภาพในเกมแย่ถ้าเล่นบนจอสูงๆ)ตอนเล่นเกมนี้ในโหมดออนไลน์ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีปิงที่สูงอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ดีเลย์ให้เห็นจนน่าหงุดหงิดอะไรแบบนั้นสุดท้ายคือเกมนี้ไม่มีอัปเดตใหม่ๆ อีกแล้วแน่นอนเกมนี้รองรับ Coop ในทุกโหมด แม้โหมดเนื้อเรื่องก็ยัง Coop ได้ แต่เกมก็สามารถเล่นคนเดียวได้ด้วย แต่ถ้าจะเล่นคนเดียวต้องเข้าใจก่อนว่าระดับความยากต่างๆ ที่เกมมีให้เลือกจะทำมาเพื่อ Coop ทำให้ช่วงแรกๆ บางชุดเกราะจะลุยระดับ Hard ได้สบาย แต่บางชุดต้องระดับ Easy ถึงจะเล่นได้แฟร์ๆสรุปจากด้านบน เห็นได้ชัดว่า Anthem มันก็มีของดีของเด็ดอยู่นะ และทำให้น่าซื้อมาเล่นมากๆ ในราคาลดเหลือ 100-300 บาท โดยผู้เขียนก็ซื้อตอนลดมาแล้ว 2 รอบบน PC กับ PlayStation แล้วก็รู้สึกว่ามันเกินคุ้มไปเลยในราคานี้ ทำให้ใครหาเกมสวมเกราะเท่ๆ และจะไปลุยเดี่ยวหรือกับเพื่อน ก็แนะนำว่าอย่ามองข้ามเกมนี้ไป!!! แต่ยังไงเกมก็มีปัญหาตามที่แจ้งไป และก็มีเรื่องที่น่าผิดหวังนั่นแหละ
10 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Sonic Frontiers นี่คือเกมจากซีรีส์เจ้าเม่นสีฟ้า ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ถ้าให้พูดถึงเกมจากซีรีส์เจ้าเม่นสีฟ้า Sonic The Hedgehog ตัวซีรีส์มันก็อยู่กับเรามานานกว่า 30 ปีเข้าไปแล้วตั้งแต่เกมภาคแรกในปี 1991 ซึ่งตัวเกมก็ได้มีภาคต่อออกมาเรื่อย ๆ ทั้งดีบ้าง แป๊กบ้าง ซึ่งหนึ่งในจุดเด่นของตัวละครซีรีส์นี้ก็คงจะเป็นสปีดความเร็วของตัวละคร และภาพเคลื่อนไหวนั้นค่อนข้างเร็วกว่าเกม Platformer อื่น ๆ ในสมัยนั้น และในปี 2022 ทางผู้พัฒนาอย่าง SEGA ก็ได้ปล่อยเกมภาคใหม่อย่าง Sonic Frontiers ที่ในภาคนี้พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของเกมให้เรามีอิสระและพื้นที่เปิดกว้างในการสำรวจมากขึ้น รวมถึงยังใส่กลไกการต่อสู้ องค์ประกอบความเป็น RPG ด้วย ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่ามันควรค่าแก่การซื้อหรือไม่!?กราฟิก / การนำเสนอในด้านของกราฟิกใครที่เห็นภาพบรรยากาศของเกมมาบ้างแล้ว ท่านก็น่าจะเห็นความสวยงามของฉากที่ทำออกมาได้ค่อนข้างมีความสมจริงมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นส่วนตัวก็ยังรู้สึกขัด ๆ กับโมเดลของตัวละครที่ค่อยข้างดูมีความเป็นการ์ตูนมากเกินไป จนบางครั้งสีสันของตัวละครเอก มันอาจจะไปขัดกับศัตรูภายในเกม ขัดกับฉากต่าง ๆ พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นหนึ่งในสิ่งที่ต้อง=มก็คงจะเป็นในด้านของ Effect สกิลต่าง ๆ ที่ทำสีสันได้สวยงามมาก ๆ รวมถึงอีกหนึ่งสิ่งที่ขัดใจก็คงจะเป็นบรรยากาศภายในเกมที่มันค่อนข้างดูอ้างว้าง ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เลย แน่นอนว่าภายในเนื้อเรื่องของเกมก็จะมีการให้เหตุผลถึงบรรยากาศของดินแดนอันอ้างว้างนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้ตัวเกมขาดสีสันไปมากพอสมควร เนื้อเรื่องโดยเนื้อเรื่องของเกม Sonic Frontiers จะเล่าเรื่องราวของเจ้าเม่นสีฟ้า Sonic, Tails และ Amy ที่ตรวจจับสัญญาณบางอย่างในหมู่เกาะ Stafall Island แต่อยู่ดี ๆ ก็มีประตูมิติเกิดขึ้นและทำให้ทั้งหมดทุกดูดเข้าไปใน Cyber Space ถึงอย่างนั้นทาง Sonic เองก็ดันหลุดออกมาได้ แต่เพื่อน ๆ เขานั้นได้ติดกับดักทำให้เรานั้นจะต้องช่วยเหลือพวกเขา โดยเนื้อเรื่องของเกมจะค่อย ๆ เปิดเผยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ทางผู้พัฒนาพยายามคุมโทนให้ดูมีความซีเรียสนิด ๆ ใครที่ติดภาพเรื่องราว Sonic The Hedgehog ในแบบฉบับภาพยนตร์มาก่อนต้องยอมรับว่าตัวเกมภาคนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื้อเรื่องของเกมจะเน้นดราม่า ความจริงจัง และความซึ้งซะส่วนใหญ่โลกที่เปิดกว้าง ให้อิสระในการวิ่ง !!!!อย่างที่ทราบว่าเกม Sonic Frontiers ถูกดีไซน์แผนที่ให้มีความเป็นโลกเปิดมากขึ้น ทำให้เราจะได้มีอิสระในการสำรวจสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าจะให้พูดว่าตัวเกมเป็น Open World เต็มตัวก็คงไม่ได้ เพราะตัวเกมจะถูกแบ่งออกเป็น 5 โซนใหญ่ ๆ ซึ่งถ้าหากเรานั้นเล่นเนื้อเรื่องของโซนนั้นผ่านไปแล้ว เราจะไม่สามารถกลับไปโซนเดิมได้อีกนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นภายในแต่ละโซนก็จะมีอะไรให้เราทำมากพอสมควร โดยเนื้อเรื่องภายในเกมนั้นจะต้องให้เราไปหาเก็บพลังชีวิตเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ติดกับดักอยู่ โดยพลังชีวิตเหล่านี้เราก็จะอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในแผนที่ โดยเราก็จะต้องใช้พลังวิ่งเร็วของเจ้าโซนิคนี่แหละในการกระโดดเก็บบ้าง บางอันเก็บง่าย ๆ บางอันเก็บยาก และมันก็เหมือนกับปริศนาย่อม ๆ ให้เราต้องคิดด้วยว่า การเก็บพลังชีวิตจุดนี้ จะต้องไปเริ่มจากจุดไหนรวมถึงเราจะต้องทำการไปวิ่งเปิดแผนที่ด้วยตัวเอง ซึ่งการเปิดแผนที่ก็จะอยู๋ตามจุดเช่นกัน โดยการเปิดแผนที่เราเองก็อาจจะต้องทำชาเลนซ์เล็ก ๆ อย่างเช่นไปตรงจุด ๆ นี้ให้ถึงเวลา เตะลูกบอลให้เข้าห่วง หรือเล่นมินิเกมบางอย่างก็จะสามารถเปิดได้ ซึ่งหลัก ๆ ในการผจญภัยส่วนใหญ่จะอยู่กับการหาพลังชีวิตเพื่อช่วยเพื่อน และเปิดแผนที่นั่นเองกลไกการต่อสู้ที่น่าสนใจ และมอนสเตอร์สุดอลังการณ์สำหรับการต่อสู้ตัวเกมก็ใช้องค์ประกอบของความเป็น Action Hack and Slash เข้ามาผสมอยู่ด้วย โดยเราจะได้เจอกับเหล่ามอนสเตอร์ที่จะเกิดขึ้นมาและโจมตีเราอยู่ตลอด (หรือมอนสเตอร์บางตัวก็จะอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว) โดยระบบการโจมตี ตัวเกมจะเน้นการใช้คอมโบจากสกิลต่าง ๆ ที่เราได้อัปเกรดมาผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมโบโจมตีรัว ๆ อย่าง Phantom Rush การใช้พลังอย่าง Sonic Boom ในการโจมตี หรือจะใช้สกิล Wils Rush พุ่งโจมตีไปทำดาเมจใส่ศัตรู ซึ่งแล้วแต่คุณจะจินตนาการออก แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้เก่งอะไรมาก การกดโจมตีธรรมดามันก็สามารถทำให้คุณผ่านด่านได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าอาจจะช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ส่วนอีกหนึ่งที่น่าจะเป็นไฮไลท์ของเกมก็คือเหล่ามอนสเตอร์ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ และแพทเทิร์นการโจมตีที่แตกต่างกัน โดยเราจะต้องศึกษา และเรียนรู้ศัตรูในการจัดการ และพิเศษมาก ๆ ก็คงจะเป็นเหล่ามินิบอสในเกมตัวมหึมาที่เวลาต่อสู้ เรานั้นจะต้องพยายามปีนขึ้นไปบนตัวมันเพื่อทำดาเมจใส่จุดอ่อนที่อยู่ด้านบน หรือมินิบอสบางตัวที่จะบินวนไปมา โดยเราจะต้องหาที่สูงเพื่อหาจังหวะกระโดนปีนขึ้นไปบนหางเพื่อต่อสู้กับบอสตัวนั้นได้ หรือจะเป็นบอสบางตัวที่จะอยู่ในพื้นดินทะเลทรายก็มีเช่นกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าบอสเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ซึ่งการต่อสู้มีความสนุกและตื่นเต้นทุกครั้งตะลุยด่านต่าง ๆ ในประตูมิติอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่พูดไม่ได้ ของเกม Sonic Frontiers ที่มันชวนทำให้คิดถึงเกมเพลย์แนว Platformer สมัยก่อน นั่นก็คือประตูมิติที่จะให้เรานั้นได้เข้าไปตะลุยด่านแต่ละด่าน (โดยโซนพื้นที่หนึ่งจะมีราว ๆ 7 ด่าน) ที่ทางเข้านั้นจะตั้งอยู่ทั่วแผนที่ ซึ่งมันจะให้ความรู้สึกถึงเกมแพลตฟอร์มเมอร์สมัยก่อน วิ่งกระโดดเก็บเหรียญ กระโดดเหยียบโจมตีศัตรู หรือการใช้สปีดของโซนิคพุ่งตะลุยในจุดต่าง ๆ ซึ่งจุดประสงค์ที่เราจะต้องเข้าไปก็เพราะเราต้องเก็บกุญแจเพื่อเอามาปลดล็อคเนื้อเรื่องต่อนั่นเอง โดยเราจะต้องทำชาเลนซ์ต่าง ๆ ภายในด่านอย่างเช่นการเก็บเหรียญในด่านนั้นให้ครบตามกำหนด การเก็บเหรียญสีแดงในแผนที่ให้ครบต่อการวิ่งครั้งเดียว หรือการเล่นด่านให้จบเป็นต้น สรุปถ้าให้พูดถึงเกม Sonic Frontiers เปรียบเทียบกับเกมแนว Action Adventure อื่น ๆ ตัวเกมก็ไม่ได้มีรายละเอียดที่ลึกซึ้งใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าให้เปรียบเทียบกับเกม Platformer ด้วยกัน หรือเปรียบเทียบกับเกมโซนิคด้วยกันเอง ต้องยอมรับเลยว่า Sonic Frontiers นั้นยกระดับคุณภาพออกมาได้อย่างดี ถึงแม้ว่ารายละเอียดในเชิงลึกของเกมอาจจะยังไม่สูงมาก แต่โดยรวมตัวเกมก็มีลูกเล่นที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ของเหล่ามอนสเตอร์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ อย่างเช่นพวกบอสในเกมตัวมหิมาอย่างที่กล่าวไป หรือแพลตเทิร์นการโจมตีที่ต่างกันไปอีก รวมถึงอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้โซนิคไม่เหมือนเกมตระกูล Platformer อื่น ๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของสปีดความเร็วของเกมที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมโซนิค แน่นอนว่าสำหรับใครที่มองภาพของเกมที่เร็วมากไม่ได้ ท่านก็อาจจะมีปวดหัวกันบ้าง แต่ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ค่อนเล่นเกมแนวนี้ เรื่องจากความช้าของมัน แต่โซนิคมากลบสิ่งที่ส่วนตัวไม่ชอบตรงนี้และถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียแน่นอนว่าในด้านกราฟิกของเกมที่มันดูขัดกันแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของบรรยากาศของเกมที่มันดูอ้างว้างมากเกินไป ถึงแม้ว่าภายในเกมจะมีเนื้อเรื่องเหตุผลมารองรับ แต่เชื่อว่าการได้ผจญภัยในดินแดนที่พบเจอผู้คน (หรือจะไปวิ่งภายในเมืองเลย) อาจจะทำให้ตัวเกมดูน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้ รวมถึงในด้านเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนมองว่าการปูธีมของเกมที่จะเน้นความจริงจัง บทพูดที่ดูชวนซึ่งและซีเรียส แน่นอนว่าผู้เขียนอาจจะไม่เชี่ยวชาญเกมโซนิคภาคก่อน ๆ ว่ามีการทำเนื้อเรื่องสไตล์นี้ไหม แต่ภาพจำของผู้เขียนต่อโซนิคไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอที่ออกมา หรือภาพยนตร์ตัวเกมมันดูน่ารัก และบทพูดที่มีความตลกชวนจิกกัดซึ่งมันน่าสนใจมากกว่า
08 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม The Tenants ปล่อยเช่าก็ได้ ซื้อขายก็ดี เกมจำลองชีวิตนักอสังหาที่เพลินเกินคาดคิด
The Tenants ผู้เขียนไปเห็นว่ามันเป็นเกมแนะนำช่วงลดราคาเลยไปหาอ่านศึกษาคอนเซปต์ของเกมดู ซึ่งมันมีความน่าสนใจมาก ๆ ครับ ถึงแม้จะวางขายมานานเป็นปีแล้ว ซึ่งในเกมนี้เราจะต้องรับบทเป็นนักอสังหาริมทรัพย์ท่านหนึ่ง ที่จะต้องรีโนเวทสิ่งปลูกสร้าง ปล่อยเช่า ปล่อยขาย แล้วเมคมันนีกับสินทรัพย์ของเราครับผมลองดูภาพจาก Trailer ก่อนตัดสินใจซื้อมันมาก็คิดว่า เออถ้าไม่ได้เล่นเนี่ย เสียใจแน่ ๆ เลย เพราะภาพของเกมเป็นแนวที่ผมค่อนข้างชอบเพราะ The Tenants มีภาพน่ารักดูเข้าถึงง่าย ไม่จริงจังแบบเกมระดับ AAA (ไม่ใช่ไม่อยากเล่นนะครับ แต่เครื่องผมเกมระดับ AAA มันเล่นไม่ไหว ฮ่า ๆ)ถึงแม้จะวางขายกันมาตั้งแต่ 25 มี.ค. 2021 แต่ผู้เขียนเชื่อว่ามันยังเป็นเกมที่น่าเล่นอยู่ครับ เลยอยากจะมารีวิวชวนเพื่อน ๆ มาเล่นด้วยกัน บรรยากาศในเกมเป็นยังไงนั้นเราไปดูกันดีกว่าครับเพลินกว่าที่คิด มีระบบที่หลากหลาย อาจจะต้องทำความเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่ยากจนเกินไปเกมเพลย์ในเกมนี้มีให้เราได้เลือกเล่นอยู่ 2 โหมดด้วยกันครับ ได้แก่Default Mode - ซึ่งเป็นโหมดเนื้อเรื่องนะครับ เราจะได้รับบทบาทเป็น Landlord (เจ้าของบ้านเช่า หรือเจ้าของที่ดิน) ท่านหนึ่ง สามารถเลือก Avatar ได้ แต่ค่อนข้างมีให้เลือกจำกัดครับ โดยเริ่มแรกในเกมนั้นจะมีคุณลุง Steve มาคอยเป็นไกด์สอนงานเรา แผนที่จะปลดล็อคเมืองให้เราเล่นไปเรื่อย ๆ ครับ จากที่เล่นดูคร่าว ๆ ผมคาดเดาว่ามีประมาณ 3 เมืองครับ ช่วงแรก ๆ นั้นเราก็จะเน้นหลัก ๆ ไปที่การรับรีโนเวทบ้านของลูกค้าผู้จ้างวานเรา ให้ช่วยปรับปรุงหรือต่อเติมบ้านของพวกเขาครับ เมื่อเราเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว เราสามารถนำเงินที่หามาได้ไปประมูลที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ภายในเมือง ถ้าเราประมูลชนะเรียบร้อย เราก็แค่ปรับปรุงบ้านที่เราได้มาให้สวยงามแล้วจะปล่อยเช่า หรือปล่อยขายก็ได้ตามแต่ใจเราเลยครับ มีระบบอัพ Skill ทั้งของตัวเราเอง (Player) และของลุง Steve ผมบอกเลยว่าเพลินมาก ๆ เพราะมีอะไรให้ทำเยอะมาก ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องใช้ความเข้าใจกับระบบของเกมหน่อยครับ เพราะมีระบบให้คนมาเช่าบ้านต้องต่อรองเรื่องราคากัน เมื่อเลเวลอัพของตกแต่งจะปลดล็อคมาให้เราเลือกใช้เพิ่มมากขึ้น พอปรับตัวกับระบบของเกมได้ทีนี้เราจะลืมวันลืมเวลาไปเลยครับ ฮ่า ๆCustomizable Mode - สร้างเอาสวยอย่างเดียวเลยครับ ไม่มีอะไรมากเหมาะกับคนที่ชอบแต่งบ้าน ทุกอย่างจะปลดล็อคมาให้เราใช้งานหมดแล้ว สำหรับผู้เขียนไม่ได้ชอบเล่นสไตล์นี้เท่าไหร่ เพราะไม่มีชาเลนจ์ความท้าทายอะไรให้เราทำเลยไม่ใช่จะสร้างอะไรก็ได้ เรตติ้งหายกำไรหดการรับงานผู้ว่าจ้างจะรีเควสลิสต์สิ่งที่เขาต้องการไว้ให้เราครับ ชอบสีอะไร ไม่ชอบสไตล์วินเทจ หรือสามารถรีโนเวทได้ทั้งสไตล์โมเดิลและสไตล์พื้นบ้าน ตรงนี้จะมีแจ้งเอาไว้ให้เราอ่านในเกมครับ เราก็แค่เทียบเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ให้ดีก่อนว่าเป็นสไตล์ไหน เพราะถ้าใส่ผิดเรตติ้งหลังจบงานก็จะน้อย เพราะในเกมนี้เราต้องการผู้ว่าจ้างระดับ Elite (เหล่าคนรวย หรือคนดัง) ในเกม เพราะเงินดีเงินถึง เพราะเราต้องการเงินตรงนี้เพื่อที่จะนำไปประมูลอสังหาฯ ต่าง ๆ ในเกมครับ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่า ที่ดิน หรือแม้แต่อพาร์ทเมนต์ ฉะนั้นอย่าลืมดูลิสต์รีเควสดีดีนะครับเกมนี้มีระบบเลเวล และระบบอัพสกิลด้วยพอเราจบงานเราจะได้รับเงินใช่ไหมครับ นอกจากเงินที่เราได้รับแล้วเราจะได้รับเลเวลด้วย ทุก ๆ เลเวลที่อัพจะได้รับการปลดล็อคของตกแต่งบ้านใหม่ ๆ ส่วนสกิลก็จะแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ส่วนครับ ไม่ว่าจะเป็นของเรา ของลุงสตีฟ (เพราะลุงสตีฟจะเป็นคนช่วยซ่อมบ้าน และทำความสะอาดบ้าน) และส่วนของการซื้อสิ่งปลูกสร้างครับ อย่างเช่น ของลุงสตีฟเนี่ย ถ้าเราอัพแล้วลุงก็จะทำความสะอาดได้ว่องไวขึ้น ซ่อมบ้านรวดเร็วขึ้น ชึบ ๆ ชับ ๆ ส่วนของเราเนี่ยเราจะต่อรองราคาการเช่าซื้อ ค่าเช่ารายเดือนกับลูกค้าที่ต้องการเช่าบ้านเราได้ดีขึ้น เป็นต้นครับระบบการปล่อยเช่า และการเป็นแลนด์ลอร์ดท่านหนึ่งเมื่อเราประมูลสินทรัพย์มาไว้ในครอบครอง และรีโนเวทเรียบร้อยพร้อมปล่อยให้เช่าแล้ว ทีนี้เราก็ต้องเปิด Open House (ให้คนเข้าชมบ้าน) เราก็ต้องคอยสังเกตท่าทีกันสักนิดหนึ่งว่าใครดูจะปิ๊งปั๊งกับบ้านของเรามากเป็นพิเศษ (มองหาตัวตึงคนรักบ้าน) มันจะมีอีโมจิแสดงขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ละคนก็จะมีสไตล์การชอบศิลปะภายในบ้านแตกต่างกันไป ผู้เขียนแนะนำว่าให้รีโนเวทบ้านเป็นสไตล์ใดสไตล์หนึ่งไปเลย เพราะมันจะง่ายกับเราครับ เมื่อเราเจอผู้เช่าที่ถูกตาต้องใจแล้ว อย่าลืมเช็คว่าผู้เช่ามีการมีงานทำหรือเปล่า นิสัยเป็นยังไงบ้าง เช่น ถ้าติดเหล้า ก็อาจจะทำบ้านเลอะเทอะ หรือข้าวของพังเสียหายบ่อย ๆ ครับ หลังจากจด ๆ จ้อง ๆ ดูใจกันจนถูกตาต้องใจกับผู้เช่าคนไหนแล้ว เราสามารถเสนอราคาเพื่อดีลงานกับผู้เช่าได้เลยครับ ซึ่งราคาจะโดนกดยับ ๆ เลย แต่ว่าเราก็หาราคาที่เราพอใจที่สุดแล้วปิดจ็อบไปครับบิลต่าง ๆ แลนด์ลอร์ดอย่างเราต้องเป็นคนจ่ายครับ ซึ่งเราก็คิดมาจากค่าเช่าบ้าน + กำไรเรียบร้อยแล้ว แค่เราต้องคอยดูอาการของลูกบ้านให้ดีว่าจะเบี้ยวค่าเช่าเราไหม แต่บางคนน่ารักครับ เขาแค่หมุนเงินไม่ทันพอมีเงินเขาก็รีบจ่ายให้เราทันทีเลย แหม! มันสมจริงสุด ๆ ฮ่า ๆระบบต่าง ๆ อาจจะมีบางอย่างชวนหงุดหงิดอยู่บ้างThe Tenants เป็นเกม 3D Polygon Simulation จำลองสถานการณ์ ที่เราจะรับบทเป็นแลนด์ลอร์ดรูปงามท่านหนึ่ง (อ้างอิงจากการส่องกระจกเมื่อเช้าครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ) มีระบบการบังคับแบบมองจากด้านบนลงมา ตัวเกมมีภาพน่ารักครับ สบายตา สีสันสดใส ชื่นตาชื่นใจสุด ๆ เครื่องไม่ต้องเทพระดับ i9 ก็เล่นได้ ระบบการบังคับต่าง ๆ เหมือนกับเกมอื่น ๆ แนวสร้างเมือง สร้างบ้าน ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด ใช้ W,A,S,D เคลื่อนย้ายมุมกล้อง ลูกกลิ้งเมาส์ใช้ซูมเข้าออก Q,E หมุนมุมกล้อง อาจจะมีการ Interact บางอย่างที่อาจจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่บ้างครับ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าใจได้ ตัวเกมมีตาลุง Steve เป็นกึ่ง ๆ Tutorial คอยไกด์งานสั่งสอนเราตลอดหน้าเมนูต่าง ๆ ก็ออกแบบมาได้สวยงามดี ติดนิดเดียวที่น่ารำคาญก็คือ ค่อนข้างกดสั่งการยากไปหน่อย ถ้าเราสั่งงานล่วงหน้าไว้แล้วถ้าเรากดผิดนิดหนึ่งมันจะยกเลิกทุกอย่างที่เราสั่งไว้หมดเลย อันนี้ผู้เขียนว่ามันสร้างความยุ่งยากให้กับคนเล่นอย่างเรามาก ๆ ครับ เพราะแค่กดให้ลุงสตีฟเดิน อะไรที่สั่งการเอาไว้ก็จะถูกยกเลิกทั้งหมด ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ไม่โอเคมาก ๆ ครับสรุปThe Tenants ถ้าผู้เขียนมีโอกาสได้ซื้อในช่วงที่มันไม่ลดราคา ผมก็บอกเลยว่าผมไม่เสียดายเงินแม้แต่บาทเดียวเลยครับกับเกมนี้ เป็นเกมดีดีอีกหนึ่งเกมที่ผมอยากให้เพื่อน ๆ ที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะซื้อดีไหม? อย่าไปลังเลครับ ซื้อไปเลยยยยย (แบบตะโกน) ฮ่า ๆ ๆ อวยกันสุดฤทธิ์ เกมราคาไม่แพงด้วย 319 บาทเท่านั้นเอง! หรือจะรอสอยตอนช่วงลดราคาก็ได้จะได้ประหยัดอีกนิดครับ มันมีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ผู้เขียนแอบมีมุมที่คิดว่า"เออ ถ้าเรามีเงินทุน การทำอสังหาริมทรัพย์ในชีวิตจริง มันก็คงประมาณนี้แหละ"แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงนะครับ (และในเกมก็ไม่ได้สอนแบบลึกซึ้งขนาดนั้น) ถ้าเล่นจากในเกมแล้วมีความสนใจจะเป็นแลนด์ลอร์ดจริง ๆ อย่าลืมศึกษาให้ดี ๆ เพราะถ้าเป็นคนทั่วไปอย่างเรา ๆ เวลาล้ม มันล้มแบบไม่มีฟูกมารองรับ เพราะในเกมเรากดเล่นใหม่ได้ตลอด ชีวิตจริงนี่เจ๊งแล้วเจ๊งเลย แต่ผมมองว่าเกมนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีที่ทำให้เราได้เห็นถึงลำดับขั้นตอนการทำงานบางส่วนของอาชีพนี้ครับ น้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ มาเล่นอาจจะได้รับแรงบันดาลใจเป็นหนึ่งความฝันให้กับเราได้ครับ ผู้เขียนแอบซ้อมในเกมไว้ก่อน เรากำลังจะขายที่ดินให้ชาวต่างชาติได้แล้วฮะ (เอ๊ะ! ฟังดูคุ้น ๆ ไหมครับ ฮ่า ๆ)
07 Nov 2022
[Review] รีวิว Gotham Knights เกม Open World Coop ที่ 4 ลูกศิษย์แบทแมนต้องมาดูแลเมือง และสู้วายร้ายแทน!
เรียกว่าเป็นเกมฟอร์มยักษ์แห่งปี 2022 ที่หลายคนน่าจะมองว่าประสบความล้มเหลว และไม่น่าจับตามองกันไปแล้วสำหรับ Gotham Knights เกมซุปเปอร์ฮีโร่ Open World Coop จากค่าย Warner Bros. Games ที่ก่อนเกมวางจำหน่ายดันมีข่าวถึงเรื่องการกินสเปค PC สูงอย่างมาก แถมบน Console รุ่นใหม่อย่าง PS5 กับ XBOX Series X l S ก็ดันมีให้เล่นได้แค่แบบล็อกเฟรมเรท 30FPS เท่านั้น บวกกับคะแนนรีวิวจากสื่อใหญ่ๆ ก็ให้กันไม่เยอะ จึงส่งผลให้หลังเกมวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2022 ก็มีกระแสที่ดูเงียบหายไปเร็วอย่างมากเลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม ทางเรายังเชื่อว่าคงมีหลายคนที่สงสัยว่าแล้วเกม Gotham Knights จะมีส่วนไหนที่สนุกจนน่าสนใจบ้างหรือเปล่า และจะไม่มีอะไรที่ทำให้น่าซื้อมาเล่นเลยหรือ? วันนี้ทาง GameFever จึงขอพาทุกคนมาดูรีวิวเกม Gotham Knights กัน!!! รับชมได้ที่ด้านล่างเลย(บอกไว้ก่อน)รีวิวนี้ ผู้เขียนเป็นคนชอบเกมแนว RPG อย่างมาก และเคยผ่านเกมอย่าง Marvel's Avenger อย่างติดใจมาแล้วส่งผลให้ผู้เขียนจะรีวิวเกมนี้อย่างเข้าใจจุดนำเสนอแน่นอน และไม่เอาไปเทียบกับเกมอย่าง Marvel's Spider-man!มาดูที่ด้านเนื้อเรื่องกันก่อนGotham Knights เป็นเกมที่เล่าว่า Batman ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดูแลเมือง Gotham มาโดยตลอดได้หายตัวไป และผู้ที่จะมาต่อสู้กับเหล่าวายร้ายพร้อมดูแลเมืองแทนได้ก็มีเพียง 4 ลูกศิษย์ของ Batman อย่าง Robin, Batgirl, Nightwing และ Red Hood ในฉบับต้องมาร่วมมือกันเท่านั้นถือว่าเป็นพอร์ทเนื้อเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะหลังจากที่ Batman หายตัวไป เหล่าวายร้ายก็ออกมาเต็มเมืองไปหมดด้วยเนื่องจากไม่มี Batman ให้ต้องกลัวอีกแล้ว และยิ่งเราเล่นไปเรื่อยๆ เราก็จะได้พบกับตัวร้ายลึกลับแบบไม่คาดฝัน หรือมีการขยี้ปมตัวเอกทั้ง 4 อยู่เยอะพอสมควร ส่งให้ผลถ้าคุณเป็นแฟนจักรวาลแบทแมน หรือเคยเล่นซีรี่ส์เกม Batman Arkham มาก่อนจะรู้สึกชอบกับอะไรพวกนี้มากแต่กลับกัน ถ้าคุณไม่รู้เรื่องจักรวาลแบทแมน หรือเคยเล่นซีรี่ส์เกม Batman Arkham คุณจะรู้สึกว่าในด้านเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพร์สเลย และคุณก็อาจไม่อินกับการเล่นเป็น 4 ตัวละครเอกของเกมนี้ด้วย เพราะเนื้อเรื่องในเกมนี้ก็ไม่ได้น่าสนใจหรือรู้สึกว่ามีจุดสำคัญมากขนาดนั้น และไม่ว่าคุณจะรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องจักรวาลแบทแมนก็ตาม คุณจะรู้สึกได้เลยว่าเนื้อเรื่องในเกมนี้จบได้บ้านๆ มาก อย่างกับไม่ใช่เกมที่ต้องจ่ายราคาหลักพันขึ้น!อีกจุดนึงที่น่าผิดหวังคือตัวเอกทั้ง 4 นั้นเริ่มเกมมาก็ร่วมมือกันแล้ว และก็ไม่มีประเด็นแตกคอน่าสนใจออกมาให้เห็นเลย ทำให้ด้านความสัมพันธ์ของตัวเอกนั้นจะดูธรรมดามาก ทั้งๆ ที่ในคอมมิกเราจะเห็นว่าทั้ง 4 มีประเด็นขัดแย้งต่างๆ ให้คนเล่นอินได้ตั้งเยอะ แถมช่วงที่เล่นไปเราก็จะได้พบฉากที่ทั้ง 4 มาสร้างมิตรภาพแบบครอบครัวร่วมกันด้วย แต่ฉากต่างๆ ก็ไม่ได้มีพลังทำให้คนเล่นรู้สึกผูกพันกินใจอะไรเลย เพราะฉากก็สั้นๆ ห้วนๆ มากจากด้านบน จึงส่งผลให้เราจะเห็นได้ชัดว่า Gotham Knights มีเนื้อเรื่องที่บอบบางมาก และล้มเหลวในสิ่งที่ควรจะเล่าออกมาให้ดี แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าในเนื้อเรื่องยังมีเซอร์ไพร์ส และมีการขยี้ปมตัวเอกทั้ง 4 ให้พบเจออยู่ด้วย ส่งผลให้ถ้าบวกรวมกับด้านเกมเพลย์หรือจุดนำเสนออื่นๆ ก็จะทำให้เกมน่าเล่นไปจนจบได้อยู่ ผู้เขียนจึงแนะนำว่าคนเล่นควรไปติวเข้มจักรวาลแบทแมนมาก่อนดีกว่า จะได้ไม่รู้สึกเฉยๆ กับเนื้อเรื่องในเกมนี้ในตอนเล่น!จุดนำเสนอทั้งหมดของเกมนี้Gotham Knights เป็นเกมที่เล่นได้ทั้งแบบคนเดียว และ Coop สูงสุด 2 คน โดยจะให้ผู้เล่นมาผจญภัยในโลก Open World นั่นก็คือเมือง Gotham ซึ่งผู้เล่นก็มีอิสระจะเลือกเล่นเป็นตัวเอกคนไหนก็ได้ รวมทั้งจะรับเควสหลักหรือเควสเสริม หรือไปหยุดอาชญากรรมตรงไหนก็ได้ตลอดเวลา โดยขอชมเรื่องหนึ่งก่อนเลยคือเมือง Gotham มีการออกแบบสถานที่ต่างๆ มาได้ดีอย่างมากที่เกม Coop ได้แค่สูงสุด 2 คน ก็เพราะเกมเป็น Open World ให้ผู้เล่น Coop เล่นด้วยกันได้ทุกภารกิจด้วยแต่อนาคตจะมีเพิ่มโหมด Coop พิเศษให้เล่นได้สูงสุดเป็น 4 คนจุดเด่นที่ผู้เขียนชอบมากคือเกมไม่มีบังคับให้เล่นเป็นตัวไหนเลย เราสามารถเล่นเป็นตัวไหนในเควสไหนก็ได้ และนั่นก็ยังส่งผลให้บทพูดต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่างเควสที่เราเอา Nightwing ไปพบหน้าวายร้ายคนหนึ่งแล้วจะมีบทพูดแบบกวนๆ ถ้าเราเอา Batgirl ไปพบแทนก็จะเป็นบทพูดอีกแบบออกแนวห้าวๆ ตามนิสัยตัวละคร จุดนี้ทำให้เห็นว่าทีมงานใส่ใจในรายละเอียด และการมอบอิสระให้คนเล่นมากส่วนระบบต่อสู้ในเกมนี้อาจทำให้แฟนซีรี่ส์เกม Batman Arkham แอบเสียใจหน่อย เพราะระบบต่อสู้ได้เปลี่ยนใหม่มาเป็นแนว Action RPG เน้นทำดาเมจ Critical หรือดาเมจให้ติดสถานะธาตุ (ยกตัวอย่างไฟหรือน้ำแข็ง) รวมทั้งยังเน้นเก็บเกจเพื่อใช้สกิลไม้ตายต่างๆ โดยระบบต่อสู้จะมีความเชื่องช้ากว่าเพื่อให้เล่นแบบ Coop ได้ไม่เวียนหัว แต่ระบบต่อสู้ก็ถือว่าทำออกมาดีไม่น่าเบื่อ แถมยังช่วยให้ตัวละครทั้ง 4 มีแนวการต่อสู้ต่างกันยิ่งกว่าเดิมด้วยความที่ทั้ง 4 คือลูกศิษย์ Batman ในเกมนี้จึงจะยังมีระบบลอบเร้นอยู่ด้วย และก็ถือว่าระบบนี้ทำออกมาได้ลื่นไหลอยู่ ส่งผลให้สายถลกหลังจะชอบเกมนี้อยู่พอสมควร รวมทั้งตัวละครอย่าง Robin ก็จะมีสกิลด้านลอบเร้นเพิ่มเติมด้วย ส่วน Batgirl จะสกิลช่วยปิดกล้องวงจรหรือปิดป้อมปืนศัตรูขณะลอบเร้นด้วยความเป็นแนว Action RPG ก็ยังมีให้ผู้เล่นต้องมาฟาร์มอาวุธกับชุดด้วย แต่ช้าก่อน! เพราะเกมนี้พวกอาวุธกับชุดไม่ได้ส่งผลต่อการต่อสู้มากขนาดนั้น และผู้เล่นจะได้รับเรื่อยๆ อยู่แล้วไม่ว่าจะเล่นเควสแบบไหน ส่งผลให้ระบบนี้ไม่ได้จะผลักดันให้ผู้เล่นต้องไปฟาร์มซ้ำๆ ซากๆ อะไรแบบนั้น แต่ตรงนี้จะเป็นข้อดีมากกว่า เพราะชุดกับอาวุธจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวละคร และชุดแต่ละแบบนั้นดีไซน์มาเท่มาก แถมเรายังปรับแต่งได้หลายชุดด้วย!ภาพหนึ่งในชุดเกราะสุดเท่ของตัวละคร Robinแล้วเราจะปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ส่วนหัว/แขน/ขา ได้ชุดละ 3 แบบแถมเปลี่ยนสีชุดได้หลายแบบด้วย แต่ต้องไปปลดล็อกสีก่อนอีกข้อดีนึงที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือเกมนี้ให้อรรถรสให้ผู้เล่นได้ดีสุดๆ ยกตัวอย่างผู้เขียนไปทำเควสสุ่มที่มีโจรมาปล้นธนาคาร โจรจะเข้ามาปล้นทางประตูหน้า และจะเข้าไปขนเงินมาขึ้นรถ แต่เรานั้นก็สามารถเข้าไปบู๊ด้านหน้าตรงๆ หรือจะเข้าจากหลังคามาลอบเร้นตบทีละคนก็ได้ แต่หลังจัดการเสร็จจะมีตำรวจมาจับคนร้ายในพื้นที่ด้วย ทำให้เราที่ไม่ถูกกับตำรวจจึงต้องหลบหนีไปให้ได้ ถือว่าเป็นอะไรที่เร้าใจมากเลย!อย่างไรก็ตาม แม้เกมนี้จะเป็นแนว Action RPG แต่ผู้เล่นก็จะไม่ได้มาสร้าง Build การเล่นแต่ละตัวละครที่ต่างกันได้มากอะไรขนาดนั้น เนื่องจากทุกตัวละครจะชุดสกิลที่ตายตัวมาให้แล้ว ถ้าจะต่างกันได้ก็แค่ไปทางเน้นโจมตีแรงๆ หรือมีพลังชีวิตเยอะเป็นพิเศษเสียมากกว่า ส่งผลให้ใครหวังว่าเกมจะมีระบบ RPG ลุ่มลึกแบบ Marvel's Avenger ก็ควรคิดใหม่ รวมทั้งเกมนี้เมื่อจบแล้วก็คือเคลียร์เควสเสริม และเน้นไปเล่น New Game+ ต่อเลยภาพสกิลตัวละคร Robinสกิลคือตายตัวมาเลยว่าเป็นตัวละครเน้นต่อสู้ + ลอบเร้น + ทำให้ศัตรูติดสถานะธาตุต่างๆ ได้ไวมากจุดน่าสนใจเพิ่มเติมของเกมนี้จากด้านบน หลายคนอาจรู้สึกว่าเกมนี้ยังไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเหมือนเกมอื่นๆ และช่วงต้นของเกมนี้ผู้เขียนก็ขอบอกเลยว่าเกมดูไม่มีอะไรอย่างมาก แต่เมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆ เราจะได้พบกับศัตรูฝ่ายใหม่ และศัตรูชนิดใหม่ที่มีให้พบเจอนับหลักสิบขึ้นไปเลย และบางศัตรูเราต้องใช้สกิลมาแก้ทางด้วย ซึ่งพูดง่ายๆ คือยิ่งเราเล่นไปเยอะขึ้น เราจะยิ่งพบว่าเกมมีอะไรให้พบเจอเยอะขึ้นจนไม่น่าเบื่อยิ่งเราเล่นตัวเอกทั้ง 4 ไปเรื่อยๆ ทุกตัวละครก็จะมีการปลดล็อกชุดสกิลใหม่ และอุปกรณ์เดินทางลอยฟ้าใหม่อีกต่างหาก ยกตัวอย่างของ Robin ที่จะวาร์ปไปสถานีอวกาศ และสามารถวาร์ปมาจุดไหนก็ได้ แถมวาร์ปมาโจมตีศัตรูได้อีก หรือของ Nightwing ที่จะเป็นเครื่องร่อนบินขึ้นลงได้อิสระ ส่งผลให้เราไม่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์ หรือยิงสลิงโหนไปตามตึกต่างๆ ในการเดินทางอย่างเดียว (มอเตอร์ไซค์เกมนี้เดินทางช้ามาก ถ้าได้ขี่มีกำหมัด)นอกจากนี้ ในแผนที่ยังมีความลับจากแบทแมนให้เราไปตามหามากมาย โดยบางอันก็จะเป็นปริศนา หรือบางอันก็จะเป็นภารกิจท้าทายให้เราเดินทางไปจุดหนึ่งให้ทันเวลาด้วยวิธีต่างๆ พร้อมได้รางวัลเป็นสกินชุดหรือสีชุดต่างๆ ที่เท่มาก ส่งผลให้เกมนี้มีอะไรน่าทำไม่ใช่แค่การต่อสู้อย่างเดียวอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือปริศนาในเกมนี้ทุกรูปแบบ รวมทั้งที่พบในเควสจะทำออกมาท้าทายมาก และให้ผู้เล่นต้องใช้หัวคิดเอาเรื่อง แต่บางปริศนาที่เป็นการให้เราจับคู่เบาะแสหรือหาว่าอันไหนคือเบาะแสไปเจอคนร้าย เมื่อเราหาผิดไป 2 ครั้งจะมีให้เรากด Skip ข้ามไปเลยก็ได้ ส่งผลให้ผู้เล่นเกมนี้ที่ไม่ชอบแก้ปริศนาก็สามารถเล่นได้เพลินๆ อยู่จะเห็นได้ว่าผู้เขียนไม่ได้ติอะไรเกี่ยวกับจุดนำเสนอหรือจุดน่าสนใจของเกมนี้เลย แต่เอาจริงๆ สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวไปมันก็ถือว่าเป็นอะไรปกติที่เราพบเห็นได้ปกติในเกมทั่วไปอยู่ดี ส่งผลให้อะไรพวกนี้ผู้เขียนมองว่ามันก็ไม่ใช่จุดขายจนทำให้เกมนี้ต้องซื้อมาเล่นให้ได้ แต่ก็น่าจะเป็นจุดที่ทำให้คนอยากสวมบทเป็น Robin, Batgirl, Robin และ Red Hood รู้สึกว่ามีอะไรที่ทำให้น่าเล่นเกมนี้เพลินๆ ได้แล้ว!มาดูประเด็นสำคัญของเกมนี้อย่าง 'ประสิทธิภาพ' กันเถอะ!อย่างที่กล่าวไปว่าเกมนี้มีข่าวเรื่องกินสเปค PC เกินไป และล็อกเฟรมเรท 30FPS บนคอนโซลยุคใหม่ตั้งแต่ก่อนวางจำหน่าย ทำให้หลายๆ คนได้มองข้ามเกมนี้ไปเลยทันที โดยขณะที่ผู้เขียนได้มาลองเกมนี้ช่วงแพทช์ 1.0 ก็พบว่าเกมนี้กินสเปคแบบไม่คุ้มกับภาพกราฟิกที่ได้รับเลยจริงๆ เหมือนผู้สร้างเกมนี้ไม่มีความชำนาญทำเกมให้เล่นลื่น แต่ผู้เขียนก็ยังมองว่าถ้าสเปคผ่านขั้นแนะนำ ก็จะสามารถเล่นเกมนี้ได้ไม่น่าหงุดหงิดอย่างที่คิดนะ!สเปคที่ทางเราใช้เล่นเกมนี้ระบบปฎิบัติการ : Windows 10 64-bitโปรเซสเซอร์ : AMD Ryzen 5 5600Xหน่วยความจำ : แรม 16 GBการ์ดจอ : AMD Radeon RX 6600 XTพื้นที่จัดเก็บข้อมูล : SSDผู้เขียนได้ปรับภาพเกมนี้อยู่ที่ระดับ 1080P ตามขนาดมอนิเตอร์ และส่วนใหญ่ปรับภาพระดับ High-Medium สิ่งที่ผู้เขียนพบคือช่วงต่อสู้หรือช่วงอยู่ในสถานที่ต่างๆ เฟรมเรทจะลื่นไหลปกติดีเลย แต่ช่วงที่ต้องเดินทางด้วยวิธีต่างๆ จะมีเฟรมเรทหล่นไปที่ 40-50 FPS ทำให้ช่วงเดินทางในเกมนี้จะเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดพอสมควร แต่ตอนที่ปลดระบบ Fast Travel ก็จะทำให้ไม่ค่อยได้มาหงุดหงิดอะไรตรงนี้เท่าไหร่นอกจากนี้ ผู้เขียนก็มีพบบั๊กอยู่บ้างจนทำให้บางเควสเล่นไม่ผ่าน แต่ก็ไม่ใช่เควสหลัก และก็ยังมีบั๊ก Fast Travel ที่ทำให้ Crash ออกจากเกมหน้าตาเฉยตอนเล่นเป็น Batgirl ส่วนตอนเล่นเป็นตัวละครอื่นไม่มีปัญหา Fast Travel เลย (การ Fast Travel เกมนี้เท่มากๆ ด้วย จะเป็นการให้เราใช้เครื่องร่อนขนาดอลังหล่นมาจากฟ้า)จากด้านบน ผู้เขียนจึงมองว่าแม้เกมนี้จะมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพเอาเรื่อง แต่ก็สามารถเล่นได้จนจบโดยไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไรขนาดนั้น โดยก็ต่างกับตอนเกม Batman Arkham Knights ลง PC ใหม่ๆ ที่ตอนนั้นเกมมีปัญหาจนเล่นจบแทบไม่ไหวเลยนั่นเอง แต่ผู้เขียนก็หวังว่า Gotham Knights จะมีการอัปเดตแพทช์แก้ปัญหาในตรงนี้ด้วย!สรุปจากด้านบนทั้งหมด เราจึงเห็นได้ว่าเกม Gotham Knights ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องกินสเปคบน PC หรือมีแค่ล็อก 30FPS บนคอนโซลยุคใหม่ เกมนั้นก็ยังมีปัญหาด้านเนื้อเรื่องไม่ได้น่าสนใจมาก และเกมเพลย์การนำเสนอต่างๆ ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมจนเป็นเกมต้องหามาเล่นให้ได้อยู่ดี แต่ถ้าคุณชอบที่จะได้เล่นเป็นลูกศิษย์ทั้ง 4 ของแบทแมนคนใดก็ได้ หรืออยากเล่นเกมสวมบทซุปเปอร์ฮีโร่กับเพื่อนแบบเพลินๆ เกมนี้ก็ถือว่าทำมาตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ควรหวังถึงความยอดเยี่ยมอะไรตามที่กล่าวไว้นั่นเอง!
06 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Isle of Arrows ลูกผสม Tower Defense และ Roguelike พร้อมงานภาพสุดสบายตา
Isle of Arrows เกมเกาะแห่งลูกธนูเกมนี้เป็นเกมอินดี้ที่ผสานแนว Tower Defense และ Roguelike เข้าด้วยกัน เราจะรับบทเป็นผู้สร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าผู้บุกรุกบุกเข้ามาทำลายพวกเรา ต้องวางแผนการตีถนน วางป้อมและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อดึงประโยชน์ของมันออกมาใช้งานได้อย่างสูงสุดจากตัวเลือกที่สุ่มได้แค่อ่านก็รู้สึกน่าสนใจแล้ว แถมไม่ค่อยมีเกมที่นำสองแนวเกมนี้มาผสมกันเท่าไหร่ ซึ่งเกมนี้ทำออกมาเป็นอย่างไรนั้น งั้นไปอ่านกันต่อเลย! (สายพกพาเองก็ห้ามพลาด เพราะเกมลงสมาร์ทโฟนด้วย)เมื่อเรากดเริ่มเกม บนแถบข้างบนจะบอกถึงทรัพยากรที่เรามี ดังนี้หัวใจ (Heart) พลังชีวิตของเรา จะลดเมื่อมีศัตรูบุกมาถึงฐาน 1 ตัวต่อ 1 หัวใจ ถ้าหมดคือจบเกมเหรียญทอง (Coin) เงินของเราที่ใช้แลกเปลี่ยน ตัวเกมมีระบบดอกเบี้ยด้วยตามจำนวนเงินที่เก็บไว้ ระดับปกติ +1, 10-20: +2, 21-30: +3, 31 ขึ้นไป: +4สะพาน (Bridge) สามารถวางแผ่นสิ่งก่อสร้างบนช่องที่ไม่มีพื้นได้ เสีย 1 อันต่อ 1 ช่อง สมมติว่าการ์ดที่วางมีสองช่องก็จะเสียสะพานสองอันระเบิด (Bomb) สามารถวางทับสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่ก่อนได้ เสีย 1 อันต่อ 1 ช่องเช่นกันรอบการบุก (Wave) จะมีบอกว่ารอบต่อไปจะเป็นรอบที่เท่าไหร่ ซึ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับเหตุการณ์ต่างๆ สอดแทรกที่จะสุ่มทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นหรือลำบากยิ่งกว่าเดิมมันจบแล้วอนาคิน ป้อมยิงธนูข้าอยู่ที่สูงกว่า! ปกติยิงได้แค่ 8 ช่องรอบตัวเองนะ ฉะนั้นใช้ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ซะ!Tower Defense: ป้อมปะทะศัตรูวีธีการเล่นเกมนี้นั้นก็เหมือนกับเกมแนว Tower Defense ทั่วไปคือ มีทางเดิน มีฐานและมีศัตรู งานของเราคือการวางป้อมเพื่อจัดการกับเหล่าศัตรูก่อนจะเดินถึงฐาน (ซึ่งในเกมนี้คือแท่งคริสตัล) ซึ่งป้อมปราการในเกมนี้ก็ค่อนข้างมีหลากหลายทีเดียว ตั้งแต่ป้อมยิงธนูธรรมดา ป้อมยิงลูกระเบิดไปจนถึงป้อมปล่อยหินกลิ้ง แต่ละป้อมเองก็มีแนวการยิงของตัวเองที่แตกต่างกันไปให้เราต้องเลือกหาตำแหน่งวางที่เหมาะสมที่สุด เพราะยิ่งเล่นนานๆ ไป จำนวนศัตรูจะยิ่งมากและเริ่มมีตัวที่แข็งแกร่งปรากฏกาย นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ช่วยรับมือศัตรูด้วย เช่น กับดักน้ำแข็ง (Ice Trap) ที่จะทำให้ศัตรูเดินช้าลง, กับดักหนาม (Spike Trap) ที่จะทำดาเมจใส่ศัตรูที่เดินชนRoguelike: การสุ่มการ์ดสิ่งก่อสร้างท่ามกลางความเป็นไปได้อันมากมายจั่วหัวมาตั้งแต่แรกว่าเป็นแนว Roguelike ก็บอกเลยว่าการวางป้อมเพื่อจัดการศัตรูก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการ์ดที่สุ่มได้ด้วย ในแต่ละรอบจะวางได้หนึ่งใบพร้อมกับได้รู้ว่ารอบหน้าเราจะได้การ์ดอะไร ถ้าอยากหยิบใบต่อไปมาใช้โดยไม่ต้องรอก็จ่าย 2 เหรียญทองเพื่อหยิบมาใช้ได้เลยสังเกตเห็นว่าสิ่งก่อสร้างบางอย่างก็ไม่ได้มาเปล่าแต่มีบล็อกน้ำ (Water) ติดมาด้วย อาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่สิ่งกีดขวางนี้ทำให้เราวางสิ่งก่อสร้างได้ยุ่งยากขึ้น แต่ก็มีบางสิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้น้ำในการแสดงผลเอฟเฟคด้วย ถ้าวางน้ำดีๆ ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้นะซึ่งการ์ดในเกมนี้ก็มีจำนวนที่หลากหลายมากกว่า 50 ใบเลยทีเดียว แค่แผ่นถนนก็มีตั้งหลายแบบแล้ว งั้นมาพูดถึงสิ่งก่อสร้างตั้งต้นที่พบเจอได้บ่อยๆ หน่อยดีกว่าธง (Flag) วางแล้วเพิ่มอาณาเขตเกาะสวน (Garden) วางแล้วเพิ่ม 1 เหรียญทองทันทีโรงปฏิบัติงาน (Workshop) หากมีน้ำ 2 ช่องอยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ จะเลือกแผ่นทางเดินเพิ่มได้ฟรีกระท่อมตกปลา (Fishing Hut) ได้รับ 2 เหรียญทองตามจำนวนน้ำที่อยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ป้อมสอดส่อง (Watchpost) ป้อมปราการที่อยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ จะยิงแรงขึ้น 10% และเล็งไปที่เป้าหมายเลือดมากก่อน (บางป้อมจะเล็งตัวเลือดน้อยก่อน)ตลาดนัด (Market Square) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะเข้าสู่ตลาดมืด (Black Market) เพื่อซื้อของได้ทันทีอนุสาวรีย์ (Monument) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะได้รับสะพาน 3 อันโกดัง (Storehouse) หากมีป้อมปราการ 2 ช่องอยู่ติดสิ่งก่อสร้างนี้ จะเลือกการ์ดโบนัสได้ฟรีรูปปั้น (Statue) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะได้รับระเบิด 2 ลูกน้ำพุ (Fountain) หากมีการวางสิ่งก่อสร้างครบ 8 ช่องรอบตัว จะได้รับ 2 หัวใจสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างก็มีเอฟเฟคและเงื่อนไขการใช้งานแตกต่างกัน อย่าลืมกดเครื่องหมาย ? ตรงมุมการ์ดเพื่ออ่านก่อนวางด้วยล่ะจ๊ะเอ๋ตัวเอง! โผล่มาแบบนี้ ป้องกันทางเดียวมันยังไม่ปวดหัวพอใช่มั้ย!?ในขณะที่เรากำลังวางแผนเส้นทางที่มีเพียงหนึ่งอย่างหัวหมุน จู่ๆ เกมก็เกิดจุดที่สองมาให้เราดูแลเฉยเลย ทำให้เราต้องวางทางเดินหรือป้อมในทางใหม่ด้วย ป้องกันทางหนึ่งได้แต่อีกทางโดนบุกเละไม่ได้นะ ซึ่งพอเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะมีจุดที่สามโผล่มาให้เราป้องกันด้วย เอาล่ะวางแผนขยายเกาะและวางทางวางป้อมกันดีๆ ล่ะเซอร์ไพร์สที่จะทำให้เกมง่ายขึ้น.. หรือแม้แต่ยากยิ่งกว่าเดิมเมื่อแต่ละรอบผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราจะได้เจอกับเหตุการณ์แบบสุ่มที่อาจจะช่วยชีวิตเรา หรือแม้แต่การเสี่ยงโชค (เพราะ High Risk High Reward ยังไงล่ะ!) ซึ่งมีทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้การ์ดโบนัส (Bonus Cards) จะมีการ์ด 3 ใบมาให้เลือก ซึ่งเลือกได้เพียงใบเดียว ต้องการอะไรอยู่ก็หยิบเลยของโบราณ (Relics) เลือกแล้วจะได้บัพที่มีผลทันทีหรือตลอดเกมแล้วแต่เอฟเฟค เลือกให้ถูกใจตามสไตล์การเล่นของตัวเองแล้วกันการเผชิญหน้า (Encounters) ต้องแลกทรัพยากรที่เรามีหรือเสี่ยงทายหัวก้อยเพื่อสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ถ้าได้ของดีก็ดีไป หากใครไม่ชอบความเสี่ยงก็สามารถกดข้ามได้ซ้ายก็ดี ขวาก็น่าสนใจเรตการสุ่ม: โซ่ตรวนสำคัญที่ทำให้เกมแนว Roguelike ถ้าไม่สนุกก็หัวร้อนไปเลยลองจินตนาการว่าตอนเริ่มเกมมา นอกจากป้อมที่ตั้งต้นให้อันนึงแล้ว การ์ดที่เกมสุ่มมาให้คุณก็มีแต่ทาง ทางและทาง จนศัตรูเริ่มเยอะเกินที่ป้อมป้อมเดียวจะกันได้แล้ว ป้อมอันที่สองก็ยังไม่โผล่ ช่วงแรกเงินก็น้อยนิดเหลือเกินยังจะต้องมากดข้ามเพื่อหาป้อมอีก เฮ้อ รีเกมดีกว่าแต่ท้ายเกมจะรีก็ไม่ได้น่ะสิ บางทีกว่าจะได้การ์ดที่ต้องการคือสุ่มกันตาเหลือก ยิ่งท้ายเกมที่มีสามทางต้องกันและศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้น การที่ผู้เล่นสุ่มไม่ได้ป้อมปราการเลยคือแทบจะสิ้นหวัง จบกันที่พยายามมาทั้งหมด แต่ถ้าใครบริหารการเงินดีๆ ท้ายเกมก็อาจมีเงินพอรีหาการ์ดที่ต้องการก่อนจะจบตาที่ 40เรตการสุ่มของเกมนี้ยังอยู่ในจุดที่ใจร้ายมากนัก จริงอยู่ที่เกมต้องมีเรตสุ่มในระดับที่ไม่ทำให้ผู้เล่นเอาชนะเกมแต่ละตาด้วยการวางแบบเดิมๆ แต่การได้การ์ดเส้นทางติดกันห้าหกอันในช่วงท้ายเกมมันทำให้หัวเสียไม่น้อย เป็นสิ่งเดียวจริงๆ ที่ทำให้เกมมอบประสบการ์ณหงุดหงิดใจมากกว่าสนุกในบางจังหวะสรุป: การผสมผสานของเกมสองแนวผ่านงานภาพสุดมินิมอลที่ทำออกมาได้น่าสนใจเกม Isle of Arrows เป็นเกมแนว Tower Defense ที่ทำให้เราต้องปรับแผนการเล่นอยู่เสมอเนื่องจากลูกเล่น Roguelike ที่สอดแทรกอยู่ในทุกกระเบียดนิ้วของเกม เป็นเกมที่ทั้งท้าทายและหัวร้อนกับการสุ่มอยู่หน่อยๆ เพราะบางทีเกมก็ไม่สุ่มการ์ดที่เราต้องการมาให้สักที ต้องการป้อมนะไม่ใช่ถนน ขอป้อมยิงหน่อย! ป้อมอยู่ไหนเนี่ย!! (ไม่รู้ๆๆ)นอกจากนี้ตัวเกมก็มีหลายโหมดการเล่นเลยทีเดียวให้เราได้เลือกซึ่งจะเรียกว่ากิลด์ (Guild) ซึ่งจะมีคุณสมบัติตั้งต้นและการ์ดที่เราจะได้เจอระหว่างการเล่นไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเปลี่ยนโหมดเปลี่ยนรสชาติ ทำให้แต่ละตาที่ได้เล่นก็จะพบกับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน แอบดูดเวลาเหมือนกันนะเพราะตาหนึ่งก็กินเวลาไม่น้อยประกอบกับงานภาพที่มองแล้วสบายตา บางคนอาจจะคุ้นๆ กราฟิคหน้าตาแบบนี้ เพราะมีผู้พัฒนาคือคุณ Daniel Lutz ที่เคยเป็น Creative Director ของเกม Hitman GO และ Lara Croft GO มาก่อนนั่นเอง การออกแบบมองเพลินแต่เกมเพลย์ไม่เพลินเลยนะคุณพี่ (แซว)ซึ่งเกมนี้นอกจากบน PC ก็ยังมีบนสมาร์ทโฟนด้วย แบบนี้สายพกพายิ่งพลาดไม่ได้แล้ว!โดยรวมแล้วเป็นเกมที่น่าสนใจเกมหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าเกม Tower Defense แบบปกติมันท้าทายไม่พอ เกมเกาะแห่งลูกธนูที่เสริมรสชาติด้วยแนว Roguelike เกมนี้คงจะพอทำให้ชีวิตตื่นเต้นได้นะ!Isle of Arrows โดยผู้พัฒนา Gridpopราคา: 219 บาท (Steam และ App Store), 250 บาท (Google Play)แพลตฟอร์มเกม: PC บนร้านค้า Steam, iOS, Androidรีวิวบน Steam: Very Positiveแท็กเกม: Tower Defense, Roguelike, Puzzle, Board Game เล่นได้เรื่อยๆ เลยเกมนี้!
05 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม DORAEMON STORY OF SEASONS: Friend of the Great Kingdom
แมวสีฟ้าโดราเอมอน การ์ตูนในดวงใจของใครหลายคนที่ถูกหยิบมาดัดแปลงเป็นเกมยุคปัจจุบันอีกครั้ง โดยสร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ มาแล้วในภาคแรกอย่าง DORAEMON STORY OF SEASONS ซึ่งคราวนี้ตัวเกมกลับมาพร้อมภาคต่ออย่าง Friend of the Great Kingdom แต่การกลับมาของโดราเอมอนและผองเพื่อนนั้นจะสนุกเพลิดเพลินแค่ไหน ก็มาดูรีวิวของเรากันได้เลยพักร้อนสุดน่าเบื่อของโนบิตะและผองเพื่อนเรื่องราวของเกมภาคนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน แทนที่จะได้หยุดพักผ่อน แต่เหล่าเด็ก ๆ กลับต้องทำงานหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อแม่ของพวกเขาสั่งให้ทำ เด็ก ๆ เบื่อเหลือทน จึงร้องเรียกของวิเศษจากโดราเอมอน โดราเอมอนที่หยิบกระสวยอวกาศออกมา และพาเด็ก ๆ ไปพักผ่อนหย่อนใจนอกโลก ก็บังเอิญหลุดไปยังดาวเคราะห์ดวงใหม่ และบังเอิญไปพบกับเด็กหนุ่มนามว่าไลท์ ที่หมดสติอยู่ พวกโดราเอมอนได้เข้าไปช่วยเหลือ และด้วยความชิลล์ตามสไตล์การ์ตูน โดราเอมอน โนบิตะและผองเพื่อนจึงตัดสินใจว่าจะช่วยเหลิองานด้านเกษตรกรรม และทำฟาร์มเพื่อสานต่อหน้าที่ที่คุณพ่อของไลท์ได้ฝากทิ้งไว้ให้ ชีวิตช่วงพักร้อนของพวกโนบิตะที่แท้จริง ได้เริ่มต้นที่ดวงดาวแห่งนี้ต้องบอกว่าเป็นเกมที่เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เราแค่ถูกส่งมาต่างดาว และเรริ่มต้นชีวิตการปลูกผักทำฟาร์ม เหมือนกับเกมที่เกมอื่น ๆ ทำ แต่จะต่างตรงที่เกมมอื่นตรงที่ ถ้าเป็นเกมอื่น เราก็แค่ย้ายไปชนบท แต่เกมนี้ย้ายดวงดาวกันเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันสักเท่าไรอยู่ดีเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็จะคล้าย ๆ กับเกมปลูกผักทำฟาร์มเกมอื่น ๆ เริ่มจากรับมรดกเป็นบ้านหลังเก่า ๆ แบบฟรี ๆ รับอุปกรณ์ทำไร่ทำสวน จากนั้นก็ค่อย ๆ ไปทำความรู้จักกับสมาชิกในหมู่บ้าน โดยเกมจะเล่าผ่านตัวละครของโนบิตะเป็นหลัก และด้วยความที่เป็นเกมที่อิงพื้นฐานจากโดราเอมอน ทำให้คาแรคเตอร์ตัวละคร นิสัยใจคอ จะอิงจากซีรีส์โดราเอมอนเป็นหลักทั้งสิ้น ใครที่เป็นโดราเอมอนอยู่แล้ว จะอินกับเกมนี้ได้มากกว่าคนอื่น และการพาให้ผู้เล่นได้รู้จักกับตัวละครต่าง ๆ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี โดยมันเป็นภารกิจหลักที่จะให้ผู้เล่นต้องไปหา NPC ตัวนั้น ๆ และเรียนรู้เรื่องราว หรือชีวิตของตัวละครตัวนั้นเลยว่าพวกเขามีกิจวัตรอะไร ทำงานอะไร มีใครรอบตัวบ้าง จุดนี้เป็นสิ่งที่เกมทำออกมาได้ดี ทำให้เราอินกับเนื้อเรื่องได้มากขึ้น และค่อย ๆ ชอบตัวละครตัวนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเผยความจริงในสไตล์ของการ์ตูน แต่หากจะให้พูดถึงข้อเสียเล็กน้อยคือ ภาคนี้ยังคงใช้เวลาในการเกริ่นเนื้อเรื่องนานพอสมควร แม้จะไม่นานเท่าภาคแรก แต่ก็ยังเยอะอยู่ดี จริงอยู่ว่าสามารถข้ามได้ แต่ก็ถือว่าเยอะ โดยเฉพาะคนที่เคยเล่นเกมปลูกผักมาก่อน อาจจะเบื่อเอาตั้งแต่ช่วงแรกเลยก็ได้ โลกของเกมปลูกผักทำฟาร์มเมื่อนำเสนอผ่านตัวละครโดราเอมอนฉากหลังของเกมภาคนี้คือดาวเคราะห์ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่หากไม่บอกว่าเป็นดาวเคราะห์อื่น เราก็คงเดากันไม่ได้ เพราะทุกอย่างภายในเกมนี้มันช่างเหมือนโลกมนุษย์อันปกติสุขมาก ในเกมนี้จะมีชนเผ่าที่ต่างกัน 4 ชนเผ่า เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่อง และขนาดแผนที่ที่ถือว่ามีขนาดกลาง ๆ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป แต่สิ่งที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษคือการสลับสับเปลี่ยนมุมมองของฉากในบางช่วง จากที่เป็นมุมมอง Isometric แบบ Top-Down อยู่ บางฉากของเมืองก็จะเปลี่ยนกลายไปเป็นเหมือนเกม Action RPG ซะอย่างนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในระหว่างการเล่นได้สำหรับตัวเกมก็จะเหมือนกับเกมปลูกผักทำฟาร์มทั้งหลาย ใครที่เคยผ่านเกมแนวนี้มาเยอะ ๆ โดยเฉพาะซีรีส์ STORY OF SEASONS ก็จะรู้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผักทำฟาร์ม การสนทนาสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าตัวละครต่าง ๆ ปฏิทินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเมือง ทั้งเทศกาลนักแม่นปืน ล่าสัตว์ แข่งม้า คือสิ่งที่เกมนี้นำจากเกมอื่นมาต่อยอด และใส่ความเป็นโดราเอมอนลงไปแทนทั้งหมด และแฟน ๆ โดราเอมอนจะต้องชื่นชอบ คือเกมนี้จะมีความพิถีพิถันในเรื่องของนิสัยใจคอของตัวละคร เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบจากการ์ตูนมาเลยก็ว่าได้ หากคุณเคยดูหรือเคยอ่านโดราเอมอนแล้วพบว่านิสัยใจคอตัวละครในการ์ตูนเป็นอย่างไร ในเกมก็จะเป็นแบบนั้น แต่บางตัวอาจจะซอฟต์ ๆ ลงมาหน่อย ให้เหมาะสมกับบริบทของเกม ส่วนของการเล่าเรื่องบางช่วงก็จะเล่าเรื่องเหมือนกับเราอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่เลยก็ว่าได้ เป็นอีกเสน่ห์ที่เกมนี้มอบให้กับเราขนาดแผนที่ภายในเกมนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เราสามารถออกสำรวจได้เกือบทั้งหมดตั้งแต่แรก และกิจกรรมที่มีให้ทำก็ไม่ได้เยอะเกินกว่าพลังชีวิตที่เรามี  ทำให้เกมนี้ค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นมิตรกับผู้เล่นทุกคนมาก ๆ และด้วยความที่เป็นเกมจากโดราเอมอน มันจึงถูกทำออกมาหใ้ทุกคนเข้าถึงได้ ผ่อนคลายจนเข้าข่าย Slow life ไปเลยก็ได้ อย่างผู้เขียนเอง กว่าจะเล่นจนถึงวันที่ 8 (ภายในเกม) ก็ใช้เวลาไป 3-4 ชั่วโมง ซึ่งเล่นไปขนาดนั้นแล้ว ยังเพิ่งจะปลดล็อคคอนเทนต์บางอย่างของเกมมา และเจอตัวละครใหม่อยู่เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าใช้เวลากันสุด ๆ สำหรับเกมแนวนี้ ใครที่ชอบเล่นเกมแนวผ่อนคลาย ปลูกผัก ทำฟาร์ม และรักโดราเอมอนด้วย บอกเลยว่าเกมนี้คุ้มเกินคุ้มไปเลยและหลังจากที่ BANDAI Namco บุกตีตลาดแฟนเกมชาวไทยมาตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ส่วนใหญ่ เกมจากอนิเมะและแฟรนไชส์ดัง ๆ ของค่ายนี้จะได้รับการแปลเป็นภาษาไทยอยู่เสมอ และเกมนี้เองก็เช่นกัน และมาตรฐานการแปลไทยของ BANDAI Namco ต้องบอกว่า ไม่มีตก แปลได้ดีอย่างยอดเยี่ยม คำผิดแทบไม่มีให้เห็น และมีการแปลชื่อตัวละครบางตัวให้มีความเป็นไทยในสไตล์โดราเอมอนอีกด้วย อย่างเช่นตัวละคร Gidal และ Gogmir ก็มีการตั้งชื่อไทยให้ว่าโกก๊องและกากั๊ง หรือทหารยามในเมือง ก็ตั้งชื่อไทยให้ว่าหยุดยั้ง และปกป้อง แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อตัวละคร แต่สำหรับแฟน ๆ โดราเอมอนแล้วจะรู้สึกชอบและทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นและเพราะเกมภาคนี้มีฉากคัทซีนที่ค่อนข้างยืดยาวและคุยกันเยอะมาก การมีภาษาไทย ช่วยให้เราเสพเนื้อเรื่องได้อย่างมีอรรถรสมากขึ้น แต่ถึงจะมีแปลไทย แต่บางฉากก็คุยกันยาวเกินจนแอบน่าเบื่ออยู๋เหมือนกัน แต่ในเรื่องของการแปลไทย ต้องบอกเลยว่าเต็มสิบไม่หักสำหรับเกมนี้เกมเพลย์สุดผ่อนคลายที่แฟน ๆ STORY OF SEASONS จะต้องชื่นชอบสำหรับเกมเพลย์ของเกมนี้ เชื่อว่าไม่ต้องอธิบายอะไรมากเลย สำหรับคนที่เป็นแฟนเกม STORY OF SEASONS อยู่แล้ว ระบบทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิมเกือบหมด แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น เราก็จะรีวิวให้ฟัง เกมนี้จะพิเศษตรงที่เราจะไม่ค่อยเหงาเท่าไร ปกติแล้วบ้านพักของเราในเกมปลูกผักเกมอื่น เราจะอยู่คนเดียว แต่เกมนี้ เราจะอยู่กับพลพรรคผองเพื่อนของเราทั้งแก๊ง แต่ช่วงเวลากลางวัน ทุกคนจะแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ส่วนกลางคืนจะกลับมานอนร่วมกัน และทุกเย็นกับทุกเช้าจะเป็นเวลาทานอาหารร่วมกัน รู้สึกอบอุ่นแบบที่เกมอื่นให้ไม่ได้ตัวละครหลักที่เราจะได้เล่นก็คือโนบิตะ และเหมือนกันกับเกมทำฟาร์มเกมอื่น ๆ ใน 1 วัน เราจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า และมีพลังงานจำกัด แน่นอนว่าต้องแบ่งปันส่วนหนึ่งไปใช้รดน้ำ ปลูกผัก ทำฟาร์ม ส่วนที่เหลือจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ผู้เล่น ที่มีทางเลือกในการเล่นอย่างหลากหลาย เช่นไปคุยกับชาวบ้าน เพิ่มความสัมพันธ์ ช่วยเหลือด้านคำร้องขอ โดยจัดหาไอเทมไปส่งให้เพื่อเพิ่มค่าความสนิทสนม หรือจะไปตกปลา ขุดเหมือง ไล่จับแมลง ได้หมด อิสระอยู่ที่ตัวผู้เล่น ทำให้เราต้องบริหารจัดการเอาเองว่าวันนี้จะทำกิจกรรมอะไร หาเงิน หรือไปทำอย่างอื่น เพราะโลกในเกมก็มีกิจกรรมมากมายให้ทำ และใช้พลังงานของโนบิตะแต่ถึงอย่างนั้นเกมก็มอบอิสระให้ผู้เล่นอยู่ดี พลังงานที่ให้มาใช้ในแต่ละวันถือว่ามากเพียงพออยู่แล้ว หลัก ๆ เราจะหมดไปกับงานหนัก ๆ และได้เงินดีอย่างขุดแร่ หรือตกปลา ที่เหลือก็เดินชิลล์ หรือจะใช้ในการตัดต้นไม้ ทุบหินในบ้าน เพื่อจัดสรรพื้นที่ในบ้านเราให้สวยงามมากยิ่งขึ้น การปลูกผักทำฟาร์มก็จะคล้ายเกมอื่น ๆ คือเราสามารถหาซื้อเมล็ดได้จากร้านค้า พืชพรรณแต่ละชนิดจะถูกแบ่งออกเป็นสี แต่ละสีแทนฤดูกาลที่เหมาะสมกับการปลูกพืชพรรณนั้น ๆ เช่นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูหนาว ฤดูร้อน และแต่ละฤดูยังมีกิจกรรมที่แตกต่างกันอีกด้วย โดยกิจกรรมต่าง ๆ ก็ดูได้จากกระดานของหมู่บ้านแต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องลุยทำงานเกษตรกรรมอยู่คนเดียว ในภาคนี้ได้เพิ่มระบบผู้ช่วยเข้ามา ผู้ช่วยนั้นเราสามารถไปกดคุยกับเพื่อนคนต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือในวันนั้นได้ ผู้ช่วยจะตามเราไปทุกที และช่วยทำำกิจกรรมทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา ขุดเหมือง ปลูกผัก รดน้ำ ทำให้เกมการเล่นสบายขึ้นไปอีก และทำให้พลัง Stamina ต่อวันของเราเหลือเยอะไปทำอย่างอื่นมากขึ้น แนะนำว่าถ้าไม่ซีเรียส ก็รอปลดล็อคเจ้าหุ่นยนต์มาช่วย รับรองชีวิตจะยิ่งสบายและมันจะเป็นเกมโดราเอมอนไม่ได้ หากไม่มีของวิเศษจากโดราเอมอนให้ใช้ แต่ต้องบอกเลยว่า กว่าคอนเทนต์ของวิเศษนั้น ต้องเล่นไปยาวมาก ๆ กว่าจะได้ปลดล็อคมาใช้ เรียกได้ช่วง 5-6 ชั่วโมงแรกของเกม เราต้องเล่นแบบเกมปลูกผักทำฟาร์มทั่วไปก่อน กว่าจะได้ก็ต้องใช้เวลาเล่นกันไปยาว ๆ ก่อนเลย ลำบากก่อน สบายทีหลัง โดยของวิเศษของเราจะค่อย ๆ ได้กลับคืนมาอีกระบบที่ไม่มีไม่ได้ คือการสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครต่าง ๆ แต่ในเกมนี้จะไม่มีจีบกัน ทำได้เพียงเพิ่มค่าความสนิทสนมเท่านั้น ซึ่งมันจะส่งผลให้เนื้อเรื่องเดินต่อไปข้างหน้า และเป็นอีกระบบที่ทำให้ผู้เล่นต้องติดพันอยู่กับเกมนี้ยาว ๆ เพราะไม่ใช่แค่ให้ของชิ้นสองชิ้นแล้วจะเพิ่ม แต่ต้องคอยทำตามคำสั่ง คำร้องขออื่น ๆ กว่าจะได้เพิ่มก็เสียเวลาไปไม่ใช่น้อย รู้ตัวอีกทีก็ล่อไปหลายสิบชั่วโมงเข้าไปแล้วความสนุกของเกมนี้คือความผ่อนคลาย เล่นง่ายอย่างมากที่สุด อาจจะง่ายกว่าเกมปลูกผักทำฟาร์มเกมอื่นด้วยซ้ำไป และที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษ คือ ความเล่นง่ายแบบนี้ ทำให้เราไม่ต้องหัวหมุนนั่งจัดการทรัพยากรโน่นนี่ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใน STORY OF SEASONS เกมอื่น ๆ นั้น เป็นแบบนี้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าใช่ก็ไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมแฟน ๆ ถึงหลงรักซีรีส์นี้ ส่วนอีกข้อที่ชื่นชมเป็นพิเศษคือ ปกติแล้วเกมแนวปลูกผักทำฟาร์มจะบังคับให้เราเซฟผ่านการนอนเท่านั้น และมันจะเป็นการบังคับจบวัน ซึ่งบางคนอาจจะอยากเลิกเล่นกลางเกมก็ทำไม่ได้ แต่เกมนี้สามารถเซฟและโหลดเกมได้ตลอดเวลาที่หน้าเมนู เป็นอะไรที่ถูกใจมาก ๆ หลังจากที่เกมทำฟาร์มก่อนหน้า ต้องเซฟตอนจบวันเท่านั้นภาพรวมของ DORAEMON STORY OF SEASONS ในภาคนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าทำไมเกมแนวนี้จึงได้รับความนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือออริจินอลของ Harvest Moon แต่ถูกนำมาตีความใหม่ในโลกของโดราเอมอน ใครที่ชอบเกมแนวนี้อยู่แล้ว อยากจะกดราคาเต็ม ถ้าไม่เดือดร้อนทางการเงิน บอกเลยว่าคุ้มค่าภาพน่ารัก กินสเปคเครื่องแบบเบา ๆงานนี้ใครที่คอมพิวเตอร์ไม่ได้แรงมากก็บอกเลยว่าสบายมาก ๆ เพราะเอาแค่ขั้นต่ำ ใครที่ใช้การ์ดจอสมัยเก่าอย่าง GTX750 Ti ก็ยังสามารถเปิดเกมนี้เล่นได้ แต่ทางที่ดีก็ให้มันผ่านขั้นต่ำมาซะหน่อยจะดีกว่า ใครที่คอมพิวเตอร์ไม่แรง ตัวเกมยังมาพร้อมกับ Setting Option ที่รองรับการตั้งค่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการล็อกเฟรมเรทไว้ที่ 30 การปรับกราฟิกพื้นผิวที่อาจจะช่วยทำให้เครื่องของบางคนเล่นได้ลื่นขึ้น หรือพวกลดรอยหยัก V-Sync ก็มีมาให้ปรับเช่นกัน ดังนั้นคอมพิวเตอร์ใครที่พอจะเล่นเกม AAA ยุคนี้ได้แบบกลาง ๆ หรือปรับสูง เกมนี้ก็น่าจะสบายอยู่แล้ว ส่วนเรื่องบั๊ก และข้อผิดพลาด ก็บอกได้เลยว่า หายห่วงแน่นอน แทบไม่มีปัญหาใด ๆ มารบกวนระหว่างการเล่นDORAEMON STORY OF SEASONS: Friend of the Great Kingdom เป็นการหยิบเอาโดราเอมอนมาผสมผสานเข้ากับการปลูกผักทำฟาร์มที่ดียิ่งกว่าภาคแรก ถึงแม้เนื้อเรื่องจะมาในสไตล์ที่ใคร ๆ ก็คาดเดาได้ แต่สำหรับแฟน ๆ เกม STORY OF SEASONS แล้วล่ะก็ เชื่อเถอะว่าจ่ายไป ยังไงก็คุ้ม
03 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม God of War: Ragnarok การเดินทางฝ่าโชคชะตาอันแสนล้ำค่าของพ่อลูกเทพสงคราม
ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่แฟนเกมเลือดร้อนจำนวนนับไม่ถ้วนบนโลกออนไลน์พร้อมจะรุมสาบแช่งผู้พัฒนาหน้าไหนก็ตามที่บังอาจดัดแปลงซีรีส์เกมอันเป็นที่บูชาของพวกเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตัดสินใจของผู้พัฒนา Sony Santa Monica Studio ในการยกเครื่องซีรีส์ลูกรักของพวกเขาอย่าง God of War ใหม่ทั้งหมด คงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญอยู่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความกล้าหาญของพวกเขาก็ถูกตอบแทนอย่างเต็มรัก เมื่อเกม God of War (2018) สามารถคว้าเอารางวัลเกมยอดเยี่ยมหลากหลายสาขาจากทั้งสำนักสื่อและเวทีประกาศรางวัล รวมถึงเวทีใหญ่ประจำปีอย่าง Game of the Year 2018 โดยผู้ที่ได้สัมผัสเกมล้วนกล่าวชมทั้งเกมเพลย์และการนำเสนอโลกและเนื้อเรื่อง จนหลายคนถึงขนาดยกให้ God of War (2018) เป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของเจนเนอเรชันที่ผ่านมาเลยทีเดียวด้วยความสำเร็จอันท่วนท้นของเกมภาคก่อนหน้า ทำให้เกมภาคต่อจำเป็นต้องแบกรับความคาดหวังอันมหึมาเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยหลังจากที่ใช้เวลากว่า 45 ชั่วโมงไปกับเกม God of War: Ragnarok ผู้เขียนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกว่าเกมสามารถยกระดับประสบการณ์อันน่าทึ่งของภาคก่อนหน้าขึ้นไปได้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกมเพลย์ กราฟิก และโดยเฉพาะเนื้อเรื่อง ซึ่งมีความซาบซึ้ง อบอุ่น กินใจอย่างคาดไม่ถึง เป็นการปิดฉาก(?)การเดินทางของสองพ่อลูกเทพสงครามอย่างสมเกียรติที่สุด เหนือความคาดหวังใด ๆ ที่ผู้เขียนมีก่อนจะได้เล่นเสียอีก ความเป็นมนุษย์ที่งดงามในความไม่สมบูรณ์เนื้อเรื่องของเกม God of War: Ragnarok เริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ในเกมภาคก่อนราว 2-3 ปี ท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูหนาวนิรันดร์ฟิมบุลวินเทอร์ (Fimbulwinter) อันเป็นผลมาจากการตายของบาลเดอร์ โดยสองพ่อลูกเทพสงครามเครโทสและอเทรอัสพยายามจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขในบ้านหลังน้อยกลางป่าของพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่ถูกลิขิตไว้โดยเหล่ายักษ์ในตอนจบของเกมภาคก่อนหน้านั่นเองเรื่องราวของเกมเริ่มขึ้นในขณะที่สองพ่อลูกเทพสงครามกำลังอยู่ระหว่างล่าสัตว์ ซึ่งแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองตัวละครตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่เครโทสดูจะละทิ้งความโกรธแค้นจากอดีตของตนเองเกือบจะทั้งหมดแล้ว ความแค้นนั้นกลับถูกทดแทนด้วยความอ่อนล้า อันเป็นผลมาจากการได้รู้ว่าตัวเองอาจต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้าตามคำทำนายของเหล่ายักษ์ ในขณะที่อเทรอัสดูจะมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากพลังเทพที่เติบโตขึ้นของเขา พอ ๆ กับความมุทะลุตามประสาวัยรุ่นแตกหนุ่มของเขา โดยฉากเปิดนี้ยังมีการเชื่อมโยงบทพูดหรือการกระทำบางอย่างจากช่วงต้นเกมของภาคก่อนหน้าด้วย ยิ่งทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสองตัวละครได้ชัดเจนกว่าเดิมหลังจากที่ทั้งสองเดินทางกลับมาจากการล่าสัตว์ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง (ซึ่งเราจะไม่สปอย ให้ทุกคนไปเจอกันเอาเอง) ที่ชี้ชัดว่าแม้เครโทสเองจะไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเหล่าเทพเอเซียร์ (Aesir) อีกต่อไป แต่เหล่าเทพยังมีธุระต้องสะสางกับเขาและลูกชายอยู่ และพวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ ส่งผลให้สองพ่อลูกเทพสงครามตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาเทียร์ เทพสงครามประจำถื่นผู้สาบสูญ เพื่อหาวิธีเปลี่ยนโชคชะตาที่กำหนดให้พวกเขาต้องต่อสู้กับเทพเอเซียร์หรือถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้สำเร็จ ก็เพื่อเริ่มต้นสงคราม Ragnarok ตามคำทำนายและกำจัดโอดินกับพวกพ้องชาวแอสการ์ดให้สิ้นซาก แม้ว่าเรื่องราวของเกม God of War: Ragnarok จะเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามมิติ และมีทั้งสัตว์วิเศษไปจนถึงเทพเจ้าหลากหลายองค์ให้เผชิญหน้า แต่จุดแข็งหลักของเนื้อเรื่องเกม God of War (2018) ก็ยังคงเป็นแก่นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเป็นมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ผู้เล่นหลายคนรู้สึกซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ในเกมได้ โดยเกมภาค Ragnarok เองก็ยังรักษาจุดแข็งนี้เอาไว้ได้อย่างงดงาม ด้วยการนำเสนอปมขัดแย้งระหว่างตัวละครที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะมีประสบการณ์ร่วมไม่มากก็น้อย นั่นก็คือความต้องการของเครโทสที่จะปกป้องลูกชาย ซึ่งขัดแย้งกับความต้องการที่จะให้เขาได้เติบโตเป็นตัวของตัวเอง ในทางกลับกันอเทรอัสเอง แม้จะอยากก้าวเดินบนหนทางที่เลือกเอง แต่ในใจลึก ๆ ก็รู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะอยู่โดยไม่มีพ่อ ความกระอักกระอ่วนในใจก็ยังทำให้พวกเขาต่างไม่กล้าพูดความในใจให้อีกฝ่ายได้รู้ ซึ่งน่าจะเป็นความรู้สึกที่หลาย ๆ คงจะหาจุดร่วมได้ไม่ยาก การได้ติดตามความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ของพ่อลูกทั้งสองผ่านคัตซีนและการสนทนาระหว่างสำรวจ จึงเป็นประสบการณ์ที่กินใจ ซาบซึ้ง และล้ำค่าอย่างแท้จริง ในแบบที่น้อยเกมมาก ๆ จะสามารถทำได้เรื่องราวของพ่อลูกทั้งสอง ถูกเสริมด้วยเหล่าตัวละครเสริมอันน่าทึ่งจำนวนมาก ผู้ซึ่งต่างมีเรื่องราวของตนเองที่เข้ามาเกี่ยวโยงกับเครโทสและอเทรอัสมากกว่าในเกมภาคที่ผ่านมา ส่งผลให้ตัวละครเสริมแต่ละตัวได้มีช่วงเวลาเด่นของตนเองในเนื้อเรื่อง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็มักจะวนกลับมาเสริมธีมต่าง ๆ ที่เกมพยายามนำเสนออย่างลึกซึ้งและมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโชคชะตา ความแค้น การให้อภัย และที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว นอกจากนี้ ตัวละครเพื่อนร่วมทางยังมักจะชวนเครโทสคุยหรือแซวกันไปมาตลอดเวลาในขณะที่สำรวจอยู่ โดยบทสนทนาเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้เล่นค้นพบสถานที่หรือสิ่งของบางอย่างในฉาก ซึ่งจะทำให้ตัวละครเพื่อนร่วมทางออกความเห็นหรือเล่าถึงที่มาที่ไปของสิ่งของ/สถานที่นั้น ๆ กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ผู้เล่นได้สำรวจแผนที่ของเกมอย่างละเอียด เพื่อรับฟังบทสนทนาอันยอดเยี่ยมของตัวละครในขณะที่พวกเขาถกเถียงกันเกี่ยวกับอะไรก็แล้วแต่ที่เราค้นพบ ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมไม่น้อยเลยที่ผู้พัฒนาสามารถเขียนให้ตัวละครแทบทุกตัวในเกมรู้สึกมีมิติและมีเสน่ห์ได้ขนาดนี้ เพราะเอาเข้าจริงเกมมีตัวละครไม่น้อยหน้าภาพยนตร์รวมดาวใหญ่ ๆ ของจักรวาลมาร์เวลเลยทีเดียวตัวละครเสริมที่โดดเด่นเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นเฟรยาอดีตราชินีแห่งแอสการ์ด ที่แทบจะเสียสติจากความโกรธแค้นที่มีต่อเครโทสผู้ซึ่งหักคอบาลเดอร์ลูกชายของเธอในภาคที่แล้ว ส่งผลให้เธอสาบานว่าจะตามล้างแค้นเขาให้จงได้ โดย เฟรยาเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นทั้งอดีตอันคาวเลือดของเครโทสและอนาคตของเขาถ้าต้องเสียอเทรอัส ไป และการได้เห็นเธอค่อย ๆ ละทิ้งความแค้นที่สุมอก และโอบรับการให้อภัยทั้งตนเองและผู้อื่น ก็เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่มีแก่นความเป็นมนุษย์อย่างมาก ซึ่งก็ทำให้เรื่องราวของเธอรู้สึกล้ำค่าและกินใจไม่แพ้ตัวละครหลักเลยทีเดียว ทั้งนี้ หากจะมีจุดอ่อนซักจุดในเนื้อเรื่องของเกม God of War: Ragnarok ก็คงจะเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องอย่างโอดินที่แม้นักแสดงและนักพากย์จะถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ในทุก ๆ ฉากที่เขาปรากฏอยู่ แต่โอดินกลับเป็นตัวละครไม่กี่ตัวจริง ๆ ในเรื่องที่รู้สึกไม่ค่อยมีมิติเท่าที่ควร โดยเกมไม่สามารถให้คำอธิบายที่ดีพอกับการกระทำหลาย ๆ อย่างของเขา ที่ส่วนใหญ่ดูจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อตัวเขาเองหรือเป้าหมายที่เขาพยายามไล่ตามอยู่ จนรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นเพียงเครื่องมือทางการเล่าเรื่อง (Plot Device) มากกว่าตัวละครที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง เพื่อมอบข้ออ้างให้เหล่าฮีโร่ได้รวมพลังกันพิชิตในตอนท้ายเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่น้อยเมื่อคิดว่าตัวละครอื่น ๆ แทบทุกตัวดูจะมีมิติตื้นลึกหนาบางของตนเอง แต่ตัวละครที่สำคัญอย่างตัวร้ายหลักกลับแบนเป็นแผ่นกระดาษแบบนี้แต่อย่างที่กล่าวไป หัวใจหลักของเนื้อเรื่องในเกม God of War: Ragnarok ก็ยังคงเป็นเรื่องราวอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์ที่ร้อยเรียงไปกับเหตุการณ์เหนือจินตนาการต่าง ๆ ซึ่งเกมสามารถนำเสนอจุดเด่นนี้ได้อย่างชัดเจน ในแบบที่มีเพียงสื่อวิดีโอเกมเท่านั้นที่ทำได้ ผลลัพธ์คือเนื้อเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและอบอุ่นอย่างไม่คาดคิด เป็นประสบการณ์ที่จะเด่นชัดในความทรงจำของผู้เขียนไปอีกนาน แม้ไม่ใหม่ แต่ใหญ่และตื่นใจกว่าเดิมว่ากันตามตรง แก่นเกมเพลย์ของ GoW: Ragnarok แทบจะไม่ได้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าเลยซักนิดในแง่ของคุณภาพ เกมยังคงนำเสนอเกมเพลย์แอคชันอันดุเดือดสะใจ ควบคู่ไปกับการสำรวจและแก้พัซเซิลระหว่างทาง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาแล้วในภาคก่อนหน้า โดยแทนที่จะไปยุ่งกับสิ่งที่ยังใช้ได้ดีอยู่แล้ว ผู้พัฒนา Sony Santa Monica เลือกที่จะทำตามวลีฝรั่งที่ว่า “ปริมาณก็เป็นคุณภาพในตัวของมันเอง” ด้วยการเพิ่มความหลากหลายลงไปในแทบทุกองค์ประกอบของเกมเพลย์เลยทีเดียวในส่วนของการสำรวจ ในขณะที่เกมภาคก่อนหน้าจะมีแผนที่กว้าง ๆ ให้สำรวจได้เพียงไม่กี่แผนที่ เกมภาค Ragnarok ได้เปิดให้ผู้เล่นสามารถเดินทางไปยังภพทั้ง 9 ได้อย่างอิสระประมาณหนึ่ง ซึ่งแต่ละภพก็จะมีพื้นที่กว้างที่สามารถสำรวจได้ในระดับที่ต่างกันไป โดยแม้ว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่จะยังคงเกิดขึ้นในพื้นที่แคบ ๆ ที่มีลักษณะเหมือน “ดันเจียน” ที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามแผนที่ การออกแบบแผนที่ให้เปิดกว้างมากขึ้นทำให้เกมเพลย์การสำรวจของ Ragnarok เป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลินเป็นอย่างมาก เพราะผู้พัฒนาได้ซุกซ่อนสมบัติ ของสะสม พัซเซิล ไปจนถึงภารกิจและบอสลับอยู่ในแทบทุกทางแยกที่พบเจอ ในระดับที่ว่าไม่ว่าจะเลือกเดินไปทางไหนก็มีอะไรให้เก็บหรือค้นพบเสมอ และทำให้การสำรวจในเกมรู้สึกมีความหมาย ต่างจากหลาย ๆ เกมที่บางครั้งการสำรวจกลับทำให้รู้สึกเสียเวลามากกว่าในด้านการต่อสู้ ทักษะพื้นฐานทั้งหมดของเครโทสจากเกมภาคก่อนหน้าได้ถูกนำมาไว้ในเกมภาคนี้เกือบทั้งหมด โดยการต่อสู้จะยังเน้นการร้อยเรียงท่าโจมตีเบา-หนัก การโจมตีระยะไกล และท่าเวทมนต์ Runic ต่าง ๆ เข้ากับการหลบหลีก ป้องกัน หรือปัดป้องการโจมตีของศัตรู ซึ่งความแตกต่างระหว่างเกม Ragnarok และภาคก่อนหน้าส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของความหลากหลายมากกว่า ไม่ว่าจะจากการที่ผู้เล่นได้รับอาวุธ Blades of Chaos ของเครโทสมาตั้งแต่เริ่มเกม ซึ่งก็ทำให้เกมเพลย์ในช่วงต้นเกมหลากหลายขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับภาคก่อน และจากชนิดของศัตรูที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก อย่างที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไปในบทความพรีวิวก่อนหน้านี้ว่าชนิดศัตรูที่พบในเกมเพลย์ 6 ชั่วโมงแรกของ Ragnarok นั้นแทบจะมากเท่ากับที่พบในเกมภาคก่อนทั้งเกมอยู่แล้ว และยิ่งผู้เล่นเดินทางสำรวจภพทั้ง 9 มากขึ้น ความหลากหลายที่ว่านี้ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในช่วงท้ายของเนื้อเรื่องเกือบ 40 ชั่วโมงถัดมา เกมก็ยังคงแนะนำศัตรูและมินิบอสใหม่ ๆ ให้ผู้เขียนได้วัดฝีมือด้วย ต่างจากในภาคก่อนหน้าที่ให้ผู้เล่นต่อสู้กับบอสโทรลถือซุงตัวเดิมซ้ำ ๆ กันนับสิบครั้งตลอดทั้งเกม เอาเข้าจริงแล้ว Ragnarok ก็มีการเพิ่มระบบเกมเพลย์ใหม่เอี่ยมของตนเองเข้ามา หลังจากที่เล่นเนื้อเรื่องจบไปแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 60-70% ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ก็รู้สึกเหมือนกันว่าถ้าเกมเพิ่มระบบดังกล่าวเข้ามาเร็วกว่านี้ซะได้ก็ดีเหมือนกัน เพื่อให้การต่อสู้ในช่วงใหญ่ ๆ ของเกมมีมิติใหม่เพิ่มขึ้นมามากกว่านี้ และเมื่อนำมารวมกับระบบการสำรวจที่มีกลิ่นอายของเกมแนว Metroidvania ที่ให้ผู้เล่นใช้ความสามารถใหม่ ๆ ที่ได้ตามเนื้อเรื่องเพื่อปลดล๊อคพื้นที่หรือแก้พัซเซิ่ลในฉาก หมายความว่าผู้เล่นที่ต้องการจะเก็บสมบัติหรือเควสลับทั้งหมดจะต้องสำรวจแผนที่เดิม ๆ ซ้ำกันหลายครั้ง (หรือไม่งั้นก็เก็บมาสำรวจทีเดียวทั้งหมดตอนท้ายเกม) ซึ่งก็อาจไม่ค่อยถูกใจผู้เล่นบางคน โดยเฉพาะเมื่อเกมไม่มีระบบมาร์กตำแหน่งของสมบัติหรือพัซเซิ่ลเพื่อย้อนกลับมาสำรวจภายหลังได้แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่รู้สึก “ใหม่” ซะทีเดียว แต่เกมเพลย์ของ God of War: Ragnarok ก็อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติอันสำคัญยิ่งของเกม นั่นก็คือ “ความสนุก” นั่นเอง นอกจากการต่อสู้ในเกมจะดุเดือดท้าทายตลอดทั้งเกมแล้ว การแก้พัซเซิ่ลหรือสำรวจแผนที่ยังนำไปสู่รางวัลที่มีความหมายบางอย่างเสมอ เป็นเกมที่รู้สึกว่าองค์ประกอบทั้งหมดเป็น “เนื้อ” โดยแทบไม่มี “น้ำ” ปนอยู่เลย พูดได้เต็มปากว่า “สนุกจนวางจอยไม่ลง” เลยทีเดียวงานแสดง+พากย์เสียงที่เทพคู่ควรเช่นเดียวกับในด้านเกมเพลย์ ข้อปรับปรุงในด้านการนำเสนอของ GoW: Ragnarok ไม่ได้มาในรูปแบบของการยกระดับคุณภาพกราฟิกซะทีเดียว (เพราะเกมยังวางจำหน่ายสำหรับ PS4 ด้วย) แต่เน้นการเพิ่มปริมาณแทน ซึ่งในบริบทนี้ก็หมายถึงความหลากหลายของสภาพแวดล้อมที่ผู้เล่นจะได้ค้นพบตลอดการสำรวจภพทั้ง 9 นั่นเอง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าในแผนที่แต่ละภพจะมีพื้นที่กว้างให้ผู้เล่นได้สำรวจ ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอฉากทัศน์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นป่ารกทึบของวานาไฮม์ไปจนถึงทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพังของอัลฟ์ไฮม์มั่นใจได้ว่า GoW: Ragnarok จะมีอะไรเจ๋ง ๆ ให้ผู้เล่นได้ค้นพบมากกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอนสภาพแวดล้อมในเกมไม่ใช่องค์ประกอบเดียวที่ถูกทำให้หลากหลายมากขึ้น การเดินทางไปตามภพต่าง ๆ ของเครโทสและอเทรอัสยังพาพวกเขาไปพบกับตัวละครในตำนานนอร์สมากหน้าหลายตาด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้ผู้พัฒนาได้มีโอกาสตีความและออกแบบตัวละครเหล่านี้ใหม่ในแบบของพวกเขาเอง ทำให้ผู้เล่นได้มีโอกาสพบกับทั้งสัตว์วิเศษและสถานที่อันน่ามหัศจรรย์มากมาย ที่ล้วนมีความหมายในภาพใหญ่ของเหตุการณ์ในเกมให้มีมิติมากขึ้น และยังช่วยสื่อถึงธีมที่เกมพยายามนำเสนอได้โดยรู้สึกเป็นเนื้อเดียวกับเนื้อเรื่องหลัก การค้นพบตัวละครหรือสถานที่เหล่านี้ระหว่างที่สำรวจจึงทำให้การเดินทางของตัวเอกทั้งสองให้ความรู้สึกของการผจญภัยอย่างแท้จริงแต่แม้ว่าคุณภาพกราฟิกและการออกแบบโลกของ Ragnarok จะยอดเยี่ยมเพียงใด ดาวเด่นของเกมในด้านการนำเสนอคงหนีไม่พ้นการแสดงและพากย์เสียงตัวละครในเกม ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงและพากย์เสียงเกมระดับ AAA ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลยสำหรับผู้เขียน แม้ว่ากราฟิกหน้าตาตัวละครอาจไม่สมจริงไปถึงรูขุมขนเหมือนในเกมอย่าง Call of Duty: Modern Warfare II แต่ตัวละครทั้งหมดในเกม Ragnarok กลับสามารถแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอันลึกซึ้งผ่านทั้งภาษาพูดและภาษากายได้อย่างชัดเจนและมีมิติ โดยเครโทสเองเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของคุณภาพการแสดงในเกมนี้ จากความสามารถในการแสดงอารมณ์มากมาย ทั้งความรัก ความเป็นห่วง ความเหน็ดเหนื่อย ความรำคาญ ความเสียใจ ผ่านสายตาและการขยับร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นตลอดทั้งเกม ซึ่งการที่เกมสามารถใช้ “ความเงียบ” เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องได้ดีพอ ๆ กับบทพูดน่าจะเป็นเครื่องชีวัดที่ดีถึงคุณภาพของกราฟิกตัวละครในเกม ถ้าจะบอกว่าการแสดงและการพากย์เสียงนี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้ God of War: Ragnarok กลายเป็นประสบการณ์ที่ถูกจดจำโดยเกมเมอร์ไปอีกนาน ก็คงไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยซักนิดเดียวในด้านความเสถียร ผู้เขียนได้เล่นเกมบนคอนโซล PlayStation 5 ในโหมด Performance เป็นหลัก ซึ่งก็สามารถมอบประสบการณ์เกมเพลย์แบบ 60FPS แบบลื่น ๆ ตลอดทั้งเกม แลกกับคุณภาพขิงพื้นผิว แสงสี และความคมชัดที่น้อยลง (ไม่สามารถทดสอบโหมด 120FPS และ 45FPS ได้) ซึ่งก็อย่างที่เคยบอกไปในพรีวิวอีกเช่นกันว่าโดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนรู้สึกว่าคุณภาพที่เพิ่มขึ้นจากโหมด Resolution ของเกมนั้นสังเกตได้น้อยกว่าเฟรมเรตที่ลดลงครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแต่ละคนว่าจะชอบแบบไหน และแม้ว่าผู้เขียนจะพบบั๊คที่ทำให้ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับของในฉากได้เป็นครั้งคราว แต่ผู้พัฒนาก็ได้อัปเดตเกมไป 2-3 ครั้งตลอดช่วงที่รีวิวเกม และก็ดูเหมือนจะแก้ปัญหานี้ไปได้แล้ว เพราะผู้เขียนไม่พบปัญหาดังกล่าวอีกเลยจนจบเกมคุณภาพคำแปลไทยในส่วนของคำแปลไทย ต้องยอมรับว่าด้วยบทพูดของเกม God of War: Ragnarok ที่เขียนมาค่อนข้างสละสลวย มีการผสมผสานทั้งศัพท์แสลงและการใช้คำ/ภาษาแบบคนยุคปัจจุบัน กับศัพท์โบราณที่ "เข้ากับ" ความเป็นแฟนตาซีของเกม ซึ่งจากการเล่นทดลองเล่นศัพท์ภาษาไทย แม้จะแปลความหมายได้ค่อนข้างถูกต้องอย่างน้อยซัก 80% แต่ในแง่ของอรรถรสและความคมคายของบทพูด ก็ไม่มั่นใจว่าคำแปลที่เห็นนี้จะสามารถสื่อนัยหรือมิติในคำพูดของตัวละครได้ดีแค่ไหนทั้งนี้ ผู้เขียนยอมรับว่าไม่ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมเป็นภาษาไทยมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะผู้พัฒนาได้ขอความร่วมมือมาให้รอการอัปเดตเกมในภายหลังเสียก่อนค่อยทดลองใช้ภาษาไทย จึงไม่ได้มีเวลาเหลือให้ทดลองนัก โดยความเห็นในส่วนนี้อ้างอิงจากการทดลองเล่นเกมช่วงสั้น ๆ ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น สรุป: ตอกย้ำสถานะเทพแห่งวงการ AAAGod of War: Ragnarok ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพที่แท้จริงของเกม Singleplayer ระดับ AAA ที่สามารถมอบประสบการณ์เกมเพลย์ที่สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับกราฟิก เนื้อเรื่อง การออกแบบศิลป์ และการแสดงที่ล้วนอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการทั้งสิ้น โดยไม่มีปัญหาหรือบั๊คมากวนใจเลย เกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์ทั้งหมด เพราะการจะหาเกมที่สมบูรณ์ไปทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ God of War: Ragnarok สมควรได้รับคะแนนที่สูงที่สุดที่ผู้เขียนพอจะให้ได้ เป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งวงการเกมที่ทุกคนควรหาโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้ง 
03 Nov 2022
[Review] รีวิวเกม Resident Evil Village: Shadow of Rose บทสรุปครอบครัววินเทอร์กับความ Horror ที่เข้มข้นกว่าทุกครั้ง
ปล่อยให้แฟน ๆ ค้างคาใจกันมานานปีกว่า ๆ สำหรับตอนจบของ Resident Evil Village และในที่สุด DLC Shadow of Rose ก็มาถึงมือแฟน ๆ กันแล้ว แต่สำหรับเนื้อหาเสริมตัวนี้มันนจะยังมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมสู้เกมหลักได้หรือไม่ ก็ลองมาดูรีวิวของเรากัน แต่เราจะรีวิวเฉพาะในส่วนเนื้อเรื่อง Shadow of Rose เท่านั้น ไม่ได้มีในส่วนของ Mercenaries และมุมมอง 3rd Person ของเกมหลักชิ้นส่วนที่หายไปของ Resident Evil Villageคนที่คิดจะซื้อ DLC ตัวนี้มาเล่น เชื่อว่ายังไงก็ต้องผ่านเกมหลักมาแล้วอย่างแน่นอน สำหรับ Shadow of Rose ต้องบอกว่ามันคือชิ้นส่วนที่หายไป และเป็นชิ้นที่สำคัญเสียด้วยสำหรับแฟน Resident Evil ต้องบอกก่อนว่ามันอาจจะไม่มีการเชื่อมต่อเรื่องราวไปยังภาคใหม่ หรือดึงตัวละครภาคเก่ากลับมา แต่มันคือ DLC ที่ทำให้ครอบครัววินเทอร์ และตัวเกมภาค 7 และ 8 สมบูรณ์ แม้จะมีคำถามคาใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ปมใหญ่ ๆ ก็ถือว่าคลี่คลายไปได้หมดแล้วเรื่องราวใน Shadow of Rose จะเล่าถึงชีวิตของโรสที่มีพลังพิเศษ ผลกระทบจากพลังนี้ทำให้เธอถูกสังคมมองว่าแปลกแยก และไม่เหมือนใคร เข้ากับใครก็ไม่ได้ และถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดเสมอ แต่วันหนึ่งเธอก็ได้รับการติดต่อจาก 'เค' เจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดของคริส เรดฟิลด์ ว่าค้นพบวิธีแก้และลบล้างพลังภายในตัวโรสแล้ว นั่นคือการใช้คริสตัลชำระล้าง ที่อาจจะใช้ทำลายพลังของเชื้อ Mold ลงได้ แต่ข้อมูลกลับไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของโรส ที่ต้องส่งจิตของตัวเองเข้าไปในโลกของเมกะไมซีต เพื่อตามหาข้อมูลของคริสตัลชำระล้างนี้สิ่งสำคัญเลยก็อย่างที่บอกไป ว่าถ้าคุณเล่นภาค Village มา ภาคนี้คุณก็จำเป็นจะต้องเล่น เพราะมันคือชิ้นส่วนที่หายไปของเนื้อเรื่องจริง ๆ และสำหรับใครที่คิดว่าตอนจบของภาค Village ทำให้เรางง ๆ ทุกอย่างจะได้คำตอบในเนื้อหานี้ และมันมีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างดี ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป และจบได้ในเวลาไม่นาน ส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นต้องบอกเลยว่าคุ้มค่า สมราคาแน่นอน บอกได้แค่ว่าแฟน ๆ Resident Evil ไม่ควรพลาดจริง ๆ ถ้าจะมีข้อติก็คือ ยังมีปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างถูกทิ้งไว้เป็นคำถามกับแฟน ๆ และน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่เราจะไม่ได้เห็นเรื่องราวของครอบครัววินเทอร์ต่อจากนี้แล้วเหล้าใหม่ในขวดเก่า กับการพากลับมายังจุดเดิม แต่เปลี่ยนแนวเกมไปโดยปริยายแม้ว่าตรงนี้จะเป็นจุดที่น่าเสียดายสักหน่อย แต่สำหรับ Shadow of Rose นั้น เราจะไม่ได้ผจญภัยไปยังพื้นที่ใหม่ แต่เกมจะพาผู้เล่นกลับมายังสถานที่ที่เราคุ้นเดยกันดีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปราสาท DImitrescu หมู่บ้านที่พวกอีธานอาศัยอยู่ หรือแม้กระทั่งบ้านตุ๊กตาสุดหลอนอย่างบ้าน Beneviento เอง ฉากหลังภายใน DLC ทั้งหมด จะพาผู้เล่นกลับมาสู่จุดเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบการเล่าเรื่อง และเปลี่ยนบรรยากาศของมันไปเลย จากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นจนจบ สัมผัสได้ว่าทีมสร้าง Resident Evil เอง ก็อยากกลับไปทำเกมแนวสยองขวัญ หรือ Survival Horror มาก ๆ แต่เหมือนว่าโลกของ Resident Evil มันไปไกลเกินไปแล้ว จึงทำออกมาไม่ค่อยได้ และนี่คือโอกาสอันดีที่พวกเขาจะได้ทำ ไม่ว่าจะฉากใดก็ตามของ DLC นี้ จังหวะไหนที่พวกเขาใส่ความสยองขวัญ ความน่ากลัวเข้ามาได้ พวกเขาจะเก็บหมดแทบจะทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านตุ๊กตา Beneviento เคยหัวใจจะวายกับมันในเกมหลักอย่างไร ใน DLC ก็ทำออกมาได้หลอนสุดอะไรสุดไม่แพ้กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่า หากทีมงานชุดนี้ อยากจะทำเกมสยองขวัญขึ้นมาสักเกม ก็น่าจับตามองมาก ว่าพวกเขาจะใส่อะไรลงไปบ้าง เพราะทั้งงานศิลป์ การออกแบบฉาก ระบบการเล่นที่ใส่ความสยองเข้ามา เกมนี้สอบผ่านมากจริง ๆแม้ว่าจะน่าเสียดายที่มันไม่มีอะไรใหม่เลย ฉากภายในเกมมีฉากที่ดูเหมือนใหม่อยู่ไม่กี่ฉาก นอกนั้นคือการนำของเก่ามานำเสนอใหม่ แต่อย่างน้อยรสชาติใหม่ที่เกมนำเสนอให้ก็ถือว่าแปลกและแหวกแนวไปกว่า Resident Evil ภาคอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งภาค Village ด้วยกันเอง และชั่วโมงที่ใช้ในการเล่น หากคุณเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทาย ไขปริศนาด้วยตัวเอง ก็อาจจะใช้เวลาอยู่ที่ราว ๆ 3-4 ชั่วโมง ก็ถือว่าไม่สั้นเท่าไรนัก สำหรับเกมขนาด DLC ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ตัว DLC นี้ ยังคงรองรับภาษาไทยด้วย และการแปลไทยของมันก็ยังคงทำออกมาได้ดีในระดับที่ชื่นชมได้ว่าแปลดี แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เพราะในบางจุด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแปลผิดเต็ม ๆ ซึ่งการแปลผิดนั่น น่าจะมาจากการที่ทีมแปลไม่ได้เห็นฉากคัทซีนหรือการสนทนาภายในเกม ทำให้บางคำแปลผิดแบบเต็ม ๆ แต่โชคดีที่ในส่วนที่แปลผิดนั้น ไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่องที่มีใจความสำคัญแต่อย่างใด แม้จะพอมองข้ามได้ แต่อาจจะต้องฝากไว้ให้ทีมงานนำไปปรับปรุงกันต่อไปส่วนผสมของ Action / Survival และ Horror กับ Puzzle ที่หนักมือไปหน่อยอย่างที่เราเกริ่นไว้ด้านบน ว่าดูเหมือนผู้สร้าง Resident Evil เอง เขาก็อยากจะทำเกมสยองขวัญหนัก ๆ กับเขาบ้าง แต่เมื่อจักรวาลมันมาไกลเกินไปแล้ว จึงทำได้ยาก DLC นี้ พวกเขาจึงนำส่วนผสมอย่าง Action / Survival และ Horror มาเทผสมกัน แต่ดูเหมือนถ้วยส่วนผสมของ Horror จะหนักมือไปหน่อยตลอดเกมการเล่น 3 ชั่วโมงของ Shadow of Rose ผู้เล่นจะมีทางเลือกเสมอว่าจะยิงหรือสู้ บางครั้งหากอยากหลีกเลี่ยงการต่อสู้ก็สามารถทำได้ แต่บางครั้งเกมก็มัดมือชกให้เราต้องสู้ล้วน ๆ โดยไม่มีทางเลือก แต่ที่มันเป็น Survival Horor แบบเพียว ๆ ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หากคุณเล่นเกมนี้ด้วยความยากระดับปกติ เกมจะคอยเสิร์ฟไอเทมและกระสุนให้คุณอย่างพอเพียงตลอดไปจนจบเกม ดังนั้นปัญหาของคนเล่นทั่วไป ไม่ได้อยู๋ที่ว่ามันยาก (เว้นแต่คุณจะเล่นโหมดยาก) แต่อยู่ที่ใจกล้าพอจะเล่นไหม และไม่เบื่อไปกับการไขปริศนาภายในเกมซะก่อนส่วนของฉากบู๊หรือแอ็คชั่น ต้องบอกว่าไม่ได้มีเยอะมาก แถมบางส่วนวิ่งหนีข้ามไปเลยเพื่อประหยัดกระสุนและยาก็ทำได้ แต่การไขปริศนาหรือ Puzzle อาจจะทำให้เราต้องรำคาญกันนิดหน่อย เพราะมีตั้งแต่การหาวิธีเปิดทางไปต่อ การย้อนไปย้อนมา เพื่อหา Key Item และนำกลับไปเปิดเส้นทางไปต่อ แต่ส่วนที่ออกแบบมาได้ดีก็คงหนีไม่พ้น Puzzle ที่แม้จะมีคำใบ้แบบแปลไทย แต่ใครที่หัวไม่ไวพอ (เช่นผู้เขียน) ก็อาจจะต้องเสียเวลางมกันพอสมควรเลยทีเดียวในส่วนของความเป็น Survival นั้น น่าจะน้อยที่สุดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย บางฉากเราเลือกได้ว่าจะหนีไปเลย เพื่อประหยัดกระสุนและยา แต่จะประหยัดไปทำไม ในเมื่อเกมคอยเสิร์ฟไอเทมให้เราแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ดีไซน์เกมมาได้น่ากลัวหลายฉาก แต่เพราะเราสู้ได้ มันเลยไม่กดดันมากนัก ยกเว้นฉากบ้านตุ๊กตาสุดหลอนที่มันเล่นริบอาวุธเราไปทั้งหมดในส่วนของกลไกเกมการเล่นใหม่ ๆ ด้วยความที่ภาคนี้เราเล่นเป็นโรส ที่มีพลังของเชื้อ Mold พลังของโรสถูกนำเสนอออกมาทั้งในรูปแบบของเกมเพลย์ที่ต้องต่อสู้และไขปริศนา เราจะมีพลังในการทำลายแกน Sclerotia ที่เป็นอุปสรรคหลักภายในเกม และพลังของโรสนี่แหละที่เป็นทำหน้าที่เหมือนอาวุธสำรองอย่างมีด ในเกมนี้นอกจากปืนแล้ว พลังของโรสจะใช้ในการ Counter เหล่าศัตรูกรณีโดนเข้าถึงตัวได้ด้วย แต่หากให้เปรียบเทียบจริง ๆ มันก็ไม่ได้สร้างความสดใหม่ของเกมเพลย์ได้มากขนาดนั้น กลับกัน แฟน ๆ อาจจะรู้สึกแปลก ๆ ที่เกมเริ่มมีเรื่องราวของพลังพิเศษเพิ่มเข้ามาและสำหรับผู้ที่เคยเล่น Resident Evil มาก่อนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องยากที่จะเข้าใจ ก็ถือว่าสมแล้วที่เป็น DLC แต่หากให้เทียบสัดส่วนของเกมเพลย์ในภาคนี้ เราจะเน้นหนักไปที่การไขปริศนาและการลอบเร้นมากกว่าที่จะเป็นการแอ็คชั่น ซึ่งอาจจะมอบอรรถรสใหม่ ๆ ให้กับแฟนเกมได้มากขึ้น หลังจากที่เกมหลักนั้นต้องประคับประคองกันพอสมควร หากอยากจะเล่าเรื่องแบบนี้RE Engine ที่ยังทำงานได้เป็นอย่างดี ส่งท้ายกันด้วยเรื่องของ Performance ตัวเกม DLC นี้ ยังคงใช้ RE Engine จากเกมหลัก ทำให้ประสิทธิภาพของตัวเกมไม่ได้ทิ้งห่างจากภาคหลักมากนัก แถมฉากของเกมภาคนี้ยังเป็นพื้นที่ปิดซะเป็นส่วนมาก ทำให้คอมพิวเตอร์ใครที่เล่นภาคหลักไหว ภาคนี้ก็สบายเลย หรือใครที่เล่นภาคหลักแล้วเกิดอาการเฟรมตก แลคบ้างอย่างถูไถ ภาคนี้อาจจะเล่นง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องเรนเดอร์พื้นที่เปิดกว้างจนกินแรงเครื่อง ส่วนเรื่องบั๊กก็แทบจะปลอดภัยหายห่วง เพราะตลอดการเล่น 3 ชั่วโมงของผู้เขียน ต้องบอกว่า ไม่เจอเลยแม้แต่ตัวเดียว และคงต้องชื่นชม RE Engine ของ Capcom กันอีกรอบว่า เอนจิ้นของพวกเขา แทบจะอยู่ในระดับยอดเยี่ยมมาก ๆResident Evil Village: Shadow of Rose คือส่วนเสริมที่แฟนเกมไม่ควรพลาด โดยเฉพาะคนที่ติดตามเกมนี้มาตั้งแต่ภาค 7 มันถือว่าเป็นบทสรุปของครอบครัววินเทอร์ที่งดงามและชวนซึ้งได้เป็ฯอย่างดีเลยทีเดียว
02 Nov 2022
[Review] Bayonetta 3 เกมแม่มดสาวสุดแซ่บ เต้นระบำกับทาสอสูร ออกผจญภัยช่วยมัลติเวิร์ส!
เกมซีรีส์ Bayonetta นั้นได้ห่างหายจากวงการเกม Hack & Slash มาเนิ่นนาน เพราะตั้งแต่ปี 2017 ที่ได้ปล่อยตัวอย่างของตัวเกมภาค 3 ให้ดูแล้วตื่นเต้นเล่น ก็ไม่ได้มีข่าวคราวอะไรเลยนอกเสียจากข่าวลือและคำพูดให้สัญญาของผู้พัฒนาว่าตัวเกมยังคงสร้างและมันจะเป็นการเปิดโลกใบใหม่ที่ซีรีส์นี้ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งขอกล่าวแบบสปอยไว้ตั้งแต่หัวรีวิวตรงนี้เลยว่า 'มันคือความจริง'ล่าสุดกับการที่ตัวเกมได้วางจำหน่ายที่แม้จะมีดราม่าเกี่ยวกับอดีตนักพากย์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (และฝ่ายที่ผิดก็คืออดีตนักพากย์เอง) ก็ไม่ได้ทำให้เกม Bayonetta 3 นั้นด้อยความสนุก สดใหม่ และแปลกประหลาดตามฉบับความเป็นเกมญี่ปุ่นแต่อย่างใดเนื้อเรื่องเร้าใจ เล่นใหญ่ด้วย 'มัลติเวิร์ส'ในภาคที่ผ่านมา ตัวแม่มดสาวของเรานั้นจะวกวนอยู่กับเรื่องราวของวันเวลาและความทรงจำ โดยกล่าวตามตรงถ้าว่าหากทางเกมยังไม่เปลี่ยนแปลงตรงจุดนี้คงน่าเบื่อไม่น้อย ดังนั้นทางผู้พัฒนาเขียนบทปากร้ายนาม Hideki Kamiya ก็ได้ส่งมอบประสบการณ์ใหม่ที่ให้เราได้ผจญภัยไปในโลกเกม Bayonetta ได้กว้างไกลด้วยระดับใหญ่ขึ้นในการใช้มุก 'มัลติเวิร์ส' ที่กำลังโด่งดังมากในวงการสื่อภาพยนตร์และเกมในหลายปีที่ผ่านมาด้วยความที่ใช้มัลติเวิร์สเป็นแกนนำเรื่อง มันจึงเป็นอะไรที่สดใหม่และแปลกตา ยิ่งรวมกับความแปลกของตัวซีรีส์เกมนี้ไปด้วยแล้วมันยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่! แต่มันดันเป็นความสนุกจนหาเกมไหนมาเทียบไม่ได้ อย่างการที่ตัวละครเรา Bayonetta ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งชั่วร้ายนาม Singularity ที่วางแผนทำลายมิติแต่ละมิติที่มีในมัลติเวิร์สเพื่อหวังรีเซตจักรวาลด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว (คุ้น ๆ นะ ว่าไหม)ทั้งตัวเธอ Jeanne, Viola และ...ตัวเธอในจักรวาลคู่ขนาน!? จึงต้องร่วมมือกันตามหาอุปกรณ์เคออสเกียร์ และนักวิทยาศาสตร์นาม Sigurd เพื่อหยุดยั้งหายนะระดับจักรวาลในครั้งนี้! เปิดโลกเกมเพลย์ Hack&Slash แนวใหม่สุดมันต่อย เตะ ยิง หลบ แล้วใช้ความสามารถ Witch Time สโลวเวลาต่อคอมโบเรื่อย ๆ ก่อนจะจบลงด้วยท่าไคลแม็กซ์ปิดฉากศัตรูด้วยทาสอสูรที่เป็นจุดขายของ Bayonetta ของสองภาคก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมันในภาคสามนี้ เพราะปกติแล้วทาสอสูรนั้นจะเผยออกมาในฉากคัตซีนและฉากจบท่าสังหารเท่านั้น แต่ในครั้งนี้พวกมันสามารถออกมาโลดแล่นบนหน้าจอไปพร้อมกับเรา สู้และสังหารด้วยการเต้นควบคุมสุดสยิวผ่านระบบ Demon Slave โดยเราต้องใช้สติว่าจะใช้เจ้า 'หนูน้อย' พวกนี้ในการโจมตีหรือจะเข้าไปต่อสู้เองตอนไหนให้ดี เพราะนอกจากค่าพลังในการใช้งานมีจำกัด บางพื้นที่นั้นไม่สามารถใช้ได้ หรือศัตรูบางตัวต่อต้านการโจมตีทาสอสูรแล้ว ตัวเรายังเป็นเป้านิ่งให้ลูกกระจ๊อกตัวอื่น ๆ มาโจมตีอีกด้วย !แต่ก็ใช่ว่าสัตว์อสูรนั้นจะมีแค่แบบเดียวให้เราเลือกใช้ เพราะนอกจาก Gomorrah หรือ Madame Butterfly แล้ว เรายังสามารถหากำลังเสริมสัตว์อสูรพวกนี้ได้จากการเล่นเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับอาวุธที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจต่าง ๆ ในระบบ Demon Masquerade ที่ได้ถูกนำมาแทนที่ Beast Within ในภาคก่อน ให้เราได้โลดแล่น ต่อสู้ หรืออกสำรวจแผนที่ด้วยความสามารถที่พ่วงมากับร่างเหล่านี้ที่ต่างกันออกไป เช่น อาวุธปืนเริ่มต้นจะจำแลงร่างเป็นปีศาจผีเสื้อ เน้นรวดเร็วเข้าถึงศัตรูไว ในขณะที่อาวุธปืนยักษ์ จะมีพลานุภาพที่รุนแรงแต่เชื่องช้า หรือจะกงจักรไฟแปลงกายเป็นแมงมุม สามารถไต่กำแพงและโหนใยกลางอากาศได้ในแบบที่สไปเดอร์แมนยังอายนอกจากนี้รูปแบบการเล่น Hack & Slash อย่างเดียวคงน่าเบื่อ ทางผู้พัฒนาจึงสรรหารูปแบบการเล่นอันแปลกใหม่เข้ามาเสริมให้เราเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปพลาง ๆ เช่นการรับบทเป็น Jeanne ลอบเร้นเข้าศูนย์วิจัยเพื่อหาศาสตราจารย์ Sigurd ในรูปแบบเกม 2.5 มิติ ที่ผสมการเล่นเกมสายลับและแอ็กชันได้อย่างกลมกล่อม หรือการจับปีศาจสองตัวมาต่อสู้กันประหนึ่งสงครามไคจู ในรูปแบบเกมต่อสู้ Street Fighter รวมไปถึงเปลี่ยนเกมเป็น FPS ยิงศัตรูระหว่างนั่งรถไฟขบวนนรกและอีกมากมาย จนผู้เขียนยังทึ่งและขนลุกไปกับไอเดียและทุกสิ่งที่ได้สัมผัสระบบเสริมเต็มอิ่ม เพิ่มความฟินในการเล่นหลายครั้งที่เราเล่นเกมบางเกมที่มีเนื้อหาล่อแหลม แต่เหมือนคนทางบ้านไม่ได้เข้าใจก่อนจะเปิดเข้ามาแล้วเจอฉากสุดเขินอาย และยิ่งกับเกม Bayonetta ที่การเปลื้องผ้าของเธอคือจิตวิญญาณและความสามารถ ระบบ Naive Angle จึงได้ถูกพัฒนามาเพื่อสิ่งนี้! โดยมันจะเปลี่ยนแปลงภาพ ภาษาและเนื้อหาล่อแหลมให้เราเล่นกลางห้องนั่งเล่นได้ไม่อายใคร ถึงขนาดที่เปลี่ยนซิการ์เป็นขนมเคลือบน้ำตาลเลยทีเดียว!เท่านั้นยังไม่พอสำหรับสายโลกจะมอดม้วยก็ช่าง ฉันต้องสวยไว้ก่อน ก็มีระบบ Camera Mode มารองรับให้เราสามารถถ่ายรูปความปังในระหว่างการต่อสู้ หรือจะยืนสวยแอ๊กท่าให้เลิศปรับแต่งฟิลเตอร์ได้ตามต้องการ!กึ่งโลกเปิด มีอะไรให้ทำมากกว่าเก่าตัวเกม Bayonetta 3 นั้นได้พยายามค้นหาและทลายความเป็นเกมมุ่งทะลวงและจบเป็นด่าน ๆ ไปในการเป็นเกม Hack & Slash ด้วยระบบนี้ เพราะตลอดการเล่น ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะตรงดิ่งเข้าเนื้อเรื่องหรือเตร็ดเตร่ไปตามทางของแผนที่ขนาดยักษ์ซึ่งซุกซ่อนไอเทมต่าง ๆ ไว้มากมายให้ผู้เล่นได้เก็บสะสม เช่นแผ่นเพลง โมเดลตัวละคร ภารกิจลับ และอื่น ๆ มากมายจนเราสามารถย้อนกลับมาเล่นใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่จบเกมไวแน่นอนกราฟิกน่าเศร้า แต่ยังพอไปได้อย่างที่เราทราบกัน ว่าเครื่องเกม Nintendo Switch นั้น เป็นเครื่องเกมแบบพกพาของค่ายปู่นินที่ไม่ได้มีความแรงในด้านการ์ดจอ หน่วยประมวลผลจนเทียบเท่าได้กับคอนโซลเครื่องอื่น ๆ ในปัจจุบันขนาดนั้น มันจึงส่งผลทำให้ตัวเกมทุกเกมรวมถึง Bayonetta 3 ที่ควรจะมีภาพสวยสดงดงามมากกว่านี้หากได้พอร์ตไปลงคอนโซลอื่น ถูกลดระดับกราฟิกลงให้มีความคมชัดอันน่าใจหายอยู่นิดหน่อยแต่ทว่ากราฟิกของตัวเกมที่ผู้พัฒนาได้รังสรรค์ออกมานี้ ดันกลายเป็นความน่าชื่นชมและความใส่ใจอย่างเต็มที่เท่าที่เขาจะสามารถสร้างและพัฒนาได้บนเครื่องเกมพกพานี้ เสมือนว่ามันเป็นบรรทัดฐานและเพดานสูงสุดเท่าที่เกม Switch จะมอบให้ผู้เล่นได้ แต่ขอบอกตามตรงในระหว่างการเล่น ผู้เขียนไม่ได้มองว่ากราฟิกของเกมนั้นเป็นปัญหาอะไรขนาดนั้น เพราะความสวยงามทั้งฉากและตัวละครยังอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีจนโดดเด่นความสนุกเหลือร้ายของเกม Bayonetta 3พูดมาถึงจุดจุดนี้แล้วคงบอกได้เต็มปากเลยว่าตลอด 5 ปีที่รอคอยมาสำหรับเกมใหม่ในซีรีส์นี้แทบไม่สูญเปล่า และมันเหมือนเป็นการสูบฉีดเลือดของนักรัวปุ่มเกมต่อสู้ Hack & Slash ได้ดีไม่น้อยหน้าเกมอื่นเลย จนอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันเกมที่มีเนื้อหาความบ้าบิ่นและบ้าบอ ผสมกับความสนุก มันสุดเร้าใจอย่าง Bayonetta 3 นี้ ก็ยังไม่มีใครมาเทียบได้ทั้งนี้การอ่านรีวิวก็อาจไม่ได้มอบประสบการณ์ที่แท้จริงเท่ากับการเล่นเอง ดังนั้นทางผู้เขียนจึงขอแนะนำตัวเกม Bayonetta 3 นี้ว่ามันคุ้มค่าแน่นอนที่จะซื้อเครื่อง Nintendo Switch และได้มาเล่นจริงให้เต็มอิ่มกับโลกของแม่มดสาวสุดแซ่บ รวมไปถึงภาคก่อนหน้าทั้งสองภาคก็คู่ควรที่จะจับจองสอยมาเล่นเคียงคู่ไม่แพ้กันเกม Bayonetta 3 เป็นเกมที่วางขายแบบจำกัดเฉพาะบนเครื่อง Nintendo Switch เพราะทางค่ายปู่นินได้เคยเป็นผู้อุ้มบุญช่วยผู้พัฒนาเกมอย่าง Platinum Games ไว้ จึงเป็นไปได้ยากมากที่ตัวเกมจะถูกพอร์ตนำไปลงให้กับเครื่อง PC หรือคอนโซลอื่นแต่หากใครสนใจ เกม Bayonetta 3 ก็ได้วางขายเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา มีทั้งแบบซื้อเป็นดิจิทัล แผ่นเกม ในราคาราว ๆ 1800 บาท หรือจะจัดใหญ่กดซื้อเป็นแพ็กเกจ Trinity Masquerade Edition ในราคา $79.99 หรือประมาณ 2400 บาท ซึ่งจะมีของแถมสุดพิเศษอย่างอาร์ตบุ๊กสีทั้งเล่มของตัวเกมกว่า 200 หน้าปกเกมแบบพิเศษทั้งสามภาค สามารถนำมาต่อเป็นภาพพาโนรามาได้ตัวแผ่นเกม Bayonetta 3 สำหรับเครื่อง Nintendo Switchเอาล่ะจะรออะไรกันอยู่? รีบไปสัมผัสความสนุกสุดแซ่บกับแม่มดสาวในเกม Bayonetta 3 กันเถอะ! หรือจะลองดูตัวอย่างเกมข้างล่างนี้ประกอบการตัดสินใจพลาง ๆ ก็ได้
30 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Indoorlands สร้างสวนสนุกในร่ม ออกแบบได้ตามใจเรา
Indoorlands เกมสร้างสวนสนุกในร่ม ที่เราสามารถออกแบบสวนสนุกของเราได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่าง ๆ ภายในเครื่องเล่น ผู้เขียนได้ดู Trailer ของเกมนี้มีความรู้สึกสนใจในตัวเกมเลยไปซื้อมาลองเล่นดู ความคาดหวังในใจคือ Planet Coaster (หรืออาจจะแย่กว่านิดหน่อยแต่ไม่มาก ฮ่า ๆ) เกมนี้ลงวางขายใน Steam แบบตัวเต็มเมื่อ 15 ต.ค. 2022 เป็นเกมที่ติดเทรนด์ในช่วงเวลานั้น คอนเซปต์ดูดีมาก ๆ แต่มันจะดีจริงหรือเปล่านั้น เราไปพิสูจน์ในเกมกันดีกว่าครับเกมเพลย์ไม่มีอะไรมาก แค่สร้างสวนสนุกไปเรื่อย ๆ เกมนี้เมื่อเราเข้าเกมจะไม่มีโหมดอะไรให้เราเลือกเล่นครับ เมื่อกดเริ่มเกมแล้วจะมี Toturial สอนเราว่าต้องเริ่มสร้างอะไรตรงไหนยังไง เราก็แค่สร้างสวนสนุกไปเรื่อย ๆ ในช่วงเริ่มต้นเกมจะมีพื้นที่มาให้เราเล่นหลังจากนั้นต้องซื้อเองเพื่อขยายพื้นที่ และส่วนสนุกที่เราสร้างนั้นจะแบ่งเป็นบล็อก ๆ สีเหลี่ยมให้เราจัดวางในพื้นที่หลังจากวางบล็อกเครื่องเล่นแล้ว เราสามารถเข้าไปตบแต่งในบล็อกที่เราเพิ่งสร้างได้ครับ สามารถเลือกเครื่องเล่น และออกแบบสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เครื่องเล่นได้แบบอิสระเลย อยากเอาต้นไม้เอาไว้ตรงนั้นสัก 2-3 ต้น เอาก้อนหินเอาไว้ตรงนี้หน่อย สร้างรางเครื่องเล่นลอดช่องหินตรงโน้นก็ดี หรือให้รถไฟเหาะวิ่งผ่านน้ำตรงนี้นิดหนึ่งก็ได้ แล้วแต่เราจะครีเอทมันออกมาเลยครับหลังจากนั้นก็เปิดให้คนมาใช้บริการ เราสามารถตั้งราคาบัตรได้ สร้างร้านอาหารไว้ตามทางเดินให้ลูกค้าของเราได้ใช้บริการซื้อ น้ำ อาหาร หรือแม้แต่ลูกโป่ง ฯลฯ เราสามารถเช็คความพึงพอใจของผู้มาใช้บริการสวนสนุกของเราได้ ตรงหน้าอมยิ้มที่มุมขวาบน เพื่อนำ Feedback มาปรับปรุงสวนสนุกของเราครับ ตัวเกมมีแค่นี้เลยครับ วางบล็อก > เลือกเครื่องเล่น > สร้างทัศนียภาพโดยรอบ > เปิดให้บริการ > ไปสร้างบล็อกใหม่จริง ๆ อยากรีวิวเยอะกว่านี้ แต่ตัวผู้เขียนนั่งผิดหวังกับเกมอยู่ครับ เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ ฮ่า ๆการควบคุมที่เกือบจะดี แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์กราฟิกของเกมมีความน่ารักดีครับ เป็นภาพ 3D Polygon บริหารสวนสนุกที่มีมุมมองจากด้านบนลงมา ใครที่ชอบออกแบบจัดวางตรงนู้น ตรงนี้ตรงนั้น จะได้สนุกไปกับเกมนี้แน่นอนครับ เพราะทุกบล็อกขนาด 9x9 เป็นต้นไป เราต้องกด Enter Hall เพื่อเข้าไปออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างภายในนั้น เริ่มมันตั้งแต่ภาพพื้นหลัง เครื่องเล่น ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ห้องขนาด 9x9 ของเราครับ ตัวเกมไม่ใหญ่มากมาย เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับแต่การควบคุมของเกมนี้ เกือบจะดีอยู่แล้วครับในเรื่องคีย์ลัดต่าง ๆ แต่มันก็ใช้ยากอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะมี Toturial คอยสอน แต่มันก็ไม่ได้สอนละเอียดขนาดนั้น เรายังต้องงมสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองอยู่ แต่โดยรวมถ้าเคยเล่นเกมอื่น ๆ แนว ๆ เดียวกับเกมนี้มาแล้วเราคนเล่นแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมากครับ ใช้ W,A,S,D บังคับทิศทาง Q,E หมุนมุมกล้อง ลูกกลิ้งเมาส์ใช้ซูมภาพเข้าออก อาจจะงงกับระบบ Toturial ช่วงแรกหน่อย ๆ แต่เดี๋ยวก็ปรับตัวได้ครับUI อาจจะดูเรียบง่าย ใช้งานไม่ยาก แต่ความไม่ยาก มันก็ซ่อนความยากเอาไว้ครับ ฮ่า ๆ ถ้าให้ไปเทียบกับเกมดัง ๆ ในตลาด เกมนี้ถือว่ายังออกแบบในส่วนของคีย์ลัดได้งงเอามาก ๆ สมมติว่าผู้เขียนกด Enter Hall เข้าไปเพื่อจะสร้างสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เครื่องเล่น คีย์ลัดขึ้นมา 1-5 ก็จริง แต่หลังจากเรากดเลือกไปแล้วจะสร้างความงงให้เรามาก ๆ ว่าอันไหนขยายสิ่งของ แล้วอันไหนปรับตำแหน่งขึ้นลง หรือว่าอันนั้นจะใช้หมุนทิศทาง คือมันต้องใช้เวลาเรียนรู้อยู่หลายรอบมาก ๆ กว่าเราจะชินกับระบบของเกมนี้ครับสรุปสำหรับผู้เขียนที่เคยเล่น Planet Coaster มาแล้ว Indoorlands ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้ผมเลย มันแทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลยครับ ถึงแม้มันจะมีระบบต่าง ๆ ให้เราออกแบบสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เหมือนว่ามันไม่มีเป้าหมายที่จริงจังว่าเราสร้างมันไปเพื่ออะไร (ฟิลแบบว่าสวยแล้วยังไง ในเมื่อก็มีแค่ Ai ในเกมที่มาเดินชื่นชมมันเท่านั้นเอง) แถมโหมดมีให้เล่นเพียงโหมดเดียวเท่านั้น ลองเล่นดูแล้วมันรู้สึกขาด ๆ เกิน ๆ ในใจมาก ๆ ครับ ฮ่า ๆ และถึงแม้ว่าคอนเซปต์ของเกมจะดีมาก ๆ และให้อิสระในการออกแบบ แต่เครื่องมือการสร้างสวนสนุกค่อนข้างจะต้องใช้ความเข้าใจกับมันอยู่เหมือนกันครับผู้เขียนมองว่าถ้าใครยังไม่เคยเล่นเกมดัง ๆ ในตลาดอย่าง Planet Coaster หรือ RollerCoaster Tycoon ผู้เขียนมั่นใจว่ามันจะสร้างความเพลิดเพลินให้กับเราแน่นอนครับ แต่ถ้าเราเคยเล่นเกมดังทั้ง 2 ที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น ผมบอกเลยว่า Indoorlands จะไม่ตอบโจทย์เราเลยแม้แต่น้อยครับ แถมมาด้วยมันจะสร้างความน่าเบื่อให้กับเราด้วย เพราะเกมที่เราเคยเล่นมามันดีกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกราฟิก ความสวยงามของภาพ User Interface และระบบควบคุมต่าง ๆ จากที่ผู้เขียนลองเล่นมา Indoorlands ยังไม่สามารถเป็นคู่แข่งทางการตลาดที่ดีได้ครับถึงแม้เกมจะใหม่กว่า และทำออกมาทีหลังแต่ผู้เขียนก็ยังเชียร์ให้กำเงินที่มีอยู่ในมือแล้วไปกดซื้อ Planet Coaster + DLC ช่วงลดราคาดีกว่าครับ แต่ถ้าใครสนใจอยากจะทดสอบเกมนี้ด้วยตัวเอง สามารถไปกดซื้อได้ใน Steam ราคา 279 บาท เท่านั้น! สั่งซื้อ https://store.steampowered.com/app/1378890/Indoorlands/
28 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Potionomics เปิดร้านปรุงยามาใช้หนี้! เกมซิมูเลเตอร์ดี ๆ ที่ไม่อยากให้ใครพลาด
เกมแนวจำลองสถานการณ์ที่ให้เราได้ทำกิจการอะไรสักอย่าง กำลังเป็นแนวเกมที่มาแรงไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจการปรุงน้ำยาเวทมนตร์หรือโพชัน ที่มีให้เห็นหลายเกมมากในปีที่ผ่านมา และ Potionomics ก็คือเกมล่าสุดที่พัฒนามาตามสูตรที่ว่านี้ โดยความโดดเด่นของเกมนี้คือได้ผู้พัฒนารุ่นเก๋าอย่าง XSEED Games และ Marvelous ที่ทำเกมอย่าง Story of Seasons หรือ Harvest Moon ภาคใหม่ มารับหน้าที่ช่วยจัดจำหน่าย แล้วเกมนี้มันมีอะไรดี ค่ายเกมใหญ่เบอร์นี้ถึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการขายเกม วันนี้มาดูรีวิวของเรากันใช้ชีวิตพิชิตหนี้ด้วยการปรุงโพชันขายผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Sylvia หญิงสาวตัวน้อยที่ได้รับจดหมายจากคุณปู่ให้มารับช่วงดูแลกิจการร้านปรุงน้ำยาโพชัน กิจการในฝันที่ปู่ของเธอมีความใฝ่ฝันอยากจะทำ และทำได้สมใจ แต่แล้วปู่ของเธอก็รู้ว่าอายุตัวเองเหลือไม่มาก จึงรีบเขียนจดหมายตามให้เธอมาดูแลต่อ แต่ทิ้งกิจการไว้ให้ยังพอทน ปู่เจ้ากรรมของ Sylvia ดันทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้อีกบานตะไท เจ้าหนี้ที่เป็นแม่มดจึงมาเริ่มผูกสัญญาชำระหนี้กับเรา โดยให้ผ่อนจ่ายได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการหาเงินจึงเป็นการปรุงโพชั่นขายนั่นเอง งานนี้ปฏิบัติการปลดหนี้ของ Sylvia จึงเริ่มต้นขึ้นเรื่องราวสุดแสนจะเบสิก ทำให้มันอาจจะไม่มีอะไรที่น่าติดตามนัก แต่สิ่งที่เกมนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดีก็คือสีหน้าท่าทางของตัวละคร ทำให้แม้ว่าเนื้อเรื่องจะธรรมดา แต่การแสดงออกของตัวละครทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วม สนุก ตลกขบขันไปในตัว นี่ไม่ใช่เกมเนื้อเรื่องดาร์ค หรือดิ่งอะไร เป็นเกมเนื้อเรื่องสดใสที่เล่นกันได้ทุกเพศทุกวัย หากคุณเก่งภาษาอังกฤษ แต่ข้อเสียสำหรับเกมอินดี้ทุนน้อยก็คือ การเล่าเรื่องจะมาในรูปแบบของกล่องข้อความ อ่านกันรัว ๆ ไปเลย ใครขี้เกียจอ่านก็อาจจะไม่สนุกกับเกมนี้สักเท่าไรนัก แต่ภาพรวมแล้วถือว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ยังพอสนุกและมีอะไรที่น่าติดตามอยู่พอสมควรเกมที่ทำนาน เพราะใช้เวลากับอนิเมชันมานานถึง 6 ปี และมันคุ้มค่าจากข้อมูลที่ไปตามอ่านมา พบว่าเกมนี้ใช้เวลาสร้างมาอย่างยาวนานถึง 6 ปีเต็มด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้ใช้เวลาในการพัฒนานานที่สุดไม่ใ่ชระบบเกมเพลย์ แต่เป็นเหล่าตัวละคร อนิเมชั่นท่าทางต่าง ๆ ที่ตัวละครแสดงออกมาได้อย่างละเอียดมาก มากกว่าเกมอื่น ๆ ที่ใช้กราฟิกแนวใกล้เคียงกันหลายเท่าตัว ทำให้เกมนี้ตัวละครแต่ละตัวจะมีชีวิตชีวา มีบริบท มีบุคลิกของตัวเองที่ค่อนข้างชัดเจนกว่าเกมอื่น ๆ ผลจากการพัฒนานานถึง 6 ปีนั้น ค่อนข้างคุ้มค่า สำหรับคนที่ชอบอนิเมชั่น เกมนี้ถือว่าทำดีมาก ๆ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียใด ๆ ผลจากการที่เกมมันทุ่มเทไปที่อนิเมชั่นมากไป ทำให้เกมนี้ไม่ได้มีเสียงพากย์ ทุกอย่างต้องอ่านเอา ซึ่งมันทำให้อรรถรสบางอย่างขาดหายไปพอสมควร ส่วนกราฟิกของเกมนั้น ถ่ายทอดออกมาในอนิเมชั่น 3D เต็มรูปแบบ ยกเว้นในมุมมองของการเปิดร้านค้าจากภายนอก จะเป็นมุมมองจากด้านบนลงมา แต่เมื่อกดเข้าไปในร้านก็จะแสดงรายละเอียดที่เยอะขึ้นแทน เรื่องกราฟิกของเกมนี้ถือว่าล้ำหน้ากว่าเกมอื่น ๆ ในราคาเดียวกันเป็นอย่างมาก ใครที่ชอบงานออกแบบสวย ๆ รับรองว่าเต็มอิ่มแน่นอนสำหรับเกมนี้ยิ่งเราเล่นไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งจะพบเจอกับตัวละครใหม่ ๆ มากขึ้นเท่านั้น ตัวละครแต่ละตัวจะมาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ถูกปลดล็อคเข้ามา เช่น ร้านขายของที่เราสามารถไปซื้อของหรือวัตถุดิบโดยตรงได้เลย ไม่ต้องรอผลิตเอง (ใช้เงินแก้ปัญหาอ่ะแหละ) หรือ NPC ฮีโร่ที่จะออกไปผจญภัยและนำไอเทมส่วนแบ่งมาให้เราด้วย หรือ NPC สำหรับการอัปเกรดร้านของเราให้ดูดีมีระดับ ดึงดูดลูกค้า หรือผลิตโพชั่นระดับคุณภาพออกมาขายได้ดีขึ้นเกมเพลย์ที่มีมากกว่าการปรุงยาขาย ทั้งต้มยา ล่าของ อัปเกรดร้าน และสร้างความสัมพันธ์แม้ว่าหลัก ๆ เกมนี้จะมีจุดประสงค์ในการทำร้านปรุงน้ำยาโพชั่นขาย แต่ในเกมนี้ก็ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะยังมีอะไรอีกมากมายให้เราต้องทำ เกมนี้ผสมผสานเกมเพลย์ที่หลากหลายมาก ๆ ให้เราได้เล่น เริ่มจากการปรุงยา แน่นอนว่าสูตรการปรุงยาของเราในตอนแรก นอกจากจะต้องจับพลัดจับผลู ลองผิดลองถูกเอง ก็ไม่มีวิธีอื่นใดในการเรียนรู้ เว้นแต่เกมจะช่วยสอนเรา การปรุงยาแต่ละชนิดเราจะต้องลากส่วนผสมเข้าไปในหม้อ และเติมฟืนลงไปเป็นเชื้อเพลิง จากนั้นเมื่อกดปรุงยา ก็จะต้องใช้เวลาในการรอด้วย ไม่ใช่กดแล้วได้เลย ยิ่งน้ำยาระดับสูงก็จะใช้วัตถุดิบที่เยอะ และซับซ้อน รวมไปถึงใช้เวลาในการปรุงนานมาก และทำให้มันกลายเป็นเกมที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง และต้องผสมผสานมันให้ดีและลงตัวที่สุดและเมื่อน้ำยาของเราพร้อมขาย เราก็สามารถเข้าเมนู Arrange Potion ที่เป็นเมนูสำหรับนำน้ำยาไปวางขายบนชั้นวางของของร้านค้า ยิ่งร้านเราระดับสูงก็สามารถวางขายน้ำยาได้หลายแบบ หลายขวดพร้อมกัน และการอัปเกรดร้านก็ทำได้ผ่าน NPC เพื่อนของเรา ที่อาจจะดึงดูดลูกค้าหลากหลายประเภทเข้ามาด้วย เมื่อจัดวางน้ำยาพร้อมแล้ว เราสามารถกด Open Shop เพื่อขายน้ำยา และเมื่อเปิดร้านรับลูกค้า เกมเพลย์ก็จะเปลี่ยนไปการเข้าสู่ส่วนของการขายของ จะทำให้เกมเพลย์เปลี่ยนไปเป็นแบบเทิร์นเบสผสมกับการ์ดเกมไปเลย เมื่อเราเปิดร้าน ลูกค้าแต่ละคนจะเข้ามาที่ร้าน และเราจะนำน้ำยาออกมาวางขาย โดยลูกค้าแต่ละคนจะมาพร้อมกับอารมณ์และความต้องการที่ต่างกัน ผู้เล่นจะได้เริ่มเจรจาตกลงกับลูกค้า ในการทำให้พวกเขาตกลงซื้อ รวมไปถึงต่อรองด้านราคาที่ทำให้เราขายได้ในราคาที่แพงขึ้น โดยจะมีการ์ดเข้ามาเป็นตัวช่วย ผู้เล่นสามารถจัดเด็คการ์ดของตัวเองได้ โดย 1 เด็คจะมีการ์ดให้เราใส่ลงไปได้ 20 ใบ แถมการ์ดแต่ละใบจะมีแยกเป็นของตัวละครต่าง ๆ ที่จะมีความสามารถที่ต่างกันไปอีกต่างหาก เกมนี้จึงมีความเป็นเกมจัดเด๊คและสะสมการ์ดไปในตัวด้วย แต่เกมนี้คุณจะมีอิสระในการจัดการการ์ดมากกว่าเกมการ์ดแท้ ๆ เกมอื่นในการเจรจาตกลงซื้อขาย NPC แต่ละตัวจะมีความเครียดของตัวเอง ถ้าเกิดเราต่อรองเจรจามากไปจนความอดทนของอีกฝ่ายหมด เขาก็จะเดินออกจากร้านไปโดยไม่ซื้อน้ำยาจากร้านเราเลยสักขวดก็มี ดังนั้น อย่าห่วงแต่จะพยายามขายให้ได้เยอะ ๆ จนลืมดูว่า NPC เราขี้เกียจเจรจาแล้วหรือไม่ ไม่งั้นจะอดได้เงินเอา แถมบางทีเจรจามากไป ตัวละครของเราก็จะมีความเครียดขึ้นมาซะเองด้วย และอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่เกมชิลล์ เราเป็นหนี้ก้อนโตที่ต้องจ่ายแบบผ่อนชำระ เกมจะมีระบบนับวันที่ต้องจ่ายเงินมาให้ ทำให้เราต้องรีบเร่งหาเงิน แต่การขายยาก็ไม่ใช่ทางเดียวที่จะทำให้เราได้เงิน เพราะเกมยังมีอีเวนท์เสริมภายในเกมอีกมาก ถ้าโชคดีได้เงินก็สบายไป ไม่ได้ก็ต้องรีบหา ไม่งั้นอาจจะซวยเอาได้ ต่อมาอีกระบบ คือระบบ Hangout ระบบที่ใช้สร้างความสัมพันธ์กับตัวละครต่าง ๆ หรือก็คือการจีบกัน โดยส่วนมากจะปลดล็อคหลังจากเราไปคุยกับ NPC ตัวนั้นบ่อย ๆ และสร้างความสัมพันธ์ได้ด้วย แต่ระบบนี้เป็นเหมือนมินิเกมที่เอาไว้เล่นเสริมความสนุก เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายหลักของเกมนี้คือการหาเงินใช้หนี้ ไม่ใ่ชการานั่งไล่จีบตัวละคร เอาไว้เป็น Optional หรือทางเลือกในการเล่นสำหรับข้อเสียหลัก ๆ ของเกมนี้คือ ระบบต่าง ๆ นั้น ดูจะวุ่นวายไปหมด และต้องใช้เวลาเรียนรู้เยอะมาก ๆ ผู้เล่นบางคนที่ไม่พร้อมจะรับระบบเกมการเล่นเยอะ ๆ อาจจะเบื่อไปเลยตั้งแต่ช่วงแรก แต่ถ้าเล่นเป็นก็ถือว่าสนุกมากเลยทีเดียว และปัญหาอีกข้อคือ ในขณะที่เกมอื่นนำเสนอเกมการเล่นแบบไม่มีฉากโหลดใด ๆ แต่เกมนี้ ไม่ว่าจะย้ายเมนูไปหน้าไหน ก็จะมีฉากโหลดมาขัดจังหวะเราอยู่เสมอ ถือว่าน่ารำคาญไม่น้อยเลยภาพรวมของ Potionomics ถือเป็นอีกเกมที่มีระบบการเล่นเยอะมาก ๆ และอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควรเลยถึงจะเล่นได้คล่อง ถ้าคุณผ่านการฝึกฝนของระบบการสอนเล่นของเกมได้ นี่เป็ฯเกมอินดี้อีกเกมที่ถือว่าสอบผ่านในหลาย ๆ ด้าน
23 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Terror of Hemasaurus เกมไอ้ต้าวไคจูขี้โมโห ประสบการณ์เรโทรที่ควรอยู่แค่ในความทรงจำ
หากใครยังจำกันได้ กับเกมสัตว์ประหลาดถล่มเมืองอย่าง Rampage เกมที่อยู่มาตั้งแต่ปี 1986 ใครจะไปรู้ว่าผ่านมานานหลายสิบปี จะมีเกมที่ได้แรงบันดาลใจ และยังทำออกมาอีก แถมเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยซะด้วย โดยเกมนี้มีชื่อว่า Terror of Hemasaurus เกมที่เราจะได้รับบทเป็นไคจูน้อยถล่มโลกทั้งใบให้วอดวายในสไตล์เดียวกันกับ Rampage เลย แต่เกมนี้จะออกมาเป็นยังไง ก็มาดูรีวิวของเรากันได้ในวันนี้เลยเนื้อเรื่องสุดคลีเช่ที่เห็นได้บ่อยจากหนังแนวไคจู / มอนสเตอร์กรกฎาคมปี 2023 ประเทศนอร์เวย์ เวทีดีเบทถกเถียงกันเรื่องสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้โลกร้อนมากขึ้นทุกที และมอนสเตอร์ยักษ์ที่ถูกแช่แข็งมานานก็ถูกปลดปล่อยออกมา มอนสเตอร์ตัวที่ว่าก็คือ Hemasaurus ที่ตอนนี้ชีวิตอิสระของมันกำลังจะสร้างหายนะให้กับโลก แต่จุดมุ่งหมายของเจ้า Hemasaurus กลับเป็นโบสถ์และลัทธิปริศนาที่อาจจะมีเงื่อนงำซ่อนอยู่เบื้องหลังต้องบอกว่าใครที่ดูหนังแนวสัตว์ประหลาดถล่มโลกหรือไคจูจะเห็นพล็อตแบบนี้บ่อยมาก การกระทำของมนุษย์จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดเหตุการณ์ที่จะไปปลุกสัตว์ประหลาดขึ้นมา อย่างน้อยเกมนี้ก็เคารพหลาย ๆ สื่อบันเทิงที่ทำแนวนี้ขึ้นมา แต่หากคุณกำลังมองหาความสดใหม่เกี่ยวกับแนวเกมไคจูทั้งหลายก็ต้องบอกว่าคิดผิด เกมนี้เหมือนทำขึ้นมาเพื่อคารวะ Rampage ล้วน ๆ และถูกสร้างขึ้นโดยใช้ธีมที่มีสีสันสดใส พร้อมเจ้า Hemasaurus ที่หน้าปกเกมจะดูเหมือนจระเข้ยักษ์ แต่ในเกมกลับน่ารักตะมุตะมิซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าส่วนของเนื้อเรื่อง ใครดูหนังแนวนี้มาเยอะ ก็อย่าคาดหวังถึงความแปลกใหม่ภายในเกมนี้วันไหนเครียด ให้เกมนี้ช่วยระบาย เพราะเข้าถึงง่ายยิ่งกว่าอะไรดีท่ามกลางยุคสมัยของเกม AAA หรือเกมฟอร์มยักษ์มากมายที่เข็นกราฟิก เข็นเนื้อเรื่อง เข็นชั่วโมงความยาวของเกมออกมาแข่งกัน Terror of Hemasaurus อาจเป็นเกมที่เราต้องลองเปิดใจลองเล่นดู เพราะเกมนี้มาพร้อมความเรียบง่ายแบบขั้นสุด ผู้เล่นจะได้เลือกมอนสเตอร์ 4 แบบในตอนเริ่มต้น จากนั้นเกมเพลย์ของคุณก็ง่าย ๆ เลย เดินจากซ้ายไปขวา ทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าให้หมดสิ้น ทั้งหมดของเกมนั้นมีเท่านี้จริืง ๆ ดังนั้นนี่คือความสนุกที่เรียบง่ายมาก จนหลายคนอาจจะมองว่าไม่คุ้มค่าสำหรับตัวละครแม้จะมีให้เล่น 4 ตัว แต่ Movement และรูปแบบการต่อสู้ของมันก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไรนัก หนำซ้ำ แม้ว่าตัวเกมจะมีฉากให้เลือกหลายฉากพอสมควร แต่ฉากหลังของมันกลับซ้ำซากจนน่าใจหาย ไม่มีการเปลี่ยนสถานที่หรือธีมใด ๆ มันยังคงเป็นเกมทำลายเมืองเอามัน และบางฉษกก็เพิ่มลูกเล่นเข้ามา เช่นแท่นกระโดดแบบแทรมโพลีน และลูกตุ้มเหล็กที่ทำให้เราสามารถพังตึกจนราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานนัก เพิ่มความเร้าใจในการบุกทำลายเมืองให้เร็วมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเกมจะเล่น Co-op ได้มากถึง 4 คน แต่มันก็ร่วมกันเล่นได้ในฉากของเนื้อเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีด่านพิเศษที่ออกแบบมาให้ช่วยกันเล่นแต่อย่างใด ทำให้เกมนี้ค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควรทั้งในแง่คอนเทนต์และเกมเพลย์ แค่ความน่ารักของมันก็อาจจะไม่คุ้มเท่าไรนัก เพราะเกมนี้ หากนั่งซัดแบบยาว ๆ ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็จบแล้วเกมเพลย์สุดคลาสสิค ตะลุยด่านซ้ายไปขวา จบแบบง่าย ๆ ไม่มีอะไรน่าจดจำสำหรับคนที่คิดว่ารีวิวเกมนี้สั้น ก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่เพราะเราขี้เกียจแต่อย่างใด แต่เพราะคอนเทนต์ของเกมนี้มันเบาโหวงเหวงมาก ๆ สำหรับเกมเพลย์ของ Terror of Hemasaurus นั้น หากคุณเป็นเซียนเกม Arcade จำพวกตะลุยด่านต่าง ๆ อยู่แล้ว หรือถ้ายิ่งเคยเล่น Rampage มานั้น ยิ่งง่ายเลย เพราะคุณจะทำความเข้าใจกับระบบเกมได้อย่างง่ายดาย การผ่านแต่ละด่านนั้น เพียงแค่คุณเกดินหน้าจับคนมากิน หรือทำลายตึกรามบ้านช่องจนพังพินาศให้หมด ตามที่ด่านกำหนดก็คือใช้ได้แล้วในด่านหลัง ๆ แม้ว่าจะมีอุปสรรคต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาบ้าง เช่นกองกำลังตำรวจ หรือทหารที่จะมายิงทำให้พลังชีวิตเราลดลง แต่เราสามารถฟื้นพลังตัวเองกลับมาได้ง่าย ๆ ด้วยการจับคนมากินมันซะเลย และเกมเพลย์จะมีรูปแบบการทำลายที่ถือว่าไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย เช่น การปีนขึ้นไปบนตึก แล้วกดโจมตีรัว ๆ จนอาคารเริ่มพัง หรือจะทำลายฐานอาคารให้มันโค่นลงมาเลยก็ทำได้ แต่ถ้าใครอยากฮาร์ดคอร์กว่านั้น ก็ศามารถหยิบเอาคน หรือพวกยานพาหนะมาปาใส่จนทำให้เกิดการระเบิด และคร่าชีวิตผู้คนหรือทำลายเมืองนับร้อย นับพันได้ในไม่กี่วินาที แต่ที่ทำให้มันน่าเบื่อจริง ๆ เลยคือเรื่องของฉากภายในเกม ที่แม้จะเล่นไปจนถึงด่านท้าย ๆ แล้ว แต่ฉากก็ยังคงเป็ฯตึกรามบ้านช่องเหมือนเดิม ไม่ได้ย้ายไปผจญภัยที่ไหนเลย ดังนั้นใครที่ไม่ชอบอะไรเดิม ๆ ก็อาจจะเบื่อเอาได้ง่าย ๆ แค่ 2 ชั่วโมงยังอาจจะไม่อยากเล่นให้จบก็เป็นได้ รวมไปถึงศัตรูหรืออุปสรรค ไม่ได้เพิ่มความท้าทายอะไรใหม่เข้ามา แต่ทำให้มันมาในปริมาณที่เยอะขึ้นเท่านั้น ยังดีที่ช่วงท้ายมีการเปลี่ยนตัวละครให้เราไปเล่นกันนิดหน่อย แต่จะเป็นอะไรนั้น ลองไปหาคำตอบกันดูเอง จะได้ไม่มองว่าเราสปอยล์ แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เกมสนุกขึ้นสักเท่าไรและที่มีปัญหาหนักมากจริง ๆ น่าจะเป็นเรื่องของการ Optimized เกม จริงอยู๋ว่าเกมมันเป็นพิกเซลกราฟิกแบบนี้ มันไม่ได้กินสเปคเครื่องอะไร แต่เราจะพูดแบบนี้ได้ก็จนกว่าที่เกมจะมีฉากระเบิด ตึกถล่มพังทลายเป็นกองพะเนิน เมื่อใดก็ตามที่มีการระเบิดขนาดใหญ่เกิดขึ้น เกมจะมีอาการเฟรมเรทดรอปอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งช่วงท้ายที่แทบจะเป็นเกมแบบ Stop Motion กันเลยทีเดียว แม้จะเป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียว แต่ก็ถือว่าทำลายประสบการณ์การเล่นเกมพอสมควร โดยเฉพาะกับเกมที่ถือว่าค่อนข้างน่าเบื่อตั้งแต่ช่วงต้นยันท้ายเกมแบบนี้สรุปให้ว่า Terror of Hemasaurus นั้น ถือว่าเป็นเกมที่หากคิดจะหาเกมมาเล่นขำ ๆ แก้เบื่อ แก้ว่าง อยากทำลายข้าวของหรือตึกรามบ้านช่องเล่น ๆ มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ด้วยราคาที่ถูกมาก ทำให้ทีมทำเกมอาจจะใส่คอนเทนต์เข้ามาตามราคา ซึ่งมันทำให้น่าผิดหวังไม่น้อย กับการตั้งใจออกแบบกราฟิกภายในเกมจนเป็นเอกลักษณ์ แต่เกมเพลย์กลับน่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
23 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Timberborn สร้างอาณาจักรต้าวน้องบีเวอร์ให้อยู่รอดและรุ่งโรจน์
Timberborn เป็นเกมอินดี้แนวสร้างเมืองในยุคที่อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายแล้ว เหลือเพียงเหล่าบีเวอร์เท่านั้นที่วิวัฒนาการตัวเองและสามารถก่อร่างสร้างตัวจนเทคโนโลยีวิวัฒน์ไปไกลเกินกว่าการสร้างเขื่อน เป็นเผ่าพันธุ์สัตว์ฟันแทะที่รุ่งโรจน์เกรียงไกรพร้อมจะครองโลก!แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เราตามไปดูกันดีกว่าว่าเกม Timberborn นี้เป็นอย่างไรบ้าง บอกเลยว่าคนที่ชอบเกมแนวสร้างเมืองต้องลองดู และใครที่สนใจเกมแนวนี้อยู่แต่ไม่เคยจัดเสียที เกมสร้างเมืองที่เล่นกับน้ำเกมนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะมีสองสายพันธุ์ให้ได้เลือกเล่นได้แก่ Folktails ผู้รักธรรมชาติและ Iron Teeth ผู้ฉลาดเฉลียว ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะมีสิ่งก่อสร้างเฉพาะด้วย อย่างในด้านของการผลิตพลังงานนั้น Folktails ก็จะมีกังหันที่ผลิตพลังงานจากลม ส่วน Iron Teeth จะเป็นโรงงานที่ผลิตพลังงานจากการใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนเครื่องสูบน้ำของ Iron Teeth ก็สูบได้ลึกกว่า แต่ Folktails จะมีเครื่องทดน้ำ ทำให้สามารถทำฟาร์มในจุดที่น้ำเข้าไม่ถึงได้ เป็นต้นชื่นชอบสไตล์การใช้ชีวิตแบบไหนก็เลือกเล่นเผ่านั้นเลย แอบกระซิบบอกว่าเผ่า Iron Teeth นั้นขยายพันธุ์โดยการใช้เครื่องฟักตัวล่ะ! เท่สุดๆ ไปเลย แต่ผู้เขียนของเลือกเป็นเผ่า Folktails แล้วกันอ้อ มีระดับความยากด้วยนะ สำหรับผู้ที่เล่นครั้งแรกเลือกเป็น Normal จะดีที่สุดเริ่มต้นจากการที่ไม่มีอะไรเลย ..กับเบอร์รี่นิดหน่อยสำหรับสิ่งก่อสร้างแรกเริ่มที่มีให้คือตึกที่เป็นดั่งใจกลางของเมืองนั่นเอง สามารถมอบหน้าที่ก่อสร้างให้กับบีเวอร์ได้ 4 ตัวซึ่งจะเป็นแรงกำลังหลักในการสร้างสิ่งก่อสร้างอื่นๆ มีเบอร์รี่ให้จำนวนหนึ่งสำหรับประทังชีพ ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วในการมอบหน้าที่แก่เหล่าบีเวอร์ในการก่อสร้างและเสาะหาทรัพยากรต่างๆไม้ ไม้ และไม้!พูดถึงบีเวอร์ สิ่งแรกๆ ที่เรานึกถึงนั่นก็คือภาพของเหล่าบีเวอร์ที่กำลังแทะต้นไม้อย่างขยันขันแข็ง จะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างแทบทุกชนิดล้วนใช้ไม้เป็นส่วนประกอบหลัก แม้ว่าไม้จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากเท่าอาหาร แต่มันก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกอย่างที่ต้องสร้างเพื่อให้บีเวอร์ดำรงชีวิตต่อได้ ฉะนั้นรีบสำรวจรอบข้างว่าแถวนี้มีป่าหรือไม่ เมื่อพบแล้วก็ตีเส้นทางเดินไปเล้ยการจัดเก็บไม้เพื่อใช้งานนั้น อย่างแรกที่ต้องมีคือ Lumberjack Flag เพื่อแต่งตั้งหน้าที่ให้บีเวอร์ไปแทะไม้ โดยต้องทำการมาร์กพื้นที่ที่ต้องการตัดไม้ด้วย ซึ่งบีเวอร์จะไม่ตัดไม้นอกเหนือจากที่ทำเครื่องหมายไว้ และอย่างลืมสร้าง Log Pile ไว้เก็บไม้ด้วยล่ะน้ำและอาหารเป็นสิ่งสำคัญสองปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้บีเวอร์ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรคืออาหารและน้ำ ในช่วงแรกเราสามารถพึ่งพาผลเบอร์รี่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถเก็บได้ง่ายที่สุดนั่นเอง แต่มันก็ใช้เวลาในการออกผล ฉะนั้นเราต้องเพิ่มการผลิตอาหารที่มั่นคงอย่างการทำการเกษตรแทน ซึ่งการทำฟาร์มนั้นเราต้องตั้งโรงนา (Farmhouse) ให้ขอบเขียวหรือรัศมีของสิ่งก่อสร้างอยู่ในพื้นที่สีเขียวให้ได้มากที่สุด เพราะพื้นที่สีเขียวคือพื้นที่ที่ใกล้น้ำ สามารถปลูกพืชได้นั่นเอง จากนั้นก็เลือกได้เลยว่าจะปลูกอะไร ซึ่งในช่วงแรกเป็นแครอทจะง่ายที่สุดเพราะใช้เวลาโตที่น้อย อีกทั้งสามารถกินได้เลยโดยไม่ต้องแปรรูปมีอาหารแล้วก็ต้องมีน้ำ หาจุดที่เป็นแม่น้ำให้ไวแล้วตั้งเครื่องสูบน้ำ (Water Pumps) รวมถึงถังเก็บน้ำด้วย (Water Tanks) ถ้าปล่อยให้บีเวอร์ขาดน้ำจะทำให้เดินช้า ขาดอาหารจะทำงานช้าลง ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ ก็จะตายในที่สุด ซึ่งใครจะไปอยากให้น้อนบีเวอร์แสนน่ารักตายกัน! ฉะนั้นสองอย่างนี้คือสิ่งสำคัญที่ต้องคิดคำนึงให้ขึ้นใจมีฟ้าเป็นมุ้ง มียุงเป็นเพื่อน..มีบ้านแล้ว! ส่วนกระท่อมมีกังหันนั่นเอาไว้เพิ่มแต้มวิทยาศาสตร์ล่ะ จะได้เอาไปปลดสิ่งก่อสร้างใหม่ๆชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลังจากปล่อยให้บีเวอร์นอนกลางดินกินกลางผืนหญ้าอยู่นาน (เนื่องจากเอาไม้ไปสร้างอย่างอื่นข้างต้นหมด) การสร้างบ้านให้บีเวอร์พักพิงก็เป็นสิ่งที่ดี การมีที่นอนจะทำให้บีเวอร์หลับได้สบายและมีแรงทำงาน ซึ่งเผ่า Folktails จะขยายพันธุ์ก็ต่อเมื่อมีจำนวนที่นอนมากกว่าจำนวนบีเวอร์ ไม่แน่พอผ่านไปสักหนึ่งคืนก็อาจมีเบบี๋บีเวอร์กำเนิดขึ้นก็เป็นได้ (ฮ่า แรงงานรุ่นต่อไป!) โดยบางสิ่งก่อสร้างอย่างเช่นบ้านหรือโกดังสามารถตั้งซ้อนทับกันเป็นสถาปัตยกรรมแนวตั้งได้ด้วยนอกจากนี้ การสร้างสิ่งที่ให้ความบันเทิงก็เป็นอีกสิ่งที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือ Well-being ของบีเวอร์ อย่างการสร้างแคมป์ไฟให้บีเวอร์มาพักผ่อนและเข้าสังคมกันสักหน่อยหลังจากการทำงานอันเหนื่อยล้า พุ่มไม้ตกแต่งเมืองเพื่อความสวยงาม แม้แต่วัดหรือศาลเจ้าก็มีให้สร้างด้วยเช่นกัน อา บีเวอร์เองก็ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสินะซึ่งแต้มคุณภาพชีวิตพวกนี้ก็ไม่ได้มีไว้เล่นๆ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้บีเวอร์ของเราทำงานเร็วขึ้น (ถ้าเป็นวัยเด็กอยู่ก็จะโตเร็วขึ้น) เพิ่มความเร็วในการเดิน รวมถึงมีชีวิตที่ยืนยาวโอเมื่อมีไฟ ไฟ ไฟลุกขึ้นแจ่มจ้า ... ร้องยังไงต่อนะดูข้อมูลด้านขวาของพี่จะไหล (?) สิแล้วจะรู้ว่าคุณภาพชีวิตดีแค่ไหนแย่แล้ว ฤดูแล้ง!ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ดีๆ กล่องพยากรณ์อากาศก็กะพริบแจ้งเราว่า อีกสามวันจะหน้าแล้งแล้วจ้า! ซึ่งถ้าจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวมากพอจะทำให้อารยธรรมบีเวอร์สูญสิ้นก็คือฤดูแล้งนี่แหละสิ่งที่ฤดูแล้งเป็นก็คือตามชื่อเลย น้ำจากต้นน้ำจะไม่ไหลในฤดูนี้ หมายความว่าเราต้องหาทางกักเก็บน้ำไว้ใช้งานจนกว่าฤดูแล้งจะจบลง เพราะถ้าไม่มีน้ำ พืชก็จะตาย พอพืชตายก็ไม่มีอาหาร จากนั้นบีเวอร์จะอดข้าวอดน้ำ หากวางแผนไม่ดีก็อาจทำให้เหล่าบีเวอร์ล้มหายตายจากกันได้ไม่ยากเลยแต่ว่าเรามีสิ่งนี้.. สิ่งก่อสร้างจากวิศวกรรมชลศาสตร์ที่เรียกว่า ‘เขื่อน’หนึ่งในตัวเลือกที่ง่ายที่สุดในการกักเก็บน้ำคือการสร้างเขื่อน มันจะช่วยให้น้ำไม่ไหลทิ้งและเหือดแห้งไปในฤดูแล้ง ฉะนั้นการสร้างเขื่อนก็เป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรคำนึงถึงในระหว่างการก่อร่างสร้างเมืองด้วย เพราะถ้ามาสร้างเอาใกล้ๆ ฤดูแล้งจะเสร็จไม่ทันเอานาทว่าเจ้าฤดูแล้งนี้ก็ไม่ได้กินเวลาเท่ากันตลอด ยิ่งนานวันเข้ารอบของฤดูแล้งก็จะยิ่งยาวนานขึ้น ในตอนแรกถังกักเก็บน้ำของเราอาจเพียงพอให้พ้นฤดูแล้งไปได้ แต่พอมีจำนวนบีเวอร์ที่มากขึ้น จำนวนวันของฤดูแล้งที่ยาวขึ้น ปริมาณน้ำที่มีอยู่อาจไม่พอ เราจึงต้องวางแผนเรื่องการความคุมน้ำและกักเก็บน้ำในระยะยาวด้วยว่าจะรับมือกับฤดูแล้งยังไง ทำเลตรงนี้ดูเป็นเหวลึกนะ สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ดีมั้ยจะได้เป็นอ่างเก็บน้ำ ยิ่งมีน้ำเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งอุ่นใจแหละนะนอกจากนี้ระบบฟิสิกส์ของน้ำก็ทำมาค่อนข้างดีทีเดียว การไหลอะไรแบบนี้ ฉะนั้นอย่าเผลอทำน้ำท่วมเมืองเชียวล่ะ (เพราะเผลอทำมาแล้ว.. เกมที่เล่นกับน้ำแต่น้ำเองก็จ้องจะเล่นคุณ)โปรเจ็กต์เมกะแดม (Mega Dam) สำหรับเก็บน้ำ หน้าแล้งมาก็ไม่หวั่น!สรุป: อยู่รอดและรุ่งโรจน์ บีเวอร์จงเจริญ!สำหรับเนื้อหาที่ว่ามาข้างต้นนั้นเป็นเพียงการเล่น Timberborn ใน 4 ชั่วโมงแรกเท่านั้น ยังมีเนื้อหากลางเกมและท้ายเกมให้สำรวจอีกมาก อาทิ การผลิตแต้มวิทยาศาสตร์เพื่อปลดล็อกวิทยาการใหม่ๆ การใช้พลังงานเพื่อแปรรูปไม้เป็นวัสดุอื่น อย่างไม้อัด ฟันเฟือง เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ความหลากหลายของพืชการเกษตรที่ปลูกได้ การแปรรูปอาหาร การปลูกป่าทดแทน การใช้ประโยชน์จากเหล็ก การสร้างระเบิดเพื่อขุดภูเขาขุดแม่น้ำอะไรก็ว่าไป หรือแม้แต่การสร้างหุ่นยนต์บีเวอร์เองก็มีด้วยนะ (บ้าน่า แม้แต่บีเวอร์ก็หนีไม่พ้นการถูกระบบอัตโนมัติแย่งงานงั้นหรอ!?) แถมแผนที่ยังมีอีกหลายแบบให้ลองเล่น ตั้งแต่ที่ราบง่ายๆ ไปจนถึงแม่น้ำแบบขดก้นหอยที่น๊านนานกว่าน้ำจะไหลมาถึง นี่แหละความยากที่เราเลือกเองความท้าทายของเกมนี้จะมากขึ้นเมื่อเล่นไปนานๆ นอกจากหน้าแล้งที่ยาวนานขึ้นจนต้องร้องขอชีวิตแล้ว จำนวนบีเวอร์ที่มากหมายความว่ามีหลายปากท้องต้องดูแล จำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้ก็มากขึ้นตามไปด้วย เราอาจตั้งเขตใหม่เพื่อจัดการเรื่องเกษตรกรรมหรือจัดเก็บน้ำโดยเฉพาะแล้วสร้างรูทขนส่งสินค้าระหว่างเขตก็ได้เช่นกัน แต่หากจัดการไม่ดีก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้ เช่น เขตนี้อาหารเยอะเกินกว่าที่บีเวอร์ต้องบริโภคอยู่มากโขแต่อีกเขตจะอดตายกันอยู่แล้ว เขตนั้นมีไม้เหลือๆ แต่อีกเขตไม่มีทรัพยากรอะไรไว้ก่อสร้างเลย จากที่บริหารอยู่เขตเดียวกลายเป็นว่าเราต้องแก้ปัญหาระดับหลายเขต อ๊า นี่มันการจัดการระดับ Micro-Management!!ร่ายยาวมาขนาดนี้ จะบอกว่าตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access ล่ะ แต่ก็มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปมากกว่านี้ ยอมรับเลยว่าทีมผู้สร้างไม่หยุดอัปเดตสิ่งใหม่เข้ามาเรื่อยๆ รวมถึงปรับปรุงระบบต่างๆ อย่างล่าสุดมี Update 2 ซึ่งเป็นอัปเดตใหญ่ก็เพิ่มเข้ามาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง เป็นการครบรอบ 1 ปีที่ทำให้ผู้เล่นที่สนับสนุนมาตั้งแต่ตัวเกมเวอร์ชันแรกอย่างผู้เขียนเองชื่นใจไม่น้อย เลยอยากป้ายยาทุกคนให้มารักเกมนี้ด้วยจนออกมาเป็นบทความนี้นั่นเอง ปกติไม่เล่นเกมแนวสร้างเมืองแต่เกมนี้ทำได้ดีทีเดียว ไม่อยากจะบอกว่าผู้เขียนหมดกับเกมนี้ไป 50+ ชั่วโมงแล้ว.. ดูดเวลาแค่ไหนถามใจเธอดูรักน้อนเอ็นดูน้อน งั้นมาสร้างอาณาจักรบีเวอร์ในแบบของคุณเองให้รุ่งโรจน์กันดีกว่า!Timberborn (Early Access) โดยผู้พัฒนา Mechanistryราคา: 319 บาทแพลตฟอร์มเกม: PC บนร้านค้า Steamได้รับรีวิวระดับ Overwhelmingly Positive พร้อมติดแท็ก City Builder, Colony Sim, Survivalภาพจากเซฟอื่นๆ ที่เล่นไปไกลโข!
21 Oct 2022
รีวิว Uncharted: Legacy of Thieves Collection เมื่อเกมผจญภัยล่าขุมทรัพย์จาก PlayStation มาเสิร์ฟให้ชาว PC ได้เล่นกันแล้ว!
เชื่อว่าชาว PC หลายคนน่าจะรอเล่นกันเยอะกับ Uncharted ซีรี่ส์เกม Action Adventure ผจญภัยล่าขุมทรัพย์ภาพสวยจากค่าย PlayStation ที่มีภาคหลักมาแล้วถึง 4 ภาค แต่ก็เป็นเกม Exclusive ที่ลงเฉพาะบนเครื่องคอนโซล PS มาโดยตลอด ทำให้ใครที่ไม่มีเครื่องก็จะต้องอดเล่นกันมาแล้วนานหลายปี ก่อนที่เมื่อไม่นานมานี้ ชาว PC ก็ได้รับข่าวดีว่า Uncharted: Legacy of Thieves Collection ตัวเกมที่มัดรวมเกม 2 ภาคระหว่าง Uncharted 4: A Thief's End กับ Uncharted: Lost Legacy จะมีการนำมาวางขายบน PC ในวันที่ 19 ตุลาคม 2022 ที่จะถึงนี้!!!คลิปตัวอย่างเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection บน PCอย่างไรก็ตาม หลายคนก็น่าจะสงสัยกันเยอะว่าเกม Uncharted ที่จะมาวางขายบน PC นั้นจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือเปล่า เพราะเกมทั้ง 2 ภาคก็เคยออกมาวางจำหน่ายแล้วนานกว่า 5 ปี และก็น่าจะกลัวกันว่าเกมจะพอร์ทลง PC ออกมาดีหรือไม่ เพราะบางเกมจากค่าย PlayStation ที่พอร์ทมาลง PC อย่าง Horizon Zero Dawn ก็เคยมีปัญหาด้านการเล่น และบั๊กต่างๆ จนทำให้เล่นไม่ลื่นแถมขัดใจในช่วงวันแรกที่วางจำหน่าย รวมทั้งบางคนก็อาจยังคงสงสัยด้วยว่าเกมนี้จะมีอะไรดี หรือเป็นจุดขายบ้าง ส่งผลให้ทาง GameFever ได้ขอพาทุกคนมาชมรีวิวเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection เวอร์ชั่น PC ที่ทางผู้เขียนได้ไปสัมผัสมาแล้วเรียบร้อย!!! เกมจะดีหรือไม่ รับชมกันได้ที่ด้านล่างเลยมารู้จักความยอดเยี่ยมของเกม Uncharted 4: A Thief's End กับ Uncharted: Lost Legacy กันก่อนUncharted 4: A Thief's End เป็นเกมภาคหลักล่าสุดที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2016 โดยก็เป็นเกมที่ม้ามืดของปีนั้นมากๆ ไม่ว่าจะด้านคุณภาพเกมเพลย์ และเนื้อเรื่อง ซึ่งยังมีภาพกราฟิกที่สวยอลังตาจนดีต่อใจ แถมใครที่ไม่เคยเล่น 3 ภาคแรกก็ยังสามารถเล่นภาคนี้ได้เข้าใจด้วยในด้านเนื้อเรื่องทุกภาคของเกมนี้ จะเล่าว่าเราคือ Nathan Drake นักล่าสมบัติสุดเก่งที่ไปเผชิญมาแล้วหลายสถานที่ลึกลับ แต่ในเกมภาคที่ 4 เขาได้เกษียณตัวเอง และมาใช้ชีวิตกับคู่แต่งงานอย่าง Elene ก่อนที่ท้ายสุดเขาจะต้องมาล่าขุมทรัพย์อีกครั้ง เพราะเขาได้เจอกับพี่ชายที่นึกว่าตายไปแล้วอย่าง Sam Drake โดยภารกิจล่าขุมทรัพย์ครั้งนี้ยังส่งผลต่อชีวิตของ Sam ด้วย!เกมนี้จะเล่าเรื่องออกมาได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะบทพูดน่าสนใจตลอดเวลา และการแสดงสีหน้าตัวละครแบบสมจริงให้เราเข้าใจถึงอารมณ์ แถมเกมภาคนี้จะมีการเล่นเรื่องความสัมพันธ์พี่น้องกับสามีภรรยาออกมาได้อินมาก รวมทั้งเพื่อไม่ให้เป็นเกมล่าขุมทรัพย์ปกติ เกมก็จะมีตัวร้ายน่าสนใจด้วยการมาฆ่าเราเพื่อขัดขวาง พร้อมปริศนาขุมทรัพย์ที่น่าดึงดูดให้เราอยากไปค้นหาภาพตัวอย่างการแสดงสีหน้าตัวละครที่พูดถึงเรื่องเศร้าเกมจะยังมีความเป็นกึ่ง Open World ให้เราผจญภัยไปล่าขุมทรัพย์ในสถานที่ลึกลับต่างๆ โดยทุกฉากที่เราได้เห็นในเกมจะมีความสวยอลังการ และเต็มไปด้วยรายละเอียด รวมทั้งเกมนี้ก็จะเน้นให้แก้ปริศนาหาขุมทรัพย์เพลินๆ ไม่ได้เน้นปวดหัวจนยากอะไรแบบนั้น แต่ก็ท้าทายอยู่ แถมฉากในเกมบางส่วนก็กว้างสุดๆ แล้วให้เราได้ขับยานพาหนะเดินทางด้วยเกมจะมีให้ผู้เล่นมาจับปืน หรือต่อสู้กับเหล่าศัตรูที่มาขัดขวางการหาขุมทรัพย์บ่อยๆ โดยขอบอกเลยว่าเกมนี้ทำระบบต่อสู้ได้สนุกมาก และอนิเมชั่นดูดีสุดๆ ทั้งตอนชกต่อยกันหรือยิงกัน ซึ่งจะให้ความรู้สึกมันส์ๆ แถมยังลอบเร้นสังหารได้ รวมทั้งในด้านเกมเพลย์ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ อย่างการมีระบบให้ใช้ตะขอเกี่ยวปีนป่ายเพื่อไปสถานที่ยากๆ หรือจะปีนขึ้นที่สูงแล้วโดดมาฆ่าศัตรูก็ได้อีกสิ่งหนึ่งที่เกมเมอร์ส่วนใหญ่ และตัวผู้เขียนเองชื่นชมเกมนี้ คือทุกๆ สิ่งจะมีรายละเอียดให้ชมเยอะมากจนเป็นความทรงจำดีๆ ยกตัวอย่างช่วงที่ตัวเอก Nathan Drake กำลังค้นหาของในบ้าน เราก็จะได้เห็นอนิเมชั่นการหาของที่แบบละเอียดสมจริงจนอินตาม รวมทั้งคัทซีนในเกมนี้ก็ลื่นไหลจนทำให้เหมือนเรากำลังดูภาพยนตร์ไปด้วยเลยส่วน Uncharted: Lost Legacy จะเป็นภาคให้เราเปลี่ยนมาสวมบทเป็นสาวนักล่าสมบัติ Chloe Frazer แล้วไปผจญภัยตามเนื้อเรื่องของเธอแทน โดยเกมภาคนี้ก็มีความยอดเยี่ยม และรายละเอียดเยอะไม่ต่างจากภาค 4 แต่ด้วยความที่เกมภาคนี้เป็นภาคเสริม ส่งผลให้เนื้อเรื่องกับการผจญภัยจะไม่ได้ยาวเหมือนเกมภาคหลักคลิปตัวอย่าง Uncharted: Lost Legacyอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดบอกไว้ก่อนคือจริงๆ เกม Uncharted 4: A Thief's End จะมีโหมดออนไลน์ PvP ให้ยิงกันมันส์ๆ ด้วย แต่ตัวเกมที่มัดรวมใน Uncharted: Legacy of Thieves Collection จะไม่มีโหมดออนไลน์ให้เล่นนะคลิปตัวอย่างโหมดออนไลน์มาดูตัวเกมเวอร์ชั่น PC กันดีกว่า!ตัวเกมเวอร์ชั่น PC นี้ จะให้ประสบการณ์เกมเพลย์ และการเล่าเรื่องทุกอย่างแก่ผู้เล่นที่ไม่ต่างจากต้นฉบับ แต่ด้านภาพกราฟิกจะมีการเพิ่มรายละเอียดทำให้ดูดีขึ้นไปด้วย ซึ่งความเห็นจากที่ผู้เขียนลองสังเกตุตอนเล่นดู และลองไปเปรียบเทียบกับเกมต้นฉบับบน PlayStation 4 กลับรู้สึกว่าด้านกราฟิกจะไม่ได้มีความต่างเยอะขนาดนั้น ถ้ายกตัวอย่างคือเกมเพียงทำให้เราได้เห็นรายละเอียดพื้นที่ได้ไกลขึ้น หรือหน้าตาตัวละครที่ดูสมจริงเห็นเคราชัดๆ ขึ้นอะไรทำนองนี้เฉยๆ ไม่ได้ถึงขั้นสถานที่สวยขึ้น หรือท้องฟ้าในเกมงดงามจนเปลี่ยนเป็นคนละเกมจากการที่ทางเราได้เล่นไปแล้ว สิ่งที่ทำให้ประทับใจมากๆ คือตัวเกมนั้นเล่นได้ลื่นไหลมาก ไม่พบปัญหาของตัวเกมให้รู้สึกขัดใจ หรือพบบั๊กที่ทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้เลย ทำให้ชาว PC ที่อยากเล่นก็ไม่ต้องกลัวว่าเกมจะปัญหาเยอะในช่วงวันแรกที่วางจำหน่าย นอกจากนี้ สเปคของตัวเกมยังพยายามทำมาเพื่อรองรับให้ PC สเปคกลางๆ ด้วย โดยทางเราก็ลองใช้ PC ที่อยู่ในช่วงเกินสเปคขั้นต่ำที่เกมต้องการ ก็พบว่าสามารถเล่นได้ลื่นๆ Low 720p 30fps ตามที่ทางผู้พัฒนาแจ้งไว้จริงๆ ใครอยากรู้สเปคขั้นต่ำ และขั้นแนะนำเกมนี้ไปดูได้ที่ >> ลิงก์นี้
18 Oct 2022
[Review] รีวิว Brewmaster: Beer Brewing Simulator ต้มเบียร์เลิศรสด้วยมือเรา
Brewmaster: Beer Brewing Simulator เกมจำลองธุรกิจทำเบียร์ หรือการคราฟท์เบียร์ แบบ Homemade ใครที่เคยเล่น Cooking Simulator ผู้เขียนอยากให้เพื่อน ๆ ได้มาสนุกไปกับการคราฟท์เบียร์ขายในเกมนี้ครับ อาจจะไม่ปั่นเท่ากับ Cooking Simulator เพราะเกมนี้ Position ในเกมจะมีตำแหน่งบังคับให้เราวางสิ่งของเลยครับ วัตถุดิบอาจจะไม่หกเลอะเทอะ หรือมีของตกแตกให้ได้เล่นพิเรนท์เฮฮากัน ฮ่า ๆ เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวัน 29 กันยายน 2022 และเป็นเกมที่ติดเทรนด์ในช่วงนั้นด้วยครับ ซึ่งคอนเซปต์เกมโคตรน่าสนใจ เราต้องส่วมบทบาทเป็นนักคราฟ์เบียร์ รายละเอียดทุกขั้นตอนในการทำ ไม่ว่าจะเป็น ต้ม การหมักส่วนผสม แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ น้ำอุณหภูมิต้องเท่าไหร่ ต้มเสร็จแล้วต้องหมักเอาไว้กี่วัน สารพัดสิ่ง สารพัดอย่าง กว่าจะได้เบียร์ที่นำมาวางขาย 1 สูตรนั้น เราผู้เล่นนั้นจะต้องเล่นแร่แปรธาตุด้วยตัวเองทั้งหมดครับ คอนเซปต์เกมดูดีใช่ไหมครับ งั้นเรามาดูภายในเกมกันดีกว่าว่ามันมีระบบอะไรน่าสนใจบ้าง เกมเมอร์คอเบียร์ไม่ควรพลาด!!! ตามผมมาอ่านรีวิวกันได้เลย เกมเพลย์ไม่มีอะไรมาก ต้มเบียร์วน ๆ ไปBrewmaster: Beer Brewing Simulator เมื่อเราเข้าเกมไปจะมี 2 โหมดให้เราได้เลือกเล่นครับ ได้แก่ Brewmaster Mode (โหมดเนื้อเรื่องเหมาะกับผู้เล่นใหม่) และ Free Play Mode (เหมาะกับผู้เล่น ที่เล่นจนชำนาญการคราฟท์เบียร์แล้วครับ)เกมเพลย์เกมนี้ไม่มีอะไรมากมายทุกอย่างที่เราทำมันก็จะวน ๆ ครับ เราจะต้องมารับออเดอร์การสั่งทำเบียร์จากแมกกาซีนบริเวณโต๊ะหน้าบ้านครับ ว่ามีใครสั่งสินค้า (เบียร์) ชนิดไหนเข้ามา (ผู้เขียนไม่ค่อยชำนาญเรื่องเบียร์เท่าไหร่นักจะพยายามอธิบายตามความเข้าใจที่เล่นในเกมมาครับ)เบียร์ในเกมนั้นจะมีบริติชสไตล์ และอเมริกันสไตล์ครับ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่เราใส่ลงไป แต่หลัก ๆ การคราฟท์จะเหมือนกับโลกความจริงทุกอย่าง หัวใจหลักของการผลิตเบียร์ก็เหมือนกันเปี๊ยบไม่ว่าจะเป็น "น้ำ, มอลต์, ฮ็อปส์, ยีสต์" นำทุกอย่างไปคราฟท์ให้เป็นเบียร์ ด้วยวิธีการเดียวกันเลยกับโลกความเป็นจริง เริ่มตั้งแต่การบ่ม > การต้ม > การตกตะกอน > การหมัก > การใส่บรรจุภัณฑ์ซึ่งเราคนเล่นต้องทำขั้นตอนพวกนี้วนไปเรื่อย ๆ ครับ หลังจากทำสินค้าเสร็จเรียบร้อยตามออเดอร์ เควสก็จะผ่านและได้เงินมาใช้ซื้อวัตถุดิบในการทำเบียร์ในสูตรอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนนั้นมันก็เพลินดี แต่แค่ในช่วงแรกเท่านั้นครับ ฮ่า ๆ และมีประวัติศาสตร์ของเบียร์ต่าง ๆ ให้ได้อ่านเพิ่มความรู้อีกด้วย และในเกมมีอุปกรณ์การต้มเบียร์เตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้วครับมีเบียร์ให้ได้ต้มมากมายหลากหลายชนิดหลังจากเราต้มเบียร์เสร็จและนำไปขายเรียบร้อยแล้ว ตัวเกมจะมีผลสรุปมาให้เราได้ทราบเลยว่าไอ้สิ่งที่เราต้มกันมาตั้งนานเนี่ย มันเป็นเบียร์ชนิดไหน นิยมในสหรัฐอเมริกา หรือสหราชอาณาจักร บอกเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เราได้รู้กันไปเลย และบอกให้เรารู้ด้วยว่าเบียร์ของเราเป็นเบียร์อะไร เช่น Lager, Pilsner, Witbier, Hefeweizen, Pale Ale, IPA, Double IPA และ Stout Beer สรุปรสชาติให้ผู้เล่นได้รู้ด้วยว่ากลมกล่อมไหม นุ่มลิ้นไหม หรือรสชาติหนักเบาอะไรมันบอกหมดเลยครับ สามารถตั้งชื่อเบียร์ของเราได้ตามใจชอบและออกแบบสลากบนบรรจุภัณฑ์ได้แต่มีให้เลือกค่อนข้างจำกัดครับส่วนผมนั้นเจอศัพท์พวกนี้เข้าไป สมองไหลไปแล้วครับ ฮ่า ๆ เพราะไม่ใช่คอเบียร์ไม่งั้นนะผมเม้าท์มอยสนุกกว่านี้อี๊กกกกก ฮ่า ๆ ใครมีความสนใจทางด้านนี้ผมเรียนเชิญมาเล่นเกมนี้เลยครับ บอกเลยได้ความรู้แน่น ๆ สั่งของปุ๊บมาปั๊บเกมอื่น ๆ แนวนี้ถ้ามีระบบสั่งของเราอาจจะต้องรออีกวันของถึงมาส่งใช่ไหมครับ เกมนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น เข้าหน้า Catalogue ปุ๊บ สั่งของเสร็จมันส่งมาเดี๋ยวนั้นเลยครับ แบบปุ๊บปั๊บ ปุ๊บปั๊บ สินค้ามีตั้งแต่วัตถุดิบในการทำเบียร์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเบียร์ ยันสินค้าแต่งบ้านครับ แต่เราต้องมีเงินก่อนถึงจะซื้อได้ ซึ่งเงินก็มาจากเบียร์ที่เราคราฟท์ไปขายนั่นแหละครับระบบต่าง ๆ ในเกมงานอาร์ตของเกมนี้บอกเลยว่าสวยเด่นเป็นตระหง่าน ฮ่า ๆ มาด้วยภาพ 3D บรรยากาศเบาสบายในบ้านที่แสนสวยหลังหนึ่งครับ ซึ่งเราต้องอยู่ทำเบียร์แบบ Homemade ภายในบ้านหลังนี้ บอกเลยว่าเกมโคตรสมจริงมาก ๆ การบังคับต่าง ๆ ตัวเกมมี Toturial สอนครับ แรก ๆ อาจจะเก้ ๆ กัง ๆ หน่อย เพราะบางอย่างตัวเกมไม่ได้สอนครับ ต้องคอยดูปุ่มที่โชว์ขึ้นมาว่าควรกดอะไร จะมีคำอธิบายบอกไม่ว่าจะเป็น การเปิดฝา การเทน้ำออก การถ่ายของเหลวจากอีกถังไปอีกถัง เป็นต้น User interface รกไปหน่อยครับ บดบังบรรยากาศของตัวเกมอยู่พอสมควรไม่ว่าจะเป็น Quest Task, To do list หรือแม้แต่ Tip ต่าง ๆ ของเกม อยู่ทั้งซ้ายทั้งขวาเต็มหน้าจอไปหมด แต่พวกการรับงาน สั่งซื้อของ หรือประวัติของเบียร์ที่เราหมักมาใช้งานง่าย ไม่ได้รกหูรกตาอะไรครับสรุปเกมเพลย์ของเกม Brewmaster: Beer Brewing Simulator หลัก ๆ เลยมีแค่นี้จริง ๆ ครับ ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้แล้ว รับออเดอร์งาน > ทำภารกิจต้มตามสูตร > ต้มเสร็จส่งสินค้า > ปิดงานกลับบ้าน > แล้วมาทำแบบเดิมใหม่ในวันรุ่งขึ้น > สั่งของ > รับของที่สั่งมา > แล้วก็วนกลับไปที่เดิมที่รับออเดอร์งานถ้าใครชอบอะไรจำเจผมบอกเลยเกมนี้เหมาะกับคุณเพราะภาพสวยมาก ๆ บรรยากาศชิล ๆ สไตล์ธุรกิจ Homemade เราจะได้เพลิดเพลินกันไปกับบรรยากาศร้านสุดหรูหราครับ แบบเห็นบ้านแล้วได้กลิ่นเลยว่าบ้านหลังนี้ต้องหอมมากแน่ ๆ ฮ่า ๆ ใครสนใจเกมนี้เขาพอร์ตลงหลาย Platform อยู่นะครับไม่ว่าจะเป็น PC, PlayStation 4, PlayStation 5, Nintendo Switch, Xbox One, Xbox Series X ใครสะดวกแพลตฟอร์มไหนก็จัดได้ตามสะดวกเลยครับ ส่วนใน Steam ที่ผมซื้อมานั้นราคา 269 บาท เท่านั้นเอง! ผู้เขียนมองว่ามันก็เล่นได้เพลิน ๆ เลยครับ ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ เพราะค่อนข้างต้องใช้ความจริงจังในการคราฟท์เบียร์มาก ๆ ทุกรายละเอียดสมจริง และได้ออกแบบสินค้าของตัวเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ภาพสวย ๆ บรรยากาศในเกมโคตรดี ถ้าชอบแนวนี้ผมเชียร์มาก ๆ ครับ ส่วนถ้าใครไม่ชอบความจำเจแบบผม ผมแนะนำให้หนีไปครับ ไม่เหมาะกับสไตล์พวกเราอย่างแรง ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1569200/Brewmaster_Beer_Brewing_Simulator/
16 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Asterigos: Curse of the Star เกมแอคชันอินดี้ที่ฝันไกล...แต่กลับไปไม่ถึง
นับตั้งแต่ FromSoftware ทำให้เกม Dark Souls กลายเป็นเกมยากที่แสนจะท้าทายฝีมือผู้เล่นขึ้นมา เราก็ได้เห็นเกมแนวเดียวกันถูกโคลนนิ่งออกมาเต็มตลาดไปหมด มีทั้งดีบ้างและไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป และ Asterigos ก็เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมฟอร์มใหญ่ตระกูลโซลทั้งหลาย แต่มันกลับเป็นเกมอินดี้เกรดเอที่เล่นสนุกไม่ใช่น้อยเลย และเพราะอะไรเราถึงได้แนะนำเกมนี้ มาดูกันได้ในรีวิว Asterigos: Curse of the Starผู้เล่นรับบทเป็น Hilda นักรบจากดินแดนสายลมเหนือหรือ Northwind Region ที่ต้องออกเดินทางตามหาพ่อที่หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ เริ่มต้นจากการไปพบเจอเมืองที่ถูกสาป ก่อนจะพบเหตุการณ์ผกผันต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งโจร สัตว์ประหลาดไซส์ยักษ์ ทาสเผด็จการ หรือแม้กระทั่งพวกคลั่งศาสนา เรียกได้ว่าหลายฝักฝ่าย วุ่นวายกันเต็มไปหมด โดยเส้นเรื่องที่พัวพันซับซ้อนเหล่านี้อาจจะช่วยเสริมมิติให้กับเหตุการณ์ในเกมได้ถ้าหากถูกนำเสนออย่างถูกวิธี แต่ในกรณีของ Asterigos เส้นเรื่องเหล่านี้ในหลายครั้งไม่ได้เสริมกันเท่าที่ควร ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าถูกโยนไปทางโน้นที ทางนี้ทีตลอดเวลา หนักเข้าหน่อยก็แทบจะลืมเนื้อเรื่องหลักกันไปเลยแต่ด้วยความทะเยอทะยานอยากจะเล่นใหญ่ของเกมนี้ บางครั้งก็เหมือนทำให้ลืมไปว่า ผลงานของพวกเขาเป็นเพียงเกมอินดี้เกรด A อย่างแรกคือเนื้อเรื่องแม้จะทะเยอทะยานเล่นใหญ่ แต่เหมือนงบนักพากย์หมด ทำให้บางฉากก็เป็นการพากย์เสียงแบบเต็มรูปแบบ บางบทสนทนาที่ยิบย่อยหน่อยก็ตัดทิ้งให้เหลือแต่เพียงการอ่านตัวหนังสือเท่านั้น ดังนั้นใครอยากจะอินกับเนื้อเรื่องเกมนี้ ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามนิดนึง หรือจะช่างมันไปเลยก็ได้ เพราะท้ายที่สุด โฟกัสหลัก ๆ ของเกมนี้คือการออกผจญภัยไปตามหาผู้เป็นพ่อ และปลดแอกชาวเมืองจากคำสาปลึกลับนั่นเองบทสนทนาอันยืดยาวเรื่อยเปื่อยแต่กลับแบนราบอย่างน่าเสียดายAsterigos: Curse of the Star เป็นอีกเกมที่ใครไม่อดทนพอจะนั่งอ่านบทสนทนาอันยืดยาว รับรองว่าคุณจะได้กดข้ามกันจนเบื่อไปข้าง แม้จะไม่รู้ว่าบทสนทนาของเกมนี้มีมากน้อยแค่ไหน แต่นับตั้งแต่ที่เราเข้าสู่เนื้อหาหลักของเกม ผู้เล่นจะเจอบทสนทนาอันยืดยาว ที่แม้กระทั่งกดข้ามยังรู้สึกว่าเยอะ แถมเมื่อการสนทนาหลักจบลง เราสามารถที่จะคุยกับ NPC ตัวนั้นซ้ำ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกมากมายหลายหัวข้อ แต่ท้ายที่สุดมันก็จะจบลงที่ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากไปกว่าเป้าหมายหลักที่เราต้องไปทำ NPC แต่ละตัวจะมาพร้อมบทสนทนาอันยืดยาว แถมยังมีหัวข้อยิบย่อยอีกเพียบ บางตัวอาจสำคัญ บางตัวเหมือนบ่นระบายให้เราฟัง และเหมือนเช่นเคยกับการที่ทุกเกมจะพยายามโปรโมทว่า การเลือกของเราจะส่งผลกระทบต่อโลกของเกม แต่มันก็จบลงด้วยที่ความต่างเพียงเล็กน้อย หรือไม่ก็แทบไม่มีผลอะไรเลยสิ่งนี้แทบจะทำลายความน่าสนใจของเกมทั้งหมด สำหรับเรื่องของกราฟิกในเกมที่ใช้ Unreal Engine พัฒนา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคำโฆษณาที่ยั่วยวนใจแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี หรือบางทีมองผ่าน ๆ เราอาจจะคิดว่านี่คือ Immortal Fenyx Rising เกมจากค่าย Ubisoft ที่กลายเป็นเกมดังม้ามืดเมื่อหลายปีก่อน เกมนี้จะให้อารมณ์และความรู้สึกที่คล้ายกัน ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี เพราะเกมนี้เป็นเกมอินดี้ที่มีงบจำกัดในการพัฒนา แต่สามารถรังสรรค์โลกภายในเกมออกได้อย่างสวยงามมากขนาดนี้ถือว่าน่าชื่นชมไม่น้อยแล้วมีหลากหลายครั้งที่เกมพยายามจะใส่ลูกผสมระหว่างการเป็นเกมเล่าเรื่องแบบเส้นตรง คือมีทางไปทางเดียว ไม่มีทางอื่น แต่บางช่วงก็เหมือนอยากจะใส่ความหลากหลาย ความคุ้มค่าของเกมเข้ามา เช่นอยู๋ดี ๆ ก็โยนภารกิจเสริมมาให้ ให้เราไปออกสำรวจซะงั้น แล้วพอเราไปสำรวจก็เจอสิ่งแปลก ๆ เพิ่มเข้ามาอีก แต่ประเด็นคือแทนที่จะทำให้เกมหลากหลาย แต่มันกลับสะท้อนให้เห็นว่าเกมขาดการจัดระเบียบ นึกจะใส่อะไรก็ใส่มา สำหรับคนที่ชอบทำอะไรให้เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน หรือชอบเกมที่มีโครงสร้างชัดเจน คุณอาจจะไม่ชอบเกมนี้เอามาก ๆ ปัญหาคือนอกจากจะเล่าเรื่อง และวางองค์ประกอบของเกมไม่ค่อยจะดีแล้ว เกมยังแอบยาวมากเสียด้วย หากคุณจะเล่นแบบตรงเน้นไปที่เนื้อเรื่องอย่างเดียวก็อาจจะใช้เวลา บวกลบแล้วอยู่ที่ 18-20 ชั่วโมงแน่นอน หากเป็นเกมที่มีการนำเสนอดี คุณภาพดี จำนวนชั่วโมงนี้อาจจะพอคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป แต่สำหรับ Asterigos นั้น เพราะการลำดับการเล่าเรื่อง การวางโครงสร้างเกมที่มั่วไปหมด เลยรู้สึกว่า น้ำมันเยอะไป ถ้าจะเอาเนื้อ ๆ จริง ๆ อาจจะคุมให้จบได้ตั้งแต่ 10 ชั่วโมงแรกแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่คิดจะลองเกมนี้ แนะนำว่ารอลดราคาดีกว่า แม้คุณภาพมันจะไม่ได้แย่ แต่คุณอาจจะรู้สึกเบื่อจนเล่นไม่จบแทนเกมเพลย์ที่ได้แรงบันดาลใจ "อย่างมาก" จากซีรีส์ Soulsสำหรับใครที่เคยสัมผัสเดโมหรือเคยเล่นเกมนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกมนี้ได้แรงบันดาลใจและอิทธิพลมาจากเกมประเภท Souls ของ FromSoftware เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไม่มีมินิแมพ ไม่มีแผนที่ในเกม แม้กระทั่งจุดสัญลักษณ์ของการทำภารกิจก็ไม่มี ข้อดีของมันคือการทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าสามารถมีอารมณ์ร่วมกับตัวเกมในด้านของการออกสำรวจได้ดีมาก ซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่เกมโซลเกือบทุกเกมชอบนำเสนอ แต่อย่างที่บอกว่า การออกแบบโลกของเกมนี้มันยังไม่คมคายเท่า รายละเอียดในโลกไม่เป็นที่จดจำเท่าที่ควร ดังนั้นปัญหาที่ตามมาคือผู้เล่นจะหลงทางได้ง่ายมาก ซอกเล็กซอกน้อยของเกมนี้ก็มีให้สำรวจกันตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม สำหรับคนที่ชอบเก็บอะไรให้ครบ ๆ แต่อยู๋ดี ๆ อาจวิ่งไปเจอพื้นที่ใหม่โดยยังไม่ทันตั้งตัวก็มี ซึ่งบางที่ก็อาจไม่อนุญาตให้ย้อนกลับได้แล้วด้วย และเกมนี้ไม่ได้มีคุณภาพพอจะให้เล่นซ้ำ ใครที่ชอบเก็บอะไรครบ ๆ ก็อาจจะเซ็งพอสมควรในแง่ของระบบการต่อสู้ เกมนี้ก็ยังได้แรงบันดาลใจของ Soulslike มาแบบเต็ม ๆ แต่เอามาดาวน์เกรดให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็นเหมือนกับเกมวอร์มเครื่องก่อน หากใครอยากลองไปเล่นเกมจำพวก Souls แต่ยังใจไม่ถึงพอ แม้ว่ามันจะง่ายกว่ามาก แต่ถ้าเล่นแบบไม่ระวังก็อาจถึงตายได้อยู่ดี การโจมตีของเธอนั้น ไม่สูญเสียค่า Stamina แต่การวิ่ง การกลิ้งหลบหลีกนั้นจะใช้ตามปกติ วิธีการเอาชนะศัตรูทั่วไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ถ้าเป็นบอสก็คือการจับจังหวะ การเรียนรู้ว่าศัตรูมีสกิลและท่าไม้ตายอะไรบ้าง แม้บางตัวจะโจมตีได้อย่างรุนแรงจนผู้เล่นต้องผวา แต่ก็โชคดีที่ไม่ยากเกินไป ไม่มีตัวไหนที่จะหวดผู้เล่นทีเดียวตายได้สักเท่าไร แถมไอเทมอย่างน้ำยาเติมพลังก็มีดรอปให้เก็บกันอย่างมากมายส่วนของอาวุธและสกิล ก็ไม่ต้องลำบากไปวิ่งหาแต่อย่างใด เกมจะมอบอาวุธหลากหลายรูปแบบมาให้เราทั้งหมดตั้งแต่แรกเลย โดยอาวุธทั้งหมดจะมี 6 แบบ สามารถติดตั้งได้พร้อมกัน 2 ชนิดในคราวเดียว แบ่งออกเป็นดาบโล่ / กริช / ค้อน / หอก / ไม้เท้า และกำไลข้อมือ อาวุธที่ต่างกันจะมีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกันด้วย และเราสามารถผสมผสานคอมโบอาวุธได้ อาวุธแต่ละชนิดจะสามารถอัปเกรดสกิล และติดตั้งเพื่อใช้งานต่อสู้ได้ด้วย ในเมื่ออาวุธให้เรามาทั้งหมดแล้ว เราก็สามารถหาวัตถุดิบตามฉากไปอัปเกรดได้แทนกล่าวได้ว่า ตัวเกมเกือบทั้งหมด ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Souls แทบทั้งสิ้น แต่ถูกดาวน์เกรด ตัดระบบหลายอย่างออกเพื่อให้เกมเล่นง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี มันสนุกมากในพาร์ทที่ผู้เล่นต้องต่อสู้และเอาชนะศัตรูระดับบอส แต่ในส่วนของการออกสำรวจ และเนื้อเรื่อง น่าเสียดายที่มันกลับทำได้ไม่ดีเอาซะเลย ปกติแล้วเกมอินดี้เกรดนี้ จะมีปัญหาด้านเกมเพลย์ แต่เนื้อเรื่องจะสนุก น่าติดตาม แต่เกมนี้กลับตรงกันข้ามกันซะอย่างนั้นAsterigos: Curse of the Star เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ที่มีศักยภาพ โดยสามารถรับรู้ได้ถึงความทะเยอทะยานและความตั้งใจของทีมพัฒนาขนาดเล็กได้อย่างชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมายังจัดอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น น่าเสียดายที่ทีมงานไปเน้นโฟกัสผิดจุด ถ้าลดการเล่าเรื่องลงให้กระชับ และนำงบไปทำเกมเพลย์เพิ่มให้เฉียบคมกว่านี้ เกมนี้มีโอกาสเป็นเกมอินดี้ม้ามืดของปีนี้ได้เลย แต่ตอนนี้มันกลับทำได้แค่เพียงเป็ฯอีกหนึ่งส่วนแบ่งตลาดที่คนไม่ค่อยจะสนใจไปซะแทน
16 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Super People พับจีมีพลัง?! ศึก Battle Royale ระหว่างยอดมนุษย์สุดเดือด
ดูเหมือนในช่วง 4-5 ปีมานี้ Genre เกม Battle Royale จะยังไม่ลดความนิยมลง แม้ว่าจะมียักษ์ใหญ่ชิงบัลลังก์ไว้อยู่ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น PUBG, Apex Legends, Fortnite แต่หากใครอยากจะเข้ามาร่วมกินพื้นที่ตลาดด้วย ก็ต้องมั่นใจว่ามีของดีจริง และทีมงาน Wonder People ก็มั่นใจเสียด้วย จึงเปิดตัวเกม Battle Royale ตัวใหม่อย่าง Super People ออกมาให้เราได้เล่นกันแล้ว แต่มันจะเจ๋งสู้เกมอื่นได้หรือไม่ หาคำตอบกันได้ในรีวิวของเราในวันนี้ฉากหลังของโลกในเกมที่น่าสนใจ แต่ยังไม่มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจนในตอนนี้สำหรับเกมนี้ยังคงคอนเซปต์เป็นเกมที่ไม่มี Story Mode หรือโหมดแคมเปญเนื้อเรื่อง แต่จะมีการเล่าที่มาที่ไปของตัวเกม ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Super Soldier หรือทหารชั้นยอด จากโครงการพัฒนาพันธุกรรมมนุษย์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้สามารถขึ้นไปใช้ชีวิตบนดาวอังคารได้ แต่โครงการพัฒนาพันธุกรรมนี้ กลับเป็นของล่อตาล่อใจมนุษย์ผู้ละโมบโลภมาก ไม่นานนักทั้งสายลับและอาชญากรต่างก็แฝงตัวเข้ามาเสริมพลังด้วยเทคโนโลยีนี้ สงครามระหว่างสายลับและแก๊งอาชญากรรมที่มีพลังเหนือมนุษย์ก็ได้เปิดฉากขึันที่หมู่เกาะ Orb หากคิดจะทำเป็นเกมเนื้อเรื่องก็ถือว่าเกมนี้นั้นน่าสนใจมาก ๆ แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้เกมมีเพียง Setting ฉากหลังของเนื้อเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ น่าสนใจว่าท้ายที่สุดแล้ว หากมีการพยายามเพิ่มเติมเนื้อเรื่องเข้ามาในเกม มันจะออกมาเป็นยังไง ไม่แน่ว่าพวกระบบยอดนิยมอย่าง Battle Pass แบบเดียวกันกับ Apex Legends อาจจะถูกเพ่ิมเข้ามาเล่าเนื้อเรื่องกันอย่างจริงจังก็เป็นได้PUBG 2 but with Crafting & Level Up Systemเนื่องด้วย Super People เป็นเกม Battle Royale และเอาจริง ๆ เกมได้เปิดให้ทดสอบกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ผู้เขียนเองมีโอกาสได้เข้าไปทดสอบเกมนี้ในทุก ๆ การเปิดทดสอบเกม สิ่งแรกที่ทำให้เกมนี้อาจจะโดนใจแฟนเกมหลาย ๆ คนในไทยเลยคือ รูปแบบเกมเพลย์การเล่นที่น่าจะถอดแบบมาจาก PUBG จนหลายคนแทบจะคิดว่ามันคือ PUBG 2 เพราะไม่ว่าจะเป็น Movement เกมเพลย์การเล่น การยิง ใครที่เคยเล่น PUBG มาก่อน จะสามารถปรับตัวและทำความเข้าใจได้ง่ายมาก ๆ แน่นอน และแทบไม่ต้องเรียนรู้การควบคุม หรือ Pace การเล่นนั้น เหมือนกันอย่างกับถอดโค้ดเกมกันมาแต่อย่างแรกที่ไม่เหมือนกับ PUBG เลยคือ ระบบการเล่นแบบ Hero Shooter ด้วย ในเกมนี้จะมีตัวละครให้เลือกเล่นมากถึง 14 ตัวด้วยกัน โดยแต่ละตัวจะมีความสามารถ ความเชี่ยวชาญการต่อสู้ที่ต่างกันออกไปอย่างชัดเจน และเกมนี้ได้พยายามซอยย่อยความสามารถของเหล่าฮีโร่ให้ละเอียดยิบย่อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ฮีโร่ตัวนี้อาจจะเชี่ยวชาญและเก่งขึ้นเมื่อสู้ในป่า หลบหลังต้นไม้ หรือลงใต้น้ำ บางตัวสามารถทำให้รถที่ขับสามารถกระโดดได้ หรือเสกรถทั้งคันเลยก็ยังได้ ทำเอาอยากรู้เลยว่าโครงการมนุษย์กลายพันธุ์โครงการนี้ไปทำอีท่าไหน ถึงออกมามีพลังระดับนี้กันแน่นอกจากระบบ Hero Shooter แล้วเกมนี้ยังมีระบบอีกหลายอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบ Blueprint ที่เอาไว้สร้างอาวุธของตัวเอง สามารถจัด Loadout สำหรับ Care Package ของตัวเองได้แบบเดียวกับเกมดังอย่าง Call of Duty: Warzone ก็สามารถทำได้อีก กล่าวง่าย ๆ คือ Super People เป็นเกมที่ทางทีมงานหยิบเอาข้อดีของแต่ละเกมมายัดรวมไว้ในเกมเดียวกันนั่นเอง และยังมีระบบ Craft Item ที่เอาไว้อัปเกรดอุปกรณ์ทั้งหมดในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นหมวก แน่นอนว่าพอเป็นเกมออนไลน์ คอนเทนต์หลัก ๆ จึงอยู่ที่โหมด Multiplayer ซึ่ง Super People เป็นเกม Battle Royale จึงรองรับสองมุมมองยอดนิยมอย่าง First Person / Third Person ส่วนสมาชิกในทีมก็ได้ตั้งแต่ 1-4 คน แล้วแต่เลยว่ามีเพื่อนมาเล่นด้วยกันหรือไม่ หรือใครจะเป็นสายหมาป่าเดียวดายก็แล้วแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละผู้คน โดยเกมนี้เมื่อจบแต่ละรอบก็จะได้รางวัลเป็นค่าเงินและปลดล็อคสิ่งของใหม่ ๆ ภายในเกม แต่สำหรับช่วงแรกนี้ การเล่นจบแต่ละรอบและเลเวลอัปไปถึงที่กำหนด จะทำการปลดล็อคคลาสใหม่ ๆ มาให้เราได้เล่นกันอีกด้วย  นับแค่ตอนนี้ คอนเทนต์ของตัวเกมที่อยู่ในช่วง Early Access ก็ถือว่าเป็นเกม Battle Royale ที่เล่นได้เพลิน ๆ แต่ระยะยาวต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ต้องรอติดตามกันต่อไป เพราะตอนนี้ตัวเกมยังมีปัญหาให้พูดถึงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการเป็นเกม Early Accessฟาร์มของ อัปเลเวล อัปสกิล เลือกใช้ท่าไม้ตายให้ถูกจังหวะ Battle Royale รสชาติผสมจนเกือบจะมั่วหากจะให้นิยามเกมเพลย์การเล่นของ Super People นั้น คงบอกได้คำเดียวเลยว่า "อภิมหามั่ว" น่าจะเป็นคำนิยามที่ชัดเจนที่สุดแล้ว หากคุณเคยเล่น PUBG มาก่อน คุณจะรู้ดีว่า เกมเพลย์ของ PUBG นั้นมีรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างแตกต่างจาก Battle Royale เกมอื่น ๆ นั่นคือจังหวะการยิง การเคลื่อนไหวของตัวละครจะค่อนข้างช้ามาก ใครที่ติดเกมเร็ว ๆ อย่างพวก Fortnite หรือ Apex Legends มา กลับมาเจอ Movement ของเกมนี้เขาไป อาจจะรู้สึกหงุดหงิดจนหน่ายใจเลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบ PUBG เป๊ะ ๆ เพราะเกมนี้จะใส่ระบบปากัวร์หรือปีนป่ายเข้ามา ทำให้เราสามารถปีนเข้าออกหน้าต่าง ขึ้นหลังคาบ้าน ทำให้เกมเพลย์การเล่นที่เราต้องปะทะกับศัตรูในบ้าน หรือในอาคารนั้น ค่อนข้างลุ้นระทึกกันเลยทีเดียวว่าเราจะชนะ หรืออีกฝั่งจะเดี้ยงก่อน ยิ่งเป็นการเล่นแบบทีมที่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันแล้ว แม้เราจะไม่อยากนำไปเปรียบเทียบแค่ไหน แต่ใครที่ชื่นชอบเกมเพลย์แบบ PUBG คุณจะหลงรักเกมนี้ได้ไม่ยากเลย แต่ส่วนตัวสำหรับผู้เขียนนั้น รู้สึกว่าอาจจะต้องมีการปรับตัวกันระดับหนึ่ง เพราะหากอธิบายกันให้ชัด ๆ นี่คือเกม PUBG ที่มีสกิล ดังนั้นการ Pick Hero มาเล่นในแต่ละรอบจึงค่อนข้างสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็ฯการเลือกตัวละครที่ถนัดต่อสู้ในพื้นที่นี้ การอ่านวงบีบว่าวงจะไปจบตรงไหน หากโชคดี วงบีบไปยังจุดที่ตัวละครเราได้เปรียบก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ ก็ไปวัดกันที่ฝีมือ เพราะเอาจริง ๆ แล้ว สิ่งที่มีผลกับเกมจริง ๆ ไม่ใช่ตัวละคร แต่เป็นสกิลที่ตัวละครนั้น ๆ มีอธิบายกันก่อนว่า ในทุก ๆ การเริ่มต้นเกม ผู้เล่นจะสุ่มฮีโร่ที่จะได้เล่น 1 ตัว กรณีอยากหยิบตัวที่เลือกเล่นจะต้องเสียตั๋วเลือก 1 ใบ และสามารถเลือกเล่นฮีโร่ในตานั้น ๆ ได้ ฮีโร่แต่ละตัวจะมีสกิลทั้งหมด 3 สี สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว สกิลแต่ละสีจะเป็นการแบ่งหมวดหมู่ความสามารถของสกิลสีนั้น ๆ สีแดงจะเน้นไปที่การโจมตี สีน้ำเงินจะเน้นช่วยเหลือเราในสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ และสีเขียวจะเน้นไปที่การสนับสนุน แต่ก็ไม้ตายตัว เพราะฮีโร่บางตัว สกิลสีเขียวอาจจะไปช่วยสนับสนุนแทนก็มีเช่นกัน โดยวิธีการอัปเกรดสกิลในเกมก็คือ วิ่งหาแคปซูลที่มีทั้งหมด 5 สี คือสีแดง น้ำเงิน และเขียว ตามสีสกิล และยังมีอีกสองสี คือสีขาว และสีทอง สำหรับแคปซูลสีขาวนั้น เมื่อใช้จะสุ่มอัปเลเวลสกิล 1 เลเวล ส่วนแคปซูลสีทอง เมื่อใช้จะสุ่มอัปเลเวลสกิล 3 เลเวล (หรือเต็ม Max เลย) 1 สกิล ยิ่งอัปเกรดสกิลมาเยอะแค่ไหน ตัวละครของเราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น หลายคนอาจจะมองว่ามันทำให้ใช้ฝีมือน้อยลงหรือเปล่า แต่หลังจากที่ได้ลองเล่นมา ฝีมือการยิงและการประสานงานกันเพื่อเล่นแบบทีมก็ยังสำคัญกว่ามากอยู่ดีและอีกอย่างคือทุก ๆ การเริ่มเกมนั้น หลังจากได้ฮีโร่ที่เล่นแล้ว ระบบจะสุ่ม Specialize Weapon หรืออาวุธที่คลาสนั้น ๆ ชำนาญ แต่จะเป็ฯการสุ่มอาวุธปืนในรอบนั้น ๆ เช่นตานี้ ตัวละครอาจจะถนัด M4A1 ถ้าไปหามาใช้ก็จะยิงได้เร็วขึ้น แรงขึ้นเป็นต้น เรื่องของอาวุธ Specialized จึงเป็นอีกระบบสำคัญนอกจากการอัปเกรดสกิลแล้ว เกือบทุกอย่างภายในเกมจะสามารถอัปเกรดได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมวก เกราะกันกระสุน กระเป๋า ยันอาวุธปืน โดยไอเทมแต่ละชิ้นจะมีผังอัปเกรดของตัวเองให้ได้เห็นตลอดทั้งเกม แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไม่รู้ผังการอัปเกรด เพราะไม่ว่าเราจะถืออะไรอยู่ในตัว ระบบจะสแกนหาสิ่งของโดยรอบ และชี้ให้เห็นว่าของชิ้นนี้ถ้าเก็บจะสามารถอัปเกรดอุปกรณ์หรืออาวุธในตัวได้เลย ทำให้เกมการเล่นในแต่ละรอบผู้เล่นอาจจะเลือกได้ว่า จะฟาร์มก่อน รอเลเวล รอของพร้อมค่อยไปล่า หรือจะค่อย ๆ แจม หรือเป็นปาร์ตี้นักล่าไปเลยส่วนอีกระบบหนึ่งคือระบบเลเวล เลเวลนั้นจะเพิ่มขึ้นเองตามเวลาที่ผ่านไป หรือถ้าฆ่าคนอื่นได้ก็อาจจะเลเวลอัปได้ไวขึ้น กรณีถึงเลเวล 10 ผู้เล่นจะปลดล็อคการใช้สกิลอัลติเมทของแต่ละคนได้ การรีบอัปเลเวลของตัวละคร เพื่อให้มีเลเวลสูงพอจนใช้อัลติเมทได้ ซึ่งอาจจะเป็นตัวช่วยในการพลิกสถานการณ์ในบางครั้ง บางการต่อสู้ได้เลยจะเห็นได้ว่า ระบบของเกมนี้นั้นมีเยอะเอาซะมาก ๆ จนแทบจะไม่ใช่เกม Battle Royale แล้ว ซึ่งผู้เขียนเองก็คิดว่าอะไรหลาย ๆ อย่างในเกมนี้มันเยอะจนเกินไป และด้วยความที่ระบบการต่อสู้ การยิงกันของเกมนี้มันคล้ายกับ PUBG นั่นคือ อาจจะยิงกันตายได้ในไม่กี่นัด ทำให้การเข้ามาของระบบสกิลและ Hero Shooter ยิ่งทำให้เกมยิงกันตายไวขึ้นอย่างมาก แถมสมดุลของฮีโร่บางตัวก็ดู Over Power เกินเหตุ ยกตัวอย่างเช่น Nuclear คลาสที่สามารถสั่งยิง Nuke ได้ ทำให้การปะทะกันในที่โล่ง ทีมอื่นจะเสียเปรียบอย่างมาก หรือคลาส Marine ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ใต้น้ำ แต่แผนที่กลับไม่ค่อยมีพื้นที่ที่เป็นน้ำสักเท่าไรนัก เรียกได้ว่าเกมนี้อาจจะต้องมานั่งปรับบาลานซ์กันอีกชุดใหญ่เลยทีเดียวใด ๆ ก็ตาม ด้วยเกมเพลย์ที่มีระบบให้เล่นมากมาย ยังไม่นับระบบ Blueprint และการ Craft อาวุธใช้เอง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเกมการเล่นในอนาคต ดูท่าว่างานนี้เกมนี้จะยังไปต่อได้อีกยาว ๆ แต่มันจะรักษาสมดุลให้น่าเล่นไว้ได้เหมือนเดิมหรือไม่ งานนี้คงต้องรอลุ้นกันในอนาคตปัญหาโลกแตกของเกม Early Access กับ Performance ที่ไม่น่าประทับใจและปัญหาที่หนีไม่พ้นจริง ๆ ของเกม Early Access แทบจะทุกเกม นั่นคือปัญหาของ Performance ตัวเกม ที่ทำให้ตัวเกมโดนทำลายความสนุกไปมาก จากที่ผู้เขียนลองค้นหาดู ก็พบว่ามีทั้งคนที่เป็นและไม่เป็น และไม่ว่าจะใช้การ์ดจอของค่ายเขียวหรือแดงก็จะเจอปัญหานี้เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย ปัญหาหลัก ๆ คือเรื่องของเฟรมเรทที่ไม่ค่อยจะนิ่งสักเท่าไร แต่มันจะไม่ใช่ปัญหา ถ้ามันไม่เกิดตอนที่เรากำลังยิงปะทะกับศัตรูในระหว่างการวิ่งฟาร์มของ เฟรมเรทของเกมจะปกติดี และราบรื่นดี แต่จังหวะการยิงเมื่อไร เฟรมเรทจะเกิดอาการแกว่ง ทั้งตก ทั้งกระตุก จนบางทีเราฟาร์มของมาตายโดยเฉพาะก็มีให้เห็นหลายรอบเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ การยิงปืนของเกมนี้ เมื่อกระทบวัตถุสิ่งของจะทำให้เกิดประกายไฟ ซึ่งถ้าใครสเปคเครื่องอยู่ในระดับกลาง ๆ ก็อาจจะเจอปัญหาเฟรมเรทตกฮวบในช่วงยิงปะทะ ซึ่งการเกิดปัญหาตอนยิงปะทะนี่แหละที่อาจทำให้เราตายฟรีไปได้เลย เพราะไม่ได้สวนศัตรูเลยสักนัดและอาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเกมการเล่น แม้ในห้องฝึกหรือ Training Ground ก็เกิดปัญหานี้ได้ งานนี้น่าจะต้องรอการแก้ไขและการ Optimized ตัวเกมกันอีกชุดใหญ่เลยทีเดียว แต่หากมองว่านี่คือปัญหาทั่วไปของเกม Early Access ก็พอจะอนุโลมให้ แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมันคือการทำลายประสบการณ์ของคนเล่นเองโดยตรงสรุปแล้ว Super People เป็นอีกหนึ่งเกม Battle Royale ที่เล่นสนุกมาก แต่ความเยอะของตัวมันเอง อาจจะทำให้หลายคนไม่ชอบ แต่ใครที่ชอบเกม Battle Royale ผสมไซไฟแฟนตาซีแบบจัดเต็ม มาพร้อมระบบอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้เกมการเล่นไม่ได้จบแค่การยิงกัน นี่เป็นอีกประสบการณ์ Battle Royale ที่คุณควรลองดูสักครั้ง โดยฉพาะการที่เกมมันเล่นฟรีด้วย
15 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Scorn งานศิลป์ในรูปแบบของเกมที่ยียวนชวนขนลุก และไม่สนุกในเวลาเดียวกัน...
หลังจากให้แฟน ๆ ได้สัมผัสกับความแปลก ความงง ความแหวะ ความสยองผ่านตัวอย่างเกมมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ Scorn เกมอินดี้ FPS สุดพิศดารของผู้พัฒนาสัญชาติเซอร์เบีย Ebb Software ก็ปล่อยออกมาให้เราได้เล่นกันแล้ว แต่เกมจะมีดีสมกับความคาดหวังของผู้เล่นหรือไม่ แท้จริงแล้วเกมนี้เป็นเป็นแบไหนกันแน่ ลองให้รีวิว Scorn ของเรามอบคำตอบให้กับทุกท่านเนื้อเรื่องที่จะทำให้คุณสะกด ง.งู ได้แบบไร้ที่สิ้นสุดเอาแค่การเล่าเรื่องราวของเกมก็แปลกกว่าเกมอื่น ๆ เป็นไหน ๆ แล้ว Scorn จะเล่าเรื่องราวของตัวละครนำที่เรารับบท ไม่มีชื่อ ไม่มีบอกสถานที่ ว่ามันคือโลกอะไร ที่นี่ที่ไหน มาถึงผู้เล่นก็จะได้เริ่มต้นการผจญภัยสุดงงงวย และเต็มไปด้วยคำถามเต็มหัว ว่านี่คือที่ไหน เรามาทำอะไร เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ และสิ่งที่เรากำลังเจออยู่นั้น มันคืออะไรบ้าง เอาง่าย ๆ คือเราจะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ผู้เล่นจะรู้เท่าที่เกมอยากให้รู้ จากนั้นก็ปล่อยให้ผู้เล่นไปนั่งคิด นั่งตีความกันเอาเอง ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้ขึ้นอยู่กับความคิดและวิจารณญาณของผู้เล่นแต่หากจะให้ผู้เขียนพูดกันตามตรงแล้ว ก็คงอยู่ที่มุมมองผู้เล่นซะมากกว่า ในเมื่อนี่คือสื่อที่เป็นวิดีโอเกม แต่เน้นการเล่าเรื่องที่คลุมเครือและเกมเพลย์ที่ชวนปวดหัวไมเกรนขึ้นกันตั้งแต่ช่วงแรกยันช่วงท้ายของเกม มันก็าอาจจะทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะหากจะนำเสนอประเด็นอันลึกซึ้ง และแยบยลขนาดนี้ ก็อาจจะมีวิธีอื่นที่สื่อได้ดีกว่าวิดีโอเกมก็ได้ ไม่น่าแปลกใจถ้าเกิดว่าในอนาคต มีผู้คนได้สัมผัสเกมนี้กันมากขึ้น แล้วก็ไม่ได้มานั่งถกกันเรื่องเนื้อหาของเกม แต่จะยังคงถกกันว่าเกมนี้ สนุก หรือไม่สนุก เพียงเท่านั้นบรรยากาศภายในเกมสุดอึดอัดและภาษาไทยในเกมที่ไม่จำเป็นต้องมีคนเรามีภูมิต้านทานในเรื่องความสยอง และความสะอิดสะเอียนต่อสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่ไม่เท่ากัน สำหรับ Scorn คนที่ได้เห็นตัวอย่างบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันชวนแหวะเกินไป ไม่กล้าเล่น แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว หลังจากได้ลองเล่นกลับรู้สึกว่ามันธรรมดาเกินกว่าที่หวังเอาไว้พอสมควร แต่บรรยากาศและโลกภายในเกมนี้ มันชวนให้รู้สึกอึดอัดมากกว่า มันจะเป็นห้องมืด ๆ แคบ ๆ แสงน้อย ๆ และถูกประดับประดาด้วยการออกแบบในสไตล์ของ H.R. Giger ที่เครื่องจักรกลจะถูกผสมผสานเข้ากับมนุษย์ในระดับผิวหนัง จริงอยู่ว่าในบางช่วง บางฉากนั้น เกมจะนำเสนอฉากเลือดสาดสุดโหดให้เราเห็นกันแบบเต็มหน้าเต็มตา แต่สำหรับคนที่เล่นเกมสยองขวัญหรือดูหนังแนว ๆ นี้มาเยอะจะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้หวือหวา หรือชวนผวาอย่างที่เราคิดเอาไว้ แถมบางฉากยังรู้สึกว่าแอบโหดจนเข้าขั้นจิตเลยก็ว่าได้ ที่จะต้องบดขยี้ก้อนเนื้อมนุษย์ หรือซากมนุษย์เพื่อให้กลไกทำงาน และไปสู่ฉากต่อไป แต่ภาพรวมของมันก็ยังถือว่าไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก และที่สำคัญที่อยากพูดถึงจริง ๆ คือ ตัวผู้เขียนเองก็เพิ่งรู้ตอนที่เกมนี้วางจำหน่ายว่าในเกมใส่ภาษาไทยเข้ามาในเกมให้ด้วย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่มาทำไม เพราะตลอดทั้งเกมนั้น แทบจะไม่มีบทสนทนาใด ๆ ให้เราได้อ่านกันเลย หรือแม้แต่ Lore หรือข้อมูลต่าง ๆ ไฟล์เอกสารในเกมก็ไม่ได้มีให้เราเก็บ เกมนี้แทบไม่ต้องใช้ภาษาในการเล่น จะมีก็แค่เมนูคำสั่ง และเมนูตอนใช้กลไกแก้ไขปริศนาเท่านั้น ดังนั้นเกมนี้แม้จะมีภาษาไทย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราเท่าไรเลยตัวเกมนั้น หากลุยไขปริศนาไปจนถึงจับปืนสู้ ก็ใช้เวลาในการเล่นประมาณ 3-5 ชั่วโมง แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะทันเกมแนว Puzzle ก็อาจจะติดอยู่กับการไขปริศนาได้นานกว่านั้นมาก แต่จะเบื่อจนเลิกเล่นก่อนหรือไม่ นั่นก็น่าจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน และที่สำคัญเกมนี้เน้นความ Immersive ความดื่มด่ำกับบรรยากาศและงานศิลป์ในสไตล์ของ H.R. Giger ทำให้มันเหมือนไม่ใช่เกม แต่เป็นประสบการณ์ผจญภัยเสมือนจริงมากกว่าอีกอย่างที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัวในระดับนึง คือเกมนี้นำเสนอแบบแทบไม่มี HUD หรือ UI ของตัวเกมเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าผู้สร้างไม่อยากให้มีอะไรมาบดบังฉากอันสยองขวัญ อึมครึม แต่ก็แฝงไปด้วยรายละเอียดที่พวกเขาตั้งใจสร้างมันขึ้นมาไขปริศนาในบรรยากาศชวนปวดหัว และไร้ซึ่งคำใบ้และคำอธิบายใด ๆเกือบ 70-80% ภายใน Scorn นี้ จะเป็นเกมเพลย์การเล่นของการไขปริศนา แก้ Puzzle ภายในเกม แม้จะไม่ใช่โลกเปิดกว้าง และเป็นเส้นตรง แต่มันจะเป็นเหมือนกับการวนไปเวียนมาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น และถึงแม้ว่าเราจะได้อาวุธปืนมาใช้ มันก็ไม่ใช่เกมแอ็คชั่นหนักหน่วงอะไรขนาดนั้น กว่าจะได้อาวุธปืนก็้ตองเล่นไปเกือบ 1 ชั่วโมง หรือบางคนอาจจะเลยไปอีก เพราะมัวแต่ไขปริศนา แถมขนาดกว่าจะได้อาวุธปืน ยังต้องมานั่งแก้ Puzzle อีกด้วย สรุปคือสัดส่วนของเกมนี้จะเน้นไปที่ความเป็น Puzzle มากกว่าจริง ๆ แล้วหลายคนจะไม่มีปัญหากับความเป็น Puzzle ถ้าหากว่าเกมมีระบบ Hint หรือคำใบ้คอยชี้นำทาง แล้วให้ผู้เล่นไปไขปริศนากันเอาเอง แต่ในเกมนี้ผู้เล่นจะต้องอาศัยการสังเกตฉาก การตีความ และใช้ Sense ของผู้เล่นในการดูว่า ฉากนี้มันต้องทำอะไร ต้องไขปริศนาแบบไหน เกมต้องการให้เราทำอะไร แล้วจึงทำไปตามนั้น ซึ่งตรงนี้คนที่ไม่ชอบการคลำทางหาเอง อะไรเอง อาจจะไม่ชอบเกมนี้ไปเลยก็ได้ ด้วยความที่มันเน้น Puzzle อยู่แล้วด้วยอาวุธ ตลอดทั้งเกมเรามีให้ใช้อยู่ไม่กี่ประเภท รวมไปถึงศัตรูก็ไม่ได้มีเยอะอะไรมากด้วย น่าเสียดายที่เกมเพลย์การต่อสู้นั้น มันน่ากลัวมาก สำหรับการออกแบบศัตรูและโลกภายในเกม แต่ตัวละครของเรานี่แหละที่เป็นปัญหา เพราะอาวุธที่น้อย Hitbox ศัตรูที่แปลกมาก มันทำลายประสบการณ์การเล่นเกมยิงไปพอสมควร แต่เราไม่อยากนำมาเป็นข้อเสียใหญ่ ๆ เพราะหากจะให้พูดกันแบบสปอยล์นิดหน่อย ตลอดเกมการเล่น คุณจะได้สู้อยู่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะในแง่ของความเป็นแอ็คชั่นก็มีบ้าง แต่ไมไ่ด้เยอะเท่ากับการไขปริศนา ศัตรูภายในเกมก็ยังคงคอนเซปต์สิ่งมีชีวิตประเภท Unknown คือไม่รู้จะระบุที่มาที่ไปมันยังไง มันคือตัวอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ มันมีอันตรายเพียงพอที่จะฆ่าเรา เราเลยต้องงัดปืนไปอัดหน้ามัน ส่วน Boss Fight นั้น นอกจากดีไซน์ชวนแหวะแล้ว รูปแบบการต่อสู้ก็ไม่ได้ยากอะไรมาก เพียงแค่เดินหลบ แล้วไล่ยิงจุดอ่อนไปคือกล่าวได้ว่าเกมนี้มีสัดส่วนของความเป็นแอ็คชั่นน้อยมาก ท้ายที่สุดเมื่อคุณพยายามเล่นไปจนถึงฉากจบของเกม คุณอาจจะพบกับฉากจบที่ไม่ค่อยจะน่าตื้นตันใจนัก แต่อาจเป็นความรู้สึกที่ว่า "จบซะที" ก็เป็นได้ด้วยรูปแบบเกมที่ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก การต่อสู้ไม่ได้เยอะ เน้นบรรยากาศและการดื่มด่ำ แถมตัวเกมก็สั้น ใช้เวลาเล่นไม่นานก็จบ เว้นแต่คุณจะติดอยู่กับปริศนานานจนเกินไป นี่ถือว่าเป็นเกมเฉพาะกลุ่มแบบจริงจังเลย และใครหลายคนอาจจะผิดหวังกับมันถ้าคาดหวังไว้มากเกินไป
15 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Coral Island เกมปลูกผักทำฟาร์มฟื้นฟูแนวปะการังที่มาพร้อมงานศิลป์อันโดดเด่น
เกมปลูกผักทำฟาร์ม หรือ Farming Simulator ไม่ว่าจะออกมากี่เกมก็ยังทำให้เรามีความสุข สนุกไปกับมันได้เสมอ และตอนนี้ก็มีมาเพิ่มอีกหนึ่งเกมแล้ว คือ Coral Island จุดเด่นเรื่องราวของการฟื้นฟูชายฝั่งทะเล และแนวปะการัง ที่หาเกมอื่นเหมือนได้ยากยิ่ง ปกติแล้วเกมอื่นจะเน้นเข้าสู่ชนบทตลอด แต่เกมนี้เป็นหมู่เกาะชายทะเล แต่เพียงแค่มันแตกต่างจากเกมอื่นแล้ว มันจะดีกว่ามากน้อยแค่ไหน ก็ลองมาดูรีวิวในช่วง Early Access ของเรากันได้เนื้อเรื่องสะท้อนโลกใกล้ตัว เมื่ออุตสาหกรรมกำลังรุกล้ำธรรมชาติในตอนแรกที่เข้าเล่นเกมนี้ ผู้เขียนก็นึกว่าเกมมันจะมีสูตรสำเร็จแบบเกมทำฟาร์มทั่วไป คือแค่โยกย้ายมาใช้ชีวิตใหม่ในหมู่เกาะชายฝั่งทะเลเฉย ๆ แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เนื้อเรื่องของเกมจะค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมา โดยเนื้อเรื่องหลัก ๆ ของเกมนี้คือ ขณะที่เราย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู๋เกาะแห่งนี้ ก็กำลังมีธุรกิจขุดเจาะน้ำมัน กำลังจะเข้ามาขยายกิจการ แน่นอนว่าการขุดเจาะน้ำมัน ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังชายฝั่ง ชาวบ้านในหมู่เกาะ Coral Island แห่งนี้จึงไม่ค่อยพอใจและต่อต้าน ส่วนตัวละครของเราก็ถูกโยนเข้ามาในสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้ถึงแม้เนื้อเรื่องของเกมจะดูเข้มข้น น่าติดตาม แต่เราก็ยังไม่กล้าการันตีว่ามันจะเป็แนบบนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access คาดว่าจะมีการอัปเดตเนื้อหา และเนื้อเรื่องต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาอีกมากมายในอนาคต แต่พล็อตแบบนี้ถือว่าแปลกใหม่สำหรับเกมปลูกผักทำฟาร์มมากแล้ว จากที่แค่ย้ายเข้ามายังชนบท แต่เกมนี้เราจะได้เห็นเรื่องราวที่ใกล้ตัวมากขึ้น จะติดอย่างเดียวสำหรับการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมแนวนี้คือ ผู้เล่นต้องตั้งใจอ่านสักหน่อย เพราะเนื้อเรื่องถูกนำเสนอผ่านบทสนทนาแบบ Chat Box ถ้าเรากด Skip หรือข้ามไปเลย ก็อาจจะไม่รู้เลยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างงานภาพที่มีเสน่ห์และการออกแบบโลกที่ลุ่มลึกกว่าเกมอื่น ๆ จุดนี้อาจจะหาว่าอวย แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้เล่นมา รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นจุดเด่นและจุดขายของเกมนี้เลยก็คือ งานศิลป์และการออกแบบโลกภายในเกมที่ลุ่มลึกกว่าเกมอื่น ๆ มาก บรรยากาศของเกมนี้คือหมู๋เกาะชายฝั่งทะเล ดังนั้นเมื่อเราเดินทางไปยังรอบ ๆ เกาะ เราจะเห็นชายหาด ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ในตัวเมืองก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก มันมีความแตกต่างของสถานที่และอาคารแต่ละหลังที่ชัดเจน ว่านี่คือบ้านพักสำหรับอยู่อาศัย นี่คือโรงงาน นี่คือโรงเรียน นี่คือร้านค้า และแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าส่วนไหนที่ถูกออกแบบมาอย่างลวก ๆ โดยเฉพาะยิ่ง ภายในอาคารบ้านพักของเหล่า NPC ตัวต่าง ๆ เมื่อเราเข้าไปดู จะเห็นชัดเจนเลยว่านี่คือบ้านพักสำหรับคนอยู่อาศัยจริง ๆ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีบ้านพัก มีห้อง มีเฟอร์นิเจอร ผมรู้สึกว่าเกมนี้ เราแค่เดินเล่น เดินชมบรรยากาศก็คุ้มค่ามาก ๆ แล้ว เล่นแล้วก็มีความฝันว่าอยากจะย้ายไปอยู่ในประเทศหรือหมู่เกาะแบบนี้บ้างซะจริง ๆ และถึงแม้ว่าตัวละครในเกมจะเป็นโมเดล 3D แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือเวลาที่เราเข้าไปพูดคุยกับ NPC แต่ละตัว จะมีกราฟิกแบบลายเส้นการ์ตูนแบบ 2D แถมลายเส้นที่ว่านั้นยังมีความคล้ายคลึงกับตัวละครจากค่ายดิสนีย์อีกด้วย หลาย ๆ ตัวนี่ดูคล้ายมาก ใครที่ชอบความเป็นดิสนีย์อาจจะถูกใจตรงส่วนนี้ด้วย นอกจากนั้นความมีชีวิตชีวาอีกอย่างของเกมนี้ คือการที่เหล่า NPC จะมีปฏิสัมพันธ์กับเราเยอะกว่าเกมอื่น ๆ เช่นในตอนแรกที่เราขนของเข้าบ้านใหม่ และต้องการจะต่อเติมอัปเกรดขนาดแผนที่ในเกมตอนนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ยังมีบางส่วนที่ยังเปิดไม่ได้อยู่ ต้องรอการปลดล็อค แต่เอาเท่าที่มีก็ถือว่า น้อยแต่มากของจริง เพราะรายละเอียดแต่ละสถานที่ งานศิลป์และความสวยงามนั้น หลายคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ใจไปเต็ม ๆ เราอาจจะต้องรอดูในอนาคตว่า คอนเทนต์เกมในอนาคตต่อจากนี้จะเพิ่มฉากใหม่ พื้นที่ใหม่ ชาวเมืองใหม่ ๆ เข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับตอนนี้บอกเลยว่า คุ้มค่าจริง ๆ สำหรับเกมนี้เกมเพลย์สูตรสำเร็จของเกมแนวปลูกผักทำฟาร์มแม้ว่างานศิลป์ของเกมนี้จะได้ใจใครหลายคน ทั้งคนที่ชอบเล่นเกมแนวนี้อยู๋แล้ว หรือไม่เคยเล่นเกมนี้เลย แต่สำหรับในด้านเกมเพลย์นั้น ต้องบอกเลยว่ามันคือสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้เป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าถ้าคุณเคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้ว เมื่อมาเริ่มเล่นเกมนี้คุณก็จะเข้าใจระบบหลาย ๆ อย่างได้โดยไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากนัก เริ่มตั้งแต่การย้ายเข้าหมู่บ้าน ได้บ้านใหม่ เก็บกวาดลานหน้าบ้าน ปลูกผักทำฟาร์ม เพาะปลูก และอื่น ๆ แทบจะไม่ต้องดูการฝึกสอนกันแล้วระบบหลาย ๆ อย่างเหมือนต่อยอดจากเกมอื่นไปเลย การปลูกผักจะใช้วิธีคล้ายกัน คือการขุดหน้าดิน หว่านเมล็ด และใช้บัวรดน้ำ พืชผักภายในเกมนี้จะระบุไว้ชัดเจนที่ไอเทมว่าใช้เวลาในการเติบโตกี่วัน รวมไปถึงดึงเอาบางระบบจากเกมเก่า ๆ มาใช้ เช่นถ้าเราอัปเกรดบ้านเป็นครั้งแรกเราจะได้ทีวีมาเครื่องหนึ่ง ทีวีใช้ดูข่าวสาร ทั้งเคล็ดลับ เทคนิคแนะนำการทำฟาร์ม รวมไปถึงที่สำคัญเลยคือการดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ทำให้เราวางแผนการเล่นในวันต่อไปได้ เช่น ถ้าในวันต่อไป ฝนตก เราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรดน้ำพืชผักที่เราปลูกไว้ แต่สามารถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้เลยภายในเกมยังมีระบบการตกปลาและจับแมลง ซึ่งนำไปขาย หรือใช้เป็นวัตถุดิบประเภทอื่น ๆ ได้ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบการสานสัมพันธ์กับเหล่า NPC โดยในเกมนี้มี NPC หนุ่มหล่อ สาวสวยมากมาย ให้เราได้ตามสานสัมพันธ์ด้วย หรือก็คือการจีบนั่นเอง เราสามารถมอบของให้ สร้างความสนิทสนมกับตัวละครนั้น ๆ จนเกิดความสัมพันธ์แบบจีบกันขึ้นมา โดยแต่ละตัวจะมีไอเทมที่ชอบ ไม่ชอบ รัก และเกลียดอยู่ แต่เราไม่มีทางรู้ได้ จนกว่าจะมีคนเล่นออกมาแชร์ด้วยกัน แต่ทางที่ดีคือ พยายามไปหาวิธีเอาชนะใจเขา และเธอเหล่านั้นด้วยตัวเองจะดีกว่า ซึ่งทางทีมพัฒนาบอกว่าเกมนี้จีบเพศเดียวกันได้ด้วย และตัวละครที่เราสร้างก็ไม่จำกัดเพศอีกต่างหาก เป็นแค่การเลือกสัดส่วนรูปร่างและสรรพนามเรียกตัวเราเท่านั้นเมื่อเราคุยหรือทำความรู้จักกับใครแล้ว ในหน้าเมนู Relationship หรือความสัมพันธ์ก็จะมีข้อมูลของ NPC คนนั้น ว่าชอบ ไม่ชอบอะไร รักหรือเกลียดอะไร และที่สำคัญคือทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล คอสตูมของ NPC เหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วยนั่นเอง และยังมี Fun Fact เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อ่านถึงประวัติของ NPC เหล่านั้นอีกด้วย เป็นเกมที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยดีมาก ๆ และยังมีระบบปฏิทินกลางเมืองที่ทำให้เรารู้ว่าช่วงใดจะถึงเทศกาล และวันเกิดของ NPC เหล่านั้นตัวเกมมีระบบสกิลและความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการขุดแร่ ตกปลา ทำสวน และการต่อสู้ ที่คาดเดาได้ว่าในอนาคตจะมีระบบการต่อสู้เข้ามาในเกมอย่างแน่นอน โดยวิธ๊การเพิ่มสกิลและความสามารถของสกิลนั้น ๆ ก็แค่ทำกิจกรรมนั้นบ่อย ๆ จากนั้นเราจะได้แต้มมาปลดล็อคสกิลและความสามารถ ที่เราเลือกได้ว่าจะเอาแต้มไปใช้กับอะไรก่อน แต่ตอนนี้ส่วนมากสกิลจะมีเพียงอย่างเดียวให้เลือกเท่านั้น แม้จะดูเหมือนเกมที่อลังการ มีความสดใหม่ แต่อย่างที่บอกว่าหากใครเล่นแล้วรู้สึกเฉย ๆ นอกจากภาพสวยก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเหมือนกับ Coral Island นำเอาระบบอันโดดเด่นจากเกมปลูกผักทุกยุคทุกสมัย นำมาต่อยอดในเกมของตัวเองแทบจะทั้งหมด และนำเสนอด้วยงานศิลป์ในสไตล์ของตัวเองแทน แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้ดูสะดวกสบายกว่าเกมอื่น ๆ เล็กน้อย คือระบบการเร่งและสโลว์เวลาในเกมลง ทำให้เราสามารถเล่นได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถสโลว์เวลาในเกมให้เดินช้าลงได้มากสุดถึง 50% และมันจะทำให้คุณมีเวลาในแต่ละวันมากขึ้น แต่ระบบนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของพืชผัก เพราะมันใช้เวลาเติบโตเป็นวันอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอยากผ่านวันเร็ว ๆ ก็แค่ไปนอน หรือเร่งเวลาให้กลับมาเป็นปกติ เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดีซึ่งหากจะให้พูดถึงข้อเสียของเกมตอนนี้ อย่างแรกเลยคือมันคือเกม Early Access ที่ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ดา้นเนื้อหาของเกมตอนนี้อาจจะยังมีไม่มากพอกับราคา 449 บาท รวมไปถึงระบบการเล่นของเกมนี้ เน้นเดินเท้าซะเป็นส่วนมาก การ Fast Travel เองก็ต้องใช้เวลาเล่นไปสักพักถึงจะปลดล็อคด้วย เกมนี้จึงเป็นอีกตัวอย่างของเกมที่ใช้คำว่าดูดเวลาได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้เลย และเชื่อว่าเมื่อเกมออกเป็นตัวเต็มแล้ วมันจะเป็นอีกหนึ่งเกมทำฟาร์มในดวงใจใครหลายคนอย่างแน่นอนCoral Island วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PC (Steam) และ เล่นได้ผ่านระบบ Xbox Game Pass
13 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Grounded สำรวจโลกใบใหญ่ในญานะเด็กไซส์จิ๋ว พร้อมเนื้อเรื่องที่ดีอย่างไม่คาดคิด!
เป็นอีกเกมที่เพิ่งออกจาก Early Access และกลายเป็นเกมยอดนิยมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่านี่คือผลงานของ Obsidian Enter ผู้สร้างเกม RPG ที่ล้ำทั้งเนื้อหาและเกมเพลย์การเล่นอย่าง Fallout: New Vegas หลายคนตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าเกมใหม่ของพวกเขา ออกมาในแนวน่ารักสดใส กับเรื่องราวของมนุษย์ไซส์จิ๋วที่ต้องผจญภัยเอาตัวรอดและตามหาความจริง และนี่คือ Grounded อีกหนึ่งเกมเอาตัวรอดเนื้อเรื่องเจ๋งที่เราไม่อยากให้คุณพลาดเนื้อเรื่องที่มีมากกว่าการเอาตัวรอดทั่วไปฉากหลังของเกม Grounded จะเป็นยุคประมาณปี 1990 เกิดเหตุการณ์ที่เด็กจำนวนมากหายตัวไปอย่างลึกลับจนต้องมีการสืบสวนสอบสวนกันครั้งใหญ่ 4 คนที่หายตัวไปล่าสุดคือ Pete, Max, Hoops และ Willow แต่แท้ที่จริงแล้ว เด็กเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน เพราะพวกเขาถูกย่อส่วนให้มีตัวเล็กลง และอยู่ที่สนามหลังบ้านของพวกเขานั่นเอง สาเหตุที่ทำให้พวกเขาถูกย่อส่วนลงก็เป็นเพราะการทดลองอะไรบางอย่างของนักวิทยาศาสตร์ลึกลับที่มีแนวคิดหลุดโลกอย่าง Wendell Tully แก๊งเด็ก ๆ จึงต้องออกตามหาความจริงไปพร้อมกับการตามหาตัว Wendell Tullyแม้จะดูเหมือนว่าตัวเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องซับซ้อนอะไร แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ แล้ว ต้องบอกเลยว่า สมแล้วที่เป็นเกมจากทีมงาน Obsidian เพราะเนื้อเรื่องของเกม แม้จะถูกเขียนออกมาอย่างเข้าใจง่าย และดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลังจากเล่นไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นจะค้นพบความล้ำของเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทดลองลับ เรื่องอขงสถานการณ์ของกลุ่มเด็กที่ตัวหดลง เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องเราจะไม่สปอยล์มาก เพราะเกมนี้มีภาษาไทยอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้เราอยากให้ดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องให้เต็มที่ นี่เป็นอีกเกมที่นเื้อเรื่องดีใช้ได้เลยทีเดียวโลกใบใหญ่ในสายตามนุษย์ไซส์จิ๋วที่มีการออกแบบอันยอดเยี่ยมแม้ว่าเราจะเคยเห็นเกมที่ใช้ไอเดียโลกใบใหญ่ในสายตาของคนตัวเล็กในโลกภาพยนตร์มาบ้างแล้ว แต่เกมนี้ถือว่าน่าจะเป็นเกมแรกที่ได้ทุนมาพัฒนาจนกลายเป็นเกมระดับคุณภาพ แม้จะไม่ถึงกับ AAA แต่เกมนี้ถือว่าสมราคาแน่นอน แม้ในตอนแรกคนจะบ่นกันอุบหลังจากที่ตัวเกมออกจาก Early Access แล้วราคากระโดดสูงขึ้นเป็นเท่าตัว แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นดูแล้วก็พบว่าราคานี้ไม่ได้ตั้งมาเอาราคาแพงเฉย ๆ เพราะคุณภาพเกมมันถึงจริง ๆใน Grounded นี้ ผู้เล่นสามารถเล่นได้ทั้งแบบ Single Player และแบบ Multiplayer ซึ่งก็แล้วแต่เลยว่าเราอยากผจญภัยแบบไหน โลกภายในเกมอย่างที่บอกเลยคือโลกใบใหญ่ แต่แสนคุ้นเคย เพราะมันคือสวนและสนามหลังบ้านที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อะไรที่เราเคยเห็นในโลกแห่งความเป็นจริงตามบ้าน อย่างเช่นลูกฟุตบอล กระป๋องน้ำอัดลม เราจะได้เห็นมันในขนาดที่ใหญ่ขึ้น และเราจะได้รู้สักทีว่าพวกต้นไม้ ใบหญ้า ในสวนหลังบ้านของเราในมุมมองของพวกมด แมลง มันเป็นยังไง เกมนี้ออกแบบได้ดีจริง ๆ และแน่นอนว่าศัตรูของเราก็คือพวกมด แมลงต่าง ๆ นี่แหละศัตรูภายในเกมนี้จะเป็นพวกแมลงตามป่าทั้งหมด พวกยุง ด้วง มอด แมลง มด และอื่น ๆ แต่ที่ร้ายกาจที่สุดเลยคือแมงมุม ที่น่าจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเกมนี้แล้ว และไม่น่าเชื่อเลยว่า จากปกติสำหรับคนที่เล่นเกมมามาก ไม่ว่าจะเป็นเกมซอมบี้ เกมผี เกมสยองขวัญใด ๆ ก็ตาม แต่คุณอาจจะมาเสียวสันหลังวาบหรือไม่กล้าเล่นเกมนี้ก็เป็นได้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่า เพราะเรื่องพวกนี้มันใกล้ตัวกว่า แมลงพวกนี้จึงดูน่ารังเกียจมากขึ้น (บางคนก็กลัวแมลงอยู่แล้วด้วย)อย่างไรก็ตามโชคดีที่เกมมีฟีเจอร์สำหรับการเข้าถึงเยอะพอสมควร ที่โดดเด่นน่าจะหนีไม่พ้นโหมดปรับการแสดงผลแมงมุม จากตัวเบ้อเร่อ ขนพองสยองเกล้า ให้เหลือเพียงก้อนเยลลี่สุดน่ารัก แต่มันก็ยังโหดอยู่ดี ขึ้นอยู่กับการปรับความยากของผู้เล่น แต่น่าเสียดายที่ฟีเจอร์นี้มีผลแค่กับแมงมุมเท่านั้น กับพวกแมลงตัวอื่น มันก็จะยังโชว์ความจัดเต็มในด้านดีไซน์เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นทำให้คนกลัวแมลงอาจจะเล่นเกมนี้ไม่ได้เลยแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Survival หรือเอาตัวรอด แต่หัวใจสำคัญของเกมนี้เลยก็คือการผจญภัยในโหมดเนื้อเรื่อง ซึ่งเกมจะขึ้นภารกิจหลักขึ้นมาให้เราทำตลอด แต่เราจะไม่สนใจ วิ่งเก็บของ ฟาร์มของ สร้างที่พักในสนามหลังบ้านอันสงบสุขไปเท่าไรก็ได้ แต่ท้ายที่สุดของเราก็จะตัน และต้องไปเล่นเนื้อเรื่องเพื่อปลดล็อคอีกทีในภายหลังอยู่ดี ดังนั้นเกมนี้สุดท้ายก็ต้องเล่นไปตามเนื้อเรื่อง แต่ระหว่างทางก็ถือว่ามีคอนเทนต์ มีอะไรให้เราสำรวจเยอะมากที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเกมนี้มีการแปลเป็นภาษาไทย และถือว่าแปลได้ดีพอสมควร ผู้เล่นสามารถดื่มด่ำไปกับเนื้อเรื่องของเกมได้อย่างที่ได้บอกไว้ในหัวข้อเนื้อเรื่องด้านบน เพราะการแปลภาษาไทย แม้จะมีพิมพ์ผิด หรือสรรพนามแปลก ๆ บ้างในบางครั้ง แต่ภาพรวมก็ถือว่าอยู่ในระดับดีใช้ได้เลย บวกกับการที่เกมเลือกฟอนต์มาได้ค่อนข้างดี แม้จะเป็นฟอนต์เบสิกไปซะหน่อย แต่ก็เหมาะสมกับตัวเกมดีแล้ว คอนเทนต์ของเกมนี้ถือว่าแน่น เต็มอิ่ม สมกับที่อยู่ใน Early Access มาตลอด 2 ปี ถ้าจะให้บ่นถึงข้อเสียของตัวเกมก็อาจจะด้วยเรื่องราคาการซื้อขาดที่ถือว่าสูงสำหรับเกมเมอร์บางคนแน่นอน บวกกับธีมของเกมที่ศัตรูเป็นแมลงแบบนี้ ก็อาจจะยิ่งทำให้บางคนทนเล่นไม่ไหว ท้ายที่สุดใครที่จะหาเพื่อนเล่นก็อาจจะทำได้ยาก แต่โชคดีที่เกมนี้อยู่ภายใต้การพัฒนาของ Xbox Game Studios มันจึงอยู่ในระบบ Xbox / PC Game Pass เสียสมาชิกรายเดือนก็เล่นกันได้แล้วเกมเพลย์กับการต่อสู้และใช้ชีวิตแบบคนตัวจิ๋วเกมเพลย์หลักของ Grounded นั้น ยังคงยึดหลักจากเกมเพลย์แนวเอาตัวรอดเป็นหลัก แต่ความแตกต่างคือการที่เกมนี้เน้นไปที่การดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้เราไม่สามารถตั้งที่อยู่แบบเป็นหลักเป็ฯแหล่งได้ยาว ๆ ตลอดการดำเนินเรื่องของเกม ผู้เล่นอาจจะต้องมองหาจุดที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและย้ายไปเรื่อย ๆ ทำให้เกมนี้ในการเล่นคนเดียวนั้น เราอาจจะไม่ได้ลงหลักปักฐานสักเท่าไร แต่ถ้าเล่นกันหลายคน แล้วอยากสนุกก็สามารถทำได้เกมการเล่นหลัก ๆ ของเกมนี้จะคล้าย ๆ กับเกมแนว Survival เกมอื่น ๆ เลย สิ่งสำคัญอย่างแรกคือพวกน้ำ อาหาร ที่เราจำเป็นต้องหาเพื่อประทังชีวิต ตอนแรกก็อาจจะต้องหาจากธรรมชาติ แต่พอตั้งตัวได้ก็จะสบาย หาง่ายขึ้น รองลงมาจะเป็นของจำพวกอุปกรณ์ป้องกันตัวและอาวุธ โดยของพวกนี้ต้องล่าสัตว์ แมลง มาวิจัยเพื่อปลดล็อคก่อน จึงจะคราฟท์มาใช้ได้ ใครที่เล่นเกมแนวเอาตัวรอดมาเยอะก็น่าจะเข้าใจระบบพวกนี้ได้อย่างรวดเร็วในส่วนของการเอาตัวรอดนั้นอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด ขึ้นอยู่กับระดับความยากของผู้เล่นด้วย ศัตรูจำพวกแมลงจะมีหลายประเภท เช่นพวก มด ด้วง พวกนี้อาจจะสู้ไม่ยาก แต่ถ้าไปเจอพวกยุง หรือศัตรูที่บินได้ รับรองว่าตึงมืออยู่บ้าง ส่วนศัตรูคู่แค้นของเราในเกมนี้อย่างแมงมุมนี่แหละ ที่จะทำให้อะไร ๆ หลายอย่างค่อนข้างยาก ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เพราะการสู้กับมันอาจไม่คุ้มอย่างที่เราคิดเอาไว้ เว้นแต่เป็นเหตุการณ์เนื้อเรื่องที่เราอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในบางครั้งไม่ใช่แค่ศัตรูเท่านั้นที่อาจจะมีผลต่อเกมการเล่น ด้วยความที่โลกในเกมเป็นสนามหลังบ้าน ขยะก็มี แต่เพราะเราเป็นคนตัวเล็ก จากกลิ่นเหม็นของขยะทั่วไป กลายเป็นเหมือนกับแก๊สพิษที่แรงเกินคนตัวเล็ก ๆ จะสูดดม เราจึงต้องหาหน้ากากกันแก๊สมาใช้ แถมยังมีศัตรูประเภทที่ทำลายหน้ากากของคุณได้อีกต่างหาก และศัตรูภายในเกมนี้ก็มีเยอะแยะมากมายกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย เล่นไปหลายสิบชั่วโมงแล้ว ยังเจอศัตรูใหม่ที่ไม่เคยเจอก็มีในส่วนของระบบ Inventory ตรงนี้อาจจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญสักเล็กน้อย และน่าจะเป็นปัญหาปกติของเกมแนวนี้เลย นั่นคือระหว่างการผจญภัยและออกสำรวจ เราจะพบเจอไอเทมต่าง ๆ ภายในเกมมากมาย และแน่นอนว่าผู้เล่นอย่างเรา ๆ นั้น มีค่าหรือไม่มีค่าไม่รู้ แต่ขอเก็บติดตัวไว้ก่อน เผื่อได้ใช้ประโยชน์ทีหลัง ปัญหาที่ตามมาคือกระเป๋าเต็ม และเกมนี้หากช่องเก็บของคุณเต็ม หากคุณเก็บของเข้าตัวอีก มันจะไม่เข้าตัว และดรอปไอเทมบางอย่างไว้บนพื้น ดังนั้นถ้าไม่สำรวจ หรือเช็คให้ดี ๆ เราอาจจะเผลอทิ้งไอเทมอะไรเอาไว้ข้างหลังก็ได้ หลายครั้งเลยทีเดียวที่ต้องย้อนไปเก็บไอเทมหายากบางอย่างเพราะเผลอทำตกไว้ แต่อย่างไรก็ตามเกมนี้ถือว่าออกแบบระบบแคมเปญเนื้อเรื่อง (รวมไปถึง Multiplayer) ออกมาได้อย่างน่าสนุก เราจะติดพันกับการค้นหาและเจออะไรใหม่ ๆ ทุกครั้ง เป็นลูปวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าเกมจะจบ ปัญหา Performance ที่อาจจะไม่ได้ดีขึ้นนับตั้งแต่ Early Accessในตอนแรก ผู้เขียนคิดว่าผู้เขียนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ซวย เจอปัญหานี้ เพราะแม้จะใช้การ์ดจอระดับสูง และเป็น Laptop Gaming แต่สิ่งที่เจอก็คืออาการเฟรมเรทตก แถมไม่ได้สูงไปกว่า 60 เฟรมสักเท่าไรนัก ทั้งที่เกมอื่นที่กราฟิกโหดกว่า ภาพโหดกว่า รันได้ลื่นไหลกว่านี้ แต่หลังจากหาคำตอบแล้วผู้เขียนก็พบว่า ผู้เขียนไม่ได้เจอปัญหานี้แต่เพียงผู้เดียว และแม้ว่าจะเล่นบนเครื่องคอนโซลก็เจอปัญหานี้ด้วย ปัญหาของมันอยู่ที่ Performance ที่ทำให้เฟรมเรทไม่เสถียรนัก จากลื่น ๆ อยู่ดี ๆ ก็ดรอปร่วงลงมา อาการแบบนี้สำหรับคนที่ต้องการความนิ่งในการเล่นเกมก็ถือว่าเป็นปัญหาพอสมควร นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องของการเชื่อมต่ออยู่บ้าง แต่โชคดีที่ระบบของเกมมันเอื้อให้สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันควรจะแก้ไขจนสมบูรณ์ได้มากกว่านี้ในตัวเกมเวอร์ชั่น 1.0 แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนแต่ก็ถือว่ามีปัญหาอยู่ดีGrounded เป็นเกมเอาตัวรอดผจญภัยที่นำเสนอโลกของเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และน่าจดจำ เนื้อหาของเกมนั้นสมแล้วที่ได้ Obsidian มาทำเกมนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบการสำรวจ การผจญภัย คุณอาจติดพันอยู่กับเกมนี้ได้เป็นร้อยชั่วโมง น่าเสียดายที่เกมนี้อาจจะไม่ถูกจริตกับคนกลัวแมลงจริง ๆ เพราะแม้เนื้อในเกมจะดีมากแค่ไหน แต่สำหรับคนกลัวแมลงแล้ว บอกเลยว่าเกมนี้คือฝันร้ายดี ๆ นี่เอง
10 Oct 2022
[Review] รีวิว Potion Permit วุ่นรักนักปรุงยา
Potion Permit เป็นเกมที่ติดเทรนด์ใน Steam อยู่ระยะหนึ่งเลย ผู้เขียนเห็นว่าคอนเซปต์เกมนี้นั้นน่าสนใจมาก ๆ เราจะได้รับบทเป็นนักปรุงยาหรือเภสัชกรจากเมืองหลวงที่ต้องไปเป็นหมอยาบนเกาะแห่งหนึ่ง และบนเกาะนั้นนอกจากเราต้องคอยรักษาชาวบ้านแล้ว เราจะได้ผจญภัยเพื่อปลดล็อคสิ่งอำนวยความสะดวกบนเกาะเพื่อให้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แถมยังมีระบบให้อัพเกรดสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย เสียงในหัวของผมตอนนั้นคือ"เฮ้ย เกมนี้น่าสนใจจัด ๆ !!!!" ตื่นเต้นครับ ตื่นเต้น ฮ่า ๆ ๆเลยกดซื้อมาเล่นอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2022 และติดเทรนด์อย่างรวดเร็ว ระบบต่าง ๆ ที่น่าสนใจในเกมเป็นอย่างไรนั้น เพื่อน ๆ สามารถอ่านรีวิวในบทความนี้ได้เลยครับนี่มันช้างเผือกตัวใหม่แห่งวงการหมอปรุงยา!!!เนื้อเรื่อง - เอาแบบคร่าว ๆ ไร้ซึ่งการสปอยล์เลยนะครับ ผู้เขียนจะเล่าเพียงจุดเริ่มต้นให้ได้อ่านกัน เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งตัวเอกของเรา (ตัวที่เราบังคับ) จะอยู่บนรถไฟขบวนหนึ่ง แหนะ! มันคุ้น ๆ เหมือนในเกม Little Witch in the Woods แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่าแม่มดน้อยนั้นเรื่องเกิดจากความดื้อรั้นของ Ellie แต่เรื่องของโลกหยูกยาในเกมนี้นั้นแตกต่างออกไปครับ รอบนี้เราขึ้นรถไฟเพราะทางสมาคมการแพทย์จากเมืองหลวง ส่งเรามาเพื่อรักษาลูกสาวของนายกเทศมนตรีของ Moonbury Island หลังจากที่เราคุยกับคนของสมาคมที่มารอพบเราบนรถไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะให้เราไปพูดคุยกับนายกเทศมนตรี Myerเมื่อเราได้เจอนายกเทศมนตรี เขาจะแนะนำให้เรารู้จักภรรยาของเขา และพวกเขาทั้งคู่จะเล่าให้เราฟังว่าลูกสาวของพวกเขาเป็นโรคที่ไม่มีใครรักษาหาย และหวังว่าเราจะเป็นคนคนนั้นที่จะรักษาลูกสาวของพวกเขาได้ครับ (เหมือนโยนภูเขามาให้ตัวเอกของเราหมดเลยนะครับ ฮ่า ๆ) แต่ตรงนี้ก็จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของเราด้วย เพราะหลังจากนายกเทศมนตรีพาเราไปแนะนำกับคนในหมู่บ้าน เราจะได้รับการต้อนรับที่ไม่อบอุ่นนัก (นี่มัน บูลลี่ ไอส์แลนด์หรือเปล่า? ฮ่า ๆ)เนื่องจากคนที่ทางสมาคมเคยส่งมานั้นแทบทุกคนได้สร้างวีรกรรมไม่ดีเอาไว้ครับ พอชาวบ้านรู้ว่าเราเป็นหมอยาที่ทางสมาคมในเมืองหลวงส่งมา เลยทำให้ชาวบ้านมีอคติกับเราไปโดยปริยาย (ซวยซะงั้นโดนเหมารวม) หลังจากนั้นเราต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองกับชาวบ้านให้ได้เห็นความปรารถนาดีอย่างจริงใจของเราครับ ส่วนทางด้านของนายกเทศมนตรี ภรรยา และผู้ช่วยของเขาเราได้พิสูจน์ตัวเองให้พวกเขาได้เห็นไปแล้ว โดยทำยาให้ลูกสาวของเขาจนหายจากอาการเจ็บคอที่ชื่อว่า Sunworm ได้ครับ ทางสมาคมเลยส่งคนมาเพื่อดีลงานกับทางเกาะนี้อีกรอบเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทางการแพทย์ระหว่าง Moonbury Island และเมืองหลวง ซึ่งเราเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และสมาคมก็อนุญาตให้เราอยู่บนเกาะนี้ตามคำขอของนายกเทศมนตรีว่าอยากให้เราเป็นหมอยาอยู่บนเกาะของเขา มีบ้านให้เราอยู่อาศัยฟรี แต่แบบพังมาเลยครับ ฮ่า ๆ เขาบอกเราอยู่ได้แต่ต้องค่อย ๆ ซ่อมเอาเอง (ระบบอัพเกรดสนุกมาก) และเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายก็เริ่มขึ้นต่อจากนี้ ว่าจะเล่านิดเดียว แต่เพลินมากผมเลยติดลมเล่นเล่าซะยาวเลย ฮ่า ๆ เอาเป็นว่านี่เป็นแค่เนื้อเรื่องบางส่วนเท่านั้น ผมถือว่าผมยังไม่ได้สปอยล์เยอะครับ อิอิ ที่เหลือถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อ เพื่อน ๆ ต้องไปซื้อมาเล่นกันเองนะครับ ผมแค่มาเล่ายั่ว ๆ เฉย ๆ เพราะเกมดี และสนุกมากกกกกบอกแค่นี้เกมเพลย์นี่มัน Stardew Valley แบบสไตล์หมอยาเกมเพลย์ - บอกเลยครับว่าใครเป็นแฟนเกมอย่าง Stardew Valley หรือ Harvest Moon เพื่อน ๆ ไม่ควรพลาดเกมนี้เป็นอย่างยิ่งเพราะมันคือเกมสไตล์เดียวกัน แต่แค่เปลี่ยนบทบาทจากชาวสวนมาเป็นนักปรุงยา เราอาจจะไม่ต้องปลูกไร่ ไถ่นา หรือเลี้ยงสัตว์ แต่เรายังต้องไปตัดไม้หาแร่หาของต่าง ๆ เพื่อมาอัพเกรดบ้านและสิ่งต่าง ๆ ภายในเมืองครับ ที่สำคัญต้องหาสมุนไพรเพื่อนำมารักษาชาวบ้านอีกด้วย มีระบบเวลา กลางวันกลางคืน มีค่าความเหนื่อย และพลังชีวิต ซึ่งถ้าเราไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เราสามารถกินอาหารเพื่อเพิ่มมันได้ครับ แต่ถ้าหมดวันแล้วหรือ 2:00 AM ถ้าเราไม่กลับบ้านตัวละครของเราจะเป็นลม และเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะตื่นสาย ใครที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาแล้วแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรกับเกมเพลย์เลย เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ สถานที่ต่าง ๆ ในแผนที่, อุปกรณ์, มินิเกม หรือแม้แต่สิ่งของต่าง ๆ ในบ้านของเราจะค่อย ๆ ปลดล็อคครับ และอย่างที่รู้ ๆ กันเกมแนวนี้เราสามารถผูกมิตรกับชาวเมืองด้วยการพูดคุยหรือให้ของขวัญได้ และที่สำคัญนักรักอย่างเรานอกจากปรุงยาแล้วยังต้องไปจีบสาวด้วย ใช่แล้วครับทุกคนเกมนี้จีบสาวได้!!! ไม่แบ่งเพศถ้าชอบตัวตนของ NPC คนไหน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายเราสามารถจีบได้หมดครับ จะจีบทั้งเกาะเลยก็ได้ ฮ่า ๆ อุปกรณ์ในการเข้าป่าเพื่อตัดไม้ ทุบหินหรือใช้เก็บเกี่ยวสมุนไพรตัวเกมนั้นมีให้เราใช้อยู่แล้วครับ ไม่ต้องไปทำเควสเพื่อตามหาอุปกรณ์ทั้งสิ้น และสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้สู้กับมอนได้เลยครับปรุงยาเพื่อรักษาก็ได้ เก็บไว้ขายก็ดีมีตังใช้นี่คือระบบสำคัญเป็นหัวใจหลักของเกมนี้เลยครับ ที่เราจะต้องคอยรักษาชาวเกาะจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เล่นไปเรื่อย ๆ นายกเทศมนตรีจะยกคลินิกของเกาะให้เราดูแล เริ่มจากคนไข้รายแรกซึ่งเป็นลูกสาวของเขาครับการรักษา - จะมีชาวเมืองมานอนบนเตียงที่มีเตรียมไว้ในคลินิกเลยครับ ถ้ามีคนมาใช้บริการจะมีเสียงไซเรนคอยแจ้งเตือนเราว่าตอนนี้มีผู้ป่วย ให้เราเข้าไปเช็คดูอาการได้เลย เราจะต้องแสกนดูภายในร่างกายตามเสียงบ่นของผู้มารับการรักษาว่าเจ็บ แขน ขา หัว คอ ข้างซ้าย ข้างขวา คนไข้จะบ่นให้เราฟังครับ เรามีหน้าที่แสกนกรรม เอ๊ยไม่ใช่ ฮ่า ๆ แสกนดูตามที่คนไข้แจ้งได้เลย หลังจากเจอแล้วถ้าเรายังไม่รู้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรกันแน่ จะมีมินิเกมให้เราเล่นเพื่อตรวจสอบโรคครับ หลังจากทราบโรคแล้วทีนี้เราก็จะต้องไปทำยาเพื่อนำมารักษาคนป่วยการทำยา - วัตถุดิบในการทำยาเราสามารถเข้าไปหาสมุนไพรได้ในป่าครับ หรือไอเทมที่ดรอปจากมอนสเตอร์ เมื่อเราได้ไอเทมครบแล้วเราสามารถไปปรุงยาได้ที่หม้อปรุงยาในบ้านของเรา ซึ่งตั้งตระง่านอยู่กลางบ้านเลยครับ เล่นตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันจะปลดล็อคพอทราบอาการของผู้ป่วยแล้ว ให้เรามาทำยาครับ การทำยาของเกมนี้จะเป็นมินิเกมเหมือนต่อ Puzzle ครับ ไอเทมแต่ละอย่างจะมีรูปแบบ Puzzle ของมันแสดงเอาไว้ เราต้องนำมาต่อให้พอดีกับกรอบและค่าไฟสีเขียวจะต้องไม่เกินกำหนดครับ เพราะถ้าเกินเราจะใส่วัตถุดิบเพิ่มไม่ได้ เล่นไปเรื่อย ๆ กรอบจะกว้างขึ้นแต่ค่าของดวงไฟยังไม่ปลดล็อค หลัง ๆ จะเริ่มยาก ต้องกะดีดีครับเมื่อได้ยามาแล้วให้นำยาที่เราปรุงมาไปให้ผู้ป่วยที่นอนรอเราอยู่ที่คลินิกครับ เมื่อหายแล้วจะมีเครื่องหมายถูกขึ้นบนหัวผู้ป่วย และเราจะได้รับของขวัญที่เรียกว่า "Moon Cloves" สามารถนำไอเทมชิ้นนี้ไปให้คนที่เราชอบเพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์แบบพรวดพราดได้ครับ ฮ่า ๆ และยาถ้าเราทำมาเกินสามารถโยนขายที่กล่องหน้าบ้านได้ครับ จะมีนกน้อยของสมาคมบินมารับของไปขายให้ทุกวัน ผมบอกเลยเกมนี้ถึงจะบัคเยอะ แต่แค่ปรุงยารักษาผู้ป่วยเนี่ยก็โคตรโคตรจะสนุกเลยครับทุกคน อยากให้ทุกคนได้ลองจริง ๆ นอกจากเป็นหมอปรุงยาแล้ว ยังต้องรับบทเป็นนายพรานอีกด้วยจริง ๆ ไม่ใช่แค่ 2 หน้าที่นี้หรอกครับ ถ้ามาเล่นจริง ๆ เราแทบจะเป็นเบ๊ตัวเอ้ของเมืองนี้เลย ฮ่า ๆ สิ่งสำคัญของการปรุงยาคือวัตถุดิบใช่ไหมครับ เล่นไปเรื่อย ๆ เกมจะให้เราไปคุยกับนายพรานของเมือง เขาก็จะสอนสิ่งต่าง ๆ บลา บลา บลา จบที่ว่าเราสามารถหาของต่าง ๆ จากในป่าตรงนี้ได้นะการต่อสู้ - ก็ไม่ได้โหดร้ายครับ เหมือนมีไว้ประดับฉากให้มีอะไรทำสนุก ๆ เพิ่มขึ้น มอนสเตอร์ที่เราไปตบตีด้วยมันก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร บางตัวไม่ตีก่อน บางตัวตีก่อน เราก็ใช้พวกอุปกรณ์ตัดไม้นั่นแหละ ฟาดมันไปได้เลย แต่ว่าแต่ละตัวมีสกิลจำเพาะติดตัวอยู่ระวังแค่ตรงนี้ก็พอครับ ถึงเลือดมันจะไม่ได้ลดอะไรมากมายแต่สร้างความรำคาญให้ได้อยู่ ฮ่า ๆ เมื่อทุบมันจนเลือดหมดหลอดแล้วก็ไม่ใช่ว่ามันจะดรอปไอเทมทุกตัวนะครับ เราต้องไปวัดดวงอีกว่าเราจะได้ไอเทมไหมการตัดไม้, หาหิน, เก็บเกี่ยวสมุนไพร - อย่างที่ผมได้เล่า ๆ ไปบ้างแล้วตัวเกมจะมีอุปกรณ์เหล่านี้มาให้เราใช้งานอยู่แล้วครับ เมื่อเราเข้าไปในป่าเราแค่เลือกใช้อุปกรณ์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ก็พอครับ อย่างเช่น ใช้ขวานเพื่อตัดไม้, ใช้ค้อนเพื่อทุบหิน, และใช้เคียวเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพร ถ้าเราใช้ไม่ตรงชนิดหรือไม่ถูกต้องเราจะไม่ได้รับไอเทมครับการตกปลา - การเย่อกับปลาเกมนี้ไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ แค่เราเหวี่ยงเบ็ดไปรอปลากินเหยื่อแล้วก็ดึงมันกลับเข้าฝั่ง แต่เราต้องสังเกตเชือกกับอิโมจิให้ดีดี ถ้าเชือกเป็นสีแดงไม่ควรดึงต่อเพราะปลาจะหลุดครับ ถ้าอิโมจิเป็นหน้าโกรธก็ห้ามดึงเช่นกันให้รอจนกว่าอิโมจิจะเปลี่ยนเป็นหน้าเหนื่อยล้าอ่อนแรงก่อน หลังจากนั้นสาวยาว ๆ เลยครับเพ่ !!!! และสิ่งที่ควรรู้อีกอย่างคือการตกปลาของเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราจะสามารถตกปลาตรงไหนก็ได้ที่มีน้ำ แต่เกมนี้จะแบ่งโซนตกปลาและเลเวลเอาไว้ครับ ถ้าอุปกรณ์ตกปลาของเรายังเป็นอุปกรณ์กะโหลกกะลาอยู่ จะมีโซนอนุบาลปลาเลเวล 1 ให้เราได้ตกกันครับ หลังจากอัพเกรดเบ็ดเรียบร้อยแล้ว เราสามารถยกระดับไปตกตามระดับความเซียนได้ครับ และที่สำคัญหนอนสำหรับตกปลาก็แบ่งตามเลเวลเช่นกันครับผมเนี่ยลืมบอกส่วนสำคัญไปได้ยังไง เราจะได้รับเบ็ดก็ต่อเมื่อเราเดินไปแผนที่ทางด้านบนที่เป็นทะเลครับ เราจะเจอ NPC สาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่า Leano (จีบได้ครับ จีบได้ น้องเป็นโจรสลัดหน้าตาน่ารัก) เธอจะให้เบ็ดขั้นเริ่มต้นเป็นของขวัญต้อนรับผู้มาอยู่ใหม่ครับเมื่อได้ปลามาแล้วในเกมจะแปลงเป็นเนื้อขาว เนื้อแดงให้เลยครับ สามารถนำไปทำอาหารได้ หรือจะเอาไปเป็นอาหารน้องหมาก็ได้เช่นกันครับระบบเคลื่อนย้ายแสนดี แถมมีน้องหมานำทางอีกต่างหากบอกเลยครับว่ามงต้องลงให้กับระบบนี้ เหมาะสำหรับคนขี้เกียจเดินแบบผู้เขียนเสียจริง ๆ ครับ เกมจะมีระบบเทเลพอร์ตให้ตามมุมต่าง ๆ และมีระบบน้องหมานำทางถ้าเราหา NPC ไม่เจอTeleport - จะมีธงปักไว้ตามจุดต่าง ๆ กระจายอยู่ตามตัวเมือง และพื้นที่ต่าง ๆ บนแผนที่ครับ เราจะสามารถวาร์ปไปโผล่ตามจุดต่าง ๆ ได้มันตั้งแต่เริ่มเกมมาเลย เช่น ตอนที่ผู้เขียนไปหาของในป่าก็ใช้เทเลพอร์ตจากหน้าบ้านไปที่ป่าได้เลยครับ จะมีหน้าแผนที่ขึ้นมาให้เราก็เลือกธงตรงบริเวณป่าได้เลย โคตรจะชอบเลย ฮ่า ๆระบบน้องหมา - ซึ่งชื่อเดิมของน้องนั้นชื่อ Noxe ซึ่งถ้าใครไม่ชอบก็สามารถเปลี่ยนชื่อน้องให้สาแก่ใจเราได้เลยตอนเราสร้างตัวละคร เราต้องเล่นกับน้องเพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์ และน้องต้องกินอาหารวันละ 1 มื้อ ซึ่งไอ้ระบบนี้เนี่ยมันก็น่ารำคาญหน่อย ๆ ซึ่งมันไม่มีสอนเรานะครับ ตอนแรกผมปล่อยให้น้องหิวข้าวตลอดเลยเพราะไม่รู้จะให้อาหารยังไง พยายาม Interact กับน้องโดยการเดินไปใกล้ ๆ ก็แล้ว ม้วนตัวไปหาก็แล้วก็ไม่มีปุ่มอะไรขึ้นมาเลยจนลองกด O เพื่อเรียกน้องแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงจะสามารถ Interact กับน้องได้ และหลังจากนั้นมีหน้าต่างการสอนใช้งานน้องขึ้นมา ในส่วนนี้ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ อุทานในใจอยู่หลายรอบ ฮ่า ๆ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะประสบปัญหาตรงนี้เหมือนกัน ถ้าใครผ่านมาอ่านแล้วเจอปัญหาอยู่ให้กด O แล้วเดินไปหาน้องแล้วกด K นะครับ ฮ่า ๆ ส่วนอาหารนั้นก็ให้อะไรก็ได้ที่เราเก็บมาจากในป่าหรือปลาที่ตกมาก็ได้ครับ น้องกินง่าย >
09 Oct 2022
[Review] รีวิว Overwatch 2 เกมยิงชื่อดังกลายมาเป็นเกม Free-to-Play มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
Overwatch เป็นเกมแนว Team Base Shooting 6v6 จากทาง Blizzard Entertainment ที่มีจุดเด่นก็คือเหล่าฮีโร่ที่มีให้เลือกเล่นมากมาย รวมถึงแต่ละตัวละครก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป โดยตัวเกมนั้นวางจำหน่ายออกมาในปี 2016 ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้เล่นให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เหตุผลเพราะเกมเพลย์ที่สนุก ตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามและน่าสนใจ รวมถึงเหล่าฮีโร่ที่จะต้องใช้ความชำนาญไม่เหมือนกันทำให้การเล่นมีสีสันเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากที่ตัวเกมวางจำหน่ายอยู่ที่ราคากว่า 40$ ตีเป็นเงินไทยราว ๆ 1,200 บาท แน่นอนว่าถ้าเป็นฝั่งประเทศที่เจริญแล้วเงินแค่นี้ก็อาจจะไม่สูงมาก แต่สำหรับโซนอื่น ๆ อย่างบ้านเราราคาขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีราคาสูงมาก ทำให้ตัวเกมอาจจะเข้าถึงคนทุกกลุ่มไม่ได้ บวกกับการที่มีเกมใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้ตัวเกม Overwatch มีฐานผู้เล่นที่น้อยลงไปจนในปี 2022 ทาง Blizzard Entertainment เองก็เตรียมปล่อยเกมภาคใหม่อย่าง Overwatch 2 ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเกมให้กลายเป็น 5v5 แทนเพื่อปรับสมดุลย์เมต้าของเกมนี้ได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญก็คือทางผู้พัฒนาได้เปิดให้บริการเป็นแบบ Free-to-Play ในโหมด Multiplayer อีกด้วย (ส่วนโหมด Single Player จะมาในปี 2023 เดี๋ยวทางเราจะรีวิวแยกอีกที) และในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่ามี Overwatch 2 มีอะไรต่างจากภาคแรกบ้างปรับเปลี่ยนเกมเพลย์เป็น 5v5อย่างที่รู้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม Overwatch 2 นั่นก็คือการที่ทางผู้พัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบทีมจาก 6v6 กลายเป็น 5v5 ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าการปรับสมดุลย์ของเมต้าที่จะทำให้การเล่นนั้นหลากหลายมากขึ้นทั้งในการเล่นและการแข่งขัน รวมถึงการที่ตัวเกมมีจำนวนที่น้อยลงซึ่งมันก็ทำให้การยื้อ Objective ต่าง ๆ ทำได้ยากขึ้นด้วย โดยถ้าหากคุณเล่นแบบ Lock Role ตัวเกมก็จะแบ่งออกเป็นตำแหน่ง 1 Tank, 2 DPS และ 2 Support ซึ่งข้อดีก็คือเราจะได้เห็นแผนการเล่นยืนหลังโล่ห์น้อยลง มีแผนที่หลากหลายมากขึ้นเนื่องจากเหลือ Tank แค่ตัวเดียว แต่ถึงอย่างนั้นใครที่รู้สึกว่าอยากจะเล่นแบบไม่ล็อคโรล ตัวเกมก็ยังมีโหมด Open Queue ที่จะให้เราไม่ต้องเล่นแบบล็อคโรล นอกจากนี้ในโหมดแรงค์ยังมีให้เลือกเล่นทั้งแบบล็อคโรลและไม่ล็อคโรลเช่นกัน เพียงแต่ว่าแรงค์จะแยกกันสำหรับมือใหม่อาจจะต้องฝึกและค่อย ๆ ปลดล็อคตัวละครแน่นอนว่าเกม Overwatch นั้นมีฮีโร่ที่ค่อนข้างหลากหลาย แถมแต่ละตัวยังจะต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันด้วย ทำให้ในตอนแรกสำหรับผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยซื้อตัวเกม ในตอนแรกตัวเกมจะปลดล็อคตัวละครเพียงแค่ 13 ตัว และเราจะต้องค่อย ๆ ฝึกค่อย ๆ เล่นเพื่อปลดล็อคตัวละครเรื่อย ๆ จนสุดท้ายถ้าหากคุณเล่นอย่างต่อเนื่องตัวละครของคุณก็จะครบเหมือนคนที่มีเกมภาคแรก ส่วนถ้าหากจะเล่นแรงค์คุณจะต้องชนะเป็นจำนวน 50 ตา ซึ่งกว่าจะครบคุณก็น่าจะเล่นเป็นแล้วแหละ รวมถึงยังมีการเพิ่มตัวละครใหม่มา 3 ตัวเช่น Junker Queen, Sojourn และ Kirikoปรับสมดุลย์ฮีโร่ เอาสตั๊นออกจากตัว DPSสำหรับอีกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับการลดผู้เล่นเหลือ 5v5 ก็คงจะเป็นการปรับสกิลต่าง ๆ ของตัวละครที่เยอะมาก ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คงสกิลสตั๊นต่าง ๆ ของตัวละครสาย DPS นั้นจะถูกตัดออกทั้งหมด ทางผู้พัฒนาอยากที่จะให้ตัวละครสายนี้เน้นเพียงแค่การสแปมทำดาเมจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นปืนของตัวละคร Mei ที่จะไม่แช่เข็งศัตรูแล้วแต่จะเป็นการสโลว์ หรือจะเป็นสกิลสตั๊นของ Cassidy (McCree) ที่จะกลายเป็นระเบิดแทน Flashbang ส่วนการสตั๊นต่าง ๆ ของสายอื่นจะยังอยู่ครบ แต่ถึงอย่างนัั้นมันก็ยังมีบางสกิลของบางตัวละครที่หลงเหลือสตั๊นอยู่เช่นสกิล Ultimate ของ Mei แต่ก็แลกมาด้วยรตัดระบบ Level เอา Lootbox ออกไป กลายเป็น Battle Passเนื่องจากที่ตัวเกมเป็นแบบ Free-to-Play รวมถึงระบบ Lootbox ก็มีปัญหาในหลาย ๆ ประเทศ ทางผู้พัฒนาจึงนำระบบนี้ออกและเน้นขาย Battle Pass แทน รวมถึงระบบ Level ตัวละครก็จะถูกตัดทิ้งทั้งหมดในกลายเป็นเก็บเลเวล Battle Pass แทน ซึ่งจะมีระยะเวลาราว ๆ 60 วันต่อหนึ่งซีซัน โดยใน Battle Pass จะมีอยู่ด้วยกัน 80 เลเวล ซึ่งจะได้สกินฟรีในทุก ๆ 10 เลเวล รวมถึงไอเท็มอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้บางเลเวลคนที่ไม่ได้ซื้อ Battle Pass ก็ยังสามารถรับของได้เช่นกัน  และตัวละครใหม่อย่าง Kiriko ใครที่ไม่มีเกมภาคแรก หรือซื้อ Battle Pass ก็สามารถปลดล็อคที่เลเวล 55รวมถึงตัวเกมยังใส่ระบบภารกิจเข้ามา ซึ่งถ้าหากเราทำเควสครบเราก็จะได้แต้มโบนัส Battle Pass มากขึ้น โดยจะมีทั้งภารกิจรายวันที่ง่ายมาก ๆ อย่างเช่นชนะหนึ่งครั้ง เล่นตำแหน่ง Flex สามครั้ง และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีภารกิจรายเดือนและรายซีซันที่จะได้รับแต้มโบนัสมากขึ้นด้วยเพิ่มโหมดใหม่ Push แต่ตัดโหมด Assault ออกภายในเกม Overwatch 2 มีการเพิ่มโหมดใหม่เข้ามานั่นก็คือโหมด Push ที่ทีมเราและฝ่ายตรงข้ามจะต้องแย่งกันดันหุ่นยนต์ และวัดกันว่าทีมไหนนั้นจะดันได้ไกลกว่ากัน ซึ่งเป็นโหมดที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีและสนุกมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางผู้พัฒนาก็เลือกที่จะตัดโหมด Assault ออกไปใน Quick Play และ Rank ทำให้เรานั้นจะไม่ได้เล่นด่าน Hanamura, Anubis และ Volskaya Industry แล้ว เหตุเป็นเพราะด่านในโหมดนี้ค่อนข้างมีสมดุลย์ที่น้อยเกินไป เพราะต้องพึ่งโชคและจังหวะมากเกิน ซึ่งจากที่เล่นมาโหมด Push มีความสมดุลย์มากกว่า เหมาะสำหรับทั้งการเล่นในแรงค์และทั้งการแข่งขันสรุปจากที่ได้เล่นมาต้องยอมรับว่า Overwatch 2 มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันกับภาคแรก สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบเกมนี้อยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกชอบมากกว่าเดิม แต่สำหรับคนที่เคยชอบเกมนี้แล้วเลิกเล่นไป นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่คุณอาจจะได้ชวนเพื่อน ๆ มาเล่นด้วยกัน เพราะเกมนี้ถ้าเล่นกับเพื่อนมันจะสนุกกว่าเล่นคนเดียวมาก ๆ  ส่วนตัวพูดตามตรงเลยว่า Overwatch มีศักยภาพที่จะเป็นเกมดังเบอร์เดียวกันกับ Dota 2, LoL, CSGO หรือ Valorant เพียงแต่ว่าด้วยราคาของเกมที่สูงมาก ทำให้ผู้คนในบางประเทศอาจจะเข้าไม่ถึง ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันว่า Overwatch 2 จะสามารถขึ้นไปยืนเทียบเคียงกับเกมเหล่านั้นได้หรือไม่ !?
07 Oct 2022
[Review] รีวิว HyperX Cloud Alpha S หูฟังคุณภาพที่พึ่งพาได้ พร้อมระบบ 7.1 Surround ที่เสริมทุกประสบการณ์เกม
เมื่อพูดถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์เล่นเกม สิ่งแรกที่หลายคนมักจะนึกถึงเป็นอันดับแรกย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของภาพ ส่งผลให้เมื่อเกมเมอร์ซักคนต้องการจะยกระดับประสบการณ์เล่นเกมของตัวเอง สินค้าอย่างจอมอนิเตอร์หรือการ์ดจอมักจะถูกให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ เสมอ ในขณะที่สินค้าด้าน 'เสียง' อย่างหูฟังมักถูกเลือกแค่ให้ 'พอใช้ได้' เท่านั้น ทั้งที่การเลือกใช้หูฟังที่ดีก็อาจส่งผลต่อประสบการณ์เกมได้ไม่แพ้กันHyperX Cloud Alpha S ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของหูฟังคุณภาพที่สามารถเสริมประสบการณ์เล่นเกมของชาว PC เกมเมอร์ได้อย่างง่าย ๆ ด้วยระบบเสียงแบบ 7.1 Surround ที่ช่วยจำลองตำแหน่งของเสียงในการเล่นเกม ซึ่งนอกจากจะทำให้เกมเมอร์สาย FPS ต่าง ๆ สามารถบ่งบอกตำแหน่งของคู่แข่งจากเสียงได้ ยังสามารถช่วยเสริมบรรยากาศการเล่นเกม ให้เรารู้สึกราวกับว่าได้อยู่ในจุดเดียวกับตัวละครที่เห็นในจอจริง ๆ ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับวัสดุคุณภาพที่ทนทานและสวมใส่สบายตามมาตรฐานของ HyperX ส่งผลให้หูฟังรุ่น Cloud Alpha S เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการจะยกระดับคุณภาพด้านเสียงของเกมอย่างง่าย ๆ และเป็นการพัฒนาจากรุ่น Cloud Alpha ธรรมดาอย่างชัดเจนข้อมูล Spec + อุปกรณ์ในกล่อง(ข้อมูลจากเว็บไซต์ JIB)ภายในกล่องประกอบด้วย:หูฟัง HyperX Cloud Alpha Sไม่โครโฟนแบบถอดได้สายต่อหูฟังแบบถอดได้เครื่องควบคุม Mixer เสียงแบบ USBที่ครอบหูผ้าสำหรับเปลี่ยน (หูฟังมาพร้อมที่ครอบหนัง)กระเป๋าใส่หูฟังสำหรับพกพาการออกแบบ + ใช้งานในส่วนของความสบายในการสวมใส่ แม้ว่าหูฟัง Cloud Alpha S จะมีน้ำหนักอยู่บ้างเมื่อเทียบกับหูฟังเกมมิ่งแบบครอบหูที่ราคาถูกกว่า แต่ก็ไม่ได้หนักพอจะทำให้ไมาสบายเมื่อสวมใส่ลงไปบนหัวแล้ว แถมตัวหูฟังยังรัดหัวของเราแน่นในระดับที่พอดี ทำให้ไม่รู้สึกว่าหูฟังกดทับลงบนหัวหรือใบหู และทำให้สามารถสวมใส่ติดต่อกันได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกติดขัดอะไร โดยผู้เขียนพบว่าที่ครอบหูแบบหนังที่มาพร้อมกับหูฟังมีความหนานุ่มกำลังดี และสามารถระบายอากาศได้ดีพอจะไม่ทำให้รู้สึกร้อนเมื่อสวมใส่ แม้ใช้ในห้องที่ไม่ได้เปิดแอร์ก็ตามในเรื่องของการออกแบบ หูฟังรุ่น Cloud Alpha S มีหน้าตาไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Cloud Alpha นัก นอกจากสีของโครงอลูมิเนียมที่ประดับอยู่ ซึ่งเป็นสีน้ำเงินแทนสีแดงของรุ่นก่อน แถมยังมีไมโครโฟนแบบ 3.5mm ที่ถอดออกได้เช่นเดียวกันอีกด้วย โดยแม้ว่าการออกแบบหูฟังของ HyperX จะไม่ได้มีหน้าตาหวือหวาไฮเทคเหมือนสินค้าคู่แข่งหลายยี่ห้อ แต่ในอีกมุมก็เป็นรูปทรงที่คลาสสิค เรียบง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหูฟังที่เน้นใช้งานเป็นหลัก มั่นใจได้ว่าจะไม่มีส่วนเว้านูนใด ๆ มาเกะกะการสวมหรือถอดหูฟังของเราแน่นอน(รุ่นที่ทีมงานได้รับมารีวิวเป็นรุ่นที่จับมือกับเกม Diablo Immortal ด้วย จึงมีโลโก้เกมประดับอยู่ตรงด้านนอกของที่ครอบหู แทนโลโก้ HyperX ในรุ่นปกติ)ทั้งนี้ รายละเอียดหนึ่งที่ต่างไปจากรุ่น Cloud Alpha ปกติก็คือตัวเลื่อนปรับระดับเสียงเบสตรงบริเวณด้านหลังของที่ครอบหูทั้งสองข้าง ซึ่งให้เราปรับระดับเสียงเบสของหูทั้งสองข้างแยกกันได้ 3 ระดับ (สูง-กลาง-ต่ำ) โดยในจุดนี้ก็ส่งผลให้หูฟังสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ หรือกระทั่งสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ นอกจากการเล่นเกม เช่นการดูหนัง/ซีรีส์ หรือฟังเพลง ซึ่งการที่ตัวปรับระดับนี้อยู่บนตัวหูฟังเอง แทนที่จะเชื่อมกับเจ้า USB Mixer ยังหมายความว่าเราสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้แม้สำหรับการเชื่อมต่อแบบ AUX 3.5mm อีกด้วยพูดถึงเจ้า USB Mixer เอาเข้าจริง ๆ ไม่อยากจะเรียกว่าอุปกรณ์เสริมเลยด้วยซ้ำ เพราะการเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับตัว Mixer คือวิธีเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญมากมายของเจ้า Cloud Alpha S เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง 7.1 Surround ไปจนถึงการปรับเพิ่ม/ลดเสียงของเกมและเสียงแชตแยกกันได้ ซึ่งมีความสะดวกอย่างมาก ที่สำคัญคือการเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน USB นั้นให้ความเสถียรและคุณภาพเสียงสูงกว่าการเชื่อมต่อแบบ 3.5mm ปกติมาก แม้ว่าจะจำกัดให้หูฟัง Cloud Alpha S กลายเป็นหูฟังที่เหมาะกับการใช้กับ PC มากที่สุด เพราะการเชื่อมต่อผ่าน AUX ปกติจะทำให้เราพลาดฟีเจอร์เด็ดแทบทั้งหมดของหูฟังไปเลย (ยังไม่นับว่าสาย 3.5 ที่มากับหูฟังมีความยาวนิดเดียว เพราะต้องการให้เชื่อมกับตัว Mixer เป็นหลัก)คุณภาพเสียง อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าระบบเสียง 7.1 Surround ถือเป็นเทคโนโลยีที่สามารถยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมของเราได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการสร้างบรรยากาศราวกับว่าผู้เล่นกำลังได้ยินเสียงรอบข้างจากจุดยืนของตัวละครจริง ๆ ซึ่งในจุดนี้หูฟัง Cloud Alpha S ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย อย่างน้อยก็ในแง่ของการระบุ 'ทิศทาง' ของเสียงว่ามาจากทางไหน ในขณะที่ 'ระดับ' หรือ 'ระยะห่าง' ของเสียงยังมักไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่นักในการเล่นเกม และหลายคนอาจจะไม่สังเกตด้วยซ้ำถ้าไม่ได้ลองใช้หูฟังที่มีระบบเสียง Surround มาเปรียบเทียบกันอย่างที่ผู้เขียนทำแต่แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบ 7.1 Surround นี้สามารถยกระดับการเล่นเกมหลาย ๆ แนวได้จริง ๆ เช่นแนวสยองขวัญหรือแนวรถแข่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อธิบายให้เข้าใจด้วยคำพูดค่อนข้างยาก เอาเป็นว่าเกมอะไรก็แล้วแต่ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศ หรือต้องใช้ความตื่นตัวมาก ๆ ย่อมถูกยกระดับจากระบบ Surround ที่ว่านี้สรุป: ตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนที่อยากยกระดับด้านเสียงด้วยราคาเต็มกว่า 3,990 บาท คงพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า HyperX Cloud Alpha S เป็นหูฟังที่มีราคาถูก แต่เมื่อเทียบกับคุณค่าที่ได้กลับมาในแง่ของประสบการณ์ด้านเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน รวมไปถึงวัสดุและการประกอบที่มีคุณภาพ ก็ต้องบอกว่า Cloud Alpha S ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามาก ๆ โดยเฉพาะสำหรับเหล่า PC เกมเมอร์ที่มองหาหูฟัง USB ในราคาที่สมเหตุสมผล
07 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Bugsnax "กินสิ่งใด เป็นสิ่งนั้น" เกม FPS จับแมลงอาหารที่ลึกซึ้งกว่าตาเห็น
Bugsnax เป็นเกมอินดี้แนวผจญภัยที่วางขายมาตั้งแต่ปลายปี 2020 ด้วยคอนเซปต์ 'We are what we eat!' หรือ 'พวกเรากินอะไรเข้าไป พวกเราก็เป็นสิ่งนั้น!' พร้อมกับชูระบบการเล่นเกมสไตล์วิ่งไล่จับแมลงอาหารและบันทึกลงสมุด (ที่ชวนให้นึกถึงการจับโปเกม่อนและบันทึกลง Pokedex) แต่ตัวเกมมีอะไรเยอะแยะมากมายกว่านั้นอีก งั้นเราไปอ่านต่อกันดีกว่าว่าเกาะแห่งแมลงอาหาร Snaktooth Island มีอะไรให้เรากิน เอ้ย สำรวจบ้าง!เสาะหาและไล่จับแมลงอาหารร่วม 100 สายพันธุ์Bugsnax เป็นเกมผู้เล่นคนเดียวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจเกาะ Snaktooth Island ซึ่งที่อยู่ของแมลงอาหารน้อยใหญ่มากมายกระจัดกระจายไปทั่วภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เกมเพลย์จะวนเวียนอยู่กับการจับแมลงอาหารด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราได้ปลดล็อกระหว่างการเล่น อาทิ กับดักแมลง หนังสติ๊กยิงซอส แท่นกระโดด และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพวกมันเพิ่มเติมผ่านการแสกนด้วยกล้อง SnaxScope ที่จะบอกถึงเส้นทางการเดินพฤติกรรมของมันคร่าวๆ และในสมุดก็จะมีข้อมูลเพิ่มเติมหลังแสกนด้วยBunger! Bunger!ซึ่งแมลงอาหารแต่ละชนิดก็จะมีความยากง่ายในการจับที่แตกต่างกัน ทำให้บางครั้งเราต้องผสมผสานอุปกรณ์ที่เรามีเพื่อที่จะจับแมลงสักตัว เช่น เจ้า Cheepoof หรือชีโตสบินได้นี้จะบินอยู่ตลอดไม่ลงมาที่พื้น ทำให้เราต้องวางกับดักแมลงไว้บนแท่นกระโดดแล้วดีดมันขึ้นฟ้าไปหาเจ้าแมลงนี่เพื่อจับมันได้ใช้หัวคิดในการวางแผน!ในบางครั้งเราอาจต้องยืมมือแมลงอาหารตัวอื่นด้วย อย่างเจ้าแมงมุมสับปะรด Pineantula นั้นชอบมุดอยู่ใต้ผืนทรายจนไม่สามารถจับได้ด้วยวิธีการปกติ ทำให้เราต้องหลอกให้เจ้าปูแอปเปิ้ล Crapples มาขุดให้ โดยเราจะยิงซอสช็อกโกแลตของโปรดของมันใส่ Pineantula เพื่อล่อให้ Crapples ไปขุด พอขุดขึ้นมาแล้วมันจะยกขึ้นไปไว้เหนือหัว เดินกลับบ้านแล้วเขวี้ยงใส่รังของตน ส่งผลให้เจ้า Pineantula เกิดอาการติดสตันท์ไปชั่วขณะ และจังหวะนี้แหละคือโอกาสที่เราสามารถเข้าไปจับมันได้!โดนซะเจ้า Pineantula!อ๊าาาาา!! ร้อน!!หลังจากวางแผนไว้อย่างดีและทำได้ตามสิ่งที่วางเอาไว้จนจับแมลงแต่ละตัวได้สำเร็จมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก (แม้บางตัวจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเราสักเท่าไหร่) ซึ่งความสนุกมันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละนะ! อยากจะตะโกนดังๆ ว่า 'Gotta catch 'em all!' (ซึ่ง Bugsnax ก็ไม่พลาดล้อเลียนประโยคนี้ Achievement การจับแมลงอาหารครบ 100 ชนิดว่า Got to Catch Them All)กราฟิกน่ารักสดใสคล้ายการ์ตูนเด็ก และการออกแบบได้สุดน่ารับประทานหนึ่งในจุดเด่นที่สามารถสัมผัสได้แต่แรกเห็นคือสีสันที่ช่างสดใส บ้องแบ๊ว ตากลมโต ผู้คนในเกมนี้มีลักษณะคล้ายตุ๊กตาที่ช่างน่ารักน่ากอด ส่วนแมลงอาหารแต่ละชนิดก็อยากจะคว้าจับเข้าปากเสียเหลือเกิน น่าชื่นชมมากๆ ที่ตัวเกมสามารถจับแมลงแต่ละสายพันธุ์มาผสมกับอาหาร ของหวาน ผักและผลไม้ได้อย่างลงตัว เช่น แมงมุมเฟรนฟราย ด้วงเบอร์เกอร์ แมลงปอลูกอม หนอนไอศกรีมโคน หนอนแครอท เต่าทองสตรอว์เบอร์รี่ โอย ยิ่งเห็นก็ยิ่งหิว!น่ารักน่ากินอะไรขนาดนี้นะ!เนื้อเรื่องน่าติดตามตัวเอกอย่างเราคือนักข่าวที่ได้รับจดหมายเชิญจากนักสำรวจนาม Elizabert Megafig ให้ไปเยือน Snaktooth Island เกาะแห่งแมลงอาหาร แต่กลับกลายเป็นว่าเธอหายตัวไปเสียอย่างงั้น! แถมเพื่อนของเธอที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของเกาะอย่าง Snaxburg ก็กระจัดกระจายไปอยู่คนละที่ทั่วเกาะอีก กลายเป็นว่างานของเราคือการรวบรวมให้ทุกคนกลับมาที่เมืองนี้ (โดยการไปตามจับ Bugsnax ที่พวกเขาต้องการมาให้ เหนื่อยเราอีกเนอะ!) และในขณะเดียวกันก็หาเบาะแสเกี่ยวกับการหายตัวไปของ Lizbert ด้วยระหว่างนั้นเราก็ต้องตามหาคำตอบไปด้วยว่าเจ้า Bugsnax พวกนี้มาจากไหนและมันคืออะไรกันแน่ มันเป็นอะไรมากกว่าแค่สิ่งมีชีวิตครึ่งแมลงครึ่งอาหารงั้นหรอ? แล้วทำไมพอกิน Bugsnax เข้าไป แขนขาและอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายถึงเปลี่ยนไปตามสิ่งที่กินด้วย! นี่มันอะไรกันเนี่ย ชักจะไม่ปกติแล้วสิ ฉะนั้นถ้าอยากทราบคำตอบของคำถามก็คงต้องตามสืบด้วยตัวเองแล้ว!NPC แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ มีเนื้อเรื่องและปมในใจของตัวเองให้เราได้สำรวจในเกมนี้มี NPC ร่วม 13 คนให้ทำความรู้จัก แต่ละคนก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น Filbo นายกเทศมนตรีผู้แสนดีของพวกเราเป็นคนห่วงเพื่อนและไม่สู้คน ส่วน Beffica เป็นคนช่างเม้าท์ สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน (ซึ่งเธอก็จะแย้งว่า: ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลต่างหากย่ะ!) และอีกคนที่น่าจดจำมากคือ Wiggle แม่สาวป็อปสตาร์ผู้มีดนตรีในหัวใจ โยกย้ายส่ายสะโพกตลอดเวลาเมื่อเรารู้จักแต่ละคนมากขึ้นจะพบว่า พวกเขาล้วนแล้วมีปมในใจของตัวเอง อย่าง Wiggle กำลังหนักใจว่าตัวเองอาจจะเป็นนักร้องพวก One-hit wonder หรือปล่อยมาเพลงเดียวปังแล้วดับ และเธอเครียดว่าตัวเองจะไม่อาจออกผลงานใดที่ดีไปมากกว่านี้ได้คู่สามีภรรยา Wambus และ Triffany นั้น เมื่อย้ายมาอยู่ Snaktooth Island แห่งนี้ Triffany ชื่นชอบในโบราณคดีมากจึงไม่ได้อยู่ที่ Snaxburg ออกไปทำงานอยู่ตามแหล่งขุดและโบราณสถาน กลับกัน Wambus ก็ไม่ได้ตามเธอไปและปักหลักอยู่กับเมือง เกิดเป็นความห่างเหินในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้คุยกันเพื่อหาทางออกตรงกลางระหว่างทั้งคู่ (ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเราอีกนี่แหละที่ต้องทำให้ Triffany กลับมาที่เมือง)สอดแทรก LGBTQ+ แบบไม่ยัดเยียด เพราะความรักเป็นสิ่งสวยงามเอ้างง ในเกมตุ๊กตาไล่จับแมลงอาหารแบบนี้ก็มีเนื้อหาทำนองนี้ด้วยหรอ? คำตอบก็คือใช่! ไม่ต้องมองไปไหนไกลเลย แม่สาว Lizbert ที่หายตัวไปนั้น เธอหายตัวไปพร้อม Eggabell หมอประจำเมือง และจากการสืบเสาะเพิ่มเติมเราจะได้ทราบว่าพวกเขาเป็นคู่รักเลสเบี้ยนกันนั่นเองพอเราเล่นเกมไปได้ระยะหนึ่งจะได้รู้จักกับ Chandlo หนุ่มกล้ามนักออกกำลังกายอารมณ์ดีที่อยู่กับ Snorpy นักวิศวกรขี้กังวลผู้เก็บตัว แต่ในอุปนิสัยที่แตกต่างกันนี้ พวกเขากลับไม่เคยทิ้งกันไปไหนและเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายอยู่เสมอ จนทำให้เราเริ่มเดาได้ว่า เอ สองคนนี้เขามีซัมติงนะส่วน Floofy นักเวชศาสตร์ทางเดินอาหาร เหล่า NPC ในเกมใช้สรรพนาม They/Them กับ Floofy จึงทำให้เราทราบว่าพวกเขาคือเพศ Non-binary นั่นเอง แถมสีม่วงประจำตัว Floofy ก็ยังเป็นม่วงเฉดที่คล้ายสีบนธงของ Non-binary อีกทว่าพวกเขาแต่ละคนก็ไม่ถูกปฏิบัติแตกต่างไปจากเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเพศอะไร พวกเขาก็คือคนธรรมดาที่มีชีวิตจิตใจ ความต้องการ ความหวังและความฝันไม่ต่างอะไรกับพวกเราทุกคนLizbert และ Eggabellสรุป: กินสิ่งใดได้สิ่งนั้นสุดท้ายนี้ สำหรับเกม Bugsnax นั้นมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมได้น่าจดจำเกมหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเกมเพลย์ในการจับแมลงอาหารก็ดี เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ดี จึงเป็นหนึ่งในเกมที่อยากชวนให้ทุกคนได้สัมผัส หากใครกำลังมองหาเกมความยาว 10-15 ชั่วโมง (ผู้เขียนใช้เวลาราวๆ 15 ชั่วโมงในการเก็บ 100%) งานภาพน่ารัก มีความสนุกและท้าทายในระดับที่ไม่ยากจนเกินไป แถมมีเนื้อเรื่องและบทสรุปที่ชวนให้อ้าปากค้าง แบบนี้ต้องลองดูแล้ว!แพลตฟอร์มเกม: Windows, macOS, PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X/S, Nintendo Switch (หากใครมี Playstation Plus ระดับ Extra ขึ้นไป สามารถกดเกมนี้มาเล่นได้ด้วยนะ)ได้รับรีวิวระดับ Overwhelmingly Positive บนหน้าร้านค้า Steam พร้อมติดแท็ก Psychological Horror, Adventure, Creature Collectorการรวมตัวรอบกองไฟอันแสนสงบสุข แม้ว่าทุกคนจะ.. เอ่อ.. ทุกคนปกติมาก!
05 Oct 2022
[บทความ] แนะนำเกม Omega Strikers เกมกีฬาผสมโมบ้าสายเลือดใหม่ จะทำโกลก็ดี...จะตีศัตรูให้หัวแบะก็ไม่ว่า?!
พนันได้ว่าท่านผู้อ่าน ก็คงเคยมีช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้เดินเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วแวะเวียนไปแถวโซนอาร์เคดเกมที่มีให้เราเล่นหลากหลายเช่น ทุบตัวตุ่น, โยนบอลลงห่วง, คีบตุ๊กตา หรือ 'เทเบิลฮอกกี้' ที่เราจะใช้คันจับกลม ๆ ตีดิสก์แผ่นบาง ๆ เข้าโกลฝั่งตรงข้ามภายในเวลาที่กำหนด ใครได้แต้มเยอะกว่าก็ชนะไป แม้ไม่ได้รางวัลอะไรนอกจากความสะใจก็เถอะ ถึงกระนั้นเราก็คงจะไม่ได้มีโอกาสเดินเข้าห้างทุกวัน หรือจะเสียตังค์หยอดตู้เกมเหล่านี้หลาย ๆ รอบก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ ดังนั้นหากใครอยากจะลองลิ้มรสความสนุกของเทเบิลฮอกกี้ หวนนึกถึงช่วงเวลาเล่นเกมมัน ๆ ไปประชันกับเพื่อนและคนทั่วโลกละก็ เราขอเสนอนี่เลยกับเกม Omega Strikersแต่เอ๊ะ ? แล้วมันต่างหรือพิเศษกว่าเกมเทเบิลฮอกกี้ยังไง ? สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกม Omega Strikers เลยคือการเป็นเกมเทเบิลฮอกกี้ที่มีความเป็น ' โมบ้า ' มาผสม ซึ่งในแต่ละแมทช์จะมีผู้เล่นมากสูงสุดถึง 6 คน ( ฝั่งละ 3 คน ) ตีและใช้สกิลใส่ดิสก์ให้เข้าโกลฝั่งตรงข้าม หรือเดินตรงเข้าไปซัดหน้าศัตรูให้เลือดหมดหลอด ก่อนหยุมหัวเอาชนขอบกั้นแล้วรอเกิดใหม่ให้ได้ 5 แต้มชิงชัยชนะไปก็ได้ โดยหากเวลาหมดหรือคะแนนเท่ากัน ผู้เล่นต้องทำคะแนนให้นำหน้าเกินสองแต้มถึงจะตัดสินผลแพ้ชนะ ดังนั้นการเล่นแบบนี้จึงสามารถพลิกแพลงได้หลายแบบ บนแผนที่ที่อาจมีสิ่งกีดขวางแตกต่างกันไปด้วยหน้าที่อยู่หลัก ๆ คือ กองหน้า, ผู้รักษาประตู หรือ ยืดหยุ่นนอกจากนี้ที่พิเศษเลยคือแต่ละคนสามารถหยิบตัวละครที่มีหน้าตาน่ารักไปจนหน้าโฉด ซึ่งมีสกิลและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่Asher - สาวห้าวผมส้มสุดแกร่ง ที่มีความสามารถในการผลัก ตีใกล้ และใช้โล่ดันภายในพื้นที่ที่ยิงไปAtlas - ตัวละครสายซัพพอร์ตแท้ มีความสามารถตั้งโล่ หรือชุบชีวิตเพื่อนที่ลาโลกก่อนเวลาอันควรDrek’Ar - มนุษย์กิ้งก่า ที่เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ หายตัวมาตีดิสก์หรือซุ่มยิงจากระยะไกลDubu - แฮมสเตอร์ตัว ( ไม่ ) น้อย มีความสามารถในการหยุดยั้งและกั้นแผงไม่ให้ดิสก์เข้าโกลได้ง่าย ๆEra - แม่มดสาวพราวเสน่ห์ ฉันจะสาปแกให้ตัวหดลง หรือจะเสกทีมให้ตัวใหญ่ขึ้น วิ่งไวเข้าใส่ศัตรูไปเลยEstelle - สไนเปอร์ยิงข้ามแมพ ว่องไว และมีความสามารถสตั้น สโลวป่วนฝั่งตรงข้ามJuliette - ตัวละครตั้งต้นสำหรับสายไม่ตีแล้วดิสก์ ตีหัวคนดีกว่า อัดอีกฝั่งให้น่วมในระยะประชิดJuno - สาวสไลม์เด้งดึ๋ง ยิงสไลม์น้อยไปตามแผนที่คอยไล่งับดิสก์และพ่นไปอีกฝั่งKai - หนุ่มหล่อสไตล์เกาหลีวิ่งวุ่น ยิงรัวขัดจังหวะเก่งตลอดทั้งเกมLuna - ถึงตัวเธอจะเล็ก แต่ระเบิดของเธอวงไม่เล็กตาม พร้อมสังหารคนเผลอ ๆ ออกสนามแบบงง ๆX - สะบัดศัตรูทีปลิวหายไปครึ่งสนามก็ทำได้ กับความสามารถเดินไล่กระทืบโดยไม่สนสตั้นหรือสโลว( ตัวละครอื่น ๆ จะมีการเพิ่มเข้ามาในอนาคต โดยตัวเกมอำนวยความสะดวกบอกวันปล่อยแต่ละตัวละครล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว )ถ้าหยิบตัวละครซ้ำกัน ก็เล่นเหมือนกัน ? คิดผิดจ้า !!ถึงแม้ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวเกมจะมีให้เราเลือกว่าจะเล่นเป็นกองหน้า, ผู้รักษาประตู หรือสายยืดหยุ่น ก็จริง แต่ตัวเกมไม่ได้หวังจะให้เราเล่นหน้าที่เหล่านี้ด้วยตัวละครซ้ำ ๆ เดิม ๆ พวกเขาจึงมีระบบ Trainings หรือเอาเข้าใจง่าย ๆ เลยคือระบบรูนที่ผู้เล่นสามารถเลือกใส่และปรับแต่ให้เข้ากับตัวละครและความถนัดได้ตามใจอยากสูงสุดสามชิ้น เช่น เสริมดาเมจ, เสริมความอึด, เพิ่มระยะ/ความกว้างสกิล ฯลฯ ดังนั้นต่อให้ตัวละครเดียวกัน ก็อย่าได้หวังว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกันเสมอไป เพราะเราสามารถเอาตัวหนา ๆ ใหญ่ ๆ ไปกองหน้า และเอาตัวเล็ก ๆ ว่องไวมากันโกลก็ได้*ภาพตัวอย่างอัลติโล่ของตัวละคร Asher ที่ใส่และไม่ใส่รูนเพิ่มขนาดสกิล*จะเล่นจริงจัง หรือจะสายฮาก็เล่นได้เพลิน ๆใครที่เป็นมนุษย์สายมีมคงถูกใจเกมนี้ไม่ใช่น้อย เพราะผู้พัฒนานั้นดูจะเอาใจใส่และเพิ่มเติมแต่งความสนุกในรายละเอียดด้วยอีโมต สติกเกอร์ ที่คัดสรรนำมาจากมีมดังหลากหลายให้ได้เลือกใช้เรียกเสียงหัวเราะกันเหมือนดังอีเวนต์ล่าสุด ที่มีชื่อว่า Vs. CREATOR ที่เราสามารถเลือกสมัครเป็นลูกทีมผู้พัฒนาคนใดคนหนึ่งเพื่อรับอีโมตกวน ๆ มาใช้ได้ฟรี ๆหรือใครจะเป็นสายไต่แรงก์เล่นจริงจังก็มีโหมดให้เลือกเล่นแบบ Ranked, Unranked และ Invite Only สามารถชวนเพื่อนมาไล่บี้ดิสก์ได้ตามต้องการ ทั้งนี้ในโหมดแรงก์จะมีระบบที่เสริมเขามาอยู่หลัก ๆ เลยสี่ระบบคือระบบแบนตัวละคร - ผู้เล่นแต่ละทีมสามารถเลือกแบนตัวละครได้ตั้งแต่หน้าล็อบบี้ทีมละหนึ่งตัว ระบบสุ่มแผนที่ - ถ้าเป็นสนามเปล่า ๆ มันคงน่าเบื่อจริงไหม ? งั้นเอานี่ไป ! สิ่งกีดขวางที่บางทีสร้างหายนะให้ทีมศัตรูและคุณเองระบบกันการซ้ำตำแหน่ง - ถ้าคุณเกิดอยากฉายเดี๋ยว แต่ไปเจอพวกผู้เล่นกดทีมคู่มาบังคับให้เราเล่นผู้รักษาประตูอย่างเดียวคงไม่แฟร์ ดังนั้นผู้พัฒนาจึงกำชับและบล็อกให้ผู้เล่นแบบทีมไม่สามารถกดเล่นได้หากไม่มีตำแหน่งผู้รักษาประตูและกองหน้า แบ่งให้เท่า ๆ กันในทีมระบบของรางวัลประจำซีซัน - แหม เล่นเหนื่อย ๆ มันต้องมีของย้อมใจล่อตากันบ้าง หากผู้เล่นขยับขึ้นแรงก์ไปถึงแรงก์โกลได้แล้วในซีซันนั้น ๆ ก็สามารถรับของรางวัลสุดพิเศษ เช่น สกิน ผู้บัญชาการ Atlas ไปได้เลยทันทีเกมเล่นฟรี มีระบบแบทเทิลพาสและภาษาไทย !Omega Strikers นั้นเป็นเกมเล่นฟรีที่สามารถเข้าร่วมได้ทุกเพศทุกวัยหรือหากไม่ชินภาษาอังกฤษก็มีการตั้งค่าให้ใช้ภาษาไทยได้สะดวกสบาย แต่หากใครรู้สึกว่า " มุแง้ สกินไม่สวย มงไม่ลง ไม่มีแรงเล่น " ตัวเกมก็ได้เพิ่มระบบ Striker Pass ให้ได้จับจ่ายใช้สอยสกิน เอฟเฟค อีโมต รูน สติกเกอร์ ภาพตกแต่งโปรไฟล์ และอื่น ๆ จนนับไม่ไหวแต่ ๆ ! สำหรับผู้เล่นสายฟรีก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรจากค่าความขยันหรอกนะ ! หากผู้เล่นทำการเล่นเกมเก็บสะสมแต้มพาสไปเรื่อย ๆ ก็มีสิทธิได้รับของรางวัลเช่นกัน ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดหวังในความสวย เล่นให้เต็มที่ชิงของรางวัลมาให้หมดล่ะ !ยังไม่สมบูรณ์ แต่สนุกใช้ได้ก็ใช่ว่าตัวเกมจะมีข้อดีให้เราอวยจนหูชาไปเสียหมด เพราะปัญหาหลัก ๆ ของตัวเกม Omega Strikers นั้นอยู่ที่การเป็นเกมยังไม่เต็มตัว 100% หรือ Open Beta จึงอาจมีความไม่เสถียรในการเชื่อมต่อ ระบบ UX/UI ไม่รวบรัดขาดข้อมูลสำคัญ ๆ เช่น ประวัติการเล่น เป็นต้น หรือความน่าหงุดหงิดที่เราต้องใช้แค่ "โทรจิต" ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ได้ตั้งตี้กับเรา รวมไปถึงระบบรีพอร์ตผู้เล่นโยนเกม AFK ซึ่งเราไม่สามารถกดรายงานได้ทันที แต่จะเข้าไปในหน้าเบราว์เซอร์ให้เราเสียเวลากรอกรายละเอียด กดส่ง และรอลุ้นว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรกับผู้เล่นคนนั้นหรือไม่เท่านั้นแต่ยังไงเสียข้อติที่กล่าวมาก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ที่แก้ไม่ได้และค้างคาจนพังทลายความสนุกไป สามารถรอผู้พัฒนาอัปเดตแก้ไขได้อยู่เรื่อย ๆดังนั้นหากใครอยากสัมผัสประสบการณ์ความมันส์กับเกม Omega Strikers นี้ละก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเล่นฟรี ๆ บนแพลตฟอร์ม PC ผ่านร้านค้า Steam ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งข่าวดีเลยคือเกมนี้มีแผนจะพอร์ตลงให้มือถือระบบ iOS และ Android ในอนาคต เฝ้าติดตามได้เลย !
05 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Urbek City Builder เกมสร้างเมืองไซส์เล็ก แต่คุณภาพไม่เล็กอย่างที่คิด
Urbek City Builder เกมสร้างเมืองภาพสไตล์เหลี่ยม ๆ ดูน่ารัก ที่ลองเล่นแล้วให้ความรู้สึกเพลิดเพลินมาก ๆ ครับ ผู้เขียนซื้อมันมาแบบไม่คาดหวังอะไรเลย แบบว่าถอดสมองซื้อมาเลยครับ ฮ่า ๆ กะว่าจะเล่น ๆ สัก 2 ชั่วโมง ถ้าไม่สนุกจะกดคืนเงินอะไรแบบนี้ แต่...กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิครับ มันดันสนุกกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ๆ (จิ๋วแต่แจ๋วฮะ) เกมนี้ถูกพัฒนาโดย Estudios Kremlinois จับมือกับ RockGame S.A. ลงวางจำหน่ายใน Steam เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2022 และคนที่จะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันก่อนตัดสินใจซื้อนั่นก็คือ ผมเองครับ ใครเล็ง ๆ เกมนี้อยู่มาลองอ่านรีวิวกันก่อนได้ครับผมสามารถออกแบบผังเมืองได้อย่างอิสระ สิ่งปลูกสร้างเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยเกมเพลย์ - ก่อนเริ่มเกมเราสามารถเลือกระดับความยากง่าย, ความเล็กใหญ่ของแผนที่ และลักษณะภูมิประเทศที่เราต้องการจะสร้างเมืองได้ครับ Start เกมปุ๊บ จะมีเควสคอยสอนเราเล่นอยู่ตลอดเวลา และคอยป้อนภารกิจมาให้ว่าเราควรสร้างอะไรยังไง มันเป็นเกมสร้างเมืองที่แทบจะไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรกับมันมากมาย เหมือนเกมสร้างเมืองทั่ว ๆ ไปตามท้องตลาดเลย แต่อาจจะมี Puzzle เบา ๆ ในเกมที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรครับ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ของเมืองสามารถอัพเกรดตัวเองได้ เพียงแค่เราสร้างสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ด้านตามที่เกมรีเควส เช่น สมมติผมอยากจะสร้างวิลล่า ตัวเกมจะมีคำอธิบายว่าการจะสร้างวิลล่านั้นต้องใช้อะไรบ้าง เราต้องไปสร้างบ้านขนาด 2x2 ช่อง ที่ไกลจากตัวเมืองเดิมที่เราสร้างไว้และห้ามมีสิ่งรบกวนอะไรเลยรอบ ๆ ต้องมีสวนสาธารณะ เป็นต้น หลังจากที่เราปฏิบัติตามคำสั่งของเกมจนครบแล้ว เดี๋ยวมันก็จะอัพเกรดบ้านบริเวณนั้นเป็นวิลล่าให้เองครับสิ่งปลูกสร้าง - ตึกรามบ้านช่องของเกมนี้จะเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย และสถานที่ใกล้เคียงของมันในเกมครับ ถ้าเราสร้างท่าเรือ บ้านที่เราสร้างบริเวณนั้นก็จะกลายเป็นหมู่บ้านชาวประมงให้เราอัตโนมัติ แต่เราต้องสร้างในรัศมีของมันครับ ในเกมจะมีบอกให้เราได้ทราบด้วยว่ารัศมีท่าเรือนั้นมีวงโคจรไกลแค่ไหน บ้านต่าง ๆ ถนนหนทางจะอัพเกรดให้เราเองตามยุคสมัยและตามทรัพยากรต่าง ๆ ที่เราหามาได้ครับชาวเมือง - เกมนี้ชาวเมืองของเราค่อนข้างมีความจำเป็นกับเราอยู่มาก ๆ ครับ เพราะเมนูต่าง ๆ จะปลดล็อคได้นั้นค่า Population ต้องถึงตามที่ตัวเกมกำหนดครับ จะสร้างบ้านของชาวนาได้เราก็อาจจะจำเป็นต้องมีประชากร 5XX ตามกำหนดก่อน เมนูถึงจะปลดล็อคมาให้ ซึ่งตรงนี้มันทำให้ตัวเกมเพลย์มีความสนุกมาก ๆ เลยครับสำหรับผู้เขียนทรัพยากร - มีกระจายอยู่รอบ ๆ เมืองเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ หรือ แร่ต่าง ๆ ในส่วนนี้ก็ไม่ยากครับ ตัวเกมจะมีเควสป้อนสอนงานเราอยู่แล้ว ว่าเราต้องสร้างแคมป์ตัดไม้ก่อน พอผ่าน ๆ ไปต้องการใช้ไม้เยอะขึ้นก็จะมีการให้สร้างกระท่อม แล้วก็สร้างบ้านพักของนักตัดไม้ต่อไปตามลำดับ และเราไม่ต้องไปสั่งงานอะไรทั้งนั้น พอเราสร้างแล้วทุกอย่างจะทำให้เราอัตโนมัติอีกเช่นเคย ง่ายแต่สนุกครับระบบต่าง ๆ ในเกมกราฟิก - มีภาพ 3D Polygon แบบเหลี่ยม ๆ เป็นบล็อก ๆ ครับ สีสันสดใสและน่ารัก เราจะรับบทเป็นพระเจ้าที่มองลงมายังเมืองนี้ แล้วสร้างมันออกมาด้วยมือของเราเอง อยากจะเป็นเมืองเศรษฐีน้ำมัน หรือจะเป็นหมู่บ้านชาวประมงนั่นก็ขึ้นอยู่กับเราออกแบบเลยครับ สามารถหมุนดูได้ 360 องศา แถมยังสามารถซูมไปเดินเล่นดูในเมืองได้อีกด้วย ใช้พื้นที่ในเครื่องของเราเพียง 415.95MB และเครื่องไม่ต้องแรงมากก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แบบสุดแสนจะชิลฮะการบังคับ - เหมือนเกมสร้างเมืองทั่ว ๆ ไปเลยครับ W,A,S,D ใช้เลื่อนทิศทาง, Q,E ใช้หมุนมุมกล้อง, ลูกกลิ้งเมาส์ใช้ซูมเข้าออก, ปุ่มคีย์ลัดต่าง ๆ มีเควสสอนการใช้งานในเกมครับUI - ใช้งานง่ายครับ ไม่รกตา ทุกอย่างถูกจัดสรรอยู่เป็นระเบียบ สร้างความสะดวกให้กับผู้เล่นอย่างเรา และสิ่งที่ผมชอบในเกมนี้ก็คือเวลาเราคลุมพื้นที่เพื่อสร้างบ้าน หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างตัวเกมจะมีเลขบอกเราครับ ว่าเราใช้พื้นที่กี่ช่องในขณะที่เราลากเมาส์ เจ๋งฝุด ๆ สรุปเกมย่อยง่ายและเข้าใจง่ายมาก ๆ ครับ เราก็สร้างเมือง ขยายเมืองไปเรื่อย ๆ เกมนี้ไม่มีเนื้อเรื่องนะครับ แต่มันจะป้อนเควสมาให้เรา เราก็ทำตามไป เมืองก็จะเริ่มพัฒนาขึ้นทันสมัยขึ้น เราสามารถวางผังเมืองของเราเองได้ ว่าตรงไหนอยากให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย, ตรงไหนอยากให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรม, ตรงนู้นอยากให้เป็นหย่อมเกษตรกรรม, ตรงโน้นอยากให้เป็นหมู่บ้านชาวประมง, ตรงนี้ฉันอยากให้เป็นแหล่งตัดไม้ อยากจะทำอะไรตรงไหนครีเอทได้เต็มที่เลยครับ เกมเพลย์มีแค่นี้เลย แต่บอกเลยครับว่าสนุกมาก ๆ มันก็เพลิน ๆ แบบการสร้างเมืองที่เราเคยเล่นจากเกมอื่น ๆ มาก่อน อย่างเช่น Simcity หรือ City skylines เพียงแต่ว่าความซับซ้อนในการเล่นเกมมีน้อยกว่าเท่านั้นเองครับ จริง ๆ อยากจะอธิบายเยอะกว่านี้ แต่มันมีแค่นี้จริง ๆ ครับ ฮ่า ๆราคาก็ไม่แพงเลยเปิดตัวมาถูกมาก ๆ สนนราคาอยู่ที่ 279 บาท ดูดเวลาชีวิตอย่างจริงจังขนาดนี้ ราคานี้ถือว่าคุ้มมาก ๆ ครับ ในความรู้สึกผู้เขียนแอบมองว่ามันเป็นเกมสร้างเมือง แบบแอบแฝงมาด้วย Puzzle เล็ก ๆ มันก็เลยทำให้เราเล่นมันได้เพลิน ๆ ครับ ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ลองกดซื้อมาลองเล่นดูก่อนสักนิดสักหน่อยก็ได้ ถ้าค้นพบแล้วว่าไม่ถูกจริตกับเราเลยแม้แต่น้อย ก็ทำเรื่องขอคืนเงินไปเลย แต่อย่าให้เกิน 2 ชั่วโมงนะครับ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะรีฟันด์ไม่ได้ หวังว่าจะมีประโยชน์ในการช่วยเพื่อน ๆ ตัดสินใจนะครับ แต่ผมว่ามันควรมีประดับคลังจริง ๆ เพราะเป็นเกมเล็ก ๆ ที่แอบดีสั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1411740/Urbek_City_Builder/
04 Oct 2022
[Review] รีวิว Psychonauts 2 กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดเกม Platformer กู้โลกไปกับหนุ่มน้อยพลังจิต
ย้อนกลับไปในยุคปี 2000s ต้องยอมรับเลยว่าหนึ่งในแนวเกมที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็คงจะเป็นเกมแนว Platformer ที่มีผู้พัฒนาหลากหลายค่ายต่างสร้างเกมแนวนี้ออกมามากมาย ซึ่งในปี 2005 มันก็ได้มีเกมตัวหนึ่งที่ปล่อยออกมานั่นก็คือเกมอย่าง Psychonauts ที่พัฒนาโดย Double Fine Productions และพอตัวเกมออกมามันก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ โดยหนึ่งในจุดเด่นของเกมนี้ก็คือในด้านเนื้อเรื่องของเกมที่มีการเล่าประเด็นเกี่ยวกับความคิดในจิตใจ ให้เราเข้าไปในจิตใจของตัวละครต่าง ๆ ผจญภัยกับอันตรายต่าง ๆ เพื่อที่จะเปลี่ยนความคิดของคน ๆ นั้น รวมถึงบทสนทนาที่มีตัวตลกขบขันแต่ถึงแม้เกม Psychonauts จะได้รับคำวิจารณ์ที่ดีอย่างไร แต่ตัวเกมก็ประสบปัญหาในด้านยอดขาย อาจจะเป็นเพราะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในตลาดนี้ ทำให้ตัวเกมสามารถขายได้เพียงแค่ 1 แสนชุดในอเมริกาเหนือเท่านั้น ทำให้บริษัทขาดทุนมากกว่า 18 ล้านเหรียญ จนทำให้ซีอีโอของบริษัทต้องประกาศลาออกทันที แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่ทางผู้พัฒนาได้สิทธิในการขายเกมกลับมาเป็นของตัวเอง (หลังจากที่อยู่กับทางบริษัท Majesco มาตั้งแต่ต้น) ทำให้พวกเขานั้นเอาเกมนี้ไปวางขายบนร้านค้าดิจิทัลมากขึ้น และทำให้คนค่อย ๆ รู้จักตัวเกมมากขึ้น จนเวลาผ่านไปถึงปี 2015 ทางผู้พัฒนากล่าวว่าตัวเกมนั้นมียอดขายมากกว่า 1.7 ล้านชุด และทำการประกาศเกมภาค 2 ทันที !! จนในตอนนี้ตัวเกมภาคต่อก็วางจำหน่ายออกมาอย่างเป็นทางการแล้วและเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ชมกันว่าตัวเกม Psychonauts 2 จะยอดเยี่ยมเท่ากับภาคแรกหรือไม่ !?กราฟิก / การนำเสนอในด้านกราฟิกของเกมก็ยังนำเสนองานด้านสภาพสไตล์เดิม กับโมเดลของตัวละครที่อาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ หน้าตาตัวละครอาจจะมีการบิดเบี้ยวตามลายเส้นของเกมนี้ ซึ่งมองเผิน ๆ ต้องยอมรับว่ามันก็ไม่ได้น่าสนใจมากขนาดนั้น แต่ถ้าเรามองในด้านเนื้อเรื่องความตลกที่ตัวเกมนี้ใส่เข้ามา บางทีการใช้งานด้านสภาพสไตล์แบบนี้อาจจะเหมาะสมที่สุดแล้วก็เป็นได้รวมถึงในภาคนี้ตัวเกมจะมีความเป็นกึ่ง Open World ที่ถึงแม้พื้นที่ต่าง ๆ จะแบ่งเป็นฉาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นแต่ละพื้นที่ก็ยังมีความกว้างให้เราได้สำรวจอยู่พอสมควร ซึ่งในเกมนี้หลัก ๆ จะดำเนินเรื่องราวอยู่ในศูนย์บัญชาการ ที่จะแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ มากมาย โดยเควสเนื้อเรื่องก็จะพาให้เรานั้นได้สำรวจพื้นที่เหล่านี้ทั้งหมด นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้สำรวจสถานที่นอกศูนย์บัญชาการของเราด้วย ซึ่งก็จะถูกแบ่งออกเป็นโซน ๆ และพื้นที่ในการสำรวจค่อนข้างกว้างให้เราได้เที่ยวเล่นได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะเสียดายที่โลกของเกมนี้ไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก และไม่ค่อยมีอะไรให้เราปฏิสัมพันธ์นอกจากวิ่งเล่นไปทั่ว ไล่ทำเควสต่าง ๆ แค่นั้นเนื้อเรื่องสำหรับเนื้อเรื่องของ Psychonauts 2 ใครที่เคยเล่นเกมภาคแรกมาแล้วกลิ่นอายของเกมก็จะยังเหมือนกับภาคแรก ตัวเกมจะให้เรานั้นได้รับบทเป็น Razputin Aquato เด็กหนุ่มในโรงละครสัตว์ที่มีพลังพิเศษในการเข้าไปในจิตใจของคนอื่นและทำการเปลี่ยนจิตภายในสมองคน ๆ นั้นได้ โดยในภาคนี้ทางตัวเอกได้เข้ามาสู่หน่วยงาน Psychonauts อย่างเป็นทางการ องค์กรรวบรวมกลุ่มเด็กที่มีพลังจิตเพื่อกอบกู้โลก โดยเนื้อเรื่องหลักจะเกี่ยวกับการที่เรานั้นจะต้องสืบหาความจริงในการฟื้นคืนชีพกลับมาของตัวร้ายอย่าง Maligula และเราก็จะต้องหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงแม้นี่จะเป็นพล็อตหลักของเกม แต่ถึงอย่างนั้นเนื้อเรื่องระหว่างทางจะเป็นการเล่าประเด็นเกี่ยวกับจิตใจอันสบสนของตัวละครต่าง ๆ ที่มีความลับซ่อนอยู่และเรานั้นก็จะต้องเข้าไปแก้ไขมัน โดยภายในจิตใจของแต่ละคนก็จะมีธีมต่าง ๆ ที่น่าสนใจไม่เหมือนกัน และสิ่งที่ทำให้เกมนี้สนุกมากขึ้นก็คงจะเป็นในด้านบทสนทนาที่จะสอดแทรกความตลกเข้าไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ผิดเพี๊ยนของตัวละครตามสไตล์ของเรื่อง และถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้จะต่อเนื่องกันกับภาคแรก แต่เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องกลับไปเล่นเพราะในช่วงต้นเกมก็จะมีการเกริ่นความเป็นมาคร่าว ๆ ให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องในระดับหนึ่ง ว่าความเป็นมาคืออะไรเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ถึงแม้ว่าตัวเกมจะขึ้นชื่อว่าเป็นแนว Platformer แต่ทางผู้พัฒนาก็ใส่ระบบความเป็นเกม Action เข้ามาด้วย โดยตัวละครเราสามารถโจมตีศัตรูสวนกลับไปได้ด้วยหมัดของเรา และหนึ่งในจุดเด่นของเกมนี้ก็คือการใช้พลังจิตของตัวละคร Razputin ที่จะมีความสามารถให้ใช้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพลังในการหยิบสิ่งของที่เราก็สามารถใช้มันปาไปโจมตีศัตรูได้ การใช้พลังไฟเผาศัตรูได้ พลังการโจมตีระยะไกล และพลังอื่น ๆ มากมายกว่า 10 แบบนอกจากนี้พลังต่าง ๆ เรายังสามารถอัพความสามารถให้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งพลังแต่ละชนิดก็จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับ ยิ่งอัพสูงสกิลก็จะยิ่งดีขึ้น รวมถึงในการผจญภัยเราจะต้องใช้พลังเหล่านี้ในการผ่านแต่ละจุดไปเรื่อย ๆ ซึ่งถือว่าสร้างสรรค์เป็นอย่างมากนอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบการ Dash หลบการโจมตีของศัตรู ซึ่งต้องบอกเลยว่าทาง AI ของเกมนี้ถูกสร้างออกมาให้ไม่ได้แย่เลย ตัวศัตรูมีหลากหลายชนิดและการโจมตีก็แตกต่างกันไป รวมถึงพวกมันยังสามารถสร้างดาเมจให้เราค่อนข้างแรงเลยทีเดียว ใครที่คิดว่าเจอศัตรูแล้วจะเดินชนดาเมจไล่ฟันไปเรื่อย ๆ คุณก็อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะจากที่ลองเล่นเราควรจะต้องหลบการโจมตีให้ได้มากที่สุด รวมถึงจะต้องคอยสอดส่องสภาพแวดล้อมในตอนนั้นเพื่อหายามาเพิ่มเลือด รวมถึงใครที่คาดว่าตัวเกมจะเน้น Action ไล่ฟันศัตรูตลอดทั้งเกม ก็อาจจะคิดผิดเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วตัวเกมก็ยังเป็นแนว Platformer ที่จะเน้นการผจญภัยแก้ไขปริศนาต่าง ๆ เป็นหลัก รวมถึงภายในเกมยังให้เรานั้นต้องใช้พลังพิเศษในการแก้ไขปริศนาต่าง ๆ ด้วย ในด้านปริศนาส่วนใหญ่จะเป็นการที่เรานั้นจะต้องใช้พลังวิเศษในการผ่านอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อถึงที่หมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สโลว์โมชันในการหยุดให้ใบพัดที่กำลังหมุนอยู่ช้าลงเพื่อให้เราลอดผ่านไปได้ หรือจะเป็นพลังการสะกดจิตคนอื่นเพื่อให้เราได้มีโอกาสหาไอเท็มลับที่ซ่อนอยู่ตามฉากเป็นต้นในด้านของการดำเนินเรื่องราวตัวเกมจะมีให้เราเล่นทั้งเควสหลัก และเควสรอง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเควสก็จะไม่ได้บอกพิกัดจุด Mark จูงมือเราเดินไปเหมือนเกมอื่น ๆ เพราะการรับเควสเรานั้นจะต้องอ่าน Note ของแต่ละเควสที่จะบอกว่าจุดทำเควสนั้นอยู่ตรงไหน หรือบางทีเควสก็จะพาเราไปยังนอกศูนย์บัญชาการ และก็บอกคร่าว ๆ ว่าเราควรจะต้องไปตรงไหน (อาจจะมีการวาดรูปบอกจุดน่าสังเกตุไว้ให้) แต่ที่เหลือคุณก็จะต้องไปค้นหาเอาเอง ยกตัวอย่างจะมีเควสหนึ่งที่จะให้เราเดินไปที่ป่า โดยการที่เราจะต้องเดินทะลุออกดินแดนเหมืองออกไปก่อนนั่นเอง แน่นอนว่าเราอาจจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการอ่านเนื้อหาด้วยส่วนสุดท้ายที่อยากจะพูดก็คงจะเป็นบอสแต่ละตัวของเกม ที่ทำออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงแต่ละตัวก็จะมีธีมที่แตกต่างกัน บางตัวละครก็จะพาเราเข้าสู่เกมโชว์ทำอาหาร บางตัวละครการโจมตีปกติใช้ไม่ได้ผล เราอาจจะต้องใช้พลังในการสโลว์โมชันเสียก่อนถึงจะสามารถโจมตีได้ หรือบางตัวอาจจะต้องใช้การโจมตีระยะไกลสู้ ซึ่งเราก็อาจจะต้องใช้พลังเคลื่อนย้ายของและปาใส่ หรือใช้พลังโจมตีระยะไกลสู้เอาเป็นต้นสรุปจุดเด่นหลัก ๆ ของ Psychonauts 2 ก็ยังเป็นในด้านเนื้อเรื่องที่ถึงแม่ว่าโครงเนื้อหาหลักจะไม่ได้น่าสนใจมากนัก แต่ความสนุกคือระหว่างทางที่เราจะได้พบเจอกับเหล่าตัวละครที่เราจะต้องเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และเปลี่ยนความคิดประหลาด ๆ เหล่านั้น รวมถึงในเรื่องของบทสนทนาที่มีความตลก (แบบมุขตลกหน้าตาย) ที่มีให้เห็นเยอะมาก หรือครรกะเพี๊ยน ๆ ของ NPC ที่มีให้เห็นและขอย้ำอีกครั้งว่าใครที่คิดว่าอยากจะมาเน้น Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ตัวเกมนี้ก็อาจจะไม่ได้นำเสนอจุดนี้มากเท่ากับความเป็นเกมแนว Platformer ที่ส่วนใหญ่กว่า 60% เราก็จะต้องกระโดดข้ามแพลตฟอร์มตรงนู้นตรงนี้เพื่อไปแก้ปริศนา แต่ก็ต้องยอมรับว่าในทุกส่วนของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้ และปริศนาทางผู้พัฒนาค่อนข้างละเอียดละมัยพอสมควรส่วนตัวยอมรับว่าไม่ได้เป็นคนที่สันทัดเกมแนวนี้มากนัก อาจจะเป็นเพราะความจำเจที่เราจะต้องเล่นอะไรแบบเดิม ๆ ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่เกมนี้ต่างออกไปเพราะระบบพลังพิเศษที่มีให้เลือกมากกว่า 8 แบบ ทำให้เราผจญภัยของเราไม่เบื่อเลย เพราะในแต่ละด่านตัวเกมค่อนข้างดีไซน์การผจญภัยที่จะให้เราต้องใช้พลังหลากหลายในการผ่านด้วยส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็อาจจะเป็นงานด้านภาพที่ผู้เขียนมองว่ามันค่อนข้างเก่าพอสมควร งานด้านภาพก็ไม่ได้สวยไปกว่าภาคก่อนมากนัก รวมถึงการที่ตัวเกมมีระบบมากมายที่เยอะมาก ทำให้การเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกมค่อนข้างใช้เวลาในระดับหนึ่ง 
03 Oct 2022
[Review] รีวิวเกม Deadwater Saloon บริหารธุรกิจบันเทิงแบบคาวบอย ในดินแดนไกลปืนเที่ยง
Deadwater Saloon เราจะมารับหน้าที่เป็นคนบริหาร Saloon ให้แขกได้เข้ามานอนค้างอ้างแรม สังสรรค์ เมามายกับเหล้ายาปลาปิ้ง และเล่นการพนันอยู่ในโรงแรมยุคคาวบอย แค่คอนเซปต์เกมที่จะเอามารีวิววันนี้ค่อนข้าง 18+ มาก ๆ ครับ (มีแต่อบายมุขทั้งนั้นเลย) และมันก็ค่อนข้างน่าสนใจอยู่เหมือนกันเพราะเหมือนเล่น The sims ในโลกของอเมริกันตะวันตก เพิ่งลงวางขายใน Steam ไปเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2022 ผู้เขียนเลยหยิบยกเกมนี้ขึ้นมาเล่นเพราะความน่าสนใจของมันนี่แหละครับ งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเกมเพลย์มันจะสนุกเหมือนภาพตัวอย่างที่ดึงดูดผู้เล่นอย่างเราได้ขนาดไหน ตามมาอ่านรีวิวกันได้เลยครับ Let's go!กว่าจะเข้าใจว่าเล่นยังไง พาให้เราได้งมอยู่พักใหญ่ ว่าสร้าง Saloon ยังไงฮะ!!!เริ่มเกม - กด Start ปุ๊บ ทุกอย่างดูดีมาก ๆ ครับ มีตัวละครให้เลือกมากมายหลากหลายคาแรกเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย ใส่สถานะให้ตัวละครได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการเล่นการพนัน, เป็นพ่อหนุ่มกล้ามโต, ทักษะการชักจูง, ความสามารถในการทำอาหาร, ความสามารถในการทำยา, การหย่องเบา, หรือแม้แต่ค่าความยั่วยวน (เดี๋ยวนะยั่วยวนอะไรก่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆ) เป็นต้น นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนะครับ ของจริงนี่มีให้เลือกอัพเป็น 10 และเริ่มเกมจะมีแต้ม Attribute Point (แต้มคุณลักษณะ) มาให้เรา 40 แต้ม เพื่อให้เรานำไปอัพค่าทักษะที่เราชอบเพิ่มได้ครับ เกมเพลย์ - เข้าเกมมาจะมี Toturial สอนเราแบบลวก ๆ แบบว่า "เฮ้ยฉันอ่านแล้วนะ" พอมาเล่นจริง ๆ บางอย่างต้องงมอยู่ดีครับ ฮ่า ๆ คือผู้เขียนเนี่ยหาวิธีการสร้าง Saloon อยู่นานมากครับเพราะปุ่มต่าง ๆ สร้างความงงให้กับคนเล่นอย่างเรามาก ๆ ยิ่งระบบสร้างชั้นบนชั้นล่าง ปูพื้น สร้างกำแพง แถมมาด้วยการที่ไม่มีเควสบอกอะไรเราเลยว่าเราควรทำอะไร ในช่วงแรกที่เล่นผมมึนตึบจนเกือบจะถอดใจกับมันไปเหมือนกัน แต่เล่น ๆ ไปก็จะมีก๊วนแก๊งโจรต่าง ๆ วนเวียน เข้ามาในร้านของเรา อาจจะต้องทำเควสเล็ก ๆ น้อย ๆ และต้องตอบคำถามอยู่บ้าง จะมีเป็นช้อยส์คำตอบให้เราเลือกครับเล่นไปเรื่อย ๆ เกมนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็สร้างนั่นนู่นนี่ไปเรื่อย ๆ แบบ The sims เพียงแต่ธีมของเกมจะเป็นยุคอเมริกันตะวันตก ที่คาวบอยเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เราก็แค่เป็นคนจัดการเอาเฟอร์นิเจอร์ตรงนั้นไปวางตรงนี้ สร้างชั้นบนชั้นล่าง มานั่งคิดว่าจะเอาบาร์ไว้ตรงไหนดีน้า? หรือจะเอาโรงแรมไปไว้ข้างบน? คาสิโนอยู่ชั้นไหนล่างดีไหม? แรก ๆ เริ่มสร้างในหัวผู้เขียนก็จะคิดวน ๆ อยู่ประมาณนี้ครับ และที่สำคัญเราต้องสร้างห้องครัวด้วยครับ เพราะเราต้องขายอาหารด้วย ความหรูหราหมาเห่าก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบอุปกรณ์ที่เรานำมาสร้าง Saloon ของเราครับ พอสร้างทุกอย่างจนพอใจแล้วก็กด Play เพื่อเปิด Saloon และให้ธุรกิจของเราดำเนินไป พอได้เงินมาแล้วเราก็อาจจะเอาไปขยายห้องใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ หรืออัพเกรดให้ Saloon ของเรามีระดับมากขึ้นแบบนี้ก็ได้อีกเช่นกันครับ ตัวเกมจะมีค่าเรตติ้งบอกให้เราทราบว่า Saloon ของเราได้รับความนิยมในด้านไหนบ้างการขายอาหารและการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - ช่วงแรก ๆ นั้นเรายังไม่สามารถทำเองได้ครับ ต้องทำการวิจัยและเล่นเกมไปในระดับหนึ่งก่อน ระบบถึงจะปลดล็อคมาให้เราสามารถจ้างคนมาช่วยงานในส่วนนี้ได้ เช่น พ่อควรทำอาหาร หรือเด็กเสิร์ฟ ช่วงแรก ๆ เราต้องดีลงานจากร้านค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ให้เขานำสินค้าประเภทแอลกอฮอล์และอาหารมาส่งให้เราครับ เราสามารถติ๊กเลือกได้ว่าถ้าของเหลือน้อยจะให้ Ai นำสินค้ามารีสต๊อกให้เราอย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าสินค้าในคลังของเราจะหมดและไม่พอขายครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีโมเดลตัวละครหรือฉากต่าง ๆ เป็น 3D ครับ เป็นมุมมองจากด้านบนลงมา ส่วมบทบาทเป็นคาวบอยนักธุรกิจบริหารจัดการ Saloon สมัยยุคอเมริกันตะวันตก สามารถหมุนดูได้ทั้ง 360 องศา เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ ใช้พื้นที่ในเครื่อง 3.53GB เท่านั้นเอง เกมเล็ก ๆ เล่นเพลิน ๆ ครับระบบการควบคุม - เกมนี้ก็เหมือนเกม Simulation อื่น ๆ ทั่วไปครับ W,A,S,D เลื่อนมุมกล้องซ้าย, ขวา, บน, ล่าง / Q,E หมุนมุมกล้อง / ลูกกลิ้งเมาส์ใช้เพื่อซูมเข้าซูมออก / นอกนั้นก็ใช้เมาส์จิ้ม ๆ ได้เลยUI - บอกเลยว่าสร้างความสับสนให้ผู้เขียนได้อยู่ไม่น้อยเลยครับ ถึงแม้จะมี Toturial บอกในช่วงต้นเกมว่าในส่วนไหนทำอะไรได้บ้าง แต่การออกแบบการใช้งานหน้าต่างเมนูต่าง ๆ ก็ต้องมาอาศัยความเข้าใจในเกมด้วยตัวเองอยู่ดี และเวลาสร้างถ้าเราวางเฟอร์นิเจอร์ไปแล้ว หน้าต่างการใช้งานก็จะปิดไปเลย ต้องเปิดใหม่ทุกครั้ง ซึ่งเป็นอะไรที่สร้างความรำคาญในการเล่นเกมมาก ๆ ครับ ระบบชั้นของสิ่งก่อสร้างก็งงมากกว่าจะปูพื้นได้ ก็ต้องกดอะไรเยอะแยะงงไปหมด แม้แต่ระบบผนังเวลาเราอยากติดพวกของตกแต่ง จะต้องเปิดกำแพงขึ้นมาถึงจะติดของตกแต่งได้ แต่...ถ้าเรากดของมาเพื่อจะติดมันเข้ากับกำแพงแล้ว แต่กำแพงยังล่องหนอยู่เราติดของที่กำแพงไม่ได้ไม่พอ เราไม่สามารถกดเปิดกำแพงตอนที่เรา Interact กับสิ่งของนั้นอยู่ครับ เราต้องกดคลิกขวาเพื่อ Cancle ไปก่อนเพื่อไปเปิดกำแพงขึ้นมา แล้วก็ไปกดเลือกของตกแต่งชิ้นนั้นใหม่ถึงจะสามารถติดตั้งได้ ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้เล่นอย่างเราอยู่พอสมควรเลยครับ ในส่วนของของตกแต่งกับการสร้างโครงสร้างต่าง ๆ อย่างการสร้างกำแพง การปูพื้น ห้องครัว หรือห้องพักก็ไม่แยกเมนูด้านนอกเอาไว้อย่างชัดเจน เวลาเข้าไปในหน้าต่างไอเทมก็ค่อนข้างสร้างความสับสนให้คนเล่นอย่างเราในช่วงแรกครับสรุปมันก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่สร้างความเพลิดเพลินและความตื่นเต้นให้ผมแค่ในช่วงแรกเท่านั้นครับ อยากจะสร้างให้สวย ๆ ของตกแต่งในเกมก็ค่อนข้างมีน้อย และมีจำกัด มันก็จะสนุกอยู่ตรงที่ได้ตอบคำถามแบบไม่คาดคิดจาก Bandits (โจร) ต่าง ๆ ในเกมที่โผล่มาตามเนื้อเรื่องบ้าง แต่เกมค่อนข้างตันไวอยู่พอสมควรครับ พอสร้างโรงแรมจนมาถึงระดับหนึ่งแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำแล้วครับ ก็แค่ขายของบริหาร Saloon เพื่อรับรายรับอย่างเดียว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำละพวก User interface ของเกมการใช้งานบางอย่างก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร มันเลยทำให้การเล่นเกมมีความน่าเบื่ออยู่ครับ ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้พยายามเรียนรู้กับมันนะครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการเล่น ยังสร้างไม่เสร็จเลยพอติดตั้งปุ๊บ หน้าต่างหน้าไอเทมก็ปิดไปต้องเปิดใหม่วนไปอยู่อย่างนั้น มันเลยทำให้การเล่นเกมค่อนข้างสะดุดและไม่ลื่นไหลครับ ผมเนี่ยรำคาญจนออกจากเกมแล้วต้องไปพักสักชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่เพื่อลดความหัวร้อนในการเล่นลงบ้าง ฮ่า ๆ ถ้าถามผมว่าควรซื้อไหมผมมองว่ามันก็แล้วแต่คนชอบด้วยนะครับ ถ้าหาเกมเล่นฆ่าเวลาแก้เซ็งเกมนี้ก็สามารถช่วยเราได้แป๊บ ๆ เท่านั้น เพราะเอาจริง ๆ เลยนะเล่นไปสัก 4 ชั่วโมงก็รู้สึกว่าเกมมันจบแล้วครับ ราคา 289 บาทสำหรับผมก็มองว่าไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะเราต้องไปปวดประสาทกับระบบ User interface ที่สุดแสนจะน่ารำคาญ เอาเป็นว่าผู้เขียนมองว่าเล่น The Sims ดีกว่าครับ ตอนนี้แจกฟรีแล้ว ถึงแม้จะโดนค่า DLC กันจนล้มละลายก็เถอะ! หรือถ้าใครอยากเล่นจริง ๆ กำเงินไว้ไปซื้อช่วงลดราคาจะดีกว่า เกมมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นครับ แต่แค่มันไม่ค่อยคุ้มกับราคาเต็มสักเท่าไหร่แค่นั้นเองสั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1696080/Deadwater_Saloon/
29 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม The Wandering Village เกมสร้างอาณาจักรบนหลังไคจูอันแปลกใหม่
The Wandering Village เป็นเกมที่น่าสนใจมาก ๆ ตั้งแต่ตอนที่เปิดให้เล่น Demo ผู้เขียนแอบเล็ง ๆ เอาไว้นานแล้ว เป็นเกมสร้างเมืองที่มาในคอนเซปต์สุดประหลาด ที่เราจะต้องมาลงหลักปักฐานอาศัยอยู่บนหลังสัตว์โบราณ แค่เห็นรูปตัวอย่างเกมและได้ลองไปสัมผัสกับเกมเพลย์ในช่วง Demo มานั้นก็ทำให้ผู้เขียนต้องไปกดซื้อมันมาเล่นเมื่อมันลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2022 ในแบบ Early Access ผู้เขียนอยากจะรีวิวและนำเสนอเกมนี้ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านมาก ๆ เพราะมันเป็นเกมที่เล่นได้เพลินและฆ่าเวลาได้ดีทีเดียวเชียวครับ รายละเอียดเป็นยังไงนั้นตามมาอ่านรีวิวกันดีกว่า มา มา มา ตามผมมาเลยเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเนื้อเรื่องแปลกดีมีเสน่ห์ เกมเพลย์ลื่นไหล แต่ก็ไม่ได้ไร้ที่ติเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องนิดหน่อยให้เราได้ทราบถึงความเป็นไปเป็นมา ว่าการขึ้นมาอาศัยอยู่บนหลังของสัตว์โบราณเนี่ย กลุ่มประชากรกลุ่มแรกพวกเขาเข้ามาตั้งรกรากสุดแปลกประหลาดบนนี้ได้ยังไง มันมีที่มาครับทุกคนเนื้อเรื่องว่าด้วยโลกในเกมนั้นเกิดเหตุการณ์เป็นพิษครับ มีพิษแปลกประหลาดเกิดปกคลุมทั่วทุกย่อมหญ้าจนทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก คนที่รอดมาได้ก็ต้องเดินทางหนี หลบเลี่ยง และเสาะแสวงหาที่ตั้งมั่นเพื่ออยู่อาศัยอีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็ได้พบกับสัตว์โบราณที่ชื่อว่า "Onbu" และพวกเขาเชื่อว่าการพบกันระหว่างพวกเขาและสัตว์โบราณนั้นเป็นโชคชะตาครับ และมันก็อาจจะจริงอย่างที่พวกเขาคิดนั่นแหละครับ เพราะ Onbu นั้นทำให้พวกเขารอดจากพิษมาได้เกมเพลย์ - เกมนี้เราสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่ Novice, Adept และ Veteran ความยากง่ายของแต่ละระดับจะเพิ่มภัยพิบัติ และอันตรายต่าง ๆ ให้เราได้พบเจอตามระดับความยากง่ายที่เราเลือกเล่นครับ การเล่นก็ไม่ได้มีอะไรมาก เหมือนเกมสร้างเมืองเกมอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป แต่เรามีพื้นที่ที่จำกัดมาก ๆ เพราะเราต้องสร้างทุกอย่างบนหลังของสัตว์โบราณตัวนี้ครับ ตัวเกมจะเริ่มสอนเราไปทีละอย่าง เริ่มตั้งแต่การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บ้านพักของประชากร และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับ Onbu ครับ ช่วงแรกจะมีเควสให้ทำและอะไรที่ผู้เขียนมองว่าเป็นส่วนที่ต้องติของเกม? ผมมองว่าเกมนี้นั้นแม้จะมีคอนเซปต์ที่ค่อนข้างแปลกและเกมเพลย์แตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในท้องตลาด แต่ด้วยความที่มันเป็น Early Access ก็เลยทำให้ดูว่ามันไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน แค่เอาตัวรอดจากสถานการณ์ในเกมไปวัน ๆ ความหลากหลายของบางอย่างในเกมยังน้อยเกินไปมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการทำอาหาร, การรักษาโรค, ชนิดของพืชที่ใช้ในการปลูก ซึ่งผู้เขียนมองว่ามันยังน้อยไปหน่อยครับResearch - เราสามารถทำการวิจัยสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ หรือพืชพรรณใหม่ ๆ ได้ในส่วนนี้ครับ บางอย่างต้องใช้แต้มในการวิจัย และบางอย่างวิจัยได้เลยโดยไม่ต้องใช้ครับ เราจะสามารถนำวิทยาการใหม่ ๆ ที่เราวิจัยมาใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอำนวยความสะดวก ในการช่วยเหลือประชากรของเรา และ Onbu ได้Scounter - อันนี้คืออีกส่วนหนึ่งของเกมนี้ที่ผมค่อนข้างชอบนะครับ เราสามารถส่งคนของเราลงไปสำรวจพื้นที่ด้านล่างได้ (ต้องมีสิ่งปลูกสร้างสำหรับองค์กร Scounter ก่อน) เมื่อเราส่งไปแล้วเราจะได้วัตถุดิบต่าง ๆ หิน ไม้ ดิน ทราย น้ำ แร่ต่าง ๆ หรือแม้แต่ประชากรเราก็สามารถส่ง Scout ไปเกณฑ์คนตามหมู่บ้านด้านล่างขึ้นมาอยู่กับเราได้ครับ และในส่วนนี้บางทีจะมีตัวเลือกการตัดสินใจขึ้นมาให้เราได้ทำด้วย จะทำให้เราได้ค่าสถานะบางอย่างเพิ่มเติมครับ การใช้งานในส่วนนี้เราต้องกดเปิดแผนที่แล้วสั่งให้ Scout ของเราไปทำงานครับระบบ Onbu - เกมเพลย์ต่าง ๆ เมื่อเราเล่นมาถึงจุดหนึ่ง ตัวเกมจะให้เรามี Interact (ปฏิสัมพันธ์) กับ Onbu มากขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารให้ Onbu ได้ทาน, การรักษาพิษให้กับ Onbu, การทำให้ Onbu เชื่อใจเรา เพื่อที่จะรับฟังคำสั่งในการเลือกทิศทางการเดินเมื่อเจอทางแยกครับ (ถ้า Onbu ไม่เชื่อใจเราเราสั่งอะไรไปพี่เขาจะไม่ทำตาม เขาจะเชื่อการตัดสินใจของตัวเองเท่านั้น) ทั้งหมดนี้เราสามารถสร้างได้เมื่อเราทำการ Research (วิจัย) สิ่งปลูกสร้างในเกมแล้วครับ เนื่องจาก Onbu นั้นมีเกจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นHP - ในส่วนนี้ถ้า Onbu เดินไปเจอกับพิษ, พายุ, หรือภัยพิบัติต่าง ๆ เลือดจะลดลงครับ เราสามารถเพิ่มเลือดให้ Onbu ได้ ซึ่งเราต้องสร้างคลินิกสำหรับรักษา Onbu ครับ หลังจากนั้นเราจะสามารถสั่งให้หมอส่งยาให้ Onbu กินได้เพื่อเพิ่มเลือดครับอัตราการติดพิษ - โลกในเกมที่เราเล่นมีพิษใช่ไหมครับ และสัตว์โบราณของเราสามารถติดพิษได้เช่นกัน ค่าพิษจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา แต่จะเพิ่มได้มากสุดเมื่อเราเดิมผ่านหมอกพิษ หรือเห็ดพิษครับ วิธีการลดพิษเราสามารถสั่งให้หมอส่งยามาให้ Onbu กินเพื่อรักษาพิษให้ Onbu ได้ครับ และเมื่อ Onbu เดินผ่านหมอกหรือบริเวณที่มีเห็ดพิษ จะทำให้พืชพรรณต่าง ๆ ของเราติดพิษไปด้วย (พอติดพิษแล้วสามารถลุกลามได้) เราต้องสร้างองค์กรสำหรับกำจัดพิษ ซึ่งจะมีคนงานคอยเดินทำลายพิษบนหลัง Onbu ให้เราแบบอัตโนมัติเลยครับ สะดวกสบายจริง ๆอัตราความหิว - Onbu นั้นเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ พี่เขาจะเริ่มหิวครับ เราจะต้องสร้างครัวสำหรับทำอาหารให้ Onbu ขึ้นมา และสร้างเครื่องส่งอาหารด้วย เพื่อส่งอาหารให้พี่ Onbu รับประทานครับ เมื่อกินเรียบร้อยแล้วค่าความหิวของ Onbu ก็จะลดลงครับอัตราความเหนื่อยล้า - ถ้าขึ้นจนเต็มแล้ว Onbu จะนอนครับ สามารถปล่อยให้นอนด้วยตัวพี่เขาเองได้ แต่ต้องระวังหน่อย ถ้าเราไม่สั่งให้นอนบางที Onbu จะไปนอนทับบริเวณที่มีพิษ หรือบริเวณที่มีภัยธรรมชาติ ซึ่งมันจะทำให้เลือด Onbu ลดรัว ๆ, สิ่งปลูกสร้างพัง, หรือแม้แต่พืชพรรณต่าง ๆ ติดพิษจนตามแก้กันไม่หวาดไม่ไหว อันนี้ต้องระวังนะครับ เมื่อนอนจนเต็มอิ่มแล้ว Onbu จะลุกเดินทางต่อด้วยตัวเอง เราไม่ต้องปลุกพี่เขาก็ได้ครับสิ่งปฏิกูล - เนื่องจาก Onbu เป็นสัตว์ใช่ไหมครับ เรียกกันบ้าน ๆ เลยว่า Onbu ของเรานั้นขี้ได้ครับ ฮ่า ๆ ซึ่งเราต้องมีสิ่งปลูกสร้างที่เราจะเอาไว้เก็บอึของ Onbu ครับ เพื่อนำมาทำเป็นปุ๋ยคอก ให้เราเอาไว้ใช้งานกับฟาร์มต่าง ๆ ของเราครับระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เป็นเกมแนว Sandbox ก่อสร้างเมือง จำลองสถานการณ์ มีมุมมองจากด้านบนลงมา มีภาพการ์ตูนน่ารักมากครับ หมุนไม่ได้ 360 องศา และมีพื้นที่ในการเล่นค่อนข้างจำกัดครับ ไฟล์เกมเล็ก ๆ ใช้พื้นที่ในการติดตั้งเพียง 831.06MB เครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับระบบควบคุม - ใช้ปุ่มพื้นฐานต่าง ๆ เหมือนเกมสร้างเมืองอื่น ๆ ทั่วไปครับ ไม่ว่าจะเป็น W,A,S,D ไว้ใช้เลื่อนมุมกล้อง, ลูกกลิ้งเมาส์เอาไว้ซูมเข้าออก, ส่วนปุ่มการใช้งานต่าง ๆ ในตัวเกมมี Toturial สอนเราใช้งานตั้งแต่เริ่มเกมเลยครับUI - ใช้งานง่ายครับ สามารถกดสร้าง ทำลายสิ่งปลูกสร้าง ระบบสั่งการต่าง ๆ หรือแม้แต่ระบบของ Onbu ก็ใช้งานง่าย ไม่สร้างความสับสนให้คนเล่นอย่างเราแต่อย่างใดครับ มีข้อความคอยเตือนเราทางมุมซ้ายล่างก็สะดวกดีจะได้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เราควรทำอะไร อะไรขาด อะไรเหลือ มันก็แจ้งเตือนหมดครับ ถือว่า Dev ออกแบบมาได้ดีทีเดียวในส่วนนี้สรุปเป็นเกมที่มีคอนเซปต์เกมแปลกใหม่ดีครับ เล่นได้แบบโคตรจะเพลินมาก ๆ มีภาพที่น่ารัก และผมมองว่ามันค่อนข้างเป็นเกมที่เขาถึงได้ทุกเพศทุกวัย การที่เราต้องหนีขึ้นไปอยู่บนหลังตัวอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็สร้างเมืองไปเรื่อย ๆ พื้นที่ที่จำกัดก็ต้องคอยคำนวนการสร้าง หรือการนำทรัพยากรมาใช้ให้ดีดีด้วย ไม่งั้นทรัพยากรหมดต้องรอกันยาว ๆ เลยครับกว่าจะมีงอกออกมาใหม่ ฮ่า ๆ การวิจัยต่าง ๆ ก็ต้องเลือกดูให้ดีดีเพราะบางอย่างใช้แต้ม บางอย่างไม่ต้องใช้ถ้าเลือกผิดก็อาจจะทำให้เราเสียเวลาอยู่เหมือนกันครับ แต่ถามว่าคุ้มค่ากับราคา 287.10 บาท ที่ลดอยู่ 10% ใน Steam ตอนนี้ไหมก็ขอบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก ๆ ครับแต่...ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่ามานั้นมันจะสนุกอยู่ประมาณ 3-6 ชั่วโมงแรก ๆ เท่านั้นแหละครับ เกมเขาสนุกนะครับ แต่ดูไร้จุดมุ่งหมายเล่นไปเรื่อย ๆ พอนาน ๆ เข้ามันก็เริ่มรู้สึกจำเจ ผมมองว่ามันไม่เหมาะกับการเล่นระยะยาวสักเท่าไหร่ ระบบต่าง ๆ ยังดูน้อยไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นระบบทำอาหาร ระบบทำฟาร์ม การหาแร่ต่าง ๆ อาจจะเพราะมันยังอยู่ในช่วง Early Access ในอนาคต Dev อาจจะค่อย ๆ เพิ่มระบบต่าง ๆ เข้ามาก็เป็นได้ครับ ถ้าไม่ทำอะไรมันก็คงเป็นแค่เกมที่คนส่วนใหญ่เล่นตาม Streamer คนดังอย่าง ตาเอก Heartrocker เท่านั้นเลยครับ เกมคอนเซปต์ดีแต่เล่นไปเรื่อย ๆ แล้วไม่มีอะไรน่าค้นหาเลยเพราะตันไวมาก แก๊งร้อนใน+แก๊งนกอ้วนก็จะมาเล่นแป๊บ ๆ แล้วก็เลิกเล่นไปครับ ผมก็ขอให้ Dev มองเห็นในส่วนนี้แล้วพัฒนาเกมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าในอนาคตมันมีอะไรที่ดีกว่านี้ผมสัญญาเลยว่าผมคนหนึ่งแหละที่จะกลับมาเล่นมันใหม่ แต่ตอนนี้ผมขอตัวลาไปก่อน เพราะว่าผมอิ่มกับมันมาก ๆ แล้วครับสั่งซื้อ https://store.steampowered.com/app/1121640/The_Wandering_Village/
27 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม The DioField Chronicle เกม JRPG แนววางแผนที่เหมือนจะดูดี...แต่กลับไม่มีอะไรเลย
ปี 2022 ถือเป็นปีที่ไม่ดีนักสำหรับค่ายพัฒนาเกมรุ่นใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง Square Enix จากเสียงตอบรับที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับเกมหลาย ๆ เกมของค่ายที่วางจำหน่ายไปในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกม Babylon's Fall, Chocobo GP, หรือ Outriders ที่ล้วนทำยอดผู้เล่นได้น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ไปจนถึงเกมอย่าง Strangers of Paradise: Final Fantasy Origins หรือ Triangle Strategy ที่แม้จะได้รับคะแนนรีวิวค่อนข้างดีจากนักวิจารณ์ แต่ก็ไม่เป็นที่จดจำนักสำหรับผู้เล่น ในขณะที่เกมเรือธงใหญ่ ๆ อย่าง Final Fantasy XVI, Forspoken, หรือ Final Fantasy VII: Rebirth ต่างก็ถูกเลื่อนออกไปวางจำหน่ายในปี 2023 เป็นต้นไปทั้งสิ้นสำหรับเกมล่าสุดที่ค่ายวางจำหน่ายออกมาในปีนี้ ก็คือเกม The DioField Chronicle เกม JRPG สไตล์วางแผนการรบซีรีส์ใหม่ ที่ให้ผู้เล่นควบคุมตัวละครในมุมมองเหนือหัวคล้ายเกมวางแผนแบบเทิร์นเบส (Turn-based Strategy) แต่เปลี่ยนมาเป็นการควบคุมแบบ Real-time ตามเวลาจริงแทน โดยหลังจากที่ใช้เวลาไปกับเกมมากกว่า 30 ชั่วโมง สามารถสรุปได้ว่า The DioField Chronicle ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าผิดหวังอย่างมากจาก Square Enix ในปีนี้ น่าผิดหวังในระดับที่สงสัยว่า "หรือว่าเขาตั้งใจจะให้มันออกมาแย่ขนาดนี้?!"(รีวิวเกมบน PC/Steam)30 ชั่วโมงที่เหมือนถูกหลอกเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ตลอดระยะเวลาราว ๆ 20-30 ชั่วโมงของการเล่นเนื้อเรื่องในเกม The DioField Chronicle จะติดตามเรื่องราวของกลุ่มทหารรับจ้าง The Blue Foxes และเหล่าตัวละครหลักทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่ม ประกอบไปด้วยมือสังหารหนุ่ม Andrias Rhondarson / อัศวินหัวโบราณ Fredret Lester / จอมเวทย์สาวจากตระกูลขุนนาง Waltaquin Redditch / และอดีตขุนนางผู้ทิ้งลาภยศเพื่อต่อสู้แทนผู้ยากไร้ Iscarion Colchester ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน Schoevian Empire และ Rowetale Alliance ที่คืบคลานเข้าสู่อาณาจักร Alletain ของพวกเขาปัญหาใหญ่ประการแรกของเกมก็คือวิธีการเล่าเรื่อง ซึ่งทำผ่านหน้าต่างสนทนาสไตล์ Visual Novel เป็นหลัก และมีฉากคัตซีนที่ใช้โมเดล 3D ขั้นบ้างนาน ๆ ทีตลอดเนื้อเรื่อง โดย The DioField Chronicle มักเลือกที่จะเล่าเรื่องราวใน "ภาพกว้าง" ของอาณาจักร Alletain เกี่ยวกับการหักเหลี่ยมชิงอำนาจกันเองของขุนนางต่าง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหล่าตัวละครหลักโดยตรง แทนที่จะใช้เวลาไปกับตัวละครเหล่านี้มากกว่า ส่งผลให้ตัวละครต่าง ๆ ขาด "ความเป็นมนุษย์" หรือเสน่ห์ใด ๆ ที่ชวนติดตามไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ส่งผลให้เหตุการณ์ทั้งหมดในเกมไม่น่าติดตามไปด้วย เพราะผู้เล่นไม่ได้รู้สึกผูกพันธ์กับชะตากรรมของตัวละครหรือโลกของเกมเลยหากจะให้อธิบายง่าย ๆ ผู้เขียนอาจเปรียบการติดตามเนื้อเรื่องใน The DioField Chronicle เหมือนกับการนั่งฟังอาจารย์บรรยายในคาบเรียนประวัติศาสตร์ก็ได้ คือเราในฐานะผู้ฟัง/ผู้เล่นอาจจะปะติดปะต่อเรื่องราวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้ รู้ว่ามีบุคคลสำคัญคนไหนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้าง พอให้เอาไปสอบได้ แต่กลับไม่ได้ลงลึกไปถึงแรงบันดาลใจหรือตัวตนของตัวละครเบื้องหลังเรื่องราวเหล่านั้นเนื้อเรื่องของ The DioField Chronicle อาจจัดว่าเป็นเนื้อเรื่องแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ใกล้เคียงกับเกมอย่างซีรีส์ Fire Emblem หรือในซีรีส์ทีวีชื่อดังอย่าง Game of Thrones ก็ได้ แต่สิ่งที่ทำให้สื่อบันเทิงเหล่านี้กลายเป็นทีนิยมขึ้นมาจริง ๆ คือตัวตน อุปนิสัย หรือเรื่องราวเบื้องหลังตัวละครแต่ละตัว ทำให้เหตุการณ์ชิงไหวชิงพริบทางการเมืองต่าง ๆ น่าติดตามมากขึ้น เพราะเราสนใจอยากจะรู้ผลกระทบที่จะมาถึงตัวละครที่เรารัก (หรือเกลียด) เมื่อขาดองค์ประกอบนี้ไป จึงทำให้เนื้อเรื่องของ The DioField Chronicle รู้สึกจืดชืด ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกร่วม เช่นเดียวกับการอ่านตำราประวัติศาสตร์อย่างที่กล่าวไปยังไม่นับองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้เข้าไปอีก เช่นการที่เกมใช้รูปเดียวกันสำหรับตัวละครขุนนางแทบทุกตัว (บางตัวไม่ใช่ขุนนางยังใช้รูปประกอบเดียวกัน) หรือชื่อของตัวละครที่อ่าน/จำยากเหมือนตั้งใจแกล้งกัน ซึ่งล่วนทำให้ความพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของเกมน่าปวดหัวมากกว่าเดิมเอาเข้าจริง ต้องยอมรับก่อนว่าเนื้อเรื่องอิงการเมืองของ The DioField Chronicle ยังพอมีวัตถุดิบที่อาจนำไปสู่เนื้อเรื่องเกมที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างชนชั้นศักดินาและสามัญชน หรือการเปลี่ยนผ่านจากระบอบขุนนางไปสู่ประชาธิปไตย แต่เกมกลับเลือกวิธรนำเสนอได้อย่างน่าเบื่อที่สุด จนผู้เขียนเล่นไปก็อดถามตัวเองไปด้วยไม่ได้ว่า "ผู้พัฒนาเขาได้ลองเล่นเกมของตัวเองก่อนวางจำหน่ายไหมหว่า?"เกมเพลย์แนววางแผนสุดตื้นที่เล่นให้เพลินได้ แต่หน่ายเร็วโครงสร้างของ The DioField Chronicle จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือส่วนของการสำรวจฐาน และส่วนของการต่อสู่บนสนามรบนั่นเองในระหว่างภารกิจการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถควบคุมตัวละคร Andrias เพื่อสำรวจฐานทัพของกองกำลัง Blue Foxes ได้ โดยภายในฐานทัพจะเป็นส่วนที่เราจัดการกับระบบ RPG ต่าง ๆ เช่นร้านค้าสำหรับซื้ออาวุธ/เครื่องประดับ/ไอเทม หรือ NPC สำหรับพัฒนาสกิลของตัวละครเป็นต้น นอกจากนี้ เรายังสามารถรับภารกิจเสริมจากตัวละครภายในฐานทัพ รวมถึงกลับไปเล่นภารกิจเนื้อเรื่อง/ภาริกจเสริมที่เล่นไปแล้วได้ตลอดเวลาอีกด้วยเมื่อเข้าสู่การต่อสู่ ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครเข้าร่วมต่อสู้ได้ทั้งหมด  4 คน ซึ่งเราต้องควบคุมทั้ง 4 คนตามเวลาจริง (real-time) เพื่อเคลื่อนที่ไปมาหรือโจมตีศัตรู โดยผู้เล่นสามารถเข้าสู่ Command Mode เพื่อหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะระหว่างออกคำสั่งหรือเลือกใช้สกิลประจำตัวละครได้ นอกจากนี้ ตัวละครทั้ง 4 ยังสามารถพาตัวละครสนับสนุนไปได้อีกคนละ 1 ตัวเพื่อใช้สกิลของพวกเขาระหว่างภารกิจได้ ซึ่งเราสามารถสลับเข้ามาแทนตัวละครหลักได้ด้วยตามสถานการณ์การต่อสู้ของ The DioField Chronicle ยังคงมีรสชาติของความเป็น RPG อยู่ จากการที่เกมเน้นให้ผู้เล่นต้องกดใช้สกิลของตัวละครอยู่เรื่อย ๆ เพื่อสร้างความเสียหาย โดยศัตรูในเกมมักจะมีการโจมตีพิเศษที่ใช้เวลาร่ายนานให้ผู้เล่นต้องขัดจังหวะด้วยสถานะผิดปกติต่าง ๆ จากสกิล เช่นการ Stun (สตัน) หรือ Freeze (แช่แข็ง) หรือเพื่อให้แทงค์ดึงความสนใจศัตรูด้วยการ Provoke เป็นต้น แต่ศัตรูระดับบอสในเกมจะมีเงื่อนไขพิเศษที่ทำให้ไม่โดนสถานะผิดปกติซ้ำกันสองครั้งในระยะเวลาที่กำหนด เป็นการส่งเสริมให้ผู้เล่นใช้สกิลที่สามารถขัดจังหวะการร่ายได้หลากหลายมากขึ้น ในช่วงประมาณ 10 ชั่วโมงแรกของการเล่นเกม ต้องยอมรับว่าผู้เขียนยังค่อนข้างสนุกกับเกมเพลย์ของ The DioField Chronicle อยู่ไม่น้อย โดยเกมเพลย์แบบ RTS ขนาดย่อมของเกมทำให้ต้องใช้เทคนิคการเล่นแบบ MMORPG ที่เอาแทงค์เข้าชนเพื่อดึงความสนใจ ก่อนที่จะนำตัวดาเมจเข้าโจมตีจากด้านหลังศัตรู ส่วนหนักเวทย์และนักธนูก็โจมตีศัตรูจากแนวหลังแทงค์อีกที ซึ่งเกมก็ยังพอมีความท้าทายให้เราต้องใส่ใจตำแหน่งของตัวละครและศัตรูตลอดเวลาจริง ๆ เพื่อไม่ให้โดนตีโอบจากด้านหลัง ในขณะที่ระบบการพัฒนาตัวละคร และระบบสกิลที่ผูกกับอาวุธ ต่างดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครได้อย่างหลากหลาย ตอบโจทย์คอเกม JRPG อย่างผู้เขียนพอดีแต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็พบว่า The DioField Chronicle แทบไม่มีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ มาท้าทายผู้เล่นเลย โดยสิ่งที่เห็นในช่วง 10 ชั่วโมงแรกของเกม ไม่ว่าจะเป็นชนิดของศัตรู สกิลตัวละคร หรือระบบเกมเพลย์ แทบจะไม่ได้เปลี่ยนหรือพัฒนาไปเลยจนจบเนื้อเรื่อง เกมยังคงให้ผู้เล่นต่อสู้กับศัตรูหน้าตาเดิม ๆ ที่มาพร้อมกับความสามารถเดิม ๆ ซึ่งสามารถใช้แผนการเดิม ๆ ที่ใช้มาตลอดตั้งแต่ต้นเกมในการรับมือได้ ในส่วนสกิลอาวุธ อาวุธแต่ละชนิดจะมีสกิลให้ใช้ได้ชนิดละ 4-5 สกิลเท่านั้น ซึ่งจะถูกกำหนดโดยอาวุธที่เราใช้ (เช่นอาวุธดาบ A อาจใช้สกิล 1-2-3 ในขณะที่อาวุธดาบ B ใช้สกิล 1-2-4 เป็นต้น) แต่ด้วยปริมาณอาวุธและสกิลที่มีให้เลือกไม่เยอะ รวมไปถึงระบบการอัปเกรดสกิลที่ใช้เงินในเกมเยอะมาก ทำให้สุดท้ายแล้วผู้เขียนเลือกจะใช้สกิลที่ถนัดอยู่เพียง 1-2 สกิลต่อตัวละครตลอดทั้งเกม เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะสกิลที่ได้มาหลัง ๆ ก็ไม่ได้ดีกว่าสกิลต้นเกม และไม่มีความต้องการจะฟาร์มเงินด้วยการเล่นด่านเก่า ๆ ซ้ำไปมากราฟิก Unreal Engine 4 แบบขอไปทีทางด้านกราฟิก แม้ว่า The DioField Chronicle จะมีกราฟิกที่รายละเอียดคมชัดดี จากการพัฒนาด้วย Unreal Engine 4 แต่การออกแบบตัวละครและฉากในเกมกลับขาดเอกลักษณ์ไปอย่างมาก แม้กระทั่งในโมเดลของเหล่าตัวละครในกลุ่มของผู้เล่น ที่โมเดล 3D ดูมีรายละเอียดและสไตล์การออกแบบด้อยกว่าในภาพวาด 2D อย่างชัดเจน แถมอนิเมชั่นของตัวละครก็มีอยู่เพียงน้อยนิด และแทบไม่สื่อถึงบุคลิกหรืออุปนิสัยของตัวละครแต่ละตัวเลยแม้แต่น้อยเช่นเดียวกับการออกแบบตัวละคร การออกแบบอนิเมชั่นของสกิลในระหว่างต่อสู้ก็ค่อนข้างน่าเบื่อเหมือนกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีสกิลให้ใช้น้อย และสกิลทุกสกิลถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ตลอดเกม จึงทำให้ต้องดูอนิเมชันเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งจนเบื่อก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมจะให้ผู้เล่นต่อสู้กับกองกำลังหลากหลายประเภท ตั้งแต่กองโจร ชาวบ้านธรรมดา ไปจนถึงกองทัพของประเทศเพื่อนบ้านที่ควรมีเทคโนโลยีต่างกับฝั่งผู้เล่น แต่ทั้งหมดกลับใช้โมเดลตัวละครซ้ำกันไปมา โดยแทบไม่มีอะไรที่บ่งชี้เลยว่าเรากำลังสู้อยู่กับฝ่ายไหนกันแน่ ซึ่งการใส่โมเดลตัวละครเพื่อแยกแยะฝ่ายของศัตรูตามเนื้อเรื่อง ดูจะเป็นองค์ประกอบง่าย ๆ ที่ทำให้เกมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นบ้าง การที่ผู้พัฒนาเลือกใช้โมเดลซ้ำกันหมดเช่นนี้สำหรับเกมที่ขายเต็มราคาเกือบ 2,000 บาทจึงรู้สึกมักง่ายอยู่พอสมควรสรุป: รอลดราคาเหลือเท่าเกมอินดี้ค่อยซื้อ!หากจะต้องสรุปความเห็นของผู้เขียนต่อ The DioField Chronicle คำแรก ๆ ที่เข้ามาในหัวคงหนีไม่พ้น "ขี้เกียจ" หรือ "มักง่าย" จากเนื้อเรื่องที่เหมือนแต่งขึ้นมาลวก ๆ ระบบการเล่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนคิดมาเพียงผิวเผินเท่านั้น รวมไปถึงองค์ประกอบด้านการนำเสนอที่ดูไร้จิตวิญญาณ ไร้เอกลักษณ์ ราวกับเป็นผลงานของคนที่เพิ่งหัดใช้ Unreal Engine 4 มากกว่าค่ายผู้พัฒนาเกมระดับยักษ์ใหญ่ที่หลายคนให้การยอมรับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่คุ้มค่ากับราคาเกมระดับ AAA แน่นอนคำอธิบายเดียวที่พอจะนึกออกว่าเหตุใด Square Enix จึงปล่อยเกมออกมาในสภาพนี้ อาจเป็นเพราะค่ายกำลังพยายามประเมินดูว่าเกมแบบใดที่ตลาดจะสนใจ ด้วยการปล่อยเกมทุนสร้างต่ำหลากหลายแนว ตั้งแต่ The DioField Chronicle, Various Daylife, Harvestella, Chocobo GP, Triangle Strategy, etc. และดูว่าเกมไหนได้รับการสนับสนุนบ้าง แต่ที่ค่ายอาจจะลืมไปคือก่อนจะประเมินได้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะทำเกมให้น่าสนับสนุนตั้งแต่แรกอ่าเนอะ...
26 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Metal: Hellsinger กิจกรรมเข้าจังหวะด้วยการยิงถล่มนรกเคล้าเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัล
หากคุณชื่นชอบเกมยิงเข้าจังหวะเพลงร็อคสุดมันอย่าง BPM: Bullet Per Minute ที่เคยออกมาในปี 2020 เกมนี้จะทำให้อะดรีนาลีนคุณสูบฉีดยิ่งกว่า กับเกมยิงเข้าจังหวะเพลงเฮฟวี่เมทัลสุดเดือดตลอดทั้งเกม มันจะสนุกแค่ไหนก็ลองมาดูกันในรีวิว Metal: Hellsingerเรื่องราวของเทพสวรรค์สาวไร้ชื่อที่ตัวเกมเรียกเธอว่า The Unknown ที่ดำดิ่งลงสู่นรกเพื่อชำระแค้นแด่เหล่าปีศาจร้าย แต่เธอกลับถูกนรกขโมย "เสียง" ของเธอไป และเธอต้องการได้มันคืน ผู้ปกครองนรกอย่าง The Judge เกรงว่าเธอจะอันตรายเกินไป จึงกักขังเธอไว้ในดินแดนลึกลับ แต่ปฏิบัติการถล่มนรกเพื่อชิงเสียงของเธอคืนจากนรกจึงเปิดฉากขึ้น คลอไปด้วยดนตรีเฮฟวี่เมทัลสุดเดือด โดยมีเป้าหมาย The Judge ผู้ปกครองนรกใต้พิภพแห่งนี้เรื่องราวอันแสนเรียบง่าย ไร้ซึ่งที่มาที่ไป ไร้ซึ่งเหตุและผลใด ๆ สร้างเนื้อหาขึ้นมา ปูไปสู่การบู๊แบบงง ๆ เล่าต้นเหตุปลายเหตุที่ทำให้เราต้องบู๊ และระหว่างฉากก็จะมีการอธิบายว่า ตัว The Unknown กำลังจะก้าวไปเจอกับอะไร กับเกม Rhythm FPS ที่ชูจุดเด่นเป็นการยิงแหลกผสมจังหวะเพลงหนัก ๆ แบบนี้ คุณก็อาจจะโยนความสนใจในเนื้อเรื่องทิ้งไปตั้งแต่ได้ยินซาวด์แทร็คของเกมในครั้งแรกที่เข้าเกมเลยก็ได้ด้วยเรื่องราวที่เล่าแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เข้าสู่ฉากใหม่ ทำให้ผู้เล่นที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องจริง ๆ ยังต้องแบ่งจิตสมาธิมานั่งลำดับเหตุการณ์ ใครที่เป็นแฟนเกมอยู่แล้ว อาจจะชื่นชอบกับเสียงบรรยายเนื้อเรื่อง เพราะไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Troy Baker นักพากย์เสียงที่โด่งดังมากในวงการวิดีโอเกม แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจหรือไม่รู้จัก Troy Baker ก็อาจจะไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ถือว่าเป็นเกมที่ใส่เนื้อเรื่องพอเข้ามาให้มีเหตุการณ์นำพาไปสู่การบู๊ เรียกได้ว่าทำให้มันสมเหตุสมผลจะดีกว่าอัดแน่นไปด้วยซาวด์แทร็กสุดเดือดโชคดีที่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นแฟนเพลง Heavy Metal มาก่อน ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้ เพราะแต่ละเพลงในเกมนี้จะเป็นเพลงแบบ Original Metal Song หรือเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด ใครที่เป็นแฟนเพลงเฮฟวี่เมทัลรับรองว่าแต่ละเพลงนั้น เด็ดมากพอจะพาให้คุณโยกหัวได้อย่างเมามันตลอดทั้งเกม และได้ศิลปินสายเมทัลมาร่วมทำเพลง ไม่ว่าจะเป็ฯ Matt Heafy, Serj และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่คอนเทนต์ของเกมนั้นเป็นฉากใหญ่ ๆ จำนวน 7 ฉาก ในแต่ละฉาก สิ่งที่พอจะเป็นคอนเทนต์ให้คนที่ชื่นชอบความท้าทายได้สนุกกับตัวเกมบ้างก็คือเรื่องของ Leaderboard หรือกระดานคะแนนของเรา ที่จะถูกนำไปเทียบกับผู้เล่นอื่นทั่วโลกในตอนท้าย นอกนั้นระบบออนไลน์ของเกมก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก ทำให้โดยรวมแล้วเกมนี้ถูกออกแบบมาเป็นเกมเนื้อเรื่องแบบเส้นตรงมากกว่า ใครที่ชื่นชอบเพลงเฮฟวี่เมทัลแบบเดือด ๆ ก็อาจจะได้ฟังเพลงมัน ๆ เป็นของแถม แต่เราขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ก่อนคิดจะเล่นเกมนี้ มันไม่ใช่เกมง่ายสักเท่าไรนัก ด้วยความที่เป็นเกมยิงแบบเข้าจังหวะ แมตัวอย่างและเกมเพลย์จะเหมือนกับการเล่นเกมอย่าง Doom แต่ตอนเล่นจริง คุณอาจจะเผลอโฟกัสจนเกร็ง และเหนื่อยอย่างมากในการเล่นเกมนี้ ไม่แน่ใจว่า มันส์ หรือหัวร้อน !หากใครไม่เคยเล่นเกมแนว Rhythm FPS มาก่อนนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนเลยว่า นี่ไม่ใช่เกมเดินหน้ายิงแหลกเอามันทั่วไป แต่เป็นเกมที่คุณจะต้องคลิกยิงให้เข้ากับจังหวะดนตรีในเกม และไม่ใช่แค่การคลิกยิงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระโดด การแดช การพุ่งตัว การ Finish Move ทุกอย่างล้วนอิงจากจังหวะดนตรีที่อยู่ภายในเกมทั้งสิ้น เราถึงได้บอกคุณแต่แรกว่า หากเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลเลย อาจจะไม่เหมาะกับเกมนี้ก็ได้นอกจากด่านที่ต่างกันจะทำให้ดนตรีและบีท (BPM) ต่างกันแล้ว อาวุธแต่ละชนิดจะมีอนิเมชั่นการใช้งานที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นปืนลูกซอง ที่ยิงแล้วต้องเว้น 1 จังหวะ ถึงยิงใหม่ได้ ส่วนการรีโหลดก็อาจจะต้องใช้ 2 จังหวะ หรือปืนคู่ ที่ยิงได้ต่อเนื่องกว่า แต่ก็ต้องมีความแม่นยำในการกดตามจังหวะที่มากกว่าด้วย อาวุธใหม่ ๆ ในเกมนี้จะปลดล็อคก็ต่อเมื่อเราเล่นไปยังด่านใหม่ ๆ และทุกครั้งที่ได้อาวุธใหม่ เราจึงแนะนำให้ยืนอยู่เฉย ๆ กดตามจังหวะดนตรี เพื่อให้รู้ก่อนว่าอาวุธแต่ละชนิดมีรูปแบบการโจมตีอย่างไร สำหรับจุดประสงค์ในเกมนี้ ก็แล้วแต่ผู้เล่นเลยว่า จะเล่นเอาผ่าน หรือเล่นเอาอันดับ แข่งขันกับคนอื่น ถ้าคุณคิดจะเล่นเอาอันดับแข่งขันกับคนอื่น ก็อาจจะต้องใช้เวลากันมากหน่อย เพราะเชื่อว่าร้อยทั้งร้อย ในการเล่นครั้งแรก หรือแค่ด่านแรกก็งงจนปวดหัว ตาลายกันไปหมด กับการยิงคร่อมจังหวะ แต่ถ้าคุณคิดจะเล่นแค่ให้มันจบเกม ก็ไม่ต้องไปซีเรียสอะไรมากการได้มาซึ่งคะแนนนั้น ก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงกดยิงแบบถูกจังหวะหรือ Perfect ผสมผสานไปกับการสังหารศัตรูได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเลยคือ ห้ามโดนศัตรูโจมตี เราต้องอธิบายให้เข้าใจกันก่อนว่า เกมนี้มีคะแนนตัวคูณอยู๋ 2 อย่าง อย่าง คือ Rhythm Streak ซึ่งจะได้จากการกดยิงให้ถูกจังหวะ ไม่ว่าจะ Bad Good Perfect ได้หมด แต่ที่สำคัญกว่าคือ Hit Streak - เจ้า Hit Streak นี้ จะได้มาก็ต่อเมื่อผู้เล่นยิงกำจัดศัตรูได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่โดนโจมตีเลย ยิ่งทำได้มากเท่าไร ตัวคูณคะแนนก็ยิ่งสูงเท่านั้นซึ่งความยากมันอยู่ตรงนี้ ภายในเกมนี้ผู้เล่นจะต้องเจอทั้งการโจมตีจากศัตรู การรักษาการโจมตีให้ถูกจังหวะ (หรือ Perfect) หลบหลีกศัตรู และต้องระวังตกเหว หรือตกฉากด้วย บอกได้เลยว่า เกมนี้จะงัดเอาทุกสกิลที่จะทำให้คุณต้อง Multitasking หรือทำอะไรหลายอย่างมาใช้ ใครที่ไหวก็ไหว และจะสนุกไปกับเกมมาก แต่ถ้าใครที่สมอง Process อะไรหลาย ๆ อย่างไม่ค่อยทัน รับรองว่าไม่นานก็หัวร้อน หรือเบื่อไปซะก่อน เพราะมันจะไม่สนุกเอาซะเลยข้อเสียอีกอย่างสำหรับผู้เขียนโดยเฉพาะ คือเกมนี้ บางเพลง บาง Track ที่นำมาใช้ในการประกอบเกม และใช้ในการยิงเข้าจังหวะ มันดูไม่ค่อยเข้ากับอาวุธใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ทำให้การเล่น ยากขึ้นโดยไม่จำเป็น ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมบางเพลงถึงออกมาฟังยาก แถมทำให้จับจังหวะตามได้ยากขนาดนี้ ยิ่งเป็นการสู้กับบอสไฟท์ที่บางทีก็ฬส่ความเป็น Bullet Hell สาดกระสุนเข้ามาเต็มจอ ยิ่งทำให้เราต้องใช้พลังงานในการเล่นสูงขึ้นมาก จนบางครั้งยังอาจรู้สึกว่ามันยากกว่าเกมอย่างตระกูล Souls-Like ด้วยซ้ำMetal: Hellsinger เป็นเกม Rhythm FPS ที่ดุเดือด มันส์ และจัดหนักกับเพลงเฮฟวี่เมทัลได้ดีมาก ข้อเสียของมันคือความยาก และเข้าถึงยาก เหมือนกับทำมาเน้นขายเพลงเฮฟวี่เมทัล ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นเพลงเฉพาะกลุ่มอยู่แล้ว แต่ตัวเกมเองก็ยังยากด้วยตัวมันเองอยู่ด้วย คำแนะนำสำหรับคนที่อยากลองจริง ๆ คือให้เลือกเล่นระดับง่ายที่สุดไปเลย เพื่อทำความเข้าใจระบบเกม ทำความเข้าใจกับการจับจังหวะ และสนุกไปกับการเล่นเกมได้ จากนั้นถ้าจะไปแข่งขันกับใครบนตารางคะแนนค่อยว่ากันในการเล่นรอบสอง หรือรอบถุัด ๆ ไปคำเดือน สำหรับคนที่จะเล่นเกมนี้อันนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์จากตัวผู้เขียนเอง ด้วยความที่ไม่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน และพอได้ลองจับดู อย่างที่บอกไปว่าเกมนี้นั้น ใช้ความสามารถในการ Multitasking ทั้งสายตาที่จ้องมองเคอร์เซอร์ หูทื่ฟังดนตรี และประสาทสัมผัสต่าง ๆ ที่ต้องทำงานพร้อม ๆ กัน รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเกร็งตอนเล่นไปไม่ใช่น้อย และทำให้ร่างกายอ่อนล้ามาก ๆ แถมความยาวต่อด่านในการเล่นเกมนี้ก็ไม่ใช่สั้น ๆ กว่าจะจบแต่ละด่านก็ใช้เวลา 15-16 นาทีขึ้นไป การเกร็งร่างกายนานขนาดนั้น อาจส่งผลกระทบในระดับหนึ่งเรื่องของสเปคเครื่องอาจไม่ใช่ปัญหา และการ Optimize ก็ถือว่าทำออกมาดีมาก ๆ ใครที่เครื่องสเปคถึงอยู่แล้ว สามารถรันเกมได้อย่างลื่นไหล ไร้จุดบกพร่อง อาการเฟรมเรทตกก็แทบไม่มีให้เห็น ในด้าน Optimize นั้นถือว่าสอบผ่าน แต่เราก็คงต้องย้ำกันอีกครั้งในเรื่องของการเล่นเกมนี้ พยายามเช็คสภาพร่างกายตัวเองในช่วงเล่น เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบมากกว่าที่คุณคิดไว้Metal: Hellsinger ถือเป็นอีกหนึ่งเกม Rhythm FPS ที่จัดว่าเดือด สนุก แต่ความยากของมันก็มีอยู่ และถ้าคุณไม่ใช่แฟนเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลแล้วล่ะก็ มันอาจจะเป็นเกมที่คุณสามารถมองข้ามไปได้โดยไม่ต้องรู้สึกอะไรมากนักก็ได้ หรือใครที่เป็นสมาชิก Xbox Game Pass สามารถลองเล่นกันได้ฟรี ๆ เช่นกัน
25 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Gundam Evolution เกมกันดั้ม FPS ที่แม้แต่แฟนกันดั้มยังรักไม่ลง?!
เปิดตัวให้รอกันมานานร่วมปี ในที่สุดเกมที่ได้รับฉายาว่าเป็นโคลนนิ่ง Overwatch แต่เอาสกินของเหล่าหุ่นรบกันดั้มมาทับแทน ก็เปิดให้เล่นพร้อมกันอย่างเป็นทางการแล้วทั่วโลก แต่มันจะเป็นแค่เกมโคลน Overwatch จริง ๆ หรือไม่ วันนี้ลองมาดูกับรีวิว Gundam EvolutionNo Story, PvP Multiplayer Onlyใครที่ติดตามข่าวสารของ Gundam Evolution มาตั้งแต่เกมเปิดตัวครั้งแรก จะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เกมขายเนื้อเรื่องใด ๆ แต่เป็นเกมที่ขายโหมด PvP และ Multiplayer Online เท่านั้น ดังนั้นใครที่คิดจะเล่นโหมดเนื้อเรื่องก็มองข้ามไปได้เลย หรือไม่ก็เลือกไปซื้อ SD Gundam Battle Alliance เอาซะยังจะดีกว่าตลอดทั้งเกมนี้จะขายแต่โหมด Multiplayer เท่านั้น เพราะแม้แต่ประวัติของหุ่นกันดั้มตัวต่าง ๆ ก็เป็นการหยิบยืมเอาประวัติมาจากการ์ตูนเท่านั้น เกมนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นเกม Multiplayer แบบล้วน ๆ 100% ซึ่งเดี๋ยวเราจะพาไปดูคอนเทนต์ของตัวเกมกันต่อคอนเทนต์เกมที่ยังน้อยอยู่มากแม้จะเป็นเกมเน้นขายระบบออนไลน์มัลติเพลเยอร์ก็จริง แต่ ณ เวลาที่ผู้เขียน เขียนรีวิวเกมนี้อยู๋ (22 กันยายน วันแรกที่เกมเปิด) คอนเทนต์และโหมดเกมการเล่นก็ยังถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับเกม Free to Play เกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกัน สำหรับคอนเทนต์ของ Gundam Evolution ในตอนนี้ก็ยังถือว่าน้อยมากอยู่ดี เกมการเล่นในตอนนี้ใน Casual Match จะมีทั้งหมด 3 โหมดด้วยกันคือ Point Capture / Domination / Destruction แถมตอนนี้ยังเป็นแบบ 1 แมปต่อ 1 โหมด นั่นคือสุ่มไปเจอโหมดอะไรก็ต้องเล่นแต่แผนที่นั้น ๆ ส่วน Custom Match จะเป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถสร้างและกำหนดรูปแบบเกมขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เหมาะกับเอาไว้เล่นกันขำ ๆ กับทีมเพื่อนฝูง ดโญ Custom Match ก็จะรองรับผู้เล่นทีมละ 6 คนเหมือนเดิม และเลือกโหมดกับแผนที่ที่ใช้เล่นเองได้และมีแผนที่พิเศษให้อีก 1 แผนที่ และโหมดสุดท้าย คือ Ranked Match หรือเกมจัดอันดับที่จะปลดล็อคตอนเลเวล 20 ขึ้นไปในด้านของจำนวนหุ่นกันดั้มตอนนี้ ถ้ารวมหุ่นที่ปลดล็อคด้วยการเติมเงินหรือเก็บเงินซื้อนั้น จะมีทั้งหมด 17 ตัวด้วยกัน แต่หากตัดออกก็จะเหลือ 12 นั่นหมายความว่าช่วงแรกเราก็จะเจอกันดั้มที่หน้าตาซ้ำกันแทบจะทุกเกม ทำให้ทั้งจำนวนหุ่น และฉากนั้น ถือว่าน้อยมาก ๆ ในขณะเดียวกันระบบเติมเงินก็มาถึงช้า (ณ วันที่เขียนบทความนี้ ตัวเกมอัปเดตเข้ามาแล้ว) แถมด้วยระบบ Battle Pass ที่มาย้อมสีหุ่นและอาวุธ ซึ่งบอกได้แค่ว่าหากคุณชอบสีของกันดั้มแบบดั้งเดิมออริจินอลอยู่แล้ว การไม่หาสกินใส่เลยน่าจะเป็นข้อดีซะมากกว่าต้องบอกว่า ณ ตอนนี้ คอนเทนต์ของเกมยังถือว่าน้อยเอาซะมาก ๆ อาจจะต้องรอให้มีการอัปเดตที่มากกว่านี้ ทั้งกันดั้ม ทั้งด่านและโหมดการเล่นด้วย แต่หากมองว่ามันคือเกมเล่นฟรี นี่อาจจะเป็น "เกมฟรี" แบบจริง ๆ ก็ได้ เพราะแม้แต่สกินหรือ Cosmetic ในเกมเอง ก็ยังไร้ความน่าสนใจGameplay Like Overwatch, but Gundam มันคงจะเป็นการโกหกผู้เล่นเป็นแน่แท้ ถ้าเราจะบอกว่าเกมนี้ไม่เหมือน Overwatch เพราะนับตั้งแต่เข้าเกมมา หน้าเลือกตัวละคร เกมเพลย์การเล่น โหมดการเล่น เกือบ 80-90% ยังไงคนเล่นก็ต้องคิดถึง Overwatch กันเป็นแน่แท้ ก่อนอื่นเราต้องอธิบายเรื่องของตัวละครหรือหุ่นกันดั้มกันก่อน ข้อเสียที่ผู้เขียนรู้สึกได้คือ เกมมันไม่ได้บอกชัดเจน ว่ากันดั้มแต่ละตัวมีบทบาทและหน้าที่ในด้านไหน จะบอกเพียงแค่กันดั้มตัวนี้ เน้นโจมตีระยะใกล้ กลาง หรือไกลเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นใหม่ต้องศึกษาให้ดี เพื่อหากันดั้มที่เหมาะกับตัวเองแต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจาก Overwatch เลยก็คือ ความ Casual หรือความเข้าถึงง่ายกว่าแบบคนละเรื่อง จริงอยู่ว่าในทุกโหมดยังต้องอาศัยการร่วมมือกันของสมาชิกในทีมเพื่อเอาชนะศัตรู แต่มันจะไม่มากเท่าเกมอื่น ๆ และกันดั้มแต่ละตัวก็จะเน้นยิงต่อสู้กันมากกว่าเข้าไปฟาดฟันและคลุกวงใน จะมีกันดั้มเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่เน้นเข้าไปสู้ระยะประชิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เกมเพลย์ของ Gundam Evolution เหมือนกับเกม FPS ไล่ยิงกัน แต่มีกันดั้มเป็นฉากหลังมากกว่าและแม้แต่การออกแบบสกิลของกันดั้มแต่ละตัว ใครที่เคยเล่น Overwatch มาก็อาจจะเกิดอาการเดจาวูกับสกิลของตัวละครบางตัวที่มันทำงานคล้ายกันอย่างเหลือเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น Pale Rider ที่เหมือนกับ Soldier 76 แทบจะเป๊ะ ๆ ทั้งอาวุธ สกิล การยิง การวางพื้นที่ฟื้นฟูพลังชีวิต / Sazabi กันดั้มสายแทงค์ที่มีความสามารถพุ่งชาร์จศัตรู ป้องกันเพื่อนที่เหมือนกับ Reinhardt / หรือ Methluss ที่ดูยังไงก็ Mercy ชัด ๆ แค่ไม่มีสกิลพุ่งหาเพื่อนร่วมทีม เรียกได้ว่า เกือบจะทุกสิ่งอย่างของเกมนี้ ยังไงก็คือ Overwatch แต่ความแตกต่างของเกมนี้คือรูปแบบการเล่น อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่เกมที่ต้องการทีมเวิร์คสูงมากถึงขั้นที่ 1 คน พาร่วงได้ทั้งทีม เกมนี้เราจะเน้นไปที่สกิลในการยิงซะมากกว่า และอาวุธปืนของเกมนี้ก็ใช่ว่าจะเหมือนกับเกมยิงเกมอื่น ๆ ด้วยความที่เป็นกันดั้ม ทั้ง Movement และ Animation จึงค่อนข้างจะแตกต่างจากเกมยิงเกมอื่น ๆ พอสมควร และให้ความรู้แข็ง ๆ เพราะตัวละครเราเป็นกันดั้ม ดังนั้นใครที่ไม่ชอบการเล่นแบบแจกจ่ายท่ายาก  หรือต้องฝึกใช้ Movement ต่าง ๆ สบายใจได้เลย เกมนี้จะเน้นหนักไปที่การยิงมากกกว่า และด้วยความแข็งของมัน อาจจะทำให้ผู้เล่นหลายคนไม่ชินกับการยิง และ Gunplay ของเกมนี้ ถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็อาจจะเกลียดไปเลยเช่นกัน เพราะเรื่องการขัดเกลารายละเอียดต่าง ๆ นั้น Overwatch ทำดีกว่าแบบหนังคนละม้วนกันเลยทีเดียวถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียของเกมเพลย์ ซึ่งก็ไม่นับว่าเป็นข้อเสียโดยตรง คือการที่ตัวเกมในตอนนี้นั้น ผู้คนดูจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร ว่าเงื่อนไขการเอาชนะ หรือการเล่นของโหมดนั้น ๆ เป็นยังไง ต้องทำอะไร ทำให้ตอนนี้ ถ้าไม่จับทีมไปด้วยกันก็อาจจะหัวร้อนได้ จากห้อง Public Match ที่จะไล่ยิงกันอย่างเดียวโดยไม่สน Objective แต่สำหรับคนสิ่งที่ทำให้คนเล่นอาจจะชอบเกมนี้มาก ๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องของการได้เล่นเป็นกันดั้มคู่ใจ แม้ว่าตัวกันดั้มบางตัวจะถูกล็อคไว้หลังการเติมเงิน (หรือฟาร์มอย่างหนักหน่วง) แต่ก็ถือว่าน่าประทับใจ และสรรหาการนำสกิลมายัดใส่กันดั้มตัวนั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม แต่ถ้าใครที่ไม่ใ่ชแฟนกันดั้มเลย ผู้เขียนยังคงแนะนำว่า กลับไป Overwatch เหมือนเดิมยังจะดีซะกว่าอีกหนึ่งเกมเบาสเปคถ้าเครื่องคุณไม่ได้ตกยุคจนเกินไปในด้านของ Performance ตัวเกม ต้องบอกว่าใครที่เป็นสายเกมเมอร์ ประกอบคอมพิวเตอร์มาเพื่อเล่นเกมอยู่แล้ว ยังไงก็ผ่านแบบสบาย ๆ ตัวการ์ดจอ 1050Ti ก็สามารถรันเกมนี้ได้ และว่ากันแบบตรง ๆ เลยคือกราฟิกของเกมนี้ก็ไม่ได้สวยงามอะไรมากนัก ดังนั้นหลายคนอาจจะมองว่ามันกินสเปคอยู่บ้าง ส่วนถ้าจะเอาให้ลื่นจริง ๆ ก็เป็น 1660Ti ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ์ดจอมาตรฐานสำหรับการเล่นเกมในยุคนี้แล้ว เรื่องสเปคเครื่องยังไงก็หายห่วงแน่นอนแต่สิ่งที่เป็นปัญหาจริง ๆ คือปัญหาจากตัวเกมในตอนนี้ คือปัญหา White Screen หรือจอขาว ที่ส่งผลให้ผู้เล่นที่เจอปัญหานี้อาจจะถูกโทษแบนชั่วคราว เพราะไม่ได้เข้าร่วมเกม หรือละทิ้งเกมนั้น ๆ ปัญหานี้หนักถึงขั้นที่ว่าผู้เล่นหลายคนลงไปถล่มในหน้ารีวิวของ Steam กันเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ทาง BANDAI Namco ก็รับทราบปัญหาแล้ว และน่าจะได้รับการแก้ไขในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่สำหรับผู้เล่นอย่างเรา ๆ สรุปแล้วสำหรับแฟนเกม นี่อาจไม่ใช่เกมดีที่ไม่ควรพลาด แต่หากมองหาเกมฟรีเล่นฆ่าเวลาก็พอได้ ส่วนแฟนกันดั้ม เชื่อว่าไม่ต้องแนะนำอะไรมาก พวกคุณน่าจะโหลดเกมมาเล่นกันตั้งแต่เกมเปิดกันแล้วด้วยซ้ำไป ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีฐานแฟนของตัวเองชัดเจนดีมาก สำหรับ Gundam Evolution 
22 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม SD Gundam Battle Alliance เกมแอคชันกันดั้มฉบับรวมดาว เพื่อแฟน ๆ กันดั้มอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ SD Gundam Capsule Fighter Online ในบ้านเราและทั่วโลก ประกาศปิดให้บริการไป เราก็หาเกม Gundam แบบ Co-op ที่ได้บรรยากาศคล้ายกันได้น้อยมาก ๆ จนกระทั่งการเปิดตัวของ SD Gundam Battle Alliance เปิดตัว เราก็เห็นความหวังใหม่ แต่มันจะทดแทนได้หรือไม่ หาคำตอบกับรีวิว SD Gundam Battle Alliance ของเรากันเนื้อเรื่องต้องบอกว่าในระยะหลังมานี้ พล็อตและเนื้อหาเกมที่เกี่ยวกับมิติเวลา หรือการข้ามเวลา เป็นอะไรที่นิยมมาก และดูเหมือนว่ามันจะเหมาะสมกับซีรีส์กันดั้มเป็นอย่างมาก เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรวมเนื้อหาของซีรีส์และจักรวาลเข้าไว้ด้วยกันในภาคนี้ เนื้อหาในภาคนี้ผู้เล่นจะรับบทเป็นตัวละครไร้ชื่อที่ถูกเรียกว่า Commander (ผู้บัญชาการ) ที่ต้องเผชิญหน้ากับจักรวาล G (Gundam) ที่ปั่นป่วนยุ่งเหยิง ความผิดปกติเหล่านี้ส่งผลให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบมั่วไปหมด ทำให้เหล่าหุ่นกันดั้มและนักบินมาเจอกัน และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปเราจะมีผู้ช่วยเป็น Juno Astarte และสมาชิกหน่วย GR Corps เข้ามาคอยช่วยเหลือให้เข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ .น G-Universe แห่งนี้ และไทม์ไลน์ของโลกกันดั้มกำลังจะมาชนกันจนเกิดเป็นเหตุการณ์ทับซ้อนที่ชื่อ Break Mission ผู้เล่นจะต้องทำภารกิจ Break Mission เหล่านี้ให้หมด เพื่อรวมเอาไทม์ไลน์กันดั้มจากโลกต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน และจัดระเบียบจักรวาลกันดั้มใหม่ถ้าให้บอกตรง ๆ เลยคือเกมนี้มีความงงของเนื้อเรื่องในระดับที่สูงมาก แม้ว่าตัวเกมจะมีการแปลเป็นภาษาไทยก็ตาม แต่ใครที่ไม่ใช่เนิร์ดกันดั้มก็อาจจะต้องอ่านไป เอียงคอ เกาหัวกันไปตลอดทั้งเกม เพราะลำพังแค่ศัพท์เฉพาะทางการของซีรีส์กันดั้มก็ชวนงงพอแล้ว โชคดีที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และด้วยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอ กระหน่ำใส่ผู้เล่นแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นถุ้าคุณไม่ใช่แฟนกันดั้มก็อาจจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ และสถานการณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่ต้องกลัวจะเล่นไม่ไหว เพราะเกมนี้ได้อธิบายเหตุและผลที่เกิดขึ้นไว้มากพอ จะให้เราลุยต่อไปได้ แต่ถ้าคุณเป็นเนิร์ดกันดั้ม คุณอาจจะเต็มอิ่มกับเกมนี้มาก ๆ โดยเฉพาะบทสนทนา Easter Egg เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องบอกได้ว่าคนแปลไทยเกมนี้ เขาน่าจะรู้ใจแฟน ๆ กันดั้มพอสมควรเลยทีเดียวอัดแน่นคอนเทนต์เพื่อแฟน ๆ กันดั้มสำหรับส่วนของคอนเทนต์เกมนี้ ต้องบอกว่าอาจจะเป็นดาบสองคมก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณเป็นแฟนกันดั้มม คุณจะเต็มอิ่มกับทุกสิ่งอย่างที่เกมนี้มอบให้ เอาแค่โหมดเนื้อเรื่องของเกม ก็มีความยาวกว่า 40 ชั่วโมงขึ้นไปแล้ว แม้ว่าบางส่วนมันจะยาวเพราะคัทซีนและบทสนทนาที่เยอะกันจนแม้จะมีแปลไทยยังขี้เกียจอ่านก็ตาม สำหรับโหมดเกมการเล่นต่าง ๆ ในเกมนี้ หลัก ๆ เลยคือโหมดเนื้อเรื่อง โหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จะแยกหมวดหมู่ไว้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นไดเรคทอรี่ ที่สำคัญคือด้วยเนื้อเรื่องของเกมนี้ที่ทำให้จักรวาลปั่นป่วน เราจะได้เห็นฉากต่าง ๆ ในซีรีส์กันดั้มจากหลากหลายภาค เช่นอาณาจักรล่มสลายของ Gundam W และในการเล่นจบภารกิจ 1 รอบ ก็จะไปสู่ด่านต่อไป แต่เราจะต้องกลับมาเล่นอีกรอบ โดยตัวเกมจะอธิบายว่าเกิดจากการผันผวนของกาลเวลา และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็เหมือนกับการเพิ่มความยากในด่านเดิม และการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนไปนั่นเอง ด้วยการเล่นซ้ำอย่างน้อยก็ด่านละ 2 รอบแบบนี้ คนที่ชอบก็ชอบไปเลย แต่คนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย ลำพังแค่คัทซีนก็ยาวมากพอแล้ว ยังต้องวนเล่นด่านเดิมซ้ำอีกเรื่อย ๆ แถม Intro บางฉากของผู้ช่วยต่อสู้ของเราที่เป็น A.I. ยัง Skip ไม่ได้อีกต่างหากตัวเกมหลัก ๆ จะให้เราไปลุยภารกิจเนื้อเรื่อง เมื่อเล่นจบแล้วก็จะได้ของรางวัลเป็นค่าประสบการณ์ของหุ่นตัวนั้น ๆ ที่เราเลือก รวมไปถึงค่าเงิน C ที่เอาไว้สำหรับอัปเกรดค่าสเตตัสของหุ่นรบที่เราเลือก ดังนั้นเกมเพลย์การเล่นของ SD Gundam Battle Alliance ในโหมดเนื้อเรื่องจะวนเวียนอยู่ที่การตะลุยทำภารกิจ แต่หากเราจะเล่นออนไลน์แบบ Co-op 3 คน ก็จะเป็นการเอาเข้ามาช่วยทำภารกิจแทนผู้ช่วยนักบินนั่นเอง ซึ่งอาจจะทำให้การเล่นง่ายขึ้น เพราะเป็นคนกันเอง ที่ฝีมือควบคุมเหนือกว่า A.I. แน่นอนในด้านปริมาณคอนเทนต์ ต้องบอกว่าเกมนี้เน้นหนักไปที่ภารกิจเนื้อเรื่องเป็นส่วนใหญ่ และตัวเกมพยายามนำเสนอหุ่นกันดั้มจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นปริมาณกันดั้มที่มีให้ก็ถือว่าเยอะมากจนเกินไป ในขณะที่ภารกิจเนื้อเรื่องของเกม แม้จะเยอะมาก แต่ก็น้อยทันทีถ้าเทียบกับหุ่นที่เราหาได้ บวกกับหุ่นบางตัวถือว่าเข้าขั้นไร้ประโยชน์เลยก็ว่าได้ เพราะสเตตัสห่างกับหุ่นระดับสูงมากจนเกินไป จนไม่รู้จะมีหุ่นตัวนี้ไว้ทำไม ผู้เขียนขอบอกว่า ใครที่พรีออร์เดอร์ตัวเกม และได้หุ่นจำพวกสามก๊กมาใช้ ก็เล่นช่วงแรกได้สบายแล้ว แถมใช้ได้ยาว ๆ เลย เว้นแต่จะหันไปเล่นหุ่นที่เราชื่นชอบด้วยเหตุนี้ทำให้การใส่หุ่นเข้ามาในปริมาณมาก กลับไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลย เว้นเสียแต่คนเล่นจะชื่นชอบหุ่นกันดั้ม และอยากสะสมให้ครบ แต่ถ้าคิดจะเล่นเอาผ่าน หรือตะลุยเนื้อเรื่องแล้วล่ะก็ เน้นปั้นหุ่นโหด ๆ สัก 2-3 ตัวให้ครบทุกสายจะเป็นประโยชน์กว่า ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นเพียงการ Grinding ฟาร์มเลเวลหุ่นอย่างหนัก ที่เราอาจจะเบื่อก่อนเล่นจบได้ในขณะที่สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือภาษาไทย ถือว่าตอนนี้ BANDAI Namco ก็บุกตีตลาดประเทศไทยเต็มรูปแบบ คาดเดาได้ว่าเกมต่อจากนี้ของ BANDAI Namco ทั้งที่ผลิตเองและเป็น Publisher นั้น จะได้รับการแปลภาษาไทยทั้งหมด สิ่งที่อยากชมมาก ๆ ของเกมนี้เลยคือ แม้ตัวเกมจะไม่ได้ใช้ฟอนต์พิเศษอะไรนัก แต่ก็ถือว่าเลือกฟอนต์มาได้อ่านง่าย สบายตามาก ๆ และก็เรียบง่าย เข้ากับตัวเกมแบบสุด ๆ ส่วนการแปลนั้น อย่างที่บอกไปว่าผู้แปลน่าจะเป็นแฟนกันดั้มตัวยง แทบจะใช้ศัพท์ภาษากันดั้มได้แบบครบเครื่อง ไม่มีขาดตกบกพร่อง ส่วนคำผิดก็ไม่ค่อยจะมี ถ้าจะหาเกมไหนที่เรากล้าบอกได้ว่าแปลไทยค่อนข้างสมบูรณ์ก็คงต้องเป็นเกมนี้แต่หากให้พูดถึงข้อเสียบ้าง น่าจะหนีไม่พ้นการนำเสนอผ่านบทสนทนาและฉากคัทซีนที่บางครั้งก็เยอะ และยาวจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ตัวเกมสอนเล่น ที่แม้ว่าจะกด Skip แล้วก็ยังถือว่าเยอะมาก ๆ สำหรับเนิร์ดกันดั้ม เราขอย้ำกันอีกทีว่านี่แหละคือเกมของคุณ แต่ถ้าไม่ใช่ ไม่เสียหายอะไรที่คุณจะข้ามเนื้อเรื่องรัว ๆ แล้วไปสนุกกับเกมเพลย์ แต่อาจจะไม่คุ้มเท่าคนเสพเนื้อเรื่องด้วยการและนำเสนอเนื้อเรื่องที่อัดแน่นแบบจัดเต็ม การแปลไทยที่ดีงามจนแทบจะไร้ที่ติ ถ้าคุณเป็นแฟนกันดั้มจริง ๆ ยังไงก็อย่าได้พลาด แต่ถ้าไม่ ก็อาจจะต้องพิจารณากันหน่อย หรือไม่ก็รอลดราคาเอาก็ได้เกมเพลย์ที่ให้อารมณ์ SDGO ที่แสนคิดถึงSD Gundam Battle Alliance เป็นเกมแบบ Action RPG ที่เราจะได้เลือกหุ่นรบกันดั้มตัวต่าง ๆ ที่มีความสามารถต่างกัน และที่ชัดเจนเลยคือเรื่องของอาวุธที่บางตัวจะเน้นระยะประชิด บางตัวเน้นยิง และมีการแบ่งสายกันที่ค่อนข้างชัดเจน ใครที่เคยเล่น SD Gundam Capsule Fighter มาก่อน จะต้องคิดถึงระบบการต่อสู้และการเคลื่อนไหวของเกมนี้แน่ ๆ เพราะมันคล้ายกันมาก จนคิดว่าถอดแบบมากันเลยทีเดียว ทั้งคอมโบ การโจมตีด้านหลังแล้วแรงขึ้น การบูสท์ความเร็วการเคลื่อนที่ คนที่ซื้อมาเพราะคิดว่าอยากเล่นเกมที่ให้บรรยากาศแบบเดียวกับ SDGO ยังไงก็น่าจะชอบได้ไม่ยากถ้าจะให้อธิบายให้ชัดเจนก็อาจจะบอกได้ว่าเกมนี้เป็นเหมือนกับ Dynasty Warrior แต่จำนวนศัตรูนั้นไม่ได้มาเป็นร้อยแบบเกม Musou แต่ก็ถือว่าเยอะพอจะทำให้เราตึงไม้ตึงมือได้ และถึงแม้ว่านี่จะเป็นเกม Action แต่อาวุธระยะประชิดจะมีหน่วงเวลาการโจมตีของมัน ซึ่งถ้าเรากดสแปมรัว ๆ ก็อาจจะโดนสวนจนหน้าหงายเอาได้ง่าย ๆ ส่วนอาวุธระยะไกล จะมีกระสุนจำกัดต่อแม็กกาซีน ยิงต่อเนื่องไม่ได้ ถ้ายิงจนหมดต้องรอรีโหลดซึ่งค่อนข้างนาน และสุดท้ายกับท่าไม้ตายใหญ่ ที่อลังการ และสร้างความเสียหายได้สูงมาก ได้จากการเก็บชาร์จระหว่างโจมตีศัตรูไปเรื่อย ๆ และสำหรับคนที่คิดอยู่ว่าเกมนี้ เล่นบนเมาส์หรือคีย์บอร์ดดีกว่ากัน ก็คงต้องตอบว่า ได้ทั้งคู่ สำหรับผู้เขียนที่ใช้เมาส์และคีย์บอร์ดเล่นนั้น ข้อดีคือช่วงการเล่นแบบ Combat Gameplay นั้นถือว่าสนุกมาก ๆ ควบคุมง่าย และอาจจะง่ายกว่าจอยด้วยซ้ำ เพราะเกมนี้เราสามารถใช้เมาส์คุมมุมกล้องได้เลย มันสะดวกมือกว่าการใช้ก้านอนาล็อกจอยแน่นอน แต่ในหน้าเมนูคำสั่งต่าง ๆ นั้น จอยดูจะได้เปรียบกว่า เพราะบางเมนู การใช้เมาส์ดันทมำงานไม่ค่อยดี ต้องใช้ร่วมกับปุ่ม Q/E A/D แทนลูกศรซ้ายขวาแทนซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงออกแบบมาแบบนี้ด้วยความที่เป็นเกม RPG ทำให้ระบบเลเวลนั้นมีผลมาก ถ้าเราไปบวกกับศัตรูที่เลเวลสูงกว่า ก็อาจจะเสียเปรียบเอาได้ หัวใจสำคัญคือการเลือกหุ่น และผู้ช่วยนักสู้ที่ดี สำหรับผู้ช่วยนั้นจะไม่สามารถเลือกตัวละครซ้ำกันได้ด้วย ซึ่งหากพาใครไปร่วมรบบ่อย ๆ ก็จะได้ประสบการณ์มากขึ้น เพิ่มเลเวลและปลดล็อคความสามารถใหม่ ๆ ได้ในด้านของการ Customization ตัวหุ่นเองก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างเยอะ เราอาจจะปรับเปลี่ยนหุ่นหรือสร้างหุ่นเองไม่ได้ แต่ได้เรื่องของจำนวนหุ่นมาทดแทน และหุ่นแต่ละตัวจะสามารถอัปเลเวลได้โดยใช้เงิน C รวมไปถึงติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ ชิปเสริมก็จะได้จากการเล่นภารกิจทั่วไปนั่นเอง ส่วนตัวผู้เล่นเอง หรือจะเรียกว่า Mobile Suit ก็ได้จะมีสิ่งที่เรียกว่า "ทักษะ" ให้ใช้  ทักษะจะเป็นเหมือนกับสกิล Passive ติดตัว ที่ช่วยทำให้การเล่นง่ายขึนนั่นเองภาพรวมด้านเกมเพลย์ถือว่าทำออกมาได้น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนเกม SDGO แต่สิ่งที่เป็นข้อติอยู๋บ้าง ก็คือระบบการล็อกเป้าที่ทำงานไม่ค่อยจะดีนัก บางทีล็อกตัวนึงอยู่ พอพุ่งไป สลับไปอีกตัวนึงซะอย่างนั้น หรือบางทีเรื่องของมุมกล้องก็มีปัญหาให้เห็นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงการต่อสู้ที่ถูกบีบเข้าที่แคบ หรือเราพุ่งเข้าไปยังมุมใดมุมหนึ่ง มุมกล้องจะแสดงผลแบบติดบั๊ก ทำให้ปวดตาไม่ใช่น้อย โชคดีที่ภายในเกมนี้ การต่อสู้ส่วนใหญ่ไม่ได้ลากเราเข้าที่แคบซักเท่าไรนัก ส่วนที่เหลือก็อาจจะเป็นบั๊กเล็กน้อยและน่าจะได้รับการแก้ไขไปแล้ว หากตัดข้อเสียเล็กน้อยเหล่านี้ไป สิ่งที่จะทำให้คุณควรพิจารณาว่าจะซื้อดีไหม ก็คงเหลือแค่ว่า คุณเป็นแฟนกันดั้มหรือเปล่าเท่านั้นเองSD Gundam Battle Alliance อาจไม่ใช่เกมเทพสุดหวือหวาที่ทำให้วงการต้องว้าว แต่คือเกมที่ทำมาเพื่อแฟนกันดั้มอย่างแท้จริง
21 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Rumbleverse เกม Battle Royale สไตล์มวยปล้ำไม่ซ้ำใคร สะใจแบบไม่ต้องเสียตัง!
ต้องบอกว่าในปีนี้ เกมม้ามืดที่ไม่ได้รับการโปรโมทมากมายอะไร แจ้งเกิดกันหลายเกมมาก และ Rumbleverse เองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ในฐานะเกม Battle Royale + Brawler สุดวายป่วง เล่นง่าย แต่ยากที่จะเอาให้เก่ง แถมกระแสคนเล่นในต่างประเทศตอนนี้ก็ถือว่าเยอะ และน่าจะยังมีการอัปเดตอีกยาวไกลเลยทีเดียว แล้วเกมนี้มันเจ๋งยังไง ลองพบกับรีวิว Rumbleverse ของเรากันได้เนื้อเรื่องไม่มี ซัดกันเอามันเข้าว่าแม้จะเห็นว่ามันดูไม่ค่อยน่าสนใจ กราฟิกและตัวละครก็ดีไซน์ออกมาได้ไม่ดึงดูดเท่าไรนัก แต่ Rumbleverse เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020 และใช้เวลาพัฒนาและขัดเกลากันอยู๋อีกราว ๆ 1 ปีครึ่งกันเลยทีเดียว กว่าที่เราจะได้เล่นกัน โดย Rumbleverse เป็นเกมแบบ Free to Play / Battle Royale ที่เน้นการต่อสู้ตะลุมบอนกันในระยะประชิด และมี Theme ของเกมเป็นแนวมวยปล้ำ ที่ตัวละครของเราจะต้องวิ่งเข้าไปใส่นัวกัน ไม่มีการใช้อาวุธปืนหรือยิงกันจากระยะไกล ทำได้ก็แค่เก็บของบางชิ้นมาขว้างปาใส่กันเท่านั้น และด้วยความที่เป็นเกมที่เน้นระบบออนไลน์มัลติเพลเยอร์เกมนี้จึงไม่มีส่วนของเนื้อเรื่องให้เราได้ติดตามกัน แต่จะโดดเด่นไปที่คอนเทนต์ต่าง ๆ ของตัวเกมที่ทำมารองรับระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบแทน ด้วยความที่ไม่มีเนื้อเรื่องในเกมให้เล่า คอนเทนต์ของเกมจึงเน้นหนักไปทางด้านโหมดออนไลน์ และของเติมเงินและแฟชั่นเสียเป็นส่วนมาก ในเกมนี้เราจึงได้เห็นการขายของเป็นจำนวนมาก ทั้งสกิน แฟชั่นและอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงระบบยอดนิยมจำพวก Battle Pass Battle Royale ใส่นัวของเหล่านักมวยปล้ำหลากสไตล์Rumbleverse นำเสนอตัวเกมแบบมุมมองบุคคลที่ 3 และถูกจับโยนลงไปยังเมืองแห่งหนึ่ง ผู้เล่นต้องเอาชนะผู้เล่นคนอื่นด้วยการ Knock Out ศัตรูให้ตกรอบไปทั้งหมด และอยู๋รอดเป็นคนสุดท้ายตามกติกาแบบเกม Battle Royale ทั่วไป แต่อย่างที่บอกว่านี่คือเกมที่เน้นการต่อสู้ในระยะประชิด แต่แลกมาด้วยการคอมโบด้วยท่วงท่าการโจมตีระยะประชิดอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเตะต่อย การสับศอก รวมไปถึงสามารถป้องกันและบล็อกการป้องกันได้ แต่ก็จะมีการโจมตีบางประเภทที่ไม่สามารถบล็อกหรือป้องกันได้ด้วยแน่นอนว่าเกม Battle Royale สิ่งที่ต้องทำคือการหาของอัปเกรดและสนับสนุนตัวละคร แต่เนื่องจากเกมนี้ไม่มีอาวุธปืนใด ๆ สิ่งที่อยู่ในเกมที่จะช่วยให้ตัวละครเราแข็งแกร่งขึ้นได้ คือนิตยสารการต่อสู้ ที่จะทำให้ตัวละครของเรามีท่าต่อสู้แบบพิเศษได้ และอีกประเภทหนึ่งก็คือน้ำยาเพิ่มพลังในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับเกมนี้จะมีน้ำยาสามสี คือแดง เขียว และเหลือง น้ำยาแต่ละประเภทจะช่วยเพิ่มพลังที่ต่างกันคือ สีแดงเพิ่มพลังโจมตี สีเขียวเพิ่มพลังชีวิตสูงสุด และสีเหลืองเพิ่ม Stamina สูงสุด เห็นคำว่า Stamina แล้ว ก็คงเกิดอาการสงสัยว่ามันมีผลอะไรยังไงกันแน่ ต้องบอกว่าด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ Rumbleverse มีความสนุกและความพลิกแพลงที่หลากหลายและน่าสนใจกว่าเกม Battle Royale Brawler ทั่วไปมาก สำหรับเกมนี้หลอด Stamina ถือว่าเป็นหลอดที่มีความสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นเลย นอกจากจะใช้ในการกลิ้งหลบ พุ่งตัวหลบการโจมตีแล้ว มันยังใช้ในการวิ่ง หรือใช้เป็นท่าโจมตีในบางท่าได้ ซึ่งสกิลโจมตีพิเศษของเกมนี้ นอกจากจะโจมตีพลังชีวิตโดยตรงแล้ว ยังมีสกิลหรือท่าบางท่าที่โจมตีสร้างดาเมจไม่สูง แต่จะไปลด Stamina ของศัตรูมากกว่าแทน ทำให้เรามีกลยุทธ์ในการเล่นมากกว่า เพราะ Stamina นี้ ถือว่าเป็นประโยชน์กับตัวละครมาก ๆ ถ้าหมดขึ้นมา อาจจะตายได้ง่าย ๆ เลยท่าโจมตีต่าง ๆ ของเกมนี้ส่วนมากจะเป็นท่าโจมตีระยะประชิด ไม่ว่าจะเป็นการหมุนตัว การพุ่งเข้าชาร์จ การกระโดดต่อยหรือเตะ ทำให้เกมนี้มุ่งเน้นไปที่จังหวะและความแม่นยำมากกว่าการสแปมปุ่มรัว ๆ และบางท่าอาจจะมีการชาร์จก่อนแล้วค่อยกระโดดเข้าไปโจมตี ต้องคำนวณเวลาให้ดีก่อนเลือกออกท่าใด ๆ และที่สำคัญเลยคือ ต้องรู้ว่าท่านั้น ๆ มีแอนิเมชั่นและการทำงานอย่างไรด้วย ก่อนจะกดใช้ เพราะกดผิดชีวิตอาจเปลี่ยนเลยก็ว่าได้และถึงแม้ว่าเกมนี้จะเน้นการต่อสู้ระยะประชิด และไม่มีอาวุธระยะไกลให้ใช้ แต่ในเกมนี้มีอาวุธระยะประชิดต่าง ๆ ให้ได้ใช้ โดยจะเป็นพวกเสาไฟ แผ่นไม้ ป้ายรถเมล์ โดยส่วนมากจะเป็นอาวุธประเภทใช้ได้ไม่กี่ก็แตกหักไป แต่ดาเมจที่ได้ถือว่าสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว ถ้าเลือกสถานการณ์ใช้ให้ถูกจังหวะก็อาจจะเป็นตัวพลิกเกมได้ และท้ายที่สุดคือเกมนี้รองรับการเล่นแบบ Solo และ Duo เท่านั้น ใครที่เพื่อนเยอะก็อาจจะต้องเซ็งกันหน่อย เพราะเล่นได้ทีละ 2 คนเท่านั้นEasy to Learn, Hard to Masterเล่นง่าย แต่เล่นให้เก่งนั้นยาก ข้อความนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับเกม Rumbleverse นี้ ด้วยความที่เกมนี้เน้นการต่อสู้ระยะประชิด บางครั้งจึงได้อารมณ์เหมือนเกม Fighting อยู่เหมือนกัน ทุกครั้งเวลาเราต่อสู้ จำเป็นจะต้องคิดให้ดี ว่าสู้ไหวไหม เอาตัวรอดได้หรือเปล่าหลังจากชนะ หรือเสียหลักขึ้นมา จะเอาอยู่หรือไม่ ที่สำคัญคือเกมนี้ตัวละครของเราจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้และแอ็๕ชั่นของตัวละครอื่นเสมอ แทบไม่มีสิ่งที่เรียกว่า i-frame เลยในเกมนี้ (i-frame - invincibility frames สถานะอมตะเวลาเรากำลังออกแอ็คชั่นหรือท่วงท่าอะไรบางอย่าง) ดังนั้น ต่อให้เรากำลังจับศัตรูทุ่มทับจับหักอยู่อย่างเมามัน ถ้าเราโดนแจมจากคนอื่น เราก็จะได้รับความเสียหายนั้นไปด้วยแบบเต็ม ๆ ไม่มีหัก ดังนั้นการจะสู้ในเกมนี้ต้องระวังอย่างมาก ทางที่ดี เลี่ยงการต่อสู้แบบตะลุมบอนไปจะดีกว่าและหลังจากที่ได้ลองเล่นมาหลายชั่วโมง เกมนี้เน้นไปที่ "จังหวะ" มากจนมันแทบจะไม่ต่างอะไรจากเกม Fighting เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะท่าจำพวกคว้าจับหรือพุ่งเข้าไปรัด หากใช้ผิดจังหวะขึ้นมา รับรองว่าโดนสวนจนร่วงได้ง่าย ๆ และการต่อสู้แบบ 1vs1 มักจะเกิดขึ้นบ่อยมากในเกมนี้ หากเราไม่เก่งจริง เราอาจจะตายโดยที่ไม่สามารถสร้างดาเมจให้ศัตรูได้เลยแม้แต่หน่วยเดียว ผู้เขียนผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว กว่าจะเล่นเก่งพอจนไปตบคนอื่นได้บ้าง ก็ทำเอาหัวแทบอุ่นอยู่เหมือนกัน แม้ว่านี่จะเป็นเกมที่มีฉากหลังสุดแสนจะคอเมดี้ เน้นตลกโปกฮา แต่ความตึงมือของเกมเพลย์นี่ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่เล่น ๆ โดยเฉพาะกับการที่มันเป็นเกม Competitive แบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ยังไงก็ถือว่าเป็นเกมที่ท้ายฝีมือและเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการแข่งขันมาก ๆ ด้วยรายละเอียดของเกมที่ไม่ได้เยอะมากนัก แถมเล่นง่าย เข้าใจง่าย แต่จะเล่นให้เก่งนั้น ยากเย็นเอาเรื่อง Rumbleverse ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมม้ามืดนอกสายตาที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก และพบเจอคนไทยเล่นได้ยากสักหน่อย แต่ถ้ามีโอกาส บอกเลยว่า ไม่ควรพลาด นี่อาจจะเป็นอีกเกมที่ดึงคุณติดหนึบไว้ที่หน้าจอได้ทั้งวันแบบงง ๆ กันเลยทีเดียวRumbleverse เปิดตัวให้เล่นฟรีแล้ว และลงให้กับ PC, PS4, PS5, Xbox One, Xbos Series X|S
20 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Fashion Police Squad ปราบปรามอาชญากรรมทางแฟชั่น ในสไตล์เกมยิงย้อนยุค
Boomer Shooter หรือจะให้เรียกภาษาบ้าน ๆ ว่าเกมยิงคนแก่ ที่อยู่ดี ๆ ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งแบบงง ๆ ในยุคสมัยนี้ แต่สำหรับ Fashion Police Squad ต้องบอกว่าเป็น Boomer Shooter ที่ค่อนข้างครีเอทมาก ๆ ด้วยการผสมผสานเรื่องราวของแฟชั่น และสไตล์การแต่งตัวมาเป็นเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ แถมมันยังมาพร้อมความท้าทายในระดับที่ยากเกินกว่าจะคาดคิดไว้อีกด้วย นั่นทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกเกมดีที่เราไม่อยากให้พลาดกันในปีนี้ กับ Fashion Police Squadเมื่อโลกแฟชั่นล้ำหน้า การแต่งตัวไม่มีกาลเทศะจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งเรื่องราวของ Fashion Police Squad กล่าวถึงเมืองสมมติที่ชื่อ Trendopolis ที่ไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากไปกว่าการนิยามว่าเมืองนี้คือเมืองแห่งแฟชั่นที่รักการแต่งตัวอย่างมีเอกลัษณ์ และนับว่าการแต่งตัวคือศิลปะอย่างหนึ่ง แต่แล้วเมืองนี้ก็ตกอยู่ภายใต้อาชญากรรมทางแฟชั่น นั่นคือเริ่มมีผู้คนที่แต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะ ตั้งแต่พวกมนุษย์ออฟฟิศใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ พวกวัยรุ่นใส่กางเกงยีนส์หลวมจนโชว์ขอบกางเกงใน สิ่งเหล่านี้สร้างความหวาดผวาให้กับคนทั่วไปเป็นอย่างมาก งานนี้กองตำรวจแห่ง Trendopolis ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Sergeant Des. ที่ออกมาปราบปรามอาชญากรรมทางแฟชั่นเหล่านี้ รวมไปถึงจะได้ค้นพบต้นสายปลายเหตุว่า เหตุใดคนในเมืองบางคนถึงเริ่มแต่งตัวออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งก็จะมีเนื้อเรื่องให้เราตามติดกันอย่างต่อเนื่องและตามสไตล์เกมอินดี้ทุนน้อย เนื้อเรื่องจะถูกนำเสนอผ่านกล่องสนทนาทั่วไป ไม่ได้มีคัทซีนอะไรมาก ขนาดฉากเปิดตัวบอสก็ยังรู้สึกว่ามันธรรมดาไปมาก ซึ่งก็ถือเป็นปกติของเกมอินดี้อยู่แล้ว แต่สิง่ที่ต้องชื่นชมคือไอเดียและความครีเอทของตัวเกม ที่สรรหาจุดลงตัวของเกมยิง เข้ากับเรื่องขอแฟชั่นที่ไม่คิดเลยว่าจะเอามาเจอกันได้ อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของเกมก็ไม่ได้พีคหรือมีจุดพลิกโผอะไรมาก ใครจะมาเล่นเอามันเพื่อระบายความเครียดก็ทำได้ (แต่อาจจะเครียดกว่าเดิม ไว้รออธิบายในหัวข้อเกมเพลย์) แต่ถ้าใครอยากอ่านเนื้อเรื่องก็ถือว่าเป็นเกมเนื้อเรื่องตรง ๆ ไปเลย ไม่ได้มีอะไรเข้าใจยากการนำเสนอในรูปแบบ Pixel Graphic และล้อเลียนแบรนด์แฟชั่นชื่อดังนอกจากจะเป็นเกมแนว Boomer Shooter ขายความ Old School เต็มรูปแบบแล้ว สิ่งที่เกมนี้ตั้งใจนำเสนออีกอย่างคือกราฟิกภายในเกมแบบ Pixel Graphic เป็นอีกกราฟิกที่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน และที่สำคัญกินสเปคเครื่องค่อนข้างเบามาก แต่การนำเสนอแบบ Pixel Graphic ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการนำเสนออันฉูดฉาดของตัวเกมสักเท่าไรนัก มันยังคงเป็นเกมที่มีโทนสีและเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากนอกจากนั้นด้วยความที่เกมมันพยายามจะล้อเลียนแฟชั่นต่าง ๆ ที่เป็นแบรนด์ที่มีอยู่จริง หากใครหูตาไวก็จะได้เห็นป้ายแบรนด์แฟชั่นต่าง ๆ ในเกมอยู่จำนวนหนึ่งโดยเฉพาะ Supreme ที่ล้อกันแทบจะทุกฉาก แถมยังเห็นแบรนด์อื่น ๆ ผ่านหูผ่านตาอีกจำนวนมาก น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นจริง ๆ ไม่อย่างนั้นน่าจะขยี้ฉากเหล่านี้ได้อีกเพียบสิ่งที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์สำหรับเกมนี้คือเรื่องของปริมาณคอนเทนต์และความยาวของตัวเกม หากคุณคิดว่านี่เป็นเกมอินดี้เน้นขายไอเดียสั้น ๆ ยาว 2-3 ชั่วโมงก็จบ คุณคิดผิดแล้ว เพราะเกมนี้มาพร้อมแคมเปญเนื้อเรื่องที่ใช้เวลาในการเล่นมากถึง 5-6 ชั่วโมง โดยจะเล่าเรื่องผ่าน Chapter ต่าง ๆ แต่ละ Chapter จะมีความยาว 20 นาทีขึ้นไปป (ยังไม่รวมความยากของเกมที่อาจจะทำให้เราตายแล้วตายอีก) และนอกจากแคมเปญเนื้อเรื่องแล้ว ยังมี Challenge ต่าง ๆ ให้เราได้ทำกันเพื่อท้าทายความสามารถกันอีกด้วย ทำให้หากจะเก็บทุกสิ่งอย่างในการเล่นเกมนี้ ก็อาจจะต้องใช้เวลากัน 10 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับเกมอินดี้ในราคาเกือบ ๆ 300 บาท ได้ขนาดนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วหากมองในด้านการออกแบบและคอนเทนต์ที่ได้ก็ถือว่ามีคุณภาพอย่างยิ่ง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแล้วว่าจะชื่นชอบเกมแนวนี้หรือไม่ ซึ่งเกมเพลย์เรากำลังจะพูดถึงในหัวข้อถัดไปนี้Boomer Shooter ที่เน้นการสลับอาวุธ และ "ยากอย่างไม่น่าเชื่อ"ย้อนไปเมื่อปี 2020 ในตอนที่ Doom Eternal เปิดตัว สำหรับเกมนั้นถือว่าเป็นเกมเดินหน้ายิงที่ดุเดือด และเข้มข้นมาก ๆ เรียกได้ว่าใครชอบเกมแอ็คชั่นเดินยิง ยังไงก็เต็มอิ่มแน่ ๆ และดูเหมือนว่าทีมสร้าง Fashion Police Squad เขาพยายามที่จะนำเอาระบบบางอย่างจาก Doom Eternal มาใช้ คนที่เล่นจะรู้กันดีว่า Doom Eternal นั้น จะบีบให้เราพยายามสลับอาวุธที่หลากหลายมากำจัดศัตรู และเกมนี้ก็เหมือนจะดึงเอาระบบนี้มาใช้ในด่านแรก ๆ นั้นเราจะยังไม่ค่อยเจอศัตรูที่หวือหวามาก วิ่งยิงชิล ๆ ได้เลย แต่เมื่อไปด่านหลัง ๆ เราจะพบว่าศัตรูเริ่มตึงมือมากขึ้น ไม่ใช่เพราะมันอึด พลังชีวิตสูง แต่กว่าจะกำจัดได้แต่ละตัว เราก็ต้องสลับอาวุธกันไปมาจนมือระวิงกันไปหมด แถมบางตัวยังต้องใช้อาวุธที่ต่างกันไปจัดการด้วย เช่นตัวนี้จะต้องใช้ปืนกลยิง อีกตัวต้องใช้แส้เข็มขัดฟาดเท่านั้น ถึงจะสู้ได้ และในช่วงท้ายของเกม เกมก็จะโยนศัตรูที่ต้องใช้วิธีอันหลากหลายมาให้ผู้เล่นสลับอาวุธรัว ๆ ในการจัดการและสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกมนี้จะไม่มีก็คือ เกมนี้จะไม่มีระบบการอัปเกรดอาวุธ และอาวุธใหม่ ๆ ผู้เล่นจะปลดล็อคได้ตั้งแต่ช่วงกลางเกม (Chapter 6 ขึ้นไป) ถึงแม้จะแฟร์ก็ตาม เพราะศัตรูก็จะมีพลังชีวิตเท่าเดิม แต่มันถูกส่งออกมาเยอะขึ้น หลายตัวมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับความยากที่เพิ่มมากขึ้น แต่เรามีลิมิตในการจัดการศัตรูเท่าเดิม ทำให้รู้สึกว่าเกมจะไล่สเกลความยากจากง่ายต้นเกม ไปยากท้ายเกม และด้วยความที่เกมไม่มีระบบอัปเกรดอาวุธใด ๆ นี่แหละ ทำให้ช่วงท้าย ท้าทายขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว แต่ข้อเสียคือกับคนที่ไม่ชอบการที่ตัวเราเองไม่ได้เก่งขึ้น แต่ศัตรูมันพร้อมจะเชือดเราได้ทุกเมื่อ สิ่งนี้ทำให้ตัวเกมช่วงท้ายยากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลำพังแค่การเจอความยากของการสลับอาวุธ ถือว่าตึงมือพอตัวแล้ว แต่การโดนโถมใส่เยอะ ๆ นี่ อาจจะทำให้หัวร้อนกันเลยก็ได้นอกจากนั้นในส่วนของ Boss Fight เอง ตัวเกมก็ไม่สามารถจะสร้างมิติหรือแง่มุมการนำเสนอใหม่ ๆ ใส่เข้ามาได้เลย เป็นเพียงการสแปมกระสุนยิงแหลกเพื่อให้บอสตาย ๆ ไปเท่านั้น แต่ก็ยังถือว่ายากอยู่ หากเราคิดจะลุยแหลกโดยไม่สนอะไร ทำให้ภาพรวมของ Fashion Police Squad มีจุดเด่นที่การนำเสนอไอเดียที่ดี เกมเพลย์ที่สนุกในช่วงครึ่งแรกของเกม แต่ครึ่งหลังเกม อันนี้ใครจะไหวแล้วไปต่อจนจบได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นPerformance ที่มีปัญหาในช่วงแรกแม้ว่าเกมนี้จะใช้ Pixel Graphics เป็นกราฟิกหลักของเกม แต่ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงแรกที่เกมออก ก็ถือว่ามีปัญหาด้าน Performance ที่หนักหน่วงเอาเรื่อง แต่โชคดีที่มันไม่ได้เยอะมากขนาดนั้น ปัญหาหลัก ๆ ที่ตัวผู้เขียนเจอเลยก็คือการที่อยู่ดี ๆ เฟรมเรทตกในช่วง Chapter หลัง ๆ ของเกม แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย และได้รับการแก้ไขในเวลาอันไม่นานนัก ดังนั้นถ้าให้บอกกันตรง ๆ ก็คือเกมนี้แทบจะไม่มีปัญหา Performance ใด ๆ เลย อีกอย่างคือมันเป็นเกมเล็ก เบาเครื่องอยู่แล้วด้วยนั่นเองFashion Police Squad เป็นอีกเกมที่ยึดแนวทาง Boomer Shooter เอาไว้ แต่พยายามใส่ความยากและความท้าทายเข้ามา ชนิดที่ว่าผู้เขียนเองก็คาดไม่ถึง และทำให้ประทับใจมาก ใครที่มีโอกาสได้ลองเล่น บอกเลยว่า ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง แล้วคุณจะรู้ว่า เกมภาพแบบนี้ ก็ทำให้คุณ "ร้อนได้ไม่ใช่น้อย" แต่ถ้าคุณไม่ชอบเกมตึง ๆ ที่ต้องตื่นตัวอยู๋ตลอดเวลา เกมนี้ก็อาจไม่เหมาะนัก
18 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Shin chan: Me and the Professor on Summer Vacation The Endless Seven-Day Journey วันพักร้อนสุดพิศวง ของครอบครัวโนะฮาร่า
Shin chan: Me and the Professor on Summer Vacation The Endless Seven-Day Journey เป็นชื่อเกมที่โคตรโคตรจะยาวมาก ๆ เกมนี้ผู้เขียนอยากเล่นมันมาตั้งแต่มันลง Nintendo Switch ละครับ แต่เนื่องจากตอนนั้นตัวเกมมีแค่ภาษาญี่ปุ่น และผู้เขียนกลัวว่าจะไม่อินกับเนื้อเรื่องเลยไม่ได้ซื้อมันมาเล่น แต่เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2022 ฤกษ์งามยามดีทางผู้พัฒนา Neos Corporation ได้ลงวางขายเกมนี้ใน Steam ให้เราได้ร่วมใช้ความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีกับชินจังในช่วงที่เรายังเป็นเด็กกับเกมนี้ ใครที่สนใจเรื่องราววันพักร้อนของครอบครัว โนะฮาร่า และอยากจะสัมผัสกับเรื่องราวสนุกสุดกวนของชินจัง แวะมาอ่านรีวิวเพื่อเติมเชื้อไฟความอยากได้ในบทความนี้กันก่อน แต่ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจด้วยที่เราจะไม่ได้เห็นท่าไม้ตายส่ายก้นของชินจังแบบฟูลเวอร์ชั่นครับ ฮ่า ๆเรื่องราวอันแสนวุ่นวาย ดำเนินเรื่องราวทั้งหมดโดยเด็ก 5 ขวบ~ Hello สวัสดี กระผมนี่จะบอก ว่าวันนี้ผมมีความสุข ผมนั้นมีความสุข ไม่เคยจะทุกข์ มันสนุกกว่าเขาเพื่อน โอ้ะ โอะ โอ้ะ โอย ♬ ♫ดักแก่กันหน่อยครับ ฮ่า ๆ ๆ ยุคสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กวัยประถมอยู่นั้น เพลงนี้ของชินจังนี่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าจะเปรียบให้ทุกคนเห็นภาพ มันก็ประมาณ โคอิซูรุฟอร์จูนคุกกี้ ของสาว ๆ ตระกูล 48 นั่นแหละครับ (เปรียบเทียบไปขนาดนั้นเลย ฮ่า ๆ) แต่เพลงประกอบของ ชินโนะสึเกะ หรือแม้แต่อนิเมะ ในยุคนั้นมันก็เป็นกระแสแบบนั้นจริง ๆ ครับ ร้องกันได้ทุกเพศทุกวัยและใคร ๆ ก็ต้องอยากดูความกวนโอ๊ยของชินจังเกมเพลย์ - เกมนี้ก็แน่นอนแหละครับชื่อเกมคือ ชินจัง มันก็ต้องรับบทและดำเนินเรื่องราวโดย "โนะฮาร่า ชินโนะสึเกะ" อายุ 5 ขวบ (ชื่อเกมมันก็บอกอยู่แล้ว จะให้ใครเป็นตัวเอกล่ะครับ ฮ่า ๆ) เป็นเกมแนวผจญภัย ที่เน้นการเล่าเรื่อง เหมือนเราได้นั่งดูการ์ตูนยาว ๆ เราจะต้องผจญภัยในชุมชนที่มิซาเอะเคยอาศัยอยู่และเติบโตขึ้นมาครับ แต่...มันจะมีกฎ 7 วัน เพื่อน ๆ สงสัยใช่ไหมครับว่าถ้าครบ 7 วันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตรงนี้มันจะเกี่ยวโยงกับเนื้อเรื่องโดยตรงครับ ชินจังจะโดนย้อนเวลากลับไปยังวันแรกที่เขามาถึงสถานีรถไฟ ของจังหวัดคูมาโมโตะครับ และในเหตุการณ์นี้มีเพียงแค่ ชินโนะสึเกะ เท่านั้น!!!ที่สังเกตเห็นถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่ชินจังมีเป้าหมายคือต้องการจะเดทกับพี่สาวที่เป็นผู้ช่วยของสำนักหนังสือพิมพ์ ชินจังเลยใช้โอกาสทุกครั้งที่ย้อนเวลากลับมาทำให้เรื่องราวดีขึ้นเสมอ เพื่อจะไปเดทครับ ฮ่า ๆ ฉากหรือสถานที่ต่าง ๆ ภายในเกมจะปลดล็อคไปเรื่อย ๆ ตามเนื้อเรื่องของเกมครับ ถึงแม้จะครบ 7 วันแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องมาเชื่อมต่อให้เราเล่นมันต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีสะดุดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเกม - ตรงนี้ก็เป็นเสน่ห์ของเกมนี้อยู่เหมือนกันนะครับ เพราะจะมีกิจกรรมให้เราทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น ตกปลา, สะสมแมลง, หาของป่าต่าง ๆ หรือวัตถุดิบไปให้ชาวบ้านในชุมชนตามรีเควสบอร์ด และมินิเกมการต่อสู้ของไดโนเสาร์กับเพื่อน ๆ ของชินจัง เป็นต้นตกปลา - ตัวเกมมีเบ็ดมาให้เราอยู่แล้ว 2 คัน เป็นเบ็ดไม้ไผ่ธรรมดาไม่มีลอก ส่วนอีกคันเป็นเบ็ดแบบมีลอก ซึ่งใช้งานได้เหมือนกันไม่มีเบ็ดคันไหนพิเศษไปกว่ากัน ตกปลาได้แบบเดียวกันครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบรูปลักษณ์แบบไหน สามารถกดตัว C เพื่อเปลี่ยนไปมาได้เลยภายในเกม การตกปลาไม่ยากและไม่ต้องใช้ความเข้าใจอะไรมาก เราแค่ดูทุ่นตรงเบ็ดของเรา ถ้ามีน้ำกระเซ็นเราก็กดคลิกเมาส์ซ้ายหรือขวาก็ได้ ชินจังก็จะดึงปลาขึ้นมาให้เราครับ สามารถสะสมลงในสมุดส่วนตัวของชินจังได้จับแมลง - เกมจะมีตาข่ายจับแมลงให้เราอยู่ในกระเป๋า เราสามารถเดินจับแมลงได้ทั่วทั้งเมืองครับ มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ส่วนนี้เราสามารถสะสมลงสมุดส่วนตัวของชินจังได้เหมือนกันครับการหาวัตถุดิบไปให้ชาวบ้าน - ตรงนี้ตามบ้านต่าง ๆ จะมีกระดานบอร์ดหน้าบ้าน เอาไว้ให้ชินจังครับ เราคนเล่นสามารถไปกดดูได้ว่าบ้านไหนต้องการวัตถุดิบอะไร หลังจากนั้นเราก็ไปหาวัตถุดิบเหล่านั้นที่ตรงตามความต้องการมา และชินจังจะได้ค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการตอบแทนครับมินิเกม - ซีรีส์ของชินจัง ถ้าเพื่อน ๆ เคยติดตามมาบ้างอาจจะทราบว่า ตอนพิเศษต่าง ๆ ของชินจังจะไม่มีเพื่อน ๆ จากโรงเรียนอนุบาลไปด้วย แต่จะมีตัวละครที่แทบจะหน้าตาเหมือนเพื่อนชินจังทุกอย่าง หรือแม้แต่ชื่อก็จะคล้ายคลึงกัน ตามมาหลอกหลอนชินจังและเราคนดูด้วยครับ ซึ่งเกมนี้ก็มีมาเหมือนกันครบทั้งแก๊งเลย ฮ่า ๆ ซึ่งเกมนี้เราจะได้เล่นมินิเกมกับเพื่อน ๆ ของชินจังในมินิเกมครับ ซึ่งเราต้องนำไดโนเสาร์มาสู้กัน โดยกติกาการเป่ายิงฉุบเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ - ชินจัง และครอบครัว โนะฮาร่า จะไปเที่ยวพักร้อนกันที่จังหวัดคูมาโมโตะ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ มิซาเอะ หรือแม่ของชินจังเติบโตมาครับ และครอบครัวโนะฮาร่าจะไปพักอาศัยกับครอบครัวของเพื่อนสนิทมิซาเอะเป็นเวลา 7 วัน พอถึงสถานีรถไฟเราจะเห็นสัญลักษณ์ประจำของจังหวัด คูมาโมโตะ นั่นก็คือ "คุมะมง" เนื้อเรื่องความวุ่นวายของเราทั้งหมดก็จะเริ่มจากตรงนี้เมื่อเราเจอกับคุณลุงนักวิจัยท่านหนึ่ง หลังจากตรงนี้ผมจะไม่เล่าต่อแล้วนะครับ เพราะถ้าเล่าจนหมดเพื่อน ๆ จะเล่นเกมเองไม่สนุกแล้วระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เป็นภาพการ์ตูนเหมือนในอนิเมะทุกอย่างเลยครับ โมเดลของเกมมี 2.5 มิติ ไม่ได้แสดงภาพแบน ๆ แบบในอนิเมะ ยังมีมุมต่าง ๆ ให้ได้เห็นบ้าง แต่อาจจะไม่ได้เห็นทุกมุมขนาด 3D ภาพสีสันสดใสสมกับเป็นชินจังนั่นแหละครับ ถ้าเราลองสังเกตดูดี ๆ อาหารเช้าหรืออาหารเย็นในแต่ละมื้อที่ครอบครัวโนะฮาร่าได้กินนั้นจะมีหน้าตาแตกต่างกันไปในทุก ๆ วัน Dev ค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมาก ๆ เลยครับ ใช้พื้นที่ในเครื่อง 2.42GB คอมไม่แรงก็เล่นได้ครับระบบควบคุม - ผมว่ามันค่อนข้างเหมาะกับจอยมากกว่าครับ แต่ถามว่าใช้คีย์บอร์ดเล่นแล้วมีปัญหาไหม ผู้เขียนก็ตอบตรงนี้ได้เลยว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาครับ แต่ในหลาย ๆ จุดอาจจะทำให้เดินวนไปวนมานิดหนึ่งเท่านั้นเอง ฮ่า ๆ อาจจะเพราะว่าเขาพอร์ตเกมมาเพื่อลงฝั่งคอนโซลอย่าง Nintendo Switch นั่นแหละครับ แต่ถ้าใครอยากใช้จอยเกมนี้สามารถต่อจอยเล่นได้เช่นกัน ระบบควบคุมต่าง ๆ มีสอนกันตั้งแต่เริ่มเกมเลย ผู้เขียนแค่ไม่ชอบปุ่ม Q,E ที่เอาไว้ใช้หมุนตัวชินจัง ซึ่งรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยครับ จะหมุนทำไมแทบจะไม่ได้ใช้ ฮ่า ๆ UI - ใช้งานง่ายและน่ารักครับ ไม่รกจนรู้สึกว่าบางอย่างก็ควรจะให้มันรกบ้างนะ ฮ่า ๆ เพราะว่าเกมนี้จะมีเกจค่าความหิวของชินจังครับ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าไม่น่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่ประสบปัญหาการทำให้ชินจังเป็นลม เพราะเกจขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้างและกดดูไม่ได้ และตรงนี้ค่อนข้างทำให้หงุดหงิดมาก ๆ เพราะบางทีเป็นกังวลว่าตอนนี้ค่าความหิวเหลืออยู่แค่ไหน หรือบางครั้งก็ลืมไปเลยว่ามีค่าตรงนี้จนนึกขึ้นได้อีกที ตอนที่ชินจังเป็นลมไปแล้วนั่นแหละครับ ในส่วนอื่น ๆ นั้นใช้งานง่าย ระบบสะสมต่าง ๆ ที่ค่อนข้างให้ความรู้กับผู้เล่นอย่างเรา เกี่ยวกับปลาต่าง ๆ หรือแมลงต่าง ๆ ในส่วนนี้ถ้าผู้เขียนมีลูกมีหลานก็อยากให้ได้เล่นเกมนี้ เพราะจะได้ความรู้จากเกมเนื่องจากในเกมมีคำอธิบายให้ทราบเกี่ยวกับปลาหรือแมลงที่เราจับได้ครับสรุปเนื้อเรื่องดีงามพระรามแปด เหมือนได้นั่งดูการ์ตูนยาว ๆ ภาพสวยมาก ๆ ทั้งงานอาร์ตตัวละครหรือฉากต่าง ๆ ในเกม อาจจะไม่ได้เห็นก้นชินจังแบบในการ์ตูน เพราะอาจจะไม่ใช่วัฒนธรรมอันดีงามของหลาย ๆ ประเทศ ฮ่า ๆ แต่ก็ยังดีครับที่ได้เห็นท่าไม้ตายก้นดุ๊กดิ๊กในเกม มีให้ได้สะสมอะไรต่าง ๆ แม้แต่การ์ดไดโนเสาร์ที่ได้เป็นของแถมจากการกินช็อกโกบี อันนี้แอบชอบมาก ๆ เพราะตอนผู้เขียนเด็ก ๆ ในยุคนั้นจะมีของต่าง ๆ จากขนมให้ได้สะสมอยู่เยอะมาก ๆ ก็เลยค่อนข้างอินกับตรงนี้ครับแต่...ผู้เขียนมองว่ามันก็ไม่คุ้มค่ากับราคา 1,414 บาทเท่าไหร่ เกมเพลย์ที่เล่นง่ายจนเกินไปเหมือนไม่ได้เล่นอะไรเลย ไม่ค่อยท้าทายสำหรับคนที่หวังในเกมเพลย์ครับ ผู้เขียนมองว่าแฟน ๆ อนิเมะของเกมนี้อายุไม่น่าจะน้อยแล้ว และเกมราคาระดับนี้แต่เกมเพลย์แบบนี้ผมแอบเสียใจอยู่เหมือนกัน ตัวเกมไม่มีพากย์ภาษาอังกฤษ มีแค่ Sub Eng เท่านั้น แต่ตัวละครพูดภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนอยากให้มีพากย์ภาษาอังกฤษด้วย อาจจะได้อรรถรสในการเล่นกว่านี้ครับ มีฉากซ้ำ ๆ ซาก ๆ แค่เพิ่มตัวละครเข้าไป อย่างเช่นฉากออกกำลังกายตอนเช้าซึ่งผู้เขียนไม่เข้าใจว่าจะใส่มาให้ทำไม แต่โชคดีที่ตัวเกมมีให้กด Skip ฉากนี้ไม่เช่นนั้นคงน่าเบื่อมาก ๆ ครับ เกมที่เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับไดโนเสาร์แต่แทบจะไม่มีอะไรให้ทำกับไดโนเสาร์เลย นอกจากมินิเกมที่ใช้ไดโนเสาร์สู้กับเพื่อน ที่ผู้เขียนยอมเสียเงินซื้อมันมาเพราะผมนั้นโตมากับชินจังครับ ก็แอบเสียดายเงินอยู่เหมือนกันที่คิดไว้ว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ยังดีที่ยังมีในส่วนของเนื้อเรื่องและภาพของเกมที่ทำให้ใจฟูได้อยู่ครับ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อน ๆ ที่เป็นแฟนคลับของ โนะฮาร่า ชินโนะสุเกะ อายุ 5 ขวบ สามารถรอไปจนถึงช่วงลดราคาได้ ผู้เขียนแนะนำให้รอดีกว่าครับ หรือถ้าใครไม่สนใจอยากจะสนับสนุนสิ่งที่เราโตมากับเขาก็ไปจัดราคาแรง ๆ แบบผมใน Steam ได้เลย ความกวนโอ๊ยของชินจังก็ทำให้เราโตมาพร้อมรอยยิ้มนะครับ วันนี้ผมกับ โนะฮาร่า ชินโนะสุเกะ ต้องขอตัวลาไปก่อนด้วยท่าไม้ตายโปรด แอ็คชั่น บีม บีม บีม บีม บีมสั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/2061250/Shin_chan_Me_and_the_Professor_on_Summer_Vacation_The_Endless_SevenDay_Journey/
17 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Farm Manager 2021 เกมทำไร่ ไถนาจำลองชีวิตเกษตรกรแบบสมจริง
Farm Manager 2021 ถูกพัฒนาโดย Cleversan Games จับมือกับผู้จัดจำหน่าย PlayWay S.A., Sim Farm S.A. ลงวางขายบน Steam เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2021 ผู้เขียนเห็นเกมนี้ลดราคา และเกมเพลย์ดูน่าสนใจสำหรับผู้เขียนมาก ๆ ผู้เขียนจึงซื้อมันมาอย่างไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อยครับ เนื้อในของเกมจะเกี่ยวข้องกับการจำลองชีวิตการทำไร่ ทำสวน ทำนา ทำฟาร์มปศุสัตว์หรือแม้แต่อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ที่มาจากฟาร์มของเรา หลังจากที่ผมได้ลองเล่นโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้เพียง 1 ชั่วโมง ผมได้แต่พร่ำเพ้อถามตัวเองไป ๆ มา ๆ ว่า "นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา?"ผู้เขียนบอกเลยครับว่ามันเป็นเกมที่สนุกมากและมันดูดเวลาชีวิตเราแบบสุด ๆ ผมบอกเลยว่าผมเสียใจมากที่ไม่เจอมันให้เร็วกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรครับอย่างน้อยวันนี้เราก็ได้เจอกันแล้ว และผู้เขียนจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ที่สนใจเกมนี้ให้ได้อ่านเพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อมันมาประดับประดาลงคลังของเราดีไหม? เกษตรกรไซเบอร์อย่างเรา วัน ๆ ทำอะไรกันบ้าง?ผู้เขียนบอกเลยครับ ว่าถ้าใครได้ลองเล่นเกมนี้ จะเล่นแบบลืมวันเวลาไปเลย ผมเนี่ยนั่งเล่นตอน 8 โมงเช้า หันไปดูนาฬิกาอีกที WTF!!! บ่าย 2 ฮ่า ๆ เอาเป็นว่ามันเป็นเกมที่จะมาช่วยเติมเต็มวันว่าง ๆ ของเราให้หมดไปอย่างรวดเร็ว Farm Manager 2021 จะมีโหมดหลัก ๆ 3 โหมดให้ผู้เล่นอย่างเราได้สนุกไปกับมันครับไม่ว่าจะเป็น Campaign Mode, Scenario Mode และ Free ModeCampaign Mode - มันคือโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ครับ เราจะได้รับบทเป็นผู้จัดการฟาร์มที่ต้องมาคอยดูแลกิจการต่าง ๆ ให้กับแลนด์ลอร์ดครับ ทำมันทุกอย่างตั้งแต่จ้างคน, จัดการบ้านพักให้คนงาน, จ้างคนงานตามฤดูกาล, จัดซื้อเครื่องมือในฟาร์ม, จัดซื้อสิ่งปลูกสร้าง, จัดซื้อสัตว์, ดูแลการผลิตของโรงงานต่าง ๆ, นำผลผลิตไปขาย, หรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ของฟาร์มถ้าถูกไฟไหม้เราก็ต้องเป็นคนแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดับไฟ ก็เราทั้งนั้นครับ (เกมนี้สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของเราสามารถเกิดไฟไหม้ได้) ตัวเกมจะมีเควสคอยป้อนมาให้เราทำเรื่อย ๆ บางเควสสามารถลักไก่ได้ถ้าเราเริ่มมีเงินมากพอ ส่วนบางเควสก็อาจจะต้องวางแผนกันหน่อยว่าควรเอาสัตว์ชนิดไหนมาเลี้ยงเท่าไหร่ ควรปลูกอะไรตรงไหน หรือแม้แต่ควรจะสร้างอุตสหกรรมอะไรบ้างภายในฟาร์มเพื่อให้ผ่านเควส บางอย่างเราต้องคำนวณให้ดีครับเพราะหลัง ๆ เควสจะค่อนข้างยากขึ้น และเนื้อที่ในฟาร์มของเรามีจำกัดเพราะเราไม่สามารถขยายพื้นที่ได้ตามที่ใจเราคิด ถ้าเกิดเจอเควสเลี้ยงสัตว์จะทำให้เราลำบากเพราะพื้นที่ไม่พอให้เลี้ยงครับ (พื้นที่สามารถขยายได้ตามเนื้อเรื่องครับ)Scenario Mode - โหมดนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแคมเปญโหมดเท่าไหร่นักครับ จะต่างกันตรงที่ในโหมดนี้จะมีให้เราเลือกชาเลนจ์ก่อนเข้าเล่นเกมครับ ว่าเราจะเล่นในส่วนไหน สมมติผู้เขียนเลือก "Harvest" พอเราเข้าไปเล่นเกมเควสในเกมที่ป้อนให้เราก็จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องการเพาะปลูกล้วน ๆ ครับ ความท้าทายของเกมมีให้เราเลือกเล่นยากง่ายหลายระดับ ตั้งแต่ให้ทำสวนทำฟาร์มแบบง่าย ๆ ไปจนถึงการทำ Marketing ให้ได้ตามเป้าของเควส ใครเล่นโหมดเนื้อเรื่องจนจบหรือเบื่อแล้ว โหมดนี้จะเป็นโหมดต่อไปที่จะให้ความเพลิดเพลินเราต่อครับ และเราจะเข้าใจทุกอย่างในโหมดนี้ได้ง่ายขึ้นเพราะเราผ่านมันมาหมดแล้วในโหมดเนื้อเรื่องครับFree Mode - เราสามารถออกแบบสร้างฟาร์มของเราได้แบบฟรีสไตล์ เลือกระดับความยากง่ายของเกมได้ คือ เป็นโหมดที่อิสระมาก ๆ เราอยากทำอะไรก็ได้ ไม่มีเควสมาบังคับให้เราต้องทำอะไรตามกรอบเลย จะออกแบบฟาร์มให้หรูหราจนหมาเห่าก็สุดแท้แต่เราจะครีเอทมันออกมาเลยครับ เป็นโหมดที่เน้นความสวยยืนหนึ่ง รายได้อะไรฉันไม่สนใจ จะติดลบตัวแดงอะไรไม่รู้ รู้แต่ฟาร์มฉันต้องสวยไว้ก่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆไม่มีอะไรให้ต้องปวดหัว แม้ว่าจะต้องจัดการทุกอย่างFarm Manager 2021 มีระบบต่าง ๆ ในเกมมากมายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดสิ่งต่าง ๆ, การจ้างคนงาน, การจัดซื้อเครื่องมือทางการเกษตร และตลาดซื้อขาย แบ่งเป็นสัดเป็นส่วนไม่ให้เราต้องปวดกบาลแต่อย่างใดกราฟิก - มีภาพ 3D หมุนได้ 360 องศา ภาพสวยงามได้บรรยากาศฟาร์มจริง ๆ แต่ไม่ใช่ฟาร์มแบบไทย ๆ นะครับ จะได้กลิ่นอายของฟาร์มแบบอเมริกันมากกว่า ใช้พื้นที่ในเครื่อง 5.45GB และคอมไม่ต้องเป็น Super Computer ก็เล่นได้ ปรับ High หมดได้แบบสบาย ๆ โดยไม่กระตุกแต่อย่างใด แต่ควรเทียบสเปกเครื่องของเรากับความต้องการขั้นต่ำของระบบก่อนนะครับ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวซื้อมาจะเสียอารมณ์เพราะเล่นไม่ได้ระบบควบคุม - ใช้งานง่ายครับ เหมือนเกม Simulation อื่น ๆ ครับ อาจจะไม่ต้องปรับตัวมาก ใช้ W,A,S,D ในการเคลื่อนย้ายมุมกล้อง, ลูกกลิ้งเมาส์ในการซูมเข้าออก, กดคลิกซ้ายเพื่อเลือกวัตถุต่าง ๆ ในเกม, Q,E ใช้ในการหมุนมุมกล้อง ส่วนใครเพิ่งเคยลองเล่นเกมแนวนี้และเลือกเกมนี้เป็นเกมแรกไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นไม่ได้นะครับ ในเกมมี Toturial Mode สอนการใช้งานปุ่มต่าง ๆ ให้ได้ฝึกใช้งานกันจนกว่าจะคล่องกันไปเลยUI - เนื่องจากมีระบบต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะแต่ User Interface ของเกมนี้ก็ไม่ได้ดูรกรุงรุงอะไร ที่จัดสรรไว้อย่างเป็นระบบใช้งานง่ายมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นระบบตลาดซื้อของ, ระบบสั่งซื้ออุปกรณ์ทำสวน ไร ไถนา ต่าง ๆ, หน้าต่างสำหรับจ้างคนงาน, การเลือกอาหารให้สัตว์เลี้ยง, หรือแม้แต่ส่งผู้จัดการอย่างเราไปเรียนรู้เพื่ออัพเกรดฟาร์มก็ใช้งานง่ายแสนง่าย การขายของต่าง ๆ มีหน้าต่างราคาขึ้นลงบอกว่าช่วงนั้นของที่เราต้องการจะขายเป็นที่ต้องการของตลาดไหม เราสามารถดองของไปขายตอนที่ราคาขึ้นได้ หน้าต่างการใช้ง่านต่าง ๆ มีรูปสัญลักษณ์บอกอย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ผู้เขียนมั่นใจว่าตัวผู้เขียนสมัยอนุบาลก็เล่นได้ครับสรุปผู้เขียนยกเกมนี้ให้เป็นเกมโปรดในดวงใจอีกหนึ่งเกมเลยครับ ผมไม่เสียดายเงินแม้แต่บาทเดียวเลยที่ซื้อมันมา ใส่สุดจัดชุดใหญ่พร้อม DLC มาเลย ระบบการจัดการต่าง ๆ ของเกม ระบบทำฟาร์ม การเลี้ยงสัตว์ การทำอุตสาหกรรม สร้างความเพลิดเพลินให้ผู้เขียนมาก ๆ ได้เรียนรู้ว่าการทำฟาร์มนั้นต้องอาศัยปัจจัยในด้านใดบ้าง จากที่ลองเล่นมานับถือเกษตรกรมาก ๆ เพราะว่าแต่ละอย่างกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ กว่าจะขยายอุตสาหกรรมได้นั้นมันดูไม่ง่ายเลย นี่ขนาดแค่ในเกมนะครับ เรื่องจริงคงเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก ใครอยากจะซื้อผู้เขียนบอกตรงนี้เลยครับว่าไม่ต้องลังเล เพราะถ้ามีช่วงลดราคากดเข้าคลังให้ไวเลย เพราะมันแค่ 187.85 บาทเท่านั้นเอง หรือใครจะจัดชุดใหญ่พร้อม DLC แบบผมราคาจะอยู่ที่ 280.68 บาท ประทับจิตประทับใจเล่นได้ยาว ๆ และถ้าในอนาคตถ้ามี Farm Manager 2022 23 24 25 26 27 ฯลฯ ถ้าผมไม่สู่ขิตไปก่อนผมจะตามเล่นมันทุกภาคไป ฮ่า ๆ
12 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Disney Dreamlight Valley (Early Access) เกมปลูกผักทำฟาร์มในแดนฝัน ที่คนรักดิสนีย์พิกซาร์ไม่ควรพลาด
หลังจากได้เห็นการเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ไม่มีใครคาดคิดว่า เกมปลูกผักจากจักรวาลดิสนีย์อย่าง Disney Dreamlight Valley ของ Gameloft จะออกมาเพลิดเพลินขนาดนี้ เพราะอะไรมันถึงได้ยอดเยี่ยม เชิญพบกับรีวิวเกมนี้ในช่วง Early Access บูรณะหุบเขาแห่งแสงสว่างภายใต้เหล่าตัวละครจากดิสนีย์สิ่งเดียวที่เกม Life Simulator ดูจะมีเหมือนกันก็คือ การต้องเข้ามากอบกู้หมู่บ้านหรือดินแดนใดดินแดนหนึ่งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และ Disney Dreamlight Valley เองก็ใช้พล็อตแบบนี้ในการเล่าเรื่องด้วย ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ Dreamlight Valley หรือหุบเขาแห่งแสงสว่างที่โดนคำสาปมืดเข้าคุกคามจนมีแต่หนามสีดำมืดเข้าคุกคาม วิธีเดียวที่จะช่วยเหลือหมู่บ้านนี้ได้ คือค่อย ๆ ฟื้นฟูธรรมชาติ และช่วยเหลือเหล่าตัวละครจากค่ายดิสนีย์ พิกซาร์ ทั้งในหมู่บ้าน และมิติอื่น ๆ มาช่วยกันฟื้นฟูด้วยความที่เป็นเกมจากค่ายดิสนีย์และพิกซาร์ และตัวเกมตั้งใจทำออกมาเป็นแนว Cozy Life Simulator อยู่แล้ว (เน้นรีแลกซ์และเล่นง่าย) ทำให้เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้เข้มข้นน่าติดตามอะไรมากขนาดนั้น แต่ความสุขของคนที่เล่นเกมนี้ คือการได้เจอกับเหล่าตัวละครตัวโปรดของเราจากดิสนีย์และพิกซาร์ล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวดี ตัวร้าย พระเอก นางเอก เรียกได้ว่าขนกันมาครบ และด้วยตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access ทำให้จะมีการอัปเดตตัวละครเข้ามาอีก อย่างที่เขียนบทความอยู่ตอนนี้ ก็มีการประกาศแล้วว่าจะอัปเดตเพิ่มตัวละครจาก The Lion King และ Toy Story เข้ามาด้วย ดังนั้นซื้อตอนนี้ ถ้าเป็นแฟนดิสนีย์ก็เล่นได้ยาว ๆรูปแบบเกมเพลย์เดียวกัน Animal Crossing แต่เซ็ตติ้งให้อยู่ในจักรวาลดิสนีย์แม้หลากหลายคนจะลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดูมีความคล้ายกับ The Sims แต่จริง ๆ แล้วมันจะไปใกล้เคียงกับเกมอย่าง Animal Crossing ซะมากกว่า ผู้เล่นจะเริ่มต้นด้วยบ้านซอมซ่อ 1 หลัง พื้นที่ของอาณาจักรที่มีอิสระในการจะปรับแต่ง หรือหว่านเมล็ดพืช แล้วมาเก็บเกี่ยวเอาทีหลังก็ทำได้ แถมเรายังสามารถเข้าสู่มุมมองของการเป็นเกมแนวบริหารจัดการได้อย่างง่าย ๆ ให้เราสามารถวางผังเมือง เลือกวางสิ่งของ เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมดอย่างง่ายดายอีกด้วย เรียกได้ว่ามันผสมผสานความเป็นเกม Life Simulator แบบเกม Animal Crossing เข้ากับเกมสร้างเมืองแบบเดียวกันกับ The Sims เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเมืองแล้วก็ยังมีการปรับแต่งตัวละคร ให้สวมใส่เสื้อผ้าในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ยกเอาหลากหลายเกมมาใส่ระบบของตัวเองไว้NPC แต่ละตัวในเกมจะมีระดับความสัมพันธ์ที่มีมากถึง 10 เลเวล วิธีการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ก็คือนำสิ่งของต่าง ๆ ไปมอบให้เป็นของขวัญ ในแต่ละวันนั้น NPC แต่ละตัวก็จะต้องการของขวัญที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณ อาหาร หรืออัญมณี ถ้าเอาของที่ NPC ตัวนั้นถูกใจก็จะได้ค่าความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ แต่จะให้ได้วันละ 1 ครั้งเท่านั้นและที่ยิ่งทำให้มันเหมือนกับ Animal Crossing มากยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือเวลาในเกมนี้ จะอิงไปตามเวลาในโลกของความเป็นจริงของเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วิธีการเร่งเวลาในเกมก็สามารถทำได้โดยการปรับเวลาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั่นเอง เหมือนกับตัวเกม Animal Crossing ที่ปรับเวลา Switch ก็ทำได้ แต่วิธีนี้ไม่แน่ใจว่าจะผิดกฎของเกมหรือเปล่า โดยการปรับเวลาภายในเกมนั้นจะส่งผลกับช่วงเวลากลางวันกลางคืนของตัวเกม และไอเทม ผลไม้ สิ่งของบางอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเท่านั้น ดังนั้นหากจะเล่นเกมนี้ก็ต้องรู้จักการรอกันเสียหน่อยด้วยระบบเบื้องต้นและภาพรวมทั้งหมดนี้ ทำให้นี่อาจจะเป็น Animal Crossing ในเวอร์ชั่น Disney แต่สำหรับเกมเพลย์จริง ๆ แล้วมีอะไรที่มีความเป็นตัวเองมากกว่าพอสมควร ซึ่งเราจะอธิบายกันในหัวข้อถัดไปเกมเพลย์แสนสุขที่คนรักความสงบและผ่อนคลายจะต้องชื่นชอบ8นที่ชื่นชอบเกมแนวปลูกผักทำฟาร์ม หรือ Life Simulator คงไม่ได้ต้องการมาเหนื่อย หรือกดดันอะไรจากเกมแนวนี้อยู่แล้ว Disney Dreamlight Valley จึงเป็นเกมที่ใช้คำว่าผ่อนคลายได้อย่างเต็มรูปแบบ นับตั้งแต่เปิดเกม เราอาจจะติดตรงที่บทสนทนาค่อนข้างเยอะ และไม่ค่อยสอนเราเกี่ยวกับตัวเกมเท่าไร หรือเอาจริง ๆ คนที่เล่นเกมแนวนี้มาเยอะ ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าระบบเกมแต่ละส่วนนั้่น ทำงานยังไง เราจะเริ่มจากการถอนวัชพืขสีดำมืด เริ่มภารกิจเนื้อเรื่อง เริ่มไปเจอตัวละครต่าง ๆ และปลดล็อคระบบใหม่ ๆ เช่นการปลูกผักทำฟาร์ม และการซื้อขายของเป็นต้นหลัก ๆ แล้ว NPC ในเกมนี้ก็จะยกเอาตัวละครดัง ๆ จาก Disney / Pixar มาใช้ และวางบริบทให้เข้ากับเกมเพลย์ เช่นเจ้าหนู Remy จาก Ratatouille ก็จะมีส่วนช่วยในการปรุงอาหาร หรือเจ้าหุ่นยนต์ Wall-E ก็จะมีส่วนช่วยในการทำเกษตรกรรมเช่นปลูกผัก ทำฟาร์ม เก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นต้น และยังมีตัวละครบางตัวที่อาศัยอยู่ใน Realm หรือมิติของตัวเอง ที่เราสามารถเข้าไปและสัมผัสกับโลกของเรื่องราวตัวละครเหล่านั้นได้ เช่น Elsa ของ Frozen หรือในอนาคตที่กำลังจะมาอย่าง The Lion King ต้องบอกว่าเกมนี้เป็นเกมสำหรับคนที่ชื่นชอบความผ่อนคลาย และรักในตัวละคร Disney จริง ๆ ในช่วงแรกเราสามารถเก็บอุปกรณ์ทำฟาร์มได้จากจุดต่าง ๆ จากนั้นเราจะสามารถหว่านเมล็ด รดน้ำ เก็บเกีั่ยวผลผลิตได้ โดยจะอิงตามเวลาจริงที่เราอยู่ในเกมแทบจะทั้งหมด ดังนั้นเกมนี้จะกินเวลาของเรา ๆ เป็นอย่างมาก ถ้าคุณชื่นชอบเกมแนวนี้ และที่ต้องชื่นชมคือ เกมพยายามเก็บเอาระบบและรายละเอียดหลาย ๆ อย่าง จากเกมแนวเดียวกันเกมอื่น ๆ มาใส่เอาไว้ การผูกสัมพันธ์กับตัวละคร การซื้อขาย การปลูกผักทำฟาร์ม และทำภารกิจแบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แต่ถูกใส่มนต์เสน่ห์ของดิสนีย์เข้าไป แล้วใครล่ะที่จะอดใจไหวสำหรับเกมนี้เกมยังใส่ระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เข้ามาแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ยกตัวอย่างเช่น ตามปกติแล้ว หากเราใช้ชีวิตในเกมจนพลังงานเริ่มร่อยหรอ ตัวละครเราจะเหนื่อย และเราจะต้องกลับไปนอนที่บ้านพักของตัวเองเพื่อฟื้นฟูพลังงาน และจะเป็นการบังคับเริ่มต้นวันใหม่ไปในตัว แต่กับเกมนี้ ตัดปัญหาความยุ่งยากออกไป เพียงแค่เรากลับเข้าไปที่บ้านตัวเอง ค่า Stamina ก็จะฟื้นฟูจนเต็ม หรือถ้าเราพกอาหาร ของกินติดตัวไว้ ก็สามารถกินเพื่อเพิ่มพลังได้เลยด้วย ตัดปัญหาการบริหารจัดการ Stamina ไปได้แบบสบาย ๆ และกิจกรรมจำพวกการตกปลา การทำภารกิจเนื้อเรื่องกับตัวละครตัวนั้น ๆ ก็ช่วยเพิ่มความอินให้กับเรามาก แต่พวกรายละเอียดเล็กน้อยอาจจะต้องขยันอ่านกันนิดนึง เพราะมันมาในรูปแบบ Text ล้วนแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราต้องเตือนกันก่อนเลยคือ สถานะเกมตอนนี้ยังอยู่ในช่วง Early Access หรือก็คือเป็นเกมเล่นระหว่างการพัฒนา และต้องย้ำกันตัวโต ๆ ว่า หากตัวเกมพร้อมแล้วสำหรับเวอร์ชั่น 1.0 มันจะกลายเป็นเกมเล่นฟรี ดังนั้นหากใครที่ไม่รีบ ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องซื้อเกมนี้ รอเล่นฟรีพร้อมคอนเทนต์แน่น ๆ ก็ทำได้ แต่ตอนนี้ใครที่อยากเล่น อดใจไม่ไหว ที่จะได้ไปเห็นเหล่าตัวละครแสนรักในเกมแนวโปรด ก็บอกได้เลยว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตามตอนนี้ตัวเกมยังไม่สามารถเล่นออนไลน์กับเพื่อนได้ ซึ่งบอกได้เลยว่า หากมีการปลดล็อคระบบออนไลน์ (ท๊๋คาดว่ายังไงก็มีในอนาคต) และอีเวนทม์ในเกมที่คอยแจกสกินอยู่เรื่อย ๆ ตามธรรมเนียมของ Gameloft ทำให้เกมนี้ แม้ว่าจะยังเล่นได้คนเดียว แต่ก็มีอะไรให้ทำเยอะพอสมควรเลยทีเดียวและถ้าไม่บอกจะหาว่าเราไม่เตือน อย่างที่บอกไปว่าเกมเป็นรูปแบบ Early Access ดังนั้นหากจะเล่นก็ต้องเตรียมใจเจอบั๊กกันในระดับนึง และจากที่เห็นทั้งสังคมผู้เล่นไทยและต่างประเทศ บั๊กแต่ละตัวนี่ถือว่าเป็นปัญหาเอาเรื่อง ตั้งแต่เก็บของไม่ได้ เดินติดนั่นติดนี่ หนักเข้าหน่อยก็เกมเด้งกันไปเลย ดังนั้นหากคิดจะเล่นเกมนี้ ต้องทำใจรับบั๊กในช่วงระหว่างการพัฒนานี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า แต่ถ้าเป็นในส่วนของการ Optimized ให้เกมเล่นได้แบบลื่น ๆ โดยไม่มีอาการเฟรมเรทตก เกมนี้ถือว่าสอบผ่านมาก ๆ ในด้านคอนเทนต์ของเกมตอนนี้ถือว่าคุ้มราคาให้เราได้เล่นกันยาว ๆ แล้ว และการผสมผสานระหว่าง เกมปลูกผักทำฟาร์ม หรือ Life Simulator ให้เข้ากับตัวการ์ตูนและโลกของ Disney Pixar และ Roadmap Content ที่ค่อนข้างยาวแน่นอน รวมไปถึงเล่นฟรีอีกเมื่อเปิดตัว บอกได้เลยว่านี่คือการลงทุนที่ค่อนข้างได้ใจแฟน ๆ Disney แน่ ๆ และ Gmaeloft ผู้พัฒนาเกมที่ค่อนข้างโดนอคติจากชื่อ ก็ลบคำสบประมาทได้เป็นอย่างดีด้วยผลงานนี้ และบอกได้เลยว่า อนาคตของเกมนี้ ยาวไกลแน่ ๆ 
10 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Saints Row (2022) ความพยายาม Reboot อันกล้าหาญ แม้จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ด้วยความสำเร็จของเกมซีรีส์ Grand Theft Auto (GTA) ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดที่เราไม่ได้เห็นเกมลักษณะคล้าย ๆ กันบ่อยกว่านี้ ซึ่งหากมานั่งคิดดูดี ๆ แล้ว เกมโลกเปิดซีรีส์ดัง ๆ ที่อาจ "เทียบเคียง" กับ GTA ได้ในแง่ของแนวเกม อาจจะมีเพียงซีรีส์ Saint's Row เพียงเกมเดียวเลยก็เป็นได้ และแม้จะไม่ประสบความสำเร็จใกล้เคียงกับ GTA เลยตลอดประวัติศาสตร์ของซีรีส์ แต่ Saint's Row ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย และสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้ตนเองได้ในที่สุดหลังจากห่างหายจากภาคหลักไปนานหลายปี ตั้งแต่ที่เกมภาค 4 วางจำหน่ายไปเมื่อปี 2013 การกลับมาคราวนี้ของชาวแก๊งสีม่วง ที่อาจไม่ได้เน้นสีม่วงอีกต่อไปอย่าง Saints Row พร้อมกับการ Reboot อย่างเต็มรูปแบบ แต่มันจะถูกใจทุกคนได้หรือไม่ งานนี้รีวิวของเราอาจจะเป็นตัวช่วย กับ Saints Row (2022) เนื้อเรื่องฉบับ Reboot แต่ก็ Modern ร่วมสมัยSaints Row ในฉบับเก่านั้น เราอาจจะคาดเดาช่วงเวลาไม่ได้ก็จริง แต่ในฉบับ Reboot นี้ แม้จะไม่มีการบอกระยะเวลาที่แน่นอน แต่ก็พอจะคาดเดากันได้ ว่าจะต้องเป็นช่วงเวลาในยุคปัจจุบัน หรือไม่ก็อนาคตที่ไม่ได้ห่างจากปี 2022 มากนัก เพราะเนื้อหาและช่วงเวลาของโลกในเกม ถูกเล่าผ่านบทสนทนาอันกวนโอ๊ย และแฝงไปด้วยมุกตลกจิกกัดจำนวนมาก อะไรที่เราคุ้นเคยในโลกปัจจุบัน ทั้งเทคโนโลยี กิจการ หรืออีเวนท์ต่าง ๆ เราจะได้เห็นมันผ่านการนำเสนอเรื่องราวของเกมนี้ ทั้งภารกิจหลักและภารกิจเสริมสำหรับเนื้อเรื่องของภาคนี้ เมื่อเริ่มต้นมา เราจะยังไม่ใช่เดอะบอสของตัวเอง แต่เราจะทำงานให้กับบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจของเมือง Santa Ileso เมืองสมมติที่จำลองมาจากเขตตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา นอกจากบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งนี้แล้วก็ยังมีอีกสองแก๊งขั้วอำนาจ คือ Los Panteros ผู้ครองกิจการยานยนต์ และ The Idols ที่ครองกิจการผับบาร์และสถานบันเทิง ในขณะเดียวกัน เพื่อนสนิทของเราต่างก็ทำงานให้กับแก๊งต่าง ๆ ด้วยอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เส้นทางการทำงานของเรากำลังไปได้สวย ก็เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ เราจึงถูกไล่ออก และด้วยความเบื่อหน่ายกับชีวิตขั้นสุด เราตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาเป็นนายตัวเอง และเพื่อนเราก็เห็นดีเห็นงาม ร่วมสนับสนุนด้วย และแก๊งใหม่ The Saints ที่รวมสมาชิกคนบ้าแต่มากฝีมือก็ได้ถือกำเนิดขึ้นสิ่งที่ดีงามของเกมภาคนี้ มันคือการ Reboot จริง ๆ ไม่มีการแกล้งอำ แกล้งหลอกผู้เล่นว่าเป็น Reboot แต่แอบใส่ตัวละคร ใส่กิมมิคเชื่อมโยงกับภาคเก่าเข้ามา ทำให้ตลอดเวลาที่เราเล่นเกมนี้ เราจะรู้สึกว่ามันคือเรื่องราวอันสดใหม่ของสมาชิกแก๊งจริง ๆ ไม่มีของเก่าเข้ามาเอี่ยว และมีเอกลักษณ์ของตัวเองมาก ๆ ดังนั้นอย่าแปลกใจ หากคุณเป็นแฟน Saints Row ภาคเก่า ๆ แล้วจะไม่อินกับภาคนี้ เพราะมันเหมือนเกมใหม่ที่ไม่มีความเป็น Saints Row อยู่เลย แต่ก็ถือว่าเป็นการ Reboot ที่ดี และค่อนข้างกล้าหาญมาก ๆ ที่ทาง Volition ผู้พัฒนา ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะทำให้มันเข้าที่เข้าทางมากขึ้น โดยไม่พึ่งบารมีของเดิม และใครที่คาดหวังจะได้เห็นความกาว ความบ้า ความฮาของเนื้อเรื่อง คุณก็จะยังได้เห็นมันแบบครบถ้วนตามสไตล์ Saints Row แน่นอน แต่จะขำมาก ขำน้อยแค่ไหน ก็อาจจะขึ้นอยู่กับความลึกของเส้นอารมณ์ขำของแต่ละคนมุกตลกที่เปลี่ยนไป กับโลกภายในเกมที่เปลี่ยนตามใครที่เคยเล่น Saints Row ภาคแรก ๆ หรือไตรภาคแรกมาจะรู้ว่าเกมนี้เต็มไปด้วยการจิกกัด เสียดสี ล้อเลียน แซะชาวบ้านเขาไปทั่ว แน่นอนว่าในด้านบริบทสังคมในตอนนั้นที่ Social Media หรือจิตสำนึกของคนยังไม่ถูกกระตุ้น การจะทำมุกล้อเลียนคนผิวดำ หรือเหยียดคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่รุนแรงเท่าตอนนี้แล้ว ดังนั้นมุกตลกต่าง ๆ ของ Saints Row ก็อาจจะต้องลดทอนอะไรพวกนี้ลง อย่าลืมว่าตอนนี้โลกเปิดกว้างขึ้น และวิดีโอเกมก็เป็นสื่อบันเทิงที่ทุกคนเข้าถึงได้ จะเล่นตลกห่าม ๆ อะไรแบบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว แต่เขาก็เปลี่ยนมาใช้เรื่องราวของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ หรือสิ่งใกล้ตัวเราแทนสิ่งที่แตกต่างจากเดิม และสมกับเป็นการ Reboot เลยก็คือฉากหลังของเกม หากคุณเป็นชาวเกมที่หลงแสงสีใน Stillwater ของ Saints Row ภาคเก่า ๆ มาภาคนี้คุณอาจจะต้องปรับตัว หรือไม่ก็ไม่ชอบเอาซะเลยกับสิ่งที่ฉากหลังของเกมนี้นำเสนอ อย่างที่บอกไปว่า Santa Ileso เป็นฉากหลังจำลองของอเมริกาตะวันออกเฉียงใต้ แต่มันจะแบ่งออกเป็นสองเขต คือเขตชานเมืองและเขตในเมือง ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าไม่รู้ทำไมถึงออกแบบแผนที่แบบนี้ในช่วงแรก เราจะยังไม่ได้เห็นคนใหญ่คนโต ทำให้ต้องอาศัยอยู่ย่านชานเมือง เหมือนชนบทบ้านเรา และทุกครั้งเวลามีภารกิจใหม่ที่เราต้องทำนั่นคือ เป็นภารกิจหลักเนื้อเรื่อง เราจะต้องขับรถในระดับที่ใช้คำว่าโคตรไกล เข้าไปลุยกันในตัวเมือง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจจะอยากให้เราขับรถ กินลมชมวิว เสพบรรยากาศและโลกของเกม แต่บอกเลยว่าใครขี้เบื่อ อาจจะถอดใจเลิกเล่นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะมีหลายภารกิจมาก ๆ ในช่วงแรกที่เราต้องขับรถไกลมาก ๆ เพื่อไปยังจุดหมายต่อมาคือเรื่องของบรรยากาศ แม้ว่าบรรยากาศชานเมืองจะดูสวยงามและให้ความเป็นชนบท ความ Vintage ได้ดี แต่ปัญหาของมันคือ มันไม่มีอะไรให้ทำ ! นอกจากขับรถเล่น หรือเจอจุดปลดล็อคที่เป็น Point of View แล้ว มันก็แทบไม่มีอะไรให้เราทำได้ทำเลยแม้แต่น้อย นี่คือสาเหตุที่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดต้องทำแผนที่แยกส่วนเป็นโซนชานเมืองกับในเมือง เพราะถ้ามันมีอะไรให้ทำ มีกิจกรรมแบบสุ่ม หรือมีอีเวนท์ต่าง ๆ มันก็จะไม่ติดขัดในส่วนนี้ แต่มันกลับมีแต่ความว่างเปล่า นอกจากภาพสวยก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจแม้แต่น้อยและที่ผู้เขียนขัดใจมากที่สุดคือความเป็นธรรมชาติของโลกในเกมนี้ ปกติแล้วเวลาที่เราเล่นเกม Open World เราก็มักจะชอบทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อย่างเช่นไล่ทำร้ายคนโน้นคนนี้ ขับรถเกยฟุตบาธเสยคนเล่นเอามัน ซึ่งการทำแบบนี้ในเกมอื่นก็อาจจะทำให้โลกภายในเกมเกิดความวุ่นวาย เช่นเหล่า NPC แหกปากตะโกนโวยวาย ส่วนมาก NPC ในเกมนี้ก็จะใช้ชีวิตแบบบอทตัวหนึ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร นี่น่าจะเป็นเกมแรกที่ต่อให้คุณขับรถเสยฟุตบาธทั้งแถบ NPC ก็ไม่แม้แต่จะแหกปากตกใจอะไรเลย ยอมรับว่ามันทำให้ขาดธรรมชาติของโลกในเกมไปพอสมควรเลยทีเดียวเกมเพลย์ที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่กลับทำให้เรารู้สึกว่ามันธรรมดาจนเกินไปในยุคที่มีเกมออกใหม่มากมายขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจถ้าเราจะรู้สึกว่าเกมใดเกมหนึ่งที่เราได้ลองเล่น มันจะธรรมดาจนน่าใจหาย และ Saints Row เองก็ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นด้วย มันอาจไม่ใช่เกมแย่อะไรนัก แต่เพราะมันธรรมดาจนเกินไป เราเลยรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจเท่าที่ควรSaints Row ยังคงนำเสนอเกมเพลย์การเล่นเป็นมุมมอง Third Person ให้เราได้เห็นตัวละครกันแบบเต็ม ๆ รอบด้าน นั่นทำให้การแต่งองค์ทรงเครื่องตัวละคร The Boss ของเรานั้น สามารถใส่เต็มที่ได้เลย ทั้งทรวดทรงองค์เอว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือส่วนอื่น ๆ ใครที่เสียเวลากับการสร้างตัวละครมากกว่าเล่นเอง เกมนี้คุณก็น่าจะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะปลดล็อคมาให้คุณตกแต่งได้เลยตั้งแต่แรก เพราะคุณจะต้องเล่นภารกิจเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ ก่อน ระบบต่าง ๆ รวมไปถึงสกิลและของตกแต่งบางอย่างถึงจะปลดมาให้คุณได้ใช้งานและเสริมสวยเสริมหล่อกัน ซึ่งเราสามารถตกแต่งตัวละครได้อิสระมาก แต่ก็จะดูมีความเป็นผู้เป็นคนมากกว่าภาคที่ผ่าน ๆ มาแม้ว่าโลกของเกมจะเป็น Open World เต็มรูปแบบ แต่เมื่อเข้าสู่ภารกิจเนื้อเรื่อง เหมือนเกมจะถูกบีบให้กลายเป็นเส้นตรงตลอด โดยจะมีจุดมุ่งหมายให้เราเข้าไปทำ มีภารกิจที่ต้องไปลุย และเมื่อจบภารกิจ เกมก็จะตัดเข้าสู่ฉากสรุป ซึ่งจะสรุปของรางวัลเป็นค่า EXP และเงินที่ได้มา และเกมจะพาเรากลับมายังฐานของเราเสมอ ฐานทัพของเราจะปลดล็อคเมื่อเล่นภารกิจเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ และจะเป็นศูนย์กลางของการจัดการอาวุธ ยานพาหนะ และการเตรียมพร้อม แต่ภาคนี้ที่ค่อนข้างชอบเลยคือ ตอนที่เราได้ฐานมาใหม่ ๆ มันจะเป็นเหมือนกับรังหลบภัยอันซอมซ่อ ห้องนอนก็เป็นฟูกเก่า ๆ ห้องเสื้อผ้าก็เป็นชั้นวางของโทรม ๆ แต่พอเราขยับขยายฐานะให้ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ฐานทัพของเราก็จะยิ่งหรูหรามากยิ่งขึ้นในด้านของสกิลและความสามารถของตัวเอกในภาคนี้จะแบ่งออกเป็นสองอย่าง คือ Perk และ Skill ส่วนของ Skill นั้นจะปลดล็อคตามระดับเลเวลตัวละคร ที่ส่วนมากจะเป็นสกิลช่วยเหลือการต่อสู้ เช่น เรียกพวกมาช่วย ใช้ลีลาท่าทางได้เยอะขึ้นตอนโจมตี ส่วน Perk นั้นจะได้จากการทำ Challenge ต่าง ๆ ภายในเกม และก่อนจะติดตั้ง Perk ได้นั้น ก็ต้องใช้เงินซื้อ Perk Slot มาก่อนด้วย ถ้าเทียบกันแล้ว Perk จะปลดล็อคได้ยากกว่า เพราะ Skill นั้น แค่เลเวลถึงก็ได้แล้ว แต่ Perk ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการทำ Challenge นอกจากนั้นเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ จนได้ฐานทัพของตัวเองก็จะมีการวางแผนขยายอำนาจด้วยการเข้าซื้อธุรกิจ และเริ่มทำธุรกิจต่าง ๆ แต่ฉากหลังก็จะเป็นธุรกิจด้านมืด เช่นโรงบำบัดน้ำเสียที่อาจลักลอบทิ้งน้ำเสียลงแม่น้ำได้ เป็นต้น และยังมีธุรกิจอีกมากที่จะช่วยสร้างรายได้ให้เราเป็นกอบเป็ฯกำ และจะทำธุรกิจด้านดีหรือด้านสว่างก็ได้หมด เต็มที่ โดยระหว่างที่เราดำเนินกิจการ เราก็อาจจะโดนแก๊งศัตรูเข้ามาป่วนด้วย ถ้าเราจัดการได้ ก็จะยิ่งทำให้มีรายได้สูงขึ้นในกิจการนั้น ๆหลายคนอาจจะงงว่าแล้วมันน่าเบื่อยังไง นั่นก็เพราะระบบการต่อสู้ของเกมนี้ ที่ประมาณ 60-70% เราจะได้เจอกับมัน คือการใช้อาวุธปืนยิง โดยอาวุธแต่ละอย่างจะปลดล็อคจากการซื้อมา และสามารถอัปเกรดได้โดยทำตามเงื่อนไขที่อาวุธนั้น ๆ กำหนด แต่แม้อาวุธจะหลากหลายก็จริง แต่ศัตรูนี่แหละที่มันไม่ค่อยจะหลากหลายตามอาวุธ แทนที่จะได้ต่อสู้มัน ๆ ตามสไตล์แก๊งสเตอร์ แต่สุดท้ายด้วยความที่มันเป็นแก๊งสเตอร์ ก็ทำให้รูปแบบการต่อสู้ เป็นการยิงปะทะกันเท่านั้นแต่ที่จะสนุกขึ้นมาหน่อย คือรูปแบบการต่อสู้ระยะประชิด ทุกครั้งเวลาเรายิงสังหารศัตรูได้ จะเป็นการเก็บสะสมเกจท่าไม้ตาย และเมื่อเต็ม 100% เราสามารถเข้าไปยังศัตรูตัวใกล้ ๆ และกด E จะเกิดเป็นท่า Finisher สุดเท่ โดยที่ต้องยอมรับกันจริง ๆ คือ Finisher ของภาคนี้ หลากหลายและเท่กว่าภาคก่อน ๆ เยอะ แต่สุดท้ายเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็จะเบื่ออยู่ดี ยิงให้มันตาย ๆ จบ ๆ ไปเลยจะดีกว่า รูปแบบเกมเพลย์หลัก ๆ ของเกมนี้จะเข้าลูปเดิมเมื่อเราปลดล็อคระบบจนหมด คือรับภารกิจ ขับรถไปยังจุดหมาย ลุยแหลก หรือทำอะไรก็ตาม แล้วก็เสร็จสิ้นไปเรื่อย ๆ หนีไม่พ้นความจำเจเดิม ๆ แต่หากพูดให้แฟร์ ทุกเกมก็ล้วนแล้วแต่เป็นแบบนี้ ทำให้ Saints Row ยังคงเป็นเกมที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียวปัญหาบั๊กที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขกว่าจะดีหากใครที่ไล่อ่านรีวิวเกมนี้ในช่วงที่เกมออกมาแรก ๆ จะพบว่าเกมมีปัญหาบั๊กและ Performance เกมค่อนข้างหนักเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ผู้เขียนได้เล่นเกมนี้ช้ากว่าปกติ ทำให้ตัวเกมได้รับการอัปเดตแพทช์ไปบ้างแล้ว และส่วนสำคัญที่เกมอัปเดตมาเลยคือการแก้ไข Performance ของตัวเกมที่มีความเสถียรมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเฟรมเรท เพราะเกมแบบนี้เฟรมเรทสำคัญมากจริง ๆ ต่อมาคือเรื่องของบั๊ก ณ วันที่ผู้เขียนได้เล่นก็เข้าช่วงต้นเดือนกันยายนแล้ว ถือว่าเกมออกมาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่บั๊กที่เจอก็ยังเยอะอยู่ แต่ไม่เยอะเท่าวันที่เกมออกในช่วงแรกอย่างแน่นอน เอาที่โดนมากับตัวเลยคือบั๊กรีโหลดกระสุนไม่สำเร็จสักที จนใช้ปืนกระบอกนั้นไม่ได้ ต้องสลับไปใช้ปืนอื่นแทน นอกจากนั้นก็เป็นเพียงบั๊กเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการแสดงผล หรือแอนิเมชั่นทั่วไปแม้หลายคนอาจจะมองว่า มันไม่มีความเป็น Saints Row เอาซะเลย แต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นความใจเด็ดของ Volition ที่กล้าจะทำสิ่งที่เรียกว่า Reboot จริง ๆ โดยไม่หวังพึ่งบารมีเก่าที่ตัวเองทำเอาไว้ หากมีโอกาส เราก็อยากแนะนำให้คุณลองเล่นกันดู
09 Sep 2022
[Review] รีวิว DLC Back 4 Blood: Children of the Worm เนื้อหาเสริมที่สนุก แต่สั้นจนไม่คุ้มราคา
ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว ที่ Back 4 Blood ผลงานเกมยิงซอมบี้แบบ Co-op ตัวใหม่ของทาง Turtle Rock ที่ได้ออกวางจำหน่ายมา และในช่วงเกือบ 1 ปีมานี้ ก็มีการอัปเดตใหญ่ไปแล้วทั้งสิ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือ Tunnel of Terror และครั้งล่าสุดที่เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มากกว่าครั้งแรก เพราะครั้งนี้ได้เพิ่มเนื้อเรื่องใหม่เข้ามาโดยตรง พร้อมกับตัวละครใหม่ และการ์ดใหม่อีกมากมาย แต่มันจะคุ้มค่า และสนุกแค่ไหน ก็มาดูกันได้กับรีวิวของเรากันไถ่บาปด้วยบุญปืนกับเนื้อเรื่อง Act 5 และตัวละครใหม่ Dan, The Prophet ในเนื้อเรื่องใหม่บทที่ 5 นี้ เหล่า Cleaners หรือผู้รอดชีวิต ที่ต่อสู้จนขับไล่ Abomination จนหลบหนีไปทางใต้ดินได้แล้ว พวกเขาเดินทางมาจนพบกับดินแดนใหม่ ที่เป็นที่อยู่ของลัทธิปริศนา แต่ลัทธินี้กลับถูกโจมตีโดยกลุ่มคนเถื่อนที่พยายามเลี้ยงผู้ติดเชื้อหรือ Ridden เอาไว้ และจับมันผสมพันธุ์กับมนุษย์จนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อันบ้าคลั่ง แถมกลุ่มคนเถื่อนยังจับเอาสาวกของลัทธินี้ไว้เพื่อรอทดลอง Dan หลวงพ่อที่ผันตัวมาจับปืนต่อสู้กับคนเถื่อน และต้องเอาตัวรอดจากฝูง Ridden ได้เจอเข้ากับพวก Cleaners และตัดสินใจบุกถิ่นคนเถื่อน เพื่อช่วยเหลือสมาชิกลัทธิของเขาออกมาจริง ๆ แล้ว Back 4 Blood เป็นเกมที่นำเสนอเกมเพลย์การเล่นมากกว่าเนื้อเรื่องอยู่แล้ว เอาแค่ช่วงเกมหลัก หลายคนก็ต้องมานั่งปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง จากทั้งคัทซีนและ Trailer ที่ทีมงานปล่อยออกมาอยู่แล้ว เนื้อเรื่องจึงอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้น และการมาถึงของ Act 5 ก็เป็นแบบเดียวกัน เราจะได้เห็นตัวละครใหม่อย่าง Dan เปิดตัวแบบงง ๆ ไม่รู้ที่มาที่ไป และเหตุการณ์ใน Act 5 ก็เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วในเวลา 6 ฉากย่อย ๆ เช่นกัน แต่อย่านึกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เพราะในตอนจบของ Act 5 นั้น Dan ก็ได้พูดเอาไว้ว่า ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และตัวเกมยืนยันแล้วว่าจะยังมี Expansion 3 ตามมาอีกด้วย ดังนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า เนื้อเรื่องของ Back 4 Blood จะไปจบลงตรงไหนความยากยังคงอยู่ แถมมากขึ้นเป็นเท่าตัวเกมเพลย์ที่ยังคงคอนเซปต์อภิมหาความยาก แม้เราจะมีของใหม่มาช่วยเสริมให้ แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยจริง ๆ คือสิ่งที่เรียกว่า Teamwork ระหว่างการเล่น เพราะ Back 4 Blood นั้น ขึ้นชื่อเรื่องความยากของเกมมาตั้งแต่ตอนเกมหลักเปิดตัวแล้ว และใน Children of the Worm นี้ ต้องบอกว่าหนักหนากว่ามาก เพราะเงื่อนไขใน Act 5 นั้น มาพร้อมกับระบบ Corruption Card ที่ยากมากขึ้น สำหรับใครที่ไม่รู้ ระบบ Corruption Card จะเป็นเหมือนกับอุปสรรค หรือดีบัฟที่จะเข้ามาทำให้เกมของผู้เล่นยากขึ้นไปอีก Corruption Card ของ Act 5 นี้มีใบหนึ่งที่ค่อนข้างโหดร้ายนั่นคือ Ravenous ที่จะทำให้คุณหิวทุก ๆ 30 วินาที และต้องหาอาหารภายในฉากกินตลอดเวลา หากปล่อยให้ตัวละครหิว ตัวละครจะได้รับอาการบาดเจ็บ 1 หน่วย ซึ่งทำให้พลังชีวิตสูงสุดลดลง ทำให้การเล่นยากมากขึ้น คือนอกจากจะต้องรับมือเหล่าซอมบี้สุดโหดแล้ว ยังต้องวิ่งหาอาหารกินอีกด้วย และคิดดูว่าเกมที่ฝูงซอมบี้มาเป็นคลื่นขนาดนี้ ยิงไป วิ่งหนีไป หาอาหารไป มันจะวุ่นวายขนาดไหน ถ้าไปเล่นกับคนทั่วไป รับรองเลยว่าถ้าไม่สื่อสารกันให้ดี ก็ยากแน่นอนและใน Act 5 นี้ยังมาพร้อมกับศัตรูประเภทใหม่ ซึ่งต่างจากเดิมไปพอสมควร ปกติแล้วในเกม Back 4 Blood ศัตรูในเกมหลักของเราจะเป็นพวก Ridden หรือก็คือซอมบี้ แต่ใน Children of the Worm นี้ นอกจากพวกซอมบี้แล้ว ยังเป็นพวกกลุ่มลัทธิคนเถื่อน ทำให้ศัตรูของเราในคราวนี้เป็นมนุษย์ด้วย และยังมีหลายประเภทอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น Slasher ที่จะวิ่งเข้ามาประชิดตัวเรา หรือมือสไนเปอร์ที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่แม้ว่าจะยิงจัดการได้ง่าย แต่ถ้าพลาดโดนมันยิงขึ้นมาก็อาจจะเจ็บหนักถึงขั้นร่วงได้เลย .ส่วนของเกมเพลย์การเล่นใหม่ก็ยังคงเน้นทีมเวิร์ค โดยเฉพาะในช่วงด่าน Light Guide Us ที่เราจะต้องวิ่งหาอุปกรณ์มาซ่อมเรือ โดยมีเวลานับถอยหลังที่ฝูง Horde จะเริ่มต้น ดังนั้นถ้ามัวแต่วิ่งยิง โดยไม่สนใจการวิ่งไปเก็บอุปกรณ์ซ่อมเรือเพื่อจบภารกิจ รับรองว่าจะวนลูปอยู่กับการยิงจนกระสุนหมด ของหมดแน่นอน ทีมเวิร์คจึงสำคัญมาก หรือในด่าน In the Depths ที่มีรูปแบบการเล่นคล้าย ๆ กับการ Escort ที่เราต้องดันรถไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แถมต้องคอยซ่อมสะพานด้วยการไปหยิบไม้มาซ่อม และต้องคอยยิงซอมบี้ด้วย ทำให้ความหลากหลายในด้านเกมเพลย์การเล่นของ Children of the Worm มีความหลากหลายมากถึงแม้ว่าความยากจะเพิ่มขึ้น แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้น เพราะในการอัปเดตนี้ได้เพิ่มสิ่งของที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Bait Jars ที่เอาไว้ใช้ล่อฝูงศัตรูทำให้เราได้พักหายใจหายคอกันบ้าง ยังกับดักหมีหรือ Bear Traps ที่ถึงแม้ว่าจะใช้งานได้ยาก แต่ในกรณีที่ศัตรูมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน (ซึ่งเกมนี้เราจะเจอบ่อยมาก) ก็อาจจะพอให้เราได้ทำให้เราได้พัก สรุปคือไอเทมใหม่ อาจจะไม่ได้มาเพื่อช่วยให้เราได้เล่นสบายขึ้น แต่ทำให้เราได้มีช่องว่างพักมากขึ้นนั่นเองและในด้านความสามารถของตัวละครใหม่อย่าง Dan, The Prophet เองก็ถือว่าเป็นตัวละครที่นอกจากจะเท่แล้ว ความสามารถยังถือว่าช่วยทีมได้มากอีกด้วย นั่นคือทุก ๆ ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมล้มแล้วไปชุบขึ้นมา ทีมจะได้รับเอฟเฟกต์บัฟแบบสุ่มทุกครั้ง แต่การใช้ Defibrillator หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจชุบชีวิตจะไม่ได้บัฟนี้ การมีตัวละคร Dan ในทีม ทำให้การฝ่าด่านอันทุลักทุเลนี้ อย่างน้อยก็มีตัวช่วยมากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาดูกันให้ดีว่าในทีมมีใครหยิบตัวละครใดมาบ้าง เพราะฟอร์เมชั่นการเล่นแบบเพื่อทีมกับการเล่นแบบเน้นลุยแหลก เอาตัวรอดนั้น เกมนี้จะมีความต่างกันอย่างชัดเจนน่าเสียดายที่การมาถึงของ Act 5 นั้น ค่อนข้างสนุกกว่าระบบ Ridden Hive ใน DLC เสริมตัวก่อนหน้าก็จริง แต่ความยาวของมันก็น้อยมาก โดย Act 5 จะมีความยาวทั้งหมดเพียง 6 ด่านเท่านั้น ถ้าเริ่มเล่นกันที่ระดับความง่ายแบบ Recruit ไม่ถึงชั่วโมงก็จบแล้ว ความสนุกของเกมนี้จึงอยู่ที่ความยากในระดับ Veteran ขึ้นไป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วยก็ต้องระวังหัวร้อนกันหน่อยทางด้าน Performance ด้วยความที่เกมหลักก็ออกมาเป็นปีแล้ว ใครที่เล่นเกมนี้ได้ตั้งแต่ตอนเปิดตัว ก็จะยังสามารถเล่นเกมนี้ได้อยู่อย่างสบาย ๆ หมดปัญหา ถึงแม้ว่าฉากใหม่จะสวยงาม และมีฝูงซอมบี้ถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ Back 4 Blood ทำได้ดีตลอดมาตั้งแต่ช่วงแรกก็คือการ Optimize ตัวเกมข้อดีอีกอย่างสำหรับ DLC Children of the Worm คือ DLC นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อทุกคน ขอเพียงแค่ 1 คนที่ยอมเสียเงินซื้อ หรือคนที่เป็นเจ้าของ Annual Pass อยู่แล้ว คนที่เข้ามา Join เกม ก็จะสามารถเล่นเนื้อหา DLC ได้เลย โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเพิ่มแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจะหารเงินกันให้คนสักคนซื้อ DLC ก็ได้ หรือจะไปเกาะคนอื่นเล่นเอาก็ได้ ไม่เสียหาย แค่จะไม่ได้สกินใน DLC เท่านั้นโดยรวมแล้ว Back 4 Blood: Children of the Worm เป็นการอัปเดตเพิ่มความหลลากหลายให้กับเกมเพลย์การเล่น และสานต่อเนื้อเรื่องที่น่าสนุกมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว มันสั้นเกินไปมาก แต่สำหรับแฟนเกม Back 4 Blood แล้ว ยังไงก็ไม่ควรพลาด
01 Sep 2022
[Review] รีวิวเกม Midnight Fight Express ค่ำคืนแห่งการไล่ล่า กับเกมแอคชันเลือดเดือดที่ลึกกว่าตาเห็น
ศิลปะการต่อสู้ Martial Arts คงเป็นอีกหนึ่งความสนุกที่เราสามารถหาได้จากวิดีโอเกม แม้จะน้อยไปหน่อย หากว่ากันตามตรง เกมแนวนี้ไม่ได้มีออกมามากนัก แถมที่ออกมาก็กระแสไม่ค่อยดีจนภาคต่อไม่มา แต่วันนี้ เราได้เห็นแล้วว่า เกมอินดี้ฟอร์มเล็ก แต่อัดแน่นไปด้วยความสนุก โดยเฉพาะผู้โหยหาความแอ็คชั่นแบบน็อนสต็อป มันทำออกมาได้ดุเดือดแค่ไหน และนี่คือรีวืว Midnight Fight Express เกมแอคชันอินดี้เลือดเดือดน้องใหม่ ที่สนุกร้าวใจไม่แพ้เกมฟอร์มใหญ่หน้าไหนในปีนี้เนื้อเรื่องสุดแสนจะธรรมดาและเข้าใจง่ายคุณ รับบทเป็น Babyface ที่เริ่มต้นมาก็โดนจับกุมอยู่ในห้องสืบสวนสอบสวนของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกำลังโดนสอบสวนอย่างหนัก แต่คุณกลับจำอะไรไม่ได้เลย ในความทรงจำของคุณมีเพียงแค่ว่า อยู่ดี ๆ คุณก็ได้รับพัสดุเป็นเจ้าโดรนที่พูดได้ ก่อนการเปิดฉากโจมตีของแก๊งอาชญากรรมจะเริ่มขึน้จนทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย เพื่อให้การร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราจะต้องนึกให้ออกว่าเราเป็นใคร มาจากไหน และเหตุใดเมืองจึงตกอยู่ภายใต้สงครามแก๊ง อันเป็นจุดเริ่มต้นของ Midnight Fight Express ค่ำคืนแห่งการไล่ล่าสุดโหดสำหรับพล็อตแบบนี้ ถือว่าเป็นพล็อตที่เราอาจจะพบเห็นได้ตามหนังแอ็คชั่นเกรดบีทั่วไปเลยด้วยซ้ำ และเกมนี้ก็ใช้พล็อตง่าย ๆ แบบนี้ อาจดูเหมือนเนื้อเรื่องจะหลวม ๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่ถ้าใครที่ชื่นชอบเรื่องราวฉากหลังของโลกอาชญากรรมใต้ดินแล้วล่ะก็ เกมนี้จะให้บรรยากาศแบบนั้น แม้ว่าเนื้อเรื่องจะไม่ได้เข้มข้นหรือน่าติดตามอะไรสักเท่าไร นอกจากนั้น เกมจะไม่ได้เล่าเนื้อเรื่องแบบครบทุกอย่างในช่วงคัทซีน แต่จะเล่าแบบผ่านช่วงคัทซีน การดำเนินเรื่องครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อผู้เล่นผ่านด่านไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเจอตัวละครใหม่ ๆ ที่รู้ว่าเราเป็นใคร และจะคอยกระตุ้นความทรงจำเราให้กลับมาอีกครั้งด้วย ด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมเล่นแบบ Single Player แถมหลัก ๆ แล้วยังสร้างจากตัวคนเดียวอีกต่างหาก ทำให้เนื้อเรื่องอาจจะเป็น Point รองลงมา แต่บางช่วงก็ถือว่าน่าสนใจใช้ได้อยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการย่อยง่าย เข้าถึงง่ายแบบที่เราเห็นตามหนังแอ็คชั่นทั่วไปเกมขนาดเล็กที่ปริมาณคอนเทนต์ไม่ได้เล็กตามMidnight Fight Express ถือว่าเป็นเกมอินดี้เลยก็ว่าได้ เพราะเกมนี้สร้างจากผู้สร้างเพียงคนเดียวคือ Jacob Dzwinel เท่านั้น แต่ถึงแม้การทำเกมหลัก ๆ จะมีคนเดียว ด้านของปริมาณคอนเทนต์และการนำเสนอนั้น ไม่ได้เป็นสองรองเกมยักษ์ใหญ่จากค่ายต่าง ๆ เลย เริ่มจากจำนวนด่าน Midnight Fight Express มีความยาวด่านให้เล่นมากถึง 40 ด่านด้วยกัน แต่ละด่านจะมีความยาวในการเล่นไม่เท่ากัน แต่หัวใจหลักคือการบู๊แหลก เตะต่อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าบางด่านนั้น อาจลุยแบบน็อนสต็อป 4-5 เวฟ จบ แต่บางด่านอาจจะมีการเปลี่ยนฉาก เปลี่ยนอรรถรสในการต่อสู้ไปเรื่อย ๆ นอกจากความยาวที่มากถึง 40 ด่านแล้ว ยังมีความยากให้เลือกเล่นมากถึง แบบ โดยใครที่จบความยากรอบแรก ๆ ไปแล้ว แต่ติดใจความสนุกก็วนมาเล่นซ้ำได้ในความยากที่สูงขึ้น ซึ่งต้องบอกเลยว่า ไม่หมูสักเท่าไรนัก ใครชอบความท้าทาย ชอบความยากในระดับที่เล่นสนุก เล่นเพลิน และเป็น Martial Arts เน้นเตะต่อย ๆ มัน ๆ แบบนี้ เกมนี้จะตอบโจทย์คุณมากเอาแค่ความยาวในการเล่น 40 ด่านนั้น ก็ว่าเยอะมากแล้ว แต่ทั้งหมดนี้ก็คือคอนเทนต์หลักของตัวเกม เพราะนอกจากโหมดเนื้อเรื่องแล้วเกมก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ได้เล่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบ คือระบบ Playground หรือห้องทดลองเล่น ทุกครั้งที่เราปลดล็อคสกิล หรือกระบวนท่าใหม่ ๆ มา หากอยากลองใช้งาน หรือดูว่าจะนำไปใช้งานในสถานการณ์จริงได้ยังไงนั้น ก็สามารถเข้าไปลองเล่นใน Playground ก่อนได้ แถมระบบนี้เขาไม่ได้ออกแบบมาเล่น ๆ เลย มันเหมือนกับเป็นอีกโหมดที่เราสามารถปรับแต่งได้ตามใจอย่างอิสระ เรากำหนดได้เลยว่าจะให้มีคู่ต่อสู้กี่คน ใช้อาวุธอะไร เข้าโจมตีเราแบบไหน และกำหนดได้ด้วยว่าตัวละครของเรา จะปลดล็อคสกิลอะไรมาใช้งานได้บ้าง เอาง่าย ๆ คือเราทดลองทำทุกอย่างได้จากโหมดนี้ ทำให้เราศึกษาได้เลยว่า สกิลไหนเป็นประโยชน์ ปลดล็อคดีหรือไม่ดีอีกฟีเจอร์ที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ สำหรับคนที่ชอบอวดชาวบ้านแบบเท่ ๆ ก็คือฟีเจอร์การเซฟภาพเป็น .gif โดยทุก ๆ ฉากที่เราเล่นจบและเคลียร์จบไปนั้น ตัวเกมจะเลือกฉากเด็ดให้เราเองโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็ทำเป็นภาพ .gif เอาไว้ให้ทุก ๆ การจบฉาก หากเราชื่นชอบซีนนั้น จะสามารถกดบันทึกภา่พ .gif ฉากนั้นเอาไว้ได้เลย โดยภาพ .gif จะถูกเซฟไว้ที่โฟลเดอร์ที่เราติดตั้งเกมของเราเอง สามารถนำไปอัปโหลดลงโซเชียล อวดเพื่อน ๆ กันได้ จริง ๆ ฟีเจอร์นี้ไม่ใช่ของใหม่ เพราะเกมที่เน้นความเท่ แอ็คชั่นเอามันอย่าง My Friend Pedro ก็ทำมาแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่เจ๋งดี เวลาที่เราอยากอวดคนอื่น แต่ถ้าใครไม่ชอบ ก็ใช้วิธีอัดวิดีโอเอาไว้ แล้วไปแคปเจอร์ย้อนหลังเอาก็ได้ อาจจะยุ่งยากกว่า แต่จะได้ฉากที่ค่อนข้างชัวร์กว่าว่าเราเท่จริงด้วยปริมาณคอนเทนต์ของตัวเกมขนาดนี้ ต่อให้เป็นเกมอินดี้ แต่สามารถตอบโจทย์ความเป็นเกมแอ็คชั่นได้อย่างเต็มอิ่ม สำหรับราคา 289 บาทบน Steam นั้น ถือว่าไม่มากเกินเลย และยิ่งใครที่เล่นบน Xbox Game Pass ด้วยแล้ว มีแต่คำว่าคุ้มกับคุ้มจริง ๆ แอ็คชั่นแบบน็อนสตอป มันส์ระห่ำจนเมื่อยนิ้ว ปวดมือMidnight Fight Express จัดอยู่ในหมวดของเกม Beat 'em up ก็ว่าได้ แต่จะเป็น Beat 'em up ที่ใช้มุมกล้องจากด้านบน ออกแนว Isometric ในการนำเสนอ เราจะได้ควบคุมตัวละครไปได้ทุกทิศทาง ซ้าย ขวา หน้า หลัง และเกมนี้เป็นเกมแบบเส้นตรง ไม่ค่อยมีซอกซอยหรือความลับอะไรให้สำรวจมากสักเท่าไร แต่ว่าในเกมการเล่นของแต่ละฉากก็จะมี Challenge มีเงื่อนไขที่หากเราเก็บครบก็จะได้ของรางวัลเพิ่มขึ้นอยู่เหมือนกัน แต่ความแสบของเกมนี้คือ Challenge ต่าง ๆ ทั้งหมดของฉากนั้น จะไม่เปิดเผยในครั้งแรกที่เราได้เล่น แต่จะเปิดเผยก็ต่อเมื่อเราเล่นจบฉากนั้นไปแล้ว การทำแบบนี้ทำให้เกิดคุณค่าในการเล่นซ้ำขึ้น ซึ่งก็อยู่ที่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบกันสำหรับวิธีการเล่นซ้ำแบบนี้แต่สำหรับเกมนี้สิ่งที่ต้องยอมรับว่าสนุกมาก เพราะนี่คือเกมแอ็คชั่นที่เราจะได้ซัดแหลก บู๊ยับกันแบบน็อนสต็อปต่อ 1 ด่าน รับรองว่ารัวจอยกันจนเมื่อยนิ้วไปข้างนึงเลยทีเดียว เงื่อนไขในการผ่านฉากต่าง ๆ ของเกมนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการถล่มคู่ต่อสู้จนหมดฉาก แต่ไฮไลท์ของมันคือการใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ของการต่อสู้ ตัวละคร Babyface ของเรา จะมีความสามารถที่คล้ายกัตัวละครจากหนังประเภท 1vs100 นั่นคือต่อให้ศัตรูจะขนกันมาทั้งกองทัพ คนเดียวเอาอยู่ อารมณ์ตอนเล่นจะไม่ต่างจาก John Wick เลย ยกเว้นแค่ตอนคุณไม่มีปืน เพราะเกมนี้ปืนจะมีให้เก็บเป็นบางช่วงเท่านั้น หลัก ๆ จะเน้นไปที่การเตะต่อยมากกว่าความสนุกของเกมนี้คือการที่เราจะต้องบู๊แบบไม่มียั้งของจริง นี่คือเกแอคชั่นบริสุทธิ์ที่คุณอาจจะหาจากเกมอื่นไม่ได้มานานมากแล้ว ตลอดทั้งเกม ตลอดทั้งฉาก คุณจะต้องสู้เพื่อผ่านไปเท่านั้น และความเข้มข้นของมันถูกนำเสนอออกมาผ่านการออกแบบศัตรูที่มีหลากหลายประเภท ผสมเข้ากับ Moveset การโจมตีของ Babyface ที่แรกเริ่มเดิมทีก็มีความสามารถรอบตัวอยู่แล้ว เกมยังมีระบบ Skill & Upgrade ให้เราได้เพิ่มความสามารถของ Babyface ให้โหดมากยิ่งขึ้นไปอีก แถมมาพร้อมลีลาท่ายากอีกมากมายที่ดูแล้วว้าวจนอยากไปหาหนังแอ็คชั่นมัน ๆ สักเรื่องดู ไม่ว่าจะเป็ฯการกลิ้งตัวกระโดดเตะ การสอยอัปปอร์คัท หรือการ Parry ในรูปแบบต่าง ๆ การจับศัตรูเหวี่ยง และอีกมากมายแต่เห็นตัวละครเราโหดขนาดนี้ อย่าคิดว่าเกมมันจะง่าย เพราะนี่อาจจะเป็ฯอีกหนึ่งเกมยากที่จะมาท้าทายความสามารถคุณเลยก็ได้ ในช่วงด่านแรก ๆ คุณอาจจะคิดว่า มันก็ง่ายดี ไม่มีอะไรท้าทายตรงไหน แต่เมื่อเข้าสู่สักช่วงด่านที่ 6 ขึ้นไป คราวนี้คุณจะได้พบเจอกับ "ของจริง" ศัตรูแต่ละตัวจะไม่ล้มด้วยหมัด 3-4 หมัดหรือการ Parry สวนกลับอีกต่อไป แถมบางตัวจะไม่สนการโจมตีของเรา สามารถสวนกลับเข้ามาได้ดื้อ ๆ บางตัวมีสกิลชนิด One Burst Kill หรือตีเรารัว ๆ จนตาย หากไม่ระวัง เอาแค่ช่วงต้นเกม ยังไม่พ้นด่าน 10 คุณก็ปาดเหงื่อ และปวดนิ้วจากการรัวจอย ทั้งหลบ ทั้ง Parry ทั้งสู้กลับแล้ว บางช่วงนี่แทบจะกลิ้งหลบกันเป็นเกม Souls เลยก็ว่าได้ สิ่งจำเป็นในการเล่นเกมนี้คือ "สติ" และ "คิดไว" ทุกครั้งที่ศัตรูปรากฎตัวออกมา เราต้องดูซ่าตัวไหนจัดการได้ไวที่สุด โค่นง่ายที่สุด แล้วรีบจัดการ ก่อนมันจะมากันเยอะจนไม่รู้จะสู้ยังไงนอกจากกลิ้งต่อย ๆ สกิลที่ปลดล็อคมาแล้วจะช่วยให้เรามีทางเลือกในการสู้มากขึ้น เช่นเตะของใส่ศัตรู กระโดดเข้าไปถึงตัวในระยะประชิด หรืออื่น ๆ อีกมากมาย และหากเราเลี้ยงคอมโบสะสมหลอด Rage จนเต็ม เราจะได้รับพลังโจมตีเพิ่มชั่วคราวที่จะช่วยเคลียร์ศัตรูได้ดีมาก แต่ปัญหาคือการสะสมหลอด Rage นี่แหละที่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเราต้องโค่นศัตรูให้ได้อย่างต่อเนื่อง หากโดนโจมตีขึ้นมา หลอดก็จะสะสมได้ช้าลง นอกจากนั้นระบบการสะสมคะแนนของเกมนี้ หากเราจัดการศัตรูไม่ทัน ตัวคูณคะแนนก็จะหายไป แต่การโดนโจมตีเพียง 1-2 ครั้ง จะไม่ถูกหักตัวคูณ ดังนั้นบางสถานการณ์ เราอาจจะต้องเสี่ยงเจ็บตัวเล็กน้อย เพื่อสะสมตัวคูณคะแนนและหลอด Rage เอาไว้แม้ว่าจะเล่นด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดได้ แต่ผู้เขียนแนะนำว่าให้ต่อจอยเล่นเกมนี้ดีกว่า เพราะจอยจะมีการควบคุมที่ลื่นไหลกว่า ด้วยจำนวนปุ่มที่อยู่ใกล้นิ้วมือของเรามากกว่าบนคีย์บอร์ด ทำให้การออกท่าทาง หรือปฏิกิริยาตอบสนองที่เรามีกับตัวเกม สามารถทำได้ง่ายกว่า แต่ใครอยากท้าทายความสามารถตัวเองด้วยเมาส์ คีย์บอร์ด ก็จัดไป เล่นได้เหมือนกัน แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้ชินนอกจากคอนเทนต์หลักของตัวเกมจะมีแต่การตะลุยด่านแบบเพียว ๆ แล้ว ตัวเกมยังมีการปรับแต่งตัวละครและสร้างตัวละครได้ โดยการเล่นจบในแต่ละฉาก หากทำ Challenge ต่าง ๆ ได้มากเท่าไร เราก็จะได้รับโบนัสเงินรางวัลได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ประโยชน์อย่างเดียวของเงินในเกมนี้เลยก็คือการเอาไปปรับแต่งตัวละคร ปรับแต่งที่ว่า คือการปรับแต่งจริง ๆ เช่นการซื้อเสื้อผ้า อุปกรณ์แต่งกาย ของแต่งตัว ที่ทำให้ตัวละคร Babyface ของเรา มีเอกลัษณ์ในแบบที่เราอยากจะให้เป็น แม้จะดูไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร แต่สำหรับใครที่เบื่อตัวละครแรกเริ่ม ก็ถือว่ามีอิสระมากพอสมควรในการสร้างตัวละครที่ใจต้องการMidnight Fight Express เป็นเกมแอ็คชั่นที่จะทำให้คุณอะดรีนาลีนสูบฉีดแทบจะตลอดเวลา ข้อเสียของมันซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อเสียด้วยคือ เล่นนานแล้วปวดมือ ปวดนิ้ว เพราะการรัวปุ่ม ถ้าจะให้แนะนำจริง ๆ ล่ะก็ เล่นจบสักด่านสองด่านก็พักบ้าง ยืดเส้นยืดสายบ้างจะได้ไม่ตึงหรืออ่อนล้าสะสมในแง่ของการซื้อ 289 บาท ต้องบอกว่ายังไงก็คุ้มค่ากับความมันส์ของตัวเกม แต่หากเล่นบน Xbox Game Pass ก็ยิ่งคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้คุณภาพสูงที่เราอยากแนะนำว่าไม่ควรพลาด ถ้าจะมีข้อเสีย ก็คือมันอาจไม่ใช่เกมที่ทุกคนจะเอ็นจอยได้ กับการบู๊ล้างผลาญแบบถอดสมองเท่านั้น Midnight Fight Express วางจำหน่ายแล้ววันนี้ บน PC และ Console
31 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม The Last of Us Part I กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดเกมซอมบี้ตลอดกาล ด้วยขุมพลังกราฟิกอันทันสมัย
เป็นเกมที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากเมื่อปี 2013 สำหรับเกม The Last of Us จากทางผู้พัฒนา Naughty Dog และได้รับคำชมมากกับการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้อยู่แล้วเพราะเคยทำเกมอย่าง Uncharted มา จนทำให้ The Last of Us ได้คะแนน 10/10 จากสำนักสื่อต่าง ๆ มากมาย และตัวเกมก็กลายเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ของเครื่อง PlayStation 3 เลยทีเดียว จนในปี 2020 พวกเขานั้นก็ได้สร้างเกมภาคต่อกับ The Last of Us Part II ที่ตัวเกมก็ยังสร้างมาตรฐานในด้านของเนื้อเรื่องเอาไว้ได้อย่างดี ได้รับคำชมมากมายและสุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมจากงาน The Game Awards ปี 2020 ไปครองจนได้และเนื่องจากความสำเร็จของเกม The Last of Us Part II ในปี 2022 นี้ทางผู้พัฒนาเลยได้ทำการ Remake เกมภาคแรกอีกครั้งและใช้ชื่อว่า The Last of Us Part I เพื่อเสิร์ฟให้กับคนที่อาจจะไม่เคยเล่นภาคแรก เพื่อให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ท่านได้ทราบกัน ว่า The Last of Us Part I เหมาะในการที่จะซื้อมาเล่นหรือไม่ และเหมาะกับใคร!?ยกระดับขุมพลังด้วยกราฟิกของเกม The Last of Us Part IIต้องพูดถึงจุดเด่นของเกม The Last of Us Part I ก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ทางผู้พัฒนานั้นได้ทำการปั้นโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจาก Engine ขั้นเทพของเกม The Last of Us Part II สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเครื่อง PlayStation 5 เราจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในด้านโมเดลและแอนิเมชันของเกมที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับในด้านกราฟิกว่าสวยงามมากจริง ๆ ทั้งในด้านแสงหรือบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น แต่ในบางโมเดลของตัวละครอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากภาคแรกอย่างเช่นตัวละคร Tess ที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาไป และในเวอร์ชันนี้ตัวเธอนั้นดูมีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในด้านเทคโนโลยีที่หน้าตาเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้การคำนวนต่าง ๆ นั้นเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทาง Sony ก็เคยเปลี่ยนหน้าตาของ Peter Parker ในเกม Marvel's Spider-Man Remastered มาแล้วภายในเกมยังมีให้เราปรับกราฟิกอยู่สองแบบคือโหมดประสิทธิภาพ ที่จะรันกราฟิกได้สูงถึง 1440p (สำหรับคนใช้จอความละเอียดสูง) และจะสามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 60FPS และอีกอันก็คือโหมดแม่นยำ ที่จะมีกราฟิกที่คมชัดมากกว่า แต่จะรันเฟรมเรทได้เพียงแค่ 30 FPS ซึ่งจากที่ได้ลองแล้วนั้น ในบางฉากโหมดแม่นยำจะสามารถทำกราฟิกที่สดใสกว่า รายละเอียดในฉากระยะไกลก็จะคมชัดทั้งหมด แสงเงาต่าง ๆ จะทำได้ดีกว่ามาก ต่างจากโหมดประสิทธิภาพที่ภาพบางฉากจะมัวเพื่อให้เครื่องเกมสามารถรันเฟรมเรทได้อย่างคงที่ ซึ่งส่วนตัวนั้นถนัดในโหมดประสิทธิภาพและรัน 60FPS มากกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าโหมดแม่นยำเองก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร ใครที่สามารถเล่น 30 FPS ได้ส่วนตัวแนะนำเลยรวมถึงตัวเกมนี้ยังรองรับฟังชันต่าง ๆ ของจอย DualSense ด้วยทั้งระบบ Addictive trigger ที่จะเพิ่มประสบการณ์ให้เราในขณะที่ใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นการใช้ธนูเวลากด R2 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเราง้างธนูจริง ๆ อยู่ หรือระบบการสั่นที่จะสั่นตามสถานการณ์ของเกมซึ่งมันสามารถมอบประสบการณ์ทียอดเยี่ยมให้เราในเวลาเล่นอย่างมาก รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่อง PlayStation 5 ที่จะสามารถโหลดฉากต่าง ๆ ของเกมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยพลังของ SSD นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่เรียกว่าการเข้าถึง ที่สามารถปรับแต่งเกมเพลย์ตามสไตล์ของเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัด Input ของเกมใหม่ เช่นสามารถเลือกได้ว่าเวลาวิ่งจะกดค้าง หรือเป็นกดเปิด/ปิด การปรับตัวช่วยเล็ง การปรับหยิบอุปกรอัตโนมัติ หรือจะตั้งค่าให้เปลี่ยนอาวุธอัตโนมัติถ้าหากกระสุนหมดก็ได้ การปรับ Motion Sick ระยะมุมมอง หรือแม้กระทั่งการปรับแต่งระดับความยาก ที่เราสามารถลดความแม่นยำของศัตรูได้ ลดความสามารถรับรู้ของศัตรูได้เป็นต้น  ให้คุณได้ซึมซับเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยมในด้านของความเนื้อเรื่องเราคงจะไม่ได้เจาะลึกมากในบทความนี้ เพราะ The Last of Us Part I ก็จะยังเป็นเรื่องราวที่เหมือนกับในเวอร์ชันดั้งเดิมของเกมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กับการเล่าเรื่องราวของ Joel นักลักลอบของเถื่อนที่ได้รับงานในกาส่งเด็กน้อยจอมแก่นคนหนึ่งนามว่า Ellie และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นในระหว่างการเดินทาง และเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ โดยเราจะได้รับรู้สึกความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่พึ่งรู้จักกันจนทั้งคู่คือคนสำคัญของกันละกัน เราจะได้เห็นถึงพัฒนาการแรกเริ่มของตัวละคร Ellie ในความไร้เดียงสาของภาคนี้ สู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพบเจอกับเหตุการร์สำคัญที่มันได้สานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้นในเกม The Last of Us Part II นั่นเอง รวมถึงในภาคนี้ทางผู้พัฒนายังรวมนำเอา DLC อย่าง Left Behind ที่เราเรื่องราวของ Ellie และเพื่อนสนิทของเธอ Riley ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเกมภาคหลักด้วย (แต่ทางผู้พัฒนากล่าวว่าควรจะเล่นเกมหลักก่อน เพราะเรื่องราวใน Left Behind จะมีการสปอยส์เนื้อหาสำคัญในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง) แน่นอนว่าใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชันดังเดิมมาก่อน เนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Last of Us Part I ก็จะยังคงเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมจากภาคแรกจากที่ได้เล่นมาถึงแม้ว่าทางผู้พัฒนาจะกล่าวว่าตัวเกมนั้นมีการยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ทั้งหมดก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามวลเกมเพลย์โดยรวมนั้นก็จะยังให้ความรู้สึกที่คงเดิม ศัตรูต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ก็จะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเราเองสามารถรับรู้ได้ถึงแอนิเมชันของตัวละคร หรือฟิลลิงในการยิงปืนบางอย่างที่อาจจะรู้สึกแตกต่างบ้าง แต่ใครที่เคยเล่นเวอร์ชันปี 2013 มาก่อน และคาดหวังว่าตัวเกมจะให้อะไรที่แปลกใหม่ ท่านก็อาจจะต้องผิดหวังในเรื่องนี้แต่แน่นอนว่าถึงแม้เกมเพลย์ของ The Last of Us Part I จะยังคงเดิม แต่นี่ก็ยังเป็นเกม Action Adventure ที่ทำออกมาได้อย่างละเมียดละมัย ในด้านเกมเพลย์ ความตืนเต้น การลอบเร้น A.I. ศัตรูก็มีความฉลาด รู้จักโอบล้อมไม่ให้ผู้เล่นอยู่ในจุด ๆ เดียวมากเกินไป การที่เราจะต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มีในการสังหารศัตรูให้หมด ความตื่นเต้นนี้จะยังคงอยู่ รวมถึงระบบที่หายไปในเกม The Last of Us Part II ก็คือระบบการปรับแต่งปืน ซึ่งเป็นความสามารถของ Joel ที่ในเวอร์ชันนี้ก็ยังอยู่ และส่วนตัวชอบมันมากเกมนี้เหมาะกับใครถ้าให้พูดว่า The Last of Us Part I นั้นเหมาะกับใคร ส่วนตัวมองว่าถ้าหากคุณนั้นเล่นเกมเวอร์ชันปี 2013 มาก่อนแล้ว จริง ๆ ในเกมเวอร์ชันนี้กลิ่นอายทั้งหมดแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง หรือเกมเพลย์ ตัวเกมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และอยากจะลองสัมผัสสุดยอดเกมที่ทั้งเนื้อเรื่องและเกมเพลย์อันดีงามแบบนี้สักครั้ง หรือคนที่เคยเล่นแต่เกมภาค 2 การกลับมาเล่นเกมนี้ในเวอร์ชันใหม่ก็จะทำให้คุณเข้าใจถึงเนื้อเรื่อง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Joel และ Ellie ยิ่งขึ้น ทำให้คุณได้รู้ว่าทำไม Joel ถึงสำคัญกับ Ellie มากขนาดนั้นหรือใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน และยังภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน การกลับมาเล่นภาคนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเกมภาค 2 ให้คุณได้เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ลึกซึ่งมากขึ้น โดยตัวเกมวางขายอยู่ที่ราคา 2,290 บาท ในเวอร์ชันปกติ และ 2,590 บาท ในเวอร์ชัน Deluxe ที่เราจะสามารถปลดล็อคความสามารถ หรือปลดล็อคโหมดบางโหมดเช่น Speed Run โดยที่ไม่ต้องเล่นจนจบเกมก็ได้ สั่งซื้อเกมได้ที่
28 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Farthest Frontier เกมสร้างเมืองภาพสวย เล่นเพลิน สร้างความเจริญได้หลากหลายสเกล
Farthest Frontier เป็นเกมสร้างเมืองในยุคโบราณ ที่สร้างโดยทีมงานมากประสบการณ์อย่าง Crate Entertainment พวกเขาได้สร้างชื่อเสียงมาแล้วกับเกม Grim Dawn ซึ่งตอนผู้เขียนเห็นเกม Farthest Frontier ลงวางขายใน Steam และเห็นชื่อของผู้พัฒนา แอบตกใจอยู่เหมือนกันครับ เพราะแนวเกมฉีกออกจากเกมดังอย่าง Grim Dawn ไปเลย จนทำให้ตัวผู้เขียนอดรนทนไม่ไหว ด้วยความที่เป็นติ่งเกมแนวนี้ เลยรีบไปกดซื้อมาเล่นอย่างเร็วไว เพราะอยากสัมผัสด้วยตัวเอง และเดี๋ยวจะมารีวิวจากก้นบึ้งของหัวใจดวงน้อย ๆ ให้ได้อ่านกันครับเกมใหม่ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่บอกกันตามตรงเลยครับ ว่าตอนที่ซื้อมาเล่นตัวผู้เขียนแอบคาดหวังว่ามันคงมีอะไรใหม่ ๆ บ้าง แต่พอเล่นดูจริง ๆ ผมบอกแบบตะโกนเลยครับว่า "Foundation ก็ยังเป็นที่ 1 ในใจของเกมแนวสร้างเมืองยุคโบราณ และยังไม่มีใครมาล้มแชมป์ได้"อันนี้เป็นแค่ความรู้สึกของผู้เขียนเท่านั้นนะครับ เพื่อน ๆ เล่นดูอาจจะชอบก็ได้ เพราะ Farthest Frontier เป็นเกมที่ภาพสวยมาก ๆ และสร้างเมืองได้อิสระ ถึงแม้ว่าทรัพยากรบางอย่างจะหายากมาก ๆ และถ้าวางแผนไม่ดีอาจจะต้องรีเมืองเพื่อสร้างกันใหม่ แต่ก็ยังสร้างความเพลิดเพลินให้ได้อยู่ในรูปแบบเดิม ๆ  กรอบเดิม ๆ เหมือนเกมแนว ๆ นี้ทั่วไปตามท้องตลาด ครับเกมเพลย์เดิม ๆ สร้างเมืองสุดแสนจะธรรมดา ที่เคยเล่นมาแล้วจากเกมอื่น ๆ เบื้องต้นเริ่มเกมมาเราสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ครับ สามารถเลือกสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นเมืองในหุบเขา, เมืองในที่ราบลุ่มแม่น้ำ, เมืองในที่แห้งแล้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย จะมีความยากง่ายในการหาทรัพยากรตามสภาพแวดล้อมของแผนที่ และเราสามารถเพิ่มความท้าท้ายให้มากขึ้นได้ด้วยการเลือกความใหญ่เล็กของแผนที่ และเพิ่มภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ และการรบรากับโจร หรือผู้บุกรุกเมืองได้ครับ เกมนี้เป็นเกมแนวสร้างเมืองเอาตัวรอดที่คล้ายกับเกมอื่น ๆ มีการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มจากน้ำ อาหาร ไม้ หิน และอื่น ๆ ตามมา โดยที่เริ่มเกมมาจะไม่มีการแนะนำหรือสอนการเล่น ตัวเกมจะให้ผู้เล่นลองผิดลองถูกกันเอง เกมมีการคำนวณว่าภูมิประเทศในจุด ๆ นั้น จะส่งผลยังไงกับทรัพยากร เช่น ถ้าเราตั้งเมืองในพื้นที่สูงเราก็จะพบกับปัญหาว่าบ่อน้ำของเราผลิตน้ำได้น้อย พื้นที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับการเพาะปลูก เป็นต้นสิ่งปลูกสร้างที่เราสร้างก็จะส่งผลกับพื้นที่รอบ ๆ เช่น ถ้าเราสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เป็นการผลิต เช่น โรงเลื่อยไม้ พื้นที่บริเวณนั้นก็ถูกลดค่าความต้องการในการอยู่อาศัยลง (อารมณ์เหมือนในชีวิตจริงถ้ามีโรงเลื่อยอยู่ข้างบ้าน หูแตกแน่ ๆ ครับ) เกมจะมีเปอร์เซ็นต์ค่าการอยู่อาศัยให้เราได้เห็นว่าประชากรของเรามีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีในพื้นที่ตรงนั้นไหมการตั้งค่าเล่นเกมแบบง่ายที่สุดไม่ได้หมายความว่าประชากรของเราจะไม่มีปัญหาเรายังสามารถพบเจอปัญหาต่าง ๆ ทั่วไปในระดับที่สามารถสร้างความล่กให้เราได้อยู่เหมือนกันครับ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เตรียมใจมาเจอปัญหา อุตส่าห์ตั้งค่าเพื่อไม่ให้เจออุปสรรคทั้งร้อยแปดพันเก้า แต่บอกเลยครับว่าเราจะยังเจอปัญหาในทุกรูปแบบจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ผมรีเกมใหม่ไปหลายรอบอยู่ครับ ฮ่า ๆ ผู้เขียนลองตั้งค่าทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ก็ยังเจอพี่โจรพากันมาบุกเมืองอยู่, ชาวบ้านยังโดนน้อนหมีหรือสัตว์ป่าที่ดุร้ายดักตบดักตีอยู่ตลอดเวลา, และขนาดภัยธรรมชาติต่าง ๆ ยังตามมาหลอกหลอนไม่ให้เราได้พักหายใจกันเลย แม้ระดับเกมที่เล่นอยู่จะเป็นอีซี่ (โถมเข้ามาไม่เกรงใจระดับที่ตั้งเอาไว้เลย ฮ่า ๆ) สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ยังโดนไฟไหม้ บ่อยจนชนิดที่ว่าผมต้องสร้างบ่อน้ำเอาไว้ใกล้ ๆ และกระจายเอาไว้ในหลาย ๆ จุด อาจจะไม่โหดร้ายตายกันเกลื่อนกลาดเต็มเมืองแบบปรับยากสุดทุกอย่าง แต่รับประกันเลยว่าหนีมันไม่พ้นครับ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าฉะนั้นเราต้องอย่าพยายามหนีปัญหาและเราควรเผชิญหน้ากับมัน ฮ่า ๆ ๆ ๆระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - บอกเลยว่าเป็นเกมสร้างเมืองที่ภาพสวยมาก ๆ ครับ มาในรูปแบบ 3D ไม่สามารถหมุนได้ 360 องศา รายละเอียดโมเดลดีงาม ได้บรรยากาศที่ดีในการเล่น ระบบไม่ลึกลับและไม่ซับซ้อน ไม่ได้แปลกใหม่หรือพิเศษอะไร ไม่ได้รู้สึกว้าวมากกว่าเกมเก่าใด ๆ ในแนวเดียวกัน เพราะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เล่นได้เพลิน ๆ ยาว ๆ อย่าไปเร่งรีบ ก็ฆ่าเวลาดี ระบบตลาดค้าขาย ก็ธรรมดา ๆ แอบอยากเห็นความแปลกใหม่แต่มันก็ดันไม่มี ดีที่ภาพจริง ๆ ครับการควบคุม - ก็ไม่ต่างจากเกมอื่น ๆ ครับในส่วนนี้ ระบบพื้นฐานธรรมดา W, A, S, D หรือคลิ๊กเม้าส์ขวาค้างไว้แล้วลาก ใช้เลื่อนทิศทาง, ปุ่ม 1 2 3 4 ใช้เร่งความเร็วของเกม, กดลูกกลิ้งบนเม้าส์เพื่อซูมเข้าซูมออก ฯลฯ ใช้งานไม่ยากครับ เพราะเราจะคุ้นเคยจากเกมอื่น ๆ มาแล้ว ถ้าคนเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้ว มาเล่น Farthest Frontier นี่แทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยUI - ใช้งานง่ายครับ มีให้ใช้ทั้งแบบคีย์ลัดหรือเอาเม้าส์ไปจิ้ม ๆ เมนูต่าง ๆ ถูกจัดสรรอยู่อย่างเป็นระเบียบเปิดใช้งานออกมาก็ยังไม่รกตา คีย์ลัดก็ไม่ได้มีเยอะมากมาย อาจจะไม่ต้องใช้สมองในการจำมันมากครับ ในส่วนนี้ถือว่าผู้พัฒนาทำมันออกมาได้ดีทีเดียวสรุปอย่างที่ผู้เขียนได้กล่าว ๆ ไปบ้างแล้วข้างต้น มันก็เป็นเกมที่เหมือนกับเกมแนวนี้อื่น ๆ ที่มีวางขายอย่างดาษดื่นในท้องตลาด ระบบต่าง ๆ ของเกมนี้ยังไม่ทำให้ผู้เขียนตื่นตาตื่นใจ หรือแม้แต่ความตื่นเต้นที่มันควรจะมีบ้าง มันก็ไม่ได้มีให้รู้สึกครับ เกมเพิ่งเปิดและเป็นช่วง Early Access ถึงแม้ว่ามันจะมีบัคอยู่ค่อนข้างเยอะในเกม แต่ผู้เขียนมองว่าเกมนี้ยังสามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนและต่อยอดได้อีกไกลครับ เพราะทางผู้พัฒนาเองเคยได้ประกาศมาบ้างแล้วว่า "ในอนาคตอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ในบางส่วน หรือเพิ่มอะไรเข้าไปในเกม ตามที่ Dev เห็นว่า "เหมาะสม" ครับผมว่าเกมนี้ถ้าใครชอบแนวสร้างเมืองในยุคโบราณ ควรซื้อติดคลังเอาไว้ เพราะราคามันก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร วางขายลงใน Steam เพียง 379 บาท ยังไงก็เล่นได้เพลิน ๆ ปรับความยากง่ายเพื่อท้าทายตัวเองได้อีกด้วย ผู้เขียนมองว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกครับ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้โดดเด่นเหมือน Foundation ที่เป็นเกม No.1 ในดวงใจของใครหลาย ๆ คนรวมทั้งตัวผู้เขียนด้วย แต่โดยรวมของเกมนี้ก็ไม่ได้แย่ครับ มันก็ยังเล่นสนุกมาก ๆ ยังไงมันจะดูดเวลาชีวิตของเราแน่นอนและข้อดีของเกมนี้คือมีคนไทยใจดีจากเพจ ว่างๆก็หาเกมมาแปล ได้แปล Mod ภาษาไทยของเกม Farthest Frontier เอาไว้ให้เราได้โหลดมาใช้งานกันฟรี ๆ พร้อมสอนติดตั้งละเอียดยิบ อัพเดท Mod ภาษาให้ตลอดหลังจากเกมมีอัพเดท (เราต้องดาวน์โหลด Mod มาลงใหม่ทุกครั้งที่เกมมีอัพเดทครับ) ใครซื้อเกมมาแล้วอยากให้ตัวเกมมีภาษาไทยสามารถไปโหลดได้ตามลิ้งก์นี้เลยนะครับ ดาวน์โหลดมอดภาษาไทยสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1044720/Farthest_Frontier/
27 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Soul Hackers 2 "เกมสูตรสำเร็จที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่ร้าวใจคอ JRPG"
แม้จะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยในช่วงที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1997 แต่เกม Devil Summoners: Soul Hacker ก็ห่างไกลความสำเร็จของเกมพี่น้องในตระกูล Shin Megami Tensei อยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์ชื่อดังอย่าง Persona ที่มักถูกยกย่องให้เป็น “สุดยอดเกม JRPG แห่งยุค” โดยนักวิจารณ์หลาย ๆ คนด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การเปิดตัวของเกม Soul Hackers 2 รู้สึกเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับแฟน ๆ และทำให้แฟนเกม JRPG หลายคนรู้สึกสนใจและ/หรือสงสัยเกี่ยวกับเกมขึ้นมาไม่มากก็น้อย ว่าการกลับมาของซีรีส์ Soul Hackers หลังจากที่เวลาล่วงเลยมามากกว่า 20 ปีจะออกมาเป็นเช่นไรหลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลามากกว่า 40 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) ผู้เขียนรู้สึกมั่นใจพอจะตัดสินได้ว่า Soul Hackers 2 น่าจะเป็นเกม JRPG ที่เข้มข้นสมใจคนที่ชื่นชอบแนวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังมีเนื้อเรื่องและตัวละครอันยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของผู้พัฒนาซีรีส์ Persona ด้วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมจะไม่ได้แม้แต่จะพยายามนำเสนออะไรที่แปลกใหม่เลยแม้แต่น้อยเกมเพลย์แก่นเกมเพลย์หลัก ๆ ของ Soul Hackers 2 สามารถแยกได้สองส่วนกว้าง ๆ คือเกมเพลย์ฝั่งตะลุยดันเจี้ยน และเกมเพลย์ฝั่ง Relationship Sim ในลักษณะคล้าย ๆ กับเกมซีรีส์ Persona นั่นเองในฝั่งของการตะลุยดันเจี้ยน ผู้เล่นในฐานะตัวเอก Ringo จะต้องนำปาร์ตี้ตัวละครอีก 3 ตัว (รวมเป็น 4) เพื่อสำรวจดันเจี้ยนตามเนื้อเรื่องของเกม ในระหว่างการสำรวจ ผู้เล่นจะสามารถพบกับศัตรูเดินไปมาในฐานะหมอกสีต่าง ๆ ที่จะวิ่งไล่กวดผู้เล่นทันทีที่เห็น และเมื่อสัมผัสตัวผู้เล่นก็จะเข้าสู่การต่อสู้ โดยผู้เล่นจะสามารถให้ Ringo เอาดาบฟันศัตรูให้ล้มก่อนสัมผัสตัวได้ เพื่อให้เริ่มการต่อสู้ด้วยความได้เปรียบ (หรือถ้าโดนศัตรูวิ่งชนก็อาจเริ่มด้วยการเสียเปรียบได้)เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ ผู้ที่เคยเล่นเกมในแฟรนไชส์ Shin Megami Tensei มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับระบบในเกม ซึ่งมุ่งไปที่การพยายามโจมตีให้โดนจุดอ่อนของศัตรูด้วยการโจมตีและสกิลธาตุ/ชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาจากปีศาจหรือ Demon ที่ตัวละคร “สวมใส่” อยู่ การโจมตีโดนจุดอ่อนแต่ละครั้งจะเพิ่ม Stack ให้กับการโจมตีพิเศษตอนจบเทิร์นที่เรียกว่า Sabbath ซึ่งจะเรียกเหล่าปีศาจที่เราเก็บเอาไว้ทั้งหมดออกมาโจมตีศัตรูพร้อมกัน โดยแน่นอนว่ายิ่งเก็บได้หลาย Stack ก็ยิ่งแรง แถมปีศาจบางตัวยังอาจมอบเอฟเฟกต์พิเศษให้เมื่อถูกเรียกออกมาในการโจมตี Sabbath ด้วยในส่วนของปีศาจในเกม Soul Hackers 2 จะไม่มีระบบการเลือกตัวเลือกเจรจาให้ปีศาจมาเป็นพวกเหมือนในเกม SMT ที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่ผู้เล่นจะสามารถรับปีศาจใหม่ได้จากการสำรวจดันเจี้ยนแทน โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นก้าวเท้าเข้าสู่ดันเจี้ยนอะไรก็ตาม ตัวเอก Ringo จะส่งปีศาจทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ออกไปสอดแนมล่วงหน้า ซึ่งเราจะสามารถพบกับปีศาจเหล่านี้ได้ระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยน และเมื่อเข้าไปคุยจะทำให้ได้รับของรางวัลต่าง ๆ เช่นเงิน ไอเทม หรืออาจพบกับปีศาจที่ถูกชวนมาเข้าร่วมทีมก็ได้ (ตราบใดที่สามารถทำตามเงื่อนไขที่พวกมันต้องการได้ เช่นมอบเงิน ไอเทม หรือ HP/MP ให้มันประมาณหนึ่ง)เกมเพลย์การต่อสู้ของ Soul Hackers 2 อาจมองให้เป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเกมเพลย์แนวเทิร์นเบสเช่นนี้อาจจะสนองความต้องการของคนที่ชื่นชอบ JRPG ได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจมานำเสนอให้ผู้ที่เบื่อหน่ายกับเกมแนวนี้ หรือเคยเล่นเกมในตระกูล SMT มาเยอะแล้ว ซึ่งก็อาจทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกซ้ำซากจำเจได้อยู่เหมือนกัน ยิ่ง Soul Hackers 2 เป็นเกมที่ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับเกม SMT อื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักในแง่ของความท้าทาย อาจส่งผลให้หลาย ๆ คนเบื่อไปซะก่อนจะเล่นจบได้ง่าย ๆ (อย่างน้อยในระดับความยาก Normal ที่ผู้เขียนเล่น)นอกเหนือจากการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถพบกับเกมเพลย์ฝั่ง “Relationship Sim” หรือเกมจำลองความสัมพันธ์แบบย่อม ๆ ในลักษณะคล้าย ๆ กับเกม Persona ได้ โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวเลือกบทสนทนา หรือชักชวนเพื่อนร่วมปาร์ตี้มาร่วมดริ๊งกันที่บาร์เพื่อสานสัมพันธ์และเพิ่มระดับ Soul Level ของตัวละครนั้นได้ (ไม่มีความสัมพันธ์แบบรักใคร่) โดยระดับความสัมพันธ์นี้จะเอาไว้ใช้ในการปลดล๊อคดันเจี้ยนเสริม Soul Matrix ได้ ซึ่งจะมอบทักษะติดตัวเพิ่มเติมให้กับตัวละครเพื่อนร่วมตี้แต่ละตัว รวมไปถึงเผยเนื้อเรื่องเสริมให้กับตัวละครแต่ละตัวด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้มักช่วยเสริมเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักได้เป็นอย่างดี จนแทบจะเรียกได้ว่า “จำเป็น” สำหรับการเล่นเลยทีเดียวทั้งนี้ ผู้ที่คาดหวังระบบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนใน Persona คงจะต้องผิดหวัง โดยระบบใน Soul Hackers 2 อาจเรียกว่าเป็นระบบของ Persona “แบบย่อม” ก็ได้ เพราะการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งหมดทำโดยการเลือกตัวเลือกบทสนทนาหรือการดริ๊งเท่านั้น ไม่มีการทำกิจกรรมหรือมอบของขวัญให้กันแต่อย่างใด แถมตัวเลือกทั้งหมดยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของใคร เท่าไหร่ การพยายามเพิ่มระดับของตัวละครเท่ากันทั้งหมดจึงเป็นเรื่องง่ายมากนอกเหนือไปจากนี้ เกม Soul Hackers 2 ไม่ได้มีอะไรให้ผู้เล่นทำมากนัก การสำรวจเมืองในเกมทำได้ค่อนข้างจำกัด แถมบนถนนก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำนอกจากการซื้อไอเทมจากร้านค้าต่าง ๆ การรับเควสเสริม หรือการอัปเกรดอุปกรณ์เท่านั้น และแม้ว่าระบบการอัปเกรดตัวละครในเกมนี้จะมีความลึกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่หรือเป็นเอกลักษณ์อยู่ดีหากจะสรุปในภาพรวม เกมเพลย์ของ Soul Hackers 2 ถือเป็นการนำสูตรสำเร็จของ Shin Megami Tensei มาปรับให้ย่อยง่ายขึ้น ในเกมที่กระทัดรัดมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบเกม JRPG อยู่แล้วน่าจะชอบได้ไม่ยาก แม้ว่าเกมจะไม่มีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษมานำเสนอเลยก็ตามเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 จะติดตามตัวเอก Ringo ผู้ซึ่งเป็น “ร่างแทน” ที่สร้างขึ้นโดย A.I. ลึกลับที่ชื่อว่า Aion เพื่อยับยั้งเหตุการณ์สิ้นโลกบางอย่างที่กำลังจะมาถึง ภารกิจของเธอทำให้เธอต้องเข้าไปพัวพันกับ Devil Summoner (ผู้อัญเชิญปีศาจ) อีก 3 คนคือ Arrow, Milady, และ Saizo ผู้ซึ่งต่างมีอุดมการณ์ ทัศนคติ และเป้าหมายของตนเองต่อเหตุการณ์สิ้นโลก โดยทั้ง 4 จะต้องร่วมมือกันเพื่อสืบหาต้นตอเบื้องหลังเหตุการณ์เพื่อยับยั้งจุดจบของโลกเอาเข้าจริง ๆ แล้ว เนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซับซ้อนและความเป็นผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ตัวละครในเกมมักจะถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับศีลธรรม ชีวิต และความเป็นมนุษย์ แถมเรื่องราวส่วนตัวของตัวละครเพื่อนร่วมตี้ทั้ง 3 ยังผูกเข้ากับและเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อย่างดี ทำให้การดำเนินเรื่องมีแรงขับที่มีความเป็นมนุษย์ มากกว่าแค่ “การช่วยโลก” แบบกว้าง ๆ ซึ่งเนื้อเรื่องที่นำเสนอชีวิตของผู้ใหญ่นี้ อาจเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของ Soul Hackers 2 เมื่อเทียบกับเกมจากซีรีส์ Persona หรือ Shin Megami Tensei ที่มักมีตัวเอกวัยมัธยมปลายซะมากกว่า ส่งผลให้ตัวละครใน Soul Hackers 2 รู้สึกมีมิติและทัศนคติที่ลึกซึ้ง รอบด้านมากกว่าทั้งนี้ ที่กล่าวไปทั้งหมดไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซีเรียสหรือเครียดกว่าเกมอื่น ๆ ที่กล่าวไป ในทางตรงข้าม บุคลิกและบทพูดของตัวละครแต่ละตัวกลับทำให้บทสนทนาในเกมนี้รู้สึกมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย เป็นจุดกึ่งกลางพอดีระหว่างความสดใสฉูดฉาดของ Persona และความเคร่งขรึมอึมครึมของ Shin Megami Tensei การนำเสนอหากจะมีองค์ประกอบใดที่รู้สึกน่าผิดหวังชัดเจนเกี่ยวกับ Soul Hackers 2 คงจะเป็นเรื่องของกราฟิกและการนำเสนอ แม้ว่าการออกแบบและโมเดลตัวละครในเกมจะไม่ได้แย่ แต่การเลือกใช้กราฟิกแบบกึ่ง ๆ การ์ตูน Cell-shade แทนที่จะใช้กราฟิกแบบ “สมจริง” แบบเดียวกับในเกมก่อนหน้าอย่าง Shin Megami Tensei V กลับทำให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นเกมยุุคปลาย PS3 - ต้น PS4 มากกว่าเกมยุคปัจจุบันในหลาย ๆ มุมนอกจากนี้ กราฟิกแนวการ์ตูนเช่นนี้ยังทำให้เกมไม่สามารถนำเสนอโลกอนาคตอันเป็นที่ตั้งของตนเองได้มากเท่าที่ควร ทำให้โลกของเกมรู้สึกทั้งเล็กทั้งแคบ ไร้ชีวิตชีวา ซึ่งรู้สึกเหมือนเป็นการก้าวถอยหลังจากทั้ง Persona 5 และ Shin Megami Tensei V อย่างชัดเจน แถมอนิเมชั่นที่ค่อนข้างจำกัดยังทำให้ฉากคัตซีนของเกมรู้สึก “เล็ก” เมื่อเทียบกับเกมอื่น ซึ่งแม้จะไม่ใช่ปัญหาต่อประสบการณ์เกมโดยรวม แต่ก็มีส่วนช่วยให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้การตัดสินใจใช้กราฟิกแนวการ์ตูนเช่นนี้ ยิ่งน่างุนงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อคำนึงถึงเรื่องราวเบื้องหลัง โดยสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือผู้พัฒนา Atlus ประสบปัญหาในการพัฒนาเกม Persona 5 ไม่น้อยจากการใช้เอนจิ้นที่ค่ายพัฒนาเอง ส่งผลให้ค่ายตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เอนจิ้น Unreal Engine 4 ที่เป็นสากลกว่าในการพัฒนาเกม Shin Megami Tensei V ซึ่งเป็นผลงานต่อมา แต่สำหรับ Soul Hackers 2 ค่ายกลับเลือกใช้เอนจิ้น Unity Engine ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องมือของผู้พัฒนาอินดี้ เอาไว้สร้างเกมขนาดเล็กซะมากกว่า ในเรื่องของเสียง อาจสรุปรวม ๆ ได้ว่า “พอใช้” เท่านั้น แม้ว่าเพลงประกอบในเกมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่ได้มีเพลงใดน่าจดจำเป็นพิเศษเช่นกัน แถมตัวละครเพื่อนร่วมตี้ยังมักจะพูดแทรกกันไปมาไม่หยุดในระหว่างการต่อสู้ ราวกับคอยพากย์ตามการตัดสินใจทั้งหมดของผู้เล่นตลอดเวลา ซึ่งก็น่ารำคาญมากจนหลายครั้งผู้เขียนเลือกที่จะเล่นเกมแบบปิดเสียงไปเลยในระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยนอยู่หากจะมีข้อดีซักข้อที่เกิดจากการใช้กราฟิกลักษณะนี้ คือการที่เกมไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สเป๊คสูงในการเล่น ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนได้รีวิวเกมบนเครื่อง Laptop PC ที่มีการ์ดจอ RTX 3060 ซึ่งก็อาจเป็นสเป๊กที่ค่อนไปทางสูงอยู่บ้าง โดยสามารถรันเกมแบบปรับสุดทั้งหมดได้ที่เฟรมเรต 80-100 FPS คงที่แทบจะตลอดเวลา แม้จะเล่นติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ตามสรุปSoul Hackers 2 ยังคงเป็นเกม JRPG ที่ออกแบบมาได้ดี และมีเนื้อเรื่องกับตัวละครอันยอดเยี่ยมคอยเกื้อหนุนอยู่ แม้ว่าองค์กระกอบด้านการนำเสนอของเกมจะรู้สึกเป็นก้าวถอยหลังลงจากผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Atlus อย่างชัดเจน แต่เกมก็ยังดีพอจะมอบความเพลิดเพลินให้ชาว JRPG ตัวยงได้หลายสิบชั่วโมงสบาย ๆ
25 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Road 96 เกมเนื้อเรื่องน้ำดี ของเหล่าเยาวชนปลดแอก ที่ต้องการหนีจากประเทศที่ล่มจมเพราะผู้นำมันห่วย
คุ้น ๆ อยู่เหมือนกันกับพล็อตเรื่องที่มีผู้นำประเทศไม่ได้เรื่องมาบริหารจนเกิดความทุกข์ยากและโกลาหล แหม่ นึกไม่ออกเลยจริง ๆ นะ แต่ว่าไม่ต้องกังวลไปเพราะเกม Road 96 นี้จะมาช่วยเราให้เข้าถึงอารมณ์อันหลากหลายทั้ง ตื่นเต้น กดดัน สนุกสนาน ขำขัน เต็มอิ่มไปกับเนื้อเรื่องที่คุณเลือกเองRoad 96 เป็นเกมอินดี้แนวเนื้อเรื่องสำหรับเล่นคนเดียว พัฒนาโดยค่าย DigixArt วางขายในปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งจุดเด่นของเกมนี้อยู่ที่ระบบเกมเพลย์และเนื้อเรื่องซึ่งเราจะได้รับมุมมองเป็น ' วัยรุ่น ' ที่พยายามจะหลบหนีออกจากประเทศที่ชื่อว่า Petria ผ่านช่องทางเขตชายแดนบริเวณถนนสาย 96 เนื่องจากประเทศที่พวกเขาอยู่นั้นมันเละเทะและไร้ซึ่งความน่าอยู่อีกต่อไป เนื่องจากการโกงกิน กฎหมายอวยรัฐบาล และการไม่แยแสต่อประชาชนเกมเพลย์ไม่ซ้ำ เพราะจำไม่ได้สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมแนว Interactive บอกเลยว่าเกมนี้ตอบโจทย์คุณมาก แต่มันจะไม่เหมือนเกมโต้ตอบทั่วไปหรอกนะ เพราะนอกเหนือจากสิ่งที่เราเลือกคำตอบในเกมแล้ว พวกเนื้อเรื่อง ไอเทมที่จะได้รับ และบทบาทในการเล่นวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปของนั้นจะเป็นแบบสุ่ม ! ซึ่งเกมนี้สิ่งสำคัญ ๆ จะมีอยู่สองอย่างเลยคือเงิน ที่เอาไว้ใช้จับจ่ายซื้อของ ค่ารถ หรือติดส่วยเจ้าหน้าที่ในการพาข้ามชายแดน และพลังงานที่มีอยู่จำกัด จะลดมากน้อยพอใช้ก่อนที่เราจะสิ้นลมเหนื่อยตายไหม เราก็ต้องมาคำนวณคิดให้ดีกับระยะทางที่เหลืออยู่ตั้งแต่ต้นจนกว่าจะไปถึงเขตชายแดนว่าควรเดิน โบกติดรถชาวบ้าน ขึ้นแท็กซี่ หรือรถประจำทาง และเมื่อไปถึงชายแดนแล้วใช่ว่าจะจบนะ เพราะทางเลือกในการหนีมีการแลกเปลี่ยนและส่งผลไม่เหมือนกันอีกด้วย ! ( ทางหนีแต่ละทางนั้นใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น )ระบบเกมนั้นจะเน้นไปที่เน้นไปที่คุย ตอบ หาไอเทมและทางไปต่อ แต่ในระหว่างนี้เราก็อาจจะเจอเหตุการณ์ที่เปลี่ยนเกมเพลย์ไปเป็นแอ็กชันแทนเช่นวิ่งหลบกระสุน เล่นมินิเกมอาร์เคด หรือปาเงินใส่รถตำรวจที่กำลังไล่ล่าเรา ! ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เราไปเจอตัวละครในเนื้อเรื่องหลักทั้ง 8 ตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีนิสัย ความต้องการ และ ' อันตราย ' ที่แตกต่างกันออกไป และถ้าเราไม่ระวังในตรงนี้ เราก็อาจจะตายและต้องเริ่มใหม่ในทันทีเลยก็ได้ อะไรนะ ? คุณผู้อ่านกำลังคิดว่าถ้าตายก็แค่ออกเกม ออกบทเริ่มเล่นอีกรอบ ? ขอโทษด้วย ที่นี่เราไม่ทำกันเช่นนั้น เพราะตัวเกมจะบังคับอยู่สองทางเมื่อคุณเล่นเกมไปแล้ว หนึ่งคือยอมรับชะตากรรมและเล่นต่อ หรือสองกดรีเซตเกมเริ่มเล่นใหม่ทั้งหมด โดยแต่ละบทที่เราจะได้เริ่มเล่นก่อนหลังนั้นจะเป็นแบบสุ่ม ดังนั้นคุณจะไม่ได้เล่นแบบเดิมทุกรอบอย่างแน่นอนเนื้อเรื่องดี บารมีตัวละครหลักตามที่กล่าวมาในข้างต้นส่วนเกมเพลย์ว่าเราจะเป็นแค่วัยรุ่นทั่วไปที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยมีตัวละครหลัก ๆ อยู่ 8 ตัวมาเป็นผู้ดำเนินเรื่องและขยายคลายปมเรื่องราวการก่อการร้ายของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า Brigade ในปี 1986 ซึ่งว่ากันว่าพวกเขาระเบิดภูเขาหวังฆ่านายกคนปัจจุบันในระหว่างหาเสียง แต่ก็พลาดท่าและคร่าคนบริสุทธิ์ไปจำนวนมาก ส่งผลให้นายกริเริ่มเปลี่ยนแปลงประเทศจะให้เป็นแบบคอมมิวนิสต์หากเขายังสามารถดำรงตำแหน่งได้อีกรอบโดยไม่มี ' ความจริง ' หรือ ' ใคร ' มาแทรกแซงซึ่งแต่ละตัวละครที่กล่าวมาจะมีความแตกต่างกัน และมีรายชื่อดังนี้Zoe - สาววัยรุ่นหัวร้อน ที่ต้องการข้ามฟากชายแดนด้วยเหตุผลสำคัญบางอย่างJohn - ลุงร่างหมีใหญ่ ที่มีรถบรรทุกคู่ใจขับซิ่งไปบนทางด่วนตามเสียงหัวใจFanny - ตำรวจที่ดูจะมีความเป็นคนมากกว่าตำรวจทั้งประเทศ เธอกำลังออกตามหาเบาะแสกลุ่ม BrigadeAlex - เด็กน้อยยอดอัจฉริยะ ปากแซ่บ แต่มีปมเรื่องครอบครัวที่สูญหายไปSan & Mitch - โจรติงต๊องที่เป็นหนึ่งในนักสร้างคอนเทนต์เฮฮาของเกมSonya - นักข่าวสายเชียร์รัฐบาลปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีเหตุผลมากกว่านั้นJarod - ลุงชุดดำปริศนา ที่พกพาความเครียดให้ผู้เล่นทุกตัวล้วนแล้วมีปมเนื้อเรื่องที่ผู้เล่นต้องเข้าไปสัมผัสและซาบซึ้งเอาเองให้ถึง 100% เพื่อเข้าถึงความคิด ปม ประเด็นทั้งหมดในแต่ละตัวละครภาพอินดี้ แต่สื่อถึงอารมณ์ในส่วนของภาพเกม Road 96 นั้นไม่ได้มีความสมจริงเหมือนเกมระดับ AAA แต่ทว่าพวกเขาก็รังสรรค์ออกมาให้ถึงหัวจิตหัวใจผู้เล่นผ่านบทพูด เนื้อความ และการแสดงสีหน้าทางอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศสภาพแวดล้อม จึงสามารถกล่าวได้ว่าถึงแม้ภาพของเกมจะไม่ได้หวือหวา แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งนี้พวกฉากธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตัวเกมก็ยังปั้นออกมาได้ดี สวยงามในระดับหนึ่ง ไม่ได้เผางานจนรับไม่ได้แต่อย่างใดเพลงประกอบสุดเร้าใจและไม่น่าเบื่อตัวเกมนั้นจะมอบประสบการณ์เพลงระหว่างการเล่นให้เราเพลิน ๆ ฟังได้ทั้งวัน และพิเศษคือในระหว่างเกม เรามีโอกาสจะเจอพวกเทปเสียงที่เราสามารถเปิดใช้ฟังหรือเล่นได้ในระหว่างทาง เหมือนเป็นระบบเก็บของสะสมอย่างใดอย่างนั้น*คำเตือน* เพลงในเกมนี้บางเพลงไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของค่ายเกมอย่างเดียว แต่เป็นเพลงจากนักร้องที่ผู้พัฒนานำมาใช้ ดังนั้นหากใครจะสตรีมหรืออัดคลิปลงสื่อโซเชียลมีเดีย โปรดระวังตรงส่วนนี้ไว้ให้ดีความคุ้มค่าในราคาไม่เกินเบอร์เนื่องจากเกมนี้มีคุณภาพที่เรียกได้ว่าหากคุณได้เล่นเองกับมือแล้ว ประสบการณ์ชีวิตคุณจะได้รับความสุขไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวเชียว ดังนั้นตัวเกม Road 96 ที่เป็นเกมอินดี้ เนื้อเรื่องแจ่ม ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เราไม่ควรมองข้าม ! ดังนั้นจะช้าอยู่ไยเล่า รีบเข้าระบบ Game Pass ของ Xbox Gaming หรือจะคว้ากระเป๋าซื้อมาเล่น / ดองในคลังเกมได้เลยผ่านช่องทางแพลตฟอร์มรวมราคาดังนี้PlayStation 4 & 5 - ราคาประมาณ 700 บาทNintendo Switch - ราคาประมาณ 700 บาทXbox One, Xbox Series X&S - ราคา 339 บาทPC ( Steam ) - ราคา 396 บาท[ พิเศษ ] ในระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2022 เวลาเที่ยงคืนตัวเกม Road 96 ที่ขายบนร้านค้า Steam นั้นจะลดราคา 50% เหลือราคาแค่ 198 บาทเท่านั้น ! อย่าพลาดเชียว !
19 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Dorfromantik ฝึกสมองกับเกมต่อจิ๊กซอว์สร้างเมืองราคาย่อมเยาว์
Dorfromantik พัฒนาโดย Toukana Interactive ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2022 ผู้เขียนมีความชอบเกมแนวสร้างเมืองเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เลยอยากจะลองหาเกมสร้างเมืองแปลก ๆ เล่นดูบ้างครับ ด้วยคอนเซ็ปต์ของเกมนี้นั้นมันเป็นการสร้างเมืองแบบการต่อ Cell ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้เขียนสนใจและลองหยิบมาเล่นดู ผมอยากรู้ว่ามันจะสร้างความเพลิดเพลินให้ผมได้สักเท่าไหร่กันเชียว ใครกำลังลังเลที่จะซื้อลองมาอ่านรีวิวนี้กันก่อนครับนี่ไม่ใช่สิ่งที่วาดไว้ในหัวเลยแม้แต่น้อยบอกกันอย่างตรงไปตรงมาเลยครับ ว่ามันไม่ใช่เกมสร้างเมืองโดยทั่วไปอย่างที่ผู้เขียนได้จินตนาการเอาไว้ เกมนี้ถ้าเพื่อน ๆ คิดจะซื้อผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลบภาพจำเกมสร้างเมืองที่เราเคยรู้จักทิ้งไปให้สิ้นครับ เท่าที่ได้เล่นมันมานั้น จะให้ผู้เขียนเรียกเกมนี้ว่าเกมสร้างเมืองมันก็จะเคอะ ๆ เขิน ๆ ปากอยู่หน่อย ๆ เพราะมันไม่ใช่เกมสร้างเมืองครับ สำหรับตัวผู้เขียนมองว่ามันแค่มีธีมสร้างเมืองมาเป็นพรอพเฉย ๆ เท่านั้นเองเกมเพลย์ทั้งหมดทั้งมวลมันคือ Puzzle มาถึงเนื้อหาภายในตัวเกมกันบ้าง เกมนี้ไม่มีอะไรมากครับ มี 6 โหมดหลัก ๆ ได้แก่ Classic Mode, Creative Mode, Quick Mode, Hard Mode, Monthly Mode, และ Custom Mode ให้เราได้เล่นชาเลนจ์ตัวเองด้วยการทำคะแนน High Score ไปเรื่อย ๆ หรือถ้าใครอยากจะพิชิตคะแนนอันสูงเสียดฟ้า ของผู้เล่นที่ทำสถิติของเกมเอาไว้ก็ได้นะครับ ในเกมมีคะแนนแจ้งเอาไว้ ยกเว้นในส่วนของ Creative Mode ที่จะไม่มีคะแนนอะไรครับ สร้างเอาสวยเฉย ๆ ฮ่า ๆกฎกติกามารยาทและเงื่อนไขต่าง ๆ ในการเล่นเกมDorfromantik เป็นเกม Puzzle ในรูปของการวาง cell หรือพูดภาษาบ้าน ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ มันคือเกมพัซเซิล แบบสุ่มแผ่นต่าง ๆ มาต่อกัน แผ่นต่อมี 5 ชนิด ได้แก่ หมู่บ้าน, ฟาร์ม, ต้นไม้, น้ำ และรถไฟ มาต่อให้ครบตามจำนวนเงื่อนไข และเราจะได้ชิ้นส่วนเพิ่มขึ้นในเด็คของเราครับ (อารมณ์เหมือนจั่วไพ่เข้ากอง) ในการวางผังเมืองแต่ละช่องมันสุ่มมาให้ล้วน ๆ และต้องทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนมาวางเพิ่มเรื่อย ๆ จั่วหมดเด็คเมื่อไหร่คือเกมโอเวอร์ เหมือนการต่อโดมิโน่แบบมีเงื่อนไข ซึ่งเกมนี้เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้เขียนคิด ทำให้เกิดอาการหัวร้อนได้เล็กน้อยถึงปานกลาง วางผิดนิด ๆ หน่อย ๆ ชีวิตเปลี่ยนได้ทันที เพราะยิ่งเล่นยิ่งยากเพราะถ้าวางผิดเราจะไม่ได้ชิ้นส่วนเพิ่ม ในตอนหลัง ๆ ของเกมเงื่อนไขที่เกมให้เราทำก็หนักข้อขึ้นจากช่วงแรก ๆ เริ่มเกมมาต่อบ้าน 4-5 หลัง ชิล ๆ ช่วงหลัง ๆ นี่ล่อไป 250+ หันไปดูคุณพระ! การ์ดในเด็คจะหมดแล้ว ก็นั่นแหละครับปิดตำนานนักต่อเมืองด้วย Score อันน้อยนิด แล้วมันจะไปชนะที่ 1 ของเกมได้ยังไงก่อน ฮ่า ๆ ระบบต่าง ๆ ของเกมนี้กราฟิก - มีภาพ 3D น่ารักครับ สีสันสดใสมาก ๆ เพราะผู้เขียนก็โดนดึงดูดมาด้วยภาพอีกเช่นเคย อะไร Cute Cute นี่ไม่เคยพลาด ชอบรึเปล่าไม่รู้กดมาลองดูก่อน ฮ่า ๆ ใช้พื้นที่ในเครื่องของเราเพียง 574.87MB เครื่องไม่ต้องระดับใช้ชุดน้ำก็เล่นได้ครับการควบคุม - เข้าใจง่ายครับ มีให้เลือกใช้ 2 ฟังก์ชั่นกันไปเลยทั้งเม้าส์และคีย์บอร์ด ใครสะดวกหรือถนัดแบบไหนก็ใช้แบบนั้น การบังคับทิศทางอะไรต่าง ๆ ก็เหมือนกับเกมอื่น ๆ ครับ ใช้ W, A, S, D หรือจะใช้คลิ๊กซ้ายค้างเอาไว้แล้วลากซ้ายขวาขึ้นบนก็ได้เช่นกัน ในเกมมีโหมด Toturial สอนใช้งานการควบคุมครับToturial - มีโหมดสอนแยกให้เราเข้าไปเรียนรู้ได้ตลอดเวลาครับ ผมว่าดีนะกลับมาเรียนรู้ได้ตลอด (แต่ตัวผู้เขียนชอบระบบที่มันแทรกอยู่ในเกมมากกว่า) มีสอนกติกาการเล่นเกมต่าง ๆ ว่าควรต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังไง สอนระบบเควส และสอนใช้ปุ่มต่าง ๆ ในเกมครับ เพื่อน ๆ สามารถมาเรียนรู้ระบบต่าง ๆ ได้ในโหมดนี้ครับสรุปเกมนี้มันก็ไม่มีอะไรมาก มันมีแค่นี้เลย แค่ที่ผมเล่ามาจริง ๆ ครับ ทุกโหมดก็เล่นคล้าย ๆ กันหรือแทบจะเหมือนกันเลย พอชิ้นส่วนหมดเด็ค เกมก็จบ จบแล้วก็เล่นใหม่ วนมันไปเรื่อย ๆ ทำ High Score ไปเรื่อย ๆ อยู่ในวังวนเดิม ๆ อย่างกับคนมูฟออนไม่ได้ ฮ่า ๆ สำหรับตัวผู้เขียนเพลินครับในช่วงแรก แต่ว่าความที่คาดหวังไว้ว่ามันจะเป็นเกมสร้างเมืองอย่าง Foundation แต่มันดันไม่ใช่เกมแนวที่ผู้เขียนคิดไงครับ เล่นไปซักพักใหญ่ ๆ ผมก็รู้สึกตันกับมันแล้วครับ แล้วก็มานั่งคิดว่าทำไมต้องมานั่งทำอะไรเดิม ๆ ด้วยเนี่ย (2 Hours Later....ยังเล่นอยู่ครับ ฮ่า ๆ ๆ)แต่ถ้าใครชอบเกมแนวนี้ ชอบเล่นแนวชาเลนจ์ทำลายสถิติทั้งของตัวเองและผู้อื่น ผู้เขียนมองว่าซื้อเลยครับ ผมมองว่ามันสนุกแน่ ๆ สำหรับคนที่ชอบแนวนี้ เพราะถึงตัวผู้เขียนจะเล่นแล้วเบื่อ เพราะผู้เขียนไม่ชอบเล่นเกมที่มันวน ๆ ทำลายสถิติ แม้ว่าผมไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ใช่เกมที่ไม่ดีนะครับ แค่มันไม่ถูกกับจริตของผมเฉย ๆ เท่านั้นเอง ถ้าใครชอบผมบอกเลยว่ายังไงก็ควรซื้อครับ เกมดีนะขนาดว่าผมไม่อินผมยังเล่นลืมเวลาไปตั้ง 2 ชั่วโมง (เพราะผมจะมากดรีฟันด์แต่มันทำไม่ได้แล้วครับ เพลินไปหน่อย ฮ่า ๆ) ราคาเกมนี้ไม่แพงและภาพน่ารักสีสันสดใส แถมมีเพลงซาวด์แทร็กในเกมที่ให้ความเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ราคา 229 บาทเท่านั้นเอง ไปตำกันได้เลยครับใน Steamสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1455840/Dorfromantik/
18 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Cult of the Lamb "สุดยอดเกมอินดี้แห่งปี! ร่างกายและชีวี ขอพลีให้ลัทธิน้อนแกะ!"
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในทุก ๆ ครั้งที่ทาง Devolver Digital ประกาศเปิดตัวเกมใหม่ ๆ เราอดไม่ได้ที่จะว้าวกับแนวคิดและไอเดียของเกมนั้น ๆ และนี่คือ Cult of the Lamb ผลงานเกมตัวใหม่ล่าสุดจากทางผู้พัฒนา Massive Monster ที่เพิ่งทำผลงานเกมของตัวเองออกมาได้ไม่กี่เกมเท่านั้น แต่ผลงานใหม่ของพวกเขาก็ปังจนเข้าตา Devolver จนได้ แล้วเพราะอะไรมันถึงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ วันนี้มาหาคำตอบกันได้กับรีวิว Cult of the Lamb ของเรากันเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าแกะน้อยตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกสังเวยโดยฝีมือของสี่สังฆราช แต่หลังจากที่เจ้าแกะน้อยคิดว่าตัวเองต้องดับดิ้นสิ้นชีพ เขากลับพบว่าตัวเองโผล่มาอีกมิติหนึ่ง และที่นี่เอง เขาได้พบกับ "ผู้รอคอย" (The One Who Waits) ผู้รอคอยยื่นข้อเสนอที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่จะต้องทำหน้าที่เหมือนกับร่างทรงของผู้รอคอย รับฟังคำบัญชา และก่อตั้งลัทธิขึ้นมา เพื่อกลับไปล้างแค้นสี่สังฆราชนั้น เราจะได้รับมงกุฎแดง ที่มีพลังอำนาจลึกลับของผู้รอคอย ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ จากนั้นเริ่มก่อตั้งลัทธิเตรียมรอวันล้างแค้น อันเป็นที่มาของลัทธิแกะจอมมารที่มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง และเราจะได้รับความช่วยเหลือจาก Ratau หนูป่าที่บอกว่าตัวเองเคยเป็นร่างทรงให้กับผู้รอคอยมาก่อนต้องบอกว่าไม่ใช่เนื้อเรื่องสดใหม่อะไร แต่การนำเสนอของมันนี่แหละที่ทำเอาน่าติดตาม เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่คิดอยากจะจับเอาสัตว์น้อยน่ารักอย่างเจ้าแกะ มาเป็นร่างทรงให้กับจอมมารเป็นแน่แท้ ทำให้ความแปลกใหม่ของเนื้อเรื่องนี้ยังถือว่าน่าติดตามอยู่บ้าง แต่การนำเสนอเรื่องราวของเกมนี้ ก็จะนำเสนอผ่าน Text และตัวอักษรล้วน ๆ อาจจะมีคัทซีนให้เห็นบ้าง แต่การจะเข้าใจฉากต่าง ๆ ได้ก็ต้องอาศัยการอ่านล้วน ๆ อยู่ดี ดังนั้นเกมนี้ใครอยากเสพเนื้อเรื่องก็ต้องเก่งภาษากันหน่อย และผู้เขียนแนะนำว่า ไม่ควรกดข้ามอย่างแรก เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์บางอย่าง รวมไปถึงเราอาจจะบริหารจัดการลัทธิของเราได้ไม่ดี ตามคำร้องขอของพวกสาวก ที่เรากำลังจะอธิบายกันในหัวข้อถัดไประบบเกมเพลย์สองแบบ ที่เหมือนจะเป็นคนละขั้ว แต่ลงตัวขั้นสุดCult of the Lamb เป็นเกมที่เรียกได้ว่ามีสองแนวผสมผสานกันอยู่ในเกมเดียว อย่างแรกเกมนี้เป็นเกมแนว Dungeon Brawler แบบ Roguelite ที่เราจะได้พาเจ้าแกะน้อยออกถล่มฝูงศัตรูในพื้นที่ปิด และมีหลากหลายเส้นทางที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ใครที่เคยเล่นเกมจำพวก Roguelite เยอะ ๆ จะสามารถทำความเข้าใจกับระบบนี้ได้ไม่ยาก แต่อีกส่วนของเกมนี้คือ ส่วนของการบริหารจัดการที่เรียกได้ว่าเป็นเกมแนว Management Simulation อย่างเต็มรูปแบบ ที่เราจะต้องบริหารจัดการเหล่าสาวก และพื้นที่ต่าง ๆ ในลัทธิของเรา ราวกับเป็นเกมสร้างเมือง ซึ่งระบบเหล่านี้จะกลมกลืนไปกับการปลดล็อค การอัปเกรดต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียนเรามาเริ่มกันที่ระบบบริหารจัดการกันก่อน เราจะได้รับพื้นที่สร้างลัทธิ ซึ่งเป็นเหมือนกับ Hub ศูนย์กลางของตัวเกมทั้งหมด ที่นี่เราจะเลือกได้ว่าจะทำอะไรกับลัทธิของเราบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการรับสาวกใหม่เข้ามา (ได้จากการออกไปผจญภัยต่อสู้) ซึ่งเหล่าสาวกนี้ เราสามารถออกแบบ ตั้งชื่อ ดีไซน์ได้เต็มที่ และที่สำคัญคือสาวกแต่ละคนจะมาพร้อมกับ Traits หรือคุณลักษณะติดตัวที่ทั้งดีและแย่ หรือบางตัวอาจจะดีหมด หรือแย่หมดเลยก็ได้ ดังนั้นก่อนรับสาวกเข้ามาในลัทธิต้องดูให้ดีก่อน ว่าเอาเข้ามาแล้วจะดีขึ้นหรือหายนะกว่าเดิม บางตัวหากสาวกตายก็จะสูญเสียศรัทธาไป หรือบางตัวก็อาจจะมีความสามารถในแง่ดี เช่นยิ่งสาวกเยอะยิ่งดี หรือถ้าเราดำเนินงานด้านลัทธิไปในทางที่ดี พวกเขาก็จะมีความสุข เป็นต้นเราสามารถที่จะสั่งการสาวกของเราได้ ว่าระหว่างที่เราออกไปลุยนี้ เราจะให้พวกสาวกทำอะไร ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าระหว่างที่คุณออกไปสู้แล้ว ลัทธิคุณจะไม่เจริญเติบโต แต่ก็นั่นแหละ การที่ลัทธิของเรารันกิจการไปเรื่อย ๆ ทำให้มันจะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารับสมาชิกลัทธิเข้ามา เราก็ต้องจัดหาเตียงนอนให้เพียงพอกับสมาชิกด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะมีการร้องเรียนหรือสูญเสียศรัทธาเกิดขึ้นได้ หรือการทำอาหาร ถ้าทำแต่อาหารคุณภาพห่วยออกมา ก็จะโดนติติงได้เช่นกัน ในทางกลับกัน ระหว่างออกต่อสู้ เราสามารถออกคำสั่งให้สาวกแต่ละคนของเราทำงานได้ เช่นไปตัดไม้ เก็บพืชผล หรือเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อย และสิ่งสำคัญเลยคือการสวดบูชา การสวดบูชาจะทำให้เราได้ไอเทมความจงรักภักดี ซึ่งจะทำให้เราปลดล็อคสิ่งปลูกสร้างและของใหม่ ๆ ได้ ยิ่งเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็อาจจะมอบงานให้สาวกทำได้มากขึ้นไปอีกต่างหาก  ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เล่นก็ต้องบริหารและจัดการให้ดีในขณะที่เราออกไปต่อสู้ นอกจากนั้นยังมีระบบการจัดการต่าง ๆ เช่นการเผยแพร่หลักธรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดแนวทางเลยว่า ลัทธิของเราจะมีรูปแบบการดำเนินการไปในแนวทางใด เช่น เพิ่มศรัทธาด้วยการทำความดี หรือสังเวยสาวกที่ตายไปเป็นเครื่องบูชายัญ สร้างความหวั่นผวาและยำเกรงให้กับเหล่าสาวก และปลดล็อคอาวุธ และคำสาปใหม่ ๆ ได้ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพื้นที่เปิดกว้างให้เราได้ออกไปสำรวจ มีการตกปลา หาของ หาวัตถุดิบใหม่ ๆ มาทำอาหาร เพราะอาหารบางชนิดจะฟื้นฟูค่าพลังได้ก็จริง แต่ถ้าเป็ฯอาหารเกรดต่ำ อาจจะทำให้ติดดีบัฟที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรตามมาด้วยการบริหารจัดการสาวกของเราก็มีความสำคัญ นอกจากจะต้องดูแลสวัสดิการ อาหารการกินการอยู่แล้ว เรายังสามารถเข้าไปพูดคุยกับเหล่าสาวกแบบตัวต่อตัวได้ เพื่อรับฟังคำขอ มอบของขวัญ หรือเผยแพร่หลักคำสอนให้โดยตรง เพื่อให้สาวกคนนั้นมีความศรัทธาและจงรักภักดีต่อลัทธิของเรามากขึ้นได้อีกต่างหาก แน่นอนว่าการเป็นเจ้าลัทธิ จะให้มีแต่เรื่องดี ๆ มีคนรักมีคนชอบก็ใช่เรื่อง เพราะหากเราปล่อยให้ค่าความศรัทธาลดต่ำลงขึ้นมา สาวกของเราบางคนอาจจะเริ่มก่อหวอด ซุบซิบนินทา แพร่ข่าวมั่ว จนเราเริ่มโดนก่อกบฎ ซึ่งเราจะแก้ปัญหาด้วยวิธีละมุนละม่อม อย่างการค่อย ๆ พูดคุย ปรับความเข้าใจ หรือจะเดินทางสายดาร์ค จับขังคุกให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือเชือดทิ้งซะเลยก็ยังได้ เห็นภาพน่าัรก ๆ แบบนี้ วิธีโหดก็โหดได้ใจจริง ๆเรียกได้ว่าการออกแบบเกมนี้ในส่วนของ Management และการสร้างลัทธินั้น ไม่ได้ใส่มาเล่น ๆ เลย ดีไม่ดีการบริหารจัดนี้อาจจะยากกว่าระบบการต่อสู้ด้วยซ้ำ แต่ช้าก่อน.. ถ้าเราบอกว่าระบบการต่อสู้เองก็เข้มข้นไม่แพ้กัน และตึงมือไม่แพ้กันด้วยล่ะ..ระบบการต่อสู้ที่ต้องแข่งกับเวลา ตึงมือ แชะเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการแม้ว่าเกมเพลย์การเล่นในส่วนของการต่อสู้ อาจจะไม่ยากแบบ Soulsborne หรือเกมอื่น ๆ แต่เพราะมันผูกระบบการต่อสู้ไว้กับระบบริหารจัดการลัทธิไว้ได้อย่างแนบเนียน และการออกแบบศัตรูมาอย่างดี ทำให้เรารู้สึกว่า นี่คือสมดุลของตัวเกมอย่างแท้จริง และทีมพัฒนาเกมชาญฉลาดอย่างมาก ที่จะหาจุดลงตัวให้กับสองระบบนี้สำหรับเกมเพลย์การเล่นในส่วนของการต่อสู้นั้นจะเหมือนกับเกม Action Roguelite ทั่วไป ทุก ๆ การเริ่มใหม่คือการสุ่มใหม่ทุกครั้ง เราจะได้รับ Starter Weapon และ Skill ที่ต่างกัน แต่มันจะยิ่งดีขึ้นทุกครั้งที่เราอัปเกรดลัทธิของเราให้สูงขึ้น เส้นทางจะมีทั้งหมดหลากหลายเส้นทาง ทั้งในเส้นทางหลัก และเส้นทางย่อยที่เราเล่นตะลุยด่าน เราสามารถออกสำรวจทุกห้องจนครบได้ ก็จะมีโอกาสได้รับไอเทมและทรัพยากรที่เยอะขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่มากพอสมควร เพราะเกมนี้ยาฟื้นพลังเป็นสิ่งที่หาได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน อาวุธของเราจะแบ่งสเตตัสออกเป็นพลังโจมตีและความเร็ว และเราสามารถกลิ้งหลบการโจมตีต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงมีความสามารถในการใช้ท่าพิเศษที่จะต้องเก็บพลังศัตรูมาใช้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้มันยาก เพราะระหว่างที่เราออกไปต่อสู้อยู่นั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ในลัทธิของเราก็จะดำเนินต่อไปไม่มีหยุด สมมติคุณกำลังออกมาสู้รบอยู่ แต่ปรากฎว่าถึงเวลาเข้านอนของชาวลัทธิแล้ว เตียงพัง สาวกไม่มีพื้นที่นอน ก็จะนอนพื้นพร้อมกับตื่นมาบ่นโอดว่ามันไม่สบายหลังเอาซะเลย หรือที่หนักกว่านั้น บอสใหญ่สังฆราช ก็จะไปจับสาวกเรามาทรมาน เช่นดึงความหิวออกจากตัว ทำให้ท้องว่างกันเป็นแถบ ๆ ลำบากเราที่ร้องรีบเคลียร์ดันเจี้ยนออกไปกอบกู้สถานการณ์ถือว่าทีมพัฒนาเกมนั้น ฉลาดมาก ๆ ในการผูกสองระบบนี้เข้าไว้ด้วยกัน เพราะแม้การต่อสู้จะไม่ยาก แต่ถ้าเกิดสถานการณ์สุ่มแบบที่ว่าไปขึ้นมา เกมจะตึงขึ้นมาทันที และความรีบเร่งจะจบดันเจี้ยนออกไปช่วยลัทธิก็อาจจะทำให้เราพลาดท่าตายเอาได้ง่าย ๆ โชคดีที่บทลงโทษการตายของเกมนี้ ไม่โหดนัก อย่างมากก็เริ่มใหม่ แต่ทรัพยากรระหว่างทางที่เราเก็บมาได้ จะถูกหักเปอร์เซนต์ออกไปแทน ส่วนทรัพยากรที่ได้มาเช่นไม้ หิน อาหาร กระดูก ก็เอาไปทำอย่างอื่นตามที่เกมกำหนด ด้วยความที่เป็นเกม Roguelite เราจะสามารถเลือกเส้นทางไปต่อข้างหน้าได้ โดยเราจะเห็นเลยว่าเส้นทางที่เรากำลังจะไปต่อนี้ เราจะได้อะไรเป็นรางวัล อาจจะมีการปลดล็อคสาวกเพิ่มระหว่างทาง ได้ทรัพยากร หรือแม้แต่ระบบไพ่ทาโรต์ที่จะช่วยให้เราต่อสู้ได้ง่ายดายและสะดวกมากยิ่งขึ้นได้และการออกแบบศัตรูก็ถือว่าแสบใช้ได้ ย้ำกันอีกรอบว่ามันไม่ใช่เกมยาก แต่ด้วยการออกแบบสถานการณ์ทำให้เรารู้สึกว่าศัตรูตัวนี้แม้มันจะไม่มีอะไรมาก แต่มันช่างน่ารำคาญอย่างเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลารีบ ๆ จะจบเกม มันทั้งหลบหลีกเป็น รุมเป็น มีท่าพิเศษที่ถ้าหากเราโดนโจมตีขึ้นมาก็ถือว่าเจ็บเอาเรื่อง และเสียเวลาอีกต่างหาก  ฟังดูเหมือนเกมจะเน้นหนักไปที่การบริหารจัดการ แต่สำหรับคนที่ได้เล่นเอง จะรู้ได้ทันทีว่า Cult of the Lamb เป็นเกมที่ผสมผสานเอาแนวเกมบริหารจัดการกับการต่อสู้มาผสมผสานไว้ด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยมแบบหาเกมทำได้ยากมากจริง ๆอาจจะหาว่าอวยจนเกินไปหน่อย แต่บอกตรง ๆ ว่าตลอดเวลาการเล่นของเกมนี้ ผู้เขียนไม่สามารถหาข้อเสีย หรือข้อตำหนิใด ๆ ให้ตัวเกมได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่ตัวเกมนั้น โดดเด่นในด้านกราฟิกแบบ 2D และบั๊กรวมไปถึงการแสดงผลที่แทบไม่เจอเลยตลอดการเล่น ดังนั้นผู้เขียนจะแปลกใจมาก หาก Cult of the Lamb ไม่ได้เข้าชิงรางวัลเกมอะไรเลยสักสาขาในปีนี้ แต่ก็นั่นแหละ นี่เป็นเพียงความชอบมาก ๆ ส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น อาจจะมีคนที่เจอบั๊ก หรือข้อเสียของเกมเพลย์การเล่นก็ได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว นี่คือหนึ่งในเกมโปรดประจำปี 2022 นี้เลยทีเดียว
18 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Lost in Play สองศรีพี่น้อง ผจัญภัยโลกแห่งความฝัน กับการเดินทางอันอบอุ่นหัวใจ
Lost in Play ถูกพัฒนาโดย Happy Juice Games จับมือกับ Joystick Ventures ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2022 ที่ผ่านมาครับ ผู้เขียนจด ๆ จ้อง ๆ กับเกมนี้อยู่สักพัก และแพ้ให้กับงานอาร์ตของเกมนี้ครับ ด้วยที่ว่ามันน่ารักและเหมือนได้ดูการ์ตูนแอนิเมชั่นยาว ๆ 5 ชั่วโมง เลยตัดสินใจกดซื้อมาเล่นเพราะอยากจะรู้ว่าเนื้อหามันเป็นยังไงมี Puzzle หรือมินิเกมอะไรให้ทำบ้าง เดี๋ยววันนี้ผมจะมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่าที่ผมได้เล่นมันมานั้น เกมนี้มันบันเทิงและทำให้ผมปวดสมองขนาดไหนงั้นตามมาเลยครับ มาอ่านรีวิวกานนนนนเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการไขปริศนาชวนฝันเกมเพลย์ - ดินแดนความฝันในโลกจินตนาการของสองศรีพี่น้องใน Lost in Play นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับมากมายครับ เกมเริ่มเล่าเรื่องมาจากโลกในความฝันของน้องสาว ตัดกลับไปกลับมาบนโลกแห่งความจริงและผสมโรงเข้ากับจินตนาการอันสุดล้ำของพี่ชาย น้อง ๆ ทั้งสองคนหลงทางในโลกจินตนาการและกำลังช่วยกันหาทางกลับบ้าน จึงทำให้เราคนเล่นได้เริ่มต้นแก้ปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ตลอดเวลา เริ่มต้นกันตั้งแต่ปริศนาระดับอนุบาลไปจนถึงระดับที่อาจจะทำให้เราปวดกระบาลได้เลย ฮ่า ๆ นอกจากปริศนาที่มีให้เราแก้แล้วนั้น เกมนี้ยังมีมินิเกมให้เราเล่นเพื่อแข่งขันกับตัวละครต่าง ๆ ในเกมด้วย เกมจะดำเนินไปเป็นเส้นตรงตามเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนแต่อย่างใดครับ จะซับซ้อนก็ตรงปริศนากับมินิเกมนี่แหละที่หัวจะปวด ฮ่า ๆPuzzle - เกมนี้การเล่นเกมหลัก ๆ จะดำเนินเรื่องราวต่าง ๆ จากการแก้ปริศนาและการเล่นมินิเกมครับ ใช้ระบบ Point & Click เอาเม้าส์จิ้ม ๆ ชี้ ๆ ผสมนั่น นู่น นี่ ไปเรื่อย ๆ ปริศนาต่าง ๆ มีให้เล่นเยอะมาก ๆ มีง่ายมียากสลับกันไป อาทิเช่น การท้าทายนางนวลโจรสลัดในเกมจับปู, เสิร์ฟชาวิเศษให้กับขุนนางคางคก, และรวบรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างเครื่องบิน แก้ปริศนาต่าง ๆ ครบเมื่อไหร่เราถึงจะสามารถผ่านไปเล่นฉากต่อไปได้ครับ ถ้าหัวสมองเราไม่สามารถประมวลผลได้อีกต่อไปแล้ว เกมมี Hint (ตัวช่วย) อยู่ที่มุมซ้ายบนครับ กดขอความช่วยเหลือเซฟสมองเราได้ตลอดเวลา ฮ่า ๆ ๆปลุกจินตนาการให้โลดแล่นกราฟิก - คือบอกเลยครับน่ารักมาก ๆ เหมือนได้นั่งดูแอนิเมชั่นยาว ๆ ชิล ๆ กับภาพการ์ตูนแนว 2D ที่เคยดูผ่าน Cartoon Network ในตอนที่ผู้เขียนยังเด็ก ถึงแม้ว่าตัวการ์ตูนในเกมจะใช้ภาษา กากาตาบี้ กูกูตาลู ที่ผู้เขียนไม่อาจจะเดาได้เลยว่าน้อง ๆ พูดภาษาอะไร ฮ่า ๆ เพราะไม่มีซับครับ แต่เราสามารถสังเกตท่าทางภาษากายของน้อง ๆ ได้ครับว่าต้องการสื่อสารอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นเกมนี้ไม่มีกำแพงด้านภาษาแน่นอน ผมฟันธง! ดีไซน์ของด่าน ฉากต่าง ๆ และคัดซีนคือดีงามจัด ๆ ใช้พื้นที่ในการลงเกมแค่เศษเสี้ยวของ HDD หรือ SSD 1.31GB เท่านั้นเอง และเครื่องไม่ต้องแรงก็เล่นได้ครับระบบควบคุม - เกมนี้จะมีให้เราเลือกได้ว่าเราถนัดการใช้อะไรในการเล่นไม่ว่าจะเป็น จอย, คีย์บอร์ด, หรือเมาส์ เลือกเอาได้ตามความชอบเลยครับ แต่ตัวเกมจะแนะนำให้เราใช้จอยในการเล่น อาจจะอยากให้ผู้เล่นอย่างเราเสพย์เนื้อเรื่องได้อย่างรีแล็กซ์ที่สุด ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเรื่องการใช้จอยนะครับอารมณ์ได้นอนเล่นเกมสบาย ๆ เบา ๆ เหมือนดูการ์ตูนครับ ฮ่า ๆ ในเกมการบังคับช่วงแรก ๆ จะมีสอนการใช้งานครับ อย่างเช่น ผมเลือกใช้เมาส์ผมจะสามารถกดคลิ๊กเพื่อให้น้อง ๆ เดินหน้าหรือถอยหลังได้ ส่วนถ้าใครใช้คีย์บอร์ดก็จะเป็น W, A, S, D ไม่มีการบังคับอะไรที่ซับซ้อนหลัก ๆ ใช้แค่เมาส์ไว้คอยชี้ ๆ จิ้ม ๆ กับกดเดินเท่านั้นเลยครับUI - ใช้งานง่าย ไอเทมต่าง ๆ ที่น้อง ๆ เก็บตามทาง หรือตามฉากเพื่อมาทำเควสจะเข้ากระเป๋าของน้องในเกมมุมขวาบนครับ พอเก็บครบแล้วถ้าเป็นของที่ต้องใช้จำนวนเยอะ ๆ ตัวเกมจะผสมให้เราในกระเป๋าเลยครับ แล้วสามารถลากของสิ่งนั้นไป Interact กับสิ่งของในฉากเพื่อแก้ปริศนาได้ครับ ตรงไหนมี Puzzle ที่อยู่ในฉากก็ดูไม่ยาก สังเกตจาก Cursor ของเม้าส์จะเปลี่ยนไปอย่างสังเกตได้ครับ และเราจะรู้ได้ทันทีว่าตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งใน Puzzle ส่วนภาษาไทยหรือภาษาต่าง ๆ จะมีแค่ในส่วน User Interface สำหรับการใช้เมนูต่าง ๆ เท่านั้นครับ ไม่มีซับหรือพากย์ไทยภาษาที่น้อง ๆ ในเกมพูดตัวผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นภาษาที่ผู้พัฒนาสร้างขึ้นมาเองครับ และบางเมนูถ้าเปลี่ยนเป็นภาษาไทยอาจจะยังเจอบัคภาษาต่างดาวอยู่บ้างแต่ไม่มีเป็นปัญหาในการเล่นเกมแต่อย่างใดครับสรุปเป็นเกมแนวพัสเซิลเรื่องวุ่น ๆ ของวัยรุ่นฟันน้ำนม พอยแอนด์คลิ๊ก แนวน่ารัก สดใส เรื่องราวจินตนาการของสองพี่น้องชิ๊พแอนด์เดล (ไม่ใช่เรื่องน้านนนน) อะ อะ ขอโทษ ๆ เอาใหม่ ๆ เป็นเรื่องราวจินตนาการของสองพี่น้องที่เราไม่รู้จักชื่อของน้อง ๆ ด้วยซ้ำ การดีไซน์ฉาก ด่าน ปริศนา มินิเกมต่าง ๆ และคัดซีนคือสร้างความประทับใจให้ผู้เขียนเป็นอย่างมาก ยอมรับเลยครับว่าตอนที่กดซื้อมาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีต่อใจขนาดนี้ ใครชอบภาพแนวนี้ผู้เขียนบอกเลยครับว่าห้ามพลาด กดสั่งซื้อได้ราคาเบา ๆ 289 บาท ใน Steam ถึงแม้เราจะไม่รู้เลยว่าน้อง ๆ ทั้งสองคนในเกมนั้นพูดภาษาอะไร หรือน้องอาจจะมีภาษาของตัวเอง แต่ท่าทางต่าง ๆ ที่น้องสื่อสารกับเรานั้นไม่ต้องกลัวเลยครับว่าเราจะเล่นเกมนี้ไม่ได้ ผมรับประกันเลยว่าเราจะเข้าใจเนื้อเรื่องที่เกมต้องการจะสื่อ และความต้องการของน้อง ๆ อย่างแน่นอน ด้วยภาพสไตล์การ์ตูนแอนิเมชั่นทำให้เกมนี้สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย เนื้อเรื่องที่โคตรดีและเกมเพลย์ที่สนุก ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ จะตกหลุมรักเกมนี้อย่างแน่นอนครับเกมนี้ทำให้ผู้เขียนได้คิดถึงจินตนาการอันสุดล้ำในวัยเด็กมาก ๆ ครับ แค่ชิงช้าตัวเดียวผมกับเพื่อนสมัยอนุบาลสามารถสร้างเรื่องราวต่าง ๆ ในการละเล่นได้มากมายเหลือเกิน บางอย่างเราก็ลืมเลือนมันไปแล้ว พอโตมาการจะมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนตัวผมในตอนนั้นมันช่างยากเย็น บางทีผมก็แอบอิจฉาเด็กคนนั้นในตอนนั้นที่ไม่ต้องแบกอะไรเอาไว้ในใจเลย เกมนี้ทำให้ผมได้เห็นว่าเรามีเด็กคนนั้นอยู่ในส่วนนึงของจิตใจเราเสมอ แต่เราลืมเอาเขาออกมาช่วยตักตวงความสุขของเรา ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน ถือว่ามันเป็นเกมที่เตือนใจเราในเรื่องความรู้สึกที่ถูกหลงลืมได้ดีที่เดียวเชียวครับกับ Lost in Playสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1328840/Lost_in_Play/?l=thai
16 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Travellers Rest "เกมจำลองโรงเตี๊ยมอารมณ์ดี ไว้เป็นที่พักใจให้นักเดินทาง"
Travellers Rest เกมนี้ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2020 ซึ่งวางขายมาพักใหญ่ ๆ แล้วนะครับ ถูกพัฒนาโดย Isolated Games ผู้เขียนสนใจเกมนี้เพราะภาพของเกมนั้นไปคล้ายเกมดังอย่าง Stardew Valley และมันลดราคาอยู่พอดี เลยกดซื้อแบบไม่ได้คิดอะไรมากเพราะอยากเล่นแล้วเอามารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ ว่าเกมนี้มันเป็นเกมแนวไหนกันแน่จากโรงเบียร์เล็ก ๆ สู่โรงเตี๊ยมก่อนเล่นนั้นผู้เขียนคิดว่า เกมนี้จะเป็น Stardew Valley แบบบริหารโรงแรมครับ แต่พอเล่นจริง ๆ สเกลของเกมมันเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ๆ เกมนี้ไม่ใช่เกมที่เราต้องมาทำไร่ปลูกผักจริงจังอะไรขนาดนั้น และไม่มีพื้นที่อื่น ๆ ในแมพนอกจากบริเวณโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงของเราครับ เกมนี้เราสามารถเลือกเพศและสร้างตัวละครเจ้าของร้านของเราตบแต่งได้เท่าที่เกมมีมาให้ ซึ่งมันไม่ได้เยอะอะไรมากมายครับ หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยใช่ไหมครับว่าโรงเตี๊ยมคืออะไร มันก็คือโรงแรมเล็ก ๆ ที่มีการขายเหล้าและอาหารครับ เหมือนในหนังจีน หรือในหนังคาวบอยต่าง ๆ ในเกมนี้เราก็ต้องมาบริหารโรงแรมหรือบาร์ที่มีลักษณะแบบที่ผู้เขียนได้กล่าวมาครับ เกมเพลย์ - เราจะรับบทเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีหน้าที่บริหารโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ตัวเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องบอกอะไรทั้งนั้น ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร มาจากไหน พอมาถึงตัวเกมจะมีเควสคอยสอนเราเล่นครับ เริ่มต้นก็วางโต๊ะ เก้าอี้ ว่าตรงไหนวางได้ไม่ได้, ฝึกฝนการใช้บาร์ว่าจะดูของเหลืออะไรเท่าไหร่ยังไง, ฝึกเสิร์ฟเบียร์และอาหาร, ฝึกตบแต่งร้าน และอื่น ๆ อีกมากมายดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามเกมเพลย์ของเราครับ เกมจะวนลูปอยู่กับสิ่งเดิม ๆ เราจะมีอาหารเริ่มต้นมาให้ซึ่งเราไม่ต้องคราฟท์อะไรตัวเกมมีให้เลย 1 อย่างครับ นอกนั้นถ้าจะขายอย่างอื่นเราต้องคราฟท์ได้ก่อน เกมนี้อาศัยค่า Reputation (ค่าชื่อเสียง) ในการปลดล็อคสิ่งต่าง ๆ หรือโหมดต่าง ๆ ครับ ปลดล็อคไปเรื่อย ๆ หลัง ๆ ก็จะมีในส่วนของโรงแรมและการทำอาหารหรือการคราฟท์เบียร์เพิ่มเข้ามา ตัวเกมไม่มีไรมาก ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าร้านจะตันครับ หรือถ้าใจเราจะตันไปก่อนก็เลิกได้เลยเหมือนกัน ฮ่า ๆReputation (ค่าชื่อเสียง) - ส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการเล่นเกมนี้เลยครับ ถ้าเราไม่มีในส่วนนี้ผมบอกเลยว่าโรงเตี๊ยมของเราจะไม่ก้าวหน้าไปไหน การจะได้ ค่าชื่อเสียง เราต้องตบแต่งร้านให้สวยงามครับ และถ้าอากาศเย็นเราต้องจุดเตาผิงให้ลูกค้าของเราด้วย ไม่งั้นค่าชื่อเสียงของเราก็จะลดลง ซึ่งผู้เขียนบอกเลยว่าอย่าให้มันลดจะดีกว่า เพราะมันขึ้นช้ามาก และเกจชื่อเสียงของเราในเกมนั้นก็ยาวมากกกกก กว่าจะเก็บครบค่อนข้างใช้เวลาอยู่ครับ กว่าจะปลดล็อคเมนูต่าง ๆ มาให้เราเล่นนั้นก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน เราต้องทำความสะอาดร้าน ห้ามคนตีกัน ไม่เช่นนั้นค่าชื่อเสียงต่าง ๆ ของเราจะติดลบครับ หลัง ๆ เราสามารถจ้างพนักงานมาช่วยเราในส่วนนี้ได้เควส - เกมนี้ตัวเกมจะคอยส่งเควสให้เราเรื่อย ๆ ครับ รวมถึง Toturial บางอย่างก็เป็นเควสในเกมของเราด้วย ไม่ทำก็ได้ครับ แต่จะไม่ได้รับของรางวัล ซึ่งไอ้ของรางวัลพวกนี้ค่อนข้างสำคัญในการใช้ชีวิตในเกมของเราครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งถ้าจะซื้อเองก็ได้ แต่คือมันแพงมาก ๆ ผู้เขียนบอกเลยว่าในช่วงแรกของเกม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อด้วยรายได้อันน้อยนิดของเราการคราฟท์ - เกมนี้ถ้าเราอยากขายของได้แพงขึ้น เราต้องคราฟท์อาหารและเบียร์ ซึ่งการคราฟท์สิ่งต่าง ๆ ได้ต้องปลดล็อคในส่วนของ ค่าชื่อเสียง ก่อนครับ หลังจากนั้นเราสามารถไปซื้ออุปกรณ์ + วัตถุดิบในการทำอาหารและคราฟท์เบียร์ต่าง ๆ ได้ที่ตู้ไปรษณีย์ที่หน้าบ้านของเรา หรือบางอย่างสามารถได้รางวัลจากเควสครับ และเรายังสามารถคราฟท์อุปกรณ์ในการต่อเติมโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงของเราได้อีกด้วยปลูกผัก และหาแร่ - เกมนี้จะไม่มีแผนที่แบบสตาร์ดิวครับ สถานที่มีแค่บริเวณโรงเตี๊ยมของเราเท่านั้น พวกแร่หรือต้นไม้ต่าง ๆ เราสามารถหาได้จากรอบ ๆ บริเวณโรงเตี๊ยมของเรานั่นแหละครับ หาไม่ยากเพราะ Spawn (จุดเกิด) ในที่เดิมทุกวันครับ อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถติดตั้งได้บริเวณรอบ ๆ โรงเตี๊ยมของเรา แต่เราต้อง Clear พื้นที่ให้เรียบร้อย ตัดต้นไม้และถางหญ้าทิ้งให้หมดครับ เราจึงจะสามารถติดตั้งได้ การปลูกผักต่าง ๆ ผลผลิตส่วนใหญ่ที่เราไปเก็บเกี่ยวมาก็จะใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารขายให้กับลูกค้าของเราครับ การซื้อขาย - เราสามารถซื้อของที่จำเป็นต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถคราฟท์ได้ที่ตู้จดหมายหน้าบ้านเรา ซึ่งจะมีขายทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเลยครับ (อันนี้ผมก็พูดเกินไป เรือรบไม่มีขายฮะ ฮ่า ๆ) ถ้ามีเงินผู้เขียนแนะนำให้ซื้อของตบแต่งร้านมาใส่ร้านเราเรื่อย ๆ ครับ เพราะจะช่วยเพิ่มค่าชื่อเสียงของเราได้ไวมาก ๆ ส่วนการขายของนั้นถ้าเรามีของที่เราทำเยอะเกินไป และตอนนั้นเราต้องการเงินด่วน เราไม่สามารถนำของไปขายที่ตู้จดหมายนี้ได้นะครับ (ผมจะบอกทำไม ฮ่าๆ)ระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีเป็นภาพแนว Pixel Art เหมือน Stardew Valley เลยครับ เป็นภาพแบน ๆ หมุนมุมกล้องไม่ได้ แต่ผู้เขียนมองว่ามันน่ารักกว่าสตาร์ดิวนิดหนึ่ง เนื่องด้วยเกมมีขนาดเล็กมากใช้พื้นที่ในเครื่องประมาณ 525.03MB และภาพแนวนี้มันไม่ได้ดึงสเปคในเครื่องหรือใช้กราฟิกมากมายอะไรนัก คอมทั่วไปก็เล่นได้ครับ (แต่คอมโรงเรียนนี่ผมไม่แน่ใจ อาจจะไม่ไหว)ระบบควบคุม - เกมนี้ใช้ W, A, S, D ในการบังคับตัวละครของเราครับ ใช้การคลิ๊กเม้าส์เพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งของต่าง ๆ กดปุ่ม B เพื่อเข้าโหมดตบแต่งบ้านครับ เควสต่าง ๆ หรือ Toturial จะแทรกอยู่ภายในเกม เราจะถูกสอนการควบคุมมาตั้งแต่เริ่มเกมเลยครับ แต่เอาจริง ๆ การบังคับหรือควบคุมปุ่มต่าง ๆ เกมนี้ค่อนข้างจะทำให้ผู้เล่นเกิดความสับสนอยู่ครับ บางอย่างใช้เม้าส์คลิ๊กได้ บางอย่างไม่ได้ต้องใช้คีย์ลัด และบางอย่างใช้มันได้ทั้งสองแบบเลยครับ ซึ่งผู้เขียนมองว่าค่อนข้างจะยุ่งยากไปหน่อย ผู้เขียนมองว่าการเล่นเกมใน PC นั้นใช้เมาส์คลิ๊กเพื่อ interact สิ่งต่าง ๆ มันค่อนข้างง่ายกว่าการใช้ปุ่มคีย์ลัดครับ ซึ่งตรงไหนที่มันใช้เม้าส์ได้ในเกมนี้ มันก็ง่ายกว่าจริง ๆ UI - เพราะมันใช้คีย์ลัด เราเลยต้องอ่านสิ่งที่มันสอนใน Toturial ดีดีครับ เพราะไม่งั้นจะหาเมนูบางอย่างไม่เจอ อาทิเช่น ตอนเริ่มเกมจะมีสอนให้กด E ที่หนังสือ ผมหาไม่เจอครับ และผมคิดว่ามันคือบัคผมเลยไปดูรีวิวของ Streamer คนอื่น ๆ ที่เล่นเกมนี้ และผมพบว่าเขากด E ไม่ได้เหมือนกัน แต่ในช่องนั้นเขาอ่านในเควสครับว่าอ๋อออ มันต้องปิดโหมดตบแต่ง ก่อนครับโดยกด B แต่ใน Toturial ณ ตอนนั้นในเควสมันไม่ได้บอกละเอียดขนาดนั้นครับ มันแค่บอกให้เราออกจากโหมดตบแต่ง แล้วค่อยไปกด E ที่หนังสือ ทำให้ผู้เล่นอย่างเรางงงวยอยู่สักพักเหมือนกัน ส่วนเมนูอื่น ๆ ต้องเปิดผ่านคีย์ลัดเหมือนกันครับ ซึ่งจำเป็นต้องอ่าน Toturial ให้ละเอียดหน่อยเพราะเราต้องคอยจำปุ่มพวกนี้ครับ User Interface ของเกมนี้ผู้เขียนบอกตรง ๆ เลยว่ามันสร้างความสับสนในช่วงแรกมาก ๆ ครับ และค่อนข้างใช้งานยากสรุปผู้เขียนมองว่ามันจะไม่ใช่เกมที่ถูกใจทุกคนแน่ ๆ ครับ เพราะมันเป็นเกมที่วนลูป ถ้าใครชอบอะไรซ้ำ ๆ จำเจ ค่อย ๆ ตบแต่งโรงเตี๊ยมไปเรื่อย ๆ ก็ซื้อครับ เพราะตัวเกมไม่ได้มีอะไรมากนอกจากเสิร์ฟอาหาร และเครื่องดื่ม หลัง ๆ อาจจะมีให้เราคราฟท์อาหาร นู่น นี่ นั่นบ้าง ส่วนใครคิดว่าจะมาปลูกผักทำสวน ผู้เขียนบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ไม่ใช่เกมแบบ Stardew Valley ครับ เกมไม่ได้โฟกัสเรื่องการปลูกผักขนาดน้านนนน ผมมองว่ามันจะสนุกสำหรับคนที่ชอบทำอะไรเหมือนเดิมทุกวัน "ตื่นนอน > ออกจากร้าน > เดินไปเก็บไม้ > เติมน้ำใส่ถัง > เดินขึ้นเหนือไปดูแปลงผักว่าโตยัง กลับเข้าร้าน > ขึ้นไปดูของที่คราฟท์เอาไว้ว่าเสร็จยัง > เก็บของคราฟท์ > คราฟท์ใหม่ > วนลูป > ..เปิดร้าน > ขายอาหาร ขายเครื่องดื่ม > ทำความสะอาดเช็ดโต๊ะ ถูพื้น > ดูอากาศในร้าน ถ้าหนาวเปิดเตาผิงให้อุ่น ๆ > ..ปิดร้าน > เช็คสต็อกของที่จะขายในวันถัดไป > วน ๆ อยู่แค่นี้จริง ๆ" สำหรับผู้เขียนไม่อินแล้วครับ ฮ่า ๆอย่าเพิ่งเชื่อรีวิวจนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเองนะครับ เพราะว่าความสนุกในการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกัน ผู้เขียนไม่ชอบ แต่เพื่อน ๆ อาจจะชอบก็ได้นะครับ ผมจะบอกเหมือน ๆ เดิมเสมอว่าให้ลองกดซื้อมาเล่นดูก่อน ราคาเกมไม่แรงเลยครับ 239 บาทเท่านั้น แต่อย่าเล่นให้เกิน 2 ชั่วโมง และต้องไม่นานเกิน 14 วัน เพราะไม่งั้นมันจะกดขอคืนเงินไม่ได้ครับ ลอง ๆ สัก 30 นาทีเราก็รู้แล้วครับ ถ้าไม่ชอบก็กดรีฟันด์ง่าย ๆ แบบนั้นแหละครับ เพื่อน ๆ ฮ่า ๆสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1139980/Travellers_Rest/
15 Aug 2022
[Review] Sapiens "เกมจำลองวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ จากยุคหินสู่โลกอนาคต!"
Sapiens เกมนี้วางขายใน Steam มาตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2022 ซึ่งผู้เขียนซื้อมันมาตั้งแต่มันวางขายในวันแรกเลยครับ เพราะผู้เขียนสนใจคอนเซ็ปต์ของเกมนี้เอามาก ๆ เป็นเกมแนว Simulation จำลองเหตุการณ์การใช้ชีวิตของซิมส์ Homo Sapiens ครับ ผู้เขียนดองเกมนี้ไว้มาเป็นเดือนแล้วเห็นคำวิจารณ์ใน Steam มีแง่ดีอย่างมาก เลยอยากลองหยิบมาเล่นเพื่อรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ว่าที่เขารีวิวยกนิ้วโป้งให้เกมนี้กันเนี่ยเป็นกองอวยหรือว่ามันว้าวจริง ๆ วันนี้เราจะต้องได้คำตอบครับ ปฏิวัติการรับรู้จนเกิดเป็น "Homo Sapiens" (เกร็ดความรู้ก่อนเล่นเกม)แล้วเซเปียนส์คืออะไร? ยูวัล โนอาห์ แฮรารี นักวิชาการชาวอิสราเอล กล่าวในหนังสือของเขาไว้ว่า "Sapiens (เซเปียนส์)" เป็นชื่อของสปีชีส์หนึ่งของสกุล โฮโม (มนุษย์) ซึ่งในอดีตอันไกลโพ้น มนุษย์มีอยู่มากมายหลายสปีชีส์ อาทิเช่น นีแอนเดอร์ธัลเลนซิส, อีเร็กตัส, และ โซโลเอนซิส ฯลฯ ในเวลานั้นเซเปียนส์ก็ไม่ได้เก่งฉกาจเหนือสปีชีส์อื่น ๆ ออกจะเป็นมวยรองของบางสปีชีส์อย่าง นีแอนเดอร์ธัลเลนซิส ด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสมมติฐานที่ว่า การสูญพันธุ์ของมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ นั้น อาจเกิดขึ้นจากน้ำมือของเซเปียนส์นี่แหละครับ และถึงแม้ว่าสายพันธุ์เราจะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายหมื่นปี หรือเมื่อประมาณ 500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ถึงจะสามารถสร้างเทคโนโลยีด้วยวิทยาการต่าง ๆ จนทำให้เกิดการพัฒนาในระดับโบยบินบนฟากฟ้า ออกไปสำรวจอวกาศ เพื่อไขปริศนาความลับของจักรวาล และนั่นแหละครับ ทำให้เกมนี้ได้จำลองความเป็นอยู่และวิวัฒนาการต่าง ๆ ในยุคเริ่มต้นให้เราได้เล่นกัน เกมเพลย์ - เกมนี้เราจะได้เล่นจำลองเป็นเผ่าพันธุ์ เซเปียนส์ กลุ่มหนึ่งซึ่งเริ่มต้นนั้นเราสามารถเลือกชนเผ่าที่เราจะเข้าไปควบคุมพวกเขาได้ครับ มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด สมาชิกในชนเผ่าเริ่มต้นมีตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึง 10 คนครับ เราสามารถกดเลือกดูตามเผ่าต่าง ๆ ที่มันมีสัญลักษณ์ขึ้นมาให้เราเลือก และเราสามารถ Customize หรือตั้งค่าความยากง่ายต่าง ๆ ในการเล่นได้ครับ เกมเป็นเกมเล่นคนเดียวและไม่มีโหมดให้เลือกเล่น เผ่าต่าง ๆ เราสามารถเช็คลักษณะนิสัยของซิมส์แต่ละตัวได้นะครับ ว่ามีลักษณะนิสัยแบบที่เราชอบรึเปล่า ในเกมเราต้องบังคับซิมส์ของเราให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เรียนรู้การจุดไฟ, การหาของเก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ, ทำที่อยู่อาศัย, เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะพัฒนาหรือสร้างเป็นเครื่องมืออะไรได้บ้าง, เรียนรู้การทำอาหารด้วยไฟ ฯลฯ เป็นต้น เราต้องเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์เราเลยครับ พอเริ่มเรียนรู้ไปเยอะ ๆ ทีนี้ก็ต้องแบ่งหน้าที่ให้กับคนในเผ่าของเราตามความถนัดของซิมส์ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเราจะได้เห็นว่าเกมมีการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยไปเรื่อย ๆ ให้เราได้เห็นถึงการพัฒนาครับ สัตว์ที่เราล่ามา หรือแม้แต่ผลไม้ที่เราเก็บมานั้น สามารถเน่าเสียได้ตามกาลเวลา และเราสามารถเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ได้ ว่าเราจะเอาของเน่าเสียไปทำอะไร โดยสั่งให้ซิมส์ของเราไปศึกษามันครับ ซึ่งมันเป็นเสน่ห์ของเกมนี้เอามาก ๆ และมันดันสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ดำเนินไปจะโคตรช้า แบบเร่งเกมแล้วก็ยังรู้สึกว่าผู้พัฒนาทำตรงนี้มาช้าเกินไป แต่เกมเพลย์ของมันก็ยังสนุกมาก ๆ สำหรับผมอยู่ดีSurvival Tree - จะเป็นตารางที่เราเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่สำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจุดไฟ, การปลูกพืช การล่าสัตว์ และอีกเยอะแยะมากมาย พอเราเรียนรู้สำเร็จ สิ่งที่สำเร็จแล้วจะมาปรากฏอยู่ในตารางต้นไม้ของเราครับ และเราสามารถกำหนด Role (บทบาทหน้าที่) ให้กับซิมส์ในเผ่าของเราได้ ว่าอยากให้คนไหนทำหน้าที่อะไรระบบคราฟท์ - จะมีโต๊ะสำหรับคราฟท์เหมือนเกมอื่น ๆ เลยครับ แต่มันเชื่อมโยงกับ Survival Tree ยิ่งซิมส์เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เยอะมากขึ้นเท่าไหร่ พัฒนาการในการสร้างข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จะมาช่วยผ่อนแรงให้เราก็จะมีให้สร้างเยอะขึ้นครับ เช่น แรก ๆ การสร้างบ้านของซิมส์ อาจจะทำได้เป็นแค่หลังคาจากหญ้าแห้ง แต่เมื่อซิมส์ของเรามีการพัฒนาด้านวิทยาการความรู้เราก็จะสามารถสร้างเป็นกระต็อบเล็ก ๆ และเป็นบ้านที่สวยงามตามยุคสมัยและวิวัฒนาการของซิมส์เราได้ครับ ระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีภาพแนว 3D Polygon นะครับ เป็นเกม Simulation, การจัดการ, สร้างเมือง, เอาตัวรอด และเราจะได้รับบทเป็นพระเจ้าที่มองลงมาจากด้านบนครับ ใช้พื้นที่ในเครื่องน้อยแบบน้อยมาก ๆ เพียงแค่ 428.89MB (1GB ยังมีทอนเหมือนเดิม) เกมนี้ไม่ต้องใช้สเป๊คโหด ๆ คอมบ้าน ๆ ก็เล่นได้ครับ ผู้เขียนก็ปลาบปลื้มใจอีกเช่นเคย ฮ่า ๆระบบการบังคับ - เกมนี้ Tutorial จะแทรกอยู่ในเกมเลยครับ ตัวเกมจะคอยสอนเราตลอดส่งเป็นเควสมาให้เราได้รู้ว่าเราควรทำอะไร อันนี้ดีนะครับผู้เขียนชอบ การบังคับของเกมนี้ใช้ W, A, S, D เพื่อบังคับทิศทาง Q, E หมุนมุมกล้อง การใช้ลูกกลิ้งซูมเข้าออก ไม่ต้องปรับตัวมากเพราะเหมือนเกมอื่น ๆ ที่เราเคยเล่น ๆ มาเลยครับ เม้าส์ใช้คลิ๊กสิ่งของต่าง ๆ ค่อนข้างใช้ยากถ้าเป็นของชิ้นเล็ก ๆ บางทีคิดว่าคลิ๊กโดนแล้วแต่ไม่ใช่ครับ ไปโดนพื้น เราต้องคอยซูมเพื่อให้เห็นว่าเราคลิ๊กโดนสิ่งของเป้าหมายหรือยัง ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างน่ารำคาญสำหรับตัวผู้เขียนครับ การตัดไม้ต่าง ๆ ของซิมส์ทำให้เกิดคำถามในใจได้ว่าจะโบกมือให้ต้นไม้ทำไม? ฮ่า ๆ ๆ ๆ ผู้เขียนมองว่าผู้พัฒนาใส่ใจในรายละเอียดบางอย่างน้อยเกินไปหน่อยครับ คือแบบให้ซิมส์เราเดินไปทุบต้นไม้มันยังดูสมเหตุสมผลกว่า นี่ไปโบกมือให้ต้นไม้เสร็จแล้ว ต้นไม้ไม่หายไปด้วย แต่ได้วัตถุดิบเป็นท่อนซุงมาด้วย ลงทุนให้ต้นไม้มีการเติบโตหน่อยก็ได้ม้างงงงง กำหมัดแล้วน้าาาาา ไม่ใช่ว่าวันนี้ชั้นมาโบกมือเอาท่อนซุงนะ พรุ่งนี้เราจะ Spawn (จุดเกิด) ใหม่ที่ต้นเดิม ถ้าอยากให้ต้นไม้ต้นนั้นหายไปเราต้องกด Remove คือไรฟระ? ตรงนี้ตัวผู้เขียนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับUI -  และนี่คืออีกส่วนที่ผู้เขียนมองว่าบ้าบอไม่แพ้กัน ฮ่า ๆ ระบบ User Interface ที่สุดแสนจะแปลกประหลาดและพยายามจะแหวกแนวทำไม? เกมอื่นเขาก็แค่ลากเม้าส์คลุมสิ่งที่ต้องการให้ซิมส์ของเราไปเก็บเกี่ยวใช่ไหมครับ แต่เกมนี้เราต้องกดขยายพื้นที่ ซึ่งมันจะเหมือนเรดาร์แล้วเราก็ต้องไปลากพื้นที่ในเรดาร์ แล้วกดยืนยันในเรดาร์ แล้วก็ต้องมากดยืนยันที่เมนูด้านนอกอีกที มันจะซับซ้อนไปไหนก่อนนนนน ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก (อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้เธอฟังไม่ได้สักคำ ฮ่า ๆ) ในส่วนอื่น ๆ เมนูต่าง ๆ พวกช่องเก็บของ, Survival Tree และตารางสมาชิกในเผ่าของเรา ตรงนี้ใช้ง่ายครับ ปุ่มเร่งความเร็วนั้นไซร์ก็เหมือนจะไม่ทำให้เกมนี้ดำเนินเร็วขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่ ซึ่งผู้เขียนมองว่ามันเป็นข้อเสียของเกมนี้อยู่เหมือนกัน ที่เราต้องรอซิมส์ของเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ นานมาก ๆ ถึงแม้ว่าเราจะกดเร่งไปแล้ว จริง ๆ ในส่วนนี้ผู้เขียนมองว่า Dev สามารถปรับให้เกมไวขึ้นกว่านี้ได้นะครับ เพื่อลดความน่าเบื่อและความไม่ต่อเนื่องในการเล่นเกม (คือระหว่างรอเนี่ยผู้เขียนเดินไปเข้าห้องน้ำ กินขนมในตู้เย็น กลับมาซิมส์ของผมมันยังเรียนไม่เสร็จเลย)สรุปเกมนี้สำหรับตัวผู้เขียนตอนได้เล่นคือว้าวเลยครับ ได้ความรู้สึกแปลกใหม่ เล่นเพลินมาก ๆ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ มันจะมีบางจุดที่คิดว่า Dev เกมนี้ควรแก้ไขครับ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วของเกม UI ต่าง ๆ ที่ทำให้เรื่องที่มันง่ายอยู่แล้วกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นอย่างเราไปซะอย่างงั้น ถ้าแก้ได้เกมนี้จะเป็นเกมที่เล่นได้แบบลืมวันเวลาเลยครับ เพราะถ้าได้ความต่อเนื่องในการเล่นเกม โดยที่ไม่ต้องรอซิมส์ของเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จนเกิดช่องว่างระหว่างเวลา ตัวผู้เขียนมองว่าเกมที่ดีมันไม่ควรให้เรามีเวลายุบจอไปทำอย่างอื่นครับ เราตัดสินใจเล่นมันเราก็ควรจะอยู่กับมันจนกว่าเราจะกดออกจากเกม แต่เกมนี้มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะติดปัญหาที่ผู้เขียนได้บอกไป แต่ถามว่าคุ้มกับราคา 319 บาทไหม ผู้เขียนมองว่าคุ้มครับ ราคาไม่แพง เกมสนุก แต่มันเสียแค่ในส่วนที่ผมได้บอกไปจริง ๆ ขอหัก 2 คะแนนครับ ให้แค่ 8/10 เท่านั้น เนื่องมาจากว่ามันยังเป็น Early Access ผมได้เขียนรีวิวใน Steam ไว้แล้วเผื่อ Dev ผ่านมาเห็นอาจจะแก้ไขให้ครับ (ได้แต่สวดภาวนา เพราะผู้เขียนค่อนข้างชอบเกมนี้เอามาก ๆ อยู่เหมือนกัน) ถ้าเพื่อน ๆ เป็นสายเล่นชิล ๆ ชอบเกมแนวนี้และข้อเสียที่ผมบอกมามันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเพื่อน ๆ ผู้เขียนบอกเลยว่ายังไงเกมนี้ก็คู่ควรกับคลังเกมใน Steam ของเราครับ สั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/app/1060230/Sapiens/
13 Aug 2022
[Review] Longvinter "เกมเอาตัวรอดสุดระห่ำ ในสกิน Animal Crossing สุดแบ๊ว?!"
Longvinter เกมนี้ถูกพัฒนาโดย Uuvana Studios วางขายใน Steam เมื่อวันนที่ 25 ก.พ. 2022  เป็นเกมเอาชีวิตรอดสไตล์ Sandbox บนเกาะที่แสนสงบ(มั้ง) แห่งหนึ่ง ผู้เขียนกด Wishlist เอาไว้ตั้งแต่เกมออก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ซื้อสักที เพราะคำวิจารณ์ใน Steam ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่สุดท้ายก็อดใจให้กับความน่ารักของภาพไม่ได้ เลยต้องซื้อมาทดสอบด้วยตัวเองดูสักหน่อยว่ามันเป็นยังไงกันแน่ การเอาตัวรอด + ความน่ารักมันจะไปกันได้จริง ๆ เหรอ? ผู้เขียนก็อยากจะรู้เหมือนกันครับ ฮ่า ๆ เดี๋ยววันนี้ผู้เขียนจะมารีวิวในมุมของผู้เขียน ให้ทุกคนได้อ่านกันนะครับความโหดร้ายบนทุ่งลาเวนเดอร์ เพื่อน ๆ คงคิดใช่ไหมครับ ทำไมผู้เขียนถึงได้จั่วหัวมาแบบนี้เลย เพราะมันใช้ภาพของความน่ารักหลอกเราครับ ผมเห็นผู้เล่นหลายคนที่ผมไปอ่านคำวิจารณ์ใน Steam มานั้น โดนหลอกด้วยภาพกันซะเป็นส่วนใหญ่ คนส่วนมากคิดว่ามันเป็นเกมสไตล์ Animal Crossing ที่ตกปลา คราฟท์ของ ทำฟาร์ม ชิล ๆ แต่กลายเป็นว่ามันคือเกม Survival สไตล์ Rust แต่มาในภาพที่น่ารักเฉย ๆ ครับ ฮ่า ๆ บางคนมา Solo แค่อยากจะสร้างบ้านสวย ๆ แล้วโดนดักยิงปล้นของไปหมด จนทำให้หัวร้อนกันเป็นแถว ๆ จากผู้เล่นใส ๆ สุมความคับแค้นใจอยู่เต็มอก บางคนก็เปลี่ยนพลังงานตัวเองเข้าสู่ด้านมืดไปไล่ยิงกับคู่อริของเขา หรือบางคนมาเขียนคำวิจารณ์โดยที่ไม่เปลี่ยนแนวทางของตัวเองแต่เลิกเล่นไปเลยก็มีครับ (ผมเห็นจากคำวิจารณ์ที่ผู้เล่นบางคนมาเขียนติเรื่องสังคมในเกม) ความสนุกในการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกัน อันนี้เข้าใจได้ครับ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเกมเขาสร้างมาให้ PvP ฉะนั้นเราคงหนีไม่พ้นการถูกยิงอยู่ดี แต่โดนยิงด้วยภาพน่ารักแบบนี้ อาจจะทำให้ใจเจ็บได้อยู่เหมือนกัน ฮ่า ๆเกมเพลย์ - เราจะได้มาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Longvinter ครับ เริ่มเกมมาก็จะไม่มีอะไรมาก มีแค่ Tutorial สอนการเล่นเกมเบื้องต้น โดยให้เควสเรามาทำ ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา, หาของ, ขายของ, หรือการซื้อตั๋วเรือเพื่อไป Outpost เพื่อฟาร์มของสร้างบ้านครับ วัน ๆ ก็เดินหาของลูทไปเรื่อย ๆ ถ้าดวงดีก็ได้ของดี เกมไม่มีแมพมีแต่อุปกรณ์ใช้บอก Coordinate หรือพิกัดของผู้เล่น ซึ่งผู้เขียนมองว่าเกมนี้มีคอนเทนต์ให้ทำระดับปานกลาง และทำได้ยากมาก ๆ เพราะมันมี PvP นี่แหละครับ สัตว์ที่ให้ล่าก็ไม่มีอะไรมาก มีแค่ไก่งวง กับปลาเท่านั้นที่ล่าได้ ซึ่งผมมองว่ามันน้อยไปมากสำหรับเกมแนว ๆ นี้ อาจจะเพราะมันยังเป็น Early Access อยู่ก็ได้ ต้องรอดูว่าถ้าเกมเป็นตัวเต็มแล้ว ผู้พัฒนาจะใส่อะไรในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาให้ผู้เล่นทำมากขึ้นรึเปล่า พลังงาน - เกมนี้จะไม่เหมือนเกมเอาตัวรอดอื่น ๆ ที่มีเกจความหิว เกจพลังงาน หรือการเจ็บป่วย Longvinter นั้นจะมีแค่ในส่วนของพลังงานครับ แค่เราหาของกินพลังงานของเราก็จะกลับมาเต็มเหมือนเดิมครับ (กินจนกว่าจะเต็ม)ระบบสะสม - เกมนี้ถ้าใครเป็นสายสะสม บอกเลย เกมมีเป้าหมายให้เก็บสะสมของทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ขนนก พืช ปลา ความหายากของสิ่งต่าง ๆ ก็จะมีสีบอกครับ และทุกอย่างที่เราหามาได้ สามารถโยนลงตู้ขายของเพื่อรับเงินได้ครับ แต่ต้องเป็นของที่ตู้ต้องการนะครับ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถขายได้ หน้าตาของตู้ก็จะเป็นตู้แมชชีนที่เรากดซื้อน้ำมีหลากหลายสี (Vendor) เล่นไปเรื่อย ๆ สามารถคราฟท์เจ้าตู้นี้มาเป็นของตัวเองได้ครับบ้านใครใครก็รักเกมแนวนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เราต้องฟาร์มของให้เยอะที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ถูกไหมครับ บวกกับช่องกระเป๋าที่มีอยู่อย่างจำกัด เราเลยต้องคราฟท์ลังเก็บของเพื่อนำของที่หามา มาเก็บเอาไว้ที่บ้านของเรา ซึ่งคนอื่น ๆ ก็สามารถดักฆ่าเราแล้วเข้าไปขโมยของในบ้านของเราได้ เกมนี้ผมมองว่ามีระบบป้องกันบ้านที่แน่นหนามาก ๆ ไม่ว่าจะประตูที่ติดเซฟ จะเข้าบ้านได้เราต้องมีรหัส ติดมันตั้งแต่ประตูรั้วไปเลย ถ้าเราจะสร้างบ้านปลูกผัก ปลูกดอกไม้ขายสงบ ๆ แล้วเราไม่ได้สร้างป้อมปืนมาคอยเฝ้าบ้าน เราก็จะโดนผู้เล่นอื่นเอาเลื่อยมาเลื่อยรั้ว ขโมยแปลงผัก ล่อของหมดบ้าน แต่นั่นแหละครับมันคือความสนุกของ PvPใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้าผู้เขียนแอบเห็นข้อดีดี ที่เกมเอาตัวรอดอื่น ๆ ไม่ได้ทำครับ ในส่วนนี้ของที่เราหามาได้ เราสามารถรวบรวมแล้วเอามาขายลงตู้ที่เป็นเหมือนตลาด Trade ภายในเกมได้ครับ เพราะของบางอย่างตู้ในเกมไม่ได้รับซื้อ มันก็จะมีไอ้ตู้เทรดที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แทน ใครรู้จุดฟาร์มสิ่งที่มีความต้องการสูงในเกมนี้ เราสามารถไปฟาร์มเพื่อนำของมาขายปั๊มเงินไว้สร้างบ้านได้ แต่ก็นั่นแหละครับเมื่อความต้องการสูง การแก่งแย่งก็ย่อมสูงตามไปด้วย ถ้าเราเล่นแบบฉายเดี่ยวก็คงเสียเปรียบในส่วนนี้ระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก - เกมนี้มีภาพแนวการ์ตูน 3D Polygon สุดแบ๊ว และดีต่อใจ มองแว๊บแรกนึกว่าเกม Animal Crossing ครับ ใช้พื้นที่ในเครื่องของเราเพียง 1.8GB เท่านั้น ตอนแรกผู้เขียนเห็นภาพก็คิดว่ามันน่าจะใช้เยอะกว่านี้ แต่พอโหลดมาลงจริง ๆ ก็ผิดคาดไปมากอยู่เหมือนกันครับ การควบคุม - ใช้ W, A, S, D ในการบังคับทิศทาง เมาส์ซ้ายใช้คลิ๊กเพื่อขายของ, ตกปลา, เก็บผลไม้, ลูทของ ก็เหมือน ๆ กับเกมอื่น ๆ ทั่วไปในท้องตลาดครับ อาจจะมีบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะเกมส่วนใหญ่อาจจะคลิ๊กขวาเพื่อขายของ หรือลากของไปใส่ได้เลยแต่เกมนี้คลิ๊กซ้ายทั้งหมด ก็เลยต้องปรับตัวอยู่บ้างครับUI - บอกเลยว่าขัดใจครับ ฮ่า ๆ ผมมองว่ามันสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก ไม่ว่าจะเป็นส่วน Equipment (หน้าต่างส่วมใส่), Inventory (ช่องกระเป๋าเก็บของ) หรือแม้แต่เควสต่าง ๆ แต่นี่เหมือนเอามารวม ๆ กันหมด หน้าตาเหมือนกันหมด เหมือนทำไปงั้นแหละ ทำให้เสร็จ ๆ ไป ทำให้เหมือนรู้ว่า "เออเกมตรูก็มีนะ" ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า มีที่เหมือนไม่มี ฮ่า ๆ ทำงานอาร์ตมาขนาดนี้แล้ว ถ้าจะใส่ในส่วนของรายละเอียดตัวละครเพิ่มลงไป มันจะทำให้เกมดูมีอะไรกว่านี้ ถึงแม้ว่าส่วนต่าง ๆ จะกดใช้งานไม่ยาก และดูไม่รกตา แต่ผู้เขียนว่าผู้พัฒนาสามารถใส่ลูกเล่นเพิ่มเข้าไปได้อีกครับ หรือเพราะมันอาจจะเป็น Early Access พอเป็นตัวเต็มแล้วมันอาจจะสวยขึ้นอย่างใจผู้เขียนคิดก็ได้ รอดูกันต่อไปในอนาคตครับสรุปเกมนี้เป็นเกมที่น่ารักแบบที่ผมปฏิเสธไม่ได้เลย มันมียุคที่เกมแนวนี้มีให้เล่นอย่างดาษดื่น ไม่ว่าจะเป็น Rust, Dayz, H1Z1 หรือแม้แต่ Infestation ผู้เขียนบอกตรง ๆ เลยครับว่าตอนนั้นเล่นจนจะอ้วกอยู่แล้ว เกมออกมาให้เล่นแนว ๆ เดียวกันหมด เพราะอาจจะเป็นเกมที่แปลกใหม่ในช่วงเวลานั้น เอาตัวรอด ฆ่าซอมบี้ PvP กับผู้เล่นอื่น หรือถ้าเจอคนดีดีในเกมก็เป็นเพื่อนกันช่วยกันเล่นได้ แต่มันเยอะมาก ๆ จนผู้เขียนเอียนเกมแนว ๆ นี้ไปเลย พอโดนภาพเกมนี้ดึงดูดเลยลองซื้อมาเล่นดู โอเคครับถ้าเล่นแบบชิล ๆ น่ารัก ๆ ไม่ต้องไป PvP เล่น PvE อย่างเดียว สำหรับคนอยากสร้างบ้าน อยู่สงบ ๆ แต่บอกตรง ๆ ว่าน่าเบื่อครับ เพราะเราจะไล่เก็บคอนเทนต์ทั้งหมดไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตัน ไม่มีอะไรให้ทำละ จะเอาปลา เอาดอกไม้ไปขายหาเงินก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ฮ่า ๆ ถ้าในอนาคตคอนเทนต์มันไม่หมด ไม่ตัน สนับสนุนสายเล่น PvE คงสนุกกว่านี้PvP คือโอเค สมเป็น PvP โดนฆ่าตายจนท้อกันไปข้าง 200 กว่าบาทคือเหมาะสมแล้ว มีความไม่สมดุลอยู่บ้าง ผู้เล่นใหม่ ๆ ยังต้องรับมือกับผู้เล่นเก่าของเต็มมือ แต่ผู้พัฒนาก็ทำเต็มที่มีอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเกมที่ "มองเห็นความเป็นไปได้" มากกว่าเกมที่ครบเครื่องจริง ๆ ในขณะนี้ แต่ถ้าซื้อตอนนี้ก็ถือว่าสนับสนุนผู้พัฒนารายย่อยทีมเล็ก ๆ ให้ได้พัฒนาเกมเช่นกันระบบ UI ต่าง ๆ ก็ยังทำให้ตัวผู้เขียนขัดใจอยู่บ้าง (ไม่บ้างหรอกครับขัดใจเลยแหละ) แต่ในอนาคตมันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ครับ ใครชอบการ์ตูนแนวน่ารักไล่ยิงกัน โดนยิงแล้วใจไม่เจ็บก็จัดเลยครับ มีติดคลังเอาไว้ก็เล่นแก้เบื่อได้อยู่เหมือนกัน คนไหนเล่นเก่ง ๆ ก็อย่าไปแกล้งผู้เล่นใหม่มาก ๆ นะครับ เพราะบางคนเขาจะหนีไปเลย สังคมเกมถ้ามันอบอุ่นคนก็อยากจะมาเล่นด้วยเยอะ ๆ ถึงแม้ว่าเกมดีแต่คอมมู Toxic เหลือเกิน มันก็ทำให้เกมนั้นไม่น่าเล่นไปโดยปริยายครับ อย่างที่ผมเคยบอกไป "ความสนุกในการเล่นเกมของคนเราไม่เหมือนกันครับ" ไปลองกดซื้อแล้วเล่นดูครับว่ามันเหมาะกับเราไหม เล่นซักครึ่งชั่วโมงเราก็รู้แล้วครับว่าเราอินหรือไม่อินกับมัน ถ้าไม่อินเราสามารถ Refund ขอเงินคืนได้ มันก็ไม่มีอะไรจะเสียใช่ไหมล่ะครับ (เพราะตัวผู้เขียนก็ได้รีฟันด์ไปแล้ว ฮ่า ๆ)
12 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Ghost Watchers "เกมล่าท้าผี Early Access ที่ไอเดียดี แต่ยังมีหนทางพัฒนาอีกยาวไกล?!"
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยู่ดี ๆ กระแสของเกมนี้ก็ดังเป็นพลุแตก เพราะนี่คือเกมที่สองสตรีมเมอร์ชื่อดังของวงการ อย่าง HRK และ BRF หรือ Heartrocker และ Bay Riffer กำลังจะมาเล่นด้วยกัน เกมนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อยอดแนวเกมที่ประสบความสำเร็จของ Phasmophobia เกมตั้งตี้ล่าท้าผีสุดสะพรึง แต่ถูกนำมาต่อยอด และสร้างสรรค์สิ่งใหม่เข้าไปแทน นั่นคือเกมที่ชื่อว่า Ghost Watchers แต่มันจะโดดเด่นและสนุกแค่ไหน ลองพบกับรีวิวของเรากันได้คงคอนเซปต์ภารกิจล่าท้าผี ทั้งฉายเดี่ยวและเป็นหมู่คณะก่อนอื่นเราต้องบอกกันก่อนว่า Ghost Watchers ในตอนนี้ ตัวเกมอยู่ในสถานะ Early Access ที่ยังมีการอัปเดตดูแลกันอย่างต่อเนื่อง และเกมนี้จะไม่มีโหมดเนื้อเรื่องหรือ Story ใด ๆ ให้เราได้ติดตามกัน คอนเทนต์หลักของเกมจะเป็นเกมการเล่นแบบจบเป็นรอบ ๆ ไป โดยมีฉากและแผนที่ที่หลากหลายให้เลือกเล่น ส่วนเราจะเจอผีรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับดวง และผีแต่ะลตัวก็จะใช้วิธีทำให้มันอ่อนแอลงต่างกันด้วย เป็นคอนเทนต์หลักของเกมนี้ ดังนั้นใครจะซื้อมาเพราะหวังว่ามันจะมีเนื้อเรื่อง มีอะไรล้ำ ๆ ก็อยากให้ตัดสินใจกันให้ดี เพราะถ้าเทียบกันตรง ๆ ตอนนี้ Phasmophobia ที่เปิดมาก่อน อาจจะมีคอนเทนต์ที่แน่นกว่าอยู่พอสมควรเลยทีเดียวแต่เกมนี้มาพร้อมไอเดียที่แปลกใหม่ขึ้นไปอีกระดับนิดหน่อย คือทุกครั้งที่เราสามารถจัดการผีร้ายจนอ่อนแรงลงได้ เราสามารถปาลูกบอลออกไปเพื่อจับผีได้ ไม่ต่างอะไรกับจับโปเกมอน ทำเอาความน่ากลัวหดหายไปหมด แต่อย่านึกว่ามันจะทำกันได้ง่าย ๆ เพราะกว่าจะเข้าใจและเรียนรู้ระบบเกมกันได้ถึงขั้นนั้น ก็ต้องผ่านการโดนหลอกมานับไม่ถ้วนเหมือนกัน ความสะดวกสบายของเกมนี้คือ เราจะได้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาครบครันอยู่แล้วในช่วงแรก ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินซื้อเพื่อไปปลดล็อคแต่อย่างใด เพียงแต่หากเราใช้อุปกรณ์นั้นจนหมดแล้ว เราจะต้องใช้เงินในการซื้อเพิ่ม ซึ่งถ้าหากเรายังไม่สามารถจับผีได้ในเวลาที่จำกัด ก็อาจจะต้องเสี่ยงมากขึ้น เสียเงินในการซื้ออุปกรณ์มาช่วยมากยิ่งขึ้น โดยเกมนี้เราจะฉายเดี่ยว รับมือความกลัวคนเดียวทั้งเกมก็ได้ หรือจะลากเพื่อนมาร่วมกันสยองพร้อมกันได้มากถึง 4 คนก็ทำได้เช่นกัน สืบหาเบาะแส ท้าทายอำนาจ ก่อนสยบมันให้ราบคาบเกมเพลย์ของ Ghost Watchers นั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน เมื่อคุณเริ่มต้นเกมแล้ว เราสามารถหยิบอุปกรณ์จากชั้นวางของทั้งหมด และเข้าไปล่าท้าผีกันได้เลย ภารกิจแรกของเราคือการระบุให้ได้ก่อนว่าผีที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยนั้น คือผีประเภทใด โดยปัจจุบันตอนนี้ตัวเกมในช่วง Early Access จะมีผีอยู่ทั้งหมด 8 ประเภทด้วยกัน และการจะระบุผีทั้ง 8 ประเภทได้นั้น เราจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ทั้งหมดบนรถไปตรวจจับหาเบาะแสภายในสถานที่ดังกล่าวก่อนเราจะมีทั้ง Thermometer สำหรับตรวจจับอุณหภูมิ เครื่อง EMF หรือเครื่องตรวจแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่อง Particle Counter หรือเครื่องวัดอนุภาค โดยของแต่ละอย่าง เมื่อนำไปตรวจเบาะแส อาจจะกระตุ้นให้ผีโมโหขึ้น แต่แลกมากับข้อมูลที่เราจะได้รู้ เช่นถ้าพื้นที่ตรงไหนของฉากเกิดการผิดปกติของอุณหภูมิที่สูงกว่าหรือเย็นกว่าปกติ เราสามารถเปิดหน้าบันทึกข้อมูลขึ้นมา จากนั้นกรอกข้อมูลลงไป ข้อมูลที่ใส่ลงไปจะช่วยกรองข้อมูลให้ละเอียดขึ้น และสามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นผีประเภทใดแน่นอนว่าลูกเล่นของการใช้ไมค์โครโฟนและ Voice Chat ในการสนทนากับผีก็มีในเกมนี้ โดยผีจะตอบกลับเรา เมื่อเรากดไมค์คุยกับมัน โดยต้องพูดออกไปเป็นสคริปท์ที่เกมกำหนดไว้ให้ สำหรับการสนทนากับผี จะมีไอเทม 2 ชนิดทำงานด้วยกันคือกระดานผีถ้วยแก้ว (Ouija Board) และ Voodoo Doll หรือตุ๊กตาวูดู ถ้าผีบางตัวไม่ตอบรับ หรือไม่มีปฏิกิริยา ก็เลือกใส่ข้อมูลไม่ตอบสนองได้ เมื่อเราออกหาเบาะแส และใส่ข้อมูลจนครบ ก็จะระบุประเภทผีได้ แต่ช่วงการหาข้อมูลนี่แหละ ที่ถือว่าเป็นช่วงระทึก เพราะเราอาจจะโดนผีเล่นได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการลากไปยังมุมต่าง ๆ ของฉาก หรือบุกมา Jump Scare ใส่หน้าให้สะดุ้งกันเล่น ๆ โดยเราสามารถป้องกันได้ โดยการถือของหรือใช้ไอเทมบางอย่าง ที่ผีตัวนั้นแพ้ทางหรือชนะทางด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็อยู่ที่ว่าคุณจะสติแข็งพอจะจัดการมันได้หรือไม่ หลังจากระบุผีได้แล้ว ขั้นตอนการปราบผีแต่ละตัวก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งจะต้องใช้ไอเทมและกระบวนการที่ต่างกันด้วย เราสามารถอ่านวิธีการจัดการได้ตามระบบเมนูในเกม ซึ่งตรงนี้นี่แหละจะเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะหากเราทำพลาดขึ้นมา ถ้าเล่นคนเดียวก็อาจจะแพ้ไปเลย หรือถ้าเล่นกันหลายคนก็อาจจะทำให้เกมยากขึ้นโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้นเกมจะมีภารกิจเสริมมาให้โดยอยู่บนกระดานงานสำรอง ซึ่งถ้าหากทำสำเร็จก็จะได้รับโบนัสเป็นเงินรางวัล โดยจะได้เป็นเงินสด ๆ ณ ตอนนั้นเลย การทำภารกิจเหล่านี้กันไว้ก่อน จึงเป็นตัวช่วยกันเหนียว กรณีที่เกิดเหตุผิดพลาด และเราต้องนำเงินไปซื้อของเพิ่ม ดังนั้นถ้าเล่นกันหลายคน ทำไว้หน่อยก็ดีเมื่อเราทำตามขั้นตอนการปราบผีครบเรียบร้อย เราจะสามารถใช้ลูกบอลพลังงานสีขาวปาไปจับผีได้ ตรงนี้จะเหมือนกับโปเกมอนมาก ๆ เพราะจับปุ๊บ ลอยเข้าบอลปั๊บ จากเกมผีก็เลยดูเป็นเกมที่มีความฮาแทรกเข้ามาหน่อยหนึ่ง และผีที่เราจับได้ทั้งหมด สามารถเข้าไปดูได้ในส่วนของ Basement หรือฐานทัพของเรา ซึ่งภายในฐานทัพนี้จะเข้าได้จากหน้าเมนูของเกม โดยภายในฐานทัพนี้เราสามารถไปอ่านสคริปท์ที่เราใช้สื่อสารกับผีผ่านวิทยุ กระดานผีถ้วยแก้ว หรือตุ๊กตาวูดูได้ด้วยสิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ แม้เกมเพลย์จะคล้ายกับเกมอื่น ๆ แต่สิ่งที่เกมนี้ทำได้โดดเด่นกว่าเกมอื่น ๆ คือเรื่องของบรรยากาศและเสียงที่เด่นมาก ๆ ทั้งฉากและสภาพแวดล้อม ใครเข้ามาเล่นครั้งแรกก็กล้า ๆ กลัว ๆ กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเสียงที่คอยบิ้วอารมณ์อยู่เสมอ รวมไปถึงเสียงฉากต่าง ๆ รวมไปถึงประสบการณ์ในการเล่นครั้งแรกนั้นถือว่ายอดเยี่ยม และชวนให้เล่นต่อมาก ๆ แต่.. ถ้าเราบอกว่านี่คือข้อดีเกือบจะทั้งหมดของเกมนี้แล้วล่ะ..Early Access ที่มากมายด้วยปัญหา และคอนเทนต์ของเกมที่เบาหวิวเนื่องจากตอนนี้ตัวเกมอยู่ในช่วง Early Access แต่ก็ถือว่าได้รับกระแสตอบรับและคำชมจากแฟนเกมที่ค่อนข้างดีถึงความสนุกของตัวเกม แต่เราไม่อาจมองข้ามปัญหาของมันได้เลย เพราะหากเทียบกับเกม Early Access เกมอื่น ๆ แล้ว เกมนี้ถือว่ามีคอนเทนต์และรายละเอียดที่น้อยกว่าเกมอื่นมากพอสมควรเลยทีเดียว เริ่มจากการที่ตัวเกมไม่มีคอนเทนต์หรือโหมดเกมแบบอื่นแล้วนอกจากการล่าท้าผี และระดับความยากมีเพียง 3 ระดับ กับฉากอีกเพียง 3 ฉากใหญ่ ๆ ทำให้เล่นได้ไม่นานก็เก็บครบทุกอย่างแล้ว เราจะไปเสียเวลาตรงเรียนรู้เรื่องผี แต่ถ้าใครที่มีประสบการณ์จากเกม Phasmophobia ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเช่นกันนอกจากนั้นประเภทของผี แม้ว่าจะมีมากถึง 8 แบบ แต่ด้วยความที่เวลาผีปรากฎตัวออกมา เราจะเห็นรูปร่างได้ชัดเจนมาก ทำให้บางครั้ง การเก็บ Evidence ก็ไม่ค่อยมีความสำคัญ เก็บ ๆ พอให้เลือกประเภทผีได้ จากนั้นก็เข้าสู่ Phase การปราบผีเลย ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรอีก เพราะถ้าใครเล่นไปจนถึงช่วงการปราบผีได้ก็น่าจะไม่ค่อยกลัว หรือเล่นเป็นในระดับนึงแล้ว และต่อให้เล่นด้วยความยากระดับ Insane ก็ไม่ได้ยากเท่าที่ควร (เว้นแต่คุณจะโซโล่เดี่ยวหรือ Join เกมของคนอื่นที่ไม่สื่อสารกัน)ต่อมาคือเรื่องของ Progression ที่ไม่มีอะไรให้สะสมหรือเก็บมากนัก เลเวลอัปไปก็ไม่ได้มีผลอะไร เงินนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเอาไว้ซื้อของใช้เท่านั้น ยิ่งทำให้เกมการเล่นช่วงหลังกลายเป็นเกมง่ายขึ้นพอสมควร เพราะของไม่พอก็ไปซื้อเพิ่มรัว ๆ จนบางที ตัวคนเดียวยังอาจจบเกมได้อย่างสบาย ๆ กล่าวคือเกมไม่มี Progression ใด ๆ ให้ดึงดูดชวนให้เล่นต่อ ไม่มี Perk ไม่มีการปลดล็อคอะไรที่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย และพวกผีที่สะสมมาได้ นอกจากเอาไว้ดูเล่น (แปลกดี สะสมผีไว้ดูเล่น) ก็ไม่มีอะไรให้ทำเพิ่มเลยในตอนนี้จริงอยู่ว่า เราพูดถึงคอนเทนต์ของตัวเกมแบบ Early Access อาจจะไม่แฟร์สักเล็กน้อย แต่ผลงานก่อนหน้าของทีมทำเกมนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเกมอินดี้เล็ก ๆ กลาง ๆ ทำไม่นานก็เสร็จ ทำให้อดหวั่นใจไม่ได้ว่า เกมนี้เองก็จะเป็นแบบนั้นด้วย ดังนั้นถือว่าเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของแฟนเกมต่อมาคือปัญหาภาษาไทย จริง ๆ เราก็ไม่อยากจะติงตรงนี้ แต่ในเมื่อตัวเกม เคลมภาษาไทยมาอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าพอเป็นเกมอินดี้ทุนต่ำแบบนี้ การแปลภาษาไทยเลยออกมาไม่เวิร์คอย่างมาก เห็นชัดเลยว่าเป็นการแปลแบบโยนเข้า Google Translate แล้วใส่ลงมาเลย อย่างเช่น อายุของผีที่เป็นเด็กหรือวัยรุ่น ภาษาอังกฤษใช้ Young ในภาษาไทยก็ใช้คำว่า ยัง เหมือนไม่ได้ผ่านการขัดเกลามาเลยด้วยซ้ำไป และอีกหลากหลายคำในเกมที่แปลแบบตรงตัว ไม่มีการขัดเกลา ทำให้บางครั้งเล่นภาษาอังกฤษยังอาจจะเข้าใจง่ายกว่าด้วยซ้ำแม้ว่า Ghost Watchers จะเป็นเกมที่สนุก มีลูกเล่นใหม่ ๆ ที่หลายเกมไม่มี แต่ปัญหาหลักของมันเลยคือ มันไม่สามารถทดแทนข้อบกพร่องของมันได้เลยในตอนนี้ ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ผู้กล้ารีวิวตัวเกมนี้ให้แล้ว ใครที่อยากสนับสนุนผู้พัฒนา อยากให้เกมไปถึงฝั่งฝันได้เร็วขึ้น จะซื้อและสนับสนุนก็ได้ แต่ถ้าให้พูดกันแบบตรง ๆ เลยคือ มันยังมีเกมอื่นที่ทำได้ดีกว่านี้มาก ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแล้วว่า จะเลือกทางใดกันแน่ และขอให้ทุกคนสนุกกับการเล่นเกม และ..โดนผี (ในเกมนี้) หลอกเอา
11 Aug 2022
[Review] Cartel Tycoon "เกมจำลองชีวิตพ่อค้าแป้งที่หลายคนรอคอย"
Cartel Tycoon เกมจำลองการทำธุรกิจวงการสีดำ ไม่ว่าจะเป็นการค้าแป้ง(ยาเสพติด), ติดสินบนเจ้าหน้าที่, ฟอกเงิน, หรือแม้แต่เปิดกิจการบางอย่างเพื่อบังหน้า จัดฉากต่าง ๆ นา ๆ ในละตินอเมริกายุค 80s เกมนี้ถูกพัฒนาโดย Moon Moose จับมือกับ tinyBuild ลงวางขายใน Steam เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2021 ผู้เขียนเห็นเกมนี้ลดราคา 30% อยู่ใน Steam เลยไปจัดมารีวิวบรรยากาศภายในเกมให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ เลือกโหมดเล่นได้ตามสไตล์เกมนี้มีให้เลือกเล่นกันแบบจุก ๆ 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Story Mode - เป็นโหมดที่จะมีเรื่องราวของตัวละครให้เราเล่นครับ อารมณ์เหมือนเป็นธุรกิจครอบครัว มีคนตงคนตาย เปลี่ยนมือกันขึ้นมาบริหารธุรกิจครับ มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ, ส่งลูกน้องไปห่ำหั่นคู่แข่งเผาบ้านเผาเมืองกันเลยทีเดียว, ไปยึดเมืองต่าง ๆ และโหมดนี้เราสามารถเล่นเพื่อปลดล็อค Capo (หัวหน้าแก๊ง) ตามเนื้อเรื่องได้อีกด้วยครับ ซึ่งหัวหน้าแก๊งแต่ละตัวที่เราปลดล็อคมานั้น อาจจะมีความสามารถที่แตกต่างกันครับ (อย่างเช่นอาจจะมีทักษะในการพูดจนเปลี่ยนยาเสพติดให้กลายเป็นแป้งได้ ฮ่า ๆ) เกมนี้ตัวละครที่เราเล่นจะไม่ได้มีตอนจบที่สวยงามอยู่แล้วครับ ไม่ติดคุก ก็อาจจะสู่ขิตได้ไปเฝ้ารากมะม่วง Capo ของเราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเนื้อเรื่องที่เราได้เล่นเช่นกันครับSandbox Mode - กำหนดกฎเกณฑ์การเล่นได้ตามใจเราเลยครับ ว่าอยากให้แก๊งของเราเดินไปในทิศทางไหน เพราะเราสามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ก่อนเริ่มเกม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเงินที่ถูกกฏหมายหรือผิดกฏหมาย การจ้างงาน การเจริญเติบโตของพืช หรืออีกมายมายสุดแล้วแต่เราอยากจะปรับแต่งเลยครับ โหมดนี้เราสามารถเล่นเพื่อปลดล็อค Capo (หัวหน้าแก๊ง) ได้เหมือนใน Story Mode โดยจะมีเงื่อนไขของเกมให้เราทำเพื่อปลดล็อคครับ ในโหมดนี้เราสามารถเลือกพื้นที่เริ่มต้นในการเริ่มแก๊งของเราได้ ส่วนนี้จะเชื่อมโยงมาจาก Story Mode นะครับ ถ้าเรา Clear พื้นที่ในโหมดเนื้อเรื่องได้ พื้นที่ก็จะปลดล็อคให้เราเลือกเล่นใน Sandbox ได้เช่นกันครับSurvival Mode - โหมดนี้เราจะไม่สามารถ Customize เกมได้เฉกเช่นใน Sandbox นะครับ ส่วนที่เราจะเลือกได้ในโหมดนี้นั้นจะเป็น Capo (หัวหน้าแก๊ง) และพื้นที่เริ่มต้น ที่เราจะทำธุรกิจสีดำของเราครับ ซึ่งถ้าเราไม่เลือกเมืองที่เราจะเล่น ค่าเริ่มต้นของเกมจะอยู่ที่เมือง Los Grandes เกมจะเลือกให้เราอัตโนมัติครับ ในโหมดนี้จะมีจำนวนวันที่เราต้องเอาชีวิตรอดเป็นตัวกำหนดในการเอาชนะเกมครับ ใช้เวลาในการเอาตัวรอดประมาณ 1200 วัน และในโหมดนี้เราต้องทำการขยายธุรกิจ, หาเงิน(ทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย) ให้รวดเร็วที่สุดและมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ จะมีชายลึกลับคอยส่งเควสให้เราทำในโหมดนี้ครับ ถ้าอยู่รอดจนครบ 1200 วัน เราก็จะชนะโหมดนี้ไปเลยหัวหน้าแก๊งฝึกหัด (Tutorial)ในโหมดของการฝึกการใช้งานปุ่มต่าง ๆ หรือการบังคับต่าง ๆ ของเกมนี้นั้น ก็ค่อนข้างต้องใช้ความเข้าใจอยู่พอสมควรครับ เพราะระบบต่าง ๆ มีให้เล่นค่อนข้างเยอะ เราต้องสร้างเส้นทางการค้าของเรา การขนส่งสินค้า การส่งคนไปบริหารตามเมืองต่าง ๆ การติดสินบน การส่งลูกน้องไปจัดการกับคู่แข่ง การเลื่อนขั้นให้กับคนในสังกัดของเรา และอื่น ๆ อีกมากมายครับ ที่ผมยกตัวอย่างมานั้นเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของเกมเท่านั้น ซึ่งตัวเกมจะมีส่วนเนื้อเรื่องของ Tutorial ในการสอนเราเล่นโดยเฉพาะเลยครับ และแค่ใน Tutorial จะกินเวลาในการฝึกของเราประมาณ 3-5 ชั่วโมงเลยครับ ตัวเกมเขาเขียนแจ้งไว้แบบนั้นเลย ฮ่า ๆ การควบคุม - ส่วนนี้จะเหมือนเกมอื่น ๆ แนว Simulation ทั่ว ๆ ไปครับ ที่ใช้ W, A, S, D / ในการบังคับทิศทาง Q, E ใช้หมุนมุมกล้อง / ลูกกลิ้งเม้าส์ใช้ซูมเข้าออกครับ ในตัวเกมจะมีสอนเราใช้งานตั้งแต่ต้นกันเลยทีเดียว มือใหม่ก็เล่นได้ครับUI - ระบบต่าง ๆ ดูเรียบร้อยไม่รกครับ แต่ก็อาจจะใช้ยาก และต้องทำความเข้าใจกับมันค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน เพราะในเกมมีระบบต่าง ๆ เยอะมาก ๆ ทั้งการเลื่อนขั้นให้กับลูกน้องในสังกัด, การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตามเมืองต่าง ๆ, การเชื่อมเส้นทางระบบการค้าต่าง ๆ, การสั่งลูกน้องให้ใครไปคุมสถานที่ไหน, หรือการกดสั่งลูกน้องไปสอยคู่แข่ง ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องจดจำปุ่มต่าง ๆ อยู่พอสมควรเลยครับ การเลื่อนขั้น - ตัวละครของเรา หรือแม้แต่ลูกน้องภายใต้สังกัดของเรา ถ้าได้ทำภารกิจอะไรก็แล้วแต่จะมีค่าประสบการณ์ให้ครับ เมื่อเต็มแล้วเราสามารถเลื่อนขั้นให้กับตัวเราหรือลูกน้องได้ การเลื่อนขั้นนั้นเราสามารถเลือกสายได้ อย่างเช่น ถ้าลูกน้องของผู้เขียนเป็นสายที่ต้องไประรานแก๊งอื่น ๆ ผู้เขียนก็จะอัพสายต่อสู้ไปจนครบเลยครับ หรือถ้าเราเป็นสายดูแลไร่กัญชาเราก็อัพไปที่การวิจัยให้หมดเลยก็ได้ไม่ผิดอะไรครับ เมื่อเลื่อนขั้นแล้วในเกมจะมียศเป็นรูปบอกครับว่าใครอยู่ขั้นไหนแล้ว แล้วเครือข่ายในแก๊งใครอยู่เหนือกว่าใคร ใครอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร ตัวเกมจะมีบอกเราหมดครับ และตัวละครของเรายังมี AKA (ฉายา) เท่ ๆ ของแต่ละคนอีกด้วยติดสินบน - อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ Capo (หัวหน้าแก๊ง) ในแก๊งของเราต้องทำอยู่ตลอดเมื่อต้องการขยับขยายเส้นทางธุรกิจ เพื่อที่จะเอาแป้ง(ยาเสพติด) หรือต้องการทำธุรกิจสีเทาในเมืองใหม่ ๆ เราต้องพยายามแทรกซึมเข้าไปพูดคุยกับ Mayor (นายกเทศมนตรี) ของเมืองให้ได้ครับ หลังจากการเจรจานายกเทศมนตรีของเมืองจะมีภารกิจต่าง ๆ ให้เราทำเพื่อซื้อใจเราครับ ไม่ว่าจะเป็นจ่ายหนี้ให้ญาติโกโหติกาของเขา, ให้เงินติดสินบนเขา, ขนยามาให้เขา หรืออื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่ตัวเกมจะยื่นข้อเสนอมาให้คุณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณก็ต้องทำตามข้อเสนอของเขาให้ครบครับ แล้วเส้นทางธุรกิจก็จะเปิดให้แก่คุณ คุณสามารถทำสิ่งสกปรกในเมืองของเขาได้ โดยที่จะมีนายกเทศมนตรีคอยตามล้างตามเช็ดให้ครับ เหมือนที่ตัวละครในเกมชอบพูดเสมอว่า "เวลาคือเงิน"การวิจัย, การอัพเกรด และการขนส่ง เพื่อ เงิน เงิน เงิน และเงินเกมนี้จะเน้นไปที่การอัพเกรดและวิจัยต่าง ๆ เพื่อที่จะปลดล็อคให้เราสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ ได้ ซึ่งมันจำเป็นมาก ๆ เพราะว่าเราต้องการหาเงินให้เยอะขึ้น เพราะลูกน้องในสังกัด หรือเควสที่ส่งมานั้นเราต้องใช้เงินครับ เราจึงจำเป็นต้องอัพเกรดและวิจัยสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ผลตอบแทนที่ได้รับมันสูงมากขึ้นนั่นเอง แต่เกมนี้ยิ่งเราหาเงินได้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเสี่ยงเอาชีวิตของตัวละครไปตายมากเท่านั้น เพราะเราจะเป็นที่หมายหัวของทางการ ป.ป.ส. CIA หรือแม้แต่ศัตรูคู่แข่งของเราครับ มันเลยทำให้เป็นเสน่ห์ของเกมนี้ ยิ่งเล่นยิ่งสนุกในการวางแผนเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกมตั้งเงื่อนไขมาให้เราทำResearch Tree - เกมนี้จะมีการวิจัยต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสิ่งปลูกสร้างของเราให้ดีขึ้น, อัพเพื่อปลดล็อคสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ, หรือแม้แต่การขนส่งที่รวดเร็วขึ้น มีให้เราอัพเกรดเป็นร้อย ๆ อย่างเลยครับ แม้แต่การปลูกพืชเมื่อเราอัพเกรดแล้ว เราก็จะสามารถปลูกพืชผิดกฎหมายได้หลากหลายชนิดมากขึ้นครับการอัพเกรด - เราสามารถอัพเกรดอุปกรณ์ในตัวละครของเราอย่างเช่น ยานพาหนะครับ เมื่ออัพเกรดแล้วจะเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ ได้รวดเร็วมากขึ้น หรือการอัพเกรดหมู่บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้วในบริเวณพื้นที่ ก็สามารถเพิ่มผลผลิตบางอย่างให้กับเราได้เช่นกันครับ ตัวละครของเราก็สามารถอัพเกรดได้โดยการเลื่อนขั้น ระบบขนส่ง ถนนต่าง ๆ ถ้าเราอัพเกรดเราก็จะส่งของหรือสินค้าของเราได้ไวขึ้นครับการขนส่ง - เมื่อเราสร้างทุกอย่างที่เกมต้องการครบแล้ว สิ่งที่จำเป็นของเกมนี้คือเส้นทางการขนส่งสินค้า ซึ่งเราต้องสร้างทุกอย่างให้เชื่อมโยงกัน หรืออยู่ใกล้ ๆ กันครับ อย่างเช่น ถ้าเราทำฟาร์มกัญชา เราต้องสร้างโกดังเก็บสินค้า หรือ สถานีขนส่งสินค้าให้อยู่ในรัศมีเดียวกัน ในเกมจะมีบอกครับว่ารัศมีมีขนาดเท่าไหร่ แล้วเราต้องสร้างไว้ประมาณไหน เพราะทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันหมด และพอเรามีสถานีกระจายสินค้าแล้วเราต้องเชื่อม Node ว่าสถานีนี่ให้วิ่งไปส่งสินค้าที่ไหนบ้าง บางครั้งในการทำภารกิจส่งของบางอย่าง เราอาจจะต้องสั่งลูกน้องในสังกัดให้ไปรับของและส่งของเองครับ ซึ่งเกมนี้มีอะไรแบบนี้ให้ทำเยอะมาก มันก็ทำให้เกมนี้สนุกกว่าที่ผู้เขียนคิดเอาไว้มาก ๆ เลยทีเดียวกราฟิกเกมนี้จะมีภาพการ์ตูนและตัวละครต่าง ๆ เป็นกราฟิกแบบ 2D ส่วนสภาพแวดล้อม และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในเกมจะเป็นแบบ 3D ครับ หมุนดูได้ครบทั้ง 360 องศา ใช้การเล่นแบบ Top-Down (มองจากด้านบนลงมา), Simulation (จำลองสถานการณ์) ใช้ทรัพยากรของเครื่องแค่ 2.99GB เท่านั้นครับ เครื่องไม่ต้องแรงมากก็เล่นได้ แต่อาจจะต้องปรับต่ำหมดเพื่อความลื่นไหลของตัวเกมครับ ฮ่า ๆ เสียงพากย์ของตัวละครเกมนี้ก็โคตรคูลเลยครับ เป็นสำเนียงแม็กซิกันอเมริกันอย่างชัดเจน ได้อารมณ์แก๊งสเตอร์มาก ๆ สรุปเกมนี้ตัวเกมสนุกครับ ได้สวมบทบาทเป็นพ่อค้ายายุค 80s ได้รับรู้ความรู้สึกว่าถ้าเป็นพ่อค้าสายมืดจริง ๆ ชีวิตนั้นจะต้องทำอะไร เสี่ยงอยู่บนเส้นด้ายขนาดไหน โดยที่ไม่ต้องลงสนามไปลองทำด้วยตัวเอง ให้ติดคุกแบบงง ๆ ฮ่า ๆ (เพราะตัวผู้เขียนเชื่อว่า ตัวผู้เขียนเองน่าจะไม่รอดตั้งแต่ภารกิจแรกละครับ) การที่ได้ตั้งค่าการขนส่งต่าง ๆ หรือแม้แต่จัดการลูกน้อง ถึงจะยากและต้องทำความเข้าใจค่อนข้างเยอะมาก ๆ แต่พอเล่นได้แล้วมันก็เพลินเอามาก ๆ เลย ผมชอบตรงที่ว่าเกมแนวนี้มันไม่ค่อยมีภารกิจให้ทำ แต่เกมนี้จะมีเควสป้อนมาให้ หรือมีตัวร้ายลึกลับคอยป้อนงานให้เราทำ มันก็ทำให้การเล่นเกมดูมีเป้าหมายมาก ๆ ครับว่าเราต้องทำอะไร ไม่งั้นก็วันลูปเหมือนเกมแนวนี้ทั่วไปตามท้องตลาด สร้าง สร้างเสร็จขายให้ได้ตามเป้า แล้วก็สร้าง ๆ ๆ ๆ วน ๆ ไปไม่รู้จะทำอะไร ถ้าเจอแบบนั้นบ่อย ๆ ผู้เขียนเล่น Lemonade Tycoon เกมดังในตำนานก็ได้ครับ ฮ่า ๆ ใครอยากเป็นเจ้าพ่อมานานแล้ว Cartel Tycoon จะสานฝันเพื่อน ๆ ครับแต่เกมนี้ก็มีบางอย่างที่ทำให้รำคาญใจอยู่เหมือนกัน ตรงไดอะล็อกบทพูดของตัวละครมันซ้ำซากเหมือนกันเกินไป แม้จะเป็นตัวละครคนละตัวกันแต่มันพูดประโยคเดียวกันเป๊ะเลยครับ ผู้เขียนเลยให้เกมนี้ได้ 8/10 คะแนน ถือว่าเป็นเกมที่ไม่ผิดหวังที่ซื้อมาเล่น ราคา 319 บาท ถึงหมดลดไปแล้วแต่ผู้เขียนว่ามันก็ยังไม่แพงนะครับ ถ้าเทียบกับความสนุกของเกม ใครชอบเล่นเกมแนวนี้เหมือนผู้เขียน ควรมีติดคลังเอาไว้เป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายนี้เกมนี้เป็นแค่เกมจำลองเหตุการณ์เท่านั้น ยังไงผมก็มองว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกมให้ทำหรือการค้ายาเสพติด หรือความรุนแรงต่าง ๆ มันไม่ใช่เรื่องดีในโลกของความเป็นจริงนะครับ เล่นเพื่อสนุกเท่านั้นนะครับทุกคน ขอร้องอย่าหาทำนะครับ กราบ!
09 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Digimon Survive "เนื้อเรื่องดี แต่เกมเพลย์ไม่มีก็ไม่ได้ป๊ะ?!"
ปีกกางเหินไปไม่มีวันแผ่วปลาย.. เชื่อเหลือเกินว่า ในวัยเด็กของเหล่าเกมเมอร์หลาย ๆ คน ต้องเคยได้ยินหรือได้ชมแอนิเมชั่นชื่อดังก้องโลก ที่ยังคงเป็นอมตะอยู่จนทุกวันนี้ นั่นคือ Digimon Adventure และหลังจากที่ประกาศเปิดตัว แถมเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมานานหลายปี เกม Digimon ภาคใหม่ อย่าง Digimon Survive ก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ดิจิมอนในภาคนี้จะออกมาเป็นยังไง จะทำให้เราหวนระลึกถึงวัยเด็กที่ปีกรักยังโบยบินได้หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความรีวิวของเรากันเรื่องราวของเด็กผู้ถูกเลือก กลุ่มใหม่สำหรับแฟน ๆ ดิจิมอน น่าจะรู้กันดีว่า นอกจากอนิเมะภาค 1 และ 2 นั้น แต่ละภาคแทบจะไม่มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แน่นอนว่า Digimon Survive เอง ก็เป็นภาคที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ถูกเลือกกลุ่มใหม่ด้วย แม้ว่าเราจะได้เห็นหน้าตาของเหล่าดิจิมอนที่เราคุ้นเคยกันอย่างอากุมอน กิลล์มอน ก็ตาม แต่เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องก็จะแตกต่างกันจากต้นฉบับที่เรารู้จักกันดี เรื่องราวของเกมภาคนี้จะเล่าถึงเด็ก ๆ ทั้ง 8 คน ที่มาเข้าค่ายกิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ และในวันที่ 2 ของการเข้าค่าย สามตัวละครเอกก็ได้ไปหาข้อมูลของตำนานเทพอสูร (Beast Gods หรือ Kemonogami) แต่ในขณะออกสำรวจ และเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ป่า พวกเขาก็เจอกับโคโรมอน และพวกเด็ก ๆ ก็ถูกดิจิมอนตัวอื่นโจมตี และกว่าพวกเด็ก ๆ จะรู้ตัวว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่ ไม่ใช่โลกมนุษย์ใบเดิมที่พวกเขารู้จักก็สายไปซะแล้ว เพราะตอนนี้พวกเขาอาจจะอยู่ในโลกที่เรียกว่า ดิจิทัลเวิลด์ถ้าไม่ชอบอ่าน โปรดผ่านเกมนี้อย่างแรกที่เราต้องเตือนกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยคือ นี่อาจไม่ใช่เกมดิจิมอนที่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะแฟนเกม แฟนดิจิมอนที่คิดว่าจะได้เล่นเกมดิจิมอนแบบต่อสู้เอามัน เพราะการเล่าเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างวัดใจคนเล่นมาก ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ การเล่าเรื่องของเกมนี้จะเหมือนกับเกมแนว Visual Novel ที่เราต้องเน้นอ่าน และพยายามไม่กดข้าม เพราะมักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยซ่อนอยู่ในบทสนทนาเสมอ และมันจะถูกนำไปใช้กับระบบการเลือกตัวเลือกเพื่อตัดสินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย และเอาแค่ช่วงแรกของเกม เราก็ต้องทนอ่านเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเยอะมาก ใครที่ตบะไม่แก่กล้าพอ อาจจะถอดใจเลิกเล่นไปก่อนเลยตั้งแต่ช่วงแรก ดังนั้นเกมนี้เราต้องไม่ขี้เกียจอ่าน ไม่งั้นก็จบกันตั้งแต่ส่วนนี้ สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ คือฉากการสนทนาและกราฟิกภายในเกมที่เหมือนเรากำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่แค่ภาพสวยมันไม่อาจช่วยทดแทนความน่าเบื่อของการมานั่งอ่าน Text ได้เลย และภาษาที่ใช้ในเกมก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ค่อนไปทางสูง ถ้าคิดจะ Skip แหลกลาญแล้ว ยังไงก็ไม่คุ้มค่า และถ้าไม่ละเอียด ตอบไม่ดี ขอบอกว่ามันอาจส่งผลกับชะตากรรมชีวิตของเด็ก ๆ กลุ่มนี้เลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่ชื่นชอบในการนั่งอ่าน นั่งเสพเนื้อเรื่อง Digimon Survive ถือว่าเป็นภาคที่มีเนื้อหาค่อนข้างมืดหม่นกว่าเกมภาคก่อนหน้าอยู่พอสมควร เหมาะกับแฟน ๆ ดิจิมอนยุคใหม่หรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือใครอยากสัมผัสรสชาติที่แปลกใหม่ที่ซีรีส์ดิจิมอนจะนำเสนอให้คุณได้ ก็ลองดูได้ไม่เสียหาย นอกจากนั้น คาแรคเตอร์ของเหล่าเด็ก ๆ ในภาคนี้ ก็ยังให้อารมณ์คล้าย ๆ กับดิจิมอนทุกภาค คือแต่ละคนจะมาพร้อมลักษณะนิสัยส่วนตัวที่ชัดเจน ซึ่งก็อาจจะน่ารำคาญหรือน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบสไตล์ตัวละครแบบอนิเมะไปเลยเช่นนี้สิ่งที่น่าสนใจคือตัวเกมนั้นมีการโปรโมทมาแต่แรกแล้วว่า จะเน้นไปที่การเล่าเรื่องแบบ Visual Novel ประมาณ 70% และมีระบบการต่อสู้เพียง 30% เท่านั้น แฟน ๆ หลายคนที่ซื้อเพราะเห็นว่าเป็นดิจิมอน อาจจะไม่ได้สนใจหรือมองข้ามตรงนี้ไป ดังนั้นเราอาจจะต้องย้ำเตือนกันอีกหน ว่าหลัก ๆ แล้วนี่คือเกมแนว Visual Novel เน้นอ่านซะมากกว่า ซึ่งตัวเกมได้รับการรีวิวบอมบ์บนเว็บ Metacritic ไปว่า มันคือการโปรโมทหลอกลวงผู้บริโภค เพราะช่วงแรก ทาง BANDAI Namco โปรโมทว่าเกมจะเป็นเกมแนวเอาชีวิตรอด ในขณะที่โปรดิวเซอร์เกมบอกว่ามันจะเป็นแบบ Interactive ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคืออย่างหลังนั่นเองและภาพรวมของเนื้อเรื่องเอง ถ้าใครที่อ่านอังกฤษออกแบบไม่ต้องเปิดแปลไปด้วย ก็จะรู้สึกได้ว่านี่คือเนื้อหาที่แฟน ๆ ดิจิมอนจะต้องชื่นชอบ มันเหมือนกับการเอาดิจิมอนภาคแรกมาทำการตีความใหม่ เล่าเรื่องใหม่ ทั้งการออกแบบตัวละครที่มองปุ๊บก็พอจะเดาออกได้เลยว่ามันคือตัวแทนของใครในภาคก่อนหน้า ทั้งบุคลิกภาพ นิสัย และการดีไซน์ตัวละคร ถ้าจะบอกว่านี่คือดิจิมอนภาคแรก Reboot หลาย ๆ คนก็อาจจะเชื่อด้วยซ้ำไป เพียงแต่ในเหตุการณ์ของเกมภาคนี้ Digital World ดูเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่มีใครรู้จัก หรือดิจิมอนคืออะไรก็ไม่มีใครทราบได้ บวกกับดนตรีประกอบที่ทำออกมาในแนวลี้ลับพิศวง ก็ไม่แปลกถ้าบางครั้งเราจะรู้สึกว่ากำลังเล่นเกมแนว Visual Novel แนวสยองขวัญอยู่ ไม่ใช่เกมดิจิมอน ข้อเสียหลัก ๆ ของการนำเสนอแบบ Visual Novel คือ การถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ไม่ดีในบางสถานการณ์ เช่น ในเนื้อเรื่องเราอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง แต่เกมไม่ได้มีแอนิเมชั่นหวือหวาอะไร เป็นเพียงการตัดสลับภาพไปมา ขึ้นบทสนทนา และเสียงกรีดร้องเท่านัน้ อารมณ์ร่วมหายไปเยอะเลยทีเดียว และฉากแบบนี้ก็มีให้เห็นเยอะซะด้วยในเกมแนวนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแฟนเดนตายของเหล่าดิจิมอนที่ชื่นชอบภาคแรก ผู้เขียนยังคงแนะนำว่า หาโอกาสลองด้วยตัวเองเลยจะดีกว่าเกมเพลย์การเล่นแบบ RPG Old School ผสมเข้ากับ 'การเลือก' ที่อาจตัดสินชะตากรรมตัวละครและเนื้อเรื่องสำหรับเกมเพลย์การเล่นของ Digimon Survive นั้น ผู้เขียนมองว่ามันแบ่งออกเป็นสองอย่างหลัก ๆ คือเรื่องราวของการเลือก และการต่อสู้ ทำไมการเลือกจึงสำคัญ? เพราะเกมนี้ทางผู้พัฒนาได้โปรโมทไว้ด้วยตัวเองเลยว่า เลือกไม่ดี มีตายแน่นอน แต่กว่าจะได้รู้ว่าเอฟเฟคท์การเลือกจะส่งผลอย่างไร ผู้เล่นอาจจะต้องเล่นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ แน่นอนว่าผู้เขียนไม่ได้อยากให้ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งตายอยู่แล้ว หัวใจสำคัญของการเลือกเลยคือ การประคับประคองความสัมพันธ์กับทุก ๆ ตัวละคร ไม่ใส่ใจใครมากไป ทำได้ แต่อย่าเยอะเกิน ไม่เช่นนั้นจะเกิดแนวทางใหม่ ๆ ของความสัมพันธ์ในกลุ่มได้ ซึ่งการที่ผู้เล่นจะเลือกให้ดีนั้น ก็จำเป็นจะต้องอ่านกันแบบหนัก ๆ เพื่อจะหาทางออกที่ดีที่สุดในกับตัวละครทุกคน และอย่างที่บอก ว่าเกมนี้คือ Visual Novel ถ้าคุณอ่านข้าม ไม่อ่านเลย ยังไงก็ไม่สนุกกับเกมนี้ โดยสถานการณ์ที่เราจะต้องเลือก จะถูกใส่เข้ามาเรื่อย ๆ ในระหว่างการเล่น และการเลือกทุกครั้งเราก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ด้วย สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาการเลือกคือ สายสัมพันธ์ตัยวละคร ความพึงพอใจ ความสุข ความกลัว ซึ่งจะส่งผลกับเส้นเรื่องเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆทีนี้มาดูกันในส่วนของเกมเพลย์การเล่นในรูปแบบการต่อสู้กันบ้าง อย่างที่บอกไปในหัวข้อด้านบน ว่าเกมเพลย์ของ Digimon Survive นี้จะไม่ค่อยได้เน้นการต่อสู้สักเท่าไร ใน 1 ฉากเนื้อเรื่องใหญ่ ๆ จะเป็นการพูดคุย กับการเลือกชอยส์ไปแล้ว 70% อีก 30% (หรือส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าอาจจะน้อยกว่านั้น) ถึงจะเป็นการเข้าช่วงการต่อสู้ แต่.. ระบบเกมเพลย์การต่อสู้ก็ยังเป็นระบบที่วัยรุ่นใจร้อนหลายคนอาจไม่เอ็นจอยด้วยเช่นกัน นั่นคือระบบการต่อสู้แบบ Turn Based หรือการออกคำสั่ง ผลัดตากันควบคุมตัวละคร ที่ยิ่งทำให้เกมเพลย์ช้าลงไปอีกการต่อสู้ในแต่ละรอบจะเป็นการออกคำสั่งให้ดิจิมอนของเรา โดยเลือกว่าจะทำอะไรในเทิร์นนั้น ๆ เช่นสั่งเคลื่อนที่ หรือสั่งโจมตี แต่..ประเด็นก็คือตัวเกมมันดันเป็น RPG ยุคเก๋าแบบแท้ ๆ ไม่มีอะไรผสม ทำให้หลายคนอาจจะแยกไม่ออก ว่ามันคลาสสิคหรือมักง่ายทำมาลวก ๆ กันแน่ ระบบต่าง ๆ ของเกมนี้ ใครที่เคยเล่นเกม JRPG ยุคเก่า ๆ ที่มีความซับซ้อน มาเจอเกมนี้จะง่ายไปในทันที หลัก ๆ แล้วจะมีการสลับทิศทางของตัวละคร เพื่อเลือกทางในการโจมตี มีการคำนวณเล็กน้อยว่าสกิลของเรา กว้างกี่ช่อง ใช้เอฟเฟคท์เท่าไร ใช้ SP เท่าไร มีการขึ้นที่ต่ำที่สูง เพื่อเพิ่มโอกาสการโจมตีและความแม่นยำในการโจมตีด้วย แต่ท้ายที่สุดตัวเกมมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นด้วย เพราะระบบของเกมนี้มันไม่ค่อยมีความซับซ้อนอะไรเลย ดิจิมอนที่นำออกมาต่อสู้จะได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์ เก็บเลเวล ทำให้ดิจิมอนตัวนั้นแข็งแกร่งขึ้น สวมใส่อุปกรณ์ใหม่ ๆ ได้ นำไปฝึกได้ และแน่นอน เมื่อเลเวลถึงก็จะสามารถอีโวลูชั่นเปลี่ยนร่างได้อีกต่างหาก โดยดิจิมอนบางตัวก็อีโวลูชั่นได้หลายร่างมาก อย่างเช่นอากุม่อนของเราตอนเริ่มเกมก็ไม่รู้จะแตกไปได้กี่ร่างกันแน่แม้ว่าเกมเพลย์ของมันอาจจะไม่ถูกใจแฟน ๆ ดิจิมอนสักเท่าไร แต่สำหรับคนที่ชอบ JRPG ชอบเกมเทิร์นเบสแล้วล่ะก็ นี่เป็นการนำเสนอรูปแบบใหม่ของเกมดิจิมอนที่น่าสนใจใช้ได้เลยทีเดียว แต่หากจะหวังให้มาตรฐานมันสูงในระดับเดียวกันกับ JRPG เกมอื่น มันก็อาจจะยากไปหน่อย ให้ลดความคาดหวังลงมาจะดีกว่ากราฟิกและการนำเสนอที่ยอดเยี่ยม และอาจจะเป็นตัวกำหนดมูลค่าเกมสิ่งสุดท้ายที่ไม่ชมไม่ได้ คือเรื่องของการนำเสนอกราฟิกที่งดงามราวกับนั่งดูการ์ตูนดี ๆ สักเรื่อง การดีไซน์ การออกแบบของเกมนี้ เรียกได้ว่าอาจทำให้แฟน ๆ ดิจิมอนบางคนฟินกันมาก เพราะอย่างที่บอกไป ทั้งลายเส้น ตัวละคร ดีไซน์ แม้กระทั่งฉากเปลี่ยนร่างก็ยังมีความใกล้เคียงกับการ์ตูฯต้นฉบับ มันเหมือนกับเป็นเกมที่ทำมาเพื่อแฟน ๆ ดิจิมอนโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ และเพราะการลงทุนทำฉากอนิเมชั่น ฉากคัทซีนที่ราวกับนั่งดูการ์ตูนจริง ๆ นี่แหละ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันสมราคาหลักพันกว่าบาทในโซนไทยจริง ๆ ใครที่เป็นแฟนเดนตายดิจิมอน บอกเลยว่าอิ่มและคุ้ม แต่.. ถ้าใครไม่ชอบเกมแนว Visual Novel ไม่ชอบระบบ JRPG Turn Based ต่อให้เป็นแฟนดิจิมอนก็อาจจะวูบหลับคาคอมกันเอาได้ง่าย ๆ ก็แนะนำว่าตัดสินใจให้ดีก่อนจะซื้อจะดีกว่า
03 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม Two Point Campus รับบทเป็นผู้บริหารมหาลัยสุดป่วน สุดหรรษา กับสาขาวิชาสุดแปลก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ได้มีเกมอินดี้ตัวหนึ่งที่สร้างเสียงฮือฮา และได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ซึ่งเกมนั้นก็คือ Two Point Hospital เกมแนว Business Simulation ที่ให้คุณนั้นได้จำลองเป็นคนสร้างและบริหารโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งคนที่สร้างตัวเกมนี้ก็มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก เพราะเขาคือหนึ่งในบุคลากรที่เคยสร้างเกม Simulation ขั้นเทพอย่าง Theme Hospital หรือ Black & White ในอดีตมาก่อน ซึ่งตัวเกมได้รับคะแนนวิจารณ์ด้านบวกบนร้านค้า Steam สูงถึง 92% เลยทีเดียว แถมตัวเกมยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงในงานประกาศรางวัลต่าง ๆ มากมาย จนได้รับรางวัล Best Original IP ภายในงาน Develop:Star Awards ปี 2019 ด้วย และในปี 2022 ทาง Two Point Studios ก็ได้กลับมาอีกครั้ง แต่เราจะไม่ต้องบริหารโรงพยาบาลอีกต่อไป เพราะในภาคนี้ทางผู้พัฒนาจะให้เราได้ลองรับบทเป็นผู้บริหารมหาลัยดูบ้างกับเกมอย่าง Two Point Campus ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ก็ได้โอกาสในการเล่นเกมนี้และจะมารีวิวให้ท่านได้ทราบกันว่า Two Point Campus จะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมรุ่นพี่หรือไม่!?คงเกมเพลย์สไตล์เดิม แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างใครที่เคยเล่นเกม Two Point Hospital มาก่อนท่านก็คงจะไม่ต้องปรับตัวใด ๆ ในการเล่น Two Point Campus เพราะฟังในด้านกราฟิก เกมเพลย์ หรือฟังชันใด ๆ จะยังคงเดิมอยู่ทุกอย่าง แต่ก็อาจจะมีรายละเอียดยิบย่อยที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างในเกม Two Point Hospital เราจะต้องสร้างแผนก Reception ในการสอบถามว่าผู้คนนั้นป่วยอะไรมา เพียงแต่ว่าใน Two Point Campus เราจะต้องจัดแผนการสอนในช่วงเริ่มต้นของปีแทน รวมถึงเราจำเป็นต้องมีห้องเรียนพิเศษ และห้องฟังคำบรรยายของศาสตราจารย์ รวมถึงเราต้องจ้างบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยที่มีกระทั่งเหล่าศาสตราจารย์ ผู้ช่วยที่จะคอยประจำอยู่ร้านขายของ ห้องสมุด หรือจะเป็นภารโรงที่จะตอยทำความสะอาดหรือซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ ได้ ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เราก็สามารถพัฒนาพวกเขาให้เก่งขึ้นได้ด้วยแน่นอนว่าใครที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน ท่านก็น่าจะกลัวว่าระบบต่าง ๆ ของเกมนั้นยุ่งยาก กลัวว่าจะไม่เข้าใจรายละเอียดใด ๆ ซึ่งส่วนตัวขอยืนยันเลยว่าตัวระบบของเกมนี้นั้นเข้าใจง่ายมาก ๆ เพราะในช่วงต้นเกมก็มีการสอนระบบต่าง ๆ ให้คุณได้เข้าใจทีละก้าว ค่อย ๆ เพิ่มระบบทีละเล็ก ทีละน้อย นี่คือซีรีส์เกม Simulation ที่เข้าใจง่ายที่สุดตั้งแต่เคยเล่นมาเลยแหละรวมถึงมหาวิทยาลัยที่เราจะได้เข้าไปคุมนั้น จะยังใช้แนวคิดเหมือนกับเกม Two Point Hospital ที่หนึ่งด่าน เรานั้นจะได้คุมหนึ่งมหาวิทยาลัย ที่แต่ละมหาลัยก็จะมีดีไซน์ที่ต่างกัน ทำให้เราต้องออกแบบห้องต่าง ๆ ตามสถานการณ์ที่มี รวมถึงเงื่อนไขและสาขาใหม่ ๆ ที่จะมีให้เล่นมากขึ้นด้วย การเล่นในแต่ละด่านจะแปลกใหม่ไปเรื่อย ๆมีสาขาเลือกสอนที่หลากหลาย และแปลก ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมแนว Simulation แต่เอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้คือการใส่อารมณ์ขัน และความแฟนตาซีต่าง ๆ เข้ามา อย่างที่กล่าวไปว่าภายในเกม Two Point Campus เราจะต้องกำหนดสาขาที่เปิดสอนก่อนที่จะเริ่มการเรียนในปีนั้น ซึ่งสาขาที่สอนก็มีทั้งสาขาปกติ และสาขาแปลก ๆ เกรียน  ๆ มากมาย ซึ่งสาขาปกติก็ประกอบไปด้วยสาขาวิทยาศาสตร์ สาขาเกี่ยวกับการสร้างหุ่นยนต์ หรือสาขาทำอาหาร ส่วนสาขาที่แปลก ๆ ก็จะมีทั้งสาขาการเป็นอัศวิน สาขาเป็นนักแสดงตลก หรือสาขาเป็นนักสืบเป็นต้นและจุดเด่นแต่ละสาขาก็คือวิธีการสอนนั้นก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อย่างเช่นสาขาวิทยาศาสตร์คุณก็จะต้องมีห้องเอาไว้ให้นักเรียนได้ทดลอง สาขาสร้างหุ่นยนต์ที่จะมีห้องในการสร้าง หรือห้องอัพเกรดความสามารถของบุคลากรในมหาลัย อย่างเช่นการอัพเกรดภารโรงให้มีความสามารถในการซ่อมแซมที่เก่งขึ้นได้ หรือจะเป็นสาขาอัศวินที่เรานั้นจะต้องสร้าง Trainning Ground ให้เหล่านักเรียนได้ฝึกซ้อมวิชาดาบได้ด้วย โดยในแต่ละปีเราเองก็สามารถที่จะอัพเกรดวิชาเรียนเพื่อให้มีนักเรียนสนใจเข้ามาเรียนในมหาลัยของเรามากขึ้นได้ รายได้ที่เข้ามาแต่ละเดือนก็จะเยอะขึ้น แต่ก็อย่าอัพเกรดตำราสูงจนเกินไป เพราะเราจะต้องสร้างอาคารเพื่อรองรับคนเยอะขึ้น ใช้เงินค่าบุคลากรมากขึ้น เงินคุณอาจจะติดลบก็เป็นได้สร้างกิจกรรมและความสัมพันธ์แก่เหล่านักเรียนนอกจากนี้ภายในเกมยังให้เราสามารถกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจัดปาร์ตี้ในห้องพักนักเรียน การจัดกิจกรรมร้องเพลง กิจกรรมเล่นกีต้าร์ กิจกรรมแข่งทำอาหารและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราสามารถตั้งได้ว่ากิจกรรมเหล่านี้จะจัดขึ้นในเดือนไหน โดยตัวกิจกรรมจะส่งผลต่อค่าความสุขของคนภายในโรงเรียนให้มากขึ้นได้ด้วย รวมถึงยังมีการจัดชมรมเพื่อให้เหล่านักเรียนทำกิจกรรมยามว่างได้อย่างเช่นชมรมงีบหลับเป็นต้นหรือจะเป็นสิ่งพักผ่อนย่อนใจที่จะทำให้เหล่านักเรียนมีค่าความสัมพันธ์กันเองที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะไม้ที่ให้คนมีโอกาสได้เจอกันและเป็นเพื่อนกัน หรือจะเป็นโต๊ะนั่งหวานแหววรูปหัวใจ สร้างบรรยากาศหวาน ๆ ให้เหล่าหนุ่มสาวมีโอกาสปิ๊งกันได้ก็มี หรืออาจจะเป็นร้านขายของต่าง ๆ ที่เอาไว้อำนวยความสะดวกเหล่านักเรียนภายในโรงเรียนได้ (และเราเองก็จะมีรายได้ที่มากขึ้นด้วย)ความรู้สึกหลังเล่นTwo Point Campus ก็ยังสามารถรักษามาตรฐานเดิมได้ดั่งที่เคยทำไว้ในเกม Two Point Hospital ที่เคยออกมา นี่ยังเป็นเกมกินเวลาชีวิตที่จะให้คุณได้หมกมุ่นอยู่กับมันโดยลืมวันลืมคืน และส่วนตัวกลับรู้สึกชอบภาคนี้มากกว่าภาคที่แล้วเสียอีก อาจจะเป็นเพราะธีมมหาวิทยาลัยที่จะให้เราได้เปิดสาขาต่าง ๆ ที่จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านรูปลักษณ์หรือด้านรายละเอียดของเกมเพลย์ ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเลยในการเล่น และสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจง่ายต่อการเล่น ที่จะให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด การเพิ่มระดับของด่านก็จะมีลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามา นี่คือภาคต่ออันยอดเยี่ยมที่แทบไม่มีข้อติใด ๆ เลยสิ่งเดียวที่อาจจะให้ข้อสังเกตุได้ก็คงจะเป็นในด้านกราฟิกและหน้า Interface ที่ค่อนข้างเหมือนเดิมจนเกินไป ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการเล่นแต่ส่วนตัวก็มีความคิดว่าเปลี่ยนให้มันดูแปลกตาหน่อยก็ดีเหมือนกัน รวมถึงในเรื่องของเสียงผู้เขียนยังได้ยินเสียงประกอบที่ถูกนำมาจากภาคเก่า และมันอาจจะไม่เข้ากับเกมภาคนี้อย่างการเรียกให้หมอกลับมาที่โรงพยาบาล แต่ภาคนี้มันคือมหาวิทยาลัยต่างหาก
03 Aug 2022
[Review] รีวิว One Piece Card Game "เกมการ์ดแห่งโจรสลัด ลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่น!"
หากจะพูดถึงซีรีส์มังงะ/อนิเมะยอดฮิตจากญี่ปุ่น เชื่อว่าชื่อแรก ๆ ที่จะแว่บเข้ามาในหัวของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นซีรีส์ One Piece มหากาพย์โจรสลัดของอาจารย์ เออิจิโร่ โอดะ ที่ดำเนินมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้วในปัจจุบัน โดยประวัติศาสตร์อันยาวนานของซีรีส์ รวมไปถึงความนิยมอันร้อนแรงไม่เสื่อมคลาย ทำให้ One Piece ได้รับการดัดแปลงไปสู่สื่ออื่น ๆ มากมาย ตั้งแต่ภาพยนตร์ (ทั้งอนิเมชั่นและคนแสดงจริง) ของเล่น วิดีโอเกม และล่าสุด กับเกมการ์ดลิขสิทธิ์แท้ One Piece Card Game ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้!ในฐานะแฟนตัวยงของซีรีส์ One Piece มาช้านาน แน่นอนว่าทีมงาน GameFever ย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะลองหยิบเกมการ์ดดังกล่าวนี้มาลองเล่นกัน พร้อมแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกับเกมการ์ดสุดร้าวใจใหม่ล่าสุดนี้ด้วย!ทำความรู้จักกับเกมกันก่อนสำหรับเกมการ์ด One Piece Card Game ก็จะมีลักษณะไม่ต่างจากเกมการ์ดทั่วไป ที่ให้ผู้เล่นสองคนจัดชุดการ์ดของตนเองขึ้นมา ก่อนที่จะนำมาต่อสู้กันบนสนาม โดยการ์ดในเกม One Piece นี้จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่:(จากซ้ายไปขวา)LEADER: การ์ด “หลีดเดอร์” หรือผู้นำ เปรียบได้กับ “ตัวเอก” ของเด๊คแต่ละเด๊ค ซึ่งมักจะมาพร้อมกับความสามารถประจำตัวอันทรงพลัง ที่จะกำหนดแนวทางการเล่นหลัก ๆ ของเด๊คนั้น รวมไปถึงกำหนดค่า LIFE หรือพลังชีวิตของตัวผู้เล่นเองอีกด้วยCHARACTER: เรียกง่าย ๆ ว่าการ์ก “มอนส์เตอร์” ในเกมการ์ดทั่วไปก็ได้ โดยมีหน้าที่หลักในการช่วยโจมตี LEADER ของฝ่ายตรงข้าม หรือสามารถใช้จากมือเพื่อเพิ่มพลังให้กับการ์ดบนสนามในระหว่างการต่อสู้ได้DON!: อาจเปรียบได้กับการ์ด Land ของ Magic: The Gathering ผสมกับการ์ด Energy ในเกม Pokemon TCG โดยมีไว้ใช้จ่ายค่าร่ายของการ์ด หรือจะใช้สวมใส่ให้กับ CHARACTER หรือ LEADER เพื่อเพิ่มพลังก็ได้EVENT: เปรียบได้กับการ์ด “เวทมนต์” หรือ “กัปดัก” ในยูกิ ที่ใช้เพื่อเอฟเฟกต์บางอย่างก่อนที่จะทิ้งลงสุสานไป โดยสามารถใช้ในระหว่างเทิร์นของฝ่ายตรงข้ามเพื่อตอบสนองต่อการกระทำบางอย่างได้ STAGE: การ์ด “สนาม” เหล่านี้ มักจะมาพร้อมกับความสามารถพิเศษบางอย่างที่เจ้าของสามารถใช้ได้อย่าถาวร หรือจนกว่าการ์ดจะถูกกำจัด โดยสามารถแสดงผลได้ทีละ 1 ใบเท่านั้นเมื่อเริ่มเกม ผู้เล่นแต่ละคนจะสามารถวางการ์ด LEADER ของตนเองไว้บนสนามได้ ก่อนที่จะจั่วไพ่คนละ 5 ใบ (สามารถสับไพ่กลับเข้ากองแล้วจั่วไพ่ใหม่ได้ 1 รอบ) เพื่อเริ่มเกม ผู้เล่นจะผลัดกันร่ายการ์ดชนิดต่าง ๆ และพยายามโจมตี LEADER ของอีกฝ่ายจนกว่าพลังชีวิตจะหมด ซึ่งผลของการต่อสู้จะคำนวนจากค่าพลังของการ์ดหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้เล่นการ์ด CHARACTER หรือ EVENT หรือใช้ความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพื่อเพิ่ม/ลดค่าพลังของคู่ต่อสู้ หากฝ่ายโจมตีมีค่าพลังมากกว่าหรือเท่ากับฝ่ายป้องกัน จะถือว่าฝ่ายโจมตีเป็นผู้ชนะ ซึ่งถ้าเป้าหมายของการโจมตีเป็น CHARACTER ก็จะถูกส่งลงสุสาน หรือถ้าเป็น LEADER ก็จะสูญเสีย LIFE ไปหนึ่งแต้มนั่นเอง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงคำอธิบายในภาพกว้างเท่านั้น โดยการเล่นเกมจริง ๆ ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ต้องคำนึงถึง และทำให้เกมนี้มีพื้นที่ให้กับการออกแบบเด๊คและการวางแผนไม่น้อยหน้าเกมการ์ดอื่น ๆ เลยทีเดียวรีวิว: ภาพอาร์ตดั้งเดิมจากมังงะ/อนิเมะ เอาใจแฟนตัวยง!สำหรับชุดการ์ดที่ใช้ในการรีวิวนั้น คือชุด Starter Deck ST-01 ซึ่งก็คือเด๊ค “โจรสลัดหมวกฟาง” ของตัวเอกลูฟี่นั่นเอง โดยการ์ดชุดนี้จะมาพร้อมกับการ์ด LEADER และ CHARACTER ลูฟี่ลายพิเศษแบบฟอยล์เลเซอร์ รวมไปถึงการ์ด CHARACTER โรโรโนอา โซโล แบบฟอยล์เช่นกันในส่วนของการรีวิวนั้น มิติแรกที่ทุกคนจะได้พบก็คือภาพอาร์ตเวิคบนหน้าการ์ด ซึ่งน่าจะได้รับความคาดหวังจากแฟน ๆ อยู่ไม่น้อย ข้อดีอย่างแรกของการ์ด One Piece Card Game คือการที่ภาพอาร์ตเวิคหน้าการ์ดนั้นถูกขยายให้ใหญ่เต็มหน้าการ์ด โดยภาพหน้าการ์ดเหล่านี้ดูจะผสมผสานภาพทั้งจากลายเส้นดั้งเดิมของอาจารย์โอดะ และจากซีรีส์อนิเมะด้วย ทำให้แฟนการ์ตูนสามารถเชยชมเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักของตนเองได้แบบถึงขนกันไปเลย แต่ในอีกมุมนึง การขยายภาพการ์ดจนเต็มขนาดนี้ ก็ทำให้รายละเอียดบางจุดที่สำคัญต่อการเล่นการ์ดแอบถูกลดขนาดลงไปบ้าง เช่นตัวเลขค่าร่ายการ์ด หรือตัวเลขค่าพลัง ที่แม้จะไม่ได้ “เล็ก” จนมองไม่เห็น แต่ก็แอบต้องมองหาบ้างเหมือนกันในการ์ดบางใบที่ภาพอาร์ตเวิคฉูดฉาดเป็นพิเศษ ซึ่งนี่น่าจะเป็นข้อติเตียนเล็ก ๆ เท่านั้น โดยคนที่เล่นการ์ดบ่อย ๆ จนชินน่าจะมองข้ามปปัญหานี้ไปได้เองในที่สุดรีวิว: กฏเข้าใจง่าย เล่นได้ใน 5 นาที แต่ก็มีพื้นที่ให้วางแผน!หากจะต้องเทียบกับเกมการ์ดอันโด่งดังอื่น ๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกัน เกม One Piece Card Game มีข้อดีอย่างหนึ่งตรงที่กฏของเกมเข้าใจค่อนข้างง่าย สามารถเรียนรู้และเริ่มเล่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้น เกมก็ยังมีรายละเอียดมากมายที่จะต้องคอยคิดถึงระหว่างการเล่นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารการ์ด DON! เพื่อใช้ในการร่ายการ์ด โดยยังมีเหลือพอใช้เพิ่มพลังในการต่อสู้ หรือจังหวะการใช้การ์ด CHARACTER ที่แม้จะร่ายจากบนมือเพื่อเพิ่มพลังชั่วคราวได้ แต่ถ้าใช้อย่างไม่ระวังก็เสี่ยงจะไพ่หมดมือไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เป็นต้นนอกจากนี้ เกมยังมีความหลากหลายในสไตล์การเล่น สังเกตได้จากชุดการ์ดเบื้องต้น Starter Set ทั้ง 4 ชุดที่วางจำหน่ายพร้อมกัน ซึ่งแต่ละชุดล้วนมีสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ เช่นเด๊ค “โจรสลัดหมวกฟาง” ที่เน้นสไตล์การเล่นแบบมุทะลุ ตรงไปตรงมา เน้นเพิ่มพลังเข้าชน เช่นเดียวกับตัวเอกลูฟี่ หรือเด๊ค “ยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุด” (Worst Generation) ที่เน้นการใช้ลูกเล่นต่าง ๆ ในการโจมตีซ้ำหลายครั้งในตาเดียว จึงมั่นใจได้ว่าเกมมีความหลากหลายพอจะรองรับการเล่นระบะยาวอย่างแน่นอนทั้งนี้ ด้วยความที่ตัวการ์ดยังเป็นภาษาญี่ปุ่น (หรืออังกฤษ) จึงทำให้การเล่นอาจจะมีความท้าทายอยู่บ้างสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้การ์ดในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความสามารถการ์ดส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ซับซ้อนนัก จึงเชื่อว่าถ้าได้เล่นไม่กี่ตาก็น่าจะพอจำการ์ดได้บ้างแล้วสรุป: เกมการ์ดแห่งโจรสลัด เล่นก็ได้ สะสมก็เพลิน!กล่าวโดยสรุป การ์ด One Piece Card Game ถือเป็นช่องทางให้แฟน ๆ ของซีรีส์ได้สัมผัสกับเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยนอกจากจะสามารถนำการ์ดเหล่านี้มาต่อสู้กันเพื่อความสนุกได้แล้ว ภาพอาร์ตเวิคลิขสิทธิ์แท้เหล่านี้ ยังทำให้การ์ด One Piece Card Game เป็นของน่าสะสมสำหรับแฟนการ์ตูนไปด้วยโดยปริยาย หากใครสนใจอยากจับจองเป็นเจ้าของ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้า >>ดังนี้
02 Aug 2022
[Review] รีวิวเกม MADiSON (PS5) พกกล้องโพลารอยด์หลอน ไขปริศนาปีศาจคลั่ง
'การสิงสู่' คือหนึ่งในความสามารถของเหล่าภูตผีและปีศาจซึ่งต้องการข้ามภพสร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์อย่างเรา ๆ เล่น โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ถ้าจะเจาะจงไปอีกก็คือผู้เล่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าต้องไปเผชิญหน้ากับปีศาจชั่วช้าที่ขึ้นมาบนโลกมนุษย์ เพียงเพื่อแก้เหงาและความเบื่อของมันเท่านั้นMADiSON เป็นเกมสยองขวัญ แก้ไขปริศนาผู้เล่นเดี่ยวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง พัฒนาโดยสตูดิโอ BLOODIOUS GAMES ซึ่งเพิ่งจะวางขายสด ๆ ร้อน ๆ ในวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา บนเนื้อเรื่องที่อ้างอิงตามตำนานความเชื่อของศาสนิกชนชาวคริสต์ที่ว่าปีศาจมักสิงสู่ผู้คนให้ทำตามสิ่งที่มันต้องการ แม้การกระทำนั้นมันจะขัดต่อหลักความดีเลวแค่ไหนภาพเกมทั่วไป แต่ไม่ลดทอนความสยององค์ประกอบของภาพที่ปรากฏขึ้นมาในเกมนั้นมักเป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะตีคุณค่าของเกมแต่ละเกมว่าเกมนั้นดีหรือไม่ ตามแต่ละประเภทของเกม ซึ่งเกมสยองขวัญนั้นจะเป็นเกมสยองขวัญ ทำให้คนผวาและสั่นกลัวได้ ไม่ได้จำเป็นต้องให้ภาพมีความสมจริง กลับกันคุณต้องสร้างให้เกมมีภาพที่ทำให้คนเล่นเข้าใจง่ายและเกิดการ ' จินตนาการ ' หนึ่งในสิ่งที่จะต้มตุ๋นผู้เล่นให้หวาดกลัวเอง ซึ่ง MADiSON ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ไม่เลวเลย เพราะถึงแม้ภาพเกมจะไม่ได้ถึงขั้นเห็นขนทุกเส้นฝุ่นทุกอณู แต่เมื่อได้เล่นแล้วความหวั่นไหวที่ก่อขึ้นมาในใจจะทำให้ภาพมันสมจริงของมันเอง(ตัวเกมที่รันบนเครื่อง Playstation 5 สามารถเล่นได้แบบ Full HD กราฟิกสูง 60 FPS พร้อม ๆ กับสตรีมไปในเวลาเดียวกันโดยไม่มีกระตุก หรือเฟรมเรตตกแต่อย่างใด)เนื้อเรื่องกลมกล่อมตามสไตล์หนังสยองขวัญเกมผี ถ้าไม่มีการอารัมภบทแล้วให้ผู้เล่นเจอผีโต้ง ๆ เลย ก็คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกอยู่ไม่น้อย ดังนั้น MADiSON จึงได้วางแผนผังเนื้อเรื่องให้เราเข้าใจไม่ยากประหนึ่งเหมือนเล่นเกมไป รับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปเนื้อเรื่องนั้นตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่ามันจะเน้นหนักไปที่ด้านศาสนา ปีศาจ และความเชื่อของฝั่งคริสต์ เรานั้นจะได้รับบทเป็นชายผู้หนึ่งที่ชื่อ ลูก้า ซึ่งพบว่าตนเองนั้นดันซวยไปติดพันธะจากพิธีกรรมของปีศาจตนหนึ่งซึ่งมันได้ลงมือทำพิธีกรรมไปเกือบเสร็จแล้ว แต่น่าเสียดายดันโดนขัดขวางเสียก่อน ปีศาจตนนี้ก็คิดในอารมณ์แบบ 'แหม่! อีกนิดเดียวเอง งั้นต่อให้มันจบ ๆ !' ก่อนจะใช้เราเป็นเครื่องมือในการทำพิธีกรรมต่อไป โดยมีกล้องโพลารอยด์เป็นสื่อกลางของโลกอันบิดเบี้ยวของมันตามหลักของหนังสยองขวัญที่ตัวเอกต้องทนทุกข์คลุกคลานกับเหตุการณ์ที่เจอ เราก็ต้องฝ่าฟันค้นหาต้นตอความเป็นมาของพิธีกรรม เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ความเกี่ยวข้องของตัวเรากับปีศาจตนนี้เพื่อที่จะหาทางแก้ไขและจบเรื่องราวอันเลวร้ายนี้เสียทีเกมเพลย์ไม่ยาก แต่ที่ยากคือพัซเซิลมาถึงจุดขายของเกม MADiSON นี้เลย ปกติแล้วเกมสยองขวัญ-ไขปริศนามักจะมีพัซเซิลให้เราได้ลับสมองประลองปัญญาอยู่แล้ว บ้างก็อาจจะมีคำใบ้ บ้างก็อาจจะลากมือเราทำไปให้ผ่าน ๆ ไป แต่ยินดีด้วย! ที่เกมนี้จะให้เราได้หลอนและใช้สมองจน IQ แทบจะพุ่งไปแบบ 300% เพราะนอกจากที่ส่วนมากตัวเกมจะไม่ค่อยได้ใบ้อะไรเราแล้ว เราต้องใช้หลักความคิด และความรู้รอบตัวมาประมวลผลว่า [เราควรจะทำยังไงกับไอเทมชิ้นนี้] หรือ [ชีวิตนี้ฉันควรทำอะไรต่อไปดีนะ] ในระหว่างที่มีเจ้าปีศาจตัวดีคอยมา 'ให้กำลังใจ' ระหว่างเดินสำรวจ เช่น พัซเซิลหนึ่งที่จะให้คุณหารหัสลับเบิกทางไปต่อ ซึ่งเราต้องถ่ายรูปรอยวาดมั่วซั่วที่ดูเผิน ๆ เหมือนไว้ประกอบฉากเพียงเท่านั้น หรือที่เราต้องนำเทียนแต่ละสี วางให้ตรงตามความหมายของศาสนาคริสต์ก็ดีจากที่กล่าวมาตัวเกมจะมีไอเทมหลัก ๆ อยู่สามอย่างที่จะใช้ตั้งแต่เริ่มยันจบเกมได้แก่กล้องโพลารอยด์ต้องสาป - ใช้มันเพื่อถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างเพื่อค้นหาเบาะแส ทำลายภาพลวงตา หรือจะสร้างสรรค์หน่อยก็ถ่ายเป็นระยะ ๆ เพื่อเปิดแสงสว่างให้เราได้เห็นทาง (ระวังนะอันนี้อ่ะ)แพ็กภาพที่ระทึก - เมื่อเราถ่ายรูปกล้องโพลารอยด์ซึ่งผู้เล่นสามารถถ่ายได้อิสระตามใจแล้ว เราก็ต้องนำมาสะบัด ๆ ตามหลักทั่วไป ก่อนจะเห็นภาพที่สามารถใช้ไขปริศนาและภาพไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ตามแต่ละสถานการณ์เกมสมุดภาพวัยเยาว์ - เป็นสมุดปกแดงที่จะคอยเก็บภาพวาดเขียนเมื่อเราเริ่มเกิดอาการหลอน ซึ่งมันสามารถใช้เพื่อใบ้เส้นทางหรือสิ่งที่เราต้องทำต่อไปแบบกว้าง ๆ จนบางทีก็คิดนะ ใบ้แค่นี้เหมือนเกมให้เราไปเจอเองดีกว่าอะไรนะ? คุณผู้อ่านกำลังคิดอยู่ในใจ 'ไอ้พวกพัซเซิลกับรหัส เดี๋ยวฉันไปดูโพยเอาซะก็สิ้นเรื่อง' ก็ต้องขอดับฝันไว้เสียแต่ตรงนี้เลย เพราะเกมนี้ 'หากคุณไม่เข้าใจว่าต้องแก้พัซเซิลฉันใด โพยก็ไม่ได้ช่วยอะไรฉันนั้น' เพราะรหัส ไอเทม และสิ่งที่ต้องแก้ในพัซเซิลส่วนมากมันจะไม่เหมือนกันกับผู้เล่นอื่น ดังนั้นผู้เล่นต้องไปค้นหาและหวาดเสียวด้วยตัวของตนเอง จะไปเกาะเบาะดูชาวบ้านเล่นทั้งหมดไม่ได้ประสบการณ์จุก ๆ ทั้งระแวงผี ทั้งกุมขมับกับพัซเซิลส่วนตัวสำหรับ MADiSON นั้น เป็นอีกเกมหนึ่งที่ทำออกมาได้ตอบโจทย์คนที่อยากหาอะไรมาสูบฉีดเลือดตัวเองหรือเบื่อ ๆ ต้องการอะไรมานั่งใช้สมองเล่น เพราะนอกจากปริศนาที่คาดไม่ถึงแล้ว ก็ยังปีศาจจ้องจะหยุมหัวอยู่เนือง ๆ ซึ่งนับว่าเป็นเสน่ห์ของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ถึงแม้ตัวเกมจะมีข้อดีอยู่เยอะ แต่ในส่วนของซับไตเติลภาษาไทยที่ซัพพอร์ตตัวเกมนั้นแปลไม่ตรงเนื้อหาและเล็กเสียจนอ่านแทบไม่ได้หากไม่เอาหน้าไปจุ่มจอในภาพรวมนั้นตัวเกมจะเหมาะกับการเล่นบนเครื่องคอนโซลมากกว่า PC ทั้งการถือจอยที่จะหันมุมกล้องโพลารอยด์ได้ง่ายกว่าเมาส์ ไม่ว่าจะกดปุ่ม L2 เพื่อยกกล้อง หรือกดปุุ่ม O เพื่อถ่ายก็นับว่าไม่ลำบากและเสมือนว่าได้ถือกล้องจริง ๆ จึงนับได้ว่าเกมนี้เหมาะและเปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่ยังไม่เคยสัมผัสเกมสยองขวัญเครื่องคอนโซลอย่าง PlayStation ได้ดีทีเดียว ดังนั้นใครที่มองหาเกมหนีผีมีปริศนาความยาว 4 ~ 6 ชั่วโมง เกม MADiSON นี้ ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ควรค่าหามาจับจองได้หลายช่องทางทั้งPC (Steam ราคา 499 บาท) : https://bit.ly/3bfCnSQPlayStation (ราคาประมาณ 1400 บาท) : https://bit.ly/3vplOuBNintendoSwitch (ราคาประมาณ 1400 บาท) : https://bit.ly/3zhJFgTXbox (ราคาประมาณ 1450 บาท) : https://bit.ly/3OFZLqbหรือจะเข้าหน้าเว็บไซต์หลักประกอบการตัดสินใจ พร้อมดูตัวอย่างเกมข้างล่างนี้ได้เลย
29 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Dinkum "แอนิมอลครอสซิ่ง สไตล์ออสซี่ ภาพน่ารักราคาสบายกระเป๋า"
Dinkum เป็นเกมแนวเข้าป่าล่าสัตว์ ทำฟาร์ม ที่ได้รับการเปรียบเทียบกับเกมชื่อดังอย่าง Animal Crossing ซึ่งได้วางขายใน Steam แบบ Early Access เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมา เกมนี้เราจะสวมวิญญาณเป็นชาวออสซี่ ที่ได้โยกย้ายถิ่นฐานจากในเมืองไปอยู่ในชนบทของออสเตรเลีย สัตว์บางชนิดเราสามารถนำมาเลี้ยงเพื่อพัฒนาเป็นฟาร์มได้อีกด้วย เกมนี้เราอยากจะเล่นคนเดียวเรื่อย ๆ ก็ได้ หรือจะ Co-op เล่นกับเพื่อนก็ได้ แต่เกมนี้ถ้ามีเพื่อนเล่นจะเฮฮากว่ามาก ๆ เพราะเราสามารถเลี้ยงจระเข้แล้วเอามาสู้กับเพื่อนได้ครับ ฮ่า ๆ แถมยังจะช่วยกันหาวัตถุดิบสร้างเกาะให้สวยงามได้ไวขึ้นอีกด้วย เพราะแมพค่อนข้างกว้าง เล่นคนเดียวอาจจะเหนื่อยหน่อย เกมเพลย์เริ่มต้นมาเราจะเป็นชาวเมืองที่อยากจะหนีออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่นครับ แล้วอยู่ดีดีวันหนึ่งก็มีคนส่งจดหมายเชิญชวนผู้คนที่เบื่อชีวิตในเมือง ให้ลองย้ายไปอยู่บนเกาะของเขา ใครสนใจก็ให้มาเจอกันที่ท่าจอดเรือเหาะในวันแรกของฤดูร้อน ซึ่งเราเป็นคนเดียวครับที่ไปจุดนัดพบ ฮ่า ๆ พอถึงเกาะตรงนี้จะคล้าย ๆ กับ Animal Crossing ละครับ แต่เกมนี้จะเป็นคุณยายคนหนึ่งชื่อว่า Fletch เขาจะแนะนำเรา ว่าเราควรทำอะไรบ้าง เริ่มแรกเขาจะให้เราสร้างเต็นท์ที่เป็นฐานหลักของเมืองก่อน (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเต็นท์นี้คือ Town Hall ของเกาะเราในอนาคตครับ) เราสามารถคราฟท์ข้าวของเครื่องใช้ได้ที่เต็นท์ของยายเลยครับ แล้วยายก็จะให้เต็นท์อยู่อาศัยสำหรับเรามาด้วย เราสามารถเลือกทำเลของเราเองได้ ในตอนแรกจะเป็นเต็นท์ให้เราพอมีที่ซุกหัวนอนเท่านั้น แต่พออยู่ ๆ ไปจะได้อัพเกรดไปเรื่อย ๆ พอเราเก็บเงินครบ เราก็จะได้บ้านที่เป็นบ้านจริง ๆ ทีนี้ก็สุดแล้วแต่ใจเราเลยครับว่าจะครีเอทบ้าน และเมืองของเราให้สวยงามยังไง ตรงนี้เกมค่อนข้างให้อิสระกับเรามาก ๆ ครับ และยายจะให้เราเป็นเดอะแบกของเมืองนี้เลย ตั้งแต่คนสร้างเมือง คนหาวัตถุดิบ หรือแม้แต่เป็นคนหาลูกบ้านเข้ามาอาศัยอยู่บนเกาะ แล้วแต่ยายจะออเดอร์สั่งการมา เราคนเล่นก็ต้องจัดให้ยายแกทุกอย่าง เพราะไม่งั้นไอเทมบางอย่างจะไม่ปลดล็อคครับ (ไม่ได้อยากทำ แต่มันจำเป็น ฮ่าๆ) การหาเงิน : พอเล่นไปเรื่อย ๆ ยายจะไปชวน John มาอยู่บนเกาะนี้ด้วยครับ นายจอห์นคนนี้จะเป็นพ่อค้าคอยรับซื้อของจากเรา และเอาของมาขายให้เราครับจากในเมือง ช่วงแรกจอห์นจะยังไม่อยู่ถาวร ยายก็จะให้เราไปทำการโน้มน้าวนายจอห์นให้มาเป็นพ่อค้าของเกาะนี้ครับ มาพูดเรื่องการหาเงินกันต่อดีกว่า เกมนี้นอกจากมีเงินเหรียญทองที่เอาไว้ใช้จ่ายเรื่องทั่วไป อย่างเช่น การซื้ออุปกรณ์ หรือจ่ายค่าอัพเกรดบ้าน ยังมีเงินแบงค์สีฟ้าที่เอาไว้จ่ายเพื่อซื้อใบอนุญาตต่าง ๆ ด้วยครับ - เหรียญทอง : เวลาเราไปฟาร์มหาวัตถุดิบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแมลงที่เราจับได้ ปลาต่าง ๆ ผลไม้ เอเวอร์รี่ติง จิงเกอเบล เราสามารถนำมาให้พี่จอห์นตีราคา แล้วรับเงินกลับมาได้เลยครับ แรก ๆ ผู้เขียนแนะนำให้เก็บหอยต่าง ๆ หรือพวกแมลง ปลา แถว ๆ เบสท์แคมป์แล้วปั๊มเงินเอา กับพี่จอห์นก่อน เพราะสิ่งที่คุณยายรีเควสมาแต่ละอย่างให้เราทำต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะครับ บริจาคให้ส่วนรวมไม่พอ บ้านเริ่มต้นของเราก็ต้องใช้เหรียญทอง 95000 ในการสร้างครับ เกมนี้จะไม่มีระบบสินเชื่อแบบ Animal crossing ที่สร้างก่อนจ่ายทีหลัง เกมนี้เราต้องมีเงินก่อนถึงสร้างได้ครับ             - แบงค์สีฟ้า : เราจะได้จากการทำ Milestones ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การเก็บสะสมพันธุ์แมลง ปลา หรือจาก Daily Milestones ที่จะมีเควสย่อย ๆ ให้เราทำเป็นรายวัน สกุลเงินนี้ใช้ในการซื้อใบอนุญาตการทำกิจกรรมในเกาะ เราสามารถไปขอซื้อใบอนุญาตต่าง ๆ ได้ที่คุณยาย Fletch ครับ ถ้าเราไม่ซื้อใบอนุญาตจอห์นจะไม่ขายอุปกรณ์ให้เรา เช่น ถ้าเราอยากตัดไม้แต่เรายังไม่มี "ใบอนุญาตตัดไม้" จอห์นจะไม่ขายขวานให้เรา และแน่นอนในช่วงแรกมันคราฟท์ไม่ได้ เราต้องซื้อใบอนุญาตก่อนจึงจะสามารถคราฟท์ได้ ยาย Fletch เก็บทุกเม็ดจริง ๆ การล่าสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ : สัตว์เกมนี้มีทั้งแบบที่ไม่โจมตีเราเลย โจมตีถ้าเราทำร้ายมัน หรือโจมตีเราก่อน และการจะล่าพวกมันได้นั้นเราต้องมีใบอนุญาตที่ผู้เขียนได้เคยพูดถึงไปก่อนหน้านี้ หลังจากได้ใบอนุญาตมาแล้วเราจะสามารถคราฟท์อาวุธในการล่าสัตว์ได้ - ล่าสัตว์ : พวกสัตว์ทั่วไปอย่างจิงโจ้ แมงกระพรุน คางคก ไก่งวง นกอีมู พวกนี้ไม่ได้ล่ายากอะไรนักครับ สามารถนำเนื้อของมันมาปรุงอาหารได้ด้วย แต่สัตว์บางอย่างก็โหดโคตร ๆ เลย อย่างเช่น แทสมาเนียนเดวิล (ผมไม่แน่ใจว่ามันคือวอมแบต หรือ แทสมาเนียนเดวิล แต่เดา ๆ เอาว่าเป็นแทสมาเนียนเดวิลเพราะสีขนและแถบขาวที่หน้าอกครับ) มันตบผมแรงมากไม่พอครับ มันพ่นไฟได้ด้วย แล้วเกมนี้ตัวละครของเราสามารถติดไฟและโดนไฟไหม้ได้ครับ (อย่าได้เผลอไปเหยียบกองไฟ หรือติดไฟจากสัตว์เชียวนะครับ เลือดลดเยอะมาก) เท่านี้ยังโหดไม่พอถ้าเพื่อน ๆ รับเควสจากกระดานให้ไปล่าจิงโจ้จ่าฝูง ผมไปลองมาแล้วกับหอกช่วงต้นเกม ผมโดนมันถีบขาคู่ทีเดียวเท่านั้น จอดำเลยครับ ฮ่า ๆ ใครคิดว่าพริ้วจาก Dark Souls ลองไปล่าหัวหน้าจิงโจ้ดูครับ อาจจะไหวก็ได้ เพราะผลตอบแทนก็คุ้มค่ามาก ๆ แต่ผมยอมก่อน รออัพเกรดให้โหด ๆ กว่านี้แล้วจะลองไปรับเควสดูใหม่ครับ หลัง ๆ เราก็จะสบายขึ้นหน่อยถ้าเราซื้อใบอนุญาตในการวางกับดัก เราก็จะสามารถวางกับดักเพื่อดักสัตว์ได้ และอีกอย่างที่ผมชอบมาก ๆ ของเกมนี้ก็คือบางทีสัตว์ต่างสายพันธุ์มันเดินมาเจอกันแล้วมันจะสู้กันครับ ถ้าฝั่งไหนถึงแก่ชีวิตก่อนเราก็จะได้เนื้อมาฟรี ๆ โดยที่เราไม่ต้องลงแรงไปล่าเอง ให้เจ็บตัวครับ- เลี้ยงสัตว์ : การเลี้ยงสัตว์เราก็ต้องไปขอใบอนุญาตด้วยเราถึงจะเลี้ยงได้ ช่วงแรก ๆ ก็จะมีบ้านนก และอัพเกรดขยับขยายไปเรื่อย ๆ จนสามารถเลี้ยง  วอมเบตหรือจระเข้ได้ครับ และเรายังสามารถนำสัตว์ที่เลี้ยงไว้เอาไปสู้กับของเพื่อนได้อีกด้วย และถ้าอยากเลี้ยงสัตว์ธรรมดาอย่างไก่เราต้องอัพเกรดเต็นท์ขายของของพี่จอห์น ให้เป็นร้านขายของแบบถาวรก่อนครับ จะมี NPC ต่าง ๆ แวะเวียนมาขายของบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็น ร้านเสื้อผ้า, ศูนย์วิจัยอุปกรณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี, รวมไปถึงร้านขายสัตว์เลี้ยงที่เราสามารถจะซื้อไก่มาเลี้ยงในฟาร์มของเราได้ครับ ทั้งนี้เรายังสามารถซื้ออาหารสัตว์ต่าง ๆ ได้ที่ร้านนี้อีกด้วยเควส : ในช่วงแรกก็จะเป็นเควสหลักจากคุณยาย Fletch เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้วางเต็นท์ฐานของเมือง เต็นท์ตัวเอง หรือการชักชวนผู้คนเข้ามาอยู่บนเกาะ และเรายังสามารถรับเควสรายวันเพื่อรับรางวัลพิเศษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ ๆ จาก NPC ได้ เพียงแค่เราไปชวน NPC คุยแล้วขอช่วยงานต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วงหลัง ๆ จะมีกระดานเควสที่คุณยายให้เราสร้างขึ้นมา และตรงนี้ผลตอบแทนจากเควสจะให้เหรียญทองที่ค่อนข้างเยอะครับ ผลตอบแทนดีเควสที่เราได้รับก็จะโหดเป็นธรรมดาครับ จะมีตั้งแต่การให้ไปถ่ายรูปสัตว์หายากต่าง ๆ จนไปถึงการให้ไปล่าสัตว์หายาก (อารมณ์เหมือนให้ไปล่าบอส เพราะโหดจริ๊งงงงงงง) การตกปลา : ค่อนข้างต้องใช้การปรับตัวสูงอยู่เหมือนกัน อย่าง Animal Crossing ถ้าปลากินเหยื่อจอยคอนจะสั่นให้เรารู้ถูกไหมครับ แต่เกมนี้เราต้องเดาจังหวะปลาเอาเองว่าถ้าน้ำนั้นดูกระเซ็นเยอะกว่าปกติเราถึงดึงมันขึ้นมาละปลาถึงจะติดเบ็ด จังหวะเย่อกับปลาก็ไม่ง่ายเพราะเราต้องอาศัยดูจังหวะการหนีการดิ้นของปลาเอาเอง ถ้าเรากะจังหวะผิดแล้วแถบสีแดงหมดหลอดเมือไหร่ปลาก็จะหลุดจากเบ็ดของเราไปครับ ส่วนปลาใหญ่หรือสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยเมคเซ้นส์เท่าไหร่ คือเราต้องทำหอกไปแทงสู้กับมัน เหมือนการล่าสัตว์บกอื่น ๆ แต่เราว่ายน้ำไปแทงไม่ได้ต้องลงน้ำลึกไปล่อให้มันมาโจมตีเราก่อน แล้วเราก็รีบว่ายกลับมายืนบนฝั่งเพื่อเอาหอกแทงมันจนกว่ามันจะตาย ซึ่งตรงนี้มันก็แปลก ๆ สำหรับผู้เขียนอยู่เหมือนกัน การปลูกพืชทำไร่ : เริ่มแรกเราจะต้องไปทำใบอนุญาตในการปลูกพืชก่อน หลังจากทำมาแล้วอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกพืชจะปลดล็อคครับ เกมนี้จะไม่เหมือน Animal crossing ที่เราสามารถขุดเอาต้นไม้มาปลูกในบริเวณบ้านเราได้เลย เราต้องอัพเกรดร้านขายของของจอห์นก่อนครับ หลังจากนั้นจะมี NPC ร้านขายของต่าง ๆ แวะเวียนมาเปิดร้านขายของแทนเต็นท์เก่าของพี่จอห์น และจะมี NPC ที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำสวนเราสามารถซื้อ จอบ, บัวรดน้ำ, เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ได้ที่เธอเลยครับ กว่าสวนจะเป็นรูปเป็นร่างก็ใช้เงินสกุลสีฟ้าในการอัพค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน หลังจากเราอัพเกรดจนปลดล็อคจอบมาแล้วระบบต่าง ๆ ก็จะเหมือนเกมปลูกผักทำฟาร์มทั่ว ๆ ไปเลยครับ เราสามารถรดน้ำ เก็บเกี่ยวผลผลิต เอามาทำอาหารให้ตัวเราเอง หรือขายให้พี่จอห์นคนดีคนเดิมเพื่อฟาร์มเงินก็ได้ครับ ในส่วนของต้นไม้ป่าเราสามารถเอาพลั่วขุดหลุมแล้ววางเมล็ดลงไปแล้วกลบหลุม เพียงเท่านี้ต้นไม้สายพันธุ์ที่เราต้องการจะมาขึ้นบริเวณที่เราฝังเมล็ดไว้ครับการทำอาหาร : จริง ๆ เราอาศัยกินผลไม้ที่เราฟาร์มจากเกมมาก็ได้ครับ ถ้าเราขี้เกียจหาวัตถุดิบไปทำอาหาร แต่เกจเลือดและเกจพลังงานของเราจะขึ้นค่อนข้างน้อย เพราะเวลาตัวละครเรากินอาหารมันจะสามารถกินได้ติด ๆ กันแค่ 3 ครั้งครับ ซึ่งค่าพลังงานของเราอาจจะขึ้นมาเพียงน้อยนิด ทำให้เราไม่สามารถทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ ต่อเนื่องไปได้เท่าที่ใจเราต้องการ เราจึงจำเป็นจะต้องทำอาหารเพื่อมาเติมเต็มในส่วนนี้ จะมีการทำให้สุกแบบง่าย ๆ ด้วยการยัดวัตถุดิบลงเตาบาร์บีคิวไปทีละชิ้นครับ เราสามารถซื้อเตานี้ได้จากพี่จอห์นในราคา 34000 เหรียญทอง ส่วนการทำอาหารแบบที่ซับซ้อนขึ้นเราจะต้องคราฟท์โต๊ะทำอาหารขึ้นมา โต๊ะนี้จะบอกสูตรต่าง ๆ ว่าต้องการวัตถุดิบอะไรบ้างในการทำอาหาร เราก็สามารถนำวัตถุดิบที่เรามี ที่ตรงกับความต้องการของสูตรมาทำอาหารที่โต๊ะทำอาหารได้เลยครับ และอาหารบางชนิดสามารถเพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ ให้เรานำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ เพิ่มอัตราการตกปลา หรือเพิ่มอัตราการต่อสู้ในการล่าสัตว์ให้เราการจับแมลง : ในส่วนนี้คือได้ฟิล Animal Crossing เลยครับ แต่ว่าเกมนี้แมลงกลางวันและกลางคืนจะไม่แตกต่างกัน จะมีเหมือนเดิมทั้งวัน ถ้าอยากหาแมลงชนิดใหม่ ๆ เราต้องไปในที่ ๆ สภาพแวดล้อมแตกต่างจากเดิมครับ สัตว์ในบริเวณนั้นก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ฉะนั้นเราต้องเดินไปไกลจากบ้านของเราเยอะเลย และต้องรอฤดูที่เปลี่ยนแปลงเราอาจจะได้เจอแมลงชนิดใหม่ ๆ เราสามารถเอาแมลงมาเลี้ยงตั้งโชว์สวย ๆ เป็นของประดับภายในบ้านได้ หรือขายให้พี่จอห์นเพื่อรับเป็นเงินได้เช่นกันครับ กราฟิกและระบบต่าง ๆ ภายในเกมกราฟิก : Dinkum เป็นเกมแนวเอาตัวรอด ทำฟาร์ม เปิดโลกกว้างผจญภัย การเล่นเกมไม่เป็นเส้นตรง ได้รับแรงบังดาลใจมากจากเกมดังอย่าง Animal Crossing กราฟิกเกมนี้เป็นแบบ 3D Polygon กึ่ง ๆ Sandbox และมีภาพน่ารักครับ สีของเกมเล่นแล้วได้ฟิลความร้อนแบบออสเตรเลียจริง ๆ  ขนาดไฟล์ของเกมมีขนาดเล็กเพียงแค่ 1.56GB แทบไม่กินพื้นที่ในเครื่องของเราเลย และที่สำคัญเกมนี้ยังไม่ต้องใช้สเปคขั้นเทพอะไรในการเล่น สเปคธรรมดาบ้าน ๆ ทั่ว ๆ ไปก็สามารถเล่นได้ครับ ผู้เขียนชอบก็ตรงนี้แหละ ระบบการบังคับและ UI : เหมือนเกมอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป ใช้ WASD ในการบังคับทิศทาง ไม่ซับซ้อนอะไร มีแค่เพียงระบบการหมุนของกล้องที่ผมไม่ค่อยชอบ เพราะมันค่อนข้างทำให้เราหลงทางในเกมได้ง่ายมาก ๆ ครับ เพราะว่าเกมจะไม่ล็อคมุมมองให้เรา เราจะต้องกด Shift ค้างเอาไว้และหมุนเม้าส์ ให้มุมกล้องไปในทิศทางที่เราต้องการอยู่ตลาดเวลา และแผนที่เกมนี้ค่อนข้างกว้างมาก ๆ พอมุมกล้องมันไม่ล็อคเราจะหลงทิศและต้องเปิดแผนที่ดูบ่อย ๆ ซึ่งค่อนข้างสร้างความรำคาญในการเล่นครับ (มุมกล้องที่เกมตั้งค่ามาให้ ตรงนี้ถ้าใครไม่ชอบสามารถปรับแต่งได้ใน Setting ครับ) UI ต่าง ๆ ของเกมใช้งานง่าย มีบอกว่าต้องกดอะไรเพื่อเปิดเมนูส่วนไหนขึ้นมา ใช้ปุ่ม 1 2 3 4 ฯลฯ เพื่อหยิบอุปกรณ์ต่าง ๆ พอเปิดเข้าเมนูต่าง ๆ ก็ถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบระเบียบหาง่ายครับ และเกมนี้เวลาของเกมจะไม่อิงตามเวลาจริงแบบ Animal crossing ฉะนั้นเราจะเข้าเกมตอนไหนก็ได้ระบบสะสม :  สาย Collector อย่างผู้เขียนก็ได้มาสนุกสนานกับส่วนนี้อยู่เหมือนกันครับ ตอนแรกผู้เขียนคิดว่าจะไม่มีพวกพิพิธภัณฑ์แบบใน Animal crossing ซะแล้วนะเนี่ย พออัพเกรดเมืองไปเรื่อย ๆ Theodore จะย้ายมาอยู่อาศัยบนเกาะกับเราด้วย ทำหน้าที่เดียวกับลุงนกฮูกใน Animal crossing ครับ ทีนี้เราก็สามารถนำของหรือไอเทมไปบริจาคที่ Theodore ได้ ไม่ว่าจะเป็นแมลงต่าง ๆ ปลาที่เราจับได้ เราสามารถนำเอามาบริจาคได้เพื่อสร้างพิพิธพันธ์ครับ นอกจากสะสมในสมุด Pedia ส่วนตัวของตัวเองได้แล้ว ยังสะสมให้ชาวเมืองได้มาชมในอนาคตด้วยครับ ถึงแม้ว่าอควาเรี่ยมหรือโดมผีเสื้อเกมนี้มันจะไม่ได้สวยงามอลังการแบบในแอนิมอลครอสซิ่ง แต่การได้หาของมาใส่พิพิธภัณฑ์บอกเลยว่าอย่างเพลินครับ เลเวล : ระบบการอัพเลเวลต่าง ๆ ของเกมนี้จะไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ที่ตัวละครของเราจะมีเลเวล เกมนี้เลเวลจะไปอยู่ที่ความสามารถต่าง ๆ ของเราแทนครับ อย่างเช่น ถ้าวันนี้เราไปขุดแร่ กับ ตกปลา เลเวลในส่วนของการขุดแร่กับการตกปลาของเราก็จะเพิ่มขึ้น เก็บเลเวลไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถซื้อใบอนุญาตที่มีเลเวลสูงขึ้นได้ คุณยาย Fletch จะส่งจดหมายมาแจ้งเราที่ Mailbox ครับ "ว่าเราสามารถซื้อใบอนุญาตชนิดนี้เพิ่มเติมได้แล้วนะ" เลเวลต่าง ๆ ที่เราทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ เกมจะสรุปให้เราเป็นรายวันหลังจากเราเข้านอน ว่าวันนี้ได้เลเวลในส่วนไหนบ้าง และได้รับเงินมาเท่าไหร่ อุปกรณ์สวมใส่ต่าง ๆ ที่เราได้รางวัลจากการทำเควสมา เป็นแค่แฟชั่นสวมใส่เท่านั้น ไม่ได้เพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ ให้เราแต่อย่างใดสรุปในมุมมองของผู้เขียนเกมนี้ผมให้แค่ 7/10 คะแนนเท่านั้นครับ ถ้าจะให้เทียบกับต้นแบบอย่าง Animal Crossing ผมมองว่ายังไม่ติดฝุ่นเลยครับในหลาย ๆ ด้าน ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าแมพมันค่อนข้างกว้างไปหน่อย แถมมาด้วยมุมมองกล้องที่ทำให้การเล่นเกมนี้ยากเอามาก ๆ เพราะมันหมุนได้ 360 องศา และกล้องไม่ปรับภาพตามเราในมุมใดมุมหนึ่งไปเลย เวลาเราไปล่าสัตว์แล้วเจอสัตว์ที่สู้กลับ ทำให้การหนีค่อนข้างทุลักทุเลอยู่เหมือนกัน บางทีเจ็บตัวฟรี แทงไอ้เข้ไม่โดน ฮ่า ๆ (ผมค่อนข้างงงว่าตัวเกมสามารถตั้งค่าให้ล็อคหน้าจอได้ ทำไมผู้พัฒนาถึงไม่ตั้งเป็นค่าหลักไปเลย เพราะมันทำให้เล่นเกมง่ายกว่าเดิมมาก) แต่ถ้าเราไม่เอาไปเทียบกับ Animal Crossing เกมนี้สามารถให้ความเพลิดเพลินได้อยู่เหมือนกัน มีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นทำฟาร์ม สร้างบ้าน ทำเควสต่าง ๆ คราฟท์ของไปล่าสัตว์จ่าฝูง หรือจะเป็นการชักชวนผู้คนมาอยู่ในเมือง โดยเฉพาะระบบ Co-op ถ้ามีเพือนมาเล่นด้วย มันก็มาทดแทนความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างที่หายไปได้อยู่เหมือนกันครับ และเนื่องจากมันเป็น Early Access ผู้เขียนเตือนเพื่อน ๆ ไว้ก่อนเลย ว่าเกมนี้บัคเยอะมากกกกกกกก ถึงแม้มันจะไม่ได้เป็นบัคที่มีผลกับเกมอะไรมาก แต่มันอาจจะสร้างความรำคาญนิด ๆ ให้กับเราได้ครับ การเล่นเกมนี้ค่อนข้างสู้ชีวิตอยู่เหมือนกัน เพราะสัตว์ป่าในออสเตรเลียขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความดุร้าย ฉะนั้นเราต้องอยู่เยี่ยงผู้ล่าและเป็นท็อปของห่วงโซ่อาหารในสังเวียนนะครับ ไม่งั้นถ้าเราไม่พร้อมแล้วออกไปล่าสัตว์ ผมบอกเลยว่าจอดำครับ ฮ่า ๆ ยังไงผู้เขียนมองว่ามีติดคลังไว้เล่นกับเพื่อนก็เพลินดีครับ เพราะด้วยราคาที่ไม่แรงมาก 289 บาทเท่านั้นเอง! ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้เขียนยังไม่ได้พูดถึงในรีวิวนี้ ผู้เขียนอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปสัมผัสและค้นหาเพิ่มด้วยตัวเองครับสั่งซื้อhttps://store.steampowered.com/news/app/1062520/view/4720352462294613029
28 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม DreadOut 2 (PS5) สานต่อความสยองขวัญ กับตำนานภูติผีประเทศอินโดนีเซีย
"บางวัฒนธรรมเก่าแก่เชื่อว่า การถ่ายรูปนั้นสามารถขโมยวิญญานคนได้ และไม่เคารพโลกของฝั่งวิญญาน"DreadOut เป็นเกมสยองขวัญที่วางจำหน่ายออกมาในปี 2014 จากทางทีม Digital Happiness ผู้พัฒนาสัญชาติอินโดนิเซีย ที่หลาย ๆ คนยกให้ถึงความหลอนชวนขนหัวลุก และจุดเด่นของเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกม Fatal Frame ที่เรานั้นจะสามารถใช้กล้องถ่ายรูปในการโจมตีเหล่าภูติผีปีศาจจากตำนานความเชื่อของประเทศอินโดนิเซียที่คอยไล่ล่าเรา พร้อมบรรยากาศความหลอนทั้งความมึด เสียงกรีดร้อง ความสยองขวัญ ซึ่งตัวเกมได้รับคะแนนคำวิจารณ์จากทางร้านค้า Steam สูงถึง 76% รวมถึงยังสานต่อเรื่องราวใน DreadOut: Keepers of The Dark ปี 2016 ตัวเกมก็ได้รับคะแนนที่ดีเช่นกันต่อมาอีก 6 ปีทางผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยเกม DreadOut 2 ออกมาให้เราได้สัมผัสกัน ที่จะเป็นการสานต่อเนื้อเรื่องของเกมภาคแรกที่ยังค้างคา และเพิ่มเกมเพลย์ใหม่ ๆ ให้เราได้เล่นอีกด้วย ถึงแม้ว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายออกมาถึง 2 ปีแล้ว แต่ล่าสุดทางผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยตัวเกมเวอร์ชันคอนโซลออกมาให้เล่นกัน ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกม DreadOut 2 ในเวอร์ชัน PlayStation 5 พร้อมพูดภาพรวมของตัวเกมว่ามันควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ ?กราฟิก / นำเสนอถึงแม้ว่าตัวกราฟิกของเกมทางผู้พัฒนาจะยังไม่ได้อัปเกรดกราฟิกอะไรมาก ตัวโมเดลก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ใส่รายละเอียดของเกมให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซนที่พักอาศัยที่เปิดพื้นที่เปิด ก็ได้ชูความเป็นประเทศอินโดนิเซียได้อย่างดีเลยทีเดียว เราจะได้เห็นตึกราบ้านช่อง บรรยากาศคร่าว ๆ ของคนในประเทศ หน้าตาของโรงเรียนมัธยม การแต่งตัวของนักเรียนและอาจารย์ที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันก็ค่อนข้างเปิดโลกและน่าสนใจพอสมควรเลยในด้านของความสยองขวัญถึงแม้ว่าในภาคนี้เราจะได้อยู่ในพื้นที่เปิดมากขึ้น ความอึดอัดที่พบเจอในบางฉากก็อาจจะทำได้น้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศเวลาอยู่ในฉากที่แคบ อึดอัดทางผู้พัฒนาก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม บรรยากาศความสยอง ความแหวะก็ยังอยู่ครบไม่ต่างจากภาคแรก และเหมือนจะโหดขึ้นกว่าเดิมด้วยและอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้ก็คงจะเป็นเรื่องของความสยองขวัญที่ทางผู้พัฒนาก็เชิดชูเรื่องราวเร้นลับหรือผีบ้านเขาได้อย่างดี เพราะว่าประเทศอินโดนิเซียนั้นเป็นประเทศที่มีเรื่องเล่าในตำนานมากมาย ทำให้เรานั้นได้พบเจอกับเหล่าผีพวกนี้ในการต่อสู้ตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะเป็นผีผ้าห่อศพ ผีสาวกุนตีลานัก หรือผีพญางู Blorong เป็นต้นแต่ถ้าให้พูดถึงประสบการณ์ที่ได้รับหลังจากที่เล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PS5 ก็ต้องบอกว่ามันก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเวอร์ชัน PC เสียเท่าไร ในงานด้านกราฟิก แสงเงาก็เหมือนเดิม ฟังชันต่าง ๆ บนจอย DualSense ก็ไม่ได้ใส่ลูกเล่นอะไรเข้ามาเลย และทางผู้เขียนแอบไปส่อง ๆ คอมเมนต์จากฝ่ายที่เล่นบนเครื่อง PS4 มีกล่าวว่าเฟรมเรทดรอปอยู่ประมาณนึงเลยทีเดียวเนื้อเรื่องในด้านของเนื้อเรื่องจะพูดถึงหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ดำเนินเรื่องราวกับตัวเองคนเดิมอย่างสาวน้อย Linda หลังจากที่เอาชีวิตรอดจากการพบเจอกับสิ่งชั่วร้ายในป่าพร้อมกับเพื่อน ๆ ทำให้ภาคนี้ตัวเธอนั้นมีพลังในความสามารถมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตัวเธอจะต้องพบเจอกับเหล่าภูติผี ปกป้องเหล่านักเรียนที่โดนผีไล่ล่า หรือโดนผีเข้า  การเข้าไปในอีกมิติและพบเจอกับภูติผีมากมากมายที่คอยทำร้าย ซึ่งเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้จะมีกลิ่นอายการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่อยู่หน่อย ๆ ไม่ได้มีเรื่องราวที่น่าระทึกหรือเค้นอารมณ์อะไรมากนัก แต่มันก็ถือว่าเป็นบทเฉลยเรื่องราวที่ผ่านมาของเกมภาคแรก และเกมภาค DreadOut: Keepers of The Dark ได้อย่างดี ทำให้ใครที่ไม่เคยเล่นสองภาคนี้ก็อาจจะไม่เข้าใจในเนื้อเรื่องของเกมเลยสักนิด ถึงแม้ว่าในหน้าเมนูจะมีการให้เราไปย้อนฟังสรุปเรื่องราวก่อน แต่เชื่อว่าถ้าหากคุณไม่ได้เล่นด้วยตัวเอง คุณก็อาจจะไม่อินกับมันเสียเท่าไร และงงกับที่มาที่ไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นเกมเพลย์ในด้านเกมเพลย์ของภาคนี้ตัวเกมเพิ่มเกมการเล่นมาจากภาคแรกในระดับหนึ่ง นอกจากที่เราจะสามารถใช้กล้องในการถ่ายรูปใส่เหล่าภูติผีเพื่อทำดาเมจแล้วนั้น แต่ในภาคนี้เราจะสามารถใช้แฟลชกล้องเพื่อทำให้ศัตรูสตั๊น และสามารถใช้อาวุธมาต่อสู้กับศัตรูได้ด้วย แต่ว่าเกมเพลย์นี้ก็อาจจะไม่ได้มีให้ใช้ตลอด ภายในเนื้อเรื่องของเกมก็จะมีการสลับสับเปลี่ยนไปใช้เกมการเล่นเดิม ๆ และเปลี่ยนไปเล่นเกมเพลย์แบบใหม่ด้วยภายในภาคนี้ก็มีปริศนาที่เราจะต้องหาสิ่งของบางอย่าง ถึงแม้ว่าตัวปริศนาอาจจะไม่ได้ยากมากนัก แต่ก็มีปริศนาบางตัวที่ทำออกมาได้น่าสนใจอย่างเช่นการพบคนถูกผีสิงที่อยากสูบบุหรี่มาก ๆ ทำให้เราจำเป็นต้องหาบุหรี่ไปให้เขาเพื่อหลีกทาง ซึ่งเราก็อาจจะต้องไปหาบุหรี่จากคนที่สูบจัดบางคนที่เราเคยพบเจอเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีบางภารกิจที่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันทำให้ความน่ากลัวของเกมหายไปเลย อย่างเช่นภารกิจหารองเท้าที่เราต้องเอาอาหารไปให้แมวที่ขโมยไป หรือภารกิจหากาแฟให้กับคนที่ขวางทาง ซึ่งส่วนตัวมองว่ามันดูไม่เข้ากันกับธีมของเกมเท่าไรเลยความรู้สึกหลังเล่น (เวอร์ชัน PS5)สำหรับภาคนี้ส่วนตัวคิดว่าความหลอนนั้นค่อนข้างหายไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวส่วนใหญ่นั้นจะดำเนินอยู่ในที่โล่ง ที่เปิด ทำให้เรานั้นมองเห็นวิสัยทัศน์ได้ไกลขึ้น ผิดจากภาคแรกที่เนื้อเรื่องจะอยู่ในป่า หรือในคฤหาสเสียมากกว่า รวมถึงในด้านการต่อสู้เราเองสามารถสู้กับพวกภูติผีได้มากขึ้นด้วยอาวุธต่าง ๆ ทำให้ความน่ากลัวนั้นอาจจะน้อยลงไป แต่โดยรวมแล้วตัวเกมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สนุกและสามารถเพลิดเพลินได้จนจบเกม เพราะต้องยอมรับว่าทางผู้พัฒนาได้ใส่ไอเดียใหม่ ๆ เข้ามาให้มีสีสันมากกว่าเดิม รวมถึงตัวบรรยากาศในบางฉากก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแต่จากการเล่นบนเครื่องคอนโซล เนื่องจากที่ตัวเกมนี้ดีไซน์ให้มาเล่นบนเครื่อง PC ตั้งแต่แรก ส่วนตัวรู้สึกว่าการปรับบาลานซ์ของเกมทางผู้พัฒนาทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะการใช้จอย Controller บังคับนั้นค่อนข้างช้ากว่าการใช้เมาส์และจอยพอสมควร พอเจอศัตรูบางตัวที่เคลื่อนค่อนข้างเร็ว ทำให้การต่อสู้นั้นลำบากกว่าเดิมมาก รวมถึงยังพบเจอกับบัคต่าง ๆ พอสมควรรวมถึงสิ่งที่ต้องชมก็คือระบบการนำเสนอความเป็นอินโดนิเซียให้เราได้เข้าใจเกี่ยวกับประเทศนี้มากขึ้นทั้งในแง่ของเรื่องราวของตำนานผีสางต่าง ๆ ที่มาจากประเทศให้เราได้ศึกษา และความเป็นโลกเปิดถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้ความน่ากลัวของเกมน้อยลงไป แต่ในช่วงเช้าเราก็จะได้เห็นบรรยากาศของบ้านเรือน และบรรยากาศการใช้ชีวิตของคนในประเทศนี้ ทั้งร้านขายของ ยานพาหนะ หรืออาหารเป็นต้น
25 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Raft "เกมเอาชีวิตรอดบนแพลำน้อย สู่การผจญภัยบนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่"
เกม Survival หรือการเอาตัวรอดนั้น ต้องบอกว่ายังคงเป็นแนวเกมที่ยอดนิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และดูท่าจะลากยาวไปในอนาคตด้วย และในปี 2022 นี้เองก็มีเกมหนึ่งที่กลายเป็นกระแสขึ้นมา แต่มันไม่ใช่เกมใหม่แต่อย่างใด เพราะนี่คือเกมที่อยู่ในช่วง Early Access หรือเล่นระหว่างการพัฒนามาอย่างยาวนานถึง 4 ปีเต็ม ระหว่างนี้ก็มีการอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ จนในที่สุดตัวเกมก็มาถึงปลายทางในชื่อ The Final Chapter จุดเริ่มต้นจากแพเล็ก ๆ สู่การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ มันจะคุ้มค่ากับการเล่นหรือไม่ นี่คือรีวิวเกม Raft ในฉบับเวอร์ชั่นเกมเต็มครับ เนื้อเรื่องที่ผู้เล่นต้องค้นหามันด้วยตัวเอง ภายใต้แนวเกมการเอาชีวิตรอดก่อนอื่นที่ต้องบอกเลยคือ เกมนี้มีเนื้อเรื่อง และเป็นเนื้อเรื่องที่น่าติดตามเสียด้วย แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ เพราะถ้าเล่นคนเดียว โอกาสที่จะไปให้ถึงเนื้อเรื่องชุดแรกนี่มันน้อยเสียเหลือเกิน แต่ถ้าเล่นกันแบบเป็นหมู่คณะ ยังไงก็ได้สัมผัสเนื้อเรื่องดี ๆ ของเกมนี้ เมื่อเริ่มเกมมา เราจะอาศัยอยู่แพที่มีอยู่เพียงช่องเดียว และตะขอเกี่ยวหรือ Hook 1 อันเท่านั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนแรกเริ่ม คือการใช้ตะขอเกี่ยว เก็บเกี่ยวกับขยะในทะเล ที่มีทั้งพลาสติก เศษไม้ ใบไม้ ลอยอยู่เกลื่อน แล้วเอามาขยับขยายพื้นที่เพิ่ม ในช่วงแรกคุณจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวละครของเราถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมเรามาอยู่กลางทะเล และจุดมุ่งหมายของเราคืออะไรกันแน่ คำตอบจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณค่อย ๆ เล่นไปจนถึงเกาะใหญ่เกาะแรก ที่ทำให้เราพบเบาะแสว่าจริง ๆ แล้วเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือน้ำได้ท่วมโลกจนไม่เหลือพื้นที่ให้อยู่อาศัย และเราต้องตามหาสัญญาณของเหล่าผู้รอดชีวิตที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ จากแพลำน้อย สู่การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ที่มีอารยธรรมของมนุษยชาติเป็นเดิมพันแม้ฉากหน้าจะเป็นเกม Survival เก็บของ หาน้ำ หาอาหารเอาตัวรอด แต่ทุกครั้งที่เราเข้าสู่พื้นที่ของเนื้อเรื่อง จะเต็มไปด้วยเบาะแสปริศนาที่พร้อมจะให้ผู้เล่นนำมาปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง สำหรับเนื้อเรื่องในเกมนี้จะอยู่ที่ไฟล์เอกสารเสียมากกว่าการเล่าออกมาตรง ๆ ดังนั้นทุกครั้งที่เราเจอเกาะหลัก ที่เป็นเนื้อเรื่องของเกม หากเราเก็บไฟล์เอกสารและไฟล์โน้ตมาจนครบ เราก็ต้องมานั่งอ่าน เพื่อร้อยเรียงเรื่องราวด้วยตัวเอง และถือว่านี่เป็นอีกเกมที่มีโครงเรื่องโลกล่มสลายได้น่าติดตามไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัย สู่ความยิ่งใหญ่บนผืนมหาสมุทรใครที่เล่น Raft มาตั้งแต่ช่วงที่เกมวางจำหน่ายในรูปแบบ Early Access จะรู้ดีว่าเกมเพลย์ของเกมนี้นั้น มีความเข้าถึงง่ายมากหากเทียบกับบรรดาเกมแนว Survival ทั่วไป แถมยังมีจุดเริ่มต้นที่แปลกกว่าเกมอื่น ๆ ด้วย โดยเราจะเริ่มต้นบนแพลำเล็กที่มีพื้นที่ยืนเพียง 1 ช่องเท่านั้น จากนั้นค่อย ๆ เก็บเศษของรอบตัวมาขยับขยายพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้น และค่อย ๆ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นที่ปรุงอาหาร ที่กรองน้ำ เพื่อทำให้ตัวละครมีน้ำดื่ม และนำของดิบมาปรุงให้สุก กินเป็นอาหารได้ ความโดดเด่นของ Raft คือ เงื่อนไขการปลดล็อคสิ่งของใหม่ ๆ รวมไปถึงไอเทมใหม่ ๆ นั้น ไม่ยุ่งยากเลย ใครที่มีประสบการณ์เล่นเกม Survival มาก่อน จะสามารถเล่นและเข้าใจได้ในเวลาไม่นานนัก และระบบการเล่นก็ไม่ซับซ้อนด้วย เวลาที่อยากจะปลดล็อคสิ่งของใหม่ ๆ ก็เพียงแค่นำเอาของที่ยังไม่เคยวิจัย ไปวิจัยที่โต๊ะวิจัย (Research Table) เท่านี้เราก็จะปลดล็อคของใหม่ ๆ ได้แล้ว ซึ่งปัจจุบัน เกมเต็มเวอร์ชั่น 1.0 นั้น มีของใหม่ ๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกได้มากมาย แต่ใครที่ชอบจับผิด หรือติดขัดกับความไม่สมจริงของมันก็อาจจะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย ที่เราเก็บแค่ใบไม้ หรือเศษพลาสติกก็สามารถทำได้มากมายหลายอย่างเหลือเกิน ทั้งที่ในชีวิตจริงไม่น่าจะทำได้ในช่วงแรก เราอาจจะต้องทนใช้ชีวิตติดขัดไปก่อน เพราะแต่ละอย่างช่างยากเย็น น้ำ อาหาร ก็หมดไว แถมถ้าจะดำน้ำลงไปเก็บของ แพก็อาจถูกลมพัดไป เพราะไม่มีสมอพัก และอาจจะโดนฉลามน้อยคู่ใจที่ว่ายน้ำเวียนไปเวียนมาไล่กัดเอาได้ แต่เมื่อเราอดทนจนถึงที่มีของอำนวยความสะดวกในระดับเริ่มต้นแล้ว ก็จะเริ่มสบายขึ้น เพราะความยากของเกมนี้ ไม่ใช่การเอาตัวรอด ถ้าให้บอกกันตรง ๆ นี่คือเกมเอาตัวรอดที่เล่นง่ายมาก เข้าถึงง่ายมาก คนที่เล่นมาก่อน ยิ่งไปได้ไว หรือคนไม่เคยเล่นเลยก็เข้าใจได้ง่ายเช่นกัน มันเลยเป็นเกมที่เราสามารถชวนเพื่อนชวนฝูงมาเล่นได้ง่าย ๆ เพราะบางคนอาจจะไม่ชอบเกมแนวนี้เพราะมันลำบาก และต้องใช้เวลา ยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ จากแพเล็ก ๆ 1 ช่องก็จะเริ่มขยายใหญ่จนแทบจะกลายเป็นเรือสำราญ ซึ่งก็แล้วแต่ความสามารถ และหัวศิลป์ของผู้เล่นในการจัดวางสิ่งของ การตกแต่งแพของตัวเองให้กลายเป็นบ้านแสนสุข ใครที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย ชอบทำให้พื้นที่ของตัวเองดูสวยงามราวกับเล่นพวก The Sims หรือเกมจัดวางสิ่งของ เกมนี้ก็ตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน ใครที่แต่งสวย ๆ หรือขยันแต่ง เรียกได้ว่าอาจทำให้แพลำเล็กเพียง 1 ช่อง ขยับขยายกลายเป็นสวรรค์บนผืนทะเลเลยก็ได้รองรับทั้งการเล่นคนเดียว และเล่นกับเพื่อนได้อย่างลงตัว หากให้ผู้เขียนแนะนำจริง ๆ จัง ๆ แล้ว เกมนี้ไม่เหมาะกับคนไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไรนัก เพราะนอกจากบรรยากาศจะเป็นกลางทะเลอันเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยวแล้ว เกมเพลย์ของมันอาจจะทำให้เราเบื่อก่อนจะได้เข้าถึงเนื้อเรื่องหลักเสียอีก เอาเรื่องบรรยากาศก่อน สำหรับเกมที่เราต้องลอยคออยู่กลางทะเลแบบนี้ แม้จะไม่อดตายเพราะเราสามารถหาน้ำ หาอาหารได้ตลอด แต่บรรยากาศมันช่างเหงาเสียจนคนที่เบื่อง่าย หรือคนขี้เหงา ไม่ค่อยจะเหมาะกับเกมนี้สักเท่าไรนัก ต่อมาในด้านของเกมเพลย์ก็คือในช่วงแรกเราจะลำบากในเรื่องอาหารการกินมาก เนื่องจากเราต้องหาทรัพยากรแบบสู้ชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ไม้ ที่เอาไว้ต่อแพเพิ่มให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่กลับกัน ไม้ก็ใช้เป็นทรัพยากรสำคัญในการปรุงอาหารและต้มน้ำทะเลให้จืดจนดื่มได้ด้วย และถ้าเราไม่รีบขยับขยายแพให้ใหญ่พอ เกมนี้มีฉลามคอยกัดขอบแพเราตลอด ถ้าเราวางของไว้บนขอบแพแล้วไม่มีอะไรมาป้องกัน หากฉลามกัดจนช่องแพพัง ของที่อยู่บนแพก็จะหล่นลงน้ำไปด้วยเลย ต้องมาเสียเวลาหาทรัพยากรใหม่ และอาหารในช่วงแรกนั้น ถ้าคุณไม่โชคดี เจอถังใหญ่ที่มีไอเทมเยอะ ๆ ลอยมาบ่อย ๆ หนึ่งในไอเทมสำคัญในถังนั้นคืออาหารจำพวกหัวผักกาดดิบ และมันฝรั่งดิบแล้วล่ะก็ คุณแทบจะไม่มีอาหารกินเลย เพราะไม่มีใครคอยตกปลาให้ (แน่นอนว่าพวกนี้ต้องปรุงให้สุกด้วยเตาทำอาหารก่อนถึงจะกินได้) ทำให้ในช่วงแรกเริ่ม หากคุณเป็นผู้เล่นสาย Solo ก็ต้องทำทุกอย่าง วิ่งเกี่ยวข้อง เอาไม้มาเติมเตาปรุงอาหาร ขยายแพ ต้มน้ำ ตกปลา สารพัดสารเพล รับรองว่าดีไม่ดีเบื่อตายก่อนไปเจอเกาะแรก ๆ ด้วยซ้ำ การมีเพื่อนเล่นในเกมนี้จึงช่วยได้มาก และที่สำคัญมันดูดเวลามาก! แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากเราอยากจะเล่นคนเดียวจริง ๆ จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองนั้น โหมด Peaceful ตอบโจทย์มาก โหมดนี้ฉลามจะไม่ทำร้ายเรา แตจะว่ายน้ำวนไปวนมาอยู่ข้าง ๆ เราสามารถโดดลงน้ำไปเก็บของได้เลย ไวกว่าใช้ตะขอเกี่ยว หรือเวลาเทียบท่าตามเกาะ ก็สามารถดำน้ำลงไปขุดแร่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะขาดความตื่นเต้น ความระทึกในการหนีฉลามไป แต่สบายกว่าแน่นอน แนะนำว่าถ้าจะเล่นคนเดียว โหมดนี้ดีที่สุดความสนุกของเกมนี้คือการที่เราค่อย ๆ สำรวจเรื่องราวในเกม และปลดล็อคของใหม่ ๆ ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น จะบอกว่านี่ไม่ใช่เกม Survival ก็ว่าได้ เพราะเมื่อเข้าช่วงที่สองของเกม ที่ของบนแพเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบเครื่องเราก็แทบไม่ต้องกลัวอดตายกันแล้ว อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้อยู่แค่บนแพตลอดแต่ยังมีเกาะขนาดใหญ่ที่เป็นสาเหตุว่า ทำไมเราจึงควรมีเพื่อนเล่นเกมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่เราสามารถสร้างเครื่องยนต์ พวงมาลัย ควบคุมแพของเราให้เหมือนกับเรือเลยก็ทำได้ปกติแล้วเกาะขนาดใหญ่จะมีทั้งเกาะสำรวจและเกาะเนื้อเรื่อง ยิ่งเกาะเนื้อเรื่องนี่บอกเลยว่า ถ้าเล่นคนเดียวอาจต้องใช้เวลา และเหนื่อยกับการจัดการมาก การออกสำรวจบนเกาะขนาดใหญ่ เราอาจจะต้องเตรียมอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น พกน้ำใส่ขวด พกอาหารขึ้นไป เพื่อจะได้สำรวจได้นาน ๆ โดยไม่ต้องกลับมาที่แพให้เสียเวลา ต้องเตรียมอาวุธไว้ต่อสู้ หรือแก้ปริศนาจนหัวแทบแตก ตรงจุดนี้ทำให้รู้สึกว่าพัฒนาการของเกมนั้น ไต่ระดับได้ดีมาก ๆ คือเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ไปสู่สิ่งใหญ่ ๆ ทำให้ผู้เล่นติดพัน และอยากเล่นมันเรื่อย ๆ แต่ผู้เล่นคนเดียวก็จะเหนื่อยหน่อย ช่วงเกาะใหญ่ถือเป็นช่วงที่เกมนี้ทำได้ดีมาก มีแต่ความน่าตื่นเต้น รอให้เราไปสำรวจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดความดีงามของเกมนี้คือการทำให้ทุกอย่างเข้าใจได้ง่ายมาก ใช้อะไรปลดล็อคอะไร ของแต่ละอย่างมีความสามารถอะไร เกมนี้เคลียร์หมด หรือทำให้เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่ทีมพัฒนาจะทำกันได้แล้ว และการออกแบบไอเทมแต่ละชนิดนั้น บางอย่างอาจจะดูก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีไปบ้าง เมื่อติดว่าเราเริ่มต้นจากแพ เศษไม้ ใบไม้ แต่อยู่ดี ๆ ก็กระโดดไปทำเสาอากาศ ทำแบตเตอรี่ หรือเครื่องยนต์ไฟฟ้าได้ แม้จะไม่เมคเซนส์ไปบ้าง แต่ในด้านของเกมเพลย์การเล่น มันถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างความพึงพอใจให้กับคนเล่นมาก ลองคิดว่าอยู่ดี ๆ คุณปลดล็อคฟีเจอร์หรือไอเทมบางอย่างที่ทำให้เกมเล่นสบายขึ้นมาก นอกจากจะมีความสุขแล้ว มันยังชวนให้เล่นต่อ ให้ไล่ปลดล็อคไปจนครบหรือจบเกมได้แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเกมนี้จะเป็นสุดยอดเกมแนว Survival แห่งยุค แต่ก็มีข้อเสียที่อาจจะเป็นปัญหากับเฉพาะบางคนเท่านั้น กรณีที่เล่นด้วยกันเป็นหมู่คณะ นั่นคือ การเล่นแบบ Multiplayer หรือออนไลน์นั้น จะต้องมีผู้เล่น 1 คนที่เป็น Host ของเกม และต้องออนไลน์เกมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้อื่นสามารถเข้ามาร่วมเล่นได้ และถ้า Host อินเทอร์เน็ตไม่ค่อยจะดี ก็จะมีปัญหาไปถึงคนทั้งหมดในห้องเกมนั้น ๆ รวมไปถึงทำให้ต้องนัดแนะเวลาการเล่นให้ตรงกัน เพราะถ้า Host ว่างไม่ตรงกับคนอื่นก็ลำบากแล้ว และการอยู่ในเกมนี้ ไม่มีจุดเบรคพักใด ๆ ถ้าอยู่ในเกมก็ต้องหาข้าว หาน้ำกินตลอด ไม่ให้ตัวละครหิวตาย จะออนไลน์ทิ้งไว้ไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้อีก ดังนั้นถ้าจะเล่นเกมนี้ คุณต้องอยู่กับเกมแบบ 100% ไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตามด้วยปัญหานี้ ทำให้มันเป็นเกมที่หลายคนอาจจะต้องยอมปล่อยมือ เพราะเล่นคนเดียวก็ลำบาก จะหาเพื่อนมาเล่นด้วยก็ยากอีกด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาทางด้านเกมเพลย์การเล่น ต้องบอกเลยว่าเกิดขึ้นน้อยมาก ๆ ถือเป็นเกมที่มีการ Optimized และการปรับปรุงตัวเกมมาดี เป็นผลจากการดูแลและพัฒนาตัวเกมมากว่า 4 ปีเต็มจากช่วง Early Access นั่นเองต้องบอกว่า มีไม่บ่อยนักที่เกมแนว Survival จะทำออกมาได้ดี ครบเครื่อง ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งเกมเพลย์การเล่น ทั้ง Multiplayer หรือระบบออนไลน์ ตอนนี้ตัวเกมเข้าสู่เวอร์ชั่นเต็มอย่างเต็มรูปแบบแล้ว และสามารถซึมซับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ใครที่สนใจสามารถหามาเล่นกันได้แล้ววันนี้ ผ่านระบบ PC (Steam) รับรองว่าคุ้มค่าอีกเกมแน่นอน
24 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Settlement Survival เกมสร้างเมืองอันเรียบง่าย กราฟิกสบายทั้งตา ราคาสบายกระเป๋า
Settlement Survival เป็นเกมสร้างเมืองที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Banished ถูกพัฒนาโดย Gleamer Studio ลงวางขายในสโตร์ของ Steam มาตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. 2021 ในเกมนี้ผู้เล่นอย่างเราสามารถเลือกภูมิประเทศที่เราอยากลงหลักปักฐานและสร้างอาณาจักรของเราได้ และยังสามารถทำการวิจัยวิทยาการต่าง ๆ ภายในเมืองทั้งในด้านการแพทย์, โภชนาการ, เทคโนโลยี, การขนส่ง, การค้า, การแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ระบบโลจิสติกส์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรและสร้างความเจริญให้กับเมืองที่เราบริหารดูแล และเกมนี้ยังมีระบบโรคภัยไขเจ็บและภัยธรรมชาติเพิ่มเข้ามาเพื่อทำให้เกมดูสมจริงมากยิ่งขึ้นอีกด้วยครับเกมเพลย์เกมนี้เป็นเกมแนว Simulation เกี่ยวกับการก่อสร้างและบริหารเมือง อารมณ์เหมือนเราได้รับบทเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกมองลงมาจากเบื้องบน รับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตของเมืองและประชากรครับ เราสามารถเลือกออกแบบผังเมืองตามใจเราได้ (ใครอึดอัดใจกับผังเมืองบ้านเรา สามารถมาปลดปล่อยในเกมนี้ได้เลย) ประชากรในเมืองจะเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ กับเราอยู่ตลอดเวลาครับ ถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ แล้วเราหาสิ่งต่าง ๆ ที่ชาวเมืองเรียกร้องไม่ทัน ประชากรของเราอาจจะย้ายหนีออกจากเมืองเราไปอยู่ที่อื่น หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นคือประชากรของเราจะตายกันหมดเมืองเลยครับ (ผู้เขียนสร้างโรงพยาบาลไม่ทัน เพราะขาดทรัพยากร ตายกันเป็นเบือเลยครับ ฮ่า ๆ) นอกจากโรคภัยไขเจ็บในเกมต่าง ๆ เรายังต้องเจอกับภัยธรรมชาติของเกมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งอัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว และพายุฝนฟ้าคะนอง ฯลฯ ทำให้สิ่งปลูกสร้างในชุมชนของเราเกิดความเสียหายได้ หรือประชาชนล้มตายจากภัยธรรมชาติได้เช่นกันครับ เกมนี้มีให้เราเลือกเล่นถึง 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Standard Mode, Sandbox Mode และ Story Mode และสิ่งที่ผมชอบในเกมนี้อีกอย่างคือมี Skill Three การวิจัยของเมือง ซึ่งจะต้องเก็บพ้อยท์เอาไว้เพื่ออัพในส่วนที่เราอยากจะพัฒนาหรือต้องการความเจริญในด้านนั้นครับ Standard Mode - โหมดนี้เราสามารถเลือกระดับความยากง่ายของเกมได้ เราสามารถระบุความต้องการของจำนวนประชากรที่เราต้องการจะบริหารได้ เช่น ถ้าเราเลือกความยากระดับ Easy ประชากรของเราจะมีความต้องการน้อย, มีความสุขง่าย, ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็จะน้อยครับ แต่ถ้าเราต้องการความท้าทายขึ้นมาหน่อยในโหมดนี้เราสามารถ Custom ได้ ว่าเราอยากให้มีโรคภัยไข้เจ็บไหม หรืออยากให้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติระดับไหน เราสามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบเลยครับ แต่ในส่วนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ของโหมดนี้นั้นเราต้องปลดล็อคเอาจาก Skill Three ซึ่งเราต้องใช้ Research Point (แต้มการวิจัย) เพื่อให้เราสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ บางอย่างได้ครับ และในโหมดนี้ยังมี Task Goal (เป้าหมายภายในเกม) ให้เราทำเพื่อรับเงินในการพัฒนาเมืองอีกด้วยครับSandbox Mode - โหมดนี้ระบบการเล่นไม่ได้แตกต่างจาก Standard Mode มากนัก เราสามารถเลือกระดับความยากง่ายของเกมได้ และสามารถ Custom ได้เช่นกันครับ แต่สิ่งเล็ก ๆ ที่แตกต่างกันคือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในเกม ที่ปลดล็อคมาให้เลือกเล่นได้เยอะกว่ามาก ๆ ครับ เอาเป็นว่ามันค่อนข้างจะอิสระกว่าโหมดธรรมดาที่ต้องค่อย ๆ เล่นเก็บแต้มการวิจัย ซึ่งในโหมดนี้เราต้องเก็บแต้มเหมือนกันครับ แต่อาจจะเอาไปเพิ่มความสามารถในส่วนอื่น ๆ แทน เช่น เร่งอัตราการปลูกสร้าง 10%, หรือประชากรของเราสามารถหาทรัพยากรได้มากขึ้น เป็นต้นStory Mode - ตอนนี้ยังมีเนื้อเรื่องของสถานที่เดียวเท่านั้นครับ นั่นก็คือ "Easter Island" ซึ่งพอเข้าเกมไปเกมจะเล่าว่าเรามาตั้งรกรากกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไร บลา บลา บลา สองโหมดก่อนหน้านี้ที่เราได้กล่าวถึงด้านบนนั้นจะมี Task Goal (เป้าหมายภายในเกม) ให้เราทำใช่ไหมครับ แต่ในส่วนของ Story Mode นั้นจะมีเป็นเควสให้เราค่อย ๆ ทำผ่านไป ซึ่งต้องเล่นเกมไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ สร้างรูปปั้นที่เป็นเควสของเราจนเสร็จ เรามีหน้าที่แค่หาทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพียงพอในการสร้าง และเลี้ยงดูประชากรในเกาะของเราครับ เราต้องบริหารจัดการให้ดีเพราะในส่วนเนื้อเรื่องนี่ผมมองว่าค่อนข้างยาก เพราะประชากรไม่ตายตัวครับ จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในเกาะของเราเรื่อย ๆ พอคนยิ่งมากขึ้นทรัพยากรที่เคยพอมันก็กลายเป็นไม่พอ (Demand ไม่บาลานซ์กับ Supply เหมือนในหนังสือเรียนของเด็กการตลาดเขานั่นแหละครับ ฮ่า ๆ) ที่ผู้เขียนเล่ามาว่าโหดแล้ว มันยังมีโหดกว่านี้อีกครับ ในโหมดนี้เราจะตั้งระดับความยากง่ายของเกมไม่ได้ ตัวเกมจะตั้งมาให้เราแล้ว ซึ่งคือระดับ Hard เริ่มต้นเราจะมีประชากร 200 คนให้ดูแล มีภัยธรรมชาติครบทุกรูปแบบ แถมด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าแบบน่ารำคาญสุด ๆ ก็ทำให้โหมดนี้เล่นแล้วค่อนข้างเครียดครับ ฮ่า ๆ แต่ก็สนุกมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ในส่วนเนื้อเรื่องตัวเกมมีสปอยล์อยู่นะครับว่าในอนาคตอาจจะมีแมพอื่น ๆ ให้ได้เล่น เพราะในเกมมีชื่อเนื้อเรื่องในภูมิภาคอื่น ๆ ให้ได้เห็น แต่ยังกดเข้าไปเล่นไม่ได้ครับ ส่วนนี้ก็ต้องรอทาง Dev อัพเดท และสวดภาวนาให้ผู้พัฒนาไม่เทเกมไปก่อนนะครับ สาธุ ฮ่า ๆการวิจัย - ในเกมนี้ทุก ๆ การพัฒนาต่าง ๆ ของเราไม่ว่าจะเป็นการ สร้างสิ่งปลูกสร้าง, ตัดต้นไม้, เก็บเกี่ยวผลผลิต, เข้าป่าล่าสัตว์ หรือจับปลา ฯลฯ ไม่ว่าเราจะทำอะไรกับดินแดนของเรา เราจะได้รับ EXP อยู่ตลอด เมื่อเต็มหลอดแล้วเราจะได้ 1 Point เพื่อมาอัพสายต่าง ๆ ที่เราอยากจะบริหารครับ เช่น ถ้าผมอยากจะเด่นไปทางด้านการแพทย์ ผมก็จะเอาแต้มมาลงเกี่ยวกับบริการด้านการแพทย์ทั้งหมด แต่เราสามารถนำแต้มแบ่งไปอัพเกี่ยวกับสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของเมืองเราได้เช่นกันครับ ดีแค่ด้านใดด้านหนึ่งมันอาจจะไม่ตอบโจทย์ คุณภาพชีวิตของประชากรก็สำคัญครับ ฉะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกก็ควรจะดีตามไปด้วย เท่าที่แต้มเราไหวแหละครับ ฮ่า ๆ เราสามารถกำหนดจุดแข็งของเมืองเราได้อย่างอิสระ และแต้มสามารถนำไปแบ่งเพิ่มทักษะให้ประชากรเราได้ด้วย เช่น เพิ่มอัตราการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้นอีก 10%, ให้ประชากรใช้เครื่องทุนแรงในการย้ายสิ่งของ หรือเพิ่มอัตราการเดินของประชากร เป็นต้นครับ เราสามารถสร้างศูนย์การวิจัยเพื่อที่เราจะสามารถได้รับค่า EXP ที่เร็วกว่าเดิมได้อีกด้วยระบบเทรดสินค้า - ในทุก ๆ โหมดเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ เมืองของเราจะมีกำลังการผลิตที่สูงขึ้นเราจำเป็นต้องหาทางระบายทรัพยากรต่าง ๆ ที่เราหามาได้ โดยการแลกเปลี่ยนกับเมืองอื่น ๆ ครับ เราสามารถเอาสิ่งที่เรามีเยอะ นำไปแลกกับสิ่งที่เราขาดได้ ยิ่งถ้าเมืองเราผลิตสินค้าที่มาตรฐานสูง(เนื่องจากเรานำแต้มการวิจัยมาพัฒนาจนสามารถผลิตสินค้าในนวัตกรรมที่ทันสมัย) หรือมีทรัพยากรหายากในพื่้นที่ เราก็จะสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าได้เงินที่สูงขึ้นด้วยครับ ถ้าชอบสายการค้าขายเพื่อน ๆ สามารถอัดแต้มการวิจัยไปที่ระบบ Trade หรือ Logistics ในเกมได้เลยครับ อัตราการแลกเปลี่ยนกับเมืองต่าง ๆ ก็มีให้เราเช็คในเกมเช่นกันครับ ในส่วนนี้ถ้าใครอยากทำความเข้าใจตัวเกมมี Toturial สอนการซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับเมืองอื่น ๆ แบบจับมือทำกันไปเลย กราฟิกและการควบคุมUI ต่าง ๆ ของเกมก็เหมือนกับเกมสร้างเมืองในตลาดทั่ว ๆ ไปครับ ใช้งานง่ายอยู่เหมือนกัน จะใช้เม้าส์กดเปิดเมนูต่าง ๆ ขึ้นมาก็ได้ หรือใช้คีย์ลัดเปิดขึ้นมาก็ได้ครับ ในส่วนนี้ก็สะดวกดี แต่จากที่เล่นมาเหมือนออกแบบมาให้ใช้กับคีย์ลัดมากกว่า ถ้าคนไม่คุ้นเคยกับการใช้คีย์ลัดนี่อาจจะทำให้หงุดหงิดอยู่เหมือนกันครับ ในส่วนการควบคุมตัวเกมจะมีการสอนใช้คีย์ลัดหรือเมนูต่าง ๆ ใน Toturial ตั้งแต่เริ่มต้นจนไปถึงขั้นแอดวานซ์เลยครับ ภาพของเกมนี้เป็นแนวการ์ตูนน่ารัก ๆ 3D Polygon สีสันสดใส และไม่ได้กินทรัพยากรของเครื่องมากครับ ใช้พื้นที่แค่ 947.43MB ก็เล่นได้แล้ว(1GB ยังมีทอน) และที่สำคัญที่ผมชอบคือเครื่องผมมันเก่ามาก ๆ ผมเลยชอบหาเกมที่สามารถเล่นกับเครื่องผมได้ และเจ้าคอมคู่บุญของผมมันยังคงสามารถรันเกมนี้ได้อย่างไม่มีกระตุกหรือติดขัดแต่อย่างใดครับ ใครที่หาเกมไม่หนักเครื่องเล่นคุณต้องไม่พลาดเกมนี้ครับ- ความต้องการขั้นต่ำOS: Windows 7(64-Bit) Processor: I3-2100-3GHZ 2 Core Memory: 4 GB RAM Graphics: NVDIA Geforce GTX-650 1GB DirectX: Version 11 Storage: 1 GB available space- ความต้องการแนะนำOS: Windows 10(64-Bit) Processor: I5-4590 3.3GHZ 4 Core Memory: 16 GB RAM Graphics: NVDIA Geforce GTX-1050Ti 4GB DirectX: Version 11 Storage: 2 GB available spaceสรุปถ้าให้ผมเทียบกับเกมที่เคยเล่นอย่าง Foundation ส่วนตัวผมยังชอบฟาวด์เดชั่นมากกว่าครับ ถึงแม้เกมนี้จะมีอะไรให้ทำเยอะมาก ๆ และสามารถออกแบบผังเมืองได้เอง อัพเกรดเมืองได้ และระบบการเทรดที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่ว่ามันไม่มีการพัฒนาด้านความรู้สึก เช่น ผมเล่น Foundation ประชากรในเมืองจะสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยเอง แค่เราต้องมาร์กพื้นที่เอาไว้ให้ แล้วดูการเติบโตของประชากรของเรา พัฒนาบ้านจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่ง มันมีการอีโวลูชั่นด้วยตัวของมันเองด้วยครับ เราจะได้เห็นเมืองที่เราปกครองและบริหารอยู่นั้นมีการเปลี่ยนยุคสมัย และขยายอณาเขตด้วยตัวของเกมเองไปเรื่อย ๆ เหมือนเราผูกพันธ์กับเกมและได้เห็นวิวัฒนาการของมันตลอด ซึ่งเกมนี้มันไม่มีครับ เราก็แค่สร้างอัพพอยท์เพื่อที่จะให้มันศิวิไลซ์มากขึ้น แต่โดยรวมยังถือว่าสนุกอยู่ครับ ยังมีให้แก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากรไม่พอ หรือมีมากเกินไป แต่ผู้เขียนก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในท้องตลาดเลยครับ แต่ด้วยที่มันราคาไม่แพง วางขายอยู่บน Steam ในราคา 239 บาท เท่านั้น! ผมเลยจัดมาเล่นเพลิน ๆ ฆ่าเวลาครับ ถ้าถามว่าควรซื้อไหม ถ้าเพื่อน ๆ ชอบเล่นเกมแนวนี้เราควรมีสะสมไว้ครับ ดองลงคลังไว้ได้เกมไม่หายไปไหน ฮะ ฮ่า ๆ และที่สำคัญที่ได้จากเกมนี้ผมเคยทำคนอดตายทั้งเมืองเลยครับ ทำให้สะท้อนและเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผนงรจตกม (ช่วงนี้น้ำมันแพงนะครับ รบกวนใช้รถเท่าที่จำเป็น ผมเป็นห่วง ฮ่า ๆ)
17 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Escape Simulator ลับสมอง ประลองปัญญา ไขปริศนาหาทางออกห้องปิดตาย
Escape Simulator ถูกพัฒนาขึ้นโดย Pine Studio เกมนี้เกมแนว Puzzle ซึ่งเราจะถูกขังอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง และเราต้องหาทางหนีออกมาให้ได้ โดยในห้องที่เราอยู่นั้นจะมีปริศนาต่าง ๆ ทิ้งเอาไว้ให้มากมาย และทางเดียวที่เราทำได้คือแก้มันครับ (แก้ปริศนานะครับ ห้ามแก้อย่างอื่น แฮร่) เกมนี้เราสามารถเล่นคนเดียวก็ได้ หรือจะ Co-op กับเพื่อนสุมหัวช่วยกันเล่นก็ได้ครับ มีด่านให้เลือกเล่นมากมาย ไอคิวมีเท่าไหร่ขนกันมาใช้ให้หมด ผมบอกเลยครับจากที่ลองเล่นมาหัวจะปวด เล่นผ่าน 1 ด่านต้องพักมาปลอบใจตัวเอง เพราะสมองไม่ค่อยมี ฮ่า ๆ ๆ ๆ และที่สำคัญเกมนี้ยังมีระบบ Workshop ที่ผู้เล่นสร้างด่านขึ้นมาเอง และแชร์ให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ เข้ามาเล่นด่านที่เขาสร้างได้ครับเกมเพลย์ในเริ่มแรกของเกมเราสามารถสร้างตัวละครของเราได้ แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้เลือกมากนัก การแต่งตัวก็จะมีเป็นชุดเซ็ตที่มีมาให้อยู่แล้วประมาณ 3-4 ชุดครับ ส่วน สีผิว หน้าตาสามารถเลือกตบแต่งได้นิดหน่อย แทบจะไม่มีอะไรให้เราเลือกเลยครับ เกมนี้เราสามารถจะเล่นผ่านด่านไปคนเดียวก็ได้ หรือ Co-op เพื่อไขปริศนาไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเราก็ได้ประมาณ 2-3 คนครับ ไม่รู้ไปคนเดียวจะผ่านได้ง่ายกว่าไหม เพราะผมมองฟ้าแล้วเห็นนก พอมองนรกแล้วเห็นเพื่อนครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ตีกันเละแน่ ๆ งานนี้ เอาเป็นว่าถ้าแก๊งค์ไหนมีความสามัคคีผมคอนเฟิร์มเลยครับว่าเกมนี้จะเหมาะกับแก๊งค์ของคุณ ด่านต่าง ๆ - เกมนี้จะมีด่านให้เราเลือกเล่นเยอะแยะมากมาย ตอนนี้มีด่านจาก DLC Steampunk เพิ่มเข้ามาอีกด้วย และนอกจากนั้นยังมีด่านจากผู้เล่นของเกมนี้ที่ได้สร้างผลงานลง Workshop เแชร์ให้ผู้เล่นอื่น ๆ ได้เข้าไปร่วมสนุกกับด่านที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยครับ เกมนี้ระหว่างที่เราเล่นมันจะมีเวลานับถอยหลังในระหว่างที่เราไขปริศนาในห้องนั้น ๆ ครับ ถึงแม้ว่าเวลาจะหมดถ้าเรายังเล่นไม่ผ่าน เรายังสามารถเล่นต่อไปจนกว่าจะแก้ปริศนาได้ เพียงแต่เราจะไม่ได้ถ้วยรางวัลของด่านนั้น ๆ ซึ่งถ้าเราอยากได้ถ้วยเราก็แค่วนกลับไปเล่นมันใหม่ให้ผ่านในเวลาที่เกมกำหนดครับ นอกจากการไขปริศนาต่าง ๆ ที่ทำให้โคตะระจะปวดหัวแล้ว ยังมีกิจกรรมเล็ก ๆ อย่างการสะสม Token ให้เราได้ปวดลูกกะตาอีกด้วย ฮ่า ๆ ซึ่งในแต่ละด่านจะมี Token เหล่านี้ซ่อนอยู่ด่านละ 8 อัน ตามจุดหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกมครับ ถ้าเราอยากได้ Achievement ไว้ประดับบารมีบน Steam ก็แค่หามันให้ครบ (แต่บอกเลยว่าหายากมั่กม๊ากกกกกกกกก) ปริศนา - Puzzle เกมนี้บอกเลยสำหรับผมคือสนุกมาก ถึงแม้ว่ามันต้องใช้หัวคิดมากไปหน่อย แต่เสน่ห์ของมันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ มีทั้งหาของจากรูปทรงต่าง ๆ เอามาใส่ช่องให้พอดี, ปริศนาจากตัวอักษรที่เราจะต้องเอามาเทียบว่ามันคือตัวอักษรใดในภาษาอังกฤษ ซึ่งเกมก็จะมีตารางหรือภาพต่าง ๆ ให้เปรียบเทียบ เมื่อได้รหัสแล้วเราอาจจะต้องใช้มันเป็นโค้ดเพื่อไปเปิดหีบ หรือประตูต่อไปครับ, ปริศนาที่ให้คิดจากเขาวงกตต่าง ๆ, ปริศนาจากตัวเลข และอื่น ๆ อีกมายมายนับไม่ถ้วนเลยครับ เล่นจบอาจจะนึกว่าตัวเองเป็น ดาวินชี กลับชาติมาเกิด ฮ่า ๆ ถึงแม้ว่าบางปริศนาจะยาก หรือเราไปต่อไม่ถูก เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้นครับ เกมจะมี Hint ช่วยเราเพียงแค่เราไปกดขอความช่วยเหลือที่ปุ่มสีแดงบนกำแพงห้องข้าง ๆ ประตูทางออก เกมก็จะส่งคำใบ้มาช่วยเราครับกราฟิกและการควบคุมกราฟิก - เกมนี้มีภาพสไตล์ 3D Polygon น่ารัก ๆ คิ้วท์ คิ้วท์ เลยครับ UI ต่าง ๆ ใช้งานง่ายครับ ไม่มีภาพรกจออะไรอยู่เป็นสัดเป็นส่วน เวลาเราซูมไอเทมก็สามารถดูได้ทุก ๆ องศาของวัตถุที่เราต้องการจะตรวจสอบ ผมชอบมาก ๆ ได้ฟิลเหมือนเป็นนักสำรวจ หรือเป็นนักสืบจริง ๆ ตอนแรกที่ผมซื้อมาผมค่อนข้างเป็นกังวลกลัวว่าคอมผมจะไม่ไหว แต่ดูความต้องการของระบบมาแล้วว่ามันรอด แต่กลัวรอดแบบกระตุก ๆ แต่พอมาเล่นจริง ๆ อย่างลื่นเลยครับ เหลือจะเชื่อ! และใช้ทรัพยากรในเครื่องน้อยมาก ๆ มีพื้นที่ในเครื่อง 1.11GB ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แล้วครับการควบคุม - ตอนแรกผมคิดว่าพวกเกมหนีออกจากห้อง มันต้องใช้การสำรวจเยอะ หยิบนั่น จับโน่น ทิ้งนี่ กลัวจะบังคับยากเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า เกมนี้มีด่าน Tutorial ที่จะสอนเราใช้งานปุ่มต่าง ๆ ครับ เกมจะสอนเราทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการหยิบ (คลิ๊กซ้าย), โยนทิ้ง (คลิ๊กซ้าย), การเก็บของเข้ากระเป๋า (คลิ๊กขวา), การนั่ง (กด C หรือ Ctrl), การซูมดูวัตถุที่เราสงสัยเพื่อหาปริศนา (กด Space), การบังคับทิศทาง (W,A,S,D), การใช้ไอเทมทั้งสองอย่างพร้อมกัน (ลากเม้าส์จากไอเทม 1 ไปที่ไอเทม 2) ฯลฯ เราสามารถเรียนการควบคุมทุกอย่างในเกมได้จาก Tutorial เลยครับ เพราะมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร พอเล่นด่าน Tutorial จบผมก็สามารถใช้งานปุ่มต่าง ๆ ได้ชำนาญการอย่างรวดเร็ว (สงสัยสมองเริ่มได้รับการฝึกฝนมาบ้างแล้ว เร็วเชียว ฮ่า ๆ)สรุปเกมนี้เป็นเกมแก้ปริศนาเพื่อหนีออกจากห้องที่สนุกมากกกกกกกกกกกกกก ยิ่งถ้าได้เล่นกับเพื่อนหรือแฟนแล้วช่วยกันผ่านไปได้จะเป็นอะไรที่ฟินสุด ๆ และผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนยอมที่จะปวดหัวไปกับมัน แรก ๆ อาจจะมึน ๆ หน่อย เพราะสมองเราอาจจะยังไม่ได้ปรับตัวเนื่องจากไม่ได้ใช้งานมานาน ฮ่า ๆ แต่เล่น ๆ ไปจะเพลิดเพลินกับการแก้โจทย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะโค้ดลับที่เราต้องไปเทียบกับภาพเพื่อที่จะตีความหมายออกมาเป็นรหัสผมนี่เลิฟเลย เอาไปเลย 9 คะแนน การันตีความสนุกด้วยยอดขายมากกว่า 1 ล้านชุด และคำวิจารณ์แง่ดีเป็นอย่างมาก มีเพื่อนชวนเพื่อนไปกดซื้อมาเล่นด้วยกันเลยครับ ราคาก็ไม่แรง 239 บาทเท่านั้นเอง!สั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1435790/Escape_Simulator/
17 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Loopmancer "วิ่งฟัดข้ามเวลา ไขปริศนาอาชญากรรมโหด"
ในระยะหลังมานี้ ต้องชมอย่างหนึ่งเลยว่า เกมจีนที่ดีนั้น มีออกมาค่อนข้างเยอะมาก และแม้จะไม่ใช่เกมระดับ AAA แต่มันกลับนำเสนอเกมอินดี้ที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกและการติดพัน รวมไปถึงมีการนำเสนอที่น่าสนใจ เหมือนอย่างเช่น Loopmancer เกมที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้ ถือว่าเป็นอีกเกมที่โยนความสนุกลงไปในเกมเพลย์ แต่ถ้าใครอยากติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นก็ทำได้เหมือนกัน มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน จะซื้อดีหรือไม่ ก็ให้รีวิวของเราช่วยตัดสินใจ ตามหาความจริงทั้งโลกอาชญากรรม และโศกนาฎกรรม เกมเพลย์สุดดุเดือด ยาก ตาย วนเวียน และเรียนรู้ ในระยะหลังมานี้ ต้องชมอย่างหนึ่งเลยว่า เกมจีนที่ดีนั้น มีออกมาค่อนข้างเยอะมาก และแม้จะไม่ใช่เกมระดับ AAA แต่มันกลับนำเสนอเกมอินดี้ที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกและการติดพัน รวมไปถึงมีการนำเสนอที่น่าสนใจ เหมือนอย่างเช่น Loopmancer เกมที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้ ถือว่าเป็นอีกเกมที่โยนความสนุกลงไปในเกมเพลย์ แต่ถ้าใครอยากติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นก็ทำได้เหมือนกัน มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน จะซื้อดีหรือไม่ ก็ให้รีวิวของเราช่วยตัดสินใจ ตามหาความจริงทั้งโลกอาชญากรรม และโศกนาฎกรรม เกมเพลย์สุดดุเดือด ยาก ตาย วนเวียน และเรียนรู้ตามหาความจริงทั้งโลกอาชญากรรม และโศกนาฎกรรมLoopmancer ว่าด้วยเรื่องราวของเซียงจี้ซู นักสืบยอดฝีมือที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลงชี่ แต่แล้วโศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้น เมื่อครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุ เขาและเหวินจุนผู้เป็นภรรยารอดชีวิตมาได้ แต่กลับสูญเสียลูกสาวเสี่ยวหวันไป ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เขาจึงพยายามตาหาความจริงในอุบัติเหตุครั้งนี้จนละเลยความรู้สึกของผู้เป็นภรรยา แต่นอกจากค้นหาความจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุนี้ เขายังทำงานเป็นนักสืบให้สำนักงานนักสืบฉางซู และในระหวางสืบคดีคนหาย เขาถูกฆ่าตาย แต่เขากลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา โดยทุกครั้งที่เขาตาย เขาจะฟื้นขึ้นมาในวันที่ 7 กรกฎาคมทุกครั้งไป เป็นลูปวนไปต่อเนื่องและทุกครั้งที่เรากลับมาถึงสำนักงานนักสืบ เราจะได้เห็นบทสนทนาสุดวนเวียนโดยจี้ซูจะพยายามอธิบายว่าเขารู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาเลย ทำให้เกมนี้มันมีความเป็น Roguelite ผสมอยู่ และทุกครั้งเมื่อเราผ่านหนึ่งฉากไปได้ เราอาจจะต้องเลือกว่าจะไปสืบหาเบาะแสต่อที่ใด และนั่นจะทำให้เส้นเรื่องของเกม แตกต่างกันออกไป โดยเกมนี้มีตอนจบมากถึง 7 แบบด้วยกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนเองไม่ได้เล่นจนจบทุกแบบ แต่ที่ชื่นชอบคือการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบทางเลือกที่เราเป็นคนเลือกเอง ว่าอยากจะไปที่ไหน ทำอะไร และจะได้เบาะแสที่แตกต่างกันกลับมา แต่เพราะมันเป็นเกม 2.5D และเป็นเกมอินดี้ที่ฉากคัทซีนไม่ค่อยเยอะ ทำให้การเล่าเรื่องของเกมนี้ เล่าผ่านบทสนทนาของ NPC และไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้ในระหว่างเกมการเล่นเกม และนเื้อเรื่องของเกมนี้ เข้มข้น ลึกลับ ชวนติดตามอย่างมาก น่าเสียดายที่มันถูกเล่าไปในไฟล์เอกสารเยอะจนเกินไป แถมบางทีเราต้องเล่นซ้ำหลาย ๆ รอบ ถึงจะเก็บเอกสารหลากหลายหน้ามาปะติดปะต่อเรื่องราวกัน ทำให้ข้อเสียของการเล่าเรื่องมันอยู่ที่ว่า 1. หากคุณภาษาอังกฤษไม่แข็งพอ หรือขี้เกียจแปล ก็จะไม่อินกับเนื้อเรื่องเลย 2. ถ้าคุณเบื่อการเล่นวนซ้ำ ๆ เพื่อเก็บเอกสารไปเรื่อย ๆ (แต่เกมเพลย์จะเอื้อให้คุณทำแบบนี้อยู่แล้ว) คุณอาจจะเบื่อจนเลิกเล่นก่อนเลยด้วยซ้ำไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Loopmancer เป็นอีกเกมที่มีเนื้อเรื่องน่าติดตามมาก แค่การจะเข้าใจในเนื้อเรื่องได้ ผู้เล่นต้องพยายามหน่อยเท่านั้นเองงานออกแบบที่น่าประทับใจ ต่อให้เป็นเกมอินดี้ก็ถือว่าคุ้มค่าด้วยความที่เกมนี้ เป็นเกมที่นำเสนอด้วยมุมมองแบบ Side Scrolling แต่ตัวเกมเป็นแบบ 2.5D คือเราจะเห็นฉากหลังของตัวละครที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวาและสวยงามมาก หลากหลายพื้นที่ที่เราไปลุย แค่วิ่งชมวิวก็ยังรู้สึกว่าคุ้มค่ามากแล้ว แถมยังมีความหลากหลายในด้านของสถานที่และโลเกชั่น เช่น ด่านหนึ่งจะเป็นโรงแรมหรูหรา อีกด่านหนึ่งอาจเป็นหมู่บ้านสยองขวัญและเต็มไปด้วยกับดัก หรือเป็นองค์กรของแก๊งมาเฟียขนาดใหญ เล่นเกมเดียว ได้ไปหลายสถานที่ แถมแตกต่างกันทั้งงานออกแบบและฉากหลัง เกมนี้โดดเด่นในด้านการนำเสนออย่างมากแต่ข้อเสียใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นการได้อย่างเสียอย่างของเกมนี้ก็คือ เมื่อเขาไปลงทุนทำฉากของเกมซะสวยงามขนาดนี้ สิ่งที่คุณภาพตกลงอย่างเห็นได้ชัดคือโมเดลของตัวละครที่ค่อนข้างลอย และมีบางอย่างที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่ามันไม่ได้รับการขัดเกลาเท่าที่ควร มีทั้งความด้านหยาบของ Texture และการเคลือนไหวของ Animation ในระหว่างฉายคัทซีนที่ไม่ค่อยลื่นไหล เห็นได้ชัดเลยว่าทีมพัฒนาเกมนี้เขาเลือกจะลงทุนทำฉากระหว่างเกมการเล่นให้สวยงาม แต่ก็แลกกับคุณภาพของโมเดลตัวละครที่ลดลง นับเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดในฝั่งของผู้พัฒนาที่นำเสนอด้วยการทำให้คัทซีนนั้นไม่ยาวมากนัก และกำกับฉากแอ็คชั่นหรือการเปิดตัวที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ก็ถือว่าเป็นการได้อย่างเสียอย่าง แต่ถ้ามองราคาเกมแล้วได้คุณภาพระดับนี้ก็ถือว่าน่าพึงพอใจเกมเพลย์สุดดุเดือด ยาก ตาย วนเวียน และเรียนรู้สำหรับ Loopmancer จะเป็นเกมประเภท Action Rogueltie นั่นคือทุก ๆ การตาย เราจะวนกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง เสียของทุกอย่างไป มีเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ติดตัวเรามาด้วย ตามสไตล์ของเกม Roguelite เมื่อเราตาย เราเลือกได้ว่าจะกลับมาเริ่มที่ LongXi Town เมืองแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ หรือจะกลับมาเริ่มใหม่ที่อพาร์ทเมนท์ของตัวเอก ซึ่งจุดแตกต่างของมันคือ การกลับไปเริ่มที่อพาร์ทเมนท์ เราจะได้จัดการรับบัฟ และเรียนรู้เอกสารที่เราเก็บมา อัปเกรดสกิลของตัวละคร รวมไปถึงมีโอกาสได้เลือกอาวุธที่ปลดล็อคมาด้วย แต่ถ้าเราเลือกเกิดที่จุดเริ่มต้น ก็จะลุยได้อย่างต่อเนื่องเลยทันที ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้มีทรัพยากรมากพอจะอัปเกรดสกิล ก็เลือกลุยที่เมืองต่อเลยก็ได้สำหรับตัวละครเจียงจี้ซูของเรานั้นจะมีอาวุธทั้งหมด 4 ประเภท อย่างแรกคือ Main Weapon ที่เป็นอาวุธประชิด Sub Weapon ที่เป็นอาวุธรองประเภทปืน ส่วนอีกสองชนิดคือ Skill Chipset และ Tactical Gear สำหรับ Skill Chipset จะเป็นสกิลพิเศษที่มีความสามารถในการโจมตีสูงมาก แต่จะมีคูลดาวน์การใช้ค่อนข้างนาน ส่วน Tactical Gear จะเป็นอาวุธจำพวกขว้างใส่ ทำดาเมจหนัก เบา แล้วแต่สิ่งที่ใช้ การจะปลดล็อคอาวุธใหม่ ๆ ทั้ง 4 ชนิดนั้น ถือว่าทำได้สร้างสรรค์ เพราะมันจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปกับเกมเพลย์แบบ Roguelite อย่างลงตัว ในทุก ๆ ฉาก เรามีโอกาสวิ่งไปเจออาวุธใหม่ ๆ ตลอด และเราสามารถปลดล็อคได้ด้วย e-Coins หรือเงินในเกมที่ได้จากการกำจัดศัตรูและทำ Challenge ต่าง ๆ ภายในฉากนั้น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่มีอะไรให้เราทำหลายอย่างมาก ๆ ทั้งบู๊ ทั้งทำภารกิจ และต้องเอาตัวรอดด้วย สำหรับสไตล์การเล่นเกมนี้จะแฝงความท้าทายกึ่งยากมาอยู่ด้วย นั่นคือ การบาดเจ็บของผู้เล่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงสุด ๆ เพราะยาเติมพลังในเกมนี้ จะเหมือนกับพวก Estus Flusk ในเกมโซล เมื่อกดใช้แล้ว จะหมดไป และจะไม่สามารถเพิ่มได้ จนกว่าจะผ่านฉากใหญ่ฉากนั้น แต่เราสามารถอัปเกรดพกน้ำยาเพิ่มได้ ศัตรูในเกมนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเดินหน้าลุยแหลก เอาหน้าไถไปได้ เพราะบางตัวจะมาพร้อมกับความสามารถสุดกวนชวนหัวร้อน ไม่ว่าจะเป็นท่าโจมตีแบบทะลุการป้องกัน หรือท่าโจมตีเผื่อระยะที่ต่อให้เรากดหลบหลีกแล้วก็ยังโดน ต้องหลบให้ถูกทางด้วย ทำให้การต่อสู้ของเกมนี้มีสัสนมาก ๆ ส่วนของ Boss Fight ก็ถือว่าทำได้ดี ทั้งท้าทาย ตึงมือ และต้องอาศัยการเรียนรู้กว่าจะจับจุดได้ มันยังคงเป็นเกมยากระดับปานกลาง ที่การเจอบอสในครั้งแรก ยังไงก็ต้องตาย เพื่อจับจังหวะ Moveset และคอมโบของบอสตัวนั้น ผู้เล่นจึงสามารถต่อสู้สวนได้บ้าง อาวุธและเกียร์ทั้งหมดที่เก็บมา ยังสามารถกลับมาอัปเกรดที่ฐานใหญ่ได้ (ต้องตายแล้วฟื้นที่อพาร์ทเมนท์เท่านั้น) โดยการอัปเกรดอาวุธจะช่วยในการเพิ่มดาเมจ และลดจำนวน Kill Count ที่ใช้ชาร์จอัลติเมทลงเมื่อเข้าสู่บางพื้นที่ จะมี Challenge มาให้เราได้ทำเพื่อท้าทายฝีมือของตัวเอง และยังมีของตอบแทนเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น e-Coins ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้เราปลดล็อคอาวุธดี ๆ หากไม่เจอเอาข้างหน้า หรือจะเอาไว้ใช้อัปเกรดของเดิม (ถ้าหากรอดไปได้) ระบบ Challenge นี้ ทำให้ผู้เล่นต้องถามตัวเองเสมอ ว่าอยากไปให้ไกลกว่าที่เล่นไว้ หรืออยากเก็บสะสมของรางวัลที่ระบบ Challenge มอบให้กันแน่ เพราะการฆ่าศัตรูด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ของ Challenge นั้น ถือว่ายากและวุ่นวายมาก ๆ จากที่เราจะฟัน ๆ ให้มันตาย ๆ ไป ก็ต้องล่อให้มันโดนระเบิด โดนกับดัก ดีไม่ดี เราีน่แหละจะชิงตายก่อน Challenge จะเสร็จ ดังนั้น หากอยากทำ Challenge ไหน ก็ลองคิดให้ดี ว่ารางวัลที่ได้ คุ้มหรือไม่กับการทำเกมเพลย์ที่สนุกสนาน และดุเดือด ผูกเข้ากับวิธีการเล่าเรื่องที่เหมาะสมกับความเป็นเกม Roguelite ถึงแม้ว่าการเล่นซ้ำไม่นานก็ได้รู้เนื้อหาทุกอย่าง แต่ก็ถือว่าในฐานะเกมอินดี้นั้น Loopmancer ทำได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หากจะให้ติในส่วนของเกมเพลย์ก็คือ นี่ไม่ใช่แนวเกมที่ทุกคนจะชื่นชอบ การเกิด ตาย วนเวียน เรียนรู้ เพื่อไปให้ถึงจุดสุดท้ายของเกม หากความพยายามไม่มากพอ อาจจะเบือนหน้าหนีไปหาเกมอื่นก่อนก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่หากคุณชอบ Roguelite ชอบเนื้อเรื่องที่เข้มข้น นี่คือเกมอินดี้ที่อาจกล่าวได้ว่า ยอดเยี่ยม และหากคุณคิดว่ามันยากเกินไป เกมยังมาพร้อมการเล่นโหมด Story Mode ที่เน้นการดำเนินเรื่องราวล้วน ๆ ศัตรูไม่ได้ยากอะไรจนเกินไปนัก เป็นทางเลือกให้คุณPerformance เกมที่ดีงามไม่แพ้เกมเพลย์แม้จะเป็นเกมอินดี้ แต่ทางผู้พัฒนาก็พยายามจะใส่ฟังก์ชั่นการปรับแต่งที่หลากหลายให้กับเกม น่าเสียดายที่ไม่มี Setting Preview ให้ได้ดูเหมือนกับเกมอื่น ๆ โดยเฉพาะในส่วนของกราฟิกที่สามารถปรับให้รองรับได้มากสุดถึง 144 FPS ซึ่งกับเกมแอ็คชั่นภาพลื่นไหลแบบนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ๆ ส่วนของการตั้งค่าด้านอื่น ๆ ก็พยายามจะทำให้มันครอบคลุมที่สุดเท่าที่เกมหลักนี้จะทำได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการปรับแต่งเสียง ภาษา ระบบเกมการเล่น การตั้งค่าปุ่ม และอื่น ๆ อีกมากมายสำหรับใครที่ชอบเกมแอ็คชั่น แม้เราจะย้ำกันหลายรอบว่านี่ไม่ใช่เกมง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก หากคุณอยากจะลองหาเกม Roguelite วนลูปซ้อมมือรัว ๆ นี่คือเกมคุณภาพเกมหนึ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปในปี 2022 นี้เลยก็ว่าได้
16 Jul 2022
[Review] Oxide Room 104 "เกมสยองขวัญไอเดียบรรเจิด แต่ดันมาตกม้าตายด้านระบบการเล่น"
ชื่อของ Oxide Room 104 อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากนัก เพราะตัวเกมไม่ได้มาจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Capcom, Ubisoft หรือ Konami แต่ด้วยการออกแบบงานศิลป์ของสัตว์ประหลาดที่ทำได้น่าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เชื่อว่าคอเกมแนวสยองขวัญหลาย ๆ คนน่าจะให้ความสนใจเกมนี้ในระดับหนึ่งกันเลยทีเดียวซึ่งหลังจากที่ตัวเกมออกมานั้น เสียงวิจารณ์ของบรรดาคนที่ได้ลองเล่นเองก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยมีทั้งฝ่ายที่ชื่นชอบ และฝ่ายที่ไม่ชอบปะปนกันไป และในบทความนี้ เราจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ของการเล่น Oxide Room 104 ผ่านเครื่องพกพาอย่าง Nintendo Switch ให้ทุกคนที่กำลังชั่งใจว่าควรจะกดซื้อเกมนี้ดีไหม ไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจกันนะครับเนื้อเรื่องที่ทำตามสูตรสำเร็จOxide Room 104 เลือกใช้การเล่าเรื่องยอดนิยมของสื่อแนวสยองขวัญ ด้วยการโยนตัวผู้เล่นเข้าไปในสถานการณ์ที่ไม่รู้จัก สับสน และชวนให้งุนงง จนอดที่จะหาคำตอบต่อไม่ได้คุณจะได้รับบทเป็น Matt ชายหนุ่มที่กำลังขับรถเข้าสู่ ห้องพักข้างทาง ก่อนที่จะโดนชายลึกลับทุบเข้าที่ท้ายทอยจนสลบ และเมื่อรู้สึกตัวอีกที Matt จะพบตัวเองอยู่ในอ่างอาบน้ำ พร้อมกับเนื้อตัวที่เปลือยเปล่า ซึ่งแน่นอนว่า เขาไม่มีความทรงจำหลังจากที่ถูกทำให้สลบไปได้อยู่เลยสิ่งเดียวที่ Matt และผู้เล่นรู้ก็คือ ด้านนอก Motel แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่น่าสยดสยอง พร้อมกับปริศนา ไปจนถึงเรื่องราวอันแสนลึกลับกำลังรอเขาอยู่ Matt จำเป็นจะต้องหาทางออกจากโรงแรมแห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้วิธีอะไรก็ตามทั้งหมดที่กล่าวไปคือเรื่องราวคร่าว ๆ ของเกม Oxide Room 104 และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ทีมผู้พัฒนาอย่าง Wild Sphere ได้เลือกใช้การเล่าเรื่องที่เป็นสูตรสำเร็จของสื่อแนวสยองขวัญ ซึ่งพวกเขาได้ทำให้มันยิ่งทวีความลึกลับเข้าไปอีก ด้วยการที่ไม่ได้เล่าเนื้อเรื่องออกมาตรง ๆ แต่ได้นำบางส่วนแบ่งลงใส่เอกสาร และทิ้งมันเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ของเกมทว่าถึงเอกสารพวกนี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถปะติดปะต่อเนื้อเรื่องได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี ผู้เล่นยังจำเป็นที่จะต้องตีความเนื้อเรื่องกันต่อ แม้ว่าคุณจะสามารถเก็บเอกสารได้ครบถ้วนแล้วก็ตามระบบของเกมที่ทำมาดูขาด ๆ เกิน ๆ หากดูจากตัวอย่างแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะคิดว่า Oxide Room 104 ต้องเป็นเกมแนว Survival Horror คล้ายกับ Resident Evil, Dead Space หรือ Silent Hill อย่างแน่นอน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ผิดไปทั้งหมด แต่มันก็ไม่ได้ถูกต้องจนเกือบ 100% เหมือนกัน ส่วนที่ถูกต้องก็คือ เกมนี้มันเป็นแนว Survival Horror นั่นแหละ แต่ส่วนที่ผิดไปก็คือ ตัวเกมมันไม่ได้ให้อิสระในการบู๊ หรือสู้กลับเทียบเท่ากับเกมที่ว่ามานั่นเอง ถึงแม้ตัวเกมอาจจะให้กระสุนไปจนถึงยาเติมพลังมาในจำนวนที่มากเพียงพอ แต่ด้วยระบบการต่อสู้ที่ดูเก้ ๆ กัง ๆ แถมฉากเจอบอสที่บังคับให้วิ่งหนีอย่างเดียว จึงทำให้ Oxide Room 104 ดูเอนเอียงไปทางฝั่งของ Horror เพียว ๆ เสียมากกว่า (อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่า มันควรจะเรียกบอสได้ไหม แต่ด้วยการออกแบบที่แตกต่างจากศัตรูตัวอื่น อย่างน้อยมันก็คงเป็นบอสในหมู่ศัตรูนั่นแหละนะ)และสิ่งที่ทำให้ Oxide Room 104 ยิ่งดูพิกลพิการมากเข้าไปอีก ก็คือการพยายามยัดเยียดระบบแปลก ๆ ที่ดูเหมือนจะดี แต่มันกลับไม่เวิร์คในเชิงของคนเล่นมาให้ โดยมีไปตั้งแต่ ระบบจัดการช่องเก็บของ ที่ควรจะช่วยให้ผู้เล่นต้องคิด และไตร่ตรองในการเลือกไอเทมสำคัญติดตัวไปให้ดี แต่ระบบนี้มันดันเลวร้ายตรงที่ไม่มีหัวข้อในการทิ้งไอเทมให้กับผู้เล่นเสียนี่สิ ตรงจุดนี้ความท้าทายที่ควรจะเป็น จึงได้กลับกลายเป็นความน่ารำคาญโดยอัตโนมัติ เพราะการที่คนเล่นต้องวิ่งไปวิ่งกลับ ระหว่างห้องที่มีหีบฝากของ กับเส้นทางที่ใช้เดินเนื้อเรื่องหลักเนี่ย มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เท่าไรอยู่แล้วซ้ำร้ายอีกหนึ่งระบบที่ชวนให้หงุดหงิดใจขึ้นไปอีกก็คือ ระบบ Quick Time Event ที่ขึ้นมาทุกครั้งจนเรียกได้ว่าพร่ำเพรื่อ แน่นอนว่า หาก Quick Time Event ขึ้นมาในจังหวะสำคัญอย่างการดิ้นให้หลุดรอดจากศัตรู หรือการใช้ระบบนี้เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องบางอย่าง มันก็คงจะอยู่ในระดับที่รับได้ แต่ปัญหาก็คือ ในจังหวะการเปิดประตูของแต่ละห้องนั้น มันดันขึ้นมาให้กดทุกครั้งเลย จุดนี้ทางผู้เขียนเชื่อว่า ทีมพัฒนาน่าจะอยากให้คนเล่นได้สัมผัสถึงความสมจริง และพาตัวเองดื่มด่ำไปกับโลกของเกมให้ได้มากที่สุด แต่ผลลัพธ์มันกลับกลายออกมาเป็นน่ารำคาญเสียฉิบลองคิดดูว่า เกมประเภทพื้นที่แคบ ๆ ต้องเดินสำรวจไปมาในบริเวณเดิมซ้ำ ๆ มันจะน่าหงุดหงิดแค่ไหน ที่คุณต้องคอยมากด Quick Time Event ในการเปิดประตูทุกรอบ เรียกได้ว่ามี 10 ห้อง ก็ต้องหมุนก้านอนาล็อก10 ครั้งกันไปเลยเล่นกับความตายอย่างแยบยลสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับ Oxide Room 104 ก็คือ ทุกครั้งที่ผู้เล่นตาย ผู้เล่นจะถูกพากลับมาที่ห้อง 104 ห้องตั้งต้นของเกมโดยอัตโนมัติ แถมผู้พัฒนายังป้องกันการโกงความตายด้วยการให้ตัวเกม Auto save ในแทบทุก ๆ การกระทำของคุณอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากเล่นพลาด เลินเล่อ ประมาท หรือไม่ระวังตัวขึ้นมา ก็เตรียมบอกลาเวลาที่ใช้เล่นไปได้เลยถึงอาจจะฟังดูโหดร้ายไปบ้าง แต่ตัวเกม Oxide Room 104 ก็ไม่ได้มีความยาวในการเล่นที่มากเท่าไรนัก ต่อให้คุณเดินแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่รู้ทาง คุณก็น่าจะสามารถจบเกมได้ในเวลาเพียงประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ช่วยให้บทลงโทษที่ว่ามานี้ไม่ได้ตัดกำลังใจคนเล่นจนเกินไปสิ่งหนึ่งที่ต้องเอ่ยปากชมเลยก็คือ ผู้พัฒนาได้แอบใส่ระบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้ความตายของผู้เล่นมีสีสันขึ้นมาอีกด้วย โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นตาย สภาพแวดล้อมของโรงแรมจิ้งหรีดแห่งนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด เช่น จากเดิมคุณควรจะเจอปืนพกอยู่ในห้องเก็บของ แต่มาคราวนี้คุณกลับเจอมันวางอยู่ในห้องตั้งต้นซะอย่างนั้น ช่วยให้การเล่นในแต่ละรอบมีความสดใหม่อยู่บ้าง แม้จะต้องวนอยู่ในพื้นที่เดิม ๆ ซึ่งจะขอสปอยล์เอาไว้ตรงนี้เลยว่า จำนวนครั้งที่ตายของคนเล่น จะส่งผลถึงฉากจบได้ 4 แบบ ไล่ไปตั้งแต่ Best Ending ไปจนถึง Bad Ending กันเลยทีเดียว ดังนั้นหากใครอยากจะได้ฉากจบที่ดีที่สุด ก็ต้องห้ามตายกันเลยนะครับศัตรูที่ออกแบบได้ดี แต่ดันมีให้เห็นนิดเดียวอีกหนึ่งสิ่งที่ Oxide Room 104 สามารถทำได้ดี นั่นก็คือ การออกแบบศัตรูที่ดูน่าสยอง ขนพอง ขนลุก โดยเราจะได้เจอพวกมันแทบตลอดทั้งเกม แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ความเคยชิน’ ของมนุษย์นั้น มันช่างน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ซะอีก เพราะต่อให้รูปร่างของมันจะดูน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าหากเราเจอพวกมันจนคุ้นเคยแล้ว บางทีต่อให้พวกมันเดินผ่านหน้าในระยะเผาขน คุณก็แทบจะไม่รู้สึกว่าพวกมันน่ากลัวเลยด้วยซ้ำซ้ำร้าย ตัวศัตรูที่ออกมาแบบให้ผู้เล่นได้มีปฏิสัมพันธ์กับมันแบบจริง ๆ จัง ๆ ยังมีเพียงแค่ 2 ตัวเพียงเท่านั้น ส่วนศัตรูตัวอื่น ๆ เราจะเห็นพวกมันแค่ผ่านฉากคัตซีน นี่จึงยิ่งทำให้ความกลัวหลักของผู้เล่นที่ควรจะมีต่อศัตรูยิ่งลดน้อย ถอยลงไปอีก ส่งผลให้ศัตรูภายในเกมนี้ ตกม้าตายในเรื่องของความน่ากลัวไปเสียฉิบ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ เลยเชียว ทั้ง ๆ ที่ออกแบบมาได้ดูให้ขวัญกระเจิงขนาดนั้นแท้ ๆรวมปัญหายิบย่อย สไตล์เกมอินดี้อันที่จริงในหัวข้อนี้ จะไม่ส่งผลต่อคะแนนรีวิวเท่าไรนัก เพราะเนื่องด้วย Oxide Room 104 เป็นเกมจากทีมพัฒนาเล็ก ๆ เงินทุนของพวกเขาจึงอาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับเกมฟอร์มยักษ์ ปัญหาเล็กน้อยต่าง ๆ จึงมีให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไล่ไปตั้งแต่เสียงพากย์ที่แข็งแทบจะเป็นหิน จนถึงขนาดที่มีผู้เล่นจำนวนมากพร้อมใจกับบอกว่า ถ้าพากย์แข็งขนาดนี้ ไม่ต้องใส่เสียงพากย์มาตั้งแต่แรกเลยก็ได้มั้ง ไปจนถึงเรื่องการของโหลดฉากนาน ที่น่าจะเป็นปัญหามาจากการ Optimize ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ซึ่งปัญหานี้มันถูกพบทั้งบนเครื่อง Switch ไปจน PC กันเลยแต่อย่างน้อย สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างน่าประทับใจเลยก็คือ ตัวเกมพอร์ตมาเล่นบนเครื่อง Switch ได้ค่อนข้างลื่นไหล และยังคงภาพที่สวยงามไว้ได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะเป็นเกมของทีมพัฒนาอินดี้แบบ Third party ก็ตามควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?ถึง Oxide Room 104 อาจจะดูเต็มไปด้วยปัญหาจำนวนมาก ทั้งการออกแบบเกมที่ดูไม่สมประกอบ เนื้อเรื่องที่เล่าออกแบบมาซับซ้อน ไปจนถึงปัญหายิบย่อยคอยกวนใจตลอดการเล่น แต่ในส่วนที่ทำออกมาได้ดีนั้น มันก็ทำออกได้ดีจนน่าชื่นชมเสียจริง ๆ เพราะฉะนั้น หากลองชั่งน้ำหนักระหว่างอัตราส่วนที่ดีกับไม่ดีเปรียบเทียบกันแล้ว ก็น่าจะพอพูดได้ว่าถึง Oxide Room 104 จะไม่เป็นเกมขึ้นหิ้งระดับผลงานชิ้นโบว์แดงที่ต้องลองเล่นสักครั้งในชีวิต แต่มันก็เป็นเกมที่พอจะมอบความสยองให้กับผู้เล่น ไปจนถึงมีคุณค่าในการเล่นซ้ำเพื่อเก็บเนื้อเรื่องให้ครบถ้วนได้อยู่บ้างหากใครที่กำลังมองหาเกมที่มีการออกแบบตัวละคร ไปจนถึงมีความสยองแบบ Psychological horror เกมนี้น่าจะตอบโจทย์คุณได้ ไม่มากก็น้อยเลยล่ะครับ
12 Jul 2022
พรีวิว Endless Dungeon [OpenDev] เกมแนว Rogue-lite สุดแปลกใหม่ ผสมเกมเพลย์สไตล์ Tower Defense
ต้องยอมรับเลยว่าหนึ่งในแนวเกมที่ได้รับความนิยมอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่โด่งดังมาก แต่ก็มีคนให้ความสนใจอยู่ตลอดนั่นคือเกมแนว Rogue-lite กับแนวเกมที่การเล่นแต่ละครั้งจะมีด่านและรูปแบบที่แตกต่างกันไป มีความท้าทายที่แตกต่างกันไปไม่ซ้ำกัน และล่าสุดก็ได้มีหนึ่งเกมแนวนี้ที่น่าสนใจสำหรับ Endless Dungeon เกมแนว Rogue-lite Tactical Action จากทางผู้พัฒนา Amplitude Studios ที่สร้างเกมตระกูล Endless มามากมาย โดยตัวเกมมาในธีมไซไฟที่เราจะต้องต่อสู้กับเหล่าฝูงมอนสเตอร์ในสถานีอวกาศ โดยทางเราได้มีโอกาสในการทดลองเล่นเกมในเวอร์ชัน OpenDev และต้องบอกเลยว่าตัวเกมนี้เป็นเกมแนว  Rogue-lite ที่ไม่เหมือนใคร เพราะผสมผสานการเล่นแบบ Tower Defense เข้าไปด้วย ซึ่งเรา GameFever TH จะมาพูดถึงระบบต่าง ๆ ของเกม Endless Dungeon ว่ามีระบบอะไรบ้างที่น่าสนใจAction Shooting ผสมผสาน Tower Defenseหนึ่งในระบบที่ทำให้ Endless Dungeon โดดเด่นขึ้นมาและไม่เหมือนใครคือการผสมผสานเกมเพลย์ Action Shooting มุมมองแบบ Bird Eye View (คล้าย ๆ กับเกม Alien Shooter) และเกมเพลย์แบบ Tower Defense โดยเราจะต้องป้องกันคริสตัลจากการโจมตีของศัตรูบนสถานีอวกาศ โดยเหล่าศัตรูจะปรากฏออกมาเป็น Wave โดยเราจะสามารถใช้ปืนจากตัวละครหลักที่เราบังคับ แต่การต่อสู้เราก็จำเป็นต้องระวังให้ดี griktตัวละครที่เราเล่นไม่ได้มีความถึกมากขนาดนั้น ยิ่งเป็นตัวบาง ๆ โดนลุมกัดไม่กี่ครั้งก็ร่วง และยาที่เพิ่มเลือดก็มีให้ใช้ฟรีเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เราก็สามารถที่จะหาเก็บได้จากการเดินสำรวจ และนอกจากนี้ภายในพื้นที่เราจะสามารถสร้างป้อมปราการต่าง ๆ ในการป้องกันเหล่าศัตรูที่จะออกมาจากรังและโจมตีครัสตัลของเรา ซึ่งเราสามารถสร้างป้อมปืนโจมตี สร้างป้อมเกราะป้องกันเพื่อเพิ่มเกราะให้กับตัวละครและป้อมปราการ หรือการสร้างป้อมพื้นที่เอาไว้สโลว์การเดินของศัตรูเพื่อให้ยิงได้นานขึ้นก็นอก รวมถึงตัวป้อมถ้าหากใช้งานโจมตีศัตรูเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถอัปเกรดให้มันสู่ขั้นถัดไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก็ได้เช่นกันตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์รวมถึงตัวละครที่เราเล่นได้ ซึ่งแต่ละตัวนั้นก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป ทั้งค่าสเตตัส ปืนเริ่มต้นที่ใช้ หรือแม้แต่กระทั่งสกิลต่าง ๆ ก็แตกต่างกันทั้งสิ้น โดยในช่วง OpenDev เราจะได้เล่นตัวละครทั้งหมด 3 ตัวนั่นก็คือZed ที่จะมีพลังโจมตีสูง วิ่งเร็วแต่เลือดน้อย ใช้สกิลโจมตีแบบรุนแรง Bunker ตัวละครสายแทงค์ที่พลังป้องกันสูง โจมตีปานกลาง วิ่งช้า สกิลโจมตีจะเป็นการสตั๊น และสกิลยืนแทงค์ศัตรูได้ Blaze พลังโจมตีรุนแรง พลังป้องกันสูง เน้นการใช้สกิลระเบิดในการโจมตีศัตรู โดยเราจะสามารถเอาตัวละครออกไปเล่นได้สูงสุด 3 คน (แต่ในช่วงแรกจะเล่นได้ 2 ซึ่งเราต้องปลดล็อคภารกิจก่อน) ส่วนตัวละครคาดว่าพอเกมเปิดจริงจะมีให้เล่นมากกว่านี้ด้วยเกมเพลย์แบบ Rogue-lite สำรวจพื้นที่ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง ในการหาทรัพยากรมาซื้อของและอัปเกรดโดยในภารกิจหลักของเรานั้นคือการที่เราจะต้องปกป้องและคุ้มกันคริสตัลไปยังเป้าหมาย ตัวเกมจะให้เราได้สำรวจพื้นที่ห้องต่าง ๆ ทั้งหมดของด่านนั้น ซึ่งในแต่ละห้องจะมีทรัพยากรต่าง ๆ ให้เราเก็บ 3 แบบเป็นค่าพลังงานสีฟ้า สีส้ม และสีเขียว โดยแต่ละพลังงานเราก็จะสามารถเอามันไปใช้อัปเกรดสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพลังงานสีฟ้าจะเอาไว้อัพเกรดป้อมปราการต่าง  สีส้มจะเอาไว้ซื้อป้อมปราการ และสุดท้ายก็คือสีเขียวจะเอาไว้อัปเกรดสเตตัสเพิ่มเติมของตัวละคร โดยค่าพลังพวกนี้นอกจากจะสามารถหาได้จากการเปิดกล่องต่าง ๆ ในแต่ละห้องแล้วนั้น การเปิดประตูแต่ละบานตัวค่าพลังงานก็จะดรอปให้เราด้วย รวมถึงภายในด่านยังมีเครื่อง Generator ที่เราสามารถเพิ่มค่าการดรอปพลังงานได้เช่นกันโดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะดรอปตัวไหน รวมถึงเรายังมีโอกาสเจอของอัปเกรดต่าง ๆ กล่องสมบัติดรอปของฟรี หรือแม้กระทั่งร้านค้าก็ยังมี รวมถึงปืนต่าง ๆ และของสวมใส่เราก็สามารถที่จะหาเก็บหรือหาซื้อได้จากแผนที่เช่นกัน โดยอย่างที่กล่าวว่าตัวเกมมีองค์ประกอบความเป็น Rogue-lite ทำให้การเล่นแต่ละครั้งรูปแบบแผนที่ การ Spawn ของไอเท็มต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนไปทั้งหมดด้วยมีความเป็นเกม Tacticle วางแผนการต่อสู้ในระหว่างการสำรวจนอกจากนี้ในการสำรวจเรายังจำเป็นต้องหารังของเหล่าศัตรูที่จะออกมาโจมตีเรา ซึ่งมันก็ทำให้เราสามารถวางแผนการเดินทางของศัตรูจากรังที่ออกมา และวางป้อมปราการดักโจมตีไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ หรืออาจจะสามารถสร้างป้อมปราการไปดักหน้าทางเข้าของศัตรูได้เลย หรือแม้กระทั่งการเปิดประตูเราเองก็สามารถจำกัดการเปิดประตูเพื่อบังคับให้เหล่าศัตรูวิ่งมาในทางที่เรากำหนดก็ได้ ซึ่งเราก็สามารถวางกลยุทธในการเล่นได้หลากหลายและเมื่อเราสามารถสำรวจพื้นที่ทั้งหมดได้แล้ว เงื่อนไขในการผ่านไปยังด่านต่อก็คือเราจะต้องเปิดประตูสู่ด่านต่อไป แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเราจำเป็นที่จะต้องใช้คริสตัลที่เราป้องกันมาตลอดในการปลดล็อค ซึ่งตัวคริสตัลจะทำการเดินทางลำเลียงตัวเองมายังประตูผ่านด่านเพื่อไขกุญแจ ซึ่งเรานั้นก็มีหน้าที่ในการพามันส่งไปถึงที่หมาย และถ้าหากว่าเรานั้นวางแผนในการวางป้อมปราการไม่ดี บางทีมันอาจจะทำให้คริสตัลเดินทางมาไม่ถึงและจบเกมก็เป็นไป ซึ่งการแพ้ก็คือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด รวมถึงแต่ละด่านก็ศัตรูก็จะเก่งมากขึ้นมีรังของศัตรูที่มากขึ้นให้เราต้องปวดหัวในการวางแผนมากขึ้นด้วยจากที่ได้ลองเล่น Endless Dungeon ในช่วงทดสอบ OpenDev มา สิ่งที่รู้สึกได้เลยคือไอเดียของผู้พัฒนาที่ค่อนข้างน่าสนใจมาก ๆ ไม่คิดว่าการเล่นแบบ Action Shooting ผสมผสานกับการเล่นแบบ Tower Defense ไหนจะมีองค์ประกอบของความเป็น Rogue-lite ทำให้ Endless Dungeon เป็นหนึ่งในเกมวางแผนที่น่าจับตามอง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และการเรียนรู้ต่อการเล่นในระดับหนึ่ง ไม่ใช่เกมเดินหน้ายิงชิล ๆ อย่างที่คิดแน่นอน และคาดว่ากว่าเกมจริงจะเปิด ตัวเกมเพลย์นี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควรโดยเกม Endless Dungeon ตัวเกมยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา มีกำหนดลงให้กับเครื่อง PC [Steam] ดูร้านค้าเกม
07 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Good Company "เปิดบริษัท ประกอบธุรกิจ จำลองชีวิต CEO"
Good Company เป็นอีกเกมหนึ่งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสซื้อมาลองเล่นในช่วง Steam Summer Sale เกมนี้เราจะได้รับบทบาทเป็นเจ้าของบริษัท หรือเรียกกันแบบเท่ ๆ ว่า CEO นั่นเอง บริษัทในเกมที่เราบริหารจัดการนั้นจะเป็นบริษัทที่ผลิตสิ่งของเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลข, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, ทีวี และแม้กระทั่งหุ่นยนต์โดรนบริษัทเราก็ผลิตได้ครับ ในเกมเราจะเริ่มธุรกิจโดยใช้เส้นทางสุดฮิต เหมือนที่เหล่าอัจฉริยะเจ้าของแบรนด์ชื่อดังของโลกมากมายได้ใช้เริ่มธุรกิจของพวกเขาจนประสบความสำเร็จ ดังเป็นพลุแตกกอบโกยรายได้มหาศาลต่อวัน ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Apple, Google, Microsoft, Nike, หรือแม้กระทั่ง Disney ก็เริ่มธุรกิจจากตรงนี้ทั้งนั้น นั่นก็คือ "โรงรถของที่บ้านฮะ"เกมเพลย์Good Company เป็นเกมบน PC แนว Simulator เราจะได้สวมบทบาทเป็น CEO สร้างบริษัทของตัวเองขึ้นมา เราสามารถตั้งชื่อบริษัทของเรา รวมไปถึงการสร้างโลโก้, การสร้างตัวละคร, และยังต้องออกแบบการแต่งตัว เสื้อ ผ้า หน้า ผม ให้กับตัวละครของเราอีกด้วย ตัวละครของเรานั้นผู้เขียนมองว่ามีรูปร่างหน้าตาที่จะน่ารักก็ไม่ใช่ จะน่าถีบก็ไม่เชิง ฮ่า ๆ (มันดูกวน ๆ เป็นส่วนใหญ่ครับ) พอเริ่มเกมมานั้น เราจะต้องออกแบบ และสร้างโลโก้ของบริษัทของเราก่อน เราสามารถเลือกรูปที่เราอยากใช้ สีตัวหนังสือ สีพื้นหลัง สีกรอบ ได้เท่าที่ตัวเกมมีมาให้ ในส่วนนี้เราจะต้องตั้งชื่อให้บริษัทของเราด้วยครับ พอแต่งจนเป็นที่พอใจของเราแล้ว ในส่วนต่อไปเราต้องไปสร้างตัวละครครับ เราสามารถกำหนดรูปร่าง ทรงผม อุปกรณ์สวมใส่ให้ตัวละครของเราได้ การสร้างตัวละครเกมนี้เราอาจจะไม่เสียเวลา เพราะมีตัวเลือกให้เราเลือกค่อนข้างน้อยครับ สายแฟชั่นแบบเดอะซิมส์คงกรอกตา มองบนด้วยความเซ็ง ฮ่า ๆ เกมนี้จะมีให้เราเล่นด้วยกันอยู่ 2 โหมดครับ นั่นก็คือ แคมเปญโหมด และฟรีเพลย์โหมด- Campaign Mode เนื้อเรื่องของเกมในส่วนนี้เราจะเริ่มเปิดบริษัทในโรงรถของพ่อเรานะครับ (มีแว๊บหนึ่งที่ผู้เขียนแอบคิดว่า โรงรถอะไรทำไมมันใหญ่จัง ใหญ่เกินจริงไปรึเปล่าฟระ) ตรงนี้อย่าไปใส่ใจฮะ ท่องไว้มันก็แค่เกม มันก็แค่เกม ฮ่า ๆ ในแคมเปญโหมดเราต้องทำภารกิจให้ผ่านทั้งหมดนะครับ อย่างเช่น บางด่านเราต้องขายเครื่องคิดเลขให้ถึงเป้าหมายที่เกมกำหนด หรือผลิตสินค้าให้ครบตามที่เควสกำหนด เราจึงจะสามารถผ่านไปเล่นด่านต่อไปได้ครับ เกมนี้จะมีความท้าท้ายที่เพิ่มเข้ามาอีกหน่อย คือเราสามารถเก็บสะสมถ้วยรางวัลได้ครับ อารมณ์เหมือนเกมผ่านด่านอื่น ๆ ที่มีให้เก็บดาวอย่างเช่น ด่านนั้น ๆ ให้เราเก็บ 3 ดาว แต่เราทำได้ 2 ดาวนั่นก็ถือว่าผ่านเหมือนกัน แต่ผ่านแบบ 2 ดาวครับ ฉะนั้นในเกมนี้ถ้าเราอยากจะเก็บถ้วยให้ครบ เราก็ต้องทำเควสให้ผ่านทั้งหมดครับ- Freeplay Mode เป็นโหมดที่เราจะสร้างบริษัทของเราได้อย่างอิสระโดยปราศจากข้อบังคับของเกมครับ ใครที่เป็นสายตบแต่ง หรือเล่นเรื่อย ๆ ฆ่าเวลา โหมดนี้น่าจะเล่นได้เพลิน ๆ โดยที่ไม่ต้องรับแรงกดดันแต่อย่างใดครับ หรือเพื่อน ๆ จะสร้างความท้าท้าย ด้วยการสร้างความกดดันให้ตัวเองก็ได้นะครับ สวมบทบาทจริงจังเกมมิ่ง ดึงตึงมันให้หมดทุกโหมดครับ ฮ่า ๆการผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อส่งขายนั้น ตัวเกมจะมีสูตรให้เราครับ ว่าเราจะต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง อย่างเช่น ถ้าเราต้องการสร้างเครื่องคิดเลข เราต้องใช้พลาสติก กับแผงควบคุมดิจิตอล เราก็ต้องไปตั้งค่าในโต๊ะการผลิตต่าง ๆ ของเรา และเชื่อมโยงเส้นทางการผลิต ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างยาก และซับซ้อนเอามาก ๆ ถึงเกมจะสอนเราอย่างละเอียดแล้ว แต่ด้วยรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ เอาจริง ๆ ผู้เขียนจำไม่ได้หรอกครับ ฮ่า ๆ อาศัยเล่นไปเรื่อย ๆ จนเกิดความเคยชิน การเริ่มกระบวนการการผลิตของเกมนี้จะเป็นระบบแรงงานคนก่อนในช่วงเริ่มต้น เกมจะให้เราซื้อโต๊ะการผลิตต่าง ๆ มาวางในโรงรถครับ การจ้างคนงานของเกมนี้ไม่ได้วุ่นวายอะไร เราสามารถเลือกคนงานด้วยตัวเองก็ได้ หรือถ้าขี้เกียจก็กดจ้างแบบออโต้มาเลยเกมก็จะเลือกมาให้เราครับ พอเล่น ๆ ไปแรงงานของเราก็จะเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นเครื่องจักรครับ ในส่วนนี้ผมชอบนะ ให้ความรู้สึกสมจริงดีครับ เพราะในโลกความเป็นจริงพอบริษัทเราโตขึ้น เราก็ต้องอยากได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยที่สามารถผลิตได้ต่อเนื่องและได้ในปริมาณที่มากขึ้นซึ่งเครื่องจักรก็จะทำหน้าที่เหล่าดีนี้ได้ดีกว่าคน (แต่ยังคงต้องใช้คนควบคุมเครื่องจักร) ซึ่งในส่วนนี้ถือว่า เมคเซ้นส์ สำหรับตัวผู้เขียนครับระบบการควบคุมระบบต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้ลองเล่นอาจจะมีความแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในท้องตลาดอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่โดยรวมยังเหมือนกันครับ เราจะใช้ปุ่ม W, S, A, D หรือกดคลิ๊กขวาค้างเอาไว้เพื่อเคลื่อนย้ายมุมกล้อง, และมีคีย์ลัดต่าง ๆ ให้เรากดเพื่อเปิดแต่ละเมนูขึ้นมา (ในส่วนนี้ตัวเกมจะสอนเราใช้งานไปเรื่อย ๆ ระหว่างเล่น แนะนำว่าให้อ่านดี ๆ นะครับเพราะว่าเกมนี้มีเมนูยิบย่อยเยอะมาก ๆ อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้) และที่สำคัญเกมนี้เราไม่สามารถหมุนมุมกล้องได้ 360 องศา เล่นจากมุมไหน เราจะต้องดูมุมนั้นไปตลอด ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวของผู้เขียนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างจำกัดอิสระในการเล่นเกมครับ แต่ถามว่าเป็นปัญในการเล่นไหม? ก็ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับเกม Simulator ส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนเคยเล่นมา จะมีระบบให้เราเลือกเร่งความเร็วของเกมได้ (x2 x4 x6 ประมาณนี้) เกมนี้ก็มีปุ่มนั้นให้เลือกใช้เหมือนกัน แต่การเร่งของเกมนี้มีเพียงแค่ 2 ระดับเท่านั้น ซึ่งในระดับที่ 2 มันไม่ได้เร็วอะไรเท่าไหร่นัก (คือใจผู้เขียนไปก่อนแล้ว แต่ตัวเกมมันเร่งได้เท่านี้ ฮ่า ๆ ) ในส่วนนี้ผู้เขียนมองว่ามันน่าจะทำให้เร็วขึ้นได้มากกว่านี้ เหมือนในเกมอื่น ๆ ในส่วนนี้ผู้เขียนเลยไม่ปลื้ม เพราะเล่น ๆ อยู่แล้วหลับครับ ฮ่า ๆกราฟิกเกมนี้ตัวละครยังออกแบบมาในสไตล์น่ารักแบบ 3D Polygon ถ้าดูดี ๆ จะว่าน่ารักก็ได้มั้ง เอ๊ะ หรือมันออกแนว กวนโอ๊ย ว่าซ่านนนน เกมนี้ถ้าเราดูดีดีตัวละครต่าง ๆ ในเกมจะไม่มีข้อต่อนะครับ ใช่ครับไม่มีเลย แม้แต่คอ ฮ่า ๆ ก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกมดีครับ ระบบ UI ต่าง ๆ ของเกมนี้จากที่ผู้เขียนได้ลองเล่น ดูผ่าน ๆ เหมือนจะง่าย แต่พอมาเล่นจริง ๆ มันโคตะระซับซ้อนเป็นอย่างสูงครับ อาจจะดูสวยงามน่ารักเรียบง่าย แต่มาใช้งานจริงแล้วก็ต้องปรับตัวยกใหญ่อยู่เหมือนกัน หรืออาจจะต้องเล่นไปสักพัก ถึงจะเริ่มชินครับ ผู้เล่นใหม่ ๆ นี่ผมไม่อยากแนะนำให้เล่นเกมนี้เลยครับ ร้องไห้แน่ ๆ ฮ่า ๆเป็นเกมที่ใช้ทรัพยากรในเครื่องค่อนข้างน้อย มีพื้นที่ว่าง ๆ ในเครื่องของเราประมาณ 1.11GB ก็เล่นได้แล้ว และไม่ต้องใช้เครื่องที่มีสเปคสูงมากมายอะไร ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่น ๆ ครับสรุปผมให้เกมนี้ 7 คะแนน เพราะมันดูง่ายแต่เอาเข้าจริงพอเล่นแล้วไม่ง่ายเลยครับ (อย่าให้ความน่ารักของเกมนี้หลอกคุณ) อยากเล่นเพื่อคลายเครียด แต่เครียดกว่าเดิม ฮ่า ๆ เป็นเกมที่ต้องใช้ความเข้าใจกับมันค่อนข้างสูงครับ ถ้าตัดสินจากภาพ "เกมง่าย ๆ อีซี่ ๆ" พอมาเล่นจริง โอโห้ ผู้เขียนนี่ต้องคิดเยี่ยงนักธุรกิจจริง ๆ เลยครับ และด้วยความที่มันเร่งความเร็วได้แค่ 2 ระดับ มันก็แอบทำให้เกิดความน่าเบื่อเล็ก ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเราไม่จำเป็นต้องติดอยู่ในส่วนนี้นานขนาดนี้ก็ได้ ถ้าผู้เล่นใหม่อยากจะมาลองเล่นผมบอกเลยว่า หนีไปปปปปปป ส่วนผู้เล่นที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาบ้างแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาครับ อาจจะต้องปรับตัวอยู่บ้างในช่วงแรก แต่พอเล่นได้แล้วก็ถือว่าเป็นเกมที่สนุกดีทีเดียว แต่ยังยืนยันคำเดิมครับว่ามันไม่ฆ่าเวลา แต่มันจะฆ่าเรานี่แหละครับ ฮ่า ๆ เกมนี้ราคาเต็มในสตีมอยู่ที่ 319 บาท (ผู้เขียนขอแจ้งเป็นราคาเต็มไปเลยนะครับ เพราะมันกำลังจะหมดช่วงลดราคาแล้ว) ราคาถือว่าไม่แพงและเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินเรา ที่สำคัญพ่อบ้านใจกล้าอย่างเรา อาจจะขออนุมัติกับคนทางบ้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย (บ้านใครบ้านมันนะครับ บ้านผมไม่มี ถ้ามีสาว ๆ ผ่านมาอ่าน ผมโสดจีบได้นะฮะ งื้อออออ ฮ่า ๆ) สั่งซื้อเกม : https://store.steampowered.com/app/911430/
06 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม Teenage Mutant Ninja Turtles: Shredder's Revenge "สนุก เรียบง่าย แต่ถ้าได้ลองแล้วจะวางไม่ลง!"
นินจาเต่า หรือ เต่านินจา แล้วแต่คนจะเรียก เป็นอีกหนึ่งการ์ตูนแอนิเมชั่น และถูกนำไปผลิตเป็นสื่อบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ทั้งภาพยนตร์ การ์ตูน หรือแม้กระทั่งวิดีโอเกม และเอาจริง ๆ แล้ว วิดีโอเกมกับนินจาเต่านั้น เป็นของที่อยู่คู่กันมานานมากแล้ว เพราะเกมนินจาเต่ามีทั้งแบบ Fighting / Arcade ตะลุยด่าน และแนวอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ Shredder's Revenge นั้น จะมาดึงความเป็นเกมคลาสสิคกลับมาให้ผู้เล่นสนุกกันแบบง่าย ๆ อีกครั้ง แต่มันจะสนุก สมกับการรอคอยมากน้อยแค่ไหน เชิญกับรีวิว Teenage Mutant Ninja Turtles: Shredder's Revengeความพยายามที่ไม่สิ้นสุดของ Shredder และ Foot Clan นินจาเต่า ยังคงเป็นเรื่องราวของสี่สหายนินจาเต่าที่ตั้งชื่อตามบุคคลดังของโลก ไม่ว่าจะเป็น Leonardo / Raphael / Michaelangelo / Donatello และสหายร่วมรบอีก 2 คนอย่าง April O'Neil นักข่าวสาว และนักกีฬาเอกซ์ตรีมอย่าง Casey Jones และอาจารย์ Splinter โดยในจำนวนนี้ มีเพียง Casey Jones เท่านั้น ที่จำเป็นต้องเล่นเพื่อปลดล็อคตัวละครก่อน นอกนั้นก็สามารถหยิบมาใช้ได้เลย เรื่องราวของตัวเกมในภาคนี้ยังคงหนีไม่พ้น ความพยายาในการจะยึดครองโลกของ Shredder และเหล่ากองทัพ Foot Clan ที่คราวนี้ ขนลูกน้องมาเป็นกระบุง ทำให้เราต้องเจอหน้าเหล่าบอสในแต่ละ Episode ที่มากหน้าหลายตามาก ซึ่งก็คงต้องบอกตรง ๆ ว่า ผู้เขียนไม่เชี่ยวชาญเรื่องตัวละครในโลกของนินจาเต่าเลยแม้แต่น้อย แต่มันน่าประทับใจตรงที่แม้จะมีจำนวนบอสที่เยอะมาก ๆ แต่รูปแบบการโจมตี ดีไซน์ แม้กระทั่งวิธีการเอาชนะ ทางผู้พัฒนาได้พยายามใส่ความหลากหลายลงไปให้มากที่สุด แต่ก็ยังคงเส้นเรื่องเอาไว้ไม่ให้มันหลุดโทนจนเกินไปที่ชอบอีกอย่างคือ การสรุปเนื้อเรื่องในช่วงเริ่มต้น และจบแต่ละ Episode นั้น จะใช้เวลาไม่นานมากนัก ไม่ให้คนรู้สึกเบื่อ และพยายามพาผู้เล่นเข้าสู่ช่วงเกมเพลย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ใช่ว่าเนื้อเรื่องจะไม่สำคัญนะ แต่ถ้าคุณเบื่อกับเกมแนวผู้ร้ายยึดครองโลก และมีความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า จะข้าม ๆ มันไปก็ได้ ไม่ตกหล่นหรือเสียหายอะไรเกมเพลย์สุดคลาสสิค เล่นง่าย แต่ท้าทาย และสนุกแบบเรียบง่ายใครที่ชื่นชอบเกมเพลย์การเล่นที่ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความท้าทาย TMNT: Shredder's Revenge นี้ ถือว่าครบเครืองเป็นยากมาก สำหรับเกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็นแนว Beat em' up เดินจากซ้ายไปขวา ตะลุยด่านสุดมันตามสไตล์เกมยุคเก่า ข้อดีของมันคือ เล่นง่าย เข้าใจง่าย เป็นเส้นตรง หากคุณเป็นคนที่เบื่อกับการเถลไถล ออกสำรวจโน่นนี่ จนทำให้เบื่อก่อนที่จะเล่นเกมจบ เกมแนวนี้ถือว่าเป็นเกมที่ตอบโจทย์มาก ๆ ใน 1 ฉากการเล่น จะใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาทีก็จบแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่เกมที่คุณจะเข้ามารัวปุ่ม สแปมปุ่มโจมตีแล้วก็จบเกมอย่างง่าย ๆ เพราะเกมนี้มี Moveset หรือท่าการโจมตีที่เยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีปกติ การโจมตีหนัก การโจมตีด้วยไม้ตาย การหันมาโจมตีศัตรูด้านหลัง หรือกระโดดโจมตีกลางอากาศ แถมบางท่าทางการโจมตี เราก็ไม่สามารถปลดล็อคมาใช้ได้ตั้งแต่แรก แต่เราจำเป็นจะต้องหยิบเอาตัวละครนั้นไปเล่นบ่อย ๆ จนค่า Power Level สูงขึ้น จึงจะปลด Moveset ใหม่ ๆ มาให้ใช้งานกัน เกมนี้จึงมี Replayability หรือคุณค่าการเล่นซ้ำที่สูงไม่ใช่น้อย หากคุณไม่ใช่คนขี้เบื่อที่เคลียร์เกมทีเดียวจบโดยไม่สนอย่างอื่นตัวละครแต่ละตัวนั้น ก็จะมีสเตตัสที่แตกต่างกันออกไปด้วย โดยแบ่งเป็น ค่า Range หรือระยะการโจมตีของตัวละคร ค่า Power ความแรงในการโจมตี ค่า Speed หรือความว่องไวของตัวละคร ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้เล่นอยากจะเล่นตัวไหน ที่มันต้องทำให้ต่าง เพราะเกมนี้รองรับการเล่น Co-op มากถึง 6 คน ดังนั้นการหยิบเอาตัวละครแต่ละตัวมาและเมื่อตัวละครของเรามีท่าโจมตีที่หลากหลาย ศัตรูของเกมนี้ก็มีหลากหลายตามไปด้วย อย่างที่บอกไปว่า เราไม่สามารถสแปมปุ่มรัว ๆ เพื่อเอาชนะศัตรูได้ ในด่านแรก ๆ นั้น อาจจะยังพอทำได้ แต่เมื่อเริ่มเข้าช่วงกลางเกม ท้ายเกม เราจะเริ่มเจอกับศัตรูที่มีลูกไม้ในการโจมตีมากขึ้น ศัตรูในเกมนี้ส่วนมากจะเป็นพวกนินจา Foot Clan ที่ใช้วิธีการเปลี่ยนสีเอา แต่อย่างน้อย การเปลี่ยนสีนี้ก็ทำให้เราจำแนกประเภทศัตรูได้ง่าย คือเวลาที่เราเห็นศัตรู เราจะรู้เลยว่า เจ้าสีนี้ เราจะต้องรับมือยังไง นอกจากนั้นภายในฉาก ระหว่างการเล่น เกมจะมี Objective Bonus ให้เราทำเสมอ ส่วนมากจะเป็นภารกิจที่ทำได้ในฉากนั้น เช่นโจมตีศัตรูด้วยท่าไม้ตาย ใช้กับดักทำให้ศัตรูตาย หรือห้ามโดนโจมตีเกินกี่ครั้ง สำหรับภารกิจพวกนี้ นับว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะต้องอาศัยความเป๊ะ ความแม่นยำ และความสามารถพอสมควร ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก จะกลับมาไล่เก็บในรอบที่ 2 ก็ได้ระหว่างฉากจะมีวัตถุที่ทำลายได้อยู่เสมอ วัตถุเหล่านี้เมื่อทำลายแล้วจะมีโอกาสเจอ 2 อย่างคือ Secret ของเกม ที่หาเจอได้ง่ายมาก แต่ละด่านก็จะมีอยู่ด่านละ 1 ชิ้น และอีกอย่างคือพิซซ่า ซึ่งจะแบ่งออกเป็นพิซซ่าฟื้นพลังชีวิต และพิซซ่าบ้าพลัง ที่เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ตัวละครบ้าพลัง และใช้ท่าไม้ตายได้ทันที เป็นอีกหนึ่งความสนุกที่ดึงให้เราเล่นเกมนี้ต่อได้อย่างเรื่อย ๆ เพราะเกมไม่ซับซ้อน ไม่ยากไป ไม่ง่ายไปนั่นเอง ส่วนของศัตรูจะมีความหลากหลายที่ในตอนแรกเราอาจจะมองว่ามันเป็นแค่การย้อมสี แต่หากเล่นไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นจะพบว่ามันไม่ใช่แค่การย้อมสีแบบทำง่าย ๆ แต่ศัตรูแต่ละสีที่ถูกย้อมมานั้น จะมีรูปแบบการโจมตีที่ไม่เหมือนกันเลย แถมยังใช้อาวุธต่างกัน และมี Moveset การโจมตีผู้เล่นที่ต่างกันอีกด้วย ใครที่คิดว่าเจอศัตรูย้อมสีแล้วมันจะเหมือนเดิม ก็เตรียมตัวเสีย Life Point เกิดใหม่อีกรอบกันได้ เป็นเกมที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้ แม้จะเล่นไปไกลแล้ว สิ่งที่ชื่นชอบอีกอย่าง คือการพยายามไม่ทำให้เกมเพลย์จำเจอยู่กับฉากแบบเดิม ๆ คือปกติแล้ว เกมการเล่นจะทำให้เราเดินจากซ้ายไปขวา ด้วยการเดินเท้า แต่ในบางฉากจะเป็นฉากพิเศษ ที่ทำให้ตัวละครของเราบังคับอุปกรณ์พิเศษ เช่นบอร์ดลอยฟ้า และเปลี่ยนสถานที่ต่อสู้กันเป็นการขับยาน หรือขับรถไล่กัน แม้ภาพรวมของเกมเพลย์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เกมเพลย์สนุกขึ้นข้อเสียนิดหน่อยสำหรับเกมเพลย์คือเรื่องของ Boss Fight เพราะแม้ว่า Boss Fight ของเกมนี้ จะนำเสนอศัตรูที่มีความหลากหลายในด้านการดีไซน์ แต่ในด้านเกมเพลย์นั้น ถือว่าน่าตินิดหน่อย นั่นคือความยากง่ายในการต่อสู้ บางตัวก็ง่ายชนิดที่แค่สแปมปุ่มรัว ๆ ก็ผ่าน บางตัวก็ยากจนต้องจับจังหวะและเรียนรู้ให้ดี หรือบางตัว ไม่เก่งเลย แต่เน้นซัมมอนพวกออกมารุม และใช้การโจมตีกวาดฉาก ทำให้เราต้องหลบหลีก และมีจังหวะสวนกลับได้น้อย หากใครชื่นชอบความท้าทาย จะนับว่าเป็นข้อดีก็ได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว รู้สึกว่าความยากมันแก่วงไปพอสมควรเลยทีเดียวและหากเล่นจนจบแล้ว ยังรู้สึกว่าชีวิตต้องการความท้าทายอยู่ล่ะก็ Arcade Mode ขอต้อนรับ เพราะโหมดนี้จะมาพร้อมเกมการเล่นแบบคลาสสิคสมชื่อ ให้ประสบการณ์เหมือนเราเล่นเกม Arcade หยอดเหรียญสมัยก่อน โหมดนี้จะสามารถ Continued ได้แบบจำกัดจำนวนครั้ง รวมไปถึงไม่มีการเซฟ Progression ระหว่างเล่น เล่นแล้วต้องเอาให้จบ ตายมาก็เริ่มใหม่หมด ใครหวนคิดถึงบรรยากาศยุคเกมอาร์เคดละก็ โหมดนี้ถึงใจแน่นอนสรุปแล้ว สำหรับคอนเทนต์ของ TMNT: Shredder's Revenge นั้น ถ้าจะเอาให้จบเนื้อเรื่องรอบเดียว ก็อาจจะใช้เวลาไม่นานนัก 2-3 ชั่วโมงก็เพียงพอ แต่ถ้าจะเก็บทุกอย่างให้ครบ รวมไปถึงเล่นซ้ำในโหมด Arcade หรือถ้าชวนเพื่อน ๆ มาสนุกไปด้วยกันแบบจัดเต็ม 6 คน นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่า คุ้มราคาอย่างมาก เพราะนี่ก็เป็นเกมอินดี้ที่ไม่ได้มีราคาแพงมากมายอะไรเลย แต่ความสนุกที่ได้นั้น ค่อนข้างคุ้ม หรือเกินราคาไปเลยด้วยซ้ำสเปคเบาสบาย เข้าถึงง่าย ไม่ต่างจากเกมเพลย์นอกจากเกมเพลย์จะเข้าถึงง่ายมาก ๆ แล้ว สิ่งที่น่าชื่นชมพอ ๆ กันเลยคือการ Optimize และปรับแต่งตัวเกมมาให้เข้าถึงได้ง่ายพอ ๆ กัน เพราะเพียงคุณมีคอมพิวเตอร์สักเครื่องก็น่าจะเล่นได้แล้ว โดยตัวเกมต้องการการ์ดจอเพียงการ์ดจอ GTS 450 หรือ R7 250 เท่านั้น หรือจะเป็น Intel HD ออนบอร์ดเลยก็ยังเล่นไหว และใช้แรมเพียง 4GB สเปคแบบนี้ ยุคนี้คิดว่าน่าจะไหวกันหมดอยู่แล้วและแม้ว่าเกมจะนำเสนอภาพแบบการ์ตูนพิกเซล ทำให้การปรับ Option ในส่วนของภาพกราฟิกมีไม่ค่อยเยอะนัก แต่เกมก็ใส่ทางเลือกในการปรับการตั้งค่าในส่วนของปุ่มควบคุมมาอย่างละเอียด เพราะเกมนี้ใช้ปุ่มและการควบคุมที่ค่อนข้างเยอะ ผู้เล่นบางคนอาจจะถนัดที่ได้ตั้งค่าปุ่มด้วยตัวเองมากกว่า เกมนี้รองรับได้มากที่สุดเท่าที่จะรับได้แล้วเรียกได้ว่าเกมนี้สอบผ่านทั้งในแง่ของเกมเพลย์และประสิทํธิภาพของตัวเกม หากคุณกำลังมองหาเกม Beat em' up / ตะลุยด่านสนุก ๆ ที่เล่นพร้อมกันได้มากถึง 6 คน นาทีนี้ก็ไม่น่ามีเกมไหนตอบโจทย์ได้ดีไปกว่าเกมนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเกมลงให้กับ Xbox / PC Game Pass ที่สามารถดาวน์โหลดมาเล่นกันได้ฟรี ๆ สำหรับคนที่เป็นสมาชิกด้วยแล้วถือว่าคุ้ม หรือจะเสียเงินซื้อมาเล่น ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี
03 Jul 2022
[Review] Recipe for Disaster "เกมจำลองร้านอาหารสุดเพลิน คุ้มเกินราคาขาย"
หลังจากนั่งเหงา ๆ หาเกมเล่นในช่วงเทศกาล Steam Summer Sale นี้ ผู้เขียนได้ไปเจอหลายเกมที่น่าสนใจ และหนึ่งในนั้นที่ผู้เขียนได้เลือกมาเล่นก็คือ Recipe for Disaster เกมที่ถูกพัฒนาโดย Dapper Penguin Studios จับมือกับ Kasedo Games ลงวางขายบนร้านค้า Steam เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2021 ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดีเป็นอย่างมากครับ เลยทำให้ผู้เขียนอดใจไม่ไหว ต้องขอหยิบจับมาลองเล่นกับเขาดูบ้าง ในเกมนี้เองผู้เล่นจะได้มารับบทเป็นทั้งเจ้าของร้านและหัวหน้าเชฟในเวลาเดียวกัน เราต้องพัฒนาร้านของเราให้โด่งดังมากยิ่งขึ้นอารมณ์แบบบริหารร้านเพื่อดาวมิชลิน (ไข่เจียวปูเจ๊ไฝ หรือจะมาสู้ผม ฮ่าๆ) นอกจากนั้นเรายังต้องบริหารจัดการลูกน้องของเราให้ดูแลร้าน, ลูกค้า และปรุงอาหารให้ได้ดีตามสูตรของเราเพื่อเรียกคะแนนรีวิวให้กลายเป็นไวรัลเพื่อร้านของเราจะเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และมีผู้มารับประทานอาหารที่ร้านเรามากยิ่งขึ้นครับ(เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ววววว) มาดูกันครับว่าสูตรอาหารที่เรารังสรรค์ขึ้นมานั้น จะปังปุริเย่ หรือ ปังพินาศ ตามชื่อเกม เรามาลุ้นกันครับเกมเพลย์เกมนี้เป็นแนว Simulator เราจะสวมบทบาทเป็นทั้งเจ้าของร้าน + หัวหน้าเชฟ บริหารร้านของเราและคิดสูตรอาหารเพื่อวางขาย จะชิบหายสมชื่อไหม นั่นก็ขึ้นอยู่ที่เราบริหารจัดการครับ ฮ่าๆเริ่มแรกของเกมเราจะได้สร้างตัวละครของเราก่อนครับ เราสามารถเลือกสไตล์ของตัวละครได้อย่างอิสระเท่าที่เกมมีมาให้ครับไม่ว่าจะเป็น เสื้อ ผ้า หน้า ผม ตรงนี้ถึงแม้จะไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก แต่ผู้เขียนก็ยังใช้เวลาในการสร้างตัวละครนานอยู่ดีครับ เกมนี้ไม่ได้ล็อคเพศ เพื่อน ๆ สามารถเลือกเพศของตัวละครได้ครับ Skill เริ่มต้น หรือทักษะที่สำคัญต่าง ๆ เกมจะบังคับให้เราเลือกตั้งแต่เราสร้างตัวละครเลยครับ โดยเริ่มแรกนั้นตัวเกมจะให้เราเลือก Skill Level 2 ที่เราสามารถเพิ่มทักษะให้กับตัวละครของเรา ได้ 2 ทักษะครับ และ Skill Level 3 นั้นสามารถเลือกได้เพียง 1 ทักษะครับ (ฉะนั้นให้เราเลือกดีดีว่าเราอยากจะเด่นไปในด้านไหน) ถ้าเราจะเล่นเป็นพ่อครัวเป็นหลักก็ให้เน้นที่การทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นทักษะ การ ย่าง อบ ทอด หั่น การเตรียมวัตถุดิบ เป็นต้น แต่ถ้าเราจะเน้นไปที่งานบริการลูกค้าเราก็อัดทักษะไปที่ การทำความสะอาด เซอร์วิส และเสน่ห์ ครับ แล้วถ้าชอบสกิลไหนมาก ๆ เกมจะให้เพื่อน ๆ ติดดาวสกิลนั้น ๆ ไว้ด้วย ในส่วนของสกิลที่เราไม่ชอบเกมก็จะให้เรากด Dislike ไว้เช่นกันครับเกมนี้การสร้างตัวละครเรายังต้องกำหนดลักษณะนิสัยให้ตัวละครของเราด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือก Animal Lover เวลาเราทำอาหารเกี่ยวกับพวกเนื้อสัตว์ ตัวละครของเราก็จะ "เซนซิทีฟ" การทำอาหารในเมนูต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ก็จะดรอปลงครับพอเริ่มเล่นจริงจะมีให้เราเลือกเล่นแบบเพลิน ๆ 2 โหมดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น - Campaign Mode ที่เราจะต้องผ่านด่านต่าง ๆ ที่มีความท้าทายให้เราทำ โดยตัวเกมจะให้เควสเรามา ซึ่งเราก็ต้องทำ To do list ให้ครบ เราถึงจะสามารถผ่านไปบริหารร้านถัดไปที่มีความท้าท้ายที่มากกว่าได้ครับ ในโหมดนี้จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในครัว มาให้เราแล้วจำนวนหนึ่งครับ และเราจะโดนจำกัดอุปกรณ์ เราจะไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้อย่างอิสระในโหมดนี้ครับ- Free Play Mode ในโหมดนี้เราจะทำอะไรกับร้านเราก็ได้ สามารถตบแต่งให้สวยงามในสไตล์เราได้เลย อุปกรณ์การซื้อปลดล็อคทั้งหมดไม่จำกัด ไม่มีความท้าท้ายอะไรเลยครับ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเล่นโหมดนี้เท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างอิสระเกินไปสำหรับผม ส่วนถ้าใครชอบแต่งร้านสวย ๆ โหมดนี้เหมาะกับคุณแน่ ๆ ครับในส่วนของเมนู อาหารเราสามารถคิดสูตรขึ้นมาเองได้ หรือได้สูตรมาจากการรีวิวของลูกค้าที่อยากกินอาหารเมนูนั้น ๆ (จะมีปุ่มให้เรากดรับสูตรอาหารในรีวิวครับ) เราสามารถรังสรรค์เมนูอะไรมาวางขายก็ได้ไม่ว่าจะเป็นของคาวยันของหวาน วิธีการปรุงอาหารก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นอย่างเราเลยว่าจะครีเอทเมนูออกมายังไง จะเป็นอาหารซับซ้อนเยี่ยงเลอกอร์ดองเบลอ หรือจะเป็นสไตล์บ้าน ๆ ง่าย ๆ สุดแล้วแต่เราจะครีเอทกรรมวิธีการผลิตลงไปเลยครับ ส่วนเมนูจากทางบ้านที่มีคนรีวิวมานั้น จะได้เป็นอาหารจานง่าย ๆ แต่เราก็ยังสามารถที่จะเพิ่มในส่วนของวัตถุดิบลงไป เพื่อรสชาติอาหารที่ดียิ่งขึ้นได้ สวมวิญญาณเชฟเอียนกันไปเลยอุปกรณ์ต่าง ๆ บางอย่างเรามีความจำเป็นที่จะต้องซื้อแม้ตัวเกมจะไม่ได้บังคับ อย่างเช่น ถังดับเพลิง เพราะอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อเราใช้ไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง สามารถเกิดอุบัติเหตุอย่างไฟไหม้ได้ครับ ผู้เขียนเคยลองไม่ซื้อวอดวายทั้งร้านเลยครับ กดเริ่มใหม่แทบไม่ทัน ฮ่า ๆ ความสะอาดของร้าน มีผลต่อคะแนนการรีวิวของลูกค้าด้วยนะครับ และห้องน้ำควรทำแยกไม่ควรสร้างเป็นห้องน้ำร่วมสาบาน นั่งทำภารกิจกันไปมองหน้ากันไป เพราะผู้เขียนได้ลองทำมาแล้ว ทำให้รีวิวร้านอาหารที่ผู้เขียนบริหารจัดการอยู่นั้นมีแนวโน้มไปในทิศทางที่แย่มากครับ AI ไม่โอเคที่จะนั่งในห้องน้ำและปลดทุกข์ด้วยกันครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ผู้เขียนได้ดาวเดียวตลอดจนต้องรื้อห้องน้ำ และปรับปรุงใหม่ ไม่ให้ AI เขินกันจนเกินไป ถ้าไม่แก้เราจะผ่านด่านหลัง ๆ ได้ยากขึ้นครับ เพราะว่าร้านที่เราบริหารในช่วง Level หลัง ๆ นั้น ต้องการค่า Popularity ที่ค่อนข้างเยอะครับ ฉะนั้นเราต้องซนให้น้อยลงหน่อยระบบควบคุมการควบคุมของเกมนี้ไม่ต่างจากเกมแนว Simulator อื่น ๆ ในท้องตลาดเท่าไหร่ครับ ใช้ WASD เพื่อเคลื่อนย้ายมุมกล้อง, ลูกกลิ้งก็ใช้เพื่อซูมเข้าออก, การหมุนภาพก็ใช้ QE, และปุ่มที่สำคัญในการเล่นอื่น ๆ เราสามารถเข้าโหมด Tutorial ไปลองฝึกเล่นให้ตัวเกมมันสอนระบบขั้นพื้นฐานให้เราก่อนได้ บอกเลยว่าไม่ยากครับ ตัวเกมสอนละเอียดและค่อนข้างเข้าใจง่าย คนที่ไม่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน ผมรับประกันว่าจะเข้าใจอย่างแน่นอนกราฟิกเกมนี้เป็นเกม PC มีภาพเป็นแนว 3D Polygon ช่วยให้ตัวเกมไม่ดูตรึงเครียดจนเกินไป จัดว่าน่ารักดีสำหรับสาย Cute Cute เฉกเช่นตัวผู้เขียน เล่นได้เพลิน ๆ เพราะไม่ได้ใช้กราฟิกที่เยอะอะไรมากมายครับ และ UI ของเกมที่ค่อนข้างเข้าใจง่าย สามารถกดดูความต้องการของตัวละคร, ความคิดของพนักงาน, ความต้องการของลูกค้า และจัดการร้านอาหารของเราได้อย่างง่ายดาย  เกมนี้เราสามารถกำหนดพื้นที่ทำความสะอาด เข้าและออกจากร้านอาหารได้ ทำให้เกมดูมีความสมจริงมากขึ้นอีกด้วยสรุปเกมนี้สำหรับผู้เขียน ผู้เขียนให้เต็ม 10 ไม่หัก เกมย่อยง่าย เล่นได้เพลิน ๆ ลืมวันเวลา อีกอย่างที่ปลื้มมาก ๆ คือเครื่องไม่ต้องแรงมากก็เล่นได้ครับ อีกส่วนที่ได้ใจผู้เขียนไปคือโหมดแคมเปญที่มีเควสให้ทำ บริหารร้านสร้างความท้าท้ายไปเรื่อย ๆ เป็นอะไรที่สนุกมากครับสำหรับตัวผู้เขียน (อาจจะเพราะผู้เขียนชอบเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้วด้วย) ภาพเกมที่น่ารัก ระบบ UI ต่าง ๆ ที่ออกแบบมาให้ใช้สะดวกไม่ซับซ้อน มือใหม่ก็สามารถเล่นได้ครับ นี่ผู้เขียนคิดเล่น ๆ ว่าเล่นเกมนี้มาสักพักละถ้าไปเปิดร้านอาหารจริง ๆ ก็คงพอได้อยู่ เพราะเมนูในเกมที่ผู้เขียนครีเอทขึ้นมาก็ไม่ได้พังพินาศตามชื่อเกมแต่อย่างใด ฮ่าๆ (อันนี้อวยตัวเองเฉย ๆ ครับ เปิดจริงน่าจะไม่ไหว) สำหรับใครที่สนใจ ช่วงนี้ Steam ลดราคา ถ้าไม่รู้จะซื้อเกมอะไร ผู้เขียนแนะนำเกมนี้เลยครับ เล่นแล้วได้ความบันเทิงเพลินใจแน่ ๆ ตอนนี้ราคา 129 บาท แต่ถึงหมดช่วงลดราคาไปแล้ว ก็ยังแค่ 259 บาท ไม่ได้แพงมากมายอะไร ราคาจับต้องได้ ควรค่าแก่การซื้อมาติดคลังเอาไว้จริง ๆ ครับ บอกเลยว่าเล่นปุ๊บลืมเวลาปั๊บ เวลาเป็นแค่คําปลอบ เวลาเป็นแค่คําหลอก ก็มีแต่เข็มหมุนวนเรื่อยปายยยยย ♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪สั่งซื้อเกมhttps://store.steampowered.com/app/1492360/Recipe_for_Disaster
02 Jul 2022
[Review] รีวิวเกม MO: Astray เกมแอ๊กชั่นผจญภัย ไขปริศนาความทรงจำ ณ ต่างดาวกับน้องสไลม์
หลายครั้ง ทั้งภาพยนตร์ เกม และสื่อต่าง ๆ มักกล่าวอ้างการมีตัวตนของเอเลี่ยนหรือมนุษย์ต่างดาวและพวกมันก็ชอบเหลือเกิน ที่จะพร้อมใจกันมาบุกเป็นภัยต่อโลกของเรา แต่ก็คงมีไม่กี่เกมนักที่จะเปลี่ยนมุมมองให้เหล่า 'มนุษย์' นี่ล่ะคือภัยพิบัติของจักรวาล และ MO: Astray ได้สร้างเรื่องราวบนเกมอินดี้ 2D เดินข้าง ภาพพิกเซลนี้ตีโจทย์ได้แตกกระจายณ ดาวเคราะห์อันไกลโพ้น เหล่านักวิทยาศาสตร์ Mantis Corporation ได้เดินทางมาพร้อมกับศูนย์วิจัยอวกาศล่องลอยอยู่รอบนอกวงโคจรเพื่อเป็นฐานที่มั่นไป-กลับในระหว่างศึกษาสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และสิ่งมีชีวิตเพื่อนำมาเป็นประโยชน์แก่โลกของพวกเราที่กำลังตายอย่างช้า ๆ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น...ในเกมเราจะรับบทเป็น 'สไลม์' ตัวน้อยที่มีชื่อว่า MO (ขอเรียกว่าน้องโม) ซึ่งเป็นหนึ่งใน Extremergy Fluid หรือถ้าให้พูดภาษาบ้าน ๆ ก็คือจิตใจของสิ่งมีชีวิตในรูปร่างที่จับต้องได้ น้องโมตื่นขึ้นมาในห้องแล็บสภาพรกร้างบนดาวเคราะห์ที่กล่าวข้างต้นโดยไร้ความทรงจำ มีแค่เสียงในหัวดังก้องเรียกเราให้ไปตามหาและช่วยเหลือเธอ ก่อนที่เราจะค่อย ๆ ผจญภัยรับรู้ถึงเหตุการณ์และโศกนาฏกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตัวเกมรับประกันคุณภาพเกมเนื้อเรื่องด้วยค่ายขึ้นชื่อ Rayarkเกม MO: Astray นี้เป็นเกมจากผู้พัฒนาเดียวกันที่ขึ้นชื่อว่าเก่งในด้านพัฒนาเกมเนื้อเรื่อง Rayark ที่หากใครคุ้น ๆ ตัวบริษัทนี้ได้ผลิตเกมของดีมาแล้วหลายเกม ทั้งเกมเพลงดีน้ำตานอง DEEMO, เกมกดตามจังหวะเพลง Cytus II, เกมพัซเซิล RPG เนื้อเรื่องเข้มข้น Sdorica และล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวต้นปีอย่าง DEEMO II ก็บอกได้เลยว่าทางค่ายนี้เขาคัดสรรคุณภาพให้ผู้เล่นได้เต็มอิ่มไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอนเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว จริง ๆ แล้ว ตัวเกม MO: Astray เป็นเกมจากกลุ่มนักศึกษา (ก่อนจะจัดตั้งชื่อเรียกตัวเองว่า Archpray) ที่อยากได้คนมาอุ้มบุญออกทุนสร้างเกมให้ ซึ่ง Rayark ตาคมเล็งเห็นความสุดยอดของตัวไอเดีย จึงรับพวกเขามาเป็นพนักงานและทำถึงขนาดจ้าง Composer ของตนเองมาร่วมบรรเลงงานศิลป์อีกด้วย เกมเพลย์เล่นไม่ยากมากบนพัซเซิลที่กลมกล่อมปกติสไลม์นั้นทำอะไร? ใช่แล้ว กระโดดยังไงล่ะ! เนื่องจากเป็นเกมภาพ 2D มีภาพสวยงามดูสบายตา การบังคับจึงไม่มีอะไรเข้าใจยาก แต่จะเน้นไปที่ประสาทสัมผัสของเราที่ต้องไวและคิดให้ทันไม่เช่นนั้นน้องโมตัวระเบิดแน่! รูปแบบการเล่นจะมีหลัก ๆ เลยคือการเดิน ซ้าย-ขวา และการปัดหน้าจอไปในทางที่ต้องการแทนการกระโดด ให้น้องโมไปยึดติดกับสิ่งของ ก่อนจะพุ่งไปชิ้นต่อไปโดยไม่ให้สัมผัสกับ 'ดอกไม้หนาม' ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต มุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่งของด่านและเมื่อเกมผ่านไปถึงจุดจุดหนึ่ง ที่ความทรงจำน้องโมเริ่มกลับมา น้องจะปลดล็อกความสามารถพิเศษต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเล่น เช่น การดีดตัวกลางอากาศไปเกาะหัว 'สิ่งที่เคยเป็นมนุษย์' เพื่อเข้าดูความทรงจำอันเลวร้ายและจบความเจ็บปวดพวกเขาไว้แค่นั้นนอกจากนี้การเป็นสไลม์ก็สามารถทำได้หลายอย่างทั้งว่ายน้ำ พองตัวและบินไปในอากาศ ผ่านพัซเซิลของด่านที่มีภาพอันสวยงามปนหดหู่และโหดร้ายไว้ได้อย่างแนบเนียน โดยตัวน้องโมจะมีเกจเลือดบนหน้าปัดพร้อม ๆ กับค่าพลังงานไว้ใช้งานสกิล ซึ่งผู้เล่นจะได้รับหรืออัพเกรดเมื่อเข้าถึงความทรงจำที่หายไปของน้องโมตามเนื้อเรื่องหลักหรือการค้นหาในจุดที่แอบซ่อนเอาไว้ระบบต่อสู้บอส ที่มีเอกลักษณ์ สนุก และเร้าใจใครเป็นแฟนเกม Metroidvania ยิ่งไม่ควรพลาดกับจุดนี้เลย เพื่อจะดึงความมันออกมาให้คุณได้ตื่นเต้นไปกับเหล่าบอสขั้นสุด เราก็ต้องบังคับน้องเพื่อต่อกรบอสแต่ละตัวที่มีวิธีการสู้ไม่เหมือนกัน เช่น The Errors ก้อนสไลม์ยักษ์ผลงานผิดพลาดโปรเจกต์ Extremergy Fluid ที่ตัวเราในตอนนี้ยังมีเลือดแค่สี่เกจและไม่มี 'สกิลโจมตี' ด้วยซ้ำ ซึ่งการจะเอาชนะมันเราต้องกระโดดหลบ หายึดเกาะมอนสเตอร์ และล่อให้มันโจมตีตนเอง หรือจะเป็น The King of Inhabitants ซึ่งจะเป็นเนื้อเรื่องช่วงหนึ่งหลังเราได้รับความสามารถอย่าง การค้างกลางอากาศเพื่อหลบการโจมตี และดีดตัวโดยแรงพยายามสร้างความเสียหายให้โดนตัวบอสอยากจะกล่าวว่าบอสในเกมนี้มีหลายตัว แต่ละตัวมีการโจมตีต่างกัน บางทีก็ตีเป็นบ่อพิษหรือพุ่งมาโจมตีโต้ง ๆ เพื่อลดเลือด 1 จาก 4 เกจ บางทีก็เล่นเอาน้องโมตัวแตกไปเลย แบ่งไปตามพื้นที่และเนื้อเรื่อง โดยฉากและรูปแบบการโจมตีสามารถเปลี่ยนได้เมื่อถึง ณ จุดจุดหนึ่งของการต่อสู้ และบางทีก็จะมี QTE (ควิกไทม์อีเวนต์) ประลองความมีสติของเราอีกด้วยความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนเกมพัซเซิลอื่น ๆเกมพัซเซิลบางเกมมีเนื้อเรื่องอันนี้ไม่แปลก แต่สำหรับ MO: Astray นั้นต่างออกไปเพราะตัวเกมมีตอนจบมากกว่าอันเดียว เป็นรางวัลแก่ผู้เล่นอุตสาหะในการค้นหา 'ความทรงจำ' ที่แอบซ่อนหรืออยู่ในหัวของมอนสเตอร์ธรรมดา ๆ ทั่วทั้งเกม รวมถึงจำนวนการตายของเราก็ส่งผลในส่วนนี้ด้วยถ้าหากอยากเก็บตอนจบที่ต้องการละนะนอกจากนี้ก็ต้องชื่นชมในส่วนผู้พัฒนาที่มีทั้งการพากย์เสียงตัวละคร ความทรงจำ หรือจะเป็นหนังสือการ์ตูนขยายเนื้อเรื่องให้เราเข้าใจมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้เลยคือโหมดการเล่นพิเศษ 2 โหมด ได้แก่[Speed Mode] โหมดการเล่นจับเวลาให้เราผ่านด่านให้ไวและตายน้อยที่สุด ทุบสถิติตัวเราเอง หรือชิงความเป็นหนึ่งของลีดเดอร์บอร์ดทั้งเซิร์ฟเวอร์[Disaster Mode] โหมดเนื้อเรื่องเช่นเดิม เพิ่มเติมคือความยากระดับหายนะตามชื่อโหมด เพิ่มทั้งของอันตรายด่าน พัซเซิล ศัตรู และการโจมตีรูปแบบใหม่ของบอสเองทั้งนี้ตามที่กล่าวมาข้างต้นว่า Rayark เป็นคนจ้างนักบรรเลงเพลงมารังสรรค์ให้เอง ดังนั้นบอกเลย 'ของโคตรดีย์' ไปกับตัวเพลงบรรเลงประกอบฉากที่ทำให้เราเล่นได้อย่างลื่นไหล สร้างความฟินให้กับผู้เล่นที่ชื่นชอบฟังเพลงของเกมในระหว่างการเล่นมาก ๆ ความรู้สึกที่สนุก นุ่มฟู ไปกับการเล่นเกมและเนื้อเรื่อง แต่...สามารถบอกได้เลยว่าตัวเกม MO: Astray มีความสนุกจนถึงขั้นไม่เสียดายที่จะเสียเวลาชีวิตพลางหัวอุ่นไปกับพัซเซิล และการผจญภัยอันหลากหลายด้วยตัวละครน่ารัก ๆ อย่างน้องโม บนเนื้อเรื่องผสมเพลงประกอบอันสุดยอด แต่แล้ว เมื่อมันดีมาก ๆ แต่มันดัน 'จบในตัวของมันเอง' เลยรู้สึกค้างคา อยากไปต่อหรือให้มีเนื้อเรื่องเสริม แต่ดันได้แค่นี้ เพราะเหมือนว่าทางผู้พัฒนา Archpray ก็ไม่ได้มีแผนสร้างภาคต่ออย่างที่แฟนเกมต้องการแต่อย่างใด นอกจากจะมาแกงแฟนเกมในวัน April Fool Day ว่า 'จะมีเกมจีบน้องโมให้เราได้กำหมัดเล่นนะ' แล้วก็หายเงียบไป รวมถึงไม่ได้มีการเผยถึงโปรเจกต์ใหม่ ๆ อีกเลยแหม่ ทำดีเกิน จนคนอยากเล่นต่อ แต่ไม่ทำต่อนี่น่าตีมือจริง ๆ เอาเป็นว่าพูดแนะนำ (อวย) มาขนาดนี้แล้ว ใครที่อยากเล่นก็สามารถจับจ่ายหาซื้อได้หลากหลายช่องทางทั้งบนเครื่องแอนดรอยด์, IOS, PC และ Nintendo Switch ได้ตามลิงก์ข้างล่างนี้เลย สำหรับตัวรีวิวเกมครั้งนี้ก็ขอจบลงไปก่อน ไว้เจอกันครั้งหน้า Adios~ เว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการ : https://www.moastray.game/Google Play Store [ 150 บาท ] : https://bit.ly/3A9PRtoApp Store [ 149 บาท ]  : https://apple.co/3ORXLM5PC ผ่าน Steam  [ 450 บาท ]  : https://bit.ly/3Nys9tUNintendo Switch  [ 550 บาท ] : https://bit.ly/3bx7fxL
30 Jun 2022
[Review] Farlight 84 แบทเทิลรอยัล เครื่องจักรกล-คนเหาะได้ ในโลกรกร้าง
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่มีภาพยนตร์เนื้อเรื่องจับคนมาไล่ล่าฆ่ากันในพื้นที่ที่จำกัดในปี 2012 เป็นต้นมา ก็มีเกมมากมายในแนว 'แบทเทิลรอยัล' ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สร้างตัวเลือกที่หลากหลายให้ผู้เล่นได้สนองนีตความคันไม้คันมือ และถ้าหากจะชี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น ทางผู้พัฒนาแต่ละเกมก็ต้องการให้ตัวเกมของตนมีความ 'แปลกและสดใหม่' ต่างจากเจ้าอื่น ๆ เรื่อย ๆ ซึ่งเกมที่มีชื่อว่า Farlight 84 ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเองFarlight 84 เป็นเกมแบทเทิลรอยัลในโลกอนาคตที่ล่มสลาย สไตล์ดิสโทเปีย อัดแน่นด้วยเกมเพลย์อันคุ้นเคยและแปลกใหม่สำหรับผู้เล่นในเวลาเดียวกัน โดยเราจะรับบทเป็น 'แคปซูลเลอร์' ตัวละครทหารรับจ้าง พุ่งทะยานลงไปในแดนรกร้างและชิงความเป็นหนึ่งกับผู้เล่นหลักร้อยคน แล้วมันต่างจากเกมแบทเทิลรอยัลอื่นยังไงน่ะหรอ? มาดูกัน:::ยึกซ้าย ย้ายขวา พุ่งไปข้างหน้าด้วยไอพ่น:::ส่วนมากเกมแบทเทิลรอยัลจะมีเนื้อหาในการปล่อยให้ผู้เล่นหยุมหัวกันทั้งแบบเดี่ยวหรือกลุ่มในแผนที่ที่จำกัดโดยมีวงคอยบีบเข้ามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่ Farlight 84 นั้น แตกต่างจากเกมอื่นอย่างเห็นได้ชัดเลยคือการที่ผู้เล่นไม่ได้มีแค่ตัวเลือกในการวิ่ง ๆ ยอง ๆ ยิง ๆ (แล้วกลายร่างเป็นกล่องในเวลาต่อมา) อย่างเดียว แต่มีสิ่งที่เรียกว่า 'เจ็ตแพ็ค' ติดตัวมากับตัวละครทุกตัวเสมอซึ่งเจ้าตัวเจ็ตแพ็คนี้ มีความสามารถในการดีดตัวผู้เล่นขึ้นไปบนอากาศ หรือโยกไปตามควบคุม สร้างการพลิกแพลงของรูปแบบการเล่นได้หลากหลาย ทั้งหลบกระสุน บุกจู่โจม หรือใช้ในการสำรวจแผนที่และอาคารต่างๆ :::การต่อสู้ของจักรกลคนหุ้มเกราะ:::ในเกมหลายเกมเราอาจจะได้ขับรถไปทั่วเมืองเพื่อเดินทาง ชนศัตรู หรือก้อนหิน แต่ในเกมนี้มันไม่ใช่แค่รถ เพราะเขาอัดมาทั้งอาวุธและความหฤหรรษ์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ล่องหนได้เมื่อเราตระเวนขับหาไอเทม รถพ่นไฟติดไนโตรพุ่งทะยานข้ามเขาและเอาไฟสาด หุ่นยนต์สี่ขาชาร์จยิงเลเซอร์ หรือจะเป็นตั๊กแตนถือลูกซองคู่ (!?) และอีกมากมายที่เราอยากให้คุณลองไปขับใส่เดี่ยวกับศัตรูเอาเอง แต่ก็ใช่ว่าระหว่างขับขี่จะเป็นอมตะนะ! อย่ายิงเพลินจนโดนระเบิดแล้วขิตไปกับมันล่ะตัวหุ่นและรถพวกนี้นั้นเป็นเหมือนตัวเลือกเสริมว่าเราจะใช้มันเข้าร่วมต่อสู้แบบไหน เพราะแต่ละตัวนั้นมีความสามารถ และประโยชน์ที่ต่างกันไป บางคันคล่องตัวแต่ไปได้แค่บนพื้น บางตัวกระโดดได้แต่เคลื่อนที่ช้า ในขณะที่อีกตัวลงน้ำได้แต่จ่ายดาเมจช้าจนอาจกลายเป็นเป้านิ่งได้หากใช้ไม่ดี:::อาวุธปืนที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ยิง:::ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่หากผู้เล่นเกมปืนแต่ละชนิดมาแล้วนั้น นอกจากรูปแบบการยิง ความแรง แรงดีดและอื่น ๆ ในเกม Farlight 84 นี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า 'สกิลปืน' พ่วงมาด้วย โดยแต่ละปืนจะไม่เหมือนกันเลย เช่นMF18:สามารถปล่อยคลื่นตรวจสอบตำแหน่งศัตรูทั้งหมดในวงกว้างสเตลลาร์ วินด์:ที่สามารถยิงโดมโล่แสงเพื่อกันกระสุนจากศัตรู  อินเวดเดอร์:จะปล่อยมิสไซล์หกลูกไปด้านหน้าศูนย์เล็ง ในขณะที่ M4:สามารถสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันเราได้ในระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนั้นถ้าคุณมีความรักและหวงปืนไหนเป็นพิเศษ เราสามารถใช้มันตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมได้โดยไม่ต้องกังวลว่าปืนจะไม่สามารถสู้ผู้เล่นอื่นได้ ตราบใดที่เราใช้มันในการต่อสู้ เพราะเลเวลของปืนจะขึ้นตามจำนวนศัตรูที่เราสังหารได้ และเมื่อจบเกมเราจะได้ในส่วนของเหรียญทองมาอัพเกรด 'ม็อด' หรือออฟชั่นเสริมของปืน ที่สามารถสับเปลี่ยนใส่ได้สี่อย่างตามต้องการ ทำให้ถึงแม้ผู้เล่นจะใช้ปืนเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์การยิงเหมือนกัน:::ตัวละครหลายชาติกับความสามารถที่หลากหลาย:::ตัวละครในเกมนี้จะถูกเรียกว่า 'แคปซูลเลอร์' อย่าง 'สุนิล' หนึ่งในตัวละครชื่อสุดไทยก็เป็นตัวละครในเกมนี้ โดยเขามีพาสซีฟป้องกันสูงสุด ที่จะเพิ่มความเร็วการชาร์จโล่ 30% หรือจะเป็น 'ดัคไซด์' ที่พาสซีฟของเขาคือเพิ่มเลือดสูงสุดถึง 15%ในส่วนของสกินเกมนี้ก็ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง มีทั้งซื้อในร้านค้าและแจกฟรีตามอีเวนต์ โดยไม่มีผลต่อระบบการเล่นนอกจากเพิ่มความมั่นใจให้การเดินยิงทุกรันเวย์ของคุณเท่ขึ้นเท่านั้น :::กราฟิก ความไหลลื่นตัวเกม และภาษา:::ถึงแม้จะเป็นเกมมือถือ แต่ความสามารถในการรันภาพให้ดูสวยนุ่มก็ทำได้ไม่แย่ และคงความลื่นของเกมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้อิสระตั้งแต่ต่ำสุดไปถึงสูงสุดในการตั้งค่ากราฟิก หรือจะตัวปุ่มบังคับให้ถนัดมือระหว่างเล่นก็ทำได้เช่นกันส่วนในด้านของก็ภาษาไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะตัวเกมมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และอื่น ๆ ให้คนทั่วโลกได้เข้ามาร่วมสนุกกัน:::ส่วนประกอบในเกมและโหมดการเล่นไม่ซ้ำซาก:::นอกจากภูเขา ทะเลสาบ ตึกสูง ในเกมก็ยังมีสิ่งประกอบฉากอื่นๆ ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของแต่ละคนสุดแต่จินตนาการ อย่างกล่องแอร์ดรอป แท่นกระโดด เสาชาร์จพลังงาน ตู้คราฟต์ไอเทมที่ต้องใช้แต้มสังหารผู้เล่นอื่นมาใช้คราฟต์และบางทีแค่การกระโดดลงจากแคปซูลทุกวันมันก็น่าเบื่อ ดังนั้นตัวเกมจึงจัดโหมดนอกเหนือจากแบทเทิลรอยัลปกติให้ผู้เล่นใีหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็นเดธแมตช์แบบทีม - ร่วมกับทีมของคุณและช่วยกันพยุงกัน สังหารอีกฝ่ายให้ได้ 30 ครั้งเพื่อชัยชนะแรลลี่ ริมอ่าว - ขับรถซิ่งวิ่งไปทั่วโดยไม่มีข้อจำกัด จงกำจัดให้ศัตรูตกเส้นทางเพื่อให้เราเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกสงครามชิงสมบัติ - ทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันซ่อนมันไว้หมดแล้วล่ะ! ผู้เล่นแต่ละคนต้องตามหาไมโครชิปในเวลาที่กำหนด ใครได้มากสุดก็ชนะไปเลย:::สรุป:::ตัวเกม Farlight 84 มีการคงเอกลักษณ์เป็นแบทเทิลรอยัล แต่ก็ใส่ความเป็นเกมตนเองอย่างหุ่นยนต์ เจ็ตแพ็ค ปืน ความสามารถ ให้แตกต่างจากเกมอื่นโดยคงความสนุกและความแปลกใหม่ไว้ จึงพูดได้ว่าเกม Farlight 84 นี้เป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟน ๆ เกมโดดร่มไม่ควรพลาดตัวเกมเปิดให้ชาวหุ่นเขียวแอนดรอยด์ดาวน์โหลดเล่นผ่านกูเกิลสโตร์แล้วตั้งแต่วันนี้ ในส่วนของ IOS จะเป็นวันที่ 5 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ลิงก์ดาวน์โหลดเกม Farlight 84 : https://bit.ly/3Olh7sP รวมถึงหากใครอยากทราบข้อมูลและข่าวสารเพิ่มเติม ก็สามารถติดตามได้หลากหลายช่องทางทั้งFacebook : https://www.facebook.com/Farlight84THInstagram : https://www.instagram.com/farlight84th/Tiktok : http://www.tiktok.com/@farlight84thYouTube : https://www.youtube.com/channel/UC9zmOX-2PvnB39RDnGNAVJw
24 Jun 2022
[Review] รีวิวเกม Sonic Origins "การคืนชีพใหม่ของเม่นสายฟ้าภาคคลาสสิค ที่ดันเพิ่มปัญหามากกว่าแก้?!"
ไม่ว่าใคร ต่างก็ต้องเคยได้ยินชื่อของ Sonic หนึ่งในตัวละครมาสคอตประจำค่าย SEGA ผู้ทำให้ SEGA ผงาดขึ้นมาต่อกรกับ Nintendo ได้ตั้งแต่ปี 1991 และมันยังครองใจแฟนเกมจำนวนมากเป็นเวลายาวนานหลายปี ในปี 2022 นี้ เราก็ยังจะได้เห็นภาคใหม่ของเจ้าเม่นสายฟ้าตัวนี้ด้วย แต่.. สำหรับใครที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ Sonic ตั้งแต่แรก นี่ถือว่าเป็นโอกาสอันดีแล้วที่คุณจะได้ลอง เพราะ Sonic Origins คือการหยิบเอาเกม Sonic 4 ภาค มามัดรวมกัน แล้วทำการรีมาสเตอร์ใหม่ทั้งหมด แต่มันจะดีเยี่ยมเท่าต้นฉบับหรือไม่ เชิญพบกับรีวิวของเรากันได้เนื้อหาแบบเดิมทั้ง 4 ภาค แต่เปลี่ยนลำดับฉากและการเรียบเรียงสำหรับเจ้าเม่นสายฟ้า Sonic นั้น ตัวเกมนับตั้งแต่ภาคแรกก็จะมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างวนไปเวียนมาอยู่แล้ว หลัก ๆ เลยคือการรุกรานพื้นที่แสนสงบสุขของ Dr.Eggman ตัวร้ายตลอดกาลของซีรีส์นี้ ทำให้เราต้องออกไปจัดการ พร้อม ๆ กับการตามหาสิ่งที่เรียกว่า Chaos Emerald ที่ซ่อนอยู่ในฉากลับต่าง ๆ ในภาคอื่น ๆ ก็จะมีบริบทเนื้อหาที่ใกล้เคียงกัน แต่หลัก ๆ ก็จะเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ Sonic Origins ปรับปรุงแก้ไขมัน คือการเปลี่ยนลำดับฉาก สร้างฉากซีจีแอนิเมชั่นขึ้นมาใหม่ และฉากคัทซีนก็ถูกทำให้คมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ดูงดงามราวกับดูการ์ตูนแอนิเมชั่นดี ๆ สักเรื่องนึงอยู่ เห็นแล้วก็คาดหวัง Sonic Prime ทาง Netflix ได้เลยว่ามันอาจจะต้องออกมาดีกว่านี้อย่างแน่นอนแต่ถึงแม้จะมีการลำดับฉากใหม่ ทำให้ฉากคัทซีนดูดีขึ้น แต่อย่าลืมว่า Sonic Origins คือการ Remaster ไม่ใช่การ Remake แต่อย่างใด ดังนั้นภาพรวมของเนื้อหาจึงไมไ่ด้เปลี่ยนแปลงไปเลย การลำดับฉากก็ไม่ได้มีมากมายอะไรอย่างที่คิด แต่เชื่อว่าใครที่เป็นแฟน Sonic แบบเดนตาย ก็คงจะไม่ได้คาดหวังเนื้อหาแต่แรกอยู่แล้ว แต่กลับกัน การลำดับฉากใหม่ ทำคัทซีนใหม่ ก็เป็นโอกาสอันดีที่แฟน Sonic หน้าใหม่จะได้สัมผัสประสบการณ์เกมเจ้าเม่นสายฟ้า และหายคาใจว่า ทำไมมันถึงกลายเป็นเกมปรากฎการณ์ล้ม Nintendo ในช่วงนั้นตัวละครโคตรเร็ว แต่เล่นให้เร็วนั้น ไม่ดีเอาซะเลยสำหรับแฟน ๆ Sonic อาจจะไม่แปลกใจกับการที่ตัวละครเจ้าเม่นสายฟ้า เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล่บ แต่กับผู้เขียน ในฐานะที่ได้ลองเปิดใจเล่นเกม Sonic เป็นครั้งแรก กลับรู้สึกว่า ตัวเกมมันมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่สูงมากเลยทีเดียว การที่ตัวละคร Sonic สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็ว และการออกแบบฉากที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอยู่แล้ว แทนที่จะทำให้เกมสนุก แต่การออกแบบฉาก เหมือนกับโยนผู้เล่นให้ไปเจอกับดักแบบ 90-100% ทุกการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เราจะไม่เห็นเลยว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ และเกมก็พร้อมจะประเคนความ WTF ใส่เราในทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่โผล่มาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พื้นที่ทำลายตัวเองได้ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มต่างระดับที่มีหนามข้างล่าง ดงนั้น แม้เจ้าเม่นสายฟ้า Sonic จะรวดเร็วแค่ไหน แต่การพุ่งไปข้างหน้าในการเล่นครั้งแรก ผุ้เขียนมองว่าไม่ต่างอะไรกับการเรียนรู้ฉาก โดยไม่สนใจว่าจะได้ฉากจบแบบ True Ending หรือไม่ และค่อยมาตามเก็บฉากจบจริง ๆ ในการเล่นรอบที่ 2 แทน เพราะเชื่อเถอะว่าในการเล่นรอบแรก ยังไงก็ต้องมีพลาดตายกันบ้าง และหนักกว่าตายคือทำแหวนตกหมด จนไม่ได้เข้าด่านลับนั่นเองสำหรับคนที่เล่น Sonic จะรู้กันดีว่า เกมนี้จะมีระบบพลังชีวิตที่แปลกกว่าเกมอื่น ๆ ในระหว่างการเล่น Sonic จะได้วิ่งเก็บวงแหวนสีเหลือง หรือ Ring ระบบนี้จะเป็นเหมือนกับพลังชีวิตสำรอง หากเรามี Ring อยู่ในตัว เวลาโดนสิ่งกีดขวางจำพวกหนาม หรือโดนตัวศัตรู เราจะไม่ตายในทีเดียว แต่ Ring ในตัวจะแตกกระจายออกมา เราต้องไปวิ่งไล่เก็บใหม่ ซึ่งเจ้า Ring นี้ก็หาไม่ยากอยู่แล้ว ภายในฉากมีให้เก็บหลายร้อยวงเลยทีเดียว และที่สำคัญ เจ้า Ring นี่แหละที่จะเป็นตัวการสำคัญในการพาเราไปสู่ฉากจบเกมที่สมบูรณ์แบบ แต่จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละภาค แต่เงื่อนไขหลัก ๆ ในการจะได้ฉากจบที่ดีคือ เราต้องเก็บ Ring ให้ได้อย่างน้อย 50 วงในด่านนั้น จากนั้นในช่วงท้ายฉาก จะมีประตูทางเข้าด่านพิเศษ ให้เข้าไปเล่นเพื่อเก็บ Chaos Emerald อย่างเช่นตัวเกมภาคแรก จะมีพื้นที่ทั้งหมด 7 แอเรียใหญ่ ๆ เราก็ต้องเก็บให้ครบทั้ง 7 เม็ด จึงจะได้ฉากจบที่สมบูรณ์ที่สุด ฟังดูเหมือนจะไม่ยาก แต่เพราะความ Old School ของมันนี่แหละที่ทำให้มันดูยากขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่เราต้องบอกก่อนว่า สำหรับแฟน ๆ Sonic ที่เล่นมาแบบจัดหนักจัดเต็มจะมองว่ามันปกติ แต่กับแฟนเกมหน้าใหม่ จะรู้สึกว่ามันยากก็ไม่แปลก ซึ่งมันก็เป็นเอกลักษณ์แบบเดียวกันกับที่เกมยุค 80-90 หลาย ๆ เกมทำกันในตอนนั้นเพราะทุกครั้งที่เราวิ่งเก็บ Ring เรื่อย ๆ หากเราพลาดโดนโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว Ring ก็จะแตกกระจายจนหมดตัว ต้องไปวิ่งไล่เก็บใหม่ และถ้าคุณไปพลาดโดนโจมตีขึ้นมาในช่วงท้ายฉาก ก็บอกเลยว่าความฝันในการจะเก็บ Chaos Emerald ในฉากนั้นก็คงต้องจบกัน แต่ใน 1 แอเรียใหญ่ เรามีฉากย่อยให้เล่นกันอีก 3 Act แต่ละฉากก็มาพร้อมกับลูกเล่นประจำด่านที่ไม่เหมือนกันเลย เพิ่มความสดใหม่ให้กับการเล่นในทุก ๆ ครั้งที่เราได้เล่นวกกลับไปที่หัวข้อ เราไม่ได้บอกว่าการเล่นแบบเร็วมันแย่ แต่มันไม่ดีเอาซะมาก ๆ โดยเฉพาะกับผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งหลาย ที่ถ้าหากติดสปีดให้เจ้าเม่นสายฟ้าพุ่งตะลุยด่านไปตลอดทาง รับประกันได้เลยว่า คุณจะไม่มี Ring มากพอจะเปิดฉากลับได้ เพราะจะโดนกับดัก โดนศัตรูตีจนตัวแตกก่อนถึงแน่นอน แต่ถ้าใครจะไปช้า ๆ ค่อย ๆ วิ่ง ค่อย ๆ ลุย มันก็เป็นทางเลือกที่ทำได้ ส่วนของ Boss Fight นั้น คู่หูคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Dr. Eggman ก็จะมาในอาวุธหรือยานพาหนะที่ต่างกัน แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้รับมือยากอะไรนัก จะบอกว่านี่มันคือเกมที่มี Boss Fight ง่าย และจืดชืดเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้เช่นกัน ต้อนรับผู้เล่นหน้าเก่า หน้าใหม่ด้วย Anniversary Mode และ Classic Modeกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว ที่ความยากต้นฉบับของเกม จะถูกนำเสนอในรูปแบบ Classic Mode แทน สำหรับ Sonic Origins ก็ไม่ต่างกัน ความแตกต่างของสองโหมดนี้คือ ใน Anniversary Mode นั้น ผู้เล่นจะสามารถตายกี่ครั้งก็ได้ สามารถ Continued ใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีเกมโอเวอร์ ส่วน Classic Mode นั้น จะมีชีวิตจำกัด ตายแล้วมีเกมโอเวอร์ได้ นอกจากนั้นยังมีความต่างในเรื่องของกราฟิกและการแสดงผลหน้าจอ สำหรับ Anniversary Mode นั้น จะแสดงผลแบบเต็มหน้าจอที่ 16:9 และไม่มี Letterbox (ขอบดำ หรือแบคกราวด์เกมกั้นซ้ายขวา) ส่วน Classic Mode จะเป็นการแสดงผลแบบคลาสสิค คือมีขอบกั้นเหมือนเดิม  ดังนั้นผู้เล่นหน้าใหม่สามารถสนุกไปกับตัวเกมได้ด้วยการเล่น Anniversary Mode ที่สามารถตายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่ต้องเริ่มใหม่หมดแต่แรก โหมดเกมหลัก ๆ ก็จะมี 2 โหมดนี้ แต่หากคุณเล่นจนจบเกมหลักแล้ว เกมก็จะปลดล็อคโหมดใหม่ ๆ มาให้ เช่น Boss Rush โดยเป็นโหมดที่เราจะเล่นแบบสู้กับบอสเท่านั้น หรือหากใครชื่นชอบความแปลกใหม่ก็อย่างเช่นโหมด Mirror ที่จะเป็นการเอาฉากเดิม มาสลับข้างกันเหมือนกระจก จากวิ่งไปขวา ก็ให้วิ่งไปซ้ายแทน แน่นอนว่าท้าทายพอสมควร เพราะปกติเรามักจะเล่นเกมนี้ด้วยความเคยชินกันมากกว่าSonic Origins จึงเป็นเกมที่มีคอนเทนต์เยอะพอสมควร แต่นั่นหมายความว่าคุณจะต้องชอบเล่นมันซ้ำ ๆ เท่านั้น หากคิดจะเล่นทีเดียวจบแล้วจบกัน มันอาจจะสั้นกว่าที่คุณคิดก็เป็นได้ปัญหาหนักหน่วงของเกมที่มีมากเกินกว่าข้อดีแม้ว่า Sonic Origins ดูเหมือนจะมีข้อดีมากมาย และเป็นการต้อนรับแฟน ๆ Sonic หน้าใหม่ แต่ตัวเกมกลับมีปัญหาอย่างหนัก และมากเสียจนบางอย่างก็ไม่น่าให้อภัย สิ่งแรกที่ทุกคนอาจจะไม่เชื่อกันเลยจริง ๆ ก็คือ เกมนี้ ไม่มี Option หรือ Setting Menu ให้ปรับการตั้งค่าใด ๆ ได้เลยแม้แต่น้อยใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิด เกมนี้ไม่สามารถตั้งค่า Config ใด ๆ ผ่านตัวเกมได้ เพราะมันไม่มีหมวดหมู่ Option อยู่ภายในเกมเลย ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถตั้งค่า Setting อะไรภายในเกมได้ แม้แต่การตั้งค่ากราฟิก ความละเอียดหน้าจอ หรือแม้กระทั่งเสียง ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่เกมเกมหนึ่งจะไม่มี Option หรือ Setting Menu มาให้เราได้ปรับเลย ผู้เขียนเองยังเจอปัญหาบางอย่างอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ในหน้า Title ก่อนเลือกเกมภาคที่จะเล่นนั้น เกิดอาการเฟรมเรทดรอปไปอยู่ที่ 10FPS จนแทบจะทำอะไรไม่ได้ และทุกครั้งที่ Alt+Tab จะทำให้หน้าจอแสดงผลเกิดอาการผิดปกติ จนบางครั้งเกมล่มไปเลยก็มี เรียกได้ว่า เป็นตัวเกมรีมาสเตอร์ที่เต็มไปด้วยปัญหาก็ว่าได้แถมปัญหาหนักสุดของผู้เขียนเลยคือ ไม่สามารถบันทึกวิดีโอได้เลย ซึ่งต้องบอกก่อนว่าอาจไม่ใช่ปัญหาที่ทุกคนเจอ แต่ผู้เขียนลองเปิด Actions! ในการอัดวิดีโอ ก็พบว่านอกจากจะอัดไม่ติดแล้ว มันยังทำให้เฟรมเรทเกม ดรอปหนักกว่าเดิมด้วย ส่วนโปรแกรมอย่าง NVIDIA Shadowplay ก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับตัวเกมได้ ซึ่งก็ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่กับผู้อื่น หรือคนที่เล่นบนเครื่องคอนโซล อาจจะไม่มีปัญหาอะไรในส่วนนี้นอกจากนั้น เกมยังมีคำครหาจากแฟน ๆ เกมมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดให้ Pre-Order แล้ว ปัญหาของมันก็คือ หากไม่ Pre-Order เราจะได้ของไม่ครบด้วย คือต่อให้ผู้เล่นมาซื้อเกมหลังเกมออก ก็จะต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม ต่างจาก Pre-Order ที่ได้ของครบทีเดียวจบไปเลย และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือระบบ Coin โดยเหรียญนี้เราสามารถหาเล่นได้ตามฉาก และความสามารถของมัน คือการที่มันสามารถใช้ในการ Continue เล่นซ้ำในด่านลับที่เก็บ Chaos Emerald ได้ แน่นอนว่าการเก็บ Chaos Emerald ไม่ใช่เรื่องง่าย เราอาจจะต้องใ้ชเวลาและดวงนิดหน่อย แต่ใครที่ Pre-Order ตัวเกมนี้ จะได้รับเหรียญที่ว่ามากถึง 100 เหรียญ !  แค่นี้ก็น่าจะเห็นถึงความต่างแล้วว่า คนที่ Pre กับไม่ Pre ต่างกันยังไงแถมคนที่ไม่ Pre-Order ยังจะต้องมานั่งเสียเงินซื้อแพคเกจเพิ่ม เช่นเพลงประกอบ ฉากคัทซีนแอนิเมชั่น โดยที่คน Pre-Order ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่ม งานนี้บอกได้เลยว่าขูดรีดกันแบบสุด ๆ แน่นอนว่าแม้กระแสตอบรับของเกมจะโดนด่ายับ แต่ด้วยความที่เป็นแฟน Sonic ก็คงต้องบอกว่า ไร้ทางเลือก เพราะตัวเกม 4 ภาคที่มัดรวมมานี้ ถูกถอดออกจากหน้าร้านค้า Steam ไปแล้ว คนที่อยากเล่น Sonic เวอร์ชั่นแรก ๆ ก็ต้องซื้อตัว Origins เท่านั้นสรุปได้ว่า แม้ Sonic Origins จะทำให้แฟนเกมหน้าเก่า และแฟนเกมหน้าใหม่ มาร่วมเอ็นจอยกับเจ้าเม่นสายฟ้าในฉบับรีมาสเตอร์ได้ แต่ปัญหาที่ตัวเกมมีก็ถือว่าร้ายกาจเสียจนรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าราคา 1,190 บาทเอาซะเลย สำหรับแฟนเดนตาย Sonic นั้น อาจจะไม่มีปัญหา แต่ใครที่ไม่เคยสัมผัสเกม Sonic มาก่อน เราแนะนำว่าให้รดลอราคา หรือข้ามไปเล่นภาคใหม่ ๆ เจ็นใหม่ ๆ เลย จะยังดีกว่า
23 Jun 2022
[Review] รีวิวเกม KIMETSU no YAIBA - The Hinokami Chronicles เกมต่อสู้ของเหล่านักดาบและอสูร (ฉบับ Switch)
ตั้งแต่ก่อนพวกสื่อบันเทิงจากแดนปลาดิบมักจะเป็นมังงะนำหน้ามาเสมอ ก่อนจะต่อยอดเป็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอนิเมะ ละครเวที ภาพยนตร์ฉบับคนแสดง หรือแม้กระทั่งเกมที่ตัวละครออกมาโลดแล่นและบังคับได้โดยมือของพวกเขาเอง นั่นจึงเป็นสิ่งที่เหล่าบริษัทต่าง ๆ สามารถใช้มันในการหาผลกำไรเพื่อพัฒนาตนเองตามปกติของคำว่า 'มันก็เป็นแค่ธุรกิจ'แต่มันจะมีเสียสักกี่เกมกันที่จะประสบความสำเร็จและไม่โดนรุมทึ้งจากผู้บริโภค ซึ่งขอบอกตรง ๆ ว่ามันน้อยมากเพราะมันไม่ได้เป็นที่ตัวเกมอย่างเดียวที่ดีหรือไม่ดี แต่มันมี 'ความคาดหวัง' ของแฟนอนิเมะด้วย พื้นฐานของคำว่าเกมนี้คุ้มค่ามันจึงสูงมาก ไม่ต่างจากอนิเมะดาบพิฆาตอสูรนี้เช่นกัน:::อนิเมะที่พยายามดัดตัวเองให้เป็นเกม:::ใช่แล้ว Kimetsu no Yaiba หรือ ดาบพิฆาตอสูร ก็เป็นมังงะแนวโชเน็นที่ได้รับกระแสความโด่งดังครั้นเมื่อ Ufotable นำมาทำเป็นอนิเมะภาพงามและเกิดเป็นเกม Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้เองซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ แนวเนื้อเรื่องตัวเอกโดนระเบิดบ้าน แล้วแค้นนี้ต้องชำระมันก็มีเพียบบบ จนเกลื่อนตลาดมากและไม่ใช่ความแปลกใหม่เท่าไหร่ ดังนั้นการที่จะมาดัดแปลงเป็นเกมย่อมต้องเพิ่มความยูนิค เปิดโลกตัวเองให้มากขึ้น แต่ไม่เลย ที่นี่เราไม่ทำกันแบบนั้น น่าเสียดายที่ต้องบอกตรงส่วนนี้ว่าตัวเกมแทบจะอิงเนื้อเรื่องจากอนิเมะมาทั้งหมด ยังไม่รวมองค์ประกอบในเกม ที่ภาพโปรไฟล์ยังแคปเจอร์มาจากอนิเมะให้เราใช้ ถึงอาจมีเพิ่มในส่วนของบทพูดหรือฉากคั่นเควสต์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับตัวเนื้อเรื่อง และพูดตรง ๆ ว่าหากคนไม่เคยดูอนิเมะหรืออ่านมังงะมาก่อน แต่โดนพ่อค้าแม่ค้ายัดแผ่นขายพร้อมเครื่อง ก็ยากมากที่จะเข้าใจเนื้อเรื่องทันที เนื่องจากตัวเกมเปิดมาก็ให้ฝึก แล้วบอกคนที่เราตามหาคนต้นเหตุแบบดื้อ ๆ ไม่มีอารัมภบทอะไรทั้งสิ้น แถมหลายฉากก็โดนตัดออกไปเยอะรวมถึงความที่อนิเมะยังไม่จบแต่อยากทำเกมขาย เลยมีจำนวนของด่านให้เล่นแค่ 8 ด่าน แบ่งตามพาร์ตของตัวอนิเมะ (การฝึกฝนบนเขา ถึง รถไฟนิรันดร์)  ซึ่งในส่วนนี้ถ้าไม่เอาพาร์ตของอนิเมะที่จะฉายต่อในอนาคตมาอัปเดตฟรี หรือ ขายเป็น DLC ตัวเกมในราคากว่า $60 (ราว 2,000 บาท) ก็ถือว่าแพงเอาการ:::ความพยายามของการแตกต่างที่ไม่ลงตัว:::Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles เป็นเกมต่อสู้ที่สนุกและมีความเป็นตัวของตนเองงั้นหรอ? ก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะมีการใช้ตัวละคร และองค์ประกอบเป็นของตนเองอยู่แล้ว ก่อนจะพัฒนาเพิ่มในหลาย ๆ ส่วนเช่น สกิลของตัวละครที่ไม่เผยในอนิเมะ ท่าไม้ตายที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละตัว องค์ประกอบฉาก UX/UI ที่มีความเป็นญี่ปุ่นยุคโบราณแต่มันแค่ส่วนเดียวของเกมทั้งหมดเพราะนอกจากนั้นแล้วมันเหมือนกับพวกเกมต่อสู้อื่น ไม่ได้มีจุดยืนเป็นของตนเองเหมือนกับเกม Mortal Kombat กับเรต R และความน่าค้นหาของท่าปิดฉาก / Street Fighter ด้วยคอมโบที่ต่อเนื่องไม่มียึก ๆ ยัก ๆ ถ้าเราแจ๋วจริง / และ Super Smash Bros. ที่ผลักให้ชาวบ้านหลุดโลก ผสมกับบัฟและดีบัฟ ลูกเล่นไอเทม แผนที่ที่เปลี่ยนแปลงแทบจะได้ตลอดเวลา แต่เมื่อกลับกันหันมามองในส่วนของตัวเกมดาบพิฆาตอสูรนี้ก็เป็นเกมต่อสู้ ที่สู้ กดปุ่มให้ตรงตามจังหวะที่อีกฝั่งปล่อยสกิล และจบ ไม่มีอะไรเป็นความพิเศษของตนเอง:::กราฟิกบนเครื่องน้อย กับทรัพยากรที่จำกัด:::อันนี้ต้องขอชมเชยว่าแม้จะอยู่บนเครื่องที่กราฟิก 'มันได้เท่านี้' อย่าง Nintendo Switch ตัวเกมก็ปั้นโมเดลออกมาได้ไม่แย่ค่อนไปทางสวยและตรงตามอนิเมะ รวมถึงเอฟเฟ็กต์ของพวกสกิล การโจมตีปกติ หรือท่าทางต่างๆ ก็มีภาพที่อิงตามต้นฉบับเช่นกัน ทั้งนี้ความพิเศษของระหว่างเล่นที่สังเกตเห็นได้เลยคือตัวภาพจะมีการสับเปลี่ยนโมเดล 3D กับภาพ 2D ได้แบบลงตัวและไม่ทำให้ความรู้สึกเราดรอปลงไปในระหว่างเล่นดังนั้นถ้าอยากเสพงานภาพที่ไม่ได้สมจริง ขอแค่ให้อินไปกับตัวอนิเมะ เกมนี้ก็ทำออกมาไม่เลวในฐานะเกมบนเครื่อง Nintendo Switch เลย:::เกมเพลย์ที่ไม่ดึงดูดและอ้างว้าง:::> นั่งลงดูแอนิเมชันเริ่มบท ที่แปลงมาจากตัวอนิเมะเป๊ะ ๆ> ดูเสร็จเดินตามแผนที่ตบพวกปีศาจกี้กี้บังคับโดยบอตและไม่ได้มีความยาก ท้าทาย หรือพื้นที่แมพให้แตกต่างกัน> คุยกับ NPC ให้ครบเพื่อเปิดทาง> ตบบอสแมพ > ดูแอนิเมชันจบบท แล้ววนลูปใช่ ตัวเกมมีเท่านี้จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรให้หวือหวาเลย อาจจะมีแค่ให้เราตามหาชิ้นส่วนความทรงจำ (ฉากซ้ำในอนิเมะ) หรือแต้มเอาไปแลกของในหน้าแสตมป์ที่ตกตามแผนที่ ก็ไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยขอพัซเซิลให้มานั่งใช้สมองคิดแทนที่เดินตามซอยหาคนก็ไม่มีนะเออ แต่ถ้าพูดถึงในระหว่างการต่อสู้ ถ้าไม่นับตัวละครอสูรตามทางที่มีแต่ความน่าเบื่อและธรรมดา แต่มาพูดในส่วนของบอสประจำบทแต่ละบท ถือว่าตัวเกมทำออกมาได้สนุกอยู่ในระดับหนึ่ง ทั้งความสามารถและการออกแบบท่าทาง ควิกไทม์อีเวนต์ และสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องสู้และต่อกรกับบอสนั้นสนุกของมันอยู่ โดยเราอาจได้สู้แบบเดี่ยว หรือแบบพกตัวละครอีกคนมาคอยช่วยอัดสกิลหรือเปลี่ยนเป็นตัวนั้นๆ ตามบริบทเนื้อเรื่อง เราจึงไม่จำเป็นต้องยึดติดและเล่นได้แค่ทันจิโร่คนเดียวในส่วนของโหมด V.S. หรือต่อสู้กับชาวบ้าน หรือหยุมหัวเพื่อน อันนี้ก็อาจจะได้อารมณ์ขึ้นมาบ้างเพราะได้เจอคนจริง ๆ แต่คอมโบของตัวละครน้อยมาก ไม่ได้มีความรู้สึกว่า 'โอ้ ถ้าฉันกดคอมโบนี้ได้ เพื่อนฉันได้ปล่อยจอยแน่ 555' เช่นเดียวกับเกมต่อสู้จริง ๆ จัง ๆ อย่าง Tekken หรือ Street Fighter (ซึ่งก็อาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียแล้วแต่คนชอบ)ปล. โหมดนี้ถ้าไม่เล่นกับบอต หรือแบ่งจอยกันเล่น ต้องสมัครสมาชิกเป็น Nintendo Switch Online รายเดือนเพิ่มด้วยนะจ๊ะ :::ความรู้สึกที่ได้รับจากตัวเกม:::จริง ๆ แล้วในระหว่างการเล่นช่วงแรกถือว่าน่าเบื่อมากเพราะมันไม่ค่อยมีอะไรทำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คอมโบน้อย ไม่ค่อยท้าทาย แต่เมื่อเกมเริ่มดำเนินมาถึงจุดที่เปิดให้เล่นตัวละครหลายตัวมากขึ้น เจอศัตรูแปลกใหม่มากขึ้น รวมถึงปุ่มที่ต้องกดให้ตรงจังหวะก็ดึงอารมณ์ร่วมมาได้อยู่ไม่ขาดไปหมด สนุกที่ได้เล่นไม่เสียเวลาเปล่า ๆ ไปกับเกมราคานี้ [แต่ส่วนตัวหวังให้มีอัปเดตเพิ่มในอนาคต]ดังนั้นจึงพูดได้ว่า Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์สายเล่นเกมต่อสู้ แต่มีไว้เพื่อให้แฟนขาตายชาวอนิเมะดาบพิฆาตอสูรมากกว่า ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ก็คงเป็นความคาดหวังของทั้งผู้พัฒนาเช่นกันตัวเกม Kimetsu no Yaiba - The Hinokami Chronicles นอกจากจะวางขายบน Nintendo Switch แล้ว ยังมีขายบนร้านอื่นเช่น Playstation 4,  Playstation 5, Xbox One, Xbox Series X/S และ PC ด้วย
17 Jun 2022
[Review] Farlight 84 แบทเทิลรอยัล เครื่องจักรกล-คนเหาะได้ ในโลกรกร้าง
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่มีภาพยนตร์เนื้อเรื่องจับคนมาไล่ล่าฆ่ากันในพื้นที่ที่จำกัดในปี 2012 เป็นต้นมา ก็มีเกมมากมายในแนว 'แบทเทิลรอยัล' ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สร้างตัวเลือกที่หลากหลายให้ผู้เล่นได้สนองนีตความคันไม้คันมือ และถ้าหากจะชี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น ทางผู้พัฒนาแต่ละเกมก็ต้องการให้ตัวเกมของตนมีความ 'แปลกและสดใหม่' ต่างจากเจ้าอื่นๆ เรื่อยๆ ซึ่งเกมที่มีชื่อว่า Farlight 84 ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเองFarlight 84 เป็นเกมแบทเทิลรอยัลในโลกอนาคตที่ล่มสลาย สไตล์ดิสโทเปีย อัดแน่นด้วยเกมเพลย์อันคุ้นเคยและแปลกใหม่สำหรับผู้เล่นในเวลาเดียวกัน โดยเราจะรับบทเป็น 'แคปซูลเลอร์' ตัวละครทหารรับจ้าง พุ่งทะยานลงไปในแดนรกร้างและชิงความเป็นหนึ่งกับผู้เล่นหลักร้อยคน แล้วมันต่างจากเกมแบทเทิลรอยัลอื่นยังไงน่ะหรอ? มาดูกัน:::ยึกซ้าย ย้ายขวา พุ่งไปข้างหน้าด้วยไอพ่น:::ส่วนมากเกมแบทเทิลรอยัลจะมีเนื้อหาในการปล่อยให้ผู้เล่นหยุมหัวกันทั้งแบบเดี่ยวหรือกลุ่มในแผนที่ที่จำกัดโดยมีวงคอยบีบเข้ามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่ Farlight 84 นั้น แตกต่างจากเกมอื่นอย่างเห็นได้ชัดเลยคือการที่ผู้เล่นไม่ได้มีแค่ตัวเลือกในการวิ่งๆ ยองๆ ยิงๆ (แล้วกลายร่างเป็นกล่องในเวลาต่อมา) อย่างเดียว แต่มีสิ่งที่เรียกว่า 'เจ็ตแพ็ค' ติดตัวมากับตัวละครทุกตัวเสมอซึ่งเจ้าตัวเจ็ตแพ็คนี้ มีความสามารถในการดีดตัวผู้เล่นขึ้นไปบนอากาศ หรือโยกไปตามควบคุม สร้างการพลิกแพลงของรูปแบบการเล่นได้หลากหลาย ทั้งหลบกระสุน บุกจู่โจม หรือใช้ในการสำรวจแผนที่และอาคารต่างๆ :::การต่อสู้ของจักรกลคนหุ้มเกราะ:::ในเกมหลายเกมเราอาจจะได้ขับรถไปทั่วเมืองเพื่อเดินทาง ชนศัตรู หรือก้อนหิน แต่ในเกมนี้มันไม่ใช่แค่รถ เพราะเขาอัดมาทั้งอาวุธและความหฤหรรษ์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ล่องหนได้เมื่อเราตระเวนขับหาไอเทม รถพ่นไฟติดไนโตรพุ่งทะยานข้ามเขาและเอาไฟสาด หุ่นยนต์สี่ขาชาร์จยิงเลเซอร์ หรือจะเป็นตั๊กแตนถือลูกซองคู่ (!?) และอีกมากมายที่เราอยากให้คุณลองไปขับใส่เดี่ยวกับศัตรูเอาเอง แต่ก็ใช่ว่าระหว่างขับขี่จะเป็นอมตะนะ! อย่ายิงเพลินจนโดนระเบิดแล้วขิตไปกับมันล่ะตัวหุ่นและรถพวกนี้นั้นเป็นเหมือนตัวเลือกเสริมว่าเราจะใช้มันเข้าร่วมต่อสู้แบบไหน เพราะแต่ละตัวนั้นมีความสามารถ และประโยชน์ที่ต่างกันไป บางคันคล่องตัวแต่ไปได้แค่บนพื้น บางตัวกระโดดได้แต่เคลื่อนที่ช้า ในขณะที่อีกตัวลงน้ำได้แต่จ่ายดาเมจช้าจนอาจกลายเป็นเป้านิ่งได้หากใช้ไม่ดี:::อาวุธปืนที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ยิง:::ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่หากผู้เล่นเกมปืนแต่ละชนิดมาแล้วนั้น นอกจากรูปแบบการยิง ความแรง แรงดีดและอื่นๆ ในเกม Farlight 84 นี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า 'สกิลปืน' พ่วงมาด้วย โดยแต่ละปืนจะไม่เหมือนกันเลย เช่นMF18:สามารถปล่อยคลื่นตรวจสอบตำแหน่งศัตรูทั้งหมดในวงกว้างสเตลลาร์ วินด์:ที่สามารถยิงโดมโล่แสงเพื่อกันกระสุนจากศัตรู  อินเวดเดอร์:จะปล่อยมิสไซล์หกลูกไปด้านหน้าศูนย์เล็ง ในขณะที่ M4:สามารถสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันเราได้ในระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนั้นถ้าคุณมีความรักและหวงปืนไหนเป็นพิเศษ เราสามารถใช้มันตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมได้โดยไม่ต้องกังวลว่าปืนจะไม่สามารถสู้ผู้เล่นอื่นได้ ตราบใดที่เราใช้มันในการต่อสู้ เพราะเลเวลของปืนจะขึ้นตามจำนวนศัตรูที่เราสังหารได้ และเมื่อจบเกมเราจะได้ในส่วนของเหรียญทองมาอัพเกรด 'ม็อด' หรือออฟชั่นเสริมของปืน ที่สามารถสับเปลี่ยนใส่ได้สี่อย่างตามต้องการ ทำให้ถึงแม้ผู้เล่นจะใช้ปืนเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์การยิงเหมือนกัน:::ตัวละครหลายชาติกับความสามารถที่หลากหลาย:::ตัวละครในเกมนี้จะถูกเรียกว่า 'แคปซูลเลอร์' อย่าง 'สุนิล' หนึ่งในตัวละครชื่อสุดไทยก็เป็นตัวละครในเกมนี้ โดยเขามีพาสซีฟป้องกันสูงสุด ที่จะเพิ่มความเร็วการชาร์จโล่ 30% หรือจะเป็น 'ดัคไซด์' ที่พาสซีฟของเขาคือเพิ่มเลือดสูงสุดถึง 15%ในส่วนของสกินเกมนี้ก็ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง มีทั้งซื้อในร้านค้าและแจกฟรีตามอีเวนต์ โดยไม่มีผลต่อระบบการเล่นนอกจากเพิ่มความมั่นใจให้การเดินยิงทุกรันเวย์ของคุณเท่ขึ้นเท่านั้น :::กราฟิก ความไหลลื่นตัวเกม และภาษา:::ถึงแม้จะเป็นเกมมือถือ แต่ความสามารถในการรันภาพให้ดูสวยนุ่มก็ทำได้ไม่แย่ และคงความลื่นของเกมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้อิสระตั้งแต่ต่ำสุดไปถึงสูงสุดในการตั้งค่ากราฟิก หรือจะตัวปุ่มบังคับให้ถนัดมือระหว่างเล่นก็ทำได้เช่นกันส่วนในด้านของก็ภาษาไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะตัวเกมมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และอื่นๆ ให้คนทั่วโลกได้เข้ามาร่วมสนุกกัน:::ส่วนประกอบในเกมและโหมดการเล่นไม่ซ้ำซาก:::นอกจากภูเขา ทะเลสาบ ตึกสูง ในเกมก็ยังมีสิ่งประกอบฉากอื่นๆ ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของแต่ละคนสุดแต่จินตนาการ อย่างกล่องแอร์ดรอป แท่นกระโดด เสาชาร์จพลังงาน ตู้คราฟต์ไอเทมที่ต้องใช้แต้มสังหารผู้เล่นอื่นมาใช้คราฟต์และบางทีแค่การกระโดดลงจากแคปซูลทุกวันมันก็น่าเบื่อ ดังนั้นตัวเกมจึงจัดโหมดนอกเหนือจากแบทเทิลรอยัลปกติให้ผู้เล่นใีหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็นเดธแมตช์แบบทีม - ร่วมกับทีมของคุณและช่วยกันพยุงกัน สังหารอีกฝ่ายให้ได้ 30 ครั้งเพื่อชัยชนะแรลลี่ ริมอ่าว - ขับรถซิ่งวิ่งไปทั่วโดยไม่มีข้อจำกัด จงกำจัดให้ศัตรูตกเส้นทางเพื่อให้เราเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกสงครามชิงสมบัติ - ทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันซ่อนมันไว้หมดแล้วล่ะ! ผู้เล่นแต่ละคนต้องตามหาไมโครชิปในเวลาที่กำหนด ใครได้มากสุดก็ชนะไปเลย:::สรุป:::ตัวเกม Farlight 84 มีการคงเอกลักษณ์เป็นแบทเทิลรอยัล แต่ก็ใส่ความเป็นเกมตนเองอย่างหุ่นยนต์ เจ็ตแพ็ค ปืน ความสามารถ ให้แตกต่างจากเกมอื่นโดยคงความสนุกและความแปลกใหม่ไว้ จึงพูดได้ว่าเกม Farlight 84 นี้เป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟนๆ เกมโดดร่มไม่ควรพลาด ตัวเกมจะเปิดให้ชาวหุ่นเขียวแอนดรอยด์ได้ดาวน์โหลดเล่นผ่านกูเกิลสโตร์ในวันที่ 21 มิถุนายน และในส่วนของ IOS จะเป็นวันที่ 5 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ลิงก์ดาวน์โหลดเกม Farlight 84 : https://bit.ly/3Olh7sP รวมถึงหากใครอยากทราบข้อมูลและข่าวสารเพิ่มเติม ก็สามารถติดตามได้หลากหลายช่องทางทั้งFacebook : https://www.facebook.com/Farlight84THInstagram : https://www.instagram.com/farlight84th/Tiktok : http://www.tiktok.com/@farlight84thYouTube : https://www.youtube.com/channel/UC9zmOX-2PvnB39RDnGNAVJw
13 Jun 2022
[Review] Ravenous Devils ร้านอาหารจากเนื้อคน ไอเดียหลักดี แต่เหลวที่เกมเพลย์และประสิทธิภาพ
ถึงเรื่องราวของมนุษย์ที่กินมนุษย์ด้วยกัน อาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่นักสำหรับยุคนี้ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทุกครั้งที่เราได้ยินและลองคิดภาพตาม มันก็ยังทำให้เราสยอง ชวนแหวะ และอยากจะขย้อนของเก่าออกมาได้เสมอทีเดียวเชียวซึ่งภายในเกม Ravenous Devils ก็ได้หยิบยกเรื่องราวที่ว่านั่นมาเป็นแนวคิดหลักของตัวเกม ทางผู้พัฒนาได้เลือกที่จะนำความจิตวิปริต และความสยองขวัญสไตล์ดั้งเดิมมาครอบทับสู่เกมแนวบริหารกิจการทั่ว ๆ ไปส่วนมันจะออกมาเวิร์กไหม ขอเชิญติดตามได้ในรีวิวด้านล่างนี้เลยครับความแตกตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ย้ายมาตัวเกมจะเล่าเรื่องถึงสามีภรรยาคู่รักฆาตกร ที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองใหม่มา เพื่อหลบหนีคดีจากเมืองเก่า โดยฝ่ายสามีจะมีชื่อว่า Percival ส่วนภรรยาก็จะมีชื่อว่า Hildredแม้ทั้งสองจะมีคดีติดตัวเป็นหางว่าว แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความสำนึกเลยแม้แต่น้อย ทั้ง Percival และ Hildred ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า มนุษย์ก็เป็นเหมือนปศุสัตว์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากพวกเขาจะนำปศุสัตว์พวกนี้มาใช้สร้างงาน สร้างรายได้ แบบคนอื่น ๆ กันบ้าง มันก็คงไม่ได้ผิดบาปอะไรมากนักหรอกประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้น วัตถุดิบอย่างเช่นเนื้อสัตว์ กำลังมีราคาที่พุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ เพราะฉะนั้น การมีร้านอาหารที่รสชาติอร่อย แถมยังราคาถูกกว่าร้านอื่น ๆ ในละแวกเดียวกับแบบนี้ เป็นใคร ก็คงเลือกที่จะเข้ามาใช้บริการร้านของสองคนนี้เป็นแน่แท้ซึ่งเรื่องราวได้ทวีความเข้มข้นเข้าไปอีก เมื่อวันหนึ่ง ได้มีจดหมายปริศนาส่งมาจากชายลึกลับ พร้อมกับข่มขู่ให้ทั้งสองสามีภรรยาต้องฆ่าคนตามคำสั่งของมัน โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ชายลึกลับคนนั้น จะเก็บเรื่องราวที่ทั้ง Percival และ Hildred เป็นฆาตกรต่อเนื่องให้คนทั้งคู่ไม่มีทางเลือก นอกจากยอมทำตามคำสั่งของชายลึกลับไปก่อน และหวังที่จะตลบหลัง ล้างแค้นคืนภายในวันข้างหน้าสามีฆ่า ภรรยาหั่นศพผู้เล่นจะได้ควบคุมทั้ง Percival และ Hildred โดยตัวละครทั้งสองจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน Percival ชายผู้เป็นสามีจะรับหน้าที่เป็นช่างตัดเสื้อบังหน้า เขาจะคอยดูแลชั้น 2 ที่เป็นร้านเสื้อ ควบกับชั้น 3 ที่เป็นโรงเพาะปลูกเมื่อสบโอกาสที่ลูกค้าอยู่ตามลำพังเมื่อใด Percival จะสามารถใช้กรรไกรตัวเก่งของเขาแทงเข้าไปที่จุดสำคัญของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ แถมเขายังสามารถถอดเสื้อผ้าออกจากศพเหยื่อ เพื่อนำมาใช้ตัดเย็บให้กลายเป็นชุดใหม่ พร้อมกับวางขายให้ชาวเมืองได้ใส่กันในราคาย่อมเยาว์อีกด้วยในส่วนของเนื้อหนังนั้น จะเป็นหน้าที่ของ Hildred ที่มารับไม้ต่อ Hildred หญิงผู้เป็นภรรยา จะรับหน้าที่เป็นแม่ครัวบังหน้า เธอมีหน้าที่กำจัดศพให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยฝีมือการทำครัว ศพของมนุษย์จะถูกแปลงไปเป็นวัตถุดิบได้หลากหลายแบบ เช่น เนื้อบด ไส้กรอก และสเต๊ก นอกจากนี้ เธอจะคอยรับหน้าที่นำอาหารขึ้นไปวางบนส่วนบริการตัวเองสำหรับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอีกด้วยเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ร้านอาหารสุดวิปลาศนี้ก็จะสามารถอัปเกรดได้มากขึ้น ทั้งขยับขยายไปสู่ชั้นใหม่ การเพิ่มความสามารถของอุปกรณ์ให้ดียิ่งขึ้น ไปจนถึงการจ้างบริกรให้มาช่วยรับหน้าที่ดูแลลูกค้าภายในร้านได้อีกด้วยเกมเพลย์ที่ธรรมดาจนน่าผิดหวังหาก Ravenous Devils ไม่ได้นำความโรคจิตอย่างการนำเนื้อมนุษย์มาทำอาหารแล้ว ตัวเกมก็คงจะจืดชืดลงไปหลายต่อหลายขั้นเลยทีเดียว เพราะในส่วนของระบบเกมเพลย์นั้น มันไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากเกมแนวบริหารกิจการทั่ว ๆ ไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งการจัดเตรียมวัตถุดิบ การปรุงอาหาร ไปจนถึงการเสิร์ฟให้ลูกค้า ทุกอย่างล้วนถูกนำเสนอแบบธรรมดาทั้งสิ้นช่างน่าเสียดายนัก ที่ทางผู้พัฒนาเลือกจะนำเสนอไอเดียอาหารจากเนื้อมนุษย์เพียงแค่ผิวเผิน และไม่ได้ลงลึกไปกับเกมเพลย์ให้มากยิ่งกว่านี้ มันตื้นเขินเสียจน ต่อให้ตัวเกมเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบที่มาจากเนื้อสัตว์ทั่ว ๆ ไปก็ยังแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนระบบการเล่นของเกมเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งการอัปเกรดอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้แสดงผลที่แตกต่างอะไรให้เห็นมากนัก ดังนั้นแรงจูงใจที่จะดึงดูดให้ผู้เล่นติดหนึบอยู่กับ Ravenous Devils จึงมีน้อยมากจนแทบใจหายกันเลยทีเดียว โชคยังดีที่ตัวเกมมีความยาวประมาณเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จึงทำให้เกมจบไปในจังหวะที่ผู้เล่นกำลังเริ่มจะรู้สึกเอียนกับความซ้ำซากของเกมอย่างพอดิบพอดีประสิทธิภาพที่ย่ำแย่บนเครื่อง Switchอย่างที่เรารู้กันดีว่า ประสิทธิภาพของเครื่อง Nintendo Switch อาจจะไม่ได้ดีเด่จนถึงกับเป็นระดับแนวหน้าของวงการ แต่มันก็ยังสามารถเล่นเกมที่มีภาพสวย ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Witcher 3: Wild Hunt, Doom Eternal, Xenoblade Chronicle ไปจนถึง The Legend of Zelda Breath of The Wild ซึ่งเกมทั้งหมดที่ว่ามานี้ ล้วนเล่นบนเครื่องพกพาของ Nintendo ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แถมยังรักษาเฟรมเรตเอาไว้ ในระดับที่ไม่ได้น่าเกลียดอีกด้วยทว่าทั้ง ๆ ที่ตัวเกม Ravenous Devils ไม่ได้มีภาพกราฟิกที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับเกมฟอร์มยักษ์ที่กล่าวไปข้างต้นเลย แต่ประสิทธิภาพที่มันทำได้นั้น กลับเข้าขั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากตัวเกมจะลดความคมชัดของภาพลงเพื่อรักษาเฟรมเรตเอาไว้ที่ 30 FPS แล้ว ในบางครั้ง หากผู้เล่นเลือกป้อนคำสั่งที่รวดเร็วมากจนเกินไป มันจะทำให้ตัวเกมเกิดบั๊กขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ส่งผลให้เล่นต่อไม่ได้เลยก็มีผู้เล่นที่เจอบั๊กนี้ จะต้องไปเริ่มเล่นใหม่ในช่วงเวลาที่เซฟล่าสุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะเป็นวันก่อนหน้าที่เพิ่งเล่นจบไปนั่นเอง เพราะตัวเกมจะเซฟอัตโนมัติให้เมื่อเล่นจนจบวันเท่านั้น ไม่ได้มีตัวเลือกให้เซฟด้วยตัวเองแต่อย่างใดและหากจะแย้งว่า ภาพของเกมมันไม่ได้คมชัดมาตั้งแต่เวอร์ชัน PC แล้ว ก็ต้องขอพูดเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ภาพของเวอร์ชัน Switch นั้น เป็นภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าเวอร์ชัน PC หลายขุมนัก มันเบลอจนเหมือนกับนำเกมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาเล่นโดยที่ไม่ได้รับความคมชัดกันเลยทีเดียวควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?เมื่อได้ยินแนวคิดหลักของตัวเกม ทางผู้เขียนก็ค่อนข้างตั้งความหวังเอาไว้สูงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ได้รับจาก Ravenous Devils นั้น กลับเป็นความผิดหวังตั้งแต่แรกเล่น ด้วยประสิทธิภาพของตัวเกมที่ย่ำแย่ แถมยังมีบั๊กที่ทำให้ไม่สามารถเล่นต่อได้ถึง 4 ครั้ง ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง พ่วงด้วยระบบการเล่นที่จืดชืด ธรรมดา ไม่ได้แตกต่างจากเกมประเภท Dinder Dash สักเท่าไรนักในตอนแรกมันอาจจะดูแปลกใหม่อยู่บ้าง กับภาพของตัวละครที่เราควบคุมกำลังนำเนื้อมนุษย์ไปแปรรูปเป็นวัตถุดิบต่าง ๆ แต่เมื่อผู้เล่น เริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว ตัวเกมก็ไม่ได้มีอะไรให้ชวนติดตามต่อไปด้านเนื้อเรื่องที่หวังจะมาช่วยดึงให้คนเล่นคอยติดตามก็ยังคงทำออกมาไม่ถึงขั้น เพราะพล็อตสไตล์นี้ ล้วนถูกพบเห็นกันมานักต่อนักแล้วสำหรับวงการภาพยนตร์ มันโบราณเสียจนทำให้ Ravenous Devils ดูกลวงเข้าไปกันใหญ่ทว่าแม้จะมีข้อเสียจำนวนมากมาย แต่หากพิจารณาจากราคาบน Switch eShop ในประเทศอาเจนตินาที่ขายกันอยู่ประมาณ 38 บาทแล้ว Ravenous Devils ก็อาจจะพอใช้แก้เบื่อสำหรับเกมเมอร์ที่มีงบอยู่อย่างจำกัดกันได้บ้างด้วยตัวเนื้อเรื่องหลักประมาณ 4 ชั่วโมง และหากใครอยากจะเก็บของแต่งกายให้ครบ ก็น่าจะใช้เวลาถึงประมาณ 6 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าเรามองว่า มันเป็นเกมที่ใช้แบงก์สีเขียวสองใบ จ่ายเงินไปก็ยังมีทอน คุณภาพของตัวเกมก็ทำออกมา ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างน่าพึงพอใจเลยแหละครับ
07 Jun 2022
[Review] รีวิวเกม Dolmen ผจญภัยแบบ Souls Like ในธีมไซไฟสยองขวัญ
หนึ่งในแนวเกมที่ได้รับความนิยมมากในสมัยนี้ เราเองก็คงจะนึกถึงแนวเกมอย่าง Souls Like ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้พัฒนา FromSoftware กับจุดเด่นก็คือความยากของเกมที่ศัตรูทุกตัวพร้อมจะฆ่าคุณได้ทุกรูปแบบ ซึ่งมันก็จะเพิ่มความท้าทายของเกมให้มากยิ่งขึ้น คุณจะต้องตายซ้ำ ๆ เพื่อเรียนรู้การโจมตีของศัตรูจนสามารถปราบพวกมันได้ และจากความนิยมที่มากขึ้น ก็ได้มีสตูดิโออื่น ๆ ที่เริ่มหันมาทำเกมแนวนี้กันมากมายแล้ว อย่างเกม Nioh ของ Team Ninja หรือแม้กระทั่ง Star Wars Jedi: Fallen Order ที่ก็ได้เอาแนวทางเกมเพลย์ของเกมแนวนี้ไปใช้จนกลายเป็นหนึ่งในเกม Star Wars ยอดเยี่ยมตลอดกาลไปโดยปริยายและล่าสุดในปี 2022 นี้ก็ได้มีเกมใหม่จากผู้พัฒนาสัญชาติบราซิลอย่าง Dolmen เกมจากผู้พัฒนาสัญชาติบราซิลอย่าง MASSIVE WORK STUDIO ที่เกมเพลย์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมแนว Souls Like แต่ได้ทำการปรับธีมของเกม และใส่ระบบบางอย่างที่น่าสนใจเข้าไปด้วย โดยในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบว่า Dolmen จะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเทียบเท่ารุ่นพี่ได้หรือไม่ !!เนื้อเรื่องเรื่องราวของเกมนี้เจะพูดถึงผลึกคริสตัลพิเศษนามว่า Dolmen ที่สามารถปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริงและใช้ในการปฏิวัติอวกาศได้ โดยงานของเรานั้นคือการเข้าไปยังเหมืองที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวเพื่อทำการเก็บตัวอย่างคริสตัลนี้กลับมา ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องทางผู้พัฒนาเองก็ไม่ได้เน้นเรื่องราวที่ลึกซึ้งอะไรมากทำให้การอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้เยอะเท่าที่ควร เราอาจจะสามารถหาอ่านข้อมูลต่าง ๆ ภายในเกมเพิ่มเติมได้บาง แต่สุดท้ายแล้วเราก็รู้ว่าทางผู้พัฒนานั้นก็แค่สร้างเนื้อเรื่องมาก็เพื่อจะหาเรื่องรองรับให้เราไปต่อสู้กับศัตรูต่าง ๆ นั่นแหละกราฟิกในเรื่องของงานด้านภาพตัวเกมได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการพัฒนา ธีมของตัวเกมมีกลิ่นอายที่แตกต่างจากเกมแนว Souls Like อื่น ๆ เป็นอย่างมาก เพราะตัวเกมได้นำเสนอกลิ่นอายความเป็นไซไฟ Cosmic Horror สยองขวัญ ที่เราจะต้องพบเจอกับเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่น่าสยดสยอง  แต่ก็ต้องยอมรับว่างานด้านกราฟิกของเกมค่อนข้างทำออกมาได้ไม่สวยเท่าไร รายละเอียด Texture ของภาพดูแตก ๆ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นขั้นร้ายแรงมาก ๆ ของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะมันไม่สามารถเชิดชูเอกลักษณ์ความเป็น Cosmic Horror หรือความน่ากลัวได้ไม่เต็มที่ และมันทำให้ความรู้สึกอยากที่จะเข้าไปเล่นน้อยลงไปด้วย เพราะกราฟิกไม่ได้ดึงดูดให้มีความน่าสนใจใด ๆ เลยเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ก็อย่างที่ทราบว่า Dolmen ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมแนว Souls Like ต่าง ๆ ซึ่งวิธีการเล่นการกดปุ่มต่าง ๆ ก็จะเหมือนกันกับเกมอื่น ๆ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือระบบข้างในที่ตัวเกมมีลูกเล่นที่ค่อนข้างน่าสนใจกับเราพอสมควร โดยระบบค่าพลังงานของเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสองหลอดอย่างแรกก็คือระบบ Stamina ที่จะเหมือนกับเกมแนว Souls ทั่วไปที่จะลดลงก็ต่อเมื่อเราขยับ Movement ต่าง ๆ เช่นกระโดดหลบ วิ่ง หรือแม้กระทั่งโจมตี ซึ่งตัวหลอดนี้เวลาใช้หมดก็จะค่อย ๆ Regen กลับมาได้ ส่วนอีกหนึ่งหลอดก็คือ Battery ที่จะเป็นหลอดพลังงานคล้าย ๆ กับระบบมานาของเกมต่าง ๆ แต่ที่พิเศษคือเราจะต้องใช้หลอดนี้ในการทั้งเพิ่มเลือดตัวเอง ใช้เป็นกระสุนปืนเอาไว้ยิงศัตรู หรือแม้กระทั่งเวลาโจมตีหลอด Stamina หมดเราก็สามารถกดบัพให้การโจมตีใช้โดยหลอด Energy ก็ได้เช่นกัน ซึ่งในระบบนี้ก็เป็นลูกเล่นที่ทำให้ตัวเกมมีความแปลกใหม่เข้ามานิดหน่อยโดยจุดพักที่คล้าย ๆ กับ Bonfire ในเกม Dark Souls สำหรับเกมนี้ก็ยังมีเช่นกัน แต่กลายเป็นจุด Teleport แทน ที่จะอยู่ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งถ้าเราผจญภัยไปประมาณหนึ่งเราก็จะเจอจุดนี้ และก็สามารถที่จะพักเหนื่อยตรงนั้นได้ โดยมันอาจจะเป็นข้อดีสำหรับคนที่เล่นเกมแนวนี้ไม่เก่ง เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ใครที่แฟน Souls ขนาดแท้ก็อาจจะไม่ค่อยชอบใจเสียเท่าไรโดยจุดพักนี้เราสามารถที่จะ Teleport กลับไปที่ยานของเราได้ตลอดเวลา ภายในยานเราก็จะสามารถอัพเกรดค่าสเตตัสต่าง ๆ ได้ซึ่งสามารถเพิ่มได้ทั้งเลือด Stamina Energy ดาเมจและอื่น ๆ หรือเราจะสามารถคราฟต์อาวุธใหม่ ๆ หรือธาตุใหม่ ๆ มาใช้ก็ได้ ซึ่งการคราฟต์อาวุธก็ค่อนข้างหาของต่าง ๆ ได้ง่ายพอสมควรและมีชุดและอาวุธหลากหลายให้เลือกใส่โดยในการของสวมใส่ตัวเกมก็จะแบ่งออกเป็น 3 สายก็คือ Human, Revian และ Driller ซึ่งถ้าหากเราใส่ชุดจากสายไหนเยอะ ๆ ตัวเกมก็จะเพิ่มแต้มจากสายนั้นเยอะอย่างเช่นสาย Human ก็จะมีการเพิ่ม Recovery ของ Battery เป็นต้น โดยเราสามารถที่จะคราฟต์ของสวมใส่ อาวุธ หรืออัพสเตตัสต่าง ๆ ตามสไตล์ที่เราอยากเล่นได้มากมายจะเป็นสาย Tank สายดาเมจ สายปืน และอีกมากมายความรู้สึกหลังได้เล่นจากที่ได้ลองมาส่วนตัวมองว่าตัวเกม Dolmen ค่อนข้างเล่นง่ายและเป็นมิตรสำหรับผู้เล่นใหม่ในระดับหนึ่งเนื่องจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่มีให้เราเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Battery มาโจมตีแทน Stamina การที่จุด Teleport หาง่ายมาก ให้เราได้พักเหนื่อยพักหายใจได้บ่อยประมาณหนึ่ง การคราฟต์ของต่าง ๆ ที่ก็มีไอเท็มให้เก็บเยอะพอสมควร เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปควานหาอะไรเยอะ หรือบางครั้งเราเองก็สามารถที่จะฟาร์มแต้มต่าง ๆ เพื่อไปอัพสเตตัสตัวเองให้เก่งขึ้นแล้วค่อยไปต่อข้างหน้าก็ได้และอีกประเด็นที่รู้สึกว่าตัวเกมนี้ค่อนข้างเล่นง่ายก็คงจะเป็นเหล่าบอสที่เจอนั้นค่อนข้างเดาทางได้ถูกหลายตัว ต่างจากเกม Souls อื่น ๆ ที่ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกมนี้จริง ๆ บอสตัวแรกก็ตายหลายรอบแล้ว หรือบอสบางตัวก็มีแพทเทิร์นที่เดาทางได้ง่าย ส่วนตัวผู้เขียนเล่นเกมแนวนี้ไม่เก่งมาก ต้องตายหลายรอบถึงจะเข้าใจ ยังสามารถผ่านบอสตัวแรกโดยไม่ตายได้อย่างชิล ๆ หรือบอสบางตัวที่ดูโหดมากแต่ตัวเกมก็กลับมีตัวช่วยมาให้เราจัดการพวกมันง่ายมาก ๆ ซะงั้นซึ่งส่วนตัวไม่ได้มองว่าจุดนี้คือข้อดีและข้อเสีย เพราะถ้าคนที่ไม่เคยเล่นเกมแนว Souls Like มาก่อน การมีตัวช่วยให้เยอะก็เหมือนเป็นครูที่ให้พวกเขานั้นเริ่มต้นได้ดี แต่กลับกันสำหรับคนที่เป็นแฟนเกมแนว Souls เดนตายท่านก็อาจจะไม่ชอบเกมนี้ไปเลยเพราะความที่มันเล่นง่ายจนเกินไป ผู้ที่ผ่านความท้าทายอย่าง Elden Ring, Sekiro: Shadow Die Twice หรือ Dark Souls มาแล้ว เกม Dolmen นี่ดูเด็กไปเลยและอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสิ่งที่ส่วนตัวมองว่าร้ายแรงก็คงจะเป็นด้านกราฟิกที่น่าผิดหวังอย่างมาก จริง ๆ ตัวผู้เขียนเองไม่ได้มองว่าเกมเพลย์ของ Dolmen จะแย่อะไร แต่การที่ตัวเกมมีกราฟิกที่ห่วยขนาดนี้มันก็ไม่สามารถมีแรงดึงดูดให้เราอยากที่จะเล่นเกมนี้เสียเท่าไร นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบเกมก็คงจะเป็นการดีไซน์แผนที่ ที่ค่อนข้างทำได้วกวนเข้าใจยาก รวมถึงตัวเกมยังไม่ได้มีพื้นที่อิสระให้เราได้เลือกผจญภัยเหมือนเกมแนว Souls อื่น ๆ ด้วย
02 Jun 2022
[Review] รีวิวบริการ PlayStation Plus Deluxe "แพ๊คเหมาจ่ายสุดคุ้มสำหรับ...ใครกันแน่?"
ถือเป็นความเคลื่อนไหวใหญ่ของ Sony ในช่วงหลายเดือนมานี้ เมื่อล่าสุดค่ายได้ประกาศเปิดให้บริการแพ๊คเกจรายเดือน PlayStation Plus รูปแบบใหม่ ที่นอกจากจะเปิดให้เล่นเกมออนไลน์ได้เหมือนแต่ก่อน ผู้สมัครบริการยังสามารถเล่นเกมที่ร่วมรายการนับร้อยเกมได้แบบฟรี ๆ ในลักษณะเดียวกับบริการยอดฮิต Xbox/PC Game Pass ของฝั่ง Microsoft นั่นเอง!ทั้งนี้ ยังมีผู้ใช้บริการ PlayStation Plus หลายคนที่ยังมีคำถามเกี่ยวกับบริการนี้ โดยในวันนี้ทางทีมงาน GameFever จึงขออาสามาวิเคราะห์สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในบริการ PS Plus ใหม่นี้ ว่าคุ้มค่าเหมาะสมกับราคา 2,300 บาทต่อปีที่จ่ายไปแค่ไหน?!(สำหรับคนที่อาจไม่ได้ติดตามข่าวคราวเกม อาจจะยังไม่ทราบว่าบริการ PlayStation Plus ใหม่นี้มีอะไรมาให้เราบ้าง สามารถเข้าไปศึกษาได้ก่อนที่บทความ >>นี้<<)(ขอขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment Singapore สำหรับแพ๊คเกจที่ใช้ในการรีวิว) เกมฟรี…ที่เคยเล่นไปหมดแล้วก่อนอื่น เรามาเริ่มพูดถึงจุดขายหลักของบริการนี้ นั่นก็คือรายชื่อเกม PS4/PS5 ฟรีนับร้อย ๆ เกมที่จะเปิดให้โหลดเล่นกันได้แบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งมีทั้งเกม PlayStation Exclusive ชื่อดัง ๆ อย่าง God of War, Uncharted, Ghost of Tsushima, หรือ The Last of Us (เปิดให้ทั้งผู้สมัครบริการ PS Plus Deluxe และ Extra) สิ่งแรกที่ผู้เล่นหลายคนอาจจะสังเกตคือรายชื่อเกมเหล่านี้ แทบทั้งหมดเป็นเกมระดับ AAA ยอดฮิตที่วางจำหน่ายมานานพอสมควร และหลายเกมยังเคยวางจำหน่ายในราคาถูกในฐานะเกม PlayStation 4 Essentials (ปัจจุบันแจกฟรีให้ผู้ใช้ PS Plus ทุกคนทุกระดับด้วยซ้ำ) ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยเล่นกันไปบ้างแล้วไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเหล่าแฟน ๆ ตัวยงของ PlayStation ที่น่าจะเก็บเกม Exclusive ไปหมดแล้ว ยังไม่นับรวมเทศกาลลดราคาที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอทั้งในและนอกร้านค้าของ PlayStation เอง ซึ่งก็ทำให้จุดขายหลักของบริการนี้น่าดึงดูดน้อยลงทันทีสำหรับคนที่เล่นเครื่อง PlayStation 4 มาซักระยะหนึ่งแล้วหากไม่นับเกม Exclusive แล้ว บริการ PlayStation Deluxe ก็ยังพอมีเกม 3rd Party ดัง ๆ ให้เลือกเล่นอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Assassin’s Creed: Valhalla, Red Dead Redemption 2, หรือ Final Fantasy หลาย ๆ ภาค แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเกมที่หาเล่นได้บนบริการของคู่แข่งอย่าง Xbox/PC Game Pass อยู่แล้วด้วยเช่นกันเกมเกมเก่าเพียงหยิบมือจุดขายที่สำคัญรองลงมาสำหรับบริการระดับ Deluxe โดยเฉพาะ คือรายชื่อ “เกมคลาสสิค” จากยุค PS1/PS2/PSP ที่เปิดให้เล่นกันฟรี ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเอาเข้าจริงน่าจะเป็นจุดขายที่ดึงดูดความสนใจของแฟนเกมรุ่นใหญ่ ๆ ได้ชงัดนักแต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลือกเกมคลาสสิคที่นำมาให้เล่นนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น น้อยกว่าที่หลายคน (รวมถึงผู้เขียน) คาดเอาไว้มาก ๆ และแม้จะมีเกมดังในยุคนั้นอย่าง Syphon Filter หรือ Wild Arms อยู่ประปราย แต่โดยรวมแล้วก็เป็นส่วนน้อย และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของการจ่ายเงินเพิ่มสำหรับแพ๊คเกจ Deluxe เช่นเดียวกับผู้เขียนนั่นเองแน่นอนว่าบริการนี้ยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมากในอนาคต และเราอาจได้เห็นการกลับมาของเกมยุคเก่าชื่อดังมากมายที่หลายคนโหยหาจนได้ แต่ในสภาพปัจจุบันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ารายชื่อเกมที่ร่วมรายการดูจะเป็นเกมที่ 'เพิ่มเข้าไปงั้น ๆ' มากกว่าเป็นรายชื่อเกมที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วเพื่อสร้างความสนใจในหมู่ผู้ใช้บริการ และทำให้ตั้งคำถามว่าบริการนี้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วแค่ไหนก่อนที่จะเปิดตัวออกมาทดลองเกมฟรีในจุดนี้ยอมรับว่าตัวผู้เขียนไม่ได้ทดสอบระบบนี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเกมส่วนใหญ่ที่เปิดให้ทดลองเป็นเกมที่เคยซื้อมาไว้ในบัญชีแล้ว แต่ถ้าให้กล่าวแบบกลาง ๆ แน่นอนว่าการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ทดลองเกมตัวเต็มก่อนตัดสินใจซื้อย่อมเป็นผลดีกับตัวผู้เล่นเอง เพราะจะได้รู้ว่าสนใจหรือสนุกกับเกมนั้น ๆ จริงหรือไม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็คงต้องรอดูว่า Sony จะสามารถนำเกมใหม่ ๆ มาให้ลองเล่นกันได้บ่อยแค่ไหน เพราะบริการนี้จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ไม่ยอมให้นำเกมมาร่วมรายการ (รายชื่อเกมที่เปิดทดลองเล่นในขณะนี้ น่าลองไหมถามใจเธอดู)สรุป: แล้วตกลงบริการนี้เหมาะกับใคร?หากจะว่ากันแฟร์ ๆ แน่นอนว่าการมีบริการ PlayStation Plus Deluxe เช่นนี้ ย่อมเป็นการมอบทางเลือกใหม่ให้ผู้เล่น ซึ่งในระยะยาวย่อมส่งผลดีกับผู้เล่นมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แถมราคาของบริการ 2,300 บาทต่อปี (ตกเดือนละไม่ถึง 200) แม้จะสูงกว่าของคู่แข่งพอสมควร แต่ตราบใดที่คุณโหลดเกม AAA มาเล่นอย่างน้อย 2 เกมต่อปีก็ถือว่าคุ้มแล้ว เมื่อเทียบกับราคาซื้อแผ่นมือ 1 สองแผ่นสุดท้ายแล้วคนที่จะได้ประโยชน์จากบริการนี้มากที่สุดคงจะเป็นคนที่ไม่เคยเป็นเจ้าของคอนโซลมาก่อน หรือคนที่เพิ่งเข้าสู่วงการ AAA เพราะจะมีเกมให้เลือกเล่นมากมายทันทีโดยไม่ต้องซื้อแผ่นเกมด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่เป็นสมาชิก PS Plus มาช้านาน เคยเล่นเกมเด่น ๆ ของ PlayStation ไปหมดแล้ว จะรอจนกว่า Sony จะเพิ่มเกมใหม่ (หรือเกมเก่าที่น่าสนใจ) เข้าไปก่อนค่อยสมัครก็ยังไม่สายแถม: แผนการท้าชนตลาดมือ 2 ของ Sony?อันนี้เป็นการวิเคราะห์ของตัวผู้เขียนเองในฐานะเกมเมอร์ชาวไทย แต่บริการ PlayStation Plus Deluxe อาจจะเป็นความพยายามของ Sony ที่จะต่อกรกับตลาดแผ่นเกมมือ 2 ที่แพร่หลายในประเทศแถบเอเซียความเป็นจริงอย่างหนึ่งของวงการเกมคอนโซลแถบเอเซียคือการที่ผู้เล่นจำนวนมาก มักซื้อเกมจากตลาดมือ 2 เท่านั้น และมีสัดส่วนน้อยมาก ๆ ที่จะซื้อเกมแบบ Day-1 ราคาเต็มจากร้าน หมายความว่าแม้ประเทศไทยจะมียอดเจ้าของคอนโซลเยอะ (คุ้น ๆ ว่าเยอะที่สุดในแถบ SEA ด้วยซ้ำ) แต่ Sony กลับสามารถทำเงินจากการขายเกมในตลาดได้น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเจ้าของคอนโซล เพราะคนส่วนใหญ่รอซื้อมือ 2 หรือรอลดราคากันหมด บริการ PS Plus Deluxe จึงเป็นวิธีให้ผู้เล่นกำลังซื้อต่ำสามารถเข้าถึงเกมจำนวนมากได้ในราคาที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับการซื้อเกมแยกทีละเกม เพื่อให้เงินนั้นยังคงหมุนกลับมาหา Sony จนได้ แทนที่จะหายไปเปล่า ๆ ในตลาดมือ 2พูดง่าย ๆ ว่าการใช้บริการ PlayStation Plus Deluxe จึงอาจเป็นวิธีการสนับสนุน Sony และ PlayStation ในแบบที่ win-win ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและค่ายนั่นเอง
31 May 2022
[Review] รีวิวเกม Sniper Elite 5 "ประสบการณ์ลอบสังหารสุดอิสระ และทะเยอทะยานมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา"
หากพูดถึงเกมการเล่นที่เราจะได้รับบทเป็นพลแม่นปืนระดับพระกาฬ (ที่ผู้เล่นไม่ได้พระกาฬด้วย) เกมที่เราจะได้ลอบยิงสังหารศัตรูด้วยความดุเดือด โหด และรุนแรงสะใจ ชื่อของ Sniper Elite น่าจะเป็นชื่อที่แฟนเกมต้องคุ้นเคย และรู้จักมันมาอย่างยาวนาน และคราวนี้ Karl Fairburne กลับมาอีกครั้ง และเป็นภาคที่ 5 แล้ว โดยภารกิจของเขาคราวนี้คือการยับยั้งแผนการร้ายของเหล่านาซีที่กำลังจะอุบัติขึ้นในฝรั่งเศส แต่มันจะยอดเยี่ยม และสนุกแค่ไหนในการลอบยิงสุดโหดครั้งใหม่นี้ เชิญพบกับรีวิว Sniper Elite 5 แผนอันตรายของเหล่านาซีในฝรั่งเศสในภาคนี้ ผู้เล่นจะยังคงได้รับบทเป็น Karl Fairburne สุดยอดสไนเปอร์มือพระกาฬที่ภารกิจคราวนี้ มีฉากหลังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 1944 เขาต้องขัดขวางปฏิบัติการลับของเหล่านาซี (อีกครั้ง) โดยคราวนี้นาซีกำลังแอบพัฒนาโครงการลับในชื่อ Operation Kraken เพียงแต่คราวนี้ แฟร์เบิร์นจะไม่ต้องลุยเดี่ยว เพราะมีทีมสนับสนุนอย่างกองกำลังต่อต้านมาช่วยด้วยอีกแรง (ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดเราก็ลุยเดี่ยวตามภารกิจอยู่ดี) หัวใจสำคัญจริง ๆ ของเนื้อเรื่องก็ยังหนีไม่พ้นหยุดแผนการสุดอันตรายของเหล่านาซี และเป็นหน้าที่ของแฟร์เบิร์นที่ต้องหยุดยั้งมันอีกครั้งและอีกครั้ง ในภาคนี้สิ่งที่แตกต่างกันออกไปคือ การมีตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาสร้างสีสันในแต่ละช่วงคัทซีน นั่นก็คือกลุ่มต่อต้าน แต่น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดพวกเขาก็มีบทบาทแค่ในคัทซีนเท่านั้น มีเป็นบางฉาก ที่เราจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา ซึ่งก็ไม่ค่อยจะจำเป็นเท่าไร การเล่าเรื่องของ Sniper Elite 5 หลัก ๆ แล้วจะมาจากคัทซีนในช่วงเปิดด่านและปิดด่าน มีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างไปแบบเรื่อย ๆ ใครที่ไม่ไหวจะดูเนื้อเรื่องก็สามารถเร่งข้ามไปเลยก็ทำได้ แต่ก็ยังต้องชื่นชมว่า แม้จะเป็นการหากินกับปฏิบัติการถล่มสังหารนาซี ทีมพัฒนาเกมนี้ก็ยังอุตส่าห์สรรหามุกใหม่ ๆ มาให้ผู้เล่นได้ติดตามกันเสมอเกมเพลย์ที่ทะเยอทะยานกว่าทุกภาคที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้เกมนี้น่าจับตามองอีกครั้ง คือการที่มันพยายามเล่นใหญ่กว่าทุกภาค ใน Sniper Elite 5 นี้ ตัวเกมจะใช้วิธีการนำเสนอในรูปแบบใหม่ ที่เกมยุคนี้ชอบใช้กัน คือการนำเสนอในรูปแบบเกมกึ่ง Open World และขนาดของแผนที่ในแต่ละฉากเองก็ถือว่าไม่ใช่เล็ก ๆ ผู้เล่นสามารถสอดส่อง วางแผน จัดการทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในการทำภารกิจให้สำเร็จและหลบหนีออกมา เพื่อเสร็จสิ้นภารกิจนั้นจากที่เป็นเกมเดินหน้าตะลุยด่าน ลอบยิงให้หมดแล้วผ่านฉากไป คราวนี้ผู้เล่นจะต้องเรียนรู้การวางแผนกลยุทธ์ การสำรวจสอดส่องพื้นที่ในเกมทั้งหมดในภารกิจนั้น   เพื่อให้เรารู้ว่า ควรจะทำอะไร ตรงไหน ลอบสังหารยังไง และจะหลบหนีเส้นทางไหน ด้วยความที่เกมกลายเป็นโลกกึ่ง Open World ทำให้เหล่า A.I. มีการแสดงผลและการโต้ตอบแบบไดนามิก ยกตัวอย่างเช่น Mission 2 ของเกม ที่มักจะมีรถลาดตระเวนผ่านไปมา ถ้าเกิดเราหลบไม่ดี หรือหลบผิดจุด ผิดที่แล้วล่ะก็ การ Stealth แตก จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนอาจเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ และจบลงที่การ Restart Mission ใหม่แม้จะเป็นชื่อเกมว่า Sniper Elite แต่ในเกมภาคนี้ เราจะมีอุปกรณ์และอาวุธที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น ขวดเปล่า ไว้ปาหลอกล่อศัตรู ระเบิดที่มีทั้งแบบ Mine หรือระเบิดปาสร้างความเสียหายทั่วไป และทุกอุปกรณ์เราสามารถดัดแปลงนำมาใช้งานได้ทุกสถานการณ์ แถมเกมบังคับให้เราถือไว้ติดตัวอยู่แล้ว เลือกใช้งานได้ตลอด แต่จะถือมากขึ้นได้ก็ต้องอัปเกรดสกิลก่อน และด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลายแบบนี้ ทำให้สอดคล้องกับรูปแบบการเล่นที่เป็นกึ่ง Open World ตามมาแต่ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นกึ่ง Open World แต่เกมยังใช้ระบบการดำเนินเรื่องแบบเป็น Mission ไป เมื่อเราเลือก Mission ของแคมเปญเนื้อเรื่องแล้ว เราจะเข้าสู่พื้นที่ภารกิจ ที่เป็นพื้นที่เปิดกว้างจากนั้นก็จัดการภารกิจและเป้าหมายที่ได้รับมา ภายในฉากขนาดใหญ่จะมีทั้งพื้นที่ให้ซุ่ม มีเถาวัลย์ให้ปีน มีจุดสำคัญต่าง ๆ เช่นัสัญญาณเตือนภัย หรือพื้นที่ภารกิจ ผู้เล่นสามารถเลือกเอาเองได้เลยว่าอยากจะทำอะไร จัดการการเล่นของตัวเองแบบไหน นอกจากนั้นภายในฉากแต่ละฉากจะมี Workbench ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการอัปเกรดและปรับแต่งอาวุธปืนของเรา ในเกมภาคนี้เราจะมีอาวุธทั้งหมด 3 ชนิดคือ Rifle ปืนซุ่มยิงหลักของเรา / SMG ปืนกลเบาที่ถือเป็นอาวุธรอง และ Pistol ปืนสั้น ที่เป็นอาวุธสำรองอีกทีหนึ่ง การจะปรับแต่งอาวุธพวกนี้ได้ เราจะต้องไปหาโต๊ะ Workbench ที่ซ่อนอยู่ในจุดต่าง ๆ ภายในฉากให้เจอ จึงจะเป็นการปลดล็อคของแต่งใหม่ ๆ ไปในตัว และมันสำคัญมากในช่วงแรก เพราะของสำคัญอย่าง Surpressor หรือปลอกเก็บเสียง ของคู๋ใจมือสไนเปอร์ จะปลดล็อคได้ในช่วง Mission 2ก่อนจะเริ่มเล่นเกม ผู้เขียนขอออกตัวเตือนไว้เลยว่า ใครที่เป็นคนใจร้อน ก็อย่าลังเลที่จะเลือกเล่นโหมด Very Easy ของเกมนี้ไปเลย แต่ไม่ใช่เพื่อให้เราได้บู๊แหลก วิ่งยิงเป็น Call of Duty แต่ A.I. ของเกมจะฉลาดน้อยลงมาก ความพิเศษของเกมนี้คือการวางแผนอย่างใจเย็น และรัดกุมมากที่สุด หากคุณอยากเล่นเป็นมือสังหารเงียบอย่างแท้จริง แต่บางครั้งความฉลาดของ A.I. ก็ทำให้การวางแผนลำบากมาก หากยังไม่เชี่ยวชาญ กดง่ายสุดไปก่อนก็ไม่เสียหาย แต่กลับกัน เกมนี้มอบอิสระให้คุณที่จะวิ่งยิงแหลกแบบไม่สนสี่สนแปดอะไรเลยก็ได้เช่นกัน เกมรองรับทุกสไตล์การเล่นของคุณอยู่แล้วเพียงแต่ว่าในช่วงจบเกม จะมีการประเมินคะแนนความสามารถและรูปแบบการเล่นของคุณอย่างชัดเจน ว่าคุณเป็นพวกมือสังหารเงียบ หรือพวกป่าเถื่อนฆ่าแหลกไม่สนอะไรเลยก็ทำได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า จำนวนศัตรูในแต่ละฉาก มันใส่มาเยอะเสียจนผู้เขียนคิดว่า ยังไงก็กินเวลามาก กว่าจะฆ่าได้หมด การวางแผน ลอบเร้น เล่นอย่างใจเย็น ยังจะพอมีความเป็นไปได้มากกว่า และใช้เวลาในการเล่นน้อยกว่า แต่สุดท้ายมันก็แล้วแต่คุณ ว่าคุณยังสนใจหรือไม่ ว่าเกมนี้คือ Sniper Elite ไม่ใช่ Call of Dutyระทึกยิ่งกว่า ด้วยการโดน Invade จากผู้เล่นอื่น ใน Sniper Elite 5 นี้ ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ของเกมเข้ามา สำหรับโหมดนี้ ใครที่เคยเล่น Deathloop หรือเกมจำพวก Soulsborne มาก่อน ก็จะรู้จักและเรียนรู้มันได้ในเวลาอันสั้น มันคือโหมด Invader ที่ผู้เล่นคนอื่นจะสามารถบุกรุกเข้ามายังเกมของเรา และมาไล่สังหารเราได้ เมื่อเราโดนผู้เล่นอื่นบุกรุกเข้ามา ภารกิจหลักของตัวเกมจะกลายเป็นการตามหาเป้าหมาย และฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ ก่อนที่เราจะโดนอีกฝ่ายเป่าหัวจนดับดิ้นเสียเองภายในฉาก จะมีตู้โทรศัพท์อยู่ ที่เราสามารถใช้งานเพื่อเปิดเผยตำแหน่งของเป้าหมายได้ด้วย ทำให้การเล่นโหมดนี้มีความตื่นเต้น และลุ้นระทึกอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าฝ่าย Axis Invader นี้ บางทีก็เป็นบอทหรืออาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไรนัก ถ้าคนเล่นเป็นวนมาเจอกัน มันอาจจะเป็นการประลองปืนสไนเปอร์ที่ดุเดือดมาก และวัดความใจเย็นได้ดี แต่หากเป็นคนเล่นไม่เป็นเข้ามา ก็อาจจะงง ๆ ไปเลยว่าต้องทำอะไรยังไง อย่างไรก็ตาม โหมดนี้สามารถเปิด-ปิดได้โดยผู้เล่นเองอยู่แล้ว หากใครไม่อยากถูกรบกวนจากการโดนผู้เล่นอื่นบุกเข้ามา ก็เลือกปิดได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มภารกิจ ซึ่งบางครั้งก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะมีหลายครั้งหลายหนเหมือนกันที่การลอบสังหารกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มแต่ถูกผู้เล่นอื่นบุกเข้ามาขัดขวางซะอย่างนั้นยกระดับ Kill Cam ให้ดุดัน ทรงพลัง และอิสระกว่าที่เคยจะรีวิวเกมนี้โดยไม่พูดถึงฟีเจอร์นี้ย่อมไม่ได้โดยเด็ดขาด สำหรับ Kill Cam ที่ถือว่าเป็นไม้เด็ดที่ใครหลายคนชื่นชอบ เพราะเราจะได้เห็นฉากการฆ่าสุดดุเดือด กระสุนพุ่งทะลุทะลวง ทำลายล้างอวัยวะของเหล่าทหารนาซีผู้โชคร้าย ที่ในภาคนี้ ระบบนี้ก็ยกระดับขึ้น โดยเราสามารถปรับแต่งลูกเล่นต่าง ๆ ระหว่างฉากสโลว์โมชั่นที่กระสุนพุ่งเข้าไปสังหารศัตรูได้ไม่ว่าจะเป็ฯสปีดความเร็ว การหันมุมมองด้วยเมาส์ หรือการเข้าสู่ Photo Mode ระหว่างนาทีสังหารนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน แถมในภาคนี้ อาวุธทุกแบบยังมีโมเมนท์ Kill Cam แล้ว จากที่แต่ก่อนจะมีแต่ปืนไรเฟิลเท่านั้น ภาคนี้ทั้งปืน SMG ปืนพก หรือแม้แต่ระเบิด หากปาเข้าไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมก็สามารถทำให้เกิด Kill Cam สุดเท่ได้ตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้มันจะเจาะทะลุทะลวงไปจนถึงอวัยวะ หรือส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย แต่ความรุนแรงของมันอาจจะดูเบาลงนิดหนึ่ง สำหรับคนที่เคยตามซีรีส์นี้มาก่อน แต่ภาคนี้ถือว่าปรับแต่ง และใส่สิ่งต่าง ๆ มาได้เยอะขึ้นภาพรวมของ Sniper Elite 5 นั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้ยกระดับมาจากภาคแรกอย่างก้าวกระโดดมากนัก แต่ในแง่ของเกมเพลย์ ฉาก บรรยากาศ ก็ถือว่ามีการพัฒนาพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะ Kill Cam และฉากที่สวยงาม กว้างใหญ่ขึ้นมาก ไม่ว่าคุณจะซื้อเกมนี้มาเล่น หรือเล่นผ่านระบบ Xbox Game Pass ก็น่าจะคุ้มค่า สมราคา โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่หลงใหลในการลอบเร้น นี่คือเกมที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
27 May 2022
[รีวิว] Ni no Kuni : Cross Worlds เกมดีที่รอคอย จริงหรือมั่วชัวร์หรือไม่ ?
Ni no Kuni: Cross Worlds เกมที่สาวกของอนิเมะค่ายดังอย่าง Studio Ghibli ลอยคอ รอคอยกันมาแสนนาน ได้เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา Studio Ghibli ได้จับมือพัฒนาเกมกับค่ายดังอย่าง LEVEL5 และ Netmarble สรรค์สร้างเกมนี้ขึ้นมา เลยทำให้คุณภาพต่าง ๆ ของเกมนี้ออกมาดูดีอย่างที่หลาย ๆ คนได้คาดการณ์กันเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น กราฟิก คุณภาพของเกม เนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าสุดยอดและเป็นสิ่งที่น่าติดตามมาก ๆ ครับ Ni no Kuni: Cross Worlds เป็นเกมมือถือแนว MMORPG และยังมีเวอร์ชั่น PC ให้ได้เล่นกันอีกด้วย เรียกได้ว่าครอบคลุมมันทุกแพลตฟอร์มกันไปเลย นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม มีอนิเมชั่นที่น่าดูแล้วเนี่ย การต่อสู้ในเกมก็ยังสนุกใช้ได้เลยครับ ตัวเกมมีการใช้ระบบธาตุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีระแบบปล่อยบอทฟาร์มออฟไลน์ได้สูงสุด 5 ชั่วโมง มีระบบอิมาเจนหรือว่าสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ เราสามารถพาน้อง ๆ ไปช่วยเราสู้ได้ถึง 3 ตัวเลยทีเดียว เกมนี้จะมีทั้งหมด 5 อาชีพด้วยกัน และจุดที่น่าสนใจของเกมนี้อีกอย่างก็คือถ้าเราเล่นหลาย ๆ ตัว ไอเทมบางอย่างที่เราได้มาสามารถแชร์กันได้ครับ รายละเอียดเกมคร่าว ๆ มีอะไรบ้าง? มันน่าเล่นสมกับที่รอคอยไหม? ตามผมมาเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง :)การเดินเควส เกมนี้ในส่วนของการเดินเควสมีทั้งเควสหลักจากเนื้อเรื่อง และเควสรองจาก NPC ในแมพ เป็นการเดินเควสแบบ Auto ทั้งหมดเลยครับ เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย นอกจากกดคลิกตอนพูดคุยกับ NPC ใครที่เป็นแฟนอนิเมะ หรือชอบเสพเนื้อเรื่องอาจจะชอบนะครับ แต่ผมเห็นหลายคนในกลุ่ม Community ของเกมนี้ไม่ว่าจะเป็นแฟนการ์ตูนก็ดี หรือแค่คนที่ชอบเล่นเกมเฉย ๆ มาบ่นกันค่อนข้างเยอะ เรื่องที่เกมนี้มีการพูดคุยกับ NPC เยอะมาก (เยอะจนคนเล่นหลับไปเลยครับ 5555) เอาจริง ๆ ข้อเสียตรงนี้ผมแอบเห็นด้วย เพราะมันชวนง่วงจริง ๆ แต่ในจุดนี้เราก็ต้องเข้าใจในตัวเกมก่อน ว่าเขาดัดแปลงมาจากอนิเมะ ของค่าย Studio Ghibli เกมทำออกมาแนวนี้ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่สำหรับผมที่ไม่ได้เป็นแฟนซีรีส์นี้ผมก็มองว่าตรงนี้มันค่อนข้างเยอะไปสำหรับผมเช่นกันครับการต่อสู้ในส่วนนี้บอกเลยว่า ว่าก็ยังแอบผิดหวังอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ถือว่าได้เล่นเกมมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ Auto เพราะว่าการสู้กับบอส หรือการปาร์ตี้เข้าดันพิเศษต่าง ๆ เราจะนั่งเฝ้าจอเฉย ๆ ให้บอทเล่นไม่ได้แล้วนะครับ ในส่วนนี้ค่อนข้างใช้เสต็ปในการเล่นอยู่พอสมควร เพราะว่าถ้าปล่อยบอทเล่นเราอาจจะโดนบอสตบกลิ้งเป็นลูกขนุนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว เราต้องคอยหลบสกิลบอส ม้วนตัวกระโดดออกมา ต้องงัดทักษะการบังคับมาใช้ แล้วการลงฟิลด์บอสในเกมนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน และต้องมีสกิลเพลย์ที่ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นสู้ไม่ไหวจริง ๆ เพราะดาเมจบอสค่อนข้างแรง เราควรเล่นเอง เพราะบอสเกมนี้ยิ่งเลเวลสูง ๆ นางตบ One hit, one kill  ต้องกดเกิดเดินมาใหม่ตลอด และเกมนี้ถ้าเล่นในมือถือจะค้นพบว่าน่าหงุดหงิดมาก ด้วยปุ่มหลบที่โคตรจะเล็ก บางทีกดหลบดันไปโดนปุ่มยิง บอสสวนมาสรุปไม่ได้หลบ ส่วนในคอมอาจจะเล่นง่ายหน่อย แต่ยังมีเรื่องคูลดาวน์หลังกดหลบ หลบซ้อน ๆ ไม่ได้ แถมความลำบากไม่ได้มีเพียงเท่านี้ การลงสู้ในฟิลด์บอสนั้นคนจะมาล่าบอสกันเยอะมากครับ มาจากทั่วทุกสารทิศจากทุก ๆ แชนแนล สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ การใช้สกิลเพลย์ที่เล่นกับบอสว่ายากแล้ว พอคนเยอะมันดันยากเข้าไปใหญ่ครับ เพราะว่าแลคมากกกกกกก เท่านั้นยังไม่พอแถมมาด้วยการดูสกิลบอสที่แบบว่าต้องอาศัยการเดาเพราะมองอะไรไม่รู้เรื่องเลย รู้ตัวอีกทีคือเฝ้ารากมะม่วงไปแล้ว หลังจากจบดันพิเศษ ฟิลด์บอส และบอสโลก มีโอกาสที่จะดรอปไอเทมดีดีให้เรา แต่ส่วนใหญ่จากที่ผมลงบอสมา(เรียกผมว่าเสี่ยนาเกลือได้เลย เค็มแต่ไม่ดี 5555) ส่วนการต่อสู้กับมอนทั่ว ๆ ไปเราสามารถเปิดบอทเพื่อสู้ได้เลยครับ แต่ในช่วงเลเวล 40 ขึ้นไป มอนค่อนข้างโหด หลัง ๆ ก็จะไม่ค่อยได้ใช้บอทนอกจากปล่อยฟาร์มเอาไว้แล้วไปนอนฮะระบบธาตุเกมนี้ความสนุกก็อยู่ตรงระบบธาตุด้วยครับ เพราะมอนในเกมนี้จะมีแบ่งเป็นธาตุ และเราสามารถพกอาวุธไปใช้ต่อสู้ได้ทั้งหมด 3 ชิ้นครับ ซึ่งในเกมจะมี 5 ธาตุหลัก ๆ คือ ไฟ น้ำ พืช แสง และความมืดครับ พืชแพ้ไฟ ไฟแพ้น้ำ น้ำแพ้พืช ส่วนแสงกับความมืดต่างคนต่างแพ้กันเองครับ เราควรหาอาวุธให้ครบทุกธาตุ และอิมาเจนหรือว่าสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ของเราก็จะเป็นธาตุเหมือนกันครับ ควรเปิดหาได้ครบทุกธาตุเช่นกัน จำเป็นต้องใช้และของมันต้องมีครับ ขอให้สุ่มได้ดีดีกันครับทุกคนอิมาเจนอิมาเจนหรือว่าสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ของเกมนี้จะมี 5 ธาตุด้วยกันนะครับ เกมนี้เราสามารถพาน้อง ๆ ไปช่วยสู้ได้เต็มแม็กซ์ 3 ตัวนะครับ และเราสามารถทำได้อีกหลายอย่างเลยครับเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอิมาเจนของเรา ไม่ว่าจะเป็น อัพเลเวล, วิวัฒนาการ, เสริมพลัง, ดูดซับการเสริมพลังอิมาเจน, ปลุกพลัง ยิ่งน้องเก่งเท่าไหร่ เราก็จะโหดตามน้องไปครับ และเราควรมีอิมาเจนให้ครบทุกธาตุ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราในการต่อสู้ เพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้มอนจะอยู่เป็นช่วง ๆ ครับ ช่วงไหนเจอธาตุพืชก็จะเป็นพืชยาว ๆ อย่างเช่นช่วงแรกของเกม เราก็ควรพาอิมาเจนที่มีธาตุไฟไปสู้มอนกับเรา เพราะถ้าแพ้ธาตุจะทำดาเมจได้มากขึ้นครับ ดาวน้อง ๆ ก็สำคัญนะครับ ถ้าเราสุ่มได้ 4 ดาวคือไม่เกลือครับ พวก 3 ดาวก็เอาไว้ใช้แก้ขัดได้ เพราะเราสามารถอัพดาวของน้อง ๆ ได้ แล้วพออัพเรียบร้อยจาก 3 ดาวก็จะกลายเป็น 4 ดาว ส่วนพวกอิมาเจน 1-2 ดาว เราก็เก็บไว้เป็นวัตถุดิบในการ อัพเลเวลให้ตัวหลักของเราได้ครับอาวุธอาวุธของเกมนี้มีธาตุและเราสามารถใส่ได้ 3 อันนะครับ ตอนต่อสู้เราสามารถสลับเปลี่ยนธาตุเพื่อให้ชนะทางมอนได้เลย ยิ่งอาวุธเราดาวเยอะเท่าไหร่ เราจะโหดขึ้นตามดาวเลยครับ และการอัพเกรดต่าง ๆ ทำออกมาคล้ายกับระบบของอิมาเจนเลย แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในส่วนของอาวุธก็จะมี อัพเลเวล, เลื่อนขั้น, เสริมพลัง, ถ่ายโอนเสริมพลังอุปกรณ์, ปลุกพลัง และเราควรสุ่มให้ได้ครบทุกธาตุเพื่อเป็นการง่ายกับเราในเวลาสู้กับมอนครับ การเจาะลึกรายละเอียดต่าง ๆ ตามหัวข้อพวกนี้เพื่อน ๆ สามารถดูใน YouTube หรือบทความต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ตที่เขาสอนได้เลยนะครับ มีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด Skillเกมนี้เราจะมีสกิลที่ใช้ต่อสู้หลัก ๆ อยู่ 3 หัวข้อใหญ่ ๆ นั่นก็คือ สกิลคลาส, แอคทีฟพิเศษ, แพสซีฟพิเศษ และธาตุของสกิลคลาสและสกิลเบิร์สต์ จะถูกปรับให้ตรงกับอาวุธธาตุที่เราสวมใส่ครับ พอเราเปลี่ยนอาวุธปุ๊บ มันก็จะปรับให้เราเองปั๊บเลยโดยที่เราไม่ต้องไปเซ็ตค่าอะไรใด ๆ ให้วุ่นวายครับทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงน้ำจิ้มที่ผมยกตัวอย่างเพื่อมาแนะนำให้ดูเท่านั้นนะครับ เพราะเกมนี้ยังมีระบบยิบ ๆ ย่อย ๆ ค่อย ๆ ทยอยปลดล็อคออกมาให้ได้เล่นกันอย่างเพลิดเพลิน ถ้าใครอยากจะเจาะลึกให้เยอะกว่านี้ ใน YouTube มีกูรูต่าง ๆ มาเจาะลึกลงคลิปให้ดูมากมายเลยครับ เพื่อน ๆ สามารถไปศึกษาแบบลึก ๆ ได้เลย น่าเล่นใช่ไหมครับ ภาพก็สวย เนื้อเรื่องก็แน่น ๆ ถ้าใครสนใจเพื่อน ๆ สามารถดาวน์โหลดเกมมาเล่นได้ทั้ง PC และมือถือ ส่วนใครอยากเปิดหลาย ๆ จอ สามารถเล่นใน Simulator ต่าง ๆ ได้นะครับ เพียงแต่เพื่อน ๆ ต้องตั้งค่าใหม่ให้ Simulator เพื่อน ๆ เป็น 64bit ก่อน ถ้าเป็น 32bit อยู่จะไม่สามารถเล่นได้ครับ DownloadPCGoogle PlayApp Storeสรุปเกมนี้ยังไม่ใช่ Game of the Year สำหรับผม จากที่ลองเล่นมา 72 ชั่วโมง (เป็นแค่เพียงการรีวิวจากความรู้สึกของผมที่ได้เล่นมานะครับ) ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกว้าวเท่าที่คาดหวังเอาไว้ และพบว่ามีความขัดใจในระบบเกมเพลย์อยู่บ้าง แต่ถ้าใครเป็นแฟนซีรีส์นี้อาจจะถูกใจก็ได้ครับ เพราะเนื้อเรื่องที่ใส่มาให้เสพอย่างจุใจ ภาพที่สวยสมการรอคอย แต่สำหรับตัวผมนั้นไม่ได้เป็นแฟนของซีรีส์นี้ผมมองว่าเนื้อเรื่อง หรือการพูดคุยกับ NPC มันค่อนข้างเยอะไป ทำเอาผมหลับไปหลายตื่นอยู่ ระบบการต่อสู้ที่ต้องใช้สกิลเพลย์ค่อนข้างสนุกแต่ก็ยังติดอยู่ตรงที่มันค่อนข้างบังคับยาก (อย่างน้อยในมือถือ) และมีคูลดาวน์กับบางอย่างที่ไม่ควรมีเช่นการกดหลบ เอาเป็นว่าสรุปง่าย ๆ ว่าผู้พัฒนาชูเกมมาว่าเป็นเกมมือถือ แต่ดันไม่เหมาะกับมือถือระบบธาตุต่าง ๆ ก็ส่งเสริมให้การเล่นเกมมีสีสันมากขึ้น ถ้าไม่มีส่วนนี้ผมจะเล่นเกมนี้ด้วยความเคว้งคว้างกว่านี้อีกครับ จุดเด่น ๆ ของเกมนี้ที่ไม่ชมไม่ได้คือภาพที่อลังการครับ กราฟิกนี่คือสุดยอดดดดดด มีระบบคัทซีนให้ได้เห็นถึงความสวยงาม และมีกลิ่นอายอนิเมะจ๋า ๆ แต่ในส่วนของคัทซีนบางทีก็เจอซ้ำ ๆ ทุก ๆ ครั้งที่เขาไปเล่นโหมดเดิม ๆ เอาตรง ๆ ผมก็แอบเบื่ออยู่เหมือนกัน เพราะบางโหมดมันกดข้ามไม่ได้ และตัวการ์ตูน มอนส์เตอร์ หรือการออกแบบตัวละครต่าง ๆ ก็น่ารักไม่ไหว ระบบยิบย่อยต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาให้ได้ผสมนู่นนี่นั่นมีอะไรให้ทำแก้ง่วงอยู่บ้าง การสุ่มกาชาปองเรท % การออกผมมองว่าค่อนข้างออกยากอยู่ครับ แต่สายฟรีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะตัวเกมค่อนข้างแจกคูปองสุ่มมาให้ถลุงเยอะมาก ๆ ถ้าพกดวงมาแน่น ๆ มีโอกาสได้อิมาเจน หรืออาวุธเทพ ๆ อยู่ครับ (ถ้าไม่ได้ก็รีไอดีวนไป พอได้อิมาเจนที่โดนใจก็ค่อยผูกอีเมลเอาครับ) แค่สายฟรีอย่างเรา ๆ ก็จะช้ากว่าสายเติมอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสัจธรรมเหมือน ๆ กันทุกเกมครับ อยากเก่งก็ต้องเติม ไม่มีทุนก็ค่อย ๆ ปั้นไป โลกทุนนิยมนะครับ ยังไงก็ถือว่าสนับสนุนผู้พัฒนาเกม ให้เขามีกำลังใจผลิตเกมดีดีมาให้เราเล่นอีก ในส่วน Play to Earn ทาง Dev ประกาศว่าจะตามมาทีหลัง ตอนนี้ก็เปิดให้ไปผูกกระเป๋าได้แล้ว เดี๋ยวถ้าระบบ Play to Earn เข้ามาเมื่อไหร่ ผมจะมารีวิวแนะนำวิธีการเอิร์นเหรียญให้เพื่อน ๆ ได้ทราบแน่นอน ตอนนี้ก็รอระบบนี้เป็นเพื่อนผมกันไปก่อนนะครับ สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อน ๆ เล่นเกมกันให้สนุก สุ่มได้ของดีดี ไม่ต้องมาทำนาเกลือเหมือนผมนะฮะ >
26 May 2022
[Review] Death Gambit: Afterlife เกมที่ทำความยากให้ย่อยง่าย จนเหมาะสมทั้งสายชิลและจริงจัง
หากจะพูดให้เข้าใจง่าย และเห็นภาพโดยทั่วกันแล้ว Death Gambit คือเกม Dark Souls ที่ถูกดัดแปลง พร้อมนำเสนอใหม่ในมุมมอง 2 มิตินั่นเองแน่นอนว่า ระบบต่าง ๆ อาจจะมีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่แก่นกลางของมันก็ยังคงให้กลิ่นอายของแนว Soulslike อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบอาชีพ ความยากของศัตรู บทลงโทษเมื่อผู้เล่นตาย ไปจนถึงแผนที่ที่มีความซับซ้อนเหมือนกับเขาวงกตและสำหรับ Death Gambit: Afterlife นั้น มันจะเป็นเหมือนเวอร์ชันอัปเกรดของตัวเกมจากภาคต้นฉบับ เพราะทางผู้พัฒนาได้ปรับปรุงหลายสิ่งหลายยิ่งในส่วนขยายนี้ ทั้งเพิ่มฉากจบใหม่ เพิ่มบอสตัวใหม่ เพิ่มอาวุธใหม่ และยังมีการปรับปรุงระบบเกมเพลย์บางส่วนอีกด้วยซึ่งต้องขอสารภาพตามตรงว่า ทางผู้เขียนไม่เคยได้สัมผัสกับตัวเกมต้นฉบับของ Death Gambit มาก่อน ดังนั้นอาจจะหาข้อเปรียบเทียบได้ไม่ชัดเจนมากนัก สำหรับความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชันนี้ อีกทั้งเกมที่ผู้เขียนใช้รีวิว จะเป็นเกมในเวอร์ชันเครื่องพกพาอย่าง Nintendo Switch ซึ่งอาจจะมีปัญหาที่แตกต่างกันบางประการจากเวอร์ชันอื่น ๆ เนื้อเรื่องที่ย่อยง่าย แต่ยังคงแฝงไปด้วยปริศนาเนื้อเรื่องหลักของ Death Gambit จะมีความเป็นเส้นตรงกว่า Dark Souls หรือเกม Metroidvania ในประเภทเดียวกันอย่าง Deadcells หรือ Hollow Knight มากนักเกมจะพาเราไปติดตามเรื่องราวของตัวเอกนามว่า Sorun ที่เคยสูญเสียลมหายใจไปแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเขากลับทำสัญญากับยมทูต (Death) ได้ทันท่วงที ก่อนที่วิญญาณสูญสลายไป Sorun ฟื้นขึ้นมายังโลกคนเป็นอีกครั้งในฐานะผู้ที่ฆ่าไม่ตาย (Immortality) โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับยมทูตก็คือ เขาจะต้องจัดการสังหารบุคคลที่เป็นอมตะอื่น ๆ เพื่อให้ยมทูตสามารถเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของผู้ฝืนกฎธรรมชาติได้นั่นเองนอกจากนี้ ความทรงจำของ Sorun ระหว่างยังมีชีวิตจะยังเลือนรางอีกด้วย แต่สิ่งเดียวที่ Sorun ยังคงจำได้เด่นชัดก็คือ ภาพแม่ของเขาที่ออกไปทำภารกิจสำรวจดินแดนภายนอกเมื่อครั้งเขายังเยาว์วัย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ Sorun จะต้องไขว่คว้าให้ได้ ภายในการเดินทางครั้งนี้นี่เองอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า Death Gambit: Afterlife นั้น จะมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายมากกว่า เพราะทางผู้พัฒนาเลือกที่จะเล่ากันมาแบบตรง ๆ ไม่ต้องให้ผู้เล่นไปสืบเสาะหาเบาะแสกันเอาเอง ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะทำให้บางคนที่ชื่นชอบดื่มด่ำไปกับการเดินพูดคุยกับ NPC ต่าง ๆ รู้สึกว่าจืดชืดไปบ้าง กับการที่เกมยัดข้อมูลมาให้เราแบบง่าย ๆ เลยทว่าไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะในเมื่อตัวเกมได้นำความตายมาแปรเปลี่ยนเป็นลูกเล่นแล้ว เขาจึงได้ดึงเอาความตายมาใช้เป็นส่วนช่วยบอกเล่าข้อมูลอีกด้วย โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นตาย ตัวเกมจะสุ่มปล่อยข้อมูลความทรงจำใหม่ ๆ เข้ามา ทั้งภาพของ Sorun ในวัยเด็กที่พูดคุยกับแม่ของเขา ว่าอยากจะเป็นอัศวิน หรือจะเป็นฉากที่ Sorun เดินทางไปยังผืนน้ำของทะเล ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นทะเลเลือด เพราะไฟสงคราม ทั้งหมดนี้จะช่วยสื่อสารและเล่าเรื่องราวปูมหลังของตัวละครหลักได้อย่างดีเลยทีเดียวอีกทั้งการที่ตัวเกมเล่าออกมาแบบสุ่มนี้ จึงทำให้ Death Gambit: Afterlife มีคุณค่าในการกลับมาเล่นซ้ำค่อนข้างสูงสำหรับคนที่อยากจะเก็บเนื้อเรื่องให้สมบูรณ์ ยิ่งบวกกับฉากจบหลายแบบด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาอยู่กับเกมนี้นานระดับหนึ่งเลยทีเดียวล่ะระบบอาชีพทั้ง 7 มอบอิสระให้กับคนเล่นเต็มที่หลังจากอารัมภบทเนื้อเรื่องในตอนต้นเกมไปแล้ว ยมทูตจะถามเราถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นการให้ผู้เล่นเลือกอาชีพตอนเริ่มเกมทั้ง 7 อาชีพ โดยมีไปตั้งแต่ อาชีพที่ตัวเกมแนะนำว่าเล่นยากอย่าง Assassin หรือ Sentinel อาชีพที่เน้นการโจมตีระยะไกลอย่าง Wizard อาชีพที่เน้นวางแผนเข้าทำอย่าง Soldier, Noble หรือ Acolyte of Death และอาชีพที่เล่นง่าย บุกโจมตีไวอย่าง Blood Knightแน่นอนว่าแต่ละอาชีพที่มีข้อดีที่แตกต่างกันไป ซึ่งมันจะมาในรูปแบบของสกิลติดตัวตั้งแต่แรกเลือก ไปจนถึงสกิลกดใช้ที่มีให้เลือกอัปเกรดได้ในภายหลังโดยสกิลติดตัวนั้น จะอยู่กับตัวละครของผู้เล่นไปตลอด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าจะเริ่มเล่นใหม่ ส่วนสกิลที่อัปเลเวลได้ มันจะมีระบบของคลาส 2 เข้ามาเกี่ยวข้อง ช่วยให้ผู้เล่นสามารถกระโดดข้ามสาย ไปหยิบยืมสกิลของอาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ได้เลือกในต้อนเริ่มเกมได้นั่นเองนอกจากนี้ ตัวเกมยังไม่ได้จำกัดอาวุธประเภทต่าง ๆ ให้แค่เพียงอาชีพเดียวถือเท่านั้น ผู้เล่นสามารถเลือกใช้งานอาวุธอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่ค่าพลังเอื้ออำนวย ช่วยให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์สไตล์การเล่นของตัวเองออกมาได้แทบจะไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียวระบบที่เอื้ออำนวยให้คนเล่นไม่เก่ง ก็สามารถสนุกไปด้วยกันได้หากคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับเกมแนว Soulslike แบบ 3 มิติมา คุณน่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักเลยทีเดียวกว่าที่จะชินกับ Death Gambit เพราะว่าการออกท่าของศัตรูภายในรูปแบบมุมมอง 2 มิตินั้น ค่อนข้างคาดเดายากกว่ามุมมอง 3 มิติระดับหนึ่งเลย ทว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มจับทางของตัวเกมได้แล้ว เกมนี้จะง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียวเกมให้ทางเลือกในการตอบโต้การโจมตีของศัตรูที่หลากหลาย ราวกับถอดแบบมาจาก Dark Souls ทั้งการกลิ้งหลบ การบล็อก การแพรี่ ล้วนมีอยู่ใน Death Gambit อย่างครบถ้วน ซึ่งถ้าหากคุณมีประสบการณ์กับเกมแนว Soulslike มา ก็น่าจะรู้ว่า การกลิ้งหลบ มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณจบเกมได้อยู่แล้วและตัวเกมยังจะมีระบบเสริมพลังให้ผู้เล่นเมื่อปราบบอสหลักลงได้อีกด้วย เช่น ผู้เล่นจะสามารถกระโดดสองครั้งได้ หรือกระโดดแล้วพุ่งตัวได้ ช่วยทำให้จังหวะฉากต่อสู้ในเกมนี้มีทางเลือกที่หลากหลายมาก ส่งผลให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะบอสหลักภายในเกมได้อย่างไม่ยากเย็น แม้จะเพิ่งเคยปะทะกันเป็นครั้งแรกก็ตามทีอีกทั้งตัวเกมยังมีระบบ Abilities มาเสริมให้ เป็นสกิลประเภทกดใช้ที่ใส่ได้สูงสุดถึง 4 ช่อง ทำให้ผู้เล่นจะมีทั้ง สกิล Passive สกิล Active ความสามารถพิเศษที่ติดตัว อาวุธสองแบบ ไปจนถึง Aura ที่ช่วยเสริมพลัง เรียกว่าบัฟเต็มตัวกันขนาดนี้ เล่นไม่ผ่านก็ให้มันรู้ไปบทลงโทษที่เป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่น่าจะเป็นความตั้งใจของทีมพัฒนา ที่ทำให้เกมนี้มีความเข้าถึงง่าย เพราะนอกจากระบบต่อสู้ที่ให้ทางเลือกกับผู้เล่นจำนานมากแล้ว ในส่วนของการลงโทษเมื่อผู้เล่นตายนั้น บทลงโทษก็น้อยเสียเหลือเกินในเกม Soulslike ทั่ว ๆ ไป เมื่อผู้เล่นเสียชีวิตลง ตัวเกมจะทำการดรอปค่าเงินหรือ Souls ออกไปจากตัวผู้เล่นทั้งหมด ซึ่งเจ้า Souls นี้จะถูกใช้ในการทำสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ซื้อไอเทม ไปยันอัปเกรดค่าพลังกันเลยทีเดียว และในการจะได้ Souls คืนนั้น ผู้เล่นจะต้องวิ่งไปเก็บในจุดที่ตัวเองได้ตายลงไป ซึ่งถ้าหากสาเหตุการตายของคุณเป็นบอสแล้วล่ะก็ การจะเก็บ Souls คืนมาได้นี่แทบจะต้องถอดใจไปครึ่งหนึ่งกันเลยทีเดียวทว่าภายใน Death Gambit ทางผู้พัฒนากลับเลือกให้สิ่งที่ดรอปทิ้งไว้หลังจากที่ผู้เล่นตายเป็นไอเทมเติมพลังแทน โดยไอเทมเติมพลังนี้จะลดลงไปเรื่อย ๆ ครั้งละ 1 ชิ้นที่ตาย แถมเมื่อตายซ้ำแล้วไม่ได้เก็บ มันก็จะยังไม่หายไปไหน ต่างจาก Souls ในเกม Dark Souls อีกด้วยเพราะฉะนั้นคุณสามารถตายซ้ำ ตายซาก ตายจนเก่งได้เลย ไม่ต้องกลัวจะไม่มีไอเทมใช้ในภายหลัง อีกทั้งสำหรับคนที่เล่นจนช่ำชองแล้ว ผู้พัฒนาก็ยังได้เพิ่มทางเลือกมาให้ โดยการทำดาเมจเพิ่มขึ้น แลกกับการพกไอเทมเติมพลังได้ลดลง ซึ่งหากผู้เล่นเลือกที่จะไม่พกไอเทมเติมพลังเลยนั้น ก็เท่ากับว่า ในการตายจะไม่มีผลเสียที่กระทบถึงผู้เล่นเลย ช่วยให้เกมง่ายขึ้นเข้าไปอีกภาพลื่นไหล แต่แอบโหลดช้าบน Switchณ ปัจจุบัน เครื่อง Nintendo Switch จะแบ่งเป็นรุ่นใหญ่ ๆ ราว 3 รุ่น ได้แก่ Switch ธรรมดา (กล่องขาว กล่องแดง) Switch Lite ที่ถอดจอยด้านข้างกับต่อ Dock ไม่ได้ และ Switch OLED ที่เป็นรุ่นอัปเกรดคุณภาพจอขึ้นมา ซึ่งในด้านประสิทธิภาพ ทั้งสามรุ่นล้วนมีความแรงที่ใกล้เคียงกัน จะแตกต่างก็เพียงประสิทธิภาพในการใช้งานแบตเตอรี่เพียงเท่านั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือ งานภาพของ Death Gambit: Afterlife ทำออกมาได้ลื่นไหลเป็นอย่างมาก ทุกฉากการปะทะจะไม่มีอาการเฟรมตกให้เห็นเลย ต่อให้สกิลจะอลังการแค่ไหนก็ตาม (มีอาการเฟรมตกเล็กน้อยในฉากขนาดใหญ่ ที่ตัวเกมต้องฉายภาพออกมาในมุมกว้าง แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเล่นมากนัก) แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะจังหวะการโหลดข้ามฉากของเกมนี้นั้น ค่อนข้างกินระยะเวลาในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเกมที่มีงานภาพใกล้เคียงกันอย่าง Hollow Knight หรือจะเป็นเกมที่มีภาพสวยกว่าอย่าง The Legend of Zelda: Breath of The Wild ก็ยังรู้สึกว่ามันโหลดไวกว่า Death Gambit: Afterlife อยู่ดี ส่งผลให้ในบางครั้งที่ต้องเดินข้ามฉาก สลับไปมา อาจจะทำให้คนเล่นหงุดหงิดขึ้นมาได้เหมือนกันซ้ำร้าย ตัวเกมยังมีปัญหาแปลก ๆ เล็กน้อย เช่น เกมค้างในบางช่วง กดเปิดหน้าไอเทมแล้วมีอาการหน่วง หรือจะเป็นปัญหาที่เวลาข้ามฉากในแนวตั้ง ผู้เล่นจะต้องคอยดันก้านอนาล็อกทิศทางเอาไว้เสมอ มิฉะนั้นตัวละครของผู้เล่นจะร่วงลงไปในฉากเดิม ซึ่งถ้าหากเกมมันโหลดฉากไว ปัญหาการตกฉากตรงนี้ก็คงไม่น่าวุ่นวายใจมากนัก แต่มันดันโหลดช้านี่สิ จึงทำให้บางครั้ง ผู้เล่นจะต้องรอกันถึง 10-20 วินาทีเลยทีเดียว จากสาเหตุเพียงแค่ลืมดันก้านอนาล็อกทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ตัวละครยังคงปีนบันไดขึ้นไปต่อควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?ถึง Death Gambit: Afterlife จะเป็นเกมที่หยิบยืมแนวเกมที่เล่นยาก ๆ และเข้าถึงเกมเมอร์ในวงแคบอย่าง Soulslike มาผสมผสานกับ Metroidvania ก็จริง แต่ด้วยการปรับระดับความยากที่กำลังพอดี และการเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จึงทำให้เกมนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอยากจะลองสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยตัวเองอย่างพอเหมาะพอเจาะแม้ว่าอาจจะมีจุดที่น่าเสียดายไปบ้าง ทั้งเรื่องประสิทธิภาพบนเครื่อง Switch ไปจนถึงเรื่องความง่ายที่กลายเป็นดาบสองคม ทำให้เสน่ห์ของเกมแนว Soulslike และ Metroidvania หดหายไปเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า Death Gambit: Afterlife เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ ที่มีคุณภาพคับแก้ว และเหมาะสำหรับคนที่อยากจะลองเริ่มเล่นเกมแนวนี้เลยล่ะครับ
26 May 2022
[Review] รีวิวเกม V Rising (Early Access) "แวมไพร์ผงาด! เกมเอาตัวรอดยอดนิยมเกมใหม่แห่งปี"
หากคุณยังไม่เบื่อกับเกมแนวเอาชีวิตรอด หาของมาสร้างถิ่นฐาน และเติบโต แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในปี 2022 นี้ ก็มีอยู่หลากหลายเกมให้ได้เลือกเล่นกัน แต่เกมนี้ เปิดตัวด้วยความแหวกแนวในดา้น Presentation หรือการนำเสนอ แถมยังกลายเป็นเกมม้ามืด ฮอตฮิตติดลมบน จนหลายคนสงสัยว่ามันคือเกมอะไร แต่วันนี้นอกจากเราจะมาคลายคำตอบให้คุณแล้ว ยังมาพร้อมการรีวิวแบบละเอียดด้วย วันนี้ขอเชิญพบกับรีวิว V Rising (Early Access)แวมไพร์มึนยุคคุณจะรับบทเป็นแวมไพร์ไม่มีชื่อ (ที่คุณจะได้ตั้งชื่อของตัวเอง) ที่นอนหลับไปเป็นเวลาหลายร้อยปี และเมื่อตื่นขึ้นมา คุณก็พบว่าอารยธรรมของมนุษย์เข้ายึดครองแผ่นดินเอาไว้แล้ว หน้าที่ของคุณคือก้าวขึ้นเป็นราชาแวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างแดรกคิวล่า ออกตามหาทรัพยากร ดูดเลือดสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จากนั้นก่อร่างสร้างถิ่นที่พักอาศัยหรือปราสาทแวมไพร์ของเราขึ้นมาและขึ้นเป็นสุดยอดผีดูดเลือด และเรายังสามารถสร้าง และปรับแต่งหน้าตาตัวละครเราเองได้ด้วยเอาจริง ๆ ถ้าบอกว่าเกมนี้ไม่มีเนื้อเรื่องก็ย่อมได้ เพราะฉากคัทซีนในช่วงแรกตอนที่เราเริ่มเล่นเกมก็อธิบายที่มาที่ไปคร่าว ๆ ไว้หมดแล้ว แต่เกมจะยอมเล่าเนื้อเรื่องเพิ่มเติมมากกว่านี้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต เพราะตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ในสถานะ Early Access อยู่ แต่เราคงต้องบอกกันไว้ตรงนี้เลยว่า นี่อาจไม่ใช่เกมที่คุณจะมาสนุกกับเนื้อเรื่องสักเท่าไร เพราะหลัก ๆ แล้ว คอนเทนต์ของเกมในตอนนี้ คือการเล่นแบบ Build & Craft สร้างถิ่นฐาน ต่อสู้กับเหล่าบอสและพวกมนุษย์ เพื่อขยายอาณาจักรแห่งความมืดให้เกรียงไกรมากยิ่งขึ้น ดังนั้นใครคิดจะซื้อเกมนี้มาแล้วหวังเนื้อเรื่องดี ๆ ก็อาจจะต้องโบกมือลาไปเลย แน่นอนว่าคนที่เอียนแล้วกับการเล่นเกมแนว Survival ก็อาจจะไม่ชอบเกมนี้ด้วย แต่.. ถ้าคุณยังคิดว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจ ถ้าคุณคิดว่า เป็นแวมไพร์ ทำไมยังต้อง Survival รีวิวนี้อาจจะชวนให้คุณมาเสียเงินกับเกมนี้ก็ได้ผสมผสานการเอาตัวรอด กับการล่าพลังเพิ่มแบบเกม RPGV Rising มีการผสมผสานกลไกของเกม RPG อยู่ด้วย แม้จะไม่มีระบบเลเวล แต่แวมไพร์ของเราจะสามารถหาอุปกรณ์ และอาวุธ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีกว่ามาใส่ได้ แต่หัวใจหลักสำคัญเลยก็คือ การสร้างที่พักอาศัย ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ ในช่วงแรกเริ่ม สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรีบสร้างให้ได้ก็คือ Castle Heart ที่จะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการขยับขยายอาณาจักรแวมไพร์ของเรา โดยเราสามารถเลือกที่จะลงหลักปักฐานตรงไหนก็ได้ ขอแค่เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ทับเส้นทางถนน และไม่มี Object ใดบดบังหรือกีดขวาง รวมไปถึงการไปตั้งถิ่นฐานบนยอดเขาหรือเนินเขาก็จะสร้างความได้เปรียบด้วยเส้นทางบุกที่มีน้อยมาก ถามว่า ทำไมแค่การลงหลักปักฐาน ก็ต้องจริงจังขนาดนี้ มันอาจจะต้องซีเรียสก็ได้ หากคุณเล่นโหมด PvE หรือโหมดออฟไลน์ แต่ถ้าคุณเล่นโหมดออนไลน์แล้วล่ะก็ ค่อนข้างจำเป็นเลยทีเดียวในเกมนี้รองรับทั้งการเล่น Solo / Offline Mode ที่ไม่ต้องไปสุงสิง ชิงของกับใคร กับอีกโหมดเพิ่มความตื่นเต้นและความระทึกคือโหมด PvP Online ที่ 1 เซิร์ฟเวอร์จะรองรับผู้เล่นตามจำนวนคนที่โฮสต์เป็นคนกำหนด โหมดออนไลน์นี้ จะให้อารมณ์การเล่นคล้าย ๆ เกมอย่าง Day Z , War Z หรือ Infestation ที่ทุกคนจำเป็นจะต้องเอาตัวรอดทั้งจากเหล่ามอนสเตอร์ยังไม่พอ ยังต้องรับมือกับคนด้วยกันเองอีกต่างหาก แต่ใครที่รักสงบ ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับใคร ถ้าไม่อยากเหงา จะไปเล่นเซิร์ฟเวอร์ PvE ก็ได้ เราจะเจอผู้เล่นคนอื่น แต่จะโจมตีหรือไล่ฆ่ากันไม่ได้ แต่ถ้าเป็น Offline Mode เราจะเล่นคนเดียวแบบเพียว ๆ ไม่ต้องร่วมมือกับใคร หรือเราจะตั้งห้องขึ้นมา ให้พาสเวิร์ดเพื่อน เข้ามาเล่นกันในวงเพื่อนก็ทำได้เช่นกันวกกลับมาที่การตั้งถิ่นฐาน เมื่อเราเลือกสถานที่ตั้งตัวได้แล้ว คราวนี้เราจะได้เริ่มสร้างสิ่งของอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อีกมากมาย เช่นโต๊ะคราฟท์ของ โรงเลื่อย เตาหลอมเหล็ก เครื่องบดหิน เห็นแล้วใครที่เคยเล่นเกมแนว Survival มา ก็คงจะทำความเข้าใจเกมนี้ได้ไม่ยาก และเราจะต้องค่อย ๆ ซื้อพื้นที่เป็นของตัวเองเพิ่มขึ้น ทำให้เราสร้างสิ่งของ และมีบ้านพักที่กว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญและจำเป็นในการรันถิ่นฐานของเราคือ Blood Essence เจ้า Blood Essence คือพลังงานเลือดที่เราสามารถหาได้จากการกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่น อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด มันจะเหมือนกับ "ไฟฟ้า" ที่ต้องใส่ไว้ที่ Castle Heart และทำให้สิ่งของต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเป็นระบบปกติและคนที่สงสัยว่า เป็นถึงแวมไพร์ทั้งที ยังจะต้องหลบหนีเอาตัวรอดจากอะไรอีก แล้วแวมไพร์กลัวอะไรล่ะ ? แน่นอนว่าแวมไพร์แพ้แสงแดด แสงอาทิตย์ ! ในเกมนี้ จะมีระบบเวลากลางวันและกลางคืนด้วย สำหรับช่วงเวลากลางคืน จะเป็นช่วงเวลาที่แวมไพร์อย่างเราสามารถเริงร่าได้อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะไม่ต้องมานั่งหลบแสงแดดแล้ว หากคืนไหนเป็นคืน Blood Moon หรือคืนพระจันทร์สีเลือด คืนนั้นเราจะแข็งแกร่งกว่าปกติ แนะนำว่า หากเข้าสู่ช่วงคืนพระจันทร์สีเลือด ให้กอบโกยผลประโยชน์ และฟาร์ม หรือออกล่าให้เต็มที่ ในขณะที่ช่วงเวลากลางวัน เราต้องคอยหลบแสงแดดที่สาดส่องลงมา แต่มันก็ไม่ได้จริงจัง ซีเรียส ถึงขนาดนั้น เพราะเกมนี้ แค่ร่มไม้ หรือเงา ก็สามารถช่วยคุณบังแดดได้แล้ว ทำให้เวลากลางวัน ไม่เหมาะกับการออกไปต่อสู้ หรือไล่ตบบอส เพราะพื้นที่ในการต่อสู้เราจะมีน้อยมาก โดยฉพาะพวกแคมป์โจร หรือที่โล่ง ที่หากอยู่ในช่วงเวลากลางวัน จะเดือดร้อนมาก เพราะจะโดนแดดเผานั่นเอง และนอกจากการบริหารจัดการเวลาที่ดีแล้ว V Rising จะมีระบบที่ทำให้เราสมกับการเป็นแวมไพร์มากยิ่งขึ้นระบบการดูดเลือด ที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นในหลากหลายเส้นทางเป็นแวมไพร์ทั้งที สิ่งที่ต้องทำได้ แน่นอนว่าคือการดูดเลือด และการดูดเลือดของเกมนี้ ก็ถือว่าเป็น Core Gameplay การเล่นหลักเลยก็ว่าได้ ทุกครั้งที่เราต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประเภทต่าง ๆ เมื่อสังหารมันจนใกล้ตายแล้ว เราสามารถกด F (Feed) เพื่อดูดเลือดของเป้าหมายมาได้ โดยสิ่งมีชีวิตที่เราดูดเลือดมานี้ จะส่งผลกับพลังที่เราได้มาด้วย สำหรับสิ่งมีชีวิตในเกมนี้จะมีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งหากเราดูดเลือดของเผ่าพันธุ์ใดมาแล้ว เราจะได้รับพลังแฝงของเผ่าพันธุ์นั้นมาใช้ โดยเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ แบ่งออกเป็น พวกสัตว์ป่า (Creature) พวกนักรบ (Warrior) พวกคนงาน (Worker) พวกโจร (Rogue) พวกผู้ใช้อาคม (Scholar) พวกนักสู้ร่างยักษ์ (Brute) การดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตแต่ละแบบก็จะทำให้เราได้บัฟต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราดูดเลือดพวกคนงานมา ก็จะเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้ดีขึ้น ดูดเลือดสัตว์ป่ามาก็เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเป็นต้นสิ่งนี้ทำให้การดูดเลือดมีความสำคัญมาก เราต้องดูว่าในวันนั้น เราจะทำอะไรเป็นหลัก ถ้าจะออกไปต่อสู้ รบราฆ่าฟันกับเหล่าบอส ก็อาจจะต้องดูดเลือดพวกนักรบ นักสู้ หรือผู้ใช้อาคม แต่ถ้าเราจะขยับขยายบ้าน หาทรัพยากรเติมให้กับถิ่นฐานของเราก็ใช้เลือดของคนงานจะดีกว่า และเลือดที่ดูดมา ยังนำไปใช้สกิลฟื้นพลังชีวิตได้ แต่เลือดเหล่านี้จะค่อย ๆ หมดลง ไม่คงอยู่ถาวร ถ้าเลือดหมด พลังชีวิตเราจะค่อย ๆ ลดลง นอกจากนั้น เราไม่สามารถดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ประเภทพร้อมกันได้ ในด้านการต่อสู้ ตัวเกมจะมีระบบการต่อสู้และมุมมองการเล่นที่คล้าย ๆ กับเกมอย่าง Diablo หรือ Path of Exile โดยเป็นมุมกล้องแบบ Isometric มองจากด้านบนลงมา และสามารถหันมุมกล้องได้อย่างอิสระจากด้านบน ทำให้การต่อสู้นั้นค่อนข้างปรับตัวและคุ้นชินกับมันได้ง่ายมาก สำหรับคนที่ถนัดเกมแบบนี้ แต่หากมองในแง่ของการ PvP ปะทะกับผู้เล่นอื่นก็ถือว่าหลายคนต้องปรับตัวกันมากพอสมควรนอกจากนั้นในส่วนของอาวุธและอุปกรณ์นั้น ตัวเกมยังใส่ระบบแพ้ทางชนะทางกันไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากใช้ขวานตีต้นไม้ ก็จะทำดาเมจได้มากกว่า ดรอปไม้มากกว่า หรือถ้าใช้พวกค้อนตีเหล็ก ก็จะตีเหล็กได้แร่เหล็กมากกว่า ซึ่งมันส่งผลไปถึงระบบการต่อสู้ด้วย เช่นถ้าศัตรูใช้โล่ไม้ แล้วเราสลับไปใช้ขวานโจมตี ก็อาจจะทำให้โล่แตกเร็วขึ้นได้ เกมนี้จึงผลักดันให้ผู้เล่นต้องคิดและเลือกใช้อุปกรณ์กับอาวุธอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านการเก็บเกี่ยวทรัพยากรและการต่อสู้กับศัตรูล่าบอส ปลดล็อคพลังใหม่ และสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆด้วยความที่เป็นเกมออนไลน์ ที่เล่นออฟไลน์และโซโล่ได้ คำถามที่หลายคนสงสัยคือ แล้วคอนเทนต์ตอนนี้ ถ้าเล่นคนเดียวจะมีอะไรให้ทำ คำตอบคือการล่าบอส ในเกมนี้จะมีบอสให้เราล่ามากกว่า 30 ตัวด้วยกัน และการล่าบอส ไม่ใช่แค่การล่าเอาสนุกเท่านั้น แต่มันยังช่วยปลดล็อคสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ และทำให้เราได้พลังใหม่มาใช้อีกด้วย อย่างเช่นในช่วงแรก หากเราอยากปลดล็อคเครื่องบดหิน เพื่อเอามาสร้างหินประเภทใหม่เพิ่ม ก็ต้องล่าบอสก่อนเป็นต้นวิธีการล่าบอสในเกมนี้ เราจำเป็นจะต้องสร้าง Blood Altar ขึ้นมาก่อน จากนั้นเลือกบอสที่จะไปล่า โดยบอสแต่ละตัวจะมีการบอกระดับเลเวลเอาไว้ ถ้า Gear Lv. โดยรวมของเรายังไม่ถึงหรือใกล้เคียงก็พยายามอย่าไปเสี่ยงมากจะดีกว่า ใช้เวลาฟาร์มของ สร้างฐานและอัปเกรดชุดกับอาวุธของเราให้พร้อม เพื่อการต่อสู้ที่ราบรื่น โดยหลังจากเราโค่นล้มบอสได้ จะปลดล็อคพลังใหม่ที่ได้มาด้วย ทำให้เกมนี้มีสกิลและระบบการต่อสู้ที่สนุกและหลากหลายมาก ประกอบกับแผนที่ Open World ขนาดใหญ่ ทำให้คอนเทนต์ของเกมนี้ แม้จะอยู่ในช่วง Early Access ก็ยังผลาญเวลาไปกับมันได้อย่างน้อย ๆ ก็ 10-20 ชั่วโมงขึ้นไปในตอนนี้หากพิจารณาจากยอดขาย 1 ล้านชุดใน 1 สัปดาห์ และคนเล่นที่สูงทะลุแสนคนตลอดหลังจากการเปิดให้เล่น ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า เกมแนว Survival นั้น ไม่เคยเสื่อมความนิยมลงไปเลย และดูท่า V Rising เองก็จะมอบแนวทางและคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้เกมแนวนี้ได้อีกมาก ใครกำลังมองหาเกมแนว Survival + RPG และธีมแวมไพร์เล่นอยู่ ราคา 289 บาท สำหรับ Early Access ตอนนี้ ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก
24 May 2022
[แนะนำเกม] Little Witch in the Woods "การผจญภัยของแม่มดน้อยในป่าใหญ่ เกมดีต่อใจที่น่าจับตามอง"
Little Witch in the Woods ได้เปิดจำหน่ายแบบ Early Access ไปแล้วในวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา เราจะได้รับบทเป็นแม่มดฝึกหัดชื่อ Ellie และมีเพื่อนร่วมเดิมทางเป็นหมวกขี้บ่นที่คอยชี้แนะเธอชื่อ Virgil เริ่มเรื่องมาด้วย Ellie ของเราจำเป็นต้องนั่งรถไฟเพื่อเดินทางไปฝึกงาน เพื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนแม่มด รถไฟได้เกิดเสียขึ้นมา และด้วยความเบื่อของแม่มดน้อยเป็นเหตุ เธอจึงลงจากรถไฟ ไปหาเจ้าหน้าที่ เพื่อแจ้งว่าเธอจะขอเดินไปดูรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียงในละแวกที่รถไฟจอดเสียอยู่ โดยเจ้าหน้าที่รถไฟได้บอกเธอว่า "ให้กลับมาก่อนเช้า" ด้วยความที่ Ellie เบื่อที่จะอยู่บนรถไฟ ทำให้เธอไม่เชื่อคำแนะนำของ Virgil ที่บอกให้เธอกลับไปนอนบนรถไฟหลังจากสำรวจเสร็จ แต่เธอเลือกที่จะนอนในบ้านหลังเก่า ๆ ของแม่มดที่เธอเจอในป่าแทน เมื่อแม่มดน้อยกลับมาจุดที่รถไฟเสียในตอนเช้า เธอก็โดนเจ้าหน้าที่รถไฟเทเสียแล้ว พร้อมจดหมายที่บอกเธอว่า "เราจำเป็นที่จะต้องออกเดินทางโดยที่ไม่มีเธอ และให้เธอไปรอที่หมู่บ้านใกล้ ๆ แถวนั้นก่อน และเดี๋ยวพวกเขาจะกลับมารับ" และการผจญภัยของ Ellie ก็ได้เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ครับ เพราะการไปหมู่บ้านนั้น มีอุปสรรคต่าง ๆ มาทดสอบเธอมากมาย และเธอดันสนุกกับมันซะด้วยสิ  >< ส่วนในอนาคตนั้น ต้องรอลุ้นว่าใน Chapter ถัดไป Dev จะเพิ่มระบบการต่อสู้กับมอนเข้ามาหรือเปล่า ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตชิล ชิล ในโลกเวทย์มนต์กันไปก่อนครับปรุงยา - การผสมหยูกยาต่างๆ ในการเรียนวิชาปรุงยา พอเรียนเสร็จก็ไปหาอะไรกินที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว (คนละเรื่องกันโว้ยนั่นมันแฮร์รี่ พอตเตอร์) โทษๆ มาว่ากันเรื่องการปรุงยาในเกมนี้กัน Slow life ไม่แพ้เกมเพลย์เลยครับ เนื่องด้วยในตอนแรกนั้นอุปกรณ์ของเรายังไม่ได้รับการอัพเกรด ชีวิตช่วงแรกๆ ในเกมจะค่อนข้างรันทดครับ เพราะกว่าเราจะหาวัตถุดิบที่ไปฟาร์มมา เพื่อมาเป็นส่วนผสม ตอนผสมก็ดันทำได้ทีละครั้งอีก แต่พอเรามีเงินไปอัพเกรดแล้วก็จะทำได้ ทีละ 2 ครั้ง 3 ครั้ง 4 ครั้ง แบบรวดเดียว ตามลำดับที่เราอัพเอาไว้ แต่กว่าจะอัพได้จนสุด เราต้องหาเงินหาไอเทมดุเดือดอยู่เหมือนกันครับ ฉะนั้นการผจญภัยของเราในแต่ละวันให้เราวางแผนไว้ก่อนเลยว่า วันนี้จะฟาร์มอะไรบ้าง หรือวันนี้จะเดินเควสอย่างเดียว เพราะช่วงหาเงิน เราต้องปรุงยาไปขายให้ NPC เพื่อที่จะหาเงินมาอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านครับ การขายยา (น้อง Ellie ไม่ได้เสพครับ น้องขาย หยอกๆ 555) เราจะขายได้ในส่วนของ Candy เท่านั้น ส่วน Potion ขายไม่ได้ สามารถนำไปใช้กับเควสหรือ ใช้ช่วยในการฟาร์มของเราเท่านั้นครับ ในการปรุงยานั้น จะมีสูตรในสมุดจดบันทึกของเรา เราต้องเช็คให้ดีก่อนที่จะปรุง เพราะสูตรต้องตรงเป๊ะ ใส่ไอเทมไหนก่อน ความแรงไฟเท่าไหร่ ต้องหมุนซ้ายหรือหมุนขวา ถ้าทำไม่ตรงกับสูตร ก็จะไม่สำเร็จครับ ถึงแม้จะ Failed แต่วัตถุดิบก็ไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่เหมือนเดิม แค่เราต้องทำใหม่อีกรอบครับสัตว์วิเศษ - อันนี้ตอนเล่นๆ ไปผมแอบตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนกันครับ ใจไม่ดีเลยน่ารักไปโหม๊ดดดด >< ตอนกลางวันเจอน้องต่าย เดินไปอีกแมพเจอซาลาแมนเดอร์ คาวาอี้ไม่ไหว น้องๆในทุกๆแมพจะเป็นสิ่งมีชีวิตในเกม ที่เราจะต้องไปฟาร์มหาวัตถุดิบในการทำยา แต่วันๆหนึ่งในเกมค่อนข้างจะหาไอเทมได้จำกัดครับ เนื่องจากว่ามีค่าหลอด Energy กับเวลาที่จำกัดเราอยู่ แต่ในส่วนของการฟาร์มไอเทมจากสัตว์วิเศษก็ยังมีอีกข้อที่จำกัดเรา นั่นคือกระเป๋าของเกมนี้ที่ค่อนข้างจุได้น้อย ไอเทมชนิดเดียวกันเก็บได้แค่ 10 ชิ้นต่อ 1 ช่อง ยิ่งช่วงแรกๆ เรายังไม่มีเงินขยายกระเป๋า เราจะต้องวิ่งกลับบ้านบ่อยจนเบื่อเลยครับ สัตว์วิเศษในเกมนี้จะมีสัตว์กลางวันกับสัตว์กลางคืน ถ้าจะเอาไอเทมชนิดนี้ต้องไปตามเวลาที่น้องออกเท่านั้น อยากรู้ว่าตัวไหนออกตอนไหนพอเจอน้องๆ ก็ให้จดใส่สมุดของ Ellie บันทึกข้อมูลของน้องๆ เอาไว้ครับ และสัตว์บางชนิดเราไม่สามารถใช้มือจับได้ จะต้องมีตาข่ายไว้จับไปอี๊กกกก ซึ่งหาซื้อได้จาก NPC ครับ อุปกรณ์พวกนี้ถ้าเรามีเงิน ให้ซื้อไว้ก่อนให้หมดเลย เพราะในช่วงแรกจำเป็นต้องใช้เพื่อทำยาไปขายให้ NPC ครับ และสูตรการผสมยานอกจากจะได้รับตามเควสต่างๆ เรายังสามารถซื้อได้ที่ NPC ตัวที่มายืนขายของให้เราหน้าบ้านทุกวี่ทุกวันได้เช่นกันครับการอัพเกรด - โดยเริ่มแรกจะมี NPC แค่ 2 ตัว ที่เราสามารถไปใช้บริการได้ หลังจากนั้นตัวอื่นๆ เราต้องทำเควสตามเนื้อเรื่องจนพาพวกนางกลับเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านให้ได้ก่อน เราถึงจะสามารถใช้งานได้ครับ เราสามารถขยายกระเป๋า อัพเกรดห้องปรุงยาของเรา หรือขยายคลังเก็บของ สิ่งที่เราต้องเตรียมก็คือ หาไอเทมต่างๆที่ NPC รีเควสเรามาครับการใช้ไอเทม - หลักๆเลยเราจะใช้ยาที่เราปรุงมา นำมาใช้เพื่อช่วยในการหาวัตถุดิบ หรือ ใช้เพื่อเดินทางเข้าไปในจุดลับต่างๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นปลูกต้นไม้เพื่อให้เราปีนไปเก็บของในส่วนที่เราขึ้นไปไม่ได้, ใช้ปลดล็อคเส้นทางต่างๆ, ใช้เมื่อเวลาเข้าไปเก็บไอเทมในที่มืดๆ พอกินยาแล้วจะมีแสงออกมาให้เรา, ใช้เพื่อทำให้เราหูหนวกในชั่วขณะหนึ่ง เพราะในเกมจะมีสัตว์วิเศษที่ชื่อ แมนเดรก เวลาที่เราดึงน้องออกมา น้องจะแหกปากร้องเสียดังทำให้ Ellie ของเราสลบครับ และถ้าเราคิดว่าสลบแป๊บเดียว นั่นไม่จริงนะครับ ถ้า Ellie ไปดึงอีกตัว น้องก็จะสลบนานขึ้นไปอีก ทำให้เราเสียเวลาในการฟาร์มของในวันนั้นไปครับ เพราะเราจะเสีย Energy ทุกครั้งที่เราไปดึงไอ้เจ้าแมนเดรกนี่ขึ้นมา และถ้าซ้ำร้ายกว่านั้น พอฟื้นจากการสลบมา ไอเทมที่เคยดรอปดั๊นหายไปต่อหน้าต่อตาอีก ผมเจอมาแล้ว TTข้อดี - เกมน่ารักมาก ๆ ครับ เนื้อเรื่องได้ลุ้นตลอดว่าเราจะได้เจอกับอะไร ต้องไปช่วยชาวบ้านคนไหนระหว่างเดินทาง ต้องไปหาวัตถุดิบที่ไหน จากสัตว์วิเศษหรือพืชขนิดไหนเพื่อมาปรุง Potion และมีสูตรให้เราได้ผสมเองว่าต้องใช้ส่วนผสมอะไร ตั้งความแรงไฟเท่าไหร่ เวลาเจอสัตว์หรือพืชชนิดใหม่ ๆ เราสามารถให้น้อง Ellie จดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราสำรวจเจอได้ และพอจดเรียบร้อยจะมีวิธีการบอกว่า เราจะสามารถได้ส่วนผสมมาได้อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง ผมถือว่าคุ้มค่ากับราคาเต็ม 249 บาทครับข้อเสีย - เนื่องจากยังเป็นช่วง Early Access ตัวเกมจึงปล่อยมาให้เล่นยังไม่จุใจเท่าไหร่ เพราะ Chapter 1 ความยาวเนื้อเรื่องจะอยู่ที่ประมาณ 4-6 ชั่วโมงเท่านั้น อาจจะทำให้อารมณ์ในการเล่นขาดตอนได้ เพราะอาจจะอยากรู้เนื้อเรื่องใน Chapter ถัดไป ช่องเก็บของที่น้อยมากๆ จนบางครั้งทำให้เราหงุดหงิด เพราะต้องวิ่งกลับมาบ้านเพื่อนำของมาเก็บบ่อย ๆ และอีกอย่างที่ผมค่อนข้างไม่ชอบคือระบบควบคุมของเกมออกแบบมาให้ใช้คีย์บอร์ดในการเล่น แต่จากที่ลองเล่นดูแล้วเหมือนจะไม่เหมาะกับคีย์บอร์ด แต่ผมมองว่ามันเหมาะกับจอย Controller มากกว่า ในส่วนนี้ทาง Dev ได้ทราบเรื่องจากผู้เล่นแล้ว และกำลังปรับปรุงแก้ไขอยู่ครับใครสนใจสามารถหาซื้อเกมนี้ได้ใน Steam นะครับ ราคาไม่แรงมาก ถือว่าจับต้องได้ มีติดคลังไว้ไม่เสียหายครับ เพราะถ้าตัวเกมอัพเดทเป็นตัวเต็ม อาจจะโดนราคาที่แรงกว่านี้ก็เป็นได้ หวังว่าการรีวิวของผมจะช่วยในการตัดสินใจของเพื่อนๆได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ แต่ขอย้ำเลยว่าน้องน่ารักจริงๆ ของมันต้องมีครับ ใครที่สนใจตามลิ้งก์ไปตำกันได้เลยยยยยยยย! วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ไปเจอนกตัวนึงงงงงง ♪♬♫ ~ >
20 May 2022
[Review] รีวิวเกม Rogue Legacy 2 "ตระกูลยอดนักสู้ถล่มปราสาท สานต่อตำนานเกม Roguelite คุณภาพคับแก้ว"
หากคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ชอบที่จะได้เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มเหลว ชอบที่เราจะเติบโตขึ้นทุก ๆ ครั้งจากความผิดพลาด แนวเกมที่คุณน่าจะชื่นชอบก็คงเป็นพวกแนว Roguelite และในปี 2022 นี้ แม้ว่าจะมีเกม Roguelite จำนวนมาก ออกใหม่มาให้เราได้เล่นกัน แต่มีอยู่ 1 เกม ที่อัปเดตเป็นตัวเกมเวอร์ชั่นเต็ม และอัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์และความสนุกในแบบที่แฟนเกม Roguelite ไม่ควรพลาด และวันนี้เราจะหยิบเกมนี้มารีวิวให้ได้ดูกันกับ Rogue Legacy 2การผจญภัยของตระกูลอัศวินผู้ปราบปีศาจต้องบอกว่าใครที่คิดว่าเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องง่าย ๆ เข้าใจได้สบาย ๆ ก็คงต้องบอกว่าคิดผิด เพราะแม้ตัวผู้เขียนเองจะเล่นไปหลายสิบชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่อาจคาดได้ถึงปูมหลัง เนื้อหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมได้เลย และแม้กระทั่งในเว็บไซต์สนทนากันของเหล่าเกมเมอร์อย่าง Reddit ก็ยังเผยว่า การจะเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมนี้ ต้องอาศัยการเล่นซ้ำเป็นจำนวนมาก และบางคนแม้จะ New Game+ ไปหลายรอบ แต่ก็ยังมีข้อมูล และเนื้อหาในเกมที่ยังเปิดเผยได้ไม่ครบ และแน่นอนว่าเนื้อหา อาจไม่ใช่แก่นหลักความสนุกของเกมนี้ด้วย แต่เราไม่ได้บอกว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี แค่ถ้าหากว่าคุณอยากเข้าใจเรื่องราวของโลกในเกมนี้ให้ได้มากที่สุด คุณอาจจะต้องเล่นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องที่หลายคนชอบสักเท่าไรนักแต่หากจะเอาคร่าว ๆ มันก็คือเรื่องราวของอัศซินตระกูลหนึ่งที่สืบเชื้อชาติในการต่อสู้ บุกโจมตีปราสาทที่ถูกจอมมารรร้ายเข้าไปสิงสู่อยู่ และวงศ์ตระกูลของเราก็สืบทอดการเป็นนักรบเรื่อยมา แถมยังแตกแขนงออกเป็นคลาสต่าง ๆ ซึ่งจะไปโยงกับระบบเกมเพลย์ที่เรากำลังจะอธิบายกันต่อไป แต่กล่าวได้ว่า Rogue Legacy 2 นั้น มีเนื้อเรื่องที่สลับซับซ้อน ไม่แพ้พวกเกมซีรีส์โซลเลยด้วยซ้ำไปตระกูลฉันเป็นยอดนักสู้ แถมหลากหลายความสามารถในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น "สมาชิกตระกูล" ตระกูลหนึ่ง ที่สืบทอดจิตวิญญาณด้านนักสู้เสมอมาทุกรุ่น ๆ และนำเสนอในรูปแบบ Roguelite หากคุณนึกภาพไม่ออก เมื่อเริ่มเกมมา คุณจะเริ่มต้นด้วยตัวละครตัวหนึ่ง และเมื่อนำตัวละครนั้นไปเล่นตะลุยด่านจนตาย คุณจะได้เลือกตัวละครใหม่ ที่เป็นเหมือนกับลูกหลานของตัวละครตัวก่อนหน้ามาเล่นแทน ซึ่งนี่เป็นไอเดียการนำเสนอที่ถือว่ามีสีสันมาก แต่เกม Rogue Legacy ก็ใช้วิธีนี้ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และในภาคนี้ก็ยังคงเสน่ห์การนำเสนอแบบนี้ไว้และไม่ใช่แค่เริ่มตระกูลมาแล้วเราจะเป็นนักรบอย่างเดียว เมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะปลดล็อคคลาสต่าง ๆ ได้จากการอัปเกรดปราสาทหลัก ซึ่งจะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเรา มีสายอาชีพใหม่ ๆ เรียนรู้การใช้อาวุธใหม่ สกิลใหม่ได้อีกด้วย ทำให้ตระกูลของเรามีความหลากหลาย ซึ่งนั่นก็หมายถึงคลาสในเกมที่จะมีเยอะขึ้นจากเริ่มต้นเป็นแค่นักรบ ก็อาจจะมีตั้งแต่จอมเวท นักธนู พ่อครัว คนเถื่อน วัลคิรี่ และอื่น ๆ อีกมาก แถมแต่ละคลาส หากเราหยิบคลาสนั้นมาเล่นบ่อย ๆ ก็จะเป็นการเก็บเลเวลให้กับคลาสนั้น ให้มีพลังที่มากขึ้นอีกด้วยตัวเกมมีการนำเสนอเกมเพลย์แบบ Roguelite สิ่งที่คุณต้องเจออย่างแน่นอนในเกมนี้ก็คือความตาย คุณไม่มีทางที่จะจบเกมนี้ได้ด้วยการเล่นไม่กี่รอบ การตายจึงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการเรียนรู้ และทำให้เราเชี่ยวชาญการเล่นมากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า ตั้งแต่เริ่ม เราใช้คำว่า Roguelite ไม่ใช่ Roguelike นั่นเพราะเกมนี้ ทุก ๆ ความตายของเรา จะทำให้เราเก่งขึ้น ทั้งฝีมือของผู้เล่นจากการเรียนรู้ และจากระบบของตัวเกมเองเกมเพลย์เข้าใจง่าย ตายเพื่ออัปเกรด ตายเพื่อให้ลูกหลานแข็งแกร่งขึ้น เกมเพลย์ของ Rogue Legacy 2 เป็นแบบ 2D Side Scrolling กราฟิกแบบการ์ตูน เบาสบาย เข้าถึงได้ง่าย แต่ที่จะยากจริง ๆ คือระบบของเกมเพลย์ อย่างที่บอกไปว่ามันคือ Roguelite ที่ถ้าหากว่าเราอยากเก่งขึ้น ความตายจะเป็นสิ่งที่เราต้องเจอ แต่ก่อนที่เราจะตายนั้น เราจะได้ผจญภัย ต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่าง ๆ และความเป็น Roguelite จะทำให้พื้นที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบสุ่ม ในการเล่นทุกรอบนั้นจะไม่เหมือนกัน เราอาจจะเจอพื้นที่ใหม่ โซนใหม่ที่แตกต่างกันออกไปในการเล่นแต่ละรอบเราอาจจะวิ่งไปเจอกล่องสมบัติ ที่อาจจะเป็นแบบแปลนอาวุธ ชุดเกราะ ที่เราสามารถซื้อมาใส่เพื่อเพิ่มพลังให้ตัวละครได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ระบบการอัปเกรดในเกมนี้ จะอยู่ที่การอัปเกรดปราสาท เพราะเจ้าปราสาทนี่แหละ ที่จะเป็น Core Upgrade ทั้งหมดในเกม ตั้งแต่ปลดล็อคอาชีพภายในเกม ไปจนถึง NPC สายช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จะปรากฎตัวออกมา หลังจากเราปลดล็อคปราสาทไปแล้ว NPC เหล่านี้จะมีหน้าที่อัปเกรดอาวุธ อุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งการล็อคฉากในการเล่นรอบต่อไปให้เป็นเหมือนเดิม สำหรับคนที่รู้สึกว่า ฉากและแผนที่รอบนั้น น่าสนใจพอจะสำรวจเพิ่ม เราจะได้ไม่ต้องสุ่มแผนที่ใหม่ แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยการอัปเกรดปราสาท จะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา สามารถปลดล็อคอาชีพใหม่ ๆ ได้ โดยในการเล่นเกมแต่ละรอบ ระบบจะสุ่มลูกหลานออกมา 3 คน (หรือก็คือ 3 ตัวละคร) เช่นช่วงแรก เราอาจจะได้เป็นแค่ Warrior แต่เมื่ออัปเกรดเพิ่ม อาจจะเปลี่ยนไปเป็นนักธนู นักเวท มือสังหาร พ่อครัว และแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่น จุดด้อย มีสกิลติดตัวที่แตกต่างกันออกไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น มือสังหาร ที่โจมตีได้รวดเร็ว มีโอกาสติดคริติคอลสูงมาก แต่ก็จะบอบบางมาก หรือพ่อครัว ที่มีความสามารถในการเก็บสะสมยาเติมพลัง แต่การโจมตีจะเปลี่ยนเป็นใช้กระทะหวด ทำดาเมจได้ปานกลางและช้า ซึ่งผู้เล่นต้องเลือกเอาเองว่า อุปสรรคแบบไหนที่เราอยากจะรับมือด้วย ผ่านการเลือกตัวละครเหล่านี้และไม่ใช่ว่าทุกตัวละครจะไม่มีข้อเสีย และเลือกมั่ว ๆ อย่างที่ต้องการได้ เกมยังมีระบบ Traits หรือระบบลักษณะนิสัย แต่ในบริบทของเกมนี้แล้ว มันเป็นเหมือนกับบัฟ หรือดีบัฟมากกว่า ซึ่งถ้าไม่อ่านให้ดี แม้ว่าสเตตัสของตัวละครบางตัวจะดูดีแค่ไหน แต่ถ้า Traits แย่ขึ้นมา แล้วไม่อ่านให้ดีล่ะก็ บอกเลยว่าการเล่นรอบนั้นจะยากเสียจนคุณอยากจะฆ่าตัวตายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผนที่กลับหัว อาวุธกลายเป็นไม้บิลบอร์ดแห่งความสงบสุข ตีแล้วไม่มีดาเมจเลย หรือตัวละครเรากลายเป็นไซส์เล็กจิ๋วแทน ก็มี ดังนั้นข้อควรระวังของเกมนี้เลยคือ อย่ามองแค่สกิลและความสามารถของคลาสนั้น ๆ แต่ให้ดู Traits ของตัวละครตัวนั้นด้วยเมื่อเราพลาดท่าตายในแต่ละรอบ สิ่งที่เราจะนำกลับมาได้หลังเกิดใหม่คือ จำนวน Gold หรือเงินที่เราต่อสู้ได้มา เงินจะใช้ในการอัปเกรดปราสาท เพื่อเพิ่มสเตตัส และปลดล็อคคลาสใหม่ ๆ อย่างที่เราได้กล่าวไป นอกจากนั้นยังใช้ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่ทำให้เราตีได้แรงขึ้น หนาขึ้น แบกรับน้ำหนักได้มากขึ้นอีกด้วย ด้วยความที่มันเป็นเกม Roguelite ที่ยังไงเราก็ต้องตาย ความสนุกโดยเฉพาะของเกมนี้เลยก็คือ การที่เราจะต้องวนมาเจอกับศัตรู (หรือบอส) หน้าเดิม ๆ และทำยังไงก็ตามให้เราโดนโจมตีน้อยที่สุด สำหรับเกมนี้แล้ว จะมีความเป็น Dark Souls อยู่ที่ ยาน้อยมาก ถ้าโชคไม่ดีจริง ๆ ในการเล่นแต่ละรอบ เราแทบจะไม่เจอยาเลยก็มี ดังนั้นทุกดาเมจ ทุกความเสียหายที่ตัวละครเราได้รับมา อาจจะหมายถึงระยะทางการไปต่อที่สั้นลง เพราะยิ่งโดนตีมาก ก็ยิ่งเสี่ยงตายมากขึ้น ตายบ่อย ๆ อาจจะเก่งขึ้นก็จริง แต่ถ้าตายเร็ว อะไรหลายอย่างอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ที่ต้องชื่นชมอีกอย่าง คือการออกแบบฉาก และด่านการเล่นของตัวเกม ที่ผสมผสานอุปสรรคประเภทศัตรูและพวกกับดักต่าง ๆ ออกมาได้ดีมาก ๆ ไม่ใช่แค่ศัตรูเท่านั้น ที่เราจะต้องคอยรับมือมันให้ดี แต่พวกกับดัก อุปสรรคฝังด่านต่าง ๆ ถ้าไม่ระวังให้ดี มันก็จะทำให้คุณเสียพลังชีวิตได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นเลยก็มี ทำให้มันเป็นเกม Roguelite ที่ท้าทายและเพลิดเพลินไปกับมันได้ในเวลาเดียวกันส่วนเรื่องของ Performance ตัวเกม ด้วยกราฟิกแบบการ์ตูนเบาสบายแบบ 2D แบบนี้ ก็ไม่ค่อยจะกินสเปคมากสักเท่าไรนัก เพราะแค่แรม 8 GB กับการ์ดจอซีรีส์ 6xx สำหรับ Nvidia หรือ AMD R9 ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกมนี้แล้ว เบาเครื่องเป็นอย่างมาก และด้านการปรับแต่งตัวเกมก็มีความละเอียดไม่แพ้เกมอื่น ๆ แต่จะครอบคลุมในส่วนของความเป็นเกมฟอร์มเล็กเท่านั้น อาจจะไม่ได้มีการปรับแต่งรายละเอียดให้เยอะอะไรขนาดนั้นกล่าวได้ว่า ในขณะที่เกมใหญ่ ๆ หลายเกมออกมาล้มระเนระนาด เกมอินดี้แสนพิถีพิถัน ก็ยังคงมีให้เห็น เหมือนดั่งเช่น Rogue Legacy 2 และเป็นอีกเกมที่ตัวเกมเลือกที่จะหยิบเอาแนว Roguelite มาปรุงแต่งให้เกิดรสชาติเกมที่กลมกล่อม สนุก และอาจผลาญเวลาไปกับมันได้เป็น้รอยชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าคุณชอบการนำเสนอของมัน
16 May 2022
[Review] รีวิวเกม Evil Dead: The Game "เกมผีอมตะแนว PvP รสชาติใหม่สุดดุเดือด เลือดสาด สมใจแฟนภาพยนตร์"
ถือว่าเป็นเกมที่มาถูกช่วง ถูกเวลามาก ๆ ในขณะที่ผลงานใหม่ของ Sam Raimi อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness กำลังกวาดรายได้อย่างถล่มทลายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ผลงานอมตะของผู้กำกับคนนี้ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่าง Evil Dead หรือชื่อภาษาไทยว่า ผีอมตะ ก็ถูกปลุกชีพกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบเกม Multiplayer ที่ขนเอาตัวละครต่าง ๆ ในแฟรนไชส์มาดัดแปลงให้เป็นเกม PvP ต่อสู้กันแบบ 4vs1 สไตล์ Dead by Daylight แต่เป็นถึงซีรีส์ Evil Dead ทั้งที จะทำเหมือนแค่โคลนเกมอื่นมามันก็ไม่ได้ นี่จึงเป็นเกม PvP ที่ดุเดือด เลือดสาดถึงใจแน่นอน แต่จะสนุกคุ้มค่ากับการซื้อมาเล่นไหม วันนี้เราจะมารีวิวให้ได้ดูกันโหมดออนไลน์เป็นหลัก โหมด Mission เดี่ยว เป็นรองก่อนอื่นเลย ฟีเจอร์หลักของเกมนี้คือระบบออนไลน์ที่เราจะต้องแบ่งฝ่ายออกเป็นฝั่ง Survivor หรือผู้เอาชีวิตรอด 4 คน และอีกฝั่งคือฝั่ง Kanbarion Demon ทั้งสองฝั่งนี้จะมี Objective หรือภารกิจให้ทำแตกต่างกัน ฝั่ง Survivor จำเป็นจะต้องร่วมมือกันรวบรวมชิ้นส่วนแผนที่ให้ครบ จากนั้นไปปลุกเสกมีดและคัมภีร์ ก่อนจะไปต่อสู้กับราชาปีศาจให้ชนะ เป็นอันจบเกม ในขณะที่ฝั่ง Kanbarion Demon จะเล่นแบบวางแผนกึ่งแอ็คชั่น ผู้เล่นฝั่งนี้จะต้องบริหารค่า Infernal Energy ที่ใช้ในการควบคุมแทบจะทุกอย่างของฝั่งปีศาจ ทั้ง Summon กองทัพขึ้นมา เข้าสิงศัตรู หรือแม้แต่อัญเชิญบอสลงไปสู้ การฆ่า Survivor จนหมดจะถือว่าเราชนะ หรือถ้าฝั่ง Survivor หยุดแผนการปลุกชีพปีศาจของเราไม่ทันเราก็ชนะเช่นกันสิ่งแรกที่อยากจะแนะนำผู้เล่นทุกคนก่อนเลย ก็คือการเล่นโหมดฝึกสอนหรือ Tutorial เพราะเกมนี้มีระบบและความซับซ้อนมากกว่าเกมแนวเดียวกัน ผู้เล่นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Survivor หรือ Kandarion Demon ก็ตาม พยายามเล่นโหมดฝึกและเข้าใจทุกสิ่งอย่างของการเล่น จากนั้นค่อยไปเล่นจริง เพราะถ้าคุณเข้าไปลุยแบบคลำทาง นั่งศึกษาเอาเองในเกมจริง รับรองว่าจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนและแพ้เอาได้ง่าย ๆ ในขณะที่โหมด Mission หรือโหมดเอาไว้เล่นคนเดียวนั้นก็มีเช่นกัน โดยจะเป็นเกมที่มีเนื้อหาภาพรวมแบบกระชับ เล่นพอให้เราเข้าใจระบบเกม แนะนำว่าถ้ามาเล่นครั้งแรก อยากเข้าใจระบบเกม หรือการควบคุมต่าง ๆ ก็ลองเล่นโหมด Mission เนื้อเรื่องนี้ดูก่อนได้ โดยเนื้อเรื่องจะอ้างอิงมาจากหนัง Evil Dead ในแต่ละภาค และยังมีความสยองขวัญตามต้นตำรับภาพยนตร์ดังนั้นคอนเทนต์หลักของเกมนี้จึงเน้นหนักไปที่โหมดออนไลน์ล้วน ๆ ถ้าจะซื้อมาเล่นอย่างอื่น หรือเล่นแค่ Mission เนื้อเรื่อง บอกเลยว่าไม่คุ้มแน่นอน ก่อนซื้อก็ลองพิจารณาดูว่า เราเหมาะกับการเล่นเกมออนไลน์ระยะยาวหรือไม่ ถ้าไม่ ยังคงมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เกมเพลย์การเล่น 2 ฝั่ง 2 สไตล์อย่างที่บอกไปว่า เกมเพลย์ของ Evil Dead: The Game จะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่ง Survivor และ Kanbarion Demon ด้วยรูปแบบการเล่นที่ต่างกัน เราจะเริ่มกันที่ฝั่ง Survivor ก่อนฝั่ง Survivor จะมีทั้งหมด 4 คน แต่ละคนจะมีบทบาทที่ต่างกันออกไปตาม Role ที่เราเลือก แบ่งเป็น Leader / Hunter / Warrior / Support แต่ละบทบาทจะมีตำแหน่งและความสามารถที่ไม่เหมือนกัน ที่น่าตลกหน่อย ๆ คือ ด้วยความที่เกมนี้อิงจากภาพยนตร์ Evil Dead ที่ตัวละครก็ไม่ได้เยอะอะไรเท่าไรนัก ทำให้แต่ละบทบาทมีตัวละครที่ซ้ำกันแน่นอน นั่นคือ Ash Williams ตัวเอกของจักรวาลนี้นั่นเอง โดยจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบทบาท อิงจากหนังแต่ละภาคแทนหน้าที่ของ Survivor ทั้ง 4 คน คือการร่วมมือกันทำภารกิจที่ระบบกำหนด เริ่มจากการหาเศษชิ้นส่วนแผนที่ 3 ชิ้น จากนั้นไปเก็บมีดและหน้าคัมภีร์ ก่อนจะไปจัดการเทพปีศาจและคอยคุ้มครองคัมภีร์สะกดวิญญาณเป็นอันจบเกม ในขณะที่เกมอื่น เราจะต้องหาทางหลบหนี เกมนี้ต้องหาทางไม่ให้ปีศาจทรงพลังนันเอง และเกมการเล่นของฝั่ง Survivor จะเป็นการเล่นแบบกึ่ง Open World ที่เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ นอกจากภารกิจหลักในการตามหาสิ่งของแล้ว ระหว่างการเดินทางเราจะพบเจอกับไอเทมสนับสนุน เช่นโคล่าเติมพลังชีวิต ยาเพิ่มเกราะ กระสุนปืน อาวุธและอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึง Pink F น้ำยาเพิ่มพลังที่ใช้เพิ่มพลังของตัวละครได้สิ่งที่เหล่า Survivor ต้องระวังตลอดเวลาคือ Fear หรือค่าความกลัวที่อยู่ใต้หลอดพลังชีวิตของเรา หากค่านี้เต็ม เราจะสามารถถูกฝั่ง Demon เข้าสิงร่างได้ วิธีการลดค่านี้คือใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟขึ้นมาในที่ที่จุดไฟได้ หรือไปอยู๋ใกล้แสงสว่าง ซึ่งวิธีหลังจะใช้เวลาลดความกลัวนานกว่าพอสมควร และภายในแผนที่ขนาดใหญ่นี้จะมีรถให้ขับ มีกล่องไอเทมให้เปิดหา และบ้าน หรือกระท่อมต่าง ๆ ในฉากจะสามารถเข้าไปสำรวจ ค้นหาไอเทมช่วยเหลือได้ แต่หลัก ๆ แล้วเราต้องไม่ลืมว่าภารกิจของเราคือตามหาชิน้ส่วนแผนที่ เก็บมีดและหน้าคัมภีร์ ดังนั้นอย่าเอ้อระเหยลอยชายจนลืมเวลา และที่สำคัญคืออย่าแยกอยู่คนเดียว ไม่อย่างนั้นฝั่ง Demon จะค่อนข้างได้เปรียบพอสมควรฝั่ง Kandarion Demon จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันออกไป เราจะไม่มีร่างหลักเป็นของตัวเอง เป็นเหมือนวิญญาณเท่านั้น และในฉากเราจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ โดยรอบ ๆ จะมีสิ่งที่เรียกว่า Infernal Energy ที่เป็นลูกพลังงานสีแดง ๆ ลอยอยู่รอบฉาก เจ้า Infernal Energy เนี่ยแหละที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเล่นฝั่ง Demon เพราะแทบจะทุกอย่าง จะต้องใช้ Infernal Energy ในการจัดการ และเหมือนฝั่งมนุษย์ Kandarion Demon จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 ตัวในตอนแรกเริ่ม กองทัพลูกน้องของเราจะขึ้นอยู่กับตัวบอสที่เป็นตัวหลักDemon จะสามารถติดตั้งกับดักไว้ในที่ต่าง ๆ ได้ และสามารถ Summon เหล่ากองทัพลูกน้องออกมาได้ด้วย โดยเราสามารถเข้าไปสิงกองทัพลูกน้องได้ เพื่อโจมตีด้วยตัวเอง แต่ระหว่างอยู่ในการเข้าสิง ค่า Infernal Energy จะลดลงไปเรื่อย ๆ จนหมด และจะถูกบังคับออกจากร่าง นอกจากนั้นค่า Infernal Energy ยังใช้ในการสิงยานพาหนะ สิงต้นไม้ และทำแทบจะทุกอย่างในการขัดขวางมนุษย์ ดังนั้นฝั่ง Demon นอกจากจะต้องแข่งกับเวลาแล้ว ยังต้องชำนาญเส้นทางแผนที่ และดักทางเหล่าผู้รอดชีวิตให้ได้ และต้องใช้ความสามารถของเหล่า Demon ออกมาให้ได้เต็มที่ที่สุดเมื่อจบเกมแต่ละรอบ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เราจะได้ค่า Spirit Point ที่ใช้ในการอัปเลเวลของบทบาทและฝ่ายนั้น ๆ กล่าวง่าย ๆ คือ เราอยากให้บทบาทไหนเก่ง อยากให้ฝ่ายไหนเก่ง ก็นำแต้มไปใช้กับตัวนั้น ดังนั้นถ้าอยากปั้นให้โหดทุกตัวละคร ทุกฝ่าย ทุกสาย ก็ต้องขยันเล่นเยอะ ๆ นั่นเองข้อดีของเกมนี้เลยก็คือ หากคุณเป็นแฟนภาพยนตร์ Evil Dead คุณจะสาสมใจกับสิ่งที่เกมนำเสนอออกมาเป็นอย่างมาก ซึ่งนับว่าเป็นข้อดี และจุดแข็งของ Saber Interactive ที่เป็นผู้พัฒนาเกมนี้เลยก็ว่าได้ ความโหด เลือดสาด จัดเต็ม ในแบบฉบับของ Evil Dead นั้น ถูกนำเสนอออกมาอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีประกอบฉาก ความดุเดือดระหว่างเล่น หรือแม้กระทั่งตัวละคร และเกมนี้ถือเป็นอีกเกมที่หากสองฝ่ายมีความสามารถและ Skill Play ที่ใกล้เคียงกันแล้ว มันจัดว่าเป็นเกม PvP ที่สนุกมาก ๆ เกมหนึ่งเลยทีเดียวสนุกจริง แต่มากมายไปด้วยปัญหาต้องยอมรับว่าในการเล่นกว่า 10 ชั่วโมงนั้น ไม่ว่าจะฝ่าย Survivor หรือ Demon ล้วนมีความสนุก ระทึก และตื่นเต้นตลอดเวลา เพราะรูปแบบการนำเสนอการเล่นที่ต่างจากเกมอื่น ๆ ทำให้แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจหรือติดตาม Evil Dead มาก่อน ก็สามารถสนุกไปกับเกมนี้ได้ แต่ในระหว่างเล่น ผู้เขียนเองก็รู้สึกว่าต้องเจอกับนานาอุปสรรค และปัญหาที่ไม่อาจจะมองข้ามได้ในการเล่นอย่างแรกเลยคือ การออกแบบแผนที่ แม้จะยอมรับในเรื่องบรรยากาศ ความหลอน และเหมือนกับหลุดเข้าไปในโลก Evil Dead จริง ๆ แต่การออกแบบแผนที่บางส่วนกลับมีปัญหาอยู่มาก อย่างแรกเลยที่ไม่เข้าใจสุด ๆ ก็คือ เหตุใดเกมไม่ทำให้ตัวละครต่าง ๆ "กระโดด" ได้ นี่คือปัญหาที่น่าตัดคะแนนของเกมนี้มากที่สุดแล้ว ด้วยสภาพภูมิประเทศของแผนที่ ที่มีทั้งทางลาดชัน ขึ้นสูง ลงต่ำ ต่างระดับกันเต็มไปหมด แต่ตัวเกมกลับไม่สามารถกระโดดได้ ทำได้เพียงกระโดดข้าม หรือ Vault เท่านั้น แถมบางทีพื้นที่ต่ำแบบในชีวิตจริงสามารถก้าวขาเดินขึ้นได้ ก็ไม่สามารถขึ้นได้ซะอย่างนั้น แถม Vault ก็ไม่ได้ ต้องเดินอ้อมเอา ทำให้การเล่นฝั่ง Survivor ที่ต้องแข่งกับเวลานั้น น่าหงุดหงิดอย่างที่สุดต่อมาคือระบบขับรถ ด้วยความใหญ่ของแผนที่ และการสุ่มสิ่งของบางอย่างที่อยู่ไกลเกินกว่าจะเดินเท้า เกมจึงใส่ยานพาหนะเข้ามาให้ขับขี่ แต่มันก็โยงกลับไปที่ปัญหาด้านสภาพแวดล้อมอยู่ดี ด้วยพื้นที่ที่ต่างระดับ เส้นทางที่ไม่ค่อยชัดเจน เพราะบางทีก็มืด มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทำให้บางที การเดินเท้าอาจจะเร็วกว่าขับรถแล้วต้องไปชนโน่น ชนนี่ หรือพลิกคว่ำ ใครที่คิดจะขับรถฝ่าทางโล่งไป อาจจะเสียเวลากว่าเดิม เพราะในพื้นที่โล่งในแผนที่ จะเต็มไปด้วยต้นไม้และโขดหิน ขับยังไงก็ชนแน่นอน แถมระบบการควบคุมรถเองก็ยังขับยากเอาเรื่อง ติดโน่น ติดนี่บ่อยมากและปัญหาใหญ่หลวงตอนนี้คือความรู้สึกในการเล่นที่แม้ว่าจะสนุกแค่ไหน แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่แฟร์อย่างยิ่ง ฝั่งที่ดูจะได้เปรียบจะกลายเป็นฝั่ง Survivor เพราะในช่วงแรกเริ่มที่ทำการรวมแผนที่ นอกจากฝั่ง Survivor จะมีคำใบ้สถานที่ชัดเจนแล้ว ฝั่ง Demon เอง ยังไม่สามารถเสกกองทัพมาโจมตีได้ ต้องไปไล่ฟาร์ม Infernal Energy อยู่สักพักถึงจะทำได้ ซึ่งบางที กว่าจะเริ่มเสกได้ พวก Survivor ก็เข้าขั้นตอนเก็บมีด เก็บหน้าคัมภีร์แล้ว และคูลดาวน์ต่าง ๆ ก็ค่อนข้างนานพอสมควร หากฝั่ง Survivor มีตัวละครสายฮีลมาด้วย และเล่นกันเป็นทีม ก็แทบจะปิดประตูแพ้กันไปแล้ว ฝั่ง Demon จึงได้แต่หวังว่า ต้องเจอคนไม่เป็นงาน หรือเล่นหลุดทีมเวิร์คเท่านั้นถึงจะพอเอาชนะได้ นอกจากนั้นบั๊กของเกมก็ยังพอมีให้เห็น แต่โชคดีที่บั๊กของเกมนี้ ไม่ได้เป็นบั๊กที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเล่นโดยตรง แต่จะเป็นบั๊กแสดงผล เช่นเส้นผมของตัวละคร หัวเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา บางทีเอาซะน่ากลัวกว่าผีอีก แต่ก็ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ นัก และหนักที่สุดเลยคือ Performance ของตัวเกมที่มีปัญหาหนักมาก ด้วยความที่เกมนี้ มีระยะเวลาการเล่นต่อรอบนานถึง 30 นาที เครื่องต้องประมวลผลกราฟิกและเกมการเล่นที่เต็มไปด้วยซีจี เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ที่ถาโถมใส่เกมแบบไม่หยุดหย่อน ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนคือเรื่องของเฟรมเรทดรอป ที่เกิดขึ้นบ่อยมากโดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่ต่างฝ่ายต่างกดสกิล ประชันขันแข่งกัน ใครคอมไม่แรงนี่เตรียมตัวกระตุกจนเวียนหัวกันได้เลยและท้ายที่สุดกับปัญหาของเกมออนไลน์แบบ Multiplayer ก็คือ หากขาดผู้เล่นขึ้นมาในอนาคต ก็ไม่รู้ว่าเกมนี้จะไปได้อีกไกลแค่ไหน และที่สำคัญคือในแง่ของเกมเพลย์การเล่น เกมนี้ค่อนข้างจำเป็นจะต้องใช้การสื่อสารระหว่างทีมกันพอสมควร ถ้าไม่มีเพื่อนเล่น การสุ่มไปเจอคนเล่นใน Public Match ก็ถือว่าวัดดวงกันมาก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะยอมไปเล่นฝั่ง Kandarion Demon อันนี้ก็แบกตัวเองได้สบาย ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องรอดูกันว่า เกมนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนสรุปแล้ว Evil Dead: The Game คือเกมที่แม้คุณจะไม่ใ่ชแฟน Evil Dead ก็สามารถเล่นได้ สนุกด้วย แต่มันอาจจะมีปัญหาขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ และบาลานซ์ที่ต้องปรับแก้กันอีกพอสมควร ก็ได้แต่หวังว่าทีมงานจะสามารถปรับแก้ และประคองให้ตัวเกมอยู่ไปได้อีกยาว ๆ เพราะเกมนี้ถือว่าสนุกมาก ในหมวดหมู่ของเกม PvP แบบ 4v1 Style
14 May 2022
[Review] รีวิวเกม Vampire Masquerade: Bloodhunt "สมรภูมิเลือดสุดเดือดสไตล์ Battle Royale"
ด้วยคู่แข่งระดับยักษ์ใหญ่แห่งวงการทั้งหลายอย่าง Call of Duty: Warzone, Fortnite, และ Apex Legends ทำให้เกม Battle Royale หน้าใหม่ต้องต่อสู้เพื่อหาพื้นที่และขยันโปรโมทเกมของตัวเองกันอย่างขันแข็ง การจะทำเกมแนวนี้ออกมาซักเกม ถ้าไม่มีจุดขายที่ชัดเจนก็คงดึงดูดความสนใจของผู้เล่นยากหน่อย แต่วันนี้ยังมีผู้หาญกล้า เปิดตัวเกมแนว BR น้องใหม่ล่าสุดออกมาเพิ่ม ซึ่งอาศัยบารมีชื่อแฟรนไชส์อมตะอย่าง Vampire: The Masquerade มาใช้ด้วย กับ Bloodhunt สงคราม Battle Royale ของเหล่าแวมไพร์กระหายเลือด ที่เปิดให้เล่นฟรีแล้ววันนี้ทาง PC และคอนโซล ซึ่งมาพร้อมกับองค์ประกอบและระบบการเล่นเฉพาะตัวอันน่าสนใจมากมาย แต่จะพอฟัดพอเหวี่ยงกับตัวท๊อปของวงการได้หรือไม่?เรื่องราวเบื้องหลังของตัวเกมกรุงปราก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก ที่นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่ามนุษย์ทั่วไปแล้ว ภายใต้เงามืดและตรอกซอกซอยยามค่ำคืน เมืองแห่งนี้ยังเป็นที่ชุมนุมของเหล่าแวมไพร์กระหายเลือดกลุ่มต่าง ๆ ที่ก่อสงครามกันเพื่อครอบครองเมืองนี้  โดยการต่อสู้ของเหล่าแวมไพร์ก็ส่งผลให้ทางรัฐบาลส่งหน่วยล่าแวมไพร์ฝีมือดีเข้ามาปิดตายตัวเมืองนี้ด้วย ในขณะที่พวกแวมไพร์ต่อสู้กันเองเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่ง หน่วยล่าแวมไพร์ก็ออกล่าพวกเขาไปด้วย ส่งผลให้กรุงปรากไม่ใช่พื้นที่สงบสุขอีกต่อไป กลายเป็นที่มาของสมรภูมิ Battle Royale ท่ามกลางค่ำคืนสุดสะพรึงต่อยอดจักรวาลของ Vampire: The Masqueradeแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมออนไลน์แบบ Battle Royale แต่เนื้อหาและเรื่องราวในโลกของเกมนี้ถือว่าเยอะและละเอียดเอาซะมาก ๆ ทีเดียว สำหรับผู้เล่นทั่วไปอาจจะไม่ได้อินเท่าไร แต่หากคุณเป็นแฟนเกมซีรีส์ Vampire: The Masquerade อยู่แล้ว เกมนี้ถือว่าซ่อนอะไรไว้มากมายให้คุณได้ค้นหา แต่เชื่อว่าสำหรับแฟนเกมทั่วไปแล้ว ก็คงจะเข้ามาเล่นเพราะมันเป็นเกม Battle Royale มากกว่าอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือพลาดอะไรไปหากคุณจะเมินส่วนของเนื้อเรื่องของเกมนี้ไปเลยHero Shooter ในแบบฉบับของเหล่าแวมไพร์จุดเด่นอย่างแรกของ Bloodhunt คือเรื่องของตัวละคร หรือ Archetype เกมนี้จะมีรูปแบบการเล่นเป็น Hero Shooter คล้าย ๆ กับ Apex Legends นั่นคือ ตัวละครแต่ละตัวจะมีหลากหลายรูปแบบ และมีสกิลกับความสามารถที่ต่างกันออกไป สำหรับ Bloodhunt จะมีทั้งหมด 4 เผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์ละ 2 ตัว (ยกเว้นเผ่าพันธุ์ใหม่ Ventrue ที่จะมีเพียงตัวละครเดียว) ในแต่ละตัวละครนั้นจะมีสกิลทั้งหมด 3 สกิลด้วยกัน นั่นคือสกิลประจำเผ่าพันธุ์ 1 สกิล สกิลกดใช้งานอีก 2 สกิลที่แบ่งเป็น Passive Power และ Archetype Power ด้วยตัวละครและสกิลความสามารถที่ต่างกันหลายแบบ ทำให้การเลือกตัวละครแต่ละตัวมาเล่นจะส่งผลต่อเกมการเล่นนั้น ๆ อย่างชัดเจน และไม่ต้องกลัวว่าการมีเผ่าพันธุ์แบบล็อคตายตัวแบบนี้จะทำให้เจอแต่ตัวละครหน้าซ้ำกันไปมา เพราะเกมนี้มีระบบปรับแต่งตัวละครที่ค่อนข้างละเอียด ตั้งแต่ร่างกาย ทรงผม ดวงตา ไปจนถึงเครื่องสำอางและรอยสัก แถมยังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายได้ด้วย ซึ่งเครื่องแต่งกายจะได้มาจากการนำเงินในเกมไปซื้อหรือเติมเงิน และได้จากของจำพวก Battle Pass ยิ่งเกรดสีเครื่องแต่งกายสูง มันก็ยิ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์เราให้แปลก แหวกแนวมากขึ้นเกมเพลย์ที่ไม่ว่าจะมาจากเกมไหน คุณก็ต้อง "เรียนรู้"มาเริ่มในส่วนของเกมเพลย์กันเลย สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจและรู้ไว้ก่อนจะเล่น คือนี่ถือเป็นเกม Battle Royale ที่มีระบบการควบคุมและการยิงที่ 'ยาก' มาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือโปร มือเก๋ามาจากเกมไหน มาเจอเกมนี้เข้าไป ถ้าไม่คิดจะเรียนรู้ หรือ ข้ามโหมดฝึกสอนโดยหวังจะไปศึกษาเอาจากเกมจริง รับประกันได้ว่าคุณอาจจะตายรัว ๆ ต้องเริ่มเกมใหม่จนเบื่อไปก่อนที่จะได้สนุกกับตัวเกมซะอีก เพราะ Bloodhunt ถือเป็นเกม Battle Royale ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และทำความเข้าใจสูงมากเลยทีเดียว เริ่มกันที่ระบบการกระโดดลงพื้น ตามปกติแล้วเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ จะต้องโดดร่มลงมาจากบนอากาศ และหาพื้นที่ลง่ที่เหมาะสมในการเล่นแต่ละรอบ จากนั้นเริ่มต้นหาอาวุธ ยา ชุดเกราะ แต่กับ Bloodhunt ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องโดดร่มแบบเกมอื่น เพราะเราสามารถเลือกจุดเกิดเองได้เลยตั้งแต่ช่วงเริ่มเกมแต่ละรอบ เราจะได้เห็นแผนที่ในการเล่นทั้งเกมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น และเห็นด้วยว่าจุดไหนเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเก็บของ การเล่นในรอบนั้น ๆ จึงสามารถเริ่มต้นคิดกันได้ตั้งแต่ช่วงแรกเลยว่าจะเล่นแบบไหน ส่วนของการเก็บไอเทมที่ต้องรู้และสำคัญมากคือเกมนี้จะมีระบบ "ตาทิพย์" ที่เมื่อกดใช้งานแล้ว ระบบจะทำการสแกนสิ่งของรอบตัวและเผยตำแหน่งจุดที่ไอเทมอยู่ให้เป็นแสงสีฟ้า ๆ (แบบในรูปด้านล่าง) นั่นหมายถึงตรงนั้นมีไอเทมให้เราไปเก็บ อาจจะเป็นอาวุธ ชุดเกราะ ยา หรือถ้าเป็นสีทองก็อาจจะเป็นกล่องอาวุธ หรือกล่องอุปกรณ์ระดับสูง นอกจากนั้นยังสามารถใช้ระบุตำแหน่งศัตรูได้ (หากเข้าเงื่อนไข) ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราไม่ต้องวิ่งไปหาของมั่ว ๆ แต่อย่าลืมว่าทุกคน รวมไปถึงทีมศัตรูก็ใช้ความสามารถนี้ได้ ทำให้ระบบนี้เอื้อให้เราเจอกับศัตรูและเน้นปะทะกันมากขึ้น ดีไม่ดีก็อาจจะเป็นตั้งแต่ช่วงต้นเกมเลยก็ได้ ซึ่งก็ช่วยร่นระยะเวลาในการเดินตามหาศัตรู ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดในเกม BR เกมไหนก็ตามกรุงปราก และค่ำคืนแห่งการไล่ล่าสำหรับพื้นที่ในการเล่น เราเกริ่นไปแล้วในช่วงเนื้อเรื่องว่านี่คือกรุงปราก สนามต่อสู้ในเกมนี้จะเป็นเมืองหลวงที่รายล้อมไปด้วยตึกสูง ทำให้เราต้องรับมือกับการต่อสู้ทั้งภาคพื้นดินและบนอาคารสูง ส่งผลให้ระบบเกมเพลย์การต่อสู้คลับคล้ายคลับคลาเกม Battle Royale ของ Ubisoft อย่าง Hyper Scape ซึ่งให้อารมณ์และความรู้สึกที่ใกล้เคียงกันมาก เนื่องจากตัวละครที่เราใช้เล่นในเกมนี้จะเป็นเหล่าแวมไพร์ที่มีพลังเหนือมนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถกระโดดสูง ปีนตึก ไต่กำแพงได้อย่างอิสระ ยิ่งมีสกิลให้กดใช้ ยิ่งทำให้เกมการเล่นมีสีสันมากยิ่งขึ้นพื้นที่การต่อสู้ภายในเกมนี้ก็จะมีของดรอปให้เหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ ทั่วไป อาวุธก็จะมีการแบ่งเกรดสี เหมือนกันกับเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ แต่สิ่งที่ระบบของเกมนี้แตกต่างจากคนอื่น คือการที่เราเป็นแวมไพร์ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการดื่มเลือด เกมเลยหยิบเอาจุดนี้เข้ามาเป็นระบบภายในเกมซะเลย ในเกมการเล่นแต่ละรอบนั้น เราจะพบกับชาวเมืองในเกมที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แบบแรกคือพวกชาวเมืองที่เราเข้าไปกัด ดูดเลือดแล้วจะได้อัปเกรดสกิลติดตัวที่มีอยู่ คนพวกนี้เวลากดสแกนเราจะเห็นเป็นสีเลย ส่วนอีกพวกคือประชาชนธรรมดา ที่วิ่งหนีไปมา หรืออยู่เฉย ๆ หากเราไปยิงปืนใส่ หรือฆ่าคนธรรมดา เราอาจจะโดนหมายหัวเอาได้ และเป็นการเปิดเผยตำแหน่งให้กับทีมอื่น ๆ รู้ อันนี้ต้องระวังเป็นอย่างมาก ถ้าเล่นคนเดียวก็เตรียมหนีตาย แต่ถ้าเล่นกับเพื่อนอาจจะซวย ต้องช่วยกันแบก เพราะการโดนไล่ล่าของเกมนี้ จะเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วมาก เราต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่านี่คือโลกของแวมไพร์นักล่าความสำคัญของการดูดเลือดคือการอัปเลเวลสกิล ที่จะเพิ่มความสามารถของสกิลในตัวละครนั้น ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่นอัปเกรดให้ตีระยะประชิดแรงขึ้น ฟื้นพลังชีวิตได้มากขึ้น แต่ใช่ว่าเราจะไล่ดูดเลือดอัปเกรดสกิลจนเป้นระดับสูงสุดได้ง่าย ๆ เพราะในระดับสูงสุด เราจะไม่สามารถอัปเกรดสกิลด้วยวิธีดูดเลือดคนได้ แต่ต้องไปทำการจับผู้เล่นจริง ๆ ที่เรายิงล้มเพื่อดูดเลือด หรือก็คือระบบ Finisher หรือท่าปลิดชีพของเกมนี้แทน ยากไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวกับการอัปเกรดสกิลขั้นสูงสุดในเกมจะมีไอเทมต่าง ๆ ให้เราได้เก็บหรือกดใช้ หลัก ๆ จะเป็นยาและเกราะ และไอเทมช่วยเหลืออื่น ๆ แม้ว่าอาวุธ กระสุนทั่วไป อาจดรอปได้ตามฉากแบบสุ่ม แต่หากคุณอยากได้ไอเทมตายตัวก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย สำหรับเกมนี้จะมีร้านค้าอยู่สองอย่าง คือร้านขายยาและร้านขายอุปกรณ์ โดยมันจะระบุอยู่ในแผนที่อย่างชัดเจน เมื่อเราไปถึง เราสามารถกดเปิดประตูเข้าไปในร้านได้ แต่มันจะเป็นการเปิดระบบเตือนภัย ซึ่งอาจจะเป็นการล่อให้ทีมอื่นหันมารุมทึ้งคุณได้ แต่ข้อดีของการเข้าร้านพวกนี้ คือไปร้านยาก็เจอยาเพียบ ไปร้านอุปกรณ์ ก็เจออาวุธ ชุดเกราะ เพียบ มันเป็นการการันตีว่าคุณจะได้ไอเทมประเภทนั้นแน่นอน แต่ก็เสี่ยงเหมือนกัน เพราะในเกมนี้มีเหล่าทหารนักล่าอยู่ด้วย มันจะเป็นพวก A.I. ที่พร้อมเปิดฉากยิงเราทันที ถ้าเราเฉียดกรายเข้าไปใกล้ แต่ A.I. เหล่านี้มักจะอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ถ้าเรารู้ตำแหน่งของมันก็อย่าไปยุ่งจะดีกว่าทีนี้มาดูส่วนของเกมเพลย์การต่อสู้กันอย่างจริง ๆ จัง ๆ บาง เกมนี้มีความเป็น Hero Shooter และมีการไต่ตึก ปีนกำแพง เหาะเหินเดินอากาศกัน ทำให้เกมเพลย์ของเกมนี้ "ยาก" มาก อย่างที่บอกไปว่าไม่ว่าคุณจะเป็นโปรเพลเยอร์มาจากเกมอะไร มาเกมนี้ ถ้ายังปรับตัวไม่ทัน มีแต่ตายกับตายแน่นอน จังหวะเวลาในการฆ่ากันของเกมนี้นั้น ช้ามาก ๆ ด้วยตัวละครที่มีพลังชีวิตสูงถึง 200 หน่วย แถมใส่เกราะได้อีก และความเร็วของเกมที่สูงในระดับนึง ตัวละครสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ปีนตึกได้ หรือสกิลของบางตัวละครก็วาร์ปไปวาร์ปมาได้อีก การจะยิงปิดจ๊อบศัตรูให้ได้ด้วยกระสุนแม็กเดียว ถ้าไม่แม่นจริงก็แทบจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไปดังนั้นมันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า โดนแจม บ่อยมาก เพราะเมื่อเปิดฉากยิงแล้ว ไม่รีบปิดจ๊อบให้ทัน หรืออีกฝ่ายสับขาหลอกเก่ง โดนยิงก็วิ่งหนี กระโดดหนี สไลด์หนี ไล่ล่ากันไปมา Third Party หรือปาร์ตี้อื่น ๆ ก็อาจจะเข้ามาเสริมทัพได้ง่าย ๆ กลายเป็น Battle Royale ที่ชุลมุนที่สุดแล้ว มันไม่ใช่เกมที่ยิงตายกันไว ทำให้ถ้าไม่รีบจัดการให้จบ หรือใช้วิธีเล็งยิงใส่ตัวเดียวกัน ก็แทบจะทำให้เกมนี้ใช้เวลาในการฆ่ากันนานพอสมควรเลยทีเดียว ปัญหาของ Balance และ Content ในอนาคตและในเรื่องของควาสมดุลนั้น ก็ต้องบอกว่ามีบ้างที่หลายอย่างดูยังไม่สมดุลนัก อย่างเช่นสาย Melee ที่มีการอัปเกรดให้การโจมตีระยะประชิดแรงขึ้นได้ แต่ฝั่งปืนไม่ค่อยมี (อาจจะเพราะว่ามันเน้นระยะไกลอยู่แล้ว) แต่มันกลับมีตัวละครที่มีความสามารถในการล่องหนได้ และหากเราโดนล่องหนเข้ามาตีประชิดพร้อมสกิลที่อัปเกรดมาแล้ว นอกจากปล่อยเมาส์รอเพื่อนมาชุบก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย หรือปืนบางประเภทก็ยังไม่สมดุลดีนัก อาจจะต้องมีการปรับอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ไม่ได้หนักถึงขั้นเล่นไม่ได้ส่วนของคอนเทนต์ตัวเกมนั้น ก็ถือว่ามีครบเครื่องทุกอย่างที่เกมออนไลน์เกมนึงจะมีได้ เริ่มตั้งแต่ระบบยอดนิยมอย่าง Battle Pass ที่ตอนนี้ตัวเกมเข้าสู่ช่วง Season 1 แล้ว ของรางวัลภายในเกมก็จะเป็นพวกสกินแต่งสวยแต่งหล่อที่หาได้จากระบบนี้เท่านั้น และพิเศษกว่าเกมอื่นคือ การปลดล็อค Battle Pass จะให้โบนัส XP 10% กับเราด้วย ทำให้อัปเลเวลได้ไวขึ้น มีระบบ Daily Challenge และ Seasonal Challenge ให้ทำ หากจะมีข้อเสียนิดหน่อยก็ตรงที่ คอนเทนต์เกมคือ Battle Royale แบบเพียว ๆ เท่านั้น ไม่มีโหมดอื่นเพิ่มเสริมแต่อย่างใด หรือแม้แต่ห้องฝึก เอาไว้ลองสกิลที่ควรจะมีก็ไม่มี ใครใจร้อน ข้ามโหมดฝึก ไปตายเอาดาบหน้าก็ต้องไปเรียนรู้กันเอาภายในเกมล้วน ๆ ซึ่งไม่เวิร์คเอาซะเลยภาพรวมของ Bloodhunt คือเป็นเกม Battle Royale ที่ระทึก ตื่นเต้นตลอดเวลา บรรยากาศของโลกแวมไพร์ที่ไล่ล่ากันก็ทำออกมาได้ดี แม้จะแฟนตาซีหลุดโลก แต่เราก็ยังระทึกทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องรับมือกับผู้เล่นอื่นที่ไม่รู้จะว่าคอมโบสกิลหรือมาไม้ไหนกันบ้าง เป็นประสบการณ์เกม Battle Royale ที่แปลกใหม่กว่าเกมอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วปัญหาเดียวของเกมแนวนี้คือ จะรักษามาตรฐานผู้เล่นเอาไว้ยังไงให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าทำได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็อาจจะมีจุดจบเหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่มาทีหลัง และไม่สามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่ได้ Bloodhunt ถือเป็นเกมที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก แต่มันจะชนะใจผู้เล่นได้หรือไม่ ต้องให้เหล่าเกมเมอร์เป็นคนตัดสิน และเราขอแนะนำให้คุณไปลองเล่นดูสักครั้งนึง จะได้ตัดสินใจได้ว่า มันดีหรือไม่ดี 
29 Apr 2022
[Review] รีวิวเกม LEGO Star Wars: The Skywalker Saga ยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ ดึ่มด่ำจักรวาลอันไกลโพ้นได้มากขึ้น
ถ้าให้พูดถึง LEGO Star Wars เชื่อว่าเกมเมอร์หลาย ๆ คนก็น่าจะเคยสัมผัสเกมนี้มาตั้งแต่สมัยเครื่อง PlayStation 2 ซึ่งตัวเกมก็มีภาคต่อออกมาเรื่อย ๆ เป็นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีซีรีส์นี้ บวกกับการส่งท้ายหลังจากที่เรื่องราวภาพยนตร์ Episode 9 จบลงไปเมื่อปี 2019 ทาง LEGO จึงได้สร้างเกมภาคใหม่ออกมาเพื่อส่งท้ายกับเกม LEGO Star Wars: The Skywalker Saga ที่เป็นการยกเครื่องเกมเพลย์ โครงสร้างซีรีส์นี้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งทางเรา GameFever TH ได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้จนจบแล้วและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบว่าตัวเกมนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากภาคก่อน ๆ มากขนาดไหน กราฟิก / การนำเสนอแน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึงเกม LEGO งานในด้านกราฟิกของเกมก็จะยังเป็น Concept ความน่ารักสบายตาตามสไตล์ของเล่นตัวต่อ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คงเป็นงานด้านแสงเงาของเกมที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ (ผู้เขียนเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS5) แสงแดดสะท้อน เงาของน้ำ มองดี ๆ มันค่อนข้างสมจริงพอสมควร เอาจริง ๆ ถ้าตัดองค์ประกอบความเป็นการ์ตูนออกไปและลองเอาโมเดลตัวละครจริงเข้ามา มันก็แทบจะวางทับกันได้แบบไม่มีความสงสัยใด ๆ ส่วนในเรื่องมุมกล้องของเกมภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวมุมมองข้ามไหล่เต็มตัว ต่างจากทุกภาคที่มุมมองจะค่อนข้างสูงและไกลหน่อย ทำให้เราได้เห็นทิวทัศน์หรือบรรยากาศโลกในเกมนี้ได้ชัดเจนมากกว่ารวมถึงตัวเกมยังมีองค์ประกอบกึ่ง ๆ Open World ที่จะให้เราได้เดินสำรวจดวงดาวต่าง ๆ ได้มากขึ้นได้สัมผัสและดึ่มด่ำกับบรรยากาศโลกของ Star Wars ได้มากขึ้นด้วยเนื้อเรื่องภายในเกม LEGO Star Wars: The Skywalker Saga ก็จะยังอ้างอิงเนื้อเรื่องตามภาพยนตร์ Episode 1 - Episode 9 ที่จะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตระกูล Skywalker (ไม่รวมภาค Spin-off ต่าง ๆ) แต่สำหรับใครที่กลัวว่าการที่ตัวเกมจะเล่าเรื่องราวทั้ง 9 ภาคจะทำให้ระยะเวลาในการเล่นจะนานเกินไปก็อย่ากังวล เพราะการดำเนินเรื่องราวนั้นก็ค่อนข้างฉับไว มีการตัดเนื้อหาหรือบทสนทนาออกเยอะ เน้นเนื้อหาสำคัญเป็นหลัก ซึ่งแต่ละ Episode จะใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงในการเล่น (ถ้ามุ่งแต่เนื้อเรื่องอย่างเดียว) โดยจะเน้นการเล่าเรื่องที่ฉับไวและเน้นเกมเพลย์เป็นหลัก นอกจากนี้ถึงแม้เรื่องราวของภาพยนตร์จะดูซีเรียสหรือลึกล้ำยังไง สไตล์การเล่าเรื่องของ LEGO ก็จะสอดแทรกมุขตลกและอารมณ์ขันเข้ามาภายในเกมอยู่ตลอด และยิ่งถ้าหากใครเคยดูภาพยนตร์ครบทั้ง 9 ภาคมาแล้ว ท่านเองก็จะสนุกสนานกับมุขล้อเลียนของเกมนี้ตลอดทั้งเรื่อง ถึงแม้เรื่องราวจะเดิม ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่เราเองก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อเพราะความตลกของมันนี่แหละ แต่จุดสังเกตุเดียวก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องนั้นอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่เคยดูหนังทั้ง 9 ภาคมาก่อน นอกจากเรื่องราวที่เดินไวเกินจนจับต้นชนปลายไม่ถูก มุขตลกบางอย่างท่านก็อาจจะไม่เข้าใจถึงมัน จึงทำให้ LEGO Star Wars: The Skywalker Saga เหมาะเป็นเกมที่ทำมาเฉพาะแฟน ๆ ภาพยนตร์เท่านั้นเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ตัวเกมก็จะยังคงการเล่นแบบในภาคก่อน ๆ ที่จะเน้นการต่อสู้ผจญภัย ไล่ยิง ไล่ฟันเหล่าศัตรูที่ดาหน้าเข้ามา มีปริศนาบางอย่างที่ให้เราต้องแก้ไข โดยลูกเล่นในเกมภาคนี้ก็ค่อนข้างเยอะกว่าเดิมอย่างการปัด Dash หลบการโจมตีของศัตรู การกดป้องกันการโจมตีต่าง ๆ หรือเวลาเป็น Jedi เราสามารถใช้พลังสะกดจิตเหล่าศัตรูให้บังคับตามใจที่ต้องการ ก่อกวน หรือบังคับให้ต่อสู้กันเองก็ได้ในด้านของการต่อสู้บนอวกาศก็มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ เพราะตัวเกมจะให้อิสระเราในการโบยบินได้มากขึ้น ต่างจากภาคก่อน ๆ ที่การต่อสู้จะเป็นเส้นตรง เราสามารถโบยบินได้อย่างอิสระ บินดูยานที่เราจะโจมตีได้ทุกซอกทุกมุมต่อให้เกมเพลย์การต่อสู้จะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนักซึ่งถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีระบบให้เล่นหลากหลายขึ้น แต่เป้าหมายกลุ่มผู้เล่นของเกมนี้ก็ยังเป็นคนทุกเพศทุกวัย เป็นเกมเบาสมองที่ควรมีไว้ติดบ้าน ทำให้ตัวเกมค่อนข้างเล่นง่ายในระดับหนึ่ง เหล่าบอสค่อนข้างโจมตีเป็นแพทเทิร์น หรือแม้กระทั่งเวลาเราแพ้ก็เกิดมาสู้ใหม่ได้ สำหรับคนที่ชอบเกมที่มีความท้าทายก็อาจจะไม่ชอบนัก แต่ส่วนตัวเข้าใจได้เพราะนี่คือจุดประสงค์ของเกมแนว LEGO ตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้พิเศษและได้รับความนิยมล้นหลามก็คงจะเป็นในด้านโลกของเกมที่แต่ละฉากแต่ละดาว ตัวเกมจะเปิดพื้นที่ให้เราได้ Free Roam ในระดับหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจพื้นที่ต่าง ๆ และได้เห็นโลกของ Star Wars มากยิ่งขึ้น ซึ่งในการสำรวจจะมีให้เราได้ค้นหาแต้มอัพสกิลที่กระจายอยู่ทั่วเมือง หรือการทำเควสย่อยที่จะได้รับของรางวัลมากมาย ซึ่งเราสามารถกลับมายังดวงดาวเก่า ๆ ที่ผ่านมาแล้วได้ตลอดเวลา ในโหมดภารกิจเนื้อเรื่องเราจะสามารถเล่นได้แค่ตัวละครตามเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณเล่นด่านนี้จบคุณเองสามารถเข้าไปยัง Free Mode และเอาตัวละครอื่น ๆ ที่ปลดล็อคมาเล่นในด่านนั้นได้ โดยตัวละครที่มีให้เลือกเล่นก็มากเป็นหลักร้อยตัว รวมถึงแต่ละตัวยังมีสกินที่แตกต่างกันโดยจะได้มาจากการปลดล็อคเนื้อเรื่องต่าง ๆ หรือใช้แต้มที่เก็บตามฉากซื้อมาก็ได้นอกจากนี้ตัวละครที่มีให้เลือกเล่นก็แบ่งออกไปหลายคลาสทั้งสาย Jedi สายฮีโร่ สาย Scavenger หรืออื่น ๆ ที่จะมีความสามารถที่แตกต่างกัน หรือบางสายก็สามารถไปในจุดที่สายอื่นไปไม่ได้เพื่อเก็บไอเท็ม รวมถึงเรายังสามารถอัพเกรดความสามารถของตัวละครแต่ละสายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ อย่างเช่นการอัพสกิลของสาย Jedi ที่จะสามารถเพิ่มดาเมจจากการโจมตีระยะไกล หรือการโจมตีระยะใกล้ได้เป็นต้นสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คงจะเป็นเกมเพลย์ในแต่ละภาคที่จะมีลูกเล่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปบ้างทำให้เรารู้สึกไม่จำเจต่อการเล่น อย่างเช่นในภาคแรกเราจะได้บังคับกองทัพของเหล่ากันแกนต่อสู้กับเหล่าหุ่นยนต์ของจักรวรรดิ หรือจะในภาค 7-9 ที่ตัวเอกจะเป็น Ray ซึ่งเธอในช่วงแรกนั้นจะมีคลาสเป็น Scavenger ที่จะสามารถประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างเช่นปืนยิงตะข่าย เครื่องร่อน หรือปืนยิงหินเป็นต้นสรุปถือว่าเป็นภาคที่ยกระดับเกมซีรีส์ LEGO Star Wars ให้ทันสมัย ดีงามและน่าเล่นมากขึ้น รวมถึงยังยกระดับเกมจากซีรีส์ตัวต่อนี้ในอนาคตด้วย แน่นอนว่าด้วยความง่ายของเกมเกินไปที่อาจจะทำให้บางคนรู้สึกขาดความท้าทาย และจุดประสงค์หลักของเกมซีรีส์นี้คือการที่มันนั้นทำหน้าที่เป็นเกมของครอบครัว เกมเบาสมองเหมาะกับการมีไว้ติดบ้าน ชวนลูก ชวนหลาน มาเล่นมาสำรวจดวงดาวและซึมซับบรรยากาศในโลกภาพยนตร์ Star Wars ให้ใกล้ชิดมากขึ้นและละเอียดมากขึ้น เป็นเกมแรกที่ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับโลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มากที่สุดแต่ข้อสังเกตุเดียวก็คงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเล่าเร็วเกินไป จนบางครั้งเราแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูก เข้าใจว่าตัวเกมทำออกมาสำหรับแฟน ๆ ที่เคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว และถ้าเล่าเยอะแต่ละภาคก็จะใช้เวลานานเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นส่วนตัวก็อยากให้เขาเก็บรายละเอียดมากขึ้นกว่านี้อย่างน้อยก็อาจจะทำให้คนที่ไม่เคยดู อินกับเนื้อเรื่องมากขึ้นบ้าง
18 Apr 2022
[Review] รีวิวเกม Nobody Saves the World "เพราะความเป็นผู้กล้ามันอยู่ที่ใจใช่รูปลักษณ์!"
นับตั้งแต่เปิดปี 2022 มาได้ราว ๆ 4 เดือนเต็ม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเดือนกุมภาพันธ์คือเดือนที่มีเกมฟอร์มยักษ์ออกมามากมาย แต่ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม มีอยู่ 1 เกมที่เปิดตัวอย่างเงียบ ๆ แต่แล้วกระแสปากต่อปากและการรีวิวของมันก็ทำให้เห็นว่า นี่คืออีกหนึ่ง Hidden Gem อย่างแท้จริงในปี 2022 มันจะดีงามขนาดไหน ลองมาดูกันใน Nobody Saves the Worldคนธรรมดาที่มีชะตากรรมไม่ธรรมดาในเกมนี้ เราจะได้รับบทเป็น 'Nobody' สมชื่อเกม เป็นคนที่ไม่มีรูปลักษณ์โดดเด่นอะไรเลย เหมือนกับคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเตะตาใคร เขาตื่นขึ้นมาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อจอมเวทแห่งหมู่บ้านได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงไม้กายสิทธิ์วิเศษที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของตัวเอง แต่คนในหมู่บ้านกลับไม่มีใครสามารถใช้ไม้กายสิทธิ์นั้นได้เลย ไม่เว้นแม้แต่ลูกศิษย์ของจอมเวทคนนั้น แต่ตัวเรากลับสามารถใช้มันได้อย่างน่าประหลาดใจ งานนี้ชะตากรรมของบุคคลแสนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจึงได้เริ่มต้นขึ้น จริง ๆ แล้วพล็อตเรื่องของเกมนี้ จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด ก็คงต้องบอกว่า มันเหมือนกับการ์ตูนช่วงเช้าวันหยุดที่เด็ก ๆ จะตื่นมาดู ไร้ซึ่งความรุนแรงใด ๆ สอดแทรกมุกตลกและเรื่องราวขำ ๆ เข้ามาเป็นระยะเสมอ โดยการเล่าเรื่องราวของเกมนี้จะไม่ค่อยมีเสียงบรรยายสักเท่าไร จะมีแต่ซับบรรยายเท่านั้น ดังนั้นหากคุณอยากจะอินกับเกมนี้ การอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะถ้าเล่นแบบข้ามเนื้อเรื่องรัว ๆ รับประกันได้ว่าอรรถรสความสนุกของเกมนี้จะดรอปลงไปพอสมควรเลยทีเดียว และแม้ว่าเนื้อเรื่องเกมนี้จะเข้าใจได้ง่ายมาก มีคนทำสรุปเนื้อเรื่องเอาไว้พอสมควรแล้ว แต่การจะลุยเล่นเกมอย่างเดียว โดยไปตามเนื้อเรื่องย้อนหลังก็ยังไม่ได้อารมณ์เท่ากับเล่นเอง ดังนั้นหากคุณอยากสัมผัสเกมนี้แบบเต็มอิ่ม ภาษาอังกฤษอาจจะต้องได้ในระดับหนึ่งด้วยรูปแบบเกม Dungeon Crawler + RPG Open Worldความสนุกของ Nobody Saves the World เราได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเนื้อเรื่องด้านบนแล้ว นั่นคือเราจะได้รับไอเทมไม้เท้ากายสิทธิ์ของจอมเวทแห่งอาณาจักร ทำให้เรามีความสามารถในการแปลงกายเป็นใครก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้เลยตั้งแต่เริ่มเกม เพราะเราจำเป็นจะต้องเก็บเลเวล ปลดล็อคคลาสนั้น ๆ ให้ได้เสียก่อน เราถึงจะสลับไปแปลงร่างเป็นร่างนั้นได้แต่ก่อนจะไปลงลึกในระบบแปลงร่างของเกม ขอบอกก่อนว่านิยามของเกมนี้จริง ๆ แล้วคือเกมแนว Dungeon Crawler ที่มีองค์ประกอบของเกมโลกเปิดอยู่ในตัว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจช่วงเริ่มต้นของเกมแล้ว ผู้เล่นจะมีอิสระในการไปไหนมาไหนก็ได้ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ขนาดแผนที่ของเกมนี้ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรเลย อาจเพราะด้วยการนำเสนอแบบมุมมองเหนือหัว เลยทำให้เราคิดไปแบบนั้น แต่หากเทียบกับเกมแนวเดียวกันนี้ ขนาดแผนที่ก็ถือว่าใหญ่เกินกว่าเกมอื่น ๆ พอสมควรโลกภายในเกมจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือส่วนของ Open Field หรือแผนที่ทั่วไป ในแผนที่ทั่วไปนี้ ผู้เล่นจะได้พบกับชุมชน หมู่บ้าน ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่า NPC ให้เราเข้าไปพูดคุย สอบถามข้อมูลต่าง ๆ การพูดคุยสอบถามนี้จะทำให้เราได้ข้อมูลสถานที่ตั้งดันเจี้ยนที่อยู่ในแผนที่ด้วย แม้ว่าเราจะยังไม่ไปเจอด้วยตัวเองก็ตาม ดังนั้นการสืบเสาะ หาข้อมูล พูดคุยกับคนนั้นคนนี้ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อพบเจอดันเจี้ยนแล้ว ใช่ว่าเราจะเข้าไปลุยเลยได้ เพราะเกมต้องการสองอย่าง นั่นคือ เลเวลที่เหมาะสม และจำนวนดวงดาวของไม้เท้าเวทมนตร์ ซึ่งได้จากการเอาชนะดันเจี้ยนและทำภารกิจต่าง ๆ และอีกเงื่อนไขหนึ่งคือเลเวลของตัวละคร ทำให้การเก็บสะสมดวงดาวไม้เท้าเวทมนตร์ เปรียบเสมือนกับข้อจำกัดของตัวเกม ที่เรา้ตองไปเล่น เพื่อปลดล็อคมันมาให้ได้ซึ่งภายในดันเจี้ยน จะมีลักษณะแบบพื้นที่ปิด แต่มีเส้นทางที่หลากหลาย และเต็มไปด้วยกับดักและศัตรู รวมไปถึงหีบสมบัติมากมายให้เราได้ตามล่าและเงินที่เอามาใช้ซื้อไอเทมด้วย รูปแบบการเล่นภายในดันเจี้ยนก็จะเป็นเกมแอคชั่น RPG ทั่วไปเลย แต่จะมีกลิ่นอายของความเป็น Hack & Slash อยู่ด้วย นั่นคือเน้นลุยแหลก ต่อสู้ สแปมสกิล และหลบหลีก แล้วถ้ามันเหมือนเกมทั่วไป มันจะไปสนุกตรงไหน คำตอบอยู่ที่หัวข้อถัดไป นั่นคือ ระบบการแปลงร่างแปลงร่าง ทำภารกิจ ปลดล็อคร่างใหม่ ฟีเจอร์สำคัญของ Nobody Saves the World คือฟีเจอร์การที่เราจะแปลงร่างเป็นร่างต่าง ๆ ที่มีความสามารถอันหลากหลาย ย้ำว่า "สิ่งต่าง ๆ" เพราะร่างแปลงของเราจะไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่จะเป็นทั้งสิ่งของ สัตว์ หรือแม้กระทั่งอสูรกายไปเลยก็มี ในช่วงแรกที่เราเป็น Nobody หลังจากได้ไม้เท้ากายสิทธิ์มาตามเนื้อเรื่อง เราจะได้เรียนรู้ที่จะแปลงร่างเป็นหนู จากนั้นก็จะเรียนรู้ที่จะแปลงร่างเป็นตัวละครที่มีความสามารถต่าง ๆ เช่น Warrior (นักรบ) Ranger (นักล่า) และปลดล็อคต่อไปอีกเรื่อย ๆ อีกมากมาย โดยแต่ละร่างแปลงของเรานั้น จะมีเควสท์ให้ทำ โยดเควสท์เหล่านี้จะเป็นการให้เราโจมตีศัตรูด้วยร่างนั้น ๆ ตามเงื่อนไขต่าง ๆ เมื่อทำสำเร็จแล้วก็จะปลดล็อครางวัลเป็นค่าประสบการณ์และดวงดาวไม้เท้าเวทมนตร์ ทำให้ร่างนั้น ๆ มีความสามารถในการต่อสู้สูงขึ้น และแต่ละร่างจะมี Ranking ของตัวเองด้วย การจะปลดล็อคร่างแปลงใหม่ ๆ ก็จำเป็นจะต้องมีระดับ Ranking ที่สูงมากพอยกตัวอย่างตามภาพนี้ กับเควสท์ของร่าง Magician (นักมายากล) โดยเควสท์จะให้เราเสกสัตว์มาช่วยต่อสู้และทำดาเมจตามจำนวนครั้ง ถ้าทำเสร็จเควสท์ก็จะสำเร็๗และรับรางวัลได้ รางวัลจะเป็น FP ที่ทำให้ร่างแปลงนั้น ๆ มี Ranking ที่สูงขึ้น ส่วน XP จะทำให้เลเวลตัวละครของเราเยอะขึ้น ซึ่งแยกจากกัน ร่างแปลงแต่ละร่างจะสามารถติดตั้ง Passive และ Active Skills ได้ โดย Active จะเป็นการกดใช้งาน ติดตั้งได้ 4 สกิล ส่วน Passive จะเป็นสกิลติดตัว ไม่จำเป็นต้องกดใช้ ติดตั้งได้ 4 สกิลเช่นกัน แต่ถ้าจะติดตั้งให้ได้ครบ 4 ช่อง ต้องปลดล็อคที่เลเวล 30 ก่อน จึงจะสามารถทำได้ และสกิลทั้งหลายยังสามารถอัปเกรดได้จากการซื้อหรือได้มาซึ่ง Upgrade Token ที่เราหาได้จากภารกิจต่าง ๆ รวมไปถึงร้านค้าด้วยไม่เพียงเท่านั้น เพราะแต่ละสกิลจะมีสัญลักษณ์บอกไว้ที่มุมซ้ายบนอย่างชัดเจน สัญลักษณ์พวกนี้จะเป็นเหมือนกับระบบแพ้ทาง-ชนะทางกัน หากเราใช้สกิลโจมตีศัตรูผิดประเภทก็อาจจะถึงขั้นตีศัตรูไม่เข้ากันเลยทีเดียว ดังนั้นก่อนจะจัด Set Skill ก็ต้องเอาให้แน่ใจว่าเราจะพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และศัตรูทุกรูปแบบ ความสนุกของเกมนี้เลยอยู่ที่การต่อสู้ ทำภารกิจ ปลดล็อคร่างใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ยิ่งมีร่างเยอะ เกมเพลย์การเล่นของเราก็สามารถพลิกแพลงได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ฟังดูเหมือนไอเดียจะดี และเป็นเกมที่เล่นสนุกมาก แต่ข้อเสียของมันก็กลับเป็นการนำเสนอของมันนั่นเอง นั่นคือในช่วงหลัง ๆ ที่เราจะต้องเจอกับศัตรูหลากหลายประเภท เราจะต้องทำการเปลี่ยนร่างไปมาแทบจะตลอดเวลา โชคดีที่เกมออกแบบระบบการควบคุมมาให้สามารถเปลี่ยนร่างได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แต่มันก็?ำให้เกมการเล่นติดขัดไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะตอน Boss Fight ที่ลำพังบอสนั้น ไม่ยากเท่าไร แต่ลูกสมุนที่มันปล่อยออกมา บางตัวจะมีหลากหลายประเภท การโจมตีจากร่างเดียว ไม่สามารถเก็บกวาดได้หมด ทำให้ต้องสลับฟอร์มไปมาระหว่างสู้บอสก็ถือว่าทำให้มือเป็นระวิงได้ไม่ใช่น้อยเลยนอกจากนั้นคือเรื่องของการดำเนินเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาเฉพาะบุคคล เพราะหลายคนอาจไม่ได้ชอบเกมที่ต้องมานั่งอ่านหรือตีความกันเอาเอง และ Nobody Saves the World ใช้วิธีนี้ในการเล่าเรื่องแทบจะทั้งเกม แม้ตัวเกมโดยรวมแล้วจะกินเวลาไม่นานนัก 9-10 ชั่วโมงก็น่าจะจบได้แล้ว แต่ถ้าเล่นจนจบโดยที่เราไม่รู้อะไรเลย มันอาจจะกลายเป็นเกมน่าเบื่อไปอีกเกมก็เป็นได้ส่วนของ Performance หรือประสิทธิภาพตัวเกม ด้วยการนำเสนอภาพแบบการ์ตูน แถมแทบจะเป็น 2D อยู่แล้ว ดังนั้นคอมพิวเตอร์สมัยนี้ ก็เล่นได้แบบสบาย ๆ ถ้ามันไม่เก่าจนเกินไป และตัวเกมยังมีฟังก์ชั่นแบบ Anti-Aliasing หรือลบรอยหยัก ความคมชัดภาพมาให้ปรับกันอีกมากมาย และส่งท้ายด้วยข้อเสียที่ไม่รู้ว่าจะนับเป็นข้อเสียได้หรือไม่ นั่นคือการควบคุม เพราะเกมนี้แนะนำให้ผู้เล่นใช้จอยคอนโทรลเลอร์มากกว่าที่จะใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ทำให้คนที่ไม่อยากจะต่อพ่วงอุปกรณ์หลายอย่างก็อาจจะขัดใจซะหน่อย แต่หลังจากได้ลองใช้งาน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เกมนี้ใช้จอยคอนโทรลเลอร์ควบคุมได้สะดวกกว่ามากจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณกำลังมองหาเกมสนุก ๆ เนื้อเรื่องใช้ได้ แต่เกมเพลย์มีความแปลกใหม่พอสมควร Nobody Saves the World คืออีกหนึ่งเกมน้ำดีที่หลายคนมองข้ามไปในปีนี้ และสามารถหามาเล่นกันได้แล้ววันนี้บน PC และคอนโซล รวมไปถึงบนบริหาร Xbox Game Pass ด้วย
16 Apr 2022
[Review] สานฝันเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองใน Cafe Owner Simulator
อาชีพในฝันของใครหลายคน คงไม่พ้นการมีธุรกิจเล็ก ๆ อย่าง 'คาเฟ่' เป็นของตัวเอง แต่การทำธุรกิจใช่ว่าใครจะลองผิดลองถูกได้ (ถ้าไม่มีเงินสำรอง) แล้วก็ไม่รู้ว่าคอนเซปต์ร้านเราจะถูกใจลูกค้ามากน้อยแค่ไหนถ้าอย่างนั้นเรามาจำลองการเปิดคาเฟ่ของตัวเองดูกันหน่อยไหมล่ะ? กับเกม Cafe Owner Simulator ที่จะให้เราได้ลองสร้างร้านของเราเองตั้งแต่ 0 จนขายดีกันได้เลยคาเฟ่ในความเข้าใจของเรา Café คงหมายถึงร้านกาแฟ แต่อ้างอิงตาม Cambridge Dictionary แล้ว ในภาษาอังกฤษ คำนี้จะมีความหมายว่า 'ร้านอาหารขนาดเล็ก ที่เสิร์ฟเมนูง่าย ๆ ในราคาย่อมเยา' นั่นหมายความว่า ในเกมนี้เราจะได้สร้าง 'ร้านอาหาร' นะจ๊ะ ไม่ใช่ร้านกาแฟส่วนความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น คาดว่าน่าจะมาจากการพ้องเสียงกับคำว่า Caffé ในภาษาอิตาลี ที่มีความหมายว่า 'กาแฟ' เลยทำให้เราเรียกรวมการออกเสียงนี้เป็น ร้าน+กาแฟ เสียเลย!Cafe Owner Simulatorสำหรับเรื่องรางของเกมนั้น จะเริ่มต้นด้วยการเล่าอดีตของตัวละครที่เราสวมบทบาท ว่าพ่อของเขาเคยเป็นเจ้าของคาเฟ่ท้องถิ่นที่ขายดี แต่แล้วก็ต้องมาล้มละลายไป และตัวละครของเราที่โตขึ้น ก็ได้มีความฝันว่าจะกอบกู้ร้านของครอบครัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นก่อนที่เราจะมาสร้างเนื้อสร้างตัวกับร้านแห่งใหม่ของเราเริ่มต้นเกม เราจะมายืนอยู่หน้าอาคารร้างแห่งหนึ่ง ภารกิจของเราคือต้องเข้าไปเก็บกวาด ซ่อมบำรุง ตกแต่ง และเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเป็นในการเปิดคาเฟ่ให้พร้อม ก่อนที่จะเปิดต้อนรับลูกค้าซึ่งสิ่งที่เราจะต้องทำนั้น จะขึ้นเป็นเควสอยู่ด้านขวาบนของหน้าจอ เราเพียงแค่ควบคุมตัวละครและหมุนมุมกล้องไปตามทิศทางที่ต้องการ ซึ่งเป็นการควบคุมแบบเรียบง่ายสุด ๆ เลย โดยเควสจะคอยบอกว่าเราต้องทำอะไรก่อน แน่นอนว่าต้องเก็บขยะให้หมดร้าน เมื่อทำเสร็จก็จะขึ้น Check List ให้พร้อมขึ้นภารกิจถัดไปเรื่อย ๆในระหว่างที่เรากำลังจัดเก็บร้าน จะได้เห็นพัฒนาการขององค์ประกอบฉาก จากอาคารที่ทั้งรก เก่า และมืด เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พร้อมฉากธรรมชาติรอบ ๆ ร้าน บอกเลยว่าสวยงามสบายตามาก พร้อมเสียงบรรยากาศคลอเบา ๆ สไตล์ป่าเขา ซึ่งใครชอบก็นับว่าช่วยฮีลใจได้ดี แต่ใครไม่ชอบก็อาจจะหลอนหรือรำคาญไปเลยก็ได้ แต่ส่วนตัวมองว่าทำแบบนี้มาก็เข้ากับฉากดีนะ และทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ที่นั่นจริง ๆ ด้วย แถมเรายังได้เห็นกวางมูสมาเดินเล่นริวรั้วเราด้วยนะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ และนอกจากนี้เรายังมีโอกาสเจอขอทานแวะเวียนมาขอเงินที่ร้านด้วย ก็ลองฟังคำขอเขาดู ส่วนจะให้เงินไหมก็ตามใจเลยส่วนหลังจากเก็บกวาดและซ่อมแซมแล้วร้านจะออกมาแบบไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของผู้เล่นเลย โดยหนึ่งในภารกิจก่อนเริ่มกิจการของเรา จะมีให้ตกแต่งร้าน ซึ่งสามารถเลือกสีและลายได้จากแท็บเล็ตของเรา ที่มีหลากสีหลายรูปแบบให้เลือก ผสมผสานกันได้ตามชอบ เมื่อร้านสวยแล้วก็ถึงเวลาซื้อของเข้าร้าน แน่นอนว่าในเควสจะมี Check List ของจำเป็นที่เราต้องมีมาให้ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว และวัตถุดิบที่ใช้ทำเมนูที่เราจะเสิร์ฟในร้าน แน่นอนว่าทั้งหมดเราสามารถสั่งซื้อได้ผ่านแท็บเล็ตเช่นเคยเมนูที่ระบบให้มา ก็ถือว่าเยอะและน่าสนใจใช้ได้เลย เพราะมีทั้งพิซซ่า พาสต้า ซูชิ สลัด ของว่าง ไปจนถึงของหวาน ให้เลือกมาเสิร์ฟรวมประมาณ 20 เมนูเลย จะเลือกเมนูหลากหลายหรือเจาะจงว่าจะเสิร์ฟแค่บางประเภทก็ทำได้ทั้งนั้น เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ก็จ้างเชฟมาช่วยปรุงอาหาร แค่นี้ก็พร้อมรับลูกค้าแล้ว!!ในระบบภาพรวมนั้นถือว่าเข้าใจไม่ยากมาก เพราะแทบทุกอย่างจะอยู่ในแท็บเล็ตซึ่งทั้งสะดวกและสร้างความวุ่นวายให้พอตัว เพราะหากแค่ซื้อของก็ไม่เท่าไหร่ แต่หลังเปิดร้านแล้วนี่สิ ได้หยิบขึ้นมาเป็นว่าเล่นเลย ตัวเควสในเกมเองก็ไม่ได้ไกด์สิ่งที่ต้องทำให้มากเท่าไหร่ ใครอ่านภาษาอังกฤษแล้วสับสนก็อาจจะต้องใช้เวลาหาระบบในแท็บเล็ตกันนานหน่อย กว่าเควสจะยอมเช็คให้อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่เราแนะนำมานี้ยังเป็นเวอร์ชั่นเดโมอยู่ ทำให้อนิเมชั่นบางอย่างก็ดูขัดตาไปบ้าง รวมถึงสิ่งของบางชิ้นก็บั๊คไปบ้าง อย่างเช่นหนูวิ่งทะลุบางส่วนของฉากได้แต่เราวิ่งแล้วติด เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถแจ้งผู้พัฒนาได้ผ่านเมนูในหน้าล๊อบบี้เลย สะดวกสุด ๆ เอาจริง ๆ ในภาพรวมเกมก็ถือว่าทำออกมาไม่ผิดหวังเลย คงเพราะเป็นแฟรนไชน์จาก RockGame S.A. ผู้ผลิตเกม Simulator ชั้นเยี่ยมหลายชิ้น จึงมั่นใจได้ในคุณภาพ แล้วคิดดูว่าตัวทดลองยังดีขนาดนี้ เปิดจริงน่าจะสนุกไม่น้อยเลย ใครสนใจก็สามารถไปโหลดมาเล่นได้ ฟรี! ใน Steam เล่นเสร็จก็อย่าลืมทำแบบสำรวจเพื่อลุ้นรับคีย์เกมในวันเปิดจริงด้วยล่ะ 
30 Mar 2022
[Review] Kirby and the Forgotten Land อีกหนึ่งร่างสมบูรณ์ของ 'เกมที่เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ตามสไตล์ Nintendo'
Kirby เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่อยู่กับทาง Nintendo มาอย่างยาวนาน โดยภาคแรกนั้นได้เปิดตัวออกมาภายในปี 1992 ในชื่อภาค Kirby's Dream Land ซึ่งตัวเกมก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างดี ไปจนถึงยอดขายที่ยอดเยี่ยม จึงส่งผลให้ชื่อของ Kirby ได้รับการสานต่อมาจนถึงทุกวันนี้นี่เองซึ่งในปี 2022 นี้ ก็เป็นโอกาสครบรอบ 30 ปี ของตัวเกม Kirby แบบพอดิบพอดี แน่นอนว่าทาง Nintendo และ HAL Laboratory ไม่พลาดที่จะนำโอกาสอันดีเช่นนี้ ปล่อยเกมภาคใหม่ของเจ้าก้อนกลมสีชมพู ในชื่อภาค Kirby and the Forgotten Land ที่เป็นการนำตัวของ Kirby เข้าไปสู่โลก 3 มิติแบบจริง ๆ กันเสียทีซึ่งตัวเกมจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหนนั้น รีวิวนี้มีคำตอบครับเนื้อเรื่องย่อยง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นกลวงเปล่าแฟน ๆ ของ Kirby น่าจะรู้กันดีว่า เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ภายในเกม Kirby ภาคหลักทุกภาคนั้น จะเป็นเหมือนกับของแถมเสียมากกว่า ด้วยพล็อตสไตล์โบราณที่ว่าด้วยตัวร้ายออกมาก่อความวุ่นวาย และมีพระเอกอย่าง Kirby ที่ต้องเข้าไปคลี่คลายปัญหาให้ลุล่วง มันก็ถูกทำซ้ำมากว่า 30 ปีแล้วซึ่งตัวเกมในภาค Kirby and the Forgotten Land ได้พยายามที่จะฉีกตัวเองออกจากกรอบเดิม ๆ อยู่บ้าง ด้วยการเริ่มเรื่องที่ให้ Kirby และเหล่า Waddle Dee ต้องหลุดในต่างดินแดนผ่านรอยแยกของมิติ แต่สุดท้ายแล้ว แก่นหลักของเนื้อเรื่องมันก็ยังเป็นการต้องไปปราบตัวร้ายที่หวังจะทำเรื่องชั่ว ๆ อยู่ดีนั่นแหละโดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Kirby ที่หลุดเข้าไปใน Forgotten Land ดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งในช่วงคลี่คลายปมของเรื่องราวก็ยังได้มีการเฉลยอีกด้วยว่า ทำไมดินแดนนี้ถึงถูกทิ้งร้างกันนะ และช่วยทำให้ตัวร้ายภายในเกมดูมีมิติมากขึ้น แทนที่จะเป็นการทำชั่วแบบไร้เหตุไร้ผลแบบในภาคก่อน ๆ ทั้งนี้ ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครที่มาเล่น Kirby เพราะหวังจะติดตามเนื้อเรื่องกันหรอก (หรือถ้ามี มันก็คงเป็นอัตราส่วนที่น้อยมากจริง ๆ) และยังเชื่ออีกว่า ทางผู้พัฒนาอย่าง HAL Laboratory ก็คงรู้ตัวเองดีเช่นกัน ถึงไม่ได้เน้นหนักไปที่การเล่าเรื่องมากขนาดนั้น และไปมุ่งเน้นที่เกมเพลย์เสียมากกว่าระบบการเล่นที่ยังคงสนุก แถมเสริมด้วยความสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์หากมองผิวเผินในครั้งแรก หลายคนคงน่าจะคิดเหมือนกันว่า นี่มันคือ Super Mario Odyssey เวอร์ชัน Kirby ชัด ๆ เลยเพราะไม่ว่าจะเป็น มุมกล้อง ฉาก 3 มิติเต็มรูปแบบครั้งแรกของซีรีส์ ไปจนถึงระบบ Mouthful Mode ที่คล้ายกับการ Capturing (โยนหมวก) ของ Mario เพื่อเข้าควบคุมสิ่งต่าง ๆ ก็ยังดูคล้ายกันราวยังกับแกะทว่าเมื่อได้ลองสัมผัสเกมเพลย์เองแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า ทาง Kirby ค่อนข้างจะทำได้เหนือกว่า Mario ระดับหนึ่งเลยทีเดียวเพราะด้วยไอเดียดั้งเดิมของตัว Kirby ที่สามารถลอกแบบพลังของศัตรูได้นั้น ถูกผสานเข้ากับไอเดียใหม่ในภาคนี้อย่างระบบอัปเกรดพลัง ไปจนถึง Mouthful Mode ที่ใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ องค์ประกอบเหล่านี้นี่เองที่ช่วยทำให้เกมการเล่นของ Kirby ดูมีมิติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อยแถมระบบอัปเกรดนี้ ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนเล่นออกตามหาวัสดุที่ใช้ในการอัปเกรดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดลับที่ซ่อนอยู่ตามด่านหลัก หรือจะเป็นด่านรองที่มาในรูปแบบของ Challenge ให้ผู้เล่นได้ท้าทาย แม้กระทั่ง Mini Game อย่าง Colosseum ก็ยังมีของรางวัลตอบแทนเช่นกันด้วยการออกแบบเกมที่ให้รางวัลกับผู้เล่นในทุกกิจกรรม นี่จึงทำให้คนเล่นแทบจะไม่อยากพลาดความลับหรือ Mini Game ไปแม้แต่อันเดียวเลยซึ่งต่างจาก  Super Mario Odyssey ที่การเก็บพวกไอเทมต่าง ๆ จะใช้แค่ในปลดล็อกด่านถัดไป และ Skin สวมใส่สำหรับ Mario เท่านั้นเองการออกแบบฉากที่ยอดเยี่ยม ทำให้การผจญภัยดูสดใหม่อยู่เสมอถึงตัวเกมจะถูกนำเสนอในรูปแบบของ 3 มิติ แต่มุมกล้องภายในเกมก็ยังมีความ Fix อยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นหมุนกล้องได้ตามใจชอบเหมือนเกมที่มีมุมมอง Third Person ทั่ว ๆ ไปทว่าทางผู้พัฒนากลับทำให้สิ่งที่ควรเป็นข้อเสียตรงนี้ กลายเป็นจุดแข็งของเกมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการวางไอเทม ไปจนถึงทางลับตามจุดต่าง ๆ ก็ได้มีการซ่อนเอาไว้อย่างแยบยล หลบมุมกล้องไปเพียงนิดเดียว เป็นการออกแบบสไตล์ที่มอบรางวัลให้กับคนช่างสังเกต ปนกับการแอบบอกใบ้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจูงมือชี้ทางตรงไปหาไอเทมเลยอีกทั้งการใช้มุมกล้องกึ่ง Fix ยังช่วยในเรื่องของการสร้างอารมณ์ให้กับผู้เล่นได้อีกด้วย เช่น ในฉากที่ต้องการให้ผู้เล่นสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่หรือความน่าเกรงขามของแผนที่ ตัวเกมจะปรับมุมกล้องไปกลายเป็นมุมเสย ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดันจากสิ่งที่ใหญ่กว่า หรือในบางฉากที่ต้องการให้แก้ปริศนา มุมกล้องก็จะถูกดันให้กลายเป็นแบบ Bird Eye View มองลงมา ช่วยอำนวยความสะดวกในการมองภาพรวมของปริศนามากยิ่งขึ้นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขอชื่นชมก็คือ การออกแบบฉากภายในเกม ที่ไต่ระดับความยากได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งการวางจุดเกิดของศัตรู ไปจนถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีระหว่างทาง ช่วยให้การเล่นตลอดเกมยังคงรู้สึกท้าทาย แม้จะการอัปเกรดพลังของ Kirby เข้ามาช่วยแล้วก็ตามและทางผู้พัฒนายังได้นำเสนอการผจญภัยในด่านต่าง ๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะตลอดการเล่น ตัว Kirby จะได้เผชิญกับการแก้ปริศนาที่ต้องใช้การพลิกแพลงมากขึ้น และยังต้องอาศัยความแม่นยำในการควบคุมของผู้เล่นมากขึ้นอีกด้วยช่วยให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเบื่อเลย แม้จะเล่นเพลินยาวตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมเลยก็ตามMouthful Mode ระบบใหม่ที่ภายนอกอาจจะดูพื้น ๆ แต่ก็ช่วยขยายความเป็นไปได้อย่างมากมายหากใครได้ตามข่าวสารของตัวเกมมาบ้าง ก็น่าจะเคยเห็น Trailer ที่แสดงให้เห็นถึง Mouthful Mode ระบบใหม่ในภาคนี้ โดยตัว Kirby จะทำการดูดกลืนสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปในร่างกาย และควบคุมสิ่งเหล่านั้นอีกที เช่น รถ กรวย น้ำ ไปจนถึงเครื่องร่อน ซึ่งภายในตัวเกมนั้นได้นำเสนอ Mouthful Mode อีกมากมายให้ผู้เล่นรอได้สัมผัสกันแถม Mouthful Mode นี้ ยังช่วยเข้ามาทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้นอีกด้วย ทั้งฉากที่ต้องอาศัยความเร็ว ก็ต้องใช้รถยนต์เข้าช่วย  ฉากไต่พื้นที่ต่างระดับต้องใช้แท่นยกพลิกแพลง ฉากที่ต้องทลายพื้นดินต้องใช้กรวยทิ่มลงไป ฉากที่มืดต้องใช้หลอดไฟส่องสว่าง ไปจนถึงฉากบนอากาศก็ต้องใช้เครื่องร่อนนำพา Kirby ไปให้ถึงจุดหมาย ถึงแรกเริ่ม Mouthful Mode อาจจะดูเรียบง่ายเมื่อเทียบกับพลัง Copy abiblity ของตัว Kirby ก็จริง แต่มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนเล่นสนุกกับเกมได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แพ้กับระบบอื่น ๆ เลยเช่นกันประสิทธิภาพดี เฟรมไม่มีตกถึงเครื่อง Nintendo Switch จะมีอายุปาเข้าไป 5 ขวบแล้ว แถมตัวสเป็กของเครื่องก็อาจจะไม่ได้มีความแรงมากนัก หากเทียบกับ Console จากค่ายอื่น ๆ แต่ Kirby and the Forgotten Land ก็ยังสามารถทำประสิทธิภาพบนเครื่องพกพาสีน้ำเงินแดงนี้ได้อย่างน่าประทับใจทุกฉากจะรันอยู่บนความลื่น 30 FPS ตลอดเวลา อาจจะมีบางจังหวะที่กระตุกบ้าง แต่ก็แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น อีกทั้งฉากโหลดระหว่างแผนที่ต่าง ๆ ก็ยังทำได้รวดเร็วอีกด้วย ต้องยอมซูฮกให้กับทีมพัฒนาจริง ๆ ที่สามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่องออกมาได้แบบสุดลิ่มทิ่มประตูเสียขนาดนี้และถึงตัวเกมอาจจะไม่ได้มีกราฟิกที่สมจริงหรือล้ำยุคแบบเกม Next Gen แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฉากต่าง ๆ ที่ตัวเกมนำเสนออกมานั้น ยังคงสวยงามตามแบบฉบับลายเส้นการ์ตูนเช่นนี้อยู่ ซึ่งภาพแบบนี้นี่แหละ ที่อยู่กับ Kirby มาทุกยุคทุกสมัย และสามารถครองใจเด็ก ๆ มาได้กว่า 30 ปีควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?แม้ภายนอก Kirby and the Forgotten Land อาจจะดูเป็นเกมที่ลอกแบบ Super Mario Odyssey มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่เนื้อในนั้น มันกลับพัฒนา และไปได้ไกลยิ่งกว่าที่้เคยเป็นทั้งระบบที่เชื้อชวนให้ผู้เล่นตามเก็บไอเทมภายในเกมเพื่อนำไปอัปเกรด มุมกล้องที่ถูกประยุกต์ใช้กับตัวเกมได้อย่างยอดเยี่ยม ความท้าทายที่วางมาในระดับที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี ไปจนถึงประสิทธิภาพที่ตัวเกมสามารถรีดเค้นพลังของเครื่องเกมมาได้ทุกหยดหากมีคนถามว่า มีเครื่อง Nintendo Switch แล้ว ควรมีเกมอะไรติดเครื่องเอาไว้บ้าง?เชื่อว่า Kirby and the Forgotten Land จะต้องขึ้นไปติดอันดับรายชื่อเกมที่ต้องมีเอาไว้ในครอบครองประจำเครื่อง Switch อีกหนึ่งเกมอย่างแน่นอนมีลูก มีหลาน ก็ซื้อเลยอย่ารีรอ และต่อให้อยู่คนเดียว แต่ถ้าคุณมีเครื่อง Switch คุณก็ควรจะหามันมาเล่นเช่นกัน!
29 Mar 2022
[Review] Tiny Tina's Wonderlands เกมถอดสมองเดินหน้ายิง ที่พกความกาวและเกรียนมาเต็มรังเพลิง
แฟรนไชส์ Borderlands เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยเอกลักษณ์หลาย ๆ อย่างที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นภาพกราฟิกในลักษณะการ์ตูนคอมิก ระบบของ Loot Shooter ที่น้อยเกมจะทำตาม ไปจนถึงเนื้อเรื่องสุดเกรียนที่พร้อมเสิร์ฟความฮาให้คนเล่น ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตัวซีรีส์มักถูกนำไปสร้างเป็นภาคต่อ รวมไปถึงสร้างเกม Spin-off แยกออกมามากมายซึ่ง Tiny Tina ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน จากแต่เดิมที่เคยปรากฎตัวแบบ DLC ในชื่อ Tiny Tina's Assault on Dragon Keep มาในคราวนี้ Tiny Tina ได้รับเกมแยกของตัวเองอย่างเป็นทางการในชื่อ Tiny Tina's Wonderlands กันเลยทีเดียวส่วนเรื่องความสนุก ความเกรียน ความฮา และความมันส์ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่? รีวิวนี้มีคำตอบ!เนื้อเรื่องสุดจืด แต่ชดเชยด้วยบทพูดสุดปั่นเนื้อเรื่องของ Tiny Tina's Wonderlands นั้น จะเป็นการนำพาผู้เล่นให้รับบทเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมโต๊ะ นั่งเล่นบอร์ดเกมกับบรรดาตัวละครคุ้นหน้าคุ้นตาจากแฟรนไชส์ Borderlands ไม่ว่าจะเป็น Tiny Tina, Valentine ไปจนถึง Frette ตัวผู้เล่นจะเข้าร่วมเกมในฐานะตัวละครที่เรียกขานกันว่า Fatemaker ซึ่งเป้าหมายนั้นก็ง่ายมาก นั่นคือจัดการตัวร้าย Dragon Lord ลงให้จงได้หากพูดกันตามตรง เนื้อเรื่องของ Tiny Tina's Wonderlands ค่อนข้างจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ พล็อตตัวร้ายอยากจะยึดครองโลก และมีพระเอกมาจัดการยับยั้งแผนชั่วเนี่ย มันเชยจนไม่รู้จะเชยยังไงแล้ว แต่จุดแข็งของซีรีส์ Borderlands มันไม่ได้อยู่ที่พล็อตหลักอยู่แล้วน่ะสิเพราะตลอดทั้งการเล่น พวกบทสนทนาระหว่างตัวละครที่มีการจิกกัดกันอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงปมดราม่าที่ช่วยเปิดเผยความรู้สึกเบื้องลึกเบื้องหลังของบรรดาตัวละคร ทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้การติดตามอ่านเนื้อเรื่องในเกม สามารถทำได้จนตลอดรอดฝั่ง แม้ตัวแนวคิดหลักของเรื่องอาจจะจืดชืดก็ตามและอย่างที่กล่าวไปข้างต้น นี่คือโลกภายในบอร์ดเกม ดังนั้นผู้เล่นภายนอกอย่าง Tina จะเสริมเติมแต่งกฎแบบไหนเข้าไปก็ได้ นี่จึงช่วยทำให้เนื้อเรื่องภายใน Wonderlands แห่งนี้ ยิ่งทวีความบ้าบอเข้าไปอีกขั้น จนถึงขนาดที่ไม่ต้องไปหาเหตุผลมารองรับกันให้เมื่อยเลย เพราะฉะนั้นคำแนะนำในการเล่นเกมนี้ก็คือ ถอดสมองทิ้งเอาไว้ก่อน และเพลิดเพลินกับระบบการยิงสุดมันส์ของตัวเกมกันได้เลยระบบคลาส และการเล่นที่ออกแบบมาขัดกันเองความเป็น RPG ผสมผสานกับความเป็น First Person Shooter เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของซีรีส์ Borderlands ซึ่งแน่นอนว่า Tiny Tina's Wonderlands ก็ได้รับสืบทอดมันมาเช่นกัน แต่ช่างน่าเสียดายที่เสน่ห์ที่สืบทอดกันมานี้ กลับกลายเป็นตัวปิดกั้นแนวทางใหม่ ๆ ที่ซีรีส์ควรจะบุกเบิกไปได้ซะอย่างนั้นภายในเกมจะเริ่มต้นให้ผู้เล่นเลือกคลาสได้มากถึง 6 สาย ได้แก่ ได้แก่ Brr-Zerker, Clawbringer, Graveborn, Spellshot, Spore Warden และ Stabbomancerแถมตัวเกมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือกคลาสรองได้เมื่อเลเวลถึงจุดที่กำหนดอีกด้วย ซึ่งหากอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงคิดว่ามันก็ดูดีนี่นา แนวทางการเล่นก็น่าจะหลากหลายเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?ทว่าทุกอย่างที่เกมทำมานั้น กลับต้องกลายเป็นหมันทันทีเมื่อเข้าสู่เกมเพลย์จริง ๆ เพราะสายอาวุธระยะประชิดอย่าง Brr-Zerker หรือ Stabbomancer นั้น กลับทำดาเมจได้ค่อนข้างช้าหากคิดจะใช้อาวุธ Melee ฟาดเพียว ๆ เรียกได้ว่า เอาปืนยิงตามปกติ ศัตรูยังตายไวกว่าแถมความเสี่ยงในการควงอาวุธตีใกล้เข้าไปฟาดหน้าศัตรูท่ามกลางวงล้อม มันก็มีมากเสียจนทำให้ตัวละครที่ผู้เล่นควบคุมอยู่ เกิดอาการวูบกันง่าย ๆ เลยทีเดียวด้วยเหตุนี้นี่เอง จึงทำให้คลาสของเกมที่อุตส่าห์ทำมาให้เลือกถึง 6 สาย แถมยังเลือกคลาสรองมาผสมได้อีก 5 สายในภายหลัง ช่างดูไร้ความหมายเสียเหลือเกิน เมื่อต้องมาเจอกับระบบปืนที่ยังคงทรงพลังมากกว่าอาวุธระยะใกล้ในแบบที่ตัวเกมเลือกนำเสนอการรัวปืนที่ยังคงสนุก รวดเร็ว และเล่นเพลินจนติดพันถึงทางผู้เขียนจะติในเรื่องการออกแบบคลาสที่ขัดกันกับเกมเพลย์หลักเอาไว้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ระบบต่อสู้ของเกมนี้จะไม่สนุกเพราะ Tiny Tina's Wonderlands นั้น ยังคงรักษามาตรฐาน Gun Play ของซีรีส์ Borderlands เอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม อันที่จริงมันสามารถก้าวล้ำ นำหน้าตัวเกมหลักไปเสียด้วยซ้ำเนื่องจากภายในเกมนี้ ลูกระเบิดที่ผู้เล่นพกพาได้ จะถูกเปลี่ยนไปเป็นช่องใส่ Spell แทน ซึ่งแต่ละ Spell ก็มีความแตกต่างกัน ตั้งแต่ดาเมจที่กระทำ รูปแบบ ไปจนถึงการแพ้ทางและชนะทางศัตรูในประเภทต่าง ๆ ช่วยให้ฉากการต่อสู้ภายในเกมนี้ยิ่งทวีความบ้าคลั่งขึ้นไปอีก แถมความรู้สึกในการใช้ Spell มันก็ดูดีกว่าการขว้างลูกระเบิดโง่ ๆ ออกไปตรงหน้าเป็นไหน ๆ ทำเอาอยากเชียร์ให้ทางผู้พัฒนาอย่าง Gearbox นำระบบนี้ ไปใส่แทนระบบปาระเบิดในซีรีส์หลักแทนเลยทีเดียวและในส่วนของศัตรู ไปจนถึงความท้าทายนั้น Tiny Tina's Wonderlands ก็ให้รสชาติในแบบที่กำลังพอดี เกมไม่ได้ง่ายจนน่าเบื่อ และก็ไม่ได้ยากจนชวนหัวร้อนคุณสามารถเล่นได้ทั้งแบบใจเย็น ที่ค่อย ๆ หลบหลังกำบัง พร้อมกับโผล่หัวขึ้นมาสอยศัตรูทีละตัว หรือจะเล่นแบบ Run & Gun ควงปืนเต้นรำท่ามกลางดงกระสุนก็ได้ทั้งนั้น เพราะต่อให้ผู้เล่นพลาดท่าจนพลังชีวิตหมด Tiny Tina's Wonderlands ก็ได้ให้โอกาสครั้งที่สองแก่ผู้เล่น โดยในช่วงที่ผู้กำลังอยู่ในสถานะ Down นั้น หากผู้เล่นสังหารศัตรูได้ทัน ก็จะสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตกลับคืนมาจำนวนหนึ่งนั่นเองในส่วนของการออกแบบฉากต่อสู้กับบอส ก็ต้องยอมรับว่าสร้างสรรค์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นขึ้นหิ้งจนน่าจดจำ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การประเคนยัดกระสุนใส่หน้าบอสให้แหกกันไปข้าง ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่ดีโลกเปิดกว้างครั้งแรกของซีรีส์ถึงจะไม่ได้เป็นโลกเปิดแบบ 100% แต่ตัวเกม Tiny Tina’s Wonderlands ก็มีบางพื้นที่ที่ให้ผู้เล่นได้เลือกว่าควรจะไปตรงไหนก่อน โดยพื้นที่นั้นจะมีชื่อเรียกว่า Wonderlands Overworld สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คือ การออกแบบที่คงสไตล์บอร์ดเกมเอาไว้ แถมยังกลมกลืนกับเนื้อเรื่องพื้นหลังอีกด้วยเราจะได้เห็นบรรดาซากของกิน ของใช้ ไปจนถึงขยะต่าง ๆ ตามประสาเด็กของตัวละคร Tina เช่น ฝาขวดน้ำอัดลม กระป๋องน้ำ ไปจนถึงเศษขนมที่กินหกขวางทางผู้เล่นเอาไว้อยู่ ซึ่งในการจะเคลียร์เส้นทางได้นั้น ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องไปดำเนินการเควสต์ให้สำเร็จเสียก่อน ตัวเกมถึงจะมาปลดล็อกให้ในภายหลัง การออกแบบฉากที่เพิ่มลูกเล่นให้กลับมาสำรวจซ้ำได้ค่อนข้างน่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว และถึงตัวเกมจะมีระบบเลเวลแบบเกม RPG เข้ามา คนเล่นก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะตลอดการเล่น (ยกเว้นเนื้อเรื่อง) ศัตรูจะทำการปรับเลเวลตามตัวของผู้เล่นอยู่เสมอ ช่วยให้ความท้าทายไม่ได้ถดถอยลงเลย แม้ผู้เล่นจะแอบไปฟาร์มมาจนเลเวลเยอะแล้วก็ตามการออกแบบเควสต์ที่รีดเค้นจุดเด่นของเกมออกมาจากสุดตัวแม้ตัวเกมจะมีส่วนที่เป็น Open World เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจได้ตามใจชอบ แต่การออกแบบเควสต์กลับซ้ำซากจนเหลือเชื่อ ทั้งนี้ เชื่อว่าทางผู้พัฒนาน่าจะตั้งใจให้มันออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เพราะไม่ว่าผู้เล่นจะทำเควสต์อะไรก็ตาม บทสรุปสุดท้ายก็คือการสาดกระสุน และจัดการศัตรูทุกตัวให้หมอบอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น เควสต์ง้อแฟนสาว เควสต์ตามหาสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงเควสต์ช่วยนักโบราณคดีเจรจากับชนเผ่าพื้นถิ่นต้องยอมรับในความใจกล้าของทีมงานเลยจริง ๆ ที่เลือกนำเสนอจุดเด่นของเกมกันแบบสุดโต่ง แทนที่จะเลือกใส่เควสต์น่าเบื่ออย่างการคุ้มกัน NPC หรือการเดินคุยไปมาระหว่างเมือง เพื่อช่วยเพิ่มความหลากหลายเข้ามาแทนที่สำหรับคนที่ชอบยิงแหลก ไม่สน 4 สน 8 ก็น่าจะถูกใจกับการออกแบบเควสต์สไตล์นี้ไม่น้อยเลยล่ะครับ เพราะนอกจากจะได้ทันเพลินกับเกมเพลย์แล้ว ยังได้ฟาร์มไปในตัวอีกด้วยงานภาพที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ แถมไม่กินแรงเครื่องหากจะบอกว่า ภาพกราฟิกสไตล์คอมิก เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Borderlands ก็คงไม่ผิดนักซึ่งงานภาพลวดลายแบบนี้ มันยิ่งช่วยขับความเกรียนและความกาวของตัวเกมออกมาได้ดียิ่งขึ้นเข้าไปอีก แถมยังไม่ค่อนกินแรงเครื่องมากอีกด้วย แม้จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือคอนโซลรุ่นเก่า ก็น่าจะเล่นเกมนี้ด้วย 60 FPS ได้แบบไร้ปัญหา ด้านประสิทธิภาพที่ตัวเกมทำออกมาได้นั้น ก็ค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว เพราะขนาดฉากต่อสู้กับบอสตัวสุดท้ายที่เอฟเฟกต์สกิล แสง สี จัดเต็ม ตัวเกมก็ไม่มีอาการเฟรมตกให้เห็นแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้คนเล่นสามารถเพลิดเพลินกับฉากการต่อสู้สุดนัว ในความเร็วสูงได้กันแบบฟิน ๆ ซับไทยแปลได้ตามมาตรฐานหากใครได้พอติดตามข่าวสารมาบ้าง น่าจะทราบว่าตัวเกม Tiny Tina’s Wonderlands นั้นมีตัวเลือกซับไตเติ้ลภาษาไทย เอาใจเกมเมอร์ชาวไทยกันอีกด้วยซึ่งสำหรับคำแปลที่ตัวเกมได้แปลออกมานั้นก็นับว่าอยู่ในมาตรฐานที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวแม้จะมีบางช่วงที่แอบติดขัดเล็กน้อย อย่างเช่น ซับไตเติ้ลไม่ขึ้นบ้าง หรือมีจุดที่แปลงง ๆ บ้าง ไปจนถึงการใช้ชื่อคนหรือสถานที่แบบเขียนด้วยภาษาอังกฤษไปเลย แทนที่จะเลือกใช้คำทับศัพท์แบบเวลาเกมอื่น ๆ แปลกัน แต่มันก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อการรับรู้เนื้อเรื่องภาพรวมแต่อย่างใดและทั้งนี้ ต้องแจ้งไว้ก่อนว่า ตัวเกมที่ทางทีมงานได้มานั้นยังเป็นเวอร์ชัน Preview อีกด้วย ดังนั้นคงจะมีบางส่วนที่ยังแปลไม่เสร็จสมบูรณ์ดีก็เป็นได้คุ้มค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?แม้ Tiny Tina’s Wonderlands อาจจะมีเนื้อเรื่องที่อ่อนแอ พล็อตที่น่าเบื่อ ไปจนถึงการออกแบบเควสต์ที่ซ้ำซาก แต่เสน่ห์ของเกมแฟรนไชส์ Borderlands ยังคงอัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยมไม่ว่าจะด้วยฉากเปิดตัวแบบเท่ ๆ ฉากยิงปืนสุดมันส์ที่ศัตรูดาหน้าเข้ามาแบบไม่กลัวตาย ไปจนถึงระบบ Loot ของจากศัตรู และรางวัลผ่านฉากที่มีความ RNG อยู่เต็มเปี่ยม จนเกมอื่นยากที่จะเลียนแบบด้วยเสน่ห์เดิม ๆ ของ Borderlands บวกกับการนำเสนอเรื่องราวที่ทวีความกาวเข้าไปอีกขั้น เพราะเป็นโลกในจินตนาการของสาวน้อย Tiny Tinaแค่สองอย่างนี้ก็คงเพียงพอที่จะทำให้แฟนเกมแนว Loot Shooter พร้อมที่จะเสียเงินในกระเป๋าให้กับเกม Tiny Tina’s Wonderlands แล้วล่ะครับสำหรับใครที่อยากหาเกมเบา ๆ ผ่อนคลายสมอง นอนเอนหลังเล่นในวันพักผ่อนจากวันทำงานหนัก เกมนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลยแฟน Borderlands ห้ามพลาด! แฟน Loot Shooter ห้ามพลาด! แฟนเกม FPS ที่ชื่นชอบฉากปะทะนัว ๆ ห้ามพลาด! และคนที่อยากถอดสมองเล่นเกมยิงแบบไม่ต้องคิดอะไรให้หนักหัว ก็ห้ามพลาดเช่นกัน!
22 Mar 2022
[แนะนำเกมมือถือ] เจาะเวลาท่องยุทธภพไปใน MMORPG "หวงอี้ Mobile"
อีกหนึ่งเกมมือถือที่พัฒนาจากเกม PC สุดเจ๋ง ภายใต้ค่ายเกมระดับแนวหน้าของไทยอย่าง Playpark กับ หวงอี้ เกม MMORPG ที่ได้รับอิทธิพลจากนิยายจีนกำลังภายในทั้ง เจาะเวลาหาจิ๋นซี, มังกรคู่สู้สิบทิศ, เทพมารสะท้านภพ และเทพทลายนภาเนื้อหาของเกมเองก็ได้ผสานทั้งความ Sci-Fi แบบวิทยาศาสตร์และความคลาสสิคของยุคจีนโบราณ โดยเราจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยของ ดร.หม่า ผู้สร้างเครื่องทะลุมิติที่ทำให้เราสามารถย้อนเวลาไปในอดีตได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นการผจญภัยของเรา!ระบบการเล่นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเราสามารถกดที่เควสเพื่อให้ตัวละครวิ่งไปทำภารกิจโดยอัตโนมัติ ตามสไตล์ MMORPG บนมือถือ ทำให้แม้จะเป็นมือใหม่ก็เข้าใจการเล่นได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่สิ่งที่พิเศษกว่าเกมอื่นในแนวเดียวกันก็คือ หวงอี้ จะผสานแนว choice-base ลงไปในเควสด้วย โดยทุกการตอบโต้กับ NPC ของเรา จะส่งผลต่อสภาวะจิต ซึ่งประกอบด้วยค่าสถานะต่าง ๆ ที่เราจะได้รับด้วยล่ะ! สภาวะจิตจะแบ่งออกเป็น 3 สำนัก ก็คือ...สำนักพุทธ - สายป้องกัน สำนักเต๋า - สายสนับสนุนสำนักมาร - สายโจมตียิ่งเรามีค่าสภาวะจิตสูง เราก็จะสามารถเรียนรู้สกิลของสำนักนั้นได้มากขึ้น ซึ่งสามารถดูสัญลักษณ์ท้ายคำตอบได้ ว่าคำตอบแบบไหนจะส่งผลต่อสภาวะใดนั่นเองนอกจากเราจะเลือกแนวทางการเล่นได้แล้ว อาวุธที่จะใช้เรายังสามารถเลือกและเปลี่ยนได้ตลอดเวลาอีกด้วย! หมดปัญหาเรื่องเลือกอาชีพที่ถนัดไปได้เลย เพราะเราสามารถผสมผสานการเล่นได้อย่างหลากหลายตามสถานการณ์ โดยหลัก ๆ จะเป็นการตั้งค่า AI ว่าจะออกสกิลอะไรบ้างและอยากให้คอมโบออกมาเป็นอย่างไร นับเป็นอีกหนึ่งความพิเศษที่ไม่เหมือนใครและน่าจะถูกใจผู้เล่นที่ต้องการความยืดหยุ่นรวมถึงสไตล์การเล่นแบบ No Limit เลยแหละความสะดวกของระบบ AI ยังมีความเจ๋งอย่างการตั้งค่าการใช้ยา กลยุทธในสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าจะทำอย่างไร หนีเมื่อไหร่ หรือตายแล้วไปไหนก็ได้หมด แม้แต่ตั้งค่าการเก็บไอเท็มที่ต้องการก็ตั้งค่าในนี้ที่เดียวจบไม่ได้มีเพียงสกิลภายในเกมเท่านั้นที่ Unique แต่เรายังปรับแต่งใบหน้าตัวละครให้มีความเฉพาะตัวได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้า ตา จมูก ปาก ถือว่าสามารถปรับได้ละเอียดพอสมควร รวมถึงปรับแต่งทรงและสีผมที่มีโทนสีหลากหลายได้ด้วย แอบน่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่มีให้ปรับรูปร่าง แต่แค่นี้ก็ได้ตัวละครตามแบบที่ถูกใจมากแล้วทางด้านภารกิจเนื้อเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการช่วยเหลือชาวเมืองไปพร้อมกับการฝึกวรยุทธ ซึ่งเราสามารถเช็คได้จากตารางเควสที่มาเป็นแผนภูมิให้เห็นเลยว่าตอนนี้มีเควสอะไรที่สามารถทำได้แล้วบ้างและต่อเนื่องมาจากเควสใด ซึ่งในภาพรวมขอบอกเลยว่าเหมือนเราได้สวมบทบาทในนิยายกำลังภายในจริง ๆ เพราะองค์ประกอบภายในฉากนั้นถือว่าทำออกมาดี ทั้งภูมิศาสตร์ สถาปัตยกรรม จนถึงเครื่องแต่งกาย ยิ่งประกอบกับดนตรีที่แต่งขึ้นด้วยเมโลดี้จีน เรียกได้ว่ากลมกล่อมลงตัวสมคอนเซปต์เลยส่วนระบบต่าง ๆ ภายในเกมก็มีเยอะเลยล่ะ โดยระบบเด่นที่ช่วยพัฒนาตัวละครเราได้มากเลย ไม่ว่าจะเป็น...ตู้เสื้อผ้า – ที่มีคอสตูมที่ช่วยเพิ่มค่าสถานะให้เรา แถมหากจับเข้าเซ็ทเอฟเฟคก็ยิ่งเพิ่มขึ้นยุทธภพ - ดันเจี้ยนพิเศษที่เราสามารถพิชิตร่วมกับเพื่อน ทั้งการผ่านด่าน ฟาร์มทรัพยากร ไปจนถึงลงเพื่อประลอง ก็รวมอยู่ในโหมดนี้ พร้อมรับไอเท็มมากมายหลังจบภารกิจสัตว์เลี้ยง – ที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีและสถานะต่าง ๆ พร้อมพรสวรรค์เฉพาะตัวที่จะช่วยให้การทำกิจกรรมภายในเกมของเราราบรื่นยิ่งขึ้นรวมถึงระบบคราฟต์ของและตีบวกสุดคลาสสิค ที่จะช่วยให้เรามีอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นในการใช้วรยุทธ และอยากเตือนว่าเกมนี้มีค่าความทนทานอุปกรณ์ที่ลดลงเมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ จึงต้องคอยเช็คและซ่อมให้ดี หรือจะเซ็ทระบบไว้ในตั้งค่าเพื่อความสะดวกก็ได้เช่นกันสำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของหวงอี้โมบาย และดาวน์โหลดผ่าน Google Play และ App Store ได้แล้ววันนี้ เอาล่ะ! ขอให้สนุกกับการท่องยุทธภพล่ะทุกท่าน
22 Mar 2022
[Review] รีวิวเกม Ghostwire: Tokyo ปราบผีทั่วชิบูย่าด้วยกราฟิกล้ำยุค แต่รู้สึกเหมือนไม่ได้มีอะไรใหม่?
หลังจากสร้างความสยองขวัญเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนสำหรับซีรีส์เกม The Evil Within จากทางผู้พัฒนา Tango GameWorks ก่อตั้งโดยบิดาผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์เกม Resident Evil อย่างคุณ Shinji Mikami และในปี 2022 พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งกับเกมใหม่ Ghostwire: Tokyo ที่เกมนี้ได้เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมาก เพราะตัวเกมมีธีมที่แตกต่างไปจากเดิมที่เราจะได้เผชิญหน้าฟาดฟันกับเหล่าภูติผีปีศาจของประเทศญี่ปุ่นด้วยพลังวิเศษต่างๆ ซึ่งทางเรา GameFever TH เองก็ได้มีโอกาสเล่นเกมนี้จนจบและจะมารีวิวเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัสมา ว่าตัวเกมจะยอดเยี่ยมและสร้างความสยองขวัญและความสนุกเหมือนกับเกมก่อนหน้าที่เคยสร้างหรือไม่ ?กราฟิกและการนำเสนอในด้านภาพของเกมนี้ Ghostwire: Tokyo ได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ในการพัฒนามาเป็น Unreal Engine 4 แน่นอนว่าเราสามารถการันตรีได้ถึงความสวยงานในด้านของฉากต่างๆ โดยตัวเกมนั้นได้ทำการจำลองย่านชิบูย่าของเมืองโตเกียวออกมาได้สมจริงมากๆ ทั้งแลนด์มาร์คต่างๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ผิดเพี๊ยนอย่างเช่น 5 แยกชิบูย่าหรือสถานที่ดังอื่นๆ ในย่านนี้ ให้คุณได้เดินเล่นอย่างอิสระใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมานานเกมนี้ก็น่าจะทำให้คุณหายคิดถึงประมาณหนึ่ง ในด้านของเอฟเฟกต์สกิลต่างๆ ก็ใส่รายละเอียดมาแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ฉากแสงเงาต่างๆ ที่สวยงามให้ความรู้สึกถึงความเป็นเกม Next Gen ในระดับหนึ่งและถึงแม้โลกนี้จะมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่หนักมากๆ แต่กลิ่นอายของเกมก็จะยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Tango GameWorks อยู่อย่างเช่นบรรยากาศความเป็น Psychological คล้ายๆ กับเกม The Evil Within บรรยากาศชวนขนลุกด้วยโลกหรือห้องที่บิดเบี้ยวไปมา บรรยากาศเสียงอันน่าขนลุก ความหลอนของสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นที่มีให้เห็นตลอดทั้งเกมโดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกมมีตัวเลือกด้านภาพให้เล่นสองแบบคือ Quality Mode ที่จะเน้นภาพสวยแต่รันเฟรมเรทที่ 30 FPS กับอีกโหมดคือ Performance ที่ภาพจะดรอปลงมาหน่อยแต่จะรันเฟรมเรทได้ที่ 60 FPS ซึ่งตัวภาพก็ค่อนข้างต่างกันอยู่แต่ก็ไม่มาก (ส่วนตัวเลยเลือกที่จะเล่นแบบ Performance แทนเพื่อความลื่นไหล) และสิ่งที่น่ากังวลมากๆ ก็คือถึงแม้ตัวเกมจะมีความเป็นกึ่งโลกเปิด ให้เราได้สำรวจย่านชิบูย่าทุกซอกทุกมุม แต่ภายในการทำเกือบๆ ทุกภารกิจ (ทั้งหลัก ทั้งเสริม) ตัวเกมก็จะบังคับให้เราเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ เช่นบ้านคน หรือโรงพยาบาล ที่ส่วนใหญ่เราจะต้องโหลดฉากใหม่เพื่อเข้าไปข้างใน ซึ่งคนที่เล่นเกมบนเครื่อง Console เจนใหม่หรือเครื่อง PC ที่มี SSD ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร (ตัวเกมแนะนำให้ใช้ SSD ในการเล่นเกมนี้อยู่แล้ว) ซึ่งการโหลดฉากหนึ่งใช้เวลาราวๆ 1-2 วินาทีเท่านั้น แต่เครื่อง Console เจนเก่าอย่าง PS4 และ Xbox One ตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่ามันส่งผลต่อการเล่นไหมถ้าหากคุณจะต้องโหลดฉากที่นานขึ้นกว่าเดิมเนื้อเรื่องโดยเรื่องราวของเกมจะพูดถึงเมืองชิบูย่าที่อยู่ดีๆ ก็โดนเหล่าวิญญานที่ถูกควบคุมโดยเหล่าคนสวมหน้ากากเข้าโจมตีจนคนในเมืองหายไปหมด ซึ่งเราจะได้รับบทเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Akito ที่ในระหว่างการบุกเมือง เขานั้นบังเอิญถูกวิญญานนักสืบสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง KK เข้าสิงทำให้เขานั้นมีพลังวิเศษในการต่อสู้กับเหล่าผีสางพวกนั้น รวมถึงเหล่าชายสวมหน้ากากก็ได้ลักพาตัวน้องสาวของเขาไป และเขานั้นก็จะต้องตามช่วยเหลือเธอให้ได้ซึ่งการดำเนินเรื่องตัวเกมจะไม่ได้ดำเนินเรื่องราวอะไรให้เรารู้มาตั้งแต่แรก แต่ตัวเกมจะค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ความจริง ตัวเกมจะเล่าทั้งเรื่องราวทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ กลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของตัวเอกและน้องสาวที่มีปัญหากัน บวกกับการค่อยๆ เปิดจุดประสงค์ของศัตรู แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างอ่อนพอสมควร เพราะตัวเกมมีเรื่องราวหลายประเด็นให้เราบวกกับเวลาในการเล่าเรื่องที่น้อยเพียงแค่ 15 ชั่วโมงเท่านั้นสำหรับเกมที่มีความเป็นกึ่ง Open World ทำให้หลายๆ อย่างทางผู้พัฒนาดันเล่าห้วนๆ และบางเบา อย่างเช่นเรื่องราวของกลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ถ้าหากเราอยากรู้จักพวกเขาดีพอเราอาจจะต้องไปเล่นเกมแยกอย่าง Ghostwire: Tokyo - Prelude เสียก่อน ถึงจะรู้สึกอินกับเหล่าตัวละครพวกนี้มากขึ้น เรื่องราวของพระเอกและน้องสาวที่เปิดตัวมาได้น่าสนใจบางอย่างก็เล่ามาเป็นเพียงแค่คำพูด ถึงแม้ว่าจะไปเน้นอธิบายในตอนสุดท้ายแต่มันก็ยังไม่มากพอ และประเด็นสุดท้ายที่รับไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องราวของเหล่าตัวร้ายที่พล็อตมันค่อนข้างโบราณและขาดมิติเอามากๆ (แต่ไม่ขอสปอยส์นะว่าเป็นเรื่องอะไร) หรือเรื่องราวหักมุมก็ไม่มีเลยเกมเพลย์ในเกม Ghostwire: Tokyo อาวุธที่เราได้ใช่ต่อสู้นั้นก็คือพลังความสามารถที่จะแบ่งเป็นธาตุต่างๆ ซึ่งจะมีความสามารถและจุดเด่นที่ต่างกันเช่นพลังลมจะเป็นการโจมตีเดี่ยวที่รวดเร็ว พลังธาตุน้ำจะโจมตีได้กว้างกว่าสามารถทำลายการป้องกันของศัตรูได้ หรือพลังธาตุไฟที่จะสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงแต่กระสุนน้อย รวมถึงพลังเหล่านี้เรายังสามารถกดโจมตีค้างเพื่อชาร์จพลังโจมตีให้รุนแรงขึ้นด้วยเช่นพลังธาตุลมจะโจมตีได้หลายตีพร้อมกัน พลังน้ำจะทำให้สกิลแรงขึ้นและทำลายป้องกันได้ หรือพลังไฟจะระเบิดเป็นวงกว้างและรุนแรง นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีอาวุธอย่างอื่นเช่นธนู หรือยันต์อาคมที่จะมีลูกเล่นให้เอาไว้ต่อสู้กับศัตรูอย่างเช่นยันต์ Decoil ที่จะดึงดูดศัตรูให้เราสามารถลอบเร้นและจัดการศัตรูด้านหลังได้ ยันต์ระเบิดไฟเอาไว้โจมตี หรือยันต์ไฟฟ้าเอาไว้สตั๊นศัตรู นอกจากนี้เวลาฆ่าศัตรูได้เราจะสามารถใช้พลังในการดูดวิญญานศัตรู ซึ่งนอกจากการประหยัดกระสุนพลังแล้วนั้น มันจะช่วยให้เรานั้นได้เลือดเพิ่มจากการต่อสู้จำนวนหนึ่ง และมันก็ทำให้เรามีความรู้สึกเป็นนักปราบผีสุดเท่ได้ดีทีเดียวในด้านของเควสนอกจากเควสหลักแล้วนั้นตัวเกมก็จะมีเควสเสริมให้เราได้ทำมากมาย ซึ่งในภารกิจไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการช่วยเหลือเหล่าวิญญานหรือเหล่าโยไคต่างๆ เช่นการหาสิ่งเร้นลับในบ้าน การตามหาวิญญานคนรักเป็นต้น โดยทำเสร็จคุณก็จะได้ EXP เงินรวมถึงของที่เอาไว้ใช้อัพเกรดสกิลเป็นการตอบแทนโดยตามเนื้อเรื่องภายในพื้นที่ย่านชิบูย่าจะเต็มไปด้วยหมอกพิษที่ถ้าหากคุณเข้าไปก็อาจจะตายได้ ซึ่งเราจะต้องทำการไปเคลียร์ศาลเจ้าที่รอบๆ จะมีเหล่าศัตรูยืนอยู่ ซึ่งถ้าหากเคลียร์ศาลเจ้าได้สำเร็จตัวหมอกในบริเวณรอบๆ ก็จะหายไป รวมถึงยังมีการเปิดจุดเควสรองใหม่ๆ หรือตำแหน่งร้านค้าต่างๆ ได้ นอกจากนี้ภายในศาลเจ้ายังมีไอเท็มสวมใส่พิเศษอย่างกำไลประคำที่จะเพิ่มสเตตัสความสามารถให้เราได้เช่นเพิ่มดาเมจอาวุธธนูมากขึ้น 40% เพิ่มพลังโจมตีธาตุต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถเลือกใช้ตามสไตล์อาวุธของคุณได้ในด้านของการอัปสกิลถ้าหากคุณเก็บ Exp จนเลเวลอัพเมื่อไร คุณก็จะได้แต้มสกิลจำนวน 10 แต้มมาใช้อัพ โดยการเก็บ Exp ก็จะได้จากการทำเควสหลัก เควสรอง การฆ่าศัตรูตามแผนที่ หรือแม้แต่การเก็บวิญญานที่อยู่ตามถนน ซึ่งการอัพสกิลก็จะมีหลากหลายสายให้เลือกทั้งการอัพสกิลเน้นธาตุต่างๆ หรืออัพความสามารถของธนูเช่นเพิ่มจำนวนลูกดอก หรือความสามารถในการใช้พลังอื่นๆ ซึ่งคุณสามารถไล่ทำเควสรอง หรือเดินหาเก็บ Exp ไปเรื่อยๆ คุณก็จะสามารถอัพสกิลพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสายเน้นแต่เนื้อเรื่องหลักคุณก็อาจจะต้องเลือกว่าจะเล่นสายไหนแต่จากที่ได้ลองสัมผัสมา ต้องยอมรับว่าด้วยอาวุธที่มีให้เล่นแค่นี้ตลอดทั้งเกม มันอาจจะยังไม่สามารถสร้างสีสันได้เพียงพอ เพราะถึงแม้ว่า Ghostwire: Tokyo จะมีธีมการใช้วิชาพลังต่างๆ ในการปราบผี ต่างจากเกม The Evil Within ที่จะเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดกึ่งซอมบี้ แต่ถึงอย่างนั้นเกมการเล่นก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร ถ้าให้เปรียบเทียบพลังต่างๆ ที่เราได้ใช้ เอาจริงๆ ความรู้สึกมันก็มีความคล้ายคลึงกับอาวุธปืนต่างๆ ไม่มีผิด พลังลมเหมือนปืนพกยิงทีละนัดแต่กระสุนเยอะ พลังน้ำเหมือนลูกซองที่เบาหน่อย ส่วนพลังไฟเหมือนปืนระเบิด ซึ่งมันกลับไม่ได้ช่วยสร้างความหวือหวาให้กับเราเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าเราจะอัพสกิลสายนั้นให้เลเวลสูงขึ้น มันก็ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์ใดๆ เลยนอกจากความกว้างในการโจมตี หรือความแรงแค่นั้นและการที่ตัวเกมมีมุมมองแบบ First Person ส่วนตัวมองว่ามันทำให้เกมมีข้อจำกัดเยอะมากๆ เพราะศัตรูแต่ละตัวที่เราเจอก็จะมีท่าทางโจมตีต่างๆ ที่หลากหลาย แต่การป้องกันศัตรูของเราทำได้แค่ Block การโจมตีเท่านั้น ไม่มีการ Dash หรือหลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยวิธีอื่นๆ เลย แน่นอนว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอันตรายมากขึ้น เพราะความสามารถของตัวเอกที่ไม่ได้เยอะ แถมเวลาถูกโจมตีแต่ละครั้งก็เกือบตาย แต่ด้วยองค์ประกอบความเป็นแอ็คชันที่มากขึ้น แต่ความโลดโผนให้เล่นที่น้อยไปหน่อย ความสามารถสกิลที่มีลูกเล่นไม่เยอะ เล่นไปสักพักก็รู้สึกจำเจแล้วส่วนเรื่องของศัตรูที่พบเจอจริงๆ ภายในเกมเราก็ได้ต่อสู้กับศัตรูหลากหลายแบบ และมีวิธีที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ขัดใจก็คือดีไซน์ตัวละครที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเลย ทุกตัวเหมือนเป็นผีพนักงานออฟฟิศเกือบทั้งหมด โอเคมันก็จะมีผีมินิบอสบางตัวที่อาจจะดีไซน์แตกต่างและน่าสนใจ แต่มันก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น และบอสภายในเกมที่ถึงแม้ว่าจะดีไซน์ออกมาน่าสนใจ แต่ความหลากหลายในการต่อสู้ก็กลับไม่ได้แตกต่างและมีธีมที่คล้ายๆ กันเกือบทั้งหมด คือการใช้พลังโจมตียัดใส่ศัตรูให้ตายๆ ไป รวมถึงทรัพยากรที่มีให้เก็บก็เยอะมากด้วยโดยไม่ต้องพะวงเรื่องกระสุนจะหมดเลย จากที่เล่นมาเหมือนจะเห็นแค่บอสตัวเดียวที่เราจะต้องลอบเร้นและโจมตีศัตรูตัวนี้จากข้างหลังเท่านั้นที่รู้สึกน่าสนใจสรุปในด้านของเนื้อเรื่องที่มีเวลาในการเล่าน้อยมากทำให้เรารู้สึกไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องของมันเสียเท่าไร สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็น่าจะเล่าเรื่องราวมากเพียงพอแล้ว แต่ตัวเกมนี้มีองค์ประกอบความเป็นกึ่ง Open World ที่บางครั้งเนื้อเรื่องก็จะหยุดชะงักเพราะเราจะต้องเดินทางไปปลดศาลเจ้าต่างๆ เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินไปต่อได้ หรือบางทีเราจะต้องเจอกับการทำเควสหาของต่างๆ ที่มันไม่ได้มีอิมแพคกับเนื้อเรื่องขนาดนั้นเยอะจริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยมีปัญหากับเนื้อเรื่องถ้าหากว่าเกมเพลย์ทำออกมาได้ดี แต่ Ghostwire: Tokyo ต่อให้มันจะมีธีมที่น่าสนใจ กับการไล่ล่าปราบผีไปทั่วเมือง พร้อมทั้งยังสามารถใช้พลังวิเศษต่างๆ หรือเครื่องรางในการต่อสู้ แต่พอเกมเพลย์ออกมาจริงๆ เรากลับไม่ได้เห็นอะไรที่รู้สึกใหม่ในการเล่นเลย พลังต่างๆ ถึงแม้ว่าจะมีให้เราเลือกเล่นหลายแบบ แต่ดีไซน์ของพลังกลับไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไรนักทำให้เวลาเล่นรู้สึกจำเจไปจนจบเกม ส่วนตัวผู้เขียนเองอยากให้เกมมีลูกเล่นมากกว่านี้อย่างเช่นการ Dash อาวุธพวกดาบ หรือพลังพิเศษที่สามารถเปลี่ยนดีไซน์และสไตล์ของพลังชนิดนั้นได้ ซึ่งมันก็ได้แต่คิดนะครับเพราะภายในเกมไม่มีเลยแต่ถามว่าโดยรวม Ghostwire: Tokyo มันเป็นเกมที่สนุกไหม เอาจริงๆ มันก็เป็นเกมที่ไม่ได้แย่ครับ ในระยะเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็เป็นประสบการณ์ที่กำลังพอเหมาะในการเล่นเกมตัวนี้แล้ว เพราะถ้าหากระยะเวลามันมากไป มันก็อาจจะน่าเบื่อเกินเพราะความจำเจ หรือถ้ามันน้อยไปมันก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องอะไรแล้ว และสิ่งที่อยากจะชมสำหรับเกมนี้ก็คงเป็นเรื่องของงานด้านภาพที่น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนทั้งธีมความเป็นกลิ่นอายญี่ปุ่นสมัยใหม่ การสร้างเมืองย่านชิบูย่าที่ทำออกมาได้สวยงาม (ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก) สำหรับคนที่กำลังคิดถึงประเทศญี่ปุ่นเกมนี้น่าจะทำให้ท่านรู้สึกฟินมิใช่น้อย
21 Mar 2022
[แนะนำเกมมือถือ] Gladiators: Survival in Rome | เกมผจญภัยในยุคโรมัน บนมือถือ
ใครเป็นแฟนเกม RPG กับการสวมบทบาทเป็นตัวละครจากยุคประวัติศาสตร์ วันนี้ Game Fever ขอแนะนำเกมผจญภัยไปในยุคโรมัน กับ Gladiators: Survival in Rome ที่เราจะไปท่องไปตามหมู่บ้าน ทำภารกิจ และอยู่รอดให้ได้ในจักรวรรดิโรมันอันโหดร้าย โดยเกมนี้สามารถเล่นได้บนมือถือทั้งระบบ Android และ IOS แล้ว แนะนำให้ลองหามาเล่นฆ่าเวลากันดู ขอบอกเลยว่าเพลินและมีอะไรให้ทำเยอะมากเลยล่ะ!Gladiators: Survival in Rome เป็นเกม Action-RPG แบบผู้เล่นเดี่ยว ที่ผสานกลไกการเอาตัวรอดและระบบการสร้างเมืองไว้ในเกมเดียวกัน! ซึ่งผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็นชาวบ้านผู้กำลังหลบหนีจากกองทัพของ Julius Caesar เข้ามาในป่าลึกของยุโรปในยุคโบราณและร่วมกันสร้างหมู่บ้านของพวกเขาขึ้นมาตัวเกมจะเป็น 2D ที่เดินได้ทุกทิศทางผ่านการ control ด้วย joystick ทางซ้ายมือ ส่วนทางขวาจะเป็นระบบ action ต่าง ๆ ที่ให้เรา interact กับวัตถุภายในเกมแม้งานกราฟฟิคอาจจะไม่ได้สร้างมาอลังการระดับ AAA แต่ถ้าปรับคุณภาพสูงสุด อยากบอกว่างานสีและเอฟเฟคสวยมาก!! อีกสิ่งหนึ่งที่อาจจะสำคัญกว่า Artwork เวอร์ ๆ อย่าง Mechanic ของการกระทำในเกม ซึ่งเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ดี ไหลลื่น และให้ความสมจริงในระดับที่น่าพอใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนเข้าไปวิ่งในนั้นจริง ๆ บวกกับฉากที่มีธรรมชาติแบบป่าทางยุโรปคลอเสียงเพลงพื้นบ้านเพราะ ๆ ที่จะเปลี่ยนไปตามพื้นที่ที่เราเดินไป ทำให้เราเข้าถึงเนื้อเรื่องของเกมได้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญเสียงเอฟเฟคก็ทำออกมาได้เข้ากันแถม Gain ของเสียงยังไม่โดดเกินไปจนทำให้ตกใจหรือรำคาญ นับว่าทีมงานทำ Element ทุกส่วนของเกมได้ Balance และลงตัวมาก ๆ เลยเกือบลืมบอกไป! เกมนี้มีโหมดภาษาไทยด้วยนะ ซึ่งแปลออกมาได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้ในการทำเควส ทุกภารกิจ จะมีลูกศรขึ้นใต้เท้าตัวละครของเรา เพื่อบอกทิศทางที่เราต้องไปหา NPC หรือสิ่งของที่ต้องใช้ รับรองว่าไม่มีหลงแน่นอน แถมเรายังสามารถปิดเกมกลางคันได้ตลอดเวลา ตัวเกมจะเซฟการกระทำและตำแหน่งล่าสุดไว้ให้เรา ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเล่นมาก เล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะจะมีติดเครื่องไว้ที่สุดเลยจ้าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ Gladiatorหลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไม Gladiator ต้องเอาตัวรอดจากโรม นั่นเพราะว่านักรบผู้กล้าที่เรารู้จักนั้น โดยภูมิหลังแล้วพวกเขาคือทาสในกรุงโรม ที่ถูกจับตัวมาลงสนามแข่งเพื่อให้ความบันเทิงแก่ชาวเมืองและชนชั้นสูง โดยมีทั้งการสู้กันเองและสู้กับสัตว์ร้าย นอกจากพวกทาสแล้ว ยังมีนักโทษที่ถูกพิพากษา รวมถึงเหล่าผู้ที่ต้องการสร้างชื่อให้ตัวเองและสมัครใจลงแข่งก็มี ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่สร้างผลงานในสนามได้ดีก็จะพลิกจากคนไร้ค่าเป็นผู้ทรงเกียรติได้ในชั่วพริบตาเลย เพราะพวกเขาจะถือว่านักรบคนนี้คือวัตถุที่มีค่าของจักรวรรดินั่นเองเนื้อเรื่องเริ่มเกมมาเราจะพบว่าหมู่บ้านโดนถล่มและได้พบเพื่อนคนหนึ่งที่ยังรอดอยู่ ก็พบว่าทหารโรมันได้มากวาดต้อนชาวบ้านไปเป็นทาส เราจึงไล่ตามไปและแม้จะช่วยชีวิตเพื่อน ๆ ไว้ได้ แต่หมู่บ้านก็เละเทะหมดแล้ว ทำให้เราต้องตามหาทรัพยากรต่าง ๆ มาฟื้นฟูหมู่บ้านไปพร้อมกับพัฒนาทักษะตัวเองเพื่อต่อกรกับทหารโรมที่อาจอยู่ใกล้ ๆนอกจากนี้ เควสภายในเกมจะพาเราไปยังสถานที่ใหม่ ๆ อย่างการสำรวจถ้ำ การออกไปยังหมู่บ้านอื่น หรือการหาความช่วยเหลือจากผู้คนที่เราพบระหว่างทาง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมที่กำลังเกิดขึ้นในยุคของกษัตริย์ซีซาร์ได้เป็นอย่างดีระบบอื่น ๆ ภายในเกมFarming – เราสามารถหาทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อช่วยในการเอาชีวิตรอดและสร้างหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นไม้ หิน ดินเหนียว น้ำ เห็ด หรือแม้แต่ฆ่ากระต่ายเพื่อเอาเนื้อก็ยังได้Craft - ทรัพยากรที่หามาได้ เราสามารถต่อยอดในการนำไปสร้างเป็นงานฝีมือต่าง ๆ เช่น นำไม้มาสร้างเป็นแผ่นไม้หรือไม้สลัก บล็อกอิฐ ไปจนถึงสร้างเครื่องปั้นดินเผา ซ่อมแซมอุปกรณ์ - ไม่เพียงเท่านั้น ทรัพยากรที่หามาได้ ยังมีความสำคัญในการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานจำกัดได้ด้วย หากเราใช้จนครบจำนวนความทนทาน เกมจะขึ้นเตือนว่าอุปกรณ์ของเราพัง ให้วิ่งไปที่โต๊ะสำหรับซ่อม ยิ่งอุปกรณ์อัปเกรดสูง วัตถุดิบที่ใช้ก็จะมากตามไปด้วยสำรวจถ้ำ – เราสามารถเข้าไปสำรวจถ้ำด้านนอกหมู่บ้านเพื่อหาสมบัติไปจนถึงทรัพยากร ที่เรียกได้ว่ามีครบทุกชิ้น แต่ระวัง Energy หมดก่อนสำรวจเสร็จด้วยล่ะซุ่มโจมตี – อีกหนึ่งระบบพิเศษที่จะปลดล็อคเมื่อเราเล่นไปสักระยะ โดยจะมีขบวนของทหารโรมัน เราสามารถโจมตีพวกเขาเพื่อแย่งชิงทรัพยากร รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ดีขึ้นได้จากโหมดนี้ด้วยPuzzle Game - อีกระบบที่เจ๋งมาก ก็คือเกมลับสมอง ที่จะให้เราเลื่อนสิ่งของบนกระดาน เพื่อผสมเป็นอาหารเมนูต่าง ๆ ตามชั้นของการรวมวัตถุดิบ หากเราเลื่อนจนครบ move ระบบจะคำนวณเมนูทั้งหมดเพื่อมาเป็น Energy ให้กับเรา สามารดูตัวอย่างได้ที่คลิปด้านล่างนี้เลยที่จริงหากเล่นไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าจะมีระบบที่น่าสนใจอีกมากมาย นี่ขนาดเล่นเปิดแมพไปแค่ที่เดียวยังมีอะไรให้ทำเยอะไม่รู้เบื่อ แล้วถ้าเปิดไปที่อื่น ๆ อีก คงมีภารกิจเยอะจนตาลายแน่เลย เอาเป็นว่าถ้าใครอยากรู้ก็ลองโหลดมาเล่นกันได้ ส่วนทางนี้ขอตัวไปผจญภัยต่อละจ้า ~
19 Mar 2022
[Review] รีวิวเกม Gran Turismo 7 "สวยงาม ทรงคุณค่า" พลาดไม่ได้ถ้าคุณเป็นคนรักในการแข่งรถ
Gran Turismo เป็นซีรีส์เกมแข่งรถ Exclusive สำหรับเครื่อง PlayStation ที่อยู่คู่กับเรามานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยสิ่งที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจากเกมแนวแข่งรถอื่นๆ ก็คือความสมจริงของเกมที่มีความละเอียดสูงด้วยสโลแกน The Real Driving Simulator กับเกมจำลองการขับรถที่เปรียบดั่งคุณได้ขับรถในสนามแข่งจริงๆ แน่นอนว่าคงมีเกมเมอร์หลายๆ คนถึงแม้ว่าจะรู้จักเกมซีรีส์นี้ แต่คุณเองก็อาจจะไม่ได้เคยสัมผัสหรือรับรู้ว่าเกมนี้สนุกยังไง เพราะก็ต้องยอมรับว่าเกมแข่งรถทั่วไปนั้นจะเน้นความดุดัน บ้าระห่ำ หรือเน้นความสะใจเป็นหลัก ซึ่งจากที่ตัวผู้เขียนได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้มาเพราะว่าล่าสุดทางผู้พัฒนาก็พึ่งปล่อยเกมภาคใหม่อย่าง Gran Turismo 7 ซึ่งมันทำให้ผู้เขียนเข้าใจถึงบางอ้อเลยว่า จริงๆ แล้วความสนุกของเกมแข่งรถนั้น มันมีหลากหลายรูปแบบ เกมนี้สามารถสร้างความประทับใจ ทั้งในและนอกสนามเลยทีเดียว โดยวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมาอธิบายเกมนี้ให้คุณได้ทราบกัน ว่าถ้าหากคุณเป็นคนที่รักรถ คลั่งไคล้รถ ทำไมคุณถึงต้องซื้อเกมนี้มาเล่นโดยไม่ควรมีข้อกังขาใดๆ กราฟิกก็ต้องพูดตามตรงว่า Gran Turismo 7 ในด้านกราฟิกเหมือนเป็นการต่อยอดความงดงามจาก Gran Turismo Sport เกมภาคก่อนหน้าที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2017 ทั้งรถ หน้า Interface หรือแผนที่เองจะมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร แต่สิ่งที่เห็นความต่างในชัดเจนคือความสวยงามในฉากที่ Gran Turismo 7 ทำได้ดีกว่า ทั้งฝุ่น ฝน หรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เห็นมากขึ้น รวมถึงถ้าหากใครเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกมจะมีโหมดกราฟิกให้เราได้ปรับ 2 โหมดคือ Performance ที่จะเน้นเพิ่มเฟรมเรทในการเล่น หรือโหมด Ray Tracing ที่จะเน้นกราฟิกสวยงาม แต่แนะนำใครที่เล่นเกมนี้ในความละเอียดแค่ 1080p ก็ให้ปรับแบบภาพสวยไปเลย เพราะจากที่ส่วนตัวลองเล่นมาไม่มีอาการเฟรมดรอปแต่อย่างใด โดยใครที่เล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 4 จะอยู่ในโหมด Performance อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองโหมดที่เห็นได้ชัดก็คือความสมจริงและความสวยของรถที่เราจะได้เห็นความเงางาม และแสงสะท้อนที่มากกว่าเดิม และจะค่อนข้างเห็นได้ชัดในตอนที่อยู่ในโหมดดูรีเพลย์และโหมดถ่ายภาพแต่ส่วนตัวคิดว่าเนื่องจากที่เกมนี้ยังจะต้องทำเผื่อเครื่อง PlayStation 4 ด้วย กราฟิกที่เราเห็นถึงแม้ว่าจะทำได้ดีกว่าภาคที่แล้ว ถ้าหากคุณยังเล่นด้วยเครื่องคอนโซลเจนเก่าอยู่ มันก็อาจจะเทียบความต่างไม่ได้ถ้าหากไม่มานั่งจับผิดแบบช็อตต่อช็อต การเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ด้วยโหมด Ray Tracing อาจจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า แถมตัวเกมยังโหลดหน้าจอเร็วกว่าเป็นสิบเท่าด้วยเกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าจุดเด่นของ Gran Turismo คือการจำลองแข่งรถแบบสมจริงในสนาม ที่ตัวเกมนั้นจะมีรายละเอียดในการขับเยอะมากๆ ทั้งการกะจังหวะเบรกในขณะที่เลี้ยว คุณจะต้องเบรกให้มีความเร็วที่เหมาะสมเพื่อผ่านจุดนั้นให้ได้ การเลี้ยงคันเร่งหรือเลี้ยงพวงมาลัยที่แต่ละจุดโค้งก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปอีก ซึ่งตัวคุณจะต้องฝึกฝน เข้าใจในโค้งต่างๆ ในระดับหนึ่ง ความสนุกของเกมนี้สำหรับมือใหม่นอกจากที่คุณจะต้องแข่งกับรถคนอื่นแล้วนั้น ตัวคุณจะต้องแข่งกับตัวเองที่จะต้องมีสติและสมาธิตลอดเวลา แน่นอนว่าถึงแม้ว่าการขับรถจะมีรายละเอียดที่มากพอสมควร แต่ตัว Controller ก็สามารถตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม กดปุ่มเหยียบคันเร่งก็จะเหมือนจริงที่ถ้าหากคุณกดเบาๆ รถก็จะวิ่งในสปีดที่เบาตามคุณกด หรือถ้าหักเลี้ยวพวงมาลัยเบาๆ รถก็จะเลี้ยวไม่สุด ซึ่งมันถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ในการเล่นเกมนี้ เพราะแต่ละโค้งก็ต้องการคันเร่งหรือการหักเลี้ยวที่ไม่เหมือนกัน (ในกรณีที่จะเล่นแบบ Perfect) ส่วนตัวผู้เขียนเองเล่นเกมนี้บนจอย DualSense ยังรู้สึกว่าตัวเกมตอบสนองได้ดีเลย ลองคิดถ้าหากว่ามีจอยพวงมาลัยจริงๆ คงจะรู้สึกฟินมากกว่าเดิมแน่ๆ ส่วนใครที่เล่นเกมแข่งรถไม่เป็นและถ้าคิดว่ามันยุ่งยากเกินไป จริงๆ แล้วเกมนี้ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะครับ เพราะตัวเกมมีตัวช่วยให้ผู้เล่นใหม่เยอะมาก อย่างเช่นระบบสัญลักษณ์การเบรคหรือสัญลักษณ์มุมเข้าโค้งที่จะทำให้มือใหม่รู้ว่าโค้งนี้ควรจะเบรคถึงระดับไหน หรือสัญลักษณ์การเลี้ยวที่จะนำทางให้คุณว่าควรจะเลี้ยวในระดับไหนเพื่อยังคงความเร็วของรถไว้ได้มากที่สุดและไม่หลุดโค้ง ส่วนใครที่เป็นสายแคชชวลจริงๆ ตัวเกมก็ยังมีระบบช่วยเหลือที่ตัวเกมจะทำการเบรคให้คุณอัตโนมัติทันทีถ้าหากถึงทางเลี้ยว แต่ส่วนตัวไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพราะมันจะหมดความท้าทาย เปิดสัญลักษณ์ช่วยก็น่าจะช่วยมากพอแล้วโดยเกม Gran Turismo 7 ในภาคนี้มีรถให้เลือกเล่นมากกว่า 420 คัน ซึ่งเรานั้นสามารถแข่งรถเพื่อหาเงินมาซื้อรถที่ชอบได้ แน่นอนว่ารถแต่ละคันก็จะมีราคาที่สูงพอสมควร แต่ในช่วงเริ่มต้นตัวเกมก็จะมีร้านค้ารถมือสองที่ให้คุณสามารถซื้อรถบางคันด้วยเงินที่ถูกกว่าโชว์รูมปกติ นอกจากนี้ในโหมดเนื้อเรื่องเองก็ยังมีการแจกรถบางคันให้คุณได้เล่นอยู่แล้วด้วยนอกจากนี้ระบบการแต่งรถของเกมนั้นก็ทำออกมาได้ค่อนข้างละเอียดมาก ถึงตัวเกมนี้จะไม่มีระบบจูนรถที่ละเอียดเท่ากับ Forza ที่เคยทำไว้ แต่เราก็สามารถสนุกกับการหาอุปกรณ์แต่งรถที่จะมาสอดคล้องกับสไตล์ที่เราอยากเล่น หรือเหมาะสมกับด่านที่เจออย่างเช่นถ้าเจอด่านที่มีทางไกลเยอะๆ การใช้ของแต่งรถที่เร่งสปีดปลายก็อาจจะเหมาะสม รวมถึงเราเองจะต้องดูสมดุลย์ของรถที่จะแต่งด้วยว่าเหมาะสมในการแต่งแบบไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวผู้เขียนเองก็ยังไม่ได้เข้าใจระบบนี้แบบลึกซึ้งเท่าไร เพราะมันค่อนข้างละเอียดอ่อนมากๆ และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้ก็คือโหมดถ่ายภาพที่คุณจะสามารถ Capture หน้าจอในระหว่างการดูรีเพลย์ของเกมได้ หาช็อตสวยๆ ในการแข่งของคุณและถ่ายรูปออกมา ที่สำคัญคือเรายังสามารถแต่งภาพได้ค่อนข้างละเอียดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับมุมกล้องได้อย่างอิสระว่าคุณอยากจะถ่ายมุมไหน ปรับรูรับแสง ปรับความสว่าง ได้คล้ายๆ กับกล้องจริงๆ จะทำหน้าชัดหลังเบลอก็ได้ หรือแม้กระทั่งการใส่ฟิลเตอร์ที่จะสามารถปรับโทนของภาพได้อย่างสะดวก นอกจากนี้มันยังสามารถปรับได้แบบละเอียดยกตัวอย่างเช่นการปรับพื้นหลังให้เป็นขาวดำแต่ตัวรถยังมีสีอยู่ก็ทำได้หรือสำหรับใครที่เป็นสายถ่ายภาพอย่างเดียว ตัวเกมก็จะยังมีระบบ Scapes ที่คุณสามารถไปยังจุดต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีมากกว่า 2,500 แห่ง เลือกรถอะไรก็ได้ตามใจชอบ เลือกคนขับมายืนข้างๆ ก็ได้เพื่อถ่ายรูปในฝันของคุณได้อย่างอิสระ ซึ่งรูปที่เราถ่ายในโหมดการแข่งปกติ หรือจะเป็นในโหมด Scapes เราสามารถเอารูปนั้นไปจัดแสดงโชว์ให้คนอื่นดูได้ด้วยในศูนย์จัดแสดง ถ้ารูปถูกใจก็อาจจะมีผู้เล่นทั่วโลกมาคอมเมนต์ชมงานของคุณได้ บอกเลยว่ามีรูปสวยๆ จากคนทั่วโลกเพียบ !!และจากที่กล่าวไปข้างต้นว่าทำไมคนที่ชอบรถจะต้องห้ามพลาดที่จะเล่นเกมนี้ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าว่าเกมนี้มีรถใส่เข้ามามากถึง 420 คัน รวมถึงตัวเกมยังมีการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของรถคันนั้นๆ หรือรุ่นนั้นๆ ด้วย หรือนอกจากนี้ใครที่เป็นแฟนยี่ห้อรถต่างๆ ตัวเกมจะมีการอธิบายประวัติความเป็นมาตั้งแต่การก่อตั้ง เล่าถึงประวัติศาสตร์ความสำเร็จในแต่ละปีสำหรับรถยี่ห้อนั้นๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงในโหมดเนื้อเรื่องเองตัวเกมก็จะพาคุณไปรู้จักกับรถตระกูลต่างๆ ที่จะทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับจุดกำเนิดของรถด้วยนั้นอีกด้วยส่วนโหมดที่ขาดไม่ได้ของเกมนี้เลยก็คือโหมด Sport ที่เราจะสามารถแข่งกับผู้เล่นทั่วโลกได้ นอกจากนี้ตัวโหมดค่อนข้างแคร์เรื่องการเหลื่อมล้ำพอสมควร เพราะแต่ละด่านทางตัวเกมจะมีเกณฑ์ในการอนุญาตให้ใช้รถในสเตตัสที่กำหนดมาเท่านั้น อย่างเช่นรถห้ามมีแรงม้าเกิน 250 น้ำหนักไม่เกิน 1,200 และต้องเป็นรถ Sport เท่านั้น ซึ่งคุณก็จะต้องหารถที่คุณมีไปทำอย่างไรก็ได้ให้สามารถแข่งในสนามนั้นได้นั่นเอง นอกจากนี้ตัวเกมยังมีหลักการแฟร์เพลย์เน้นการเล่นที่ขาวสะอาด ถ้าหากคุณขับรถชนผู้เล่นคนอื่น คุณก็จะเสียคะแนนมารยาทด้วย ความรู้สึกหลังเล่นGran Turismo 7 ก็ยังเป็นเกมที่รักษามาตรฐานของซีรีส์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ความละเอียดคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกมซีรีส์นี้ประสบความสำเร็จ พูดตามตรงก่อนที่ผู้เขียนจะได้เล่นเกมซีรีส์นี้ ส่วนตัวเองก็คิดว่าตัวเกมน่าจะค่อนข้างเข้าถึงยากเกินไปและกลัวว่ามันอาจจะไม่เร้าใจมากพอ แน่นอนว่าถ้าหากคุณมองด้วยตาเปล่ามันก็อาจจะดูธรรมดาไป แต่พอได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง มันเหมือนคุณกำลังได้กินเนื้อสเต๊กพรีเมี่ยมชั้นดีอยู่เลยทีเดียวและที่ชอบอีกอย่างคือนอกจากการแข่งขันบนสนามแล้วนั้น ทางผู้พัฒนาเองก็ใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับโหมดย่อยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปที่มีให้เราปรับภาพได้หลากหลาย หรือจะเป็นการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของรถต่างๆ ที่จะทำให้เราอินในการขับรถนั้นๆ มากยิ่งขึ้น โดยมันเหมาะกับคนที่อยากพักผ่อนซักแปปโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปนั่งแข่งรถอย่างเดียว แต่แน่นอนมันก็อาจจะมีบางสิ่งที่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันธรรมดาไปก็คงจะเป็นในด้านของกราฟิกที่ถึงแม้ว่าจะมีระบบ Ray Tracing ออกมาให้ภาพมีความเงางามและสมจริงมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายๆ อย่างทั้ง Interface หรือโมเดลรถก็ยังเอามาจากเกมภาคก่อนหน้า ถึงแม้ว่ารายละเอียดพื้นผิวบางอย่างของเกมนี้จะทำได้ดีขึ้น แต่ในระหว่างการเล่นจริงเราก็มองเผินๆ เราก็อาจจะยังไม่รู้สึกถึงความต่างจากภาคก่อนหน้ามากนักจน อาจจะเป็นเพราะทางผู้พัฒนาจะยังต้องทำเกมนี้เผื่อให้กับคอนโซลเจนเก่าด้วย ก็เลยยังอัดได้ไม่สุด แต่ให้ลองคิดว่าถ้าในอนาคตอีก 3-4 ปีทาง Sony ออกเกมภาคใหม่ที่สร้างมาเฉพาะเครื่อง PlayStation 5 โดยตรง ภาพมันจะสวยขึ้นกว่าเดิมขนาดไหนประโยคเดียวที่อยากจะยกให้กับ Gran Turismo 7 ก็คือคำว่า "ทรงคุณค่า"
03 Mar 2022
[Review] รีวิวเกม Dying Light 2 Stay Human "ภาคต่อเกมวิ่งฟัดผีที่อิสระมากกว่าเดิม"
หลังจากที่ Techland ได้ให้กำเนิดเกมซอมบี้สุดแปลกใหม่อย่าง Dead Island ที่มาพร้อมกับความสำเร็จมากมาย ตัวผู้พัฒนาเองก็เลือกที่จะสร้างเกมซีรีส์ใหม่อย่าง Dying Light ที่วางจำหน่ายออกมาเมื่อปี 2015 ซึ่งในเกมนี้พวกเขาได้อิสระในการคิดมากมาย และได้ใส่สิ่งต่างๆ มากกว่าเดิมหลายเท่าอย่างเช่นการใส่ระบบ Parkour ที่เราสามารถปีนป่ายหนีซอมบี้ได้อย่างอิสระ ใส่ซอมบี้ที่ทั้งโหด เร็วและดุในตอนกลางคืน ทำให้ตัวเกมมีไดนามิกมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเกมภาคแรกเองมียอดผู้เล่นสูงถึง 17 ล้านคนเลยทีเดียวและในปี 2022 ทาง Techland เองได้เขนภาคต่อของเกมนี้มาอีกครั้งใน Dying Light 2 Stay Human กับการอัพสเกลของเกมให้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมเช่นแผนที่ใหญ่โตกว่าเดิมถึง 4 เท่า แอนิเมชันการปีนป่ายที่มากกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งชุดและอาวุธก็จะมีหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่าตัวเกมมีอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิมบ้าง และควรค่าแก่การซื้อหรือไม่เนื้อเรื่องโดยเนื้อเรื่องของเกมจะเล่าเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกนานกว่า 20 ปี โดยเราจะได้รับบทเป็น Aiden Caldwel ชายหนุ่มคนนอกเมืองผู้ที่ต้องเดินทางมายัง The City (หรือที่เรียกว่าเมือง Villedor) เพื่อตามหาน้องสาวที่พลัดพรากกันในวัยเด็ก โดยเนื้อเรื่องจุดประสงค์หลักของตัวเอกนั้นมีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่เรื่องเล่าทั้งหมดของเราจะพูดถึงความขัดแย้งระหว่างผู้คนสองฝ่ายอย่างเหล่า Survivor (ผู้รอดชีวิต) และ Peacekeeper (ผู้รักษาสันติภาพ) โดยเราจะมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของทั้งสองฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็จะให้เราเลือกช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องบางอย่างของเกมแต่จากที่ได้เล่นมานั้นต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องของ Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างอ่อนในระดับหนึ่งเลย เพราะตัวเกมพยายามจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งของแต่ละฝ่ายมากจนเกินไป ทำให้จุดประสงค์แรกในการที่เราอยากมาช่วยเหลือน้องสาวนั้นเบาบางลงอย่างมากถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะบอกว่าการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ พวกเขานั้นจะให้สิ่งที่เราต้องการในการตามหาน้องสาวก็เถอะ !! แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเราก็ต้องใช้เวลาเล่นมากกว่า 15-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าประเด็นที่พวกเขาเล่านั้นค่อนข้างน่าสนใจที่แต่ละคนนั้นมีเหตุผลของตัวเองอยู่ที่ว่าคุณชอบใครเท่านั้น ซึ่งการเลือกช่วยเหลืออีกฝ่าย โดยภายในเนื้อเรื่องจะมีตัวเลือกตัดสินใต ก็อาจจะส่งผลเสียต่ออีกฝ่าย โดยการเล่นของเนื้อเรื่องอย่างเดียวจะอยู่ราวๆ 30 ชั่วโมงอีกหนึ่งสิ่งที่น่าผิดหวังในด้านเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นคำถามเลือกตอบ ถึงแม้ว่าเรื่องราวของมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่โครงเรื่องหลักโดยรวมเองก็ยังตรงไปในทางเดียวกัน สุดท้ายตัวเกมก็จะจบเรื่องราวเหมือนกัน เพราะเรื่องราวทั้งหมดหรือตัวละครที่ไม่มีบทหรือผ่านเนื้อเรื่องไปแล้ว พวกเขาก็แทบไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อเส้นเรื่องหลัก หรือเส้นเรื่องรองอีกเลยกราฟิก / การนำเสนอสำหรับเมือง Villedor จะมีความแตกต่างจากเมือง Harran ของเกมภาคแรกเกือบจะทั้งหมด โดยตัวเกมจะให้กลิ่นอายความเป็นยุโรป ตัวบ้านเมืองเองมีสีสันมากขึ้นกว่าภาคแรกที่จะอยู่ในสลัม และเนื่องจากเรื่องราวจะดำเนินหลังที่โลกล่มสลายมากว่า 20 ปี ทำให้เราได้เห็นต้นไม้ที่เลื่อยเกาะตามบ้านให้ความรู้สึกสบายตาและเขียวชอุ่มกขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีโซนตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย ให้ความรู้สึกว่าเรานั้นอยู่ในใจกลางเมืองหลวงมากยิ่งขึ้นนั่นเองโดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PC ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวเกม Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างไม่เป็นมิตรกับผู้คนคอมพิวเตอร์ระดับต่ำ หรือกลางเสียเท่าไร เพราะผู้เขียนใช้คอมพิวเตอร์ CPU I5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งก็สามารถรันเกมในความละเอียด 1080p ได้เพียงแค่ 40-50 FPS เท่านั้น อาจจะเพราะรายละเอียดของเกมที่เยอะขึ้น ตึกราบ้านช่องที่มีรายละเอียดและเข้าถึงได้ลึกขึ้นทั้งในแนวนอนและแนวดิ่ง บวกกับแผนที่อันใหญ่โตมากขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ถามว่าเฟรมเรทราวๆ นี้ประสบปัญหาในการเล่นไหมก็ต้องบอกว่าไม่ประสบปัญหาใดๆ เลย อาจจะไม่ลื่นไหลอย่างที่คิดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เพราะจังหวะการเล่นของเกมนี้ก็ไม่ได้เร็วมากนักอยู่แล้วเกมเพลย์ต้องยอมรับว่าระบบเกมคือจุดเด่นหลักของ Dying Light 2 Stay Human เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากระบบเดิมที่เคยมีในภาคแรกยังอยู่เกือบครบแล้วนั้น ตัวเกมยังยกระดับเกมเพลย์ในมีความแปลกใหม่กว่าเดิม โดยระบบการต่อสู้ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้ทำการตัดระบบปืนออกไป เพื่อเน้นให้เราได้สู้ในระยะประชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ให้เรามากมายอย่างเช่นตัวเรานั้นสามารถทั้ง Block, Parry, กดกระโดดหลบ และทำการสวนศัตรูได้ ซึ่งมันทำให้การต่อสู้จะมีมิติมากขึ้น แต่กลับกันตัว AI เองเวลาโจมตีก็จะมีลูกเล่นมากขึ้น อย่างเช่นการหลอกตี (เพราะเราจะต้องกดป้องกันให้พอกับที่ศัตรูตีมาจึงจะสามารถ Parry และสวนได้)ระบบอาวุธของเกมนั้นจะค่อนข้างแตกต่างจากภาคแรก ที่ในภาคนี้เราสามารถซ่อมอาวุธได้แล้ว ซึ่งมันตัดปัญหาคนใช้อาวุธเดียวยันจบเกมเราไม่จำเป็นต้องไปนั่งหาของซ่อมอาวุธเหมือนภาคก่อน แต่มันก็แลกมากับการที่ตัวเกมมีอาวุธมากมายให้เราเก็บ (หรือให้เราซื้อ) เต็มไปหมด ซึ่งถ้าหากคุณไม่เถลไถลไปไหนไกล กว่าอาวุธคุณจะพังหมด เราก็มักจะได้อาวุธดีๆ มาใหม่แล้ว รวมถึงการใส่ MOD ความสามารถต่างๆ (เช่นช็อตไฟฟ้า ติดพิษ เพิ่มดาเมจ หรือติดไฟ) มันก็ยังช่วยเพิ่มค่าความทนทานให้เราด้วย เลิกกังวลในจุดนี้ได้เลยระบบที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบสวมใส่ ที่เราสามารถปรับแต่งสไตล์ของชุดได้อย่างตามใจชอบ ซึ่งชุดก็จะแบ่งออกเป็น 4 สายด้วยกันก็คือ Brawler (เน้นโจมตีระยะใกล้), Medic (เน้นฟื้นฟู), Tank (เน้นป้องกันสูงๆ), Ranger (เน้นอาวุธโจมตีระยะไกล) รวมถึงชุดแต่ละชิ้นก็จะมีระดับ (ตั้งแต่ 1-5) แถมยังมีความแรร์ที่เพิ่มสเตตัสมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเราใส่ชุดเซ็ตที่สอดคล้องกันหมด มันจะทำให้ตัวคุณเก่งขึ้นเยอะมากๆแน่นอนว่าระบบเกมค่อนข้างที่จะมีความแปลกใหม่พอสมควร ตัวเกมใส่ระบบความเป็น RPG มากขึ้น การตีศัตรูจะมีตัวเลขขึ้นบ่งบอกดาเมจ แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเลยก็คือถ้าหากว่าเราตั้งใจฟาร์มหรือใส่เซ็ตสวมใส่ดีๆ ตัวเรานั้นจะค่อนข้างเก่งพอสมควร เก่งขนาดที่ศัตรูในโหมดเนื้อเรื่องไม่มีความท้าทายใดๆ เลย ยกตัวอย่างถึงแม้ว่าเกมนี้จะนำระบบปืนออกไป แต่การใช้ธนูและใส่เซ็ต Ranger ที่เพิ่มดาเมจอาวุธระยะไกล มันก็ทำให้ตัวเราโกงพอสมควร (ยิงศัตรูระดับบอสในฉากไม่กี่ตีตาย โดยเราไม่ต้องเข้าไปหาเลย)ซึ่งตัวเกมจะรู้สึกท้าทายมากๆ ในช่วงราวๆ 5-10 ชั่วโมงแรก ซึ่งสาวนตัวคิดว่าการเข้าไปที่กบดานซอมบี้ หรือเล่นเควสรองบางอันอาจจะรู้สึกน่ากลัวและท้าทายมากกว่า เพราะบางทีเราาอาจจะไปเจอบอสแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอมาแบบไม่รู้ตัวและโดนมันฆ่าในชุดเดียว เอาจริงๆ ในภารกิจหลักบางตัวก็ทำให้รู้สึกท้าทายนะอย่างเช่นเควสหลักที่จะให้เราต้องหนีอย่างเดียว ซึ่งมันตื่นเต้นมากๆ แต่การพบเจอความรู้สึกแบบนี้มันก็น้อยจนเกินไป ซึ่งเหล่าซอมบี้ส่วนใหญ่ที่เจอนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่กลัวอีกต่อไป ส่วนตัวมองว่าต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ด้วยกันเองยังรู้สึกสนุกมากกว่าอีกหนึ่งระบบที่ไม่พูดไม่ได้ของเกมนี้นั่นก็คือระบบ Parkour ที่ต้องบอกเลยว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีมากๆ และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของเกมเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าระบบเรื่องการปีนป่ายนั้นทางผู้พัฒนานั้นทำได้ดีมากๆ อยู่แล้วในภาคแรก ซึ่งภาคสองเองก็ถูกยกเอามาทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าสนใจในภาคนี้คือลูกเล่นต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นที่ร่อน Paraglider ที่ให้เราสามารถบินโลดแล่นบนฟ้าได้, จุดวิ่งไต่กำแพงที่มากขึ้นหรือการปรับเปลี่ยนระบบ Graphling Hook ที่ในภาคนี้มันอาจจะไม่ได้พาเราพุ่งไปง่ายๆ เหมือนก่อน แต่จะเน้นความสมจริงที่จะเน้นให้เราโหนไปข้างหน้ามากกว่า (เปรียบเทียบ Graphling Hook ภาคแรกจะคล้ายๆ กับ Spider-Man แต่ภาคสองจะเหมือน Tarzan มากกว่า) ซึ่งมันก็สร้างความแปลกใหม่ และอิสระในอีกรูปแบบหนึ่งแต่ข้อเสียของระบบก็คือการปลดล็อคแต่ละอุปกรณ์ของเกมที่ค่อนข้างได้มาช้ามากๆ อย่างเช่นตัว Paraglider ที่เราจะได้มาตอน Act 2 ส่วน Graphling Hook จะได้มาตอน Act 4 ซึ่งใกล้จบเกมแล้ว แน่นอนว่าผู้พัฒนาจงใจ เพราะถ้าหากจะดีไซน์เควสที่มันเหมาะสมกับอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ มันก็จะต้องค่อยๆ สอนและค่อยๆ ไปทีละก้าว แต่ลองคิดดูว่าถ้าหากเรามีอุปกรณ์พวกนี้ใช้ตั้งแต่แรก มันอาจจะทำให้เรามีอิสระมากกว่าเดิมอีก แต่ก็ขอแก้ตัวว่าจริงๆ ระบบที่มีอยู่ก็สนุกมากพอแล้วส่วนระบบ Skill Trees ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ตัดความยุ่งยากของภาคแรกที่มีให้เลือกหลายสายออกไป และปรับสายความสามารถให้เหลือเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้นก็คือสาย Combat (เพิ่มเลือด)  ที่จะเพิ่มท่าโจมตีใหม่ๆ ให้กับเรา และสาย Parkour (เพิ่ม Stamina) ที่นอกจากการเพิ่มสเตตัวแล้วนั้น เรายังสามารถอัพท่าต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งแต้มที่ใช้อัพเกรดนั้นจะสามารถหาได้จากการค้นหา Inhibitor ให้ครบสามอัน คุณก็จะได้รับหนึ่งแต้มมาใช้ ซึ่งตัวคุณเองก็ต้องเลือกว่าจะเลือกอัพฝั่งไหน แน่นอนว่าตัวเกมสามารถให้คุณอัพทั้งสองสายเต็มได้ เพียงแต่ว่าการเล่นในเนื้อเรื่องปกติ ตัว Inhibitor อาจจะไม่เพียงพอให้คุณอัพได้ทั้งหมด ซึ่งตัวคุณเองจะต้องใช้เวลาเพิ่มในการหาสิ่งๆ นี้ทั่วแผนที่ รวมถึงการอัพสกิลแต่ละอย่างตัวคุณเองก็จะต้องใช้เลเวลในการอัพอีกด้วย ซึ่ง XP ต่างๆ ก็จะได้มาจากการที่คุณทำสิ่งนั้นๆ บ่อยๆ เช่นปีนป่ายบ่อยๆ หรือสู้กับศัตรูบ่อย หรืออีกหนึ่งวิธีคือการทำ Side Quest, เข้าไปเคลียร์ที่กบดานศัตรู เปิดพลังงานกังหันลม (และสามารถเปิดจุดภารกิจใหม่ๆ ได้ด้วย) หรือทำชาเลนซ์ Parkour ซึ่งมันก็จะทำให้คุณได้ XP ต่างๆ มากขึ้น แต่มันก็จะแลกมากับเวลาที่มากโขพอสมควร ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้พัฒนาบอกจริงๆ ว่ากว่าถ้าจะเคลียร์หลายๆ อย่างให้หมด อาจจะใช้เวลามากกว่า 100 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ในระบบตัวเลือกตอบของเกมจะมีให้เราเลือกยกถิ่นฐานทรัพยากรให้ระหว่าง Survivor และ Peacekeeper ด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลให้คุณสามารถปลดล็อคของใหม่ๆ ตามด่านได้ อย่างเช่นการเลือกให้ทรัพยากรกับ Survivor คุณก็จะปลดล็อคของใหม่ๆ ในการเดินทางเช่นจุดกระโดดสูง หรือถ้าหากเลือกช่วย Peacekeeper คุณก็อาจจะได้รับกับดักต่างๆ ในการสู้กับซอมบี้เป็นต้นแต่ข้อติเดียวที่รู้สึกก็คือสกิลต่างๆ ที่มีให้อัพเกรดนั้น ส่วนตัวมองว่าสกิลบางอันมันเป็นสกิลพื้นฐานที่ควรจะมีตั้งแต่แรก อย่างเช่นสกิลวิ่งไต่กำแพงของฝ่าย Parkour หรือสกิล Perfect Dodge ที่ส่วนตัวมองว่ามันควรอยู่ในสกิลติดตัวของเราตั้งแต่เริ่มสรุปต้องพูดตามตรงว่าในด้านของเนื้อเรื่องนั้นอาจจะดูด้อยไปกว่าภาคแรกพอสมควร รู้สึกว่าตัวเกมเล่นหลายประเด็นเกินไปจนลืมโฟกัสจุดประสงค์แรกที่ดำเนินมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าในด้านของเกมเพลย์ ทางผู้พัฒนาได้ยกระดับความยอดเยี่ยมของภาคเก่าให้ดี และสนุกมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความน่ากลัวอาจจะลดลงไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังรู้สึกสนุกเช่นเดิมใครที่กำลังมองหาเกมเพลย์สนุกๆ มีความยืดหยุ่นในการเล่นมากมาย Dying Light 2 Stay Human เป็นเกมที่เหมาะกับท่านแน่นอน ส่วนใครที่มองหาเกมเนื้อเรื่อง หรือคาดหวังเนื้อเรื่องให้สนุกเท่ากับภาคแรก เกมนี้อาจจะไม่ใช่ทางของท่านครับ และถ้าใครที่กำลังกลัวว่าเล่นเกมนี้จะเกิดอาการ Motion Sickness (มึนหัวเพราะภาพในเกมเหวี่ยงมาก) ก็ต้องบอกว่าเกมนี้ส่วนตัวรู้สึกมันเบากว่าภาคแรก อาจจะเป็นเพราะภาพและสีสันของเกมที่ดูสบายตามากขึ้น ไม่เหมือนภาคแรกที่อาจจะมีควันและ Motion Blur เยอะเกินไป มันอาจจะบรรเทาได้ (แต่ก็มีบางคนที่ยังรู้สึกมีอาการอยู่ในภาคนี้)โดยเกม Dying Light 2 Stay Human วางจำหน่ายแล้วบนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox One X สนนราคา 1899 บาท ส่วน Nintendo Switch จะวางจำหน่ายหลังจากที่เกมปล่อยราวๆ 6 เดือน
14 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม: Sifu “กังฟูที่ก้าวล้ำความตาย และท้าทายเหนือทุกความคาดหมาย”
“เจ้าฆ่าพ่อข้า ดังนั้นข้าจะฆ่าเจ้า” นี่เป็นหนึ่งในพล็อตที่เรามักจะเห็นกันตามภาพยนตร์จีนแนวกำลังภายใน หรือวิทยายุทธ์อยู่เสมอ เรื่องรางของการล้างแค้น ห้ำหั่นกัน ระหว่างคนสองคน หรืออาจจะเป็นตัวละครเอกกับแก๊งวายร้ายทั้งแก๊ง ซึ่งว่ากันตามตรงเนื้อเรื่องมันแทบไม่ใช่ส่วนสำคัญสักเท่าไรในภาพยตร์ประเภทนี้ มันเป็นเหมือนแค่การหาเหตุผลมารองรับให้พระเอกได้โชว์สกิลการอัดคนเพียงเท่านั้นเองเกม Sifu ใช้แกนหลักของเรื่องในแบบเดียวกัน อาจจะเพราะทางผู้สร้างต้องการถ่ายทอดเรื่องราวให้เหมือนกับผู้เล่นกำลังรับชมภาพยนตร์จากแดนมังกรอยู่ก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาต้องการเน้นไปที่เกมการเล่นแบบสุดโต่ง และไม่อยากให้เนื้อเรื่องมาเป็นตัวฉุดรั้งเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งที่ตัวเกมนี้นำเสนอออกมา มันได้พาเกมแนว Beat-em-ups หรือเกมแนวซัดแม่งเลยกลับมาคืนชีพในยุคปัจจุบันได้อีกครั้ง หลังจากที่แฟนเกมแนวนี้ไม่ได้สัมผัสถึงเกมดี ๆ มานานนม ส่วนความยอดเยี่ยมของ Sifu จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น รีวิวนี้มีคำตอบ!เนื้อเรื่องที่ธรรมดา แต่ก็แฝงไปด้วยปรัชญาลึกซึ้งอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แกนหลักเนื้อเรื่องของ Sifu มันไม่มีอะไรมากเลย เรื่องราวเริ่มมาจากอดีตลูกศิษย์ของปรมมาจารย์กังฟูสำนักหนึ่งต้องการล้างแค้นอาจารย์ของตัวเอง อดีตลูกศิษย์คนนั้นจึงพากันยกพวก นำยอดฝีมือทั้ง 5 คน บุกถล่มสำนักกังฟูที่เคยชุบเลี้ยงตัวเองมา และไล่ฆ่าเหี้ยนยกสำนัก ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเอกที่เป็นเด็กอายุเพียง 12 ปีทว่าด้วยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูล จึงทำให้ตัวเอกของเราสามารถโกงความตายมาได้ ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนยาวนานถึง 8 ปี เพื่อชำระบัญชีแค้นที่แก๊งตัวร้ายก่อเอาไว้และถึงแม้ตัวเกมจะจั่วหัวให้เราจัดการล้างแค้นก็จริง แต่ภายในเกมนั้นจะมีตัวเลือก Spare หรือไว้ชีวิตกับเหล่าบอสประจำด่านทั้ง 5 อีกด้วย ซึ่งการจะไว้ชีวิตได้นั้น ผู้เล่นจะต้องทำการจัดการบอสจนมีโอกาสสังหารมาแล้วก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้นต้องรอจนกว่าบอสจะฟื้นตัว แล้วจัดการบอสลงอีกที เป็นเหมือนกับการบอกว่า “ข้าจะฆ่าเจ้าตรงนี้เสียก็ได้ แต่ข้าเลือกที่จะไว้ชีวิตเจ้านะ” ซึ่งระบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ก็ดูใส่ใจได้ดี ไม่ได้มีขึ้นมาให้กดทื่อ ๆ แบบเกมทั่ว ๆ ไป ช่วยเพิ่มความอินกับเนื้อเรื่องของผู้เล่นได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียวระบบต่อสู้สุดลื่นไหล จุดชูโรงหลักของตัวเกมสิ่งที่โดดเด่น และเตะตาตั้งแต่เห็นตัวอย่างของเกมสำหรับใครหลาย ๆ คนก็คือ ภาพของการต่อสู้ด้วยหมัด เท้า กระบอง ไปจนถึงการใช้สิ่งของประกอบฉากต่าง ๆ มาร่วมในการปะทะด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้นมันลื่นไหลมาก ต่อให้ผู้เล่นทำการรัวปุ่มมั่ว ๆ ท่าทางที่ออกมาในเกมก็ยังดูต่อเนื่อง จนเหมือนกับหลุดออกมาจากหนังกังฟูอยู่ดีมีทั้งการปลดอาวุธ ใช้เท้าเกี่ยวอาวุธขึ้นมาถือ ไปจนถึงการคว้าขวดแก้วหรืออิฐบล็อกที่ปามากลางอากาศ ก็ทำได้เท่และเนียนตาเป็นอย่างมาก ช่วยทำให้คนเล่นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นปรมมาจารย์กังฟูแบบจริง ๆ ได้เลย หากชำนาญมากพออีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยส่งเสริมระบบการต่อสู้อย่างเป็นธรรมชาตินี้ก็คงหนีไม่พ้นมุมกล้อง ที่คอยปรับเปลี่ยน สั่นไหว และตามหลังผู้เล่นให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะยิ่งถ้าตัวเอกของเรากดใช้ท่า Takedown การที่มุมกล้องปรับให้รับการท่า Takedown นั้น ๆ ก็ช่างเท่เสียไม่มีนี่ยังไม่รวมไปถึงอนิเมชันของตัวละครที่ทำออกมาได้สมจริง ไม่มีจุดที่ดูเวอร์จนเกินไป แถมยังถ่ายทอดความเป็นกังฟูออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ต้องยอมรับเลยว่า Sifu เป็นอีกหนึ่งเกมที่พัฒนาระบบการต่อสู้ออกมาได้ไร้ที่ติจริง ๆเมื่อความตายไม่ใช่จุดจบอีกหนึ่งจุดขายของเกม Sifu ก็คือระบบการตายที่ไม่เหมือนใคร ปกติแล้วเมื่อผู้เล่นตายในเกมทั่วไป ผู้เล่นจะถือว่า Game Over ซึ่งจะต้องเริ่มเล่นในฉากนั้น ๆ ใหม่ จนกว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้ ทว่าในเกม Sifu นั้น ทางผู้พัฒนากลับเลือกใช้ระบบที่สร้างสรรค์และยึดโยงกับเนื้อเรื่องภายในเกมได้เป็นอย่างดี โดยเมื่อผู้เล่นเสียชีวิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผู้เล่นจะยังไม่ Game Over ในทันที แต่จะมีตัวเลือกให้สามารถฟื้นคืนชีพได้ ซึ่งการคืนชีพนั้นจะสามารถคืนชีพได้เรื่อย ๆ จนกว่าอายุจะเกิน 70 ปีขึ้นไป หากอายุเกินตัวเลขดังกล่าว การตายหลังจากนั้นจะเป็น Game Over ของจริงแน่นอนว่า Sifu ไม่ใช่เกมที่ง่าย และการตายจึงมีบทลงโทษตามมา โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นอายุ 30 40 50 60 และ 70 ปี หลอดพลังชีวิตของผู้เล่นจะลดลง แต่ก็แลกมาด้วยพลังโจมตีของตัวละครหลักที่เพิ่มขึ้น เป็นเหมือนกับการได้อย่างเสียอย่าง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเล่นแบบ High Risk High Return อีกด้วยซึ่งระบบนี้เป็นเหมือนการเปรียบเปรย การเรียนรู้และความชำนาญในกังฟู ที่เมื่อฝึกฝนมานานมากขึ้น การเข้าถึงแก่นหลักของวิชาก็จะยิ่งแก่กล้าขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยสังขารที่ร่วงโรยไปเช่นกันต้องยอมรับเลยว่า ตรงจุดนี้ทางผู้พัฒนาอย่าง Slocap ออกแบบมาได้สร้างสรรค์ มีเนื้อเรื่องรองรับ แถมยังเพิ่มความท้าทายและยุติธรรมดีอีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งข้อดีของเกมนี้เลยล่ะครับความท้าทายและความยากที่ไม่ด้อยไปกว่าเกมตระกูล Soulsหากใครที่กำลังมองหาเกมยาก ๆ หรือเกมที่ต้องอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองไว ๆ เกม Sifu คือเกมที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ตัวเกมจะอัดทุกอย่างมาให้คุณอย่างเต็มที่ ไม่มีกั๊ก ตั้งแต่ลูกกระจ๊อกตามฉาก มินิบอส ไปจนถึงบอสใหญ่ทั้ง 5 ซึ่งแต่ละตัวก็นำเสนอมาได้ออกมามีเอกลักษณ์ ช่วยให้สำรวจพื้นที่บนฉากหลัง 5 แบบ ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย แม้จะต้องจมอยู่กับด่านเดิม ๆ หลายรอบก็ตาม นอกจากนี้ หากผู้เล่นช่างสำรวจ คุณจะพบเข้ากับไอเทมบางอย่างที่จะช่วยปลดล็อกทางลัด ทำให้การเล่นในครั้งต่อไปง่ายขึ้นอีกด้วย นับว่าเป็นการออกแบบระบบที่ไม่เลวเลยทีเดียวอีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจของเกมนี้คือ การไต่ระดับความยากที่เหมาะมือ แต่ก็ยังมีความท้าทายให้ผู้เล่นได้สัมผัสเมื่อเล่นไปสักพัก คุณจะเริ่มจับทางตัวเกมได้ ทว่าตัวเกมก็จะโยนบอสใหม่ที่บีบให้คุณต้องเรียนรู้เทคนิกใหม่เพื่อมาใช้สู้กับมันอีก เหมือนดังคำกล่าว ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’ ผู้เล่นอาจจะคิดว่าตัวเองช่ำชองแล้ว เจอบอสตัวไหนก็สู้ไหว แต่พอเอาเข้าจริง ๆ มันก็ตึงมือเสียจนต้องเริ่มด่านใหม่กันไปหลายรอบนอกจากนี้ การที่ตัวเกมแบ่งออกเป็น 5 ด่าน ก็ไม่ได้หมายความว่า ตัวเกมจะใจดี ลดอายุของเราให้ทุกครั้งที่ผ่านด่าน ผู้เล่นจะต้องลุยต่อไปทั้งที่อายุเท่านั้น จนกว่าจะกลับไปเล่นด่านเดิมให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นหากใครที่เอาชนะบอสตัวแรกโดยที่มีอายุ 50 ปี หมายความว่าบอสอีก 4 ตัวที่เหลือ คุณจะต้องเอาชนะมันด้วยอายุสำรองอีก 20 ปีเท่านั้น ซึ่งนี่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่เล่นครั้งแรก ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนการบีบให้ผู้เล่นต้องย้อนกลับไปเล่นด่านเดิมให้เชี่ยวชาญเสียก่อน ถึงจะควรไปลุยในด่านใหม่ได้อย่างหายห่วงส่วนสิ่งที่แอบโหดร้ายสำหรับเกมนี้ก็คือ ระบบสกิลที่ Game Over แล้ว ทุกอย่างจะหายหมด ทุกสกิลที่คุณปลดล็อกมาจะหายไปกับชีวิตของคุณ โชคยังดีที่ตัวเกมอนุญาตให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อกแบบถาวรได้ แต่มันก็ต้องใช้ EXP ในการปลดล็อกมากกว่าเดิมถึง 5 เท่าเลยทีเดียวดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจปลดล็อกสกิลถาวรล่ะก็ ควรตัดสินใจให้ดี มิฉะนั้นจะเป็นการเปลืองเวลาแล EXP โดยใช่เหตุกราฟิกที่เลือกใช้เหมาะสมกับสไตล์เกมงานภาพของเกมจะใช้รูปแบบการ์ตูน ไม่เน้นไปที่ความสมจริงเท่าไรนัก ซึ่งการเลือกใช้ภาพสไตล์นี้ก็ดูเข้ากับธีมกังฟูของตัวเกมเป็นอย่างดี มันให้อารมณ์เหมือนดูมู่หลานฉบับหมัดมวยตามล้างแค้นทั้งโคตรเลยล่ะและแน่นอนว่าในเกมที่มีความยากแบบโหดหิน ช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีก็ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาล เฟรมเรตจึงแทบเป็นทุกอย่างภายในเกมนี้ ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ทำออกมาได้น่าประทับใจ จังหวะต่อสู้ หรือจังหวะปะทะ ต่อให้มีศัตรูจำนวนมากแค่ไหน หรือจะมีเอฟเฟกต์จากการสู้บอสมากขนาดไหน ตัวเกมก็ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จุดที่เกมกระตุกมีเพียงจังหวะเดียวนั้นก็คือ การข้ามฉากใหม่ ซึ่งในการข้ามฉากจะไม่มีศัตรูโถมเข้ามา ข้อเสียตรงนี้จึงไม่ได้ไปขัดอารมณ์ในการเล่นแต่อย่างใดทั้งนี้ ด้วยกราฟิกที่ไม่ได้มีรายละเอียดเยอะมาก จึงทำให้เครื่อง PC อายุเก่า ๆ ก็สามารถเล่นได้อย่างหายห่วง ตัวเกมมีความต้องการขั้นต่ำอยู่ที่ RAM: 8GB, CPU: AMD FX-4350 หรือ Intel Core i5-3470 หรือเทียบเท่า และ GPU: Radeon R7 250 หรือ GeForce GT 640 หรือเทียบเท่า ด้วยสเป็กที่ต่ำมาก เชื่อว่าเกมเมอร์แทบทุกคนน่าจะเข้าถึงได้อย่างแน่นอนควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?ถึง Sifu จะยอดเยี่ยมมากขนาดไหน แต่มันก็ยังไปไม่ถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบ มุมกล้องของตัวเกมยังมีบางครั้งที่เมื่อถูกบีบเข้ามุมอับ จะส่งผลให้ผู้เล่นไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย เนื่องจากตัวเกมไม่ได้ใช้มุมมองแบบข้ามหัวไหล่ นั่นจึงทำให้จุดนี้อาจกลายเป็นเพิ่มความหัวร้อนให้กับผู้เล่นก็เป็นได้อีกทั้งเนื้อเรื่องภายในเกมก็ยังนับว่าค่อนข้างธรรมดามาก แม้จะมีฉากจบสองแบบขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้แก่นของเรื่องเข้มข้นขึ้นเลยแต่ด้วยระบบการต่อสู้ ความสร้างสรรค์ของการออกแบบด่าน ไปจนถึงการนำเสนอบอสที่ติดตาตรึงใจ ข้อเสียต่าง ๆ ที่เป็นเพียงเรื่องยิบ ๆ ย่อย ๆ ก็สามารถถูกกลบเอาไว้ใต้พรมแห่งความสนุกของแนว Beat-em-ups ได้อย่างหมดจดถึง Sifu อาจจะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้าถึงง่าย และเล่นได้กันทุกคน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่จะต้องเป็นหนึ่งในเกมที่ได้เข้าชิงรางวัลเกมแอ็กชันยอดเยี่ยมแห่งปีอย่างแน่นอน ดังนั้นหากใครอยากจะลองสัมผัสความทรมาน ที่สนุกจนหยุดเล่นไม่ได้ ก็แนะนำว่ากดซื้อมาลองเล่นกันสักตั้งดูเถอะครับ
14 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม Horizon Forbidden West "สู่แดนปัจฉิมเร้นลับ: เกมโลกเปิดชั้นครูที่ทุกค่ายควรหาทำ"
สำหรับคนที่เป็นแฟนเกมโลกเปิด โดยเฉพาะเกมเมอร์ฝั่ง PlayStation ทั้งหลาย น่าจะรู้จักกับเกม Horizon Zero Dawn กันดี เกมแอคชั่น RPG โลกเปิด IP ใหม่จากผู้พัฒนา Guerilla Games ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน แต่ด้วยเนื้อเรื่อง เกมเพลย์ และโลกอันงดงามของเกมนั้น ทำให้เกมได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งจากผู้เล่น PlayStation 4 และผู้เล่น PC ที่ได้สัมผัสเกมในภายหลังด้วยด้วยความนิยมของเกมภาคแรก แน่นอนว่าเกมภาคต่ออย่าง Horizon Forbidden West ย่อมแบกรับความคาดหวังเอาไว้สูงมาก ทั้งในฐานะเกมที่จะมาสานต่อตำนานของซีรีส์ และในฐานะเกมคร่อมรุ่นคอนโซลที่เกมเมอร์อีกหลายคนคาดหวังให้สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่คู่ควรกับเครื่อง PlayStation 5 ได้หลังจากที่ใช้เวลาเล่นเกมมามากกว่า 70 ชั่วโมง ผู้เขียนมีความยินดีจะรายงานว่า Horizon Forbidden West ถือเป็นเกมโลกเปิดอันน่าทึ่งซึ่งพัฒนาขึ้นจากเกมแภาคแรกในทุก ๆ ด้าน ด้วยเกมเพลย์อันหลากหลายและน่าตื่นเต้นซึ่งมีอะไรใหม่ ๆ มาเซอร์ไพรส์และท้าทายเราอยู่เสมอ ไปจนถึงเนื้อเรื่องที่นำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านบทพูดและการแสดงระดับชั้นนำ ที่ทำให้เกม Horizon Forbidden West เป็นเกมที่ชาว PlayStation ทั้ง 4 และ 5 ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง***ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Singapore และ PC & Associates Consulting สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า******บทความนี้อาจสปอยเนื้อเรื่องของเกมภาคแรก (Horizon Zero Dawn)***เนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเกม Horizon Forbidden West จะเกิดขึ้น 6 เดือนหลังจากที่ Aloy และเพื่อนพ้องสามารถยับยั้งการทำลายล้างโลกโดย A.I. HADES ได้สำเร็จในตอนจบของเกมภาคแรก เมื่อจู่ ๆ ดินแดนบ้านเกิดของ Aloy ถูกรุกรานโดยโรคระบาดปริศนาที่เข่นฆ่าชีวิตของทั้งสัตว์และพืชที่ติดเชื้อ ส่งผลให้ Aloy จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อตามหาต้นตอของโรคระบาดนี้ และยับยั้งมันให้ได้ก่อนที่มันจะแพร่ระบาดไปทุกที่และทำให้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์ไปอย่างช้า ๆในระหว่างที่กำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับโรคระบาดในพื้นที่ Aloy ค้นพบข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโรคระบาดดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาณของการล่มสลายของโลกทั้งหมดเท่านั้น และเธอจะต้องออกเดินทางไปยังดินแดนต้องห้ามทางตะวันตกเพื่อตามหา A.I. ตัวหนึ่งที่จะสามารถหยุดการทำงานของพวกเครื่องจักรได้ โดยการเดินทางของเธอก็พาเธอเข้าไปพัวพันกับสงครามกลางเมืองระหว่างเผ่านักรบ Tenakth ที่ปกครองดินแดนตะวันตกอยู่ พร้อมกับศัตรูกลุ่มใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดเนื้อเรื่องของ Horizon Forbidden West สามารถคงมาตรฐานอันยอดเยี่ยมจากเกมภาคแรกได้อย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของตัวละครอันมีเสน่ห์ ไปจนถึงเหตุการณ์หักมุมต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงในเนื้อเรื่องที่สามารถทำให้ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นอยู่เสมอตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเกมสามารถผูกเหตุการณ์ต่าง ๆ จากภาคแรกเข้าสู่เหตุการณ์ใหม่อย่างลื่นไหล และทำให้รู้สึกเหมือนทั้งสองเกมเป็น 'เนื้อเรื่องยาว ๆ เรื่องเดียวกัน' ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนตัวยงของเกมภาคแรกเป็นอย่างมากจุดปรับปรุงอีกอย่างจากภาคแรกคือการที่เกมดูจะให้เวลากับตัวละครเสริมรอบ ๆ ตัว Aloy มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้โลกของเกมรู้สึก 'เต็ม' ขึ้นจากเรื่องราวชีวิต มุมมอง และข้อมูลใหม่ ๆ ที่ตัวละครแต่ละตัวนำเสนอ ยังช่วยทำให้เกมสามารถลงลึกไปถึงแก่นของตัวละคร Aloy ได้มากกว่าเดิมผ่านการสนทนาระหว่างเธอและเพื่อน ๆ ในแบบที่น่าจะถูกใจแฟนของเกมภาคแรกเช่นเดียวกัน เพราะช่วยขยายเหตุการณ์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปูมาก่อนหน้านี้ได้อย่างครบถ้วนทั้งนี้ จะสังเกตได้ว่าผู้เขียนใช้คำว่า 'ถูกใจแฟนของเกมภาคแรก' ถึงสองครั้ง นั่นก็เพราะว่าเกม Horizon Forbidden West เป็นเกมที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ที่ไม่เคยเล่นภาคแรกเท่าไหร่ เพราะเกมจะใช้เวลาอธิบายตัวละครหรือเหตุการณ์ในเกมภาคแรกน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระยะเวลาระหว่างเหตุการณ์ในเกมทั้งสองนั้นเกิดขึ้นค่อนข้างใกล้กัน (ห่างกัน 6 เดือนเท่านั้น ในขณะที่เกมสองภาคห่างกัน 6 ปี) และอีกส่วนหนึ่งคือการที่เกมดูจะเน้นหนักไปที่ความเป็น 'ไซไฟ' ของตัวเองมากขึ้น ทำให้มีศัพท์เฉพาะทั้งใหม่และเก่ามากมายที่คนไม่เคยเล่นมาก่อนอาจงงว่ากำลังพูดถึงอะไรกันแน่ข้อตำหนิอีกอย่างที่ผู้เขียนรู้สึกคือช่วงต้น ๆ ของเนื้อเรื่องนั้นดำเนินไปค่อนข้างช้า โดยสำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ากว่าจะถึงจุดสนุกก็ปาเข้าไปเกือบ 15 ชั่วโมงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเวลาดังกล่าวนี้อาจผกผันได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นจะอยากเก็บเนื้อหาเสริมระหว่างทางมากน้อยแค่ไหนด้วย แต่ก็ยังถือว่าเป็นเนื้อเรื่องที่เปิดมาค่อนข้างช้าอยู่ดี แม้ว่าเมื่อจุดเครื่องติดแล้วจะสนุกจนติดหนึบเลยก็ตามเกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Horizon Forbidden West ประสบความสำเร็จมาก ๆ ในการยกระดับสูตรเกมเพลย์จากภาคดั้งเดิมขึ้นในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การต่อสู้ การแก้พัซเซิ่ล ไปจนถึงการสัญจรไปมาในโลกของเกม ล้วนถูกปรับปรุงให้มีความท้าทาย หลากหลาย และ 'สนุก' ขึ้นกว่าในภาคแรกพอสมควรเรื่องแรกที่อยากพูดถึงคือตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นในการเคลื่อนที่ อันเป็นผลมาจากอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่ Aloy ได้รับในช่วงต้นเกมเช่นปืนยิงเชือก Pullcaster ที่สามารถปล่อยเชือกไปผูกกับจุดต่าง ๆ ตามแผนที่เพื่อดึงตัว Aloy ขึ้นไป และเครื่องร่อน Shield-Glider ซึ่งทำให้สามารถเดินทางลงจากที่สูงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยทั้งสองอย่างนี้นอกจากจะเพิ่มทางเลือกในการเดินทางไปตามแผนที่อันกว้างใหญ่ของเกมแล้ว ยังเปิดทางเลือกใหม่ ๆ ในการต่อสู้และการแก้พัซเซิ่ลขึ้นอีกต่างหากสำหรับการต่อสู้ในเกม Horizon นั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองหมวดหลัก ๆ คือการต่อสู้กับเครื่องจักร และการต่อสู้กับมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าหัวใจหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์การต่อสู้กับเหล่าเครื่องจักรน้อยใหญ่หลากหลายชนิด ข้อปรับปรุงหลัก ๆ ของการต่อสู้กับเครื่องจักรคือ 'ความหลากหลาย' ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในแง่ของชนิดของเครื่องจักรที่มีมากกว่า 40 ประเภท (จากเดิม 26) ไปจนถึงอาวุธหลากหลายชนิดของ Aloy และสถานะธาตุชนิดใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเพิ่มมิติให้กับการต่อสู้ โดยผู้เล่นมักจะต้องแสกนเพื่อศึกษาจุดอ่อนทั้งหลายของเครื่องจักรชนิดหนึ่งก่อนการต่อสู้เสมอ คล้ายกับการออกล่าสัตว์ร้าย โดยผู้เล่นสามารถเล็งโจมตีอวัยวะหรือชิ้นส่วนบนร่างกายของพวกมันเพื่อ 'ตัด' ทิ้งได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับไอเทมทรัพยากรณ์คราฟติ้งพิเศษ (คล้ายกับใน Monster Hunter) หรือกระทั่งเอาอาวุธของศัตรูมาใช้ในการต่อสู้ซะเองชั่วขณะหนึ่งในขณะเดียวกัน ระบบการต่อสู้กับศัตรูที่เป็นมนุษย์นั้นถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยผู้ที่เล่นเกมภาคแรกอาจจำได้ว่าระบบการต่อสู้ระบะประชิดในเกมภาคแรกนั้นค่อนข้างตื้น ซึ่งก็ส่งผลให้การต่อสู้กับศัตรูชนิดมนุษย์มีความน่าเบื่อไปซะหน่อยเพราะทำได้แค่กดตีเบา/หนักสลับ ๆ กันไปอย่างงั้น แต่ในเกมภาคใหม่นี้ได้เพิ่มท่าโจมตีใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก พร้อมเพิ่มระบบการทำคอมโบระยะประชิดเข้ามา ซึ่งมีความคล้ายกับระบบการควบคุมของ God of War (PS4) อยู่ประมาณหนึ่ง โดยการเพิ่มความสามารถให้กับ Aloy ทำให้เกมสามารถใส่ศัตรูชนิดมนุษย์มาให้สู้ได้บ่อยขึ้น และทำให้ศัตรูเหล่านี้หลากหลายขึ้นได้ด้วย ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้โดยรวมมีความหลากหลายมากขึ้นกว่าภาคแรกที่แทบไม่ค่อยมีมนุษย์ให้สู้ด้วย ราวกับเป็นการเพิ่มศัตรูชนิดใหม่ไปในเกมเลยทีเดียวอีกองค์ประกอบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นคือเรื่องของการแก้พัซเซิ่ลที่มีอยู่มากมายในแผนที่ ซึ่งทุกจุดถูกออกแบบมาให้มีวิธีแก้ของตัวเองแตกต่างกันไป มากกว่าจะเป็นกิจกรรมโลกเปิดดาษ ๆ ที่เหมือนกันหมด โดยจุดนี้ก็ช่วยทำให้โลกของเกมมีความน่าค้นหา ราวกับว่ามีความลับรอท้าทายเราอยู่แทบทุกที่ในเกมกล่าวง่าย ๆ ว่า Horizon Forbidden West อาจไม่ใช่เกมโลกเปิดที่พยายามนำเสนออะไรใหม่ ไปกว่าภาคแรก หรือเกมโลกเปิดอื่น ๆ นัก หากแต่เกมคือผลลัพธ์ของการที่ผู้พัฒนารู้ดีถึงจุดแข็งต่าง ๆ ในเกมของตัวเอง และขัดเกลาจุดเด่นเหล่านั้นให้เฉียบคมยิ่งขึ้นไปอีก ออกมาเป็นเกมโลกเปิดที่มีอะไรให้ทำตลอดเวลาจริง ๆ จนแทบไม่มีจังหวะอยากวางจอยเลยทีเดียวการนำเสนอในการรีวิวเกม Horizon Forbidden West ผู้เขียนเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 ซึ่งมีโหมดกราฟฟิคให้เลือกสองโหมดด้วยกันคือ Performance และ Fidelity เช่นเดียวกับเกมคร่อมเจน PS4/5 ส่วนใหญ่ โดยการเล่นเกมบนโหมด Performance จะลดความละเอียดของภาพลงเพื่อให้เกมสามารถรันได้ที่ 60FPS ในขณะที่ Fidelity จะดันคุณภาพของกราฟฟิคและความละเอียดขึ้นไปถึงระดับ 4K แท้ แต่จะสามารถเล่นได้ที่ 30FPS เท่านั้น ซึ่งแลดูจะเป็นการตั้งค่าแบบมาตรฐานของเกมในยุคคอนโซลนี้แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกเล่นที่โหมด Performance หรือ Fidelity มั่นใจได้เลยว่าเกม Horizon Forbidden West น่าจะเป็นเกมโลกเปิดที่ภาพสวยที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา โดยดินแดนตะวันตกที่ Aloy ไปเยือนนั้นมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ทะเลทราย หุบเขาหิมะ หนองบึง ไปจนถึงวิวชายหาดริมทะเล และใต้ทะเล เรียกว่ามีวิวให้ดูทุกแบบทุกสไตล์ไม่มีเบื่อเลยทีเดียวองค์ประกอบด้านเสียงของเกมก็มีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศในเกม ซึ่งดนตรีในเกมนี้ก็สามารถทำออกมาได้ไพเราะเพลินหูเป็นอย่างมาก โดยเครื่อง PlayStation 5 ยังสามารถใช้ลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง เช่นความรู้สึกหน่วงในปุ่ม R2 เมื่อง้างคันธนู หรือเสียงของเครื่องจักรที่กระโจนข้ามหัวเราไปที่ดังออกมาผ่านจอย เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมได้เป็นอย่างดีทั้งนี้ ส่วนของกราฟฟิคในเกมแลดูจะเป็นส่วนที่มีปรับปรุงได้มากที่สุดเช่นกัน โดยผู้เขียนพบกับบั๊คกราฟฟิคหลากหลายรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง เช่นสิ่งของในฉากโหลดไม่ทันหรือระบบแสงและเงาทำงานไม่ถูกต้องเป็นต้น โดยแม้ว่าจะไม่ได้หนักหนาหรือส่งผลเสียต่อเกมในภาพรวมนัก (ส่วนใหญ่แก้ได้ด้วยการปิด-เปิดเกมใหม่) แต่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ผู้พัฒนา Guerilla Games อาจจะสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพื่อประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคุณภาพภาษาไทยสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยเรา เกม Horizon Forbidden West เองก็สนับสนุนบทบรรยายและเมนูภาษาไทยให้เราด้วย ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงเนื้อหาของเกม Horizon Forbidden West เองที่มีความเป็นไซไฟโลกอนาคต และมักจะมีการพูดถึงปรัชญาหรือแนวคิดลึกซึ้งอยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่ายังมีจุดบกพร่องให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในแง่ของอรรถรสและการสื่อความหมายต่าง ๆ ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Sony เขา ซึ่งน่าจะช่วยให้หลาย ๆ คนสามารถติดตามเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นมากโขเลยทีเดียวสรุปในหลาย ๆ แง่ Horizon Forbidden West ไม่ใช่เกมที่ต้องการจะตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับเกมโลกเปิด หรือต้องการจะนำเสนอไอเดียที่แปลกใหม่พิศดารกว่าใคร หากแต่เป็นเกมที่เข้าใจถึงเสน่ห์ของเกมโลกเปิดและตัวตนของซีรีส์ของตัวเองอย่างถ่องแท้ และสามารถพัฒนาทั้งสองจุดนี้ได้จนอยู่ในระดับแนวนหน้าของวงการทั้งคู่เกมอาจจะเข้าถึงยากซะหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยแม่นเหตุการณ์และตัวละครในภาคแรก แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเกม Horizon อยู่่แล้วล่ะก็ บอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งเกมที่คุณไม่อยากพลาดแน่ ๆ ในปีนี้
14 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม Pokémon Legends: Arceus "การโยนโปเกบอลถามทาง ที่โยนถูกจุดเต็ม ๆ"
ในปี 2022 นี้ ถือเป็นวาระครบรอบ 25 ปีพอดี นับตั้งแต่ตัวเกมโปเกมอนภาค Red และ Blue ออกวางจำหน่ายสู่ท้องตลาด ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกมโปเกมอนก็ได้ออกภาคเสริม Spin off ไปจนถึงนำไปทำอนิเมชันและภาพยนตร์ขึ้นฉายบนจอเงินมากมายแต่ทว่าท่ามกลางเกมภาคแยกและภาคหลักมากมายเหล่านั้น กลับไม่มีสักเกมที่สามารถนำเสนอโลกของ Pokémon ในแบบที่แฟนเกมต้องการเห็นได้จริง ๆ จนกระทั่งการมาถึงของ Pokémon Legends: Arceus ที่ตัวเกมจั่วหัวว่าจะเป็นเกมโปเกมอนแบบ Open World ซึ่งเพียงแค่นี้ก็สร้างเสียงฮือฮาให้กับชาวเกมเมอร์ได้ระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งตัวเกมยังนำเสนอระบบที่โปเกมอนป่าดุร้าย เข้าโจมตีผู้เล่นกันแบบถึงลูกถึงคนอีกด้วยเรียกว่าเพียงแค่ได้เห็น Trailer บรรดาแฟนเกมทั่วโลกต่างพร้อมใจกันขึ้นรถไฟ Hype Train กันโดยไม่ได้นัดหมายแล้ว Pokémon Legends: Arceus นั้นจะดีพอที่ตอบรับความคาดหวังของเหล่าเกมเมอร์ได้ไหม รีวิวนี้มีคำตอบ!เนื้อเรื่องสูตรสำเร็จสไตล์ Pokémonเนื้อเรื่องของแฟรนไชส์ Pokémon เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชวนให้ติดตามตลอดการเล่น ถึงแม้แก่นหลักของแต่ละภาคจะเหมือนกัน นั่นก็คือ การรวบรวม Pokédex ให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้านฉากหลังและตัวละครที่เราจะได้พบเจอนั้น จะช่วยทำให้ตามแต่ละภาคมีเอกลักษณ์ที่เข้มข้น และรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอบางภาคจะเป็นเพียงแค่การผจญภัยเล็ก ๆ ปะทะกับเหล่าร้ายที่คิดจะทำเรื่องชั่ว บางภาคอาจจะเป็นแค่การทำตามสัญญากับเพื่อน พร้อมผจญอุปสรรคระหว่างทาง และในบางภาคนั้นอาจจะเล่นใหญ่จนถึงขั้นสร้างความเสียหายให้กับโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งหลังจากที่ตัวเกมพาเราเผชิญกับภยันตรายต่าง ๆ มานักต่อนักแล้ว ใน Pokémon Legends: Arceus นั้น ทางผู้พัฒนาจึงเลือกที่จะนำเสนอแนวคิดแบบใหม่ ด้วยการพาตัวเอกย้อนเวลากลับไปในอดีต ย้อนกลับไปในยุคที่มนุษย์ยังคงไม่รู้จักโปเกมอนดีพอถือว่าเป็นการกำหนดฉากหลังที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วเกม Pokémon มักจะนำเสนอโลกที่มนุษย์อยู่ร่วมกับโปเกมอนเสมอ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์เท่าไรนัก กลับกันในตัวเกมภาคนี้ โปเกมอนกลับถูกมองเป็นเหมือนตัวตนที่มีพลังยิ่งใหญ่ ซึ่งบางตัวยังถึงขั้นต้องบูชา พร้อมกับยกให้เป็นผู้พิทักษ์ประจำดินแดนเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงหากว่ากันตามความสามารถของโปเกมอนบางตัวแล้ว ตามตรรกะมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นน่ะแหละนอกจากนี้ การที่ทางผู้พัฒนาเลือกใช้เส้นเวลาในช่วงอดีต ยังช่วยทำให้ผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสัมผัสกับซีรีส์ Pocket Monster เป็นครั้งแรก สามารถดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องได้ในปริมาณที่เท่า ๆ กับแฟนเกมเดนตายที่ติดตามมานานนมอีกด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวไปเลยการจับโปเกมอนที่ส่งผลยิ่งกว่าภาคไหน ๆอย่างที่กล่าวไปตอนต้น เป้าหมายหลักของเกม Pokémon นั้น คือการรวบรวมสมุดภาพโปเกมอนให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ผมเชื่อว่า หากคิดตามอัตราส่วนจริง ๆ แล้ว คงมีน้อยคนนักที่จะสามารถจับโปเกมอนทุกตัวมาไว้ในครอบครองได้สำเร็จ เพราะไม่ว่าจะทั้งโปเกมอนที่เงื่อนไขในการได้มาแบบพิเศษ ไปจนถึงโปเกมอนที่ต้องใช้ความอดทนในการตามหา นี่ยังไม่รวมโปเกมอนที่ต้องทำการแลกเปลี่ยนกับผู้เล่นคนอื่นอีก ด้วยความยุ่งยากเหล่านี้นี่เอง ผู้เล่นส่วนใหญ่ของ Pokémon จึงมักเลือกที่จะเล่นคอนเทนต์เพียงแค่ เอาชนะผู้นำโรงยิม > จัดการ 4 จตุรเทพ > จัดการแชมป์เปี้ยน > ไล่ตามเก็บโปเกมอนในตำนาน เมื่อทำทั้งหมดครบแล้วก้จะถือว่าจบเกมในภาคนั้น ๆ ส่วนใครที่ยังไฟแรงหน่อย ก็อาจจะไปดวลกับผู้เล่นคนอื่นผ่านระบบออนไลน์ ไม่ก็เข้าไปเล่นในส่วนของ Frontier แก้เซ็งไปวัน ๆทว่าในตัวเกม Pokémon Legends: Arceus นั้น การจับโปเกมอนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางผ่านอีกต่อไปแล้ว เพราะมันจะไปยึดโยงถึงการก้าวหน้าของตัวเกมอีกด้วยยิ่งคุณจับโปเกมอนได้มาก คุณก็จะได้แต้มวิจัยเพิ่มมากขึ้น โดยแต้มวิจัยนั้นจะถูกใช้ในการอัปเกรดลำดับขั้นภายในเกม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นปลดล็อก Pokéball ใหม่ ๆ อุปกรณ์ใหม่ ไปจนถึงช่วยในการดำเนินเนื้อเรื่องอีกด้วย ดังนั้นหากใครที่คิดจะเมินโปเกมอนริมทางแบบภาคก่อน ๆ คุณลืมความคิดนั้นไปได้เลย เพราะถ้าคุณไม่ขยันจับโปเกมอนเข้าล่ะก็ คุณจะไม่สามารถเล่นเนื้อเรื่องหลักภายในเกมต่อไปได้ด้วยซ้ำความ Action แบบใหม่ ที่ผสมผสานกับความเป็น RPG ดั้งเดิมได้อย่างลงตัวเชื่อว่าคุณผู้อ่านที่อ่านอยู่ตอนนี้ น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ Pokémon Legends: Arceus ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรับทราบเหมือนกันนั่นก็คือ ตัวเกมในภาคนี้จะมีความเป็น Action มากยิ่งกว่าภาคไหน ๆ ที่เคยออกมาซึ่งสิ่งที่ภาคนี้นำเสนอ มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่แฟนเกมเคยตามหาและหลงใหลในครั้งเยาว์วัย ภาพของมนุษย์ที่เดินไปตามพงหญ้า โขดหิน เข้าป่า และค้นพบโปเกมอนราวกับหลุดออกมาจากในการ์ตูนได้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมภายในเกมภาคนี้ หากจะบอกว่านี่คือสิ่งที่หลายคนคาดหวังให้ Pokémon Go เป็น และเป็นสิ่งที่ Pokémon Sword and Shield ควรจะเป็นตั้งแต่แรกก็คงไม่ผิดนัก แต่ดูท่าทางทีมพัฒนา จะยังไม่อยากเอาตัวเกมภาคหลักมาเสี่ยงง่าย ๆ พวกเขาจึงเลือกที่จะจั่วหัวตัวเกมราวกับเป็นภาคเสริมไปแบบนี้ก่อน ซึ่งก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดใช้ได้ เพราะการทำแบบนี้เป็นทั้งการแบ่งฐานแฟนออกไปเป็นอีกกลุ่ม และยังมีหลักประกันหากเกิดความผิดพลาดจนไม่โดนใจฐานแฟนเกมเดิมอีกด้วยและถึงใน Pokémon Legends: Arceus จะมีความแอ็กชันเพิ่มเข้ามา แต่ตัวเกมก็ยังคงระบบ RPG ที่มีมาตั้งแต่ภาคดั้งเดิมไว้อยู่ เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงฉากการต่อสู้ระหว่างโปเกมอน ความเป็น RPG ที่ต้องอาศัยการแพ้ชนะทางกันของ Type (ประเภท) จากโปเกมอนก็จะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนดังภาคเก่า ๆ เช่น ประเภทปกติแพ้ต่อสู้ ประเภทต่อสู้แพ้พลังจิต ประเภทพลังจิตแพ้ความมืด เป็นต้นทว่าภาคนี้ทางทีมพัฒนาได้ใส่ไอเดียแปลกใหม่เข้ามาเพิ่มให้กับระบบ RPG นั่นก็คือ ระบบ Style ที่จะแบ่งออกเป็น Strong และ Agile โดยการเลือกใช้ Strong Style นั้นจะทำให้ท่าโจมตีของโปเกมอนรุนแรงขึ้น แลกกับการมาถึงของรอบโจมตีตัวเองที่ช้าลง ส่วนการใช้ Agile จะทำให้การโจมตีเบาลง แต่แลกมากับการมาถึงของรอบตีตัวเองที่เพิ่มขึ้นซึ่งระบบนี้จะช่วยทำให้การต่อสู้ภายในเกมที่ชั้นเชิงมากยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่ต้องคอยสลับกันตี โปเกมอนที่ว่องไวกว่าจะได้ตีก่อน แต่การมาถึงของ Style นี้ จะช่วยทำให้ผู้เล่นวางแผน และเลือกปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในบางครั้งเราอยากจะลดพลังชีวิตของโปเกมอนป่าเพื่อจับเข้ามาเป็นหนึ่งในสมุดภาพ แต่ท่าโจมตีที่มีอยู่มันรุนแรงเกินไป ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถเลือกใช้ Agile Style เพื่อลดทอนความรุนแรงของท่าโจมตีได้ เรียกได้ว่าประยุกต์ใช้กับระบบการจับโปเกมอนที่เป็นหัวใจหลักของภาคนี้ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวระบบกึ่งโลกเปิด ดีไซน์เกมยอดนิยมในยุคนี้ระบบ Open World ถือว่าเป็นอีกหนึ่งระบบยอดนิยม ที่ช่วยเพิ่มคอนเทนต์ให้กับตัวเกมให้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เล่นสามารถเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแปลก ๆ ได้แล้ว ทางผู้พัฒนายังสามารถใส่เควสต์เสริม ไอเทมลับสำหรับคนชอบสำรวจ ไปจนถึงการฟาร์มวัตถุดิบมาใช้สร้างของต่าง ๆ อีกด้วยซึ่งในตัวเกม Pokémon Legends: Arceus นั้น เลือกที่จะใช้ระบบกึ่งโลกเปิดคล้ายกับดีไซน์จากเกม Monster Hunter โดยตัวผู้เล่นจะมีหมู่บ้าน Jubilife Village ทำหน้าคล้ายกับ Hub ที่รวบรวมทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวอัปเดตแรงก์ ที่พัก ร้านเสื้อผ้า ร้านทำผม ไปจนถึงโปเกมอนที่ผู้เล่นเก็บสะสมไว้ และเมื่อผู้เล่นพร้อมที่จะออกไปเดินทางในโลกกว้าง ตัวเกมก็แบ่งพื้นที่ออกเป็นทั้งหมด 5 เขตใหญ่ ๆ ให้ผู้เล่นได้เลือกสำรวจ โดยในเขตใหญ่นั้นก็จะมีพื้นที่ย่อย ๆ ที่ภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ตัวเกมยังมีระบบโปเกมอนช่วยสำรวจเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ทั้งโปเกมอนที่ทำให้เดินทางในพื้นราบได้เร็วขึ้น โปเกมอนที่พาผู้เล่นบินขึ้นไปบนท้องฟ้า โปเกมอนที่ทำให้สามารถข้ามผืนน้ำระยะทางไกลได้ ไปจนถึงโปเกมอนที่ช่วยให้ไต่หน้าผาชัน ๆ ได้ก็ยังมีซึ่งทางผู้พัฒนาได้ใช้ระบบโปเกมอนช่วยสำรวจนี้มาร่วมกับการออกแบบแผนที่อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในเขตแรกของเกม คุณอาจจะมีพื้นที่บางจุดไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เมื่อคุณมีโปเกมอนช่วยสำรวจแล้ว จุดนั้นก็จะกลายเป็นแหล่งสำรวจใหม่ในแผนที่เดิม ด้วยการออกแบบแผนที่เช่นนี้ จึงทำให้ผู้เล่นสามารถสำรวจแผนที่ซ้ำ ๆ ได้ถึง 3-4 รอบเลยทีเดียวนอกจากนี้ ทางตัวเกมยังได้นำเสนอระบบการฟาร์มหาของตามธรรมชาติ ที่มีความสำคัญมากกว่าเดิม โดยหากใครเคยเล่ยโปเกมอนมาในภาคก่อน ๆ คุณจะรู้สึกไอเทมตามทางมันไม่ค่อยมีประโยชน์เอาเสียเลย สู้เก็บเงินไปซื้อของจากร้านค้าจะดีกว่าแต่ใน Pokémon Legends: Arceus นั้น ทุกไอเทมแทบจะมีความสำคัญหมด ตั้งแต่โพชั่นเพิ่มเลือด ไปจนถึงวัตถุดิบสร้างโปเกบอล เนื่องจากตัวเกมภาคนี้นั้นไม่มี Pokémon Center ที่คอยรักษาโปเกมอนให้เราตลอดแบบฟรี ๆ ผู้เล่นจะต้องกลับมาพักผ่อนที่แคมป์เท่านั้น หากไม่อยากเสียทรัพยากรโพชั่น แต่การเดินทางไปมาระหว่างการสำรวจกับแคมป์มันก็ค่อนข้างเสียเวลา ตรงจุดนี้นี่เองที่ทำให้ไอเทมต่าง ๆ ที่ใช้ในการคราฟต์โพชั่น ไปจนถึงคราฟต์โปเกบอลมความสำคัญมากขึ้นนั่นเองเข้าถึงง่าย แต่ยังไม่ทิ้งความท้าทายดูท่าว่าเป้าหมายของ Pokémon Legends: Arceus คือการดึงผู้เล่นใหม่ให้เข้ามามากยิ่งกว่าภาคไหน ๆ เพื่อช่วยขยายฐานแฟนเกม เพราะสิ่งน่ารำคาญที่ผู้เล่นเดนตายเคยเจอจากภาคเก่า ๆ ได้ถูกปรับปรุงในตัวเกมภาคนี้กันเสียยกใหญ่ทั้งระบบท่าของโปเกมอน (Moves) ที่ในภาคก่อนหากลบท่านั้นทิ้งแล้ว ท่านั้นจะหายไปเลย หากอยากจะเรียนใหม่ต้องไปตามหา NPC เฉพาะทาง แต่ในภาคนี้ตัวเกมกับอนุญาตให้ผู้เล่นสามารถเรียนและลบท่าของโปเกมอนได้ตามใจ ที่หน้ากระเป๋าของตัวเอง ไม่ต้องเดินทางให้ยุ่งยาก รวมไปถึงระบบการพัฒนาร่าง (Evolve) ที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะให้โปเกมอนพัฒนาร่างตอนไหน ต่างจากสมัยก่อน ที่หากยังไม่อยากพัฒนาร่าง ผู้เล่นจะต้องคอยมากดห้ามพัฒนาทุกครั้งที่เลเวลอัป ทำให้แอบน่าหงุดหงิดอยู่บ้างนอกจากนี้ระบบการหนีโปเกมอนป่า (Flee) ก็ยังปรับให้สมเหตุสมผลมากขึ้น และเหมาะกับการเล่นในภาคนี้มากขึ้นอีกด้วย โดยหากใครเล่นโปเกมอนในภาคเก่า ๆ มา คุณน่าจะพอรู้ว่าการหนีโปเกมอนป่านั้น ไม่ได้มีโอกาสเกิดได้ 100% เพราะว่าในบางครั้ง หากโปเกมอนของผู้เล่นมีเลเวลต่ำกว่าโปเกมอนป่า หรือมีความเร็วที่น้อยกว่าโปเกมอนป่า ผู้เล่นจะไม่สามารถหนีได้ จึงทำให้ถูกบีบต้องสู้ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากแต่ในภาค Pokémon Legends: Arceus นั้น ทางผู้พัฒนากลับเลือกเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหนีได้แบบชัวร์ ๆ โดยสิ่งที่ต้องแลกมานั้นก็คือ โปเกมอนป่าจะหันมาจู่โจมผู้เล่นแทน ซึ่งถ้าหากผู้เล่นโดนโจมตีมากจนเกินไป ตัวผู้เล่นจะหมดสติ และกลับไปฟื้นที่แคมป์ ทำให้เสียเวลาในการเดินทางการนั่นเองโปเกมอนจ่าฝูงและโปเกมอนชั้นสูงอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจ และไม่พูดถึงไม่ได้ในภาคนี้คือ Alpha Pokémon (โปเกมอนจ่าฝูง) และ Noble Pokémon (โปเกมอนชั้นสูง)โดยโปเกมอนจ่าฝูงนั้น จะสามารถพบได้ทั่วไปตามแผนที่ Alpha Pokémon จะมีขนาดที่ใหญ่โต และเลเวลาที่มากกว่าโปเกมอนในแถบเดียวกัน นอกจากนี้เพียงแค่มันคำรามก็สามารถสร้างความเสียหายให้ผู้เล่นได้อีกด้วย ผู้เล่นสามารถสังเกต Alpha Pokémon ได้ง่าย ๆ เพียงแค่มองดวงตาที่เปล่งประกายสีแดงของพวกมันส่วน Noble Pokémon จะมีลักษณะสีเหลืองทองเปล่งประกายทั่วทั้งตัว และยังเป็นบอสประจำเขตทั้ง 5 ตามเนื้อเรื่องผู้เล่นจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการกลิ้งแบบเกมตระกูล Souls ที่ต้องคอยสังเกต หลบหลีก และโจมตีสวนไปจนกว่าบอสจะเหนื่อย ถึงจะสามารถใช้โปเกมอนเข้าโจมตีโดยตรงได้ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างสร้างสรรค์ และมีระดับความยากที่กำลังพอดี ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะเล่นจบได้ไม่ยากเย็นนักโดยเจ้าโปเกมอนทั้งสองประเภทนี้แหละที่คอยช่วยทำให้ Pokémon Legends: Arceus มีความตื่นเต้น เร้าใจ และรู้สึกว่า โปเกมอนในภาคนี้มันทรงพลังมากเสียจริง ๆ ในแบบที่โปเกมอนควรจะเป็นงานภาพที่ย้อนหลังด้วยขีดจำกัดของตัวเครื่องถือว่าผู้พัฒนาอย่าง Game Freak ค่อนข้างจะจริงใจเอาเรื่องเลยทีเดียว ที่ตัดภาพจากภายในเกมมาอวดลง Trailer ให้เห็นกันตั้งแต่แรก ไม่ได้ย้อมแมวโดยการใช้ฉาก Cutscence สวย ๆ มาหลอกล่อผู้เล่น ซึ่งนับตั้งแต่ที่เกมนี้โชว์กราฟิกออกมา ก็มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่บ่นถึงเรื่องคุณภาพของกราฟิกที่ตกยุค ซ้ำร้ายแม้ภาคนี้จะออกมาทีหลัง Pokémon Sword and Shield ก็จริง แต่ตัวเกมกับมีภาพที่ให้แสงเงา สีสัน รวมไปถึงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ สู้กับ Pokémon Sword and Shield ไม่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นการถอยหลังภาพกลับไปเสียมากกว่าแต่ตรงจุดนี้ถือว่าพอเข้าใจได้ เนื่องจากตัวเกม Pokémon Legends: Arceus นั้นมีความเป็นโลกเปิดที่ใหญ่กว่าภาค Sword and Shield แถมตัวเกมยังเข้าฉากการต่อสู้ที่ค่อนข้างเร็วอีกด้วย จึงทำให้ทางผู้พัฒนาเลือกที่จะใช้ลดความสวยงามของภาพลง เพื่อให้รักษาประสิทธิภาพที่ลื่นไหลเอาไว้ได้แทนแอบน่าเสียดายเหมือนกัน ที่ตัวเกมดันต้องมาถูกจำกัดด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่อง แต่นี่จึงทำให้ทางผู้เขียนตั้งตารอเลยว่า หากตัวเกมภาคต่อไป ทำลงให้เครื่อง Nintendo ยุคใหม่ ภาพที่ออกมานั้นจะสวยงามเพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียวนะคุ้มค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?Pokémon Legends: Arceus คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของแฟรนไชส์พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ชื่อดังนี้ แม้อาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน ทั้งภาพกราฟิกที่ตกยุค ระบบสอนเล่นที่ยืดจนเกินจำเป็น ทำให้ช่วงต้นเกมน่าเบื่อ ไปจนถึงระบบ Multi-Player ที่ยังไม่รองรับการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นด้วยกัน (ทั้ง ๆ ที่ภาคนี้มีชั้นเชิงในการต่อสู้เพิ่มมากขึ้นแท้ ๆ) แต่ถ้าหากว่าคุณสามารถมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ สิ่งที่รอคุณอยู่คือความสนุก ติดพัน และวางไม่ลงระดับเดียวกันกับเกมอย่าง Monster Hunter หรือ The Legend of Zelda: Breath of the Wild เลยทีเดียวด้วยคอนเทนต์ที่อัดแน่น การไต่ระดับที่ทำมาได้น่าสนุกยิ่งกว่าภาคไหน ๆ โลกกว้างที่รอคอยให้ผู้เล่นเข้าไปสำรวจซ้ำ นี่จึงทำให้ Pokémon Legends: Arceus เป็นเกมที่แฟนโปเกมอนต้องเล่น และต่อให้คุณไม่ใช่แฟนโปเกมอน คุณก็ยังควรจะหามาเล่นอยู่ดี
01 Feb 2022
[Review] รีวิวเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection (PS5) "งดงามดุจภาพในความทรงจำ"
สำหรับเกมเมอร์หลายคน โดยเฉพาะคนที่พอมีอายุหน่อย มักจะเคยมีประสบการณ์ที่พอกลับไปเล่นเกมเก่า ๆ ที่เคยชอบจากสมัย PlayStation 1-2 แล้วรู้สึกเหมือนว่า “ภาพในความทรงจำ” เมื่อเรานึกถึงเกมเหล่านี้ มักจะสวยกว่าในความเป็นจริงเสมอ ราวกับว่าสมองของเราเลือกที่จะจดจำ “ห้วงความรู้สึก” ที่เกมสร้างให้เราในช่วงเวลานั้น ๆ มากกว่าจะจดจำสภาพที่แท้จริงของเกมนั่นคือความรู้สึกของผู้เขียนตลอดการเล่นเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection ในเครื่อง PlayStation 5 แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกมได้รับการปรับปรุงจากภาคก่อนหน้าอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของคุณภาพกราฟฟิค ไปจนถึงเฟรมเรต 60 FPS อันลื่นไหลของเกม แต่เกมกลับรู้สึกไม่ต่างจาก “ภาพในความทรงจำ” ของเกม Uncharted 4 ภาคดั้งเดิม (วางจำหน่ายปี 2016) ในหัวผู้เขียนเท่าไหร่นัก ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection นั้นทำออกมาได้ไม่ดี แต่เป็นการกล่าวชมเกมภาคดั้งเดิมมากกว่า ที่ทำออกมาได้ดีมากอยู่แล้วจนทำให้ข้อปรับปรุงทั้งหมด “เป็นส่วนหนึ่งของเกมมาแต่ต้น”แต่แม้ว่าคุณภาพของเกม Uncharted 4 (และ Uncharted: The Lost Legacy) จะยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้เขียนอดตั้งคำถามไม่ได้คือความคุ้มค่าของเกม ที่แม้จะแถมเกมภาคเสริมมาด้วย แต่กลับไม่มีโหมดออนไลนยอดนิยมของเกมดั้งเดิม แถมเกมยังมีตัวเลือกกราฟฟิคให้เลือกค่อนข้างจำกัด และใช้ประโยชน์จากลูกเล่นของ PS5 อย่างปุ่ม Adaptive Trigger ได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเกม PlayStation Exclusive ฉบับรีมาสเตอร์อื่น ๆ ที่ผ่านมาเกมเพลย์ที่ไม่หวือหวา แต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกม Uncharted มาก่อน เกมในซีรีส์นี้สามารถบรรยายได้ง่าย ๆ ว่าเป็น “เกมยิงปืนมุมมองบุคคลที่ 3 ที่เน้นการใช้ที่กำบัง (Cover-based Third-Person Shooter) ที่เบสิกที่สุด” ซึ่งผู้ที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน (เช่น The Division, Ghost Recon, Days Gone, etc.) น่าจะเข้าใจได้ทันที โครงสร้างของเกม Uncharted จะดำเนินไปเป็นเส้นตรง โดยในแต่ละด่านจะมีฉากการยิงปืนและแอคชั่นแบบระเบิดถูเขาเผากระท่อม ผสมเข้ากับการปีนป่ายไปตามถ้ำโบราณและภูเขา และการแก้ไขปริศนาต่างๆ ในฉาก ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความหวือหวาเหนือธรรมชาติ (นอกจากความถึกทนของตา Nathan Drake ตัวเอก) หรือระบบพิศดารอะไรให้ต้องคิดมาก เป็นเพียงเกมแอคชั่นผจญภัยอันดุเดือด ที่มีเกมเพลย์การต่อสู้และลอบเร้นตามมาตรฐานของเกมแนวเดียวกัน แต่ทั้งหมดกลับผสมผสานกันได้อย่างลงตัวด้วยกราฟฟิคและการแสดง/พากย์เสียงระดับท๊อปของวงการ (ตามสไตล์ผู้พัฒนา Naughty Dog) ทำให้เกม Uncharted เป็นเกมย่อยง่าย เหมือนการดูหนังแอคชั่นมันส์ ๆ ซักเรื่องหากให้พูดอีกแบบ เกม Uncharted เปรียบเสมือนการหวนสู่ยุคทองของเกม ที่ไม่ได้จำเป็นต้องมีกราฟฟิคสุดจินตนาการ ไม่ต้องมีเนื้อเรื่องที่แฝงไปด้วยนัยหรือแนวคิดซับซ้อน ไม่ต้องมีเกมเพลย์ที่ล้ำลึก คราบใดที่เกมเหล่านั้น “สนุก” ก็เพียงพอแล้วพอร์ตนี้เพื่อใคร?ด้วยราคากว่า 1,690 บาท เชื่อว่าแฟนเกมหลาย ๆ คนคงจะรู้สึกว่า “คุ้มค่า” แล้วโดยวัดจากคุณภาพของเกมทั้งสองเพียงอย่างเดียว แต่ในอีกแง่หนึ่ง เกม Uncharted 4 และ Uncharted: The Lost Legacy ก็แทบจะไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไหร่นัก จากการที่สร้างขึ้นมาจากโครงเดียวกันทั้งหมด (จะเรียกว่าเป็นเกมเดียวกันแต่เปลี่ยนสกินตัวละครก็ยังได้) และยิ่งเกมไม่มีโหมดออนไลน์ขวัญใจแฟน ๆ ด้วยยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลือกกราฟฟิคที่เกมมีให้เลือกสองโหมดคือ Fidelity (4K, 30FPS) และ Performance (60FPS) ยังรู้สึกจำกัดกว่าที่มีในเกมรีมาสเตอร์อื่น ๆ ของ PlayStation เช่น Marvel’s Spider-man ที่มีโหมดอย่าง Performance RT ซึ่งใช้เทคโนโลยี Ray Tracing ด้วย โดยผู้เขียนไม่มั่นใจว่าเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection ใช้ Ray Tracing ด้วยหรือไม่ (แต่ไม่สามารถหาข้อมูลที่ยืนยันแน่ชัดได้ว่าใช้ จึงชวนคิดไปว่าคงจะไม่ได้ใช้มากกว่า)ไม่ได้จะบอกว่าเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection กราฟฟิคไม่สวยแต่อย่างใด แต่ก็แลดูมีตัวเลือกจำกัดกว่าเกมหลายเกมที่ผ่านมาเช่นกันทั้งนี้ทั้งนั้น เช่นเดียวกับเกม PlayStation Exclusive ฉบับรีมาสเตอร์ทั้งหมดที่ผ่านมา เกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection ถือเป็นโอกาสอันดีให้คุณได้สัมผัสกับเกมเรือธงหลักเกมหนึ่งของ PlayStation 4 ในฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเครื่อง PlayStation 5 แต่ไม่เคยเล่น Uncharted มาก่อน รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน(คะแนนนี้สะท้อนถึงคุณภาพของการพอร์ตเกม ไม่ใช่คุณภาพของเกมโดยตรง)
26 Jan 2022
[บทความ] แนะนำเกม Dine Together เกม Play-to-Earn ที่ทุกคนพร้อม PAY!
เบื่อกันไหมกับเกม Play-to-Earn ที่ออกแบบมาให้หาเงินได้ก็จริง แต่นอกนั้นคือไม่มีอะไรจูงใจให้เล่นเลย ถ้าอย่างนั้นมาทำความรู้จักกับเกม Play-to-Earn แนวใหม่ ที่เราสามารถสร้างรายได้นานร่วมชั่วโมงได้อย่างไม่มีเบื่อ กับ DINE TOGETHERDine Together เกม Cafe Simulator บน chain ของ Factory เจ้าเดียวกับเกม NFT ในยุคเริ่มฮิตอย่าง Plant vs. Undead ที่เราจะได้สวมบทบาทเป็นเจ้าของร้านอาหารในเมืองที่มีเหล่าสัตว์น่ารักอาศัยอยู่ เปิดให้เล่นบน Web Browser และ Android ส่วน IOS คงต้องรอพัฒนาระบบไปก่อนจ้า (แต่สามารถเล่นบน Safari แทนได้นะ)โดยหน้าที่ของเราคือการสรรหาเชฟและจัดการร้านเพื่อต้อนรับลูกค้าที่จะเข้ามานั่งรับประทานอาหาร (ซึ่งก็เป็นพวกตัวน้อนเช่นกัน) ซึ่งเชฟแต่ละคนจะมีความสามารถในการทำเมนูที่แตกต่างกัน บางตัวถ้ามีทักษะสูงก็สามารถทำได้สูงสุดถึง 4 เมนูเลยนะยิ่งเมนูในร้านมีมาก สิ่งที่เราต้องเตรียมต่อมาคือจำนวนเตาและโต๊ะวางอาหารที่ต้องรองรับเพียงพอนั่นเอง อ้อ! แล้วอย่าลืมจัดซื้อโต๊ะ-เก้าอี้ไว้ด้วย เผื่อวันไหนลูกค้าเยอะจะได้มีที่นั่งกันทุกตัวขอบอกไว้ก่อนนะว่าเกมนี้ ไม่ Free to play เด้อ~ เพราะสิ่งที่เราจะได้มาตอนเริ่มเกมคือพื้นที่ร้าน 1 ห้อง เตา โต๊ะวางอาหาร ชุดโต๊ะและเก้าอี้ อย่างละ 1 ชิ้นเท่านั้น แน่นอนว่าลูกค้าสามารถเข้ามานั่งในร้านของเราได้ แต่จะไม่มีอะไรให้กินจนกว่าเราจะจ้างเชฟอย่างน้อย 1 ตัว!แนะนำว่าใครมี Metamask ให้เตรียมเงิน BUSD ไว้จำนวนหนึ่งเพื่อแลกเป็นสกุล FUSD สำหรับใช้ซื้อเหรียญ DINE และนำไปซื้อเชฟรวมถึงของตกแต่งร้านใน Marketplace และอย่าลืมเหลือ FUSD ไว้ด้วยล่ะ เพราะต้องใช้เป็นค่าแก๊ส >>วิธีซื้อเหรียญ โดยคุณ SK Tum จากกลุ่ม DINE TOGETHER [TH] [NFT GAME]
18 Jan 2022
[รีวิว] Far Cry 6 DLC - Episode 2: Control "เบื้องหลังจอมเผด็จการสุดโหด กับความอ่อนโยนสุดหยั่ง"
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่า ซีรีส์เกม Far Cry มักจะมีตัวร้ายที่โดดเด่นและน่าจดจำอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Vass โจรสลัดสุดเถื่อนจากภาค 3 หรือจะเป็น Pagan Min จอมเผด็จการเจ้าสำอางจากภาค 4 แม้กระทั่ง Joseph Seed เจ้าลัทธิประหลาดจากภาค 5 ก็ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ช่วยให้รสชาติของการผจญภัยในโลกของ Far Cry มีสีสันมากยิ่งขึ้น เมื่อมีตัวร้ายเหล่านี้เป็นเป้าหมายและล่าสุดทาง Far Cry 6 ได้ชุบชีวิตตัวร้ายระดับตำนานขึ้นมาอีกครั้ง ด้วย DLC ส่วนเสริมของเกม ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นตัวร้ายเสียเอง โดย DLC ตัวล่าสุดนั้นจะเป็นของ Pagan Min ภายใต้ชื่อ Control ที่จะพาผู้เล่นเข้าไปสำรวจภายในจิตใจของจอมเผด็จการแห่งดินแดนหลังคาโลก Kyrat กันแบบถึงเลือดถึงเนื้อDLC ตัวนี้จะคุ้มค่า คุ้มราคาหรือไม่ รีวิวนี้มีคำตอบ!!เผด็จการที่รักครอบครัวอย่างสุดหัวใจเมื่อเริ่มเข้าไปส่วนเสริม ตัวผู้เล่นจะอยู่ในมุมมองของ Pagan พร้อมกับครอบครัวอยู่ที่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารสุดหรู ทั้ง Ishwari (แม่ของ Ajay) Lakshmana (น้องสาวของ Ajay) และ Ajay (ตัวเอกหลักของภาค 4) ก่อนที่จะมีตัว Pagan อีกคนเข้ามายิง Laksmana ทิ้ง โดย Pagan อีกคนจะใช้ชื่อว่า The Tyrant หรือจอมทรราชตามที่เกมได้แปลไทยเอาไว้เพียงแค่ฉากแรก เราก็จะพอรับรู้ได้ในทันทีว่า Pagan รัก Ishwari จริง ๆ แบบไม่มีเงื่อนไข เขารักแม้กระทั่ง Ajay ที่เป็นลูกระหว่าง Ishwari กับผู้นำกลุ่มต่อต้าน Golden path อย่าง Mohan ถึงแม้กลุ่มต่อต้านจะสร้างเรื่องราวชวนปวดหัวให้กับเขามากมาย แต่ลูกของ Ishwari ก็เหมือนกับลูกของตัว Pagan เอง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเปิดรับ Ajay เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวภายใต้จิตใจของตัวเองด้วยหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ในความวุ่นวาย ตัวเราจะถูกยิงและตื่นขึ้นมาเหลือเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหาร พร้อมกันได้ยินเสียงของครอบครัวอยู่ตลอดการเล่น เป้าหมายของส่วนเสริมนี้คือ ตามหาหน้ากากทั้ง 3 ชิ้นของ Pagan เพื่อปลดล็อกประตูพระราชวังและเข้าไปช่วยครอบครัวของตัวเองให้ได้ระหว่างทาง ผู้เล่นจะได้เจอสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ช่วยบ่งบอกตัวตนของ Pagan ได้เป็นอย่างดี ทั้งบุคลิกที่หลงตัวเอง เอาแต่ใจ ติดนิสัยสร้างภาพ และค่อนข้างห่วงภาพลักษณ์จะถูกแสดงออกมาให้เห็นทั้งหมด ช่วยทำให้คนเล่นรู้จักความเป็นมนุษย์ของจอมเผด็จการคนนี้มากยิ่งขึ้นแต่หากว่ากันตามตรง ตัวเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือน่าตื่นเต้นสักเท่าไร เพราะซีรีส์ Far Cry ไม่ใช่เกมที่เน้นเนื้อเรื่องหนักอยู่แล้ว จุดเด่นของซีรีส์ไกลตะโกนจะเน้นไปที่ระบบการเล่นและการออกแบบเกมที่ช่วยให้คนเล่นติดพันเสียมากกว่า ดังนั้นหากใครที่หวังจะมาเสพเนื้อเรื่องเข้มข้นก็อาจจะต้องผิดหวังกันไประดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า คนที่เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้ ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเนื้อเรื่องอยู่แล้วล่ะครับเกิด ตาย วนเวียน และแข็งแกร่งขึ้นตัวเกมจะนำเสนอระบบเหมือนกับ DLC ตัวแรกของ Vass นั่นคือเป็นเกมเดินยิงแบบ Roguelike ที่ความตายจะทำให้ความคืบหน้าทุกอย่างหายไป ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก แต่ถึงกระนั้น ความคืบหน้าบางอย่างจะยังคงหลงเหลืออยู่ เพื่อให้ตัวเกมเข้าถึงได้ง่าย และไม่ยากจนชวนหัวร้อนมากเกินไปภายในตัวเกมจะมีค่าเงินอยู่เพียงอย่างเดียวที่เรียกว่า “ค่าความเคารพ” ซึ่งค่าเงินนี้จะใช้ทั้ง ปลดล็อกสกิล อัปเกรดของตกแต่งอาวุธ ไปจนถึงปลดล็อกช่องใส่พลังใหม่ ๆ อีกด้วยหากผู้เล่นเกิดตายขึ้นมาระหว่างการท่องโลกกว้าง หรือระหว่างการทำภารกิจ ความคืบหน้าต่าง ๆ รวมไปถึงค่าความเคารพที่สะสมมาจะสลายหายไปราวกับฝุ่นผงในอากาศ ทำให้ผู้เล่นได้ตระหนักถึงความจริงจังของเกมที่มอบให้ และความซีเรียสที่มากกว่าตัวเกมในภาคหลักเสียอีกด้วยเดิมพันที่สูง จึงทำให้ตัวเกมมีความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าตัวเกมกลับทำระบบความยากออกมาเพียงสองแบบเท่านั้น นั้นคือโหมดเนื้อเรื่อง (ง่าย) และโหมดแอ็กชัน (ยาก) ซึ่งทางตัวผู้เขียนได้ลองเล่นในโหมดเนื้อเรื่องก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพบว่าตัวเกมนั้นง่ายจนน่าเหลือเชื่อผู้เล่นสามารถยืนรับกระสุนท่ามกลางศัตรูนับสิบได้สบาย โดยที่พลังชีวิตยังเหลือเกินครึ่งเสียด้วยซ้ำ นี่จึงทำให้ความเป็น Roguelike ของตัวเกมกลายเป็นระบบที่ไม่ถูกใช้งานเลย หากคุณเล่นในโหมดนี้เพราะฉะนั้น หากใครที่ต้องการสัมผัสกับประสบการณ์ของ DLC กันแบบเต็ม ๆ แนะนำให้กดโหมดแอ็กชันมากกว่าครับเพราะนอกจากจะได้รับรู้ถึงความรากเลือดที่ตัวเกมนำเสนอคู่กับระบบ Roguelike แล้ว คุณยังจะได้ดึงฝีมือทั้งหมดที่มีออกมาใช้เต็มที่อีกด้วย ทุกการปะทะ ทุกภารกิจจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สมองต้องคิดตลอดเวลา ควรจะยิงตัวไหนก่อน ควรจะถอยไปเติมพลังไหม ถ้าฝืนสู้ไป ตายแล้วค่าความเคารพหายหมดจะคุ้มไหม ทำให้ตัวเกมแทบจะกลายเป็นคนละเกมเลยทีเดียวนอกจากโหมดสองแบบแล้ว ตัวเกมยังมีสิ่งที่เรียกว่า “ระดับจิตใจ” เพิ่มเข้ามาอีกด้วย โดยการเล่นในแต่ละรอบที่สำเร็จ จะทำให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อกระดับจิตใจขั้นต่อไปได้ มีไล่ไปตั้งแต่ระดับ 1-5  และระดับจิตใจที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ศัตรูแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ให้ค่าความเคารพเพิ่มขึ้นเช่นกัน ช่วยให้ผู้เล่นสามารถฟาร์มแต้มไปอัปเกรดตัวละครได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ระบบอัปเกรดที่ล้นเหลือด้านระบบอัปเกรดตัวละครก็ยังคงพื้นฐานของความเป็น Far Cry เอาไว้ได้ดี ผู้เล่นจะต้องใช้ค่าความเคารพในการอัปเกรดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสกิลที่แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่:อัตตา เพิ่มพลังชีวิต ทำให้สามารถรับดาเมจได้เพิ่มขึ้นโลภะ เก็บค่าความเคารพบางส่วนเอาไว้หลังตัวละครเสียชีวิตโทสะ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้อาวุธสังหารเกียจคร้าน การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กล้องถ่ายรูป ตะขอเกี่ยว ชุดร่อนเวหาริษยา เก็บอาวุธได้เพิ่มมากขึ้นแม้ระบบสายสกิลอาจจะไม่ได้ละเอียดเท่ากับตัวเกมหลัก แต่ก็นับว่าเพียงพอต่อการเล่นในส่วนเสริมนี้อย่างเหลือล้นแล้ว เบื้องต้น ทางผู้เขียนได้อัปเกรดสกิลไปประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ก็สามารถจบเกมได้แบบสบาย ๆ ในระดับจิตใจขั้นที่ 1 นอกจากระบบสกิลแล้ว ตัวเกมยังนำเสนอระบบ “พลัง” ที่จะมาในรูปแบบของหัวใจดรอปเอาไว้อยู่บนพื้น โดยพลังเหล่านี้จะถูกสุ่มออกมา ไม่มีอะไรที่แน่นอน ทำให้ในแต่ละชีวิตของผู้เล่นจะมีจุดเด่น และจุดด้อยที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง ช่วยลดความน่าเบื่อของการทำอะไรซ้ำ ๆ สไตล์ Roguelike ได้เป็นอย่างดีและระบบสุดท้ายก็คือระบบอัปเกรดตัวปืน ซึ่งแอบค่อนข้างมักง่ายอยู่เหมือนกัน ผู้เล่นจะไม่สามารถตกแต่งความสามารถของปืนเองได้ ทำได้เพียงแค่กดอัปเกรดเท่านั้น ส่งผลให้การอัปเกรดปืนขาดความยืดหยุ่นไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงตัวเกมจะนำเสนอระบบพัฒนาตัวละครมาถึงสามรูปแบบ แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดกลับเป็นระบบสกิลอย่างเดียวเพียงเท่านั้น ระบบพลังที่ควรจะช่วยให้ตัวเกมมีสันสันขึ้น กลับแสดงผลน้อยเกินจนน่าใจหาย หากไม่นับพลังชุบชีวิตได้หนึ่งครั้ง ก็ต้องบอกเลยว่าแทบจะไม่เห็นผลต่างในการเลือกใช้พลังสักเท่าไรเลยด้านระบบอัปเกรดปืนก็ยังคงขาดความหลากหลาย การอัปเกรดจะไม่ได้ช่วยเพิ่มดาเมจ แต่เป็นเพียงการเพิ่มลำกล้อง และที่เก็บเสียง ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ามันใช้งานได้ดีสำหรับคนที่ต้องเล่นแบบลอบเร้น แต่เชื่อเถอะครับว่า บุกเข้าไปยิงซึ่ง ๆ หน้า มียังมีโอกาสจบภารกิจไวกว่านั่งย่องไล่เชือดทีละคนเสียอีกงานภาพสวยงาม สมกับเป็น Far Cryชื่อของ Far Cry มักจะมาพร้อมกับภาพกราฟิกที่สวยล้ำยุค แต่ไม่ได้กินแรงเครื่องอยู่เสมอ ต้องยอมซูฮกกับทีมผู้พัฒนาจริง ๆ ว่า พวกเขายังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทางผู้เขียนได้ใช้ Laptop ระดับกลาง ๆ (CPU Intel i7-9750H และ GPU Nvdia RTX 2060) ในการเล่น DLC ตัวนี้ ซึ่งการตั้งค่าที่ตัวเครื่องเลือกมาให้นั้นอยู่ในระดับ High ด้านเฟรมเรตก็ทำได้ก็อยู่ในระดับ 60 แทบจะตลอดทั้งเกม มีเพียงฉากต่อสู้ที่ชุลมุนหนัก ๆ เท่านั้น อาจจะมีจังหวะร่วงบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรสในการเล่นแต่อย่างใดอีกทั้งตลอดการเล่นทั้งสองรอบ ตัวผู้เขียนไม่ได้มีการพบเจอบั๊กแม้แต่ครั้งเดียว เรียกได้ว่าทางทีมผู้พัฒนาเก็บงานมาค่อนข้างเนี้ยบเลยควรค่าแก่การเล่นไหม?แม้เนื้อเรื่องของ DLC Control นี้จะไม่ได้เป็นจุดเด่น แต่ด้วยตัวละครหลักอย่าง Pagan Min ที่มีเอกลักษณ์อันล้นเหลือ จึงทำให้เรารู้สึกสนใจติดตามความเป็นไปของเขาในโลกของเกมต่อได้อย่างไม่ยากเลยด้วยจังหวะหยอกเย้ากับตัวเอง การพูดที่แฝงไปด้วยมุกตลกร้าย รวมไปถึงเรื่องราวเบื้องหลังอันดำมืดที่แสดงให้เห็นว่า จอมเผด็จการผู้โหดเหี้ยมที่ต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ก็มีด้านที่เป็นมนุษย์และอ่อนโยนกับเขาอยู่เหมือนกันนอกจากนี้หากใครได้ไปลองสำรวจพื้นที่อื่น ๆ นอกจากภารกิจหลัก คุณยังจะได้รับรู้เนื้อเรื่องบางส่วนที่ขาดหายไปใน Far Cry 4 เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำเอาอยากกลับไปเล่นภาค 4 อีกรอบเลยทีเดียวแหละครับและสำหรับใครที่ไม่ได้สนใจอยากจะเติมเต็มจักรวาลของซีรีส์นี้สักเท่าไร แต่อยากเพียงจะเข้าไปยิงแหลก ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ตัว DLC นี้ก็สามารถตอบโจทย์คุณได้เช่นกัน ด้วยจำนวนศัตรูที่มากันแบบมืดฟ้ามัวดินในแต่ละภารกิจ รับรองได้เลยว่า คุณจะยิงกันจนเอียนกันไปข้างเลยจุดให้ติ ก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบระบบเกมที่ยกมาจาก DLC Insanity ตัวก่อนหน้าแทบทั้งดุ้น ทั้งระบบอัปเกรด ภารกิจหลักทั้งสามแห่ง ไปจนถึงฉากจบที่ต้องสู้กับศัตรูเป็นรอบ ๆ และฉากจบดันมีแบบเดียวซะอย่างนั้น ทั้งที่ตัวเกมมีทางเลือกในตอนท้ายสองแบบ ทำให้แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้พัฒนาแกจะใส่มาทำไมFar Cry ยังคงทดลองสิ่งใหม่ ๆ กับตัวเองอยู่เสมอ และในครั้งนี้ทีมพัฒนาได้ก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในโลกของ Roguelike นำระบบสุดคลาสสิกที่ชวนให้หัวร้อน ผสมผสานกับระบบอัปเกรดถาวรที่ช่วยให้เกมไม่ยากจนเกินไป พ่วงมาด้วยการปรับความยากสองระดับให้ผู้เล่นได้เลือกสรรตามใจชอบ ทำให้ตัว DLC นี้ สามารถเข้าถึงได้ทั้งกลุ่มผู้เล่น Hardcore และกลุ่มผู้เล่น Casual เชื่อว่าคนที่คิดจะลอง DLC นี้ คุณจะต้องเป็นคนที่เคยสัมผัสกับ Far Cry มาก่อนอย่างแน่นอน (อย่างน้อยก็ต้องเล่นภาค 6 มาก่อน) ซึ่งตัว DLC ยังคงเอกลักษณ์ ระบบการต่อสู้ของ Far Cry เอาไว้ครบถ้วน ด้วยราคาแค่ประมาณ 500 บาท (14.99 $) กับการเล่นซ้ำที่อย่างน้อยน่าจะจัดไป 3-4 รอบแน่ ๆ (สำหรับคนที่ไม่รู้ทาง รอบแรกน่าจะจบเกมประมาณ 2:30 ชั่วโมง ถ้ารู้ทางแล้วน่าจะจบภายใน 1 ชั่วโมงได้) แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วล่ะครับ
11 Jan 2022
[Review] Halo Infinite (Single Player) "หวนคืนสู่รากเหง้า เพื่อเตรียมตัวไปให้ไกลกว่าเดิม"
Halo เป็นแฟรนไชส์เกม Shooting ของฝั่ง Xbox จากทางผู้พัฒนา 343 Industries ที่มีออกมาด้วยกันถึง 5 ภาคแล้ว แต่ว่าภายในเกม Halo Infinite ที่พึ่งวางจำหน่ายออกมาทางผู้พัฒนาได้ประกาศลงให้กับเครื่อง PC ได้เล่นกันด้วย รวมถึงก่อนหน้านี้ทางผู้พัฒนาเองก็ได้ปล่อยโหมด Multiplayer ออกมาให้เราเล่นฟรี เพื่อหวังที่จะให้คนส่วนมากได้เข้าถึงเกมนี้มากขึ้นด้วย (อ่านรีวิวเวอร์ชัน Multiplayer) และในวันที่ 8 ธันวาคม 2021 ที่ผ่านมาทางผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยโหมด Single Player ที่เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นหลักของเกมนี้ด้วย และเรา GameFever ก็ได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้มาเรียบร้อยและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบเกี่ยวกับโหมดนี้ทั้งหมดให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าเกมนี้ควรค่าแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่กราฟิกส่วนมาพูดถึงเรื่องงานด้านภาพทางหน้า Interface ของเกมจะยังมีความคล้ายคลึงกับทาง Halo 5 อยู่ แต่ในด้านกราฟิกนั้นจะมีความสมจริงและสวยงามมากกว่า รวมถึงในเกม Halo Infinite เป็นภาคแรกที่ทางผู้พัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเกมให้กลายเป็นแนว Open World ครั้งแรก แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นอายความเป็นโลกเปิดของเกมนั้นก็ยังไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากขนาดนั้น นอกจากการมีจุดทำภารกิจที่จะมีแคมป์ต่างๆ ของเหล่าศัตรู ซึ่งบรรยากาศส่วนใหญ่เรามักจะเห็นแต่ดินหญ้าและก็ก้อนหินเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะดูน่าเบื่อไปนิดแต่มันก็เข้าใจได้ที่ Setup ของโลกนี้จะอยู่บนดวงดาวรกร้างซึ่งมันก็พอเข้าใจได้แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจในเกมนี้เสียเท่าไรก็คงจะเป็นการ Optimise ของเกมที่ยังทำได้ไม่ดีพอสำหรับเครื่อง PC ที่สเปกไม่ได้สูงมากนัก โดยผู้เขียนได้ใช้คอมพิวเตอร์สเปก i5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งพูดตามตรงว่ามันก็ไม่ได้เป็นคอมพิวเตอร์ที่แย่นัก แต่ตัวเกมตอนที่อยู่ในโลกเปิดสามารถรันได้แค่ราวๆ 60FPS เท่านั้น และตัวเกมก็ชอบ Error และแคชเด้งออกจากเกมค่อนข้างบ่อยมากๆ จนเสียอารมณ์เลยทีเดียว แต่ปัญหานี้อาจจะหมดไปถ้าหากคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นมีสเปกเครื่องที่แรงมากพอ ปัญหานี้ก็อาจจะหมดไปเนื้อเรื่องพูดถึงเรื่องราวของเกมภาคนี้จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับกองบัญชาการอวกาศแห่งสหประชาชาติ UNSC (องค์กรของเหล่ามนุษย์) ที่ถูกโจมตีโดยมนุษย์ต่างดาว Atriox และสามารถชนะตัวเอกอย่าง Master Chief (ตัวละครเอกที่เราบังคับ) ลงได้ ซึ่งพอหลังจากได้รับการช่วยเหลือทางตัวเราเองจะต้อง กอบกู้องค์กรกลับคืนมาต้องขอพูดตามตรงว่าส่วนตัวผู้เขียนเองไม่เคยเล่นเกม Halo ภาคไหนๆ มาก่อน (เพราะไม่ใช่แฟนเกม Xbox) แต่จากที่ได้เล่นเกม Halo Infinite มาตัวเนื้อเรื่องในภาคนี้ตัวโครงเรื่องจะไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนมากนัก คนที่ไม่เคยเล่นเกมจากซีรีส์นี้มาก่อนก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงแค่คุณอาจจะต้องเรียนรู้ว่า Master Chief เป็นใคร และภารกิจต่างๆ ก็จะเน้นการผจญภัยไปที่จะสเต็ป แต่ใครที่เคยเล่นภาคเก่าๆ มาก็อาจจะทำให้คุณอินกับเรื่องราวมากขึ้น เพราะมันจะมีพวกเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเกมจะไม่ได้อธิบายความเป็นมา และถึงแม้ว่าโครงเรื่องของเกมอาจจะดูธรรมดา แต่รายละเอียดภายในค่อนข้างมีความซับซ้อนในเรื่องของรายละเอียดคำศัพท์แนว Sci-fi และบทดราม่าที่ใส่เข้ามาเรื่อยๆ โดยเนื้อเรื่องหลักรวมการเดินทางประปรายจะใช้เวลาเล่นอยู่ราวๆ 15 ชั่วโมงเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ ตัวเกมก็จะยังคงกลิ่นอายความเป็น Gun Play เหมือนเดิม โดยการเล่นก็ไม่ได้มีระบบอะไรมากนอกจากการหาปืนต่างๆ มาจัดการศัตรูให้หมดในพื้นที่นั้น แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์ Halo มีความสนุกก็คือการที่ตัว Master Chief มีลูกเล่นให้เล่นเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นระเบิดหลากหลายแบบ (ระเบิดตูม ระเบิดช็อต) หรือจะเป็นความสามารถต่างๆ เช่นการใช้ Grapling Hook, โล่ห์กันกระสุน หรือแม้กระทั่งเครื่องสแกนส่วนอาวุธของเกมนี้ก็มีให้เลือกใช้มากมายด้วยเพื่อให้เราไม่รู้สึกเบื่อในการเล่นเลย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเลเซอร์ ปืนกล ปืนพกแม็กนั่ม หรือจะเป็นอาวุธระยะประชิดด้วย ซึ่งมีให้ใช้หลายสิบอันเลยทีเดียว และไม่มีทางที่คุณนั้นจะได้เลือกใช้อาวุธปืนเดียวตลอดทั้งเกม เพราะกระสุนแต่ละปืนมีให้น้อยมากๆ ใช้แปปเดียวก็หมดและคุณก็จะต้องหาปืนใหม่ไปเรื่อยๆ แก้ไขสถานการณ์ไปเรื่อยๆ บางทีคุณจะต้องคิดให้รอบคอบด้วยและศัตรูที่อยู่ในฉากนั้นก็มีให้พบเจอค่อนข้างหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นศัตรูที่มีโล่ห์พลังงานป้องกัน ศัตรูที่บินได้ ศัตรูที่ล่องหนได้และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงศัตรูที่อยู่ในฉากนั้นก็แห่กันเข้ามาหลายสิบตัว ทำให้เราจำเป็นต้องทั้งยิงศัตรู ใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์เช่นการใช้ Grapling Hook โหนไปยังจุดต่างๆ เพื่อหลบกระสุนเป็นต้น หรือโหนไปหาศัตรูเพื่อโจมตีระยะประชิด ตัวเกมเป็นสไตล์ Gun and Run ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันคือความสนุกหลักๆ ของเกมนี้ ธรรมดาแต่ดีงามมากๆ และอย่างที่ทราบว่าตัวเกมนี้มีองค์ประกอบความเป็น RPG ตัวเกมจะมีแคมป์ของศัตรูต่างๆ ให้เราไปพิชิต ซึ่งนอกจากเควสหลักและเควสรองที่ให้เราทำ ตัวเกมยังมีจุด Tower ฐานที่มั่นศัตรูที่จะให้เราได้เข้าไปยึด ซึ่งมันก็จะปลดล็อคจุด Fast Travel หรือเป็นจุดที่ให้เรานั้นได้เบิกรถได้นอกจากนี้ตัวเกมยังใส่ระบบการอัพเกรดเข้ามาด้วย โดยเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ต่างๆ ของเราได้ไม่เวลาจะเป็นพลังลดคูลดาวน์ของ Grapling Hook หรือจะสามารถอัพเกรดชุดเกราะให้มีความถึกมากขึ้นด้วย เพียงแต่ว่าการเก็บของอัพเกรดนั้นมันจะไม่ได้มาจากการฆ่าศัตรู แต่คุณจะต้องไปสำรวจพื้นที่เพื่อเก็บแต้มอัพเกรดตามจุดต่างๆ ไปด้วย ซึ่งถ้าหากคุณอยากผ่านภารกิจแบบสบายๆ คุณก็อาจจะต้องเก็บสิ่งพวกนี้มาอัปเกรดเยอะๆ ความรู้สึกจากที่ได้เล่นมาก็ต้องยอมรับเลยว่า ถึงแม้ระบบต่างๆ ของ Halo มันจะไม่ได้ดูใหม่เหมือนเกมซีรีส์อื่นๆ ก็ต้องยอมรับว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ไปสุดในทางของตัวเอง และยังคงความคลาสสิคของมันได้อย่างดี ความธรรมดาของมัน แต่กลับสนุกจนหยุดเล่นไม่ได้เลย เป็นหนึ่งในเกม Run and Gun ที่ยอดเยี่ยมในดวงใจอีกหนึ่งเกม ในด้านเนื้อเรื่องผู้พัฒนาเองก็อาจจะต้องการเปิดรับฐานแฟนเกมใหม่ๆ ผู้พัฒนาเลยอาจจะวางตัวโครงเนื้อเรื่องที่สามารถเสพได้ทั้งแฟนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี เข้าใจหลักเบื้องต้นได้ง่ายไม่ได้รู้สึกงงแต่อย่างใด แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าน่าจดจำขนาดนั้นส่วนข้อเสียที่รู้สึกอย่างเดียวเลยก็คือการ Optimise ของเกมที่ทำออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก ตัวเกมมีการแคชหลุดออกจากเกมบ่อย หรือเฟรมเรทที่รีดออกมาได้ไม่สูงนัก คงเป็นเพราะความเป็น Open World ของมันนั่นเอง ซึ่งบางทีมันก็แอบรู้สึกน่ารำคาญอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนตัวจึงแนะนำว่าถ้าหากคุณมีสเปกคอมระดับกลางๆ บางทีซื้อเกมนี้บนเครื่อง Xbox อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก แต่ถ้าหากคุณมีมีคอมพิวเตอร์ที่แรงมากๆ ก็น่าจะไม่มีปัญหานี้
20 Dec 2021
[Preview] พรีวิวเกม KartRider: Drift Closed Beta "เกมฟรี เล่นง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย"
เกมแข่งรถสุดน่ารักที่อยู่คู่กับบริษัทสัญชาติเกาหลีอย่าง Nexon มานานอย่าง KartRider กำลังจะเปิดให้บริการภาคใหม่ภายใต้ชื่อ KartRider: Drift ซึ่งทางผู้เขียนก็ได้เข้าไปสัมผัสกับตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta มาด้วยตัวเอง วันนี้เลยมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังตัวเกมยังคงใช้งานภาพสไตล์สดใส น่ารัก ที่เป็นจุดเด่นของเกม KartRider เอาไว้เหมือนเช่นเคย ซึ่งใน KartRider: Drift นี้ได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการพัฒนาอีกด้วย เพราะฉะนั้นรับรองเรื่องความสวยงามรวมไปถึงเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้เลย ในขณะเดียวกัน คงไม่ต้องบอกว่าหากใครที่ชอบภาพแนวสมจริง เกม KartRider: Drift คงไม่เหมาะกับคุณสักเท่าไร เพราะตัวเกมไม่ได้มีการให้แสงเงาที่สมจริงหรือโดดเด่นขนาดนั้น แต่ก็แลกกลับมาด้วยการกินแรงเครื่องที่น้อยลงเช่นกัน โดยตัวเกมต้องการ RAM เพียง 8 GB และการ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง GTX 780 ti หรือ RX 5500 XT เท่านั้นเองการควบคุมที่ไม่ซับซ้อนการควบคุมในเกม KartRider: Drift นั้นใช้ปุ่มเพียงแค่ 7 ปุ่ม นั่นคือปุ่มลูกศร ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ทั้ง 4 ปุ่มในการควบคุมทิศทาง ไปจนถึงการเร่งความเร็วและการเบรก ปุ่ม Shift ใช้ในการดริฟต์ ปุ่ม Ctrl ใช้ในการกดใช้ไอเทม และปุ่ม Alt ใช้ในการสับเปลี่ยนไอเทม แม้การควบคุมอาจจะฟังดูง่าย แต่พอได้ลองจับเองแล้ว จะรู้สึกว่ามันยากกว่าที่คิดทันที ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะ Ping จากการเชื่อมต่อกับผู้เล่นอื่นๆ ที่มาจากทางไกล หรือว่าเพราะตัวเกมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จังหวะในการขับรถมักจะรู้สึกถึงอาการหน่วงๆ อยู่เสมอ จึงทำให้บังคับตัวรถไม่ได้ดั่งใจนึกเท่าไรนักและตัวเกมยังได้ใส่ระบบช่วยมองข้างหลังมาด้วย ซึ่งช่วยเอาไว้ให้ผู้เล่นรับรู้สถานการณ์ แถมยังช่วยให้สามารถขัดขวางเส้นทางของคู่แข่งที่พยายามแซงเราได้ด้วยโหมดต่างๆ ของตัวเกมสิ่งที่ทำให้ KartRider: Drift นั้นโดดเด่นจากเกมแข่งรถทั่วไปนั่นคือการใช้ไอเทม ที่ช่วยส่งเสริมให้เกมนี้เข้าถึงผู้คนง่ายมากยิ่งขึ้น และ Item Mode ยังเป็นระบบการเล่นหลักของตัวเกมอีกด้วย โดย Item Mode นี้จะมีทั้ง Solo 1 คน, Duo 2 คน ไปจนถึง Squad 4 คนเลย ซึ่งภายในหนึ่งห้อง จะมีผู้เล่นทั้งหมดรวมกัน 8 คนด้วยกันไอเทมต่างๆ จะสามารถเก็บได้จากการขับชนกล่องไอเทมตามฉาก โดยตัวไอเทมจะมีหลากหลายประเภทแตกต่างกันไปตามลำดับของผู้เล่นที่เก็บได้ ณ ตอนนั้น เช่น หากผู้เล่นอยู่ในลำดับท้ายๆ ตัวผู้เล่นมักจะได้ไอเทมประเภทเร่งความเร็วที่ช่วยให้สามารถไล่กวดผู้เล่นอันดับต้นๆ ได้ทันถ้าผู้เล่นอยู่ในอันดับกลางๆ ก็มักจะได้ไอเทมประเภทที่ใช้ปั่นป่วนคู่ต่อสู้ และถ้าอยู่อันดับต้นๆ ก็มักจะได้ไอเทมที่ช่วยป้องกัน ทำให้เกมการเล่นมีจังหวะชิงไหวชิงพริบระหว่างผู้เล่นอยู่เสมอ อีกทั้งตัวผู้เล่นยังสามารถเก็บไอเทมได้ 2 ช่อง ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไอเทมนี้ในช่วงเวลาไหนโดยไอเทมต่างๆ มีรายชื่อดังนี้ (ไอเทมบางชนิดจะมีในเฉพาะโหมดทีมอีกด้วย)Water Wisp: ภูติน้ำที่ช่วยล็อกเป้าผู้เล่นคนอื่นที่อยู่อันดับเหนือกว่าผู้ใช้หนึ่งคน และขังอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่งWater Bomb: ระเบิดน้ำที่จะสร้างกับดักเป็นพื้นที่กว้าง หากใครขับไปชนมันระหว่างที่แสดงผลอยู่ ะทำให้ติดอยู่ในลูกโป่งน้ำระยะเวลาหนึ่งเช่นกันMagnet: แม่เหล็กที่สามารถเลือกเป้าหมายด้านหน้าได้ ตัวผู้ใช้กับเป้าหมาย จะถูกดึงดูดเข้าหากัน (หากผู้ใช้ดูดจนแซงหน้าเป้าหมายไปแล้ว ผู้ใช้จะถูกชลอความเร็วลงแทน)Missile: ยิงจรวดใส่เป้าหมาย ต้องเลือกเป้าหมายเอง หากเล็งไม่ดีอาจจะพลาดเป้าได้ Seeker Missile: จรวดติดตามเป้าหมาย ไม่มีทางพลาดเป้า เพียงแค่กดยิง ก็จะพุ่งไปหาเป้าที่ใกล้ที่สุดโดยทันทีUFO: ทำให้อันดับที่ 1 ลอยขึ้นบนฟ้าชั่วครู่ ช่วยชลอความเร็วShield: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นคนอื่นได้ 1 ครั้งAngel Armour: ป้องกันไอเทมจากผู้เล่นทีมอื่นได้ 1 ครั้ง แสดงผลทั้งทีมBanana: วางเปลือกกล้วยเอาไว้บนทาง คนที่เหยียบจะทำให้รถหมุน เสียการควบคุมBarricade: วางสิ่งกีดขวางเอาไว้ด้านหน้าสามจุด คนที่ขับไปชน จะถูกลดความเร็วลงLighting: สร้างเมฆสายฟ้าขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง และผ่าผู้เล่นทุกคน ทำให้ความเร็วลดลงLock: ทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถใช้ไอเทมได้ชั่วคราวBoost: เพิ่มความเร็วในชั่วระยะเวลาหนึ่งนอกจาก Item Mode แล้ว สำหรับคนที่อยากจะประลองฝีมือแบบจริงจังก็ยังมี Speed Mode ที่จะปลดล็อกหลังจากผู้เล่นสอบ License ระดับ Intermediate ผ่าน โดยโหมดนี้จะไม่มีไอเทม จะเป็นการวัดฝีมือในการขับขี่ ลัดเลาะทางโค้ง รวมถึงใช้ฝีมือในการดริตฟ์เพื่อเก็บเกจบูสแข่งกันเท่านั้นและสำหรับใครที่อยากจะท้าทายตัวเองก็ยังมีโหมด Time Attack ที่จะเป็นการเล่นคนเดียว จับเวลาว่าผู้เล่นจะสามารถทำเวลาที่ดีที่สุดได้เท่าไร โหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยทำความคุ้นเคยกับสนามแข่งได้ดี โดยหากใครอยากเทียบสถิติกับผู้เล่นคนอื่นในเซิร์ฟเวอร์ ตัวเกมก็มี Time Attack แบบ Ranked Challenge ที่จะเก็บสถิติเวลาของคนทั้งเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ และเอามาเทียบกันได้อีกด้วยส่วนใครที่อยากจะสร้างห้องเล่นเกมขำๆ กับเพื่อน ตัวเกมก็ยังรองรับด้วย Custom Race ที่ให้สร้างห้อง เลือกด่าน ได้ตามใจชอบ เหมาะสำหรับคนที่อยากเฮฮากับเพื่อนๆ เฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องไปสุ่มเจอกับคนอื่นในตัวเกมให้เสียอารมณ์เปล่าๆต้องยอมรับว่า หากเกม KartRider ตัดระบบการใช้ไอเทมออกไป มันจะกลายเป็นเหมือนกับเกมแข่งรถดาดๆ ที่มีดีแค่ภาพน่ารัก ดึงดูดสาย Casual เท่านั้นเอง ซึ่งหากว่ากันตามตรง ระบบการใช้ไอเทมก็พอจะให้ความบันเทิงกับผู้เล่นได้อยู่บ้าง มีบ่อยครั้งที่ผู้เล่นสามารถพลิกกลับมาจากอันดับสุดท้าย กลายเป็นอันดับที่ 1 ได้ หากวางแผนใช้ไอเทมที่เก็บมาอย่างชาญฉลาด ซึ่งตรงจุดนี้ตัวเกมก็นำเสมอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ตัวเกมอาจจะมีการควบคุม และเกมการเล่นที่ไม่ซับซ้อน แต่การเล่นให้ชำนาญก็ถือว่ายากเอาเรื่องเช่นกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “เล่นให้เป็นง่าย แต่เล่นให้เก่งยาก”สนามแข่งที่มีให้เลือกมากมายถึง 33 รูปแบบในตัวเกมเวอร์ชัน Closed Beta นั้น มาพร้อมกับสนามแข่งทั้งหมด 33 แห่ง โดยแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ และความยากที่แตกต่างกันไป โดยสนามที่ง่ายๆ นั้นเส้นทางจะไม่ซับซ้อน มีการหักโค้งไม่เยอะเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางตรงเสียมากกว่า และสำหรับในด่านที่ยากขึ้นนั้น เส้นทางจะค่อนข้างซับซ้อนและคดเคี้ยวมากกว่าเดิม ทำให้การควบคุมรถจะต้องใช้ฝีมือของผู้เล่นมากยิ่งขึ้น ความยากง่ายของแต่ละสนามจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งแน่นอนว่า สนามระดับ 1 ที่ง่ายสุด มีจำนวนให้เล่นเยอะที่สุดเช่นกัน การออกแบบสนามแข่งของเกม KartRider: Drift นั้นก็มีความหลากหลาย บางสนามจะมีรถรางมาคอยวิ่งตัดหน้าผู้เล่น บางสนามก็จะมีเนินเล็กๆ ให้ผู้เล่นเร่งความเร็วเพื่อดีดตัวขึ้นไปกลางอากาศได้ ซึ่งหากผู้เล่นคนไหนสามารถดึงจุดเด่นของแต่ละสนามออกมาใช้ได้ดี ผู้เล่นคนนั้นย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งอย่างแน่นอนปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การออกแบบสนามแข่งทำออกมาค่อนข้างสร้างสรรค์ ผู้เล่นจะได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ต่อให้สุ่มไปเจอสนามเดิม แต่การขับรถก็จะเปลี่ยนไป เพราะไอเทมที่เจอ ผู้เล่นคนอื่น มันเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นี่จึงช่วยทำให้ KartRider: Drift สามารถดึงผู้เล่นที่ชื่นชอบความเร็วให้ติดหนึบอยู่กับหน้าจอได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียวความหลากหลายของยานพาหนะในตอน Closed Beta อาจจะยังมีรถให้เลือกไม่มากนัก แต่รถที่มีระดับต่างกัน ก็ให้สเตตัสที่ต่างกันอีกด้วยโดยสเตตัสของตัวรถจะถูกแบ่งออกเป็น 7 อย่าง ได้แก่ความเร็งสูงสุดอัตราเร่งประสิทธิภาพในการดริฟต์ความแรงในการออกตัวระยะเวลาบูสต์พลังของบูสเตอร์การควบคุมเท่าที่เห็นในตอนนี้ รถที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะมีสเตตัสที่เหมือนกัน ถึงจะเป็นรถคนละแบบก็ตาม นี่จึงกลายเป็นคำถามว่า ‘แล้วจะทำรถคันอื่นๆ มาทำไมถ้ามันให้ค่าพลังที่เหมือนกัน’ หากจะอ้างว่ามันเป็นแฟชั่นก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเท่าไรนัก เพราะตัวเกมก็มีระบบแต่งรถมาให้อยู่แล้ว โดยปรับได้ตั้งแต่ล้อ ยันไฟจากเกจบูสต์ ดังนั้นตัวเกมในเวอร์ชัน Open Beta อาจจะมีอะไรที่้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็เป็นได้ไร้วี่แววของระบบร้านค้าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจที่ภายในเกม KartRider: Drift ไม่มีระบบร้านค้าเข้ามา โดยทางผู้พัฒนาได้เขียนอธิบายตัวเกมใน Steam เอาไว้ว่า “ท้าทายกับเพื่อนของคุณข้ามผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยที่ไม่มีพรมแดน และไม่มีกำแพงของการจ่ายเงินเพื่อเก่งกว่า (Pay to Win) ทำให้ทุกคนสามารถมีช่วงเวลาที่สนุกกับเกมนี้ได้ แม้กำลังแข่งขันกับเพื่อตำแหน่งอันดับต้นๆ ของเซิร์ฟเวอร์ก็ตาม ”ซึ่งนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเกมตัดระบบร้านค้าออกไป ส่วนไอเทมต่างๆ ที่จะมาใช้แต่งรถนั้นจะได้มาจากการทำเควส หรือการเติม Racing Pass ที่ยิ่งเล่น ก็จะยิ่งปลดล็อก โดยไอเทมที่ได้มานั้นจะไม่มีผลใดๆ ต่อตัวค่าพลังของรถเลย งานนี้ต้องมาดูกันว่า ระบบเกมที่ไร้ร้านค้าแบบนี้จะรุ่งหรือจะร่วงกันแน่เล่นฟรีทุกแพลตฟอร์มเป็นอีกหนึ่งเกม Cross Platform ที่น่าจะค่อนข้างยุติธรรม เพราะไม่มีแพลตฟอร์มไหนได้เปรียบพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเล่นเกม FPS แบบข้ามแพลตฟอร์ม ผู้เล่นที่ใช้จอยมักจะเล็งเป้าละเอียดสู้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์ไม่ได้ และถ้าทางผู้พัฒนาใส่ระบบช่วยเล็งมาให้ผู้เล่นที่ใช้จอย บางทีก็จะแม่นจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นที่ใช้เมาส์หัวร้อนได้เช่นกัน แต่เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับ KartRider: Drift อย่างแน่นอน เนื่องจากตัวเกมทำออกมาในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ควบคุมง่าย ทำให้ทุกแพลตฟอร์มสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุกสนาน เท่าเทียมกันควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?KartRider: Drift เป็นเกมที่มีระบบเข้าถึงง่าย ทั้งการควบคุมที่ไม่ซับซ้อน ประกอบกับภาพที่น่ารักสดใส เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ถึงกระนั้นตัวเกมก็ไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือแตกต่างไปจากเกมในประเภทเดียวกัน ไอเทมที่เป็นจุดชูโรงของตัวเกม ล้วนเคยถูกนำเสนอในเกมแข่งรถสายแคชชวลมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Mario Kart หรือ Speed Drifter ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เกมพวกนี้ล้วนหยิบยืมไอเดียกันไปมาอยู่เสมอๆ ด้านภาพกราฟิกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา อาจจะเพราะต้องการทำให้ทุกคนและทุกแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงง่าย ทางทีมพัฒนาเลยไม่ได้ใส่ทุกอย่างแบบจัดเต็ม และเลือกนำเสนอในรูปแบบที่พื้นๆ แต่ยังคงความน่ารักของแฟรนไชส์เอาไว้แทนที่ ซึ่งก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรนัก แต่ถ้าคนที่ชอบภาพแนวสมจริง คงจะต้องขอโบกมือลาเกมนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของตัวเกมก็คงหนีไม่พ้น การเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างลื่นไหล ตลอดการเล่นช่วง Closed Beta ตัวผู้เขียนมักจะเห็นผู้เล่นจากแพลตฟอร์มอื่นอยู่เสมอ โดยตัวเกมได้ขึ้นบอกเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องคอนโซลนั้นๆ ที่มุมซ้ายบนของจอ ทั้งนี้อาจจะเพราะยังเป็นช่วง Closed Beta อยู่ จึงทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นผู้เล่นจากเครื่องคอนโซลเยอะขนาดนั้นก็เป็นได้สำหรับใครที่กำลังมองหาเกมสนุกๆ ภาพน่ารัก เอาไว้เล่นกับเพื่อน เล่นกับแฟน หรือเอาไว้เล่นฆ่าเวลา KartRider: Drift ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ด้วยองค์ประกอบของเกมฟรี เข้าถึงง่าย เล่นเป็นง่าย โหมดที่รองรับคนหลากหลายประเภท ทั้ง Speed Mode ที่วัดฝีมือการขับรถกันเพียวๆ หรือ Time Attack ที่เน้นความท้าทายกับผู้เล่นแถมยังตัวเกมยังรองรับหลายแพลตฟอร์ม และไร้ระบบ Pay To Win เกมแข่งรถสายแคชชวลเกมนี้ก็น่าจับตามอง และเชื่อว่าในเกมเวอร์ชั่นเต็มน่าจะปรับแก้ข้อบกพร่องต่างๆ ได้ไม่มากก็น้อย
17 Dec 2021
[Review] รีวิวเกม Thunder Tier One "คืนสู่เหย้า รากเหง้าเกม Tactical Shooter"
เกมยิงเชิงกลยุทธ์หรือ Tactical Shooter เป็นหนึ่งในแนวเกมที่ปัจจุบัน บรรดาผู้พัฒนาเกมซึ่งเคยทำเกมแนวนี้จนเป็นกลายเป็นแม่แบบให้กับวงการ กลับหลงทาง ออกทะเล จนกู่ไม่กลับ แค่เรากล่าวประโยคเดียว เชื่อว่าทุกคนจะนึกถึง Ubisoft เป็นรายชื่อต้นๆ กับ Ghost Recon และ Rainbow Six ยิ่งพูดก็ยิ่งเหนื่อยใจ กับสถานะของเกมทั้งสอง อีกเกมก็จะโดดร่ม อีกเกมก็จะยิงเอเลี่ยน (ถอนหายใจเฮือกใหญ่) จึงเป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นทีมพัฒนาทั้งค่ายเล็กหรือค่ายกลาง พยายามพัฒนาเกม tactical shooter ให้ย้อนกลับไปสู่จุดที่ทำให้เกมแนวดังกล่าว รุ่งเรืองและเป็นที่จดจำ ทั้ง Insurgency, Zero Hour, GROUND BRANCH, Ready Or Not และเกมที่เรากำลังจะกล่าวถึงอย่าง Thunder Tier OneThunder Tier One เป็นเกมแนว Realistic Top-down Shooter แตกต่างจากเกมอื่นที่กล่าวข้างต้น ซึ่งล้วนเป็นเกมแนว First-Person Shooter ความแตกต่างดังกล่าวจึงทำให้กลายเป็นจุดสนใจ เพราะเกม Top-down Shooter (มุมมองตาสวรรค์จากด้านบน) แบบกึ่งสมจริงมีจำนวนไม่มากสักเท่าไรเมื่อเทียบกับ First-Person Shooter ยกตัวอย่างเช่นเกม Police Stories, Foxhole และ Intravenous เป็นต้น นอกจากนั้น ชื่อเสียงของทีมพัฒนาก็เป็นอีกจุดสนใจ สำหรับทีม KRAFTON, Inc. ผู้พัฒนาเกมซึ่งสร้างกระแสนิยมในแนว battle royale อย่าง PUBG: BATTLEGROUNDSเรื่องราวเบื้องต้นเรื่องราวในเกม Thunder Tier One อาจไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เป็นเรื่องของหน่วยกองกำลังต่อต้านการก่อการร้าย Thunder ต้องลงพื้นที่ทำภารกิจเด็ดหัวผู้นำองค์กรก่อการร้ายที่ผันตัวมาจากกองกำลังกึ่งทหาร SBR ซึ่งกำลังก่อการอุกอาจในประเทศ Salobia เนื้อเรื่องในเกมเป็นเพียงเป็นเหตุผลสนับสนุนให้เราออกไปเด็ดหัวผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่จุดขายและจุดมุ่งหมายสำคัญของเกม ฉะนั้น หัวใจหลักของ Thunder Tier One จริงๆ คือระบบการเล่นที่ทำมาเพื่อสร้างความประทับใจและตอบแทนคอเกมยิงเชิงกลยุทธ์จนสาแก่ใจระบบการเล่นระบบการเล่นของ Thunder Tier One นำผู้เล่นย้อนไปสู่จุดสูงสุดของเกมแนวดังกล่าว หากเปรียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน Thunder Tier One คือ Ghost Recon และ Rainbow Six ในยุคแรก ทั้งระบบเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ช่วงปฏิบัติภารกิจ (off-battle) และระบบการเล่นตอนปฏิบัติภารกิจช่วงเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ช่วงปฏิบัติภารกิจ (off-battle)ช่วงเตรียมตัว เกมมีระบบการปรับแต่งเจ้าหน้าที่แบบละเอียดในระดับหนึ่ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า เกมแบ่งเป็นสองหมวดคือ 1. เครื่องแต่งกาย 2. อาวุธและอุปกรณ์ ในด้านเครื่องแต่งกาย แบ่งเป็นเครื่องแต่งกายหลัก กับเครื่องแต่งกายรอง จำพวกไม่ส่งผลต่อค่าสถานะอย่างมีนัย การสวมใส่จะส่งผลต่อค่าสถิติของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทข้างต้น โดยค่าสถานะประกอบด้วยHead Protection ส่งผลกับการป้องกันศีรษะBody Protection ส่งผลกับการป้องกันลำตัวMobility ส่งผลกับความเร็วเคลื่อนที่, การฟื้นตัวจากอาการเหนื่อยหอบ และการปีนป่ายสิ่งกีดขวางDexterity ส่งผลกับการสลับอาวุธและรีโหลด, ความนิ่งการเล็งเป้า, หยิบของจากพื้น และปีนบันไดEncumbrance ส่งผลกับค่าความเหนื่อยโดยรวมและการส่งเสียงจากตัวเจ้าหน้าที่ส่วนอาวุธแต่ละชิ้นก็มีค่าสถานะเฉพาะตัวตามเอกลักษณ์ของปืนแต่ละกระบอก เกมไม่มีจำกัดการเข้าถึงปืน ปืนทุกกระบอกเราสามารถหยิบใช้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่เริ่มเล่นเกมครั้งแรก รวมถึงอุปกรณ์เสริมก็เช่นกัน ทั้งอาวุธและอุปกรณ์จะมีแต้มกำหนดไว้แต่ละชิ้น (ในเกมเรียกว่า budget) การเลือกใช้อาวุธและอุปกรณ์ดังกล่าวจะบริโภคแต้มตามที่เกมกำหนดไว้ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละชิ้น โดยปกติเกมกำหนดให้ผู้เล่นสามารถใส่ได้สูงสุดที่ 24 แต้ม (แต่ผู้เล่นสามารถปรับแต่งกฎเรื่องแต้มเองได้ตามต้องการ)ปัจจุบันเกมมีอาวุธรวม 30 กระบอก ตั้งแต่ปืนพกจนถึงสไนเปอร์ ปืนแต่ละกระบอกสามารถใส่อุปกรณ์เสริมเพิ่มความแม่น (และเท่) ได้เช่นกัน แต่ของแต่งบางชิ้นก็บริโภคแต้มตามที่กล่าวไปข้างต้น ปืนบางกระบอกมีกระสุนให้เลือกใช้มากกว่าหนึ่งชนิด เลือกใช้ได้ตามสถานการณ์และความถนัด และเกมมีระบบเลเวลผู้เล่น แต่อย่าตื่นตระหนก ระบบดังกล่าวมีไว้เพื่อปลดล็อกสีปืน, สีเครื่องแต่งกาย และพวกเครื่องแต่งกายทั้งหลักและรองโดยก่อนลงปฏิบัติภารกิจ เกมมีการสรุปข้อมูลสำคัญในภารกิจให้ผู้เล่นได้เรียนรู้ จะไม่อ่านก็ได้ตามสะดวก แต่หากได้อ่านแล้ว ข้อมูลทุกอย่างที่เกมบอกเป็นข้อมูลสำคัญทั้งหมด อย่างการบอกว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการเวรยามหรือไม่ พื้นที่บางจุดสามารถเข้าถึงได้โดยใช้อุปกรณ์พิเศษผ่านทางเข้าไปผลจากระบบการปรับแต่งที่ละเอียด ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างแนวทางการเล่นที่ตนต้องการได้ตามใจนึก ไม่ว่าจะเล่นแนวหน้าสายฝ่ากระสุน แนวหลังสายสนับสนุน แนวซุ่มยิงเด็ดหัวทรชน หรืออื่นๆ ตามที่จะสรรหา เมื่อลงสนาม ปฏิบัติภารกิจ แนวทางการเล่นของผู้เล่นแต่ละคนจะส่งผลชัดเจนต่อรูปแบบการเล่นในทุกๆ รอบ อย่างเช่น เรากับเพื่อนร่วมทีมเน้นปรับแต่งอุปกรณ์มาเพื่อลอบเร้นเข้าปฏิบัติการ หากเราไม่พลาดทำให้ศัตรูตื่นตระหนก เราก็จะได้เกมการเล่นแบบแนวลอบเร้นไปจนจบตา หรือหากต้องการสาดกระสุนไม่สนสี่สนแปด เราก็จะได้เกมการเล่นแนวยิงแ*งเลย (shoot 'em up) สะใจไปจนจบตาอีกเช่นกันช่วงปฏิบัติภารกิจรากฐานของระบบเกมการเล่น Thunder Tier One คือความกึ่งสมจริง ซึ่งเป็นหัวใจของแนวเกม tactical shooter ในยุคก่อน ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบเรื่องนาทีสังหาร (time-to-kill) อันไวว่อง กระสุนเพียงนัดเดียวสามารถสังหารหรือถูกสังหารได้ การยิงหรือถูกยิงแต่ละนัดจะถูกคำนวณและส่งผลจากการแต่งกายของผู้เล่นความเปิดกว้างในการเข้าทำ (open-ended map) เกมใช้การออกแบบแผนที่แบบกึ่งเปิดกว้าง ไม่ถึงขั้นโลกเปิด (open world) ความแตกต่างจากแผนที่แบบโลกเปิดคือ เมื่อออกแบบโดยใช้ปรัชญาของเกมกึ่งเปิดกว้าง ผู้พัฒนาจะใส่รายละเอียดในแผนที่แบบยิบย่อยได้ลงลึกมากกว่า ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ Ghost Recon และ Rainbow Six ในยุคแรก เกม Thunder Tier One จึงมักโยนผู้เล่นลงไปในแต่ละพื้นที่ แล้วให้ผู้เล่น “ออกแบบการเล่น” อย่างที่ตนต้องการ การเล่นแต่ละรอบจะไม่เหมือนกัน หากผู้เล่นเลือกใช้เส้นทางใหม่ๆ ในการเข้าทำการเล่นเป็นทีม เมื่อพิเคราะห์ เกมถูกออกแบบให้เล่นกับเพื่อนมากกว่าเล่นคนเดียว นอกจากความไม่สมบูรณ์ของ AI ร่วมทีม การเล่นกับผู้เล่นจริงๆ ดึงประสิทธิภาพ ความสนุก และความสะดวกของเกมได้มากกว่า เนื่องด้วยเกมมีความยากในระดับหนึ่ง ประกอบกับต้องการความร่วมมือจากเพื่อนร่วมทีม ทั้งการสนับสนุนการยิง การใช้อุปกรณ์ การตรวจสอบตำแหน่งศัตรู การสำรวจพื้นที่ และการบุกเข้าทำโดยอาศัยความเป็นทีม หากได้เล่นแบบสื่อสารกันอย่างจริงจัง เราอาจเล่นแบบสวมบทบาทอย่างเกม milsim (จำลองการปฏิบัติการทหาร) ได้เลยทีเดียวเมื่อทุกองค์ประกอบล่อหลอมเข้าด้วยกัน ทั้งระบบช่วงก่อนปฏิบัติภารกิจและช่วงปฏิบัติภารกิจ ส่งผลให้เกม Thunder Tier One มีเกมการเล่นที่ย้อนกลับไปสู่รากเหง้าของเกมยิงเชิงกลยุทธ์แบบดั้งเดิม ทั้งต้องอาศัยความใจเย็นในการเข้าทำ ต้องวางแผนเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ต้องใช้ความแม่นยำในการสังหารศัตรู เพราะทุกย่างก้าวของความผิดพลาดนำไปสู่ความตายและความล้มเหลวของภารกิจ ถึงแม้เกมอาศัยมุมมอง top-down แต่มันไม่ได้บั่นทอนความเป็นเกมยิงเชิงกลยุทธ์แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น การใช้มุมมองดังกล่าวมันทำให้ผู้เล่นมองภาพรวมชัดกว่าเดิม เพราะเราเห็นทุกการกระทำของตัวเองและเพื่อนร่วมทีม ทำให้การร่วมมือระหว่างผู้ในทีมมีความลื่นไหลมากกว่าเกมที่ใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งพอสมควร (และลดอาการคลื่นเหียนอาเจียนไส้ ผลพวงจากการแพ้ภาพเคลื่อนไหวในเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่ง)แต่ยังมีสิ่งที่น่ากังวลโดยรวม Thunder Tier One เป็นเกมที่มีรากฐานมั่นคงและพร้อมนำไปต่อยอดให้ไปไกลกว่าตอนนี้ แต่ปัญหากลับอยู่ที่ประเด็นปริมาณเนื้อหาเกมที่มีน้อยจนน่าใจหาย เกมมีภารกิจหลักให้เล่นเพียง 9 ด่าน ส่วนโหมดผู้เล่นหลายคนก็นำด่านดังกล่าวมาใช้ซ้ำ ไม่ได้มีเนื้อหาแยกย่อยไปเป็นของตัวเอง ประกอบกับยังไม่มีแผนการอัปเดตเนื้อหาเกมจากผู้พัฒนาแต่อย่างใด ปัจจุบันคงต้องฝากความหวังไว้กับนักม็อด เนื่องจากเกมมีระบบ Steam Workshop หากคิดในอีกมุมก็มีความเป็นไปได้ เหตุที่มีระบบ Steam Workshop เพราะผู้พัฒนาก็อาจฝากความหวังไว้กับนักม็อดเช่นกัน ...
14 Dec 2021
[แนะนำเกม] Thetan Arena: เกม NFTs แนว MOBA เกมแรกของโลก!
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคน วันนี้พวกเรา GameFever ก็มีเกม NFTs มาแนะนำกันอีกแล้ว มีใครกำลังรออยู่บ้าง ยกมือขึ้น! ซึ่งเกมนี้ก็ได้เปิดตัวมาสักพักแล้ว และกระแสตอบรับก็ค่อนข้างดีทีเดียว อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นที่น่าจับตามองตั้งแต่เกมยังไม่เปิดแล้ว เพราะเขาเคลมตัวเองว่าเป็น NFTs MOBA เกมแรกของโลก! จะน่าสนใจแค่ไหนเราลองไปดูรายละเอียดของเกมนี้พร้อมกันเลยดีกว่าThetan Arenaคือเกม Blockchain-based MOBA & Battle Royale ที่รันอยู่บน Binance Smart Chain (BSC) โดยทางทีมงานได้ดีไซน์ให้เกมมีสิ่งน่าสนใจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกมเพลย์หรือระบบ in-game economy เพื่อให้เกมนี้เป็นผู้นำตลาดเกม Play-to-Earn และให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการเปิดพื้นที่สำหรับนักลงทุน Crypto เกมเมอร์และสตรีมเมอร์ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการที่นักลงทุนและคนเล่นเกมสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้จะก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน แถมตัวเกมยังมีพาร์ทเนอร์ชื่อดังมาร่วมลงทุนด้วยหลายเจ้าตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวเกมเสียอีกโดยเกม Thetan Arena ถูกพัฒนาโดยผู้พัฒนา / Developer ชาวเวียดนาม Wolffun ซึ่งเคยฝากผลงานระดับ Editor's Choice ของ Google Play อย่าง Tank Raid Online และ Heroes’ Strike ด้วยยอดดาวน์โหลดทะลุ 10 ล้านครั้งมาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะ "คาดหวัง" กับเกมนี้ได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะThetan Arena รองรับการเล่นบน PC, Android และ IOS ซึ่งล้วนเป็นช่องทางที่สะดวกสำหรับคนส่วนใหญ่ทั้งนั้น และเราสามารถเริ่มเล่นได้แบบ Free-to-Play อีกด้วย รู้แบบนี้แล้วก็ไปลองโหลดมาเล่นกันเลย!Battle Start!หลังจากเราโหลดตัวเกมมาแล้วให้ลงทะเบียนด้วยอีเมลก่อน เพื่อจะได้รับประโยชน์จากระบบเกมได้เต็มที่ จากนั้นตัวเกมจะพาเราเข้าสู่ Tutorial ซึ่งข้อดีนอกจากการสอนวิธีเล่น (ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ยากอะไรเลย) เลย ยังเป็นที่ให้เราทำความคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของตัวละครด้วย บางคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็จะได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้หลังจบการฝึก ทางเกมจะมีกล่องให้เราสุ่มฮีโร่จำนวน 3 ตัว ไปลงสนามแบบฟรีๆ ส่วนใครจะได้ตัวไหนก็ต้องลุ้นเอาเนอะ เพราะฮีโร่ในเกมจะแบ่งได้เป็น 3 คลาส คือ Tank, Assasin และ Maskman ที่จะมีจุดเด่นและวิธีการจู่โจมที่ต่างกันออกไป ซึ่งเราสามารถเลือก Try เพื่อลองเล่นดูก่อนได้จ้า~ส่วนการเข้าเกมนั้นเราสามารถดูได้ที่ด้านขวาล่าง ข้างปุ่ม Start เราจะสามารถเลือกโหมดได้ ใครชอบ Battle Royale ก็มีทั้งแบบเดี่ยวและคู่ หรือจะเลือกกันฐานในโหมด Tower เก็บแต้มใน Superstar ก็เลือกตามชอบ ส่วนสายลุยเน้น kill รัวๆ ก็แนะนำ Death match เลย!! แต่ก่อนลงสนามอย่าลืมจัดการสกิลที่อยู่ทางด้านซ้ายของล็อบบี้ก่อนด้วยล่ะส่วนการควบคุมนั้นเข้าใจไม่ยากเลย การเดินจะใช้ Controller ทางซ้ายส่วนปุ่มทางขวาจะเป็นการยิงและออกสกิลต่างๆ แต่สิ่งที่ควรระวังคือจำนวนกระสุนที่ยิงได้ ซึ่งสังเกตได้จากแถบใต้หลอดเลือดของเรา ฉะนั้นต้องวางแผนเล่นให้ดีเพราะเราจะรัวกระสุนอย่างใจอยากไม่ได้นั่นเองRanking & Rewardและทุกครั้งที่เราชนะเกม เราจะได้ทั้งค่าประสบการณ์และ Throphies ที่จะใช้อัพเลเวลของฮีโร่ที่เราใช้ แถมยังเป็นแต้มสะสมรับของรางวัล Season pass ได้อีกด้วย ยิ่งเราชนะมาก ก็จะได้ Throphies สะสมมาก กลับกันถ้าแพ้ Trophies ก็ลดฮวบๆได้เช่นกัน How to earnมาถึงเรื่องสำคัญที่หลายคนคงอยากรู้ว่า "แล้วเราจะได้เงินได้อย่างไร?"  ขั้นต้นมูลค่าที่เราจะได้รับจากการเล่นเกมคือการสะสม Theatan Coin (gTHC) จากการเล่นเกม โดยจะได้จากรางวัลใน Season Pass ที่เราสะสม Throphies ถึงในแต่ละระดับแต่อีกวิธีที่ดีและง่ายกว่า คือการลงทุนซื้อฮีโร่จาก Marketplace หรือเปิดกล่องสุ่มเพื่อรับ NFTs Hero ซึ่งเราจะสามารถรับ gTHC ได้ทันทีหลังจบแมตช์ (ถ้าชนะจะได้เหรียญมาก ถ้าแพ้ก็ได้เช่นกันแต่น้อยหน่อย) ส่วนฮีโร่ฟรีที่เราได้ตอนต้นเกมจะไม่มีฟีเจอร์นี้นะจ๊ะถ้าอยากรู้ว่าเหรียญที่เรามีตอนนี้มูลค่าเท่าไหร่ หรือจะดำเนินการ Claim เหรียญออก ก่อนอื่นให้เพื่อนๆ connect กระเป๋า Metamask เข้ากับ Marketplace ของเว็บไซต์เกมเสียก่อน (อย่าลืมสลับ network ให้เป็น BSC ก่อนด้วยนะ) จากนั้น Sync Data เข้ากับอีเมลที่เราสมัครเกมไว้ ก็จะมีข้อมูลเหรียญที่เราเคยได้รับจากในเกมแสดงขึ้นมาพร้อมเทียบมูลค่าเป็น USD (ดอลล่าห์สหรัฐฯ) มาให้ด้วยส่วนวิธีการถอน ให้เราแปลง gTHC เป็น THC ก่อน โดยคนที่ใช้ NFTs Hero จะต้องมีอย่างน้อย 750 gTHC ขึ้นไปจึงจะแลกได้ ส่วนสายฟรีจะต้องไต่ถึงแรงค์ Bronze 1 เสียก่อนจึงจะทำการแลกเหรียญได้ อ้อ! และในการแลกแต่ละครั้งจะมีค่าธรรมเนียมด้วยนะ อย่าลืมเช็คมูลค่ารวมในการแลกแต่ละครั้งให้ดีล่ะสุดท้ายนี้...จะเห็นได้ว่าต่อให้มาตัวเปล่าก็มีโอกาส Play-to-Earn กับเขาได้เหมือนกัน เพียงแต่อาจจะต้องแลกมากกับหยาดเหงื่อและความร้อนบนหัวที่มากหน่อย ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับคนที่เล่นเกมนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ต้องมีทีม" ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะไต่แรงค์ได้นั้นมีน้อยมาก ส่วนหลายคนที่มีเพื่อนพากันเล่นก็รับเงินมากันหลายคนแล้วเช่นกัน ส่วนใครที่กล้าลงทุน ขอแค่ใน 1 วันเล่นจนครบจำนวนรอบก็รอรับเงินไป แต่เห็นว่าถ้าวันนั้นแพ้รัวๆก็ขาดทุนเหมือนกันนะ ในด้านของมูลค่าเหรียญ gTHC ที่ใน Day1 นั้นราคาพุ่งสูงจนน่ากลัว แต่เหมือน ณ ปัจจุบันราคาจะเริ่มนิ่งแล้ว และมีหลายคนคาดการณ์ว่าถ้า Dev บริหารเกมดี เกมนี้อยู่ยาวเหมือน Axie infinity ได้แน่ ด้วยการออกแบบระบบหลายๆอย่างที่คล้ายกันนั่นเอง ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ เอาเป็นว่าเรามารอลุ้นไปด้วยกันดีกว่า เพราะ Roadmap ของเกมยังมีอะไรรอเราอยู่อีกเยอะ ไม่เชื่อลองดูรูปด้านล่างนี้ได้อย่างไรก็ดี อย่างที่เราบอกเสมอว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนจะเสียเงินอย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนและประเมินความเสี่ยงให้ดีว่าเรารับได้แค่ไหน และบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าเนื้อหาในเกมซึ่งยังไม่ใช่รายละเอียดทั้งหมด ถ้าใครสนใจ Play-to-Earn กับเกมนี้จริงๆ อย่าลืมไปหาข้อมูลทั้งจาก Official website และ Community ต่างๆ ให้ดีก่อน จะชัวร์กว่าลองผิดลองถูกเองเน้อส่วนในด้านของความเป็น "เกม" ที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาระบบ ส่วนตัวมองว่าเป็นเกมที่โอเคเกมหนึ่งเลย เพราะความง่ายของ gameplay ความหลากหลายของโหมดการเล่นที่เราสามารถเลือกได้ตามความถนัด ระยะเวลาในเกมที่ไม่นานเกินไป แถมความเสถียรของการประมวลผลยังทำได้ค่อนข้างเร็ว ถือเป็นคอมโบที่เลิศในการเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลาหรือเพื่อความบันเทิง สิ่งที่หลายคนอาจจะขัดหูขัดตาหน่อยก็คือการเคลื่อนที่ของตัวละครที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจ รวมถึงกราฟฟิคที่ดูเหมือน Browser Game ยุคเก่าก็ทำให้เซ็งอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเทียบในตระกูลเกม NFTs เน้น Play-to-Earn ก็อาจจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ ในส่วนนี้คงแล้วแต่รสนิยมของผู้เล่นเลยว่าจะรับได้มาก-น้อยแค่ไหน แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ส่งผลกับ Gameplay มากขนาดนั้นหากเราเล่นจนจับจังหวะ Action ต่างๆในเกมได้ ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมเราอย่างง่ายดายเช่นกัน!!
12 Dec 2021
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ซีซั่น 1: ซีรีส์อนิเมชั่นที่จะกลายเป็น "ตำนาน" สมชื่อ League of Legends
ไม่ว่าจะในฐานะอดีต “เกมออนไลน์ที่มีคนเล่นมากที่สุดในโลก” หรือ “หนึ่งในเกมอีสปอร์ตชั้นนำของโลก” ไปจนถึงการมีตัวตนอยู่ในวงการดนตรีผ่านวง Virtual ต่างๆ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นด้วยว่า ‘League of Legends’ ถือเป็นเกมและ/หรือแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จมากพอสมควรอยู่แล้ว โดยน้อยคนในวงการเกมที่จะไม่รู้จักกับเกมนี้ ไม่ว่าจะเคยเล่นหรือไม่ก็ตามแต่ไม่ว่าแฟรนไชส์ LoL จะประสบความสำเร็จแค่ไหนในอดีต เชื่อว่าทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของความสำเร็จที่แท้จริงของแฟรนไชส์เท่านั้น เพราะซีรีส์อนิเมชั่น ‘Arcane’ ได้พิสูจน์แล้วว่าจักรวาล League of Legends ที่เราเคยเห็นมาตลอด เป็นเพียงเสี้ยวกระจิ๊ดริดของศักยภาพที่แท้จริงของแฟรนไชส์นี้ ด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่เขียนออกมาได้อย่างเฉียบคม และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมมาก่อนหรือไม่ก็ตาม เมื่อนำมารวมกับผลงานอนิเมชั่นและการจัดภาพชั้นครูโดยค่ายสัญชาติฝรั่งเศษ Fortiche Productions ทำให้ Arcane ไม่ได้เป็นเพียงผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดบน Netflix แต่อาจเป็นผลงานซีรีส์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของการดัดแปลงวิดีโอเกมเลยทีเดียว(อ่านรีวิว ตอน 1-3 และ 4-6)เรื่องราวของ Arcane จะตั้งอยู่ในเมือง Piltover เมืองแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันีุ่งเรือง และ Zaun ย่านสลัมใต้ดินของเมือง Piltover ที่รู้จักกันในนาม “เมืองเบื้องล่าง” (Undercity) ที่ถูกควบคุมโดยอาชญากรและแก๊งมาเฟียต่างๆ แถมยังปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีและก๊าซจากใต้ดิน ทำให้สภาพการดำรงชีวิตของผู้คนในเมืองเป็นไปอย่างลำบาก โดยผู้คนจากเมืองทั้งสองต่างมองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม ในฝั่ง Piltover ก็มองชาวเมืองเบื้องล่างเป็นเพียงเดนมนุษย์สกปรก ในขณะที่ชาวเมือง Zaun ก็มองผู้คนในอีกเมืองเป็นผู้กดขี่ที่คอยเอาเปรียบพวกเขาตลอดเวลาความขัดแย้งที่ก่อตัวมายาวนาน นำไปสู่การก่อจลาจลโดยผู้คนของเมืองเบื้องล่างที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก Piltover และปกครองตนเอง ซึ่งถูกปราบอย่างโหดเหี้ยมโดยกองกำลังรักษากฏหมายของ Piltover โดยในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตยังรวมถึงพ่อแม่ของ ‘ไว’ (Vi ย่อจาก Violet) และ ‘พาวเดอร์’ สองพี่น้องจากเมืองเบื้องล่าง ผู้ซึ่งต้องเอาชีวิตรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อยพร้อมกับแก๊งโจรเล็กๆ ของพวกเธอซีรีส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแก๊งของไวและพาวเดอร์ได้รับคำแนะนำให้ไปปล้นห้องทดลองแห่งหนึ่งในเมือง Piltover โดยการกระทำครั้งนั้นทำให้พวกเธอต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง Piltover และ Zaun อีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอลงในที่สุดเนื้อเรื่องของ Arcane ซีซั่นแรกอาจแยกออกได้เป็นสองซีกใหญ่ๆ เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ไว’ และ ‘พาวเดอร์’ เป็นซีกแรก ในขณะที่อีกซีกคือเรื่องราวของเจซ (Jayce) และวิคเตอร์ (Viktor) สองนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ให้กำเนิดเทคโนโลยี ‘Hextech’ เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมเวทมนต์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์สำหรับผู้ชมที่ไม่ใช่แฟนดั้งเดิมของ LoL ความสัมพันธ์พี่-น้องของไวและพาวเดอร์ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อนว่าพวกเธอเป็นใครในบริบทของโลก Runeterra เพราะปมขัดแย้งต่างๆ ของทั้งสอง ในขณะที่เจซและวิคเตอร์ก็ช่วยให้ทั้งแฟนดั้งเดิมและแฟนหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกับโลกของซีรีส์ได้ลึกขึ้น และได้เห็นแง่มุมที่อาจไม่เคยได้เห็นมาก่อนในเกมหรือสื่ออื่นๆ ในแฟรนไชส์ League of Legends อีกด้วยสิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเมื่อมองซีรีส์จากภายนอก คือการที่เนื้อเรื่องและเหตุการณ์หลายๆ อย่างถูกนำเสนอด้วย “ความเป็นผู้ใหญ่” มากอย่างคาดไม่ถึง ตัวละครทุกตัวต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์และความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญคือเหตุการณ์ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึกของ “มนุษย์” ล้วนๆ มากกว่าจะเป็นเหตุผลไซไฟแฟนตาซีกู้โลกอะไรก็ไม่รู้ โดยไม่มีการแก้ปัญหาแบบ “เอาง่าย” หรือ “ขอไปที” เลยในฝั่งของผู้เขียนบทเรื่องราวทั้งหมดยังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานอนิเมชั่นชั้นครูของ Fortiche Productions ที่สามารถผสมผสานกราฟฟิกแบบ 2D และ 3D เข้าด้วยกันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งสามารถมอบชีวิตชีวาให้กับตัวละครทุกตัวได้อย่าง “สมจริง” ทั้งในแง่ภาษากายและสีหน้า ซึ่งไม่ใช่คำชมที่มักจะนึกถึงเวลาพูดถึงผลงานอนิเมชั่นที่จัดจ้านขนาดนี้ ทำให้ภาพทุกฉากในซีรีส์มอบความรู้สึกราวกับภาพสีน้ำที่ขยับได้ และที่น่าชมมากกว่านั้นอีกคือเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ ที่สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครออกมา พร้อมนำพาอารมณ์ของผู้ชมไปด้วยอย่างแยบยลหากจะมีอะไรให้ตำหนิซะหน่อยเกี่ยวกับซีซั่นแรกนี้ โดยส่วนตัวคงเป็นเรื่องของ Pacing หรือจังหวะในการเล่าเรื่องที่รวดเร็วเหลือเกิน โดยทิ้งคำถามหลายๆ อย่างให้ผู้ชมต้องตีความคำตอบเอาเองจากบทพูดหรือองค์ประกอบในฉาก มากกว่าจะแสดงคำตอบนั้นให้เห็นตรงๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้ทำให้ผลงานด้านการอนิเมชั่นและเนื้อเรื่องโดยรวมเสียไปนัก แต่ก็อาจพูดได้ว่าซีรีส์ Arcane มักจะทำผิดกฏ “Show, Don’t Tell” (จงแสดงให้เห็น มากกว่าเล่าให้ฟัง) ของสื่อซีรีส์และภาพยนตร์บ่อยครั้งเหมือนกันยกตัวอย่างเช่นตัวละครพาวเดอร์ ที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างถึงได้เสียสติไปเช่นนี้? อะไรทำให้เด็กหญิงขี้อายไม่สู้คนในซีรีส์ตอนที่ 3 กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งที่พร้อมฆ่าคนไม่เลือกหน้า? เธอใช้ชีวิตแบบไหนมาถึงได้เก่งขึ้นขนาดนั้น?หรืออย่างความสัมพันธ์ระหว่างจิ๊งซ์และพ่อบุณธรรมอย่างซิลโก้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองถึงทำให้รักกันขนาดนั้น ถึงขนาดที่ซิลโก้พร้อมจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตและความใฝ่ฝันของตัวเองเพื่อจิ๊งซ์ได้? หรือกระทั่งพัฒนาการของเจซ จากหนุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ประสา ไปสู่ผู้นำของสภาปกครองเมือง Piltover ที่พร้อมจะเขี่ยอาจารย์ผู้นับถืออย่าง Heimerdinger ไปจากตำแหน่ง ซึ่งแลดูจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจซยังเกรงใจ Heimerdinger จนไม่กล้าเปิดเผยสิ่งประดิษฐ์ใหม่อยู่เลยแน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียง “ความเรื่องมาก” ของผู้เขียนคนเดียว และต้องยืนยันว่าผู้เขียนยังมอง Arcane เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมในระดับที่หาผลงานมาเทียบได้ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถ้าซีรีส์ให้เวลาในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ไปทีละขั้น หรือซีซั่นมีความยาวกว่านี้ซัก 2-3 ตอน ก็อาจจะมีพื้นที่มากพอจะให้เหตุการณ์ต่างๆ สามารถดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นข้อจำกัดในด้านการผลิต เพราะแค่ซีซั่นแรกนี้ก็ใช้เวลาสร้างกว่า 6 ปีแล้ว และซีซั่น 2 ที่จะตามมาก็อาจกินเวลามากกว่า 2 ปีในการผลิต สุดท้ายการใช้ทางลัดในการเล่าเรื่องบ้างจึงอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในฝั่งของผู้สร้างสุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะมีข้อตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Arcane เป็นผลงานอนิเมชั่นที่ตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับผลงานการดัดแปลงเกมสู่ซีรีส์หรือภาพยนตร์ รวมไปถึงซีรีส์อนิเมชั่นโดยรวมด้วย ที่สำคัญคือ Arcane ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับซีรีส์ League of Legends ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน และทำให้แฟรนไชส์ MOBA ที่กระแสนิยมเริ่มตกลง สามารถกลับมาฮิตติดปากทั้งเกมเมอร์และผู้บริโภคทั่วไปได้ไม่ต่างกันแม้จะมีข้อติเล็กน้อยในส่วนของจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วไปหมด แต่บอกเลยว่าถ้าผลงานในร่ม Riot Forge สามารถคงมาตรฐานที่ทั้ง Arcane และ Ruined King: A League of Legends Story ได้ตั้งเอาไว้สำหรับผลงานอื่นๆ ในอนาคต ความฝันที่จะดัน League of Legends ให้กลายเป็น “แฟรนไชส์แห่งยุคสมัย” ก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อม
23 Nov 2021
[Review] รีวิวเกม Ruined King: A League of Legends Story "JRPG ไซส์กระทัดรัดที่เพลินเกินคาด"
แฟนๆ ของเกม MOBA ยอดฮิตอย่าง League of Legends ได้รับเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ไปเร็วๆ นี้ในงาน Riot Forge x Nintendo Switch Showcase ที่จัดขึ้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผู้พัฒนา Riot Games ประกาศวางจำหน่ายเกมที่หลายคนรอคอยอย่าง Ruined King: A League of Legends Story ออกมาให้แฟนๆ ได้เล่นกันอย่างกระทันหันภายในงาน หลังจากที่ไม่ได้ปล่อยข่าวคราวอัปเดตมาซักพักใหญ่ๆ โดยเกมนี้ถือเป็นผลงานภายใต้ร่ม Riot Forge ที่ร่วมสร้างซีรีส์อนิเมชั่นสุดตระการตาอย่าง Arcane อีกด้วยหลังจากที่เล่นเกม Ruined King จนจบเนื้อเรื่อง (และทำภารกิจเสริมทั้งหมด + เก็บอาวุธในตำนานให้ตัวละครทุกตัว ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 40 ชั่วโมง) ต้องยอมรับว่าทั้ง Riot Forge และผู้พัฒนา Airship Syndicate ได้ดัดแปลงโลกและตัวละครของ League of Legends มาสู่เกม JRPG นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งระบบการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ ไปจนถึงเนื้อเรื่องและตัวละครที่เขียนมาอย่างเฉียบคมมีมิติ และยังรวมถึงการออกแบบสถานที่ต่างๆ ในเกม ที่เต็มไปด้วยความลับและปริศนาให้ผู้เล่นได้ค้นหาอยู่เสมอ จนบางครั้งก็รู้สึกว่า “วางไม่ลง” เลยทีเดียวแม้จะมีบางจุดที่ยังปรับปรุงได้ในด้านการออกแบบระบบปลีกย่อยและในเรื่องของการแก้บั๊คต่างๆ โดยเฉพาะในเกมเวอร์ชั่น Nintendo Switch แต่ Ruined King: A League of Legends Story เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นยอดว่าแม้แต่ยักษ์อย่าง League of Legends ก็ยังเติบโตได้อีกมาก การเดินทางเพื่อปัดเป่าม่านหมอกแห่งอดีตเรื่องราวของ Ruined King: A League of Legends Story จะตั้งอยู่ในเมือง Bilgewater และติดตามการเดินทางของกลุ่มฮีโร่จากจักรวาล League of Legends เพื่อหาทางยับยั้งการคืบคลานของ “หมอกสีดำ” ที่กระจายออกมาจากเกาะต้องสาป Shadow Isles ซึ่งนำพาเหล่าวิญญาณร้ายมาจู่โจมเหล่าผู้คนในเมืองอยู่เป็นระยะ พร้อมกับหยุดไม่ให้ราชาต้องสาป “Viego” (หรือ Ruined King) คืนชีพกลับมาอีกครั้งด้วยผู้เล่นจะต้องควบคุมกลุ่มตัวละครหลัก 6 ตัวจากเกม ที่ล้วนมีอดีตและจุดประสงค์ที่แตกต่างกันในการร่วมเดินทางครั้งนี้ โดยสิ่งที่ต้องชมคือตัวละครทุกตัวล้วนมี “ตัวตน” และอุปนิสัยที่ชัดเจนและแตกต่างกันมากๆ และสามารถรับ-ส่งบทกันอย่างคมคายได้ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “Sarah Fortune” ราชินีโจรสลัดแห่ง Bilgewater ผู้จมปลักกับความแค้น หรือ “Yasuo” นักดาบพเนจรที่วิ่งหนีความผิดพลาดในอดีต ตัวละครทุกตัวล้วนมี “ปม” หรือ “การยึดติด” บางอย่างที่ขับเคลื่อนการกระทำของพวกเขา ซึ่งช่วยเสริมมิติให้เรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเกมจะมีระบบฉากสนทนาระหว่างตัวละครให้ดูได้เมื่ออยู่ที่จุดพัก (คล้ายกับเกมตระกูล Tales of นั่นเอง) ซึ่งสามารถเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อีกทางด้วยในรีวิวซีรีส์ Arcane ของ GameFever ซึ่งเป็นผลงานใต้ร่ม Riot Forge เช่นเดียวกัน เราได้กล่าวชมการตัดสินใจของทีมงานเขียนบทในการใช้ “ตัวละคร” ในการนำเนื้อเรื่อง มากกว่าจะเป็นเหตุการณ์แฟนตาซีมหากาพย์ใหญ่โต เพราะเปิดโอกาสให้เล่าเรื่องราวที่ “เป็นมนุษย์” ได้มากกว่า ซึ่งคำชมนี้น่าจะสามารถใช้กับเรื่องราวส่วนใหญ่ของ Ruined King ได้เช่นเดียวกัน เพราะแม้ในภาพกว้างเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผู้กล้าและจอมมารอันชั่วร้าย แต่เหตุการณ์ระหว่างทางกลับถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผลของมนุษย์อย่างความแค้น ความกลัว ความเชื่อ หรือหน้าที่ ทำให้ผู้เล่นได้เข้าถึงตัวตนของตัวละครได้มากขึ้น ซึ่งก็ช่วยให้รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครแต่ละตัว และอยากติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สำคัญกว่านั้นอีกคือการที่เลือกใช้ปม "ความเป็นมนุษย์" ที่เข้าถึงง่ายเช่นนี้ ทำให้เกม Ruined King (และซีรีส์ Arcane ก็ด้วย) สามารถติดตามได้ง่ายแม้จะไม่ได้คุ้นเคยกับโลกหรือตัวละครเหล่านี้มาก่อน เพราะสุดท้ายเกมก็นำเสนอพวกเขาเป็นเพียง "มนุษย์" มากกว่าจะถูกตีกรอบโดย "บทบาทในเกม" ของตัวละครเหล่านั้นนอกจากนี้ เกมยังใช้ประโยชน์จาก “ความเป็นเกม” ในการเพิ่มมิติให้กับโลก Runeterra (World-Building) โดยรวมได้มากขึ้น ผ่านข้อความที่ผู้เล่นสามารถสะสมได้ในเกม รวมไปถึงภารกิจเสริม (และภารกิจลับ) ต่างๆ ที่มีให้ทำในเกม โดยหากจะต้องตำหนิซักเรื่อง คงเป็นการที่เกมมีภารกิจเสริมเหล่านี้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเกม RPG ขนาดใหญ่ทั่วไป แต่ก็เป็นข้อตำหนิจาก “ความเสียดาย” ที่เกมไม่ได้มีอะไรให้ทำหรือค้นหาเยอะกว่านี้ มากกว่าจะเป็นความผิดพลาดของตัวเกมซะเองJRPG สายลูกครึ่งตะวันตกที่ทั้งใหม่และคุ้นเคยในเวลาเดียวกันแม้จะมีองค์ประกอบและโครงสร้างแบบเกม RPG ตะวันตกจำพวก Divinity: Original Sin อยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านการเดินทางและสำรวจ แต่ระบบต่อสู้เทิร์นเบสของ Ruined King กลับมีกลิ่นอายของ JRPG อย่างเข้มข้น ซึ่งคนที่เคยเล่นผลงานก่อนหน้าของผู้พัฒนา Airship Syndicate อย่าง Battle Chasers: Nightwar มาก่อนจะเห็นได้ว่าระบบเกมหลายๆ อย่างแทบจะยกมาจากเกมนั้นหมดเลยในการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครมาร่วมปาร์ตี้ได้ทีละ 3 ตัว (จาก 6) ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป การต่อสู้จะดำเนินไปแบบเทิร์นเบสที่มีความคล้ายกับระบบ ATB ของเกม Final Fantasy หลายๆ ภาค โดยตรงด้านล่างจอจะมีแถบไทม์ไลน์ที่มีไอคอนตัวละครวิ่งอยู่ และเมื่อไอคอนของใครวิ่งมาถึงเส้นก็จะถือว่าเป็นเทิร์นของตัวละครนั้น ซึ่งผู้เล่นจะสามารถเลือกใช้สกิลได้สองชนิดคือ ‘Instant’ และ ‘Lane’สำหรับสกิลชนิด ‘Instant’ จะเป็นสกิลที่กดแล้วออกทันที เปรียบได้กับการโจมตีปกติของตัวละครแต่ละตัว ในขณะที่สกิล ‘Lane’ จะเป็นสกิลพิเศษที่มีเวลาร่าย ซึ่งเมื่อกดใช้จะต้องรอให้ไอคอนของตัวละครวิ่งกลับมาถึงเส้นอีกครั้งจึงจะปล่อยสกิลออกมา ทำให้การต่อสู้จำเป็นต้องใช้การวางแผนมากกว่าเกม JRPG เทิร์นเบสทั่วไป เพราะต้องคำนึงถึงตำแหน่งของตัวละครและศัตรูบนไทม์ไลน์ตลอดเวลา และเลือกว่าจะโจมตีทันที หรือจะรอร่ายสกิลที่รุนแรงกว่า แต่อาจเสี่ยงโดนศัตรูตบสวนก่อนสกิลจะออกได้ ที่สำคัญคือศัตรูในเกมนี้หลายตัวมักตีแรงและเลือดเยอะ แถมบางตัวยังมีเงื่อนไขที่ถ้าไม่ทำตามก็อาจกวาดตี้ลงไปกองได้เลยอีกต่างหากนอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถควบคุมระยะเวลาในการร่ายของสกิลได้ประมาณหนึ่งผ่านระบบ ‘Lane’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเกมนั่นเอง ไทม์ไลน์บอกลำดับเทิร์นของเกมจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนหรือ “เลน” ประกอบไปด้วย Speed, Balance, Power โดยในการร่ายสกิลชนิด ‘Lane’ อะไรก็แล้วแต่ จะสามารถเลือกได้ว่าจะร่ายในเลนไหน ถ้าร่ายในเลน Speed จะทำให้สกิลเบาลงแต่ออกเร็วขึ้น ในขณะที่เลน Power จะทำให้สกิลแรงขึ้นแต่ร่ายนานขึ้นไปด้วย ศัตรูบางชนิดยังมีความสามารถพิเศษที่บังคับให้ต้องใช้การโจมตีจากเลนบางเลนเท่านั้น หรืออาจวางกับดักเอาไว้ในเลนบางเลนเพื่อยับยั้งไม่ให้เราร่ายสกิลในเลนนั้นได้ด้วย ซึ่งระบบทั้งหมดนี้รวมกันทำให้การต่อสู้แต่ละครั้งมีความท้าทายและใช้การวางแผนมากกว่าเกม JRPG เทิร์นเบสทั่วไปพอสมควรการวางแผนของเกมยังครอบคลุมออกมานอกการต่อสู้ ไปถึงระบบการพัฒนาตัวละครด้วย โดยเช่นเดียวกับในเกม League of Legends ตัวละครแต่ละตัวจะมีพัฒนาการสองแบบคือ ‘Ability Point’ และ ‘Runes’ นั่นเอง ซึ่งจะได้รับอย่างได้อย่างหนึ่ง (หรือทั้งคู่) ทุกครั้งที่เลเวลของตัวละครเพิ่มขึ้นถึงจุดที่กำหนด โดย Ability Point จะใช้เพื่ออัปเกรดสกิลของตัวละครเป็นรายสกิลไป เช่นเพิ่มความเสียหายที่ทำหรือทำให้ศัตรูติดสถานะต่างๆ เมื่อถูกสกิลนี้โจมตี ในขณะที่ Runes อาจเปรียบได้กับระบบ Perk ในเกมอื่นๆ ที่จะมอบเอฟเฟกต์ติดตัวต่างๆ ให้ตัวละคร เช่น Rune หนึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการโจมตีติดคริติคอล หรือเพิ่มเอฟเฟกต์ตีดูดเลือด (Lifesteal) เป็นต้นข้อดีของระบบสกิลในเกมนี้คือการที่ผู้เล่นสามารถเลือก “ปั้น” ฮีโร่แต่ละตัวได้หลากหลายพอสมควร ตัวละคร Braum ของคุณจะเป็นแทงค์สุดถึกทนที่สามารถสร้างบาเรียป้องกันให้เพื่อนในทีมได้ หรือทำให้เขากลายเป็นนักสู้แถวหน้าที่เน้นการสะท้อนความเสียหายกลับคืนสู่ศัตรูก็ได้ หรืออย่างตัวละคร Pyke ที่สามารถปั้นเป็นยอดนักฆ่าที่เน้นปลิดชีพศัตรูในดาบเดียว หรือเป็นตัวป่วนที่เน้นแปะสถานะผิดปกติใส่ศัตรูรัวๆ ก็ได้ โดยสกิลต่างๆ ของตัวละครยังสามารถเกื้อหนุนกันไปมาได้เป็นอย่างดี ความสนุกอย่างหนึ่งของเกมจึงเป็นการหาคอมโบทีมและอัปเกรดที่ลงตัวสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปอีกด้วยผลลัพธ์คือเกม JRPG ที่มีโครงสร้างคุ้นเคย แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่รวมกันทำให้เกมรู้สึกแปลกใหม่กว่าเกม JRPG กระแสหลักหลายๆ เกม และต้องใช้การคิดวางแผนเสมอแม้กระทั่งในการต่อสู้กับศัตรูลูกกระจ๊อกทั่วไปโลกของเกมที่แม้จะไม่ใหญ่ แต่มีอะไรมากกว่าที่เห็นอย่างที่กล่าวไปข้างต้น Ruined King ยังคงเป็นเกมที่มีกลิ่นอายของตะวันตกอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในส่วนของการเดินทางและการสำรวจแผนที่เพื่อทำภารกิจเสริม โดยแม้ว่าเกมจะมีปริศนาและความลับให้ตามหา แถมโลกของเกมยังออกแบบมาได้อย่างมีสีสันและชีวิตชีวา แต่ก็มีหลายองค์ประกอบรวมกันที่ทำให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างช่วยไม่ได้เมื่อเทียบกับเกมยุคปัจจุบัน และอาจสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ผู้เล่นได้ไม่มากก็น้อยข้อดีของระบบการสำรวจในเกม Ruined King คือการที่เกมซุกซ่อนความลับเอาไว้ในมุมที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ ทำให้การสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ในเกมรู้สึกตื่นเต้นและมีจุดหมายทุกครั้ง แถมความลับหลายๆ อย่างจำเป็นต้องใช้การอ่านและศึกษาข้อมูลที่เกมเสนอให้อย่างจริงจังจึงจะไขได้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนตัวเองได้ “ค้นพบ” คำตอบด้วยตัวเองมากกว่าจะเป็นแค่การวิ่งตามหมุดไปเรื่อยๆ ในเกม RPG หลายเกมนอกจากนี้ โลกของเกมยังตอบสนองต่อทางเลือกของผู้เล่นในภารกิจเสริมเหล่านี้ด้วย ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญนัก แต่ก็ช่วยทำให้โลกของเกมรู้สึก “มีชีวิต” ราวกับว่า NPC ในเกมก็ดำเนินชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้เล่นออกเดินทางอยู่ ซึ่งจุดนี้เป็นข้อดีของเกม RPG สายตะวันตกที่เกมนำมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมแต่ในขณะเดียวกัน เกมก็มีการออกแบบหลายๆ จุดที่ทำให้รู้สึกน่าหงุดหงิดอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นการที่เกมไม่มีระบบ Fast Travel (มีแบบจำกัดมากๆ) ซึ่งเมื่อนำมารวมกับระบบภารกิจเสริมที่มักให้ผู้เล่นย้อนกลับไปสำรวจพื้นที่เก่าๆ ที่ผ่านมาแล้วบ่อยครั้ง ทำให้การเดินทางในเกมนี้กินเวลามากกว่าที่จำเป็นไปมาก แถมตัวละครก็ยังเดินช้าเหลือเกิน แม้กระทั่งในขณะที่วิ่งอยู่ก็ยังช้า จนบางครั้งก็อดรำคาญไม่ได้เมื่อจำเป็นต้องย้อนกลับไปสำรวจพื้นที่เหล่านี้นอกจากนี้ แม้จะไม่มีการต่อสู้แบบ Random Encounter (เจอศัตรูแบบสุ่มเหมือนเกม JRPG คลาสสิค) แต่ศัตรูในเกมก็หูตาไวมากๆ ยืนอยู่อีกฟากห้องก็ยังอุตส่าห์เห็น และตราบใดที่ผู้เล่นไม่สามารถวิ่งหนีออกจากระยะสายตาของศัตรูได้ทัน ศัตรูจะวิ่งไล่กวดเราทั่วแผนที่ได้เลยโดยไม่ยอมแพ้ หมายความว่าบ่อยครั้งเวลาย้อนกลับไปสำรวจพื้นที่เก่าๆ ก็จะต้องต่อสู้กับศัตรูไปด้วยตลอดทางอย่างหลีกเลี่ยงแทบไม่ได้ ยิ่งช่วงท้ายๆ เกมที่ศัตรูเริ่มเก่งขึ้น ยิ่งทำให้การเดินทางเก็บภารกิจเสริมมีความน่าปวดหัวอยู่ไม่น้อยอีกระบบที่รู้สึกเก่ามากๆ คือการที่ผู้เล่นไม่สามารถสับเปลี่ยนตัวละครในปาร์ตี้ได้ยกเว้นจะเจอจุดพักเท่านั้น แม้กระทั่งเวลาอยู่ในเมือง ซึ่งน่าหงุดหงิดเวลาที่เจอปริศนาหรือพัซเซิ่ลในฉากที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษของตัวละครตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะในการแก้ และทำให้การทดสอบทีมหรือคอมโบใหม่ๆ ทำได้ลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะต้องคอยวิ่งไปกลับระหว่างจุดเซฟที่อยู่แสนไกลเพื่อทดสอบตัวละครนอกจากปัญหาที่กล่าวไป ยังมีองค์ประกอบย่อยๆ อื่นๆ ที่ถ้าปรับปรุงได้จะทำให้เกมสนุกขึ้นกว่านี้อีก เช่นการที่เกมไม่มีแผนที่มินิแมพ ทำให้ต้องคอยหยุดเปิดแผนที่อยู่เนืองๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่น หรือการที่ไม่สามารถกดข้ามคัตซีนได้ (สำหรับกรณีที่ต้องสู้บอสที่มีคัตซีนขั้นหลายครั้ง) รวมไปถึงระบบ Auto-Save ของเกมที่ดูจะทำงานแบบไม่ค่อยสม่ำเสมอ ทำให้ผู้เล่นต้องคอยเซฟเกมเองบ่อยๆ ไม่งั้นเวลาตายก็เตรียมเล่นเกมใหม่จากการเซฟครั้งล่าสุดได้เลย โดยองค์ประกอบทั้งหมดนี้แม้จะไม่ได้ส่งผลเสียต่อ “แก่นหลัก” ของเกมเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำให้ประสบการณ์การเล่นเสียไปบ้างเหมือนกัน และถ้าแก้ได้ก็จะทำให้ประสบการณ์โดยรวมมีความราบรื่นกว่านี้เยอะภาพสวยสบายตา กับราคาด้านเทคนิคเช่นเดียวกับในซีรีส์ Arcane ที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ต้องกล่าวชมวิสัยทัศน์ในการ “สร้างโลก” ของ Riot มากๆ แม้จะไม่ใช่เกมทุนใหญ่ระดับร้อยล้าน แถมยังพัฒนาด้วยทีมงานขนาดเล็ก แต่ Ruined King ก็ยังสามารถนำเสนอกราฟฟิกในเกมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผู้พัฒนา Airship Syndicate สามารถตีความสถานที่ต่างๆ ในเกมออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทุกซอกทุกมุมมีรายละเอียดที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของสถานที่นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองโจรสลัด Bilgewater ที่บางพื้นที่ดูจะสร้างมาจากเรืออัปปางขนาดใหญ่หลายๆ ลำประกอบกัน หรืออย่างโซน Shadow Isles ก็ล้วนอัดแน่นไปด้วยซากแห่งอดีตที่บ่งบอกถึงอารยธรรมที่สาบสูญของผู้คนก่อนที่ราชามาร Viego จะทำลายทุกสิ่ง ทุกกระเบียดนิ้วของเกมถูกอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดที่ช่วยในการ “ขยายโลก” (World-Building) ของเกมให้มีมิติและประวัติศาสตร์ของตัวเองจากการทดลองเล่นเกมทั้งบน Nintendo Switch และ PC (ผู้เขียนเริ่มเล่นบน Switch แล้วยืมไอดีเพื่อนเล่นใน PC) สิ่งหนึ่งที่ต้องย้ำกับท่านผู้อ่านทุกท่านคือถ้าเลี่ยงได้ ให้เลี่ยงการเล่นเกมนี้บน Nintendo Switch ไปก่อนจนกว่าผู้พัฒนาจะออกแพทช์แก้ตัวเกมมากกว่านี้ เพราะแม้ภาพกราฟฟิกแนวการ์ตูนของเกมจะทำออกมาได้สวยงามตามมาตรฐาน แต่ก็แลกมาด้วยปัญหาด้านเทคนิคมากมายที่ส่งผลลบต่อประสบการณ์การเล่นเกมอย่างใหญ่หลวงอย่างแรกคือการที่เฟรมเรตของ Switch มักจะตกลงทุกครั้งที่เดินผ่านสถานที่บางแห่ง หรือกระทั่งในแผนที่นั้นทั้งแผนที่เลยก็มี ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความลำบากในการวิ่งหลบศัตรูหรือกับดักในฉาก การที่เกมแลคมากๆ ยังนำไปสู่ปัญหาบั๊คอื่นๆ ได้อีก เช่นกดคุยกับ NPC แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น พัซเซิ่ลไม่ทำงาน หรือบางทีก็อาจถึงขั้นส่งเควสไม่ผ่านไปเลยก็มี (ไอเทมหายไปจากกระเป๋าแต่เควสไม่ผ่าน) ซึ่งในกรณีของผู้เขียนเป็นเควสเนื้อเรื่องด้วย แต่โชคดีที่เซฟไว้ก่อนหน้านั้นพอดีเลยโหลดเซฟใหม่มาแก้ได้ ถ้าใครไม่ได้เซฟมาก่อนและเจอแบบนี้เข้าไปก็อาจต้องย้อนกลับไปเล่นไกลเลยก็เป็นได้การเล่นเกมใน PC (และเชื่อว่าใน PlayStation หรือ Xbox ด้วย) ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ เพราะเกม Ruined King ยังมีบั๊คยิบย่อยประปรายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างความรำคาญมากกว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเล่น ในกรณีของผู้เขียนที่ต่อจอย Xbox One เล่นใน PC มักจะพบปัญหาแปลกๆ ที่ทำให้ไม่สามารถกดปุ่ม “ลง” บนจอยเกมได้ในขณะที่ต่อสู้ ซึ่งก็ทำให้ไม่สามารถเลือกเป้าหมายการโจมตีได้ไปด้วย สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เมาส์เล่นจึงจะเลือกเป้าหมายได้ตามปกติ ซึ่งต้องเข้า-ออกเกมใหม่จึงจะแก้ปัญหานี้ได้ หรือปัญหาเควสที่ทำเสร็จไปแล้วยังค้างอยู่ในหน้าต่างรวมเควส หรือปัญหาที่จู่ๆ ก็พูดกับ NPC ไม่ได้ โดยทั้งหมดแก้ได้ด้วยการปิด-เปิดเกมใหม่จึงไม่ได้หนักหนานัก ถ้าพูดภาษาบ้านๆ ก็อาจบอกได้ว่าปัญหาเหล่านี้ “ทำให้ดูออกว่าเป็นเกมทุนต่ำ” นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแก่นของเกมจะไม่ดีเช่นเดียวกันทั้งนี้ หากคุณเป็นแฟนของแฟรนไชส์ League of Legends และ/หรือเป็นคนที่สนใจจะทำความรู้จักกับจักรวาลนี้มากขึ้น Ruined King: A League of Legends Story ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่จะให้คุณได้สัมผัสกับโลก Runeterra ในอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือในการสร้างโลกของ Riot ที่น่าสนใจและมีมิติไม่น้อยไปกว่าในซีรีส์ Arcane อันยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เกมอาจจะยังมีจุดบกพร่องอยู่ไม่น้อย แต่ถ้ามองข้ามไปได้ สิ่งที่รอคุณอยู่คือเกม JRPG น้ำดีที่สร้างความเพลิดเพลินให้คุณได้ไม่น้อยไปกว่าเกมฟอร์มใหญ่หลายๆ เกมเลยทีเดียว
22 Nov 2021
รีวิว Halo Infinite (โหมด Multiplayer) ถึงจะเรียบง่าย แต่กลับสนุกจนหยุดไม่ได้
เป็นภาคแรกของเกมซีรีส์ Halo ที่ทางผู้พัฒนาเปิดให้ชาว PC ได้เล่นกันด้วยหลังจากที่เกือบทุกภาคนั้นลงให้กับแค่เครื่อง Xbox เท่านั้นกับเกมอย่าง Halo Infinite และยิ่งที่พิเศษก็คือทางผู้พัฒนาได้เปิดให้เล่นโหมด Multiplayer ฟรีๆ ไม่เสียเงินอีกด้วย (แต่โหมดเนื้อเรื่องต้องซื้อเกม) ซึ่งทำให้ทางเรา GameFever TH ได้มีโอกาสเข้าไปลองเล่นโหมด Multiplayer ในเกมนี้ในช่วง Beta และจากที่ตัวผู้เขียนเองไม่เคยได้ลองเล่นเกมนี้เลยซักภาค จึงทำให้มีความสงสัยใคร่รู้ว่าทำไม Halo ถึงเป็นซีรีส์ที่ชาว Xbox ลงรักมายาวนานกว่า 20 ปี โหมดการเล่นของเกม Halo Infinite นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 โหมดใหญ่ๆ นั่นคือ Quickplay, Big Team Battle, Ranked ArenaQuickplay เป็นโหมดการเล่นแบบ 4v4 ที่จะแบ่งออกเป็นโหมดย่อยๆ 3 โหมดคือ - Capture The Flag: โหมดชิงธงที่เราจะต้องวิ่งไปเอาธงฝ่ายตรงข้ามมาไว้ที่ฝ่ายเรา - Strongholds: โหมดยึดจุดเพื่อทำคะแนน - Slayer: เป็นโหมด Team Deathmatch ฆ่าให้ได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามBig Team Battle เป็นโหมดที่สเกลจะใหญ่ขึ้น จำนวนผู้เล่น 12v12 แผนที่ใหญ่ขึ้น แบ่งเป็นทีมละ 4 คน และมียานพาหนะให้ใช้ โดยจะมีโหมดการเล่นแบ่งออกเป็น 4 โหมดคือ - Slayer: โหมด Team Deathmatch - Capture The Flag: โหมดชิงธง - Stockpile: โหมดที่เราจะต้องเก็บของตามแผนที่มาใส่ไว้ที่ฐานเราให้ได้ 5 ชิ้นก่อนฝ่ายตรงข้าม - Total Control: โหมดยึดจุดที่เราจะต้องแย่งฝ่ายตรงข้ามยึดให้ครบ 3 จุดRanked Arena คือโหมด 4v4 ที่เราจะสามารถเล่นเพื่อไต่ Rank ขึ้นไปได้ โดยจะมีโหมดการเล่นย่อยๆ ด้วยกัน 4 โหมดคือ - Slayer: โหมด Team Deathmatch - Strongholds: โหมดยึดจุดเพื่อทำคะแนน - Capture The Flag: โหมดชิงธง - Odd Ball: คือโหมดที่เราจะต้องแข่งฝ่ายถือลูกบอลกระโหลกเพื่อทำคะแนนให้ครบตามจำนวนเกมเน้นยิงตายช้า แต่ก็สนุกไปอีกแบบโดยสิ่งที่ทำให้ Halo ไม่เหมือนเกมไหนๆ ก็คือระบบการเล่นที่มีสปีดค่อนข้างช้าต่างจากเกม Call of Duty และ Battlefield ที่เน้นเกมเพลย์ที่ไวกว่า นอกจากนี้ระบบเลือดของเกมก็ออกแบบมาให้เรายิงศัตรูตายช้าพอสมควร บางปืนอาจจะต้องยิงเป็นแม็กกว่าจะตาย ซึ่งหลายๆ คนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นชินเพราะหลายๆ เกมที่เราเล่นมักจะเป็นเกมที่อาศัยจังหวะเสี้ยววิในการฆ่าศัตรู ยิงสองสามคนให้ตายภายในไม่กี่วินาที แต่ข้อดีของการที่ตัวเกมยิงกันตายนานก็คือมันช่วยให้เรามีเวลาในการคิดหรือสามารถหลบลีกศัตรูได้ทัน รวมถึงมันยังเหมาะสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเล่นเกมนี้ หรือเล่นเกม FPS ไม่เก่งมาก ให้คุณได้มีโอกาสตั้งหลักและหันกลับไปสวนได้ทัน ทำให้เกมนี้เวลาเล่นเราอาจจะไม่ได้รู้สึกเจอคนเทพเหนือมนุษย์ขนาดนั้น (จริงๆ มันมีคนเก่งแหละ แต่เราก็ยังสู้ได้และรู้สึกสนุกอยู่ )และถึงแม้ว่าภายในเกมจะมีหลายโหมดให้เล่น แต่ระบบโครงสร้างการต่อสู้จะค่อนข้างเหมืองกันหมด ก็คือในตอนเริ่มต้นทุกๆ คนจะได้รับปืนชนิดเดียวกันทั้งหมด ปืนหลักหนึ่ง ปืนพกหนึ่ง และระเบิด 2 ลูก แต่ภายในแผนที่นั้นจะมีปืนพิเศษให้เราเก็บตามมจุดต่างๆ ซึ่งปืนเหล่านี้จะมีให้เลือกเล่นหลากหลายมากอย่างเช่นปืนสไนเปอร์ ปืนบาซูก้า หรือจะเป็นพวกอาวุธระยะประชิดอย่างมีด หรือค้อนเป็นต้น ซึ่งถ้าหากว่าคุณได้ปืนและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันค่อนข้างมีประโยชน์และช่วยให้เราได้เปรียบขึ้นความรู้สึกหลังเล่นถ้าให้พูดตามตรงโหมด Multiplayer ของเกม Halo นั้นค่อนข้างที่จะเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนใดๆ แต่ไอ้ความเข้าถึงง่ายนี่แหละมันกลับทำให้เรารู้สึกติดพันและสนุกกับเกมเป็นอย่างมากเพราะไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมากเลย และอย่างที่กล่าวไปว่าการที่เกมนั้นถูกดีไซน์มาให้ฆ่ากันตายค่อนข้างยาก มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกว่าเจอคนเล่นที่จะสามารถ One Man Show คนเดียวได้ ทำให้การเล่นต่างๆ จำเป็นต้องเล่นกันเป็นทีมเวิร์คในระดับหนึ่ง เพราะการที่จะฆ่าศัตรูให้ตายไวที่สุดคือการช่วยกันลุมยิงนี่แหละ รวมถึงยิ่งถ้าหากเวลาเราเล่นในโหมด Ranked Arena ด้วย ทำให้เกมต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมมากขึ้นไปอีกนอกจากนี้ระบบอาวุธของเกมที่ทำมาที่ทุกคนจะมีปืนเหมือนกันหมด ส่วนตัวค่อนข้างชอบเลย เพราะมันทำให้ตัวเกมมีความเท่าเทียมกันในการเล่น ส่วนถ้าหากคุณอยากไปเก็บปืนดีๆ มาใช้ คุณก็จะต้องใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด แต่ต่อให้เจอปืนดีๆ มาใช้ ถ้าหากทีมเวิร์คไม่ดีก็อาจจะมีสิทธิ์แพ้ได้เช่นกัน ซึ่งตัวระบบนี้มันทำให้เราหมดกังวลเรื่องเกมจะต้อง Pay to Win กับเล่นเพื่อปลดล็อคปืนดีๆ ไปได้เลย มันเหมาะกับตัวผู้เขียนมากที่อาจจะไม่ใช่คนที่เล่นเกมแนวนี้ได้ทั้งวัน (เพราะด้วยธุระและอายุที่มากขึ้น) แต่ก็สามารถที่จะกลับมาเล่นได้เรื่อยๆ และไม่ต้องกังวลว่าจะตามเลเวลคนอื่นไม่ทัน เพราะทุกคนเท่าเทียมแต่ถามว่าข้อเสียของเกมนี้มันมีไหม ก็ต้องบอกว่าเรื่องการ Optimise กราฟิกบนเครื่อง PC ยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไร ต้องยอมรับว่าตัวเกมค่อนข้างมีปัญหาเรื่องนี้มาก เพราะว่ากราฟิกของเกมนี้ก็ยังเอา Engine จากเกม Halo 5 ที่วางจำหน่ายมาแล้วว่า 6 ปีมาใช้ (แถมดูดีๆ กราฟิกของ Halo Infinite ทำได้แย่กว่าด้วยซ้ำ) แต่ตัวเกมกลับกินสเปคบนเครื่อง PC เป็นอย่างมาก ส่วนตัวมองว่ากราฟิกของเกมนี้ไม่ได้สูงอะไร แต่คอมพิวเตอร์ I5 8400 + GTX 1060 6B ยังรันเฟรมเรทของเกมนี้ได้เพียงแค่ 60-65 FPS เท่านั้น เปรียบเทียบกับ Call of Duty: Vanguard ที่ภาพสวยกว่าหลายขุมแต่คอมพิวเตอร์เครื่องนี้สามารถรันเฟรมเรทได้ถึง 70-100 FPS รวมถึงปัญหาเรื่องเกมเด้งออก เกมแคชก็มีให้เห็นมากอยู่พอสมควรสุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าเรื่องการ Optimise ของเกมจะยังมีปัญหา แต่เกมเพลย์ของ Halo Infinite ก็ยังยอดเยี่ยม เรียบง่าย เข้าถึงง่าย ตัวเกมอาจจะไม่ได้หวือหวาเท่า Battlefield, Valorant หรือเกมอื่นๆ แต่มันกลับกลายเป็นเกมที่คุณหยุดเล่นมันไม่ได้ หรือคิดถึงมันตลอดเวลา ตัวเกมมันอาจจะไม่ใช่เกมที่คุณเล่นเป็นหลัก แต่ถ้าหากคุณเบื่อๆ เมื่อไร คุณก็จะสามารถเปิดมันเข้ามายิงได้ทุกเมื่อ ด้วยเวลาแต่ Match ที่ไม่ได้สูงมาก (ราวๆ 12-15 นาที) ถือว่าเป็นเกมที่เล่นฆ่าเวลาได้อย่างดี! โอเครออะไรกัน !! ไปโหลดมาเล่นกันได้เลย ร้านค้า Steam
19 Nov 2021
[Review] รีวิว Final Fantasy Vll: The First Soldier "เกม Battle Royale ที่หวังเสริมจักรวาลหลัก แต่กลับตกม้าตาย"
ในวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทาง Square Enix ได้เปิดให้บริการ Final Fantasy Vll: The First Soldier บนแพลตฟอร์มมือถือ แต่ด้วยปัญหาทางด้านเซิร์ฟเวอร์ในวันเปิดตัว จึงทำให้ผู้เล่นถล่มรีวิวแง่ลบจำนวนมาก จนพูดได้ว่าเปิดตัวไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก กับเกมที่ยืมชื่อแฟรนไชส์ยักษ์ใหญ่อย่าง Final Fantasy มาใช้ โดยฝั่ง Google Play ทำคะแนนไปได้เพียง 3.0/5 และฝั่ง App Store ทำคะแนนไปได้ 3.8/5 เท่านั้นแต่ว่าถ้าไม่นับปัญหาด้านเซิร์ฟเวอร์แล้ว เกมนี้คู่ควรที่จะได้รับคะแนนเพียงเท่านั้นไหม รีวิวนี้มีคำตอบ!!เกมแนว Battle Royale ที่มีฉากหลังเป็นโลกของ Final Fantasyด้วยความสำเร็จของเกมแนว Battle Royale จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้ผู้พัฒนาเกมต่างๆ เริ่มตบเท้า ก้าวเข้าสู่เกมประเภทนี้กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งทาง Square Enix ได้ลองเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยการเอาหนึ่งในเกมแฟรนไชส์ชื่อดังประจำบริษัทอย่าง Final Fantasy มาร่วมลุยในสมรภูมิเกม Battle Royale ในยุคนี้เช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ ทางผู้พัฒนายังได้เลือกใช้ฉากหลังเป็นตัวเกมภาค 7 ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคที่มีฐานแฟนๆ เหนียวแน่นมากที่สุด ในระดับที่แทบจะเรียกว่า "แตะต้องไม่ได้" เลยทีเดียว ต้องยอมรับว่า นี่เป็นอีกหนึ่งในเกมที่เกมเมอร์หลายคนทั่วโลกต่างพากันจับตามองว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่30 ปี ก่อนเนื้อเรื่องในภาค 7“เนื้อเรื่อง” เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้ซีรีส์เกม Final Fantasy โด่งดังจนครองใจแฟนๆ มาตั้งแต่ยุคก่อน ทว่าในเกมนี้กลับมีเนื้อเรื่องที่ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร โดยตัวเกมจะเกริ่นนำบอกเพียงแค่ว่า เหตุการณ์ในเกมคือเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเนื้อเรื่องในภาค 7 ถึง 30 ปี แล้วก็ตัดทิ้งเสียดื้อๆ ไม่มีการบอกกล่าวอะไรต่อทั้งนั้น มีเพียง Cutscene สั้นๆ ทิ้งให้ผู้เล่นเกิดคำถามมากมายในหัวเบื้องต้นทางเว็บไซต์ออฟฟิเชียลของตัวเกมได้ระบุว่า ตอนนี้ตัวเกมอยู่ใน Season 1: Rise of Shinra นั่นจึงทำให้เราอาจจะพอคาดหวังได้ว่า เนื้อเรื่องจะตามมาในภายหลัง หรือตามมาในซีซันอื่นๆ ก็เป็นได้ (ปัจจุบันตัวเกมมีเพียงแค่โหมด Multiplayer ที่ให้เลือกเล่นแบบ Solo หรือ Squad 3 คน เท่านั้น) แต่ด้วยแนว Battle Royale ของเกมก็ไม่มั่นใจว่าเกมจะใช้วิธีไหนในการเล่าเรื่อง โดยเกมแนวเดียวกันที่สามารถนำเสนอเส้นเรื่องที่มีความต่อเนื่อง "ได้บ้าง" ยังมีอยู่น้อย และส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสื่อ "นอกเกม" อย่างคลิปวิดีโอในการเล่าเรื่อง ต้องรอดูต่อไปว่าผู้พัฒนาจะมีวิธีใหม่ๆ เด็ดๆ อะไรมารองรับเกมที่เน้นเนื้อเรื่องอย่างซีรีส์ Final Fantasyการเล่นที่ผสมกลิ่นอายของความเป็น RPGระบบภายในเกม Final Fantasy Vll: The First Soldier ถือว่าค่อนข้างแปลกใหม่เมื่อเทียบกับเกม Battle Royale ทั่วๆ ไปเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะมีระบบสูตรสำเร็จของแนว Battle Royale อย่างการสุ่มไอเทม โดดร่ม วงบีบแล้ว ทางผู้พัฒนาได้ผสมกลิ่นอายความเป็น RPG เข้ามาด้วย ทำให้เกมดูลึกขึ้น เล่นยากขึ้น และน่าสนุกขึ้นไปในเวลาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นระบบ Mastery ที่ผู้เล่นจะต้องเลือกคลาสก่อนเข้าเกม โดยแต่ละ Mastery จะเป็นตัวกำหนดสไตล์การเล่นในแมตช์นั้นๆ ได้เลย โดยในปัจจุบันมี Mastery ทั้งหมด 5 คลาส ได้แก่:Warrior สายนักดาบ ที่เน้นเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว และทำดาเมจได้รุนแรง เป็นคลาสที่มีความสมดุลสูง เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่Sorcerer คุมโซนอยู่ห่างๆ ฟื้นฟูมานาไว ทำให้ใช้ Materia (เวทมนตร์) ได้บ่อยยิ่งขึ้นและแรงขึ้น  ปั่นป่วนในการต่อสู้ได้ดีMonk มีความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิตสูงกว่าคลาสอื่นๆ แต่ต้องแลกมาด้วยระยะการโจมตีประชิดที่ใกล้กว่าคลาสอื่นเช่นกันRanger เหมาะสำหรับคนที่ชอบใช้ปืนยิงทำดาเมจ พกกระสุนได้เพิ่มขึ้น รีโหลดไวขึ้น และสามารถสแกนศัตรูในรัศมีสกิลได้Ninja สายพริ้ว กระโดดได้สองครั้ง เพิ่มความคล่องตัวในการขึ้นที่สูง และการหลบหลีกดาเมจระหว่างต่อสู้ทุก Mastery จะมีความสามารถตั้งต้นมาให้ 3 อย่าง โดยเป็นแบบ Active ที่กดใช้ได้ เรียกว่า Ability 1 อย่างและแบบ Passive ที่แสดงผลเมื่อตรงตามเงื่อนไข เรียกว่า Trait และ Skill (Trait จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้) ซึ่งในการจะปลดล็อก Ability หรือ Skill ใหม่ๆ นั้น ผู้เล่นจะต้อง เล่น Mastery เดิมซ้ำๆ จนเลเวลถึงในจุดที่กำหนด จากนั้นผู้เล่นจะได้รับโทเคนใช้ปลดล็อกความสามารถที่ต้องการออกมา โดยในปัจจุบัน โทเคนจะได้ทุกเลเวล 5, 10, 15 และ 20 ครบกับความสามารถที่ปลดล็อกได้พอดีไม่ขาดไม่เกินต่อกันด้วยอีกหนึ่งระบบชูโรงของเกม อย่างระบบเวทมนตร์ Materia ซึ่งมีลักษณะเหมือนเวทมนตร์ที่มีความสามารถหลากหลาย ระยะการใช้งานจะอยู่ตั้งแต่ระยะใกล้จนถึงระยะกลาง แน่นอนว่า Materia แต่ละประเภทมีความสามารถ มานาที่ใช้ และความหายาก แตกต่างกัน โดยผู้เล่นหนึ่งคนจะเลือกหยิบ Materia ติดตัวไปได้แค่ 3 ชนิดเท่านั้น และถ้าหากว่า พบ Materia อันเดิมซ้ำๆ ยังสามารถเก็บเข้ามา เพื่อเพิ่มเลเวลให้กับ Materia ได้ด้วย (สูงสุดที่เลเวล 3)ปัจจุบันมี Materia ทั้งหมด 10 ประเภท ได้แก่Fire ยิงลูกไฟออกไปในทิศทางที่เลือก เล็งยาก แต่มีโอกาสทำให้ศัตรูกระเด็น และช่วยบีบทางหนีของศัตรูBlizzard ตั้งเสาน้ำแข็งขึ้นมา โดยเสาน้ำแข็งจะช่วยโจมตีศัตรูที่อยู่ในระยะทำการThunder เรียกฟ้าผ่าในบริเวณที่กำหนดCure เพิ่มพลังชีวิตโดยไม่ต้องใช้โพชั่นให้กับตัวละครในบริเวณใกล้เคียงComet เรียกดาวตก ออกมาทำดาเมจใส่พื้นที่เป็นวงกว้างAero วางสนามลมไว้ที่พื้น เมื่อผู้เล่นเดินไปเหยียบ จะส่งให้ตัวละครพุ่งขึ้นกลางอากาศ เหมาะสำหรับใช้ขึ้นที่สูงเพื่อมองหาศัตรู Raise ใช้ชุบเพื่อนที่ล้มอยู่ด้วยความรวดเร็วBlind ปาระเบิดควันออกไป บดบังทัศนวิสัยภายในพื้นที่Gravity วางกับดักเอาไว้ในบริเวณใกล้ๆ หากมีศัตรูมาเหยียบ กับดักจะทำงาน ส่งผลให้เดินช้าลง และไม่สามารถโจมตีได้ (คนที่ใช้เวทนี้สามารถโดนผลของกับดักได้เช่นกัน)Bio สร้างควันพิษในบริเวณที่กำหนด ทำดาเมจต่อเนื่องและนอกจาก Materia แบบปกติแล้ว ยังมี Materia พิเศษที่จะพบได้ใน Supply Drop เท่านั้น นั่นคือ Summon Materia หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า มนตร์อสูร ของชาว Final Fantasy นั่นเองอสูรที่อัญเชิญมาได้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล Ifrit อสูรเพลิง กับ Shiva อสูรน้ำแข็ง ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี โผล่มาแทบทุกภาค โดย Ifrit จะทำดาเมจรอบตัวด้วยคลื่นไฟ และ Shiva จะสโลว์ศัตรูรอบตัวด้วยคลื่นน้ำแข็ง ทว่าอสูรที่อัญเชิญมานั้นก็ไม่ได้โกงอย่างที่คิด เพราะอสูรถูกอัญเชิญในช่วงท้ายของเกม พวกมันจะเข้าสู่สถานะ Frenzied ที่จะทำดาเมจไม่เลือกหน้า ดังนั้นควรคิดให้ดีก่อนที่จะใช้ด้วย ถึงแม้มันจะเท่บาดใจแค่ไหนก็ตามองค์ประกอบยิบย่อยแต่ก็สำคัญ ช่วยผลักดันความลึกของเกมทั้งนี้ความเป็น RPG ของ Final Fantasy Vll: The First Soldier ยังไม่หมด นอกจากระบบการเล่นหลักที่ตัวเกมนำเสนอแล้ว ยังมีระบบเล็กๆ แต่ก็มีผลต่อเกมการเล่นเช่นกันไม่ว่าจะเป็นระบบ XP ที่ผู้เล่นจะได้รับค่าประสบการณ์จากการสังหารมอนสเตอร์ สังหารผู้เล่น และเอาชีวิตรอดไปผ่านรอบต่างๆ ไปได้ ยิ่งผู้เล่นมีเลเวลเพิ่มขึ้น พลังชีวิต มานา และเลเวลาของความสามารถติดตัว ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยแน่นอนว่า เมื่อพูดถึงค่าประสบการณ์สไตล์เกม RPG มอนสเตอร์ก็คือสิ่งที่ขาดไปได้ และเกมนี้ก็ใส่เข้ามาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ลูกกระจ๊อกจัดการง่ายๆ ไปจนถึงบอสที่ต้องเอาทั้งทีมรุมยิงกันหืดขึ้นคอ ผลตอบแทนที่ได้จากการสังหารมอนสเตอร์แล้ว นอกจาก XP ก็จะมีไอเทมพิเศษเฉพาะตัวมอนสเตอร์อีกด้วย เช่น “Bomb” มอนสเตอร์ลูกไฟที่ตีโคตรแรง ทว่าถ้าผู้เล่นจัดการมันลงได้ มีโอกาสที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้จะดรอปปืนยิงระเบิดสุดหายากมาให้ผู้เล่นได้ใช้กันตั้งแต่ช่วงต้นเกมกันไปเลยทั้งนี้มอนสเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ช่วยสร้างสีสรรค์ในตัวเกมได้เป็นอย่างดี เพราะหากพื้นที่เล่นอยู่ใกล้ๆ กับจุดเกิดของมอนสเตอร์ มีโอกาสสูงเลยทีเดียวที่พวกมันจะเข้ามาแจมระหว่างการดวลกันของผู้เล่นอีกด้วยและเมื่อพูดถึงการต่อสู้ อีกหนึ่งอย่างที่ห้ามลืมเลยคือ ระบบสถานะ Stagger ระบบนี้จะทำงานเมื่อผู้เล่น หรือมอนสเตอร์โดนดาเมจติดต่อกันภายในระยะเวลาหนึ่ง เมื่อถึงจุดที่กำหนด ตัวละครนั้นจะเข้าสู่สถานะ Stagger ทันที ซึ่งสถานะนี้จะทำให้ผู้เล่นถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ส่วนมอนสเตอร์จะติดสตัน ไม่สามารถโจมตีหรือขยับได้ไปชั่วครู่ นอกจากนี้ ตัวเกมยังให้โบนัสสำหรับผู้เล่นที่ใช้อาวุธระยะประชิด ด้วยการเพิ่มให้ค่า Stagger ของศัตรูที่โดนหวดขึ้นเร็วกว่าโดนกระสุนปืนยิง ปิดท้ายด้วยระบบเครื่องประดับ ที่สร้างความแตกต่างอีกหนึ่งชั้น ตัวละครจะเก็บเครื่องประดับได้แค่สองชิ้นเท่านั้น ซึ่งเครื่องประดับต่างๆ จะทำหน้าที่เหมือนบัฟติดตัวที่ให้สถานะแตกต่างกันไป เช่น ได้รับ XP เพิ่มขึ้น 20 % เมื่อฆ่ามอนสเตอร์, เคลื่อนที่ไวขึ้น 20% เมื่ออยู่ในสถานะนั่งย่อ หรือสามารถมองเห็น Safe Zone จุดต่อไปได้ เป็นต้นจะเห็นว่า ระบบของเกม Final Fantasy Vll: The First Soldier นั้นมีความเป็น RPG สูงมาก ผู้เล่นต้องใช้ทักษะต่างๆ ผสมผสานเข้าด้วยกัน ปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม ไอเทมที่มี และสถานการณ์ที่กำลังเจอ นั่นจึงทำให้ทุกการปะทะในเกมนี้ เต็มไปด้วยจังหวะเข้าทำ และการพลิกแพลงอยู่เสมอ ทั้ง Mastery ที่ผลักดันสไตล์ส่วนตัวของผู้เล่น และสร้างจุดได้เปรียบ เสียเปรียบระหว่างตัวละครต่างๆ ขึ้นมา แถมตัวเกมยังทำให้ดาเมจจากการโจมตีระยะประชิดรุนแรงกว่าปืนเสียอีก นี่จึงผลักดันให้ผู้เล่นสายระยะประชิดอย่าง Warrior และ Monk มีแรงจูงใจในการเล่นมากขึ้นอีกด้วยนอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง ระบบ Indicator ที่ช่วยบอกเสียงเท้า เสียงปืน และตำแหน่งของกล่องใส่ไอเทมคร่าวๆ อีกด้วย ระบบนี้จะอำนวยความสะดวกแก่คนที่ไม่ได้ใส่หูฟัง หรือปิดเสียงระหว่างเล่นได้เป็นอย่างดี ถ้าผู้เล่นใช้ประโยชน์จากระบบนี้ได้เต็มที่ ต่อให้เป็นตัวระยะใกล้ ก็สามารถดักเซอร์ไพรส์ตัวละครระยะไกล และปิดเกมในเวลาอันรวดเร็วได้ทันท่วงทีระบบการเก็บของอัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้เล่นมือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องเก็บไอเทมชิ้นไหน ระบบนี้จะช่วยแยกของที่ผู้เล่นต้องการ และคอยเก็บไอเทมที่มีระดับสูงกว่าให้ภายในทันทีที่เจอปิดท้ายด้วยการโดดร่มแบบเลือกจุดโดดเองได้ โดยปกติในเกม Battle Royale ยอดฮิตอย่าง PUBG, Apex Legend หรือ Fornite จะต้องโดดไปตามเส้นทางของเครื่องบิน แต่ใน Final Fantasy Vll: The First Soldier นั้น แต่ละ Squad จะมีเฮลิคอปเตอร์ของใครของมัน แยกกันไปเลย ให้อิสระแก่ผู้เล่นในการเลือกจุดลงจอดเองได้เต็มที่การตั้งค่าที่ละเอียดยิบ แต่ดันพลาดของสำคัญเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ Community ในเกมนี้บ่นกันให้แซ่ด กับการตั้งค่าที่ละเอียดมาก มีตั้งแต่การปรับแยกเสียงสภาพแวดล้อม เสียงพูด เสียงไมก์ เสียงเพลง หรือการตั้งค่าความเร็วกล้องในตอนที่เราใช้ตัวซูมระยะต่างๆ ที่มีละเอียดตั้งแต่ x1 ไปจนถึง x8 แต่ตัวเลือกตั้งค่าที่ทำมาให้เลือกยิบย่อยขนาดนี้นั้น กลับขาดระบบสำคัญสำหรับเกมบนมือถืออย่าง Gyroscope ไปวางตำแหน่งปุ่มได้ทุกปุ่ม แต่ดันไม่มีให้ตั้งค่า Gyroscope ซะงั้นระบบนี้ถือเป็นหนึ่งในระบบสำคัญของเกมแนว Shooter บนมือถือ เพราะจะช่วยให้ผู้เล่นเล็งศูนย์ยิงได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพึ่งการลากนิ้วที่จะทำให้บังจอจนมองไม่เห็นศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีผู้เล่นจำนวนหนึ่งได้ส่ง Feedback ถึงผู้พัฒนาไปตั้งแต่ช่วง Beta แล้ว แต่ในเกมตัวจริงที่เปิดให้บริการนั้น ก็ยังไม่มีวี่แววของระบบนี้อยู่ดีถึงแม้ตัวเกมจะมีระบบ Auto Fire ที่จะยิงอัตโนมัติ เมื่อเป้าทาบบนตัวศัตรูมาให้  แต่การใช้งานจริงก็ห่วยจนไม่สามารถเอาไปเล่นได้ เพราะในบางสถานการณ์ เราอาจจะแค่ต้องการส่องดูศัตรูจากที่ไกลๆ เฉยๆ ไม่ได้ต้องการที่จะลั่นไกบอกตำแหน่ง นอกจากนี้ถ้าหากคุณใช้ปืน Sniper Rifle กำลังเล็งศัตรูที่เคลื่อนไหวอยู่ ระบบ Auto Fire จะยิงออกไปเองทันที ทำให้เราไม่สามารถยิงดักหน้าศัตรูได้ ดังนั้นระบบนี้ถึงไม่เวิร์คเหมือนที่คิด และไม่สามารถทดแทน Gyroscope ได้ด้วยกราฟิกตามมาตรฐาน ทว่ากลับทำเฟรมเรตได้ไม่นิ่ง และพบอาการแลคอยู่บ่อยครั้งเมื่อพูดถึงความสวยงามของภาพภายในเกม ก็ต้องยอมรับว่า Final Fantasy Vll: The First Soldier ทำออกมาได้ค่อนข้างตามมาตรฐานของเกมมือถือในยุคนี้ อาจจะไม่ได้ดีเลิศจนร้องว้าว แต่ก็สวยงามในระดับที่พอชื่นชมได้บ้าง ทว่าด้วยเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นกระสุนปืน การใช้เวทมนตร์ การโจมตีของมอนสเตอร์ นั่นจึงทำให้ในบางครั้งตัวเกมมีอาการแลคให้เห็นอยู่เป็นพักๆ  ไม่สามารถรักษาเฟรมเรตให้ลื่นตาได้ตลอดการเล่นนอกจากนี้ตัวเกมยังคงมีปัญหาในการโหลดฉากต่างๆ ที่ค่อนข้างนานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนโหมด การหาห้อง การโหลดเข้าเกม การเข้าหน้าร้านค้า ล้วนต้องผ่านการโหลดอย่างน้อย 10-20 วินาทีก่อนทั้งนั้น ตรงจุดนี้จุดทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยว่า ทั้งที่ตัวเกมไม่ได้มีภาพกราฟิกที่ล้ำยุค แต่ทำไมถึงกลับใช้เวลาในการโหลด และไม่สามารถรักษาความเสถียรเฟรมเรตเอาไว้ได้ ทั้งนี้ตัวเกมยังมีอาการเกมพังให้เห็นอยู่ครั้งสองครั้ง ตลอดการเล่นเพื่อเขียนรีวิวในบทความนี้ควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม?หากใครเป็นแฟนตัวยงของซีรีส์ Final Fantasy และชื่นชอบเกม Battle Royale เป็นทุนเดิม เกมนี้คงจะตอบโจทย์คุณได้ไม่มากก็น้อย Final Fantasy Vll: The First Soldier จะช่วยทำให้คุณรำลึกถึงงานภาพสไตล์ Final Fantasy ได้ไม่ยาก แถมตัวเกมยังพยายามยกระบบต่างๆ ที่ยังคงความเป็น RPG ไว้ค่อนข้างเยอะ แต่ทว่าระบบต่างๆ ที่พยายามจะช่วยทำให้เกมดูแตกต่างนั้น กลับส่งผลต่อ Gameplay น้อยกว่าที่คิด ตัวเกมไม่ได้มีจังหวะการเล่นที่ว่องไวขึ้น หรือช้าลงจากเกม Battle Royale เกมอื่นมากนัก เมื่อผ่านพ้นช่วงเฟสแรกมาได้ ผู้เล่นจะเดินเกมช้าลง ระวังตัวกันมากขึ้น เข้าไปหลบตามบ้านเรือน ขึ้นเนินสูง หาจุดได้เปรียบเพื่อหวังชัยชนะชัวร์เสียมากกว่าทั้งนี้ แม้ทางผู้พัฒนาจะพยายามใส่ระบบการชนะทางหรือแพ้ทางของ Mastery เข้ามา แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมการเล่นขนาดนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวผู้เล่นมักจะเลือกใช้ปืนทำดาเมจกันก่อน การโจมตีระยะประชิดเหมือนเป็นอาวุธสำรองในตอนที่หมดก๊อกแล้วจริงๆ เสียมากกว่า และถึงแม้จะมีโบนัสสำหรับอาวุธระยะประชิดอย่าง ระบบ Stagger เข้ามาช่วยก็จริง แต่ด้วยการทำดาเมจที่ค่อนข้างสูงของเกมนี้ จึงทำให้ส่วนใหญ่แล้ว ทั้งผู้เล่นและมอนสเตอร์ต่างตายก่อนที่หลอด Stagger จะเต็มทั้งนั้น มีเพียงมอนสเตอร์ระดับบอสที่เราจะได้ใช้ระบบนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้านระบบ Materia ที่ดูสร้างสรรค์ดี แต่ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกัน “ระเบิดที่มีลูกเล่นมากขึ้น” เพราะ Materia จะไม่ได้ถูกใช้บ่อยๆ ในการต่อสู้ ด้วยข้อจำกัดด้านมานา อีกทั้งยังหวังผลยาก เพราะเล็งยาก และมีระยะที่อยู่ในระดับใกล้จนถึงกลาง ตรงจุดนี้ Materia จึงเหมือนกับระเบิดในเกม Battle Royale อื่นๆ ตรงที่ “ถึงจะสร้างข้อได้เปรียบสูง แต่หวังผลได้ยาก จึงมักใช้เพื่อจำกัดพื้นที่ของศัตรูเสียมากกว่า” ทั้งนี้จะไม่รวม Materia ประเภทสนับสนุนอย่าง Cure, Aero และ Raise ที่จะเป็นการใช้ใส่เพื่อนร่วมทีม ทำให้มีโอกาสใช้ง่ายมากกว่าหากพูดถึง Summon Materia ที่ดูอลังการงานสร้าง และดูจะสร้างความได้เปรียบมหาศาล แต่จุดเสียของระบบนี้คือ หาจังหวะใช้งานจริงยากมาก เนื่องจาก Summon Materia จะต้องหาจาก Supply Drop เท่านั้น แถมยังมาในรูปแบบของการสุ่ม นั่นคือ ทุกกล่องไม่ได้มี Summon Materia ซ้ำร้าย ทางผู้พัฒนายังใส่ระบบ Frenzied ที่โจมตีไม่เลือกหน้าเข้ามาในช่วงท้ายเกม ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเวลาเฉิดฉายของมนตร์อสูรแท้ๆ นั่นจึงทำให้ ระบบนี้ดูขาดๆ เกินๆ ไปโดยปริยาย ไม่ค่อยได้เห็นคนหยิบมาใช้จริงสักเท่าไร นอกจากจะเอาเท่เสียมากกว่าและถึงแม้ระบบอย่าง Indicator ช่วยบอกตำแหน่ง ระบบจำแนกไอเทมอัตโนมัติ และระบบแพ้ทางกันของ Mastery ต่างๆ จะทำออกมาได้ดูดี แต่ด้วยจังหวะการต่อสู้ที่ผู้เล่นเลือกใช้ปืนเป็นดาเมจหลัก Materia เป็นของเสริม และโจมตีระยะประชิดเป็นประกันชั้นสุดท้าย เราจึงมักจะได้เห็นการต่อสู้ในรูปแบบเดิมๆ อยู่เสมอ ซ้ำร้ายเมื่อบวกกับอนิเมชันที่ไม่ลื่นไหล และเฟรมเรตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ นั่นจึงทำให้การต่อสู้ที่ควรจะสนุกในเกมนี้ กลับน่าเบื่ออย่างเหลือเชื่อทุกคนล้วนเปิดฉากกันด้วยสาดกระสุนจากระยะไกล ต่อด้วยใช้ Materia เพื่อบีบพื้นที่ และหากกระสุนหมดกลางทางก็จะเป็นศึกควงหมัดของสายประชิด หรือเป็นจังหวะหนีเอาชีวิตรอดของสายระยะไกล หากสายประชิดฆ่าได้ ก็รอไปเจอกับคนอื่นต่อ แต่หากสายระยะไกลหนีได้ทัน ก็จะเข้าลูปเดิม เปิดฉากดวลปืนกันใหม่ช่างน่าเสียดายที่ Final Fantasy Vll: The First Soldier ไปไม่ถึงฝั่งฝัน แม้จะอุดมไปด้วยไอเดียดีๆ โดยอิงรากฐานความเป็น RPG มาจากเกมหลัก แต่ด้วยสมดุลของเกมยังไม่มั่นคง บวกกับปัญหาด้าน Performance และเซิร์ฟเวอร์ จึงทำให้เกมนี้ต้องตกม้าตาย ทั้งที่ควรจะได้เป็นหนึ่งในเกมบนมือถือยอดเยี่ยมแท้ๆ เชียว
19 Nov 2021
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ตอน 4-6: วางรากฐานสู่ตอนจบอันแสนปวดร้าว
ในการเล่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ด้วยโครงสร้างแบบ 3 องก์นั้น “องก์ที่ 2” มักจะเป็นองก์ที่เล่ายากที่สุด เพราะนอกจากจะต้องต่อยอดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปูมาในช่วงแรกของเนื้อเรื่อง “องก์ที่ 2” ยังมีหน้าที่อันสำคัญในการปูพื้นเหตุการณ์ไปสู่บทสรุปในองก์สุดท้ายด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างในองก์ที่ 2 รู้สึกขาดบทสรุปในตัวเองเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในช่วงแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กรณีดังกล่าวสามารถใช้บรรยายซีรีสื Arcane ตอนที่ 4-6 ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าซีรีส์จะยังคงมาตรฐานบทพูดและการออกแบบอนิเมชั่นอันยอดเยี่ยมของตอนแรกๆ และประสบความสำเร็จในการนำเสนอแง่มุมที่กว้างขึ้นของทั้ง Zaun/เมืองเบื้องล่าง และ Piltover แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องปูเส้นเรื่องและปมขัดแย้งหลายๆ อย่างไว้ไปเฉลยในตอนจบ ส่งผลให้ Pacing หรือจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วมาก โดยที่ไม่ได้นำเสนอบทสรุปที่น่าพอใจนักเมื่อเทียบกับองก์แรกอ่านรีวิวตอน 1-3เหตุการณ์ขององก์ 2 เริ่มขึ้นหลายปีหลังตอนจบขององก์แรก โดยเทคโนโลยี Hextech ของเจซและวิคเตอร์ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเมือง Piltover ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งกว่าเดิม แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะสงบ เมื่อเหล่าวายร้ายจากเมืองเบื้องล่างเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเปิดศึกกับเมือง Piltover อย่างลับๆ ในขณะเดียวกัน ‘ไว’ ผู้ซึ่งถูกขังคุกเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องร่วมมือกับนักสืบมือใหม่ไฟแรงอย่าง ‘เคทลิน’ (Caitlyn ฮีโร่อีกตัวจากเกม LoL) เพื่อตามหาน้องสาวของเธอ ผู้ซึ่งกลายเป็นอาชญากรตัวฉกาจที่ใช้ชื่อว่า ‘จิ๊งซ์’ ไปซะแล้วจุดแข็งอย่างหนึ่งของซีรีส์ ‘Arcane’ ที่ผู้เขียนเคยกล่าวชมไปในรีวิวองก์แรกของซีรีส์ คือการที่ทีมนักเขียนเลือกจะมุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ของพี่น้องไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์เป็นหัวใจหลัก ในขณะที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์ทำหน้าที่ในการ “ปูพื้น” ธีมแฟนตาซีต่างๆ ของโลก องก์ที่ 2 ดูจะเทความสำคัญไปที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์มากกว่า ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้คนดูสามารถมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้มากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องราวของไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์ควรได้รับการพัฒนามากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ควรเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงจากพาวเดอร์ไปสู่จิ๊งซ์ได้มากกว่านี้ซะหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางถึงเปลี่ยนให้เด็กน้อยไม่สู้คนอย่างพาวเดอร์ กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งอย่างจิ๊งซ์ไปได้ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเจซและวิคเตอร์จะไม่น่าติดตามไปซะทีเดียว โดยเฉพาะปมความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนที่มีน้ำหนักทางอารมณ์อยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับเรื่องราวของไวและพาวเดอร์ แต่ด้วยจุดประสงค์ของเรื่องราวเหล่านั้นในการ “ปูพื้น” ให้กับโลกของซีรีส์ในภาพใหญ่ ทำให้เรื่องราวของทั้งสองเข้าไปพัวพันกับการเมืองต่างๆ ของ Piltover ด้วย ซึ่งอาจจะไม่ได้น่าติดตามมากเท่ากับความสัมพันธ์พี่น้องในองก์แรก โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ หน้าใหม่ที่ไม่ได้มีความผูกพันธ์กับโลกของ LoL มาก่อนทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะไม่ได้รู้สึก “อิ่ม” ในตัวเองมากเท่ากับสามตอนแรก/องก์แรก แต่ Arcane องก์ 2 (4-6) ก็ยังคงรักษามาตรฐานหลายๆ อย่างเอาไว้ โดยเฉพาะในแง่ของอนิเมชั่นอันสวยงาม และฉากแอคชั่นที่ออกแบบมุมกล้องมาได้น่าตื่นเต้นเสมอ คงต้องไปวัดกันในองก์สุดท้ายที่ออกอากาศในวันที่ 20 พฤษจิกายนนี้ ว่าซีรีส์จะสามารถควบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ไปสู่จุดจบที่น่าพอใจได้แค่ไหน
16 Nov 2021
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ตอน 1-3: ก้าวแรกสู่โลกของ LoL ในมุมที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ด้วยความสำเร็จของเกม MOBA ยอดฮิตอย่าง League of Legends ที่ครั้งหนึ่งเคยครองตำแหน่ง “เกมที่มียอดผู้เล่นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์” อยู่หลายปี และสร้างรายได้ให้กับผู้สร้างเกมอย่าง Riot Games (และเจ้าของบริษัท Riot Games อย่าง Tencent) ไปเป็นกอบเป็นกำตลอดระยะเวลานั้น คงไม่น่าแปลกใจที่ในที่สุดเราจะได้เห็นผู้พัฒนา Riot Games พยายามขยายเกมลูกรักออกไปสู่ตลาดอื่นๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเกมการ์ดใหม่อย่าง Legends of Runeterra ที่ได้รับความนิยมอยู่มิใช่น้อย ไปจนถึงการประกาศเปิดตัวเกม RPG แบบ Turn-based สำหรับเครื่อง PC อย่าง Ruined King: A League of Legends Story ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา หรือกระทั่งการเข้าไปมีตัวตนอยู่ในวงการดนตรีในฐานะวง K/DA และไอดอล Seraphina ก็ตามทีแน่นอนว่านั่นย่อมรวมถึงซีรีส์ ‘Arcane’ ผลงานซีรีส์อนิเมชั่นใหม่ล่าสุดจาก Riot Games และสตูดิโอสัญชาติฝรั่งเศษ Fortiche Production ที่เพิ่งปล่อย 3 ตอนแรกออกมาให้ชมกันทางเว็บสตรีมมิ่ง Netflix เมื่อวันที่ 6 พฤษจิกายนที่ผ่านมา โดยซีซั่นแรกของซีรีส์จะมีทั้งหมด 9 ตอน แบ่งออกเป็นองก์ละ 3 ตอนซึ่งออกอากาศพร้อมกันทุกสัปดาห์ ซึ่งระหว่างแต่ละองก์จะมีการ “ข้ามเวลา” (Time Skip) ด้วย จึงอาจจะมองแต่ละองก์รวมกันเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในไตรภาคก็ได้หลังจากที่รับชม 3 ตอนแรกของซีรีส์ ต้องยอมรับอย่างเต็มปากว่า ‘Arcane’ ถือเป็นก้าวแรกอันแข็งแกร่งในการขยายจักรวาล League of Legends สำหรับแฟนๆ ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ด้วยเนื้อเรื่องที่ซีเรียสและละเอียดอ่อนกว่าที่คาดหวังจะได้เห็นจากแฟรนไชส์ MOBA ซึ่งติดตามได้ง่ายแม้จะไม่เคยรู้จักกับโลกหรือตัวละครมาก่อน พร้อมกับผลงานอนิเมชั่นและการจัดภาพชั้นครูที่สามารถนำพาอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกัน การที่ซีรีส์เลือกเน้นเรื่องราวชีวิตตัวละครเพียงไม่กี่ตัว ยังทำให้ ‘Arcane’ เป็นซีรีส์ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ติดตามได้ และควรลองให้โอกาสซักครั้ง ไม่ว่าคุณจะรู้จักกับ League of Legends หรือไม่ก็ตามเรื่องราวของ ‘Arcane’ จะตั้งอยู่ในเมืองพี่น้อง Piltover และ Zaun (ก่อนที่จะเป็น Zaun ด้วยซ้ำ) โดย Piltover เป็นเมืองที่โด่งดังในเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการค้าขายอันรุ่งเรือง ในขณะที่ Zaun (หรือที่ซีรีส์เรียกเพียงแค่ว่า ‘Undercity’ หรือ ‘เมืองเบื้องล่าง’) เปรียบได้กับ ‘ย่านสลัม’ ที่ถูกลืมของเมือง Piltover ซึ่งเต็มไปด้วยอาชญกรรมและสารเคมีที่ตกค้างจากขยะเหลือทิ้งของ Piltover อีกที ความแตกต่างอันสุดขั้วของเมืองทั้งสองนำไปสู่ความเกลียดชังและเหยียดหยามกันเองระหว่างผู้คนในเมือง ที่ต่างมองว่าอีกฝ่ายเป็นเสี้ยนหนามที่ควรถูกกำจัดไปให้สิ้นซาก ก่อนเหตุการณ์ของซีรีส์ ความขัดแย้งนี้ได้เคยนำไปสู่การปฏิวัติโดยประชากรเมืองเบื้องล่างที่ลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องความเท่าเทียมจากเหล่าคนดีย์แห่งเมือง Piltover ในที่สุด แต่พวกเขากลับเผชิญการตอบโต้อย่างรุนแรงจากหน่วยตำรวจของ Piltover ที่ลงเอยด้วยการเสียชีวิตของชาวเมืองเบื้องล่างจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ของสองพี่น้อง ‘ไวโอเล็ต’ (Violet หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘Vi’ หรือ ‘ไว’) และ ‘พาวเดอร์’ (หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘Jinx’ หรือ ‘จิ๊งซ์’ นั่นเอง) การตายของพ่อแม่ทำให้สองพี่น้องต้องเติบโตในฐานะเด็กกำพร้าภายใต้การดูแลของ ‘แวนเดอร์’ อดีตหัวโจกแห่งการปฏิวัติ ที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อประจำย่านหนึ่งในเมืองเบื้องล่าง โดยไวและพาวเดอร์ต้องเอาตัวรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อยพร้อมกับแก๊งโจรเล็กๆ ที่มีไวเป็นหัวหน้าเรื่องราวของ ‘Arcane’ เริ่มขึ้นเมื่อไวและแก๊งได้รับคำแนะนำให้ไปปล้นห้องทดลองแห่งหนึ่งใน Piltover ที่บังเอิ๊ญบังเอิญเป็นของนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ชื่อว่า ‘เจซ’ (Jayce ฮีโร่อีกตัวจากเกม) ผู้ซึ่งกำลังพยายามหาวิธีในการ “ควบคุมเวทมนตร์ด้วยวิทยาศาสตร์” โดยเหตุการณ์นี้เป็นตัวจุดชนวนที่พาไวและพาวเดอร์เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง Piltover และเมืองเบื้องล่างอีกครั้ง และยังเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะเปลี่ยนสองพี่น้องให้กลายเป็นศัตรูคู่อริที่แฟนๆ ของ League of Legends คุ้นเคยกันดีความสูญเสียพ่อแม่ในอดีตของเธอ ส่งผลให้ไวเติบโตมาพร้อมกับความต้องการที่จะปกป้องน้องสาวทุกวิถีทาง ในขณะที่พาวเดอร์เองก็พยายามพิสูจน์ตัวเองต่อพี่สาวอยู่เสมอว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้ แต่ความเป็นเด็กของเธอก็ทำให้เธอมักทำผิดพลาดในขณะออกปล้นอยู่เสมอ จนสมาชิกคนอื่นๆ ในแก๊งเรียกเธอเป็น “ตัวซวย” (หรือภาษาอังกฤษคือ ‘Jinx’ นั่นเอง) ทำให้ไวต้องออกตัวปกป้องน้อง ซึ่งก็ยิ่งทำให้พาวเดอร์รู้สึกอยากพิสูจน์ตัวมากขึ้นไปด้วย วนไปมาอยู่อย่างนั้นลักษณะความสัมพันธ์ของไวและพาวเดอร์ถือเป็นหัวใจหลักของซีรีส์ ‘Arcane’ นี้ ที่ทำให้ผู้ชมทุกคนสามารถรู้สึกร่วมไปกับตัวละครเหล่านี้ได้โดยที่ไม่ต้องรู้จักมาก่อน ซึ่งในจุดนี้นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในฝั่งของผู้เขียนบท เพราะเอาเข้าจริงๆ จักรวาลของ League of Legends นั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก เอาแค่ฮีโร่ในเกมก็ปาเข้าไปมากกว่า 140 ตัวแล้ว การพยายามเล่าเรื่องราวใหญ่โตที่มีตัวละครให้จำเยอะๆ อาจทำให้ซีรีส์เข้าถึงยากสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเกม LoL อยู่แล้ว การมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของตัวละครไม่กี่ตัวทำให้ซีรีส์สามารถนำเสนอปมความขัดแย้งที่มี “ความเป็นมนุษย์” ได้ มากกว่าจะเป็นเรื่องราวแฟนตาซีระดับมหากาพย์ที่ติดตามยากกว่ายิ่งไปกว่านั้น ซีรีส์ประสบความสำเร็จมากๆ ในการสื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาทั้งในบทพูดและการแสดงบุคลิกสีหน้าทั้งหลาย โดยผลงานอนิเมชั่นของ Fortiche Productions ที่มีลักษณะเหมือนภาพจิตรกรรมสีฉูดฉาดกลับสามารถมอบความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครได้อย่างคาดไม่ถึงFortiche Productions ยังแสดงฝีมืออันน่าทึ่งในการจัดองก์ประกอบภาพในแต่ละเฟรมของซีรีส์ ทำให้แทบทุกเฟรมมอบความรู้สึกราวกับเป็นภาพนิ่ง แถมยังมีการใช้เอฟเฟกต์มุมกล้องและ Slow Motion เพื่อเน้นจังหวะระทึกขวัญในฉากแอคชั่นได้อย่างแยบยล จนต้องยอมรับว่า ‘Arcane’ ไม่เพียงเป็นผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของ Riot แต่อาจเป็นผลงานซีรีส์อนิเมชั่นที่ดีเป็นอันดับต้นๆ บน Netflix ได้สบายเลยในขณะที่เรื่องราวของไวกับพาวเดอร์ดำเนินไปนั้น ‘Arcane’ ยังค่อยๆ ‘สร้างโลก’ (World Building) ของซีรีส์ไปด้วยผ่านเรื่องราวของตัวละคร ‘เจซ’ และ ‘วิคเตอร์’ (Viktor) สองนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ใฝ่ฝันจะควบคุมพลังแห่ง ‘มนต์ตรา’ ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามกฏหมายของเมือง Piltover โดยเรื่องราวของทั้งสองแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวของไวและพาวเดอร์โดยตรง แต่ก็เป็นช่องทางที่ทำให้ซีรีส์สามารถสำรวจมุมต่างๆ ของ “โลก” ของซีรีส์มากขึ้นทีละน้อยทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมและวิถีชีวิต หรือความเชื่อที่ชาวเมืองมีต่อเวทมนต์ เป็นการค่อยๆ วางรากฐานเพื่อให้ซีรีส์สามารถเล่นกับปมที่ใหญ่ขึ้นได้ในอนาคตทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะต้องตำหนิอะไรซักอย่าง คงเป็นการที่ซีรีส์มีจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเร็ว แม้จะมีความยาวตอนละถึง 45 นาทีก็ตาม ซึ่งแม้จะไม่ได้ทำให้คุณภาพของการเล่าเรื่องโดยรวมเสียไปเท่าไหร่นัก แต่ก็แอบทำให้รู้สึก “เหนื่อย” ได้เหมือนกันเมื่อนั่งดูทั้ง 3 ตอนติดๆ กัน เพราะแทบทุกฉากมีข้อมูลหรือบทพูดบางอย่างที่ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องไปข้างหน้าเสมอ แต่ครั้นจะดูทีละตอนก็ยากเหมือนกัน เพราะยอมรับตามตรงว่าซีรีส์สนุกมากจนอยากจะดูรวดเดียวให้จบทั้ง 9 ตอนด้วยซ้ำแน่นอนว่าเรายังมีอีก 6 ตอนที่เหลือก่อนที่ซีรีส์ ‘Arcane’ จะจบซีซั่นแรกจริงๆ แต่ถ้าวัดจากแค่ 3 ตอนแรก ก็รับประกันได้เลยว่าอีก 6 ตอนที่เหลือน่าจะมีอะไรสนุกๆ รออยู่อีกเพียบ อ่านรีวิวตอน 4-6
10 Nov 2021
รีวิว Call of Duty: Vanguard ยังคงมาตรฐานเดิม และไม่ทำให้ผิดหวัง
หลังจากความสำเร็จของเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 กับการพาเราเข้าไปสู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ภายในปีนี้ทาง Sledgehammer Games ก็ได้พาเรากลับสู่ในยุคนี้อีกครั้งกับ Call of Duty: Vanguard ที่จะพาให้เราด้ไปสัมผัสกับยุคสงครามโลกยุคนี้อีกรอบหนึ่ง แต่จะให้เราได้ไปติดตามเหล่าวีรบุรุษสงครามด่านหน้าของแต่ละประเทศ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปเล่นมาแล้วและจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเกมมีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้างกราฟิก / การนำเสนอภายในเกม Call of Duty: Vanguard นี้ได้ใช้ Engine อย่าง IW8 Engine ที่เป็นการอัปเกรดกราฟิกจาก Call of Duty: Modern Warfare (2019) ซึ่งตัวภาพต้องยอมรับในเรื่องของความสมจริงทั้งในด้านโมเดลของตัวละครที่ถือว่าใกล้เคียงกับคนจริงๆ มากขึ้นจนมองเผินๆ จะแยกไม่ออกแล้ว ส่วนในฉากเล่นเกมทั่วไปนั้น โมเดลฉากต่างๆ ตอนเล่นถ้าหากคุณเคยเล่น Call of Duty: Modern Warfare (2019) มันก็จะให้ความรู้สึกนั้นทั้งกราฟิกและหน้า Interface ที่คล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างของ Call of Duty: Vanguard ก็คงจะเป็นแสงเงาที่ชัดมากขึ้นและสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของการกินสเปกของเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องไม่ได้สูงมากนัก เพราะคอมของผู้เขียนที่ใช้เล่นเกมนี้ก็คือ I5 8400 + GTX 1060 6GB ก็ยังสามารถเล่นเกมนี้ได้ในระดับ High สามารถทำเฟรมเรทได้ราวๆ 70 เฟรม ซึ่งถือว่าเล่นได้ค่อนข้างไหลลื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าปรับกราฟิกระดับนี้เวลาเจอฉากเอฟเฟกเยอะๆ ก็อาจจะทำให้เฟรมร่วงหรือเกิดอาการแคชเกมเด้งบางครั้ง (แต่จากที่เล่นมาเกิดแค่รอบเดียว) ซึ่งตัวผู้เขียนเองชอบเล่นในระดับที่ต่ำลงมาขั้นหนึ่ง เพื่อความลื่นไหลตลอดโดยไม่ติดขัดมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นตัวกราฟิกก็ยังไม่ได้ต่างกันมากโหมดเนื้อเรื่องภายในภาคนี้ตัวเกมจะพาเราเข้าสู่ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง เพียงแต่ตัวเกมจะโฟกัสเราไปที่การติดตามกลุ่มนักรบยอดฝีมือจากประเทศต่างๆ โดยใช้ชื่อกลุ่มทหารนี้ว่า Vanguard กับภารกิจค้นหาภารกิจลับของนาซีนามว่าโปรเจกต์ฟีนิกซ์ โดยตัวเกมจะพาเราไปเห็นในช่วงสุดท้ายของยุคนาซี พร้อมกับได้ย้อนดูวีรกรรมของเหล่าพลทหารในทีม Vanguard ว่าพวกเขานั้นสร้างผลงานอะไรมาก่อนได้ร่วมทีม โดยระยะเวลาในการเล่นโหมดเนื้อเรื่องจะอยู่ที่ราวๆ 5-7 ชั่วโมง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นระยะเวลาที่กำลังดีในการเล่นโหมดนี้เพราะมันไม่นานจนน่าเบื่อเกินไป รวมถึงภารกิจแต่ละด่านที่มอบให้จะเป็นการพาเราย้อนไปดูวีรกรรมของเหล่าทหารทีมนี้ที่แต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางด่านก็จะพาให้เราได้บังคับหัวหน้ากองบัญชาการที่จะมีความสามารถในการสั่งลูกทีมโจมตีศัตรูตัวเดียวได้ บางด่านก็จะบังคับให้เราเข้าสู่โหมดลอบเร้นที่มีความสามารถในการจับออร่าการเคลื่อนไหวของศัตรูรอบๆ ได้ บางด่านก็อาจจะพาเราเข้าสู่การสวมบทเป็นมือสไนเปอร์ หรือบางด่านก็พาเราไปบังคับเครื่องบินรบก็มี โดยการเล่นโหมดแคมเปญราวๆ 7 ชั่วโมงของผู้เขียนนั้นไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่นิด เพราะความหลากหลายในการเล่นนี้แต่ถ้าจะให้พูดข้อเสียก็คงจะมีอย่างเดียวก็คือเนื่องจากระยะเวลาของเกมที่สั้นบวกกับจำนวนของตัวละครที่เราได้เล่นนั้นไม่ได้มากจนเกินไป ทำให้ตัวละครของเกมภาคนี้ไม่ได้น่าจดจำเสียเท่าไรนัก รวมถึงเวลาส่วนใหญ่ของเกมมักจะเป็นการเล่าย้อนความหลังเสียมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องหลักปัจจุบันนั้นอาจจะดูเบาบางลงไปนิด เหล่าตัวร้ายเองก็ดูไม่ได้โหดและน่าจดจำเช่นกัน เพราะบทที่ค่อนข้างน้อย โหมด Multiplayerภายในโหมดผู้เล่นหลายคนนอกจากโหมดปกติที่เคยมีในทุกๆ ภาคอย่าง Domination, Deathmatch, Team Deathmatch และโหมดอื่นๆ อีกมากมายที่ท่านเคยเล่น แต่โหมดใหม่ที่ถูกใส่มาในภาคนี้และค่อนข้างน่าสนใจมากๆ ก็คือโหมด Patrol ที่่เกมการเล่นก็จะคล้ายคลึงกับโหมดยึดครองทั่วไป เพียงแต่ว่าจุดยึดครองจะทำการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบเพราะมันจะทำให้เราไม่ต้องพบเจอกับการดักรอจุดเกิดหรือดักซุ่มจุดๆ เดียวทั้งเกม เรามีโอกาสสุ่มจุดเกิดตรงไหนก็ได้และวิ่งยิงวิ่งยึดไปตลอด ทำให้โหมดนี้ค่อนข้างเอื้อกับผู้เล่นมือใหม่พอสมควร เพราะถ้าหากคุณสู้ไม่เก่ง การวิ่งยึดจุดเรื่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน เพราะต่อให้ Kill เยอะอยู่จุดๆ เดียวและไม่ยอมไปยึดจุดเลย ก็ทำให้แพ้ได้ส่วนในระบบ Kill Streak ภาคนี้จะใช้ระบบการนับจำนวน Kill ต่อเนื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นมือใหม่เสียเท่าไร เพราะเราจะต้องเก็บ Stack ฆ่าศัตรูให้ได้ตามจำนวนกำหนดเราถึงจะสามารถใช้ความสามารถนั้นๆ ได้ ซึ่งคนเก่งๆ ก็จะสามารถเรียกของดีๆ ออกมาใช้ได้บ่อยๆ ส่วนผู้เล่นใหม่ก็อาจจะลำบากพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบนี้แฟนๆ รุ่นเก่าก็อาจจะชอบเพราะมันก็มีอยู่ในหลายๆ ภาคนั่นเองส่วนระบบการแต่งปืนถ้าหากใครที่เคยเล่น  Call of Duty: Modern Warfare (2019) มา ท่านเองก็อาจจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เพราะระบบต่างๆ นั้นเหมือนกันเกือบทั้งหมด ระบบแต่งปืนยังมีความละเอียดและก็มีสเตตัสบอกเราอย่างชัดเจน ซึ่งข้อแตกต่างก็คือปืนที่มีให้ใช้จะเป็นปืนจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเองความรู้สึกส่วนตัวยอมรับเลยว่าโหมดเนื้อเรื่องของเกมซีรีส์ Call of Duty นั้น ค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างมาก เพราะบางทีเราจะต้องใช้อาวุธเดิมๆ ตั้งแต่ต้นเกมจนเกือบจบเกม บวกกับระยะเวลาที่ยาวกว่า 15-20 ชั่วโมง แต่ผิดกับทาง Call of Duty: Vanguard ที่แต่ละด่านนอกจากจะมีธีมที่แตกต่างกันไป เกมเพลย์การเล่นก็จะแตกต่างกันด้วย รวมถึงระยะเวลาที่พอเหมาะไม่ทำให้เบื่อเกินไปด้วยส่วนระบบ Multiplayer ของเกมถ้าใครที่เป็นแฟนเกม Call of Duty อยู่แล้วท่านก็คงจะยังชอบเกมภาคนี้อยู่เหมือนเดิม มีโหมดที่น่าสนใจอย่าง Patrol ที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นตลอดเวลาในนั้น แต่ข้อสังเกตุเดียวของภาคนี้ที่อยากจะพูดก็คงเป็นเรื่องของธีมสงครามโลกที่มันอาจจะค่อนข้างซ้ำซากกับทางเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 อาจจะทำให้ Call of Duty: Vanguard ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมดี รักษาความเป็นเกมยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่มันจะไม่ได้ถูกเป็นที่จดจำใดๆ ในภายหลังและอาจจะทำให้ผู้คนลืมเลือนมันไปในอนาคต
09 Nov 2021
Dota 2 เจาะลึก Marci สาวน้อยหมัดหนักผู้มากับความเงียบ
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มาการอัพเดทฮีโร่ใหม่ที่มาพร้อมแพท 7.30e นั่นก็คือ Marci นั่นเอง และเมื่อวันที่ 2 พฤษจิกายนที่ผ่านมาได้มีแพทอัพเดทปรับปรุงความสามารถของ Marci ให้สมดุลขึ้น บทความนี้เรามาเจาะลึกฮีโร่ตัวนี้กันเลยครับ Marci เป็นฮีโร่สาย strength จุดเด่นอยู่ที่การโจมตีเป้าหมายเดี่ยวที่รุนแรง mobility ที่สูง แถมยังมีสกิล support เพื่อนร่วมทีมได้ด้วยสกิล 3 ที่ มีพลังตั้งแต่ต้นเกมส์ไปจนถึงเลทเกมส์ เรียกได้ว่าครบเครื่องที่บทบาท เป็นฮีโร่ไม่กี่ตัวของ Dota2 ที่มีความครบเครื่องเช่นนี้Marci Skill 1. DISPOSE            Marci จับเป้าหมาย (มีผลกับฮีโร่พันธมิตรและศัตรู) ทุ่มไปด้านหลังของเธออย่างรุนแรง เมื่อเป้าหมายตกลงบนพื้นดินส่งผลให้เกิดแรงกระแทกโดยรอบบริเวณนั้นและสตันเป้าหมายทุกตัวในระยะที่เกิดผลกระทบนี้ระยะโยน 350ระยะเวลาสตัน 0.9 / 1.3 / 1.7/ 2.1ความเสียหายตกกระทบ 70 / 120 / 170 / 220คูดาวน์ 16 / 14 / 12 / 10ใช้มานา 902. REBOUNDMarci กระโดดพุ้งไปยังยูนิตเป้าหมายเมื่อถึงยูนิตนั้นแล้ว Marci จะกระโจนไปยังพื้นที่เป้าหมายที่เธอเลือก เมื่อเธอตกถึงพื้นจะเกิดแรงกระแทก สร้างความเสียหายและลดความเร็วเคลื่อนที่ให้แก่ศัตรูภายในบริเวณนั้นระยะกระโดดสูงสุด 800ความเสียหายตกกระทบ 90 / 160 / 230 / 300เคลื่อนที่ช้าลง 30% / 40% / 50% / 60%ระยะเวลาช้าลง 3คูดาวน์ 17 / 15 / 13 / 11ใช้มานา 70 / 80 / 90 / 100           3. SIDEKICKMarci บัฟตัวเองหรือเป้าหมายฝ่ายพันธมิตรเพิ่มเสริมพลังโจมตีและดูดพลังชีวิตเมื่อทำการโจมตีกายภาพใส่ศัตรูระยะเวลา 6ดูดพลังชีวิต 35% / 40%  / 45% / 50%เพิ่มพลังโจมตี 20 / 35  / 50 / 65คูดาวน์ 36 / 28 / 20 / 12มานาที่ใช้ 45 / 40 / 35 / 30                        4. UNLEASHMarci ดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเองชั่วนณะหนึ่ง ในสถานะนี้จะได้รับบัฟสถานะ ชาร์จเดือดดาล ส่งผลให้เธอโจมตีเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในการโจมตีแต่ละชุด หมุดสุดท้ายจะปลดปล่อยคลื่นกระแทกสร้างความเสียหายโดยรอบเป้าหมาย ลดความเร็วการดคลื่อนที่และการโจมตีเป็นเวลา 2 วินาที เมื่อสิ้นสุดหมัดสุดท้ายจะไม่สามารถโจมตีได้เป็นเวลา 1.75 วินาทีระยะเวลา 16จำนวนหมัดต่อคอมโบ 3 / 4 / 5รัศมีคลื่นกระแทก 800ความเสียหายคลื่น 60 / 130 / 200คลื่นทำให้เคลื่อนที่ช้าลง 30%คลื่นทำให้โจมตีช้าลง 60 / 80 / 100คูดาวน์ 110 / 90 / 70มานาที่ใช้ 100 / 125 / 150Talentsการอัพ Talents แนะนำLv 10 อัพฝั่งขวา +5 Armor เพราะช่วยเพิ่มความหนาให้เก่งขึ้นมาตอนต้นเกมส์ เพราะ Marci เป็นฮีโร่ที่มีเกราะต้นเกมส์น้อยเมื่อเทียบกับฮีโร่สาย strength ตัวอื่น การอัพ Talents นี้ส่งผลให้ Marci ดีขึ้นมากและยังช่วยเพื่อความถึกเมื่อต้องเข้าปะทะในช่วงต้นเกมส์Lv 15 อัพฝั่งซ้าย +200 Rebound Cast/Jump Range เป็น Talents ที่มีประโยชน์สุดๆในทุกสายการเล่น เพราะช่วยให้ mobility สูงขึ้นมาก สามารถกระโดดเข้าไปฆ่าศัตรูได้ไกลขึ้น ที่สำคัญสามารถใช้หนีศัตรูได้ดีด้วยต่างหาก ประโยชน์อีกอย่างนึงก็คือ มันสามารถใช้กระโดดข้ามพื้นที่หน้าผาได้ด้วยนะLv 20 อัพได้ทั้ง 2 ฝั่ง ตามสถานะการณ์ Lv 25 อัพฝั่งซ้าย 1.5s Sidekick Spell Immunity สกิลฟรี BKB ให้ทั้งเพื่อนและตัวเอง พร้อมทั้งสามารถล้างสถานะผิดปกติบางชนิดได้ เป้นสกิลที่มีประโยชน์สุดๆในช่วงท้ายเกมส์ สามารถอัพได้ทุกสายการเล่นเช่นเดียวกันItem Builds                   Marci เป็นฮีโร่สาย Strength-based ข้อดีในส่วนนี้คือในการอัพเวลาในแต่ละครั้งจะได้ค่า Strength ที่สูง ที่เพิ่มทั้ง HP และพลังโจมตีทำให้เป้นฮีโร่ที่มีความสามารถในการเข้าปะทะ ยืนชนเลนในช่วงต้นเกมส์ได้ดีมาก เราสามารถเลือกใช้ไอเทมที่เสริมพลังโจมตีเพื่อเพิ่มความสามารถตรงนี้ได้หลากหลายมาก ไอเทมที่แนะนำได้แก่ต้นเกมส์Orb of Corrosionสุดยอดไอเทมราคาถูกที่มีประโยชน์มากในช่วงต้นเกมส์ พร้อมทั้งยังส่งผลให้สกิล 3 และสกิล Ultimate แข็งแกร่งขึ้น ผลพลอยได้อีกอย่างนึงก็คือมันช่วยเพิ่มความหนา (HP) ให้แก่คุณได้อีกด้วย ทำให้ช่วงต้นเกมส์ถึกขึ้นมากเมื่อใช้คอมโบคู่กับสกิล 3Echo Saberไอเทมช่วงต้นเกมส์ที่ช่วยให้ Marci รีเจนมานาได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ Ultimate มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ความน่าใช้ของไอเทมชิ้นนี้อยู่ในสถานะกลางๆ เพราะมีราคาที่สูงพอตัว ยังมีไอเทมช่วยเร่งมานาอีกหลายชนิดที่ราคาถูกและน่าใช้กว่า แต่โดยรวมถือว่ายังมีประโยชน์Maelstromไอเทมช่วงต้นเกมส์ที่เหมาะกับตำแหน่ง เลนกลาง เพราะช่วยบูสการฟาร์มได้ไวและง่ายยิ่งขึ้น ทั้งการทำครีฟในเลน และการฟาร์มป่า (ข้อเสียของ Marci คือการฟาร์มในป่าที่ทำได้ยาก ) อีกทั้งยังช่วยเสริมดาเมจร่วมกับสกิล Ultimate ที่เรียกว่าแรงมากๆในช่วงต้นเกมส์ เอาไว้ปิดจ็อบศัตรูได้ภายในการโจมตีไม่กี่ชุดTreads” “Vs “Phase Boots”ไอเทมเพิ่ม movement speed ทั้ง 2 ชนิด Marci สามารถเลือกใช้ได้ทั้ง 2 ชนิด แต่จะมีข้อดีที่แตกต่างกัน หากคุณเลือกใช้ Phase Boots จะได้ข้อดีในส่วนของการไล่ฆ่า การ roaming มีประโยชน์อย่างมากหากคุณเล่นเลนกลาง หากคุณเลือกใช้ Treads คุณก็จะได้รับค่า stat และ attack speed ที่มากขึ้น ทำให้ฟาร์มป่าได้ดีขึ้นมาก มีประโยชน์มากในตำแหน่งแครี่ของทีมFalcon Bladeไอเทมราคาถูกควรออกตั้งแต่ช่วงต้นเกมส์ เพราะสามารถเพิ่มทั้งพลังชีวิต และ พลังโจมตีให้ Marci เป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือเป็นไอเทมที่เพิ่มการรีเจนมานา (mana regen) ได้ดีอีกด้วย จุดอ่อนของ Marci อย่างนึงคือการมี Mana Max ที่น้อย การออกไอเทมชิ้นนี้มาก็นับเป้ยตัวเลือกที่ดีในการลดข้อเสียตรงนี้ของเธอกลางเกมส์Armlet of Mordiggianไอเทมช่วง ต้น - กลางเกมส์ ที่ช่วยเพิ่ม Attack speed และ Damage อย่างมหาศาลได้ประโยชน์ทั้งการฟาร์ม และ  team fight เพราะเมื่อเปิดใช้งานร่วมกับสกิล Ultimate จะทำให้ Marci ทำ Damage เพิ่มขึ้นอย่างมาก ถ้าต่อยโดนตัวซัพบางๆละก็ ชุดเดียวตายได้เลยนะBlink Daggerไอเทมช่วงต้นเกมส์ที่ออกมาเพิ่มลดข้อเสียของสกิล rebound ที่ต้องการเป้าหมายในการโดดเหยียบก่อนที่จะเข้าถึงตัวศัตรู คุณสามารถเข้าประชิดตัวสกิลแล้วสตันศัตรูด้วยสกิล dispose และตามด้วยการต่อยหมัดชุดการสกิล Ultimate ปิดจ็อบศัตรูแนวหลังได้ด้วยคอมดบชุดเดียว เป้นไอเทมที่มีประโยชน์มา ที่สำคัญสามารถนำไปขึ้นเป็น Overwhelming Blink ที่ทรงพลังขึ้นไปอีกในช่วยเลทเกมส์Black King Barเนื่องจาก Marci แพ้ทางฮีโร่ที่มีความสามารถ CC (crowd control) เป็นอย่างมาก แม้ Talents จะมี ฟรี bkb แต่เนื่องด้วยช่วงเวลากว่าจะได้ Talents นี้มาก็นานอยู่เพราะกว่าจะอัพได้ก็ Lv 25 การออก bkb ในช่วงกลางเกมส์นับว่าเป้นสิ่งสำคัญเลยทีเดียวSkull Basherสุดยอดไอเทมเสริมความสามารถของสกิล Ultimate เรียกได้ว่าเมื่อออกไอเท็มชิ้นนี้แล้วใช้คู่กับ Ultimate การันตีสถานะ Stun เลยก็ว่าได้ ใครโดนเข้าไปจุกแน่นอนท้ายเกมส์Abyssal Bladeไอเทมต่อยอดมาจาก Skull Basher จุดเด่นที่โกงมากของไอเทมชิ้นนี้คือการบลิ้งเข้าไปโจมตีศัตรูได้ตรง ที่สำคัญยัง stun ศัตรูได้อีก เป็นไอเทมที่ได้ทั้งการเสริมพลังโจมตี และ mobilityDaedalus ไอเทมเสริมดาเมจของ Marci ที่เล่นเป็นตัว Core เป็นไอเทมสำคัญมากในช่วงท้ายเกมส์สำหรับแพทนี้ เรียกได้ว่าตัว Core ที่ต้องการดาเมจแทบทุกตัวต้องออกไอเทมชิ้นนี้Marci skill buildsเนื่องจากที่เกรินไปแล้วว่า Marci เป็นฮีโร่ ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การโจมตีเป้าหมายเดี่ยวที่รุนแรงและมี mobility ที่สูง แถมยังมีสกิล support เพื่อนร่วมทีมได้ด้วยสกิล sidekick ทำให้เป็นฮีโร่ที่ มีพลังตั้งแต่ต้นเกมส์ไปจนถึงเลทเกมส์ เรียกได้ว่าครบเครื่องทุกบทบาท เป็นฮีโร่ไม่กี่ตัวของ Dota2 ที่มีความครบเครื่องเช่นนี้ การเลือกอัพสกิลในช่วงต้นเกมส์ ขึ้นอยู่กับฮีโร่เผชิญหน้าในช่วง Lane Phaseเมื่อเจอฮีโร่ที่เอาชนะเลนในยาก สกิลที่ควรอัพในเต็มเป็นอันดับแรก ควรเป็นสกิล Rebound เนื่องจากสามารถใช้หนีและเปลี่ยนตำแหน่งยืนได้ง่าย และผสมกับการอัพสกิล Sidekick ที่ใช้ในการฟาร์มและฟื้น HP จากการกดดันของศัตรูเมื่อเจอกับฮีโร่ที่สามารถเอาชนะเลนได้ง่าย สกิลที่ควรอัพถ้าหากคุณต้องการ builds ที่สามารถกดดันและไล่ฆ่าศัตรูได้ง่าย ควรเป็นสกิล Rebound คู่กับ Dispose เพราะสามารถเข้าถึงตัวและสตันเป้าหมายได้ในทันทีถ้าหากต้องการเล่นเป็นตำแหน่ง Support สกิลที่ควรอัพนำในช่วง Lane Phase คือสกิล Sidekick และผสมด้วย Rebound กับ Dispose อย่างละ 1 เนื่องจากต้องใช้ Sidekick ในการเลี้ยงเลนตัว core แล้วใช้สกิล Rebound กับ Dispose เพื่อหลบหนี เปิด หรือช่วยเหลือตัว core ให้รอดจากการโดน Ganking (รุมฆ่า)วิเคราะห์ฮีโร่แพ้ทางDark Willowมีสกิล Bramble Maze สามารถดักจับ Marci ได้ง่ายในการเดาทิศทางในการโดดมีสกิล Shadow Realm ป้องการคอมโบการต่อยของ Marci ได้ ทำให้คอมโบชุดเดียวไม่สามารถเก็บซัพพอร์ตตัวนี้ได้ การกระโดดเข้าไปล้วงฮีโร่ตัวนี้นับว่าเป็นเรื่องเสี่ยงอย่างมากTerrorize และ Cursed Crown เป็นสุดยอดสกิล CC ที่ Marci แพ้ทางอย่างมาก ถ้าหากโดนเข้าไปสกิลบัฟ Ultimate ของ Marci ก็จะเสียเปล่าทันทีBloodseekerมีสกิล Rupture ที่ทำลายจุดเด่นด้าน mobility ของเธออย่างมาก ที่สำคัญ Marci เป็นฮีโร่ที่มี Max HP ที่สูง การใช้ Rupture ใส่เธอเป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างมากความสามารถจาก Aghanim's Shard ที่ทำให้ Bloodrage สร้างความเสียหายและดูดพลังชีวิตตาม Max HP การใช้ใส่ Marci ถือว่าคุ้มเกินคุ้มCentaur Warrunnerสกิล Retaliate สามารถสะท้อนพลังโจมตีที่สูงของ Marci ได้คุ้มค่ามาก กระโดดเข้ามาต่อยอาจจะตายเองไปเลยก็ได้ เมื่อ Lv. 25 สกิล Retaliate จะกลายเป็น Aura ให้กับเพื่อนร่วมทีมด้วย กระโดดไปต่อยใครก็จุกสกิล Hoof Stomp สามารถสตัน Marci ได้ง่ายมาก โดดเข้ามาใส่ตัวนี้โดนสตันสวนแน่นอนWeaverไอเทมสามัญประจำบ้านของฮีโร่ตัวนี้คือ Linken's Sphere ถ้าหากศัตรูสามารถซื้อไอเทมชิ้นนี้ได้เร็ว การโดดเข้าไปสตันฮีโร่ตัวนี้จะทำได้ยากมากRebound ไม่สามารถลดความเร็วการเคลื่อนที่ของมันได้เลย เพราะแค่ใช้ Shukuchi ก็สามารถวิ่งได้เร็วติดจรวดเหมือนเดิมสกิล Swarm ของ Weaver ต้องโจมตี 4 ครั้งเพื่อล้างดีบัฟ การใช้ใส่ Marci เมื่ออยู่ในสถานะ unleash เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเป็นอย่างมากวิเคราะห์ฮีโร่ชนะทางEnchantressสกิล Untouchable จะไร้ประโยชน์ทันทีเมื่อ Marci อยู่ในสถานะ unleashเป็นฮีโร่ที่มี Max HP ที่น้อย Marci สามารถฆ่าได้ด้วยคอมโบชุดเดียวRebound สามารถใช้เป็นเป้าหมายในการเลือกกระโดดได้ง่าย เรียกได้ว่าจับครีฟป่ามาเป้นจุดกระโดดให้ Marci แท้ๆเลยPhantom Lancerเมื่อ Marci อยู่ในสถานะ Unleash การต่อยและปลดปล่อยคลื่นกระแทกออกมาทำให้ร่างแยกของ Phantom Lancer โจมตีได้ช้าลงและช่วยเคลียร่างแยกพวกนี้ได้ง่ายมากด้วยRebound สร้างความเสียหายใส่ร่างจริงของ Phantom Lancer ทำให้ค้นหาตัวจริงได้ง่ายมากวิเคราะห์คอมโบฮีโร่Lifestealerสกิล Infest สามารถคอมโบคู่กับ Rebound ได้ สิ่งร่างแล้วโดดเข้าไปฆ่าศัตรูได้ง่ายมากUrsaMarci สามารถเพิ่มความโหดให้ Ursa ได้ด้วยสกิล Sidekick และบัฟนี้ยังสามารถช่วยให้ Ursa จัดการ Roshanได้ไวขึ้นด้วยSnapfireสามารถคอมโบ Rebound และสกิล Dispose ของตัว Marci กับสกิล Gobble Up เมื่อป้า Snapfire ซื้อ Aghanim's Scepter ได้สำเร็จ เรียกได้ว่าเพิ่มทั้งความคล่องตัวในการไล่ฆ่าได้น่ากลัวอย่างมาก  
06 Nov 2021
รีวิว Aliens: Fireteam Elite "นี่แหละ เกม Aliens ที่รู้ตัวเอง"
Alien (หรือ Aliens) ถือเป็นหนึ่งใน IP ทรงคุณค่าในโลกของอุตสาหกรรมบันเทิงโดยเฉพาะภาพยนตร์ วิดีโอเกม และนวนิยาย แต่เราอาจพูดได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา Alien ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการข้างต้นมากนัก แตกต่างกับ IP อื่นที่ยังคงมีผลงานยอดเยี่ยมมาให้เหล่าผู้คลั่งไคล้หรือบรรดาหน้าใหม่ได้เชยชมอยู่ไม่ขาดสาย ด้านอุตสาหกรรมวิดีโอเกม เมื่อพูดถึงชื่อ Alien สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวเราทุกคนและมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราต่างรู้สึกยินดีสักเท่าไร กับ Aliens: Colonial Marines เกมซึ่งสร้างบาดแผลทิ่มแทงลึกลงไปในแฟนเดนตายของซีรีส์นี้ตราบจนปัจจุบัน ถึงแม้ว่า Alien: Isolation เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเพียงใด รอยแผลเป็นยังมิจากหายและยังส่งภาพหลอนสั่นคลอนจิตใจกับการมาของเกม Aliens: Fireteam EliteAliens: Fireteam Elite เป็นเกมแนว Third-Person Shooter ที่มุ่งเน้นการ Co-op เป็นหลัก ซึ่งตัวเกมอาศัยระบบการสู้ฝูงศัตรู (Horde-Based) หรือที่เรามักคุ้นกับเกมแนวนี้อย่าง World War Z โดยพักหลังเกมแนวนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่การมาของ Aliens: Fireteam Elite ทำให้ผู้คนสนใจพอตัวเพราะความเป็น Aliens ที่ห่างหายจากวงการเกมเป็นเวลานาน บวกกับกระแสความต้องการลบรอยฟกช้ำจากเกม Aliens: Colonial Marines เนื่องจากเห็นว่าตัวเกมนั้น “ดูดี มีทรง” มีศักยภาพมากพอที่จะออกมาเป็นเกม Aliens ที่ดีได้ และมันก็เป็นไปตามที่คิด สำหรับผู้เขียนแล้ว เหตุผลที่คิดว่าเกมมันออกมาดี เพราะนี้คือเกมที่ผู้พัฒนา Cold Iron Studios “รู้ตัวเอง”  รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ต้องกล่าวก่อนว่า Alien มีความแตกต่างกับ Aliens ในแง่ของอารมณ์เนื้องาน ทาง Alien มีความสยองขวัญท่ามกลางอวกาศอันเงียบฉี่ ที่คุณกรีดร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน (Space Horror) ซึ่งอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ Alien ปี 1979 ของคุณ Ridley Scott ส่วน Aliens มีความบ้าระห่ำ ท่ามกลางอวกาศ ซึ่งอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ Aliens ปี 1986 ของคุณ James Cameron เราจึงเห็นความแตกต่างระหว่าง Alien: Isolation กับ Aliens: Fireteam Elite ชัดเจน เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปคาดหวังความน่ากลัวจาก Aliens: Fireteam Elite ให้เสียอารมณ์ และผู้พัฒนาก็รู้เรื่องนี้ดี จึงจัดเต็มความดุเดือดเท่าที่เกม Aliens จะมอบให้คุณได้ในทุกมุมมองของตัวเกม เป็นเหตุผลว่าทำไม ผู้พัฒนาจึงสร้างให้เป็นเกม Co-op และเลือกใช้เนื้อหาของบรรดาทหารหาญล้างบาง Xenomorph อย่าง Colonial Marine ไม่ว่าจะเป็นระบบอาชีพ ระบบหมวดหมู่อาวุธ และการปรับแต่งยุทโธปกรณ์ ซึ่งมันให้อารมณ์การเป็นทหารหน่วยรบพิเศษอย่างยิ่งยวดปัจจุบันในเกมมี 6 อาชีพ ได้แก่ Gunner, Demolisher, Technician, Doc, Recon และ Phalanx แต่ละอาชีพจะมีความสามารถเฉพาะตัวและการถืออาวุธที่ถูกกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน ทำให้มีความเฉพาะตัวของแต่ละอาชีพ สร้างหน้าที่ให้แต่ละอาชีพได้เฉิดฉายจากสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป พร้อมทั้งต้องช่วยสนับสนุนเพื่อนรวมหมู่รบในทีมให้ผ่านศึกหนักไปด้วยกัน นอกจากนั้นเกมยังพาผู้เล่นไปพบกับบรรยากาศของ IP นี้หลายยุคสมัย ที่เห็นได้ชัดคือตั้งแต่ Aliens จนถึง Alien: Covenant โดยแต่ละภารกิจใช้การอ้างอิงบรรยากาศจากภาพยนตร์อย่างชัดเจน รวมไปถึงเพลงประกอบในแต่ละภารกิจซึ่งจะอ้างอิงทำนองและแนวเพลงตามยุคอีกเช่นกัน รู้ขอบเขตของตัวเองตั้งแต่เริ่มเกมมา เราทราบได้ทันทีว่าผู้พัฒนาไม่ไปเสียงบ เสียเวลา ผลาญแรงงานกับสิ่งที่ไม่จำเป็นกับระบบเกมการเล่น ด้วยการตัดรายละเอียดยิบย่อยออกทั้งหมด อย่างการที่ทั้งเกมมีแค่คัตซีนเพียงฉากเดียวสั้นๆ ตอนเริ่มเกม และการที่ NPC ไม่ขยับปากตอนพูดเวลารับภารกิจ เป็นสัญญาณบอกว่าเกมนี้มุ่งและทุ่มเทอยู่แค่เรื่องเดียว นั่นก็คือ “เกมการเล่น” และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ Aliens: Fireteam Elite เป็นหนึ่งในเกม Third-Person Shooter ยุคหลังที่มีระบบการยิงปืนอยู่ในขั้นดี ด้วยความแน่นและเอกลักษณ์ของปืนแต่ละกระบอก แม้จะไม่เทียบเท่ากับเกมในแนวเดียวกันที่เป็นเกมระดับ AAAอีกสิ่งที่ดึงศักยภาพของระบบการยิง พร้อมทั้งสร้างเอกลักษณ์ให้เกมนี้มีความแตกต่างกับเกมแนวสู้ฝูงศัตรู ก็คือตัว Xenomorph เอง เนื่องจากพฤติกรรม Xenomorph มีความแตกต่างกับซอมบี้ที่มักเป็นศัตรูที่อยู่ในเกมแนวนี้ การเคลื่อนไหวที่มาทุกทิศทุกทาง ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง มาข้างหน้าหรือหลัง แถมยังมีการยืนแอบดักโจมตี รวมไปถึงวิธีในการวิ่งและการเดิน Xenomorph สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นดัดหลังความเคยชินของผู้เล่นเวลาเราวางเมาส์วางจอยทาบเป้าเล็งยิงซอมบี้ ทำให้ผู้เล่นต้องศึกษาและปรับพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ศัตรูจำพวก Synthetic หรือหุ่นยนต์กลับทำออกมาไม่ค่อยดี กับรูปแบบพฤติกรรมที่เราเจอมาในเกมทั้งแนวนี้และแนวอื่นจนชินชา ทำให้ภารกิจที่เราต้องออกไปสู้ Synthetic เป็นภารกิจน่าเบื่อไปโดยปริยายผู้พัฒนาก็รู้ว่าการจะทำให้ผู้เล่นใช้เวลากับเกมของพวกเขาให้มากที่สุดกับเกมที่มีเนื้อหาไม่เยอะ วิธีการสุดแสนจะคลาสสิกก็คือการทำให้ผู้เล่นยินยอมพร้อมใจที่จะ “เล่นซ้ำๆ” (Grinding) โดยแต่ละอาชีพ ปืนจะมีเลเวลเป็นของตัวเอง ยิ่งเลเวลสูง เรายิ่งสามารถปรับแต่งได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีค่าเงินภายในเกมที่ใช้ซื้อของแต่งปืน เครื่องแต่งกาย เพราะหลายคน (รวมถึงผู้เขียน) มีแนวคิดว่า “ต้องเท่ด้วย ถึงจะสนุก” สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นจมอยู่กับเกมเป็นเวลานาน แม้ว่าเกมจะมีเนื้อหาในเกมน้อย มีภารกิจเพียงแค่ 12 ภารกิจ กับโหมดเอาชีวิตรอดเป็นรอบๆ  แต่เพื่อพัฒนาตัวละคร ปืน และความเท่ การเล่นซ้ำภารกิจเดิมๆ จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ได้มีปัญหากับมันสักเท่าไร แถมเกมมีความยากอีก 5 ระดับ ถ้าอยากไต่ความอยากสูงๆ ก็ต้องพัฒนาตัวเราให้พร้อมลุยกับความยากดังกล่าวรู้แต่ก็ต้องมีสิ่งที่ต้องยอมแลกเมื่อผู้พัฒนาต้องตัดรายละเอียดออกเพราะเน้นทำแต่ระบบเกมการเล่น จึงทำให้ตัวเกมมีความ “งานไม่ละเอียด” อย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าคุณจะพยายามมองข้ามแค่ไหน มันก็มาสะกิดต่อมข้องใจอยู่ดี ทั้งอนิเมชั่นการเดิน การเปลี่ยนกระสุน แข็งยิ่งกว่าหินแกรนิต เรื่องที่ NPC ไม่ขยับปากตอนคุยรับภารกิจ แต่ทำไม NPC ที่อยู่ในบางภารกิจ มันขยับปากได้ (มึนมาก) และรวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เล่น (Quality of Life) ที่ไม่มีระบบที่สุดแสนพื้นฐานของเกมแนว Co-op อย่าง การเข้าออกทีมได้ตลอดเวลาอยู่ในภารกิจ (Drop in, Drop out), การหาห้องแบบทันที (Quick Play) ซึ่งไม่มีในช่วงแรกตอนปล่อยเกม ทำให้ผู้เล่นถูกจำกัดปริมาณในการหาผู้รวมทีมแบบสุ่ม เพราะเกมมีปัจจัยในการสุ่มห้องเยอะเกินไป ทั้งระดับความยากและภารกิจ รวมถึงจำนวนคนในทีมที่ต้องการ ที่ปัจจุบันเพิ่งเพิ่มมาหลังเกมปล่อยไปสักพักแล้ว ในเวลาที่เกมเหลือคนเล่นไม่ถึงพันคน และการสนทนาแบบตัวอักษรหรือเสียง ที่ทีมพัฒนาเคยบอกในกระทู้ถามตอบว่า “เรามีระบบ ping นะ ให้ใช้ ping แทน” ซะงั้น…นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือเนื้อหาของเกมจัดอยู่ในระดับน้อยมาก แม้ว่าเราดำดิ่งกับเกมได้พักใหญ่เพราะการ Grinding แต่นั่นก็ได้แค่ช่วงแรกเท่านั้น พอคุณเก็บเลเวลอาชีพ ปืน และของตกแต่งจนครบ คุณก็จะไม่มีเหตุผลในการเล่นเกมนี้อีกต่อไป นอกจากต้องรอการอัปเดตเนื้อหาเกมที่มาเป็นฤดูกาล ซึ่งล่าสุดทีมพัฒนาประกาศแผนการอัปเดตปีที่ 1 โดยการอัปเดตแต่ละฤดูกาลก็มีช่องว่างของระยะเวลาพอสมควร ประกอบกับเนื้อหาใหม่ๆ ปริมาณก็ไม่ค่อยเยอะสักเท่าไรฉะนั้นเกมนี้จึงเหมาะสำหรับผู้เล่นที่ไม่มีปัญหากับการเล่นสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ รวมถึงสามารถปล่อยวางกับความงานไม่ละเอียดของเกม ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแฟนเดนตายของ Aliens ก็เชื่อว่าสนุกไปกับเกมนี้ได้แน่นอน
25 Oct 2021
รีวิว Back 4 Blood สานต่อตำนานเกมยิงฝูงซอมบี้ได้อย่างยอดเยี่ยม นี่แหละภาคต่อที่ควรจะเป็น
Back 4 Blood คือเกมแนวยิงซอมบี้จากทาง Turtle Rock Studios ทีมพัฒนาที่เคยเปิดตำนานเกมสุดฮิตอย่าง Left 4 Dead ภาคแรก ที่ถูก Valve จ้างพัฒนา ซึ่งเกม Back 4 Blood เองถือว่าได้เอาองค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมที่พวกเขาเคยสร้างมาไว้ในเกมนี้ทั้งหมด แถมยังเพิ่มองค์ประกอบใหม่ๆ ใส่เข้ามาด้วย ซึ่งเหล่าแฟนๆ เองก็ต่างสนใจเกมนี้เป็นอย่างมาก เพราะเราเองก็ไม่ได้เห็นเกม Left 4 Dead 2 หลังจากที่ปล่อยภาค 2 มากกว่า 12 ปีแล้ว และในวันที่ 12 ตุลาคม 2021 ผู้พัฒนาก็ทำการปล่อยเกมนี้ออกมาให้เราเล่นอย่างเป็นทางการ และเรา GameFever TH เองก็จะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันว่า Back 4 Blood จะสามารถเทียบเพียงเกมเก่าที่ตัวเองเคยสร้างไว้ได้หรือไม่ ?เนื้อเรื่องพลอตของเกมจะเล่าเรื่องโลก Post-Apocalypse ที่โดนเชื้อปรสิตนามว่า the Devil Worm (หนอนปีศาจ) ที่แหล่งกำเนิดมาจากต่างดาว และเปลี่ยนคนตายให้กลายพันธุ์ซึ่งถูกเรียกว่า Ridden และเราเองจะได้รับบทเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตทั้ง 8 ที่ถูกเรียกว่า The Cleanner ซึ่งได้รับหน้าที่ปกป้องดินแดน Fort Hope ที่มนุษย์อาศัยอยู่ แต่อย่างที่ทราบว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใด เนื้อเรื่องถูกสร้างมาให้เรามีเหตุผลในด้านเอาไม้หวด หรือยิงเหล่าซอมบี้มากกว่า กราฟิก / การนำเสนอในด้านกราฟิกต้องขอชื่นชมเลยทีเดียว เพราะตัวเกมไม่ได้กินสเปกอย่างที่เดาไว้เลย เพราะตัวผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PC สเปกระดับกลางๆ I5 8400 + GTX 1060 6GB ซึ่งตัวผู้เขียนนั้นปรับกราฟิกระดับกลางๆ ก็สามารถรันเฟรมเรทได้มากถึง 100-120FPS เล่นได้แบบสบายๆ แต่ในส่วนของงานด้านภาพนั้นถ้าให้เปรียบเทียบกับเกม Left 4 Dead ซึ่งมันแน่นอนว่าตัวภาพของ Back 4 Blood ค่อนข้างมีกราฟิกที่สวยและสมจริงกว่าในด้านของโมเดลตัวละคร หรือตึกราบ้านช่องต่างๆ แต่สิ่งที่ส่วนตัวรู้สึกว่าทาง Left 4 Dead ทำได้ดีกว่าก็คงจะเป็นความโหดของตัวเกมที่ฉากเลือด ความแหวะของตัวเกมจะดูทำได้ดีมากกว่า หรือจะเป็นฉากยิงหัวซอมบี้ระเบิด ฟันขาขาด แขนขาด ก็ถูกตัดไปทั้งหมดภายในเกม Back 4 Blood นี้ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยที่เกม Left 4 Dead วางจำหน่ายแรกๆ นั้นถูกหลายๆ ประเทศแบนเพราะเนื้อหารุนแรงไป ทางผู้พัฒนาเลยเลือกที่จะเซฟไว้ก่อนก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้อรรถรสของเกมดูดรอปลงไปเยอะพอสมควรเกมเพลย์ในด้านการเล่นอย่างที่คนเคยเล่น Left 4 Dead ก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว ก็คือการที่เราจะได้จัดปาร์ตี้ 4 คนเข้าไปไล่ยิงไล่ตีซอมบี้ข้างในนั้น แต่ทว่าเกม Back 4 Blood ค่อนข้างมีระบบที่มากกว่าอยู่พอสมควร ยกตัวอย่างแรกคือระบบความสามารถของแต่ละตัวละครที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ให้แต่ละคนมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน อย่างเช่นตัวละคร Holly มีความสามารถในการป้องกันการโจมตีศัตรูเพิ่มขึ้น 10% เธอจะได้รับ 10 Stamina ถ้าหากฆ่าศัตรูได้ หรือ Evangelo ที่จะ Stamina Regen 25% และสามารถปลดพันธนาการจากการโดนจับได้ โดยทั้งสองตัวละครนี้เหมาะสำหรับการเล่นด้วยอาวุธระยะประชิด ตัวละครอย่าง Walker และ Jim ที่สามารถสร้าง Stack ดาเมจด้วยปืน หรือจะเป็น Doc ที่สามารถเพิ่มเลือดให้เพื่อนมากขึ้นได้ระบบต่อมาที่ทำให้ตัวเกมค่อนข้างสนุกมากๆ ก็คือระบบการ์ดที่เราสามารถจัดเดคตามสไตล์ที่เราชอบได้ 15 ใบ ซึ่งพอจัดเดคแล้วนั้นตัวการ์ดจะออกมาเป็นระบบสุ่ม และให้เรานั้นจั่วการ์ดที่ชอบได้ โดยเราสามารถจัดเดคที่เหมาะสมกับตัวละครที่เราเล่นได้ อย่างเช่นการ์ดที่จะเพิ่มเลือด 1 ถ้าหากเราโจมตีด้วยอาวุธระยะประชิด ซึ่งมันก็เหมาะสำหรับตัวละครอย่าง Evangelo และ Holly หรือจะเป็นการ์ดที่เพิ่มแม็กกระสุน ยิงแม่นขึ้น ซึ่งอาจจะเหมาะตัวละครที่ใช้ปินเป็นหลักได้ โดยเริ่มแรกเรานั้นจะไม่ได้มีการ์ดมาให้จัดเยอะ แต่พอเล่นจบด่านไปเรื่อยๆ เราจะได้รับแต้มมาซื้อการ์ดตามที่เราชอบได้ ซึ่งตัวการ์ดก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นระบบที่เข้ามาแก้เบื่อให้เราได้พอสมควรนอกจากนี้แต่ละแผนที่ยังมีระบบที่เรียกว่า Corruption Cards ที่จะปรากฏมาในแต่ละด่าน ซึ่งมันจะเป็นอีเวนต์ย่อยๆ ของแต่ละด่านนั้นเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นการที่เราจะได้เจอศัตรูใหม่ๆ ภายในด่าน หรือจะมีจุดที่ให้เราไปเปิดเพื่อได้รับไอเท็มและเงินรางวัลมากขึ้นส่วนในด้านเกมเพลย์ภายในด่านนั้น ถ้าใครเคยเล่น Left 4 Dead มา ถ้าหากคุณเล่นเกมระดับ Easy ต้องยอมรับว่าตัวเกมค่อนเล่นผ่านง่ายพอสมควร เดินยิงชิลๆ ก็สามารถผ่านด่านได้อย่างง่ายดาย แต่ผิดกับ Back 4 Blood ที่ทางผู้พัฒนาเองก็ได้แก้ไขความง่ายนี้ และทำให้ตัวเกมมีความยากมากขึ้น ต้องใช้ทีมเวิร์คมากขึ้น เพราะต่อให้คุณจะเล่นเกมในระดับง่าย เหล่าซอมบี้ก็สามารถลุมโจมตีคุณและทำให้เสียเลือดหมดหลอดในชุดเดียวได้เลย ส่วนความยากระดับปานกลางทางเหล่าซอมบี้ก็ยังโจมตีแรงเท่าเดิม แต่เราสามารถยิงเพื่อนได้ และโหมดยากสุดอย่าง Nightmare ที่ซอมบี้จะเลือดมากขึ้น ตีแรงขึ้น ยิงแรงขึ้นด้วย รวมถึงตัวเกมมากับระบบการเล่นแบบ Cross Play ที่เราสามารถปาร์ตี้ได้ทั้ง PC, PlayStation และ Xbox เลยทีเดียวนอกจากด่านของตัวเกมจะมีให้เราเล่นด้วยกันทั้งหมด 4Act ซึ่งแต่ละ Act ก็จะมีด่านมากมายต่างกันไป และเสน่ห์สำคัญเลยนั่นก็คือบางด่านนั้นก็จะมีเควส Objective ในด่านนั้นๆ ให้เราทำด้วย ถึงแม้ว่ามันอาจจะคล้ายคลึงกับเกม Left 4 Dead ก็จริง แต่ใน Back 4 Blood แทบจะมีเควสให้เราทำเกือบทุกด่าน ต่างจากเกมรุ่นพี่ที่มักจะมีมาเฉพาะด่านสุดท้ายของแต่ละ Act เท่านั้น นอกจากนี้ในแต่ละด่านถึงแม้ว่ามันจะพาเรากลับมายังโซนเดิมที่เคยมาแล้วก็จริง แต่ด่านนั้นอาจจะพาเราเข้าไปสำรวจจุดใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไป และไม่ได้รู้สึกถึงความน่าเบื่อเลยรวมถึงตัวเกมมาพร้อมกับระบบกล่องซื้อขายของ ที่เรานั้นจะสามารถเก็บ Coin ภายในเกมและเอามาซื้อของตอนอยู่ Safezone ได้ ซึ่งเราสามารถซื้อได้กระทั่งปืนใหม่ๆ กระสุน เลือด อุปกรณ์แต่งปืน ยา ระเบิด และอื่นๆ อีกมามาย คราวนี้มันก็หมดปัญหาการที่เราถูกเพื่อนแย่งยา หรือระเบิดเหมือนอย่างในเกม Left 4 Dead แล้วด้วยส่วนในโหมดเสริมที่เกมนี้ใส่เข้ามาด้วยก็คงจะเป็นโหมด PvP ที่เรียกว่า Swarm จะแบ่งฝั่งออกเป็น 4v4 โดยเราและฝ่ายตรงข้ามจะได้เล่นเป็นทั้งฝ่ายคนและซอมบี้ ซึ่งวิธีการชนะคือถ้าหากคุณเป็นมนุษย์คุณจะต้องอยู่รอดให้นานที่สุดกว่าฝ่ายตรงข้าม แค่นี้คุณก็จะได้ 1 แต้ม ส่วนถ้าหากคุณเป็นฝ่ายซอมบี้ คุณก็แค่ต้องทำทุกวิธีทางในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้ได้ไวที่สุดเท่านั้นเอง และตัวโหมดนี้ทางผู้พัฒนาเองตัดระบบเรื่องการฟาร์มการ์ดออกไป ซึ่งทุกคนสามารถมีการ์ดครบเลยตั้งแต่แรก เพื่อให้เกมมีความสมดุลย์ด้วยความรู้สึกจากที่ได้ลองเล่นมา Back 4 Blood ถือว่าเป็นเกมที่ค่อนข้างสนุกพอสมควร ถึงแม้ว่าโดยรวมเราจะรู้อยู่แล้วว่ามันก็คือเกมสไตล์ Left 4 Dead นั่นแหละ ความรู้สึกโดยรวมมันไม่ได้ต่างกัน เพียงแค่ระบบที่ถูกใส่เข้ามาทำให้มันรู้สึกใหม่มากมาย สิ่งที่ชอบมากๆ ของเกมนี้ก็คงเป็นระบบปืนที่มีแรงดีด เสียงที่ค่อนข้างสมจริงมากกว่าเกมรุ่นพี่ และสิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คงจะเป็นระบบความโหดที่มากขึ้นกว่าเกม Left 4 Dead ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นโหมดง่าย เพราะมันจะทำให้ตัวเกมท้าทายมากขึ้น (ถึงแม้ว่าจะเป็นโหมดง่ายสุดก็เถอะ) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเปื่อยจนเกินไป เพราะต้องเข้าใจว่าบางคนเองก็ไม่ได้อยากเล่นโหมดที่มันยากเกิน แต่ก็ไม่อยากได้อะไรที่ง่ายจนจะหลับส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็คงจะเป็นโหมด Swarm ที่หลังจากได้ลองเล่นมันไม่ได้ชวนให้น่าเล่นต่อแต่อย่างใด เพราะมันจะส่งเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่เล็กๆ (ฝั่งคน) และสู้จนกว่าจะตาย ซึ่งส่วนตัวชอบโหมด PvP ใน Left 4 Dead มากกว่า กับโหมดที่ฝ่ายมนุษย์จะได้เข้าไปเล่นในด่านของโหมด Campaign ทั่วไป และฝ่ายคนจะได้เล่นเป็นซอมบี้พิเศษมาขัดขวาง หวังว่าในอนาคตทางผู้พัฒนาจะเอาโหมดนี้เข้ามาให้เราเล่นบ้าง  รวมถึงปัญหาที่ยังพบเจอตั้งแต่ Open Beta ก็คือมันจะมีฝั่งที่สู้ไม่ได้และชอบกดออกเกมกลางคัน ทำให้คนที่เหลือถ้าไม่กดออกเกมไป ก็จะต้องยอมโดนยำจนกว่าเกมจะจบส่วนงานด้านภาพนั้นถึงแม้ว่าจะค่อนข้างผิดหวังเรื่องความโหด ความแหวะที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่ทางผู้เขียนก็ค่อนข้างเข้าใจเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกทำกราฟิกเลือดให้ออกมาเป็นแบบนี้ อย่างที่บอกก็เป็นเพราะที่จะให้ตัวเกมสามารถวางขายได้เกือบทุกประเทศ ในส่วนนี้ก็เลยรับได้
21 Oct 2021
รีวิวเกม Far Cry 6 "ใครว่าการปฏิวัติไม่ใช่เรื่องสนุก?"
เมื่อพูดถึงเกมตระกูล Far Cry ของผู้พัฒนา Ubisoft เชื่อว่าคนที่เคยเล่นมาก่อนน่าจะนึกออกทันทีว่าเกมจะหน้าตาเป็นอย่างไร จากแนวคิดการออกแบบตาม “สูตรสำเร็จ” ของผู้พัฒนา Ubisoft ที่ทำให้เกมหลายๆ ภาคที่ผ่านมา (รวมถึงเกมซีรีส์อื่นๆ ของผู้พัฒนา) ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ของ “ความจำเจ” อยู่บ่อยครั้ง แต่แม้ว่าเกมทุกภาคจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก Far Cry ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่ได้รับการจับตาและเฝ้ารอจากแฟนๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะภาคล่าสุดอย่าง Far Cry 6 ที่นอกจากจะเป็นก้าวแรกของซีรีส์บนคอนโซลยุคใหม่อย่าง PlayStation 5 และ Xbox Series X แล้ว เกมยังได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Giancarlo Esposito (Breaking Bad, The Mandalorian) มารับบทวายร้ายเจ้าเสน่ห์อย่างเผด็จการ Anton Castillo อีกด้วย ยังไม่นับท่าทีของผู้พัฒนาในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านๆ มา ที่เปิดเผยว่าเนื้อเรื่องของการปฏิวัติภายในเกมจะโอบรับความเป็น “การเมือง” ที่ผู้พัฒนา Ubisoft พยายามกล่าวถึงเพียงเลียบๆ เคียงๆ มาตลอดอีกด้วยผลลัพธ์ที่ออกมา แม้จะยังมีรูปแบบเหมือนกับเกมภาคที่ผ่านๆ มาอย่างมากในแง่ของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ถือได้ว่าเป็นเกม Far Cry ภาคที่ “กลมกล่อม” ที่สุดในรอบหลายปีจากเนื้อเรื่องอันเข้มข้นของเกม ที่กล้าจะพูดถึงแง่มุมอันซับซ้อนของการปฏิวัติการปกครองประเทศ ที่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแค่เพียงการ “กำจัดใครคนใดคนหนึ่ง” แต่คือการต่อสู้กับอดีตที่ยึดหน่วงเราเอาไว้อีกด้วยFar Cry 6 จะติดตามตัวละคร Dani Rojas (สามารถเลือกเป็นหญิงหรือชายก็ได้) ประชากรแห่งหมู่เกาะ Yara ประเทศสมมุติแถมอเมริกาใต้ที่อยู่ใต้การปกครองของเผด็จการจอมโหด Anton Castillo โดยหลังจากที่ความพยายามจะหนีจาก Yara ไปยังอเริกาเหนือของเขาและกลุ่มเพื่อนๆ กลับถูกพังไม่เป็นท่า Dani ก็ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มทหาร Libertad ที่ชักชวนให้เขาเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปลดแอก Yara จากเงื้อมมือของ Castillo ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ Yara เพื่อชักชวนนักปฏิวัติกลุ่มย่อยๆ ทั้งหลายให้ร่วมมือกันอีกด้วยอย่างที่ผู้กำกับเนื้อเรื่องของเกมอย่างคุณ Navid Khavari เคยกล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา เกม Far Cry 6 เลือกที่จะโอบรับความเป็นการเมืองของเนื้อเรื่องเกมอย่างเต็มอก ซึ่งต่างจากเกมของผู้พัฒนา Ubisoft ที่มักจะแตะประเด็นหนักๆ เหล่านี้แบบขอไปทีอย่างทีจนโดนตำหนิเป็นประจำ โดยการเลือกที่จะไม่ปฏิเสธความเป็นการเมืองทำให้เกมสามารถนำเสนอเนื้อเรื่องที่มี “น้ำหนัก” ได้มากกว่าเกมภาคอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าติดตามกว่าที่ผ่านๆ มาไปด้วย และเช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรแยกออกเป็นขาวกับดำ Far Cry 6 ก็ไม่กลัวที่จำนำเสนอความซับซ้อนของการปฏิวัติ เมื่อกลุ่มคนที่มีความต้องการไม่ตรงกันจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า และหนทางอันยาวไกลของเหล่านักสู้กว่าจะได้มาซึ่ง Yara อันสงบสุขสำหรับทุกคนแต่แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมจะค่อนข้างซีเรียส ตัวละคร NPC ต่างๆ ที่พบเจอในเกมมักจะออกไปทางตลกอารมณ์ดีกันซะมากกว่า ซึ่งก็ช่วยให้อารมณ์โดยรวมของเกมไม่หนักจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องเสริมของตัวละครแต่ละตัวก็สามารถช่วยเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อีกด้วยการนำเสนอแง่มุมต่างๆ ของการปฏิวัติมากขึ้น อาจจะสรุปได้ง่ายๆ ว่าเกม Far Cry 6 ถือเป็น Far Cry ภาคแรกนับตั้งแต่ภาค 3 ที่ผู้เขียนรู้สึก “อยากเล่นเนื้อเรื่องต่อ” จริงๆ มากกว่าจะวิ่งเล่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปเรื่อยๆ เหมือนภาคอื่นแน่นอนว่าส่วนสำคัญของการนำเสนอเนื้อเรื่องที่ดีก็คือการพากย์เสียง ซึ่งเกมก็ทำได้ดีตามคาด แม้ว่าอนิเมชั่นสรหน้าท่าทางของ Ubisoft จะไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ แต่ก็ทำออกมาได้ดีกว่าในเกม Far Cry ภาคที่ผ่านๆ มา โดยการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้การเล่าเรื่องผ่านคัตซีนมุมมองบุคคลที่ 3 ทำให้ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอฉากคัตซีนสำคัญๆ ได้น่าสนใจกว่าในภาคอื่นๆ และทำให้ผู้เล่นสามารถสังเกติสีหน้าท่าทางของตัวละครได้อย่างละเอียดกว่าที่ผ่านมาด้วย คนที่เคยเล่นเกม Assassin’s Creed: Valhalla มาก่อนอาจจะพอนึกภาพออกว่าคัตซีนของ Far Cry 6 จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรสิ่งที่สำคัญกว่าคุณภาพของกราฟฟิกคงจะเป็นการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ Yara เองที่มีความน่าสนใจและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดริมทะเล หมู่เขาที่มีป่าทึบปกคลุม ไปจนถึงเมืองขนาดน้อยใหญ่มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเกาะ ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตและที่มาที่ไปจริงๆ ราวกับเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติมานานแล้วจริงๆ และเอื้อให้ผู้เล่นรู้สึกอยากสำรวจเพื่อค้นหาความลับ (และสมบัติ) มากมายที่ซ่อนอยู่ในแผนที่หากจะมีข้อตำหนิซักหน่อยคงเป็นเรื่องของการเดินทางในเกมที่มักมีระยะทางค่อนข้างไกล แต่กลับมีจุด Fast Travel ให้ปลดล๊อคไม่เยอะขนาดนั้น และแม้ว่าผู้เล่นจะสามารถเรียกรถส่วนตัวได้ทุกเมื่อ (ตรายใดที่อยู่ใกล้ถนนหลัก) แต่การขับยานพาหนะทั้งหมดในเกมยังถูกล๊อคอยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบหรือเวียนหัวได้ ครั้นจะใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติก็ใช้ได้เฉพาะเวลาอยู่บนถนนหลัก ซึ่งก็เสี่ยงจะโดนทหารยิงตายเอาได้ง่ายๆ โดยจุดนี้จะเป็นปัญหาแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นแต่ละคนทนกับระบบขับรถของเกมได้แค่ไหนเช่นกันในส่วนของเกมเพลย์ แม้ว่าผู้พัฒนาจะพยายามเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับการต่อสู้ผ่านระบบ “Bullet Type” (ชนิดกระสุน) และระบบของสวมใส่ที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ แต่เมื่อเล่นจริงๆ ก็พบว่าระบบเหล่านี้มักไม่ได้มีความหมายมากนักสำหรับระบบการเลือกชนิดของกระสุนนั้น แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอกส่องดูล่วงหน้าได้ว่าศัตรูแต่ละตัวแพ้กระสุนชนิดใด (หรือโจมตีด้วยกระสุนชนิดใด) รวมไปถึงไฮไลต์ตำแหน่งของศัตรูตัวนั้นๆ ไปด้วย แต่เมื่อเริ่มสู้จริงๆ ก็ไม่ได้มีเวลามานั่งส่องชนิดกระสุนของศัตรูแต่ละตัวอยู่ดี แถมสุดท้ายแล้วก็ยังมีปืนบางชนิดที่สามารถยิงหัวศัตรูให้ตายได้ในนัดเดียวอยู่ดี เช่นปืนสไนเปอร์ ปืนลูกซอง หรือกระทั่งธนู ทำให้ต่อให้ไม่สนใจระบบนี้เลยก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่นัก อาจจะยกเว้นเพียงภารกิจเนื้อเรื่องหรือศัตรูบางชนิดที่ยากเป็นพิเศษเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในส่วนของระบบของสวมใส่ จะเปรียนเสมือนกับระบบ Perk ในภาคอื่นๆ โดยแทนที่จะใช้การอัปสกิลเหมือนภาคอื่นๆ เกมได้เปลี่ยนให้ Perk ต่างๆ ผูกเข้ากับของสวมใส่แต่ละชิ้นแทน หากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกม Far Cry เพื่อระเบิดภูเขาเผากระท่อมสนุกๆ แบบไม่คิดไรมาก การที่ต้องมาคอยสลับของสวมใส่อยู่เรื่อยๆ อาจจะเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ แต่เช่นเดียวกับระบบชนิดกระสุน ต่อให้ไม่สนใจมากก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ยกเว้นในกรณีที่เจอศัตรูหรือภารกิจที่หินจริงๆ เท่านั้นจุดที่ทำให้การต่อสู้น่าสนใจมากกว่าคงเป็นระบบกระเป๋า Supremo และอาวุธ Revolver Weapon ทั้งหลายที่เพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับการต่อสู้ โดยกระเป๋า Supremo อาจจะเปรียบได้กับ “ท่าไม้ตาย” ในเกมอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนได้หลากหลายตลอดเวลาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการยิงจรวดติดตามเพื่อกำจัดศัตรูกลุ่มใหญ่ หรือการปล่อยระเบิด EMP เพื่อทำให้ยานพาหนะและเครื่องจักรต่างๆ ของศัตรูหยุดทำงานชั่วขณะ ในขณะที่เหล่า Revolver Weapon คืออาวุธพิศดารๆ ที่ประดิษฐ์โดย NPC Juan Carlos ที่มักจะมาพร้อมความสามารถแปลกๆ อย่างปืนยิงไฟ ปืนยิงก๊าซพิษ ปืนยิงฉมวก หรือปืนลูกซองที่มาพร้อมโล่ห์กันกระสุนเป็นต้นนอกเหนือไปจากระบบที่กล่าวไป เกมเพลย์ของ Far Cry 6 ก็แทบจะตามสูตรของ Far Cry เป๊ะๆ เลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปรอบๆ เกาะเพื่อทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับจากตัวละคร NPC ที่พบเจอ พร้อมกับกำจัดศัตรูตามฐานทัพหรือล่าสัตว์เพื่อเก็บทรัพยากรณ์ไปแลกอาวุธชุดเกราะใหม่ๆ ไปด้วย แน่นอนว่าระหว่างทางยังมีกิจกรรมเสริมมากมายให้ทำ ตั้งแต่ภารกิจเสริม การตกปลา หรือการชนไก่ ที่เพิ่มความหลากหลายให้กับการเล่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเกมการชนไก่ที่เปรียบเสมือนเกมต่อสู้ย่อมๆ ของตัวเองเลย หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Far Cry ภาคอื่นๆ แล้ว มั่นใจได้เลยว่า Far Cry 6 ก็จะมอบประสบการณ์แบบเดียวกันให้กับคุณ แม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกับเกมในอดีตนักในส่วนของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ยังเป็นเกมที่สนุกครบเครื่องตามมาตรฐานของเกม Far Cry ทุกภาคที่ผ่านมา โดยเนื้อเรื่องที่ซีเรียสและชวนคิดของเกมถือเป็นทิศทางใหม่ที่น่าสนใจของผู้พัฒนา Ubisoft ทำให้เกม Far Cry 6 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับซีรีส์ในยุคคอนโซลปัจจุบันรีวิวซับไตเติ้ลและเมนูภาษาไทยเกม Far Cry 6 จะถือเป็นเกมภาคแรกในซีรีส์ที่สนุบสนุนภาษาไทยทั้งในบทบรรยายและเมนู โดยหลังจากที่ฝากผลงานแปลไทยที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเอาไว้ในเกมก่อนหน้าอย่าง Ghost Recon: Breakpoint ต้องยอมรับว่าผู้พัฒนา Ubisoft ได้รับฟังคำติชมของผู้เล่นชาวไทยแล้ว เพราะคุณภาพของการแปลภาษาไทยในเกม Far Cry 6 นั้นดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจจะทัดเทียบกับเกมที่ได้รับคำชมในเรื่องคำแปลอย่าง The Last of Us Part 2 หรือ Ghost of Tsushima ได้เลย แน่นอนว่าการจะแปลให้ถูกต้อง 100% คงจะยังคาดหวังได้ยาก แต่ก็ยังถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ และเป็นข่าวดีของแฟนๆ ชาวไทยที่จะได้เข้าถึงเกมอย่างเต็มที่ซะที
06 Oct 2021
พรีวิว Battlefield 2042 กลิ่นอายสงครามที่คุณเคย แต่เพิ่มเติมด้วยความโลดโผนมากขึ้น
เป็นภาคที่แฟนๆ เฝ้ารอคอยเป็นอย่างมากสำหรับ Battlefield 2042 ที่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้ทำการนำเราเข้ามาสู่โลกสงครามในยุคปัจจุบันกึ่งโลกอนาคต หลังจากที่ให้เราได้เล่นในสงครามอดีตมาตั้ง 2 ภาค เราจะได้กลับมาจับปืน จับยานพาหนะในยุคปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเรา GameFever TH เองได้โอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ในช่วงทดสอบ Open Beta มา และจะมาพรีวิวสั้นๆ ว่าตัวเกมมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเกมภาคก่อนหน้าบ้าง แต่ต้องขอเกริ่นก่อนว่าในช่วงทดสอบทางเราเองได้มีโอกาสเล่นเพียงแค่โหมด Conquest ด่านเดียวเท่านั้นมี 4 คลาสเหมือนเดิม แต่โลดโผนมากขึ้นยังคง Concept ของเกม Battlefield เช่นเดิมที่ตัวเกมยังคงมีคลาสให้เราเลือกจำนวน 4 คลาสด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วยAssualt - สายปะทะจะมีความสามารถในการใช้ Grapling Hook เพื่อเกาะขึ้นที่สูงได้ สามารถวิ่งและเล็งได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงใช้ Zipline ได้Engineer - สามารถตั้งป้อมปืนได้ และป้อมปืนที่อยู่ใกล้ๆ จะได้รับประสิทธิภาพRecon - หน่วยซุ่มยิงที่สามารถเรียกโดรนออกมา Mark จุดศัตรูได้ หรือจะมี Movement Sensor ที่จะเตือนถ้าหากศัตรูอยู่ใกล้ๆ Support - หน่วยแพทย์ของทีม มีปืนที่สามารถฮิลได้ และเวลาชุปเพื่อนเลือดจะเต็มโดยแต่ละคลาสจะทำหน้าที่และมีประโยชน์แตกต่างกันไปซึ่งมันก็คล้ายๆ กับเกมภาคก่อนๆ ที่เคยมี แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความสามารถต่างๆ ของตัวละครที่บุกได้หลากหลายขึ้น อย่างเช่น Assualt ที่มีสกิลดึงสลิงขึ้นไปบนที่สูง หรือ Recon สามารถใช้โดรนค้นหาศัตรูที่แอบได้ก่อน หรือจะเป็น Support ที่สามารถยิงปืนเพิ่มเลือดได้ในระยะไกล และความแตกต่างระหว่างเกมนี้ที่เห็นได้ชัดคงจะเป็นการที่ทุกคลาสสามารถเลือกเล่นปืนไหนก็ได้ (แต่บางคลาสอาจจะเลือกบางปืนไม่ได้) เกมยังเน้นทีมเวิร์ค แต่ก็แตกต่างกว่าภาคเก่าซึ่งจากที่ได้ลองเล่นมาตัวเกมค่อนข้างให้อารมณ์คล้ายๆ กับ Battlefield 4 ที่เพิ่มความสามารถของตัวละครเข้าไป และอย่างที่ทราบว่าเกม Battlefield เป็นซีรีส์ที่ต้องอาศัย Team Work ของเพื่อนใน Squad เป็นอย่างมาก ซึ่งยกตัวอย่างจากเกม Battlefield V ที่ตัวเกมดีไซน์ให้เราควรมักจะไปเป็นกลุ่มก้อนกระจุกกันไว้ เพราะเราต้องช่วยกันจ่ายยา จ่ายกระสุนให้ (อาจจะมีหน่วยสไนเปอร์ที่ออกห่างได้ประมาณหนึ่ง)  ส่วนพลปืนกลก็ไม่ได้มีสกิลที่โลดโผนมากนักนอกจากปืนแรง แต่ Battlefield 2042 การเดินห่างๆ และคุมโซนกันไว้น่าจะเป็นตัวเลือกที่อาจจะเหมาะด้วยเช่นกัน เพราะทุกตัวละครมีความสามารถที่เอื้อและโลดโผนกว่าภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น Recon มีความสามารถในการค้นหาศัตรู ซึ่งเราอาจจะสามารถหาตำแหน่งให้เพื่อนได้ Assualt เป็นคนเดียวที่สามารถกระโดดขึ้นที่สูงได้ทำให้การเข้าทำนั้นหลากหลายขึ้น Engineer มีปืนกลที่เล็งและยิงในระยะไกลได้ดี คอยคุมโซนช่วยเหลือเพื่อนแนวหลังได้ หรือจะเป็น Support ก็มีปืนยิงเพิ่มเลือดระยะไกลได้ กลางหรือใกล้ได้ดีปรับแต่งปืนได้แบบเรียลไทม์หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของเกมนี้คือการที่เราสามารถปรับแต่งปืนได้ตลอดเวลาในระหว่างอยู่บนสงครามก็เปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องเก็บเลเวลเพื่อปลดล็อคอีกต่อไป (แต่ระบบปืนยังต้องรอให้เลเวลอัพเพื่อรับปืนใหม่เช่นเดิม) ทำให้เราสามารถปรับแต่งปืนแบบเรียลไทม์เพื่อใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ อย่างเช่นเวลาศัตรูอยู่ไกลเราก็อาจจะสามารถเปลี่ยน Scope ไกลมาใช้ได้ รวมถึงการปรับแต่งก็ยังมีบอกด้วยว่าประสิทธิภาพเพิ่มและลดตรงไหนระบบ A.I. ที่ทำให้ห้องเต็มตลอดเวลาอย่างที่ทราบว่าถ้าใครเล่นเกม Battlefield 2042 บนเครื่อง PC, PS4 หรือ Xbox Series X/S ภายในห้องจะรองรับผู้เล่นมากถึง 128 คนเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่ามันมีโอกาสที่คนในห้องจะไม่ครบหรือขาดไปบ้าง ตัวเกมเลยนำระบบ A.I. ใส่เข้ามาแทรกให้กับเราภายในห้อง (คล้ายๆ กับการมีบอทสมัยเกม Battlefield 2) ซึ่งจากที่ได้ลองมา  ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วตัวบอทยังมีความเอ๋อๆ และดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง อย่างเช่นอยู่ดีๆ ก็เดินไปที่โล่งกลางแจ้งให้เรายิงฟรีๆ แต่ตัวบอทค่อนข้างยิงแม่นพอสมควร ถ้าเราเดินไม่ระวังเราอาจจะโดนบอทลุมยิงตายแบบง่ายๆ ก็ได้ และนี่มันก็เป็นข้อดีสำหรับคนที่เล่นไม่เก่งเช่นกัน เพราะเรายังได้มีโอกาสยิงบอทที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ความรู้สึกหลังได้ลองเล่นจากที่ได้ลองเล่นมา ตัวเกมมีความคล้ายคลึงกับเกม Battlefield 4 อยู่พอสมควรในเรื่องของอาวุธปืนต่างๆ ที่เหมือนกันมาก แต่มันก็มีการเพิ่มเติมมาด้วยความสามารถของคลาสต่างๆ ที่หลากหลายและโลดโผนมากขึ้น เชื่อว่าท่านจะต้องพบเจอกับเกมเพลย์สไตล์ใหม่ๆ หรืออะไรแปลกๆ ภายในนั้นอีกเยอะแยะแน่นอน ส่วนเรื่องสังเกตุข้อเดียวก็คือ ถ้าหากใครคิดอยากที่จะหากลื่นอายความเป็น Sci-fi โลกอนาคต ตัวเกม Battlefield 2042 มันก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ท่านคาดหวังไว้เท่าไร ตัวเกมยังมีกลิ่นอายความเป็นโลกปัจจุบันที่อาจจะมีเทคโนโลยีทันสมัยกว่าความเป็นจริงประมาณหนึ่งเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วตัวเกมก็ยังสนุกและแฟนๆ ก็น่าจะกลับมาชอบอีกครั้ง
06 Oct 2021
รีวิว Diablo 2 Resurrected เหล้าเก่าฉลากใหม่ที่รสชาติจัดจ้านกว่าเดิม
ย้อนกลับไป 20 กุมภาพันธ์ 2021 เกมเมอร์ทั่วทั้งโลก ได้เป็นสักขีพยานถึงการคืนชีพของตำนาน Action RPG ระดับตำนาน Diablo 2 Resurrected การเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่นั้นได้ทำให้ผู้เล่นทั่วโลกตื่นเต้นแทบจะรอวันวางขายเกมไม่ไหว และวันนี้ตัวเกมได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วบนแพลตฟอร์มยุคใหม่ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น PS5, Xbox Series X / S, PC หรือ Nintendo Switch แม้จะใช้ชื่อว่า Resurrected แต่ในความหายที่แท้จริงของเกม ก็คือฉบับ Remastered ที่เพิ่มระบบใหม่ๆ ให้สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล และสนุกมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการเพิ่มตัวละครจาก DLC อย่าง Assassin กับ Druid เข้ามาเลย ไม่จำเป็นต้องซื้อแยกเหมือนกับตัวเกมต้นฉบับ แน่นอนว่าเนื้อเรื่อง Act 5 ที่แต่เดิมอยู่ใน DLC ก็ถูกแถมมาด้วยกับตัวเกมฉบับ Resurrected เลย ผู้เขียนเองเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเล่นเกม Action RPG มุมมองแบบนี้มาก และวันนี้จะมาเล่าความรู้สึกหลังจากที่ได้เล่นให้เพื่อนๆ ชาว GameFever Th ได้อ่านกัน!เดินทางเพื่อหยุดการตื่นของภัยพิบัติแม้ว่าเนื้อเรื่องของ Diablo 2 จะไม่ใช่ส่วนสำคัญที่ทำให้เกมนี้โด่งดัง แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่เติมเต็มเกมให้มีรสชาติกลมกล่อม กล่าวถึงการเดินทางของเราเพื่อหยุดยั้งแผนการช่วยร้ายของเผ่าปีศาจที่นำโดย Prime Evil ทั้งสาม Diablo, Baal และ Mephisto โดยภายในเรื่องราวจะมีทั้งการทรยศหักหลัง, เรื่องราวของความดี และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าหากได้ลองอ่านดูเชื่อว่าเพื่อนจะสนุกไปกับเรื่องราว Dark Fantasy ของเกมนี้ได้ไม่ยากเลยCut Scene ใหม่ที่สวยงามน่าดูกว่าเดิมอีกหนึ่งจุดขายของ Diablo 2 ตลอดการเล่นของเนื้อเรื่องคือ Cus Scene ความยาวหลายนาที ที่ช่วยให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้นกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนยังไง ซึ่งในฉบับ Resurrected มีการทำแอนิเมชันในส่วนนี้ใหม่ทั้งหมด ฉากที่สวยงามมากกว่าเดิม ฉากต่อสู้ที่ดูรู้เรื่องมากขึ้น รวมไปจนถึงสีหน้าของตัวละครที่สื่ออารมณ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนนี้ยังเป็นตัวช่วยให้เราอยากเล่นเนื้อเรื่องใน Act ต่อไปมากขึ้น และใช้เวลาสนุกไปกับเกมกราฟิกที่อัปเกรด กับเอฟเฟคสกิลสุดตื่นตาตื่นใจได้ชื่อว่าเป็นฉบับ Remastered สิ่งที่หลายคนคาดหวังคงไม่พ้นเรื่องภาพที่สวยงามอลังการมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ต้องบอกเลยว่า Blizzard ทำออกมาได้ดีมาก ทั้งในแง่ของกราฟิก รวมถึงการ Optimize ให้สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล่โดยไม่ต้องการ Hardware ที่แรงมากมายอะไรนัก อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น คือเอฟเฟคของสกิลที่มีความถูกต้อง และสวยงามมากขึ้นเช่นเดียวกับกราฟิก โดยเฉพาะสกิลธาตุที่มีรายละเอียดในเปลวไฟ สะเก็ดน้ำแข็ง รวมถึงความหนาของสายลมภาพใหม่สุดสวยงาม หรือภาพเก่าสุดคลาสสิคแม้ว่ากราฟิกใหม่ของ Diablo 2 Resurrected จะสวยงามและทำให้เกมน่าเล่นกว่าที่เคยเป็นมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพแตกๆ สไตล์ดั้งเดิมของเกมก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของ Diablo 2 ความยอดเยี่ยมของภาคนี้คือผู้เล่นสามารถสลับภาพไปมาระหว่างกราฟิกแบบใหม่ และแบบเก่าได้ตลอดเวลาง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม "G" บนคีย์บอร์ด บางครั้งที่คิดถึงภาพสไตล์เก่าจะสลับกลับไปเล่นช่วงเวลาหนึ่งแล้วพอเบื่อจะกลับมาเล่นแบบภาพสวยอีกครั้งก็สามารถทำได้ประสบการณ์ไหนที่ได้จากต้นฉบับ ยังคงได้จากฉบับนี้!แม้จะได้ชื่อภาคว่า Resurrected แต่ Blizzard ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหา รวมถึงวิธีการเล่นในส่วนไหนของเกมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความยาก การหาไอเท็ม เนื้อเรื่อง หรือความสามารถของมอนสเตอร์ ผู้เล่นยังจำเป็นต้องใช้เวลาในแต่ละระดับความยาก Normal, Nightmare, Hell ไม่ว่าจะเป็นการหาไอเทมมาเสริมให้ตัวเองเก่งขึ้น หรือเพิ่มเลเวลเพื่ออัปสกิล กับสเตตัส ในภารเตรียมตัวให้พร้อมลุยระดับความยากที่สูงขึ้นแม้ว่าระดับความยากของเกมจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ แต่เอาจริงๆ Diablo 2 เองไม่ใช่เกมที่ง่ายระดับที่เล่นแบบมั่วๆ แล้วจะสามารถเอาชนะบอสในแต่ละ Act ของเนื้อเรื่องได้ ตัวเกมนั้นยากตามสไตล์เกมยุคเก่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งในฉบับ Resurrected ก็ไม่ได้มีการลดความยากในส่วนนี้ลงเลย แถมโทษจากการตายยังคงเป็นการของหล่นหมดตัวเช่นเดิม ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้เล่นจะเป็นต้องระวังเป็นอย่างมากในการเดินเนื้อเรื่อง รวมถึงเก็บเลเวลในระดับความยากที่สูงขึ้นก็จะดรอปไอเทมที่เก่งขึ้น Rune ที่ดีมากขึ้น รวมไปจนถึง Exp ที่ได้ก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน การจะเก็บเลเวลให้ถึง 99 จะเป็นการง่ายกว่าในการเล่นระดับความยากที่สูงขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังลงโทษผู้เล่นที่อัปสกิล หรือสเตตัสมาไม่ดีพอโหดเช่นเดิม ไม่มีโอกาสที่สองสำหรับคนที่ใช้โอกาส รีสกิล / สเตตัสไปจนหมดแล้ว การเริ่มเล่นใหม่เป็นหนทางเดียวที่จะแก้ตัวได้ การคิดแนวทางอัปสกิล / สเตตัส รวมไปจนถึงมองหาไอเทมที่เหมาะกับตัวเอง ทั้งหมดที่กล่าวมีนี้คือสเนห์ดั้งเดิมของ Diablo 2 ที่ไม่ได้สูญหายไปในตัวเกมฉบับ Resurrected ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ต้องชมทีมพัฒนาระบบใหม่ๆ ที่ทำให้การเล่นสนุกมากขึ้นแม้ว่าบรรยากาศ และเกมเพลย์ส่วนใหญ่ถูกคงไว้เช่นเดิมเพื่อมอบประสบการณ์ที่สุดแสนจะน่าคิดถึงให้กับผู้เล่น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มระบบใหม่ที่ทำให้การเล่นเกมสนุกมากขึ้นเข้ามาด้วย ซึ่งหลักมี 2 อย่างด้วยกันที่ส่งผลต่อการเล่นของผู้เล่นโดยตรง คือ 1.) ระบบเก็บเงินให้ Auto เมื่อตัวละครของผู้เล่นเดินผ่านเงิน และ 2.) Stash สำหรับส่งของให้กับตัวละครอื่นๆ ภายใน ID เดียวกันแม้ว่าเงินจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญเท่าไหร่นักใน Diablo 2 แต่มันยังคงจำเป็นในการซ้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่พังลงจากการต่อสู้ รวมถึงซื้อยามาใช้ในยามฉุกเฉินอยู่ แม้ว่าการคลิกเพื่อเก็บเงินเองอาจไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มากขนาดนั้น แต่การมีระบบที่เก็บให้เราเองก็เป็นเรื่องดี เพราะมันสะดวกสบายมากขึ้น จำเป็นต้องให้ความสนใจต่อไอเทมที่ดรอปน้อยลง และโฟกัสไปที่การต่อสู้ได้มากขึ้นStash สำหรับส่งของไปมาระหว่างตัวละครได้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้เล่น Diablo 2 อยากได้กันมาเสมอ เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากมากที่จะส่งของไปมาระหว่างตัวละครต่างๆ ใน ID เพราะต้องหาเพื่อนมาเก็บของให้ และสลับเป็นอีกตัวมารับของคืน การส่งไปมาได้เองผ่าน Stash จึงเป็นอะไรที่น่ายินดี และทำให้การเล่นหลายๆ ตัวทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถส่งของดีๆ ไปให้อีกตัวใช้ได้ นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ทำให้เกมน่าเล่นมากขึ้นเยอะเลยทีเดียวสรุปสนุกไหม?จริงๆ แล้วผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสได้เล่นเกม Diablo 2 เป็นครั้งแรก และในฐานะที่ชอบเล่นเกมแนวนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขอยอมรับว่าประสบการณ์ที่ได้จากเกมถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ความสนุกที่ไม่คิดเลยว่าจะได้จากเกมนี้ในตอนแรกคือในเรื่องของความยากที่หาไม่ค่อยได้ในเกมยุคใหม่ๆ และระบบสกิล รวมไปจนถึงระบบไอเทม ก็ไม่ได้ทำความเข้าใจยากอะไรมากมายนัก ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ Diablo 2 Resurrected ถือได้ว่าเป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่ แต่ก็มีความลึกน่าค้นหาในแบบของตัวเอง ถ้าหากเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเล่นเกมยากต้องมานั่งปวดหัวกับการหาของเพื่อไปเล่นในระดับความยากที่สูงขึ้น เพื่อนๆ สามารถสนุกไปกับเล่นในระดับความยากของ Normal กับ Nightmare ลองเล่นสกิลที่ตัวเองชอบ ในอาชีพต่างๆ ถ้าหากเป็นสายต้องไปให้ถึง End Game ก็ต้องทำการบ้านเยอะหน่อยในการทำบิ้วท์ดีๆ สักหนึ่งบิ้วท์ในการไปให้ถึง Act 5 ในระดับ Hell และมันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรนัก ในการนั่งทำความเข้าใจสายที่ตัวเองเลือกเล่นในเกมนี้ ดังนั้นสำหรับมือใหม่ที่อยากไปให้ถึง Hell ก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการบ้านอะไรมากมายนักโดยรวมแล้ว Diablo 2 Resurrected เป็นการพาเรากลับไปเล่นเกมในวัยเด็ก ที่สนุกมากกว่าที่เคยเป็นมา และได้อรรถรสมากขึ้นจากกราฟิกที่สวยงาม สิ่งเดียวที่ทีมพัฒนาต้องให้ความสนใจเพิ่มเติมคือการเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาหลังจากนี้ เพราะไม่ว่า Diablo 2 จะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยม และสนุกขนาดไหน หากไม่มีคอนเทน์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาเลยในอนาคต เกมนี้จะน่าเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลาที่ผ่าน และสักวันก็จะกลายเป็นเกมที่เราเลิกเล่นกันไป หาก Blizzard ต้องการชุปชีวิตเกมนี้ขึ้นมาจริงๆ และสนับสนุนมันต่อไปเรื่อยๆ คอนเทนต์ใหม่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันคอนเทนต์ใหม่ก็เป็นอะไรที่สามารถทำลายเกมลงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นทีมพัฒนาจำเป็นต้องระวังมากๆ ครับ
28 Sep 2021
รีวิว Deathloop การต่อสู้เพื่อทำลายลูป 24 ชั่วโมง ที่ยาวนานเหมือน 10 ปี
ถ้าหากว่าเป็นเกมเมอร์ที่อยู่ในวงการมาแล้วระยะหนึ่งเชื่อว่าชื่อของ Dishonored ต้องเคยผ่านเข้าหูกันมาบ้าง ตัวเกมถูกพัฒนาโดย Arkane Studios โดยได้รับเสียงตอบรับจากผู้เล่นที่ดีมากๆ ส่งผลให้มีภาค 2 ตามออกมาในปี 2016 โดยจุดเด่นคือเกมเพลย์กับการนำเสนอที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ตามมาด้วยผลงานที่ 3 ของพวกเขา Prey ที่ยังคงได้รับคะแนนรีวิวดีมากเช่นกัน ซึ่งล่าสุดผลงานลำดับที่ 4 ของพวกเขาก็เพิ่งวางจำหน่ายไปในอาทิตย์ที่ผ่านมาDeathloop เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่นำเสนอออกมาได้แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ยังคงเป็นเกมที่ใช้มุมแบบ FPS เช่นเดียวกับผลงานที่ผ่านมา ส่วนที่แตกต่างไปซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัดๆ จากหน้าปกของเกมคือโทนสีที่มีความสดใสมากยิ่งขึ้น หลังจากได้ใช้เวลาในเกมนี้ไปหลายสิบชั่วโมง สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า Deathloop เป็นอีกหนึ่งผลงานยอดเยี่ยมที่ทำออกมาได้ดีมากๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เกมที่จะเหมาะสมกับเกมเมอร์ทุกคนในเวลาเดียวกันด้วย ส่วนอะไรคือเหตุผลของข้อสรุปนี้มาดูกันฉันก็คือนาย และเราต้องทำลายลูปนี้!Deathloop จะเริ่มต้นเนื้อเรื่องด้วยการโยนเราลงไปที่ชายหาดแห่งหนึ่งในยามเช้าพร้อมกับอาการเมาค้าง หลังจากเพิ่งฝันร้ายมาว่าถูกผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตาย แต่สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดคือการที่ตัวละครของเราก็จำไม่ได้ว่าเขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ตัวเขาคือใคร ผู้หญิงที่ฆ่าเขาคือใคร และมีเป้าหมายอะไร แต่ในขณะที่ยังยืนงงหาคำตอบไม่ได้อยู่ จู่ๆ ก็มีข้อความลอยขึ้นมากลางอากาศพยายามสื่อสารกับเรา ซึ่งข้อความดังกล่าวจะบอกว่าเขากับเราคือคนเดียวกัน และเราจำเป็นต้องทำลายลูปทิ้งเสีย โดยที่เราเองก็ยังไม่เข้าใจดีว่าลูปคืออะไร และทำไมถึงต้องทำลายมันเมื่อเดินทางมาเรื่อยๆ ตัวเอกของเราจะทราบว่าตัวเองมีชื่อว่า Colt และกำลังพยายามจะทำลายลูป อยู่จากการประกาศของผู้หญิงที่ชื่อว่า Julianna ที่ดังไปทั่วเกาะว่า 'Colt หัวหน้าของพวกเรากำลังพยายามจะทำลายลูป ถ้าใครพบเจอให้สามารถกำจัดได้เลย!' ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน Colt จะตาย จากเหตุการณ์อะไรบางอย่าง และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันเดิม ที่ชายหาดเดิม และเข้าใจความหมายของลูป ที่ทุกคนพูดถึง มันคือช่วงเวลา 1 วัน ที่จะวนกลับมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขาตาย หรือช่วงเวลาผ่านไปจนหมดวัน จากนั้นการเดินทางตามหาเบาะแส เพื่อทำลายลูปนี้ จึงได้เริ่มต้นขึ้น 24 ชั่วโมงที่ยาวกว่า 10 ปีการนำเสนอเรื่องราวของ Deathloop จะวนอยู่ในช่วงเวลา 1 วันของลูป แบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลาคือ เช้า สาย บ่าย ค่ำ กับ 4 สถานที่ประกอบด้วย เมือง ท่าเรือ โรงงาน และรีสอร์ต แต่ละสถานที่ในแต่ละช่วงเวลาจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน และการกระทำบางอย่างในเขตหนึ่งในช่วงใดเวลาหนึ่ง อาจส่งผลต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสถานที่เดียวกัน หรือสถานที่อื่นในเวลาต่อไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากผู้เล่นไปสำรวจท่าเรือในเวลาเช้า และไปฆ่า NPC ตัวหนึ่งในฉาก ก็อาจทำให้เขาไม่ไปโผล่ในช่วงบ่ายในเขตเมือง จึงทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์สำคัญบางอย่างขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้ยังทำให้บางสถานที่ในบางเขตสามารถเข้าถึงได้เฉพาะบางช่วงเวลาด้วย เช่น Nightclub ที่จะเปิดช่วงค่ำภายในเมืองเท่านั้น หรือสถานีรายงานข่าวที่จะเข้าได้แค่ช่วงเช้าในเขตรีสอร์ต ด้วยการนำเสนอแบบ 4 ช่วงเวลาของ 4 สถานที่ จึงทำให้รูปแบบการสำรวจในการวนลูปแต่ละรอบค่อนข้างหลากหลาย บางครั้งผู้เล่นอาจได้พบกับรหัสตู้เซฟสำคัญภายในเมืองตอนเช้า ที่บริเวณโรงงานตอนเย็นในลูปรอบแรก ดังนั้นในลูปรอบผู้เล่นอาจเลือกไปสำรวจเมืองในตอนเช้า เพื่อนำรหัสที่ได้มาไปเปิดตู้เซฟดังกล่าวดู การเล่าเรื่องที่ไม่เส้นตรง แต่ยังคงเข้าใจได้ง่ายด้วยระบบลูป 1 วันตามที่กล่าวมาข้างต้น Arkane Studios จึงไม่ได้ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเป็นฉากที่ 1 2 3 4 5 ไล่ไปตามลำดับ แต่จะเล่าผ่านเอกสาร หรือเหตุการณ์สำคัญที่ผู้เล่นได้พบในแต่ละสถานที่ แต่ละช่วงเวลาของวันแทน และด้วยความที่บางสถานที่จะสามารถเข้าได้แค่ในบางช่วงเวลาของวันเท่านั้น ประสบการณ์ที่ได้จากเกมของผู้เล่น A กับ B จึงอาจไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในขณะเดียวกันตัวเกมเองก็มีการตีกรอบให้กับเนื้อเรื่องด้วยแผ่นภาพ ของสิ่งที่พบแล้ว กับสิ่งที่ต้องไปตามหาด้วย จึงทำให้แม้จะพบกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปตลอดการเล่นของเนื้อเรื่อง แต่บทสรุปของปริศนาทั้งหมดจะไปจบที่จุดเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้การทำความเข้าใจเนื้อเรื่องเกมที่ยุ่งยาก ง่ายขึ้นเป็นเท่าตัว และเสพได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการออกแบบ / นำเสนอที่ดีลูปของเราเป็นของเรา มันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนอีกหนึ่งการนำเสนอที่คิดว่าเจ๋งมากๆ คือการที่ลูปที่เราอยู่ จะมีรหัสของตู้เซฟ ห้องควบคุม และคำตอบของ Puzzle ที่ไม่เหมือนใคร ตัวเกมจะสุ่มคำตอบของแต่ละปริศนาขึ้นให้กับลูปของเราเท่านั้น ซึ่งระบบนี้เป็นหนึ่งในส่วนช่วยการนำเสนอว่าลูปของเรา โลกของเรา ไม่ใช่เส้นทางเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นไปได้ โดยส่วนนี้ยังรวมไปถึงบทสรุปของเกมที่มีมากกว่า 1 แบบ ในขณะเดียวกันการเริ่มลูปใหม่ ก็หมายถึงการเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ด้วย อาวุธ สกิล และทุกอย่างที่ได้มาในแต่ละลูปจะหายไปเมื่อเริ่มลูปใหม่สีโทนร้อน กับโลกที่ยังคงน่าค้นหาจุดเด่นที่แตกต่างออกไปจุดแรกระหว่าง Deathloop และผลงานก่อนหน้านี้ของ Arkane Studios คือการใช้สีที่มีทั้งส้ม แดง ชมพู เหลือง ฟ้า เยอะมากทั้งในส่วนของเสื้อผ้าตัวละคร อาวุธ และฉาก พอประกอบกับกราฟิกที่สวยงามของ Void Engine แล้ว ก็ทำให้โลกของเกมดูมีเสน่ห์น่าค้นหาเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันด้วยดนตรีประกอบ กับวิธีการเล่าเรื่องแบบผูกปมจำนวนมากขึ้นมาพร้อมกันแล้วค่อยๆ คลายปมทีละนิด ก็เข้าไปช่วยทดแทนในส่วนของความลึกลับที่หายไปจากการสีโทนร้อนได้เป็นอย่างดี ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในมุมมองของผู้เขียนสำหรับ Arkane Studios สำหรับการเลิกใช้โทนสี ขาว-ดำ-เทา ในการสื่อถึงบรรยากาศที่ลึกลับภายในเกมเป็นได้ทั้งผู้ทำลาย และผู้ปกป้องผู้พัฒนาได้เคยกล่าวว่า Deathloop จะนำเสนอเนื้อเรื่องจากทั้งสองด้านให้เราได้ดู ความหายดังกล่าวคือการที่เราสามารถรับบทเป็นตัวละครหญิง Julianna และมีหน้าที่ในการขัดขวางการทำลายลูปของ Colt ซึ่งคนที่กำลังเล่นเป็น Colt ก็คือผู้เล่นอื่นนั้นเอง ซึ่งด้วยความที่ลูปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันจึงทำให้ผู้ที่รับบทเป็น Julianna ไม่สามารถเข้าพื้นที่ Safe Zone ของ Colt ได้เนื่องจากไม่รู้ Password โดยถ้าหากว่าพลาดเสียท่าให้กับ Colt ของในตัว รวมถึงสกิลที่ใส่ไปจะตกทั้งหมด ให้ Colt คนอื่นสามารถเก็บไปใช้งานในลูปของตัวเองได้ระบบนี้เป็นการใส่ระบบ PvP เข้ามาในเกมเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นในการเล่น สำหรับผู้เล่นที่ไม่อยากจะต้องเจอการ PvP และอยากจะเล่นเนื้อเรื่องของเกมให้จบ สามารถปรับโหมดการเล่นเป็นแบบ Single-Player เพื่ออ่านเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่ได้ อย่างไรก็ตามการบุกมากำจัด Colt จะยังคงมีเช่นเดิม เพียงแต่จะเป็น Ai ที่รับหน้าที่แทน (สู้ง่ายกว่าเจอผู้เล่นด้วยกันมาก) เนื่องจากมีของบางอย่างที่ผู้เล่นจะได้จากการเอาชนะ Julianna ได้Ai ที่ไม่ฉลาด แต่ลอบเร้นได้ยาก และยิงแรงมากDeathloop ให้ตัวเลือกในการเล่นของผู้เล่นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือการเล่นแบบลอบเร้น และการเล่นแบบบู๊แหลก แต่สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมลอบเร้นแบบจัดหนักจัดเต็ม อาจรู้สึกไม่ท้าทายเท่าไหร่ในเกมนี้ เนื่องจาก Ai จะไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก บางครั้งยืนอยู่ข้างๆ กันก็ยังไม่รู้ตัวเลย อย่างไรก็ตามการลอบเร้นใน Deathloop จะไปท้าทายมากๆ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมมากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่ NPC มักยืนอยู่เป็นกลุ่ม และมีตำแหน่งการยืนที่ช่วยปิดจุดอับสายตาของตัวอื่น ดังนั้นความยากของการลอบเร้นจะไปอยู่ที่การหาวิธีแทรกซึมเข้าไปมากกว่าสำหรับการเล่นแบบบู๊แหลก โดยรวมถือว่าใช้เวลาน้อยกว่า และเล่นได้ง่ายกว่าการลอบเร้น แต่ก็ต้องหาวิธีรับมือกับดาเมจของปืนศัตรูที่แรงมากๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก NPC มักยืนอยู่กันเป็นกลุ่มจำนวนเยอะๆ ปัญหาของการเล่นแบบบู๊แหลกจึงเป็นเรื่องของกระสุนที่อาจไม่เพียงพอในบางสถานการณ์ รวมถึงบางภารกิจที่หากไม่เล่นแบบลอบเร้นจะยากกว่ามากๆ เช่นศัตรูจะจุดระเบิดทำลายหลักฐานทั้งหมดทันทีเมื่อรู้ว่าเราบุกมา หรือบางด่านอาจมีศัตรูจำนวนเยอะมากๆ และการต้องสู้กับ NPC กลุ่มใหญ่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลยระบบไอเทมกึ่ง Looter Shooterสกิลตัวละคร อาวุธ รวมถึง Mod แต่งปืนภายใน Deathloop จะมีระดับความหายากอยู่ ซึ่งสามารถหาดรอปได้จากศัตรู หรือเก็บได้ตามจุดต่างๆ ของด่าน โดยในส่วนของสกิล กับ Mod แต่งปืนจะมีผลแบบเดียวกัน แต่ส่งผลมากขึ้นตามระดับความหายาก ในส่วนของอาวุธจะมีช่องให้ใส่ Mod ได้เพิ่มมากขึ้นตามระดับความหายาก และภายในเกมยังมีอาวุธระดับสูงสุดเป็นของสีส้ม ที่จะมาพร้อมกับความสามารถสุดเทพด้วย โดยจะสามารถได้รับมาจากเควส หรือสถานการณ์เฉพาะเท่านั้น ซึ่งทำให้การวนลูปแต่ละครั้งมีความหมายมากขึ้น สรุปสนุกไหม?ถ้าเอาแค่ความรู้สึกที่ได้จากเกมเพลย์เพียงอย่างเดียว ต้องยอมรับว่ารู้สึกเฉยๆ มาก เพราะมันไม่ได้มีระบบใหม่ๆ ที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกเลย แต่เป็นการเอาระบบดีๆ ที่ไม่เห็นอยู่แล้วในเกมอื่นมาใส่รวมไว้ในเกมเดียวกัน และใส่ระบบเสริมอื่นๆ เข้าไปให้เกมเพลย์มันไม่น่าเบื่อจนเกินไปเท่านั้น ความเจ๋งที่ทำให้อยากเล่นเกมนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นในส่วนของเนื้อเรื่อง กับการนำเสนอที่ทำออกมาได้น่าสนใจเสียมากกว่า ความทรงจำที่หายไปของ Colt เรื่องราวความสัมพันธ์ของ NPC แต่ละตัวที่ได้พบในเกม วิธีการที่จะทำลายลูป และวิธีการได้รับไอเทมหายากต่างๆ Arkane Studios ถ่วงสมดุลทั้ง 4 ได้ดีมาก ตลอด 20 - 30 ชั่วโมง ที่ได้เล่นเกมนี้ ต้องยอมรับว่าสนุกมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้การกลับไปเล่นอีกครั้งมีความน่าสนใจน้อยลงสำหรับ Deathloop ซึ่ง 20 - 30 ชั่วโมง ในราคา 1,980 บาท อาจไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นักสำหรับบางคน และก็ไม่ใช่ทุกคนเช่นกันที่จะชอบสไตล์การเล่าเรื่องแบบไม่เป็นเส้นตรง แต่เล่าผ่านเอกสารต่างๆ ที่เราได้พบภายในเกมแทน จากทั้งหมดนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า Deathloop ไม่ใช่เกมที่จะเหมาะกับทุกคน อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเพื่อนๆ เป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่มีปริศนาเยอะๆ ต้องหาคำตอบของคำถามมากมายที่เกมตั้งมาให้ด้วยตัวเอง นี้คืออีกหนึ่งผลงานยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด!
21 Sep 2021
Tales of Arise Review "๋มือปืนปากร้ายกับนายหน้ากากเหล็ก"
แม้จะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งวงการ JRPG เหมือนหลายๆ เกม แต่เกมซีรีส์ ‘Tales’ ก็มีประวัติที่ยาวนานไม่แพ้เกมซีรีส์เด่นๆ อย่าง Final Fantasy หรือ Persona เช่นกัน และก็ยังเป็นที่รักของกลุ่มแฟนที่ติดตามเกมแต่ละภาคอย่างจดจ่อมาตลอด โดยผู้พัฒนา Bandai Namco ก็ได้ตอบสนองการรอคอยของแฟนๆ ด้วยการประกาศเปิดตัวเกมภาคล่าสุดอย่าง Tales of Arise ไปในปี 2020 ที่ผ่านมา พอดีกับการฉลองครบรอบ 25 ปีของซีรีส์ ‘Tales’ พอดีด้วยกราฟิกใหม่อันสวยสะดุดตาที่พัฒนาขึ้นด้วย Unreal Engine 4 รวมไปถึงการพัฒนาในด้านเกมเพลย์ที่ทันสมัยขึ้น ทำให้ Tales of Arise กลายเป็นที่คาดหวังของแฟนๆ ซีรีส์ Tales ที่รอคอยเกมใหม่มาถึง 5 ปี (นับตั้งแต่ที่ Tales of Berseria วางจำหน่ายไปในปี 2016) รวมไปถึงแฟนๆ ของเกมแนว JRPG หลายคนที่คาดหวังให้ Tales of Arise เปรียบเหมือนการ “ตำนานบทใหม่” ที่จะผลักดันให้ซีรีส์นี้ทัดเทียมกับเกม JRPG ชื่อดังอื่นๆ ในที่สุดหลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเกือบ 40 ชั่วโมง แม้จะยอมรับว่า Tales of Arise ถือเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ Tales ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในส่วนของการนำเสนอและเกมเพลย์ แต่ก็ยังมีองค์ประกอบมากมายที่ทำให้เกมรู้สึก “เก่า” อย่างชัดเจน รวมไปถึงกลิ่นอายความเป็นอนิเมะอันเข้มข้นของเกมที่บางครั้งก็แอบขัดกับเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างจริงจังและมืดมนTales of Arise จะเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มตัวเอกเพื่อปลดแอกเหล่าผู้คนแห่งดาว Dahna จากการกดขี่ของเหล่าผู้รุกรานจากดาว Rena ผู้ซึ่งใช้แรงงานพวกเขาดั่งทาสมาตลอด 300 ปี โดยตัวเอกและพวกพ้องจะต้องออกเดินทางไปยังเขตแดนทั้ง 5 ของดาว Dahna เพื่อพิชิตผู้นำชาว Rena ของแต่ละเขตและนำอิสรภาพมาสู่ชาว Dahna อีกครั้งด้วยเนื้อเรื่องที่เล่นกับประเด็นเรื่องการใช้แรงงานทาส การเหยียดเชื้อชาติ ไปจนถึงการซ้อมทรมาน คงไม่แปลกใจถ้าจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Tales of Arise นั้นมีความเป็น “ผู้ใหญ่” กว่าเนื้อเรื่องของเกม Tales อื่นๆ ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจของซีรีส์ โดยเกมจะติดตามตัวละครหลักสองคนคือ Alphen ทาสชาว Dahna ความจำเสื่อมที่สวมใส่หน้ากากเหล็กปริศนาตลอดเวลา ผู้ซึ่งไม่สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ และ Shionne หญิงสาวชาว Rena ผู้ซึ่งต้องการล้มเหล่าผู้นำแคว้นทั้ง 5 ที่ปกครอง Dahna อยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง โดยเธอยังต้องคำสาปที่ทำให้ใครก็ตามที่แตะต้องตัวเธอต้องรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนไฟดูด (เข้ากับ Alphen ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดพอดี)ระหว่างการเดินทางของทั้งสอง จะได้พบกับเพื่อนร่วมทางอีก 4 คน โดยแต่ละคนก็มีเหตุผลที่ต่างกันไปในการเข้าร่วมการต่อสู้ของ Alphen และ Shionne โดยเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้เองที่เปรียบเสมือนจุดเด่นของเนื้อเรื่องใน Tales of Arise เพราะแต่ละคนเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกดขี่โดยอำนาจในรูปแบบต่างๆ กันไป และการได้สังเกติพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวในการก้าวข้ามการกดขี่ของตัวเองผ่านทั้งเนื้อเรื่องและเหล่าบทสนทนา Skits อันเป็นเอกลักษ์ของเกมตระกูล Tales ก็ทำให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี แม้จะต้องยอมรับว่าตัวละครทุกตัวจะค่อนข้างตามสูตรสำเร็จอนิเมะเป๊ะๆ ไปเลยก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้น เกม Tales of Arise ยังมีปริศนาและการหักมุมใหญ่หลายครั้งในช่วงท้ายของเกมที่ผู้เขียนรู้สึกข้องใจว่าจำเป็นจริงหรือไม่ และทำให้เนื้อเรื่องของเกมเปลี่ยนไปจากสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกชอบในช่วงต้นๆ ซึ่งถ้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ก็เสี่ยงจะสปอยกันซะเปล่า หลายคนที่ชื่นชอบเนื้อเรื่องแนวอนิเมะจัดๆ อาจจะไม่รู้สึกติดขัดเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้ประทับใจกับเนื้อเรื่องช่วงหลังๆ ของเกมนัก และรู้สึกว่าเนื้อเรื่องคงจะน่าจดจำกว่านี้ถ้าเกมให้เวลาไปกับเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวมากกว่าเช่นเดียวกับเกม Tales อื่นๆ ที่ผ่านมา เกม Tales of Arise จะใช้ระบบต่อสู้แบบแอคชั่น ผู้เล่นจะสามารถมองเห็นศัตรูยืนเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามแผนที่ และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็จะถูกพาเข้าสู่สังเวียนต่อสู้ทรงกลมที่ใช้การควบคุมแบบแอคชั่น โดยในเบื้องต้นนั้น ผู้เล่นจะสามารถโจมตีธรรมดาสลับกับการกดใช้สกิลหรือที่เกมเรียกว่า ‘Artes’ เพื่อประติดประต่อกันเป็นคอมโบ และเมื่อทำคอมโบได้ถึงจุดหนึ่งก็จะสามารถกดท่าไม้ตายรุนแรงที่เรียกว่า Boost Strike เพื่อปิดฉากศัตรูได้อีกด้วยนอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถเปลี่ยนไปควบคุมตัวละครทั้ง 6 คนได้อย่างอิสระตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนจะมีลูกเล่นประจำตัวที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นแตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน เช่นตัวละคร Law ที่จะเพิ่มพลังโจมตีของตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อสามารถโจมตีศัตรูอย่างต่อเนื่องตราบใดที่ไม่ได้รับความเสียหาย หรือตัวละคร Kisara ที่แลกความสามารถในการหลบหลีกมาใช้โล่ห์ขนาดใหญ่ในการป้องกันตัวเองเป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายและไม่น่าเบื่อเพราะสามารถเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นๆ ได้เสมอ แถมเมื่อเล่นตัวละครจนคล่องหลายตัวแล้วยังสามารถกดเปลี่ยนตัวละครกลางคอมโบเพื่อต่อคอมโบไปเรื่อยๆ ได้อีกด้วยด้วยระบบต่อสู้ที่เน้นให้ผู้เล่นทำคอมโบต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว ทำให้การต่อสู้ในเกม Tales of Arise ต่างจากเกม JRPG อื่นๆ เพราะแทนที่ผู้เล่นจะเก็บท่าใหญ่ๆ ไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น เกมกลับส่งเสริมให้ผู้เล่นงัดสกิลทั้งหมดมาใช้ติดๆ กันตลอดเวลา ซึ่งก็ส่งผลการต่อสู้รู้สึกดุเดือดและรวดเร็วตลอดเวลา แม้จะต้องใช้ความเคยชินอยู่บ้างสำหรับคนที่เล่นเกมแอคชั่นอื่นๆ มา เพราะจะไม่สามารถกดหลบหลีกระหว่างปล่อยท่าได้ แถมระบบการต่อคอมโบของเกมยังทำให้ไม่ควรกดปุ่มเร็วๆ หรือกดซ้ำๆ ด้วย แต่เมื่อเข้ามือแล้วก็สนุกร้าวใจตลอด และทำให้การปลดล๊อคสกิลใหม่ๆ ผ่านระบบ Skill Panel มีความตื่นเต้นมากขึ้น เพราะอยากปลดล๊อคสกิลมาสร้างคอมโบใหม่ๆ อยู่ตลอดนั่นเอง แต่แม้ว่าการต่อสู้กับศัตรูทั่วไปจะสนุกและรวดเร็ว การต่อสู้กับบอสใน Tales of Arise กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง บอสทุกตัวนอกจากจะมีพลังชีวิตมหาศาลแล้ว ยังไม่สามารถถูก Break หรือตีให้ชะงักได้อีก นั่นหมายความว่าการต่อคอมโบอย่างลื่นไหลแบบที่ทำกับศัตรูทั่วไปจะไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้บอสหลายๆ ตัว (โดยเฉพาะเหล่าบอสที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย) มักมีท่าโจมตีที่ปล่อยออกมาได้รวดเร็วจนมองไม่ทัน แถมแรงพอจะหวดตัวละครในตี้ทุกตัวลงไปนอนพร้อมกันได้อีก แม้ว่าบอสหลายตัวจะมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้มันหยุดชะงักให้เราตีฟรีได้แปบนึง (เช่นต้องใช้ท่า A ของตัวละคร B เพื่อสวนท่า C ของบอสเป็นต้น) แต่ระยะเวลา 2-3 วินาทีที่ได้จากการทำสำเร็จมักไม่ได้มีความหมายนักเมื่อเทียบกับปริมาณ HP ที่บอสแต่ละตัวมี ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนพบว่าปาร์ตี้ของผู้เขียนมักจะมีเลเวลตามศัตรูไม่ทันเสมอ นอกเหนือว่าจะทำภารกิจเสริมทั้งหมดในแต่ละพื้นที่ก่อนที่จะเดินทางต่อไป ซึ่งจะไม่ว่าเลยถ้าภารกิจเสริมที่ว่านี้มีความน่าสนใจกว่าแค่การ “เก็บเห็ดมา 5 ต้น” หรือ “ฆ่ามอนส์เตอร์ตัวนี้ 10 ตัว” แต่ถ้าไม่ทำก็จะทำให้การสู้บอสยากสาหัสได้เลยในหลายครั้ง จึงต้องจำใจทำให้หมดในที่สุดหากจะพูดถึงข้อปรับปรุงที่เห็นชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของกราฟิกและการนำเสนอที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับเกมภาคก่อนๆ ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับเอนจิ้น Unreal Engine 4 ทำให้เกมมีกราฟิกแนวอนิเมะสไตล์ Cel-shade สีสันสดใส แถมอนิเมชั่นหน้าตาและการเคลื่อนไหวของเหล่าตัวละครสำคัญทั้งหมดในเกมยังออกแบบมาได้ละเอียดและลื่นไหลมาก แถมเอฟเฟกต์ Artes ต่างๆ ในการต่อสู้ยังจัดจ้านตระการตามาก อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำในบางกรณี เช่นเวลาที่ตัวละครในปาร์ตี้ทั้ง 4 ตัวรุมสกรัมศัตรูตัวเดียวพร้อมกัน บอกเลยว่าเอฟเฟกต์ฟุ้งว่อนจนมองอะไรไม่เห็นไปเลยแต่การปรับปรุงนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีราคาที่ต้องแลกมา สำหรับ Tales of Arise นั้นการพัฒนาด้านกราฟิกต้องแลกมากับการแสดงผล (Performance) ที่ไม่ค่อยดีนักแม้กระทั่งบนเครื่อง PlayStation 5 ที่ใช้สำหรับรีวิว โดยแม้ว่าการตั้งค่า Graphics Mode จะทำให้เกมมีกราฟิกและแสงสีสวยงามมากอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ต้องแลกมากับเฟรมเรตที่เหวี่ยงขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา แถมยังมีปัญหาเรื่องสิ่งของในฉากที่โหลดไม่ทันแทบจะทุกครั้งที่หมุนกล้อง ในขณะที่การตั้งค่า Performance Mode จะทำให้เกมแสดงผลที่ 60FPS นิ่งๆ ได้ แต่ก็แลกมากับคุณภาพกราฟิกที่ลดลงอย่างน่าใจหายทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาด้านกราฟิกที่กล่าวไปไม่ได้หนักหนาถึงขนาดที่ทำให้ประสบการณ์โดยรวมของเกมเสียไปมากนัก เพราะอย่างน้อยโหมด Performance ก็ยังทำให้สามารถสนุกกับเกมเพลย์ได้อย่างลื่นไหล อาจจะเป็นเพียงความน่าผิดหวังว่าเกมเรือธงที่พัฒนาโดยค่ายที่มากทั้งประสบการณ์และเงินทุนอย่าง Bandai Namco กลับมีปัญหาเหล่านี้แม้ว่าตัวเกมเองจะไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือใช้กราฟิกละเอียดสมจริงด้วยซ้ำ โดยเฉพาะบนเครื่องคอนโซลอย่าง PlayStation 5 ที่ควรจะมีพลังเหลือเฟือในการเล่นเกมระดับ Tales of Arise ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุป แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่า Tales of Arise นั้นเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมในระดับเดียวกับเกมท๊อปตารางอื่นๆ แต่เกมก็ยังมอบประสบการณ์ JRPG สไตล์อนิเมะสุดเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แถมยังมีระบบต่อสู้ที่สนุก รวดเร็ว และสดใหม่อยู่แทบจะตลอดระยะเวลาที่ได้เล่น หากคุณเป็นแฟนของเกมซีรีส์ Tales หรือเป็นคนที่ชื่นชอบสไตล์การเล่าเรื่องของการ์ตูนอนิเมะ เกม Tales of Arise ถูกสร้างมาเพื่อคนแบบคุณโดยเฉพาะ
17 Sep 2021
รีวิว The Ascent บู๊แหลกแหกนรกในโลก Cyberpunk
สำหรับคนที่กำลังออกตามหาเกมที่มีธีมแบบ Cyberpunk หรือเกมที่มีธีมแบบโลกอนาคตที่ไม่ได้แฟนตาซีมากจนโอเวอร์เกินไป เพราะยังมีความเสื่อมโทรมของโลกที่พัฒนาไปข้างหน้าเพียงแค่เทคโนโลยี สำหรับคนที่กำลังตามหาเกมแนวบู๊ล้างผลาญแหลกลาญเดินหน้ายิงถล่มศัตรูผู้ขวางทางเดินให้หมดสิ้นไป ผู้เขียนก็ขอแนะนำเกมนี้เลย เพราะเกมนี้เป็นที่มัดรวมสิ่งที่คุณตามหาทั้งสองอย่างเอาไว้ที่เกมนี้แล้ว ซึ่งหลายคนก็อาจจะไม่ค่อยได้เห็นเกมนี้มากนัก เพราะว่าเป็นเกมที่พึ่งปล่อยออกมาจำหน่ายลง Steam เมื่อ 30 ก.ค. ในปีนี้เอง จะเป็นอย่างไรก็ไปลองดูกันได้เลยยย!Graphic & Sound / PresentationThe Ascent เป็นเกมแนว Action Shooting RPG ที่มีมุมมองการเล่นแบบมองตัวละครจากด้านบน โดยที่มีจุดเด่นอยู่ที่การนำเสนอโลกของเกมในรูปแบบของโลก Cyberpunk ที่เกมนี้ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพกราฟิกที่สวยงามมาพร้อมกับความล้ำยุคล้ำสมัย ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันจากเกมในแนวเดียวกัน ถ้าการ์ดจอของคุณสามารถรองรับเกมสุดโหดได้ เกมนี้คือเกมที่ใช้เทคโนโลยีแสงเงา Ray Tracing ได้ดีมากๆเกมนึงเลย ประกอบกับการออกแบบงานศิลป์ที่ดูเท่เหมือนกับเราได้นั่งดูหนัง Sci-Fi ในยุคเก่าๆยังไงอย่างงั้น ในส่วนขององค์ประกอบฉากที่มีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เมื่อมาอยู่ในมุมมองแบบ 2.5D แล้วกลับไม่ได้ดูรกเละเทะ แต่กลับดูสวยงามไปซะอย่างงั้น และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเสียงเอฟเฟกต่างๆ อย่างเสียงปืนที่ดังลั่นทุ่งในจังหวะต่อสู้ พ่วงมากับเพลงประกอบสุดมันส์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้หลั่งอะดรีนาลีนไปพร้อมกับตัวละครที่เราเล่น และยังมีเสียงพากย์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้คุยกับคนในโลก Cyberpunk แห่งนี้จริงๆStoryในส่วนของเนื้อเรื่องในเกมนี้ก็จะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมายนัก โดยที่เราจะได้รับบทเป็นทหารรับจ้างบนดาว Veles ที่จับอาวุธมาไล่สาดกระสุนใส่ศัตรูผู้ขวางทางเดินเรา ในตอนที่เราออกไปทำภารกิจในการไล่ล่าอาวุธสุดไฮเทค และเทคโนโลยีสุดล้ำท่ามกลางความขัดแย้งที่ใหญ่หลวง เมื่อบริษัทที่ดูแลด้านความมั่นงคงทางความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ปิดตัวลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ส่งผลกับระบบการรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติล่มสลายลง จากนั้นบริษัทคู่แข่งก็ได้ใช้จังหวะนี้ในการเข้ามาควบคุมทุกอย่าง และในขณะเดียวกันองค์กรผู้ก่อการร้ายก็มีความพยายามที่จะขยายธุรกิจด้านมืดของพวกเขาให้เติบโตขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหยุดยั้งพวกเขาเหล่านั้นไปพร้อมกับการสืบหาสาเหตุการปิดตัวอย่างกระทันหันของ The Ascent จนทำให้เกิดความวุ่นวายในครั้งนี้Gameplayสิ่งที่ทำให้เกมนี้นั้นต่างออกไปจากเกมแนว Shooting ทั่วไปก็คงจะเป็นเรื่องของการเข้ากำบังและการเล็งยิงในพื้นที่ที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าได้ อาจจะดูไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นแต่ถ้าประกอบกันกับมุมมองแบบมองตัวละครจากด้านบนก็จะทำให้เกมนี้ท้าทายมากขึ้น เพราะเราต้องคำนวณความสูงต่ำของพื้นที่และศัตรูเพื่อให้เราสามารถยิงศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องแบกรับความเสียหายมากนักจริงๆแล้วเกมนี้ไม่ได้ถึงขั้นว่าเป็นเกม RPG แบบ 100% แต่ที่ต้องเรียกว่าเป็น Action Shooting RPG เพราะว่าในเกมนี้จะมีส่วนประกอบบางอย่างที่เกม RPG มีอยู่ด้วย โดยเราสามารถที่จะอัพเกรดสเตตัสตัวละครของเราได้ เช่น ค่า HP อัตราคริติคอล หรือความแม่นยำ และเรายังสามารถจับจ่ายไอเทมอย่างเกราะ อาวุธหรือสกิลพิเศษมาใช้ได้อย่างเกม RPG อีกด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาก็ไม่ได้มีผลกับการเล่นของเรามากนัก เพราะในตอนแรกๆเราก็ยังไม่ได้มีเลเวลเยอะพอที่จะซื้อของดีๆมาใช้สักเท่าไหร่และสำหรับคนที่อยากเล่นแบบชิลๆไม่ได้อยากเจอกับความท้าทายที่มากจนเกินไปก็สามารถออกไปฟาร์มเพื่อเพิ่มเลเวลของตัวละครให้มากกว่าเลเวลของเควสต์ก็ได้ เพราะยิ่งเราอัพเลเวลไปเรื่อยๆเราก็จะมีค่าสเตตัสที่มากขึ้นและปลดล็อกไอเทมกับอาวุธให้มีได้เลือกสรรมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นการอัพเลเวลก็จะทำให้เราสามารถเลือกสกิลและสายการเล่นตามสไตล์ของเราเองได้ด้วย เช่น จะเล่นเป็นสายสไนเปอร์คอยยิงซัพพอร์ตจากระยะไกลก็ได้ หรือจะเล่นเป็นแนวบู๊ๆเอาลูกซองไปบุกทะลวงแนวรับของศัตรูก็ได้เกมนี้ยังมีระบบ Co-op ที่สามารถเล่นพร้อมกันได้มากสุดถึง 4 คน ถ้าหากว่าเราเล่นคนเดียวเราก็จะได้เห็นสายการเล่นของเราเพียงแค่คนเดียว แต่ถ้าเราเล่นกับเพื่อนเราสามารถแบ่งหน้าที่กับเพื่อนว่าใครจะเล่นสายไหนก็ได้เพื่อให้ทีมของเราแข็งแกร่งที่สุด ทำให้เราสามารถเล่นเกมนี้ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปและเพิ่มความสนุกให้มากขึ้นได้อีกด้วยบั๊กต่างๆและข้อเสียของเกมถ้าคุณอ่านตั้งแต่แรกจนมาถึงตรงนี้ ก็คงจะมีความรู้สึกว่าเป็นเกมที่น่าเล่นและน่าสนใจเกมนึงเลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเกมนี้ก็ยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเกมที่ติดอันดับเกมในดวงใจของผู้เขียนได้ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คงจะเป็นเรื่องบั๊กต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนเล่นเกมนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องเฟรมเรตของเกมที่อยู่ๆก็ตกเอาดื้อๆ และยังมีบั๊กที่ทำให้ต้องหัวร้อนอย่างบั๊กเป้าหมายภารกิจที่อยู่ๆก็ไม่โผล่ออกมา ทำให้เราผ่านไปภากิจต่อไปไม่ได้แบบงงๆ หรือบางทีก็จะมีเกมเด้งปิดเองบ้างแต่ก็โลคดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักอีกเรื่องนึงที่เป็นข้อเสียสหรับผู้เขียนก็คงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย รวมถึงบทสนทนาของตัวละครก็ใช้คำศัพท์แบบแปลกๆ อ่านซับไปก็งงไปจนทำให้จับใจความไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ทำให้ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆก็ทำให้ผู้เขียนไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องไปแบบไม่รู้ตัวตัว แค่ทำภารกิจเดินยิงไปเรื่อยๆจนผ่านเกม นอกจากนี้เควสต์หลักและเควสต์รองก็ไม่ได้หลากหลาย มีแค่ไปฆ่าคนนั้น ไปกู้คืนไอเทมอันนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้น่าสนใจสักเท่าไหร่ ความรู้สึกเป็นอีกเกมที่สนุกและมันส์มากสำหรับคนรักเกมแนว Action Shooting RPG เพราะเราจะได้รับประสบการณ์การบู๊ล้างผลาญและได้เห็นการพัฒนาของตัวละครของเราตลอดการเล่น ประกอบกับภาพที่สวย เสียงและดนตรีประกอบสุดมันส์ ก็ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่ดีเกมนึงเหมือนกัน แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ได้ดีถึงขั้นเป็นเกมในดวงใจ เพราะยังมีจุดอ่อนเล็กๆอย่างบั๊กและเนื้อเรื่องที่แบนไม่ได้น่าจดจำอะไรโดยสามารถหาซื้อมาเล่นได้ทางแพลตฟอร์ม PC on Steam และแพลตฟอร์ม Console on XBOX Link to Steam: https://store.steampowered.com/app/979690/The_Ascent/
31 Aug 2021
รีวิวภาพยนตร์ Witcher: Nightmare of the Wolf 'เพราะมีปีศาจตัวต่อไปเสมอ...' (ไม่มีสปอย)
หากจะพูดถึงความสำเร็จของวงการวิดีโอเกมในการแย่งชิงพื้นที่ความสนใจของผู้บริโภคกระแสหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตัวแปรที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งคงหนีไม่พ้นความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Witcher โดยเฉพาะเกมภาค 3 ที่ผลักดันให้ชื่อของตัวเอกอย่าง Geralt กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้าง และยังผลักดันให้ Netflix หยิบแฟรนไชส์นี้มาปลุกปั้นเป็นซ๊รีส์ยอดนิยมอีก ซึ่งก็ทำให้แฟรนไชส์ยิ่งแพร่หลายออกไปสู่ผู้คนมากยิ่งขึ้นนอกจากซีรีส์ Live-action ที่นำแสดงโดย Henry Cavill นั้น ทาง Netflix ยังได้ประกาศว่ากำลังสร้างผลงานจากแฟรนไชส์ The Witcher ขึ้นมาเพิ่มอีกหลายชิ้น โดยชิ้นแรกที่ได้เผยแพร่ออกมาให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันก็คือภาพยนตร์อนิเมชั่น The Witcher: Nightmare of the Wolf ที่เพิ่งออกอากาศทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะพาผู้เล่นย้อนเวลากลับไปสำรวจประวัติที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนของตัวละคร Vesemir ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์และพ่อบุญธรรมของตัวเอก Geralt นั่นเองจากที่ได้รับชมภาพยนตร์มาแล้ว แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของ Netflix แต่ The Witcher: Nightmare of the Wolf ก็ยังถือเป็นผลงานที่น่าสนใจสำหรับแฟนๆ ของแฟรนไชส์ The Witcher ด้วยฉากต่อสู้อันร้าวใจไปจนถึงธีม “ศิลธรรมสีเทา” ที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักแฟรนไชส์ The Witcher แต่แรกด้วย และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแนะนำให้คนที่ไม่รู้จัก The Witcher สามารถทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อนของแฟไชส์นี้เรื่องราวหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf จะติดตามการเดินทางของตัวละคร Vesemir ในสมัยที่เขายังหนุ่ม ผู้ซึ่งต้องรับมือกับทั้งเหล่าปีศาจร้ายและความเกลียดชังของเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่มองเหล่า Witcher เป็นเพียงปีศาจกลายพันธุ์กระหายเลือด โดยเนื้อเรื่องหลักจะเล่าเหตุการณ์เมื่อเขาถูกจ้างวานให้ออกล่าปีศาจปริศนาที่คอยเข่นฆ่าผู้คนในป่าใกล้ๆ เมือง Kaedwen สลับกับฉากย้อนเวลาให้ผู้เล่นได้เห็นชีวิตของ Vesemir วัยเด็ก เพื่อสำรวจกระบวนการฝึกฝนอันหฤโหดให้เด็กมนุษย์ธรรมดากลายเป็น Witcher อีกด้วยหากให้พูดในภาพรวมแล้ว ต้องยอมรับว่าเส้นเรื่องหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf อาจจะไม่ใช่จุดที่ประทับใจผู้เขียนที่สุด อาจจะด้วยประสบการณ์ที่มีกับธีมของ The Witcher อยู่แล้วด้วยทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์หักมุมใหญ่ๆ หลายครั้งมีความ “เดาได้” อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ใช่ข้อตำหนิว่าเนื้อเรื่องของภาพยนตร์นั้นไม่ดีหรือแย่อะไร และเนื้อเรื่องก็ยังคงเล่นกับแนวคิดเรื่อง “ศิลธรรมสีเทา” อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเกมได้เป็นอย่างดี หากแต่ว่าภาพยนตร์อาจจะใช้เวลาไปกับการปูเส้นเรื่องและตัวละครเสริมมากมายเกินไป จนบ่อยครั้งจำเป็นต้องรวบรัดเล่าเหตุการณ์สำคัญตรงๆ ให้สามารถจบได้ในเวลาราว 80 นาทีของหนัง ทำให้ไม่สามารถค่อยๆ คลายปมที่ปูไว้ได้อย่างแยบยลได้เท่าที่ควรส่วนที่ทำให้ภาพยนตร์น่าสนใจจริงๆ สำหรับผู้เขียนคือเส้นเรื่องรองทั้งหลาย ที่มักจะสำรวจแง่มุมต่างๆ ของโลก The Witcher ที่เราอาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน เช่นการติดตามตัวละคร Vesemir วัยเด็กเพื่อสำรวจเหตุผลและวิธีการต่างๆ ที่ทำให้เด็กมนุษย์คนหนึ่งได้กลายมาเป็น Witcher รวมไปถึงกระบวนการฝึกฝนอันโหดเหี้ยมที่รู้จักกันในนาม “Trial of the Grasses” ซึ่งคนเล่นเกมอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วมันน่าตาเป็นอย่างไรยิ่งไปกว่านั้น ตัวละคร Vesemir เองก็เป็นตัวละครที่ผู้เล่นเกม The Witcher (โดยเฉพาะภาค 3) น่าจะมีความผูกพันอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่ในการเติมเต็มช่องว่างเกี่ยวกับอดีตของ Vesemir ได้เป็นอย่างดี ให้เราได้เห็นแง่มุมอันหลากหลายของตัวละครที่จะเติบโตไปเป็นเจ้าสำนักหมาป่าแห่ง Kaer Morhen ที่เรารู้จัก ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามแฟรนไชส์นี้จากเกมเป็นหลักอย่างเราๆ บริบทที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับไปเพิ่มมิติให้กับการกระทำหรือคำพูดหลายๆ อย่างของเขาในเกมได้อีกทีได้ด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายอย่างมี “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในส่วนของฉากแอคชั่นในภาพยนตร์ Winter of the Wolf แม้จะทำออกมาได้ดุเดือดเลือดสาดตามมาตรฐาร อนิเมชั่นของ Netflix (เช่น Castlevania หรือ DOTA: Dragon’s Blood) และนำเสนอสไตล์การต่อสู้ที่ผสมผสานเวทย์มนนตร์และเพลงดาบของเหล่า Witcher ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งน่าจะถูกใจคออนิเมะเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ค่อนข้างติดดินของทั้งซีรีส์ Live-action และเกมเช่นกันกล่าวโดยสรุป ภาพยนตร์ The Witcher: Winter of the Wolf เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อแนะนำให้คนได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของเหล่านักล่าปีศาจกลายพันธ์เหล่านี้ และยังนำเสนอองค์ประกอบตื้นลึกหนาบางหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโลกของ The Witcher ได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกันนี้ยังเพิ่มมิติให้กับตัวละคร Vesemir ที่เราไม่ได้เห็นในเกม ซึ่งก็ช่วยเสริมมิติให้กับตัวละครทีเรารู้จักกันมานาน ถือเป็นผลงานสนุกๆ ที่น่าติดตามทั้งสำหรับแฟนๆ ของจักรวาล The Witcher ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า
25 Aug 2021
[Review] 12 Minutes "ไขปริศนานาฬิกาพก หาทางออกจาก Loop เวลาไร้จุดสิ้นสุด"
ย้อนกลับไปในช่วงงาน E3 ปี 2019 หรือประมาณ 2 ปีก่อน ทีมพัฒนาน้องใหม่จากซานฟรานซิสโกอย่าง Luís António ก็ได้ทำการปล่อยวิดีโอตัวอย่างสั้นๆ ความยาวประมาณสองนาทีกว่า เพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงการมาเยือนของโปรเจกต์ “12 Minutes” ที่พวกเขากำลังพัฒนากันอยู่ ภายใต้คอนเซปต์ที่เรามักจะได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ในหนังสือการ์ตูนหรือตามภาพยนตร์หลายเรื่องว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากตัวคุณติดอยู่ในลูปเวลา ที่วนซํ้าไปมาราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลง แล้วจะต้องทำเช่นไรเพื่อจบเหตุการณ์เหล่านี้ลงให้ได้เสียที…?”แน่นอนว่าการเปิดตัวในครั้งนั้นก็ได้สร้างกระแสฮือฮาขึ้นมาในหมู่เกมเมอร์จำนวนไม่น้อย พร้อมแพร่สะพัดความตื่นเต้นในการรอคอย ต่อการมาถึงของตัวเกมออกไปอย่างใจจดใจจ่อ และในที่สุดหลังจากผ่านการปรับปรุงและพัฒนามาอย่างยาวนาน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ 12 Minutes ก็ได้ทำการวางขายพร้อมเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ PC, Xbox One, และ Xbox Series X/S ในที่สุดแล้วตัวเกมจะคุ้มค่ากับการรอคอยมาตลอด 2 ปีหรือไม่...เรามาค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันภายใน รีวิว 12 Minutes “ไขปริศนานาฬิกาพก หาทางออกจาก Loop เวลาไร้จุดสิ้นสุด” กันเลยค่ะ12 Minutes เป็นเกมผจญภัย แนว Point-and-Click หรือเกมประเภทที่ผู้เล่นจะสามารถควบคุมตัวละครได้ ผ่านการใช้เคอร์เซอร์ชี้แล้วกดเม้าส์ตรงตำแหน่งพื้นที่ที่ต้องการเดินไปหา หรือมีปฏิสัมพันธ์บางอย่างกับไอเทมนั้นๆ มุมมองจากด้านบน ผลงานการสร้างของทีมพัฒนาอินดี้น้องใหม่อย่าง Luís António ที่ทางทีมงานได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์มาจาก ผู้กำกับขั้นปรมาจารย์ของหนังแนวจิตวิทยาระทึกขวัญ อย่าง Alfred Hitchcock (เจ้าของผลงานชั้นครูอย่าง Psycho จากปี 1960), Stanley Kubrick (ผู้กำกับหนังเรื่อง Lolita จากปี 1962) และ David Fincher (ผู้กำกับหนังเรื่อง Gone Girl จากปี 2014)โดยเนื้อเรื่องจะถูกนำเสนอผ่านตัวละครสามี (Husband) ที่เราผู้เล่นจะได้เป็นคนควบคุม ซึ่งเพิ่งกลับอพาร์ทเม้นมาหลังเลิกงาน และพบว่าภรรยา (Wife) ได้เตรียมของหวานเอาไว้คอยท่า เนื่องในโอกาสพิเศษที่เธอต้องการจะบอกเขาว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของพวกเขาอยู่ ในช่วงเวลาที่แสนวิเศษนั้นทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ...ก่อนที่มันจะสิ้นสุดลง เมื่อชายคนหนึ่งซึ่งอ้างตัวว่าเป็นตำรวจบุกเข้ามา และจับพวกเขามัดเอาไว้ อ้างถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ภรรยาของเขาได้ทำลงไปเมื่อ 8 ปีก่อน ข่มขู่ถามหานาฬิกาพก ก่อนลงเอยด้วยการที่ตัวเราถูกทำร้ายอย่างรุนแรงหากแต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ตัวสามีได้สิ้นสติลง เขาก็จะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ณ หน้าประตูห้อง...ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะเริ่มต้นวนซำ้ลูปเดิมอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง ตัวสามีหรือก็คือเราผู้เล่นจะต้องหาทางทำบางอย่าง เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อ 8 ปีก่อน นาฬิกาพกที่ชายแปลกหน้าต้องการมีอยู่จริงไหม...ถ้ามีมันอยู่ที่ไหน และต้องทำอย่างไรจึงจะหยุดลูปเวลานี้ลงได้เสียทีโดยเราจะสามารถเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ ผ่านการกระทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละลูปเวลา และความทรงจำจากลูปก่อนๆ ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และสามารถคิดหาแนวทางที่จะสามารถหาทางออกที่ดีที่สุดออกมาได้เรียกได้ว่าการนำเสนอเนื้อเรื่องผ่านการปล่อยให้ผู้เล่นได้ค่อยๆ ค้นหาเงื่อนงำและพยายามปะติดปะต่อชิ้นส่วนของข้อมูลที่หามาได้ด้วยตัวเองนั้น เป็นเทคนิคที่ทำให้เนื้อเรื่องที่หากเล่าแบบตรงๆ ก็อาจจะไม่โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ดูน่าติดตามและน่าจะถูกใจคนที่ชื่นชอบเกม นวนิยายหรือภาพยนตร์แนวสืบสวนและจิตวิทยาอยู่ไม่น้อย มิหนำซำ้ในช่วงท้ายในจุดที่ตัวละครของเราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ตัวเกมก็ยังได้ทำการอธิบาย และทำการเฉลยส่วนสำคัญออกมาอย่างชัดเจน ทำให้สำหรับคนที่อาจจะยังตามไม่ทันหรือไม่มั่นใจ สามารถเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันในแต่ละฉากจบก็ยังทิ้งสัญลักษณ์หลายๆ อย่างเอาไว้ให้เราได้สามารถนำไปตีความต่อยอดได้อีกด้วย จึงอาจจะเรียกได้ว่ารูปแบบการนำเสนอและเนื้อเรื่องที่บีบคั้นจิตใจของ 12 Minutes เป็นส่วนที่ได้รับการใส่ใจ และนำเสนอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวในขณะที่เกมเพลย์นั้นเป็นส่วนที่เรียบง่าย และไม่ซับซ้อนอะไรตามสไตล์เกม Point-and-Click ทั่วๆ ไป ที่เราลากเม้าส์เลือกไปยังวัตถุที่ต้องการจะทำปฏิสัมพันธ์บางอย่างด้วย และทำการคลิ๊ก-ลากเพื่อให้เกิด แอคชันบางอย่างขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจเลยก็คือ มุมมองของภาพจากด้านบนที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของฉากได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเคลื่อนกล้องไป-มาให้ปวดหัว และความกดดันที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดที่ว่า ทุกการกระทำของเรานั้นจำเป็นจะต้องแข่งกับเวลาอยู่เสมอ แม้ว่าในตอนที่เราเลือกหยิบไอเทมออกมาใช้ จะเป็นช่วงที่ทำการหยุดเวลาเอาไว้ให้ก็ตาม ในตอนนั้นตัวเกมก็จะทำการใส่ดนตรีประกอบที่เป็นเสียงเข็มนาฬิกาเข้ามา เพื่อเร่งผู้เล่นกลายๆ ให้ต้องรีบคิด รีบตัดสินใจหาทางไปต่อด้วยเช่นกันนอกจากนั้นแม้ว่าเกมเพลย์จะไม่มีอะไรยาก ก็ไม่ได้หมายความว่า 12 Minutes จะปล่อยให้คุณเดินทางไปจนถึงฉากจบได้อย่างง่ายดาย เพราะคุณจะต้องพยายามคิดหาทางที่จะทำอะไรบางอย่าง เพื่อสร้างสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละลูปเวลา ค้นหาแนวทางที่ถูกต้อง อันจะส่งผลให้คุณได้เบาะแสชิ้นสำคัญมาใช้ปะติดปะต่อเนื้อเรื่องเข้าด้วยกัน และหาทางไปต่อได้ในที่สุด ซึ่งเราก็ต้องขอบอกเลยว่าภายใต้เวลาจำกัดที่เรามีนั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะหาทางสร้างสถานการณ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้...ดังนั้นคุณจะไม่มีทางจบเกมนี้ลงได้ใน 12 นาที ตามชื่อเกมอย่างแน่นอนค่ะแต่ถึงจะทำความเข้าใจได้ง่ายมากแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าเกมเพลย์จะไม่มีปัญหาเลยเสียทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่กำลังเร่งรีบและตั้งใจจะทำแอคชันต่างๆ ให้ทันตามที่วางแผนไว้ หากว่าเรารีบกดสั่งให้ตัวละครทำกิจกรรมอะไรบางอย่างซ้อนๆ กันถี่เกินไป ในขณะที่ตัวละครยังทำกิจกรรมดังกล่าวไม่เสร็จ ก็จะกลายเป็นว่ากิจกรรมนั้นโดนยกเลิกไป แล้วเราก็ต้องมาเสียเวลากดใหม่แทน (ซึ่งตรงจุดนี้ผู้เขียนก็เคยเปิด-ปิดตู้เย็นอยู่หลายรอบมากทีเดียว กว่าจะหยิบขนมหวานออกมาได้) หรือบางครั้งหากอีเวนต์กำลังจะเกิดขึ้น ในจังหวะพอดีกับที่เราสั่งให้ตัวละครไปทำกิจกรรมบางอย่างเข้า ก็อาจจะทำให้เกิดบัค ที่อีเวนต์ไม่เดินหน้าต่อก็เป็นได้...แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ เพราะบัคตรงจุดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และเราก็สามารถแก้ได้ง่ายๆ ด้วยการเข้าไปคุยกับตัวละครสักตัวเท่านั้นนอกจากนั้นอีกหนึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของเกมเพลย์แนวนี้เลยก็คือ แม้ว่ามันจะทำให้เนื้อเรื่องดูน่าติดตาม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผู้เล่นจำเป็นจะต้องอาศัยไหวพริบ ต้องคิด วิเคราะห์ วางแผนการที่จะทำต่อไปอย่างละเอียด และจะต้องอดทนต่อความเหนื่อยหน่าย จากการวนลูปซำ้ไปซำ้มาเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปได้...ซึ่งตรงจุดนี้ก็อาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนถอดใจและเลิกเล่นไประหว่างทางก็เป็นได้ในขณะที่ส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้เราอินไปกับอารมณ์ ความรู้สึกและบรรยากาศของเกมได้อย่างลึกซึ้งเลยก็คือ เสียงพากย์ของตัวละคร ซึ่งทางผู้พัฒนาเกมนั้น ก็ได้ทำการแคสนักแสดงมากความสามารถอย่าง James McAvoy (ผู้รับบท Professor X จาก X-Men: First Class) มาพากย์เสียงเป็นตัวละครสามี (Husband), Daisy Ridley (ผู้รับบท Rey จาก Star Wars: The Last Jedi) มาพากย์เสียงเป็นตัวละครภรรยา (Wife) และ Willem Dafoe (ผู้รับบท Green Goblin จาก Spider-Man ฉบับ Sam Raimi) มาพากย์เสียงเป็นตัวละครคุณพ่อ (Father) อีกด้วยซึ่งเราก็สามารถบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า เสียงของพวกเขานั้นได้สร้างชีวิตชีวาให้กับตัวละครดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และยังทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกมได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นดนตรีประกอบที่เล่นคลออยู่ตลอดทั้งเกม ก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในช่วงลูปเวลาแสนสุขดนตรีประกอบก็สามารถสร้างบรรยากาศ ที่ทำให้ทุกอย่างอบอุ่นหัวใจได้จนถึงขีดสุด ไปจนถึงช่วงเวลาที่เนื้อเรื่องบีบคั้นหัวใจที่สุด ดนตรีประกอบในตอนนั้นก็ทำให้เราอิน และเจ็บปวดไปกับเรื่องราวอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งในตอนที่เล่นจนจบเกมไปแล้ว ความรู้สึกหลายๆ อย่างก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจจนยาก ที่จะลบเลือนไปได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียวสรุปแล้วมุมมองของเราที่มีต่อ 12 Minutes หลังจากที่ได้ทำการเคลียด์เกมจนครบทุกฉากจบแล้วก็คือ ความประทับใจค่ะ...แม้ว่าระหว่างการเล่นจะที่ช่วงติดขัดที่ทำให้แอบปวดหัว และหงุดหงิดที่หาทางไปต่อไม่ได้เสียทีอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อสามารถข้ามผ่านความรู้สึกเหล่านั้นไปได้ จนกระทั่งก้าวมาถึงจุดที่เรื่องราวทั้งหมดถูกเฉลยออกมาแล้วนั้นเอง เราก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยทีเดียวว่า เนื้อเรื่องรวมถึงฉากจบที่เราจะต้องเผชิญนั้น เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจของเรามากเหลือเกินจริงๆดังนั้นแล้วการรอคอยมาตลอด 2 ปีนี้ สำหรับเราแล้วก็เรียกได้ว่า มันเป็นการรอคอยที่ไม่น่าผิดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างที่เราเองก็หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้ลองเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศของ 12 Minutes นี้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง...แล้วอย่าลืมกลับมากระซิบบอกกันบ้างนะคะว่า คุณคิดยังไงกับเกมนี้บ้างนะ?
25 Aug 2021
[Review] Ghost of Tsushima: Director's Cut 'เกมที่ภาพสวยที่สุดบน PlayStation 5'
แม้ว่าจะวางจำหน่ายมาได้ซักพักใหญ่ๆ แล้วในขณะนี้ แต่เครื่องคอนโซลลูกรักของ Sony อย่างเครื่อง PlayStation 5 ก็ยังไม่ค่อยจะมีเกม Exclusive ระดับเรือธงออกมาให้แฟนๆ ได้กรี๊ดกร๊าดกันเท่าไหร่ จากการที่ผู้พัฒนาใหญ่ๆ แทบทุกค่ายจำเป็นต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายเกมเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 สิ่งที่เข้ามาแทนที่เกมใหม่ที่ยังพัฒนาไม่เสร็จในปัจจุบัน คือเกมเก่าที่นำมาปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จากขุมกำลังที่เพิ่มขึ้นของคอนโซลใหม่ โดยเกมเก่าเล่าใหม่เกมล่าสุดที่กำลังจะวางจำหน่ายก็คือเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut เกมแอคชั่นผจญภัยที่ได้ชื่อเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ที่ดีที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 (อ่านรีวิวของเรา) ซึ่งกลับมาพร้อมกับข้อปรับปรุงทั้งในแง่ของความคมชัดระดับ 4K, 60FPS การปรับปรุงการขยับปากของตัวละครเพื่อให้เข้ากับเสียงพากย์ภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น การเพิ่มการสนับสนุนลูกเล่นประจำเครื่อง PlayStation 5 อย่าง DualSense และ 3D Audio และที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเรื่องบทใหม่ที่จะพาผู้เล่นไปต่อสู้กับเหล่าผู้รุกรานชาวมองโกลบนเกาะ Iki Island (เกาะอิกิ) นั่นเอง!สำหรับทีมงาน GameFever ได้รับโอกาสในการเล่นเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut ล่วงหน้ามาแล้ว (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Singapore สำหรับโค้ดเกม) ซึ่งอย่างที่หลายคนน่าจะคาดเดาไว้แล้วนั้น เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut ถือเป็นการปรับปรุงเกมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเกมหนึ่งให้สุดยอดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในด้านกราฟิกที่สวยงามสมจริงขึ้นกว่าที่เคยและเนื้อเรื่องบทใหม่ที่ช่วยเสริมมิติให้กับตัวเอก Jin Sakai ได้อีกขั้น และทำให้เนื้อเรื่องหลักของเกมสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย***รีวิวฉบับนี้จะไม่พูดถึงระบบออนไลน์ Coop ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาพร้อมกัน เนื่องจากยังไม่เปิดให้ทดลอง***เนื้อเรื่องของส่วนเสริม Iki Island จะติดตามการเดินทางของ Jin หลังจากที่เขาได้รับเบาะแสว่ามีเผ่ามองโกลอีกเผ่าหนึ่งกำลังเตรียมจะบุกเกาะ Tsushima แถมมองโกลเผ่านี้ยังใช้ยาพิษประหลาดในการต่อสู้ ทำให้คนที่ได้รับพิษเข้าไปเกิดอาการจิตหลอน Jin จึงตัดสินใจตามรอยเผ่ามองโกลใหม่นี้ไปยังเกาะ Iki Island (ที่อยู่ข้างๆ เกาะ Tsushima) เพื่อสกัดการรุกรานของพวกมันด้วยการกำจัดผู้นำของเผ่ามองโกลเสียก่อนเอาเข้าจริงๆ แล้ว การต่อสู้กับเผ่ามองโกลในเนื้อเรื่องเสริมของเกาะ Iki Island นั้นไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อะไรเป็นพิเศษนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลัก ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องนี้คือการนำเสนอปมในใจของตัวละคร Jin ที่มีต่อพ่อของเขา ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงผ่านๆ บ่อยครั้งในเนื้อเรื่องหลักแต่ไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเสริมธีมหรือแนวคิดของเนื้อเรื่องหลักได้อย่างเหมาะเจาะ ส่งผลให้การเดินทางโดยรวมของตัวเอกรู้สึกมีความหมายเพิ่มขึ้นมามากกว่าในเกมหลักอย่างรู้สึกได้ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยติเอาไว้เล็กน้อยในรีวิวเกมดั้งเดิม แต่ก็ได้รับการแก้ไขอย่างงดงามในส่วนเสริมนี้ หากจะต้องติเนื้อเรื่องของส่วนเสริม คงมีแค่ว่าตัวละครเสริมทั้งหลายที่เพิ่มเข้ามาดูจะมีหน้าที่ในการเล่าเนื้อเรื่องของส่วนเสริมเพียงเท่านั้น มากกว่าจะมีเรื่องราวลึกซึ้งของตัวเองเหมือนกับตัวละครเสริมในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งเป็นจุดเด่นหนึ่งของเกมดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่น่าเสียดายว่าเราจะไม่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับภูมิหลังของตัวละครเหล่านี้มากกว่าที่ได้รับอีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือเรื่องของกราฟิกและการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ ที่ทำออกมาได้สวยงามกว่าฉากต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก สวยจนไม่ว่าจะหันกล้องไปทางไหนก็อยากจะเก็บสกรีนช๊อตเอาไว้หมดเลย เผลอๆ อาจจะเป็นเกมที่ภาพสวยที่สุดที่หาเล่นได้บนเครื่อง PS5 ในตอนนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ทำให้การเดินทางไปมาบนเกาะ Iki ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด แถมระบบเสียงที่ปรับปรุงขึ้นของ PlayStation 5 ยังทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาก ผู้เล่นสามารถได้ยินเสียงนก เสียงลม เสียงน้ำตก แยกออกจากกันอย่างชัดเจนจากระบบ 3D Audio ส่งผลให้รู้สึกเหมือนเสียงมาจากรอบตัว ยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมทั้งหมดรู้สึกมีมนต์ขลังมากขึ้นไปอีกในฝั่งของเกมเพลย์ แม้จะยังยอดเยี่ยมไม่ต่างจากเกมดั้งเดิม แต่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ปรับปรุงขึ้นน้อยที่สุดแล้วก็ได้ แม้ว่าจะมีกิจกรรมเสริมเล็กๆ ให้ทำเพิ่มขึ้นบ้างเช่นกันเป่าขลุ่ยให้น้องแมวฟัง หรือการแข่งยิงธนู แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าที่เคยเห็นในเกมหลักมาแล้ว และแม้จะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเล็กน้อยเช่นเหล่า Shaman ที่จะคอยเพิ่มพลังให้ศัตรูในบริเวณรอบตัว แต่โดยรวมแล้วก็ยังง่ายกว่าศัตรูในเนื้อเรื่องหลักองค์ 3 หรือศัตรูชนิดแปลกๆ ที่พบได้ในโหมดออนไลน์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เล่นเกมหลักจบมาแล้วอาจจะรู้สึกว่าศัตรูบนเกาะ Iki ออกจะอ่อนไปซักหน่อยเมื่อเทียบกับศัตรูบนเกาะ Tsushimaถ้าวัดจากเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาเพียวๆ ก็คงต้องยอมรับว่าส่วนเสริม Iki Island นี้น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับคนที่เป็นแฟนเกม แต่สิ่งเดียวที่อาจจะทำให้ส่วนเสริมเข้าถึงยากซะหน่อยคงจะเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง โดยผู้ที่จะซื้อส่วนเสริมมาเล่นใน PS4 จะต้องจ่ายเงิน $19.99 (ราว 600-700 บาท) ส่วนผู้ที่มีเกมเวอร์ชั่น PS4 อยู่แล้วและอยากเล่นบน PS5 พร้อมข้อปรับปรุงเรื่องกราฟิก จะต้องจ่าย $29.99 (ราว 900-1000 บาท) เพื่อเนื้อเรื่องเสริมที่มีความยาวประมาณ 5-10 ชั่วโมง (สำหรับคนที่เก็บทุกอย่างจริงๆ) ซึ่งจะคุ้มค่าแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับว่าคุณรักเกมนี้แค่ไหนเช่นกัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่เคยเล่นเกม Ghost of Tsushima มาก่อน เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut นี้ก็เป็นวิธีสัมผัสหนึ่งในเกมที่น่าจดจำที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน 
19 Aug 2021
พรีวิว Diablo II: Resurrected กลับมาอีกครั้งกับเกมในตำนาน ด้วยกราฟิกทันสมัย
เมื่อช่วงต้นปีทาง Blizzard Entertainment ก็ได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับการ Remastered เกมในตำนานอย่าง Diablo II โดยใช้ชื่อว่า Diablo II: Resurrected ที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกราฟิกของเกมยกชุด รวมถึงยังทำการเพิ่มระบบใหม่ๆ เข้าไปอีกด้วย ซึ่งล่าสุดทางผู้พัฒนาก็ได้ทำการเปิดทดสอบช่วง Early Beta Access ที่จะปล่อยให้เราได้เข้าไปทดลองเล่นตัวเกมจำนวน 2 บทแรกของเกม โดยเรา GameFever TH ได้ทำการไปทดลองเล่นมาเรียบร้อยและจะมาพรีวิวเกมนี้คร่าวๆ ว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจบ้างส่วนตัวอาจจะไม่ได้ขอลงเรื่องรายละเอียดเกมเพลย์ของเกมเสียเท่าไรนัก เพราะถ้าหากใครที่เคยเล่นเกม Diablo II มาก่อน ระบบเกมเพลย์หรือเนื้อเรื่องก็จะเหมือนกันเกือบทั้งหมดนั่นคือการเดินเปิดแผนที่ผจญภัยพร้อมกับทำเควสที่ได้รับมาไปด้วย เพียงแต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาจะรวมคอนเทนต์ทั้งหมดทั้งภาคหลัก และภาคเสริมอย่าง Lord of Destruction เอาไว้ ส่วนในช่วงการทดสอบนี้ทางผู้พัฒนาเปิดให้เล่นเพียงแค่ 5 คลาสเท่านั้น (เปิดให้เล่นทั้งหมดยกเว้น Assassin และ Necromancer) ซึ่งการเล่นแต่ละบทจะใช้เวลาราวๆ 4-5 ชั่วโมงต่อหนึ่งบท รวมถึงในภาคนี้ระบบใหม่ที่ถูกนำใส่เข้ามาก็คือระบบ Stash คลังเก็บของรวมที่เราสามารถโอนถ่ายของต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะในภาคเก่าๆ ระบบคลังของแต่ละตัวละครจะไม่เชื่อมกัน ทำให้เราจะต้องทำการทิ้งของและให้อีกตัวมาเก็บ หรือถ้าเล่นร้านเกมก็ต้องใช้ระบบ Lan ฝากเพื่อนไว้ แต่สำหรับในภาคนี้เราสามารถฝากของได้ตลอดเวลากราฟิกสุดสวยงาม แต่ก็ปรับไปเล่นแบบเก่าได้ตลอดเวลาแต่ส่วนที่ต้องพูดเยอะหน่อยก็คงจะเป็นในเรื่องของกราฟิกที่ถือว่าทางผู้พัฒนาไม่ได้มาเล่นๆ เลย เพราะตัวเกมทำการยกเครื่องกราฟิกใหม่เกือบทั้งหมด ปกติถ้าขึ้นชื่อว่าแค่ Remastered ผู้พัฒนามักจะใช้โมเดลเดิม แต่เพิ่มความสวยงามกับความละเอียดเท่านั้น แต่นี่ทั้งในเรื่องของการปั้นโมเดลหรือ Effect ของสกิลมีการทำใหม่ทั้งหมดให้เทียบเท่ากับความสวยประมาณ Diablo III เลยทีเดียว และสิ่งที่พิเศษไปว่านั้นก็คงจะเป็นการเอาใจแฟนเกมดั้งเดิมที่ถ้าหากคุณอยากกลับไปเล่นกราฟิกในสมัยก่อน คุณก็สามารถกดปุ่มเพื่อสลับภาพกลับไปเล่นแบบเวอร์ชัน Original ได้ทันที พร้อมปรับความละเอียดให้กลายเป็น 4:3 ซึ่งในตอนที่ผู้เขียนเล่นกดเพียงแค่ปุ่ม G ก็จะสลับกราฟิกทันทีได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งต้องรับว่ามันเป็นอะไรที่อเมซิ่งมากๆ เพราะถ้าให้เปรียบเทียบกราฟิกเก่าและใหม่ มันแทบจะเป็นคนละเกมเลยก็ว่าได้ และมันก็สามารถเอาไปใช้ได้กับทั้งโหมดเล่นคนเดียวกับโหมดเล่นหลายคนได้ โดยทั้งสองเวอร์ชันถึงแม้ระบบต่างๆ จะเหมือนกัน แต่มันก็ให้อารมณที่ต่างกันอยู่พอสมควรMultiplayerมาถึงอีกหนึ่งฟีเจอร์หลักของเกมที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาใน Diablo II: Resurrected ที่ในภาคนี้เราสามารถเล่นกับเพื่อนได้พร้อมกันถึง 8 คนในโหมดออนไลน์ (หรือถ้า Local เล่นได้ 16 คน) ซึ่งตัวเกมได้ใส่ระบบที่เรียกว่า Lobby โดยจะเป็นห้องที่เอาไว้ให้เราสร้าง หรือเข้าร่วมไปเล่นกับคนอื่นได้อย่างอิสระ แถมมันยังมีการบอกให้ทราบอีกด้วยว่าห้องนี้ถูกสร้างมาแล้วกี่นาที ถ้าเราเข้าห้องไปมันก็ทำให้สามารถคาดคะเนคร่าวๆ ได้ว่าคนในห้องผจญภัยไปประมาณไหนแล้ว รวมถึงน่าจะส่งผลทำให้เกมนี้มีระบบซื้อขายของจากผู้เล่นได้เช่นกัน เพราะเราสามารถโยนของให้กันได้อย่างอิสระ แต่ถึงอย่างนั้นระบบนี้ก็อาจจะต้องถูกพัฒนาให้มากขึ้นกว่านี้หน่อย เพราะเกม Diablo II: Resurrected เอาไม่มีระบบ Voice Chat ทำให้การสื่อสารต้องทำผ่าน Text เท่านั้น ซึ่งสำหรับแฟนๆ Diablo หรือแฟนเกม RPG อื่นๆ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้เล่นใหม่ๆ ที่ไม่ชินการพิมพ์ก็คงจะรู้สึกติดขัดไม่น้อย รวมถึงตัวเกมเองก็ไม่ได้มีระบบติดตามเพื่อนเวลากำลังผจญภัยอยู่นอกเสียจากเพื่อนในห้องจะทำการเปิด Portal เพื่อให้เราเข้าไป ทำให้บางครั้งเวลาเข้าเกมมาก็เหมือนเดินเล่นอยู่คนเดียวทุกที แต่ถ้าเจอคนเป็นงานหน่อยก็โอเค รวมถึงการเล่นถึงแม้จะเล่นคนเดียว ตัวเกมก็จะบังคับให้เราต่อ Internet เพื่อล็อคอิน Battle.Net ตลอดเวลา ทำให้ตัวเกมจะมีปัญหาเรื่องปิง เวลาเดินวาร์ปกลับมาที่เดิม หรือปั๊มเลือดช้าบ้างบังคับด้วย Controller สะดวกกว่า เมาส์/คีย์บอร์ด อีกส่วนระบบสุดท้ายที่เราจะพูดถึงก็คือระบบการบังคับเกมด้วย Controller (เพราะว่าเกมนี้ลงเครื่อง Console ด้วย) ซึ่งหลังจากที่ได้เข้าไปลองมาต้องบอกเลยว่ามันค่อนข้างทำออกมาได้ดีพอสมควร และดูเหมือนจะใช้งานง่ายกว่าเมาส์และคีย์บอร์ดด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นหน้า Interface ของ Controller จะมีช่องใส่สกิลมาให้เราเห็นทันที ต่างจากการบังคับด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดที่เราจะต้องกด S เพื่อสลับสกิลเอาเอง รวมถึงระบบการล็อคเป้าที่ค่อนข้างทำได้ง่าย และตัวเกมจะทำการ Auto Loot เงินบนพื้นให้อัตโนมัติต่างจากการให้เมาส์และคีย์บอร์ดที่เราจะต้องทำเองทั้งหมดความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เข้าไปทดสอบเกมนี้มาราวเกือบๆ 10 ชั่วโมง ก็ต้องบอกว่าในด้านเกมเพลย์ต่างๆ ของเกมก็ยังไม่ได้แปลกใหม่อะไร มันก็อาจจะไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว้าวมากนักในเรื่องนี้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นเกมเพลย์จากภาคเก่า ใครที่เคย Diablo III หรือเกมแนวนี้อื่นๆ มาก่อนก็คงเฉยๆ กับ Diablo II: Resurrected แต่ถ้าหากใครที่ไม่ได้เล่นเกมแนวนี้มานาน อยากที่จะกลับมารำลึกความหลังจากที่ไม่ได้แตะเกมนี้มาหลายสิบปี นี่มันก็เป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่คุณจะได้เข้าไปลองเล่นมันอีกครั้ง กับกราฟิกที่อลังการงานสร้างมากกว่าเดิม โดยตัวเกมมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 23 กันยายน 2021 บนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X/S และ Nintendo Switch สนนราคา 40$ ( LINK )
16 Aug 2021
แนะนำ 'LOUIS THE GAME' เกมจากแบรนด์ระดับโลก Loius Vuitton
ขอเกริ่นก่อนว่า บทความแนะนำเกมบทนี้เกิดขึ้นจากการเดินหลงในดง App Store ซึ่งจะมีเกมแนะนำทั้งเกมฮิต เกมแนวที่เจ้าของไอดีน่าจะชอบ และเกมใหม่! ในหมวดนี้เองเราก็ไปสะดุดตากับโลโก้แบรนด์ดังบน Background สีม่วง โอ้โห~ สวยงามสะดุดตามาก ก็เลยลองโหลดมาพร้อมไปหาที่มาของเจ้าแอปตัวนี้หนึ่งในแบรนด์ดังระดับโลกที่ทุกคนคุ้นหูเป็นอันดับหนึ่งต้องขอยกให้กับ หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) กับความหรูหราภายใต้ตัวย่อ LV สุดคลาสสิค และในโอกาสครบรอบวันเกิด 200 ปีของผู้ก่อตั้งแบรนด์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2021 แบรนด์หลุยส์วิตตองจึงหันมาพัฒนาเกมเพื่อเป็นการฉลองโอกาสพิเศษนี้ ชื่อว่า LOUIS THE GAME ซึ่งเปิดให้บริการทั้งใน Google Play และ App Store จ้า====================================================LOUIS THE GAMEเป็นเกมแนวผจญภัยไปในโลกแห่งความฝัน โดยเราจะได้รับบทเป็น วิเวียน (Vivienne) ซึ่งเป็นมาสคอตของ หลุยส์ วิตตอง และต้องเดินทางไปตามด่านต่างๆเพื่อเก็บเทียนให้ครบ 200 เล่ม ตามอายุของ หลุยส์ วิตตอง เมื่อผ่านไปแต่ละด่าน แต่ละฉาก เราจะได้โปสการ์ดของด่านนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตของคุณ หลุยส์ วิตตอง ตั้งแต่สมัยเด็กจนประสบความสำเร็จในระดับโลกในแต่ละด่านเราจะสามารถค้นพบไอเทมเครื่องประดับ ซึ่งสามารถนำมาตกแต่งตัวละครวิเวียนให้โดดเด่นได้ตามชอบ อีกทั้งตัวเกมยังมีฟีเจอร์การ 'ฝัง NFT' ให้กลายเป็นของสะสมดิจิตอลและสร้างมูลค่าผ่านการซื้อขายด้วยสกุลเงินดิจิทัลได้อีกด้วยภาพสวย เพลงรีแล็กซ์แบรนด์แฟชั่นดังขนาดนี้ ไม่ทำให้ผู้เล่นผิดหวังในภาพสวยๆแน่นอน หากเราอ่านเรื่องราวในโปสการ์ดแล้วมาดูการจัดวางองค์ประกอบของฉาก ต้องยอมรับเลยว่า 'ลงตัวสุดๆ' เพราะสอดคล้องกับเรื่องราวของเกม แถมยังไม่ยัดรายละเอียดมาเยอะจนเกินไป ในแต่ละด่านโทนสีก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งเลือกมาได้เข้ากับสถานที่ในด่านนั้นมากๆ แถมยังสอดแทรกโลโก้ของแบรนด์มาไว้ในส่วนต่างๆของแผนที่ได้อย่างแนบเนียน ทำให้เราในฐานะวิเวียนเดินรอบแผนที่ได้ทั้งวันอย่างไม่มีเบื่อเลย อีกทั้งเอฟเฟคเวลาเรา interact กับสิ่งของในแผนที่ ยังสวยงามชวนฝันเหมือนกำลังอยู่ในเทพนิยายอีกต่างหากส่วนเพลงที่นำมาใช้ ก็เน้นเพลงบรรเลงสไตล์ Meditation Song พร้อมกับเสียงเอฟเฟคจากธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เป็นต้น ซึ่งช่วยรู้สึกให้ผ่อนคลาย และเยียวยาจิตใจไปในโลกแห่งความฝันได้อย่างแท้จริงเลยล่ะการ Control น้องวิเวียนในส่วนของวิธีการพาวิเวียนออกไปผจญภัย อาจจะขัดใจเกมเมอร์หลายๆ คนสักหน่อย โดยอะนาล็อกควบคุมทิศทางการเดินจะอยู่ด้านซ้ายตามสไตล์เกมมือถือทั่วไป แต่ที่เซอร์ไพรซ์คือการปรัมมุมกล้องค่ะ โดยจะใช้อะนาล็อกทางขวามือในการหมุน ซึ่งใครมือหนัก หมุนไว รับรองว่าได้มีเวียนหัวกันแน่นอน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเรา Double tap กลางหน้าจอ 2 ครั้ง มุมกล้องจะกลับมาที่ด้านหลังของวิเวียนเหมือนเดิมที่น่าปวดหัวอีกอย่างก็คือปุ่มกระโดด โดยเราต้องแบ่งสัดส่วนหน้าจอของเราให้เป็น 3 ส่วน และหากต้องการกระโดดให้แตะที่โซนขวามือเท่านั้น ถ้าล้ำมากลางจอหน่อยวิเวียนจะไม่ได้รับคำสั่งกระโดดส่วนระหว่างการหาเทียน ถ้ามองในแผนที่แล้วไม่เจอ สามารถเลื่อนขึ้นเพื่อให้ให้เกมเปิดระบบนำทางได้ ซึ่งสะดวกมากเลยอีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่น่าสนใจคือบนหน้าจอจะไม่มีไอคอนเข้าหน้าตั้งค่าให้ค่ะ ซึ่งก็น่าจะมีเหตุผลจากการที่อยากให้เราดื่มด่ำกับภาพของเกมได้เต็มที่ แต่ถ้าเราแตะตรงบริเวณมุมขวาบนได้อย่างถูกจุด ไอคอนก็จะปรากฏขึ้นมาให้เราเห็นได้นั่นเองจ้าแต่งตัวให้วิเวียนถ้าหากเราอยาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของวิเวียน เราสามารถกดที่กระเป๋าของน้องเพื่อเข้าสู่หน้า Custom ได้ โดยเราสามารถเลือกลายของตัววิเวียนและกระเป๋าที่น้องจะสะพายได้ในหน้า Vivienne และถ้าแบบสำเร็จยังไม่สะใจก็เข้าไปที่แท็บของ Accessories เพื่อเลือกเครื่องประดับซึ่งเก็บได้ตามด่าน มาสวมให้น้องเพิ่มได้ด้วย เท่านี้ก็ได้ตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์ไปอวดเพื่อนๆแล้ว เอ... หรือจะเอาไปลงขาย NFT ก็ไม่เลวเลยนะในฟีเจอร์นี้ เรายังสามารถเช็คโปสการ์ดได้ด้วย ว่าตอนนี้เราก็ลังอยู่ในสถานที่ใด และมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ หลุยส์ วิตตอง บ้างโหมดการเล่นในตอนเริ่มต้น เกมจะบังคับให้เราเล่น Story Mode เพื่อเล่าเรื่องราวของคุณ หลุยส์ วิตตอง แต่เมื่อเราเล่นผ่านด่านไปแล้วและอยากเล่นซ้ำ โดยไม่สนใจเนื้อหาของ Story ก็สามารถเล่นในโหมด Time Trial ซึ่งจะเป็นการวิ่งทำเวลาในการเก็บเทียนในแต่ละด่านโดยไม่มีไกด์แนะนำการเล่นหรือเนื้อเรื่องให้กวนใจ อีกทั้งยังไม่ต้องพะวงในการหาไอเทมเครื่องประดับที่ซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆด้วยสถิติเวลาที่เราทำได้ในโหมด Time Trial จะถูกบันทึกลง Leaderboard และเทียบสถิติกับเพื่อนหรือผู้เล่นทั่วโลกได้อีกด้วย นับว่าท้าทายไม่ใช่น้อยเลยข้อควรระวัง!เกมนี้พัฒนาบน Unreal Engine จึงไม่น่าแปลกที่เราจะได้เกมภาพสวยขนาดนี้ แต่! กราฟฟิคสูงๆ แบบนี้ก็ไม่เป็นมิตรกับโทรศัพท์รุ่นเก่าหรือรุ่นล่างๆ เช่นกัน เนื่องจากเกมนี้ไม่สามารถปรับระดับของกราฟฟิคได้นั่นเอง ====================================================Review ภาพรวมถึงเราจะไม่ใช่แฟนแบรนด์นี้ (เอาจริงๆ ปกติก็ไม่เสพของแบรนด์อยู่แล้วด้วยแหละ) แต่ต้องยอมรับในดีไซน์ที่เรียบหรูไม่ว่าจะบนกระเป๋าหรือภาพในเกม ที่คงเอกลักษณ์ความเป็น หลุยส์ วิตตอง ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ตัวเกมแม้จะควบคุมยากไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีระบบที่ซับซ้อนอะไรจนน่าโมโห แถมยังมีประวัติของแบรนด์แทรกอยู่ในทุกๆการเดินทางผจญภัย ทำให้คนที่ไม่ตามสินค้าก็สามารถอินกับตัวเกมและแบรนด์ได้อย่างง่ายดายเสียดายนิดหน่อย ตรงที่โทรศัพท์เราสู้กราฟฟิคไม่ไหว ทำให้เล่นได้ไม่นานเกมก็เด้ง T^T 'หมดกัน ความหวังจะขาย NFT' ถ้าเล่นได้ตามปกตินะ คงอยู่ทั้งวันไม่เล่นเกมอื่นแล้วล่ะ เพราะตกหลุมรักเกมนี้เข้าไปเต็มๆแล้วยังไงล่ะ ♥
14 Aug 2021
พรีวิว Back 4 Blood (Open Beta) มันส์เหมือนเดิม เพิ่มเติมที่ลูกเล่นเยอะขึ้น
หนึ่งในเกมที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น Back 4 Blood เกมยิงซอมบี้จากผู้พัฒนา Turtle Rock Studios ทีมผู้สร้าง Left 4 Dead ที่เพึ่งเปิดช่วงทดสอบ Early Acccess Open Beta ไปสดๆ ร้อนๆ และมีผู้เข้าร่วมในการทดสอบแรกแค่เฉพาะจากร้านค้า Steam ก็มากกว่า 1 แสนคนไปแล้ว ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH เองก็ได้ลองเข้าไปทดสอบเกมนี้มาเช่นกันและจะมาเล่าถึงความรู้สึก พูดถึงระบบเด่นๆ ของเกมนี้ให้ท่านได้ทราบว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง !!แน่นอนว่าระบบเกมเพลย์ของ Back 4 Blood นั้นก็ยังมีความคล้ายคลึงกับตัว Left 4 Dead ที่ให้เราเดินดาหน้ายิงเหล่าซอมบี้ที่อยู่ตามฉาก บางครั้งก็จะมีการทำภารกิจบางอย่างเพื่อผ่านไปยังโซนต่อไป โดยเกมจะสนับสนุนการ Cross-Platform สามารถเล่นด้วยกันได้ทั้งเครื่อง PC, PlayStation และ Xbox เลย โดยจะขึ้นสัญลักษณ์โชว์ด้วยว่าใครเล่นจากเครื่องไหน และจะใช้โหมด Match Making ในการค้นหา แต่ถ้าค้นหาแล้วยังไม่เจอคนเข้ามา เกมก็จะใส่บอทเข้ามาให้แทนนั่นเอง (แต่คนอื่นก็สามารถเข้าร่วมกลางเกมได้)ในช่วง Beta เกมจะมีระบบความยากอยู่ทั้งหมด 3 ระดับนั่นคือ Classic ซึ่งจะเป็นระดับง่ายที่เราสามารถทำความเสียหายซอมบี้ได้สูง กินยาเพิ่มเลือดได้มากขึ้น และล้มได้ 2 ครั้งSurvivor ระดับปานกลางที่เราสามารถยิงเพื่อนร่วมทีมได้ (แต่โดนดาเมจเหลือ 35%) ศัตรูกลายพันธุ์มีมากขึ้น ล้มได้ 2 ครั้งNightmare หรือระดับยากสุด ซอมบี้จะเลือดมากขึ้น โจมตีแรงขึ้น ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมขณะอยู่ในสถานะ Incapacitated (ล้ม) เราทำดาเมจใส่เพื่อนร่วมทีมได้ (โดนดาเมจ 60%) และมีโอกาสล้มได้เพียงครั้งเดียว รวมถึงภายในด่านก็จะมีระบบเงินตราที่จะดรอปให้เราเก็บตามแผนที่ (เพื่อนเก็บเราก็ได้) ซึ่งพอจบด่านเราก็จะสามารถเอาเงืนไปซื้อของต่างๆ อย่างพวกปืนกระสุน ของแต่งปืน อุปกรณ์ยา หรือจะเป็นบัฟเพิ่มเติมให้กับเพื่อนร่วมทีมแต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้มีความแตกต่างและสดใหม่มากกว่าก็คงจะเป็นในเรื่องของระบบของเกมที่ถูกใส่เข้ามาเพิ่มสีสันให้มากขึ้น อย่างแรกเลยคือระบบตัวละครที่ในช่วง Open Beta ทางผู้พัฒนาเปิดให้เล่นทั้งหมด 5 คน ซึ่งแต่ละคนจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นตัวละคร Evangelo ที่จะเก่งในอาวุธระยะประชิดมีพลังสามารถทำลายการจับของซอมบี้ได้ หรือจะบวกสเตตัส Stamina จำนวน 25% หรือจะเป็น Hoffman ที่เหมาะสำหรับสายยิงปืน สนับสนุน เพราะตัวละครนี้มีความสามารถในเพิ่ม Offensive Inventory (ช่องอุปกรณ์) 1 Slot และฆ่าศัตรูจะมีโอกาสดรอปกระสุนด้วย รวมถึงแต่ละตัวละครก็จะยังมี Buff พิเศษที่จะเพิ่มให้ทีมเช่นกันอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจของเกมนี้ และเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้พัฒนาอยากให้การเล่นเกมนี้ทุกครั้งมีความแปลกใหม่อยู่ตลอดก็คือระบบการ์ดของเกม ที่เราจะสามารถจัด Deck การ์ดก่อนเข้าเล่นได้ตามสไตล์ที่เราอยากเล่น อย่างที่กล่าวไปหัวข้อก่อนหน้าว่าตัวละครแต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกันไป ทำให้การจัด Deck การ์ดที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำเช่นกัน ยกตัวอย่างเราเล่นตัวละครที่เก่งในระยะประชิด เราก็อาจจะเอาการ์ดที่เหมาะสมเช่นการ์ดเพิ่มเลือด 2 หน่วยถ้าหากโจมตีศัตรูด้วยอาวุธระยะประชิด หรือการ์ดที่เพิ่ม Stamina ให้กับเรา 10% เป็นต้นแต่ถึงอย่างนั้นบัพจากตัวการ์ดเองที่เราเลือกมา ก็ใช่ว่าจะมีมาให้เราเลยตั้งแต่ต้น แต่ตัวเกมจะใช้ระบบการสุ่มจั่วการ์ดขึ้นมาต่อการเริ่มด่านแต่ละครั้ง ให้เราสามารถเลือกการ์ดมาบัพให้กับตัวเรา รวมถึงตัวเกมยังมีระบบ Corruption Cards ที่จะเป็นเหมือน Effect ภายในเกมที่จะมาเพิ่มความท้าทายให้แก่เรา อย่างเช่นการทำให้แผนที่มีหมอกมากขึ้น หรือจะเป็นการ์ดที่เพิ่มความสามารถให้กับเหล่าซอมบี้พิเศษบางตัวก็ได้โดยในช่วงเริ่มต้นเราอาจจะยังไม่ได้มีการ์ดให้เลือกเล่นมากนัก ซึ่งเราจะต้องทำการเก็บแต้มที่ได้จากการเล่นจบแต่ละด่านเพื่อเอามาปลดล็อคการ์ดใหม่ๆ ได้และอีกหนึ่งที่พูดไม่ได้ก็คงจะเป็นระบบ PvP ของเกมที่จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง 4v4 โดยตัวเกมจะโยนเหล่าผู้เล่นไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ฝ่ายคนจะต้องทำการป้องกันและอยู่รอดให้ได้นานที่สุด และพอยิ่งเวลาผ่านไปตัวด่านจะมีวงสีเหลืองบีบให้พื้นที่ในการเดินน้อยลง (ถ้าเดินออกเส้นเหลืองเลือดจะลด) รวมถึงการเล่นครั้งนี้ระบบการ์ดก็ยังถูกเอาเข้ามาเช่นกัน เพียงแต่ว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปฟาร์มการ์ดเอง เพราะเกมจะมีการ์ดทั้งหมดอัตโนมัติเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และให้เราไปจัด Deck ด้วยตัวเองได้เลยส่วนคนที่ได้เล่นเป็นฝ่ายซอมบี้จะได้บังคับเหล่าซอมบี้พิเศษ ที่สามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบ ตัวซอมบี้มีกระทั่งตัวแทงค์ ตัวยิงพิษทำดาเมจจากที่ไกลๆ ก็ต้องทำทุกวิธีทางเพื่อฆ่าศัตรูให้ไวที่สุด โดยหนึ่งรอบทั้งสองฝ่ายจะมีโอกาสได้เป็นทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายซอมบี้ ในรอบนั้นฝ่ายไหนสามารถฆ่าศัตรูได้ไวที่สุด ฝ่ายนั้นก็จะได้คะแนนไปหนึ่งแต้ม โดยคะแนนจะนับใครได้ 2 ต่อ 3 คะแนนก่อนก็จะชนะไปความรู้สึกหลังที่ได้ลองเล่นต้องยอมรับว่าบรรยากาศความสนุกในสมัยที่เล่นในเกม Left4Dead นั้นยังมีครบในเกม Back 4 Blood อย่างครบถ้วนแถมเกมยังมีระบบลูกเล่นใหม่ๆ ที่เข้ามาสร้างสีสันให้เราด้วยไม่ว่าจะเป็นระบบเงินที่เอาไว้ซื้อของต่างๆ หรือจะเป็นระบบการ์ดของเกม ในเบื้องต้นจากการทดลองเล่น การ์ดส่วนใหญ่ที่ได้มาในช่วง Beta มักจะส่งผลเพิ่มความสามารถต่างๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเพิ่มดาเมจการโจมตีระยะใกล้ขึ้น 10% หรือเพิ่มเลือดที่ได้จากไอเทมฟื้นฟู 15% เป็นต้น โดยส่วนตัวจึงยังไม่ได้รู้สึกถึงผลของระบบการ์ดมากเท่าที่ควร แต่ก็พอมีการ์ดบางใบที่อาจจะส่งผลต่อการเล่นได้อย่างน่าสนใจ เช่นการ์ดที่ทำให้ได้เลือดเพิ่มทุกครั้งที่ฆ่าซอมบี้ในระยะประชิด หรือการ์ดที่ทำให้สามารถพกกล่องยาได้เพิ่มอีกกล่องแทนระเบิด ซึ่งอาจจะส่งเสริมสไตล์การเล่นของตัวละครหรือผู้เล่นแต่ละคนได้ และเปิดช่องให้มีการวางแผนเพื่อจัดชุดการ์ดที่เหมาะกับตัวละครหรือเพื่อเกื้อหนุนกันในทีม ซึ่งก็อาจจะทำให้การเล่นในระยะยาวมีความหลากหลายกว่าใน Left4Dead ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับความเร็วในการปลดล๊อคการ์ดด้วยว่าผู้เล่นจะเบื่อซะก่อนจะเข้าถึงการ์ดเจ๋งๆ หรือไม่ในส่วนของ โหมด PvP นั้นทำออกมาได้สนุกทีเดียว เกมค่อนข้างที่จะใช้ทีมเวิร์คพอสมควร โดยเราต้องเรียนรู้ที่จะประสานงานกันภายในทีมเพื่อความอยู่รอด ฝ่ายผีก็ต้องมีตัวละครสายถึกทน และก็มีสายตลบหลังด้วย ส่วนมนุษย์ก็ต้องกันและหาจุดที่ช่วยเหลือกันได้ตลอด เลยทำให้ถ้าหากคุณเล่นเกมนี้กับเพื่อน หรือคนที่เป็นงาน จะทำให้ทีมคุณเก่งมาก แต่ถ้าหากคุณกดไปเจอปาร์ตี้ที่ไม่เป็นงาน บางทีก็อาจจะทำให้คุณหัวเสียและแพ้อย่างราบคาบแบบไม่มีทางสู้ ซึ่งห้องส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น ทำให้การเล่น PvP แต่ละรอบเราจะต้องเจอกับพวกที่ชอบกดหนีเกม กดออกเกมเพราะสู้ไม่ได้ประจำส่วนใครที่อยากเล่นเกมนี้ Back 4 Blood จะเปิดให้บริการจริงในวันที่ 12 ตุลาคม 2021 บนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox Series X/S สนนราคาราวๆ 60$ (ใน Steam ขาย 1,590 บาท)
10 Aug 2021
รีวิว New World โลกใหม่ การสำรวจครั้งใหม่ และสงครามครั้งใหม่
ย้อนกลับไปประมาณ 22 เดือนก่อน ในวันที่ 13 ธันวาคม 2019 ทาง Amazon ได้เปิดตัวโปรเจกต์เกม MMORPG ใหม่ที่ชื่อว่า New World เป็นครั้งแรกให้โลกได้รู้จัก ข้ามผ่านกาลเวลามา 9 เดือนทางผู้พัฒนาได้มีการเปิดให้สมัครเข้าไปทดสอบเล่นเกมครั้งแรก ในตอนนั้นตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก และทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนต่างรอคอยการมาของ MMORPG น้องใหม่นี้กันอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดหลังจากรอกันมาอย่างยาวนาน ตัวเกมก็วางขายอย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีผู้เล่นให้ความสนใจเล่นเกมนี้พร้อมกันถึง 500,000 คน ในวันแรกเลยทีเดียว ทางผู้เขียนเองได้มีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้มาแล้วหลายชั่วโมงด้วยเช่นกัน และวันนี้จึงอยากถือโอกาสพาเพื่อนๆ ที่ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองเล่นไปรู้จักโลกของเกมให้มากขึ้นกันครับ!พายุที่ทำลายทุกอย่าง และเกาะที่ความตายก็ไม่ใช่ทางหลุดพ้นเรื่องราวของ New World จะกล่าวถึง พายุแปลกประหลาดที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยตัวละครของผู้เล่นคือหนึ่งในนักเดินทางที่กำลังอยู่ระหว่างเดินไปยังที่ไหนสักแห่งโดยเรือ และพบกับพายุดังกล่าวเข้า ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเราจะพบว่าตัวเองมาเกยตื้นอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง เราเริ่มออกเดินทางตามหาเพื่อนๆ ที่อาจยังมีชีวิตรอดอีกครั้ง ซึ่งไม่ไกลนักเราจะได้พบกับกัปตันของเรือนอนใกล้ตายอยู่บริเวณไม่ไกลจากจุดที่ตื่น แต่เขาก็สิ้นลมไปในเวลาไม่นานหลังจากนั้นเราจะเริ่มออกตามหาเพื่อนๆ ที่ยังไม่ตายอีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางก็ถูกโจมตีโดยเหล่าผีดิบที่จะคอยเข้ามาโจมตีเป็นพักๆ จนกระทั่งมาถึงสถานที่แปลกๆ แห่งหนึ่งที่มีออร่าแสงสีแดงปริศนาอยู่ ใจกลางของพื้นที่นี้จะมีดาบปักอยู่หนึ่งเล่ม ทันทีที่เข้าไปไกลมัน อยู่ดีๆ ศพของกัปตันเรือที่เพิ่งจะตายไปต่อหน้าเราก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับดึงดาบเล่มนั้นเข้ามาโจมตีใส่เรา มันจึงทำให้เราต้องต่อสู้กับศพของกัปตันอย่างช่วยไม่ได้ และพลาดท่าถูกฆ่าตายแต่แทนที่ทุกอย่างจะจบลง เรากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่บริเวณชายหาด แต่จะบอกว่าทุกอย่างเป็นความฝันมันก็สมจริงจนเกินไป แตกมันแตกต่างจากครั้งก่อนตรงที่ ครั้งนี้ใกล้ๆ กับจุดที่เราตื่นมีค่ายปริศนาถูกตั้งขึ้นมาด้วย เมื่อเดินทางไปยังค่ายดังกล่าวจึงได้พบกับชาวเกาะที่อาศัยอยู่ที่นี้ เธอมีชื่อว่า Nora Linch ซึ่งเธอได้อธิบายว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน ยินดีต้อนรับ และขอแสดงความเสียใจด้วย ที่เราจะไม่มีวันได้กลับออกไปอีกแล้ว!Nora จะเล่าต่อว่า เกาะแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยพายุปริศนาที่ทำลายเรือของเรา ส่งผลให้การออกไปจากเกาะแห่งนี้เป็นไปไม่ได้ และเรือทุกลำที่เข้าไปใกล้มันจะถูกทำลายพร้อมทั้งส่งมายังเกาะแห่งนี้ ส่งผลให้การออกไปจากเกาะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และนอกจากนี้ความตายเอง ก็ไม่ใช่ทางหลุดพ้นเช่นเดียวกัน คนที่ตายไปแล้วในเกาะแห่งนี้จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งจากพลังปริศนาของเกาะนี้ เราถือว่าโชคดีที่กลับมามีชีวิตแบบสติครบถ้วนได้ เพราะหลายๆ คนที่ตายจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในรูปแบบของผีดิบที่ไม่มีความนึกคิดไป โดยชาวเกาะจะเรียกคนกลับนี้ว่า Corruptions การเดินทางของเราในการสำรวจดินแดนใหม่นี้จึงเริ่มต้นขึ้นที่ตรงนี้สเตตัสมาจากเลเวล แต่สกิลมาจากความชำนาญถ้าหากพูดถึงเกม MMORPG แล้ว สิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงคงไม่พ้นการเก็บเลเวลแบบมาราธอนด้วยการฆ่ามอนสเตอร์จำนวนมาก อัปสเตตัส อัปสกิล พัฒนาให้ตัวละครเก่งเพื่อไปให้ถึงช่วงท้ายของเกม และเข้าท้าทายคอนเทนต์ดันเจี้ยนยากๆ เพื่อหาของมาใส่อัปเกรดตัวละครกันต่อไป แต่สำหรับ New World อาจแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อการเพิ่มเลเวลของตัวละครไม่จำเป็นต้องออกไปล่ามอนสเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่สามารถเพิ่มได้จากเก็บเลเวลความชำนาญอื่นๆ อย่างการตัดไม้, ตีเหล็ก, ขุดหิน, เย็บผ้า, ทำอาหาร หรืออื่นๆ ด้วย กล่าวคือจะมีฆ่ามอนสเตอร์สักตัวเลยแล้วเก็บเลเวลจนตันก็สามารถทำได้ในทางกลับกันหากเก็บเลเวลโดยไม่ตีมอนสเตอร์เลยแม้แต่ตัวเดียว สิ่งที่จะไม่ได้มาคือสกิลของอาวุธต่างๆ เนื่องจากตัวเกมใช้ระบบ Mastery ที่จะเรียนรู้สกิลของอาวุธต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อใช้อาวุธชนิดนั้นในการออกไปสู้จริงเท่านั้น ระบบนี้มีข้อดีคือตัวละครหนึ่งตัวของผู้เล่นสามารถใช้อาวุธได้หลากหลายมาก แต่ก็จำเป็นต้องเสียเวลามากขึ้นไปกับการเก็บเลเวลความชำนาญของอาวุธ แต่ละประเภทแยกกัน หรือก็คือจำเป็นต้องใช้เวลาเล่นที่มากขึ้นหากอยากใช้อาวุธหลายๆ อย่างนั้นเองระบบฝ่ายหลังจากเล่นเนื้อเรื่องหลักไปได้สักพักผู้เล่นทุกคนจะถูกบังคับให้เลือกฝ่ายเป็นของตัวเอง ซึ่งฝ่ายที่สามารถเลือกได้จะมีทั้งหมด 3 ฝ่ายด้วยกันคือ Syndicate : กลุ่มที่แสวงหาความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ต้องห้ามเพื่อใช้มันหาความจริงเกี่ยวกับMarauders : กลุ่มนับรบที่เชื้อมันในเกียรติยศ พร้อมกับความเชื่อว่าผู้เข้มแข็งจริงๆ เท่านั้นที่จะเป็นใหญ่ได้Covenant : กลุ่มอัศวินที่มีแนวคิดยึดมั่นในความถูกต้องและยุติธรรม พวกเขาเชื่อว่าการชำระล่างแผ่นดินคือหน้าที่ของพวกเขาผู้เล่นสามารถเปลี่ยนฝ่ายไปมากี่ครั้งก็ได้ แต่ในการเปลี่ยนฝ่ายแต่ละครั้งจะมี Cooldown เป็นระยะเวลา 120 วัน หลังจากเปิดทดสอบในรอบ Open Beta เป็นต้นมา ทีมพัฒนาได้ปรับให้ของที่ซื้อได้จากแต่ละฝ่ายมีสกิลเหมือนกันแล้ว ดังนั้นผู้เล่นสามารถเลือกเล่นฝ่ายไหนก็ได้ที่ตัวเองชอบได้เลยอย่างไรก็ตามการอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หมายถึงการอาจได้ปะทะกับอีก 2 ฝ่ายที่เหลือเวลาแย่งชิงดินแดนด้วย ดังนั้นถ้าหากว่ามีเพื่อนเล่นเกมนี้อยู่ฝ่ายไหน และไม่อยากจะต้องสู้กันเองเมื่อสถานการณ์จำเป็น ก็แนะนำให้ปรึกษากันให้ดีก่อนว่าจะเข้าร่วมฝ่ายไหน เพื่อที่จะได้รับความสนุกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ โดยจะมีสีบนแผนที่บอกชัดเจนว่าโซนไหนเป็นของฝ่ายไหนอยู่ดั่งรูปข้างล่างอย่างไรก็ตามไม่ต้องกลัวว่าถ้าหากข้ามไปทำเควสในเขตของอีกฝ่ายแล้วจะโดนกระทืบรัวๆ แล้วทำเควสไม่ได้นะ เนื่องจากการจะโจมตีกันได้ ผู้เล่นทั้งสองคนจำเป็นต้องอยู่ในสภาวะหัวแดงก่อน ดังนั้นถ้าหากเราไม่ได้เปิดหัวแดงอยู่ก็สบายใจได้ไม่โดนฆ่าแน่นอนโลกของ New World และระบบเขต / เมืองในส่วนของเซ็ตติ้งโลกของเกมจะอยู่ในช่วงยุคเหล็กที่มีอาวุธปืน และเวทมนตร์ ให้ความรู้สึกแบบเกม Fantasy คลาสสิก และไม่ค้อยพบเห็นสัตว์ในตำนานอย่างพวกมังกร เพกาซัส ออค หรือก็อบลิน เท่าไหรนัก (ก็มีตัวแปลกๆ อยู่บ้างเช่นปีศาจค้างคาวขนาดใหญ่, หรือยักษ์ที่มือมีใบมีดติดอยู่) แต่ส่วนใหญ่แล้วศัตรูที่ได้พบจะเป็นพวกสัตว์ป่าที่ดุร้าย ผีดิบถืออาวุธ หรือไม่ก็พวกวิญญาณอาฆาต อะไรพวกนี้มากกว่า โลกที่เราจะได้สำรวจใจเกมนี้จะเป็นแบบ Open World ที่ไม่มีการโหลดฉากในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยแผนที่โลกของเกมจะถูกแบ่งออกเป็นเขตย่อยๆ หลายเขต แต่ละเขตจะมีเมืองกับป้อมเป็นของตัวเอง รวมถึงมีเลเวลของมอนสเตอร์เฉลี่ยแตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือภาษีการซื้อขายของ กับราคาสินค้า รวมถึงราคาที่ดิน จะแตกต่างกันไปในแต่ละเมืองของเกมด้วย (ดูตัวอย่าง ภาษีของ 2 เมืองที่แตกต่างกันได้ในรูปข้างล่าง)  ด้วยภาษีที่แตกต่างกัน ย่อมหมายถึงสินค้าที่วางขายอยู่ในตลาดที่ไม่เหมือนกันด้วย New World เป็นเกมที่ ไม่มีร้านขายของจาก NPC แบบที่เราเคยเห็น ไอเทมที่ซื้อขายกันในเกมมา ล้วนแล้วแต่มาจากผู้เล่นด้วยกันทั้งนั้น หากไม่อยากซื้อก็จำเป็นต้องคราฟต์ขึ้นมาเอง ดังนั้นอัตราส่วนภาษีของ แต่ละเมืองจึงสำคัญมาก เพราะถ้ายิ่งแพงเท่าไหร่ก็ยิ่งจำหมายถึงการเสียเงินมากขึ้นเท่านั้นด้วยแน่นอนว่าการลดภาษีของแต่ละเมืองสามารถทำได้หลักๆ 2 วิที คือการเก็บเลเวลชื่อเสียงในเขตนั้นให้มากขึ้น หรือเอาชนะสงครามฝ่าย แล้วได้เขตนั้นพร้อมกับเมืองเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายตัวเอง ดังนั้นการยึดเขตจึงมีผลประโยชน์โดยตรงต่อฝ่ายที่สามารถยึดได้ ทั้งหมดจนถึงตอนนี้ เป็นระบบสำคัญหลักๆ ภายในเกมของ New World และหลังจากนี้เป็นต้นไปจะเป็นความรู้ของผู้เขียน หลังได้เล่นเกมนี้ไปหลายชั่วโมง รวมถึงคำแนะนำให้กับคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อเกมนี้มาเล่นดีหรือไม่PVP เป็นคอนเทนต์หลัก สายชอบ PVE เดือดๆ ชอบ Raid ยากๆ อาจไม่ถูกใจจากที่ได้อ่านข้างบนมาเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกได้แล้วว่าเกมนี้มีคอนเทนต์หลักเป็นการ PVP ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคอนเทนต์สำหรับสาย PVE เลย เพียงแต่ส่วนใหญ่คอนเทนต์ PVE จะไม่ยากจนถึงขนาดต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรในการผ่านแต่ละครั้ง เนื่องจากเกมไม่ได้มี Puzzle หรือ ท่าโจมตีของบอสที่ซับซ้อนอะไรมากมาย (แต่ส่วนใหญ่จะแรงมากก็คือต้องหลบให้ได้เท่านั้นเอง) ส่วนใหญ่ถ้าหากผู้เล่นใน Party สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เชื่อว่าคงผ่านกันได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงเลยเสียด้วยซ้ำดังนั้นสำหรับคนที่เป็นสายชอบเล่น MMORPG ที่มี Raid คอนเทนต์ยากๆ แบบเดียวกับ Final Fantasy XIV, หรือ World of Warcraft มาก่อน อาจไม่สนุกกับเกมนี้เท่าไหร่นัก ในทางกลับกันถ้าหากเพื่อนๆ เป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่มีคอนเทนต์ PVP แบบเดือดๆ อย่าง Black Desert, หรือ Guild War 2 เกมนี้จะให้ความรู้สึกที่สนุกไม่แพ้กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ War ที่เป็นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างผู้เล่น 50 vs 50 กับ Outpost Rush ที่เป็นการต่อสู้แบบ 20 vs 20 ผสมระหว่าง PVE กับ PVP เข้าด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดเลยมี Party จะเล่นง่ายกว่ามาก ต่อให้เป็นสาย Solo ก็แนะนำให้หา Party หรือ Guild อยู่ดีแม้ว่าคอนเทนต์สนุกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการ PvP แต่การเก็บเลเวลยังคงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเรายังคงได้ค่าสเตตัสมาอัปทุกครั้งที่เลเวลอัปอยู่ อย่างที่กล่าวไปว่าเกมนี้ไม่ได้มีร้านขายของ NPC เหมือนกับ MMORPG เกมอื่นๆ การมีเพื่อนช่วยกันเล่น ช่วยกันสู้ ช่วยกันเก็บเลเวล จึงจะทำให้การเล่นทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าหากมีคนเล่นคลาสที่ ฮีล ได้อยู่ใน Party ยิ่งทำให้การเก็บเลเวลรวมถึงสำรวจโลกทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก (บอกเลยว่ามอนตีแรงมาก)การหารทรัพยากรเพื่อนำมาคราฟต์อาวุธ ชุดเกราะดีๆ ก็จะสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นด้วยหากมีหลายๆ คนช่วยกันหา เนื่องจากใน New World แร่ดีๆ หรือไม้สำหรับใช้คราฟต์อาวุธระดับสูงๆ จำเป็นต้องใช้เลเวลความชำนาญด้วยถึงจะหามาได้ การเล่นหลายคนจึงหมายถึงการที่แต่ละคนต้องโฟกัสเก็บเลเวล สกิลสายคราฟต์ กับสกิลสายเก็บเกี่ยวน้อยลง ทั้งหมดนี้จะทำให้การเล่นของเพื่อนๆ คืบหน้าเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็แนะนำว่าควรหากลุ่มเกาะไว้ ถ้าหา Guild อยู่ได้เลยยิ่งดีเข้าไปอีกPing คือศัตรูตัวร้ายสำหรับผู้เล่นบ้านเราNew World เป็นเกม Action แบบไม่มีระบบล็อกเป้า ดังนั้นจะตีโดนไม่โดน หลบการโจมตีพ้นไม่พ้น ขึ้นอยู่กับการจับจังหวะ และฝีมือของผู้เล่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Amazon ไม่ได้มาตั้ง Dedicated Server ที่บริเวณ SEA ด้วย ทำให้ไม่ว่าจะเล่นเซอร์เวอร์ไหนภายในเกม Ping ของเราจะไม่ต่ำกว่า 200 อย่างแน่นอน ต้องทำใจก่อนเลยว่าการหลบแต่ละครั้ง แม้จะทำได้อย่างถูกจังหวะแล้ว ก็อาจจะยังโดนดาเมจอยู่ ในขณะเดียวกันต่อให้ตีโดนแน่นอน แต่บางอีกฝ่ายก็อาจไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ดังนั้นในการเล่นอาจมีได้หัวร้อนบ้างไม่มากก็น้อย แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่ายังอยู่ในระดับที่เล่นได้ครับใช้สเปค PC สูงพอสมควร หากอยากเล่นลื่นๆอีกหนึ่งปัญหาที่ผู้เขียนสังเกตได้ตลอดเวลาที่เล่น คือเรื่องของ FPS ที่ดูจะไม่นิ่งเท่าไหร่นัก ซึ่งเข้าใจว่าอาจมาจากเครื่อง PC ของผู้เขียนเองที่อาจจะยังแรงไม่พอ อย่างไรก็ตามผู้เขียนเชื่อว่า PC ของตัวเองถือว่าอยู่ในระดับปานกลางไปจนถึงสูงแล้ว (Ryzen 7 5800X + GTX 1660 Super) แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นอะไรมากมายนัก แต่ถ้าหากสเปคนี้ยังเล่นแล้วมี FPS ดรอปก็หมายความว่าเกมกินสเปคพอสมควรเลย สรุปซื้อดีไหม ?New World เป็นเกมน้ำดี ที่มีระบบน่าสนใจ อนาคตไกลอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่ต้องเข้าสังคม พูดคุยกับคนอื่นไปด้วยในขณะเล่นเกม หรืออย่างน้อยชอบการวัดฝีมือ PvP ทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่ม น่าจะสามารถสนุกไปกับเกมนี้ได้ไม่ยาก ในขณะเดียวกันถ้าหากไม่ใช้คนที่เป็นสายที่ผู้เขียนกล่าวมาเลย การสนุกไปกับการเกมนี้อาจเป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าหากชอบเล่น MMORPG ที่มี PVE ยากๆ ด้วยแล้ว แนะนำว่าให้ข้ามเกมนี้ไปได้เลยสุดท้ายนี้ New World จะไปได้ไกลขนาดไหน คิดว่าคงเป็นเรื่องของการปรับสมดุล อาวุธ และสกิลของผู้พัฒนาให้ไม่มีอะไรได้เปรียบ หรือเก่งมากจนเกินไป รวมถึงการเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย เนื่องจากปัญหาหลักๆ ที่ทำให้คนเลิกเล่น MMORPG กันคือเรื่องที่ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เนื่องจากไม่มีคอนเทนต์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามา ส่วนตัวมองว่าจำนวนคอนเทนต์ที่มีใน New World ตอนนี้ ถือว่ามีเยอะพอสมควร แต่สักวันมันจะถูกผู้เล่นทำกันจนหมดแน่นอน หวังว่าจะได้เห็นการพัฒนาที่ดีต่อไปสำหรับเกมนี้ครับ
02 Aug 2021
รีวิว Tribes of Midgard จับมือกับเพื่อน เอาตัวรอดในดินแดนปรัมปรานอร์ส
Tribes of Midgard เกมแนว RPG Survival จากทางผู้พัฒนาอย่าง Norsfell ที่จะพาเราเข้าไปสู่โลกแห่งเทพปรัมปรานอร์ส และจุดเด่นคือการที่เราสามารถผจญภัยไปกับเพื่อนได้มากกว่า 10 คน พร้อมทั้งตัวเกมยังมีระบบความเป็น Roguelike ที่การเล่นแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไปอีกด้วย โดยตัวเกมค่อนข้างได้รับความสนใจมากๆ เพราะหลังจากที่วางจำหน่ายเกมนี้ไปได้ไม่กี่วัน มันก็มียอดผู้เล่นพร้อมกันบน Steam สูงถึง 3 หมื่นคนเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากๆ ในระดับเกม Indie เลยก็ว่าได้ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้ว และจะมารีวิวพูดถึงข้อดีข้อเสียของเกม และมันเหมาะสำหรับคุณหรือไม่ ? ปกป้อง Midgard ของคุณให้นานที่สุดโดยเรื่องราวของ Tribes of Midgard จะให้คุณได้รับบทเป็นชาวบ้านเมือง Midgard ที่จะต้องทำทุกวิธีทางในการปกป้องหมู่บ้านให้อยู่รอดในแต่ละคืนให้ได้นานที่สุด เพราะถึงช่วงกลางคืนเมื่อไร มันจะมีมอนสเตอร์มากมายเข้ามาบุกบ้านเรา นอกจากนี้เราจะต้องต่อสู้กับเหล่าอสูรยักษ์โยตุนส์ที่จะเข้าดินแดนมาถล่มเมืองของท่าน รวมถึงตัวเกมยังมีเนื้อเรื่องหลักที่จะให้คุณไปซ่อมสะพานเพื่อไปฆ่าบอสหมาภายในเกมก่อนที่บ้านของท่าน (ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์) จะถูกตีแตก เพราะยิ่งผ่านวันคืนไปเรื่อยๆ มอนสเตอร์และภูมิอากาศก็จะยิ่งมีความโหดร้ายมากขึ้นนั่นเองผจญภัยเพื่อความอยู่รอดโดยพื้นฐานการเล่นของเกมนี้มันก็จะเป็นเกมแนว Survival ทั่วไป ที่เรานั้นจะต้องวิ่งผจญภัยเพื่อเปิดแผนที่ ซึ่งการเล่นแต่ละครั้งแผนที่ก็จะสุ่มใหม่ทุกครั้ง ทำให้เราจะได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด เราจะได้พบเจอกับเหล่าศัตรูที่ตั้งแคมป์ในแผนที่มากมายให้เราไปพิชิต หรือจะเป็นการที่เราจะต้องไปขุดหิน ขุดแร่ ตัดไม้ โดยของรางวัลที่เราจะได้ก็คือวัสดุต่างๆ ที่จะเอามาคราฟต์ของพวกชุด อาวุธใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งสร้างป้อมปราการเอาไว้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูตอนกลางคืนด้วย ซึ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นยิ่งวันคืนผ่านไป ศัตรูก็จะแกร่งขึ้น ทำให้เราจะต้องอัพเกรดฐานที่มั่นของเราให้ดีขึ้นเพื่อรับมือ นอกจากนี้การผจญภัยเรายังมีเควสต่างๆ ให้ทำเพื่อรับของรางวัลพิเศษด้วยโดยจุดมุ่งหมายของเกมนี้ไม่ใช่การที่เราจะสร้างบ้านขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ แต่เราต้องทำการฆ่าบอสหมาให้ได้ก่อนที่บ้านเราจะถูกศัตรูตีจนแตก ซึ่งปกติอยู่รอดให้ได้ซัก 15 วันก็ถือว่าเก่งแล้วนอกจากนี้เวลาตัดไม้ เปิดกล่องที่แคมป์ หรือจัดการศัตรู เราก็จะได้รับ Soul ที่จะเป็นเหมือนแต้มพลังให้เราสามารถใช้อัพเกรดร้านค้า สร้างฐานต่างๆ ซ่อมอาวุธ เพิ่มเลือดต้นไม้ หรือจะเอาไปซื้อของจากร้านค้าลับต่างๆ ได้ โดย Soul เป็นสิ่งสำคัญและล้ำค้ามากๆ เพราะถ้าหากเราเผลอโดนศัตรูฆ่าตายเมื่อไร Soul ที่เราได้มาจะหายออกจากตัวทั้งหมดโยตุนส์ อสูรยักษ์สุดโหดหนึ่งในศัตรูสุดโหดที่เราต้องเจอทุกๆ 3-4 วันนั่นก็คือศัตรูอย่างเจ้าโยตุนส์ที่มันจะเป็นอสูรยักษ์ตัวมหึมาที่จะเดินมาพลังบ้านเรา ซึ่งนอกจากที่เราจะต้องผจญภัยเปิดแผนที่แล้วนั้น เราจะต้องคอยหาเจ้าโยตุนส์เพื่อดักทางโจมตีพวกมันก่อนที่มันจะทำลายบ้านเราให้สิ้น โดยเหล่าโยตุนส์ตัวแรกๆ อาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่ตัวต่อๆ ไปมันก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงโยตุนส์ก็จะมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายธาตุ โดยเราจะต้องหาอาวุธที่ชนะธาตุมาต่อสู้พวกมันเพื่อจัดการให้ง่ายมากขึ้นอาวุธและอาชีพที่หลากหลายภายในเกมมีอาวุธให้เราเลือกใช้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นดาบ ธนู ค้อน และขวาน ที่จะมีสกิลความสามารถที่แตกต่างกันไป แถมอาวุธแต่ละชิ้นยังมีธาตุต่างๆ ให้เราได้คราฟอีกด้วย ซึ่งก็จะทำให้ศัตรูติดสถานะหรือเอาไว้จัดการกับโยตุนส์ที่มีธาตุแพ้เราก็ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถคราฟต์ชุดสวมใส่ที่จะมีค่าป้องกันความร้อนความหนาว กันสถานะ หรือเพิ่มเกราะให้เราได้นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบคลาสที่จะให้เรานั้นได้อัพ Passive เพื่อเพิ่มค่าสเตตัสให้กับตัวละครเรา ซึ่งตัวเกมมีให้เลือกคลาสมากกว่า 10 สาย เพียงแต่ว่า (เริ่มต้นจะมีคลาสให้เลือกแค่ 2 คลาสเท่านั้น) ซึ่งเราจะต้องทำรางวัลความสำเร็จเพื่อปลดล็อคเสียก่อนปลดล็อคความสำเร็จ เพื่อได้ไอเท็มไปใช้ในการผจญภัยครั้งต่อไปรวมถึงในการเล่นจบแต่ละครั้ง ถ้าหากเราทำภารกิจตามเงื่อนไขตัเกมจะทำการปลดล็อคการเล่นใหม่ๆ ให้เราอีกด้วย ไม่ว่าจะการการปลดล็อคการคราฟต์อาวุธระดับสูงขึ้น การได้ขุดไอเท็มเซ็ตเริ่มต้นหรือแม้กระทั่งสกินแฟชันต่างๆ ซึ่งถ้าคุณยิ่งปลดล็อคมันก็จะช่วยให้คุณ สามารถมีของเก่งๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้การเล่นแต่ละครั้งมันสร้างสีสันได้อย่างดีเลยความรู้สึกหลังเล่นจากที่ได้เล่นมานั้น Tribes of Midgard เป็นเกมที่ทางผู้พัฒนาดีไซน์โลกออกมาได้อย่างน่าสนใจพอสมควร รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เล่นและลุ้นว่ารอบนี้เราจะได้เจอกับโลกหน้าตาแบบไหน ระบบการเล่นค่อนข้างเข้าใจง่ายไม่ได้มีความซับซ้อนใดๆ หาของให้ครบ และก็คราฟต์แค่นั้น แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับเกมนี้ก็คงจะเป็นหน้าที่ของเกมที่ค่อนข้างมีเยอะมาก กับเวลาที่จำกัดที่เราจะต้องวิ่งตะลุยเพื่อจบภารกิจที่ตั้งไว้ ไหนเราจะต้องวิ่งเปิดแผนที่ ไหนจะต้องฟาร์มของ ไหนจะต้องมาอัพเกรดบ้าน สร้างป้องปราการต่างๆ มันเลยทำให้การเล่นเกมนี้แบบ Solo เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่ค่อยแนะนำเสียเท่าไร  อย่างน้อยเกมนี้ควรจะมีเพื่อนเล่น 3-4 คนเป็นอย่างต่ำ เพราะตัวผู้เขียนมีเพื่อนเล่นเกมนี้เพียงแค่ 2 คนซึ่งต้องบอกเลยว่ามันค่อนข้างเหนื่อยและจุกจิกเป็นอย่างมาก พอจะวิ่งเปิดแผนที่ ซักพักก็ถึงกลางคืน มอนสเตอร์ก็จะออกมาแล้ว หรือพอจะไปไกลๆ ได้หน่อย เราก็ต้องมาเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อตีโยตุนส์เป็นต้น หรือถ้ามีเพื่อนมากถึง 10 คนนั้นก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะถึงแม้ว่าจำนวนผู้เล่นเยอะมันจะทำให้ศัตรูเก่งขึ้น แต่ภาระหน้าที่ของแต่ละคนก็จะมีคนช่วยกันทำน้อยลง อย่างเช่นบางคืนเราอาจจะทิ้งเพื่อนซัก 1-2 คนไม่ต้องกลับบ้านมากันฐานก็ได้ หรืออาจจะมีเพื่อนซักคนคอยทำหน้าที่คราฟต์ของต่างๆ ในฐานเพื่อจะได้ฐานผลิตใหม่ๆ เร็วขึ้นนั่นเอง
02 Aug 2021
รีวิว Riders of Icarus เกม MMORPG ขี่สัตว์ตะลุยดินแดนแฟนตาซี
Riders of Icarus เกมขนาดใหญ่จากค่ายผู้พัฒนาจากเกาหลีใต้อย่าง WeMade Entertainment และเปิดให้บริการโดย VALOFE Company ที่เปิดให้บริการมาแล้วตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งผู้เล่นคอร์เกมสาย MMORPG น่าจะรู้จักเกมนี้กันเป็นอย่างดี โดย Riders of Icarus นั้นเป็นเกมธีมโลกแฟนตาซีที่สามารถเล่นได้ฟรีและมาพร้อมกับกราฟิกที่สวยจนชวนให้หลงใหล แล้วด้วยความที่ว่าเกมนี้กำลังจะเปิดให้บริการในโซนประเทศ SEA ของเราในวันที่ 4 สิงหาคม 2021 (แน่นอนมีภาษาไทย!!) เพราะฉะนั้นในวันนี้พวกเราทาง GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้กันโดยอ้างอิงจากเซิฟเวอร์ Global นั่นเองลิงค์ลงทะเบียน https://icarus-sea.valofe.com/landing/reserveอาชีพที่หลากหลาย และมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป    เกมนี้จะมีอาชีพอยู่ทั้งหมด 8 อาชีพด้วยกันคือ Berserker, Guardian, Priest, Wizard, Ranger, Assassin, Trickster และ Magician ซึ่งในแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไปตามนี้Berserker อาชีพที่มีพลังทำลายล้างสูงมีหน้าที่เป็นตัวทำดาเมจที่สามารถต่อคอมโบได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เหมาะที่จะเป็น DPS หลักในปาร์ตี้ และอีกหลายๆ อาชีพที่จะทำให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินไปกับการเล่นเกมนี้ Guardian เป็นอาชีพที่มีเลือดที่สูงกว่าอาชีพอื่นพร้อมกับสกิลที่เสริมด้านการป้องกันทำให้เหมาะที่จะอยู่ในตำแหน่งแทงค์ ใครอยากเป็นตำแหน่งแทงค์แล้วคอยปกป้องเพื่อนก็เล่นอาชีพนี้ได้เลยPriest อาชีพที่มาพร้อมกับมีสกิลที่คอยช่วยเหลือเพื่อนในปาร์ตี้ไม่ว่าจะเป็นสตันมอนสเตอร์หรือฮีลให้เพื่อน จึงเหมาะเป็นซัพพอร์ต Wizard อาชีพที่ใช้เวทมนตร์จัดการกับศัตรูที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มในคราวเดียว อาจจะไม่เหมาะกับการสู้ตรงๆ แต่หากต้องการกำจัดศัตรูในจำนวนมากไว้ใจอาชีพนี้ได้เลย เหมาะจะเป็นตำแหน่ง Crowd Control  Ranger อาชีพที่สามารถเข้าต่อสู้ได้ทั้งระยะใกล้และระยะกลาง มีความสามารถที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือการสนัสนุน เหมาะกับผู้เล่นที่อยากจะเล่นได้หลายบทบาทในคนเดียวAssassin อาชีพที่มีลูกเล่นกับคอมโบที่มากกว่าอาชีพอื่นและสามารถสเตลท์ได้ แต่แลกกับการที่มีเลือดน้อยกว่าอาชีพอื่นๆ แต่อาชีพนี้จะเล่นยากเป็นพิเศษนะ ถ้าจะเล่นอาชีพนี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ลองเล่นอาชีพอื่นๆ ให้ชินก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนตัวมาเล่นอาชีพนี้ก็แล้วกันTrickster อาชีพที่เน้นไปที่การสนับสนุนมากกว่าเข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการบัฟพลังโจมตี ความเร็วในการเคลื่อนที่หรือฮีลคนในปาร์ตี้ ฉะนั้นนี่เป็นตัวเลือกซัพพอร์ตที่ดีที่สุด หากใครชอบตัวละครตัวเล็กๆ น่ารักๆ ล่ะก็ผมแนะนำอาชีพนี้เลยMagician อาชีพที่ทำหน้าที่โจมตีใส่ศัตรูอย่างต่อเนื่องและรุนแรงด้วยพลังเวทมนตร์คล้ายกับ Wizard แต่มีความสามารถในการเคลื่อนที่และโจมตีในระยะกลางที่มากกว่าและสามารถบินหลบการโจมตีได้ เหมาะที่จะเป็น Sub-DPS ของปาร์ตี้ อาชีพนี้ผู้เขียนมองว่าเป็นอาชีพสายใช้พลังเวทย์ที่เก่งที่สุดในเกมเลยแหละ    โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่าถ้าเราพึ่งหัดเล่นเกมแนวนี้ล่ะก็ลองเล่นตามที่เกมแนะนำมาก็ได้ เพราะเราสามารถเปลี่ยนโหมดการเล่นได้ตลอดเวลา แต่ก็รู้สึกว่าการเล่นแบบ Action Mode จะดึงเสน่ห์ของแต่ละอาชีพออกมาได้มากที่สุด ส่วนทางด้านการต่อสู้นั้นจะเป็นระบบ Open World RPG เต็มตัว ทำให้ผู้เล่นสามารถร่วมมือกันเพื่อจัดการกับศัตรูตัวเดียวกันได้ แต่ศัตรูเองก็สามารถเข้ามารุมผู้เล่นได้เช่นกัน ในการต่อสู้แต่ละครั้งจึงจำเป็นต้องดูให้ดีว่าตำแหน่งที่เราอยู่สร้างความได้เปรียบในการต่อสู้มากแค่ไหนระบบการต่อสู้แล้วแต่สไตล์ที่คุณชอบ    เกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็น MMORPG แบบคลาสสิกดั้งเดิมที่ผู้เล่นสามารถเก็บเลเวลและลุยดันเจี้ยนเพื่อหาของพร้อมกับเพื่อนๆ ได้ โดยจะมีโหมดเกมเพลย์ให้เลือกอยู่สองแบบคือ Standard Mode ที่เป็นการเล่นเกมแบบ MMORPG ดั้งเดิมโดยจะใช้เมาส์ควบคุมการเดินกับเล็งเป้าหมายเป็นหลัก ส่วนอีกแบบก็คือ Action Mode ที่ทำให้การเล่นเปลี่ยนไปเป็นแนว RPG - Action แทน โดยตัวเกมก็จะแนะนำเราด้วยว่าคลาสไหนเหมาะกับการเล่นแบบไหนเช่น Wizard เหมาะกับการเล่น Standard Mode มากกว่า Action Mode หรือจะเป็น Guardian เหมาะกับการเล่นใน Action Mode มากกว่า ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะเลือกเล่นแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ     นอกจากนี้ Riders of Icarus ยังมีระบบต่างๆ มากมายให้ได้เล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบสัตว์ขี่ที่เป็นจุดเด่นของเกม  ระบบคราฟต์ของที่มอบทางเลือกในการใช้อุปกรณ์ให้กับผู้เล่น ระบบ Raid ที่ผู้เล่นต้องร่วมมือกันเพื่อต่อกรสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ รวมไปถึงระบบ PVP ที่มีให้เล่นได้หลากหลายรูปแบบด้วยตีมันไม่ทันใจยัดสกิลแทนก็แล้วกัน    ในแต่ละอาชีพก็จะมีสกิลให้ใช้ต่างกันโดยจะมีรูปแบบการใช้งานสกิลแบบกดครั้งเดียว กดค้าง และ คอมโบ โดยมีสกิลกดครั้งเดียวที่กดใช้ได้ทันทีที่ครบเงื่อนไข สกิลที่กดค้างแล้วจะมีพลังมากขึ้น ส่วนสกิลคอมโบจะมี 2 ประเภทคือที่สกิลที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ กับสกิลที่บังคับใช้สกิลอื่นก่อนถึงจะใช้งานได้ โดยสกิลจะแตกแขนงไปอีกหลายรูปแบบอีกทีนึงอย่าง สกิลที่เน้นทำดาเมจ สกิลเน้นทำลายจังหวะ สกิลดีบัฟ สกิลเพิ่มสเตตัส เป็นต้นระบบเควสและ Dungeon     ทางด้านของเควสนั้นจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมที่เราต้องเดินไปรับและไปส่งด้วยตัวเองไม่มีระบบอัตโนมัติ โดยจะมีเข็มทิศเล็กๆ คอยบอกตำแหน่งเควสให้กับเราเสมอ ความยากง่ายของการทำเควสจะเปลี่ยนไปตามระดับเลเวลและสายอาชีพ ส่วนระบบดันเจี้ยนของเกมนี้ มีมาเพื่อให้ผู้เล่นได้หาแปลนคราฟต์ของกับอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ แหวน หรือชุดเกราะ ซึ่งดันเจี้ยนจะมีให้เราเลือกเล่นได้ 4 โหมดคือ Story, Elite, Heroic และ Legendary นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถเลือกความโหดของมอนเตอร์ได้อีก 5 ระดับด้วย โดยมอนสเตอร์ยิ่งโหดของที่เราได้กลับมาก็จะเยอะ / หายากมากขึ้นเท่านั้น ก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่านะมอนสเตอร์โหดขึ้นแต่ของที่ดรอปมาก็เยอะขึ้น แต่ถ้าลง Dungeon ระดับสูงหน่อย ผู้เขียนขอแนะนำให้เล่นตามตำแหน่งของตัวเองดีๆ นะไม่งั้นเอาตัวไม่รอดแน่ สัตว์ขี่คู่ใจสัตว์เลี้ยงคู่กาย    ถ้าให้ตอบตามตรงตัวผู้เขียนรู้สึกว่าระบบนี้แหละเป็นจุดเด่นของเกมเลย เพราะเราสามารถ Tame สัตว์ต่างๆ มาช่วยในการเดินทางของเราได้ไม่ว่าจะเป็นม้า หมาป่า ยูนิคอร์น หรือแม้แต่มังกรเราก็ยังขี่ได้ ขั้นตอนของการขี่สัตว์ในเกมนี้จะเริ่มจากการใช้สกิล Taming เพื่อไปจับสัตว์มาซะก่อน ถ้าเราทำสำเร็จเราก็สามารถขี่สัตว์พวกนี้หรือไม่ก็ทำให้พวกมันกลายเป็นคู่หูในการต่อสู้ก็ได้ โดยสัตว์ขี่จะมีหลากหลายชนิดให้เราจับ ทั้งสัตว์ขี่ที่มีความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว สัตว์ขี่ที่เน้นวิ่งบนภาคพื้นดิน หรือสัตว์ขี่ที่พาเราบินไปบนท้องนภานอกจากนี้เรายังสามารถใช้อาวุธตอนขี่สัตว์ได้อีกด้วย ซึ่งอาวุธที่เราสามารถใช้งานได้นั้นจะมีหอกและหน้าไม้ เอาไว้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูบนน่านฟ้า ส่วนทางด้านสกิลนั้นเราจะได้รับสกิล 2 ประเภทในการสู้บนหลังสัตว์ขี่นั่นก็คือ สกิลอาวุธกับอีกสกิลที่เป็นสกิลตามสายอาชีพ สกิลอาวุธที่ใช้หอกและหน้าไม้จะได้รับจากเควสผสมกับการเลเวลอัพ ส่วนสกิลสายอาชีพจะได้รับมาจากการที่เราเล่นเป็นอาชีพนั้นๆ โดยจะมีเพียงบางสกิลเท่านั้นที่ใช้บนหลังสัตว์ขี่ได้ จากจุดนี้ผมบอกเลยนะถ้าจะหาสัตว์มาขี่ขอแนะนำเป็นสัตว์จำพวกที่สามารถบินได้ เพราะจะทำให้การผจญภัย หรือออกทำเควสสะดวกมาก ฉะนั้นแล้วหากเราอยากได้สัตว์ตัวไหน ก็เล็งตัวที่สนใจไว้แล้วรอจับกันได้เลยคราฟต์ของสร้างอาชีพระบบคราฟต์ของเกมนี้เองก็คล้ายๆ กับเกม MMORPG เกมอื่นๆ ตรงที่มีความสำคัญและจำเป็นมากในการเสริมความแข็งแกร่งของผู้เล่น โดยที่เกมนี้เราสามารถเป็นสายคราฟต์ได้ 6 สายได้แก่สายคราฟต์อาวุธสายคราฟต์ชุดเกราะสายคราฟต์เครื่องประดับสายคราฟอุปกรณ์สัตว์อสูรสายคราฟต์ยาสายทำอาหาร    การคราฟต์จะใช้สองสิ่งในการทำคือ ของที่เราต้องไปเก็บตามแมพและของที่ซื้อได้จากร้านค้า ยกตัวอย่างเช่น “เราจะทำอาหารเลเวล 1 ฉะนั้นเราก็เลยไปเก็บไอเทมที่ดรอปจากมอนสเตอร์ 2 ชิ้น จากนั้นก็เดินไปซื้อวัตถุดิบจากพ่อค้าประจำสายทำอาหาร ต่อจากนั้นก็ไปที่โต๊ะคราฟต์สายทำอาหารเพื่อทำอาหารของเรา” หรือ “เรามีแร่ทองแดงอยู่ 5 ก้อนและอยากจะได้โล่อันใหม่ เราก็เลยไปหลอมให้เป็นแท่งทองแดง 5 ก้อน จากนั้นก็ไปซื้อน้ำหล่อเย็นเพื่อที่จะได้ตีโล่ขึ้นมาบนโต๊ะสายคราฟต์อาวุธ ”เป็นต้น ที่สำคัญก็คือเราสามารถเป็นสายคราฟต์ไหนก็ได้ไม่จำกัดอาชีพ ฉะนั้นถ้าเราชอบทำอาวุธก็ไปเป็นสายคราฟต์อาวุธซะ หากเราเห็นว่าทำยากับอาหารจะทำให้เราเก่งขึ้นก็ไปเล่นสายคราฟต์ยาและทำอาหารก็ได้ เป็นระบบเปิดกว้างที่มอบอิสระให้กับผู้เล่นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนตัวผมชอบการทำอาหารมากก็เลยเน้นไปทำอาหารซะส่วนใหญ่Guild, PVP and Raid Boss ศูนย์รวมความสนุก    ระบบ 3 อย่างนี้เป็นระบบสำคัญของเกมแนว MMORPG เลยก็ว่าได้ โดยในเกมนี้ผู้เล่นจะสามารถ PVP กันได้เหมือนเกมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสู้กันซึ่งๆ หน้าหรือ ขี่สัตว์มาสู้กันก็ยังทำได้ ส่วนระบบ Guild นั้นจะช่วยยกระดับการต่อสู้ให้มากขึ้นไปอีก อย่างเกมนี้ยังมี PVP กันระหว่าง Guild แต่ระบบนี้จะใช้ชื่อว่า Alliance War ที่จะทำให้ผู้เล่นของ 2 กิลด์ต้องสู้กันเพื่อแย่งกันเอาเอฟเฟคบัฟในเกมที่จะทำให้เกมเล่นได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้เล่นที่ไม่ได้สร้างกิลด์ขึ้นมาเองก็สามารถขอเข้ากิลด์คนอื่นได้ โดยที่การจะเข้ากิลด์นั้นสามารถทำได้โดยการเชิญเข้ากลุ่มเท่านั้นไม่สามารถขอเข้าเองได้ จึงจำเป็นที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะทำความรู้จักกันให้ดีก่อนที่จะร่วมมือกัน นอกจากนี้เรายังสามารถรวบรวมหลายๆ กิลด์มาเพื่อลุย Raid Boss ด้วยกันได้ การร่วมมือกับหลายๆ กิลด์นั้นจะต้องใช้ทุกอย่างที่มีเข้าต่อกรกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์เหล่านี้ หลังจบการต่อสู้ของรางวัลก็จะมอบให้ตามผลงานที่ผู้เล่นแต่ละคนได้ทำไว้ จังหวะนี้ใครดีใครได้สรุป     จากที่ผู้เขียนได้ไปลองเล่นมา รู้สึกว่า Riders of Icarus เป็นเกมแนว MMORPG ที่น่าสนใจตรงระบบสัตว์ขี่ เราสามารถเลือกขี่สัตว์ได้มากมาย เราชอบสัตว์ตัวไหนก็ Tame แล้วมาขี่เล่นได้เลย นอกจากนี้ยังเอามาทำเป็นเพื่อนข้างกายระหว่างผจญภัยได้ด้วย ก็เลยมองว่าระบบนี้มันน่ารักดี ส่วนด้านเกมเพลย์อื่นๆ คิดว่ามันก็คล้ายๆ เกม MMORPG เกมอื่นๆ ทั่วไปแต่ในเกมนี้ถ้าเพื่อนๆ อยากเลเวลอัพเร็วๆ เพื่อนๆ ต้องเน้นการทำเควสเป็นหลัก เพราะจะให้ EXP ที่คุ้มค่ากับเวลา และเลเวลจะขึ้นเร็วกว่าเราโจมตีมอนสเตอร์ตามแมพ ในด้านของ Dungeon ผู้เขียนมองว่าใน Dungeon ระดับสูงเราควรรู้หน้าที่ของอาชีพเราเองเป็นอย่างดี เพราะใน Dungeon ระดับสูงเลือดกับพลังโจมตีของมอนสเตอร์จะเยอะกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก ถ้าเราเดินสุ่มๆ ตีมอนสเตอร์มั่วๆ จะมีโอกาสตายสูงมาก     ในภาพรวมแล้ว Riders of Icarus ก็เป็นเกมดีอีกหนึ่งเกมที่ตอบโจทย์คนชอบเล่นเกมแนว Full 3D MMORPG เกมนี้มีกราฟิกที่ดูทันสมัย ออกแบบสภาพแวดล้อมได้ดีใช้ได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของตัวละครมันแข็งไปหน่อย ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แถมยังมีระบบ Motion Blur ตอนเราเคลื่อนไหวเร็วๆ ด้วยทำให้หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบระบบนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่เกมนี้เป็นเกมฟรี เพราะฉะนั้นแล้วมันต้องมีพวกบ้าเติมแล้วมีของดีๆ ใช้ก่อนเรากันบ้างแหละ แต่ถ้าเราขยันก็สามารถหาของที่ซื้อได้ฟรีๆ นะ เพราะงั้นผู้เขียนก็บอกได้ไม่ชัดเจนว่าเกมนี้เป็นเกม Pay To Win จริงไหม ก็ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของเพื่อนๆ แล้วแหละ  สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจเล่น Riders of Icarus สามารถสร้างตัวละครรอเซิร์ฟเวอร์ไทยเปิดบริการในวันที่ 4 สิงหาคม ได้เลย แล้วตอนนี้ก็มีกิจกรรมอยู่ด้วย สำหรับคนที่สร้างตัวละครล่วงหน้าเอาไว้จะได้รับชุด Light Set ประจำอาชีพ และชุดเครื่องประดับอันศักดิ์สิทธิ์ของเอโลราฟรีด้วย โดยกิจกรรมนี้หมดเขตวันที่ 3 สิงหาคมนี้นะ สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คหลักของไทย https://www.facebook.com/IcarusVFUNTH/
28 Jul 2021
รีวิว Watch Dogs: Legion - Bloodline ก็ในเมื่อเราคือครอบครัวเดียวกัน
วางจำหน่ายให้เล่นมาสักพักแล้วสำหรับ DLC : Bloodline ของเกม Watch Dogs: Legion ที่นำตัวละครดังจากสองภาคแรกอย่าง Aiden Pearce กับ Wrench กลับมาให้เราได้เล่นกันอีกครั้ง โดยใช้เซ็ตติ้งเดิมเป็นเมือง London เรื่องราวของทั้งสองจะแยกออกจากเนื้อเรื่องหลักของเกม แต่ก็ยังคงความน่าสนใจ และดราม่าตามแบบฉบับลายเซ็นของ Ubisoft ไว้เป็นอย่างดีBloodline จะเป็น DLC แยกจากเกมหลักในด้านเนื้อเรื่อง โดยมีหน้าเมนู New Game, Continue เป็นของตัวเองแยกจากเนื้อเรื่องหลักของภาค โดยมีเนื้อเรื่องหลัก 10 ภารกิจ, 14 ภารกิจ Resistance เสริม และ 5 ภารกิจ Fixture ใช้เวลาเล่นรวมๆ ประมาณ 10 - 15 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความเร็วในการแก้ปริศนาในภารกิจต่างๆ ของผู้เล่นเอง ถ้าหากเพื่อนๆ พร้อมแล้ว เรามาเริ่มดูรายละเอียดของ DLC ตัวนี้กันเลยเนื้อเรื่อง'ยังไงสุดท้ายก็เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ?'เรื่องราวใน DLC จะเริ่มขึ้นในคืนหนึ่งที่ Jordi Chin ติดต่อมาหา Aiden Pearce เพื่อขอให้เขาไปทำงานหนึ่งอย่างให้ที่ London ซึ่งในตอนนี้เป็นเมืองที่เข้าไปได้ยากมากๆ (ดังนั้นเข้าใจว่าเหตุการณ์ของ Bloodline น่าจะเกิดขึ้นหลังจาก Zero Day ในเนื้อเรื่องหลักแล้ว) ซึ่งใน Aiden ก็รับงานนี้ด้วยเหตุผลว่ามันเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พบหน้ากับหลายชาย Jackson ซึ่งย้ายไปอยู่ London อีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมานานแล้ว อย่างไรก็ตามในเช้าของวันที่เขากำลังลักลอบเข้าเมือง London ผ่านทางเรือ Aiden เป็นกังวลมากว่าเขาควรจะไปเจอหน้าครอบครัวดีหรือไม่ ซึ่งกัปตันที่เป็นเจ้าของเรือก็พูดเตือนสติเขาสั้นๆ ว่า 'มันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวลเลย เพราะยังไงสุดท้ายพวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันกับเธอไม่ใช่หรือ?'ภาพจะตัดมาอีกครั้งให้เราควบคุมเป็น Aiden ได้ และตึกเป้าหมายที่ต้องเข้าไปสืบข้อมูลก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว งานของ Aiden ในครั้งนี้คือการสืบว่า Thomas Rampart กำลังพยายามทำอะไรอยู่ใน London ซึ่งเป้าหมายของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่ตึกของ Thomas เอง แต่เป็น Labs ชั้นลึกสุดของ Broker Tech ที่ Thomas บุกเข้าไปเพื่อจะขโมยบางอย่าง งานจริงๆ ของ Aiden คือการถ่ายรูปสิ่งที่เกิดขึ้น ข้างในพร้อมกับหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำของ Thomas ซึ่งก็พบว่าเขาพยายามจะเข้ามาขโมยสิ่งที่ชื่อว่า Broker Bridge แต่ในวินาทีที่เขากำลังเก็บเจ้า Broker Bridge มาด้วย เพื่อป้องกันให้มันไม่ไปถึงมือ Thomas อยู่ดีๆ ก็มีคนใส่ชุดลองห่น ย่องเข้ามาขโมยมันไปต่อหน้าต่อตาเขาเลย ซึ่งชายคนนั้นก็คือ Wrench นั้นเองAiden วิ่งตาม Wrench ไปเพื่อที่จะแย่ง Broker Bridge มา เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานให้กับใคร Wrench พยายามจะใช้โดรนขนาดใหญ่ของเขาในการบินหนี แต่ Aiden ก็สามารถปีนขึ้นไปบนโดรนดังกล่าวได้สำเร็จ ก่อนที่มันจะบินขึ้นไปสูงๆ ทั้งสองต่อสู้แย่งชิง Broker Bridge กันอยู่นาน ก่อนที่ Aiden จะเป็นฝ่ายพลาดท่า และตกลงมาจากโดรนบนดาดฟ้าแห่งหนึ่งแล้วสลบไปพระเอกของเราตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังโดนพัฒนาการ โดยมี Thomas และหุ่นยนต์ของเขาสองตัวอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาจะพยายามถามหาที่อยู่ของ Wrench และ Broker Bridge เนื่องจากคิดว่าทั้งสองร่วมมือกันเพื่อขโมยมันออกมา แน่นอนว่า Aiden ไม่รู้ที่อยู่ของ Wrench แต่บอกว่าเขาสามารถตามหาที่อยู่ของอีกฝ่ายได้ Thomas ขู่ว่าเขาจะจับ Jackson เป็นตัวประกัน เพื่อที่ Aiden จะได้ไม่หักหลังเขา ซึ่งแน่นอนว่า Aiden ไม่ยอมเรื่องราวคร่าวๆ ในช่วงแรกของ DLC ก็จะเป็นประมาณนี้ โดยเพื่อตามหาตัว Wrench ผู้เล่นจะได้ออกเดินทางไปทั่ว London เพื่อตามหาจากเบาะแสที่มี พร้อมทั้งได้ดูเรื่องราวความรักภายในครอบครัวของบ้าน Pearce ไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าโดยรวมแล้วเนื้อเรื่องจะไม่ได้ยาวอะไรมากมายนัก แต่ก็ได้ทำให้เราได้กลับมานั่งคิดถึงความรักที่คนในครอบครัวเดียวกันควรมีให้กัน รวมถึงคุณธรรมพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรจะมี นับได้ว่าเป็น 10 ชั่วโมงที่สนุกมากเกมเพลย์"ได้เวลาแฮ็กทุกอย่างที่ขวางหน้า!"เบื้องต้นรูปแบบการเล่นของ Bloodline ไม่ได้แตกต่างจากเกมหลักเท่าไหร่นัก Aiden และ Wrench จะมีความสามารถแตกต่างกัน และจะปลดล็อกอาวุธ หรือความสามารถในการแฮ็กได้จากการทำเควสรองกลุ่ม Resistance แต่ในเนื้อเรื่องของ Bloodline จะไม่สามารถเพิ่มตัวละคร หรือชักชวนคนมาเข้าทีมเพิ่มเหมือนในโหมดหลักได้ หรือก็คือจนจบเนื้อเรื่องของ Bloodline ผู้เล่นจะสามารถเล่นได้แค่ Aiden และ Wrench เท่านั้นทีนี้มาพูดถึงความสามารถของทั้งสองตัวละครกัน ทางฝั่ง Aiden จะมาพร้อมกับอุปกรณ์ Gadget ที่สามารถแฮ็กทุกอย่างในรัศมีรอบๆ ตัวพร้อมๆ กันได้ชื่อว่า System Crash ซึ่งหากใช้กลางเมือง รถยนต์ทั้งหมดจะวิ่งไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้ โดรนทั้งหมดจะหยุดทำงาน อาวุธปืน กับอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดจะโดนรบกวน เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ใช้เพื่อสร้างความปั่นป่วน หรือจะใช้ในการต่อสู้ก็สามารถทำได้ นับว่าเป็นความสามารถที่เก่งมากๆต่อมาคือสกิลที่ชื่อว่า Gunslinger สกิลนี้จะทำให้ Aiden ได้รับโบนัสดาเมจจากปืนหากสามารถกด Reload ได้ตรงจังหวะ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำดาเมจเสริมได้แรงมากๆ แล้ว มันยังช่วยทำให้การ Reload กระสุนปืนเร็วมากขึ้นเป็นอย่างมากด้วย และสกิลสุดท้ายมีชื่อว่า Focus โดยสกิลนี้จะทำให้ภาพรอบตัวของเราช้าลง เมื่อทำการเล็งปืนหลังจากทำการ Takedown ศัตรู ช่วยให้สามารถยิ่งศัตรูตัวต่อไปได้เร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่เก่งมากๆ ตัวหนึ่งทางด้านของ Wrench จะมาพร้อมกับอาวุธประชิดเป็นค้อนสายฟ้าขนาดใหญ่ ทำให้เขาเป็นตัวละครที่โจมตีระยะประชิดได้แรงมาก แถมยังมีความสามารถเอาค้อนทุบไปที่พื้นอย่างรุนแรงสร้างคลื่นกระแทกสายฟ้าไปโดยรอบ สามารถใช้งานได้ผลดีกับหุ่นยนต์ รวมถึงศัตรูที่มีเกราะหนัก ถ้าหากว่าใครเป็นสายชอบต่อสู้ระยะประชิดบอกเลยว่าต้องถูกใจ Wrench อย่างแน่นอนWrench ยังมาพร้อมกับความสามารถอีก 2 อย่างคือ Ninja Balls อุปกรณ์ Gadget ขนาดเล็กทรงกรม ที่สามารถขว้างออกไประเบิดทำความเสียหายพร้อม Stun และ Slow ศัตรูได้ กับ Summon Sergei ที่ทำให้เขาสามารถเรียกใช้งานโดรนขนาดใหญ่ ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ช่วยเพิ่มตัวเลือกในการลักลอบเข้าไปยังพื้นที่สีแดงผ่านทางหลังคา หรืออากาศได้ พร้อมทั้งยังใช้เป็นยานพาหนะในการหลบหนีได้เป็นอย่างดีหลังจากเล่นเนื้อเรื่อง Bloodline จนจบแล้ว เพื่อนจะสามารถสลับไปมาระหว่าง 2 ตัวละครเพื่อสำรวจ London ต่อได้ รวมถึงยังสามารถเอาทั้งสองเข้าทีมได้ภายในตัวเกมหลัก ผ่านการทำภารกิจ Recruit ทั้งสองเข้าทีม โดยเริ่มเควสได้ทีหน้าร้าน The Earl's Fortune เมื่อไปถึงจะได้พบกับทั้ง Aiden และ Wrench ยืนอยู่หน้าร้านเลย สามารถเข้าไปคุยกับทั้งสองเพื่อเริ่มเควสได้ตลอดเวลาสรุปแม้ว่า Bloodline จะเป็น DLC ราคา 400 บาทที่ไม่ได้เพิ่มรูปแบบการเล่นใหม่ หรือระบบใหม่ๆ สุดน่าสนใจเข้ามาให้เราได้สัมผัส แต่การนำตัวละครที่เรารักจากเกมสองภาคแรก มาใส่ไว้ในเกมนี้พร้อมกับ แต่งเนื้อเรื่องสุดน่าสนใจ เล่าให้เราได้เห็นความหลัง รวมถึงเรื่องราวหลังจากนั้นของพวกเขา (แอบบอกใบ้เล็กน้อยว่าเราจะได้เห็นอดีตที่ Aiden พระเอกของเราเก็บซ้อนเอาไว้ในใจภายใน DLC ตัวนี้ด้วย!) เชื่อว่าจะต้องถูกใจแฟนๆ Watch Dogs ที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกอย่างมากแน่นอน ขอยืนยันเลยว่าคุณจะสนุกไปกับเรื่องราวของ DLC กว่า 10 - 15 ชั่วโมงเต็มชนิดที่ลืมเวลากันไปเลยทีเดียว แถมยังเอาตัวละครทั้งสองไปป่วนเมื่อง London ต่อได้อีกด้วย เมื่อพิจารณาจากความสนุกที่ได้จาก DLC Bloodline แล้ว คิดว่าควรให้คะแนนอยู่ที่ 7 เต็ม 10 สำหรับแฟน Watch Dogs นี้คือ DLC ที่คุณไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด และสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนแล้ว นี้ก็ยังเป็น DLC ตัวหนึ่งที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องดีๆ และขอคิดมากมายให้ได้เรียนรู้ มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหากจะยอมจ่ายเงินอีกเล็กน้อยเพื่อให้ได้เล่นส่วนเสริมนี้ครับ
21 Jul 2021
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter Stories 2 "มอนฮันวัยใส รูปแบบใหม่ของเกมล่าแย้ที่คุ้นเคย"
แม้จะเป็นแฟรนไชส์เกมที่นิยมไปทั่วโลกมายาวนาน โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากการมาถึงของเกม Monster Hunter: World แต่สำหรับเกมเมอร์หลายๆ คนนั้น คำกล่าวขานถึงความ “โหดหิน” ของเกมเพลย์ของซีรีส์ Monster Hunter ก็ยังเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้น ทำให้รู้สึกว่าการก้าวเข้าสู่บทบาทของนักล่าแย้เพื่อเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจยักษ์ใหญ่มากมายในเกมก็ยังเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขาเพราะ “เล่นไม่เก่ง” หรืออาจจะ “ไม่ชอบ” เกมเพลย์การต่อสู้อันมีเอกลักษณ์ของซีรีส์ คล้ายกับคนที่ไม่กล้าลองเล่นเกมซีรีส์ SoulsBorne ที่อาจจะไม่อยากต่อกรกับความยากแสนสาหัสของเกม หรือไม่ชอบเกมเพลย์ในหลายๆ แง่เกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin เปรียบเสมือนกับเกมที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่มีความสนใจจะสัมผัสกับประสบการณ์การล่าแย้อันน่าหลงไหลของซีรีส์ Monster Hunter ในรูปแบบที่อาจจะ “เป็นมิตร” กับคนที่ไม่ถนัดเกมเพลย์แนวแอคชั่น ด้วยการเปลี่ยนมาใช้เกมเพลย์แนวเทิร์นเบสแบบ JRPG ทั่วไปแทน ซึ่งทำให้ไม่ต้องพึ่งพาฝีมือการหลบหลีกหรือกดคอมโบ แต่ก็ยังคงบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเรียนรู้อุปนิสัยหรือรูปแบบการโจมตีของมอนส์เตอร์แต่ละตัวเพื่อความได้เปรียบในการต่อสู้ ซึ่งก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กันของเกม Monster Hunter ซีรีส์หลักแม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และยังมีจุดที่น่าจะยังปรับปรุงได้อีกมากในฐานะเกม RPG แต่ Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin ก็ยังถือเป็นเกมที่ควรค่าแก่การเล่นมากๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่สนใจแฟรนไชส์ Monster Hunter มาตลอดแต่ไม่ชอบเกมเพลย์ หรือเป็นคอ JRPG ตัวยง หรือกระทั่งคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์แนวสะสมมอนส์เตอร์เหมือน Pokemon บอกเลยว่าเกมนี้มีให้คุณเต็มๆ แน่นอนเรื่องราวของเกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็น ‘Rider’ หรือนักขี่แย้มือใหม่แห่งหมู่บ้าน Mahana Village ที่ผู้เล่นสามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยตัวเอกจะมีมอนส์เตอร์คู่ใจเป็นเจ้ามังกร Rathalos ในตำนาน ที่ว่ากันว่าอาจจะนำมาซึ่งหายนะ แถมเจ้า Rathalos คู่ใจของเรายังดูจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ ‘Rage Ray’ ที่ทำให้มอนส์เตอร์จากทั่วโลกบ้าคลั่งและโจมตีมนุษย์อีกต่างหาก เราจึงต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ รวมไปถึงที่มาของพลังปริศนาในตัว Rathalos ของเรานั่นเองแม้จะฟังดูยิ่งใหญ่เป็นเรื่องเป็นราว แต่กลับน่าเสียดายที่เนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin (ต่อไปขอย่อเหลือ MHS2) ก็ยังประสบปัญหาไม่ต่างจากเนื้อเรื่องในเกม Monster Hunter ทั่วไป หรือก็คือมันค่อนข้างเบาบางมากๆ ราวกับว่าผู้พัฒนาใส่เนื้อเรื่องเข้ามาเพื่อขับเคลื่อนตัวละครและผู้เล่นไปข้างหน้าเท่านั้น โดยแม้ว่าในเกม Monster Hunter สายหลักอาจจะไม่ได้เป็นปัญหานัก แต่ในเกม RPG อย่าง MHS2 เนื้อเรื่องเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อประสบการณ์โดยรวมมากกว่าหลายเท่า และยิ่งเกมมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้เล่นวัยเด็กๆ มากกว่าด้วย ทำให้เนื้อเรื่องของเกมยิ่งรู้สึกมักง่ายหรือเดาทางออกยิ่งขึ้นไปอีกทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเกมมัน “ห่วย” ไปซะทีเดียว แต่เช่นเดียวกับการดูรายการโทรทัศน์ที่สร้างมาสำหรับเด็ก บางครั้งก็รู้สึกว่ารูปแบบการเล่าเรื่องหรือเหตุผลเบื้องหลังการกระทำต่างๆ ค่อนข้างขาดน้ำหนักไป แถมจังหวะการเล่าเรื่องยังมีความคล้ายกันจากเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่งด้วย ซึ่งทำให้ทุกอย่างรู้สึกราบเรียบ ไม่มีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ให้ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่ตลอดระยะเวลากว่า 40-50 ชั่วโมงที่ใช้ในการเล่นเนื้อเรื่องงจนจบแต่เช่นเดียวกับเกม Monster Hunter กระแสหลัก สิ่งที่กอบกู้เกม MHS2 เอาไว้ได้ก็คือเกมเพลย์ JRPG ของเกมนั่นเอง! โดยในขั้นพื้นฐานนั้น การต่อสู้ในเกมจะตั้งอยู่บนแนวคิด “เป่ายิ้งฉุบ” ด้วยการมีชนิดของการโจมตีสามแบบ Power, Speed, Tech ที่แพ้ชนะกันเองเหมือนค้อน กรรไกร กระดาษนั่นเอง โดยมอนส์เตอร์ทุกตัวในเกม ทั้งที่เป็นของผู้เล่นและมอนส์เตอร์ป่าทั่วไป จะมีชนิดการโจมตีที่ถนัดของตัวเอง เช่นเจ้า Rathalos คู่หูของเราจะเป็นสาย Power ในขณะที่มอนส์เตอร์ยอดนิยมอย่าง Nargacuga จะเป็นสาย Speed เป็นต้น แถมมอนส์เตอร์บางตัวยังสามารถเปลี่ยนชนิดการโจมตีของตัวเองได้อีก (เช่น Rathalos เมื่อบินอยู่จะกลายเป็นสาย Speed) ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเรียนรู้รูปแบบการโจมตีของมอนส์เตอร์แต่ละตัวเช่นเดียวกับในเกมมอนฮันทั่วไปเมื่อเลือกชนิดการโจมตีที่เอาชนะการโจมตีของมอนส์เตอร์ได้ ผู้เล่นจะสามารถลดความเสียหายที่ได้รับพร้อมกับเพิ่มความเสียหายที่ศัตรูได้รับไปพร้อมกัน และถ้าเลือกชนิดการโจมตีตรงกับคู่หูมอนส์เตอร์ของเราก็จะสามารถใช้ท่าคู่ Double Attack เพื่อยกเลิกการโจมตีของศัตรูไปได้เลย โดยการเอาชนะศัตรูในการเลือกชนิดโจมตีจะเพิ่มเกจ Kinship Meter ของเราที่สามารถใช้สั่งการมอนส์เตอร์คู่หู หรือจะเก็บไว้จนเต็มเพื่อปล่อยไม้ตายประจำตัวของมอนส์เตอร์นั้นๆ ก็ยังได้ แน่นอนว่าระบบการต่อสู้ยังมีเบื้องลึกอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบอาวุธของตัวละครผู้เล่นที่สามารถเปลี่ยนไปมา 3 ชนิดด้วยกันเพื่อทำลายจุดอ่อนส่วนต่างๆ ของมอนส์เตอร์ (เช่นหาง เขี้ยว หรือขา เป็นต้น) เพื่อเก็บชิ้นส่วนมาใช้ในการสร้างอาวุธและชุดเกราะให้กับตัวละครเพื่อให้ได้รับสกิลติดตัวต่างๆ หรือระบบการแพ้-ชนะธาตุในเกม พูดง่ายๆ ว่าแม้ภายนอกจะดูเหมือนเกมที่ออกแบบมาให้เด็กๆ เล่นกัน แต่ถ้ามองลึกลงไปจะเห็นได้ว่าเกมนี้มีระบบที่ลึกซึ้งให้ผู้เล่นได้ศึกษามากมายหากต้องการจะเข้าถึงเนื้อหายากๆ หรือระบบ PvP ในเกมนอกเหนือจากการต่อสู้ อีกองค์ประกอบสำคัญของ MHS2 ย่อมหนีไม่พ้นการเสาะหามอนส์เตอร์คู่หูชนิดต่างๆ มาร่วมทีมนั่นเอง ในระหว่างเดินทางไปในโลกของเกมผู้เล่นจะได้พบกับรังแย้หรือ ‘Den’ ของมอนส์เตอร์ที่ผู้เล่นสามารถเข้าไปเก็บไข่ออกมาฟักและเลี้ยงได้ โดยไข่ที่พบในรังทั่วไปมักจะสุ่มมอนส์เตอร์ในพื้นที่มาให้ แต่ผู้เล่นสามารถเลือกหารังของมอนส์เตอร์ที่เราต้องการโดยเฉพาะได้ด้วยการทำให้มันหนีไปหลังเอาชนะมันในการต่อสู้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้ไอเทม Paint Ball ก่อนที่จะฆ่ามัน หรือด้วยการทำตามเงื่อนไขเฉพาะตัวของมอนส์เตอร์ (เช่นเอาชนะด้วยการโจมตีธาตุไฟ เป็นต้น) ก็จะทำให้เราสามารถพบกับรังที่รับประกันว่าเป็นไข่ของมอนส์เตอร์ตัวนั้นๆ ได้ความลึกซึ้งของระบบนี้จะเข้ามาเมื่อเราพูดถึงระบบยีนส์ (Genes) ของมอนส์เตอร์ ที่เปรียบเสมือนสกิลที่พวกมันมีติดตัวมาแต่กำเนิดนั่นเอง โดยผู้เล่นจะสามารถมอบยีนส์จากมอนส์เตอร์ตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่งได้อย่างอิสระด้วยระบบ Right of Channeling ทำให้สามารถมอบท่าโจมตีหรือความสามารถพิเศษติดตัวให้กับมอนส์เตอร์ที่เราชอบได้อย่างอิสระ หากอยากได้เจ้าจ๋อ Rajang ที่มุดดินได้เหมือน Diablos ก็แค่ย้ายยีนส์มุดดินจาก Diablos มาใส่ และเมื่อเรียงยีนส์สีหรือชนิดเดียวกันได้ครบ 3 ช่องจะทำให้ได้รับโบนัส Bingo Bonus ที่เพิ่มพลังโจมตีเข้าไปอีก การวางแผนและจัดเรียงยีนส์ของแย้ตัวรักให้มันกลายเป็นมอนส์เตอร์สุดเทพจึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มอบความเพลิดเพลินให้ผู้เล่นได้ยาวๆ อีกเช่นกัน คล้ายกับการหาโปเกม่อนที่มีนิสัยหรือสกิลติดตัวที่ต้องการ แต่สามารถควบคุมได้เองมากกว่าสำหรับเกมเพลย์ทั้งสอบรูปแบบที่กล่าวถึงไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสองขาหลักของเกม MHS2 เลยก็ว่าได้ ซึ่งความน่าสนใจคือทั้งสองระบบนี้ล้วนนำเสนอ “ตัวตน” ของ Monster Hunter ออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน เช่นการจดจำและศึกษาพฤติกรรมของมอนส์เตอร์ การล่าแย้เพื่อหาชิ้นส่วนมาสร้างของ หรือการหาไข่แย้ที่มีสกิลที่ต้องการสำหรับคู่หูตัวโปรดของเรา (ซึ่งก็คล้ายๆ กับการฟาร์มชิ้นส่วนมอน์เตอร์นั่นแหละ) ผลลัพธ์คือ MHS2 ยังคงสามารถมอบ “แก่น” ของประสบการณ์ Monster Hunter ให้กับคนเล่นได้อย่างถึงพริกถึงขิง แม้จะนำเสนอออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตามทีในส่วนของกราฟิกนั้น ยอมรับว่ากราฟิกแนวการ์ตูนของเกมอาจจะเป็นรสนิยมของผู้เล่นแต่ละคน แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบความสีสันสดใสของโลกในเกมนี้มากๆ รวมไปถึงโมเดลและอนิเมชั่นของเหล่ามอนส์เตอร์ที่ยังรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละตัวเอาไว้ได้ในรูปแบบที่น่ารักน่าชังไปหมด เหมาะกับการเล่นอบบพกพาบนเครื่อง Nintendo Switch มากๆ แต่ก็อาจจะยังมีปัญหาเรื่องฉากที่ใช้ซ้ำกันบ่อยๆ โดยเฉพาะฉากรังมอนส์เตอร์หรือดันเจี้ยนหลายแห่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายกันหมดนอกจากนี้ เกมใน Nintendo Switch ยังมีเฟรมตกอยู่บ้างในหลายๆ ฉาก แม้จะไม่ได้หนักหนานัก แต่ถ้าใครมีปัญหากับการเห็นเฟรมตกแบบปุบปับ (เช่นเห็นแล้วเวียนหัวหรือเมา) อาจจะพิจารณาไปเล่นบน PC แทน เพราะแม้คุณภาพกราฟิกจะต่างกันไม่มากนัก (เนื่องจากเกมเป็น Port จาก Switch ไป) แต่เรื่องเฟรมเรตนิ่งกว่าใน Switch มาก แถมยังไม่กินสเป๊กเครื่องเลยด้วยกล่าวโดยสรุป หากคุณเป็นแฟนของซีรีส์ Monster Hunter อยู่แล้ว และอยากสัมผัสประสบการณ์ Monster Hunter แบบใหม่ หรือคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกม Monster Hunter มาตลอดแต่ไม่กล้าลองเพราะกลัวไปไม่รอด Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้คุณได้ก้าวขาเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่ของเหล่าแย้ในรูปแบบที่เป็นมิตรมากกว่า และเช่นเดียวกับเกม Monster Hunter กระแสหลัก เมื่อคุณหยิบมันขึ้นมาแล้วคุณจะวางมันไม่ลงเลยทีเดียว 
19 Jul 2021
[ Review ] Scarlet Nexus 'เกมแอคชั่นรสเก่า พร้อมน้ำจิ้มสไตล์อนิเมะอันจัดจ้าน'
ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่นที่ออกแบบมาได้อย่างสนุกเร้าใจ รวมไปถึงเนื้อเรื่องและการนำเสนอสไตล์อนิเมะแบบสุดทางอันเป็นของถนัดของผู้พัฒนา Bandai Namco ด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานเกมแอคชั่นสไตล์อนิเมะใหม่ล่าสุดอย่าง Scarlet Nexus เป็นเกมที่น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเกมเพลย์การต่อสู้อันรวดเร็วในสไตล์เดียวกับ Devil May Cry และ Bayonetta หรือคนที่ชื่นชอบการนำเสนอและเนื้อเรื่องแบบอนิเมะจ๋าๆ อย่างในเกมตระกูล Tales เป็นต้นแต่ในขณะเดียวกัน Scarlet Nexus ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับเกมจากผู้พัฒนาฝั่งญี่ปุ่นหลายๆ เกมตรงที่องค์ประกอบสำคัญหลายส่วนให้ความรู้สึก "เก่า" อย่างชัดเจน เช่นในการออกแบบแผนที่ การออกแบบอนิเมชั่นตัวละคร หรือกระทั่งฉากสนทนาระหว่างตัวละคร ล้วนให้ความรู้สึกราวกับเป็นเกมจากสมัย 5 ปีที่แล้วตลอดเวลา ซึ่งเอาเข้าจริงก็อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อส่วนที่สำคัญที่สุดของเกมอย่างเกมเพลย์การต่อสู้นัก แต่ก็ทำให้เกมในภาพรวมรู้สึกจำกัดมากกว่าที่ควรจะเป็นในยุคคอนโซลใหม่นี้เนื้อเรื่องของเกม Scarlet Nexus จะตั้งอยู่ในอนาคตหลายพันปี หลังจากที่โลกโดนรุกรานโดยสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ถูกเรียกว่า "Others" โดยเหล่าปีศาจพวกนี้มีความทนทานอย่างน่าประหลาดต่ออาวุธปกติของมนุษย์อย่างปืนและระเบิด ทำให้มนุษย์ต้องพึ่งพากลุ่มทหารพิเศษที่ชื่อว่า 'OSF' ซึ่งมีความสามารถพลังจิตชนิดต่างๆ ในการกำจัดเหล่า Others และปกป้องอารยธรรมที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดเกมจะให้ผู้เล่นเลือกติดตามตัวละครได้สองตัวคือ Yuito Sumeragi และ Kasane Randall โดยทั้งสองจะเริ่มต้นเกมในฐานะทหารฝึกหัดน้องใหม่ของกลุ่ม OSF และจะมีเนื้อเรื่องของตัวเองที่ดำเนินไปพร้อมๆ กันอีกด้วย หมายความว่าผู้เล่นจะต้องเล่นเนื้อเรื่องของทั้ง Yuito และ Kasane เพื่อที่จะเข้าใจเหตุการณ์เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดในเนื้อเรื่อง ซึ่งการเล่นเนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งครั้งจะใช้เวลาราวๆ 20-25 ชั่วโมง (ผู้เขียนใช้เวลาไปราวๆ 40 ชั่วโมงเพื่อจบเนื้อเรื่องของทั้งสองตัวละคร โดยมีการข้ามฉากบางฉากที่ซ้ำกันในแต่ละเส้นเรื่อง)ในระดับหนึ่ง แม้ว่าเนื้อเรื่องจะไม่ได้ใหม่ แถมยังแอบซ้ำกับเนื้อเรื่องของเกมผู้พัฒนาเดียวกันอย่าง God Eater ค่อนข้างตรงๆ ตัวเลย (เปลี่ยนจาก Others เป็น Aragami และทหาร OSF เป็นหน่วย God Eater) แต่ก็ต้องชมว่าเนื้อเรื่องของ Scarlet Nexus เขียนออกมาได้ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้พอสมควร แม้ในช่วงแรกๆ จะดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องของเกมจะคาดเดาได้ง่าย แต่ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น เช่นการเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการเมืองหรือการเหยียดชนชั้นเข้ามา มีการหักมุมครั้งแล้วครั้งเล่าที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งหากจะมีข้อเสียก็คงเป็นการที่เนื้อเรื่องถูกหารออกเป็นสองส่วนเช่นนี้ ทำให้การเล่นเนื้อเรื่องครั้งแรกรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือข้ามบทหรือดูซีรีส์ข้ามตอนไปเหมือนกัน โดยต้องเล่นเนื้อเรื่องของอีกตัวละครให้ถึงจุดเดียวกันกว่าจะเข้าใจทุกอย่างได้เต็มที่จริงๆ ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นก็อาจจะใช้เวลานานมาก ผู้เล่นหลายคนอาจจะหมดความอดทนหรือเบื่อไปซะก่อนได้ง่ายๆในส่วนของงานภาพ กราฟิกแนวอนิเมะของเกมก็ทำออกมาได้ในระดับที่ค่อนข้างดี และเป็นการพัฒนาขึ้นจากเกมก่อนหน้าของ Bandai Namco อย่าง Code Vein อย่างชัดเจน แถมการออกแบบชุดของตัวละครที่ผสมผสานเสื้อเกราะญี่ปุ่นโบราณของนินจาและซามูไร เข้ากับความไฮเทคในแบบ cyberpunk ก็ค่อนข้างน่าสนใจ แต่ในส่วนของอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว หรือการออกแบบโลกของเกมที่เหลือกลับไม่ได้มีอะไรที่น่าจดจำเป็นพิเศษ และในหลายจังหวะกลับทำให้เกมรู้สึกเก่าอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ฉากที่ดูเหมือนจะหลากหลายของเกมก็มักจะมีลักษณะเป็นเพียงห้องกว้างๆ ที่เชื่อมโดยทางเดินเหมือนๆ กัน แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะหน้าตาไม่เหมือนกันก็ตาม แม้กระทั่งเมืองที่เกมเปิดให้ผู้เล่นสำรวจยังเปิดให้เดินได้จริงแค่ถนนสองเส้นเท่านั้น และไม่มีร้านค้าหรือกิจกรรมอะไรให้ทำในเมืองนอกจากดำเนินเนื้อเรื่อง ทำให้โลกของเกมรู้สึกแคบและไร้ชีวิตชีวาไปซะหน่อย ซึ่งน่าเสียดายเป็นพิเศษสำหรับเกมนี้ที่ออกแบบโลกมาได้น่าสนใจ แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นในการสร้างมิติให้กับเกมมากกว่าเดิมแต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น สิ่งที่เป็นจุดขายหลักจริงๆ ของ Scarlet Nexus ก็คือเกมเพลย์แนวแอคชั่นอันดุเดือดรวดเร็วของเกม ซึ่งผสมผสานการต่อสู้ด้วยอาวุธเข้ากับการใช้พลังจิตรูปแบบต่างๆ ในการรับมือกับศัตรู โดยตัวละครพื้นฐานทั้งสอง (Yuito และ Kasane) จะมีพลัง Telekinesis หรือการเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยพลังจิต ทำให้ผู้เล่นสามารถโยนสิ่งของต่างๆ ในฉากใส่ศัตรูเพื่อโจมตีได้ และเกมยังมีระบบที่เรียกว่า SAS ให้ผู้เล่นสามารถใช้พลังจิตของตัวละคร NPC ในทีมควบคู่ไปด้วยได้ เช่นพลัง Pyrokinesis (การควบคุมไฟ) หรือ Teleportation (การวาร์ป) เป็นต้น และเมื่อลดเกจ Break ของศัตรูจนหมดด้วยการทำคอมโบ ผู้เล่นก็จะสามารถใช้ท่าพิเศษ Brain Crush ในการปลิดชีพศัตรูทันทีแม้จะยังมี HP เหลือก็ตามการต่อสู้ในเกม Scarlet Nexus อาจจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ นั่นก็คือการร้อยเรียงท่าโจมตีของตัวละครหลักเข้าด้วยกันเพื่อทำคอมโบ และการเลือกใช้พลัง SAS ของเพื่อนร่วมทีมเพื่อรับมือกับความสามารถหรือจุดอ่อนของศัตรู เช่นการใช้พลัง Pyrokinesis ในการโจมตีศัตรูที่ติดสถานะ "น้ำมัน" (Oil) เพื่อทำให้ศัตรูไฟไหม้ หรือใช้พลัง Clairvoyance (ตาทิพย์) ในการมองหาศัตรูที่ล่องหนได้เป็นต้น โดยในช่วงแรกจะสามารถกดใช้ได้แค่ทีละท่า แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ จะสามารถใช้ท่า SAS พร้อมกันหลายท่าได้ ยิ่งทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายยืดหยุ่นมากไปอีก แถมเกมยังออกแบบมาให้ผู้เล่นสามารถต่อคอมโบได้เองค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับเกมอย่าง Devil May Cry ที่มีความซับซ้อนในการกดท่าเยอะ ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งรู้สึกลื่นไหลมันส์สะใจราวกับฉากบู๊ในอนิเมะอย่างไงอย่างงั้นเลยทั้งหมดทั้งมวลนั้น แม้ว่าการต่อสู้ในเกม Scarlet Nexus จะไม่ได้รู้สึกใหม่หรือ Next-Gen มากเท่าไหร่ แต่ก็ทำออกมาได้ในมาตรฐานที่ดีพอในแทบทุกด้าน ส่งผลให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกสนุกตลอดที่ได้เล่น แม้ว่าในช่วงท้ายๆ อาจจะเริ่มรู้สึกจำเจกับศัตรูและคอมโบเก่าๆ บ้าง แต่สำหรับผู้เขียนกว่าจะถึงจุดนี้ก็เกือบจบเนื้อเรื่องของตัวละครพอดี อีกนิดเดียวก็ได้เริ่มเล่นตัวละครตัวใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยนอกจากการต่อสู้แล้ว เกมจะมีระบบการพัฒนาตัวละครแบบ RPG รวมไปถึงระบบที่คล้ายการคราฟติ้งสิ่งของ และระบบการพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมในลักษณะคล้ายๆ กับเกมอย่าง Persona แต่ระบบเหล่านี้ทั้งหมดกลับไม่ได้ทำออกมาอย่างลึกซึ้งหรือน่าสนใจนัก โดยแม้ว่าระบบการพัฒนาตัวละครหรือการคราฟติ้งจะไม่ได้สำคัญนัก แต่น่าเสียดายระบบภารกิจเสริมเสริมทั้งหมดรวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ที่เกมเรียกว่า Bond Episode ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงคัตซีนที่เปิดเผยถึงเบื้องหลังของตัวละครเพื่อนร่วมทีม แต่คัตซีนเหล่านี้กลับเล่าผ่านหน้าต่างบทสนทนานิ่งๆ เป็นหลัก และหลายครั้งเป็นแค่การนั่งคุยกันเฉยๆ โดยที่แทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อาจจะมีภารกิจต่อสู้ขนาดเล็กมาคั่นบ้างประปรายแต่ก็น้อยมาก ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ Scarlet Nexus รู้สึกเหมือนเกมเก่า มากกว่าเกมสมัยใหม่ที่ควรจะเล่าเรื่องหรือทำอนิเมชั่นตัวละครในคัตซีนได้มากกว่าแค่หน้าต่างบทสนทนาประกอบกับภาพหน้าตัวละครผู้พูดนอกจากนี้ วิธีการเพิ่มระดับความสัมพันธ์ผ่านการให้ไอเทมของขวัญไปเรื่อยๆ ก็ค่อนข้างน่าเบื่อ และไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมายจริงๆ เหมือนในเกมอย่าง Persona แถมยังกึ่งๆ ว่าต้องทำด้วยเพื่อปลดล๊อคทักษะการต่อสู้เพิ่มเติมให้กับเพื่อนร่วมทีม รวมไปถึงสำหรับตัวเอกเมื่อใช้ SAS ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมคนนั้นๆ ด้วย ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า Scarlet Nexus จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าตื่นเต้น และคงไม่ใช่เกม Next-Gen อย่างที่หลายคนอาจจะหวังเอาไว้ แต่ก็ยังถือเป็นเกมแอคชั่นสไตล์อนิเมะที่น่าจะถูกใจแฟนเกมทั้งสองแนวแบบเต็มๆ โดยผู้พัฒนา Bandai Namco เองก็ดูจะคาดหวังให้เกมนี้พัฒนาไปเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ ดูจากการที่เกมได้รับการดัดแปลงเป็นซีรีส์อนิเมะที่ออกฉายพร้อมกับเกมด้วย ใครเป็นแฟนผู้พัฒนาเจ้านี้ควรจะจับตามองเกมนี้ให้ดีๆ เลยว่าจะต่อยอดไปสู่อะไรได้ในอนาคต
02 Jul 2021
Hyrule Warriors: Age of Calamity กับ Expansion Wave แรกคุ้มไหม? มีอะไรใหม่บ้าง?
เป็นยังไงกันบ้างครับกับงาน E3 ปีนี้ ได้เห็นเกมที่อยากเห็นกันบ้างไหม หรือผิดหวังเหมือนปีก่อน ๆ เพราะค่ายเกมกั๊กไว้ไปโชว์ในงานตัวเอง สำหรับตัวผู้เขียนนั้นเริ่มชินแล้วละครับ แต่ก็ต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ในงานวันสุดท้ายที่ Nintendo เริ่มโชว์ของ เพราะมีเกมโปรดของผู้เขียนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Shin Megami Tensei V, Metroid Dread ,The Legend of Zelda : BotW 2 แต่ส่วนที่ทำให้ว้าวที่สุดเลยคือ Expansion(หรือ DLC) ของ Hyrule Warriors : Age of Calamity ที่หลังจากเงียบไปนาน ก็กลับมาพร้อมเทรลเลอร์แล้วประกาศขายในอีก 3 วันข้างหน้าทันที!โดยทาง Nintendo ได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่า Hyrule Warriors: Age of Calamity จะแบ่ง DLC ออกเป็น 2 เวฟ ขอแค่ผู้เล่นจ่ายเงินซื้อครั้งเดียวก็จะได้ DLC ทั้ง 2 เวฟทันที แต่จะทยอยออกทีละเวฟ โดยในเวฟแรกนั้นได้ออกมาแล้วในวันนี้ (18/06/64) และเวฟที่ 2 จะตามมาติด ๆ ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อ DLC นี้ได้ทันทีตามโซนเกมของตัวเอง ราคาจะอยู่ประมาณ 700-900 บาทตามโซนหากไม่ชัวร์ว่าคุ้มค่าพอที่จะกดตอนนี้เลยไหม? หรือจะรอเวฟที่ 2 ออกมาก่อนดี? งั้นลองมาดูกันครับว่าเวฟแรกได้เพิ่มอะไรที่น่าสนใจมาบ้าง ศูนย์วิจัยสำหรับปลดล็อกไอเทมและความสามารถEx Royal Ancient Lab พร้อมเปิดให้ผู้มี DLC ได้เข้าใช้งาน ภายในมีของมากมายให้ปลดล็อกและอัปเกรด โดยใช้ไอเทมทั้งจากภารกิจในตัวเกมหลักและภารกิจใหม่จาก DLC รูนทั้ง 4 รูปแบบจะได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้นโดยแลกกับไอเทมและภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้เล่นต้องไปทำ การจะเข้าถึงอาวุธและตัวละครใหม่ ๆ ก็ต้องปลดล็อกจากศูนย์วิจัยนี้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของ DLC เลยทีเดียวภารกิจใหม่ ไอเทมใหม่ และศัตรูใหม่ๆภารกิจใหม่จะวนเวียนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของ Purah และ Robbie 2 หนุ่มสาวนักวิจัยวิทยาการโบราณ แต่ไม่ได้มีการขยายเรื่องราวอะไรเพิ่มเติม ซึ่งนอกจากภารกิจใหม่ที่เป็นเหมือนของตัวเกมหลักแล้ว (ปกป้องฐาน ไล่ฆ่าศัตรู ช่วยเหลือเพื่อน) DLC นี้ได้นำเสนอภารกิจชนิดใหม่ที่เราจะได้สู้กับ Vicious Monster ศัตรูผู้มาพร้อมกับออร่าสีแดงและบัฟเสริมพลัง (แต่ใช้โมเดลกับมูฟเซ็ตเดิม) แถมภารกิจนี้ยังสุ่มออกมาให้เล่นซ้ำได้เรื่อย ๆ เหมาะสำหรับการฟาร์มไอเทมไปปลดล็อกของในศูนย์วิจัย โดยต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าภารกิจใหม่ทุกอันนั้นมีความยากสูงกว่าภารกิจของตัวเกมหลักมาก ยากทั้งในเชิงของเลเวล และในเชิงการจัดวางศัตรู หากจะเล่นต้องมีการเตรียมพร้อมในระดับนึงในส่วนของศัตรูใหม่ก็เพิ่มมาเพียง 3 ชนิดคือ Moblin พกถังระเบิด, Giant Chuchu สไลม์ยักที่มีถึงให้สู้ถึง 4 ชนิด 4 ธาตุ และ Wizzrobe ขั้นสูงที่มี 3 ธาตุ น่าเสียดายที่มีศัตรูชนิดใหม่น้อย การต่อสู้ก็แตกต่างกับศัตรูหน้าเก่าไม่มากกระบองไม่ธรรมดา ยืดได้หดได้Flail หรือกระบองโซ่ เป็นอาวุธชนิดใหม่ของ Link สามารถหาได้จากการวิจัยในศูนย์วิจัย อาวุธชนิดนี้เน้นการโจมตีเป็นวงกว้างแต่ก็ยังไม่ทิ้งการโจมตีเป้าหมายเดี่ยว ความสามารถพิเศษ (ปุ่ม ZR) ของมันคือการขโมยอาวุธที่ศัตรูถืออยู่ได้ เช่น ขวาน ดาบ หอก โดยอาวุธที่ขโมยมามีความคงทนจำกัด เมื่อใช้หมดต้องรอสักพักจึงจะขโมยได้อีก ขณะนี้ Flail ในเกมมีทั้งหมด 3 รูปแบบ แต่ละรูปแบบท่าโจมตีหนัก (ปุ่ม X) ต่างกัน เช่น Sentinel Flail สามารถสร้างโล่ป้องกันด้านหน้าได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ (สั้นมาก ๆ ราวครึ่งวินาที) แม้จะพยายามใส่กิมมิคมามากมาย แต่นี่ก็ไม่ใช่อาวุธที่เล่นสนุกนัก เพราะการขโมยอาวุธก็ใช้ไม่ได้กับศัตรูทุกตัว การโจมตีมีระยะโจมตีแคบ และตัวอาวุธเองก็ไม่มีดรอปเพิ่มจากที่ไหนเซลด้ากลายเป็นเด็กแง้นๆๆMaster Cycle อาวุธใหม่อีกชิ้นของเจ้าหญิงเซลด้า สามารถปลดล็อกจากศูนย์วิจัยและมี 3 รูปแบบเช่นเดียวกับ Flail ของ Link แต่ Master Cycle นั่นเล่นสนุกกว่ามากมาย เพราะแต่เดิมอาวุธของ Zelda จะเน้นไปทางสายเทคนิค ผสมการโจมตีด้วยรูน และธนูที่เน้นเล่นกับเกจไม้ตาย ทว่ามอเตอร์ไซค์แทบจะกลายเป็นสายบ้าพลังเพียว ๆ การโจมตีมีทั้งชน ปาด ดริฟต์ ยิงคลื่นพลัง และความสามารถพิเศษที่จะชนทุกอย่างที่ขวางหน้าด้วยพลังเต็มร้อย แต่ต้องระวังหน่อยเพราะหากแง้นมากไปเครื่องจะร้อนจัดจนบิดคันเร่งไม่ออกตัวละครใหม่ Battle-Tested Guardianในตัวเกมหลักเรามี Terrako Guardian ตัวจิ๋วที่แกร่งไม่แพ้ Guardian ทั่วไป และใน DLC นี้เราก็มี Battle-Tested Guardian ซึ่งเป็น Guardian จากยุคก่อน เนื่องจาก Battle-Tested Guardian เป็นตัวละครที่มีขนาดใหญ่ก็ทำให้ระยะโจมตีกว้างขึ้นตามไปด้วย ท่าพิเศษเน้นไปที่การโจมตีด้วยเลเซอร์รอบทิศทาง เหมาะกับการกวาดศัตรูตัวเล็กตัวน้อย และความสามารถพิเศษที่สามารถล็อกเป้าหมายศัตรูได้หนึ่งตัวทำให้ท่าโจมตีพิเศษทุกท่าจะเล็งไปที่ศัตรูตัวนั้นก่อนเป็นเป้าหมายแรก ช่วยปิดจุดอ่อนการโจมตีที่กว้างและไม่มีท่าโจมตีเดี่ยวBattle-Tested Guardian สามารถนำมาใช้งานผ่านศูนย์วิจัยเช่นเดียวกัน โดยเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะปลดล็อกได้ ซึ่งอาจใช้เวลากว่า 4-6 ชั่วโมงเลยทีเดียวสรุปสิ่งที่เราจะได้รับจาก DLC Wave ที่ 1ความยากระดับ Apocalytic ชุดตกแต่งและดาบโล่ลายการ์เดี้ยนสำหรับ Link (ปลดล็อกตั้งแต่แรกสำหรับคนซื้อ DLC ซึ่งบางคนอาจได้มาแล้ว)ภารกิจและ Challenge กว่า 10 ภารกิจศัตรูใหม่ 3 ชนิดอาวุธใหม่ Flail สำหรับ Link และ Master Cycle สำหรับ Zeldaตัวละครใหม่ Battle-Tested Guardianเป็นยังไงกันบ้างกับ Expansion ตัวนี้ครับ มีอะไรถูกใจกันบ้างไหม หากท่านใดที่สนใจก็สามารถเข้าไปซื้อใน Ninterndo e-Shop กันได้เลยวันนี้ แล้วมาพบกับสรุป Expansion กันได้ใหม่เมื่อ Wave ที่ 2 ออกมาในเดือนพฤศจิกายนครับ
19 Jun 2021
Ratchet & Clank: Rift Apart PS5 Review "เจ้าของฉายา Pixar แห่งเกมที่แท้จริง"
แม้จะไม่ได้เป็นแฟรนไชส์เกมที่โดดเด่นมากในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับยุค 2000 ต้นๆ ที่เกมถือกำเนิดขึ้น แต่แฟรนไชส์ Ratchet & Clank ก็เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกม PlayStation Exclusive ที่มีประวัตืศาสตร์ยาวนาน และยังคงได้มีแฟนๆ หลายชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์นี้ที่ยังคงติดตามเกมภาคใหม่ๆ อย่างเหนียวแน่นตลอดมา ด้วยเสน่ห์ของแนวคิดเบื้องหลังการพัฒนาเกมของผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ตั้งเป้าไว้ให้ Ratchet & Clank เป็นดั่ง “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ทั้งในแง่ของอนิเมชั่น กราฟิก และเนื้อเรื่องที่แม้จะมุ่งเน้นให้กับเด็ก แต่ก็มีเนื้อหากินใจและมุขตลกที่ผู้ใหญ่สามารถเพลิดเพลินไปด้วยได้ในเวลาเดียวกันนับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วตั้งแต่ที่เกมภาคก่อนหน้านี้อย่าง Ratchet & Clank (PS4) วางจำหน่ายไป โดยเกมภาคล่าสุด Ratchet & Clank: Rift Apart ก็กำลังจะวางจำหน่ายให้กับเครื่อง PlayStation 5 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ (วันที่ 11 มิถุนายน) ในฐานะเกม PlayStation 5 Exclusive ฟอร์มใหญ่เกมแรกๆ ที่ไม่ใช่เกม Remake เหมือน Dark Souls (หรือถูกพัฒนาโดยค่ายอินดี้อย่าง Returnal) ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้เกมต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนๆ ไม่มากก็น้อยในการแสดงออกถึงศักยภาพของเครื่อง PS5 ทั้งในแง่ของกราฟิก เกมเพลย์ และความเปลี่ยนแปลงหรือข้อปรับปรุงที่ลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PS5 อย่างจอย DualSense หรือระบบเสียง 3D มีต่อประสบการณ์การเล่นโดยรวมหลังจากที่เล่นเกมจนจบเนื้อเรื่อง (ขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment และผู้พัฒนา Insomniac Games สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ผู้เขียนยืนยันได้ว่า Ratchet & Clank: Rift Apart สามารถมอบประสบการณ์ “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ที่ผู้พัฒนาตั้งมั่นไว้ได้อย่างไร้ที่ติในแง่ของกราฟิกและอนิเมชั่นที่สวยงามและมีเสน่ห์ในระดับที่ก้าวกระโดดขึ้นจากเกมในยุค PlayStation 4 อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ภายในฉากหลังหลายๆ ฉากยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ซึ่งทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตชีวาและรู้สึกกว้างใหญ่มากขึ้นไปด้วย ราวกับว่าผู้เล่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของโลกที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่ตลอดเวลาแต่เมื่อหันกลับมามองดูทางเกมเพลย์ แม้ผู้เขียนจะยังยืนยันว่าเกมเล่นสนุกมากๆ ตลอดระยะเวลาราว 25 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการเล่นเนื้อเรื่องจนจบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PlayStation 5 ยังไม่สามารถยกระดับเกมเพลย์ของ Rift Apart ให้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าได้มากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ และทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมไม่ได้ต่างจากเกม Ratchet & Clank (PS4) มากขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เกม Ratchet & Clank: Rift Apart ก็ยังถือเป็นผลงานที่คุ้มค่าในการเล่นอย่างแน่นอนสำหรับคนที่มีเครื่อง PlayStation 5 อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้สัมผัส “น้ำจิ้ม” ของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะตามมาในอนาคตเรื่องราวของ Ratchet & Clank: Rift Apart เริ่มขึ้นในงานเฉลิมฉลองอันใหญ่โตที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ์แก่คู่หูตัวเอก Ratchet และ Clank และเพื่อขอบคุณที่ทั้งสองได้ร่วมกันกอบกู้จักรวาลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในเกมภาคที่ผ่านๆ มา แต่งานยังไม่ทันได้เริ่มดีก็กลับโดนจู่โจมโดยกลุ่มวายร้ายที่ถูกว่างจ้างมาโดยหุ่นยนตร์สติเฟื่อง Dr. Nefarious ผู้ซึ่งต้องการขโมยปืนข้ามมิติ Dimensionator ที่ Clank ตั้งใจมอบให้ Ratchet ใช้เพื่อตามหาเหล่าสมาชิกเผ่าพันธุ์ Lombax ที่กระจัดกระจายอยู่ในมิติต่างๆ โดยในระหว่างการต่อสู้ Dr. Nefarious ผู้ซึ่งกำลังจะพ่ายแพ้อีกครั้งก็ตัดสินใจเปิดประตูมิติไปยังจักรวาลที่ “เขาคือผู้ชนะเสมอ” และดูดเอาคู่หูตัวเอกทั้งสองเข้าไปด้วยในระหว่างที่เดินทางข้ามมิติ Ratchet กลับพลัดกับ Clank โดยเขาตื่นมาเพื่อพบว่าตัวเองอยู่ในเมือง “Nefarious City” ที่ถูกปกครองโดย “จักรพรรดิ Nefarious” หรือร่างคู่ขนานของ Dr. Nefarious ในจักรวาลนี้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น Ratchet ยังพบว่าในจักรวาลนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ Lombax อีกคนอยู่ด้วย โดย Lombax สาวที่ชื่อว่า Rivet นี้ยังบังเอิญพบกับ Clank เข้า และตัดสินใจนำตัวเขาไปด้วยเพราะคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนตร์สมุนของ จักรพรรดิ์ Nefarious ทำให้ Ratchet จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อตามหาเพื่อนรักของเขา ในขณะที่ Clank ก็ต้องร่วมมือกับ Rivet ในการต่อสู้กับจักรพรรดิ์ Nefarious พร้อมกับหาวิธีสร้างปืนข้ามมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยความที่เกมถูกพัฒนามาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กซะมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องของ Ratchet & Clank: Rift Apart มีความเรียบง่ายอยู่พอสมควร แต่ก็ยังแฝงไปด้วยแง่คิดที่กินใจและมุขตลกแบบสองแง่สองง่ามเพื่อเอาใจผู้ใหญ่ ตรงตามสูตรของหนัง Pixar ที่เป็นแรงบันดาลใจของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งก็ทำหน้าที่มันได้ดี แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้มีอะไรพิเศษให้จดจำมากมายนักความรู้สึก “Pixar” ของเกมเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดจากกราฟิกและการนำเสนอโดยรวม ที่ทำให้บรรยากาศของเกมมีชีวิตชีวามากๆ เพราะมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในฉากหลังตลอดเวลา ตั้งแต่ NPC หุ่นยนตร์ที่จับกลุ่มแซวหัวหน้าที่ทำงาน หรือเหล่ารถบินได้ที่แล่นผ่านตึกสูงเสียดฟ้าจำนวนมากในเมือง Nefarious City ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดสามารถแสดงอยู่บนจอได้ในระดับความละเอียดเต็ม 100% โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเกมหลายคนที่เคยเล่น (หรือเคยติดตามข่าว) ผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Insomniac Games อย่าง Marvel’s Spider-man อาจจะพอจำเหล่า NPC ความละเอียดต่ำรูปร่างบิดเบี้ยวที่อยู่บนเรือในเกมได้ ที่ดูออกว่าถูกออกแบบมาให้มองจากไกลๆ เท่านั้น ผู้พัฒนาจึงสามารถลดทอนความละเอียดของโมเดลตัวละครลงเพื่อให้เกมไม่ต้องทำงานหนักเกินจำเป็น ซึ่งเกม Rift Apart ไม่จำเป็นต้องแลกความละเอียดของโมเดลสิ่งของเพื่อรักษามรรถภาพของเกมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ใบหญ้า ไปจนถึงรถบินได้ที่อยู่ไกลออกไปสุดระยะสายตา ล้วนมีรายละเอียดแบบจัดเต็มในระดับที่เกม PlayStation 4 ไม่มีทางทำได้แน่นอน แถมเกมยังสามารถรักษาเฟรมเรตของตัวเองเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเล่นเนื้อเรื่องทั้งหมดไปในโหมด Fidelity ที่ทำให้เกมแสดงผลที่ 4K, 30FPS พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษอย่าง Ray Tracing แบบเต็มสูบ เพราะโหมด Performance ที่รองรับเฟรมเรต 60FPS และโหมด Performance + Ray Tracing ได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากที่เล่นจบไปแล้ว จึงไม่ได้ใช้ในการพิจารณาสำหรับรีวิวนี้ (จะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในโหมดเหล่านี้ในช่วงท้ายของบทความ)แน่นอนว่ารายละเอียดด้านกราฟิกเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงในระหว่างการต่อสู้ด้วย โดยรายละเอียดของศัตรูทุกชนิดในเกมรวมไปถึงอาวุธหลากหลายชนิดของผู้เล่นเองอยู่ในมาตรฐานเดียวกับในฉากเมืองเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกซองที่ปล่อยพลังงานไฟฟ้าออกมาในระยะสั้น หรือปืนลำแสงขนาดใหญ่ที่ต้องชาร์จก่อนยิง ที่ล้วนปล่อยเอฟเฟกต์แสงสีเสียงจัดเต็มทุกครั้งที่ลั่นไก ซึ่งทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกดุเดือดขึ้นมาเสมอจากเอฟเฟกต์พิเศษที่อุบัติขึ้นทั่วจอตลอดเวลา นอกจากนี้ ศัตรูหลายชนิดในเกมยังมักจะมี “ชิ้นส่วน” อย่างชุดเกราะที่กระเด็นออกจากตัวทุกครั้งที่โดนยิง แถมเมื่อตายแล้วยังมักจะปล่อย “น๊อต” ที่เกมใช้แทนเงินเพื่อซื้ออาวุธออกมาเป็นเศษเล็กน้อยเต็มพื้น พูดง่ายๆ ว่าเกมจะมีเอฟเฟกต์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยไปมาแทบจะตลอดเวลาที่ต่อสู้ในระดับที่ไม่สามารถทำได้แน่นอนในคอนโซลรุ่นเก่า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเฟรมเรตของเกมเลยแม้แต่น้อย เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าจากเครื่อง PS4 มายังเครื่อง PS5 อย่างชัดเจนแต่ดังที่กล่าวไปข้างต้น ในขณะที่กราฟิกของเกมแสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดในศักยภาพของคอนโซลสองรุ่น ประสบการณ์การเล่นเกมเพลย์โดยรวมกลับไม่ได้พัฒนาไปมากนักเมื่อเทียบกัน โดยลูกเล่นที่รู้สึกว่าจะเพิ่มสัมผัสใหม่ให้กับการเล่นน่าจะเป็นปุ่ม Adaptive Trigger หรือปุ่ม L2/R2 ที่เกมสามารถปรับให้มีแรงต้านในระดับต่างๆ กันไปตามแต่ชนิดของอาวุธ และสามารถใช้ในการยิง Alternate Fire หรือโหมดพิเศษของปืนแต่ละชนิดได้ด้วย ยกตัวอย่างปืน The Executor ที่มีลักษณะคล้ายลูกซองแฝดซึ่งจะยิงกระบอกแรกเมื่อลั่นไกลงครึ่งทาง และกระบอกที่สองเมื่อลั่นไกลงจนสุด ซึ่งจะมีแรงต้านในปุ่มอนาล๊อคให้รู้ว่าตรงไหนคือครึ่งทาง ตรงไหนคือสุดทางด้วย หรืออย่างปืน Negatron Collider ที่สามารถชาร์จและยิงลำแสงขนาดใหญ่ใส่ศัตรู ซึ่งผู้เล่นสามารถดึงไกลงจนรู้สึกถึงแรงต้านเพื่อชาร์จ และดึงต่อจนสุดเพื่อปล่อยลำแสง เป็นต้นในช่วงที่เริ่มเล่นเกมแรกๆ การใช้ประโยชน์จากปุ่ม Adaptive Trigger เช่นนี้อาจจะรู้สึก “ใหม่” ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมหรือเพิ่มเติมประสบการณ์โดยรวมมากเท่าไหร่นัก กล่าวคือต่อให้เกมใช้วิธีควบคุมแบบเก่าๆ (เช่นการกด L2 ค้างไว้เพื่อชาร์จลำแสงและกด R2 เพื่อยิงเป็นต้น) ก็คงไม่ได้แตกต่างกันนักในความเป็นจริงนอกเหนือจากระบบ Adaptive Trigger (และระบบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้) เกมเพลย์การต่อสู้ ของ Rift Apart มีความแตกต่างกับเกมภาคก่อนๆ น้อยมาก แม้แต่ปืนหลายกระบอกยังดึงมาจากเกมภาค 2016 เป๊ะเลย และแม้ผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนไปควบคุมตัวละครใหม่อย่าง Rivet ได้ แต่เธอก็ไม่ได้มีความสามารถแตกต่างจาก Ratchet เลยแม้แต่น้อย และทั้งสองยังใช้อาวุธและเงินจากแห่งเดียวกันด้วย ความแตกต่างเดียวของการเล่นตัวละครทั้งสองจึงมีแค่หน้าตาเท่านั้น ผู้เล่นจะต้องต่อสู้กับกลุ่มศัตรูด้วยอาวุธชนิดต่างๆ ที่สามารถสลับไปมาได้อย่างรวดเร็ว เกมมักจะส่งศัตรูมาให้ผู้เล่นสู้พร้อมกันเป็นจำนวนมากๆ ด้วยเพื่อบังคับให้ต้องสลับอาวุธไปมาเพื่อใช้อาวุธที่เหมาะสมกับศัตรูแต่ละชนิดและเพื่อประหยัดกระสุน โดยในภาคนี้ยังเพิ่มระบบการพุ่งหลบที่เรียกว่า Phantom Dash เข้าไปด้วย อาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเหมือน Doom สำหรับเด็กก็คงไม่ผิดหนัก อาจจะไม่ใหม่ แต่รับประกันว่าสนุกเร้าใจ (แบบเด็กๆ) แน่นอนเกมเพลย์ส่วนอื่นๆ นอกจากการต่อสู้ก็ค่อนข้างคล้ายกับเกมภาคก่อนๆ เช่นเดียวกัน ผู้เล่นจะสามารถสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆ เพื่อทำภารกิจเสริมและเก็บเงินหรือเพชรไว้อัปเกรดอาวุธ และยังมีพัซเซิ่ลประปรายที่เกมเรียกว่า Anomoly ที่ผู้เล่นจะต้องบังคับ Clank เพื่อแก้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ยากมากมายนักเพราะออกแบบมาสำหรับเด็ก แต่ก็ท้าทายพอให้ต้องใช้สมองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไมไ่ด้แตกต่างหรือแปลกใหม่ไปกว่าการต่อสู้ของเกมหากจะมีระบบที่ดูจะเป็นการก้าวกระโดดขึ้นจากคอนโซลเก่าอาจจะเป็นระบบ Rift ที่ให้ผู้เล่นสามารถเดินทางข้ามประตูมิติขนาดเล็กๆ มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ตามฉาก รวมไปถึงประตูขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ตามดาวเคราะห์ต่างๆ ที่มีพัซเซิ่ลการกระโดด (Platformer) อยู่ข้างใน ซึ่งทั้งสองระบบทำงานอย่างลื่นไหลให้ผู้เล่นข้ามมิติไปมาได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องโหลดฉาก ที่ผู้พัฒนากล่าวว่าเป็นศักยภาพของตัว SSD ของ PS5 ที่ทำให้ระบบนี้เป็นไปได้ แต่เมื่อเช่นเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกใหม่นัก แต่เป็นเพียงการปรับปรุงการเล่นรูปแบบเก่าๆ ให้สมบูรณ์แบบขึ้นซะมากกว่าระบบ Performance Mode และ Performance RT Modeเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย ทางผู้พัฒนา Insomniac Games ก็ได้ปล่อยแพทช์เกมเวอร์ชั่นใหม่ที่เพิ่มโหมดแสดงผลแบบ 60FPS เข้าสู่เกมถึง 2 โหมดด้วยกัน: Performance Mode และ Performance RT Mode นั่นเองสำหรับ Performance Mode จะทำให้เกมเน้นความลื่นไหลมากกว่าความคมชัด โดยจะแสดงผลที่ความคมชัดต่ำกว่า 4K (ไม่มั่นใจว่า 2K หรือ Full HD แล้วอัพสเกลเอา) และลดความหนาแน่นของสิ่งของและ NPC ในฉากลงอีกด้วย เพื่อให้เกมสามารถรันที่ความเร็ว 60FPS ได้แบบไม่มีสะดุด โดยจากการทดลองพบว่าเกมสามารถรักษาเฟรมเรตนี้เอาไว้ได้อย่างเสถียรมากๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่น แลกมากับสิ่งของในฉากที่บางตาลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่จะขาดไปอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับสองโหมดที่เหลือ (Performance RT + Fidelity) คือแสงสีในเกมที่แลดูแบนลงอย่างมาก และทำให้เกมดูใกล้เคียงกับเกม PS4 มากขึ้นพอสมควรในส่วนโหมด Performane RT น่าจะเป็นโหมดที่แนะนำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือก เพราะแม้จะลดรายละเอียดแบบเดียวกับ Performance Mode แต่ก็ยังคงรักษาแสงสีอันสวยงามของเกมเอาไว้ได้ และทำให้เกมยังคงสามารถแสดงผลที่เฟรมเรต “เกือบ” 60FPS แบบนิ่งๆ อาจจะมีกระตุกเล็กๆ บ้างเวลาอยู่ในฉากที่แสงสีเจิดจ้าเป็นพิเศษ แต่โดยรวมๆ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นอย่างมีนัยยะสำคัญหากถามว่าได้เล่นเกมในโหมดเหล่านี้ตั้งแต่แรกจะมีผลต่อประสบการณ์ไหม ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้เขียนอาจจะรู้สึกทึ่งกับเกมมากขึ้นเล็กน้อยหากได้เล่นที่เฟรมเรต 60FPS แต่โดยรวมก็ยอมรับว่ารายละเอียดที่เพิ่มขึ้นใน Fidelity Mode อาจจะคุ้มค่ากับการเล่นเกมที่ 30FPS สำหรับผู้เล่นหลายๆ คนด้วยเช่นกันกล่าวโดยสรุป Ratchet & Clank: Rift Apart ถือเป็นเกมที่อวดศักยภาพด้านกราฟิกของเครื่อง PlayStation 5 ได้เป็นอย่างดี แม้จะยังไม่ได้นำเสนอประสบการณ์การเล่นที่ก้าวกระโดดไปจากรุ่นเก่ามากนักในแง่ของการออกแบบเกมเพลย์ แต่สิ่งที่มีอยู่ก็ยังสนุกและท้าทายในระดับที่ใครๆ ก็น่าจะสามารถเล่นได้ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือวัยอะไร และเป็นเกมเรียกน้ำย่อยที่ดีสำหรับยุคคอนโซลใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
08 Jun 2021
รีวิว Rainbow Six Extraction เมื่อคู้ต่อสู้เปลี่ยนจากผู้เล่น เป็นเอเลี่ยน!!!
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่แฟนๆ Rainbow 6 Siege รอกันมาอย่างยาวนาน สำหรับ Extraction หรือชื่อเดิม Quarantine โดยต้องขอบคุณ Ubisoft มากจริงๆ ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทดลองเล่นก่อนในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งในบทความนี้ผมจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันครับว่าความรู้สึกหลังได้ลองเล่น แอบบอกก่อนเลยว่า สนุกกว่าที่คิดไว้เยอะมากครับต้องออกตัวก่อนเลยว่าผมเองเคยเล่น Rainbow 6 Siege มาบ้างเล็กน้อย และคงต้องยอมรับว่าตัวผมเองได้ประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับ Rainbow 6 Extraction คงต้องบอกว่าสนุกกว่าที่คิดมากจริงๆ ครับ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร?เนื้อเรื่องของเกมนี้ จะกล่าวถึงการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตปรสิตเอเลี่ยนปริศนาที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นโลก และเริ่มเข้าโจมตีมนุษย์อย่างมันทันตั้งตัว พวกมันจะเข้าไปในร่างกาย และเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปีศาจสุดดุร้าย ทีมเฉพาะกิจจึงต้องถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับปรสิตเอเลี่ยนนี้ โดยตัวละครก็มาจาก Operator ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจาก Rainbow 6 Siege อย่าง Doc, Hibana, Sledge และอื่นๆ เนี่ยแหละครับเหมือนเล่น Rainbow 6 Siege แต่คู่ต่อสู้คือเอเลี่ยนที่เป็น Aiเกมเพลย์ของ Extraction จะเป็นแบบ Co-Op Multiplayer ที่จับ Party กับเพื่อนได้สูงสุด 3 คน แต่ละคนจะไม่สามารถเลือก Operator ตัวเดียวกันได้ และหลังจากเลือกตัวละครแล้ว ก็จะเป็นการเลือกปืน อาวุธรอง และอุปกรณ์เสริมอย่างพวกระเบิด เมื่อทำการเลือกทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เกมจะพาทั้ง 3 คน เข้าสู้ด่านที่เลือกมา เพื่อเริ่มภารกิจหลักศัตรูทั้งหมดที่เราเจอในเกมนี้จะเป็นปีศาจรูปร่างแปลกประหลาด ที่มีความสามารถแตกต่างกันออกไป บ้างก็ระเบิดสร้างความเสียหายตอนตาย, บ้างก็สามารถเรียกปีศาจตัวอื่นๆ มาได้, บ้างก็มีเกราะแข็งอยู่รอบๆ ตัว, บ้างก็ยิงเลเซอร์จากระยะไกลได้ โดยภารกิจส่วนใหญ่ที่เราต้องทำจะไม่ใช่การกำจัดปีศาจเหล่านี้ให้หมด แต่เป็นอะไรอย่างอื่นที่มีจุดหมายตายตัว เช่นวางระเบิด, ทำลายฐาน, ช่วยเหลือผู้เหลือรอด, และอื่นๆ ดังนั้นเกมเพลย์จริงๆ จึงสามารถเล่นได้ทั้งแบบบู้แหลก หรือลอบเร้นก็ได้แม้ว่าปริมาณของปีศาจที่เจอในหนึ่งฉากจะไม่ได้มากมาย เหมือนเกมยิงซอมบี้ชื่อดังในตลาด แต่ขอให้อย่าดูถูกไป เนื่องจากแต่ละตัวโจมตีได้แรงมาก ชนิดที่โดนตบสามทีก็ลงไปนอนได้ง่ายๆ เลย บวกกับด่านที่ถูกเอามาใช้ใน Extraction ส่วนใหญ่มักเป็นด่านของ Rainbow 6 Siege เอามาดัดแปลง จึงทำให้ปีศาจสามารถโจมตีกลุ่มของผู้เล่นได้หลายทาง หากเดินไม่ดี อาจถูกล้อมโจมตีจากทุกทิศทางได้ง่ายๆ เลยอย่างที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าตัวละครภายในเกมนี้ ก็คือ Operator จาก Rainbow 6 Siege ดังนั้นแต่ละตัวจึงมาพร้อมกับความสามารถที่เหมือนกัน ซึ่งสกิลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถสู้กับเหล่าเอเลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้เรื่อยๆ ไม่มีวันหมดเช่นกัน แต่ละตัวจะมีขีดจำกัดในการกดใช้อยู่ โดยสามารถเติมได้หากเก็บกล่องเสริมอุปกรณ์ภายในฉาก ซึ่งกล่องอุปกรณ์ที่พบได้ในด่านจะมี 3 แบบ คือ First Aid, Ammo และ Ability ไปต่อเพื่อของรางวัลที่ดีกว่า หรือปลอดภัยแล้วกลับบ้าน?แม้จะบอกว่าเกมเพลย์ของ Extraction จะเป็นการเข้าไปทำภารกิจในด่านต่างๆ แต่ด่านเดิมก็ใช่ว่าภารกิจที่ต้องทำจะเหมือนเดิมด้วย รูปแบบของภารกิจที่มีให้เล่นในเกมนี้มีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการสังหารเป้าหมาย, วางระเบิด, ช่วยเหลือผู้รอดชีวิต, ตามหาทหารที่หายไป, ขนอุปกรณ์เพื่อไปทำลายเป้าหมาย, และอื่นๆ อีกมากมาย ในแต่ละรอบการเล่นตัวเกมจะสุ่มภารกิจให้เราทำ 3 อย่าง โดยแต่ละภารกิจจะมอบรางวัลเป็น EXP มากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความยากอย่างไรก็ตามตัวเกมไม่ได้มอบเวลาไร้ขีดจำกัดให้กับเราในแต่ละรอบการเล่น โดยผู้เล่นจะมีเวลารอบละ 15 นาที ซึ่งเราสามารถจบภารกิจได้ทันทีหากทำเป้าหมายใดก็ได้สำเร็จใน 3 อย่างที่เกมสุ่มมาให้ แต่ในทางกลับกันก็จะได้รับ EXP กับของตอบแทนที่มากขึ้นเช่นกันหากสามารถทำได้หลายภารกิจในหนึ่งรอบการเล่น ตรงจุดนี้ก็ต้องคุยกับเพื่อนร่วมทีมดีๆ ว่าไปต่อไหวหรือไม่ล้มให้เพื่อนดึงได้ แต่ท่าตาย = เสีย Operator คนนั้นไปอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่าปีศาจในเกมนี้ตีแรงมาก แถมในแต่ละรอบการเล่นยังมีเวลาจำกัดทำให้จะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจเร็วๆ ตอนนี้เพื่อนๆ หลายคนอาจกำลังคิดว่า "ถ้าไม่ผ่านก็ไม่เห็นเป็นไร เล่นไหมเรื่อยๆ ก็ได้" อยู่ แต่เกมนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ จริงอยู่ว่าหากเลือดของ Operator หมด ตัวละครของเราจะลงไปนอน และให้เพื่อนมาชุบได้แบบเดียวกับ Rainbow 6 Siege แต่จะไม่มีการล้มรอบที่สองอีกเนื่องจากตัวละครเราจะตายไปเลยที่นี่ในการเล่นของ Extraction หากเราล้มเหลว และตายในภารกิจ Operator ตัวนั้นจะอยู่ในสถานะ Missing in Action (MIA) และไม่สามารถเล่นได้ ผู้เล่นจำเป็นต้องนำตัวละครอื่นไปเล่นจนกว่าจะเจอภารกิจแทน แต่จะสามารถนำกลับมาได้หากในรอบการเล่นต่อๆ ไป เราสุ่มพบกับภารกิจ "ช่วยทหารที่หายไป" โดยในภารกิจนี้ เราจะได้พบกับ Operator ของเราที่ MIA อยู่ หากสามารถช่วยออกมาได้ หลังจบรอบการเล่นนี้เราจะสามารถเล่นตัวละครที่เสียไปได้อีกครั้งถือว่ายังดีที่ Ubisoft ไม่ได้โหดร้ายกับผู้เล่นมากขนาดไม่ให้โอกาสเลยเมื่อพลาด ถ้าหากว่า Operator ของเราคือคนเดียวที่พลาดท่าถูก K.O. ถ้าหากว่าเวลายังเหลือ และเพื่อนรวมทีมของเราทั้งหมดยังไม่ตาย พวกเขาสามารถแบกร่างของเรากลับไปที่จุดหนีได้ และถ้าหากทำแบบนั้นจะไม่ถือว่าเป็น MIA และยังสามารถเล่น Operator นั้นในรอบ ต่อๆ ไปได้ครับเพียงแต่สำหรับเลือดจะไม่ได้เกินมาแบบเต็ม 100 ในภารกิจต่อไปเช่นเดียวกัน ใน Extraction หาก Operator ของเราอาจจากรอบการเล่นมาเหลือเลือดเท่าไหร่ เขาก็จะเหลือเลือดเช่นนั้น ผู้เล่นจำเป็นต้องปล่อยให้ตัวละครพักฟื้นก่อนสัก 1 - 2 รอบการเล่น เพื่อให้ Operator ได้พักฟื้นให้กลับมาเลือดเต็ม 100 อีกครั้งคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ หลังจากได้มีโอกาสเล่นเกมนี้ไปประมาณ 3 - 4 รอบ ตัวผมเองกับ ตัวแทนจากสื่อเจ้าอื่นลงความเห็นตรงกันว่า ความสามารถในการเพิ่มเลือดเองได้ของ DOC ถือว่าช่วยให้การเล่นในแต่ละรอบทำได้ง่ายมากขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ใช่ทุกครั้งไปที่เราจะได้พบกับกล่อง First Aid ในเวลาที่ต้องการมันจริงๆ การที่สามารถเพิ่มเลือดได้เองเลยทำให้ในแต่ละรอบการเล่นทำได้ง่ายกว่ามากปืนลูกซองถือเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งมากในภาคนี้ เนื่องจากกระสุนที่มีมาให้เยอะ และดาเมจที่ทำได้รุนแรงมาก ทำให้มันเหมาะจะเอาเข้าไปยิงเอเลี่ยนพอสมควรเลย ยังไม่รู้เหมือนกันว่าตอนวางขายจะมีการลดความแรง หรือจำนวนกระสุนเริ่มต้นรึเปล่า แต่ถ้าหากว่าไม่ถือว่าเป็นปืนที่แนะนำสำหรับผู้เล่นในช่วงแรกที่ยังไม่ชินด่าน เนื่องจากหากถูกเข้าข้างหลังจะได้ไม่เสียเลือดมากเกินไปเพราะยิงเอเลี่ยนตายช้าครับสรุปExtraction ถือว่าเป็นเกม Shooting Co-Op ที่น่าจับตามองมากประจำปี 2021 นี้ ซึ่งหลังจากที่ได้เล่นมาประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องบอกเลยว่าสนุกจริงๆ แต่ในเรื่องว่าน่าซื้อมาเล่นขนาดไหนส่วนตัวคิดว่ายังไม่ควรสรุปในตอนนี้เนื่องจากยังไม่เห็นราคาของเกม และมีความคิดว่า $19.99 คือราคาแพงที่สุดเท่าที่จะรับได้สำหรับเกมนี้ เนื่องจากปริมาณคอนเทนต์ที่ไม่มากเท่าไหร่ ต้องรอดูต่อไปว่า Ubisoft จะวางขายเกมนี้ในราคาเท่าไหร่ต่อไปครับ    
02 Jun 2021
รีวิว Counter:Side เมื่อโลกใบนี้ต้องลุกเป็นไฟ จากภัยพิบัติวัตถุคอร์รัปต์
เมื่อทีมงานของ Studio Bside ผู้ที่เคยพัฒนาเกมเกาหลีชื่อดังอย่าง Elsword และ Closer อยากจะลองลุยตลาดเกมมือถือที่เน้นด้านมืดของสังคมและสภาพการเมืองของโลกใบนี้ โดยยังคงความแฟนตาซีซึ่งเป็นสไตล์ที่ทีมงานถนัด จนออกมาเป็นเกมที่ชื่อว่า Counter:Sideและเมื่อมันคลอดออกมาก็ได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากทั่วเอเชียจนล่าสุดก็ได้บริษัท Zilong มาเปิดให้บริการในโซน SEA รวมถึงประเทศไทยด้วย และเป็นไปตามคาด กระแสของเกมนี้ก็ทำให้คนไทยหลายคนชื่นชอบและเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อเรื่องที่หนักหน่วงชนิดเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด และตัวละครเกือบทุกตัวนั้นหล่อเท่ไปเสียหมด...บทความนี้จะเป็นการรีวิวเกม Counter:Side ฉบับภาษาไทยและแบบที่คนไม่เคยเล่นหรือไม่ได้สัมผัสเกมนี้มาก่อน อยากจะรู้ว่าจะเป็นอย่างที่เขาร่ำลือกันหรือไม่========================================สัมผัสแรกที่ได้รู้จักกับคำว่า Counter:Sideเกม Counter:Side นี้เป็นเกมแนว Tactic Turn-Base, Strategy ผสมผสานกับ Defend RPG ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะลงตัวเลยล่ะ แม้ว่าตอนที่เข้ามาเล่นครั้งแรก หากมองผิวเผินแล้ว มันจะยังมีกลิ่นอายของเกม Closer แต่เมื่อลองเล่นไปสักพักก็พบว่า ตัวเกมฉีกกฎและมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และไม่คิดว่าทีมงาน Studio Bside จะทำอะไรออกมาได้ค่อนข้างดีขนาดนี้มาก่อนส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยสันทัดวัฒนธรรมหรือสัมผัสความเป็นเกาหลีใต้มากนัก ทั้งชื่อตัวละครหรือการแสดงออกผ่านตัวละครต่างๆ ภายในเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแทรกความเป็นเกาหลีใต้ไม่น้อยซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะชินกับเกมที่มาจากฝั่งญี่ปุ่นเสียส่วนมากหรือตัวเกมพยายามยัดความเป็นเกาหลีมากไปเสียหน่อย ( ก็มันเป็นเกมคนเกาหลีใต้ล่ะนะ ) แต่หากลองเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ บอกเลยว่าการมันไม่ได้แย่ และออกไปทางดีมากด้วยซ้ำทั้งบทบาทของตัวละครและการแสดงออก รวมถึงบทต่างๆ ทำออกมาได้สุดยอดมากๆ โดยเฉพาะเรื่องราวสตอรี่หลักและเสริมนั้นบอกเลยว่าหนักแน่นไม่แพ้เกมอื่นๆ ชนิดที่เรียกว่าเหลี่ยมเยอะ เหลี่ยมจัด เหลี่ยมยิ่งกว่าทุเรียนเสียอีกด้วยความที่ว่าเป็นคนที่ชอบเล่นเกมแล้วเสพเนื้อเรื่องเป็นหลัก จึงค่อนข้างที่จะสนุกกับมันอย่างมากโดยลืมความไม่อินที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกาหลีไปจนหมด จัดว่าแจ่มเลยล่ะส่วนในด้านตัวละครนั้นถือเป็นมาตรฐานต้องมีบรรดาหนุ่มสาวหล่อเท่ไว้ให้เราดึงตัวพวกเขามาร่วมทีมกับเรา ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะชอบ กาอึน, คาริน หว่อง, ไคลน์ หว่อง, เฉินเจีย, เสี่ยวหลินหรือซอ ยุน แต่ทางนี้กลับหลงรักยายแก่ๆ คนหนึ่งที่เปิดตัวลงมาจาก VTOL ตอนต้นเกมเสียอย่างนั้น ( คุณก็รู้ว่าใคร ) เพราะให้รู้สึกมีความเป็นฝรั่งอย่างมาก ทำให้รู้สึกผิดคาดและปลื้มทีมงานที่ค่อนข้างใส่ใจกับตัวละครที่เป็นต่างชาติในแง่อุปนิสัยของชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดีเลยล่ะนอกจากนี้ บทพูดของตัวละครอื่นๆ อย่างพวกเหล่าทหารก็รู้สึกใส่ใจเช่นเดียวกันอย่างเช่นพลปืนธรรมดาๆ หรือหน่วยทหารบางหน่วยก็ยังมีบทพูดที่รู้สึกว่า Mood Maker อย่างมากจนรู้สึกว่าแม้พวกเขาจะเป็นแค่ทหารปิดหน้า แต่ก็อยากให้พวกเขาร่วมงานกับเรา หรือแม้กระทั่งเหล่าจักรกล...โห้ว! ยิ่งอยากได้เอามาร่วมทีมมากๆ รู้สึกเหมือนได้ Metal G------ มาครอบครอง ( ฮ่าๆๆๆ ) ....โดยรวมในด้านตัวละครนี่ค่อนข้างกินขาดเลยล่ะ ในหลายๆ อย่างในปี ค.ศ 2044 เมื่อโลกตกอยู่ในความวุ่นวายของเหล่า Erosionsเนื้อเรื่องของเกม Counter:Side จะอยู่ในปี ค.ศ 2044 เมื่อทรัพยากรของมนุษย์เริ่มขาดแคลน แต่ก็ได้พลังงานทดแทนสิ่งใหม่ที่เรียกว่า Eternium ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่โลกมนุษย์ได้อย่างมากมาย ส่วนจุดกำเนิดของแร่ชนิดนี้มันมีมากใน 'อีกฝากของมิติ' ซึ่งเราเรียกมันว่า 'Counter side' เมื่อมนุษย์ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ด้วยเทคโนโลยีการ Dive เพื่อเข้าไปทำการขุดแร่ชนิดนี้และป้อนพลังงานให้กับฝั่งโลกมนุษย์ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของมหันตภัยครั้งใหญ่ของโลก เมื่อสิ่งที่เรียกว่า Erosions หรือมีอีกชื่อหนึ่งที่เรารู้จักกันในนาม 'วัตถุคอร์รัปต์' มันสิ่งมีชีวิตปริศนาที่อาศัยใน Counter side ก็ได้ทำการบุกรุกโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน เพราะพวกมันสามารถ Dive เข้ามายังมิติของมนุษย์ได้เพื่อเป็นการตอบโต้ มนุษย์ก็ได้เริ่มตอบโต้ด้วยการสร้างเจ้าหน้าที่พิเศษอย่าง Counter Watch หรือเรียกสั้นๆว่า เคาท์เตอร์ ผู้มีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปและสามารถตอบโต้หรือจัดการเหล่าวัตถุคอร์รัปต์ได้อย่างดี อีกทั้งสามารถทนต่อการอยู่ในมิติของ Counter Side โดยไม่ต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันได้ แต่หากอยู่นานๆ ก็อาจจะมีผลถึงชีวิตหรือกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Shadow ได้เช่นกันเนื้อเรื่องจะโฟกัสไปที่สมาชิกเคาท์เตอร์ทีมเฟนรีร์ทั้งสามคนของบริษัทคอฟฟิน ซึ่งเป็นบริษัท Task Force ที่เคยมีอำนาจและมีชื่อเสียงในการต่อต้านเหล่าวัตถุคอร์รัปต์ในอดีต ( หากนึกภาพไม่ออก ให้เรานึกถึงบริษัทกองกำลังติดอาวุธหรือพวก PMC แต่มีหน้าที่ปราบปรามภัยวัตถุคอร์รัปต์ ) ซึ่งตอนนี้เกือบกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลาย จนทำให้ 'ฮิลเด้' หัวหน้าทีมเฟนรีร์ที่ได้หายสาปสูญไปเมื่อหลายปีก่อนได้กลับมา โดยมี 'จู ชิยุน' มาต้อนรับเธอเป็นคนแรก และทั้งสองก็ได้ต้อนรับเคาท์เตอร์หน้าใหม่ที่ชื่อ 'ยู มีนา' ซึ่งชะตากรรมของทั้งสามคนกำลังได้เริ่มต้นภารกิจกอบกู้ชื่อเสียงบริษัทและกอบกู้โลกได้เริ่มขึ้นส่วนตัวผู้เล่นนั้นจะเป็น CEO หน้าใหม่ของบริษัทคอฟฟิน ซึ่งตอนนี้เกือบกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลายหากไม่ได้ตัวผู้เล่นหรือ CEO เข้ามา Take Over บริษัทนี้ เราจึงมีหน้าที่ทำให้บริษัทกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง และเมื่อเล่นไปสักพัก เราจะได้รู้อดีตอันดำมืดของตัวละครหลายๆ ตัว รวมถึงตัว CEO เองซึ่งบอกเลยว่าต้องลองเล่นดูแล้วจะรู้ว่า เนื้อเรื่องเกมทำออกมาดีมาก เข้มข้นยิ่งกว่ากาแฟเสียอีก แม้ว่าแปลไทยอาจจะมีคำผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ถือว่าให้อภัยได้หน้า UI ต่างๆ ได้ออกมาอย่างดีแถมตัวละครก็ Live 2D ด้วยในเรื่องหน้า UI ของตัวละครจัดได้ว่าออกแบบได้ค่อนข้างดีและดูง่าย ใช้งานง่ายและสะดวกมากๆ ซึ่งหลายๆ เกมส่วนใหญ่ก็จะเริ่มออกแบบหน้า UI ในลักษณะนี้แม้จะดูเรียบๆ ไม่หวือหวาแต่ดูสบายตาใช้งานสะดวกมากกว่า ซึ่งภาษาบ้านเราจะเรียกว่า เรียบหรู' เลยล่ะนะ และในส่วนของตัวละครนั้น จะเป็นแบบ Live 2D ทุกตัว ซึ่งแน่นอนว่ารู้สึกทำให้ตัวละครดูดีขึ้นแบบ 300% เลยทีเดียว นี่คือข้อดี แล้วความฮามันอยู่ตรงนี้ เราจะสามารถเลือกตัวละครในสังกัดเรา จะมาวางบนตำแหน่งไหนของหน้า Lobby ได้ แถมจะปรับขนาดให้เล็กหรือใหญ่ก็ได้ มันไม่ต่างอะไรกับการออกแบบหน้าจอได้ตามสไตล์ของเราเอง ซึ่งบางคนก็ทำเอาซะ...ใช่แล้ว...ทำเอาซะฮาแบบนี้แหละ ปืนใหญ่นิวอาร์มสตรอง ไซโคเจ็ท อาร์มสตรอง!!แต่ว่าก็ยังมีจุดที่อยากจะพูดอยู่เสียนิดหน่อยอย่างเช่นปัญหาการเปลี่ยนพื้นหลัง หากเราเปลี่ยนภาพพื้นหลังเป็นพื้นหลังโทนสว่างหรือตอนกลางวัน สีของ Font และสีอักษรหน้าเมนูช่วงบนๆ จะกลืนไปกับฉากหลังโทนสว่างเลย อุตสาห์เสียเงินซื้อภาพพื้นหลังใหม่ๆ แต่กลับใช้แล้วแสบตาเพราะภาพมันฟุ้งและแสงมันจ้ามากๆ สุดท้ายก็กลับมาใช้ภาพพื้นหลังหน้า UI แบบเดิมรู้สึกสบายตากว่าเยอะทรัพยากรที่มากมายจนต้องบริหารให้ดีอีกจุดที่พูดถึงคงจะไม่ได้ก็คือเรื่องของทรัพยากรภายในเกมนั้นบอกเลยว่า ทุกอย่างสำคัญหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น เงินภายในเกมที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายหลักภายในเกมทั้งค่าอัพเลเวลตัวละคร ค่าสร้างอุปกรณ์ต่างๆ, แร่ Eternium ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเล่นเนื้อเรื่องในแต่ละด่านทั้งเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเสริมหรือในอิเวนต์ก็ตาม, Info, ไว้สำหรับเป็นทรัพยากรการลง Dive หรือบ้านเราเรียกว่าลงเหมืองเพื่อหาทรัพยากรอย่างอื่นรวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในการอ่านประวัติข้อมูลลับของตัวละคร และทรัพยากรอื่นๆ อีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งทุกอย่างบอกเลยว่า สำคัญหมด หากใช้ทรัพยากรไม่ยั้งคิด ก็อาจจะหมดได้อย่างรวดเร็วจนต้องโอดครวญ โชคดีเกมนี้ยังใจดีที่มีการแจกทรัพยากรรายวันก็เยอะเหมือนกัน แต่ยังไงก็ต้องระวังอจุดนี้อยู่ดีโดยเฉพาะการใช้แฟ้มเอกสารเพื่อเร่งการอัพเลเวลของตัวละครนั้นจะใช้เงินค่อนข้างเยอะมาก ครั้งหนึ่งเป็นหลักล้านและใช้แฟ้มเอกสารอัพเลเวลจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้รู้สึกต้องคิดหนักว่าควรจะปั้นตัวไหนก่อนดีระบบการเล่นที่มีสองระสไตล์ในการรบอีกหนึ่งจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือระบบการเล่น โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นส่วน ส่วนแรก จะเป็นสไตล์แนว Turn-Base โดยเราจะต้องนำทีมตัวละครของเราขึ้นบนยาน ซึ่งยานแต่ละลำที่เรามี จะมีก้าวเดินแตกต่างกัน โดยยานหนึ่งลำ บรรทุกสมาชิกภายในได้ 8 คนประเภทของยานที่เราเลือกใช้จะมีความแตกต่างกันไป อย่างเช่น ยานจู่โจม แม้จะเดินได้หนึ่งช่องแต่สามารถวางยานบนช่องเดินจู่โจมเพื่อความได้เปรียบทางสมรภูมิ, ยานลาดตระเวร จะสามารถเดินในแนวตั้งและแนวนอนได้สองก้าว, ยานสนับสนุนสามารถเดินทะแยงได้สองก้าว และยานรบหนักจะสามารถเดินไปด้านหน้าและเยื้องไปข้างหน้าได้สองก้าว นอกเหนือจากความแตกต่างเรื่องก้าวเดิน ก็ยังมีความแตกต่างเรื่องสกิลของยานรบนั้น และจะส่งผลกับคนในทีมอีกด้วย ฉะนั้นการเลือกยานรบให้เหมาะสมกับสมาชิกภายในทีม จะสามารถช่วยให้กุมชัยชนะได้ง่ายขึ้นด้วยเมื่อยานของเราเข้าปะทะกับศัตรูภายในเกม จะเข้าสู่โหมด Defend Tower ทันที ซึ่งจะคล้ายกับเกม Metal Slug Attack ก็คือเราจะต้องวางยูนิตลงไปในสนาม และยูนิตในสนามจะทำการโจมตีกับศัตรูตรงหน้า ซึ่งจะมีการต่อสู้ทั้งรูปแบบ เข้าไปทำลายฐานที่มั่นฝั่งตรงข้ามหรือตั้งรับการมาของศัตรูเป็นเวฟ โดยยูนิตแต่ละตัวจะมีความสามารถและสกิลที่แตกต่างกัน รวมถึงมีการแพ้ทางกันและกันด้วยเช่น สายจู่โจมชนะสายปืน, สายปืนชนะสายโล่, สายโล่ชนะสายซุ่มยิง และสายซุ่มยิงชนะสายจู่โจม นอกจากนี้ยังมีสายบุกทะลวงกับสายป้อมปราการเพื่อเสริมการโจมตีหรือตั้งรับป้องกันยานรบของเราด้วย โดยรวมแล้วเล่นไม่ยาก และเหมาะสำหรับสายขี้เกียจเพราะมีระบบเล่นแบบออโต้ด้วยเงื่อนไขการชนะแต่ละครั้งคือ บุกทำลายศัตรูให้สิ้นโดยห้ามให้ยานรบหลักของเราถูกทำลาย หรือศัตรูเข้ายึดฐานที่มั่นเราได้ แต่นอกเหนือจากนี้การต่อสู้แบบ Raid Boss หรืออิเวนต์ในอนาคตก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง================================================ทั้งหมดนี้คือการรีวิวของเกม Counter:Side ซึ่งเป็นการรีวิวครั้งแรกโดยไม่เคยไปเล่นเซิร์ฟเวอร์ไหนมาก่อน บอกเลยว่าดีงามมากๆ เป็นเกมที่่เล่นง่าย แม้ว่าตัวเกมค่อนข้างเน้นในการฟาร์มของเสียหน่อย แต่ด้วยการที่มันมีระบบเล่นออโต้ ปล่อยให้ฟาร์มของแล้วเราก็ไปทำอย่างอื่นได้โดยไม่ดูดเวลาชีวิตจนเกินไปนัก ก็ถือว่าชดเชยในส่วนนี้ได้ ด้านเนื้อเรื่องบอกว่ากินขาดทั้งความเข้มข้น และความหลากหลายอารมณ์ แม้คนที่จะไม่ค่อยอินวัฒนธรรมเกาหลีหรือเสียงพากย์เกาหลีก็ยังสนุกกับมันได้ ถือเป็นอีกเกมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!และสุดท้าย.... ยายฮิลเด้ที่หนึ่งของเรา เราจะรอวันที่ยายมีร่าง Awaken นะ================================================สรุปข้อดี:- ระบบการเล่นที่เล่นง่าย- มีระบบออโต้ในการเล่น- ตัวละครหล่อเท่และสวยน่ารักมากๆ- เนื้อเรื่องเข้มข้น หักเหลี่ยมโหดเฉือนคมกันสุดๆ- ฮิลเด้ ไวฟุหมายเลขหนึ่งของผู้เขียนบทความนี้----แค่กๆๆๆ!!!ข้อเสีย:- ทรัพยากรมีหลากหลายมากจนเกินไปเสียหน่อย- การใช้ทรัพยากรแต่ละครั้งสูงมาก- เป็นเกมที่ค่อนข้างเน้นการฟาร์ม อาจจะเบื่อง่ายคะแนน: 8/10
01 Jun 2021
Biomutant Review 'เกมจอมยุทธ์หน้าขนผจญภัยสำหรับคอ RPG ตัวยง'
ตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2017 ที่งาน Gamescom ประเทศเยอรมนี เกม Biomutant ก็ได้รับการจับตามองโดยสื่อและเกมเมอร์หลายๆ คนจากทั่วโลก ที่คาดหวังกับแนวคิดของเกมที่ผู้พัฒนาบรรยายว่าเป็น “เทพนิยายกังฟูในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย” แต่ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ที่เกมเปิดตัว ผู้พัฒนา Experiment 101 ก็ไม่ค่อยจะได้ปล่อยข้อมูลหรือข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเกมออกมาให้ติดตามกันบ่อยนัก จนทำให้หลายคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเกม Biomutant มันเป็นอย่างไรกันแน่หลังจากที่ได้เล่นเกม Biomutant ไปแล้วราวๆ 25 ชั่วโมงบนเครื่อง PlayStation 5 ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณบริษัท THQ Nordic และ Epicsoft สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ต้องบอกว่า Biomutant ถือเป็นเกมที่มีจุดเด่นหลายจุด โดยเฉพาะในแง่ของเกมเพลย์และการพัฒนาตัวละคร ที่สามารถปรับแต่งความสามารถและค่า Stat ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น รวมไปถึงระบบการคราฟติ้ง (Crafting) ที่มีทางเลือกให้ปรับแต่งทั้งหน้าตาของไอเทมและตัวเลขความเสียหายได้อย่างไม่สิ้นสุด และยังมีโลก Open World ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเควสและความลับให้ค้นหาเต็มไปหมด ซึ่งน่าจะเข้าทางคนที่ชื่นชอบการเล่น RPG แนวผจญภัยเป็นอย่างมาก ตราบใดที่สามารถมองข้ามข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงของเกมได้เรื่องราวของ Biomutant เกิดขึ้นในในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย หลังจากที่เหล่ามนุษย์ในโลกของเกมได้ละทิ้งดาวเคราะห์บ้านเกิดที่ถูกทำลายจากมลพิษและสารเคมี เหลือทิ้งไว้เพียงสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิดที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจากสารเคมีที่เหลือทิ้งเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้รวมตัวกันเป็นเผ่าต่างๆ 6 เผ่าที่ปกครองพื้นที่ของตัวเองอย่างสันติ โดยมีต้นไม้โลก (World Tree) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเผ่าทั้ง 6แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ 4 ตัวที่เรียกว่าเหล่า World Eaters ได้ปรากฏตัวขึ้นจากทะเล และเริ่มจู่โจมรากของต้นไม้โลก ซึ่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ยังจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างเผ่าทั้ง 6 ที่ล้วนเตรียมตัวจะเปิดสงครามกับเผ่าอื่นๆ ได้ตลอดเวลาอีกด้วยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นสัตว์กลายพันธุ์ตัวน้อย ผู้ซึ่งต้องเลือกว่าจะเป็นฮีโร่ที่ปราบสัตว์ประหลาดทั้ง 4 และนำสันติภาพมาสู่เผ่าทั้งหลาย หรือจะเป็นวายร้ายที่พยายามทำลายต้นไม้โลกเพื่อกวาดล้างทุกสิ่ง โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องและตอนจบของเกมจะเปลี่ยนแปลงไปตามทางเลือกมากมายที่ผู้เล่นเลือกระหว่างทางนั่นเองเมื่อเริ่มต้นเกม ผู้เล่นจะต้องสร้างตัวเอกสัตว์กลายพันธุ์ของตัวเอง ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่สายพันธุ์ รูปร่างหน้าตา ค่าสถานะต่างๆ รวมไปถึงคลาสหรืออาชีพเริ่มต้นของตัวละครด้วย โดยสายพันธุ์ของตัวละครจะกำหนดค่า Stat เบื้องต้นของตัวละครเช่นกำลัง (Strength) ความว่องไว (Agility) หรือปัญญา (Intellect) ในขณะที่คลาสจะกำหนดความสามารถติดตัวและอาวุธเริ่มต้นของตัวละคร แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เราจะสามารถอัปสกิลและค่า Stat ได้ตามใจชอบอยู่แล้ว และใช้อาวุธได้ทุกชนิดด้วย ทางเลือกทั้งหลายจึงสำคัญจริงๆ เฉพาะในช่วงไม่กี่ชั่วโมงแรกของเกมเท่านั้นเอง ส่วนคนที่กังวลเรื่องที่ค่า Stat ต่างๆ จะผูกกับรูปร่างหน้าตาของตัวละคร (เช่นถ้าค่า Strength หรือกำลังสูงก็จะทำให้ตัวละครมีรูปร่างบึกบึนโดยปริยาย ถ้ามีค่า Agility หรือว่องไวสูงก็จะตัวผอมๆ หน้าตาเจ้าเล่ห์โดยเลือกไม่ได้) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเล่นต่อไปไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะสามารถปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้อีกครั้งโดยไม่กระทบค่า Stat ของเราด้วย แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ให้ดีเพราะเปลี่ยนทีหลังไม่ได้เมื่อสร้างตัวละครเสร็จและผ่านฉากต่อสู้ที่เกมใช้ฝึกสอนการควบคุม รวมไปถึงฉากคัตซีนย้อนอดีตที่ค่อนข้างยาว ผู้เล่นก็จะได้รับอิสระในการผจญภัยไปในโลกของ Biomutant ได้อย่างอิสระ โดยจะมีเควสเนื้อเรื่องกว้างๆ ให้เราเท่านั้นเช่น “หยุดสงครามระหว่างเผ่า” หรือ “รักษาต้นไม่โลก” ก่อนที่จะให้เราออกไปผจญภัยและรับเควสอื่นๆ จาก NPC เอาเอง ในจุดนี้ต้องยอมรับว่าโลกของเกมทำออกมาได้สวยและน่าสนใจมากๆ ผู้เล่นจะได้เห็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแปลกๆ ของสัตว์กลายพันธุ์กับซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่จากอารยธรรมมนุษย์ มีทั้งหุบเขาที่ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี หรือป่าที่มีน้ำมันรั่วไหลจนไฟโหมโชนตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นยังสามารถใช้ยานพาหนะหรือสัตว์ขี่หลากหลายชนิดเพื่อสำรวจได้อย่างอิสระ แม้ว่ากราฟิก Unreal Engine 4 ของเกมจะแลดูเก่าๆ ไปบ้างแต่ความหลากหลายของสภาพแวดล้อมบวกกับสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ก็พอจะทำให้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้บ้างแน่นอนว่าโลกของเกมย่อมเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งในรูปแบบของสัตว์ร้าย กลุ่มโจร หรือสมาชิกของเผ่าอริ ที่ผู้เล่นจะต้องปราบผ่านเกมเพลย์สไตล์แอคชั่นของเกม โดยเกมเพลย์แนวแอคชั่นของ Biomutant ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา ผู้เล่นจะต้องใช้การโจมตีเบาหรือหนักรวมไปถึงการโจมตีด้วยอาวุธปืนเพื่อต่อกันเป็นคอมโบ พร้อมกับการพุ่งหลบหรือปัดป้องการโจมตีของศัตรูไปด้วย โดยเมื่อปัดป้องได้ก็จะทำให้สามารถใช้ท่าสวนที่มีความรุนแรงมากๆ ได้ และมีระบบหลอดสตามิน่าที่จำกัดจำนวนครั้งที่เราสามารถพุ่งหลบติดต่อกันได้ ถือเป็นระบบแอคชั่น RPG มาตรฐานที่ไม่ซับซ้อนหรือท้าทายจนเกินไปโดยเฉพาะสำหรับคนที่ผ่านเกมแอคชั่นเดือดๆ ชนิด Devil May Cry หรือ Sekiro: Shadows Die Twice มาแล้วสิ่งที่ทำให้เกมเพลย์ของ Biomutant รู้สึกสนุกขึ้นมาคือระบบสกิลประจำอาวุธของเกม รวมไปถึงระบบ Wung-Fu อีกด้วย โดยอาวุธแต่ละชนิดในเกม Biomutant ทั้งระยะประชิดและระยะไกล จะมีท่วงท่าคอมโบที่เรียกว่า Special Attack ของตัวเองที่จะต้องใช้แต้มสกิลในการปลดล๊อค และเมื่อเราใช้ท่า Special Attack ที่ไม่ซ้ำกัน 3 ครั้งจะทำให้ตัวละครเข้าสู่โหมดจอมยุทธ Wung-Fu ที่มาพร้อมท่าโจมตีพิเศษของตัวเองอีก การต่อสู้ในเกม Biomutant จึงมักจะเป็นเหมือนการร่ายระบำที่เต็มไปด้วยกระสุนและคมดาบ ในขณะที่ผู้เล่นพยายามหาช่องในการใช้ท่า Special Move ให้ครบ 3 ครั้ง และเผด็จศึกศัตรูด้วยโหมด Wung-Fu แบบเท่ๆ นั่นเอง ยังไม่นับรวมการสลับไปมาระหว่างอาวุธพิเศษอีกหลายชนิดที่หาได้ตามเนื้อเรื่อง ซึ่งมาพร้อมคอมโบของตัวเองเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากวรยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น เกมยังมีระบบพลังพิเศษอีกสองชนิดที่เรียกว่า Mutations และ Psi-Powers อีกด้วย โดย Mutations หรือการกลายพันธุ์มักจะเป็นความสามารถที่เน้นการสนันสนุนมากกว่า เช่นการเรียกเห็ดออกมาเหยียบเพื่อให้กระโดดสูงขึ้น หรือการพ่นพิษให้ศัตรูเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่อง ในขณะที่ Psi-Powers จะมีลักษณะเป็นเหมือนพลังจิตหรือเวทย์มนตร์ เช่นการปาลูกไฟ หรือการเทเลพอร์ตระยะสั้นเป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเสริมให้เกมเพลย์แนวแอคชั่นนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก องค์ประกอบเกมเพลย์ที่สำคัญอย่างสุดท้ายที่น่าชมคือเรื่องของการคราฟติ้ง (Crafting) ที่เปิดให้ผู้เล่นใช้ชิ้นส่วนชนิดต่างๆ ที่หาได้ในเกมมาประกอบกันเป็นอาวุธ ซึ่งทำให้สามารถสร้างอาวุธชุดเกราะหน้าตาพิศดารๆ มาใช้ได้ไม่รู้จบ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งความสามารถของปืนได้มากมายผ่านการเลือกชิ้นส่วนที่มีค่า Stat ต่างๆ มาประกอบกัน ตั้งแต่คันท้าย ด้ามจับ ลำกล้อง หรือกระทั่งซองใส่กระสุน ซึ่งการไล่ตามหาชิ้นส่วนระดับสูงๆ เพื่อพัฒนาขีดจำกัดของปืนขึ้นไปเรื่อยๆ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเกมแนว RPG ที่จะได้ปรับแต่งอาวุธและชุดเกราะของตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยผู้เล่นยังสามารถอัปเกรดไอเทมที่ชอบให้พัฒนาจากระดับเริ่มต้นไปเป็นระดับสูงได้ด้วย ฉะนั้นถ้าเจอชุดไอเทมที่ถูกใจก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้จนเบื่อเลยเช่นเดียวกันทั้งนี้ทั้งนั้น กล่าวถึงข้อดีหลายๆ อย่างของเกมไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้พูดถึงจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของเกม ซึ่งก็คือเรื่องของเนื้อเรื่องและการนำเสนอ ที่แลดูจะผ่านการใส่ใจมาไม่มากเท่ากับระบบเกมเพลย์ต่างๆ เลยแม้แต่น้อย ในระดับที่ไม่ใช่แค่ว่าไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับเกม แต่กลับทำร้ายประสบการณ์การเล่นด้วยสำหรับผู้เขียนถ้าจะให้พูดกันตามตรง เนื้อเรื่องของเกม Biomutant น่าจะเป็นจุดที่อ่อนที่สุดเกี่ยวกับเกมซะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเสมอเวลากล่าวถึงเกม RPG โลกเปิดยาวๆ ที่มีเนื้อเรื่องเป็นจุดขายหลักข้อหนึ่งเช่นเกมนี้ ปัญหาโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มาจากโครงเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซะทีเดียว (ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าดีนะ) แต่เป็นวิธีที่เกมใช้ในการนำเสนอเหตุการณ์เหล่านั้นมากกว่า เช่นการที่ตัวละครในเกมจะพูดกันเป็นภาษาสัตว์มั่วๆ โดยมีเสียงสวรรค์คอยแปลภาษานั้นให้เราฟังอีกที ส่งผลให้บทสนทนาหนึ่งลากยาวออกไปนานกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เพราะต้องรอให้พวกสัตว์พูดซะก่อนแล้วค่อยฟังนักบรรยายแปลทีละประโยคๆและด้วยความที่นักบรรยายมักจะแปลจากมุมมองบุคคลที่สามเสมอ ทำให้บางครั้งก็งงๆ ว่าสรุปตอนนี้กำลังพูดถึงใครอะไรยังไง แถมเกมยังมีศัพท์แสลงในโลกของตัวเองที่ใช้เรียกสิ่งของทั่วไปเช่น “เงิน” (Money) ในเกมใช้คำว่า Green หรือ “น้ำ” (Water) ในเกมใช้คำว่า “Goo” ซึ่งขนาดคนฟังภาษาอังกฤษออกยังต้องมาตีความอีกขั้น และบางครั้งตัวนักบรรยายเองก็มีความสำบัดสำนวนเหมือนกำลังอ่านนิทานอีก สุดท้ายจึงทำให้การตามเนื้อเรื่องทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องเสริมต่างๆ มีความติดขัดน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยนอกจากนี้ โมเดลตัวละครในเกมแทบทุกตัวยังออกแบบมาได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้ชวนให้มองหรือจดจำตัวใดๆ ในทางที่ดีเท่าไหร่เลย แถมอนิเมชั่นยังทำออกมาแข็งๆ ราวกับเป็นเกมจากสมัย PS3 ซะอีก ซึ่งก็ทำให้การตัดสินใจของผู้พัฒนาในการใช้ฉากคัตซีนแบบ In-Engine (ใช้โมเดลเดียวกับในเกม มากกว่าการทำคัตซีนเป็นวิดีโอ CG) แทบจะ 100% เหมือนการวางยาตัวเองไปด้วย เพราะไม่สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกหรือท่าทางที่ซับซ้อนใดๆ ได้เลย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องในเกมนี้ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อยองค์ประกอบเนื้อเรื่องสุดท้ายคือระบบความดี-ความเลวหรือที่เกมเรียกว่า “Aura” นั่นเอง โดยในระหว่างการสนทนากับ NPC บางตัว ผู้เล่นมักจะได้รับตัวเลือกที่จะเพิ่มออร่าความดีหรือความเลวให้กับเราเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกำหนดพลัง Psi-Powers ที่เราเข้าถึงได้และยังส่งผลต่อท่าที่ของ NPC ที่คุยกับเรา รวมไปถึงตอนจบของเนื้อเรื่องด้วย แน่นอนว่าเราจะไม่ขอพูดถึงตอนจบของเนื้อเรื่องเพื่อกันสปอย แต่เราพบว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปของ NPC ต่อตัวละครที่มีออร่าด้านสว่างและด้านมืด เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทางเลือกที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องจริงๆ มักจะมีการแจ้งบอกก่อนเสมอ จึงมีอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ทางเลือกตลอดทั้งเกมกล่าวโดยสรุป เกม Biomutant เป็นเกมที่วางพื้นฐานมาได้ดีพอสมควร แม้เกมจะสนุกเสมอในขณะที่กำลังท่องโลกกว้าง หรือเวลาที่หมกมุ่นอยู่กับการปั้นตัวละครผ่านระบบ RPG แต่ระบบเนื้อเรื่องของเกมทั้งหมดกลับทำออกมาแปลกมากจนทำให้เสียอารมณ์ไปได้เลยอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หากคุณไม่ใช่คนที่ชื่นชอบเกม RPG มากพอจะมองข้ามข้อเสียที่ว่าไปนี้ เกม Biomutant คงไม่ได้น่าสนใจนักสำหรับคุณ อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเกมได้รับเงินทุนหรือมีเวลาออกแบบระบบเนื้อเรื่องและการนำเสนอให้ดีกว่านี้ เช่นการเพิ่มเสียงพากย์ หรือการออกแบบตัวละครในเกมใหม่ให้น่ารักหรือน่าดึงดูดขึ้น น่าจะไปได้ไกลกว่าสภาพปัจจุบันมากมายนัก และเราอาจจะได้ซีรีส์แอคชั่น RPG ที่น่าจับตามองมาอีกซักเกมก็เป็นได้
24 May 2021
รีวิว Resident Evil Village สานต่อความสยองขวัญ !! เรื่องราวน่าติดตามตั้งแต่ต้นยันจบ
หลังจากที่ทาง Capcom ได้พาแฟรนไชส์เกม Resident Evil ให้กลับมาสยองขวัญอีกครั้งใน Resident Evil 7: Biohazard ที่ได้ทำการปรับเปลี่ยนมุมมองจากเกมแนวมุมมองบุคคลที่ 3 ให้กลายเป็นเกมแนวมุมมองบุคคลที่ 1 แทน ทำให้เรานั้นได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของเกมได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับปูเรื่องราวให้กับตัวละครใหม่อย่าง Ethan Winters ที่เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของเราเหล่าผู้เล่นโดยตรง และภายในเกม Resident Evil Village ผู้พัฒนาก็เลือกที่จะสานต่อเรื่องราวความสยองขวัญของตัวละคร Ethan Winters อีกครั้ง !! แถมในภาคนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนกลิ่นอายของเกมจากความสยองขวัญในบ้านร้างหลังเดียว ขยายสเกลให้กลายเป็นความสยองขวัญของทั้งหมู่บ้านตามชื่อภาคของเกม เพราะทางผู้พัฒนาอยากที่จะพาเรากลับไปสัมผัสกลิ่นอายความสยองที่ไม่เหมือนใครในเกม Resident Evil 4 นั่นเอง ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH เองได้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ในการเล่นเกมนี้จนจบมาเรียบร้อย และจะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้รับ สำหรับเกม Resident Evil Village จะมีความแตกต่างจากเกม Resident Evil 7 ที่วางจำหน่ายมาเมื่อปี 2017 มากน้อยขนาดไหนกราฟิก / การนำเสนอต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวผมเองนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 มันเลยทำให้ประสบการณ์ที่ได้รับในการเล่นเกมนี้ค่อนข้างครบถ้วนเป็นอย่างมาก ตัวเครื่องสามารถรีดประสิทธิภาพของเกมนี้ออกมาได้อย่างครบถ้วนและสามารถรัน 60 FPS ได้อย่างสบายๆ แต่จากที่ได้ลองเล่นมานั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่านอกจากเรื่องแสงเงา และ Ray Tracing ที่ใส่เข้ามาให้สวยขึ้น รายละเอียดโดยรวมก็อาจจะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเป็น Next Gen แบบเต็มตัวมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขายังต้องทำเกมลงให้กับ Console เจนเก่าด้วยนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นกราฟิกของเกมนี้ก็ยังอยู่ในระดับ AAA ถ้าให้เทียบกับเกมในสมัยนี้อยู่ดี รวมถึงตัวผมเองได้ลองสัมผัสเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 4 ในช่วงตอนที่เล่น DEMO ออกมาเหมือนกัน เอาจริงๆ การเล่นเกมนี้บนเครื่อง Console เจนเก่าก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าเคอะเขินแต่อย่างใด เพราะถึงแม้กราฟิกเรื่องแสงเงา อาจจะดูดรอปกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด หรือการที่ตัวเกมจะต้องลดรายละเอียดในฉากหลังเพื่อไม่ให้เกมกินสเปกเกินไปบ้าง แต่ตัวเกมก็ยังมอบประสบการณ์ที่ดีให้เราเหมือนเดิม เฟรมเรทที่ทำได้ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ 60 FPS นิ่งๆ แต่ก็ถือว่าเล่นได้ลื่นพอสมควร และไม่รู้สึกติดขัดส่วนเรื่องธีมและบรรยากาศของเกม ในตอนแรกหลายๆ คนก็คงจะคิดว่าการที่ตัวเกมเลือกที่จะเล่าบรรยากาศของหมู่บ้านเป็นหลัก ซึ่งมันจะน่ากลัวเท่ากับบรรยากาศในบ้านร้างหรือสถานีตำรวจในภาคก่อนๆ หรือไม่ ? แต่จากที่ตัวผมเองได้สัมผัสมา ถึงแม้ว่าความสยองขวัญในรูปแบบของเกม Resident Evil 7 เราอาจจะไม่ได้เห็นเยอะในภาคนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงคอนเซ็ปต์ของคำว่า Resident Evil จริงๆ !! กับสถานที่ที่สุดจะวังเวง ไว้ใจไม่ได้ เราจะต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาเพราะสิ่งมีชีวิตสุดน่าสะพรึงกลัวนั้นพร้อมที่จะออกมาได้ทุกเมื่อ ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงคอนเซ็ปต์นี้ ก็ต้องบอกเลยว่า Resident Evil Village สามารถนำเสนอได้อย่างไม่ผิดเพี๊ยนเพราะในช่วงเวลาที่เกมดำเนินอยู่ในระแวกหมู่บ้าน ตัวผมเองก็จะรู้สึกระแวงตลอดเวลา ว่าจะมีเหล่า Lycan โผล่มาหาเราตอนไหน เพราะพวกมันมากันเยอะและค่อนข้างดุร้าย หรือจะพาเราไปพบเจอกับสัตว์ประหลาดที่โหดกว่าแบบไม่คาดคิดก็มี หรือบางทีตัวเกมจะให้ความรู้สึกหนีตายเพราะจะต้องหลบหนีสิ่งมีชีวิตสุดโหด ที่จ้องจะไล่ฆ่าเราตลอดเวลา อย่างในช่วงฉากที่อยู่ในปราสาท Dimitrescu  บางทีตัวเกมจะนำเสนอความเป็นบ้านผีสิง ความหลอนประสาท ลึกลับ คับแคบและน่าอึดอัด แต่ถามว่ามันก็อาจจะมีบางช่วงที่อาจจะไม่ได้รู้สึกน่ากลัวขนาดนั้นก็มีเช่นกันครับStoryสำหรับเรื่องราวของ Resident Evil Village นั้นต้องบอกว่ามันค่อนข้างอธิบายยากครับเพราะมันอาจจะเป็นการสปอยส์ แน่นอนเราก็จะยังได้รับบทเป็น Ethan Winters อย่างที่กล่าวไป ที่เขาเนี่ยจะต้องมาตามหาลูกสาวของเขา Rose ในหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่ง ที่คาดว่าถูกลักพาตัวไปโดย Mother Miranda บุคคลลึกลับที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นที่ศรัทธาของเหล่าผู้คนในหมู่บ้าน รวมถึงเธอยังมีขุนนางทั้ง 4 ที่คอยรับใช้เธออย่าง Alcina Dimitrescu แม่แวมไพร์สาว, Karl Heisenberg ชายแว่นดำลึกลับ, Salvatore Moreau และ Donna Beneviento รวมถึงเราเองก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่า ตัว Mother Miranda นั้นเป็นใคร !! และต้องการตัวลูกสาวของ Ethan ไปทำไมครับโดยการเล่าเรื่องของ Resident Evil Village ต้องบอกว่าจริงๆ มันก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับเกม Resident Evil 7 อยู่พอสมควร เพราะมันจะเริ่มจากที่ตัว Ethan เนี่ยแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งตัว Ethan เนี่ยมันเหมือนจะทำหน้าที่แทนตัวเราที่ไม่รู้ข้อมูล และเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเกมสถานที่และเหตุผลต่างๆ เลยรวมถึงเนื้อเรื่องจะค่อนข้างแบ่งออกเป็นพาร์ทๆ และก็ต้องต่อสู้กับเหล่า 4 ขุนนางทั้งหมดนี้ และก็ค่อยๆ หาคำตอบไปเรื่อยๆ ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้ มันทำให้การดำเนินเนื้อเรื่องจะเต็มไปด้วยความสงสัยตลอดเวลา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นและค่อยไปเฉลยแบบจัดเต็มในช่วงท้ายเกม ซึ่งการที่พูดพัฒนาเลือกที่จะทำอะไรแบบนี้ มันก็เลยทำให้ตัวเนื้อเรื่องมีความน่าตื่นเต้นและน่าติดตามเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากตัว Ethan รู้เรื่องราวก่อนออกผจญภัย ผมว่าเนื้อเรื่องของมันอาจจะไม่ได้สนุกขนาดนี้ แต่มันก็อาจจะต้องแลกกับเรื่องความสมเหตุสมผลของบางตัวละครที่อาจจะแปลกๆ ไปนิด แต่มันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้อยู่ ไม่ได้ลดทอนความน่าตื่นเต้นของเนื้อเรื่องไปอย่างใดส่วนในด้านความยาวของเนื้อเรื่องในภาคนี้ ตัวเกมจะมีความยาวที่มากกว่าเกมภาค 7 อยู่ประมาณหนึ่ง ซึ่งตัวผมเองได้เล่นเกมนี้ในระดับ Normal มีหลงทางบ้าง งงกับ Puzzle บ้าง ใช้เวลาเล่นจบอยู่ที่ประมาณ 8-10 ชั่วโมงได้ ซึ่งจะมากกว่าภาคก่อนๆ อยู่ราวๆ 2 ชั่วโมงครับ และแน่นอนว่าเกมนี้มีทั้งเมนูภาษาไทย ซับไทยอย่างเป็นทางการ มันทำให้เราสามารถดูเนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วยเกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าว่าในตัวเนื้อเรือ่งนั้นจะแบ่งออกเป็นพาร์ทๆ ที่เราจะได้เจอกับเหล่าขุนนางของ Mother Miranda ทีละคนๆ ซึ่งในการพบเจอกับขุนนางแต่ละตัวนั้น ตัวเกมเพลย์จะค่อนข้างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่พอสมควรเลย อย่างช่วงที่อยู่ในปราสาทตอนเจอกับเหล่า Lady Dimitrescu มันก็ให้อารมณ์เหมือนตอนเวลาเจอ Mr. X ใน Resident Evil 2 หรือให้อารมณ์เหมือนกับเจอลุง Jack Baker ในเกม Resident Evil 7 ที่เราจะต้องหนีจากการไล่ล่าไปด้วย และหาปริศนาไปด้วยแต่ว่าผมเองอาจจะไม่ขอเล่าเรื่องของอีกสามคนที่เหลือและกันนะครับว่าขุนนางคนไหนมีทีเด็ดอะไร เพราะผมอยากให้ท่านไปเจอกันเองมากกว่า (ไม่อยากสปอยส์เยอะ แต่ที่อธิบายเกี่ยวกับ Lady Dimitrescu เพราะว่าผู้พัฒนาเผยมาตั้งแต่ Demo แล้ว)ในด้านของระบบการต่อสู้ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับเกม Resident Evil 7 ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจังหวะการยิง ที่ต้องรอเป้าให้มันหุบก่อนถึงจะยิงแม่น หรือการยกมือขึ้นมาป้องกันดาเมจจากศัตรู โดยศัตรูใน Resident Evil Village จะมีความดุร้ายที่มากกว่าเกมภาคก่อนอยู่พอสมควร ยกตัวอย่างศัตรูอย่าง Lycan ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเหล่าลูกสมุน แต่พวกมันก็มีความคล่องตัวที่ค่อนข้างสูง โจมตีไว และก็ช่วงแรกๆ มันค่อนข้างถึกพอสมควรเลย คือเราต้องใช้กระสุนเยอะมากในการฆ่าแต่ละตัว หรือศัตรูบางตัวเราก็อาจจะต้องตีจุดอ่อนของมันอย่างเดียว ซึ่งมันอาจจะทำให้การฆ่าศัตรูชนิดนี้ค่อนข้างเปลืองกระสุนบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมมันก็แลกมากับการที่ภายในฉากค่อนข้างมีกระสุน หรือยาให้เก็บและให้คราฟต์มากขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเลยครับ ถึงแม้ว่าศัตรูในแผนที่จะเยอะอย่างไร กระสุนที่มีให้เก็บนั้นมันก็เพียงพอต่อการที่คุณจะเอาตัวรอดแน่นอน และนอกจากนี้ Resident Evil Village ยังมีระบบใหม่ที่หายไปตั้งแต่เกม Resident Evil 4 เข้ามานั่นก็คือระบบขายของที่ในภาคนี้จะเรียกว่า The Duke โดยเราเนี่ยครับสามารถซื้อของ ขายของ หรืออัปเกรดอาวุธของตัวเองให้เก่งขึ้นด้วยการใช้บริการจากร้าน The Duke ครับ ซึ่งค่าบริการก็จะเป็นเครดิตที่เราสามารถหาของจากแผนที่ต่างๆ มาขาย หรือจะจัดการศัตรูก็จะมีเงินดรอป หรือของดรอปมาขายได้เช่นกัน แต่ทุกท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าระบบนี้มันจะทำให้ Ethan เรามีกระสุนไม่จำกัดก็ไม่ใช่ เพราะในแต่พาร์ทของเกม ตัว The Duke จะจำกัดการซื้อกระสุนเราด้วยเช่นการซื้อกระสุนปืนพกไม่เกิน 15 นัด หรือกระสุนลูกซองไม่เกิน 5 นัดจนกว่าที่คุณจะผ่านด่านนั้นไปได้ ถึงจะมีการปลดล็อคให้ซื้อของเพิ่มได้ หรืออัปเกรดของเพิ่มได้ มันเลยทำให้เกมนี้ถึงแม้ว่ามันจะเปิดโอกาสให้เราได้เหนี่ยวไกสู้มากขึ้น แต่สุดท้ายเกมนี้ก็ยังเป็นเกมแนว Survival Horror อยู่ดี สุดท้ายกระสุนมันก็เพียงพอต่อการเอาตัวรอด แต่ไม่ได้มีให้ใช้แบบฟุ่มเฟือย รวมถึงระบบการล่าสัตว์ที่เราจะสามารถไปไล่ยิง ไล่ตีไก่ ตีปลาในหมู่บ่านและเอาเนื้อพวกมันมาทำอาหารเพื่อเพิ่มสเตตัสถาวรให้กับตัว Ethan ได้อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นการทำให้เราถึกขึ้นเวลากดป้องกัน หรือเลือดเพิ่มช้าๆ เป็นต้น ทำให้ตัวคุณนั้นเก่งขึ้น เล่นง่ายขึ้น !! แต่ว่าผมเองเล่นโหมดระบบ Normal จบก็ไม่ได้ยุ่งกับโหมดนี้เท่าไรเลย ก็สามารถเล่นเกมนี้จบได้ แต่ก็อาจจะไปเหนื่อยในตอนเจอบอสหลังๆ ที่ต้องระวังเป็นพิเศษส่วนในเรื่องปริศนาที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ ส่วนตัวมันก็มีปริศนาที่ให้คิดอยู่บ้าง มีปริศนาจากคำใบ้ หรือปริศนาที่จะต้องคิดและหาคำตอบภายในห้องๆ นั้น แต่เสียดายที่ปริศนาพวกนั้นไม่ได้มีให้เล่นเยอะครับ คือมันจะมีในช่วงแรกๆ ของเกมที่อยู่ในโซนปราสาทเท่านั้น พอออกมาก็ไม่ค่อยมีแล้วและระบบต่อมาที่จะพูดก็คือระบบ Treasure หรือว่าระบบสมบัติครับ ซึ่งระบบนี้จะมาช่วงประมาณกลางเกมเป็นต้นไปที่ตัวเกมจะเปิดโอกาสให้เราได้กลับมา Free Roam ในหมู่บ้านอีกครั้ง และตามบ้านแต่ละแห่งก็มักจะมีกล่องสมบัติที่คนในหมู่บ้านนั่นแหละเป็นคนทิ้งไว้ โดยของพวกนี้จะอยู่ในเส้นทางลับ เส้นทางพิเศษให้เราเข้าไป ซึ่งในนั้นมันก็มักจะมีของดีๆ ไม่ว่าจะเป็นปืนใหม่ๆ หรือจะเป็นกระสุนเป็นต้น แต่ว่าสมบัติบางอันก็หาง่าย ไปเอาได้เลย แต่บางอันเราก็อาจจะต้องใช้กุญแจ หรือของไปปลดล็อคก่อน ซึ่งเราก็ต้องไปสุ่มหากันเอาเองเป็นต้น และสุดท้ายก็คือเกมนี้ก็ยังกลับไปใช้ระบบ Save ด้วยพิมพ์ดีดเหมือนเกม Resident Evil 7 นะครับ ซึ่งมันก็จะมีอยู่ตามจุด ตามห้องต่างๆ เพียงแต่ว่าระบบคลังเก็บของที่มีในเกมภาคก่อนๆ ได้ถูกเอาออกไปครับ และเพิ่มระบบช่องเก็บของในตัว Ethan ที่สามารถเก็บของได้มากขึ้น หรือสามารถซื้อช่องเก็บของเพิ่มได้จาก The Duke อีกด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าเกมนี้เราจะต้องสู้เยอะใช้ของเยอะ การเอาของมาอย่างจำกัดอาจจะไม่พอนั่นเองความรู้สึกจากที่ได้ลองเล่นเกม Resident Evil Village มาจนจบ ส่วนตัวต้องชมในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างทำออกมาได้ดีพอสมควร ถึงแม้เรื่องราวบางอย่างอาจจะแถไปบ้าง แต่การที่ตัวเกมนำเสนอเรื่องราวความน่าตื่นเต้น และค่อยๆ เปิดเผยความจริงเราไปเรื่อยๆ ผ่านตัวละคร Ethan ทำให้เรารู้สึกอยากเล่นต่อเรื่อยๆ และอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็อาจจะมีติดในบางอย่างที่ตัวละครบางตัว อาจจะมีบทน้อยไปนิด หรือน่ากลัวน้อยไปนิด อาจจะเป็นเพราะว่าเราคาดหวังกับตัวละครนี้มากเกินไปหน่อย ส่วนในเรื่องของความน่ากลัว แน่นอนมันต้องน่ากลัวน้อยกว่าเกม Resident Evil 7 ที่มันอยู่ในบ้านร้างเล็กๆ แคบๆ แต่ผู้พัฒนาก็เลือกที่จะเล่นกับความน่ากลัวความโหดของสัตว์ประหลาด คือบางตัวรูปลักษณ์มันไม่ได้ดูน่ากลัว แต่ที่เรากลัวมันคือมันสามารถ One Shot Kill  เราได้ หรือตีเราทีเลือดแดงเลยอะไรแบบนี้ คือ Resident Evil Village กลิ่นอายส่วนใหญ่มันจะเป็นความน่ากลัวสไตล์แบบนี้มากกว่า คือความน่ากลัวแบบหลอนๆ มันก็ยังมีนะครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้เยอะเท่าที่ควร แต่ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ไม่ชอบอย่างเดียวสำหรับเกมนี้ก็คงจะเป็นเรื่อง Puzzle ที่มันน้อยไปนิด ถึงแม้ว่าปริศนาแต่ละตัวที่ทำมาจะค่อนข้างดูดีเลย แต่มันก็ยังน้อย และดูธรรมดามากๆ ถ้าให้เทียบกับปริศนาต่างๆ ในเกม Resident Evil 7 ซึ่งถ้าใครที่ชอบปริศนาโดยเฉพาะก็อาจจะผิดหวังส่วนในด้านเกมเพลย์ผมเองไม่ได้ติดนะครับที่ตัวเกมมันจะเปิดโอกาสให้เราได้ยิงเยอะกว่าเดิม เพราะศัตรูที่เกมเสิร์ฟมาให้ มันก็โหดใช้ได้ และมันก็หลากหลายมากกว่าภาคก่อนหน้าเยอะมาก รวมถึงมันก็เหมือนเป็นการเปลีย่นอารมณ์ของเกมบ้าง ให้มันมีความสดใหม่บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลก และก็ส่วนตัวมันก็ไม่ได้แอ็คชันขนาดในภาค 5 ภาค 6 เลย มันอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางของเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ และเกมเมอร์หน้าใหม่ด้วย
07 May 2021
รีวิว Total War: ROME REMASTERED ย้อนความหลัง สงครามแผ่อำนาจจักรวรรดิโรมัน
ในเดือนมีนาคม 2021 ทางผู้พัฒนาเกม Total War ก็ได้ทำการเซอร์ไพรส์พวกเราออกมานั่นคือการประกาศนำเกม Total War: Rome เกมจำลองสงครามที่เคยวางจำหน่ายในปี 2004 มา Remastered ปัดฝุ่นกราฟิกใหม่ให้เรานั้นหวนคืนถึงวันวานอีกครั้ง โดยตัวเกมจะเล่าเรื่องราวในช่วงยุคกรีก โรมัน และเรานั้นจะได้เป็นผู้ชี้ชะตาและเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ซึ่งตัวเกมก็พึ่งจะวางจำหน่ายออกมาในวันที่ 29 เมษายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งทางเรา GameFever TH เองก็ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้วครับ และจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าเกมนี้เหมาะแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ?Total War: Rome Remastered เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างจากเวอร์ชันดั้งเดิมแน่นอนอย่างที่เราเห็นชัดๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงในภาคนี้เลยก็คือกราฟิกของเกมที่ผู้พัฒนาไม่ได้แค่ปรุงปรุงให้ชัดขึ้น แต่พวกเขานั้นแทบจะทำการปั้นโมเดล หรือวาดกราฟิกกันใหม่ยกชุดกันเลยก็ว่าได้ ตัวละคร อาคาร สิ่งของนั้นได้ถูกทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โอเคถึงแม้ว่ามันก็อาจจะไม่ได้สวยงามเท่ากับเกมภาคก่อนๆ หน้า แต่มันก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว รวมถึงภาคนี้ยังรอบรับรายละเอียดได้มากถึง 4K อีกด้วย และรองรับ Wild Screen ในเรื่องของมุมกล้องก็สามารถซูมออกได้กว้างขึ้น มี Heat Map และไอคอนหน้า Interface ใหม่ให้เหมาะแก่การเล่นที่ง่ายขึ้น และที่พิเศษเลยก็คือตัวเกมยังมีการปลดล็อคกองทัพให้มีมากถึง 38 Faction เลยทีเดียวเกมเพลย์สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกม Total War หรือเกม 4X ใดๆ มาก่อนเลย ตัวผมเองก็ต้องแนะนำเลยว่า จริงๆ แล้ว Total War เป็นเกมที่ค่อนข้างเป็นมิตรสำหรับผู้เล่นใหม่อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่มันก็ถือว่ายังง่ายถ้าให้เทียบกับเกมอื่นๆ เพราะจุดประสงค์ของเกมนี้มีสิ่งเดียวเลยก็คือการไล่ยึดดินแดนต่างๆ และขยายอาณาจักรของเราไปเรื่อยๆ เพียงตัวเกมอาจจะมีรายละเอียดด้านในที่ต้องลงลึก หรือสิ่งที่เราจะต้องบริหารเกี่ยวกับบ้านเมืองด้วยในด้านโหมด Campaign นั้นในช่วงเริ่มเราจะได้เลือกเล่นเป็น 3 ตระกูลที่จะต้องปกป้องดินแดนโรม ซึ่งประกอบไปด้วย The House of Julli, The House of Brutii และ The House of Scipii ซึ่งทั้งสามตระกูลจะเป็นพันธมิตรกัน มีจุดที่ตั้งในแผนที่แตกต่างกัน และถ้าหากคุณคู่อริที่แตกต่างกัน โดยตัวเกมจะแบ่งการเล่นเป็น 2 แบบคือ Full Campaign คือเราจะต้องยึดดินแดนให้ได้อย่างน้อย 50 ดินแดน หรือท่านจะสามารถเล่นแบบ Short Campaign ที่เพียงแค่ยึดดืนแดนศัตรูคู่อริของเราก็จบเกมแล้ว อย่างเช่นตัวผู้เขียนนั้นเล่นเป็นตระกูล The House of Julli ซึ่งศัตรูโดยตรงนั่นก็คือฝ่าย Gaul นั่นเอง และถ้าหากเราสามารถจัดการศัตรูจนพ่ายได้แล้วนั้น เราจะสามารถเล่นเป็นฝ่ายนั้นได้ถ้าเริ่ม Campaign ใหม่ !!นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบแม่ทัพที่เราสามารถเอาเขาไปนำทัพในการสู้ได้ (ทัพไหนมีแม่ทัพจะเก่งขึ้นเยอะ) ซึ่งระบบแม่ทัพก็จะเป็นระบบเครือญาติและแม่ทัพทุกคนจะมีอายุขัยเป็นของตัวเอง และก็จะสามารถแต่งงาน ออกลูกออกหลาน และก็ตายไป ยิ่งถ้าหากเราส่งแม่ทัพคนไหนออกรบบ่อยๆ เขาก็จะเก่งมากขึ้น หรือเราเองก็สามารถแต่งตั้งให้ใครเป็นรัชทายาทคนต่อไปก็ได้เช่นกันและหนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ก็คงจะเป็นการที่เราสามารถเข้าไปบังคับกองทัพในสงครามโดยตรงได้ ซึ่งมันจะทำให้เรานั้นสามารถคิดวิเคราะห์และหาความได้เปรียบในกรณีที่ทหารของเราเสียเปรียบได้ แต่ส่วนตัวผู้เขียนยอมรับว่าไม่ค่อยอินระบบนี้มากนัก เพราะเนื่องจากที่ตัวเองจะบังคับ คิดแผนการรบไม่เก่งแล้วนั้น มันก็ค่อนข้างเสียเวลาพอสมควร ส่วนใหญ่ตัวผู้เขียนจะใช้ระบบ Simulation จำลองและได้ผลลัพธ์ไปเลยเสียมากกว่าในระหว่างการเล่น เราก็เพียงต้องพยายามขยายดืนแดนไปเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็จะต้องเริ่มจากการไล่โจมตีศัตรูของเราไล่ยึดดินแดนของพวกเขาให้หมดสิ้น ซึ่งพอเรายึดดินแดนได้แล้วนั้น เราก็จะต้องกลายเป็นผู้บริหารและพัฒนาดินแดนแห่งนั้นแทน เราจะต้องสร้างฟาร์ม สร้างท่าเรือ เพื่อทำการค้า หรือจะสามารถสร้างฐานทัพทหารให้มีพลทหารหลากหลายขึ้น รวมถึงยังต้องสร้างทหารประจำการที่ควรจะต้องมีเอาไว้ในทุกๆ เมือง เผื่อศัตรูนั้นเข้ามาโจมตี นอกจากนี้เราจะต้องบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ให้พอเหมาะ ถ้าหากเรามีทหารมากเกินไป ค่าใช้จ่ายในแต่ละเทิร์นนั้นก็จะมากขึ้น (เราต้องหาข้าวหาน้ำให้พวกเขากิน) ซึ่งทุกท่านก็คงไม่อยากที่จะทำให้เงินติดลบ โดยวิธีแก้ไขก็คือการสร้างฐานที่จะเพิ่มผลผลิตให้กับเราให้ค่า Income นั้นมากขึ้น การไปตียึดหลายๆ เมืองก็อาจจะช่วยให้เราสามารถสร้างฐานเหล่านี้ได้มากขึ้นด้วยและอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเกมนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบ Agent ที่เราจะสามรารถสร้างตัวละครพิเศษไปทำบางสิ่งบางอย่างกับเมืองอื่นๆ ได้อย่างเช่นการมีทูตที่จะคอยไปเจรจากับเมืองต่างๆ เช่นเจรจาสัญญาการซื้อขาย เจรจาสัญญาสงบศึก เจรจาให้ช่วยเรารบ หรือเจรจาเรื่องการอนุญาตผ่านดินแดนเป็นต้น ซึ่งนอกจากที่เราจะต้องไปทำการเจรจากับคนอื่นแล้ว บางทีเหล่าดินแดนอื่นๆ ก็จะวิ่งที่เจรจากับเราโดยตรงก็มี อย่างเช่นตัวผู้เขียนเองกำลังตีเมือง Gaul ใกล้จะแตกพ่ายหมดแล้ว ทางศัตรูส่งทูตมาเจรจากับเราเพื่อขอสงบศึกโดยให้เงินเราจำนวนหนึ่งก็มี หรือท้ายๆ นี่มีการยกดินแดนให้เลยโดยแลกกับการที่เราจะต้องกลายเป็นผู้ปกครองของเขาหรือจะเป็น Agent ทำการค้าขายที่เราจะสามารถส่งพ่อค้าไปยังเมืองต่างๆ เพื่อทำการค้าในเมืองนั้นๆ และเพิ่ม Income ให้กับเมือง หรือจะเป็น Agent อย่าง Spy ที่เขาสามารถเข้าไปแทรกซึมเมืองต่างๆ เพื่อให้เราได้เปรียบก่อนที่จะทำการโจมตีก็มีเช่นกันความรู้สึกพูดตามตรงถ้าหากใครที่ไม่เคยเล่น Total War สักภาค การเริ่มต้นเล่นเกม Total War: Rome Remastered ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เพราะว่าตัวเกมเวอร์ชันนี้ค่อนข้างเล่นง่ายและมีรายละเอียดที่เข้าใจไม่ยากนัก (แต่ก็อาจจะต้องศึกษาอยู่ดี) แต่สำหรับคนที่เคยเล่นเกม Total War ภาคก่อนๆ มาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าระบบหลายๆ อย่างของเกมนี้มันก็อาจจะมีไม่เยอะเท่าเกมภาคก่อนๆ เสียเท่าไร ทำให้คนที่เคยเล่นอยู่แล้วอาจจะรู้สึกไม่สนุกกับมันมากนัก นอกเสียจากคุณจะเป็นแฟนนิยาย กรีก โรมันแท้ๆ แต่ถ้าหากคุณไม่ใช่ !! ท่านอาจจะกลับไปเล่นเกมภาคเก่าๆ อย่าง Troy, Three Kingdom หรือ Warhammer ดีกว่า แต่ถ้าหากคุณเป็นผู้เล่นใหม่อยากลองเล่น Total War จริงๆ การเริ่มที่ภาคนี้ก็ไม่เลวครับ
30 Apr 2021
Returnal Review 'ผู้ท้าชิงบัลลังค์ Roguelike ที่หัวร้อนที่สุด'
พูดจริงๆ ว่าแค่ยานอวกาศร่วงลงมาบนดาวเอเลี่ยนก็สาหัสแล้ว แต่ยังต้องมาติดลูปเวลาซ้ำๆ กันทุกครั้งที่ตาย โดยที่ไม่สามารถหนีออกไปได้ ถือว่าเคราะห์ร้ายได้ถ้วยไปเลยจริงๆ กับตัวเอก Selene จากเกม Returnal เกมแนว 3rd-Person Shooting สไตล์ Roguelike จากค่ายอินดี้มือเก๋าอย่าง Housemarque ที่วางจำหน่ายสำหรับ PlayStation 5 โดยเฉพาะสำหรับผู้เขียน ได้มีโอกาสลองเล่นเกมไปแล้วประมาณหนึ่ง จึงอยากจะลองนำประสบการณ์ของตัวเองมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่า “เกมอินดี้ระดับ AAA” เกมนี้จะเหมาะกับคุณหรือไม่ (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวเกม) เกมเพลย์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกม Returnal จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็นตัวเอกที่ชื่อว่า Selene นักบินอวกาศหญิงเคราะห์ร้ายที่ติดอยู่บนดาวปริศนาที่ชื่อว่า Atropos และต้องต่อสู้กับศัตรูเอเลี่ยนหน้าตาน่าขยะแขยงมากมายเพื่อเอาตัวรอดในรูปแบบ 3rd Person Shooter (เกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม) ซึ่งในระดับผิวเผินก็ไม่ได้ต่างจากเกมบุคคลที่ 3 ทั่วไปเท่าใดนัก แต่เมื่อนำมาควบรวมกับระบบ Bullet Hell ของถนัดของผู้พัฒนา Housemarque แล้ว ก็ทำให้เกม Returnal กลายเป็นเกมแอคชั่นความเร็วสูงที่ต้องใช้ความแม่นยำในการควบคุมเยอะมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องคอยวิ่งหรือพุ่ง (Dash) หลบกระสุนทั้งบนพื้นและกลางอากาศที่ศัตรูสาดมาเต็มจอตลอดเวลา ทำให้ในบางจังหวะ Returnal ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Doom ขนาดย่อมๆ อย่างไงอย่างงั้นเลยความพิเศษของ Returnal อีกอย่างคือระบบการวนลูปเวลา ที่ทำให้ Selene ถูกส่งกลับไปเริ่มใหม่ในจังหวะที่ยานของเธอตกลงสู่ดาวทุกครั้งที่เราตาย และระบบการเล่นแบบ Roguelike ของเกมที่ผูกเข้ากับลูปเวลานี้นั่นเอง โดยผู้เล่นในฐานะ Selene จะพกพาความทรงจำและ/หรือไอเทมบางชิ้นจากลูปก่อนหน้าเข้าสู่ลูปต่อไปด้วย ทำให้เรายังคงค่อยๆ พัฒนาตัวละครขึ้นประมาณหนึ่งสำหรับการเล่นครั้งต่อไป แต่ในขณะเดียวกันห้องทั้งหมดในด่านก็จะสลับตำแหน่งกันแบบสุ่มทั้งหมด และศัตรูทั้งหมด รวมไปถึงไอเทมและอัปเกรดทุกชิ้นในห้องนั้นๆ ก็จะเกิดใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนไปเป็นศัตรูชนิดอื่นที่ยาก (หรือง่าย) กว่าเดิมก็ได้ ทำให้การเริ่มลูปใหม่ทุกครั้งมีความต่างจากที่ผ่านๆ มาเสมอทั้งในแง่ของด่าน ศัตรูที่เจอ และไอเทมหรืออาวุธที่ใช้ได้อาวุธในเกมนี้เบื้องต้นมักจะไม่ค่อยต่างกับปืนธรรมดาๆ ในเกมยิงปืนทั่วไปเช่นปืนพก ไรเฟิล หรือลูกซอง และมักจะมาพร้อมกับ “กระสุนรอง” (Alternate Fire) ที่ให้มาแบบสุ่ม เช่นปืนยิงระเบิด ปืนยิงจรวดติดตาม เป็นต้น ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และใช้อาวุธที่ได้มาอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนปืนไปอีกพักใหญ่ๆ เลยก็ได้ ซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคอเกมยิงปืนทั้งหลายที่อาจจะคุ้นเคยกับการใช้ปืนหลายชนิด แต่สำหรับคนที่มีปืนที่ถนัด อาจจะรำคาญระบบนี้ได้เหมือนกันเมื่อรู้สึกว่าไม่ผ่านด่านเพราะเกมไม่ยอมให้ปืนที่เราต้องการมาซะทีแม้ต้องยอมรับว่าเกมเพลย์โดยรวมในฝั่งของการต่อสู้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือหวือหวาไปกว่าเกมแนวเดียวกันทั่วๆ ไปในแง่ของการควบคุม แต่ก็สนุกและท้าทายเสมอจากจำนวนและรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละชนิดที่เราเจอในเกม ซึ่งมักจะสาดกระสุนใส่เราพร้อมกันในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ระบบการเคลื่อนที่อันเรียบง่ายของเกมให้แม่นยำที่สุดที่จะทำได้เพื่อเอาตัวรอด แถมยังต้องเล็งและต่อสู้กับศัตรูไปพร้อมๆ กันอีกต่างหาก และเมื่อนำมารวมกับความขี้งกของเพื่มเลือดของเกม ทำให้ Returnal นับเป็นเกมที่ “ยาก” ในระดับที่หัวร้อนขึ้นมาเลยเหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้เล่นจะชอบหรือไม่ชอบความยากระดับ “น้องๆ Dark Souls” เช่นนี้เช่นเดียวกับเกมอย่าง Sekiro หรือ Ghost of Tsushima ที่บังคับให้ผู้เล่นต้องฝึกฝนระบบเกมเพลย์พื้นฐานให้คล่อง เกม Returnal เองก็นับเป็นเกมที่พร้อมจะท้าทายผู้เล่นอย่างไม่ปราณีในรูปแบบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เราคิดกับตัวเองว่า “ขออีกตา” อยู่เสมอ แม้ว่าจะรับรู้ดีถึงความหัวร้อนที่รออยู่ในภายภาคหน้าเนื้อเรื่องอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เนื้อเรื่องของเกม Returnal เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักบินอวกาศหญิง Selene ค้นพบเข้ากับสัญญาณวิทยุปริศนาที่ชื่อว่า White Signal ที่ส่งออกมาจากดาว Atropos แต่เมื่อเธอเข้าใกล้ดาวเพื่อสำรวจ ยานของเธอก็เกิดขัดข้องขึ้นและร่วงลงสู่พื้นดาวในที่สุด เมื่อเธอออกมาได้ Selene ก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาต้นตอของสัญญาณ White Signal ด้วยตัวเอง โดยระหว่างการเดินทาง Selene ก็ได้ค้นพบความจริงอันน่ากลัวว่าจิตของเธอจะย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เธอร่วงลงสู่พื้นดาวเสมอเมื่อเธอตาย หมายความว่าแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถช่วยให้เธอหนีออกไปจากดาวแห่งนี้ได้ เนื้อเรื่องของ Returnal จะเล่าถึงการเดินทางของ Selene รวมไปถึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารยธรรมเอเลียนที่ล่มสลายไปของดาว ซึ่งผู้เล่นจะต้องเก็บ “Cypher” หรือตัวแปลภาษาให้ครบจำนวนจึงจะอ่านข้อความบนแผ่นหินที่กระจัดกระจายอยู่บนดาวได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม Returnal สามารถเล่าได้อย่างน่าติดตามมากๆ โดยเกมเน้นการวางปริศนามากมายเอาไว้ในช่วงต้นเกม ก่อนที่จะทำการเปิดเผยรายละเอียดใหม่ๆ ให้ผู้เล่นนำไปปะติดปะต่อเอาเองทีหลัง ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปทีละน้อยๆ ตลอดระยะเวลาการเล่นทั้งนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมามากกว่า อาจจะไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่องของเกม Returnal ได้ เพราะเกมแทบไม่ค่อยเล่าอะไรออกมาตรงๆ แถมบางครั้งจังหวะการเล่าเรื่องก็อาจจะขาดช่วงขาดตอนไปได้จากรูปแบบของเกมที่พึ่งพาการสุ่มฉากค่อนข้างมาก บางครั้งถ้าโชคดีอาจจะได้สุ่มฉากที่ดำเนินเรื่องต่อมาอยู่ตั้งแต่ต้น บางครั้งก็หาเท่าไหร่ไม่เจอ นับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในเกมแนว Roguelike อยู่แล้วด้วยไม่ขอพูดถึงรายละเอียดใดๆ มากเพราะเราไม่อยากสปอย แต่บอกได้เลยว่าปริศนาหลายๆ อย่างในเกม Returnal ทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ และการตามหาความจริงเบื้องหลังลูปเวลาที่กักขัง Selene เอาไว้ก็นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเล่นของผู้เขียนเช่นกันการนำเสนอแม้จะไม่ได้สวยชัดสมจริงเป็นพิเศษ แต่เกม Returnal ก็สามารถใช้ศักยภาพของเครื่อง PlayStation 5 ได้อย่างเต็มที่ในส่วนของ Particle Effects (เอฟเฟกต์อนุภาค) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนา Housemarque เชี่ยวชาญอยู่แล้วในเกมที่ผ่านๆ มาของค่าย ส่งผลให้กราฟิกอนิเมชั่นจำพวกกระสุนปืนหรือลูกพลังที่ปลิวว่อนด่านตลอดเวลามีความฉูดฉาดสะใจมากๆ แถมเกมยังทำงานที่ความเร็ว 4K, 60 FPS ตลอดเวลาได้โดยไม่มีสะดุด และโหลดเซฟใหม่หลังตายในพริบตาด้วย ถือว่าได้มาตรฐานของเกม Exclusive อยู่ในด้านนี้ยิ่งไปกว่านั้น เกมยังใช้ประโยชน์จากลูกเล่นล้ำๆ ของเครื่อง PS5 ได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบ Adaptive Trigger ที่ทำเราปุ่ม L2/R2 กดได้สองจังหวะสำหรับการยิงปืนธรรมดาและ Alternate Fire หรือระบบสั่นที่ละเอียดอ่อนของจอยที่ทำให้เรารู้ตำแหน่งของศัตรูได้แม้มองไม่เห็นก็ตาม แม้ในบางครั้งเสียงซาวด์เอฟเฟกเล็กๆ น้อยๆ ที่ออกมาจากจอยตลอดเวลา (เช่นเสียงหญ้า เสียงน้ำไหล) อาจจะน่ารำคาญอยู่นิดหน่อยก็ตามระบบเสียงของเกม Returnal ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างของเกม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากลูกเล่นด้านเสียงมากมายของเครื่อง PS5 ที่กล่าวไปก็เป็นได้ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า Returnal สามารถใช้เสียงในการสร้างบรรยากาศและกำหนดอารมณ์ให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของศัตรูที่แว่วออกมาจากจอย หรือเสียงของสภาพแวดล้อมที่ทำให้เหมือนผู้เล่นกำลังย่องผ่านดงหญ้าที่อาจซ่อนศัตรูเอาไว้ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาตั้งใจออกแบบหรือเป็นผลพวงมาจากเครื่อง PlayStation 5 ก็นับเป็นจุดเด่นที่ได้คะแนนจากผู้เขียนไปไม่น้อยสรุปReturnal เปรียบเสมือนการนำแนวคิดอันเรียบง่ายออกมาได้อย่างสละสลวยที่สุด แม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้มีอะไรใหม่เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นการผสมผสานเกมเพลย์แนว Third-Person Shooter แบบมาตรฐานเข้ากับแนวเกม Roguelike ที่เล่นแล้ววางจอยไม่ลงเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมแนวปริศนาชวนขนลุก บอกเลยว่าห้ามพลาด
29 Apr 2021
รีวิว Apex Legends : Arena Mode เกิดเป็นลูกผู้ชายต้องสู้แบบ 3 Vs 3!
เปิดตัวกันแล้วอย่างน่าตื่นเต้นสำหรับโหมดใหม่ในเกม Apex Legends อย่าง Arena Mode ที่มาพร้อมกับรูปแบบเกมเพลย์ใหม่แบบ 3 Vs 3 โดยเตรียมเปิดให้เล่นพร้อมกันวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 พร้อมกับเริ่ม Season 9 ที่มีการเพิ่มทั้งตัวละครใหม่ และอาวุธใหม่อย่างธนูเข้ามา ต้องขอบคุณทาง EA ที่ให้โอกาสพวกเรา GameFever Th ได้มีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นโหมดดังกล่าวก่อนในวันที่ 22 เมษายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ และรายละเอียดของโหมดนี้ พร้อมกับวิธีเล่นยังไงให้ได้เปรียบมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยArena เป็นโหมดแบบไหนในโหมดนี้ผู้เล่นจะถูกแบ่งออกเป็นสองทีมแบบ 3 Vs 3 สามารถเลือกตัวละครที่ชอบได้ตามปกติ แต่จะต่างตรงที่ว่าเกมไม่ได้เริ่มที่ฉากกระโดดลงจากยาน แต่เริ่มในหน้าซื้อของ ที่ให้ผู้เล่นเลือกได้ว่าจะเริ่มต้นในแต่ละรอบด้วยอาวุธปืนชิ้นไหน พร้อมกับ Mod อะไรบ้าง โดยใช้ Materials (แร่สำหรับ Craft Mod ปืนในเกมปกติ) ในการซื้อ ยิ่งปืนเก่งเท่าไหร่ ใส่ Mod ระดับสูงขนาดไหน ก็ยิ่งจำเป็นต้องจ่าย Materials มากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าในโหมดนี้มียาแบบเดียวกับโหมด BR แต่ก็จำเป็นต้องใช้ Materials ในการซื้อเช่นกันในส่วนของสกิลจะไม่สามารถใช้ได้เรื่อยๆ โดยต้องรอ Cooldown หลังจากใช้เหมือนกับโหมด Battle Royale ในโหมดนี้แต่ละตัวจะมีข้อจำกัดในการใช้สกิลของตัวเองอยู่ ซึ่งสามารถซื่อเพิ่มได้โดยการจ่าย materials รวมถึงสกิลท่าไม้ตายที่ก็จำเป็นต้องใช้ Materials ซื้อเช่นกัน บางสกิลที่มีผลต่อการต่อสู้มากๆ อย่าง Bangalore จะไม่สามารถซื้อใช้งานสองรอบติดๆ กันได้ จุดแตกต่างของโหมด Arena กับเกม FPS อื่นๆ ที่มีในตลาดคือ ทุกๆ รอบตัวละครจะเกิดมาพร้อมกับเกราะ และหมวกเลย ซึ่งเกราะจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนรอบที่ผ่านไป แต่ขอให้เข้าใจว่าอาวุธปืนที่ผู้เล่นถือเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนวิธีการหา Materials ในแต่ละรอบจะเหมือนกับ FPS ชื่อดังในตลาดเลย แต่ต่างตรงที่ในการเล่นแต่ละรอบภายในด่านจะมี Materials  ให้เก็บสำหรับใช้ในรอบต่อไปด้วย โดยจะส่งผลทั้งทีม (ต่อให้ฆ่าไม่ได้เลย และแพ้ด้วย ถ้าเก็บ Materials ได้เยอะก็เงินซื้อของในรอบต่อไปเยอะนั้นเอง) โดยในโหมดนี้ไม่สามารถเก็บปืนเอาไว้ใช้สำหรับรอบต่อไปได้ ทุกครั้งที่เริ่มรอบจำเป็นต้องซื้อใหม่เสมอ ดังนั้นจะเอา Materials ไปซื้ออะไรบ้างต้องคิดดีๆในโหมดนี้จะมีการบีบวงต่อสู้ให้เล็กลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับโหมด BR และมีการใส่กล่อง กับ Airdrop เข้าไปในด่านด้วย โดยต้องบอกเลยว่าวงของโหมดนี้แรงมากๆ ถ้าวิ่งเข้าไม่ทันตายได้ง่ายๆ เลย ส่วนภายในกล่องจะมีการใส่ของจำพวกยาเอาไว้ไปถึงก่อน ส่วน Airdrop จะเป็นอาวุธปืนสามช่องเสมอ สามารถออกบ้านตัวเปล่าไปรอเก็บปืนจาก Airdrop ได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าตรงจุดดังกล่าวอาจต้องปะทะกับศัตรูที่เข้ามารอเก็บได้เช่นกัน สนุกรึเปล่า?ด้วยขนาดของด่านที่ไม่ใหญ่มาก (ฺประมาณ 4-5 เท่า ของระยะสแกน Bloodhound) บวกกับการที่มีการบีบวงต่อสู้ให้เล็กลง ทำให้การปะทะในแต่ละรอบ มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปสุ่ม RNG ว่าจะได้ใช้ปืนอะไรบ้าง แต่ละรอบการเล่นมันจึงเหมือนได้วัดฝีมือกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่แพ้ก็รู้สึกว่าแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี เวลาที่ชนะก็รู้สึกได้ถึงความหอมหวานของการอยู่เหนือกว่า กล่าวคือเป็นโหมดที่เกิดมาเพื่อเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบการแข่งขันอย่างแท้จริง อีกทั้งในแต่ละรอบการเล่นยังใช้เวลาไม่นาน เหมาะสำหรับเอาไว้เล่นแก้เบื่อ หรือรอเพื่อนๆ ไปเล่นโหมด BR ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยในส่วนของความหลากหลายด่าน อาจยังเป็นข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของโหมดนี้ ในรอบทดสอบโหมด Arena มีด่านให้เล่นเพียง 3 ด่านเท่านั้น กล่าวคือความหลากหลายยังน้อยเกินไปหน่อยในตอนนี้ แต่ผู้พัฒนาได้สัญญาว่าจะมีการเพิ่มด่านใหม่ๆ เข้ามาให้เราเล่นด้วยอย่างแน่นอนอะไรคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชนะ? เนื่องจากรูปแบบการเล่นในโหมดนี้จะแตกต่างจาก BR พอสมควร ส่งผลให้วิธีเล่นให้ชนะแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน ในหัวข้อสุดท้ายนี้ผมจะขอพูดถึงสิ่งที่จะทำให้เพื่อนๆ ได้เปรียบในการเล่นแผนที่นี้ โดยจริงๆ มันเริ่มตั้งแต่ตอนเลือกตัวละครเลยครับ เพราะจะมี Legends อยู่ประมาณ 2 - 3 กลุ่มที่ถ้าหากว่าทีมมีแล้วจะทำให้ได้เปรียบพอสมควรกลุ่มตัวที่หาตำแหน่งอีกฝ่ายได้ (Bloodhound,  Crypto)แม้ว่าขนาดของแผนที่จะไม่ใหญ่มากในโหมดนี้ แต่ยังไงการหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ก่อนก็เป็นอะไรที่สร้างความได้เปรียบให้กับทีมได้มากๆ อยู่ดี โดยเฉพาะ Crypto ที่สามารถระเบิดเกราะของอีกฝ่ายได้ด้วย EMP ของเขา ส่วน Bloodhound ก็ใช้สกิลสแกนของเขาช่วยได้เยอะมากๆ เลยเช่นกัน เท่าที่ได้เล่นมา การมีสองตัวนี้ กับไม่มีทำให้เล่นยากกว่าพอสมควรเลย ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามหยิบให้มีทุกเกมไว้ครับ กลุ่มตัวที่ย้ายตำแหน่งได้เร็ว (Octane,  Bangalore,   Wraith, Pathfinder, Horizon, Valkyrie)ไม่ใช่ทุกครั้งที่เมื่อดวลปืนกันแล้วเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ควรหาที่หลบเพื่อเติมเลือด ดังนั้นการที่ตัวละครสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองได้เร็วๆ จึงมีผลช่วยสร้างความได้เปรียบเยอะมาก ทั้งจังหวะ Hit and Run และการปะทะแบบ Hard Engage ทำให้ตัวละครทั้ง 6 ที่ผมกล่าวมา จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับแนวหน้าของทีม ที่ต้องปะทะกับศัตรูตลอดเวลา ไม่ว่าจะในฐานะตัวล่อ หรือตัวทำดาเมจหลักกลุ่มตัวที่สร้างความวุ้นวายได้ (Caustic, Fuse) ยิ่งสร้างความวุ่นวายได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างจังหวะยิงแบบฟรีๆ ให้กับทีมได้มากเท่านั้น Caustic ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาก แต่อาจจำเป็นต้องทำความเข้าใจแผนที่ของโหมดก่อนจึงจะเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วน Fuse จะเก่งมากๆ ในโหมดนี้หากซื้อสกิลไม้ตายมา เนื่องจากสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูพร้อมกับบังสายตาได้ในเวลาเดียวกันอย่ามองข้ามระเบิดในโหมดนี้   เนื่องจาก Materials มีอย่างจำกัดในการซื้อปืนดีๆ มาใช้ ทำให้หลายคนอาจมองข้ามการซื้อระเบิดมาขว้างเพื่อสร้างความได้เปรียบเวลาปะทะ ซึ่งจริงๆ แล้วการซื้อปืนดีๆ หนึ่งกระบอก และไปรอเก็บอีกกระบอกจาก Air Drop เอา โดยเอาเงินที่เหลือไปซื้อยา กับระเบิด จะช่วยสร้างความได้เปรียบได้มากกว่าในจังหวะปะทะครับ ดังนั้นถ้าหาก Materials ผมอยากแนะนำให้ซื้อระเบิดติดตัวไว้ด้วย โดยเฉพาะกงจักรไฟฟ้า กับระเบิดไฟสุดท้ายยังไงโหมด Arena ก็เป็นโหมดที่เน้นปะทะ ไม่เน้นฟาร์มสุดท้ายจริงๆ แล้วสิ่งที่กำหนดว่าทีมไหนจะชนะก็คือฝีมือการยิงปืนของเพื่อนๆ เอง แม้ว่าตัวละครกับระเบิด จะช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายขึ้นจริง แต่มันก็ยังไม่เพียงจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายหมด หากยิงไม่โดนเลยครับ ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ทำให้เพื่อนๆ ชนะมากขึ้นสักเล็กน้อยผมก็ดีใจมากๆ แล้ว!
22 Apr 2021
รีวิวเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... เกม Action เนื้อเรื่องสุดดาร์ก แต่กลับงดงามและตราตรึง
จากความสำเร็จของ NieR:Automata เกมแนว Action Hack and Slash สุดมันส์จนทำให้แฟนเกมต่างพากันหลงรัก และนับตั้งแต่ปี 2017 เกมนี้ก็ทำยอดขายไปได้มากกว่า 5.5 ล้านชุด ทำให้เกมเมอร์หน้าใหม่ๆ ได้รู้จักเกมจากซีรีส์ NieR กันมากขึ้น รวมถึงคุณ Yoko Taro ผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์นี้ด้วย โดยเสน่ห์ของเกมซีรีส์ NieR ที่นอกจากเกมเพลย์บู๊แหลกสุดเร้าใจแล้วนั้น เนื้อเรื่องของตัวเกมก็ค่อนข้างที่จะน่าสนใจ และถูกเล่าขานถึงความยอดเยี่ยมกันมาปากต่อปาก แต่ถึงอย่างนั้นเกม NieR ภาคแรกในเวอรชันปี 2010 ถ้าจะให้กลับไปเล่นในตอนนี้มันก็อาจจะดูเก่าเกินไป และค่อนข้างหาเกมนี้เล่นยากแล้ว !! เนื่องจากตัวเกม NieR ภาคแรกนั้นวางจำหน่ายในปี 2010 บนเครื่อง PlayStation 3 นุ่นเลย ซึ่งทางผู้พัฒนาอย่าง Sqaure Enix เองก็คงจะรู้ในจุดนี้ พวกเขาเลยทำการ Remake เกม NieR เวอรชันแรกในสมัยปี 2010 อีกครั้ง มาลงให้กับเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox Seroes X/S เพื่อให้แฟนเกมทุกท่านได้สัมผัสถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของเกมซีรีส์ NieR ให้ท่านได้เข้าใจถึงความเป็นมา และสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนโลกจะล่มสลายในภาค Automata นั่นเอง ซึ่งเกมที่ว่าก็คือ NieR Replicant ver.1.22474487139...  ซึ่งพวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปลองเล่นเกมนี้มาเรียบร้อยและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่าเกมนี้มีจุดเด่น และจุดด้อยอะไร ควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ ? เรามาชมกันเลยครับเกร็ดน่ารู้ - จริงๆ แล้ว NieR เวอรชัน 2010 ที่เป็นเกมภาคแรกของซีรีส์ ทางผู้พัฒนาได้ผลิตเกมออกมา 2 เวอร์ชัน นั่นคือ NieR Replicant และ NieRGestalt โดยทั้งสองเวอร์ชันนี้จะมีเนื้อเรื่องที่เหมือนกัน เพียงแต่ภาค Replicant นั้นวางขายเฉพาะญี่ปุ่น ที่ตัวเอกจะเป็นหนุ่มวัยรุ่น ส่วนภาค Gestalt จะขายในประเทศอื่นๆ แต่ตัวเอกจะเป็นชายวัยกลางคนแทน ซึ่งในเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... เวอร์ชัน 2021 คือการนำเกม NieR: Replicant มา Remake เท่านั้นกราฟิก / การนำเสนอในด้านของกราฟิกของเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... นั้นได้ทำการยกกราฟิกใหม่ทั้งหมด ให้ภาพของเกมและโมเดลของตัวละครนั้นดูทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม รายละเอียด Effect ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าให้เดากราฟิกของเกมภาคนี้น่าจะเป็นตัวเดียวกันกับเกม NieR:Automata นั่นแหละ นอกจากนี้โทนสีของเกมเวอรชัน 2021 ยังมีการเปลี่ยนแปลงให้ดูเทาๆ น้ำเงินๆ ซึ่งเหมาะมากกับธีมและกลิ่นอายของเกมที่ดูหม่นๆ อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าให้เปรียบเทียบกับเกมในสมัยนี้ หรือแม้กระทั่งเกม NieR:Automata ที่ออกมาก่อน ตัวเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... ก็ยังมีกราฟิกที่ด้อยกว่าชัดจน คาดว่าทางผู้พัฒนาคงไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงให้มันต่างไปเกมเมื่อปี 2010 เยอะขนาดนั้น แต่เนื่องจากกราฟิกที่ไมไ่ด้สูง ทำให้ผู้เขียนสามารถเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 Pro ได้แบบ 1080p 60FPS ได้อย่างเฟรมเรทไม่ตกเพลงประกอบสุดยอดเยี่ยมและอีกหนึ่งอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเวอรชันแรกก็คงจะเป็นเรื่องดนตรีประกอบของเกม ที่ต้องยอมรับเลยว่ามันค่อนข้างไพเราะและเข้ากับบรรยากาศในโลกของ NieR เป็นอย่างมาก อย่างเช่นในบางฉากของเกมที่ดำเนินเรื่องในอารมณ์ที่เศร้าโศก ตัวดนตรีประกอบมันก็มาช่วยชูเรื่องราวของเกมให้ยิ่งเศร้ามากขึ้นไปอีก ปกติแล้วตัวผู้เขียนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยที่จะชอบฟังดนตรีประกอบเสียเท่าไร (บางเกมเลือกที่จะปิดเลย) แต่ต้องยอมรับว่า NieR Replicant ver.1.22474487139... เป็นเกมที่ผู้เขียนต้องหยุดฟังเพลงประกอบทุกครั้ง นอกจากนี้ถึงแม้เพลงประกอบจะยังใช้เพลงเดิมจากเวอร์ชันปี 2010 แต่ทางผู้พัฒนาก็ได้เอาไปเรียบเรียงใหม่ให้มันชัด กังวาล และทันสมัยมากขึ้นด้วยเนื้อเรื่องเรื่องราวของเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... เองก็จะเหมือนกับเกมเวอร์ชันต้นฉบับอย่างเดิมไม่มีผิดเพี๊ยนแต่อย่างใด จริงๆ ก็ขอบอกก่อนเลยว่า เนื้อเรื่องของเกมนี้ทางผู้เขียนอาจจะไม่สามารถอธิบายอะไรให้ท่านผู้อ่านได้มากนัก เพราะมันจะส่งผลต่อเนื้อเรื่องโดยรวม และจะสปอยส์ทุกท่านได้ ถึงแม้จะเป็นช่วงต้นของเกมก็เถอะ ซึ่งตัวผมเองสามารถพูดได้แค่ว่า เรื่องราวของเกมนี้จะเล่าเรื่องผ่านตัวละครเอกอย่าง NieR (หรือเราสามารถตั้งชื่อเองได้) ที่เขานั้นจะต้องหาวิธีช่วยเหลือน้องสาวของตนจากอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาด และชะตากรรมของเขาจะต้องเข้าไปพบเจอกับเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง และได้พบเจอกับเพื่อนร่วมทางมากมายที่แต่ละคนนั้นจะมีเรื่องราวภูมิหลังอันน่าเศร้าเป็นของตัวเองโดยอารมณ์ของเกมโดยรวมจะให้ความรู้สึกถึงความหม่นๆ เครียดๆ บรรยากาศชวนเศร้าโศก แต่ตัวเนื้อเรื่องก็ยังคงกลิ่นอายของเกมญี่ปุ่นที่มีการนำเสนอเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่าง NieR และ เพื่อนร่วมทาง มีการเกื้อหนุนกัน ถึงแม้ว่าชีวิตมันจะแย่ขนาดไหน !! แต่ก็ยังมีแสงแห่งความหวังอยู่เสมอ โดยเนื้อเรื่องของ NieR Replicant ver.1.22474487139... จะใช้เวลาเล่นอยู่ราวๆ 15 ชั่วโมงเกมเพลย์ในด้านของเกมเพลย์ ต้องบอกเลยว่าตัวเกมเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอยู่พอสมควร สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือสปีดในการต่อสู้ที่จะรวดเร็วขึ้นไม่เหมือนกับเกมสมัย PS3 ที่เวลาตีมันจะมีความหน่วยๆ สโลว์ๆ นิดหน่อย ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดของเครื่องในสมัยนั้นที่ไม่สามารถรีดประสิทธิภาพของเกมนี้ออกมาได้ รวมถึงตัวเกมเวอรชันใหม่นี้ยังรองรับ 60FPS มันก็ยิ่งทำให้เกมลื่นไหลมากขึ้นไปอีกแต่เอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของเกม NieR Replicant เลยก็คือระบบการใช้พลังจากกรีมัวร์ ที่จะมีความสามารถให้ใช้หลากหลายมาก เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นสกิล Dark Blast ซึ่งจะเป็นสกิลยิงลูกพลังงานใส่ศัตรู เหมาะสำหรับโจมตีศัตรูในระยะไกล หรือจะเป็นสกิลอย่าง Dark Whirlwind ที่จะสร้างดาบหมุนรอบตัวเรา เอาไว้ทำดาเมจใส่พวกศัตรูเป็นวงกว้างเวลาเราโดนรุมเป็นต้น นอกจากนี้ทั้งอาวุธและสกิลของเรายังสามารถใส่ของและอัพเกรดเพื่อเพิ่มความสามารถให้มันได้และจุดเด่นอีกอย่างของเกมก็คือ Boss แต่ละตัวค่อนข้างที่เอกลักษณ์เฉพาะมากๆ โดยแต่ละตัวจะมีความสามารถและมีรูปแบบในการโจมตีที่แตกต่างกันไป โดยเราจะต้องเรียนรู้และเลือกสกิลและอาวุธมาใช้ต่อกรกับศัตรูเหล่านั้นให้อย่างเหมาะสม บางตัวอาจจะต้องใช้สกิลโจมตีไกล หรือบางตัวไปฟันซึ่งๆ หน้าเลยจะดีกว่า รวมถึงถ้าหากเราต่อสู้กับศัตรูในจุดหนึ่ง เราจะสามารถโจมตีจุดอ่อนของศัตรูเพื่อทำดาเมจที่รุนแรงได้แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนด้วยว่าเกมเพลย์โดยรวมของ NieR Replicant ver.1.22474487139... มันก็ยังยึดโครงสร้างมาจากเกมเวอร์ชันปี 2010 ซึ่งมันอาจจะมีความโบราณอยู่พอสมควร ถ้าใครคิดว่าเกมนี้มันจะคอมโบมันๆ เหมือนเกม Hack and Slash ยุคใหม่ก็อาจจะต้องคิดใหม่เสีย !!ความรู้สึกต้องขอบอกก่อนว่าตัวผู้เขียนนั้นไม่ใช่แฟนซีรีส์ NieR แต่อย่างใด และก็ไม่ได้รู้เนื้อเรื่องของเกมเลย !! หลังจากที่ได้เล่นเกม NieR Replicant ver.1.22474487139... ไปจนจบ เนื้อเรื่องของเกมนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 Part (แต่ขอไม่เล่าว่าเกี่ยวกับอะไร) ซึ่งต้องยอมรับเลยครับว่าในช่วงครึ่งแรกของเกมนั้น ตัวเกมค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควรเลยในด้านทั้งเนื้อเรื่องและก็เกมเพลย์ อาจจะเป็นไปได้ว่าในด้านเนื้อเรื่องช่วงต้น ตัวเกมจะพยายามให้เรานั้นค่อยๆ รู้จักตัวละครแต่ละตัวไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ให้เราได้ไปพบเจอกับเหล่าพวกพ้องในภารกิจต่างๆ ส่วนในด้านของเกมเพลย์เอง แรกๆ ความสามารถของตัวละครเราก็อาจจะยังมีไม่เยอะ เลยทำให้ความหลากหลายในการเล่นค่อนข้างน้อยแต่พอเราดำเนินเนื้อเรื่องมาถึงช่วง Part หลังของเกม (7-8 ชั่วโมงเป็นต้นไป) ตัวเนื้อเรื่องจะมีความเข้มข้นมากขึ้นถึงขนาดที่คุณไม่สามารถหยุดเล่นได้ เพราะอยากรู้ว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร !! นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องราวเบื้องลึกของบางตัวละคร หรือเราจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวโศกนาฏกรรมต่างๆ ด้วย และเราจะได้เจอกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึงในช่วงท้ายของเกมจนต้องยอมรับเลยว่า NieR Replicant ver.1.22474487139... ค่อนข้างเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาดเลยทีเดียว จากอาการเบื่อๆ ในช่วงต้น กลับกลายเป็นความรู้สึกสุดยอด รู้สึกถึงความ Epic ของเรื่องราว และทำให้อยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของโลกในเกมมากขึ้นส่วนในด้านเกมเพลย์ก็เหมือนกัน ในช่วงครึ่งหลังของเกม เราจะสามารถปลดล็อคสกิลความสามารถได้ครบแล้ว รวมถึงเราจะมีอาวุธใหม่ๆ มาให้ใช้ด้วย ซึ่งมันทำให้ความน่าเบื่อในช่วงแรกหายไปหมด จากตอนแรกที่รู้สึกว่าเกมมันค่อนข้างโบราณ มีคอมโบสกิลเดิมๆ พอได้เล่นช่วงครึ่งหลังความรู้สึกเหล่านั้นได้หายไปหมดสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผู้เขียนบอกไปข้างต้นว่าระบบการต่อสู้มันโบราณ มันก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่พอในครึ่งหลังมันดีขึ้นแค่นั้นเองสรุปสรุปโดยรวมแล้ว NieR Replicant ver.1.22474487139... เป็นเกม Action Hack and Slash ที่มีจุดเด่นในเรื่องของเนื้อเรื่องที่ดีงามมากๆ ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างทำได้ดีกว่าภาค Automata เสียอีก และเกมอื่นๆ แนวเดียวกันที่ออกมาในช่วง 2-3 ปีมานี้เลยทีเดียว แต่ในด้านเกมเพลย์ก็ต้องยอมรับว่ามันก็อาจจะด้อยกว่าเกมอื่นๆ ในแนวเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าโครงสร้างของเกมเพลย์มันก็ไม่ได้ดีมาตั้งแต่สมัยเครื่อง PS3 แล้ว คนที่ซื้อเกมนี้มาเพื่อเกมเพลย์ล้วนๆ ก็อาจจะต้องผิดหวังหน่อยๆ (โดยรวมไม่ได้แย่นะ) แต่ใครที่ซื้อเกมนี้มาเพื่อเสพเนื้อเรื่อง และบรรยากาศ ต้องบอกเลยว่า NieR Replicant ver.1.22474487139... จะมอบประสบการณ์นี้ให้คุณอย่างเต็มที่ และหาไม่ได้จากเกมซีรีส์ไหนอีกด้วย 
21 Apr 2021
รีวิว Outriders : เมื่อความหวังสุดท้ายของมนุษย์ คือดาวมรณะที่มีแต่การฆ่าฟัน
วางจำหน่ายมาได้หลายวันแล้วสำหรับเกม Looter Shooter ใหม่จากทาง People Can Fly และ Square Enix ที่เรื่องราวถูกเซ็ตให้อยู่ในดวงดาวที่ห่างไกลออกไปในจักรวาล ผู้เล่นรับบทเป็นทหารผู้มีพลังพิเศษ ออกสำรวจดวงดาวดังกล่าวด้วยความหวังที่มันจะได้กลายเป็นบ้านหลังใหม่ของมนุษย์ตัวเกมใช้มุมมองแบบ TPS สามารถเล่นแบบ Co-Op ได้ ตัวผมเองมีโอกาสได้เล่นเกมนี้ไปหลายสิบชั่วโมงแล้วตลอด อาทิตย์ที่ผ่านมา และอยากมาแชร์ประสบการณ์ทั้งดี และร้ายซึ่งได้รับจากเกม Outriders ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever TH ได้อ่านกัน ถ้าหากพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยโลกได้ตายไปแล้วเรื่องราวของ Outridders เริ่มต้นในวันที่โลกได้พังทลายลง โดยฝีมือของมนุษย์เอง เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ไม่ให้หายไป จึงจำเป็นต้องละทิ้งดาวบ้านเกิดออกเดินทางสู่อวกาศเพื่อตามหาบ้านหลังใหม่ 83 ปีผ่านไป มนุษย์ได้พบกับความหวังสุกท้าย  'Enoch' คือชื่อของดาวดวงนั้น ทีมสำรวจแรกได้ถูกส่งลงไปยังดาวดวงนี้ การสำรวจเป็นไปด้วยดีในช่วงแรก ความฝันที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตบนแรงดึงดูดของมนุษย์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ทีมสำรวจหนึ่งจะได้พบกับพายุสายฟ้าปริศนาที่ทำให้ร่างกายของคนที่โดนสูญสลายไปในอากาศอย่างน่าใจหาย ทีมสำรวจดังกล่าวพยายามกลับไปรายงานที่จุดลงจอดแรก เพื่อยับยั้งโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างมันสายไป สิ่งที่มนุษยชาติทำได้ คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของดาวมรณะแห่งนี้แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่โดนสายฟ้าดังกล่าวจะตายอย่างโหดร้าย แต่ก็มีคนที่ได้รับพลังเหนือมนุษย์มาจากสายฟ้าดังกล่าวด้วยเหมือนกัน คนเหล่านี้เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย และถูกเรียกว่า 'Altered' ซึ่งนั้นคือบทบาทของเราในเกมนี้ครับกราฟิกที่อาจไม่ได้สวยเท่าเกม PS5 อื่นๆผมมีโอกาสได้เล่นเกมนี้ด้วยกราฟิกระดับ High ผ่านเครื่อง PC ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าเอาแค่เรื่องความสวยของแสง ความละเอียดของพื้นผิว เอฟเฟคระเบิด และอื่นๆ เกมนี้ถือว่ายังสวยน้อยกว่าเกมที่ลงให้ PS5 อยู่นิดหน่อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเกมนี้เริ่มพัฒนาครั้งแรกตั้งแต่ 6 ปีก่อนเลยทำให้ได้ภาพไม่สวยเท่าเกมในยุคหลังๆ ครับที่นี่มาพูดถึงโลกของเกมบ้าง ต้องบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ไม่ได้เป็นแบบ Open World ตัวเกมใช้แผนที่แบบ Sandbox ที่จำกัดขอบเขตการสำรวจให้มีขนาดเล็ก และเอามันมาต่อกันให้เป็นฉากหนึ่งฉาก จุดที่น่ารำคาญก็คือ การเดินทางระหว่างแผนที่เล็กๆ นี้จำเป็นต้องโหลดทุกครั้ง กระทั่งเส้นทางถูกปิดด้วยต้นไม้ที่ล้มอยู่ ก็ยังใช้การโหลดข้ามฉาก โดยฉาย Cutscene ที่ตัวละครเรายกต้นไม่ขึ้นลงแทน  (มีการใช้ Fade Out และ Fade In) ทั้งที่ใช้มุมกล้องในเกมในการเล่าเรื่องตรงจุดนี้ก็ได้ครับเหตุผลที่ผู้พัฒนาจำเป็นต้องทำแบบนี้ เป็นเพราะตัวเกมไม่มี Dedicated Server เนื่องจากปัญหาเงินทุน แต่ด้วยความที่เกมนี้มีระบบ Co-Op ผู้พัฒนาจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถสนุกไปด้วยกันได้ต่อให้ไม่มี Dedicated Server ครับ โลกที่เปลี่ยนแปลงไปตามการตัดสินใจของผู้เล่นหนึ่งในจุดที่ผมประทับใจมากสำหรับเกมนี้ คือการที่โลกของเกม จะเปลี่ยนแปลงไปตามเควสที่ทำ หรือเนื้อเรื่องด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เควสให้ผมไปกำจัดกลุ่มโจรเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งในเขตแรกของเกม ซึ่งตอนแรกบริเวณรอบๆ จะมีพวกกลุ่มเสื้อแดงเดินกร่างทำร้าย NPC อื่นไปทั่ว แต่พอผ่านเควสดังกล่าวแล้ว พอกลับไปที่เขตดังกล่าวอีกครั้ง ก็พบกับ NPC กลุ่มอื่นที่กำลังจับพวกกลุ่มเสื้อแดงมาลงโทษอยู่ และไม่เห็นกลุ่มโจรดังกล่าวเดินกร่างไปทั่วในเขตนี้อีกเลยอีกหนึ่งเควสที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเช่นกันมีชื่อว่า 'Bad Day' ที่ให้เราไปบุกไปยังรังโจรลักพาตัวแห่งหนึ่งที่ไปฆ่า NPC คุณลุงคนหนึ่งที่เรากำลังคุยด้วยอยู่ เมื่อไปถึงจะได้พบกับลูกสาว หรือหลานสาวของลุงคนนั้น เมื่อช่วยเธอออกมาได้ เธอจะกลายเป็นแม่ค้าขายอาวุธคุณภาพสูงให้กับเราภายในเขต Rift Town ส่งผลให้การทำเควสรองดูน่าสนใจขึ้นเป็นอย่างมากในเกมนี้ และหลายๆ เควสก็แต่งเนื้อเรื่องมาได้ดี ไม่แพ้เนื้อเรื่องหลักของเกมเลยก่อนทำเควสหลังทำเควสจังหวะต่อสู้ดุดัน เร็ว และมัน   ถ้าหากบอกว่า Outriders คือเกมที่มีจังหวะต่อสู้สนุกเป็นอันต้นๆ ในเกม Looter Shooter ด้วยกัน อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อยด้วย 5 ปัจจัยด้วยกัน, ใช้มุมมอง TPS ทำให้มองเห็นรอบข้างได้ง่ายมีความเร็วในการต่อสู้สูงมากศัตรูที่มักจะมาในปริมาณเยอะมาก การที่ตัวละครเรามีพลังพิเศษต่างๆ มีกระสุนให้ใช้แบบเหลือเฟือกล่าวคือทุกๆ การต่อสู้ เราจะต้องเล่นแบบ 1 Vs 20 โดยที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องกระสุนหมดมากนัก ทำให้โจมตีอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ใช้ความสามารถพิเศษอย่างการวาป หยุดเวลา เอาหินมาทำเป็นเกราะ ใช้ไฟโจมตีเพื่อดังความสนใจ หรือตั้งป้อมปืนขึ้นมายิง เพื่อสร้างความได้เปรียบ และมองหาที่กำบังสำหรับหลบกระสุนจำนวนมากที่ลอยมาไปพร้อมๆ กัน World Tier ถือเป็นอีกหนึ่งระบบที่ช่วยเสริมความสนุกให้กับการต่อสู้ของเกม โดยระบบนี้จะเพิ่มความยากของศัตรูที่เราพบมากขึ้นตามระดับที่ตั้งไว้ ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งยากเท่าไหร่ก็ยิ่งดรอปของที่ดีมากขึ้นเท่านั้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้จำเป็นต้องตื่นตัวมองหาวิธีเอาตัวรอดอย่างใจเย็นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ส่งผลให้การต่อสู้ที่ระทึกมากๆ อยู่แล้ว ระทึกมากขึ้นไปอีก ถือว่า People Can Fly ทำส่วนนี้ออกมาได้ดีจริงๆFPS ที่นิ่งจนน่าตกใจ (กราฟิกระดับ High บน PC)ย้อนกลับไปประมาณวันที่ 2 เมษายน 2021 มีรายงานมากมายกล่าวถึงปัญหา FPS ตกอย่างไม่ทราบสาเหตุบน PC ซึ่งตัวผมเองกลับไม่เคยเจอปัญหานี้เกิดขึ้นกับตัวเองเลย ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าผู้เล่นหลายคนไม่ได้ทำการอัปเดต Driver การ์ดจอ จนทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ตัวผมเองพบว่าเกมนี้ถือว่าทำ FPS ได้นิ่งมากๆ ยิ่งเป็นเกมที่จังหวะต่อสู้เร็วมากๆ บวกกับเอฟเฟคระดับระเบิดภูเขา เผากระท่อมด้วยแล้ว ถือว่าน่าแปลกใจมากๆ จริงครับไม่แน่ใจเหมือนกันว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เกมจำเป็นต้องโหลดเวลาเข้าฉากตลอดเวลา จนทำให้ลดภาระของ Hardware ลงไปได้ด้วยรึเปล่าที่ทำให้ FPS ของเกมนิ่งมากๆ แม้จะเล่นบนเครื่อง PC ที่ไม่แรงมากครับ และการมี FPS ที่นิ่งๆ อย่างไม่ต้องสงสัยทำให้ประสบการณ์ของเราที่ได้ดีขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย ต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาทำออกมาได้ดีจริงๆ ในส่วนนี้ครับระบบสกิลที่สมกับคำว่า RPGอย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าตัวละครของเราในเกมนี้จะสามารถใช้พลังพิเศษได้ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 คลาสคือDevastator ที่ควบคุมหินPyromancer ที่ใช้ไฟTrickster: ที่ควบคุมเวลาTechnomancer ที่เสริมความสามารถให้กับอุปกรณ์ที่นี่แต่ละคลาสจะมีสายสกิลให้อัพแบ่งออกเป็นอีกคลาสละ 3 สาย ยกตัวอย่างเช่น Trickster จะแบ่งออกเป็นAssassin ที่เน้นเสริมความสามารถให้กับอาวุธระยะใกล้Harbinger ที่เสริมความสามารถในการเอาตัวรอดReaver ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับสกิลกดใช้ของคลาสส่งผลให้รูปแบบการเล่นของแต่ละคลาสในเกมนี้จะหลากหลายมาก ผู้เล่นสามารถเลือกคลาสที่ชอบ และอัพสกิลให้เหมาะสมกับสไตล์การเล่นตัวเองได้เลยคอนเทนต์โดยรวม 50 - 70 ชั่วโมง แต่ End Game ยังน่าเบื่อไปหน่อยถ้าเอาแค่เนื้อเรื่องจบคิดว่าคงประมาณ 20 ชั่ว ถ้าหากทำเควสรองทั้งหมดด้วยก็คง 50 - 70 ชั่วโมง ซึ่งเอาจริงๆ ดูไม่ใช่ตัวเลขที่แน่เท่าไหร่ แต่ส่วนตัวสำหรับผมเกมนี้ยังทำคอนเทนต์ End Game ได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ หลังจากที่เล่นเกมนี้จนจบเนื้อเรื่องแล้ว ผู้เล่นจะถูกแนะนำให้รู้จักระบบ Expeditions ที่มีด่านมาให้เราเลือกเล่นมากมาย แต่ทุกด่านจะมาในแพทเทิร์นเดียวกัน คือฝ่าฝูงศัตรูจำนวนมากเพื่อไปปราบบอส รับของรางวัลมาอัพเกรดตัวละครให้เก่งขึ้น นี้คือทั้งหมดของ End Game กล่าวถือเป็นรูปแบบฟาร์มมาราธอนนั่นเองส่วนตัวผมคิดว่าขาดคอนเทนต์ความท้าทายสูงๆ แบบ Raid ของ Destiny หรือดันเจี้ยนที่ยากมากๆ จนต้องอาศัยความร่วมมือของคนในปาร์ตีเพื่อผ่านให้ได้ ถ้าหากว่า Outriders มีคอนเทนต์แบบนี้อยู่ด้วย คิดว่าจะควรค่าให้เล่นต่อมากปัจจุบันครับOutriders ถือเป็นเกมที่ดี ตลอดเวลาหลายสิบชั่วโมงที่ได้เล่นเกมนี้ ตัวผมเองก็สนุกไปกับมันพอสมควร แต่ตัวเกมยังมีอีกหลายจุดที่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ ผู้พัฒนาเคยกล่าวว่าจะปรับปรุงเกมนี้ให้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความคิดเห็นของผู้เล่น รวมถึงจะมีการเพิ่มคอนเทนต์เข้ามาให้ทำมากกว่าในอนาคตด้วย แม้ตอนนี้ Outriders ยังไม่ใช้เกมยอดเยี่ยมที่ควรหามาเล่นสักครั้ง แต่ไม่แน่ว่าหลังจากอัพแพจตช์อีก 3 - 5 ครั้ง เกมนี้อาจจะกลายเป็นผลงานโบลแดงที่ควรหามาเล่นสักครั้งเลยก็เป็นได้ครับ ยังไงทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดเห็นของผมเท่านั้น เพื่อนๆ คิดเห็นยังไงสามารถพูดคุยกันได้ครับ
08 Apr 2021
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter: Rise ‘ตำนานนินจา ขี่หมาไปล่าแย้’
แม้จะเป็นซีรีส์เกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PlayStation 2 แต่เกมซีรีส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้ไม่กว้างขวางนัก ด้วยระบบเกมเพลย์อันท้าทายและซับซ้อน แถมเกมภาคหลังๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมักจะเน้นวางจำหน่ายบนคอนโซลพกพาอย่าง PSP หรือ Nintendo 3DS มากกว่าคอนโซลสายหลักๆ ด้วย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของ Monster Hunter: World บนเครื่อง PlayStation และ Xbox (และ PC) ที่สามารถปรับปรุงระบบเกมเพลย์สูตรสำเร็จของซีรีส์ให้กลมกล่อมย่อยง่าย จนสามารถผลักดันเกมซีรีส์ Monster Hunter เข้าสู่อ้อมใจของเกมเมอร์กระแสหลักทั่วไปได้ในระดับที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คน ด้วยประการทั้งหมดที่ว่าไป แน่นอนว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ย่อมต้องคาดหวังกับภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise ไม่ต่างกัน แต่ในขณะที่เกมเมอร์นักล่าแย้รุ่นเก๋าๆ อาจจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเกมซีรีส์ยอดรักของพวกเขาหวนคืนสู่คอนโซลพกพาอันเป็นภาพจำหลักของซีรีส์ นักล่าแย้รุ่นใหม่ๆ หลายคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าการวางจำหน่ายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่มีพลังน้อยกว่า จะเป็นการก้าวถอยหลังของซีรีส์หรือไม่หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกมมามากกว่า 50 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่วางจำหน่าย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมภาค Rise อาจจะเป็นเกมที่ “เล็ก” กว่า World อย่างช่วยไม่ได้เพื่อรองรับคอนโซล Switch แต่ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Monster Hunter: Rise ก็ยังคงเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ล่าแย้ยอดฮิต ที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้เล่นเก่าและใหม่ของซีรีส์ได้ไม่ต่างกัน ด้วยการผสมผสานจุดปรับปรุงเกมเพลย์ของภาค World เข้ากับแนวทางแบบคลาสสิคของเกม Monster Hunter ภาคที่ผ่านๆ มา แถมยังเพิ่มระบบเกมเพลย์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอีกมากมาย จนทำให้เกมภาค Rise ถือเป็นและเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอเกมแอคชั่นที่มีเครื่อง Nintendo Switch ทุกคนด้วยประการทั้งปวง และเป็นการคืนสู่ภาพจำอันคลาสสิคของซีรีส์ในฐานะเกมพกพาอีกด้วยเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter: Rise จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักล่าแย้หน้าใหม่ไฟแรง ที่จะต้องออกต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์อันหน้าเกรงขามชนิดต่างๆ เพื่อปกป่องบ้านเกิด Kamura Village จากการรุกรานของพวกมัน อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ปริศนาที่เรียกว่า ‘The Rampage’ และสืบหาเบื้องหลังของปรากฏการณ์นั้นเพื่อยับยั้งมันให้ได้ในที่สุดเช่นเดียวกับในเกม Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกมเท่าไหร่นัก และเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียง “แรงขับ” ให้ผู้เล่นพอมีเหตุผลในการออกไปล่าเหล่าแย้น้อยใหญ่ทั้งหลายซะมากกว่า แม้ว่าเกมภาค Rise จะพยายามประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเรื่องเดียว แถมยังเพิ่มอรรถรสด้วยการใส่เสียงพากย์และตัวละครเด่นๆ เข้าไปมากมายก็ตามทีที่สำคัญ ผู้พัฒนาเองก็น่าจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องคงไม่ใช่จุดขายสำคัญของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Rise ค่อนข้างสั้นมากๆ (เล่นจบได้ในเวลาไม่ถึง 15 ชั่วโมง) และมีความเชื่อมโยงกับเกมเพลย์น้อยกว่าในภาค World อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อเสียหนึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการติดตามเนื้อเรื่องกราฟิก/การนำเสนอหากมองดูผิวเผิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Monster Hunter: Rise มีความละเอียดในด้านกราฟิกน้อยกว่าเกมภาค World อย่างแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเกมในเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว (ยิ่งเล่นโหมดพกพายิ่งเห็นชัด) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะภาพไม่สวยไปเลย เพราะก็ยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกตัวเดียวกับ Monster Hunter: World ซึ่งแสดงผลอนิเมชั่นต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการต่อสู้ของตัวละครผู้เล่นและ NPC ต่างๆ ไปจนถึงเหล่าแย้หลากหลายชนิดที่พบได้ในเกม ยิ่งเมื่อเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดและรวดเร็วยิ่งขึ้นของเกมภาคนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่สังเกติเลยด้วยซ้ำองค์ประกอบสัคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกราฟิกในเกมอีกอย่างคือเรื่องของการออกแบบศิลป์ (Art Direction) สไตล์ญี่ปุ่นของเกม ที่สามารถสร้างบรรยากาศและชีวิตชีวาให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน Kamura Village หรือในด่านการล่าแย้อันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลทราย หรือภูเขาไฟก็ตามที และแม้ว่าฉากนอกหมู่บ้านต่างๆ จะมีขนาดเล็กกว่าในภาค World พอสมควร แต่ด้วยระยะการมองเห็น (Draw Distance) อันกว้างใหญ่ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงความเล็กที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก การออกแบบศิลป์อันยอดเยี่ยมยังส่งผลถึงเหล่าอาวุธชุดเกราะในเกมด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นจุดดึงดูดใหญ่ๆ ข้อหนึ่งของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นอยากจะออกไปล่าแย้เพื่อนำวัตถุดิบกลับมาสร้างของสวมใส่เท่ๆ เหล่านี้ในฝั่งของ Performance นั้น Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้ว่าเฟรมเรตของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่เพียง 30 FPS เท่านั้น แต่ก็เป็น 30 FPS ที่เสถียรแทบจะตลอดเวลา กระทั่งในจังหวะการเล่น Multiplayer ที่มีผู้เล่น 4 วิ่งไปมาพร้อมกัน แถมเกมยังมีหน้าจอการโหลดน้อยมากๆ และต่อให้โหลดก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 5-10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมเป็นไปอย่างลื่นไหลทันใจยิ่งกว่าในภาค World อีกเกมเพลย์ถ้ามองในภาพกว้าง วงจรเกมเพลย์ของ Monster Hunter: Rise ก็ไม่ได้แตกต่างจากสูตรสำเร็จของเกมล่าแย้ทุกภาคที่ผ่านมา ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้อาวุธ 1 ใน 14 ชนิดในการออกไปต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์หลากหลายชนิด เพื่อเก็บวัตถุดิบที่ได้จากพวกมันมาสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อออกไปรับมือกับแย้ที่ร้ายกาจขึ้นวนๆ กันไป โดยการต่อสู้ในภาค Rise ดูจะต่อยอดมาจากภาค World ทำให้ยังคงมีความคล่องแคล่วในแง่ของการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคอื่นๆ แต่ในภาค Rise ได้มีการเพิ่มระบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้าไปหลายอย่างที่ทำให้การออกล่าแต่ละครั้งรู้สึกดุเดือดเร้าใจและหลากหลายยิ่งกว่าในภาค World เสียอีกองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญที่สุดในฝั่งของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้และการสำรวจ คงหนีไม่พ้นเหล่าแมลง Wire Bug ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อจังหวะจะโคนในการล่าแย้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกหรือหาช่องว่างในการโจมตีได้มากกว่าในภาค World ที่ผู้เล่นมักจะต้องรอให้เหล่ามอนส์เตอร์เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ซะเอง แถมผู้เล่นยังสามารถใช้เหล่าแมลงพวกนี้ในการห้อยโหนและดึงตัวเองให้พุ่งไปในอากาศได้อย่างอิสระ ทำให้การสำรวจแผนที่ต่างๆ เพื่อหาความลับหรือเก็บทรัพยากรณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเมื่อฝึกใช้ควบคู่กับระบบการปีนป่ายกำแพงที่เพิ่มเข้ามาใหม่จนคล่องนี่แทบจะเหมือนเล่นเกมไอ้แมงมุมอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ความคล่องที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นก็ทำให้ผู้พัฒนาสามารถปรับให้เหล่ามอนส์เตอร์มีความดุดันและว่องไวมากขึ้นกว่าภาค World ไปด้วย แถมยังมีท่าโจมตีบางท่าที่จำเป็นต้องใช้ระบบ Wire Bug ในการหลบหลีกอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกลัวว่าเกมจะหมดความท้าทายไปซะเลยเหล่าแมลง Wire Bugs ยังมอบความสามารถชนิดใหม่ที่เรียกว่า Silkbind Moves เข้ามา เปรียบเสมือนท่าพิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เล่นตั้งแต่การป้องกัน หลบหลีก หรือกระทั่งใช้โจมตีมอนส์เตอร์โดยตรงก็ยังได้ โดยอาวุธทั้ง 14 ชนิดจะมี Silkbind Moves ของตัวเองที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาวุธยอดนิยมอย่างดาบยาว (Long Sword) ที่สามารถใช้ท่า Soaring Kick เพื่อถีบตัวให้ลอยขึ้นไปและต่อเข้าท่าทิ้งตัวผ่ากบาลมอนส์เตอร์ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นท่า Sakura Slash เพื่อพุ่งตัวเป็นทางตรงผ่านศัตรูและสร้างความเสียหายหลายครั้งเป็นต้นผู้เล่นยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าโจมตีในคอมโบธรรมดาของอาวุธด้วยระบบ Switch Skills ได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้วิธีการเล่นอาวุธโดยรวมเปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอาวุธ Gunlance ที่สามารถสลับเอาท่าชาร์จกระสุน (Charged Shells) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นท่า Blast Dash ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวโดยใช้หอกแทนไอพ่นได้ เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มอิสระในการสร้างแนวทางการเล่นเฉพาะตัวให้กับเหล่านักล่าแต่ละคน เพราะต่อให้เล่นอาวุธแบบเดียวกัน แต่ถ้าเลือกใช้ท่า Switch Skills ไม่เหมือนกันก็อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยก็ได้เช่นกันอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือเหล่าน้องหมา Palamute ที่จะสามารถติดสอยห้อยตามเราไปทำภารกิจนอกหมู่บ้านได้ควบคู่ไปกับน้องเหมียว Palico ของเรา โดยจุดเด่นของเหล่า Palamute คือการที่เราสามารถขึ้นขี่พวกมันเพื่อเดินทางไปมาในแผนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสีย Stamina (ค่าความอึด) แถมมันยังช่วยเราต่อสู้กับเหล่าแย้ได้อีกด้วย ซึ่งการที่เกมเปิดให้เราสามารถพกเพื่อนเข้าไปในด่านได้พร้อมกันทีละ 2 ตัวตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ภาค Rise มีความเป็นมิตรสำหรับคนที่เล่นคนเดียวมากขึ้น เพราะบางครั้งเหล่าเพื่อนสัตว์ของเราก็จะช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้เรามีจังหวะได้พักหายใจอยู่บ้างทั้งนี้ ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม Rise จะเป็นข้อดีไปซะหมด โดยในความเห็นของผู้เขียน Monster Hunter: Rise ได้ลดทอนความสำคัญของการสำรวจแผนที่ลงไปอย่างมาก จากการที่เกมจะบอกตำแหน่งของเหล่าแย้ทุกตัวทันทีที่เริ่มด่าน แทนที่จะให้ผู้เล่นต้องตามหารอยเท้าของมอนส์เตอร์ซะก่อนเหมือนในภาค World โดยแม้ว่าบางคนอาจจะมองเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งหามอนส์เตอร์ โดดลงมาถึงก็ซัดกันได้เลย แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่จะสำรวจแผนที่ขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่า “ผูกพันธ์” กับสถานที่หรือโลกของเกมน้อยกว่าในภาค World และอาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของแต่ละด่านเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พัฒนาดูจะถอดระบบการเอาตัวรอดในเกมออกไปหมดเลย อย่างในภาค World เราอาจจะต้องพกยาชนิดต่างๆ เข้าไปเพื่อรับมือกับสภาพอากาศหนาวหรือร้อนในด่าน แต่ในภาคนี้เรากลับสามารถต่อสู้กัยมอนส์เตอร์ในถ้ำลาวาได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร ซึ่งก็ทำให้ตัวตนของแต่ละด่านรู้สึกเจือจางลงไปเหมือนกันสรุปแม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยจากประสิทธิภาพที่น้อยกว่าของเครื่อง Nintendo Switch เมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง World แต่ Monster Hunter: Rise ก็ทดแทนส่วนที่ขาดไปด้วยระบบเกมเพลย์หลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึก “เข้าถึงง่าย” สำหรับผู้เล่นใหม่มากขึ้น แถมยังมีการใส่ระบบจากภาคเก่าๆ เช่นระบบสกิลเกราะ (Armor Skill) แบบเก่าที่เปลี่ยนไปในภาค World ซึ่งก็น่าถูกใจเหล่านักล่าแย้ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่แพ้กัน ใครที่มีเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว และอยากลองลิ้มรสซีรีส์เกมสุดอมตะนี้ รับรองว่า Monster Hunter: Rise จะไม่ทำให้คุณผิดหวังว่าแน่นอน
30 Mar 2021
รีวิว Open Beta Magic Legends : ท่องจักรวาลเกมการ์ดในตำนานฉบับ Action RPG
เปิดให้เล่นรอบ Open Beta บน PC แล้ววันนี้สำหรับเกม MMORPG ใหม่จากทาง Perfect Worlds อย่าง Magic Legends โดยได้แรงบันดาลมาจากการ์ดเกม Magic the Gathering ผสมผสานเกมเพลย์แบบ Diablo และ Deck Building เกมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เป็นหนึ่งในผลงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ น่าจับตามองตัวหนึ่งของปี 2021ตัวผมเองเป็นคนที่เล่นการ์ดเกม Magic the Gathering อยู่แล้ว ทั้งยังเป็นคนที่ชอบเล่นเกมแนวเดียวกันอย่าง Diablo และ Path of Exile การที่ได้เห็นลูกผสมระหว่างสิ่งที่เราชอบ เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้สัมผัสเกมนี้ ซึ่งหลังจากที่มีโอกาสได้เล่นไปหลายชั่วโมง พบว่า Magic Legends ถือเป็นผลงานที่ยังหยาบอยู่ แต่มี Potential ที่จะเป็นผลงานยอดเยี่ยมได้อยู่หากผู้พัฒนาใส่ใจกับมัน ส่วนว่าเกมนี้มีดีตรงจุดไหน และอะไรคือข้อเสียในตอนนี้ มาดูกันเลยครับ! ว่าด้วยเนื้อเรื่องด้วยความที่ Magic Legends เป็นเกม MMORPG ที่ดึงเอาตัวละครจากการ์ดเกม Magic The Gathering มาใช้ ชื่อของสถานที่ กับ NPC ส่วนใหญ่จึงนำมาจากการ์ดเกมด้วย โดยเราจะได้สร้างจอมเวทที่มีความสามารถในการเดินทางไปยังโลกต่างๆ ซึ่งในเกมเรียกว่า PlaneWalker ออกเดินทางไปยังดินแดน 5 ประกอบด้วย Tazeem แดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้, Shiv เกาะแห่งภูเขาไฟ, Gavony ดินแดนของที่มนุษย์ต่อสู้กับมนุษย์หมาป่า, Tolaria เกาะที่ตั้งของโรงเรียนเวทมนตร์ และ Benalia ดินแดนแห่งสงคราม เนื้อเรื่องของเกมส่วนใหญ่จะกล่าวถึงเหตุผลที่เราต้องเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ และแก้ปัญหาร้อยแปดที่ชาวเมืองมักจะมีให้ ในรูปแบบของเควสต่างๆ อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของเกมส่วนใหญ่ถูกแต่งใหม่ และเล่าให้เข้าใจง่าย ดังนั้นต่อให้ไม่เคยเล่น Magic The Gathering หรือรู้จักการ์ดมาก่อนเลย เพื่อนๆ ก็น่าจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องได้ไม่ยากครับกราฟิกสวยงามหรือไม่ ?ในเรื่องของกราฟิก ก่อนอื่นขอยอมรับว่ารายละเอียดของ Texture เรียกได้ว่าทำออกมาดีจริงๆ ถึงจะปรับกราฟิกเป็นระดับต่ำสุดก็ยังเห็นได้ชัดเลยว่า พื้นผิวมีรายละเอียดที่คมชัดมากๆ สิ่งที่แตกต่างจริงๆ ระหว่างกราฟิกระดับ Low ไปจนถึง Ultra เห็นจะเป็นเรื่องของ แสง / เงา ที่ละเอียดมากขึ้น ดังนั้นต่อให้ PC ของเพื่อนๆ ไม่ได้แรงอะไร ก็น่าจะสามารถเล่นเกมนี้ได้สบายๆ ครับด้วยความที่เกมนี้เป็นเรื่องราวของเหล่าจอมเวท การโจมตีส่วนใหญ่ของผู้เล่นก็มักจะเป็นการใช้เวทมนตร์ ซึ่งเอฟเฟคของเวทต่างๆ ที่เราใช้ ก็มีปริมาณเอฟเฟกต์กำลังดีไม่มากหรือน้อยจนเกินไป กล่าวคือได้อารมณ์การได้เป็นจอมเวทจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเกะกะจนเกินไปครับโลกของเกมเป็นยังไง ?Magic Legend เป็นเกมแบบ Open World ที่ดินแดนทั้ง 5 จะมี Free Field ที่เชื่อมต่อกับทางเขาดันเจี้ยน กับเขตเมืองเข้าหากัน ซึ่งเราจะสามารถพบกับผู้เล่นคนอื่นคุยกับ NPC ,เดินสำรวจโลก, และสู้กับมอนสเตอร์ได้ในเขตเหล่านี้ ได้อารมณ์ของเกม MMORPG โดย Field ของแต่ละดินแดนจะมีขนาดใหญ่พอสมควร นอกจากนี้ตามจุดต่างๆ บางทีจะมีอีเวนต์ขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาให้ทำ ถ้าหากเข้าร่วมก็จะได้รับไอเทม กับค่าประสบการณ์เป็นของรางวัล ให้ความรู้สึกว่าได้ออกผจญภัยไปอยู่จริงๆ น่าเสียดายที่เวลาอีเวนต์เหล่านี้เริ่มขึ้นจะไม่มีการบอกผ่านแผนที่เลย โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าหากทำให้มีประกาศขึ้นมาบนแผนที่ด้วยจะสามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่กว่า เนื่องจากสามารถใส่ไอเทมแรร์ที่หาจากอีเวนต์เหล่านี้เข้าไปในเกมได้ด้วย แต่ก็ถือว่าหยิบองค์ประกอบที่ดีของเกม MMORPG ชั้นนำมาใช้งานได้เป็นอย่างดีจุดที่น่าเสียดายเห็นจะเป็นเรื่องของความหลากหลายของมอนสเตอร์ที่พบได้ในเขต Free Field ที่มีความหลากหลายน้อย และความชุกชุมที่ต่ำเกินไป จนบางครั้งการเดินทางในเขต Field ก็ดูจะน่าเบื่อไปหน่อย เพระาไม่ค่อยพบกับมอนสเตอร์แปลกๆ ให้ตีเล่นตามทาง ในเรื่องของลูกเล่นตามแผ่นที่ นอกจากอีเวนต์ที่มีโอกาสเกิดตามจุดต่างๆ แล้ว ก็ไม่มีลูกเล่นอย่างอื่นเลย จุดนี้แอบน่าเสียดายนิดหน่อยครับเจาะลึกการระบบต่อสู้ของเกมรูปแบบการต่อสู้ของเกมนี้จะแตกต่างกับ Hack & Slash อื่นตรงที่ว่า เราจะไม่สามารถเลือกใช้สกิลได้ตามใจชอบ แต่จะสุ่มออกมา 4 จากการ์ด 10 ใบ ที่เราจัดไว้ (โดยการ์ดก็ดราอปจากมอนสเตอร์อะแหละ) ดังนั้นการโจมตีของตัวละครเราจะหลากหลายพอสมควร เนื่องจากจำเป็นต้องเล่นไปตามการ์ดที่จั่วขึ้นมาได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นระบบที่แปลกใหม่ และสนุกดี แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าระบบนี้เป็นดาบสองคมเช่นกัน เนื่องจากการเลือกใช้สกิลที่อยากใช้ในสถานการณ์ที่อยากใช้ไม่ได้ ก็ทำให้การโจมตี และเอาตัวรอดไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกันนั่นเองการใช้มุมกล้องแบบ Top-Down ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ตัดสินใจได้ดี และอยากขอชมเชย เนื่องจากมันช่วยให้สามารถมองเห็นขอบเขตของสกิล และการโจมตีของศัตรูได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้การเอาตัวรอดในเกมที่รูปแบบการเล่น RNG สุดๆ แบบนี้ทำได้ง่ายมากขึ้น คือจะบอกว่ามุมกล้องมีส่วนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ง่ายขึ้นก็ได้ครับอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจคือการเปิดให้ผู้เล่นสามารถเลือกระดับความยากของดันเจี้ยนเองได้ก่อนลง โดยยิ่งยากมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสดรอปไอเทมดีๆ มากขึ้นได้เท่านั้น ซึ่งการจะลงในระดับที่ยากขึ้นก็จำเป็นต้องมีเลเวล กับ Gear Score ถึงขั้นต่ำของแต่ละระดับเสียก่อน ช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายมากขึ้นครับต่อมาคือเรื่องของ FPS ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะตัวเกมยังอยู่ในช่วง Open Beta รึเปล่าทำให้เกิดปัญหา่ FPS ตกแบบไม่ทราบสาเหตุอยู่หลายครั้ง คือถ้าเป็นตอนเดินคุยกับ NPC หรือเขตปลอดภัยมันไม่มีปัญหาครับ แต่ถ้าดันไปตกตอนกำลังสู้อยู่ บางครั้งก็ทำให้ตายแบบหัวเสียได้เลย ซึ่งล่าสุดผู้พัฒนารับทราบปัญหาในจุดนี้แล้ว คิดว่าเร็วๆ นี้น่าจะมีการอัพแพตช์แก้ไขเข้ามาครับสุดท้ายคือปัญหาเรื่อง Ping ที่ผมเข้าใจว่าตอนนี้ไม่มีเซิร์ฟเวอร์ SEA เนื่องจากตอนที่เล่นพบว่าทุกการโจมตี และเคลื่อนไหวของ PlaneWalker ผมจะช้าไปเล็กน้อย หรือมีเลขดาเมจขึ้นมาช้ากว่าการปล่อยท่าโจมตีเล็กน้อย ในจุดนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่พอสมควร เพราะในเกม Hack & Slash จังหวะเพียง 0.5 วินาที ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้เลย ในส่วนนี้ก็หวังว่าถ้าเปิดให้บริการเต็มที่แล้วจะมีเซิร์ฟเวอร์ใกล้บ้านเราด้วยครับสรุปโดยรวมแล้ว Magic Legends ถือเป็นอีกหนึ่งเกม MMO ที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ มีรูปแบบเกมเพลย์ที่ไม่ซับซ้อนสามารถเข้าใจได้ง่าย จังหวะการต่อสู้ถือว่าสนุกไม่แพ้เกม MMO ชั้นนำเลย แต่ติดปัญหาที่ตอนนี้ยังมีบัคเยอะอยู่ในตอนนี้ ในขณะที่เล่นผมมีเจอบัคเดินไม่ได้ ตกฉาก และอื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่เนื่องจากตัวเกมยังอยู่ในรอบ Open Beta จึงได้แต่หวังว่าตอนที่ปล่อยออกมาให้เล่นอย่างเป็นทางการปัญหาเหล่านี้จะหมดไปครับ เพราะถ้าไม่นับจุดที่บัคเยอะจัดจนเล่นแล้วหัวร้อน เกมนี้ก็ถือว่าสนุกใช้ได้เลยในส่วนของระบบเกมเพลย์ที่การโจมตีจำเป็นต้องสุ่มเอาจากการ์ดที่ใส่มา จุดนี้ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าควรบอกเป็นข้อดี หรือข้อเสียเนื่องจากตัวผมเองชอบระบบนี้ แต่เท่าที่ถามจากเพื่อนซึ่งเล่นด้วยกันแล้ว หลายคนมองว่ามันเป็นระบบที่ไม่สนุกเอาเสียเลย เพื่อนๆ ที่อ่านรีวิวอาจจำเป็นต้องโหลดมาทดลองเล่นเองแล้วตัดสินดูว่าระบบดังกล่าวถือเป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อนของเกมครับ แต่ก่อนจาก ขอย้ำอีกครังว่าตัวผมเองคิดว่าเป็นระบบที่ทำออกมาได้แปลก สนุก และน่าสนใจดีครับMagic Legends เปิด Open Beta ให้เล่นแล้ววันนี้บน PC โดยจะลงให้กับ PS4 กับ Xbox One ด้วยเมื่อเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ
29 Mar 2021
รีวิว Arcana Tactics เกมแนว RPG+Auto Battler สุดแปลกใหม่ !! ท้าทายทุกด่านที่เล่น
พึ่งเปิดตัวออกมาสดๆ ร้อนๆ สำหรับเกมมือถืออย่าง Arcana Tactics และมันเป็นเกมที่คนพูดถึงกันเยอะมากกับระบบเกมที่แปลกใหม่คือการเอาระบบเกม  RPG   มาผสมผสานกับเกมแนว Auto Battler มีตัวละครมากเป็นร้อยตัวให้เราเลือกจัดทัพได้อย่างอิสระทำให้ตัวเกมน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้พวกเรา  GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้หลังจากที่ได้เข้าไปทดสอบมา ว่ามันจะยอดเยี่ยมอย่างที่ว่าหรือไม่RPG +  Auto Battlerอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวเกม  Arcana Tactics  เป็นเกมที่ผสมผสานระหว่าง RPG บวกกับเกมแนว Auto Battler ที่เราจะได้ตัวละครต่างๆ มาจากการสุ่ม ตัวละครจากร้านค้า และเราจะต้องเอาตัวละครเหล่านั้นมาผสมให้เป็นคลาสต่างๆ ซึ่งก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน มีสายการเล่นที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ทำให้แต่ละคนที่เล่นจะมีสไตล์การจัดอัพ และการผสมตัวที่แตกต่างกันออกไปด้วย ส่วนความเป็น RPG ของเกมนี้คือเราสามารถอัพเกรดตัวละครที่เราชอบได้ มีการเปิดกาชาเพื่อเปิดตัวละครหาตัวใหม่ๆ ในเพื่อเอาไว้ใช้ในการเล่น หรือเปิดเพื่อหาตัวซ้ำอัพเกรดให้ตัวละครนั้นเก่งขึ้น หรือใส่ของดาเมจให้เก่งขึ้นได้   (แต่ไม่ต้องกลัวว่าเกมนี้จะเกลือมาก เพราะราคาในการเปิดไม่ได้แพงเลย รวมถึงผู้ให้บริการแจกหนักจัดเต็มมาก ตัวผู้เขียนเล่นมาไกลและยังไม่ได้เติมซักบาทการ์ดอารคาน่า ระบบที่จะกำหนดความสามารถของขุมกำลังของคุณระบบอารคาน่าเป็นระบบการ์ดความสามารถติดตัวที่เราจะต้องใส่ไว้ในตอนเริ่มเกม ซึ่งดูเผินๆ มันอาจจะเป็นแค่ระบบเพิ่มความสามารถทั่วไป แต่จริงๆ แล้วระบบนี้มันเป็นตัวที่คอยชี้นำเลยว่าคุณนั้นควรที่จะหยิบตัวอะไรมาเล่น เพราะการ์ดแต่ละอันจะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป และเหมาะสมกับแค่บางสายเท่านั้นอย่างเช่นตัวผู้เขียนนั้นมีการ์ดที่ถ้าหากตัวละครสาย Swordman อยู่ด้วยกัน 2/4/6 ตัวขึ้นไป ตัวละครสายนี้จะได้รับความสามารถ Guard ที่จะบล็อคดาเมจจากศัตรูได้ หรือจะเป็นการ์ดโอกาสดรอปตัวละครสาย Swordman มากขึ้นเพื่อให้เราสามารถปั้นตัวละครนี้ให้ไวขึ้นได้ หรือจะเป็นความสามารถถ้าตัวละครธาตุพืชอยู่รวมกันจะทำให้ตัวละครสายนี้ใช้สกิลแรงขึ้นก็มี ซึ่งมันค่อนข้างหลากหลายมาก ตัวการ์ดมีให้เลือกเป็นร้อยๆ ใบท้าทายในทุกด่าน   ใครที่คิดว่าเกมนี้จะเหมือนเกม RPG บนมือถืออื่นๆ ที่จะบอทเพลินๆ ท่านก็อาจจะคิดผิด เพราะเกมนี้ท่านจะต้องผสมตัวละครเองทั้งหมด กดมือเล่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะแต่ละเกมใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น เป็นเกมที่เล่นฆ่าเวลาได้เพลินๆ และค่อนข้างสะดวกกว่าเกมแนว Auto Battler อื่นๆ ที่เกมหนึ่งในเวลากว่า 1 ชั่วโมง รวมถึงเกมนี้พอเล่นไปด่านสูงๆ เราจะพบเจอกับความยากของมอนสเตอร์ที่จะทำให้คุณต้องหัวร้อนกับมันเพราะไม่ผ่านแน่นอน ซึ่งคุณจำเป็นต้องเรียนรู้หา Comb สายใหม่ๆ เพื่อเอามาแก้ทาง หาการ์ดสายอื่นมาลองต่อสู้ดู หรือผสมๆ สายกันไปบ้าง ซึ่งนี่มันก็คืออีกหนึ่งความสนุกของเกมนี้ระบบ PVPสำหรับสาย PVP เกมนี้ก็รองรับเช่นกัน แต่ว่าระบบการต่อสู้ของ Arcana Tactics จะค่อนข้างแตกต่างจากเกมแนว Auto Battler อื่นๆ ที่เกมนี้จะเป็นการต่อสู้กันแบบ Real-Time 1V1 มีการจัดทัพต่อสู้กันคล้ายๆ กับที่เล่นใน PVE ซึ่งในแต่ละรอบฝ่ายไหนแพ้ก็จะเสียเลือดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแพ้ ซึ่งตัวเกมก็จะมีระบบไต้ระดับไปเรื่อยๆ และก็จะได้ของรางวัลไปเรื่อยๆ เช่นกันสรุปArcana Tactics เป็นเกมที่ต้องยอมรับในเรื่องของไอเดียที่ค่อนข้างใหม่มากในการเอาเกมแนว RPG มาผสมผสานกับเกมแนว Auto Battler ได้อย่างยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือความท้าทายในแต่ละด่านที่ค่อนข้างจะให้เราคิดวิเคราะห์ในการต่อสู้ว่าจะเอาตัวละครไหน เอาสายไหนไปสู้ดี (แต่อาจจะเห็นผลในช่วงด่านหลังๆ เป็นต้นไป) หรือจะเป็นระบบการ์ดอารคาน่าที่จะมาเพิ่มสีสันให้มากขึ้นแต่ถ้าให้ถามถึงสิ่งที่ไม่ชอบสำหรับเกมนี้อย่างเดียวก็คงจะเป็นในเรื่องของสกิลความสามารถของตัวละครที่มันอาจจะยังไม่ได้ดูหวือหวา หรือตระกาลตาขนาดนั้น เป็นสกิลทำดาเมจธรรมดาตีตรงๆ ไม่ได้มีตัวละครที่เน้นโจมตีตัวหลัง หรือสกิล CC สตั๊นหมู่อะไรแบบนั้น พอเล่นไปเรื่อยๆ สกิลที่ดูธรรมดามันก็อาจจะทำให้เบื่อได้บ้าง
23 Mar 2021
[ Review ] Crash Bandicoot 4: It's About Time สานต่อตำนานหนูพุกอีกครั้งให้แฟนๆ หายคิดถึง
Crash Bandicoot 4: It's About TimePlatform: Nintendo SwitchGenre: Action 3D, AdventureCrash Bandicoot เป็นเกมแนว Action 3D ที่พัฒนาโดย Toys for Bob และเผยแพร่โดย Activision เป็นแฟรนไชส์เกมภาคต่อ จากแพลตฟอร์ม PlayStation 1 ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อปี 1996 - 1999 ที่มีด้วยกันถึง 3 ภาคหลัก และนอกจากนั้นยังวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มอื่นๆ อีกเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ถูกนับเป็นภาคหลักแต่อย่างใด… จนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นเวลากว่า 20 ปี กับการกลับมาของ Crash Bandicoot ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้นับว่าเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการ และเป็นที่รอคอยของแฟนๆเนื้อเรื่องการกลับมาในครั้งนี้จะเป็นเนื้อเรื่องต่อจาก Crash Bandicoot 3: Warped โดยตรง หลังจากที่จัดการวายร้ายอย่าง Dr. Neo Cortex กับ Dr. Nefarious Tropy รวมถึง Aku Aku ด้วยการจับส่งทั้งสามให้ไปอยู่ในต่างมิติ เพื่อไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนได้อีกตลอดไป   จนกระทั้ง Aku Aku ได้ทำการเปิดประตูมิติสำเร็จ ทำให้ทั้งหมดหนีออกมาได้ แต่ผลกระทบจากการเปิดประตูมิตินั้น ทำให้มิติเวลารวมถึงจักรวาลเกิดความปั่นป่วน จนทำให้เกิด Multiverse หรือจักรวาลคู่ขนานขึ้นมากมาย และถึงคราวที่เหล่าวายร้ายได้ทำการวางแผนควบรวมยึดครองทั้งจักรวาล !!ดังนั้น Crash และ Coco (น้องสาว) จะต้องร่วมมือกันออกผจญภัยอีกครั้ง เพื่อตามหาธาตุทั้ง 4 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งแผนการร้ายในครั้งนี้ และผนวกพลังของจักรวาลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางกลับสู่สภาวะดังเดิมอย่างที่ควรจะเป็นประตูมิติที่ถูกเปิด จุดเริ่มต้นของเรื่องราวในภาคนี้เกมเพลย์/ระบบการเล่นคราวนี้มาในส่วนของเกมเพลย์กันบ้าง Crash Bandicoot 4 ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของภาคก่อนๆ ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นมูฟเมนท์การบังคับตัวละคร การเปลี่ยนมุมมองเกมเพลย์ภายในด่านที่มีความหลากหลาย และยังคงความเป็นรูปแบบการผจญภัยที่มีกับดักมากมาย พร้อมกับศัตรูหลากหลายรูปแบบ ที่เราจะต้องใช้วิธีรับมือแตกต่างกันออกไป มีการเดินเรื่อง/ระบบการเล่นเป็นเส้นตรง มีความสลับซับซ้อนค่อนข้างน้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเล่นให้ผ่านได้ง่ายๆ มีระบบ Checkpoint ภายในด่าน และยังคงรูปแบบความเป็น World Part เหมือนเดิม (แต่ในภาคนี้จะเรียกว่า Dimensional map) พูดง่ายๆ ว่า  ใน 1 เวิลด์จะประกอบไปด้วย 5-6 ด่าน และด่านสุดท้ายก็จะมีบอสประจำเวิล์ด ถ้าเล่นผ่านก็สามารถไปเวิลด์ถัดไปได้ หรือด่านที่ผ่านไปแล้วก็สามารถกลับมาเล่นเพื่อเก็บของให้ครบได้อีก  หรือจะแข่งกับเวลาในโหมด Time Trial ที่เน้นเร็วเน้นไวก็ได้ เพื่อเก็บ Relics  ทำให้มีเหตุผลในการกลับมาเล่นด่านเหล่านี้หลายครั้ง   โดย Time Trial จะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ Sapphire, Gold, Platinum จากน้อยไปมากตามลำดับ    ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ผ่านด่านเหมือนกับในภาค 3   และยังมีด่านพิเศษที่เป็นไซต์สตอรี่ของตัวละครอีกด้วย   รับรองว่าจุใจเหล่าแฟนๆ   หนุ่ม   Crash   แน่นอนรวมถึงยังคงมีการเก็บกล่องให้ครบตามจำนวนที่แต่ละด่านกำหนด เพื่อแลกกับเพชรสีขาวเช่นเดิม และยังมีการเก็บเพชรสีเพื่อปลดล็อค Bonus Stage หรือสถานที่ลับในด่านต่างๆ (แต่ระบบการเก็บแอปเปิ้ลเพื่อสะสมเป็นไลฟ์อัพถูกยกเลิกไปแล้ว) Dimensional Mapระบบที่เสริมเข้ามาในภาคนี้ เริ่มเกมเลยเราสามารถเลือกโหมดที่จะเล่นได้ระหว่าง Modern Mode กับ Retro Mode โดยระบบในการเล่นทั้งสองโหมดจะแตกต่างกันออกไป ผู้เล่นสามารถเลือกตัวละครที่จะเล่นได้สองตัวตั้งแต่เริ่มเกม ซึ่งก็คือ Crash ตัวเอกของเรา และ Coco น้องสาวของของเขา ทั้งสองมีรูปแบบมูฟเมนท์การเคลื่อนไหวเหมือนๆ กัน การเลือกเล่นตัวละครจะไม่ได้เป็นการเลือกในรูปแบบโหมด แต่เป็นการเลือกก่อนที่จะเริ่มด่าน หรือเริ่มเล่นในด่านนั้นๆ นอกจากการเลือกตัวละครเพื่อเล่นแล้ว ยังสามารถเลือกชุด (Skin) ของตัวละครได้อีกด้วย ทั้งนี้ชุด (Skin) จะต้องผ่านการปลดล็อกจากการทำภารกิจซะก่อนจึงจะเลือกมาใช้ได้ในหนึ่งด่านจะมีการเก็บเพชรสีขาวที่เพิ่มมากขึ้น   (จากเดิมมีเพชรสีขาว 1เม็ด/1ด่าน) โดยจะมีเพชรสีขาวหกเม็ดต่อ 1 ด่าน การเก็บเพชรจะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดต่างๆ เช่น จำนวนแอปเปิ้ลที่เก็บ จำนวนครั้งที่เราตาย เพชรที่ซ่อนอยู่ตามด่าน และการเก็บกล่องในด่านให้ครบเหมือนภาคก่อนๆมีการเก็บไอเทม Flashback Tapes เพื่อปลดล็อคด่านพิเศษภายใน (Flashback Tapes Level) อีกที และภายใน Level จะเป็นด่านคล้ายๆ กับโบนัสสเตจที่เป็นการเก็บกล่องโดยเฉพาะ เพียงแต่จะมีความยาวและความยากกว่าพอสมควร ถ้าหากเล่นไปได้สักพักจะมีโหมดกลับซ้าย-ขวา N. Verted เข้ามาเสริมในทุกๆ ด่านอีกด้วยทางด้านตัวละคร จะมีตัวละครเพื่อนใหม่อย่าง Tawna ที่จะมีไทม์ไลน์เนื้อเรื่องของตนเอง เป็นเนื้อเรื่องคู่ขนานกับเนื้อเรื่องหลักของพวก Crash และธีมหลักของภาคนี้เลยก็คือพวก Quantum Masks ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือน Uka Uka ซึ่งจะมีเอกลักษณ์/สกิลเฉพาะตัวเมื่อสวมใส่ เพื่อนำความสามารถนี้ใช้ในการผ่านฉากที่มีรูปแบบเฉพาะ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกมมีความหลากหลายในการเล่นมากขึ้น รวมถึงตัวละครอื่นๆ ที่จะร่วมสร้างสีสันและมิติใหม่ๆ ในการผจญภัยครั้งนี้ด้วยรวมเหล่า Quantum MasksTawna เพื่อนใหม่ของ Crash และ Cocoเพชรสีขาวที่มีให้เก็บเพิ่มขึ้นต่อหนึ่งด่าน ถ้าเก็บได้ครบจะได้ชุด(skin) ของตัวละครกราฟิก (Nintendo switch)ยังคงรูปแบบความเป็นอนิเมชั่น+การ์ตูนที่มีสีสันเยอะๆ รูปแบบด่านที่เปลี่ยนสีสันตามธีมของแต่ละเวิลด์ ส่วนเรื่องของเฟรมเรท ยังไม่เจอเฟรมเรทตกตลอดการเล่นบนเครื่อง Nintendo Switch ลื่นไหลดีปกติ ไม่มีภาพค้าง ไม่มีเด้งออกจากเกม เมื่อลองต่อ Dock ขึ้นจอ 4K ภาพสวยกว่าเดิมนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่าภาพสวยขึ้นจริงๆ หรือว่าเพราะจอใหญ่ก็เลยดูสวยเพราะรายละเอียดมันชัดขึ้นหรือเปล่า แต่จริงๆ ทางด้านกราฟิกคงไม่มีอะไรให้เขียนถึงมากนัก เอาเป็นว่าเล่นบน Nintendo Switch ที่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ก็เข้ากับเกมเพลย์แบบ Crash   ดี   แต่จะหวังให้กราฟิกสู้คอนโซลอื่นๆ   คงไม่ได้อยู่แล้วสรุปเกม Crash Bandicoot 4 ยังคงเป็นเกมที่ต้องใช้ความชำนาญ รวมถึงการฝึกสังเกติ เพราะเป็นเกมที่มีทางลับและไอเทมที่ซ่อนอยู่ รวมไปถึงกับดักต่างๆ ผู้เล่นจะต้องทำความคุ้นเคยกับองค์ประกอบภายในแต่ละด่านที่แตกต่างกันออกไป และอาศัยความอดทนถึงจะเล่นผ่านไปได้ สำหรับผู้เขียนที่เคยเล่นมาก่อนแล้วตั้งแต่ภาคแรก ก็รู้สึกว่ายังยากอยู่พอควรเลยล่ะ แต่ก็สนุกมากๆ และตื่นเต้นกับลูกเล่นใหม่ๆ ด้วยในเวลาเดียวกัน ยิ่งถ้าหากจะเก็บของให้ครบๆ หรือพิชิต Achievements  / Trophies ทุกอย่างที่มี เกมก็จะยิ่งมีความยากเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว!!รวมๆ แล้วรู้สึกว่า ทีมสร้างเกมพยายามออกแบบการเล่นให้มีมิติที่จะเล่นสนุกได้หลากหลายมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มีโหมดทางเลือกในการเล่น การสะสมของภายในเกมที่เยอะมากขึ้น กับดักที่มีรูปแบบใหม่ๆ และมีความต่อเนื่อง(ยาก)มากขึ้น มีตัวละครให้เลือกเล่นได้พร้อมกับมูฟเมนท์หรือเรื่องราวที่แตกต่างกัน การเก็บของบางด่านที่ต้องใช้ไซต์สตอรี่ร่วมด้วยถึงจะสามารถเก็บได้ครบ มีความเป็น puzzle ที่ต้องใช้ไหวพริบ และการสังเกตในการเล่น ถึงจะเป็นเกมที่เล่นค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่ แต่ภายในเกมได้มีระบบช่วยเหลือการเล่นเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ..ถ้าหากผู้เล่นตายในด่านซ้ำๆ จำนวนหลายครั้ง จะมี Uka Uka ให้ตั้งแต่จุดเกิด (Checkpoint) และจะมี Checkpoint ให้เยอะมากขึ้นกว่าปกติ นั่นก็เพื่อรองรับผู้เล่นใหม่ๆ ให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วยทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกได้ว่า ภาคนี้ตอบโจทย์ในแง่ของการสร้างความหลากหลายในการเล่นได้สำเร็จจริงๆ ส่วนท่านใดกำลังจะหาเกมเล่น ที่สามาถเล่นได้ยาวๆ ใช้เวลาในการเล่นค่อนข้างมาก ชอบสะสมของภายในเกมที่มีเยอะๆ ฝึกสมองใช้ไหวพริบ ฝึกการสังเกต ชอบความท้าทายชอบเกมเล่นยากๆ ตายซ้ำๆ กับจุดเดิมๆ หัวร้อนเป็นปกติ   ผมก็ขอแนะนำ Crash Bandicoot 4: It's About Time รับรองว่าคุณจะได้สนุก และตื่นเต้นไปกับเกมนี้อย่างแน่นอนCrash และผองเพื่อนความรู้สึกส่วนตัว… ในฐานะของคนที่เล่นมาตั้งแต่ภาคแรก รู้สึกหายคิดถึง เราจะยังได้เห็นอะไรเดิมๆ อยู่บ้าง เช่น ฉากแรกที่ชายหาด เหมือนกับที่ฉากแรกเริ่มใน Crash Bandicoot ภาคแรก หรือฉากที่มีมังกรก็จะนึกถึงด่านกำแพงเมืองจีนในภาค 3 รวมถึงจะฉากวิ่งหนี เราจะต้องวิ่งหนีเหมือนที่เราเคยวิ่งหนีหินกลิ้งแบบภาคก่อนๆ เราจะได้หลบกระแสน้ำวน จะได้สำรวจฉากเพื่อตามหากล่องที่ถูกซ่อนอยู่ ได้ตื่นเต้นกับการเจอเพชรสีต่างๆ ที่ดีใจเหมือนตัวเองได้เจอจริงๆ จะได้เห็นตัวละครที่คุ้นเคยเราจะได้เจอเพื่อนเก่าอย่าง Crash ที่ขี้เล่นมีสีสันเปื่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน รวมถึงวายร้ายอย่าง N. Cortex ที่ยังไม่ยอมแพ้ต่อความอยากจะเอาชนะเหมือนเคย รวมถึง Easter eggs ที่มีอยู่ภายในเกม และที่สำคัญยังคงรู้สึกว่าผมรักเกมนี้จริงๆ แม้ในตอนนี้ผมได้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ความสนุกที่ได้จากเกมนี้มันโตมากขึ้นกว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วันเสียอีก ...บรรยากาศทั้งหมดภายในเกมเหล่านี้เปรียบเสมือนเพื่อนหรือครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึงที่เรารอ หรือเคยรอการกลับมา…ฉากแรกบนชายหาด ที่ทำให้หายคิดถึง หรือคิดถึงมากกว่าเดิม  (แอบมี Easter eggs เกม Spyro the Dragon ด้วยแน่ะ)...ควรค่าแก่การรอคอยมากๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากนะที่กลับมาหาเพื่อนคนนี้อีกครั้ง และยินดีต้อนรับเสมอไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งก็ตาม
17 Mar 2021
[Review] Persona 5 Strikers : การผจญภัยครั้งใหม่ใหม่ของกลุ่มโจรขโมยใจเจ้าเก่า
เมื่อพูดเกมแนว JRPG ที่น่าจดจำที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคำตอบในใจหลายๆ คนคงหนีไม่พ้นเกม Persona 5 (หรือ Persona 5 Royal) เกมที่ผสมผสานระบบการเล่นแนว JRPG สายเลือดแท้เข้ากับเกม Simulation การใช้ชีวิต ที่ได้รับขนานนามโดยสื่อหลายสำนักทั่วโลก (รวมถึง GameFever เองด้วย) ในฐานะเกม JRPG ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งตลอดการ ด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่มีเสน่ห์น่าติดตาม ไปจนถึงระบบเกมเพลย์ Turn-based อันลึกซึ้งและท้าทาย จนกวาดคะแนนเต็ม 10 (หรือใกล้เคียง) จากสื่อที่รีวิวแทบทุกสำนักเลยทีเดียว ในฐานะแฟนตัวยงเดนตายของซีรีส์ Persona มาหลายปี ที่ยกให้เกม Persona 5 Royal เป็นหนึ่งใน 10 เกมยอดเยี่ยมประจำใจไปแล้วเรียบร้อย ผู้เขียนจึงแอบมีความสองจิตสองใจกับเกม Persona 5 Strikers อยู่พอสมควรในช่วงที่เกมประกาศเปิดตัว เพราะแม้ว่าจะรู้สึกตื่นเต้นกับการที่เกมจะสานต่อเรื่องราวของเหล่าตัวเอกในเกม Persona 5 ต่อไป แต่ในอีกแง่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเมื่อเกมเปลี่ยนจากระบบการเล่นดั้งเดิมมาเป็นเกมลูกผสมแนวแอคชั่น Musou แล้ว จะยังสามารถคงเสน่ห์หรือความลึกซึ้งต่างๆ ที่ทำให้หลงรักซีรีส์ Persona ได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่หลังจากที่เล่นเกม Persona 5 Strikers จนจบแล้ว ก็ต้องบอกว่าความกังวลใจต่างๆ ที่ผู้เขียนรู้สึกในตอนแรกแทบจะคลี่คลายไปได้ทั้งหมดเลย โดยเกมยังคงสามารถรักษาเสน่ห์หลายๆ อย่างของซีรีส์เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบต่อสู้ที่ท้าทายไปจนถึงเนื้อเรื่องอันกินใจที่น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ และแม้ว่าจะมีองค์ประกอบบางอย่างที่ยังไม่ค่อยลงตัวนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า Persona 5 Strikers ถือเป็นภาคต่อที่น่าพอใจมาก ที่สามารถขโมยใจแฟนตัวยงอย่างผู้เขียนไปได้อีกครั้ง เนื้อเรื่อง Persona 5 Strikers จะดำเนินเรื่องต่อจากตอนจบของเกม Persona 5 ภาคดั้งเดิมโดยตรง (เกมจะไม่อ้างอิงเหตุการณ์จาก Persona 5 Royal เลย) เมื่อตัวเอกและกลุ่มเพื่อน Phantom Thieves ตัดสินใจนัดรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อท่องเที่ยวด้วยกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของพวกเขา แต่วันหยุดอันสงบสุขของพวกเขากลับถูกขัดขวางเมื่อจู่ๆ พวกเขาก็พบว่าโลกคู่ขนาน Cognitive World ที่ควรจะถูกทำลายไปแล้วในตอนจบของเกมภาคดั้งเดิมยังมีตัวตนอยู่ แถมยังมีกลุ่มวายร้ายกลุ่มใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากโลกขนานนี้เพื่อ "เปลี่ยนใจ" ผู้คนทั่วญี่ปุ่นให้ทำตามความต้องการอันชั่วร้ายของพวกเขาเองอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเอกและผองเพื่อนยังถูกเพ่งเล็งโดยองค์กรตำรวจในฐานะผู้ต้องสงสัยเบื้องหลังเหตุการณ์การ "เปลี่ยนใจ" ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องออกเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อต่อสู้กับเหล่าวายร้ายตัวจริงและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขาอีกครั้ง ถ้าให้มองในภาพกว้าง ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องของเกม Persona 5 Strikers มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเกมภาคดั้งเดิมอยู่พอสมควร โดยเกมจะดำเนินไปตามสูตรเดิมที่ให้ผู้เล่นตะลุยเข้าไปใน "คุก" (ชื่อเรียกดันเจี้ยนของเกม) ที่ถูกปกครองโดยเหล่าตัวร้ายหลัก และทำการเอาชนะตัวร้ายเหล่านั้นเพื่อทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจมารับผิดจากการกระทำของตัวเอง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ารูปแบบการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างซ้ำกับภาคหลักทำให้ "น้ำหนัก" ของเหตุการณ์ต่างๆ หายไปพอสมควรเมื่อเทียบกับเกมต้นฉบับที่มีความเกี่ยวพันกับเหล่าตัวละครในกลุ่มเพื่อนของเราโดยตรงด้วย และทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Strikers มีความ "เดาได้" แทบจะตลอดทั้งเกม ทั้งนี้ ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ไม่ดี เพราะ Persona 5 Strikers ก็ยังคงรักษาตัวตนของซีรีส์เอาไว้ได้ด้วยเนื้อหาที่มีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ค่อนข้างสูง ที่แตะประเด็นหนักๆ อย่างปัญหาการรังแกกันในโรงเรียน หรือกระทั่งการทุจริตของข้าราชการในรูปแบบต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อเรื่องของเกมที่มีธีมหลักเกี่ยวกับ "Trauma" หรือบาดแผลที่ฝังใจของมนุษย์ และวิธีรับมือกับความเจ็บปวดทางใจเหล่านี้ ก็ยังมีความลึกซึ้งมากพอที่ทำให้ผู้เขียนนั่งครุ่นคิดถึงประเด็นเหล่านี้ต่อได้กระทั่งเวลาที่ไม่ได้เล่นเกมอยู่ สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องหลักของเกมยังคงมีความสนุกและน่าติดตามสำหรับผู้เขียน มาจากการได้เห็นการปฎิสัมพันธ์กันของเหล่าตัวละครทั้งในและนอกดันเจี้ยน ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการเดินทางร่วมกับกลุ่มเพื่อนวัยเรียนได้ดีมากๆ และทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวละครเหล่านี้มีความสนิทสนมกันจริงๆ มากกว่าในเกมดั้งเดิมเสียอีก ด้วยบทพูดยังเขียนออกมาได้อย่างน่ารักติดตลกเหมือนฟังกลุ่มเพื่อนนั่งแซวกันหยอกกันเล่น ทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นมากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นแฟนเกม Persona 5 ที่ผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้เป็นพิเศษ (เช่นผู้เขียน) มีจังหวะอมยิ้มให้เราได้ชื่นใจตลอดทั้งเกม เกมเพลย์ ในเบื้องต้นแล้ว เกมเพลย์ของ Persona 5 Strikers จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คล้ายๆ กับในเกมภาคดั้งเดิม นั่นคือช่วงการใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริง และช่วงการต่อสู้ในดันเจี้ยนหรือที่เกมเรียกว่าคุก (Jail) นั่นเอง สำหรับเกมเพลย์ในโลกจริงนั้น อาจเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะ Persona 5 Strikers ไม่มีระบบการดำเนินชีวิตแบบที่พบในเกมดั้งเดิมเลย เช่นระบบการทำความสัมพันธ์ Confidant ทำให้เราได้เรียนรู้เนื้อเรื่องและพัฒนาความสามารถของตัวละครเสริมแต่ละตัว (ถูกแทนที่ด้วยระบบ Bond ให้เราสามารถเลือกอัปเกรดความสามารถติดตัวของทั้งทีมแทน) หรือระบบการทำงานพิเศษเพื่อเพิ่มคุณสมบัติทั้งหลาย แม้ว่าการเดินทางไปตามเมืองใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นของกลุ่มตัวเอกจะทำให้เกมมีสถานที่ให้สำรวจเยอะกว่าในเกมภาคดั้งเดิมซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโตเกียวทั้งเกม แต่สถานที่เหล่านี้ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากการรับเควสเสริมประปราย หรือการซื้อของเพิ่มพลังที่มาในรูปแบบของอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละเมือง   ตัวตนความเป็น Persona แทบทั้งหมดของ Persona 5 Strikers จะพบได้ในดันเจี้ยนทั้งหลายของเกม โดยจุดแตกต่างที่ทำให้ Persona 5 Strikers ต่างจากเกมลูกผสม Musou อื่นที่กล่าวไปข้างต้น คือเกมยังคงใช้ระบบการต่อสู้แบบกึ่ง RPG ซึ่งแยกการต่อสู้ออกจากแผนที่หลัก ผู้เล่นจะสามารถมองเห็น "ศัตรู" เดินไปมาในแผนที่ และจะสามารถเข้าสู่การต่อสู้จริงได้ด้วยการโจมตีหรือลอบโจมตี (Ambush) ศัตรูเหล่านั้นในแบบเดียวกับเกม Persona 5 ดั้งเดิมแทน ซึ่งเมื่อทำแบบนี้แล้ว "ศัตรู" ที่เห็นในแผนจึงจะกลายร่างเป็นเหล่า Shadow ตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมากให้เราต่อสู้ด้วยในแบบ Musou อีกที เมื่อเข้าสู่การต่อสู้แล้ว แน่นอนว่าผู้เล่นจะยังคงสามารถโจมตีเหล่า Shadow ด้วยระบบการโจมตีสองปุ่มแบบเดียวกับเกม Musou ทั่วไป ซึ่งเราสามารถสลับไปควบคุมตัวละครเพื่อนร่วมทีมได้ตลอดเวลา (สามารถเลือกสลับเข้าออกได้ทีละ 3 ตัว ไม่รวมตัวเอก) โดยแต่ละคนก็จะมีคอมโบและวิธีเล่นเฉพาะตัวที่ต่างกันออกไป แต่ทีเด็ดคือ Persona 5 Strikers จะผสมผสานระบบจุดอ่อนของเกม Persona เข้าไปด้วย ผู้เล่นจะสามารถเรียกหน้าเมนูสกิลแบบ RPG ขึ้นมาเพื่อโจมตีจุดอ่อนศัตรูด้วยสกิลธาตุต่างๆ ซึ่งก็จะทำให้ศัตรูล้มลงและเปิดช่องให้เราทำการ All-Out Attack เพื่อปลิดชีพศัตรูทั้งกลุ่มในม้วนเดียวเหมือนในเกม Persona 5 เลย และในทางกลับกัน เหล่าศัตรูก็จะสามารถโจมตีเราด้วยสกิลธาตุของตัวเองได้ และถ้าเราเผลอโดนสกิลธาตุที่แพ้ทางเข้าก็จะล้มลงไปให้ศัตรูลงแขกได้ไม่ต่างกัน การต่อสู้อาจจะฟังดูง่าย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงในบริบทของเกม Musou แต่เอาเข้าจริงต้องบอกว่าเกม Persona 5 Strikers ดูจะจัดสมดุลมาเหมือนเกม Persona ที่เน้นการใช้สกิลเพื่อโจมตีจุดอ่อนมากกว่าการโจมตีธรรมดาไปเรื่อยๆ ผู้เล่นจะยังคงต้องลำบากกับการบริหารค่า SP ในการใช้สกิลอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อสู้กับศัตรูระดับบอสที่มักจะบังคับให้เราต้องใช้สกิลเพื่อทำลายเกราะป้องกันของพวกมันซะก่อน แต่เกมก็ยังปราณีด้วยการเปิดให้ผู้เล่นสามารถกระโดดเข้าออกดันเจี้ยนได้ตลอดเวลาด้วยระบบ Checkpoint ซึ่งจะฟื้นฟูพลังชีวิตและ SP ของทั้งปาร์ตี้จนเต็ม เมื่อนำมารวมกับการที่เกมไม่มีระบบปฏิทินเหมือนเกม Persona ปกติด้วย ทำให้การตะลุยดันเจี้ยนในภาพรวมอาจจะง่ายขึ้น แต่การต่อสู้แต่ละครั้งยังคงท้าทายเหมือนเกม Persona อยู่นั่นเอง กล่าวโดยสรุป ในขณะที่เกมลูกผสม Musou หลายเกมที่ผ่านมาเช่น Fire Emblem Warriors หรือ Dragon Quest Warriors จะมีเกมเพลย์ที่ให้ความรู้สึกเหมือน "เกม Musou ที่ใส่สกินของเกมอื่น" เกม Persona 5 Strikers ค่อนข้างให้ความรู้สึกตรงข้ามราวกับว่าเป็น "เกม Persona ที่สวมสกิน Musou" ซะมากกว่า เพราะแม้ว่าผู้เล่นจะยังต้องต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ๆ ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่นอันดุเดือด แต่เกมก็ยังคงไว้ซึ่งระบบ RPG อันเป็นเอกลักษณ์ของเกม Persona เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน แถมให้ความสำคัญกับระบบเหล่านี้ไม่ต่างจากเกมดั้งเดิมที่ใช้ระบบ Turn-based เลยด้วย กราฟิก/การนำเสนอ เกม Persona 5 Strikers จะยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกเดียวกับเกม Persona 5 ภาคที่ผ่านๆ มา ทำให้ในส่วนของโมเดลตัวละครและฉากต่างๆ ไม่ค่อยต่างกันนัก แม้จะเข้าใจได้ว่าเกมภาค Strikers อาจจะอยากรักษาสไตล์ให้มีความต่อเนื่องกันจากเกม Persona 5 เดิม แต่ก็อย่าลืมว่าก็เกมดั้งเดิมเป็นเกมคร่อมเจนระหว่าง PS3 + PS4 อยู่แล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เกมภาค Strikers ที่ใช้กราฟิกเหมือนๆ กันจะรู้สึก "เก่า" ไปบ้างในหลายๆ มุม แม้ว่าฉากคัตซีนแบบ 3D จะเป็นการปรับปรุงขึ้นในแง่ของอนิเมชั่นหลายๆ อย่างก็ตามที แต่ก็ยังคงไม่สามารถไปวัดไปวากับเกมยุคใหม่ๆ ได้ขนาดนั้น สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดน่าจะเป็นเรื่องของเฟรมเรต ที่ไม่ได้ถูกล๊อคเอาไว้ที่ 30 FPS เหมือนในเกมภาค RPG ที่ผ่านมา ทำให้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของตัวละครทั้งหลายรู้สึกลื่นไหลมีชีวิตชีวากว่าในเกมภาค RPG พอสมควร นอกจากนี้ ฉากดันเจี้ยน Jail ทั้งหลายยังมักจะมีขนาดกว้างใหญ่กว่าดันเจี้ยน Palace ของภาค RPG ด้วย ซึ่งก็ช่วยทำให้สเกลของเกมรู้สึก "ใหญ่" กว่าในฉบับดั้งเดิม แถมแต่ละดันเจี้ยนยังมีเอกลักษณ์ในแง่ของการออกแบบ ที่ทำให้การเดินทางสำรวจในแต่ละดันเจี้ยนรู้สึกน่าตื่นเต้นมากขึ้นกว่าในภาค RPG ที่เอาเข้าจริงไม่ค่อยมีเหตุผลให้สำรวจดันเจี้ยนมากกว่าที่จำเป็นตามเนื้อเรื่อง ที่น่าชมมากกว่าคงเป็นเรื่องของการนำเสนอ เช่นเรื่องของเมนูหรือการออกแบบเสื้อผ้า สถานที่ รวมไปถึงอนิเมชั่นการโจมตีและใช้สกิลในเกม ที่ทำให้เกมมีสไตล์จัดจ้านสมกับเป็นเกม Persona มากๆ แม้ว่ากราฟิกของเกมคงไม่สามารถไปวัดไปวากับใครได้มากนัก แต่การออกแบบหน้าเมนูและองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ก็ช่วยทำให้เกมยังคงมีเอกลักษณ์ และช่วยยกระดับให้กราฟิกของเกมน่าดึงดูดมากขึ้น แม้ว่าอนิเมชั่นหลายอัน (โดยเฉพาะท่าโจมตีระดับสูงๆ) อาจจะมีความรกจอไปบ้างในขณะต่อสู้ องค์ประกอบด้านการนำเสนออีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับเกม Persona คือเรื่องของเสียง ทั้งเสียงพากย์ตัวละครและเสียงเพลงประกอบฉากทั้งหลาย ที่ยังคงรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมของซีรีส์เอาไว้ได้ทั้งหมดเลย นักแสดงพากย์เสียงจากเกมดั้งเดิมก็กลับมาให้เสียงตัวละครอีกครั้ง ซึ่งแม้จะมีปัญหาไปบ้างในแง่ของระดับเสียงที่บางครั้งก็ขึ้นๆ ลงๆ บ้าง (ทีมพากย์เสียงเกมนี้จำเป็นต้องทำงานจากบ้านเพราะสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อเรื่องนี้) แต่ในแง่ของอารมณ์หรืออุปนิสัยตัวละครก็ยังคงทำได้ดีเท่ากับในเกมภาค RPG เลยทีเดียว ในฝั่งของเพลงประกอบ ถือว่าเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของซีรีส์ Persona อยู่แล้ว และเพลงใหม่ๆ ของภาค Strikers เองก็ยังติดหูและเร้าอารมณ์ได้ไม่ต่างจากเกมอื่นๆ ในซีรีส์ ซึ่งก็ช่วยเสริมอารมณ์ทั้งในระหว่างการเล่นและในฉากคัตซีนต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เชื่อว่าหลายๆ คนที่เล่นเกมนี้ส่วนใหญ่น่าจะต้องหาโหลดเพลงมาฟังต่อจนเพื่อนด่าเหมือนผู้เขียนอย่างแน่นอน สรุป แม้ดูเผินๆ อาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ Persona ที่เราคุ้นเคย และรู้สึก "เก่า" ไปบ้างจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีหลายๆ อย่าง แต่รับประกันได้ว่าเกม Persona 5 Strikers ยังคงรักษาดีเอ็นเอของซีรีส์ RPG เอาไว้ได้อย่างเข้มข้น พอจะทำให้แฟนๆ ของกลุ่มโจรขโมยใจได้รู้สึกหายคิดถึงกันได้อย่างแน่นอน สำหรับคนที่ชื่นชอบเกม Persona หรือแค่ชื่นชอบแอคชั่น RPG มันส์ๆ บอกได้เลยว่า Persona 5 Strikers จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน [penci_review id="79548"]
09 Mar 2021
[Review] Werewolf: The Apocalypse - Earthblood เกมที่เหมือนจะดี...แต่ไปไม่สุดซะงั้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีเกมแนว Action ที่น่าสนใจอยู่เกมหนึ่งวางจำหน่ายให้เราได้เล่นกันกับเกมที่มีชื่อว่า “Werewolf : Apocalypse - Earthblood” ผลงานจากทีมผู้พัฒนาเกม Cyanide Studio ทำไมเกวลินถึงสนใจเกมนี้น่ะหรอคะ เพราะว่าเราไม่ค่อยได้เห็นเกมที่เกี่ยวข้องกับ ‘มนุษย์หมาป่า’ สักเท่าไหร่ ก็เลยจัดเกมนี้มาลองเล่นดูสักหน่อย บอกไว้ก่อนนะคะรีวิวเกมนี้จะตรงไปตรงมามาก ๆ ก็จะมีการอธิบายผลการทดสอบจากการเล่นบนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 และ PC ค่ะ   กราฟฟิกของเกมมันตรงกันข้ามกับคำว่า “Next-Gen” ซะจริง… คือต้องบอกก่อนว่าเกวลินเล่นเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood บนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 ซึ่งมีแพทช์ออกมาเพื่ออัปเกรดกราฟฟิกและความลื่นไหลให้กับตัวเกมด้วย แต่ผลที่ได้ก็คือกราฟฟิกมันดูไม่สวยงามหรืออลังการงานสร้างสมกับคำว่า “Next-Gen” เข้ากับยุคสมัยสักเท่าไหร่ แต่พอไปลองเทสเกมนี้บนแพลตฟอร์ม PC เอาจริง ๆ ก็สวยกว่าเล็กน้อยพวกแสง เงา ที่กระทบต่อวัตถุ รวม ๆ แล้วถ้าอยากจะเล่นแบบฟิน ๆ ก็คงเล่นบน PC ดูจะโอเคมากกว่าค่ะ ดังนั้นใครที่เล่นเกมนี้บนแพลตฟอร์มคอนโซลไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็คงต้องทำใจสักเล็กน้อยนะคะ เกมเพลย์ที่ผสมผสานจนดูดี แต่ถ้ามองลึก ๆ มันดูแปลก ๆ ยังไงชอบกล!? เห็นหัวข้ออย่าพึ่งตัดสินใจว่าเกวลินไม่ชอบเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood นะคะ จริง ๆ แล้วเกมเพลย์ตอนต่อสู้กับศัตรูทั่ว ๆ ไปถือว่าสนุกมาก ๆ แล้วก็มีความยากระดับหนึ่งเลยละ ถ้าเราคิดจะบุกป่าฝ่าดงศัตรูมันไม่ใช่ความคิดที่ถูกเสมอไปค่ะ ดังนั้นการที่เราค่อย ๆ ลอบฆ่าดูจะโอเคมากกว่า ตัวเราสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์มหาป่าได้ ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินเมื่อศัตรูรู้ตำแหน่งของเราความสนุกของเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้นค่ะ ศัตรูทั่วทั้งฉากจะบุกเข้ามารุมยำเราแบบเต็มที่ไม่ให้เราได้พักหายใจ หายคอกันเลย แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ‘พวกมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ต่อกรซึ่ง ๆ หน้า’ ดังนั้นเราอาจจะเป็นฝ่ายวูบเองก็เป็นได้ค่ะ เกลวินตายบ่อยกับศัตรูระดับธรรมดามากกว่า แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับศัตรูระดับ Boss หลายต่อหลายครั้งที่รู้สึกว่า เพราะถ้าเราจับจุดการเคลื่อนไหว หรือ การโจมตีของบอสได้แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที ทำให้บางครั้งเราสามารถอัดบอสรัว ๆ จนพลังชีวิตของมันหมดหลอดโดยที่มันยังไม่ได้เตรียมตัวหรือตั้งหลักรอบใหม่เลย ทำให้การต่อสู้กับบอสหลายครั้งรู้สึกไม่ท้าทายเท่าศัตรูระดับธรรมดาที่โจมตีได้รุนแรงและบุกเข้ามาพร้อมกันมากกว่า ในด้านเชิงของเกมเพลย์จริง ๆ แล้วมัน ‘สนุก!’ แถมออกแนวเลือดสาด 18+ ด้วยซ้ำไป การโจมตีของเราจะมีทั้งการโจมตีหนัก, โจมตีเบา, โจมตีกลางอากาศ, การพุ่งเข้าชนเพื่อสร้างความเสียหาย หรือการใช้อาวุธบางชนิดในการปิดการสังหารศัตรู เป็นต้น ทั้งหมดนี้เราจะต้องมีการอัปสกิลต่าง ๆ เพื่อให้เกมเพลย์ดูลื่นไหลมากกว่าเดิม แม้จะว่าฟังดีแต่มันก็ขาดความลื่นไหลของเกมเพลย์ในบางช่วงเวลา เพราะตัวละครของเราไม่ได้เป็นแค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องกลายร่างเป็น ‘มนุษย์หมาป่า’ ด้วย ทำให้รูปแบบการโจมตีจะมีทั้งเร็ว ช้า แตกต่างกันออกไป สิ่งที่สำคัญเราจะต้องจำท่าการโจมตีเพื่อใช้ทำคอมโบให้ดีมันจะช่วยให้เราเล่นเกมนี้ได้สนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ แล้วอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าถ้าเราอยากจะให้การโจมตีหลากหลายสิ่งที่ช่วยได้คือ ‘การอัปสกิล’ เกมนี้มีสกิลให้เลือกอัปเกรดเพียบเลยค่ะ เราจะต้องใช้แต้มในการอัปที่แต่ละสกิลก็จะใช้มากน้อยแตกต่างกันออกไป ความน่าสนใจของเกมนี้คือเราสามารถรีเซ็ตสกิลได้ตลอดเวลาเพื่อให้เราสามารถจัดสายที่ต้องการจะเล่นได้อย่างอิสระนั่นเอง ถือว่าเป็นข้อดีที่จะทำให้ผู้เล่นได้รู้ว่าตนเองควรจะเล่นสายไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด เพลงประกอบที่ช่วยเสริมให้การเล่นยังเพลินได้!? ฟังดูมันอาจจะตลกแต่มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ ตัวเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood เมื่อเข้าสู่ฉากต่อสู้เพลงประกอบจะกลายเป็นดนตรีร็อค ๆ ขึ้นมาในทันที ทำให้ผู้เล่นรู้สึกฮึกเหิมในการเล่นมากยิ่งขึ้น โดยรวมเพลงประกอบส่วนนี้มาช่วยทำให้เกมดูดีขึ้น เพราะพูดตรง ๆ ว่าเกมเพลย์มันล้าหลังไปนิดทำให้คนที่เล่นไปนาน ๆ อาจจะรู้สึกเบื่อขึ้นมาก็เป็นได้ค่ะ สรุปโดยรวม ตัวเกม Werewolf : Apocalypse - Earthblood เป็นเกมแนว Action ที่ผสมผสานความเป็น RPG เล็กน้อย เนื้อหาการนำเสนอคือน่าสนใจนะที่เราจะได้สวมบทบาทเป็น ‘มนุษย์หมาป่า’ แต่น่าเสียดายที่เกมมันไปไม่สุดจริง ๆ ทั้งเกมเพลย์ที่ดูอาจจะสนุกแต่ระบบกลับล้าสมัยไปนิดมันทำให้นึกถึงเราเล่นเกมแอ็คชั่นสมัยยุคเครื่อง PlayStation รุ่นเก่า ๆ เลยนะคะ โชคดีที่ความลื่นไหลของเกมเพลย์มันไม่มีสะดุดตรงนี้ขอปรบมือดัง ๆ ให้เลยค่ะ ส่วนกราฟฟิกบนเครื่องเกมคอนโซลมันไม่ได้สวยแบบที่มันควรจะเป็นนี่อะสิ เอาเป็นว่ามันก็เล่นได้เพลิน ๆ นั่นแหละค่ะ คุณผู้อ่าน คุณผู้ชม! [penci_review id="79430"]
22 Feb 2021
[Review] Blue Archive สวมบทบาทอาจารย์กอบกู้โรงเรียนที่รัก
ช่วงเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่เราจะหมดสตินั้น ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กล่าวกับเราว่า เราอาจจะเป็นความหวังที่จะกอบกู้ระบบของสหพันธ์นักเรียนได้ เราคือผู้กอบกู้ที่จะทำทุกอย่างที่เคยพังทลายกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงและตื่นขึ้นมาบนตึกแห่งหนึ่ง...ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Kivotos อันสวยงามจากกลางเมือง แต่เขนชนบทกลับดูทรุดโทรมและพังทลายจากภัยพิบัติต่างๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะ อาจารย์ ของเราเอง ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเรื่องราวบทนำของเกมมือถือที่กำลังเป็นกระแสสุดๆ ณ ตอนนี้ และเป็นเกมที่ไต่อันดับความนิยมติด Top 10 ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันของ Store ญี่ปุ่น นั้นก็คือเกมที่ชื่อว่า Blue Archive นั้นเอง และแน่นอนว่าทางเราก็ไม่พลาดที่ต้องลองเกมนี้แล้วมารีวิวเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังลังเลว่าเกมนี้จะสนุกเหมือนคนญ๊่ปุ่นได้กล่าวถึงมากไหม ลองมาอ่านบทความนี้ดูได้เลย ================================================== แค่เข้าหน้าเกม ก็หลงรักโดยไร้เหตุผล สิ่งแรกที่ทำให้เกม Blue Archive ประสบความสำเร็จเลยก็คือ การสร้าง Impression หรือภาษาชาวบ้านว่า สร้างบรรยากาศ "รักแรกพบ" ได้ดีมากๆ ทั้งภาพและเสียง รวมถึงช่วงก่อนที่ตัวเกมจะเปิดก็ได้มีการโปรโมตเกี่ยวกับเพลงเปิดหรือเพลง OP ของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Clear Morning ขับร้องโดยคุณ Yui Ogura ซึ่งเป็นคนพากย์เสียงตัวละคร "Shiroko" ตัวละครเอกในเกมอีกด้วย เมื่อทุกอย่างได้ถูกถ่ายทอดออกมา มันทำให้ทุกอย่างรู้สึกกล่มกล่อมอย่างบอกไม่ถูก และช่วงแรกที่มองว่า เกมแนว Character Collect, Tactical RPG, Turn-Base มีธีมเป็นสาวปืน มันทำให้คิดว่าเกมนี้ต้องมีความดาร์คประดุจจักรวาล DC แน่ๆ...แต่ตรงกันข้าม เกมนี้กลับค่อนข้างสดใสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร แต่ความใสนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องจะเบาสมอง แต่มันกลับมีความหนักแน่น เนื้อเรื่องชวนติดตามและลำดับการเล่าเรื่องที่มีทั้งความสนุก, ความกาว, ความหนักของเนื้อเรื่องที่กำลังพอดีและปริศนาชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่าถึงบรรยากาศของเมือง Kivotos ที่กลางเมืองนั้นดูสวยงามสดใส แต่พอห่างจากตัวเมืองก็ได้เห็นตึกอาคารที่เสียหาย ทำให้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าความสดใส่ที่อยู่เห็นตรงหน้า ภาพประกอบ CG ต่างๆ ถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ หนึ่งจุดเด่นหลักของเกม Blue Archive ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง CG ภาพต่างๆ ที่ทีมงาน Yostar ลงทุนลงแรงมากๆ จากครั้งแรกที่เล่นเลยคืออย่างชอบและหลงกับภาพสวยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของน้อง Alona หรือ AI สาวน้อยที่ปรากฎครั้งแรกบน Tablet ที่ส่งต่อมาจาก Rin ผู้แทนสหพันธ์นักเรียนให้กับเราไว้ใช้งาน ทำให้รู้ว่าภาพงาน CG แต่ละภาพ แทบไม่มีร่องรอยการเผา ( ลองทำงานเผาสิคนด่ายับแน่ ) และคงจะไม่พูดถึงน้อง Shiroko ก็คงไม่ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวละครเอกของ Blue Archive ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งจากนี้และอนาคต โดยปกติเกมอื่นๆ แล้วหากมีตัวเอก ส่วนใหญ่มักจะดูจืดจางไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับ Shiroko ที่ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมก็แทบได้รับความนิยมสูงจนมี Fanart มากมาย มันทำให้เห็นว่าทีมงานผู้พัฒนากำลังเดินมาถูกทางแล้ว เนื้อเรื่องสดใส แต่หนักแน่น เข้ากันอย่างกลมกลืน ในเนื้อเรื่องเกม Blue Archive เราจะรับบทเป็น "คนนอก" ที่ถูกรัฐบาลส่งตัวมายัง สหพันธ์นักเรียนของเมือง Kivotos ในฐานะ "อาจารย์" ซึ่งเมือง Kivotos นั้นปกครองด้วยระบอบสภานักเรียน เราจะตื่นขึ้นและพบว่าเราได้อยู่กับ Rin สาวหูเอลฟ์ซึ่งเป็นผู้รักษาการประธานสหพันธ์นักเรียนและแนะนำเมือง Kivotos ให้เราเห็นว่าสภาพบ้านเมืองที่มีทั้งด้านสวยงามและทรุดโทรม โดยเราจะถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเมืองนี้ พร้อมทั้งช่วยกันออกตามหาประธานนักเรียนของสหพันธ์ที่หายตัวไปด้วย แต่ด้วยที่ว่าเราคือ "คนนอก" ทำให้เราต้องมีชมรมเพื่อที่จะมีอำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้อาจารย์ต้องเข้ายึดอาคาร S.C.H.A.L.E ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของอาจารย์คนเก่าก่อนหายสาปสูญและถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแกงค์หมวกกันน็อค ( ชื่อเท่ซะไม่มีเลย ) ซึ่งเราก็ทำการยึดมาได้และตั้งชมรม S.C.H.A.L.E ขึ้นมา โดยรินได้มอบ Tablet ให้กับเราซึ่งภายในบรรจุ A.I. สาวน้อยที่ชื่อ อโลน่า เอาไว้ซึ่งเราถูกสหพันธ์นักเรียนฝากฝังและใช้อำนาจได้เต็มที่ และจุดเริ่มต้นของอาจารย์ที่จะเป็นความหวังในการดูและรอบอบสภานักเรียนและฟื้นฟูเมือง Kivotos ก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นแค่การเล่าเรื่องย่อเท่านั้นเนื้อหาอาจจะไม่ครบเท่าไหร่ ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีเยอะมาก และบอกได้เลยว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ขั้นกับดาร์คหนักๆ เหมือน Arknights, Azur Lane หรือ Girls Frontline แต่ว่ามันก็เข้ากับ Blue Archive และหลายๆ คนที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่ไม่ดาร์คแต่เนื้อเรื่องเข้มๆ บ้าง ทำให้เราอินกับมันได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดแต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นชวนติดตามเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนคือลูกเล่นที่ดีงาม ลูกเล่นที่ดีงามสำหรับ Blue Archive คือระบบแชทกับนักเรียน ซึ่งจริงๆ มันคือการเล่าเรื่อง Story ของนักเรียนแต่ละคนผ่านทางการแชทมือถือ มันทำให้รู้สึกเป็นอะไรที่ใหม่และสมเหตุสมผลมากๆ สำหรับเด็กวันรุ่นสมัยนี้มีอะไรก็แชทส่งกัน โดยนักเรียนแต่ละคนจะแชทมาหาเราก็ขึ้นอยู่กับการสร้างค่าความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์แต่ละระดับนอกจากจะทำให้นักเรียนสนิทสนมกับเรา แชทเข้าหาเราให้อบอุ่นหัวใจ ก็ยังจะมอบเพชรและค่า Status พิเศษที่จะเสริมพลังตอนต่อสู้อีกด้วย และที่สำคัญคือ หากเราปลดล็อคค่าความสัมพันธ์จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นการปลดล็อคภาค CG แบบ Live 2D ของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย โดยในภาพ Live 2D นั้นจะมีการเล่าเรื่องของนักเรียนแฝงอยู่ ยกตัวอย่างกรณีของ "Takahashi Hoshino" นักเรียนชั้นปีสามของโรงเรียน Abydos ที่ทางนี้ได้ปั่นค่าความสัมพันธ์จนปลด Live 2D ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก็แค่การที่ผู้เล่นพาเธอมาเดทไปเที่ยวอคาเรียม แต่ประโยคคำพูดของเธอเชิงตัดเพ้อทำให้รู้ว่า เธอเป็นหนึ่งในห้าคนของโรงเรียน Abydos ที่ยังเหลืออยู่และต้องแบกรับอะไรหนักหนามากกว่าเด็กอายุ 17 จะรับได้ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งในฐานะผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียนนี้เช่นกัน ( และมันทำให้คนเขียนหลงรักโฮชิโนะจนหมดหัวใจเช่นกัน ฮ่าๆ ) ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Blue Archive ระบบการต่อสู้ต่างๆ นั้น ไม่ว่างจะเป็นการต่อสู้ผ่านเนื้อเรื่อง, PvP หรือแม้กระทั่ง Raid Boss ก็ตาม ระบบการต่อสู้จะเหมือนๆ กันนั้นก็คือ เราจะเลือกนักเรียนลงสนามต่อสู้ได้ทั้งหมด 6 คนต่อหนึ่งทีม โดยแบ่งเป็น Striker หรือชุดจู่โจม 4 คน จะทำหน้าที่วิ่งเข้าต่อสู้และกวาดล้างศัตรูเป็นหลัก และ Special หรือทีมสนับสนุน 2 คน จะเน้นการสร้าง Buff ต่างๆ, สร้างเกราะ, Heal เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งช่วยการโจมตีได้ แต่จะอยู่แนวหลังไม่ได้ลงภาคสนามเหมือนชุดจู่โจม และนักเรียนทุกคนจะมีสกิลและค่าการใช้ Cost มากน้อยต่างกัน และเมื่อกดใช้ จะมีการเข้าคัตซีนการใช้ท่าเล็กน้อยให้ชม ซึ่งโยชิโนะนั้นท่าการใช้สกิลเท่บาดใจมากๆ เพราะเธอกางโล่แล้วเอาปืนลูกซองตั้งพาดไว้แล้วเดินทำลายแนวหน้าศัตรู ( เหมือนสกิลตั้งโล่อาวุธในเกม Division 2 เลย ) ที่สำคัญเลยเลยคือ ฉากภายในเกมมีความสำคัญมากๆ ที่กำบังและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างสามารถถูกเราและศัตรูทำลายได้ ( คงได้แรงบัลดาลใจมาจากซีรี่ส์ Battlefield มาแน่ๆ ) ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่ใครที่มีมือถือสเปคไม่สูงก็อาจจะเจอปัญหากระตุกบ้าง อาจจะต้องปรับตั้งค่าลดกราฟิคลงเสียหน่อย และระบบการเล่นจะดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทุกอย่างเป็นอนิเมชั่น 3D แบบ Chibi ดูไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับตัวละครให้หลบเข้าที่กำบังตามใจต้องการไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แย่แท้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก และอีกข้อที่ทำให้ระบบการเล่นนั้นดูน่าสนใจคือ นักเรียนทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1 ดาว หรือ 3 ดาวก็ตาม เพราะทุกตัวนั้นจะมีความชำนาญพื้นที่และประเภทการโจมตีไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครหนึ่งดาวชำนาญการสู้รบตัวเมืองและโจมตีเป็นประเภทสายสีแดง และเล่นอยู่บนพื้นที่ในตัวเมือง ก็ทำให้เธอโจมตีได้รุนแรงกว่าตัวนักเรียน 3 ดาวที่ไม่ได้ชำนาญการสู้รบในเมือง ทำให้อาจารย์ตั้งปั้นเหล่านักเรียนให้หลากหลาย ไม่มีปั้นตัวอวยเพื่อแบกทีมทั้งเกมอย่างแน่นอน ซึ่งมันดีที่ว่าทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่น แต่อาจจะไม่ดีสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าลำบากยุ่งยากเกินไป ================================================== โดยสรุปแล้ว Blue Archive นั้นเล่นสนุกและเนื้อเรื่องครบรส กราฟิคสวยงาม แม้ตอนต่อสู้จะเป็นแบบร่าง Chibi แต่ก็เป็น Chibi แบบสามมิติ ทำให้เราไม่อยากจะ Skip การต่อสู้ของเหล่านักเรียนเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่จุดข้อสังเกตุก็มีให้เห็นบ้างเช่นบัคประปรายหรือบัคตลกๆ ก็โผล่ให้เห็นบ้าง แม้จะไม่มีผลต่อตัวเกม แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ดีนักซึ่งก็คาดหวังว่าจะแก้ให้เร็ววัน อีกทั้งตัวเกมกินสเปคค่อนข้างสูง หากใครมือถือไม่แรงก็แนะนำปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ต่ำๆ ก็เล่นสนุกได้เช่นกัน แต่ทางผู้เขียนเองใช้ Poco X3 ปรับสุด 60FPS ได้แต่เครื่องก็ร้อนเอาเรื่องหากไม่ใส่เคส...หากใครอยากลองเกมแนววางแผนที่มีเนื้อเรื่องครบเครื่องแต่ไม่เน้นเครียดหรือดาร์ค เกม Blue Archive เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องลองให้ได้สักครั้งเลยล่ะ! และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า "ลุงโฮชิโนะน่ารักที่สุดในสามโลก"   ข้อดี: - ภาพ Live 2D จัดว่าดีงามมาก - BGM ทำออกมาได้ลงตัวกลมกล่อม - เนื้อเรื่องหนักแน่นแต่ไม่เครียด สมดุลระหว่างความดาร์คและความสดใส - ระบบการเล่นที่ท้าทายแต่เข้าใจง่าย ข้อสังเกตุ: - เล่นบนเครื่องจำลองใน PC จะหลุดบ่อย - เป็นเกมที่กินสเปคสูงพอสมควร - เป็นเกมที่ต้องปั้นตัวละครเกือบทุกตัวทำให้รู้สึกลำบาก [penci_review id="79269"]
22 Feb 2021
[Review] Blue Archive สวมบทบาทอาจารย์กอบกู้โรงเรียนที่รัก
ช่วงเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่เราจะหมดสตินั้น ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กล่าวกับเราว่า เราอาจจะเป็นความหวังที่จะกอบกู้ระบบของสหพันธ์นักเรียนได้ เราคือผู้กอบกู้ที่จะทำทุกอย่างที่เคยพังทลายกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงและตื่นขึ้นมาบนตึกแห่งหนึ่ง...ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Kivotos อันสวยงามจากกลางเมือง แต่เขนชนบทกลับดูทรุดโทรมและพังทลายจากภัยพิบัติต่างๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะ อาจารย์ ของเราเอง ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเรื่องราวบทนำของเกมมือถือที่กำลังเป็นกระแสสุดๆ ณ ตอนนี้ และเป็นเกมที่ไต่อันดับความนิยมติด Top 10 ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันของ Store ญี่ปุ่น นั้นก็คือเกมที่ชื่อว่า Blue Archive นั้นเอง และแน่นอนว่าทางเราก็ไม่พลาดที่ต้องลองเกมนี้แล้วมารีวิวเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังลังเลว่าเกมนี้จะสนุกเหมือนคนญ๊่ปุ่นได้กล่าวถึงมากไหม ลองมาอ่านบทความนี้ดูได้เลย ================================================== แค่เข้าหน้าเกม ก็หลงรักโดยไร้เหตุผล สิ่งแรกที่ทำให้เกม Blue Archive ประสบความสำเร็จเลยก็คือ การสร้าง Impression หรือภาษาชาวบ้านว่า สร้างบรรยากาศ "รักแรกพบ" ได้ดีมากๆ ทั้งภาพและเสียง รวมถึงช่วงก่อนที่ตัวเกมจะเปิดก็ได้มีการโปรโมตเกี่ยวกับเพลงเปิดหรือเพลง OP ของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Clear Morning ขับร้องโดยคุณ Yui Ogura ซึ่งเป็นคนพากย์เสียงตัวละคร "Shiroko" ตัวละครเอกในเกมอีกด้วย เมื่อทุกอย่างได้ถูกถ่ายทอดออกมา มันทำให้ทุกอย่างรู้สึกกล่มกล่อมอย่างบอกไม่ถูก และช่วงแรกที่มองว่า เกมแนว Character Collect, Tactical RPG, Turn-Base มีธีมเป็นสาวปืน มันทำให้คิดว่าเกมนี้ต้องมีความดาร์คประดุจจักรวาล DC แน่ๆ...แต่ตรงกันข้าม เกมนี้กลับค่อนข้างสดใสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร แต่ความใสนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องจะเบาสมอง แต่มันกลับมีความหนักแน่น เนื้อเรื่องชวนติดตามและลำดับการเล่าเรื่องที่มีทั้งความสนุก, ความกาว, ความหนักของเนื้อเรื่องที่กำลังพอดีและปริศนาชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่าถึงบรรยากาศของเมือง Kivotos ที่กลางเมืองนั้นดูสวยงามสดใส แต่พอห่างจากตัวเมืองก็ได้เห็นตึกอาคารที่เสียหาย ทำให้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าความสดใส่ที่อยู่เห็นตรงหน้า ภาพประกอบ CG ต่างๆ ถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ หนึ่งจุดเด่นหลักของเกม Blue Archive ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง CG ภาพต่างๆ ที่ทีมงาน Yostar ลงทุนลงแรงมากๆ จากครั้งแรกที่เล่นเลยคืออย่างชอบและหลงกับภาพสวยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของน้อง Alona หรือ AI สาวน้อยที่ปรากฎครั้งแรกบน Tablet ที่ส่งต่อมาจาก Rin ผู้แทนสหพันธ์นักเรียนให้กับเราไว้ใช้งาน ทำให้รู้ว่าภาพงาน CG แต่ละภาพ แทบไม่มีร่องรอยการเผา ( ลองทำงานเผาสิคนด่ายับแน่ ) และคงจะไม่พูดถึงน้อง Shiroko ก็คงไม่ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวละครเอกของ Blue Archive ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งจากนี้และอนาคต โดยปกติเกมอื่นๆ แล้วหากมีตัวเอก ส่วนใหญ่มักจะดูจืดจางไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับ Shiroko ที่ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมก็แทบได้รับความนิยมสูงจนมี Fanart มากมาย มันทำให้เห็นว่าทีมงานผู้พัฒนากำลังเดินมาถูกทางแล้ว เนื้อเรื่องสดใส แต่หนักแน่น เข้ากันอย่างกลมกลืน ในเนื้อเรื่องเกม Blue Archive เราจะรับบทเป็น "คนนอก" ที่ถูกรัฐบาลส่งตัวมายัง สหพันธ์นักเรียนของเมือง Kivotos ในฐานะ "อาจารย์" ซึ่งเมือง Kivotos นั้นปกครองด้วยระบอบสภานักเรียน เราจะตื่นขึ้นและพบว่าเราได้อยู่กับ Rin สาวหูเอลฟ์ซึ่งเป็นผู้รักษาการประธานสหพันธ์นักเรียนและแนะนำเมือง Kivotos ให้เราเห็นว่าสภาพบ้านเมืองที่มีทั้งด้านสวยงามและทรุดโทรม โดยเราจะถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเมืองนี้ พร้อมทั้งช่วยกันออกตามหาประธานนักเรียนของสหพันธ์ที่หายตัวไปด้วย แต่ด้วยที่ว่าเราคือ "คนนอก" ทำให้เราต้องมีชมรมเพื่อที่จะมีอำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้อาจารย์ต้องเข้ายึดอาคาร S.C.H.A.L.E ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของอาจารย์คนเก่าก่อนหายสาปสูญและถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแกงค์หมวกกันน็อค ( ชื่อเท่ซะไม่มีเลย ) ซึ่งเราก็ทำการยึดมาได้และตั้งชมรม S.C.H.A.L.E ขึ้นมา โดยรินได้มอบ Tablet ให้กับเราซึ่งภายในบรรจุ A.I. สาวน้อยที่ชื่อ อโลน่า เอาไว้ซึ่งเราถูกสหพันธ์นักเรียนฝากฝังและใช้อำนาจได้เต็มที่ และจุดเริ่มต้นของอาจารย์ที่จะเป็นความหวังในการดูและรอบอบสภานักเรียนและฟื้นฟูเมือง Kivotos ก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นแค่การเล่าเรื่องย่อเท่านั้นเนื้อหาอาจจะไม่ครบเท่าไหร่ ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีเยอะมาก และบอกได้เลยว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ขั้นกับดาร์คหนักๆ เหมือน Arknights, Azur Lane หรือ Girls Frontline แต่ว่ามันก็เข้ากับ Blue Archive และหลายๆ คนที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่ไม่ดาร์คแต่เนื้อเรื่องเข้มๆ บ้าง ทำให้เราอินกับมันได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดแต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นชวนติดตามเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนคือลูกเล่นที่ดีงาม ลูกเล่นที่ดีงามสำหรับ Blue Archive คือระบบแชทกับนักเรียน ซึ่งจริงๆ มันคือการเล่าเรื่อง Story ของนักเรียนแต่ละคนผ่านทางการแชทมือถือ มันทำให้รู้สึกเป็นอะไรที่ใหม่และสมเหตุสมผลมากๆ สำหรับเด็กวันรุ่นสมัยนี้มีอะไรก็แชทส่งกัน โดยนักเรียนแต่ละคนจะแชทมาหาเราก็ขึ้นอยู่กับการสร้างค่าความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์แต่ละระดับนอกจากจะทำให้นักเรียนสนิทสนมกับเรา แชทเข้าหาเราให้อบอุ่นหัวใจ ก็ยังจะมอบเพชรและค่า Status พิเศษที่จะเสริมพลังตอนต่อสู้อีกด้วย และที่สำคัญคือ หากเราปลดล็อคค่าความสัมพันธ์จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นการปลดล็อคภาค CG แบบ Live 2D ของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย โดยในภาพ Live 2D นั้นจะมีการเล่าเรื่องของนักเรียนแฝงอยู่ ยกตัวอย่างกรณีของ "Takahashi Hoshino" นักเรียนชั้นปีสามของโรงเรียน Abydos ที่ทางนี้ได้ปั่นค่าความสัมพันธ์จนปลด Live 2D ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก็แค่การที่ผู้เล่นพาเธอมาเดทไปเที่ยวอคาเรียม แต่ประโยคคำพูดของเธอเชิงตัดเพ้อทำให้รู้ว่า เธอเป็นหนึ่งในห้าคนของโรงเรียน Abydos ที่ยังเหลืออยู่และต้องแบกรับอะไรหนักหนามากกว่าเด็กอายุ 17 จะรับได้ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งในฐานะผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียนนี้เช่นกัน ( และมันทำให้คนเขียนหลงรักโฮชิโนะจนหมดหัวใจเช่นกัน ฮ่าๆ ) ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Blue Archive ระบบการต่อสู้ต่างๆ นั้น ไม่ว่างจะเป็นการต่อสู้ผ่านเนื้อเรื่อง, PvP หรือแม้กระทั่ง Raid Boss ก็ตาม ระบบการต่อสู้จะเหมือนๆ กันนั้นก็คือ เราจะเลือกนักเรียนลงสนามต่อสู้ได้ทั้งหมด 6 คนต่อหนึ่งทีม โดยแบ่งเป็น Striker หรือชุดจู่โจม 4 คน จะทำหน้าที่วิ่งเข้าต่อสู้และกวาดล้างศัตรูเป็นหลัก และ Special หรือทีมสนับสนุน 2 คน จะเน้นการสร้าง Buff ต่างๆ, สร้างเกราะ, Heal เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งช่วยการโจมตีได้ แต่จะอยู่แนวหลังไม่ได้ลงภาคสนามเหมือนชุดจู่โจม และนักเรียนทุกคนจะมีสกิลและค่าการใช้ Cost มากน้อยต่างกัน และเมื่อกดใช้ จะมีการเข้าคัตซีนการใช้ท่าเล็กน้อยให้ชม ซึ่งโยชิโนะนั้นท่าการใช้สกิลเท่บาดใจมากๆ เพราะเธอกางโล่แล้วเอาปืนลูกซองตั้งพาดไว้แล้วเดินทำลายแนวหน้าศัตรู ( เหมือนสกิลตั้งโล่อาวุธในเกม Division 2 เลย ) ที่สำคัญเลยเลยคือ ฉากภายในเกมมีความสำคัญมากๆ ที่กำบังและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างสามารถถูกเราและศัตรูทำลายได้ ( คงได้แรงบัลดาลใจมาจากซีรี่ส์ Battlefield มาแน่ๆ ) ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่ใครที่มีมือถือสเปคไม่สูงก็อาจจะเจอปัญหากระตุกบ้าง อาจจะต้องปรับตั้งค่าลดกราฟิคลงเสียหน่อย และระบบการเล่นจะดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทุกอย่างเป็นอนิเมชั่น 3D แบบ Chibi ดูไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับตัวละครให้หลบเข้าที่กำบังตามใจต้องการไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แย่แท้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก และอีกข้อที่ทำให้ระบบการเล่นนั้นดูน่าสนใจคือ นักเรียนทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1 ดาว หรือ 3 ดาวก็ตาม เพราะทุกตัวนั้นจะมีความชำนาญพื้นที่และประเภทการโจมตีไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครหนึ่งดาวชำนาญการสู้รบตัวเมืองและโจมตีเป็นประเภทสายสีแดง และเล่นอยู่บนพื้นที่ในตัวเมือง ก็ทำให้เธอโจมตีได้รุนแรงกว่าตัวนักเรียน 3 ดาวที่ไม่ได้ชำนาญการสู้รบในเมือง ทำให้อาจารย์ตั้งปั้นเหล่านักเรียนให้หลากหลาย ไม่มีปั้นตัวอวยเพื่อแบกทีมทั้งเกมอย่างแน่นอน ซึ่งมันดีที่ว่าทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่น แต่อาจจะไม่ดีสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าลำบากยุ่งยากเกินไป ================================================== โดยสรุปแล้ว Blue Archive นั้นเล่นสนุกและเนื้อเรื่องครบรส กราฟิคสวยงาม แม้ตอนต่อสู้จะเป็นแบบร่าง Chibi แต่ก็เป็น Chibi แบบสามมิติ ทำให้เราไม่อยากจะ Skip การต่อสู้ของเหล่านักเรียนเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่จุดข้อสังเกตุก็มีให้เห็นบ้างเช่นบัคประปรายหรือบัคตลกๆ ก็โผล่ให้เห็นบ้าง แม้จะไม่มีผลต่อตัวเกม แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ดีนักซึ่งก็คาดหวังว่าจะแก้ให้เร็ววัน อีกทั้งตัวเกมกินสเปคค่อนข้างสูง หากใครมือถือไม่แรงก็แนะนำปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ต่ำๆ ก็เล่นสนุกได้เช่นกัน แต่ทางผู้เขียนเองใช้ Poco X3 ปรับสุด 60FPS ได้แต่เครื่องก็ร้อนเอาเรื่องหากไม่ใส่เคส...หากใครอยากลองเกมแนววางแผนที่มีเนื้อเรื่องครบเครื่องแต่ไม่เน้นเครียดหรือดาร์ค เกม Blue Archive เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องลองให้ได้สักครั้งเลยล่ะ! และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า "ลุงโฮชิโนะน่ารักที่สุดในสามโลก" [penci_review id="79269"]
22 Feb 2021
รีวิว The Sims 4 - Paranormal เปลี่ยนแปลงบ้านของคุณให้กลายเป็นคฤหาสน์ผีสิง
เป็นเกมที่มักจะมี Pack เสริมออกมาให้เราเล่นอยู่เสมอเลยนะครับสำหรับ The Sims 4 และอัพเดตล่าสุดที่ผู้พัฒนาใส่เข้ามานั้นก็คือ Stuff Pack นามว่า Paranormal ที่จะเปิดโอกาสให้คุณนั้นได้ไปสัมผัสประสบการณ์เร้นลับให้โลกของซิมส์ที่มันจะเข้ามาเสริมสร้างความแปลกใหม่ และความสนุกในการเล่นเกมนี้ของท่านให้มากขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH นั้นได้เข้าไปลองเล่นมาแล้วครับและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเสริมนี้มีอะไรให้ท่านทำบ้าง และควรแค่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ? การตกแต่งบ้านสไตล์ผีสิง ถ้าใครกำลังวาดฝันที่อยากให้บ้านซิมส์ของเรานั้นกลายเป็นคฤหาสน์ผีสิง ตัวแพ็คนี้สร้างขึ้นมาตอบโจทย์ท่านแล้ว เพราะในแพ็คเสริมนี้จะมีของแตกแต่งบ้านสไตล์หม่นๆ สไตล์ของตกแต่งจะมีความเป็นยุโรปปนความพิศวงอยู่หน่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านของท่านแดร็กคิวล่า ที่ระหกระเหินมาอยู่ในเมืองกรุง (55555) มีเตาผิงไฟสไตล์ยุโรป รูปของคนในอดีต ต้องยอมรับว่าตัวผู้เขียนไม่ได้เป็นคนที่มีไอเดียในการแต่งบ้านเก่งนัก แต่จริงๆ มันสามารถแต่งให้กลายเป็นปราสาทสุดหลอนได้เต็มที่ (ถ้าคุณมีไอเดียสร้างสรรค์พอ) พบปะกับเหล่าผีที่จะมาหลอกหลอนในบ้านคุณ สืบเนื่องมาจากในข้อแรกที่เรานั้นสามารถตกแต่งบ้านให้กลายเป็นปราสาทผีสิงได้ถึงขั้นหนึ่ง ในตัวแพ็คเสริมนี้ก็มีระบบที่จะทำให้บ้านคุณนั้นหลายเป็นบ้านผีสิงเต็มตัว จะมีเหล่าผีสางที่จะเข้ามาโผล่หลอกหลอนเราในบ้าน เพื่อนๆ ซิมส์คนไหนที่เข้ามาบ้านเราก็จะต้องหวาดกลัวหลอกแม้กระทั่งเจ้าของบ้านด้วยกันเอง นอกจากนี้ตัวเกมจะมี Event พิเศษที่อาจจะมีเหล่าผีสางตัวพิเศษมาแวะเวียนชื่นชมบ้านของท่าน หรืออาจจะมาให้สิ่งที่พิเศษกับท่านก็ได้ ฝึกพลังพูดคุยกับวิญญาน เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ติดเข้ามาในแพ็คเสริมตัวนี้ กับอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Seance Table ที่จะให้เรานั้นได้ฝึกฝนตัวเองเพื่อสื่อสารกับเหล่าภูติผีวิญญาน หรือถ้ายิ่งเลเวลสูงๆ หน่อยตัวโต๊ะนี้ก็จะมีลูกเล่นแปลกๆ ให้สนุกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนให้ตัวเองกลายเป็นพลังงานวิญญานได้ การเรียกเหล่าผีสางวิเศษออกมาพูดคุยได้โดยตรง การอัญเชิญแม่บ้านโครงกระดูกอย่าง Bonehilda มาช่วยเราปัดกวาดบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือที่พิเศษคือถ้าหากแต้มฝึกฝนวิชาเราถึงขั้นสูงสุด เราก็สามารถกลายเป็นนักปราบผีได้ กลายเป็นหมอผีคอยปราบเหล่าวิญญานตามบ้าน การที่จะให้ผีหลอกเราคนเดียวก็กระไรอยู่ ราสามารถสู้กับเหล่าผีสางได้ เพราะในแพ็ค Paranormal นี้ได้เปิดโอกาสให้เรานั้นมีอาชีพในการไล่ผีสางตามบ้าน หลังจากที่เรานั้นฝึกฝนวิชาวูดูสื่อสารกับผีจนชำนาญแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งชาเลนจ์ที่ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ เป็นเกมการเล่นใหม่ๆ ที่เข้ามาท้าทายเรา เพราะตัวระบบนี้จะสามารถให้เรานั้นเข้าไปปราบผีด้วยตัวเองโดยตรง ไม่เหมือนอาชีพอื่นๆ ที่จะมีการ Timelap ไปถึงตอนที่งานเสร็จเลย สรุป The Sim 4 Paranormal Stuff ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเสริมสร้างความสนุกให้กับท่าน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่านี่มันเป็นเพียง Pack เล็กๆ เท่านั้นไม่ใช่ตัวเสริมขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนเกมเพลย์ หรือมีแผนที่ใหม่อย่าง Pack อื่นๆ แต่มันจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับท่านในการเล่นเสียมากกว่า บวกกับราคาที่ไม่แพงเพียงแค่ 10$ เท่านั้น มันก็ถือว่าเป็นอะไรที่ท่านมาเป็นจับจองมาเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องรู้สึกตะขิดตะขวงอะไรนัก [penci_review id="78241"]
10 Feb 2021
รีวิว Demons Soul Remake นิทานเรื่องเดิมที่สนุกยิ่งกว่าเดิมบนเครื่องใหม่
ในที่สุดชาวไทยเราก็มีโอกาสได้สัมผัสเกม Demons Souls ภาคใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปล่อยให้ต่างชาติเขาเล่นไปก่อนอยู่นาน ตัวผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเกมตระกูลนี้ของ From Software มาก เนื่องจากทุกครั้งที่เล่นจะมีความรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเสมอ (เนื่องจากหนึ่งภาคใช้เวลาเล่นนานมากๆ) ซึ่งครั้งนี้เองก็นับเป็นโชคดีของผมที่มีโอกาสได้เล่นเกมนี้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้เลยจะมารีวิวเกมนี้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ก่อนจะเริ่ม ขอออกตัวก่อนเลยว่าตัวผมเอง "ไม่เคย" เล่นตัวเกมเวอร์ชัน PS3 ที่เป็นตัว Original มาก่อนเลย ดังนั้นประสบการณ์ที่เพื่อนๆ จะได้อ่านต่อไปนี้จึงเป็น First Impression โดยแท้จริงครับ ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวผมเองทั้งได้สนุก, หัวร้อน, และตื่นเต้น มากมายหลายครั้งเลยในการเล่นเกมนี้ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ! เนื้อเรื่อง เรื่องราวของ Demons Soul จะเริ่มด้วยการโยนตัวละครของเราลงไปในโลกโดยไม่บอกอะไรเลยเหมือนกับเกม Dark Souls ภาคอื่นๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มในท่อระบายน้ำของอาณาจักรแห่งหนึ่ง (ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็น Boletaria) ซึ่งหลังจากเดินทางไปได้สักพัก เราจะได้พบกับปีศาจขนาดใหญ่ได้เข้าต่อสู้กับมัน และตายลง (ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสามารถสู้ให้ชนะในฉากนั้นเลยได้หรือไม่) แต่แทนที่จะ Game Over ตัวเกมจะตัดภาพมาที่ The Nexus ดินแดนระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย ที่แห่งนี้เราจะได้พบกับหญิงสาวปริศนา เธอจะบอกว่าดวงวิญญาณของเราเป็นของ The Nexus เราไม่มีทางหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ แต่ยังสามารถไปยังโลกภายนอกได้ผ่าน Archstone หลังจากเดินทางไปยัง Boletaria และปราบปิศาจตัวแรกลงได้ เมื่อกลับมาที่ The Nexus อีกครั้งหญิงสาวปริศนา จะบอกให้เราไปคุยกับ Monumental (ไม่รู้จะแปลว่าอะไรดีเหมือนกันครับ) ที่อยู่ด้านบนของ The Nexus เพื่อฟังเรื่องราวของโลกใบนี้ และเหตุผลในการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ รูปปั่นจะเล่าว่า เมื่อก่อนโลกใบนี้เคยสงบสุข ทุกดวงวิญญาณอาศัยอยู่รวมกันอย่างเท่าเทียมภายใต้ Soul Arts แต่แล้ววันความหิวกระหายในพลังได้ปลุก The Old One ขึ้นมา (คิดว่าน่าจะหมายถึงราชาของเหล่าปีศาจทั้งมวล) หมอกควันแห่งความตายได้ปกคลุมไปทั่วโลกทุกๆ เผ่าพันธุ์ บนโลกต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานของปิศาจจนเกือบสูญพันธุ์ แต่โชคดีที่เหล่าผู้เหลือรอดได้ทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลได้สำเร็จ แต่ก็แลกมาด้วยความตายของชีวิตมากมายมหาศาล เพื่อป้องกันการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของ The Old One เหล่า Monumental ได้มอบหินวิเศษ 6 ก้อนให้กับผู้นำทั้ง 6 ของเผ่าพันธุ์ที่ยังมีชีวิตเหลือรอด ด้วยพลังของ หินวิเศษทั้ง 6 ทำให้สามารถจองจำ The Old One ไว้ใต้ The Nexus สำเร็จ นั่นคือเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่ทุกคนหวาดกลัวกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความโลภในพลังของราชาผู้โง่เขลา ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว Monumental จะขอให้เราสังหารราชาคนนั้น และทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลอีกครั้ง เรื่องราวของ Demons Soul ไม่ได้ถูกเล่าเป็นเส้นตรง แต่ให้ผู้เล่นไปหาข้อมูลเอาเองจากการพูดคุยกับ NPC รวมไปจนคำอธิบายในไอเทมต่างๆ แต่โดยรวมถือว่าสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า Dark Souls เป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็ถูกเล่ามาโดย Monumental แล้วหลังจากนี้คือการผจญภัยของเราเอง โดยวิธีการดำเนินเรื่องก็แล้วแต่ผู้เล่นเองเลย จะไปเดินทางไปยัง Archstone ไหน หรือสำรวจดินแดนไหนก่อนก็ได้เพราะปลายทางของเนื้อเรื่องก็จะมาจบที่ The Nexus อยู่ดี เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียด และเสน่ห์ของเนื้อเรื่องตามสไตล์ Souls จาก From Software ไว้ได้อย่างครบถ้วน (ต้องยกนิ้วให้กับ Bluepoint Games กับการ Remake ครั้งนี้ครับ) กราฟิก / การนำเสนอ ก่อนอื่นเอาแค่เรื่อง ภาพ, กราฟิก กับ Visual Effects ก่อน สามจุดนี้ขอยอมรับว่าทำออกมาได้ดี, สวยงาม, และเก็บรายละเอียดของวัตถุได้เนี๊ยบมากๆ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะความสามารถของตัวเครื่อง PS5 ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ และซีพียูที่แรงมากๆ ด้วย ทำให้ตลอดเวลาที่ได้เล่นเกมนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นฉากของปราสาทที่กำลังลุกเป็นไฟ, หมอกและควันจากศพที่ไหม้, แสงที่สองผ่านช่องวางของหน้าต่างมา, รูปร่างหน้าตาของปีศาจที่ได้พบ, ซากประหลักหักพังท่ามกลางพายุ, วิหาร The Nexus ทุกอย่างถูกออกแบบใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น พอเอาไปรวมกับความละเอียดแบบ 4K / 60 FPS ก็ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาที่เล่นครับ ต่อมาในด้านการนำเสนอ จุดแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ พร้อมทั้งรู้สึกดีมากๆ ตลอดเวลาที่เล่นคือระบบสั่น กับแรงต้านของจอย Dualsense และระบบเสียงที่ใช้งานเทคโนโลยี Tempest ของเกม ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกเสมือนจริง ได้มากขึ้นเป็นอย่างมากตลอดเวลาในการเล่น สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือการที่รูปแบบของแรงสั่นจากจอยเวลากระทบกับวัตถุประเภทต่างๆ รวมถึงน้ำหนัก และทิศทางเสียงที่เกิดขึ้นในเกม มันแตกต่างกันออกไปทั้งหมดครับ เห็นในชัดที่สุดคือตอนเวลาเอาอาวุธประเภททุบๆ อย่าง ค้อน, กระบอง หรือคทา โจมตีใส่ศัตรู ความรู้สึกที่สัมผัสได้ผ่านจอยคือเหมือนเราได้ตีใส่ศัตรูภายในเกมจริงๆ ด้วยตัวเองเลยครับ (ความรู้สึกเวลาเอา Mace ทุบหินจะแน่นๆ และทำให้รู้สึกว่ามือชาหน่อยๆ ) (เวลาทุบกระดูกจะแรงต้านไม่เยอะเท่า แต่จะรู้สึกเหมือนทำอะไรแตกหัก) พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีเสียง Tempest ต่ออีกนิด นอกจากเสียงที่เกิดจากกระทบของวัตถุแล้ว หากใส่หูฟังเล่น จะได้พบกับเสียงของฝน, เสียงไฟ, เสียงกรีดร้อง รวมถึงเสียงการก้าวเดินของตัวละครบนพื้นผิวต่างๆ ที่สมจริงมาก มันสมจริงถึงขนาดที่ว่าถ้าใส่แว่น VR เล่น และเปลี่ยนมุมมองเป็น FPS คงแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือความจริงๆ อันไหนคือในเกม ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเพียงแค่ระบบของเสียงเปลี่ยนไปเป็น 3D จะสร้างความแตกต่างทางด้านประสบการณ์ที่ได้รับมากขนาดนี้ เอาจริงๆ ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าด้วยระบบเสียงใหม่นี้ทำให้สามารถทำให้เรารู้สึกว่าได้เข้าไปเดินในโลกใบนั้นจริงๆ แหล่งกำเนิดเสียงอยู่ที่ไหนเป็นอะไร ก็จะได้ยินเสียงของวัตถุชิ้นนั้นจากทิศทางนั้นจริงๆ คงพูดได้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ จริงครับ (เสียงตอนเคียวปาดบนเนื้อหินฉากนี้คือสุดยอดมากๆ ) ต่อมาคือในเรื่องของอนิเมชั่นการขยับของตัวละคร ที่เวอร์ชันนี้ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล ถูกต้อง แต่จุดที่ผมประทับใจมากที่สุดคือมีการเพิ่มท่าโจมตีแบบ Fatal Attack เข้ามาใหม่ถึงอาวุธละ 3 ท่าด้วยกัน กล่าวคือการจับอาวุธด้วยมือเดียว หรือสองมือ โจมตีแบบ Fatal Attack จากข้างหน้า และข้างหลัง เราจะได้เห็นท่าโจมตีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมันทำให้รู้สึกหลากหลายมากขึ้นในตอนเล่น และนับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมอยากชมผู้พัฒนา ต่อมาคือเรื่องของบรรยากาศ ในจุดนี้ตัวผมเองคิดว่าด้วยเซตติ่งของโลก รวมถึงสไตล์ของสถานที่ซึ่งให้เราไปสำรวจแล้ว เกมนี้มีธีมโดยรวมของฉากที่สว่างมากเกินไปครับ ถ้าหากว่าทำออกมาให้มืดมากกว่านี้คิดว่าคงทำให้อินได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าตัวผู้พัฒนาเองก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี จึงได้ใส่ Filter ต่างๆ มาให้เราได้ใช้งานด้วย ซึ่งมันเลยทำให้สามารถปรับรูปแบบของสีในฉากต่างๆ ของเกมได้ตามใจผู้เล่นเอง จนปัญหาข้างต้นหมดไป ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ Bluepoint Games ให้ความสำคัญ และตัดสินใจทำได้ดีมากๆ ครับ เกมเพลย์ เบื้องต้นในเรื่องของระบบต่อสู้ Demons Soul ภาคนี้เหมือนเอาระบบต่อสู้ของ Dark Souls 3 มาพัฒนาต่อให้ดีขึ้น การบังคับ, จังหวะการโจมตี, กลิ้ง, ป้องกัน, ระยะของฮิตบล็อก ทุกอย่างถูกทำให้มีความถูกต้องมากขึ้น พอเอาไปรวมกับตัวเกมที่สามารถเล่นได้แบบ 60 FPS แล้ว จึงทำให้ประสบการณ์ต่อสู้ในภาคนี้ดูดียิ่งกว่า Dark Souls 3 เป็นอย่างมากจุดนี้ขอชมเชยจากใจครับ ทีนี้มาพูดถึงเรื่องความยากกันบ้าง ก่อนอื่นศัตรูข้างทางที่เราได้พบมีความยากน้อยกว่า ตระกูล Dark Souls พอสมควรครับ  เนื่องจากรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละตัวจะมีประมาณ 2 - 4 แบบเท่านั้น และประมาณ 70% มีรูปร่างเป็นแบบ Humanoid (รูปร่างแบบมนุษย์) จึงทำคาดเดาการโจมตี รวมถึงระยะสามารถทำได้ง่ายกว่า ถ้าจะมีจุดที่ยากเลย คิดว่าคงเป็นเรื่องของดาเมจที่ศัตรูทำได้ในแต่ละครั้งมักจะแรงมากๆ และจุดเซฟแต่ละจุดอยู่ห่างกันแบบสุดๆ ครับ ต่อที่ความยากเวลาสู้กับบอส โดยปกติแล้วความยากของเกมตระกูล Souls มักจะอยู่ที่ความเก่งของบอสแต่ละตัว ซึ่งใน Demons Soul ภาคใหม่นี้ก็ไม่ใช่แบบนั้น อย่างที่ผมบอกไปว่ารูปแบบการโจมตีของศัตรูในภาคนี้จะมีอยู่แค่ 2 - 4 แบบเท่านั้น ซึ่งมันรวมถึงบอสด้วยครับ ถ้าหากเพื่อนๆ ใจเย็นและค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้การโจมตีของบอสก่อน ทุกตัวน่าจะสามารถผ่านได้ตั้งแต่การสู้ครั้งแรกเลย (ผมเองก็สู้ครั้งเดียวผ่านอยู่หลายตัวมากๆ เช่นกัน) ส่วนหนึ่งคิดว่าคงเป็นเพราะเกมในยุค PS3 ที่เป็นต้นตำรับสามารถใส่ความหลากหลายเข้ามาได้แค่นี้ด้วย แต่เอาตรงๆ สำหรับตัวเกมที่ถูกเรียกว่า Remake แล้ว ผมเองปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคาดหวังความท้าทายที่มากกว่านี้ครับ ต่อมาจะขอพูดถึงระบบภายในเกมที่น่าสนใจในภาคนี้กันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมชอบมากๆ คือระบบที่มีชื่อว่า Fractured World ที่จะสลับซ้าย และขวาของทุกอย่างในเกม (ย้ำว่าทุกอย่าง กระทั่งตัวละครเราเองก็จะเปลี่ยนไปถืออาวุธในมือซ้าย ถือโล่มือขวาเช่นกัน) การสลับซ้ายกับขวานี้จะทำให้การเดินทางในสถานที่เดิน และการกลิ้งหลบเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความลับบางอย่างที่เราสามารถหาได้ในโลกแบบสลับด้านนี้เท่านั้นด้วย ถือได้ว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ ครับ ระบบที่สองที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่คือระบบที่ให้เราสามารถขอขมากรรมที่ทำไปได้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ในเกมตระกูล Souls เราสามารถโจมตี NPC ทั้งหมดที่มีในเกมได้ ซึ่งบางตัวจะไม่ยอมยกโทษให้กับรวมถึงไม่ยอมคุยด้วย (ทีนี้จะฝากของ หรือตีบวกอาวุธก็ทำไม่ได้อีก) ระบบขอขมากรรมมีไว้เพื่อการนี้ โดยหลังจ่าย Souls เท่ากับกรรมที่ทำไปแล้ว เราก็จะได้รับการยกโทษให้จากเหล่า NPC มันช่วยได้เยอะมากๆ เนื่องจากบางครั้งมันก็มีการกดผิดจากปุ่มตกลงเป็นปุ่มโจมตีกันอยู่บ้างครับ (ก็มันชินอะ) ฟังข้อดีกันไปเยอะแล้ว มาดูข้อเสียของเกมนี้บ้าง หลักเลยๆ ผมมีเรื่องเดียวที่จะติครับ นั้นคือการที่จำนวนชั่วโมงที่จำเป็นต้องใช้ในการเคลียร์มันน้อยมาก ถ้าชินกับจังหวะของเกมแล้วคิดว่า 10 - 15 ชั่วโมงก็สามารถเคลียร์ได้แล้ว จริงอยู่ว่าเกมนี้มีความลับ รวมถึงเนื้อเรื่องเสริมให้เราเล่นด้วย แต่คิดว่าคงกินเวลาเพิ่มไม่ถึงอีก 10 ชั่วโมงครับ ซึ่งถือว่าใช้เวลาน้อยมากๆ ครับ สรุป โดยรวมแล้ว Demons Souls Remake ถือเป็นภาคหนึ่งของตระกูล Souls ที่สนุก, กราฟิกสวย, เนื้อเรื่องเข้าใจง่าย, มีระบบใหม่ที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การหามาเล่นสักครั้งสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ แต่ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นไม่นาน และอาจไม่ยากถูกใจสาย Hardcore เท่าไหร่นัก (แต่ถือว่ายากกว่าเกมในยุคปัจจุบันพอสมควรเลย) แน่นอนว่าเกมนี้ไม่ได้มอบสิ่งใหม่ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ ดังนั้นคิดว่าโดยรวมแล้วเกมนี้ควรจะมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 แม้จะสนุกมากแต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมจริงๆ หลังจากที่ได้เล่นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ตัวผมเองได้พบกับจุดเชื่อมโยงเนื้อเรื่องของ Demons Soul, Dark Souls และ Bloodborne เข้าด้วยกันไม่แน่ว่าโลกทั้ง 3 ใบของ From Software อาจใกล้เคียงกันมากกว่าที่เราคิดก็ได้ ถ้าหากรวบรวมข้อมูลได้แล้ว จะเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันอย่างแน่นอนครับ [penci_review id="78504"]
10 Feb 2021
[Review] Resident Evil Re:Verse การรวมดาวตัวดีและร้ายแห่งจักรวาลผีชีวะ เกมดีที่คนมองแค่เปลือก!
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้เกวลินหายนานคิดถึงกันหรือเปล่าคะ >,.< วันนี้เกลวินเองได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” โหมดออนไลน์ตัวใหม่ล่าสุดที่จะเรียกว่าเป็นการรวมดาวตัวละครจากซีรีส์ Resident Evil ให้เราได้เล่นกันออนไลน์ต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่น ๆ โดยตัวเกมจะแถมมาให้กับผู้เล่นที่ซื้อตัวเกม Resident Evil Village เท่านั้นนะคะ ไม่ได้เปิดให้บริการหรือขายแยกแต่อย่างใดค่ะ ซึ่งการทดสอบตัวเกมในช่วง Closed Beta ที่ผ่านมาก็ถือได้ว่า “ตัวเกมถูกจริตแฟนซีรีส์นี้ แล้วก็มีคนที่ไม่ชอบและเกลียดเกมนี้” พอตัวเลย เอาเป็นว่าการรีวิว [Review] นี้เป็นประสบการณ์จากการเล่นจริงจากตัวเกวลินเองค่ะ อธิบายก่อนว่าตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” คือโหมดออนไลน์ที่ทาง Capcom พัฒนาขึ้นมานี้ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปีของเกม Resident Evil ต้องยอมรับก่อนว่าตอนที่เปิดตัวทีเซอร์แรกเกมเมอร์ส่วนใหญ่ต่างไม่ชอบเท่าที่ควร ด้วยความที่ว่าในทีเซอร์ยิงกันก็ไม่โดน ตัดต่อก็เอ่อ...พูดตรงๆ ก็ “ห่วยแตกมั๊ก!” มันจึงไม่แปลกเลยที่ยอดกดดิสไลค์มันจะถล่มทลายได้ขนาดนั้น ในระหว่างนั้นก็มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมทดสอบตัวเกมนี้ด้วย โชคดีมากที่เกวลินได้ Beta Key มา 2 ตัวด้วยกันค่ะ แล้วการทดสอบตัวเกมในช่วง Closed Beta มีเฉพาะเครื่องคอนโซล PlayStation 4 และ Xbox One เท่านั้นนะคะ ตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” จะให้เราได้รับบทเป็นตัวละครต่างๆ จากซีรีส์ Resident Evil ทั้งตัวละครเอกที่เราคุ้นเคยกันดี ไปจนถึงเหล่าพวกอาวุธชีวภาพหลายประเภท สิ่งเหล่านี้คุณจะได้สัมผัสภายในเกมนี้อย่างแน่นอน ในด้านของระบบเกมเพลย์จะเป็นแนว Action Shooting แล้วโหมดการเล่นจะมีเพียงแค่เราจะต้องสังหารผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อเก็บคะแนนให้มากที่สุด ใครที่ทำคะแนนจากการสังหารมากที่สุดก็จะเป็นฝ่ายชนะไปค่ะ โดยเริ่มเกมเราจะต้องเลือกตัวละครว่าจะเล่นเป็นใคร ซึ่งเมื่อเลือกแล้วเราจะไม่สามารถเปลี่ยนตัวละครได้จนกว่าจะจบเกม แต่ละตัวละครก็จะมีอาวุธและสกิลที่แตกต่างกันออกไปไม่มีความเหมือนกันเลยค่ะ ตัวละครเอกที่มีให้เราได้เล่นในช่วง Closed Beta ประกอบไปด้วย Chris Redfield เลือกใช้โมเดลตัวละครมาจากภาค Resident Evil 7 Jill Valentine เลือกใช้โมเดลตัวละครมาจากภาค Resident Evil 3 Remake Leon S. Kenney เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake Claire Redfield เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake Ada Wong เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake Hunk เลือกใช้โมเดลตัวละครจากภาค Resident Evil 2 Remake สิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้อย่างแรกเลยก็คือตัวละครเหล่านี้จะมีค่าสเตตัสที่ติดตัวไม่เหมือนกัน รวมไปถึงสกิลติดตัว 1 สกิลและสกิลเพื่อใช้งานคนละ 2 สกิลด้วยกัน ถ้าเราเลือกใช้งานสกิลอย่างเหมาะสมจะทำให้เกมเพลย์สนุกมากยิ่งขึ้นเลยค่ะ ในด้านของอาวุธก็เช่นเดียวกันแต่ละตัวละครจะมีอาวุธ 2 ชนิด ชนิดแรกคืออาวุธประจำตัวส่วนใหญ่จะเป็นปืนพกที่มีกระสุนให้ใช้ไม่จำกัด แต่เมื่อต้องรีโหลดกระสุนจะกินเวลาเล็กน้อยทำให้เราอาจจะถูกสังหารได้ ถ้าเราเลือกใช้อย่างถูกวิธีมันจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังและสังหารศัตรูได้อย่างดีเลยค่ะ ชนิดต่อมาคืออาวุธประจำกายที่จะมีความรุนแรงและมีกระสุนจำกัด เหมาะเอาไว้ใช้กระหน่ำโจมตีศัตรูเมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ได้ดี ทั้งนี้เราจะหากระสุนเพิ่มเติมได้ต่อเมื่อเก็บกล่องกระสุนที่กระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ ภายในฉากเท่านั้นค่ะ  นอกจากนี้ยังมีอาวุธพิเศษที่จะมีให้เราได้เก็บตามจุดต่างๆ มันจะมีพลังทำลายล้างที่สูงมาก แต่จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้งานให้ถูกจังหวะก็จะปิดจ๊อบศัตรูได้ ในช่วง Closed Beta จะมีอาวุธพิเศษให้เลือกใช้ทั้ง ปืนยิงจรวด Rocket Launcher, ปืนยิงระเบิด Grenade Launcher ที่จะสุ่มกระสุนชนิดต่างๆ และปืนยิงกระสุนไฟฟ้า Spark Shot ซึ่งพวกปืนพิเศษเหล่านี้จะมีอนุภาพทำลายล้างที่สูงมากๆ สามารถนำไปปิดเกมกับผู้เล่นที่กลายร่างเป็นอาวุธชีวภาพได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เมื่อเราเลือกตัวละครแล้วเข้าไปอยู่ภายในเกม ถ้าเราถูกฆ่าหรือฆ่าผู้เล่นคนอื่น ผู้เล่นคนนั้นจะได้รับโอกาสที่ 2 ด้วยการกลายร่างเป็น “อาวุธชีวภาพ” ชนิดต่างๆ ต้องบอกก่อนว่าภายในเกมจะมีไอเทมที่เรียกว่า “หลอดไวรัส” ที่สีม่วงเด่นชัด แนะนำว่าให้พยายามเก็บเอาไว้ติดตัวจะดีมากค่ะ สามารถเก็บสะสมได้สูงสุด 2 หลอดพร้อมกัน ไอเทมชนิดนี้จะทำให้เราสามารถสุ่มกลายเป็นอาวุธชีวภาพระดับสูงได้ แต่ถ้าเราไม่ได้เก็บเอาไว้เลยจะกลายเป็นเพียงแค่มอนสเตอร์ระดับล่างที่มีชื่อว่า “Fat Molded” มอนสเตอร์จาก Resident Evil 7 โดยรายละเอียดการกลายร่างเป็นอาวุธชีวภาพมีดังต่อไปนี้ค่ะ Hunter γ จากภาค Resident Evil 3 Remake กับ Jack Baker จากภาค Resident Evil 7 จะสุ่มการกลายร่างเมื่อผู้เล่นเก็บหลอดไวรัสติดตัวเอาไว้ 1 หลอด Nemesis จากภาค Resident Evil 3 Remake กับ Super Tyrant Resident Evil 2 Remake จะสุ่มการกลายร่างเมื่อผู้เล่นเก็บหลอดไวรัสติดตัวเอาไว้ 2 หลอด เช่นเดียวกับตัวละครมนุษย์ อาวุธชีวภาพแต่ละตัวจะมีค่าสเตตัสติดตัวที่ไม่เหมือนกัน และสกิลโจมตีที่ให้มาตัวละ 2 สกิล ในการฝึกเล่นเป็นตัวละครอาวุธชีวภาพอาจจะดูยุ่งยากสักหน่อย แต่ถ้าเล่นแล้วฝึกดีๆ มันจะกลายเป็นตัวละครที่ทำให้เราสามารถสังหารศัตรูฝ่ายตรงข้ามแล้วเก็บคะแนนได้มากกว่าตอนเราเล่นเป็นฝ่ายมนุษย์เสียอีกค่ะ ส่วนตัวแล้วเกวลินมองว่า “ตัวละครอาวุธชีวภาพยังจะต้องปรับสมดุลอีกสักหน่อย” เพราะบางตัวก็รู้สึกว่ามีพลังที่ดู OP เกินไปอยู่ แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ว่าเราฝึกฝนการใช้งานของตัวละครนั้นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน ต่อให้เป็น Fat Molded มอนสเตอร์ระดับล่างก็สามารถสังหารผู้เล่นหรือมอนสเตอร์ที่เก่งๆ ได้เหมือนกัน โดยรวมแล้วตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” จากความรู้สึกที่เกวลินเล่นมาเกมเพลย์ของเกมนี้สนุกใช้ได้มาก ๆ เลยค่ะ ถ้าเทียบกับเกม Resident Evil Resistance ที่เป็นการต่อสู้ในรูปแบบ 4 Vs. 1 เอาจริงๆ มันก็สนุก...แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้เมื่อเล่นไปนานๆ กลับรู้สึกเบื่อได้ ตรงกันข้ามกับเกม Resident Evil Re:Verse ถ้าคุณเป็นคนชอบเกมแนว Action Shooting เกมนี้ดูจะเหมาะกับเพื่อนๆ มากที่สุดค่ะ เพราะเงื่อนไขในการเล่นไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมายเพียงแค่เราสามารถไต่ลำดับคะแนนจากการสังหารให้มากที่สุดเพื่อเป็นผู้ชนะ  ส่วนในเรื่องกราฟฟิกภายในเกมจะมีให้ปรับในโหมดการ์ตูนที่เราจะเห็นรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น และ โหมดปกติที่จะเหมือนกับเราเล่นเกมนี้เลย มืด ๆ มองอะไรไม่ค่อยเห็นชัดเท่าไหร่ แนะนำว่าถ้าจะเล่นเกมนี้เลือกใช้โหมดการ์ตูนจะดีกว่าค่ะ เพราะเราจะได้เห็นว่าศัตรูอยู่ตรงไหนชัดเจนมาก ที่สำคัญตัวเกม Resident Evil Re:Verse รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบเหมือนกับตัวเกมหลักอย่าง Resident Evil Village อีกด้วยค่ะ! แต่ก็น่าเสียดายที่ทาง Capcom เลือกใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่จะขึ้นอยู่กับ Host เป็นหลัก ทำให้เราถ้าไปเจอผู้เล่นที่อยู่ประเทศที่ไกลจากเรามันก็ส่งผลต่อการเล่นเป็นอย่างมากเลย คือเห็นได้ชัดเลยว่าโจมตีโดนเต็มๆ แต่ไม่ตาย หรือ การวาร์ปอันเป็นผลการอาการแล๊ค สิ่งเหล่านี้คือปัญหาของการใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ทาง Capcom เลือก ก็ได้แต่ลุ้นและหวังว่าเมื่อตัวเกมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ การเชื่อมต่อของระบบเซิร์ฟเวอร์จะมีความเสถียรมากกว่านี้นะ ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นปัญหาเดิมๆ แล้วคนก็จะเลิกเล่นเกมนี้ไปแม้ว่าเกมมันจะดีแค่ไหนก็ตาม ตัวเกม “Resident Evil Re:Verse” จะแถมให้กับผู้เล่นที่ซื้อเกม Resident Evil Village เท่านั้น โดยตัวเกมจะวางจำหน่ายในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ทั้งแพลตฟอร์ม PC, PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One และ Xbox Series X/S ถึงตอนนั้นอย่าลืมมาเล่นด้วยกันนะคะ เกวลินตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะซื้อเอาไว้เล่นบนเครื่อง PlayStation 5 เพราะคาดว่าคนน่าจะเล่นกันเยอะมากกว่า ตัวเกมสนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,829 บาทสำหรับ PC [Steam] และ 1,822 บาท สำหรับ PlayStation 5 ค่ะ ใครสะดวกแพลตฟอร์มไหนก็จัดมาเก็บไว้ก่อนก็ได้นะคะ แล้วเจอกันใหม่กับบทความหน้าของเกวลินนะคะ สวัสดีค่ะ!  
10 Feb 2021
เจาะลึกรายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra พร้อมราคาขายในบ้านเรา!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของแบรนด์กิมจิอย่าง “Samsung” โดยรอบนี้จะเป็นตระกูล Galaxy S21 Series แถมบ้านเราเองก็เปิดให้สั่งจองพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว วันนี้เกวลินเองก็เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ Galaxy S21 Series ในแต่ละรุ่นมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน รวมไปถึงราคาในแต่ละรุ่นว่าในบ้านเราวางจำหน่ายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วมีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่อยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ Samsung Galaxy S21 Series อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็เป็นได้ค่ะ ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Samsung Galaxy S21 Series ที่เปิดตัวมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันประกอบไปด้วย Samsung Galaxy S21, Samsung Galaxy S21+ และ Samsung Galaxy S21 Ultra โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกภายในที่แตกต่างกันพอสมควรเริ่มจากขนาดหน้าจอกันก่อนเลยค่ะ เริ่มจาก Galaxy S21 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.2 นิ้วไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไปถือกำลังเหมาะมือเลยค่ะ ตามมาด้วย Galaxy S21+ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้วถือว่าใหญ่ใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลยนะคะ ทั้งสองรุ่นนี้ตัวหน้าจอจะไม่ได้เป็นจอโค้งนะคะ สุดท้าย S21 Ultra มีขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว เล็กกว่า Note 20 Ultra 1 นิ้วค่ะ แต่ความพิเศษของ S21 Ultra อยู่ตรงที่ความละเอียดของหน้าจอเป็นรูปแบบ WQHD+ ทำให้เราสามารถรับชมวีดีโอคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถขับรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz อีกด้วย หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง “รีเฟรชเรท” ว่าถ้ามือถือสมาร์ทโฟนยิ่งมีค่านี้สูงมันดียังไง!? มันจะดีตรงที่เวลาเราเลื่อนสไลด์หน้าจอมันจะดูลื่นไหลไม่ปวดตา แล้วถ้าเราดูพวกวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่ง หรือ ดู Youtube ที่มีความละเอียดสูง ๆ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนด้วย แต่ทั้งนี้การเปิดใช้งานรีเฟรชเรทสูงก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ดังนั้นแนะนำให้ตั้งค่าปรับอัตโนมัติดีที่สุดค่ะ เกือบลืมบอกไปตัวท็อปอย่าง S21 Ultra สามารถตั้งค่ารีเฟรทเรชแบบต่ำสุด 10Hz ได้ด้วย เพื่อใช้งานกับการทำงานบางอย่างเพื่อลดการกินแบตเตอรี่ได้ดีในส่วนหนึ่งค่ะ แล้วด้วยตัวหน้าจอ Samsung Galaxy S21 Series ทุกรุ่นใช้หน้าจอ “Dynamic AMOLED 2X” จะมีความสว่างสูงทำให้เมื่อเราใช้งานกลางแดดก็สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดหน้าจอได้อย่างสบาย ๆ โดย Galaxy S21 และ S21+ จะมีค่าความสว่างที่ปรีับได้สูงสุดอยู่ที่ 1,300 nits ส่วนตัวท็อปสุด Galaxy S21 Ultra ค่าความสว่างก็ดันได้มากถึง 1,500 nits แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือหน้าจอจะแบนไม่ได้มีวิถีจอโค้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ใครที่รู้สึกว่าจอโค้งใช้งานลำบากาฟิล์มติดก็ยาก หรือเคสที่บางทีติดฟิล์มกระจกแล้วมีการดันฟิล์มออก โอ๊ย...ปัญหาเยอะแบบนี้ก็ลองมาเล่นรุ่นนี้ดูกันได้ค่ะ แม้ว่า CPU ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะไม่ใช่ Snapdragon เหมือนกับประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม แต่ชิปเซ็ตขุมพลังตัวใหม่อย่าง “Exynos 2100” ก็มีความแตกตางจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เริ่มจากสายการผลิตเป็นสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร เล็กแบบนี้แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก ภายในชิปเซ็ตมีโมเด็ม 5G ในทุก ๆ รุ่นของ Samsung Galaxy S21 Series ในด้านของ GPU หรือตัวประมวลผลกราฟฟิกรอบนี้มาแปลกนิดหน่อยค่ะ เพราะเขาเลือกใช้ “Mali-G78 MP14” จากปกติแล้วจะเป็นตระกูล Adreno ทำให้เมื่อนำมาทดสอบกับการเล่นเกมพบว่า  “เกมส่วนใหญ่สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยกเว้นเกมที่จะต้องปรับรายละเอียดกราฟฟิกหรือประมวลผลสูง ๆ อย่าง Genshin Impact ยังมีเฟรมเรตดรอปเป็นระยะ ๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร”  ในด้านของความร้อนเมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ สื่อที่ได้ลองเทสก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนจนเกินไป แล้วถ้าปล่อยให้เครื่องทำงานปกติแบบไม่ต้องทำอะไรใช้ระยะเวลาไม่กี่นาทีเครื่องก็จะกลับสู่ในอุณหภูมิสภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม Samsung Galaxy S21 Series ไม่ได้ดูออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียวนะคะ แต่หน้าที่หลัก ๆ ของมันก็คือ “สมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง” ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจในส่วนนี้กันด้วยนะคะ ตามมาด้วยหน่วยความจำหรือ Ram กันหน่อยค่ะ Galaxy S21 และ S21+ ทาง Samsung จัดมาให้แค่ 8GB. เท่านั้น ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ทั้งหมด 2 รุ่นคือ 12GB. กับ 16GB. ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ ทั้งนี้เกวลินก็คิดว่า Ram แค่ 8GB. ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไปหรือในการเล่นเกมแล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะเอาไว้เยอะ ๆ ก่อนก็ได้เหมือนกันถ้างบเพื่อน ๆ ถึงนะคะ จุดต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง “เลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป” ก็ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S21 Series ทำเอารุ่นพี่ที่อยู่ในมือของเกวลินอย่าง Galaxy Note 20 Ultra 5G สั่นไปหมดเลยค่ะ เพราะมีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้น ( ชิ! น้อยใจซะจริงเลย ) โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วนะคะว่า Galaxy S21 Ultra จัดไปเลยเรื่องเลนส์กล้องเหนือกว่า Galaxy S21 และ S21+ ชนิดที่ไม่เห็นฝุุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้ติดอะไร ฉันมีงบเพียงแค่นี้จะเล่นรุ่นเล็ก รุ่นกลางก็ได้ทั้งนั้นค่ะ โดยทั้งสองรุ่นนี้ในเรื่องของสเปกเลนส์กล้องจะเหมือนกันนั้นก็คือเลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto คุณพระ! จัดความละเอียดมาให้ 64MP เลยค๊าคุณผู้อ่าน! แถมยังสามารถซูม Hybrid Optic ได้ถึง 3 เท่าแล้วก็ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาด้วย ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra สเปกเลนส์กล้องอัดมาให้เน้น ๆ เลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) มีความละเอียด 108MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto ที่จัดมาให้ถึง 2 ตัว โดยเราจะสามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 กับ 10 เท่า แล้วก็ยังสามารถดันซูมในรูปแบบ Digital ได้ถึง 100 เท่ากันไปเลย ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นั้นมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาให้กับเลนส์ตัวนี้ทั้ง 2 ตัวเลยค่ะ สุดท้ายก็ยังมี Laser AF มาช่วยโฟกัสภาพที่แม่นยำและไวมากยิ่งขึ้น  ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Series จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควรค่ะ เริ่มจากน้องเล็กสุด Galaxy S21 มีขนาดแบตเตอรี่ 4,000 mAh ตามมาด้วยพี่รอง Galaxy S21+ มีขนาดแบตเตอรี่ 4,800 mAh และ พี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ถึง 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ก็ยังเครมเอาไว้ว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียกว่าอยู่ได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่เราก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะ ถ้าผู้ใช้งานเปิดการทำงานเต็มที่ของเครื่องไม่ว่าจะเป็นรีเฟรชเรท 120Hz แล้วก็ 5G ไปด้วยมันก็อาจจะซูมแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาเครมมาแบบนี้ก็ต้องลองเทสด้วยตนเองแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามพก Power Bank ดี ๆ สักตัวติดไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทราบกันก่อนก็คือ Samsung Galaxy S21 Series จะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้เราอีกแล้ว ซึ่งถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเพิ่มเติมแล้วก็สามารถใช้อะแดปเตอร์จากรุ่นก่อนหน้านี้ชาร์จได้ ซึ่งทั้ง 3 รุ่นในซีรีส์นี้รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charging สูงสุด 25 วัตต์ ส่วนเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ แล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์อื่น ๆ มาชาร์จกับตัวเครื่องของเราก็จะได้ความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 4.5 วัตต์ ฟังดูอาจจะน้อยแต่ทาง Samsung เข้ามาเพื่อใช้ในกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในเวลาที่จำเป็น นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดคร่าว ๆ ของ Samsung Galaxy S21 Series ทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S21 Ultra มีปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับของ Galaxy Note 20 Ultra 5G เพียงแต่ว่าปากกาเล่มดังกล่าวจะไม่มีที่เก็บเหมือนกับของ Note นะคะ ซึ่งทาง Samsung ก็ออกแบบเคสพิเศษสำหรับใช้ในการเก็บปากกาพร้อมกับป้องกันตัวของเราจากการกระแทกได้ดีซะด้วยค่ะ รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีมาตรฐานป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 มีระบบลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้วการสแกนลายนิ้วมือก็เป็นแบบ Ultrasonic ตัวใหม่จากทาง Qualcomm อีกด้วย ท้ายสุดนี้เราไปดูราคาเครื่องของแต่ละที่กันหน่อยดีกว่าค่ะ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก AIS ( สำหรับลูกค้า Serenade ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 19,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 38,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 30,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย AIS ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก DTAC ( สำหรับลูกค้า Platinum Blue Member ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 19,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 13,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 17,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 11,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 17,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 31,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 26,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย DTAC ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก TrueMove H ( สำหรับลูกค้าที่ใช้อยู่ปัจจุบัน, เปิดเบอร์ใหม่ และ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท *18,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 20,400 บาท * 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 18,900 บาท *13,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 22,900 บาท *17,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 21,400 บาท *16,400 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท * 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 23,900 บาท *19,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท *28,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 28,900 บาท *25,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท *21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 25,900 บาท *20,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 34,400 บาท *31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 31,900 บาท *28,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 29,900 บาท * 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 27,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 36,400 บาท *33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 33,900 บาท *30,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 31,900 บาท *26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 29,900 บาท *24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 40,400 บาท *37,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 37,900 บาท *34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 35,900 บาท *30,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 33,900 บาท *28,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย TrueMove H ได้ที่ คลิกที่นี่
04 Feb 2021
Review: รีวิว Hitman 3 การจากลาอย่างสมศักดิ์ศรี ของมือปืนโล้นซ่าเลขที่ 47
เมื่อพูดถึงวลีภาษาอังกฤษที่ว่า If it aint broke, dont fix it (ถ้ามันไม่พังก็ไม่ต้องพยายามซ่อมมัน) ผ่านหูมาบ้าง คงไม่มีเกมไหนที่จะเป็นตัวแทนของวลีนี้ได้ดีไปกว่าเกมลอบเร้นซีรี่ส์ดัง Hitman 3 ของผู้พัฒนา IO Interactive ด้วยเกมเพลย์ กราฟฟิค และองค์ประกอบการนำเสนอที่คงรูปแบบเดิมแทบจะเป๊ะๆ มาตั้งแต่ที่ภาคแรกวางจำหน่ายไปในปี 2016 แต่ถึงอย่างนั้น เกม Hitman 3 ก็ยังถือเป็นเกมลอบเร้นที่สนุก ท้าทาย และน่าสนใจในแบบที่แตกต่างกับเกมลอบเร้นในตลาดส่วนใหญ่ ด้วยเกมเพลย์ที่เน้นการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และใจเย็นมากกว่าการต่อสู้แบบแอคชั่นอย่างที่เห็นในหลายๆ เกมทุกวันนี้ แน่นอนว่าในความจำเจของระบบต่างๆ อาจจะทำให้เกมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเสริมของเกมภาคที่ผ่านๆ มามากกว่าจะเป็นภาคต่อเต็มตัวซะทีเดียว แต่สำหรับแฟนเกมที่อยากได้ประสบการณ์เกมลอบเร้นแบบดั้งเดิมที่หาได้ยากในปัจจุบัน (หรือแค่อยากหาเกมดีๆ เล่นในช่วงต้นปีที่ยังมีเกมออกน้อย) เชื่อว่าเกม Hitman 3 จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Hitman 3 จะดำเนินต่อจากเนื้อเรื่องของภาคก่อนหน้าโดยตรง และจะติดตามพระเอก Agent 47 และเพื่อนเก่าของเขา Lucas Grey ในการตามล่า The Constant ผู้ซึ่งเป็นตัวบงการหลักขององค์กร Providence ที่เป็นศัตรูคู่ปรับของตัวเอกมาช้านาน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอดีตอันน่าเศร้าของเขาอีกด้วย โดยเช่นเดียวกับเกมภาคก่อนหน้า เนื้อเรื่องของเกม Hitman 3 จะติดตามตัวเอกและผองเพื่อนในการตามล่าสมาชิกที่หลงเหลืออยู่ขององค์กร Providence ไปทั่วทุกมุมโลก พร้อมกับตั้งคำถามถึง "ตัวตน" ของ Agent 47 ในวันที่เขาไม่มีเป้าหมายหรือภารกิจให้ไล่ตามอีกต่อไป อย่างที่เคยกล่าวไปในรีวิวเกม Hitman 2 เมื่อปี 2018 เนื้อเรื่องของเกมซีรี่ส์ Hitman น่าจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อเกมน้อยที่สุดแล้ว ซึ่งในเกมภาค 3 นี้ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเห็นนั้นเปลี่ยนไปแต่อย่างใด โดยเกมยังคงเลือกที่จะเล่าเนื้อเรื่องผ่านฉากคัตซีนสั้นๆ ก่อนและหลังภารกิจเป็นหลัก และสอดแทรกบทสนทนาหรือเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เข้ามาระหว่างการปฏิบัติภารกิจในแต่ละด่าน ซึ่งมีความพัฒนาขึ้นจากภาค 2 เล็กน้อยในแง่ของการเล่าเรื่องที่เน้นให้เห็นตัวละครและเหตุการณ์มากขึ้น ช่วยให้มีความเชื่อมโยงกันของฉากคัตซีนและเหตุการณ์ในภารกิจ ที่ให้ความรู้สึก "ต่อเนื่อง" กว่าในเกมภาค 2 แต่โดยรวมๆ แล้วก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องชวนติดตามขึ้นเท่าไหร่ และเพราะการเล่าเรื่องที่ขาดตอนของภาคผ่านๆ มา ทำให้การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้เขียนในภาคนี้ แต่เช่นเดียวกับในเกม Hitman 2 การที่เนื้อเรื่องของเกมในภาพกว้างจะยังคงติดตามได้ยาก แต่เนื้อเรื่องเล็กๆ ที่มีอยู่ในแต่ละด่านก็ยังคงมีความน่าสนใจอยู่บ้าง เช่นเนื้อเรื่องของด่าน Thornbridge Manor ที่มีลักษณะเป็นปริศนาฆาตกรรมห้องปิดตายเป็นต้น ซึ่งก็ทำให้เกมยังคงมีเส้นเรื่องให้ติดตามอยู่ และทำให้การทำภารกิจรู้สึกมี "มิติ" ในแง่ของเนื้อเรื่องและให้เหตุผลในการกระทำของผู้เล่นในระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละด่าน ทำให้มองข้ามเนื้อเรื่องในภาพใหญ่ที่ไม่ค่อยน่าสนใจไปได้ไม่มากก็น้อย เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกม Hitman 3 มีพัฒนาการในด้านเกมเพลย์อยู่ค่อนข้างน้อยมากๆ จากเกมภาคก่อนหน้า พูดได้ว่านอกจากอุปกรณ์กล้องพกพาที่เอาไว้ใช้แฮ๊คอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ในด่านแล้ว ทุกองค์ประกอบของเกมเพลย์แทบจะยกมาจากเกมภาค 2 (และภาคแรก) โดยตรงเลยทีเดียว อาจจะฟังดูน่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ในความเห็นของผู้เขียน จุดเด่นของซีรี่ส์ Hitman ไม่ใช่ระบบเกมเพลย์ที่ล้ำลึกอะไรนัก แต่เป็นการออกแบบด่านแต่ละด่านในเกม ที่บังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองในการสังหารเป้าหมายหรือทำภารกิจที่เกมกำหนดให้สำเร็จได้อย่างอิสระ เช่นการเลือกปลอมตัวเป็นตัวละครชนิดต่างๆ เพื่อเข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามโดยไม่มีใครสังเกติ หรือการหาสิ่งของในฉากมาใช้ประโยชน์ โดยเกมยังมีความ "ตลกร้าย" อันเป็นเสน่ห์ของซีรี่ส์ ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถสังหารศัตรูในวิธีพิศดารต่างๆ ได้มากมาย เช่นในด่าน Dubai ผู้เขียนสังเกติว่าเป้าหมายมักจะชอบเดินไปยืนชมวิวตรงขอบตึกในจุดเดิมเสมอ จังลองเอาเปลือกกล้วยไปวางเอาไว้ในจุดที่เป้าหมายจะเดินมา ผลคือเป้าหมายลื่นเปลือกกล้วยจนตกตึกตายไปเองอย่าน่าอนาถ ซึ่งความอิสระนี้ทำให้การเล่นเกม Hitman ทุกภาคมีความลึกกว่าที่ตาเห็น และสามารถเล่นซ้ำๆ เพื่อหาวิธีกำจัดเป้าหมายที่แปลกใหม่หรือรวดเร็วขึ้นได้ แต่สำหรับคนที่โหยหาการเล่นแบบตามภารกิจเหมือนในเกมลอบเร้นอื่นๆ ก็ยังมีระบบ Mission Stories จากภาคก่อนๆ ให้คุณทำภารกิจที่เกมมอบให้ไปเรื่อยๆ ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างในด่าน Thornbridge Manor ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ภายในภารกิจจะมอบหมายให้เราต้องกำจัดเป้าหมายที่เป็นคุณนายหัวหน้าตระกูลผู้ดีอันเก่าแก่ แต่เมื่อเดินทางไปถึงเรากลับพบว่าได้เกิดการฆาตกรรมขึ้นในบ้านหลังนี้  และมีนักสืบคนหนึ่งถูกจ้างมาเพื่อสิบหาตัวคนร้าย โดยในการเล่นครั้งแรก ผู้เขียนเลือกที่จะปลอมตัวเป็นนักสืบคนดังกล่าวและแสร้งทำเป็นสืบหาตัวคนร้ายจนทำให้พบกับขวดยาพิษที่ใช้เป็นอาวุธสังหารในคดีฆาตกรรมนั้น ซึ่งผู้เขียนก็ใช้เพื่อสังหารเป้าหมายของเราอีกที ในขณะที่การเล่นรอบสอง ผู้เขียนเลือกปลอมตัวเป็นช่างภาพที่ถูกจ้างมาถ่ายภาพรวมญาติของเป้าหมายและแอบวางกับดักไฟฟ้าเอาไว้ในจุดถ่ายภาพ ก่อนที่จะเรียกรวมเป้าหมายและครอบครัวมาถ่ายภาพ (และโดนไฟช๊อตตาย) เป็นต้น แน่นอนว่ายังมีวิธีสังหารเป้าหมายอีกมากมายที่ผู้เขียนยังไม่ได้ลอง ทั้งที่เกมกำหนดมาและที่สามารถพลิกแพลงเอาเอง แถมเมื่อเล่นจบด่านครั้งหนึ่งแล้ว เราจะสามารถเริ่มเล่นใหม่โดยพกอุปกรณ์พิเศษหลายชนิดเข้าไปใช้ได้เพิ่มอีก เพื่อเปิดช่องทางในการสำเร็จภารกิจได้หลากหลายยิ่งขึ้นด้วย หากไม่มีตัวเลือกเหล่านี้ ผู้เล่นอาจจะสามารถเล่น Hitman 3 ได้จบภายใน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งความหลากหลายทั้งหมดที่กล่าวไปก็ช่วยยืดเวลาการเล่นออกไปได้อีกมาก พูดง่ายๆ ว่ายิ่งคุณใส่ใจและให้เวลากับเกมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีอะไรให้คุณค้นพบได้มากขึ้นเท่านั้น กราฟฟิก/การนำเสนอ เช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่นๆ ในเกม กราฟฟิกและการนำเสนอของ Hitman 3 ไม่ได้แตกต่างไปจากที่เห็นใน Hitman 2 มากมายนัก โดยเฉพาะในส่วนของโมเดลตัวละครและอนิเมชั่นท่าทางการขยับตัวที่ยังคงเหมือนกันเปี๊ยบ อาจจะมีการพัฒนาขึ้นบ้างในแง่ของแสงเงา โดยเฉพาะในบางด่านของเกมเช่นด่าน Berlin ที่มีลักษณะเป็นไนท์คลับที่เปิดไฟสปอตไลท์สีสันต่างๆ ตามจังหวะเพลง หรือด่าน Chongqing ที่ชโลมไปด้วยแสงไฟนีออนท่ามกลางสายฝน รวมไปถึงหน้าตาท่าทางของตัวละครในฉากคัตซีนก่อน/หลังภารกิจที่แลดูมีความลึกซึ้งกว่าที่ผ่านมาอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันในภาพรวม เกมยังคงมีปัญหาเรื่อง NPC หน้าซ้ำที่โผล่มาให้เห็นจนรำคาญตา และเรื่องของ U.I. / อินเตอร์เฟซหน้าเมนูต่างๆ ที่ยังมีลักษณะเป็นช่องๆ กล่องๆ แบบ Minimal ที่แม้จะสะอาดตา แต่ก็ไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างจากภาค 2 เลย สรุป แม้ว่าจะยังคงมีข้อตำหนิใหญ่ๆ อยู่มาก แต่ Hitman 3 ก็ยังคงรักษามาตรฐานเกมเพลย์การลอบเร้นอันมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาเกมแบบสั้นๆ เล่นแปบเดียวจบ หรือเกมที่มีความลึกล้ำที่สามารถเล่นได้ยาวๆ เชื่อว่าเกม Hitman 3 น่าจะตอบโจทย์คุณได้อย่างน่าพอใจไม่แพ้กัน [penci_review id="77549"]
25 Jan 2021
พรีวิว Monster Hunter: Rise บอกเล่าความรู้สึกจากการเล่นในเดโม
มาถึงจุดนี้ เชื่อว่าคงไม่มีเกมเมอร์คนไหนที่ไม่รู้จักกับซีรี่ส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของเกม Monster Hunter: World (และภาคเสริม Iceborne) ไปจนถึงภาพยนตร์ที่เพิ่งจะออกฉายในโรง อาจจะพูดได้ว่าไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เกม Monster Hunter จะมีตัวตนอยู่ในกระแสหลักมากกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยประการฉะนี้ คงไม่น่าแปลกใจที่เกมภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise จะได้รับความสนใจมากเช่นเดียวกัน โดยหลังจากที่ทาง Nintendo ได้เปิดให้ผู้เล่นดาวน์โหลดตัวเดโมเกมมาทดลองเล่นกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ร้านค้าของค่ายก็ถึงกับล่มไปเลยจากจำนวนผู้เล่นที่พยายามเข้าไปโหลดเกมพร้อมๆ กัน ทางทีมงาน GameFever เองก็ได้เข้าไปทดลองเล่นเกมมาแล้วตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงอยากจะลองนำเสนอความคิดเห็นของเราต่อเกม โดยจะเน้นพูดถึงระบบใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงความเปลี่ยนแปลงรวมๆ จากเกมภาค World *ผู้เขียนเล่นเกม Monster Hunter: World ไปกว่า 250+ ชั่วโมง แต่ไม่เคยเล่นภาค Iceborne เลย จึงอาจจะไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน Iceborne ไม่ได้ (รูป) อาวุธและคอมโบ สิ่งแรกที่ผู้เล่นเก่าๆ น่าจะสังเกติคือวิธีการเล่นอาวุธที่เปลี่ยนไปจากภาคก่อนหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ว่าท่วงท่าการโจมตีส่วนใหญ่จะไม่ต่างกันนัก แต่อาวุธแต่ละชนิดก็จะมีความแตกต่างกันในแง่ของการใช้งานจริงรวมไปถึงคอมโบและท่าพิเศษมากมายที่เปลี่ยนไป จนพูดได้ว่าน่าจะต้องใช้เวลาเรียนรู้กันใหม่พอสมควร ยกตัวอย่างเช่นอาวุธดาบใหญ่ (Greatsword) อันเป็นเอกลักษณ์ของเกม ซึ่งมีท่าพิเศษและคอมโบใหม่ๆ ที่ช่วยให้ลัดเข้าสู่ท่า True Charged Slash (ท่าชาร์จฟันระดับสุดยอด) ได้มากกว่าที่ผ่านมาเป็นต้น ทำให้ต้องเรียนรู้คอมโบที่ "สมบูรณ์" หรือให้ผลสูงสุดกันใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับเกมภาค World โดยแม้ว่าตัวผู้เขียนเองจะยังไม่ได้ทดลองความแตกต่างของอาวุธทุกชนิด (เพราะเอาเข้าจริงก็เล่นเป็นอยู่แค่ไม่กี่อย่าง) แต่ในหมู่อาวุธที่ได้ลองเล่น ก็พอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับที่น่าจะทำให้จังหวะของการต่อสู้กับแย้ทั้งหลายแตกต่างกับในภาค World อย่างรู้สึกได้ ถ้าให้พูดโดยรวมๆ รู้สึกว่าการใช้อาวุธระยะประชิดส่วนใหญ่ดูจะเล่นง่ายกว่าในภาค World พอสมควร เช่นอาวุธดาบยาว (Longsword) ที่ไม่จำเป็นต้องสลับปุ่มไปมาเพื่อทำคอมโบอีกต่อไป แถมยังมีลูกเล่นเพื่อเก็บเกจ Spirit มากกว่าเดิม หรืออาวุธ Gunlance ที่สามารถพลิกแพลงคอมโบเพื่อผสมผสานระหว่างการฟาดฟันและการใช้กระสุนระเบิดได้หลากหลายมากกว่าในภาค World อย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้เกมรู้สึก "ง่าย" ขึ้นประมาณหนึ่งในระดับเบื้องต้น เพราะไม่จำเป็นต้องจำคอมโบหรือปุ่มกดซับซ้อนเท่าเดิม ในทางกลับกัน อาจจะด้วยรูปลักษณ์ของจอย Nintendo Switch เองด้วย (ผู้เขียนไม่ได้ใช้จอย Pro Controller ในการเล่น) ทำให้การเล่นอาวุธสายโจมตีระยะไกลทั้งหลายรู้สึกลำบากกว่าในภาค World เล็กน้อย แถมกระสุนตัวเก่งอย่าง Slicing Ammo ก็ไม่มั่นใจว่าจะกลับมาให้ใช้กันอีกไหม หรือจะถูกแทนด้วยกระสุนชนิด Piercing Ammo หลากหลายธาตุแทน แต่ถ้าไม่มี Slicing Ammo ก็อาจจะทำให้อาวุธระยะไกลทั้งหลายมีประโยชน์ในการหั่นชิ้นส่วนแย้น้อยลงกว่าภาค World และทำให้อาวุธเหล่านี้เล่นแบบฉายเดี่ยวได้ไม่มากเท่าอีกด้วย คงต้องรอดูกันต่อไปว่าในเกมตัวเต็มจะมีกระสุน Slicing Ammo ออกมาให้ใช้กันอีกไหม Wire Bug และการเคลื่อนที่ ระบบ Wire Bug ที่เพิ่มเข้ามาแทนเครื่อง Slinger ในภาค World อาจจะเป็นระบบที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด และทำให้เกมภาค Rise มีความแตกต่างจากเกมในซีรี่ส์ Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา ถึงขนาดที่ผู้เขียนรู้สึกว่าอาจจะ "เปลี่ยนแนวทาง" ของซีรี่ส์ไปได้เลย เพราะความคล่องแคล่วที่ผู้เล่นจะได้รับจากระบบใหม่นี้แทบจะทำให้ Rise รู้สึกใกล้เคียงกับเกมแอคชั่นจ๋าๆ อย่าง Devil May Cry เลยในความรู้สึกของผู้เขียน (ไม่ได้บอกว่าเหมือนซะทีเดียว แต่ดูจะขยับเข้าหาแนวนั้นมากขึ้น) ในเบื้องต้นนั้น ผู้เล่นทุกคนจะมีเจ้าแมลง Wire Bug ติดตัวอยู่คนละ 2-3 ตัว ซึ่งสามารถใช้เพื่อดึงตัวเองให้พุ่งขึ้นไปบนอากาศ หรือกระทั่งห้อยโหนกลางอากาศได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกการโจมตีของเหล่าแย้ได้มากขึ้น แถมอาวุธแต่ละชนิดก็ดูจะมีท่าโจมตีกลางอากาศเพิ่มเข้ามาใหม่หลายท่า ทำให้ผู้เล่นสามารถเปิดช่องในการโจมตีของตัวเองได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในเกม Monster Hunter ที่ผ่านๆ มา ที่เน้นการรอให้เหล่าแย้เปิดช่องเสียเองมากกว่า ยังไม่นับรวมเหล่าความสามารถ Silk Bind ทั้งหลายทั้งแหล่ที่ใช้ควบคู่กับ Wire Bug ที่มักจะเพิ่มความคล่องแคล่วขึ้นไปอีกระดับ ทำให้กระทั่งอาวุธที่ปกติมักจะอืดอาดอย่าง หอก + โล่ห์ หรือ Heavy Bowgun สามารถเคลื่อนที่และหลบหลีกได้ไม่ต่างจากอาวุธอื่นๆ เลย ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือน Monster Hunter: Rise พยายามจะผลักดันซีรี่ส์ไปในทางที่เน้น "แอคชั่น" มากขึ้นกว่าทุกภาค โดยในเดโมจะมีท่า Silk Bind ให้ใช้เพียงแค่สองท่าต่ออาวุธแต่ละชนิด แต่ในเกมเต็มๆ จะมีท่าพิเศษเหล่านี้ให้เลือกใช้มากขึ้นกว่าเดิมอีก ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่าจะยิ่งเพิ่มความคล่องแคล่วขึ้นไปอีกแค่ไหน ถ้าให้พูดกันตามตรง ความคล่องแคล่วที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาค Rise รู้สึก "ง่าย" ขึ้นกว่าภาค World พอสมควร อย่างน้อยก็ในเดโมที่ได้ทดลองเล่นนี้ อาจจะด้วยชนิดของแย้ที่มีมาให้ล่าในเดโมที่ยังไม่ค่อยท้าทายนัก เลยยังไม่มั่นใจว่าเกมจะสามารถปรับสมดุลเพื่อรองรับความสามารถที่เพิ่มขึ้นของฝั่งนักล่าอย่างไร แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบความท้าทายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Monster Hunter อาจจะรู้สึกไม่ค่อยประทับใจกับเดโมมากนัก ในขณะที่ผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสเกมมาก่อนน่าจะเข้าถึงตัวเกมได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา ยังมีระบบมากมายในเกมที่ยังไม่เปิดให้ลองในเดโม ไม่ว่าจะเป็นระบบการเก็บเกี่ยวทรัพยากรณ์หรือระบบคราฟติ้ง (มีนิดหน่อย) รวมไปถึงระบบสกิลที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แต่ถ้าให้กล่าวโดยสรุป Monster Hunter: Rise น่าจะเป็นเกมภาคที่เป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่ๆ มากกว่าที่ผ่านมา และน่าจะถูกใจคนที่ไม่ชอบความรู้สึกหน่วงๆ ของเกมมอนฮันทั่วไปมากขึ้น แต่สำหรับแฟนๆ ที่อยากได้ประสบการณ์ล่าแย้แบบลุ้นระทึกเหมือนสมัยก่อนอาจต้องรอลุ้นกับแย้ระดับสูงในเกมตัวเต็ม ว่าพวกมันจะมีลูกเล่นอะไรมาท้าทายความว่องไวดุจนินจาของผู้เล่นในภาคใหม่นี้ Monster Hunter: Rise จะวางจำหน่ายสำหรับเครื่อง Nintendo Switch ในวันที่ 26 มีนาคม 2021
12 Jan 2021
The Pathless Review: สู่โลกกว้างเพื่อค้นหา ‘ทาง’ แห่งชีวิต
หมายเหตุ : บทความรีวิวนี้ เขียนขึ้นจากการเล่นบนระบบ Playstation 4 เป็นเวลา 12 ชั่วโมง เก็บรายละเอียดพอประมาณแต่ไม่ทั้งหมด หมายเหตุ 2 : The Pathless วางจำหน่ายทั้งในระบบ PC บน Epic Games Store, macOS, iOS, Apple Arcade, Playstation 4 และ Playstation 5 อันที่จริง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจมากนัก ถ้าหากเราจะพบว่าในบรรดาเกมยุคสมัยปัจจุบัน มันจะทำให้เรารู้สึก ‘สะกิดใจ’ ขึ้นมา ว่ามีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ นั่นเพราะในผลงานที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากไอเดียจะถูกหยิบมาปรับ ประยุกต์ และเสริมแต่งให้เกิดเป็นชิ้นงานใหม่ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกเกมที่สามารถทำได้ แต่ก็มีอยู่มากมายที่อยู่ในระดับที่ประสบความสำเร็จ ดังเช่นที่ The Pathless ผลงานชิ้นที่สองของ Giant Squid ทีมพัฒนาสายเลือดอินดี้จาก Santa Monica ผู้เคยฝากผลงานที่น่าประทับใจอย่าง Abzu ที่มาในครั้งนี้ แม้จะมีความขลุกขลักและส่วนที่ยังไม่ลงตัวไปบ้าง แต่ก็นับได้ว่าเป็น ‘ย่างก้าว’ ที่สำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขา และบ่งบอกถึงฝีมือในการพัฒนาเกมที่ไม่ธรรมดาที่ทำให้นักเล่นเกมต้องจับตามอง และควรหาเกมนี้มาลองดูสักครั้ง โลกกว้างที่ถูกย้อมด้วยความมืด The Pathless เปิดเกมมาอย่างไม่ต้องมากพิธีรีตองอะไรนัก คุณในฐานะผู้เล่นรับบทเป็น ‘นักล่าหญิง (Huntress)’ ผู้มีภารกิจสำคัญในการนำแสงสว่างกลับมาสู่ดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด โดยมี ‘เหยี่ยว’ ปริศนาเป็นเพื่อนคู่ใจที่จะร่วมเดินทางไปในเส้นทางแห่งการผจญภัยครั้งนี้ แน่นอนว่าตัวเกมโดยภาพกว้างนั้น งดงามด้วยกราฟิกแบบ Cel-Shade และเป็น Open World ที่ติดความเป็น Minimal ไว้อย่างถึงที่สุด ไม่มีแผนที่ Mini-Map หรือจุด Checkpoint ไม่มีแม้กระทั่งระบบ Fast Travel และโลกของเกมนั้นก็ ‘กว้าง’ เอามากๆ การเดินด้วยเท้าเปล่าปกติจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งสามารถกินเวลาได้หลายนาทีจนน่าเหนื่อยใจ แต่นั่นก็เป็นจุดที่ทีม Giant Squid ได้ใส่ระบบการ ‘Dashing’ เข้ามา มันคือระบบที่เราทำการวิ่ง และจะ ‘เล็ง’ เครื่องรางหรือเป้าหมายบางจุดเอาไว้โดยอัตโนมัติ หน้าที่ของเราคือการกดยิงให้ตรงจังหวะ เพื่อสร้าง Momentum ของการเคลื่อนไหวให้ต่อเนื่อง ที่จะรวดเร็วขึ้นอีกหลายๆ เท่า มันเป็นระบบที่ค่อนข้างเข้าใจคิด และประยุกต์ออกมาอย่างได้ผล การ Dash จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ให้ความรู้สึกราวกับวิ่งฝ่าสายลม และสร้างภูมิทัศน์ที่แปลกตาออกไปจากเดิม และแน่นอน นี่เป็นระบบหลักที่ผู้เล่นจะใช้ในการเคลื่อนที่ไปเกือบจะเรียกได้ว่าแทบจะทั้งเกม มันอาจจะดูเข้าใจได้ยากในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อใช้จนอยู่มือแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่เล่นได้สนุกและเพลินตาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คืนแสงสู่แผ่นดิน แต่การเดินทางในแผ่นดินอันกว้างใหญ่เหล่านี้ หน้าที่ของผู้เล่นในฐานะนักล่าหญิงคือการ ‘คืนแสงสว่าง’ และกำจัดความมืดที่กลืนกินพื้นที่ นั่นคือการเดินทางไป ‘จุดไฟประภาคาร’ ทั้งหมดสามจุด ก่อนที่จะตรงดิ่งไปที่ Boss ประจำโซนนั้นๆ และเข้าสู่ Sequence ของการต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่า การจุดไฟประภาคาร มันตามมาด้วยลูกเล่นของการแก้ปริศนาและ Puzzle อย่างง่ายๆ เช่นการยิงลูกธนูเข้าเครื่องรางให้ถูกลำดับ หรือการใช้นกเหยี่ยวเพื่อเอื้อมไปถ่วงน้ำหนัก ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากหรือซับซ้อน ราวกับว่าผู้พัฒนาต้องการให้ส่วนนี้สร้างความปวดหัวให้น้อยที่สุด และไม่ทำลาย Flow ของการเล่นโดยภาพรวม แต่ในโลกกว้างแห่งนี้ คุณสามารถที่จะเถลไถลออกนอกเส้นทางได้ และตัวเกมก็เชื้อเชิญให้คุณทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะด้วยระบบ Eagle Vision ที่เปลี่ยนมุมมองส่องให้เห็นจุดที่น่าสนใจ, Puzzle นอกเส้นทางที่จะตอบแทนเป็นค่าประสบการณ์หรือความสามารถใหม่ของเหยี่ยวคู่หู หรือไม่ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่จะเปิดเผยเรื่องราวความเป็นมาของดินแดนแห่งนี้ ที่จะขยายความเข้าใจ และประติดประต่อเรื่องราวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่บังคับว่าจำเป็นต้องทำ ผู้เล่นสามารถจบเกมได้ด้วยการทำภารกิจหลักและตรงดิ่งไปสู้กับ Boss แต่ความน่าสนใจของสิ่งที่ผู้พัฒนาใส่เข้าไป ก็บ่งบอกถึงความใส่ใจ เป็นสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการเล่นตามเส้นทางหลักและการสำรวจปลีกย่อย พวกเขาไม่จูงมือลากไป แต่ก็ไม่ปล่อยให้ผู้เล่นลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย เรียกได้ว่าเส้นทางหลักนั้นมีอยู่แล้ว แต่ ‘ทางปลีกย่อย’ นั้นต่างหาก ที่คุณในฐานะผู้เล่นจะเป็นคนเลือก ว่าจะเดินออกไปดูหรือไม่ สิ่งกั้นขวางในหนทางสู่แสงสว่าง อย่างไรก็ดี ถ้าจะให้สรุปสิ่งที่ The Pathless เป็นนั้น มันก็อาจจะจบได้ในสองคำนั่นคือ … ‘Boss Rush’ นี่คือเกมในสไตล์แบบ Shadow of the Colossus, The Last Guardian, Furi หรือแม้กระทั่ง Prince of Persia เวอร์ชันปี 2008 นั่นเพราะมันไม่มีการต่อสู้ระหว่างทาง ไม่มีศัตรูเป็นสิ่งกีดขวาง หน้าที่ของผู้เล่นคือแก้ปริศนา สู้กับบอส วนไปจนถึงปลายทาง สำหรับคนที่เป็นสายเล่นจบเร็วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเกมไม่ได้บังคับให้คุณออกนอกเส้นทาง นั่นทำให้เกมสามารถจบได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง และคุณค่าในการกลับมาเล่นซ้ำนั้นก็ลืมไปได้เลย นอกไปเสียจากคุณอยากจะเก็บความลับบางอย่างหรือเป็นสาย Completionist ที่ส่งผลกับฉากจบเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอะไรที่สลักสำคัญมากนัก Sequences การต่อสู้กับบอสเองก็เป็นจุดที่มีปัญหา เพราะมันจะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปชั่วขณะ เพราะในจังหวะที่คุณก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบอสนั้นๆ คุณจะสูญเสียการควบคุมเหยี่ยวไป และตัวเกมจะกลายเป็นสาย Stealth ที่คุณต้องหาทางหลบหลีกและเอาเหยี่ยวกลับมา เพื่อเริ่มการต่อสู้ ที่จะเป็นการยิงเข้าจุดตายที่เห็นได้อย่างชัดเจนพร้อมหลบหลีกสิ่งกีดขวางหรือการโจมตีของบอสนั้นๆ อนึ่ง การต่อสู้กับบอส ‘สุดท้าย’ ดูจะน่าสนใจที่สุด เพราะมีลูกเล่นและการวาง Sequences ที่โดดเด่นกว่าทุกตัว และเป็นจุด Climax ที่สำคัญที่สุดที่ทีมสร้างวางโครงเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นอกเหนือจากนั้น มันแทบไม่มีอะไรต่าง และเมื่อเจอมันเข้าเป็นครั้งที่สาม สี่ และห้า ความน่าสนใจจะกลายเป็นความน่าเบื่อขึ้นมาในทันที และที่สำคัญ มันทำลาย Flow อันพลิ้วไหวที่เป็นหัวใจหลักของตัวเกมแบบหักดิบหมุนกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต้องปรับอารมณ์กันพอสมควรกว่าจะเคยชิน (และชินชา…) กับมันได้ และสุดท้าย การแก้ปริศนาในจุดต่างๆ ของตัวเกม แม้จะไม่ได้ยากจนถึงขั้นต้องทึ้งผมออกจากหัว แต่หลายครั้งมุมกล้องและการควบคุมเหยี่ยว ก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ติดในจุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง มุมกล้องบังทำให้ไม่สามารถยิงธนูเข้าจุดได้บ้าง เป็นความน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ ในเชิงเทคนิคที่อาจจะทำให้เสียอารมณ์ได้นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก ทางชีวิต ลิขิตเอง โดยสรุป แม้ตัวเกมจะมีร่องรอยของการ ‘หยิบยืม’ รูปแบบจากเกมรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้านั้น และติดกลิ่นของมันจนเป็นที่สังเกตได้ (เอาแค่เปิดเกมมา สิ่งแรกที่ผู้เขียนนึกถึงก็คือเกม Zelda และเล่นไปเล่นมา ก็ระลึกถึง Shadow of the Colossus...) แต่สิ่งที่ The Pathless ทำได้สำเร็จอย่างงดงามนั่นคือ พวกเขาไม่ใช่การหยิบมายัดอย่างขอไปที หากแต่เป็นการ ‘Inspired’ หรือเอาแรงบันดาลใจ มาสร้างหนทางใหม่ให้กับตัวเองได้อย่างชาญฉลาด และเกมนี้ คือผลสำเร็จที่ว่านั้น มันเล่นได้สนุก มันงดงาม มันลื่นไหล และมันตั้งคำถามที่น่าสนใจ ว่าท้ายที่สุดแล้ว หนทางสู่ความจริงแท้และยั่งยืน มันสมควรจะต้องเดินตามทางที่แผ้วถางเอาไว้ หรือ ‘สร้าง’ หนทางใหม่ด้วยตนเอง “และทีม Giant Squid ก็ให้คำตอบที่ชัดเจน ว่ามันไม่ผิด ถ้าจะเดินตามทางมา แต่ถึงที่สุดแล้ว มันก็ต้องเป็นพวกเขา ที่ต้องมุ่งหน้าต่อไป ในโลกกว้างแห่งวงการเกม ที่พวกเขาประสบความสำเร็จในก้าวแรกของการสร้างทางของตนเองจากเกมนี้แล้วจริงๆ…” [penci_review id="76343"]
11 Jan 2021
รีวิว Alienware AW2521H จอ 24.5 นิ้วที่ยัดคุณภาพการเล่นเกมมาแบบเกิน 100%
การเล่นเกมบนเครื่อง PC หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เกมเมอร์หลายคนให้ความสนใจก็คือในเรื่องของจอ Monitor ดีๆ ที่จำเป็นต้องมี Option หลายอย่าง ซึ่งช่วยเสริมประสบการณ์ที่ดีในการเล่นเกมให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่มีขนาดพอเหมาะกับประเภทของเกมที่เล่น, Response Time ที่ต่ำ, Refresh Rate ที่สูง รวมไปจนถึง Port การเชื่อมต่อที่หลากหลาย ตลาด Monitor ในปัจจุบันมีสินค้าจากหลายแบรนด์ที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็น Samsung Odyssey, Acer Predator, BenQ Zowie, MSI หรือ Asus ROG โดย Dell Alienware เองก็เป็นหนึ่งในนั้น และวันนี้ผมก็มีจอ Monitor ดีๆ อีกหนึ่งรุ่น ขนาดประมาณ 25 นิ้ว มาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกัน Alienware AW2521H คือชื่อรหัสของรุ่นดังกล่าว แม้ว่า Monitor ที่มีขนาดไม่ถึง 27 นิ้ว จะเริ่มได้รับความนิยมน้อยลงแล้วในปัจจุบัน แต่เจ้าจิ้ว 24.5 นิ้วนี้ มาพร้อมกับฟังก์ชันยอดเยี่ยมหลายอย่างที่เพื่อนๆ จะไม่ผิดหวังแน่นอนถ้าหากซื้อมาใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบเล่นเกมแนว Competitive ครับ เกริ่นนํามาขนาดนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ น่าจะอยากรู้กันแล้วว่าเจ้าจอตัวนี้มีอะไรดี งั้นเรามาเริ่มจากสเปคกันก่อนเลยแล้วกันครับ คุณสมบัติทางเทคนิค Screen Size : 24.5 Panel Type : IPS Resolution (max.) : 1920 x 1080 Response Time: 1ms (gray to gray) - Extreme Mode Refresh Rate :  360Hz (Native with DP) / 240Hz (Native with HDMI) Aspect Ratio : 16:9 Color Gamut : 99% sRGB Port :  2 x USB 3.2 Gen1 (support for NVIDIA Reflex Latency Analyzer) 2 x USB 3.2 Gen1 (5 Gbps) downstream port (rear) 1 X USB 3.2 Gen1 (5 Gbps) upstream port (rear) Input Connectors 2 x HDMI (ver 2.0) 1 x DP 1.4 (rear) 1X Audio line-out jack (rear) อ่านแล้วเชื่อว่าหลายคนน่าจะกำลังสงสัยว่า "เป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะมีสีแบบ 99% sRGB ในจอ 360Hz ?" ซึ่งตอนแรกผมก็ตั้งคำถามแบบเดียวกันครับ จนเมื่อได้ใช้งานจอนี้ด้วยตัวเอง ก็ได้แต่ต้องยอมรับว่า "มันมีอยู่จริงข้างหน้าเราเนี่ยแหละ" เหนือสิ่งอื่นใดคือมาพร้อมกับ Response Time: 1ms ด้วย ดังนั้นจอตัวนี้จะเล่นเกม หรือดูหนัง ก็ถือได้ว่าผ่านทั้งหมดครับ ในเรื่องของดีไซน์ ก็คงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เจ้า AW2521H เรียกได้ว่ามีสีส่วนใหญ่เป็นสีเทากับดำ ดูเรียบหรู และแพง นอกจากนี้ที่ด้านหลังของจอ ยังมีการยิงไฟ RGB สลับสีไปมาตลอดเวลา ช่วยให้ลดภาระของสายตาลงไปได้เมื่อด้านหลังของจอเป็นกำแพงที่มีสีขาว หรือดำ ถือได้ว่าผู้ผลิตใส่ใจรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนจริงๆ ครับ ในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อเองก็มีมาให้อยากหลากหลาย รองรับทุกการใช้งานจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น USB ที่ให้มาถึง 5 พอร์ต (รองรับเทคโนโลยี NVIDIA Reflex ทั้งหมด 2 ช่อง) หรือช่องสำหรับเสียบหูฟัง กับลำโพง ทั้งยังมี HDMI มาให้อีก 2 และ Display Port อีก 1 เอาง่ายว่าจะต่อคอมพร้อมกับ 2 เครื่อง บวก PS4 / PS5 อีก 1 ตัวก็สามารถทำได้สบายๆ เลย สุดท้ายคือในเรื่องของน้ำหนัก เนื่องจากเป็นจอที่มีขนาดเพียงแค่ 24.5 นิ้ว จึงทำให้น้ำหนักทั้งหมดของจอ (ไม่รวมขา) มีเพียงแค่ 4.5 กิโลเท่านั้น สามารถนำไปวางบนโต๊ะที่ท็อปเป็นกระจกได้สบายๆ หมดกังวลเรื่องรับน้ำหนักไม่ไหวไปได้เลยครับ ประสบการณ์ใช้งาน เกม ถ้าจะบอกว่า Alienware AW2521H เป็นจอที่เกิดมาเพื่อเกมเมอร์ชาว PC อย่างแท้จริง คิดว่าคงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงมากมายนัก ด้วยค่า Refresh Rate ที่สูงถึง 360 Hz และ Response Time ที่ต่ำถึง 1ms คงต้องบอกว่าเจ้าจอ 24.5 นิ้วนี้เกิดมาเพื่อเกมเมอร์สาย Competitive ตลอดช่วงเวลา 1 อาทิตย์ที่ได้ใช้งานมา พบว่าความรู้สึกลื่นไหลที่ได้จากจอตัวนี้แตกต่างจาก จอ 144 Hz ที่ใช้เป็นประจำอย่างมาก และมันทำให้ตัวผมเองสามารถเล่นเกมที่ต้องแข่งขันกันได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ อย่างไรก็ตาม จริงอยู่ที่ Alienware AW2521H เป็นจอที่มีค่า Refresh Rate สูง 360 Hz ซึ่งตอบโจทย์สำหรับการเล่นเกมที่จำเป็นต้องแข่งขันกัน แต่เครื่อง PC ของผู้ใช้งานเองก็จำเป็นต้องมี GPU และ CPU ที่แรงมากพอจะสามารถดัน FPS ภายในเกมไปจนถึง 360 FPS ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นอยากให้คำนึงถึงจุดนี้ไว้ด้วยครับ (สามารถเข้าไปดูรายชื่อการ์ดจอแนะนำของพวกเราได้ผ่านลิงก์นึ้) ประสบการณ์ที่ได้จากเกม Single-Player เองก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าการที่มี Refresh Rate และ Response Time ที่สูงจะไม่ได้ส่งผลถึงอรรถรสที่ได้มากมายนัก แต่การเล่นเกมที่มีภาพที่ลื่นไหลมากกว่าย่อมเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าครับ และด้วยความที่จอตัวนี้มีค่าสีถูกต้องถึง 99% sRGB มันจึงทำให้เราสามารถสัมผัสกับความสวยงามของกราฟิกที่ผู้พัฒนาตั้งใจใส่มาให้เราได้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจครับ ตัวผมเองได้มีโอกาสนำจอตัวนี้ไปเล่นเกม Cyberpunk 2077 ที่ใช้การตั้งค่ากราฟิกแบบเต็มแม็กหลายชั่วโมง ด้วยความที่เกมนี้มีกราฟิกที่สวยงามอันดับต้นๆ ของวงการในตอนนี้ พอเอามารวมกับจอภาพที่มีความลื่นไหลสูง ทั้งยังมีค่าสีที่ถูกต้องแล้ว มันทำให้เหมือนกับรู้สึกว่าได้หลุดเข้าไปในโลกของเกมจริงๆ โลกที่เราเห็นผ่านหน้าจออยู่นี้ราวกับว่ามันมีตัวตนอยู่จริงๆ เหมือนกับได้เข้าไปเดินอยู่ในเมือง Night City ทุกครั้งที่เห็นแสงสะท้อนจากวัตถุในเกมล้วนแต่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า จะสามารถหาประสบการณ์แบบเดียวกันจากจอตัวไหนได้อีกบนโลกใบนี้ ใช้งานทั่วไป (ทำงาน - ดูหนัง) เชื่อว่าไลฟ์สตรีมของเพื่อนๆ ชาว PC หลายคน ไม่ใช่ได้ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมเพียงแค่อย่างเดียว บางคนอาจทำงานที่บ้านผ่าน PC ของตัวเองอยู่ในตอนนี้ บ้างอาจเป็นงานเอกสารทั่วไป บ้างอาจเป็นงานกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอ ในเรื่องความตรงของสีที่ได้จากจอ Monitor จึงเป็นเรื่องซีเรียสมากๆ จนส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานจอสำหรับเล่นเกมทั่วๆ ไปที่เป็นแบบ VA หรือ TN ในการทำงานได้ แต่เจ้า Alienware ตัวนี้ไม่มีปัญหาดังกล่าวครับ เนื่องจากค่าสีที่ได้จากจอตัวนี้อาจตรงยิ่งกว่าจอ IPS ทั่วๆ ไปที่เราเห็นในตลาดเสียอีก (ดูได้ในภาพด้านล่างนี้) ดังนั้นจึงหมดกังวลเรื่องที่สีที่ได้จากจอจะไม่ตรง (สเปคของจอ IPS รุ่นหนึ่งที่มีราคาประมาณ 5,000 บาท สังเกตุว่าได้สีเพียงแค่ 87% sRGB) แม้ว่า 24.5 นิ้วจะไม่ใช้จอขนาดใหญ่ซึ่งเหมาะกับชมภาพยนตร์ ,การ์ตูน หรือคอนเสิร์ต แต่ก็กล่าวได้ว่าไม่ใช่จอที่เล็กเกินไปเช่นกัน กล่าวคือเป็นขนาดที่พอดีเหมาะกับการใช้งานในบ้าน สามารถเก็บรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ภายในฉากได้อย่างทั่วถึง และด้วยค่าสีที่ถูกต้องมาก จึงทำให้กราฟิกที่เราได้เห็นจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์น่าตื่นตาตื่นใจมากด้วยๆ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลยหากจะนำจอตัวนี้ไปใช้งานอย่างอื่นนอกจากเล่นเกมครับ ราคาเท่าไหร่ ? มาจนถึงตรงนี้คิดว่าเพื่อนๆ คงอยากรู้แล้วว่าเจ้า Alienware AW2521H มีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ โดยจากหน้าเว็บไซต์ Official ของ Dell เองเลย จอตัวนี้มีราคาเต็มอยู่ที่ 969.99$ (ประมาณ 29,000 บาท) ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ เป็นคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม, ดูหนัง หรือทำงานผ่านหน้าจอทั้งหมด ตัวผมเองคิดว่าราคาดังกล่าวไม่แพงจนเกินไปเลย ถ้าหากใครสนใจก็ลองติดต่อสอบถามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชั้นนำใกล้บ้านดู เชื่อว่าถ้าได้สัมผัสด้วยตัวเองเหล่าเกมเมอร์จะต้องถูกใจมากๆ อย่างแน่นอนครับ ก็จบไปแล้วกับรีวิว Alienware AW2521H จอ 25 นิ้วที่ยัดคุณภาพการเล่นเกมมาแบบเกิน 100% งานนี้ต้องขอขอบคุณทาง Dell จริงๆ ที่ส่งสินค้าดีๆ แบบนี้มาให้เราได้ทดลองใช้งาน ส่วนว่ารีวิว Hardware ชิ้นต่อไปจะเป็นอะไร มาจากแบรนด์ไหน? รอติดตามชมได้เลยครับ
11 Jan 2021
[Unbox & Review] Pendulum Z เครื่อง V-Pet รุ่นใหม่กับความลับของโลก Digimon ที่ซ่อนไว้
ความเป็นมาของเครื่องเล่น V-Pet มีจุดเริ่มต้นมาจากตัวเครื่อง Tamagotchi คิดค้นโดยคุณ Maita Aki เจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทของบริษัท Bandai เรียกว่าเป็นผู้ให้กำเนิด V-Pet ที่ส่งต่อให้กับเครื่องเล่น V-Pet รุ่นใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ และ Tamagotchi ก็แตกลายต่อยอดกลายเป็น V-Pet อีกสายที่เรียกว่า Digital Monster หรือ Digimon ที่เรารู้จักกัน ซึ่งซีรี่ส์ Digimon นี่แหละทำให้เด็กๆ และผู้คนเมื่อ 23 ปีที่แล้วรู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก ปัจจุบัน V-Pet ของซีรี่ส์ Digimon ก็ออกมาหลายรุ่นมาตลอดช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดก็ได้ออก V-Pet รุ่นใหม่ส่งท้ายปี 2020 ที่มีชื่อว่า Digimon Pendulum Z โดยบทความนี้เราจะมาแกะกล่องและรีวิวเครื่องเล่นเจ้า Pendulum Z ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรและมีลูกเล่นอะไรบ้าง ไปดูกัน ================================================== เริ่มแกะกล่องและทำความรู้จักกับ Pendulum Z เครื่องเล่น Pendulum เป็นเครื่องเล่นประเภท V-Pet ของซีรี่ส์ Digimon ผลิตครั้งแรกในปี 1998 ต่อยอดมาจากเครื่ง Digimon V-Pet โดยเพิ่มลูกเล่นการเขย่าที่จะเป็นหัวใจหลักในการต่อสู้ และระบบ Jogress ซึ่งมาจากคำว่า Joint กับ Progress เข้าด้วยกัน มันคือระบบที่ใช้รวมร่าง Digimon และเกิดสายวิวัฒนาการใหม่นั้นเอง และในช่วงเวลาต่อมาก็มี Line การผลิตของ Digimon Pendulum ออกมาหลายรุ่นอย่างเช่น Pendulum Progress, Pendulum X, Pendulum รุ่นครบรอบ 20 ปี และล่าสุดก็มาเป็น Pendulum Z โดยตัว Pendulum Z จะออกวางจำหน่ายทั้งหมด 6 สี 6 สายด้วยกัน แบ่งออกเป็น 2 Wave ซึ่ง Wave แรกได้วางจำหน่ายช่วงสิ้นปี 2020 และ Wave ที่ 2 จะวางจำหน่ายเดือนเมษายน 2564 แน่นอนว่า Concept ของเครื่อง Pendulum Z จะเป็นการรวม Digimon หลายชนิดที่ไม่เคยปรากฎในเครื่องเล่น V-Pet รุ่นอื่นๆ หรือปรากฎในซีรี่ส์อนิเมะภาคไหนมาก่อน และเจ้าตัว Pendulum Z ก็มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง แตกต่างจากเครื่องเล่น Pendulum รุ่นที่ผ่านๆ มาที่ไม่มีเนื้อเรื่องให้เสพเลย ส่วนเนื้อเรื่องของซีรี่ส์นี้ โดยมีใจความคร่าวๆ ที่ว่า มีการค้นพบ Digimon ชนิดใหม่ๆ ที่เรียกว่า Folder Islands หากมีโอกาสได้เล่า จะขอเล่าในโอกาสหน้าอย่างละเอียดแน่นอน แต่เอาจริงๆ พอแกะกล่องไปรษณีย์แล้วเห็นลายของมันครั้งแรก ตัวลายเครื่องมันเหมือน Creeper จาก Minecraft จริงๆ นะ มันจะบึ้มใส่มือหรือเปล่า ??? ( ล้อเล่นนะ ) สำรวจตัว Package มุมต่างๆ ก่อนทดลองเล่นจริง ตัว Package จะค่อนข้างเล็ก ตามสไตล์เครื่องเล่น V-Pet แต่ตัวกล่องนั้นกลับรู้สึกดู Premium หรูหรามากกว่าเครื่องเล่น V-Pet Digimon X ที่วางจำหน่ายไปช่วงปีที่แล้วอย่างมาก และลวดลายตัวเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ เป็นลวดลาย Glitch หรือแถวบ้านที่เรียกว่า ลายภาพไม่มีสัญญาณ พร้อมกับตัว Digimon ใหม่ๆ ที่ไม่เคยปรากฎในซีรี่ส์ไหน ถูกโปรโมตบนหน้ากล่อง พร้อมลูกเล่นหลักอย่างระบบการเขย่า ซึ่งหากไม่มีแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ใช่ Pendulum อย่างแน่นอน ส่วนของที่จะมาแกะกล่องจะเป็นของจาก Wave แรกทั้งหมด โดยจะมีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียว - Nature Spirits: จะเป็น Digimon ที่เน้นจำพวกสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและแมลงเป็นหลัก สีฟ้า - Deep Savers: จะเป็น Digimon ประเภทสัตว์น้ำและจำพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นหลัก สีน้ำตาล/แดง - Nightmare Soldiers: จะเป็น Digimon ที่มีพลังความมืดหรือ Digimon สายภูติผีปีศาจเป็นหลัก แน่นอนว่า ทั้ง 3 เครื่อง จะมี Digimon ประจำเครื่องที่แตกต่างกันเสียส่วนใหญ่ พอพลิกไปด้านข้างก็ได้พูดถึงระบบ Jogress ซึ่งเป็นระบบหลักของ Pendulum ที่จะทำให้เราได้ Digimon สายพันธุ์ใหม่ๆ โดยทาง Bandai ระบุว่า ตัว Pendulum Z จะมี Digimon ให้ได้เลี้ยงมากกว่า 100 ตัว ซึ่งถือว่าเยอะเอาเรื่องเลย แต่จริงๆ แล้วเขาหมายถึงเครื่อง Pendulum Z ทั้ง 3 เครื่องตอนนี้และอีก 3 เครื่องใน Wave ที่ 2 รวมกันมากกว่า จึงพอสรุปได้ว่า เครื่องหนึ่งอาจจะมี Digimon ให้เลี้ยงราวๆ 30 ชนิดเป็นอย่างน้อย พอพลิกตัวกล่องไปอีกข้าง ก็จะพูดถึงกับลูกเล่นทั่วไปที่มีอย่างเช่น การให้อาหาร, การเก็บกวาดอุนจิและระบบการต่อสู้ โดยเป็นการแสดงภาพ Digimon ตัวใหม่ล่าสุดในรูปแบบ Pixel ให้เห็นเสมือนเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้านหลังตัวกล่องก็ได้โชคข้อมูล Digimon ตัวใหม่ๆ ที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนเป็นตัวหลักประจำเครื่องได้แก่ Marine Chimairamon: เป็น Digimon หลักประจำเครื่องสีฟ้าหรือ Deep Savers Gogmamon: เป็น Digimon หลักประจำเครื่องสีเขียวหรือ Nature Spirits Ghostmon: เป็น Digimon หลักประจำเครื่องสีน้ำตาล/แดง หรือ Nightmare Soldiers และก็มี QR Code ให้สามารถ Scan เพื่อไปอ่านเนื้อเรื่องของ Pendulum Z ได้ โดยจะกล่าวถึง Digimon สายพันธุ์ใหม่บนเกาะ Folder ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า พอแกะฝากล่องก็มีลวดลายของ Gogmamon แบบ Pixel และตัวอักษรที่เขียนว่า "NATURE SPIRITS: DIGIMON PENDULUM Z"  พร้อมกับฝากล่องที่เป็นลวดลาย Glitch สีเขียวให้เห็น ซึ่งหลังจากนี้จะทำการ Unbox ด้วยเครื่องตัวสีเขียวหรือ Nature Spirits เป็นหลัก เพราะหน้าตาและการเล่นแทบจะเหมือนกัน ต่างกันแค่ Digimon ประจำตัวเครื่องและสีแค่นั้น เมื่อทำการแกะกล่องออกมาทั้งหมดแล้ว จะมี สามส่วนหลักๆ ได้แก่ ตัวกล่องภายนอกสีเขียว, ตัวกล่องภายในสีดำ มีคู่มือการใช้งานแบบย่อซึ่งมี QR Code ให้สแกนไปดูวิธีการเล่นแบบฉบับเต็มบนไฟล์ PDF ได้ มันก็สะดวกดีนะและเป็นการตลาดที่ฉลาดด้วยที่ลดการสิ้นเปลืองของกระดาษ และส่วนสุดท้ายก็คือส่วนตัวเครื่องที่มีพลาสติกแข็งหุ้มตัวเครื่องไว้ ซึ่งตัวพลาสติกแข็งนั้นก็จะมีฝาครอบอีกชั้นหนึ่งกันกระแทก ดูใส่ใจเป็นอย่างดีมากๆ เพราะมันแข็งและกันกระแทกได้ดีใช้ได้เลยล่ะ แถมเก็บสายพวงกุญแจไว้เรียบร้อย ไม่ดูเกะแกะด้วย ตัวเครื่องแบบชัดๆ หลังจากดึงที่ขั้นถ่านแล้ว ตัวอักษรก็เด้งขึ้นข้อความว่า "Pendulum Z" เด่นมาๆ แถมเสียงตัวเครื่องดังใช้ได้เลย และหากสังเกตุดีๆ จะมีประกายกริตเตอร์วิ้งวับสะท้อนแสงตลอดทั้งตัวเครื่อง รู้สึกมีความหรูหรามากขึ้นเมื่อจับขึ้นมาเล่นบนมือตัวเอง ด้านหลังจะเป็นตรงที่ใส่ถ่านโดยต้องขันน็อตหัวสี่แฉกเพื่อเปิดฝา และตัวเครื่อง Pendulum Z จะใช้ถ่านกระดุมแบบ CR2032 จำนวนหนึ่งก้อน สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อหรือร้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปได้เลย หาซื้อไม่ยาก ที่ฝาปิดฐานก็จะระบุถึงวันที่เริ่มผลิตและหมายเลขประจำตัวเครื่องที่เขียนไว้ ซึ่งการันตีว่าของแท้แน่นอน ส่วนด้านบนก็เป็นหัวต่อ Connecter แบบ 2 หัวสำหรับเชื่อมต่อการต่อสู้หรือการ Jogress ถือเป็นสิ่งที่เครื่อง V-Pet Digimon ต้องควรมี ปุ่มกดต่างๆ และคำสั่งใช้งานเบื้องต้น ปุ่มกดและคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในเครื่องของ Pendulum Z จะมีดังนี้ ปุ่ม A: เป็นปุ่มสำหรับเลือกเมนูต่างๆ ทั้ง 9 เมนูและเลื่อนหัวข้อคำสั่งต่างๆ ปุ่ม B: เป็นปุ่มตกลงหรือเลือกเมนูนั้นๆ / เป็นปุ่มกดดูเวลาเมื่ออยู่หน้าจอหลัก ปุ่ม C: เป็นปุ่มยกเลิกคำสั่งหรือออกจากหน้าเมนูนั้น / เป็นปุ่มเช็คสถานะ Digimon แบบย่อเมื่ออยู่หน้าจอหลัก ปุ่ม Reset: เป็นปุ่มสำหรับ Reset เครื่องเพื่อเริ่มเล่นใหม่ นอกจากนี้จะมีคำสั่งที่กดมากกว่า 1 ปุ่มหรือ Combo Command มีคำสั่งดังนี้ ปุ่ม A+C เมื่ออยู่หน้าจอหลัก: จะเป็นการปิดหรือเปิดเสียงของตัวเครื่อง ปุ่ม A+C เมื่ออยู่หน้าเวลา: จะเป็นการตั้งนาฬิกา โดยกด A จะเป็นการตั้งชั่วโมง กด B เป็นการตั้งนาที และกด C เมื่อตั้งเวลาเสร็จสิ้นแล้ว ปุ่ม A+B เมื่อ Digimon ตายหรือกลายเป็น Computer: จะเป็นการฟักไข่ใบใหม่หลัง Digimon ไม่อยู่กับเราแล้ว ปุ่ม A+C+Reset ค้างไว้: จะเป็นการเข้าสู่โหมด Library เพื่อทดลองเล่น Digimon ภายในเครื่อง แต่จะไม่สามารถเล่นได้อย่างปกติได้ 100% เพราะจะมีบัคแบบจงใจเพื่อไม่ให้เราลักไก่นั้นเอง เมนูต่างๆ และ Feature ที่น่าสนใจ เมนูแรก Status ( รูปตราชั่ง ): จะเป็นการเช็คสถานะของ Digimon ที่เราเลี้ยงแบบละเอียดทั้งชื่อดิจิมอน, ความหิว, ความแข็งแรง และอื่นๆ อีกมากมาย เมนูที่สอง Food ( รูปเนื้อ ): เป็นการให้อาหาร Digimon โดยมีการให้เนื้อกับวิตามิน นอกจากนี้ยังมี Item ชิ้นอื่นๆ ที่สามารถให้ Digimon ได้กินและเพิ่มความสามารถพิเศษบางอย่างด้วย เมนูที่สาม Training ( รูปยกน้ำหนัก ): เป็นการฝึกซ้อม Digimon เพิ่มค่า Effort หรือค่าความพยายามให้สูงขึ้น มีผลต่อการต่อสู้ของ Digimon ด้วย วิธีการฝึกจะใช้การเขย่าให้ตรงกับจำนวนของลูกศร ซึ่งหากตรง ก็จะทำให้การฝึกของ Digimon ส่งผลมากขึ้น เมนูที่สี่ Colosseum ( รูปถ้วยรางวัล ): เมนูนี้จะเป็นเมนูสำหรับต่อสู้ตะลุยด่านของ Digimon ที่เราเลี้ยง โดยจะมีด่านให้เล่นทั้งหมด 50 ด่าน เมื่อชนะศัตรูจะได้รับ EXP ไว้เพิ่ม Level โดยมันจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งด้วย เมนูที่ห้า Clean Waste ( รูปอุนจิ ): เมื่อ Digimon อยู่กับเราไปสักช่วงหนึ่ง พวกเขาก็ต้องการขับถ่าย พอขับถ่ายออกมาก็จะเป็นอุนจิอย่างที่เห็น เมนูนี้จึงเป็นเมนูทำความสะอาด เก็บอุนจิให้ Digimon ของเราเพื่อสุขอนามัยที่ดี เมนูที่หก Light ( รูปไฟ ): เมื่อ Digimon ถึงเวลานอน สามารถเข้าไปที่เมนูรูปไฟ เพื่อปิดไฟได้ แต่หาก Digimon ไม่ถึงเวลานอนแล้วกดปิดไฟ จะเป็นการ Freeze Digimon เอาไว้ กรณีที่เราไม่ว่างเล่นนั้นเอง เมนูที่เจ็ด Heal ( รูปผ้าปิดแผล ): กรณีที่ Digimon ของเราป่วยหรือบาดเจ็บ สามารถเข้าเมนูรักษา เพื่อรักษาตามอาการได้โดยสัญลักษณ์กล่องคำพูดไว้รักษาอาการป่วย และรูปหัวกะโหลก ไว้รักษาอาการบาดเจ็บหลังพ่ายแพ้การต่อสู้ เมนูที่แปด Album ( รูปหนังสือ ): เมนูนี้จะเป็นเมนูที่ดู Digimon ต่างๆ ที่เราเคยเลี้ยงมารวมถึงสามารถเอา Digimon มาเก็บ Back up ไว้สำรองได้สูงสุด 2 ตัว เท่ากับว่าเราสองรองได้สอง และเลี้ยงได้ 1 รวมเป็น 3 ตัว หากอยากกลับมาเล่นตัวเก่าก็สลับตัวจากเมนูนี้ได้ รวมถึงเช็ค Win rate การต่อสู้ได้ด้วย เมนูที่เก้า Connect ( รูปหัวลูกศรชนกัน ): จะเป็นเมนูไว้สำหรับเชื่อมต่อกับ Digimon V-pet อีกเครื่องหนึ่งไว้สำหรับต่อสู้หรือเชื่อมต่อกับ Pendulum Z ด้วยกันเพื่อทำการ Jogress ซึ่งเมนู Jogress สามารถทำการรวมร่าง Digimon ภายในเครื่องก็ได้หรือจะต่อกับอีกเครื่องก็ได้ เมนูที่สิบ Call ( รูป Digimon ร้อง ): เมนูนี้จะเรียกว่าเมนูก็ไม่ใช่ เพราะมันคือ Icon แจ้งเตือนซึ่งมันจะปรากฎขึ้นพร้อมส่งเสียงเมื่อ Digimon มีค่าความหิวเป็นศูนย์, ความแข็งแรงเป็นศูนย์ หรือถึงเวลานอนของ Digimon เป็นการเตือนให้เราเอาใจใส่ Digimon ของตัวเอง หากปล่อยละเลยจนไฟดับไปเอง จะนับว่าเป็น Care Mistake หรือค่าการละเลยความใสใจเป็นหนึ่งทันที โดยจะมีผลต่อการพัฒนาร่างของ Digimon ในอนาคตด้วย ================================================== ทั้งหมดนี้ก็เป็นการ Unbox & Review เจ้าเครื่องเล่น Digimon Pendulum Z ซึ่งโดยรวมแล้วหากใครชื่นชอบ Digimon และชอบการเลี้ยงแบบ V-Pet หรือเลี้ยงแบบ Tamagotchi ก็ขอบอกเลยว่าเครื่องนี้เลี้ยงง่าย พัฒนาได้ค่อนข้างไวเพราะมีระบบ Jogress เข้ามา แต่ก็จะมีจุดที่เสียดายที่ว่า จะไม่ค่อยมี Digimon เท่ๆ ให้ได้เห็น มันจะเป็น Digimon สายพันธุ์ใหม่เสียส่วนใหญ่ อีกทั้งหลายคนอาจจะไม่ชอบที่ลายเหมือน Creeper จากเกม Minecraft เพราะมันไม่สวย ( แต่ทางนี้ชอบนะ ) ซึ่งตอนนี้ก็ได้วางจำหน่ายแล้ว สามารถหาซื้อได้ตามกลุ่มคนรัก Digimon ราคาจะอยู่ช่วง 1,6XX ต่อเครื่อง ซึ่งราคาอาจจะแรงนิดหนึ่ง แต่สำหรับคนรัก Digimon และชอบเลี้ยงสัตว์ V-Pet ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การสะสมและเลี้ยงมันจ้า  
06 Jan 2021
[Unbox & Review] Digivice 2020 เปิดจักรวาลใหม่ อุปกรณ์ของเด็กที่ถูกเลือก
เครื่องเล่นพกพาแบบ Pixel ในตัวก็มีทำอยู่แค่สองซีรี่ส์หลักๆ ที่รู้จักกันคือ Tamagotchi และ Digimon ซึ่งทั้งคู่เป็นเครื่องเล่นประเภท Vitual Pet หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า V-Pet มันยังคงได้รับความนิยมที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มในสมัยก่อน เพราะยังไงซะมันก็อาจจะสู้เครื่องเล่นพกพายุคใหม่ๆ ที่เป็นจอสีหรือมือถือที่มีเกมมากมายให้เล่น แต่ทว่าทางบริษัท Bandai ผู้พัฒนาของเล่นและสร้างซีรื่ย์ Digimon ได้ดำเนินรุกการตลาดให้เข้าถึงเด็กรุ่นใหม่และรุ่นเดอะอย่างคนเขียนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเครื่องเล่นที่ผสมผสานแสงสีเสียงที่เรียกว่า Digivice รุ่นปี 2020 พร้อมกับทำอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 ควบคู่กัน ทำให้กระแสคนรักดิจิมอนกลับมาอย่างคึกคักและดึงดูดผู้สนใจดิจิมอนหน้าใหม่มาเพียบ และในอนาคต ก็จะมี V-pet รุ่นใหม่อย่าง Pendulum Z และ Vital Bracelet ที่จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Smart band แบบจอสีและการเลี้ยง Digimon เข้าด้วยกัน และบทความนี้เราไม่ได้มารีวิวเกม แต่มารีวิวตอบรับกระแสด้วยการ Unboxing และรีวิวเครื่องเล่นเกม Digivice รุ่น 2020 ให้คุณผู้ชมได้รับชมกันว่า เครื่องเล่นพกพานี้มันมีความน่าเล่นในยุคปัจจุบันมากขนาดไหนกัน ================================================== เริ่มแกะกล่องและทำความรู้จักกับ Digivice เสียก่อน ซึ่งขออธิบายในส่วนนี้ก่อนว่าเครื่องเล่นพกพาซีรี่ย์ Digimon จะมีสองประเภทนั้นก็คือ V-Pet ซึ่งเน้นพักไข่, เลี้ยงดูและเอาไปต่อสู้ ซึ่งรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบเควสต์หรือโคลอสเซี่ยมให้ต่อสู้เพื่อเอาชนะ, เก็บ Level และปลดล็อคเงื่อนไขลับภายในเครื่อง ส่วนอีกประเภทจะเรียกว่า Digivice ซึ่งดีไซน์จะมาจาก Digivice ภายในอนิเมะชั่น Digimon ภาคนั้นๆ โดยจะมีลูกเล่นที่เน้นการผจญภัยตามเนื้อเรื่องอนิเมะ และ Easter Egg ให้ไขความลับภายในเครื่อง ไม่เน้นการเลี้ยงดูและไม่มีวันหมดอายุขัยหรือตายแบบ V-Pet และส่วนที่รีวิวอันนี้คือ Digivice รุ่นปี 2020 ที่มีลูกเล่นเน้นการผจญภัยตะลุยด่านตามเนื้อเรื่องของอนิเมะ Digimon Adventure ภาค Reboot 2020 อันนี้คือตัว Package ที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นมาเลย แบบห่อกระดาษไขป้องกันรอยและสิ่งสกปรก ซึ่งพอแกะกระดาษสาออกไปก็จะเป็นกล่องสีขาวกันกระแทกอีกที ไม่ใช่ตัวกล่องของ Digivice จริงๆ หรือพูดง่ายๆ นี่แค่เป็นกล่องชั้นนอกสำหรับกันกระแทกเท่านั้น แต่พอแกะกระดาษสาและเปิด Package ชั้นนอกเท่านั้นแหละถึงกับอุทานว่า "ลุง Bandai จะห่อเยอะไปไหน" เพราะคุณจะได้เห็นตัวกล่องใส่ Digivice รุ่น 2020 จริงๆ ที่มีกระดาษสาห่ออีกชั้นข้างใน นับถือตัวลุงแกเลยว่าใส่ใจเรื่องการป้องกันการเป็นรอยระหว่างขนส่งจริงๆ พอแกะกระดาษสารอบที่สองออก คุณก็จะได้พบกับความ Premium ของตัว Package อย่างแท้จริง ลายบนกล่องเป็นเจ้าตัว Agumon ซึ่งเป็นมาสคอตของซีรี่ย์ Digimon ไม่ว่าจะภาคอนิเมะหรือในเกมก็ตาม ถอดมาก็เป็นตัวอักษรสีเงินสะท้อนแสงเขียนว่า "DIGIMON ADVENTURE" ดูเรียบหรูสุดๆ ส่วนข้างล่างก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "DIGIVICE" ภายในกล่องที่เห็นก็มีตัว Digivice ที่เป็นสีขาว ดูเหมือนไม่มีปุ่มอะไรให้กดเลย และฝ่าหลังที่โชว์ให้เห็น ดูจากสายตาแล้วมันมีขนาดใหญ่น่าจะทำออกมาในอัตราส่วน 1 : 1 แน่ๆ ใหญ๋กว่า Digivce รุ่น D-2 เสียอีก ด้านตัวกล่องทั้งสองข้างก็เขียนคำว่า "DIGIMON ADVENTURE" และคำว่า "DIGIVICE" เป็นสีเงินสะท้อนแสงสวยงาม และใต้ฝากล่องก็พบกับ Easter Egg อย่างแรกของตัว Package เลยนั้นก็คือ ภาพเหล่า Digimon คู่หูของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนเป็นลวดลาย Pixel สีขาว ทำให้เรานึกถึงวัยเด็กที่ได้เล่น Digivice รุ่น D-2 เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก่อนจะดูตัวเครื่อง Digivice เราก็ขอยกตัวพลาสติคกันกระแทกของตัวเครื่องออกเสียก่อน ใต้กล่องก็จะพบกับคู่มือการเปิดเครื่องเบื้องตน ซึ่งคราวนี้มาแปลกเพราะว่ามันเป็นคู่มือแบบย่อเท่านั้น ให้รู้ว่าตัวเครื่องใส่ถ่าน AAA จำนวนสามก้อน และสัญญาณแบตเตอร์รี่อ่อนว่าเป็นอย่างไร และควรเปลี่ยนตอนไหน ส่วนคู่มือวืธีเล่นตัวเต็มต้องใชมือถือ Scan QR Code อีกทีหนึ่ง ซึ่งเอาจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปดูก็ได้ ใช้วิธีงมโข่งเล่นเอาหลังเปิดเครื่องไปเลย ด้านข้างของใต้กล่องก็มี Easter Egg อีกส่วนหนึ่งนั้นก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคน เห็นแล้วทำให้เราคิดถึงอนิเมะชั่นภาคแรกที่เคยดูมากันเลย คราวนี้ก็ถือคอร์สหลักสักทีก็คือ ตัวเครื่องนั้นเอง หลักๆ จะมีสองส่วนด้วยกันคือ ตัวเครื่อง Digivice สีขาว มีรอบวงแหวนสีน้ำเงิน เขียนอักษรภาษา Digital World สีทองบนตัววงสีน้ำเงิน พร้อมจอแบบ Pixel ที่คุ้นเคยและฝ่าหลังปิดถ่านโดยใช้น็อตหัวสี่แฉกเป็นตัวยึด ส่วนแบตเตอร์รี่ที่ใช้ จะใช้ถ่านขนาด AAA ทั้งหมดสามก้อน หลังจากใส่ครั้งแรกให้กดปุ่ม Reset อยู่ตรงรูเล็กๆ เยื้องทางขวาของหลังเครื่อง ที่ต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มเข้าไปรูตรงนั้น ลองได้สัมผัสตัวเครื่องครั้งแรกก็เป็นอย่างที่คิด ตัว Digivice ใหญ่เต็มไม้เต็มมือมากเหมือนขนาด 1 : 1 จากในอนิเมะเลย และพอลองได้เปิดเครื่อง ก็มีไฟ LED แปดสี ซึ่งเป็นสีประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนสว่างรอบตัวเครื่องพร้อมตรา BANDAI เด่นขึ้นมากลางจอ Pixel ส่วนปุ่มกดนั้นดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วมีปุ่มให้กดสี่ปุ่ม ด้านซ้ายและขวามีอย่างละสองปุ่ม ตำแหน่งแถวเยื้องข้างบนและข้างล่าง ทั้งสองข้าง โดยเมื่อเรากดปุ่มใดก็ได้ เริ่มต้นจะมี Digimon ให้เลือกเล่นสองตัวระหว่าง Agumon และ Gabumon ซึ่งไม่ว่าเลือกตัวไหนก่อน เราก็จะได้เล่นทั้งสองตัวตั้งแต่แรก ไม่มีผลต่อการเล่นช่วงต้นเกมแต่อย่างใด คำสั่งปุ่มทั่วไปและเมนูต่างๆ Digivice รุ่น 2020 นี้อย่างที่บอกข้างต้นว่าดูเหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วปุ่มกดจะมีทั้งหมดสี่ตำแหน่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ ซึ่งปุ่มสัมผัมเป็นพลาสติคแข็งๆ และเมื่อกดลงไปมันมีเสียงคลิ๊กเด้งมือมากๆ ราวกับกดปุ่ม Machanical Keyboard แบบจังหวะเดียว ให้ความรู้สึกแตกต่างจากปุ่มยางที่เคยใช้ใน Digivice หรือ V-Pet รุ่นอื่นๆ โดยคำสั่งปุ่มต่างๆ มีฟังก์ชั่นการใช้งานดังนี้ ปุ่มที่ 1: ปุ่มเลื่อนขึ้นบนคำสั่งทั่วไปและย้อนหลังในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 2: ปุ่มเลื่อนลงบนคำสั่งทั่วไปและหน้าถัดไปในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 3: เป็นปุ่มสำหรับกดตกลงและเข้าหน้าเมนู ( จริงๆ ปุ่ม 1 2 และ 3 สามารถกดเข้าเมนูได้หมดบนหน้าหลัก ) ปุ่มที่ 4: เป็นปุ่มสำหรับยกเลิกเมนูและกดดู Emotion เล็กๆ ของ Digimon ทั้งสองตัวเมื่ออยู่หน้าหลักแบบสุ่มอารมณ์ เมื่อเข้าหน้าเมนู เมนูแรกที่จะเจอนั้นก็คือเมนู Status ซึ่งเป็นเมนูที่สามารถเข้าไปเช็คสถานะข้อมูลของ Digimon คู่หูของเราว่าเป็น Digimon ประเภทอะไร ลักษณะของสายเป็นแบบไหน ซึ่งปกติมีสามสายคือ Data, Virus และ Vaccine ซึ่งมีการแพ้ทางกันและกัน รวมไปถึงเช็คสถานะจำนวนที่ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ว่าชนะไปกี่ครั้ง ไปถึงระดับไหนแล้วซึ่งมีผลต่อการปลดระดับพัฒนาร่างในเมนู Quest ด้วย ถัดมาเป็นเมนู Quest ซึ่งมันคือโหมดตะลุยด่านอ้างอิงจากอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 เลย โดยจะมีด่านให้เล่นทั้งหมด 11 Stage และมี Stage ลับขอปลดล็อคอยู่อีก เมื่อเข้าไปในแต่ละ Stage จะมีด่านย่อยๆ ให้เล่นสิบด่านซึ่งด่านย่อนที่สิบจะเป็น Boss ประจำ Stage นั้นๆ หากเอาชนะได้ก็จะสามารถไป Stage ต่อไปได้นั้นเอง ส่วนวิธีการต่อสู้นั้น จะใช้วิธีการต่อสู้แบบ Roulette หรือหมุนวงล้อให้เกจพลังขึ้นสูงที่สุด ซึ่งหากทำได้ก็มีโอกาสชนะศัตรูได้มาก และมีโอกาสได้เจอ Cutscene ที่ Digimon คู่หูจะใช้ท่า Burst โจมตีศัตรูตายภายในครั้งเดียวและต้องกดปุ่มที่ 3 รัวๆ ให้เกจเต็มก่อนหมดเวลา ส่วนรายละเอียดการเล่นนั้น หากมีโอกาสได้ทำ Guide จะได้พูดถึงระบบนี้แบบละเอียดอย่างแน่นอน เมนูสุดท้ายของเครื่องนั้นก็คือ Setting ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากให้เราสามารถเลือกปิดหรือเปิดลูกเล่นไฟ LED และเสียงของตัวเครื่องสามารถปรับให้ปิดหรือเปิดได้เช่นกัน เหมาะกับกรณีไม่ชอบไฟที่แสบตาเกินไปหรือเสียงดังจนรบกวนคนอื่น Feature ต่างๆ ที่เป็นหัวใจของเครื่องนี้ Digivice รุ่น 2020 นี้ได้ตัดระบบการเขย่านับก้าวเดินที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของ Digivice ออกไป ซึ่งฟังแล้วน่าเสียดายมากๆ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยระบบเมนู Quest ที่มีด่านให้เล่นเยอะมากๆ ฉะนั้นเมื่อเราปล่อยจอเข้าสู่หน้าหลัก Digimon คู่หูของเราจะทำการขยับและเดินเล่นไปมาแบบนั้นพร้อมแสดงท่าทางดีใจให้เราเห็นด้วย เมื่อเรากดปุ่มที่ 4 หรือปุ่มยกเลิกเมื่ออยู่หน้าจอหลัก จะเป็นการแสดง Animation เล็กๆ ระหว่าง Digimon คู่หูทั้งสองตัวแบบสุ่ม จะเป็นทั้งดีใจด้วยกัน โกรธกัน หรือหลับด้วยกันซึ่งไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากให้เรากดดูเพลินๆ และ Digivice รุ่น 2020 นี้ไม่มีปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง ดังนั้นจึงใช้ระบบปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อไม่ได้เล่นช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยสังเกตจากการปล่อยเครื่องสักพัก Digimon คู่หูเราจะนอนหลับ และหลังจากนั้นไม่นาน เครื่องจะปิดหน้าจออัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอร์รี่ และนี่คือทีเด็ดของ Digivice รุ่นนี้เลยก็คือ เมื่อเราทำการวิวัฒนาการตอนต่อสู้ จะมีไฟ LED สว่างขึ้นมาโดยการพัฒนาแต่ละร่างจะมีการไล่ไฟเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และ Digimon คู่หูแต่ละตัวเมื่อพัฒนาร่างก็จะมีสีไฟที่ไม่เหมือนกันอีก โดยสีไฟจะแสดงเป็นสีต่างๆ ตามสีประจำตัวของ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ที่สำคัญเลยก็คือ หากพัฒนาร่างสุดยอดด้วยการ Jogress ระหว่าง WarGreymon และ MetalGarurumon จะเป็นไฟ LED วิ่งวนสองสีที่ดูสวยงามสุดๆ แต่แอบใช้เวลาแปลงร่างนานไปหน่อยนะ ยังไงก็ตามแลกกับความสวยงามของไฟถือว่ายินดีเลย หากไม่รู้สึกแสบตาไปเสียก่อนเพราะไฟมันสว่างมาก และอีก Feature หนึ่งที่เรียกว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเลยก็คือ ระบบ Emergency Enemy หรือระบบสุ่มเจอศัตรู โดยมีโอกาสสุ่มเจอเมื่อเราเอาชนะ Boss ประจำ Stage นั้นๆ ซึ่งข้อดีของมันก็คือ ตื่นเต้นมากๆ และจะได้เจอศัตรูที่เราเห็นแล้วจะต้องร้องพระเจ้าซึ่งหากชนะศัตรูพวกนี้ เราจะได้พวกเขามาเป็นพวก แต่หากแพ้ก็ต้องรอสุ่มกันต่อไป ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับคนที่อยู่ๆ มาเจออะไรแบบนี้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาจจะทำให้หงุดหงิดได้เช่นกัน ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการ Unboxing และ Review ของเครื่องเล่น Digivice รุ่น 2020 ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ดีต่อใจมากๆ สำหรับคนรักและสะสม Digimon หรือถึงแฟนบอยของ Digimon ที่ควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง ทำไฟ LED ที่มีลูกเล่นไล่ไฟตอนพัฒนาร่าง รวมถึงระบบ Quest ที่เข้ามาแทนที่การเขย่านับก้าวเดิน ก็เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นด้วยเหมือนกัน อีกทั้งด้วยสัดส่วนขนาดแบบ 1 : 1 และมีไฟตามแบบฉบับอนิเมะ ถ้าหากในแง่สะสมถือว่าคุ้มค่าอย่างมากหรือหากเอามาเล่นจริงจังให้เคลียร์เกมก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มกับเงินที่จ่ายไปราวๆ 3,XXX บาทเช่นกัน เพราะระดับความยากถือว่าทำเอาคนเขียนบทความหัวอุ่นใช้ได้เหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ การที่เอาระบบเขย่าออก มันทำให้เสน่ห์ของมันหายไปเยอะพอสมควร และไฟที่สว่างมากๆ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะแสบตาหรือไวต่อแสง และราคาค่อนข้างสูง หากเป็นคนที่ไม่ใช่แฟนบอยอาจจะมองว่าแพงก็ได้ หากใครชอบบทความนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้เยอะๆ เลยนะ และหากมีโอกาสได้ทำบทความ Digivice 2020 อีก ก็จะทำ Guide ระบบการเล่นระบบ Quest ให้อ่านกันนะ
06 Jan 2021
รีวิว BenQ EW3280U จอคอม 4K HDR ทำงานก็ดี ดูหนังก็ได้ เล่นเกมคือฟิน
ในปัจจุบันเชื่อว่าเกมเมอร์หลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งอยู่หน้าจอคอม ด้วยความที่ Microsoft ออกแบบให้ Window สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน, งานเอกสาร, งานกราฟิก, เล่นเกม, ท่องอินเทอร์เน็ต หรือรับชมสื่อบันเทิงต่างๆ มันจึงไม่แปลกอะไรหากหลายคนจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมหลายชั่วโมงในแต่ละวัน เมื่อไลฟ์สไตล์ของเราส่วนใหญ่เป็นการใช้เวลาไปกับหน้าจอของ PC มันคงไม่แย่นักถ้าหากจะหาจอมอนิเตอร์ดีๆ สักตัวมาใช้งานเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ ของเรา ซึ่งผมเชื่อว่า BenQ EW3280U ่ที่เรากำลังจะพูดถึงในบทความนี้คือจอที่มีคุณสมบัติครบถ้วน สำหรับการทำงาน, ดูหนัง และเล่นเกมครับ! ตัวผมเองได้มีโอกาสใช้งานมอนิเตอร์รุ่นนี้ไปประมาณหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่านี้คือจอ PC ที่หลายคนกำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน ส่วนว่าจอนี้ดียังไงเดี๋ยวเรามาดูกันครับ! คุณสมบัติทางเทคนิค ก่อนจะไปเริ่มว่าประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสเป็นยังไง ก่อนอื่นเรามาดูคุณสมบัติทางเทคนิคของจอตัวนี้กันก่อนครับ โดยผมได้ทำการแปะไว้ข้างล่างนี้แล้ว Display Screen Size : 32 Panel Type : IPS Backlight Technology : LED backlight Resolution (max.) : 3840x2160 Brightness : HDR off 350(typ)/HDR on 400 (min) Viewing Angle (L/R;U/D) (CR>=10) : 178/178 Response Time: 5ms (GtG) Refresh Rate : 60Hz Aspect Ratio : 16:9 Color Gamut : 95% DCI-P3 Audio Built-in Speaker : Stereo speaker 2W*2 + Woofer 5W *1 Headphone Jack : Yes จะสังเกตได้ว่า EW3280U เป็นจอที่มีความละเอียดที่สูงถึง 4K ซึ่งน่าจะเป็นระดับความละเอียดที่หลายคนกำลังตามหาอยู่ในตอนนี้ มีการใช้ Panel แบบ IPS ที่มาพร้อมกับค่า Color Gamut ที่สูงถึง 95% ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านี้คือจอที่จะทำให้ผู้ใช้งานได้พบกับประสบการณ์ภาพที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีสีสันที่สวยสดงดงามเป็นอย่างมากครับ จอตัวนี้มีลำโพงแบบ Stereo แถมมาด้วย โดยเท่าที่ได้ลองใช้งานฟังเพลงไฟล์ความละเอียดสูงหลายๆ ตัว พบว่าลำโพงที่มากับตัวจอนี้มีคุณภาพที่ใช้ได้เลย สามารถได้รับอรรถรสจากสื่อบันเทิงต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหมดกังวลเรื่องการเอาเจ้า EW3280U ไปดูหนังแล้วจะได้รับความสนุกไม่เต็มได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เนื่องด้วยความที่จอตัวนี้มีค่า Response Time อยู่ที่ 5ms และมี Refresh Rate อยู่ที่ 60Hz เท่านั้น ทำให้จอนี้ไม่เหมาะจะเอาไปใช้เล่นเกม FPS ที่ต้องการค่าทั้ง 2 สูงๆ ครับ แต่ถ้าหากปกติเพื่อนๆ เล่นเกมแบบ Single Player เป็นหลักอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงค่าทั้ง 2 ตัวดังกล่าวมากนัก แถมใช้จอตัวนี้เล่นน่าจะได้พบกับประสบการณ์ภาพที่ดีกว่ามากๆ แทนด้วย (เนื่องจากความละเอียดสูง และมีค่าสีที่ตรงมากๆ ) ข้อดีอื่นๆ ของจอตัวนี้ EW3280U มาพร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่อที่หลากหลายโดยแบ่งได้เป็น HDMI (v2.0)x2 DisplayPort (v1.4) x1 USB Type-C (PD60W, DP Alt mode) x1 จากพอร์ตการเชื่อมต่อที่หลากหลาย และหลายแบบ จึงทำให้ปัญหาเรื่องการไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากไม่รองรับสายจึงหมดไปในจอตัวนี้ และด้วยความที่ให้ HDMI มาถึง 2 พอร์ต จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่อทั้งคอมพิวเตอร์ กับเครื่องเล่นเกมคอนโซลเข้ากับจอตัวนี้ได้พร้อมๆ กัน (PS5 มีจุดขายที่การแสดงผลภาพแบบ 4K และจอตัวนี้ก็รองรับความละเอียด 4K ด้วยเช่นกัน จึงไม่มีปัญหาแน่นอนครับ) นอกจากพอร์ตการเชื่อมต่อที่มากมายแล้ว จอตัวนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี HDRi ที่จะทำให้เราได้สัมผัสกับภาพที่คมชัดรวมถึงสีที่สวยสดได้ไม่ยาก พอเอาไปรวมกับเทคโนโลยีเสียง treVolo ที่แถมมาด้วยเช่นกันแล้ว ทำให้ประสบการณ์ชมภาพยนตร์รวมถึงเล่นเกมเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมครับ ในเรื่องของการควบคุม ทาง BenQ เองก็ได้มีการเอาใจใส่เป็นอย่างดีแถมรีโมทควบคุมที่ทำให้สามารถสั่งการหน้าจอได้แบบง่ายๆ มาด้วย (ให้นึกภาพเวลาใช้รีโมททีวี แต่เป็นการใช้กับจอคอมพิวเตอร์แทน) ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะเปิดใช้งานระบบต่างๆ ของจอไม่เป็นเลย เนื่องจากทุกอย่างสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ครับ ประสบการณ์ตรง หลังจากใช้งานมาแล้วเป็นอย่างไร ? ในพาร์ทนี้ผมจะขอแบ่งออกเป็นประสบการณ์ 3 อย่างด้วยกันคึอ ใช้เล่นเกม, ใช้ดูหนัง และ ใช้งานทั่วไป เนื่องจากประสบการณ์ที่ได้รับจากทั้ง 3 ค่อนข้างจะแตกต่าง และมีขอดีรวมถึงข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้จำเป็นต้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มแบบนี้ โดยสามารถเริ่มอ่านได้ข้างล่างนี้เลยครับ ใช้งานทั่วไป การที่มีพอร์ตการเชื่อมต่อมาให้หลากหลายแบบนี้ ทั้งยังสามารถสั่งการทุกอย่างได้ผ่านรีโมท ก็คงต้องยอมรับว่า EW3280U ถือได้ว่าเป็นจอที่ดี ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง ด้วยขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ถึง 32 นิ้ว ก็ทำให้สามารถทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ง่ายครับ นอกจากการทำงานแล้ว การที่มีหน้าจอใหญ่ๆ แบบนี้ยังช่วยให้เราสามารถทำกิจกรรมหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ง่ายด้วย เช่นดู Youtube ไปพร้อมกับเล่น Facebook (แบ่งคนละครึ่งหน้าจอ), ดูหนังไปพร้อม กับ เล่นเกม, หรือจะเปิดพร้อมกัน 4 - 6 โปรแกรมเลยก็สามารถทำได้ ทำให้สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีข้อเสียทำจำเป็นต้องตำหนิอะไรจอตัวนี้เลย ใช้ดูหนัง ในประเด็นนี้เอาแบบตรงๆ คือผมไม่มีข้อตำหนิอะไรเลยแม้แต่น้อยครับ ด้วยความที่จอนี้มาพร้อมกับระบบภาพแบบ HDRi และระบบเสียง treVolo ไหนจะความละเอียดของภาพที่ได้สูงสุดถึง 4K อีก บอกได้คำเดียวว่าถ้าหากเพื่อนๆ สามารถหาไฟล์แบบ 4K มารับชมได้ ประสบการณ์ที่ได้มันจะยอดเยี่ยมมากจริงๆ ครับ ถ้าจะมีเรื่องข้อเสียเลย คงจะเป็นเรื่องที่ไฟล์หนังแบบ 4K ค่อนข้างหายากในแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องโหลดเอา ซึ่งไฟล์หนังที่มีความละเอียดถึง 4K ก็มักจะมีขนาดใหญ่มาก และอาจทำให้เพื่อนๆ พบกับปัญหา พื้นที่เก็บข้อมูลของเครื่องเต็มครับ ถ้ามีปัญหาคือเรื่องนี้เรื่องเดียวเลย ใช้เล่นเกม อย่างแรกเลยคือจอนี้มีทั้งค่า Response Time และ Refresh Rate ที่เท่ากับมอนิเตอร์ทั่วไป ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะที่จะเอาไปเล่นเกมสไตล์ Competitive อย่าง MOBA หรือ FPS ครับ แต่ถ้าหากเพื่อนๆ ปกติเล่นแต่เกมแนว Single Player หรือ RPG จอตัวนี้จะช่วยทำให้เราได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมีระบบภาพ HDRi ที่ช่วยให้เกมของเรามีสีสันที่สวยขึ้นครับ อีกหนึ่งขอดีคือการที่จอมาพร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่อที่มากมาย เราสามารถต่อเครื่อง PC และ PS5 กับคอมเครื่องนี้พร้อมกันได้ และสามารถสลับไปมาได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มจากรีโมทเท่านั้น ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องวางจอหลายตัวบนโต๊ะคอมของเราครับ หลังจากอ่านรีวิวกันไปแล้ว เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะกำลังสนใจจอตัวนี้ มีวางจำหน่ายอยู่ในราคา 23,900 บาท พร้อมกับการรับประกัน 3 ปี สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ผ่าน >>>ลิงก์นี้<<< ซึ่งเรียกได้ว่าไม่แพงจนเกินไปเลยเมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ สำหรับใครที่อยากได้จอสำหรับเล่นเกม ที่ไม่ต้องการค่า Response Time และ Refresh Rate ที่สูงผมเชื่อว่าเจ้า BenQ EW3280U จะตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างแน่นอนครับ
25 Dec 2020
Final Review: Cyberpunk 2077
หลังจากที่ปล่อยให้ผู้เล่นเฝ้ารอกันมาเกือบสิบปี นับตั้งแต่ที่เกมประกาศเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2012 บวกกับความคาดหวังในฝีมือและคำสัญญามากมายของผู้พัฒนา CD PROJEKT RED เกี่ยวกับความลึกล้ำของเกมที่พวกเขาต้องการจะสร้าง คงเป็นเรื่องธรรมดาที่เกม Cyberpunk 2077 จะต้องแบกรับความคาดหวังมโหฬารจากเกมเมอร์ทั่วโลกในฐานะเกม RPG โลกเปิดที่จะยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่นในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หลังจากที่เล่นเกมมาเป็นเวลาเกือบ 40 ชั่วโมงจนจบเนื้อเรื่อง ถ้าถามว่าเกม Cyberpunk 2077 นับเป็นเกมที่จะพลิกความคาดหวังของผู้เล่นอย่างที่หลายคนอยากเห็นหรือไม่ คำตอบที่มอบได้คงเป็น “ไม่” ด้วยระบบเกมเพลย์ที่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ใหม่หรือน่าตื่นตาไปกว่าที่เคยเห็นมาในเกมอื่นนัก ถ้ามองโครงสร้างของเกมในภาพใหญ่ Cyberpunk 2077 ก็คงไม่ได้ต่างจากเกม RPG โลกเปิดอย่าง Fallout หรือ Mass Effect มากขนาดนั้น ด้วยความเป็นเกม RPG ที่ให้ความสำคัญกับระบบบทสนทนา แต่ในขณะเดียวกับ เกม Cyberpunk 2077 ก็เปรียบเสมือนจุดสูงสุดของการออกแบบเกม Open World ทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยโลกที่ละเอียดและน่าค้นหาที่พร้อมจะเซอร์ไพรส์เราด้วยเรื่องราวอันหลากหลายทั้งอารมณ์และรสชาติเกี่ยวกับชีวิตในมหานคร Night City เมืองแห่งอนาคตและอิสระที่สวยงามและโสมมในเวลาเดียวกัน ทั้งยังมีระบบเกมเพลย์ที่สนับสนุนให้ผู้เล่นแต่ละคนได้มีโอกาสแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง และให้รางวัลกับคนที่ยินดีจะเรียนรู้ระบบ RPG อันซับซ้อนนี้จริงๆ      แม้จะไม่ใช่เกมที่จะกลายเป็นตำนานชั่วข้ามคืน แต่ Cyberpunk 2077 ก็เป็นผลลัพธ์ของการขัดเกลาระบบเกมเพลย์หลายๆ อย่างที่เห็นในวงการเกมในยุคที่ผ่านมาจนเปล่งประกาย และถือเป็นหนึ่งในเกม RPG ที่ดีและลึกเป็นอันดับต้นๆ ในรอบหลายปีมานี้อย่างแน่นอน *อ่านรีวิวช่วงต้นเกม (คลิ๊ก) และรีวิวอัปเดท 1 (คลิ๊ก) เพื่ออ่านความเห็นและรับชมภาพบทบรรยายไทย ตำนานที่มีชีวิต สำหรับคนที่อาจไม่ทราบ เกม Cyberpunk 2077 จะติดตามตัวละครเอกที่ชื่อ ‘V’ ทหารรับจ้างหน้าใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นตำนานในมหานคร Night City บ้านเกิดของเขา แต่หลังจากที่ภารกิจหนึ่งของเขาเกิดผิดพลาดขึ้นมาอย่างร้ายแรง ทำให้ V ถูกปลูกถ่ายจิดสำนึกของนักร๊อคและ “ผู้ก่อการร้าย” ในตำนานอย่าง Johnny Silverhand เอาไว้ในหัว และทำให้จิตสำนึกแปลกปลอมนั้นค่อยๆ กัดกินสมองของเขาไปเรื่อยๆ โดย V จะต้องแข่งกับเวลาเพื่อหาวิธีรักษาชีวิตตัวเอง พร้อมกับไขปริศนาเบื้องหลังภารกิจอันผิดพลาดนั้น อย่างที่น่าจะพอทราบกันดีจากรายงานของสื่อต่างชาติที่มีเวลารีวิวเกมมากกว่าผู้เขียน เนื้อเรื่องของเกม Cyberpunk 2077 จะค่อนข้างสั้น และสามารถเล่นให้จบได้ในระยะเวลาไม่เกิน 20-25 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งจากที่เล่นมาก็ดูจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะพอผู้เขียนตัดสินใจนั่งเล่นเนื้อเรื่องอย่างเดียวเพื่อให้จบเกมเร็วที่สุด ก็พบว่าที่รู้สึกเหมือนอยู่กลางๆ เรื่องมันใกล้จะจบแล้ว และเล่นต่อไปอีกไม่เยอะก็พบฉากจบแล้ว โดยถ้าให้วิจารณ์ในแง่ของภารกิจเนื้อเรื่องเพียวๆ ก็คงต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม Cyberpunk 2077 เขียนบทมาได้อย่างเข้มข้นและน่าติดตาม พร้อมกับมีตัวละครที่ล้วนมีแง่มุมที่น่าสนใจของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นหรือแตกต่างจากเกม RPG ที่มีตอนจบหลายแบบที่เคยเล่นมา แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ คือการที่เนื้อเรื่องของเกมสามารถเปลี่ยนแปลงและขยายขอบเขตของตัวเองไปได้ตามเนื้อหาเสริมที่เราเล่น ถ้าให้อธิบายโดยไม่สปอย ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นภารกิจเสริมอันหนึ่งจาก NPC ในเนื้อเรื่อง โดยภายในภารกิจผู้เขียนในฐานะ V ก็ได้มีโอกาสคุยเปิดใจกับตัวละครตัวนั้นอย่างลึกซึ้งถึงความเชื่อและความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ จนเหมือนจะช่วยคลายปมในใจบางอย่างให้กับ NPC ตัวนั้นได้ เป็นบทสนทนาที่น่าสนใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะสำคัญอะไรต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้น แต่เมื่อไปถึงช่วงใกล้ๆ จบเนื้อเรื่อง ผู้เขียนก็ได้พบกับทางเลือกหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าต่อยอดมาจากทางเลือกที่ว่านี้ โดยตัวละครดังกล่าวเป็นคนพูดออกมาเองว่าถ้าไม่ได้มีบทสนทนานั้น ก็คงไม่ได้นำมาสู่เรื่องราวเช่นนี้ หมายความว่าถ้าไม่ได้เล่นภารกิจเสริมที่ว่านั้น ตอนจบของผู้เขียนก็อาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่ายังมีอีกกี่ภารกิจเสริมที่จะส่งผลต่อตอนจบได้แบบนี้อีก แต่ก็หมายความว่ายิ่งเราทำภารกิจเสริมมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะภารกิจเสริมที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสได้พบกับตอนจบหลากหลายขึ้นเท่านั้น มาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยว่าแล้วมันต่างกับที่พบในเกมอย่าง Fallout 4 อย่างไร? ก็ต้องบอกว่าแม้ในภาพใหญ่อาจไม่ต่างมาก แต่วิธีที่ Cyberpunk 2077 ผูกโยงเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกันต่างหากที่ทำให้เกมรู้สึกน่าทึ่ง เหตุการณ์ที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องอย่างเป็นนัยยะสำคัญไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆ เท่านั้น แต่บางครั้งแค่บทสนทนาธรรมดาๆ เกี่ยวกับชีวิตก็อาจย้อนกลับมามีความสำคัญในแบบที่ไม่ได้จินตนาการเอาไว้ในตอนแรก ทำให้ Cyberpunk 2077 รู้สึกมีความเป็น “มนุษย์” หรืออาจะเรียกว่าความ “เป็นธรรมชาติ” (ถ้าเป็นภาษาอังกฤษคงใช้คำว่า ‘organic’) ในแบบที่เกมปลายเปิดลักษณะเดียวกันเทียบไม่ติดเลย เมื่อมนุษย์คืออาวุธที่น่ากลัวที่สุด แม้ว่าการต่อสู้ของ Cyberpunk 2077 จะค่อนข้างจำกัดในชั่วโมงแรกๆ ของเกม (เอาจริงๆ ก็เป็นสิบชั่วโมงอยู่เหมือนกัน) ที่ผู้เล่นยังเข้าไม่ถึงอาวุธและ Cyberware ที่น่าสนใจ และรู้สึกไม่ค่อยต่างจากเกมแอคชั่น FPS ทั่วไปเท่าไหร่ แต่เกมก็เริ่มเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่นเช่นกัน ยิ่งผู้เล่นสามารถปลดล๊อค Perk และ Cyberware ได้เยอะเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเปิดทางเลือกให้กับผู้เล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความน่าสนใจอีกอย่างของเกมอยู่ที่ระบบการพัฒนาตัวละคร ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครได้ตามใจอยากแค่จากการเล่นเกมตามที่อยากเล่น เพราะนอกจากระบบ Perk และ Attribute ที่จะพัฒนาขึ้นตามการอัปเลเวลแล้ว ยังมีระบบความชำนาญที่จะมอบโบนัสต่างๆ ให้ผู้เล่นตามการกระทำของเราอีกด้วย อย่างผู้เขียนค่อนข้างจะเน้นการอัปเกรด Attribute Reflex (การตอบสนอง) ที่ทำให้ผู้เขียนได้รับโบนัสจากการใช้อาวุธดาบ แต่เมื่อเล่นเกมไปเรื่อยๆ ก็พบว่าต้องใช้การแฮ๊คเยอะ ทำให้ผู้เขียนได้รับความชำนาญในด้านนั้นเพิ่มขึ้นตลอดที่เล่น และทำให้ได้รับโบนัสสำหรับทักษะการแฮ๊คไปด้วย แน่นอนว่าสุดท้ายทุกอย่างก็ยังขึ้นกับค่า Attribute ที่จะกำหนดว่าเราจะอัปเกรด Perk อะไรได้บ้าง จากการทดลองเล่นในระดับความยากปานกลาง พบว่าระดับความท้าทายของเกมโดยรวมจะค่อนไปทางง่ายซะมากกว่าโดยเฉพาะเมื่อเราอัปเกรดตัวละครไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของผู้เขียน ได้เลือกที่จะเน้นไปที่ความสามารถด้านการใช้ดาบควบคู่กับ Perk สายร่างกายที่ทำให้ถึกทนและฟื้นฟูพลังชีวิตเร็วขึ้น ซึ่งพออัปเกรดทั้งของสวมใส่และ Perk ถึงจุดหนึ่งก็พบว่าแทบจะสามารถวิ่งฝ่ากระสุนเข้าไปฟันหัวศัตรูทีละตัวโดยแทบไม่ต้องกลัวตายเลย แม้จะยอมรับว่าสะใจยิ่งนัก แต่ก็ทำให้เกมช่วงท้ายๆ รู้สึกง่ายไปเลยเช่นกัน จุดอ่อนอย่างหนึ่งของเกมมาจากการที่อาวุธและ Cyberware ที่ส่งผลต่อเกมเพลย์มากๆ มักจะถูกกันออกไปไว้ช่วงท้ายหมดเลย ไม่ว่าจะเพราะต้องการระดับ Street Cred สูง หรือไม่ก็ต้องใช้ Attribute สูงระดับหนึ่ง ส่งผลให้เกมเพลย์ช่วงต้นๆ รู้สึกธรรมดาๆ ไปซะหน่อย และกว่าจะเริ่มรู้สึกว่ามันเปิดกว้างให้เรามากขึ้นก็ปาไป 20 ชั่วโมงแล้วสำหรับผู้เขียน ซึ่งถ้าใครไม่ทำภารกิจเสริมเลย หรือทำน้อย เผลอๆ จะเล่นเนื้อเรื่องจบก่อนจะได้ลองใช้ Cyberware เท่ๆ เลยด้วยซ้ำ มหานครแห่งแสง สี และ RTX อีกหนึ่งแรงขับสำคัญเบื้องหลังความน่าทึ่งของเกมคงหนีไม่พ้นกราฟิกและการนำเสนอ ที่ทำให้เมือง Night City รู้สึกเป็น “โลกที่มีชีวิต” อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในเกมไหนๆ ซึ่งในจุดนี้ต้องกล่าวชมทีมออกแบบของผู้พัฒนา CD PROJEKT RED มากๆ ที่สามารถทำให้โลกของเกม Open World นี้รู้สึกละเอียดไม่ต่างจากเกมแนวเส้นตรงหลายเกมที่ผ่านมา จนไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนทุกกระเบียดนิ้วของเมือง Night City ถูกออกแบบและจัดวางมาอย่างตั้งใจ ทำให้เมืองรู้สึกมีเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ในแบบที่คล้ายกับสถานที่จริงอย่างไรอย่างนั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือการที่แต่ละเขตจะมีบุคลิกที่ชัดเจนมากๆ ของตัวเอง ที่สะท้อนออกมาทั้งทางการออกแบบถนนหนทางและอาคาร ไปจนถึงการแต่งตัวของประชากรและอาชญากรในเขตนั้นๆ เปรียบเสมือนกับว่าแต่ละเขตเป็น “เมือง” ย่อมๆ ในเกม RPG แฟนตาซีที่มักจะมีธีมและเนื้อเรื่องของตัวเอง โดยแต่ละเขตในเมือง Night City ที่เราเยี่ยมเยียมจะมี NPC ที่เรียกว่า Fixer คอยมอบงานให้เรา ซึ่งงานเหล่านี้ก็มักจะแสดงออกถึงวิถีชีวิตของแต่ละเขตอีกด้วย ทำให้รู้สึกราวกับว่าเกมมีเรื่องราวใหม่ๆ มานำเสนอให้เราตลอดเวลา แม้กระทั่งเมื่อจบเนื้อเรื่องไปแล้วกลับมาเล่นก็ตาม  สำหรับการรีวิว ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมบนเครื่อง PC ที่มีการ์ดจอ RTX 2060 และ 16GB RAM โดยเล่นเกมส่วนใหญ่ที่การตั้งค่ากราฟิก Preset Ray Tracing - Medium ซึ่งพบว่าเกมสามารถแสดงผลได้ที่ประมาณ 40-45 FPS (ตกไปถึง 35 เวลาบู๊ๆ) และสามารถดันได้ถึง RTX Ultra แลกกับเฟรมเรต 30 FPS ซึ่งถือว่าดีกว่าที่คาดเอาไว้ประมาณหนึ่ง คนที่กลัวว่าคอมพิวเตอร์ของตัวเองจะเล่นเกมไม่ไหวไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วง ตราบใดที่มีคอม Spec ขั้นต่ำคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหากับการเล่นเกม (ตั้งค่าได้เท่าไหร่อีกเรื่องหนึ่ง) อีกอย่างที่ต้องไม่ลืมคือเกมเวอร์ชั่นทีเล่นเพื่อรีวิวนี้ยังไม่ได้อัปเดทแพทช์ Day One ที่ว่ากันว่าจะปรับปรุงการทำงานของเกม แถมยังไม่ได้อัปเดท Driver ของการ์ดจอ และมีซอฟต์แวร์ Denuvo Anti-Tampering มาฉุดเฟรมเรตของเกมลงอีก โดยเชื่อได้ว่าเกมเวอร์ชั่นที่ผู้เล่นทุกคนได้รับการน่าจะมีปัญหาน้อยกว่าเวอร์ชั่นที่ผู้เขียนเจอ  สรุป แม้จะไม่ใช่เกมที่เปรียบเสมือนตัวแทนแห่ง Next-Gen ที่หลายคนหวังจะเห็น แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตำหนิเลยสำหรับ Cyberpunk 2077 เกมที่เปรียบเสมือนร่างสุดยอดของแนวคิดการออกแบบเกม Open World โดยรวมตลอดทศวรรตที่ผ่านมา ที่ทั้งสนุกและน่าหลงใหลได้ไม่รู้จบ ราวกับการนั่งดูซีรี่ส์ไซไฟดราม่าเข้มข้นหลายซีซั่นในเกมเดียว ที่สำคัญคือเกมเป็นเกมที่ยิ่งให้เวลาสำรวจโลกของเกมได้เท่าไหร่ ก็จะยิ่งเปิดกว้างและหลากหลายขึ้นเท่านั้น หากคุณเคยเล่นเกม Open World อะไรก็แล้วแต่ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาแล้วชอบ เชื่อได้เลยว่า Cyberpunk 2077 จะมีอะไรให้คุณแน่นอน
09 Dec 2020
Review-In-Progress: Cyberpunk 2077 อัปเดท 1 (8/12/20) [NO SPOILER]
เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถเพิ่มส่วนอัปเดทลงไปในบทความเดิมได้ ใครที่สนใจอยากอ่านความเห็นจากช่วงต้นเกม สามารถอ่านได้ ที่นี่ Update 1: 8/12/20 ยุคนี้ใครเค้าเล็งปืนกัน! จากที่คราวที่แล้วผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจกับการต่อสู้ จากการที่เกมช่วงที่เล่นยังมักจะมีแต่ปืนและอาวุธแบบมนุษย์ธรรมดาๆ แม้ว่าศัตรูจะยังไม่ได้เปลี่ยนไปนักในเวลาเกือบสิบชั่วโมงที่ผู้เขียนเล่นเพิ่มเติม แต่ปืนที่ได้รับมาเริ่มจะพิศดารมากขึ้นแล้ว เช่นปืน Smart Gun ที่เราเห็นในตัวอย่างเกมที่ผ่านมาที่จะปล่อยกระสุนนำวิถีไปโจมตีศัตรู หรือปืนสไนเปอร์ Nekomata ที่สามารถยิงทะลุกำแพงจากระยะไกลได้ และอาจจะด้วยการพัฒนาความสามารถสายแฮ๊คกิ้งมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าการต่อสู้และลอบเร้นในเกมมีความหลากหลายกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรกอีกด้วย ผลเสียอย่างหนึ่งของการที่ตัวละครของผู้เขียนพัฒนาขึ้นแต่ศัตรูส่วนใหญ่ไม่ได้พัฒนาตามเท่าไหร่ ทำให้การต่อสู้ในช่วงนี้เริ่มรู้สึกง่ายขึ้นไปเยอะ เรียกว่าผู้เขียนแทบจะวิ่งฝ่ากระสุนเข้าไปเอาดาบเสียบศัตรูได้เรียงตัวแล้ว แต่ก็เริ่มจะได้เห็นศัตรูแปลกๆ บ้างในฐานะมินิบอส เช่นศัตรูตัวหนึ่งที่ใส่ Cyberware เพิ่มความเร็วจนวิ่งหลบกระสุนได้ หรือศัตรูที่จะพยายามแฮ๊คเราซะเองพร้อมกับวิ่งเข้ามาโจมตีระยะประชิด ผู้เขียนมักต้องเปลี่ยนวิธีเล่นกลางคันเพื่อรับมือกับศัตรูเหล่านี้เสมอ ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้ท้าทายขึ้นมาบ้าง แม่ในภาพรวมจะยังถือว่า Cyberpunk 2077 (อย่างน้อยในระดับความยากปานกลางที่ผู้เขียนเล่น) น่าจะเป็นเกมที่ค่อนไปทางง่ายสำหรับผู้เล่นหลายๆ คน  โดยรวมก็ต้องบอกว่าการต่อสู้เริ่มมีความสร้างสรรค์และปลายเปิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้เกมง่ายขึ้นไปด้วย นี่ถ้าซื้อ Cyberware โหดๆ มาใส่ได้เมื่อไหร่น่าจะล้างบางศัตรูได้สบายๆ ผลบุญผลกรรมมันหนีกันไม่พ้น ในส่วนของทางเลือก ผู้เขียนเริ่มจะได้เห็นผลของทางเลือกและการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้บ้างแล้ว และได้รับเควสที่ดูเหมือนจะผูกกับเนื้อเรื่องของ Lifepath โดยเฉพาะอีกด้วย หลังจากที่เริ่มเล่นเกมต่อจากที่เล่นค้างไว้ได้ไม่กี่ชั่วโมง ผู้เขียนได้รับการติดต่อจาก NPC คนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะรู้จักกับ V อยู่แล้ว เมื่อไปเจอตัวเธอเข้าจริงๆ จึงจำได้ว่าเธอคือ NPC หญิงสาวที่ผู้เขียนช่วยชีวิตเอาไว้ในอีกภารกิจหนึ่งที่ทำตั้งแต่ตอนเริ่มเกมเลย! แถมตอนสนทนากัน เธอยังเอ่ยถึงทางเลือกของผู้เขียนในภารกิจนั้นๆ ด้วย โดยในจุดนี้ไม่ค่อยมั่นใจว่าถ้าตอนที่เล่นภารกิจเลือกทางเลือกอีกแบบจะได้เจอเธออยู่ไหม แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นรายละเอียดสนุกๆ ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าควรจะใส่ใจกับทางเลือกในแต่ละสถานการณ์ยิ่งกว่านี้อีก ในส่วนของ Lifepath ผู้เขียนได้รับการติดต่อมาจาก NPC ตัวหนึ่งที่เคยเจอกันครั้งแรกในช่วงเนื้อเรื่องของ Lifepath Corpo ตั้งแต่ต้นเกมเลย โดยเขาบอกตัวละคร V ว่าเขากำลังโดนเจ้านายหมายหัวอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูมาตั้งแต่ตอนที่คุยกับเขาครั้งแรกในเนื้อเรื่องตอนต้นเลย แถมเช่นเดียวกับตัวอย่างด้านบน เขายังเอ่ยถึงรายละเอียดที่คุยกันก่อนหน้านี้อีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนั้น แม้ว่าตัวอย่างที่ยกมาจะเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ (จริงๆ มีเหตุการณ์ใหญ่กว่านี้แต่ไม่อยากสปอย) แต่แค่รายละเอียดเหล่านี้ก็ช่วยเสริมความรู้สึกว่าเรื่องราวของ V มันเป็นของผู้เล่นแต่ละคนโดยเฉพาะจริงๆ และการกระทำทุกอย่างของเรา แม้จะดูเหมือนเล็กน้อยหรือไม่มีความหมาย แต่เราไม่รู้เลยว่าจะย้อนกลับมาหาเราในรูปแบบใดได้บ้าง ภารกิจเยอะ ข้อมูลน้อย อีกหนึ่งปัญหาที่ผู้เขียนเริ่มสังเกติชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือการที่เกมค่อนข้างมีปัญหาในการสื่อสารข้อมูลให้ผู้เล่น แม้ว่าเกมจะมีระบบมากมายที่ลึกซึ้งและสัมพันธ์กันในระดับที่น่าทึ่ง แต่เกมกลับไม่ค่อยสอนหรือแนะนำอะไรกับผู้เล่นเท่าไหร่เลย และกระทั่งเรื่องที่ควรจะง่ายอย่างการหาคำตอบว่า “เราสามารถรีเซ็ตค่า Stat และ Perk ทำอย่างไร” กลับเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าผู้เล่นต้องหาเอาเอง (ผู้เขียนยังหาไม่เจอ) อีกจุดที่น่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้ในแง่ของข้อมูลคือหน้าต่างภารกิจของเกม ด้วยความที่เกมตั้งอยู่ในโลกอนาคตที่ทุกคนมีมือถือ (หรือสื่อสารกันผ่าน Cyberware) ผู้เล่นจะไม่ต้องเดินไปคุยกับ NPC หรือกระดานข่าวเพื่อรับภารกิจอีกต่อไป แต่ NPC เหล่านั้นจะ้วิธีส่งข้อความหรือโทรมาหา V โดยตรง ทำให้เรามักจะมีภารกิจเสริมน้อยใหญ่อยู่เต็มหน้าตลอดเวลา ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเรามักไม่มีทางรู้ได้เลยว่าของรางวัลจากการทำภารกิจแต่ละอันจะมีอะไรบ้าง หรือว่าภารกิจนี้จะพัฒนาเนื้อเรื่องของใครบ้าง ซึ่งก็ทำให้ตัดสินใจค่อนข้างยากว่าจะทำภารกิจไหนก่อนดี ในบางช่วงเราอาจจะกำลังอยากเก็บเงิน แต่ก็ไม่รู้ว่าภารกิจไหนบ้างที่ทำแล้วจะได้เงิน บางทีเราอยากอัปเลเวลตัวละคร แต่ไม่รู้ว่าภารกิจไหนให้ค่าประสบการณ์ หรืออันไหนให้ค่า Street Cred แทน ทำให้การเล่นภารกิจเพื่อเป้าหมายเฉพาะบางอย่างทำได้ยาก และส่วนใหญ่ผู้เขียนก็มักจะแค่เลือกภารกิจที่ใกล้ที่สุดแล้วตรงไปที่นั่น แต่ก็ทำให้รู้สึกขาดตอนได้เหมือนกันเวลาที่เพิ่งเล่นภารกิจบู๊ๆ มาแล้วมาเจอภารกิจเน้นคุยอย่างเดียว ชีวิตมัวๆ ที่ไม่มีวีรบุรุษ อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากพูดถึงคือตัวละครที่เราสามารถพบได้ในเกม โดยเฉพาะเหล่าตัวละครที่มีบทบาทในเนื้อเรื่อง ที่ล้วนมีมิติที่น่าค้นหาของตัวเอง แม้ในช่วงต้นเกมจะรู้สึกเหมือนยังไม่ค่อยมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กับ NPC เหล่านี้นักนอกเหนือไปจากในภารกิจเนื้อเรื่อง แต่พอเริ่มได้ใช้เวลาและเรียนรู้ภูมิหลังของพวกเขามากขึ้น ก็พบว่าตัวละครหลายตัวมักมีอะไรน่าสนใจจะพูดหรือเล่าให้ฟังเสมอ และบ่อยครั้งมักเป็นเรื่องที่ช่วยเสริมเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหรือช่วยพัฒนาตัวละครให้ลึกขึ้น แม้ในเกม RPG ส่วนใหญ่ผู้เขียนอาจจะชอบข้ามตัวเลือกบทสนทนาที่ไม่ได้ดำเนินเนื้อเรื่องต่อ (ในเกมนี้จะเป็นสีฟ้า ส่วนที่ดำเนินเนื้อเรื่องจะเป็นสีเหลือง) แต่ในเกมนี้ มักจะต้องเลือกฟังตัวเลือกบทสนทนาทั้งหมดก่อนจะดำเนินเรื่องต่อไปเสมอ แถม: สำหรับคนที่อยากเห็นภาพซับไทยมากกว่านี้ อังกฤษ: ไทย: เอาจริงๆ ถามว่าซับไทยรู้เรื่องแค่ไหน ก็คงบอกว่ารู้เรื่องซัก 85-90% นั่นแหละ อีก 10-15% ก็น่าจะพอตีความจากบริบทได้ แต่สิ่งที่เป็นจุดอ่อนจริงๆ คือการคงอารมณ์ความรู้สึกของบทเดิมเอาไว้ ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะไม่ติดขัด แต่เผอิญว่าผู้เขียนเป็นคนติดอ่านซับด้วย เวลาเปิดซับไทยก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะอ่านตาม พอไม่ตรงกับเสียงอังกฤษขึ้นมาก็ทำให้เสียอารมณ์เวลาเล่นได้ แต่เชื่อว่าสำหรับผู้เล่นอีกส่วนใหญ่ๆ น่าจะไม่มีปัญหากับซับไทย แต่ให้ระวังคำแปลหน้าเมนูเช่นในตัวอย่างบนก็พอ สรุปอัปเดท 1: ตอนนี้ยังไม่ได้ Cyberware มาใช้ (เงินไม่พอซื้อ) แต่เริ่มได้อาวุธใหม่ๆ มากขึ้น เริ่มสนุกขึ้นกว่าช่วงต้นๆ เกม / เนื้อเรื่องเริ่มผูกโยงกับการกระทำของผู้เล่นมากขึ้น เริ่มเห็นผลของทางเลือกก่อนหน้านี้ / เกมไม่ค่อยให้ข้อมูลเท่าไหร่ทำให้วางแผนการเล่นยาก อยากฟาร์มเงินก็ไม่รู้ภารกิจไหนให้เงิน อยากฟาร์มของก็ไม่รู้ภารกิจไหนให้ของ
08 Dec 2020
รีวิว Immortals Fenyx Rising นักรบสุดแกร่งช่วยเหลือทวยเทพปราบมหาปีศาจไททัน
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2020 เดือนที่วงการเกมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีวีดีโอเกมต้องเจอศึกหนัก เพราะเป็นปีที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การพัฒนาเกมดังหลาย ๆ เกม รวมไปถึงสายการผลิตเครื่องเกมคอนโซล หรือ อุปกรณ์ไอทีมีการชะงักอยู่หลายเดือนด้วยกันค่ะ แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมากับเกมที่มีชื่อว่า “Immortals Fenyx Rising” ผลงานจากทีมผู้พัฒนา Ubisoft Quebec หนึ่งในลูกทีมของค่าย Ubisoft ซึ่งตัวเกวลินเองก็จับตามองเกมนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้วเหมือนกันค่ะ วันนี้เลยจะมาขอรีวิวเกมนี้ให้เพื่อน ๆ    เนื้อเรื่องที่น่าติดตามแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ( ที่บางทีก็เยอะไปนิ๊ดนึง ) เนื้อเรื่องภายในเกมพูดถึงเทพ 2 ตนประกอบไปด้วย Prometheus เทพไททันผู้ที่ขโมยไฟลงมาให้มนุษย์ได้รู้จักแล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และ Zeus เทพเจ้าสายฟ้าผู้ปกครองแห่งโอลิมปัสและเป็นบิดาแห่งทวยเทพและเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย พวกเขาต้องตัดสินใจหาคนมาช่วยโลกใบนี้เหมือนจู่ ๆ เกาะทองคำ หรือ “Golden Isle” ได้ถูก “Typhon” ไททันที่ทรงอานุภาพได้ใช้พลังของตนทำลายดินแดน ปลุกปีศาจในตำนานขึ้นมาสังหารผู้คนไปจำนวนมาก อีกทั้งมันยังได้บุกไปจัดการเหล่าทวยเทพปิดผนึกเอาไว้ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาเท่านั้น สิ่งเดียวที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเลือกก็คือ “ค้นหานักรบที่จะมาช่วยเหลือโลกมนุษย์ให้รอดพ้นจากปีศาจร้าย” เราจะได้รับบทเป็น “นักรบกรีนนามว่า Fenyx” ผู้ที่รอดชีวิตจากเรืออับปางกลางมหาสมุทร เขาหรือเธอได้ขึ้นมาบนเกาะทองคำแห่งนี้แล้วพบว่าผู้คนและเหล่าทหารต่างถูกสาปให้กลายเป็นหิน แถมพี่ชายก็ถูกสังหารทำให้เธอต้องหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้ แต่ในระหว่างนั้นก็ได้พบกับ “Hermes” หนึ่งในเทพที่รอดชีวิตจากการตามล่าของสมุน Typhon เขาได้พบเธอได้เจอกับอาวุธแห่งทวยเทพมากมาย ในระหว่างนั้น Prometheus กับ Zeus ก็ได้แต่ชี้ทางเพื่อให้ Fenyx ค้นพบพลังแห่งเทพแล้วนำมันไปใช้ในการปราบปีศาจแล้วสังหาร Typhon ส่งมันกลับไปในที่ที่มันจากมาเพื่อนำความสงบสุขกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง! ต้องบอกว่าการเล่าเรื่องของเกม Immortals Fenyx Rising ทำออกมาได้ดีมากเลยค่ะ เป็นการผสมผสานระหว่างฉาก CG ของการพูดคุยตัวละคร และ การเล่าเรื่องผ่านภาพวาดเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเกม เนื้อเรื่องของเกม ทำให้มันเป็นหนึ่งจุดที่แข็งแกร่งของเกมนี้เหมือนกัน แต่สิ่งที่มันเป็นจุดแข็งก็มีจุดอ่อนเล็ก ๆ ซ่อนอยู่นั้นก็คือ “ความเล่นใหญ่ของตัวละครภายในเกม” มีหลายครั้งที่เราจะเห็นบทสนทนาของตัวละครภายในเกมที่มักจะพูดติดตลกเยอะไปหน่อย จนบางครั้งมันทำให้ธีมของเกมนี้ลดลงไปจากเดิมมาก ถ้าจะบอกว่าก็เกมเขาอยากเล่าให้มันดูสนุก มันดูฮา มันก็ฟังเข้าท่าอยู่ค่ะ แต่ถ้ามากไปมันก็อาจจะเป็นจุดที่คนเล่นไม่ชอบได้เหมือนกันนะ เกมเพลย์ที่แอ็คชั่นสนุกมาก! แต่มันอาจจะทำให้คุณหัวร้อนจนต้องทุบโต๊ะ ก่อนเริ่มเกมเราสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ด้วยนะคะ ใครที่อยากเสพย์เนื้อเรื่องอย่างเดียวก็เล่นแบบโหมด Story แต่ถ้าใครอยากจะเล่นแบบท้าทายหน่อยก็แบบ Normal ก็ได้ค่ะ ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือเราสามารถจะเปิดแผนที่ด้วยการไปจุดศูนย์กลางของแต่ละโซนบนเกาะแล้วเราก็สแกนพื้นที่เพื่อค้นหาว่าแต่ละจุดในแผนที่มีอะไรให้เราไปสำรวจได้บ้าง ซึ่งถือได้ว่าทำให้เราสามารถออกค้นหาพื้นที่ต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในเกาะได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อเราได้เข้าไปพื้นที่ในแต่ละจุดแล้วก็อย่าลืมไปเปิดแผนที่ของโซนนั้น ๆ ด้วยนะคะจะได้ทำให้เล่นเกมนี้ง่ายมากยิ่งขึ้น! ปกติแล้วตัวเกวลินเองก็เป็นคนชอบเกมแนวแอ็คชั่นมาก ๆ ค่ะ ซึ่งเกม Immortals Fenyx Rising ตอบโจทย์ได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ ยอมรับอย่างหนึ่งว่าตอนเห็นเกมเพลย์ที่เปิดตัวภายในงานอีเวนท์ Ubisoft Forward แอบกลัวว่าเกมเพลย์มันจะลื่นไหลมากหรือเปล่า!? แต่พอได้สัมผัสจริง ๆ ก็พบว่าด้านเกมเพลย์มีความลึกและลื่นไหลเป็นอย่างมากค่ะ แต่กว่าจะทำขนาดนั้นผู้เล่นจะต้องปลดล็อคด้วยการอัพสกิลต่าง ๆ ก่อน ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้เหรียญทองคำ “Coin of Charon” ที่จะได้จากการแก้ปริศนาต่าง ๆ ภายในเกม บอกไว้ก่อนว่าเหรียญก็หายากใช้ได้เลยค่ะ แถมใช้แต้มเยอะซะด้วย ซึ่งเราจะได้จากการแก้ไขปริศนาต่าง ๆ ภายในเกมค่ะ นอกจากนี้เรายังทำให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งในด้านอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้ค่าความเหนื่อย [Stamina] เพิ่มเราก็จะต้องลงดันเจี๊ยนอีเวนท์ Rift ซึ่งมันก็จะมีระดับความยากตั้งแต่ 1 ดาวไปจนถึง 3 ดาว แล้วแต่ละแห่งก็จะมีลูกเล่นที่ผู้เล่นจะต้องผ่านที่ไม่ซ้ำกันเลย ( เป็นของดีของเกมนี้ค่ะ ) แล้วเมื่อเราผ่านเส้นทางนรกจนมาถึงแท่นก็จะได้รับ “Zeus Lightning” ไป จากนั้นก็สะสมไปเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วนำมาฝึกฝนเพื่อให้เรา นอกจากนี้ยังมี “Ambrosia” หินพลังที่ซ่อนตามจุดต่าง ๆ ของแผนที่ผู้เล่นจะต้องสะสมแล้วนำมาอัปเกรดเพื่อเพิ่มชีวิต [Max HP] ให้กับตัวละคร  นอกจากนี้มันยังมีไอเทมที่เป็นพวก “แร่” ที่มันจะนำมาใช้การอัปเกรดอาวุธ และ ชุดเกราะของตัวละคร ความแตกต่างของเกม Immortals Fenyx Rising ซึ่งผู้เล่นจะได้การเปิดกล่องตามสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดการมอนสเตอร์ ก็ต้องบอกก่อนว่าช่วงแรก ๆ ใช้แร่ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พออัปเกรดสูงไปเรื่อย ๆ จะใช้แต้มเยอะพอตัวเลยค่ะ ดังนั้นเราจะต้องบริหารจัดการว่าจะอัปเกรดส่วนไหนก่อนนะคะ  แต่สิ่งหนึ่งที่จะเรียกว่าเป็นทั้งจุดแข็งของเกมและจุดอ่อนในเวลาเดียวกันก็คงหนีไม่พ้น “การแก้ไขปริศนาต่าง ๆ ภายในเกม” ที่เรียกว่ามีระดับความยากง่ายแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น โซนแรกของเกาะที่ปริศนาส่วนใหญ่จะอาศัยในการใช้กำลังของ Fenyx ในการผ่าน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่โซนอื่น ๆ ของเกาะ ตัวเกมจะเริ่มบังคับให้ผู้เล่นใช้ความสามารถของตัวละครทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นการอัพสกิลบางอันแทนที่จะช่วยทำให้การแก้ไขปริศนาผ่านได้ง่ายมากขึ้น เป็นต้น อีกทั้งเราจะสังเกตให้ดีด้วยนะคะว่าปริศนาที่ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเราจะผ่านด้วยวิธีไหน เรียกว่าหลายต่อหลายครั้งมันก็ทำให้ผู้เล่นที่ไม่ถนัดการแก้ไขปริศนาอะไรพวกนี้หัวร้อน หัวอุ่นเบา ๆ ได้เหมือนกันค่ะ เกือบลืมไปเลย...ตอนเริ่มเกมเราสามารถสร้างตัวละครได้ทั้งเพศชาย หรือ เพศหญิง สามารถปรับแต่งทรงผม, หน้าตา, สีผิว หรือ เสียงของตัวละครได้ด้วย ซึ่งใครที่ชอบการดีไซน์ตัวละครในแบบของตัวเองก็ลองดูค่ะ ซึ่งเราสามารถที่จะสร้างเป็นตัวละครผู้หญิงรูปร่างเหมือนชนเผ่าออคมีเสียงเป็นผู้ชายก็ได้เหมือนกันนะคะ กราฟฟิกภายในเกมที่ดูสวยงาม ถ่ายทอดออกมาดีไรที่ติ! สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเกม Immortals Fenyx Rising คือเกมแรก ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของ Ubisoft ที่มีรายละเอียดกราฟฟิกที่ออกไปโทนการ์ตูน ซึ่งเกมนี้กราฟฟิกทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวค่ะ จากเครื่องที่เกวลินใช้ในการเล่นอยู่ CPU เป็น i7-8700K, GPU เป็น GeForce GTX 1660 Super, Ram 32GB. และ ติดตั้งเกมบน SSD M.2 ผลที่ได้ก็คือปรับกราฟฟิกภายในเกมสูงสุดสามารถรันเฟรมเรตอยู่ที่ 60 - 70fps ได้อย่างสบาย ๆ แล้วที่ทำให้เกวลินทึ่งมากที่สุดก็คือ “รายละเอียดกราฟฟิกภายในเกมที่แสดงผลได้ดีเยี่ยมมาก ๆ” ปกติแล้วถ้าเกมประเภท Open World ฉากที่อยู่ใกล้ ๆ เรามักจะไม่เห็นรายละเอียดชัดเจนมากนัก แต่สำหรับเกมนี้ทีมผู้พัฒนาสามารถเก็บรายละเอียดการแสดงผลจากระยะไกลได้ดี หรือแม้แต่ตอนเราบินอยู่กลางอากาศที่สูงมาก ๆ ก็จะเห็นเงาของเราจากด้านล่างอย่างชัดเจนเลยค่ะ เรียกว่าทีมผู้พัฒนาเกมเก็บรายละเอียดส่วนนี้ได้ไม่มีที่ติเลย อย่างไรแม้ว่ากราฟฟิกจะสวยงามแค่ไหนแต่ก็มีจุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกันนั้นก็คือ “แอนิเมชั่นตัวละคร” ที่อาจจะยังทำออกมาไม่สมูทเท่าที่ควร แต่ก็นั้นละค่ะ มันก็ทำให้เรามองข้ามปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ได้ อยากได้ชุดเกราะ อาวุธสวย ๆ ก็เปย์ด้วยเงินจริงซะเลย! สิ่งหนึ่งที่ทำเอาเกวลินแอบตกใจในช่วงแรกก็คือตัวเกม Immortals Fenyx Rising มีการวางจำหน่าอาวุธ, ชุดเกราะ และ เครื่องตกแต่งต่าง ๆ โดยใช้เงินจริงแลกเป็นค่าเงินภายในเกมเพื่อซื้อของตกแต่งต่าง ๆ มาให้เราได้สวมใส่กันค่ะ ซึ่งราคาชุดก็ตกอยู่ที่ราว ๆ 350 - 750 บาทขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นต้องการซื้อชิ้นไหนบ้าง หรือ จะซื้อครบชุดก็ได้เหมือนกันค่ะ แต่ทั้งนี้ Ubisoft ก็ไม่ได้ใจร้ายผู้เล่นจนเกินไปก็มีให้ผู้เล่นได้ทำเควสต์ภายในเกม ซึ่งเราจะได้รับเหรียญเงิน [Elektrum] แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกับพ่อหนุ่ม Hermes โดยเควสต์จะมีการแบ่งออกไปทั้งรายวัน และ รายสัปดาห์ เงื่อนไขในการผ่านก็จะมีตั้งแต่ปราบมอนสเตอร์ที่กำหนด หรือ ผ่านเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น โดยของที่ผู้เล่นสามารถแลกได้จะเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ สัปดาห์ค่ะ “อยากได้ชุดเกราะ อาวุธเท่ ๆ ก็ต้องเปย์แล้วละค่ะ” สรุป สำหรับเกม Immortals Fenyx Rising ยอมรับว่าทำออกมาได้ดีมาก ๆ การเล่าเรื่องที่ทำออกมาได้น่าติดตามไม่ดราม่ากดดันความรู้สึกของผู้เล่นมากจนเกินไป ( เนื้อเรื่องช่วงท้ายหักมุมเอาเรื่องเลยค่ะ ) เกมเพลย์ที่มีความแอ็คชั่นผสมความเป็น RPG ในตัวแต่ก็แอบมีความยาก ความท้าทายที่ซ่อนอยู่ให้ผู้เล่นได้ใช้หัวคิดในการผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริศนาต่าง ๆ ภายในเกมที่ต้องยกนิ้วให้เลยว่าทีมผู้พัฒนาทำออกมาได้ดี แทบจะไม่มีการซ้ำเลย แล้วบางอันก็มีระดับความท้าทายที่ทำให้ผู้เล่นจิตตกเพราะใช้ระยะเวลานานมากกว่าจะผ่านได้ ใครที่สนใจตอนนี้ตัวเกมวางจำหน่ายแล้วนะคะทั้งแพลตฟอร์ม PC [Ubisoft Store], PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X, Xbox Series S, Nintendo Switch และ Google Stadia
08 Dec 2020
Review-In-Progress: Cyberpunk 2077 [NO SPOILER]
ตั้งแต่ที่ประกาศเปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 เกม Cyberpunk 2077 ก็กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับการรอคอยมากที่สุดของเกมเมอร์หลายๆ คนแทบจะชั่วข้ามคืน ทั้งจากชื่อเสียงอันเลื่องลือของผู้พัฒนา CD PROJEKT RED และผลงาน The Witcher 3 ที่ได้รับความนิยมถล่มทลาย ไปจนถึงจักรวาลต้นฉบับ Cyberpunk 2020 ที่เกมใช้อ้างอิง ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่เกมเมอร์รุ่นเก๋าที่เติมโตมาในยุคของเกม RPG ตั้งโต๊ะทั้งหลาย ตั้งแต่ที่ได้โค้ดเกมเวอร์ชั่น PC มาจากผู้พัฒนา CD PROJEKT RED เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เขียนได้ลองเล่นเกมไปแล้วราว 20 ชั่วโมง และทำให้ได้เห็นภาพของสุดยอดเกมแห่งปี 2020 มากกว่าเดิมพอสมควร แต่ด้วยขนาดของเกมและเนื้อหาเสริมที่มีอยู่เยอะจนตาลาย ทำให้ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งสัมผัสเกมได้เพียงผิวเผินเท่านั้น และยังมีองค์ประกอบสำคัญหลายๆ อย่างที่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัส เช่นอาวุธหรือ Cyberware ระดับสูงทั้งหลาย รวมไปถึงผลของทางเลือกในระยะยาว ด้วยประการฉะนี้ เราจึงเลือกที่จะยังไม่ให้คะแนนเกมในรีวิวนี้ทันที แต่จะทำการอัปเดทความเห็นความรู้สึกของผู้เขียนไปเรื่อยๆ จนกว่าที่เกมจะวางจำหน่ายในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ เพื่อให้สามารถวิจารณ์แง่มุมต่างๆ ของเกมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุด หากใครมีคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับเกม ที่ไม่ได้รับการตอบในบทความนี้ สามารถคอมเมนต์เข้ามาถามเอาไว้ได้ แล้วเราจะพยายามตอบคำถามของคุณในอัปเดทบทความครั้งถัดไป หมายเหตุ: เกมเวอร์ชั่นรีวิวนี้จะยังไม่ได้รับการปรับปรุงจาก Day One Patch และจะมีโปรแกรม Denuvo Anti-Tampering เข้ามาด้วยเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเกมช่วงก่อนวางจำหน่าย ทำให้อาจจะมีข้อบกพร่องบางประการที่ผู้เขียนพบ แต่ผู้เล่นจะไม่พบ ต้องรอดูกันอีกทีว่าแพทช์ดังกล่าวจะปรับแก้อะไรบ้าง (อ่านช่วงอัปเดทด้านล่าง) *ขอขอบคุณบริษัท CD PROJEKT RED สำหรับโค้ดรีวิว และบริษัท Sicom, Nvidia สำหรับอุปกรณ์รีวิว* ชะตากรรมของนักเลงแห่งโลกอนาคตที่คุณเป็นคนลิขิต เนื้อเรื่องของเกม Cyberpunk 2077 จะเล่าเรื่องราวของตัวเอกที่ชื่อว่า V ทหารรับจ้างหน้าใหม่ไฟแรงของเมือง Night City ผู้ซึ่งถูกดึงเข้าไปพัวพันกับแผนการแย่งชิงอำนาจของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ (ที่เกมเรียกว่าเหล่า Megacorp) ที่ปกครองเมือง และต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเขาในการไขปริศนาเบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด โดยสิ่งที่ผู้พัฒนายกเป็นจุดขายสำคัญมาโดยตลอดคือเรื่องของทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเสื้อผ้า หน้าตา หรือคำพูดของตัวละคร ที่ล้วนแล้วแต่จะส่งผลต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าด้วยระยะเวลาเล่นที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้เรายังไม่อยากวิจารณ์เนื้อเรื่องในภาพใหญ่ แต่จากระยะเวลาที่ทดลองเล่น พบว่าเนื้อเรื่องของเกมมีความเข้มข้นและ "เป็นผู้ใหญ่" ในแบบที่น้อยเกมจะกล้าทำ เกมให้เวลากับการพัฒนาตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆ เยอะมากจนในบางครั้งเราอาจจะเล่นเกมเป็นชั่วโมงโดยที่คุยกับ NPC อย่างเดียวเลยก็ได้ ซึ่งในแง่นี้ก็อาจจะถูกใจคนที่ชื่นชอบการเล่น RPG อินๆ เหมือนดูซีรี่ส์ยาวๆ มากกว่าคนที่โหยหาประสบการณ์บู๊กระหน่ำดุเดือดเลือดพล่านแบบหนังฮอลลีวู้ด เมื่อเริ่มต้นเกมครั้งแรก สิ่งแรกที่ผู้เล่นจะได้พบก็คือหน้าจอการเลือก Lifepath หรือภูมิหลังของตัวละคร และเมนูการสร้างตัวละคร โดยเราสามารถกำหนดรูปร่างหน้าตาของตัวละครได้ตั้งแต่เล็บมือยันอวัยวะเพศ แถมยังสามารถผสมคอมโบเพศตัวละครได้ตามใจอีกด้วย ซึ่งแม้จะเรียกเสียงฮือฮาจากหมู่ผู้เล่นที่ติดตามเกมได้พอสมควร แต่เอาเข้าจริงๆ ระบบสร้างตัวละครของเกมก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร และยังจำกัดกว่าการสร้างตัวละครในเกม RPG อีกหลายๆ เกมด้วยซ้ำ ที่สำคัญ ทางเลือกเหล่านี้กลับไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเกมมากเท่าที่ผู้พัฒนาเคยบอกไว้ และเราแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตาของตัวละครเลยในการเล่นทั่วไป (ยกเว้นเวลาเข้าหน้าต่างของสวมใส่) จึงอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เวลากับการสร้างตัวละครมากนัก โดยทางเลือกที่เห็นว่าน่าจะส่งผลต่อผู้เล่นจริงๆ มีเพียงเสียงพูด (ที่จะสรรพนามทางเพศที่ตัวละครในเกมใช้เรียกเรา) และเล็บมือ (อวัยวะที่เราเห็นได้บ่อยที่สุด) นอกนั้นเอาเข้าจริงอยากเลือกอะไรก็ได้ไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับหน้าตา เมื่ออ้างอิงจากระยะเวลาที่ใช้เล่นเกมมา Lifepath ของตัวละครเองก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมอย่างใหญ่หลวงนัก หลักๆ แล้วก็จะมอบตัวเลือกบทสนทนาประจำสายให้ประปราย แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้เล่นอย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด ไม่ได้มีภารกิจเฉพาะสาย Lifepath หรือมีความสามารถหรือเหตุการณ์ใดๆ เพิ่มขึ้นมานอกจากช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกของเกม เสมือนเป็นเพียง "สีสัน" อีกระดับหนึ่งมากกว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเนื้อเรื่อง เช่นผู้เขียนที่เลือกเล่นเป็นตัวละคร Corpo มักจะทำให้สามารถเลือกตัวเลือกบทสนทนาที่เป็นลักษณะ "รู้ทัน" กลโกงของเหล่าตัวละคร NPC ที่เป็นสาย Corpo เช่นเดียวกับเรา หรือช่วยให้เราตีสนิท NPC สายนี้ได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าถ้าไม่มีทางเลือกเหล่านี้ก็อาจจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปอีกแบบ แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราก็ยังสามารถพบกับผลลัพธ์แบบเดียวกันได้แม้ไม่ได้เลือก Lifepath นั้นมาก็ตาม คนที่คาดหวังว่าการเล่นเกม 3 รอบ 3 Lifepath จะได้ประสบการณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงอาจต้องปรับความคาดหวังกันซักนิด ทางเลือกที่ส่งผลสำคัญจริงๆ มักจะเกิดขึ้นในบทสนทนาระหว่างภารกิจ ที่อาจจะส่งผลสำคัญต่อเกมจริงๆ เช่นบางตัวเลือกอาจจะทำให้เราเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่ได้ หรืออาจจะถึงขนาดเปลี่ยนเป้าหมายของภารกิจไปเลยก็ยังได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนจากระยะเวลาที่ได้เล่นคือทางเลือกเหล่านี้จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเกมแค่ไหน เช่นถ้าในภารกิจหนึ่งผู้เขียนเลือกเข้าข้างฝ่าย A เพื่อสู้กับฝ่าย B มันจะส่งผลเป็นวงกว้างต่อไปอย่างไร จะมีคนของฝ่าย B มาตามล้างแค้นไหม หรือเนื้อเรื่องหลักจะเปลี่ยนไปไหม ยังเป็นสิ่งที่ยังบอกไม่ได้ในตอนนี้ กล่าวโดยสรุป แม้ว่าเราจะพอฝันธงได้ระดับหนึ่งแล้วว่าทางเลือกทั้งหลายที่เราได้เลือกในช่วงต้นเกมจะไม่ได้ส่งผลต่อเกมที่เหลือขนาดนั้น แต่สิ่งที่ยังตอบลำบากคือเรื่องผลกระทบของทางเลือกบทสนทนาต่อเนื้อเรื่อง ซึ่งน่าจะต้องดูกันต่อไปอีกว่าจะส่งผลมากเท่าที่ผู้พัฒนาเคยคุยไว้แค่ไหน แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพของเนื้อเรื่องและบทเท่าที่เล่นมา ก็ต้องบอกว่าเกมให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนเข้มข้นๆ เรื่องหนึ่งอยู่ และเพิ่งจะเข้าสู่ช่วงน่าตื่นเต้นจริงๆ เท่านั้นเอง แถม: สำหรับคนที่อ่านรีวิวนี้ก่อนเกมวางจำหน่าย อยากแนะนำให้ได้ไปศึกษาเนื้อเรื่องและตัวละครจากเกมตั้งโต๊ะ Cyberpunk 2020 ให้ดีๆ เพราะเนื้อเรื่องของเกมจะอ้างอิงถึงตัวละครและเหตุการณ์เหล่านี้อย่างมีนัยยะสำคัญ จึงควรลองหาอ่านซะหน่อยเพื่อกันงง และเพื่อให้เข้าใจถึง "น้ำหนัก" หรือ "ความสำคัญ" ของเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องต่อโลกของเกม ก็บอกแล้วว่าเป็น RPG ไงเล่า! ในแง่ของความเป็น RPG เกม CP2077 จะแบ่งการพัฒนาตัวละครออกเป็นสองด้านหลักๆ คือเลเวลของตัวละคร ซึ่งจะกำหนดค่า Stat และความสามารถ Perk ที่เราสามารถเลือกอัปเกรดได้ และระดับ Street Cred ซึ่งจะปลดล๊อคไอเทมและ Cyberware ที่เราสามารถซื้อได้นั่นเอง โดยทั้งสองมักจะพัฒนาไปพร้อมๆ กันขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่น (ไม่ค่อยชัดเจนนักว่าอะไรเพิ่ม Level เป็นหลัก และอะไรเพิ่ม Street Cred เป็นหลัก) สำหรับค่า Level ทุกครั้งที่เพิ่มขึ้น เราจะได้รับแต้ม Stat และ Perk มาอย่างละหนึ่งแต้ม โดยค่า Stat จะมีทั้งหมด 5 ค่า (Body, Reflexes, Intelligence, Tech, Cool) ซึ่งจะให้ผลไม่เหมือนกัน Stat หนึ่งอาจเพิ่มพลังชีวิตและการโจมตีระยะประชิด ในขณะที่อีก Stat ลดเวลาในการเติมกระสุนปืนเป็นต้น นอกจากนี้ ในแต่ละ Stat ยังจะมีสาย Perk อีกถึง Stat ละ 2-3 สาย เปรียบเสมือนความสามารถติดตัวที่ช่วยเสริมสายการเล่นของเรา เช่นทำให้ปืนไรเฟิลส่ายน้อยลง หรือทำให้ชักปืนลูกซองออกมาได้เร็วขึ้น ยิ่งเราอัปค่า Stat ที่เกี่ยวข้องกับสาย Perk นั้นๆ ก็จะยิ่งปลดล๊อค Perk ในสายนั้นๆ ให้อัปได้เยอะขึ้น อีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่เราสามารถพัฒนาสาย Perk แยกกับการอัป Stat ได้ด้วย ตราบใดที่เราใช้ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสายนั้นบ่อยๆ เช่นเราอาจจะไม่ได้อัป Stat Intelligence ที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการแฮ๊ค แต่ตราบใดที่เราแฮ๊คสิ่งของบ่อยๆ เราก็จะได้ค่าความชำนาญในการแฮ๊คเพิ่มขึ้นจนปลดแต้ม Perk หรือโบนัสความสามารถติดตัวที่เกี่ยวข้องกับการแฮ๊คได้อีกด้วย ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการพัฒนาตัวละครตามสายที่เล่นจริงๆ มากกว่าแค่การเลือกอัป Perk เพียงอย่างเดียว ถือเป็นระบบที่น่าสนใจ ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองกำลัง "ก้าวหน้า" อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังคงขึ้นอยู่กับการเลือกอัปค่า Stat เป็นสำคัญ เพราะต่อให้มีแต้ม Perk มากมาย แต่ถ้าไม่ได้ปลดล๊อคตัว Perk ด้วยการอัปเกรด Stat ก็ใช้ไม่ได้ แถมค่า Stat ทั้งหลายยังสามารถเปิดทางเลือกบทสนทนา ตัวเลือก Cyberware ที่สวมใส่ได้ หรือการกระทำเพิ่มเติมให้เรามากขึ้นอีกด้วย (เช่นถ้าอัปค่า Body สูงๆ จะทำให้พังประตูบางบานเพื่อเปิดเส้นทางผ่านด่านใหม่ๆ ได้) เราจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนเส้นทางการอัป Stat ให้ดีๆ ไม่งั้นอาจทำให้ตัวละครเกิดช้าได้ในกรณีที่เกลี่ยอัปหลาย Stat พร้อมกัน และที่สำคัญคือผู้เขียนยังไม่พบวิธีการรีเซ็ตค่า Stat หรือ Perk เลยด้วย ซึ่งถ้ามันเลือกแล้วเลือกเลยจริงๆ ก็ยิ่งต้องวางแผนกันให้ดีขึ้นไปอีก การพัฒนาตัวละครเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก อาจจะสำคัญยิ่งกว่าฝีมือในการเล่น FPS ของแต่ละคนซะอีก เพราะทุกอย่างในเกมนี้จะอ้างอิงการคำนวนตัวเลขแบบ RPG แทบทั้งหมดโดยไม่สนใจตรรกะของเกมแนวอื่นเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นตรรกะของเกม FPS ส่วนใหญ่ที่บอกว่าปืนลูกซองต้องแรงกว่าปืนพกแน่ๆ แต่ในเกมนี้ ยิงปืนพกเข้าอกศัตรูก็ยังอาจจะแรงกว่ายัดลูกซองใส่หน้าตราบใดที่เราอัปเกรดความสามารถสายปืนพกมา การทำความเข้าใจระบบพัฒนาตัวละครและความสามารถต่างๆ ของ Perk จึงมีความสำคัญมาก ในขณะที่ค่า Level จะเป็นการพัฒนาความสามารถแบบติดตัวซะเยอะกว่า (มีความสามารถกดใช้ประปราย) Street Cred จะเป็นตัวที่ปลดล๊อคไอเทมที่ช่วยมอบวิธีการเล่นใหม่ๆ ได้จริงๆ เช่นดาบ Mantis Blade ยอดนิยม หรือขากลที่มีไอพ่นทำให้เราสามารถลอยตัวกลางอากาศได้ โดยในช่วง 20 ชั่วโมงแรกของผู้เขียนยังไม่มีโอกาสสัมผัสกับแง่มุมนี้นักเพราะยังปลดล๊อคไม่ได้ ส่วน Cyberware ช่วงต้นเกมก็ยังไม่ค่อยมีอะไร ส่วนใหญ่ก็เพิ่มความสามารถติดตัวไม่ต่างจาก Perk เท่าไหร่ ถ้าได้ปลดล๊อคหรือทดลองเล่น Cyberware เจ๋งๆ จะลองมาเล่าให้ฟังในอัปเดทต่อๆ ไป ...แต่ก็ใช่ว่าอย่างอื่นจะไม่ดี? เสน่ห์อย่างหนึ่งในการเล่นเกม Cyberpunk 2077 คือแม้ว่าเกมจะยึดมั่นในความเป็น RPG ก่อนเหนืออื่นใด แต่ก็ไม่ได้ละเลยองค์ประกอบเกมเพลย์อื่นๆ ไปเลยแต่อย่างใด และสามารถรักษามาตรฐานของเกม Open World แง่มุมต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน แม้จะไม่ได้เทียบเทียมกับเกมแนวนั้นๆ โดยตรง (กล่าวคือยังไง Call of Duty ก็ทำการยิงปืนได้ดีกว่า หรือ Dishonored ก็ทำการลอบเร้นได้ดีกว่า) แต่ทุกอย่างกลับดีพอในระดับที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ "แย่" เลยซักอย่าง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชมสำหรับเกมที่ใหญ่และลึกมากขนาดนี้ การที่ Cyberware และอาวุธเจ๋งๆ ส่วนใหญ่ดูจะถูกกีดกันจากผู้เล่นในช่วงต้นเกม ทำให้การต่อสู้ในเกมช่วงแรกๆ ค่อนข้างรู้สึกธรรมดาไปซะหน่อย เพราะปืนแทบทั้งหมดที่ได้ก็ยังเป็นเพียงปืนกระสุนโลหะทั่วๆ ไป อาวุธระยะประชิดอย่างมีดหรือดาบคาตะนะก็ยังไม่มีความสามารถหรือหน้าตาพิเศษอะไรนัก โดยผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มพบปืนชนิด Tech Weapon ที่สามารถชาร์จยิงทะลุกำแพงได้ก็ตอนเล่นเกมมาเกิน 15 ชั่วโมงแล้ว และได้ปืนพก Smart Gun กระบอกแรกมาตอนเกือบ 20 ชั่วโมงพอดี ไม่แน่ใจว่าชนิดของอาวุธที่เก็บได้จากศัตรูจะขึ้นอยู่กับเลเวลของผู้เล่น หรือดูจากว่าเล่นเนื้อเรื่องไปไกลแค่ไหนแล้วหรืออย่างไร แต่ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งพบกับอาวุธที่มีลูกเล่นแปลกตามากขึ้น ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้มีความแปลกใหม่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย ด้วยความที่อาวุธและอุปกรณ์ในช่วงที่ผู้เขียนเล่นมายังค่อนข้างธรรมดาอย่างที่ว่า ทำให้การต่อสู้พลอยรู้สึก "ธรรมดา" ไปด้วยซะอย่างนั้น แม้ว่าความรู้สึกของการยิงปืนในเกมจะดีกว่าเกม RPG แนวเดียวกันที่ผ่านมา แต่กลับรู้สึก "เฉยๆ" คือไม่ได้แย่หรือมีปัญหาอะไรนัก แต่โดยรวมก็ไม่ได้รู้สึกสนุกหรือพิเศษไปกว่าเกม FPS กึ่ง RPG นับสิบๆ เกมที่เคยเล่นมาก่อนแล้ว อีกส่วนอาจจะมาจากเหล่าศัตรูที่พบในเกมตอนนี้ด้วย ที่ส่วนมากยังคงเป็น "คนธรรมดา" อยู่ (คือยังไม่ได้ใส่ Cyberware จนเหนือมนุษย์อะไร) และ A.I. ของศัตรูก็มักมีความไม่สม่ำเสมอ เพราะส่วนใหญ่มักจะค่อนข้างโง่ในการต่อสู้ (เช่นรัวกระสุนใส่พื้น วิ่งวนไปมาอย่างไร้จุดหมาย หรือกระทั่งวิ่งสะดุดศพเพื่อนจนล้ม ซึ่งผู้เขียนเคยเห็นมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง) แต่ครั้นจะพยายามท้าทายตัวเองด้วยการลอบเร้นผ่าน ศัตรูกลับหูตาไวขึ้นมาซะงั้น ทำให้สุดท้ายเรามักจะโดนบังคับให้ต้องต่อสู้จนได้แม้จะไม่อยากทำ ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้เขียนอยากเห็นคืออาวุธระดับสูงที่สามารถมอบความสามารถที่อาวุธอื่นๆ ไม่มีได้ ยกตัวอย่างในช่วงหนึ่งของเกม ผู้เล่นจะเปลี่ยนจากควบคุม V มาควบคุมตัวละครอีกตัวหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งตัวละครนี้จะมาพร้อมกับปืนพกประจำตัวที่นอกจากจะยิงแรงเท่าปืนสไนเปอร์แล้ว ยังยิงทะลุกำแพงได้ (เพราะเป็นอาวุธ Tech Weapon) และเมื่อกดโจมตีระยะประชิด แทนที่จะใช้ด้ามปืนฟาดศัตรูเหมือนปืนพกทั่วไป ปืนกระบอกนี้จะปล่อยไฟออกมารอบตัวผู้ใช้เพื่อโจมตีศัตรู เป็นความสามารถที่ผู้เขียนยังไม่พบในปืนกระบอกใดๆ อีกเลยตลอดระยะเวลาที่เล่น และหวังว่าอาวุธระดับสูงๆ ชิ้นอื่นจะสามารถมอบลูกเล่นที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองได้เช่นกัน ในส่วนของการขับรถ ผู้เขียนต้องออกตัวก่อนว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการขับรถในเกมเป็นการส่วนตัว จึงไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือให้ความสนใจกับการขับรถในเกมเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะให้เปรียบความรู้สึกในการขับรถ อาจจะควบคุมยากกว่าในเกมอย่าง GTA V นิดหน่อย โดยเฉพาะในจังหวะเข้าโค้งที่รถหมุนแทบจะทุกครั้ง แต่ก็ยังดีกว่าที่พบได้ในเกมอย่าง Watch Dogs: Legion มากมายนัก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญเวลาต้องขับรถเป็นระยะทางไกลๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนถือเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพของการขับรถในเกมได้ประมาณหนึ่ง ถ้าจะมีระบบหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึก "ไม่ชอบ" ไปแล้วคงเป็นระบบการแฮ๊คกิ้ง ที่ในขณะนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยมีผลอะไร แถมยังมีตัวเลือกจำกัดมาก โดยระบบแฮ๊คในเกมนี้จะมีความคล้ายคลึงกับระบบเวทย์มนตร์ในเกม RPG ทั่วไป เราจะต้องสวมใส่โปรแกรมแฮ๊คที่ต้องการในหน้าของสวมใส่ซะก่อนจึงจะใช้ได้ แต่ละโปรแกรมจะใช้หน่วย RAM (เปรียบกับ MP) ไม่เท่ากัน บางโปรแกรมสามารถสร้างความเสียหายได้โดยตรง ในขณะที่บางโปรแกรมอาจก่อกวนศัตรูในรุปแบบต่างๆ เช่นทำให้ตาบอดชั่วขณะ หรือลบความทรงจำระยะสั้น (ให้ศัตรูที่ตามหาเราอยู่เลิกตาม) โดยผู้เขียนพบว่าใช้ยาก และบางครั้งก็เหมือนจะติดบ้างไม่ติดบ้าง จึงอาจยังไม่สามารถให้คำวิจารณ์ที่ชัดเจนนักเพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้อัปสายนี้มาหรือเป็นบั๊ค แต่โดยรวมรู้สึกว่ามันทำอะไรได้น้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คงต้องบอกว่าใน 20 ชั่วโมงที่ใช้ไปกับเกม เกมเพลย์ของ Cyberpunk 2077 ยังไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกประทับใจหรือน่าจดจำเป็นพิเศษ จากอาวุธที่ยังค่อนข้างธรรมดา และศัตรูที่ไม่ได้มีความพิเศษไปกว่าที่พบในเกมทั่วไป แต่ในช่วงที่เล่นอยู่นี้ก็เริ่มเห็นอาวุธแปลกๆ โผล่มาให้เก็บบ้างแล้ว หวังว่าจะยิ่งพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อเล่นเกมต่อไป นิยามใหม่ของความเป็น "Open World" เมื่อพูดถึงเกม Open World สิ่งหนึ่งที่ผู้พัฒนามักจะกล่าวถึงคือเรื่องของ "Immersion" หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยบ้านๆ ก็คือความอินนั่นแหละ โดยเกม Open World ระดับแนวหน้าแทบทุกเกมล้วนสามารถสร้างความรู้สึกอินไปกับโลกและเรื่องราวของเกมได้ผ่านการสร้างบรรยากาศและการออกแบบฉากที่สื่อถึง "ประวัติศาสตร์" หรือ "วิถีชีวิต" ของผู้ที่อาศัยในโลกนั้นๆ ซึ่งในแง่นี้อาจบอกได้ว่า Cyberpunk 2077 ได้วางมาตรฐานใหม่สำหรับการออกแบบโลก Open World ไปแล้วเรียบร้อย แม้ผู้เขียนจะยังไม่มีโอกาสได้สำรวจทุกเขตในเมือง แต่แค่ในเขตที่ได้ลองสำรวจดูก็บอกได้แล้วว่าเมือง Night City ของเกมอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อยที่ช่วยเล่าความเป็นไปของชีวิตในเมืองเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆณษาสีสันฉูดฉาดตามที่เชิญชวนให้คนตัดอวัยวะตัวเองทิ้งเพื่อเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจักรกลที่สื่อถึงความธรรมดาของการปรับแต่งร่างกาย ไปจนถึงรายการทีวีและวิทยุที่พูดถึงโศกฆนาตกรรมในเมืองพร้อมประกาศยอดผู้เสียชีวิตประจำวันอย่างอารมณ์ดีราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน ทุกสิ่งทุกอย่างในเกม Cyberpunk 2077 ให้ความรู้สึกว่าถูกออกแบบและจัดวางมาอย่างตั้งใจ เพื่อให้ Night City สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองไปสู่ผู้เล่นได้ตลอดเวลาผ่านการเล่นเกมไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับเกมในขณะนี้ สำหรับการรีวิวเกม Cyberpunk 2077 ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมบนเครื่อง PC ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ RTX 2060 / 16GB RAM และสามารถเล่นเกมที่การตั้งค่า Preset Ray Tracing - Medium (1080p) ได้ด้วยเฟรมเรตราวๆ 40-45 FPS และสามารถดันถึง Ray Tracing - Ultra ได้โดยที่เฟรมเรตเหลือราวๆ 30 FPS ซึ่งถือว่าไม่แย่เลยเมื่อเทียบกับระดับรายละเอียดที่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของ Texture หรือพื้นผิวต่างๆ ที่ดูสมจริงมาก และช่วยทำให้เกมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น แถมต้องไม่ลืมว่าเกมฉบับรีวิวนี้เป็นเกมตัวเต็มที่พ่วงซอฟต์แวร์ Denuvo Anti-Tampering มาด้วย ซึ่งทางผู้พัฒนาเองแจ้งว่าจะทำให้เฟรมเรตลดลงราว 10-15 FPS อยู่แล้ว จึงยิ่งเชื่อได้ว่าเกมน่าจะทำงานบนการ์ดจอรุ่นเก่ากว่านี้ได้ไม่มีปัญหานัก (ปรับ Medium-High) เผลอๆ อาจจะดีกว่าที่แจ้งเอาไว้ใน Spec Sheet ที่ CDPR เคยปล่อยออกมาเองด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าได้ Day One Patch ช่วยอีก คงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเล่นเกมไม่ได้ตราบใดที่เครื่องถึง Spec ขั้นต่ำเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่าเกมไร้ที่ติไปซะหมด เพราะด้วยขนาดและความละเอียดระดับนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีบั๊คติดมาบ้างไม่มากก็น้อย ข้อดีคือบั๊คในเกม CP2077 ที่พบส่วนใหญ่มักจะเป็นบั๊คตลกๆ เช่นบั๊คที่ทำให้อาวุธของศัตรูที่ตายแล้วค้างอยู่กลางอากาศเหนือศพพวกเขา (ซึ่งเอาจริงๆ เป็นบั๊คที่แอบมีประโยชน์) หรือบั๊คด้านกราฟิกเล็กน้อย เช่นครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนขับมอเตอร์ไซค์ชนถังขยะจนมอเตอร์ไซค์ทะลุลงไปในพื้นและติดอยู่อย่างนั้น หรือบางครั้งเดินๆ อยู่ก็จะเห็น NPC ยืนท่าตัว T กลางถนน ซึ่งทั้งหมดเป็นบั๊คเล็กๆ ที่ชวนให้ขำกับตัวเองมากกว่าจะทำให้เสียประสบการณ์เล่นเกม ผู้เขียนเจอบั๊คที่รุนแรงเพียงครั้งเดียวเมื่อประตูที่ควรเปิดตามเนื้อเรื่องดันไม่ยอมเปิด จนทำให้ดำเนินเรื่องต่อไม่ได้ แต่พอโหลดเกมกลับมาลองใหม่ก็ผ่านได้ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ เกมยังมักจะมีปัญหาในด้านการนำทาง ที่มักไม่สามารถรับมือกับความต่างระดับของเมือง Night City เอง และมักมีปัญหาในการคำนวนเส้นทางไปสู่พื้นที่ต่างระดับจนผู้เขียนถึงกับ "หลงทาง" มาแล้ว แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าเราจะสามารถจดจำถนนหนทางของเมืองได้โดยธรรมชาติจากจุดสังเกติในฉาก เหมือนกับการเดินผ่านถนนเส้นหนึ่งในชีวิตจริงทุกวัน ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งข้อดีของฉากในเกม แม้ระบบนำทางจะตามไม่ค่อยทันก็ตาม ซับไทยร่วงหรือรอด?! ถ้าให้พูดตามตรง แม้จะเห็นใจทีมงานแปลซับและเมนูภาษาไทยที่ต้องแปลข้อความเยอะมากขนาดในเกม Cyberpunk 2077 แต่ต้องเรียนตามตรงว่าคุณภาพของซับและเมนูยังปรับปรุงได้อีกเยอะมากๆ ผู้เขียนพบว่าซับโดยรวมแม้จะสื่อความหมายได้ถูกต้องในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถสื่ออามรมณ์ของเกมได้ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือหน้าเมนูหลายส่วนที่มีความไม่สม่ำเสมอ แปลคำเดียวกันออกมาหลายแบบ หรือกระทั่งแปลตกความหมายของคำบรรยาย Perk ไปเลยก็มี ตัวอย่างหนึ่งที่พอนึกออก (เพราะเปิดเมนูเล่นได้แปบเดียวต้องเปลี่ยนกลับเป็นภาษาอังกฤษเพราะอ่านไม่เข้าใจ) คือการที่หน้าเมนูเดี๋ยวก็แปลคำว่า Light Machine Gun เป็นคำว่าปืนกลเบาบ้าง ปืนกลมือบ้าง หรือคำว่า Recoil บางครั้งก็แปลว่าการส่าย บางครั้งก็แปลว่าการถีบ ซึ่งทั้งหมดมันทำให้สับสนเวลาพยายามทำความเข้าใจระบบ Perk และมั่นใจได้ว่าน่าจะรวมไปถึงคำบรรยายไอเทมหลายๆ ชิ้นด้วย จริงๆ ก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ซับจะไม่สามารถคงอารมณ์ของเกมเอาไว้ได้ทั้งหมด ด้วยเนื้อหาที่ไม่น่าจะถูกใจกองเซ็นเซอร์ของบ้านเรา แต่อย่างน้อยๆ ทีมงานซับและเมนูน่าจะตรวจทานให้การแปลคำมันมีความสม่ำเสมอมากกว่านี้หน่อย เพื่อไม่ให้ดูเหมือนเป็นงานเผามากขนาดนี้ หวังว่าใน Day One Patch จะมีการปรับแก้ไขบ้างไม่มากก็น้อย เพราะในสภาพปัจจุบันอยากจะแนะนำให้เปิดเฉพาะจำเป็น ส่วนใครที่พออ่าน/ฟังอังกฤษได้บ้างก็อยู่กับภาษาอังกฤษน่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า สรุป: ยังไม่ประทับใจมากเป็นพิเศษ เนื้อเรื่องเพิ่งเริ่มเข้มข้นหลังจากเล่นไปแล้ว 20 ชั่วโมง / ต้องลองดูต่อไปก่อนว่าเกมเพลย์ระดับสูงๆ จะน่าสนใจขึ้นกว่าช่วงแรกหรือไม่ / กราฟิกไม่ได้สวยที่สุด แต่มีรายละเอียดหนาตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แล้วพบกับความเห็นฉบับอัปเดทได้ในเวลา 22.00 ของทุกวัน จนถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้ *เนื่องจากความขัดข้องทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถเพิ่มเนื้อหาเข้าไปท้ายบทความเดิมได้ สามารถหาอ่านบทความอัปเดทความเห็นได้ ที่นี่
07 Dec 2020
รีวิว Xuan Yuan Sword VII ตะลุยยุทธภพที่รวมจุดเด่นของหลายๆ เกมไว้ด้วยกัน
Xuan Yuan Sword เป็นซีรีส์เกมแนว RPG จากทางผู้พัฒนาประเทศไต้หวัน ที่ถึงแม้ว่าบ้านเราและต่างประเทศจะไม่เป็นที่รู้จักเลย ( อาจจะเพราะโปรโมตไม่หนัก) แต่ซีรีส์นี้มันอยู่มานานกว่า 30 ปีแล้วครับ (ตั้งแต่ปี 1990) และล่าสุดทางผู้พัฒนาเองก็ได้ปล่อยเกมภาคใหม่ของซีรีส์นี้ออกมานั่นคือ Xuan Yuan Sword VII ที่เป็นเกมแนว Action RPG ซึ่งถือว่าเป็นภาคลำดับที่ 7 แล้ว และยังคงธีมแนวกำลังภายเช่นเดิม พร้อมลงให้กับเครื่อง PC และ PS4 และทางเรา GameFever TH เองก็ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้วและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ กราฟิก ในด้านกราฟิกของเกมนั้น ในด้านของโมเดลนั้นตัวเกมได้ทำกราฟิกออกมาได้ดีงามพอสมควร เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้ทันสมัยเหมือนเกมสมัยนี้ ถ้าให้เทียบกราฟิกก็น่าจะราวๆ เกมสมัย PS3 ยุคท้ายเจน ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้แย่นะครับส่วนตัวคิดว่ามาตรฐานนี้ค่อนข้างดีเลย การปั้นตัวละครก็ยังมีความรู้สึกถึงความเป็นคนจริงๆ อยู่ถึงแม้รายละเอียดอาจจะไม่ได้สมจริงมาก แต่ในเรื่องกราฟิกทางผู้เขียนเองก็ต้องยอมรับเลยว่าพวกเขาทำได้ดีมากๆ เลยครับ โอเคว่ารายละเอียดของพื้นผิวฉากอาจจะไม่ได้มีเยอะ เลยทำให้พื้นผิวดูทื่อๆ ไปบ้าง แต่ในเรื่องของฉากเงานั้นต้องยอมรับเลยว่ามันค่อนข้างสวยงามเลยทีเดียว และสิ่งที่พิเศษคือการทำเงาหลอกตาที่ค่อนข้างสมจริง หรือถ้าให้นิยามมันคือ Ray Tracing เทียมที่ตัวเงาต่างๆ ของวัตถุอาจจะไม่ได้สะท้อนจริง แต่ผู้พัฒนาปั้นเงาออกมาให้ดูเหมือนว่ามันสะท้อนนั่นเอง ซึ่งเกมสมัยนี้เริ่มเอาเทคนิคนี้มาใช้บ้างแล้ว (Watch Dogs Legions, Mafia Definitive Edition) ส่วนข้อติที่อยากจะพูดก็มีแค่เรื่องเดียวคือบัคที่มีให้เห็นบ้างประปราย อย่างเช่นบัคตัวละครแอนิเมชันเพี๊ยน หรืออยู่ดีๆ ก็แขนเบี้ยวซึ่งพอเห็นบ้าง และอาจจะเห็นบัคขั้นร้ายแรงอย่างการเล่นเกมอยู่ดีๆ แล้ว Error เด้งออกจากเกมเฉย เลยจะต้องเล่นฉากเดิมซ้ำใหม่เพราะเกมไม่เซฟ แต่ผู้เขียนเคยเจอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เนื้อเรื่อง Xuan Yuan Sword VII จะเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Taishi Zhao ที่พ่อแม่ของเขานั้นถูกสังหารโดยบุคคลนิรนามตั้งแต่เด็ก ตัวเขาและน้องสาวก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง และอยู่มาวันหนึ่งน้องสาวเขากลับบาดเจ็บจนทำให้ร่างกายหยาบไม่สามารถใช้งานได้ และได้กลายเป็นวิญญานตามตัวเขาไป ซึ่ง Taishi นั้นจะต้องพยายามหาทางรักษาน้องเขาให้กลับมา พร้อมปมต่างๆ ให้วัยเด็กที่เราจะได้รับรู้บวกกับความลับที่เกมยังไม่เฉลยตั้งแต่ต้นว่าพระเอกนั้นหลังจากที่พ่อแม่ตาย เขาไปทำอะไรมาถึงได้มีพลังที่เก่งกาจขนาดนี้ ซึ่งการเล่าเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างที่จะเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนใดๆ ชูกลิ่นอายของนวนิยายของประเทศจีนได้อย่างดีงาม มีการใช้เพลงประกอบหรือการร้องเพลงของตัวเองที่สื่ออารมณ์ได้ค่อนข้างดี ซึ่งส่วนตัวชอบมากๆ เลยทีเดียว เกมเพลย์ ในด้านของเกมเพลย์การต่อสู้ของเกมนี้ก็ต้องบอกว่าตัวเกม Xuan Yuan Sword VII รวบรวมเอาจุดเด่นของเกมดังๆ จากหลายๆ เกมมาใช้อยู่มากพอควร อยากเช่นระบบการต่อสู้ที่ถึงแม้โดยรวมจะเป็นเกม Action Hack and Slash แต่ผู้พัฒนาก็ยังใส่กลิ่นอายของเกมแนว Soul เข้ามาผสมอยู่ด้วย เพราะการสู้กับบอสนั้นค่อนข้างยากมากๆ เราจะต้องป้องกัน หรือหลบหลีกการโจมตีของศัตรูให้ได้ หรือการผสมผสานกับสกิลที่จะมีให้ใช้สองแบบนั่นคือสกิลสโลว์โมชั่น และสกิลวางกับดักพื้นที่ไม่ให้ศัตรูออกจากวง บวกกับ Matial Art ที่จะเป็นเหมือนระบำดาบของเกม Ghost of Tsushima ที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป บางสกิลเหมาะแก่การใช้กับศัตรูบางตัวเป็นต้น นอกจากนี้ตัวเกมยังได้นำระบบที่เราคุ้นเคยจากเกม Uncharted มาด้วยไม่ว่าจะเป็นระบบปีนป่ายกำแพงตามจุดต่างๆ ซึ่งเอาจริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบระบบนี้เท่าไร เพราะว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อใช้ได้เลย และอีกหนึ่งระบบก็คือปริศนาของเกม เพราะว่าเนื้อเรื่องในเกมนี้จะมีบางครั้งที่เราจะต้องเข้าไปในถ้ำหรือสุสาน บางครั้งมันจะมีปริศนามาให้เราเล่น ซึ่งเอาจริงๆ มันค่อนข้างน่าสนใจ และถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว แต่ถ้าหากใครที่รู้สึกว่าไม่อยากเล่นปริศนา ตัวเกมยังมีระบบข้ามให้เราไม่ต้องเล่นก็ได้ แน่นอนว่าระบบความเป็น RPG ของเกมนี้ก็ยังถูกนำเข้ามาอยู่ ในการที่เราจัดการมอนสเตอร์เราสามารถเก็บชิ้นส่วนของมันมาขายตามร้านค้าได้ หรือจะทำภารกิจก็ได้เงินเช่นกัน ซึ่งเราสามารถเอาเงินมาอัพเกรด Elysium ของเรา ซึ่งมันจะมีหลายๆ ฐานให้อัพเช่นฐานเกราะ ฐานอาวุธ ฐานเครื่องประดับ ซึ่งมันจะทำให้เราสามารถคราฟของสวมใส่เลเวลสูงๆ ได้ โดยการคราฟของก็ค่อนข้างทำได้ง่ายนะครับ เราสามารถซื้อของจากร้านค้ามาคราฟได้เลย หรือจะหาเก็บหาฟาร์มจากมอนสเตอร์ก็ได้ หรือการซื้อยาต่างๆ ก็สามารถใช้เงินซื้อได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบสำหรับเกมนี้ก็คงจะเป็นในเรื่องของอาวูธที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย (ใช้เพียงแค่อาวุธกระบี่เท่านั้น) ทำให้พอเล่นไปสักพักก็จะเบื่อเสียแล้ว เพราะมันไม่มีอาวุธอื่นๆ มาให้ได้เราตื่นเต้นเลย ซึ่งเรื่องมีอาวุธเดียวยังไม่เท่าไร แต่ตัวเกมไม่ได้มีระบบลอบเร้นใดๆ ที่ทำให้น่าสนใจเข้ามาเลย มีแค่การต่อสู้ประจันหน้าอย่างเดียว เล่น 2 ชั่วโมงเบื่อแล้วสำหรับผู้เขียน แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Dark Soul ตัวเกมอาจจะมีการต่อสู้แค่การประจันหน้า แต่การที่ตัวเกมมีอาวุธที่หลากหลายมันก็ทำให้ไม่เบื่อ หรือ Ghost of Tsushima ที่ถึงแม้จะมีอาวุธเดียว แต่ตัวเกมนั้นมีระบบลอบเร้นหรือความสามารถสกิลที่มากมายที่ลดความเบื่อหน่ายให้เช่นกัน แต่เกมนี้ไม่มี สรุป Xuan Yuan Sword VII ถือว่าเป็นเกมที่อยู่ในเกรดประมาณพอใช้ได้ อาจจะไม่ได้เลิศเลอแต่ก็พอที่จะเล่นได้จนจบเกมครับ คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องของเกมที่ค่อนข้างทำออกมาได้น่าสนใจ และกลิ่นอายของนวนิยายจีนที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ ในเกม Console ซึ่งมันก็ให้อารมณ์ที่แปลกใหม่ดี ส่วนความยากความท้าทาย ก็ทำออกมาได้อยู่ในเกณฑ์พอรับได้สำหรับคนที่ไม่ชอบเล่นเกมที่ยากมาก ตัวเกมจะไม่ยากจนเกินไป หรือง่ายจนเกินไปนั่นเอง ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าให้เทียบกับเกมที่ราคาเพียงแค่ 419 บาท มันก็ถือว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเกมหนึ่งแล้วแหละ [penci_review id="73349"]
27 Nov 2020
ความรู้สึกหลังเล่น Summoners War: Lost Centuria จากเกมเทิร์นเบส สู่การต่อสู้แบบเรียลไทม์
หนึ่งในเกมที่น่าสนใจมากๆ สำหรับเกมใหม่จากซีรีส์ Summoners Wars โดยใช้ชื่อว่า Summoners War: Lost Centuria ที่ปรับเปลี่ยนแนวเกมจากภาคก่อนๆ ที่เป็นแนว Turn Based ให้กลายเป็นแนว Timing Based ซึงเดี๋ยวเรามาเจาะลึกกันว่าแนวเกมนี้จะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งยังมีจุดเด่นเรื่องของการต่อสู้ 8v8 ที่สามารถเลือกจัดทีมได้อย่างอิสระ ซึ่งทางเรา GameFever ได้เข้าไปลองเล่นมาแล้วครับ และจะมาพูดถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัสมา Casual ผสม RPG Summoners War: Lost Centuria คือเกมที่ผสมความเป็นเกม Casual กับเกม RPG เข้าไปได้อย่างดี เพราะว่าตัวเกมจะมีทั้งโหมดการเล่นคนเดียวต่อสู้กับบอทก็ได้ หรือถ้าหากใครคิดว่าเล่นกะบอทมันไม่เร้าใจ ตัวเกมยังมีโหมดดวล ที่จะสามารถ Matchmaking กับผู้เล่นท่านอื่น เอาชนะและทำการไต่ Rank ให้สูงขึ้นได้ และถ้าคุณสามารถไต้ได้ถึง Rank สูงๆ ตัวเกมก็จะมีของรางวัลดีๆ ให้คุณไปครอบครอง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกน่าสนใจกับระบบนี้พอสมควร เพราะมันเปลี่ยนอารมณ์ได้ดีเลยทีเดียว เพราะบางคนอาจจจะรู้สึกเบื่อถ้าหากจะให้สู้อยู่แค่กับบอทอย่างเดียว แถมบอทเกมนี้ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร เราจะต้องจัดทีมให้ดีในการผ่านแต่ละด่าน Timing Based หลายๆ คนน่าจะอยากรู้แล้วว่า คำว่า Timing Based เนี่ยมีนคืออะไร ซึ่งเกมเพลย์แนวนี้มันก็คือการผสม Real - Time Attack บวกกับการกดใช้สกิล โดยยูนิตของเราและศัตรูจะเผชิญหน้ากันโดยการโจมตีแบบออโต้ แต่การใช้สกิลเราจะต้องกดเองเท่านั้น ซึ่งการแพ้ชนะเอามันก็ขึ้นอยู่กับเราด้วย พร้อมทั้งหลักการใช้สกิลนั้นแต่ละสกิลจะมีแต้มมานาที่เราต้องเสีย ซึ่งมานาจะค่อยๆ ขึ้น (เต็ม 10 แต้ม) เราจะต้องใช้สกิลให้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด และจุดเด่นของเกมเพลย์ที่น่าจะเป็นไฮไลท์ของเกมนี้เลยก็คือระบบ Counter Attack ที่ถ้าหากว่าเราทำการกดสกิลสวนไปในขณะที่ศัตรูกดสกิลพอดี คาถาของเราที่ Counter จะทำงานก่อนศัตรูนั่นเอง ซึ่งนี่ถือเป็นระบบช่วงชิงจังหวะที่น่าสนใจมากๆ ข้อสังเกตุเดียวในความคิดของผู้เขียนที่ติดใจก็คือ เกมนี้ไม่ได้มีระบบโจมตีออโต้โจมตี ทำให้การเล่นทุกครั้งเราจะต้องเล่นมือทั้งหมด ซึ่งมันอาจจะเป็นข้อดีนะ แต่มันก็ไม่เอื้อต่อผู้เล่นที่ทำงานไปด้วยเล่นไปด้วยได้ ถ้าคุณจะเล่นเกมนี้คุณอาจจะต้องโฟกัสกับมัน (แอบเล่นในที่ทำงานไม่ได้มาก 55555) 8v8 โดยเกมนี้เราจะสามารถนำทีมไปรบได้มากถึง 8 ตัวละครเลยทีเดียว แถมว่ายูนิตแต่ละตัวจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน บางตัวเป็นตัวฮีล บางตัวเป็นตัวตีหมู่ หรือบางตัวเป็นตัวโจมตีเดี่ยวที่รุนแรง และยังมีระบบธาตุขอตัวละครจะประกอบไปด้วย ไฟ น้ำ ลม แสง และมืด ที่จะแพ้ทางกันไป รวมถึงแต่ละตัวยังมีค่าพลังที่ไม่เหมือนกันอีก บางตัวโจมตีแรง หรือบางตัวเลือดเยอะเหมาะจะนำไปยืนเป็นตัวแทงค์ ซึ่งระบบของเกมนี้ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ เลยนะครับ แต่ก็มีข้อสังเกตุอยู่บ้างในเรื่องของการที่ตัวละครมีให้เลือกเข้าทีมมากกว่า 8 ตัวละคร ทำให้การเล่นมันค่อนข้างโฟกัสตัวละครได้ยากและดูชุลมุลไปนิด และเนื่องจากที่ตัวละครมันเยอะทำให้เราจะต้องอัพเกรดตัวละครทุกตัวซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลา หรือทรัพยากรที่มากหน่อย สรุป โดยรวมแล้ว Summoners War: Lost Centuria ถือว่าเป็นเกม RPG ที่สร้างความแปลกใหม่ได้อย่างดีมากๆ เพราะระบบ Timing Based ที่ค่อนข้างน่าสนใจ และเราจะต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการผ่านด่านแต่ละครั้ง รวมถึงใครที่เป็นแฟนเกม Summonners War ตัวละครที่ท่านรู้จักและหลงรักนั้นกลับมาครบแน่นอน ส่วนข้อสังเกตุก็เป็นอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านั่นคือเนื่องจากระบบที่เป็น 8v8 อาจจะทำให้การเล่นดูชุลมุนไปนิด และการอัพเกรดตัวละครอาจจะต้องใช้ทรัพยากรมาก (แต่เกมนี้มีแจกของเยอะมากเช่นกัน) พร้อมทั้งตัวเกมมีความเป็นเกม Casual ที่เราจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นที่เป็นคนด้วยกัน ระบบออโต้เลยไม่ได้ถูกใส่เข้ามา จึงทำให้เกมนี้อาจจะไม่ใช่เป็นเกมที่เล่นตอนเวลาทำงาน แต่อาจจะเป็นเกมที่เล่นฆ่าเวลา (แวปมาเล่นซัก 2-3 นาทีซักตานีงอะไรแบบนี้)
25 Nov 2020
รีวิว A3: STILL ALIVE | MMORPG มาเจอกับ Battle Royale ได้ไงเนี่ย!?
สัปดาห์นี้ นับเป็นสัปดาห์ที่เกม MMORPG บนมือถือแข่งขันกันดุเดือดจนแฟนเกมเลือกเล่นกันไม่ถูกเลยทีเดียว และหนึ่งในเกมที่น่าจับตามอง และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นั่นคือ A3: STILL ALIVE ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามหลังเปิดตัวในเกาหลีใต้   ==========================================   จาก A3: Project สู่ A3: Still Alive อย่างที่ทราบกันว่านี่คือหนึ่งในเกม MMORPG ระดับตำนานในอดีตที่อวตารมาลงเกมมือถือในยุคเฟื่องฟูของ Mobile MMORPG ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับต้นกำเนิดของ A3: Still Alive กันสักหน่อย A3: Project เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และเข้าไทยในปี 2005 นับเป็นเกม MMORPG แบบ Full 3D เกมแรกๆ และเป็นเกมที่ได้รับคำชมในเรื่องระบบกราฟฟิคและ motion ตัวละครอย่างล้นหลามมากในยุคนั้น ตามความหมายของ A3 ที่มาจาก Art, Alive, Attraction แถมยังเป็น MMORPG ที่มี cut scene อีกด้วย แหม... เป็นไงล่ะ เจ๋งล้ำหน้าชาวบ้าน (ในยุคนั้น) เลยนะ นอกจากด้านภาพแล้ว ด้านเสียงก็ไม่แพ้กัน ถึงขนาดว่ามี CD เพลงประกอบเกมทำออกมาโดยเฉพาะเลย ของไทยเองก็ได้ศิลปินระดับแนวหน้ามาร้องเวอร์ชันไทยและวางจำหน่ายโดยแกรมมี่ เห็นไหมว่าเขาเล่นใหญ่จริงๆ แต่เสียดายที่สุดท้ายเปิดได้เพียง 12 ปีก็ต้องปิดตัวไป แต่!!!! ในที่สุด A3 ก็เกิดใหม่อีกครั้งบนมือถือ ดำเนินการโดยค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Netmarble ในชื่อ A3: Still Alive ซึ่งได้เปิดบริการในประเทศเกาหลีไปเมื่อเดือนมีนาคม และเปิดเซิฟ Global ในเดือนพฤศจิกายนนี้เอง ลงมือถือแล้วเวิร์คไหม? หลายคนอาจจะลุ้นว่า เกมดีๆ บนคอมเอามาลงมือถือแล้วจะต้องโดนดรอปนู่นนี่นั่น ไม่ก็อะไรสักอย่างแน่ๆ เลย แต่สำหรับเกม A3 นี้ ด้วยความที่เป็น Data เกมที่ค่อนข้างเก่า การ Develop ลงมือถือด้วย Unreal 4 จึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เอาจริงๆ ส่วนตัวเราว่า ภาพดีกว่าสมัย PC เสียอีก ทั้งลายเส้นและการเคลื่อนไหวดู Smooth ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉากในเกมก็ยังคงรักษาความสมบูรณ์ของภาพสามมิติไว้ได้อย่างครบถ้วน จะเสียดายก็แต่ ปรับมุมกล้อง ไม่ได้นี่แหละ เลยทำให้ดื่มด่ำกับตัวเกมไม่ค่อยเต็มที่เลย ในส่วนของเสียงเองก็ยังทำดีไม่มีตก บางครั้งเปิดจอทิ้งไว้แล้วได้ยินเสียงฟ้าผ่าในเกมยังตกใจนึกว่าฝนตกจริงเลย สมจริงมากๆ และที่น่าจะถูกใจหลายคนก็คือ เสียงพากษ์ ที่สามารถปรับเลือกแบบภาษาอังกฤษหรืออยากได้เสียงแบบอนิเมะก็เลือกภาษาญี่ปุ่นได้ ที่น่าตกใจกว่าคือ ระหว่างคอมโบสกิล เสียงเอฟเฟคสามารถแสดงผลได้ดีไม่มีตกเลยแม้จะโจมตีแบบถี่ยิบก็ตาม รับรองว่าอรรถรสมาเต็มจ้า อ้อ~ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเกมนี้จะยก PC มาลงมือถือเฉยๆ นะ เพราะไหนๆ ก็เกิดใหม่ทั้งที ก็ต้องมีของใหม่ให้ตื่นเต้นใช่ไหม? และเกม A3 เขาก็เคลมตัวเองว่าเป็นเกม MMORPG แนวใหม่ ที่ผสมระบบ Battle Royale เข้ามาด้วย เอ๊ะ! แล้วมันจะไปด้วยกันรอดหรือเนี่ย? ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับเกมนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า   ==========================================   MMORPG ในระบบนี้ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะเกมแนวนี้ทั้งเกมใหม่และเกมที่ Remaster จาก PC ลงมือถือในปัจจุบันมีหลากหลายมาก และสำหรับ A3: STILL ALIVE ก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นเกมสวมบทบาทที่มีครบรสจริงๆ เริ่มต้นเนื้อเรื่องมาก็เข้มข้นไม่แพ้ใน PC เลย (แนะนำว่าอย่ากดข้ามอินโทรเกมเลยนะ ดูเพลินแถมทำให้อินกับเกมมาก) เราจะถูกส่งมาในอดีตด้วยพลังของเรเดียนหลังการออกสำรวจจอกศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเริ่มต้นเตรียมตัวรับมือกับการรุกรานแห่งเงามืดใหม่อีกครั้ง โดยตัวเกมก็จะให้เราเริ่มเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่ต่างๆ ภายในเกม รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จะช่วยเสริมความแกร่งให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟาร์มของ อัพเกรดอุปกรณ์ ปลดล็อคสกิล ระบบกิลด์ ไปจนถึงคู่หูอย่างโซลลิงเกอร์ ที่จะทำให้การผจญภัยของเราสนุกยิ่งขึ้น! ถ้าใครเข้ามาใน A3 เพราะเป็นเกม MMORPG ล่ะก็ การเดินเควสสตอรี่ในเกมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะระบบส่วนใหญ่จะมาตามเควสหลัก ซึ่งในช่วงที่เราลองเล่นแรกๆ ด้วยความที่เบื่อรอตีมอน คุย NPC และถึงจะออโต้เควสแต่ก็ต้องกด "ตกลง" เองนะจ๊ะ เราก็เลยดองเควสรัวๆ ทุกครั้งที่เข้าหน้าต่างเมนูก็.. เอ๊ะ!... ทำไมมันติดดำ (ล็อคระบบ) หมดเลยหว่า? จนมีเวลามาเดินเควสต่อ เท่านั้นแหละ อ้าว! ตีบวกได้แล้ว ล่าบอสได้แล้ว อ้าว!? นึกว่าปลดล็อคตามเลเวลอย่างเดียว ฮ่าๆๆ ติ๊งต๊องมาก เรียกได้ว่า พอเควสต่อแล้วก็มีอะไรให้ทำเยอะจนบางอันก็จำไม่ได้ว่า.. เอ่อ... อันนี้ต้องทำยังไงหยอ? กล้าพูดเลยว่าถ้ามีเวลาให้เกมนี้นะ เราจะมีอะไรให้ทำจนลืมเวลาเลย ต่อให้ออกเกมไปกลับมาก็มีของแจกไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นลำบากเลย แล้วในช่วงเปิดเกมนี้ ขอกระซิบบอกเลยว่าทางเกมใจป้ำแจกแหลกจริง แค่เข้าเกมทุกวันก็ได้รับของทีละหลายสิบอย่าง สามารถนำไปอัปเกรดอุปกรณ์ โซลลิงเกอร์ ฯลฯ ได้ทันที สายฟรีอยู่ได้สบาย หายห่วงจ้า     Battle Royale สำหรับใครที่เป็นสายชอบการต่อสู้ ไม่อยากเสียเวลารอเควสสตอรี่เพื่อให้เก่งขึ้น และชอบการแข่งขันแบบเท่าเทียม แนะนำให้กดที่ไอคอนขวามือได้เลย! ในโหมด Battle Royale คือศึกชิงความเป็นที่ 1 จากผู้เล่น 30 คน ด้วยการมีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายให้ได้ ซึ่งวิธีการเล่นแบบเจาะลึก เราจะมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบในบทความหน้านะจ๊ะ ในโหมด Battle Royale เราสามารถเริ่มเล่นได้ทันทีหลังจบโหมดฝึกฝนในต้นเกม และจะบอกว่าการเล่นโหมดนี้จะช่วยเพิ่มเลเวลให้เราได้ด้วย! ดีเลยใช่ไหมล่ะ และทุกครั้งที่ทำผลงานได้ จะได้ทั้งรางวัลภารกิจประจำวัน แบทเทิลมิชชั่นและยังมีรางวัลใหญ่จาก Battle Pass ด้วย ยิ่งเล่นมาก ยิ่งมีสิทธิ์ได้ของมาก ไม่ต้องเหนื่อยฟาร์มเลย และในแต่ละซีซั่น จะมีการจัดอันดับและมีรางวัลคอสตูม ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษทำให้ความสามารถของเราโดดเด่นขึ้นมาด้วย แรร์สุดๆ เลยนะ~ พอมี Battle Royale เข้ามาด้วย เกมนี้เลยกลายเป็น Perfect Combination ของเกมหลากหลายแนว ทั้ง RPG, Moba, RTS, Action คือถ้าเทียบกับการ PVP นั้นเราต้องเตรียมฟาร์มเลเวลฟาร์มของให้เต็มที่จนมั่นใจว่ามีพลังมากพอ ที่เหลือคือฝึกสเต็ปแล้วบุกทะลวงได้ แต่ช้าก่อน...! เมื่อเป็นการประลอง Battle Royale ทุกคนจะเริ่มที่ 0 เหมือนกัน เราต้องฟาร์มให้ตัวเองเก่งพอภายในเวลาที่จำกัด ต้องคอยสังเกตทั้งแผนที่และสภาพแวดล้อมรอบตัวตลอดเวลา ต้องมีแผนสำรอง และถ้ามอนเตอร์แถวนั้นไม่มีให้ฟาร์ม แถมบังเอิญเจอคนอีก ก็ปล่อยจอรอออกห้องเถอะ~ เรียกได้ว่าการวางแผนก็ต้องใช้ ดวงก็ต้องมา เราเคยเข้าไปเซคเตอร์ในๆ แล้วซวยโดนรุม คือหล่อน!! ตรงนั้นก็มีกันตั้งหลายคน ทำไมต้องพร้อมใจกันมาตีฉันคนเดียวไม่ทราบ! ก็นั่นแหละค่ะ หัวร้อนเฉยเลย ฮ่าๆ แต่แก้เบื่อได้ดีเลยค่ะ ถ้าวันไหนไม่มีเวลาเล่นก็จะขอแวะไปวิ่งเล่นในโหมดนี้หลังรับของกิจกรรมประจำวันสักหน่อย จนกลายเป็น 1 ในมิชชั่นประจำวันสำหรับเกมนี้ไปซะแล้ว >.<   ==========================================   ถึงจะมี Battle Royale แบบนี้แล้ว ระบบ PK ที่เป็นจุดขายแต่ดั้งเดิมของแฟรนไชน์ A3 ก็ยังคงมีอยู่ รวมถึงสงครามกิลด์ และสงครามระหว่างเซิฟ ก็ยังมีให้ตะลุมบอนกันอยู่นะ ด้วยรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย ตอบสนองทุกสไตล์การเล่นของเกมมือถือ จึงไม่น่าแปลกใจที่เกมนี้จะสามารถครองใจผู้เล่นทั่วเกาหลีได้ และสำหรับคนไทยเองก็ชอบทุกสไตล์ที่มีในเกมนี้อยู่แล้วด้วย ใครที่ไม่เคยเล่นแบบใดแบบหนึ่งก็สามารถทดลองเล่นได้เลยนะ ระบบเข้าใจง่ายแป๊บเดียวก็เก่งแล้วล่ะ  
23 Nov 2020
COD: Black Ops Cold War เมื่อสิงที่เชื่อมาตลอด ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก!
วางจำหน่ายแล้วกับเกม Call of Duty: Black Ops Cold War การกลับมาครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการสานต่อเนื้อเรื่องจากตัวเกมต้นฉบับภาคแรกในยุคสงครามเย็น ปี 1947 - 1991 ซึ่งหลังจากที่ผมได้มีโอกาสเล่นในโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จนจบแล้ว ต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งภาคที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ โดยหนึ่งในจุดที่น่าจะถูกใจแฟนๆ ซีรีส์นี้มากเห็นจะเป็นเรื่องที่เราจะได้พบกับ Woods และ Mason ตัวละครประจำภาค Black Ops อีกครั้งครับ! เอาจริงๆ ตัวผมเองแทบไม่ได้เล่น Call of Duty: Black Ops เลยตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นมา (เนื่องจากไปติดเกมอื่นๆ อยู่) การกลับมาเล่นครั้งนี้ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งความประทับใจโดยรวมยังคงไปในทิศทางบวก และวันนี้จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ว่าจะได้พบกับอะไรบ้างหากซื้อเกมนี้มาเล่น แอบบอกก่อนเลยว่าผมประทับใจโหมดเนื้อเรื่องภาคนี้มากๆ ครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เรื่องราวในภาคนี้จะเริ่มต้นหลังเหตุการณ์ใน Call of Duty Black Ops ภาคแรก เมื่ออเมริกาจะรู้ถึงการกลับมาของ Perseus สายลับระดับตำนานของโซเวียต ที่ไม่ว่าปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ สถานการณ์ของสงครามเย็นเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเลวร้ายต่อสหรัฐทุกครั้ง ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจึงได้ให้ Adler เจ้าหน้าที่ CIA มือฉมังจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อไล่ล่า Perseus โดยเฉพาะ และผู้เล่นจะได้รับบทเป็น "Bell" หนึ่งในสมาชิกของทีมเฉพาะกิจนี้ครับ ถ้าหากให้จำกัดความง่ายๆ เกี่ยวกับภารกิจที่ทีมเฉพาะกิจนี้ทำ คงต้องบอกว่าเป็นภารกิจแบบโคตรผิดกฎหมายที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นภารกิจประมาณ 50% ของเนื้อเรื่องหลักจะเป็นการเล่นแบบลอบเร้น มากกว่าบุกเข้าไปยิงแบบบู๊แหลก ซึ่งให้อารมณ์ออกไปทางสายลับมากกว่าหน่วยพิเศษในภาค Modern Warfare และสนุกไปอีกแบบครับ หนึ่งในจุดที่ชอบมากๆ คือการที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะให้ "Bell" มีภูมิหลัง กับความสามารถพิเศษ รวมถึงชื่อจริงๆ อะไร กล่าวคือ "Bell" เป็นตัวละครที่ผู้เล่นต้องสร้างขึ้นมา ซึ่งในส่วนนี้จะมีผลกับเนื้อเรื่องด้วย แต่ด้วยความที่เป็นตัวละครสร้างขึ้นมาเอง มันจึงทำให้ "Bell" ไม่มีเสียงพากย์เป็นของตัวเอง บางครั้งเวลาโต้ตอบกับ NPC อื่นๆ ก็ทำให้รู้สึกขาดอรรถรสไปพอสมควรเลยเช่นกัน ส่วนตัวคิดว่าเป็นจุดที่ทำให้โดยหักคะแนนไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ อีกหนึ่งจุดที่ส่วนตัวคิดว่าทำออกมาได้ดีขึ้น คือการเล่าเนื้อเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าภาคก่อนๆ ทั้งในเรื่องของจังหวะภาพ และภาษาที่ใช้ ทำให้ผู้เล่นที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษอะไรมากมาย ก็สามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้ง่ายๆ โดยไม่ได้ทิ้งความซับซ้อน กับจุดหักมุมตามสไตล์ลายเซ็นของ Black Ops ไปเลย ต้องขอชมเลยว่า Activision ออกแบบโหมด รวมถึงเขียนเนื้อเรื่องของเกมนี้มาได้ดีจริงครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ได้ชื่อว่าเป็นเกมเจเนอเรชันใหม่แล้ว เรื่องของกราฟิกคิดว่าคงไม่ต้องพูดเยอะถ้าแบบสั้นเลยคือ "สวยงามเป็นอย่างมาก" ครับ ยิ่งถ้าเปิด Ray Tracing เวลาเห็นเงาที่สะท้อนผ่านน้ำ หรือพบกับที่แสงกระทบกับเหล็กบนตัวปืนแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่า "นี้แหละเกมเจนใหม่" และที่น่าสนใจคือ เกมนี้ไม่ได้กินสเปคมากมายอะไรเลยบน PC ครับ ด้วยสเปคเครื่องที่ไม่สูงอะไรมากมายการจะเล่นให้ได้ 60 FPS ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ถ้าหากต้องการภาพสุกจัดเต็มด้วย FPS ที่สูงกว่า 144 อันนี้ก็อาจจะต้องมีการ์ดจอที่ดีระดับหนึ่งครับ ทางด้านการนำเสนอ ในส่วนของโหมดเนื้อเรื่องผมคิดว่าผู้พัฒนาสร้างบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกกดดัน เวลาทำภารกิจต่างๆ ได้ดีในภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะภาพ, จังหวะของเนื้อเรื่อง, ดนตรี, สภาพแวดล้อมของสถานที่, มูส และโทน ทุกอย่างล้วนถูกคิดมาอย่างดีแล้วว่าจะสร้างอรรถรสให้กับผู้เล่นได้ จุดนี้ต้องขอชมเชยเลยจริงๆ ครับ ที่นี้มาพูดถึงเรื่องการนำเสนอทางฝั่งของเกมเพลย์บ้าง ภาคนี้จะแตกต่างจาก Call of Duty Modern Warfare ที่วางขายในช่วงปีที่แล้ว เรื่องของความสมจริงที่มีมากกว่าครับ สามารถสังเกตในตอนที่เล่นเลยยกตัวอย่างเช่น การขว้างระเบิดในภาคนี้ตัวละครเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการขวาง ซึ่งมือขวาจะยังจับปืนแล้วเล็งข้างหน้าอยู่ (ใช้ปากดึกสลักระเบิดแทนที่จะเป็นมืออีกข้าง) อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่เวลาเรากด Reload ในขณะที่กำลังเข้า Scope ของปืนอยู่ ตัวละครของเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการ Relode ซึ่งในขณะนี้ตัวละครของเราจะไม่ทำการเอาหน้าออกจาก Scope ของปืนเลย นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทหารในโลกความจริงน่าจะทำกันครับ องค์ประกอบเหล่านี้มันทำให้รู้สึกว่าทีมพัฒนาได้ใส่ใจในรายละเอียดของการรบจริงอย่างเต็มที่ และมันทำให้ผู้เล่นอย่างเรารู้สึกอินไปกับเกมมากขึ้นไปด้วยครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ ** เนื่องจาก COD ภาคนี้มีโหมดให้เราเล่นแบ่งออกเป็น 3 โหมดหลักๆ คือ Campagin, Multiplayer และ Zombie ซึ่งแตกต่างกันมากๆ ผมจึงจะขอรีวิวในหัวข้อนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนย้อยครับ ** Campagin ผมได้กล่าวไปข้างต้นเล็กน้อยแล้วว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้จะให้ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังเล่นเป็นสายลับมากกว่าทหารหน่วยพิเศษเหมือนตอนภาค Modern Warfare ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า "เกมบังคับให้เราต้องเล่นแบบลอบเร้น" เอาตรงๆ คือมันก็ไม่ขนาดนั้นครับ ส่วนใหญ่ก็สามารถเล่นแบบบู๊แหลกตามสไตล์ COD ได้ จะมีแค่ 2 ภารกิจเท่านั้นที่บังคับให้เราเล่นแบบลอบเร้นจริงๆ ซึ่งทั้ง 2 ก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ถนัดลอบเร้นแล้วกลัวว่าจะเล่นไม่ผ่านก็ไม่ต้องกังวลไปครับ ผู้พัฒนาได้เคยกล่าวว่า "โหมดเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ จะมีการนำระบบ Butterfly Effect มาใช้ด้วย" ดังนั้นการเลือกตอบบทสนทนาต่างๆ ส่วนใหญ่จึงส่งผลถึงเนื้อเรื่องด้วย โดยส่วนตัวแล้วผมชอบระบบนี้มากๆ เพราะมันทำให้อยากรู้ว่า เนื้อเรื่องหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเรื่อยๆ ครับ อีกหนึ่งจุดขายของโหมดนี้เลยคือ Side Quest ครับ เหตุผลที่ทำให้เควสรองเกมนี้น่าสนใจ เพราะว่าเราจำเป็นต้องถอดรหัส หรือระบุตัวคนร้ายเองในภารกิจต่างๆ โดยข้อมูลที่ช่วยในการถอดรหัสเหล่านี้ ก็จะอยู่ใน Objective เสริมที่เรา พบในภารกิจหลักของเกมนั่นแหละ มันเหมือนกับว่าเรากำลังเป็นหน่วยข่าวกรองลับจริงๆ กำลังถอดรหัสจริงๆ ซึ่งช่วยเสริมอรรถรสได้เป็นอย่างดีเลยจริงครับ! สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกกับคอนเทนต์ที่จำเป็นต้องใช้หัวเยอะๆ แบบนี้ และกลัวว่าการไม่เล่นจะส่งผลถึงเนื้อเรื่องหลักด้วยก็ไม่ต้องกลัวไปครับ เพราะเควสรองของเกมนี้ไม่ได้มีผลกับฉากจบของเกมเลย เพียงแต่จะถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยหลังจากเล่นเนื้อเรื่องหลักจบแล้วเท่านั้น ทั้งหมดนี้ต้องยอมรับว่าออกแบบเกมมาดีมากๆ ครับ Multiplayer โดยรวมระบบเกมเพลย์ของภาคนี้จะแทบไม่ต่างจากภาคก่อนเท่าไหร่ครับ ได้ชื่อว่าเป็น Call of Duty แล้วภาคนี้ก็ยังคงเป็นเกมที่มีจังหวะดวลปืนที่เร็วมากๆ เหมือนเดิม, ยังคงมีจังหวะวิ่งที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก, ยังสามารถวิ่งสไลด์ยิงได้เหมือนเดิม คือถ้าเกิดเคยเล่นเกม COD ภาคก่อนๆ มา ก็ไม่น่าจะต้องปรับตัวมากนักในภาคนี้ครับ ในส่วนของระบบ Loadout ภาคนี้จะใช้ระบบแบบเดียวกับ Call of Duty Modern Warfare คือมี ปืนหลัก, ปืนรอง, Perk สามช่อง, Lethal และ Tactical แต่มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้เพิ่มมา 2 ช่องครับ อันแรกเป็นอุปกรณ์พิเศษที่จะมี Cooldown อยู่ที่ 90 - 300 วินาที แล้วแต่ความเก่งของอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายขึ้นเช่น กับระเบิด, อุปกรณ์ต่อต้านระเบิดมือ หรือป้อมปืนขนาดเล็ก ส่วนอีกหนึ่งช่องที่ถูกเพิ่มเขามาคือ ช่องความสามารถพิเศษ ที่จะให้ผลแตกต่างกันไป โดยจะทำงานคล้ายๆ กับ Perk เช่นสามารถพกระเบิดได้ 2 ลูก หรือพกอาวุธหลักได้ 2 ชิ้นเป็นต้น โหมดทั้งหมดที่สามารถเล่นได้ในตอนนี้ จะมีทั้งหมด 10 แบบด้วยกันคือ Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, Team Death Match, Free For All, Search and Destroy, VIP Escort, Combined Arms และ Dirty Bomb Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, Team Death Match, Free For All จะเป็นโหมดที่มี Objective ง่ายๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจไม่นาน สามารถวิ่งเข้าไปบู๊แหลกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมายนักได้ โหมดในกลุ่มนี้จะเล่นได้สูงสุดแบบ 6 Vs 6 และตายเกิดได้เรื่อยๆ เกมเพลย์โดยรวมในทั้ง 5 โหมดนี้จะเน้นความมันเอาไว้ก่อน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือโหมดที่เอาไว้เล่นแก้เบื่อครับ ส่วน Combined Arms กับ Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่ตาย และเกิดได้เรื่อยๆ เช่นกัน แต่จะมีจำนวนผู้เล่นสูงสุดมากกว่า 20 คน โดย Combined Arms จะเป็นโหมดที่แบ่งคนออกเป็น 2 ทีมแบบ 12 Vs 12 ซึ่งมี Objective ชนะเป็นยึดจุด ซึ่งเกมเพลย์จะมั่วกว่า 5 โหมดแรกมากๆ แต่ก็มันกว่าเช่นกัน ต่อมา Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่แบ่งผู้เล่นออกเป็น 10 ทีม แต่ละทีมจะมีสมาชิก 4 คน แผ่นที่ในโหมดนี้จะมีขนาดใหญ่ ทั้งยังใช้เวลาเล่นค่อนข้างนานมาก และมีเกมเพลย์ใกล้เคียงกับเกม Battle Royale แต่สามารถเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ วิธีชนะในโหมดนี้คือเป็นกลุ่มที่มีแต้มสูงที่สุด โดยแต้มสามารถหาได้จากการทำ Objective ในด่าน ซึ่งจุดที่ทำ Objective ได้จะมีเพียง 5 จุดเท่านั้นในด้าน ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็ได้ปะทะกับผู้เล่นทีมอื่นอย่างแน่นอนครับ สุดท้าย Search and Destroy กับ VIP Escort อาจถือว่าเป็นอะไรที่จริงจังมากสุดใน 10 แบบครับ โดยอันแรกก็คือโหมดวางระเบิดที่ทุกคนรู้จักกันดี ส่วนอีกอันจะมีความคล้ายกัน คือ ตายแล้วไม่สามารถเกิดได้ ฝั่งหนึ่งต้องป้องกัน ส่วนอีกฝั่งต้องบุก แต่ต่างกันตรงที่ทีมบุกไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการวางระเบิด หากแต่เป็นการนำผู้เล่นที่ถูกเลือกไปยังตำแหน่งเป้าหมายอย่างปลอดภัยครับ ดังนั้นถ้าหากว่าฝั่งป้องกันสามารถฆ่า VIP ได้ เกมก็จะจบลงเลยเช่นกัน Zombie อาจเรียกได้ว่าเป็นโหมดที่อยู่คู่กับ Black Ops อย่างแท้จริง (เนื่องจากมีให้เล่นทุกครั้งที่ออกภาคใหม่เลย) ซึ่งความสนุกของโหมดนี้ก็คือการที่เราจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Run and Gun เพราะจำเป็นต้องวิ่งหลบเหล่าผีดิบจำนวนมากพร้อมๆ กับยิงฆ่าพวกมันไปด้วย ในภาคนี้วิธีการเล่นจะยังคงเหมือนกับภาคก่อน คือเหล่าผีดิบจะทยอยบุกมาเรื่อยๆ เป็นระลอก และจะเยอะขึ้น เก่งขึ้น ตามรอบที่ผ่านไป ผู้เล่นจะสามารถดรอปเงินได้จากเหล่าผีดิบที่ยิงตาย โดยเงินเหล่านี้จะใช้ในการเปิดประตู, ซื้อกระสุน กับชุดเกราะช่วยเพื่อช่วยเอาตัวรอดได้ ซึ่งยังสามารถดรอปกระสุน กับอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ อย่างระเบิด กับ C4 ได้ จุดที่แตกต่างกันเลยจริงๆ จะมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการเคลื่อนไหวของตัวละคร และผีดิบที่ทำออกมาได้ดีกว่าภาคก่อนหน้านี้ (เนื่องจาก Optimize มาดีขึ้น รวมถึงมี ภาพ / กราฟิก ที่สวยงามสมจริงมากขึ้น) ซึ่งมันทำให้จังหวะเกมเพลย์ของภาคนี้สนุกกว่าที่ผ่านๆ มา เนื่องจากรวดเร็วลื่นไหลกว่าครับ อีกเรื่องคือการที่เราไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกจนครบ 4 คนก่อนถึงจะเล่นได้ สำหรับใครที่อยากเล่นโหมดนี้แบบคนเดียว ผู้พัฒนาได้สร้างโหมด Solo โดยเฉพาะมาให้ด้วยนั้นเอง สรุปแบบเข้าใจง่ายๆ คือโหมดนี้ยังคงความสนุกแบบเดียวกับภาคก่อนๆ ไว้ได้เหมือนเดิมโดยภาพ / กราฟิก ที่สวยงามขึ้นเป็นตัวช่วยเสริมความสนุก และความตื่นเต้นได้เป็นอย่างดีครับ ◊ สรุป ◊ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่านี้คือ Call of Duty Black Ops ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด เท่าที่ Activision เคยสร้างมาเลย โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น, Optimize มาให้เล่นได้บน PC สเปคที่หลากหลาย, กราฟิกสวยงามสมกับเป็นเกมเจนใหม่ ทั้งยังมีการคำนึงถึงการเคลื่อนไหวที่สมจริงเวลาออกรบของเหล่าทหาร ถ้าจะเป็นจุดที่น่าเสียดายคงเป็นการที่ภาคนี้ไม่มีระบบอะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น หรือเรียกได้ว่าใหม่ในเกมแนว FPS เลย เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดที่ผมกล่าวมา คิดว่า Call of Duty Black Ops Cold War ควรได้คะแนนสูงถึงระดับ 9 เต็ม 10 เลย มันคงจะเป็นเรื่องดีถ้าหาก Activision จะยังคงรักษามาตรฐานที่ดีเช่นนี้ได้เรื่อยๆ ต่อไป และหวังว่า COD ภาคต่อไปที่เราจะได้เล่นในปีอันใกล้นี้ เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ชวนให้พูดคำว่า "Oh My God" ได้สักทีครับ! [penci_review id="72848"]
20 Nov 2020
รีวิว The Sims™ 4 Snowy Escape ผจญภัยในเมืองอันหนาวเหน็บด้วยธีมความเป็นญี่ปุ่น
พึ่งออก Expansion ตัวใหม่ออกมาสดๆ ร้อนๆ สำหรับ The Sims™ 4  กับตัวเสริมที่จะพาให้คุณไปตะลุยหิมะสุดหนาวเหน็บอย่าง Snowy Escape ที่มาพร้อมกับเมืองใหม่อย่าง Mt. Komorebi เมืองที่ผู้พัฒนาได้รับแรงบรรดาลใจมาจากแหล่งท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย พร้อมกับกิจกรรมอันสนุกสนานมากมายตั้งแต่กิจกรรมในสถานที่อันหนาวเหน็บไปจนถึงการพบปะกับซิมคนอื่นๆ ในการแช่น้ำพุร้อนเป็นต้น โดยในวันนี้พวกเรา GameFever TH ได้ไปลองเล่นเกมนี้มาแล้วและจะรีวิวถึงความรู้สึกว่าตัว Expansion ใหม่อันนี้อย่าง Snowy Escape จะน่าซื้อมาเล่นหรือไม่ ? Mt. Komorebi เมืองที่แบ่งเนื้อที่เป็น 3 โซนที่แตกต่าง อย่างที่ทราบว่า Mt. Komorebi เป็นเมืองที่จำลองมาจากเมืองในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดภายในเมืองจะมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่อยู่เต็มเปี่ยม และที่สำคัญคือภายในเมืองยังแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆ ที่จะให้กลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป โซนแรกก็คือ Wakaba ซึ่งถ้าให้เปรียบว่า Mt. Komorebi  คือต่างจังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่ก็เหมือนเป็นแหล่งชุมชนที่จะมีบ้านเรือนมากมาย แม่น้ำล้อมรอบมีสถานที่รถไฟสวนสาธารณะ เปรียบดั่งใจกลางเมืองก็ว่าได้ โซนที่สองคือ Senbamachi ที่จะเป็นโซนที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ที่สวยงามพร้อมกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณอย่างวัดญี่ปุ่น ที่จะให้ความรู้สึกสงบนิ่งจิตแจ่มใส โซนสุดท้ายคือ Yukimatsu ซึ่งจะเป็นโซนที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ กับโซนท่องเที่ยวบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และจะมีกิจกรรมท้าทายให้เราได้ทำมากมาย การตกแต่งบ้านเรือน ใครที่อยากแต่งบ้านเรือนให้มีกลิ่นอายความเป็นบ้านญี่ปุ่น Expansion ตัวนี้ค่อนข้างตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวเลือกในการตกแต่งบ้านหรือุปกรณ์ของใช้นั้นจะมีลวดลายความเป็นบ้านเรือนญี่ปุ่นยุคคลาสสิคที่มีกลิ่นอายของความสงบเข้าไปในนั้นอีกอย่างเช่นโต๊ะ เตียง ชั้นวางของที่ทำมาจากไม้ หรือโต๊ะโคเท็ตสึก็ยังมี ใครที่มีไอเดียในการแต่งบ้านธีมญี่ปุ่นโบราณท่านน่าจะชอบใน Expansion ตัวนี้ครับ กิจกรรม อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Mt. Komorebi เปรียบดั่งมันเป็นเมืองท่องเที่ยวญี่ปุ่น และไฮไลต์ที่สำคัญของเมืองนี้ก็คือการเล่นสกีน้ำแข็งลงมาจากผู้เขาซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่คุณนั้นไปเช่าห้องพักซักที่หนึ่ง ใกล้ๆ สถานที่พักจะมีแหล่งเที่ยวสกีให้ท่านได้ลองเข้าไปใช้บริการ (แต่ท่านต้องซื้อสกีเป็นของตัวเองก่อนนะ) ซึ่งการเล่นสกีก็เริ่มตั่งแต่การเล่นโซนที่อันตรายน้อยๆ ก่อน และถ้าเล่นไปเรื่อยๆ สกิลความสามารถของคุณก็จะเพิ่มขึ้น และจะสามารถไปเล่นในโซนที่ท้าทายมากขึ้นได้ พร้อมกับกิจกรรมอื่นๆ ที่มีว่าเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้อย่างเช่นการเข้าไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อนออนเซ็น และได้พบเจอพูดคุยกับเหล่าซิมใหม่ๆ ได้ (ที่ตลกคือสามารถวู้ฮูกันในบ่อน้ำพุร้อนได้เฉยเลย 5555) หรือจะเป็นบาร์ญี่ปุ่นสไตล์ Izakaya ก็ยังมีเช่นกัน สรุป โดยรวมแล้ว The Sims™ 4 Snowy Escape ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่จะมาเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับซิมของคุณได้อย่างดี ถ้าคุณชอบกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นโบราณที่ผสมความสงบของป่าไม้ วัดวาของญี่ปุ่น หรือชอบความเป็นหิมะ ความโลดโผนที่เหมาะกับช่วงหน้าหนาวของปีนี้ Expansion ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะพอมีข้อติอยู่บ้างในเรื่องของกิจกรรมข้างใน Snowy Escape เองถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรใหม่ๆ อยู่ แต่มันก็ไม่ได้มีคอนเทนต์ที่เยอะมากเท่าไรนัก ใช้เวลาเล่นเวลาสำรวจซักพักก็ค่อนข้างเบื่อแล้ว ใครที่มีคอนเทนต์ Expansion อื่นๆ อยู่บ้างแล้ว Snowy Escape จะเป็นสิ่งที่จะมาเติมเต็มความสนุกกับซิมส์ของท่านได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าใครคิดจะซื้อ Expansion นี้เป็นอันแรก ส่วนตัวคิดว่ารอมันลดราคา หรือหันไปซื้อ Expansion อื่นๆ ที่มีความน่าสนใจกว่าดีจะดีกว่า
20 Nov 2020
รีวิว Godfall ศึกนักรบแห่งทวยเทพเกมเน็กซ์เจนที่ชูโรงโชคประสิทธิภาพเครื่อง PS5
ถ้าให้พูดถึงเกม “Godfall” มันคืออีกหนึ่งเกมน้ำดีที่วางจำหน่ายพร้อมกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 เพื่อโปรโมทให้เกมเมอร์เห็นประสิทธิภาพของเครื่องเกมรุ่นนี้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง! แต่ด้วยความที่ตอนนี้เครื่องเกม PlayStation 5 ยังไม่มีการประกาศวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ผู้ที่จะเล่นเกมนี้ได้ก็คือแพลตฟอร์ม PC นั่นเองค่ะ วันนี้เกวลินก็เลยจะพาเพื่อน ๆ มารู้จักเกมนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพราะด้วยราคาเกมที่สูงทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า “Godfall เป็นเกมที่คุ้มค่าที่จะซื้อมาเล่นหรือเปล่า!?” เมื่ออ่านบทความรีวิวนี้เพื่อน ๆ น่าจะได้คำตอบไม่มากก็น้อยค่ะ   เนื้อเรื่องที่เหมือนจะดี...แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดซะงั้น! เนื้อเรื่องของเกม Godfall พูดถึงเราผู้เป็นหนึ่งในอัศวินวาลอเรียนกลุ่มสุดท้ายที่มีหน้าที่ในการกอบกู้ดินแดน Aperion ให้รอดพ้นจากการล่มสลาย โดยเราจะต้องสวมชุดเกราะในตำนานที่ภายในเกมเรียกว่า “Valorplate” ซึ่งชุดเกราะนี้จะเปลี่ยนให้นักรบที่มีพลังธรรมดากลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานได้ ซึ่งเราจะต้องไปทำภารกิจเพื่อต่อสู้กับเหล่านักรบที่แข็งแกร่งเพื่อนำความสงบสุขสู่ดินแดนของเราอีกครั้ง! ฟังเนื้อเรื่องปูทางออกมาจริง ๆ คือดีในระดับหนึ่งเลยนะคะ แต่เชื่อไหมว่ามันดันตกม้าตายซะงั้น เพราะการทำภารกิจภายในเกมเราจะได้แค่พูดคุยและสืบหาข้อมูลเพื่อเดินทางไปต่อสถานที่ต่อไปเท่านั้น แถวบอสใหญ่แต่ละฉากที่เราจะต้องต่อกรด้วยเนื้อเรื่องพูดถึงหลังจากจัดการไปน้อยมากจริง ๆ ทั้งที่ช่วงต้นเกมเนื้อเรื่องปูมาซะดิบดีเลยค่ะ ทำให้รู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าเรื่องบทเนื้อเรื่องทางทีมผู้พัฒนาเกม Counterplay Games ใส่ใจรายละเอียดน้อยไปนิด อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องยังไม่จบแค่นั้นนะคะ ซึ่งจะมีการเล่าต่อในเนื้อหาเสริม [DLC] ที่จะอัปเดตภายในปีหน้า ก็ได้แต่หวังว่าจะแก้ไขในส่วนเนื้อเรื่องที่ทำให้ดูน่าติดตามมากกว่านี้ก็แล้วกันนะ เกมเพลย์ที่ดุดัน หลากหลาย มีเสน่ห์ และ เป็นจุดแข็งของเกมนี้! ต้องบอกว่าตัวเกม Godfall เกมเพลย์มีความซับซ้อนมาก แต่ต้องอธิบายก่อนว่าคำว่า “ซับซ้อน” ที่เกวลินพูดถึงคือระบบภายในเกมมันเยอะมากจริง ๆ ค่ะ ซึ่งถ้าผู้เล่นใหม่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องอาวุธภายในเกมก่อนค่ะ ปัจจุบันอาวุธภายในเกมจะมีทั้งหมด 5 ชนิดแล้วทุกชนิดก็เป็นประเภทโจมตีในระยะประชิดทั้งหมด ไม่มีอาวุธที่ใช้ในการโจมตีระยะไกล หรือ อาวุธที่ทำให้เราร่ายเวทมนตร์ได้ ซึ่งอาวุธภายในเกมก็จะประกอบไปด้วย ดาบยาว, ดาบใหญ่, ดาบคู่, หอก และ ค้อน รวมไปถึงโล่ที่เราสามารถใช้ในการป้องกันการโจมตีหรือสวนการโจมตีกลับก็ทำได้เหมือนกัน ทั้งนี้ต่อให้อาวุธภายในเกมจะมีเพียงแค่นี้แต่เราก็สามารถพกอาวุธได้ 2 ชนิดในเวลาเดียวกันค่ะ ทั้งนี้เมื่ออยู่ในเกมถ้าเราเก็บไอเทมพวกอาวุธต่าง ๆ เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอาวุธได้ตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้ใครที่กังวลเรื่องนี้ตัดไปได้เลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมาทำความเข้าใจเพิ่มอีกอย่างก็คือ “อาวุธทุกชิ้นมีธาตุในตัว!” ซึ่งธาตุเหล่านี้จะมีผลต่อมอนสเตอร์ภายในเกม ในช่วงแรก ๆ เรื่องธาตุอาจจะไม่เห็นผลมากนัก แต่ถ้าเราเล่นจนเข้าสู่คอนเทนต์หลัง End Game มันจะเห็นความแตกต่างพอสมควรเวลาไปอัดกับมอนสเตอร์ในระดับสูง ทำให้เกมนี้ผู้เล่นจำเป็นต้องพกอาวุธติดตัวไปหลากหลายธาตุเพื่อเอาไว้ใช้ต่อกรกับมอนสเตอร์ หรือ บอสบางตัวค่ะ แล้วสิ่งที่จะทำให้เกมเพลย์ดูลื่นไหลและเป็นสไตล์ในแบบของผู้เล่นก็คือ “การอัปเกรดสกิล” ทุก ๆ 1 เลเวลเราจะได้แต้มอัปสกิล 1 Point หรือ บางครั้งถ้าไปทำภารกิจก็จะมอบให้ 1 Point หลังทำภารกิจนั้น ๆ สำเร็จ ปัจจุบันสกิลของเกม Godfall มีให้อัปเกรดทั้งหมด 25 ตัว ซึ่งทุก ๆ ตัวจะ Max Level อยู่ที่ระดับ 5 ในแต่ละสกิลการเพิ่มขั้นของสกิลนั้น ๆ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ รวมไปถึงอาจจะปลดล็อครูปแบบการโจมตี หรือ ลูกเล่นที่ใช้ในการหลบการโจมตีที่ลื่นไหลมากยิ่งขึ้นค่ะ แล้วตรงนี้เองที่ทำให้เราสามารถผสมผสานเกมเพลย์ในแบบของตัวเองที่ได้จากอาวุธที่เลือกใช้ และ สกิลที่อัปเกรดค่ะ เกมเพลย์ของเกม Godfall ถือได้ว่าเป็นจุดแข็งของเกมนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ อย่างไรก็ตามมันก็มีจุดที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าตัวเกมจะเน้นความดุดันเป็นหลัก ทำให้มันไม่ได้แอ็คชั่นลื่นไหลเหมือนพวกเกม Devil May Cry อะไรพวกนั้นนะคะ เพราะเราไม่สามารถยกเลิกแอนิเมชั่นได้สมบูรณ์แบบ ยิ่งถ้าใช้อาวุธที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะอันนี้เห็นผลชัดเจนเลย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าอัปเกรดสกิลในส่วนการเพิ่มท่าทางการหลบหลีกมากน้อยแค่ไหน ความสนุกของเกมนี้เลยอยู่ตรงนี้ละค่ะ มาถึงสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ก็คือ “Valorplate” ชุดเกราะนักรบแห่งทวยเทพ ซึ่งการออกแบบชุดเกราะเหล่านี้อ้างอิงจากจักรราศีทั้ง 12 โดยผู้เล่นจะสามารถปลดล็อคชุดเกราะพวกนี้ได้จากการรวบรวมไอเทมต่าง ๆ แล้วสร้างทีละชุด ๆ แน่นอนว่าแต่ละชุดล้วนมีท่าพิเศษที่เมื่อกดใช้งานจะทำให้เราได้รับผลจากชุดนั้น ๆ ชั่วระยะหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น  ชุดเกราะ Illumina เมื่อเลือกใช้งานผู้เล่นจะได้คุณสมบัติในการเพิ่มความเสียหายให้กับจุดอ่อนของศัตรู 15% แล้วถ้ากดใช้ท่าพิเศษ [Archon Fury] จะปล่อยคลื่นพลังงานสร้างความเสียหายเล็กน้อย และ เผยให้เห็นจุดอ่อนของศัตรู แล้วเมื่อเราโจมตีใส่ศัตรูบริเวณจุดอ่อนก็จะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม 40% และความเสียหายจะเพิ่มขึ้นอีก 40% เมื่อผู้เล่นโจมตีบริเวณจุดอ่อนทุกครั้งที่เราทำให้ศัตรูติดสถานะกระเด็น หรือ Deathblow สำเร็จ เป็นต้น โดยชุดเกราะ “Valorplate” ผู้เล่นจะสามารถปลดล็อคได้ครบทั้ง 12 ชุดเมื่อเล่นจบเนื้อเรื่องหลักแล้วดังนั้นอยู่ที่เราอยากจะเล่นสายไหนก็เลือกชุดเกราะให้เหมาะสมก็เพียงพอแล้วค่ะ  กราฟฟิกที่ทำออกมาดีเยี่ยม! แม้ว่าสเปกเครื่องจะไม่สูงก็ตาม ด้วยความที่ตัวเกม Godfall ทางทีมผู้พัฒนาเกม Counterplay Games ได้เลือกใช้ “Unreal Engine 4” ก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่กังวลว่า “คอมพิวเตอร์ของตนเองไม่ได้สเปกสูงจะสามารถรันเกมนี้ได้เต็มประสิทธิภาพไหม!?” ผลจากการทดสอบคอมพิวเตอร์ของเกวลินคือ CPU ใช้ i7-8700K ส่วน Ram 32GB. และ GPU ใช้ NVIDIA GeForce GTX 1660 Super ปรับกราฟฟิกสูงสุดความละเอียด 1080p ได้เฟรมเรตอยู่ที่ 59 - 110fps นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพึ่งพอใจเลยค่ะ เพราะจากที่คำนวนแล้วสเปกที่ใช้เล่นอยู่ในขั้นแนะนำนั่นเองค่ะ รายละเอียดกราฟฟิก แสง สี ของเกม Godfall ทำออกมาได้ดีไร้ที่ติ แต่ในช่วง Day One ตัวเกมก็มีปัญหาเรื่อง Bug ต่าง ๆ เกี่ยวกับการแสดงผลที่เยอะพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเล่นออนไลน์กับเพื่อนจะพบปัญหาเกี่ยวข้องกับเฟรมเรตที่ลดลงจากตอนเล่นคนเดียวอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ก็ต้องยอมใจทีมผู้พัฒนาเกมที่มีการออกแพทช์อัปเดตแก้ไขปัญหาเรื่องการแสดงผลกราฟฟิก และ เฟรมเรตผิดพลาดเหล่านี้อยู่ 2 - 3 รอบอย่างไรก็ตาม ส่วนใครที่รอเล่นบนเครื่องเกม PlayStation 5 บอกเลยว่าจากการที่ไปส่องเพื่อนที่เขามีเครื่องก็ตอบกลับมาว่า “กราฟฟิกสวยงาม เฟรมเรตนิ่ง การแสดงผลดีเยี่ยม แต่ก็มี Bug มากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ” สรุปคือดีงาม! สรุป สรุปแล้วความคุ้มค่าในการซื้อเกม Godfall มาเล่นในช่วงเวลาแบบนี้เกวลินก็ตอบได้คำเดียวว่า “คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแน่นอน!” อาจจะเพราะว่าเราไม่ค่อยเห็นเกมทำนองแบบนี้ออกมาให้เราได้เล่นกันมากนัก ตัวเกมมอบความสนุก ตื่นเต้น และ ความท้าทายให้กับผู้เล่นไม่ว่าจะเล่นคนเดียว หรือ เล่นออนไลน์กับเพื่อน ๆ เพราะเมื่อเราเล่นโหมด Hard ความยากที่เพิ่มขึ้น ข้อจำกัดที่ท้าทายผู้เล่นในทีม มันเลยทำให้เราและเพื่อนจะต้องสามัคคีกันไม่งั้นก็ไม่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ แล้วความคุ้มค่าที่เกวลินมองเห็นก็คือ “คอนเทนต์หลัง End Game” มีอะไรให้เราได้ทำเพียบเลยค่ะ เมื่อเราเล่นจบเนื้อเรื่องก็ยังมีการเก็บเลเวลเพื่อไต่ระดับขึ้นไปจุดสูงสุดคือ Level 50 แต่กว่าจะไต่ไปถึงระดับนั้นได้เราก็จะต้องเผชิญหน้ากับ “Tower of Trials หอคอยแห่งการทดสอบ” สถานที่แห่งนี้จะให้เราต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งออกตามหาอาวุธในตำนานที่ซ่อนอยู่เพื่อกลับไปล้างบางบอสที่แข็งแกร่งบนหอคอยแห่งการทดสอบในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งตอนนี้ที่ทำสถิติได้คืออยู่ที่ชั้น 11 เท่านั้นค่ะ หลังจากนี้ลำบากพอตัวเพราะศัตรูที่เยอะขึ้น และ แข็งแกร่งเกินที่จะต่อกรได้ไว รวมไปถึงคอนเทนต์อื่น ๆ ภายในเกมที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดเลื่อนขั้นอาวุธที่ต่อให้เราไม่มีอาวุธในตำนานก็ให้หาอาวุธชิ้นที่ต้องการ จากนั้นก็เลื่อนขั้นไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นระดับสูงสุดได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้มันก็จะมีการสุ่มออกชั่นของอาวุธก็ขึ้นอยู่กับเพื่อน ๆ ว่าจะได้ออฟชั่นตรงกับอาวุธที่เลื่อนขั้นหรือเปล่า แม้ว่าตัวเกม Godfall ส่วนตัวเกวลินจะมองว่ามันคุ้มค่าเพียงใดก็ตาม จุดบอดของเกมก็มีให้เห็นเหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ที่บทเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ขั้นแย่พอสมควร ฉากคัตซีนสวย ๆ ที่เราเห็นในตัวอย่างจะมีแค่ช่วงเริ่มต้นเกมเท่านั้นค่ะ ที่เหลือก็จะเป็นฉากคัตซีนที่ทำขึ้นมาผ่าน Unreal Engine 4 แล้วที่หนักที่สุดตัวเกมก็ยังมี Bug ให้เราได้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ อีกด้วย โชคยังดีที่ทีมงานมีการเก็บข้อมูลจากผู้เล่นที่มีการแจ้งปัญหาไปแล้วก็ออกแพทช์แก้ไขยกตัวอย่างแพทช์ Day One ที่มีขนาดไฟล์ 25GB. เรียกว่าครึ่งหนึ่งของไฟล์เกมกันเลยค่ะ แล้วอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจจะทำให้เกมเมอร์หลายคนไม่สบายใจก็คงจะเป็นเรื่องของราคาที่จัดอยู่ในระดับที่ “แพงหูฉีก!” เพราะขนาดแพ็คเกจ Standard Edition ยังราคาประมาณ 1,700 บาท แล้วถ้าจะให้คุ้มค่ายังไงก็ต้องซื้อตัวเกมพร้อมเนื้อหาเสริม [DLC] ที่ราคาจะอยู่ประมาณ 2,260 บาท ด้วยราคาเกมขนาดนี้กับคอนเทนต์ที่บางคนอาจจะมองว่า “มันน้อยไปหน่อย!” ซื้อเกมอื่นอาจจะคุ้มค่ากว่า เกวลินก็มองว่าเห็นด้วยค่ะ เพราะถ้าซื้อมาเล่นคนเดียวมันไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อมาเล่นกับเพื่อนรวม ๆ แล้วมันก็ถือว่าเป็นเกมที่น่าเสียเงินซื้อมาเล่นได้อยู่ อีกทั้งตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นว่าทางทีมผู้พัฒนาเกม Counterplay Games จะตัดสินใจให้เกม Godfall สามารถเล่นข้ามแพลตฟอร์ม [Cross-Platform] ระหว่าง PC กับ PlayStation 5 หรือเปล่า!? เพราะถ้าทำได้จริงก็จะช่วยทำให้เกมนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น แล้วยิ่งให้เกมนี้เป็นตัวชูโรงในช่วงแรกของการโปรโมทเครื่องเกม PlayStation 5 ด้วยแล้วถ้าทำระบบนี้มันก็จะตอบโจทย์ผู้เล่นได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ น่าเสียดายที่ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย สุดท้ายใครที่สนใจอยากจะเล่นเกมนี้แพลตฟอร์ม PC สั่งซื้อได้แล้วที่ Epic Games ส่วนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 ก็วางจำหน่ายบน PlayStation Store ได้แล้ววันนี้ค่ะ [penci_review id="72743"]
19 Nov 2020
[รีวิว] Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact จะรอดหรือจะร่วง?
หลังจาก Poco X3 NFC ออกสู่วางตลาดไปได้ไม่นาน ก็นับว่าเป็น Smartphone ที่แทบจะตบหลายยี่ห้อกันเลยทีเดียวทั้งสเปคต่อความคุ้มค่าคุ้มราคาและตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดีสมกับค่าตัวของมัน และคนเขียนเองก็ได้เป็นหนึ่งในเจ้าของเครื่องนี้ด้วยเช่นกัน บทความนี้เราจะไม่ได้มาเน้นรีวิว Smartphone เครื่องนี้เป็นหลักเพราะคงจะทราบถึงสเปคและประสิทธิภาพเครื่องนี้กันมาพอสมควรแล้ว แต่เราจะมารีวิวเฉพาะทางด้วยการนำ Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact ที่เป็นเกมแนว Action RPG Openworld เพื่อทดลองว่าโทรศัพท์ยี่ห้อนี้เหมาะหรือคุ้มค่ากับการเอามาเล่นเกม Genshin Impact หรือไม่ เราไปดูกัน ================================================== มาทำความรู้จักสเปคคร่าวๆ และตัวแพคเกจกันก่อน ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อเรื่องหลัก ก็ขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวแพคเกจและสเปคโดยรวมของมันเสียหน่อย ซึ่งทางเราได้ซื้อตัวรุ่น Ram 6GB / Rom 128GB สีน้ำเงิน หรือตัวบนสุดของ Poco X3 NFC ในราคาเจ็ดพันต้นๆ โดยลักษณะกล่องจะเป็นสีดำด้านตัดกับตัวอักษรสีเหลือง พอเปิดฝากล่องก็จะมีแพคเกจเป็นกล่องสีเหลืองคร่อมอีกชั้นทำให้ตัวแพคเกจดูแข็งแรง ปลอดภัยเรื่องแรงกระแทกอย่างแน่นอน ในตัวแพคเกจที่มีมาให้หลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย ตัวโทรศัพท์ Poco X3 NFC หนึ่งเครื่อง เคสพลาสติคใส ตรงมุมจะแข็งกว่าปกติ หัวชาร์จแบบ Fast Charge 33W สาย USB Type-C to Type A หนึ่งเส้น ( สายชาร์จนั้นแหละ ) เข็มถาดจิ้มช่อง SIM คู่มือและใบรับประกันต่างๆ แพคเกจที่แถมมาให้ก็นับว่าเยอะพอสมควร ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปตามมาตรฐาน ส่วนการจับรู้สึกว่ากระชับมือ แต่ทว่าน้ำหนักตัวของมันดูหนักไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้มากมายอะไร อาจจะเป็นเพราะตัวแบตเตอร์รี่ที่ให้มาเยอะมากๆ ก็ถือว่าหักล้างขอเสียเรื่องน้ำหนักไปได้ ส่วนในด้านสเปคเครื่องโดยคร่าวๆ ก็มีรายการดังนี้ สเปคข้อมูลสำคัญ (สำหรับการทดลองเล่นเกม Genshin Impact) CPU: Qualcomm Snapdragon 732G แกน 8 หัว 2.3Ghz GPU: Adreno 618 มีซิงค์ระบายความร้อนด้วยเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus หน้าจอใหญ่ 6.67 นิ้ว ความละเอียดจอเป็น FHD+ แบบ IPS ค่า Refresh Rate 120Hz Touch Sampling 240Hz Ram ขนาด 6GB แบบ LPDDRX4 ความจุ 64GB/128GB แบบ UFS 2.1 (ทางเราซื้อตัว 128GB มา) แบตเตอรี่ 5160mAh, รองรับการชาร์ตด่วนที่ 33W สเปคข้อมูลส่วนอื่นๆ (ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเล่นเกมแต่เขียนไว้สำหรับผู้สนใจ) รองรับเทคโนโลยี 4G LTE ถาด SIM รองรับ 2 ถาด และรองรับ Micro SD Card สูงสุด 256GB ลำโพงคู่ รองรับ Hi-Res Audio ( ออกตรงลำโพงด้านทายเครื่องและตำแหน่งลำโพงรับสาย ) ช่องหูฟังแบบ 3.5 mm รองรับ USB Type-C รองรับสแกนลายนิ้วมือตรงปุ่ม Power มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP53 กล้องหลังหลัก 64MP, อัลตร้าไวล์ 13MP, เลนส์มาโคร 2MP, เลนส์ Depth 2MP รวมทั้งหมด 4 ตัว กล้องหน้า 20MP ระบบปฏิบัติการณ์ Android 10 ครอบด้วย MIUI 12 for POCO รองรับเซนเซอร์ต่างๆ 8 อย่าง รองรับ NFC ซึ่งหากพูดด้วยสเปคแล้วขอบอกเลยว่า โห...สเปคจัดเต็มมากกับราคาที่จ่ายไป แต่ก็มีจุดที่แอบกังวลใจบางอย่างนั้นก็คือ เทคโนโลยี ROM ที่ยังคงใช้ UFS 2.1 อยู่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งถ่ายข้อมูลแบบเก่าอยู่ แต่จะขอพูดถึงรายละเอียดส่วนนี้ในหัวข้อต่อๆ ไป และหลังจากนี้จะเป็นการรีวิวเจ้า POCO X3 NFC เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม Genshin Impact เท่านั้น ================================================== การเปิดเกมครั้งแรกที่ทั้งชอบและไม่ชอบใจ โดยทางนี้จะใช้แอพ Game Turbo ของตัว Poco X3 เพื่อรีดประสิทธิภาพและบูสขุมพลัง CPU ภายในตัวเครื่องให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากนี้ยังสามารถตั้งค่าไม่ให้ใครมารบกวนเช่นปิดการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการบล็อคการโทรเข้าชั่วคราวเพื่อไม่ให้ใครหงุดหงิดใจ แต่เราเลือกที่จะไม่บล็อคเพราะอยากรู้ว่าเวลาแจ้งเตือนหรือ Headchat จาก Facebook จะส่งผลต่อเครื่องหรือไม่ และเราจะเริ่มต้นจากแบตเตอรี่ที่ 100% หรือ 5160 mAh เต็ม ส่วนที่ชอบสิ่งแรกที่ได้เจอเลยคือ ตัว Game Turbo สามารถปรับแสงและสีของตัวหน้าจอให้เข้ากับสายตาเพื่อถนอมสายตาของเราหรือปรับให้เหมาะกับสภาพแสงโดยรอบตอนเล่นเกมให้มากที่สุด โดยจะมีโหมดเพิ่มความสว่างโดยจะทำให้ภาพดูสว่างนวลขึ้นไม่แสบตา, ภาพแบบอิ่มสีก็คือจะทำให้ภาพดูสีสดใสมากขึ้น หรือจะปรับภาพให้แสดงผลทั้งสองอย่างด้วยกันซึ่งมันก็จะกินแบตเตอรี่ด้วย...แน่นอนว่าไหนๆ มาทรมานเครื่องแล้วก็ต้องเปิดการแสดงภาพแบบสว่างและอิ่มสีอยู่แล้ว และจุดนี้ก็ถือเป็นจุดที่เป็นข้อติจุดใหญ่ๆ จุดแรกเลยก็คือหลัง Log in เข้าไปแล้วมันโหลดเข้าเกมช้ามากๆ ราวๆ 40 วินาทีถึง 1 นาทีโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับว่าเล่นครั้งล่าสุดเราอยู่ในเมืองหรืออยู่นอกเมือง โดยมันจะคาไว้ที่ไอคอนธาตุน้ำแข็งสักพักใหญ่ๆ กว่าจะเข้าหน้าเกมได้ ซึ่งเหตุผลตรงนี้มีข้อเดียวคือ ตัวอ่านหน่วยความจำภายในเครื่องยังคงใช้ UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่า การอ่านเขียนข้อมูลดึงข้อมูลจากในเกมจะทำได้ช้ากว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มมาใช้ UFS 3.0 ขึ้นไปแล้ว แต่หากเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าพอรับได้ เว้นแต่ว่าเป็นเกมเมอร์สายใจร้อนก็อาจจะนั่งเซ็งกันสักหน่อย กราฟิคเปิดสุดไม่ต้องยั้ง พังหรือไม่เดี๋ยวรู้กัน เมื่อเข้ามาหน้าตั้งค่าการแสดงผลแล้ว ค่าเดิมๆ ของมันถูกปรับให้เป็นคุณภาพต่ำ อันนี้เราจะแสดงกันให้เห็นชัดๆ เลยว่าเราเปลี่ยนมาเปิดสุดจริงๆนะ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงกราฟิคเล็กน้อยในส่วนของหัวข้อ FPS ที่เดิมๆ มันตั้งไว้ 30 FPS เราเปลี่ยนให้มันเป็น 60 FPS แล้วมาดูกันว่าเล่นไป 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดกี่เปอเซ็นต์และเครื่องจะรีดประสิทธิภาพไหวไหม ภาพนี้จะเป็นหลักฐานยืนยันชัดๆ อีกทีว่าเราเริ่มเล่นช่วงแบตเตอรี่ 100% เต็มและจะเล่นต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงเพื่อทำการทดลองโดยมีน้อง Sucrose ที่แสนน่ารักและนุ่มนิ่มมากจะมาเป็นผู้ช่วยในครั้งนี้ แต่ว่าพอหลังตั้งค่าเสร็จ ภาพก็ดีเนียนดูสวยนะ แต่ก็อาจจะยังไม่เนียนไม่สวยเท่ากับโทรศัพท์ระดับสูงๆ เสียเท่าไหร่ หืมมมม....หลังจากนี้จะเป็นการทดลองภาคสนามกันแล้ว ช่วงเวลาการถ่ายทำจะไม่ตรงกันในแต่ละภาพที่จะได้เห็นก็จริงแต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่าสถานะการณ์ต่างๆ และผลทดลองที่ได้ยังคงอยู่ภายในหนึ่งชั่วโมงการทดลองจ้า ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Monstadt ตอนนี้เราได้ทำการออกเดทกับน้อง Sucrose เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตที่ทำออกมาได้โดยปรับการตั้งค่าให้สูงสุด โดยพาไปเดินเล่นช่วงนอกเมือง Monstadt ก็ได้เห็น CPU ใช้ไปโดยเฉลี่ย 55% แต่ GPU แทบจะวิ่งเต็ม 100% เกือบตลอดเวลา เพราะว่าเราได้ดึงประสิทธิภาพของตัว Snapdragon 732G อย่างเต็มที่ของมันแล้ว ซึ่งโดยรวมค่าเฟรมเรตที่ทำได้จะอยู่ในช่วง 45 ถึง 55 เฟรมเรต ถือว่าเคลื่อนไหวได้ราบเรียบมากๆ จากนั้นก็ได้พาน้อง Sucrose ทำการทดลองด้วยการลงภาคสนามกับเหล่า Slime หินผู้โชคร้ายว่าเวลาต่อสู้เฟรมเรตจะเป็นอย่างไร ผลที่ออกมาก็ตามคาดคือ FPS ร่วงลงมา โดยต่ำสุดอยู่ที่ 30 FPS ไม่ต่ำกว่านั้น มีแกว่งๆ ขึ้นไป 40 FPS บ้าง โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 35 FPS ทีนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมายังตัวเมือง Monstadt กันบ้างซึ่งหากเราเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเลย จะแทบกระตุกช่วงพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งเป็นเพราะระบบการถ่ายโอนข้อมูลยังคงเป็น UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่านั้นเอง ราวกับว่าต้องใช้เวลาโหลดฉากนิดหนึ่งอะไรประมาณนั้น ตอนนี้น้อง Qiqi ก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) เราเลยใจอ่อนยอมเปลี่ยนตัวให้ Sucrose ไปพักเหนื่อยบ้าง ต้องขอบอกก่อนว่าพอเราอยู่ในเมืองค่าเฟรมเรตที่ได้จะตกลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ค่า GPU กลับใช้พลังงานน้อยลงเป็นนัยยะสำคัญเช่นกัน โดยค่าเฟรมเรตที่ทำได้ ไม่ต่ำกว่า 25 FPS และสูงสุดไม่เกิน 40 FPS มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 FPS ซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหงุดหงิดใจนัก ยังคงพอรับได้ บังคับได้ลื่นไหลพอสมควร หลังจากนี้เราก็เอาทีมคณะผู้ช่วยไปบวกกับ Boss หมาป่า Adrius ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่มันมาก เพราะการต่อสู้ลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้กวนใจแต่อย่างใดเลย FPS เฉลี่ยที่ทำได้คือ 40 FPS ถือว่าทำออกมาได้ดีมากสำหรับ Poco X3 แม้จะต้องเจอกับเอฟเฟคเยอะๆ ก็ตามที ที่สำคัญ การควบคุมตอบสนองดีมาก ไม่มีอาการหลุดการควบคุมหรือหลอนเลยเพราะตัว Touch Sampling ที่มีมากถึง 240Hz ทำให้การตอบสนองต่อการกดนั้นไวมากๆ และแม่นยำมากๆ แม้ว่าเราจะติดฟิลม์กระจกอย่างหนาก็ตาม ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Liyue ทีนี้เราพาน้อง Sucrose มาเปลี่ยนบรรยากาศมาที่เขต Liyue กันบ้างโดยเริ่มจากเขตนอกท่าเรือ Liyue ที่เต็มไปด้วยผาน้อยใหญ่ บรรยากาศให้ความรู้สึกอยู่ในพื้นที่แฟนตาซีหนังจีนกำลังภายใน ผลการทดสอบของ CPU ก็ใช้พลังงานมากขึ้นนิดหน่อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 55% และ GPU ก็ยังเต็มเกือบ 100% มีบ้างบางช่วงที่ตกลงมาที่ 85% โดยเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้จะอยู่ประมาณ 45 FPS เหมือนกัน ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเขตนอกเมือง Monstadt เท่าไหร่นัก ส่วนในฉากต่อสู้ทั่วๆ ไปนั้นก็ยังลื่นไหลไม่ต่างเขตนอกเมือง Monstadt เช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 FPS ไม่ต่ำกว่า 30 FPS อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่าช่วงที่ถ่ายทำนั้นมีผลเท่ากันจึงเลยไม่ได้ตัดสินใจถ่ายช่วงต่อสู้เพื่อความกระชับของเนื้อหา จากนั้นก็ลองพาเข้ามายังท่าเรือ Liyue ด้วยการเทเลพอร์ตดูบ้าง โดยงานนี้น้อง Klee โลลิที่น่ารักของผองเราก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) พอเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเท่านั้นแหละ กระตุกหนักกว่าอยู่ในเมือง Monstadt อีก แต่สักพักใหญ่ๆ ก็กลับมาลื่นเป็นปกติ เหตุผลก็เพราะว่าระบบถ่ายโอนข้อมูล UFS 2.1 เช่นเดิม และด้วยเมือง Liyue มี Object ที่เยอะมากอยู่แล้วไม่แปลกใจที่โหลดฉากไม่ทันและกระตุก แต่อย่างน้อยก็กลับมาลื่นปกติโดยปล่อยไว้สักพัก ส่วนเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้อยู่ที่ 30FPS ต่ำสุดคือ 25FPS ซึ่งอยู่ในเขตเมืองก็ยังพอโอเคไม่มีปัญหาอะไรขนาดนั้น คราวนี้ก็มาถึงช่วงทีเด็ดของเรานั้นคือลุยภาคสนามไปตบตีกับ Tatarglia "Childe" แห่ง Fatui กัน ซึ่งบอกเลยว่าถึงจะเจอฉากอลังการงานสร้างตั้งแต่ Phase แรกของการต่อสู้เฟรมเรตที่ทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 45FPS ต่ำสุดอยู่ที่ 30FPS จัดว่าดีงามมากๆ เลยนะ ช่วง Phase ที่สองของการต่อสู้ ลูกเล่นของเจ้า Childe ก็เยอะขึ้นแต่ด้วยตัว Touch Sampling 240Hz ทำให้ตอบสนองได้ไว การใช้ Beidou ในการต่อสู้หรือกดสกิลสวนกลับต่างๆ รวมถึงการกดสับตัวเพื่อใช้สกิลก็ทำได้รวดเร็ว คล่องมือมากๆ เฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้ยังคงได้ดีอยู่ที่ 40FPS ไม่กระตุกหรือแลคแต่อย่างใด พอเข้าสู่ช่วง Phase ที่สามของการต่อสู้ ชากคัตซีนดูเนียนตาและลื่นมากๆ ทำเฟรมเรตแตะไปที่ 55FPS พร้อมกับเสียงลำโพงคู่ที่กระหึ่มได้ใจในช่วงที่ Childe ได้ใช้พลังขั้นสุดยอด เอาซะเราขนลุกเลยทีเดียว พอตัดฉากมาช่วงต่อสู้ค่าเฟรมเรตที่ทำได้ยังคงอยู่ที่ 40FPS โดยเฉลี่ย แน่นอนว่าการตอบสนองการทำอะไรต่างๆ ยังคงลื่นๆ สบายๆ หลบสกิลหรือต่อสู้กับ Childe ได้สบายหายห่วง...แน่นอนว่ามีน้อง Klee ซะอย่าง สายโลลิระเบิดเขา เผากระท่อมนั้นกลัวผู้ใหญ่ของ Fatui ซะทีไหน...ดู Damage นั้นสิ! สรุปผลจากการเล่นครบหนึ่งชั่วโมงและขอสังเกตุต่างๆ เมื่อเราทำการเล่นครบหนึ่งชั่วโมง จากแบตเตอรี่ 100% ตั้งค่าสเปคในเกมปรับสุด ผลก็คือแบตเตอรี่เหลือ 78% เท่ากับว่าหนึ่งชั่วโมงเราใช้แบตเตอรี่ไปราวๆ 22% โดยเฉลี่ย ถือว่าสูบพลังงานเอาเรื่องจากแบตเตอรี่ที่จุดมากถึง 5160mAh แต่เพราะทั้งนี้ก็มาจาก Engine ที่ใช้พัฒนา Genshin Impact เป็น Unity Engine เวอร์ชั่นเก่า ( เวอร์ชี่นเดียวกับ Honkai Impact ) ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกมนี้กินสเปคเยอะและใช้พลังงานแบตเตอรี่เยอะในเวลาเดียวกัน และก่อนหน้านั้นก็ได้ทำการทดลองเปิดแจ้งเตือนแบบลอยและเปิด Head Chat ของ Facebook Messenger เพื่อดูว่าหากใครทักมาจะเป็นอย่างไร ผลก็คือมีคนทัก Head Chat ปรากฎขึ้น เกมจะกระตุกทันที และกระตุกนานหลายวินาทีก่อนจะกลับมาลื่นอีกครั้ง ส่วนการแจ้งเตือนแบบลอยไม่มีผล ถ้ากำลังตบตีกับศัตรูอยู่แล้วมีใครทักมาก็อาจจะทำให้หงุดหงิดได้บ้างเป็นบางเวลา เหตุผลก็เพราะว่าเกม Genshin Impact บนมือถือก็กิน RAM ไปมากกว่า 3.5GB แล้วซึ่งตัว Poco X3 มี RAM อยู่ที่ 6GB หากเปิดการทำงานส่วนอื่นๆ ก็อาจจะมีการดึงทรัพยากรของ RAM กันเกิดขึ้น และอีกข้อสังเกตุเลยก็คือเรื่องความร้อน พอเราปรับสุดในเกม Genshin Impact พอผ่านไปได้ห้านาที ฝาหลังร้อนเลยจ้า แต่ไม่ได้ลวกมือหรือร้อนจี๋อะไรแบบนั้น เนื่องจากตัวเครื่องมีฮีตซิงค์ที่เรียกว่า LiquidCool Technology 1.0 Plus ซึ่งมันเป็นระบบระบายความร้อนรูปแบบเดียวกันที่ใช้กับ CPU ของตัวคอมพิวเตอร์ โดยการทำงานของมันคือจะมีแท่งเหล็กทองแดงแปะพาดตัว CPU ข้างในแท่งทองแดงจะมีของเหลวนำความร้อนอยู่ ทำให้การนำความร้อนออกจากเครื่องได้รวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเล่นแป๊บเดียวก็เริ่มร้อนมือ แต่ว่ามันก็ไม่ทำให้เครื่องร้อนเกินไป และพอหยุดเล่นเครื่องก็หายร้อนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ================================================== โดยสรุปแล้ว Poco X3 NFC สามารถเล่น Genshin Impact ได้อย่างสบายๆ ถึงจะปรับสุดก็ไม่เคยหวั่น แม้ว่าภาพหรือกราฟิคต่างๆ รวมถึงความลื่นไหลของเฟรมเรตอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับมือถือระดับสูง แต่หากเทียบกับความคุ้มค่าในราคาหลักเจ็ดพันกว่าๆ แล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นมือถือที่สามารถเล่นเกมหนักๆ ได้อย่างดี แม้ว่าเครื่องจะร้อนเร็วไปหน่อยก็ตาม มันก็ไม่ถึงกับลวกมือขนาดนั้น เพราะเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus ที่ระบายความร้อนได้รวดเร็วนั้นเอง หากใครอยากหาซื้อมือถืองบไม่สูงเพื่อเล่น Genshin Impact โดยเฉพาะ Poco X3 NFC ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และหากอยากให้เล่นลื่นๆ ฟินๆ ก็ปรับแค่ระดับกลางๆ ก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์จากเกมนี้มากเกินพอแล้ว และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า Sucrose นั้นเราจองแล้ว หวงนะ! ( ล้อเล่นจ้า )
17 Nov 2020
Assassin’s Creed Valhalla จุดเริ่มต้นของตำนานไวกิงผู้พิชิต
ย้อนกลับไปปี 2017 เกม Assassin’s Creed ได้เปิดตัวภาค Origin ที่ทำให้เราได้เรียนรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวองค์กรนักฆ่า ต่อมาในปี 2018 ภาคต่อของ Odyssey ที่เป็นเรื่องราวหลังจากนั้นในยุคของ กรีก - โรมัน ได้วางจำหน่ายครั้งแรก ครั้งนี้ Assassin’s Creed กลับมาอีกครั้งในภาค Valhalla โดยมีเซ็ตติ่งอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 793 - ค.ศ. 1066 ซึ่งเกมให้เรารับบทเป็นชาวไวกิงสุดแข็งแกร่งจากประเทศ Norway ครับ จากข่าวก่อนหน้านี้ เราได้ทราบว่า Assassin’s Creed Valhalla จะเป็นภาคที่เชื่อมช่องว่างระหว่างเกมภาคแรกๆ กับ 3 ภาคล่าสุดเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้เนื้อเรื่องของภาคนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ และต้องขอบคุณทาง Ubisoft ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ก่อนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้นวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูกันว่า Assassin’s Creed Valhalla มีดีอะไร และยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แอบบอกก่อนเลยว่า เกมนี้ทำได้เหนือความคาดหมายของผมไปหลายส่วนมาก ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ! ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed Valhalla จะเริ่มในปี ค.ศ. 854 (ยุคของเหล่าไวกิง) ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Eivor ชาวไวกิงคนหนึ่งของชนเผ่า Raven ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของ นอร์เวย์ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มเล่าตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ในคืนหนึ่งที่เหล่า Raven กำลังกินดื่มเพื่อฉลองเนื่องในวโรกาสบางอย่างอยู่ จู่ๆ พวกเขาก็ถูกโจมตีจากเผ่า Kjotve ในค่ำคืนนั้น เพื่อที่จะให้ Eivor สามารถหนีรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้ พ่อ กับ แม่ ของเขาได้สละชีวิตของตนเพื่อเปิดโอกาสนั้น และเป็น Siguard พี่ชายต่างสายเลือดที่เป็นคนควบม้าพา Eivor หนีออกมาได้ ภาพจะตัดมาอีกครั้งหลังจากนั้น 18 ปี Eivor ได้พลาดท่าให้กับคนของเผ่า Kjotve อีกครั้ง และกำลังจะถูกจับไปขายเป็นทาส แต่เขาก็ได้ใช้กุญแจมือเหล็กที่ถูกใส่อยู่ให้เป็นประโยชน์ สามารถสู้จนชนะพร้อมทั้งหนีออกมาได้ ในจุดนี้เรื่องราวการล้างแค้นให้พ่อ กับแม่รวมไปจนถึงการพิชิตเกาะอังกฤษของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น (ผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครได้อย่างอิสระจริงๆ ครั้งแรกตรงนี้) อย่างที่ผู้พัฒนาได้กล่าวก่อนหน้านี้ ว่าเนื้อเรื่องของภาค Valhalla จะช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างภาคแรกๆ กับ 3 ภาคหลังที่หายไป ในเนื้อเรื่องหลักของเกม Eivor จะได้พบกับสมาชิก 2 คน จากกลุ่ม Brotherhood (กลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับพระเอก Assassin’s Creed ภาคแรกสังกัดอยู่) ที่ชื่อว่า Basin กับ Hytham โดยพวกเขามีเป้าหมายในการสังหารสมาชิกของ Order of The Ancients ที่อยู่ใน นอร์เวย์ ซึ่งพวกเขายังเป็นคนสอนวิธีใช้ Hidden Blade รวมไปจนถึงเทคนิคการลอบสังหารให้กับ Eivor ด้วย โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้จะไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย และค่อนข้างเป็นเส้นตรง ตัวละครต่างๆ มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ดังนั้นทุกคนน่าจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องของเกมได้ไม่ยาก แน่นอนว่าภาคนี้ยังคงมีระบบ Choice Matter ที่รายละเอียดของเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ตัวเลือกของผู้เล่นเหมือนภาค Odyssey แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงของเนื้อเรื่องหลักอะไรมากมายครับ ส่วนตัวแล้วผมมองจุดนี้เป็นข้อดี เพราะมันทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความสนุก พร้อมทั้งเข้าใจเนื้อเรื่องเกมได้ง่าย และช่วยเสริมอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ในเรื่องของกราฟิก คงต้องบอกว่า Assassin’s Creed Valhalla ทำส่วนนี้ออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะในเรื่องของรายละเอียดพื้นผิว (ผมเล่นบน PC ที่เซ็ตติ้ง Very High ครับ) ในเรื่องของแสง กับเงาเองก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน แม้ว่าตัวเกมจะยังไม่สามารถเปิด Ray Tracing ได้ในตอนนี้ แต่กราฟิกที่เกมสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าสวยงามเป็นอย่างมากแล้ว คงต้องบอกว่า "ไม่ผิดหวังที่เป็นเกมซึ่งจะลงให้กับ PS5 กับ Xbox Series X / S ด้วยเลย" ครับ มาพูดถึงการนำเสนอกันบ้าง จุดแรกเลยที่อยากขอชมผู้พัฒนาคือการที่ศึกษาวัฒนธรรมของไวกิงมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน้าตาของสิ่งปลูกสร้าง, การใช้เขาสัตว์เป็นแก้วเหล้า, ลักษณะสีผิว กับสีผมของตัวละคร, การแต่งกาย, การเคลื่อนไหวของ NPC ในขณะล่องเรือ ท่าทางในการวิ่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกเก็บรายละเอียดอย่างดี ทำให้ตอนเล่นเราแทบไม่รู้สึกถึงความผิดแผกไปจากความเป็นจริงเลย มุมกล้องในขณะเดินทางด้วยเรือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมอยากจะขอชมผู้พัฒนาเกมนี้ครับ Assassin’s Creed Valhalla จะมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนมุมมองของกล้องไปใช้แบบ Panorama View ได้เวลาที่เรากด Auto Travel ซึ่งมันช่วยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่น่าสนใจขณะล่องเรือไปตามแม่นำของอังกฤษครับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลยครับ หนึ่งจุดที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย คือความซ้ำซากของอาคารบ้านเรือนที่เจอในเกม โดยสามารถรับรู้ได้เลยว่าเป็นโมเดลที่ถูกเอามาใช้ซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ว่าเราไปที่เมืองไหนอาคารเหล่านี้ก็จะโผล่มาให้เราเห็นแล้ว เห็นอีก ซึ่งในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ แต่พอเห็นอาคารเดิมๆ บ่อยครั้ง มันก็คงช่วยไม่ได้ที่ผู้เล่นจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับอยู่ในโลก Deja Vu ตลอดเวลา (บ้านที่พบใน นอร์เวย์ กับ อังกฤษ ที่ใช้โมเดลเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว Longhouse ไม่จำเป็นต้องเป็นทรงนี้ก็ได้ครับ) อีกหนึ่งข้อเสียที่พบได้ในขณะที่เล่น คือเรื่องสีหน้าของตัวละครครับ ในฉากแบบ Close up ที่เป็นการพูดคุยระหว่างตัวละครตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่พอเป็นฉากมุมกว้าง อย่างเวลาล่องเรือ หรือพูดคุยกันลอยๆ การแสดงออกทางสีหน้าของตัวละครถือว่าเลวร้ายมาก ชนิดที่เสียงพากย์กับสีหน้าดูไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันเลย เล่นบางครั้งก็ปรับอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกันครับ สุดท้ายคือในเรื่องของอนิเมชั่น ที่ดูจะยังทำออกมาได้ไม่ดีครับ เนื่องจากหลายครั้งที่การขยับของตัวละครจะแข็งกว่าที่มนุษย์ควรจะเป็น การยกแก้วที่ไม่น่าจะทำให้กินน้ำได้ บางครั้งหนักถึงขนาดที่แขน หรือขาของตัวละครสามารถวาร์ปตำแหน่งได้เลยทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้รวมถึงอนิเมชั่นที่ศัตรูแสดงออกมาหลังจากโดนโจมตีด้วย แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลในตอนเล่นอะไรมากมายนัก แต่ก็อดขัดใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นครับ [caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="1024"] การยกแก้วเหล้าที่ไม่สมจริง[/caption]   ◊ เกมเพลย์ ◊ Assassin’s Creed Valhalla จะใช้ระบบหลักของเกมเป็นแบบ RPG ดาเมจที่เราสามารถทำได้จะขึ้นอยู่กับค่าสเตตัสทั้งหมด นั้นจึงหมายความว่าถ้าหากค่าสถานะต่างกันมากๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าอีกฝ่ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว (รวมถึง Stealth Attack ด้วย) ระบบนี้จะมีข้อดีคือทำให้การต่อสู้สนุกมากขึ้น โดยเฉพาะการต่อสู้จะท้าทายมากขึ้นถ้าหาก ศัตรูมีค่าสถานะที่สูงกว่า ยิ่งเซ็ตติ้งที่ตัวละครเราเป็นชาวไวกิงซึ่งชอบความท้าทายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ได้รับความสนุกที่มากขึ้นตามไปด้วยครับ เชื่อว่า Hidden Blade Instant Kill ที่กลับมาในภาคนี้ น่าจะสร้างความสนใจให้กับแฟนเกมหลายคน ผมบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ Instant Kill ได้ตลอดหรอกครับ ถ้าหากว่าสเตตัสของเรากับอีกฝ่ายต่างกันมากๆ  จริง (แบบเรา 20 อีกฝ่าย 80) มันจะกลายเป็นการโจมตีที่ไม่ใช้ครั้งเดียวตายไป แต่ทำจะดาเมจให้กับอีกฝ่ายเยอะมากๆ แทน (เกือบๆ ครึ่งหลอด) โดยถ้าหากใช้กับตัวที่มีเลเวลใกล้ๆ กันยังไงก็ทีเดียวตายแน่นอนครับ ซึ่งก็มันไม่ได้ทำยากอะไรมากมายด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของเกมจะให้เราวิ่งเข้าไปสู้กับอีกฝ่ายตรงๆ มากกว่าเท่านั้นเอง ต่อมาคือในเรื่องของความยาก ผมชอบภาคนี้ตรงที่เราสามารถเลือกความยากในระบบเกมเพลย์ต่างๆ ได้อย่างละเอียด โดยความยากที่ผู้เล่นเลือกได้จะมี 3 อย่างด้วยกันคือ ความยากในการสำรวจ ความยากในการต่อสู้ ความสามารถในการตรวจจับของศัตรู (ข้อนี้ส่งผลต่อการ Stealth โดยตรง) การมีระบบแบบนี้ ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกระดับความยากที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันจะช่วยให้เราสามารถได้รับความสนุกจากตัวเกมได้อย่างเต็มที่ และไม่ยากเกินไปสำหรับบางคน ในจุดนี้ต้องยอมรับเลยว่าคิดเพื่อมาได้ดีจริงๆ ครับ ในเรื่องของเกมเพลย์การสำรวจ ภาคนี้ยังคงเป็นแบบ Open World เหมือนกันภาคก่อนๆ แต่เนื่องด้วยการเดินทางเข้าตีเมืองต่างๆ ของอังกฤษชาวไวกิงมักจะทำกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมันเลยทำให้เกมเพลย์ส่วนใหญ่ของภาคนี้ให้ความรู้สึกที่เหงาน้อยกว่าภาคที่ผ่านๆ มา เนื่องจากไม่ว่าเราจะไปโจมตีเมืองไหน ก็จะมีเพื่อน NPC ที่เป็นชาวไวกิงเช่นกันไปตีเมืองเหล่านั้นกับเราด้วย ยิ่งตอนที่กู่ร้องตะโกน เวลาจะเข้าตีเมืองพร้อมๆ กันนั้น ยิ่งเป็นอะไรที่สร้างความคึกได้เป็นอย่างดีเลยครับ ได้ชื่อว่าเป็น Assassins Creed หนึ่งในระบบที่ผมไม่ชอบเลย และมันยังคงมีอยู่ในภาคนี้ คือในเรื่องของการที่บังคับให้เราปืนขึ้นไปที่สูงๆ เพื่อปลดล็อกจุด Fast Travel ครับ คือไม่ว่าคิดยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หลายๆ ครั้งรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่าสนุกด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าจุดที่ต้องไปปีนอยู่นอกเส้นทางของเควสมากๆ และมันไม่มีจุดให้เรา Fast Travel อื่นๆ เลยในละแวกนั้นด้วยแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากการโดนบอก "อยากกลับมาตรงนี้ก็ไปปีนเสาดังกล่าวเสียสิ" เลยครับ มาพูดถึงระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจกันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมคิดว่าทำออกมาได้น่าสนใจดี คือการให้เราไปหาทรัพยากร มาสร้างบ้านในค้ายที่ตั้งรกรากอยู่ครับ โดยทรัพยากรดังกล่าวสามารถหาได้จากการล่องเรือไปยังเมืองต่างๆ แล้วปล้นมา มันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้เป็นไวกิงในยุคบุกอังกฤษจริง เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว เหล่าไวกิงก็ทำแบบนี้จริงๆ ตอนตีเกาะอังกฤษครับ การสร้างบ้านต่างๆ ในเมืองของเรายังเป็นตัวช่วยปลดล็อก ระบบอื่นๆ ของเกมด้วย เช่นถ้าสร้างท่าเรือ เราจะสามารถตกแต่งเรือยาวของตัวเองได้, ถ้าสร้างกระท่อมล่าสัตว์จะปลดล็อกเควสล่าสัตว์ในตำนานได้, ถ้าสร้างค่ายทหารจะช่วยให้เราสามารถจ้างชาวไวกิงคนอื่นๆ ที่บุกมายังอังกฤษได้เป็นต้น ระบบเหล่านี้มันช่วยเพิ่มเป้าหมายในการเล่นเควสอื่นๆ ของเกมไปในตัวด้วยครับ สุดท้ายคือในเรื่องของสกิล ซึ่งในภาคนี้สกิลจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ Passive กับ Active โดยสกิล Active นั้นผู้เล่นจะไม่สามารถได้รับมาจากการอัพเลเวล แต่ต้องออกตามหาหนังสือสกิลเหล่านี้ตามส่วนต่างๆ ของโลกในเกม มันจึงส่งผลให้การสำรวจโลกมีความหมายมากขึ้นในภาคนี้ ในส่วนของสกิล Passive ผู้เล่นจำเป็นต้องอัพไปตามแผนที่ดวงดาวของเกมเองเพื่อให้ได้มา ดังนั้นความเป็นไปได้ในการอัพสกิลของภาคนี้จึงหลากหลายกว่าที่ภาคที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างมาก โดยจากจุดเริ่มต้นจะมี 3 เส้นทางให้เราเลือก คือ Passive ที่เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยอาวุธระยะประชิด Passive ที่เกียวกับการโจมตีระยะไกล Passive ที่เกี่ยวกับการลอบฆ่า ◊ สรุป ◊ แม้จะไม่ใช้เกมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมาพร้อมกับระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แต่ Assassin’s Creed Valhalla คงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับเกมที่ต้องการผสม RPG กับเกมแนว Stealth เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อีกหนึ่งจุดขายเลยคือการที่ระบบต่างๆ ของเกมต่างช่วยสนับสนุนกันเอง ให้สามารถโชว์ความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ตอนที่เล่นเกมนี้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นชาวไวกิงจริงๆ คงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาประสบความสำเร็จในการสร้างเกมนี้จริงๆ ครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีข้อเสียอีกหลายจุดที่ทำให้จำเป็นต้องหักคะแนนเกมนี้ไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของบัคที่มีค่อนข้างเยอะ และตัวเกมยังกินสเปคสูงมากๆ จนทำให้อาจเล่นได้ลำบากในเครื่องที่ไม่ได้มีสเปคสูงอะไรมากมายด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดว่าเกมนี้ควรมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ครับ แม้ไม่ใช่เกมยอดเยี่ยมที่ต้องหามาเล่นสักครั้งในชีวิตให้ได้ แต่ Assassin’s Creed Valhalla ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ดีมากๆ เกมหนึ่ง ซึ่งควรค่าแก่การหามาเล่นครับ [penci_review id="72200"]
09 Nov 2020
Review: Marvels Spider-man: Miles Morales "ภาคต่ออันใหญ่ยิ่ง ของเกมฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่"
แม้ว่าภาคก่อนหน้าจะเพิ่งวางจำหน่ายไปได้ไม่นาน แค่ราวๆ สองปีที่แล้วนี่เอง แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดผู้พัฒนา Insomniac Games ในการพัฒนาภาคต่อ Marvels Spider-man: Miles Morales ออกมาต้อนรับการมาถึงของคอนโซล PlayStation 5 อีกครั้ง ซึ่งจากความนิยมและคะแนนรีวิวอันสูงลิบลิ่วของเกมภาคแรก ทำให้เกมภาคต่อจำเป็นต้องทำงานหนักแน่นอน เพื่อให้สามารถรับไม้ต่อจากภาคแรกได้อย่างสมศักดิ์ศรี ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นเกม Marvels Spider-man: Miles Morales เวอร์ชั่น PS4 (ขอขอบคุณ Sony Thai สำหรับโค้ดเกม) และต้องบอกเลยว่าเกมนี้ถือเป็นทายาทที่คู่ควรของตำนานไอ้แมงมุม ที่แม้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ "ใหม่" ซะทีเดียว แต่ก็สามารถรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมของภาคแรกมาได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเกมเพลย์ที่รวดเร็วและลื่นไหล ระบบการโหนใยอันยอดเยี่ยม และกราฟิกที่สวยงามแม้กระทั่งในเครื่อง PS4 Pro ก็ตาม แม้ว่าเนื้อเรื่องของตัวละครหลัก Miles Morales อาจจะไม่ได้เข้มข้นเท่าเนื้อเรื่องของ Peter Parker ในภาคแรก แต่โดยรวมก็ยังต้องบอกว่า Marvels Spider-man: Miles Morales ถือเป็นเกมระดับแนวหน้าที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ติดใจเกมภาคแรก [penci_review id="71902"] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Spider-man: Miles Morales จะดำเนินต่อจากเกม Marvels Spider-man โดยตรง หลังจากที่ตัวละครหลัก Miles Morales ได้เปิดเผยพลังแมงมุมของเขาต่อ Peter Parker โดย Peter ก็ไม่รอช้ารีบรับ Miles เข้ามาเป็นลูกศิษย์ และฝึกสอนทักษะไอ้แมงมุมของเขาไปพร้อมๆ กับการปกป้องนคร New York อันเป็นที่รัก แต่หลังจากเริ่มฝึกไปได้ไม่ทันไร Peter ก็เกิดมีความจำเป็นต้องบินไปยุโรปเพื่อทำงานในฐานะช่างภาพของหนังสือพิมพ์ Daily Bugle เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ทำให้ Miles กลายเป็นไอ้แมงมุมเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ใน New York โดยหลังจากที่ Peter ออกเดินทางได้ไม่ทันไร Miles ก็ถูกลากเข้าไปพัวพันกับสงครามระหว่างบริษัทพลังงาน Roxxon และกลุ่มผู้ก่อการร้าย The Underground ที่นำโดยวายร้ายหน้าใหม่ชื่อ The Tinkerer อีกด้วย ในแง่ของคุณภาพ ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของ Miles Morales ให้ความรู้สึกขาด "น้ำหนัก" ทางอารมณ์ไปบ้างเมื่อเทียบกับภาคแรก ซึ่งปัญหาดูจะมาจาก "Pacing" หรือจังหวะในการเล่ามากกว่าคุณภาพของบทหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามเนื้อเรื่อง โดยถ้าเทียบกับเกมภาคแรกที่ให้เวลากับการพัฒนาตัวละครที่รายล้อม Peter Parker ค่อนข้างเยอะ เนื้อเรื่องของ Miles Morales แม้จะมีตัวละครเสริมหลายตัวที่ใกล้ชิดกับ Miles แต่เกมค่อนข้างจะใช้เวลาอยู่กับตัวเอก Miles เป็นหลักมากกว่า ซึ่งแม้จะไม่ได้แย่หรือทำให้เกมไม่สนุก เพราะเนื้อเรื่องของ Miles เองก็ยังมีจุดที่น่าสนใจของตัวเองอยู่ แต่ก็ขาดความ "อิน" ในแบบที่รู้สึกกับเนื้อเรื่องของเกมภาคแรก ยิ่งไปกว่านั้น การที่ Miles ไม่ได้ต่อกรกับกลุ่มวายร้ายหลายๆ ตัวเหมือน Peter แต่มีวายร้ายหลักเพียงคนหรือสองคน ก็ทำให้สเกลของเหตุการณ์รู้สึก "เล็ก" เมื่อเทียบกับเกมภาคแรก ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับ Miles ในฐานะไอ้แมงมุมฝึกหัด แต่ก็ทำให้รู้สึกด้อยลงกว่าภาคแรกอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเนื้อเรื่องไม่ได้แย่เลย แต่เพราะภาคแรกตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง บวกกับสถานะของ Miles ที่เป็นเพียงไอ้แมงมุมฝึกหัด อาจจะทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาคนี้รู้สึกเหมือนการก้าวถอยหลังจากภาคแรกไปซะหน่อย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย และสามารถทำหน้าที่สร้างแรงขับให้ผู้เล่นได้เรื่อยๆ แน่นอน เกมเพลย์ สำหรับคนที่เคยเล่นเกม Marvels Spider-man อยู่แล้ว น่าจะสามารถเข้าถึงเกมภาค Miles Morales ได้ไม่ยาก เพราะแทบจะเหมือนกันทุกอย่างไม่ต่ำกว่า 90% เลยทีเดียว เกมยังคงใช้ระบบต่อสู้แบบแอคชั่นที่ว่องไว เน้นการหลบหลีกการโจมตีของศัตรูไปพร้อมๆ กับการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและอุปกรณ์หลากหลายชนิด โดย Miles จะได้รับความสามารถหลักๆ ของ Peter มาทั้งหมดเลยเช่นกัน องค์ประกอบหลักที่ทำให้ Miles แตกต่างจาก Peter ไปเลยก็คือความสามารถพิเศษในการสร้างกระแสไฟฟ้าที่เกมเรียกว่า "Venom" นั่นเอง โดยแทนที่จะได้รับอุปกรณ์ยิงใยหลายชนิดเหมือน Peter (Miles จะมีอุปกรณ์ให้ใช้เพียง 4 ชนิด) ลูกเล่นส่วนใหญ่ในการต่อสู้ของ Miles จะอยู่ที่ระบบ Venom แทน โดยเมื่อเราโจมตีศัตรูด้วยท่าโจมตี Venom ต่างๆ จะทำให้ศัตรูติดกระแสไฟฟ้า และทำให้ศัตรูได้รับความเสียหายจากการโจมตีของเราแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งเมื่อเราเล่นเกมไปเรื่อยๆ ก็จะได้รับความสามารถในการติด Venom ใส่ศัตรูได้หลากหลายวิธีมากขึ้น ทำให้เกมเน้นหนักไปที่ด้านการทำคอมโบด้วยทักษะต่างๆ เหมือนเกมแอคชั่นเต็มตัวมากขึ้น และก็จะมีศัตรูบางชนิดที่จำเป็นต้องใช้ Venom เพื่อแก้ทางโดยเฉพาะด้วย จึงอาจจะเรียกได้ว่านี่คือจุดแตกต่างหลักระหว่างเกมเพลย์ของทั้งสองภาคนั่นเอง ความสามารถอีกอย่างของ Miles ที่เพิ่มขึ้นมา คือความสามารถในการล่องหนได้ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในการลอบเร้นและการต่อสู้ โดยแม้จะไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นเกมมากเท่าระบบ Venom แต่ก็เป็นความน่าสนใจที่เพิ่มเข้ามา และทำให้เกมเพลย์ของ Miles และ Peter มีความแตกต่างกันมากกว่าเดิม นอกเหนือไปจากภารกิจเนื้อเรื่อง เกมก็ยังมีภารกิจ/กิจกรรมเสริมอื่นๆ ไม่ต่างจากภาคแรก บางกิจกรรมก็เป็นเพียงการเข้าไปเก็บทรัพยากรณ์เพื่อใช้ในการปลดล๊อคชุดหรือ Mod อัปเกรดตัวละคร ซึ่งตัวกิจกรรมที่มีก็ยกมาจากภาคแรกเกือบทั้งหมดอีกเช่นกัน ซึ่งแม้จะไม่ได้ใหม่ แต่ก็ทำให้เรามีอะไรทำเพลินๆ ตลอดเวลาที่เล่นเกม แต่ด้วยการที่เกมเปลี่ยนจากการมีไม้ตายประจำชุดที่แตกต่างกัน มาเป็นการมี Mod เฉพาะชุดที่ให้เอฟเฟกต์ติดตัวมากกว่า ก็ทำให้ความตื่นเต้นของการพยายามปลดล๊อคชุดใหม่น้อยลงไปบ้าง เพราะไม่ได้ส่งผลแตกต่างต่อการเล่นเกมเท่าในภาคแรก ในภาพรวม Marvels Spider-man: Miles Morales สามารถรักษามาตรฐานเกมเพลย์จากภาคแรกไว้ได้ครบถ้วน โดยแม้ว่าระบบต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Venom หรือการล่องหนจะไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าใหม่หรือเป็นการพัฒนา แต่แค่เป็นความ "แตกต่าง" ระหว่างความสามารถของฮีโร่ทั้งสองมากกว่า ใครที่ชื่นชอบเกมเพลย์จากภาคแรก มั่นใจได้ว่าเกมนี้จะมอบประสบการณ์ระดับเดียวกันให้กับคุณได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย กราฟิก/การนำเสนอ เช่นเดียวกับเกมเพลย์นั้น กราฟิกของ Miles Morales (เวอร์ชั่น PS4) ก็ไม่ได้ต่างจากเกมภาคแรกเท่าไหร่ และยังคงใช้มาตรฐานเดียวกันเกือบทั้งหมดเลย ตั้งแต่กราฟิกของเมือง New York ไปจนถึงหน้าตาตัวละคร อาจจะพัฒนาขึ้นนิดหน่อยในแง่ของแสงสี โดยเฉพาะในฉากคัตซีนสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นอีกเช่นกัน อาจจะเพราะเกมยังคงพัฒนามาจากเอนจิ้นเดียวกันกับภาคก่อนหน้าด้วย ทำให้เกมยังโหลดเร็วพอสมควรบนเครื่อง PS4 Pro แตกต่างกับเกมคร่อม Gen บางเกม (เช่น Watch Dogs: Legion) ที่พอเอามาเล่นบนคอนโซลรุ่นเก่าแล้วกลับทำงานได้ช้ามากๆ ทั้งนี้ แน่นอนว่าภาพในเกมเวอร์ชั่น PS4 ย่อมต้องถูกลดคุณภาพลงจากที่เราเห็นในคลิปตัวอย่างของเกมแน่นอน เพราะภาพที่เอามาใช้น่าจะเก็บมาจาก PS5 มากกว่า ที่สำคัญคือเรื่องของ Ray Tracing ที่ทำให้แสงสีในบางพื้นที่ (เช่นเมื่อโหนใยในเมือง) ดูแบนๆ ไปบ้างเมื่อเทียบกับในวิดีโอตัวอย่างทั้งหลายของเกม แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกมเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เล่นภาคเก่ามาแล้ว (เพราะน่าจะปรับความคาดหวังได้ไม่ยาก) แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงสำหรับคนที่วางแผนจะเล่นเกมใน PS4 แทนที่จะรอเล่นใน PS5 จะได้ไม่ตกใจที่ภาพในเกมไม่ตรงปก สรุปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าต้องพูดถึงมาก เพราะส่วนใหญ่ๆ ก็แทบจะไม่ต่างจากเกมภาคก่อนหน้าเลย สรุป ในภาพรวม เกม Marvels Spider-man: Miles Morales ถือเป็นภาคต่อที่น่าพอใจสำหรับเกม Marvels Spider-man ที่รักษามาตรฐานหลายๆ อย่างเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมกับการนำเสนอระบบใหม่ๆ ที่แม้จะไม่ได้น่าทึ่งหรือตื่นตาตื่นใจอะไรนัก แต่ก็แตกต่างจากภาคเก่ามากพอที่จะทำให้เกมรู้สึกมีตัวตนของตัวเองอยู่ด้วย สำหรับแฟนๆ ของเกม Marvels Spider-man ภาคแรก มั่นใจได้เลยว่า Miles Morales จะทำให้คุณหายคิดถึงเกมภาคแรกไปได้เยอะ และเป็นเกมที่เหมาะเอาไว้เล่นระหว่างรอ PS5 ได้โดยที่ไม่รู้สึกเหมือนเสียอะไรไป   [penci_review id="71902"]
06 Nov 2020
รีวิว Watch Dogs: Legion "ก้าวแรกสู่ Next Gen ของ Ubisoft"
หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกม Watch Dogs: Legion บนเครื่อง PS4 และ PC รวมๆ กันราว 20 ชั่วโมง ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงการเล่นเกมคร่อม Gen อย่าง Assassins Creed IV: Black Flag ในเครื่อง PS3 เมื่อหลายปีมาแล้ว โดยแม้ว่าเกมเพลย์จะไม่ได้ต่างกันกับเวอร์ชั่น PS4 ที่ถือเป็น "Next-Gen" ในสมัยนั้น แต่ประสบการณ์ที่ได้จากเกมทั้งสองเวอร์ชั่นช่างต่างกันเหลือเกิน จากองค์ประกอบที่พัฒนาขึ้นจาก Gen หนึ่งไปอีก Gen หนึ่ง เกม Watch Dogs: Legion (เช่นเดียวกับเกม ACIV: Black Flag ที่กล่าวไป) อาจจะไม่ใช่เกมที่แปลกใหม่หรือหวือหวามากในแง่ของเกมเพลย์พื้นฐาน เช่นระบบต่อสู้ ระบบขับรถ หรือแม้กระทั่งระบบการแฮ๊คกิ้งของเกม ที่แม้จะดีขึ้นจากภาค 2 พอสมควร แต่ก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าเกมอื่นๆ ที่ผ่านมาของค่าย Ubisoft เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้เกมมีความรู้สึกเป็น "Next-Gen" คือเรื่องของกราฟิกและเวลาโหลด ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมบน PS4 และ PC แตกต่างกันอย่างชัดเจน และมีอิทธิพลต่อประสบการณ์การเล่นเกมอย่างมีนัยยะสำคัญเลย (ขอขอบคุณ Ubisoft สำหรับโค้ดเกมเวอร์ชั่น PS4 และ NVIDIA สำหรับเวอร์ชั่น PC) เนื้อเรื่อง Watch Dogs: Legion จะเกิดขึ้นหลังจากเกม Watch Dogs 2 ประมาณหนึ่ง โดยจะติดตามกลุ่มแฮ๊คเกอร์ DedSec สาขาลอนดอน ผู้ซึ่งต้องต่อกรกับองค์กรทหารรับจ้าง Albion ที่ถูกรัฐบาลลอนดอนว่าจ้างให้รักษาความสงบในเมือง หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดครั้งใหญ่ของผู้ก่อการร้าย Zero Day แต่บริษัท Albion กลับฉวยโอกาสนี้ในการเข้ายึดครองเมืองลอนดอนอย่างเต็มตัวด้วยการป้ายสีความผิดให้กับ DedSec พร้อมกับจับกุมประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต่อต้านพวกเขาไปคุมขังอย่างกว้างขวาง ผู้เล่นจะรับบทเป็นสมาชิกใหม่ขององค์กร DedSec สาขาลอนดอน ผู้ซึ่งต้องชักชวนเหล่าประชากรผู้เหลืออดกับอำนาจเผด็จการของ Albion ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้กดขี่ และทำให้ลอนดอนเป็นอิสระจากกลุ่มทหารรับจ้างที่ว่านี้อีกครั้ง   ถ้าให้เปรียบเทียบกับเนื้อเรื่องของเกมภาคที่ผ่านมา Watch Dogs: Legion เปรียบเสมือนจุดกึ่งกลางระหว่างความซีเรียสอึมครึมของเกมภาคแรก และความอารมณ์ดีติดตลกของเกมภาค 2 ซึ่งเป็นสมดุลที่กลมกล่อมกว่าทั้งสองภาคที่ผ่านมามากๆ โดยแม้ว่าเราจะยังมีตัวละครอย่างเจ้า A.I. ฝีปากร้ายประจำกลุ่ม DedSec อย่าง Bagley ที่จะคอบปล่อยมุกแซวผู้เล่นตลอดเวลา แต่เนื้อเรื่องก็ยังพูดถึงเหตุการณ์หนักๆ อย่างการค้าอวัยวะมนุษย์หรือการค้าแรงงานผิดกฏหมายได้พร้อมๆ กัน ซึ่งทำให้เรื่องราวของเกมไม่รู้สึกจริงจังหรือมืดมนมากจนเกินพอดี ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่าชมไม่แพ้กันก็คือการที่เกมสามารถผูกโยงเรื่องราวของเหล่า NPC นิรนามในโลกเข้ากับเนื้อเรื่องของเกมได้ และทำให้ NPC เหล่านี้รู้สึกเหมือนมีความเป็นมนุษย์มาก จากบทสนทนาที่มีเสียงพากย์สำหรับตัวละครทุกตัว ไปจนถึงอุปนิสัยของตัวละครที่แสดงออกมาผ่านบทสนทนากันเองในทีมอย่างเป็นธรรมชาติ หรือการพูดบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจากประสบการณ์ของผู้เขียน NPC ในเกมนี้มีอุปนิสัย หน้าตา และภูมิหลังที่หลากหลายมากๆ (ยังไม่เคยเจอตัวที่หน้าตาซ้ำกันเลย) และความหลากหลายนี้เองก็ช่วยทำให้เนื้อเรื่องมีสีสันกว่าเดิมด้วย ยิ่งเราเชิญชวน NPC เข้ามาร่วมทีมได้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้บทสนทนาระหว่างสมาชิกทีม DedSec ของเรามีชีวิตชีวามากขึ้นไปด้วย นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว WD: L ยังมีเนื้อเรื่องเล็กๆ ของ NPC แต่ละตัว รวมไปถึงเนื้อเรื่องประจำเขต (Boroughs) ต่างๆ ของเมืองลอนดอนอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนพูดถึงความพยายามของเหล่าประชาชนคนเดินดินในการต่อต้านอำนาจของ Albion ซึ่งก็ช่วยเสริมให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนตัวเองและการกระทำของเรามีผลต่อโลกในแบบที่เป็นธรรมชาติมาก แม้ว่าผู้เขียนจะยังไม่ได้เล่นจนจบเนื้อเรื่อง (เนื่องจากได้โค้ดเกมมาค่อนข้างช้า) ทำให้ยังไม่สามารถออกความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องโดยรวมๆ ได้ แต่เท่าที่ผู้เขียนเล่นมา ก็ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องและบทพูดของ Watch Dogs: Legion เป็นการพัฒนาขึ้นจากภาคก่อนหน้าอย่างชัดเจน และเป็นเกม Watch Dogs เกมแรกที่ผู้เขียนรู้สึกสนใจเนื้อเรื่องขึ้นมาจริงๆ เกมเพลย์ ในขั้นพื้นฐานนั้น เกม Watch Dogs: Legion ก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมโลกเปิดสูตร Ubisoft อื่นๆ นัก ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปบนแผนที่อันกว้างใหญ่ของเมืองลอนดอนเพื่อทำภารกิจหลากหลายชนิด เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องและ/หรือเก็บทรัพยากรณ์หรือของตกแต่งไว้สำหรับพัฒนาตัวละครไปเรื่อยๆ โดยระบบการควบคุมเบื้องต้นก็ไม่ได้ต่างจากเกมแอคชั่นบุคคลที่ 3 ทั่วไปนัก ระบบที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดอาจจะมีเพียงระบบต่อสู้มือเปล่า ที่ใส่ความเป็นเกมแอคชั่นแบบเดียวกับ The Witcher เข้าไป โดยผู้เล่นจะต้องคอยหลบหลีกและหาจังหวะสวนกลับการโจมตีของศัตรูตลอดเวลา ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้นประมาณหนึ่ง แถมตัวละครแต่ละชนิดยังมีท่าทางแอคชั่นที่ต่างกัน ทำให้มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของเกมเพลย์และอนิเมชั่นด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะพูดได้เต็มปากว่า WD: L ถือเป็นเกม Watch Dogs ที่ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเกมที่ “ดี” ในภาพรวมได้แค่ไหน จากเกมเพลย์อีกหลายๆ ส่วนที่ยังไม่ค่อยเข้ารูปเข้ารอยนัก อย่างแรกคือระบบการแฮ๊คกิ้ง ที่ยังคงติดๆ ขัดๆ อยู่ไม่ต่างจากเกมภาคเก่า แม้จะมีลูกเล่นใหม่ๆ อย่างการบังคับโดรนก่อสร้างเพื่อบินไปไหนมาไหน แต่โดยรวมก็ไม่ได้ต่างไปจากที่ผ่านมานัก ผู้เล่นจะต้องกระโดดจากกล้องวงจรปิดเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอมุมที่ต้องการในการแฮ๊คเข้าสู่ระบบที่ต้องแฮ๊ค โดยแม้ว่าในบางกรณีที่ต้องทำการแฮ๊คกิ้งในพื้นที่จำกัดจะไม่ได้มีปัญหานัก และยังมีพื้นที่ให้เราใช้การแฮ๊คกิ้งในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ได้ แต่เมื่อเราต้องบุกเข้าไปในอาคารหรือฐานทัพขนาดใหญ่ ก็อดหงุดหงิดไม่ได้เหมือนกัน เมื่อเราเลือกไม่ถูกว่ากล้องวงจรปิดกล้องไหนกันแน่ที่จะมองเห็นมุมที่เราต้องการ และการโดดไปโดดมาอย่างไร้จุดหมายก็ไม่ใช่เกมเพลย์ที่สนุกเท่าไหร่นัก และทำให้การเล่นเกมเหมือนเป็นเกมลอบเร้นบุคคลที่ 3 ธรรมดาๆ กลับรู้สึกสนุกกว่าการแฮ๊คกิ้งจริงๆ อย่างต่อมาคือระบบขับรถของเกม ที่ทำออกมาได้ไม่ค่อยสนุกเอาซะเลย และเผลอๆ อาจจะแย่กว่าที่เคยมีในเกม Watch Dogs ภาคก่อนๆ ด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งมาจากสภาพถนนของกรุงลอนดินที่ค่อนข้างแคบ ทำให้เราไม่สามารถขับซอกแซกผ่านรถอันอืดอาดของ NPC ได้คล่องแคล่วเท่าเกมอย่าง GTA เมื่อนำมาผนวกกับการที่เกมมักจะบังคับให้เราต้องเดินทางข้ามแผนที่ไปมาเพื่อทำภารกิจ ทำให้ประสบการณ์การเดินทางในเกม Watch Dogs: Legion รู้สึกน่าหงุดหงิดรำคาญใจมากๆ แต่ครั้นจะไปใช้ระบบ Fast Travel ที่อ้างอิงจากรถไฟใต้ดินของลอนดอน ก็ยังหนีไม่พ้นความอืดอาดของจราจรในเกม เพราะผู้เล่นจะต้องเดินเท้าเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อปลดล๊อคสถานีรถไฟในเขตเหล่านั้นเสียก่อนถึงจะสามารถ Fast Travel ไปได้ ทำให้ผู้เล่นเหมือนโดนบังคับให้ต้องใช้การสัญจรทางถนนเป็นวิธีการหลักในการเดินทางอยู่ดี ซึ่งสำหรับผู้เขียนถือเป็นจุดอ่อนมากๆ ของเกมนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใช้ระบบ Fast Travel ก็ยังหนีไม่พ้นความหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะเราจะต้องพบกับหน้าจอโหลดเกมทุกครั้งที่เดินทาง หรือกระทั่งทุกครั้งที่เข้า/ออกคัตซีนหรืออาคารบางแห่ง โดยใน PS4 จะต้องเผชิญกับปัญหานี้บ่อยมากๆ จนเรียกได้ว่าทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมแย่ลงไปเลยเหมือนกัน ปัญหาที่กล่าวมาเกี่ยวกับหน้าจอโหลดเกม ทำให้การเล่นเกมบน PC ที่มี SSD (หรือคอนโซล Next Gen ทั้งหลาย) ช่วยทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมดีขึ้นอย่างมาก เพราะความเร็วในการโหลดทำให้ผู้เขียนสามารถใช้ระบบ Fast Travel ได้โดยไม่ต้องรอเกมโหลดเป็นนาทีและทำให้เล่นเกมได้ลื่นไหลมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนความรู้สึกของผู้เขียนไปได้เลย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้พัฒนาตั้งใจออกแบบระบบเกมเพื่อให้เล่นบนเครื่องที่มี SSD แต่แรกเลยหรือเปล่า เพราะมันส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมอย่างใหญ่หลวงมาก อีกหนึ่งข้อตำหนิใหญ่ๆ คือเรื่องของภารกิจเสริม เช่นภารกิจการดึง NPC มาเป็นพวก ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ประเภทเท่านั้น และมักจะวนมาให้เล่นซ้ำๆ กันบ่อยมาก ซึ่งการซ้ำในรูปแบบเฉยๆ อาจจะยังไม่แย่มาก แต่บางครั้งก็ซ้ำไปจนถึงฉากที่จะต้องเข้าไปทำภารกิจเลยด้วย เช่นภารกิจหนึ่งบอกให้เข้าไปขโมยคลิปวิดีโอจากสถานีตำรวจ ส่วนอีกภารกิจหนึ่งให้ไปแฮ๊คระบบรักษาความปลอดภัยของสถานีตำรวจแห่งเดียวกัน โดยการที่เราต้องวนเวียนทำภารกิจเดิมๆ ในสถานที่เดิมๆ ก็ทำให้เบื่อหน่ายไปได้เร็วเหมือนกัน นอกเหนือไปจากนั้นก็มีเพียงข้อตำหนิเล็กๆ อย่างการที่เราไม่สามารถเปิดโหมดแสกนค้างเอาไว้เพื่อมองหา NPC ที่น่าชวนมาร่วมทีม (ต้องกดแสกนทีละคน ซึ่งเสียเวลามาก) หรือการที่เราไม่สามารถหยิบอาวุธในฉากหรืออาวุธที่ศัตรูทำหล่นมาใช้ได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจเล็กน้อยมากกว่าจะส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกม  กราฟิก/การนำเสนอ อย่างที่อาจจะพอเดาได้จากหัวข้ออื่นๆ การเล่นเกม WD: L ใน PS4 และใน PC เป็นประสบการณ์ที่ต่างกันอย่างมาก และคงไม่มีจุดไหนที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชั่นได้ชัดเจนเท่ากับในส่วนของกราฟิก จากวิดีโอตัวอย่างรวมไปถึงการสื่อสารของผู้พัฒนาที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าระบบ Ray Tracing จะมีความสำคัญมากต่อเกม WD: L ซึ่งในจุดนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าต้องเห็นด้วยกับเขาจริงๆ เพราะการเล่นเกมใน PS4 โดยไม่มีระบบ Ray Tracing ทำให้ภาพในเกมรู้สึก “แบน” และจืดชืดไปซะหน่อยเมื่อเทียบกับการเล่นใน PC ที่สามารถแสดงถึงแสงสีของเมืองได้อย่างเต็มที่ แถมด้วยสภาพอากาศของลอนดอนที่มักจะมีฝนตกอยู่บ่อยๆ ยิ่งทำให้เทคโนโลยี Ray Tracing มีความสำคัญต่อประสบการณ์โดยรวมมากกว่าหลายๆ เกมที่ผู้เขียนเคยเล่นมาเลยก็ว่าได้ (เพราะมีพื้นผิวที่สะท้อนแสงเยอะ) นอกจากนี้ เทคโนโลยี NVIDIA DLSS ที่ผู้พัฒนาเลือกใช้ยังทำให้เกมสามารถรันได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้จะเปิด Ray Tracing แถมยังสามารถปรับแต่งสมดุลย์ระหว่างความละเอียดและเฟรมเรตได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดทำให้ประสบการณ์เกมบน PC ดีกว่าบน PS4 อย่างก้าวกระโดด และเชื่อว่าในเครื่อง Xbox Series X / PS5 ก็คงไม่ต่างกัน นอกเหนือไปจากนั้น ต้องบอกว่า WD: L ได้พัฒนากราฟิกในด้านหน้าตาตัวละครและความสมจริงโดยรวมขึ้นจากเกมอย่าง Assassin’s Creed: Odyssey หรือ Ghost Recon: Breakpoint เสียอีก โดยแม้ว่าสุดท้ายคงจะไม่ได้อยู่ในมาตรฐานเดียวกับเกมอย่าง Call of Duty หรือ Cyberpunk 2077 แต่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ชัดเจน และทำให้ตัวละครในเกมมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้เหมือนกัน ถ้าจะมีข้อเสีย คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ตัวละครในเกมมักจะพูดกันด้วยสำเนียงอังกฤษแบบเน้นๆ ซึ่งแค่นี้ก็หลากหลายและฟังยากมากอยู๋แล้ว ยังมีสำเนียงของเหล่าผู้อพยพจากประเทศต่างๆ ที่ก็มีสำเนียงของตัวเองอีกที แถมการพูดจาของชาวอังกฤษยังเต็มไปด้วยศัพท์แสลงมากมายที่อาจจะต้องตีความกันหน่อยกว่าจะเข้าใจ นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกมไม่มีบทบรรยายภาษาไทย เพราะคนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ถนัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่าจะยิ่งงงเข้าไปอีก และไม่มั่นใจว่าจะติดตามเนื้อเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีแค่ไหน สรุป กล่าวโดยสรุป แม้ว่า WD: L จะมีพัฒนาการที่ทำให้เกมมีความน่าสนใจมากกว่าเกมภาคก่อนๆ ในซีรี่ส์ โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่โดยรวมก็ยังไม่ได้มอบอะไรที่ใหม่หรือพิเศษไปกว่าที่เราๆ น่าจะเคยได้เล่นกันมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเกมไม่ดี แต่อาจจะเรียกได้ว่า “เฉยๆ” เสียมากกว่า แฟนๆ ของซีรี่ส์นี้น่าจะชอบเกมนี้ในฐานะเกม Watch Dogs ที่ดีที่สุด แต่สำหรับคนทั่วไป Watch Dogs: Legion อาจจะไม่ได้มีอะไรให้พวกคุณมากไปกว่าเกมแอคชั่นบุคคลที่ 3 เกมอื่นๆ นัก โดยเฉพาะเกมร่วมค่าย Ubisoft ด้วยกัน [penci_review id="71206"]
28 Oct 2020
รีวิว HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ถ้าชอบใช้แรงกดน้อยต้องตัวนี้เลย
Alloy Origins นับเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งตัวใหม่จากทาง HyperX ที่มีดีไซน์สวยงาม ที่มาพร้อมกับไฟ RGB สีสันสวยงาม และมีสวิตช์ให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ ประกอบด้วย Red (Linear), Blue (Clicky) และ Aqua (Tactile) โดยก่อนหน้านี้ทางเราได้มีการรีวิวตัว Blue ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณทาง HyperX ที่ได้มีการส่งตัว Aqua มาให้เราทดลองใช้อีกตัวครับ ซึ่งวันนี้ผมจะมีรีวิวให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของคีย์บอร์ดตัวนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้กัน แอบบอกก่อนเลยว่าสวิตช์ตัวนี้ "พิมพ์สนุกมาก" จะเป็นยังไงไปดูกันครับ รายละเอียด Switch HyperX Aqua Operation Style - Tactile ควมแรงในการกด - 45 G ระยะสั่งการ - 1.8 mm ระยะการเคลื่อนที่ - 3.8 mm จำนวนการกด - 80 ล้านครั้ง ถ้าหากจะให้พูดถึงข้อดีของเจ้า Aqua (Tactile) ตัวนี้ คงจะเป็นในเรื่องที่มีจังหวะสะดุดเล็กน้อย ทำให้ตอนใช้งานจะรู้สึกได้ว่ากดปุ่มลงไปแล้วจริงๆ หรือไม่ ทั้งยังใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G จึงทำให้การสั่งการผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ สามารถทำได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วมากกว่าคีย์บอร์ดทั่วไปที่มีอยุ่ในตลาดครับ จากประสบการณ์ใช้งานตรง ผมพบว่าสวิตช์รูปแบบนี้เหมาะสมเวลาใช้พิมพ์ข้อความเป็นอย่างมาก เนื่องจากจังหวะสะดุดเล็กน้อยนั้นช่วยให้แน่ใจว่าพิมพ์ตัวอักษรแต่ละตัวไปแล้วจริงๆ ทั้งยังใช้แรงในการกดไม่มากเท่าไหร่นัก ส่งผลให้ไม่เกิดอาการเจ็บนิ้วเวลาใช้งานนานๆ ครับ ในด้านของการเล่นเกม Aqua (Tactile) ถือว่าตอบโจทย์เมื่อเอาไปใช้กับแนวเกมที่ต้องการความถูกต้องในการสั่งการ และความเร็วอย่างแนว RTS หรือ MOBA เป็นอย่างมาก การใช้งานกับเกมตระกูล FPS เองก็ค่อนข้างเหมาะสมเช่นกัน เอาจริงๆ สามารถใชได้กับเกมทุกแนวครับ แต่เนื่องจากว่าใช้แรงในการกดเพียงแค่ 45 G เท่านั้น ผู้ใช้งานอาจจำเป็นต้องระวังในเรื่องของการกดไปโดนปุ่มข้างๆ เล็กน้อยครับ! วัสดุและดีไซน์ HyperX Alloy Origins มีโครงสร้างของตัวคีย์บอร์ดเป็นอลูมิเนียม และมีตัวปุ่มกดเป็นพลาสติกแข็งเกรดดี จึงทำให้มีน้ำหนักเบา สามารถพกพาได้สะดวกทั้งยังแข็งแรงทนทาน อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นอลูมิเนียมผิวดำ ถึงทำให้เกิดรอยขีดข่วนจากเล็บ หรือของมีคมได้ง่ายเช่นกัน ถ้าอยากให้คีย์บอร์ดสวยงามอยู่ตลอดเวลา ตอนใช้งานก็อาจจำเป็นต้องตัดเล็บให้สั้นไว้ก่อนดีกว่าครับ ในส่วนของดีไซน์ Alloy Origins ตัวนี้นับว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ถ้าเปรียบเทียบกับคีย์บอร์ด Full Size ตัวอื่นๆ ในตลาด เนื่องจากคีย์บอร์ดตัวนี้ถูกออกแบบมาให้แทบจะไม่มีขอบเลย จึงส่งผลให้ขนาดโดยรวมเล็กกว่าตัวอื่นๆ ที่มีในตลาดประมาณ 10 - 20% ดังนั้นสำหรับใครที่มีพื้นที่ระหว่างขอบโต๊ะกับหน้าจอน้อย Alloy Origin อาจเป็นตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์ของคุณได้ครับ แสงและไฟ อีกหนึ่งฟังก์ชันที่เหล่าเกมเมอร์ให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งคือในเรื่องของแสงสีที่สวยงาม ซึ่ง Hyper X Alloy Origin ได้มีการใช้ไฟแบบ RGB LED ที่จะแสดงผลแสงสีได้สวยงาม โดนเฉพาะเวลาอยู่ในที่มืด นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมไฟ RGB ให้แสดงผลได้ตามต้องการผ่านโปรแกรม HyperX NGENUITY ด้วย เท่าที่ตัวผมเองได้ลองตั้งค่าไฟเล่นดู พบว่าคีย์บอร์ดตัวนี้สามารถแสดงผลรูปแบบไฟ RGB ได้ไม่น้อยหน้าแบรนด์ Gaming Gear ชั้นนำอื่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไฟแบบ Wave, Breathing, Starlight, Riptide, Static, หรือ All Random ก็สามารถทำได้ครับ สรุป เท่าที่ได้ลองใช้งานมา 2 อาทิตย์กว่าๆ ตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าตัวผมเองได้ตกหลุมรักเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Aqua Switch ] ตัวนี้ไปเสียแล้วเพราะไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์, ไฟ หรือสัมผัส ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ตอนนี้มันได้กลายเป็นคีย์บอร์ดหลัก ที่ใช้ทั้งพิมพ์งาน และเล่นเกมในบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะพูดถึงข้อเสียของเจ้าตัวนี้คิดว่าคงมีอย่างเดียว คือยังไม่มีภาษาไทยบนคีย์บอร์ดครับ ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดโดยที่ไม่มีมองได้ อาจจะลำบากพอสมควรเลยในการใช้งานเจ้า HyperX Alloy Origins [ Tactile Switch ] ตัวนี้ แต่ส่วนหนึ่งคิดว่า อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้ยังไม่ได้ถูกนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการด้วยครับ ซึ่งคิดว่าถ้าเข้ามาแล้วน่าจะมีตัว เวอร์ชันภาษาไทยให้เพื่อนๆ ได้เลือกซื้อกันด้วย คงต้องรอดูกันต่อไป
27 Oct 2020
[Beta Review] Call of Duty: Black Ops Cold War คล้ายเดิมเพิ่มเติมคือภาพสวย
เพิ่งจะมีเปิดให้ทดเล่นไปได้ไม่นานกับเกม Call of Duty: Black Ops Cold War แน่นอนว่าพวกเราทีมงาน GameFever Th เองก็มีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นในรอบ Open Beta วันที่ 15 - 20 ตุลาคม 2020 มาเช่นกัน โดยต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า "เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ " ครับ จริงๆ ได้ชื่อว่าเป็น Call of Duty ก็การันตีความมันในเรื่องของเกมเพลย์อยู่แล้ว ซึ่งในรอบ Open Beta ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดโหมด Multiplayer ให้ผู้เล่นได้สัมผัสมากมายเลยไม่ว่าจะเป็น Team Deathmatch, Domination, VIP Escort, Kill Confirmed, และอื่นๆ โดยผมจะขอรีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในบทความนี้ครับ กราฟิก / การนำเสนอ กราฟิกเอาจริงๆ คิดว่าคงไม่ต้องพูดเยอะ เพราะยังไงภาคนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่จะลงให้กับเครื่อง Xbox Series X กับ PS5 อยู่แล้ว ในเรื่องของภาพ และเอฟเฟคเรียกได้ว่าสวยงามเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าเปิด RTX On เวลาวิ่งผ่านน้ำ หรือแสงกระทบกับเหล็กบนตัวปืน ก็ยิงทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันสวยสมจริงไปหมดมากขึ้นไปอีก ที่น่าสนใจสุดคือ เกมนี้ไม่ได้กินสเปคมากมายอะไรขนาดนั้นด้วยครับ ด้วยสเปคเครื่องที่ไม่สูงอะไรมากมายการจะเล่นให้ได้ 60 FPS ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ถ้าหากต้องการภาพสุกจัดเต็มด้วย FPS ที่สูงกว่า 144 อันนี้ก็อาจจะต้องมีการ์ดจอที่ดีระดับหนึ่งครับ ทางด้านการนำเสนอ ภาคนี้จะแตกต่างจาก Call of Duty Modern Warfare ที่วางขายในช่วงปีที่แล้ว ในเรื่องของความสมจริงที่มีมากกว่าครับ ซึ่งสามารถสังเกตในเกมเพลย์เลยยกตัวอย่างเช่น การขว้างระเบิดในภาคนี้ตัวละครเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการขวาง ซึ่งมือขวาจะยังจับปืนแล้วเล็งข้างหน้าอยู่ (ใช้ปากดึกสลักระเบิด) นอกจากนี้เรายังสามารถหยิบระเบิดที่ถูกขวางมา ปากลับไปใส่ศัตรูได้ด้วย อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่เวลาเรากด Reload ในขณะที่กำลังเข้า Scope ของปืนอยู่ ตัวละครของเราจะใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวในการ Relode ซึ่งในขณะนี้ตัวละครของเราจะไม่ทำการเอาหน้าออกจาก Scope ของปืนเลย นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทหารในโลกความจริงน่าจะทำกันครับ องค์ประกอบเหล่านี้มันทำให้รู้สึกว่าทีมพัฒนาได้ใส่ใจในรายละเอียดของการรบจริงอย่างเต็มที่ และมันทำให้ผู้เล่นอย่างเรารู้สึกอินไปกับเกมมากขึ้นไปด้วยครับ เกมเพลย์ ในเรื่องของเกมเพลย์ ถ้าหากตัดการปาระเบิดใหม่ กับระบบ Reload ใหม่ที่สมจริงมากขึ้นแล้ว โดยรวมระบบเกมเพลย์จะแทบไม่ต่างจาก Call of Duty ภาคก่อนเท่าไหร่ครับ ยังเป็นเกมที่มีจังหวะดวลปืนที่เร็วมากเหมือนเดิม, ยังคงมีจังหวะวิ่งที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก, ยังสามารถวิ่งสไลด์ยิงได้เหมือนเดิม คือถ้าเกิดเคยเล่นเกม COD ภาคก่อนๆ มา ก็ไม่น่าจะต้องปรับตัวมากนัก ในส่วนของระบบ Loadout ภาคนี้จะใช้ระบบแบบเดียวกับ Call of Duty Modern Warfare คือมี ปืนหลัก, ปืนรอง, Perk สามช่อง, Lethal และ Tactical แต่มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้เพิ่มมา 2 ช่องครับ อันแรกเป็นอุปกรณ์พิเศษที่จะมี Cooldown อยู่ที่ 90 - 300 วินาที แล้วแต่ความเก่งของอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะช่วยให้เราสามารถเล่นได้ง่ายขึ้นเช่น กับระเบิด, อุปกรณ์ต่อต้านระเบิดมือ หรือป้อมปืนขนาดเล็ก ส่วนอีกหนึ่งช่องที่ถูกเพิ่มเขามาคือ ช่องความสามารถพิเศษ ที่จะให้ผลแตกต่างกันไป โดยจะทำงานคล้ายๆ กับ Perk เช่นสามารถพกระเบิดได้ 2 ลูก หรือพกอาวุธหลักได้ 2 ชิ้นเป็นต้น โหมดทั้งหมดที่เปิดให้เล่นในรอบ Open Beta (15 - 20 ตุลาคม 2020) น่าเสียดายที่ในช่วง Open Beta ไม่สามารถเข้าไปเล่นในโหมดเนื้อเรื่องของเกมได้ เราจึงมีโอกาสได้สัมผัสแค่โหมด Multiplayer เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 8 แบบที่สามารถเล่นได้คือ Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, Team Death Match, VIP Escort, Combined Arms และ Dirty Bomb Domination, Hardpoint, Kill Confirm, Control, และ Team Death Match จะเป็นโหมดที่มี Objective ง่ายๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจไม่นาน สามารถวิ่งเข้าไปบู๊แหลกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก กลุ่มนี้จะเล่นได้สูงสุดแบบ 6 Vs 6 และตายเกิดได้เรื่อยๆ เกมเพลย์โดยรวมในทั้ง 5 โหมดนี้จะเน้นความมันเอาไว้ก่อน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือโหมดที่เอาไว้เล่นแก้เบื่อครับ ส่วน Combined Arms และ Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่ตาย และเกิดได้เรื่อยๆ เช่นกัน แต่จะมีจำนวนผู้เล่นสูงสุดมากกว่า 20 คน โดย Combined Arms จะเป็นโหมดที่แบ่งคนออกเป็น 2 ทีมแบบ 12 Vs 12 ซึ่งมี Objective ชนะเป็นยึดจุด ซึ่งเกมเพลย์จะมั่วกว่า 5 โหมดแรกมากๆ แต่ก็มันกว่าเช่นกัน ส่วน Dirty Bomb จะเป็นโหมดที่แบ่งผู้เล่นออกเป็น 10 ทีม โดยแต่ละทีมจะมีสมาชิก 4 คน แผ่นที่ในโหมดนี้จะมีขนาดใหญ่ ทั้งยังใช้เวลาเล่นค่อนข้างนานมาก และมีเกมเพลย์ใกล้เคียงกับเกม Battle Royale แต่สามารถเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ วิธีชนะในโหมดนี้คือเป็นกลุ่มที่มีแต้มสูงที่สุด ซึ่งแต้มสามารถหาได้จากการทำ Objective ในด่าน ซึ่งจุดที่ทำ Objective ได้จะมีเพียง 5 จุดเท่านั้นในด้าน ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็ได้ปะทะกับผู้เล่นทีมอื่นอย่างแน่นอนครับ สุดท้าย VIP Escort ถือว่าเป็นอะไรที่จริงจังมากสุดใน 8 แบบครับ โหมดนี้จะมีความคล้ายกับ โหมดวางระเบิดในเกมอื่นๆ คือ ตายแล้วไม่สามารถเกิดได้ ฝั่งหนึ่งต้องป้องกัน ส่วนอีกฝั่งต้องบุก แต่ต่างกันตรงที่ทีมบุกไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการวางระเบิด หากแต่เป็นการนำผู้เล่นที่ถูกเลือกไปยังตำแหน่งเป้าหมายอย่างปลอดภัยครับ ดังนั้นถ้าหากว่าฝั่งป้องกันสามารถฆ่า VIP ได้ เกมก็จะจบลงเลยเช่นกัน สรุป โดนรวมแล้วผมคิดว่าเกมเพลย์แบบ Multiplayer ของภาคนี้สนุกดีครับ สิ่งแรกที่อยากชมก่อนเลย คือในเรื่องของความหลากหลาย ที่แม้จะเป็นรอบ Open Beta ก็ยังมีให้เราเลือกเล่นมากมายขนาดนี้ คิดว่าในตอนที่เกมออกน่าจะมีโหมดใหม่ๆ ถูกเพิ่มมาให้เราเล่นอีกด้วยแน่นอน ในส่วนของภาพ และกราฟิกเองก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อ "เกมที่จะลงให้กับเครื่องเจนใหม่" เลย เป็นอย่างไรบ้างครับกับ [Beta Review] Call of Duty: Black Ops Cold War แน่นอนว่าทางเราจะมีการปล่อยรีวิวเต็มๆ ในช่วงที่เกมวางจำหน่ายด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งในส่วนว่าเกมนี้จะได้คะแนนจากเราเท่าไหร่คงต้องไปรอดูในบทความรีวิวตัวเต็มครับ สำหรับวันนี้ผมลาไปก่อนสวัสดีครับ
22 Oct 2020
รีวิวการ์ดจอ RTX 3080 FE พร้อมตอบคำถาม "คุ้มหรือไม่หากจะอัพเกรดในตอนนี้"
วางจำหน่ายมาได้หลายอาทิตย์แล้วกับการ์ดจอ RTX 3080 ซึ่งต้องบอกเลยว่าขายดีเกิดคาดจริงๆ ครับ เพราะสินค้าเล่นหมดไปจากตลาดโลกเลย ในเวลาเพียงแค่ 1 วันหลังวางจำหน่ายเท่านั้น จนน่าจะทำเอาเพื่อนๆ หลายคนสงสัยว่า "เจ้าการ์ดจอ RTX 3080 ตัวใหม่นี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ? " อยู่ไม่มากก็น้อย ถือเป็นโชคดีของพวกเรา GameFever TH ที่ทาง Nvidia ได้ส่งการ์ดจอหายากตัวนี้มาให้เราได้ทดลองใช้งานกัน ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ โดยวันนี้ผมจะมารีวิวให้เพื่อนได้รู้กันว่าเจ้า RTX 3080 มีดียังไง และมันคุ้มหรือไม่ หากจะจ่ายเงินถึง 25,000 บาทให้ได้มา ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ คุณสมบัติทางเทคนิค RTX 3080 นั้นใช้สถาปัตยกรรมในการผลิตใหม่ที่มีชื่อว่า Ampere ซึ่งเป็นการผลิตแบบ 8 นาโนเมตร ต่างจาก Turing สถาปัตยกรรมก่อนหน้านี้ (RTX 20 Series) ที่เป็นการผลิตแบบ 12 นาโนเมตร จึงส่งผลให้จำนวนทรานซิสเตอร์ทั้งหมดของการ์ดจอซีรีส์นี้มีสูงถึง 28 พันล้านตัว มากกว่าเจนที่แล้วที่ถึง 10 พันล้านตัว โดยผมจะแปะคุณสมบัติเบื้องต้นที่ไม่ลึกเกินไปข้างล่างนี้ครับ ข้อมูลจำเพาะของ GPU Engine: NVIDIA CUDA® Core 8704 Boost Clock (GHz) 1.71 Base Clock (GHz) 1.44 ข้อมูลจำเพาะของหน่วยความจำ: กำหนดค่าหน่วยความจำมาตรฐาน 10 GB GDDR6X ความกว้างของอินเทอร์เฟซหน่วยความจำ 320 บิต เปรียบเทียบ ( กราฟิกที่ได้/FPS ) ในเรื่องของกราฟิก ผมเชื่อว่าเกมเมอร์บนเครื่อง PC หลายคนยังไงใช้การ์ดจอ GTX ซีรีส์ 9 ไม่ก็ 10 อยู่ และมีความตั้งใจจะเปลี่ยนมาใช้การ์ดจ่อซีรีส์ RTX กันในรุ่นนี้ ผมจึงจะขอทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของกราฟิกระหว่าง 1080Ti กับ 3080 ก่อนละกันครับ ซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่าความแตกต่างระหว่างการ์ดจอทั้ง 2 ตัว จะเป็นในเรื่องของ RTX On / Off มากกว่าครับ เนื่องจากจริงๆ 1080Ti นั้นเพียงพอที่จะปรับกราฟิกแบบเต็มแม็กในความละเอียดแบบ Full HD แล้วยังได้ 60 FPS อยู่แล้วในเกมเจนปัจจุบัน โดยประการแรกผมจะขอโชว์รูปเปรียบเทียบระหว่างเปิด RTX On / Off ให้เพื่อนๆ ดูก่อนครับว่าต่างขนาดไหนในเกมจริงๆ [caption id="attachment_69861" align="aligncenter" width="1024"] RTX off[/caption] [caption id="attachment_69862" align="aligncenter" width="1280"] RTX on[/caption] จะสังเกตได้ว่าแสงกับเงา ที่เราได้เห็นในเกมหากเปิด RTX On จะมีความสมจริงกว่าไม่เปิด (อย่างน้อยคือการสะท้อนของเงามีความถูกต้องมากกว่า) ดังนั้นสำหรับใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์แสงเงาที่ดียิ่งขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ RTX 3080 เลย ผมคิดว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ ครับ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยากเป็น RTX ถ้าคำนึงถึงความแตกต่างของ FPS ผมก็ยังคิดว่าคุ้มที่จะเปลี่ยนมาใช้อยู่ดี ซึ่งจะขอเปรียบเทียบให้ดูต่อไปข้างล่างนี้ครับ ในเรื่องของ FPS เชื่อว่าสำหรับเกมเมอร์หลายคนแล้ว เรื่องของ FPS เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คาดหวังจะได้เห็นความแตกต่าง ซึ่งมันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ การ์ดจอรุ่นใหม่จะต้องแรงกว่ารุ่นเก่า แต่จะแรงกว่าถึงขนาดที่คุ้มค่ากับการเปลี่ยนรึเปล่า มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ โดยวันนี้ผมได้ทำกราฟเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้นมาให้ครับ ดูได้ข้างล่างนี้เลย ( ป.ล ผล FPS ที่ได้นี้ทดลองด้วย CPU: Intel i9 10900K ครับ ) [gallery ids="69589,69590,69591,69592,69593,69594,69595,69596,69597"] จะสังเกตได้ว่า 3080 นั้นจะสามารถทำ FPS ออกมาได้มากกว่า 2080Ti ที่เป็นตัวท็อปของรุ่นที่แล้วได้อยู่ที่ประมาณ 20-30 FPS เท่านั้น แต่ทำได้มากกว่า 1080Ti ถึงประมาณ 50-60 FPS เลยทีเดียว ผมจึงคิดว่าสำหรับใครที่ยังใช้ GTX ซีรีส์ 9 หรือ 10 อยู่ การเปลี่ยนมาใช้ RTX 30 ดูเป็นอะไรที่ไม่แย่นักครับ ประสบการณ์ส่วนตัว เบื้องต้น ผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ตัวผมเองเป็นเกมเมอร์ที่เน้นเล่นเกมบนเครื่อง PC ครับ และก็มีงานอดิเรกเป็นการแต่งคอม แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมยังคงใช้การ์ดจอ GTX 1080Ti อยู่ เพราะคิดว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนไปใช้การ์ดจอตัวใหม่ในเมื่อมันยังเล่นเกมแบบปรับภาพสวยๆ ได้อยู่ แต่การที่ได้สัมผัสประสบการณ์แบบกราฟิกจัดเต็ม + RTX On เป็นครั้งแรก บอกตรงๆ ว่าถึงแม้จะไม่ค่อยได้สังเกตความแตกต่างแบบจริงจัง แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่าความสมจริงที่มากขึ้นมันอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ ครับ! ความสมจริงที่ผมพูดถึงอยู่นี้คือเรื่องของ "ทิศทางเงา" เมื่อเราเปิด RTX On แล้วมุมตกกระทบ และมุมสะท้อนของเงา จะมีความสมจริงก็กว่าก่อนเปิดเป็นอย่าง ซึ่งเอาจริงๆ ตอนที่เล่นเกมเราไม่ค่อยได้สังเกตุกันหรอกครับ อารมณ์มันจะเป็นแบบว่า "รู้สึกได้ว่าภาพมันสมจริงขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามันสมจริงขึ้นยังไง" ประมาณนั้นครับ สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คือ "ประทับใจมากครับ" [caption id="attachment_69601" align="aligncenter" width="1264"] เมื่อเปิด RTX แล้ว เงาที่ได้จะสมจริงกว่า สังเกตุที่ตาข้างซ้ายของ Captain Price[/caption] ฟีเจอร์ใหม่ที่มาพร้อมกับการ์ดจอตัวนี้ ในการ์ดจอ RTX ซีรีส์ 30 นั้นมีระบบ และฟีเจอร์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาอยู่หลายตัว แต่ที่เด่นจริงๆ เห็นจะเป็น NVIDIA Reflex, G Sync 360 Hz และ DLSS 2.0  ซึ่งผมจะขอกล่าวถึงรายละเอียดต่อไปข้างล่างนี้ครับ NVIDIA Reflex นี้คือเทคโนโลยีใหม่ของ Nvidia ที่จะช่วยลดความหน่วงของการตอบสนองลงอีกหลายสิบเสี้ยววินาที โดยมันจะช่วยให้คำสั่งที่เรา กดเมาส์ หรือพิมพ์ถูกส่งเข้าไปในเกมได้เร็วมากขึ้น แต่เทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้ได้กับจอที่มี G-Sync เท่านั้น ซึ่งระบบนี้สามารถใช้ได้กับการ์ดจอตั้งแต่รุ่นที่ 9 ขึ้นมา แต่จะส่งผลดีที่สุดหากใช้กับการ์ดจอซีรีส์ 30 ครับ ถ้าถามว่ามันจะทำให้คำสั่งของเราถูกทำในเกมเร็วขึ้นขนาดไหน ผมแนะนำให้ดูตัวอย่างได้เลยในวิดีโอข้างล่างนี้ครับ G Sync 360 Hz เทคโนโลยี NVIDIA Reflex เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม แต่มันจะยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกถ้าหากใช้กับการเล่นเกมด้วยค่า Hz ที่สูงถึง 360 ในเจเนอเรชั่นใหม่นี้ทาง Nvidia ได้พัฒนาให้การ์ดจอรองรับค่า Hz ที่สูงขนาดนี้ได้แล้ว เมื่อเอามารวมกับเทคโนโลยีที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ มันจึงทำให้ลดความหน่วงของการตอบสนองลงมาได้ถึงขีดสุกอย่างแท้จริงครับ DLSS 2.0 อีกหนึ่งเทคโนโลยียอดเยี่ยมที่มาพร้อมกับ RTX ซีรีส์ 30 คือ Deep Learning Super-Sampling 2.0 ครับ โดยเทคโนโลยีนี้คือการลบรอยหยักของโพลิกอนแบบใหม่ที่ใช้ความสามารถทางด้าน AI เข้ามาช่วยในการคำนวณ ซึ่งจะทำให้ GPU สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น และดัน FPS ออกมาได้สูงกว่าเดิม แน่นอนว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีมาตั้งแต่ RTX ซีรีส์ 20 แต่ตัว DLSS 2.0 นี้จะสามารถทำงานได้ดีกว่าเจนที่แล้วอยู่มาก ทั้งในเรื่องของภาพที่คมชัดขึ้น และ FPS ที่มากขึ้นครับ คุ้มหรือไม่ ? RTX 3080 นั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 24,000 - 25,000 ซึ่งถ้าจะถามว่า "มันคุ้มค่ากับการซื้อมาเปลี่ยน หรือไม่?" มันคงขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้เพื่อนๆ ใช่การ์ดจอตัวไหนอยู่ครับ โดยผมจะขอให้วิเคราะห์ให้อ่านกันด้านล่างนี้เลยครับ สำหรับคนที่ใช้ RTX ซีรีส์ 20 อยู่ จากกราฟเปรียบเทียบ FPS ด้านบนแล้ว จะสังเกตได้ว่าสิ่งที่เราจะได้จากการ์ดจอรุ่นใหม่นี้คือ FPS เฉลี่ยประมาณ 20-30 เท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันไม่คุ้มขนาดนั้นครับ เพราะยังไงการ์ดจอที่เราใช้อยู่ ก็สามารถปรับกราฟิกสูงๆ ได้โดยที่ไม่ได้สูญเสีย FPS ไป ซึ่งถ้าหากจะเปลี่ยนจริงๆ คิดว่ารอจนกว่าเจนต่อไปจะออกน่าจะคุ้มค่ามากกว่าครับ สำหรับคนที่ใช้ GTX ซีรีส์ 10 ลงไป สำหรับคนที่ยังใช้การ์ดจอซีรีส์ตั้งแต่ GTX ซีรีส์ 10 ลงไปอยู่ ผมคิดว่านี้คือเวลาอันควรถ้าหากจะเปลี่ยนไปใช้ซีรีส์ RTX ครับ เนื่องจากเจ้าซีรีส์ 30 นี้มีประสิทธิภาพที่สูงมาก (แรงกว่า 1080Ti ประมาณ 70-90%) แถมยังมาพร้อมกับราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอีกด้วย ยิ่งในยุคที่เครื่องเล่นเกมคอนโซลกำลังจะเข้าสู่เจนใหม่แบบนี้ คิดว่าเกมที่กำลังจะออกหลังจากนี้คงมีการยกระดับของกราฟิก และภาพด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นคิดว่าใครที่ใช้ GTX ซีรีส์ 10 ลงไป ถ้าจะเปลี่ยนเป็น RTX 3080 ตอนนี้ก็เป็นอะไรที่ดูคุ้มค่าอยู่ครับ สิ่งที่ควรระวัง สุดท้ายนี้ก่อนจะออกจากบ้าน หรือเปิดเน็ตขึ้นมากดสั่งของของกัน ผมอยากจะเตือนเพื่อนๆ ว่า ความแรงของ CPU กับ GPU ไม่ควรจะแตกต่างกันมากเกินไปครับ เนื่องจากว่าถ้าหาก CPU ของเพื่อนๆ แรงไม่พอ การซื้อ RTX 3080 มาใช้อาจทำให้เกิดอาการคอขวด จนส่งผลให้การ์ดจอไม่สามารถทำงานอย่างเต็มที่ได้ และอาจทำให้ FPS ที่ได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าหากถามว่าควรใช้ CPU ตั้งแต่รุ่นไหนเป็นต้นไปผมคิดว่าไม่ควรต่ำกว่า Ryzen 5 3600 หรือ Intel Core i5 10400 ครับ อีกหนึ่งเรื่องที่อยากให้สนใจกันด้วยคือในเรื่องของขนาดการ์ดจอครับ RTX 3080 เพราะตอนนี้ทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในตลาดนั้นมีความยาวเทียบเท่ากับการ์ดจอรุ่น 3 พัดลมเลยครับ เคสของใครที่ไม่สามารถใส่การ์ดจอรุ่น 3 พัดลมได้ อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเคสกันด้วยครับ ท้ายที่สุดคือในเรื่องของ Power Supply โดยบนเว็บไซต์ของ Nvidia เองได้บอกว่ารุ่นนี้กินไฟมากพอสมควร ผู้ใช้งานควรมีกำลังไฟของ PSU มากกว่า 750W ขึ้น ถ้าหากว่าใครยังใช้ 650W อยู่ เล่นๆ ไปแล้วคอมอาจจะ Restart เองได้ ซึ่งนับเป็นอะไรที่อันตรายอย่างมากครับ [penci_review id="69178"]
08 Oct 2020
รีวิว FIFA 21 ภาคอันเป็นที่รักของสาวกที่ชอบเล่น Career Mode
หลังจากที่ปีนี้ทั้งโลกเกิดประสบปัญหา Covid-19 กันทั้งหมด !! หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและจะต้องพักเบรกนานกว่า 3 เดือนนั่นก็คืออุตสาหกรรมกิฬาฟุตบอล ที่ตลาดซื้อขายกว่าจะจบสิ้นก็ปาไปถึงเดือนตุลาคม (ปกติสิ้นสุดที่สิงหาคม) ซึ่งมันทำให้เกมที่อ้างอิงจากกิฬานี้จริงๆ อย่าง FIFA 21 จะต้องถูกเลื่อนออกไป แต่ในที่สุดวันที่ 9 ตุลาคม 2020 พวกเราเหล่าเกมเมอร์ก็ได้สัมผัสเกมนี้กันแล้วหลังจากที่ได้รอมานาน รวมถึงผู้พัฒนายังเพิ่มระบบที่น่าสนใจเข้ามามากมายเลยทีเดียว ซึ่งในวันนี้ทางผู้เขียนจะมาบอกเล่าประสบการณ์หลังจากที่ได้ไปสัมผัสเกมนี้มาแล้ว และจะเปรียบเทียบจากประสบการณ์ที่เคยเล่นภาคเก่าๆ มาด้วยครับ กราฟิก เอาจริงๆ ในด้านกราฟิกนั้นต้องบอกว่าดูเผินๆ มันก็ดูไม่ได้แตกต่างจากภาคที่แล้วมาเสียเท่าไหร่ อาจจะมีการเพิ่มแอนิเมชันบางอย่างที่ดูใหม่ตาเข้าไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังเหมือนกับภาคเดิมที่เคยทำ ยังมีโมเดลเดิมจากภาคที่แล้วมาใช้ ระบบแสงเงาของเกมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคเดิมเท่าไหร่ เป็นไปได้ว่ากราฟิกมันอาจจะอยู่ในช่วงท้ายเจนของเครื่อง Console แล้วก็ได้ ส่วนตัวเองก็เข้าใจนะและก็คงจะไม่ได้หักคะแนนในจุดนี้ ถ้าใครอยากเล่นเกม FIFA ที่กราฟิกสวยขึ้น ท่านก็อาจจะต้องรอเล่นบนเครื่อง PS5 แล้วแหละ รวมถึงโมเดลของนักเตะบางคนก็ถูกทำให้หน้าเหมือนมากขึ้น (แต่บางตัวก็ไม่ได้ทำ Mason Greenwood เด็กที่ผู้เขียนชอบ หน้า WTH มากๆ ) เกมเพลย์ ในด้านเกมเพลย์ต้องบอกว่าผู้พัฒนาค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นแต่ก่อน ผู้พัฒนาพยายามทำให้แอนิเมชันในการเล่นดูสมจริงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นในเรื่องของการจ่ายบอลที่ถ้าหากเราไม่หันหน้าไปตรงๆ และจ่าย นักเตะจะมีการจ่ายบอลช้าลงหรือจ่ายเสียบ่อยขึ้นมากกว่าเดิม สำหรับที่ชอบเล่นเกมแบบค่อยๆ ต่อบอลก็ต้องบอกว่าในภาคนี้ท่านก็อาจจะเล่นยากขึ้น เพราะโดยรวมแล้วถึงแม้ว่า FIFA 21 ผู้พัฒนาจะทำแอนิเมชันที่สมจริงกว่าหน่อยๆ แต่สปีดของเกมโดยรวมต้องบอกว่ามันค่อนข้างเร็วกว่าภาคก่อนหน้าอยู่เหมือนกัน เพราะการพลิกตัว ความคล่องตัวจะค่อนข้างทำได้ดีกว่าภาคที่แล้วนั่นเอง ภายในภาคก่อนๆ หลายๆ คนคงจะรู้สึกเซ็งๆ เวลาบังคับนักเตะที่แต้มประมาณ 70-80 เพราะมันจะไม่ค่อยคล่องตัวเสียเท่าไร พลิกตัวช้าเก้ๆ กังๆ แต่ในภาคนี้เราสามารถบังคับตัวละครที่แต้มต่ำๆ ได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดมันจะสู้นักเตะที่แต้มสูงไม่ได้ แต่มันก็สามารถเอานักเตะพวกนี้มาเล่นแทนตัวจริงได้บางนัดแบบไม่เค๊อะเขินแต่อย่างใด ในด้านของ A.I. จริงส่วนตัวค่อนข้างประทับใจขึ้นมา เพราะส่วนตัวผู้เขียนเองชอบเล่น Career Mode เป็นอย่างมาก โดยบอทที่ผู้เขียนพบเจอนั้นจะค่อนข้างฉลาดขึ้น ต่อบอลเก่งขึ้น และยังมีการเลี้ยงหลบเราได้บ่อยขึ้น ทำให้เราอาจจะต้องปรับตัวกันพอสมควร บางทีถ้าเข้าพรวดโดยไม่ดูเราอาจจะโดนบอทเลี้ยงหลบไปยิงได้อย่างสบายๆ ซึ่งปกติผู้เขียนเล่นกับบอทด้วยระดับความยากอย่างต่ำประมาณ Professional ขึ้นไป แต่นี่เป็นภาคแรกที่ตัวผู้เขียนเคยโดนบอทฝ่ายตรงข้ามยิงถึง 3 ลูกเลยทีเดียว Career Mode ภายในโหมดนี้ดูเหมือนว่าผู้พัฒนาจะใส่ใจมากกว่าภาคเก่าๆ เป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะในโหมดนี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมานานหลายปี (ภาคที่แล้วเพิ่มมานิดหน่อย) แต่ในภาคนี้จะมีลูกเล่นเข้ามาเพิ่มขึ้น และการเพิ่มครั้งนี้เหมือนพวกเราพยายามประกาศจุดยืนในการแข่งขันกับเกมอย่าง Footbal Manager เลยก็ว่าได้ อีกเรื่องที่ถูกเพิ่มเข้ามาคือการพัฒนาของตัวละครที่ในรอบนี้เราไม่จำเป็นต้องค่อยๆ พัฒนานักเตะทีละคนแล้ว ตัวเกมจะมีระบบการฝึกซ้อมที่จะมีโปรแกรมการฝึกที่เหมาะกับนักเตะคนนั้นๆ รวมถึงยังมีระบบค่าความฟิตและความเฉียบคมที่เราจะต้องจัด Squad ดีๆ ในการแข่งถ้าอยากให้ทีมของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงยังมีระบบอย่าง Development Growth ที่เราสามารถเลือกพัฒนานักเตะบางคนเล่นเก่งในด้านที่เราต้องการได้ อาทิเช่นเราอาจจะอยากให้นักเตะ Acadamy ของแมนยูอย่าง Scott McTominay มีทักษะในการจ่ายบอลมากขึ้น เราอาจจะตั้งค่าให้เขาพัฒนาเฉพาะจุดเป็นตำแหน่ง Deep Lying Midfielder เพื่อเน้นการจ่ายบอลนั่นเอง (แต่ส่วนอื่นๆ อย่างการป้องกันอาจจะเพิ่มน้อยลง) และในระบบนี้มันส่งผลให้ทางผู้พัฒนาได้เพิ่มระบบใหม่เข้ามาอย่างระบบ Manager ที่เราสามารถมองลูกทีมเล่นเป็นกราฟเหมือนในเกม Football Manager อย่างไรอย่างนั้น เราสามารถแก้เกมได้ตลอดเวลาถ้าคิดว่าทีมเราเล่นไม่ดี รวมถึงถ้ายังไม่ถูกใจอีกเรายังสามารถกระโดดเข้าไปบังคับแบบ Real-Time ได้เลย ถือว่าเป็นลูกเล่นใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าโดยรวมระบบนี้มันอาจจะยังสู้เกมต้นแบบไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นการเริ่มที่ดีและประกาศว่าในอนาคตถ้าอยากจะเล่นเกมฟุตบอล ไม่จำเป็นต้องเล่นเกมอื่นเลย เกมนี้มีทุกระบบให้คุณเล่นแล้ว !! สรุป โดยรวมแล้ว FIFA 21 เป็นเกมที่พัฒนาหลายๆ อย่างให้สมจริงมากขึ้น แต่มันก็อาจจะไม่ถูกใจต่อผู้เล่นบางกลุ่มที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้เข้ากับเกมภาคใหม่นี้ และสิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมากก็น่าจะเป็น Career Mode ที่มีลูกเล่นสำหรับเหล่าผู้เล่นที่ชอบเล่นโหมดนี้โดยเฉพาะ มันจะทำให้คุณมีความสุขขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว แถมมันอาจจะเริ่มถูกใจเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบเล่นเกม Football Manager แล้วด้วยก็ได้ !! [penci_review id="69645"]
07 Oct 2020
Princess Connect! Re:Dive ตามหาความทรงจำไปกับเหล่าเจ้าหญิงสุดน่ารัก
Princess Connect! Re:Dive เป็นเกม RPG สไตล์อนิเมะจากค่าย Cygames ที่เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์มมือถือในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2015 จากนั้นทาง Ini3 Games ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาเปิดให้บริการในบ้านเราเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับเกมกาชาที่มีตัวละครสุดน่ารักกันในตอนนี้ครับ จุดเด่นของเกมนี้คือการที่เราได้นั่งดูฉากคัทซีนของเกมที่มีภาพ และเสียงสไตล์อนิเมะ แถมเรายังสามารถตอบโต้กับตัวละครที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วยได้จากการเลือกตอบตามตัวเลือกที่มีให้ และสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าคุณภาพของคัทซีนแต่ละฉาก เนื้อเรื่องแต่ละตอนของเกมนี้มันมีคุณภาพสูงมากจริงๆ ครับ เจ้าเกมนี้จะดียังไง มีจุดเด่นอย่างไร กาชาเกลือแค่ไหน วันนี้ผมจะมาบอกเล่าทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสจากเกมนี้ครับ ถ้าพร้อมกันแล้วไปอ่านกันเลย! เนื้อเรื่อง ฉากแรกของเกมเริ่มด้วยกลุ่มของเราซึ่งเป็นปาร์ตี้ของผู้กล้าที่ถูกเรียกว่า Princess Knight กำลังต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกขาวนามว่า ไคเซอร์อินไซท์ แต่ดูเหมือนว่าพลังของเธอจะมีมากจนเราไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย ยิ่งเวลาผ่านไปพวกพ้องของเราก็เริ่มล้มลงไปที่ละคน และในการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจจิ้งจอกขาวที่คิดจะจบการต่อสู้ในครั้งนี้ เราที่ถูกเรียกว่า อัศวินผู้พิทักษ์ ก็ได้เอาร่างกายของตัวเองเข้าไปบังเพื่อรับการโจมตีนั้นให้กับเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนสุดท้าย แล้วจากนั้นภาพก็ถูกตัดไป เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้พบกับเด็กสาวที่สภาพดูไม่สมบูรณ์มากนัก เธอดูเหมือนกำลังยุ่งกับอะไรบางอย่างจนไม่ค่อยมีเวลามาเป็นคู่สนทนาของเรา ที่น่าสงสัยก็คือเธอดูเหมือนจะรู้จักเราดี ทั้งๆ ที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย เด็กสาวตรงหน้าแนะนำตัวว่า เธอชื่อ อาเมส โดยบอกเสริมว่า พักหลังมีแต่คนเรียกเธอแบบนี้ และเธอก็บอกต่อว่า เราไม่จำเป็นต้องไปฝืนจำชื่อเธอหรอก ยังไงอีกเดี๋ยวเราก็จะลืมแล้ว เพราะสถานที่เราอยู่คุยกับเธอตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับความฝัน อาเมสบ่นว่าเธอถูกเล่นงานจนพังยับ ขยับไปไหนก็ไม่ได้จนกว่าจะซ่อมแซมตัวเองเสร็จ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกความจริงก็ไม่ได้ด้วย แถมยังบอกอีกด้วยว่าเธอจะส่งเรากลับไปเกิดใหม่ และเพื่อให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น เธอจะส่ง ผู้นำทาง มาช่วยเหลือเราด้วย โดย เธอ คนนั้นจะเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา จากนั้นอาเมสก็กล่าวว่า ตอนนี้ได้เวลาจากกันแล้ว แม้จะยังมีเรื่องที่อยากคุยด้วยอีกมาก แต่จะอยู่นานกว่านี้ก็ไม่ได้ ถึงแม้โลกความจริงจะโหดร้าย แต่จะอยู่ในความฝันไปตลอดก็ไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวและภาพก็ตัดไปอีกครั้ง ระหว่างที่เรากำลังหลับอยู่นั้น ได้มีเสียงเพลงดังลอดเข้ามาในหู เมื่อเราลืมตาตื่นสิ่งแรกที่เห็นคือสาวน้อยผมขาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีใบหน้าแสนอ่อนโยนกำลังมองลงมาที่เรา เธอแนะนำตัวว่าเป็น ผู้นำทาง ที่ท่านอาเมสผู้ยิ่งใหญ่ส่งมา มีนามว่า คกโคโระ เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า เธอมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองและดูแลเรานับแต่อรุณยันราตรี ตั้งแต่นอนเปลยันนอนโลง หลังจากที่เธอพูดคุยกับเราไปสักพักหนึ่ง เราก็ได้รู้สภาพตนเองจากปากของเธอว่า เรา สูญเสียความทรงจำเกือบทั้งหมด ไปนั่นเอง และเพราะการพบกันที่ถูกลิขิตเอาไว้นี้ เรื่องราวการเดินทางตามหาความทรงจำที่ทำให้เราได้พบเจอกับหญิงสาวมากมายพร้อมกับการลิ้มชิมรสอาหารแสนอร่อยก็ได้เริ่มต้นขึ้น เกมเพลย์ รูปแบบการเล่นของ Princess Connect! Re:Dive จะเป็นการจัดทีม 5 คนไปตะลุยด่าน โดยผู้เล่นจะไม่สามารถควบคุมตัวละครเองได้ เปรียบเสมือนว่าเราคืออัศวินผู้พิทักษ์ที่กำลังความจำเสื่อม เหล่าหญิงสาวจึงคอยต่อสู้เพื่อปกป้องเรา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้ตัวละครใช้ท่าไม้ตายตอนไหนก็ได้ตามใจ เมื่อหลอดท่าไม้ตายเต็ม โดยตัวละครภายในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ แนวหน้า, แนวกลาง, และแนวหลัง ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อย่างแนวหน้ามักจะมีเลือดเยอะใช้อาวุธระยะประชิดเป็นหลัก เหมาะแก่การเป็นตัวชนให้กับปาร์ตี้ ส่วนแนวกลางมักจะเป็นตัวที่โจมตีได้อย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นตัวบัฟคอยช่วยเหลือเพื่อนพ้อง พวกเธอจะใช้อาวุธระยะกลางอย่างดาบยาว หรือหอก เป็นต้น สุดท้ายคือตัวละครแนวหลัง พวกเธอมักจะเป็นสายตีไกลอย่างนักธนูหรือจอมเวทย์ ซึ่งแนวหลังนี้จะมีจอมเวทย์ที่มีความสามารถในการรักษาเป็นหลักอยู่ด้วยครับ และแน่นอนว่าตัวละครในเกมนี้มีเยอะมาก ดังนั้นการจัดทีมจึงสามารถทำได้อย่างหลากหลายแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นเอง การต่อสู้ของเกมนี้จะเป็นภาพ 2D น่ารักๆ มุมมองแบบด้านข้างที่จะมีฉากคัทซีนและอนิเมชั่นมาแทรกบ้างตามจังหวะของเกม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกมกาชามือถือจะมีกันแทบทุกเกมอยู่แล้วครับ นอกจากการจัดทีมออกไปสู้กับเหล่ามอนสเตอร์แล้ว ตัวเกมยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นนำอุปกรณ์สวมใส่ที่ได้มาจากการทำภารกิจ หรือ กาชามาให้ตัวละครของเราสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถด้วย อีกทั้งยังมีระบบอัพเกรดตัวละคร และของสวมใส่อีกต่างหาก อย่างที่บอกไปว่าของสวมใสในเกมนี้จะดรอปจากภารกิจต่างๆ ที่เราทำ ดังนั้นการจะหาของสวมใส่ให้เพียงพอกับตัวละครทั้งหมดของเรา ก็จำเป็นต้องฟาร์มเยอะพอสมควร ซึ่งก็สมกับเป็นเกมประเภทนี้ดี แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเปิดเกมบนมือถือมาเพื่อลงด่านฟาร์มของเพียงอย่างเดียว ก็คงจะเบื่อไม่น้อยครับ อีกทั้งเกมนี้ยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถ ตกแต่งกิลด์เฮ้าส์ ได้ด้วย ซึ่งของที่เราเอามาตกแต่งบ้านกิลด์นั้น นอกจากจะมีเพื่อความสวยงามแล้ว ของเหล่านั้นยังมอบของจำเป็นต่างๆ ในการเล่นให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็น ขวดอัพเลเวล, ขวดสตามิน่า หรือ มานาที่เอาไว้อัพสกิลตัวละคร แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็คือการทำบ้านกิลด์ของเราสวยนั่นแหล่ะครับ อย่าลืมมาตกแต่ง เรือนเลิศรส ของเราให้สวยงามกันนะครับ สำหรับการออกผจญภัยกับเพื่อนๆ ก็ไม่แปลกเลยที่ความสัมพันธ์ของเราจะแน่นแฟ้นขึ้น และภายในเกมนี้เองก็มีระบบที่ชื่อว่า "ระบบความสัมพันธ์” ที่เมื่อค่าความสัมพันธ์ของแต่ละคนเพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนด ตัวละครนั้นจะมีบทพูดพิเศษขึ้นมาให้เราอ่าน นอกจากนี้ค่าความสัมพันธ์จะปลดล็อคเรื่องราว Side Story ของตัวละครนั้นๆ ด้วย ซึ่งมันจะช่วยให้เราได้รู้เรื่องราวของตัวละครเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ต้องบอกก่อนว่าเกม Princess Connect! Re:Dive นั้นไม่ได้เน้นที่ระบบเกมเพลย์ครับ ผู้พัฒนาตั้งใจเน้นไปที่เนื้อเรื่องและความสวยงามของอนิเมชั่นต่างหาก แต่ในระบบของเกมนี้ก็มีเรื่องน่าตลกเล็กๆ อยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือตอนที่เราอัพระดับของตัวละคร ของสวมใส่ที่อยู่บนตัวพวกเธอจะถูกย่อยเพื่อเพิ่มระดับให้กับตัวละครดังกล่าว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องย่อยของสวมใส่ไปด้วย หรือพวกเธอจะกินของสวมใส่เป็นการเพิ่มพลังกันแน่นะ? กราฟิก กราฟิกของ Princess Connect! Re:Dive เป็นภาพสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นที่สวยงามสมกับที่มีอนิเมะเป็นของตัวเอง ตัวละครสาวๆ ในเกมแต่ละคนก็มีเสน่ห์กับเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูและเพลิดเพลินไปกับการอ่านเนื้อเรื่องไม่น้อยเลยครับ ปกติต้องยอมรับว่าในบางเกมผมจะกดข้ามฉากคัทซีนอย่างรวดเร็วเลยครับ แต่กับเกมนี้ตัวละครมันมีความดึงดูดให้เราอยากอ่านเนื้อเรื่องและติดตามเรื่องราวของพวกเธอมากจริงๆ เหมือนกับเรากำลังติดตามดูอนิเมะไปทีละตอนอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ ในส่วนของเอฟเฟกต์การโจมตีต่างๆ นั้นก็สวยงามดีครับ แต่การโจมตีโดยใช้ท่าไม้ตายจะกลายเป็นอนิเมชั่น ดังนั้นไม่ต้องห่วงถึงเรื่องนี้เลย มันสวยแน่นอนอยู่แล้ว นับว่านี่เป็นเกมที่มีคุณภาพกราฟิกที่ดีมากจริงๆ และสำหรับคนที่เคยเล่นเกมของค่าย Cygames กันมาก่อนก็คงจะรู้กันดีว่าเกมของค่ายนี้กราฟิกดีทุกเกมครับ และเกมนี้ Cygames เองก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ภาษาและเสียงพากย์ Princess Connect! Re:Dive เป็นอีกหนึ่งเกมมือถือที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และต้องขอยอมรับว่าการแปลของเกมนี้ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้มากทีเดียว เกมมือถือบางเกมเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วแค่อ่านเข้าใจได้ก็ดีมากแล้ว แต่ในเกมนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นภาษาไทยที่สละสลวยมาก ทำให้เวลาที่เราอ่านเนื้อเรื่องจะรู้สึกเพลิดเพลินและเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าหลายๆ เกม นอกจากนี้ด้วยความที่เกม Princess Connect! Re:Dive เน้นไปที่อนิเมชั่น และเนื้อเรื่องมากกว่าเกมเพลย์ ดังนั้นเสียงพากย์ของตัวละครจึงเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ Cygames ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเช่นกัน เสียงพากย์ของตัวละครแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของพวกเธอมากครับ มันจึงทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับการดูพวกเธอสนทนากันมากๆ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเกมนี้เลยทีเดียว สรุป Princess Connect! Re:Dive คืออีกหนึ่งเกมที่ควรหยิบมาเล่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเกมมือถือแนวกาชา ฟาร์มของ สไตล์อนิเมะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานภาพ เนื้อเรื่อง หรือการแปลภาษา เกมนี้ก็นับว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าเกมมือถือหลายๆ เกมมากทีเดียว แต่ในส่วนของกาชา เกมนี้ค่อนข้างใจร้ายไม่น้อย ตัวละคร 4 ดาวออกมาให้เราเชยชมค่อนข้างยากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติของเกมกาชาฝั่งญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ชินก็คงรู้สึกไม่ดีกันนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว เกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เหมาะแก่การหยิบมาเล่นยามว่างมากจริงๆ ครับ [penci_review id="68262"]
01 Oct 2020
Review เกม NBA 2K21 จุดเริ่มต้นของตำนานใหม่แห่งวงการ NBA!
กลับมาอีกครั้งกับเกมที่จะให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์บาสเกตบอลแบบสมจริงที่สุดกับ NBA 2K21 ซึ่งกล่องเกมภาคนี้ ได้มีการไว้อาลัยให้กับการจากไปของ Kobe Bryant ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการนำเขามาเป็นหน้าปกของกล่องเกมภาคนี้ด้วย โดยผมเองเป็นหนึ่งในคนที่เล่นกีฬาบาสเป็นงานอดิเรกเช่นกัน ดังนั้นการจากไปของเขาจึงเป็นอะไรที่น่าเศร้าอยู่เหมือนกันครับ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า NBA 2K นั้นเรียกได้ว่าเป็นเกมที่ขึ้นชื่อเรื่อง "ประสบการณ์บาสเกตบอลสมจริงที่สุด" มาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่าในภาคที่ 22 นี้(เนื่องจากภาคแรกชื่อ NBA 2K เฉยๆ ภาคนี้เลยนับเป็นภาคที่ 22 ครับ) ตัวเกมจะยังคงคอนเซ็ปดังกล่าวไว้ได้ หรือไม่ แอบบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ทำได้เหนือความคาดหมายของผมในหลายๆ เรื่องเลย ถ้ามพร้อมแล้วไปดูกันครับ เนื้อเรื่อง ในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นลูกชายของนักบาสเกตบอล NBA ชื่อดัง ที่สร้างผมงานไว้มากมาย ตามเนื้อเรื่องแล้วตัวละครของเราจะถูกเรียกว่า "Junior" เรื่องราวจะเริ่มตั้งแต่เรายังเป็นแค่เด็กมัธยม ในตอนแรก Junior ไมได้ตั้งใจจะมาเอาดีทางกีฬาบาสเกตบอล แต่ตั้งใจที่จะเป็นนักบอลมืออาชีพ แต่เหตุการบางอย่างได้เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองสามารถเป็นนักบอลที่ดีได้ แต่ไม่มีวันที่จะได้เป็นนักบอลที่เก่ง แต่ถ้าหากพูดบาสเกตบอลมันจะเป็นอีกเรื่อง เพราะตัวเขาเองมีพรสวรรค์ในกีฬาชนิดนี้อยู่เต็มเปี่ยม พอคิดได้แบบนั้น Junior จึงตัดสินใตที่จะเลิกเตะบอล แล้วหันมาจับลูกบาสแทน โดยเส้นทาง NBA ของเขาก็ได้เริ่มจากตรงนี้เช่นกัน เรื่องราวของภาคนี้ค่อนข้างเป็นเส้นตรง Junior จะได้ลงศึกสู้กับโรงเรียนต่างๆ เก็บสะสมประสบการณ์ รวมถึงโชว์ฟอร์มให้แมวมองต่างๆ ได้เห็นถึงความสามารถของเขา แต่จุดที่น่าสนใจของเนื้อเรื่อง คือจุดที่นำเสนอความกดดันของเด็กคนหนึ่ง ที่ถูกคาดหวังจากคนรอบๆ ตัว เพียงเพราะว่ามีความสามารถที่มากกว่าคนอื่นได้ดีมาก คือต่อให้ผู้เล่นไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้เลย ก็น่าจะสามารถอินไปกับเนื้อเรื่องของเกมภาคได้ไม่ยากครับ กราฟิก / การนำเสนอ ขอออกตัวก่อนว่า NBA 2K21 ที่ผมได้เล่นเป็นเวอร์ชั่นของเครื่อง PS4 ดังนั้นกราฟิกที่ผมได้เห็นจึงยังไม่ใช้ ระดับสูงสุดที่เกมทำได้ แต่เอาจริงๆ ได้ชื่อว่าเป็นเกมกีฬา คิดว่าคงไม่มีใครสนใจในส่วนของความสวยงามของกราฟิกอะไรมากมายนัก เอาเป็นวันเกมนี้มีภาพอยู่ในระดับที่พอรับได้ครับ ไม่ได้สวยสมจริงจนน่าชื่นชม แต่ก็ไม่ได้ห่วยแตกจนเล่นไม่ไหวเช่นกัน มาถึงในส่วนของการนำเสนอบ้างถ้าซึ่งในส่วนนี้ มีอยู่หลายประเด็นที่ผมอยากชื่นชมผู้พัฒนาครับ เรื่องแรกคือการนำเสนอเนื้อเรื่องแบบ Butterfly Effect ครับ เพราะตลอดการเล่นในโหมดเนื้อเรื่องของเกมมีหลายครั้งที่ผู้เล่นจำเป็นต้องเลือกว่าจะให้ตัวละครของเราเลือกทางไหน เช่น "ตอนนี้กำลังบาดเจ็บหัวเข่าอยู่ แต่ทีมกำลังแย่จะลงไปเล่นดีหรือไม่?" โดยการเลือกในแต่ละครั้งจะส่งผลถึงเนื้อเรื่องโดยตรง และทำให้เหตุการที่ Junior จะได้เจอหลังจากนี้แตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้ระบบที่ใหม่อะไร แต่นับว่าน่าสนใจดีที่เอาระบบนี้มาใช้ในโหมดเนื้อเรื่องของเกมกีฬาครับ อีกหนึ่งจุดที่ผมคิดว่าทำตัดสินใจได้ดีที่มีระบบนี้ "คือมุมมองของตัวเราเองเมื่อต้องนั่งรออยู่ข้างสนาม" โดยปกติแล้วบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ เปลี่ยนตัวผู้เล่นบ่อยมากๆ เนื่องจากกีฬานี้จำเป็นต้องวิ่ง, กระโดด หรือสไลด์เร็วๆ อยู่ตลอดเวลา มันเป็นเรื่องธรรมดาหากจะมีการเปลี่ยนตัวเพื่อให้ตัวเก่งๆ ของทีมได้พัก และกลับลงไปในสนามอีกครั้งในนาทีสำคัญ ใน NBA 2K21 เองก็เช่นกัน มีหลายครั้งที่ Junior จำเป็นต้องออกมาพักข้างสนาม โดยในตอนที่นั่งพักนั้นเกมจะแสดงมุมมองของ Junior ที่กำลังมองการแข่งขันที่ยังคงดำเนินต่อไป รอโอกาสที่จะได้กลับลงไปเล่นอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้รู้สึกสมจริงมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถกดข้ามไปยังครั้งต่อไปที่ Junior ลงสนามได้เลยเช่นกันครับ ถ้าจะถามหาข้อเสียในการนำเสนอ คงไม่พ้นเรื่องสีหน้าของตัวละคร ที่ดูแข็งจนบางครั้งก็ไม่เข้ากับ Dialog ที่กำลังพูดอยู่เลย จุดนี้ทำให้ความน่าสนใจของฉาก Cutscene ในเนื้อเรื่องมีความน่าสนใจที่น้อยลงอย่างมาก คือถ้าทำในส่วนนี้ออกมาได้ดีด้วย เกมนี้จะถือว่ายอดเยี่ยมไปเลยครับ ถือว่าน่าเสียดายจริงๆ เกมเพลย์ มาถึงหัวข้อที่น่าจะเป็นจุดขายจริงๆ ของเกมนี้ครับ อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วในช่วงแรกของบทความว่า "นี้คือเกมที่จำลองกีฬาบาสเกตบอลได้สมจริงที่สุด" ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ซื้อมาเล่นก็น่าจะคาดหวัง ที่จะได้สัมผัสกับกีฬาบาสเก็ตบอลที่สมจริงเช่นกัน ผมขอบอกก่อนตรงนี้เลยว่า เกมนี้จำลองกีฬาบาสเกตบอลได้สมจริงสุดๆ ไปเลยครับ ส่วนว่ามันสมจริงตรงไหนบ้างมาดูกันครับ ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนที่ไม่เคยเล่นกีฬาบาสเกตบอลจริงๆ เข้าใจก่อนว่า นี้คือกีฬาที่ตำแหน่งในการเล่น กับกฎที่เยอะมาก และยังเป็นกีฬาที่โคตรเหนื่อยครับ นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาที่บาดเจ็บได้ง่ายเนื่องจากจำเป็นต้องกระทบกระทั่งกันกือบตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาที่ทำ Tactical Foul หรือการจงใจทำให้อีกฝ่ายโดน Foul ได้หลากหลายวิธีมากๆ ด้วย ดังนั้นการจะจำลองทั้งหมดที่ว่ามาลงไปในเกม จึงเป็นเรื่องที่ดูเป็นไปได้ยาก แต่ NBA 2K21 สามารถทำในจุดนี้ได้เกือบสมบูรณ์เลยครับ! อย่างที่บอกว่ากีฬานี้มีตำแหน่งที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Power Forward, Small Forward, Point Guard, Shooting Guard และ Center โดยแต่ละตำแหน่งก็จะมีสรีระที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป ซึ่งในการสร้างตัวของเกมนี้ จะเปิดให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่ง สรีระรวมไปจนถึงความสามารถได้อย่างอิสระ แต่ก็จะมีการจำกัดให้ตัวละครเรา ไม่สามารถตัวเล็ก หรือเตี้ยไปกว่าความสูงที่เหมาะสมของตำแหน่งนั้นได้ มันจึงทำให้รูปร่างของตัวละครเราจะดูสมจริงกับตำแหน่งที่เลือกในกีฬาบาสจริงๆ ครับ (แน่นอนว่าในเรื่องของสเตตัสก็ด้วยเช่นกัน) ที่นี้มาพูดถึงเกมเพลย์ภายในสนามบ้างครับ ก่อนอื่นคือในเรื่องของกฏเกมนี้มีการใช้กฎทั้งหมดเหมือนกับบาสจริงๆ เลย ทั้งในเรื่องของ การฟาวล์ 10, 5 หรือ 3 วิ, การการวอล์คกิ้ง, รวมไปจนถึงการฟาวล์ทีม ดังนั้นการจะเล่นเกมนี้ผู้เล่นจำเป็นต้องมีความรู้ กับความเข้าใจเกี่ยวกับกฏของกีฬาชนิดนี้จริงๆ ต่อมาคือเรื่องการตั้งรับ, บุก, และฟอร์เมชั่นของ Ai ในเกม โดยต้องบอกเลยว่า สมจริงมากครับ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะส่งลูก, จังหวะวิ่งปิด หรือกระทั้งการจงใจทำฟาวล์เพื่อหยุดเกมในนาทีเสียแต้มสำคัญ ทำเอาบางครั้งก็คิดว่ากำลังดูบาส NBA อยู่จริงๆ เลยครับ ต่อมาคือในเรื่องของความเหนื่อยครับ การเล่นบาสมันจะเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ หากต้องลงหลายควอเตอร์ติดๆ ก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นไปอีก ใน NBA 2K21 ก็เอาตรงนี้มาใส่เป็นหนึ่งในแมคคานิคของเกมด้วยเช่นกัน เมื่อตัวละครของเราลงไปเล่นได้ช่วงหนึ่งแล้ว จะสังเกตุได้เลยว่าสตามิน่าของเราจะน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งถ้าวิ่งเยอะก็จะยิ่งเหนื่อยง่าย จนจำเป็นต้องออกไปพัก และกลับมาลงสนามใหม่เมื่อหายเหนื่อยแล้ว สุดท้ายในเรื่องของการเล่นท่า การทำแต้ม และการป้องกันทั้งหมดที่ทำได้ในเกม ซึ่งเท่าที่ผมนึกออกเกมนี้สามารถเล่นท่าในการไดรฟ์, เลี้ยงลูก, ทำแต้ม รวมไปจนถึงทีมเพลย์อย่าง Ali Oop หรือ Double Play ก็สามารถทำได้ทั้งหมดในเกมนี้ คงต้องยอมรับว่า NBA 2K21 คือจำลองการเล่นบาสเกตบอลมาได้สมจริงสุดครับ แต่ในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาก็เป็นดาบสองคมเช่นกัน เพราะสำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับกีฬาบาสเกตบอลมาก่อนเลยคงต้องใช้เวลาเยอะมากๆ ในการทำความเข้าใจ ระบบต่างๆ ของเกมนี้ ต่อให้เป็นคนที่รู้ และเข้าใจกฏของกีฬาชนิดนี้อยู่แล้ว ก็ยังจำเป็นต้องเสียเวลาเรียนรู้การควบคุมนานอยู่ดี เพราะอย่าง่ที่ผมบอกไปว่าเกมนี้เปิดให้ผู้เล่นสามารถเล่นท่าทั้งหมดที่มีในกีฬาชนิดนี้ได้ ดังนั้นวิธีการกดปุ่มเพื่อออกท่าต่างๆ จึงสับส้อนมาก มันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ที่จะจำทุกอย่างได้หมดภายในครั้งเดียว ดังนั้นถ้าใครไม่ได้ชอบกีฬาบาส หรือชอบเล่นเกมแนวนี้ ก็แนะนำให้ข้ามไปได้เลยครับ สรุป NBA 2K21 อาจเป็นเกมที่จำลองกีฬาบาสเกตบอลออกมาสมจริงสุดๆ จนน่าจะถูกใจคนที่ชื่นชอบกีฬานี้จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเกมที่มีความยุ่งยากมากเกินไป จนอาจไม่เป็นที่ถูกใจของผู้เล่นส่วนใหญ่ครับ เอาแค่เรียนรู้การกดปุ่มเพื่อออกท่าต่างๆ อย่างเดียว คิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าหวังจะซื้อมาเล่นแคชชวลสนุกๆ ผมว่าเกมนี้ไม่อยู่ในตัวเลือกเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากคุณคือแฟนกีฬาชนิดนี้แบบตัวจริง NBA 2K21 คือเกมที่ใกล้เคียงกับคำว่า "จำลองได้สมบูรณ์แบบ" ที่สุดแล้วในตอนนี้ครับ เนื่องจากตัวเกมเข้าถึงได้ยากจนเกินไป ทั้งยังมีระบบเกมเพลย์ที่ซับซ้อน GameFever TH จึงคิดว่าเกมนี้ควรจะได้คะแนนอยู่ที่ 7 เต็ม 10 เท่านั้นครับ [penci_review id="68421"]
28 Sep 2020
รีวิว Mafia: Definitive Edition จุดเริ่มต้นของตำนานแห่งเกมมาเฟียอิตาลี
เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ ในเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา เพราะว่าทาง 2K Games ได้ประกาศเปิดตัวโปรเจกต์สุดน่าสนใจนั่นคือ Mafia: Definitive Edition ที่ได้นำเอาเกมภาคแรกของซีรีส์นี้อย่าง Mafia: The City of Lost Heaven มายกเครื่องอัพเกรดกราฟิกใหม่ทั้งหมด โดยผู้พัฒนาเองก็ได้เคลมว่าพวกเขาสร้างเมืองนี้ใหม่ตั้งแต่ภาคพื้นดินเลยทีเดียว จนมันทำให้หลายๆ คนต่างสนใจและรอเล่นเกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเรา GameFever TH ก็ได้มีโอกาสในการเล่นเกมนี้จนจบแล้วและจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ กราฟิก / การนำเสนอ สิ่งที่ผู้พัฒนาได้บอกเอาไว้ว่าพวกเขานั้นสร้างเมือง Lost Heaven ใหม่ทั้งหมดนั้น ผู้พัฒนาเองไม่ได้ขี้โม้เลยแต่อย่างใด และส่วนตัวค่อนข้างประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะผู้พัฒนาได้ดีไซน์เมืองนี้ใหม่เกือบทั้งหมดถึงแม้ว่าจะใช้แบบแปลนจากภาคเดิมในการพัฒนา อย่างที่เรารู้ว่า Mafia: Definitive Edition เกมนี้ได้ถูกสร้างมาจาก Engine ที่เคยใช้ในเกม Mafia III แต่หลังจากที่เคยได้เล่นเกมนี้มาทั้งคู่ต้องบอกเลยว่า Mafia: Definitive Edition ทำภาพได้สวยกว่ามาก เพราะผู้พัฒนาได้ใส่เทคโนโลยี Ray Tracing หรือการสะท้อนเงาวัตถุแบบ Real Time เข้ามา ทำให้บรรยากาศของเกมมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น แต่ในด้านกราฟิกก็อาจจะมีปัญหาสำหรับคนที่คอมพิวเตอร์ไม่แรงอยู่เหมือนกัน เพราะว่าฟังชั่น Ray Tracing นี้จะติดมาตลอดกดปิดไม่ได้ โดยตัวผู้เขียนเองได้ใช้คอมพิวเตอร์สเปกกลางๆ อย่าง i5 - 8400 บวกกับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งมันพอเล่นได้แบบต่ำสุด (ในราวๆ 70 FPS) ซึ่งคาดว่าสเปกคอมพิวเตอร์ราวๆ นี้น่าจะเป็นสเปกต่ำสุดที่ผู้เขียนแนะนำถ้าอยากจะเล่นเกมนี้เพื่อประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแบบไม่ตกหล่น แต่ข้อดีก็คือถึงแม้ว่าผู้เขียนจะปรับกราฟิกต่ำสุด แต่ก็ยังสามารถเห็นถึงความสวยงามของมัน รวมถึงปัญหาบัคเฟรมเรทตกไม่มีให้เห็นแต่อย่างใด ถือว่าผู้พัฒนาปรับปรุงในส่วนนี้ออกมาได้ดีมาก เนื้อเรื่อง เรื่องราวของซีรีส์ Mafia: Definitive Edition นั้นก็ค่อนข้างที่ทำได้ตรงตามเกมเวอร์ชั่นดั้งเดิมเป็นอย่างมาก กับเรื่องราวของ Tommy Angelo คนขับรถแท็กซี่ที่บังเอิญเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ไล่ล่าระหว่างแก๊งมาเฟีย เลยทำให้เขานั้นได้เข้าร่วมแฟมิลีของ Salieri ในที่สุดเพื่อโอกาสในความก้าวหน้าของชีวิต ซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่าส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้เคยเล่นเกมเวอร์ชั่นดั้งเดิมแบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องมันเท่าที่ควรในตอนนั้น ( แถมเล่นไม่จบด้วย ) แต่หลังจากที่ได้ลองเกมนี้จนจบ และเคยเล่นเกมซีรีส์นี้ในทุกภาคก็ต้องบอกว่า Mafia: Definitive Edition ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีที่สุดจากในมุมมองของผู้เขียนเอง เพราะตัวเกมนำเสนอเรื่องของความสัมพันธ์ สิ่งที่กล้ำกลืนฝืนทนที่จะต้องทำเพื่องาน หรือแม้กระทั่งการนำเสนอเรื่องของสงครามระหว่างแก๊งที่ตัวเกมภาคนี้นำเสนอออกมาได้ดี แต่เนื่องจากที่เกมนี้ ผู้พัฒนาไม่ได้ตกแต่งโครงเรื่องใหม่แต่อย่างใด ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจจะดูรวบรัดตัดจบไวเกินไปหน่อย เพราะในสมัยก่อนตัวเกมลงให้กับเครื่อง PS2 มันอาจจะไม่มีพื้นที่ในการจุเนื้อหาเยอะ เพราะเกมน่าจะเอาไปลงกับกราฟิกหมด ทำให้มันมีการเล่าเรื่องที่ประหลาดๆ หรือทื่อๆ ไปซักนิด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะส่วนตัวอยากให้ผู้พัฒนาเพิ่มเติมหรือขยายความเรื่องราวให้มากกว่านี้โครงเรื่องของมันค่อนข้างดีมากๆ เลยทีเดียว เกมเพลย์ เบื่อไหมในเกมเก่าๆ ของซีรีส์ Mafia ที่การขับรถนั้นมันบังคับยากเสียเหลือเกิน และปัญหานี้มันก็เรื้อรังมาในทุกภาค แต่ผิดกับเกม Mafia: Definitive Edition ที่ผู้พัฒนาปรับปรุงระบบการขับรถให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ได้ดีมากยิ่งขึ้น Lost Heaven ถูกดีไซน์ใหม่ ให้พื้นที่เลนถนนมีความกว้างกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้มีพื้นที่ตีวงตอนเลี้ยวรถได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงผู้พัฒนายังเพิ่มระบบช่วยบังคับรถที่มันจะคำนวนการเลี้ยวรถให้เราได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมันส่งผลทำให้เราสามารถเลี้ยวรถด้วยความเร็วๆ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบไม่ต้องชะลอรถได้สบายๆ (แต่ถ้าเร็วเกินไปรถก็อาจจะพลิกได้เหมือนกัน) แต่ถ้าใครที่ไม่อยากได้ตัวช่วยขับรถเกมนี้ก็ยังมีตัวเลือกการขับรถแบบสมจริงที่เหมือนกับในภาคก่อนๆ อยู่เช่นเดิม ส่วนในเรื่องเกมเพลย์ก็ต้องบอกเลยว่าตัวเกมก็จะมีระบบการเล่นที่เหมือนกับเกม Open World ทั่วไป ซึ่งมันไม่ได้มีความแปลกใหม่ไปจากเดิมเท่าไร อาจจะมีบางภารกิจหรือตัวเลือกที่น่าสนใจให้เล่นบ้างอย่างเช่นภารกิจหนึ่งที่เราจะต้องเข้าไปปิดปากสาวโสเภณีที่ดันไปรู้ความลับบางอย่างเข้า ซึ่งเราจะต้องค้นหาเองว่าเธอนั้นอยู่ในห้องไหน โดยเราสามารถเดินหาที่ละห้องจนกว่าจะเจอ หรือไม่เราก็อาจจะไปถามกับทางบริกรว่าเธออยู่ตรงไหน หรือจะแอบเข้าไปดูสมุดบัญชีลิสต์งานก็ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าเสียดายคือเราเองไม่ได้เห็นเกมการเล่นแบบนี้เยอะนัก ส่วนใหญ่ก็จะมีแค่การขับรถไล่ล่าหรือยิงศัตรูเท่านั้น มันเลยทำให้ตัวผู้เขียนเองรู้สึกผิดหวังกับมันอยู่พอสมควร เพราะนอกจากกราฟิกที่สวยงามแล้วนั้นเราแทบไม่ได้เห็นอะไรใหม่เลย แต่ตัวเกมก็ยังมีระบบที่เข้ามาท้าทายผู้เล่นแทนนั่นคือโหมด Classic ที่จะเป็นความยากระดับสูงสุด ผู้เล่นต้องบังคับรถในโหมดดั้งเดิมเท่านั้น Radar ในศัตรูจะไม่ปรากฏ รวมถึงกล่องเพิ่มเลือดก็จะฟื้นฟูได้น้อยกว่าเดิม ซึ่งเราจะต้องทำการฝึกฝน และต้องต่อสู้กับความยากนี้ไปทีละด่าน ซึ่งมันก็สามารถสร้างความท้าทายได้ดี และอีกสิ่งที่น่าผิดหวังอีกเรื่องก็น่าจะเป็นระบบ Open World  ของมันที่ถูกสร้างมาแล้วไม่ได้เกื้อกูลกับเกมเพลย์หลักแต่อย่างใด เพราะในเวลาเล่นโหมดแคมเปญอยู่ การดำเนินเรื่องของเกมนี้จะเหมือนเป็นเกมเนื้อเรื่องที่ใส่องค์ประกอบโลกเปิดมาเท่านั้น เพราะนอกจากการขับรถเล่นในโหมด Free Ride แล้ว เราไม่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวกับโลกที่เขาสร้างนอกจากการขับรถเล่นได้เลย ตัวเกมไม่มีระบบค่าเงิน ไม่มีร้านค้าให้เราได้ไปหาซื้อเสื้อใหม่ๆ ใส่ หรือกิจกรรมสนุกๆ ไม่มีเลยจริงๆ !! ในตอนที่จบภารกิจตัวเกมก็ไม่ได้ให้อิสระเราในการขับรถเที่ยวเล่นเลยสักครั้ง แต่จะบังคับให้ขึ้นบทต่อไปและทำภารกิจทันที ส่วนตัวคิดว่านี่น่าจะเป็นข้อเสียหายอันร้ายแรงที่อาจจะทำให้คนวิจารณ์ด้านลบเกี่ยวกับเกม Mafia: Definitive Edition ก็เป็นได้ แต่จากผมเองได้ลองดูราคาของเกมนี้ที่ผู้พัฒนาวางจำหน่ายเพียงแค่ 959 บาท เท่านั้น มันก็ทำให้ตัวผมเองถึงบ้างอ้อทันทีว่า ทำไมพวกเขาถึงตั้งชื่อเกมนี้ว่า Mafia: Definitive Edition เพราะโดยรามแล้วเราจะพูดว่ามันเป็นเกม Remake เต็มรูปแบบก็ไม่ได้ เพราะในด้านเกมเพลย์และโครงสร้างของมันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย แต่จะให้พูดว่า Remastered ก็อาจจะทำได้ดีกว่า เกมนี้เหมือนกับเป็นโปรเจกต์เล็กๆ ที่ผู้พัฒนาทำออกมาเพื่อคั่นเวลาในระหว่างที่พวกเขาเตรียมตัวสร้างโปรเจกต์ใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้ สรุป โดยรวมแล้ว Mafia: Definitive Edition นอกจากกราฟิกที่ทำออกมาได้ดีงามแล้วนั้น ตัวระบบเกมเพลย์เองกลับไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ไปกว่าเดิมเลย เหมือนเป็นโปรเจกต์คั่นและทดลองในระหว่างการรองานที่ใหญ่กว่านี้ ผู้พัฒนาถึงได้ขายเกมนี้ในราคาที่ถูกกว่าเกม AAA ทั่วไปกว่า 50% แต่ถ้าให้ถามว่าตัวเกมมันโอเคไหม ส่วนตัวก็ยังบอกว่ามันก็ยังเป็นเกมที่สนุกเล่นได้เพลินๆ เพราะเนื้อเรื่องของเกมที่พอจะน่าติดตาม กราฟิกที่สวยงาม รวมถึงระบบการต่อสู้ที่ถึงแม้ว่ามันจะเก่าแก่แล้ว แต่มันก็สามารถสร้างความสนุกให้เหล่าผู้เล่นได้อยู่ดี Mafia: Definitive Edition ไม่ใช่เกมแย่ แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามันคืองาน Masterpiece อาจจะเป็นเกมที่ทำให้คุณหายคิดถึงเกมซีรีส์นี้หลังจากที่พวกเขาไม่ได้ออกภาคใหม่มากว่า 4 ปี กับราคาที่สบายกระเป๋ายังไงเกมนี้ก็คู่ควรแก่ในการซื้อมาเล่น แต่ย้ำไว้ก่อนว่าอย่าไปคาดหวังกับมันไว้เยอะอย่างผมก็พอ สั่งซื้อเกม - https://store.steampowered.com/app/1030840/Mafia_Definitive_Edition/ [penci_review id="68411"]
24 Sep 2020
รีวิว Spellbreak: Battle Royale สไตล์ใหม่กินไก่ด้วยเวทมนตร์!!
ถึงแม้เกมแนว Battle Royale จะมีออกมาให้เราเล่นเรื่อยๆ แต่เกมที่ฮิตและติดกระแสจริงๆ นั้นก็ยังคงเป็นเกมเดิมๆ อยู่เสมอ ทว่า Proletariat Inc. ก็ไม่ได้เกรงกลัวและผลักดันเกมของพวกเขาเข้ามาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale อย่างกล้าหาญ ซึ่งเกมที่ว่าก็คือ Spellbreak เกมที่จะเปลี่ยนจากการจับปืนถือระเบิดมาเป็นสวมถุงมือเวทมนตร์ยิงลูกไฟใส่กันแทน ตัวเกมมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะเรา แทบ จะไม่เคยเห็นเกม Battle Royale เกมไหนที่ไม่ต้องจับปืนเลย อีกทั้งกราฟิกของเกมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนเป็นภาพการ์ตูนซึ่งมันคล้ายกับเกม Battle Royale ยอดนิยมอย่าง Fortnite อีกด้วย แต่ถ้าหากพูดถึงความง่ายของเกมเพลย์ และความสามารถในการพลิกแพลกสถานการณ์ เจ้าเกมนี้มีความหลากหลายกว่ามากเลยทีเดียวครับ ถึงแม้ Spellbreak จะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนเกม Battle Royale ยอดนิยมเกมอื่นๆ แต่ก็เพราะเช่นนั้นจึงทำให้ตัวเกมน่าสนใจอย่างมาก แล้วเจ้าเกมนี้จะสนุกหรือไม่ ความสามารถในการพลิกแพลกที่ว่าหมายถึงอะไร และทำไมเกมนี้ถึงไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย บทความนี้ผมจะบอกเล่าทุกอย่างที่ได้ลองสัมผัสในเกม Spellbreak หากอยากรู้จักเกมนี้ให้มากขึ้นก็ไปอ่านกันเลยครับ เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเกมเพลย์นั้นง่ายและเป็นมิตรต่อผู้เล่นค่อนข้างมาก เนื่องจากต่อให้คุณยิงไม่แม่นหรือคุมปืนไม่เป็นในเกม Battle Royale เกมอื่นๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใน Spellbreak เลยครับ เพราะการยิงเวทมนตร์ในเกมนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทโจมตีวงกว้าง ดังนั้นต่อให้ยิงใส่พื้นอย่างเดียวก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อยู่ดี อีกทั้งเกมนี้ต้องให้บริการในหลายแพลตฟอร์มดังนั้นจึงต้องมีระบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเรียนรู้ได้เร็วเพื่อรองรับผู้เล่นหลากหลายแบบ เพราะผู้เล่นบางคนก็อาจไม่คุ้นเคยกับเกมแนว Battle Royale มากนัก ในส่วนของรูปแบบการเล่นส่วนใหญ่เราก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วครับ ก็คือ เลือกจุดที่ต้องการจะลง แล้วทำการค้นหาอาวุธ จากนั้นก็หนีวงที่ค่อยๆ บีบเข้าหาเรา และทำการสังหารศัตรูเพื่อกลายเป็นผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว (หรือทีมเดียว) แต่การเลือกจุดที่ต้องการลงของเกมนี้ไม่เหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่นๆ เพราะปกติเราจะต้องนั่งยานอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วเลือกกระโดดร่มลงตรงจุดที่ต้องการ แต่ในเกมนี้ที่ใช้เวทมนตร์ในการโจมตี ดังนั้นการจะลงในจุดที่เราต้องการก็ต้องใช้เวทมนตร์เช่นกัน เพียงแค่เรากดเลือกจุดที่ต้องการลงในแผนที่เวทมนตร์ จากนั้นเราก็จะวาร์ปไปอยู่บนน่านฟ้าบริเวณนั้นๆ แล้วแลนดิงแบบฮีโร่ลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ในหนึ่งแมตช์ของเกมนี้สามารถรองรับจอมเวทได้สูงสุด 42 คน ถึงจะดูน้อยกว่าหลายๆ เกม แต่เอาเข้าจริงตอนอยู่ในวงท้ายๆ ก็มักจะมีคนเหลือมากกว่า 10 คนแทบตลอด เพราะว่าเกมนี้มันหนีง่ายกว่าสู้นั่นเอง เนื่องจากเกมดังกล่าวนอกจากจะมีถุงมือเวทมนตร์ทั้งหมดหกธาตุ ให้เราเลือกใช้เพื่อผสมผสานคอมโบและสามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดแล้ว (เฉพาะข้างขวา ส่วนข้างซ้ายจะให้เราเลือกตั้งแต่เริ่มแมตช์) มันยังมี Rune หลากหลายประเภท เช่น บิน พุ่งตัว วาร์ป และหายตัว เป็นต้น   ซึ่ง Rune เหล่านี้เราสามารถเลือกสวมใส่ได้หนึ่งอย่าง และเจ้า Rune นี้เองที่ทำให้ผู้เล่นมีวิธีหนีเอาตัวรอดจากการถูกซุ่มโจมตีได้หลากหลายวิธี และยังสามารถพลิกแพลงการเล่นได้อีกมาก อย่างเช่น การเอารูน พุ่งตัว มาใช้ทิ้งระยะจากศัตรูแล้วโจมตีอีกฝ่ายด้วยสกิลโจมตีพื้นที่แบบวงกว้าง หรือจะหายตัววิ่งไปด้านหลังแล้วยิงเวทมนตร์ใส่แบบหมดสต็อก ก็ยังได้ ในส่วนของเวทมนตร์ทั้งหกธาตุนั้น ได้แก่ Frostborn, Conduit, Pyromancer, Toxicologist, Stoneshaper และ Tempest หรือก็คือธาตุ น้ำแข็ง สายฟ้า ไฟ พิษ หิน และ ลม ตามลำดับ ซึ่งเจ้าธาตุแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น Tempest (ลม) ที่โจมตีได้รวดเร็วและมีพลังในการเคลื่อนไหวในอากาศ แต่ข้อเสียของธาตุนี้ก็คือโจมตีได้เบา กับ Pyromancer (ไฟ) ที่โจมตีแรงมีสกิลกำแพงไฟในการบดบังวิสัยทัศน์ศัตรู หรือจะเอามาโจมตีศัตรูก็ได้เช่นกัน แต่ข้อเสียคือหลบได้ง่ายเพราะกว่าเปลวไฟจะตกลงพื้นก็มีระยะเวลาพอให้พุ่งหนี เป็นต้น นอกจากนี้เวทมนตร์ที่ผู้เล่นสวมใส่ได้ในมือทั้งสองข้าง เราสามารถผสมผสานเวทมนตร์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความเสียหายหรือระยะการโจมตีได้ด้วย อย่างเช่น Pyromancer ผสมกับ Tempest จะได้เป็นพายุเปลวไฟสุดร้อนแรง หรือ Frostborn ผสมกับ Conduit ที่เมื่อคุณใช้สกิลพิเศษ Flash Freeze ของธาตุน้ำแข็ง เมื่อมันละลายกลายเป็นน้ำแล้วคุณทำการโจมตีด้วยเวทมนตร์สายฟ้าลงไป น้ำทั้งหมดบนพื้นจะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านอยู่ ซึ่งจากวิธีการผสมผสานธาตุได้หลากหลายรูปแบบนี้เองที่ทำให้เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้มากกว่าเกมอื่นๆ หลายๆ เกม แล้วถ้าคุณเสียเลือดหรือเกราะในระหว่างการต่อสู้ การที่จะฟื้นมันได้นั้นก็ต้องใช้เวลา ไม่มีการใช้ยาปุ๊บเลือดพุ่งขึ้นปั๊บ และขนาดของยาเองก็มีการแบ่งเป็นเลเวลไว้อย่างชัดเจน เลเวลยิ่งสูงยิ่งเพิ่มได้เยอะ แต่ถ้าคุณพลาดท่าถูกอีกฝ่ายจัดการ หากเล่นเป็นทีมคุณจะยังคงมีโอกาสได้ไปต่อ แต่มีข้อแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมของคุณจะต้องวิ่งมาชุบคุณที่เป็นลูกบอลแสงได้ทันนะ เพราะหากไม่ทันหรือคุณโดนอีกฝ่ายจัดการซ้ำเสียก่อน ก็ถือว่าจบเกมทันที ตามสไตล์ Battle Royale ทั่วไป แผนที่ในเกมนี้ก็นับว่าดีไม่น้อย เพราะไม่กว้างจนหากันไม่เจอ และไม่เล็กจนจบไวเกินไป แต่ถึงจะบอกว่าแผนที่มันไม่กว้างมาก ในบางแมตช์คนส่วนใหญ่ก็ยังจะพร้อมใจกันไปลงในเมืองๆ หนึ่ง จนเราที่ไปลงเมืองเล็กๆ ก็เลยต้องแอบเหงาอยู่คนเดียว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ครับ คือต่อให้คุณอยู่สุดขอบแผนที่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงมากนัก เพราะความเสียหายจากวงนั้นค่อนข้างเบา ยังมีเวลาให้คุณวิ่งเข้าวงอยู่มากครับ กราฟิก กราฟิกของ Spellbreak อย่างสภาพแวดล้อมกับเอฟเฟกต์นั้นนับว่าสวยงามในสไตล์ภาพของการ์ตูนครับ มีความสดใส และสีสันสูงมาก แต่มันก็ไม่ได้แสบตาอะไร แถมยังเป็นสเน่ห์ของมันเองอีกต่างหาก แน่นอนว่าในเมื่อเป็นภาพสไตล์การ์ตูน ดังนั้นเอฟเฟต์ต่างๆ ของเวทมนตร์ไม่ว่าจะเป็นระเบิด หรือสายฟ้า ต่างก็มีเสน่ห์ในตัวเองทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นในเรื่องของโมเดลตัวละครแม้จะบอกว่าเป็นภาพสไตล์การ์ตูน แต่มันก็ไม่ได้ดูสวยงามเท่ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบของเกมเลยด้วยซ้ำ ต้นไม้ยังดูมีความชัดของลายเส้นมากกว่าตัวละครเสียอีก นอกจากนี้ยังมองตัวละครศัตรูจากระยะไกลค่อนข้างยากอีกด้วย แต่มันก็แฟร์กับผู้เล่นอยู่เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายก็มองหาเรายากเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวสิ่งก่อสร้างในเกมต้องบอกว่ามันดูน่าเบื่อเล็กน้อย เพราะมันค่อนข้างซ้ำซาก ถ้าไม่เป็นปราสาทเก่าๆ ก็ต้องเป็นเศษซากปรักหักพัง อาจเพราะผู้พัฒนาต้องการให้เข้ากับธีมสงครามก็ได้ แต่บางทีก็น่าจะมีสิ่งปลูกสร้างสวยๆ ที่ยังคงมีสภาพแบบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ดูบ้างนะ ส่วนโมเดลของถุงมือก็ออกแบบมาได้ค่อนข้างเท่ไม่น้อยเลยครับ แต่ช่วงแรกๆ อาจจะแยกถุงมือเวทมนตร์ธาตุสายฟ้ากับน้ำแข็งจากกันยากหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาครับเพราะยังไงก็มีชื่อบอกอยู่ดี และถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเกม รวมถึงโมเดลตัวละครจะไม่ได้สวยมากมาย แต่มันก็ทดแทนได้ด้วยเอฟเฟกต์เวทมนตร์กับสภาพแวดล้อมอย่างต้นไม้ ผืนหญ้า เนินเขาเล็กๆ มาทดแทนได้ อาจเป็นเพราะเกมนี้ต้องลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch ด้วย ทำให้กราฟิกของเกมจะต้องไม่หนักเครื่องจนเกินไปก็เป็นได้ครับ ซึ่งนั่นหมายความว่าต่อให้ Spec เครื่อง PC ของคุณไม่เร็วมาก ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ระบบเติมเงิน แน่นอนว่าเมื่อเป็นเกม Free to Play ระบบหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือ Shop ที่จะนำชุดแฟชั่นต่างๆ รวมถึงแสงตอนบินลงเมื่อเริ่มเกม นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ มาวางขายแบบจำกัดเวลาเรียกกิเลสของเราอีกต่างหาก ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าโมเดลตัวละครนั้นมันสวยสู้สภาพแวดล้อมในเกมยังไม่ได้ แต่ว่าสกินต่างๆ ที่ตัวเกมนำมาวางขายใน Shop นั้นบางสกินมีโมเดลที่สวยมากจริงๆ ครับ เหมือนกับว่าผู้พัฒนาจะสื่ออ้อมๆ ว่า หากอยากมีตัวละครสวยก็จ่ายเงินมาเสียสิ! แต่เกมนี้ก็ยังใจดีแจกเงินให้กับเราอยู่บ้าง โดยเราจะได้เงิน 50 Gold ทุกครั้งที่อัพเลเวลได้ ดังนั้นผู้เล่นก็สามารถเล่นไปเรื่อยๆ เพื่ออัพเลเวลแล้วนำเงินไปซื้อสกินที่ต้องการได้ครับ แต่ว่าสกินสวยๆ นั้นส่วนใหญ่จะมีราคามากกว่า 1,000 Gold ดังนั้นมันก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะเก็บเงินได้ครบครับ โดยรวมแล้ว Shop ในเกมไม่ได้มีความดึงดูดให้เราต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น อีกทั้งเรายังสามารถใช้เงินในเกมซื้อได้อยู่แล้ว ถึงจะต้องเก็บนานนิดหน่อยก็ตาม แต่ถ้าหากใครอยากดูโดดเด่นกว่าเพื่อนมันก็ไม่ได้แย่ที่จะยอมเสียเงินนิดๆ หน่อยๆ ครับ สรุป โดยรวมแล้วเกมนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้หลากหลาย ผสมผสานเวทมนตร์ได้มากมาย มีกราฟิกสไตล์ภาพการ์ตูนที่ดูสดใสและน่ารัก ยิ่งถ้าพูดถึงความง่ายในการเข้าถึงอย่างมีให้บริการบนหลายแพลตฟอร์มแถมยังสามารถเล่นร่วมกันได้อีกต่างหาก มันจึงนับเป็นเกม Battle Royale เกมใหม่ที่มาแรงในหลายๆ ประเทศมากครับ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเกมที่จำเป็นต้องหยิบมาเล่นมากขนาดนั้นเพราะถ้าหากอยากเล่นเกม Battle Royale สไตล์ภาพการ์ตูนเราก็มี Fortnite กันอยู่แล้ว หรือถ้าหาเกม Battle Royale ที่มีสกิลให้ใช้งานก็มีเกมที่ดีกว่าอย่าง Apex Legends อยู่เช่นกันครับ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่เกมนี้ไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย เพราะคู่แข่งของเกมนี้แข็งแกร่งมากนั่นเอง ถึงแม้ในหลายๆ ประเทศเ Spellbreak จะดูมีกระแสอยู่บ้าง แต่สำหรับประเทศไทยเกมนี้ยังไม่ดีพอที่จะมาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale จากเกมอย่าง PUBG หรือ Fortnite ครับ [penci_review id="67337"]
24 Sep 2020
Minecraft Dungeons เจ้าเหลี่ยมกู้โลก
Minecraft Dungeons คือเกมรูปแบบใหม่ในแฟรนไชส์เดิมของ Mojang จากเดิมที่เป็นเกมแนว Sandbox ในครั้งนี้มันมาเป็นแนว Hack & Slash เดินหน้าลุยฟันไม่เลี้ยงที่ผสมผสานเข้ากับแนว Dungeon Crawler ที่คุณจะต้องเลือกดันเจี้ยนแล้วปรับความยากเองก่อนเข้าไปเผชิญหน้ากับฝูงมอนสเตอร์ ตัวเกมยังคงมีกลิ่นอายความเป็น Minecraft อยู่อย่างเต็มเปี่ยม เช่นมอนสเตอร์ในเกมที่คุ้นหน้าคุ้นตาเราอย่าง เจ้าโครงกระดูกยอดนักธนูที่ชื่อ Skeleton หรือ เจ้าจอมระเบิดที่เห็นทีไรเป็นต้องหนีให้ห่างอย่าง Creeper เป็นต้น ในส่วนของกราฟิกก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ เพราะมันยังคงความเป็นเหลี่ยมอยู่เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือสวยงามและสดใหม่มากขึ้น ในบทความนี้เราจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้สัมผัสในเกม Minecraft Dungeons รวมถึงเนื้อหาเสริมอีกสองตัวอย่าง Jungle Awakens กับ Creeping Winter เกมนี้จะสนุกแค่ไหน เนื้อหาจะเป็นอย่างไร คุ้มค่าหรือเปล่า ก็มาดูกันเลยครับ! เนื้อเรื่อง เรื่องราวของ Minecraft Dungeons นั้นเริ่มต้นจากที่ Illager (อิลเลจเจอร์ คือชาวบ้านที่ถูกเนรเทศเพราะพวกเขาไม่เป็นมิตรต่อใคร) ได้พบกับสิ่งประดิษฐ์ลึกลับที่ชื่อ Orb of Dominance ซึ่งเจ้าสิ่งประดิษฐ์นี้ทำให้เขาสามารถสร้างกองทัพมอนสเตอร์ทรงพลังออกมาได้ ด้วยพลังนี้ทำให้เขามีความคิดที่จะแก้แค้นผู้คนที่ไม่ยอมรับในตัวเขา และเขายังหวังที่จะครองโลกอีกด้วย! เขาเริ่มแผนการโดยบุกไปทำลายหมู่บ้านต่างๆ สั่งให้เหล่ามอนสเตอร์ใต้อาณัติเผาทำลายหมู่บ้านไปเรื่อยๆ พวกมันทั้งสังหารและกักขังเหล่าชาวบ้านเอาไว้ ทำให้ทั่วโลกของ Minecraft เกิดความวุ่นวาย และเรื่องนี้จำเป็นต้องมีคนมาหยุดมัน แน่นอนว่าคนๆ นั้นก็คือ เรา นั่นเองครับ ในฐานะผู้กล้าหน้าเหลี่ยมเราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือและปลดปล่อยหมู่บ้านทั้งหลายจากการยึดครองของมอนสเตอร์ ในด้านตัว DLC ของ Minecraft Dungeons ที่ได้ปล่อยออกมานั้นล่าสุดมีทั้งหมด 2 ตัวครับ ซึ่งมันเป็นการเพิ่มด่าน อุปกรณ์ และมอนสเตอร์ใหม่ๆ รวมถึงเนื้อเรื่องอีกเล็กๆ น้อยๆ ครับ โดยที่เนื้อเรื่องของ DLC ตัวแรกที่ชื่อว่า Jungle Awakens นั้นมีอยู่ว่า มีพลังงานบางอย่างเข้าไปรบกวนป่าที่ครั้งหนึ่งเคยเงียบสงบจนทำให้มันกลายเป็นสถานที่สุดแสนจะอันตราย แล้วใครเล่าจะสามารถหยุดยั้งเรื่องนี้ได้ ก็มีเพียงเราที่เป็นผู้กล้าหน้าเหลี่ยมเท่านั้น! ในส่วนของ DLC ตัวที่สองซึ่งวางจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้มีชื่อว่า Creeping Winter โดยผู้เล่นจะได้ไปสำรวจในเกาะหิมะไร้ชื่อแห่งหนึ่ง เกาะนี้มีป้อมปราการขนาดใหญ่ (ป้อม Lone Fortress) และหมู่บ้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่รอบๆ ทางทิศเหนือของเกาะเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ มีแม่น้ำยาวไหลผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะ ที่แห่งนี้เคยเป็นเพียงสถานที่ปกติธรรมดาจนกระทั่ง Orb of Dominance ได้คืบคลานเข้ามาในดินแดนอันเงียบสงบ และแล้วเกาะแห่งนี้ก็เริ่มปกคลุมไปด้วยความวุ่นวายอันน่าหวาดหวั่น มีเพียงเราเท่านั้นที่จะปลดปล่อยเกาะแห่งนี้ได้ เนื้อเรื่องของ Minecraft Dungeons นั้นเป็นเส้นตรงและเข้าใจง่ายมาก มันคือการที่มีตัวร้ายอยากยึดครองโลกเราที่เป็นผู้กล้าจึงต้องไปหยุดยั้ง แต่ว่าเนื้อเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ข้อเสียหรือจุดด้อยของเกมนี้แต่อย่างใด เพราะว่านี่คือ Minecraft เกมที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หรือจะเล่นกันเป็นครอบครัวก็ได้ เนื่องจากตัวเกมสามารถ Co-op ได้สูงสุดถึง 4 คนนั่นเอง โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าเกม Minecraft Dungeons นั้นไม่ได้เน้นไปที่เนื้อเรื่องมากนัก มีไว้เพียงแค่ทำให้เกมมันมีจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง สิ่งที่น่าสนใจในเกมนี้จริงๆ ก็คือการฟาร์มเพื่อหาไอเทมใหม่ๆ และอัพเลเวลเพื่อพัฒนาตัวเองมากกว่า เกมเพลย์ Minecraft Dungeons นั้นมีระบบการเล่นที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ง่ายไม่ต่างกับเนื้อเรื่องครับ แต่ผู้พัฒนาได้ทิ้งระบบที่เป็นจุดขายของ Minecraft อย่าง Sandbox ไป แล้วนำระบบการเล่นแบบ Hack & Slash ผสมกับ Dungeon Crawler มารวมกัน หากใครที่ชอบทั้งเกม Minecraft และ Diablo 3 เกมนี้ก็อาจจะตอบโจทย์ไม่น้อยเลยครับ เกมนี้ที่คุณต้องทำก็มีเพียงแค่ลุยไปทีละด่านในระดับความยากที่คุณสามารถปรับได้ตามต้องการ จากนั้นก็ฟาร์มของเพิ่มเลเวลไปเรื่อยๆ แค่นั้นเอง ไอเทมในเกมนี้มีเอฟเฟต์ที่แตกต่างกันให้ผู้เล่นได้ใช้ตามความชอบ รวมถึงมีอุปกรณ์เสริมอีกมากมายแต่เลือกสวมใส่ได้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้นนะ ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถเปลี่ยนมันได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ โดยไอเทมเหล่านี้ที่ดรอปในด่านจะมีค่าพลังตามระดับความยากของด่านนั้นๆ ความยากยิ่งสูงไอเทมก็ยิ่งมีค่าพลังที่สูงตามไปด้วย แต่แน่นอนว่ายิ่งระดับความยากของดันเจี้ยนสูงมากเท่าไหร่ ความท้าทายที่เราต้องเผชิญก็ยิ่งหนักหน่วงมากเท่านั้นครับ ระบบดรอปไอเทมจากการสังหารมอนสเตอร์หรือเปิดหาเอาจากกล่องสมบัตินั้นก็ไม่ต่างจากเกม RPG เกมอื่นๆ เลย แต่ยังดีที่ไอเทมแต่ละชิ้นนั้นยังมี Tier ที่แตกต่างกันให้เราได้อัปเกรด ทำให้เกมนี้ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ในส่วนของ Tier นั้นเราจะต้องใช้แต้มอัปเกรดที่ได้หนึ่งแต้มต่อการเพิ่มเลเวลหนึ่งเลเวล และไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเราใช้แต้มอัปเกรดไปแล้วพอเราเปลี่ยนอุปกรณ์มันจะเป็นการเสียแต้มอัปเกรดไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อเราย่อยไอเทมเราจะได้เงินและแต้มอัปเกรดกลับมาด้วย อุปกรณ์สวมใส่ที่เราใส่ได้มีทั้งหมดสามประเภทคือ อาวุธหลักที่เป็นอาวุธระยะประชิด (ดาบ, ค้อน, มีดคู่) อาวุธรองที่เป็นอาวุธระยะไกล (ธนู, หน้าไม้) และชุดเกราะ สเน่ห์อย่างหนึ่งในเกมนี้คือมันมีอุปกรณ์ให้เราเลือกใช้มากมาย อีกทั้งเอฟเฟกต์ของอุปกรณ์แต่ละชิ้นก็น่าสนใจไม่น้อย บางชิ้นเพิ่มพลังโจมตีระยะประชิด บางชิ้นมีเอฟเฟกต์ดูดเลือด บางชิ้นเมื่อสังหารมอนสเตอร์ได้ก็จะมีโอกาสอัญเชิญผึ้งมาช่วยโจมตี หรือบางชิ้นเมื่อทำการโจมตีก็มีโอกาสที่จะเรียกสายฟ้าออกมาโจมตีศัตรูรอบๆ ด้วย นับว่านี่คือหนึ่งในส่วนที่น่าสนใจที่สุดของ Minecraft Dungeons เลยครับ เพราะมันทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างความเป็นไปได้อย่างไม่มีสิ้นสุด และอุปกรณ์บางชิ้นเมื่อมานำมาสวมใส่รวมกันก็จะทำให้เกิดผลลัพธิ์ที่สุดยอดแบบที่คุณคาดไม่ถึงเลยก็ได้ เช่น สวมใส่ดาบที่เมื่อฟันแล้วจะสร้างสายฟ้ามาโจมตีศัตรูเป็นลูกโซ่พร้อมกับสวมเกราะที่จะทำการเพิ่มเลือดให้กับคุณเมื่อสังหารมอนสเตอร์ได้ ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อคุณสวมใส่อุปกรณ์เสริมที่เมื่อคุณสังหารมอนสเตอร์โดยรอบแล้วพวกมันจะกลายเป็นวิญญาณและถูกเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์ดังกล่าว จนเมื่อจำนวนวิญญาณถึงในระดับที่กำหนด วิญญาณนั้นก็จะกลายเป็นลูกธนูวิญญาณที่เมื่อยิงออกไปก็ไม่มีอะไรมาป้องกันได้ หรือคุณจะกลายเป็นเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ด้วยการสวมใส่ค้อนสายฟ้าที่เมื่อทุบก็สร้างสายฟ้าโจมตีศัตรูเป็นลูกโซ่ แล้วตามด้วยสวมชุดเกราะสายฟ้าที่เมื่อคุณกลิ้งหลบก็จะสร้างสายฟ้าทำลายศัตรูโดยรอบไปด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวขอแนะนำเซตอุปกรณ์รูปแบบนี้เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกทรงพลังขึ้นอย่างมากเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้หลายๆ คนก็คงรู้แล้วว่าเกมนี้มี DLC ใหม่ออกมาแล้วทั้งสิ้นสองตัว ซึ่งมันเป็นการเพิ่มดันเจี้ยนใหม่ อุปกรณ์ใหม่ และมอนสเตอร์ใหม่เข้ามาในเกมนั่นเอง โดย DLC ตัวที่หนึ่งชื่อว่า Jungle Awakens มันได้ทำการเพิ่มอาวุธใหม่เข้ามามากมายอย่าง หน้าไม้คู่ กระบองยาว และ แส้พิษ เป็นต้น ในส่วนของมอนสเตอร์ที่เพิ่มเข้ามาใน DLC ตัวนี้ก็มีไม่น้อยเลยครับ อย่างเช่น Jungle zombie, Leapleaf และ Mossy Skeleton เป็นต้นครับ ซึ่งเจ้าพวกนี้หลายๆ ตัวเราก็อาจไม่ได้พบเห็นใน Minecraft หรือพบได้ยาก ในส่วนของ DLC ตัวที่สองมีชื่อว่า Creeping Winter นั้นก็ได้เพิ่มอาวุธและชุดเกราะใหม่ๆ เข้ามามากมายเช่นกัน นอกจากนี้ด้วยความเป็นมันเป็นเกาะหิมะ ดังนั้นเราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยพบเจอในเกม Minecraft Dungeons และในเกาะหิมะนี้ก็แตกต่างจากภูมิประเทศที่เป็นหิมะในเกม Minecraft อย่างมากเลยครับ นับว่าเจ้าตัว DLC ใหม่นี้คุ้มค่าและน่าเล่นอย่างมาก ในส่วนของมอนสเตอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั้นบางตัวเราอาจไม่เคยเจอใน Minecraft เลย หรืออาจจะเป็นมอนสเตอร์ใหม่ที่สร้างมาสำหรับเกม Minecraft Dungeons อย่างเจ้า Wretched Wraith ที่เป็นหนึ่งในบอสหลักของ Creeping Winter นี้ครับ อย่างที่เขียนไปข้างต้นว่าจุดเด่นของเกม Minecraft Dungeons นอกจากความเป็น Minecraft แล้วก็มีเพียงการฟาร์มไอเทมและเก็บเลเวลเท่านั้น ดังนั้นสำหรับผู้ที่ไม่ได้ชอบเกมประเภทนี้ก็จะเกิดอาการเบื่ออย่างรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อเรื่องของเกมนี้ที่เรียกได้เป็นเพียงของประดับ มันจึงไม่สามารถใช้เนื้อเรื่องในการดึงผู้เล่นให้คอยติดตามต่อไปได้ ดีไม่ดีผู้เล่นหลายคนก็อาจจะเลิกเล่นไปกลางทางเลยก็ได้เช่นกันครับ กราฟิก กราฟิกของเกมนี้ไม่ได้สวยงามไปกว่าเกมอื่นๆ ที่วางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกันเลย แต่มันมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเองสูงมากครับ เพราะมันคือ Minecraft และหลายๆ คนก็คงคุ้นเคยกับกราฟิกของ Minecraft กันดีอยู่แล้ว ทุกอย่างคือสี่เหลี่ยม แต่มันคือสี่เหลี่ยมที่สวยงาม กราฟิกของ Minecraft Dungeons นับว่าสวยงามและน่าเล่นในระดับหนึ่งเลยครับ มันมีสีสันที่สดใสมาก เอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้า ลูกธนูวิญญาณ หรือการระเบิดก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกได้ว่า Mojang ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ ครับ และด้วยความที่เกมนี้มีภาพเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมดังนั้นต่อให้คุณมีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้แรงอะไรมาก ก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีสะดุดครับ นี่นับว่าเป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งของเจ้าเกมนี้เลย ส่วนเหตุผลที่กราฟิกของเกมนี้มีความสดใสและฉูดฉาดนั้นเราก็พอเข้าใจได้ครับ เพราะเกมนี้คือ Minecraft ที่ไม่สามารถใช้ใบหน้าตัวละคร หรือท่าทางในการสื่ออารมณ์ได้มาก ดังนั้นจึงใช้สีและการขยับที่ดูโอเวอร์เข้าช่วย อย่างการถูกโจมตีจนกระเด็นของเกมนี้ก็คือการลอยออกไปไกลมากจริงๆ ครับ แต่เรื่องความรุนแรงของภาพนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง สามารถให้เด็กๆ เล่นได้อย่างหายห่วงเลย! นอกจากนี้ถึงแม้ว่ากราฟิกของ Minecraft Dungeons จะไม่ได้ใช้สเปคเครื่องที่สูงมากแต่มันกลับมีการตั้งค่ากราฟิกที่ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงยังให้เราปรับแต่งปุ่มคีย์บอร์ดและคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระด้วยครับ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ Mojang ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจครับ ในเรื่องลักษณะรูปร่างตัวละครนั้นก็สามารถอธิบายออกมาได้ด้วยคำง่ายๆ ว่า Minecraft ครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่เราควบคุม ชาวบ้าน มอนสเตอร์ และสัตว์ภายในเกม ล้วนมีลักษณะเด่นที่ประกอบมาจากบล็อกสี่เหลี่ยมให้ดูมีชีวิตขึ้นมา และนี่ก็คือหนึ่งในเสน่ห์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ของ Minecraft สรุป Minecraft Dungeons นับเป็นเกมที่ดีเกมหนึ่งครับ แต่ก็ไม่ได้ดีจนถึงขั้นต้องซื้อมาเล่น ในความรู้สึกส่วนตัวผมคิดว่าเกมนี้เหมาะที่จะอยู่ในเครื่อง Nintendo Switch มากกว่า เนื่องจากมันเป็นเกมที่เล่นได้เรื่อยๆ ถ้าหากอยู่ในแพลตฟอร์มที่สามารถพกพาเกมนี้ไปไหนมาไหนได้ เวลานั่งรอ BTS ก็หยิบขึ้นมาฟาร์มไอเทมสักด่านหนึ่งมันจะดูเหมาะสมกับเกมเพลย์ของเกมนี้มากครับ สำหรับคนที่คิดจะเล่นเกมนี้ถ้าหากคุณไม่ได้ชอบเกมที่มีแต่ฟาร์มของเก็บเลเวล หรือไม่ได้เป็นแฟนเกม Minecraft แล้วล่ะก็ เกมนี้อาจไม่ใช่สำหรับคุณครับ แต่ถ้าหากคุณชอบเกมฟาร์มตะลุยดันเจี้ยนชิวๆ เล่นเพื่อความผ่อนคลายและชอบกราฟิกแบบ Minecraft เกมนี้ก็เหมาะกับคุณอย่างที่สุดแล้วครับ [penci_review id="66912"]
18 Sep 2020
รีวิวเกม Swordsman Awakening สุดยอดเกม RPG บนมือถือที่คุณเลือกทางเดินเป็นของตัวเองได้
ต้องยอมรับว่าในแต่ละปีจะมีเกมต่อสู้กำลังภายในออกมาให้เราเล่นกันเยอะพอสมควร แต่กลับมีเกมหนึ่งที่ทำให้ตัวผู้เขียนค่อนข้างสนใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีโครงสร้างที่คล้ายๆ กับเกมทั่วไป แต่มันก็มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เอกลักษณ์ของเกมนี้เด่นขึ้นมากว่าใครๆ โดยเกมที่ผมพูดถึงนั่นก็คือเกม Swordsman Awakening เกมการ์ด RPG บนมือถือจากทาง Shengqu Games ที่ภายในนั้นนอกจากองค์ประกอบความเป็น RPG แต่ตัวเกมยังมีเรื่องราวที่เราสามารถกำหนดด้วยตัวเองได้ เกมนี้ได้พรีเซ็นเตอร์สุดเซ็กซี่อย่าง Janet   1 ใน 10 Ten pretty Thailand อีกด้วย โดยในวันนี้พวกเรา GameFever จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ เป็นคนดีก็ได้ คนชั่วก็ได้ สิ่งที่ทำให้ทางผู้เขียนเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก นั่นคือในตอนที่สร้างตัวละครนั่นเราจะสามารถเลือกได้ว่าเราอยากจะให้ตัวละครเรานั้นเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว ซึ่งมันจะมีผลทำให้ค่าคุณธรรมของคุณบวกและลบ และมันจะทำให้เนื้อเรื่องภายในเกมนั้นมีความแตกต่างกันไป โดยการเล่นโหมดเนื้อเรื่องตัวเกมจะมีตัวเลือกให้เราเลือกตอบ ซึ่งมันจะส่งผลในการบวกหรือลบค่าคุณธรรมของคุณ โดยส่วนตัวแนะนำว่าถ้าหากท่านเลือกฝ่ายไหนให้ลองเลือกคำตอบที่มันสุดโต่งไปฝ่ายนั้นเลย เพราะตัวผู้เขียนเองลองเล่นเป็นฝ่ายอธรรม และลองตอบคำถามที่มันดูร้ายๆ ดู ซึ่งมันก็รู้สึกสนุกไปอีกแบบ เราจะได้เห็นบทสนทนาฮาๆ ที่ไม่ค่อยได้พบเจอกับเกมไหนๆ จัดกองทัพให้เต็มสนาม โดยตัวละครที่เราเลือกเล่น และขุนผลที่ใส่เข้ามานั้นก็จะมีคลาสเป็นของตัวเอง ซึ่งประกอบไปด้วย หมัด - ตัวทำดาเมจใกล้ และสกิลจะเน้นการโจมตีเป็นเส้นตรง กระบี่ - ตัวทำดาเมจใกล้ และสกิลจะเน้นการโจมตีเป็นวงสี่เหลี่ยม ใน (เวท) - ตัวทำดาเมจไกล และสกิลจะเน้นการโจมตีเป็นเส้นตรง แต่ถึงอย่างนั้นนี่มันเป็นแค่สเตตัสของตัวละครเราอย่างเดียว เพราะขุนพลที่เราเลือกเข้ามา ก็จะมีรูปแบบสกิลที่แตกต่างกัน อาทิเช่นตัวละครสายหมัดที่จะมีสกิลโจมตีเดี่ยวเป็นต้น แต่สกิลของเราพอหลังจากเลเวล 27 ก็จะสามารถสลับเปลี่ยนสายไปมาได้อย่างอิสระ รวมถึงในเวลาต่อสู้ตำแหน่งการยืนจะมีสลับเปลี่ยนไปด้วยทั้งในฝั่งเราและฝั่งของศัตรู ทำให้การเล่นมีสีสันมากขึ้นกว่าเกมแนวนี้ทั่วไป ในเรื่องระบบการต่อสู้ของเกมนี้ค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างจากเกมอื่นอยู่พอสมควร เพราะว่าเราสามารถจัดทีมขุนผลได้มากถึง 8 ตัวละคร (รวมตัวเราด้วย) ซึ่งมันทำให้การที่เราสุ่มตัวละครมาใช้ไม่เสียเปล่าแต่อย่างใด จุดตำแหน่งการยืนก็สำคัญมากๆ เพราะบางจุดจะสามารถเพิ่ม Passive ให้กับตัวละครนั้นๆ ได้ อาทิเช่นเราอยากให้ตัวละครบางตัวมีปราน (ค่ามานา) เต็มในเทิรนแรก เราก็วางไว้ที่จุดพื้นที่สีฟ้า หรืออยากให้บางตัวละครถึกๆ หน่อยก็อาจจะวางไว้ที่จุดพื้นที่สีเขียวเป็นต้น ซึ่งตำแหน่งการยืนนี่ค่อนข้างสำคัญมากเลยนะครับ เพราะถ้าเราเล่นไปเรื่อยๆ ศัตรูที่เจอก็จะโหดมากขึ้น ทำให้เราอาจจะต้องเล่นด้วยมือแทน อาจจะต้องมีตัวละครที่คอย Tank ให้แนวหลังที่มีพลังดาเมจที่รุนแรง เราจะต้องคิดและเลือกให้ขุนพลให้สกิลให้ได้คุ้มค่าที่สุด เป็นต้น ดั่งในรูปด้านล่างของผู้เขียนที่จะให้ตัวละครสายเวทที่มีสกิลรุนแรงอยู่ในพื้นที่สีฟ้าเพื่อให้ตัวละครนั้นสามารถใช้สกิลได้ในเทรินแรกเลย ส่วนสองตัวหน้าจะเป็นสาย Tank ให้คนอื่น การอัพเกรดตัวละครที่ค่อนข้างมีรายละเอียด เกมทาง Idle ทั่วไปที่เราเล่น ชนิดของการอัพเกรดที่เห็นก็คงจะหนีไม่พ้นการตีบวกตัวละคร เพิ่มเลเวล การอัพเกรดอาวุธ การอัพเกรดสกิล ซึ่งในบางเกมส่วนใหญ่มักจะมีตัวเลือกการอัพเกรดอยู่ราวๆ 2-3 อย่าง แต่ว่าเกม Swordsman Awakening นั้นยกการอัพเกรดทุกอย่างเข้ามาหมด ซึ่งหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันยุ่งยากหรือไม่ แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่ามันสนุกและมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมากเลยนะ ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อง่ายในการเล่นแต่อย่างใด รวมถึงเราอาจจะต้องลงดันเจี้ยนปลีกย่อยเพื่อหาของมาวัตถุดิบต่างๆ มาอัพเกรดตัวละครเราได้อีก อย่างเช่นการลงดันเจี้ยนเส้นทางฝึกฝนเพื่อหาเศษมาเพิ่มดาวให้ตัวละคร ลงฝึกฝนหุ่นทองแดงเพื่อหาเงิน ลงฝึกฝนเตาหลอมเพื่อหาหา EXP เป็นต้น ยกตัวอย่างในการอัพเกรดสกิลเราจะสามารถหาชิ้นส่วนเข้ามาเพิ่ม Passive ให้สกิลเราดีขึ้นได้ ซึ่งสกิล Passive จะค่อนข้างมีหลากหลายและเราอาจจะต้องหา Passive ให้เข้ากับสไตล์ของตัวละครนั้นๆ อาทิเช่นสกิลกรงเล็บอินทรีที่จะเหมาะในการใช้กับตัวละครที่มีสกิลเป้าหมายเดียว เพราะจะทำให้เพิ่มดาเมจเพิ่ม และถ้าโจมตีโดนเป้าหมายที่เลือดน้อยกว่า 50% จะทำให้เราตีแรงขึ้นอีก 33% ซึ่งมันเหมาะกับการที่เราอยากจะปิดดาเมจให้ศัตรูตายในทีเดียวนั่นเอง หรือจะเป็นสกิลพลังภายในที่จะเพิ่ม Passive ให้กับตัวละครนั้นๆ ซึ่งจะมีความพิเศษแตกต่างกันยกตัวอย่างเช่นสกิลวิชาจื่อหยางที่มีโอกาส 50% หลังจากจบเทิร์นจะได้ทำให้เราได้รับดาเมจโจมตีน้อยลงถึง 15% เลยทีเดียวซึ่งจะเหมาะกับตัวละครสายหมัดที่จะต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ ศัตรู และจะโดนตีตายไวกว่าคนอื่น กิจกรรมปลีกย่อยให้ทำอีกมาก ภายในเกมจะมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เราทำอีกเยอะเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นโหมดที่ชื่อว่าหอร่ายยุทธ์ที่จะเป็นการประลองปัญญาว่าท่านจะสามารถจัดทัพที่ตัวเกมกำหนดให้สามารถชนะได้หรือไม่ โหมดราชาสมบัติก็เหมือนกับการลงหอคอยของเกมอื่นๆ ที่ยิ่งคุณไปได้ไกลคุณก็จะได้ของรางวัลมากขึ้น รวมถึงโหมดเดินเที่ยวที่คุณจะสามารถไปพบเจอกับสาวๆ ในยุทธ์ภพเพื่อเพิ่มค่าหัวใจและค่าเสน่ห์ให้เราได้รับรางวัลพิเศษมากขึ้นอีกด้วย สรุป Swordsman Awakening เป็นเกมที่ดูเผินๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกพิเศษเท่าไร แต่พอได้ลองเข้าไปเล่นกลับพบว่าตัวเกมมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน มีระบบต่างๆ ที่ทำออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก และสิ่งสำคัญที่ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษเลยคือความคอมมานดี้ของเรื่องราวที่เข้ามาสร้างสีสันได้อย่างดี (ถ้าคุณเป็นคนอ่านเนื้อเรื่องของเกม) บทสนทนาที่มีความตลกร้ายซ่อนอยู่ในนั้นทำให้ตัวผู้เขียนรู้สึกสนุกแล้วหลุดขำออกมาหลายรอบเลยทีเดียว ส่วนในเรื่องระบบการต่อสู้เองก็รู้สึกเซอร์ไพรส์กับการจัดทัพได้มากถึง 8 ตัวละคร (รวมตัวเรา) ถึงแม้ว่ามันจะมีเงื่อนไขในการที่เราจะต้องเก็บเลเวลให้ครบก่อน แต่คุณใช้เวลาเล่นแค่ 1 วันก็สามารถทำเงื่อนไขได้ครบอย่างง่ายดาย อัพเกรดตัวละครเองก็ค่อนข้างมีรายละเอียดที่เยอะทำให้ไม่น่าเบื่อ รวมถึงโหมดสนุกๆ แปลกๆ ที่มีให้เล่นเยอะมาก
18 Sep 2020
รีวิว Hp Pavilion Gaming 15 สุดยอดขุมพลังระดับนักศึกษาในราคามัธยม !!
สวัสดีเพื่อนๆ ชาว GameFever TH ทุกคนค่ะ ในบทความนี้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับโน๊ตบุ๊คสายเกมมิ่งจากค่าย HP รุ่น Pavilion Gaming 15-ec1046AX ที่มากับขุมพลัง CPU AMD Ryzen 5 และ การ์ดจอ GTX 1650 จากทาง Nvidia พร้อมด้วยดีไซน์ที่เรียบหรู แต่แอบมีความดุดันของเกมมิ่งซ่อนมาด้วย หากทุกคนนึกถึงโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งแล้วหล่ะก็ หลายคนคงกังวลเรื่องของน้ำหนักเครื่องที่มักจะโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเราๆ แต่สำหรับโน๊ตบุ๊คตัวนี้แทบไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยคะ เพราะไม่ได้หนักอย่างที่คิด สาวๆ ชาวเกมเมอร์สามารถพกไว้เพื่อทำงาน และเล่นเกมได้สบายๆ แถมยังมาในราคาเพียง 25,900 บาท เท่านั้น สำหรับใครที่สงสัยว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีดีตรงไหนอีก เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบในบทความนี้กันค่ะ ดีไซน์เรียบแต่แอบดุดั่นสไตล์เกมมิ่ง ก่อนอื่นเรามาเริ่มที่ดีไซน์ภายนอกของตัวเครื่องกันดีกว่า ซึ่งถ้าหากพูดถึงโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่หลายๆ คนรู้จักกัน หลายคนคงนึกถึงเครื่องหนาๆ รู้สึกเทอะทะเป็นอย่างมากถ้าหากจะต้องแบกไปไหนมาไหน แต่ปัญหาเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้า HP Pavilion 15-ec1046AX อย่างแน่นอนด้วยดีไซน์ที่บางเบากว่าโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งทั้วๆ ไป และน้ำหนักเพียงแค่ 2.25 kg จึงสามารถพกพาได้สะดวกพร้อมกระโดดเข้าสู่โลกเกมเมอร์ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างแน่นอน จอดีอย่างไร หน้าจอ ถือเป็นอีกส่วนที่สำคัญเช่นกันสำหรับผู้ใช้งาน เนื่อจากเป็นสิ่งที่เราต้องใช้มองอยู่ตลอดเวลาในการทำงาน หรือเล่นเกม ทาง HP ไม่ได้ละเลยในส่วนนี้เลย เพราะมีการใช้เทคโนโลยี IPS Anti Glare ที่ช่วยให้สามารถใช้งานนานๆ ได้โดยไม่มีปัญหา แถมยังมาพร้อมกับค่า Refresh Rate ที่สูงถึง 144Hz ซึ่งถือเป็นมาตราฐานสำหรับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมพร้อมยังสามารถทำงานได้ แต่ที่น่าตกใจเห็นจะเป็นเพราะทั้งที่มี 2 เทคโนโลยีนี้อยู่ในเครื่อง แต่กลับขายในราคาเพียงแค่ 25,900 บาท เท่านั้น เรียกได้ว่าถูกมากๆ เลยค่ะ สายชาตพกสะดวก เบา กระทัดรัด หากจะต้องใช้โน๊ตบุ๊คสักเครื่องแล้วหล่ะก็ อีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับการเลือกใช้คงเป็นในเรื่องของแบตเตอรี่ ที่จะต้องครอบคลุมในทุกการใช้งาน เพราะหากพกพาสะดวกสบาย แต่ต้องพกสายชาตสุดหนักอึ้งไปไหนมาไหนด้วยก็คงไม่สะดวก  สำหรับ HP Pavilion 15-ec1046AX เครื่องนี้ คงไม่ต้องกังวล เพราะอแดปเตอร์สายชาตนั้นเบามาก แถมขนาดยังเทียบเท่า Power Bank ที่เราพกกันทั่วไปเอง หากต้องยกไปมาแล้วหล่ะก็ถือว่าครบจบในกระเป๋าใบเดียวเลยหล่ะ สเปคเครื่องของ HP Pavilion 15-ec1046AX ชื่อรุ่นเต็มๆ ของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีชื่อว่า HP Pavilion Gaming 15-ec1046AX ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลจากทาง AMD Ryzen 5 4600H บวกกับการ์ด Nvidia GeForce GTX 1650 4 GB GDDR5 พร้อมแรมขนาด 8 GB และ SSD M.2 ความจุ 512 GB นอกนั้นทาง HP ยังให้หน้าจอที่มีค่า Refresh Rate  144Hz สำหรับเกมเมอร์มาด้วย สามารถรับชมสเปคเครื่องแบบละเอียดได้ที่ข้างล่างนี้เลย CPU: AMD Ryzen 5 4600H Max boots 4.0 GHz GPU: Nvidia GeForce GTX 1650 (4 GB GDDR5) Screen Size: 15.6" (1920x1080) Full HD Panel Type: IPS Anti Glare – จอด้าน Refresh Rate: 144 Hz Memory Size: 8 GB DDR4 Solid State Drive: 512 GB SSD PCIe M.2 Weight: 2.25 kg OS Bundle: Windows 10 Home (64 Bit) Warranty: 2 Year Onsite Service ขุมพลังตัวเครื่องสุดล้ำ ดูเรื่องคุณสมบัติทางเทคนิคของตัวเครื่องผ่านไปแล้ว เรามาดูส่วนของการเล่นเกมกันบ้างดีกว่า เนื่องจาก HP Pavilion 15-ec1046AX เองก็ได้ชื่อว่าเป็น โน๊ตบุ๊คเกมมิ่งเราก็อยากจะพาทุกคนไปรับชมความแรงที่ตัวเครื่องสามารถทำได้กัน ขอแอบบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สำหรับเกมที่จะนำมาทดสอบก็จะมี Playerunknowns Battlegrounds , Valorant และ GTA V ค่ะ Playerunknowns Battlegrounds ซึ่งผลที่ได้จากเกม Playerunknowns battlegrounds ถือว่าไปในทิศทางค่อนข้างดีเลยทีเดียว ด้วยตัวเกมที่มีแผนที่ค่อนข้างกว้าง บวกกับต้องใช้ผู้เล่นจำนวนหลายๆ คนลงไปเล่นพร้อมกัน แถมยังมีรายละเอียดของภาพที่สูง และสมจริงทำให้ปฎิเสธไม่ได้เลยเป็นอีกหนึ่งเกมที่ใช้เสปคสูงพอสมควร จากการทดลองด้วยกราฟิดระดับ Ultra ทั้งหมด ได้เฟรมเรทภายในเกมอยู่ที่ระหว่าง 68 - 76 fps อาจจะมีร่วงไปแตะ 50 บ้างแต่รวมๆ แล้วเฉลี่ยนเฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 71 fps ซึ่งสามารถเล่นได้สบายๆ เลยค่ะ Valorant  ต่อมาในส่วนของเกมที่กำลังเป็นกระแสอย่าง Valorant ซึ่งตัวเกมเองก็ไม่ได้มีส่วนที่กินเสปคของเครื่องขนาดนั้นเพียงในขณะที่ปรับภาพ Hight ทุกอย่างตัวเครื่องสามารถขับภาพได้ที่ 120 - 165 fps ไม่ว่าจะเป็นช่วงการเข้าจังหว่ะบวก หรือมีการเทสกิลเข้าไฟท์เยอะแค่ไหนเฟรมเรทก็ไม่ได้ตกลงไปจนน่าเกลียดส่วนของค่าเฉลี่ยนของเฟรมเรทจะอยู่ที่ประมาณ 135 fps ซึ่งถือว่าสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลจะบวกจังหว่ะไหนก็ไม่มีกระตุกแน่นอน Grand Theft Auto V สุดท้ายขอยกตัวอย่างเป็นเกม Open World ยอดฮิตในไทยอย่าง GTA V กันบ้าง ซึ่งผลที่ได้ก็น่าพอใจเช่นเดียวค่ะ การปรับภาพอยู่ที่ความละเอียดสูงสูดที่ตัวเกมจะสามารถปรับได้ในความละเอียด Full HD 1920x1080 เฟรมเรทที่ได้อยู่ระหว่าง 85 - 120 fps ต่อให้ตัวเกมจะดูเก่าแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีรายละเอียดในแมพค่อนข้างเยอะอยู่พอสมควร พอได้ลองทสอบแล้ว ก็บอกได้เลยว่าเครื่องนี้มีขุมพลังสุดยอดกว่าที่คิด เพราะภาพคมชัดรายละเอียดของเงาสะท้อนก็ทำออกมาได้ดีลื่นไหลตลอดแถมตัวเกมรันภาพเฉลี่ยอยู่ที่ 93 fps ค่ะ โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เหมาะกับใคร? สำหรับ HP Pavilion Gaming 15-ec1046AX เครื่องนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าครบเครื่องสมดังคำนิยามที่เราตั้งให้ว่า สุดยอดขุมพลังระดับนักศึกษาในราคามัธยม จริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่ดูสวยแอบดุดันดั่งเกมมิ่งแล้ว ก็สามารถแสดงให้ผู้ใช้เห็นได้ถึงความแรงของตัวเครื่องที่สามารถเล่นเกมกระแสในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ จะพกไปใช้ทำงานก็สะดวกเพราะพกง่าย  ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่เบา จะใช้เล่นเกมก็สามารถเล่นได้หลากหลาย แม้ตัวเครื่องจะขาดไฟ RGB ที่ดูฉูดฉาดไป แต่ความแรงของตัวเครื่องที่ได้มานั้นก็สามารถทดแทนในส่วนรายละเอียดเล็กๆ ไปได้ และยิ่งมาในราคาช่วงกลางๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาพอสมควรค่ะ ขอสรุปว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เหมาะกับผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อโน๊คบุ๊คสำหรับใช้ทำงานเอกสาร + เล่นเกมกับแก๊งเพื่อนๆ ได้ถึงถ้าต้องการโน๊คบุ๊คเครื่องเดียวที่สามารถทำได้ทั้ง 2 อย่างในราคาที่คุ้มค่ากับการจ่ายไปโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกันค่ะ
17 Sep 2020
เปลี่ยนซิมของคุณให้เป็นเจได ด้วย DLC ตัวใหม่จากเกม The Sims 4!
วางจำหน่ายให้สามารถซื้อมาเล่นได้แล้วกับ DLC: Star War Journey to Batuu ส่วนเสริมตัวใหม่ของ The Sims 4 ซึ่งต้องบอกเลยว่าส่วนเสริ่มนี้ถูกใจเหล่าแฟนๆ Star Wars อย่างแน่นอน เนื่องจากมันทำให้เราสามารถเดินทางไปยังดวงดาว Batuu จากซีรีส์ Star Wars ได้ แน่นอนว่ามีการเพิ่มเสื้อผ้าของตัวละครดังต่างๆ และของตกแต่งบ้านใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้เล่นนึกถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ในเรื่องด้วย กระทั้งหุ่นยน R2D2 หรือ BB8 ส่วนตัวก็มีให้สร้างเช่นกัน วันนี้ทางเรา GameFever Th จะมารีวิว DLC: Star War Journey to Batuu ตัวนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้กันว่าถ้าหากซื้อส่วนเสริมนี้มาจะได้อะไรในเกมบ้างครับ มาเริ่มกันที่ตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครเลยครับ ผมเชื่อว่าหลายคนที่ซื้อส่วนเสริมนี้มา ไม่น้อยเลยที่คาดหวังว่าจะได้แต่งตัว ซิมของเราให้มีความสวยหล่อ เหมือนกับตัวละครต่างๆ จากซีรีส์ Star Wars ซึ่งต้องบอกเลยว่า ทุกคนไม่ผิดหวังแน่นอนครับ เพราะ DLC ตัวนี้ได้มีการเพิ่มชุดรวมถึงเครื่องประดับต่างๆ ที่จะทำให้ซิมของเราได้กลายเป็นตัวละครในเรื่อง Star Wars จริงๆ เอาไว้หลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นหมวก กับชุดของสตอร์มทรูปเปอร์, ชุดครุมเปื้อนๆ ของเจได้, หมวกที่จะทำให้คุณกลายเป็นเอเลี่ยน หรือกระทั้งหมวกของดาร์ธเวเดอร์ ก็มีในส่วนเสริมนี้ครับ ต่อจากการสร้างตัวละครก็ต้องเป็นการสร้างบ้าน ใน Journey to Batuu มีการเพิ่มของตกแต่งบ้านใหม่ๆ เข้ามาให้เหล่า สุดยอดสถาปนิก (ผู้เล่นนั้นแหละครับ) ได้เลือกเอาไปใช้กันมากมายเลยด้วย โดยต้องบอกเลยว่าสำหรับใครที่อยากแต่งบ้านให้ออกมามีสไตล์เหมือนกับฐานทัพลับของฝั่ง Resistance หรืออยากจะแต่งให้ออกมาเป็นเหมือนกับฐานทัพอาวุธครบมือของฝั่ง First Order ก็สามารถทำได้เลย (ตัวผมเองไม่ใช้คนที่อินกับ Star Wars ขนาดนั้นเลยเอาแค่ กล่องอาวุธของสตอร์มทรูปเปอร์ มาแต่งบ้านอย่างเดียวครับ ฮา) [caption id="attachment_67422" align="aligncenter" width="1280"] กล่องใส่ปืนของสตอร์มทรูปเปอร์ก็มา[/caption] [caption id="attachment_67435" align="aligncenter" width="1280"] บางชิ้นคือมีขนาดใหญ่มากๆ[/caption] ดูการสร้างตัวละครกับแต่งบ้านไปแล้ว มาถึงในส่วนของเกมเพลย์บ้างครับ ผมออกตัวก่อนเลยว่าสำหรับใครที่คาดหวังจะได้เห็นเกมเพลย์ใหม่ๆ ในมุมมองอื่น หรืออยากเห็น The Sims 4 เปลี่ยนเป็นเกมแอคชั่น วิ่ง สู้ ฟัด แล้วละก็ คุณอาจจะต้องผิดหวังครับ เพราะยังไง The Sims ก็ยังเป็น The Sims อยู่เหมือนเดิม มีเอาไว้เล่นคลายเครียด ดังนั้นเกมเพลย์หลักๆ ยังคงเป็นเหมือนเดิม เรายังต้องให้ซิม กิน ดื่ม อาบน้ำ นอนหลับ เล่นเกม เข้าสังคมเหมือนเดิม แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาให้ทำเลยซะทีเดียว เพราะคอนเทนต์ใหม่ที่มาให้ทำนั้น ดูจะให้เอาไว้ทำเวลาที่ซิมของเราว่างๆ มากกว่าครับ คอนเทนต์เกมเพลน์ที่เพิ่มเข้ามาจะสามารถทำได้บนดวงดาวของ Batuu เท่านั้น ซึ่งการไปดาวดังกล่าวก็เพียงแค่กดมือถือซ้ายล่าง แล้วเลือก "Take Vacation" จากนั้นเรื่องจุดหมายปลายทางเป็นดาว Batuu โดยคอนเทนต์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือการทำเควสให้กับฝั่งต่างๆ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นเอง เมื่อซิมของเราได้รับความเชื่อถือมากพอก็จะสามารถเข้าถึงส่วนต่างๆ ของแต่ละฝ่ายได้มากขึ้น ผู้เล่นยังสามารถสร้างหุ่นยนต์ R2D2 หรือ BB8 สวนตัวได้ในดาวดวงนี้ด้วย แอบบอกหน่อยละกันว่าถ้าหากได้รับความเชื่อใจมากพอ จะสามารถสร้างยานรบส่วนตัวได้เลยนะ! นอกจากนี้เรายังสามารถเดินไปพูดคุย สร้างความสนิทสนมกับเหล่าตัวละครจาก Star Wars อย่าง เรย์ หรือ ไคโลเรน จากหนัง 3 ภาคล่าสุดได้ด้วย แน่นอนว่าจะเปลี่ยนซิมของคุณให้เป็นเจได แล้วไปขอดวลกระบี๋แสงกับทั้ง 2 ก็ได้เช่นกัน! [caption id="attachment_67436" align="aligncenter" width="1280"] ในกรอบสีแดงจะโชว์ให้เราเห็นถึงภารกิจที่รับมาในปัจจุบัน[/caption] [caption id="attachment_67437" align="aligncenter" width="1280"] หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว ค่าความน่าเชื่อถือของเราจะเพิ่มขึ้นมาตามภาพ[/caption] อีกหนึ่งจุดที่ผมชอบมากๆ คือในส่วนของเกมเพลย์ "Choose Your Own Adventure แบบต่อเนื่อง" ครับ หลายคนน่าจะเคยเจอกับเหตุการเวลาซิมของเราไปทำงาน แล้วมีเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งตัวเกมจะให้เราเลือกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีทั้งดี และแย่ใช่ไหมครับ ในส่วนเสริ่มนี้ก็มีการนำระบบดังกล่าวมาใช้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันจะมาแบบต่อเนื่องกันเลยครับ ยกตัวอย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกำลังทำเควสของทางฝั่ง First Order อยู่ เควสดังกล่าวทำให้ซิมของผมต้องขับยานไปส่งนักโทษจากทางฝั่ง Resistance ที่จับได้ภายในค่ายของ First Order แต่ในขณะที่กำลังภารกิจกำลังดำเนินไปด้วยดี ก็มีเหตุการแบบ "Choose Your Own Adventure แบบต่อเนื่อง" เกิดขึ้นครับ เนื้อเรื่องได้เกรินนำว่า ตัวผมได้พบกับยานของหน่วย Resistance ระหว่างที่กำลังไปส่งนักโทษ ซึ่งในตอนแรกผมก็เลือกหัวข้อเป็นขอกำลังเสริมไป จากนั้นก็มีเหตุการเกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังจากนั้นอีก 2 - 3 เหตุการ และทุกๆ ครั้งตัวเกมจะให้เราเลือกว่าจะทำอย่างไรดีตลอด มันเหมือนกับว่าซิมของเราได้กลายเป็นนักบินให้กับทาง First Order จริงๆ กำลังเจอกับเหตุการไม่คาดฝันจริงๆ และต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้ ต้องยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีในการเล่นส่วนเสริ่มนี้ของ The Sims 4 ครับ [caption id="attachment_67438" align="aligncenter" width="1280"] เริ่มต้นจากการพบกับยานของฝั่ง Resistance[/caption] [caption id="attachment_67439" align="aligncenter" width="1280"] หลังจากเรื่อกขอกำลังเสริมแล้ว ก็มีเหตุการณ์ขึ้นมาให้เลือกอีกครั้ง[/caption] [caption id="attachment_67440" align="aligncenter" width="1280"] สุดท้ายก็เอาชนะได้[/caption] โดยรวมแล้วก็จะเป็นประมาณนี้ครับ ถึงแม้ว่าส่วนเสริ่มนี้จะไม่ได้มอบเกมเพลย์ที่แตกต่างไปจาก The Sims 4 เดิมๆ อะไรมากมายอะไรนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคอนเทนต์ รวมถึงระบบใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาได้ทำให้เกมเพลย์น่าสนใจขึ้นพอสมควรเลย ถ้าหากว่าใครกำลังมองหาส่วนเสริมของ The Sims 4 ที่จะทำให้คุณสามารถแต่งบ้านได้หลากหลายขึ้น รวมถึงมีเกมเพลย์ใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาให้เราสนุกด้วยแล้วละก็ Star Wars Journey to Batuu ก็นับเป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ
17 Sep 2020
Ubisoft Forward: บอกเล่าประสบการณ์ลองเล่นเกม Immortals Fenyx Rising
ในภาษาอังกฤษ มีวลียอดฮิตเกี่ยวกับการเลียนแบบผลงานผู้อื่นว่า "Imitation is the sincerest form of flattery" หรือแปลได้ว่า "การเลียนแบบถือเป็นการกล่าวชมที่จริงใจที่สุด" ซึ่งวลีนี้สามารถบรรยายเกมเพลย์ของ Immortals Fenyx Rising เกมแอคชั่นผจญภัย RPG ใหม่ล่าสุดจาก Ubisoft ได้เป็นอย่างดี ด้วยระบบเกมเพลย์และองค์ประกอบด้านการนำเสนอหลายๆ อย่างที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายกมาจากเกม The Legend of Zelda: Breath of the Wild อันเป็นแรงบันดาลใจของเหล่าผู้พัฒนาแทบจะตรงๆ ตัวเลย การที่เกม "หยิบยืม" เอาองค์ประกอบหลายๆ อย่างมาจาก BotW นั้นอาจจะฟังดูไม่ค่อยดีสำหรับผู้เล่นหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เคยไม่พอใจเกมอย่าง Genshin Impact (อีกหนึ่งเกมที่ "ก๊อป BotW" มาเช่นกัน) มาก่อน แต่จากการที่ได้ทดลองเล่นเกม Immortals Fenyx Rising เป็นเวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ผู้เขียนสามารถบอกได้เลยว่าเกมมีดีกว่าแค่การเป็นแค่เกม "ก๊อป BotW" แน่นอน ด้วยระบบเกมเพลย์ที่เน้นแอคชั่นที่รวดเร็ว ผสานเข้ากับเนื้อเรื่องออกแนวกวนๆ ติดตลก ที่ทำให้เกมให้ "ความรู้สึก" ต่างจากเกม BotW เป็นอย่างมาก สำหรับแฟนๆ ของเกม BotW หรือคนที่อาจจะชอบเกมเพลย์แนวแอคชั่นผจญภัยโลกเปิด บอกได้เลยว่า Immortals Fenyx Rising น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่คุณควรจับตามองมากๆ ในช่วงปลายปีนี้ กำเนิดลูกเทพองค์ใหม่ เนื้อเรื่องของเกม Immortals Fenyx Rising จะตั้งอยู่ในยุคกรีกโบราณ เมื่อปีศาจร้าย Typhon ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ และเพื่อแก้แค้นเหล่าทวยเทพกรีกที่จับมันไปกักขังไว้ในแดนนรกแต่แรก มันจึงจัดการกับเหล่าทวยเทพตัวหลักเกือบหมดทุกองค์ ก่อนที่จะเชื่อมต่อแดนนรกกับแดนคนเป็นเข้าด้วยกัน และปลดปล่อยปีศาจชั่วร้ายเข้าสู้โลกมนุษย์มากมาย ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Fenyx ลูกเทพ (Demigod) คนหนึ่ง ที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากเทพ Zeus และ Prometheus ในการออกเดินทางไปยังเขตแดนทั้ง 7 ของโอลิมเปีย (ดินแดนแห่งเทพของชาวกรีก) และปลดปล่อยเหล่าเทพประจำเขตเหล่านั้นออกมาจากการจองจำ ระหว่างการเดินทาง ผู้เล่นจะได้รับอาวุธและสิ่งของพิเศษจากเหล่าทวยเทพเพื่อช่วยเหลือ Fenyx ในการต่อสู้กับศัตรู ยกตัวอย่างเช่นดาบของ Achilles หรือโล่ห์ของ Athena เป็นต้น [caption id="attachment_66741" align="aligncenter" width="1920"] เวลา Typhon โกรธจะทำให้ศัตรูดุร้ายขึ้น และทำให้มีหนวดปลาหมึกงอกจากพื้นมาโจมตีเราเรื่อยๆ (พูดจริง)[/caption] จากที่เล่นภารกิจเนื้อเรื่องมาเล็กน้อยในเดโม คงยังออกความเห็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องโดยรวมของเกมได้ไม่เต็มปากนัก แต่ความพิเศษอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชอบคือ Mood & Tone หรืออารมณ์และบรรยากาศของเกม ที่จะเน้นไปทางสดใสและเกรียนๆ ติดตลก ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้เขียนไม่ได้คาดหวังเอาไว้เลย ตลอดการเดินทางของ Fenyx จะมีบทบรรยายโดยทั้ง Zeus และ Prometheus คลอไปด้วยตลอดเวลา ซึ่งทั้งสองก็มักจะแซวกันไปกันมา หรือยิงมุขที่เกี่ยวกับการกระทำของ Fenyx (หรือกระทั่งมุขแบบ Break the 4th Wall ที่แซวตัวผู้เล่นโดยตรง) ที่ออกมาเป็นระยะ แถมบางครั้ง Fenyx เองก็ยังผสมโรงตบมุขกับเขาด้วย ทำให้การเดินทางในเกม Fenyx Rising มีความเพลิน ไม่รู้สึกเหงาเหมือนเกมโลกเปิดหลายๆ เกม [caption id="attachment_66743" align="aligncenter" width="1920"] Zeus: เออน่ะ ฉันเห็นภาพแล้ว เธอคือฮีโร่ของเรา จะข้ามไปข้างหน้าได้ยัง?[/caption] แอคชั่นสูตร Ubisoft ที่เราคุ้นเคย อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เราคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการพูดถึงเกม The Legend of Zelda: Breath of the Wild ได้เลยจริงๆ เมื่อพูดถึงเกม Fenyx Rising เพราะมันมีความคล้ายคลึงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่มุมกล้องและระบบเบื้องต้นหลายๆ อย่าง เช่นระบบ Stamina ระบบการปีนป่ายหน้าผาอะไรก็ตาม ไปจนถึงระบบการร่อนจากที่สูงได้ (ใช้ปีกแทนเครื่องร่อน) ขนาดการแก้พัซเซิ่ลยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก (ถึงขนาดที่มีความสามารถที่เหมือน "พลังแม่เหล็ก" ใน BotW เลย) เพราะต้องคอยตามหา "Vault of Tartarus" หรือช่องทางที่เชื่อมไปยังแดนนรก เหมือนกันการตามหา Shrine อีกเช่นกัน มีกระทั่งระบบที่คล้ายกับ Blood Moon ใน BotW (เกมนี้เรียกว่า Typhons Wrath) ที่ทำให้ศัตรูออกมามากขึ้นระยะหนึ่ง แต่อาจจะยุ่งยากน้อยกว่าหน่อยตรงที่จุดสนใจทั้งหมด (อย่างน้อยในเดโม) ก็แสดงอยู่บนแผนที่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปควานหาเอาเองตามสูตรเกมอื่นๆ ของ Ubisoft นั่นเอง [caption id="attachment_66745" align="aligncenter" width="1920"] เหินเพลินไม่เสื่อมคลาย[/caption] สิ่งที่ทำให้เกม Fenyx Rising แตกต่างกับ BotW อย่างชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นระบบการต่อสู้ทั้งหมด ที่มีความใกล้เคียงกับเกมแอคชั่น RPG อย่าง Assassins Creed: Odyssey มากกว่า ผู้เล่นจะสามารถโจมตีเบา (ด้วยดาบ) และโจมตีหนัก (ด้วยขวาน) สลับๆ กันไปเป็นคอมโบ สามารถเสยศัตรูให้ลอยขึ้นไปและทำคอมโบบนอากาศได้ และก็มีสกิลพิเศษหลากหลายชนิดที่เซ็ตไว้ และต้องกด R2 + ปุ่มสัญลักษณ์เพื่อใช้ นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ระหว่างการต่อสู้ ตั้งแต่การเดิน การกระโดด การโยกหลบ หรือการป้องกัน/ปัดป้องการโจมตี ล้วนแล้วแต่ถูกทำให้รวดเร็วกว่าใน BotW มากๆ น่าจะเข้าทางคอเกมแอคชั่น หรือใครก็ตามที่ไม่ชอบระบบต่อสู้ของ BotW ที่ค่อนข้างช้า [caption id="attachment_66734" align="aligncenter" width="1920"] ให้ทายว่ารอดไหม[/caption] แม้จะไม่ได้เห็นในเดโม แต่ผู้พัฒนาก็บอกว่าเกมจะมีระบบการพัฒนาความสามารถของตัวละครแบบ Skill Tree เข้าไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะข้อติใหญ่อย่างเดียวที่ผู้เขียนมีเกี่ยวกับการต่อสู้ในขณะนี้คือมันค่อนข้างเรียบง่ายไปซะหน่อย  ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่สนุก แต่ก็มีความจำกัด เช่นการต่อคอมโบที่พลิกแพลงได้ไม่กี่แบบ ทำให้เมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้ท้าทายอะไรบ่อยๆ เข้าก็แอบเบื่อท่าคอมโบเดิมๆ ขึ้นมาเหมือนกัน ถ้ามีสกิลให้เลือกสลับใช้ หรือมีความสามารถที่ทำให้พลิกแพลงคอมโบได้มากกว่านี้ น่าจะทำให้การต่อสู้ของเกมสนุกขึ้น [caption id="attachment_66738" align="aligncenter" width="1920"] ท่าพิเศษหอกแห่ง Ares หนึ่งใน 5 ท่าพิเศษที่ได้ลองในเดโม[/caption] นอกเหนือจากการทำภารกิจตามเนื้อเรื่องแล้ว เกม Fenyx Rising ยังมีจุดกิจกรรมต่างๆ ให้ทำ เช่นการแก้พัซเซิ่ลใน Vault of Tartarus (ซึ่งจะมอบไอเทม "สายฟ้าของซุส" เอาไว้อัปเกรดหลอด Stamina) หรือพัซเซิ่ล Challenge หรือกระทั่งการท้าสู้กับบอสในแผนที่ ซึ่งเท่าที่เล่นมาในเดโม ต้องบอกว่าพัซเซิ่ลของเกมนี้ทำออกมาได้ดีมากๆ โดย Fenyx จะมีความสามรถคล้ายๆ กับพลังแม่เหล็กของ Link ทำให้เขาสามารถหยิบจับสิ่งของที่อยู่ไกลออกไปได้ และสามารถใช้เพื่อยกกล่องมาวางไว้บนสวิตช์ หรือยกมาบังแสงเลเซอร์ที่ยิงออกมาจากกำแพงได้เป็นต้น อาจจะไม่ได้อิสระมากเท่ากับใน BotW ในแง่ของการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังถือว่าท้าทายในระดับที่กำลังสนุก และถือเป็นกิจกรรมคั่นเวลาระหว่างการต่อสู้ได้อย่างพอเหมาะ [caption id="attachment_66744" align="aligncenter" width="1920"] ยากแค่พอหอมปากหอมคอ ไม่ถึงกับหัวร้อน[/caption] ดินแดนแห่งทวยเทพ ในแง่ของกราฟิก ผู้เขียนยอมรับตามตรงว่าแม้จะไม่ได้ติดขัดอะไรกับกราฟิกแนวการ์ตูนสดใสที่เกมทำมาคู่กับบทพูดอารมณ์ดีของตัวเอง แต่อาจเพราะเดโมที่ได้ลองเล่นนั้นตั้งอยู่ในเขต The Forgelands ของเทพแห่งการตีเหล็ก Hephaestus ที่มีลักษณะเป็นหุบเขาทะเลทรายอันแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็มีแต่สีทรายแดงๆ น้ำตาลๆ เลยไม่ค่อยรู้สึกประทับใจกับกราฟิกฉากในเกมเท่าไหร่นัก [caption id="attachment_66737" align="aligncenter" width="1920"] แดงเหมือนใส่ฟิลเตอร์[/caption] แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ต้องชมคือเรื่องของ Draw Distance หรือระยะในการมองเห็นในเกม ที่กว้างสุดลูกหูลูกตาชนิดที่มองลงมาจากหน้าผาแล้วไม่เห็น Fog of War บดบังแผนที่เลย ซึ่งก็มีผลทำให้โลกของเกมรู้สึกกว้างใหญ่ไพศาลขึ้นมามากๆอ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ผู้เขียนเล่นเดโมแบบ Streaming ผ่านเน็ต ที่ยิงภาพมาจากคอมของฝั่งผู้พัฒนา เลยอาจจะทำให้ได้เล่นเกมในคอมที่สเป๊กสูงกว่าของตัวเอง น่าจะเป็นอนิสงค์มาจากกราฟิกแนวการ์ตูนด้วย แต่อีกสิ่งที่ผู้เขียนชอบคือแสงสีเอฟเฟกต์ต่างๆ ในเกม ที่แม้จะมีเยอะแยะมากมายตลอดเวลา ทั้งการโจมตีศัตรู การใช้ท่าพิเศษ การกางปีก (เมื่อกระโดดหรือร่อน) หรือกระทั่งเอฟเฟกต์การสลายเป็นผุยผงของศัตรูเมื่อตาย แต่กลับไม่รู้สึกรกหรือรู้สึกว่าโดนรบกวนการเล่นเลย และกลับทำให้แอคชั่นในเกมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมามากกว่าด้วยซ้ำ [caption id="attachment_66746" align="aligncenter" width="1920"] จ้าซะเหลือเกิน[/caption] สรุป: น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง! นอกจากระบบที่พูดถึงในบทความแล้ว ผู้พัฒนายังบอกอีกด้วยว่าเกม Fenyx Rising จะยังมีการเพิ่มระบบต่างๆ เข้าไปอีกมากมาย ทั้งระบบการอัปเกรดตัวละคร ระบบการคราฟติ้ง หรือกระทั่งระบบการสร้างตัวละคร ซึ่งแม้ว่าอาจจะยังมีข้อเป็นห่วงอยู่บ้างจากเดโมที่ได้เล่น แต่ผู้เขียนก็ยอมรับว่า Fenyx Rising ถือเป็นหนึ่งในเกมที่น่าสนใจกว่าที่ผู้เขียนคิดเอาไว้ โดยยังมีอะไรอีกมากที่ทางผู้พัฒนา Ubisoft ยังคงกั๊กเอาไว้ให้ไปเจอด้วยตัวเอง และมั่นใจได้ว่าผู้เขียนจะรอติดตามข่าวคราวของเกมนี้อย่างใกล้ชิดแน่นอน Immortals Fenyx Rising มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ สำหรับ PS4, Xbox One, PC, Nintendo Switch
10 Sep 2020
บ้ากันให้หลุดจักรวาลกับ DLC ตัวที่ 4 จากเกม Borderlands 3!
ปล่อยออกมาให้เล่นแล้ววันนี้ กับ DLC ตัวที่ 4 ของเกม Borderlands 3 ซึ่งต้องบอกเลยว่า DLC ตัวนี้น่าจะถูกใจเหล่าแฟนๆ ของซีรีส์นี้อย่างแน่นอน เพราะมันได้นำหนึ่งในตัวละครที่เหล่าแฟนๆ รัก Krieg: The Psycho จาก Borderlands 2 กลับมาด้วย (ใครคิดยังไงไม่รู้แต่ผมชอบตัวละครนี้มาก) แถมเรื่องราวใน DLC ตัวนี้ ยังเกี่ยวกับเขาแบบ 100% เลยด้วย แน่นอนว่า DLC ตัวนี้มาพร้อมกับ อาวุธ, สกิน และบอสใหม่ๆ มากมายเลยเช่นกัน ต้องขอบคุณทาง Gearbox Software ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปเล่น DLC ตัวนี้ก่อน ซึ่งวันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever Th ได้รู้กันว่า ถ้าหากซื้อ DLC ตัวนี้มาจะได้พบอะไรบ้าง ขอออกตัวก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องที่มาพร้อมกับ DLC ตัวนี้ ทำออกมาได้ดีมากๆ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย เนื้อเรื่อง ใน DLC นี้ เรื่องราวจะเริ่มต้นจากการที่ Tannis ค้นพบวิธีเข้าไปดูความคิด - ความทรงจำของเหล่า Psycho ซึ่งเธอพยายามที่จะศึกษาว่า "อะไรคือสิ่งที่ทำให้เหล่า Psycho เป็นบ้ากันไปหมด?" โดยจากการศีกษาของเธอ ทำให้ค้นพบว่าในหัวของ Psycho ทุกคน จะมีอยู่จุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั้นคือความรู้เกี่ยวกับสถานที่ปริศนาแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอเองไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนกันแน่เช่นกัน Tannis จึงตัดสินใจที่จะเรียกสถานที่ปริศนานี้ว่า "Vaulthalla" การทดลองของ Tannis ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ในเมื่อแน่นอนว่าเหล่า Psycho ไม่ได้ยอมเธอได้ทดลองง่ายๆ Tannis จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปในหัวของ Krieg ที่เป็น Psycho คนใกล้ตัวแทน (โดยที่ไม่ได้ขอเจ้าตัวก่อน) ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้คือการส่งใครบางคนเข้าไปในหัวของ Krieg และตามหาว่า Vaulthalla คืออะไร และอยู่ที่ไหน แน่นอนว่าผู้เล่นจะได้พบ และมีปฏิสัมพันธ์กับ Krieg มากมายภายในหัวของเขา แต่เนื่องจากบทพูดต่างๆ ที่เราได้คุยกับเขา จะเป็นการสปอยเนื้อเรื่องเยอะมาก ทางผมจึงขอไม่อธิบายเนื้อหาของเนื้อเรื่องไปมากกว่านี้ครับ แอบกระซิบนิดนึงละกันว่า เรื่องราวเกี่ยวกับ Krieg ที่เราจะได้รู้ใน DLC ตัวนี้ คงทำให้แฟนๆ หลายคนบ่อน้ำตาแตกได้เลย! แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าสำหรับใครที่ไม่ได้เล่น Borderlands 2 มาก่อน ก็อาจจะไม่อินกับเนื้อเรื่องของ DLC ตัวนี้มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเล่นภาคนี้เป็นครั้งแรก หรือไม่ได้สนใจเนื้อเรื่อง กับความสัมพันธ์ของตัวละครในเกม ก็อาจจะได้อรรถรสในเกมนี้ไม่เต็มร้อยเท่าไหร่ครับ! กราฟิก / การนำเสนอ ในส่วนของกราฟิก คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เพราะ DLC ตัวนี้ไม่ได้มาพร้อมกับแพ็ค Texture ใหม่ หรือมีการอัพเกรดกราฟิกให้สวยงามมากขึ้นอะไร ทั้งหมดยังคงเหมือนกับที่เราได้เคยรีวิวเกมไปเมื่อ 1 ปีก่อน (สามารถเข้าไปอ่านได้ผ่านลิงก์นี้) ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงจะเป็นการพูดถึงการนำเสนอแทบทั้งหมดครับ ต้องยอมรับครับว่าหลังจากที่เล่นไปได้ 5-6 ชั่วโมงแล้ว ตัวผมเองรู้สึกว่าผู้พัฒนาทำในเรื่องของการสื่ออารมณ์ของตัวละคร Krieg ออกมาได้เป็นอย่างดีจริงๆ ใน DLC ตัวนี้ เนื่องจากการสำรวจสมองของเขาในครั้งนี้ มันจะทำให้เราได้เห็นทั้งความทรงจำที่ดี และความทรงจำที่เจ็บปวดของเขามากมาย พอเอามารวมกับการสื่ออารมณ์ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีแล้ว มันเลยทำให้ตัวผมเองรู้สึกประทับใจมาก อีกหนึ่งจุดที่คิดว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีที่เดียว คือในเรื่องการตายของศัตรูใน DLC ตัวนี้ครับ เนื่องจากว่าเรากำลังอยู่ในหัวของใครบางคน ดังนั้นการตายของศัตรูที่เราได้พบใน DLC ตัวนี้ จึงไม่ใช้การระเบิดร่างแตกเลือดสาดเหมือนที่เราได้เห็นในตัวเกมหลัก แต่เป็นการระเบิดกลายเป็นสายรุ้งแทน ซึ่งค่อนข้างสมเหตุสมผล นอกจากนี้ในเรื่องของการออกแบบสภาพแวดล้อม ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นกันครับเนื่องจากเรากำลังอยู่ในหัวของ "คนบ้า" สถาพแวดล้อมที่ผมคาดหวังว่าจะได้เห็นใน DLC นี้จึงต้องสามารถนำเสนอความบ้าครั้งออกมาได้เป็นอย่างดี โดยสภาพแวดล้อมที่ได้เห็นก็สื่อความบ้าคลั่งได้ดีจริงๆ ครับ บางครั้งได้เจอกับโลกที่กำลังกลับหัวอยู่, บางครั้งเราก็วาปไปวาปมาแบบรัวๆ, ได้เห็นรถไฟที่สามารถวิ่งบนฟ้าได้, นึกจะมีตัวอะไรกระโดดออกมาก็ได้, ยังไม่ร่วมฉากหลังที่เดี๋ยวก็เป็นแบบ Apocalypse, เดียวเป็นโลกแฟนตาซี, เดียวเป็นอวกาศอีก คือเรียกได้ว่าบ้าคลั่งอย่างแท้จริง คงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาทำ DLC ตัวนี้ออกมาได้ดีจริงๆ ครับ เกมเพลย์ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ต้องบอกว่าไม่ได้แตกต่างจากตัวเกมหลักมากมายอะไรนักครับ เดินหน้าไปเรื่อยๆ ฆ่าศัตรูที่เข้ามาขวางทางให้หมด, แก้ปริศนาตามทางที่มีอยู่เล็กน้อย, สู้กับบอสทุกตัวที่โผล่ออกมา, และทดลองปืนแปลกๆ ที่ดรอปมา โดยศัตรูส่วนใหญ่ที่เราได้เจอมักจะเป็นกลุ่มที่มีเลือดหลอดสีแดง ดังนั้นอาวุธที่โจมตีเป็นธาตุไฟจึงค่อนข้างมีประโยชน์อย่างมากใน DLC ตัวนี้ แน่นอนว่ามีศัตรูที่มีหลอดเลือดสีอื่นด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่ครับ เมื่อพูด DLC ใหม่ของเกม Borderlads 3 หลายน่าจะคาดหวังที่จะได้เห็นอาวุธที่มีสกิลพิเศษใหม่ๆ มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าทางผู้พัฒนาไม่ได้ทำให้เราผิดหวังครับ DLC ตัวนี้มีการใส่อาวุธ Legenday ใหม่เข้ามาเช่นกัน ซึ่งผมเองก็ดรอปมาอยู่ 2 กระบอกครับ โดยหนึ่งในนั้นเป็นปืน Shotgun ธาตู ไฟ - สายฟ้า ที่ชื่อว่า "Mocking Blind Sage" ปืนกระบอกนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการชาร์จก่อนยิง แต่กระสุนที่ยิงจะออกไปในลักษณะคลื่นกระแทกทำให้สามารถยิ่งให้โดนครบทุกนัด หรือหัวได้ง่าย ส่งผลให้สามารถทำดาเมจได้อย่างรุนแรง ส่วนอีกหนึ่งกระบอกที่ได้มาเป็นปืน Assault Rifle ที่ชื่อว่า "Stimulating Vulgor Lavable Rogue" ปืนกระบอกนี้จะยิงออกไปเป็นหมุดปักที่ศัตรูเมื่อกระทบ และระเบิดเมื่อเราทำการ Reload ปืน ดูเผินๆ อาจไม่มีอะไร แต่ปืนกระบอกนี้มาพร้อมกับบรรทัดที่เขียนว่า (+164% Damage) ซึ่งมันเลยทำให้ดาเมจตอนระเบิดของกระสุนรุนแรงเป็นอย่างมาก เหมาะที่จะเอาไปยิงบอสครับ แน่นอนว่านอกจากปืนใหม่แล้วใน DLC ตัวนี้ยังมาพร้อมกับ Challenge ใหม่ๆ ด้วย หนึ่งในนั้นคือการตามหาเศษซากความทรงจำของ Krieg ที่เราจะต้องกระโดดไปบนแพลตฟอร์มต่างๆ และยิ่งเศษความทรงจำเหล่านั้นให้ได้ในเวลาที่กำหนด ตรงนี้ขอยอมรับเลยว่าตัวผมเองไม่ได้ทำ Challenge เหล่านี้จนครบ ดังนั้นก็เลยยังไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อทำจนครบแล้ว เราจะได้อะไรเป็นของรางวัลครับ โดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า DLC ตัวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเกมเพลย์ของ Borderlands 3 ให้แตกต่างจากเดิมอะไรมากมายนัก ยังคงความสนุก, มัน, ฮา ไว้ได้เหมือนเดิม ที่มีเพิ่มมาอย่างเห็นได้ชัดคือ Challenge ใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ยังคงมีการเพิ่มอาวุธใหม่ๆ สุดพิศดารเข้ามามากมายเหมือนเดิม แมคคานิคในการต่อสู้ไม่ได้มีอะไรถูกเข้ามาใหม่เป็นพิเศษ สำหรับใครที่ชอบเกมเพลย์ของ Borderlands 3 อยู่แล้ว ก็คงจะสนุกสนานไปกับ DLC ตัวนี้ได้ไม่ยากครับ
10 Sep 2020
[รีวิว] Tom and Jerry: Chase เมื่อหนู 4 ตัวรุมแมว 1 ตัว ความฮาจึงบังเกิด
สมัยเด็กๆ คุณผู้อ่านอาจจะต้องเคยรับชมการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่อง Tom & Jerry อย่างแน่นอน เรื่องราวเกี่ยวกับ Tom เจ้าแมวสีน้ำเงินกับ Jerry หนูซ่าหาเรื่องป่วนไปทั่ว เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นจบในตอน ฉายครั้งแรกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1940 ผ่านไปกว่า 80 ปี การ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้ถูกผลิตออกมาหลายตอน หลายเวอร์ชั่นมากมาย เพราะมันสนุกและตลกโปกฮาโดยแทบไม่ต้องมีเสียงพากย์อะไรมากมายนั้นเอง จนกระทั่งตอนนี้ก็ได้พัฒนากลายเป็นเกม Tom and Jerry: Chase เกมแนว Survival เหมือนกับ Day by Daylight ให้เล่นกันบนมือถือเรียบร้อยแล้ว แต่มีความแตกต่างอยู่ที่เกมนี้มันคือให้หนู 4 ตัว รุมแมว 1 ตัว ( ใช่แล้ว 4 รุม 1 จริงๆ นะ ) ก็อยากจะรู้ว่าพอมันเป็นเจ้าหนูซ่าหาเรื่องแมวในเวอร์ชั่นนี้จะทำให้เราหวนถึงคืนวันเก่าๆ สมัยเราเป็นเด็กเฝ้าหน้าจอโทรศัพท์ได้อยู่หรือเปล่านะ บทความนี้จะมารีวิวเกมนี้กันว่ามันจะสนุกแค่ไหน ================================================== ไม่มีสาระจากเนื้อเรื่องก็สัมผัสความเกรียนได้ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกและประทับใจมากๆ เลยก็ว่าได้พอเปิดเกมมาก็ได้เห็นคัตซีนฉากเจ้า Tom ไล่ตะปบ Jerry ด้วยความโหดมันฮา ตามสไตล์พร้อมอุปกรณ์สารพัดพอดูแล้วอยากหาดูเล่นสักตอนเลยล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องของเกมนี้เหรอ ? สั้นๆ เลยก็คือ "เนื้อเรื่องไม่มีหรอก" แต่สิ่งที่ได้รับชมเลยก็คือ บ้านคุณนายที่เลี้ยงเจ้า Tom ไว้คงได้วินาศสันตะโรในเกมแน่ๆ ส่วนในหน้า Log in นั้นไม่มีอะไรมาก สามารถเข้าระบบผ่าน Google Play, Facebook หรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเกมจะสนุกไหม ? สามารถเข้าแบบ Guest หรือนักท่องเที่ยวได้ตามสะดวกเลย Tutorial ที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Survival ผู้ถูกล่าต้องหนีรอดจากผู้ล่าแบบ Dead by Daylight แต่การบังคับใช่ว่าจะเหมือนกันฉะนั้น Tutorial เกมนี้จึงสำคัญมากและไม่ควรมองข้าม โดยเราสามารถเลือกฝึกฝนว่าจะเล่นเป็น Tom ก่อนหรือเหล่า Jerry ก่อนก็ได้ โดยเราจะเลือกฝึกและสอนการทำภารกิจต่างๆ รวมถึงทริคเบื้องต้นและขั้นสูงอย่าง Jerry ที่ต้องทำหน้าทีเอาชีสยัดลงรูให้หมดพร้อมกับหลบหนี ส่วน Tom ก็มีหน้าที่กำจัดหนูด้วยการจับพวกเขาผูกกับประทัดแล้วส่งขึ้นฟ้าไปเลย และข้อดีของ Tutorial ที่ไม่อยากให้พลาดคือทุกการฝึกแจกของฟรีทั้ง EXP, น้ำยาความรู้และไอเท็มต่างๆ มากมาย กราฟิคดูเก่าๆ ชวนคิดถึงแต่ Interface ดูกดลำบาก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจเลยก็คือภาพกราฟิคที่ทีมพัฒนาพยายามทำเลียนแบบให้ดูเหมือนการ์ตูน Tom & Jerry มากที่สุดทั้งการเคลื่อนไหวหรือแม้ลายเส้นให้ดูเก่าๆ มันอาจจะถูกใจคนที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่องนี้แต่อาจจะขัดใจใครหลายคนที่ดูแล้วรู้สึกไม่ลื่นไหลขัดหูขัดตาเสียมากกว่า และในหน้า Interface นั้นอาจจะต้องขอติเสียหน่อยเพราะกดเมนูต่างๆ ที่อยู่แถมมุมๆ นั้นกดค่อนข้างลำบาก หากเล่นบน Tablet อาจจะไม่เป็นปัญหานัก แต่สำหรับในมือถือบอกเลยว่าจิ้มยากอยู่ ระบบ Perk เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบกาชา ในด้านระบบ Perk นั้นการที่ตัวละครเราเลเวลอัพก็อัพแค่เพดานการรองรับ Cost ของ Perk หรือในเกมที่เรียกว่าบัตรความรู้ ส่วน Perk จริงๆ จะต้องเก็บสิ่งที่เรียกว่า น้ำยาความรู้ ที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ และการเล่นเกมแต่ละรอบมาเปิดกาชาสุ่มหา Perk ซึ่งการทำแบบนี้ก็นับว่าเป็นดาบสองคมเช่นกัน มันดีที่ว่าทำให้เราต้องเจอกับความท้าทายและต้องปรับตัวกับ Perk ที่ได้มา แต่มันก็ทำให้หลายคนหงุดหงิดใจว่าทำไมไม่ให้อัพแบบปกติเหมือนชาวบ้านชาวช่องกัน ส่วน Perk สามารถอัพเกรดได้ด้วยการสุ่ม Perk ซ้ำๆ หรือหาจิ๊กซอว์ของ Perk นั้นมาอัพเกรดอีกที การบังคับที่ต้องเรียนรู้และสามารถปรับได้ตามใจชอบ การบังคับเดินของเกมนี้จะมีแค่เดินซ้ายขวาเท่านั้น แต่สามารถเลือกรูปแบบการบังคับได้สองแบบคือแบบปุ่มซ้ายขวาหรือแบบคันโยก ซึ่งส่วนตัวถนัดแบบคันโยกมากกว่า และในปุ่มฝั่งขวาจะเป็นปุ่มการ Interact ต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกได้ตามใจชอบ ตามความถนัดส่วนทางนี้เลือกแบบโต้ตอบอิสระเพราะกดถนัดกว่า นับว่าเป็นข้อดีที่ว่าผู้เล่นถนัดการบังคับแบบไหนก็มีให้เลือกสรรหรือหากยังไม่ถูกใจอีกก็มีการตั้งค่าปุ่มแบบละเอียดซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในเมนู Setting ได้เช่นกัน ระบบการเล่นที่ดูเรียบง่ายแต่ต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเกมนี้มันคือการต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่าแบบ 1 ต่อ 4 ซึ่งจริงๆ ควรเรียกว่า หนู 4 ตัวรุมแมวตัวเดียวมากกว่าเพราะ Jerry สามารถโจมตีใส่ Tom ได้หากมีของให้เก็บพร้อมหวดตามฉากหรือไอเท็มติดตัวหรือสกิลเฉพาะ ทำให้งานของ Tom นั้นโคตรลำบาก แต่มันดีที่ทั้งฝ่าย Tom และ Jerry สามารถเลือก Costume ได้ซึ่งชุดแต่งเหล่านี้จะมีสกิลเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีเทคนิคการเล่นจะหลากหลายมากแค่หน้าตาจะซ้ำๆ กันเฉยๆ อย่างเช่น Tom ชุดปกติก็มีแค่สกิลยิงปืนจับ Jerry แต่พอเป็น Tom ชุดคาวบอยก็จะเปลี่ยนสกิลเป็นเอาแส้ไล่หวดสร้าง Debuff พร้อมกับสกิลเรียกกระทิงไล่ชน และที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายสามารถใช้บัตรความรู้เป็นเหมือน Perk ใช้ตัวไหนก็ได้เพื่อความหลากหลายและชิงความได้เปรียบ ทีเด็ดของเกมนี้เลยคือระบบการเล่นและการบังคับต่างๆ ซึ่งสภาพบรรยากาศภายในเกมจะเป็นการไล่จับภายในบ้าน แบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่าง Tom และ Jerry และตัวเกมก็จะแบ่งเป็นสองช่วงคือ Prepare Phase และ Action Phase โดยช่วงเตรียมตัวหรือ Prepare Phase เจ้าแมวสีน้ำเงินของเราก็ต้องดักตบหุ่นยนต์หนูสอดแนม ขัดขวางไม่ให้เอาเค้กเข้ารูหนู การตบหนูหุ่นยนต์ได้จะเป็นการเพิ่ม EXP ใว้อัพสกิล ส่วน Jerry ก็เอาพวกหนูสอดแนมไปค้นหาตำแหน่งชีสและชิงชิ้นเค้กพร้อมกับเอาไว้กับตัวจนกว่าจะหมดเวลาช่วง Prepare Phase ให้ได้เพื่อทำแต้มและเพิ่ม EXP ในการอัพสกิลเช่นกัน พอเข้าสู่ช่วง Action Phase งานของเจ้าแมว Tom ไม่ต้องคิดอะไรมาก จับพวกหนูมัดเข้าประทัดรอนับเวลาถอยหลังปล่อยขึ้นฟ้าไปเลย หาก Tom สามารถจับเจ้าพวกหนูมัดกับประทัดส่งขึ้นฟ้าได้มากกว่าสามตัวจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะไปเลย แม้ว่าจะมีหนูรอดไปเพียงตัวเดียวก็ตาม แต่หากจับมัดประทัดได้ทั้งหมดพร้อมส่งขึ้นฟ้าจะเป็นการจบเกมและชนะทันที แต่ก็ต้องระวังที่ว่า Jerry สามารถดิ้นให้หลุดจากประทัดได้และ Tom เองก็มี HP สามารถโดนโจมตีได้จากสิ่งต่างๆ หาก HP หมดเจ้าแมวจะหายซ่าและลงไปนั่งมึนกับพื้นรอฟื้นฟู HP ทำให้เสียเวลาการตามล่าอีก ส่วนงานของ Jerry ไม่มีอะไรมาก หาก้อนชีสยัดเข้ารูให้ครบ พร้อมกับขัดขวางไม่ให้ Tom มาจับเราผูกกับประทัดได้ ซึ่งตัวเจ้าหนู Jerry นั้นบอบบางมาก โดย Tom โจมตีไม่กี่ครั้ง HP ก็หมดหลอดลงไปนอนมึนกับพื้น แต่มีข้อได้เปรียบคือตัวเล็กและมีความพริ้วมากกว่า อาศัยการหลบหลีก, ก่อกวน Tom และหาชีสยัดเข้ารูให้ครบ สุดท้ายประตูทางออกจะเปิดโดยให้เรารวมพลังการทำลายประตูให้พังก็สามารถหลบหนีออกไปได้ หากฝ่ายหนูรอดมากกว่าสองตัวถือว่าชนะไป อุปสรรค์ต่างๆ และของทุกชิ้นบนพื้นคืออาวุธ นี่คือไฮไลต์เด็ดของเกมนี้ที่ขาดมันไปก็เหมือนขาดสีสันนั้นก็คือระบบอุปสรรค์ต่างๆ ทั้งทางลื่นของน้ำที่เดินเข้ามาแล้วตัวจะสไลด์หรือแม้ถ้วย แก้ม จาน ชาม หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตกบนพื้นหรือในห้องสามารถใช้เป็นอาวุธตอบโต้กันไปมาได้ทั้งฝ่าย Tom และฝ่าย Jerry ลองนึกภาพว่าฝ่ายหนูมีอาวุธครบมือแทนที่จะคิดหนีแต่กลับไล่หวดแมวซะเอง นี่แหละถึงเรียกว่าเป็นเกม 4 รุม 1 เสียมากกว่า ================================================== นี่คือทั้งหมดของเกม Tom & Jerry: Chase ที่ได้ลองเล่นมาสักพัก บอกเลยว่าติดใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นติดงอมแงม พอเล่นฆ่าเวลาหรือเล่นให้หายคิดถึงวันวานสมัยเด็กที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะให้กลิ่นอายครบ แต่การบังคับหรือการกดเข้าเมนูต่างๆ ยังกดยากและเข้าได้ช้า ไม่ค่อยลื่นไหลนัก โดยรวมแล้วสนุกไม่แพ้เกมแนว Survivor 1 ต่อ 4 แบบเกมอื่นๆ เลยซึ่งมันก็ไม่มีความเลือดสาดนอกจากความตลกโปกฮาตามแบบฉบับของ Tom & Jerry หากในอนาคตมีการอัพแผนที่ใหม่ๆ หรือโหมดใหม่ๆ เข้ามาพร้อมกับปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งกว่านี้ก็อาจจะกลายเป็นเกมที่สนุกไปอีกขั้นก็ได้ [penci_review id="66291"]
10 Sep 2020
No Straight Roads Review : จังหวะร็อคปลดแอก กระแทกเข้าที่หัวใจ!
หมายเหตุ : รีวิว No Straight Roads ชิ้นนี้ อ้างอิงจากเกมเวอร์ชั่น PlayStation 4 ซึ่งตัวเกม มีวางจำหน่ายบน Nintendo Switch และ PC (ที่ร้าน Epic Game Store) ด้วย หมายเหตุ 2 : รีวิวนี้ ได้รับการสนับสนุนเกมโดยบริษัท Maxsoft ถ้าจะพูดกันถึงเกมแนว ‘Musical’ แล้วนั้น แม้ว่าจะมีชิ้นงานอยู่มากมายในท้องตลาด แต่ก็เป็นแนวเกมที่มีความเฉพาะตัวอย่างมาก (ไม่ว่าจะทั้ง Dance Dance Revolution ก็ดี Beat Mania ก็ดี ไปจนถึง Guitar Heroes หรือ Rocksmith) แต่การ ‘ผสมผสาน’ เกมแนวดนตรีเข้ากับเกมแนวอื่นนั้น กลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง อาจจะด้วยความแตกต่างและความเฉพาะตัวอย่างมาก ซึ่งในแวดวงวิดีโอเกมที่ผ่านมา ก็เห็นจะมีเพียง Brutal Legend จากปี 2009 เท่านั้น ที่ดูจะเข้าข่ายและอาจจะกลายเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็น ‘Musical Action Games’ ได้อย่างเต็มปาก แต่น่าเสียดาย ที่ยอดขายมันสวนทางกับคำชม เพราะแม้จะได้ Jack Black มาให้เสียงพากย์ จนถึงเหล่าเมทัลสตาร์รุ่นเก๋ามาร่วมแจมแบบขนกันมาหมดแวดวง แต่วี่แววของภาคต่อก็ยังคงเงียบกริบแม้เวลาจะผ่านไปเกือบทศวรรษก็ตาม [caption id="attachment_66451" align="aligncenter" width="616"] Brutal Legend เกม Musical Action Game ชั้นเยี่ยม ที่...ไม่ได้ไปต่อ[/caption] และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ ‘No Straight Roads’ ผลงานเดบิวของ Metronomik Production ทีมพัฒนาเกมสัญชาติมาเลเซีย กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นทันตาเห็น เพราะไม่ว่าจะเป็นการกระโดดจากทีม Outsources สร้างงานอาร์ตให้กับเกมอย่าง Final Fantasy 15 ก็ดี หรือการที่พวกเขาเลือกที่จะเปิดตัวด้วยเกมแนว ‘Musical Action Games’ ก็ดี เหล่านี้ ทำให้สายตาต่างจับจ้องมองมา ว่าทีมพัฒนาอินดี้กลุ่มนี้ จะไปได้ไกลแค่ไหน (ซึ่งทาง GameFever ได้นำเสนอพรีวิวไปแล้วก่อนหน้านั้นในบทความนี้) กล่าวโดยสรุป พวกเขายังคงความฉมังในด้านการสร้างสรรค์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะทั้งงานอาร์ตไปจนถึงดนตรี รวมถึงเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่กระนั้น ในส่วนของเกมการเล่น มันยังคงปรากฏความ ‘ไม่อยู่มือ’ ที่พวกเขาต้องเก็บไว้เป็นบทเรียนสำหรับชิ้นงานถัดไป อย่างไม่อาจจะมองข้ามได้ Rock ปลดแอก กับทางแยกสาย EDM [caption id="attachment_66453" align="aligncenter" width="696"] Mayday และ Zuke สองนักดนตรี พันธุ์ร็อค แห่ง Bunk Bed Junction กับภารกิจคว่ำ NSR[/caption] No Straight Roads บอกกล่าวถึงเรื่องราวของสองคู่หู Mayday และ Zuke นักดนตรี ‘พันธุ์ร็อค’ วง Bunk Bed Junction แห่งเมือง Vinyl City ที่ถูกปฏิเสธจาก NSR (No Straight Roads) บริษัทดนตรียักษ์ใหญ่ของเมือง ที่มองว่า เพลงร็อคนั้น ‘ขายไม่ได้ และตายไปแล้ว และดนตรี EDM คืออนาคตแห่งดนตรี แต่แล้วเมื่อกระแสไฟฟ้าพลังงานที่หล่อเลี้ยงเมืองถูกตัดขาด และสงวนเอาไว้ให้กับเหล่า ‘ศิลปิน’ สังกัด NSR สำหรับงานปาร์ตี้ที่ไม่รู้จบ ทั้งสองจึงเริ่มกระบวนการ ‘ปลดแอกทางดนตรี’ โดยมีเป้าหมายเพื่อคว่ำบริษัท NSR นี้ลงให้จงได้ ในแง่งานศิลป์นั้น น่าจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ No Straight Roads เลยก็ว่าได้ เพราะมันถูกนำเสนอในรูปแบบสุดโฉบเฉี่ยว ประหนึ่งงานอนิเมชันจากช่องอย่าง Cartoon Network ติดกลิ่นของเกมอย่าง Psychonauts อยู่บางๆ รวมถึงบทสนทนาของทั้ง Mayday และ Zuke นั้นก็มีลูกรับส่งหยอดมุกได้อย่างพอเหมาะ ช่วยให้ทั้งสองเป็นตัวละครที่ผู้เล่นสามารถรักและติดตามได้อย่างไม่ยากเย็น งานศิลป์ดังกล่าวยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น เพราะมันควบรวมไปกับเหล่า ‘ศิลปิน’ ใต้สังกัด NSR ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวภายใต้ดนตรีสาย EDM ไม่ว่าจะทั้ง DJ Subatomic Supernova ผู้คลั่งไคล้ดนตรีแห่งจักรวาล, 1010 กับกองทัพดนตรีบอยแบนด์, DK West กับดนตรีสาย Street Rap ชวนติดหู เหล่านี้ บ่งบอกถึงความสร้างสรรค์ของทีม Metronomik ในด้านการนำเสนอได้อย่างเหนือชั้น สมกับที่เป็นสตูดิโอที่ทำงานด้านอาร์ตมาเป็นเวลานานแรมปี หลากหลายดนตรี ที่มีเกมเพลย์อันแตกต่าง ในส่วนของเกมเพลย์ของ No Straight Roads นั้น จะเป็นไปในรูปแบบกึ่ง Open-World ที่ทั้ง Mayday และ Zuke จะต้องทำการ ‘ปลดแอก’ แต่ละย่านที่ถูกปกครองโดยศิลปินแห่ง NSR ด้วยการเล่นแบบ Beat-em-up ที่สามารถสลับตัวเล่นได้โดยอิสระ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน Mayday กับกีตาร์ไฟฟ้าที่โจมตีช้าและหนักหน่วง หรือท่ารัวกลองของ Zuke ที่หนักน้อยกว่า แต่ต่อคอมโบได้มากกว่า ที่จะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ (แน่นอนว่า เกมนี้ สามารถเล่นพร้อมกันได้สองคน แต่การสลับสับเปลี่ยนตัวละครแม้จะเล่นคนเดียวก็เป็นไปอย่างลื่นไหลไร้รอยติดขัด) การปะทะกับเหล่าศิลปินหรือบอสในแต่ละพื้นที่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ และเต็มไปด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์อย่างมาก มันไม่ได้มีแค่เพียงการฟาดแบบ Beat-em-up แต่ยังมาพร้อมมินิเกมและเมคานิคแปลกๆ ที่ชวนให้รู้สึกสนุกเวลาเล่น ไม่ว่าจะการปะทะกับ Sayu ‘ไอดอลเวอร์ชวล’ ที่ต้องจัดการกับเหล่าโปรแกรมเมอร์และนัก MoCap ที่อยู่เบื้องหลัง, การหลบตัวโน้ตแบบเกมสาย Guitar Heroes ของ DK West ไปจนถึงการ ‘ไล่จัดการ’ กับกองทัพบอยแบนด์ของ 1010 ท่ามกลางเสียงดนตรี EDM ซึ่งทั้งหมด ถูกผสานเข้ากับดนตรีประกอบพื้นหลังได้อย่างกลมกล่อม ควบรวมไปกับการใช้สกิลพิเศษของ Mayday และ Zuke ที่เพิ่มความได้เปรียบ ไม่ว่าจะการรัวกีตาร์ปล่อยพลัง หรือการรัวไม้กลองเพื่อเพิ่มพลังการโจมตี ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่แปลก และเล่นได้สนุกมากๆ ด้วยงานภาพ ผสานเกมการเล่นที่ลงตัวพอเหมาะ และผ่านการคิดมาเป็นอย่างดีไม่น้อย นอกเหนือจากการปะทะบอสแล้ว ภารกิจของ Bunk Bed Junction ในการฟื้นฟูเมือง Vinyl City ในพื้นที่แบบกึ่ง Open-World ก็จัดเป็นช่วงให้พักหายใจได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะการฟื้นฟู ‘กระแสไฟฟ้า’ ตามจุดต่างๆ ของเมือง การเปิดพื้นที่ใหม่ และการ ‘อัพเกรดความสามารถ’ ของทั้ง Mayday และ Zuke ที่ใช้แต้ม ‘ความคลั่งไคล้ของแฟนๆ’ ทั้งจากการสู้ชนะบอส ไปจนถึงการฟื้นฟูย่านต่างๆ ให้กลับมาอีกครั้ง นอกเหนือจากนั้น สิ่งของหรือ Collectible ก็มีให้เก็บทั้งในแผนที่กึ่งเปิด และการสู้ชนะบอสในแต่ละจุด ทำให้เกมไม่เป็นเส้นตรงจนเกินไป (แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะค่อนข้างจำกัดอยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าเปิดกว้างแต่ร้างซึ่ง Content อย่างที่หลายเกมได้เป็นมา) เมื่อบวกรวมกับเนื้อหาที่น่าสนใจ เข้มข้นเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ดำเนินไป ก็ทำให้เกมนี้เล่นได้สนุกติดพันได้อย่างไม่ยากเย็น เล่นดนตรี ต้องมีผิดคีย์กันบ้าง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า No Straight Roads จะเต็มเปี่ยมไปด้วยโปรดัคชันขั้นเยี่ยม ดนตรีสุดติดหู เนื้อหาและมุกตลกที่ชงตบได้อย่างพอเหมาะ และเกมการเล่นที่น่าสนใจ แต่ดูเหมือนว่าทีม Metronomik จะยังคงติดความเป็น ‘สตูดิโอสายโปรดัคชัน’ อยู่ค่อนข้างมาก เพราะเมคานิคของเกมการเล่น หลายครั้งมันถูกนำหน้าด้วยงานศิลป์ ทุกอย่างดูสับสนและ ‘ไม่เคลียร์’ ชัดเจน ว่าต้องทำอะไร หรือต้องจัดการ ‘แบบไหน’ เหล่านี้ ก่อให้เกิดการสะดุดระหว่างที่เล่น เพราะเมื่อทุกอย่างที่อยู่บนหน้าจอนั้นลายตาไปด้วยสีสันและดนตรีที่ก้องกังวานอยู่ในหู มันก็ยากที่จะแยกโสตประสาทออกจากกัน หลายครั้งผู้เขียนต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับการต่อสู้กับบอสแต่ละตัวค่อนข้างนาน (และเป็นไปในแบบที่งงๆ อยู่ไม่น้อย) ซึ่งถ้ามองในแง่ของการสร้างเกม ความชัดเจนและความง่ายในการเข้าถึงของเกมนี้ยังจัดว่าไม่ผ่าน (ยิ่งเมื่อเทียบกับ Brutal Legend จากปี 2009 ที่เป็นเกมแนวเดียวกันแล้ว ก็ดูเหมือนว่า No Straight Roads จะมีความ ‘สวยแต่รูป จูปไม่หอม’ จนเกินพอดีไปนิดหนึ่ง) อีกประการที่สำคัญ คือเกมนี้ ‘สั้นมาก’ ในระดับที่ถ้าคุณไม่คิดจะเก็บหรือสำรวจ หรือเป็นพวก Perfectionist ที่ต้องเก็บทุกอย่างให้ครบ คุณสามารถเล่นมันจนจบได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะหัวใจหลักของเกมมันคือ ‘Boss Rush’ ที่เข้าปะทะบอส ไม่มีด่านหรืออุปสรรคอื่นใดมาคั่นกลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงเนื้อหาว่า บริษัท NSR นั้น ‘คุมทุกซอย’ ของ Vinyl City และนั่นทำให้อายุการเล่นและการน่ากลับมาเล่นซ้ำน้อยลงอย่างน่าใจหาย จังหวะร็อคปลดแอกกระแทกหัวใจ ท้ายที่สุดนี้ แม้ว่าเราจะเห็นความ ‘ไม่อยู่มือ’ ในด้านการออกแบบเกมเพลย์ของทีม Metronomik แต่สำหรับผลงาน ‘เดบิว’ ชิ้นแรกของทีมพัฒนาสัญชาติมาเลเซียกลุ่มนี้ ก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ยากจะมองข้าม มันมีงานอาร์ตสุดงาม ดนตรีที่สนุก เนื้อหาที่น่าสนใจ และตัวละครที่ชวนให้เรารักและหลงใหล อาจจะน่าเสียดายไปบ้างที่ส่วนของเกมการเล่นยังเหมือน ‘ปรุงไม่สุก’ และต้องการการปรับปรุงเพิ่มเติมในโอกาสชิ้นงานถัดไป (ถึงขั้นที่สำนักรีวิวบางเจ้าบอกว่า เกมนี้มันควรจะเป็น อนิเมชัน อย่างเดียวเลยด้วยซ้ำ...) แต่ก็อาจจะเช่นเดียวกับเพลงร็อค ไม่ว่าจะสาย Mainstream หรือ Indy ที่อาการ ‘เพี้ยนคีย์’ ก็อาจจะจัดได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง มันคือความเป็นธรรมชาติ มันคือเอกลักษณ์ที่ยากจะมองข้าม และมันเป็นสิ่งที่สะท้อนถึง ‘หัวใจ’ ของผู้เล่นที่อยู่บนเวทีและแสงไฟ ผู้เขียนไม่อาจรู้ได้ว่าหลังจาก No Straight Roads ชิ้นนี้ ทีม Metronomik จะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใดตามมา และจะออกมาเป็นแนวใด แต่ถ้าเปรียบพวกเขาเป็นวงร็อคแล้วนั้น…. “นี่คือวงร็อค Indy ที่น่าจับตามอง และ No Straight Roads ก็มีศักยภาพสูงพอที่จะพาพวกเขาก้าวเข้าสู่แถวหน้าของแวดวงได้อย่างมั่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว” [penci_review id="66450"]
09 Sep 2020
GameFever Review: Marvels Avengers "ประสบการณ์ฮีโร่ที่แฟนๆ Marvel คู่ควร"
นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ Iron Man ออกฉายครั้งแรกในปี 2008 ก็นับเป็นเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรตมาแล้วที่เหล่าตัวละครจากทีมฮีโร่อันดับหนึ่งของค่าย Marvel อย่าง The Avengers ได้ออกมาโลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ทั่วโลก จนกลายเป็นปรากฏการณ์ และทำให้มีแฟนๆ นับล้านชีวิตทั่วโลกได้เติบโตมาพร้อมกับเหล่าฮีโร่ในดวงใจเหล่านี้ สำหรับคนที่เคยเป็นแฟนของภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel มาก่อน เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยจินตนาการถึงความรู้สึกของการได้ก้าวเข้าสู่บทบาทของฮีโร่เหล่านั้นเสียเอง และกระโจนเข้าไปต่อสู้กับวายร้ายกลุ่มใหญ่ เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับเหล่าสหายฮีโร่ เฉกเช่นฉากสงครามในหนัง Avengers: Endgame อย่างไรอย่างนั้น เกม Marvels Avengers ถือเป็นเกมที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ว่านี้ให้คุณได้ดีในระดับหนึ่ง ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่น RPG ที่สนุกและท้าทายกว่าที่หลายคนอาจจะคิด รวมไปถึงเนื้อเรื่องและบทพูด ที่เรียกได้ว่าแทบจะถอดสูตรมาจากภาพยนตร์จักรวาล MCU เลยทีเดียว แม้เกมจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ จากองค์ประกอบด้านการนำเสนอบางประการ รวมไปถึงระบบ Live Service ที่เพิ่มความยุ่งยากหลายๆ อย่างเข้าไปในเกม แต่สำหรับคนที่โหยหาฉากแอคชั่นดุเดือดอลังการแบบเดียวกับในภาพยนตร์แล้วล่ะก็ นี่เป็นเกมที่สร้างมาเพื่อตอบโจทย์คุณโดยเฉพาะ แอคชั่นระดับซุปเปอร์ฮีโร่ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง ถ้ามองในขั้นพื้นฐาน เกมเพลย์แนวแอคชั่น RPG ของ Marvels Avengers ก็อาจจะไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมาก ตัวละครฮีโร่แต่ละตัวจะมีความสามารถพื้นฐานคล้ายๆ กัน เช่นการโจมตีหนัก-เบาผสมกันเป็นคอมโบ หรือการใช้สกิลพิเศษประจำตัว ซึ่งบอกกันตามตรงว่าในตอนที่เล่นใหม่ๆ ผู้เขียนก็แอบรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้ว ระบบแอคชั่นของ Marvels Avengers กลับมีมิติที่ลึกกว่าตาเห็นพอสมควร แถมยังมีความท้าทายกว่าที่คาดเอาไว้มาก จนเรียกว่ามีจังหวะหัวร้อนขึ้นมาได้อยู่เหมือนกันในบางภารกิจ มิติขั้นที่หนึ่ง มาจากเหล่าศัตรูในเกมนั่นเอง โดยแม้จะไม่ได้มีความหลากหลายมากนัก ส่วนใหญ่เป็นหุ่นยนตร์หน้าเดิมๆ ทั้งเกม แต่ศัตรูชนิดพิเศษแต่ละแบบก็บังคับให้ผู้เล่นต้องใช้กลวิธีในการรับมือต่างกัน เช่นเหล่าหุ่นยนตร์ Riotbot ที่ถือโล่ห์ ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ท่าชาร์จโจมตีหนักเพื่อทำลายโล่ห์ซะก่อน หรือศัตรูชนิด Adaptoid ที่ต้องรอจังหวะปีดป้อง (Parry) ก่อนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเกมส่งศัตรูหลายๆ ชนิดเข้าใส่ผู้เล่นพร้อมกันเป็นปริมาณมากๆ ก็ทำให้ตึงมือขึ้นมาได้เหมือนกัน เพราะต้องคอยหลบหลีก ป้องกัน และพยายามโจมตีจุดอ่อนของศัตรูรอบตัวไปด้วย ยิ่งบางทียังอาจจะมีภารกิจย่อยให้ต้องทำไปด้วย เช่นการทำลายสิ่งของในฉาก หรือการป้องกันพื้นที่ต่างๆ ยิ่งทำให้ผู้เล่นต้องตั้งใจฝึกทักษะพื้นฐานของเกมให้ดีๆ มิติขั้นที่สองที่ช่วยเพิ่มความซับซ้อนให้กับเกมเพลย์ของเกม ก็คือความสามารถที่แตกต่างกันของฮีโร่แต่ละตัว ที่นอกจากจะทำให้การต่อสู้เปลี่ยนไปแล้ว ยังทำให้ความสามารถในการเดินทางในฉาก หรือกระทั่งความสามารถในการแก้ไขพัซเซิ่ลต่างๆ ไม่เหมือนกันอีกด้วย ตัวละครแต่ละตัวจะมีวิธีปัดป้อง (Parry) การโจมตีของศัตรูที่ต่างกัน รวมไปถึงความสามารถติดตัวต่างๆ ที่ทำให้การเล่นฮีโร่แต่ละตัวมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นตัวละคร The Hulk จะมีความสามารถที่เรียกว่า RAGE ทำให้เมื่อกดเปิดสกิลค้างไว้ จะได้รับพลังโจมตีเพิ่มขึ้น พร้อมกับดูดความเสียหายที่สร้างต่อศัตรูกลับมาเพิ่มเลือดตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง หมายความว่ายิ่งสู้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมี RAGE ไว้ดูดเลือดมากเท่านั้น Hulk จึงเป็นตัวละครที่เหมาะกับผู้ที่ชอบการต่อสู้แบบมุทะลุ แลกหมัดกับศัตรูแบบเน้นๆ ในทางกลับกัน ตัวละคร Iron Man จะไม่สามารถเพิ่มเลือดด้วยตัวเองได้ แต่จะแลกมาด้วยความสามารถในการบิน แถมยังมีอาวุธระยะไกลหลากหลายชนิด ทำให้ Iron Man เหมาะจะรับหน้าที่ในการเก็บศัตรูจากระยะไกลในแนวหลัง ซึ่งการเล่นตัวละครทั้งสองก็ทำให้เกมเพลย์ของ Marvels Avengers แตกต่างกันพอสมควรแล้ว และยิ่งเก็บเลเวลและอัพเกรดตัวละครมากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งปลดล๊อคความสามารถที่ทำให้แนวทางของแต่ละตัวชัดเจนมากขึ้นไปอีก มิติขั้นสุดท้ายของเกมเพลย์ ก็คือระบบของสวมใส่ในเกมนั่นเอง นอกจากค่า Gear Score ที่ติดมากับไอเทมทุกชิ้น ซึ่งเป็นมาตรฐานของเกมแนว Live Service นั้น ของสวมใส่ในเกม Marvels Avengers ยังมีค่าสถานะต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มขัดจำกัดของตัวละครเข้าไปตามความต้องการของผู้เล่น บางคนอาจจะชอบการเตะต่อยทำคอมโบระยะประชิด ก็อาจจะหาไอเทมที่เพิ่มค่า Might มาใส่เยอะๆ ในขณะที่อีกคนชอบโจมตีระยะไกล ก็อาจจะใช้ค่า Precision แทนเป็นต้น เมื่อรวมกับ Perk มากมายที่สามารถสุ่มติดมาพร้อมอาวุธ (เช่นต่อยศัตรูแล้วติดแช่แข็ง หรือโดน Pym Particle ย่อขนาด) ก็ทำให้สามารถเลือกสร้างสายตัวละครที่เหมาะกับแนวทางส่วนตัวได้อีกด้วย ข้อเสียของระบบนี้คือแอบยุ่งยากไปซักนิด และแทบจะไม่ได้เห็นผลเท่าไหร่ตลอดการเล่นเนื้อเรื่อง รวมไปถึงการเล่นโหมด Multiplayer ช่วงแรกๆ อีกด้วย จึงเป็นระบบที่มีความยุ่งยากประมาณหนึ่ง จนกว่าจะถึงช่วงท้ายเกมที่สามารถเล่นภารกิจระดับสูงๆ ได้นั่นเอง หนัง Marvel ที่คุณ "เล่นเองได้" ในภาพยนตร์ Marvel อันเป็นแรงบันดาลใจหลักของเกม มักจะมีฉากบู๊แบบดุเดือดเลือดพล่านที่มีลายเซ็นแบบ "หนัง Marvel" อยู่ชัดเจน อาจจะเป็นฉากที่เหล่าฮีโร่ Avengers ต้องรับมือกับฝูงหุ่นยนตร์ของ Ultron หรือฉากสงครามใน Avengers: Endgame โดยมักจะเป็นฉากที่เหล่าฮีโร่ทั้งกลุ่มต้องต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ๆ พร้อมกัน ในขณะที่กล้องก็ขยับตามเพื่อรับท่วงท่าสุดเท่ของฮีโร่แต่ละคนไปด้วย อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไปในบทความ "3 จุดแข็ง (และ 3 จุดอ่อน) ของเกมในช่วงเบต้า" ก่อนหน้านี้ อาจจะถือเป็นเรื่องที่น่าชมมากที่สุด ที่เกม Marvels Avengers สามารถยกเอา "ประสบการณ์" แบบนั้นของภาพยนตร์ และนำมาใส่เอาไว้ในเกมได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในฉากภารกิจเนื้อเรื่องแบบ Singleplayer ทั้งหลายของเกม ที่มักจะออกแบบมาแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้สามารถมีจังหวะลุ้นๆ เหมือนในหนัง เช่นฉากที่ Tony Stark ต้องพยายามหาเก็บเศษส่วนชุดเกราะมาใส่ในขณะที่กองทัพหุ่นยนตร์กำลังโจมตี หรือตอนที่ต้องหลบหนีการจับกุมของ AIM ในฐานะตัวละครใหม่ Kamala Khan (หรือ Ms. Marvel) ซึ่งน่าจะเติมเต็มความฝันวัยเด็กของผู้เล่นหลายๆ คนไปได้สบายๆ เนื้อเรื่องของเกม Marvels Avengers จะติเริ่มต้นขึ้นที่การสลายตัวของกลุ่ม Avengers หลังโศกนาฏกรรม A-Day เมื่อยานรบ Helicarrier ลำใหม่ล่าสุดของกลุ่มระเบิดขึ้นกลางเมือง San Francisco นำไปสู่การเสียชีวิตของกัปตันอเมรีกา และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเมือง นอกจากนี้ สาร Terrigen ที่ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงของยานยังถูกแผ่กระจายออกไปทั่ว ทำให้ผู้คนธรรมดาหลายคนที่สูดดมสารเข้าไปได้รับพลังพิเศษขึ้นมาอย่างปริศนา โดยเหล่าผู้ที่ได้รับพลังพิเศษเหล่านี้ถูกเรียกว่า Inhuman (อมนุษย์) ภายในช่วงเวลาอันโกลาหลนั้น องค์กรวิทยาศาสตร์ปริศนาที่เรียกตัวเองว่า AIM ก็ได้เสนอตัวขึ้นเพื่อดูแลความเรียบร้อย พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะกำจัด "โรค Inhuman" ให้สิ้นซาก แน่นอนว่าเจตนาของ AIM ไม่ได้สวยหรูเท่ากับที่กล่าวมาทั้งหมด โดยเด็กสาว Inhuman ที่ชื่อว่า Kamala Khan ได้รับทราบถึงความจริงเบื้องหลังองค์กร ทำให้เธอตัดสินใจออกเดินทางเพื่อรวบรวมกลุ่ม Avengers กลับมาอีกครั้ง และหยุดยั้งแผนการอันน่ากลัวของ AIM พูดกันตามตรงว่าเนื้อเรื่องของเกม Marvels Avengers ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ากล่าวถึงเป็นพิเศษ เพราะแค่จากที่เล่ามาก็เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะพอเดาได้แล้วว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร และจบอย่างไร ซึ่งสำหรับผู้เขียนก็ไม่ได้มองว่าเป็นจุดอ่อนซะทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องของเกมก็ถือว่าสร้างมาเพื่อตอบโจทย์แฟนๆ ของจักรวาล Marvel เต็มที่ และก็ยังสนุกชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบไม่เสื่อมคลาย (บอกเลยว่ามี Easter Egg จากหนัง Marvel ให้ควานหากันมากมาย) ต้องกล่าวชมทีมเขียนบทและนักแสดง/นักพากย์เสียงทุกคน ที่ช่วยทำให้โลกและตัวละครของเกมมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากในภาพยนตร์ โดยเฉพาะตัวละคร Kamala และ Bruce Banner (ให้เสียงโดย Troy Baker) ตัวเอกหลักสองตัวของเรื่อง ที่ช่วยทำให้เนื้อเรื่องมี "น้ำหนักทางอารมณ์" ในระดับที่ผู้เขียนเองยังคาดไม่ถึงเลย ไม่มีฮีโร่คนไหนที่ไร้เทียมทาน พูดถึงข้อดีกันไปซะเยอะ มาพูดถึงสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของเกมกันบ้างดีกว่า (เดี๋ยวจะหาว่าไม่แฟร์) อย่างแรก แม้ว่าระบบต่อสู้โดยรวมของเกมจะทำออกมาได้ค่อนข้างสนุก แต่ในหลายๆ จังหวะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เล่นกับผู้เล่นคนอื่นเต็มทีม 4 คน ความสนุกของเกมก็ถูกบดบังโดยแสงสีเอฟเฟกต์มากมายของเกมเองเช่นกัน ทั้งเอฟเฟกต์การโจมตีของผู้เล่นแต่ละคนและของศัตรูนับสิบๆ ชีวิตในด่าน ไปจนถึงเศษซากของสิ่งของในฉากที่ปลิวว่อนไปมาพร้อมๆ กับการโจมตีเหล่านั้น ที่แม้ว่าส่วนใหญ่จะเสริมอารมณ์ "ฮอลลีวู้ด" ของเกมได้ดี แต่บางครั้งก็มากเกินงามไปซะหน่อยจนทำให้เล่นเกมไม่ค่อยรู้เรื่องได้เหมือนกัน ทั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่เกมเปิดให้ทดลองเล่นเบต้าครั้งแรก ก็ต้องถือว่าผู้พัฒนาได้ปรับปรุงเรื่องเอฟเฟกต์ไปแล้วพอสมควรเมื่อเทียบกับช่วงเบต้า ทำให้รู้สึกว่ายังพอมีหวังว่าผู้พัฒนาอาจจะสามารถออกอัพเดทมาแก้จนได้ในอนาคต ต่อมาคือเรื่องการนำเสนอของเกม ที่ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ทั้งการออกแบบตัวละครที่ออกจะธรรมดาๆ เมื่อเทียบกับเกมในจักรวาล Marvel ก่อนหน้านี้อย่าง Marvels Spider-man หรือกับเกมในจักรวาล DC ทั้ง Arkham และ Injustice แถมแม้ว่าจะมีระบบ RPG ให้สวมใส่ไอเทมได้ แต่ไอเทมเหล่านี้กลับไม่ได้ส่งผลต่อหน้าตาของตัวละครเลย โดยหน้าตาของตัวละครจะต้องเปลี่ยนทั้งตัวแบบเป็น Skin เท่านั้นอีกด้วย แม้ว่าสกินหลายอันจะสามารถหาได้จากการทำภารกิจในเกม แต่ส่วนใหญ่ๆ (แน่นอนว่ารวมไปถึงสกินระดับสูงๆ ที่มักจะเท่ที่สุด) จะต้องใช้เงินในเกมจำนวนเยอะมากๆ ซื้อเอา หรือไม่ก็เติมเงินเอา ทำให้เกมขาดความสนุกของการ "ตกแต่งตัวละคร" ที่มีอยู่ในเกม RPG แนวเดียวกันเกมอื่นๆ ไปซะอย่างนั้น อาจไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบในขณะนี้ แต่ Marvels Avengers ก็ถือเป็นเกมที่นำเสนอประสบการณ์ของการเป็นฮีโร่ Marvel ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีเกมเพลย์ที่สนุกและท้าทายกว่าที่หลายคนน่าจะคาดเดาเอาไว้ สำหรับคนที่ใฝ่หาความรู้สึกของการได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ในจักรวาล Marvel นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์คุณได้ในขณะนี้ ยิ่งถ้าหาเพื่อนมาเล่นด้วยกันได้ บอกเลยว่าโคตรมันส์! [penci_review id="65357"]
03 Sep 2020
รีวิว Date A Live: Spirit Pledge เมื่อเราต้องเดทกู้โลกพิชิตรัก เพื่อพิทักษ์หัวใจเหล่าสาวๆ
เมื่อวันหนึ่ง โลกใบนี้ได้พบกับปรากฎการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Spacequake พร้อมกับกลืนกินทุกอย่างจากจุดศูนย์กลางของพื้นที่นั้น ต้นตอของความเสียหายนี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่เราเรียกกันว่า Seirei ที่แปลว่าเหล่าภูติ ทำให้ต้องมีการส่งกองกำลังเพื่อสังหารเธอเสียก่อนที่โลกจะวุ่นวายมากกว่านี้ แต่จริงๆ แล้วเหล่าภูติก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวที่ควบคุมพลังนั้นไม่ได้ แค่ต้องการใครสักคนช่วยเหลือเธอเท่านั้น และมีแต่คุณเท่านั้นที่จะผนึกพลังของเธอโดยไม่ให้เกิดการสูญเสียนี้ได้ คุณจะกล้าตัดสินใจเผชิญกับอันตรายนั้นหรือไม่ ? คุณคือผู้ตัดสินชะตาโลกและชะตารักในครั้งนี้... จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นแค่เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ Light Novel และอนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Date A Live หรือมีชื่อไทยคือ พิชิตรัก พิทักษ์โลก ซึ่งเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในปี 2013 และปัจจุบันกระแสของเรื่องนี้ก็ยังไม่จางหายจนกระทั่งได้ทาง Kadokawa มาพัฒนาเกมลงมือถือแนว Action RPG, Hackn Slash ผสมผสานกับแนว Visual Novel ภายใต้ชื่อ Date A Live: Spirit Pledge ซึ่งตัวเกมจะสนุกขนาดไหน ทาง GameFever TH จะขอรีวิวให้รบชมกัน ================================================== เนื้อเรื่องยังคงเคารพต้นฉบับเดิมๆ ได้น่าประทับใจ พอได้เข้าไปสัมผัสตัวเกมนี้ครั้งแรก เราจะรับบทบาทเป็นผู้เล่นที่มีพลังแฝงในการผนึกพลังของ Seirei ที่มาจากต่างมิติ ต้นเหตุของการเกิด Spacequake ซึ่งแม้ในฉากคัตซีนจะไม่โชว์หน้าตัวละครของเรา แต่สำหรับคนที่เคยติดตามเรื่อง Date A Live ก็จะรู้เลยว่า เราได้รับบทบาทเป็น อิสึกะ ชิโดว เสียมากกว่า แต่เข้าใจทางทีมพัฒนาแหละว่าจะให้เราจินตนาการเป็นตัวเราเองพร้อมสามารถตั้งชื่อเราเองว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ คิดซะว่าเป็นเนื้อเรื่อง Date A Live โลกคู่ขนานที่มีตัวเราเป็นพระเอกของเรื่องแล้วกัน ส่วนเนื้อเรื่องจะอิงจาก Date A Live Season 1 เลยเพราะเปิดตัวมาก็ได้เห็น Yatogami Tohka ในร่าง Seirei กำลังหวดกับ Tobiichi Origami ที่เป็นคนของหน่วย AST อย่างดุเดือดโดย Origami มีเป้าหมายคือการกำจัดภัยคุกคามอย่าง Seirei ทำให้พวกเธอต่อสู้กันในครั้งแรก หลังจากการดำเนินเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ ก็แทบจะตรงตามเส้นทางของเนื้อเรื่องในอนิเมะ Date A Live แทบจะทุกอย่าง หากใครเคยดูอยู่แล้วมาเล่นเกมนี้ก็อาจจะทำให้อินกับมันมากขึ้น แต่หากใครไม่เคยดูก็อาจจะงงกับบทในเกมนิดหน่อยเพราะบทพูดในเกมรวมถึงการดำเนินเนื้อเรื่องช่วงต้นอาจจะเร็วเกินไป บทการดำเนินเรื่องอาจจะดูดขัดๆ ไปเสียหน่อยซึ่งมันทำให้งงได้ แนะนำว่าหามีเวลาแนะนำลองหาอนิเมะ Date A Live มานั่งดูกันเพื่อเพิ่มความอินเนอร์เข้าไปนั้นเอง Interface ที่ดูสบายตา มี Achievement ให้ทำเยอะมาก กล่าวในส่วนของ Interface กันเสียหน่อย ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามันรกก็ไม่ใช่เพราะการจัดองค์ประกอบเมนูต่างๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ต้องเรียกว่า มันมีเมนูต่างๆ และฟังก์ชั่นให้เล่นเยอะแยะถึงจะถูกต้อง แต่บางครั้งก็อาจจะมีการงงกับเมนูบ้าง โชคดีที่ตัวเกมเป็นเวอร์ชั่น Global ภาษาอังกฤษเข้าใจง่าย นอกจากนี้เราสามารถเลือก Seirei ที่เราต้องการโดยจะขอหยิบยก Tohka ออกมาเป็นตัวอย่างซึ่งเราสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับเธอได้ด้วยการเอานิ้วแตะตัวตามส่วนต่างๆ ซึ่งคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd ในรูปแบบ Live 3D โดยจะเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้เรื่อยๆ ตามช่วงเวลาเพื่อปลดล็อคความสนิทสนมและบทคำพูดที่มากขึ้น แต่หากแตะเยอะเกินไปหรือไปลวมลามเธอระวังจะโกรธเอานะ แน่นแนว่าการแตะไปที่คุณน้อง Tohka ไม่ว่าส่วนไหนก็ตามก็สามารถเรียกหน้าต่างเมนูเปลี่ยนชุด Costumeได้ด้วย ( แต่อย่าไปแตะบริเวณหน้าอกบ่อยล่ะ แล้วหาว่าจะไม่เตือน เราโดนเธอโกรธหนักมากมาแล้ว ) ในส่วนของการปรับแต่ง Costume ตัวละครหรือการปรับแต่งฉากหลังก็มีให้เลือกได้หลากหลายมากเลยตั้งเปลี่ยนเวลาฉากหลังช่วงกลางวัน-กลางคืนได้แบบ Real-time มีการเพิ่ม BGM ประกอบหน้า Lobby ได้ด้วย โดยทั้งหมดนี้สามารถหาเพิ่มเติมได้ด้วยการทำ Archievment ต่างๆ ภายในเกม และจุดสำคัญของหน้าเมนูต่างๆ ภายใน Lobby เลยก็คือเมนู Achievment ที่จะบอกสถิติเราว่าเราได้ผ่านจุดไหนมาบ้าง เก็บอะไรมาแล้ว ซึ่งทำให้เรารู้ได้ด้วยว่าเราขาดเหลืออะไร ไปเดทกับใครมาบ้าง นั้นหมายความว่าทำให้เรามีเป้าหมายกับเกมนี้และไม่รู้สึกว่าเกมมันน่าเบื่อง่ายๆ แน่นอน กาชาเกมนี้ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ ในส่วนระบบกาชาที่ต้องพูดด้วยเพราะว่ามีให้เลือกสุ่มหลายตู้มาก ทั้งตู้สุ่มชุด Costume สวยๆ หรือสุ่มหาสาวๆ Seirei ที่ชอบ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ในการออกก็ไม่ถึงกับว่าเกลือจนเค็มปี๋ และ Fate Badge ที่ใช้แลกเปิดกาชานั้นสามารถหาได้จากการทำเควสต์, เก็บ Archievement และเอาเพชรไปแลกซื้อได้ซึ่งเพชรมีให้แจกทุกวันจนเยอะมากเลยล่ะ ระบบการออกเดทที่มีความน่าสนใจและไม่ยากจนเกินไป แน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็น Date A Live ก็ต้องมีเรื่องระบบการออกเดทกับสาวๆ อยู่แล้วซึ่งทางทีมพัฒนาได้นำจุดแข็งของเกม Date A Live เวอร์ชั่น Console ภาคก่อนหน้าที่เน้นขายระบบแนวจีบสาวก็ถูกใส่ลงมาในนี้ด้วย โดยพยายามลงในเวอร์ชั่นมือถือให้ดูลงตัวที่สุด หลังเข้ามาในระบบการออกเดทแล้วเราสามารถเช็คได้ว่าเรานัดสาวคนไหนไปเดทด้วยรวมถึงเช็คค่าความสัมพันธ์, ติดตามสถานที่รวมถึงเช็คสิ่งที่พวกเธอชื่นชอบด้วย แน่นอนว่าการออกเดทจะเป็นการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ที่รวดเร็วที่สุด เพื่อการปลดล็อคสิ่งต่างๆ เช่นบทคำพูดเพิ่มเติมหรือ CG สวยๆ กับฉากน่ารักๆ ให้เราได้ฟินกัน และเมื่อเราเริ่มเลือกสาวที่ต้องการไปออกเดทแล้ว เราจะไม่สามารถข้ามคัตซีนได้เลย ฉะนั้นใครที่ชอบเร่งๆ กดๆ ให้เกมดำเนินเนื้อเรื่องไวขึ้นก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ไม่อยากให้ข้ามเช่นกัน โดยเมื่อเนื้อเรื่องการออกเดทของเราดำเนินไปได้สักพัก จะมีคำตอบให้เราเลือกตอบ โดยบางครั้งจะมีเวลาจำกัดในเราเลือกตอบ หากเลือกไม่ดีก็ส่งผลต่อเนื้อเรื่องรวมถึงการความสัมพันธ์ที่จะได้มากหรือน้อยหลังจบการเดทด้วย แต่ไม่ต้องห่วงในเกมก็ไม่ได้ใจร้ายเพราะมีโอกาสให้แก้ตัวภายในการเดทของสาวเหล่านั้นถึงสามครั้งต่อวัน แต่ถึงอย่างนั้นเราควรที่จะมีความเข้าใจในภาษาเสียหน่อยแล้วบอกเลยว่าเนื้อเรื่องชวนฟินให้จิกหมอนมากเลยล่ะ จุดที่ทำให้รู้สึกว่าระบบการจีบสาวของเกมนี้มีมิติมากขึ้นคือเราสามารถเลือกไปทำงาน Part-time ภายในเมืองได้โดยของตอบแทนจะเป็นไอเท็มสำหรับพัฒนาเลเวลและสกิลของ Seirei ที่เราเลือกไว้ใช้ในระบบต่อสู้ รวมถึงไอเท็มที่สาวๆ ชอบไว้มอบเป็นของขวัญได้ด้วย โดยไม่ว่าระบบการออกเดทหรือทำงาน Part-time ต่างต้องใช้ Energy รูปดอกไม้สีชมพูทั้งสิ้น ฉะนั้นหากวันไหนต้องนัดเดทกับสาวๆ หลายคนก็บริหาร Energy ดีๆ ล่ะ การปรับแต่งและเสริมพลังตัวละครต้องพึ่งพาการฟาร์ม ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบการต่อสู้ ก็ต้องพูดถึงส่วนนี้ก่อนนั้นคือในส่วนของสเตตัสต่างๆ ของเหล่า Seirei ที่มีนั้น สามารถอัพเพิ่มตามเลเวลของผู้เล่น เช่นหากผู้เล่นมีเลเวล 13 เพดานเลเวลของ Seirei ก็จะเพิ่มขึ้นตามเรา รวมถึงระบบ Crytal ที่ไว้เพิ่ม Status, ระบบ Sephira ที่เหมือนระบบ สติกม่าของเกม Honkai Impact 3rd มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความหลากหลาย, ระบบ Angel ที่เป็นระบบเพิ่มขีดความสามารถของ Skill ในรูปแบบ Skill Tree, ระบบ Astral Dress ก็จะเป็นการเปลี่ยนชุดของ Seirei ตอนออกไปสู้รบได้ ขอโฟกัสในส่วนของระบบ Angel อีกสักนิดซึ่งระบบนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่มีความสำคัญ โดยเราสามารถอัพเกรดให้กับความสามารถต่างๆ ของเธอได้ด้วยการใช้ขนนกซึ่งจะได้จากการทำเควสต์และการเลเวลอัพของสาวๆ คนนั้น ซึ่งการอัพเกรดสกิลจะใช้จำนวนขนนกต่างหาก และหากสกิลไหนอัพเต็ม ก็จะปลดล็อคสกิลต่อไปเรื่อยๆ จนสุดทางและสามารถเลือกอัพส่วนไหนก่อนก็ได้เพื่อสร้างความแตกต่างและให้เข้ากับสไตล์ของเรา โดยสามารถสร้าง Profile เลือกสายการอัพเกรดได้ถึงสี่ Profile สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานะการณ์เช่น Profile แรกไว้เน้นต่อสู้ด้วยการใช้สกิล อีก Profile อาจจะใช้เพื่อการคอมโบการโจมตีเป็นหลักก็ได้ ระบบการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นต้องอลังการก็สนุกกับมันได้ กล่าวถึงส่วนในระบบการต่อสู้กัน จะต้องใช้ข้าวปั้นเสมือน Energy อีกรูปแบบหนึ่งที่เราต้องจ่าย และเราจะต้องตะลุยด่านตามโหมดเนื้อเรื่องที่ปูให้ไว้ โดยตัวละครตามเนื้อเรื่องบางครั้งจะถูกล็อคและไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ตัวอื่นแทนเป็นตัวหลักได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาไว้ค่อยสับเปลี่ยนเป็นตัวที่เราชอบระหว่างการเล่นก็ได้ จึงไม่ค่อยมีผลอะไรมากเว้นเสียว่าอยากอินกับเนื้อเรื่องก็ให้ใช้ตัวละครตามระบบเกมที่ล็อคไว้ให้ดีกว่า การควบคุมภายในเกมจะเป็นแนว Hackn Slash แบบ Side-Scrolling หรือแบบตะลุยด่านด้านข้าง การบังคับไม่มีอะไรซับซ้อน มันก็เหมือนกับเกมบุกตะลุยทั่วไป ปุ่มซ้ายคือคันบังคับขึ้นลง หน้าหลัง ปุ่มทางขวาจะเป็นปุ่มโจมตีและสกิลต่างๆ ไว้ทำคอมโบกัน โดยใช้เวลาการเล่นในแต่ละด่านบอกเลยว่าสั้นเอามากๆ แต่เข้าใจได้เพราะมีด่านอื่นๆ อีกหลังจากนี้เพียบ และการทำสามดาวในแต่ละด่านก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถนัก ถ้าเป็นสายเสพเนื้อเรื่องก็อาจจะโอเค แต่หากสายชอบความท้าทายอาจจะน่าเบื่อ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะแต่ละด่านจะมี Hard Mode และ Hell Mode ให้เล่นกันอีกหลังเคลียร์ด่านนี้ไปได้และเลเวลเราสูงพอก็จะปลดล็อคระดับความยากขึ้นไปอีก และในบางด่านอาจจะเป็นด่านพิเศษที่เปลี่ยนแนวทางการเล่นจาก Hackn Slash เป็น Bullet-Hell เสียอย่างนั้น แต่ก็ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างโดยเราแค่บังคับทางด้านซ้ายให้ตัวละครเคลื่อนที่หลบกระสุนเท่านั้นก็พอเพราะตัวเราจะยิงกระสุนแบบ Auto ให้ แค่เอาตัวรอดจนกว่าจะผ่านด่านเป็นอันใช้ได้ ไม่มีอะไรซับซ้อนนัก โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่ ต้องเรียกว่าออกไปทางแนวเฉยๆ กับระบบการต่อสู้มากกว่า กราฟิคสไตล์ Visual Novel คือจุดเด่นของเกมนี้ หลายๆ เกมที่สนุกได้ไม่จำเป็นต้องมีเอฟเฟคหรือกราฟิคอลังการก็ทำให้เราอินไปกับมันได้อย่างดี เมื่อพูดถึงเกมในจักรวาล Date A Live ก็ต้องพูดถึงงานภาพและกราฟิคแบบอนิเมะที่งานดีสุด ซึ่ง Kadokawa ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตัวละคร Seirei ทุกตัวเคลื่อนไหวแบบ Live 2D ได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เสียงพากย์ตัวละครแต่ละคนก็คัดคนที่มีประวัติการทำงานมากมายเพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครมากที่สุด ทำให้เราหลงรักเหล่าสาวๆ ได้อย่างหมดใจ และในระหว่างกำดำเนินโหมดเนื้อเรื่องแล้ว นอกจากการต่อสู้ก็ยังมีเนื้อเรื่องในการออกเดทแทรกในเนื้อเรื่องหลักด้วย ทำให้ตัวเกมก็จะสลับไปมาระหว่างการต่อสู้และการออกเดท ซึ่งในส่วนการออกเดทก็จะมีฉาก CG สวยๆ ให้เราได้เสพซึ่งเราชอบช็อตไหนก็สามารถเข้าโหมดถ่ายรูปเพื่อลบหน้าข้อความการสนทนาออกเหลือแต่ภาพสวยๆ ให้เราได้แคปเก็บไว้กัน และในส่วนฉากอนิเมชั่นคัตซีนที่แทรกระหว่างตัวเกมทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคเลยล่ะ งานสวย ไม่มีการเผาแต่อย่างใด แต่บางคนอาจจะขัดใจที่มีซับภาษาจีนด้วย แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเกมนี้ได้เข้าตีตลาดในจีนเป็นที่แรกๆ อาจจะมีบางจังหวะที่ดูทื่อๆ ไปนิดซึ่งคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ไม่งั้นแล้วอาจจะกลายเป็นเกมที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในตัวเลยก็ว่าได้ แต่รวมๆ แล้วดีงามมากๆ เลยล่ะ ================================================== สรุปแล้วเกม Date A Live: Spirit Pledge เป็นเกมที่ดีอีกเกมสำหรับแฟนๆ ซีรี่ส์ Date A Live ที่หายไปนานแล้วกลับมาทำให้แฟนๆ ได้สัมผัสจนหายคิดถึง เนื้อเรื่องเคารพต้นฉบับมากๆ ระบบ Visual Novel ทำได้ดีเกินคาด และฉากต่างๆ ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง เสียดายที่ระบบการต่อสู้ดูค่อนข้างน่าเบื่อไปเสียหน่อย แต่อาจจะมีอิเวนท์สนุกๆ เพิ่มเข้ามาในอนาคตก็ได้ แม้ช่วงนี้จะมีแต่อิเวนท์ให้ฟาร์มของก็ตาม แต่โดยรวมแล้วเป็นเกมที่สนุก เนื้อเรื่องดีมากๆ และจะดีกว่านี้หากได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ด้วย และสุดท้าย...โทคิซากิ คุรุมิคือนางเอก ไม่ใช่โทวกะหรอกนะ! ( ล้อเล่นน่า แค่ชอบคุรุมิมากที่สุดในเรื่องเอง ) [penci_review id="65301"]
31 Aug 2020
รีวิว Hyper Scape เกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ของคนจริง วิ่งสู้ฟัด
จะว่าไปแล้ว เกมแนว Battle Royale ถึงหลายคนจะบ่นว่าเริ่มเยอะ ไม่ค่อยมีเป้าหมายนอกจากการเอาตัวรอด หรือแม้กระทั่งคนเขียนที่ไม่ค่อยชอบแนวนี้ก็ตามเพราะไม่ถนัดการเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ยอมรับโดยดีว่าเป็นแนวเกมที่ยังอยู่กับเราอีกนานด้วยความสนุกและรูปแบบการปะทะนั้นจะไม่มีวันซ้ำซากน่าเบื่อ แถมยังเล่นได้เรื่อยๆ ด้วย ซึ่งล่าสุดท้าย Ubisoft ก็ได้เปิดตัวเกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ภายใต้ชื่อว่า Hyper Scape นั้นเอง โดยเกม Hyper Scape นี้ได้ทีมพัฒนาของ Assassins Creed และ Rainbow Six: Siege มาร่วมกันพัฒนาเกมนี้ขึ้นมา เลยทำให้มีกลิ่นอายทั้งสองเกมผสมกันอยู่ แถมทำออกมาได้น่าประทับใจด้วย แต่ประทับใจขนาดไหนกันนั้น ทาง GameFever TH จะข้อเล่าประสบการณ์ที่ได้เล่นเกมนี้ให้รับชมกัน ================================================== เปิดตัวเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนแต่รู้สึกถึงความกระหายได้ การเข้าเกมครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก เปิดตัวด้วยการปูเนื้อเรื่องว่าในจักรวาลของ Hyper Scape มันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไรแบบคร่าวๆ สรุปเลยก็คือ ในยุคปี 2054 ทางบริษัท Prisma Dimension ได้สร้างเกมแนว Battle Royale ที่เรียกว่า Hyper Scape โดยจำลองเมือง Neo Arcadia ทั้งเมืองให้ผู้เล่นที่สนใจ สวมอุปกรณ์จำลองเสมือน, สร้างอวตารและดวลฝีมือกันด้วยอาวุธและทุกอย่างที่มี ผู้อยู่รอดเพียงหนึ่งจะมีโอกาสได้คว้าสิ่งที่เรียกว่า มงกุฎ ซึ่งผู้ที่ได้มันมา ว่ากันว่ามันคือรางวัลที่จะเปลี่ยนชีวิตของคน คนนั้นไปตลอดกาลเช่น หากผู้ชนะเป็นคนยาจก จะกลายเป็นมหาเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนหรือหากมีอะไรที่อยากได้ ก็จะได้ตามปราถนา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ทว่ากลับมีการมาของพวก Hacker ที่เข้ามาแทรกแซงเกม Battle Royale นี้ พร้อมเข้าทำร้ายผู้เล่นจนเเกิดการบาดเจ็บจริงๆ ขึ้นมา ไม่รู้ว่าเข้าแทรกแซงได้ด้วยวิธีไหน แต่รู้เพียงแค่ว่าพวกนั้นก็ต้องการ มงกุฎ เช่นเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องหลังจากนี้ ผู้เล่นจะต้องสืบหาเรื่องราวผ่านการเก็บ Memory Shard ซึ่งจะกล่าวในภายหลัง สำหรับคนที่ไม่ชอบแนว Battle Royale อย่างคนเขียนแล้ว รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนชวนปวดหัวแต่กลับมีความลึกลับในเวลาเดียวกัน ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ขึ้นมา และในส่วนที่รู้สึกให้ความสนใจส่วนตัวคือ บริษัท Prisma Dimension ภายในเกมนี้มีความลับชวนอยากรู้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเกมปูให้ผู้เล่นได้เตรียมตัวเป็นนักสืบระหว่างการเล่นเพื่อขยายเนื้อเรื่องที่ถูกซ่อนไว้ ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้ต้องมีให้ทำมากกว่าการเอาตัวรอดจนเหลือคนสุดท้าย อย่ากดข้าม Tutorial ไม่งั้นคุณจะเล่นไม่รู้เรื่อง มีหลายๆ เกมที่เราข้ามโหมดการฝึกสอนก็ได้ไม่ส่งผลต่อการเล่นหรือบางคนมีพื้นฐานอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าโหมดนี้แต่สำหรับเกม Hyper Scape ขอให้โยนพื้นฐานรูปแบบการเล่นเดิมๆ ทิ้งออกไปเลย เพราะคุณจะได้เรียนรู้การอัพเกรดอาวุธหรือ Fuze ด้วยการเก็บอาวุธตัวเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสียหาย, การฝึกการเคลื่อนไหวแบบ Free Running, การใช้ Gadget ที่เรียกว่า Arsenal ทำให้โหมดการฝึกสอนนี้มีความสำคัญจริงๆ นอกจากนี้เราสามารถเลือก Avatar ได้มากถึงแปดตัวละครด้วยกันซึ่งแต่ละตัวละครนั้นอาจจะยังไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าหน้าตา, รูปร่างและประวัติแบบผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วประวัติตัวละครต่างๆ ที่ถูกซ่อนไว้จะอยู่ภายในเกมโดยต้องตามหาสิ่งที่เรียกว่า Memory Shard เช่นกันแต่จะกล่าวถึงส่วนนี้ภายหลังเช่นกันเพราะมันค่อนข้างสำคัญ โหมดการเล่นที่มีให้เลือกถึงสามแบบ โหมดการเล่นภายในเกมจะมีให้เล่นถึงสามแบบมีดังนี้ Squad: จะเป็นโหมดที่เล่นร่วมกับทีม 3 คน พร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คน โดยเราและเพื่อนร่วมทีมจะต้องเอาตัวรอดและเหลือเป็นทีมสุดท้ายให้ได้ Solo: จะเหมือนกับโหมด Squad แต่เราจะลุยเดี่ยวพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คนด้วยเช่นกัน ขอให้เราเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายก็ถือว่าชนะ Faction War: จะเป็นการเล่นแบบแบ่งทีมออกไปทั้งหมด 4 ทีม ทีมละ 24 คนแล้วถล่มกัน ทีมไหนรอดเป็นทีมสุดท้ายไม่ว่าจะกี่คนก็ตามถือว่าชนะไปเลย การควบคุมและ Interface ไม่ซับซ้อนแต่ต้องเชี่ยวชาญ การควบคุมจะเป็นมุมมองแบบ First Person Shooting ที่ต้องใช้ปุ่มวิ่ง, ก้ม, สไลด์, การปีนป่ายแบบ Free Running และการกระโดดที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายนัก ควบคุมง่ายรวมถึง Interface ที่ดูไม่รกเกินไป ถึงว่าออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว ในระหว่างรอคนใน Lobby นี้ อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยเฉพาะผู้เล่นใหม่ เพราะทุกสิ่งสามารถฝึกเราในการวิ่ง สไลด์หรือกระโดดข้ามสิ่งต่างๆ เพราะเกมนี้เป็นเกมค่อนข้างเร็ว ถือว่าออกแบบห้อง Lobby ได้ค่อนข้างอย่างชาญฉลาด ทำให้รู้สึกว่าผู้เล่นใหม่ได้มีเวลาวอร์มอัพกับการฝึกการเคลื่อนไหว การ Landing ลงพื้นก่อนใช่ว่าจะได้เปรียบ โดยปกติของเกมแนว Battle Royale แล้ว การลงพื้นก่อนย่อมสร้างความได้เปรียบในการค้นหาอาวุธและยุทโธปกรณ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเกม Hyper Scape เพราะคนที่ลงทีหลังเขาอาจจะเห็นกล่องอาวุธซุกซ่อนอยู่ชั้นบนหรือตามซอกตึกต่างๆ ซึ่งกล่องพวกนี้จะให้อาวุธคุณภาพที่ดีกว่าเสียส่วนใหญ่ สร้างความได้เปรียบได้มากกว่านั้นเอง Free Running คือหัวใจหลักของสนามแห่งนี้ ในแผนที่ Neo Arcadia จะเป็นลักษณะตัวเมืองที่มีตึกสูงเสียส่วนใหญ่ และระบบการเคลื่อนไหวที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป, สามารถสไลด์ระหว่างวิ่งได้ และมีระบบที่ช่วยปีนป่ายเมื่อใกล้ขอบมุมต่างๆ ทำให้เกิดการวิ่งแบบ Free Running ภายในเกม เคลื่อนที่ข้ามตึกต่างๆ ได้อย่างไม่มีสะดุด สำหรับเกมนี้การอยู่บนพื้นจะเป็นอะไรที่เสียเปรียบมากๆ ตรงกันข้ามหากอยู่ที่สูงกลับได้เปรียบ ฉีกกฎเกณฑ์จากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง Hacks Arsenal นี่คือสิ่งที่จะช่วยพลิกสถานะการณ์ ระบบนี้ที่ทำให้ Hyper Scape มีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ เลยก็คือระบบ Hack Arsenal ซึ่งพูดง่ายๆ เลยก็คือระบบสกิลที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 9 แบบด้วยกัน โดยล่าสุดได้เพิ่มสกิล Magnet ที่สามารถดูดคู่แข่งให้รวมอยู่จุดที่ใช้สกิลได้ ซึ่งสกิลทั้งหมดเราสามารถเลือกใช้งานได้สองสกิลเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะพลิกสถานะการณ์จากหลังมือเป็นหน้ามือได้เลยล่ะ อาวุธในเกมมีให้เล่นมากถึง 11 ชิ้น อาวุธภายในเกมที่มีตั้งแต่ตัวเกมเปิดตัวมาก็มีให้เยอะมากถึง 11 ชิ้นด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นสี่ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ปืนกล, ปืนพก, ไรเฟิล(รวมลูกซองด้วย) และ Launcher โดยตัวผู้เล่นสามารถแบกอาวุธติดตัวได้สองชิ้นให้เหมาะกับสถานะการณ์ได้ แต่ทว่าอาวุธในเกมกับมีพลังการทำลายที่ค่อนข้างเบามากๆ ยิงกันตายยากเสียเหลือเกินถ้าหากไมไ่ด้ทำการ Fuze หรืออัพเกรดตัวปืน ก็อาจจะรู้สึกหงุดหงิดในช่วงแรกๆ แต่เล่นไปสักพัก เดี๋ยวก็ชินเอง ระบบ Fuze อัพเกรดปืนให้เทพ แรงและดุดัน หากคุณประสบกับปัญหาอาวุธในเกม Hyper Scape ยิงใครไม่ค่อยตายล่ะก็ ขอทำความรู้จักกับระบบ Fuze หรือระบบอัพเกรดอาวุธภายในเกม ง่ายๆ เพียงคุณหยิบอาวุธตัวเดียวกันมาเพิ่ม ก็จะทำการอัพเกรดประสิทธิภาพทันที โดยเก็บซ้ำได้สูงสุดสี่กระบอก (รวมเก็บใช้ครั้งแรกก็เท่ากับต้องเก็บปืนเดียวกันห้ากระบอก) นอกจากนี้ยังสามารถทำการ Fuze พวก Arsenal เพื่อลดคูลดาวน์ได้ด้วย Memory Shard เนื้อเรื่องลับที่ถูกซ่อนไว้ในเกม สำหรับใครที่เป็นสายเสพเนื้อเรื่องแล้วชอบเล่นเกมแนว Battle Royale ในเวลาเดียวกันอาจจะถูกใจกับเกม Hyper Scape ก็เป็นไปได้เพราะตอนแรกเนื้อเรื่องอาจจะพูดถึงกันผิวเผิน แต่จริงๆ เนื้อเรื่องส่วนต่างๆ ถูกกระจัดกระจายและซุกซ่อนไว้ใน Memory Shard โดยสามารถตามหาพวกมันได้ตามจุดต่างๆ ภายในเกม โดยภายในจะมีการกล่าวถึงด้านลับๆ ของบริษัท Prisma Dimension รวมถึงประวัติตัวละครต่างๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกด้วย มันทำให้รู้สึกว่า มันไม่ใช่การเล่นเกมนี้เพื่อเอาชนะอย่างเดียว แต่หากใครรู้สึกยุ่งยากก็สามารถเมินเฉยกับมันได้เช่นกัน เลือกที่จะ ฆ่า หรือเลือกที่จะเป็น ผู้ถือมงกุฎ สำหรับวิธีการเอาชนะคู่แข่งในโหมด Solo และ Squad นอกจากการสังหารคนอื่นๆ ให้หมดจนเหลือรอดเพียงแค่หนึ่งเดียว ก็มีอีกวิธีที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้เช่นกันโดยเรียกมันว่า Showdown Time โดยไอ้ Showdown Time มันคือการมาของ มงกุฎ ซึ่งจะปรากฎให้เห็นในช่วงท้ายเกม โดยผู้เล่นจะต้องทำการชิงมันแล้วถือครองไว้ให้ได้ภายใน 45 วินาทีโดยผู้ที่ถือครองจะถูกแสดงตัวตนพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ จะทำการไล่ล่าเรา ฟังดูเหมือนใช้เวลานิดเดียว แต่สำหรับเกมนี้ 45 วินาทีถือว่ายาวนานมากๆ เพราะด้วยระบบเกมที่ว่องไว ฉะนั้นจึงต้องงัดทักษะและอาวุธทุกอย่างที่มีเพื่อมงกุฎอันล้ำค่านี้ บอกเลยว่า โค-ตะ-ระ มันมากๆ แต่มันก็อาจจะไม่มันเท่าไหร่สำหรับมือใหม่นัก เพราะมันคือการชิงไหวชิงพริบสกิลเพลย์ของผู้เล่นระดับสูงนั้นเอง หากคุณตาย อย่าเพิ่งออกเกมเพราะเราชุบได้ ในช่วงเวลาที่เราตายสำหรับโหมด Squad และ Faction War เราจะได้รับโอกาสในการชุบชีวิตโดยมีเงื่อนไขว่า เราจะต้องไปยังจุดที่คู่แข่งตาย จะปรากฎจุด Restore ทรงสามเหลี่ยมขึ้น ให้เรายืนรอในนั้นแล้วรอเพื่อนมากดชุบชีวิตอีกที แน่นอนว่าเราไม่สามารถยืนบนจุด Restore ของตัวเองได้ ทำให้ระบบการชุบชีวิตเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ไปเลย และยังสามารถชุบได้เรื่อยๆ ตราบใดที่มีจุด Restore จากการสังหารศัตรูให้เราเข้าไปรอเพื่อนชุบชีวิต โหมด Faction War ยกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกม คงอาจจะไม่พูดถึงโหมด Solo หรือ Squad มากนักเพราะมันก็แทบไม่แตกต่างอะไรนัก แต่สำหรับโหมด Faction War คงไม่พูดไม่ได้ เรายกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกมนี้ เพราะมันคือการนำทีม 24 คน มาตะลุมบอนกับทีมที่เหลืออีกสามทีม บอกเลยว่าสู้กันดุเดือดมากๆ และเหมาะกับผู้เล่นใหม่ที่สุดเพราะว่าไม่ต้องกังวลว่าเราอาจจะสู้ใครไม่ได้ เพราะเรามาเยอะ แน่นอนว่าสามัคคีคือพลังแม้ว่าเราจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม เพียงแค่อยู่แนวหลังค่อยๆ ช่วยยิงก็พอแล้ว ที่เหลือคือเรียนรู้พัฒนาฝีมือจนแกร่งกล้าก็ค่อยเล่นโหมดอื่นก็ยังไม่สาย ทำให้รู้สึกได้เลยว่าโหมดนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่และยิ่งคนเยอะ ทำให้เกมเพลย์ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดจึงพอสามารถยิงต่อสู้ได้บ้าง เจอรถเหลือง อย่าไปเหยียบหรือใกล้มัน ระบบนี้ถึงจะเป็นระบบเล็กๆ แต่ก็ไม่ควรจะละเลยมันคือรถสีเหลืองพวกนี้ หากเราเข้าใกล้หรือตกจากที่สูงไปเหยียบหลังคารถเมื่อไหร่ มันจะส่งเสียงดังพร้อมเผยตำแหน่งของเรา มันจะแย่มากหากเล่นในโหมด Solo หรือ Squad แต่มันก็จะแทบไม่มีผลอะไรกับโหมด Faction War นักเพราะพวกเยอะ ใครจะกล้ามายิงเรา Event Time สิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนการเล่นของเราชั่วพริบตา ระหว่างการเล่นนั้นเราอาจจะได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่า Event Time โดยจะมีปรากฎการณ์แบบสุ่มขึ้นมาในรูปแบบจำกัดเวลาเช่น เลือดฟื้นฟูไวขึ้น, กระโดดได้ถึงสี่สเต็ป, กระโดดสูง หรือแม้กระทั่งกระสุนไม่จำกัด นอกจากนี้ยังมีอื่นๆ อีกมากมายที่จะรอเซอไพร์สเราอีก มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นและบางครั้งมันอาจจะเปลี่ยนหรือพลิกสถานะการณ์ได้เลยล่ะ กราฟิคและ Performance ในเกมอาจจะยังขัดใจ สำหรับกราฟิกในเกม Hyper Scape ก็สวยใช้ได้ในแบบของมัน แต่ถามว่ามันดูลื่นไหลหรือดีขนาดนั้นไหม ก็ตอบได้เลยว่าอาจจะไม่โดยเฉพาะโหมด Faction War ที่บางครั้งหากตะลุมบอนกันจำนวนมากในจุดเดียวอาจจะเกิดการ Lag หรือกระตุกได้ รวมถึงบัคเสียงหายที่ยังแก้ไม่หายในช่วง Closed Beta Test จากที่เล่นเกมฟังเสียงระทึกมันๆ จู่ๆ เสียงก็หายไปดื้อๆ อาจจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันเสียหน่อย ================================================== โดยสรุปแล้ว Hyper Scape เป็นเกมแนว Battle Royale ที่แปลกใหม่ แต่ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่เช่นกัน (ยกเว้น Faction War) ด้วยระบบเกมที่ไว ยิงไว เคลื่อนที่ไว แต่ยิงตายกันยากหากไม่แม่นพอ แต่ใช่ว่ามือใหม่จะเล่นไม่ได้เลยต้องอาศัยเวลาการปรับตัวระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วสนุก ใช้เวลาจบเกมไม่นานและที่สำคัญเลยคือหากใครชอบแนวเกมไว Hyper Scape อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทายและตอบโจทย์ได้อย่างดีแน่นอน [penci_review id="65106"]
24 Aug 2020
รีวิวเกม Necrobarista กาแฟแก้วสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์
-หมายเหตุ : ผู้เขียนใช้เวลาในการ เล่น และ อ่าน เนื้อหาของเกมนี้ทั้ง 10 Episodes เป็นเวลา 6 ชั่วโมง และยังคงพยายามเก็บเนื้อหา Side-Story ที่ยังเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง ระยะเวลาในการเล่นขึ้นกับผู้เล่นแต่ละคนเป็นสำคัญ... -หมายเหตุ 2 : Necrobarista มีอยู่บนระบบ Mac iOS ผ่าน Apple Arcade ที่ผู้ใช้ Mac สามารถหามาเล่นได้จาก ที่นี่ และมีกำหนดจะพอร์ทลงสู่ระบบ Playstation 4 และ Nintendo Switch ในปี 2021 ที่จะถึงนี้ ถ้าหากจะพูดกันถึง ‘ร้านกาแฟ’ แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านที่มีเชนสาขาขนาดใหญ่ หรือร้านแผงเล็กๆ ในปากซอยหมู่บ้าน ต่างก็มีเสน่ห์และบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป มันเป็นทั้งที่ดื่มด่ำในรสชาติของกาแฟอย่างเข้มขรึม เป็นที่รวมพลถกเรื่องราวในสังคม เป็นที่พักใจเล็กๆ สำหรับนักเขียน และอาจจะเป็นสถานที่สุดพิเศษที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนที่หลากหลาย และแน่นอนว่า ร้านกาแฟ ก็ปรากฏในสื่อบันเทิงอยู่มากมาย อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Settings ที่พบเห็นได้บ่อยเป็นลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ (เช่น นวนิยายญี่ปุ่น ‘เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น (Café Funiculi Funicula)’ ของโทชิคาซึ คาวางุจิ ที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะพิเศษ จนได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 2018) [caption id="attachment_63988" align="aligncenter" width="555"] เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น ของโทชิคาซึ คาวางุจิ แปลโดยคุณฉัตรขวัญ อดิศัย แพรวสำนักพิมพ์ เป็นนวนิยายแสนอบอุ่นขนาดกะทัดรัดที่ผู้เขียนขอแนะนำ[/caption] แต่สำหรับแวดวงวิดีโอเกม ร้านกาแฟ กลับเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก ท่ามกลางความสุดสวิงของเนื้อหาที่หลากหลาย ความเรียบง่ายและง่ายงามของร้านกาแฟกลับเป็นสิ่งที่ยากจะพบ และนั่นทำให้ ‘Necrobarista’ จากทีมพัฒนาสายอินดี้สัญชาติออสเตรเลีย Route 59 นั้น ดูมีความพิเศษขึ้นมา ไม่ใช่แค่ในส่วนของเนื้อหา หากแต่เป็นองค์ประกอบศิลป์โดยภาพรวม ที่ขับเน้นให้เกม ‘Visual Novel’ ชิ้นนี้ โดดเด่นจับตาและมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน -The Terminal : ร้านกาแฟแห่งนี้ขอต้อนรับ ทั้งคนเป็นและคนตาย (แต่ไม่มี WiFi โปรดเข้าใจ...) Necrobarista บอกเล่าเรื่องราวของร้านกาแฟ ‘The Terminal’ กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่เป็น ‘จุดเปลี่ยนผ่าน’ ระหว่างคนเป็นและคนตาย กับวิถีชีวิตของ Maddy ‘บาริสต้าหมอผี (Necrobarista)’ ผู้ทำหน้าที่ชงกาแฟแก้วสุดท้ายให้กับผู้วายชนม์ที่แวะเวียนเข้ามา และให้ใช้เวลา 24 ชั่วโมงสุดท้ายร่วมกับคนเป็นก่อนจะเดินทางไปสู่โลกหน้า และในเกมนี้ ก็คือเรื่องราว 24 ชั่วโมงอันสุดพิเศษ ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน ความโกลาหล การเล่นแร่แปรมนต์ และผู้คนที่ผ่านทางเข้ามา ไม่ว่าจะทั้งคนเป็นหรือคนตาย [caption id="attachment_63973" align="aligncenter" width="1024"] Maddy บาริสต้าหมอผี (Necrobarista) แห่งร้าน The Terminal กับชีวิตอันไม่สามัญระหว่างคนเป็นและคนตายที่เธอต้องพบเจอ[/caption] ในเบื้องต้น สิ่งที่โดดเด่นเป็นอย่างมากสำหรับ Necrobarista นั้น คือการที่มันเป็นเกม Visual Novel ที่เลือกใช้การนำเสนอกราฟิกแบบ 3d สไตล์ Cel-Shaded โทนสีอบอุ่นสบายตา คลอไปกับดนตรีประกอบแบบ Lo-Fi ที่ฟังแล้วสบายใจ ในขณะที่เรื่องราวของ Maddy ดำเนินไป ผ่าน Episode ทั้ง 10 ในรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมง อันเป็นกิจวัตรอันแสนจะเป็นปกติสำหรับเธอ (ที่ก็ยุ่งเหยิงจนเราเผลอลืมไปว่าที่แห่งนี้ คือจุดพักกึ่งกลางระหว่างคนเป็นและคนตาย) [caption id="attachment_63974" align="aligncenter" width="1024"] การใช้งานศิลป์แบบ 3d Cel-Shaded โทนสีอบอุ่น คลอไปด้วยเพลงแบบ Lo-Fi ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ประหนึ่งอยู่ในร้านกาแฟจริงๆ อย่างไงอย่างงั้น[/caption] แน่นอนว่าองค์ประกอบศิลป์ที่โดดเด่น ถูกนำมาขับเน้นด้วยบรรดาตัวละครเสริมที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทั้งตัวของ Maddy, Chay เชฟและผู้ช่วยจิปาถะ อดีต บาริสต้าหมอผี อมตะอายุ 200 ปี, Ashley เด็กสาวอัจฉริยะนักประดิษฐ์ผู้เสพติดคาเฟอีนเข้าเส้น จนถึง Kishan วิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาใช้เวลาร่วมกับพลพรรคแห่งร้าน The Terminal ใน 24 ชั่วโมงสุดท้าย ยังไม่นับรวมเหล่าตัวละครอื่นๆ ที่มีทั้งฮิปสเตอร์, มาเฟีย, คนจร และสมาชิกสภาผู้วายชนม์ (Council of Death) ผู้คุมกฎแห่งร้าน (และเป็นผู้ออกกฎ 24 ชั่วโมงที่ไม่อาจละเมิดได้…) ที่ทำให้เรื่องราวนั้น น่าติดตาม เพราะมันไม่ได้เพียงแค่บอกเล่าเนื้อหาที่เหนือธรรมชาติ แต่มันยังพูดถึงความรักความผูกพัน ความลำบากใจ ปัญหาชีวิต การรักษาสมดุลระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย การทำสิ่งตกค้างที่เหลืออยู่ ไปจนถึงการปล่อยวางในวาระสุดท้าย เรียกได้ว่ามันเป็นนวนิยายภาพที่ครบรส และอ่านได้สนุก ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ชวนให้ติดตามเป็นอย่างมาก [caption id="attachment_64281" align="alignnone" width="1024"] แม้จะเป็นวิญญาณจร แต่ Kishan ก็เป็นตัวละครที่ชวนให้เราตั้งคำถามกับ ชีวิต ได้อย่างลึกซึ้ง ภายใต้การบอกเล่านำเสนออย่างลื่นไหล และชวนให้กระตุกความคิดไว้อย่างมาก[/caption] แน่นอนว่าในประเด็นเนื้อหาหลักใหญ่นั้น มองดูเผินๆ แล้วจะดำเนินผ่านสายตาของ Maddy กับ Chay แต่การพูดถึง ชีวิตและความตาย กับ การรับมือในห้วงวาระสุดท้าย ก็ต้องยกให้ตัวละครอย่าง Kishan ที่ในตลอดทั้ง 10 Episodes นี้ คือคนที่แบกรับความรู้สึกไว้หนักหน่วงที่สุด ความสงสัยในสาเหตุการตาย การหลงเหลือสิ่งที่ตกค้างที่ยังไม่ได้ทำ การผูกความสัมพันธ์กับผู้คน (ที่มันอาจจะสั้นเพียงแค่ 24 ชั่วโมง) และการทำความเข้าใจกับสภาวะปัจจุบันของตัวเองและการต้อง เลือก ที่จะก้าวข้ามไปโลกหน้าโดยไม่เหลือสิ่งใดค้างคา หากแต่เต็มไปด้วยความกลัวและไม่แน่ใจ เหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถนำเสนอออกมาได้อย่างง่ายๆ (เพราะเรื่องหลังความตาย ตกอยู่ในขอบเขตที่เป็นนามธรรม เปิดกว้างต่อการตีความอย่างสูง...) แต่บรรดาตัวละครที่ผ่านทางเข้ามา ก็ช่วยให้มันมีความ ลื่นไหล และ ติดดิน ภายใต้ Settings ที่ผสมผสานความเหนือจริงเข้ากับวิถีชีวิตในแบบปกติธรรมดา ที่ทีมงาน Route 59 ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม กลมกล่อม และหลายครั้งก็ชวนให้กระตุกคิดถึงชีวิตในฐานะ คนเป็น อย่างเราๆ อยู่ไม่น้อย -ชีวิตหลากสีสัน ในแต่ละวันของ The Terminal นอกเหนือจากเนื้อหาหลักทั้ง 10 Episodes แล้วนั้น ตัวเกมยังพ่วงด้วยระบบ ‘เนื้อหาเสริม (Side-Story)’ ที่จะปลดล็อคด้วย Token ที่จะมีให้เลือกในระหว่าง Episode เอาไว้สำหรับปลดล็อคเนื้อหาในช่วง Intercourse ซึ่งก็มีตั้งแต่เรื่องราวชวนหัวเบาสมอง เรื่องราวที่ซีเรียสจริงจัง แม้จะไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อไปให้ถึงปลายทางตอนจบของเกม แต่การได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชายชราขาจรที่ชื่อพ้องกับเหล้า Jack Daniels ผู้ชอบร่ำดื่มในโอกาสพิเศษ, ความขัดแย้งของ Maddy กับ Ned สมาชิกสภาผู้วายชนม์ คู่กัดไม้เบื่อไม้เมาเกี่ยวกับการ อนุโลม ให้วิญญาณจรอยู่เกิน 24 ชั่วโมง (ที่กลายเป็นปัญหา หนี้เวลา ที่เธอยังหาทางชดใช้ไม่ได้...) ไปจนถึงเรื่องเบาสมองของการประดิษฐ์หุ่นยนต์ของ Ashley ที่น่ารักหยิกแกมหยอก ก็ช่วยขยายโลกของเกม และเรื่องราวของร้าน The Terminal แห่งนี้ให้ชัดเจน จับต้องได้มากยิ่งขึ้น [caption id="attachment_63976" align="aligncenter" width="1024"] เนื้อหาเสริมหรือ Side-Story ที่มีให้ปลดล็อคและ อ่าน คั่นจังหวะระหว่างแต่ละ Episode ที่เปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย น่าติดตาม[/caption] -เน้น เล่า ไม่เน้น เล่น... อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเนื้อหาที่อ่านได้สนุก งานภาพสวยงาม ดนตรีไพเราะ และตัวละครที่มีสีสันและบุคลิกเฉพาะตัว แต่ Necrobarista นั้นก็ทำหน้าที่เป็น ‘Visual Novel’ หรือนวนิยายภาพชนิดตั้งแต่หัวจรดท้าย นั่นเพราะสิ่งที่ผู้เล่นสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ ก็คือการเดินสำรวจ ดูเรื่องราว และปลดล็อคเนื้อหาเสริม ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น และเรียกร้องการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาด้วยการ ‘อ่าน’ ที่มากอย่างมีนัยสำคัญ [caption id="attachment_63977" align="aligncenter" width="1024"] การเลือก คำ เพื่อปลดล็อค Token สำหรับเนื้อหาเสริม ดูจะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ในการดึงผู้เล่นให้เข้าสู่โลกอีกด้านของตัวเกม...[/caption] ซึ่งในจุดนี้ ถ้าเทียบกับเกมแนวที่ใกล้เคียงกันอย่าง VA-11 Hall-A: Cyberpunk Bartender Action ของ Sukeban Games ทีมอินดี้จากเวเนซุเอลา หรือ Coffee Talk ของ Toge Productions (ที่คุณสามารถอ่านรีวิวโดยคุณ ll7777ll ได้จาก ที่นี่) แล้วนั้น จะพบว่าสองเกมที่กล่าวถึง จะมีการปฏิสัมพันธ์และการใส่ Mini-Games ที่ผู้เล่นสามารถ ‘เล่น’ ได้มากกว่า ซึ่งทำให้ Necrobarista นั้น อาจจะกลายเป็นยาขมหรือยานอนหลับชวนง่วงไปเสียก่อนถ้าหากคุณไม่ใช่สายอ่านอย่างจริงจัง (แม้ว่าไดอะล็อกจะถูกเขียนขึ้นอย่างคมคาย ทั้งเนื้อหาและจังหวะการหยอดมุกก็ตาม) ไปจนถึงปัญหาทางเทคนิคประปราย จากการที่เกมถูกสร้างด้วยเอนจิ้น Unity (ที่ผู้เขียนแม้จะใช้การ์ดจอ RTX 2070 Super แต่ก็ยังมีแอบพบอาการกระตุกให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว) แต่ถ้าจะนับสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ สำหรับ Necrobarista นั้น คือระบบการปลดล็อค Side-Story หรือเนื้อหาเสริม ที่การเลือก Keyword ในระหว่าง Episode เพื่อสะสม Token นั้น แทบจะไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าผู้เล่นจะได้รับ Token แบบไหนมาอยู่ในมือ ซึ่งในขณะที่พิมพ์บทความชิ้นนี้ ผู้เขียนก็ปลดล็อคไปได้แค่ครึ่งเดียว และวัดจากจำนวนแล้วก็อาจจะน้อยไปสักนิด แม้ว่าทาง Route 59 สัญญาว่าจะเพิ่มเติมในส่วนนี้เข้ามาให้ฟรีๆ ในอัพเดทภายหลังก็ตาม -แก้วสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร Necrobarista ก็ถือได้ว่าเป็นผลงานที่ชัดเจนในแนวทางของตัวเอง ไม่ประนีประนอมต่อรูปแบบการนำเสนอ และผ่านการคิดและเขียนขึ้นอย่างละเมียดละไม มันใช้ฉากหลังที่ผสมเรื่องราวเหนือธรรมชาติ  (บาริสต้าหมอผีกับเหล่าวิญญาณจรที่ผ่านทางเข้ามา…) แต่ในแต่ละเรื่องราว มันกำลังพูดถึงความเป็น ‘มนุษย์’ ที่ชัดถ้อยในจุดประสงค์ มีแง่มุมให้ขบคิด และชวนให้เราย้อนระลึกว่าความรักความผูกพัน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และการ ‘ปล่อยวาง’ ในช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ มีคุณค่าและความสำคัญมากเพียงใด กล่าวโดยสรุป มันอาจจะไม่ใช่เกมที่เหมาะสมสำหรับทุกคน (อย่างที่กล่าวไปข้างต้น มันไม่ประนีประนอมในการนำเสนอเลยแม้แต่นิดเดียว) และเรียกร้องการมีส่วนร่วมอย่างสูง แต่ Pace และเนื้อหาที่มันนำเสนอ ก็น่าเอนกายผ่อนใจให้เราชะลอจังหวะชีวิต ค่อยๆ จิบและดื่มด่ำกับเรื่องราวที่จะคลี่ห่มอย่างอบอุ่น เช่นเดียวกับการห่อหุ้มความรู้สึกด้วยรสชาติแห่งกาแฟ มันคือเกมขนาดเล็ก แต่บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เล็ก และมีคุณสมบัติที่ครบพร้อม แม้ว่ามันจะใช้เวลาถึงสามปีกว่าที่จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ฉายให้เห็นว่า เส้นทางของทีม Route 59 นั้น มีรสนิยม เข้าใจคิด ไม่ติดในเรื่องการนำเสนอ และยังทอดยาวออกไปได้ไกลแค่ไหน … “ซึ่งถ้าเปรียบพวกเขาเป็นบาริสต้าแล้วนั้น เรื่องราวที่หลากหลายผสมผสานกันในครั้งนี้ ก็ยอดเยี่ยม เฉกเช่นกาแฟที่คั่วจากเมล็ดชั้นดีที่ชวนให้เราร่ำดื่ม และย้อนกลับมาหามัน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่านั้นเอง…” [penci_review id="63970"]
24 Aug 2020
เผยความรู้สึกหลังเล่น Mortal Shell "ส่วมเปลือกแล้วออกล่าปืศาจ ด้วยศาตราทั้งสี่"
Mortal Shell คือเกมแนว Action RPG สไตล์ Dungeon Crawler น้องใหม่ ที่วางจำหน่ายครั้งแรกวันที่ 18 สิงหาคม 2020 โดยเกมนี้เป็นผลงานแรกจากทาง Cold Symmetry ที่ก่อตั้งในปี 2017 ตัวเกมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Dark Souls นั้นจึงหมายความว่าในเรื่องของความยากแล้ว สามารถขาดหวังจากเกมนี้ได้อย่างแน่นอนครับ เป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้พัฒนา ซึ่งก่อตั้งได้ไม่นานอย่าง Cold Symmetry เลือกที่จะพัฒนาเกมแรกเป็นแนวนี้ (เอาจริงๆ เกมแนวนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมมากมายอะไรขนาดนั้น) ดังนั้นถ้าพูดตรงๆ คือผมคาดหวังกับเกมนี้ไว้พอสมควรเลยครับ เพราะการที่กล้าทำเกมแรกของตัวเองออกมาเป็นแนวนี้ แปลว่าต้องมั่นใจพอสมควรเลยว่าจะขายได้ ส่วนว่าเกมนี้จะดีอย่างที่คิดรึเปล่า ไปดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ ผู้เล่นจะตื่นขึ้นมาในโลกที่วางเปล่า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร มีเป้าหมายอะไร หรือมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร สิ่งเดียวที่รู้คือโลกที่เราตื่นขึ้นมาใบนี้ไม่ใช้โลกของเราเอง และโลกใบนี้กำลังพังทลายลงอย่างช้าๆ เมื่อออกเดินทางไปได้สักพัก ผู้เล่นจะได้พบกับยักษ์ปริศนาที่ถูกจองจำด้วยโซ้ขนาดใหญ่ โดยเขาจะไหว้วานให้เราช่วยไปเอาของบางอย่างจากส่วนลึกสุดของวิหารทั้ง 3 รอบๆ นี้มาให้ แต่เส้นทางที่จะไปยังส่วนลึกสุดของวิหารทั้ง 3 ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด และได้แต่หวังว่าจะได้พบคำตอบของการเดินทางครั้งนี้ในเร็ววัน อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่ผมกล่าวมาในข้างต้นเป็นสิ่งที่ สรุปเอาเองจากข้อมูลต่างๆ ที่สามารถหาอ่านได้ในเกมเอง กล่าวคือ เกมนี้ไม่ได้เริ่มต้นโดยมีการเกริ่นนํา หรือคัทซีนให้ดู สิ่งที่ผู้เล่นจะได้รับมีสิ่งเดียว คือการถูกโยนเข้าไปในโลกของเกมเลย การหาคำตอบของเนื้อเรื่อง จึงต้องทำเอาเองจากการอ่าน Dialog กับคำอธิบายของไอเทมต่างๆ ในเกม จากบทสัมภาษณ์ IGN Summer of Game Interview ผู้พัฒนาได้ได้เคยกล่าวว่า "ในเกม ทุกสิ่งมีชีวิตต่างค้นหาคำตอบและเป้าหมายของการมีชีวิต ไม่ใช้แค่ผู้เล่น แต่เหล่า NPC รวมไปจนถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ เองก็เช่นกัน บ้างก็ได้พบกับมัน บ้างก็ไม่" ดังนั้นผมคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่าเนื้อเรื่อง ที่ผมเข้าใจคือสิ่งที่ผู้พัฒนาอยากจะสื่อจริงๆ หรือไม่ ครับ ในจุดนี้ผมเองก็พูดได้ไม่เต็มปากเหมือนกันว่ามันเป็นข้อดีหรือข้อเสียของเกม เพราะสำหรับผู้เล่นที่ชอบปริศนา กับการตีความก็คงจะสนุกที่ได้หาคำตอบของเนื้อเรื่องในเกมนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช้ทุกคนที่จะชอบการทำอะไรแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าแค่อยากเล่นเกมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตีความหรือคิดอะไรให้ปวดหัว ผมแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปเลยครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PC ด้วยการตั้งค่ากราฟิกแบบ "Ultra" ซึ่งต้องยอมรับว่า Mortal Shell เป็นเกมที่ทำในเรื่องของกราฟิกมาได้ค่อนข้างสวยงามครับ น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ผู้เล่นจะได้เดินทางอยู่ในสถานที่ค่อนข้างมืดมิด ทำให้ไม่ค่อยได้เห็นเอฟเฟ็คแสงอาทิตย์เท่าไหร่นัก แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นเกมที่ภาพสวยมากเกมหนึ่งเลยครับ ถ้าให้จำกัดความง่ายๆ คงต้องบอกว่า "MS (Mortal Shell) คือเกม DS (Dark Souls) ขนาดย่อ" ครับ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาย, โทนสี, มุมมอง รวมไปจนถึงการใส่คำอธิบายรายละเอียดของไอเทมต่างๆ ทั้งของสวมใส่ หรือไอเทมกดใช้ ล่วนแล้วแต่มีความเหมือนกับ DS เป็นอย่างมาก ถ้าถามว่า "ทั้ง 2 เกมแตกต่างกันตรงไหน" คงต้องตอบว่าเป็นในส่วนของ เกมเพลย์ ครับ โดยผมจะข่อกล่าวต่อข้างล่างนี้ ถ้าจะพูดถึงข้อเสีย คงเป็นในเรื่องความใหญ่ของโลกภายในเกม เพราะเอาจริงๆ ตัวเกมนั้นมีขนาดของแผนที่โลกค่อนข้างเล็ก เราสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 10 - 18 ชั่วโมงในการเล่นเกมนี้จนเคลียร์ (ถ้าเล่นเกมแนวนี้เก่งมากๆ อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น) แถมโลกของ MS ก็ไม่ค่อยมีความลับอะไรให้สำรวจมากมายด้วยครับ คือถ้าเกิดว่าผู้พัฒนาใส่ใจรายละเอียดมากกว่านี้, มีการใส่ไอเทมลับเข้าไปในจุดต่างๆ ของเกมมากกว่านี้, และมีความยาวของเกมมากกว่านี้ ตัวเกมอาจถือว่ายอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้ [caption id="attachment_64891" align="aligncenter" width="1920"] กราฟิกสวยมาก[/caption] ◊ เกมเพลย์ ◊ ในเรื่องของเกมเพลย์ ถ้าบอกว่าเป็นเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก DS หลายคนคงเห็นภาพว่าเกมนี้จะต้องยากมากๆ แน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว MS ก็เป็นเกมที่ยากจริงครับ แต่ยากคนละแบบกับเกมในตระกูล Soulsborne ถ้าให้สรุปง่ายๆ คงต้องบอกว่าเกมตระกูล Souls ความยากจะอยู่ที่ความหลากหลายของศัตรูในเกม โดยความหลากหลายดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการต่อสู้ใหม่อยู่บ่อยๆ แต่ใน MS ความยากของเกมนี้อยู่ตรงที่ ผู้เล่นจะทำการเพิ่มเลือกของตัวละครได้ยากมากแทนครับ ใน DS ผู้เล่นจะเกิดมาพร้อมกับ Estus Flask ที่สามารถใช้เพิ่มเลือดได้ และจะเติมจนเต็มทุกครั้งถ้าเรากดนั่งพักที่ Bonfire ทำให้ผู้พัฒนาสามารถออกแบบศัตรูในเกมให้เก่งได้อย่างเต็มที่ เพราะผู้เล่นมีไอเทมที่ใช้เพิ่มเลือดเหลือเฟือ แต่เนื่องจาก MS ไม่ใช้เกมที่ใหญ่ และมีความแตกต่างของศัตรูมากมายเท่า DS ผู้พัฒนาจึงทำให้ในเกมนี้วิธีการเพิ่มเลือดให้กับตัวละครของเราทำได้ยากแทน ดังนั้นการพลาดโดนท่าโจมตีตีหนักๆ หนึ่งครั้ง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ถึงตายได้ง่ายๆ เลยครับ มาพูดถึงระบบต่อสู้ในเกมบ้าง ภายใน MS มีหนึ่งระบบที่น่าสนใจมากๆ อยู่ครับ ระบบดังกล่าวคือการ ทำให้ตัวละครของเรา "แข็งขึ้น" โดยตอนที่เราตัวแข็งอยู่นั้น การโจมตีเกือบทั้งหมดในเกม จะไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย แต่ก็สามารถรับการโจมตีได้ครั้งเดียวเท่านั้น การกดแข็งสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่โจมตี, กระโดด, วิ่ง, หรือว่าล้มอยู่ ซึ่งมันทำให้รูปแบบการต่อสู้ กับการเอาตัวรอดในเกมนี้แปลก และไม่เหมือนใครทั้งยังมีสเนห์มากครับ ในทางกลับกันระบบสตามิน่าของเกมนี้จะค่อนข้างแตกต่างจาก DS ที่แถบจะเริ่มรีทันที หลังจากเราหยุดออกท่าโจมตี หรือวิ่ง แต่ใน MS สตามิน่าของเราจะเริ่มต้นรีหลังจากหยุดออกท่าประมาณ 0.5 วินาที พูดง่ายๆ ว่าผู้เล่นจำเป็นต้องเหลือสตามิน่าไว้เล็กน้อยทุกครั้งเพื่อใช้ในการหลบ จนส่งผลให้ความเร็วในการต่อสู้ของเกมนี้ โดยรวมช้ายิ่งกว่า DS เสียอีก แต่เมื่อจับจังหวะได้แล้ว การสู้กับศัตรูในเกมนี้ก็ไม่ใช้เรื่องยากอีกต่อไปครับ เพราะอย่างที่บอกว่าเกมนี้มีความหลากหลายของศัครูที่ค่อนข้างน้อย การจับจังหวะของ 1 ตัวได้ หมายถึงการจับจังหวะของอีกหลายๆ ตัวในเกมได้เลยนั้นเอง แตกต่างจาก DS ที่ให้ผู้เล่นสามารถนำชุดเกราะ จากศัตรูต่างๆ มาใส่ได้อย่างอิสระ MS นั้น มีชุดเกราะ กับอาวุธแค่อย่างละ 4 แบบ ให้เราเลือกใช้เท่านั้น โดยชุดเกราะทั้ง 4 ก็คือ "Shell" หรือ "เปลือก" นั้นเอง ซึ่งเปลือกแต่ละอันก็จะมีสเตตัสที่แตกต่างกันไป บางเปลือกอาจมีเลือกเยอะ แต่สตามิน่าน้อย, บางเปลือกอาจมีมานาเยอะ แต่มีเลือด กับสตามิน่าน้อย หรือบางเปลือกอาจมีสเตตัสทุกอย่างสมดุลกัน ในส่วนของอาวุธ ด้วยความที่เกมนี้มีอาวุธให้เราใช้เพียงแค่ 4 อย่างเท่านั้นคือ ดาบสองมือ, ดาบใหญ่, คทาเหล็กยักษ์, และค้อนกับลิ่ม มันจึงทำให้รูปแบบเกมเพลย์ของ MS นั้นน้อยตามลงไปด้วย แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้เราสามารถใช้อาวุธหนึ่งชนิดได้ชำนาญอย่างรวดเร็วเช่นกัน ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนกันไปครับ ทั้งเปลือก และอาวุธสามารถอัพเกรดได้ในเกมนี้ แต่ไม่เหมือน DS ที่ผู้เล่นสามารถเลือกใส่ความสามารถ หรือธาตุเข้าไปในอาวุธได้อย่างอิสระ ใน Mortal Shell อาวุธแต่ละชิ้นจะมีธาตุ กับความสามารถของตัวเองอยู่แล้ว การอัพเกรดในเกมนี้ จึงเป็นเหมือนการปลกล็อคความสามารถของอุปกรณ์มากกว่าครับ ◊ สรุป ◊ ถ้าเอาแค่ความรู้สึกของผมหลังจากได้เล่นเลย คงต้องบอกว่าผิดหวังครับ พูดตรงๆ เลยผมคิดว่าเกมนี้มีองค์ประกอบที่ดีครับ ถ้าหากว่าทำโลกออกมาให้ใหญ่กว่านี้, มอบอิสระให้กับผู้เล่นมากกว่านี้, และใส่ใจกับรายละเอียดของเกมมากกว่านี้ Mortal Shell จะกลายเป็นหนึ่งในเกมที่ดีมากๆ แต่ด้วยข้อจำกัดที่ผมพูดมาก่อนหน้านี้ มันเลยทำให้รู้สึกแค่ ธรรมดา ค่อนไปทางห่วยมากกว่า ถ้าถามว่าเกมนี้ควรจะได้คะแนนเท่าไหร่ ผมคิดว่าคงจะอยู่ที่ประมาณ 7 เต็ม 10 เท่านั้นครับ แต่ในเมื่อบอกว่า "นี้คือเกมแรกจากทาง Cold Symmetry ที่เพิ่งก่อตั้งในปี 2017" แล้ว คิดว่าก็เข้าได้อยู่ที่เกมนี้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรมากมายนัก ต้องรอดูต่อไปว่าผลงานชิ้นที่ 2 ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรครับ [penci_review id="64796"]
20 Aug 2020
เล่าประสบการณ์ หลังสัมผัส Rocket Arena "ทำไมถึงไม่เป็นเกม F2P?!"
Rocket Arena เกม Hero Shooter แบบ 3v3 ที่ผู้เล่นทุกคนจะได้ใช้อาวุธปืนยิงจรวดในการเผชิญหน้ากัน เกมดังกล่าวนี้ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับ Overwatch เล็กน้อย แต่จุดเด่นของเกมนี้คือการที่ผู้เล่นจะได้ใช้ปืนยิงจรวดในการปะทะกันพร้อมกับทำเป้าหมายต่างๆ ที่เกมสุ่มมาให้ในแต่ละแมตซ์ให้สำเร็จ แต่ตัวเกมนี้ถึงแม้จะมีหลากหลายโหมดและหลายเป้าหมายให้ผู้เล่นได้เล่นกันก็ตาม แต่มันยังไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความคุ้มค่ามากนักหากต้องซื้อเกมนี้มาเล่นในราคาเต็ม 999 บาท เพราะอะไรผู้เขียนจึงคิดเช่นนี้ ก็สามารถอ่านได้จากข้างล่างนี้เลยครับ! กราฟิก กราฟิกของเกม Rocket Arena นั้นโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันค่อนข้างสวยทีเดียวครับ สีสันสดใสแต่ไม่ได้ระคายตาแต่อย่างใด โมเดลตัวละคร 3D ก็นับว่าน่ารักใช้ได้ ส่วนวัตถุแวดล้อมต่างๆ ในแผนที่ อย่างก้อนหิน ต้นเสา ต้นไม้ นั้นไม่ได้สวยเท่าไหร่นัก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะไม่ได้เน้นตกแต่งรายละเอียดสภาพแวดล้อมมากนัก แต่ก็พอเข้าใจเรื่องนี้ได้ครับ เนื่องจากเกมนี้เป็นเกมที่ตัวละครของผู้เล่นจะเคลื่อนไหวแทบตลอดเวลา แถมแต่ละแมตซ์ในเกมก็จบค่อนข้างเร็ว อีกทั้งการเคลื่อนไหวของตัวละครก็เร็วพอสมควร ดังนั้นผู้พัฒนาจึงละทิ้งรายละเอียดของพวกก้อนหิน หรือกำแพงไป เพื่อเน้นในเรื่องอื่นแทน แต่สิ่งที่มาทดแทนความสวยงามของสภาพแวดล้อมพวกนี้ก็คือความสวยงามของเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์สกิล และเอฟเฟกต์อาวุธของตัวละคร เนื่องด้วยอาวุธของตัวละครนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นกระสุนระเบิด แต่ก็มีทั้งรูปแบบระเบิดไพ่ เครื่องยิงระเบิดน้ำ หรือกระทั่งหอกระเบิด ดังนั้นเอฟเฟกต์ต่างๆ ภายในเกมนี้จึงเยอะมาก แต่สำหรับเครื่องคอมระดับกลางๆ ก็ไม่ได้เกิดอาการกระตุกเลยแม้แต่น้อยครับ และเกมนี้มีแผนที่หลายแบบเหมือนกัน ทั้งแบบที่มีอาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่โล่งกว้างที่มีเพียงหิน นอกจากนี้โมเดลตัวละครก็ถือว่าน่ารักมากเช่นกัน รูปลักษณ์ตัวละครทั้งสิบภายในเกมนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่ถือ อุปกรณ์ที่สวมใส่ หรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนที่ อย่างเครื่องไอพ่นที่ติดอยู่บริเวณหลังสำหรับลอยตัวกลางอากาศไปจนถึง Hoverboard ของ Rev ที่เธอสามารถใช้เร่งความเร็วในการเคลื่อนที่หรือใช้โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย เกมเพลย์ ตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาเอง ทั้งการใช้สกิลเพื่อโจมตีหรือหลบหลีก และเกมนี้จะค่อนข้างเป็นเกมที่ตัวละครเคลื่อนที่เร็ว ทั้งพุ่งไปข้างหน้า บินขึ้นฟ้า หรือการหมุนตัวเพื่อหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นสำหรับคนที่เป็น Motion Sickness อาจจะเล่นเกมนี้ไม่ไหวครับ โดยเกมนี้จะมีโหมดให้เล่นทั้งหมด 3 แบบในตอนนี้ ส่วนโหมด Rank มีอยู่ในเกมแล้วแต่ยังไม่เปิดให้เราได้เล่นกัน ที่สำคัญสำหรับคนที่เคยเห็นหรือเคยเล่นเกมอย่าง Super Smash Bros. หรือ Brawlhalla มาก่อนก็จะคุ้นเคยกับการที่จะต้องโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนกว่าจะ K.O. (Knockout) หรือผลักฝ่ายตรงข้ามออกนอกแผนที่เพื่อที่จะให้ฝ่ายตรงข้าม K.O. กันดีครับ เพราะเกมนี้ก็ใช้ระบบแบบนั้นเช่นกันครับ ส่วนระบบการรอห้องถ้าเป็นเกมแนว Multiplayer แล้วล่ะก็ทุกคนคงต้องกังวลกับการต้องใช้เวลารอห้องอย่างแน่นอน ซึ่งตัวเกมไม่ได้ทำให้การหาห้องของเกมนี้นานจนเกินไป เพราะเกมนี้สามารถเลือกเปิดให้เล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ ดังนั้นผู้เล่นจะได้เจอผู้เล่นฝั่ง PC กับฝั่งคอนโซลอย่าง PS4 ได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ จำนวนผู้เล่นก็จะมากขึ้นและหาห้องได้ไวขึ้น แต่ด้วยการนำผู้เล่นจากทุกแพลตฟอร์มทั่วโลกมาเล่นรวมกันต้องยอมรับเลยว่าจะต้องมีความเลื่อมล้ำของค่า PING อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้มากเสียจนไม่สามารถเล่นได้ครับ โดยโหมดต่างๆ ของตัวเกมมีดังนี้ Arena Mode จะเป็นโหมดที่เล่นตามเป้าหมายที่เกมจะสุ่มมาให้ เช่นการเก็บเหรียญบนพื้นที่หากทีมใดสามารถครองเงินไว้ในมือได้สูงสุดก็จะชนะไป หรือเป้าหมายสุดเบสิกที่เห็นได้บ่อยๆ ในหลายๆ เกม อย่างการครองพื้นที่ ที่ผู้เล่นจะต้องอยู่ในวงกลมตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อยึดพื้นที่จุดนั้น โดยระหว่างนั้นก็ต้องต่อสู้กับทีมตรงข้ามที่จะมาแย่งเรายึดพื้นที่ไปด้วยเช่นกัน   Knockout Mode เป้าหมายของโหมดนี้ก็ตามชื่อเลยครับ เป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นวัดฝีมือ และความพริ้วไหวในการยิงจรวดใส่ฝ่ายตรงข้าม การชนะในโหมดนี้นับจากจำนวนที่ K.O. อีกฝ่ายได้ ทีมไหนแต้มเยอะกว่าก็ชนะไป ถ้าหากใครต้องการความตื่นเต้นที่จะมีกระสุนจรวดพุ่งมาได้ทุกทิศทุกทางก็ต้องโหมดนี้เลยครับ!   RocketBot Attack Mode โหมดต่อสู้กับบอทที่เราสามารถร่วมสู้ไปกับเพื่อนๆ ได้ โดยโหมดนี้จะจำกัดการถูก K.O. ของฝั่งผู้เล่นไว้ที่ 9 ครั้ง และฝั่งบอท 30 ครั้ง หากฝั่งไหนถูก K.O. ครบก่อนก็จะแพ้ไป ระบบเติมเงิน เกม Multiplayer ไม่ว่าเกมไหนก็ต้องมีระบบนี้จริงๆ ครับ ถ้าหากจะถามว่าควรจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ทั้งๆ ที่ซื้อตัวเกมมาแล้วก็ตอบตรงนี้ได้เลยครับว่าไม่ได้จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มขนาดนั้น เพราะจากการเล่นเกมใน 1 แมตซ์ หากเป็นฝ่ายชนะจะได้เงินราวๆ สองถึงสามพันเลยทีเดียว แต่หากแพ้ก็จะได้อยู่ที่หนึ่งพันกว่าๆ ซึ่งถ้าจะให้พูดก็คือตัวเกมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นต้องเติมเงินขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นสินค้าในหน้าร้านค้าบางชิ้นก็มีแต่ต้องเติมเงินเพื่อที่ได้จะมันมาครับ แต่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หากเฉลี่ยราคาของสกินรวมไปถึงเอฟเฟคต่างๆ ของตัวเกมจะอยู่ที่ 1 หมื่นไปจนถึง 5 หมื่น หากเล่น 5 แมตซ์ ขึ้นไปก็สามารถซื้อของได้โดยไม่ต้องเติมเงินเลย แต่หน้าร้านค้าในเกมตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้เรายอมเสียเงินซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้นอกจากสกินตัวละคร ลายธงที่โชว์ตอนเริ่มแมตซ์ ก็มีเอฟเฟกต์ควันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครอยากสวยงามและเด่นกว่าคนอื่นในเวลาอันรวดเร็วไม่อยากต้องรอคอยแล้วหล่ะก็จะเติมเงินเพื่อซื้อก็ไม่เสียหาย   ตัวละคร ตัวละครในเกมนี้ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปข้างต้นรูปแบบการเล่นของแต่ละตัวนั้นจะต่างกัน ทั้งสกิล เทคนิคการยิง และกระสุนจรวด ทุกตัวจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ นอกจากนี้ตัวละครยังสามารถเปลี่ยนสกินได้มากมาย แน่นอนว่ามันต้องซื้อ และในเกมนี้ยังมีไอเทมพิเศษสำหรับช่วยผู้เล่นอย่าง Artifact ที่สามารถใส่ได้สามชิ้นต่อหนึ่งตัวละคร โดยบางชิ้นอาจเพิ่มความสูงตอนกระโดดเล็กน้อย และบางชิ้นก็อาจเพิ่ม Damage ให้ผู้เล่นเมื่อทำการ K.O. ฝ่ายตรงข้ามได้ ในส่วนของ Artifact นั้นไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นมากนักในช่วงเริ่มต้นแต่เมื่อผู้เล่นอัพเลเวล Artifact โดยการสวมใส่มันแล้วนำไปเล่นในโหมดใดๆ ก็ตาม Artifact จะได้ EXP หลังจบเกม และเมื่อ Artifact เลเวลสูงขึ้นค่าสถานะที่ Artifact ชิ้นนั้นๆ เพิ่มให้กับผู้เล่นก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยบางชิ้นอาจจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่บางชิ้นก็บอกเพียงแค่ว่าเพิ่มความสูงของการกระโดดจากพื้นดินเพียงเท่านั้น สรุป เกมนี้หลังจากที่ได้ลองเล่นดูก็นับว่าไม่ได้แย่อะไรครับ เกมเพลย์ค่อนข้างสนุก สามารถเพลิดเพลินไปกับเพื่อนๆ ได้ดีเลย คอนเซ็ปต์ที่มีแต่ปืนยิงจรวดก็น่าสนใจดี ในส่วนของเรื่องกราฟิกโดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบครับ แต่เมื่อเทียบกับเกมใหม่ๆ ที่ออกมาในปีนี้แล้ว กราฟิกของเกมนี้ดูไม่เหมาะกับปี 2020 ไปเลย และในส่วนของราคาเกมนี้อยากที่กล่าวข้างต้นว่าอยู่ที่ 999 บาท ซึ่งในความคิดของผู้เขียน มันถือว่าแพงเกินไปสำหรับคุณภาพของเกมในตอนนี้ ถ้าหากลดมาอยู่ในช่วง 400 - 500 บาท หรือเปิดให้เล่นแบบ Free-to-play ไปเลยมันจะสมเหตุสมผลมากกว่า โดยรวมแล้วถือเป็นเกมที่ไม่จำเป็นต้องหามาเล่นก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากหาเกมยิงสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกับเพื่อนๆ เกมนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ไม่น้อย เพียงแต่จะดีกว่าถ้ารอซื้อตอนเกมนี้ลดราคาครับ ข้อดี หนึ่งแมทช์ใช้เวลาไม่นาน ตัวเกมเข้าใจง่าย มีการสอนก่อนเริ่มเล่นจริง เล่นได้ทุกเพศทุกวัย เพราะไม่มีเลือด หรือภาพตัวละครถูกสังหาร ข้อเสีย เกมมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับระบบของเกมในตอนนี้ ระบบการยิงนั้นปกติ แต่การยิงให้โดนตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่โดดไปมาอยู่นั้นนับว่ายากมากสำหรับผู้เริ่มเล่นแนวนี้
18 Aug 2020
รีวิวเกม Might & Magic: Era of Chaos เกมรบทัพจับศึกสุดแฟนตาซี
ซีรีส์ Might & Magic เป็นซีรีส์เกม RPG สวมบทบาทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฝั่งยุโรป ถือว่าเกมนี้เป็นระดับตำนานเลยก็ว่าได้ โดยตัวเกมตัวแรกสุดของซีรีส์ Might & Magic ปล่อยออกมาในปี 1986 หลังจากนั้นมา ตัวเกมก็มีภาคใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่แพลตฟอร์มมือถือเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดเกมแนวใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย Might & Magic เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งเกม ที่ได้ทำการวิวัฒตัวเองไปสู่เกมรูปแบบใหม่เช่นกัน Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG บนแพลตฟอร์ม Android และ iOS เปิดให้บริการโดยค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างค่าย Ubisoft โดยตัวเกมแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น Strategy RPG  ก็ตาม แต่เอาจริง ๆ ตัวเกมสามารถเรียกได้ว่าเป็นเกมแนว RPG สไตล์จัดทีมตัวละคร ที่จะส่งให้ทีมตัวละครของเราและฝั่งศัตรูได้ออกไปสู้กันโดยอัตโนมัตินั่นเอง ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเกม Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG ที่เราจะได้เลือกฮีโร่และจัดทีมกองทัพของตัวเอง ให้ออกไปต่อสู้กับกองทัพของศัตรู ตัวเกมโดดเด่นเป็นอย่างมากในการหยิบเอาตัวละคร ธีมเกม ฉาก รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ มาจากซีรีส์ Might & Magic ซึ่งได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่มีทั้งเผ่า โลก เวทย์มนตร์ และตัวละครสำคัญ ๆ ที่มีเสน่ห์มากมายให้เราได้หลงใหล กราฟฟิก และงานออกแบบ "กราฟิก 2D รายละเอียดดี ภาพประกอบคุณภาพงานแฟนตาซีแท้" กราฟฟิกตัวเกมของ Might & Magic: Era of Chaos จะมาในรูปแบบสไตล์แนวการ์ตูน 2D แต่คงไว้ด้วยรายละเอียดต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีตครบถ้วน โดยเฉพาะภาพประกอบต่าง ๆ ของตัวละครที่ทำออกมาในรูปแบบการ์ด ก็ทำออกมาได้ดูดีมาก ถ้าปริ๊นออกมาเป็นการ์ดจริง ๆ ผมว่าสามารถนำมาขายได้เลยละ จุดหนึ่งที่ตัวกราฟฟิกทำออกมาดี คือฉากการต่อสู้ เพราะในเกมในสไตล์เดียวกันกับ Might & Magic: Era of Chaos ฉากต่อสู้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างและมาก ๆ ดูไม่ออกว่าใครสู้กับใคร ใครทำอะไรบ้าง มันทำให้เราพลาดความเท่ห์ หรือเสน่ห์ของตัวละครที่ทำออกมาอย่างดีไปเสียหมด แต่สำหรับฉากต่อสู้ของ Might & Magic: Era of Chaos ถือว่าทำออกมาดูดีทีเดียว เราสามารถเห็นกลุ่มก้อนของยูนิตแต่ละตนได้เป็นอย่างดี และเห็นว่าตัวละครเหล่านั้นทำอะไรลงไปบ้าง ระบบเกมเพลย์ "จัดทัพตัวละคร วางกลยุทธ์ตำแหน่ง เหมือนเล่นเกมหมากกระดาน แต่ตัวหมากมีชีวิต สกิล และความแข็งแกร่งที่สามารถสอดผสานกันได้" ตัวระบบเกมเพลย์หลักหรือระบบต่อสู้ภายในเกม จะมาในรูปแบบของเกมแนว RPG จัดทีม ที่ปล่อยให้ฮีโร่ของเราออกไปต่อสู้กับทีมฮีโร่ของฝั่งศัตรูโดยอัตโนมัติ แต่แตกต่างนิดหน่อยตรง Might & Magic: Era of Chaos จะให้ความรู้สึกถึงความเป็นกองทัพมากกว่า โดยภายในตัวเกม เราจะสามารถจัดกองทัพของเราได้สูงสุด 8 ยูนิต ซึ่งยูนิตบางประเภทจะไม่ได้ออกมายืนโดดเดี่ยวตนเดียว แต่จะมายืนเป็นกลุ่ม เวลาต่อสู้ จึงเหมือนการเคลื่อนพลของกองทัพ มากกว่าเห็นเป็นตัวละครวิ่งเข้าไปต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ความพิเศษของ Might & Magic: Era of Chaos คือเรามีพื้นที่ให้วางยูนิตทั้งหมด 4 x 4 ช่องเท่านั้น และจะแบ่งแถวหน้าหลังไว้เท่า ๆ กันที่ 2 x 4 ช่อง โดยยูนิตภายในเกมแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 สาย โดย โจมตี ป้องกัน และจู่โจม จะเป็นยูนิตแถวหน้า ส่วน ระยะไกล กับคาสเตอร์จะถูกล็อคไว้ให้อยู่แถวหลัง โดยการวางตำแหน่งตัวยูนิต ถือว่ามีความสำคัญมาก ๆ เพราะจะหมายถึงการปะทะ หรือการเจาะเข้าสู่ตำแหน่งยูนิตแถวหลัง ซึ่งมีพลังป้องกันที่น้อยกว่าได้ นอกจากการจัดทัพตัวยูนิตแล้ว ตัวเกมยังมีระบบ "ฮีโร่" หรือคนคุมกองทัพ โดยในปัจจุบันฮีโร่ของ Might & Magic: Era of Chaos มีมากถึง 23 ตน ฮีโร่เป็นตัวละครที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะช่วยบัพโบนัสค่าสเตตัสให้ตัวยูนิตในกองทัพของเราเองแล้ว ฮีโร่ยังเป็นตัวแปลในการใช้สกิลในระหว่างการต่อสู้อีกด้วย โหมด & ระบบการเล่น "การันตีเรื่องโหมดการเล่นที่เยอะมาก ตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน" ใน Might & Magic: Era of Chaos การปลดล็อคระบบต่าง ๆ ทำได้ด้วยการเพิ่มระดับเลเวลของตัวเรา ตัวเกมมีระบบให้เราได้เล่นได้ศึกษาเยอะมาก ตั้งแต่ระบบอัปเกรดร้อยแปด ทั้งอัปเกรดยูนิต อัปเกรดฮีโร่ ระบบภารกิจ ระบบแจกของมากมาย โหมดเนื้อเรื่อง โหมด PVP โหมด PVE ระบบ Guild โหมดอีเวนท์รายวันรายสัปดาห์ ระบบค่ายทหาร และอีกมากมายหลายหลากตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน ระบบกาชา "ระบบกาชาแบบเศษยูนิต พร้อมการสุ่ม SSR แบบ 100%" ระบบกาชาของ Might & Magic: Era of Chaos แม้จะมีแจกให้เราได้หมุนฟรีวันละ 1 ครั้ง แต้ตู้กาชาของตัวเกมก็ค่อนข้างที่จะหมุนให้ได้ยูนิตตามที่ต้องการยาก เพราะภายในตู้จะไม่ได้ออกมาแค่ยูนิตเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับเศษของยูนิต ซึ่งการจะได้ตัวละครระดับ SSR มาครองค่อนข้างหวังกับการสุ่มเป็นครั้ง ๆ ได้ยาก เน้นกาชาให้ครบ 100 ครั้งจะดีกว่า เพราะพอครบ 100 ครั้ง ระบบจะสุ่มปล่อยยูนิต SSR มาให้เราได้เชยชม 1 ตัวแบบ 100% อย่างไรก็ตาม เศษยูนิตของฮีโร่ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะมันเอาไว้สำหรับอัปเกรดเพิ่มดาวให้ตัวละคร ซึ่งจะทำให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้นั่นเอง นอกจากนี้ตัวละครระดับ SR ก็เป็นตัวละครที่อัปเกรดได้ง่าย สามารถสอดผสานกันได้ดีไม่แพ้ตัวละครระดับ SSR ดังนั้นต่อให้เกมนี้ยูนิต SSR จะออกยากไปหน่อย แต่ยูนิตระดับ SR ก็เจ๋งไม่แพ้กันเลย สรุป "เกมจัดทัพตัวละครที่ให้อารมณ์วางกลยุทย์ และควบคุมกองทัพใหญ่จริง ๆ แม้ว่าตัวเกมจะเป็นเกม RPG ทั่ว ๆ ไปก็ตาม" ผมชอบสเน่ห์ของ Might & Magic: Era of Chaos ตรงตัวละคร และงานออกแบบต่าง ๆ เรารู้สึกได้เลยว่านี้คือโลกแฟนตาซี การจัดทีมตัวละคร ให้อารมณ์เหมือนการจัดกองทัพมากกว่าจะเรียกว่าเป็นแค่การจัดทีม เราต้องรู้จักวางกลยุทธ์ให้กองทัพของเราได้เปรียบกว่ากองทัพศัตรู การกดใช้สกิลของฮีโร่ระหว่างการต่อสู้มีผลต่อรูปเกมเป็นอย่างมาก ให้อารมณ์เหมือนเราเป็นผู้วิเศษของกองทัพ ที่สามารถใช้พลังเวทย์กวาดต้อนกองทัพของศัตรูให้ราบเรียบได้ในครั้งเดียว หากคุณชอบเกมแนว RPG แฟนตาซี ที่ให้อารมณ์การจัดกองทัพ การวางกลยุทธโดยอิงตำแหน่งของตัวละครเป็นหลัก Might & Magic: Era of Chaos สามารถตอบโจทย์ความชอบของคุณได้แน่นอน ดาวน์โหลดเกม Might & Magic ®: Era of Chaos  [penci_review id="63847"]
18 Aug 2020
รีวิวเกม Neon Abyss "ควงปืน โดดลงเหว ปราบเทพยุคใหม่"
Roguelike เป็นเกมแนวที่มีหัวใจหลักอยู่ที่การสุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสุ่มด่าน ศัตรู หรือไอเท็มต่างๆ ทำให้เราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ และต้องระวังตัวให้ดีเพราะว่าถ้าตาย ไอเท็มและค่าพลังที่อัพเกรดมาจะหายไป กลับไปเริ่ม 1 ใหม่ เป็นแนวเกมที่สนุกและท้าทาย เพราะแบบนั้นมันถึงเป็นหนึ่งแนวเกมที่หลายคนชื่นชอบ วันนี้ GameFever TH จะมาแนะนำเกม Roguelike เกมหนึ่งที่มี Theme สะดุดตาและการเล่นที่สนุกสะใจ กับเกม Neon Abyss ระบบเกมและภาพรวม Neon Abyss เกมแนว  roguelite action-platformer ที่ว่ากันด้วย Hades เทพแห่งนรกถูกเหล่า Titan ชิงพลังไปและกำลังสถาปนาตัวเองเป็นเทพยุคใหม่ แล้วออกอาละวาดไปทั่ว Hades ได้ใช้พลังส่วนสุดท้ายจัดตั้งกองกำลังที่ไม่มีวันตาย Grim Squad ขึ้นมาเพื่อที่จะหยุดเหล่า Titan และชิงพลังกลับคืนมา ซึ่งเราก็เป็น 1 คนในกองกำลังนั้น แต่เอาเข้าจริง เนื้อเรื่องก็ไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก เป็นแค่เหตุผลอธิบายเฉยๆว่าเราสู้กับอะไรและทำไมเราไม่ตายก็เท่านั้นเอง ส่วนงานภาพและ Theme ได้นำไฟนีออนที่สว่างสดใสกับท่อระบายน้ำที่ดูมืดมนมารวมกัน เรียกว่าเข้ากันได้แบบแปลกๆ แถมยังสะดุดตามากๆอีกด้วย และถ้ายิ่งมีห่ากระสุนที่เรายิงออกไปด้วย ก็จะยิ่งตระการตากว่าเดิมแน่นอน (บางครั้งก็จ้าจนตาแทบบอด 5555+) ในส่วนของเกมการเล่น ก็จะเหมือนเกมแนว roguelite ทั่วไปที่ทุกอย่างจะสุ่ม แต่สิ่งที่เกมนี้แตกต่างจากจากเกมอื่นๆก็คือ ก็ต่อสู้ในเกมนี้จะใช้ปืนและระเบิด!! ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก ใช้ปืนและระเบิดจัดการกับศัตรูทุกตัวที่ขวางหน้า แทนที่จะเป็นดาบหรือเวทมนต์ ยังไม่รวมไอเท็มสุดแปลกและศัตรูที่แสนจะสร้างสรรค์  มาพูดถึงช่วงเตรียมตัวก่อนจะเล่นก่อน Lobbyก่อนเล่นเกมจะเป็น Bar ที่เต็มไปตัวแสงนิออน ในที่แห่งนี่เราสามารถปรับระดับความยาก อัพเกรด Abyss (อัพเกรดให้ตัวดันเจี้ยนมีของให้เล่นมากขึ้น เช่น ไอเท็ม ห้องมินิเกม) เปลื่ยนตัวละคร (ตัวละครมีให้เลือกถึง 10 ตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีความสามารถและสเตตัสเริ่มต้นที่แต่ต่างกัน) และเตรียมตัวก่อนโดดลงเหวไปจัดการกับเรา Titan ทั้งหลาย  เมื่อโดดลงมาแล้ว เราจะได้ปืนเริ่มต้น และของต่างๆตามสเตตัสของแต่ละตัว โดยแต่ละอย่างจะมีหน้าที่ของมัน และมีอยู่จำกัด เราจะต้องบริหารจัดการให้ดี ได้แก่ หัวใจ เป็นพลังชีวิตของตัวละคร ถ้าหมดก็ตาย ระเบิด ใช้จัดการกับศัตรู หรือใช้ระเบิดหิน/กล่องหินที่อยู่ตามฉาก กุจแจ ใช้เปิดประตู หรือเปิดกล่องทองที่อยู่ตามฉาก เงิน ใช้ซื้อของ เปิดประตูบางประเภท หรือใช้เล่นมินิเกม คริสตัล ใช้เปิดประตูคริสตัล กล่องคริสตัลที่อยู่ตามฉาก หรือใช้สกิลของปืน ในส่วนของแผนที่จะเป็นดันเจี้ยน (จะคล้ายท่อระบายน้ำหน่อยๆ) ที่จะแบ่งเป็นห้องๆเราสามารถจะเดินไปทางไหนก่อนก็ได้ เมื่อเข้าแต่ละห้อง เราจะโดนขังและต้องจัดการกับศัตรูภายในห้องให้หมดก่อน ถึงจะไปยังห้องต่อไปได้  ถึงเราจะมีปืนแต่ก็ใช่ว่าจะผ่านง่ายๆ เพราะศัตรูจะมีหลายแบบ โจมตีต่างกัน บางห้องจะแคบ แถมมีกับดัก และที่สำคัญเราสามารถโดนความเสียหายจากระเบิดหรือกระสุนของตัวเองได้อีกด้วย ทำให้เกมมันไม่ง่ายเลย ต้องระวังตัวให้ดี ไม่งั้นอาจจะตายไม่รู้ตัว ซึ่งห้องต่างๆในดันเจี้ยนก็จะมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นห้องวาป ห้องสมบัติ ห้องร้านค้า แล้วยังมีห้องแปลกๆที่จะมีมินิเกมให้เล่นเพื่อรับไอเท็มเมื่อชนะเกม เช่น ห้องตกปลา ห้องหนีบตุ๊กตา ฯลฯ แถมยังมีห้องลับที่ซ่อนอยู่ไว้ด้วย (ส่วนวิธีเข้าก็หากันเอาเอง พูดไม่ได้ - -’’) แต่การจะผ่านด่านเพื่อขึ้นไปชั้นถัดไปนั้น เราจะต้องจัดการกับบอสของชั้นที่อยู่ในห้องสีแดง ซึ่งจะสุ่มแบบมาให้เราเจอ (มีแค่บางชั้นที่จะล็อคไว้ให้เจอแต่บอสตัวเดิมๆ (เป็นบอสเนื้อเรื่อง)) มีทั้งบอสที่เท่มาก รวมไปถึงบอสแปลกๆกาวๆด้วย แล้วเมื่อจัดการบอสได้ เราจะได้ไอเท็มอัพเกรด ประตูขึ้นไปชั้นถัดไป และGemสีเหลืองที่เอาไว้ใช้อัพเกรด Abyss ให้มีของมากขึ้น แต่ก่อนจะไปตีกับบอสนั้น ก็ต้องอัพเกรดตัวเองซะก่อน เราสามารถอัพเกรดโดยการหาไอเท็ม ปืน และสัตว์เลี้ยง ยิ่งมีของเยอะ เราจะยิ่งเก่ง ปืนจะอลังการขึ้นเรื่อยๆ (บางครั้งกระสุนเต็มจอ จนแยกไม่ออกว่าของใครบ้าง 555+) ไอเท็ม จะเป็นอารมณ์ประมาณของสวมใส่ จะเก็บกี่ชิ้นก็ได้ แต่ละชิ้นจะมีคุณสมบัติต่างกัน มีทั้งดี ไม่ดี และของแปลกๆ  เช่น ถุงป็อบคอร์นที่จะเปลื่ยนกระสุนเราเป็นระเบิด กระทะที่เพิ่มโอกาศกันกระสุนจากศัตรูได้ ซึ่งเราจะไม่รู้คุณสมบัติของไอเท็มเลย จนกว่าเราจะเก็บมัน รู้แค่รูปร่างของไอเท็มเท่านั้น (ยกเว้นจะมีความสามารถอ่านคุณสมบัติไอเท็ม)  ปืน จะเป็นอาวุธหลักของเรา มีหลายประเภทมาก ทั้งยิงระเบิด ชาร์จยิง เลเซอร์ และแต่ละปืนจะมีสกิลที่แต่ต่างกัน สัตว์เลี้ยง จะได้จากไข่เท่านั้น (มีให้เก็บตามด่าน) ซึ่งเราต้องมานั่งลุ้นว่า ไข่จะฟักออกมาเป็นตัวไหม ถ้าออกก็สุ่มว่าจะเป็นตัวไรอีก (ถ้าได้ซ้ำจะอัพเกรดสัตว์เลี้ยง) สัตว์เลี้ยงจะช่วยเราในหลายๆเรื่อง แล้วแต่ตัว เช่น ยิงศัตรู กันกระสุน เก็บของ  โดยการเล่นในแต่ละรอบจะมีกำหนดชัดเจนว่ามีบอสกี่ตัว (ยกเว้นจะเจอบอสลับ) เมื่อเราชนะบอสตัวสุดท้ายหรือตาย ก็จะกลับไปเริ่มใหม่ที่ Bar และจะมีสรุปว่ารอบนั้นเราเก็บไอเท็มอะไรมาบ้าง ได้Gemสีเหลืองรวมกี่เม็ด และCode เซ็ทไอเท็มของรอบนั้น (สามารถเอาCode ไปกรอกที่เสานอกBarได้ เพื่อที่จะได้เล่นไอเท็มรอบนั้นอีกครั้ง แต่เราจะไม่ได้Gemสีเหลืองเพิ่มในการเล่นCodeนั้น) มาพูดถึงข้อเสียกันดีกว่า อย่างแรก ตอนนี้ยังมีบัคที่มีผลต่อการเล่นให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น ระเบิดหินไม่แตก เดินออกห้องไม่ได้ ทำให้เมื่อเจอก็หมดอารมณ์เล่นกันเล่นทีเดียว อย่างที่2 เกมนี้ออกกลางเกมไม่Saveให้ ทำให้การจะหยุดเล่นเกมนี้นอกจากจะเล่นให้จบรอบ/ตาย ก็ต้องทำใจทิ้งรอบนี้ เล่นรอบใหม่ไปเลย และข้อสุดท้ายในแต่ละรอบมีบอสจำนวนชัดเจน ทำให้Gemสีเหลืองที่ได้แต่ละรอบจำกัดเช่นกัน แถมถ้ารอบไหนฟาร์มมาดี ปืนโหดๆ ก็จบถูกตัดจบเพราะบอสในรอบนั้นหมดแล้ว ก็คงจะเซ็งไม่น้อย (ผมละคนหนึ่ง - -) ความรู้สึกหลังเล่น บอกตรงๆเลยว่าติดหงอมแหงมเลยครับ เป็นเกมที่สนุกมาก และสะใจสุดๆ แถมผมก็ชอบเล่นเกมแนว Roguelike อยู่แล้วเลยชอบเข้าไปอีก (ถามว่าหนักแค่ไหนก็ตอนนี้ก็เล่นไปเกือบ 30 ชม.แล้ว)  ถึงจะเจอบัคอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร (ถ้าไม่ใช่บัคที่ทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้อะนะ) และหวังว่าจะมีของอัพเดทเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ส่วนตัวแล้วคงหยิบมาเล่นได้อีกยาวเลย (อวยหนักมาก) สรุป Neon Abyss เป็นเกมแนว Roguelike ที่สนุกมากๆอีกเกมหนึ่ง ถ้าใครที่สนใจหรือชอบแนวนี้อยู่แล้ว ก็ควรที่จะซื้อมาเล่นดู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน link : https://store.steampowered.com/app/788100/Neon_Abyss/ [penci_review id="63734"]
10 Aug 2020
พาชมระบบใน V4 ที่จะทำให้คุณตกหลุมรักเกมนี้
V4 หรือในชื่อเกมเต็มว่า Victory For เกม MMORPG กราฟฟิกสุดอลังการจากค่าย Nexon โดยตัวเกมเน้นการผจญภัยใน Open World ที่กว้างใหญ่ และยังมีคอนเทนต์สนุก ๆ ที่สามารถทำข้ามเซิฟเวอร์กันได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมทั้งโลกเข้ามาไว้ได้ในเกมเดียว และสำหรับบทความนี้ Game Fever จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับระบบเบื้องต้นของเกมที่เรียกได้ว่า "ตก" ผู้เล่นได้เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นนักแคสเกมและสตรีมเมอร์หลายท่านออกปากบอกเลยว่า "เกมนี้เล่นยาว ๆ" กันถ้วนหน้า อะไรที่ทำให้เหล่า Player รักเกมนี้ได้ขนาดนั้น เราตามไปส่องพร้อม ๆ กันเลยจ้า~ Cross-Platform อย่างที่บอกว่าการเล่นเกมนี้ ก็เหมือนกับเราได้เชื่อมต่อกันทั้งโลก ไม่ว่าคุณจะเล่นบนโทรศัพท์ Android IOS หรือแม้แต่บน PC ก็สามารถมาเจอกันได้ หากมีสเปคเครื่องตามนี้ สำหรับ PC เราจะได้เล่นผ่าน Nexon Luncher ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทางการจากเจ้าของเกมเอง ฉะนั้นหมดห่วงเรื่องปัญหาเกี่ยวกับ Emulator ได้เลย ใครถนัดแบบไหนก็เลือกได้ หรืออยากเล่นโดยไม่ขาดตอนแม้ไม่ได้อยู่หน้าคอมก็ยังได้ เยี่ยมไปเลยเนอะ   Character เมื่อโลกถูกปกคลุมด้วยความชั่วร้าย ปีศาจได้พยายามรุกรานโลกที่เคยสงบ จึงเป็นหน้าที่ของ "กัปตัน" อย่างเรา ที่จะนำทีมปราบปรามภัยคุกคามของโลกใบนี้ให้สิ้นซาก โดยเราสามารถเลือกสไตล์การต่อสู้ที่เหมาะกับตัวเองได้จาก 6 คลาส ได้แก่... Enchantress - นักเวทย์สาวสวย ผู้ใช้คฑาเวทมนต์โจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรงต่อเหล่าศัตรูที่บังอาจเข้ามาใกล้ Warlord - นักรบผู้ใช้ค้อนโลหะฟาดศัตรูให้กระจุยด้วยพลังอันมหาศาล Slayer - ผู้ใช้ดาบสังหารศัตรูด้วยความแม่นยำฉับไว ทำให้ศัตรูผู้อ่อนแอพบจุดจบอย่างรวดเร็ว Knight - นักรบสาวผู้แข็งแกร่งในสนามรบ ด้วยความสมดุลทั้งการโจมตีและป้องกัน จึงยากที่จะโค่นเธอได้ Gunslinger - สาวนักแม่นปืน ที่สามารถสร้างบาดแผลฉกรรจ์ต่อเป้าหมายที่เธอเล็งไว้ได้อย่างไม่มีพลาด Boomblad - ถึงตัวจะเล็กแต่ขวาน+ปืนของเธอ ทำให้การโจมตีของเจ้าตัวเล็กปรับเปลี่ยนได้หลากหลายและยากต่อการคาดเดา   Quest เกม MMORPG บนมือถือ แน่นอนค่ะว่าต้องใช้ระบบ Auto-Quest ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อเริ่มเกมมาจะมีระบบแนะนำให้กดเควสใช่ไหมล่ะ แต่เกมนี้ไม่! เริ่มเกมปุ๊บ เควสหลักรันปั๊บ แล้ว NPC ก็พาเราวิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ รอบเมืองทันที ความรู้สึกแรกคือ นึกว่าดูหนังอนิเมชั่นสักเรื่องอยู่ แต่ความจริงก็ยังเล่นเกมอยู่นั่นแหละจ้า ซึ่งก็นับว่าสะดวกมากสำหรับใครที่เบื่อการกดรับเควสบ่อย ๆ แต่เควสที่เราต้องกดเองจริง ๆ ก็มีนะ โดยในแต่ละพื้นที่จะมีเควสประจำพื้นที่และเควสเสริมอยู่ และหากเราอยู่ในระยะ เควสจะเสนอขึ้นมาให้เรากดรับ ถ้าอยากทำก็กด ถ้าไม่อยากก็สามารถปล่อยผ่านได้ ชีวิต (ในเกม) ง่ายเลยใช่ไหม?   Game Guide คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อกดปุ่มเมนูแล้วมีระบบให้เราเล่นขนาดนี้... เป็นปกติเมื่อเราเล่นไปสักระยะจะสามารถปลดล็อคระบบใหม่ ๆ และเราอาจจะงงว่า "มันใช้ยังไงหว่า" แต่ในเกมนี้จะมีระบบแนะนำแบบทันที (ซึ่งแน่นอนว่าใครไม่อยากดูก็กดข้ามไปได้เลย) ฉะนั้น หมดห่วงเรื่องระบบเยอะ ยุ่งยาก ซับซ้อน เพราะไกด์อธิบายดีและละเอียดแบบครั้งเดียวเล่นเป็นเลย รับประกันจ้า!!   Warp จุดนี้ส่วนตัวชอบมากเลยค่ะ ปกติเมื่อเราเปลี่ยนแผนที่จะต้องเข้าวาร์ปแล้วรอโหลดเพื่อเปลี่ยนฉากใช่ไหมล่ะ แต่สำหรับ V4 เมื่อเราก้าวข้ามเขตแมพจะมีแสงวาบเบา ๆ 1 ครั้ง พร้อมขึ้นว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน หากมองเผิน ๆ เหมือนกับเราวิ่งแล้วข้อความเด้งขึ้นมาเฉย ๆ เลย นับเป็น Open World แบบไร้รอยต่อจริง ๆ และมันเกิดขึ้นกับเกมที่ให้บริการบนมือถือด้วย สุดยอดมาก!!!! https://youtu.be/p0sisOKmgQo   สหาย โดยคอนเซปต์ของ MMORPG เราต้องปาร์ตี้กับคนในเกมใช่ไหมล่ะ? แต่สำหรับบางคนที่ชอบโซโล่ ทำให้รู้สึกว่าภารกิจในแต่ละวันมันเยอะเหลือเกิน V4 ได้แก้ปัญหาให้ด้วยการเพิ่ม "ระบบสหาย" ซึ่งก็คือ NPC ที่เราเจอช่วงทำเควสซะส่วนใหญ่นั่นแหละ หรืออาจจะเปิดสุ่มจากร้านค้าเอาก็ได้เช่นกัน โดยสหายแต่ละคนจะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่น เก็บรวบรวม ออกล่า พิชิตพื้นที่ เป็นต้น นอกจากไม่เหงาตอนวิ่งเควสแล้ว ยังมีผู้ช่วยฟาร์มของอีก อะไรมันจะดีขนาดนั้น~   ระบบพักหน้าจอ อันนี้ขอพูดถึงหน่อย เพราะปกติการพักหน้าจอเกมมือถือ คือการปล่อยให้ตัวละครตีมอนสเตอร์หรือเดินเควสอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องเฝ้า และเพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อเปิดใช้ ส่วนใหญ่เราก็จะไม่รับรู้อะไรในเกมอีกเลยจนกว่าจะปลดล็อคใช่ไหมล่ะ แต่ใน V4 แม้จะพักหน้าจอไปแล้ว เราก็สามารถรู้ทุกความเคลื่อนไหวภายในเกมได้ โดยไม่ต้องแสดงฉากและตัวละคร ทั้งไอเทม ค่าประสบการณ์ที่ได้รับ ช่องแชท แม้แต่หลอด HP ก็แสดงบนหน้าจอที่พักอยู่ด้วย ไม่ต้องลุ้นว่าปลดล็อคมาแล้วจะเจออะไรที่คาดไม่ถึง ซึ่งนับว่าเจ๋งกว่าเกมอื่นเยอะเลยล่ะ   Camera อันนี้ต้องบอกว่าเป็นตัวชูโรงสำหรับสายโซเชียลเลยนะ ระบบกล้องและมุมมองในเกม V4 สามารถปรับได้ถึง 4 แบบ ดังนี้ 1. Normal - จะเป็นเหมือนกล้องวิ่งตามตัวละคร แบบเพื่อนถ่าย Vlog การผจญภัยของเราไว้เลยล่ะ https://youtu.be/BZtwZvKNEB0 2. Action - อันนี้คือสุดยอดมาก ถ้าใครอยากให้เกมของเรากลายเป็นภาพยนตร์ เปิดโหมดกล้องนี้เลยค่ะ เพราะจะปรับมุมมองให้ดูตื่นเต้นและได้อรรถรสในการต่อสู้มากขึ้น (แต่ระวังเวียนหัวนะ อิอิ) 3. Free - อันนี้จะคล้ายแบบ Normal แต่กล้องไม่ได้ตามเราทุกฝีก้าวขนาดนั้น เรายังสามารถหมุนมุมมองได้ตามต้องการ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบภาพที่ตัดเปลี่ยนไว ๆ และโหมดนี้ทำให้เวียนหัวน้อยที่สุดด้วย 4. Quarter - มุมมองด้านบน สำหรับใครที่ชอบมุมภาพกว้าง ๆ จากมุมสูง นอกจากนี้ เรายังสามารถปิด UI ได้ทุกเมื่อ เพื่อการอัดคลิปหรือแคปหน้าจอได้ทันทีที่ต้องการ ภาพสวยแบบนี้ มีชอตถูกใจทีก็ แชะ! ได้สบายเลย   Lets Talk บรรยากาศเกมจ้า https://youtu.be/vWQo9xuQoCA เป็นอย่างไรกันบ้างคะ น่าเล่นใช่ไหมล่ะ? ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแค่ระบบ UI พื้นฐานเท่านั้น ภายในเกมยังมีระบบที่น่าสนใจอีกเยอะมาก ๆ ๆ ๆ เลยค่ะ เพื่อน ๆ ลองตามไปเล่นกันดูนะ ใครลองเล่นแล้ว ประทับใจเกมนี้เพราะอะไร ลองคอมเมนต์คุยกันหน่อยน๊า~~
06 Aug 2020
รีวิว The Everlasting Regret หมึก 3 สี กับเรื่องราวบนปลายพู่กัน
ในปัจจุบันเกมมือถือส่วนใหญ่ที่เราเห็นในตลาด มักจะเป็นเกมที่เปิดให้ผู้เล่นสามารถแข่งขันกับ คนอื่นได้ หรือไม่ก็เป็นเกมกาชาที่ให้เราสะสมตัวละครจำนวนมากที่ทางผู้พัฒนาออกแบบมา มีไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นเกมเนื้อเรื่อง เล่นคนเดียวทีเป็นเกมมือถือ อย่างน้อย The Everlasting Regret เกมใหม่จากทาง Tencent Games ที่มาในธีมโลกภาพวาดย้อนยุคของจีน ก็เป็นหนึ่งในนั้น     The Everlasting Regret เป็นเกมพิเศษที่ผู้เขียนไม่เคยได้พบเห็นที่ไหนมาก่อน และไม่คิดเลยว่าเกมแบบนี้จะสามารถสร้างขึ้นมาได้เช่นกัน แต่ในเมื่อมันมีหลักฐานให้เห็นอยู่ตรงหน้าขนาดนี้แล้ว ดังนั้นวันนี้จะขอรีวิวให้เพื่อนๆ ชาว GameFever Th ได้รู้กันว่า เจ้าเกมเนื้อเรื่องเล่าผ่านภาพวาดนี้ มีดีที่ตรงไหน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ     เนื้อเรื่อง     The Everlasting Regret จะกล่าวถึงเรื่องราวของการพานพบ และความรัก ระหว่างสตรีโฉมงามนางหนึ่งที่มีชื่อว่า หยางกุ้ยเฟย กับจักรพรรดิ์ราชวงค์หนึ่งในจีนยุคโบราณ เรื่องราวจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเธอยังเป็นเด็ก ไปจนวันที่เธอได้เป็นหนึ่งในนางสนมคนสำคัญ ผ่านยุคที่สงบสุข, ผ่านยุคสงคราม, จนกระทั้งถึงวันที่ต้องแยกจากกัน     ความยาวทั้งหมดของเนื้อเรื่องถูกแบ่งออกเป็น 4 บท โดยแต่ละบทจะไม่ได้มีความยาวมากมายอะไร ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอ่านนิทานอยู่มากกว่าเล่นเกมเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็ทำให้ตัวผมรู้สึกสนุกสนานไปกับมันพอสมควรครับ     กราฟิก / การนำเสนอ       ในส่วนกราฟิกของเกมนี้ ต้องยอมรับเลยว่าทีมผู้พัฒนานำเสนอได้น่าสนใจมากครับ แตกต่างจากเกมมือถือในยุคนี้ทีมักจะใช้ภาพ 3D สมจริง นำเสนอกราฟิกที่สวยงามอลังการ The Everlasting Regret กลับใช้กราฟิกที่เป็นเหมือนภาพวาดในคำภีร์โบราณของจีน ซึ่งช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับเกมเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง     ในเกมนี้ใช้การเปลี่ยนฉากของเนื้อเรื่อง เป็นการเปิดม่วนคำภีร์เพิ่มเติม มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังอ่านชีวประวัติอยู่จริงๆ นอกจากนี้ในแต่ละช่วงยังมีการนำเสนอบทกลอนด้วยตัวอักษรภาษาจีนที่เขียนด้วยพู่กัน ยิ่งช่วยเสริมสร้างอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี คือต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีจริงๆ ครับ     เกมเพลย์     ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รู้จักกับหมึก 3 สี ที่มีชื่อว่า Vivify, Bond และ Erase แต่ละอันจะมีความหมายไม่เหมือนกัน โดย Vivify หมายถึงการดำเนินไปหรือย้อนกลับ, Bond หมายถึงสายสัมพันธ์ ส่วน Erase คือการลบออกไป ในการเล่นเกมนี้ผู้เล่นจะต้องใช้หมีกที่มีความหมายแตกต่างกันนี้ ในการเสริมสร้าง, เชื่อมโยง, หรือลบออกไป เพื่อดำเนินเนื้อเรื่อง โดยมีอักษรที่สีแดงเป็นคำใบ้     ความน่าสนใจของระบบนี้ ก็คือการที่ผู้เล่นสามารถใช้หมึกสีต่างๆ สร้างเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น นอกเหนือไปจากที่เป็นเส้นทางหลักของเนื้อเรื่องได้ เช่น ถ้าหากว่าเหล่านางสนมทั้งหมดเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วัยเด็ก จะเป็นเช่นด้วยการใช้หมึกแรกในการย้อนเวลาเหล่าสนมทั้งหมด และใช้หมึกที่สองในการเชื่อมโยง หรือถ้าหากว่าองค์ราชาได้เจอกับสนมเอกตั้งแต่เด็กจะเป็นเช่นไร ภาพแบบไหนที่เราจะได้เห็น แน่นอนว่าเส้นทางที่ถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียว แต่การที่เปิดให้เราใช้จินตนาการสร้างสรรค์เนื้อเรื่องได้อย่างอิสระเช่นนี้ ก็เป็นอะไรที่ต้องยอมรับว่า แปลกใหม่ ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์อย่างมากครับ         แน่นอนว่าในการเล่นเกมนี้ ไม่ได้ให้ผู้เล่นเลือกสีของน้ำหมึก แต่งแต้มเรื่องราวต่างๆ เพียงอย่างเดียว บางครั้งผู้เล่นอาจต้องวาดภาพ หรือทำการเลื่อนฉากให้เหมือนกับว่าตัวละครกำลังเดินทางด้วยเช่นกัน ด้วยความที่เกมเพลย์ และเนื้อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นบนกระดาษ เลยทำให้เกมเพลย์ของ The Everlasting Regret เรียกได้ว่ามีเสน่ห์มาก     น่าเสียดายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมเนื้อเรื่องแล้ว ก็ต้องพบกับปัญหาที่เรียกว่า กำแพงของภาษาครับ สำหรับใครที่ไม่แข็งในภาษาอังกฤษ หรือจีน การเล่นเกมนี้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะจำเป็นต้องเรื่องสีของหมึก, วาดรูป หรือเลื่อนฉากให้ตรงกับคำใบ้ของเกม ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษครับ     สรุป     The Everlasting Regret ถือเป็นเกมเนื้อเรื่องที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง ทั้งยังเป็นเกมที่ใช้เวลาในการเล่นไม่นาน เหมาะกับการเล่นระหว่างเดินทางบนรถไฟฟ้า หรือไปต่างจังหวัดเป็นอย่างมาก มีเกมเพลย์ที่พิเศษ และน่าสนใจ โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบเกมนี้ แต่ต้องยอมรับว่า The Everlasting Regret ไม่ใช้เกมที่สามารถใครก็สามารถสนุกไปกับมันได้ ยิ่งกำแพงเรื่องภาษาเรียกได้ว่าคงทำให้ใครหลายคนไม่สามารถเล่นเกมนี้ได้เลยทีเดียว      เอาข้อดีหักออกจากข้อเสียทาง GameFever TH จึงให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ยอมรับเลยว่าเนื้อเรื่องรวมไปจนถึงเกมเพลย์ทำออกมาได้น่าสนใจจริงๆ  สำหรับใครที่สนใจก็สามารถดาวน์โหลดมาเล่นได้ที่ด้านล่างนี้เลยครับ ดาวโหลดน์เกมบน PlayStore ดาวโหลดน์เกมบน AppStore  
30 Jul 2020
Review: รีวิวเกม Ghost of Tsushima "Assassin ก็ไม่ใช่ Jedi ก็ไม่เชิง"
ถ้าให้พูดกันตามตรง เกม Ghost of Tsushima / ‘นักรบปีศาจแห่งสึชิมะ’ ถือเป็นเกมที่ “สนุก” มากๆ เกมหนึ่ง ด้วยเกมเพลย์แนวแอคชั่นโลกเปิดอันดุเดือด ที่ผสมผสานการต่อสู้อันท้าทายของเกมอย่าง Star Wars Jedi: Fallen Order เข้ากับการลอบเร้นและโครงสร้างของเกม Assassin’s Creed จนทำให้ในหลายๆ จังหวะ เกมรู้สึกเหมือนเป็น “เกม Assassin’s Creed สไตล์ญี่ปุ่น” ที่แฟนๆ เรียกร้องจะได้เล่นมาตลอดเลยก็ว่าได้ ยังไม่นับรวมองค์ประกอบด้านการนำเสนออย่างกราฟิกและเพลง ที่ล้วนสร้างบรรยากาศให้การสำรวจโลกไม่น่าเบื่อตลอดระยะเวลาที่เล่น แต่ Ghost of Tsushima ก็ยังประสบปัญหาหลายๆ อย่างที่มักพบในเกม Open World โดยเฉพาะในแง่ของเนื้อเรื่อง รวมไปถึงปัญหาด้านการนำเสนอบางประการ ที่ทำให้เกมมีความรู้สึก “เก่า” ไปซะหน่อย เมื่อเทียบกับเกมฟอร์มใหญ่อื่นๆ ทุกวันนี้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกมวางจำหน่ายเร็วกว่านี้ซักปีสองปี คงทำให้สามารถมองข้ามสิ่งที่เกมขาดไปได้ง่ายกว่านี้ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของเกม Ghost of Tsushima จะอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์ปี ค.ศ. 1274 เมื่อกองทัพจากจักรวรรดิ์มองโกลได้เริ่มต้นการรุกรานญี่ปุ่น โดยกองเรือมองโกลได้เทียบท่าที่เกาะสึชิมะ (Tsushima) เป็นอันดับแรก ผู้เล่นจะรับบทเป็นซามูไรหนุ่ม Jin Sakai (จิน ซาไค) ผู้รอดชีวิตไม่กี่คนจากการโจมตีระลอกแรกของกองทัพมองโกล ผู้ซึ่งตัดสินใจหันหลังให้กับวิถีนักรบอันทรงเกียรติ์ เพื่อต่อสู้กับเหล่าผู้รุกรานโดยไม่เลือกวิธีในฐานะ “นักรบปีศาจแห่งสึชิมะ” (The Ghost) พร้อมกับเหล่าเพื่อนพ้องนักรบ ที่พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของพวกเขา เนื้อเรื่องเส้นหลัก หรือที่เกมเรียกว่า “Tale of Jin” (บันทึกของจิน) จะถูกแบ่งออกเป็นสาม “องค์” เกี่ยวกับความพยายามในการปลดแอกเกาะสึชิมะจากการปกครองของเหล่าผู้รุกราน ซึ่งในมิตินี้ เนื้อเรื่องหลักของเกม Ghost of Tsushima ค่อนข้างจะตามสูตรเรื่องราวแนวเดียวกันค่อนข้างจะเป๊ะๆ เลย จินก็คือนักรบผู้ถูกเลือก ทีต้องออกเดินทางอย่างโดดเดี่ยวเพื่อรวบรวมผู้กล้ากลุ่มเล็กๆ และปลุกใจชาวบ้านที่ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านเหล่าวายร้ายที่มีจำนวนมากกว่า ซึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องโดยรวมไม่ได้น่าจดจำเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้แย่ แต่ก็รู้สึก “เฉยๆ” มาก อีกอย่างก็คือ เนื้อเรื่องหลักของเกมพยายามจะนำเสนอประเด็นความขัดแย้งในใจของจิน เขาต้องทำในสิ่งที่ขัดกับคำสอนและความเชื่อทั้งหมดที่เขาเติบโตมา เพื่อปรับตัวเข้ากับศัตรูกลุ่มใหม่ ที่ไม่มีปัญหากับการ “เล่นสกปรก” เพื่อชัยชนะ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกมใช้เป็นแก่นทางอารมณ์ (Emotional Core) ของเนื้อเรื่อง ปัญหามันเกิดตรงที่ว่าเกมนำเสนอชัดเจนเหลือเกินว่ามันมีทางเลือกที่ “ถูกและผิด” อยู่ในสถานการณ์นี้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งในช่วงต้นๆ เกม เมื่อจินจำเป็นต้องช่วยชีวิตชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจากเหล่าผู้รุกราน โดยตัวเขารู้ดีว่าถ้าเขาบุกเข้าไปโจมตีทหารมองโกลตรงๆ จะทำให้ชีวิตของชาวบ้านอยู่ในอันตราย เขาจึงต้องจำใจขัดวิถีซามูไร และลอบสังหารศัตรูทั้งหมดแบบเงียบๆ เพื่อให้สามารถรักษาชีวิตของชาวบ้านได้ ในสถานการณ์ที่ยกมา ผู้เขียนรู้สึกว่ามันช่างชัดเจนเหลือเกินว่าทางเลือกที่ถูกต้องคืออะไร หากจุดประสงค์ของจินคือการช่วยชีวิตชาวบ้าน งั้นทางเลือกที่จินเลือกก็น่าจะถูกต้องแล้ว ดีกว่าการรักษาเกียรติ์ของตนเองแต่ต้องแลกมากับชีวิตของผู้บริสุทธิ์ แต่จินก็ยังดูจะเป็นทุกข์กับการตัดสินใจของเขาอยู่ดี ทำให้ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยอินกับประเด็นนี้เท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าบางครั้งก็เหมือนตัวละคร "คิดมาก" ไปเอง ในอีกมุมหนึ่ง อาจจะมองได้ว่าเกมพยายามจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ไม่มีทางออกระหว่างแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป และคนรุ่นเก่าที่พยายามจะคงไว้ซึ่ง “วัฒนธรรมและค่านิยมอันดีงาม” ที่พวกเขาถูกเสี้ยมสอนมาตลอดชีวิต และความลำบากใจของคนรุ่นใหม่ ที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านและล้มล้างความคิดเหล่านั้นเพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า แม้จะต้องปะทะกับเหล่าคนรุ่นเก่า ที่ในหลายครั้งก็เป็นคนที่เรารักและเคารพอยู่ แม้ว่าเราจะไม่สามารถยอมรับความคิดของพวกเขาได้อีกต่อไป ซึ่งก็ถือเป็นมิติที่น่าสนใจในเนื้อเรื่อง แต่สุดท้ายแล้ว เกมก็ยังคงนำเสนอประเด็นดังกล่าวออกมาได้ไม่ดีนัก เพราะสุดท้ายก็นำเสนอ “ฝั่งที่ถูกต้อง” อย่างชัดเจนอยู่ดี ในทางกลับกัน เนื้อเรื่องส่วนที่เป็นเควสเสริมประจำตัวละครเพื่อนร่วมกลุ่มทั้งหมด กลับมีความน่าสนใจมากกว่าเนื้อเรื่องของจินเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าลูกศิษย์ผู้ทรยศของ Sensei Ishikawa ไปจนถึงการตามล้างแค้นเพื่อครอบครัวของ Lady Masako ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่เข้มข้นน่าติดตาม ในระดับที่ทัดเทียมกับเนื้อเรื่องของเควสเกมอย่าง The Witcher 3 เลยทีเดียว เนื้อเรื่องเหล่านี้ยังมักจะปลดล๊อคบทใหม่ๆ ตามเนื้อเรื่องหลักไปเรื่อยๆ และมักจะตั้งคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง “ซามูไร” และ “ปีศาจ” (หรือความขัดแย้งระหว่างคนสองรุ่น) ในใจของจินได้ดีกว่าในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก ทำให้การเล่นเนื้อเรื่องเสริมของตัวละครเหล่านี้ ย้อนกลับไปทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องหลักน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย แม้สุดท้าย เควสเสริมส่วนใหญ่ที่มีให้เล่นในเกมจะค่อนข้างสั้น และมีเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่ด้วยเนื้อเรื่องหลักที่ “พอใช้” บวกกับเควสเสริมประจำตัวละครที่เขียนบทมาได้อย่างดี และนักแสดงและนักพากย์เสียงที่ยอดเยี่ยม (กล่าวถึงเพิ่มเติมในส่วนการนำเสนอ) ก็เพียงพอจะทำให้ผู้เขียนใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินไปกับเกมไม่ต่ำกว่า 30-40 ชั่วโมงก่อนจะจบเนื้อเรื่อง ◊ เกมเพลย์ ◊ อย่างที่กล่าวไปในหัวเรื่อง เกมเพลย์ของ Ghost of Tsushima อาจจะบรรยายได้แบบกว้างๆ ว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างการต่อสู้ของเกมอย่าง Star Wars Jedi: Fallen Order ที่เน้นการปัดป้อง (Parry) และหลบหลีกการโจมตีของศัตรู และปลิดชีพศัตรูอย่างรวดเร็วในการโจมตีไม่กี่ครั้ง เข้ากับการลอบเร้นและโครงสร้างของเกม Assassin’s Creed ที่ให้ผู้เล่นเดินทางไปรอบๆ แผนที่เพื่อทำเควสเนื้อเรื่อง เควสเสริม รวมไปถึงกิจกรรมยิบย่อยอีกมากมาย พร้อมกับการพัฒนาความสามารถและอุปกรณ์ของตัวละครไปด้วย ในระหว่างการต่อสู้อย่างซามูไร เกมเพลย์ของ Ghost of Tsushima อาจจะเปรียบได้กับเกมอย่าง Star Wars Jedi: Fallen Order ที่เน้นการหลบหลีกและปัดป้อง (Parry) การโจมตีของศัตรู เพื่อหาช่องว่างในการสวนกลับด้วยการโจมตีหนัก/เบา ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนท่าถือดาบให้ตรงตามชนิดของศัตรูเพื่อสร้างความได้เปรียบด้วย เกมมักจะแบ่งชัดเจนว่าการโจมตีแบบไหนที่ควรหลบหลีก และแบบไหนควรปัดป้อง โดยท่าที่ตั้งใจให้ปัดป้องทั้งหลายมักจะออกมาเป็นชุด และมักจะติดตามการหลบหลีกของผู้เล่นได้ตลอด จึงอาจจะพูดได้ว่าในขณะที่เกมอย่าง Jedi: Fallen Order หรือกระทั่ง Sekiro: Shadows Die Twice ยังเปิดให้ผู้เล่นที่อาจไม่ถนัดการกะจังหวะเพื่อปัดป้องสามารถใช้ความคล่องแคล่วมาทดแทนกันได้ ใน Ghost of Tsushima เกมแทบจะบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องฝึกฝนการปัดป้องให้ชำนาญระดับหนึ่งเลย แม้กระทั่งในการต่อสู้กับศัตรูระดับต่ำ เพราะความสมจริงของเกมหมายความว่าทั้งศัตรูและผู้เล่นจะสามารถรับการโจมตีได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นก่อนจะตาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่า Ghost of Tsushima มีความยากกว่า Jedi: Fallen Order หรือ Sekiro: Shadows Die Twice แต่อาจจะพูดได้ว่าเกม “คาดหวัง” ให้ผู้เล่นทุกคนสามารถใช้เครื่องมือทุกอย่างที่เกมมอบให้ให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นทักษะพื้นฐานอย่างการหลบหลีกและป้องกัน ไปจนถึงระบบ Stance หรือท่าถือดาบ ที่มักจะเปลี่ยนท่วงท่าการโจมตีของผู้เล่นเพื่อรับมือกับศัตรูชนิดต่างๆ เช่นท่าหนึ่งเอาไว้รับมือกับศัตรูที่ถือดาบ ในขณะที่อีกท่าเอาไว้รับมือกับศัตรูที่ถือหอก เป็นต้น แม้จะไม่ค่อยเห็นผลในช่วงแรกๆ แต่ในช่วงท้ายๆ เกมศัตรูจะเริ่มใส่เกราะหนักที่ทำให้รับการโจมตีได้มากขึ้น ทำให้การพยายาม Stagger ศัตรูผ่านท่าโจมตีเฉพาะของแต่ละ Stance มีความจำเป็นขึ้นมา และทำให้ยิ่งเกมดำเนินไปเท่าไหร่ การต่อสู้ในเกมก็จะมีมิติมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เกมมักจะทดสอบฝีมือของผู้เล่นอยู่เป็นระยะผ่านการต่อสู้แบบ Duel หรือการดวลดาบแบบตัวต่อตัวในพื้นที่จำกัด ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นเกมเพลย์ส่วนที่หินที่สุดในเกมเลย เพราะศัตรูในการดวลมักจะมีท่วงท่าและจังหวะการโจมตีที่ซับซ้อนกว่าศัตรูทั่วไป ที่จะบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ฝีมือในการต่อสู้ของตัวเองเพียวๆ 100% มีการดวลหลายครั้งที่ผู้เขียนตายแล้วตายอีกนับสิบๆ รอบกว่าจะผ่านไปได้ แต่ทุกครั้งที่เอาชนะศัตรูเหล่านี้ลงได้ ผู้เขียนก็สังเกติได้ถึงพัฒนาการในการเล่นของตัวเองเช่นเดียวกัน จึงทำให้การดวลเหล่านี้ยังคงสนุกทุกครั้ง และทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซามูไรยอดฝีมือขึ้นมาจริงๆ เลย ในทางกลับกัน ต้องยอมรับว่าเกมเพลย์การลอบเร้นใน Ghost of Tsushima นั้นอาจจะเรียกได้ว่า “เบสิก” มากๆ ผู้เล่นจะสามารถกดปุ่มอนาล๊อคขวา (R3) เพื่อย่อตัวลงและหลบซ่อนในพงหญ้าได้ หรือจะปีนป่ายภูเขา/อาคาร/ต้นไม้ในสภาพแวดล้อมเพื่อหาจังหวะลอบสังหารศัตรูจากด้านบนก็ได้ ผู้เล่นจะมีเครื่องมือเช่นกระดิ่งและประทัดที่สามารถใช้ปาไปดึงดูดความสนใจของศัตรูได้ หรือลูกดอกพิษที่ทำให้ศัตรูเห็นภาพหลอนและโจมตีศัตรูด้วยกันเป็นต้น มีธนูไว้ใช้สังหารศัตรูเงียบๆ จากระยะไกล หรือจะเข้าไปปาดคอในระยะใกล้ก็ได้ เมื่อถูกเจอ ผู้เล่นก็สามารถปาระเบิดควันลงพื้นเพื่อหลบซ่อนจากศัตรูอีกครั้งได้ คือขาดไปแค่รถเข็นใส่กองฟางก็จะเป็น Assassin’s Creed แล้วจริงๆ แต่อาจจะจำกัดมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเกมไม่ได้เปิดให้ปีนป่ายได้อย่างอิสระเท่า AC แถมองค์ประกอบอย่างการเคลื่อนย้ายศพศัตรูก็ไม่มี ที่สำคัญ A.I. ศัตรูในเกมนี้ก็ไม่ค่อยจะฉลาดนัก โดยเฉพาะในระดับความยาก Normal นี่แทบจะเรียกว่าหูหนวกตาบอดกันหมดเลยทีเดียว ผู้เขียนสามารถกระโดดจากตึกสองชั้นลงมายืนข้างหลังศัตรูได้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัวอะไรเลย แม้จะตกลงมาเสียงดังแค่ไหน หรือตัวเอกจะโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่สองวิเต็มๆ (เพราะโดดลงมาสูงเกินแล้วโดน Fall Damage) แต่ผู้เขียนก็ยังสามารถปาดคอพวกมันได้โดยที่ไม่มีใครรู้ แม้การปรับระดับความยากขึ้นมาเป็น Hard จะทำให้ศัตรูหูตาไวขึ้นพอสมควร และทำให้การลอบเร้นมีความท้าทายขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นรูปแบบการลอบเร้นแบบพื้นๆ ที่ค่อนข้างง่าย และอาจไม่ค่อยสนุกสำหรับคนที่โหยหาความท้าทายระดับเดียวกับการต่อสู้ในเกม ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่เกมพยายามจะปลดล๊อคความสามารถฝั่งลอบเร้น (เช่นมีดบิน ระเบิดควัน ประทัด)ไปตามเนื้อเรื่อง เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของตัวเอก กว่าจะปลดล๊อคเครื่องมือทั้งหมดในการลอบเร้น ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเกมแล้ว (20-25 ชั่วโมง) ทำให้การลอบเร้นในช่วงองค์แรกของเกม (5-10 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความขยันในการเก็บเควส) ค่อนข้างจำกัดมากๆ ซึ่งแม้จะมีเหตุผลสนับสนุนในเนื้อเรื่อง แต่ก็ทำให้การลอบเร้นของเกมในครึ่งแรกทั้งหมดรู้สึกน่าเบื่อไปซะหน่อยสำหรับผู้เขียน ที่มักจะเลือกเดินเข้าไปท้าศัตรูซึ่งๆ หน้าเลยเพราะสนุกกว่า การลอบเร้นจะเริ่มรู้สึกมีความจำเป็นขึ้นมาจริงๆ ในช่วงท้ายเกม ที่เริ่มมีเครื่องมือและเงื่อนไขในภารกิจที่เน้นการลอบเร้นมากขึ้น แถมศัตรูระดับสูงยังมักจะมีชุดเกราะและอาวุธที่ทนทานกว่าช่วงต้นเกมหลายเท่า การลอบเร้นเข้าไปตัดกำลังกองทัพศัตรูอย่างเงียบๆ ก่อนจึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้เขียนทำเพราะรู้สึกจำเป็น (ไม่งั้นโดนรุมตาย) มากกว่าเป็นทางเลือกจาก “ความสนุก” และมักจะเหลือศัตรูไว้ในค่ายจำนวนหนึ่งเพื่อต่อสู้ตรงๆ เสมอ (แต่ยอมรับว่าคนที่อยากได้อารมณ์ Assassin’s Creed แบบคลาสสิคในยุคญี่ปุ่นโบราณ น่าจะอินได้ไม่ยาก ในส่วนของการสำรวจ Ghost of Tsushima จะมีลักษณะคล้ายๆ กับเกมโลกเปิดส่วนใหญ่ในแง่ของโครงสร้าง ที่จะมีภารกิจหลักและเสริม รวมไปถึงกิจกรรมย่อยๆ อย่างการแช่บ่อน้ำแร่เพื่อเพิ่ม Max HP หรือการสำรวจศาลเจ้าเพื่อรับเครื่องราง กระจัดกระจายให้ทำอยู่เต็มแผนที่ ซึ่งแน่นอนว่าบางกิจกรรมก็สนุก เช่นการสำรวจศาลเจ้า ที่มักจะมาในรูปแบบของพัซเซิ่ลการปีนป่าย (Platforming Puzzle) แบบเบาๆ หรือการเคลียร์ค่ายทหารมองโกล ที่ทำให้ได้รับแต้มความสามารถเพิ่ม ในขณะที่บางกิจกรรมก็ไม่ค่อยสนุก เช่นการแต่งกลอนไฮกุ หรือการวิ่งไล่หมาจิ้งจอก อาจจะแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่อย่างน้อยระบบ Fast Travel ของเกมก็ทำให้ผู้เล่นสามารถเดินทางไปยังตำแหน่งของกิจกรรมที่พบในแผนที่ได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นการจะทิ้งกิจกรรมที่ไม่อยากทำไว้จนถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ ค่อยมาทำก็ยังง่ายดาย เพราะสามารถวาร์ปกลับไปยังตำแหน่งนั้นๆ ได้ทันที การสำรวจจะผูกเข้ากับระบบการพัฒนาตัวละครด้วย เพราะกิจกรรมแทบทุกอย่างที่ทำได้บนแผนที่จะมอบประโยชน์ให้กับตัวละครแตกต่างกันไป เช่นการแช่บ่อน้ำร้อนเพื่อเพิ่ม Max HP หรือการฝึกฟันไม้ไผ่เพื่อเพิ่มเกจ Resolve ที่เอาไว้ใช้ปล่อยท่าพิเศษและฟื้นฟูพลังชีวิตของผู้เล่นขณะต่อสู้ นอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถเลือกใส่ชุดเกราะ (ต้องเลือกเปลี่ยนทั้งชุด ยกเว้นหมวกกับหน้ากากสามารถผสมกันได้) และเครื่องรางชนิดต่างๆ ได้ เช่นเกราะซามูไรที่ใส่แล้วได้พลังโจมตีและพลังชีวิตเพิ่ม หรือเครื่องรางที่ทำให้ปามีดสั้นได้เพิ่มขึ้น 2 เล่มเป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมอบความสามารถพิเศษต่างกัน และทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกสับเปลี่ยนให้เข้ากับสไตล์การเล่นหรือสถานการณ์ได้ เราอาจจะเลือกใส่เกราะหนักและใส่เครื่องรางที่เพิ่มพลังป้องกันเมื่อต้องดวลเดี่ยวกับบอส แต่เปลี่ยนมาใส่เกราะโรนินที่ทำให้ศัตรูมองเห็นเราช้าลงเมื่อต้องการลอบเร้นเป็นต้น ทำให้ชุดเกราะทุกชุดมีประโยชน์ และทำให้ผู้เล่นสามารถเตรียมตัวรับสถานการณ์ได้อย่างหลากหลาย แม้จะไม่ได้ลึกเท่าระบบชุดเกราะในเกม RPG ก็ตาม ซึ่งก้อาจไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับหลายคนที่เบื่อหน่ายระบบ RPG ในเกมแอคชั่น ในการเดินทาง ผู้เล่นจะต้องพึ่งพา “สายลม” ในการนำทางไปสู่จุดหมายในลักษณะเดียวกับการปักหมุดหรือการตั้ง Way Point ในเกมอื่นๆ ซึ่งก็ช่วยทำให้การเล่น Ghost of Tsushima ส่วนใหญ่มี HUD เช่นหลอดเลือดหรือมินิแมพขึ้นมากวนใจน้อยมาก และทำให้ผู้เล่นสามารถรับบรรยากาศของเกมได้ในระหว่างที่เดินทางไกลด้วยการขี่ม้า กลับกันคือระบบนกนำทาง ที่มักจะส่งนกสีเหลืองๆ มาพาผู้เล่นไปยังตำแหน่งของกิจกรรมเสริมที่ใกล้ที่สุด ซึ่งมักจะโผล่มาแบบสุ่ม แถมเจ้านกยังมักจะบินติดฉาก หรือไม่ก็บินหายไปเฉยๆ (ไม่รู้ว่าเป็นบั๊คหรือหาไม่เจอเอง) แต่ที่แน่ๆ คือผู้เขียนพบว่านกเหล่านี้มักจะพาเราหลงและเสียเวลาไป มากกว่าที่จะพาไปเจออะไรที่มีประโยชน์จริงๆ นอกจากนี้ ผู้เล่นยังมีสิทธิจะพบกับหน่วยลาดตระเวน หรือกระทั่งค่ายทหารของพวกมองโกล ที่เมื่อกำจัดแล้วก็จะได้รับทรัพยากรมาใช้พัฒนาอาวุธชุดเกราะของเรา หรือกระทั่งได้รับ Technique Point มาใช้อัพความสามารถ เช่นการปัดลูกธนู ซึ่งการทำให้กิจกรรมเล็กน้อยทั้งหมดในแผนที่มีประโยชน์ในแบบของตัวเอง ก็ช่วยทำให้การสำรวจในเกม Ghost of Tsushima ไม่รู้สึกเสียเวลา เพราะต่อให้เป็นกิจกรรมเล็กน้อยแค่ไหนก็มีผลในการพัฒนาตัวละครไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กล่าวโดยสรุป การต่อสู้ในเกม Ghost of Tsushima ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของเกม และทำออกมาได้ค่อนข้างสนุกและท้าทายโดยที่ไม่ได้ยากจนเกินความสามารถ และสามารถปรับระดับความยากได้ตลอดเวลาในจังหวะที่รู้สึกว่าเล่นไม่ผ่าน นอกจากนี้ เกมยังมีแผนที่โลกที่กว้างใหญ่ ที่มีกิจกรรมให้ทำมากมาย และทุกกิจกรรมก็ล้วนช่วยพัฒนาตัวละครของผู้เล่นในวิธีที่ต่างกัน ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดอ่อน คงจะเป็นระบบการลอบเร้น ที่ค่อนข้างจะธรรมดาๆ และไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ใฝ่ฝันอยากจะได้เล่นเกม Assassin’s Creed ฉบับญี่ปุ่น โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Assassin’s Creed ยุคแรกๆ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของพวกคุณได้ดีที่สุดแล้วในขณะนี้ ◊ กราฟิก/การนำเสนอ ◊ จากภาพที่เปิดเผยออกมา ทั้งในเทรลเลอร์และในสกรีนช๊อตมากมายของเกม เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเห็นด้วยกับผู้เชียนว่า Ghost of Tsushima เป็นเกมที่ “สวย” มากๆ ด้วยสภาพแวดล้อมสีฉูดฉาดของเกม ไปจนถึงเอฟเฟกต์ใบไม้ใบหญ้าที่ปลิวไหวไปตามลมตลอดเวลา ที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่มีมนต์ขลังบางอย่างให้กับเกม แม้ว่าตัวเกมเองจะไม่ได้มีความแฟนตาซีก็ตาม ซึ่งก็ช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้กับโลกของเกม ให้เป็นมากกว่าแค่อ้างอิงจากญี่ปุ่นยุคโบราณมาตรงๆ ที่อาจจะไม่ได้น่าสนใจเท่า ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องของเพลงในเกม ที่ช่วยสร้างบรรยากศให้กับการเดินทางได้เป็นอย่างดี และย้อนกลับไปเสริมบรรยากาศของเกม และสร้างความรู้สึกน่าพิศวงให้กับการสำรวจเกาะสึชิมะอย่างน่าประหลาด แน่นอนว่าทั้งหมดทำให้การเดินทางไปมาในเกาะสึชิมะของเกมเป็นประสบการณ์ที่น่าเพลิดเพลินแทบจะตลอดเวลาเลยทีเดียว แถมผู้เล่นยังสามารถปลดล๊อคเพลงต่างๆ ให้ตัวละครจินสามารถเป่าขลุ่ยตามได้ ซึ่งการเป่าขลุ่ยยังเป็นวิธีการที่เกมเปิดให้ผู้เล่นควบคุมสภาพอากาศของเกมด้วย (เช่นเพลงหนึ่งอาจทำให้ฟ้าใส แต่อีกเพลงทำให้ฝนตก เป็นต้น) แม้ว่าสภาพแวดล้อมมักจะไม่ได้มีผลอะไรกับการเล่นเกมจริงๆ เท่าไหร่ก็ตาม อีกสิ่งที่น่าชมคือคุณภาพของการพากย์เสียง และการแสกนหน้านักแสดง ที่บอกเลยว่ามีหลายฉากที่ผู้เขียนเกิดความอินตามเนื้อเรื่องได้เพียงเพราะจากสีหน้าและน้ำเสียงของนักแสดงเลย โดยเฉพาะท่านลุงชิมูระ พ่อบุญธรรมและอาจารย์ของตัวเอก ที่อาจจะเป็นผลงานการแสดงและพากย์เสียงตัวละครที่ผู้เขียนชอบที่สุดชิ้นหนึ่งได้เลย (อย่างน้อยก็ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่ผู้เขียนเล่น) ซึ่งคุณภาพของเสียงพากย์และการแสดง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำชูเนื้อเรื่องของเกมเอาไว้อยู่ เพราะถ้าไม่ได้กลุ่มนักแสดงและนักพากย์นี้มา เชื่อว่าผู้เขียนคงหักคะแนนส่วนเนื้อเรื่องไปมากกว่านี้แน่นอน แต่ในความสวยงามของเกม ก็รู้สึกถึงความ ”ปรุงแต่ง” มากกว่าเกม Open World คู่แข่งหลายๆ เกมเช่นเดียวกัน จากการที่รายละเอียดหลายๆ อย่างในโลกขาดชีวิตชีวาไปอย่างชัดเจน เช่นเหล่า NPC ชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่มักจะยืนอยู่ที่เดิมเฉยๆ ทั้งเกม หรืออนิเมชั่นของน้ำและโคลนเมื่อวิ่งผ่าน ที่บ้างครั้งก็กระเซ็นแบบสมจริง แต่บางครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนผู้พัฒนาพยายามทำให้เกมสวยที่สุดเมื่อมองในภาพใหญ่ (ต้องยอมรับว่ามันสวยจริงๆ) แทนที่จะปั้นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดให้สวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างที่ผู้พัฒนาหลายๆ สำนักพยายามทำในปัจจุบัน ซึ่งว่ากันตามตรงก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมเพลย์เท่าไหร่นัก แต่เพราะเกมอื่นๆ หลายเกมดูจะแก้ไขปัญหานี้ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย เลยทำให้กลายเป็นข้อบกพร่องที่สังเกติง่ายในเกมนี้ ◊ ซับไทยและ Kurosawa Mode ◊ อย่างที่หลายคนอาจจะทราบกันดี เกม Ghost of Tsushima สนับสนุนบทบรรยายและเมนูภาษาไทยด้วย เช่นเดียวกับเกม PlayStation 4 Exclusive เกมก่อนหน้าอย่าง The Last of Us Part II ซึ่งเกม TLoU2 เป็นหนึ่งในเกมที่หลายๆ คน (รวมไปถึงทีมงาน GameFever ด้วย) ต่างชื่นชมว่าทำบทบรรยายไทยออกมาได้ดีมากๆ สำหรับเกม Ghost of Tsushima นั้น อาจจะด้วยความที่ผู้แปลพยายามจะรักษาความเป็นสมัยโบราณของเกมด้วย แต่บทบรรยายไทยของเกมมีความแข็งๆ ต่างจากเกม TLoU2 อย่างมาก และมีหลายคำที่แปลออกมาแปลกๆ สังเกติง่ายๆ แค่จากคำว่า “Continue” ในเมนูหลักของเกม ที่ถูกแปลออกมาเป็น “ทำต่อ” แทนที่จะเป็น “เล่นต่อ” เป็นต้น ผู้เขียนยอมรับตามตรงว่าทนเล่นซับไทยอยู่ได้ประมาณสองภารกิจ ก่อนที่จะทนไม่ไหวเปลี่ยนกลับไปเล่นซับอังกฤษ เพราะมันทำให้เสียอรรถรสและสมาธิขณะเล่นจริงๆ ในส่วนของโหมดพิเศษ Kurosawa Mode ของเกม หรือที่น่าจะเรียกกันง่ายๆ ว่า “โหมดขาวดำ” นั้น จะทำให้ภาพในเกมทั้งหมดกลายเป็นสีขาวดำ เช่นเดียวกับเหล่าหนังซามูไรในยุค 1950-60 ของผู้กำกับภาพยนตร์ในตำนาน คุโรซาวะ อาคิระ ที่ผลิตผลงานภาพยนตร์ซามูไรอันโด่งดังอย่าง Seven Samurai (1954) และ Yojimbo (1961) อันเป็นแรงบันดาลใจของเหล่าผู้พัฒนานั่นเอง โหมดจะใส่เอฟเฟกต์ Film Grain เข้าไปเพื่อจำลองความรู้สึกของภาพยนตร์ในยุคนั้น และจะทำให้ลมในเกมพัดแรงขึ้นมากๆ เพื่อเสริมอารมณ์ของเกม ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากนะ สำหรับผู้เขียนไม่ได้รู้สึกมันช่วยทำให้เกมสนุกขึ้นหรืออะไร แต่ก็คงมีคอหนังตัวยงที่อาจจะชื่นชอบความรู้สึกของการได้ “เล่นหนังซามูไร” ก็เป็นได้  ◊ สรุป ◊ เกม Ghost of Tsushima อาจไม่ใช่เกมที่พยายามนำเสนออะไรที่ใหม่กว่าคนอื่น และก็ต้องยอมรับว่ามีหลายองค์ประกอบที่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่ Ghost of Tsushima ก็ยังเป็นเกมที่สนุกในตัวของมันเอง ที่น่าจะมอบประสบการณ์นินจาซามูไรที่หลายคนต้องการมาตลอดได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่บทบรรยายไทยของเกมไม่สามารถคงมาตรฐานที่ The Last of Us Part II ตั้งมาได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ (หรือญี่ปุ่น) จริงๆ ก็ยังถือว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลยล่ะนะ [penci_review id="61128"]
20 Jul 2020
พรีวิว Genshin Impact การผจญภัยในโลกแฟนตาซี กับ Paimon ภูตน้อยจอมซน
ต้องขอบคุณทาง Mihoyo จริงๆ ที่ให้โอกาสพวกเราทีมงาน GameFever Th ได้มีโอกาสเข้าไปทดลองเล่น Genshin Impact ในรอบ Closed Beta ครั้งสุดท้าย โดยจริงๆ ก่อนหน้านี้ทางเราได้มีการพูดถึงความรู้สึกหลังได้เล่นเกมนี้ไปแล้ว หลังจากที่มีโอกาสได้เข้าไปเล่นในรอบ Closed Beta ครั้งแรก แต่ในรอบนี้ไม่เหมือนกัน เพราะตัวเกมได้เปิดให้สามารถเล่นได้บนระบบของมือถือด้วย ดังนั้นในบทความนี้จึงจะขอเล่าถึงความรู้สึก หลังจากได้เล่นเกมนี้บนเครื่องต่างๆ ว่าแตกต่างกันอย่างไร พร้อมทั้งจะขอเล่าถึงเนื่อเรื่องเกมนี้ ว่าเกี่ยวกับอะไรกันแน่ด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ! จุดเริ่มต้นของการเดินทาง เนื้อเรื่องของ Genshin Impact จะเริ่มต้นจากบรรยายที่ว่า มีฝาแฝดคู่หนึ่งกำลังเดินทางไปยังโลกต่างๆ เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แต่อยู่ดีๆ พวกเขาก็ถูกขัดขวางการเดินทางโดย เทพ ผู้ไม่ทราบชื่อ (ตรงนี้เราจะได้เลือกว่าจะเล่นเป็นฝาแฝดคนที่เป็นผู้หญิง หรือชาย) หลังจากต่อสู้อยู่นาน ทั้ง 2 ก็ได้ถูกเทพผู้ไม่ทราบชื่อ บังคับส่งไปยังต่างโลก หลังจากนั้นภาพจะตัดมาที่ตัวละครของเรา กำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างต้นให้กับ Paimon ภูตน้อยจอมซน ที่เป็นมาสคอตของเกม บริเวณชายหาดแห่งในหนึ่งในต่างโลก (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนว่าเวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลังจากเหตุการข้างต้น) ตัวละครของเราจะตัดสินใจว่า ต้องออกเดินทางในโลกนี้เพื่อตามหาพี่ชายที่หายตัวไป ซึ่ง Paimon จะตัดสินใจติดตามเราไปด้วย พร้อมกับสอนถึงสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับโลกใบนี้ และการผจญภัยของทั้ง 2 ก็ได้เริ่มต้นจากจุดนี้ ในช่วงต่อจากนั้นเนื้อเรื่องจะคล้ายๆ กับเกม RPG ทั่วไป เราจะได้เดินทางไปยังเมืองต่างๆ ค้นพบผู้คนมากมาย, รับฟังปัญหาของช่าวบ้าน หรือ NPC ต่างๆ และรับหน้าที่แก้ปัญหาเหล่านั้น บ้างครั้งก็ได้ของรางวัลมากมาย, บางครั้งก็ได้พวกพ่องคนใหม่ที่พร้อมจะเดินทางไปกับเรา เรียกได้ว่ามีองค์ประกอบของเกม RPG ที่ดีอยู่ครบเลยครับ การนำเสนอ ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆ ครับ ด่านการนำเสนอรวมไปจนถึงเก็บรายละเอียดของ Genshin Impact ผู้เขียนยอมรับเลยว่าทีมพัฒนาทำออกมาได้ดีจริง การเก็บรายละเอียดในทีนี้ไม่ได้หมายถึงความสวยงามของ Texture หรือ ความคมของภาพ แต่หมายถึงรายละเอียดของการกระทำ, ความสมจริง และสภาพแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากผู้เล่นเดินขึ้นบันไดตัว หรือเนินชันตัวละครเราจะเคลื่อนที่ช้าลง, เวลาสไลม์ไฟกระดึ๊บผ่านทุ่งหญ้าจะมีรอยไหม้บนพื้น ,เวลาใช้เวทพายุผ่านพื้นที่ติดไฟอยู่ พายุที่ออกไปจะกลายเป็นพายุไฟ หรือเวลาที่ตัวละครเราเพิ่งจะจึ้นมาจากน้ำ จะมีหยดน้ำจากเสื้อผ้าตกลงพื้นด้วย เป็นต้น อย่างที่บอกไปแล้วว่ารายละเอียดต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดี ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เกี่ยวกับเกมเพลย์เท่านั้น ในเชิงสภาพแวดล้อมเองก็ทำออกมาได้ดีด้วย ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากพบก็บริเวณที่เป็นไม้เลื้อยปิดทางอยู่เราสามารถใช้ การโจมตีที่เป็นธาตุไฟเพื่อเผาทำลายไม้ที่กีดขวางอยู่ได้ กระทั้งคบไฟที่ปีศาจถืออยู่ ก็ยังสามารถใช้เวทลมเพื่อพัดเปลวไฟไปเผาศัตรูได้ ผู้เขียนยอมรับเลยว่าทีมพัฒนาทำในส่วนนี้ออกมาได้น่าสนใจมากๆ ครับ [caption id="attachment_61552" align="aligncenter" width="1280"] ตอนแรกเป็นพายุสีเขียว[/caption] [caption id="attachment_61553" align="aligncenter" width="1280"] ผ่านไฟแล้ว กลายเป็นพายุไฟ[/caption] ประสบการ์ณเล่นเกมนี้บนเครื่องต่างๆ เนื่องจากว่าไอดี ที่ทางเราได้มาจากผู้พัฒนานั้น เมื่อเล่นในเครื่องไหนแล้ว จะไม่สามารถนำไอดีดังกล่าวไปเล่นในเครื่องอื่นได้ ทำให้ประสบการณ์ รวมถึงความประทับใจ ของทีมงานเราแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงจะขอสรุปความคิดเห็นของทีมงานเราแต่ละคนไว้ข้างล่างนี้ครับ บนเครื่อง PC โดย Wine2035 ในวินาทีแรกที่เริ่มควบคุมตัวละครได้ บอกได้เลยว่ารู้สึกประทับใจมาก เพราะตัวเกมเวอร์ชั่น PC ได้มีการตั้งค่าปุ่ม ให้สามารถเล่นได้ไม่ต่างอะไรกับเกม Action-RPG ดีๆ เกมหนึ่งเลย ปุ่มที่ถูกตั้งค่ามาก็รูปแบบคือ W,A,S,D + เมาส์ เหมือนกับเกม MMORPG ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาด ดังนั้นถ้าชินกับการเล่นเกมสไตล์ดังกล่าวบนเครื่อง PC อยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะยากเกินไปที่จะเล่นเกมนี้ได้อย่างชำนาญครับ ในส่วนของกราฟิกก็เรียกได้ว่าสวยมาก ชนิดที่ไม่คิดเลยว่าเกมที่ภาพสวยขนาดนี้ จะสามารถเล่นบนเครื่องมือถือได้ด้วยเช่นกัน (ซึ่งเอาจริงๆ เกมสามารถตั้งค่าคุณภาพพของกราฟิกได้ ดังนั้นน่าจะเล่นบนมือถือได้อย่างไม่มีปัญหาอยู่แล้ว) แต่ในเวลาเดียวกันก็คงต้องยอมรับว่าเกมกินสเปคเครื่องพอสมควร ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ได้มีเครื่อง PC แรงๆ ก็อาจจะปรับกราฟิกสูงๆ ไม่ได้ครับ บนเครื่อง PS4 โดย Miyui จะพูดว่าเกมนี้ออกแบบมาเพื่อ Console เลยก็ว่าได้ การควบคุมและมุมกล้องน่าพอใจมาก อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าความไวของโหมดเล็งเป้าได้ด้วย ระบบการต่อสู้ที่ไม่ได้กดแค่ปุ่มเดียวในการตบตีมอนสเตอร์ กับการเปลี่ยนตัวไปมาระหว่างต่อสู้เพื่อใช้ประโยชน์จากธาตุต่างๆ เมื่อควบคุมด้วยจอยแล้วก็รู้สึกสนุกเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องกราฟฟิก ถือว่าอยู่ในระดับท๊อปเลย ดีที่สุดหากเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ยิ่งเล่นกับทีวีจอใหญ่ๆ เปิดเสียงกระหึ่มๆหน่อย ได้ฟีลหลุดเข้าไปในต่างโลกเลยทีเดียว บนมือถือ โดย Lazefatboy ประสบการณ์การเล่นในมือถือนั้น การควบคุมต่างๆ อาจจะมีความยุ่งยากมากกว่าใน PC อยู่นิดหน่อย เนื่องจากข้อจำกัดของขนาดหน้าจอกับปุ่มกด แต่พอเล่นไปซักพักก็ชิน และไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนในด้านกราฟิกนั้นผู้พัฒนาถือว่าหยิบเอาเกมเวอร์ชั่นเดียวกันมาใส่แบบเต็มๆ เลย เพียงแต่รายละเอียดอาจจะมีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในด้าน Texture ส่วนในเรื่องการ Optimize อาจจะต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างกินสเปกเครื่องมากพอสมควร เพราะตัวผู้เขียนนั้นได้ใช้โทรศัพท์รุ่นเรือธงของ Android ในการเล่น ค้นพบว่าตัวเกมวิ่งอยู่เพียงแค่ 30 FPS พร้อมทั้งยังมีเฟรมเรทตกอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเล่นไปซักพักเครื่องจะร้อนเร็วมาก ส่วนตัวคิดว่าในเวอร์ชั่นนี้อาจจะยังไม่เหมาะที่จะใช้เล่นเป็นเครื่องหลัก เพราะมันอาจจะทำให้อายุการใช้งานโทรศัพท์ของคุณน้อยลงกว่าเดิมเนื่องจากความร้อน เหมาะสำหรับการที่คุณนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PC เป็นหลัก และย้ายมาเล่นบนมือถือเพียงแค่ชั่วครู่ราวๆ 1 ชั่วโมงประมาณนี้
16 Jul 2020
รีวิว No Straight Roads [DEMO] เกมแนว Rythm + Action Adventure กับการเสียดสีค่านิยมเพลงในปัจจุบัน
เชื่อว่าเกมเมอร์หลายๆ คนก็น่าจะเคยเล่นเกมแนว Rythm หรือเกมที่ใช้ดนตรีมาเป็นปัจจัยหลักมามากหลายเกม แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมที่เราได้เล่นส่วนใหญ่นั้นจะมีรูปแบบคล้ายๆ กัน นั่นคือการกดปุ่มที่ไหลลงมาให้ตรงตามจังหวะเพลง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราคุ้นชินและนิยามคำว่า Rythm Games ได้อย่างดี แต่ในปี 2020 ที่ไอเดียในการสร้างวิดีโอเกมเองก็มีความเปิดกว้างและไร้ขีดจำกัดมากขึ้น เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมอินดี้ที่โตขึ้นอย่างทวีคูณ จนในที่สุดมันจึงได้มีเกมหนึ่งเกมที่ออกมาแล้วฉีกทุกกฏเกณฑ์เดิมๆ ในเรื่องไอเดียกับการนำเอา Rythm Games มาผสมผสานกับเกมแนว Action Adventure ที่คนส่วนใหญ่ชอบ กลายมาเป็นเกมที่ชื่อว่า No Straight Roads จากฝีมือทีมพัฒนาสัญชาติอังกฤษอย่าง Sold Out Games พร้อมทั้งโปรเจกต์นี้ยังมีนักพัฒนารุ่นเก๋าผู้มีประสบการณ์อย่างคุณ Wan Hazmer หัวหน้าดีไซนเนอร์ของเกม Final Fantasy XV และ Daim Dziauddin อาร์ทดิสของเกม Street Fighter V ร่วมอยู่ด้วย  โดยตัวเกมนั้นมีกำหนดจะวางจำหน่ายออกมาให้เราเล่นในวันที่ 25 สิงหาคม 2020 แต่ทางเรานั้นได้มีโอกาสเข้าไปทดลอง DEMO ของเกมความยาวราวๆ 2 ชั่วโมง ด้วยความสงสัยที่ว่า Rythm Games + Action Adventure มันจะออกมาเป็นรูปแบบไหนกันนะ และสารภาพตามตรงว่าก่อนที่จะได้เข้าไปเล่นนั้น ผู้เขียนได้ลองเข้าไปดูคลิปวิดีโอเกมเพลย์จาก YouTube ต่างๆ มาก่อนหน้าบ้าง แต่ก็เฉยๆ กับมันและไม่ได้สนใจมันเท่าที่ควร !! ซึ่งหลังจากที่ผู้เขียนได้เข้าไปลองประสบการณ์ของมันด้วยตัวเองแล้ว ความคิดของผมเองก็เปลี่ยนไปตลอดกาล !! กราฟิก / การนำเสนอ No Straight Roads ใช้กราฟิก 3D ที่นำเสนอโลกแห่ง Cyberpunk ในอนาคตได้อย่างยอดเยี่ยม แสงสีหลอดนีออนฉูดฉาดบวกกับกลื่นอายความเป็นดิสโทรเปียที่ถือว่าเป็นของคู่กันกับธีมแนวนี้อยู่แล้ว  กับบ้านเมืองถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทันสมัย แต่ก็จะให้ความรู้สึกที่เสื่อมโทรมอยู่ตลอดเวลา และเนื่องจากกราฟิกของเกมที่ผู้พัฒนาจะต้องเลือกใช้ความเป็นการ์ตูนเพือให้เหมาะกับเกมเพลย์ที่ดีไซน์ออกมา การดีไซน์แอนิเมชัน ท่าทางบ้าๆ บอๆ การเต๊ะท่าผิดมนุษย์มนาที่พอมันอยู่ในเกมนี้แล้วกลับลงตัวอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งใครที่คิดภาพไม่ออก อารมณ์คล้ายๆ กับท่าทางการเต๊ะท่าของการ์ตูนเรื่อง Jojo Bizzare Adventure นั่นแหละ ยอมรับว่าในด้านกราฟิกถ้ามองเผินๆ มันก็เป็นงานอาร์ทที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานที่มีกลิ่นอายของ Street Art อยู่มาก แต่ค่านิยมงานแนวนี้ในด้านของวิดีโอเกมก็ต้องพูดว่ามันไม่ได้เป็นที่นิยมหรือสนใจต่อผู้คนมากเท่าไรนัก ซึ่งพอได้เล่นจริงๆ แล้ว หลายๆ อย่างที่ผู้พัฒนาสร้างมา ท่าทางตัวละคร หรือโลก Cyberpunk มันกลับมีเสน่ห์เกินกว่าทีคาดไว้ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของตัวเกมนำเสนอเรื่องราวของสองตัวละครอย่าง Mayday และ Zuke สมาชิกวงดนตรี Rock นามว่า Bunk Bed Junction ที่ต้องการจะต่อกรกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่ครอบงำผู้คนด้วยเสียงเพลงแห่ง EDM !! เอาจริงๆ แล้วถ้าให้มองเนื้อเรื่องของ No Straight Roads ดูเผินๆ มันก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่เรียบง่ายและซื่อตรงไม่ได้หวือหวากว่าเกมไหนๆ เพราะมันมีเกมอินดี้มากมายที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้กินใจกว่านี้เยอะ !! แต่ทว่าพอลองมองลงไปให้ลึกเข้าไปหน่อย เรานั้นจะได้เห็นว่าผู้พัฒนาพยายามที่จะส่งสารบางอย่างต่อโลกของเราในสมัยนี้เช่นกัน กับการที่ดนตรีแนว EDM นั้นค่อนข้างเข้ามามีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมเพลงเกือบทั่วทุกที่ และมันกลายเป็น Trend ที่แพร่ขยายออกไปมากขึ้นแบบไม่ทันได้รู้ตัว เพราะในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็มีนักร้องมากมายที่นำเอาดนตรีแนว EDM เข้ามาผสมผสานกับเพลงของตัวเองและโด่งดังมากมาย หรือศิลปินแนว EDM เองก็ค่อนข้างกลายเป็นที่รู้จักของโลกมากขึ้น โดยมันก็ส่งผลทำให้เพลงแนวอื่นเองก็ต้องปรับตัวผสมผสานเอาสไตล์เทรนใหม่นี้เข้ามาด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องและบอสต่าง ของเกมนี้เองก็มีการสื่อเป็นนัยๆ เกี่ยวกับประเด็นนี้เช่นกัน และสิ่งไหนที่เกิดขึ้นมา จะต้องมีสิ่งหนึ่งที่ดับไป !! ใช่แล้วครับหนึ่งแนวดนตรีที่ได้รับความนิยมน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็คือแนวดนตรีเพลง Rock ที่ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงขาลงของมันเลยก็ว่าได้ สังเกตุว่าศิลปินที่ทำดนตรีแนว Rock, Punk หรือ Heavy Metal เดี๋ยวนี้ไม่ได้รับความนิยมเหมือนดั่งเมื่อก่อน เนื้อเรื่องที่ No Straight Roads นำเสนอ มันจึงกลายเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องหยอกล้อเสียดสีสังคมได้เป็นอย่างดี ว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ EDM และเป็นการสะท้อนถึงปัญหาในเรื่องของความหลากหลายที่ตอนนี้แนวดนตรีบางแนวอาจจะมีที่ยืนในสังคมน้อยลงไปเรื่อยๆ รวมถึงอีกหนึ่งเสน่ห์หลักที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือความตลกในเรื่องของบทสนทนาที่นอกจากจะมีการหยอกล้อสังคมแล้ว ผู้พัฒนายังใส่มุขตลกสไตล์ฝรั่งที่ทำให้เรายิ้มและฮาได้เรื่อยๆ และค่อนข้างเป็นตลกน้ำดีที่มันเข้ากันกับธีมของเกมที่มีความเป็น Cyberpunk ได้อย่างยอดเยี่ยมและลงตัว ถึงแม้ว่าผู้เขียนนั้นจะเล่นเกมนี้เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เกมเพลย์ อย่างที่บอกไปว่า No Straight Roads เป็นเกมที่ผสมผสานเกมเพลย์ระหว่าง Rythm Games และ Action Adventure ซึ่งถือว่าเป็นไอเดียที่แปลกใหม่มากๆ ตัวเกมเพลย์ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าคุณอาจจะต้องใช้ประสบการณ์จากการเล่นเกมทั้งสองแนวเข้ามาใช้ โดยพื้นฐานการเล่นนั้นเราก็จะบังคับหรือโจมตีศัตรูในแบบของเกม Action Adventure ทั่วไป ตัวเกมมีความเป็น Hack and Slash เล็กๆ เพียงแต่ว่าทุกการโจมตีของศัตรูนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะดนตรีทั้งหมด ทุกๆ การต่อสู้ของเกม จะมีเพลงประกอบที่เป็น EDM ที่ศัตรูจะโจมตีคุณตามจังหวะ Beat ของเพลงประกอบที่เปิดอยู่ รวมถึงในการต่อสู้ในแต่ละมิชชัน เพลงก็จะมีกลิ่ยอายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย และเนื่องจากที่วง Bunk Bed Junction ประกอบไปด้วยสองตัวละครอย่าง Mayday และ Zuke เลยทำให้ตัวเกมเองรองรับการเล่นแบบ Co-op ในจอเดียวกันได้ด้วย รวมถึงแต่ละตัวละครจะมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันออกไปอย่างเช่น Mayday จะเป็นสายตีดาเมจแรงๆ แต่อาจจะตีช้า ซึ่งเหมาะกับการปิดดาเมจมอนสเตอร์ลูกกระจ๊อกได้อย่างไว แต่ทาง Zuke ที่เป็นมือสองจะตีเร็วและจะตีเบากว่า ซึ่งเหมาะในการตี Objective เพื่อเอาสิ่งของมาตีศัตรูเป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น !! ใครที่คิดว่าจะเข้าเกมนี้ไปตีศัตรูให้ตายจบๆ ด่านไปท่านก็อาจจะคิดผิด เพราะตัวผมอาจจะต้องนิยามเกมเพลย์ของมันว่าคือเกมแนว Rythm Games + Action Adventure + Soul Style มากกว่า ตัวเกมมีระดับความยากในระดับที่พาให้หัวของคุณนั้นลุกเป็นไฟได้อย่างง่ายดาย สาเหตุมาจากความเป็นดนตรีแนว EDM ที่มี Beat ค่อนข้างเร็วและ Melody ที่หลากหลาย และพอศัตรูนั้นโจมตีเราตาม Beat หรือ Melody อย่างที่กล่าวไป ทำให้ศัตรูนั้นโจมตีเราเป็นชุดอย่างห่าฝน เราจะต้องใช้ไหวพริบ สติและปฏิกริยาที่เฉียบพลันในการเล่นอยู่ตลอดไม่งั้นก็อาจจะไปคุยกับรากมะม่วงได้ คุณจะต้องฟังดนตรีอยู่ตลอดเวลาเพื่อจับจังหวะของแต่ละเพลง รวมถึงต้องเข้าใจรูปแบบการโจมตีที่มาเป็นห่าฝนของศัตรูอีก ซึ่งเอาจริงๆ เกมเพลย์มันค่อนข้างสนุกนะ ถ้าหากใครที่ชอบเล่นเกมแนวยากๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังวางใจได้ในระดับหนึ่งก็คือความยากของมันก็ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้อยู่ดี ไม่ง่าย และไม่ยากจนเกินไป สรุป No Straight Roads เป็นเกมที่ถูกสร้างออกมาได้ลงตัวในหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าหน้าของมันอาจจะดูไม่ได้น่าดึงดูดขนาดนั้น แต่พอได้เข้าไปสัมผัสตัวเกมจริงๆ แล้วคุณอาจจะหลงรักเกมนี้ได้อย่างง่ายๆ ทั้งเนื้อเรื่องที่มีนัยสำคัญหยอกล้อและต่อต้านสังคมโลกเราในสมัยนี้ หรือจะเป็นท่าทางบวกกับความตลกอันบริสุทธิ์ของตัวละครที่พร้อมจะสร้างความฮาให้คุณได้ เป็นความตลกที่ปราศจากความหยาคาย และความทะเล้นอย่างสิ้นเชิง พร้อมทั้งในเรื่องของเกมเพลย์เองต้องยอมรับว่าผู้พัฒนามีไอเดียที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วมันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ที่หลายๆ คนน่าจะไม่เคยสัมผัสมาก่อนแน่นอน ซึ่งส่วนตัวแล้ว No Straight Roads เป็นเกมที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับตัวผู้เขียนในปีนี้เลยทีเดียว และหวังว่ามันจะได้รับรางวัลอะไรซักอย่างในปีนี้นะครับ ส่วนตัวผมขอเอาใจช่วยเลย โดยเกม No Straight Roads ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ จะลงให้ทั้งเครื่อง PC [ Epic Games Store ], PS4 และ Xbox One ข้อดี สร้างโลกได้อย่างน่าสนใจ บทตัวละคร มุขตลกของเกมทำออกมาได้อย่างลงตัว เนื้อเรื่องค่อนข้างมีนัยหยอกล้อสังคมได้ดี แต่นำเสนอให้เข้าถึงง่าย เกมเพลย์แปลกใหม่ไอเดียดี ข้อเสีย 1. เกมมีความยากในระดับหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมง่ายๆ สบายๆ
14 Jul 2020
Review: รีวิว DLC Borderlands 3: Bounty of Blood
แม้จะไม่ได้ยกระดับตัวเกมต้นฉบับขึ้นมาเท่าไหร่นัก และคงไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนที่ไม่ได้สนใจ Borderlands 3 แต่แรกเปลี่ยนใจมาซื้อเกมได้ แต่ DLC เนื้อเรื่องตอนล่าสุดของเกม Borderlands 3 อย่าง Bounty of Blood ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการคืนฟอร์มที่ดีสำหรับจักรวาล Borderlands ในแง่ของการเล่าเรื่อง ด้วยโทนและตัวละครที่ให้ความรู้สึกซีเรียสกว่าในเนื้อเรื่องต้นฉบับ และเน้นการเล่าเรื่องตรงๆ มากกว่าจะพยายามยัดมุกหรือเหตุการณ์กาวๆ เข้าไปตลอดเวลา ซึ่งก็ทำให้การเล่นเนื้อเรื่องของ DLC นี้ (ใช้เวลาราวๆ 4-6 ชั่วโมง) เป็นประสบการณ์ที่รู้สึก "พอดี" กว่าการเล่นเนื้อเรื่องในเกมต้นฉบับพอสมควร (ขอบคุณ 2K Asia สำหรับโค้ดรีวิวด้วยครับ) เนื้อเรื่องของ DLC Bounty of Blood จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ใหม่ Gehenna หลังจากที่กลุ่ม Vault Hunter (ผู้เล่นนั่นแหละ) ถูกเรียกให้ไปช่วยกำจัดกลุ่มโจร Devil Riders แลกกับเงินรางวัลค่าหัวของเหล่าหัวหน้าแก๊ง ก่อนที่จะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับอดีตอันโหดร้ายของดายในฐานะแหล่งทดลองอาวุธชีวภาพ และช่วยเหลือ "นายอำเภอ" คนใหม่ในการกอบกู้ดาวเคราะห์ เอาเข้าจริงเนื้อเรื่องของเกมก็ไม่ได้หวือหวาหรือแปลกใหม่อะไรมาก และก็คงพูดได้ไม่เต็มปากว่ามัน "ดี" เมื่อเทียบกับเกมในตลาดอื่นๆ แต่สิ่งที่อาจจะทำให้การเล่นเนื้อเรื่องของ Bounty of Blood รู้สึกสบายกว่าเกมหลัก คือการที่เกมเลือกจะเล่าเรื่องตรงๆ มากกว่าการพยายามเล่นมุกห้าบาทสิบบาทในแทบทุกบทสนทนา ซึ่งก็ทำให้การเล่นภารกิจเนื้อเรื่องให้ความรู้สึกมีทิศทางที่ชัดเจนยิ่งกว่าในเกมต้นฉบับ ที่สำคัญคือเสียง NPC The Liar ที่เปรียบเสมือน "เสียงสวรรค์" ที่คอยบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ในหัวของผู้เล่นตลอดเวลา ที่ช่วยในการเซ็ตอารมณ์และบริบทของเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อีกสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบใน Bounty of Blood คือการออกแบบฉากของดาว Gehenna ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างความเป็นตะวันตกแบบคาวบอย กับการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น ที่ทำให้ทั้งสถานที่ต่างๆ บนดาว รวมไปถึงกลุ่มศัตรูที่มีความผสมผสานกันระหว่างยากูฆ่าและคาวบอย มีเอกลักษณ์ยิ่งกว่าสถานที่ในเกมต้นฉบับเสียอีก แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่น่าจะเป็นตัวตัดสินสำหรับหลายๆ คนก็คงหนีไม่พ้นเกมเพลย์ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่ได้รับการปรับปรุงน้อยที่สุดแล้วใน Bounty of Blood แม้ภารกิจเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะดำเนินไปค่อนข้างเร็วและสนุก แต่ภารกิจเสริมทั้งหลายใน DLC กลับไม่ได้แตกต่างจากที่พบได้ในต้นฉบับเลย ส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจ Fetch Quest ที่ให้เราวิ่งไปเก็บไอเทมจำนวนเท่านั้นเท่านี้มาส่ง NPC ซึ่งไม่ได้น่าสนใจเลยซักนิด ทำให้เนื้อหาใน DLC แอบรู้สึกเบาบางลงพอสมควร เพราะนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจอีกเลย อย่างน้อยในแง่ของเกมเพลย์การต่อสู้ก็ยังพอใช้ได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้เขียนที่ชื่นชอบเกม Borderlands 3 อยู่แล้ว แม้ต้องยอมรับว่าศัตรูที่พบใน DLC จะไม่ได้แตกต่างจากที่พบในเกมต้นฉบับมากนัก (แค่เปลี่ยนดีไซน์ไป) แต่สำหรับแฟนของเกมต้นฉบับอยู่แล้ว การสาดกระสุนใส่พวกศัตรูเหล่านี้ก็ยังสนุกสะใจไม่เสื่อมคลาย และการทดลองใช้ปืนสุดพิศดารทั้งหลายก็ยังคงน่าตื่นเต้นทุกครั้ง ซึ่งผู้เขียนก็ยังเชื่อว่าเกม Borderlands 3 น่าจะเป็นเกม "ซื้อมาเล่นขำๆ กับเพื่อน" ที่สนุกเป็นอันดับต้นๆ ในขณะนี้ และความคิดนั้นก็ยังคงจริงอยู่ใน DLC Bounty of Blood อย่างแน่นอน พูดง่ายๆ ว่าถ้าชอบเกม Borderlands 3 อยู่แล้ว Bounty of Blood ก็จะมอบทุกสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับเกมต้นฉบับให้กับคุณได้อีกอย่างแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเกม Borderlands 3 อยู่แล้ว Bounty of Blood ก็อาจจะไม่ได้มีอะไรที่น่าดึงดูดเป็นพิเศษ แม้การออกแบบฉากและการเล่าเรื่องจะปรับปรุงขึ้นมาประมาณหนึ่ง แต่เกมก็ยังคงเป็นเกม Borderlands 3 เหมือนเดิม และคนที่ไม่ได้ชื่นชอบการยิงหรือการเก็บปืนอันเป็นแก่นของ Borderlands เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว DLC นี้อาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ มาเปลี่ยนใจคุณเช่นกัน กล่าวโดยสรุป DLC Bounty of Blood ถือเป็นการคืนฟอร์มที่ดีในแง่ของการเล่าเรื่องในจักรวาลของ Borderlands หลังจากที่ต้นฉบับโดนจิวารณ์มาอย่างหนัก สำหรับแฟนๆ เกม Borderlands 3 ที่อยากจะกลับไปสู่เกมอีกครั้ง DLC Bounty of Blood น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอในการตามเพื่อนๆ มาร่วมล้างบางศัตรูกันสนุกๆ แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนเกมอยู่แล้ว Bounty of Blood ก็คงไม่ได้มอบอะไรใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจเช่นเดียวกัน
09 Jul 2020
รีวิวเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG เกมต่อสู้ในตำนานในรูปแบบเกม RPG
The King of Fighters คือหนี่งในซีรีส์เกมต่อสู้ชื่อดังที่อยู่ในสังเวียนเกมต่อสู้ควบคู่กับเกมอย่าง Street Fighter หรือ TEKKEN มานานแสนนาน โดย The King of Fighters เป็นเกมที่มาพร้อมกับเหล่าตัวละครที่โดดเด่นและทรงเสน่ห์มากมาย จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นตัวละครเหล่านี้มาโลดแล่นอยู่ในเกมสไตล์อื่นๆ บ้าง  เนื้อเรื่องและการนำเสนอ KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG คือการหยิบเอาซีรีส์ The King of Fighters มาทำเป็นเกม Card Battle รูปใหม่ ตัวเกมถูกพัฒนาโดยค่าย SNK ผู้เป็นเจ้าของเกมเอง ส่วนการเปิดให้บริการในไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เราได้ค่าย VNG Corp. มาเป็นผู้หยิบตัวเกมมาเปิดให้บริการให้ สำหรับตัวเกมเบื้องต้น ผมขอนิยามว่ามันไม่ใช่เกม Card Battle ในรูปแบบทั่วๆ ไปที่มีอยู่ในปัจจุบันเลย แต่มันคือเกมแนว Fighting Card Battle สุดเจ๋ง ที่จะให้เราได้ต่อคอมโบสกิลต่อเนื่อง ไม่ต่างไปจากการเล่นเกม Fighting ทั่วๆ ก็ว่าได้ KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG เป็นเกม Card Battle ที่นำเสนอกราฟฟิกในสไตล์ 2D เท่ห์ๆ ภายในเกมได้หยิบเอาตัวละครจากซีรีส์ KOF มากว่า 100 ตัวละครมาให้เราได้เลือกเล่นและสะสม โดยตัวละครแต่ละตัวจะมีระดับ (ความ OP) แยกออกเป็น 4 ระดับคือ R, SR, SR+ และ SSR พร้อมแบ่งสายตัวละครออกเป็น 3 สายคือ ATK, DEF และสกิล ทำหน้าที่เป็นเหมือนระบบธาตุในเกม Card Battle ทั่วๆ ไป ที่จะมีการแพ้ทางวนกันวนไปมา เกมเพลย์ แม้ตัวเกมจะได้ชื่อว่าเป็นเกม Card Battle แต่ตัวเกมก็ไม่ใช่เกม Card Battle ทั่วๆ ไป โดยภายในเกมเราจะได้ใช้เหล่าตัวละครจากซีรีส์ KOF ที่มีอยู่มากมายมาฟอร์มทีมขนาด 6 ตัวละคร สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในเกมนี้มากๆ คือเรื่องของรายละเอียดในตัวละครต่างๆ ที่เราสามารถดูข้อมูลความสามารถของตัวละครแต่ละตัวได้ตั้งแต่สเตตัสค่าความสามารถ สกิล การจับคู่ทีม อุปกรณ์ และที่เด็ดที่สุดนั่นคือตัวเกมมีการเขียนประวัติสั้นๆ ของแต่ละตัวละครให้เราได้อ่านอีกด้วย ตัวเกมมีระบบเนื้อเรื่องให้เราได้เล่นและปลดล็อคเป็นบทๆ ใครไม่เคยเสพเนื้อเรื่องของ The King of Fighters มาก่อน ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้เรื่องราวและความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครได้ในระดับนึง สำหรับระบบการต่อสู้ในตัวเกมที่ผมอยากจะแนะนำมากๆ ตัวเกมจะมีระบบการต่อสู้คล้ายๆ กับเกมแนว Brave คือเราเป็นคนกดสั่งตัวละครให้โจมตีในจังหวะต่างๆ แต่ต่างกันตรงที่ท่าต่างๆ ของตัวละครในเกมเป็นสกิลให้เรากด ซึ่งจะมีค่าร่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้นการกดท่าต่างๆ ในตัวเกมจึงต้องมีการวางแผนลำดับการกดท่าให้ดี เพื่อที่จะได้สามารถต่อคอมโบการโจมตีของตัวละครได้อย่างต่อเนื่อง โดยการกดท่าต่างๆ ของตัวละครจะมาพร้อมกับแผงคอมโบ ที่ถ้ากดได้ถูกต้อง เราก็จะได้เปรียบในการต่อสู้มากขึ้น เช่นคอมโบสกิลค่าร่าย 1 ไป 2 และไป 3 จะทำให้ตัวละครที่โจมตีเป็นคนที่ 3 จะสามารถใช้ท่าไม้ตายของตัวเองได้ทันที เป็นต้น ถ้าให้เปรียบเทียบ ก็เหมือนกับเรากดปุ่มต่อสู้หนักเบาต่อเนื่องจนเกิดเป็นท่าโจมตี หรือคอมโบที่ต้องการ ถูกต้องครับตัวเกมให้กลิ่นอายเหมือนเกมต่อสู้ แม้จะเป็นเกม Card Battle ก็ตาม ทั้งนี้การจัดทีมตัวละครน้อยๆ จะทำให้เราสามารถกดท่าของตัวละครแต่ละตัวได้มากขึ้น แต่ถ้าทีมเรามีตัวละคร 6 ตัว แต่ละตัวจะสามารถใช้ท่าของตนเองได้เพียง 1 ท่าเท่านั้น แม้ตัวเกมจะมีระบบต่อสู้ที่ดูใหม่และโดดเด่น แต่ระบบอัปเกรดตัวละครของเกมเกมนี้กลับเหมือนเกม Card Battle ในตลาดปัจจุบันทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะอัปเลเวล อัปดาว อัปเกรดอุปกรณ์ ระบบชีพจร และอีกหลายระบบที่ตัวเกมจะปลดล็อคตามเลเวลของตัวเรา มาพร้อมโหมดการเล่นที่หลากหลายซึ่งปลดล็อคตามเลเวลเหมือนกัน เช่นโหมดประลอง ท้ารบ และระบบกิลด์เป็นต้น สรุป อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบเกมๆ นี้คือตัวละครแต่ละตัวมาพร้อมท่วงท่าอนิเมชั่นตามต้นฉบับแบบแป๊ะๆ แถมเท่ห์มากๆ โดยเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG มีจุดเด่นที่ระบบต่อสู้ซึ่งไม่เหมือนเกม Card Battle ตัวไหนๆ ตัวละครค่อนข้างเด่นเต็มไปด้วยเสน่ห์ รวมถึงตัวเกมค่อนข้างที่จะเข้าใจง่าย ท่านสามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาเยอะ  แต่ข้อเสียหนึ่งคือตัวเกมมีระบบ Auto ที่ถ้าเรากดมันลงไป เสน่ห์ของระบบต่อสู้ที่ตัวเกมอุตส่าห์ปั้นมาจะหายไปในทันที นอกจากนี้ตัวละครอย่าง SSR เอง จะไม่สามารถสุ่มได้ หรือหาได้ด้วยวิธีปกติ แต่เราต้องรวบรวมเศษชิ้นส่วนมาสร้างขึ้นเองเท่านั้น ยังดีที่เกมเกมนี้ระดับที่ต่างกันอาจมีผลอยู่บ้าง แต่ถ้าให้ผมเลือก ผมจะเลือกเล่นตัวละครที่ชอบมากกว่า เพราะผมถือเป็นแฟนซีรีส์ KOF ในระดับนึงนั่นแล สำหรับคะแนนตัวเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG ที่ผมจะให้คือ 8 คะแนน ตัวเกมมีจุดเด่นในด้านเกมเพลย์ที่ค่อนข้างน่าชื่นชมมากๆ น่าเสียดายด้วยระบบการอัปเกรดตัวละครแบบเดิมๆ ในรูปแบบสไตล์เกม Card Battle รวมไปถึงระบบ Auto ถ้าทำออกมาสร้างสรรค์กว่านี้จะดีมากๆ ดาวน์โหลดเกม KOF ศึกสุดท้าย - ALLSTAR VNG ได้ที่นี่ - https://kofasvng-th.onelink.me/sECN/PRArticle [penci_review id="58667"]
25 Jun 2020
รีวิวเกม Evans Remains "คำขอจากเด็กหนุ่มที่หายตัวไป"
ถ้าอยู่ๆคนที่หายตัวไปนานนับหลายปีติดต่อกลับมาหา และขอให้เราไปตามหาเขาในที่ที่แสนไกลไร้ผู้คน ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นคิดว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้  GameFever TH จะมาติดตามเรื่องราวของ Dysis เด็กสาวที่ถูก Evan เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่หายตัวไปนานหลายปีขอร้องให้ไปตามหาเขา ณ เกาะแห่งหนึ่งที่ไกลแสนไกล กับเกม Evans Remains เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Evan เด็กหนุ่มอัจฉริยะได้หายตัวไปจากศูนย์วิจัยที่เขาทำงานอยู่ หลายปีต่อมาอยู่ๆก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาโดยเขา โดยอ้างว่าเขาอยู่บนเกาะที่ไม่มีใครอยู่ที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิก และเขาขอเฉพาะเด็กสาวที่ชื่อ“ Dysis” เพื่อไปหาเขาที่เกาะนั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหรือใช่ตัวจริงหรือเปล่า มีแต่ต้องทำตามที่จดหมายเขียนไว้ ศูนย์วิจัยจึงได้ส่งตัวเธอไปที่เกาะนั้นตามคำขอในจดหมาย  ซึ่งเราจะได้รับบทเป็น Dysis เด็กสาวที่พึ่งมาถึงเกาะและต้องออกตามหา Evan ในเกาะมีแต่ซากอรายธรรมต่างๆเต็มไปหมด ถือเป็นการเปิดเรื่องมีแต่ปริศนาเยอะไปหมด เราแทบไม่รู้อะไรเลย แถมตัวเกมก็มีการเล่าที่ตัดไปตัดมา ทำเอาคนเล่นงงจัดๆกันเลย แต่ถ้าตั้งใจเสพเนื้อเรื่องดีๆแล้ว พอเล่นไปจนถึงท้ายเกม ความจริงทุกอย่างจะถูกเฉลย หักมุมแบบชนิดว่าร้อง WTF กันเลยทีเดียว (ในทางที่ดีนะ)   ส่วนเรื่องของงานภาพและเสียง จัดว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นเกม 2D ทุกฉากที่เล่นก็ทำออกมาได้สวยงาม รู้สึกได้เลยว่าเรากำลังอยู่บนเกาะที่ไร้ผู้คน แถมเพลงประกอบก็ฟังเพลินอีกด้วย ระบบการเล่น Evans Remains เป็นเกมแนว 2D Puzzle Platformer ที่เราจะต้องหาทางข้ามกำแพงของซากอรายธรรมเพื่อผ่านไปด่านต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นหินที่เหยียบแล้วจะหายไป แผ่นหิน Teleport แผ่นหินกระโดด เป็นต้น  และเมื่อเราผ่านด่าน กลไกใหม่ๆก็จะเพิ่มเข้ามา ทำให้ด่านยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เกมยากจนเกินไป แค่ต้องอาศัยการทดลองและสังเกตสักหน่อยก็จะสามารถผ่านด่านได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่ถ้าใครไม่อยากเล่นตัว Puzzle หรือรู้สึกว่ามันยากไป ตัวเกมก็สามารถกดข้ามด่านได้ที่หน้าเมนู Pause  มาพูดถึงข้อเสียกันดีกว่า ข้อแรก เกมนี้ใช้เวลาเล่นจบไวมาก เพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็สามารถเล่นจบได้แล้ว แถมไม่มีคุณค่าให้กลับไปเล่นใหม่อีกรอบตามสไตล์เกม Puzzle (นอกจากว่าอยากจะกลับไปเสพเนื้อเรื่องให้เข้าใจ)  ข้อต่อมา เกมนี้เน้นเนื้อเรื่องหนักเกินไป เน้นหนักชนิดว่าเวลาเกือบ 70% ของเกมอยู่กับการอ่าน Cutscene เนื้อเรื่อง ทำให้การเล่นตัว Puzzle นั้นน้อยตามไปด้วย เรียกได้ว่าจะมีตัว puzzle หรือไม่มีก็ได้ เหมือนมีไว้แถมให้มันยังเป็นเกมอยู่ยังไงยังงั้น  และข้อสุดท้าย ตัวเกมไม่มี tutorial ให้เลย ปล่อยให้เราหัดเล่นและสังเกตด้วยตัวเอง ถ้าเป็นคนที่เล่นเกมบ่อยๆก็จะไม่มีปัญหาอะไร(ยังพอคลำๆได้) แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เล่นเกมมาเจอ ก็คงนั่งงงเป็นพักใหญ่แน่ๆ ความรู้สึกหลังเล่น Evans Remains เป็นอีกเกมที่ผมถูกล่อซื้อจากงานภาพที่สวยงามและคิดว่าเป็นเกม Puzzle ที่น่าสนุก (55555+) แต่พอได้เล่นจริงๆ ก็บอกได้เลยว่าถ้าเกมนี้ตัดตัวปริศนาออกไป มันก็คือนิยายสั้นดีๆ เรื่องหนึ่งเลย อ่านเยอะมากกกกกก อ่านหนักมากกกกก แทบจะมีทุกครั้งที่ผ่านด่านย่อย แล้วตัว Puzzle ก็มีน้อยแทบจะนับครั้งได้ แถมไม่ได้ยากชนิดท้าทายสมองจนคิดหนักเลย แต่อย่างไงก็ตามเนื้อเรื่องก็จัดว่าดีมากเลยทีเดียว ถึงจะเล่าแบบงงๆไปหน่อยก็ตาม สรุป Evans Remains เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องที่ดีมาก และฉากจบที่สุดแสนหักมุม เหมาะมากกับผู้เล่นสายเสพเนื้อเรื่อง แต่ถ้าจะเล่นเกมนี้เพราะอยากเล่นเกม Puzzle ที่สนุกท้าทาย ก็ขอแนะนำให้ข้ามเกมนี้ไป Link : https://store.steampowered.com/app/1110050/Evans_Remains/ [penci_review id="56721"]
18 Jun 2020
รีวิว SnowRunner สวมวิญญาณสิงห์รถบรรทุกพร้อมกราฟิกสุดอลัง
เกมเมอร์หลาย ๆ คนอาจจะเคยมีความฝันในการนั่งขี่รถในหนทางสุดลำบาก พร้อมกับบรรยากาศที่สุดชิว ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่าเกมเฉพาะทางแบบนี้มีน้อยเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นก็ได้มีเกมหนึ่งในที่ได้ทำออกมาเพื่อเอาใจเหล่าเกมเมอร์สายนี้โดยเฉพาะ ขอเชิญพบกับรีวิวเกม SnowRunner สวมวิญญาณ off-road พร้อมกราฟิกสุดอลัง โดยพวกเรา GameFever TH เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ได้มีอะไรมาก เราจะได้รับบทเป็นคนขับรถส่งของที่ต้องส่งพัสดุไปตามสถานที่ต่างๆ  เพื่อทำการพัฒนาเมืองและเก็บเงินในการอัปเกรดรถไปเรื่อย ๆ พร้อมกับรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่มากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งเนื้อเนื่องของเกมนี้มีแค่นี้จริงๆ ดังนั้นข้ามไปเถอะ การนำเสนอ / กราฟิก หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมขับรถแบบปกติละก็คุณจะต้องทิ้งตรรกะเดิมทิ้งไป เพราะในคราวนี้เราจะไม่ได้เน้นการขี่รถให้เร็วที่สุดแต่เน้นการขี่รถให้ปลอดภัยมากที่สุด SnowRunner นำเสนอในเรื่องของประสบการณ์ในการขับรถแบบชาวรถบรรทุก โดยในเกมนี้เราจะต้องเดินทางผ่านภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยดินโคลน หิมะ รวมถึงน้ำท่วมสูง ทำให้เราจะต้องวางแผนในการขับรถให้ดี ซึ่งในเกมนี้การขับรถจะเพิ่มความฮาร์ดคอไปอีกขั้นด้วยระบบการเข้าเกียร์แบบ Manual ทำให้คุณจะต้องปรับเกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพถนนตลอดเวลา นอกจากนี้รถของเราเองก็สมจริง เพราะในเกมนี้รถของเราจะใช้ระบบความเสียหายแยก ไม่ว่าจะเป็นเครื่่องยนตร์ ยาง โช๊ค ทุกส่วนสามารถที่จะเสียหายได้ ทำให้เราจะต้องขับรถให้ดีเพราะหากเครื่องพังอาจจะต้องเริ่มขนใหม่ตั้งแต่ Check Point ล่าสุด ซึ่งทำเอาหัวอุ่นได้เหมือนกัน ยังไม่นับกับระบบน้ำมันในเกมนี้ที่ต้องคำนวนให้ดี พูดถึงสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้คือบรรดาเหล่ารถต่าง ๆ ในเกมนี้ ที่จะทำให้เหมาะกับสถานการณ์ เอาง่าย ๆ ก็คือเลือกรถที่เหมาะกับงานนั่นแหละ โดยในเกมนี้ได้เอาใจสิงห์รถบรรทุกไปอีกขั้นด้วยการที่สามารถปรับแต่งได้อย่างมากมาย ซึ่งจะปลดล็อกเมื่อเราทำภารกิจไปได้เรื่อย ๆ ยังไม่นับกับระบบสำรวจแผนที่อีกเรียกได้ว่าคุ้ม กราฟิกของเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้สวยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่าง ๆ รวมไปจนถึงหิมะ ต้นไม้ โคลนไปจนถึงรายละเอียดของตัวรถที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในส่วนของรายละเอียดตัวเมืองกับทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เรียกว่าไหนเหมือนทีมงานจะลงทุนไปกับส่วนอื่น ๆ มากเกินไป ประสิทธิภาพ ผู้เขียนได้รีวิวเกมนี้ผ่านช่องทาง Epic Games Store ของ PC ด้วยสเปกเครื่องกลาง ๆ I5-9400f , RAM 16 GB, RTX 2060 สามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด เฟรมไม่ตก ในขณะที่เล่นเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงก็ไม่พบบั๊คที่กวนใจอะไรเลย เรียกได้ว่ายังไงก็ใช้ผ่าน ระบบการเล่น SnowRunner ไม่ใช่เกมขับรถง่าย ๆ เหมือนกับเกมอื่น ๆ ดังนั้นจงทำใจไว้เลยว่า 2-3 ชั่วโมงแรกของการเล่นเกมนั้นจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก เราจะต้องเรียนรู้ระบบต่างๆ มากมาย ซึ่งตัวเกมจะค่อยๆ สอนเราทีละนิด นอกจากนี้ยังมี Feature อื่นๆ ให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง ดังนั้นหากคุณไม่อดทนพอในช่วงแรก คุณอาจจะทิ้งเกมนี้ไปได้ง่ายๆ แต่หากคุณสามารถอดทนจนเริ่มเล่นเป็นคุณจะได้สนุกกับระบบการเล่นของเกมนี้ การขี่รถไปส่งของตามที่ต่างๆ การใช้ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคระหว่างทาง โดยเมื่อคุณทำภารกิจสำเร็จก็จะได้เงินในการอัปเกรดและซื้อรถของเราให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบเลเวลที่ใช้ในการปลดล็อกไอเทมต่างๆ อีกด้วย นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบให้เราเล่นกับเพื่อน ๆ ผ่านระบบออนไลน์ของเกมอีกด้วย ทำให้เกมเมอร์ที่ไม่ชอบการขับรถคนเดียวสามารถที่จะสนุกกับการเล่นเกมนี้ได้ ซึ่งก็ทำออกมาได้สนุกไปอีกแบบ ดังนั้นหากใครที่เหงา ๆ ก็ลองหาเพื่อนมาเล่นด้วยกันดู อย่างไรก็ตามแม้ระบบต่าง ๆ จะทำออกมาได้ดีแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เช่นการบังคับด้วย Mouse และ Keyboard ที่ไม่ค่อย Smooth มากนัก หากลองเปลี่ยนมาใช้จอยจะเล่นได้ดีกว่ามาก นอกจากนี้ในบางครั้งหากเรารับพัสดุแต่ว่าไม่รับเควส Progression ก็จะไม่ขึ้นแม้ว่าเราจะนำเอาของไปส่งถึงที่แล้วก็ตาม สรุป SnowRunner คือเกมแนว Driving Simulator game เกี่ยวกับรถบรรทุกได้ดีมาก ตัวเกมมีระบบการเล่นที่เพลิน ท้าทายและสนุกในคราวเดียวกัน หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่ชอบความสมจริงถือว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีเลย แต่หากคุณชอบเกมแข่งรถที่เน้นการทำความเร็วเป็นหลักก็คงจะต้องผ่านเกมนี้ไป ข้อดี -ระบบขับรถบรรทุกที่สมจริงมาก ๆ -กราฟิกที่สวยงาม -เล่นได้เพลิน ๆ เมื่่อเราชำนาญแล้ว ข้อเสีย -ระบบบางอย่างยังไม่ค่อยสมบูรณ์ -ต้องใช้ความอดทนสูง -เป็นเกมเฉพาะทาง รวมคะแนน 8/10
17 Jun 2020
รีวิว DLC Mortal Kombat 11: Aftermath
ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่มีใครคาด เมื่อผู้พัฒนา NetherRealm Studios ประกาศปล่อย DLC ชุดใหญ่ให้กับเกมต่อสู้สุดอมตะ Mortal Kombat 11 ทันวันครบรอบวางจำหน่าย 1 ปีของเกมในนาม Aftermath ชุดเสริมใหญ่ที่เพิ่มเนื้อเรื่องบทใหม่เข้าไปในเกม พร้อมกับตัวละครใหม่อีก 3 ตัวอย่าง Fujin, Sheeva และแขกรับเชิญสุดพิศดารอย่าง RoboCop อีกด้วย ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์เหล่าแฟนๆ ของเกม โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเล่นโหมดเนื้อเรื่องอันลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์ของซีรีส์ Mortal Kombat ยุคใหม่ ที่จะได้สัมผัสกับเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในโหมดเนื้อเรื่องของเกมหลัก แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเนื้อเรื่องและตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในเกมจะสร้างออกมาได้อย่างดี และรักษามาตรฐานโดยรวมของเกมได้ ผู้เขียนก็ยังอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าสิ่งที่เพิ่มมามันคุ้มค่ากับราคากว่า 1,200 บาทที่ผู้เล่นเก่าต้องจ่ายไปหรือไม่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่สนใจจะเล่นเกมในโหมดเนื้อเรื่องหรือเล่นเกมกับเพื่อนสนุกๆ เท่านั้น และยิ่งเมื่อเห็นว่าผู้พัฒนาวางจำหน่ายเกมเวอร์ชั่น Aftermath Kollection ซึ่งมัดรวมเกมต้นฉบับมาในราคาเท่ากับเกมตัวเต็มแล้วด้วย ยิ่งทำให้ความคุ้มค่าของ DLC Aftermath ดูจะลดน้อยลงไปด้วย แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมภาคหลัก Mortal Kombat 11: Aftermath Kollection ถือเป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับเกมในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุด ในราคาเท่ากับตอนเกมวางจำหน่ายได้ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจจะสัมผัสกับโหมดเนื้อเรื่องอันยอดเยี่ยมของเกม ก็ถือเป็นโอกาสอันดีแล้วเช่นเดียวกัน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของ DLC Aftermath จะเกิดขึ้นต่อจากเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องของเกมภาคหลักทันที หลังจากที่ Liu Kang ผู้ซึ่งได้พลังของเทพแห่งไฟ สามารถยับยั้งเทพแห่งเวลา Kronika ไม่ให้ทำลายล้างจักรวาลได้ แต่การจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จำเป็นต้องใช้มงกุฏของ Kronika ด้วย Liu Kang จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากศัตรูเก่าอย่าง Shang Tsung เพื่อเดินทางข้ามเวลาไปเอามงกุฏของ Kronika กลับมาให้เขา แม้จะมีความยาวไม่มาก เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงก็จบ แต่เนื้อเรื่องเสริมที่เพิ่มมาใน DLC Aftermath ก็ยังทำออกมาได้ดี และสามารถรักษามาตรฐานของเกม MK11 ต้นฉบับไว้ได้อย่างครบถ้วน จุดเด่นคงหนีไม่พ้นกราฟิกด้านหน้าตาตัวละคร ที่มีความสมจริงจากการใช้เทคโนโลยีการแสกนหน้าของผู้พัฒนา โดยเฉพาะในตัวละคร Shang Tsung ที่นักแสดงดูจะจัดเต็มเป็นพิเศษ ทำให้โหมดเนื้อเรื่องของเกม MK11 หรือเกมต่อสู้ของค่าย NetherRealm Studios ที่ผ่านมา สามารถ "เล่าเรื่อง" ได้อย่างเข้มข้นมากกว่าเกมแนวเดียวกันอื่นๆ อย่างมาก แม้เนื้อเรื่องนั้นจะไม่ได้ลึกซึ้งหรือ "ดี" เหมือนเกมแนวหน้าทั่วไป แต่ก็น่าจะตอบโจทย์แฟนๆ ของซีรี่ส์ ที่ชื่นชอบเนื้อเรื่องอันแสนพิศดารของเกม ◊ ตัวละครใหม่ ◊ ในส่วนของตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน DLC จะมีอยู่ 3 ตัวด้วยกัน คือ Fujin, Sheeva และ RoboCop ซึ่งแต่ละตัวก็มีเอกลักษณ์และลูกเล่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และมอบความสดใหม่ให้กับเกมในระดับที่แตกต่างกันไปด้วย ตัวละครตัวแรกคือเทพสายลม Fujin ที่เพิ่มลูกเล่นแปลกๆ เข้าไปในเกมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่าโจมตีที่ใช้สายลมของเขา ที่มักจะออกมาในมุมแปลกๆ ที่คาดไม่ถึง ไปจนถึงความสามารถอย่างวิชาตัวเบา หรือการเรียกลมหมุนที่ผู้เล่นสามารถควบคุมได้เอง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การเล่นตัวละครนี้มีความ "แปลกใหม่" พอสมควรเมื่อเทียบกับตัวละครอีกหลายๆ ตัวในเกม ในส่วนของ Sheeva จะมีความคล้ายคลึงกับตัวละคร Goro จากภาคก่อนๆ ซึ่งเน้นใช้ท่าจับทุ่มอันหลากหลาย พร้อมด้วยท่ากระโดดทับอันเป็นเอกลักษณ์ของ Goro ด้วย แต่ด้วยระยะโจมตีของเธอ ที่รู้สึกสั้นกว่าของ Goro อย่างชัดเจน ทำให้ผู้เล่นที่อาจจะคุ้นเคยกับตัวละครรู้สึกแปลกๆ บ้างในช่วงแรก แต่โดยรวมก็ถือว่าเธอสามารถกลบช่องว่างที่ Goro ทิ้งเอาไว้ได้พอดี สำหรับแฟนๆ ของเกมที่อาจคิดถึงตัวละครแสนคลาสสิคที่ล่วงลับไป ตัวละครที่น่าจะมีคนสนใจมากที่สุดอย่าง RoboCop กลับรู้สึกเป็นตัวที่น่าสนใจน้อยที่สุด จากการที่ความสามารถของเขาเกือบทุกอย่าง มีความ "ธรรมดา" ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยิงปืน การยิงจรวด หรือการใช้อาวุธไฮเทคทั้งหลาย ที่มีตัวละครอื่นๆ ที่ทำได้เหมือนกันหลายตัวแล้ว ทำให้การเล่น RoboCop ขาดความแปลกใหม่ รวมไปถึงเอกลักษณ์ของตัวเอง ต่างจากตัวละครอื่นๆ ในเกมทุกตัว ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากๆ ทั้งนี้ ความน่าสนใจของตัวละครทั้ง 3 ก็ได้รับผลกระทบจากราคาของชุด DLC ด้วยเช่นกัน เพราะต่อให้ผู้เล่นคนหนึ่งจะชอบตัวละครทั้งสามมาก แต่เมื่อต้องคำนวนความคุ้มค่าเทียบกับราคาโดยรวมของ DLC ก็อาจจะทำให้หลายคนตัดสินใจผ่าน DLC นี้ไปได้ และทำให้พวกเขาไม่ได้สัมผัสตัวละครเหล่านี้เลย จนกว่าผู้พัฒนาจะจับทั้งสามมาแบ่งขายแยกเป็นตัวๆ เหมือนตัวละครเสริมตัวอื่นๆ ◊ สรุป ◊ กล่าวโดยสรุป DLC Aftermath ของเกม MK11 ถือเป็นชุดเสริมที่ดี ที่เพิ่มเนื้อหาที่มีคุณภาพเข้าไปในเกม MK11 ได้ในรูปแบบของส่วนเสริมเนื้อเรื่อง และตัวละครใหม่ที่น่าสนใจ แต่อาจจะถูกทำร้ายโดยราคาของตัว DLC เอง ที่อาจจะหาความคุ้มค่ายาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยซื้อเกมตัวเต็มมาก่อนแล้ว น่าคิดว่าหากผู้พัฒนาเลือกจะปล่อย DLC เนื้อเรื่องแยกออกมา และวางจำหน่ายตัวละครใหม่ทั้ง 3 แยกกันเหมือนตัวละครอื่นๆ อาจจะทำให้ส่วนเสริม Aftermath น่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้เล่นทั่วไป ที่ไมไ่ด้เล่นเกม MK11 แบบจริงจังมากนัก [penci_review id="56748"] สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!
15 Jun 2020
รีวิว: The Last of Us Part II "ความยุติธรรมที่ไม่มีใครต้องการ"
ในหลายๆ จังหวะ การเล่นเกม The Last of Us Part II ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเกม PS4 Exclusive ชื่อดังอีกเกมอย่าง God of War (2018) ทั้งสองเกมมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ตั้งแต่มุมกล้องที่ติดตามตัวละครหลักของเกมอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา เพื่อให้ผู้เล่นได้เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในทุกช่วงเวลาตลอดการเดินทาง รวมไปถึงองค์ประกอบด้านภาพ เสียง และเกมเพลย์ระดับแนวหน้าของวงการ ที่ทำงานร่วมกันในการขับสาสน์และ “บรรยากาศ” ของเกมให้ถึงผู้เล่นอย่างชัดเจนตลอดระยะเวลาที่นั่งเล่น จนทำให้ “ประสบการณ์” โดยรวมของเกมน่าดึงดูดในระดับที่พูดได้เต็มปากว่า “วางจอยไม่ลง” เลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกัน แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า The Last of Us Part II เป็นผลงานวีดีโอเกมที่น่าทึ่งในหลายๆ ระดับ แต่ในความพยายามที่จะนำเสนอ “แง่มุม” อันหลากหลายมากขึ้นของผู้พัฒนา ทำให้เนื้อเรื่องของเกมขาดส่วนผสมบางอย่าง ที่ทำให้เกมอย่าง God of War (2018) หรือกระทั่งผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Naughty Dog เองทั้ง Uncharted และ The Last of Us ภาคแรก กลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมอันดับต้นๆ ในแง่ของเนื้อเรื่อง นั่นก็คือการที่เนื้อเรื่องของเกมเหล่านั้น “มุ่งเน้น” (Focused) ไปที่เรื่องราวของตัวละครเพียงไม่กี่ตัวตลอดการเดินทางของพวกเขา ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างความผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านั้น และติดตามการเจิรญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาได้อย่างเข้มข้น ทำให้เนื้อเรื่องโดยรวมขาด “น้ำหนัก” เมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ ที่กล่าวไปข้างต้น  แม้ว่าสุดท้ายแล้ว คงไม่สามารถบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม The Last of Us Part II นั้น “แย่” หรือ “ห่วย” ได้ เพราะเอาเข้าจริง เนื้อเรื่องของเกมถูกเขียนมาอย่างลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยสถานการณ์และตัวละครที่จะทำให้คุณตั้งคำถามกับ “ความถูกต้อง” ของทั้งตัวเองและตัวละครอยู่ตลอดเวลา แถมกราฟิกอันสุดยอดของเกมยังช่วยทำให้นักแสดงมากความสามารถทั้งหลายสามารถมอบ “ความเป็นมนุษย์” ให้กับตัวละครเหล่านี้ได้ในระดับที่ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นในเกมไหนมาก่อนเลย และทำให้คุณภาพของการแสดงและคัตซีนทั้งหมดเข้าใกล้คุณภาพระดับ “ฮอลลีวู้ด” มากกว่าเกมไหนๆ ที่ผ่านมาได้สบาย *หมายเหตุ: รีวิวฉบับนี้จะหลีกเลี่ยงการสปอยเนื้อเรื่องให้ได้มากที่สุด และจะกล่าวถึงเหตุการณ์และตัวละครในภาพกว้างเท่านั้น *หมายเหตุ 2: เนื่องจากทางผู้พัฒนากำชับมาให้ใช้ภาพประกอบที่พวกเขาส่งมาให้เท่านั้นในบทความรีวิวนี้ จึงไม่สามารถแสดงภาพบทบรรยายหรือเมนูภาษาไทยได้ ผู้ที่อยากเห็นว่าบทบรรยายของเกมหน้าตาเป็นอย่างไร สามารถรับชมได้ในวีดีโอรีวิวเกม The Last of Us Part II ของเราแทน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ มาพูดถึงเนื้อเรื่องให้จบๆ กันไปก่อนดีกว่า สำหรับคนที่อาจจะไม่ทราบ เนื้อเรื่องของเกม The Last of Us Part II จะเกิดขึ้น 4 ปีให้หลังจากตอนจบของเกมภาคแรก (ใครยังไม่เล่น แนะนำให้หามาเล่นเดี๋ยวนี้) โดยจะติดตามตัวละครเด็กสาว Ellie ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนผู้รอดชีวิตอันแสนสงบสุขในเมือง แจ๊คสัน รัฐไวโอมิ่ง แม้ว่าเธอและเหล่าชาวเมืองจะยังคงต้องเผชิญกับเหล่าผู้ติดเชื้อไวรัส Cordyceps ที่กระจายอยู่ทั่วไป และต้องคอยจัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อดูแลความเรียบร้อยรอบๆ เมืองอยู่ตลอด แต่พวกเขาก็ยังมีพื้นที่ให้งานรื่นเริง หรือกระทั่งความรักและมิตรภาพ หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบเพื่อเอาตัวรอดมาตลอด แต่ความสงบสุขของ Ellie ก็ถูกทำลายลง เมื่อเธอต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่หลวงในขณะที่ออกลาดตระเวนวันหนึ่ง และเพื่อทวงคืน “ความยุติธรรม” บางอย่างที่ถูกพรากไปจากเธอ Ellie จึงตัดสินใจออกเดินทางจากชุมชนอันอบอุ่นของเธอ ไปยังเมือง ซีแอตเทิล เพื่อชำระความแค้นที่สุมอยู่เต็มอกของเธอ อย่างที่ผู้พัฒนาเคยกล่าวไปในบทสัมภาษณ์มากมาย เนื้อเรื่องในเกม The Last of Us Part II จะเกี่ยวข้องกับ “วังวนแห่งความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ทั้งสองฝ่ายต่างเลือกที่จะแก้แค้นกันไปกันมา โดยไม่ได้หยุดคิดเสียก่อนเลยว่า “ความแค้น” ที่ต้องชำระนั้นยังคง “สำคัญ” หรือ “คุ้มค่า” แค่ไหนเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องแลกไป ซึ่งต้องบอกว่าผู้พัฒนา Naughty Dog ก็ยังคงแสดงออกถึงศักยภาพในฐานะผู้นำในด้านการเล่าเรื่อง จากบทพูดที่เขียนมาอย่างคมกริบ ไปจนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่องที่ล้วนแล้วแต่มีนัยยะ และตั้งคำถามเกี่ยวกับ “การกระทำ” ของ Ellie และตัวละครอื่นๆ ในโลกของเกมได้อย่างคมคาย ด้วยธรรมชาติของเนื้อเรื่อง ที่ต้องการจะท้าทายความคิดของผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้พัฒนาตัดสินใจที่จะให้ตัวละครอื่นๆ มีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องหลายตัว เพื่อช่วยกันเสริมทั้งโลกของเกมโดยรวม และเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงมุมต่างๆ ของ Ellie ผ่านความสัมพันธ์ที่เธอมีกับตัวละครเหล่านั้น โดยปัญหาของเนื้อเรื่องเกิดขึ้นเมื่อผู้พัฒนาใช้เวลาของเกมส่วนหนึ่งในการนำเสนอแง่มุมหรือเส้นเรื่องของตัวละครอื่นบางตัวค่อนข้างเยอะ จนทำให้เนื้อเรื่องของ Ellie ที่ควรจะเป็นแก่นหลักของเกมรู้สึก “เจือจาง” ลงไปอย่างมาก ซึ่งเป็นปัญหามากขึ้นไปอีกเมื่อเกมพยายาม “ดึงดัน” ว่าเนื้อเรื่องนี้ทั้งหมดยังคงเป็นเรื่องของ Ellie แม้ว่าซีกใหญ่ๆ ของเกมจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง แต่ในทางกลับกัน การที่เกมให้เวลาในการสำรวจชีวิตและความคิดของตัวละครอื่นๆ เหล่านี้ ก็เปิดช่องทางให้ผู้เล่นได้รับรู้ถึงแง่มุมของโลกที่อาจจะไม่ได้เห็นในฐานะ Ellie ซึ่งก็ช่วยทำให้โลกของเกมรู้สึกกว้างและสมจริงมากขึ้น จากการค่อยๆ เรียนรู้วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของมนุษย์กลุ่มต่างๆ หลังจากที่อารยธรรมได้ล่มสลายไปแล้วมากกว่า 20 ปี จึงอาจจะไม่ได้มีแต่ด้านลบไปทั้งหมด แต่ก็กลับไปสู่คำถามที่ว่า แล้วมันควรจะเป็นเรื่องราวของใครกันแน่ ผู้เล่นจำเป็นต้องรู้เรื่องราวเหล่านี้แค่ไหน และจะดีกว่าไหมถ้าเราใช้เวลาตรงนี้กับ Ellie และตัวละครรอบตัวเธอมากขึ้น สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ได้คิดว่าเนื้อเรื่องของ The Last of Us Part II นั้นแย่ไปเลยเช่นกัน และสุดท้ายอาจจะเป็นตัวผู้เขียนเองที่ตีความเนื้อเรื่องของเกมไม่ถูก หรือไม่ลึกพอก็เป็นได้ แต่ในตอนนี้ คงได้แต่บอกว่าเนื้อเรื่องเป็นเป็นส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดของเกม โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเกม The Last of Us ภาคแรกยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะเกมที่ “ยกระดับ” มาตรฐานการเล่าเรื่องของสื่อวีดีโอเกมให้ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ได้มากที่สุด จากการเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างตัวละครสองตัว ก็อดผิดหวังไม่ได้ที่เกมนี้ดูจะขาดเครื่องปรุงสำคัญที่เคยมีในภาคแรกไป ◊ เกมเพลย์ ◊ สำหรับผู้เขียน “เกม” มีข้อได้เปรียบประการหนึ่งในฐานะสื่อการเล่าเรื่อง ที่สื่ออื่นๆ ทั้งหนัง ทีวี หรือหนังสือนิยายไม่มี คือความสามารถในการเล่าเรื่องผ่าน “การกระทำ” ของผู้รับสื่อนั้น ซึ่งเกม The Last of Us Part II ถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดชิ้นหนึ่งของการเล่าเรื่องผ่าน “การกระทำ” ซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบเกมเพลย์ทั้งหมด ตั้งแต่การต่อสู้และลอบเร้น ไปจนถึงการสำรวจและการตามหาทรัพยากร ที่ออกมาให้ขับธีมของเนื้อเรื่อง โดยที่ยังมอบความสนุกท้าทายให้ผู้เล่นได้อย่างไม่ลดละ ตลอดระยะเวลากว่า 25 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการผ่านเนื้อเรื่อง แม้ว่าในภาพรวมแล้ว การเล่นเกม The Last of Us Part II จะให้ความรู้สึกคล้ายกับภาคแรกอยู่พอสมควร ด้วยการควบคุมและ “สัมผัส” ในการเล่นที่ใกล้เคียงกันมาก แต่เกมเพลย์ของ Part II โดยเฉพาะการต่อสู้ ก็ได้รับการเพิ่มเติมระบบเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปหลายข้อ ที่ทำให้การต่อสู้ในเกมมีความท้าทายและน่าตื่นเต้นกว่าที่พบในเกมแนวลอบเร้นสายเลือดแท้หลายเกมซะอีก ฉากต่อสู้ในเกม TLoU2 (The Last of Us Part II) มักจะดำเนินไปตามลำดับที่คล้ายกัน ในตอนเริ่มต้นฉากต่อสู้ส่วนใหญ่ในเกม ผู้เล่นจะสามารถใช้ความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นของ Ellie ในการหลบซ่อนจากศัตรู ที่มักจะยกโขยงกันมาเป็นกลุ่มใหญ่เสมอ ความสามารถสำคัญอย่างหนึ่งของ Ellie คือการที่เธอสามารถหมอบคลานลงไปกับพื้น เพื่อซ่อนตัวในพงหญ้าสูง หรือเพื่อหลบซ่อนใต้สิ่งของอย่างรถได้นั่นเอง โดยเมื่อใช้คู่กับความสามารถจากภาคแรกอย่าง “โหมดการฟัง” ที่ทำให้มองเห็นศัตรูผ่านกำแพงได้ ทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการลอบเร้นเพิ่มขึ้นจากภาคแรกพอสมควร แต่ถึงจะมีทางเลือกมากมายให้ผู้เล่น ความฉลาดที่เพิ่มขึ้นของศัตรูทั้งที่เป็นมนุษย์ รวมไปถึงลูกเล่นที่เพิ่มมาอย่างสุนัขดมกลิ่นของกลุ่ม W.L.F. ก็ทำให้การลอบเร้นผ่านศัตรูแต่ละกลุ่มไปโดยที่ไม่ถูกเจอตัวอย่างน้อยซักครั้ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในประสบการณ์ของผู้เขียน  อย่างที่ผู้พัฒนาเคยกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ศัตรูมนุษย์ในเกม TLoU2 ทุกคนจะมีชื่อเป็นของตัวเอง ที่พวกมันจะใช้ขานเรียกกันเป็นระยะตลอดเวลา หมายความว่าต่อให้เราปลิดชีพศัตรูด้วยวิธีที่เงียบแค่ไหน ซ่อนศพไว้ในมุมที่เปลี่ยวแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วศัตรูที่เหลือก็จะรู้อยู่ดีว่าเพื่อนของพวกมันหายตัวไป แถมยังรู้ด้วยว่าเพื่อนควรจะลาดตระเวนอยู่ตรงไหน และจะยกโขยงกันมาตามหาเพื่อน (และตัวผู้เล่น) อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้เล่นต้องคอยเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้โดนเจอตัว แต่การเคลื่อนที่ก็มีสิทธิ์จะโดนศัตรูตัวอื่นเห็นได้เหมือนกัน ทำให้การลอบเร้นในเกม TLoU2 ให้ความรู้สึกเหมือนกดดันมากๆ เพราะสถานการณ์สามารถพลิกจากการลอบเร้นเงียบๆ สู่การวิ่งหลบห่ากระสุนของศัตรูได้ตลอดเวลา การต่อสู้ในเกม TLoU2 ก็ทำออกมาได้น่าตื่นเต้นไม่แพ้การลอบเร้นในเกม จากการที่มักจะมีศัตรูปริมาณเยอะมากๆ ในแต่ละฉากต่อสู้ แถมศัตรูยังฉลาดพอที่จะใช้จำนวนที่มากกว่าให้เป็นประโยชน์ ด้วยการตีโอบผู้เล่นเพื่อโจมตีจากหลายมุม หรือกระทั่งการส่งทหารที่มีอาวุธระยะประชิดเข้ามาไล่ต้อน Ellie ออกจากที่กำบังให้เพื่อนยิง ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องคอยเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองตลอดเวลาเช่นเดียวกับการลอบเร้น ซึ่งก็สื่อความรู้สึกกระเสือกกระสนร้อนรนเพื่อเอาชีวิตรอดของ Ellie ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การเล็งปืนในเกมที่มักจะแม่นยำน้อยกว่าเกมยิงปืนทั่วไป บวกกับการที่ Ellie สามารถพกกระสุนปืนติดตัวได้ที่ละน้อยมากๆ (เป็นองค์ประกอบเดียวในเกมที่ไม่สมจริง) ก็ทำให้การต่อสู้ในเกมยังคงท้าทายและสมจริง ไม่ว่าผู้เล่นจะเล่นเกมยิงปืนแม่นแค่ไหนก็ตาม  ในส่วนของผู้ติดเชื้อ จะได้รับการพัฒนาในเรื่องของปริมาณ ความดุร้าย และความสามารถในการตรวจจับผู้เล่น แลกกับการที่ Ellie จะสามารถลอบสังหารเหล่าผู้ติดเชื้อได้ด้วยมีดพกของเธอ แทนที่จะต้องหาทรัพยากรมาสร้างมีดสั้นแบบที่ Joel ต้องทำในภาคแรก ซึ่งแม้ว่าโดยรวมๆ ศัตรูรันเนอร์และคลิ๊กเกอร์ที่พบได้บ่อยที่สุดจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ (นอกจากวิ่งเร็วขึ้นพอสมควร) แต่เกมก็เพิ่มมิติเข้าไปผ่านผู้ติดเชื้อชนิดอื่นๆ อย่าง “แชมเบลอร์” ที่สามารถโยนระเบิดพิษใส่เรา หรือปล่อยควันพิษรอบตัวได้ และ “สตอล์คเกอร์” ผู้ติดเชื้อที่เจอเพียงประปรายในภาคแรก แต่กลับมาพร้อมความสามารถในการหลบซ่อน และจะคอยลอบโจมตี Ellie พร้อมกับเรียกเพื่อนๆ มาช่วยอีกด้วย ซึ่งก็ล้วนเพิ่มมิติเข้าไปให้กับการต่อสู้ แม้จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่ากับศัตรูมนุษย์ก็ตาม ถ้าจะมีเรื่องให้ติ คงเป็นการที่เกมไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการที่มีศัตรูหลายๆ กลุ่มที่เป็นศัตรูกันเองในการต่อสู้ เช่นฉากหนึ่งในสถานีรถใต้ดิน ที่ให้ผู้เล่นสามารถหลอกให้ศัตรูมนุษย์และผู้ติดเชื้อในพื้นที่สู้กันเอง ซึ่งผู้เขียนมองว่าน่าสนใจมากๆ และสามารถให้ประสบการณ์การต่อสู้ที่แปลกใหม่ต่อผู้เล่นได้มากขึ้น แต่กลับมีฉากลักษณะนี้อยู่น้อยมากตลอดเกม ไหนๆ เนื้อเรื่องของเกมก็เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างกลุ่มมนุษย์กันเองอยู่แล้ว น่าจะเพิ่มองค์ประกอบนี้ลงไปในเกมมากกว่านี้หน่อย ให้มันมีความหลากหลายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพของเกมในภาพรวม อีกมิติของเกมเพลย์ใน TLoU2 ก็คือการพัฒนาตัวละคร ที่ทำได้ผ่านการสำรวจโลกของเกมเพื่อเก็บวัตถุดิบหลากหลายชนิดมาสร้างอุปกรณ์เช่นยาหรือระเบิด หรือหาของอัพเกรด เช่นชิ้นส่วนปืนหรืออาหารเสริม เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวละครโดยตรงด้วย ซึ่งนอกจากจะเสริมอรรถรสของการเป็นผู้รอดชีวิตในโลก Post-Apocalpyse แล้ว ยังเพิ่มเหตุผลให้ผู้เล่นเดินทางออกนอกเส้นทางหลักเพื่อสำรวจโลกของเกม เพื่อตามหาตำราที่จะปลดล๊อคสายการอัพเกรด และเพื่อปลดล๊อคเนื้อเรื่องเสริมที่มักพบได้ระหว่างทางด้วย แต่พื้นที่เสริมเหล่านี้ ก็มักจะมีศัตรูผู้ติดเชื้ออยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้เล่นต้องชั่งน้ำหนักว่าอยากจะเผชิญหน้าศัตรูเพื่อโอกาสในการเก็บของเพิ่มหรือไม่ ซึ่งก็ย้อนกลับไปเสริม “บรรยากาศ” และ “อรรถรส” ของเกมอีกที ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ อย่างที่เคยบอกไปในบทความพรีวิวเกมก่อนหน้านี้ องค์ประกอบที่น่าจะได้รับคำชมมากที่สุด และเป็นสิ่งที่มัดรวมทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันก็คือ “บรรยากาศ” ของเกม TLoU2 อันเป็นส่วนผสมขององค์ประกอบด้านภาพและเสียงทั้งหมด ที่ทำให้การเดินทางของ Ellie เต็มไปด้วยความตึงเครียด จากความรู้สึก “อันตราย” ที่แผ่ซ่านออกมาจากสภาพแวดล้อมในเกม  องค์ประกอบที่ดูเหมือนมีไว้แค่ “ประดับฉาก” ในเกมอื่นๆ มักมีความหมายเสมอ ในเกม TLoU2 ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยคราบเลือดหรือซากศพจากการต่อสู้ ที่บ่งบอกว่าเพิ่งมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มมนุษย์สองกลุ่ม และกลุ่มที่ชนะอาจกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า ไปจนถึงเชื้อรา Cordyceps ที่คืบคลานไปบนกำแพง ที่บอกใบ้ถึงกลุ่มผู้ติดเชื้อขนาดใหญ่ที่อาจยังอยู่ในบริเวณ องค์ประกอบในฉากของเกม TLoU2 ถูกออกแบบมาให้สร้างความรู้สึกเหมือนมีอะไรรออยู่ข้างหน้าเสมอ เมื่อรวมกับการออกแบบเสียงของเกม ที่มักจะใส่เสียงเล็กๆ อย่างเสียงแก้วแตก เสียงสุนัขเห่า หรือแม้แต่เสียงร้องของผู้ติดเชื้อเข้ามาอยู่เนืองๆ ก็เพียงพอจะทำให้สะดุ้งเล็กๆ ได้ตลอดเวลา เหตุผลใหญ่ๆ ข้อหนึ่งที่ฉากของเกมสามารถสร้างความตึงเครียดได้ขนาดนี้ มาจากความน่าทึ่งของกราฟิกในเกม TLoU2 ที่บอกได้แค่ว่าเหนือว่าที่ผู้เขียนคาดเอาไว้เสียอีก ตั้งแต่ความคมชัดของพื้นผิวสิ่งของต่างๆ ที่เสริมความสมจริงให้สภาพแวดล้อม ไปจนถึงหน้าตาตัวละคร ที่สามารถถ่ายทอดหน้าตาของนักแสดงจริงได้เหนือกว่าเกมอื่นในตลาดอย่างชัดเจน โดยความสมจริงของหน้าตาตัวละครยังช่วยเสริมองค์ประกอบอื่นๆ ให้มีส่วนในการสร้างบรรยากาศของเกมได้อย่างคาดไม่ถึงด้วย ถ้าจะให้ลองยกตัวอย่าง รายละเอียดเล็กๆ อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชอบในการต่อสู้ คือการที่หน้าตาของทั้ง Ellie และคู่ต่อสู้จะเปลี่ยนไปตลอดเวลาตามการกระทำของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นความโกรธและเกลียดชังในขณะที่ยัดมีดใส่พุงศัตรู ไปจนถึงความเจ็บปวดเมื่อต้องดึกลูกธนูที่ปักอยู่ตามร่างกายทิ้ง สีหน้าที่เปลี่ยนไปของ Ellie และตัวละครอื่นๆ ในเกมระหว่างการต่อสู้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกได้ถึงความกระเสือกกระสนเอาตัวรอดของทั้ง Ellie และตัวละครศัตรู ที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อฆ่าอีกฝ่ายและมีชีวิตรอดไปต่อไป ซึ่งก็ถูกเสริมด้วยการออกแบบเสียงของเกม เช่นเสียงโลหะกระทบเนื้อ หรือกระทั่งเสียงเลือดที่กระเซ็นไปติดกำแพง ที่มอบน้ำหนักให้กับการโจมตีของทั้งศัตรูและผู้เล่น จนในบางจังหวะก็อดรู้สึก “หวาดเสียว” แทนตัวละครในเกมไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้ เกมยังสามารถใช้ประโยชน์ของความเป็นเกมในรูปแบบของกระดาษโน้ตทั้งหลายที่ซ่อนอยู่ตามฉาก ที่มักจะเล่าเรื่องราวของเหล่า NPC ไร้หน้าในโลกของเกม เช่นจดหมายที่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้รอดชีวิตที่บังเอิญหลบซ่อนอยู่ในห้องอพาร์ตเมนต์ข้างๆ กัน ไปจนถึงชายชราผู้น่าสงสาร ที่ถูกลูกชายทั้งสองทอดทิ้งไปเข้ากลุ่มเซราไฟต์ ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องหลักโดยตรง แต่ก็ช่วยกันทำให้เห็นภาพของวิถีชีวิตของมนุษย์ในโลกของเกม รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของกลุ่มศัตรูทั้ง W.L.F. และเซราไฟต์ด้วย ถ้าจะให้สาธยายกันไปอีกแปดหน้าก็คงไม่จบ กับรายละเอียดด้านการนำเสนอเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด ที่ร่วมกันทำให้ระบบการเล่นทุกส่วนของ The Last of Us Part II กลายเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอเรื่องราวหรือ “ประสบการณ์” ของโลกและตัวละครในเกม และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับระบบทั้งหมด เพื่อให้ผู้เล่นได้เข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร รวมไปสาสน์ที่ผู้พัฒนาต้องการสื่อผ่านเนื้อเรื่องอีกด้วย เอาเป็นว่าของแบบนี้ ถ้าไม่มาลองกับมือและรับองค์ประกอบทั้งหมดของเกมพร้อมกัน มันบอกไม่ถูกจริงๆ ต่อให้รู้แค่เนื้อเรื่อง หรือเล่นแคเกมเพลย์ ก็ไม่มีวันเข้าถึงประสบการณ์เต็มของเกมได้เลย ◊ ภาษาไทย / ตัวเลือกอื่นๆ ◊ อย่างที่กล่าวไปแล้วในพรีวิว ภาษาไทยในเกม The Last of Us Part II ถือเป็นงานแปลที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นในเกมมา แน่นอนว่าอาจจะมีคำแปลผิดหรือเสียอรรถรสไปบ้าง จากการที่คำแปลไม่สามารถมีคำหยาบได้ หรือแค่จากการสื่อความหมายที่ตกหล่นไปในขั้นตอนการแปลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โดยรวมแล้วก็ถือเป็นบทบรรยายไทยระดับเดียวกับที่เห็นได้ในภาพยนตร์หรือทางเว็บสตรีมมิ่งอย่าง Netflix สบายๆ  นอกจากนี้ เกมยังมีคำแปลภาษาไทยให้กับตัวหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมดในเกมเลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่ป้ายบอกทางที่เอาไว้ประกอบฉาก ไปจนถึงเอกสารและจดหมายโน้ตทุกฉบับในเกม สามารถแปลไทยได้ในระดับเดียวกับบทบรรยาย ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดเนื้อเรื่องใดๆ ในเกมเด็ดขาด นอกจากตัวเลือกด้านบทบรรยาย เกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งการควบคุมและระดับความยากแบบแยกหมวดอย่างละเอียด เช่นความแรงการโจมตีศัตรู พลังป้องกันศัตรู ปริมาณกระสุนที่เก็บได้ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าจะช่วยผู้เล่นได้หลายคน เพราะต้องบอกว่าเกมแอบยากเหมือนกัน ยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชินกับเกมลอบเร้น ตัวเลือกเหล่านี้อาจจะช่วยให้คุณผ่านเกมไปได้โดยหัวไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ ผู้เขียนพบบั๊คที่ทำให้เกมไม่ยอมบันทึกการตั้งค่าปุ่มควบคุมใหม่ ส่งผลให้ผู้เขียนต้องคอยเข้าไปตั้งใหม่ทุกครั้งที่เข้าไปเล่นเกม แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ก็หวังว่าผู้พัฒนาจะสามารถแก้ไขจุดนี้ได้เมื่อเกมวางจำหน่าย ◊ สรุป ◊ แม้จะเป๋ไปบ้างในส่วนของเนื้อเรื่อง เมื่อเทียบกับเกมที่ผ่านมา แต่ TLoU2 ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเกมที่พัฒนามาได้อย่างปราณีตที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยได้เล่นมาเลย ด้วยองค์ประกอบทั้งหมด ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันอย่างพอดี และใช้ประโยชน์จาก “ความเป็นเกม” อย่างเต็มที่ คนที่ชื่นชอบ TLoU ภาคแรก โดยเฉพาะในส่วนของเกมเพลย์ ไม่ควรพลาดเกมนี้ด้วยประการทั้งปวง ต่อให้ไม่ชอบเนื้อเรื่อง แค่ซื้อมาเล่นเกมเพลย์ก็ยังคุ้ม บอกเลย! [penci_review id="55739"] สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!
12 Jun 2020
รีวิว Shadow Arena สุดยอดสนามประลอง ที่ชัยชนะเป็นของผู้ที่แข็งแกรงเท่านั้น!
ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน Battle Royale เป็นแนวเกมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีเกมสไตล์นี้เปิดตัวมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น PUBG, Apex Legend, หรือ Fortnite แต่จะมีสักกี่เกมที่ไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการต่อสู่? อย่างน้อย Shadow Arena เกมใหม่จาก Pearl Abyss ผู้สร้าง Black Desert ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ Shadow Arena คือเกมน้องใหม่ที่นำระบบ PVP อันโดดเด่นของเกม Black Desert มาพัฒนาต่อจนกลายเป็นเกม Battle Royale โดยนำเสนอการสู่เพื่อเอาชีวิตรอดด้วยอาวุธย้อนยุคอย่าง ดาบ, ธนู ,ขวาน ,มีด แทนที่จะเป็นปืน มีการใช้เกมเพลย์สไตล์เดียวกับ MMORPG และกำลังอยู่ในช่วง Early Access บน Steam ตอนนี้ ซึ่งวันนี้ตัวผมจะมารีวิวเกมนี้ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever TH ได้อ่านกันครับ ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ **ระดับของกราฟิกที่ผู้เขียนได้เล่น ถูกตั้งไว้ที่สูงสุดครับ** ในเรื่องของกราฟิก ผู้เขียนยอมรับเลยว่า SA (Shadow Arena) เป็นเกมที่มี แสง, สี, เสียง สุดยอดมาก โดยเฉพาะในส่วนของรายละเอียดสภาพแวดล่อม ไม่ว่าจะเป็นความเงาของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหมู่ไม้, ความลื่นไหลของสายน้ำในลำธาร, ตลอดไปจนถึงพื้นผิวของหินทุกก้อน ล่วนแล้วแต่ทำออกมาได้อย่างเป็นดี ชนิดที่ต้องยกนิวโป้งให้กับผู้พัฒนาเลยครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นเกม Battle Royale แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องมีในเกมแนวนี้ก็คือ "การบีบพื้นที่" เพื่อที่จะเพิ่มอรรถรสให้กับผู้เล่นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางผู้พัฒนาได้มีการทำให้หมอกของเกมมีลักษณะเป็นเงาดำๆ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของเกม "Shadow Arena" พอดี  เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมคิดว่ามีการออกแบบมาดีครับ (ลองหาข้อมูลเพิ่มเติม) น่าเสียดายที่ตอนนี้ SA มีด่านให้เล่นเพียงแค่ด่านเดียวครับ ซึ่งในจุดนี้ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าหากมีการเพิ่มด่านอื่นๆ เข้ามาให้สามารถเล่นได้แบบเดียวกับเกม PUBG จะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยังไงตัวเกมก็ยังอยู่แค่ในช่วง Early Access เท่านั้น ต้องรอดูต่อไปว่าในวันที่เกมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ จะมีการเพิ่มแผ่นที่อื่นๆ เข้ามาอีกก็เป็นได้ครับ [caption id="attachment_55844" align="aligncenter" width="1920"] กราฟิกสวยงามมาก[/caption] ◊ เกมเพลย์ ◊ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า SA เป็นเกมแนว Battle Royale ดังนั้นรูปแบบเกมเพลย์ของโหมดหลักที่เราจะได้เล่น จะเป็นการลงไปสู้กับผู้เล่นคนอื่นแบบตะลุมบอน เอาชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายให้ได้เหมือนกับเกมแนวนี้อื่นๆ ในตลาด เพียงแต่อาวุธที่เราจะได้ใช้ในเกมนี้จะไม่ใช้อาวุธปืน แต่เป็นดาบ, หอก, ขวาน, ธนู ซึ่งโหมดที่จะสามารถเล่นได้ในเกมนี้จะมีทั้งหมด 6 โหมดด้วยกัน คือ Solo เป็นโหมดแบบจัดอันดับ สถิติต่างๆ ที่ทำได้(ฆ่าไปกี่คน ได้อันดับที่เท่าไหร่) จะถูกเปลี่ยนเป็นคะแนน และไปเพิ่มอันดับของตัวผู้เล่นในตอนจบ Team การเล่นในโหมดนี้จะเหมือนกับ Solo เพี่ยงแต่เราจะสามารถพาเพื่อนเข้าไปเล่นด้วยได้ 1 คนครับ Dueling Grounds โหมดนี้จะการเล่นแบบ PVP คือให้ผู้เล่น 2 คน สู้กันแบบ 1 ต่อ 1 ถ้าจะฝึกสเต็ป กับจังหวะในการต่อสู้ก็ต้องโหมดนี้เลย Custom เป็นโหมดที่เปิดให้ผู้เล่นสามารถตั้งค่าต่างๆ ก่อนเริ่มเล่นได้อย่างอิสระ Normal โหมดนี้จะมีการเล่นแบบเดียวกับ Solo แต่คะแนนที่ได้จะไม่ถูกนำไปจัดอันดับด้วย AI โหมดนี้จะเหมือนกับ Solo แต่คะแนนที่ได้จะไม่ถูกนำไปจัดอันดับ และคู้ต่อสู้ของเราจะเป็น Ai แทน [caption id="attachment_55850" align="aligncenter" width="1920"] โหมดทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกม[/caption] ด้วยความที่เกมนี้ เหมือนกับว่าโคลนมาจาก Black Desert ก็เลยทำให้เกมเพลย์ของ SA จะเป็นแบบ Action จัดเต็มด้วยมุมมองจากด้านหลังของตัวละคร โดยใช้เมาส์ในการควบคุมทิศทาง และปุ่มทางฝั่งซ้ายของคีย์บอร์ดในการกดปุ่มเคลื่อนที่กับ Shotcut ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบเล่นเกม MMORPG แบบ Action หนักๆ อยู่แล้วคิดว่าน่าจะสามารถทำความเข้าใจระบบควบคุมของเกมนี้ได้ไม่ยากครับ SA มีการนำระบบตัวละครเข้ามาใช้เหมือนกันเกม Apex Legends หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือตัวเกมจะมีตัวละครให้เราเลือกเล่นทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีวิธีการเล่น รวมไปจนถึงสกิลที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง Jordine Ducas จะเป็นตัวละครที่ใช้ดาบ กับโล่เป็นอาวุธ สกิลของเขาก็จะมีทั้งสกิลป้องกัน และโจมตีให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ต่างๆ แต่ Haru ที่เป็นตัวละครนินจาจะมีสกิลเน้นไปที่การทำให้อีกฝ่ายติดสถานะผิดปกติ ในขณะที่ Gerhand Shultz จะมีสกิลแบบ Berserker ที่เน้นเข้าไปตะลุมบอนกับคู่ต่อสู้ตรงๆ เลย สามารถดูภาพตัวละครทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกมนี้ได้ข้างล่างครับ [caption id="attachment_55846" align="aligncenter" width="1920"] ภาพตัวละครทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกมนี้[/caption] เกมนี้จะเหมือนกับเกม Battle Royale  อื่นๆ คือในช่วงที่แมตช์เริ่ม เราจำเป็นต้องฟาร์มของส่วมใส่เอง ซึ่งวิธีฟาร์มของเกมนี้จะแตกต่างกับเกมแนว BR (Battle Royale) อื่นๆ นิดหน่อยครับ เพราะผู้เล่นจะสามารถหาอุปกรณ์สวมใส่ได้จากการฆ่ามอนสเตอร์ในด่านเป็นหลัก (แน่นอนว่ามีดรอปอยู่ตามพื้นเช่นกันแต่น้อยมาก) โดยจะมีการสุ่มเกิดบอส (Shadow Lord) ในบางพื้นที่ด้วย แน่นอนว่าไอเทมที่ส่วมใส่ที่เราได้รับจากบอส จะเป็นของที่ดีมากด้วย ดังนั้นเมื่อมีการประกาศจุดที่บอสจะเกิด จะมีผู้เล่นจำนวนมากวิ่งไปยังจุดนั้นด้วย (คิดซะว่าเป็น Air Drop ของเกมนี้ก็ได้ครับ) [caption id="attachment_55852" align="aligncenter" width="1920"] จุดที่บอสเกิด จะขึ่นเป็นสัญลักษณ์สีม่วงในแผนที่[/caption] [caption id="attachment_55853" align="aligncenter" width="1920"] หลังจากเอาชนะได้ จะได้ไอเทมพิเศษ ที่มีความสามารถพิเศษ[/caption] ข้อเสียที่ผู้เขียนรู้สึกได้เลยจากเกมนี้คือในเรื่องของบาลานซ์ครับ คือเท่าที่ผมได้เล่นมาจะมีตัวละครแค่เพียง 2-3 ตัวเท่านั้นที่มักจะได้แชมป์บ่อยๆ และบางตัวผู้เขียนยังไม่เข้าใจเล่นว่า "ด้วยสกิลแบบนี้จะต้องเล่นยังไงถึงจะสามารถอยู่เป็นคนสุดท้ายของเกมได้ (คืออาจจะเป็นตัวผู้เขียนเองที่ฝืมือกระจอกไม่สามารถเอาตัวอย่าง Herawen หรือ Badal ไปเป็นแชมป์ได้ 555+) อีกหนึ่งจุดที่ตอนเล่นรู้สึกไม่ชินเลย คือในเรื่องของการเพิ่มเลือดในเกมนี้ครับ โดย SA จะแตกต่างจากเกม BR อื่นๆ ตรงที่ว่าเวลาเรากดยาในเกมนี้เลือดจะขึ้นแบบช้าๆ แถมขึ้นไม่เต็มหลอดด้วย ไม่เหมือนกับเกม BR อื่นที่เมื่อใช้ยาหนึ่งครั้งจะได้เลือดมาเต็ม หรือเกือบเต็มทันที ดังนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อสู้แบบต่อเนื่องแล้วเอาชนะได้ เพราะเลือดของเราจะมีไม่พอนั้นเอง [caption id="attachment_55854" align="aligncenter" width="1920"] จะสังเกตุว่า กดยาไปแล้ว แต่เลือดไม่ได้ขึ้นจนเต็มในทันที[/caption] อีกหนึ่งข้อเสียของเกมนี้คือมีคอนเทนต์ให้เล่นน้อยครับ จะสังเกตุได้ว่าโหมดที่มีให้เล่นในเกมแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ดังนั้นการเข้าไปเล่นเกมนี้จึงเหมือนเป็นการเล่นแบบเดิมซ้ำๆ กัน จะแตกต่างก็เพียงแค่ตัวละครที่เรานำเข้าไปเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเล่นไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมงจะรู้สึกเบื่อมากๆ เพราะมันเหมือนกับว่าเรากำลังเล่นเกมติดลูปอยู่ครับ อีกหนึ่งจุดที่อาจเป็นปัญหากับผู้เล่นใหม่ ก็คือในเรื่องความเร็วของเกมครับ ด้วยความที่เกมนี้มีเกมเพลย์แบบ Action หนักมาก ดังนั้นความเร็วในการกดสกิลจึงเป็นสิ่งที่ชี้เป็นชี้ตายในเกมนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เล่น ที่ต้อง Action หนักๆ มาก่อน อาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาฝึกนานหน่อยครับ [caption id="attachment_55855" align="aligncenter" width="1920"] เมื่อโดนโจมตีแบบฉับพลัน จำเป็นต้องกดสกิลตอบโต้ให้เร็ว ไม่อย่างนั้นจะเสียเลือดเยอะมาก[/caption] ◊ สรุป ◊ Shadow Arena เป็นเกม Battle Royale น้องใหม่ที่มีรูปแบบเกมเพลย์เหมือนกับเกม MMORPG ซึ่งนับว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตัวเกมมีภาพกราฟิกที่สวยงามมาก ทั้งยังมีตัวละครให้เล่นหลากหลาย แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของความหลากในเรื่องของแผนที และโดยส่วนตัวแล้วคิดว่ายังทำบาลานซ์ออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ อีกทั้งเกมนี้ยังมีความเร็วในการเล่นที่สูงมาก สำหรับคนที่ไม่ชินอาจจำเป็นต้องใช้เวลานานพอสมควรถึง จากข้อดี และข้อเสียของเกม ทำให้ผมคิดว่าเกมนี้ควรจะมีคะแนนอยู่ที่ 7 เต็ม 10 ครับ ถ้าหากว่าสักวันหนึ่ง Shadow Arena มีกิจกรรมให้เล่นมากกว่านี้ รวมไปจนถึงปรับบาลานซ์ของเกมให้ดีได้ คิดว่าคงถูกใจใครหลายคนแน่นอนครับ [penci_review id="55558"]
08 Jun 2020
รีวิวเกม Fitforce "เกมออกกำลังกายเรียกเหงื่อที่เข้าถึงง่ายและฟรี"
ในช่วงที่แทรนรักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม หลายคนก็หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น แต่เพราะการออกกำลังกายมันน่าเบื่อ หรือขาดแรงจุงใจ หลายคนจึงหันมาใช้เกมเป็นทางเลือกในการสร้างสีสัน แล้วถ้าพูดถึงเกมออกกำลังกาย หลายคนก็คงจะนึกถึงเกม Ring Fit Adventure ของเครื่อง Nintendo Switch แต่ราคาที่สูงและของขาดตลาด เลยทำให้หลายคนไม่ได้ครอบครองมัน วันนี้  GameFever TH จะมาแนะนำเกมออกกำลังกายที่สามารถเล่นได้เพียงมีมือถือและคอม เป็นเกมฟรี แถมยังเป็นเกมของคนไทยอีกด้วย มาดูกันว่าเกมนี้จะน่าสนใจแค่ไหนกับเกม Fitforce ระบบเกมและภาพรวม Fitforce เป็นเกมออกกำลังกายฝืมือคนไทย ที่จะใช้การออกท่าทางของตัวเราเพื่อขยับตัวละครในเกม ถ้าใครคิดภาพไม่ออกก็จะอารมณ์ประมาณเกม Ring Fit Adventure หรือไม่ก็ Wii sports แต่เกมนี้ไม่ต้องซื้อเครื่องมาเล่น เพียงแค่มีมือถือ, คอมพิวเตอร์, Wi-Fi และกางเกงที่มั่นใจว่าใส่มือถือแล้วจะไม่หลุดออกมา (อันนี้สำคัญมาก เพราะหลายเกมต้องใส่มือถือในกางเกง) แถมเกมนี้ยังเป็นเกมฟรี ซึ่งเหมาะมากกับผู้เล่นที่มีงบน้อย (แต่ก็ยังมีขายมินิเกมเพิ่มเติม)  เมื่อก่อนเข้าเกม ต้องทำการเชื่อมต่อมือถือและคอมพิวเตอร์ โดยการสแกน QR Code ผ่านทางแอพพลิเคชั่น Fitforce (อย่าลืมโหลดแอพพลิเคชั่น Fitforce ลง SmartPhone ก่อนเล่น (มีทั้ง android และ ios)) และทั้ง 2 เครื่องต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi เดียวกัน เพียงแค่นี้ก็พร้อมจะเล่นเกมนี้แล้ว ไม่ต้องตั้งกล้องด้วย ถือว่าเป็นอะไรที่สะดวกมาก เพราะหลายๆเกมแนวนี้ มักจะมีปัญหาเรื่องการตั้งกล้องและจัดพื้นที่ในการเล่น เมื่อเชื่อมต่อเสร็จแล้ว จะเข้าสู่เมนูหลัก สามารถใช้งานผ่านมือถือ และตัวคอมพิวเตอร์จะแสดงผล (ตัวคอมไม่สามารถกดคลิกอะไรได้ นอกจากปุ่มออกและตั้งค่า)  ซึ่งจะมี 4 เมนูหลักๆ รายชื่อเกม เป็นเมนูเล่นเกมเดียว เมนูจะแสดงมินิเกมทั้งหมด สามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบ แต่ละเกมจะออกกำลังกายต่างกัน มีอยู่ทั้ง 8 เกม (ให้เล่นฟรี 3 เกม อีก 5 เกมที่เหลือสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ เกมละ 59 บาท) ถึงตอนนี้จะมีเกมน้อยไปหน่อย แต่คาดว่าจะมีเพิ่มในอนาคต โปรแกรม เป็นเมนูที่เราสามารถเลือกเล่นเป็นคอร์ส มีคอร์ส 15 นาที, 30 นาที และ 45 นาที โดยสามารถเลือกเกมที่อยากเล่นได้ (แต่ต้องเลือก 6 เกมขึ้นไป ถ้ามีเกมไม่พอก็จะไม่สามารถใช้เมนูนี้ได้) ข้อมูล เป็นเมนูที่จะเก็บสถิติของเราว่า ในวันนั้นเราออกกำลังกายไปเท่าไร กี่นาที ออกส่วนไหนบ้าง และยังสามารถแก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ด้วย แต่เมนูนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจะเก็บข้อมูลของวันที่เล่น แถมดูย้อนหลังไม่ได้ด้วย แต่งตัว เป็นเมนูที่เราสามารถเปลื่ยนตัวละครในเกมได้ โดยจะเป็นรูปแบบกาชาสุ่มตัวละคร สามารถใช้เหรียญที่เล่นเกมมากดกาชาได้ ถ้าเปลื่ยนตัวละคร ตัวเก่าก็จะหายไป ซึ่งโดยส่วนตัวรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่สามารถเก็บสะสมตัวละครได้ มาพูดถึงเกมกันบ้าง ในแต่ละเกมจะมีบอกว่าเน้นการออกกำลังส่วนไหน ใช้เวลากี่นาที และใช้พลังงานประมาณเท่าไร เมื่อเลือกเกมและกดเริ่มเกมแล้ว จอคอมจะแสดงวิธีเล่นของเกมนั้นๆ มีหลากหลายท่าให้ออกกำลัง(ขึ้นอยู่กับเกมแต่ละเกม) ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง, สควอท, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยานเป็นต้น เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วก็กดยืนยันที่มือถือ เป้าหมายของมินิเกมทุกเกมก็ง่ายๆ คือการเก็บแต้มให้ได้มากที่สุดโดยใช้ท่าที่เกมกำหนดไว้ ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งจะมีให้เก็บตามด่านอยู่เรื่อยๆ เมื่อหมดเวลา ตัวเกมก็จะสรุปคะแนนที่ทำได้ รวมถึงพลังงานและเวลาที่ใช้ในเกมนั้นๆ พร้อมกับรางวัลเป็นเหรียญเพื่อเอาไปกดกาชาตัวละครที่เมนูแต่งตัว และหลังจากที่ลองแล้วก็บอกได้เลยว่า เหนื่อยจริงๆ ยกตัวอย่างเกมว่ายน้ำที่ถึงเกมจะใช้เวลาน้อย แต่ต้องทำต่อเนื่องตลอดทั้งเกม ก็เล่นทำเอาหอบเลยทีเดียว มาพูดถึงปัญหาที่เจอกันดีกว่า ต้องบอกกว่าเกมนี้ยังอยู่ในช่วง Early Access จึงได้มีปัญหาเยอะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อเกมมากนัก  ข้อแรก ข้อมูลมินิเกมทั้งก่อนเริ่มและหลังจบรวมไปถึงข้อมูลสถิติของมือถือและคอม ไม่ตรงกัน เช่น ก่อนเล่นเกมบอกใช้เวลา 5 นาที พอเล่นจริงมีแค่ 3 นาที, หน่วยพลังงานในจอคอมใช้ Kcal แต่ในมือถือใช้ Cal เป็นต้น  ข้อต่อมา ตัวละครในเกมขยับไม่ค่อยตรงกับตัวเราเท่าไร บางครั้งยืนเฉยๆ ตัวละครก็วิ่ง บางครั้งขยับมาก แต่ตัวละครกลับขยับน้อยมาก  ถึงจะไม่ได้เจอบ่อย แต่ก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง  และข้อสุดท้าย รางวัลเล่นจบรอบไม่ค่อยดึงดูดให้เล่นต่อ เพราะตอนจบรอบ จะมีรางวัลแค่เหรียญที่ใช้ในการกดกาชาตัวละครเท่านั้น แถมตัวละครก็สะสมไม่ได้ด้วย และรางวัลสำหรับการเล่นต่อเนื่องทุกวันก็ไม่มี ทำให้ความอยากเล่นซ้ำไม่ค่อยมีสักเท่าไร ถึงจะเจอปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เพราะเกมยังอยู่ในช่วง Early Access เราก็คงได้แต่รอให้มีการอัพเดท เพื่อจะได้พบกับตัวเกมที่สมบูรณ์ ความรู้สึกหลังเล่น ได้รู้จักเกมนี้ เพราะเพื่อนแชร์มาให้ลอง พอได้ลองเล่นแล้ว มีทั้งชอบและไม่ชอบ ชอบที่มันสนุก ได้เหงื่อดี ไม่ต้องเตรียมตัวเยอะ และมีเมนูภาษาไทยทำให้เข้าใจง่ายขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่ชอบเรื่องที่ต้องซื้อมินิเกมเพิ่มผ่านตัวแอพเท่านั้น ไม่สามารถซื้อผ่านSteam แยกขายเป็นเกมๆอีกตังหาก นั้นหมายความว่า โอกาสลดราคาของมินิเกมที่ต้องซื้อเพิ่มอาจจะมีน้อยหรือไม่มีเลย (- -*) แถมระบบกาชาตัวละครดันเป็นแบบเปลื่ยนใหม่แล้วทิ้งตัวเก่า ทำให้สายสะสมอย่างผมไม่ถูกใจเท่าไร  แต่ถึงอย่างงั้นอย่างน้อยเกมนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของการออกกำลังกายที่บ้านที่น่าจะแก้ขัดได้อยู่ แถมยังทำให้รู้ว่าคนไทยก็มีฝืมือพอที่ทำเกมแบบนี้ได้ สรุป หากใครกำลังตามหาเกมออกกำลังกายที่เล่นง่าย ไม่เตรียมตัวเยอะ และไม่เสียตัง เกมนี้ก็อาจเป็นคำตอบของคุณ แต่ก็ต้องทำใจที่มินิเกมมีน้อยไปสักนิดและไม่สามารถเล่นทุกมินิเกมได้ เพราะเป็นเกมฟรีแถมยังติด Early Access คงก็ได้แค่รอวันที่เกมนี้ออกมาแบบสมบูรณ์ แต่กว่าจะถึงวันนั้น เกมนี้ก็ยังพอเล่นแก้ขัดได้อยู่  link : https://store.steampowered.com/app/1081670/Fitforce/ [penci_review id="54930"]
08 Jun 2020
รีวิว C&C Remastered Collection : ไวน์เก่า ฉลากใหม่ กับรสไฉไลที่เราคิดถึง
หมายเหตุ : รีวิวชิ้นนี้ ได้รับการสนับสนุนคีย์โดย EA และบริษัท Play4Fun  หมายเหตุ 2 : รีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นโดยใช้ข้อมูลการเล่นจบภารกิจหลักของ GDI ในภาค Tiberian Dawn และภารกิจหลัก Soviet ในภาค Red Alert ที่ความยากระดับ Normal และทดสอบการเล่นโหมด Skirmish สองเกม กับโหมด Multiplayer ไปสามแมทช์ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มีคนมาบอกกับผู้เขียนว่า เกมแนววางแผนแบบจับเวลาจริงหรือ Real-Time Strategy นั้น จะล้มหายตายไปจากสารบบ กลายเป็นแนวเกมที่คนไม่นิยม และผู้สร้างไม่ปลื้มนั้น เชื่อว่าผู้เขียนในเวลานั้นคงรู้สึกตลกและหัวเราะจนปอดฉีกทะลุอกออกมาเหมือน Chestburster ในหนังซีรีส์ Aliens กันให้ได้เสียอย่างนั้น ก็ทำไมจะไม่ตลก ในเมื่อแวดล้อมรอบตัวเวลานั้น ผู้พัฒนาแต่ละค่ายต่างสรรหากลวิธี และนำเสนอชิ้นงานเกมแนว RTS ป้อนเข้าสู่ตลาดชนิดมากมายเล่นกันไม่หวาดไม่ไหว เป็นยุคสมัยที่เกมวางแผนจับเวลาจริงหลายเกมได้แจ้งเกิดและสร้างตำนานมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ Warcraft, Starcraft, Battle Realms, Age of Empires และเรือธงจาก Westwood Studios ที่ฮิตติดลมบนอย่างยาวนาน ซีรีส์ Command and Conquer ทั้งภาคหลัก และจักรวาลแยกอย่าง Red Alert โอกาสที่เกมแนวนี้จะเหี่ยวเฉาซบเซานั้น แทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว [caption id="attachment_55663" align="aligncenter" width="1024"] และ CnC ก็ทำให้โลกแห่งเกมได้รู้จักกับ Kane ตัวร้ายหัวล้านทรงเสน่ห์แห่ง Brotherhood of Nod ผู้เป็นดั่ง Icon สำคัญของซีรีส์นี้มากว่าสองทศวรรษ[/caption] แต่มาในวันนี้ ... ไอ้ที่เคยรู้สึกตลก ก็กลายเป็นเรื่องขำขื่นไปเสีย เพราะความไม่เที่ยงอันเป็นสัจธรรมแท้จริงของทุกสิ่งบนโลก ก็เกิดขึ้นกับเกมแนว RTS ที่แม้จะมีดาวเด่นอย่างซีรีส์ Starcraft ภาคสองที่ยังคงแข่งขันอย่างเข้มข้นบนเวที eSports ระดับสากล แต่ความนิยมในเกมแนวนี้ก็ดูจะเสื่อมถอย ไม่โชติช่วงเท่ากับเวลาตั้งต้นของมัน รวมทั้งเปลี่ยนโฉมเป็นแนว MOBA ที่รวดเร็วยิ่งกว่า เรียกว่าห่างไกลจากแสงไฟไปอย่างน่าเศร้า (และกลายเป็นตลกร้าย ที่เกม Turn-Based Strategy ที่เคยซบเซา กลับเข้ามาเป็นทางเลือกที่มีให้เล่นไม่หวาดไม่ไหวไปแทน) [caption id="attachment_55683" align="aligncenter" width="400"] แถมปิดฉากด้วยภาค Tiberian Twilight ที่สมควรถูกลืมไปจากสารบบเสียให้ได้อีกต่างหาก....[/caption] ที่กล่าวมานั้นไม่ใช่ว่าจะมารำพึงความเศร้าเล่าความหลังอะไร แต่มันเป็นสถานการณ์ที่น่าประหลาดใจ เมื่อ Command and Conquer ได้ประกาศจะกลับมาครั้งใหม่ ในแบบ ‘Remastered’ ที่สัญญาถึงคุณภาพที่ตามยุคสมัย ให้เหล่า Old School และหน้าใหม่ได้สัมผัสกัน กล่าวโดยสรุป Command and Conquer Remastered Collection ชิ้นนี้ อาจจะไม่ได้เป็นการปฏิวัติหรือพลิกฟื้นวงการ Real-Time Strategy ให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง แต่มันก็เป็นชิ้นงานระดับคุณภาพที่ผ่านการพัฒนาอย่างพิถีพิถัน โดยอดีตผู้สร้างดั้งเดิม เติมรสด้วยความทันสมัย ในแก่นกลางหลักหัวใจของการทำลายล้างที่รวดเร็วฉับไว ที่เคยสร้างตำนานอย่างยิ่งใหญ่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาให้กลับคืนมาอีกครั้ง สำหรับ CnC Remastered แพ็คเกจนี้ ขออย่าได้สับสนกับรวมฮิตเมดเล่ย์ 17 ภาคที่ออกมาก่อนหน้านั้นของ EA เพราะนี่คือชิ้นงานที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพตั้งแต่หัวจรดเท้า กับสองภาคหลักสุดคลาสสิค Command and Conquer : Tiberian Dawn และ Command and Conquer : Red Alert ที่ผนวกพ่วงเนื้อหาหลัก, เนื้อหาภาคเสริม และเนื้อหาภาคคอนโซลสมัย Playstation 1 มาบรรจุไว้ เรียกว่าครบเซ็ทสำเร็จเล่นได้ในแพ็คเดียวเลยก็ว่าได้ [caption id="attachment_55667" align="aligncenter" width="1024"] เทียบกันจะๆ ระหว่างกราฟิกแบบ Legacy ดั้งเดิม และแบบ Remastered ความละเอียด 4K[/caption] สิ่งที่โดดเด่นจนต้องขอกล่าวถึงในเบื้องแรกสำหรับ CnC Remastered ชิ้นนี้ คือคุณภาพกราฟิก ที่คมชัดเนียนกริบระดับ 4K ที่ผ่านการตกแต่งอย่างใส่ใจ ทุกพื้นที่ ทุกยูนิต ทุกสิ่งก่อสร้าง ถูกร่างและเพิ่มความละเอียดจนถึงขีดสุดประสิทธิภาพของยุคสมัย ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่แม้จะเป็นเกมเดิมก็ตาม รวมถึง Full Motion Video คั่นฉากภารกิจที่ได้รับการ Upscale ให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น แม้แต่เสียงพากย์ของ EVA ระบบ AI ของภาค Tiberian Dawn ก็ยังได้ Kia Huntzinger เจ้าของเสียงโมโนโทนต้นตำรับกลับมารับบทอีกครั้ง แต่สำหรับใครที่คิดถึงกราฟิกแบบพิกเซลลายจุด ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโหมด Legacy ได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม Spacebar เท่านั้น เรียกว่าเป็นความพิถีพิถันจากทีม Petroglyph อดีตเด็กเก่าค่าย Westwood Studios และทีม Lemon Sky Studios ที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วกับ Starcraft Remastered ดังนั้น เรื่องกราฟิกจึงหายห่วง มันลื่นไหล มันละเอียด และมันเนียนเสียจนให้ทุกเกมการเล่นสามารถดำเนินไปได้อย่างเพลิดเพลินเจริญสายตาเป็นอย่างยิ่ง [caption id="attachment_55669" align="aligncenter" width="1024"] โหมด Jukebox เลือกเพลงที่คิดถึงใส่ใน Playlist ได้ตามความชอบใจ กับทุกแทร็คกำกับใหม่ ความยาวร่วม 7 ชั่วโมงเต็ม[/caption] ความสุดยอดด้านกราฟิกอาจจะเป็นตัวนำ แต่เพลงประกอบก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญสำหรับซีรีส์ Command and Conquer ซึ่งในเวอร์ชัน Remastered ก็ได้ Frank Klepacki และวง The Tiberian Sons ประพันธกรดั้งเดิม กลับมาทำการ Rearrange ทุกเพลงที่มีทั้งภาค Tiberian Dawn และ Red Alert ด้วยจำนวนเพลงทุกแทร็คความยาวรวมกว่า  7 ชั่วโมง และสามารถเลือก Playlist แบบ Jukebox ได้ตามที่ชอบใจ สำหรับแฟนเก่าเดนตาย คงไม่มีอะไรจะสุดยอดเท่ากับการได้ฟังเพลงอย่าง Act on Instinct และระห่ำสะใจไปกับจังหวะเบสจากนรก Hell March ที่น่าหลงใหลนี้อีกแล้ว เป็นความอร่อยหูที่ให้ฟังเวียนซ้ำอีกกี่รอบก็ไม่มีเบื่อ อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นตามยุคสมัย คือในส่วนของโหมด Multiplayer ที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ Server แบบ Dedicated สร้างห้องแล้ว Join ได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด แน่นอนว่าในขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ จะยังไม่มีห้องให้เข้าไป Join อย่างเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ความสะดวกที่มี พร้อมทั้งโหมด Map Editor ที่รองรับ Mod Support ก็น่าจะช่วยขยายอายุการเล่นของสองภาคหลักในแพ็คเกจนี้ได้ดี แม้ว่าในสายเลือดแบบ Old-School จะยังคงคิดถึงการเชื่อมต่ออันแสนยากลำบากแบบ TCP/IP ดั้งเดิม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความสะดวกที่มาใหม่นี้ เป็นอะไรที่น่าจับตาและน่าจับใจผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและใหม่ให้มาโรมรันกัน อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องเตือนผู้เล่นกันเสียแต่เนิ่นๆ เพราะการกลับมาของ CnC ครั้งนี้ มันคือการ ‘Remastered’ ขนานแท้ เพราะแม้ว่าจะมีการเพิ่มและปรับปรุง Quality of Life ในการเล่น, กราฟิก, เพลงประกอบ และจำนวนภารกิจที่มีให้เล่นกันอย่างล้นหูล้นหัว แต่โดยแก่นแล้ว มันยังคงเป็น ‘เกมเดิม’ จากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่เมื่อเราถอดแว่นสีกุหลาบระลึกความหลังทิ้งไป คุณจะได้พบกับความ ‘เก่า’ ที่ยังคงตามติดประชิดหลอนในแบบที่ไม่สมควรพบเจอในเกมยุคโมเดิร์น ไม่ว่าจะด้วยความฉลาด AI ที่เข้าข่ายซื่อบื้อจนถึงขีดสุด (ถ้าไม่อยู่ในระยะทำการ ก็สามารถยืนนิ่งเป็นเป้ากระสุนไปซะเฉยๆ) , ไม่มีระบบเดินไปโจมตีไป จนถึงระบบค้นหาเส้นทาง Pathfinding ที่ห่วยแตกยังไงก็ยังงั้น (ผิดปกติจนเป็นปกติกันเลย...) [caption id="attachment_55672" align="aligncenter" width="1024"] ต่อให้มียูนิตมากมาย แต่สุดท้าย รถถัง ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการปิดบัญชี ... (ถ้าไม่นับการ Engineer Rush ช่วงต้นเกมล่ะก็นะ...)[/caption] ความเก่าเหล่านี้ รวมไปถึงการเล่นหลักที่ไม่ได้มี Strategic Layer อะไรซับซ้อนนอกไปจากการ Rush ยึดฐานด้วยทหารช่าง Engineer (แบบเดียวที่ Bay Riffer ได้ลองสาธิตในวิดีโอภาค Yuri’s Revenge) ไปจนถึงการปั๊มรถถังออกมาให้มากที่สุดเพื่อบุกถล่มให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ละยูนิตมีฟังก์ชันเพียงระนาบเดียว และไม่มีความสามารถหรือสกิลใดๆ สำหรับการพลิกเกมแม้แต่น้อย (และยูนิตที่มีความสามารถแปลกๆ ก็มีไว้เป็นเพียงแค่สีสันแต่เพียงเท่านั้น) เมื่อบวกรวมกับแผนที่ในโหมด Multiplayer ที่ปราศจากความสมดุลอย่างรุนแรง เชื่อว่านักเล่นสาย RTS แบบโมเดิร์นก็น่าจะขัดใจกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (และเชื่อเถอะว่า ถ้าเกมวางจำหน่ายเมื่อไหร่ คุณจะได้เจอกลยุทธ์ที่ว่าจากเหล่าเซียนสิงห์สนามแน่ๆ เรียกว่ารำมวยรอท่าไว้ล่วงหน้ากันเลยทีเดียว…) [caption id="attachment_55676" align="aligncenter" width="1024"] แผนที่ที่ปราศจากความสมดุลอย่างรุนแรง น่าจะทำให้สมรภูมิ Multiplayer นั้น น่าเล่นน้อยลงไปถนัดใจ....[/caption] แต่เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว Command and Conquer: Remastered Collections ก็ได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ไม่ใช่การปฏิวัติแวดวง RTS แต่เป็นเครื่องย้อนพากลับสู่อดีตอันน่าคิดถึง ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ชื่อของ Command and Conquer และ Westwood Studios นั้นยังเป็นยักษ์ใหญ่ยืนตระหง่านเป็นปูชนียสถานให้แก่นักพัฒนารุ่นอื่นๆ ที่ตามมา และภาค Remastered นี้ มันคือจดหมาย มันคือปูมบันทึก มันคือ ‘ไวน์’ ชั้นเลิศที่แม้จะถูกเปลี่ยนฉลากใหม่ แต่ยังคงหัวใจของรสชาติที่น่าลิ้มลอง ที่ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานกว่าสองทศวรรษ ก่อนที่จะได้รับการเปิดจุกคอร์กและดื่มร่ำให้เพลิดเพลินกันอีกครั้ง “มันคือรสอันนุ่มละมุน ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการทำลายล้าง ทุ่งราบไทบีเรียน และจักรวาลคู่ขนานแห่งเกม Real-Time Strategy ที่ทำให้หวนระลึกว่า เรานั้นได้เดินทางมา ไกลเท่าใดแล้ว…” [penci_review id="55661"]
08 Jun 2020
รีวิว Timelie เกมคุณภาพจากฝีมือคนไทย
สมมติถ้าย้อนเวลากลับไปสัก 5 ปีก่อน !! และมีคนบอกผมว่าในอนาคต คนไทยจะมีศักยภาพสามารถสร้างเกมดีๆ เทียบเท่าชาวต่างชาติได้ !! สารภาพตามตรงครับในวันนั้นผมเองก็คงไม่เชื่อ..... แต่ในทุกวันนี้ !! ความคิดแบบนั้นของผมมันหายไปหมดสิ้น เกมที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมเชื่อว่า "คนไทยเราพร้อมแล้ว ที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก" Timelie เป็นเกมอินดี้จากผู้พัฒนาชาวไทยนามว่า Urnique Studio ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมาแล้ว ด้วยการนำไอเดียของเกมนี้ไปเฉิดฉายให้ต่างชาติเห็น จคว้ารางวัล "เกมยอดเยี่ยม" ในการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Microsoft Imagine Cup เมื่อปี 2016 ได้อีกด้วย หลังจากได้รับรางวัลผู้พัฒนาเองก็ได้ขัดเกลาเกมนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างจนท้ายที่สุดตัวเกมก็ได้วางจำหน่ายออกมาให้เราเล่นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2020 บนร้านค้า Steam เนื้อเรื่องและการนำเสนอ และจากที่ได้ลองสัมผัสมา ส่วนตัวผมกล้าพูดเลยครับว่า Timelie คือเกมไทยที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยคอนเซ็ปต์ไอเดียอันแปลกใหม่แบบที่เราไม่เคยเห็นจากไหนมาก่อน พร้อมยังเห็นความละเมียดละไมในสิ่งที่ผู้พัฒนาอยากจะนำเสนอในทุกเวลาที่เล่นตั้งแต่ตอนจนจบ Timelie คือเกมแนว Puzzle Adventure เนื้อเรื่องของเกมนั้นค่อนข้างเรียบง่าย เราจะได้รับบทเป็นสาวน้อยที่ตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง และอยากหาทางกลับบ้านพร้อมกับมีน้องแมวคู่ใจคอยช่วยเหลือ โดยการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมนี้ผู้พัฒนาไม่ได้ใส่บทพูดให้กับตัวละครใดๆ เราจะได้รู้เนื้อเรื่องผ่านการกระทำ และเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งความสุข ความทุกข์ และความสัมพันธ์ของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้โอเคพอสมควร ในด้านกราฟิกของตัวเกมจะเป็นแนวการ์ตูนน่ารักตามสไตล์เกมอินดี้ทั่วไป ภาพและกลิ่นอายของตัวเกมจะออกไปในเชิงเหงาๆ ปล่าวเปลี่ยว และนำเสนองานแนวอาร์ตที่มีความนุ่มลึก, ราบเรียบ พร้อมกับดนตรีประกอบที่บรรเลงไปอย่างช้าๆ ไม่ได้มีความระทึกอะไรมากนักแต่ค่อนข้างลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ และจากที่เล่นมาตัวเกมไม่มี Bug หรือปัญหาเรื่องเฟรมเรทดรอปให้เห็นเลย ตัวเกมใช้สเปกในการเล่นค่อนข้างน้อย ซึ่งตัวผู้เขียนได้ใช้ Notebook ราคาหมื่นปลายๆ เล่นก็สามารถเล่นเกมนี้ได้เกิน 60 FPS อย่างสบายๆ เกมเพลย์ สิ่งที่จะทำให้เกมนี้เป็นที่พูดถึงนั่นคือเกมเพลย์ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ที่เราจะสามารถดูอนาคตเพื่อแก้ไขการกระทำของเราได้เหมือนโปรแกรมเล่นหนัง เราสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของศัตรู ใช้ความคิดหาจุดหลบหลีก สร้างความเป็นไปได้ทุกอย่างเพื่อผ่านด่าน ดูเผินๆ ตัวเกมก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจากเกมอินดี้อื่นๆ เสียเท่าไร แต่พอได้เล่นจริงเราจะได้เห็นความใส่ใจของผู้พัฒนาในการดีไซน์ด่านต่างๆ ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ในการเล่นให้ผ่านแต่ละด่านเราต้องใช้ความคิดทุกๆ อย่างที่ไม่เหมือนกันสักครั้ง ปริศนาของเกมมีความยากในระดับที่สามารถเผาหัวคุณจนร้อนได้ในทุกๆ ด่าน แต่ความพิเศษคือความยากที่กล่าวนั้น มันไม่ใช่ว่าตัวเกมสร้างมอนสเตอร์โหดๆ เข้ามาจัดการเรา แต่มันเป็นความยากที่เรานั้นพลาดจุดเล็กจุดน้อยเองทั้งสิ้น ยกตัวอย่างบางด่านที่ในแผนที่มีจุดให้หลบมากมายแต่เล่นเท่าไรก็ไม่ผ่าน สุดท้ายหนทางที่ดีที่สุดในด่านนั้นคือเดินตามหลังศัตรูแล้วหลบแค่มุมเรดาร์ศัตรูเฉยๆ ทุกการเล่นมีความเป็นไปได้เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นมันเท่านั้น บางทีเราถอยหลังสักก้าวใจเย็นสักนิด ค่อยๆ คิด หรือลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทางสว่างก็จะปรากฏตรงหน้าเอง ในตอนที่ผู้พัฒนาโปรโมทเกมนี้ พวกเขาได้บอกเอาไว้ว่าตัวเกมจะให้ประสบการณ์การเล่นแบบ Co-op ในเกม Single Player ซึ่งจากที่เห็นตอนแรกก็งงนะว่ามันคืออะไร แต่พอได้เล่นจริงสิ่งที่ผู้พัฒนาพูดมามันไม่ได้เวอร์วังเกินไปเลย เพราะว่าเกมนี้นอกจากที่เราจะได้บังคับสาวน้อยแล้วนั้น เราจะยังได้บังคับน้องแมวที่จะเป็นคู่หูในการช่วยเหลือผ่านด่านไปด้วยกัน ปริศนาในแต่ละด่านจะต้องใช้การเดินของทั้งคู่อย่างเช่นเราต้องบังคับน้องแมวให้ไปกดแท่นเพื่อเปิดประตูให้เรา หรือให้น้องแมวทำเสียงกวนเพื่อหลอกล่อศัตรูให้เดินออกจากพื้นที่เพื่อทำ Objective เป็นต้น ซึ่งการเล่นค่อนข้างทำได้ลื่นไหลและเข้ากันกับคอนเซ็ปต์ของเกมนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงตัวเกมยังมีความท้าทายเข้ามาให้เราเรื่อยๆ ในแต่ละ Chapter ตัวเกมจะมีการใส่ลูกเล่นใหม่ๆ มาให้เสมอ เพื่อไม่ให้เราเบื่อกับเกมการเล่นเดิมๆ อย่างเช่นการที่ตัวเกมก็สามารถให้เราใช้พลังสามารถทำลายศัตรูได้หลังจากเล่นไปสักพัก หรือคิดด่านที่มีไอเดียใหม่ๆ เช่นด่านที่มีจุดย้อนเวลา, วิธีจัดการศัตรูแบบใหม่ๆ เช่นการขังไว้ในห้อง และอีกมากมายที่ส่วนตัวไม่สามารถเล่าได้เพราะเดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยส์นั่นเอง สรุป Timelie คือเกมไทยที่ยกระดับไปอีกขั้น ตัวเกมอาจจะไม่ได้มีวิชชวลที่ทันสมัยหรือเอฟเฟคแอนิเมชันตระกาลตา แต่เกมนี้เปี่ยมไปด้วย "ไอเดีย" ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้าง เกมเพลย์เต็มไปด้วยความละเมียดละไมและมันแสดงออกมาให้เห็นเลยว่าผู้พัฒนาคิดและวางแผนมาอย่างดีและรอบคอบ มีคำเดียวที่สามารถพูดให้กับเกมนี้ได้นั่นคือกับว่า "Perfect" และค่อนข้างภูมิใจว่าผู้พัฒนาเกมชาวไทยสามารถสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ ส่วนในด้านของเนื้อเรื่องจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันอาจจะเบาบางไปนิด ตัวผมเองอยากให้ตัวเกมนำเสนอในจุดนี้มากขึ้น แต่ก็เข้าใจในระดับหนึ่งว่าจุดขายของเกมนี้ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ และลองมานึกคิดดีๆ แล้ว สมมติถ้าตัวละครมีบทพูดขึ้นมา มันอาจจะไม่สามารถนำเสนอกลิ่นอายของเกมออกมาได้ดีขนาดนี้ก็ได้ รวมถึงตัวเกมเพลย์ทำออกมาสนุกจนเกินที่คาดคิดไปมาก มันพร้อมจะพาคุณดำดิ่งตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างสบายๆ (ถ้าคุณเป็นคนชอบเกมแนว Puzzle แล้วมีเวลาเยอะนะ) นี่คือเกมที่จะทำให้อุตสาหกรรมวิดีโอเกมทั่วโลกหันมามองประเทศเรามากขึ้น นี่คือเกมที่สร้างมาตรฐานใหม่และยกระดับการพัฒนาเกมบ้านเราให้สูงขึ้น ว่าเกมที่ยอดเยี่ยมต้องเป็นอย่างไร มันไม่จำเป็นเป็นต้องเป็นเกมที่มีกราฟิกสวย เกมเพลย์มันๆ แต่ขอแค่เป็นเกมที่เปี่ยมไปด้วย "ไอเดีย" เท่านี้เราก็กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า "เกมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" ครับ ใครที่สนใจเกมนี้ท่านสามารถเข้าไปอุดหนุนได้ที่ Steam ในราคาเพียงแค่ 329 บาทเท่านั้น LINK [penci_review id="54460"]
24 May 2020
รีวิวเกม Mafia II: Definitive Edition เข้าสู่โลกแห่งมาเฟียอีกครั้ง ด้วยภาพที่ทันสมัยขึ้น
สำหรับหลายๆ คน Mafia II ถือเป็นหนึ่งในเกม Action Open World ที่น่าจดจำมากที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กับการนำเสนอเรื่องราวโลกของตระกูลมาเฟียอิตาลี ให้เราไปโลดแล่นและสัมผัสความคลาสสิคของประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยยุค 40s - 50s ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับตัวละครหลักอย่าง Vito Scaletta และเพื่อนซี๊ Joe Barbaro ที่หลายๆ คนยกให้มันเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำอันดับต้นๆ จนถึงทุกวันนี้ กับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ฝ่าฟันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ล่าสุดผู้พัฒนาก็ได้เซอร์ไพรส์เหล่าแฟนๆ ทำการเปิดตัว Mafia II: Definitive Edition กับการเอาเกม Mafia II ที่วางจำหน่ายในปี 2010 มาขัดเกลากราฟิกใหม่ให้ดูสวยงามตามยุคสมัย เพื่อให้เราได้มีโอกาสสัมผัสถึงความยอดเยี่ยมของมันอีกครั้งในรูปแบบที่สมบูรณ์กว่าเดิม และให้เกมเมอร์รุ่นใหม่ได้มีโอกาสลิ้มลองและเข้าใจว่าทำไมเกมนี้ถึงถูกยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดอของซีรีส์นี้ โดยในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้มาแล้ว และจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่ามันมีอะไรที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมบ้าง ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนเคยเล่น Mafia II เวอร์ชั่น Original มาก่อนหน้าแล้ว และพอได้มีโอกาสรีวิวเวอร์ชั่น HD นี้ก็เลยลองโหลดเวอร์ชั่นเก่ามาเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นใหม่ด้วย โดยผู้เขียนปรับกราฟิกของทั้งสองเวอร์ชั่นจนสุดทั้งหมด เพื่อจะได้เปรียบเทียบให้เห็นความต่างกันแบบชัดๆ ไปเลย เริ่มจากการมองด้วยสายตาก่อนเลยครับ Mafia II: Definitive Edition จะมีความคมชัดมากกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับเป็นอย่างมาก ใครที่เคยเล่นเวอร์ชั่นเก่าก็น่าจะเคยรู้สึกว่าภาพของตัวเกมมันมีความเบลอๆ จากการลดรายละเอียดฉากที่อยู่ไกลให้น้อยลง ส่วนหนึ่งเพื่อให้สามารถเล่นบนเครื่อง Console ยุคนั้นได้ด้วย แต่พอเป็นเวอร์ชั่นใหม่นี้ ตัวเกมก็ได้ปลดล็อคข้อจำกัดนี้ทั้งหมด ทำให้การมองดูสบายตามากขึ้น พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มแสงเงา บรรยากาศหรือควันต่างๆ ให้ดูสมจริงมากขึ้นไปอีก ซึ่งส่งผลให้เมืองของเกมรู้สึกกว้างขึ้นกว่าเก่า และทำให้ประสบการณ์ทั้งหมดมีความลื่นไหลขึ้น เพราะจะไม่ต้องทนมองภาพมัวๆ ให้รำคาญตาอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นใครที่คาดหวังว่ารายละเอียด Texture ของฉากจะมีความสมจริงขึ้น ก็อาจจะผิดหวังนิดหน่อยนะครับ เพราะตัวเกมดูจะเน้นเพิ่มรายละเอียดแสงเงาให้ดูสมจริงเพียงเท่านั้น แต่รายละเอียดตึกรามบ้านช่องกลับไม่ได้ต่างจากเวอร์ชั่นเดิมมากนัก พื้นผิวตามถนนเองก็ค่อนข้างเรียบแบนเหมือนเดิม ไม่ได้ปรับให้ดูสมจริงขึ้นแต่อย่างใด พูดง่ายๆ คือเกมแอบมีความ "สวยร้อยเมตร" ที่ถ้ามองผ่านๆ หรือมองไกลๆ จะดูดีขึ้นจากภาคเก่าถนัดตา แต่เมื่อเข้ามาดูใกล้ๆ ก็จะเริ่มสังเกตเห็นตีนกามากมายเช่นเดียวกัน ในเรื่องของฉากคัดซีนเองก็มีการเพิ่มเติมใส่รายละเอียดในเรื่องหน้าตาของตัวละครให้มากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับ สังเกตุจากภาพด้านล่าง เราจะเห็นแผลเป็นตรงคางของตัวเอกได้ชัดมากขึ้น ริ้วรอยย่นต่างๆ เองก็มีเยอะขึ้น แต่ที่เห็นได้ชัดเลยคือเรื่องของเงาสะท้อนที่ทำออกมาได้มีเฉดเงาที่เป็นธรรมชาติกว่าเดิม ใครที่เคยเล่นเกมเวอร์ชั่นเก่ามาก่อนท่านจะเห็นความแตกต่างเป็นอย่างมากเลยทีเดียว มาดูถึงเรื่องความลื่นไหลของตัวเกมกันบ้าง ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าผู้เขียนนั้นปรับกราฟิกแบบสูงสูดทุกอย่าง โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับรีวิวนั้น สเปกอยู่ที่ระดับกลางๆ คือ CPU Intel i5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB เท่านั้น แต่สามารถรันเฟรมเรทได้มากกว่า 60 FPS ตลอดเวลาไม่มีตก (จะอยู่ราวๆ 70-110 FPS) ซึ่งถือว่าลื่นมากๆ และไม่เคยมีปัญหาเกมเด้งเกมหลุดแต่อย่างใด ถือว่าผู้พัฒนาทำการปรับปรุงกราฟิกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าให้ถามว่ามีสิ่งที่ไม่ชอบบ้างไหม ก็ต้องบอกว่าส่วนตัวผู้เขียนมีปัญหาในการควบคุมด้วยจอย Xbox พอสมควร Mafia II: Definitive Edition ยังมีปัญหาเรื่องการบังคับอยู่บ้าง เช่นระบบการช่วงเล็งปืนหรือ Aim Assist ที่บางครั้งพึ่งพาไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างเวลาเราจะเล็งยิงศัตรู คนที่เคยเล่นเกมแนวยิงโดยใช้จอยมาก่อน ปกติแล้วเรามักจะหันมุมกล้องให้ศัตรูอยู่บริเวณกลางจอพอดี เวลากดเล็งเป้ามันจะล็อคเข้าตัวศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับเกมนี้บ่อยครั้งที่ระบบช่วยเล็งไม่ยอมล็อคตามที่เราต้องการ ทำให้การเล่นค่อนข้างเสียจังหวะเป็นอย่างมาก และต่อให้ปิดโหมด Aim Assist ตัวเกมก็ยังมีจังหวะแปลกๆ ช่วยเล็งให้เฉยทั้งๆ ที่ไม่ต้องการ ซึ่งคนที่เล่นด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดอาจจะไม่พบปัญหานี้ นอกไปจากการควบคุม ยังมี Bug แอนิเมชั่นของตัวละครที่อยู่ดีๆ ก็เดินติด หรือยืนเฉยๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่มากพอสมควร ส่วนเรื่อง Interface ก็เหมือนเวอร์ชั่นเก่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทำให้เกมรู้สึก "เก่า" กว่าที่ควรจะเป็นอยู่บ้าง ◊ เนื้อเรื่อง ◊ Mafia II เป็นหนึ่งในเกมที่น่าจดจำมากๆ โดยเราจะได้รับบทเป็น Vito Scaletta เด็กหนุ่มชาวอิตาลีที่อพยพมาอยู่ในเมือง Empire Bay (เมืองสมมติ) ในประเทศอเมริกา พร้อมมีเพื่อนคู่ซี้นามว่า Joe Barbaro ที่พวกเขาทั้งคู่ค่อยๆ เติบโตเพื่อก้าวสู้เส้นทางมาเฟีย โดยเราจะได้เห็นการเติบโตของ Vito ที่เริ่มจากการลักเล็กขโมยน้อย เริ่มทำงานเล็กๆ ให้กับมาเฟีย ถูกหลอกบ้าง ขยับขยายไปจนถึงงานใหญ่ๆ และเข้าสู่ครอบครัวมาเฟียอิตาลีเต็มตัว ตัวเกมนำเสนอทั้งเรื่องผลประโยชน์ การหักหลังคนในองค์กร หรือการตัดสินใจสุดแสนยากลำบาก ซึ่งคนที่คุ้นเคยกับหนังหรือเนื้อเรื่องแนวมาเฟียอยู๋แล้ว น่าจะพอเดาได้ว่าจะสามารถคาดหวังอะไรจากเนื้อเรื่องของเกมได้บ้าง แต่ถามว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้มันยอดเยี่ยมขนาดนั้นไหม ก็ต้องบอกว่ามันอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางดีครับ ไม่ได้เลิศเลอมาก เพราะตัวเกมกว่าครึ่งจะเล่าเรื่องเส้นทางของตัวเอก Vito และ Joe ก่อนจะเข้าสู่ครอบครัวมาเฟียอย่างเต็มตัว เลยทำให้บ้างช่วงแผ่วๆ ลงไปบ้าง กว่าจะถึงช่วงที่เข้มข้นก็อาจจะต้องรอเนื้อเรื่องช่วงหลังจากที่ทั้งสองเข้าร่วมตระกูลมาเฟียไปแล้ว แต่โชคดีหน่อยที่เกมนี้เล่าเรื่องได้ค่อนข้างกระชับ ไม่ยึดเยื้อเท่าไร เลยทำให้เราสามารถผ่านจุดน่าเบื่อไปได้ง่ายๆ แต่มันก็แลกมาด้วยการที่เกมนี้ใช้เวลาการเล่นเพียงแค่ 15 ชั่วโมงจบเท่านั้น อาจจะถือว่าจบเร็วไปหน่อยเพราะมาตรฐานเกม Open World ของหลายๆ คนน่าจะอยู่ที่ 20 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ถ้าให้เทียบกับคุณภาพของเกมที่วางจำหน่ายในช่วงปี 2010 ต้องบอกเลยว่า Mafia II เป็นเกมที่นำเสนอเนื้อเรื่องออกมายอดเยี่ยมเป็นอันดับต้นๆ เลย ◊ เกมเพลย์ ◊ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ก็ต้องบอกว่า Mafia II ก็คือเกมแนวแอคชัน Third-Person Open World ทั่วไป ที่ไม่ได้มีระบบอะไรหวือหวาหรือน่าสนใจเป็นพิเศษ ภารกิจส่วนใหญ่ก็จะเป็นการไปจัดการเป้าหมายเหมือนๆ กัน และค่อนข้างจะดำเนินแบบตามบท ไม่ได้มีลูกเล่นให้เราพลิกแพลงเยอะเท่าไหร่นัก เช่นในบางภารกิจตัวเกมสามารถให้เราลอบเข้าไปขโมยของได้ แต่พอลอบเข้าไปขโมยเสร็จพวกศัตรูก็จะรู้และแห่มาจัดการเราอยู่ดี ไม่ได้มีทางเลือกในการเล่นให้เราแอบหนีออกไปอย่างเงียบๆ แต่ก็อาจจะติได้ไม่ร้อยเปอร์เซนต์นัก เพราะเกม Open World ในยุคนั้นก็เป็นแบบนี้เกือบทั้งหมด ใครที่อยากจะหวังในด้านเกมเพลย์ต้องบอกเลยว่าท่านอาจจะผิดหวังกับมัน เพราะจุดเด่นมันไม่ใช่เกมเพลย์แม้แต่น้อย แต่มันเป็นอารมณ์ร่วมที่แต่ละภารกิจจะมีความสอดคล้องต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เช่นเราอาจจะได้รับภารกิจไปจัดการคนที่มันเคยมีประวัติไม่ดีกับเรา หรือการทำภารกิจนี้เพื่อคาดหวังบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมันเป็นแรงจูงใจหลักในการเล่นเกมนี้จนจบนั่นเอง Mafia II จึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเกมเน้นเนื้อเรื่องที่เอา Open World มาเป็นองค์ประกอบเท่านั้น ส่วนระบบการต่อสู้ ถึงแม้ว่ามันจะเรียบง่ายไม่แตกต่างจากเกมอื่น แต่ตัวเกมก็ยังแอบยากในระดับหนึ่ง เพราะ A.I. เกมนี้จัดว่ายิงแม่นมากๆ นี่คือความท้าทายที่มีเสน่ห์ที่สุดของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้เนื้อเรื่องจะเชิดชูให้ตัวละครเอกเราเก่งจัดการคนเป็นสิบได้  แต่พอเล่นจริง เราโดนศัตรูยิง 2-3 นัดก็ลงไปคุยกับรากมะม่วงได้อย่างง่ายดาย บวกกับการบังคับปืนหรือการช่วยเล็งที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเราอีก ใครที่ยังเป็นมือใหม่สำหรับเกมแนวนี้ ก็อาจจะต้องตายกันหลายรอบหน่อย (เมื่อก่อนผู้เขียนก็เป็น) รวมถึงระบบขับรถที่หลายๆ คนยังพูดถึงมาจนทุกวันนี้ เพราะระบบฟิสิกส์มันแย่มากๆ ตัวรถมักจะเหวี่ยงไปมาในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมชาติและคาดเดาลำบาก เวลาเจอภารกิจไล่ล่านี่ต้องมีหัวร้อนกันตลอด แต่ถ้าลองมองภาพให้กว้างขึ้น มันก็อาจจะสมเหตุสมผล เพราะว่าเกมนี้พยายามให้เราสัมผัสโลกในยุคปี 40 - 50 มากที่สุด การที่รถเหล่านี้ไม่สามารถซิ่งสะท้านฟ้าเหมือนรถยุคปัจจุบันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว รวมถึงระบบจราจรที่ค่อนข้างน่าหงุดหงิด แต่อาจเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ โดยจะมีตำรวจคอยตรวจสอบความเร็วของรถเราตลอด ถ้าหากว่าเรานั้นขับรถเร็วเกิน 40 km/ชั่วโมง ผ่านหน้ารถตำรวจก็เตรียมตัวเจอไล่ได้เลยจ้า ถ้าตำรวจไล่ล่านานๆ พวกเขาก็จะสามารถจำป้ายทะเบียนรถได้อีก เราต้องเปลี่ยนรถหรือเข้าอู่เปลี่ยนป้ายทะเบียนเพื่อให้รอดสายตา ซึ่งตัวระบบนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของซีรีส์ Mafia เลยก็ว่าได้ สรุป Mafia II: Definitive Edition สามารถปรับปรุงกราฟิกจากเวอร์ชั่น 2010 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เฉดเงาต่างๆ ทำออกมาได้สวยงดสดงาม สิ่งที่ประทับใจที่สุดเลยก็คือปัญหารายลดละเอียดฉากไกลสุดมัวที่หายไป ทำให้เกมดูสบายตามากขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องรายละเอียดพื้นผิวของเกมก็ยังไม่ได้เปลี่ยนมากนัก ส่วนตัวคิดว่ามันทำการปรับปรุงกราฟิกออกมาได้มากที่สุดที่มันจะสามารถทำได้แล้วแหล่ะ ตัวเกมนำเสนอโลกของเมือง Empire Bay ที่จำลองบางส่วนมากจากแมนฮัตตัน และบรูคลินได้สวยงามมากขึ้น เราจะได้เห็นอเมริกาในยุค 40s และ 50s พร้อมทั้งสถานที่น่าสนใจอย่างตึก Empire State และสะพานบรูคลิน ทั้งการแต่งตัวของเราและ NPC ที่ให้ความรู้สึกแบบวินเทจ ซึ่งส่วนตัวอยากให้คนที่ไม่เคยได้สัมผัสเกมนี้ลองซักครั้ง ในส่วนของเนื้อเรื่องของเกมนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ลึกซึ้งกินใจเหมือนเกมชั้นนำ แต่มันก็สามารถนำเสนอเรื่องราวของมาเฟียออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เราจะได้เห็นทั้งมิตรภาพ, ความทุกข์, ความสุข, การแก้แค้น, โดนหลอก และหักหลัง ของสองเพื่อนซี๊อย่าง Vito Scaletta และ Joel Barbaro พร้อมยังนำเสนอสังคมอันดำมืดและผลประโยชน์ของโลกมาเฟียให้เราได้เห็นอีกด้วย แม้เอาเข้าจริงต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องมีความ "เดาได้" สำหรับแฟนของหนังมาเฟีย แต่ถ้าคุณเคยคิดว่าอยากจะลองเล่นหนังมาเฟียเรื่องโปรดของคุณในฐานะเกม นี่อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งในตอนนี้ เช่นเดียวกับเกมเพลย์ ที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมที่สุด ระบบเกือบทั้งหมดก็มีให้พบเห็นได้ทั่วไป แต่องค์ประกอบโดยรวมที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องมันเกื้อหนุนกัน และทำให้ Mafia II เป็นเกมที่น่าจดจำมากๆ ในปี 2010 และผู้เขียนยกให้มันเป็นเกม Mafia ภาคที่ดีที่สุดเลยทีเดียว [penci_review id="54170"]
19 May 2020
Review: Persona 5 Royal สุดยอด JRPG ที่กลับมาขโมยใจคุณอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายเท่าซีรี่ส์รุ่นพี่จากแดนปลาดิบด้วยกันอย่าง Final Fantasy หรือ Dragon Quest แต่เกมซีรี่ส์ Persona ก็ถือเป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์เก่าแก่ ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัย PS1 แล้ว โดยเฉพาะในช่วง 5-10 ปีหลังมานี้ ที่เกม Persona เริ่มกลายเป็นเกม JRPG อันดับหนึ่งในดวงใจของใครหลายๆ คน สำหรับผู้เขียนเอง ออกตัวก่อนเลยว่าเป็นแฟนตัวยงของเกม Persona มาตั้งแต่ที่เล่นภาค 4 ในเครื่อง PS2 เมื่อหลายปีมาแล้ว (ถ้ารวมกับภาค Persona 4 Golden ที่วางจำหน่ายในเครื่อง PSVita ผู้เขียนเล่นเกมนี้จบรวมกัน 4 รอบแล้ว) ทำให้เวลา 150 ชั่วโมงที่ใช้ในการผ่านเนื้อเรื่องเกม Persona 5 ฉบับดั้งเดิมเป็นเวลาที่แสนสุขสำหรับผู้เขียน แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้ชอบเท่ากับเกม Persona 4 Golden แต่ก็ยังถือเป็นประสบการณ์ JRPG อันดับต้นๆ ในใจ ที่มอบทั้งเกมเพลย์ กราฟฟิค เนื้อเรื่อง และตัวละครที่ยอดเยี่ยม ตามมาตรฐานที่เป็นมาทุกภาคของเกม ความหวังที่ผู้เขียนมีในใจเมื่อเริ่มเล่นเกม Persona 5 Royal คือเกมอาจจะสามารถยกระดับ Persona 5 ให้กลายเป็นเกมในดวงใจของผู้เขียนได้อีกเกม แบบเดียวกับที่ Persona 4 Golden พัฒนาประสบการณ์ของเกม Persona 4 ขึ้นไปอย่างมหาศาล โดยผลลัพธ์ที่ออกมา แม้ว่า Persona 5 Royal จะยังไม่ได้ทำให้ประสบการณ์โดยรวมของเกมต้นฉบับพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นฉบับปรับปรุงของเกมที่ดีเลิศอยู่แล้ว ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไปอีกในทุกๆ ด้านเลยทีเดียว ข้อติเดียวที่พอจะนึกออก คือการทีเกมเพิ่มตัวละครใหม่ที่มีความสำคัญมากๆ เข้ามา แต่แทบไม่แตะต้องตัวละครเหล่านั้นเลย จนถึงเนื้อเรื่องใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังตอนจบของเกมภาคดั้งเดิมไปอีก หมายความว่าผู้ที่เคยเล่นภาคดั้งเดิมมาแล้ว และอยากสัมผัสกับเนื้อเรื่องใหม่ จำเป็นต้องเล่นเนื้อเรื่องดั้งเดิมใหม่อีกรอบซะก่อน ซึ่งแม้ว่าจะมีการปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงเกมเพลย์บ้างระหว่างทาง แต่ก็ยังใช้เวลาเฉียดร้อยชั่วโมงอยู่ดี ต่อให้เนื้อเรื่องส่วนที่เพิ่มเข้ามาจะเขียนออกมาได้อย่างดี และสามารถเสริมธีมและสาส์นที่เกมพยายามจะสื่อให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็ตาม แต่แม้ว่าตัวผู้เขียนเองจะชอบเกมขนาดไหน สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเกมคงไม่ได้เหมาะกับผู้เล่นทุกคนอย่างแน่นอน หากคุณไม่ใช่คนที่สามารถนั่งอ่านเนื้อเรื่องติดๆ กันได้เป็นชั่วโมงโดยที่ไม่มีการต่อสู้เลย หรือไม่ใช่คนที่ใจเย็นพอจะศึกษารายละเอียดยิบย่อยมากมาย ที่ทำให้เกม Persona มีเอกลักษณ์แตกต่างจากเกม JRPG ทั่วไปในตลาดทุกวันนี้ เพราะสิ่งที่ทำให้เกมพิเศษสำหรับแฟนๆ อาจจะน่าหงุดหงิดรำคาญใจสำหรับหลายคนเช่นกัน สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกม Persona 5 มาก่อน และมั่นใจว่าอยากลอง เกมภาค Royal ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้สัมผัสกับ JRPG ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งในยุคคอนโซลปัจจุบัน ในสภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ส่วนผู้เล่นที่เคยเล่นภาคดั้งเดิมมาแล้ว อาจจะต้องถามตัวเองว่าคุณพร้อมจะเล่นเนื้อเรื่องทั้งหมดนั้นอีกรอบไหม ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ด้วยความที่เกม Persona 5 เดิมทีแล้วถูกพัฒนาขึ้นสำหรับเครื่อง PS3 ด้วย และวางจำหน่ายพร้อมกันกับเวอร์ชั่น PS4 ทำให้เกมมีขีดจำกัดในแง่ของกราฟฟิคอยู่พอสมควร แม้ว่าเกมจะไม่ได้น่าเกลียดแต่อย่างใด แถมยังมีสไตล์การออกแบบศิลป์ที่จัดจ้าน ซึ่งช่วยยกระดับกราฟฟิคโดยรวมของเกมขึ้นมาได้มากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด แต่ก็มีจุดเล็กๆ หลายจุด เช่นการที่ภาพแตกเป็นพิกเซล ที่ถ้ากำจัดไปได้ ก็จะทำให้เกมรู้สึกใกล้เคียงกับมาตรฐานปัจจุบันมากขึ้น สำหรับเกม Persona 5 Royal ถือว่ากลบจุดอ่อนทั้งหมดที่ผู้เขียนเคยรู้สึกติดจากเกมฉบับดั้งเดิมได้ และยังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นอีกด้วย (โดยเฉพาะใน PS4 Pro) โดยนอกจากจะอัพกราฟฟิคทั้งหมดในเกมให้คมชัดยิ่งขึ้น ยังเพิ่มรายละเอียดยิบย่อยในฉาก และเพิ่ม NPC ให้หนาตามากขึ้นด้วย กราฟฟิคที่ปรับให้คมชัดยิ่งขึ้น ยังช่วยทำให้การออกแบบศิลป์ที่ยอดเยี่ยมของเกม เช่นหน้าเมนู หน้า U.I. หรือฟอนต์ เด่นขึ้นอีกด้วย ซึ่งแม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงข้อพัฒนาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเก่าอย่างรู้สึกได้เลยทีเดียว นอกจากเรื่องสไตล์การออกแบบศิลป์แล้ว เกมซีรี่ส์ Persona ยังโด่งดังในเรื่องของเพลงประกอบ และ Persona 5 ต้นฉบับก็มีเซ็ตเพลงประกอบแนว Acid-Jazz ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว โดยในภาค Royal จะเพิ่มเพลงประกอบใหม่เข้าไปอีก 20 เพลง แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่าจำเพลงที่เพิ่มมาได้อยู่ไม่กี่เพลง แต่ทุกเพลงก็ช่วยเสริมอรรถรสของเกมได้เช่นกัน โดยเฉพาะเพลงฉากต่อสู้ใหม่ (เพลงชื่อ Take Over) ที่ช่างเร้าอารมณ์ในฉากต่อสู้ได้ดีเหลือเกิน รับประกันว่าถ้าคุณได้ลองเล่นซักครั้ง จะต้องหาเปิดเพลง Soundtrack ฟังทั้งวันเหมือนผู้เขียนแน่นอน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องในเกม Persona 5 Royal ประมาณ 80-90% จะยกมาจากเกมต้นฉบับตรงๆ โดยเกมจะติดตามตัวเอกใบ้ (ซึ่งผู้เล่นตั้งชื่อเอง) ผู้ซึ่งโดนส่งเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองโตเกี่ยวคนเดียวเป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากที่โดนตำรวจยัดข้อหาทำร้ายร่างกายให้ แต่เมื่อมาถึงไม่ทันไร ตัวเอกก็ได้ค้นพบการมีอยู่ของมิติปริศนา ที่เกิดขึ้นจากจิตใจอันบิดเบี้ยวชั่วร้ายของเหล่าผู้ใหญ่ ตัวเอกและเพื่อนๆ จึงใช้พลังพิเศษที่เรียกว่า Persona ในการบุกเข้าไปยังมิติคู่ขนานเหล่านี้ เพื่อ "ขโมยหัวใจอันบิดเบี้ยว" ของผู้ใหญ่อันชั่วร้าย ให้พวกเขาสามารถกลับใจมายอมรับผิดได้อีกครั้ง ถ้าให้มองแบบกว้างๆ นั้น เนื้อเรื่องของเกม Persona 5 ิอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรนัก เผลอๆ อาจจะดูเหมือนพล๊อตการ์ตูนอนิเมะทั่วไปด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกม Persona ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางคือรายละเอียดภายในเนื้อเรื่อง ที่มักจะสะท้อนภาพเหตุการณ์หนักๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศ การฆ่าตัวตาย หรือกระทั่งการเมือง ซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เราพบเห็นในข่าวในชีวิตจริงอยู่เป็นประจำ ทำให้เหตุการณ์เหล่านี้ รวมไปถึงสาส์นที่เกมต้องการจะสื่อผ่านเนื้อเรื่อง รู้สึกมีน้ำหนักต่อความคิดและจิตใจเราจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เกม Persona 5 ยังแฝงไปด้วยแนวคิดของความ "ขบถ" ของคนรุ่นใหม่ ที่ลุกขึ้นมาปฏิเสธโลกอันบิดเบี้ยว ที่เหล่าผู้ใหญ่สร้างขึ้นมาเพื่อบำเรอตนเอง รวมไปถึง "บทบาท" ที่สังคมยัดเยียดให้พวกเขา ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าน่าจะเหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองทั่วโลกในปัจจุบันมากๆ  และน่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายคน ที่อาจจะรู้สึกสิ้นหวังกับทิศทางของโลกในปัจจุบัน เนื้อเรื่องส่วนที่เพิ่มมาในเกมภาค Royal จะเกี่ยวข้องกับตัวละครใหม่ที่เกมเพิ่มเข้ามา คือนักจิตวิทยา Maruki และเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนใหม่อย่าง Kasumi นั่นเอง โดยเกมจะเน้นปูเนื้อเรื่องของทั้งสองผ่านฉากคัตซีนที่สอดแทรกเข้าไปเพิ่มในเหตุการณ์ของเนื้อเรื่องหลัก และจะเริ่มเข้าสู้เนื้อเรื่องใหม่ของทั้งสองจริงๆ หลังตอนจบของเนื้อเรื่องหลักไปแล้ว แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เนื้อเรื่องส่วนที่เสริมมาจะเขียนมาค่อนข้างดี และมีเนื้อหาและข้อคิดที่หนักอึ้งให้นั่งขบคิดกันไม่ต่างจากเนื้อเรื่องหลัก (ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวสปอย) แต่ด้วยรูปแบบการนำเสนอ ที่นำเนื้อเรื่องของทั้งสองมาเล่าในช่วงท้ายเกมทั้งหมดทีเดียว ทำให้บางทีก็รู้สึกเร่งๆ เหมือนกัน เพราะต้องทำให้ตัวร้ายตัวใหม่รู้สึกน่าเกรงขามมากพอที่จะท้าทายเหล่าตัวเอกและผองเพื่อน ที่กำจัดบอสใหญ่ไปแล้วได้ แถมยังต้องมาพัฒนาตัวละครของ Kasumi ผู้ซึ่งเป็นตัวเอกอีกตัวของเนื้อเรื่องเสริมนี้อีก ทำให้อดเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเกมปูเรื่องมาให้เป็นธรรมชาติกว่านี้ และหาวิธีสอดเรื่องราวของ Kasumi เข้าไปก่อนสู้บอสใหญ่ อาจจะทำให้ทุกอย่างรู้สึกลงตัวมากกว่านี้   คนที่เล่นแล้วอาจจะเถียงว่า "ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องเสริม มันก็ต้องเล่าประมาณนี้แหละ" ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เถียง แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้อยู่ดีที่เกมไม่ได้ทำให้ Kasumi รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทีมจริงๆ จนกระทั่งถึงตอนจบ ซึ่งก็ทำให้ตัวละครของเธอขาดน้ำหนักไปพอสมควรเมื่อเทียบกับตัวละครดั้งเดิม นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของเกม Persona คือเนื้อเรื่องส่วนตัวของแต่ละตัวละครเอง ซึ่งจะปลดล๊อคผ่านระบบ Confidant ของเกมนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องเหล่านี้ แม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักโดยตรง แต่ก็ช่วยทำให้เราได้รู้จักกับตัวละครหลายๆ ตัวมากขึ้น เพราะมักจะเกี่ยวข้องกับการแก้ปมในใจ หรือปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวละคร ที่แม้จะไม่ได้ตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่เนื้อเรื่องเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่กินใจ และให้แง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิตเสมอ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนกับได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผองเพื่อนที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาด้วยกันจริงๆ ซึ่งก็กลับมาช่วยเสริมเนื้อเรื่องของเกมอีกที สำหรับคนที่เคยเล่นเกมมาแล้ว เนื้อเรื่องของ Persona 5 Royal อาจจะไม่ใช่จุดดึงดูดหลัก เพราะเอาจริงๆ ก็เหมือนเดิมไปซะเกือบทั้งหมดอยู่เหมือนกัน และถ้าอยากเข้าถึงเนื้อเรื่องใหม่ ก็ต้องผ่านเนื้อเรื่องเก่าที่กินความยาวได้เป็นร้อยชั่วโมงไปซะก่อน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อน และชื่นชอบการเสพเนื้อเรื่องเกมเยอะๆ ยาวๆ บอกเลยว่าเกมนี้มีให้คุณเสพจนอิ่มแน่นอน ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ Persona 5 (ทั้ง Royal และปกติ) น่าจะเป็นทั้งจุดแข็งที่สุดและจุดอ่อนที่สุด ขึ้นอยู่กับความชอบของคนที่เล่น การเล่นเกมจะสามารถแบ่งออกเป็นสองช่วงหลักๆ คือช่วงต่อสู้ตะลุยดันเจี้ยน (ที่เกมเรียกว่า Palace หรือวัง) และช่วงใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความสำคัญพอๆ กัน โดยปกติแล้ว เวลาส่วนใหญ่ในเกม P5R จะถูกใช้ไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเอก โดยมีจุดประสงค์สองอย่าง คือเพื่อพัฒนาค่าความสามารถทางสังคม (Social Stat) เช่นความหล่อ ความฉลาด หรือความใจดี และเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครเสริมอื่นๆ ในระบบ Confidant ของเกมนั้นเอง ซึ่งการพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละคร บางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ค่าสถานะทางสังคมถึงระดับหนึ่งก่อน โดยเกมจะดำเนินไปตามระบบปฏิทิน และเนื้อเรื่องจะมีจำนวน "วัน" ในเกมที่ตายตัว หมายความว่าผู้เล่นจะต้องบริหารเวลาให้ดี เพื่อให้สามารถเก็บค่าสถานะให้ได้มากที่สุด เพื่อปลดล๊อคเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน การปลดล๊อคเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้ ยังช่วยเพิ่มความสามารถพิเศษให้เราใช้ในการสำรวจดันเจี้ยนอีกด้วย ผู้เล่นจึงควรพัฒนาระดับ Confidant ของตัวละครให้มากที่สุดที่จะทำได้ จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่ทำให้หลายคนขยาดจากเกม Persona ไปได้ง่ายๆ เพราะเวลากว่า 60-70% ของการเล่นเกมมักจะถูกใช้ไปกับการนั่งอ่านเนื้อเรื่องเสียมากกว่า ในบางครั้งอาจต้องนั่งอ่านเนื้อเรื่องอย่างเดียวเป็นชั่วโมงเลยก็ได้ แน่นอนว่าคนที่ไม่ชอบอ่านเนื้อเรื่องเยอะๆ หรือมีปัญหาด้านภาษาอังกฤษ อาจจะทำให้เกมน่าเบื่อไปเลยได้เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องที่เกมนำเสนอก็เป็นเสน่ห์สำคัญอย่างหนึ่งของเกมด้วย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมคงไม่ถูกใจผู้เล่นกลุ่มใหญ่ๆ แน่นอน แม้ว่าจะได้รับคะแนนจากสื่อที่รีวิวดีแค่ไหนก็ตาม นอกจากการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ในแต่ละเดือน (ตามเวลาเกม) จะมีดันเจี้ยนที่ผู้เล่นจะต้องผ่านให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งผู้เล่นจะเลือกได้อย่างอิสระว่าในหนึ่งเดือนนั้น จะใช้เวลาลงดันเจี้ยนกี่วัน หรือจะใช้เวลาในการเตรียมตัวในโลกแห่งความจริงกี่วัน ซึ่งถ้าเคลียร์ดันเจี้ยนไม่ได้ในเวลาที่กำหนด ก็จะทำให้ Game Over ทันที การต่อสู้ของเกม Persona จะมีส่วนคล้ายคลึงกับเกมอย่างโปเกม่อนอยู่บ้าง ตรงที่เกมจะเปิดให้ผู้เล่นสามารถเก็บสะสมเหล่า Persona ต่างๆ ไว้กับตัวได้ ซึ่ง Persona แต่ละตัวก็จะมีความสามารถและจุดแข็ง/จุดอ่อนต่างกัน โดยการเลือกใช้การโจมตีให้ตรงกับจุดอ่อนของศัตรูถือเป็นหัวใจหลักของการต่อสู้ในเกม เพราะเมื่อโจมตีถูกจุดอ่อนของศัตรู (หรือโจมตีติด Critical) จะทำให้ศัตรูตัวนั้นล้มลง และทำให้ตัวละครที่โจมตีได้รับเทิร์นเพิ่มอีกด้วย ซึ่งเมื่อเราทำให้ศัตรูทั้งหมดล้มลงได้ เราจะสามารถปิดฉากด้วยการโจมตี All-out Attack ทันที หรือจะขู่กรรโชกศัตรู (ไม่ได้พูดเล่น) เพื่อแย่งไอเทมหรือเงิน หรือกระทั่งเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็น Persona ของเราเลยก็ยังได้ การหาจุดอ่อนของศัตรูแต่ละชนิดให้เจอจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ความท้าทายของเกม Persona อยู่ตรงที่ว่าศัตรูเองก็สามารถโจมตีถูกจุดอ่อนของเราได้ ซึ่งเมื่อโดนแต่ละครั้งนี่แทบจะโดนสวนม้วนเดียวนอนทั้งตี้ได้เลย โดยตัวละครเพื่อนร่วมปาร์ตี้ทุกคนจะมี Persona และจุดอ่อน/จุดแข็งตายตัว (ในขณะที่ตัวเอก/ผู้เล่นจะสามารถสับเปลี่ยน Persona ไปมาได้) ทำให้การเล่นเกมบางครั้งก็พึ่งโชคประมาณหนึ่ง ว่าศัตรูตัวนี้จะเลือกโจมตีตัวละครตัวไหน และจะใช้ท่าที่ตัวละครตัวนั้นแพ้ทางไหม เพราะถ้าโดนเข้าซักทีก็เตรียมปาดเหงื่อได้เลย (โดยเฉพาะในระดับความยากสูงๆ) นอกจากนี้ เกมยังมีไอเทมที่ใช้ฟื้นฟู SP (ค่าพลังที่เอาไว้ใช้ร่ายสกิลเวทย์) ให้ใช้น้อยมาก ซึ่งนี่จะเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในการตะลุยดันเจี้ยน เพราะเมื่อไม่มี SP ก็จะไม่สามารถใช้เวทย์เพื่อเล่นงานจุดอ่อนศัตรู หรือเพื่อเพิ่มเลือดได้ ทำให้แม้แต่การต่อสู้กับศัตรูกีกี้ธรรมดา กลายเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากๆ ผู้เล่นจึงต้องบริหาร SP ให้ดี ไม่เช่นนั้นก็อาจจะถูกบังคับให้ต้องหนีออกจากดันเจี้ยนกลางทาง ทำให้เสียเวลาในเกมไปกับการผ่านดันเจี้ยนมากขึ้น และมีเวลาไปใช้ชีวิตน้อยลง ซึ่งก็ทำให้การเตรียมตัวสำหรับดันเจี้ยนต่อไปยากขึ้น ส่งผลต่อกันเป็นทอดๆ ไป ในส่วนของเกม Persona 5 Royal ไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบไปเท่าไหร่นัก แต่เช่นเดียวกับในเรื่องกราฟฟิค เกมภาค Royal ได้เพิ่มข้อปรับปรุงเล็กๆ เข้าไปมากมาย ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกม Persona 5 ง่ายขึ้นกว่าเดิมพอสมควร อย่างแรกที่สุดที่ถูกปรับคือเกมเปิดช่องเวลาให้ผู้เล่นมากขึ้น จากเดิมที่จะมีช่องเวลาที่ถูกจำกัดตามเนื้อเรื่องเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้เล่นมีเวลาในการเก็บ Social Stat และ Confidant มากขึ้นไปด้วย ซึ่งในฐานะผู้เล่นที่ผ่านภาคดั้งเดิมมาก่อน ถือเป็นข้อปรับปรุงที่ดีที่สุด เพราะทำให้ผู้เขียนสามารถเก็บ Social Stat ได้เร็วกว่าเดิมมากๆ จนผู้เขียนสามารถเก็บระดับ Confidant สำหรับตัวละครเสริมครบหมดทุกตัว (กระทั่ง Confidant ที่เพิ่มมาใหม่อย่าง Faith และ Councillor) ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในภาคดั้งเดิม อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่เปลี่ยนไป คือระบบ Technical Damage ของเกม ซึ่งจะทำให้ศัตรูที่ติดสถานะผิดปกติ (เช่นติดพิษ ติดใบ้ เป็นต้น) ได้รับความเสียหายจากการโจมตีบางชนิดเพิ่มขึ้น โดยในเกมภาคดั้งเดิม ระบบนี้มักจะถูกมองข้าม เพราะการโจมตีจุดอ่อนของศัตรูไปเลยมักจะเป็นทางเลือกที่ง่ายและดีกว่า แต่ในเกมภาค Royal มี Persona หลายตัวที่ถูกปรับให้ไม่มีจุดอ่อน ทำให้จำเป็นต้องใช้การโจมตีแบบ Technical Damage ในการเอาชนะแทน ซึ่งก็ช่วยทำให้เกมท้าทายขึ้นมาบ้างสำหรับคนที่เคยเล่นมาก่อน เกมยังเปลี่ยนโครงสร้างและปริศนาภายในดันเจี้ยนทุกแห่ง และยังปรับปรุงการต่อสู้กับบอสในเกมให้แตกต่างจากภาคเก่าประมาณหนึ่ง โดยแม้ว่าอาจจะไม่ได้เยอะจนรู้สึกว่าทุกอย่างใหม่ไปหมด แต่ก็เพียงพอให้การเล่นเนื้อเรื่องซ้ำ (สำหรับคนที่เคยเล่นแล้ว)ไม่น่าเบื่อเท่าที่คิด องค์ประกอบสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือดันเจี้ยนกลาง Mementos ที่เปิดให้ผู้เล่นเข้าไปสำรวจเมื่อไหร่ก็ได้ (ต่างจากดันเจี้ยนประจำเดือนที่เปิดให้สำรวจได้เฉพาะในเดือนนั้นๆ) ซึ่งถูกทำให้กลายเป็นแหล่งเก็บเลเวลและเงินชั้นดีด้วยระบบ Stamps ใหม่ ที่ให้ผู้เล่นเก็บสติ๊กเกอร์รูปดาวไปให้ NPC ใหม่ที่ชื่อว่า Jose เพื่อปรับผลตอบแทนที่ผู้เล่นจะได้รับในดันเจี้ยน (มีให้เลือกว่าจะรับเงิน EXP หรือไอเทมเพิ่มขึ้น) ทำให้ Mementos กลายเป็นแหล่งฟาร์มชั้นดี แต่ในขณะเดียวกันก็แอบทำให้การตะลุยดันเจี้ยนเนื้อเรื่องง่ายขึ้นเยอะ เพราะมีเงินซื้อไอเทมใช้ไม่ขาดมือ ◊ สรุป ◊ กล่าวโดยสรุปแล้ว Persona 5 Royal ถือเป็นภาคที่สมบูรณ์ที่สุด ของเกมที่ดีที่สุดเกมหนึ่งในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ตราบใดที่คุณสามารถปรับความคาดหวังให้ถูกว่าเกมเป็นเกมแบบไหน เพราะถ้ากะซื้อมาเล่นส่วนการต่อสู้อย่างเดียว ก็คงจะไม่คุ้มเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามเนื้อเรื่องของเกมแบบยาวๆ หรือชอบเกมที่มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ บอกเลยว่าไม่มีเกมไหนเหมาะกับคุณเท่า Persona 5 Royal แน่นอน สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!       [penci_review id="52265"]
08 May 2020
รีวิวเกม Moving Out "บริษัทขนย้ายของหรรษา ที่มากับความวุ่นวายและความหัวร้อน"
หลายคนอาจจะรู้จักเกม Overcooked เกม Co-op ที่ต้องอาศัยความสามัคคีและความร่วมมือกัน (หรือไม่ก็ตีกัน 5555+) ทำอาหารให้ได้คะแนนตามกำหนดในเวลาที่จำกัด วันนี้ GameFever TH จะมารีวิวเกมใหม่จากค่ายเดียวกันที่เปลื่ยน Theme เป็นพนังงานขนย้าย มาดูสิว่าจะสนุก จะป่วน หรือจะวุ่นวายเหมือนที่เคยทำไว้ไหม กับเกม Moving Out  ระบบเกมและภาพรวม Moving Out เป็นเกมแนว co-op ที่จะให้เราสวมบทบาทเป็นกลุ่มพนังงานขนย้ายของมือใหม่ โดยจะทำยังไงก็ได้ บ้านจะพังก็ชั่ง ขอแค่ย้ายของที่ลูกค้าสั่งไว้ไปขึ้นรถให้หมด ภายในเวลาที่จำกัด  ถึงจะมีแค่เป้าหมายเดียว แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะของที่ต้องขนมีหลายแบบ เช่น ของชิ้นเล็กที่วิ่งยกคนเดียวและโยนได้ ของแตกง่ายที่ห้ามโดนกระแทก สัตว์ที่คอยวิ่งหนีไม่ให้เราขน หรือของใหญ่ที่ต้องใช้ 2 คนยก ฯลฯ แถมมีเรื่องสถานที่แสนแปลกประหลาด มีกลไกแสนซับซ้อน ผีเฝ้าบ้านที่คอยป่วน และอีกมากมาย เอาเป็นว่ามันเยอะละกัน นี่ยังไม่รวมการจัดของบนรถขนย้ายของเราที่มีพื้นที่จำกัดอีก ทำให้การขนย้ายในแต่ละด่านไม่ง่ายอย่างที่เห็น จากที่บอกไปข้างต้น ให้ลองนึกภาพดู ว่าคน 4 คน พยายามขนของให้ทันเวลา ในบ้านแคบๆดูสิ แค่คิดก็หายนะก็เกิดแล้ว 5555+ นี่ล่ะความสนุกของเกมนี้ คะแนนในแต่ละด่านจะมีอยู่ 2 แบบ คือ เหรียญคะแนนเวลา ซึ่งจะมีเกณฑ์เวลาบอกอยู่ ถ้าจบด่านภายในเวลาที่กำหนดก็ได้คะแนนตามนั้น แบ่งเป็น เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง Challenge ประจำด่าน คือการจบด่านโดยทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ถ้าทำสำเร็จจะได้เหรียญ Challenge (1 ด่านมี 3 เหรียญ) ซึ่ง Challenge จะปรากฎให้เห็นเมื่อจบด่านนั้นไปแล้ว 1 รอบ (แต่ถ้าบังเอิญทำ Challenge สำเร็จในครั้งแรกที่เล่นด่านนั้นก็ได้เหรียญเหมือนกัน) เกมนี้จะปลดด่านตามเนื้อเรื่อง (ซึ่งเนื้อเรื่องก็สุดแสนกาวเหลือเกิน) และเราสามารถย้อนกลับไปเล่นเมื่อไรก็ได้ โดยการขี่รถไปตามบ้านในแผนที่ (บ้านที่ปลดให้เล่นจะมีสัญลักษณ์อยู่บนบ้าน)  ถึงด่านตามเนื้อเรื่องจะมีแค่ 30 ด่าน แต่ก็ยังมีด่านเสริมให้เราแวะเล่น ซึ่งจะมีอยู่ 2 แบบ  ด่านเสริมเนื้อเรื่อง จะเป็นเนื้อเรื่องย้อนอดีตของบริษัทขนของที่เราสังกัดอยู่ (อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร) ซึ่งจะปลดได้เมื่อเราสะสมเหรียญคะแนนเวลาสีทองได้ตามที่กำหนด ด่านเสริม Arcade จะเป็นด่านที่มี Theme เป็นเกมตู้อาเขต ซึ่งจะปลดได้เมื่อเราสะสมเหรียญ Challenge ครบตามที่กำหนด เกมนี้สามารถเล่นร่วมกันได้มากสุด 4 คน สามารถเลือกตัวละคร เปลื่ยนสี/เครื่องประดับ และท่าเต้นได้ และจะปลดตัวละครใหม่ให้ตามเนื้อเรื่อง  ถึงเกมนี้จะเน้นให้เล่นแบบสามัคคีหลายๆคน แต่ก็เล่นคนเดียวได้ไม่ยากอะไร เพราะเกมจะปรับระดับความยากให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่เล่น แถมยังมีโหมด Assist ที่สามารถปรับแต่งเกมให้ง่ายขึ้นได้ ถือว่าช่วยคนสายเล่นเกมคนเดียวหรือพวกมือใหม่ให้เล่นง่ายขึ้นเยอะเลย มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง ข้อแรก เกมนี้ไม่มีระบบ Co-op แบบออนไลน์ ทำให้การเล่นร่วมกันกับเพื่อนจะต้องมาเล่นที่เครื่องเดียวกัน แต่อย่างน้อยตัวเกมยังรองรับระบบ Remote Play Together ของ Steam ที่ยังพอถูไถเล่นด้วยกันได้บ้าง และอีกข้อเสีย Challenge ประจำด่านบางอัน ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เป็นการบอกกรายๆว่า ถ้าอยากเก็บ 100 % ก็ไปหาเพื่อนเล่นด้วยซะ ความรู้สึกหลังเล่น ตั้งแต่ได้ลองเล่น Demo เกมนี้และผมรู้ว่าเป็นค่ายเดียวกันกับ Overcooked ผมก็ไม่ลังแลที่จะกด Pre-order เกมนี้ในทันที เพราะ Overcooked ทำไว้ดีมากและก็คาดหวังกับเกมนี้พอสมควรเลย  พอได้ลองเล่นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายตังเลย และสนุกมากด้วย (ได้ตีกับคนในบ้านด้วย 5555+) ชอบมากที่เกมมีโหมด Assist ช่วยให้เล่นง่ายขึ้นเยอะเลย แต่ก็เสียดายนิดหน่อยที่ตัวเกมมันสั้นไปนิด บวกกับตัวเกมไม่ได้มีระบบ Co-op Online ทำให้จะเล่นกับเพื่อนที่อยู่ไกลๆ ก็ต้องพึ่งระบบ Remote Play Together ของ Steam ซึ่งถ้าเน็ตไม่ค่อยดีก็จะเล่นกระตุกมากกกกก ก็หวังว่าจะมีอัพเดทอะไรเพิ่มเติมเข้ามาทีหลัง สรุป Moving Out เป็นเกม Co-op ที่สนุกมากสมกับที่เป็นค่ายเดียวกันกับ Overcooked เหมาะเหลือเกินที่จะเล่นกับเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัว ใครที่ชอบเกมแนวนี้ก็ไม่ควรพลาดที่จะสอยมาเก็บไว้ในคลัง Link : https://store.steampowered.com/app/996770/Moving_Out/ [penci_review id="52524"]
05 May 2020
Blade & Soul Revolution ตำนาน MMO สุดมัน ที่กลับมาอีกครั้งในรูปเกมมือถือ!
Blade & Soul เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเกม MMORPG ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทยช่วง 2-3 ปีก่อน วันนี้ตัวเกมได้กลับมาอีกครั้งบนมือถือในชื่อ Blade & Soul Revolution ที่จะเปิดให้บริการในประเทศไทยทั้งทาง iOS และ Android เร็วๆ นี้ ซึ่งทางเราต้องขอขอบคุณ Netmarble ที่ให้โอกาสเราเข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ก่อนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา วันนี้ก็เลยจะมาแนะนำระบบต่างๆ รวมไปถึงวิจารณ์เกมเพลย์แบบคร่าวๆ ให้เพื่อนๆ ชาว GameFever ได้อ่านกันครับ ความรู้สึกแรกเมื่อเข้าเกม ระบบการควบคุมของเกม Blade & Soul Revolution อาจจะไม่ต่างกับเกม MMORPG ทั่วไปในตลาดตอนนี้ คือใช้ทางฝั่งซ้ายของหน้าจอในการควบคุมทิศทางการเดินของตัวละคร และใช้ทางขวาของหน้าจอในการกดโจมตี ดังนั้นถ้าเกิดว่าเล่นเกม MMORPG บนมือถือมาก่อน น่าจะทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากครับ ตัวเกมมีระบบพื้นฐานที่เกม MMORPG ทั่วไปมีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการตีบวก การซ่อมอุปกรณ์ที่เสียหาย หรือการลงดันเจี้ยน สามารถทำได้ทั้งหมดในเกมนี้ ดังนั้นอาจพูดได้ว่าถึงแม้จะทำการพอร์ตเกมมาลงมือถือแล้ว แต่ Blade & Soul Revolution นั้นก็ยังคงมนต์เสน่ห์ของ MMORPG ไว้ได้อย่างดีเยี่ยมครับ [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] UI เหมือนเดิม MMORPG บนมือถือทั่วๆ ไป[/caption] กราฟฟิคของเกมนี้เรียกได้ว่าสวยมากๆ เลยทีเดียวครับสำหรับเกมบนมือถือ กล่าวในฐานะที่ตัวผมได้เล่นมาเองกับมือ ต้องยอมรับเลยว่าในเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ต้นไม้ใบหญ้า ทะเล หรือป่าเขา ก็ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้สวยงามมากๆ ครับ และถ้าเกิดว่าใครที่มือถือไม่ได้มีสเปคที่สูงมาก ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะตัวเกมมีออฟชั่นที่ให้ผู้เล่นสามารถปรับคุณภาพของกราฟิกได้ด้วย ดังนั้นถ้าหากว่าอยากเล่นจริงๆ ก็แค่ปรับภาพให้สวยน้อยลงก็น่าจะทำให้เล่นได้แบบสบายๆ ครับ นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบนำทางเควสให้ด้วย ถ้าเกิดกลัวว่าจะไปทำเควสไม่ถูกจุด หรือไม่รู้จะไปทำเควสต่อที่ไหน เพียงแค่กดตรงเควส ระบบของเกมก็จะนำตัวละครของผู้เล่นไปยังตำแหน่งทำเควสนั้นให้เลยทันที นับว่าอำนวยความสะดวกให้แบบสุดๆ ดังนั้นใครที่ปกติชอบหลงทิศในเกม ก็ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะเล่นเกมนี้แล้วไม่มีหลงแน่นอน [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] ภาพสวยมากเวอร์[/caption] ตัวละคร เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ตัวผมเองแปลกใจมากๆ ครับ คือการสร้างตัวละครในเกมนี้สามารถปรับรายละเอียดได้เยอะไม่น้อยหน้าไปกว่าเกม MMORPG บนเครื่อง PC นอกจากนี้ตัวเกมยังได้นำเผ่าต่างๆ ที่สามารถเล่นได้ในเกม Blade & Soul Original มาใส่ไว้ในเกมนี้ทั้งหมดเลยด้วย! ซึ่งในเมื่อปรับแต่งตัวละครได้มากขนาดนี้ คิดว่าในอนาคตคงจะมีเสื้อผ้าแฟชั่นสวยๆ มากมายมาให้ผู้เล่นเลือกซื้อด้วยอย่างแน่นอนงานนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] ปรับแต่งได้เยอะมากๆ[/caption] เกมเพลย์ ในเรื่องแรกคืออาชีพที่มีให้เล่นในตัวเกมเวอร์ชั่นนี้ จะมีอาชีพให้เล่นทั้งหมด 4 อาชีพด้วยกันคือ Blade Master ที่เป็นเลิศในการใช้ดาบ, Kungfu Master ที่ใช้หมัดและร้างการเป็นอาวุธ, Destroyer ที่ใช้ขวานยักษ์ในการโจมตี, และ Force Master ที่เป็นเหมือนคลาสจอมเวทย์ของเกมนี้ แน่นอนว่าแต่ละอาชีพก็มีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไป ในส่วนนี้ก็แล้วแต่ผู้เล่นเลยครับ ว่าชอบอาชีพสไตล์ไหนมากกว่ากัน การเล่นส่วนใหญ่ของเกมนี้จะเน้นไปทำการทำเควส และเควสส่วนใหญ่จะให้เราไปต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่างๆ ตามสไตล์เกม MMORPG แต่เอาจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการกด Auto ให้ตัวเกมพาไปยังตำแหน่งทำเควสให้มากกว่าการเดินเอง แต่ละเควสมีความยาว หรือจำนวนมอนสเตอร์ที่ต้องฆ่าไม่เยอะเท่าไหร่ ดังนั้นการเก็บเลเวลของเกมนี้จึงทำได้ค่อนข้างเร็วครับ เล่นแค่ 1-2 ชั่วโมงก็เลเวล 20 แล้วครับ ในส่วนของเกมเพลย์ เกมนี้จะเน้นการต่อสู้ไปที่การกดสกิลคอมโบเช่น ใช้สกิลโจมตีอีกฝ่ายให้ติดสตั้น จากนั้นงัดอีกฝ่ายให้ลอย แล้วต่อด้วยคอมโบกลางอากาศ เป็นต้น โดยในจุดนี้แต่ละคลาสจะแตกต่างกันออกไป เพราะสกิลที่สามารถทำให้อีกฝ่ายติดสตั้น หรือลอยได้แต่ละคลาสจะมีไม่เท่ากัน ในจุดนี้ผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ของเกมนี้เลยก็ว่าได้ครับ นอกจากการกดสกิลเพื่อคอมโบแล้ว ผู้เล่นจะต้องกดสกิลในการเอาตัวรอดด้วยครับ แต่ละคลาสจะมีสไตล์การเล่นเพื่อเอาตัวรอดแตกต่างกันไป เช่น Kungfu Master จะเน้นไปที่การกันแล้วสวนกลับ ในขณะที่ทาง Blade Master หรือ Force Master จะเน้นไปที่การหลบแล้วโจมตีกลับมากกว่า (ส่วนคลาส Destroyer ผู้เขียนไม่ได้ทดลองเล่นครับ) ในส่วนของศัตรูที่มีให้เห็นในเกมนี้จะมีค่อนข้างหลากหลายครับ ไม่ว่าจะเป็น คน, สัตว์ต่างๆ , สัตว์ประหลาด , หรือว่าผี ก็มีให้เห็นในเกมนี้ ซึ่งศัตรูแต่ละแบบจะมีรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกันออกไป อย่างศัตรูที่เป็นคนจะมีการออกท่าโจมตีที่เหมือนกับผู้เล่นกดสกิล ดังนั้นการจะกดกัน หรือว่าหลบจะทำได้ค่อนข้างง่าย แต่กับศัตรูอื่นจะมีรูปแบบโจมตีที่แตกต่างกันไปต้องดูให้ดีเวลาสู้ครับ นอกจากมอนสเตอร์ปกติแล้ว ภายในเกมยังมีสิ่งที่เรียกว่า Field Boss อยู่ตามจุดต่างๆ ของเกมเหมือนกับเกม Blade & Soul เวอร์ชั่น Original ด้วย โดยการสังเกตุ Field Boss ก็ไม่ยากครับ เพราะจะมีสัญลักษณ์บนหัวมอนสเตอร์ชัดเจนเลยว่าตัวนี้คือ Field Boss แน่นอนว่าการชนะมอนสเตอร์พิเศษแบบนี้ได้ ย่อมได้รับของที่ดีด้วย ซึ่ง Field Boss แต่ละตัวจะดรอปไอเทมแตกต่างกันไปครับ! ติดตามข่าวสารของเกมนี้ได้ทาง Facebook Official Page เลยครับ [caption id="" align="aligncenter" width="1995"] Field Boss ผีตัวเดิมคิดถึงกันรึเปล่า ?[/caption] สำหรับข่าวสารเกมที่น่าสนใจ คลิ๊ก!
05 May 2020
รีวิว มังกรหยก2 M เกมมือถือสานต่อตำนานนวนิยายกิมย้งชื่อดัง กับกราฟิกสุดอลังการ
ถ้าให้พูดถึงเกม MMORPG มือถือที่น่าจับตามอง และกำลังมาแรงก็คงจะหนีไม่พ้นเกม “มังกรหยก2 M” UU GAMES ลงให้ทั้ง iOS และ Android ที่ได้นำบทประพันธ์ของนักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดังอย่างกิมย้ง มาตีความใหม่พร้อมกับกราฟิกที่สวยงามและทันสมัย ซึ่งทางเรา GameFever TH ได้เล่นเกมนี้มาแล้วและจะมารีวิวคร่าว ๆ ถึงระบบต่าง ๆ ภายในเกมและความรู้สึกเล่นที่ได้เล่นมา จะเป็นอย่างไรไปตามผมมาเลยครับ !! กราฟิกและการนำเสนอ กราฟิกของเกมมีความสวยงาม กราฟิกเป็นสไตล์ 3D มีการดัดแปลงเอา NPC หลักของนิยายมังกรหยกเข้ามา บวกกับการเล่าเรื่องเชิงนิทานเข้าไป เพื่อให้เราทำเควสและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น (แต่เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มาเรียงตามนิยายขนาดนั้น) เรื่องราวของเกมจะยกเหตุการณ์มาเล่าเป็นตอน ๆ ไปเช่น เอี้ยก้วยกับพิษดอกรัก, การบุกโจมตีเมืองเซียงเอี๊ยงหรือ ความวุ่นวายของพรรคกระยาจก เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าหลายคนที่เป็นแฟนซีรีส์นี้คงชอบ และตามอ่านเนื้อเรื่องกันไม่มากก็น้อย ในระหว่างการเล่นเควสเนื้อเรื่อง ตัวเกมจะมีคัทซีนเข้ามาเป็นช่วง ๆ ที่สำคัญมาก ๆ คือตรงเสียงพากย์ของเกมที่ทำออกมาได้น่าสนใจ มีนักพากย์ดัง ๆ มากมายได้รวมตัวเพื่อเกมนี้ด้วย ผู้เล่นจะได้อารมณ์เดียวกับหนังหรือซีรีส์กำลังภายในสมัยก่อนที่เราติดตามกันทางโทรทัศน์เลยทีเดียว เกมเพลย์ เกมมังกรหยก2 M เป็นเกมแนว MMORPG สไตล์มือถือที่ผู้เล่นส่วนใหญ่คุ้นชินกัน เราจะได้สร้างตัวละครของเราเอและเข้าร่วมสำนักต่าง ๆ ได้อิงตามนิยายเรื่องนี้เลย ยกตัวอย่างเช่น สำนักต้าหลี่ สำนักดอกท้อ และสำนักพรรคกระยาจก โดยแต่ละสำนักเองจะมีจุดเด่นแตกต่างกันเช่น สำนักพรรคกระยาจกจะมีดาเมจคริติคอลศัตรูตัวเดียวสูง ภายในสำนักจะแบ่งแยกออกเป็นตัวละครที่ใช้อาวุธแตกต่างกัน ซึ่งตัวละครอาจจะมีการซ้ำกันบ้างในแต่ละสำนัก แต่ความสามารถก็จะแตกต่างกันนั่นเอง นอกจากการเล่นตัวละครหลักของเราแล้วนั้น เราจะต้องรวบรวมพรรคพวกจอมยุทธต่าง ๆ มาผจญภัยไปด้วยกัน ซึ่งแต่ละจอมยุทธจะมีสไตล์ที่แตกต่างกันไป บางตัวเป็นสายพลังภายใน (เวท) บางตัวเป็นสายพลังนอก (กายภาพ) หรือบางตัวเป็นสายรักษา ซึ่งเราสามารถจัดทัพได้ตามสไตล์ตัวละครของคุณ ถ้าตัวละครที่คุณเลือกเป็นสายรักษา คุณอาจจะใช้จอมยุทธที่เป็นพรรคพวกสายดาเมจเพื่อการโจมตี ในเกมผู้เล่นยังมีสัตว์เลี้ยงที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่กายอีกตัวที่จะคอยต่อสู้ไปด้วยกันข้างกาย ระบบการต่อสู้ของเกมนี้เป็นการต่อสู้แบบ Turn Base แต่โครงสร้างของเกมนี้จะค่อนข้างแตกต่างจากเกมอื่นตรงที่ ในโหมดเนื้อเรื่องตะลุยคนเดียว  การบังคับต่อสู้นั้นเราจะสามารถสั่งการโจมตีได้เพียงแค่ตัวละครเราและสัตว์เลี้ยงของเราเท่านั้น การโจมตีของเหล่าจอมยุทธเองจะเป็นการสุ่มการโจมตีทั้งหมด อาจจะมีบางตัวละครที่สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ใช้สกิลอะไรเป็นหลัก เช่น ให้ตัวละครนี้ใช้สกิลฮีลเป็นหลักได้ หรือ ให้ตัวละครนี้ใช้สกิลโจมตีเดี่ยวอย่างเดียวก็ได้ ในโหมดปาร์ตี้ ระบบพรรคพวกของเรานั้นจะถูกตัดออกให้เหลือเพียงการต่อสู้แค่ตัวละครหลักของเราและสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ทำให้การจัดทัพค่อนข้างที่จะต้องมีความบาลานซ์ บางทีเราอาจจะต้องหาเพื่อนร่วมทีมที่มีความสามารถคละ ๆ กันไปบ้างเพื่อความราบรื่นในการผ่านด่าน เนื่องจากที่เราสามารถบังคับได้เพียงแค่ตัวละครหลักและสัตว์เลี้ยงในการต่อสู้ ทำให้การอัพเกรดของของที่สวมใส่แค่ขึ้นอยู่กับตัวละครหลักเรา ความยุ่งยากในการเล่นจึงน้อยกว่าเกมอื่น ๆ เยอะเลยทีเดียว ไอเทมสวมใส่พวกนี้เองก็ไม่ต้องใช้เงินจริงซื้อเลย เพียงแค่ผู้เล่นเล่นภารกิจเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ ไอเทมดี ๆ จะโผล่มาให้เราใส่อยู่ตลอด GameFever LOVEs เลย!! ระดับของตัวละครเหล่าพรรคพวกจอมยุทธของเรานั้นขึ้นอยู่กับกาชาที่เราเปิดได้ หรือถ้าหากเปิดแล้วได้ชิ้นส่วน เราสามารถเอาไปตีบวกได้ สิ่งที่ส่วนตัวคิดว่าเกมนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินของเรามากเลยก็คือการที่ตัวเกมแจกตัวละครระดับสูงขั้น S ให้ใช้ตั้ง 5 ตัว ตัวละครพวกนี้ที่เราสามารถเอาเข้าทัพได้เลย ล็อกอินครบตามวันก็จะได้ S แล้ว 2-3 ตัว ไหนจะเป็นเพชรฟรีที่เราสามารถเอามาเปิดการันตีจอมยุทธระดับ S อีกด้วย การที่คุณมีจอมยุทธเยอะเป็นผลดีที่มันจะไปเพิ่ม Stat ให้ตัวละครเรา นอกจากนั้นกิจกรรมของเกมนี้ยังมาในหลายรูปแบบ ทั้งกิจกรรมแบบจริงจังเก็บเลเวล หรือจะเป็นกิจกรรมประเภทการลงดันเจี้ยน ปาร์ตี้ PvP มากมาย เกมนี้ไม่มีระบบ Stamina เล่นเยอะก็อาจจะเก็บเลเวลไวกว่าคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันสำหรับคนที่ไม่ชอบจริงจัง ผู้เล่นสามารถเล่นมินิเกมค่าเวลได้ เกมมังกรหยก2 M ยังมีระบบปลีกย่อยต่าง ๆ ที่ผู้เล่นจะได้ปลดล็อกเรื่อย ๆ เมื่อเลเวลสูงขึ้น สรุปความรู้สึก ตัวเกมค่อนข้างน่าประทับใจในเรื่องของกราฟิกที่ทำออกมาได้สวยงาม แม้ว่าเอฟเฟคสกิลจะไม่ตูมตามเหมือนเกมอื่น แต่มันก็ทดแทนด้วยความแปลกใหม่ของเกมเพลย์ เกมมีระบบการเล่นที่ค่อนข้างเยอะกว่าเกมอื่น ๆ มากพอสมควร ทั้งในเรื่องของกาชาที่ค่อนข้างสบายกระเป๋าและเหล่าขุนพลก็ไม่ได้มีผลต่อความเก่งมากขนาดนั้น เพราะระบบของเกมเองมันก็มีแจกตัวละครระดับเก่ง ๆ อยู่มากมายจนคุณไม่ต้องเติมเงินเป็นบ้าเป็นหลังก็ได้ ทำให้มันไม่ได้เหลื่อมล้ำกันจนเกินไปนั่นเอง อีกอย่างที่ต้องชมคืออนิเมชั่นที่ค่อนข้างน่าสนใจและสร้างสีสันได้ดี บวกกับเสียงพากย์ที่ส่วนตัวแนะนำให้เปิดเลยครับมันได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และอรรถรสมากขึ้น เสียงพากย์พวกนี้ยังเป็นประโยชน์เพราะบางครั้งจะมีการไกด์ไลน์การเล่นให้เราด้วย ข้อดี เกมเพลย์แปลกใหม่ที เข้าใจง่ายไม่ยุ่งยาก ระบบค่อนข้างเยอะ ยิ่งเลเวลสูงยิ่งมีระบบใหม่ ๆ เสียงพากย์และแอนิเมชั่นทำได้ดีเยี่ยม ข้อเสีย อยากให้เอฟเฟคสกิลดูตื่นเต้นมากกว่านี้ ***** ดาวน์โหลดเล่นเกมได้ที่นี่ : https://go.onelink.me/zbyR/PR เว็ปไซต์ทางการเกมคลิ๊กที่นี่ : https://tch.uugame100.com/ เฟสบุ๊คแฟนเพจเกมคลิ๊กที่นี่ : https://www.facebook.com/CondorHeroes2/  
02 May 2020
รีวิว XCOM : Chimera Squad ย่นขนาด ย่อส่วนความสนุก
หมายเหตุ : งานเขียนรีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นหลังจากใช้เวลาเล่น XCOM: Chimera Squad เป็นเวลา 20 ชั่วโมงที่ระดับความยาก Normal ซึ่งประสบการณ์การเล่น อาจจะแตกต่างออกไปในความยากระดับอื่นๆ หมายเหตุ 2 : ในขณะที่ผู้เขียนลงบทความชิ้นนี้ มีอีกหนึ่งชิ้นงาน Turn-Based Strategy อย่าง Gears Tactics ที่ออกวางจำหน่ายแล้ว ซึ่งยังไม่มีโอกาสได้ลอง แต่มีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ใครที่สนใจสามารถซื้อได้ที่ระบบ Steam ในราคา 699 บาท *********************************************************************************************************** ออกตัวกันก่อนว่า สำหรับผู้เขียน ถ้าลงว่าเป็นเกมแนว Turn-Based Strategy หรือเกมวางแผนแบบผลัดตากันเดินแล้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นของโปรดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับซีรีส์ ‘XCOM’ จากทีม Firaxis ที่ผู้เขียนเล่นมาตั้งแต่ภาคดั้งเดิมปี 1994 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผูกใจเล่นเป็นเวลานับร้อยชั่วโมง และนำกลับมาเล่นซ้ำได้อย่างไม่รู้เบื่อ (เฉพาะแค่ภาคสองกับส่วนเสริม War of the Chosen ก็สะสมเวลาเล่นไปแล้วถึงระดับ 200 ชั่วโมงกว่าๆ ในการเล่นสี่รอบ พร้อมลง Mod เติมคุณสมบัติต่างๆ ไปอีกมากมาย…) แต่ในขณะที่ผู้สร้างซีรีส์ดั้งเดิมอย่าง Julian Gollop ได้ออกเดินทางในผลงานใหม่อย่าง Phoenix Point เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทีม Firaxis ก็กลับมาพร้อมประกาศการมาของ ‘Chimera Squad’ ที่ไม่มีวี่แววใดๆ และโผล่มาในแบบปุบปับปัจจุบันทันด่วน สร้างความตกตะลึงในระดับเบาะๆ เพราะหลังจากการวางจำหน่ายภาคสองและส่วนเสริมไปเกือบสามปี มันไม่มีสัญญาณถึงภาคต่อที่จะมาถึงเลยแม้แต่น้อย (เรียกว่าประกาศเปิดตัว นับไปอีกหนึ่งอาทิตย์ก็วางจำหน่ายเลย) กล่าวโดยสรุป Chimera Squad นั้นมาด้วยสเกลที่เล็กกว่า XCOM สองภาคที่ผ่านมาค่อนข้างมาก และมาในแนวทางการเล่นที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง มันถูกย่อขนาดให้กระชับขึ้น เน้นการบอกเล่าเนื้อหา และใส่ใจกับการเล่นในระดับจุลภาคที่สามารถจบหนึ่ง Session การปะทะได้อย่างรวดเร็ว เป็นงานเกมขนาดย่อมที่สมน้ำสมเนื้อกับสนนราคาค่าตัว ซึ่งทีมสร้างมีความตั้งใจเพื่อใช้สำหรับทดลองแนวทางใหม่ ที่อาจจะถูกนำมาผนวกสำหรับภาคต่อขนาดใหญ่ที่รอคอยอยู่ภายภาคหน้าก็เป็นได้ Chimera Squad เปิดฉากเรื่องราวห้าปีหลังเหตุการณ์จากเกมภาคสอง เมื่อกองทัพต่างดาว Advent ปราชัยให้แก่กองกำลังต่อต้าน XCOM โลกกลับเข้าสู่สันติภาพ ที่ที่มนุษย์ เหล่าลูกผสม และเผ่าพันธุ์ต่างดาว ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในความสัมพันธ์แบบใหม่ โดยเฉพาะกับ City 31 เมืองแห่งความหลากหลายทางสายพันธุ์ แต่แล้วเมื่อการลอบสังหารนายกเทศมนตรีเกิดขึ้น สั่นคลอนความมั่นคงและการดำรงอยู่ของความสัมพันธ์ดังกล่าวจนอาจนำไปสู่ความโกลาหลในบั้นปลาย จึงเป็นหน้าที่ของกองกำลัง Chimera Squad หน่วยลูกผสมพิเศษพิทักษ์เมือง ที่จะต้องรักษาความสงบ และสืบสาวไปให้ถึงต้นตอว่าใครที่กำลังประสงค์ร้ายต่อความมั่นคงและสันติภาพของเมืองในครั้งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ความเปลี่ยนแปลงอย่างแรกที่สัมผัสได้จาก Chimera Squad ทีค่อนข้างชัดเจนเป็นอย่างมากคือ ตัวเกมมีสนามการเล่นที่เล็กลงจากเกมสองภาคก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะในขณะที่ XCOM ที่ผ่านมานั้นเน้นสเกลการเล่นแบบใหญ่ วางแผนกันในระดับโลก เกมนี้ถูกย่อส่วนลงมาให้เหลือเพียงแค่ระดับเมือง ที่ถูกแบ่งออกเป็น 9 พื้นที่หลัก ที่จะตามมาด้วยเหตุการณ์ที่เราจะต้องส่งกองกำลังลงสู่พื้นที่เพื่อเคลียร์สถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัวประกัน กวาดล้างกองกำลัง ไปจนถึงการค้นหาหลักฐานสำคัญก่อนถอนตัวออกจากพื้นที่ เป็นต้น แน่นอนว่าด้วยขนาดของกองกำลังที่เล็กลง ตัวเกมจึงเน้นเป็นพิเศษในส่วนของการปะทะในแต่ละครั้งที่แบ่งออกเป็น ‘Phase’ ที่จะเริ่มต้นด้วยการเลือกจุดที่จะเข้าปะทะ (Breaching Point) ที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงบางจุดที่อาจจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษที่เป็นเฉพาะ เช่น การทลายกำแพงด้วยระเบิด หรือการแฮ็คประตูด้วยบัตรผ่าน เหล่านี้ สร้างความหลากหลายในมิติของการวางแผนได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะในแต่ละจุด ก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป บางจุดสามารถให้โบนัสด้านการโจมตี บางพื้นที่เป็นเส้นทางตรงแต่มีข้อเสียที่ตามมา เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้เล่นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การบุกทะลวงในแต่ละ Phase นั้น เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากรูปแบบของ XCOM ดั้งเดิมที่สังเกตได้ คือรูปแบบการสลับตาเล่นของแต่ละยูนิตในสนามรบ เพราะใช้ระบบแบบ ‘ผลัดกันเดิน (Interleved)’ ที่ตาเดินของผู้เล่น จะผสานเข้ากับตาเดินของศัตรูในพื้นที่ แทนที่จะแบ่งออกเป็นส่วนใหญ่สลับกัน เหล่านี้ ขยายขอบเขตความเป็นไปได้ในการวางแผนให้มากยิ่งขึ้น เพราะไม่มีอีกแล้วกับการเลือกใช้กองกำลังที่ทรงพลังที่สุด เพื่อกวาดล้างทุกสิ่งให้จบสิ้นลงไปในหนึ่งตาเดิน แต่ต้องพิจารณาและเลือกใช้คุณสมบัติของหน่วยรบที่มีอยู่ในมือโดยดูจากลำดับเป็นสำคัญ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกมแนว Turn-Based Strategy ยุคโมเดิร์นในช่วงหลัง ที่ถูกนำมาประยุกต์ได้อย่างเข้ากันดีกับ Chimera Squad ที่ช่วยให้เกมมีความฉับไวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และด้วยรูปแบบของเกมที่เล็กลง ทีมสร้างได้เลือกใช้การกำหนดยูนิตของกองกำลัง Chimera Squad ที่เป็นตัวละครกึ่งสำเร็จรูป ที่มีพื้นหลังเรื่องราว คุณสมบัติ ไปจนถึงทักษะและความสามารถที่แตกต่างกัน ที่ผู้เล่นจะได้เลือก 8 จาก 11 คนที่มีให้พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เอเลียนยอดนักพลังจิตที่สามารถคุมความคิดของยูนิต, หน่วยรบพุ่งทะลวงฟันจอมถึก, สายลับนักเทคโนโลยี ไปจนถึงพลแม่นปืนและเอเลียนสายพันธุ์งูที่สามารถซอกซอนเข้าสู่จุด Breaching Point ในแบบที่ยูนิตอื่นไม่สามารถทำได้ ทั้งหมด ถูกกำหนดเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ มีความชัดเจน และให้ผู้เล่นได้เลือกผสมผสานจนเกิดเป็นรูปแบบการเล่นที่เป็นเฉพาะได้ตามที่ใจต้องการ กระนั้นแล้ว ภายใต้ข้อคุณสมบัติที่กล่าวไปในข้างต้น เราอาจจะไม่สามารถละเลยความจริงข้อหนึ่งของ Chimera Squad ว่า นี่เป็นเกมระดับ ‘ทุนต่ำ’ ของ Firaxis ที่สะท้อนออกมาในทุกช่วงของตัวเกม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Asset เก่าจากเอนจิ้นของเกมภาคสองที่ยังคงมีบั๊กส์ทางเทคนิคประปราย การลดสเกลการเล่นลงให้เหลือเพียงแค่การปะทะอย่างเพียวๆ จำกัดการปรับแต่งคุณสมบัติยูนิตที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างตายตัว ไปจนถึงการปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ทั้งเก้า ที่แทบไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าส่วนเสริมให้รู้สึกถึงภาพกว้างอย่างจำกัด ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับการเล่นอย่างมีนัยสำคัญมากนัก (นอกเสียจากการเป็นพื้นที่เพื่อให้ทรัพยากรในการพัฒนากองกำลัง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น) การกำหนดคุณสมบัติอย่างตายตัวของยูนิตกองกำลัง Chimera Squad ทั้งสิบเอ็ดคนก็ถือได้ว่าเป็นข้อจำกัดที่น่าขัดใจ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น พวกเขาเหล่านี้มาพร้อมกับทักษะและความสามารถอันเป็นเฉพาะ นั่นทำให้การปรับแต่งต่างๆ ที่เคยมีมาในภาคก่อนหน้านั้นถูกลดทอนลงไป อีกทั้งการที่ผู้พัฒนาเลือกที่จะ Focus ในส่วนของเนื้อหาให้ Streamlined เป็นเส้นตรง ก็นำมาซึ่งการถอด ‘Permadeath’ หรือการสูญเสียยูนิตแบบถาวรที่เคยเป็นเสน่ห์หลักของซีรีส์ XCOM ไป (ในเกมนี้ ถ้าคุณสูญเสียยูนิต สิ่งเดียวที่เกมอนุญาตให้ทำคือการเริ่มต้นการปะทะใหม่จนกว่าจะผ่าน….) และนั่น นำมาซึ่งข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของ Chimera Squad เพราะเมื่อคุณไม่สามารถสูญเสียยูนิตไปอย่างถาวร และการกำหนดยูนิตอย่างตายตัว มันทำให้เกมนั้น ‘ง่าย’ กว่าทุกภาคที่ผ่านๆ มา ไม่มีอีกแล้วกับความตื่นระทึกจากการวางแผน หรือการระแวดระวังไม่ให้ยูนิตที่ปั้นมาอย่างดีต้องล้มตายในสนามรบ เพราะเมื่อไม่มีระบบ Permadeath ยูนิตของคุณมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนภารกิจที่ผ่านไป และทุกการอัพเกรดที่เพิ่มเข้ามา และนั่น ทำให้ตัวเกมเลือกที่จะใช้เทคนิคโยนศัตรูจำนวนมหาศาลในหนึ่งการปะทะ แทนที่จะสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้น จนท้ายที่สุดแล้ว กลยุทธ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ บุกทะลวง แล้วทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในห้อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้การเล่นช่วงท้ายแผ่วปลายลงไปอย่างน่าใจหาย ไม่นับรวมสเกลความยากในช่วงท้ายที่ถูกถีบขึ้นอย่างน่างุนงง (แม้จะไม่ได้มากจนถึงขั้นเล่นต่อไม่ได้ แต่ออกจะน่ารำคาญใจเสียมากกว่า…) นอกเหนือจากนั้นแล้ว การบ่งบอกข้อมูลและรายละเอียดที่สำคัญผ่านหน้าจอของผู้เล่นหรือ User Interface ก็ยังคงมีส่วนขาดตกบกพร่องและไม่ได้บอกในสิ่งที่ผู้เล่นควรทราบเอาไว้อย่างชัดเจนและเพียงพอ (จนถึงในขณะที่เขียน ทักษะบางอย่างของบางยูนิตก็ยังคงเป็นที่ต้องสงสัยแม้จะเล่นจบไปแล้วก็ตาม) และแน่นอน เมื่อเป็นซีรีส์ XCOM โอกาสที่คุณจะได้เห็นการจ่อยิงแต่พลาดแม้เปอร์เซ็นต์การเข้าเป้าสูง (ที่ถูกเอาไปยำทำ Meme ให้ตลกขำขื่นกันมานักต่อนัก…) ก็จะยังกลับมาหลอกหลอนได้อย่างครบถ้วนไม่ขาดตกอีกเช่นเคย แต่ทั้งนี้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงโปรเจ็กต์ Spin-Off ต้นทุนต่ำที่ถูกย่นขนาดและย่อส่วนความสนุกลงไป แต่ Chimera Squad ก็อาจจะเป็นการตอบโจทย์ที่สำคัญของทีมสร้างและทิศทางของซีรีส์ XCOM ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ว่าเกมแนว Turn-Based Strategy นั้น มีคุณสมบัติที่จะ ‘เร็วขึ้น’ ได้มากน้อยเพียงใด และสามารถใส่และสร้างจุดร่วมทางเนื้อหาได้มากน้อยแค่ไหน ดังที่ผู้สร้างได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นว่า นี่เป็นงานที่ทำขึ้นเพื่อทดสอบคุณสมบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในเกมภาคถัดไป (ที่ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจ ว่ามันจะมีต่อแน่ๆ แต่เมื่อใดนั้น ก็ยากที่จะบอกได้) เพราะโลกแห่งแวดวงวิดีโอเกมนั้นเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง และซีรีส์ XCOM ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเกมแนว Turn-Based Strategy ของยุคโมเดิร์น ที่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง และการมาถึงของ Chimera Squad ที่แม้จะขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่มันก็ยังทำให้เราได้รู้สึกมั่นใจ ว่าผู้สร้างนั้นไม่ได้ละทิ้ง หรือยึดติดกับความสำเร็จแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมา หากแต่หาหนทางใหม่เพื่อขยายขอบเขตความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด เพื่อผลงานที่จะตามมาในภายภาคหน้า ที่จะดีขึ้น มากขึ้น และหลากหลายยิ่งขึ้น และผลสำเร็จของเกมนี้ ก็ตอกย้ำว่า สิ่งที่ดีๆ ดังที่ว่า จะเกิดขึ้นตามมา และชื่อของ XCOM ก็จะยังคงอยู่ต่อไป ไม่ล้มหายตายไปจากสารบบในเวลาที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน [penci_review id="52466"]
30 Apr 2020
รีวิว Predator: Hunting Grounds ไล่ล่าฆ่าฟันแบบดุเดือด ในแดนเขียวขจี!
Predator: Hunting Grounds คือเกม Multiplayer ใหม่จากทาง IllFonic ผู้ให้กำเนิดเกม Friday the 13th แต่ครั้งนี้ตัวเกมมาในรูปการเล่นแบบ 4v1 ในสนามที่มีพื้นที่จำกัดเหมือนกับเกม Dead By Daylight แต่จะแตกต่างตรงที่ทางฝ่าย 4 คน ยังพอจะสู้กับฝ่ายผู้ล่าได้อยู่บ้าง ตัวเกมวางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 24 เมษายน 2020 ที่ผ่านมา โดยลงให้กับเครื่อง PlayStation 4 กับ PC เท่านั้น เนื่องจากเกมนี้ไม่มีเนื้อเรื่อง หรือโหมด Campaign ให้เล่น ทำให้ในการรีวิวครั้งนี้จึงจะไม่มี Part ในส่วนของเนื้อเรื่องอยู่ด้วยครับ ส่วนว่าเกมนี้ทำออกมาได้ดีรึเปล่า? หรือ มีเกมเพลย์ที่สนุกมากน้อยขนาดไหน? ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ ขอออกตัวก่อนเลยว่าทางผู้เขียนได้เล่นเกมนี้ผ่านเครื่อง PlayStation 4 Pro ดังนั้นความคิดเห็นในส่วนของกราฟิก จึงจะเป็นประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 Pro เท่านั้นครับ โดยในส่วนของ กราฟิก ส่วนตัวผมคิดว่าทำออกมาได้ค่อนข้างสวยเลยทีเดียว มีการเก็บรายละเอียดของทั้งก้อนหิน, แสงแดด, พื้นผิวของวัตถุ, น้ำ รวมไปจนถึงอาวุธ ชุดเกราะของทั้งฝั่ง Ai และผู้เล่นได้ดีทีเดียว แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเกมใช้ระบบการ Render แบบไหนครับ เพราะบางครั้งตัวฉาก หรือ Texture ของวัตถุจะเป็นภาพเบลอๆ เหมือนกับว่าตัวเกมโหลด Texture ไม่สำเสร็จอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้ตอนเล่นรู้สึกหงุดหงิดแบบแปลกๆ เหมือนกันครับ ในส่วนของการนำเสนอนั้น ฉากกว่า 80% ของเกมจะเป็นป่า และอีก 20% จะเป็นเหมือนกับ Camp ไม่ก็ฐานทัพ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันมีความหลากหลายที่สามารถเห็นได้ในเกมนี้น้อยเกินไป, ด่านทั้งหมดที่มีให้เล่นในเกมก็น้อยมากๆ , ไม่ใช้แค่นั้นโหมดที่มีให้เล่นก็มีเพียงแค่โหมดเดียวด้วย คือโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเกมนี้มีคอนเทนต์ที่มีมันน้อยเกินไป ถ้าซื้อบน PC ในราคา $17.99 มันก็ดูโอเคอยู่ แต่ถ้าซื้อบนเครื่อง PS4 เกมนี้มีราคาถึง $39.99 ซึ่งผมคิดว่ามันแพงเกินไปครับ Predator: Hunting Grounds นับเป็นเกมที่เนื้อหารุนแรงมากๆ โดยในตลอดเวลาที่เล่นจะได้เห็นการระเบิด หรือไม่ก็เลือดอยู่เกือบจะตลอดเวลาเลย โดยส่วนตัวผมยอมรับว่ามันช่วยสร้างอรรถรสในการเล่นได้ดีเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายๆ ฉากที่ผมไม่เข้าใจว่าทำมาเพื่ออะไร? เช่น เมื่อ Predator กดใช้ท่าปิดฉากกับทาง Fireteam จะเป็นการเอามือแทงเข้าไปในตัวของอีกฝ่ายแล้วกระชากกระดูกสันหลังออกมา ประเด็นอยู่ที่ว่า "แล้ว Predator มันจะสะสมกระดูกสันหลังคนไปเพื่อ?" แต่ก็นั้นแหละครับต้องยอมรับว่ามันสร้างอรรถรสได้ดีจริงๆ [caption id="attachment_52576" align="aligncenter" width="1280"] Predator กำลังใช้ท่าปิดฉากเพื่อเก็บกระดูกของผู้เล่นฝั่ง Fireteam  [/caption] ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ Predator: Hunting Grounds นั้นจะเป็นแบบ 4v1 เหมือนกับเกม Dead By Daylight โดยในเกมนี้ฝั่ง 4 คนจะถูกเรียกว่า Fireteam ส่วนฝั่ง 1 คนจะถูกเรียกว่า Predator ทางฝั่ง Fireteam จะต้องทำ Objective บางอย่างในด่านให้สำเร็จซะก่อนจึงจะสามารถหนีออกไปได้ ส่วนทางฝั่งของ Predator ก็ต้องตามสังหารฝั่ง Fireteam ทั้งหมดให้จงได้ เกมเพลย์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะแตกต่างกันอยู่พอสมควร ซึ่งผมจะขอกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ครับ เกมเพลย์ฝั่ง Fireteam นั้นเริ่มต้นด้วยการเลือก Loadout กับ Perk ให้กับตัวเอง ซึ่งในส่วนนี้ก็แล้วแต่ใครว่าถนัดปืน, อาวุธแบบไหน และการเล่นแบบไหน ถายในเกมจะมีตั้งแต่ปืนสั้น ปืนกล ปืนลูกซอง ไปจนถึงปืนยิงระเบิดให้ผู้เล่นเลือกใช้ แน่นอนว่าเกมแนวนี้ผู้เล่นสามารถตกแต่งตัวละครของตัวเองได้ด้วย ส่วนเกมเพลย์จริงๆ ของทางฝั่งนี้จะเป็นมุมมองแบบ FPS ทั้ง 4 คนต้องรวมมือกันบุกเข้าไปในฐานทัพของ Ai ที่เป็นคนเหมือนกัน เพื่อขโมยข้อมูล หรือไม่ก็ทำลายอะไรบ่างอย่างให้ได้ จากนั้นจะต้องไปที่จุดนัดพบ แล้วเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ ซึ่งตลอดช่วงที่ทำภารกิจ Fireteam จะโดนผู้เล่นฝั่ง Predator ไลล่าไปด้วยในเวลาเดียวกัน ถ้าเกิดว่าพลาดโดยโจมตีจนเลือดหมด จะยังมีเวลาอีกเล็กน้อยให้เพื่อนวิ่งมาชุบเราได้ครับ [caption id="attachment_52590" align="aligncenter" width="1280"] Fireteam ที่กำลังพยายามยิง Predator ที่กระโดดไปมา[/caption] ส่วนทางฝั่ง Predator ผู้เล่นจะสามารถเลือก Loadout และ Perk ได้เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เป็นการเล่นแบบ 4v1 และทางฝั่ง Fireteam ยังสามารถยิงตอบโต้ได้ด้วย ทำให้ Predator จะมาพร้อมกับความสามารถอื่นๆ ที่ช่วยให้การเล่นง่ายขึ้นด้วย เช่น กระโดดไกล หายตัว หรือสแกนความร้อนได้ แน่นอนว่าทางฝั่ง Predator จะมีเลือด กับความเร็วที่มากกว่าทางฝั่ง Fireteam พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น คือถ้าเกิดว่าโดนกราดยิงแบบเต็มๆ ก็ตายได้ง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้นการเล่นในฝั่งนี้จะเป็นการเล่นแบบเน้น Stealth มากกว่าครับ ด้วยความที่แมพส่วนใหญ่เป็นป่าเกือบทั้งหมด และยังมีโหมดให้เล่นเพียงแค่โหมดเดียว รูปแบบการเล่นในแต่ละเกมจึงค่อนข้างซ้ำซากมากๆ โดยความหลากหลายของเกมนี้จะมีอยู่แค่จุดเดียวคือ การหาทางรับมือกับ Perk หรืออาวุธที่อีกฝ่ายเอาติดตัวมา แต่ภาพรวมของการเล่น เอาตรงๆ มันแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ตอนที่ผมเล่นพอเวลาผ่านไปได้ 1-2 ชม. ตัวผมก็เริ่มที่จะเบื่อแล้วครับ [caption id="attachment_52591" align="aligncenter" width="1280"] ความสามารถสแกนความร้อนของ Predator[/caption] เกมนี้ใช้ระบบ Level ในการปลดล็อคอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ หรือ Perk ก็จะปลดล็อคแบบออโต้เมื่อเลเวลถึงครับ และเกมนี้ใช้ระบบ Level แบบร่วมด้วย ซึ่งมันหมายความว่า ไม่ว่าจะเล่นเป็น Predator หรือ Fireteam แล้วเลเวลอัพ จะเป็นการปลดล็อคของ หรือสกิลต่างๆ ให้กับทั้ง Fireteam และ Predator ของ ID เรา โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบระบบนี้ เพราะมันต้องมีบ้างอยู่แล้วที่เราจะเบื่อเล่นเป็นข้างใดข้างหนึ่ง ระบบนี้จึงทำให้ เราสลับไปเล่นฝั่งไหนก็ไม่ต้องเสียเวลาเก็บเลเวลใหม่นั้นเองครับ ในจุดที่ผมคิดว่าเป็นข้อเสียของเกมเลยก็คือเรื่องของบาลานซ์ครับ คือเอาตรงมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ Predator จะฆ่า Fireteam ทั้ง 4 คนได้ เพราะเพียงแค่ทางฝั่ง Fireteam สื่อสารกันตลอดเวลา และเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม Predator ก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยครับ คือจริงอยู่ที่ Predator มีความสามารถในการหายตัว แต่หายตัวเกมนี้เอาจริงๆ คือมันก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดมากๆ อยู่ดีครับ จนบางที่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า "เกมนี้จะให้ Predator หายตัวได้ไปทำไม" ในเมื่อมันมองแล้วก็รู้เลยว่าจุดนั้นมี Predator อยู่ ดังนั้นอาจเรียกได้ว่าในเรื่องของบาลานซ์เกมถือข้อเสียที่ร้ายแรงมากๆ ของเกมครับ [caption id="attachment_52592" align="aligncenter" width="1280"] สกิลหายตัวของ Predator ไม่ค่อยมีประโยชน์[/caption] ◊ สรุป ◊ เกม Predator: Hunting Grounds นั้นเป็นเกม Miltiplayer แบบ 4v1 ที่มีคอนเทนต์น้อยมากๆ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ายังเป็นเกมที่ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเท่าไหร่ ในส่วนของเกมเพลย์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ พอจะเล่นแล้วสนุกอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้เกมนี้ไปต่อได้จริงๆ ยังไงผมคิดว่าทางผู้พัฒนาควรจะต้องแก้ไขบาลานซ์ของเกม รวมไปจนถึงรีบพัฒนาส่วนของคอนเทนต์ให้มากกว่านี้ครับ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วละก็ จำนวนของผู้เล่นจะต้องลดลงอย่างแน่นอนถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมา ผมคิดว่าเกมนี้ควรจะได้คะแนนเพี่ยงแค่ 6 เต็ม 10 เท่านั้น คือถ้าเอาแค่เกมเพลย์เลยก็โอเคอยู่ครับ แต่โดยร่วมแล้วน่าเบื่อไปจริงๆ [penci_review id="52450"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
29 Apr 2020
รีวิวเกม 112 Operator "มีเหตุด่วนเหตุร้าย ให้โทรหาเรา"
112 เป็นเบอร์ฉุกเฉินที่รับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย และกระจายข้อมูลไปยังหน่วยปฏิบัติงานด้านฉุกเฉินทั้งหมด (ตำรวจ กู้ภัย ดับเพลิง) เพื่อที่จะส่งเจ้าหน้าที่ไปจัดการกับเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที วันนี้ GameFever TH จะพามารู้จักเกมที่จำลองการทำงานของหน่วยงานรับแจ้งเหตุฉุกเฉินว่าเขาทำงานกันยังไง กับเกม 112 Operator ระบบเกมและภาพรวม 112 Operator เป็นเกมแนว Simulation ที่จะจำลองการทำงานของหน่วยงานรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ตั้งแต่การรับแจ้ง จนไปถึงการส่งเจ้าหน้าที่ไปยังจุดเกิดเหตุ และเกมนี้ยังเป็นภาคต่อของเกม 911 Operator ที่มีคะแนนรีวิวแง่บวกอย่างมากใน Steam อีกด้วย (คนเขียนไม่เคยเล่น 911 Operator มาก่อน คงจะพูดถึงได้ไม่มาก) เมื่อเข้าเกมครั้งแรก ตัวเกมจะตรวจสอบพิกัดที่เราอยู่และหาเมืองที่ใกล้เราที่สุด ให้เราเล่นในโหมด Free Play ซึ่งเลือกที่จะเล่นหรือไม่ก็ได้ ในเกมนี้จะมีอยู่ 2 โหมด คือ โหมด Campaign ที่เป็นโหมดเนื้อเรื่องที่จะให้เราประจำอยู่เมืองที่มีชื่อเสียง เช่น London, Paris หรือ Rome โดยเราจะได้คุมแค่เขตเล็กๆ จนขยายไปทั่วเมือง โหมด  Free Play เป็นโหมดอิสระ ที่เราสามารถเลือกเมืองไหนก็ได้ โดยเราสามรถค้นหาชื่อเมืองที่เราต้องการ และกำหนดตั้งค่าได้ตามต้องการ เมื่อเลือกเมืองที่จะไปประจำหน่วยแล้ว ก็ต้องเลือกตำแหน่งงาน (เลือกความยากของหน้าที่รับผิดชอบ) ซึ่งจะปลดระดับสูงขึ้นได้เมื่อเคลียรภารกิจถึงตามระดับที่กำหนดไว้ จากนั้นก็เลือกพื้นที่เรารับผิดชอบ โดยจะสามารถใช้แต้มหน้าที่ (Cereer Point) ปลดพื้นที่ได้ เราสามารถกำหนดเดือน ชื่อตัวเอง และกำหนดภัยพิบัติที่จะสุ่มออกมาได้ (ทำได้แค่ในโหมด Free Play ถ้าในโหมด Campaign จะกำหนดมาให้เลย) จากนั้นก็เลือกระดับความยากของเกมก่อนจะเริ่มเล่น เมื่อเริ่มเกม จะเข้าสู่ช่วงเตรียมตัว เราสามารถจัดการเพิ่ม/ลดทีมเจ้าหน้าที่ ย้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบภารกิจ email แจ้งเตีอนต่างๆ และสภาพอากาศของวันต่อไปได้ (หรือเพิ่มเขตรับผิดชอบ(ทำได้ให้โหมด Free Play)) หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าช่วงปฏิบัติ เราจะเห็นแผนที่พื้นที่เที่เรารับผิดชอบและตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ (ตรงกลาง) สถานะของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ (ด้านซ้าย) และสถานการณ์ของเหตุฉุกเฉิน (ด้านขวา) จะมีเหตุฉุกเฉินแจ้งเข้ามาเรื่อยๆ เราจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ที่ว่างและเหมาะสมกับเหตุการณ์ ไปยังจุดเกิดเหตุให้ทันเวลา โดยจะแบ่งเป็น 3 สี คือ สีแดงจะเป็นงานของหน่วยดับเพลิง สีขาวจะเป็นงานของหน่วยพยาบาล และสีฟ้าจะเป็นงานของตำรวจ ไม่ได้มีแค่เหตุฉุกเฉินแบบปกติเท่านั้น ในบางครั้งเราจะเจอเหตุการณ์สุ่มที่เราต้องรับโทรศัพท์รับเรื่องร้องเรียนด้วยตัวเอง เราจะต้องคอยตอบคำถาม และพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อที่จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปได้ถูก แต่ก็ต้องระวังอย่าตอบช้าเกินไป เพราะไม่งั้นอาจจะสายเกินไปที่จะเข้าช่วยเหลือ นี่ยังไม่รวมพวกที่โทรเข้ามาก่อกวนเจ้าหน้าที่อีกด้วย  เมื่อจบวัน จะมีการสรุปคะแนน มีบันทึกดูย้อนเหตุฉุกเฉินได้ และคำนวนเงินที่จะได้ให้วันนี้ (หักค่าใช้จ่ายแล้ว) ซึ่งเราสามารถนำเงินไปเพิ่มเจ้าหน้าที่ได้ เพิ่มรถ หรือจ้างหน่วยงานจากเขตอื่นมาช่วยชั่วคราวได้ด้วย  มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง ในโหมด Free Play จะใช้เวลาโหลดแผนที่นานมาก เป็นทุกครั้งที่เข้าแผนที่ใหม่หรือเปิดพื้นที่ใหม่ ซึ่งใช้เวลาประมาณเกือบ 20 นาที และถ้ายิ่งเปิดพื้นที่เยอะก็ยิ่งนานเข้าไปอีก และอีกข้อก็คือ เกมมีความซ้ำซาก ถึงจะมีเหตุการณ์โทรสุ่มเข้ามา เกิดภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินที่ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีแค่นั้น พอเล่นไปสักพักก็อาจจะทำให้เริ่มเบื่อ ความรู้สึกหลังเล่น ไม่รู้เป็นกักตัวอยู่บ้านนานจัด หรือเพราะอะไร ทำให้ช่วงนี้ชอบสรรหาเกมแนว Simulation มาเล่นบ่อยมาก ซึ่งเกมนี้ก็เป็น 1 ในนั้น โดนล่อซื้อด้วยคะแนนรีวิวภาคเก่า (911 Operator) ที่เห็นว่าดีจัดๆ พอได้เล่นก็บอกได้เต็มปากว่าของเค้าดีจริง มีรายละเอียดเยอะเต็มไปหมด ทั้งหน่วยงานต่างๆ เหตุการณ์โทรสุ่ม ภัยพิบัติ เป็นอีกเกมที่เล่นได้เพลินๆ แต่เล่นนานไม่ได้ เพราะอาจจะเบื่อที่ต้องอะไรซ้ำๆซากๆ และถ้าพูดถึงสิ่งที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นฉากโหลดแผนที่ ที่จะสอนวิธีรับมือเมื่อเจอเหตุฉุกเฉิน แถมเยอะและบอกละเอียดซะด้วย สรุป 112 Operator เป็นเกมที่เล่นเพลิน แก้เบื่อได้ดี แถมยังมีรายละเอียดเยอะเต็มไปหมด แต่ถ้าใครไม่ชอบการทำอะไรซ้ำๆ เกมนี้ก็ไม่เหมาะกับท่านซะเท่าไร Link : https://store.steampowered.com/app/793460/112_Operator/ [penci_review id="52094"]
27 Apr 2020
รีวิวเกม Bio Inc. Redemption "อยู่ หรือ ตาย เมื่อชีวิตคนไข้อยู่ในมือเรา"
เนื่องจากช่วงนี้เกิดโรคระบาด COVID-19 หลายๆคนก็ต้องหยุดงาน กักตัวอยู่บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไปเสี่ยงกับการติดเชื้อ แต่ก็ยังมีอาชีพหนึ่งที่ตอนนี้ก็ยังทำงานอย่างไม่ลดละ เพื่อต่อสู้กับการระบาดในครั้งนี้ นั้นก็คือ หมอและพยาบาล วันนี้ GameFever TH จะพาไปรู้จักกับเกมที่จำลองการต่อสู้ระหว่างหมอ และโรคร้าย โดยที่มีชีวิตคนไข้เป็นเดิมพัน กับเกม “Bio Inc. Redemption”  ระบบเกมและภาพรวม Bio Inc. Redemption เป็นเกมแนว Simulation ที่จำลองการต่อสู้ระหว่างหมอ และโรคร้าย โดยที่มีชีวิตคนไข้เป็นเดิมพัน ถ้านึกภาพไม่ออกว่าเป็นเกมแนวไหน ให้นึกถึงเกม Plague Inc : Evolved ที่เปลื่ยนจากคนทั้งโลก เป็นคนไข้คนเดียวแทน (มีคนเคยรีวิว Plague Inc : Evolved แล้ว สามารถไปตามอ่านได้ที่ Link นี้) ซึ่งเราสามารถเลือกข้างได้ว่า จะเป็นฝ่ายหมอเพื่อช่วยเหลือคนไข้ หรือ ฝ่ายเชื้อโรคเพื่อสังหารคนไข้   โดยเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 4 โหมด ได้แก่ Choose Life เป็นโหมดเนื้อเรื่องของฝ่ายหมอ Choose Death เป็นโหมดเนื้อเรื่องของฝ่ายเชื้อโรค Multiplayer เป็นโหมดเล่นแข่งกับเพื่อน (Friend play) หรือคนอื่น (Rank play)  Sandbox Mode เป็นโหมดเล่นอิสระ สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ มาพูดถึงระบบการเล่นกันบ้าง โดยจะแยกอธิบายของฝ่ายหมอและเชื้อโรค เพื่อความง่ายต่อการเข้าใจ แต่ก่อนจะแยกอธิบายของแต่ละฝ่าย เราจะอธิบายสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีเหมือนกันก่อน มีหลักๆ 2 อย่าง (เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนเล่นในแต่ละรอบ) คือ ระบบเลือกความยากง่าย ตั้งชื่อคนไข้ เลือกเพศ   เลือกติดตั้งตัวช่วย (Booster) เพื่อช่วยให้เราเล่นง่ายขึ้น (ใช้แต้ม LV ให้การใช้ตัวช่วย แต่ละฝ่ายจะแตกต่างกันเล็กน้อย) ฝ่ายหมอ เป้าหมายหลักๆของฝ่ายหมอ คือ รักษาคนไข้ให้หายดี หรือ ตรวจโรคให้ครบก่อนที่คนไข้จะตาย โดยเริ่มเกมเราจะเห็นคนไข้ (ตรงกลาง) พลังชีวิตรวม, พลังชีวิตแยกแต่ละระบบ (ด้านซ้าย) รายงานความคืบหน้า, คิวการตรวจรักษา (ด้านขวา) และค่าBio point, เวลา ,การอัพเกรด (อัพเกรดได้เมื่อตรวจเจอสาเหตุโรคได้ครบตามกำหนด) (ด้านล่าง) เราสามารถใช้ Biomap ในการดูได้ว่าคนไข้มีอาการเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้ตรวจและรักษาได้ถูกจุด (ใช้ Bio point เป็นค่าใช้จ่าย สามารถเก็บได้จากตัวคนไข้ (มีให้เก็บเป็นระยะๆ)) และเราสามารถสั่งให้คนไข้เปลื่ยน Lifestyle และเพิ่มสวัสดิการ เพื่อที่จะให้ชะรออาการป่วย และรักษาง่ายขึ้น ข้อเสียเปรียบของฝ่ายหมอ คือ คนไข้มักจะมาให้เราตรวจเมื่อมีอาการสักพัก หรือไม่ก็อาการแย่มาก ทำให้เราต้องค่อยรับมือกับอาการต่างๆที่มาพร้อมๆกัน แถมบางอาการก็มีที่มาจากหลายสาเหตุ ทำให้เกิดความสับสนในการตรวจ แถมต้องจ่ายทั้งค่าตรวจและค่ารักษาอีก แต่ข้อได้เปรียบของฝ่ายหมอ ก็คือ การตรวจจะพร้อมกันทุกจุดที่ใช้การตรวจแบบเดียวกัน ข้อต่อมาถ้าร่างกายแข็งแรงพอก็รักษาตัวเองได้ และถ้ารักษาได้จะเป็นการบล็อคไม่ให้ฝ่ายเชื้อโรคเล่นงานส่วนได้อีก แถมยังมีวิธีรักษาฉุกเฉิน คือการเปลื่ยนอวัยวะด้วย ฝ่ายเชื้อโรค เป้าหมายหลักๆของฝ่ายนี้ ก็จะตรงข้ามกับฝ่ายหมอทุกอย่าง นั้นก็คือ สังหารคนไข้ให้ตาย ก่อนที่หมอจะรักษาคนไข้จนหาย โดยเริ่มเกมก็จะคล้ายๆกับฝ่ายหมอ จะเห็นคนไข้ (ตรงกลาง) พลังชีวิตรวม, พลังชีวิตแยกแต่ละระบบ (ด้านซ้าย) รายงานความคืบหน้า, คิวการตรวจรักษา (ด้านขวา) และค่าBio point, เวลา ,การอัพเกรด (อัพเกรดได้เมื่อพลังชีวิตคนไข้เหลือต่ำกว่าที่กำหนด) (ด้านล่าง) เราสามารถใช้ Biomap ในการดูได้ว่าเราสามารถเล่นงานคนไข้ได้จากจุดไหนได้บ้าง (ใช้ Bio point เป็นค่าใช้จ่าย สามารถเก็บได้จากตัวคนไข้ (มีให้เก็บเป็นระยะๆ)) และเราสามารถสั่งให้คนไข้เปลื่ยน Lifestyle และเพิ่มอุปสรรค เพื่อที่จะให้อาการป่วยรุงแรงขึ้น และรักษายากขึ้น ข้อเสียเปรียบของฝ่ายเชื้อโรค คือ ถ้าร่างกายคนไข้แข็งแรงก็ทำร้ายคนไข้ได้ช้ามาก แถมถ้าฝ่ายหมอรักษาได้สำเร็จ ในส่วนที่ถูกรักษาไปจะไม่สามารถโจมตีได้อีก แต่ข้อได้เปรียบของฝ่ายเชื้อโรค ก็คือ คนไข้จะไม่ไปหาหมอจนกว่าเราจะลงมือโจมตีส่วนใดส่วนหนึ่ง ทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวพอสมควร (แต่ถ้านานเกินไป คนไข้ก็จะไปหาหมอเองอยู่ดี) และอาการป่วยบางอย่างมีได้หลายสาเหตุ ทำให้เกิดความสับสนให้การรักษา แถมถ้าเราทำให้พลังชีวิตของส่วนนึงหมด ฝ่ายหมอก็จะรักษาส่วนนั้นไม่ได้ และเรายังสั่งให้หมอประท้วงหยุดงานได้ชั่วคราวด้วย …………………………………………………………………………………………………………………………………………. มาพูดถึงข้อเสียของเกมกันบ้าง ข้อแรกตัวเกมต้องใช้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง เพราะระบบเกมมีอะไรเยอะมาก ต้องใช้เวลาเรียนรู้และสกิลภาษาพอสมควร แต่ถ้าเคยชินแล้วก็จะเล่นง่ายขึ้น ข้อต่อมาคือ เกมมีความซ้ำซาก ถึงคนไข้แต่ละรอบจะสุ่มอาการก็ตาม แต่เป้าหมายก็มีแค่รักษา/สังหารเท่านั้น นอกจากน้ันก้แค่ทำคะแนนให้ดีขึ้นกว่ารอบที่แล้ว และสุดท้าย Multiplayer หาห้องยากมาก ทั้งที่เป็นโหมดที่สนุกมาก แต่คนเล่นด้วยก็น้อยมากเช่นกัน ความรู้สึกหลังเล่น เป็นเกมที่ดองอยู่ในคลังมานานมาก (ประมาณปีกว่าได้) พึ่งกลับมาเล่นอีกครั้ง ยังเป็นเกมที่สนุก เล่นแก้เบื่อ และท้าทายตอนเล่นแข่งกับเพื่อน แต่ก็เล่นไปสักพักก็พอรู้สาเหตุที่เอาไปดองในคลัง เพราะเกมมันเล่นแบบเดิมซ้ำๆ มันเลยดูน่าเบื่อ ถึงมีโหมดเล่นแข่งที่สนุกมาก แต่ก็แทบไม่มีใครเล่นด้วยเลย (ส่วนตัวชอบฝ่ายเชื้อโรคมากกว่า ได้เห็นคนไข้ค่อยๆตายช้าๆ 55555+) สรุป Bio Inc. Redemption เป็นเกมสนุก เล่นแก้เบื่อได้ดี แถมท้าทาย แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวเกมดูน่าเบื่อที่ต้องมาทำอะไรซ้ำๆ แถมการเล่น Multi ก็หาห้องยากเสียเหลือเกิน Link : https://store.steampowered.com/app/612470/Bio_Inc_Redemption/ [penci_review id="50778"]
17 Apr 2020
รีวิว Yu-Gi-Oh! Legacy of the Duelist: Link Evolution
เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีเกม Yu-Gi-Oh! ภาคใหม่ออกมาวางจำหน่ายมทั้งใน PC PS4 Xbox One ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่ออกมาก่อนแล้วในNintendo Switich ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจของภาคนี้คือได้มีการเพิ่ม Yu-Gi-Oh! ภาคใหม่อย่าง Vrains เข้ามาทำให้มีลูกเล่นหลายอย่างเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นอย่ารอช้า GameFever TH จะพามาดูว่ามีอะไรที่น่าสนใจและคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ เนื้อเรื่อง ในส่วนของเนื้อเรื่องของเกม หรือก็คือโหมด Campaign เมื่อเข้าไปในโหมดนี้เราสามารถเลือกเนื้อเรื่องทั้ง 6 ภาค ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับภาคแต่อย่างใด กล่าวคือ เราสามารถเล่นเนื้อเรื่องภาคใหม่ล่าสุดอย่าง Vrains ก่อนแล้วค่อยกลับไปเล่นภาคแรกก็ได้ ซึ่งตรงจุดนี้บอกเลยว่าดีมากเพราะส่วนตัวเป็นคนที่เล่นแบบไม่ชอบจบทีเดียว ชอบสลับไปเรื่อยๆแล้วจบแบบพร้อมกัน ทำให้ตอนแรกที่เล่นรู้สึกประทับใจแบบสุดๆ และเมื่อเราเลือกภาคแล้ว ต่อไปก็จะเป็นส่วนของเนื้อเรื่องว่าเราจะเล่นตรงจุดไหน ซึ่งก็จะเรียงไทม์ไลน์แบบอนิเมะทุกอย่าง และเราสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเด็คของตัวเองหรือเป็นเด็คที่กำหนดให้ ซึ่งตรงจุดนี้เกมไม่ได้บังคับ ในส่วนของเด็คที่กำหนดให้นั้น จะเป็นเด็คที่เหมือนกับในอนิเมะทำให้ได้อารมณ์เหมือนเราเป็นตัวละครตัวนั้นไม่มีผิด ซึ่งถ้าคนติดตามอนิเมะแบบผู้เขียนคงจะรู้สึกดีเพราะไม่ใช่แค่เป็นตัวเอกอย่างเดียว แบบเกมภาคเก่าๆ ทำให้สามารถใช้เด็คได้อย่างหลากหลายตามแบบตัวละครนั้นๆ ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะทำให้เจอเด็คที่ถูกใจเพิ่มด้วยก็ได้ หรือถ้าเล่นแล้วแพ้ก็ยังกลับมาใข้เด็คเราได้อีกตรงนี้ก็ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี ส่วนความยาวของเนื้อเรื่องก็แล้วแต่ภาค บางภาคก็มีตอนน้อย บางภาคก็มีตอนเยอะ ส่วนถ้าถามว่าใช้เวลาเท่าไหร่ในการจบนั้นต้องบอกว่าไม่แน่ใจนัก แต่ถ้าคร่าวก็อาจแค่ภาคละ 10 ชั่วโมงก็เกินพอยกว้นว่าจะแพ้เยอะจริงๆ กราฟิก ในส่วนกราฟิก ต้องบอกเลยว่าสวยงาม แต่ไม่สุดเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมในเรื่องนี้เลยก็คือ เรื่องของการลงมอนสเตอร์ตัวเด่นๆ ที่เมื่อลงมาแล้วจะมีอนิเมชันตอนลงที่เท่เอามากๆ ในส่วนนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก และอาจจะดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยเห็นมา อาจจะมีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่เราไม่สามารถกดข้ามอนิเมชันได้และบางทีมันก็ทำให้ดูน่ารำคาญ เพราะบางทีมอนสเตอร์ตัวนั้นก็ลงมาหลายครั้งและเราต้องดูทุกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั้นการอัญเชิญแบบพิเศษไม่ว่าจะเป็น Fusion, Synchro, xyz, Pendulum หรือการอัญเชิญแบบใหม่อย่าง Link Summon ก็ตามเมื่อเราทำการอัญเชิญ จะมีเอ็ฟเฟ็คให้เราได้ดู ซึ่งแต่ละอันก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว และทำให้เราตื่นเต้นได้ทุกครั้ง เพราะการอัญเชิญที่ต่างกันก็ได้อารมณ์ที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าภาคอื่นก็มีแต่ไม่มีภาคใดที่เอ็ฟเฟ็คตระการตาเหมือนภาคนี้ เพราะภาคอื่นเฟ็คจะมาแบบเพียงเสี้ยววิแล้วก็หาย แต่ภาคนี้ให้เราได้เห็นการอัญเชิญเต็มๆแบบอนิเมะเลยก็ว่าได้ ตรงส่วนนี้ตอนเห็นตื่นเต้นแบบสุดๆไปเลย สำหรับในส่วนอื่นอย่างตัวละคร การ์ด และ บนฟิลด์ก็ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน สวยตามแบบมาตรฐานของเกม อีกทั้งของบรรยากาศรอบฟิลด์ถ้าสังเกตุดีๆจะไม่เหมือนกัน อย่างเช่นบางครั้งเราก็จะได้สู้ในป่า บางครั้งก็จะได้สู้ในอวกาศ เป็นต้น และถ้าเล่นเนื้อเรื่องบรรยากาศรอบสนามก็จะเหมือนกับเนื้อเรื่องไม่มีผิดว่าตอนที่สู้กันตอนนี้อยู่ตรงไหน นั่นทำให้ตรงจุดนี้ก็ถือว่าถูกใจคนดูอนิเมะแบบผู้เขียนอยู่ไม่น้อย เพราะเหมือนกับผู้สร้างเขาใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยได้เป็นอย่างดี จุดนี้ต้องขอชมจากใจ   เกมเพลย์ ในส่วนเกมเพลย์ ถือว่าทำออกมาได้ดียังคงเป็นรูปแบบ โซนมอนเสเตอร์ 5 ช่อง เวท กับดัก อีก 5 ช่อง แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาเลยก็คือ ช่องโซน 2 ช่อง ซึ่งมีไว้สำหรับมอนสเตอร์ในสำรับพิเศษ (Extra Deck )เท่านั้น และแน่นอนว่าภาคนี้ได้เพิ่มภาคใหม่อย่าง Vrains เข้ามา ทำให้ได้มีการอัญเชิญแบบพิเศษแบบใหม่นั่นก็คือการอัญเชิญแบบ Link Summon โดยการอัญเชิญนี้จะเป็นการอัญเชิญโดยเราทำการส่งมอนสเตอร์ลงสุสานตามค่าลิงค์ของมอนเสเตอร์ลิงค์ตัวนั้นๆ ซึ่งมอนเสตอร์ลิงค์แต่ละคัวก็จะมีค่าลิงค์ที่แตกต่างกันอีกทั้งบางตัวก็มีกฎในการอัญเชิญก็ด้วย คล้ายๆกับxyz โดยเมื่อมอนสเตอร์ลิงค์อัญเชิญสำเร็จจะอยู่ในช่องโซนเสมอนอกจากเราจะอัญเชิญมอนสเตอร์ลิงค์อีกหนึ่งตัว ตัวที่อัญเชิญที่หลังก็จะต้องมาอยู่ในลิงค์โซนของตัวแรก ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนแรกๆอย่างงเพราะตัวผู้เขียนไม่เคยดูอนิเมะภาคนี้มาก่อนทำให้ใช้เวลาทำความเข้าใจค่อนข้างนานพอสมควร สำหรับส่วนเงินของเกมนี้เมื่อสู้ทุกครั้งไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็จะได้เงินมา โดยเงินนั้นจะสามารถแลกซื้อการ์ดในร้านค้าได้ และเมื่อเข้าไปในร้านก็จะมีภาคให้เราเลือกและ มีตัวละครของภาคนั้นๆ 4 – 5 คนมาอยู่หน้าร้าน โดยเราสามารถเลือกซื้อการ์ดตามหน้าร้านนั้นๆได้ โดยตัวละครในร้านจะปลดตามเนื้อเรื่องของเกม   หมายความว่าถ้าจะให้เข้ามาในร้านแล้วเห็นตัวละครภาคนั้นๆครบ เราจะต้องเล่นเนื้อเรื่องไปสักพักแล้วค่อยมาซื้อ ซึ่งตรงนี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ ถ้าเราอยากได้การ์ดแบบเจาะจงเราต้องไปหาข้อมูลว่าการ์ดใบที่เราอยากได้นั้น อยู่ในร้านไหนแล้วไปซื้อร้านนั้นไปเรื่อยๆ เกมไม่ได้บอกทำให้ตอนแรกที่เล่นรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก   อีกโหมดหนึ่งในการซื้อการ์ดนั่นคือ Battle Pack โดยโหมดนี้ เราจะสามารถซื้อการ์ดได้ตามแพ็คที่เกมมีให้ และเมื่อเราซื้อแล้ว เกมจะให้เราสู้จนชนะเราก็จะได้เด็คนั้นไปครอบครอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ทำให้หัวร้อนเป็นอย่างมากเพราะการ์ดแพง และถ้าเราแพ้เราก็มีสิทธิ์ไม่ได้อีก แต่ข้อดีก็คือชุดนี้จะมีแต่การ์ดดีๆและหายากรวมกันไว้นั่นเอง   สรุป Yu-Gi-Oh! เกมนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากเกมภาคเก่าๆที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นโซนมอนสเตอร์ที่เพิ่มขึ้น การอัญเชิญแบบใหม่ แต่ก็ยังคงรูปแบบการเล่นไว้อย่างดีเยี่ยมอาจจะมีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อยอย่างเช่นการอัญเชิญ Pendulum ที่เมื่อก่อนเราสามารถอัญเชิญการ์ดที่ตรงตามเงื่อนไขได้ทุกใบจากบนมือและสำหรับพิเศษ แต่มาภาคนี้สามารถอัญเชิญได้แค่อย่างละ 1 ใบเท่านั้น ซึ่งในจุดนี้ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรมาก ส่วนอนิเมชันการอัญเชิญก็ทำออกมาได้อย่างดีไร้ที่ติใดๆ แต่สิ่งที่คิดว่าเป็นจุดบกพร่องที่สุดคือ การซื้อการ์ดที่ต้องหาข้อมูลการ์ดมาจากที่อื่น ไม่มีบอกในเกมว่าจะต้องซื้อกับคนไหน และโหมด Battle Pack ที่ทำให้ต้องชนะมาถึงจะได้ ซึ่งถือว่าเป็นความยุ่งยากและน่าปวดหัวเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าถ้าให้เทียบกับภาคที่ผ่านๆมาต้องบอกว่าเรื่องกราฟิกภาคนี้กินขาด ถึงแม้ว่าจะเคยมีภาคที่ตอนลงแล้วมีอนิเมชั่นแบบ Tag Force แบบ PSP แต่ตอนน้้นยังรู้สึกไม่ดีเท่าอันนี้ อีกทั้งเนื้อเรื่องที่เราสามารถเลือกเองได้ก็เท่าให้มีอิสระในการเล่นเป็นอย่างมาก อาจเรียกได้ว่าเกมนี้เกือบดีหมดติดอยู่แค่ร้านค้าที่ยุ่งยากเกินไปเท่านั้นเอง Steam https://store.steampowered.com/app/1150640/YuGiOh_Legacy_of_the_Duelist__Link_Evolution/ [penci_review id="50758"]
15 Apr 2020
รีวิว Asus Rog Zephyrus G GA502DU โน๊ตบุ๊คแรง ในราคา 35,900 บาท
การจะมีคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คดีๆ สักตัวไว้ใช้ทำงาน หรือเล่นเกมในช่วงที่ใครหลายคนโดนกักตัวอยู่บ้านแบบนี้ ดูเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งนับเป็นโชคดีของพวกเรา GameFever Th ที่ทาง AMD ได้ส่ง Asus Rog Zephyrus G GA502DU มาให้เราได้ลองใช้งานเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ก็ต้องขอขอบคุณทาง AMD ด้วยครับ วันนี้ก็เลยจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ดูกันว่าเจ้าโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีราคาเพียงแค่ 35,900 บาท ตัวนี้มีดียังไงบ้าง บอกเลยว่าเหนือความคาดหมายแน่นอนครับ สเปคของ Asus Rog Zephyrus G GA502DU โดยเจ้าโน็คบุคเกมมิ่งตัวนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า Asus ROG Zephyrus G GA502DU-AZ051T ซึ่งมาพร้อมกับ CPU AMD Ryzen 7 3750H กับการ์ดจอ GeForce GTX1660Ti Max-Q Design 6GB GDDR6 และ Ram DDR4 ถึง 16 GB แถมยังมาพร้อมกับจอที่มีค่า Refresh Rate สูงถึง 240Hz ซึ่งนับว่าค่อนข้างที่จะแรงทีเดียวในปัจจุบัน  เพื่อให้เห็นภาพตรงกัน ผมจะขอทำการแปะสเปคเต็มๆ ของเครื่องไว้ข้างล่างนี้ครับ CPU: AMD Ryzen 7 3750H GPU: NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti Max-Q (6GB GDDR6) Size: 15.6 inch (1920x1080) Full HD Panel Type: IPS Anti Glare – จอด้าน Refresh Rate: 240 Hz Ram: 16 GB DDR4 Storage: 512 GB SSD PCIe M.2 Weight: 2.10 kg OS: Window 10 Home ซึ่งเจ้าโน๊ตบุ๊คตัวนี้มีอยู่ 2 จุดที่ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจมากๆ โดยจุดแรกก็คือในเรื่องของความบางของเครื่องที่มีขนาดเพียงแค่ 20.4 มิลลิเมตร (ประมาณความสูงของเหรียญ 5 บาท) กับน้ำหนักเพียงแค่ 2.10 Kg เท่านั้นครับ เรียกได้ว่าน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายที่ชอบพกโน๊ตบุ๊คติดตัวไปด้วยตลอดเวลาอย่างแน่นอนครับ ส่วนอีกจุดหนึ่งก็คือ จอของตัวโน๊ตบุ๊คที่มีค่า Refresh Rate สูงถึง 240 Hz ทั้งยังเป็นจอแบบ IPS ที่สามารถให้สีได้สวยที่สุดอีกด้วย เพราะปกติจอ IPS ทั่วไปที่มีค่า Refresh Rate ถึง 240 Hz จะมีราคาที่แพงมาก จึงไม่คิดว่าในโน๊ตบุ๊คราคาเพียงแค่ 35,900 จะได้จอแบบนี้มาด้วยครับ ถ้าจะมีจุดที่เป็นข้อเสียของตัวเครื่องเลย คงจะเป็นในเรื่องของพัดลมเครื่องที่จะมีเสียงค่อนข้างดังเมื่อทำงานเต็มที่ แต่ไม่ถึงขนาดดังจนสร้างความรำคาญถ้าหากว่าใส่หูฟังในการเล่นเกมครับ และจริงๆ เสียงของพัดลมที่ดังมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คทำงานอย่างเต็มที่ ผมเลยรู้สึกว่าในจุดนี้ไม่ถึงกับเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงอะไรครับ อีกจุดที่เป็นข้อเสีย ก็คือในเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาแค่ 512 GB เท่านั้นครับ ดังนั้นถ้าเกิดว่าจะนำเจ้าเครื่องนี้ไปใช้งานเป็นเครื่องหลักแล้วละก็ อาจจะต้องมีการเพิ่มหน่วยความจำให้กับเครื่องนิดหน่อยครับ แต่นอกนั้นก็ถือได้ว่าเจ้า Zephyrus G GA502DU นี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่ดีมากๆ ครับ ความสามารถของเครื่องเมื่อเล่นเกม แน่นอนว่าในเมื่อเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งสิ่งที่เราจะเอามาใช้งานหลักๆ ก็คงจะเป็นการนำไปเล่นเกมเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งตัวผมก็ได้ทดลองนำเจ้า Asus ROG Zephyrus G GA502DU ไปทดลองเล่นเกมมา 3 เกมด้วยกัน นั้นก็คือ Battlefield V, Far Cry 5 และ Assassins Creed Odyssey โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างน่าพอใจครับ โดยเกมแรก Battlefield V ผมได้ทำการตั้งค่ากราฟฟิกของเอาไว้ที่ Ultra ทั้งหมด น่าเสียดายที่เกมนี้ไม่ได้มีตัว Benchmark มาให้ด้วยผมเลยต้องเข้าไปเล่นในเกมเอง แล้วสังเกตซ้ายบนของหน้าจอเองว่า โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้สามารถเล่นเกมนี้ได้ในค่า FPS เท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจครับ ตัวเกมรันอยู่ที่ 45-75 FPS และมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 FPS  ทำให้ตอนเล่นภาพลื่นมากๆ แทบจะไม่มีอาการกระตุกเลยครับ ต่อมาด้วยเกมที่สอง Far Cry 5 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีกราฟิกสวยมากๆ โดยเกมนี้ตัวเกมแนะนำการตั้งค่ากราฟิกมาให้อยู่ที่ High ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับการตั้งค่าเลย แล้วกด Benchmark ไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ก็ยังดีอยู่เหมือนเดิม ตัวเกมรันอยู่ที่ 46 - 82 FPS และมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ 68 FPS ครับ ปิดท้ายด้วย Assassins Creed Odyssey โดยคราวนี้ผมได้ทำการดันคุณภาพกราฟิก ขึ้นอีก 1 ระดับจากที่ตัวเกมแนะนำมาให้ แล้วเริ่มกด Benchmark ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ก็ยีงถือว่าเป็นที่น่าพอใจในเกมที่ไม่ได้ต้องการความลื่นไหลมากมายอะไรอย่างเกมนี้ ตัวเกมรันอยู่ที่ 21 - 66 FPS และมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ 42 FPS ครับ สรุป Asus ROG Zephyrus G GA502DU-AZ051T ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีราคาดีมากๆ เมื่อเทียบกับสมรรถนะของ Hardware ที่ได้มา ส่วนในเรื่องของความร้อนนั้น ผมสามารถเล่นเกมหนักๆ ในห้องพัดลมตั้งแต่ช่วงเวลา 13.00 - 16.00 ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นถ้าหากว่าปกติเล่นในห้องแอร์อยู่แล้ว หมดห่วงเรื่อง Overheat ไปได้เลยครับ โดยภาพรวมทั้งหมดแล้วถึงแม้ว่า Zephyrus G GA502DU จะไม่ใช้โน๊ตบุ๊คเกมมิ่ง High End ที่ถึงจะปรับกราฟิกของเกมเป็น Max ทุกอย่าง แล้วก็ยังสามารถดันค่า FPS ขึ้นไปได้สูงถึงหลักร้อยได้ แต่ Zephyrus G GA502DU ก็ยังถือเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งที่มีสมรรถนะที่ดี และมีราคาไม่แพงเกินไปครับ ถ้าหากว่าใครกำลังหาโน๊ตบุ๊คสำหรับเล่นเกมในราคาไม่แพงเกินไป ผู้เขียนค่อนข้างเชียร์ตัวนี้เลยครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
10 Apr 2020
รีวิว Final Fantasy VII Remake จุดเริ่มต้นใหม่ของตำนานบทเก่า
สำหรับเกมเมอร์ที่เติบโตมาในยุค 90 สมัยที่เครื่อง PS1 กำลังเฟื่องฟู เชื่อว่าคงเคยได้เห็นหรือได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเกม Final Fantasy VII มาไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะจากเนื้อเรื่องและตัวละครอันเป็นที่รักยิ่งของแฟนๆ มาตลอดระยะเวลาเกือบ 25 ปีนับตั้งแต่ที่เกมวางจำหน่ายในปี 1997 หรือจากอิทธิพลอันใหญ่หลวงมากมายที่เกมมีต่อทั้งแนวเกม RPG และวงการเกมในภาพกว้าง ในฐานะเกมแรกๆ ที่เปลี่ยนจากการใช้ภาพ 2D มาเป็นโมเดลโพลิก้อนแบบ 3D ในยุคนั้น และเป็นเกมแรกที่ใช้สไตล์การออกแบบศิลป์ที่ผสมผสานความเป็นแฟนตาซีและไซไฟเข้าด้วยกัน อันกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเกม Final Fantasy แทบทุกภาคตั้งแต่นั้นมา จึงไม่น่าแปลกใจที่วงการเกมโดยรวมจะยกย่องเกมในฐานะ "ตำนาน" ที่ยังคงมีคนติดตามอย่างเหนียวแน่นตลอดมา ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไป ทำให้การมาถึงของเกม Final Fantasy VII Remake เปรียบเสมือนฝันที่เป็นจริงของเกมเมอร์หลายๆ คนทั่วโลก ที่ถวิลหาโอกาสที่จะกลับไปผจญภัยในดินแดน Midgar อีกครั้ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยกระดับขึ้นมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นของเกมยุคปัจจุบัน และร่วมเดินทางกับเหล่าตัวละครผองเพื่อนที่ไม่ได้พบเจอกันมากว่า 20 ปี ในฝั่งของผู้เขียนเอง แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรนักจากเกมนี้ แต่ก็สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเกม Final Fantasy VII Remake ถือเป็น JRPG ที่ยอดเยี่ยมเกมหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยเกมเพลย์สไตล์แอคชั่นที่ดุเดือด ท้าทาย และแพรวพราว กับกราฟฟิคและการออกแบบโลกของเกม ที่ทำออกมาได้น่าสนใจและน่าค้นหา รวมไปถึงตัวละครหลักทุกตัว ที่ล้วนมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดที่ดูจะได้รับอนิสงค์จากกราฟฟิคที่พัฒนาขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็คงปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Final Fantasy VII Remake คงไม่ใช่เกมที่หลายๆ คนคาดหวังเอาไว้เช่นกัน ด้วยรูปแบบของเกมที่ดำเนินไปค่อนข้างเป็นเส้นตรง ไม่ค่อยเปิดโอกาสใหผู้เล่นได้สำรวจเมือง Midgar เท่าไหร่นัก แถมนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมมีอะไรให้ทำน้อยมากเมื่อเทียบกับเกม RPG ฟอร์มใหญ่ๆ ที่วางจำหน่ายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเมื่อเล่นจบแล้ว แทบจะไม่เหลือเหตุผลให้กลับไปเล่นต่อเลย ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับแฟนๆ ตัวยงของเกม แต่สำหรับผู้เล่นใหม่ หรือผู้ที่คาดหวังจะได้รับประสบการณ์เกม RPG แบบเน้นๆ อาจจะต้องปรับความคาดหวังกันซักเล็กน้อย ◊ เนื้อเรื่อง ◊ สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยติดตามเนื้อเรื่องของเกม FF7 มาก่อนจริงๆ เนื้อเรื่องของเกม Remake จะดัดแปลงมาจากช่วงแรกสุดของเกมภาคต้นฉบับ โดยจะติดตามตัวละครเอก Cloud Strife อดีตสมาชิกหน่วยทหารพิเศษ SOLDIER และผองเพื่อนในกลุ่ม Avalanche ในการต่อกรกับองค์กรพลังงาน Shinra ผู้ซึ่งผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยการดูดเอา Mako หรือพลังชีวิตของโลกมาใช้ คนที่เคยเล่นเกม FF7 ต้นฉบับมาก่อน น่าจะรู้ดีว่าเนื้อเรื่องที่แท้จริงของเกมมันยิ่งใหญ่กว่าแค่การต่อกรกับองค์กรชั่วร้ายอย่าง Shinra มาก แต่สำหรับเกม Final Fantasy VII Remake ผู้เขียนพบว่าเนื้อเรื่องส่วนที่ชอบมากที่สุด กลับเป็นช่วงเวลาเล็กๆ ที่เน้นการพัฒนาตัวละคร เช่นฉากที่ Tifa พยายามช่วย Cloud หาห้องพัก หรือฉากการสนทนาระหว่าง Cloud และ Aerith ระหว่างเดินทางหลบหนีทหาร Shinra มากกว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกราฟฟิคที่พัฒนาขึ้น บวกกับการพากย์เสียงที่ยอดเยี่ยมของเกมด้วย ทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตชีวา ทั้งในด้านอากัปกิริยาและเสียงพากย์ ที่ช่วยสื่อตัวตนที่แตกต่างกันของตัวละครแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในฉากเงียบๆ ที่เกมมีเวลาให้ใกล้ชิดตัวละครมากกว่า หรือฉากที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของชาวเมือง Midgar ที่ช่วยเสริมบรรยากาศและความรู้สึกกว้างขวางของนคร Midgar ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าเกมเองจะไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจเมือง Midgar มากเท่าไหร่ อาจจะด้วยความที่เกมจำเป็นต้องยึดอยู่กับโครงเรื่องเดิมของต้นฉบับ แต่เกม FF7R เป็นเกมที่มีความเป็นเส้นตรงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ RPG ใหญ่ๆ หลายเกมในปัจจุบัน ผู้เล่นจะไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างเขตต่างๆ ของเมือง Midgar ได้ หรือกระทั่งการกลับไปยังพื้นที่เก่าที่เคยผ่านมาแล้ว ก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน เพราะพื้นที่ที่ผู้เล่นจะสำรวจได้จะขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องของเกมเท่านั้น (เช่น Chapter 3 จะอยู่ในเขตหนึ่ง แต่พอไป Chapter 4 แล้วก็กลับไปไม่ได้อีก) หมายความว่าถ้าพลาดความลับหรือเควสย่อยไป จะต้องเล่นต่อไปจนจบเกมก่อนเพื่อปลดล๊อคระบบ Chapter Select จึงจะกลับไปเล่นต่อได้ และถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราจะมีอิสระ เพราะเมื่อเริ่มเล่น Chapter หนึ่งแล้ว จะต้องเล่นต่อจนจบ Chapter เกมจึงจะถือว่าเราเล่นเนื้อหาเหล่านั้นผ่านแล้วจริงๆ นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว เกมยังมีเควสย่อยให้ทำอยู่ประปรายตามทางด้วย โดยต้องบอกตามตรงว่าเควสย่อยของเกม FF7R ยังทำออกมาได้ไม่ดีนัก แม้ว่าเนื้อเรื่องในเควสย่อยหลายเรื่องจะเปิดโอกาสให้พัฒนาตัวละคร และบางเควสถึงกับส่งผลต่อเหตุการณ์เล็กๆ ในเนื้อเรื่องหลักด้วย แต่ภารกิจที่เราต้องทำส่วนใหญ่จะเน้นการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ฆ่ามอนส์เตอร์ แล้วกลับมาส่งเควส การทำเควสเสริมส่วนใหญ่จึงไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ มีเพียงบางเควสจริงๆ ที่ทำแล้วได้ของรางวัลที่คุ้มค่า แต่เควสในเกมก็ไม่ได้มีเยอะแยะมาก (ราวๆ 20 กว่าเควส) การจะทำทั้งหมดจึงไม่ได้ใช้เวลามากมายเช่นกัน เหมือนเป็นของแถมให้ผู้เล่นได้มีเหตุผลในการใช้เวลากับเกมและโลกของเกมมากขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม FF7R ไม่ดี หรือเป็นปัญหาสำหรับการเล่นเกม แต่เรียกว่ามันรู้สึก "ธรรมดาๆ" มากกว่า คนที่คาดหวังว่าเกมจะมีความอิสระหรือเปิดกว้างเหมือนเกม RPG หลา่ยๆ เกมในตลาดอาจจะผิดหวังกันได้ และอาจจะด้วยความที่รู้อยู่แล้วด้วยว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดของเกมเป็นเพียงส่วนที่เล็กมากๆ เมื่อนำไปเทียบกับเนื้อเรื่องดั้งเดิมของต้นฉบับ มันเลยอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหตุการณ์หลายอย่างที่เห็นอยู่นี้ ไม่ได้มีความหมายขนาดนั้นในภาพใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อไปถึงช่วงท้ายเกม ที่ผู้พัฒนาเริ่มจะแย้มๆ ถึงศัตรูที่แท้จริงของเนื้อเรื่อง และทิศทางในอนาคตของซีรี่ส์ FF7R ต่อไป ซึ่งบอกได้สั้นๆ แบบไม่สปอยว่า "เหนือทุกความคาดหมาย" ของทุกคนแน่นอน ◊ เกมเพลย์ ◊ อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไปไม่ได้คือเรื่องระบบต่อสู้ ที่เปลี่ยนจากระบบแบบ Turn-based เหมือนภาคดั้งเดิม มาสู้ระบบที่เน้นแอคชั่นแบบ Real-time ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นดั้งเดิมหลายคนกังวลใจอยู่มากที่สุดเกี่ยวกับเกมภาคใหม่ แต่ถ้าวัดด้วยตัวของมันเอง (คือไม่เอาระบบดั้งเดิมเป็นมาตรวัด) ระบบต่อสู้ของ FF7R ถือว่าทำออกมาได้สนุกมาก และสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเล่นเกมแอคชั่นเต็มตัว และการต่อสู้ผ่านเมนูของเกม RPG คลาสสิคได้อย่างกลมกล่อม ในการต่อสู้นั้น ผู้เล่นจะต้องใช้การโจมตีธรรมดาไปพลาง ระหว่างรอให้เกจ ATB ของตัวละครเพิ่มจนเต็ม จึงจะสามารถใช้ความสามารถพิเศษหรือเวทย์มนตร์ของตัวละครนั้นๆ ได้ การสร้างหรือรับความเสียหายจะช่วยให้เกจ ATB เพิ่มเร็วขึ้นด้วย ผู้เล่นจะสามารถกดปุ่มเพื่อชะลอการเคลื่อนที่ทั้งหมด และเรียกเมนูคำสั่งขึ้นมาเพื่อเลือกใช้สกิล ผู้เขียนยอมรับว่าในช่วงชั่วโมงแรกๆ ของเกม ผู้เขียนรู้สึกติดขัดกับระบบนี้พอสมควร เพราะรู้สึกเหมือนโดนขัดจังหวะตอนบู๊ จึงพยายามใช้ปุ่มลัดในการกดสกิลเป็นหลัก แต่เมื่อเล่นไปซักพัก เริ่มทำความรู้จักระบบ Stagger ของเกม (คล้ายกับระบบใน FF13/15 ที่เมื่อโจมตีจุดอ่อนศัตรูไปเรื่อยๆ จะทำให้ศัตรูล้มลง และโดนความเสียหายมากขึ้นชั่วขณะ) และเจอศัตรูหลากหลายชนิด ที่ล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อนและเงื่อนไขในการ Stagger ไม่เหมือนกัน เช่นศัตรูตัวหนึ่ง จะต้องโจมตีสวนในจังหวะที่มันกำลังจะโจมตีเท่านั้น จึงจะทำให้ติด Stagger ได้ หรืออีกตัวที่ต้องใช้เวทย์มนตร์เท่านั้นเป็นต้น หรือกระทั่งศัตรูระดับบอส ที่มักจะมีชิ้นส่วนให้เราโจมตีได้หลายชิ้นเพื่อจำกัดการโจมตี ทำให้ผู้เขียนจำเป็นต้องปรับตัวและวางแผนมากขึ้น จนทำให้รู้สึกชอบระบบนี้ขึ้นมาในที่สุด เพราะระบบเปิดโอกาสให้ผู้เขียนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์และวางแผนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสำคัญมากในช่วงท้ายๆ ที่เกมเริ่มมีศัตรูหลายชนิดให้เราต้องรับมือพร้อมกัน แม้เกมจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นแอคชั่นมากขึ้น แต่รับประกันได้ว่าการใช้ความคิดและการวางแผนแบบ RPG ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมแน่นอน ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการควบคุมตัวละครเพื่อนร่วมปาร์ตี้ เพราะผู้เล่นจะสามารถควบคุมตัวละครโดยตรงได้แค่ทีละตัว ในขณะที่ตัวละครตัวอื่นๆ มักจะเดินไปเดินมา หรือยืนป้องกันเฉยๆ เพราะ A.I. ของเพื่อนร่วมปาร์ตี้ก็ไม่ได้ดีนัก การหยุดเวลาจึงทำให้เราสามารถสั่งการเพื่อนร่วมปาร์ตี้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในเวลาที่จำเป็น เช่นการสั่งให้ใช้เวทย์ป้องกัน หรือใช้สกิลใส่ศัตรูที่ Stagger อยู่เป็นต้น นอกเหนือไปจากการหยุดเวลาเพื่อออกคำสั่ง เกมยังเปิดให้ผู้เล่นสลับไปควบคุมตัวละครอื่นๆ ในปาร์ตี้ได้อย่างอิสระอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้เขียนชอบมากๆ เพราะแต่ละตัวจะมีวิธีการเล่นที่แตกต่างกันไปหมด เช่น Tifa จะเน้นการโจมตีเป็นคอมโบที่รวดเร็ว และมีการเคลื่อนที่ที่ว่องไวคล่องตัวเป็นพิเศษ ในขณะที่ Barret จะเน้นการโจมตีระยะไกลด้วยแขนปืน แต่จะเคลื่อนไหวช้า และกลิ้งหลบได้ระยะสั้นกว่าคนอื่น ซึ่งรายละเอียดที่ต่างกันเล็กน้อยเหล่านี้ล้วนช่วยเพิ่มมิติในการเล่นเกมขึ้นไปอีกขั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา เพราะ A.I. ของเพื่อนร่วมปาร์ตี้บางครั้งก็ไม่ฉลาดเอาซะเลย อย่างในการสู้กับบอสครั้งหนึ่ง ที่ตัวละคร Barret ของผู้เขียนดึงดันจะวิ่งไปยืนสาดกระสุนอยู่หน้าบอสให้ได้ แทนที่จะยืนยิงห่างๆ ในที่ปลอดภัย จนผู้เขียนรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ต้องควบคุมตัวเขาตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เขาวิ่งเข้าไปตายอย่างไร้ค่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากการต่อสู้ เกมมีระบบเกมเพลย์อันเป็นแก่นอยู่อีกอย่าง ก็คือการพัฒนาความสามารถของตัวละคร ซึ่งมีหลักๆ อยู่สองอย่าง นั่นก็คือระบบการอัพเกรดอาวุธ และระบบ Materia อันเป็นเอกลักษณ์ของ Final Fantasy VII ภาคดั้งเดิมนั่นเอง ระบบอาวุธของเกม FF7R จะค่อนข้างแตกต่างจากอาวุธในเกม RPG ส่วนใหญ่ แต่จะมีความใกล้เคียงกับระบบ Job Class มากกว่า โดยตัวละครแต่ละตัวจะได้รับอาวุธตัวละครประมาณ 4-6 ชนิด (เท่าที่ผู้เขียนหาได้) อาวุธแต่ละชนิดจะสามารถใช้แต้ม SP เพื่ออัพเกรดความสามารถไปได้เรื่อยๆ จนจบเกม ซึ่งแต่ละชิ้นมักจะอัพเกรดไปในทิศทางที่กำหนดแนวทางการเล่นของตัวละครนั้นๆ ไปเลย เช่นอาวุธชิ้นหนึ่งอาจจะสามารถเพิ่มพลังโจมตีกายภาพได้เยอะ ในขณะที่อาวุธอีกชิ้นหนึ่งจะเพิ่มพลังเวทย์และความเสียหายธาตุต่างๆ เป็นต้น แต่ละตัวละครจะได้รับอาวุธที่กำหนดแนวทางเหล่านี้เหมือนกัน (ทุกตัวจะมีอาวุธที่เน้นเวทย์ เน้นป้องกัน เน้นโจมตี เหมือนกัน) แม้ตัวละครแต่ละตัวอาจจะมีแนวทางที่เข้ากับความสามารถเฉพาะตัวมากกว่า เช่น Aerith ที่ไม่ว่ายังไงก็จะต้องเป็นตัวละครสายเวทย์มนตร์ หรือ Barret ที่มีความสามารถพิเศษที่เหมาะกับการใช้แทงค์ (แต่เอ็งใช้ปืนนะ?!) แต่ระบบก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถทดลองกับการจัดปาร์ตี้เพื่อให้เข้ากับความชอบหรือสถานการณ์ได้พอสมควร ระบบการอัพเกรดอาวุธก็จะทำงานควบคู่ไปกับระบบ Materia ที่เปรียบเสมือนสกิลที่เราสามารถสวมใส่ให้ตัวละคร โดย Materia ทุกชนิดในเกมสามารถใส่ให้กับตัวละครทุกตัว จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการกำหนดหน้าที่ของตัวละครแต่ละตัว เช่นตัวหนึ่งอาจจะมี Materia เวทย์หลายธาตุ ในขณะที่อีกตัวมี Materia ที่เพิ่ม Max HP เยอะๆ เอาไว้แทงค์ ซึ่งทั้งหมดนี้เองคือสิ่งที่เสริมมิติควมเป็น RPG ให้กับเกม เอาไว้ถ่วงดุลความแอคชั่นของการต่อสู้ สำหรับการเล่นในโหมด Classic ซึ่งจะทำให้เกมควบคุมส่วนแอคชั่นของเกมโดยอัตโนมัติ และให้ผู้เล่นควบคุมเพียงการกดเมนูเพื่อใช้สกิลเมื่อเกจ ATB เต็ม ผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เกม "ง่าย" ไปซะหน่อย ส่วนหนึ่งเพราะเกมจะปรับระดับความยากให้เทียบเท่ากับระดับ Easy โดยอัตโนมัติเมื่อเราเลือกเล่นในโหมดนี้ ทำให้ความรู้สึกดุเดือดเลือดพล่านของเกมหดหายไปอย่างมาก เพราะเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการป้องกันหรือหลบหลีกการโจมตีอีกต่อไป นอกจากการต่อสู้และพัฒนาตัวละคร เกมยังมี Minigame ต่างๆ ให้เล่นกัน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเกมคลาสสิคจากภาคเก่าด้วย เช่นการขี่มอเตอร์ไซค์ หรือการเต้นใน Honeybee Bee Inn ซึ่งก็เป็นกิจกรรมสนุกๆ เล็กน้อยให้ผู้เล่นได้ทำเพื่อเพิ่มมิติให้กับเกมเพลย์ จะได้ไม่ซ้ำซากเกินไป แฟนๆ ของเกมภาคดั้งเดิมอาจจะรู้สึกตื่นเต้นกับมินิเกมฉบับปรับปรุงใหม่เหล่านี้เป็นพิเศษ ถ้าจะพูดถึงจุดอ่อนของเกมเพลย์ คงเป็นเรื่องที่เกมไม่ค่อยมีความลับหรือเนื้อหาแบบ Endgame ให้ทำหลังเล่นจบเนื้อเรื่องเลย โดยนอกจากระบบ Chapter Select ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ การเล่นจบเนื้อเรื่องจะปลดล๊อคระดับความยาก Hard ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถตามหา Summon Materia เพื่อเรียกสัตว์อสูรที่หาได้เฉพาะในระดับ Hard เท่านั้น แต่ในเมื่อผู้เล่นเล่นเนื้อเรื่องจบแล้ว และเกมก็ไม่ได้มีบอสหรือดันเจี้ยนลับให้พิชิตหลังจบเกม ของรางวัลต่างๆ ที่ปลดล๊อคในระดับ Hard จึงรู้สึกไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่สำหรับผู้เขียน นอกจากเป็นของเอาใจแฟนเกม ด้วยการอวด Summon เท่ๆ มากกว่า ◊ กราฟฟิค/การนำเสนอ ◊ แม้ว่าเกม FF7R จะไม่ได้เปิดให้ผู้เล่นสำรวจมหานคร Midgar อย่างลึกซึ้งเท่าที่ผู้เขียนคาดหวังไว้ แต่ต้องกล่าวชมจริงๆ ว่าพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ในเกมนั้นทำออกมาได้ละเอียดละเมียดละไมเป็นอย่างยิ่ง แต่ละพื้นที่ของเกมมีกลิ่นไอที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่สื่อถึงความเป็นอยู่และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันของชาวเมือง Midgar เขตต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความซอมซ่อแต่มีชีวิตชีวาของสลัมเขต 7 (Sector 7 Slums) ไปจนถึงแสงสีที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของ Wallmarket เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ช่วงเวลาเล็กๆ ที่เกมใช้ในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่ผู้เล่นจะได้เห็นการปฏิสัมพันธ์น่ารักๆ ระหว่างตัวละคร น่าจดจำกว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ของเนื้อเรื่อง ที่มักจะเกิดขึ้นในโรงงานหรือดันเจี้ยนมืดๆ แคบๆ นอกจากนี้ เกมมีปัญหาเรื่องกราฟฟิคพื้นผิว ที่โหลดตามเกมไม่ทันบ้างบางครั้ง (เช่นเวลาหันกล้องเร็วๆ) แต่ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไร และแทบดูไม่ออกเลยในดันเจี้ยน อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้กับเกมได้เป็นอย่างดี คือเรื่องเสียงพากย์และสีหน้าท่าทางของตัวละคร ซึ่งถือว่าท๊อปฟอร์มเลยสำหรับเกมของ Square Enix ในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการขยับปากของตัวละคร ที่ดูแปลกๆ ไม่ตรงคำพูดอยู่บ่อยครั้ง หรือท่าทีกิริยาของตัวละครบางตัว ที่มีความเป็นอนิเมะสูงมาก จนบางทีก็ทำให้อารมณ์หลุดจากเกมเหมือนกัน (ไม่รู้ว่าถ้าเล่นเสียงญี่ปุ่นจะมีปัญหาพวกนี้ไหม) แต่โดยรวมๆ แล้วตัวละครทุกตัวของเกม FF7R ก็ถือเป็นสีสันหลักของเกมอย่างแน่นอน ในเรื่องของเพลงประกอบ ต้องบอกว่าเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดี แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนจะแอบชอบเพลงแบบต้นฉบับมากกว่า แต่เพลงเวอร์ชั่นรีมิกซ์ต่างๆ ของภาคใหม่ก็ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมได้ดี แม้ว่าจะมีปัญหาเล็กน้อยที่ความดัง เพราะในหลายฉากผู้เขียนรู้สึกว่าเกมเร่งเสียงเพลงขึ้นมาดังมาก จนแทบจะฟังเสียงพูดของตัวละครไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ นอกจากนี้ เกมยังมีบั๊คในระบบการคำนวนตำแหน่งเสียง ที่ทำให้เสียงพูดของตัวละครบางครั้งฟังดูแผ่วๆ เหมือนพูดมาจากระยะไกล ทั้งที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน หรือบางทีก็ตัดเข้าออกระหว่างระยะใกล้-ไกลกลางประโยคเลยก็มี ซึ่งจุดนี้ทำให้ฟังบทสนทนาไม่ออกบ่อยๆ (ยังดีอ่านซับได้) และทำให้อรรถรสของเกมเสียไปเล็กน้อยเวลาที่เกิดขึ้น ◊ สรุป ◊ แม้จะไม่ใช่เกมที่หลายคนคาดหวังจะได้เห็น แต่ในฐานะคนที่ไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งกับเกมต้นฉบับ ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากว่า FF7R เป็นเกม JRPG ที่สนุกเกมหนึ่ง ด้วยระบบการต่อสู้และพัฒนาตัวละครที่น่าสนใจ รวมไปถึงเหล่าตัวละครเอก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ เหมือนเป็นการตอกย้ำตัวเองว่าทำไมเกม Final Fantasy VII จึงเป็นที่รักของเกมเมอร์ได้ขนาดนี้ ถึงเกมจะมีข้อบกพร่องพอสมควรในหลายๆ ด้าน ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นเหตุมาจากการที่เกมไม่สามารถฉีกไปจากเนื้อเรื่องเดิมได้ก็ตาม สิ่งที่ไม่ได้พูดถึงมากนักในรีวิวนี้คือช่วงตอนจบของเกม ที่ไม่อยากสปอยมาก เพราะเชื่อว่าน่าจะเหนือความคาดหมายของทุกคน และทำให้อนาคตของซีรี่ส์ Final Fantasy VII Remake น่าตื่นเต้นขึ้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว แล้วรออ่านบทวิเคราะห์ตอนจบของเกมได้ทาง GameFever ต่อไปจ้าาาา! [penci_review id="49621"]
08 Apr 2020
รีวิวเกม The Curse of Zigoris "เกมอินดี้ตะลุยด่านน่าเล่น ที่แอบอยู่ในมุมของ Steam"
เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายต่างรู้จักโปรแกรมที่ชื่อว่า Steam กันอยู่แล้ว เป็นร้านค้าที่มีเกมหลากหลายค่าย ทั้งเกมใหญ่ เกมเล็ก รวมไปถึงเกมอินดี้ และเพราะมีเกมค่ายใหญ่เยอะมากจนทำให้เกมอินดี้หลายๆเกมโดนแย่งความสนใจแล้วถูกแอบไว้ในมุมร้านค้า บางเกมแทบไม่รู้เลยว่าเคยมีตัวตน วันนี้ GameFever TH จะพารู้จักกับเกมอินดี้เกมหนึ่งที่น่าสนใจ (และถ้าไม่ค้นหากันจริงจังก็คงไม่เจอแน่ๆ) กับเกม “The Curse of Zigoris” เนื้อเรื่องและบรรยากาศ The Curse of Zigoris เป็นเกมแนว 2D action adventure platformer (ตะลุยด่าน) เราจะได้รับบทเป็น Eva เอฟล์สาวที่อยู่ๆ หมู่บ้านของเธอก็ถูกทำลายโดยคำสาปของ Zigoris และเธอก็เป็นคนเดียวที่รอดจากคำสาปนั้น เธอจึงออกเดินทางไปจัดการกับ Zigoris เพื่อคลายคำสาปนั้น นับเป็นเนื้อเรื่องที่แสนคลาสิก และเป็นสูตรสำเร็จ (อารมณ์ผู้กล้าปราบจอมมาร) แต่ก็ไม่ต้องสนใจเนื้อเรื่องมากเท่าไร เพราะมีก็เหมือนไม่มี มีพอให้มีเหตุผลว่าทำไมต้องเดินทางผ่านด่าน ส่วนภาพและบรรยากาศ ทำออกมาได้คลาสิกสุดๆ ใช้ภาพแนว Pixel art และใช้เสียงประกอบแบบเกม RPG (เหมือนจะเป็นเสียงที่เปิดให้ใช้ฟรี) ซึ่งเข้ากับภาพได้ดี ทำให้นึกถึงเกมตะลุยด่านเก่าๆ  ระบบเกมและภาพรวม มาพูดถึงระบบการเล่น โดยเกมนี้จะเป็นออกเป็นด่านๆ แต่ละด่านจะยาวพอสมควรและมีศัตรู/กับดักเต็มไปหมด เป้าหมายของเกมมีแค่วิ่งไปถึงปลายทางของด่าน แต่อย่าคิดว่าเกมนี้จะง่ายๆ เพราะตัวเราตายง่ายมาก โดนโจมตี โดนกับดักไม่กี่ทีก็ตาย แถมถ้าเราตาย ไม่ว่าจะหัวใจหมดหรือตกเหว เราจะถูกส่งไปที่จุดเริ่มต้นของด่านทันที (ไม่มี save ระหว่างทาง) และแน่นอนว่าเราจะตายซ้ำตายซาก เพื่อเรียนรู้ว่าจะเดินทางยังไงให้รอดไปถึงอีกฝั่ง แต่ถึงเราจะตาย อย่างน้อยเงินและค่าประสบการณ์ที่เราเก็บมาจะไม่หายไปไหน โดยเราสามารถเอาค่าประสบการณ์มาอัพ Skill เพื่อให้เราเก่งขึ้นได้ (เป็น Skill ติดตัว ไม่หายไปไหน อัพได้ที่โต๊ะสีดำ) และเงินเราสามารถเอาไปซื้อของที่ร้านค้าได้ เช่น หัวใจ ยามานา เพิ่มพลังดาบ เพิ่มพลังเวทย์ได้ (แต่ของที่ซื้อมาจะใช้ได้แค่ในด่านนั้นเท่านั้น ขึ้นด่านใหม่ก็หายไป) ซึ่งร้านค้าจะอยู่ประมาณกลางด่าน จะเรียกเป็น Save zone ก็ว่าได้ มาพูดถึงข้อเสียกัน เกมนี้เสียงดังมาก แต่ก็ปรับ Option อะไรไม่ได้เลย นอกจากปรับปุ่มการเล่น  ต่อมาการโจมตีของศัตรูไม่ค่อยแน่นอนเท่าไร ปกติเวลาเราโจมตี ศัตรูจะชะงักจนศัตรูหยุดโจมตี แต่บางครั้งก็ไม่ชะงัก ทำให้เราโดนโจมตีโดยไม่จำเป็น แถมการวางศัตรู/กับดัก บางครั้งก็วางแบบว่ายังไงก็โดน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านด่านโดยไม่เจ็บตัว และสุดท้ายเราไม่สามารถมองพื้นที่ที่อยู่ข้างล่างเราได้ ทำให้เราไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรอยู่ อาจทำให้เราเจ็บตัวหรือไม่ก็ตายได้เลย ความรู้สึกหลังเล่น บอกตามตรง ที่หาเกมนี้เจอเพราะเบื่อๆจนไปค้นร้านค้า Steam เล่นและหลงไปเจอ (5555+) ตอนแรกก็ไม่ได้หวังอะไรกับเกมนี้มาก คงคิดว่าเป็นเกมตะลุยด่านเฉยๆ กะเล่นแก้เบื่อ และราคาก็ไม่แพง แต่พอเล่น บอกเลยว่า หัวร้อนพอสมควรเลย มันยากเพราะมอนเตอร์เยอะ กับดักก็เยอะ แถมเราตายง่ายมาก ก็นั่งเล่นไปพักใหญ่เลย แต่พอผ่านก็ดีใจนิดๆ และก็ต้องมานั่งเครียดกับด่านใหม่อีก (- -*)  สรุป The Curse of Zigoris เป็นเกมแนวตะลุยด่านที่สนุก เล่นง่าย และท้าทายพอสมควรเลย แถมราคาก็จับต้องได้ เหมาะกับผู้เล่นทุกแนว แต่ก็เป็นเกมที่เราตายบ่อยมาก ต้องใช้ความอดทนในระดับหนึ่ง ไม่งั้นอาจจะหัวร้อนจนเล่นเกมนี้ไม่จบก็ได้ link : https://store.steampowered.com/app/1249290/The_Curse_of_Zigoris/ [penci_review id="49122"]
07 Apr 2020
รีวิว Resident Evil 3 Remake สยองขวัญเหมือนเดิม แต่กินง่ายไปหน่อย
เปิดมาอย่างเซอร์ไพรส์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วสำหรับ Resident Evil 3 Remake ทำให้หลายๆ คนเฝ้ารอกันเป็นอย่างมาก เพราะหนึ่งในศัตรูที่น่าจดจำที่สุดของซีรีส์นี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าอาวุธชีวภาพอย่าง Nemesis ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดในการไล่ล่าตัวละครหลักทั้งเกม บวกกับคอสตูมเกาะอกฟ้าของตัวเอกอย่าง Jill Valentine (จิล) ที่กระแทกใจหนุ่มๆ สมัยนั้นมาแล้ว และจากประสบการณ์ในวัยเด็ก Resident Evil ภาคนี้น่าจะเป็นภาคที่ทำให้ชาวไทยได้รู้จักซีรีส์นี้กันแบบเต็มตัวอีกด้วย ซึ่งหลังจากที่เกมวางจำหน่ายมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2020 ทางเรา GameFever TH ได้ไปเล่นเกมนี้มาแล้วครับและจะมารีวิวให้ทุกท่านได้อ่านกันว่ามันยังจะเป็นเกม Remake ยอดเยี่ยมเหมือนที่เคยทำไว้ใน Resident Evil 2 Remake หรือไม่ ไปชมกันเลยครับ เนื้อเรื่อง อย่างที่ทราบว่าในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของ Resident Evil 1 อย่าง Jill Valentine (จิล) โดยภาคนี้ดำเนินเรื่องราว 3 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ในภาคแรก ตัวเธอก็ยังใช้ชีวิตเป็นตำรวจหน่วย S.T.A.R.S ของเมือง Raccoon City เช่นเดิม และสืบหาความจริงของบริษัท Umbralla ต่อไป และในตอนนี้ตัวเมืองเองก็เกิดเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดเสียแล้ว ซึ่งจิลเองก็ได้วางแผนที่อยากจะหนีออกจากเมืองนี้ไปให้ได้ แต่ทันใดนั้นก็มีอาวุธชีวภาพอย่าง Nemesis เข้ามาทำร้ายเธอที่ห้องพัก และเหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มขึ้น !! ซึ่งใน Resident Evil 3 Remake เนื้อเรื่องของเกมเวอร์ชั่นนี้จะมีโครงเรื่องที่เหมือนกันกับเวอร์ชั่นปี 1999 อยู่ เพียงแต่การนำเสนอ หรือการดำเนินเรื่องราวอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่มากพอสมควร แต่โดยรวมนั้นก็ยังเป็นเนื้อเรื่องเส้นเดียวกันอยู่ดี และใครที่เคยเล่นภาคเก่ามาท่านก็น่าจะทราบว่าเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ มันเหมือนเป็นการขยายโครงเนื้อเรื่องหลักในภาคสอง และเพิ่มเนื้อเรื่องเสริมที่ทำให้เราเห็นบทสรุปความพินาศของเมืองนี้เยอะขึ้นเสียมากกว่า ตัวเนื้อเรื่องต้องยอมรับว่ามันก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากมายมีดราม่าเท่ากับ Resident Evil 2 เท่าไร ตัวเกมภาคนี้จะเป็นการดำเนินเรื่องในการพยายามหนีออกจากเมืองของจิลอย่างเดียว แต่มันก็ยังมีสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้ว้าวอยู่บ้างอาทิเช่นการใส่ Easter Egg เชื่อมโยงบางอย่างระหว่าง Resident Evil 2 Remake ภาคที่แล้ว ถึงอย่างนั้นอะไรแบบนี้มันก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไรภายในเกม กราฟิก / การนำเสนอ ตัวกราฟิกของเกมนี้ก็ยังใช้ RE Engine ที่ใช้มาตั้งแต่ Resident Evil 7 และการบังคับแบบเดียวกันกับ Resident Evil 2 Remake ซึ่งเราก็คงไม่ต้องไปกังขาอะไรสำหรับความยอดเยี่ยมของมันเลย และดีมากยิ่งขึ้นสำหรับการ Optimize ที่ทำให้ตัวเกมมีความลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งส่วนตัวใช้คอมพิวเตอร์ระดับกลางๆ I5 Gen 8 กับการ์จอ GTX 1060 ก็สามารถเล่นเกมนี้แบบ High ได้เกิน 60 FPS โมเดลตัวละครเองก็อาจจะเอาซอมบี้แบบเดิมมาเปลี่ยนแปลงชุดหน่อย หรือเอาโมเดลคล้ายๆ กันมาดัดแปลงอัพเกรดมากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเลยสำหรับ Mr.X และ Nemesis ที่แอนิเมชั่นเหมือนกันเป๊ะๆ พร้อมทั้งสคริปของซอมบี้บ้างอย่างเองก็อาจจะซ้ำๆ กันในภาคที่แล้วดูเป็นงานเผาๆ บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่จุดสำคัญอะไร ส่วนในเรื่องของการนำเสนอ กลื่นอายของเกมในภาคนี้จะมีความแตกต่างจากภาคก่อนหน้าอย่าง Resident Evil 2 Remake สิ้นเชิง โดยภาคที่แล้วจะเน้นการเล่าเรื่องเชิงลึกลับและสยองขวัญมากๆ สิ่งต่างๆ ที่เราเจอจะเป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่คาดคิดตลอดเวลา ไหนจะเป็นเรื่องของปริศนาของสถานที่อย่างสถานีตํารวจ ที่มีความลับมากมายให้เราได้ค้นหาการเล่นกับความมึดและความเก่าที่ทำได้อย่างดีงาม แต่ในภาคล่าสุดนี้ !! เนื่องจากตัวเนื้อเรื่องที่ตัวเอกค่อนข้างช่ำชองพวกซอมบี้แล้ว รวมถึงโลเคชั่นภายในเกมเองส่วนใหญ่อยู่แต่บนถนน ทำให้ความน่ากลัวนั้นน้อยลงไปเยอะ การเล่นกับความมึดก็ทำได้ไม่เท่าเดิมเนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่ มันเลยทำให้เกมภาคนี้จึงไปเน้นอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาทดแทน นั่นคือความ ชุลมุน ของเหตุการณ์อันวุ่นวายภายในเมือง ความสมเหตุสมผลของโลเคชั่นที่มันไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในสถานีตํารวจ ทำให้ฝูงซอมบี้เองก็มีมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความโกลาหลมากขึ้นอีก ไหนจะเป็นการไล่ล่าของ Nemesis ที่เราจะต้องซัดกับมันทั้งเกม ในภาคนี้จะเป็นเกมสยองขวัญที่จะกลิ่นอายความเป็นแอคชั่นที่มากขึ้นกว่าเดิม โดยหลายๆ คนก็อาจจะคิดว่าภาคนี้มันไม่ค่อยน่ากลัวและสยองขวัญเท่ากับภาคก่อนหน้าเลย ส่วนตัวผมนั้นสามารถหาข้อแก้ต่างให้กับผู้พัฒนาได้นะ ก็เพราะว่า Resident Evil ในสมัยก่อนนั้นภาพของเกมก็ยังไม่ได้มีการเล่นเฉดเงา และความมึดเหมือนดั่งภาคสมัยนี้ ความน่ากลัวของเกมมันเลยเน้นไปที่เหล่าซอมบี้สุดโหดพื้น, บรรยากาศความเงียบ และพื้นที่แคบๆ เสียมากกว่า และเรื่องของมุมกล้องเองที่เปลี่ยนมาเป็นมุมมองบุคคลที่สาม มันเลยทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ บวกกับในภาคสองที่ทางเดินมันจะเป็นทางแคบๆ ชวนรู้สึกน่าอึดอัดมากกว่าภาคสามที่ต่อให้ทางเดินจะกว้างพอๆ กัน แต่มันกลับมีวิวทิวทัศน์ที่ค่อนข้างมองให้เห็นไกลกว่ามาก !! "ถ้าคุณจะต้องเจอผีซักตัว คุณว่าเจอบนกลางถนน หรือเจอในห้อง อะไรน่ากลัวกว่ากันล่ะ" เกมเพลย์ การบังคับต่างๆ ของเกมภาคนี้ มันก็จะเหมือนกับภาคที่แล้วเกือบทั้งหมด จังหวะการยิงหรือแม้กระทั่งการผสมของที่ก็ยังเอาระบบจากภาคที่แล้วมาใช้ แต่อย่างที่พูดไปก่อนหน้าว่าอารมณ์ของเกมภาคนี้จะมีความแอคชั่น และมีความชุลมุนมากขึ้น ทำให้ภายในเกมภาคนี้เราจะได้ประทะและพบเจอกับเหล่าซอมบี้บ่อยกว่าแต่ก่อน ซอมบี้จะมาโจมตีเราจากทุกที่ทุกทางด้วยจำนวนที่มากขึ้น ผู้พัฒนาจึงได้ทำการใส่จุดดรอปกระสุนให้เรามากกว่าเดิมพอสมควรเพื่อรองรับในการต่อสู้ พร้อมทั้งยังใส่เครื่องทุนแรงมาประหยัดกระสุนอย่างมีดที่ภายในภาคนี้จะสามารถใช้ฟันศัตรูได้อย่างไม่จำกัด ผิดจากภาคที่แล้วเป็นเพียงแค่เอาไว้ป้องกันศัตรูจากการโจมตีอย่างเดียว และไอ้ระบบมีดที่เปลี่ยนใหม่นี่แหละมันกลับทำให้เราประหยัดกระสุนมากขึ้น เพราะในภาคที่แล้วเวลาเรายิงซอมบี้ล้มเราจะต้องยิงใส่มันเพื่อเช็คอีกครั้งว่าตายหรือไม่ ซึ่งมันค่อนข้างเปลืองกระสุนมาก แต่ในภาคนี้เวลายิงศัตรูล้อมคุณก็อาจจะเอามีดไปฟันมันตอนล้มได้ไม่เปลืองกระสุน ไหนจะเป็นการทุ่นแรง ที่ตามแผนที่มักจะมีระเบิดให้เก็บบ่อย หรือถังน้ำมันที่สามารถเอาไว้ยิงให้มันระเบิดใส่ซอมบี้ก็ได้ รวมถึงระบบ Dodge ที่ถ้าหากว่าคุณกดให้ตรงจังหวะ มันจะทำให้เราสามารถหลบการโจมตีของศัตรูได้ทันที ซึ่งระบบนี้สามารถกดได้แบบไม่มีหลอด Stamina มากวนใจเหมือนเกมอื่นๆ จึงสามารถใช้ได้ไม่จำกัดเลยทีเดียว ใครที่ชำนาญมันจะทำให้เราค่อนข้าง Over Power มากๆ หลบได้แม้กระทั่ง Nemesis เลยทีเดียว มาพูดถึงเจ้าตัว Nemesis กันหน่อยดิกว่า ซึ่งส่วนตัวได้เคยลองเล่นใน Demo มาแล้วรู้สึกประทับใจกับมันมากพอสมควร เพราะอย่างไปกล่าวไปว่าเกมนี้ค่อนข้างทำให้ตัวเรามีความสามารถมากไปหน่อย ทั้งการหลบหลีก กระสุนมีให้เก็บเยอะ ปืนดีๆ ก็หาง่ายในช่วงต้นเกม การมีเจ้า Nemesis เข้ามามันช่วยลดทอนความเก่งกาจของเราได้ดีนักเชียว เพราะมันวิ่งเร็ว, กระโดดดักหน้า, ดึงให้ล้ม และ มาแบบไม่พัก ต่อให้คุณสำรองเลือดยังไงก็จะหมดไปกับมันแน่นอน แต่พอได้เล่นตัวเกมเต็ม ส่วนตัวกลับรู้สึกผิดหวังเข้าขั้นรุนแรงเลยทีเดียว โอเคว่าความสามารถของ Nemesis ที่เราเจอจะเก่งมากโดยเถียงไม่ได้ แต่การปรากฏของศัตรูตัวนี้ในแต่ละครั้งจะเป็นสคริปแทบทั้งหมด ไม่มีการสุ่มปรากฏเหมือนที่เคยเจอกับ Mr.X เลยซักนิด ใครที่เล่นเกมนี้จบเพียงครั้งเดียวท่านก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอาวุธชีวภาพตัวนี้จะออกมาเมื่อไร ซึ่งมันค่อนข้างหน้าผิดหวังนะ เพราะมันทำให้ความตื่นเต้นและความรู้สึกกลัวเจ้าศัตรูตัวนี้ลดลงไปแทบทั้งหมด ถึงแม้ว่าเราจะพยายามชาเลนซ์ตัวเองฆ่ามันให้ได้ (ในด่านแรกๆ ) แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหล่ะ เพราะมันก็จะไม่เกิดมาใหม่อีกแล้วจนกว่าจะเข้าสคริปต่อไป ไม่เหมือน Mr. X ที่พอฆ่ามันเสร็จ เดี๋ยวอีกซักพักมันก็กลับมาได้ มันน่าตื่นเต้นตรงไหน และการที่เกมนี้มันมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับตัวละครเยอะจนเกินไป มันก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อเหมือนกันนะ ถ้าคุณเล่นไปซักพักคุณจะรู้ได้เลยว่ากระสุนต่างๆ ของเกม จะมีเพียงพอสำหรับซอมบี้และอสูรกายทุกตัวเสมอ ถ้าคุณบังเอิญไปเจอกระสุนให้เก็บเยอะก็เดาได้เลยว่าเหตุการณ์ข้างหน้าอีกไม่ไกล คุณจะเจอกับฝูงซอมบี้, ซอมบี้ตัวใหม่ ไม่ก็บอสแน่นอน บางทีมีไอเท็มและปืนที่ใช้ปราบศัตรูตัวนั้นก่อนที่จะเจอมันไม่ถึง 1 นาทีก็มี รวมถึงกระสุนที่มีให้พร้อมยิงตายแน่นอนไม่ต้องหนีขอแค่ยิงให้โดนนะ รวมถึงปริศนาภายในเกมที่ทำออกมาได้น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ปริศนาของเกมนี้จะไม่ใช่การไขกลไกต่างๆ เหมือนภาคก่อนหน้าแล้ว แต่จะเป็นการหาไอเท็มมาเพื่อใช้ในสิ่งๆ หนึ่งเท่านั้น มันเลยไม่ทำให้เราต้องคิด วิเคราะห์ใดๆ ทั้งนั้น เพียงแค่คุณหาไอเท็มให้เจอและก็ไปปลดล็อคมันซะ ซึ่งถ้าให้พูดเชิงความสมเหตุสมผลมันก็พอแก้ตัวได้บ้างเพราะในภาคนี้เราจะได้อยู่นอกอาคารไม่เหมือนกับภาคก่อนหน้าที่เขาปูมาเลยว่าสถานีตํารวจเป็นพิพิธภัณฑ์เก่า เลยทำให้กลไกมันเยอะ แต่มันก็มีฉากที่อยู่ในห้องแลปเหมือนกัน แต่ทำไมไอเดียปริศนาของภาคที่แล้วกลับดูเจ๋งกว่าหลายเท่าตัว ยกตัวอย่างไอเดียปริศนาเปิดสวิชไฟด้วยชนวนหมากรุกที่เราจะต้องไขปริศนาจากคำใบ้ หรือแม้กระทั่งการหาคลื่นเสียงเพื่อเปิดไฟ ซึ่งภาคก่อนหน้าทำได้ดีมาก แต่ในภาคนี้ทำเพียงแค่การหาของให้ครบภายในอาคารและก็เอาไปปลดล็อคแค่นั้น ในประเด็นนี้ผิดหวังอย่างแรง !! สรุป Resident Evil 3 Remake เป็นเกมที่พยายามทำให้มันมีความแตกต่างกับเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Resident Evil 2 Remake อย่างสิ้นเชิงถึงแม้ว่าจะมีเกมการเล่นที่คล้ายกัน โดยกลิ่นอายในภาคนี้จะมีความสยองขวัญที่ดูมีความชุลมุนมากขึ้นในเรื่องของจำนวนซอมบี้ และความเก่งกาจของเจ้า Nemesis แต่มันก็แลกมาด้วยความเก่งกาจของตัวละครเราที่ Over Power เป็นอย่างมาก และมีเครื่องทุ่นแรงจากสิ่งต่างๆ มาช่วยเหลือที่ส่วนตัวคิดว่ามันมากเกินไป Nemesis เองก็ไม่ได้ทำให้เรามีความรู้สึกกลัวมันเลยแม้แต่ครั้งเดียวสำหรับผู้เขียน เพราะเรารู้แน่นอนว่ามันจะมาตอนไหนซีนไหน ทำให้คุณมีเวลาฟาร์มของหาปริศนาปลดล็อคสิ่งเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ต้องกลัวอะไรเลย ผิดกับ Mr. X ในภาคก่อนหน้าที่เราแค่ได้ยินเสียงฝีเท้ามันก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว ส่วนการลดทอนระบบปริศนาให้มันง่ายกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะพวกเขาอยากให้คนรุ่นใหม่สามารถจับต้องมันมากขึ้นก็ได้ ส่วนตัวเองไม่ค่อยชอบในเรื่องนี้เสียเท่าไร เพราะปริศนาใน Resident Evil 2 Remake ค่อนข้างทำได้กลมกล่อมแล้ว ถึงอย่างนั้นผู้เขียนเองก็เข้าใจในประเด็นนี้นะ เพราะมันก็มีผู้เล่นหลายๆ คนเองก็ไม่ชอบปริศนายากๆ อยู่จำนวนหนึ่งเหมือนกัน และการนำเสนอที่แตกต่างจากภาคที่แล้วเองก็เป็นไอเดียที่ค่อนข้างดี แต่เอาจริงๆ มันยังขาดการขัดเกลาที่มากกว่านี้ เพราะภาคก่อนหน้าทำไว้ดีมากๆ ภาคนี้มันจึงถูกเปรียบเทียบเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้ว่าเกมภาคนี้จะมีหลายๆ สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบค่อนข้างเยอะ โดยรวม Resident Evil 3 เองก็ถือว่ามันเป็นเกมที่สนุกมากๆ เกมหนึ่ง ยังไงซะการเล่นครั้งแรกความตื่นเต้นต่างๆ มันมาเต็มอยู่แล้ว คุณสามารถสนุกกับมันแบบเล่นรวดเดียวจบได้ทันที แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากการที่ซีรีส์ Resident Evil ช่วงสามสี่ปีมานี้ มันเป็นเกมที่มีคนกลับมาคาดหวังอีกครั้ง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ ให้มัน Hardcore เพื่อรองรับผู้เล่นดั้งเดิมมากขึ้น แต่พอภาคนี้มันเบาลง เลยทำให้ผิดหวังอยู่หน่อยๆ [penci_review id="49508"]
07 Apr 2020
ความรู้สึกหลังเล่น Resident Evil Resistance [OBT] บอกได้ว่าน่าผิดหวัง
Open Beta ให้ทดลองเล่นกันแล้วสำหรับ Resident Evil Resistance เกมแนว Survival Multiplayer 4v1 ที่เปิดตัวได้อย่างน่าสนใจเมื่อปีที่แล้ว กับการที่เราจะได้จับมือไปกับเพื่อนๆ 4 คนตะลุยฝ่าเหล่าซอมบี้ที่กรูหน้าเขามา หรือจะเป็นอีกฝั่งที่จะคอยขัดขวางและเสกเหล่าซอมบี้มาจัดการคนให้สิ้นซาก แต่ถ้าให้พูดตามตรง จากที่ได้เข้าไปสัมผัสเกมนี้มาในช่วง Open Beta บอกเลยว่า Resident Evil Resistance ให้ได้ประสบการณ์ที่ย่ำแย่ในการเล่นสำหรับตัวผู้เขียนเป็นอย่างมาก และรู้สึกผิดหวังสำหรับตัวเกมที่เหมือนจะยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ซึ่งเรา GameFever TH จะมาเล่าถึงประสบการณ์นี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ อย่างที่กล่าวไปในตอนแรกว่าเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ซึ่งจะแบ่งเป็น Survivor ผู้เล่น 4 คน และ Mastermind ผู้เล่น 1 คนที่เป็นฝ่ายซอมบี้ โดยทั้งสองฝ่ายจะมีเกมการเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง Survivor ฝ่ายนี้เราจะได้เล่นเป็นผู้รอดชีวิตที่เรามาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เรากับเพื่อนๆ จะต้องฝ่าฟันเพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ภายในเวลาที่จำกัดให้ได้ โดยเหล่าผู้รอดชีวิตจะต้องทำภารกิจคือการหากุญแจเพื่อปลดล็อกประตูและไปยันโซนต่างๆ จนกว่าจะออกจากตึก  ซึ่งศัตรูก็คือ Mastermind ผู้เล่นอีกฝั่งที่จะเสกซอมบี้มาไล่ฆ่าเรา และการเล่นแต่ละครั้งจุดดรอปของภารกิจ ก็จะแตกต่างกันไป และการเล่นของฝ่ายนี้จะต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมสูง ซึ่งในระหว่างการเล่นเราตัวเกมก็จะมีระบบเงินที่เราจะสามารถซื้อปืนที่มีทั้งปืนพก, ปืนกล, สมุนไพรเพิ่มเลือด หรือกล่องซ่อมของต่างๆ  รวมถึงฝ่ายนี้ถึงแม้ว่าจะโดนจัดการได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราตาย เพียงแต่แค่จำทำให้ล้มและรอเวลาเกิดใหม่เท่านั้น และเหล่าผู้รอดชีวิตเองก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกัน บางคนฮิลได้ บางคนมีสกิลต่อยแรง Mastermind ในฝั่งนี้เราจะได้เป็นผู้เล่นฝ่ายโกงที่จะดูเหล่า Survivor ผ่านกล้องวงจรปิดต่างๆ และคอยเสกซอมบี้มายื้อเวลาไม่ให้อีกฝ่ายสามารถออกจากตึกได้ก่อนเวลาที่กำหนด โดยการเสกซอมบี้ก็จะขึ้นอยู่กับค่า Stamina ซึ่งซอมบี้แต่ละตัวก็จะใช้เยอะน้อยไม่เท่ากัน และเราเองก็ยังสามารถกดเข้าไปควบคุมซอมบี้ที่เราเสกมาได้บางตัว หรือจะสามารถวางกับดักระเบิดเพื่อลดเลือดศัตรู ไม่ก็วางกับดักจับขาและเสกซอมบี้มาลุมหรือเสกปืนกลมายิงก็ได้ และที่พิเศษคือสกิล Ultimate ที่เราจะสามารถเรียกซอมบี้ระดับโหดสุดลงมาจัดการได้ ซึ่งในตอนนี้ตัวละครที่เปิดให้เล่นคือ Mr.X บอสตัวร้ายจาก Resident Evil 2 นั่นเอง  แถมฝั่ง Mastermind ยังสามารถเป็นคนกำหนดจุดดรอปของกุญแจหรือจุดไอเท็มต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับความชำนาญในการป้องกันได้ ************ ดูจากภายนอกส่วนตัวก็ค่อนข้างชื่นชอบไอเดียของตัวเกมนะครับสำหรับเกมการเล่นที่ดูเข้าถึงง่าย และมีความแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฝั่ง Mastermind ที่แต่ละรอบเราจะมีไอเดียและความแตกต่างในการเล่นที่ค่อนข้างต่างกันมากพอสมควร เพราะเราจะต้องแก้สถานการณ์เบื้องหน้าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการเล่นฝั่งนี้ส่วนตัวก็ต้องยอมรับว่ามันสนุกอยู่มากพอสมควร และเราก็สามารถหาไอเดียแปลกๆ เพื่อมาขัดขวางเหล่าผู้เล่นได้เยอะมาก อาทิเช่นการเอาซอมบี้ไปดักหน้าประตู เวลาเหล่า Survivor พังประตูมาก็จะโดนกัดพอดี หรือไม่เราอาจจะวางกับดักระเบิดไว้ตามจุดซอกมุมต่างๆ พอศัตรูเดินผ่านก็กดระเบิดไปเลย ซึ่งค่อนข้างสนุก แต่ความสนุกนั้นดูเหมือนมันจะตกอยู่ในฝั่ง Mastermind เป็นอย่างเดียว เพราะว่าฝั่งของ Survivor นั้นกลับเป็นฝั่งที่ค่อนข้างเล่นยากและเสียเปรียบมากๆ ในตอนนี้ เพราะตัวเกมอาศัยการเล่นเป็นทีมเวิร์คสูงมาก เราจะต้องสื่อสารและเล่นเป็นทีมให้ได้ถ้าคุณอยากชนะ การเดินดุ่มๆ ไปคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้เล่นแต่ละคนค่อนข้างมีหลอดเลือดที่น้อยมากๆ โดนศัตรูกัดสองสามทีก็ตายแล้ว แต่ถ้าหากมีเพื่อนเล่นด้วยกันก็อาจจะทำให้สามารถช่วยยิงศัตรูเวลาโดนจับได้ ซึ่งมันฟังเหมือนจะดูดี แต่มันยากมากๆ สำหรับผู้เล่นที่จะทำงานกันเป็นทีม เพราะแต่ละครั้งเราก็จะเจอคนที่เข้าใจเกมไม่เท่ากันไป บางคนเล่นเป็นทีมชอบสื่อสาร บาคนก็เล่นตามใจตัวเอง เอาจริงๆ ปกติแล้วก็ไม่ใช่ผู้เล่นทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอำที่จะชอบสื่อสาร ทำให้พอ Match Making เจอผู้เล่นที่ไม่เข้าขามากๆ อาจจะทำให้เซ็งและเบื่อง่าย พร้อมทั้งรูปแบบการเล่นของฝั่ง Survivor เองก็ค่อนข้างเดิมๆ ถึงแม้ว่าจุดหากุญแจจะแตกต่างกันไปในแต่ละรอบ เพราะขึ้นอยู่ว่าฝั่ง Mastermind จะจัดด่านยังไง แต่กลไกการเล่นกลับเหมือนเดิม คือหากุญแจและปลดล็อกด่านต่อไป ไม่ได้มีความท้าทายต้องจุ๊กผีเหมือนเกมอื่นๆ ฟิลลิงความน่ากลัวแทบไม่มี กลายเป็นเกมยิงผีง่อยๆ เท่านั้น และที่รับไม่ได้คือความกระด้างของแอนิเมชั่นที่ค่อนข้างขยับได้ลำบาก ซึ่งมันเป็นเพราะ Engine ตัวนี้ถูกดีไซน์มาเพื่อเกม Single Player เสียมากกว่า พอเวลาเจอศัตรูที่เป็นคนบังคับ และด้วยความโกงของตัวละครอย่าง Mr. X มันเลยทำให้การเล่นของฝ่ายมนุษย์นั้นยากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ความสมดุลย์ของเกมนี้ค่อนข้างเอนเอียงไปฝ่าย Mastermind เป็นอย่างมาก หาได้ยากเลยสำหรับการเล่นฝ่าย Survivor ที่จะมีความเป็นทีมเวิร์ค  และต่อให้คุณมีเพื่อนเล่นด้วย ผู้เขียนเองก็มั่นใจว่าคุณก็คงอยู่กับเกมนี้ได้ไม่นานเนื่องจากความซ้ำซาก และความตื่นเต้นที่ค่อนข้างน้อย บวกกับการดีไซน์อารมณ์ร่วมที่มันค่อนข้างทื่อเป็นอย่างมากเช่นการที่ทำให้เหล่าซอมบี้เลือดน้อยกว่าปกติ แต่เน้นจำนวนมากและตีแรงแทน มันเลยทำให้การเล่นของเหล่า Survivor ดูชุลมุนวุ่นวายสุดๆ ไหนจะต้องระวังระเบิดอีกกลายเป็นเกมแอคชั่นเลย จริงๆ ปัญหานี้มันก็ส่งผลต่อ Mastermind ด้วย เพราะเวลาบังคับเหล่าซอมบี้ธรรมดา การที่ซอมบี้มันเลือดน้อยเราก็แทบจะไม่สามารถเขาถึงตัวศัตรูได้ง่ายๆ เลย แต่ถ้าให้ลองคิดเล่นๆ ดูถ้าหากลองดีไซน์ให้ซอมบี้อัดขึ้นหน่อย แต่ทำให้ Mastermind เสกศัตรูได้ช้าลงหน่อย มันอาจจะทำให้เกมมีสปีดที่ช้าลง และถ้าสร้างบรรยากาศดีๆ อาจจะทำให้ตัวเกมมีความน่ากลัวมากขึ้นด้วย ต้องบอกเลยว่า Resident Evil Resistance อาจจะเป็นเกมที่จะต้องพัฒนาไปอีกซักพักเลยทีเดียว ต้องปรับสมดุลย์อะไรหลายๆ อย่างให้มันน่าเล่นทั้งสองฝ่ายมากขึ้น หรือสร้างกลไกต่างๆ ให้คนติดพันมากขึ้นไม่งั้นเกมนี้ก็อาจจะเป็นเกมที่เปิดมาได้แปปเดียวและจะร้างไปในปริยาย ถือว่าเป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้ ถ้าหากคุณอยากจะซื้อเกม Resident Evil 3 Remake มาเพื่อเล่นเกมนี้โดยเฉพาะ ส่วนตัวไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกตอนนี้ - ไม่ผ่านอย่างแรง
01 Apr 2020
รีวิวเกม Assemble with Care "ความทรงจำ ที่ซ่อนอยู่ในของเก่า"
“ช่างซ่อมของเก่า” เป็นอาชีพที่คอยซ่อมแซมของที่มีอายุยาวนาน ให้กลับมาใช้งานได้หรือให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ถึงของเก่าจะดูไม่มีค่าในสายตาคนหลายๆคน จนเอาไปทิ้ง หรือปล่อยให้พังไปตามกาลเวลา แต่สำหรับบางคนแล้ว ของสิ่งนั้นอาจมีความทรงจำ หรือคุณค่าทางจิตใจ จนอยากจะเก็บรักษาเอาไว้ให้สภาพดีที่สุด วันนี้  GameFever TH จะมาติดตามเรื่องราวของ Maria ช่างซ่อมของเก่า กับเกมที่มีชื่อว่า “Assemble with Care” เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม Assemble with Care เป็นเกมแนว Casual puzzle เนื้อเรื่องเกมนี้จะเล่าถึง Maria ช่างซ่อมของเก่า เธอกำลังเดินทางไปยังเมืองต่างๆเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าๆ ระหว่างทางเธอก็ทำงานรับจ้างซ่อมของไปด้วย เธอพึ่งจะมาถึงเมือง Bellariva และเธอก็คิดว่าจะใช้เวลาในเมืองนี้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะเดินทางต่อไป เนื้อเรื่องจะเล่าผ่านงานที่ Maria ทำ มีการเล่าเหตุการณ์ก่อนซ่อม ระหว่างซ่อมและหลังซ่อมของเสร็จ และเราจะได้รู้เรื่องเกี่ยวกับของชิ้นนั้นๆ ทั้งความสำคัญ ความทรงจำ หรือปัญหาของเจ้าของของชิ้นนั้น ซึ่งเกมนี้เล่าออกมาได้ค่อนข้างดี แต่เสียได้ที่มันสั้น และมีคนที่เราได้เจอน้อยมาก ถึงเราจะได้เห็นเมือง  Bellariva แค่บางมุมเท่า แต่ภาพในเกมนี้ที่ใช้ภาพออกแนวสีน้ำ ก็ทำให้ดูสบายตา และรู้สึกได้ว่าเป็นเมืองที่สงบสุขเหลือเกิน แถมเพลงประบอกให้อารมณ์ยุคปี 80 ฟังสบายๆ เข้ากับงานภาพของเกมแบบสุดๆ  ระบบการเล่น พูดถึงระบบการเล่นเบื้องต้นของเกมนี้ ในแต่ละด่านจะมีของให้ซ่อม ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา โทรศัพท์ เครื่องเกม กล้องถ่ายรูป ฯลฯ เราสามารถถอดชิ้นส่วน/ประกอบได้ หมุนของดูรอบๆเพื่อหาจุดที่ต้องซ่อม และแน่นอนเพราะเกมนี้เราเป็นช่างซ่อม จึงไม่มีคู่มือใดๆ ต้องนั่งงมหาวิธีซ่อมกันเอาเอง เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ใช้ Common Sense กันแบบสุดๆ ถ้าคิดภาพไม่ออก ให้นึกถึงตอนที่คนที่บ้านใช้ให้เราซ่อมของบางอย่างในบ้าน ทั้งที่เราไม่มีความรู้นั้นหล่ะ มาพูดถึงข้อเสียกันดีกว่า เกมนี้ควบคุมด้วยเมาส์ยากพอสมควร เนื่องจากเกมนี้เคยเป็นเกมมือถือมาก่อน การควบคุมจึงไวเป็นพิเศษ แค่หมุนหรือลากนิดหน่อยก็ไปไกลมาก ทำให้ช่วงแรกๆอาจจะหงุดหงิดนิดหน่อย ข้อต่อมาคือเกมมีบัคที่ทำให้ด่านบางด่านเล่นจบไม่ได้อยู่ (เคยเจอ 2 ครั้ง) แต่แก้ได้โดยรีด่านนั้นใหม่ และสุดท้ายเกมนี้สั้นมาก(กกกกกกกกกกกกกกกก) ถ้าเทียบกับราคา 159 บาท เกมมีแค่ 13 ด่าน และการใช้เวลาเล่นจบแค่ 1 ชั่วโมงก็ถือว่าเกมสั้นสุดๆ แถมไม่มีคุณค่าให้เรากลับไปเล่นซ้ำ เพราะเราจะรู้ทุกว่าต้องซ่อมยังไง ความรู้สึกหลังเล่น เป็นเกมที่ภาพสวย และเพลงฟังสบายอีกเกมหนึ่ง เนื้อเรื่องก็เล่ามาได้ดีพอสมควร แถม Gameplay ก็เล่นง่าย แต่เสียดายที่เกมมันสั้นมากกกกกกกกกกก สั้นจนรู้สึกว่าไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปเลย ถ้าเกมนี้ยาวขึ้นอีกสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย สรุป Assemble with Care เป็นเกมที่เนื้อเรื่องดี ภาพสวย เพลงฟังสบาย แถม Gameplay ก็เล่นง่าย เหมาะกับผู้เล่นสาย Casual แต่เสียดายที่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว เกมนี้ใช้เวลาจบไวไปหน่อย ทำให้รู้สึกไม่ค่อยคุ้มราคาที่จ่ายไป Link : https://store.steampowered.com/app/1202900/Assemble_with_Care/ [penci_review id="48044"]
30 Mar 2020
รีวิว Doom Eternal บัลเล่ต์แห่งความตาย ศิลปะแห่งการทำลายล้าง
หมายเหตุ : บทความรีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นหลังจากใช้เวลาเล่น Doom Eternal ระบบพีซีนับตั้งแต่วันวางจำหน่ายจนถึงปลายทางด้วยเวลา 27 ชั่วโมง เก็บ Secret และ Challenge จนครบที่ความยากระดับ Hurt Me Plenty (Normal) หมายเหตุ 2 : เกมนี้มีความไวของ Frame Rates ที่สูงมาก ผู้ที่มีประวัติอาการ Motion Sickness กับเกมแนว FPS ควรเล่นด้วยความระมัดระวัง *********************************************************************************************************** ถ้าหากนับตามอายุขัยแล้ว เกมประเภทเดินหน้ายิงหรือ First Person Shooting (FPS) ก็มีขวบปีที่จะย่างใกล้สามสิบเข้าไปทุกขณะ มันคือหนึ่งในแนวเกมที่ยืนยงคงกระพันนับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกของมันผ่านงานจากทีม id Software เช่น Wolfenstein 3D ในปี 1992 และผ่านการเติบโต วิวัฒน์พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานเข้ากับแนวอื่นๆ จนเป็นภาพจำที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และชื่อของ ‘Doom’ ก็เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ยังได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ … ด้วยบทแอ็คชันอันรวดเร็วสุดระห่ำ เทคโนโลยีด้านภาพที่ล้ำยุค (ในช่วงเวลานั้น) เพียงแค่สององค์ประกอบ ก็ทำให้มันติดลมบนจนเป็นที่กล่าวขาน และก้าวเข้าสู่สถานะของความเป็น ‘ตำนาน’ แห่งเกม FPS ที่แม้แต่คนที่เกิดไม่ทัน ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ หรือรับรู้การดำรงอยู่ของมันกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (แถมลงมันทุกระบบตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด จนถึงแพลทฟอร์มขนาดพกพาอย่าง Game Boy Advanced และ Nintendo Switch หรือแม้แต่ดัดแปลง Homebrew ไปเล่นบนเครื่องคิดเลขดิจิตอล!) แน่นอนว่ามันเคยพลาดพลั้งผิดจังหวะกันไปบ้าง กับผลงานอย่าง Doom 3 ในปี 2004 ที่ทางผู้พัฒนาคิดลองของให้มันเป็นเกมสยองเปิดไฟฉาย (แต่ก็ยังประสบความสำเร็จในยอดขายและเสียงวิจารณ์) และห่างหายไปจากแวดวงเป็นเวลาเกือบสิบสองปี ก่อนที่ ‘Doom’ จะกลับมาอีกครั้งในปี 2016 และสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ เมื่อมันกลับสู่รากเหง้าที่แท้จริงของความคลาสสิคสุดระห่ำ ตอกย้ำความเหนือชั้นด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เพิ่มเติมด้วยเทคนิคและลูกเล่นแบบที่เกมยุคสมัยโมเดิร์นพึงมีและพึงเป็น จากวันนั้น สี่ปีผ่านไป (และผ่านการเลื่อนการวางจำหน่ายไปหนึ่งรอบ) Doom Eternal คือการต่อยอดในแนวทางที่แผ้วถางเอาไว้ก่อนหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่ง เมื่อความระห่ำนั้นถูกทวีคูณขึ้นอีกสามเท่า เสริมรสแต่งแต้มสีสันด้วยเทคโนโลยี การบอกเล่าเนื้อหา ดนตรีประกอบ งานศิลป์ และเกมการเล่นอันสุดเร้าใจ เป็น ‘บัลเล่ต์แห่งความตาย’ ที่ราวกับจะเป็นการยืนหนึ่งอย่างท้าทาย ว่าในท้ายที่สุด ซีรีส์นี้ก็พร้อมจะทวงถามที่ทางของมันบนบัลลังก์แห่งราชาเหนือเกม FPS ทั้งปวง ดังที่มันเคยเป็น และจะยังคงเป็นโดยตลอดมา Doom Eternal สานต่อเรื่องราวจากภาคปี 2016 เมื่อกองทัพจากนรกรุกรานโลก เข่นฆ่าประชากรไปกว่าครึ่ง และเปลี่ยนพื้นพิภพให้เดือดไปด้วยไฟประลัยกัลป์ และเป็นอีกครั้ง ที่ ‘Doom Slayer’ ผู้พิฆาต จะต้องออกมากอบกู้วิกฤติครั้งนี้ ในการเดินทางผจญภัยที่ไม่เพียงแต่จะพาเขาไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุด แต่ยังไต่ขึ้นสู่บันไดแห่งสวรรค์ที่สูงที่สุด ท้าทายการคงอยู่ของสามโลกที่จะสั่นคลอนความเป็นไปของทุกสิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเบื้องต้น ต้องชื่นชมทีมเขียนบทของ id Software เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะสานต่อเนื้อหาที่รจนาเอาไว้จากภาค 2016 ได้อย่างละเมียดละไม แต่ยังมาพร้อมการนำเสนอผ่านคัทซีน ปูมบันทึก และการเรียงลำดับเรื่องราวได้อย่างหมดจด มันคือการขยายขอบเขตของการบอกเล่าที่ไปได้ไกลกว่า ที่จะพาผู้เล่นไปพบกับโลกที่ถูกเผาผลาญด้วยกองทัพปิศาจ, ขุมนรกที่ลึกที่สุด และสวรรค์ชั้นที่สูงที่สุด พร้อมผสมผสานพื้นหลังที่มาที่ไปของ Doom Slayer ให้มีมิติและมีความ ‘กลม’ ในฐานะตัวละครหลัก ที่เชื่อมโยงกับเกมภาคก่อนๆ อย่าง Doom, Doom 2 และ Doom 64 ให้มากขึ้นกว่าเดิม มันคือปกรณัมแห่งสามโลก เป็นการตีความสงครามนรกสวรรค์ในแบบใหม่ และอาจจะเป็นหนึ่งในเกมซีรีส์ Doom ที่มีเนื้อเรื่องที่เฉียบคมที่สุดเท่าที่มันเคยสร้างมาในตลอดระยะเวลาเกือบสามสิบปีเลยก็เป็นได้ พร้อมกันนั้น มันยังมีความ ‘ยั่วล้อ’ ตัวเองในแบบที่ไม่ซีเรียส ด้วยการยัดไส้ Easter Egg และ Reference จาก Doom ภาคเก่าก่อนและเกมของ id Software อันหลากหลาย ประหนึ่งว่าจะทำลายเส้นแบ่งระหว่างความจริงจังและความไม่เอาสาระ ที่ทำออกมาได้อย่างเรียบเนียน และน่ารักหยิกแกมหยอกอยู่ไม่น้อย แต่ก็เช่นเดียวกับ Doom ในทุกภาค การดำรงอยู่ของเนื้อหาอาจจะไม่ใช่สาระสำคัญเมื่อเทียบกับเกมการเล่น (ซึ่งผู้เล่นอาจจะไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำว่ามันจะถูกบอกเล่าออกมาอย่างไรตราบเท่าที่มีกองทัพปิศาจออกมาให้ฆ่า ตัด เฉือน) และ Eternal ก็พร้อมจัดให้ ในความระห่ำที่มากยิ่งกว่าภาคเก่าก่อน บอกลาได้เลยกับการสู้รบในพื้นที่ปิดแบบครั้งต่อครั้ง เพราะทุกการปะทะ มันคือความเดือดของการฆ่าและการทำลายล้าง ที่เหล่าปิศาจได้ขนกองทัพแทบจะหมดนรกมาเพื่อบดขยี้ Doom Slayer รอบทิศทางอย่างไม่มียั้ง (ซึ่งทำให้เกมโหดขึ้นกว่าภาคที่แล้วอีกสามเท่า...) ผ่านงานออกแบบ Level Design ที่เพิ่มพื้นที่สนามแห่งการสังหารให้มีมิติและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น มี Secret และลูกเล่นมากขึ้น และเริ่มต้นอย่างเร้าใจนับตั้งแต่ฉากแรกจนถึงฉากสุดท้าย เหล่านี้ ถูกเสริมความสะใจไปด้วยดนตรีเมทัลระดับจัดหนักโดยฝีมือของ Mick Gordon ประพันธกรมือเอกคู่บุญของค่าย ที่จะทำให้อะดรีนาลีนของผู้เล่นถูกสูบฉีดจนถึงขีดสุดในทุกการปะทะ เป็นโมเมนตัมของมหกรรมการเข่นฆ่าที่แทบไม่ทำให้ผู้เล่นได้หยุดพักหายใจ และมากยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา พร้อมกันนั้น ในความคลาสสิคของการปะทะที่เร้าใจ มันก็ยังไม่ลืมหัวใจของเกมแบบโมเดิร์น ด้วยลูกเล่นของการอัพเกรดอาวุธ ความสามารถ และท่วงท่าของ Doom Slayer ผ่านไอเทมที่มีให้เลือกเก็บและ Challenge ให้เลือกทำ ทุกอาวุธต่างมีโหมดที่สองเพื่อตอบสนองต่อการประหัตประหารได้ตามสถานการณ์ ไม่มีอีกแล้วกับอาวุธที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว เพราะศัตรูที่แตกต่าง ย่อมต้องการอุปกรณ์ในการสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่ทุกอาวุธต่างมีอรรถประโยชน์ใช้สอย แน่นอนว่ามันอาจจะชวนให้สับสนในเบื้องแรก ที่ต้องคอยสับเปลี่ยนมันอยู่บ่อยครั้ง (ท่ามกลางสนามแห่งการฆ่าที่ทุกวินาทีนั้นมีค่า และการเคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่งอาจหมายถึงการอยู่รอดหรือความตาย) แต่ความแข็งแกร่งจากการอัพเกรดตามเวลาและการสร้างความคุ้นเคยจะเกิดขึ้นตามมา จนกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เองโดยธรรมชาติ ที่จะช่วยให้การเล่นนั้นสนุกขึ้น สะใจมากยิ่งขึ้น และต่อเนื่องไร้รอยสะดุด อันเป็นจุดขายที่ซีรีส์ Doom ภาคคลาสสิคนั้นเคยเป็น และถูกนำมาต่อยอดได้อย่างเหนือชั้นในภาค Eternal ไม่มีครั้งไหนที่ผู้เล่นจะรู้สึกทรงพลัง ไร้เทียมทานฆ่าไม่ตาย ประหนึ่งความหายนะเดินได้ที่เหล่าปิศาจทั้งหลายจะต้องหลาบจำและหวาดกลัวเท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว ในด้านเทคโนโลยี Eternal ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแห่ง id Tech 7 ตัวใหม่ล่าสุดที่ได้รับการปรับปรุงจากตัวก่อนหน้า มันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในแง่ของการแสดงผลและการแปรเปลี่ยนงานศิลป์แห่งนรกและการเข่นฆ่าให้สุดยอดอลังการ ด้วยความละเอียดที่สูงขึ้น เหล่าปิศาจต่อฉากที่มากขึ้น และเอฟเฟกต์แสงสีที่ดีขึ้น โดยที่ไม่กระเทือนต่อ Performance ทรัพยากรเครื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมือได้จากทีมงานสาย id Software ผู้ก้าวล้ำนำหน้าด้านเทคโนโลยีอยู่เสมอ และเชื่อว่าเอนจิ้นตัวล่าสุด อาจจะกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้พัฒนารายอื่นๆ ให้ได้นำไปต่อยอดกันต่อไปในเวลาภายภาคหน้า กระนั้นแล้ว ใช่ว่า Eternal จะไม่มีจุดบกพร่องใดๆ ให้เห็น แน่นอนว่ามันยังเป็นสนามแห่งการฆ่าอันสุดเร้าใจ แต่ช่วง Downtime ที่ถูกแทรกด้วยปริศนากระโดดแบบ Platforming ที่มากขึ้นนั้นก็ดูน่าขัดใจและประดักประเดิดจนเกินกว่าความจำเป็น (และหลายครั้ง ยากในระดับที่ทำให้หัวอุ่นๆ กันพอประมาณ…) , Hub ศูนย์กลางอย่าง Doom Fortress ที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเห็นจริงในเชิงรูปธรรม (ซึ่งอาจจะต้องรอ DLC เนื้อหาที่จะตามมา…) , ปัญหาบั๊กส์และเชิงเทคนิคตั้งแต่เล็กๆ ไปจนถึงระดับถีบออกจากเกมและร้ายแรงอย่างไฟล์เซฟพัง (ที่เกิดน้อยมาก แต่อันตรายขั้นสุด...) ที่รอคอยการแก้ไขด้วยแพทช์ ไปจนถึงโหมดผู้เล่นหลายคนอย่าง Battlemode ที่ทำออกมาได้อย่างไม่สมดุลและแทบจะกลายเป็นอาณาเขตแดนร้างปราศจากผู้เล่นไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทาง id Software จะนำโหมด Arena แบบดั้งเดิมกลับมาหรือไม่ ก็คงได้แต่หวังกันไป…) แต่โดยสรุป แม้จะมีข้อเสียที่ชวนให้ขัดใจ แต่ Doom Eternal ก็คือสิ่งที่ตอกย้ำความอยู่มือและความไม่เป็นสองรองใครของทีม id Software ผู้ให้กำเนิดเกมแนว First Person Shooting ที่ปรับตัวตามยุคสมัย โดยที่ไม่ลืมซึ่งแก่นหลักและหัวใจที่ทำให้ซีรีส์ Doom นั้นยืนยงคงกระพันมาอย่างยาวนาน ที่มีแต่จะมากขึ้น ระห่ำขึ้น และเดือดขึ้นอย่างที่เกมแนวเดียวกันยุคสมัยใหม่ได้แต่มองด้วยความตกตะลึง ทึ่ง และอึ้งว่าสิ่งเก่าเหล่านี้จะสามารถวิวัฒน์ให้มายืนหยัดได้อย่างองอาจและท้าทายได้อย่างไม่เกรงกลัวใคร มันคือการเข่นฆ่าที่งดงามราวกับฟลอร์ของบัลเล่ต์แห่งความตาย และเท่ไปด้วยสไตล์ที่เปลี่ยนการทำลายล้างให้กลายเป็นงานศิลปะ ที่มีแต่ id Software เท่านั้นที่จะกล้า และสามารถทำได้ เฉกเช่นเดียวกับภารกิจของ Doom Slayer ผู้ยอมปวารณาตน ดำดิ่งไปสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุด และไต่บันไดสวรรค์ที่สูงที่สุด เพื่อหยุดยั้งและทำลายกองทัพปิศาจ ล้างบางเหล่าเทวฑูต และปกป้องมนุษยชาติอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีหยุด และไม่คำนึงถึงปลายทางใดๆ... และ Doom Eternalจะทำให้ชื่อของ Doom ยังคงสถิตอยู่ในใจของนักเล่น และแวดวงวิดีโอเกมในเวลาถัดจากนี้ต่อไป….ชั่วนิรันดร์ [penci_review id="47573"]
27 Mar 2020
รีวิวเกม Legend of Keepers: Career of a Dungeon Master "ตามติดชีวิตผู้ควบคุมดันเจี้ยน"
“ดันเจี้ยน” สถานที่แสนลึกลับที่มีทั้งมอนเตอร์ กับดัก และอันตรายมากมาย และในส่วนลึกของมัน ว่ากันว่ามีสมบัติล่ำค่าที่ยากจะประเมินค่าได้เก็บซ่อนอยู่ เพราะเหตุนี้เหล่านักผจญภัยทั้งหลายก็พร้อมที่จะลองท้าทายและเสี่ยงชีวิตเพื่อสมบัติเหล่านั้น แต่หารู้ไม่ในดันเจี้ยนทั้งหลายอาจจะมีใครจับตามองและควบคุมอยู่ก็เป็นได้ วันนี้ GameFever TH จะพามารู้จักกับเกมที่จะให้เรารับบทเป็นผู้ควบคุมดันเจี้ยนที่แสนลึกลับ และพร้อมที่จะจัดการผู้บุกรุกทุกคนที่เข้ามาท้าทายดันเจี้ยนของเรา กับเกมที่มีชื่อว่า “Legend of Keepers: Career of a Dungeon Master” เนื้อเรื่องและบรรยากาศ เกมนี้เป็นเกมแนว Dungeon Management (บริหารดันเจี้ยน) ผสม Roguelite เราจะได้รับบทเป็นผู้ควบคุมดันเจี้ยนมือใหม่ที่พึ่งเข้าทำงานในบริษัท Dungeons Company และได้ถูกส่งไปคุมดันเจี้ยนที่พึ่งสร้างเสร็จแห่งหนึ่ง (อารมณ์ประมาณบริษัทแม่ส่งผู้จัดการไปดูแลสาขาใหม่นั้นล่ะ) แถมสั่งไว้ว่าสมบัติในดันเจี้ยนนี้มีค่าต่อบริษัทมาก ห้ามให้มีผู้บุกรุกเอาไปได้เด็ดขาด ไม่งั้นโดนไล่ออก เกมนี้เป็นอีกเกมหนึ่งที่เล่าเรื่องของฝั่งตัวร้าย แทนที่จะเล่าเรื่องของฝั่งนักผจญภัยแบบทั่วไป ทำให้เราได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งว่าฝั่งผู้ควบคุมดันเจี้ยนก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเหมือนกัน แต่ถึงยังไงก็ตาม เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มีแค่ให้ไม่ให้โลกของเกมนี้ดูว่างเปล่า ดูมีเรื่องราวเฉยๆ  ส่วนเรื่องภาพและบรรยากาศ ถือว่าทำออกมาได้ดูลึกลับ และดูอันตรายสมกับเป็นดันเจี้ยนดี ทั้งตัวมอนเตอร์ กับดัก บอส และนักผจญภัย แถมเอฟเฟคแสงสีก็ดูอลังการ แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป ถึงเกมนี้จะใช้ภาพแบบ Pixel art ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศเกมดูดรอปลงแต่อย่างใด (ออกมาดูดีด้วยซ้ำ // ถูกใจผู้เขียนยิ่งนัก 555+) ระบบเกมและภาพรวม ก่อนเริ่มเล่น จะให้เราเลือกตัวละครบอสประจำดันเจี้ยนก่อน (ตอนนี้มีแค่ 2 ตัว) ซึ่งแต่ละตัว ก็จะมีค่าความสามารถและมอนเตอร์/กับดักเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เราสามารถอัพสกิลให้บอสก่อนที่จะเริ่มเกมได้ (เลเวลอัพจะได้แต้มมาอัพสกิล)  และเราสามารถปรับแต่งความยากง่ายในส่วนต่างๆของเกมได้ตามใจด้วย เช่น หาเงินง่ายขึ้น ผู้บุกรุกเก่งขึ้นเป็นต้น ซึ่งยิ่งปรับให้ยาก ค่าประสบการณ์หลังจบเกมก็จะมากขึ้นไปด้วย (คาดว่าจะมีระบบ Rank ตามมาที่หลัง // มีลิ้งค์กับ twitch ด้วย) มาพูดถึงเกมการเล่นกันดีกว่า ก่อนที่จะเข้าไปควบคุมดันเจี้ยนนั้นจะมีตารางอีเว้นท์ประจำสัปดาห์อยู่ จะมีอีเว้นท์หลายอย่างให้ทำ เช่นฝึกมอนเตอร์ อัพเกรดกับดัก ซื้อของ ฯลฯ (มันเยอะมาก มีประมาณ 10 กว่าแบบ) แต่ละสัปดาห์เราจะเลือกทำได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น เพราะงั้นเราต้องคิดให้ดี ก่อนจะเลือกทำอะไร ให้เกิดประโยชน์สุดสูง ในทุกๆ 4 สัปดาห์ (ก็ 1 เดือนนั้นล่ะ) จะมีผู้บุกรุกเข้ามาในดันเจี้ยนของเรา เราสามารถเลือกได้ว่าจะป้องกันผู้บุกรุกกลุ่มไหน  ผู้บุกรุกจะมีอยู่ 3 ระดับ (1 - 3 ดาว) ยิ่งระดับสูง ผู้บุกรุกก็ยิ่งเก่ง แต่ถ้าปราบได้รางวัลที่จะได้ก็มากขึ้นเช่นกัน และที่สำคัญดูให้ดีๆว่าผู้บุกรุกมาในดันเจี้ยนแบบไหนด้วย จะรู้ได้จากภาพด้านหลังในกรอบ เพราะแต่ละดันเจี้ยนก็มีผลต่อการวางแผนของเราเช่นกัน เมื่อเลือกว่าจะป้องกันดันเจี้ยนที่ไหนได้แล้ว จะมีให้เรา Set up มอนเตอร์และกับดักที่จะใช้ วางแผนจัดเตรียมคอมโบให้พร้อมก่อนที่จะลุย จากนั้นเกมจะให้เราการวางแนวป้องกัน โดยในดันเจี้ยนจะแบ่งออกเป็นห้องๆ มีอยู่หลักๆ 5 แบบ มีหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละรอบจะสุ่มลำดับห้อง (ยกเว้นห้องบอสที่อยู่ในสุด) ทำให้แต่ละรอบก็ต้องวางแผนจัดการให้ดีให้ดี ห้องแบบที่ 1 - ห้องกับดัก (รูปกับดักหมี) เราสามารถติดตั้งกับดัก เพื่อเล่นงานผู้บุกรุกได้ วางได้อย่างมาก 1 ชิ้นต่อห้องเท่านั้น ห้องแบบที่ 2 - ห้องมอนเตอร์ (รูปหัวกระโหลก 3 หัว) เราสามารถนำมอนเตอร์มาจัดแนวป้องกัน และต่อสู้ในห้องนี้ได้ วางมอนเตอร์ได้อย่างมาก 3 ตัวต่อห้อง (มีอย่างน้อย 2 ห้อง) (ตำแหน่งในการวางมีผลตอนต่อสู้ด้วย) ห้องแบบที่ 3 - ห้องเวทมนต์ (รูปลูกแก้ว) เราสามารถให้บอสของดันเจี้ยนร่ายเวทมนต์โจมตีผู้บุกรุกหรือบัพให้ดันเจี้ยนได้ ห้องแบบที่ 4 - ห้องภัยพิบัติ (รูปหอคอย) เราสามารถสร้างภัยพิบัติเล่นงานผู้บุกรุกได้ ซึ่งภัยพิบัติจะเปลื่ยนไปตามสถานที่ของดันเจี้ยน  และห้องแบบที่ 5 - ห้องบอส จะอยู่ในสุดของดันเจี้ยน เราสามารถใช้บอสโจมตีผู้บุกรุกได้ และเพราะบอสเป็นหัวใจของดันเจี้ยน ถ้าบอสตายก็จบเกมทันที พอวางแนวป้องกันเสร็จก็เข้าช่วงต่อสู้  ซึ่งเราสามารถจัดการผู้บุกรุกได้ 2 วิธี ฆ่าผู้บุกรุก โดยการโจมตีร่างกาย ทำให้เลือดผู้บุกรุกหมด (หลอดสีแดง)  ผู้บุกรุก และมอนเตอร์ จะมีการโจมตีธาตุและการแพ้ทางธาตุที่แตกต่างกัน โดยจะมีอยู่ทั้งหมด 5 ธาตุด้วยกัน (ไฟ น้ำแข็ง กายภาพ ธรรมชาติ อากาศ)  ทำให้หวาดกลัวจนหนีไป โดยการโจมตีจิตใจ ทำให้ค่ากำลังใจผู้บุกรุกหมด (หลอดสีม่วง)  การโจมตีจิตใจจะไม่มีการแพ้ทาง แต่จะเบามากถ้าเทียบกับการโจมตีร่างกายของผู้บุกรุก เมื่อจัดการกับผู้บุกรุกได้สำเร็จ เราจะได้รับเงิน และค่าเลือด(สีแดง)/ค่าความกลัว(สีน้ำเงิน) (ตามวิธีที่เราใช้จัดการผู้บุกรุก)  สำหรับการใช้จ่ายอัพเกรดดันเจี้ยน และเลือกของรางวัลเพิ่มเติมได้อีก 1 ชิ้น และก่อนที่จะขึ้นสัปดาห์ต่อไป จะมีขึ้นแจ้งเตือนว่า มอนเตอร์ที่เราใช้งานไปค่าความเหนื่อยล้าเหลือเท่าไร (จะลดเมื่อมอนเตอร์ตัวนั้นตายในดันเจี้ยน) ถ้าค่าความเหนื่อยล้าหมด เราก็จะไม่สามารถใช้มอนเตอร์ตัวนั้นได้อีกพักใหญ่เลย เกมจะเป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนว่าเราจะแพ้ หรือครบ 104 สัปดาห์ (2 ปีในโหมดธรรมดา) หลังแพ้ก็จะมีสรุปคะแนนให้ พูดถึงข้อเสียกันดีกว่า ถึงเกมจะมีรายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด แต่ก็ยังมีมอนเตอร์ กับดัก สถานที่ และผู้บุกรุกที่น้อยเกินไป เราจะได้เห็นอยู่ไม่กี่แบบ วนๆซ้ำๆ และยังมีบัคเล็กๆน้อยๆเต็มไปหมด (ไม่ร้ายแรง แค่เจอบ่อย) แต่เพราะเกมนี้ยังอยู่ในช่วง early access จึงต้องรอการอัพเดทเนื้อหาใหม่ๆ และแก้บัคกันไปก่อน ความรู้สึกหลังเล่น เป็นอีกหนึ่งเกมที่ผมถูกล่อซื้อด้วยงานภาพอีกแล้ว (ก็ Pixel art มันสวยอ่ะ 55555+) ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นเกม early access คงไม่มีอะไรมาก แต่ได้เล่นแล้วก็รู้ว่าเกมนี้รายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด (ถึงมอนเตอร์ กับดัก สถานที่จะน้อยก็ตาม) ทั้งการแพ้/ชนะธาตุ โจมตีด้านจิตใจ เผ่าของมอนเตอร์ ฯลฯ จนต้องมาคิดอีกทีว่านี่เกม early access จริงๆเหรอ  แต่สำหรับตัวผมเองก็บอกได้ว่าเป็นอีกเกมนึงที่ต้องนั่งคิดแล้วคิดอีกว่าจะจัดการผู้บุกรุกยังไง และตั้งหน้าตั้งตารอการอัพเดทเกมครั้งต่อไปอย่างแน่นอน สรุป Legend of Keepers: Career of a Dungeon Master เป็นเกม early access ที่มีภาพ Pixel artที่สวยงาม แต่Gameplayมีรายละเอียดเยอะมาก เลยอาจจะใช้เวลาทำความเข้าใจสักพัก ไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมแนว Casual แต่ถ้าชอบเกมที่ต้องคิดเยอะ วางแผนจัดการ เกมนี้ก็ตอบโจทย์มากเลยทีเดียว  Link : https://store.steampowered.com/app/978520/Legend_of_Keepers_Career_of_a_Dungeon_Master/ [penci_review id="46627"]
24 Mar 2020
รีวิว Nioh 2 ภาคต่อของเกมสไตล์ Soul บนธีมของแดนปลาดิบ!
Nioh 2 เป็นเกม Action-Adventure สไตล์ Soul ใหม่จากทาง Koei Tecmo ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเกมจะได้ใช้ชื่อว่าเป็นภาคที่ 2 แต่ตัวเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเกมภาคแรกเลย ทำให้ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเล่นเกมภาคแรกมาก่อนเลย ก็คงจะสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุกสนานเช่นกัน และถึงแม้ว่า Nioh 2 จะเป็นเกมสไตล์ Soul ที่ทุกคนเข้าใจว่า "มันต้องเป็นเกมที่ยากอย่างแน่นอน" แต่บอกเลยว่าจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เล่นมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น Dark Souls 1-3, Bloodborne, หรือ Sekiro เกมนี้ ยากกว่ามาก ครับ เอาล่ะอารัมภบทมามากพอแล้ว เกมนี้สนุกตรงไหน มีดียังไงบ้างไปดูกันเลยครับ! ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องจะกล่าวถึง Hide ผู้เป็นครึ่ง Yokai ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ในป่า ช่วงยุค Sengoku (1232 – 1603) โดยอยู่มาวันหนึ่งช่วงกลางดึก เขาก็ได้ยินเสียงคนมาขอให้ช่วย และกำลังทุบประตูบ้านของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย Hide เปิดประตูออกมาแล้วพบว่า ชายคนที่มาขอให้ช่วยนั้นโดน Yokai ไล่ตามมา Hide จึงได้ฟัน Yokai ตัวนั้นจนหัวขาด แต่ชาวบ้านคนที่มาขอให้ช่วย ดันไปเห็นสีตาที่เปลี่ยนไปของเขา จึงเกิดความกลัว และหนีไปในที่สุด Hide ปิดประตู้บ้าน หันหลังเพื่อที่จะกลับไปนอนอีกครั้ง แต่เขาก็พบกับจดหมายปริศนาที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ในบ้านของเขาได้อย่างไร จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Hide ต้องออกเดินทางไปยังจุดนัดพบที่ในจดหมายเขียนไว้ เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่ส่งจดหมายฉบับนี้มาให้เขา แต่หลังจากมาถึงหมู่บ้านที่เป็นจุดนัดพบ Hide ก็พบว่าเหล่า Yokai และโจรจำนวนมากได้ยึดหมู่บ้านนี้ไปแล้ว Hide ฝ่าฟันเหล่า Yokai และโจรจำนวนมาก จนสามารถเดินทางไปยังจุดนัดพบได้ แต่แทนที่จะได้พบกับคนที่ส่งจดหมายมาให้เขา Hide กลับพบกับปีศาจหัวม้าตัวใหญ่มากแทน เจ้าปีศาจตัวนี้พอเห็นการมาของ Hide มันก็เริ่มโจมตีเขาทันที ถึงจะใช้เวลาอยู่นาน แต่เขาก็สามารถปราบปีศาจม้าลงได้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องใช้พลัง Yokai ที่มีอยู่ในร้างด้วยเช่นกัน ซึ่งหลังจากที่ปราบปีศาจม้าได้ Hide กลับไม่สามารถควบคุมพลัง Yokai ของตนได้ ส่งผลให้เขาเริ่มเกิดอาการคลุ้มคลั่ง และอาละวาดเหมือนกับเหล่า Yokai ที่ขาดสติ โชคดีที่ Tokichiro ชายผู้ที่เป็นคนวางจดหมายปริศนาไว้ในบ้านของ Hide โผล่ออกมา และได้ใช้พลังของหิน Amrita ช่วยสยบพลัง Yokai ในตัวของ Hide จนส่งผลให้เขาคืนสติอีกครั้ง หลังจากนั้น Tokichiro ก็ได้ชวน Hide ให้เข้าร่วมกับเขา เพื่อทำตามความฝั่นที่สักวันจะได้เป็นใหญ่เป็นโต การเดินทางของ Hide และ Tokichiro จึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนี้ เนื้อเรื่องของเกมนี้จะไม่ได้เล่าแบบต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่จะมาในลักษณะ Dialog ก่อนเริ่มด่าน และใช้ฉาก Cinematic ตอนจบด่านในการเล่าเรื่องมากกว่า โดยส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของเกมนี้จะเป็นในลักษณะว่า Tokichiro ทราบข่าว หรือไม่ก็ได้รับภารกิจมาจากเหล่าผู้ใหญ่ เกี่ยวกับ Yokai จากนั้นก็เป็น Hide ที่ต้องไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสืบสวน หรือไม่ก็แก้ไขสถานการณ์เกี่ยวกับ Yokai ในเกม Nioh 2 นั้นมีการอ้างอิงบุคคลสำคัญทางประวัติศาตร์ของญี่ปุ่นมากมาย และให้พวกเขาเหล่านั้นมีบทบาทในเกมด้วย โดยต้องยอมรับว่าการทำแบบนี้ช่วยสร้างความรู้สึกร่วม ทั้งยังเพิ่มอรรถรสให้กับตัวเกมเป็นอย่างดีด้วยในเวลาเดียวกัน อีกทั้งปีศาจต่างๆ ที่เราได้เจอในเกม ก็ล่วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตำนานของประเทศญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ปีศาจวัว, ปีศาจงู หรือจิ้งจอกเก้าหาง ซึ่งถ้าใครทำเป็นคนชื่นชอบวัฒนธรรมของแดนปลาดิบอยู่แล้ว คงจะรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องของเกมนี้ได้ไม่ยากครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Nioh 2 นั้นเป็นเกมที่มีธีมของเกมเป็น ประเทศญี่ปุ่นในยุคสงคราม ซึ่งเรียกได้ว่ามันเข้ากับการต่อสู้กับเหล่า Yokai ที่ส่วนใหญ่จะเป็นปิศาจในตำนานโบราณ หรือนิทานปรัมปราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการเซ็ตติ้งของเกมไว้ให้อยู่ในยุคโบราณ ยังเป็นการชูความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นออกมาได้มากที่สุดอีกด้วย คงเรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวเป็นอย่างมาก ต้องคารวะคนที่คิด Concept ของเกมจริงๆ ครับ ในเรื่องของกราฟิก ก็คงต้องยอมรับว่า Nioh 2 นั้นเป็นเกมที่ภาพสวยมากเกมหนึ่งเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นโมเดลของปีศาจต่างๆ , ชุดเกราะของเหล่านักรบกับโรนิง ฉากในเกม, รวมไปจนถึงท่าทางการเคลื่อนไหวของตัวละคร ก็ล้วนแล้วแต่เก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น ด้วยความที่ Nioh 2 นั้นเป็นเกมที่ถูกระบุว่าเป็นเกมสไตล์ Soul ไม่ต้องพูดก็คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าเกมนี้จะมีความยากที่สูง อีกทั้งเกมนี้มี Action Speed ที่สูงกว่า Dark Soul อยู่มาก ดังนั้นอาจพูดได้ว่าเกมนี้มีความยากมากกว่า Dark Soul ซะอีกในเรื่องของการต่อสู้กับศัตรู ถ้าว่าหากเล่นแบบประมาทมากเกินไป หรือโลภมากเกินไป ก็สามารถตายได้ง่ายๆ เลย แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่าความยากของเกม มันก็เป็นเสน่ห์ของเกมเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลว่าเกมมันยาก ถึงทำให้ผู้เล่นรู้สึกอยากจะพยายามเพื่อเอาชนะให้ได้, ด้วยความที่เกมมันท้าทาย ถึงทำให้รู้สึกยินดีมากๆ ทุกครั้งที่เอาชนะได้นั้นเอง Nioh 2 เป็นเกมที่ออกแบบมาให้เล่นเป็น Mission ซึ่งในจุดนี้เป็นอะไรที่ผู้เขียนรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากสามารถทำเกมออกมาให้เป็นแบบ Open World ได้เลย คิดว่าคงจะทำให้เกมดูน่าสนใจกว่านี้มาก แต่เพราะว่าเป็นเกมที่เล่นเป็นแบบ Mission นี้แหละ เลยทำให้เครื่อง PS4 ไม่ต้องรับภาระที่หนักเกินไป และสามารถแสดงผล FPS สูงๆ ได้แทน ซึ่งมันทำให้การเกมเพลย์ของ Nioh 2 ลื่นไหลเป็นอย่างมาก เรียกว่าเสียหนึ่งอย่างไป ก็เลยได้อีกอย่างมาทดแทนครับ หนึ่งในสิ่งที่พิเศษมาก ๆ เลยของเกมนี้ของอาวุธที่มีให้เลือกเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ดาบคาตานะเดี่ยว, คาตานะคู่, ดาบยาว, หอก, ขวานคู่, ขวานใหญ่, เคียวยักษ์, ธนู, ปืน, เคียวโซ้ คือเรียกได้ว่ามีอาวุธให้เล่นเยอะจริง ๆ และสกิลของอาวุธแต่ละชนิดก็ถูกแบ่งออกจากกันอีกด้วย ซึ่งแต้มสกิลของอาวุธแต่ละชนิด จะขึ้นจากการเล่นอาวุธชิ้นนั้นเพียงอย่างเดียว นั้นจึงหมายความว่าถ้าหากอยากจะเป็นเจ้าแห่งศาสตราเกมนี้แล้วละก็ จำเป็นต้องใช้เวลาเล่นที่นานมาก ๆ เลยครับ เกมนี้ใช้ระบบ Status ที่ต้องเลือกอัพด้วยตัวเองเหมือนกับเกมแนวนี้อื่น ๆ แต่ Nioh 2 มีระบบหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจมาก นั้นคือระบบที่บอกว่าถ้าหากสเตตัสของเราไม่ถึงที่ของชิ้นนั้นต้องการ เราจะไม่ได้รับโบนัสต่างๆ จากของที่สวมใส่เลย แปลให้เข้าใจง่ายๆ ว่ายังใส่เก่งๆ เพื่อรับค่า Def ที่มากกว่าได้ตามปกติ แต่พวกออฟชั่นเสริ่มต่างๆ ที่ทำให้ตีแรงขึ้น หรือใช้ Stamina น้อยลง ที่มากับชุดนั้นเราจะไม่ได้รับผลเลย ระบบนี้จึงทำให้ผู้เล่นมีตัวเลือกในการเล่นที่มากขึ้นสุดๆ เลยครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ Nioh 2 จะเป็นการเล่นแบบ Full Action ผู้เล่นสามารถควบคุมตัวละครของเราให้เดิน วิ่ง สำรวจได้อย่างอิสระ อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเกมนี้ไม่ได้เปิดโลกให้ผู้เล่นสามารถเดินไปไหนมาไหนได้เองทั้งหมดแบบ Open World แต่จะเป็นการเข้าไปเล่น หรือทำภารกิจในแต่ละด่าน แต่สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้าเพื่อทดแทน คือความลับมากมายที่มีอยู่ในแต่ละด่านครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มครองต่างๆ หรือหีบที่ซ้อนอยู่ จึงทำให้ในแต่ละด่านหากต้องการจะเก็บให้ครบ 100% จำเป็นต้องใช้เวลาเล่น และการสำรวจที่นานมากครับ การต่อสู้กับศัตรูในเกมนี้จะใช้ระบบทีคล้ายๆ กับเกม Sekiro คือแต่ละตัวจะมีหลอด Stamina อยู่ โดยในการกลิ้ง, ป้องกัน, หรือโจมตี ล่วนแล้วแต่ใช้ Stamina ทั้งสิ้น เมื่อหลอดดังกล่าวหมด ศัตรู หรือตัวละครเราจะอยู่ในสถานนะเหนื่อย หากอยู่ในสถานะเหนื่อยแล้วละก็จะสามารถใช้ท่าโจมตีปิดฉากที่มีความรุนแรงมากๆ ได้ ถึงแม้ว่าการโจมตีปิดฉากนั้นไม่ได้ทำให้ตายโดยทันที่ แต่ก็สร้างดาเมจที่รุนแรงมากๆ อยู่ดี การบริหาร Stamina ให้ดีจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากครับ ในเกมนี้ผู้เล่นจะสามารถใช้ท่ายืนในการโจมตีได้ 3 แบบคือจรดสูง, จรดกลาง และจรดต่ำ(อ้างอิงตามท่าของเคนโด้) ซึ่งในท่ายืนแต่ละท่าจะมีความสามารถแตกต่างกันไปเช่น จรดสูงจะเป็นท่ายืนที่มีการโจมตีรุนแรง ทั้งยังมีระยะทีไกลสามารถลด Stamina ของตัวที่โดนได้เยอะ ในขณะที่จรดต่ำจะมีความเร็วในการโจมตีที่สูง แต่ก็ต้องแลกมากับดาเมจที่เบาแทบจะลดหลอด Stamina ของศัตรูไม่ได้เลย ส่วนท่าจรดกลางจะมีดาเมจ ระยะ กับความเร็วปานปลาง ทั้ง 3 ท่ายืนสามารถสลับไปมาได้ตลอดเวลา ส่งผลให้การต่อสู้ของเกม Nioh 2 มีมิติที่กว้างมาก บอกเลยว่าตอนเล่นสนุกสุดๆ ครับ (สีแดงแสดงท่ายืนว่าตอนนี้อยู่ในท่าจรดสูง , สีเหลืองแสดงหลอด Stamina ของศัตรูที่หมดลง เลยทำให้โดนโจมตีปิดฉากได้) เกม Nioh 2 นั้นมีศัตรูอยู่ 2 ประเภทคือ Yokai กับคน ซึ่งวิธีการต่อสู้กับคน จะแตกต่างจาก Yokai อยู่นิดหน่อย ในเมื่อเราสามารถใช้ท่ายืนได้ 3 แบบ ศัตรูบางตัวก็สามารถใช้ท่ายืนได้ 3 แบบ เช่นเดียวกันดังนั้น จำเป็นต้องคำนวน Stamina กับสังเกตุท่าทายืนของอีกฝ่ายเวลาที่สู้กับคนให้ดี เช่นถ้าหากอีกฝ่ายอยู่ในท่าจรดสูงจะฟันได้ช้า ถ้าเราเข้าประชิดแล้วใช้ท่าจรดต่ำยังไงก็ฟันได้ก่อนแน่นอน เป็นต้น ในขณะที่การสู้กับ Yokai นั้นจะไม่ต้องระวังท่ายืนให้วุนวายเหมือนสู้กับคน แต่พวก Yokai จะมีการโจมตีที่ต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่ามาก ท่าโดนเข้าไปจังๆ ครั้งเดียวก็อาจจะตายได้เลย อีกทั้งท่าโจมตีใหญ่ๆ ของพวก Yokai จะสร้างพื้นที่ ซึ่งทำให้ Stamina ของเราขึ้นได้ช้าหากอยู่ในนั้นด้วย การดูตำแหน่งยืนของตัวเอง และระวังเรื่องระยะห่างให้ดี จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการสู้กับเหล่า Yokai โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า ผู้พัฒนาสามารถออกแบบ การต่อสู้ในเกมนี้ออกมาได้ดีมากครับ (รูปแรกแสดงถึงการโจมตีของ Yokai ที่รุงแรงมาก, รูปสอง และสามแสดงถึงการโจมตีของคนที่ถึงจะไม่แรง แต่มีหลากหลายกว่า) พูดถึงการต่อสู้กับศัตรูทั่วไปแล้ว มาพูดถึงการสู้กับบอสบ้างละกันครับ การสู้กับบอสในเกมนี้บอกเลยว่า อาจจะทำให้หัวร้อนได้มากกว่าเกมในตระกูล Dark Soul ซะอีก เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า Yokai เกมนี้จะมีการโจมตีที่ต่อเนื่อง บอสส่วนใหญ่ในเกมนี้ก็เป็น Yokai เช่นกัน และด้วยความที่เกมนี้มีค่า FPS ที่ค่อนข้างสูง ทั้งยังมีรูปแบบเกมเพลย์ที่เร็ว ทำให้การสู้กับบอสในเกมนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในบอสแต่ละตัวเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากว่าตัดสินใจหลบผิดวิธี และโดนการโจมตีทั้งชุดของบอสแล้วละก็ ตายได้ง่ายๆ เลยครับ แน่นอนว่าเหมือนเกมแนวนี้อื่นๆ Nioh 2 เองก็สามารถเล่นแบบ Co-Op ได้เช่นเดียวกัน โดยการเล่นแบบนี้จะช่วยให้เราสามารถผ่านด่านยากๆ ได้ ด้วยการให้คนอื่นเข้ามาช่วย อีกทั้งการเล่นแบบ Co-Op ในเกมที่มีความยากแบบนี้ ก็ทำให้สนุกไปอีกแบบด้วยเช่นกัน  อยากให้ลองนึกถึงภาพเวลาที่เรากับเพื่อน พยายามด้วยกันเป็นสิบๆ รอบเพื่อที่จะเอาชนะบอสยากมากๆ ตัวหนึ่งให้ได้ เพราะหลังจากชนะแล้วมันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆ เลยครับ ◊ สรุป ◊ Nioh 2 เป็นเกม Action-Adventure สไตล์ Soul ที่สร้างเกมเพลย์ได้สนุกมาก ยิ่งระบบต่อสู้ในเกมนี้คือดีสุดๆ แน่นอนว่าเกมมีความยากที่สูงมาก บางครั้งก็ชวนหัวร้อนอยู่เหมือนกัน เพราะเล่นเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที แต่ส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่า เพราะว่ามันยากเนี่ยแหละเกมมันเลยสนุก ส่วนข้อเสียของเกมนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรที่เป็นข้อเสียร้ายแรงอะไรเลย จะมีก็แค่รู้สึกว่าท่าทำออกมาเป็น Open World ไปเลย อาจจะทำให้เกมน่าสนใจได้มากกว่านี้เท่านั้นเอง แต่โดยรวมแล้วคงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Nioh 2 คือเกมที่คุณควรหามาเล่นให้ได้ครับ จากการที่เกมแทบจะไม่มีจุดไหนให้ตำหนิเลยเราจึงคิดว่า Nioh 2 ควรจะได้คะแนน 9 เต็ม 10 ไปเลย ส่วนเหตุผลที่ผู้เขียนยังไม่ได้คะแนนเกมนี้ถึง 10 เต็ม เป็นเพราะยังรู้สึกว่าเกมมันยังสามารถออกมาดีกว่านี้ได้อีก และความสนุกที่ได้จากเกมนี้เอง ก็อยู่ในระดับเดียวกับเกมต่างๆ ที่เราได้เคยให้ 9 คะแนนไว้ในอดีตด้วย จึงคิดว่า 9 คือตัวเลขที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับ Nioh 2 ครับ! ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="45803"]
18 Mar 2020
รีวิว Call of Duty: Warzone เกม Battle Royale สุดโหด ไม่เดือดจริงอยู่ไม่ได้
จุดเริ่มต้นกระแสเกมแนว Battle Royale ต้องย้อนกลับไปในช่วงราวๆ 4 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่ PUBG ยลโฉมให้เล่นกัน แม้จะไม่ใช่เกม Battle Royale เกมนี้ ( เกมแรกที่คนคุ้นเคยจริงๆ คือ ArmA 2: Battle Royale mod ) แต่ก็ทำให้ทั่วโลกต่างสนใจและเกิดเป็นกระแส Fever จนค่ายเกมหลายๆ เจ้าเริ่มทำเกมแนว Battle Royale เป็นของตัวเองกันบ้าง ล่าสุดทาง Infinity Ward ก็ไม่น้อยหน้าเอาเกม Call of Duty: Modern Warfare ภาคล่าสุดที่เป็นกระแสไม่ดีสุดๆ ก็แย่แบบสุดโต่งในแง่การเมืองระหว่างประเทศ เพราะสำหรับชาวตะวันตกถือว่าละเอียดอ่อนมาก จับมาเพิ่มโหมด Battle Royale ภายใต้ชื่อว่า Warzone ซึ่งเป็นโหมดที่แยก Standalone ออกมาจากตัวเกมหลักและเล่นฟรีไม่คิดเงิน แถมคนเข้ามาเล่นกันจนแน่นเซิร์ฟเวอร์ภายในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทาง GameFever TH ก็ได้เห็นความมันและอลังการงานสร้างของโหมดนี้แล้วก็ชักจะพิสูจน์แล้วว่ามันจะสนุกมากน้อยเพียงไหน เอาล่ะคงไม่ต้องสาธยายให้ยาวมาก ไปดูกันเลยดีกว่าว่าความรู้สึกหลังจากได้เล่นโหมด Warzone ร่วมๆ 15 ชั่วโมงแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง ================================================== Call of Duty กับภาพลักษณ์ Battle Royale สุดโหด ตั้งแต่เข้าดู Trailer จนกระทั่งเข้าเกมมา แน่นอนว่าตัวเกมจะบังคับให้เราเล่น Tutorial ซึ่งบอกเลยว่าสำคัญมาก ใครคิดจะ Skip คิดว่าเกมแนว Battle Royale มันก็เหมือนๆ กันหรือออกเข้าเกมใหม่หวังจะเล่นเกมไวๆ ล่ะก็ ตัวเกมไม่อนุญาตจนกว่าเรียนรู้ Tutorial อย่างเข้มข้มให้เรียบร้อย ถือว่าเป็น First Impression ที่ชอบนะ คือคุณอยากเล่น คุณก็ต้องเรียนรู้ ถ้าคุณไม่เรียนรู้ คุณก็จะกลายเป็นไก่ ขนาดตัวเองมีเกม Modern Warfare ตัวเต็มก็ยังไม่ละเว้นที่ต้องเรียนรู้ Tutorial ก่อน ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า Warzone น่ะมีอะไรที่แตกต่าง ถือว่าควรค่าแก่การยอมสละเวลาสักนิดเพื่อศึกษาระบบโลกของ Battle Royale เกมนี้ดีกว่าไปลงสนามแบบไม่รู้อะไรเลย ส่วนหน้า Interface ก็ไม่มีอะไรมาก ด้านซ้ายจะมีโหมดให้เลือกเล่นได้แก่ โหมด Battle Royale: เป็นโหมดที่เรากับผู้เล่นอีกสองคน ร่วมฝ่าฝันและสังหารผู้เล่นคนอื่นๆ จำนวน 150 คน เข้าลงสมรภูมิ Verdansk ดินแดนสมมุติของประเทศรัสเซีย ( แต่ในเกมจะใช้ชื่อประเทศแบบเลี่ยงๆ กันดราม่านั้นแหละ ) ภารกิจคือ หลบหนีเข้ามายังเซฟโซนที่มีแก๊ซพิษไล่หลังเราเรื่อยๆ และอยู่รอดจนเป็นคนสุดท้ายหรือทีมสุดท้าย เป็นโหมดที่เน้นทักษะการเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุดเพื่ออยู่รอดให้นานที่สุด โหมด Plunder: โหมดนี้จัดได้ว่าค่อนข้างแหวกแนวหน่อยๆ โดยเรากับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน โดดร่มลงพื้นที่ Verdansk แล้วทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เงินมาแล้วส่งเงินขึ้นเฮลิคอปเตอร์หรือบอลลูนฉุกเฉินแย่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ อีก 150 คน โดยเราสามารถตายและเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ ตลอดเวลา ทีมไหนที่ส่งเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์หรือมีเงินสะสมมากที่สุดในทีมก็จะเป็นผู้ชนะ ถือว่าเป็นโหมดที่เน้นเอาสะใจมากกว่าเอาตัวรอดแบบปกติ โหมด Pratice: เป็นโหมดฝึกซ้อม หากใครผ่าน Tutorial ครั้งแรก็สามารถกลับมาเล่นซ้ำเพื่อทบทวนและฝึกฝนได้ Squad Fill: เราสามารถเลือกที่จะเติมคนนอกเข้ามาร่วมทีมแบบอัตโนมัติหรือไม่ แต่หากใครที่ชอบ Solo หรือแกร่งกล้าพอก็สามารถปิด Squad Fill ได้เช่นกัน ส่วนด้านขวาก็จะเป็นเควสต์ที่เป็นเควสต์ประจำวันและภารกิจที่อยู่ตลอดจนกว่าเราจะทำเสร็จ ซึ่งก็มีการแจกอุปกรณ์ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนัก Loadout, อาวุธปืนและ Perk ที่มีความสำคัญกับผู้เล่น อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ ทั้งคนที่มีตัวเกม Call of Duty: Modern Warfare หรือยังไม่มีขอเล่นฟรีก่อน สำหรับ Loadout ผู้เล่นสามารถปรับแต่งปืนแล้วสร้างเป็น Loadout ของตัวเองได้ โดยมันจะถูกใช้ตอนเราเรียก Loadout Package ตอนเล่นและเมื่อเปิดกล่องก็จะเป็นการเรียก Loadout ที่เราเซ็ตไว้แต่แรก ( พูดง่ายๆ ก็คือเรียกกล่องลงมานั้นแหละแล้วจะได้อาวุธที่เราตั้งค่าไว้ ) โดยผู้เล่นที่มีตัวเกมจะได้เปรียบอยู่นิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่เล่นมานาน อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ก็ปลดล็อคเกือบหมดแล้วจึงสามารถปรับแต่งอะไรได้มากกว่าในช่วงนี้ แต่สำหรับผู้เล่นฟรีไม่ต้องกังวลเพราะเกมนี้อาวุธทุกกระบอกมีความสำคัญพอๆ กัน และปืนกระบอกเดิมๆ แบบไม่แต่งก็ยังมีความสามารถที่จะหยุดยั้งศัตรูได้มากพอหากมีฝีมือ และสิ่งที่สายฟรีต้องพยายามมากกว่าคนที่มีตัวเกมเต็มก็คือ เกม Call of Duty: Modern Warfare นอกจากมีระบบเลเวลผู้เล่นแล้ว ก็ยังมีระบบเลเวลของปืนด้วย ซึ่งการที่จะเพิ่มเลเวลของปืนใน Warzone ก็คือการเรียก Loadout Package เลือกอาวุธที่เราตั้งค่าไว้แล้วให้ไปไล่ยิงศัตรูหรือทำเควสต์ตามทางให้ได้ ซึ่งทุกเลเวลของปืนจะปลดล็อคอุปกรณ์เสริมเพิ่มความสามารถของตัวปืนให้อีกด้วย คนเล่นเกมแนว Battle Royale เป็นประจำจะเข้าใจจุดนี้ดี อีกทั้ง Perk ต่างๆ ที่เป็นสกิลส่วนตัวช่วยเสริมความสามารถของผู้เล่นจะปลดล็อคตามเลเวลของผู้เล่นเอง  แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม้จะปืนเดิมๆ แต่ก็แทบไม่ได้ส่งผลอะไรกับการสู้มากนักหากมีฝีมือมากพอ Operator ไม่ได้มีส่วนช่วยทำให้ผู้เล่นได้เปรียบ หลายคนอาจจะคิดว่า "เฮ้ย คนมีเกมตัวเต็ม ปลดล็อค Operator หลายตัวย่อมได้เปรียบกว่าสายฟรีแน่ๆ" แต่ขอให้คิดใหม่สักนิดเพราะทาง Infinity Ward ก็ออกมายืนยันแล้วว่า Operator แค่ทำให้ตัวเองดูหล่อเท่ตอนลงบวกกันในสนามเท่านั้น แต่หากสายฟรีอยากปลดล็อค Operator ใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อ Skin Operator ตัวนั้นๆ ที่จะวนขายในเมนู Shop หรือจะซื้อตัวเต็มแล้วทำเควสต์ปลดล็อคก็ได้ไม่ผิดกติกาอะไร และตัว Operator ใน Warzone จะไม่สามารถแต่งตัวเลือกเป็นชิ้นๆ เช่นเสื้อผ้า หน้าผมแบบเกมแนว Battle Royale อื่นๆ แต่จะมีเป็นชุดเซ็ต ชุดเสื้อผ้าให้เลือกใส่แทน ถ้านึกภาพไม่ออกก็เหมือนกับ skin ของเกม Rainbow six: Siege อะไรแบบนั้นก็ได้ ซึ่งก็ต้องหาซื้อใน Shop หรือทำเควสต์ถึงจะได้ชุดมาสวมใส่เล่นหากเบื่อรูปลักษณ์ Operator เดิมๆ ล่ะนะ ฉะนั้นผู้เล่นสายฟรีสบายใจได้เลยว่า Operator ไม่ได้ Over Power แต่อย่างใด แถมตัว Operator เดิมๆ ที่สายฟรีมีนั้นมันก็เท่บาดใจอยู่แล้ว แต่ Operator อื่นๆ แค่มันดูหล่อเท่แบบ 300% เฉยๆ การ Cross-Flatform ใช่ว่าผู้เล่นสาย Console จะสู้ไม่ได้ จากนี้ก็จะเริ่มมีคำถามขึ้นมาแล้วว่า "เฮ้ย แล้วผู้เล่นสาย Console มาเล่นโหมดนี้ร่วมกับผู้เล่นบน PC จะไปรอดเหรอ ?" ขอบอกเลยว่ารอดและพวกเขาเล่นเก่งมากๆ ด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างบุคคลที่ 1 ในตารางนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องและถนัดการเล่นเกม CoD บน PlayStation 4 แต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งเก่งกว่าคนเขียนรีวิวเสียอีก จึงอุ่นใจมากๆ และมั่นใจว่าทีมจะชนะแน่ๆ เมื่อได้เล่นกับเขาคนนี้ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าคนเล่นสายจอยจะไม่เก่ง เพราะบางทีเขาก็อาจจะยิงแม่นกว่าคุณก็เป็นได้ เราไม่ได้มาแค่ 100 คน แต่เรามาถึง 150 คน! เมื่อเราลองเริ่มเล่น โดยขอประเดิมโหมด Battle Royale กันก่อน ซึ่งระบบ Matmaking นี่ทำออกมาโอเคเลยนะ หาห้องค่อนข้างไวดี ไม่เกิน 1 - 2 นาทีก็พร้อมเล่นได้แล้ว แต่อาจจะเพราะตัวเกมเพิ่งเปิดโหมดนี้ใหม่และให้เล่นฟรี คนอาจจะตามเพราะกระแสก็เป็นไปได้ ช่วงระหว่างเตรียมตัวโดดร่มในภาพนี้ก็มีการให้ยิงเล่นกันก่อน ฝึกมือฝึกความเคยชินสักครู่ก่อนโดดร่มกันจริงๆ จังๆ หากผู้ในแง่คนที่เล่นเกม CoD: MW ก็อาจจะชินกับวิธีกระสุนของเกมนี้ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นก็จะขอกบอกก่อนว่า ปืนเกือบทุกกระบอกจะมี Patern Recoil ที่กระสุนจะออกเบี่ยงไปทางขวา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปืนแต่ละกระบอก แต่ก็ไม่ใช่ทุกกระบอกที่จะเบี่ยงขวาฉะนั้นก็ระหว่างที่รอโดดร่มก็ศึกษาปืนที่ละปืนที่สุ่มให้ลองยิงเล่นให้เรียบร้อย โดยยิงใส่ชาวบ้านอีก 150 ชีวิตเนี่ยแหละ ซึ่งถือว่าเยอะมาก มีฉากคัตซีนตอนโดดร่มร่วมกับเพื่อนอีกสองคน "อย่างเท่!" การโดดร่มของที่นี่ ต้องมีศิลปะนิดหนึ่ง Call of Duty: Warzone ในช่วงที่เราเลือกตำแหน่งและโดดร่มลงมา เราสามารถเลือกที่จะสลัดร่มและกางร่มระหว่างที่เราร่วงลงมาได้ตลอดเวลาจนกว่าขาแตะพื้น ซึ่งมันสามารถทำให้เราควบคุมตำแหน่งการลงของเราที่ห่างจากตำแหน่งเครื่องบินตอนโดดร่มลงมาได้ไกลมากขึ้น โดยใช้วิธีกางร่มสลับสลัดร่มออกเพื่อให้ร่อนกลางอากาศได้นานและพุ่งไปหาตำแหน่งที่เราเลือกได้รวดเร็วในเวลาเดียวกัน ร่อนลงมาอย่างหล่อๆ แต่ว่าการร่อนลงมาถึงพื้นนั้นค่อนข้างช้าและไถลไปข้างหน้าค่อนข้างไว้ ฉะนั้นกะตำแหน่งลงล่วงหน้าก่อนขาแตะพื้นสักนิดก็เป็นอันใช้ได้ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนในภาพที่พยายามจะลงไปในสนามหญ้าแต่ดันลงกลางถนน สุ่มเสี่ยงต่อการโดนยิงมากๆ ระบบการเล่นที่ต้อง "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" ตลอดเวลา แน่นอนว่าพอสัมผัสการเข้ามาเล่นครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกมีความเป็น Apex Legend อยู่อย่างมาก ต้องเรียกว่าแทบไม่ได้ฉีกออกจากเกม Apex Legend เลยด้วยซ้ำ ทั้งระบบการ Ping ที่ทำออกมาคล้ายๆ กันแต่ใช้งานง่ายกว่าในปุ่มเดียว, การสไลด์แม้จะไม่ได้ไถยาวแบบ Apex Legend แต่ก็เป็นการสไลด์สั้นๆ ที่เน้นเข้ากำบังให้ไวหรือหลบกระสุนศัตรูให้ยิงโดนเรายากขึ้นเท่านั้น ( ที่จริงในตัวเกมเต็มก็มีการไลด์แบบนี้เหมือนกัน ) และมีกลิ่นอายของ PUBG ผสมอยู่นิดหน่อย แต่กลับมีเอกลักษณ์ความเป็น Call of Duty อยู่เต็มเปี่ยม และสิ่งที่ดูแตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale อื่นๆ เลยก็คือ เราจะมีปืนพกติดตัวทันทีหนึ่งกระบอกซึ่งเกมอื่นๆ อาจจะเป็นแค่ตัวเปล่า ทำให้กลายเป็นว่าใครที่ลงถึงพื้นก่อนย่อมได้เปรียบในการยิงใส่ศัตรูที่ลงพื้นช้าทันที แถมยังมีผู้เล่นร่วมอีก 150 ชีวิตพร้อมโถมบวกใส่คุณทุกเวลา ฉะนั้นเมื่อลงถึงพื้น " รีบยิงศัตรูให้ไวก่อนที่เขาจะยิงใส่คุณ แล้วเอาตัวรอดให้ได้ซะ" ระหว่างนี้เราสามารถเข้าสำรวจพื้นที่ต่างๆ เพื่อรูทของตามกล่องต่างๆ ที่ถูกสุ่มเพื่อค้นหาอาวุธ เสบียงต่างๆ และอุปกรณ์เสริมที่ต้องใช้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องใช้ช่องเก็บของเยอะแยะ เพราะ Warzone เราสามารถเก็บอาวุธได้แค่สองช่องเท่านั้น และจะไม่มีอุปกรณ์แต่งปืนดรอปตามทาง จะมีแต่ปืนที่ถูกแต่งมาเรียบร้อยแล้วดรอปให้เท่านั้น แต่หากรู้สึกไม่ถูกใจกับปืนที่ได้ ก็สามารถเรียก Loadout Package เพื่อใช้ปืนที่เราแต่งไว้ตั้งแต่แรกก็ได้โดยต้องหา Shop Station และใช้เงินแลกซื้อมันมา แม้เลือดจะ Regen เองได้ แต่ตัวละครเราตายง่ายเช่นกัน แม้ความไวในการเล่น Call of Duty: Warzone จะค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ Apex Legend แต่ว่าตัวเกมก็ใช้ระบบพลังชีวิตแบบฟื้นฟูเลือดอัตโนมัติเหมือนตัวเกมเต็ม คือหากเราไม่ตายแล้วหลบไปหาที่กำบังสักพัก เลือดก็จะกลับมาฟื้นฟูจนเต็ม แต่ตามสไตล์ของเกม CoD คือโดนยิง 3-4 นัดก็ลงไปนอนง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ปืนเกือบทุกกระบอกฆ่าศัตรูได้เพียงไม่กี่นัด แม้ว่าเราจะสวมเกราะจนเต็มหลอดแต่ก็โดยิงร่วงตายง่ายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะปืนซุ่มยิงหากยิงใส่แล้วเราไม่มีเกราะ เรามีสิทธิ์ลงไปนอนภายในนัดเดียว ต่อให้มีเกราะก็ไม่เกินสองนัด หากใครคิดจะปะทะแล้วใช้วิถีวิ่งเข้าไปบวกแบบไวๆ ล่ะก็คิดผิด หากยิงไม่แม่นโดนสวนก็ลงไปนอนง่ายๆ เพียงไม่กี่อึดใจ แม้เกมจะช้า แต่ตัวก็ตายไวจงวางแผนร่วมกับทีมดีๆ ยิงให้แม่นๆ เพื่อชัยชนะของเรา Gulag, Welcome to the Gulag! และสิ่งที่มองว่าเป็นหนึ่งในสอง Signature ของเกมนี้เลยก็คือ หากใครตายโดยเพื่อนเข้าไปช่วยตอนล้มไม่ทันโดนยิงซ้ำตายครั้งแรก เราจะถูกส่งเข้าไปในคุก Gulag ซึ่งเป็นคุกอันมีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายในรัสเซียตั้งแต่สมัยยุคสหภาพโซเวียต และเคยปรากฎในเกม Call of Duty: Modern Warfare 2 ในภารกิจช่วย Captain Price ออกมาจากคุกด้วย และทางนี้ชื่นชอบคัตซีนเป็นพิเศษทำให้รู้สึกว่าเกมโหมดนี้โคตรใส่ใจ โดยระหว่างที่เราอยู่ในคุก Gulag เราก็ต้องมานั่งดูผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก ต้องดวลกันแบบ 1 ต่อ 1 ด้วยอาวุธที่ถูกสุ่มมาให้ในห้องน้ำของคุก ( ฉากนี้คุ้นๆ ไหมล่ะ ) โดยเราต้องรอคิวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงคิวเรา ระหว่างนี้เราสามารถเกรียนใส่คนดวลกันด้วยการปาก้อนหินเล่นได้ ชั่วร้ายมาก ฮ่าๆๆๆ!! และเมื่อถึงตาเรา เราก็จะถูกวาร์ปลงมาห้องน้ำพร้อมอาวุธที่สุ่มบนมือ เป็นการดวลแบบ 1 ต่อ 1 กับผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก สิ่งที่เราทำก็คือ "ฆ่ามันซะแล้วเราจะได้รับโอกาสที่สอง" โดยการดวลครั้งนี้เราต้องมีฝีมือและทักษะอย่างมาก อย่าลืมว่าเราโดนยิง 2-3 นัดก็ลงไปนอนตายแล้ว ฉะนั้นหากแม่นพอให้เล็งที่หัวซะ นัดเดียวรู้เรื่อง และหายังฆ่ากันไมไ่ด้ ก็จะมีธงโผล่ออกมากลางห้องน้ำให้เราไปยึดก่อนหมดเวลา หากเราชนะไม่ว่าการฆ่าศัตรูได้ก่อน, ยึดธงได้หรือหมดเวลาการดวลแล้วเรามีเลือดเยอะกว่าอีกฝ่าย เราก็จะถูกส่งกลับไปลงสนาม Battle Royale ต่อ แต่หากเราแพ้การดวล ตัวเกมจะนับว่าเราตายจริงๆ ซึ่งต้องรอเพื่อนใช้พลุส่งสัญญาณชุบชีวิตเราอีกรอบ หลังจากเราได้โอกาสที่สองแล้ว หากเราตายอีก เราจะต้องรอเพื่อนเรียกพลุส่งสัญญาณชุบชีวิตอย่างเดียว ระบบ Shop ที่จะทำให้เราพลิกกลับมาได้เปรียบทันที Signature ของเกมนี้อีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะกล่าวเลยก็คือระบบ Shop โดยตัวเกมจะมี Shop Station กระจายไปตามจุดต่างๆ ในแผนที่ Verdansk โดยเราจะต้องใช้เงินในการซื้อของต่างๆ ภายใน Shop ไม่ว่าจะเป็น Killstreak ที่สามารถเรียก UAV ดูตำแหน่งศัตรู, Precision Airstrike เรียกเครื่องบิน A-10 ให้ใช้ปืนใหญ่ GAU-8 Canon ยิงกราดลงพื้นใส่ศัตรูเป็นแนวยาว หรือใช้ Cluster Strike เรียกระดมระเบิดถล่มในตำแหน่งที่เราระบุไว้ด้วยรัศมีที่กว้างเอาเรื่อง และยังสามารถใช้เงินเพื่อซื้อ Loadout Package เรียกกล่องลงมาเพื่อเปลี่ยนอาวุธเป็นแบบที่เราเซ็ตไว้ได้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อีกทั้งหากมีเพื่อนตายรอชุบก็สามารถใช้เงินเพื่อยิงพลุส่งสัญญาณ เรียกเพื่อนที่ตายกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แล้วเงินที่ว่านี่หาจากไหนกัน ? สำหรับเงินใน Warzone จะสามารถหาได้ด้วยกันสามวิธีคือ หาได้จากตามซอกมุมของสถานที่และจากกล่อง Root ต่างๆ: วิธีนี้หาได้ค่อนข้างง่ายและไว แต่จะได้เงินทีละประมาณ 200 - 500 ดอลล่าห์ในเกมซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย แต่ก็ปลอดภัยและมีโอกาสพบเจออาวุธไว้ป้องกันตัวระหว่างทาง จากการฆ่าศัตรู: เมื่อเราเริ่มเกมมาเราจะมีเงินติดตัวเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งการฆ่าศัตรูก็คงไม่ต้องอธิบายเยอะ หากฆ่าได้ก็จะได้เงินมา และหา่ศัตรูดองเงินในตัวไว้เยอะแล้วโดนโดนเราฆ่า เราก็จะกลายเป็นคนรวยในทันที จากการรับ Intel Quest แบบสุ่ม: ในแผนที่จะมีสัญลักษณ์เควสต์ขึ้นมาให้เราไปเก็บ Intel ขึ้นมาแล้วเควสต์จะปรากฎว่าให้เราทำอะไร หลักๆ ก็จะมีเควสต์ล่าค่าหัว, ยึดพื้นที่และสำรวจกล่อง Root เมื่อทำสำเร็จเราจะได้เงินจำนวนมาก และยิ่งทำเควสต์ต่อเรื่อง เงินรางวัลก็จะคูณเป็นเปอร์เซ็ต์เข้าไปทำให้เราได้เยอะกว่าเดิม แต่ข้อเสียคือ ทุกครั้งที่เราถึงจุดหมายของเควสตืที่กำหนด จะมีการยิงพลุส่งสัญญาณอัตโนมัติให้ศัตรูรู้ตำแหน่งของเรา เมื่อเรารู้วิธีแหล่งฟาร์มเงินแล้ว ก็สามารถเอาเงินไปยัง Shop Station เพื่อแลกซื้อของที่เราต้องใช้ในการเอาชนะในศึกครั้งนี้ แล้วโหมด Plunder ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ? ส่วนในโหมด Plunder จากที่ลองเล่นมา นับได้ว่าเป็นโหมด Battle Royale สำหรับคนที่ไม่ชอบเน้นการเอาตัวรอด แต่เน้นเอาสะใจเป็นหลักมากกว่า เพราะภารกิจก็คือ หาเงินให้มากที่สุดไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม ทั้งจากการ Root, การฆ่าศัตรูหรือทำเควสต์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และการเริ่มเกมเราไม่จำเป็นต้องไล่หาอาวุธปืน เราจะสวมใส่อาวุธและ Perk ต่างๆ จาก Loadout ที่เราเซ็ตไว้ก่อนเริ่มเกมทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหาอาวุธมากมายนัก จากนั้นเราก็ลงมาทำมาหากิน สะสมเงินได้เลย แต่ข้อควรระวังไว้บางอย่างก็คือ หากเราดองเงินไว้กับตัวมากจนเกินไป เราจะถูกระบุตำแหน่งให้ศัตรูไล่ล่าเราทันที เมื่อศัตรูไล่ล่าเรา ฉะนั้นจงต้องระวังตัวไว้เป็นพิเศษ เพราะหาเราตาย เงินก็จะตกทันที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหากเราตาย เราก็จะเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ โดยการโดดร่มลงมา เมื่อเรามีเงินมากพอแล้ว เราสามารถหาบอลลูเพื่อเอาเงินที่เราสะสมปล่อยขึ้นฟ้าแต่เราจะฝากเงินได้ไม่เยอะนัก หรือเราจะเรียกเฮลิคอปเตอร์เพื่อเอาเงินที่เราได้ทั้งหมดส่งให้ทีเดียวแต่ก็จะเป็นจุดเด่นให้ศัตรูเห็นและไล่ฆ่าเราด้วยเช่นกัน เกมนี้จบค่อนข้างไว ใครที่สะสมเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์ก่อนหรือจบเกมมีเงินสะสมรวมมากที่สุดก็เป็นผู้ชนะทันที มันจึงเป็นโหมดที่สำหรับเน้นเอาฆ่าเอาสะใจ ไม่เครียดแบบ Battle Royale ปกติ ================================================== โดยสรุปแล้ว Call of Duty: Warzone หากพูดได้เต็มปากว่าก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจาก Battle Royale ทั่วไป แถมออกไปทาง Apex Legend เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ไม่ได้มีสกิลประจำตัวต่างๆ มีเพียงแค่ฝีมือกับเงินไปแลกของเพื่อพลิกเกมเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นแต่กลับมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของ Call of Duty อย่างเต็มเปี่ยมทั้งระบบ Shop และระบบโอกาสที่สองที่เราต้องเข้าไปติดคุกใน Gulag กับระบบการเล่นที่ตายง่าย ทำให้เราตระหนักถึงทรัพยากรทุกๆ อย่างที่เราต้องเสียไปว่าควรใช้อย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยเราต้องรอด และสิ่งที่ทำให้ประทับใจสุดๆ คือ ฉากคัตซีนตอนเราชนะหรือขึ้นที่หนึ่ง "เป็นอะไรที่โคตรน่าจดจำและรู้สึกเราคือผู้ชนะจากก้นลึกของหัวใจจริงๆ" คืออินเนอร์มาเต็ม มีขึ้นรายชื่อผู้เล่นที่เสียชีวิตจากโหมด Battle Royale ทั้งหมดเหมือนกำลังดูฉากจบหล่อๆ ของหนังแอคชั่นระดับคุณภาพสักเรื่อง รู้สึกว่าเราได้ถึงจุดที่ลำบากที่สุดแล้วรอดมาเป็นคนสุดท้าย มันอินมากกว่าเกมอื่นๆ อีกนะ มันทำให้รู้ว่า Infinity Ward ทุ่มเทกับโหมดนี้แบบจริงจังมากเลยล่ะ บอกเลยว่าหากมีโอกาสแล้วล่ะก็ "ต้องเล่น Call of Duty: Warzone" ให้ได้อย่างน้อยสักครั้ง แล้วคุณจะได้สัมผัสว่า เวลาชนะโหมด Battle Royale แบบโคตรเท่ที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร [penci_review id="45429"]
13 Mar 2020
Final Fantasy VII Remake Demo : 23 ปีเพื่อนกัน และความมหัศจรรย์ของการพบกันอีกครั้ง
คุณเคยมีเพื่อนที่สร้างความประทับใจให้ไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะผ่านเวลามานานขนาดไหนหรือเปล่า? สำหรับผู้เขียน … ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ในวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 1997 ด้วยวัย 12 ขวบ ที่ยอมลาเรียน รบเร้าคุณพ่อให้พาไปต่อคิวหน้าศูนย์โซนีสาขาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน อันช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต มันเป็นวินาทีที่พิเศษที่สุด ที่ผลจากความพยายามเก็บเงินข้ามปี จำนวน 2180 บาท กำลังจะออกดอกผล เป็นแพ็คเกจแผ่นเกมเครื่องเล่น Playstation ใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อว่า …. Final Fantasy VII จากวันที่ได้รับแผ่น ผู้เขียนเล่นมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์แม้แต่ตัวเดียว เฝ้าเสาะแสวงหาบทสรุปของสำนักพิมพ์ต่างๆ มาประกอบการเล่น เล่นจบแล้วก็เล่นซ้ำไปมา เป็นห้วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ที่ได้ใช้ร่วมกันกับ ‘เพื่อน’ ผู้นี้ และเป็นสิ่งที่กำหนดตัวตน และความเป็น ‘คนเล่นเกม’ ของผู้เขียนมานับตั้งแต่นั้น…. เวลาผ่านไป 23 ปีมาจนถึงปัจจุบัน ที่ผู้เขียนเป็นชายวัยเกือบกลางคน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายพรรษา ผ่านชิ้นงานเกมหลากหลายแนวมานับไม่ถ้วน ได้เห็นวัฏจักรการเกิดดับของแต่ละ Cycle ของแวดวง และได้รับทราบถึง ‘การกลับมา’ ของเพื่อนคนเก่า ที่มาในรูปโฉมใหม่ มันอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ มันเป็นความตื่นเต้น อันเกิดจากความอยากรู้อยากเห็น ว่าเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านไป ‘เพื่อน’ คนนี้ จะยังคงน่าสนใจแค่ไหน และมีเรื่องราวใดที่จะมาบอกกล่าวกันกับผู้เขียน เรานัดเจอกันในเย็นย่ำวันธรรมดาหลังเลิกงาน เฝ้ารอให้เพื่อนเดินทางมาสถิตอยู่ในเครื่อง Playstation 4 Pro ใช้เวลาเพียงไม่นาน ‘เพื่อนเก่า’ ใน ‘โฉมใหม่’ ก็ได้มาอยู่ต่อหน้า พร้อมสำหรับการพูดคุยสนทนาวิสาสะกัน และนี่ คือการสนทนาของผู้เขียน กับ ‘เพื่อน’ คนนี้ … รูปลักษณ์ สุ้มเสียง สำเนียงที่เปลี่ยนไป ในเรื่องราวเก่าแก่ที่บอกกล่าวกันใหม่ตามช่วงเวลา เราเริ่มต้นทักทายกันด้วยความทรงจำและเรื่องราวเก่าเป็นบทเปิดโหมโรงพอเป็นพิธี แต่ก็สัมผัสได้ทันที ว่าเพื่อนผู้นี้ มีกลวิธีที่แตกต่างออกไปจากเดิม มันมีเสน่ห์มากขึ้นตามยุคสมัย แต่สามารถลงลึกถึงรายละเอียดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนได้อย่างแม่นยำ ฉากที่เป็น Signature หลายช่วงถูกนำเสนอออกมาในรายละเอียดที่มากขึ้น ที่แม้แต่ผู้เขียนก็คาดไม่ถึง ว่าเรื่องราวในครั้งนั้น จะมีสิ่งละอันพันละน้อยปลีกย่อยที่น่าสนใจได้ถึงขนาดนี้ มันช่วยเติมรสชาติที่แปลกใหม่ แต่ก็ยังมีความชวนให้หวนอาลัยต่อความทรงจำที่เคยได้รับมาในสถานการณ์เดียวกัน ดวงตาของผู้เขียนเป็นประกายราวกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ เหมือนได้ย้อนกลับไปยังวันเวลาเก่าก่อนอีกครั้ง ‘เพื่อน’ ไม่รอช้า เข้าสู่บทโหมโรงของเรื่องราวแห่ง Cloud Strife ทหารรับจ้าง กับภารกิจร่วมกับกลุ่ม Avalanche ในการทำลายเตาปฏิกรณ์ Mako ของบรรษัทยักษ์ใหญ่ Shinra Company แน่นอนว่านี่ เป็นเรื่องเก่า แต่ก็เป็นเรื่องเก่าที่น่าคิดถึง และยิ่งมาในรูปโฉมใหม่ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความน่าสนใจในการสนทนาครั้งนี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ตัวละครประกอบอย่างแก๊งส์ร่วมขบวนการอย่าง Biggs, Wedge และ Jessie ถูกขับเน้นให้มีตัวตน มีบุคลิก และ ‘มีความสำคัญ’ ดังที่เพื่อนได้กล่าวกับผู้เขียนว่า เรื่องราวถัดจากนั้น จะยิ่งเข้มข้นและลงลึกในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น (และอาจจะดึงดราม่าเรียกน้ำตากันได้ง่ายๆ...) ผู้เขียนพอจะทราบมาบ้างแล้วว่า เพื่อนผู้นี้มีความพยายามที่จะตามยุคสมัยและเวลาที่เปลี่ยนไปให้ทัน นั่นทำให้สิ่งรกรุงรังอย่างการผลัดกันตีผลัดกันเดิน ถูกทดแทนด้วยบทแอ็คชันประยุกต์ผสมผสานโหมด Active Time Bar (ATB) แบบฉบับดั้งเดิมให้เป็นในส่วนของคอมมานด์ที่สามารถกดใช้ได้แทบจะทันที หรือจะกดใช้แบบกึ่งชะลอจังหวะการเล่นเพื่อดูภาพรวมของสมรภูมิก็สามารถทำได้ ทำให้การออกท่วงท่าต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบเนียนไร้รอยสะดุด ช่วยให้การเล่นนั้นรวดเร็ว คมกริบ และง่ายต่อการเรียนรู้ เพียงแค่สองการปะทะ ผู้เขียนก็สามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วโดยแทบไม่ต้องมองจอยแพดที่อยู่ในมือ เขาบอกว่าเอาตัวอย่างบางส่วนมาจากภาค 15 เข้ามาปรับปรุง แต่ก็ยังเหลือเผื่อจังหวะให้ช้าลงเพื่อความสะดวกมากยิ่งขึ้น เป็นการประนีประนอมที่เข้าท่ามากๆ เพราะมันได้ทั้งความเร็ว และมิติทางการวางแผน อันเป็นมรดกสืบทอดจากช่วงเวลาอันแสนน่าคิดถึงเหล่านั้น ความรวดเร็วในการดำเนินเรื่องราวของเพื่อนยังคงไว้ซึ่งจังหวะอย่างต่อเนื่อง คลอไปด้วยดนตรีที่คุ้นเคย ไม่มีอีกแล้วกับการเดินในพื้นที่แล้วสู้กับศัตรูแบบสุ่ม ทุกอย่างถูกวางสคริปต์เอาไว้อย่างเหมาะเจาะ ทุกการปะทะถูกเตรียมพร้อมเอาไว้โดยมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน และเข้าถึงประเด็นได้โดยไม่ต้องเสียเวลาสาธยายความ แต่ไม่ละเลยซึ่งส่วนปลีกย่อยที่เล็กน้อยที่สุดอย่างการแสดงออกทางสีหน้าตัวละคร ท่วงท่าภาษากาย บทสนทนาตอบโต้ระหว่างกัน เป็นการบอกบุคลิกที่แตกต่างระหว่าง Cloud Strife และ Barret Wallace ในภารกิจทำลายเตาปฏิกรณ์ มันชัดเจน และขับเน้นตัวละครได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ บ่งบอกถึงการคิดมาอย่างดี พ่วงด้วยประสบการณ์ที่สะสมตามเวลามานานปี ที่ผู้เขียนมั่นใจ ว่าจะสามารถจับหัวใจได้ทั้งเพื่อนเก่าแก่ท่านอื่น และผู้ที่รู้จักกับเขาเพียงครั้งแรก ดังเช่นที่ผู้เขียนได้เพลิดเพลินกับการปรับโฉมในรอบนี้ เรื่องราวการผจญภัยมาถึงปลายทาง ผ่านบทต่อสู้กับบอสประจำพื้นที่อย่างหุ่นยนต์ Scorpion Sentry หน้าเก่า ที่กลับมาอย่างเร้าใจ มันมีลูกเล่นที่มากมาย และซุกซ่อนกลเม็ดเด็ดพรายที่ทำให้การต่อสู้นั้นท้าทายและเป็นมากกว่าการเดินเข้าตีอย่างดาดๆ มันต้องใช้ความคิดที่มากขึ้น ใช้ทักษะที่มากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ มันค่อนข้างจะเป็นการต่อสู้ที่ ‘ยาก’ เอาเรื่อง หลายครั้งที่ผู้เขียนเกือบจะพลาดพลั้งเสียที จนต้องเรียนรู้รูปแบบการโจมตีและท่วงท่าของมัน และเลือกใช้ความสามารถของสองตัวละครที่สลับผลัดเปลี่ยนในช่วงที่เหมาะสม จึงสามารถคว้าชัยชนะในการปะทะครั้งนี้ลงไปได้ ทั้งหมดนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า คือสิ่งที่เพื่อนอยากจะบอกกล่าวตั้งแต่กาลก่อน แต่ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี หรือด้วยวัยที่ยังใหม่ต่อโลกกว้าง ที่วงการยังอยู่ในระยะตั้งไข่ก้าวเดินออกไปได้ไม่นานก็ตาม จุดสะดุดในเรื่องเล่า แต่ก็เช่นเดียวกับเรื่องเล่าในทุกเรื่อง การบอกเล่าของเพื่อนยังไม่ได้สมบูรณ์แบบจนถึงที่สุด ยังมีจุดที่ยังน่ากังขาอยู่ไม่น้อยที่ยังรอคอยคำตอบ ไม่ว่าจะด้วยมุมกล้องที่ใช้งานได้ไม่สะดวกมากนัก ไปจนถึงระดับความยากของการเล่นที่ค่อนข้างสวิงไม่คงที่ แต่นั่นก็เป็นเพียงความไม่สะดวกเพียงเล็กน้อย ที่ไม่ได้ขัดขวางซึ่งความสนุกที่พึงได้รับแต่ประการใด รูปแบบการบอกเล่า (การเล่น) ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เพื่อนผู้นี้กังวล อาจจะเพราะด้วยความที่เขามีคนที่รักอยู่มากมาย การเปลี่ยนแปลงสไตล์จากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ อาจก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์ได้ทั้งทางบวกและทางลบ แต่ก็เป็นความกังวลที่แฝงไปด้วยความมั่นใจในน้ำเสียงอยู่ไม่น้อย ว่าจะสามารถมัดใจผู้ที่เข้ามาพูดคุยได้อย่างอยู่หมัด มันบ่งบอกชัดผ่านการนำเสนอที่ทั้งนอบน้อมต่อความทรงจำเก่าของเรา และความพยายามที่ก้าวสู่อาณาเขตของความร่วมสมัยที่สามารถสัมผัสได้แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม อีกทั้งเพื่อนผู้นี้ออกตัวกับผู้เขียนเอาไว้แต่เนิ่นๆ ด้วยว่า เขาอาจจะไม่ได้มีความพร้อมที่จะบอกเล่าทุกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบไปถึงปลายทางดังที่เคยเป็น อาจจะเพราะมีหลายสิ่งที่ได้รับการเพิ่มเติมเข้ามา หลายอย่างที่ช่วงเวลาได้บ่งเพาะให้มีความละเมียดละไม และหลายจุดที่ไม่สามารถละสายตาไปได้ แต่นั่นไม่ใช่สาระเท่าใดในความรู้สึกของผู้เขียน มันออกจะเป็นความน่าลุ้นเสียด้วยซ้ำว่าด้วยพรรษาที่ผ่านไป เขาจะเพิ่มเติมส่วนประกอบอันใดเข้าไว้ในเรื่องราวแต่หนก่อน ให้มีเสน่ห์และรสชาติที่น่าลิ้มลองอีกครั้ง การเฝ้าคอย และนับถอยหลังสู่การพูดคุยครั้งสำคัญ ผู้เขียนและเพื่อนใช้เวลาร่วมกันในการสนทนาครั้งนี้ที่ 45 นาที เป็นเวลาที่ดูเหมือนจะนาน แต่ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าใจคิด อดที่จะรู้สึกเสียดายไปไม่ได้ ที่การพบปะกันหลังเวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษจะต้องปิดฉากลงไปก่อนเป็นการชั่วคราว เพราะมันเป็นการพบกันที่น่าอภิรมย์ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่า เพื่อนผู้นี้ มีดีมากกว่าที่คิด และมีดีมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มรู้จัก แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองทศวรรษ และยิ่งเปล่งประกายเมื่อได้รับการขัดด้วยกาลเวลา ก่อนจากกัน เราให้สัญญานัดแนะอย่างเป็นมั่นเหมาะ ว่าจะพบกันเพื่อพูดคุยอีกครั้ง ในวันที่ 10 เมษายน ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจนี้  แน่นอนว่าผู้เขียนเองก็อดใจแทบไม่ไหว ที่จะได้เปิดวงสนทนากับเพื่อนผู้นี้กันให้อย่างเต็มอิ่มชุ่มปอด สวมกอดด้วยมิตรภาพที่มีให้มาอย่างยาวนานนับแรมปี และมันคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ย้อนระลึกถึงความเป็นเด็กวัย 12 อีกครั้ง ในวันที่ได้พบเจอกัน เพราะช่วงเวลาที่แสนสุข และยอดเยี่ยม มันไม่เคยเกี่ยง ว่าจะกลับมาในรูปโฉมไหน หรือออกมาในรูปแบบใด แล้วคุณล่ะ มีเพื่อนแบบนี้อยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า?
13 Mar 2020
รีวิว The Seven Deadly Sins: Grand Cross เกมดีจากการ์ตูนดัง
เพิ่งจะเปิดตัวกันไปเมื่อต้นเดือน มีนาคม 2563 นี่เองกับเกม The Seven Deadly Sins: Grand Cross ซึ่งหลายคนคงได้ลองเล่นกันแล้ว แต่ลุงไอซ์เพิ่งจะได้เล่นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง หลังจากได้เล่นแล้วก็เลยอยากจะเอามาเล่าสู่กันฟัง ว่าเกมนี้เป็นยังไง สนุกไหม มีข้อดี ข้อเสียยังไง The Seven Deadly Sins: Grand Cross ดูจากชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นเกมที่สร้างมาจากการ์ตูนดังเรื่อง ศึกตำนาน 7 อัศวิน ซึ่งเรียกกันสั้น ๆ ว่า 7 บาป นั่นเอง ซึ่งลุงจะไม่ขอพูดถึงการ์ตูนก็แล้วกัน ใครอยากอ่านก็ลองไปหาอ่านกันดูนะจ้ะ ในส่วนของตัวเกมเป็นเกมแนว Cinematic Adventure RPG คือเป็นเกมผู้เล่นสวมบทบาทเป็นตัวละคร โดยระหว่างการผจญภัยก็จะมีฉาก Cinematic เป็น Animation ให้ดูอยู่ตลอด ซึ่งสามารถทำได้สวยงามน่าติดตามมาก เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่ลุงไอซ์ไม่กดผ่านฉาก Cinematic เลย ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น เนื้อเรื่องหลักเหมือนการ์ตูนเกือบ 100% และเริ่มตั้งแต่ต้นทำให้คนที่ไม่ได้ติดตามการ์ตูนเรื่องนี้ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้โดยไม่ต้องกังวล ตัวเกมสามารถเล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนานราวกับได้ดู Animation ไปพร้อมกับเล่นเกม ระบบของเกมทำออกมาได้ดีมาก ทั้งเควสหลักและเควสรองมีเนื้อเรื่องที่ลื่นไหล การอัพเลเวลตัวละคร อัพเกรดอาวุธ และสกิลต่าง ๆ ครบถ้วน มีมินิเกมเป็นเจ้าหมูฮอร์ควิ่งเก็บเหรียญแก้เบื่อจากตัวเกมหลักได้ ส่วน Gasha ก็ไม่เกลือจนเกินไปนัก สามารถเก็บตัวละครที่ชอบได้ไม่ยาก ฉากต่อสู้สวยงาม มีระบบ Auto ช่วยสู้ และยังมีระบบ PVP ให้ได้มีการอวดความเก่งให้โลกได้รับรู้อีกด้วย คะแนนรีวิว 8/10 จุดแข็ง - ถือเป็นเกมจากการ์ตูนที่ดีอันดับต้น ๆ ในชีวิตลุงไอซ์เลย มีเนื้อเรื่องตรงตามต้นฉบับ ภาพสวยมาก Cinematic ลื่นไหลเหมือนดูการ์ตูน เกมมีระบบต่าง ๆ เกือบครบถ้วน ถือเป็นเกม RPG ที่สามารถเล่นได้เรื่อย ๆ โดยไม่เบื่อ จุดอ่อน - สูบแบตพอสมควร และไม่มีมีระบบกดผ่านการต่อสู้แบบง่าย ๆ ที่เคยชนะผ่านมาแล้ว หรือเร่งความเร็วการต่อสู้มากกว่า x2 อย่างที่มีให้ เพราะใช้เวลาในการต่อสู้แต่ละครั้งมากเกินไปหน่อยนะจ้ะ โดยรวมแล้ว The Seven Deadly Sins: Grand Cross เป็นเกมที่ดีมากเกมนึง ที่เล่นแล้วสูบวิญญาณอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับแฟนการ์ตูนเรื่องนี้อย่างลุง วันแรกนี่แทบไม่ได้นอนกันเลยทีเดียวเพราะ Stamina มันไม่หมดซักที 555+ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Netmarble ที่นำเกมดีมาให้ได้เล่นกันนะจ้ะ ลุงไอซ์ไปก่อนละจ้ะ บาย Official Website - https://7dsgc.netmarble.com/th Official Facebook Community - https://www.facebook.com/7ds.th/ โหลดตัวเกม Google Play iOS
13 Mar 2020
รีวิว Dreams Universe ดินแดนที่ความเป็นไปได้ กับความฝันห่างกันเพียงนิดเดียว!
Dream Universe เป็นเกมใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเกมนี้จะแตกต่างจากเกมทั่ว ๆ ไปที่เราหาเล่นได้ในปัจจุบันอยู่ 1 อย่าง นั้นก็คือเกมนี้ไม่ใช้เกมเปิดเล่นดำเนินเนื้อเรื่องจนจบ หรือเก็บ Achievement ในเกมจนครบแล้วนับว่าเคลียร์ แต่เป็นเกมที่จะให้ผู้เล่นสามารถเข้าไปเล่นเกมอื่น ๆ หรือสร้างเกมใหม่ขึ้นในเกมนี้แทน ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ Dreams นั้นเปรี่ยบเสมือนโปรแกรมที่เอาไว้เล่นเกมมากกว่าเป็นเกมด้วยตัวเอง ซึ่งในตอนนี้ก็มีเกมอยู่มากมายภายใน Dreams โดยเกมที่สามารถหาเล่นได้ใน Dreams นั้นก็มีตั้งแต่เกมใหญ่ ๆ ที่มีการทำเนื้อเรื่องของเกมออกมาอย่างจริงจัง, เกมสร้างเมืองแบบ Simulation, หรือเกมที่ไม่ได้มีจุดหมายอะไรเอาไว้เล่นแก้เบื่อเท่านั้น ก็มีอยู่เช่นกัน ดังนั้นการรีวิวในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับตัวผู้เขียน เพราะไม่รู้จะพูดถึงอะไรที่เป็นของ Dreams เองเลยดี แต่ไหน ๆ ก็ได้เล่นมาแล้ว ยังไงก็จะขอเล่าความรู้สึกที่มีต่อเกมนี้ให้ได้มากที่สุดครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เกม Dream Universe นั้นไม่ได้มีเนื้อเรื่องภายในเกมเป็นของตัวเอง แต่ด้วยความที่เกมนี้เปิดให้ผู้เล่นสามารถเข้ามาสร้างเรื่องราว , สร้างเกมของตัวเองได้ มันจึงอาจจะบอกได้ว่าเรื่องราวของ Dream นั้นมีร้อยแปดพันเก้า ไม่ว่าจะเป็นเกมไหน ต่างก็มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเกม RPG, เกม Hack and Slash หรือเกม Horror บ้างก็เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องดีมาก ๆ , บ้างก็เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องธรรมดา ๆ, บ่างก็เป็นเกมที่ไม่มีเนื้อเรื่องเลย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดของเกมต่าง ๆ ที่อยู่ใน Dreams ก็ถือว่าเป็นเนื้อเรื่องของ Dreams ทั้งหมดด้วยเช่นกัน มันทำให้ทุกครั้งที่กดเข้าไปเล่นเกมไหนก็ตาม เราจะรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกำลังจจะเข้าไปเล่นเกมใหม่ทุกครั้ง "จะมีเนื้อเรื่องแบบไหนรอเราอยู่กันแน่" จุดนี้สำหรับตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นเสน่ห์ของเกมครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Dreams นั้นมีรูปแบบของภาพ และกราฟิกที่หลากหลายมาก บางเกมก็ใช้เพียงแค่ตัวละคร 3D Solid Color ธรรมดา ๆ ไม่มีหน้าไม่มีตามาเป็นตัวดำเนินเนื้อเรื่อง, บ้างก็ทำเป็นตัวละครมีแขนมีขาใส่ Texture ให้ตัวละครอย่างจริงจัง, บ้างก็ทำเกมเป็นมุมมองบุคคลที่ 1 คือถ้าจะให้นับแค่ความหลากหลายที่เกมนี้มีคงเรียกได้ว่ามากที่สุดแล้วเท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นมาเลย ความหลากหลายนี้ทำให้ทุกครั้งที่เปิดเข้าไปทดลองเล่นเกมอะไรก็จะไม่รู้สึกเบื่อเลย ส่วนใหญ่จะทำให้รู้สึกตื่นเต้นซะด้วยซ้ำ "โลกแบบไหนที่รอเราอยู่" , "เกมที่กดเข้ามาเป็นแบบไหน" , "มีเกมที่เจ๋งขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ" ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ไม่ค่อยจะรู้สึกเบื่อที่จะเล่นเกมต่าง ๆ ในเกม Dreams เลยครับ ด้วยความหลากหลายที่เยอะมาก ๆ ก็ทำให้เกม Dreams นั้นขาดความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไปครับ คือสิ่งที่เป็นตัวยืนยัน และคอยบอกว่า "เกมที่เรากำลังเล่นอยู่มีชื่อว่า Dreams นะ" มันแทบจะไม่มีเลย จริงอยู่ว่าใน Dream นั้นมีเกมดี ๆ และสนุกมากมายจริง แต่คนที่เล่นจะไม่ได้จำชื่อของ "Dreams" แต่จะจำเป็น "ชื่อของเกม" ที่สนุก ๆ ใน Dreams แทน ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่าย เกมนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากโปรแกรมเล่นเกมครอบจักรวาลในสมัยก่อนเลย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าความไม่มีตัวตนของ Dreams นั้นเป็นทั้งข้อดี ทั้งยังเป็นข้อเสียในเวลาเดียวกันครับ ใน Dreams เราสามารถที่จะสร้างเกมของตัวเองเพื่อนำเสนอมุมมอง, การเล่น, รวมไปจนถึงเนื้อเรื่องได้ตามที่เราต้องการ ซึ่งทำให้เกมนี้เปรียบเสมือนพื้นที่ให้เหล่า Creator ได้โชว์ฝีไม้ลายมือกันอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน ตัวผู้เขียนยอมรับเลยว่าภายใน Dreams นั้นมีเกมที่ดี และสนุกมาก ๆ ไม่แพ้เกมที่วางขายอยู่ตามตลาดตอนนี้มากมายเเลยทีเดียว การซื้อ Dreams มาจึงเหมือนได้เกมอื่น ๆ นับร้อยแถมมาด้วย แถมยังเป็นการได้สถานที่ซึ่งเราสามารถใช้ในการสร้างเกมต่าง ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน ถึงแม่จะสามารถสร้างเกม และนำเสนอเรื้องราวของตัวเองได้ แต่ด้วยการที่สร้างเกมในเกมอีกทีหนึ่งมันก็จะทำให้มีข้อจำกัดมากมายในการสร้างเกมด้วยเช่นกัน เช่นภาพจะสวยไปมากกว่านี้ไม่ได้ หรือ ไม่สามารถใส่คำสั่งที่ซับซ้อนมากกว่านี้ได้เป็นต้น ส่งผลให้เกมที่ถูกสร้างใน Dreams จึงมีข้อจำกัดมากมายไปด้วยนั้นเอง ก็นับเป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นดาบสองคมของเกม Dreams ครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ ในเมื่อ Dreams ไม่ใช้เกมปกติทั่ว ๆ ไปที่มีเนื้อเรื่อง หรือรูปแบบการเล่นที่เป็นของตัวเอง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็นการเน้นให้เราเข้าไปเล่นเกมอื่น ๆ ที่มีข้างใน Dreams มากกว่า จะมีแค่ช่วงต้นของเกมเท่านั้น ที่มีการสอนวิธีเข้าไปเล่นเกมต่าง ๆ นอกนั้นจะเป็นอิสระของผู้เล่นเองว่าจะเข้าไปเล่นเกมไหนครับ เรื่องนี้ทำให้ความสนุกของเกม จะขึ้นอยู่กับ ความสนุกของเกมที่เราได้เข้าไปเล่น จึงไม่ใช้สามารถพูดได้เต็มปากว่าเกมนี้สนุก หรือห่วยแตกกันแน่ครับ ถึงแม้ว่า Dreams จะไม่ใช้เกมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ก็หมายความว่า Dreams คือเกมที่มีเกมทุกแนวทุกประเภทรวมอยู่ในที่เดียวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น FPS, Action Adventure, Horror Survival หรือ Simulation ก็มีให้เล่นทั้งหมดในเกมนี้ และมีหลายเกมเลยที่ผู้เขียนไม่รู้ว่าจะจัดอยู่ในหมวดหมูไหนดี อยู่หลายเกมเลยด้วย หลาย ๆ เกมมีความสนุกเป็นอย่างมาก อีกทั้งทุกครั้งที่เบื่อก็เพียงแค่กด Options แล้วออกไปเล่นเกมอื่นเท่านั้น ถ้าพูดตรง ๆ ก็เหมือนจ่ายตังครั้งเดียว แต่สามารถเล่นได้เป็นร้อย ๆ เกมครับ ◊ สรุป ◊ Dreams Universe เป็นเหมือนโปรแกรมที่เอาไว้ใช้เล่นเกมมากกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นเกม ด้วยความที่เราสามารถเล่นเกมได้มากมายภายในนี้ แถมยังมีเกมใหม่ออกมาให้เล่นอยู่เกือบจะตลอดเวลาด้วย คงเรียกได้ว่าการซื้อ Dreams เป็นการจ่ายเงินที่ดูคุ้มค่ามาก ๆ แน่นอนว่านอกจากการเล่นเกมต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นเหมือนสถานที่ซึ่งเอาไว้ใช้ปลดปล่อยจินตนาการของเรา ในการสร้างเกมให้คนอื่นเล่นได้ด้วย คงพูดได้เต็มปากว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับเงิน 1,290 บาทมาก ๆ แต่ก็นับเป็นเกมที่ขาดความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไป จริงอยู่ที่ใน Dreams มีเกมดี ๆ มากมาย แต่ผู้เล่นจะจำชื่อของเกมที่เล่นใน Dreams มากกว่าที่จะจำชื่อของ Dreams เอง อีกทั้งการสร้างเกมใน Dreams ก็ยังมีขีดจำกัดมากมายในตอนนี้ จากข้อดี และข้อเสียที่เราได้กล่าวมาส่งผลให้เราตัดสินใจว่าเกมนี้ควรจะได้ 8 เต็ม 10 จริงอยู่ที่ Dreams เป็นเกมที่ดีเกมหนึ่ง แต่ Dreams ไม่ได้สร้างภาพที่น่าจดจำเหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่เราให้ 9 - 10 คะแนนเช่นกัน ดังนั้นเราจึงคิดว่า 8 คะแนนจึงเป็นคะแนนที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับเกมนี้ครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="44387"]
12 Mar 2020
รีวิว Mario Kart Tour โหมด Multiplayer หนึ่งในสิ่งที่แฟน ๆ รอคอย!
นับตั้งแต่ Mario Kart Tour เปิดให้บริการประชันความเร็วบนมือถือ สิ่งที่ผู้เล่นต่างเรียกร้องและรอคอยอย่างมาก (จนบางคนก็เลิกรอไปแล้ว ) นั่นคือการเล่นแบบ Multiplayer ที่จะทำให้ได้แข่งกับผู้เล่นจริง ๆ และหลังจากที่รอคอยมากว่า 5 เดือน ในที่สุดก็สามารถเข้าเล่นโหมด Multiplayer กันได้อย่างเป็นทางการแล้วจ้า!! พวกเรา GameFever TH แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะพาทุกท่านมารู้จักกับโหมดใหม่นี้ ตามมาดูกันเลย~ วิธีการเข้าสู่โหมด Multiplayer สามารถเข้าได้ผ่านการเปิดหน้า Menu แล้วเลือก Multiplayer ที่มีไอคอนรูปเห็ด Toad หลากสี หรือจะเข้าง่าย ๆ ตรงมุมล่างซ้ายในหน้าแรกของเกมก็ได้เช่นกัน                                 เมื่อเข้ามาแล้ว จะเห็นหน้าเกมแบบภาพด้านบนนี้ โดย... แถบบนสุด ทางซ้าย คือระดับ (Rank) ในโหมด Multiplayer ของเรา ซึ่งจะมีผลต่อการจับคู่เข้าสนามแข่งขัน โดยจะเริ่มจากแรงค์ F เราสามารถเก็บค่าประสบการณ์จากการเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ระดับสูงขึ้นได้ ส่วนช่องกลางคือจำนวน Coin และทางขวาคือจำนวน Ruby เช่นเดียวกับที่ปรากฏในหน้าแรกของเกม ถัดลงมา ในกรอบคำพูดสีขาว จะบอกว่า สนามที่เราจะเข้าไปเล่นนั้น มาจาก Cup ไหน ซึ่งจะตรงกับโหมด Tournament  (สามารถแอบไปเช็คก่อนเข้าเล่นได้ เผื่อเจอด่านที่ไม่ถนัด) โดย Cup จะถูกรีเซ็ตทุก ๆ 15 นาที และด้านล่างชื่อ Cup จะบอกว่าเหลือเวลาแข่งขันสำหรัับ Cup นี้อีกกี่นาที หากเวลาของ Cup หมดในระหว่างที่เล่นอยู่ เราจะเข้าสู่ด่านใหม่ ใน Cup ถัดไปทันทีที่จบการแข่งขัน ในทางกลับกัน ถ้าเล่นครบ 3 ด่านของ Cup แล้ว เราจะวนกลับไปเล่นสนามแรกใหม่เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเวลาที่กำหนดของ Cup นั้น ในส่วน Worldwide จะเป็นส่วนของการเข้าแข่งขัน Multiplayer แบบออนไลน์ และแน่นอนว่าเป็นการแข่งขันกับผู้เล่น Mario Kart tour จากทั่วโลก!!!! Standard Race - คือสนามแข่งขันทั่วไป ที่ผู้เล่นทุกคนสามารถเข้าเล่นได้ Gold Race - คือสนามแข่งสำหรับ Subscriber รายเดือนของ Gold Pass เท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 สนามจะมีกติกาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน (เช่น เงื่อนไขความเร็วที่ใช้ได้ หรือจำนวนช่องไอเทมที่กำหนดให้ใช้ได้ในการแข่งขัน) สามารถเช็คได้ใต้ชื่อสนามแข่ง และส่วนล่างสุด คือการสร้างห้องส่วนตัว (Create Room) เพื่อชวนเพื่อน ๆ ที่มีในรายชื่อของเรามาแข่งขันกัน หรือดึงผู้เล่นที่อยู่ในเขตใกล้เคียงของเรา มาร่วมเล่นในห้องด้วยกัน ซึ่งในส่วนนี้ เราสามารถกำหนดเงื่อนไขของสนามแข่งได้เองด้วยนะ~ เมื่อเข้าสู่การแข่งขันแล้ว จะใช้เวลาสักครู่เพื่อหาผู้เล่น ก่อนที่จะให้เราเลือกตัวละคร, รถ และร่ม ในหน้าก่อนเข้าสนาม ซึ่งในส่วนนี้ ไม่ต่างกับโหมด Tournament เลย จากนั้น รอเวลานับถอยหลัง แล้วซิ่งกันเลย!!!! จากการแข่งรถทำคะแนนขำ ๆ สู่การเจอคนเล่นจริง ๆ ทำให้ Mario Kart Tour กลายเป็นเกมที่สนุกและน่าตื่นเต้นมากขึ้น เพราะเทคนิคต่าง ๆ ที่เราใช้ทำคะแนนกับ AI ในโหมด Tournament คนอื่นก็คิดและใช้เทคนิคเหล่านั้นได้เหมือนกัน นอกจากต้องมีฝีมือแล้ว ยังต้องชิงไหวชิงพริบกันในสนามแข่งมากขึ้น หนำซ้ำ หลังจบการแข่งขัน จะเข้าสู่กระบวนการหาผู้เล่นใหม่ ทำให้ตาต่อ ๆ ไป เราอาจเจอคู่ต่อสู้หน้าใหม่อยู่เสมอ กลยุทธ์ที่เคยใช้ก่อนหน้า อาจใช้ไม่ได้เสมอไปก็ได้ กลายเป็นเกมที่เล่นยากขึ้นมาทันตาเลยทีเดียว ข้อควรระวังในการเล่นโหมดนี้ คงไม่พ้นเรื่องความแรงอินเทอร์เน็ต จากการทดลองของผู้เขียนเอง หากเปิดใช้อินเทอร์เน็ตจากระบบโทรศัพท์มือถือ (3G/4G) จะขึ้น Error เข้าเล่นไม่ได้ (ตามภาพนี้) ในการเข้าเล่นโหมด Multiplayer จึงจำเป็นต้องต่อ Wifi และควรเป็น Wifi ที่มีสัญญาณเสถียรด้วยนะ ไม่อย่างนั้นอาจเกิด ping / แลค / กระตุก ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันได้ และสุดท้าย หมดห่วงได้ว่า Tournament รับของก็ต้องทำ อยากเล่นกับคนก็อยาก เพราะหลังจบการแข่งขันที่สนุกสนานกับเพื่อน ๆ คะแนนและผลงานทั้งหมดที่เราทำได้ในการแข่งขัน จะถูกนับรวมเข้ากับ High Score ของด่าน, Daily Mission และ Challange ด้วย!! เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ? ถ้าพร้อมแล้ว 3. 2. 1. GO! https://youtu.be/JQd94kcg7x4
12 Mar 2020
รีวิว Two Point Hospital บน PS4 ก็ไม่ได้บังคับยากอย่างที่คิด
ออกมาให้เล่นแล้วสำหรับเวอร์ชั่น PS4 และ Nintendo Switch ของ Two Point Hospital เกมแนว Simulator ที่เรานั้นจะได้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งตัวเกมถือว่าได้รับความนิยมมากพอสมควรเมื่อปีที่แล้วในเวอร์ชั่น PC ได้รับคำชมมากมายจากผู้เล่นเป็นอย่างดี ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนนั้นก็ต้องสารภาพว่าในเวอร๋ชั่นบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ตัวผู้เขียนไม่เคยแม้แต่แตะมันเลยสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนเองก็เคยเล่นเกมอื่นๆ ที่เป็นแนว Simulator คล้ายๆ กันอย่าง CIty Skyline หรือ Sim City มาบ้าง ซึ่งพอได้มีโอกาสรีวิวเกมแบบนี้บนเวอร์ชั่น PS4 ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ แล้วก็คิดว่า เอ๊ะ !! เกมแนวนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้เมาส์บังคับ แล้วพอมาเล่นบนจอยมันจะถนัดหรอ ? ซึ่งส่วนตัวได้เล่นเกมนี้มาแล้วครับและจะมารีวิวว่าการเล่นเกมแนวนี้บน PS4 มันแตกต่างกับเวอร์ชั่น PC หรือไม่ !! ซึ่งพวกเรา GameFever TH ต้องขอบคุณทาง Madeviral และ SEGA ที่ส่งเกมดีๆ แบบนี้ให้เราได้เล่นครับ เกมการเล่น ต้องแนะนำตัวเกมสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้ก่อนนะครับ Two Point Hospital เป็นเกมที่ให้เรานั้นจะต้องบริหารโรงพยาบาล แต่ละโซนต่างๆ ให้ มีรายได้และผู้เข้าใช้บริการให้เยอะๆ ซึ่งเราจะต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างพนักงานต้อนรับ สร้างคลีนิค รวมถึงสร้างห้องจ่ายยา มีการจ้างบุคลากรอาทิเช่น หมอและพยาบาล ที่แต่ละคนจะมีความเก่งและความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป ซึ่งถ้าหากเราเลือกหมอที่มีความสามารถตรงตามห้องที่เราสร้าง การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวเกมจะมีการให้เราดีไซน์ห้องรักษาต่างๆ ด้วยตัวเอง อยากให้ห้องนี้ใหญ่เพื่อรองรับคนมากๆ หรือห้องนี้เล็กๆ ก็สามารถทำได้หมด และจุดประสงค์ของเรานั้นก็คือการทำให้โรงพยาบาลนี้ประสบความสำเร็จ พอทำสำเร็จแล้วตัวเกมก็จะปลดล็อกด่านต่อไป ที่ตัวด่านจะมีความท้าทายมากขึ้น มีห้องให้สร้างมากขึ้น รวมถึงอาจจะมีผู้ป่วยที่มีอาการแปลกๆ มากขึ้น อาทิเช่นผู้ป่วยจิตเวชเป็นต้น และใครที่ไม่ถูกโฉลกกับเกมแนวนี้เพราะคิดว่าตัวเกมน่าจะเข้าถึงยากมากๆ ส่วนตัวตอนแรกก็คิดแบบนั้นครับ แต่พอได้เล่นจริงๆ แล้วตัวเกมกลับเข้าถึงง่ายเป็นอย่างมาก ตัวระบบไม่มีความซับซ้อนใดๆ เป็นเพราะระบบในเรื่องด่านที่แรกๆ จะมีลูกเล่นและความยากที่ไม่มากนัก ทำให้เราค่อยๆ เข้าใจมันไปเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ของแต่ละด่านจะมีการสอนเล่นฟังชั่นใหม่ๆ เล็กน้อย และมันก็จะปล่อยให้คุณเล่นเกมจนชิน และพอคุณชินกับมันเล่นจนอยู่ตัว ตัวเกมถึงจะปลดล็อกด่านต่อไปและเอาระบบใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งคุณสามารถใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็เข้าใจเกมเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมจะเล่นง่าย แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเกมนั้นใช้สมองความคิดไม่แตกต่างจากเกมแนวเดียวกันเลย เราจะต้องจัดสรรทรัยากรต่างๆ ให้สมดุลย์กัน บางทีอาคาร หรือบุคลากรเยอะก็เสียค่าใช้จ่ายเยอะในแต่ละเดือน ไหนจะเป็นการพักผ่อนของพนักงาน การขยับขยายอาคารให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งมันมีความท้าทายไม่แพ้เกมอื่นๆ เลยทีเดียว ความรู้สึกเวลาเล่นบนเครื่อง Console ขอบอกก่อนนะครับว่าเวอร์ชั่น Console ที่ผู้เขียนเล่นนั้น เป็นเกมเวอร์ชั่น PS4 ซึ่งตัวผู้เขียนไม่เคยเล่นเวอร์ชั่น Switch เลย แต่คิดว่าการบังคับต่างๆ คงไม่แตกต่างกันเท่าไรหรอก จากได้ลองเล่นเกมนี้มาหลายชั่วโมง ความรู้สึกของเกมแบบนี้บนเวอร์ชั่น Console ให้ความแตกต่างจากเมาส์พอสมควร แต่ถามว่ามันมีปัญหาและบังคับยากไหม ก็ต้องบอกว่าตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 แทบไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นเลย ตัวเกมใช้ปุ่มคันโยก Analog ในการบังคับมุมกล้อง ใช้ R2, L2 ในการซูมเข้าออก ซึ่งในเรื่องมุมกล้องแทบไม่รู้สึกติดขัดใดๆ  ปุ่มต่างๆ ที่ต้องใช้เมาส์กด ตัวเกมก็จะมีฟังชั่นคีย์ลัดมาใช้ ซึ่งพอเล่นสักพักก็ชิน และข้อดีในการที่เล่นบนเครื่อง PS4 คือถ้าหากว่าคุณนั้นมีจอ TV ที่ใหญ่ การนั่งเล่นบนโซฟา หรือนอนเล่นมันก็ให้ความสบายที่มากกว่าการนั่งเล่นบนคอมพิวเตอร์เสียอีก หรือถ้าหากคุณเล่นบนเครื่อง Switch เราก็สามารถพกเกมนี้ไปเล่นที่ไหนก็ได้ ซึ่งนี่น่าจะเป็นข้อดีหลักๆ เลยทีเดียว แต่ถามว่าข้อเสียมันก็พอมีบ้าง หรือจอย Analog ที่ค่อนข้างบังคับให้นิ่งยาก เวลาจะจัดเรียงสิ่งก่อสร้างให้ตรงกัน หรือจัดรูปลักษณ์ต่างๆ ให้ตรงตามใจเราก็ค่อนข้างทำได้ยากกว่าเมาส์พอสมควร และรู้สึกว่าติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย สรุป Two Point Hospital เป็นเกมที่เข้าใจง่ายถ้าให่เปรียบเทียบกับเกมแนว Simulator อื่นๆ ซึ่งค่อนข้างเข้าใจง่ายพอๆ กับเกม The Sim เลยทีเดียว ตัวเกมสามารถดูดเวลาคุณทั้งวันไปได้เพียงชั่วพริบตา และส่วนตัวที่ชอบเกมนี้มากๆ ก็เพราะการที่เขามีให้เลือกเป็นด่านๆ และค่อยๆ สอนแนวทางของเกมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามด่านใหม่ๆ และข้อดีก็คือมันสร้างอะไรใหม่ๆ ที่เรานั้นจะไม่ต้องไปจมปลักอยู่กับโรงพยาบาลเดิมๆ หาความท้าทายใหม่ๆ ในอาคารใหม่ๆ ดิกว่า ส่วนในเรื่องของการเล่นบน PS4 นั้นบอกเลยว่าการทดแทนกับเมาส์นั้นตัว Controller สามารถทดแทนได้อย่างดีเยี่ยมเลย ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังดีไม่เท่าเมาส์ก็เถอะ แต่มันก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายที่คุณสามารถนั่งเล่นบนโซฟา หรือนอนเล่นบนเตียงกับจอใหญ่ๆ นั่นเอง รวมถึงในเวอร์ชั่น Switch ที่เรายังจะสามารถหยิบเอาไปเล่นที่ไหนก็ได้อีก ซึ่งส่วนตัวแนะนำเลยครับ [penci_review id="45101"]
11 Mar 2020
รีวิวเกม Yes, Your Grace "ทางเลือกที่แสนลำบากใจของกษัตริย์ยุคกลาง"
ในหนังหรือซีรี่ย์ที่เกี่ยวกับยุคกลาง มักมีเหตุการณ์ที่สุดแสนจะบีบบังคับ ปัญหารุมล้อม ทำให้บางครั้งตัวละครก็เลือกทางเดินที่เห็นว่าไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร จนพวกเรามานั่งบ่นว่าทำไมไม่ทำอย่างนู่น ทำไมไม่ทำอย่างงี้ (อารมณ์ประมาณเด็กเกาะเบาะ 555+) วันนี้ GameFever TH  จะขอแนะนำเกม Yes, Your Grace ที่จะจำลองการเป็นกษัตริย์แห่งยุคกลาง ทำหน้าบริหารบ้านเมืองและรับมือกับปัญหาต่างๆ มาดูกันว่ามันลำบากยากเย็นแค่ไหน เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม เนื้อเรื่องจะเล่าถึงอาณาจักร Davern ที่ปกครองโดยกษัตริย์ Eryk ซึ่งแต่ละวันก็คอยรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ขอให้ช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมอนเตอร์บุกโจมตีหมู่บ้าน ของบไปสร้างโรงเตียม (ขอทานก็มีนะ) เป็นต้น แต่ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเดียว กษัตริย์ Eryk ต้องคอยดูแลเรื่องในครอบครัวของตนเองไปพร้อมๆกันด้วย แถมต้องค่อยจัดการเรื่องของขุนนางอีก ซึ่งก็ดูเหมือนจะคล้ายๆซีรี่ย์/หนังยุคกลางธรรมดาเรื่องนึง ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ ถึงเนื้อเรื่องจะดูธรรมดาไปสักหน่อย แต่เนื้อเรื่องเกมนี้ยาวมาก (ประมาณ 5-7 ชม.) เรียกได้ว่าเล่นกับตาแฉะกันเลยทีเดียว และต้องใช้ความรู้ทางภาษาสักหน่อยเพื่อเข้าใจเนื้อเรื่องและคำร้องเรียนมากขึ้น แถมตลอดเนื้อเรื่องจะมีเหตุการณ์สำคัญแทรกมาเป็นระยะๆ ทำให้เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ น่าตื่นเต้นอยู่ตลอด  ส่วนบรรยากาศในเกมทำออกมาได้ดี ถึงจะดูเงียบเหงาไปสักหน่อย เพราะตัวละครที่จะโผล่มาในพระราชวัง นอกจากประชาชนที่เข้ามาร้องเรียนแล้ว ก็มีแค่คนในครอบครัวกับทหารแค่ไม่กี่คนภาพในเกมใช้เป็นแบบพิกเซลอาร์ต แถมดนตรีก็ฟังเพลินดีด้วย ซึ่งเข้ากับธีมยุคกลางได้ดี ไม่รู้สึกขัดหูขัดตาอะไร ระบบเกมการเล่น  เริ่มเกมมา ตัวเกมจะขึ้นเตือนเราว่า “เกมนี้เป็นเกมทางเลือกที่แสนลำบากใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะสนองความต้องการของทุกคน บางครั้งอาจจะมาดี บางครั้งมีเจตนาชั่วร้าย  และบางครั้งอาจจะไปขวางทางคนอื่น จงบริหารทรัพยากรให้เพียงพอแต่ละสัปดาห์ก็พอแล้ว” เพราะอย่างงั้นทุกๆการตัดสินใจในเกมนี้ ทำให้เราต้องมานั่งคิดดีๆว่าควรทำหรือเปล่า เพราะบางครั้งการตัดสินใจเล็กๆ ก็อาจนำพาเรื่องใหญ่ตามมาในภายหลัง  พูดถึงระบบการเล่น จะคล้ายกับเกมแนว visual novel ที่เราต้องเลือกตัดสินใจทางเลือกต่างๆ แต่เกมนี้จะมีเรื่องของทรัพยากรพ่วงมาด้วย  โดยเกมจะแบ่งให้เราเล่นเป็นสัปดาห์ๆไป (ให้คิดสะว่า 1 สัปดาห์จะเปิดให้ร้องเรียนแค่ 1 วัน) จะมีประชาชนจำนวนหนึ่งเข้ามาต่อแถวร้องเรียนขอความช่วยเหลือที่ท้องพระโรง (เราสามารถเลือกว่าใครจะขึ้นมาร้องเรียนก่อนก็ได้ ไม่ต้องตามลำดับ)  ซึ่งแน่นอนการให้ความช่วยเหลือต้องใช้ทรัพยากร (ทรัพยากรมีทอง เสบียง กำลังทหาร หัวหน้าทหาร) ทำให้ต้องมานั่งคิดว่าทรัพยากรจะเพียงพอให้ช่วยเหลือหรือจะเผื่อใช้ในครั้งต่อไป เพราะทรัพยากรมีจำกัด เราไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน เราจึงสามารถตัดสินใจว่าจะช่วยเหลือหรือไม่ก็ได้ ถ้าช่วยเหลือ ค่าความสุข(ของประชาชน)เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ช่วย  ค่าความสุขจะลดลง  ถึงเรื่องการช่วยเหลือประชาชนจะสำคัญ แต่การดูแลคนในครอบครัวและขุนนางก็สำคัญไม่แพ้กัน เราต้องค่อยแก้ปัญหาความวุ่นวายในครอบครัวด้วย เพราะถึงจะไม่ได้ทำให้เราได้ทรัพยากร แต่ก็ช่วยให้ครอบครัวรักกันดี ไม่แตกแยก หรือมีโอกาสล่มบังลังก์ ส่วนขุนนางเราสามารถติดต่อได้โดยการส่งนกพิราบไป และขุนนางคนนั้นจะมาในสัปดาห์ต่อไป เราสามารถเป็นพันธมิตรได้ โดยทำตามเงื่อนไขของขุนนางคนนั้นๆก่อน ถ้าเป็นพันธมิตรกันแล้ว พวกเขาจะช่วยเหลือเรื่องทรัพยากรต่างๆ (แต่ถ้าไม่ลงรอยกันก็อาจมาทำร้ายเราที่หลังได้ )  ทุกครั้งที่เราตัดสินใจหรือมีความก้าวหน้าของเนื้อเรื่อง จะมีบันทึกให้เราสามารถเข้าไปอ่านย้อนความได้ (อยู่ข้างล่างซ้าย) หลังจากรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมดแล้ว เราสามารถเดินสำรวจพระราชวังของเราเราได้ โดยจะแบ่งเป็นส่วนต่างๆ เช่น คุก กำแพงเมือง สวน ฯลฯ ซึ่งจะมีรูปคริสตัลขึ้นอยู่ บงบอกว่าส่วนนั้นมีเนื้อเรื่องอยู่ (สีฟ้าเป็นเนื้อเรื่องหลัก สีเขียวเป็นเนื้อเรื่องเสริม) และเราสามารถส่งหัวหน้าทหารไปสำรวจบริเวณรอบอาณาจักรเพื่อหาทรัพยากรได้  เราสามารถจะข้ามไปสัปดาห์ต่อไปได้ แต่ต้องทำส่วนเนื้อเรื่องและหน้าที่หลักให้เสร็จก่อน โดยจะขึ้นเตือนว่าเราต้องไปทำอะไรเป็นคำพูดของกษัตริย์ Eryk (ข้ามเรื่องเสริมได้ แต่ก็ควรไปเก็บให้หมด) เมื่อจบ 1 สัปดาห์จะมีขึ้นบอกว่าสัปดาห์นี้เรามีรายได้รายจ่ายอะไรบ้าง เราสามารถอัพเกรดเมืองได้จากเมนูด้านซ้าย และตัวเกมจะเซฟเป็นสัปดาห์ๆไป เราสามารถย้อนมาเล่นแต่ละสัปดาห์ได้ (แต่เซฟสัปดาห์หลังจากนั้นจะหายไป) และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอฉากจบ มาพูดถึงข้อเสียกัน เนื่องจากเกมนี้มีเนื้อเรื่องที่ยาวมาก เลยทำให้บางช่วงอาจจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย จนเผลอๆกดข้ามบ้างให้ส่วนที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร และตัวเกมนอกจากเลือกตัดสินใจในเรื่องต่างๆแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย เราจะเจอแต่เกมเพลแบบนี้ตลอดทั้งเกม เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีอะไรทำ ทั้งที่มันน่าจะทำไรได้มากกว่านี้ ความรู้สึกหลังเล่น บอกตามตรง ตอนแรกที่ซื้อเกมนี่มา เพราะคิดว่าคงเป็นเกมเล่นเรื่อยๆ รับฟังปัญหาชาวบ้าน และจัดการทรัพยากรเฉยๆ ไม่คิดว่าจะมีเนื้อเรื่องหนักหน่วงขนาดนี้ จะเรียกได้ว่าเป็นซีรี่ย์ดีๆเรื่องนึงเลยก็ได้ แต่แค่เรากำหนดทิศทางของเรื่องได้ (ช่วงท้ายๆของเกม ตัวเลือกแต่ละทางมันช่างหนักใจสุดๆ บีบบังคับมากกกกก) ทำให้ต้องยอมเล่นเกมนี้จบ 2-3 รอบเพื่อหาฉากจบแบบอื่นๆ ถ้าพูดถึงฉากฉากชอบที่สุด ก็คงเป็นฉากสงคราม (บอกเยอะไม่ได้ เดียวสปอย) ดุเดีอดมาก แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยชอบตรงที่เกมนี้ต้องอ่านเยอะมากกกกกกกกกก (อ่านจนเหนื่อย จนบางครั้งก็กดข้ามๆก็มี) สรุป Yes, Your Grace เป็นเกมแนวจำลองเหตุการณ์ + บริหารทรัพยากรที่มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้น น่าติดตาม และจบได้หลายทาง แต่เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่ยาวและต้องอ่านเยอะมาก อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบตามเนื้อเรื่องสักเท่าไร แถมเกมเพลที่ซ้ำซากตลอดทั้งเกม เลยทำให้เกมดูไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้น Yes, Your Grace ก็ยังเป็นเกมที่น่าซื้อมาลองเสพเนื้อเรื่องอีกเกมนึงอยู่ดี Link : https://store.steampowered.com/app/1115690/Yes_Your_Grace/ [penci_review id="44737"]
11 Mar 2020
รีวิว Digimon X Ver.2 ครบรอบ 20 ปี V-pet Digimon Bandai
V-pet เป็นเครื่องเล่นเกมที่ฮิตในหมู่เด็กยุค 90 โดยเฉพาะV-pet Digital Monster ของ Bandai เรียกสั้นๆว่าดิจิไวซ์ ดิจิไวซ์ก็ผลิตออกมาหลายรุ่น จนมีรุ่นของ Digimon X Antibody ซึ่งเป็นมีการดีไซน์ตัวละครใหม่ที่เท่กว่าเดิมโคตรๆ และเนื่องในโอกาศครบรอบ 20 V-pet Digimon Bandai ก็ได้ออก V-pet รุ่นครบรอบ 20 ปีออกมา หลังจากนั้นก็ออก pendulum(รุ่นต่อมาของ V-pet) ครบรอบ 20 ปี และล่าสุดก็ได้ออก Serie Digimon X รุ่นครบรอบ 20 ปี โดยที่ Digimon X ตอนนี้มี X1 ที่ออกมาในเดือนมีนาคม ปี19 ที่ผ่านมี และ X2 ที่ออกมาในเดือนธันวาม ปี19 ซึ่งมาใน Theme ของ 7 Deadly Sin หรือ ดิจิมอน 7 บาปนั่นเอง Digimon X2 Purple (Lucemon X) และ Digimon X2 Red (Demon X) ตัวเครื่องจะมีปุ่ม 3 ปุ่ม เลื่อนเมนู เลือกเมนู และยกเลิก ระบบการเล่นจะเป็นการเลี้ยงดิจิมอนของเราเพื่อให้แข็งแกร่งและพัฒนาร่าง โดยทั้ง 2 สีจะมีดิจิมอนส่วนใหญ่เหมือนกัน แต่ก็จะมีตัว exclusive ของแต่ละเครื่องด้วย เช่น Black Wargreymon X, Lilithmon X, Ophanimon: Fallen Mode X ในเครื่อง Red และ Dark kightmon X, Belphemon X, Cherubimon (Vice) X ในเครื่อง Purple Digimon เริ่มแรกมาเราจะได้ไข่ Kiimon มา หลังจากนั้นเราก็ะเลี้ยงดูฟูมฟักมันจนกว่าจะเปลี่ยนร่างโดยแต่ร่างก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกัน และแน่นอนว่าทั้งหมดจะเป็นดิจิมอนสายดาร์คตาม Theme ของ X2 ซึ่งในมีให้เก็บสะสมมากกว่า 40 ตัว นับตั้งแต่ร่าง Baby I จนไปถึงร่าง Mega ระบบการเลี้ยง หน้าที่องเราคือดูแลดิจิมอนโดยการให้อาหาร พาไปฝึก พาไปลง dungeon เก็บเลเวล โดยจะมี Gauge หลักๆคือ ความแข็งแกร่ง ความหิว และ level ค่าที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการพัฒนาร่างของแต่ละตัว เหมือนจะเลี้ยงยากใช่ไหมครับ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ยากมาก หรืออย่างน้อยก็ไม่ยากเท่าเมื่อเล่นตอน 20 ปีที่แล้ว เนื่องจากแต่ละร่างใช้เวลาในการพัฒนาน้อยลง สามารถผ่านเงื่อนไขการพัฒนาเรื่องการชนะด้วยระบบดันเจี้ยน มีระบบตู้เย็น(pause)ทำให้เราหยุดเล่นได้เมื่อเบื่อหรรือมีธุระ เลี้ยงสูงสุดได้ 3 ตัว แล้วสามารถเล่นต่อได้เมื่อเปลี่ยนถ่านใหม่ ทำให้ไม่เสียดายเวลาที่เล่นไป (ุรุ่นเก่าๆเปลี่ยนถ่านปุ้บ เล่นใหม่ตั้งแต่ไข่ใบแรก เล่นเอาท้อไปเลย) ระบบ XAI เป็นระบบทอยลกเต๋าสุ่ม มีเลข 1-7 โดยการระบบนี้ในการต่อสู้ ปะสิทธิภาพของดิจิมอนในแต่ละวัน และโอกาสในการเจอตัวละครลับ ที่เมื่อเราชนะ เราสามารถปลดล็อคมาเลี้ยงได้ ระบบกาต่อสู้และดันเจี้ยน หลายคนเลิกเล่นดิจิไวซ์ไปเพราะไม่ผ่านเงื่อนไขต้องชนะตามจำนวนครั้ง แต่ปัญหานั้นได้หมดไปเพราะตัวเกมมีระบบดันเจี้ยน ซึ่งแต่ละดันเจี้ยนจะมีความเก่ง ให้ Exp และ Drop ขอไม่เหมือนกัน วิธีการต่อสู้คือทอยลูกเต๋าเพื่อกำหนดความเร็วลูกศร แล้วกดลูกศรให้โดนยอดที่สูงที่สุด เป็นระบบที่ง่าย ไม่เจ็บมือ(บางรุ่นใช้กดรัวๆ) ไม่น่ารำคาญ(บางรุ่นใช้เขย่า) นอกจากนี้ยังมีระบบเลเวลมาเกี่ยวข้องอีกด้วย โดยที่ยังคงระบบเชื่อมต่อเพื่อต่อสู้กับคนอื่นอยู่ โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าเป็นเครื่องที่น่าเล่น พกพาไปเล่นด้วยง่าย ไม่รู้สึกเสียสมาธิกับมันมากเพราะสามารถ pause ได้ Design ตัวเครื่องก็สวยงาม ถึงแม้มันจะย้อมแมวไปหน่อยก็เถอะ ถ้าเพื่อนๆชอบ Digimon สายดาร์ค Digimon X2 Purple และ Digimon X2 Red เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดเลย ส่วนคนที่ชอบระบบเครื่องแต่ยังไม่ถูกใจดิจิมอนใน X2 ก็สามารถไปตามหา X1 สีขาวและดำมาได้ โดยX1 จะมีตัวสายพระเอกมากกว่านี้ และ X3 ที่กำลังจะออกมาในอีกไม่ช้า ซึ่ง X3 จะเป็น Theme Royal Knight หากมีอะไรอัพเดท ผมจะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
06 Mar 2020
รีวิวเกม Iris and the Giant "สาวน้อยเงียบงันกับยักษ์แห่งจิตใจ"
Iris and the Giant เป็นเกมแนว Card game RPG Roguelite ที่จะพาเราไปผจญภัยในจิตใจของน้อง Iris ที่ดูเหมือนจะเจอปัญหารุมเร้า จนมีปีศาจมากมายเข้ามาทำร้ายจิตใจของเธอ วันนี้  GameFever TH จะมารีวิวโลกของเกมนี้กัน ว่าจะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน เนื้อเรื่องและบรรยากาศ Iris  เด็กสาวคนหนึ่งที่เป็นคนไม่แสดงออก (จะเรียกว่าไม่แสดงอารมณ์เลยก็ว่าได้) และไม่ค่อยพูดคุยกับใคร (แม้แต่พ่อของเธอก็ตาม) ในวันหนึ่งอยู่ๆ Iris อยู่ๆก็ได้สลบไป พอได้สติ เธอก็อยู่บนเรือกับคนพายเรือที่กำลังพาไปยังซากหอคอยที่มียักษ์นั่งร้องไห้อยู่บนสุดหอคอย พอถึงฝั่งคนพายเรือได้ให้กระเป๋าที่มีการ์ดเต็มกระเป๋ากับเธอ และได้พบกับปีศาจที่รอเธออยู่ แต่เธอไม่ได้มีอาการตกใจหรือกลัวแต่อย่างใด ราวกับเธอรู้ว่าเธอมาที่นี้เพื่อทำอะไร ที่เขียนมาข้างต้นคือ เนื้อเรื่องในช่วงแรกของเกม (อันนี้สปอยได้ มันอยู่ใน trailer) ซึ่งบอกอะไรกับเราน้อยมาก  แต่ถ้าเล่นเกมไปเรื่อยๆ Iris ก็จะมีพูดถึงสถานที่และสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ และจะมีชิ้นส่วนความทรงจำให้เก็บตามทาง ทำให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับน้อง Iris มากขึ้นว่าเคยเจอกับอะไร (สงสารน้องงง เจอBullyหนักมาก - -’’) แถมตัวเกมไม่ได้แค่เล่าเรื่องผ่าน cutscreen เพียงอย่างเดียว ตัวปีศาจและการ์ดที่เราเล่นก็ใช้มาเล่าเรื่องในบางฉากด้วย จัดว่าสร้างสรรค์ใช้ได้เลย ด้านงานภาพ ใช้ภาพที่เรียบง่าย และใช้สีเพียงไม่กี่สี (อันนี้ไม่รู้จริงๆว่ามันเป็นภาพแนวไหน) แต่ก็ทำให้รู้สึกสบายตา แถมแสดงออกถึงสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ได้อย่างชัดเจน แถมปีศาจและการ์ดในเกมก็ออกแบบให้เรียบง่ายและดูเข้าใจง่าย เรียกได้ว่าทั้งฉาก ตัวละครและการ์ด ดูเข้ากันไปหมด ไม่สะดุดตาเลย ระบบเกมและภาพรวม มาพูดถึงระบบการเล่นเบื้องต้น เราจะมีHPอยู่ 30 หน่วย (ในเกมใช้คำว่า Will(ความตั้งใจ)) การ์ดในกระเป๋าจำนวนหนึ่ง และมีการ์ดบนมือสุดสูง 4 ใบ และไม่สามารถเปลื่ยนการ์ดบนมือได้ ในหนึ่งเทิร์น เราจะเล่นการ์ดเพื่อจัดการปีศาจหรือบัพตัวเองได้แค่ 1 ใบเท่านั้น (นอกจากการ์ดบางใบที่บอกว่าใช้แล้วสามารถใช้การ์ดใบอื่นได้) หลังจากนั้นปีศาจทุกตัวที่สามารถโจมตีได้จะโจมตีใส่เราทั้งหมด ผลัดกันเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะผ่านด่านได้ก็ต้องขึ้นบันไดไปชั้นถัดไปเท่านั้น (มีทางแยกด้วย) และเราจะแพ้ก็ต่อเมื่อHPเราหมด หรือการ์ดในกระเป๋าหมด ถึงจะเห็นว่าการเล่นดูเรียบง่ายก็ตาม แต่มันไม่ได้ง่ายเลยที่จะขึ้นไปถึงชั้นบนสุด (เกมนี้มี 21 ชั้น) เพราะเราต้องหาวิธีผ่านไปชั้นถัดไป โดยที่ไม่ตาย ใช้การ์ดให้น้อยเผื่อใช้ในชั้นถัดไป ยังต้องหาการ์ดใหม่เข้ากระเป๋าอีก แถมด่านหลังๆปีศาจจะเริ่มถือโล่ และใส่เกราะ ทำให้จัดการยากขึ้นไปอีก แต่เราก็สามารถเก่งขึ้นระหว่างการเดินทางได้เหมือน ซึ่งเราจะเก่งขึ้นได้มีอยู่ 4 วิธีหลักๆ หาการ์ดเพิ่มใส่กระเป๋า สามารถหาได้จากหีบที่อยู่ตามด่าน เพื่อการ์ดที่รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ จัดการปีศาจ เราจะได้ดาวสีฟ้ามา เมื่อเก็บได้ตามจำนวนแล้วเราจะสามารถเพิ่มขีดจำกัดของตัวเราได้ เช่น HP เพิ่มขึ้น, ถือการ์ดได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น จัดการบอสของชั้น เราจะได้ดาวสีแดง เมื่อเก็บได้ เราจะได้สกิลที่จะช่วยให้การ์ดของเรามีความสามารถที่เพิ่มขึ้น เช่น ใช้อาวุธประเภทธนูได้ไม่จำกัดครั้ง, ลดความเสียหายที่ได้รับ เป็นต้น ตามด่านจะมีผลึกสีแดงอยู่ ถ้าเก็บครบตามจำนวนแล้ว เราจะได้การ์ดพิเศษ เช่น ดาบที่ใช้แล้วจะกลับไปอยู่ในกระเป๋า (ไม่ใช้แล้วทิ้ง), บันไดทางลัดข้ามหนึ่งชั้นได้ทันที เป็นต้น มาดูส่วนของการเตรียมตัวก่อนเริ่มเกมรอบใหม่กันบ้าง เราสามารอัพถสกิลติดตัวได้ โดยใช้ชิ้นส่วนความทรง (Memories) ที่แอบอยู่ตามด่าน และเราสามารถเลือกเปลื่ยนไปอัพสกิลอื่นได้ตามใจชอบ และเราสามารถพาเพื่อนร่วมทางติดตัวไปได้ด้วย (Imaginary Friends (ตัวเล็กมาก อารมณ์เหมือนสัตว์เลื้ยงมากกว่า)) โดยเพื่อนร่วมทางแต่ละคนจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถปลดล็อคเพื่อนร่วมทางได้จากการทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ (ประมาณ Challenge) และแน่นอนตามสไตล์เกม Roguelite ทุกครั้งที่เราตาย เราจะเก่งขึ้น โดยจะได้รางวัลเป็น ชิ้นส่วนความทรง (Memories) และ Gifts เป็นการปลดล็อคของใหม่ และโบนัสที่จะเพิ่มให้ในรอบถัดไป (Gifts จะดีขึ้นตามจำนวนดาวที่เก็บได้จากรอบที่แล้ว) ทำให้การเล่นแต่ละรอบต้องเปลื่ยนวิธีเล่น เพื่อใช้ประโยชน์จาก Gift ให้มากที่สุด พูดถึงข้อเสียที่พบเจอในเกมนี้ ก็คือการเล่าเรื่อง ถึงจะเล่าเรื่องได้ดีและสร้างสรรค์ก็ตาม แต่เพราะตัวเกมเป็นแนว Roguelite การที่จะไปถึงเนื้อเรื่องจนจบนั้น เราต้องเล่นซ้ำไปมาหลายรอบมาก เพื่อที่จะเก็บชิ้นส่วนความทรงมาปะติดปะต่อเนื้อเรื่อง และอัพสกิลติดตัวให้เก่งพอที่จะบุกไปด่านหลังๆไหว เลยอาจจะทำให้เบื่อไปเสียก่อนที่จะรู้เนื้อเรื่องจนจบ แถมเกมตอนนี้ก็ยังมีบัคที่ทำให้เกมค้าง(แบบเล่นต่อไม่ได้) อยู่บ่อยครั้งมาก เลยทำหงุดหงิดพอสมควรเลย ความรู้สึกหลังเล่น ประทับใจตั้งแต่งานภาพของเกม ที่ดูเรียบง่าย แต่ก็สวยงาม ส่วนตัวระบบเกมสนุกใช้ได้เลย ทำให้ติดพันได้พอสมควร ยิ่งตัวคนเขียนเองชอบเกมแนวนี้อยู่แล้วด้วย เลยชอบเป็นพิเศษ ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย (บางครั้งก็ต้องพึ่งดวงสักหน่อย) และส่วนที่น่าประทับใจก็คงเป็นเนื้อเรื่องของเกมนี้ เศร้า ซึ้ง และกินใจ แถมวิธีเล่าก็รู้สึกแปลกดีด้วย (อยากเล่านะ แต่เล่ามากไม่ได้ เดียวสปอย - -’’) แต่ก็หงุดหงิดพอสมควรเลยที่เกมยังมีบัคที่ทำให้เกมค้าง แถมเจอบ่อยด้วย สรุป Iris and the Giant เป็นเกมแนว Card game RPG Roguelite ที่เล่นสนุกและเพลินมาก ถึงภาพจะดูเรียบง่ายก็สวยงามในแบบของมัน แถมการเล่าเนื้อเรื่องก็ดีและสร้างสรรค์ แต่กว่าจะได้เสพเนื้อเรื่อง ก็เล่นซ้ำเยอะมาก อาจจะทำให้เบื่อก่อนได้ เลยไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ และตอนนี้เกมก็ยังมีปัญหาเกมค้างอยู่บ่อยครั้ง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป เกมนี้ก็เหมาะที่จะเอามาเล่นฆ่าเวลาและเสพเนื้อเรื่องอีกเกมหนึ่ง LINK : https://store.steampowered.com/app/1127610/Iris_and_the_Giant/ [penci_review id="43748"]
03 Mar 2020
รีวิว Patapon 2 Remastered การกลับมาของ Side-Scrolling ในตำนานบนเครื่อง PS4!
Patapon เป็นเกมแนว Rhythm Action RPG ที่ใช้มุมมองแบบ Side-Scrolling และวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่อง PlayStation Portable (PSP) ในปี 2007 ตัวเกมได้รับกระแสตอบที่ดีมาก ๆ จนส่งผลให้มีเกมภาค 2 และ 3 ออกในเวลาต่อมา วันนี้เกม Patapon 2 กลับมาอีกครั้งในชื่อ Patapon 2 Remastered ซึ่งก่อนจะเริ่มรีวิว ผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ไม่เคยสัมผัสเกมในซีรีส์นี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นในการรีวิวครั้งนี้จะเป็นความประทับใจแรกของผู้เขียนล้วน ๆ สวดว่าผู้เขียนมีความคิดเห็นยังไง มาดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่อง Patapon 2 นั้นจะเป็นเหตุการต่อจากภาคแรก โดยหลังจากที่เหล่า Patapon สามารถเอาชนะพวกปีศาจ Zigoton ได้ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขผ่านไปไม่นาน เหล่า Patapon ก็ตัดสินใจที่จะต่อเรือ เพื่อออกเดินหาแผนดินใหม่ แต่การเดินทางมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด การเดินของเหล่า Patapon พบกับอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นพายุที่โหมกระหน่ำ , ปีศาจปลาหมึกที่เข้ามาจูโจม ถึงแม้ว่าเหล่า Patapon จะมีหัวใจ กับร้างกายที่เข้มแข็ง แต่ไม่ใช้กับเรือที่โดยสารมา เมื่อผ่านไปได้ 49 วัน เรือของเหล่า Patapon ก็ได้จมลง Hatapon (ตัวโบกธง) ตื่นขึ้นมาที่ชายหาดบนแผนดินที่ไม่รู้จัก พร้อมกับธงคู้ใจของเขา ทุกอย่างยังปกติยกเว้นแต่เพื่อน ๆ Patapon ที่หายไป เราจึงต้อง ตีกลอง กูร้อง ออกเดินทางเพื่อรวบรวมพวกพ้องที่หายไป หลังจากออกเดินทางได้ไม่นาน เหล่า Patapon ก็ได้พบกับเผ่าประหลาดที่กำลังทำร้าย Patapon ตัวหนึ่งอยู่ หลังจากขับไล่และช่วย Patapon ปริศนาเอาไวได้ เธอได้แนะนำตัวเองว่าเธอมีชื่อว่า Medan เป็นหนึ่งในเผ่า Patapon ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าของเธอก็ทำให้เรารู้ว่า บนแผ่นดินนี้เคยมีเหล่า Patapon อาศัยอยู่ เธอจะขอให้เราทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ กับเผา Patapon กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ กราฟิกของเกม Patapon นั้นไม่ได้มีความสวยงามสมจริงอะไรเหมือนกับเกมส่วนใหญ่ในยุคสมัยนี้ แต่ด้วยภาพ และกราฟิกของเกมที่ดูตะมุตะมิน่ารัก ๆ ก็ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับเกมได้มากพอสมควรเลยทีเดียว ยิ่งโมเดิลต่าง ๆ ของเหล่าสัตว์ประหลาดนี่มีความน่ารักมากกว่าน่ากลัวซะอีก จนทำให้บางครั้งผู้เขียนก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเข้าไปกอดมากกว่าวิ่งเข้าไปฆ่ามัน ถ้ากำลังหาเกมเล่นแก้เบื่ออยู่ละก็ ผู้เขี่ยนคิดว่าเกมนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเลยครับ ในด้านการนำเสนอ ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมแบบ Side-Scrolling ที่มักจะทำให้รู้สึกห่างเหินเวลาเล่น แต่การเล่าเรื่องที่เหมือนว่าเราเป็นผู้นำของเผ่า หรือพระเจ้าของเผ่า มันทำให้รู้สึกว่าอยากจะชี้นำให้เผ่า Patapon นี้ สามารถเอาชีวิตรอดในโลกอันแสนโหดร้ายนี้ไปให้ได้ แถมการเล่าเรื่อง หรือฉาก Cut Scene ก็ถูกเล่าผ่าน Gameplay ทั้งหมด ทำให้ระหว่างเล่นจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดำเนินไปอย่างลื่นไหล่มาก ๆ ซึ่งมันทำให้เราเพลิ่นเพลนไปกับการเล่นพอสมควรครับ ด้วยความที่ตัวละครส่วนใหญ๋ในเกมนี้มันจะหน้าตาเหมือน ๆ กันไปหมดก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่มีตัวไหนเลยที่น่าจดจำ จริงอยู่ที่โมเดิลของตัว Patapon เองมีความเป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำอยู่มาก แต่ความที่หน้าตาเหมือนกันไปหมด มันทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครไหนเป็นพิเศษเลย ซึ่งอาจจะเป็นข้อเสียเพียงเล็กน้อยของเกมนี้ครับ อีกทั้งยังมีความรู้สึกว่าผู้พัฒนา น่าจะยังสามารถทำเกมออกมาให้ดีกว่านี้ได้อีก คือมีความรู้สึกว่าเกมนี้ยังดูไม่สมกับ เกมบนเครื่อง PS4 เลยครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ อย่างที่บอกข้างต้นว่าเกมนี้เป็นแนว Rhythm Action ดังนั้นการเล่น การเดิน การโจมตี รวมไปจนถึงการป้องกัน จำเป็นต้องกดตัวโน๊ตของเกมให้ถูกต้อง ซึ่งปุ่ม เอ็ก , โอ , สามเหลี่ยม , สี่เหลี่ยม จะแทนที่ด้วยโน้ตเพลงต่าง ๆ เช่นถ้าหากจะเดินหน้าก็ต้องกด สี่เหลี่ยม , สี่เหลี่ยม , สี่เหลี่ยม , โอ ตามจังหวะเพลงให้ถูกต้อง ถ้าอยากจะโจมตีต้องกด โอ , โอ , สี่เหลี่ยม , โอ ตามจังหวะเพลงแทน รูปแบบการเล่นนี้เห็นครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่า ดูยุ่งยากน่ารำคาญ แต่พอได้เล่นเองจริง ๆ กลับทำให้รู้สึกตื่นตัว , เพลิดเพลิน , และสนุกมากกว่าที่คิดครับ จริงอยู่ที่ด้วยระบบเกมเพลย์นี้ทำให้ผู้เล่นต้องตื่นตัวตลอดเวลา แต่เพราะว่าเป็นระบบแบบนี้แหละ ถึงทำให้ไม่สามารถเล่นเกมนี้แบบชิล ๆ ได้เช่นกัน ทุกครั้งที่เล่นจำเป็นต้องมีสมาธิกับเสียงจังหวะ และหน้าจอสูงมาก ดังนั้นถ้าวันไหนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นเกมซึ่งต้องใช้สมาธิได้ ก็จะไม่สามารถเล่นเกมนี้ได้ในเวลาเดียวกัน หรือเมื่อเล่นไปสักพักอาจจะรู้สึกว่าหนักหัว เพราะใช้สมาธิมากเกินไปได้เช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่านับเป็นข้อเสียรึเปล่า แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่าเรื่องนี้นับเป็นข้อเสียของเกมครับ แน่นอนว่าเวลาเราไปออกรบหรือสำรวจ เหล่า Patapon ไม่เคยเดินทางคนเดียว แต่เดินทางไปเป็นกองทัพ ดังนั้นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ทำให้การเล่นเกมนี้สนุก ก็คือการจัดกองทัพเพื่อเตรียมออกเดินทาง ตัวชนควรอยู่ตรงไหน , นักธนูควรอยู่ตรงไหน , พลหอกควรอยู่ตรงไหน ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นระบบเล็ก ๆ แต่ผู้เขียนกล้าพูดเลยว่า การที่ต้องมานั่งคิดทุกครั้งก่อนจะออกเดินทาง นั่งจินตนาการว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง และต้องเอาตัวไหนไปบ้างถึงจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ก็เป็นหนึ่งในความเพลิดเพลินที่หาได้ในเกมนี้เช่นกันครับ ◊ สรุป ◊ Patapon 2 Remaster เป็นเกม Rhythm Action RPG ที่ใช้มุมมองแบบ Side-Scrolling ตัวเกมมีภาพน่ารัก , เป็นเอกลักษณ์ , ระบบเกมเพลย์เองก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้ดี มีความสนุกอยู่มากพอสมควร แต่เกมนี้จำเป็นต้องมีสมาธิเต็มร้อยในตอนที่เล่น ดังนั้นการเล่นนาน ๆ อาจจะทำให้เกิดความเหนื่อยล้ามาก ๆ ได้เช่นกันครับ แต่ถ้าตัดข้อนี้ออกไปแล้ว เกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวครับ จากทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผู้เขียนจึงได้ให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถ้าจะเก็บเกมนี้ไว้เล่นตอนเบื่อ ๆ ก็คิดว่าคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยครับ [penci_review id="43723"]
28 Feb 2020
รีวิวเกม Necronator: Dead Wrong "บุกตีปราสาทแบบฉบับแม่ทัพปีศาจมือใหม่"
เกม Early Access เป็นเกมที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่ปล่อยออกมาขายก่อน เพื่อให้คนที่สนใจซื้อมาลองเล่น และผู้พัฒนาก็จะได้นำข้อผิดพลาด/ความคิดเห็นจากผู้เล่นมาพัฒนาต่อยอด จะเรียกว่าเป็นเกมที่ผู้เล่นและผู้พัฒนาช่วยกันทำให้เกมสมบูรณ์ก็ไม่ผิด แต่ก็มีหลายเกมที่ไปไม่รอด วันนี้ GameFever TH จะมารีวิว 1 ในเกม Early Access ที่น่าสนใจ (และคนเขียนอยากให้มันไปรอดเหลือเกิน) นั้นก็คือ Necronator: Dead Wrong ระบบเกมและภาพรวม Necronator: Dead Wrong เป็นเกมแนว RTS (real-time strategy) Deckbuilding ที่เราจะได้รับบทเป็นแม่ทัพปีศาจมือใหม่ที่พึ่งจบจากโรงเรียนปีศาจ และได้รับภารกิจให้ไปบุกโจมตีอาณาจักรของเหล่ามนุษย์ สำหรับเนื้อเรื่องเกมนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก เป็นแบบสูตรสำเร็จที่เราอาจจะเห็นได้บ่อยครั้ง แต่ก็จะมีเหตุการ์ณสุ่มโผล่ออกมาระหว่างทางเพื่อเป็นสีสันนิดหน่อย ก่อนเริ่มเล่น จะให้เราเลือกตัวละครแม่ทัพก่อน (ตอนนี้มีแค่ตัวเดียว) แต่ละตัวละครจะมี Deck กองทัพเริ่มต้น และ Relic เริ่มต้น (บัพถาวรที่จะทำให้กองทัพให้เก่งขึ้น) ที่แตกต่างกัน จากนั้นจะให้เล่นเลือกอาณาจักรที่เราต้องไปตี (ก็คือแผนที่นั้นล่ะ ตอนนี้มีแบบเดียว) แผนที่จะสุ่มแบบและเส้นทางทุกครั้งตามตัวเลข Seed ด้านล่าง (หรือจะกำหนดเองก็ไม่ว่ากัน) และสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นด่าน Tutorial หรือไม่ ในแผนที่จะมีหมู่บ้าน ร้านค้า ค่ายพัก ปราสาทและเหตุการ์ณสุ่มกระจายอยู่ทั่วไป และจะมีเส้นทางที่บอกว่าเราสามารถไปทางไหนได้บ้าง เราต้องเลือกและวางแผนการเดินทางให้ดี เพื่อที่จะพากองทัพของเราบุกอาณาจักรให้สำเร็จ โดยสถานที่ต่างๆจะมีเนื้อเรื่อง เหตุการ์ณและ รางวัลที่แตกต่างกัน เช่น หมู่บ้าน (รูปดาบ) เราจะต้องทำการบุกตีหมู่บ้านให้แตก ถ้าบุกชนะ เราจะได้วิญญาณ(ค่าเงินในเกม) และการ์ดเพิ่มใน deck ของเรา (ความเสียหายที่ฐานทัพเราได้รับจะยังคงอยู่จนกว่าจะได้พื้นฟูได้ที่ค่ายพักแรม)  ร้านค้า (รูปตราชั่ง) สามารถใช้วิญญาณ(ค่าเงินในเกม) ซื้อการ์ด หรือ Relic เพื่อเสริมแกร่งกองทัพ และสามารถนำการ์ดที่ไม่ต้องการออกจากเด็คได้ ค่ายพักแรม (รูปกองไฟ) สามารถพื้นฟูพลังของฐานทัพ สามารถนำการ์ดที่ไม่ต้องการออกจากเด็คได้ หรืออัพเกรดกองทัพ (เลือกการ์ด 1 ใบเพื่ออัพเกรด ตัวอย่างดูตามรูป) ปราสาท (รูปดาบ) จะคล้ายกับหมู่บ้านที่ยากกว่า แต่ถ้าบุกชนะ เราจะได้วิญญาณ(ค่าเงินในเกม), Relic และการ์ดเพิ่มใน deck ของเรา เหตุการ์ณสุ่ม (รูปธง) จะเป็นเหตุการ์ณแบบสุ่ม อาจจะดี หรือแย่ ก็แล้วแต่ที่จะเจอ มาพูดถึงระบบการเล่นหลักเบื้องต้น เริ่มมาเราจะจั่วการ์ดจาก Deck 4 ใบ และเล่นการ์ดเพื่อบุกฐานใหญ่ฝั่งตรงข้ามให้ได้ แต่ละการ์ดจะต้องใช้มานาในการเล่นการ์ด มีทั้งยูนิตและเวทมนต์ (ไม่ต้องควบคุม ยูนิตจะเดินตามทางและโจมตีเอง) ซึ่งฐานของเราจะสร้างมานาเรื่อยๆ เมื่อเล่นการ์ดแล้วการ์ดจะลงกองทิ้งการ์ด และจั่วการ์ดใหม่ ถ้า Deck หมด กองทิ้งการ์ดจะสับมาเข้า Deck ใหม่ และถ้าไม่พอใจการ์ดในมือ สามารถใช้มานาเพื่อทิ้งการ์ดทั้งหมดแล้วจั่วใหม่ได้ เป้าหมายหลักของเรา คือ จะต้องพากองทัพของเราตีฐานใหญ่ของฝั่งตรงข้ามที่ปลายทางให้แตก ฝั่งตรงข้ามจะปล่อยทหารออกมาป่วนเรื่อยๆ และมีฐานย่อยอยู่ระหว่างทาง ซึ่งเราสามารถยึดได้ ถ้ายึดสำเร็จ ฐานย่อยจะช่วยสร้างมานาและค่อยยิงศัตรูให้ แต่เราก็ต้องรีบบุกฐานใหญ่ภายในเวลาที่กำหนด เพราะเมื่อหมดเวลา ฐานใหญ่จะส่งกำลังเสริมออกมาเยอะมากชนิดว่าสู้ยังไงก็ต้านไม่ไหว แต่ถ้ากองทัพเราแกร่งพอก็อีกเรื่อง เพราะถ้าเราต้านกองกำลังเสริมนี้ไหว ฝั่งตรงข้ามจะปล่อยทหารออกมาน้อยมาก และจะไม่มีเวลาจำกัดอีกต่อไป เมื่อเราแพ้ หรือชนะทั้งอาณาจักรได้แล้ว เราจะได้ค่าประสบการ์ณของตัวละครแม่ทัพของตัวละครที่เราเล่น และเมื่อเลเวลตัวละครแม่ทัพอัพไปถึงระดับนึง ก็จะได้ของรางวัล เช่น Deck กองทัพเริ่มต้นใหม่, Relic เริ่มต้นชิ้นใหม่ หรือ การ์ดแบบใหม่ที่จะเข้ามาในเกม พูดถึงเรื่องภาพกราฟิก ช่วงเมนูและเลือกตัวละคร จะใช้ภาพแนวการ์ตูนน่ารักๆ แต่ในเกมจริงๆนั้น เราจะไม่เจอภาพแบบนั้นอีกเลย (เสียดายจัง แม่ทัพออกจะน่ารัก - -) จะเป็นภาพและโมเดลแบบ Pixel แทน แต่ถึงอย่างงั้น ภาพ Pixel ตอนกองทัพตีกันก็ดูน่ารักและวุ่นวายดี ไม่ได้ออกมาแย่เลย มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง ตอนนี้เกมยังมีอะไรให้เล่นน้อยไปสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพที่เลือก จำนวนการ์ด เหตุการ์ณสุ่ม ฯลฯ แต่ก็เพราะเป็นเกม Early Access ที่พึ่งออกเลยต้องทำใจรออัพเดทสักหน่อย แต่ปัญหาที่รู้สึกขัดใจก็คือ เรื่องสีของสถานที่ที่สามารถเลือกได้ในแผนที่ ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ทำให้ช่วงแรกๆที่เล่นจะงงๆหน่อย ว่าต้องเลือกอะไร และตอนได้รางวัลจากการตีหมู่บ้าน จะมีปุ่มย่อยรางวัลเป็นวิญญาณอยู่ ซึ่งเด่นกว่าปุ่มรับรางวัลซะอีก ทำให้เผลอย่อยรางวัลอยู่บ่อยครั้ง จนไม่ได้รางวัลตามที่ควรจะได้  ความรู้สึกหลังเล่น พูดตามตรงเลยนะ ถ้าเห็นแค่ปกเกมก็คิดว่าเป็นเกมภาพการ์ตูนน่ารักๆ เข้ามาดูกลายเป็นภาพ pixel เฉยเลย (โดนหลอก 5555+) แต่เพราะชอบเกมแนวนี้อยู่แล้ว เลยซื้อมาลองเล่น ปรากฏว่าสนุกกว่าที่คิดเยอะเลย ระบบเกมจัดว่าทำได้ดี แต่ก็เสียดายที่แม่ทัพแสนน่ารักมีบทออกน้อยไปหน่อย และเพราะตอนนี้เกมพึ่งเปิดตัวแถมติด Early Access เกมเลยมีอะไรให้เล่นน้อยมาก แต่ก็มีแผนที่ผู้พัฒนาออกมาบอกว่าจะอัพเดทเรื่อยๆ ทำให้อุ่นใจว่าเกมนี้ยังมีอะไรใหม่ๆเรื่อยๆแน่นอน สรุป Necronator: Dead Wrong เป็นเกมที่สนุก เล่นง่าย ตัวละครน่ารัก (ถึงตอนเล่นจะไม่ค่อยออกมาให้เห็นก็ตาม) จัดว่าเป็นเกม Early Access ที่น่าสนใจเกมนึง และมีแผนที่จะอัพเดทเกมอยู่เรื่อยๆ (หวังว่าจะไม่โดนเททิ้ง) ใครที่สนใจเกมนี้ ก็ลองซื้อมาเล่นกันได้ แต่ก็น่าจะรออีกสักหน่อย ให้มีการอัพเดทมากกว่านี้ เพราะตอนนี้เนื้อหาที่มีให้เล่นมันมีน้อยจริงๆ [penci_review id="42763"]
19 Feb 2020
รีวิว! Granblue Fantasy Versus สุดยอดการรวมร่างระหว่าง RPG และ Fighting
Granblue Fantasy Versus คือเกมไฟท์ติ้งใหม่ล่าสุดจากทาง Cygame ที่ร่วมพัฒนากับ Arc System Works ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้พัฒนาเกมไฟท์ติ้ง ที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็น Guilty Gear , Under Night in Birth หรือ Blaze Blue ก็ล่วนแล้วแต่เป็นผลงานของค่ายนี้ทั้งสิ้น และเกมใหม่ล่าสุดของพวกเขาอย่าง Granblue Fantasy Versus ก็เป็นได้มากกว่าเกมไฟท์ติ้งทั่วไป เพราะได้มีการเพิ่มโหมด RPG แบบเล่นตะลุยด่าน โดยใช้การบังคับ กับการต่อสู้แบบเกมไฟท์ติ้งเข้ามาด้วย เรียกได้ว่าสร้างมิติใหม่ ๆ ในการเล่นได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ส่วนว่าเกมนี้จะมีดีแค่ไหน หรือสนุกยังไง วันนี้เราจะมาดูกันครับ! ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องเกมนี้จะกล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางของเหล่า Skyfarer ที่ออกเดินทางไปตามเกาะลอยฟ้าต่าง ๆ โดยตัวเอกของเรื่อง Gran เขามีเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อที่จะ ตามหาคุณพ่อของเขาที่หายสาบสูญไป แต่อยู่ดี ๆ เพื่อน ๆ ของเด็กหนุ่ม Gran ก็เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เริ่มหันมาโจมตีเขาแทนที่จะเป็นศัตรู ซึ่งการที่ต้องสู้กับเพื่อน ๆ ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาไม่รู้กี่สนามรบ มันก็เป็นอะไรที่ลำบากมาก ๆ อยู่แล้ว ไหนจะต้องคอยปกป้อง Lyria เด็กสาวผมสีฟ้าที่มีพลังสามารถสื่อสารกับสัตว์ผลึกดวงดาวได้ จากเหล่าทหาร Empire ที่จ้องจะจับตัวเธอไปอีก การเดินทางอันแสนยากลำบากของ Gran เพื่อหาความจริงเกี่ยวกับท่าทีของเพื่อน ๆ ที่เปลี่ยนไปจึงได้เริ่มต้นขึ้น โดนรวมแล้วเนื้อเรื่องของเกมจัดว่าสนุก และน่าติดตามพอสมควรเลยทีเดียว แต่จะมีข้อเสียก็ตรงที่ เนื้อเรื่องของตัวเกมในเวอร์ชั่นนี้จะเริ่มมาในช่วงกลาง ๆ เนื้อเรื่องในจักรวาลหลักของ Granblue Fantasy เลย ถึงแม้จะมีการอธิบายย้อนหลังอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงแค่การอธิบายแบบหยาบ ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ถ้าหากไม่เคยดู หรือสัมผัสตัวเนื้อเรื่องของ Granblue มาก่อนเลย จะแทบไม่ได้รับอรรถรสจากเนื้อเรื่องของเกมนี้เลยครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Granblue Fantasy Versus เป็นเกมที่ถูกดัดแปลงมากจาก Granblue Fantasy ซึ่งเป็นเกมมือถือจากประเทศญี่ปุ่น บวกกับได้บริษัท Arc System Works มาร่วมพัฒนาด้วยทำให้สไตล์ของภาพในเกมจะออกไปทางการ์ตูนญี่ปุ่นมาก ๆ ทั้งยังเรียกได้ว่ามีการออกแบบ Character มาเป็นอย่างดี ทำให้ระหว่างเล่นมีความรู้สึกว่า ตัวเนื้อหาของเกมดูไม่ค้อยมีความรุ่นแรงเท่าไหร่ (ทั้ง ๆ ที่ตัวเกมมีเนื้อหาเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย) และด้วยความที่ตัวภาพมันออกไปทางการ์ตูน เวลาออกท่าโจมตีที่เป็นการใช้พลังพิเศษอย่าง ไฟ , น้ำแข็ง , หรือลม มันก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเกมมีความ Fantasy สมชื่อมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าเกมนี้ไม่ได้มีแค่โหมดไฟท์ติ้ง แบบจับคู้ต่อยกันให้เล่นอย่างเดียว แต่ยังมีโหมด RPG สำหรับเล่นเก็บเนื้อเรื่องของเกมด้วย ภายในโหมดนี้จะเป็นการเล่นแบบ Side Scrolling ใช้การกดท่าแบบเดียวกับในโหมดเกมไฟท์ติ้ง แต่จะแตกต่างเล็กน้อย เพราะผู้เล่นสามารถเลือกสกิล Support เพื่อช่วยในการเล่นได้ 2 สกิล ความสามารถของสกิลก็มีหลากหลายให้เลือกใช้ เช่นสกิลที่จะลดเกราะของศัตรู , สกิลที่ฮีลตัวเองและเพื่อนรวมทีม หรือสกิลที่จะเพิ่มพลังโจมตีให้กับตัวละครเราช่วงระยะเวลาหนึ่ง ระบบนี้ทำให้มิติในการเล่นในโหมด RPG มันมีมากขึ้นอย่างมากเลยครับ อีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจก็คือระบบจัดอาวุธในทีม ทุก ๆ ครั้งที่เราผ่านด่านต่าง ๆ จะมีการดรอปอาวุธธาตุต่าง ๆ มาด้วย ซึ่งเราสามารถเลือกใส่อาวุธให้กับตัวละครได้ 10 ชิ้น เมื่อติดตั้งอาวุธให้กับตัวละครแล้ว ก็จะได้ความสามารถของอาวุธนั้นมา สกิลที่ได้มาจากอาวุธก็มีหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มพลังโจมตี , เพิ่มเลือด , หรือจะโจมตีแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามเปอร์เซ็นต์ของเลือดที่หายไปก็มีเหมือนกัน อีกระบบหนึ่งที่น่าสนใจในเกมนี้ก็คือระบบธาตุ Granblue Fantasy Versus มีธาตุในเกมอยู่ 6 ธาตุด้วยกันคือ ไฟ , น้ำ , ดิน , ลม , แสง และ ความมืด ถ้าหากเราเอาตัวละครที่มีธาตุชนะทางศัตรูเข้าไปโจมตี ก็จะทำให้เราสามารถโจมตีได้แรงขึ้น ทั้งยังทำให้เราโดนดาเมจจากตัวที่แพ้ธาตุเบาลงด้วย ในทางกลับกันเราจะโดนโจมตีจากมอนสเตอร์ที่มีธาตุชนะทางเราแรงขึ้น รวมถึงโจมตีมอนสเตอร์เหล่านั้นเบาลงด้วยเช่นกัน ซึ่งธาตุของตัวละครจะเป็นธาตุเดียวกันกับอาวุธที่เราใส่ในช่องแรกครับ ไม่ใช้ว่าเกมนี้จะไม่มีข้อเสียเลยเสียทีเดียว อย่างในโหมด RPG เอง ในช่วงด่านแรก ๆ ของเกม ต้องบอกว่าแทบจะไม่มีควาทท้าทายในการเล่นเลย คือศัตรูที่เราต้องเจอในด่านแรก ๆ มันกระจอกมาก ๆ (ชนิดที่ให้หลับตาเล่นก็น่าจะผ่านไปได้แบบไม่ยาก) ทำให้ในช่วงแรก ๆ ของเนื้อเรื่องนี้คือน่าเบื่อมาก ๆ น่าเบื่อขนาดที่ว่าผู้เขียนเคยหลับในขณะที่มือยังถือจอยสติ๊กอยู่มาแล้ว อย่างที่รู้ว่าโดยพื้นฐานแล้วยังไงเกมนี้ก็เป็นเกมไฟท์ติ้ง ซึ่งในเกมไฟท์ติ้งมันควรจะมีตัวละครให้เราเลือกเล่นได้เยอะ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อ แต่เกมนี้เปิดตัวด้วยตัวละครที่สามารถเล่นได้เพียงแค่ 11 ตัวเท่านั้น พูดตรง ๆ คือมันน้อยมาก ๆ คือเกมไฟท์ติ้งที่ออกในสมัยเครื่อง PS1 ยังมีตัวละครให้เล่นเยอะกว่านี้เลยด้วยซ้ำ ทำให้ในระหว่างที่เล่นแบบ Online เราจะเจอแต่ตัวละครซ้ำ ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้รู้สึกว่าเกมมันน่าเบื่อมาก เนื้อเรื่องในโหมด RPG สั้นมาก ๆ ด้วยความที่ตัวละครเล่นได้มันมีอยู่น้อยมาก ๆ ทำตอนแรกผู้เขียนคิดว่า ในโหมด RPG เนื้อเรื่องน่าจะมีความยาวพอสมควร เพื่อเป็นคอนเทนต์ทดแทนที่มีตัวละครน้อย แต่เปล่าเลยเนื้อเรื่องของเกมนี้สามารถเล่นให้เคลียร์ได้ภายในเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็ก ๆ เหมือนกันครับ เพราะยังไงเกมนี้ก็มีราคาถึง 1,600 บาท ก็เลยมีความรู้สึกว่าไม่คุ้มเงินเท่าไหร่ ◊ เกมเพลย์ ◊ Granblue Fantasy Versus ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เกมไฟท์ติ้ง ดังนั้นคอนเทนต์หลักของเกมนี้ก็คือการจับคู่ตีกันเหมือนกับเกม ไฟท์ติ้งอื่น ๆ ซึ่งการเล่นของเกมนี้ตัวละครแทบทุกตัวจะมีมูฟเซ็ตประมาณ 6-8 แบบเท่านั้น และทุกท่าการโจมตีพิเศษของเกมนี้ ก็สามารถกดได้แบบง่าย ๆ ด้วยการกดปุ่มทิศทางพร้อมกับปุ่ม R1 ทำให้ Granblue Fantasy Versus เป็นเกมไฟท์ติ้งที่ต่อให้เป็นมือใหม่ด้านเกมไฟท์ติ้งเลย ก็สามารถเล่นให้เก่งได้อย่างไม่ยากครับ รูปแบบการต่อสู้ของเกมนี้ จะเน้นไปที่การป้องกัน กับการจับจังหวะสวนกลับ ด้วยความที่เป็นเกมไฟท์ติ้งเข้าใจง่าย และเล่นง่าย ๆ  บวกกับเกมนี้ท่าที่โจมตีรุนแรงมาก ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการ Reset Knock Down ให้กับฝ่ายที่โดนไปด้วย หรือแปล่ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือไม่ค้อยมีการคอมโบจากการกดอย่างเดียวที่ยาว และรุนแรงมาก ๆ จนถึงตายเท่าไหร่ในเกมนี้ พอเอาไปรวมกับวิธีกดท่าโจมตีที่ง่าย ก็อาจจะพูดได้ว่า นี้เป็นเกมที่ค้อนข่างเป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่ครับ ในขณะเดียวกันการที่เกมนี้ เป็นไฟท์ติ้งที่เล่นได้ง่าย แถมยังเป็นเกมที่มีเพี่ยงแค่ 2 มิติเท่านั้น ทำให้รูปแบบเล่นที่เป็นไปได้ในเกมนี้มันน้อยมาก ๆ ด้วยเช่นกัน คือ 1 ตัวละครจะเล่นได้แค่ 1 - 2 แบบเท่านั้นยิ่งเป็นเกมที่มีตัวละครน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีความหลากหลายที่น้อยมาก ๆ เข้าไปอีก ก็นับเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงไปในเวลาเดียวกันครับ ในด้านเกมเพลย์ของโหมด RPG ก็จะมีวิธีการเล่นที่คล้าย ๆ กับโหมดไฟท์ติ้ง วิธีกดท่าโจมตีเหมือนกันเป๊ะ ๆ เลย แต่จะแตกต่างก็ตรงที่ในโหมดนี้ ศัตรูไม่ได้มาเพียงแค่ตัวเดียว ในทางกลับกันมอนสเตอร์แต่ละตัวจะ ไม่ได้โจมตีแรง หรือมีเลือดเยอะอะไรเช่นกัน ทำให้การจัดการมอนสเตอร์เป็นสิบ ๆ ตัวพร้อมกันไม่ใช้เรื่องที่ยากเกินไปครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเกมนี้จะมีเรื่องของระบบธาตุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ก่อนที่เราจะลงด่านแต่ละครั้ง จะต้องเช็คให้ดีก่อนว่าธาตุที่เราเข้าไปไม่ได้แพ้ทางมอนสเตอร์ในด่านนั้นใช้หรือไม่ เพราะถ้าหากธาตุที่เอาเข้าไปแพ้ทางขึ้นมา การเล่นในด่านนั้นจะยากขึ้นพอสมควร แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่มีธาตุที่ชนะทางด่านนั้นจริง ๆ ตัวเกมก็ยังมีระบบสกิล Support ที่พอจะช่วยให้เราเล่นผ่านด่านนั้นไปได้อีกด้วย ซึ่งตัวผู้เขียนคิดว่านี้เป็นระบบเล็ก ๆ ที่ทำให้เกมนี้มีมิติในการเล่นมากขึ้นสุด ๆ ครับ แต่ในช่วงด่านแรก ๆ ของ RPG โหมดศัตรูจะมีความอ่อนแอเป็นอย่างมาก ๆ (ชนิดที่ว่าใส่อาวุธธาตุแพ้ทางเข้า แล้วไม่กดใช้สกิลอะไรเลยก็ผ่านได้ง่าย ๆ อยู่ดี) ทำให้ช่วงแรก ๆ ของเกมผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า มันเป็นการเล่นที่โคตรจะน่าเบือ นอกจากนี้ในโหมดนี้ยังมีการต่อสู้แบบ Raid Battle หรือการสู้กับบอสด้วย ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับเลยครับว่าการเล่นในโหมด RPG แล้วสู้กับบอสเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ เพราะ 1 ในโหมด RPG ผู้เล่นสามารถเล่นกับเพื่อนได้ 2 บอสแต่ละตัวจะมีธาตุ และแมคคานิคในการสู้ที่ไม่เหมือนกัน ผู้เล่นจะต้องคิดดี ๆ ว่าจะติดตั้งอาวุธอะไรเพื่อเอาสกิลไหนให้กับตัวละครบ้าง ควรพก Support สกิลไหนเข้าไปสู้กับบอสตัวนี้ นับเป็นจุดที่ทำให้เกมนี้สนุกมาก ๆ ◊ สรุป ◊ Granblue Fantasy Versus เป็นเกมที่นำเสนอในเรื่องของการผสมผสาน ระหว่างเกม RPG กับ Fighting ได้อย่างน่าสนใจ , ตัวเกมเล่นค่อนข้างง่าย ถึงไม่เคยเล่นเกม Fighting มาก่อนเลยก็สามารถเล่นให้เป็นได้ไม่ยาก , เป็นเกมที่มีการเล่นแบบสู้กับ Raid Boss ที่สนุกมาก ๆ สามารถเล่นกับเพื่อนได้ แต่ขาดความหลากหลายที่เกม Fighting อื่น ๆ ในตลาดมี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ จำนวนตัวละครที่เล่นได้ หรือ ความหลากในการกดท่าโจมตีต่าง ๆ  , มีความท้าทายในการเล่นช่วงแรก ๆ ที่ต่ำเกินไป ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ สรุปได้ว่า Granblue Fantasy Versus จัดเป็นเกม Fighting หน้าใหม่ที่นำเสนอ แนวทางการเล่นเกม Fighting แบบใหม่ได้น่าสนใจ แต่ตัวเกมก็มีความหลากหลายที่น้อยเกินไปครับ ส่งผลให้ทางเราให้คะแนนเกมนี้เพี่ยงแค่ 7 เต็ม 10 เท่านั้น [penci_review id="42077"]  
14 Feb 2020
รีวิวเกม The Pedestrian "ในป้ายบอกทาง มีใครเดินทางอยู่?!"
สิ่งต่างๆบนโลกนั้น มักจะมีการเดินทางและจุดหมายของมัน คนเราก็มีการเดินทาง มีจุดหมาย สัตว์เองก็มีเช่นกัน แต่ใครจะไปรู้ว่า มนุษย์ก้างในกระดาษหรือป้ายบอกทาง อาจจะมีการเดินทางของมันอยู่ก็เป็นได้ วันนี้เรา GameFever TH จะพามาพบกับการเดินทางของมนุษย์ก้าง ที่ออกเดินทางไปในโลกที่แสนกว้างใหญ่ กับเกม The Pedestrian ระบบเกมและภาพรวม The Pedestrian เป็นเกมแนว 2.5D side scrolling puzzle platformer ที่เราจะได้รับบทเป็นมนุษย์ก้าง (ในตัวเกมจะเรียกว่า The Pedestrian(คนเดินถนน)) ที่ออกเดินทางไปยังจุดหมาย โดยจะเดินทางผ่านป้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ป้ายจราจร กระดานดำ จอคอม ฯลฯ ซึ่งตัวเกมจะแบ่ง Theme ของป้ายต่างๆ ตามสถานที่นั้นๆ เช่น สี่แยกใหญ่ โกดังเก็บของ ดาดฟ้าตึก เป็นต้น  เริ่มเกมมา ตัวเกมจะโยนคุณเข้าสู่โลกของ The Pedestrian ทันที ไม่ได้มีการปูเนื้อเรื่องและผ่านเมนูใดๆ ให้เราซึมซับผ่านการเล่นด้วยตัวเอง เราสามารถเลือกว่าจะเล่นเป็นตัวผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ได้ (ไม่มีผลต่อความยากง่ายของเกม) ตัวเกมจะเริ่มสอนเราไปเรื่อยๆผ่าน กระดาษโน๊ต หรือจอทีวีที่อยู่แถวๆนั้น และตัวเกมก็ใช้สัญลักษณ์ง่ายๆแทนไอเท็มต่างๆ ทำให้เรียนรู้ระบบเกมได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่าย ตัวปริศนาจะมีโผล่มาระหว่างการเดินทาง โดยจะมีกระดาษโน็ตแปะไว้ ทำให้รู้ว่าอยู่ในโซนของปริศนาแล้ว ซึ่งเราจะมีอยู่ 2 โหมด คือ โหมดควบคุม เราจะสามารถควบคุมตัวละครเดินไปมาได้ และโหมดจัดป้าย ตัวละครเราจะถูกหยุดค้างเอาไว้ เราสามารถย้ายป้ายต่างๆ ไว้ตำแหน่งไหนก็ได้ตามใจชอบ และสามารถเชื่อมป้ายแต่ละป้ายได้ โดยจะเชื่อมได้ผ่านจุดที่เป็นประตูหรือบันไดเท่านั้น (จับคู่ซ้าย/ขวา หรือ บน/ล่าง เท่านั้น) และเราสามารถเปลื่ยนโหมดได้ตลอดเวลา  แต่ใช่ว่าเราจะเชื่อมทางแล้วผ่านไปง่ายๆ เพราะเส้นทางที่เราเชื่อมไป ถ้าเดินผ่านไปแล้วจะไม่สามารถไปเชื่อมกับเส้นทางอื่นได้ เพราะถ้าทำ มันจะเป็นการรีเซ็ทปริศนานั้นทันที และเราไม่สามารถวางป้ายให้ชิดหรือเฉียงเกินไป เพราะจะทำให้เส้นทางที่เราเชื่อมไว้ขาด  ตัวปริศนาจะถูกแบ่งตาม theme ของสถานที่นั้นๆ ทำให้แต่ละสถานที่จะมีปริศนาที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน เช่น ปล๊กไฟ กระดานเด้ง คันโยก ฯลฯ เมื่อเข้าสู่สถานที่ใหม่ ตัวปริศนาจะเรียงลำดับจากง่ายไปยาก เพื่อสร้างความคุ้นชินกับเอกลักษณ์ของปริศนาของสถานที่นั้น และจะมีปริศนาชุดใหญ่ ที่เป็นจะมีปริศนาย่อย เพื่อที่จะเก็บไอเท็มมาแก้ปริศนาใหญ่อีกที (ส่วนใหญ่มักจะเป็นปริศนาสุดท้ายของสถานที่นั้นเพื่อที่จะเดินทางไปสถานที่ใหม่) ส่วนด้านภาพและบรรยากาศในเกม ถือว่าทำได้ดีมาก ป้ายที่เป็นเส้นทางของตัวละคร กลมกลืนกับฉากของสถานที่นั้นๆ รู้สึกว่ามันเป็นป้ายที่ควรอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่รู้สึกขัดใจแต่อย่างใด  ฉากหลังก็ดูมีชีวิตชีวา ถึงในฉากจะไม่มีคนอยู่เลยก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าโลกในเกมไม่ได้เงียบเหงาแต่อย่างใด พูดถึงข้อเสียข้อเกม ถึงเกมไม่ได้มีบัคอะไรให้กวนใจมาก แต่ก็มีบางอย่างขัดใจเล็กน้อย คือ เกมซ่อนเมนูได้เนียนเกินไป ถ้าไม่เผลอไปกด ESC จริงๆ ก็คงไม่รู้ว่ามีเมนูอยู่ในเกมนี้ ส่วนต่อมาคือ เกมไม่สามารถเลือกด่านได้ เพราะการนำเสนอของเกมที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถย้อนกลับไปเล่นด่านหรือปริศนาที่ชอบได้  และสุดท้ายเกมนี้ใช้เวลาสั้นมากในการเล่นจบ เพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นก็เพียงพอกับการเล่นเกมนี้จนจบได้ แถมเมื่อเล่นจบ เกมก็เตะเราออกจากเกมแทบจะทันทีที่ credit จบ ความรู้สึกหลังเล่น แค่เห็นงานภาพกับคอนเซ็ปเกม ก็หลงซื้อเกมนี้มาซะแล้ว พอได้เล่นก็รู้สึกพอใจกับเกมนะ ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก (แต่บางอันนี่ งงเป็นพักเลย) เรื่องภาพกับฉากก็สวยงามมากสำหรับเกม puzzle แต่ที่ประทับใจ(และประหลาดใจ)ที่สุดกับเกมนี้ ก็คือเนื้อเรื่อง ในตอนแรกไม่ได้คาดหวังกับเนื้อเรื่องมาก คิดว่าไม่มีด้วยซ้ำเพราะเกมไม่ได้มีการปูเรื่องอะไรเลย ตัวอักษรสักตัวก็ไม่มี พอเล่นจนจบและกลับไปย้อนดูก็พบว่าเกมมีเนื้อเรื่องที่ WTF มาก (ในทางที่ดีนะ 55555+) มีการบอกใบ้เนื้อเรื่องอยู่ตลอดทาง (แค่ไม่ได้สังเกตเอง)  แต่ก็เสียดายสุดๆที่เกมมันสั้นมาก สรุป เกม The Pedestrian เป็นเกม puzzle ที่สนุก ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไป ภาพสวยงามดูมีชีวิตชีวา เหมาะกับทุกวัย ชนิดเล่นไว้แก้เบื่อได้ แต่ก็เสียดายที่เกมใช้เวลาเล่นจบสั้นมาก (ถ้าเทียบกับราคา 289 บาท) ถ้าใครสนใจที่จะซื้อเกมนี้มาเล่น แนะนำให้รอช่วงลดราคาจะดีกว่า [penci_review id="41525"]
09 Feb 2020
รีวิว Coffee Talk “ชงเครื่องดื่มอุ่นๆ กับเรื่องเล่าร้านกาแฟต่างโลก”
ในยามที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน เราอาจจะนอนพัก เดินเล่นเปลื่ยนบรรยากาศ หรือไม่ก็จิบกาแฟอุ่นๆสักแก้ว แน่นอนกับเกมก็เช่นกัน เราอาจจะเหนื่อยล้าจากการเล่นเกมหนักๆ เนื้อหาแน่นๆ ก็มีบ้างที่เราอยากจะเปลื่ยนบรรยากาศ ไปเสพอะไรเบาๆ (โยงเก่ง 5555+) วันนี้เรา GameFever TH จะพาทุกคนมารู้จักเกม visual novel เบาๆ เนื้อเรื่องสบายๆ กับบรรยากาศในร้านกาแฟ ที่จะทำเรารู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง กับเกม Coffee Talk เนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยรวม ในปี 2020 ในโลกที่หลายหลากเผ่าพันธ์ุ มีทั้งเอลฟ์ อ็อค แววูฟ แวมไพร์ ฯลฯ อยู่ร่วมกันในสังคม เราจะได้รับบทเป็น Barista เจ้าของร้านกาแฟ Coffee Talk  ที่อยู่ในเมือง Seattle และได้พบปะกับลูกค้าหลากหลายเผ่าพันธ์ุที่ปัญหาหรือเรื่องเล่าต่างๆ มาเล่ามาระบายให้ฟัง เราก็ค่อยรับฟังพร้อมกับชงเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้กับลูกค้าเหล่านั้น เรียกได้ว่าเป็น set up เนื้อเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย มีการพูดถึงเกี่ยวประเดินต่างๆ เช่น ความรักต่างเผ่าพันธุ์ การเรียนรู้วัตนธรรมต่างถิ่น สายสัมพันธ์ในครอบครัว ฯลฯ (บอกแค่นี้ก่อน บอกเยอะไม่ได้ เดียวจะเป็นการสปอย) แถมเนื้อเรื่องเกมนี้ถือว่าเสพได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ถึงเนื้อเรื่องจะเสพง่าย ก็ไม่ได้ทำให้เกมน่าเบื่อแต่อย่างใด เนื้อเรื่องจะแบ่งให้เล่นเป็นวันๆไป มีการสลับหัวข้อแต่ละวัน ตัวละครต่างๆที่เราได้พบเจอ และเรื่องน่าประหลาดใจมีให้เห็นอยู่ตลอดทุกวันที่เราเล่น แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าเนื้อเรื่องออกจะเป็นเส้นตรง และสั้นไปสักหน่อย  บรรยากาศในเกมนี้ทำออกมาได้ดี บรรยากาศในร้านกาแฟ ฝนตกยามค่ำคืน มีเพลงประกอบแนวแจ็ส และ lo-fi เล่นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าชิลสุดๆ ทำให้อยากไปชงกาแฟมานั่งจิบตอนเล่น (คนเขียนทำมาแล้ว 55555+) และภาพเกมนี้เป็นแบบพิกเซลอาร์ตที่มีสีสัน ทำให้รู้สึกสบายตา และอินไปกับบรรยากาศในเกม  * แนะนำให้เล่นเกมนี้จบ 2 รอบ เพื่อที่จะได้รู้เนื้อเรื่องที่แท้จริง ระบบการเล่น ระบบการเล่นจะไม่เหมือนเกม visual novel ทั่วไป เราจะไม่ได้เลือกตอบคำถามเพื่อเลือกฉากจบ แต่เราจะทำการชงเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้กับลูกค้าแทน การชงเครื่องดื่มของเราจะมีผลกับเนื้อเรื่องไม่มากก็น้อย บางครั้งเราอาจจะต้องชงเครื่องอื่นที่ไม่ตรงกับที่ลูกค้าสั่ง เพื่อฉากจบที่ดีกว่า (แอบสปอยนะเนี่ย - -”) แต่ถ้าจะพูดจริงๆ การชงเครื่องดื่มของเรา ดูเหมือนจะมีผลต่อเนื้อเรื่องน้อยไปสักหน่อย (ตามความรู้สึกนะ) การชงเครื่องดื่มในเกมนี้ จะเป็นการเลือกส่วนผสม 3 อย่างมารวมกัน เราจะต้องเลือกเครื่องดื่มพื้นฐาน (Base) ส่วนผสมหลัก (Primary) และส่วนผสมรอง (Secondary) เพื่อชงออกมาเป็นเครื่องดื่ม 1 แก้ว แล้วถ้าชงแล้วตรงกับสูตรเครื่องดื่ม ก็จะมีการบันทึกสูตรไว้ในโทรศัพท์ มีเมนูเครื่องดื่ม 30 กว่าสูตร (เราสามารถในโทรศัพท์ ดูสูตรเครื่องดื่ม เปลี่ยนเพลง อ่านข่าวประจำวัน และส่องโปรไฟล์ของตัวละครอื่นได้ด้วย) แถมบางเมนูเราสามารถทำ latte art ได้ด้วย (วาดยากมากกกกก ต้องใช้ฝืมือสักหน่อย) แต่ในเนื้อเรื่อง เราจะได้ชงเครื่องดื่มน้อยมาก แค่ 3 - 4 แก้วต่อ 1 วัน เกมนี้เลยมีโหมด Endless แยกไว้ให้ สำหรับคนที่คิดว่าชงในเนื้อเรื่องยังไม่จุใจ มีโหมด Free Brew สำหรับชงเครื่องดื่มตามใจอยาก และโหมด Challenge สำหรับแข่งชงเครื่องดื่มตามสั่งแบบจับเวลา  ความรู้สึกหลังเล่น รู้สึกเพลินมากๆ รู้ตัวอีกทีก็เล่นจนเคลียร์ achievements 100 % ไปซะแล้ว (เล่นยาวๆ 8 ชั่วโมง ไม่เรียกเพลินก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว 5555+) เนื้อเรื่องเกมนี้เสพง่าย ไม่น่าเบื่อ แถมรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ได้รับการฮิลจริงๆ แต่เนื้อเนื้อเรื่องจะดูเป็นเส้นตรง และสั้นไปสักหน่อย เพลงประกอบฟังง่าย เรื่อยๆดี และเกมเพลย์ชงเครื่องดื่มดูเหมือนจะมีส่วนร่วมในเกมน้อยไปหน่อย แต่ก็สนุกดี แล้วยังท้าทายมากในโหมด Challenge (กดชงกันมือหงิกเลย)   สรุป Coffee Talk ถือว่าเป็นเกมแนว visual novel ที่มีเนื้อเรื่องเบาๆ สบายๆ แต่ก็รู็สึกอบอุ่นหัวใจ และไม่น่าเบื่อ มีเกมเพลย์ที่ไม่เหมือนเกมแนว visual novel ทั่วไป ไม่ยากและก็ไม่ได้ง่ายมาก เหมาะกับผู้เล่นทั่วไป หรือผู้เล่นสายเสพเนื้อเรื่อง แต่เสียดายนิดๆที่เกมมันใช้เวลาจบไวไปหน่อย ส่วนใครที่ลังแลว่าจะซื้อดีไหม ก็ขอแนะนำว่าควรค่าแก่การซื้อมาเล่นจริงๆ ไม่เสียดายเงินอย่างแน่นอน   [penci_review id="40906"]
04 Feb 2020
รีวิว True Sight 2019 บอกเล่าเส้นทางแชมป์ครั้งที่สองของ OG
True Sight คือสารคดีเกี่ยวกับเกม Dota 2 ที่นำเสนอเรื่องราวของการแข่งขัน Esport ของเกมนี้ เพื่อให้เหล่าผู้เล่นได้มองเห็นเบื้องลึกเบื้องหลังว่าเกิดอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งแต่ละปีจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันและนี่คือรีวิว True Sight 2019 สารคดีเกี่ยวกับเกม Dota 2 ที่ทุกคนควรดู กับการบอกเล่าเส้นทางแชมป์ครั้งที่สองของ OG จะเป็นอย่างไรตามพวกเรา GameFever TH มาได้เลย เรื่องราวที่มากกว่าการแข่งขันเกม True Sight 2019 นำเสนอเรื่องราวของการแข่งขัน The International 2019 งานแข่งขัน Dota 2 ชิงแชมป์โลก โดยมีรางวัลเดิมพันคือเงินรางวัลมหาศาลและความหวังที่ทีม OG จะสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นแชมป์สองสมัยแบบ Back to Back ทำให้การแข่งขันครั้งนี้น่าติดตามมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ในส่วนของเนื้อหา Valve ได้นำเสนอถึงบรรยายของทั้งสองทีมอย่าง Liquid และทีม OG ที่พวกเขาทั้งสองต่างพกความมั่นใจมาอย่างเต็มที่ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนเกม Dota 2 คุณจะรู้สึกอินมาก ๆ เพราะว่าคุณมีพื้นฐานมาส่วนหนึ่ง ทำให้คุณสามารถเข้าใจพวกเขาได้อย่างง่ายดายและหลอมรวมความรู้สึกไปกับทีมที่คุณเชียร์ได้ ในขณะที่หากคุณไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเกม Dota 2 อารมณ์คุณจะดูเหมือนสารดีเกี่ยวกับเกมที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดี Kuroky vs Ceb สิ่งที่เหล่าคนดูจะได้เห็นระหว่างการชมสารคดีนี้ถือสองหัวใจหลักของทีมอย่าง Ceb จากทีม OG และ KuroKy จากทีม Liquid ที่ทั้งสองคนเป็นแกนหลักในการเชื่อมให้สมาชิกในทีมทำงานร่วมกัน ต่อสู้ร่วมกันและเอาชนะด้วยกัน คุณจะได้เห็นการวางแผน การสั่งการและที่สำคัญที่สุดคือการให้กำลังใจและการปลุกใจกับเหล่าสมาชิกในทีม อันทำให้เราเห็นว่าการที่จะเป็นยอดทีมไม่ใช่เฉพาะฝีมือเท่านั้นแต่ยังมีทักษะอื่น ๆ ด้วย นอกจากสองตัวละครเด่นแล้วเราจะได้เห็นมุมมองของผู้เล่นคนอื่น ๆ ในทีมเช่น Mind Control ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก Topson กับความนิ่งในการเล่น W33 ที่ต้องรับมือกับความกดดันอย่างสูงแม้จะได้เล่นตัวละครที่ถนัดเป็นต้น ซึ่งอารมณ์ที่สื่อออกมานั้น หาก Valve ได้ถ่ายทำสารคดีนี้ออกมาก็ยากที่เราจะได้รู้ถึงมุมมองด้านนี้ ชัยชนะ มิตรภาพ การต่อสู้ ในโลกของการแข่งขันหลาย ๆ คนมักจะมองแต่ผลลัพธ์หรือ "ชัยชนะ" เพียงด้านเดียว แต่ในสารคดี True Sight เราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าชัยชนะคือ "มิตรภาพ" ของทีมต่าง ๆ ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญของพวกเขาในการที่จะก้าวเดินต่อ ๆ ไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะใน "การต่อสู้" มิตรภาพและความเป็นเพื่อนจะยังคงอยู่เสมอ ซึ่ง Valve สื่อทั้งสามอย่างนี้ออกมาได้อย่างดีมาก ๆ สรุป True Sight 2019 คือสารคดีเกี่ยวกับการแข่งขันเกม ที่เน้นหนักไปยังเรื่องของอารมณ์และมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ต่าง ๆ หากคุณเป็นเกมเมอร์หรือแฟนเกม Dota 2 คุณต้องชอบสารคดีนี้อย่างแน่นอน แต่หากคุณเป็นบุคคลธรรมดา สารดีเรื่องนี้ก็ทรงคุณค่าในการรับชมเช่นกัน [penci_review id="40531"]
29 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Mini 4wd Hyper Dash Grand Prix เกมมือถือแต่งรถทามิย่าที่แท้ทรู
มนุษย์ยุค80-90 น่าจะจำการ์ตูนเกี่ยวกับรถ Mini 4wd ของ Tamiya กันได้ดี กับเรื่อง Let’s&Go นักซิ่งสายฟ้า ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีคนเล่นเจ้ารถจิ๋วกัน และยังมีการจัดแข่งofficialอยู่เรื่อยๆ แต่ไอ้ครั้นจะไปเล่นที่ร้านก็กลัวเสียเวลา เสียเงิน ซื้อรถมาแต่ง แล้วผมบอกเลย(จากประสบการณ์ตรง) ค่าแต่งจิ๋วพวกนี้ซักคันนึงก็แพงมากสำหรับของเล่น และใช้ความละเอียดอ่อนในการmodifyค่อนข้างสูง เกมแนวนี้จริงๆก็มีคนทำแล้วอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ของ Tamiya!!!! แต่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมาเกม Mini 4wd Hyper Dash Grand Prix ก็ได้ลงstore ทั้ง iOS และ Android ตัวเกมจะเป็นยังไงนั้น วันนี้เรา GameFever TH จะพามารู้จักกับเกมนี้กันครับ Gameplay เมื่อเข้าเกมมา เกมก็จะให้เราเลือกรถมา 1 จาก 3 คัน ซึ่งคือ Dash Emperor, Avante Junior และ Saber Magnum รถของพระเอกทั้ง 3 gen นั่นเอง ซึ่งแต่ละคันจะมีstatusแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็คงจะเลือกคันที่ตัวเองคิดว่าเท่กันซะมากกว่า ส่วนตัวผม ผมเลือก Sabr Magnum ครับ บินไปแมกนั่มมมมมม!!!!! หน้าที่ของเรา เหล่า Racer มี 2 อย่างคือ นำรถไปแข่ง โดยการปล่อยรถแล้วก็ดูมันวิ่ง(เหมือนที่เราเล่นกัน) ซึ่งจังหวะการปล่อยตรงจังหวะเราก็จะได้ออกตัวก่อน แต่ถ้าปล่อยผิดก็จะปล่อยช้าไปเลย ในตอนนี้ยังไม่มีระบบ Real Time แต่มีเนื้อเรื่องมาให้แล้ว 5 Chapter และมีโหมดRankingให้เราเล่นด้วย แต่งรถ ตรงนี้แหละครับคือจุดที่น่าสนใจของเกมนี้ การแต่งรถในเกมนี้มีความอิสระมาก โดย itemในเกมก็เหมือนกันกับของจริงเลยแหละครับ แล้วมี Feature ที่ให้แกะออกจากห่ิ ทำให้รู้สึกเหมือนตอนเป็นเด็กแล้วไปซื้อมาประกอบเลยครับ  ทำให้การแต่งมีความหลากหลายมาก itemแต่ละชิ้นก็จะมีstatusต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับแต่งรถเพื่อให้เข้ากับสนามนั้นๆ ซึ่งเกมนี้ก็ทำสัญลักษณ์บอกไว้ให้ด้วย เช่น St<สีแดง>คือสายความเร็ว Cr<สีฟ้า>เป็นสายเข้าโค้ง เป็นต่อ ผมรู้สึกว่าทำให้ง่ายต่อกันปรับแต่งมากขึ้น Tuning เกมนี้จะเน้นเรื่องการ Tuning รถเป็นหลักครับ รถหนึ่งคันประกอบไปด้วยหลายส่วนมาก ทั้ง โครงรถ มอเตอร์ ล้อ ยาง roller กันชน Body(หน้ากาก) ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละชิ้นมีเสตตัสแทบไม่เหมือนกันเลย เช่น Body ของ Magnum ก็จะเร็วกว่า แต่ของ Sonic ก็จะเข้าโค้งได้ดีกว่า โดยitemแต่ละชิ้นสามารถหาได้จากการชนะด่าน ซื้อจากร้านค้า แจกตาม Event และ กาชา (ใช่ครับ เกมนี้เป็นเกมกาชา) Item แต่ละชิ้นจะสามารถอัพเกรดstatusเฉพาะตัวได้ตามจำนวนดาว กาชาจะสุ่มสูงสุดได้ 4ดาว Item ทุกชิ้นสามารถอัพเกรดเป็น 6 ดาวได้ Customization อย่างที่บอกครับว่าเกมนี้มีความอิสะในการแต่สูงมากกกกกกก สามารถแต่งได้แทบจะทุกอย่าง ผมยังใส่ล้อหลังจาก Front Tire เลยครับ ตัว Body ส่วนใหญ่จะมาจากการ์ตูน ดังนั้นเพื่อนๆสามารถเข้าไปแต่งรถคันโปรดในดวงใจให้หายคิดถึงกันได้ นอกจากนี้เรายังสามารถสร้างด่านขึ้นมาเองได้ ทำรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลยละครับ โดยส่วนตัวผมชอบเกมนี้มาก เพราะผมชอบถทามิย่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น่าจะถูกใจแฟนการ์ตูนเรื่องนี้กัน และปั้นโมเดลออกมาได้สวยงาม อันนี้ผมชอบมากเลย มันเหมือนผมได้ประกอบรถของตัวเอง ระบบการแต่งรถก็ค่อนข้างละเอียดและ ไม่รู้สึกว่า Pay to Win จนเกินไป ช่วงแรกๆอาจจะงงๆหน่อย แต่พอจับทางการประกอบได้แล้วจะเพลินยาวๆ ระบบตอนแข่งอาจจะง่ายไปหน่อยแต่ก็นะ… ของจริงเราก็แค่ปล่อยเหมือนกัน 55555 ไอเทมถ้าอยากได้ครบเซตเช่นพวกล้อ ยาง Roller ถ้าอยากได้ set อาจจะยากหน่อยเพราะแต่ละสีมันดันคนละอันกัน รถช่วงแรกก็ะออกมาแฟนซีๆนิดนึง ตอนนี้ยังไม่มีระบบแข่งกันกับผู้อื่น แต่น่าจะมีในอนาคต ยังไงก็รอติดตามกันต่อไปนะครับ หากมีข่าวสารเพิ่ม จะนำมาแจ้งให้ทราบกันครับผมม อย่างไรก็ตามตอนนี้เกมนี้ก็ยังสามารถดาวน์โหลดได้จาก Store ของญี่ปุ่นเท่านั้น เราก็ได้แต่หวังว่า ลุงบันจะเอาเกมนี้ลง Store ไทยในไม่ช้า [penci_review id="40618"]
29 Jan 2020
Review: รีวิวเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2
สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองว่าแฟนตัวยงของเกมแนว JRPG เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้จักกับซีรี่ส์ Shin Megami Tensei มาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะรู้จักมาจากเกมภาคแยกอันโด่งดังอย่าง Persona หรือจะติดตามมาจากเกมซีรี่ส์ย่อยอื่นๆ อย่าง Devil Summoner ก็ดี แม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักในระดับเดียวกับซีรี่ส์ JRPG ยักษ์ใหญ่อย่าง Final Fantasy หรือ Dragon Quest แต่ Shin Megami Tensei ยังมีเกมเมอร์ที่ติดตามซีรี่ส์อย่างจดจ่ออยู่มากมายทั่วโลก จนทำให้ซีรี่ส์สามารถผลิตเกมใหม่ๆ ออกมาได้เรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 แล้ว เกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 ถือเป็นการก้าวเข้าสู่สังเวียนมือถือครั้งแรกของซีรี่ส์ ที่พกพาระบบหลักๆ อันเป็นลายเซ็นของซีรี่ส์มาครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ลุ่มลึกน่าติดตาม ไปจนถึงเกมเพลย์การสะสมภูติผีปีศาจ เพื่อใช้ในการต่อสู้แบบ RPG เนื่องในโอกาสที่ช่วงนี้เกมกำลังจัดกิจกรรมฉลองวันครบรอบการเปิดให้บริการครบ 2 ปี ทางทีมงาน GameFever จึงได้ลองเข้าไปทดลองเล่นเกมกันมาประมาณหนึ่ง เลยอยากจะมารีวิวเกมให้อ่านกัน เผื่อจะสนใจไปโหลดมาเล่นกันบ้างจ้า! เนื้อเรื่อง ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมซีรี่ส์ Shin Megami Tensei จะไม่พูดถึงเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นสมาชิกกลุ่ม Liberator ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องมวลมนุษย์จากปีศาจร้าย ด้วยการใช้แอพมือถือในการจับปีศาจเหล่านี้มาใช้ต่อสู้กันเอง (คล้ายๆ โปเกม่อน) โดยผู้เล่นและตัวละคร NPC อื่นๆ ในกลุ่ม Liberators จะต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองโตเกียว เพื่อต่อกรกับองค์กรชั่วร้ายที่ต้องการจะทำลายล้างโลก เนื้อเรื่องของ Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 น่าจะคุ้นเคยสำหรับผู้ที่เล่นเกมซีรี่ส์นี้ในคอนโซลมาก่อน แม้จะไม่ได้ลึก หรือเขียนมาละเอียดเท่ากับภาคเต็มๆ ในคอนโซล แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความหมายที่ลุ่มลึกเกี่ยวกับสังคมปัจจุบัน และนิสัยการใช้โซเชี่ยลมีเดียวของคนอีกด้วย แถมยังมีปริศนามากพอที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากจะเล่นต่อ เพื่อให้รู้เนื้อเรื่องตอนต่อไปเสมอ ถือว่าไม่น่าผิดหวังเลยสำหรับคนที่ติดตามซีรี่ส์มาจากคอนโซลอย่างผู้เขียน เสน่ห์อีกอย่างของเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 คือเหล่าตัวละครเพื่อนร่วมทีมแต่ละตัว ที่มาพร้อมกับอุปนิสัยแปลกๆ ที่สร้างตัวตนให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเพื่อนคนแรกที่จะได้พบอย่าง Rika สาวน้อยผู้คลั่งไคล้อาวุธปืน หรือหัวหน้าทีม Liberators ที่เป็น Youtuber ชื่อดัง Megakin ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้เกมได้เป็นอย่างดี ภายในแพตช์อัพเดทล่าสุด (เวอร์ชั่น 3.0.00) ยังมีการเพิ่มเนื้อเรื่องบทใหม่หรือ Season 2 อีกด้วย แน่นอนว่าผู้เล่นจะต้องเล่นเนื้อเรื่องภาคแรก (Season 1) ให้จบทั้ง 8 ตอน และผ่านบทนำ Intermission Epilogue เสียก่อน จึงจะสามารถสลับไปมาระหว่างเนื้อเรื่องทั้ง 2 ภาคได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่น่าเสียดายคงจะเป็นการที่เกมไม่สนับสนุนภาษาไทย ทำให้การติดตามเนื้อเรื่องและระบบต่างๆ อาจจะท้าทายซักหน่อยถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ แถมเกมยังชอบใช้ศัพท์แสลงเยอะมากๆ ใครจะเล่นก็มองในแง่ดีเข้าไว้ว่าเราจะได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในตัวนะ... เกมเพลย์ อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จะใช้ระบบเกมเพลย์แบบเดียวกับเกมซีรี่ส์หลักในคอนโซล ซึ่งสามารถแบ่งระบบออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือการต่อสู้ และการจับปีศาจนั่นเอง สำหรับการต่อสู้ของเกมนี้ โดยพื้นฐานอาจจะเปรียบได้กับเกมอย่างโปเกม่อน ภายในเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จะมีปีศาจมากกว่า 160 ชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีความสามารถและจุดอ่อน/จุดแข็งต่างกัน แต่สิ่งที่ซับซ้อนกว่าโปเกม่อนเล็กน้อยคือเมื่อเราโจมตีถูกจุดอ่อนของศัตรู (เช่นใช้ธาตุที่ปีศาจเป้าหมายแพ้) จะทำให้เราได้รับเทิร์นเพิ่มขึ้นหนึ่งเทิร์น การหาจุดอ่อนของศัตรูให้เจอ และใช้จุดอ่อนนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงมีความสำคัญมากๆ ในเกมนี้ เพราะศัตรูเองก็จะได้รับเทิร์นเพิ่มเช่นกันถ้าโจมตีโดนจุดอ่อนของเรา ทำให้การจัดทีมปีศาจทุกครั้งต้องใช้การวางแผนอย่างดี ไม่งั้นเสี่ยงโดนศัตรูตีเอาเทิร์นฟรีจนตายได้ง่ายๆ เลย เนื้อเรื่องของเกมจะดำเนินไปในรูปแบบเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ โดยในเนื้อเรื่องแต่ละบทจะประกอบไปด้วยการต่อสู้กับศัตรูระดับต่ำ 3-4 รอบ ก่อนที่จะต่อสู้กับบอสใหญ่ของบท (มีฉากเนื้อเรื่องคั่นเป็นระยะๆ) ซึ่งในช่วงบทที่หนึ่งจะค่อนข้างง่าย แต่เมื่อขึ้นบทที่สองแล้ว เกมจะยากขึ้นอย่างรู้สึกได้แน่นอน ทำให้องค์ประกอบหลักส่วนที่สองของเกมมีผลมากขึ้น นั่นก็คือการจับปีศาจมาเป็นพวกนั่นเอง! ทั้งนี้ การจะได้ปีศาจมาเป็นพวกทำได้หลายวิธี โดยแน่นอนว่าด้วยความเป็นเกมมือถือกาชาของ Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 แล้ว การหมุนตู้กาชาก็เป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่เกมกำลังฉลองวาระครบรอบ 2 ปีของเกม ที่ให้ผู้เล่นหมุนกาชาฟรีๆ วันละถึง 10 ครั้ง ทำให้เรามีโอกาสสูงในการได้รับปีศาจระดับ 5 ดาวมาร่วมทีมตั้งแต่เนิ่นๆ กันไปเลย สำหรับตู้กาชาที่โดดเด่นในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นตู้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปีศาจระดับ 5* ตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Tenma Asura Lord อยู่แล้ว โดยในช่วงกิจกรรมครบรอบ 2 ปีนี้ ผู้เล่นจะสามารถกดหาทั่น Asura ได้หลากหลายวิธี แต่หลักๆ แล้วก็ควรจะทำตามขั้นตอน Step-up Summon ไปซะเลย นอกจากจะได้ลุ้นเจ้า Asura และผองเพื่อนระดับ 5* เก่งๆ อีกหลายตัว ยังสามารถสะสมไอเทม Tome of Tenma ไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปแลกป๊ศาจได้ด้วย เอาไว้เป็นประกันเผื่อเกลือนะจ๊ะ นอกจากนั้น ในช่วงกิจกรรมนี้ยังมีดันเจี้ยนพิเศษ Lord of the ASURAS ซึ่งเป็นดันเจี้ยนแรกในระบบ Aura Gate SP ที่จะเปลี่ยนรูปทรงและทางเดินไปตลอดเวลา ทำให้การสำรวจแต่ละครั้งมีความตื่นเต้นแตกต่างกัน โดยระบบนี้จะสามารถเลือกระดับความยากได้ (ตั้งแต่ Novice ไปจนถึง Master) ซึ่งแน่นอนว่าของตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมแตกต่างกันอีกด้วย                     วิธีหลักอีกอย่างในการนำปีศาจมาเป็นพวกก็คือระบบการ เจรจา กับปีศาจเหล่านั้น ในระหว่างการต่อสู้กับปีศาจบางตัว เกมจะมีสัญลักษณ์ขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าปีศาจตนนั้นกำลังสนใจจะพูดคุยกับผู้เล่น โดยเมื่อกดเข้าไปแล้วก็จะสามารถสนทนากับปีศาจ เพื่อต่อรองให้มาเป็นพวกของเราได้ ตราบใดที่เราตอบคำถามต่างๆ ได้ถูกต้องตามที่ปีศาจอยากได้ยินนั่นเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเดาเอา เพราะมันพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง) ถ้าสามารถตอบคำถามได้ดีพอ ป๊ศาจจะยื่นข้อเสนอให้เรา ซึ่งมักจะเป็นของเล็กน้อยอย่างไอเทม หรือ HP/MP ของตัวละครในปาร์ตี้ แต่ก็ต้องระวังให้ดี เพราะบางครั้งปีศาจอาจจะขอชีวิตของเพื่อนในทีมไปเลยก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้การต่อสู้รอบต่อๆ ไปลำบากขึ้น เมื่อได้ปีศาจมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากการหมุนกาชา หรือการเจรจาระหว่างต่อสู้ อีกวิธีที่ทำให้เราสามารถได้ปีศาจตนใหม่ๆ ก็คือการผสมร่างหรือ Fusion นั่นเอง โดยระบบนี้ของเกมมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก กับการทำความเข้าใจว่าปีศาจชนิดไหนผสมกับชนิดไหนได้บ้าง แต่อย่างน้อยเกมก็มีระบบที่สรุปให้เราเองเลยว่าเราสามารถผสมปีศาจตัวไหนได้บ้าง จากปีศาจทั้งหมดที่เรามีอยู่ จึงช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้ กราฟิค/การนำเสนอ กราฟิคของเกม Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 จัดอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเลยสำหรับเกมมือถือ โดยแม้ว่าฉากหลังและตัวละครมนุษย์ในเกมเกือบทั้งหมดจะเป็นเพียงภาพวาด 2D เท่านั้น แต่ในฉากต่อสู้ จะเห็นปีศาจทั้งหมดเป็นโมเดล 3D ระดับสูงทุกตัว แถมยังมีอนิเมชั่นการโจมตีเฉพาะตัวอีกด้วย ในจุดนี้จึงต้องชมผู้พัฒนาจาก Atlus และ SEGA มากๆ สรุป ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเกม JRPG ที่เกมเพลย์และเนื้อเรื่องดีๆ บนมือถือซักเกม บอกได้เลยว่า Shin Megami Tensei: Liberation Dx2 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ด้วยเนื้อเรื่องและเกมเพลย์มาตรฐานเกมคอนโซล แถมช่วงนี้เกมยังมีกิจกรรมลดแลกแจกแถมกระหน่ำ ไม่ต้องเสียตังซักแดงเดียวก็มีปีศาจเทพๆ ไว้อวดคนอื่นได้ ใครอยากหาเกม RPG เล่นยาวๆ ซักเกม ห้ามพลาด!
27 Jan 2020
รีวิว DEEEER Simulator‌ : Your Average Everyday Deer Game “ระวัง!! แถวนี้กวางดุ”
ณ เวลานี้มีเกมแนวจำลองเหตุการ์ณ (เกม Simulator) ออกมาให้เราเล่นมากมาย โดยส่วนใหญ่นั้นมักมีจุดเด่นที่ภาพสวยสุดอลังการ หรือไม่ก็สมจริงอย่างกะเรากำลังทำสิ่งนั้นๆ แต่สิ่งที่ DEEEER Simulator‌ : Your Average Everyday Deer Game จะนำเสนอนั้นไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง แต่เป็นความบ้าหลุดโลกสุดแสนจะคิดได้ พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ระบบเกมและภาพรวม เกมนี้จะให้เราสวมบทบาทเป็นกวาง!! ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก กวางนั้นหล่ะครับ ตามชื่อเกมเลย เป็นแค่กวางตัวเล็กๆในโลกอันแสนกวางใหญ่ ทำได้ก็มีแค่ วิ่ง 2 ขาได้, ต่อยรถพังได้, ปล่อยคลื่นพลังได้, เปลื่ยนเขาเป็นปืนได้ และยึดคอได้ (กวางธรรมดาจริงๆนะ 555555+) สิ่งที่เราต้องทำก็มีแค่ผจญภัยในโลกอันแสนกว้างใหญ่(และแปลกประหลาด)อย่างอิสระ ค้นหาความลับ และอย่าตายก็พอ  เรามีความอิสระในแทบทุกอย่าง จะไปไหนก็ได้ (ตอนนี้มีแค่ 1 เมือง) จะขี่พาหนะอะไรก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ วัว ปลาทูน่า และอีกเยอะมากๆ) จะทักทายคนข้างทาง หรือชวนเข้าร่วมแก็งกวางก็ได้ รวมไปถึงการทำลายข้าวของด้วย แทบทุกอย่างในโลกนี้สามารถทำลายได้ (ต้นไม้ ตึก รถยนต์ เป็นต้น ยกเว้นแค่ไม่กี่อย่างที่ทำลายไม่ได้) และทุกครั้งที่ทำลายได้จะมีอาวุธดรอปให้เราสามารถเก็บไปใช้ได้ (แต่จะใช้ยังไงนั้นดูภาพประกอบเอา 555+) เรามีพลังชีวิตแค่ 3 หัวใจเท่านั้น (มุมซ้ายบน) แต่ไม่ว่าเราจะตกตึกเป็นร้อยชั้น หรือโดนรถชนกระเด็นไปไกล ก็ไม่ทำให้พลังชีวิตลดได้เลย จะมีแค่ศัตรูที่โจมตีพลังชีวิตเราได้ นั้นก็คือ ตำรวจ และบอสประจำเมือง (ตอนนี้มีแค่นี้ อาจจะมีเพิ่มเติม) ตำรวจจะออกมาไล่ล่าเราเมื่อเราสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจนถึงระดับที่กำหนด ซึ่งจะมีหลายแบบ เช่น มือปราบแกะ รถตำรวจหมีขาว มือปืนกระต่าย (ตอนนี้มีแค่ 3 แบบ) ส่วนบอสจะปรากฏอยู่ในเมือง แต่จะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะสร้างความเสียหายให้บอส เมื่อพลังชีวิตหมด เกมจะบังคับรีเซ็ตกลับสู่จุดเริ่มต้นทันที เราสามารถตามหาความลับต่างๆที่ซ่อนอยู่ในเมืองได้ เมื่อเราตามหาและทำเงื่อนไขบางอย่างสำเร็จ เราจะได้ของตอบแทนมา เช่น หุ่นยนต์ยักษ์ อาวุธใหม่ เป็นต้น และในเมืองยังมีมินิเกมให้เราแวะเล่นได้ด้วย ความรู้สึก เกมนี้ก็เป็นเกมที่เล่นได้เพลินๆ ครับ อารมณ์เหมือนเล่นเกม Goat Simulator นั่นแหละ เล่นสนุกๆ หาอะไรบ้าๆ ทำครับ โดยรวมตัวเกมก็ดูเพี๊ยนๆ ดีครับ และข้อเสียตอนนี้เกมยังบัคเล็กๆ น้อยๆเต็มไปหมด ตามภาษาเกม Early Access ที่พึ่งออก แต่ถ้าจะให้พูดถึงปัญหาใหญ่ๆก็ เกมไม่เสียงดนตรีประกอบเลย มีแค่เสียงเอฟเฟคเท่านั้น ทำให้เกมดูเงียบเหงาเหลือเกิน แถมเมื่อเรายิงปืนเยอะๆ ทำลายของเยอะๆ หรือมีตำรวจไล่ล่าเรา เกมจะกระตุกมากๆ และสุดท้าย เกมมีอะไรให้เล่นน้อยเกินไป คงต้องรอการอัพเดทเนื้อหาเรื่อยๆไปก่อน เป็นเพราะตอนนี้เกมพึ่งจะเปิดตัว และยังอยู่ในช่วง Early Access เลยอาจจะทำให้เกมดูมีอะไรให้เล่น ให้สำรวจน้อยไปสักหน่อย และเกมยังไม่ลื่นเท่าที่ควร แต่อย่างน้อยเกมนี้ ก็ยังสนุก และปล่อยให้เรามีอิสระสุดๆ เท่าที่เกมจะมีได้ ใครที่คิดจะซื้อเกมนี้คงต้องรอค่อยการอัพเดทใหม่ซะก่อน เพื่อที่จะทำให้ตัวเกมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น [penci_review id="40307"]
27 Jan 2020
รีวิว Dragon Ball Z: Kakarot เกมที่นำเสนอโลกของการ์ตูนเรื่องนี้ ได้ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
ออกกันมาทุกปีจริงๆ สำหรับเกมจากซีรีส์การ์ตูนสายหลักชื่อดังอย่าง Dragon Ball พัฒนาโดย BANDAI NAMCO ซึ่งหลังจากปีที่แล้วก็พึ่งปล่อย JUMP FORCE ที่มีการ์ตูนเรื่องนี้ไปผสมด้วย แต่มันก็ไม่ค่อยจะน่าพิศมัยซักเท่าไหร่ เพราะตัวเกมยังสร้างโลกของจั๊มออกมาได้ไม่ตอบโจทมากพอทั้งในด้านเนื้อเรื่อง และการนำเสนอ ในปีนี้ผู้พัฒนาก็อยากที่จะเล่นใหญ่ขึ้นคือการยกระดับเกมของตัวเองสร้างเกมแนว Openworld ออกมาโดยใช้ธีมของโลก Dragon Ball เป็นตัวดำเนินเรื่องเลยได้กลายมาเป็นเกม Dragon Ball Z: Kakarot ที่จะดำเนินเรื่องราวเนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้ในภาค Dragon Ball Z เป็นต้นไป เพื่อให้เราเหล่าแฟนๆ ได้หวนวันวานอีกครั้ง พร้อมทั้งยังได้ท่องโลกของการ์ตูนเรื่องนี้แบบอิสระครั้งแรกด้วยตัวเองอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้หลังจากที่ได้เล่นมาว่ามันจะยอดเยี่ยมเหมาะแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ? ไปชมกันได้เลย เนื้อเรื่อง อย่างที่บอกว่าเกมนีจะดำเนินเรื่องราวในช่วงภาค Dragon Ball Z เนื้อเรื่องหลังจากที่จัดการจอมมารปีศาจพิคโคโร่และศึกชิงเจ้ายุทธภพ ซุน โกคู ตัวเอกของเรื่องก็ถึงช่วงโตเต็มไวแต่งงานและมีลูกอย่างโกฮังหนึ่งคน โดยการเล่าเรื่องนั้นจะเหมือนกับต้นฉบับเป๊ะๆ ตั้งแต่บทของราดิช ไปจนถึงตัวสุดท้ายคือจอมมารบลูเลยทีเดียว รวมถึงการนำเสนอของเกมนี้ที่ได้เล่าเรื่องให้อารมณ์เป็นเชิงการ์ตูนจ๋ามากๆ ใครที่เคยดูการ์ตูนยุคเก่าจะจำได้เลยว่ามันมักจะมีการนำเสนอตอน ว่าตอนนี้ชื่ออะไร ซึ่งภายในเกมนี้ใส่อะไรแบบนี้ในการแบ่งช่วงเนื้อเรื่อง และก็ต้องบอกว่าอะไรแบบนี้มันช่วยมาเติมเต็มความทรงจำในวัยเด็กเราได้ดีเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งบทพูดต่างๆ นาๆ ของเกมนี้เองเหมือนคุณกำลังนั่งดูการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ และที่พิเศษก็คือความรวบรัดของเนื้อเรื่องที่มีสเกลเทียบเท่ากับในหนังสือการ์ตูนมังงะมากๆ ไม่มีฉากชาร์จพลัง และ Flash Back สุดยาวเหยียดแล้ว ทำให้การเสพเนื้อเรื่องมีความอรรถรสมากพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้น เนื่องจากมันเป็นการเอาเนื้อเรื่องของการ์ตูนภาคหนึ่งมาใส่โดยแทบไม่ตัดเนื้อหาสำคัญเลย บวกกับเกมเพลย์ต่างๆ นาๆ เราก็จะใช้เวลาเล่นเกมนี้ไม่ต่ำกว่า 25-30 ชั่วโมงในการเคลียร์ Main Quest รวมถึงระหว่างเนื้อเรื่องยังมีการสอดแทรก เนื้อเรื่องเล็กๆ ระหว่างเนื้อเรื่องหลักเข้ามาอย่างเช่น การฝึกฝนของโกฮังกับพิคโคโร หรือช่วงการฝึกวิชาสามปีเพื่อต่อสู้กับหมายเลข 17-18 ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่พอเล่นจริงๆ แล้วกลับทำให้จังหวะของเนื้อเรื่องมันดูขาดตอนและค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย แต่โดยรวมก็ทำออกมาได้น่าสนใจนะ กราฟิก Dragon Ball Z: Kakarot นำเสนอโลกของการ์ตูนเรื่องนี้ได้อย่างดี ตอบโจทย์แฟนการ์ตูนซีรีส์นี้ที่อยากจะเห็นโลกของการ์ตูนในดวงใจ แต่เอาจริงๆ แล้ว Dragon Ball เองก็เป็นการ์ตูนที่ไม่ได้นำเสนอโลกของพวกเขามากเท่าไรนักนอกจากตัวละครผู้ร้ายและคนดีเท่านั้น อาจจะมีที่น่าสนใจหน่อยก็คือสวรรค์ หรือดาวนาเม๊กเท่านั้น ส่วนโลกของ Dragon Ball เองก็จะมีที่น่าสนใจแค่ดีไซน์บ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ นิดๆ หน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่พิ้นดินกว้างๆ เอาไว้ต่อสู้ตามสไตล์การ์ตูนเรื่องนี้นั่นแหละ รวมถึงแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Openworld แต่ก็ต้องบอกได้ว่าตัวเกมจะเป็นกึ่งๆ โลกเปิดซะมากกว่า เพราะเนื่องจากที่ผู้พัฒนาคงไม่อยากต่อพื้นที่ให้มันกว้างเปิดไป เพราะมันน่าจะเป็นปัญหาเรื่องการ Optimise ก็ได้ ตัวเกมจึงมีพื้นที่แบ่งเป็นโซนๆ ติดต่อกัน โดยเราจะต้องวาร์ปไปแต่ละโซนแผนที่แทน ซึ่งเอาจริงๆ ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนะ แต่พอเล่นจริงๆ เกมนี้ไม่ได้มี Loading Screen ที่นานเกินไป การโหลดแผนที่แต่ละครั้งเองก็ไม่ได้เสียเวลามากเท่าไร ก็ถือว่าหยวนๆ กันได้ รวมถึงโมเดลของตัวละครในเกมถึงแม้ว่าจะเป็น 3D แต่กราฟิกก็ยังมีกลิ่นอายและธีมของความเป็นการ์ตูนมากกว่าเกมก่อนหน้าอย่าง JUMP FORCE เป็นอย่างมาก อาจจะมีบ้างฉากที่โมเดลที่ตัวละครคุยกันทื่อๆ แต่ส่วนใหญ่ตัวละครก็ทำอารมณ์ออกมาพอใช้ได้ รวมถึงแต่ละตัวละครก็จะใส่เสียงออกมาทุกบทพูดแล้ว ไม่เหมือนเกมเก่าๆ ที่เผางานเป็นกล่องข้อความทื่อๆ พร้อมทั้งเอฟเฟคต่างๆ ก็มีความสวยสดงดงามออร่าอลังการได้อารมณ์สุดๆ เกมเพลย์ ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ก็ยังเป็นการเอายกฟังชั่นดีไซน์มาจากเกมเก่าๆ ของ BANDAI NAMCO เหมือนเดิม การกดสกิลต่างๆ ก็จะเหมือนกับเกมอย่าง JUMP FORCE หรือ Dragon Ball: Xenoverse เป๊ะๆ เอาจริงๆ เรื่องระบบการต่อสู้เองก็ทำให้คนที่เคยเล่นเกมเก่าๆ ที่ว่ามา รู้สึกเบื่อนิดๆ นะ เพราะว่ามันไม่ได้ให้ความแปลกใหม่ใดๆ เลยของเกม แต่ข้อดีคือมันก็ยังเป็นเกมที่เล่นสนุกได้เหมือนเดิมถ้าหากคุณไม่คิดอะไร เพราะเอฟเฟคสกิลที่สวยงาม หรือเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม มันก็สามารถมาลดทอนในตรงนี้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงเกมนี้เองก็ได้ใส่องค์ประกอบความเป็น Action RPG Openworld อยู่ครบถ้วนทั้งการอัพเกรดต่างๆ นาๆ หรือจะเป็นการสร้างไอเท็ม, ตกปลา ล่าสัตว์ต่างๆ มาเพื่อทำอาหารบัพค่าพลังของเรา และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการที่เราจะได้มีส่วนร่วมกับสิ่งที่เราเคยได้อ่านหรือได้ดูมา อย่างเช่นการตามหาดราก้อนบอลให้ครบทั้ง 7 ลูกเพื่อเรียกเทพเจ้ามังกรออกมาขอพร, การไปขอถั่วเซียนจากท่านเทพคามิ หรือการที่เราเองจะต้องฝึกฝนตัวละครแต่ละตัวให้มีสกิลใหม่ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีระบบ Soul Emblem ที่เราจะสามารถรวมสัญลักษณ์ของตัวละครต่างๆ ในเกมมาใส่เพื่อเพิ่มสเตตัส ซึ่งสัญลักษณ์แต่ละตัวก็จะมีความสอดคล้องและผูกพันธ์กันทำให้เราสามารถได้รับสเตตัสมากขึ้นอย่างเช่นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับศัตรูในอดีตและมาเป็นมิตรในวันนี้ ซึ่งมันก็จะมีป้ายเท็นชินฮัง, พิคโคโร่, โกคู และเบจิต้า เป็นต้น รวมถึงยังมี Emblem หลากหลายสายอย่างเช่นสายทำอาหาร สายฝึกวิชา หรือสายต่อสู้เป็นต้น ซึ่งเราสามารถรวบรวม Emblem พวกนี้ได้ทั้ง Main Quest และ Main Quest ความรู้สึก จากความรู้สึกที่ได้เล่นเกมนี้มา เอาตามตรงว่าตัวเกมมันก็ยังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ นอกจากการนำเสนอแบบสไตล์การ์ตูนอนิเมะที่น่าสนใจเท่านั้น ระบบของเกมดูท่าจะมีความโบราญไปด้วยซ้ำ และต่อให้เกมนี้จะมีระบบให้เราได้เล่นมากมาย ถึงอย่างนั้นตัวเกมเองก็สร้างระบบพวกนี้เอาไว้หลวมๆ และไม่ได้มีกลไกที่ซับซ้อนอะไร อย่างเช่นการล่าสัตว์เราก็เพียงแค่เข้าไปใกล้ๆ และกดโจมตีทีเดียวเราก็ได้เนื้อแล้ว เลยอาจจะทำให้แรงจูงใจมันไม่ได้มีมากเท่าที่ควร รวมถึงผลกระทบในการทำกิจกรรมเพื่อเพิ่มสเตตัสในช่วง Free Roam เองก็ไม่ได้มีผลในเนื้อเรื่องหลักมากนัก เพราะเรารู้อยู่ว่าตัวละครภายในเรื่องจะเก่งขึ้นอย่างทวีคูณเป็นสิบๆ ร้อยๆ เท่าหลังจากที่จัดการศัตรูเบอร์ใหญ่ไปแล้ว การเก็บสเตตัสหรือกินอาหารเพิ่มบัพก่อนเข้าบทเป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะง่ายขึ้นเพียงนิดเดียวเท่านั้น เพราะส่วนตัวลองไม่ไล่เก็บเลเวลในแผนที่เลยก็สามารถชนะได้ เพียงแค่ตุนเลือดไว้เยอะๆ หน่อย และศัตรูเกมนี้ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นส่วนตัวคิดว่าความสนุกจริงๆ ของเกมมันไม่ใช่พวกระบบ Openworld เลยซักนิด มันมีไว้เพื่อให้เราได้เสพบรรยากาศของโลก Dragon Ball เสียมากกว่า จุดประสงค์จริงๆ ของเกมนี้คือความเสพสมกับประสบการณ์ที่เราได้เคยอ่าน หรือเคยได้ดูมาตั้งแต่สมัยเด็กเสียมากกว่า อย่างเช่นการที่เราได้รวบรวมลูกแก้วมังกรให้ครบ 7 ลูก และเรียกเทพเจ้ามังกรออกมาเนี่ย คิดดูว่าใครที่เป็นแฟนเกมแนวนี้จะฟินขนาดไหน การที่เราจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องหลัก ที่ครั้งนี้เราจะได้ต่อสู้กับศัตรูที่เราชอบ หรือ เกลียด แค่นี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหลงรักมันจนหัวปักหัวปำแล้ว สรุป สรุปได้เลยว่า Dragon Ball Z: Kakarot นั้นเป็นเกมที่ถ้าหากใครเป็นแฟนของการ์ตูนเรื่องนี้ คุณต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ถึงแม้ว่าระบบเกมเพลย์ต่างๆ นาๆ จะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ การวางระบบ Openworld ไว้หลวมๆ จะเล่นกับมันก็ได้ หรือจะเน้นเนื้อเรื่องกับมันก็สามารถเล่นจบได้ แต่สิ่งที่มันทำให้คุณชอบคือการนำเสนอความเป็นโลก Dragon Ball ที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน การเล่าเรื่องที่กระทัดรัดเหมือนคุณได้กลับไปดูการ์ตูนเรื่องนี้อีกครั้ง การที่คุณได้มีส่วนร่วมไปกับมันเพื่อเติมเต็มความทรงจำในวัยเด็กของคุณเป็นอย่างดี ถ้าคุณเป็นเด็กผู้ชายที่โตมากับการ์ตูนเรื่องนี้ ไม่มีเหตุใดเลยที่คุณจะเกลียดมัน ข้อเสียต่างๆ ของเกมนี้หรือระบบเก่าๆ ที่คุณอคติจะถูกหักล้างไปจนหมดคุณจะหลงรักมัน !! Dragon Ball Z: Kakarot อาจจะไม่ใช่เกมที่มีระบบสนุกที่สุด และกลไกลึกซึ้งที่สุดในเกมแฟรนไชส์ แต่มันเป็นเกมที่นำเสนอโลกของการ์ตูนเรื่องนี้ได้ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีมา [penci_review id="40221"]
24 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Arknights เมื่อเราสูญเสียความจำ ถูกเลือกเป็นผู้นำของเหล่ามวลมนุษย์
หากวันหนึ่ง คุณฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้งหลังหัวใจคุณหยุดเต้น แต่ทว่ากลับสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ พร้อมกับภัยอันตรายรายล้อมตัวคุณไปหมด มีเพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้า พวกเธอไม่ใช่มนุษย์แต่บอกว่าเราคือผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้...คุณจะเชื่อหรือไม่ ? และนี่คือคำเกริ่นทั้งหมดจากเกมที่เรียกว่า Arknights ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีนได้หนึ่งปี ผลที่ได้คือชาวจีน Hype กับการมาของเกมนี้อย่างมากจนกระทั่งได้เปิดตัวขยายฐานเซิร์ฟเวอร์พร้อมกันสามที่ได้แก่ ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้และโซนอเมริกาหรือที่เรียกติดปากว่าเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์นั้นแหละ แล้วเกมนี้ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเพราะเล่นง่าย แต่แฝงด้วยการใช้ความคิด การจัดวางตำแหน่งให้ถูกที่เพื่อให้ผ่านด่าน แถมเนื้อเรื่องก็โดดเด่น แน่นอนว่าทางเรา GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกมนี้มารีวิวแบบจัดเต็มบนเวอร์ชั่นเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์ให้อ่านกัน ================================================== เราสูญเสียความทรงจำ แต่กำชะตามนุษย์เอาไว้ Arknights เป็นเกมแนว Defend Tower วางหมากป้องกันตำแหน่ง จากทีมพัฒนา Hypergryph และ Studio Montagne เปิดให้บริการโดย Yostar เจ้าของเดียวกับสาวเรือ Azur Lane แต่เกมนี้เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทว่าเนื้อเรื่องกลับมีความโดดเด่น จนน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว จุดเริ่มต้นของทั้งหมดภายในเกม มาจากวัตถุที่มีชื่อว่า Originium ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มาว่าได้เข้ามาหรือถูกค้นพบบนพื้นที่โลกใบนี้จากไหนกันแน่ ( ล่าสุดเนื้อเรื่องยังไม่มีการเฉลย ) แน่นอนว่ามันก็ได้แพร่อนุภาคเสมือนเป็นไวรัสกระจายไปเกือบทั่วโลก จึงถูกเรียกโรคนี้ว่า Oripathy ในเวลาต่อมา ส่งผลกระทบต่อมนุษย์สองอย่างนั้นก็คือ มนุษย์ที่ได้รับอนุภาคนี้เข้าไปก็จะกัดกินร่างกายและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่หากต่อสู้กับมันได้ ก็จะทำให้มนุษย์คนนั้นได้รับพลังจาก Originium มาด้วย หากผู้ใดรอดจากการติดเชื้อครั้งนี้จะได้รับพลังทั้งได้พลังจากกายภาพหรือได้รับพลังจิตที่เรียกว่า Art ใช้โจมตีศัตรูระยะไกลได้ นอกจากนี้ภายในจักรวาล Arknights จะมีมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะคือหูกับหางเป็นสัตว์ต่างๆ โดยพวกเขาอยู่ร่วมกับมนุษย์ดั้งเดิมมานานแล้ว โดยเราจะได้สวมบทบาทเป็น "ดอคเตอร์" ซึ่งนัยยะของเกมเราจะเสมือนเป็นศาสตราจารย์ ไม่ใช่หมอนะซึ่งเราก็ติดเชื้อ Origidium เหมือนกันแต่เรากลับไม่แสดงอาการทรมานแถมยังอยู่ดีมีสุข ซึ่งตัวเรานั้นมีองค์ความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ในทางที่ดีขึ้นได้ วันหนึ่งเราได้เดินทางมายังเมือง Chernobog ซึ่งบังเอิญเป็นวันที่กลุ่มล่าพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกตัวเองว่า Reunion เข้าโจมตีเมืองนี้แล้วบังเอิญไปทำลายอาคารที่เราอยู่พอดีและทำให้ซากตึกตกใส่เราบาดเจ็บสาหัส หัวใจหยุดเต้น โชคดีที่ Amiya เด็กสาวมนุษย์สายพันธุ์์ใหม่ที่มีหูคล้ายกระต่าย ( แต่จริงๆ เธอเป็นคิเมร่า ) กับพรรคพวกของเกาะโรดส์ ( Rhodes Island ) ได้เข้ามาช่วยชีวิตเราและทำการกู้ชีพฟื้นจากความตายได้สำเร็จ แต่เราก็สูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด จำได้แค่เพียงความสามารถในการบัญชาการและการวางแผนการรบเท่านั้น และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องในเกม เอาจริงๆ พล็อตเนื้อเรื่องในเกมมันไม่ค่อยต่างจาก X-men หรือ JoJo ภาค 5 เท่าไหร่นัก เพราะมีการเล่นประเด็นมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ถูกเหยียดหยามจากโลกใบนี้หรือรอดจากโรคแล้วได้รับพลังพิเศษมาเพราะพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่นั้นติดเชื้อ Oripathy ได้ง่ายกว่ามนุษย์ดั้งเดิมมาก แต่สิ่งที่ทำให้ดูแตกต่างและน่าสนใจคือ พลังที่ได้จาก Originium ของจักรวาลเกม Arknights ในสายตาของทุกคนได้มองมาเป็นโรคร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ทำให้เห็นการพัฒนาของตัวละครแต่ละตัวและมีความมุ่นมั่นอย่างชัดเจนอย่าง Amiya ที่เธอเป็นผู้นำของเกาะโรดส์ เกาะที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ติดเชื้อ เธอมีความตั้งใจว่าจะเป็นที่ที่มนุษย์ได้ต่อสู้กับการติดเชื้อและเป็นที่พักพิงของเหล่ามนุษย์ทั้งสองสายพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ทำให้รู้สึกว่าเธอดูอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนต่อโลก เป็นตัวละครเอกที่มีด้านเทา ไม่ขาวไม่ดำ ทำให้มีเสน่ห์มากๆ เลยล่ะ Arknights เป็นเกมใจป๋า ขนนักพากย์ญี่ปุ่นมาเพียบ สิ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจเกมนี้เลยก็คือ การขนนักพากย์จากญี่ปุ่นชื่อดังหลายท่านมาร่วมภาพย์ตัวละครในเกม Arknights ชนิดที่เรียกว่าครบทุกตัว ไม่ต้องกังวลว่าตัวละครใหม่ๆ จะไม่มีเสียงพากย์แต่อย่างใด แถมแต่ละคนก็มีประวัติการภาคไม่ธรรมดาเสียด้วย ยกตัวอย่างคุณ Nana Mizuki นักพากย์และนักร้องชื่อดังระดับเอเชียและอเมริกา ได้พากย์ตัวละครในเกมที่ชื่อว่า Mostima แสดงให้เห็นว่าเกมนี้มีทุนหนาขนาดไหนถึงจ้างนักพากย์ดังๆ ได้หลายคนมาก หากใครเป็นผู้ที่ชื่อชอบเหล่าเซย์ยูหรือติดตามนักพากย์ดังๆ บอกเลยว่าเกมนี้จะทำให้ใครหลายคนได้ฟินอย่างแน่นอน อีกสองความประทับใจเลย อย่างแรกคือการแปลภาษาจากภาษาจีนมาเป็นภาษาอังกฤษออกมาอ่านได้อย่างลื่นไหล เข้าใจง่าย ถือว่าทาง Yostar ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังหรืออ่านแล้วสะดุด และอย่างที่สองคือภาพอาตหรือฉากคัตซีนทำออกมาสื่อออารมณ์ได้ชวนหดหู่ เห็นภาพความโหดร้ายของการถูกเหยียดเผ่าพันธุ์, สงครามและฉากเท่ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกข้อที่น่าชมเชยสำหรับสายเสพเนื้อเรื่องเป็นหลัก เมนูใช้งานง่าย แถมกาชาก็ไม่เกลืออย่างที่คิด สำหรับหน้า Iobby เมนูต่างๆ ออกแบบมาได้อย่างเรียบง่าย ตัวอักษรใหญ่ชัดเจนโดยเฉพาะค่า Sanity นี่เด่นมากซึ่งมีความหมายตรงตัวว่าสภาวะทางจิต สื่อเป็นกิมมิคสำคัญขำๆ ที่ว่าหากเราเล่นจน Sanity หมดแสดงว่าคุณจิตไม่ปกติแล้วนะ อย่าลืมหาหมอด้วยล่ะ ( 555+ ) ที่สำคัญ มีเวลากับระดับแบตเตอร์รี่มือถือบอกไว้ด้วย ทำให้เรารู้ตลอดเวลาว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เสียดายที่เวลานั้นถูกเซ็ตให้เป็นเวลาโซนท้องถิ่นของอเมริกา ไม่สามารถเซ็ตเวลาเป็นบ้านเราได้ ในด้านระบบภารกิจนั้นเขียนออกมาได้ชัดเจนดีกว่าให้ทำอะไร มีภารกิจให้ทำเยอะแยะมาก ทำได้ทุกวัน ได้ประโยชน์ทุกวัน โดยเมื่อทำสำเร็จเราก็จะได้ตัวหมากรุกมา ซึ่งตัวหมากรุกสามารถเอาไปแลกของทางด้านซ้ายมือได้ทันที มีทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์ ส่วนภารกิจเนื้อเรื่องนั้นจะได้แบบทันทีเมื่อผ่านตามเงื่อนไขไม่ต้องเก็บสะสมตัวหมากรุกแต่อย่างใด ซึ่งมันอาจจะดูน่าเบื่อแต่เห็นจำนวนของที่แจกแล้วไม่ทำคงไม่ได้ ให้เยอะจริงๆ และอีกหนึ่งระบบเด่นที่ชอบมากๆ เลยก็คือฐานบัญชาการของเรา พอกดเข้าไปแล้ว...."นี่มัน Fallxxx Shelter นี่หว่า" ซึ่งทั้งหน้าตาและระบบก็คล้ายคลึงกันจริงๆ นั้นแหละ โดยการสร้างฐานอะไรแต่อย่าง ทุกฐานจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเช่น ฐานบัญชาการจะดูแลเรื่องโดรนขนส่งซึ่งมีความจำเป็นต่อทุกฐาน, โรงผลิตไฟฟ้าซึ่งผลิตไฟฟ้าและใช้เป็นพลังงานในการต่อเติมหรือสร้างฐานอื่นๆ ในอนาคต, โรงแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนทองให้กลายเป็นเงินหรือเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ หรือแม้กระทั่งโรงเครื่องพิมพ์สามมิติที่สามารถผลิตใบเร่ง EXP หรือผลิตทองไว้แลกเงินได้อีก ฉะนั้นทุกฐานจะสร้างให้ทุกไปเลยฐานใดฐานหนึ่งไม่ได้ ต้องสร้างและอัพเกรดไปด้วยกัน ทำให้รู้สึกว่าทุกฐานสำคัญหมด อัพอันไหนก่อนหลังก็ไม่เป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าอยากใช้ทรัพยากรส่วนไหนก่อนมากกว่า ส่วนเรื่องระบบ Recruit หรือระบบหา Operator ใหม่ๆ มาเสริมทัพนั้นจะหาได้สองรูปแบบ แบบแรกคือการใช้งานแบบเกณฑ์คน ซึ่งพูดง่ายๆ คือการต่อหาบุคลากรนั้นเองซึ่งสูงสุดจะมีโอกาสลุ้นได้ 5 ดาวแบบสุ่ม แต่ส่วนใหญ่ได้ 4 ดาวกับ 3 ดาว ก็ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ และแบบที่สองที่จะหาบุคลากรมาเสริมทัพได้ก็คือ "การเปิดตู้กาชา" นั้นเอง โดยจะใช้แร่ Originium สะสมให้ครบ 6000 เม็ดเปิดกาชา 10 ครั้งหรือใช้ตั๋วเหลือง Headhunt เปิดลุ้นตัวละครระดับ 6 ดาวซึ่งสำหรับคนที่มาเล่นครั้งแรกจะมีตู้การันตี 6 ดาวหนึ่งตัวด้วย ซึ่งมันดีสำหรับผู้เล่นใหม่มากเลยล่ะ ส่วนเปอร์เซ็นต์ในการออก 6 ดาวก็ไม่ถือว่าเกลือนักแต่มันก็ขึ้นอยู่กับดวงผู้เล่นอยู่ดี ระบบการเล่นแสนง่าย ตัวละครดาวน้อยก็สำคัญ ขอบอกก่อนเลยว่าระบบการเล่นของเกมนี้จะดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนนัก เพราะจุดประสงค์ของเกมนี้คือ การวางตัวละครป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้ามายังจุดหมายได้ เอาตัวละครทั้งหลายที่เตรียมไว้มาวางแนวป้องกันในจุดที่ต้องการ แต่ใช่ว่าถึงมาก็หยิบตัวที่ชอบมาวางใส่ได้ทันทีเพราะเกมนี้จะถูกกำหนดด้วย Deploy Point โดยค่านี้จะมันจะค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ และจะถูกใช้เมื่อเราหยิบตัวละครลงไปในสนาม บางตัวละครก็ใช้ Cost เยอะมาก ฉะนั้นการใช้งานตัวละครแต่ละตัวจะต้องคิดหน้าคิดว่าว่าควรวางตัวไหนก่อน ตัวไหนวางทีหลัง พวกที่ใช้ Cost น้อยๆ ก็จะวางได้ก่อน ป้องกันศัตรูฝูงแรกๆ เพื่อสะสม ที่สำคัญในแต่ละด่านจะมีการกำหนดจำนวนตัวละครที่เราลงได้ด้วย ยิ่งต้องบริหารให้ดีเลยล่ะ ฉะนั้นตัวละครทุกตัวมีความสำคัญหมด ขึ้นอยู่กับการใช้งาน, การรับมือศัตรูประเภทต่างๆ, การใช้ตัวละครแต่แบบให้เหมาะสมกับด่าน ซึ่งโดยรวมแล้ว การเล่นนั้นง่าย แต่การผ่านแต่ละด่านก็หินเอาเรื่อง เหมือนได้ฝึกสมองไปในตัว และอีกข้อที่เกม Arknights แตกต่างจากเกมแนว Defend Tower ทั่วไปก็คือการใช้ Skill ซึ่งแต่ละตัวละครก็จะมีสกิลที่แตกต่างกันทั้งสามารถใช้แบบ Auto หรือต้องกดใช้ด้วยตัวเอง บอกเลยว่าหากเจอด่านยากๆ เราไม่สามารถกดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือกดใช้ๆ ทิ้งไปไม่ได้ เพราะมันจะช่วยพลิกสถานะการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยหากใช้งานได้ถูกจังหวะ แต่หากใช้ไม่ถูกสถานะการณ์ มันจะนำพาความซวยมาให้อย่างแน่นอน มันทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเบื่อและชวนลุ้นตัวโก่งได้เสมอ ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการรีวิวเกม Arknights ถือว่าเป็นเกมแนว Defend Tower ที่มีความน่าสนใจทั้งระบบการเล่นและเนื้อเรื่อง ส่วนข้อตำหนิของเกมนี้มีเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นความยากของเกมที่ใครไม่ค่อยอดทนก็หัวร้อนกับเกมแนวนี้ค่อนข้างง่ายเลยล่ะ หรือไม่ก็การฟาร์มหาของมาอัพเกรดตัวละครหรือฐานซึ่งของบางอย่างจะเปิดให้หากันในโหมดพิเศษเฉพาะวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องแบ่ง Sanity มาวนหาของพวกนีั แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เกมเสียอรรถรสแต่อย่างใด และที่สำคัญ เกมนี้ไม่กินสเปคจ้า มือถือระดับราคาย่อมเยาว์ถึงระดับกลางก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ฉะนั้นหากใครอยากลองบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
22 Jan 2020
ไกด์ King of Fighter: ALL STARS รีวิวตัวละคร Whip
จากที่หลายบทความที่ผ่านมาได้ รีวิวแต่ ตัวละครชายในเกม มาเยอะ วันนี้ผมเลยเปลี่ยนบรรยากาศรีวิวตัวละครฝั่งหญิงซึ่งตัวละครนี้ก็พึ่งเข้ามาในเซิฟได้ไม่นานซึ่่อของเธอนั่นคือ วิป นั้นเอง แน่นอนว่าการจะได้คุณเธอมานั้นค่อนข้างยากพอสมควรเนื่องจากต้องเสี่ยงรูเล็ตเพื่อที่จะได้เธอมาครอบครองนั้นเอง และนั้นทำให้เกิดข้อสงสัยแก่เหล่าผู้เล่นหลยๆคนว่า การที่พยายามคว้าตัวเธอมาครอบครองนั้น คุ้มค่าแก่ เงิน และ เวลาที่เสียไปกับการเสี่ยงรูเล็ตหรือไม่ ซึ่ง ทาง GameFeverTH จะมาไขกระจ่างแก่ผู้เล่นทั้งหลายให้หายข้องใจกันไปเลย ข้อมูลสกิล Leader Skill : พลังโจมตีของไฟท์เตอร์ประเภทป้องกัน เพิ่มขึ้น 60% และ พลังป้องกันลดลง 10% เอฟเฟคคอร์หลัก [มูชิโกะ] : เมื่อแท็กเอาท์ ดาเมจที่ได้รับจากการเผาไหม้ของสมาชิกทีม ยกเว้นตัวเอง ลดลง 30% นาน 10 วินาที เอฟเฟคคอร์หลัก [ศิลปะการต่อสู้โดยใช้แส้] : เมื่อแอคทีฟสกิลเข้าเป้า ดาเมจที่ด้รับจากการเผาไหม้ ลดลง 30%  นาน 5 วินาที   Active Skill [บูมเมอร์แรง ช็อต "code SC"] : สร้างความเสียหาย 585% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู และทำให้ศัตรู หมดสตินาน 1.6 วินาที   Active Skill [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล]: สร้างความเสียหาย 576% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู   Active Skill [ สตริง ช็อต ไทป์ A "โค้ด ยูเอทส์" EX ] : สร้างความเสียหาย 810% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู เมื่อใช้สกิล สมาชิกในทีมทั้งหมดจะฟื้นฟู HP 2%          Finish Skill [ซุปเปอร์ แบล็ค ฮอว์ก] : สร้างความเสียหาย 936 % ของพลังโจมตีแก่ศัตรู                       Special Finish Skill [โซนิค สล็อตเตอร์ "code KW"]: สร้างความเสียหาย 2122% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู   Striker Skill [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล] : สร้างความเสียหาย 289% ของพลังโจมตีให้แก่ศัตรู   จุดแข็ง วิปมีสกิลที่ทำให้ศัตรูติดเอฟเฟค หมดสติได้ ซึ่งค่อนข้างก่อกวนศัตรูได้ดีพอควร มีสกิลฮีลเพื่อนร่วมทีมทั้งทีมซึ่งค่อนข้างดีในแง่ยื้อชีวิตเพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะถ้าในทีมมีไฟท์เตอร์ที่เลือดเหลือน้อยๆ Finish skill [โซนิค สล็อตเตอร์ "code KW"] สร้างความเสียหายแบบทั่วแมพซึ่งมีประโยชน์ในแง่เคลียร์ศัตรูพวกลูกกระจ๊อก  มีเอฟเฟคคอร์ที่ช่วยเด้ง พาวเวอร์เกจให้เร็วขึ้น   จุดอ่อน  พลังป้องกันพื้นฐานต่ำกว่ามาตรฐานแทงค์ค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยมีเอฟเฟคคอร์ที่เน้นไปทางป้องกันเหมือนแทงค์ทั่วไป สกิลของวิปค่อนข้างช้าและมีช่องโหว่ทำให้โอกาสหลุดคอมโบ หรือศัตรูหลุดคอมโบได้ง่าย เอฟเฟคคอรืหลักของวิฟค่อนข้างเฉพาะทางเกินไป แนวทางการเล่น วิปเป็นไฟท์เตอร์สายป้องกันที่ค่อนข้าง "พิเศษ" โดยที่วิฟนั้นไม่ได้เป็นไฟท์เตอร์สายป้องกันแนวหน้าที่คอยรับดาเมจให้เพื่อน แต่วิปเป็นไฟท์เตอร์ป้องกัน สายซัพพอร์ตแนวหลังซะมากกว่า อาจะเรียกว่า เป็นแทงค์สายซัพพอร์ตตัวแรกในเซิฟนี้เลยก็ว่าได้เนื่องจากว่าเอฟเฟคคอร์และสกิลส่วนใหญ่เน้นช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมซะมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการฮีลให้เพื่อนร่วมทีม หรือ ลดความเสียหายเผาไหม้ให้เพื่อนร่วมทีม ทำให้ วิปดูจะเป็นไฟท์เตอร์ที่เหมาะกับการเล่น PVE มากกว่า PVP ซะมากกว่า สำหรับเบสิกคอมโบเหมือนเล่นวิปนั้น ให้เปิดด้วยสกิล [บูมเมอร์แรง ช็อต "code SC"]  ซึ่งจะทำให้ศัตรูติดสถานะปกติ หลังนั้นให้ ต่อคอมโบด้วย [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล] แล้วเลี้ยงคอมโบด้วยการโจมตีปกติก่อนจะปิดท้ายด้วย [ซุปเปอร์ แบล็ค ฮอว์ก] กรณีต้องการทำคอมโบรวมทั้งฮีลเพื่อนไปในตัวให้เปิดด้วยสกิล [บูมเมอร์แรง ช็อต "code SC"] แล้วรีบต่อด้วย สกิล [ สตริง ช็อต ไทป์ A "โค้ด ยูเอทส์" EX ] ซึ่งสกิลนี้จะช่วยฮีลเพื่อนร่วมทีมไปในตัว ก่อนจะต่อคอมโบด้วย [เดสเสิร์ท อีเกิ้ล] และปิดท้ายด้วย [ซุปเปอร์ แบล็ค ฮอว์ก] แต่ถ้าพาวเวอร์เกจเต็มหลอด อาจะเก็บไว้ใช้สกิล [โซนิค สล็อตเตอร์ "code KW"] แทนเพื่อใช้เคลียร์ตัวลูกกระจ๊อกตามด่าน แต่ไม่ว่าจะใช้คอมโบแบบไหนก็ตามต้องจำให้ขึ้นใจว่าวิปไม่ใช้ตัวแทงค์แนวหน้าเพราะฉะนั้นให้รีบแท็กเปลี่ยนตัวเพื่อนร่วมทีมมาทำดาเมจแทนเพราะนอกจากช่วยให้วิปมอบบัฟลดเามจจากความเสียหายเผาไหม้ให้เพื่อร่วมทีมที่ถูกเปลี่ยนตัวมาแทนได้ด้วย สำหรับแบทเทิลการืดของวิปพิเศษนิดนึง เพราะนอกจาก สเตตัสหลักๆที่ต้องเน้น อย่าง อัตราคริติคอล และ พลังโจมตี เนื่องจากว่าเอฟเฟคคอร์ของวิปที่มีทั้งเพิ่มความเสียหายคริติคอลกับเพิ่มพลังโจมตีแล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่ต้องหาให้วิปคือ ลดเวลาคูลไทม์เมื่อโดนแท็ก  เนื่องจากว่าเมื่อไฟทืเตอร์โดนแท็กเปลี่ยนตัวนั้น จะมีเวลาคูลไทม์ช่วงนึงก่อนจะกลับไปเปลี่ยนตัวไฟท์เตอร์คนนั้นคืนได้ ซี่งถ้าหาว่ามีการืดที่ช่วยลดคูลไทม์ช่วงนี้ได้ นั้นจะทำให้วิปถูกเปลี่ยนตัวเร็วขึ้นและทำให้วิปเปลี่ยนตัวกลับแล้วใช้บัฟให้เพื่อนร่วมทีมได้ถี่ขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน สรุปแล้ววิปนั้นถือเป็นไฟทเตอร์อีกตัวที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นสายแทงค์แนวหลังที่เน้นช่วยเหลือเพื่อนมากกว่าจะเป็นตัวชนให้เหมือนแทงค์ทั่วๆไป ถึงแม้ว่าเซ็ตคอร์ และ สกิลค่อนข้างเฉพาะทางไปบ้าง ต่ถ้าหากใช้เข้าใจการใช้งานวิปได้ดี และถูกสถานะการณ์แล้ว โดยรวมวิปถือเป็นไฟท์เตอร์สายป้องกันอีกตัวที่น่าสนใจไม่แพ้กันและรับรองว่าถ้าใช้เป็นจะไม่เสียแรงที่ไปหมุนรูเล็ตหาตัวมาอย่างแน่นอน                                                                                                          
20 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Magia Record สานตำนานสาวน้อยเวทมนตร์ Madoka
หากย้อนไปเมื่อสักราวๆ 8 ปีที่แล้ว อนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Mahō Shōjo Madoka Magika หรือสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะ ที่ทำให้ใครหลายคนได้ดูรู้สึกตับได้รับการตีบวกจนแข็งแกร่ง มีความใสๆ แฝงไว้ด้วยความมืดมน จนหลายคนขนานนามให้เป็นอนิเมะที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนั้น และปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงกันอยู่แต่ก็เริ่มเบาบางไปตามกาลเวลา จนกระทั่งได้มีการเปิดตัวเกมมือถือแนว Turn-based RPG ในชื่อ Magia Record ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสกลับมาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่คึกคักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีอนิเมะเป็นของตัวเองก็ทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักอย่างมาก แถมออกอากาศไปแล้วสามตอนด้วยกัน รับประกันเลยว่าตับได้รับความแข็งแกร่งอย่างแน่นอน และทาง GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกม Magia Record มารีวิวกันว่ามันสนุกแค่ไหน ================================================== เกม Magia Record เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นบนไทม์ไลน์คู่ขนาน เกม Magia Record จะเป็นเนื้อเรื่องไทม์ไลน์คู่ขนานผ่านตัวละครที่ชื่อ ทามากิ อิโรฮะ ซึ่งเธอเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ที่จำไม่ได้ว่าเป็นได้อย่างไร และได้ฝันเห็นถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในห้องพยาบาล เธอพยายามพูดกับอิโรฮะแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงให้ได้ยินราวกับอยู่คนละมิติกัน ทำให้อิโรฮะตัดสินใจมายังเมือง "คามิฮามะ" เพื่อตามหาคำตอบและต้องการตามหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คิวเบย์" ซึ่งเธอคิดว่าอาจจะได้คำตอบจากมัน แต่ทว่าการเพิ่มจำนวนของพวก Witch ในเมืองนี้มีมากจนผิดปกติและแข็งแกร่งเอามากๆ ทำให้เธอได้เจอกับสิ่งที่ยากจะรับมือได้ซึ่งจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในเกมและในอนิเมะตอนแรก แต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องในเกมกับในเมะจนคล้ายคลึงกันช่วงแรก และก็จะแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ราวกับคนละเรื่องไปเลย ซึ่งหลังจากเล่นไปได้สักพักใหญ่ๆ เนื้อเรื่องและปริศนาก็เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกงง ตรงกันข้ามกลับให้ชวนติดตามมากกว่าตามสไตล์ซีรี่ส์สาวน้อยเวทมนตร์สายมืดมน และหากใครไม่เคยดูอนิเมะเรื่องสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเล่นเกมนี้ไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็นไทม์ไลน์คู่ขนาน ไม่เคยดูก็เล่นรู้เรื่อง จึงถือว่าบทที่วางไว้ต่างๆ ในเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ประทับใจแรกที่เห็น มันคือ First Love โดยแท้จริง ส่วนความประทับแรกที่ได้เข้ามาเล่นเกมนี้คือตัวละครทุกตัวที่คุณมี จะเป็น Live 2D ทั้งหมด ทั้งหน้า Lobby หรือใน Dialog ตอนตัวละครคุยกันตามบทบาทเนื้อเรื่อง พวกเธอขยับโต้ตอบได้แบบ Live 2D ทำให้รู้สึกว่าเราได้เห็นตัวละครที่ชื่นชอบโต้ตอบกับเรามากขึ้น...โดยเฉพาะตอนหนูเรน ( ในภาพ ) ยิ้มให้ เอาซะคนรีวิวฟินตายคาที่ ณ ตรงนั้นไปเลย นางน่ารักจริงๆ นะ ขยับได้ด้วย มันกลายเป็น First Love หรือรักแรกพบเลยล่ะ ส่วนของเรื่อง Interface ในหน้า Lobby ออกแบบมาค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อนนัก พอลองเข้าไปสำรวจเมนูต่างๆ ก็พูดได้เต็มปากว่า เกมนี้ได้ใช้ระบบการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดเลเวล, อัพเกรดอุปกรณ์เสริมต่างๆ มีแรงบัลดาลใจจากเกม Fate/Grand Order แต่ใช่ว่าจะก๊อปปี้มาเสียทั้งหมด เพราะส่วนเมนูการจัดรูปแบบทีมจะมีความแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในระบบการจัดทีมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจะมีการเพิ่มระบบ "ขบวนทีม" ซึ่งตำแหน่งที่สาวน้อยเวทมนตร์ยืนอยู่จะมอบค่าสเตตัสเสริมแตกต่างกันไป เช่นหากเอาเรมอไปยืนข้างหน้าก็จะได้ค่า Defend เพิ่ม และเอาอิโรฮะไปยืนข้างหลังก็จะได้ Attack เพิ่ม ซึ่งขบวนทีมจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป สาวน้อยเวทมนตร์จะมีรูปแบบและความถนัดที่แตกต่างกัน สาวน้อยเวทมนตร์ในเกม Magia Record จะมีธาตุประจำตัว, อาวุธ และรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกันออกไปโดยเริ่มแรกจะให้เลือกสาวน้อยเวทมนตร์ระดับสี่ดาวได้ทันที ซึ่งต้องศึกษาดีๆ ว่าอยากได้ตัวแทงก์, ตัวสายโจมตีหรือสายสนับสนุน เพราะเลือกได้แค่ครั้งเดียวแล้วต้องใช้งานคุณเธอยาวๆ หรือหากอยากได้เพิ่มก็ต้องซื้อเพชรมาหมุนกาชาลุ้นเกลือยาวไป โดยสามารถเช็คค่าสถานะต่างๆ และประวัติของพวกเธอด้วยการกดปุ่ม Profile ยกตัวอย่างน้องอิซุสุ เรน ที่เป็นสาวน้อยเวทมนตร์ธาตุมืดสายโจมตี ท่าโจมตีที่เน้นเพิ่มเกจท่าไม้ตายกับการโจมตีหมู่เป็นหลัก และท่าไม้ตายจะเป็นการโจมตีศัตรูตัวเดียวและจะเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเองอีกหนึ่งเทิร์นอีกด้วย ซึ่งเอาจริงๆตัวละครเริ่มต้นพวกนี้ดีหมดทุกตัว ขึ้นอยู่กับความชอบและแนวทางการใช้งานเสียมากกว่า แต่หากใครแฟนมาโดกะก็อาจจะเลือกหนึ่งในแกงค์ของพวกเธอก็ไม่ผิดอะไรเช่นกัน และในด้านกาชา จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เลยคือ การตามหา Fate Weave หรือผู้สานโชคชะตา ซึ่งก็คือการเปิดกาชาหาสาวน้อยเวทมนตร์ โอกาสที่จะได้สี่ดาวมีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ออกแนวเกลือหนักมากบุญไม่ถึงก็อาจจะได้แค่หนึ่งหรือสาวดาว ขนาดสามดาวยังเปิดได้ยากเอาเรื่องเลย และตู้กาชาอีกประเภทคือพวกการ์ด Memoria หรือการ์ดความทรงจำซึ่งเสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับเหล่าสาวๆ โดยเอาไปติดตั้งในตัวได้ทันที โดยใช้ค่าดาวเขียวซึ่งหาได้จากในเกมเป็นตัวแลกเปลี่ยน โดยรวมแล้วเกมนี้คิดจะเติมเพื่อหาสาวๆ ที่เราอยากได้แล้วล่ะก็ ต้องทำใจว่าหากอาจจะได้เกลือเค็มๆ ไปกินย้อมใจแทน ระบบการเล่นแนว Turn-based ที่ต่อยอดมาจาก FGO ส่วนในรูปแบบการเล่นจะเป็นแนว Turn-based ที่ดูเผินๆ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเกม Fate/Grand Order เพราะมีการโจมตีแต่ละเทิร์น สามารถทำได้สามครั้ง ให้เลือกสามรูปแบบได้แก่ Accele: เป็นการโจมตีเพิ่มเสริมเกจ Magia หรือท่าไม้ตาย Charge: เป็นการโจมตีที่เพิ่มค่าเม็ด Connect และเสริมพลังโจมตีในการโจมตีครั้งถัดไปภายในเทิร์น Blast: เป็นการโจมตีแบบหมู่ ซึ่งจะมีการโจมตีทั้งรูปแบบทั้งหน้ากระดานและแถวตอนลึก ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หากตัวละครเดียวกันโจมตีสามครั้งจะเป็นการเสริมดาเมจแบบมหาศาล ซึ่งต่างจาก FGO ที่จะเป็นการโจมตีแบบพิเศษเป็นสี่รอบ หรือหากใช้งานรูปแบบการโจมตีประเภทเดียวกันทั้งหมด จะช่วยเสริมคุณสมบัติบางอย่างเข้าไปแทน และระบบ Magia หรือท่าไม้ตายจะรองรับสกิลเสริมซึ่งจะช่วยเพิ่มเสริมพลังท่าไม้ตายได้อีก แต่สิ่งที่เกม FGO มีไม่เหมือนกับเกม Magia Record เลยก็คือ ระบบ Connect โดยระบบ Connect จะใช้งานได้เมื่อเกจ Connect เต็มจากการใช้รูปแบบการโจมตีประเภท Charge เมื่อเราใช้งาน ตัวละครที่ใช้ระบบ Connect จะมอบพลังเวทให้กับตัวละครที่ต้องการโจมตี เป็นการเสริมพลังแบบมหาศาล สามารถเสริมให้กับท่าไม้ตายหรือใช้เสริมคอมโบการโจมตี โดยการใช้ Connect จะขึ้นกับรูปแบบการโจมตี หากใช้แบบ Charge การโจมตีที่เสริมด้วย Connect รอบนั้นจะเป็นการโจมตีแบบ Charge เป็นต้น ================================================== โดยสรุปแล้ว เกม Magic Record มีความคล้ายคลึงกับ Fate/Grand Order โดยเฉพาะระบบการเล่น แม้ว่าตัวเกมจะพยายามสร้างความแตกต่างออกไปก็ตาม ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก มันยังคงความสนุกตามสไตล์สาวน้อยเวทมนตร์ แต่สิ่งที่ชูโรงตัวเกมนี้ก็คือ เนื้อเรื่องอันแสนหนักหน่วงชวนน่าติดตามนั้นแหละ และยิ่งมีกระแสอนิเมะเรื่องนี้ก็ยิ่งปังเข้าไปใหญ่ แต่ข้อเสียสำหรับเกมนี้ที่เห็นได้ชัดเลยคือ เป็นเกมแนว Grinding หรือต้องมีความอดทนในการฟาร์มของ แม้ว่าเราจะมีตัวละครดาวสูงๆ แต่ใช่ว่าจะเก่งตั้งแต่แรก ต้องออกไปฟาร์มของ ฟาร์มไอเท็มมาเสริมพลัง มาปลดล็อคสกิลต่างๆ มากมายอีก หากใครไม่ใช่สายอดทนก็อาจจะเบื่อไปเลย แต่หากใครสายเสพเนื้อเรื่อง สายฟาร์มไม่หวั่นแม้วันมามาก เกม Magia Record ก็ถือเป็นอีกเกมที่น่าเล่น สาวๆ ทุกคนเป็น Live 2D และกินสเปคไม่หนักด้วย แนะนำให้ลองเลย! [penci_review id="38980"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Punishing: Grey Raven กับไซไฟสุดล้ำดำดิ่งสู่ความสิ้นหวังของมนุษย์
หากจะพูดว่าเกม Honkai Impact 3rd ที่เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash แล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงเลยคือบทเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากๆ แรกๆ ก็ดูสดใสคล้ายแนวฮีโร่วัลคีรี่ย์สาวออกไปปกป้องโลก หลังๆ ชักไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า เพราะว่ามันขั้นออกไปทางดาร์คและปวดตับกันเลยทีเดียว แต่ใครจะรู้ว่ามันก็ยังมีอีกเกม เกมหนึ่งที่มีแนวการเล่นคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd แต่ทำเนื้อเรื่องออกมาเข้มข้นไม่แพ้กัน บทความนี้ทางเรา GameFever TH ได้ไปเจอเกมดีๆ ที่น่าสนใจอีกหนึ่งเกม โดยมีชื่อเกมว่า Punishing: Grey Raven ซึ่งพัฒนาโดย Kuro Games เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash เหมือนกัน แต่กลับมีสิ่งที่แตกต่างออกไปแถมมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย และตัวเองก็เพิ่งเปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีน Bili Bili ได้ไม่นาน จึงต้องมาพิสูจน์กันว่าทำไมคนที่เล่นเกมจีนถึงได้พูดถึงเกมนี้กันมากนัก ================================================== แค่เปิดตัวก็อย่างอลัง แฝงมนต์ขลังความไร้ที่ติ หลังจากที่โหลดเกม Punishing: Grey Raven ผ่าน BiliBili ด้วยความยากลำบากเสียเล็กน้อย ซึ่งโชคดีที่เคยสมัครไอดีมานานมากแล้วก็ยังสามารถใช้ได้อยู่เลยไม่เสียเวลาสมัครมากนัก แถมตัวเกมใช้เวลาในการโหลดนานมากเพราะใช้เนื้อที่ราวๆ 2.5 GB ยังดีที่มือถือมีเนื้อทีเหลือๆ อยู่ พอเปิดเกมเท่านั้นแหละก็รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่ากับการรอคอย นี่คือสิ่งแรกที่ได้เห็น เพราะแทบไม่เคยเจอเกมมือถือที่สื่อถือโทนมืดตัดกับแสงแบบนี้ จากคนที่เคยทำงานเกี่ยวกับภาพวาดมาก่อน ตัวละคร Liv ( ในภาพ ) หลับตา ไม่มองมายังผู้เล่นบนพื้นที่เต็มไปด้วยความมืดแต่ก็ยังมีแสงเล็ดลอดออกมา มันสื่อถึงตัวเกมที่พยายามจะบอกเราว่า "เกมนี้มีเนื้อหาดาร์คมากๆ จะเล่นจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?" หลายคนอาจจะมองว่าภาพเปิดเกมไม่สวยเลย มีแต่โทนดำๆ มืดๆ แทบไม่มีแสงสี แต่หากมองจากองค์ประกอบเหล่านี้ที่เราได้บอกมา ถือว่าเป็นการแฝงความขลัง แฝงความไร้ที่ติของตัวมันเอง จุดนี้ที่ทำให้รู้สึกว่าแม้จะถูกห้ามเราก็ต้องเข้าไป หลังจากกดเข้าเกมแล้ว ก็จะตัดมาที่โหมดฝึกสอนพร้อมเนื้อเรื่องที่จะเริ่มเล่าเกี่ยวกับจักรวาลของเกมนี้...ถึงมาก็มีคนตายต่อหน้าเราเลยซึ่งเธอมีชื่อว่า Lucia ซึ่งแบบถึงมาก็ใส่ความจัดหนักจัดเต็มเลย แต่ว่ามันยังไม่พีคเท่าจู่ๆ Lucia ก็ลุกขึ้นมาทำร้ายเราจนเกือบจะฆ่าเรา โชคดีที่ Liv มาช่วยทันเวลาและต้องฆ่านางให้ตายเป็นรอบที่สอง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่งงเป็นไก่ตาแตก แถมเป็นภาษาจีนอีก อ่านไม่ออกยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอ่านไม่ออก มันก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนรู้สึกว่า แค่ Prologue เนื้อเรื่องเป็นภาษาจีนอ่านไม่ออกยังชวนให้ติดตามนี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว เนื้อเรื่องที่ฉีกแนวเดิมๆ เพิ่มเติมคือภาพอาร์ตอันสวยงาม เนื้อเรื่องของเกม Punishing: Grey Raven จะอยู่ในช่วงยุคปี ค.ศ. 2079 หรออนาคตจากเราไปอีกห้าสิบปีข้างหน้า เมื่อยุคหนึ่งที่มนุษย์เคยรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด มีการพัฒนาโลกเสมือนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ ด้วยการฝังชิป ทำให้เกิดช่องทางการติดต่อรูปแบบใหม่แทนระบบอินเตอร์เน็ตแบบเดิมๆ แต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นหายนะเพราะได้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า Punishing Virus เป็นไวรัสประเภท Cybernatic ที่เป็นอันตรายต่อเครื่องจักรและมนุษย์ที่ได้รับการฝังชิป ส่งผลทำให้เครื่องจักรเกิดการคุ้มคลั่งทำร้ายมนุษย์ ส่วนมนุษย์ก็จะตายภายในเวลาอันรวดเร็วและก็กลับมามีชีวิตไล่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง นำไปสู่หายนะจนเกือบทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ในปี ค.ศ 2140 เจ้า Punishing Virus ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถอาศัยอยู่บนทวีปในปัจจุบันได้ ต้องอพยพมาทางตอนเหนือของรัสเซียไม่ก็สร้างประเทศใหม่บนทวีปแอนตาร์คติกเพราะไวรัสเข้าถึงได้ยาก มนุษย์เริ่มดัดแปลงเหล่าผู้ที่สมัครใจและผู้ที่ถูกเลือกให้กลายเป็นไซบอร์กเพื่อต่อกรกับเหล่าเครื่องจักรและมนุษย์ที่ติดไวรัสโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เรียกว่า Structured โดยมนุษย์ไซบอร์กนี้หากพวกเขารู้ว่ากำลังจะตายในการต่อสู้ก็ยังสามารถแบคอัพจิตสำนึกและข้อมูลต่างๆ ไปยังส่วนกลางที่เรียกว่า Sea of Consciousness (SOC) เสมือนเป็นเซิร์ฟเวอร์กลางของฐานทัพฝ่ายมนุษย์ และรอการคืนชีพพร้อมนำจิตสำนึกเดิมเข้าสู่ร่างกายไซบอร์กอันใหม่อักครั้ง เหล่า Structured แม้จะมีขีดความสามารถในการสู้รบสู้มากๆ เสมือนเป็นทหารรูปแบบใหม่ในเกมนี้ แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสระหว่างการต่อสู้เหมือนกัน ทางแก้ก็คือ เหล่า Structured จะต้องมีผู้บัญชาการที่เป็นมนุษย์แท้ๆ ไว้สนับสนุนหรือออกคำสั่ง วางแผนการรบให้กับคนเหล่านี้ ( ตัวผู้เล่นเอง ) โดยตัวเราจะเชื่อมกับ Module ส่งจิตสำนึกไปเชื่อมต่อกับ Structured เพื่อบล็อคการทำงานของไวรัส เหมือนเป็นวัคซีนรักษาโรค แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนไม่มีวันตาย ร่างพังก็รอกลับไปคืนร่างใหม่ แต่หาก Structured คนไหนส่งจิตสำนึกเข้าสู่ส่วนกลางไม่ทันก่อนตาย ก็จะตายอย่างถาวรไม่กลับมาคืนชีพได้อีก โดยส่วนตัวจากที่ได้แปลเนื้อเรื่องออกมา บอกเลยว่าค่อนข้างแหวกแนวและนำเสนอได้แปลกใหม่มาก ตัวละครหลักอย่าง Lucia สาวผมแดงมาดเท่ ที่เปิดตัวมาก็ตายให้เราเห็นแต่ก็คืนชีพใหม่ได้อีกรอบ, Liv อดีตแพทย์สนามสาวที่เคยตายมารอบหนึ่ง และกลับมาในฐานะ Structured แสนน่ารัก หรือ Lee หนุ่มมาดเงียบขรึมหล่อกระชากใจ ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่น่าจดจำ ลายเส้นภาพอาร์ตต่างๆ ยอมรับเลยว่าสวยคมบาดตาบาดใจมาก เสียดายที่เป็นภาษาจีน บางตัวก็แปลไม่ออกเหมือนกัน ถ้ามีเซิร์ฟเวอร์อังกฤษเมื่อไหร่บอกเลยว่าน่าจะได้อารมณ์ในการเล่นมากกว่านี้ Interface ไม่ซับซ้อน อ่านไม่ออกก็ใช้งานง่าย ในด้าน Interface ต้องขอชมเชยว่าออกแบบมาดี ให้ความคล้ายคลึงกับ Arknights หรือ Girls Frontline คือมันเรียบง่ายแต่สวย ใช้งานง่าย แยกออกว่าอะไรเป็นอะไรแม้ว่าจะอ่านภาษาจีนไม่ออกก็ตาม ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้เมนูต่างๆ สักพักแต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานแต่อย่างใด แถมตัวละครก็เป็นแบบ 3D ด้วย จิ้มๆ ก็มีการโต้ตอบกับเราพอให้ฟินได้บ้าง ในส่วนของเรื่องการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดตัวละคร, สกิล, อาวุธหรือระบบการ์ด บอกเลยว่ามีความคล้ายคลึงกับ Honkai Impact 3rd เป็นอย่างมาก หากใครเคยเล่นเกมนี้ก็จะเรียนรู้ได้ไวในส่วนนี้ โดยเฉพาะระบบการ์ดซึ่งหากนำใบการ์ดซ้ำมาใส่ ก็จะเป็นการเพิ่มคุณลักษณะ ค่าสถานะต่างๆ แบบเป็น Set ส่งผลต่อการเล่นทั้งโหมดปกติหรือการลงอิเวนท์ ในส่วนระบบกาชาบอกเลยว่า ใช้ตั๋วเยอะมาก ต้องใช้ถึง 2500 ในการเปิดกล่องกาชาสิบกล่องเพื่อการันตีได้ตัวละคร นอกนั้นก็จะเป็นอาวุธและไอเท็มต่างๆ สำหรับพัฒนาตัวละคร แต่เปอร์เซ็นต์ในการออกตัวละครหายากก็ไม่ค่อยเกลือจนน่าเกลียดนัก แม้พกดวงมาน้อยแต่ก็ยังสามารถรอคอยตัวเทพๆ ได้เพียงแค่ใช้ตั๋วเยอะไปหน่อย การอดทนฟาร์มหาของหาตั๋วจึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากคิดจะเปย์ก็ไม่ผิดกติกาอะไร ยังไงก็ศึกษาการเติมเงินของเกมจีนก่อนนะ กราฟิคสวย แม้เครื่องไม่แรงก็ยังเล่นได้ คราวนี้ก็มาถึงส่วนของระบบการเล่นกันบ้าง หากดูจากหน้า HUD แล้วก็มีความคล้าย Honkai Impact 3rd โดยจะมีปุ่มบังคับทิศทาง, ปุ่มโจมตีที่กดย้ำๆ ตัวละครก็โชว์ท่าทาง, ปุ่มหลบเมื่อหลบถูกจังหวะ ศัตรูจะถูกหยุดเวลาไว้และปุ่มตัวละครสนับสนุนอีกสองตัวสามารถเรียกหรือใช้ต่อยอดคอมโบแบบ Quick Time Event ได้ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ ปุ่มท่าโจมตีพิเศษเพิ่มเติมสามท่า เมื่อเราโจมตีธรรมดาไปเรื่อยๆ ท่าโจมตีพิเศษจะขึ้นเรียงเป็นแถวแบบสุ่มทั้งหมดสามท่า แต่ละท่าจะมีการบอกสีอย่างชัดเจน ซึ่งท่าโจมตีพิเศษมีดังนี้ สีแดงคือท่าโจมตีที่ใช้โจมตีเป็นวงกว้างเป็นหลักหรือใช้การโจมตีแบบรุนแรงในทีเดียว สีเหลืองคือท่าที่ใช้โจมตีเพื่อทำการจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูหรือ Crown Control เช่นทำให้ลอยหรือสตั้น สีฟ้าจะเป็นการโจมตีแบบลดค่าสถานะต่างๆ ของศัตรูหรือจะเป็นการเพิ่มสถานะการต่อสู้ให้กับตัวเราเอง และหากเมื่อกดใช้ท่าโจมตีพิเศษ มันก็จะหายไป ท่าโจมตีพิเศษใหม่ๆ ก็จะต่อแถวและสุ่มไปเรื่อยๆ หากเราทำการ Stack ต่อท่าโจมตีพิเศษเป็นสีเดียวกันสองตัวหรือสามตัว เมื่อกดใช้ก็จะเป็นท่าโจมตีพิเศษของตัวละครโผล่ขึ้นมาให้เห็นด้วย ส่วนด้านกราฟิค ซึ่งรีวิวนี้ได้ใช้มือถือ Samsung Galaxy A50 ซึ่งเป็นมือถือสเปคกลางๆ ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่นไหลไม่กระตุกแม้คุณภาพของโมเดลตัวละครอาจจะดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หากใครที่มีมือถือสเปคแรงกว่านี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์ที่สุดยอดก็เป็นไปได้ ส่วนระยะเวลาในการเล่นแต่ละด่านค่อนข้างสั้น เล่นหน่อยเดียวก็จบด่านแล้วซึ่งหลายคนก็อาจจะไม่ชอบ รู้สึกไม่เต็มอิ่ม แต่หากใครเคยเล่นเกมแนวๆ นี้ก็อาจจะชินพอยอมรับทำใจได้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ================================================== โดยรวมแล้ว Punishing: Grey Raven ถือเป็นเกมคุณภาพอีกหนึ่งเกมที่มีกราฟิคสวย แม้มือถือสเปคกลางๆ ก็ยังเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ใช่อัพกราฟิคโหดๆ จนกลายเป็น Mobile Destroyer อย่างที่หลายๆ เกมเป็นในปัจจุบัน เสียดายที่โมเดลตัวละครในเกมอาจจะยังดูแข็งๆ ไปนิด เคลื่อนไหวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก แต่ปั้นโมเดลได้สวยและน่ารักเลยพอรับได้ และเกมนี้นับว่าต้องเล่นแบบ Grinding หรือใช้ความอดทนในการฟาร์มของให้ตัวละครได้เก่งขึ้น ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่ขี้เบื่อง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นเกมที่น่าเล่นในปี 2020 นี้เลยล่ะ! [penci_review id="39016"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิว Phoenix Point เกมจากผู้ให้กำเนิด XCOM
Phoenix Point ถือว่าเป็นหนึ่งเกมดราม่าประจำปี 2019 เนื่องจากทีมงานแม้มาจากการระดมทุนของเหล่าเกมเมอร์ โดยมี  Julian Gollop หนึ่งในผู้ให้กำเนิดซีรีส์เกมแนว Turn Base อย่าง XCOM เป็นคนเริ่มต้นโปรเจกต์ สุดท้ายดันกลับลำกลายเป็นเกม Exclusive ใน Epic Games Store และ Microsoft Store แทน ทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ คนต่างด่าทีมผู้พัฒนาอย่างไม่ไยดี ในตอนนี้ตัวเกมได้วางจำหน่ายแล้ว จะยอดเยี่ยมสมกับที่รอคอยหรือไม่เชิญพบกับรีวิวของเกมนี้ได้เลย เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Phoenix Point ว่าด้วยเรื่องราวของโลกยุคอนาคตที่เชื้อโรค Pandoravirus แพร่ระบาดจากพื้นมหาสมุทร ทำให้สังคมโลกเริ่มล่มสลาย มนุษย์เริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หน่วยงาน Phoenix Point จึงต้องกลับมาดำเนินงานอีกครั้งหลังจากปิดตัวไป และปกป้องมวลมนุษยชาติให้ได้ภายใต้ความวุ่นวายนี้ เรื่องราวในเกมถือว่ามีความน่าสนใจมาก ๆ ทั้งในแง่ของผู้เล่นและ Lore ในโลกของเกม ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ในเกมมากขึ้น ผ่านทั้งการวิจัยและภารกิจหลักในเกมรวมถึงการออกสำรวจ แต่หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่ไม่ชอบการอ่าน คุณอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในโลกของเกมมากนักและไม่อินก็เป็นได้ กราฟิก กราฟิกของเกมนี้หากเอามาตรฐานของปี 2019 ก็ดูเหมือนว่าจะตกยุคไปหน่อย แต่แลกมากลับการกินทรัพยากรที่น้อย โดยหากคุณมีสเปกเครื่อง I5-9400F Ram 16 GB และการ์ดจออย่าง RTX 2060 ก็สามารถเล่นเกมนี้บนความละเอียด 1080 ได้แบบสบาย ๆ สำหรับสเปกเครื่องที่ต่ำกว่านี้ก็อาจจะเล่นเกมนี้ได้ไหว เกมการเล่น Phoenix Point แม้หลาย ๆ คนจะมองว่าเป็นเกม XCOM ในรูปแบบอื่น ๆ แม้ว่าแกนหลักของเกมจะเป็นเกมแนวบริหารจัดการทรัพยากรผสมกับเกมแนววางแผนการรบแบบสลับกันเดิน แต่ว่าเกมนี้ได้พยายามฉีกตัวเองออกจากผลงานเดิม ๆ โดยได้เพิ่มไอเดียใหม่ ๆ มากขึ้น Gameplay หลักของ Phoenix Point จะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือหน้าแบบภาพรวมที่เราจะต้องออกเดินทางทำภารกิจจากทั่วทุกมุมโลก ผ่านยานขนส่งของเรา ซึ่งในแผนที่เราจะไม่ได้เดินแบบอิสระแต่เราจะต้องใช้การ Scan ในการหาทรัพยากรและไอเทมอีกด้วย นอกจากนี้ตัวเกมก็ไม่ให้เราสำรวจโลกแบบอิสระจนลืมภารกิจหลัก เพราะตัวเกมจะมีภารกิจให้เราทำอยู่เนื่อง ๆ ทั้งการป้องกันฐานทัพจากการถูกบุก การทำภารกิจหลัก ภารกิจรอง ที่สำคัญยังมีแถบ Oneiric Delirium Index ด้านบนที่หากถึง 100% เมื่อไหร่ก็ Game Over การบริหารของเกมนี้จะทำให้เราต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการหาทรัพยากร การพัฒนาตัวละครและการแข่งกับเวลา เพราะในเกมนี้เราจำเป็นที่จะต้องใช้ไอเทมหลายอย่างมาก รวมถึงการวิจัยที่มากมายเพื่อแลกกับทรัพยากร ภายใต้ความกดดันต่าง ๆ การปรับแต่งทีมสำหรับเกมนี้ก็ทำออกมาได้ดี โดยตัวละครต่าง ๆ จะมีให้เราปรับแต่งผ่านสองแบบหลัก ๆ ถือ 1.การปรับแต่งผ่านไอเทมในเกม ที่จะทำให้เรามีอาวุธในการต่อกรอีกฝ่ายที่หลากหลายขึ้นแต่เราก็ไม่สามารถที่จะขนไปแบบหนึ่งคนหนึ่งคลังแสงได้เพราะตัวเกมมีระบบน้ำหนักในการบรรทุกสัมภาระ 2.คือในส่วนของการอัปสกิลที่จะเน้นการผสมผสานคลาสต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สำหรับส่วนที่สองคือหน้าของ Combat ตัวเกมจะเปลี่ยนจากเกมแนวบริหาร ทรัพยากรมาเป็นเกมวางแผนการรบ ที่การเดินทุกตามีความหมาย โดยเราจะต้องจัดวางตำแหน่งของกองทัพเราให้ดี นอกจากนี้ยังต้องคอยศึกษาศัตรูให้ดีว่าตัวไหนควรจัดการก่อน จัดการทีหลังเพราะหากเราเรียงลำดับไม่ดีเกมก็อาจจะยากจนเล่นไม่ผ่าน ในส่วนของการต่อสู้ของเกมนี้เราสามารถที่จะเลือกยิงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเอเลี่ยนได้ โดยการยิงจุดต่าง ๆ จะให้ผลลัพธ์เป็น Debuff ที่แตกต่างกันเช่น ยิงหัวบริเวณขาจะทำให้ศัตรูเดินได้น้อยช่องลง การยิงที่หัวจะทำให้ศัตรูไม่สามารถใช้ความสามารถพิเศษได้หรือการยิงที่มือจะทำให้ศัตรูไม่สามารถใช้อาวุธได้เป็นต้น นอกนี้เราจะไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่เป็นเหล่าพวกกลายพันธ์ุอย่างเดียวเท่านั้น  แต่เราจะต้องต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย ในเกมจะมี Faction หรือฝ่ายให้เราได้เลือกที่จะช่วยเหลือ โดยการช่วยเหลือพวกเขาจะทำให้ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นและจะทำได้เราได้เทคโนโลยีของฝ่ายนั้นมาใช้ ในขณะเดียวกันฝ่ายอื่นที่เรามีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีก็จะเปิดศึกกับเราเช่นกัน รวมถึงเราจะไม่ได้เทคโนโลยีฝ่ายอื่น ๆ ด้วยทำให้เราต้องปรับความสัมพันธ์อยู่บ่อย ๆ ทำให้ภาพรวมของเกม Phoenix Point จะอยู่ในลูปของการทำภารกิจ ออกไปสู้กับศัตรู อัปเกรดทีมของเราให้เก่งขึ้นเพื่อที่จะทำภารกิจที่ยากขึ้นและศัตรูที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่เหมือนว่ารายเอียดต่าง ๆ ยังทำออกมาได้ไม่สุดในหลาย ๆ ด้าน นอกจากนี้ตัวเกมยังมีบัคหลาย ๆ อย่างจนในบางครั้งก็ทำความสนุกของเกมลดลงไปอย่างมาก สรุป Phoenix Point ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมวางแผนรูปแบบ Turn Base ที่ถือว่าเล่นได้สนุกพอสมควร ตัวเกมมีกิจกรรมให้ทำหลาย ๆ อย่างและมีความท้าทายที่สูง แต่ด้วยกราฟิกที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ ระบบต่างที่ยังทำออกมาได้ไม่ค่อยสุดและ Bug ที่มีให้เห็นได้บ่อย ๆ ทำให้หากคุณไม่ใช่สาวกแนว Turn Base ก็อาจจะยังไม่ต้องขวัญขวายหาเกมนี้มาเล่นก็ได้ แต่หากคุณเป็นแฟนเกม XCOM และอยากลองไอเดียใหม่ ๆ เกมนี้ถือว่าตอบโจทย์ โดยเกมนี้วางจำหน่ายแล้วใน Windows Store และ Epic Games Store แต่หากคุณอยากลองเล่นเกมนี้ในราคาประหยัดก็สามารถเล่นได้ผ่าน Xbox Game Pass PC ได้เลย [penci_review id="37754"]
02 Jan 2020
รีวิว Fight of Animals เกมต่อสู้ของเจ้าสัตว์บ้ากล้าม
Digital Crafter ผู้พัฒนาเกมที่เคยมีผลงานเกม Fight of Gods เกมต่อสู้ที่เคยเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ จนต้องถูกถอดออกจากร้านค้า Steam ในหลายๆ ประเทศ วันนี้เขากลับมาพร้อมกับเกมใหม่แสนน่ารัก (และฮาในเวลาเดียวกัน) ที่มีชื่อว่า Fight of Animals ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบครับ ระบบเกม     Fight of Animals เป็นแนวต่อสู้ที่เราจะนำสัตว์ต่างๆ มาต่อสู้กัน ถ้าเป็นสัตว์ธรรมดามันคงจะไม่พิเศษอะไร แต่ไม่ใช่สำหรับเกมนี้ เพราะสัตว์ที่เรานำมาต่อสู้กันนั้น มีต้นแบบมาจากสัตว์ต่างๆที่เป็น Meme ในโลกออนไลน์ เช่น Power Hook Dog หมาต่อยหนัก, Mighty Fox จิ้งจอกนักกล้าม, Magic Squirrel กระรอกจอมเวทย์ เป็นต้น ในตอนนี้มีสัตว์นักสู้ในเลือก 6 ตัวด้วยกัน และสนามต่อสู้อีก 4 แห่ง (คาดว่าจะมีเพิ่มอีกในภายหลัง) Fight of Animals มีโหมดให้เล่นทั้งหมด 4 โหมดด้วยกัน Arcade โหมดอาเขต ทีี่ต่อสู้กับสัตว์ทุกตัวเพื่อขึ้นเป็นที่หนึ่ง Versus โหมดปะทะ เลือกสัตว์มาต่อสู้กันได้ตามอิสระ Online โหมดออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้าง/เข้าร่วมห้องได้มากสุด 8 คน Training โหมดฝึกซ้อม ไว้ฝึกซ้อมคอมโบต่างๆ เรื่องการควบคุมของเกมนี้ จัดว่าสะดวกและเข้าใจง่าย เพราะ มีปุ่มให้กดเพียงไม่กี่ปุ่ม แถมยังมีระบบ Auto Combo ให้ใช้สำหรับมือใหม่ ช่วยให้โจมตีได้อย่างต่อเนื่อง และเกมนี้ตัวละครทุกตัวไม่มี Combo List เราเลยไม่จำเป็นจะต้องจำคอมโบท่าของตัวละครอีกต่อไป และท่าไม้ตายก็สามารถใช้ได้เพียงแค่ปุ่มเดียวเท่านั้น ทำให้เราสามารถเรียงคอมโบด้วยตัวเอง ตามแต่ที่ตัวเองถนัด ไม่ต้องกังวลเรื่องกดคอมโบท่าไม่ติดอีกต่อไป และอีกอย่างที่เกมนี้ทำได้ดี นั้นก็คือ บอทของคู่ต่อสู้ มีให้เลือกหลายระดับ และบอทไม่ง่ายจนเกินไป เผลอๆ เราอาจจะโดนบอทจัดหนักจนล้มไปนอนได้โดยที่เราไม่ได้ทันทำอะไรเลย ถึง Fight of Animals จะเป็นเกมต่อสู้ที่เล่นง่ายและสนุก แต่ความดึงดูดในการเล่นโหมด Arcade จัดว่าน้อยมาก เพราะว่าหลังเล่นชนะโหมดนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีของรางวัล อย่างเช่น สี/ชุดตัวละครพิเศษแต่อย่างใด มีเพียงแค่  achievement ขึ้นเท่านั้น แถมในโหมดออนไลน์ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยดีสักเท่าไร มีกระตุก และหลุดเป็นบางครั้ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………. Fight of Animals ในตอนนี้อาจจะเป็นเกมที่มีเนื้อหาและตัวละครน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ยังเป็นเกมต่อสู้ที่เข้าถึงได้ง่าย แถมราคาก็ไม่ได้สูงมาก เพียงแค่ 119 บาทในร้านค้า Steam และคาดว่าจะมีอัพเดทเนื้อหาใหม่ๆ มาเรื่อยๆ ถ้าหากกำลังหาเกมต่อสู้ที่สนุก เล่นง่าย และไม่แพง เกมนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เรียบเรียงโดย !!7777!! (นาย อภิรัฐ ธนวันต์ภิญโญ)  
24 Dec 2019
รีวิว SuperMash เกมอินดี้ Concept สุดล้ำ (PC)
ตอนเป็นเด็กหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากเราเล่นเกม Super Mario ในโลกของ Metroid หรือเล่นเกม RPG โดยที่ใช้ระบบ Stealth  แน่นอนว่าต้องมีกันบ้างในบางครั้งที่คิดแบบนี้ ทำให้ทีมพัฒนาเกมกลุ่มหนึ่งปิ้งไอเดียอันแปลกประหลาดนี้ไปทำเป็นเกมจริง ๆ ขอเชิญพบกับรีวิวเกม SuperMash แบบฉบับ GameFever TH ครับ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของ SuperMash ว่าด้วยเรื่องราวของ Tomo และกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเปิดร้านขายเกม โดยการนำเอาเกมสองชนิดมารวมกันผ่านเครื่องที่เรียกว่า Create Mash และพัฒนาเกมไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นบริษัทใหญ่ที่สุด สำหรับเนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ได้มีอะไรมาก ดังนั้นข้ามส่วนนี้ไปก็ได้ เกมการเล่น Supermash จะเน้นไปยังเกมการเล่นที่เน้นการผสมผสานระหว่างเกมสองแนว(game genre) ให้ออกมาเป็นเกมใหม่ที่นำเอกลักษณ์ของทั้งสองเกมมาร่วมกับพร้อมกับให้เราสามารถปรับระดับความยาก ความยาวของเกมรวมถึงตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างอิสระผ่านหน้า Developer Card หรือเราจะปล่อยให้ตัวเกมสุ่มทุกอย่างออกมาให้เราก็ได้ เมื่อเราสร้างเกมขึ้นมาแล้ว ตัวเกมจะใช้วิธีการเล่นเป็นสองเกมที่เราเลือกมา เช่นหากเราเลือกเล่นเกมแนว Stealth กับ Metroidvania ผลที่ออกมาอาจจะเป็นเกมคล้าย ๆ Castlevania แต่มีศัตรูแบบ Metal Gears ก็เป็นได้ หรือหากเราเลือกเกมแนว Shootem up มาผสมกับเกม JRPG ผลที่ออกมาอาจจะเป็นเกมแนวคล้าย ๆ Final Fantasy แต่ตัวหลักเป็นยานรบเป็นต้นโดยเมื่อเราเล่นเกมจนจบเราจะได้การ์ด 3 ใบและเงินจำนวนหนึ่งที่จะวัดตาม Mash Score ที่ยิ่งสูงเราจะยิ่งได้รางวัลที่เยอะ ซึ่งจะวัดจากความยากและความยาวของเกมที่เราสร้าง นอกจากนี้เมื่อเราปลดล็อกด่านไหม ๆ จะเข้ามาเพิ่มในหน้า Prime Mash Journal ที่เมื่อเราปลดล็อกจนครบก็จะให้เราได้ต่อสู้กับบอสประจำเกมแนวนั้น ๆ ทำให้เราจะอยู่ในการวนลูปการเล่นเรื่อย ๆ และนำเงินที่ได้ไปหมุนกาชาปอง Developer Card เพราะเกมบางแนวต้องการเงื่อนไขในการปลดล็อกที่ต่างกัน ในตอนแรกนั้นคุณจะรู้ว้าวกับระบบหลาย ๆ อย่างแต่เมื่อผ่านไปสักประมาณ 1 ชั่วโมงคุณจะเริ่มเบื่อกับ Content ของเกมเพราะคุณจะต้อง grinding ไปเรื่อย ๆ ซึ่งหากคุณชอบการเล่นเกมแบบแปลก ๆ คุณก็จะชอบอะไรเหล่านี้ แต่หากคุณเป็นเกมเมอร์เบื่อง่ายการเล่นเพียงชั่วโมงเดียวอาจจะเพียงพอแล้ว เพราะตัวเกมมีให้เราทำแค่นี้จริง ๆ แม้ว่าในการเล่นบางครั้งตัวเกมจะมี Glitch เพื่อทำให้เกมรู้สึกแปลกใหม่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ทำให้เรารู้สึกว่า Concept ที่เกมนำเสนอนั้นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ตัวเกมการเล่นของตัวเกมที่ยังทำออกมาได้ไม่ดีพอ โดยเฉพาะการทำให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกกับการเล่นซ้ำ ๆ สาเหตุไม่ใช่อะไรเลยคือรางวัลที่เกมนี้ให้มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเล่นเกมเพียงแค่จบ ๆ ไป เพราะของที่ได้มาก็สุ่ม ต้องเอาเงินไปเปิดกาชาปองเพื่อสุ่มการ์ดใหม่วนไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะเบื่อ กราฟิก สำหรับเกมเมอร์ท่านไหนที่โตมาในยุค 1990s - 2000s ที่เคยผ่านเกม Famicom , Super Nintendo, Gameboy Color คุณจะต้องชอบเกมนี้อย่างแน่นอน งานอาร์ท Sound ต่าง ๆ แทบจะทำมาเอาใจเกมเมอร์สาย Retro ที่ชอบการเล่นเกมเก่า ๆ และยิ่งมีการอ้างอิงเกมเก่า ๆ อีกก็ทำให้กราฟิกของเกมนี้ดูเข้าท่าดี แต่หากคุณเป็นเกมเมอร์รุ่นใหม่คุณอาจจะไม่ชอบกราฟิกแนวนี้ก็ได้ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน ประสิทธิภาพ เกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่ผู้เขียนตกหลุมทีมงาน Digital Continue อย่างจังด้วยการซื้อเกมมาเล่นในวันแรกที่วางจำหน่าย ตัวเกมเรียกได้ว่าบัคเยอะมาก ๆ จนบางครั้งเรางงว่าเป็นบัคที่เกิดขึ้นจากเกมหรือเกิดขึ้นจากเกมในเกมกันแน่ ปัจจุบันผ่านไป 2 สัปดาห์ตัวเกมได้มีการอัปเดตแก้บัคไปหลายส่วน ทำให้ตัวเกมลื่นพอสมควร สรุป SuperMash ถือว่าเป็นเกมอินดี Concept ดีเกมหนึ่งที่เหมาะสำหรับเกมเมอร์ทุกเพศทุกวัย พร้อมทั้งเกมการเล่นที่ทำให้คุณลองอะไรใหม่ ๆ ได้เรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกันตัวเกมกลับมีแรงดึงดูดผู้เล่นที่น้อยเกินไป ทำให้การซื้อเกมนี้ในราคาเต็มอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก เพราะเกมราคา 346 บาทที่ดีกว่าเกมนี้ยังมีอีกเยอะหรืออาจจะรอให้ทางทีมพัฒนาเกมทำการอัปเดตตัวเกมให้มากกว่านี้ค่อยซื้อจะดีกว่า [penci_review id="36619"]
23 Dec 2019
รีวิว The Witcher ฉบับ Netflix
The Witcher ถือว่าเป็นหนึ่งในนวนิยายขายดีประจำประเทศโปแลนด์ผลงานจากนักเขียนชื่อดัง Andrzej Sapkowski ก่อนที่ทาง CD Projekt จะนำเอามาดัดแปลงเป็นเกมจำนวนสามภาค ซึ่งได้รับคำชมจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมากโดยเฉพาะตัวเกมภาคที่ 3 The Witcher 3: Wild Hunt ที่ทำออกมาได้ดีมากจนคว้ารางวัล Game of The Years 2015 ไปครอง ปัจจุบันแม้จะผ่านมา 5 ปีแล้วตัวเกมยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและลงเครื่อง Nintendo Switch ไปเมื่อไม่นานมานี้ ในที่สุด Netflix ก็นำเอากระแสของ Witcher มาทำเป็นซีรีส์ให้เราได้ดูกัน ซึ่งเรื่องนี้หลาย ๆ คนน่าจะติดตามพอสมควร เนื่องจากความนิยมของเกมและนิยาย แต่ด้วยการที่ตัวซีรีส์มาจากสิ่งที่หลาย ๆ คนชอบทำให้ต้องเจอกับคำวิจารณ์หลาย ๆ อย่างตั้งแต่การ Cast นักแสดงไปจนถึงตอนถ่ายทำ จนในวันที่ 20 ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมาซีรีส์นี้ก็ออกสู่สายตาชาวโลกเสียทีและนี่คือรีวิวจากพวกเรา Gamefever เนื้อเรื่อง The Witcher ฉบับ Netflix หรือชื่อไทยเดอะ วิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร จะเล่าเรื่องราวของ 3 คนคือ Geralt of Rivia (นำแสดงโดย Henry Cavill) , Cirilla Fiona Elen Riannon (นำแสดงโดย Freya Allan) และ Yennefer (นำแสดงโดย Anya Chalotra) ที่แม้ชีวิตของพวกเขาจะเริ่มต้นไม่เหมือนกันแต่โชคชะตาก็นำพาให้พวกเขามาพบกันในที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อชะตากรรมของคนทั้งทวีปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเนื้อหาจะมีจำนวนทั้งหมด 8 ตอนและมีความยาวประมาณ 50 นาทีต่อตอน เนื้อเรื่องถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของ Witcher ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มไหน ๆ ซึ่งทางผู้กำกับเลือกที่จะเอาเล่าแบบสลับ Timeline แบบฉากต่อฉาก และไม่เรียง Timeline ทำให้เรารู้สึกว่าทางผู้ถ่ายทำต้องการนำเสนอโลกของ Witcher แบบภาพรวมก่อนที่จะนำเอาทุกอย่างมาประกอบกันในตอนท้าย ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ไม่เลวเลยแต่ติดตรงที่การเล่าเรื่องในช่วงแรก ๆ ที่ทำออกมาดีมากแต่ในช่วงหลัง ๆ เรื่องราวนั้นไม่ได้เข้มข้นเหมือนกับช่วงแรก ๆ ของซีรีส์ ซึ่งกว่าที่เราจะรู้สึกสนุกอีกครั้งก็เกือบ ๆ ท้ายของซีรีส์ที่ปมต่าง ๆ เริ่มได้รับการเปิดเผย ทำให้เราได้แต่หวังว่า Season ถัดไปเนื้อเรื่องจะได้รับการสานต่อ การแสดง ในส่วนของการแสดงต้องบอกว่าตัวละครหลักนั้นถือว่า Cast มาได้อย่างดี โดยเฉพาะ Henry Cavill ในฐานะ Geralt เขาก็ไม่ได้ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เขาสามารถเข้าถึงบทนี้ได้เป็นอย่างดีการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เล่นได้อย่างดี โดยเฉพาะฉาก Action ที่พี่แกใส่แบบไม่ยั้ง นอกจากนี้ในซีนที่ต้องเล่นมุกตลกพี่แกก็ยังคงความเป็น Geralt ในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้อย่างไหลลื่น อีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Anya Chalotra ที่แม้ว่าหลาย ๆ คนจะไม่ค่อยชอบเธอในฐานะของ Yennefer มาตั้งแต่ตอน Cast แต่เธอก็เล่นบทนี้ออกมาได้ดีเยี่ยม รวมถึง Freya Allan กับบท Ciri ก็ทำออกมาได้ประทับใจพอสมควร แต่เป็นที่น่าเสียดายนอกจากตัวละครหลักแล้วตัวละครรองและนักแสดงบทบาทสมทบอื่น ๆ ดันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นอกจากนี้แล้วเหมือนว่าทางซีรีส์พยายามที่จะเพิ่มความหลากหลายของตัวละคร ทั้งในเรื่องของสีผิวและเชื้อชาติ ทำให้สิ่งนี้อาจจะขัดใจแฟน ๆ ของ The Witcher หลาย ๆ คน แต่หากคุณไม่ซีเรียสเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ฉากในเรื่อง Wicther ฉบับ Netflix ยังคงกลิ่นอายแบบที่แฟนเกมและแฟนนิยายคุ้นเคย ฉากต่าง ๆ จะให้ความรู้สึกของการที่เราได้อยู่ในโลกของ Witcher อย่างครบถ้วนและทำออกมาได้ดี ปีศาจต่าง ๆ ฉากการกินยา การร่ายเวทมนตร์ถือก็ทำออกมาได้ดี นอกจากนี้ซีรีส์มาพร้อมกับ Rate 18 + ทำให้เราจะเห็นฉากรุนแรงแบบจัดเต็ม ชนิดที่ว่าหากคุณไม่ชอบดูอะไรโหด ๆ แนะนำว่าให้เตรียมใจเล็กน้อยก่อนที่จะดู ฉากโป๊เปลือยก็ทำให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ ทั้งจากตัวละครหลักและนักแสดงคนอื่น ๆ ดังนั้นน้อง ๆ ที่อายุไม่ถึง 18 ปีไม่ควรจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับเรื่องฉากในเรื่องคงจะเป็นชุดของทหาร Nilfgaard ที่ดูแล้วไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ ต่างกับชุดของทหารจากอาณาจักรอื่น ๆ ที่ทำออกมาได้เท่มาก สรุป สรุปแล้ว Wicther ฉบับ Netflix ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ดูได้สนุกเรื่องหนึ่ง ตัวซีรีส์มีหลากหลายรสชาติให้เราได้สัมผัสในแง่มุมต่าง ๆ อย่างครบถ้วน แต่หากคุณเป็นแฟนที่ติดภาพมาจากนิยายหรือเกม คุณจะเจอกับเรื่องขัดใจในหลาย ๆ จุด ดังนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วว่าจะดูหรือไม่ [penci_review id="37176"]
23 Dec 2019
รีวิว Athenion เกมการ์ดฝีมือคนไทย เปิดมิติใหม่ในการเล่น
สวัสดีครับวันนี้ Game Fever TH ได้มีโอกาสไปสัมผัสเกมการ์ดสัญชาติไทยที่เปิดให้บริการในบ้านเราอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 10 ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา โดยจากประสบการณ์คนเล่นเกมการ์ดมาตลอดเกมนี้ทำได้ดีมากในระดับเกมมือถือ นอกจากไม่กินสเป็คแล้ว ยังมีภาพการ์ดในสไตล์อนิเมะที่สวยงาม พร้อมเสียงประกอบเฉพาะตัวอีกด้วย STORY จักวาลแห่งอธีเนียน เริ่มต้นมาจาก The Void พื้นที่สีดำว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด และ The First Born สิ่งมีชีวิตทรงภูมิตนแรกที่กำเนิดมาจากการหลอมรวมของพลังงานและสสารต่างๆใน The Void The First Born นั้นถือกำเนิดมาด้วยพลังแห่งการสรรสร้างที่แทบจะไม่มีขีดจำกัด เขาได้สร้างจักรวาล ดวงดาว ผืนน้ำ ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตต่างๆไปทั่วทั้ง The Void เพื่อศึกษาการสร้างจักรวาลที่สมบูรณ์แบบที่สิ่งมีชีวิตทุกหนแห่ง สามารถอยู่ด้วยกันได้โดยไร้ซึ่งความขัดแย้ง นอกจากนี้ The First Born ก็ได้สร้าง Athenion Tower ที่เป็นศูนย์กลางแห่งดวงดาว และยังได้สร้าง High Borns ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของเขา มาเป็นผู้ดูแล Athenion Tower ประจำดาวดวงนั้นๆอีกด้วย หน้าที่ของเหล่า High Borns คือจะต้องทำการศึกษาเรียนรู้สิ่งมีชีวิตบนดาว การใช้ชีวิต การวิวัฒน์ การเมือง ฯลฯ และบันทึกเรื่องราวต่างๆเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานและส่งต่อไปให้ The First Born ผ่าน Athenion Tower แต่กฏหนึ่งที่ยังคงส่งผล ไม่เว้นแม้แต่ผู้สร้างสรรพสิ่งอย่าง The First born นั่นก็คือ กฏของการเสื่อมสลาย พลังของ The First Born นั้น หากมีเพียงแต่การสรรสร้าง แต่ไม่มีการป้อนกลับ ก็อาจจะทำให้พลังของ The First Born นั้นหมดไปได้ ซึ่ง High Borns ทุกคนนั้นรู้ดี มันจึงนำพามาถึงการปฏิวัติครั้งแรก เริ่มต้นจากดาวดวงหนึ่ง ค่อยๆลามไปถึงดาวอีกดวง และขยายไปถึงระบบดาวทั้งระบบ High Borns หลายคนเริ่มที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านและนำพลังที่สมควรจะส่งมอบให้กับ The First Born มาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง The First Born รับรู้ว่า หากปล่อยไป ตนก็คงถึงคราวเสื่อมสลาย จึงได้ใช้พลังครั้งสุดท้ายในการสร้าง Prayer นับล้าน กระจัดกระจายไปยังดาวดวงต่างๆ พร้อมกับข้อความสุดท้ายที่ว่า “จักรวาลแห่งนี้ได้ถูกสรรสร้างค์ขึ้นมา เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยภายใต้กฏที่จะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข หากแต่การกลืนกินของผู้หลงทาง กำลังนำพาจักรวาลแห่งนี้ไปยังจุดจบ ข้าขอให้พวกท่าน เหล่า Prayer ทั้งหลาย ตามหาเหล่าผู้หลงทาง แก้ไขปัญหา และทำให้การไหลเวียนของเรื่องราวและพลังงานกลับสู่ปกติด้วยเถิด อนาคตแห่งจักรวาลนี้ ขึ้นอยู่ในมือของพวกเจ้า” GAMEPLAY จากเกมการ์ดที่เราจะเล่นแค่โจมตีตั้งรับและหาเวทย์มนต์มาช่วยเหลือในไลน์เดียว หรือ ทำแค่โจมตีป้องกัน ใช้เวทย์แต่ในตัวเกมจะให้เราวางการ์ดบนกระดาน 4x4 โดยมีโซลที่ใช้การลงการ์ดแค่ 3 หน่วย ผลัดกันเดินแบบ turn base ครับ แล้วมันมีผลในการเล่นเกมประเภทการ์ดยังไงละกับกระดาน 4x4 ? ปกติการเล่นเกมการ์ด จะมีแค่การโจมตีป้องกันหรือการใช้การ์ดเวทย์และการ์ดกับดักทริคเกอร์ในมิติเดียวคือการแก้ทางคู่ต่อสู้ แต่ตอนนี้นอกจากหาวิธีโจมตี ใช้เวทย์ เราต้องหาทิศทางของการโจมตีโดยการ์ดแต่ละใบมีทิศทางโจมตีไม่เหมือนกัน และ การสร้างแนวป้องกันของตัวเอง ยังต้องรักษายูนิตไว้เพื่อการโจมตีฮีโร่ฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย ทำให้เกิด Mechanic เกมการ์ดในรูปแบบใหม่ โดยมีเด็คมาให้ใช้ 6 รูปแบบตามตัวละครฮีโร่ โดยแต่ละเด็คก็จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันไปอีกตามนิสัยและภูมิหลังของตัวละครแต่ละตัว หน้าต่างทักทายที่คุ้นเคยและฉากการแตกกระจายของคู่ต่อสู้ น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเกมรุ่นพี่อย่าง Heart Stone โหมดในการเล่น นอกจากโหมดฝึกสอนที่จะสอนเราละเอียดยิบเกี่ยวกับเกมนี้ยังมีโหมด ไต่ Rank เกมทั่วไปและการฝึกซ้อมหรือเล่นกับเพื่อนอีกด้วย ฟังดูซ้ำซากใช่ไหมละครับ แต่ตัวเกมจะมีกิจกรรมพร้อมกับแจกของตกแต่งพื้นหลังการ์ด ภาพโปรไฟล์ และ ฮีโร่ด้วยเหมือนกันครับ วิธีทำอาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ของสวยๆฟรีๆใครก็ชอบ บทนำที่สอนวิธีการเล่นเบื้องต้นและการ์ดฮีโร่ธาตุต่างๆ โหมดการเล่นแบบปกติและจัดอันดับ หน้าตาเมนูการเล่นในโหมดกิจกรรมที่ให้เราสู้กับ NPC ก็ไม่หมูเหมือนบอทธรรมดานะครับ ลงผิดชีวิตเปลี่ยน ระบบการ์ด การด์ในเกมเราจะหาได้จากการเปิดซองการ์ดในร้านค้าครับ เรทกาชาเกมนี้ดูเป็นมิตรมากๆ(กับผมนะ)แต่ก็การ์ดแรร์บ่อยครับแต่ไม่ตรงกับธาตุที่อยากเล่นสักที 55 การ์ดแต่ละใบจะประกอบไปด้วยสามส่วนคือทิศทางการโจมตี ค่าพลัง เอฟเฟค ภาพจาการเปิดการ์ด :D ไม่เกลือแต่ไม่ได้ที่อยากเล่นสักที 5555 ส่วนประกอบของการ์ด การ์ดบางใบจะมีค่าเกราะติดมากับตัวเลยสำหรับช่วยลดทอนดาเมจในแต่ละครั้งที่ถูกโจมตี โดยจะหักลบกันก่อนลด HPนอกจากการ์ดธรรมดายังมีการ์ดฟรอยแบบสะท้อนแสงให้เราเก็บสะสมสวยไปอีกแบบ รับเหรียญฟรีง่ายๆแค่อัพเลเวล นอกจากการเล่นปกติเราสามารถไ้เหรียญรางวัลจากการทำเควส หรือ อัพเลเวล เพื่อเอาเงินไปเปิดเด็คได้ด้วยครับซึ่งเด็คใช้เงินในเกมซื้อก็ให้เรทที่กำลังดีเป็นมิตรกับผู้เล่น และยังมีการ์ดแจกเมื่ออัพเลเวลสังกัดฮีโร่ที่เราเลือกเล่นแจกกระจาย เป็นเกมที่ทำให้ผมได้รับประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆในการเล่นการ์ดจริงๆครับเกมนี้ นอกจากมีพื้นฐานระบบที่เข้าใจได้ง่ายวิธีการพลิกแพลงของยูนิตที่หลากหลาย ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบคุมยูนิตมากกว่าใช้เวทย์ทรงพลัง op เกมนี้เป็นเกมที่เหมาะกับคุณอย่างมากเลยครับ ถ้ายิ่งเจอคนเก่งๆด้วยกันยิ่งมันส์อัดกันการ์ดแทบหมดมือ ชิงไหวชิงพริบดีจริงๆ เหมาะสำหรับผู้เล่่นทุกระดับเลยครับ แต่ถ้าเป็นผู้เล่นใหม่ในเรื่องเกมการืดแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนิดนึงครับ ในตอนนี้ตัวเกมยังได้มีกิจกรรม Starry Night อีเว้นท์แบทเทิลในครั้งนี้ผู้เล่นจะมีโอกาสสุ่มได้เด็ค 2 แบบของแมรี่ นั่นก็คือเด็คฮีลและเด็คออร่า เพื่อไปเอาชนะเจ้าโจรขโมย มาช่วยซานตี้แมรี่สั่งสอนเด็กไม่ดีด้วยกันได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ของรางวัลสวยๆเพียบเลยครับยังไงลองไปเข้าร่วมกันดูนะครับ เดียวเราจะมีไกด์เจาะลึกวิธีเล่นของการ์ดในเด็คทั้ง 6 แบบตามมาด้วยนะครับ อย่าลืมติดตามบทความดีๆจาก Game Fever TH ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้เลยครับ
17 Dec 2019
รีวิวเกม Tools Up! มาปรับปรุงห้องให้สวยงาม หรือจะพังยิ่งกว่าเดิม
ใกล้ช่วงเวลปีใหม่แล้ว หลายๆคนอาจจะไปเที่ยว หรือพักผ่อน แต่เกมเมอร์อย่างเราๆ การเล่นเกมกับเพื่อนๆ ก็คงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการใช้เวลาในช่วงหยุดยาวนี้ แต่ถ้าหากคุณกำลังหาเกมที่สามารถเล่นกับเพื่อน ๆ ในเวลาที่นัดรวมกลุ่มกันหรือปาร์ตี้สังสรรค วันนี้เรา GameFever TH ขอแนะนำเกมที่จะได้ใช้พลังมิตรภาพของคุณและเพื่อน ๆ ในการปรับปรุงห้องให้สวยงามเหมือนใหม่ (หรือพังยิ่งกว่าเดิม - -’’) นั้นก็คือเกม Tools Up!  ระบบเกม Tools Up! เป็นเกมแนว Co-op ที่จะให้เราสวมบทบาทเป็นกลุ่มช่างสุดเก่ง (ที่เริ่มเกมมาก็ถอยรถชนเสาไฟหักซะแล้ว - -’’) ในการมาปรับปรุงห้องของลูกค้า (ที่เห็นสภาพแล้วคงต้องมีบ่นกันว่าใครมันเป็นคนออกแบบห้องนี้) ให้มีสภาพเหมือนตามแบบที่ลูกค้าต้องการ ด้วยวิธีที่หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นการ ทาสี, ฉาบปูน, ปูกระเบื้อง, ย้ายของ, ทุบกำแพง และอีกมามาย (มันเยอะมาก) เราจะต้องทำเป้าหมายให้สำเร็จ และเก็บกวาดของทั้งหมด ภายในเวลาที่กำหนดไว้ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 โหมด คือ  โหมดเนื้อเรื่อง มีเวลากำหนด แล้วเก็บคะแนนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โหมด Party ไม่มีเวลากำหนด นับคะแนนตามเวลาที่ทำได้  โดยที่เป้าหมายของแต่ละด่าน จะออกมาในรูปแบบ Blueprint ที่ถูกทิ้งไว้ในด่าน เราต้องไปตามหาและเปิดอ่านว่าด่านนั้นๆ ต้องทำอะไรบ้าง แต่ Blueprint ก็บอกเราแค่คร่าวๆ ว่าต้องทำอะไรบ้างพร้อมกับบอกคะแนนของเป้าหมาย ซึ่งคะแนนของด่านนั้น ๆ จะคิดแยกเป็นส่วน ๆ ถ้าเราทำเป้าหมายของส่วนนั้นเสร็จ ก็จะได้คะแนนในส่วนนั้นไป หลังจากทำเป้าหมายทุกอย่างเสร็จแล้ว เราจะต้องเก็บกวาดงานโดยการย้ายอุปกรณ์ช่างทั้งหมดออกจากห้องนั้นด้วย เพื่อที่จะได้คะแนนการเก็บกวาด แล้วเราจะได้ดาวของด่านนั้นตามเกณฑ์คะแนนที่ด่านตั้งไว้ (3 ดาวเป็นคะแนนเต็มของด่าน) เกมนี้สามารถเล่นร่วมกันได้มากสุด 4 คน สามารถเลือกตัวละครและเปลื่ยนสีได้ แถมถ้าเก็บดาวจากด่านจนครบกำหนด ก็จะปลดล็อคตัวละครใหม่ให้เลือกใช้ด้วย และขอแนะนำว่าอย่าเล่นคนเดียว เพราะ เกมนี้ไม่ตัวละคร AI ช่วยเล่น ทำให้จะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แล้วคุณจะทำภารกิจได้ไม่ครบตามเวลาอย่างแน่นอนในด่านหลัง ๆ (อาจจะครบ แต่ก็เหนื่อยหน่อย) เกมนี้เป็น 1 ในเกมที่รองรับกับระบบ Remote Play Together ของ Steam คุณสามารถชวนเพื่อนที่อยู่กันคนละที่มาเล่นร่วมกันได้ โดยที่มีคนซื้อเกมเพียงแค่คนเดียว แต่การใช้ระบบนี้ก็ต้องพึ่งอินเตอเน็ตที่แรงพอสมควรเลย ถึง Tools Up! จะเป็นเกมที่เน้นเล่น co-op แต่ยังไม่มีระบบ co-op แบบ online ทำให้การเล่นร่วมกันกับเพื่อนจะต้องมาเล่นที่เครื่องเดียวกัน และปุ่มในการควบคุมด้วยคีย์บอร์ดนั้น เกมก็ไม่ได้รองรับการเล่นหลายคนในจอเดียว(มีปุ่มแค่เซ็ตเดียวและไม่สามารถตั้งค่าได้) ทำให้การเล่นร่วมกัน 4 คนนั้นจะต้องมีคนใช้จอยถึง 3 คนและอีกคนใช้คีย์บอร์ด เหมือนกับเป็นการบังคับให้คุณต้องซื้อจอยหรือใช้ระบบ Remote Play Together ถ้าอยากเล่นเกมนี้กับเพื่อน ๆของคุณ ยังไม่รวมกับบัคมากมายที่คอยมากวนใจให้เราหงุดหงิดเล่น (บางบัคถึงกับทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้ จนต้องปิดเกมเปิดใหม่) …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ถึงตอนนี้เกมยังจะมีปัญหาหลายอย่าง เหมือนอย่างกะเกมที่ยังอยู่ในช่วง early access ก็ตาม แต่ Tools Up! ก็ยังเป็นเกมที่สนุก มีเสน่ห์ และสามารถสร้างเสียงหัวเราะ(หรือเสียงบ่นด่า 5555+)ได้ในกลุ่มเพื่อน ๆ ได้ จัดว่าเป็นเกม co-op ที่ดีมากเกมหนึ่ง เพียงแต่ต้องรอการอัพเดทแก้ไขปัญหาอีกสักหน่อย  เรียบเรียงโดย !!7777!! (นาย อภิรัฐ ธนวันต์ภิญโญ) [penci_review id="36055"]
10 Dec 2019
แนะนำเกม Frostpunk กับการเอาชีวิตรอดดินแดนหิมะที่คุณต้องเลือก
หลังจากผ่านการรอคอยกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดประเทศไทยก็ดูเหมือนจะเข้าสู่หน้าหนาวได้อย่างเต็มตัว ในตอนนี้ทุกคนคงจะเริ่มได้หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ หรือเริ่มหาเครื่องดื่มอุ่นๆ มาจิบกันแล้ว แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะหนาวขนาดไหนก็ไม่มีทางหยุดเกมเมอร์อย่างเราๆ จากการผจญภัยได้อยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำเกมที่ดูจะเข้ากับบรรยากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ให้กับเพื่อน ๆ นั่นก็คือเกม Frostpunk นั่นเอง Frostpunk หนึ่งในเกมลูกผสมระหว่างเกมแนว City-Building และ Survival ที่มีฉากหลังเป็นโลกในปี 1886 ที่กำลังล่มสลายหลังจากที่สภาพอากาศเข้าสู่วิกฤตเยือกแข็ง ซึ่งได้นำพาโลกทั้งใบกลับเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง โดยผู้เล่นจะได้รับบทบาทเป็นผู้นำของกลุ่มผู้รอดชีวิตชาวอังกฤษที่อพยพมาจากเมือง London และระหว่างที่การเดินทาง คณะสำรวจของคุณก็ได้พบเข้ากับ The Generator เตาพลังงานจากถ่านหินที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ในหลุมขนาดใหญ่กลางทุ่งหิมะกว้าง และดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างที่มันยังสามารถงานได้ นั่นทำให้ไฟแห่งความหวังที่จะมีชีวิตรอดของทุกๆ คนได้ถูกจุดให้ติดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับไฟจาก The Generator ที่จะคอยหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งหลายที่จะต้องยืนหยัดเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป การปกครองที่มีชีวิตคนนับร้อยเป็นเดิมพัน Frostpunk จะมอบโอกาสให้ผู้เล่นที่จะเป็นคนที่ชี้นำชะตาชีวิตของผู้อพยพทุกคนด้วยการสร้างและพัฒนาเมืองของคุณขึ้นมาบนพื้นที่รอบ ๆ The Generator โดยคุณจะต้องส่งคนออกสำรวจและเก็บทรัพยากรสำคัญต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ในพื้นที่รอบ ๆ เพื่อนำมาเป็นวัสดุที่จะนำมาใช้สร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น การสร้างที่พักให้กับชาวเมือง, การก่อตั้งโรงงานและศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาและค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเพื่อช่วยในการเอาชีวิตรอด, การสร้างโรงล่าสัตว์ในการหาอาหารมาประทังชีวิตแก่ผู้คน และสถานพยาบาลเพื่อรักษาและช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บหรือล้มป่วย ไปจนถึงการส่งทีมออกสำรวจพื้นที่โดยรอบตัวเมืองเพื่อตามหาทรัพยากรหรือผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะที่ทอดยาวไปสุดสายตา ทรัพยากรที่คุณจะต้องบริหารอย่างชาญฉลาด ในการสำรวจและสะสมทรัพยากร ผู้เล่นนั้นจำเป็นที่จะต้องส่งคนงานจากในตัวเมืองออกไปเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่อยู่กระจัดกระจายโดยรอบของ The Generator ในตอนต้นเกม หรือส่งคนไปสำรวจในทุ่งหิมะกว้างแล้ว คุณยังจำเป็นที่จะต้องวิจัยโรงงานหรือส่วนอุสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่จำกัดเงื่อนไขมากขึ้น เช่นเหมืองถ่านหิน, โรงเลื่อย ไปจนถึงโรงหลอมเหล็กเพื่อเข้าถึงทรัพยากรที่มากขึ้น นอกจากการหาทรัพยากรที่ใช้ในการก่อสร้างหรือการวิจัยอย่าง ไม้และเหล็กแล้ว ในเกม Frostpunk คุณยังจำเป็นต้องหาทรัพยากรประเภทใช้แล้วหมดไปตลอดเวลาอย่างเช่น อาหารที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในตัวเมือง โดยผู้เล่นจำเป็นจะต้องสร้างโรงล่าสัตว์หรือเรือนเพาะปลูกเพื่อคอยหาเสบียงมาให้ก่อนที่จำนำเข้าสู่โรงครัวเพื่อทำการแปรรูปเป็นอาหารให้กับชาวเมืองทุกคน และอีกส่วนสำคัญที่คุณยังจำเป็นที่จะต้องหานั่นก็คือ ถ่านหิน หรือ Coal มาใช้ในการเติม The Generator ให้ยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยหากคุณปล่อยให้ Coal หมดจากคลังไปหรือหาได้ในปริมาณที่น้อยกว่าการใช้งานก็จะทำให้มันดับลงในที่สุด และเชื่อเถอะว่านั่นจะเป็นฝันร้ายที่สุดของทุก ๆ คนในเมืองของคุณอย่างแน่นอน ระบบการปกครองที่คุณจำเป็นจะต้องเลือก ในการปกครองผู้คนหมู่มากเพื่อให้เกิดความสงบและความเรียบร้อย ผู้ปกครองก็ย่อมที่จะมีการตั้งกฏเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อรักษาระเบียบและทำให้ผู้คนไม่ออกนอกลู่นอกทาง แต่ Frostpunk สภาพแวดล้อมสุดแสนโหดร้ายและผู้คนต่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง กฏนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่ออยู่รอดเป็นหลักดังนั้นบางครั้งคุณก็อาจจะต้องยอมไร้ความปราณีไปบ้างก็ตาม Frostpunk นำเสนอระบบที่จะให้อิสระแก่คุณในการตั้งข้อกฏหมายขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อความอยู่รอดของตัวเมือง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกฏเกี่ยวกับแรงงาน เงื่อนไขในการรักษา ความเป็นอยู่ของชาวเมือง ไปจนถึงภาวะดิ้นรนไร้ทางเลือกอย่างการนำมนุษย์ด้วยกันมาเป็นอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าบางครั้งสิ่งที่ดูผิดศีลธรรมอาจจะจำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดมากกว่าความถูกต้อง ความอยู่รอด หรือ มนุษยธรรม บางครั้งในระหว่างการเล่นเกม ผู้คนในเมืองจะมีการเรียกร้องหรือสื่อสารกับผู้เล่นผ่านรูปแบบ Event ให้คุณได้เลือกตอบคำถามโดยจะอิงกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น เช่นการที่คนงานในเหมืองออกมาร้องขอให้คุณอนุญาติให้เขาได้กลับบ้านเพื่อไปใช้วาระสุดท้ายของตัวเองกับครอบครัว หรือหากคุณออกกฏหมายให้มีการใช้แรงงานเด็ก ก็อาจจะได้เจอกับ Event ที่ผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองจะออกมาขอร้องให้คุณหยุดส่งลูกของเธอและเด็กคนอื่น ๆ เข้าไปทำงานเสี่ยงอันตรายถึงตาย และแน่นอนว่าทุกคำตอบ ทุกตัวเลือกของคุณนั้นจะย่อมทำให้เกิดผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนในเมืองจะรับรู้ถึงการกระทำทุกอย่างของคุณ ทำให้คุณอาจถูกมองเป็นผู้นำที่โหดร้ายเลือดเย็น คุณก็จำเป็นที่จะต้องคอยระวังความโกรธแค้นของชาวเมืองที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรง แต่หากคุณเลือกที่จะใจอ่อนหรือเมตตา คุณก็อาจที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงจากสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดตามมาในอนาคตด้วยเช่นกัน ประโยคที่คุณจะต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ท้ายที่สุดแล้วประโยคนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นหัวใจหลักของเกมที่คุณจำเป็นจะต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นผู้นำที่เป็นที่น่าศรัทธาของชาวเมืองประดุจพระเจ้าของพวกเขา หรือจะเป็นเผด็จการที่เลือดเย็นที่ไม่มีใครกล้าต่อต้านแม้แต่คนเดียว หากคุณประมาท หรือตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อย ผลที่จะเกิดตามมาก็ย่อมหมายถึงจุดจบของเมืองได้เช่นกัน เพราะอย่างนั้นคุณจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญและระมัดระวังกับทุกย่างก้าวของคุณ ไปจนถึงการยอมตัดสินใจในสิ่งที่อาจจะตรงข้ามกับความรู้สึกของคุณเองก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นประโยคนี้ไม่อย่างไม่มีข้อยกเว้น บทความโดย Laventear ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
09 Dec 2019
รีวิวเกมดูดวิญญาณ Cave heroes Idle แนวผู้กล้าตะลุยดันสร้างเมือง
ถ้าคุณกำลังเบื่อๆเซ็งๆ เพราะโทรศัพท์ไม่แรงพอจะเล่นเกมอะไรได้ละก็ Game Fever TH ขอแนะนำเกม ฆ่าเวลาสนุกๆที่มาในแนวผู้กล้าตะลุยดันเจี้ยนเกมนี้ดูครับ Cave Heroes : Idle RPG ที่ลงให้บนเครื่องมือถือทั้ง iOS และ Android สร้างโดยค่าย Iron Horse Games ที่ฝากผลงานเกมแนวนี้ไว้มากมายใน Store ตัวเกมยังเป็นเกมที่เปิดให้ทดสอบอยู่นะครับ เกมเพลย์ เกมนี้ให้คุณรับบทเป็นทั้งทีมผู้กล้าที่ต้องลงไปตะลุยดันเจี้ยนและเก็บทรัพยากรกลับมาสร้างเมืองต่างๆ โดยตัวเกมจะแบ่งเป็น 2 พาร์ทครับ พาร์ทของการลงดัน จะแบ่งผู้กล้าเป็นคลาสต่างๆ ทั้งหมด 3 คลาส นักดาบ จอมเวอย์ นักธนู ลงไปปราบจอมมากในดันเจี้ยนใต้ดินครับ ตัวเกมจะมีกลิ่นอายของความเป็นเกมแนว RPG สมัยเก่า อาจจะเป็นเพราะตัวกราฟิกของเกม เพียงแต่ระบบการต่อสู้นั้นจะเป็นการต่อสู้อัตโนมัติไม่ใช่แบบ Turn Base โดยเราจะต้องซื้อบัฟ กองทหาร และ อุปกรณ์ต่างๆเพื่อให้เหล่าผู้กล้าลงดันได้ง่ายขึ้น ถ้าผู้กล้าตายก็จะลงวนลูบไปเรื่อยๆครับ พาร์ทของการสร้างเมือง ในตัวเกมเนียมีระบบความลึกในสิ่งก่อสร้างและค่าพลังของตัวฮีโร่ ไอเทมสวมใส่ค่อนข้างมากโดยเฉพาะระบบการสร้างเมือง นอกจากจะใช้ทรัพยากรแตกต่างกันในการสร้างแล้ว เวลาที่เราอัพเกรดสิ่งปลูกสร้างต่างๆก็จะเพิ่มค่าพลังต่างให้กับเหล่าฮีโร่ เพื่อให้ลงไปในดันเจี้ยนให้ลึกขึ้น นอกจากเกมจะให้เราจัดสรรทรัพยากรในการใช้ก่อสร้าง ยังรวมไปถึงคนงาน ที่พักคนงานด้วยครับ ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือระบบการรีเซ็ทworld ใหม่ทำให้เล่นวบลูบได้เพราะถึงจุดที่ฮีโร่ลงดันลงไปลึกมากๆจนสู้ไม่ไหวต้องรีเซ็ทโลกเพื่อกลับมาฟาร์มก่อน เราจะได้ไอเทมและทรัพยากรกลับมาทำให้ฟาร์มได้ง่ายขึ้นด้วย   ความรู้สึก ความรู้สึกหลังจากที่ได้เล่นเกมนี้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเล่นเกม JRPG ในสมัยเด็กๆปนกับเกมสร้างฐานอย่างพวก KKND แต่มีความลื่นไหลและบทสนทนาต่างๆในเกมหรือรายละเอียดก็ไม่ขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่น้อย โดยรวมเป็นเกมดูดวิญญาณที่สมบูรณ์แบบเกมนึงเลย ถ้าพัฒนาเสร็จสิ้นก็อยากกลับไปเล่นอีก   กราฟฟิก ภาพในเกม เนื้อหา เพลงประกอบ ทำให้เรานึกถึงเกมผจญภัยสมัยก่อนที่ Classic สุดๆไปเลย น่าเสียดายที่เกมนี้ยังอยู่ระหว่างพัฒนา ในเกมเลยยังไม่ค่อยมีไอเทมให้ฮีโร่สวมใส่เลยในช่วงที่ผมไปทดสอบขนาดโฆษณาที่กดแล้วได้เพชรก็มีน้อยมากๆ มีให้กดแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ต้องรอนานพอสมควรกว่าจะได้เพชรฟรีอีกครั้งแต่ก็แอบคาดหวังอนาคตจะได้เห็นฮีโร่ใหม่ๆและไอเทมอื่นๆในเกมตัวเต็ม ถ้าทำออกมาดีติดชาจได้ง่ายๆเลยครับเกมนี้   [penci_review id="34969"]
28 Nov 2019
Review: รีวิวเกม Star Wars Jedi: Fallen Order เกมสตาร์วอร์ที่แฟนๆ คู่ควร
แม้ว่าจะเป็นแฟรนไชส์เก่าแก่ที่มีแฟนๆ จากทั่วโลกติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ Star Wars กลับเป็นแฟรนไชส์ที่มีเกมดีๆ จริงๆ ให้แฟนๆ ได้เล่นกันน้อยมากๆ ยิ่งในยุคคอนโซลล่าสุด ที่เกม Star Wars เด่นๆ มีเพียงซีรี่ส์ Battlefront เท่านั้น และถึงแม้ว่าเกมทั้งสองจะทำยอดขายได้น่าพอใจระดับหนึ่ง แต่ก็มีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้เกมถูกจดจำในทางที่ไม่ดีนัก แฟนๆ Star Wars ที่เป็นเกมเมอร์จึงไม่มีอะไรให้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว จนกระทั่งปีนี้ เมื่อผู้พัฒนามือฉมัง Respawn Entertainment ได้ปล่อยเกม Star Wars Jedi: Fallen Order ออกมา เกมแอคชั่น Star Wars สายเลือดแท้ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมยอดนิยมอย่าง Sekiro: Shadows Die Twice ของค่าย From Software ที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างให้ความคาดหวังว่าอาจจะเป็นการคืนสู่วงการเกมของแฟรนไชส์ Star Wars ที่รอคอยกันมาหรือไม่?! หลังจากที่เล่นเกมมาระยะเวลาหนึ่ง ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า Star Wars Jedi: Fallen Order ถือเป็นเกมที่สนุกมากๆ ด้วยเกมเพลย์แอคชั่นที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น ซึ่งเป็นส่วนผสมของเกมยอดนิยมต่างๆ ตั้งแต่ Sekiro: Shadows Die Twice และซีรี่ส์ Uncharted ไปจนถึงกลิ่นอายความเป็น Star Wars ยุคใหม่ ที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูรายละเอียดของเกม ซึ่งน่าจะช่วยตอบโจทย์สำหรับคนที่เฝ้ารอจะได้กวัดแกว่งดาบไลท์เซเบอร์ในฐานะเจไดผู้ทรงพลังได้ แต่ถึงอย่างนั้น Star Wars Jedi: Fallen Order ก็ยังไม่อาจถือเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมหรือพิเศษ เพราะแม้ว่าระบบเกมเพลย์ต่างๆ จะทำออกมาได้ดีและสนุก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ใหม่หรือน่าตื่นตาตื่นใจนัก ที่สำคัญคือเกมยังมีปัญหาเรื่องบั๊คและความเสถียรอยู่พอสมควร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกเสียดายที่เกมไม่สามารถสร้างออกมาให้เนี๊ยบกว่านี้ได้ Star Wars Jedi: Fallen Order อาจจะไม่ใช่เกมที่จะสามารถวัดกับเกมตัวเป้งๆ ที่วางจำหน่ายในปีนี้หลายๆ เกม แต่สำหรับแฟนๆ ที่รอสัมผัสประสบการณ์เกม Star Wars ที่สนุก และตอบโจทย์ในแง่ของบรรยากาศ บอกได้เลยว่าคุณจะไม่ผิดหวังกับเกม Star Wars Jedi: Fallen Order แน่นอน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของเกม Star Wars Jedi: Fallen Order (SWJFO) จะเกิดขึ้น 5 ปีหลังจากที่เหล่าเจไดถูกกวาดล้างจนแทบจะหมดจักรวาล อันเป็นผลมาจากคำสั่ง Order 66 ในช่วงท้ายของสงคราม Clone Wars (หรือประมาณ 5 ปีหลังจากหนัง Star Wars Episode 3 นั่นเอง) เกมจะติดตามตัวละครหลัก Cal Kestis อดีตเจไดฝึกหัด ผู้ซึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในฐานะพนักงานแยกชิ้นส่วนยานบนดาวเคราะห์ Bracca หลังจากที่เขาและอาจารย์ถูกเหล่าทหารโคลนทรยศ แต่แล้วความลับของ Cal ก็ถูกเปิดเผยขึ้นจนได้ เมื่อวันหนึ่งเขาถูกบังคับให้ต้องใช้พลัง Force ที่เขาซ่อนเอาไว้อีกครั้ง เพื่อช่วยชีวิตของเพื่อนเขาที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน จนทำให้เหล่า Inquisitor (เจไดด้านมืดที่ทำหน้าที่ในการตามล่าเจไดผู้รอดชีวิตจาก Order 66) ตามหาเขาจนพบ แต่ก่อนที่ Cal จะถูก Inquisitor สาวผู้ใช้ชื่อว่า Second Sister ปลิดชีพลง เขาก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างไม่คาดคิดโดยยาน Mantis ซึ่งมีอดีตเจได Cere Junda และนักขับยาน Greez Dritus เป็นเจ้าของ หลังจากที่หนีรอดมาได้ Cal ก็ได้รับทราบแผนการของ Cere และ Greez ในการสร้างนิกายเจได้ (Jedi Order) ขึ้นมาใหม่ ด้วยการตามหาสุสานลับของชนเผ่า Zeffo เผ่าพันธุ์เอเลี่ยนโบราณที่มีพลัง Force แก่กล้า เขาจึงเข้าร่วมกับภารกิจของทั้งสอง เพื่อต่อต้านกองทัพจักรวรรดิผู้ชั่วร้าย และเพื่อนำความสงบสุขกลับมาสู่จักรวาลอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้เขียน ที่เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ Star Wars มาตลอดตั้งแต่ยังละอ่อน ต้องถือว่าเนื้อเรื่องของ SWJFO มีความเป็น Star Wars อยู่สูงมากๆ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกใจแฟนๆ ของแฟรนไชส์เป็นพิเศษ ตั้งแต่รูปแบบของเรื่องที่ติดตามกลุ่มกบฏเล็กๆ ที่พยายามต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิชั่วร้าย ไปจนถึงธีมของการค้นหาตัวตน และการปะทะกันของความดีและความเลว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เป็งองค์ประกอบหลักของภาพยนตร์ Star Wars ทุกภาคที่ผ่านมา แม้ว่าสุดท้ายแล้วผู้เล่นที่ติดตามแฟรนไชส์มาตลอดอาจจะพอเดาได้ว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร (เรารู้แน่ๆ ว่า Cal จะไม่สามารถสร้างนิกายเจไดใหม่ได้ เพราะรู้อยู่แล้วว่า Luke จะเป็นคนทำหลังภาค 6) แต่เนื้อเรื่องของ SWJFO ก็ยังเป็นเนื้อเรื่องตามสูตร Star Wars ที่สนุกและน่าติดตามอยู่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อติซะทีเดียวเช่นกัน โดยจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเนื้อเรื่องเกมน่าจะเป็นตัวเอก Cal Kestis เอง ที่ไม่ได้มีภูมิหลังหรือเส้นทางการพัฒนาตัวละครที่น่าสนใจนัก โดยเฉาะเมื่อเทียบกับตัวละครอื่นๆ ที่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็น Cere ที่เป็นอดีตอัศวินเจไดที่ตัดขาดตัวเองจากพลัง Force ด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือแม้กระทั่งตัวร้ายอย่าง Second Sister ก็ยังมีภูมิหลังที่น่าสนใจ ต่างกับ Cal ที่ภูมิหลังเดาได้ตั้งแต่เริ่มเกม แถมยังไม่ค่อยได้พัฒนาหรือ โต ขึ้นเลยตามเนื้อเรื่อง มีหลายครั้งที่ผู้เขียนรู้สึกว่า Cal แทบจะเป็นตัวประกอบในเรื่องราวของ Cere และ Second Sister ซะด้วยซ้ำไป อีกหนึ่งองค์ประกอบเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนชอบ และคิดว่าน่าจะถูกใจแฟนๆ ของซีรี่ส์ คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับจักรวาล Star Wars ที่ผู้เล่นสามารถพบได้จากการใช้หุ่นดรอย BD-1 ที่เกาะไหล่เราอยู่ แสกนสิ่งของและศัตรูที่พบในเกมนั่นเอง โดยรายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้มีส่วนช่วยในการพัฒนาจักรวาลของเกมให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ซึ่งก็เป็นของแถมเล็กๆ น้อยๆ ให้แฟนๆ ของเกมจากผู้พัฒนา ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมเพลย์ของ SWJFO นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสามส่วนหลักๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมอื่นๆ มากมาย ทั้งระบบต่อสู้ที่แทบจะยกมาจาก Sekiro: Shadows Die Twice เปี๊ยบๆ ระบบการสำรวจเกมจาก Metroid/Castlevania และ การแก้พัซเซิ่ลจากเกมอย่าง Uncharted หรือ Tomb Raider นั่นเอง ซึ่งเกมที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเกมที่โดดเด่นในด้านของตัวเอง โดยในจุดนี้ต้องขอชม SWJFO ที่สามารถนำจุดเด่นของเกมแต่ละเกมมาผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกล่อมและลงตัวขนาดนี้ ซึ่งทำให้เกมเพลย์ของ SWJFO มีความหลากหลายมากกว่าแค่การทะลวงฟันไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ตาม เกมเพลย์ส่วนที่ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะให้ความสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องระบบต่อสู้ของเกม โดย SWJFO จะใช้ระบบต่อสู้ที่คล้ายคลึงกับเกม Sekiro: Shadows Die Twice ที่จะเน้นการหลบหลีกหรือป้องกันและ Parry การโจมตีของศัตรูให้ถูกจังหวะ เพื่อที่จะค่อยๆ ลดเกจการป้องกันของศัตรูให้หมด ก่อนที่จะปลิดชีพศัตรูนั้นในการโจมตีไม่กี่ครั้งนั่นเอง โดยตัวเลือกต่างๆ ในการต่อสู้นั้น ผํู้เล่นจะสามารถโจมตีศัตรูด้วยดาบไลท์เซเบอร์ของ Cal ได้ และยังสามารถใช้ความสามารถ Force ต่างๆ ที่ปลดล๊อคตามเนื้อเรื่องในการต่อสู้ได้ด้วย เช่นผลักหรือดึงศัตรูเข้าหาตัว หรือการชะลอการเคลื่อนไหวของศัตรูเป็นต้น การใช้พลังทุกอย่างผสมผสานกันสามารถทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักรบเจไดผู้ทรงพลังได้ง่ายๆ เลยเมื่อชำนาญแล้ว แต่ในทางกลับกัน ก็ทำให้ช่วงต้นๆ ของเกมท้าทายมากๆ เช่นกัน เพราะผู้เล่นจะยังมีพลังพิเศษไว้ใช้น้อย จึงต้องพึ่งฝีมือในการเอาตัวรอดและหาจังหวะเอาชนะศัตรูด้วยดาบอย่างเดียว ทั้งนี้ ผู้เขียนเล่นเกมที่ระดับความยาก Jedi Master ซึ่งเป็นระดับที่เกมแนะนำสำหรับคนที่เล่นเกมแอคชั่นเก่งอยู่แล้วประมาณหนึ่ง และ/หรือคนที่เคยผ่านเกม Soulsborne อื่นๆ มาแล้ว ทำให้เกมมีความท้าทายพอสมควร แต่เกมก็มีระดับความยากที่ง่ายกว่านี้ให้เลือกด้วยเช่นกัน ฉะนั้นคนที่ไม่มั่นใจหรือ กลัวว่าจะเล่นไม่สนุกเพราะเกมยากเกินไป ก็ยังสามารถเลือกระดับความยากต่ำๆ เพื่อให้ยังสนุกกับเกมได้อยู่ สำหรับระบบการเล่นดังกล่าวถือเป็นระบบต่อสู้เกมแอคชั่นที่พิสูจน์มาแล้วว่าสนุก แต่สิ่งที่คนอาจจะไม่ได้คาดคิดที่จะได้เห็นกับเกม Star Wars คือความยากของเกม ที่แม้ว่าจะไม่ได้เทียบเท่าเกมอันเป็นแรงบันดาลใจอย่าง Sekiro แต่ก็จำเป็นต้องใช้ฝีมือและความตั้งใจในการเล่นสูงมากในการต่อสู้กับศัตรู ถึงแม้ทหาร Storm Trooper ส่วนใหญ่ที่เราพบในเกมจะล้มได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ก็มีศัตรูระดับสูงและศัตรูที่เป็นสัตว์อันตรายประจำดาวต่างๆ ที่จะคอยบังคับให้ผู้เล่นต้องเรียนรู้เทคนิคเฉพาะตัวมาเพื่อต่อสู้ด้วย แถมเกมยังมักจะปล่อยศัตรูหลากหลายชนิดลงมาให้เรารับมือพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้เล่นต้องใช้เครื่องมือและความสามารถทั้งหมดของ Cal ในการเอาชนะ อีกหนึ่งส่วนสำคัญของเกมเพลย์ในเกม SWJFO ก็คือเรื่องของการสำรวจนั่นเอง โดยการสำรวจในเกมจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมอย่าง Metroid/Castlevania อยู่มาก โดยเกมจะให้ผู้เล่นสำรวจดาวเคราะห์หลายดวงเพื่อทำภารกิจ โดยที่ในดาวแต่ละดวงจะมีพื้นที่ๆ ต้องใช้พลังพิเศษเพื่อเปิดเข้าถึงได้ เช่นอาจจะมีจุดที่เราต้องใช้พลัง Force Push เพื่อทลายกำแพงหิน หรือบางจุดอาจจะต้องให้เราใช้สกิลโดดสองรอบเพื่อขึ้นไปถึงเป็นต้น ระบบนี้ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเดินทางไป-กลับดาวเคราะห์ที่เคยผ่านมาแล้วทุกครั้งที่ปลดล๊อคพลังใหม่ได้ เพื่อลองดูว่ามีพื้นที่หรือความลับใหม่ๆ อะไรให้เราค้นพบด้วยพลังใหม่ของเรานั่นเอง โดยดาวเคราะห์ต่างๆ ออกแบบมาได้เป็นอย่างน่าสนใจ มีพื้นที่ลับให้ตามหามากมาย แม้กระทั่งในจุดที่ผู็เล่นอาจจะรู้สึกว่าเดินผ่านมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง ซึ่งในจุดนี้ก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายและระยะเวลาการเล่นให้กับเกมได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าการสำรวจส่วนใหญ่จะให้ของรางวัลที่ไม่ได้ส่งผลต่อเกมเพลย์ อย่างชิ้นส่วนดาบไลท์เซเบอร์หรือเสื้อผ้าใหม่ แต่ก็ยังอาจจมีสิทธิ์เจอ Force Echo ที่ทำให้หลอดเลือดและหลอด Force ของเราเพิ่มขึ้นด้วย ผู้เล่นจึงมีเหตุผลให้ย้อนกลับไปสำรวจดาวที่ผ่านมาแล้วเสมอ องค์ประกอบเกมเพลย์หลักส่วนสุดท้ายก็คือเรื่องของปริศนาพัซเซิ่ลต่างๆ ที่ผู้เล่นจะได้พบระหว่างการสำรวจสุสานเผ่า Zeffo ที่กระจัดกระจายอยู่ตามดาวเคราะห์ที่เกมพาเราไปนั่นเอง เช่นเดียวกับการสำรวจ การแก้พัซเซิ่ลเหล่านี้มักจะต้องใช้พลังพิเศษต่างๆ ของ Cal รวมกับความคิดสร้างสรรค์ของผู้เล่นเองในการแก้ไข โดยระดับความยากของพัซเซิ่ลส่วนใหญ่นั้นถือว่าอยู๋ในระดับที่พอดี (ย้ำอีกครั้งว่าพัซเซิ่ล ส่วนใหญ่) คือไม่ได้ง่ายจนไม่ต้องใช้สมองเลย แต่ก็ไม่ได้ยากจนหัวร้อนเช่นกัน โดยรวมๆ แล้ว แม้ว่าเกมเพลย์ของ SWJFO จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบซะทีเดียวเช่นกัน อย่างในการต่อสู้ของเกม ที่บางครั้งก็รู้สึกติดขัดมากกว่าที่ควรจะเป็นจากการที่เกมไม่ยอมให้ผู้เล่นยกเลิกอนิเมชั่นการโจมตีได้เหมือนเกมแอคชั่นอื่นๆ หลายเกม หมายความว่าถ้ากดโจมตีไปแล้ว ผู้เล่นจะไม่สามารถกดกลิ้งหลบหรือป้องกันกลางคันได้เลย ซึ่งในจุดนี้ผู้เล่นบางคนอาจจะบอกว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยทำให้เกมท้าทายมากขึ้น เพราะหมายความว่าผู้เล่นจะไม่สามารถกดปุ่มมั่วๆ ได้ในระหว่างการต่อสู้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้การต่อสู้กับศัตรูหลายๆ ชนิดรู้สึกยากกว่าที่ควรจะเป็นเช่นกัน โดยเฉพาะศัตรูที่เป็นสัตว์ร้ายทั้งหลาย ที่มักจะโจมตีอย่างรวดเร็วกว่าศัตรูจำพวก Storm Trooper ต่างๆ มากมายนัก แถมเวลาผู้เล่นพลาดตายขึ้นมาแต่ละครั้งยังต้องเข้าหน้าจอโหลดเกมค่อนข้างนานกว่าจะสามารถกลับไปเล่นเกมต่อได้ ทำให้บางครั้งก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาได้เหมือนกัน ◊ กราฟิค/การนำเสนอ ◊ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าเกลียดแต่อย่างใด แต่กราฟิคของเกม SWJFO น่าจะเป็นจุดอ่อนที่สุดของเกมแล้วก็ว่าได้ จากการรีวิวเกมในเครื่อง PS4 Pro พบว่าเกมแสดงผลกราฟิคในด้านพื้นผิว (Texture) ของสิ่งของได้ไม่ค่อยดีนัก ยิ่งในส่วนของหน้าตาตัวละครต่างๆ ในเกม ที่ดูเนียนๆ แบนๆ ชอบกล แถมยังขยับได้แข็งๆ เหมือนเป็นหุ่นยนต์หุ้มหนัง มากกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ อีกด้วย ซึ่งในจุดนี้ก็ทำให้ในฉากอารมณ์ต่างๆ มีความติดตลกมาซะหน่อย เมื่อตัวละครพยายามจะดึงหน้าดราม่า แต่กราฟิคของเกมกลับไม่สามารถแสดงผลออกมาได้ตามที่นักแสดงสื่อออกมา ทั้งนี้ ความไม่คมชัดในเรื่องกราฟิคส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ผู้เขียนเลือกเล่นโหมด Performance มากกว่าโหมด Resolution ทำให้เกมจำกัดความคมชัดของตัวเองเอาไว้ที่ 1080p เท่านั้น (แทนที่จะเป็น 4K) แลกกับการที่เกมสามารถรันที่เฟรมเรตสูงกว่า 30FPS ได้ แต่ผู้เขียนพบว่าการเล่นในโหมด Resolution หลายครั้งทำให้เกมเกิดอาการกระตุกหรือเฟรมตกได้ ซึ่งสำหรับเกมแอคชั่นที่เน้นการเคลื่อนไหวอันแม่นยำอย่างนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคืออนิเมชั่นการปลิดชีพศัตรูในเกม ที่จะมีให้เพียงหนึ่งอนิเมชั่นต่อศัตรูหนึ่งชนิดเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ และคงไม่ได้ถือเป็นข้อเสียของเกมซะทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นอนิเมชั่นการปลิดชีพเท่ๆ หลายๆ แบบมาเพิ่มสีสันให้กับการต่อสู้บ้าง นอกเหนือไปจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น การนำเสนออื่นๆ ของเกม SWJFO ทำออกมาได้ตอบโจทย์ความเป็น Star Wars มากๆ ไปว่าจะเป็นในแง่ของการออกแบบฉากและศัตรู หรือเสียงพากย์เกม ที่มีคุณภาพสูงระดับ AAA คู่ควรกับการรอคอยของแฟนๆ แน่นอน ดาวต่างๆ ที่ผู้เล่นได้ไปสำรวจก็มีความแตกต่างกันชัดเจน ทำให้การโดดไป-กลับระหว่างดาวต่างๆ ไม่น่าเบื่อเลยเช่นกัน [caption id="attachment_34798" align="aligncenter" width="1024"] STAR WARS Jedi: Fallen Order™_20191108155934[/caption] ◊ สรุป ◊ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นเกมที่จะเป็นที่จดจำไปอีกนานๆ ในฐานะเกมระดับแนวหน้า แต่ Star Wars Jedi: Fallen Order ก็ยังถือเป็นการคืนวงการเกมอย่างงดงามของแฟรนไชส์ Star Wars และเป็นเกมแอคชั่นที่ท้าทายและน่าสนใจมากๆ อีกด้วย เกมอาจจะยังสามารถพัฒนาได้อีกเยอะในหลายจุด แต่สำหรับแฟน Star Wars และแฟนเกมแอคชั่นแล้ว Star Wars Jedi: Fallen Order คือเกมเจไดที่คุณคู่ควรอย่างแท้จริง [penci_review id="34692"]
24 Nov 2019
รีวิว Monkey King Hero is Back มาเป็น ซุนหงอคง กันเถอะ!
Monkey King Hero is Back คือเกมที่สร้างมาจาก Animation ที่ถูกฉายครั้งแรกในปี 2015 ตัวเกมจะกล่าวถึงหนึ่งในตำนานชื่อดังที่โลกรู้จัก ตำนานของ ราชาวานร ซุน หงอคง (Sun Wukong) ตัวเกมจะเป็นแนว Action Adventure มุมมอง Third Person ซึ่งเกมนี้ไม่ได้มีความยาวมากมายอะไรนัก (ประมาณ 6-8 ชั่วโมง เท่านั้น) ต้องบอกก่อนเลยว่าเวอร์ชั่นที่เป็นเกมนี้ ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่เหมือนกับเวอร์ชั่น Anime แบบ 100%  ไม่ใช้การเดินไปชมพูทวีปกับพระถังซัมจั๋งและผองเพื่อนเหมือนที่มักจะได้ยินบ่อยๆ แต่จะเป็นเนื้อที่เพิ่มเติ่มจากฉบับ Animation อีกนิดหน่อยนั้นเอง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องจะกล่าวถึง ราชาของเหล่าวานรตัวหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก จึงได้ไปฝึกวิชากับผู้วิเศษแห่งอมรโคยานทวีป ด้วยความเอ็นดูผู้วิเศษก็ได้ตั้งชื่อให้กับ ราชาวานรว่า ซุนหงอคง (Sun Wukong) หลังจากฝึกวิชาจนสำเร็จ ราชาวานรก็ได้เข้าท้าทายกับราชามังกรทั้ง 4 หลังจากปราบเหล่ามังกรลง  ซุนหงอคงก็ได้รับกระบองวิเศษกับชุดเกราะวิเศษมาเป็นของรางวัล แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นราชาวานรได้เข้าท้าทายกับเหล่าเทพเจ้า ซึ่งแม้แต่เทพที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่สามารถเอาชนะราชาวานรได้ จนกระทั้งซุนหงอคงเข้าท้าทายกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเหล่าเทพเจ้า "พระพุทธเจ้า (Buddha)" นั้นเอง แต่ไม่ว่า ราวานรจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถเอาชนะ พระพุทธเจ้าได้ หลังจากจบการต่อสู้ พระพุทธเจ้าได้กักขังราชาวานรไว้ในหินผลึก และซ้อนไว้ในถ่ำแห่งหนึ่งเป็นเวลา 500 ปี เนื้อเรื่องของเกม จะเริ่มต้นเมื่อหลังจากผ่านไป 500 ปี แล้ว เมื่อมีเณรน้อยนามว่า ลัว(Liuer) ได้หลงทางเข้ามาในถ่ำที่ผนึกราชาวานรไว้ และได้ปลดปล่อย ดาชอง(Dasheng) หรือราชาวานรที่ถูกผนึกมาเป็นเวลานานให้เป็นอิสระ แต่ดาชองที่ตื่นจากการจองจับกว่า 500 ปี นั้น กลับไม่สามารถใช้พลังได้เหมือนกับแต่ก่อน จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมบอกกับดาชองว่า "วิธีเดียวที่จะได้รับพลังทั้งหมดคืนมาก็คือ การทำความดีเท่านั้น" ดาชองเลยจำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ กับลัว เพื่อให้ได้พลังของตนกลับคืนมา อีกครั้ง เนื่อเรื่องของเกมจะไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมายนัก แต่จะค่อนข้างเป็นเส้นตรงมากกว่า เราจะต้องเล่นเป็น ดาชองเดินทางไปตามเมืองต่างๆ คอยช่วยเหลือผู้คน ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้ถึงแม้จะไม่ค้อยมีอะไร แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องของเกมมันอ่านง่าย เข้าใจง่าย มันทำให้เล่นได้แบบสบายๆ ไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรมากมายนัก ไม่ต้องปวดหัวกับคำศัพท์ ยากๆ เอาไว้เล่นแก้เบื่อได้เป็นอย่างดีครับ ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่เนื้อเรื่องของเกมค่อนข้างจะเป็นเส้นตรง ทำให้เรามักจะคาดเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก บวกกับจุดที่พีคของเนื้อเรื่องเองก็ไม่ค้อยมีให้เห็นเท่าไหร่ ถ้าเล่นตอนที่ง่วงนี้ก็อาจจะหลับได้อยู่เหมือนกัน และยังมีเนื้อเรื่องที่สั่นมากๆ ถ้าเล่นจริงๆ อาจจะใช้เวลาแค่เพียง 6-7 ชั่วโมง ก้สามารถเคลียร์เกมนี้ได้แล้ว ทำให้ไม่รู้สึกว่าไม่คุ้มกับเงิน 1,200 บาทค่าเกมเท่าไหร่ครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ กราฟิกของเกมนี้ ถึงแม้จะเล่นในเครื่อง PS4 Pro แล้ว ก็ไม่ได้มีกราฟิกที่สวยงามสมจริงอะไร แต่เกมนี้จะมีกราฟิกที่การ์ตูนมากๆ แทน ทำให้ตอนเล่นรู้สึกสบายตา รู้สึกว่าจะสามารถเล่นได้เรื่อยๆ ทางด้านอนิเมชั่นกับการเคลื่อนไหวของตัวละคร ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเช่นกัน มีความลื่นไหล มีเอฟเฟคเบาๆ เวลาตัวละครแลกหมัดกัน ก็เรียกได้ว่าถึงแม้จะไม่ได้สวยสมจริงอะไร แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดเล่นแล้วรู้สึกสะดุดเช่นกันครับ ด้านการนำเสนอ เกมนี้ฉาก Cut Scene กับเกมเพลย์แทบจะเป็นอันเดียวกันเลย ทำให้ตอนเล่นเราจะรู้สึกเหมือนว่า ดูการ์ตูนอยู่ตลอดเวลา พูดตรงๆ ก็เป็นเสน่ห์ อย่างหนึ่งของเกมนี้ ทางด้านการแสดงสีหน้าของตัวละครต่างๆ ก็ดีพอสมควร ถ้าจะมีข้อเสีย อาจจะเป็นเรื่องที่หน้าตาของศัตรู มันดูเหมือนกันไปจนหมด แค่เปลี่ยนสีนิดหน่อย ทำให้รู้สึกน่าเบือเล็กๆ  เพราะเจอแต่ตัวหน้าตาเดิมๆ ทางด้านเสียงเพลงประกอบ กับ เสียงพากย์ของตัวละคร ก็ล้วนแล้วแต่ธรรมดามากๆ ไม่ได้แย่จนรู้สึกขัดหูเวลาที่ฟังนานๆ แต่ก็ไม่ได้ ดีมากจนสื่ออารมร์ของตัวละครออกมาได้ทั้งหมดเช่นกัน เอาเป็นว่าธรรมดาสุดๆ ทีมพัฒนาเกมที่ไหนก็คงจะสร้างเสียงประมาณนี้ออกมาได้เหมือนกันนั้นแหละครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ รูปแบบการเล่นของเกมนี้จะเป็นแบบ Action-Adventure โดยใช้การควบคุมง่ายๆ ใครก็เล่นได้ มีต่อยหนัก, มีต่อยเบา, และกระโดด เดินหน้าต่อสู่กับพวกสัปหลาดตัวเล็กๆ ที่มักจะโผล่ออกมาก่อกวนเราอยู่เป็นระยะๆ และมีสัปหลาดตัวใหญ่โผล่มาให้สู้บ้างบางครั้ง นอกจากนี้ผู้เล่นสามารถใช้สิ่งของต่างๆ เช่น เก้าอี้ , หิน หรือ ไม้กระบอง ที่ตกอยู่ตามฉากต่างๆ เพื่อทุนแรงในการต่อสู้ได้ ด้วยความที่การเล่นมันง่าย รวมถึงมีภาพออกไปทางการ์ตูน ทำให้เกมนี้ดูจะเหมาะกับผู้เล่นทุกเพศทุกวัยด้วยนั้นเอง เกมนี้จะให้ผู้เล่นสามารถเลือกอัพเกรดความสามารถของ ดาชองได้ โดยการอัพเกรดจะแบ้งออกเป็น 2 แบบ คือ อัพเกรดสกิลกดใช้ หรือ อัพเกรด Passive ซึ่งจะใช้คนละ Point กันในการอัพ ด้านสกิลกดจะใช้ Red Soul ที่ได้จากการกำจัดศัตรูต่างๆ มากน้อยตามความยากง่ายของตัวที่เราสู้ ในขณะที่ Passive จะใช้ Earth God ที่มักจะซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ของแมพ โดยสามารถสังเกตุได้ง่ายๆ เพราะจุดที่ Earth God ซ้อนอยู่มันจะเป็นภูเขาดินเด่นๆ เลยในฉาก โดยรวมแล้ววิธีการเล่นของเกมนี้ค่อนข้างจะเข้าใจง่าย ขนาดตอนเริ่มเล่นไม่ต้องศึกษาอะไรมาก ก็สามารถเล่นได้เลย อีกทั้งความยาวเนื้อเรื่องเกมนี้เป็นการทำขึ้นมาใหม่ ไม่ใช้การเดินไปชมพูทวีปเหมือนที่เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับตำนาน Sun Wukong (ไม่งั้นเล่นทั้งชาติก็คงไม่จบ) แต่จะเป็นเนื้อเรื่องสั่นๆ เพียง 6-8 ชั่วโมงเท่านั้น การเล่นเกมนี้จึงเป็นอะไรที่ เบาสมองสามารถเล่นเพื่อคลายเครียดได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เรียบง่าย ทำให้มิติของการเล่นเกมนี้ มันค้อนข่างน้อยด้วยเช่นกัน ไม่ได้มีการผสมท่าโจมตีต่างๆ จนเป็น Combo ได้เมามันเหมือน DMC และก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ดีมากเข้มข้นเหมือนกับ Death Stranding อีกด้วย แต่ราคาของเกมนี้มันก็ยังอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาทเลย ทำให้ตอนเล่นจนจบ ก็ยังไม่ณไม่รู้สึกว่าคุ้มเลยซักนิด เสียดายตังมากกว่าครับ ◊ สรุป ◊ Monkey King Hero is Back เป็นเกม Action Adventure ที่มีกราฟิกและภาพออกไปทางการ์ตูน เกมเพลย์เข้าใจง่าย ใครก็สามารถเล่นจนเก่งได้ มีความลับอีกเล็กน้อยให้ตามหาในเกม ใช้เวลาในการเล่นจนเคลียร์ไม่นาน แต่ก็เป็นเกมที่ไม่ว่าจะเป็นด้าน เนื้อเรื่อง เกมเพลย์ หรือ ความสวยงามของกราฟิก ก็ธรรมดามากๆ คือไม่ได้มีจุดไหนเลยของเกมที่จะทำให้รู้สึกว่า "ว้าว" มีความรู้สึกไม่คุ้มเงิน 1,200 บาทที่เสียไปมากกว่าครับ ถ้าจะให้คะแนนเกมนี้ เราคงให้อยู่ที่ 5 เต็ม 10 เท่านั้น เพราะการเล่นที่มันธรรมดาโคตรๆ ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจหรือน่าติดตามด้วย ถ้าใครที่คาดหวังว่าซื้อเกมมาแล้วต้องเล่นได้นานๆ มีอะไรให้ทำเยอะๆ แนะนำให้ข้ามเกมนี้ไปได้เลยครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="34273"]  
20 Nov 2019
รีวิว Need For Speed: Heat เมื่อ EA อยากจะปลุก NFS ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
Need For Speed : Underground 2 และ Need for Speed: Most Wanted (2005) ถือว่าเป็นสองเกมแข่งรถในดวงใจของผู้เขียนเลย โดยเฉพาะความทรงจำในวัยเด็กที่ดีมากๆ กับสองเกมนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดตามตัวเกมอีกเลย แต่เมื่อทาง EA ประกาศทำเกม Need For Speed: Heat ที่จะเป็นการรวมเอาสองภาคที่กล่าวมาข้างต้นไว้ในเกมเดียวกันและเป็นการทำเกมซีรีส์ NFS ครั้งแรกในรอบเกือบๆ 3 ปี ทำให้ผู้เขียนเกิดความตื่นเต้นและอยากจะเล่นเกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะสมกับความ Hype ที่ตั้งไว้หรือเปล่าขอเชิญอ่านได้ในรีวิวนี้เลย เนื้อเรื่อง Palm City สวรรค์ของนักแข่งรถที่มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายทั่วทั้งเมืองในรูปแบบที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย แต่แล้วการมาถึงของร้อยโท Frank Mercer หัวหน้าคนใหม่ของสถานีตำรวจเมือง Palm City ที่พร้อมจะกวดขันกับเหล่านักแข่งรถทุกคนอย่างไร้ความปรานี เรา(ผู้เล่น) ในฐานะนักแข่งหน้าใหม่ที่ต้องการจะสร้างชื่อในเมืองนี้และได้พบเจอกับพี่น้อง Rivera เรื่องราวต่างๆ จึงได้เริ่มต้นขึ้น Need For Speed: Heat ถือว่านำเสนอเนื้อเรื่องได้อย่างน่าสนใจ เราจะเรียนรู้ว่าการเป็นนักแข่งรถนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะการแข่งรถใต้ดิน เราจะได้เห็นถึงความกดดันต่าง ๆ การทะเลาะกันของสองพี่น้อง ทำให้ภาพรวมของเนื้อเรื่องทำออกมาโอเคเลย ระบบการเล่น การแข่งรถสุดมันส์ เร้าใจ Need For Speed: Heat นำเสนอเกมการเล่นที่แบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือการแข่งกลางวันที่เป็นเหมือนกับการแข่งรถที่ถูกกฏหมาย โดยมีจุดเด่นในเรื่องของจำนวนเงินในแต่ละรอบที่สูงและในส่วนของการแข่งขันกลางคืนที่เป็นเหมือนกับการแข่งรถผิดกฏหมายที่จะให้ผลตอบแทนเป็นค่าชื่อเสียงที่จะใช้ในการปลดล็อกไอเทมต่างๆ ในการแต่งรถรวมไปจนถึงรถใหม่ๆ การแข่งรถทั้งสองแบบจะให้ความรู้สึกต่างกัน ในการแข่งกลางวันเราจะรู้สึกว่าเราเป็นนักแข่งมืออาชีพที่ทุกวินาทีมีความหมายต่อเงินรางวัลที่ได้ ในขณะที่กลางแข่งกลางคืนจะท้าทายอย่างมาก เพราะนอกจากเราจะต้องแข่งกับคนอื่นๆ แล้วเหล่าจราจรของเกมนี้นับว่าโหดมาก หากเราสเต็ปไม่ดีจริงยังไงก็ไม่รอด โดยหากเราถูกจับได้เราจะเสียเงินค่าปรับและทำให้ระดับ Heat ของในคืนนั้นหายไปทันที เป็นกิจกรรมที่ความเสี่ยงสูง แต่ก็มีผลตอบแทนสมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว ในส่วนของการแข่งขันหลักๆ จะประกอบไปด้วย Circuit Race, Drift, Sprint Race, และ Time Trial ที่จะต้องใช้ความสามารถในการบังคับรถที่ต่างกัน รวมถึงประเภทของเราที่ใช้แข่งด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ ในเกมนี้เลยคือการ Drift (ดริฟต์) ที่เราจะต้องกดปุ่มเบรกพร้อมกับกดปุ่มคันเร่ง ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรเลยในการฝึกฝนให้ชำนาญ ในส่วนของโหมดออนไลน์ก็ทำออกได้สนุกและท้าทาย โดยเราสามารถใช้รถในโหมดเนื้อเรื่องไปแข่งกับผู้เล่นอื่นได้เพียงแต่ว่าเราจะต้องเข้าไปท้าผู้เล่นมาแข่งด้วย ซึ่งอันนี้ก็วัดดวงกันไปว่าจะมีใครมาตามคำเชิญเราหรือไม่ คำแนะนำสำหรับผู้เขียนก่อนจะเล่นโหมดนี้ควรเล่นโหมด Solo ให้คล่องๆ และมีรถแรงๆ ก่อนถึงจะพอเอาชนะคนอื่นได้ รถเยอะมาก ของแต่งรถก็เยอะเช่นกัน EA ต้องการเรียกศรัทธาของแฟนๆ Need For Speed กลับมา จึงได้มีการนำรถเข้ามาในเกมมากถึง 127 คันให้เราได้เลือกใช้งาน โดยแต่ละคันจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน บางคันแรงแต่บังคับยาก บางคันช้าแต่ว่าเข้าโค้งดีเป็นต้น ซึ่งรถจะปลดล็อกเมื่อเราเก็บค่าชื่อเสียงได้ถึงที่กำหนดไว้ ในส่วนของแต่งรถน่าจะถูกใจหลายๆ คนเพราะคุณสามารถที่จะแต่งรถได้อย่างละเอียดมากๆ จัดเต็มในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสีของรถ อุปกรณ์เสริมทั้งหลาย  ไปจนถึงเสียงของท่อรถเรา สามารถที่จะออกแบบตามใจของเราเลย นอกจากนี้หากใครเป็นคนที่แต่งรถไม่เก่ง ตัวเกมก็มีระบบ Community ที่ให้เราสามารถลอกลายรถคนอื่นได้อีกด้วย สำหรับส่วนของเครื่องยนต์ จะแยกออกไปต่างหาก โดยเครื่องยนต์แต่ละอย่างจะแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ซึ่งของเหล่านี้หากเราจะซื้อมาเสริมความแรงให้รถ เราจะต้องใช้ทั้งเงินและค่าชื่อเสียงในการซื้อ ยิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ของแต่งในส่วนนี้จะยิ่งดีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรถที่เราซื้อมาด้วย เนื่องจากบางคันอาจจะมีเครื่องยนต์ที่มีระดับสูงอยู่แล้ว ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเสริมในส่วนนั้น เก็บเงินและชื่อเสียงไปเสริมในส่วนอื่นๆ ดีกว่า แผนที่กว้างใหญ่และสวยงาม แผนที่ของเกมนี้ถือว่าทำออกมาสวยงามมากๆ ในด้านของแสงและสี แม้ว่ารายละเอียดตัวเมืองอาจจะไม่ได้สวยเหมือนกับเกมแข่งรถอื่นๆ และดูโล่งไปหน่อย แต่มันก็ทดแทนด้วยไอเทมให้เราเก็บมากมาย รวมถึงกิจกรรมย่อยๆ อยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทำให้การออกสำรวจเมืองก็นับว่าสนุกไม่น้อย กราฟิกและเสียงประกอบ Palm City คือเมืองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมือง Miami ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ฉากของเมืองนี้สวยมากๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งคุณปรับภาพในแบบ Ultra ยิ่งทำให้ภาพในเกมสวยขึ้นไปอีก โดยสเป็กที่ผู้เขียนใช้รีวิวเกมนี้คือ i5-9400F, RTX 2060, Ram 16 GB สามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างลื่นไหลแม้จะปรับสุด หรือแม้จะทำการสตรีมไปด้วยก็ไม่ได้กินสเป็กเครื่องมากเท่าไหร่ ในส่วนของเสียงถือว่าเป็นพระเอกของเกมนี้เลย เสียงดนตรีประกอบ เสียงเครื่องยนต์ ทำออกมาได้ดีมากยิ่งคุณมีหูฟังดีๆ หรือลำโพงแจ่มๆ คุณจะเล่นเกมนี้ได้เพลินเป็นพิเศษ สรุป Need For Speed: Heat ถือว่าเป็นแนว Racing ที่เหมาะสำหรับเกมเมอร์ Causal ที่ต้องการเกมแข่งรถสนุกๆ ไม่ยากจนเกินไปหรือว่าสมจริงจนเครียด หรือหากคุณชอบเกมแช่งรถแบบแข่งไปเก่งไป เกมนี้ถือว่าตอบโจทย์คุณอย่างมาก แม้ว่าองค์ประกอบบางอย่างของเกมนี้ยังคงต้องได้รับการปรับปรุง แต่โดยภาพรวม Need For Speed: Heat คือเกมแข่งรถที่คุณควรลองเล่นสักครั้ง Need For Speed: Heat เปิดให้เล่นแล้ววันนี้ใน Origin ทั้งในรูปแบบของเกมเต็มและ Origin Access Premier ป.ล. ใครที่จะสตรีมเกมนี้ใน Facebook ให้ปิดเพลงในเกมมิฉะนั้นวิดีโอจะโดนบล็อคได้ [penci_review id="33688"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
15 Nov 2019
แนะนำเกม Path of Exile หนึ่งในเกมฟรีคู่แข่ง Diablo
ในวงการเกมการหยิบยืมไอเดียกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ จึงไม่แปลกใจที่เรามักจะเห็นระบบการเล่นของอีกเกมไปอยู่ในอีกเกมหนึ่ง จนไปถึงบางทีมพัฒนาเกมที่นำเอาระบบเกมของคนอื่นมาต่อยอดและทำออกมาได้ยอดเยี่ยมกว่าต้นฉบับก็มี และหนึ่งในเกมที่สามารถทำแบบนั้นได้คือ Path of Exile ที่นำเอาไอเดียของเกมอื่นมาต่อยอดจนกลายเป็นเกมที่ดีมาก ๆ ได้เกมหนึ่งเลยทีเดียว อะไรคือ Path of Exile https://www.youtube.com/watch?v=TFIuqeWPx9Y Path of Exile หรือว่า PoE คือเกมแนว Action - Hack n Slash/MMO จากทีมงาน Grinding Gear Games ที่ได้นำเอาไอเดียของเกม Diablo 2 มาต่อยอดในรูปแบบของตัวเอง พร้อมทั้งได้พัฒนาระบบต่าง ๆ จนถูกใจแฟน ๆ เกมแนวนี้ โดยเฉพาะเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่ชอบการสร้างตัวละครต่าง ๆ ที่คุณสามารถสร้างตัวละครของคุณได้หลากหลายแนวทาง ทั้งการใช้สกิลและการปรับ Passive ที่จะทำให้เราคลุกอยู่กับเกมนี้ได้ทั้งวัน  ระบบการเล่นของ PoE คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับเกมแนวนี้ ตัวละครที่หลากหลาย สำหรับเกมแนว Hack n Slash มักจะพ่วงหนึ่งข้อเสียสำคัญคือการเล่นที่ล็อคสายและไม่หลากหลายเท่าที่ควร แต่สำหรับเกม POE ขอให้คุณลืมเรื่องนั้นไปเพราะตัวเกมถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนสามารถที่จะเล่นข้ามสายไปหากันได้ ขอเพียงแค่เงื่อนไขตรง โดยตัวละครเริ่มต้นของเกมมีดังนี้ Marauder ตัวแทนของสายกายภาพ เน้นพลังชีวิตที่สูงและดาเมจทางกายภาพที่รุนแรง Ranger ตัวแทนของการสายกายภาพแบบโจมตีระยะไกล มีอัตราการหลบหลีกที่สูงและความรวดเร็วในการโจมตีที่สูง Witch จอมเวทย์ประจำเกมที่เน้นความเสียหายทางด้านเวทมนต์ รวมถึงการเรียกใช้งานเหล่าซัมมอน Duelist เป็นสายผสมระหว่าง Marauder และ Ranger ทำให้ตัวละครนี้เน้นไปยังการทำดาเมจกายภาพ ผสมกับการโจมตีที่รวดเร็ว Shadow สายผสมระหว่าง Ranger และ Witch ทำให้มีความเร็วในการโจมตีที่สูง รวมถึงพลังเวทมนต์ที่รุนแรง โดยจุดเด่นของตัวละครนี้คือสามารถเข้าถึงความสามารถด้าน Critical ได้มากกว่าตัวละครอื่น ๆ Templar เป็นสายผสมระหว่าง Marauder และ Wicth ทำให้ตัวละครนี้มีพลังชีวิตที่สูงและมีดาเมจด้านเวทมนต์ที่แข็งแกร่ง Scion ลูกผสมของ Marauder , Ranger ,Witch  มีจุดเด่นคือแนวทางการเล่นที่หลากหลาย สามารถสร้างทิศทางการเล่นได้แบบไม่เหมือนใคร แต่ก็แลกมากับการที่ต้องใช้ไอเทมและเลเวลสูงกว่าตัวละครอื่น ๆ โดยทุกตัวละครจะมีคลาสเสริมหรือที่ในเกมใช้คำว่า Ascendancy อีกอาชีพละ 3 คลาส ที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันอย่างมาก เรียกได้ว่าหลากหลายมาก ๆ สร้างสกิลในแบบของเรา ระบบสกิล PoE จะทำงานผ่าน Gem โดยแต่ละ Gem จะต้องนำเอามาติดตั้งในอาวุธหรืออุปกรณ์สวมใส่เราจึงจะสามารถใช้งานได้ โดยระบบ Gem จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ Skill Gem ที่เมื่อนำไปใส่ในไอเทมจะสามารถใช้งานได้และ Support Gem ที่จะไม่ทำงานโดยตรงแต่จะสนับสนุนการทำงานของ Skill Gem แทน (ต้องมีเงื่อนไขตรงกัน) ทำให้เราสามารถที่จะออกแบบสกิลในรูปแบบของเราจะให้มีความสามารถพิเศษอะไรก็สามารถเลือกได้ตามที่เราต้องการ เพียงแต่ว่า Gem บางอันอาจจะต้องใช้เลเวลในการปลดล็อค ระบบ Passive ที่ออกแบบได้ตามใจเรา ถือว่าเป็นจุดที่หากชอบก็ชอบไปเลย หากไม่ชอบก็เกลียดไปเลยกับระบบ Passive แบบอิสระที่จะทำให้เราสามารถเลือกอัปได้ตามใจของเรา ไม่มีคำแนะนำ มีแต่ความถูกใจและแนวทางการเล่นของเรา ทำให้เราจะต้องติดให้ดีที่อัป Passive ต่าง ๆ ยิ่งตัวละครของเราเลเวลสูงการแก้ Passive จะเป็นเรื่องยาก จนทำให้หลาย ๆ คนลงทุนสร้างตัวละครใหม่กันเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลาย ๆ คนท้อเพราะเลเวลก็สูงแต่ดันไม่เก่งเหมือนคนอื่น นอกจากนี้ใน Passive จะมี Node ใหญ่ที่จะให้ความสามารถที่สุดแกร่งและอาจจะเปลี่ยนแนวทางการเล่นของเราไปเลย แต่ Node เหล่านี้ไม่ได้มาฟรี ๆ มักจะมีสิ่งที่เราจะต้องแลก ดังนั้นอาจจะต้องศึกษาให้ดี เน้นการแลกเปลี่ยนและการฟาร์ม ในเกม PoE จะไม่มีระบบเงินเหมือนกับเกมแนว MMO อื่น ๆ แต่ผู้เล่นในเกมจะใช้การแลกเปลี่ยนไอเทมกันแทน โดยมีหน่วยกลางคือ Chaos Orb หรือ Exalted แทนซึ่งเราสามารถที่จะฟาร์มเองได้ในเกม ผ่านการแลกเปลี่ยนไอเทมกับ NPC รวมถึงหาได้จากระบบการ์ด ทำให้เกมนี้เน้นการฟาร์มอย่างมากโดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่ดวงไม่ดี อาจจะต้องฟาร์มอย่างหนักเพื่อให้ได้ไอเทมมา โดยการแลกเปลี่ยนนั้นส่วนมากผู้เล่นจะนิยมโพสต์ไอเทมขายผ่านทาง poe.trade ให้เราหาเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม เล่นฟรีและไม่ต้องเติมก็เทพได้ ในยุคนี้ต้องยอมรับการ Free to Pay แต่ Pay to Win ถือว่าเป็นเรื่องปกติของเกมแนว MMO แต่สำหรับเกมนี้การเติมนั้นไม่ได้ทำให้คุณเก่งขึ้นอย่างไร แต่จะเพิ่มความสะดวกสบายและความเท่ให้กับตัวละครของเราแทน ทำให้เราสบายใจได้ว่าเกมนี้ไม่มีเทพทรูอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีระบบอีกมากมายที่ให้เพื่อน ๆ ได้ลองเข้าไปสัมผัส โดยเกม PoE เปิดให้เล่นแล้วในวันนี้ผ่านทาง Steam หรือผ่านทางเว็บไซต์ของทีมพัฒนาเกมได้ผ่านทาง pathofexile.com นอกจากนี้ยังสามารถเล่นเกมนี้ผ่านเครื่อง PlayStation 4 (โซนบ้านเราเล่นไม่ได้) และ Xbox One ได้อีกด้วย
11 Nov 2019
รีวิว NBA 2K20 สมจริงขึ้น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก
ออกมาแล้วสำหรับเกมบาสเกตบอลรายปีของทาง 2K Games กับ NBA 2K20 ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก กับเอกลักษณ์ในความสมจริงของเกม เปรียบดั่งคุณได้เข้าไปเล่นเกมนั้นจริงๆ ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้หลังจากได้เล่นมา ว่ามันควรค่าแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่ ไปชมกันเลย !! เนื้อเรื่องของ Career Mode ในโหมด  MyCareer สนุกขึ้นนะในความเห็นส่วนตัว เพราะการดราฟผู้เล่นใน NBA มันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะแต่ละการดราฟ มันส่งผลให้ผู้เล่นนั้นมีรายได้และชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งใน 2k20 ก้ได้ใส่เนื้อเรื่องตอนช่วงดราฟไปเยอะขึ้นมาก โดยเริ่มตั้งแต่ มีการวัดสมรรถภาพ ด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น การชู๊ตบาส ความสูงในการกระโดด การยกน้ำหนัก (อันนี้ยากมาก แอดเองก็ทำไม่ได้ ทำได้ไม่กี่ที) ความเร็วในการวิ่ง ความคล่องตัวต่างๆ และหลังจากนั้นเราต้องไป ซ้อมในทีมที่สนใจเรา ซึ่งแต่ละส่วนที่ผมพูดมานั้น มันมีผลต่ออันดับในการดราฟ และ ค่าตัวของเราหลังจบเกม พอมันออกมาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกประทับใน ทำให้การเล่นเกมบาสที่มันมีแค่เล่นบาส มีอะไรมากขึ้น ส่วนเนื้อเรื่องข้างในก็อาจจะไม่ได้ต่างอะไรกับเวอร์ชั่นเก่าๆ ซักเท่าไร และมันก็มักจะสร้างดราม่ามาเร้าอารมณ์ขึ้นแค่นั้นแหละ เลยทำให้นอกจากการดราฟที่มีอะไรมากขึ้น แต่จุดอื่นๆ เองก็ต้องบอกว่ามันไม่ค่อยต่างเท่าไร เลยอาจจะทำให้หลายๆ อย่างดูเดิมๆ ไปหน่อย แอนิเมชั่นและกราฟิก โดยเกมภาคนี้มีความสมจริงเพิ่มมากขึ้น แอนิเมชั่นการเคลื่อนที่เมื่อวิ่งผ่านฝั่งตรงข้ามมีความหนืดมากขึ้นเนื่องจากความสมจริง ซึ่งมันก็สมจริงในด้านกีฬาบาสเกตบอล ต่างจากภาคเก่าๆ ที่แทบจะไม่มีความหนืดเลยวิ่งฝ่านได้ฉิวซึ่งมันไม่สมจริงเอาสะเลย ท่าทางการชู๊ต ก็ทำได้สมจริงมาก บวกกับเรื่องของท่าทาง ดั้ง หรือเลย์อัพก็สมจริง โมเดลตัวตัวละครในเกมเหมือนจริงขึ้นมากๆ มองหน้าผ่านๆ ยังรู้เลยว่าคนนี้เป็นผู้เล่นคนไหน ไม่ใช่แค่ผู้เล่นระดับ All Star แต่ผู้เล่นอื่นๆก็ทำได้สมจริงเช่นกัน พื้นสนาม และด่านต่างๆก็ทำได้ดีจัดว่าดีมาก มีการสะท้อนของพื้นในบางจุด เกมเพลย์ อย่างที่บอกว่าตัวเกมมีความสมจริงขึ้น เลยทำให้การเล่นมันยากขึ้้นมาก ในภาคที่ผมเคยเล่นมันจะมีสูตรในการเล่นตายตัวของเกมภาคเก่าๆ คือสกรีนให้เพื่อนแล้วเราพลิกมาจับบอลยิง เล่นแบบนี้แทยทุกช้อตยังไงก็ได้แต้ม แต่พอมาภาคนี้ พยายามแล้วพยายามอีก ก้จับจุดมันไม่ได้สักที เหมือนเราพยายามหาจุดอ่อนของเกม แต่มันหาได้ยากขึ้น ทำให้แอบท้อแท้ในช่วงดราฟเข้า NBA ใหม่ๆ แต่ก็มีความท้าทายมากขึ้น บางทีลองเล่นแบบง่ายสุดยังเอาตัวเองแทบไม่รอดเลย ซึ่งจุดที่ผู้เขียนไม่ชอบก็เป็นเรื่องของการที่มันยิงยากไปนิดนึง หรือว่าตัวละครเรายังอ่อนอยู่ (รึอาจจะเป็นที่ตัวผมอ่อนก็ไม่รู้ 555) แบบโล่งๆยิงไม่ลงทั้งๆที่อัพแสตทสามแต้มไปเยอะ แล้วก็อีกเรื่องคือบอทใน My career มันยังเป็นบอทเกินไปในเกมบุก มีแพทเทินที่แบบเดาได้จนเกินไป มันทำให้น่าเบื่อในบางครั้ง แต่ว่าโดยภาพรวมถือว่าผ่านในสายตาผม ผมคิดว่ามันสนุกขึ้น มันท้าทายขึ้น ภาพสวยมากขึ้น โดยเฉพาะ ตัวละครต่างๆในเกม เหมือนตัวจริงจนน่าตกใจ สรุป NBA2K20 ก็ยังรักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้ และกลับมาพร้อมกับกราฟิกแอนิเมชั่นที่สมจริงมากขึ้น แต่ก็ต้องบอกว่าอะไรหลายๆ อย่างมันก็ยังดูเหมือนกับภาคที่แล้วอย่างกับแกะ ความแปลกใหม่ของมันอาจจะไม่เพียงพอที่จะดึงดูดใจให้ซื้อมาเล่นซักเท่าไร แต่ถ้าหากใครที่เป็นแฟนๆ NBA2K20  เล่นมาทุกภาคมันก็ยังมีคุณค่าที่จะซื้อมาเล่นครับ เพราะเอาจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่รูปเกมเพลย์มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ส่วนใครที่อยากจะซื้อเกมนี้มาเล่นปาร์ตี้กับเพื่อน แต่ถ้าท่านมีภาค 18 / 19 อยู่แล้ว ก็อยากจะบอกว่าให้ผ่านภาคนี้ไปก่อนก็ได้ เอาไว้ภาคหน้าๆ ถ้ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นค่อยซื้อมาเล่นอีกทีแล้วกัน [penci_review id="33235"]  
05 Nov 2019
Review: รีวิวเกม Death Stranding "เกมจำลองชีวิตบุรุษไปรษณีย์ในโลก Post-Apocalypse"
เป็นที่จับตามองมาตลอดตั้งแต่เปิดตัวแล้วกับเกม Death Stranding เกมแอคชั่นสุดลึกลับใหม่ล่าสุดจากตัวพ่อแห่งวงการพัฒนาเกมคุณ ฮิเดโอะ โคจิม่า ที่วางมือจากการพัฒนาเกมซีรี่ส์ Metal Gear มาสร้างเกมซีรี่ส์ใหม่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยตลอดระยะเวลา 2-3 ปีตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวครั้งแรกในงาน E3 2016 เกมก็ได้รับการกล่าวขานถึงความน่าพิศวงของเนื้อเรื่องและเกมเพลย์มาโดยตลอด แม้ว่าผู้พัฒนาจะเริ่มเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเกมมากขึ้นแล้วในช่วงก่อนวางจำหน่าย แต่ผู้เล่นหลายคนก็ยังได้แต่งงว่าสรุปแล้วเกมเป็นเกมแนวไหน เล่นยังไงกันแน่ และฉากคัตซีนของเกมที่เปิดเผยออกมาในตัวอย่างทั้งหลายจะปะติดปะต่อกันเป็นเนื้อเรื่องแบบไหน หลังจากที่ได้เล่นเกม Death Stranding จนจบเนื้อเรื่อง (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดที่ใช้รีวิวเกมล่วงหน้า) ผู้เขียนพูดได้เลยว่าเกม Death Stranding ถือเป็นเกมที่สร้างนวัตกรรมใหม่ในการเล่นเกมแบบ Connected Single Player (การเล่นเกมคนเดียวแต่เชื่อมต่อกับผู้อื่นตลอดเวลา) ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยระบบเกมที่ทำให้ทุกการกระทำของผู้เล่นส่งผลไปยังโลกในเกมของผู้เล่นคนอื่น อย่างมีนัยยะสำคัญ พร้อมด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่น่าติดตามอันเป็นลายเซ็นของคุณโคจิม่าผู้สร้าง ทำให้เกม Death Stranding เป็นเกมที่น่าสนใจเสมอตลอดระยะเวลากว่า 30-40 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการผ่านเนื้อเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมเพลย์ของ Death Stranding นั้นคงไม่ใช่เกมเพลย์ที่น่าสนุกสำหรับทุกคน ดังที่เขียนไปในหัวบทความว่าเกมเป็น "เกมจำลองชีวิตบุรุษไปรษณีย์ในโลก Post-Apocalypse" เกมเพลย์ของ Death Stranding จะวนเวียนอยู่กับการขนพัสดุต่างๆ จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งตลอดทั้งเกม และมีส่วนที่เป็นเกมแอคชั่นเบาๆ อยู่เพียงประปรายเท่านั้นตลอดระยะเวลาการเล่นส่วนใหญ่ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะถามว่าแปลว่าเกมน่าเบื่อหรือเปล่า คำตอบที่ผู้เขียนให้ได้ดีที่สุดคือเกมไม่ได้น่าเบื่อ แต่ก็อาจจะไม่ได้ สนุก ในลักษณะเดียวกับเกมส่วนใหญ่ๆ ในตลาดเช่นเดียวกัน คำจำกัดความที่ผู้เขียนรู้สึกว่าถ้าจะใช้คำที่เหมาะสมกว่า สนุก น่าจะเป็นคำว่า เพลิน มากกว่า เพราะแม้ว่าเกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการนำพัสดุไปส่ง แต่ก็มีระบบยิบย่อยต่างๆ อย่างการบริหารน้ำหนักกระเป๋าสะพาย หรือการตามหาทรัพยากรต่างๆ มาใช้เพื่อสร้างอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลาย ทำให้การส่งของทุกครั้งจำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อนในแง่ของการวางแผน แถมเนื้อเรื่องของเกมยังทำออกมาได้อย่างมีคุณภาพและน่าติดตาม เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นออกไปทำภารกิจเพื่อปลดล็อคเนื้อเรื่องต่อไปเรื่อยๆ นั่นเอง เกม Death Stranding อาจจะไม่ได้เน้นเกมเพลย์ที่ตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา แต่ก็เพลิดเพลิน เล่นได้เรื่อยๆ รวมไปถึงภายในเกมที่มีศัตรูให้สู้อยู่บ้าง ในรูปแบบของโจร ผู้ก่อการร้าย และเหล่าผี BT รูปแบบต่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีบ่อยนัก ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของเกม Death Stranding นั้นจะเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย เมื่อประชากรมนุษย์ต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ปริศนาในชื่อ Death Stranding ส่งผลให้โลกแห่งความตายล้นทะลักเข้าสู่โลกของคนเป็น ทำให้เหล่าคนตายหรือพวกผีที่เกมเรียกว่า BT ออกอาละวาดจู่โจมผู้คน และทำให้เกิดฝนเวลาที่เรียกว่า Time Fall ซึ่งจะดูดเวลาของคนที่โดนฝนไปเรื่อยๆ ทำให้มนุษย์ที่ตากฝนเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ถึงกับแก่ตายไปในพริบตาได้เลย เพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายอันใหญ่หลวงทั้งสอง มนุษย์ที่ยังเหลือรอดจึงถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งหลบภัยใต้ดินที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ประเทศ ในขณะที่สิ่งปลูกสร้างตั้งแต่อาคารไปจนถึงถนนบนดินเกือบทั้งหมดที่เคยมีถูกฝน Time Fall ชำระล้างไปจนไม่เหลือแม้แต่ซาก คนทั่วไปจึงต้องพึ่งพากลุ่มคนส่งของที่เกมเรียกว่า Porter เป็นหนทางหลักในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนทรัพยากรกันระหว่างแหล่งหลบภัยแต่ละที่นั่นเอง ถึงอย่างนั้น กระทั่งชาว Porter นี้ก็ยังต้องเอาตัวรอดจากฝน Time Fall และเหล่า BT ด้วยในระหว่างการเดินทาง ทำให้การสื่อสารและส่งของด้วยวิธีดังกล่าวมีความเสี่ยงมาก ทำให้แหล่งหลบภัยแต่ละที่แทบจะตัดขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นตัวละครหลัก Sam Bridges (รับบทโดย Norman Reedus) บุรุษส่งของในตำนานผู้รักสันโดษ เขาถูกมอบหมายภารกิจสำคัญโดยประธานาธิบดีคนสุดท้ายของอเมริกาในการเชื่อมต่อแหล่งหลบภัยเข้าด้วยกัน ผ่านเครือข่าย Chiral Network ในเกมนี้เปรียบเสมือนอินเตอร์เน็ตที่ทำให้สามารถส่งทั้งข้อความและทรัพยากรที่ไม่มีชีวิต เช่นเหล็ก กระเบื้อง หรือปูนไปหากันระหว่างแหล่งหลบภัยแต่ละที่ได้ เพื่อเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกันและทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่รวมตัวกัน หรือสหรัฐ(United) อีกครั้ง ผ่านภารกิจในการเดินทางไปยังแหล่งหลบภัยทั่วอเมรีกา เพื่อเชื่อมต่อทุกคนเข้าด้วยกัน แต่ไหนๆ จะลำบากเดินทางไกลแล้ว จะไปตัวเปล่าก็น่าเสียดาย เกมจึงมักจะให้ Sam นำพัสดุจากแหล่งหลบภัยหนึ่งไปส่งที่แหล่งหลบภัยอื่นต่อไปเรื่อยๆ ด้วย จะได้ไม่เสียเที่ยว จึงเป็นที่มาของเกมเพลย์ "จำลองชีวิตบุรุษไปรษณีย์" ของเกมนั่นเอง (เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสปอยให้มากที่สุด เราจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องนอกจากบทย่อ แต่จะขอพูดถึงความรู้สึกโดยรวมที่ได้รับจากเนื้อเรื่องมากกว่า) การติดตามปะติดปะต่อเนื้อเรื่องของ Death Stranding ในช่วงต้นของเกมนั้นค่อนข้างยาก ส่วนหนึ่งมาจากลวดลายการเล่าเรื่องของคุณโคจิม่า ที่ค่อยๆ เปิดปริศนาและตัวละครใหม่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการคลี่คลายปริศนาเก่าๆ ทำให้ผู้เล่นเกิดคำถามในหัวตลอดเวลา แถมยังกั๊กการคลายปมทั้งหมดไปไว้ช่วงท้ายสุดของเกม อีกส่วนมาจากการที่เกมมักจะใช้ศัพท์ค่อนข้างยาก ทั้งคำศัพท์ที่มีอยู่จริงและคำศัพท์ไซไฟต่างๆ จนบางครั้งก็ตามไม่ทันเหมือนกันว่าตอนนี้ตัวละครกำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าปริศนาที่เกมยกขึ้นมาก็น่าสนใจมากพอที่จะทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากรีบเล่นต่อเพื่อไขปริศนาของเกมอยู่เสมอเช่นกัน เคยมีคำพูดจากคุณ ชูเฮย์ โยชิดะ (ประธานบริษัท Sony Interactive Entertainment ผู้ดูแลเกม Exclusive ของ PS4 ทั้งหมด) ที่บรรยายการเล่าเรื่องของเกม Death Stranding เป็นเหมือน ซีรี่ส์ทาง Netflix ที่มีคุณภาพสูงเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นคำจำกัดความที่ดีสำหรับเกม Death Stranding ที่เล่าเนื้อเรื่องในลักษณะเป็น Episode หรือเป็นตอนๆ แต่ละตอนจะมีความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญแต่ละตัวที่ผู้เล่นพบเจอระหว่างทาง แก่นหลักของเรื่องมักจะมีความเกี่ยวข้องกับธีมของความเป็นความตาย และจิตวิญญาณ รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นและคนตาย ซึ่งโคจิม่าเขียนบทออกมาได้หนักแน่นและน่าดึงดูด นอกจากนี้การแสดงของเหล่าดาราระดับฮอลลีวู้ดมากมายยังส่อิทธิพลให้การเคลื่อนไหวและสีหน้าของตัวละครมีความละเอียดในระดับที่ยังหาเกมอื่นเทียบได้ยาก ถ้า Call of Duty: Modern Warfare ภาคใหม่ไม่ออกมาซะก่อน ผู้เขียนคงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำไปแล้วว่านี่คือเกมที่ใช้เทคโนโลยีการแสกนและ Motion Capture ใบหน้านักแสดงได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว (ตอนนี้ถือว่าสูสีกัน) ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของ Death Stranding เหมือนจะถูกออกแบบมาให้เล่นให้จบในเวลาที่สั้นที่สุด เช่นเดียวกับซีรี่ส์ Netflix ที่มักจะปล่อยออกมาพร้อมกันทีเดียวโดยหวังให้ผู้ชมนั่งดูหนึ่งรวดจบ เพราะทุกรายละเอียดมีความหมายในภาพรวม เหตุการณ์ตอนต้นอาจมีนัยยะสำคัญมากในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้ถ้าเว้นระยะการเล่าเรื่องระหว่างฉากนานเกินไปอาจจะส่งผลให้ผู้เล่นรู้สึกขาดตอนได้ เหมือนบางทีก็ลืมไปแล้วว่าตอนต้นเรื่องที่เราเล่นไปเมื่อ 30 กว่าชั่วโมงที่แล้วมีรายละเอียดยังไงบ้าง โดยเกมมักจะเล่ารายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ออกมาในคัตซีนและการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง Sam และตัวละครอื่นในระหว่างที่เดินทางอยู่ ซึ่งบางจังหวะก็ทำให้พลาดข้อมูลสำคัญไปได้ง่ายๆ เพราะมัวแต่พยายามปีนเขาอยู่ เป็นต้น หรืออาจจะมีระยะการเดินทางไกลและใช้เวลา ทำให้หลงลืมรายละเอียดบางส่วนที่เพิ่งรับรู้มาระหว่างที่พยายามจัดการกับการเล่นเกมจริงๆ กล่าวโดยสรุปว่าเนื้อเรื่องของ Death Stranding มีความลึกซึ้งและน่าค้นหามาก บทพูดเองก็เขียนมาดีระดับหนังฮอลลีวู้ดแม้จะเข้าใจยากในบางจุด แถมแก่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็น ความตาย และความสัมพันธ์ยังสื่อออกมาได้อย่างแยบยลผ่านทั้งบทสนทนา การแสดง และ Art Direction หรือการออกแบบศิลป์ของเกม ที่ล้วนแต่ช่วยเสริมกันและกันได้อย่างพอดีผ่านวิสัยทัศน์ของคุณโคจิม่า แต่ด้วยรายละเอียดในเนื้อเรื่องที่ถูกขั้นโดยเกมเพลย์ ทำให้การติดตามปะติดปะต่อปริศนาต่างๆ ค่อนข้างยาก เหมือนคุณโคจิม่ากำลังพยายามเขียนหนังที่สามารถเสพได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง มากกว่าเกมที่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์เพื่อเล่นให้จบ และไม่สามารถย้อนกลับไปดูตอนก่อนหน้าได้ ◊ เกมเพลย์ ◊ สำหรับเกมเพลย์ของ Death Stranding นั้นจะมีลักษณะเป็นวงจร เริ่มจากการรับภารกิจจากแหล่งหลบภัยหนึ่ง เลือกจัดพัสดุและอุปกรณ์ ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังแหล่งหลบภัยต่อไปเพื่อส่งพัสดุและดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปนั่นเอง แม้ว่าในภาพใหญ่แล้ว เกมเพลย์ของ Death Stranding จะเป็นการนำของจากจุด A ไปส่งจุด B เท่านั้น แต่การส่งของแต่ละครั้งก็มีความละเอียดอ่อนในด้านการวางแผนที่ต้องพิจารณามากมายด้วย สิ่งแรกที่ผู้เล่นจะต้องทำคือการเลือกว่าจะบรรทุกพัสดุไปส่งอย่างไร โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกที่จะแบกพัสดุไว้บนหลังก็ได้ถ้าชิ้นใหญ่ หรือถ้าชิ้นเล็กหน่อยก็อาจจะแขวนไว้บนราวที่ติดมากับชุดก็ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นยังต้องเลือกว่าจะนำอุปกรณ์อะไรติดตัวไปใช้ระหว่างเดินทางบ้าง ไม่ว่าจะเป็นบันไดพับ เชือกปีนเขา ตลอดจนอาวุธและยาเพิ่มเลือดต่างๆ ซึ่งผู้เล่นสามารถสร้างได้โดยการใช้ทรัพยากรต่างๆ การเลือกตำแหน่งการบรรทุกของเหล่านี้มีความสำคัญมากๆ เพราะถ้าเกลี่ยน้ำหนักของสิ่งของที่แบกอยู่ให้สมดุลทุกด้าน หรือแบกของหนักเกินไป อาจจะทำให้ตา Sam หกล้มระหว่างทางได้ ซึ่งก็จะทำให้พัสดุตกหล่นเสียหายและส่งผลลบต่อการประเมินหลังทำภารกิจด้วย เมื่อจัดแจงของเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการออกเดินทางเพื่อนำของไปส่งนั่นเอง ผู้เล่นก็ต้องพิจารณาว่าจะเลือกใช้เส้นทางไหนในการเดินทางบ้างซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่นสองคนต่างกันอย่างมากเลยก็ได้  อย่างผู้เขียนเป็นคนที่ชอบเดินทางเป็นเส้นตรงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ทำให้บางครั้งก็ต้องเผชิญกับสภาพภูมิประเทศที่ไม่เป็นมิตร อย่างการข้ามภูเขาหิมะหรือเหว ในขณะที่ผู้เล่นอีกคนอาจจะเลือกที่จะใช้เส้นทางที่อ้อมกว่าแต่ภูมิประเทศมีความราบเรียบเดินทางสะดวกกว่า โดยผู้เล่นจะสามารถสำรวจภูมิประเทศด้วยการเปิดแผนที่ดู หรือจะใช้ตัว Odradek Scanner ที่ติดไหล่ตัวเอกเพื่อแสกนพื้นที่ด้านหน้าเพื่อหาเส้นทางที่น่าเดินทางไปมากที่สุดซึ่งก็ทำให้การเดินทางของทุกคนต่างกันไปด้วย สิ่งที่น่าสนใจอย่างแรกเกี่ยวกับการเล่นเกมก็คือระบบการแบ่งสิ่งของและสิ่งปลูกสร้างของผู้เล่นต่างๆ ที่จะทำให้สิ่งที่ผู้เล่นต่างๆ สร้างเอาไว้ในโลกของตัวเองถูกส่งไปอยู่ในโลกของผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วย เช่นผู้เล่น A อาจจะสร้างสะพานเอาไว้ตรงจุดหนึ่ง ผู้เล่น B ก็จะสามารถมองเห็นและใช้สะพานนั้นได้ราวกับมันมีอยู่ในเกมมาตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างถนน บ้านพัก หรือที่ชาร์จแบตเตอรี่ส่วนตัวด้วยการนำวัตถุดิบอย่างเหล็กหรือกระเบื้องมาใส่เข้าในเครื่อง หรือกระทั่งส่งของให้กันผ่านทางตู้เก็บของก็ยังได้ ซึ่งแม้ว่าผู้เล่นทั้งหลายจะไม่ได้พบเจอกันหรือสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้โดยตรง แต่ทุกคนก็สามารถร่วมมือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคได้ เสมือนว่าเกมต้องการจะสื่อว่าแม้ว่าเราจะเหมือนอยู่คนเดียวในเกมตลอดการเดินทางข้ามทวีป แต่แท้ที่จริงแล้วเราก็มีแรงเกื้อหนุนจากเหล่าผู้เล่นคนอื่นที่กรุยทางมาให้ก่อนแล้ว ระหว่างการเดินทาง เราจะสามารถพบเจอกับพัสดุที่เหล่าผู้เล่นหรือ NPC ทำตกหล่นเอาไว้ได้ (ของที่เราทำหล่นไว้ก็จะสามารถมีผู้เล่นอื่นมาเก็บไปส่งได้เช่นกัน) ซึ่งเราสามารถนำของเหล่านี้ไปส่งตามแหล่งหลบภัยต่างๆ เพื่อเก็บค่าความสามารถให้ Sam เช่นแบกน้ำหนักได้มากขึ้น หรือทำให้พัสดุเสียหายน้อยลงเวลาล้มเป็นต้น นอกจากนี้ เรายังสามารถพบกับกล่องวัตถุดิบหลากชนิด ระหว่างทางได้ด้วย ซึ่งกล่องเหล่านี้ก็สามารถเก็บมาบริจาคคืนแหล่งหลบภัยเพื่อสะสมไว้สร้างอุปกรณ์หรือกระทั่งยานพาหนะได้ ระบบเกมเพลย์การขนของนี้อาจจะฟังดูยุ่งยาก (ซึ่งเอาเข้าจริงก็แอบยุ่งยากอ่ะแหละ) แต่ก็มีความท้าทายในแบบของมันเองอยู่ด้วย ผู้เล่นจะต้องใส่ใจกับสภาพแวดล้อมของตัวเองเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่ขนพัสดุขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากๆ นอกจากนี้ยังต้องคอยสังเกติตา Sam ตลอดเวลาไม่ให้ล้มจนของเสียหายด้วยการกด R2 หรือ L2 ค้างเอาไว้เพื่อถ่ายน้ำหนักไปทางขวาหรือซ้ายอยู่เรื่อยๆ แถมการเลือกเส้นทางเดินก็มีความสำคัญ เพราะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของพัสดุ เช่นห้ามเปียกน้ำหรือห้ามเสียหาย หรือบางภารกิจอาจจะมีจำกัดเวลาด้วยว่าต้องไปส่งให้ได้ในเวลาเท่าไหร่ ทำให้เกมยังคงต้องใช้ความใส่ใจในการเล่น มากกว่าแค่เดินไปเรื่อยเปื่อย แต่นอกจากภูมิประเทศที่ไม่เป็นมิตรแล้ว อีกสองอุปสรรคใหญ่ๆ ที่ทำให้การใช้ชีวิต Porter ของตา Sam มีความลำบากก็คือเหล่าศัตรูที่เป็นมนุษย์อย่างโจรกับผู้ก่อการร้าย และเหล่าศัตรูที่เป็นผี BT นั่นเอง โดยศัตรูทั้งสองชนิดนี้จำเป็นต้องใช้การรับมือที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมักจะถูกวางเอาไว้ในจุดที่หลบเลี่ยงลำบากเสมอๆ เหล่าศัตรูที่เป็นมนุษย์จะสามารถใช้วิธีแบบเกมแอคชั่นในการรับมือ เช่นการต่อยให้สลบหรือใช้ปืนยิง หรือการลอบเร้นด้วยการหลบในพงหญ้าเพื่อเก็บศัตรูอย่างเงียบๆ เป็นต้น โดยคนที่เคยเล่นเกมอย่าง Metal Gear Solid 5: Phantom Pain มาก่อนน่าจะรู้ว่า A.I. ในเกมของคุณโคจิม่านั้นฉลาดมากๆ แม้ว่าเหล่าศัตรูมนุษย์ในเกมนี้อาจจะไม่ได้เก่งเท่าใน Metal Gear แต่ก็ค่อนข้างฉลาด จะหลบในพงหญ้าแล้วแอบเก็บง่ายๆ ทีละตัวนี่อย่าหวังเลย ในขณะเดียวกันเหล่า BT มักจะพบได้ในจุดที่มีฝน Time Fall ตกหนัก และเกมจะหยุดเตือนเราทุกครั้งเมื่อเราเข้าใกล้ BT ถึงระยะหนึ่ง โดยจะเป็นเหมือนอุปสรรคทางภูมิประเทศมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ศัตรูเหล่านี้มักจะบังคับให้ผู้เล่นเปลี่ยนวิธีหรือจังหวะในการเคลื่อนที่มากกว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากันตรงๆ จนกว่าผู้เล่นจะทำเสียงดังหรือเดินชน BT เข้าให้ โดย BT จะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพื่อเตือน ก่อนที่จะพยายามดึงผู้เล่นลงสู่น้ำสีดำที่ซึมขึ้นมาจากพื้น โดยผู้เล่นจะมีโอกาสเอาตัวรอดด้วยการสลัดเหล่าวิญญาณคนตายที่โผล่ขึ้นมาดึงตัวเราและพาตัวเองออกไปจากวงน้ำสีดำให้ได้นั่นเอง ถ้าผู้เล่นถูกดึงลงสู่วงน้ำจะทำให้มีบอส BT ตัวใหญ่ๆ ออกมา ซึ่งเราต้องเอาชนะบอสให้ได้ ไม่ก็หนีออกจากพื้นที่วงน้ำสีดำให้ได้เพื่อเอาตัวรอด แต่ถ้าเอาชนะบอสลงได้นอกจากจะทำให้ฟ้าใสแล้ว ยังจะทำให้เราสามารถเก็บแร่ Chiral Crystal เพื่อใช้สร้างอุปกรณ์หรือสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนมากได้ด้วย การถูก BT จับได้จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว ตราบใดที่เราสามารถเอาชนะบอสเหล่านั้นลงได้ องค์ประกอบสำคัญในการรับมือกับเหล่า BT ก็คือเด็กทารกที่อยู่บนอกของ Sam หรือ BB นั่นเอง โดย BB จะทำงานร่วมกับเครื่อง Odradek Scanner บนไหล่เราเพื่อบอกตำแหน่งของ BT ตัวที่ใกล้ที่สุด และทำให้เรามองเห็น BT ได้เมื่อหยุดอยู่กับที่ด้วย โดยผู้เล่นจะต้องคอยระวังไม่ให้ BB เครียดมากเกินไปจากการกระทำต่างๆ เช่นการเดินลุยน้ำหรือการเข้าใกล้ BT มากๆ รวมไปถึงการลื่นหกล้มอีกด้วย ผู้เล่นจะสามารถลดความเครียดของ BB ได้ด้วยการโอ๋เวลาน้องร้องไห้ แต่ถ้าปล่อยให้เครียดจนหลอดหมดก็จะทำให้เราไม่สามารถมองเห็นหรือจับตำแหน่งของ BT ได้จนกว่าจะพา BB ไปรักษาที่แหล่งหลบภัยที่ใกล้ที่สุด การดูแล BB จึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในระหว่างการเดินทาง เพราะเราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ฝนจะตกและเหล่า BT จะออกมาหากิน ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่ต้องบอกก็คงพอจะนึกกันออกแล้วว่าระบบเกมเพลย์ของ Death Stranding มีความลึกมากๆ แม้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้เล่นจะต้องทำส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการส่งของก็ตาม ซึ่งเกมอาจจะไม่ได้สนุกตลอดเวลาโดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางระยะไกลๆ โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่นัก แต่ในจังหวะที่ทุกอย่างลงตัวก็ต้องชมคุณโคจิม่าอีกครั้งที่ออกแบบทุกอย่างให้เข้ากันได้อย่างพอดี ระบบเกมเพลย์ทำให้การเดินทางส่งของม่ีความท้าทายและน่าสนใจมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมื่อเริ่มปลดล๊อคอุปกรณ์มากขึ้น และมีระบบการร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นเข้ามาเสริม ทำให้การเล่นเกมมีความน่าสนใจมากขึ้น แถมยังถูกผูกเข้ากับแก่นของเรื่องที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และการเชื่อมต่อซึ่งกันและกันอีกด้วย อาจจะพูดได้ว่าแม้ว่าเราจะรู้สึกเหมือนเล่นเกมอยู่คนเดียว แต่เรากำลังร่วมมือกับผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อผ่านเกมไปด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว ◊ กราฟิก/การนำเสนอ ◊ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Death Stranding น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่ใช้เทคโนโลยีการแสกนหน้านักแสดงและการ Motion Capture ท่าทางการขยับร่างกายได้ดีที่สุดเกมหนึ่ง บางคนอาจบอกว่าดีกว่าเกมที่ขึ้นชื่อเรื่องความสมจริงอย่าง Red Dead Redemption 2 ด้วยซ้ำ แม้ว่าสีหน้าของตัวละครเป็นอะไรที่สามารถถูกควบคุมได้ (ดังที่เห็นจากภาพมีม Photo Mode ทั้งหลาย) สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องแววตาตัวละคร ซึ่งสะท้อนความรู้สึกของนักแสดงออกมาได้เต็มที่ราวกับมีชีวิต ตาไม่ลอยเหมือน NPC ในเกมทั่วๆ ไปเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าความสมจริงทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้การเล่าเรื่องในฉากคัตซีนต่างๆ มีคุณภาพสูงมาก ในบางมุมเกือบจะดูเหมือนภาพ Live-Action ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ใช่เพียงแค่ตัวละครเท่านั้นที่สมจริงราวกับมีชีวิต โลกของเกมเองก็เช่นกัน แม้ว่าอเมริกาของเกมจะไม่ได้มีขนาดเท่าทวีปในชีวิตจริง (ไม่งั้นเล่นกันทั้งปีก็ไม่จบ) แต่ก็ยังใหญ่พอให้มีภูมิภาคต่างๆ ที่มีภูมิประเทศแตกต่างกันชัดเจน แถมเกมยังมีระยะการมองเห็น (Draw Distance) ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ส่งผลให้รู้สึกตลอดเวลาว่าโลกของเกมมีความกว้างใหญ่ และทำให้ผู้เล่นรู้สึกได้ถึงความยากลำบากของตัวละครหลักในการฝ่าฟันระยะทางเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย อีกหนึ่งองค์ประกอบที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้คือเรื่องของการออกแบบศิลป์หรือ Art Direction ของเกม ซึ่งครอบคลุมไปถึงการออกแบบทุกอย่างในเกมนั่นเอง เกมสามารถสร้างตัวตนที่แตกต่างจากเกมแนวใกล้เคียงกันที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของ Sam ไปจนถึงสิ่งปลูกสร้างของเกม ที่ออกแบบมาให้มีความเป็นไซไฟแต่ก็ยังดูสมจริง หรือกระทั่งดีไซน์ของเหล่า BT ในเกม ที่ทำออกมาได้มีเอกลักษณ์และน่ากลัวได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็นเพียงเงาๆ ก็ตาม ที่น่าชื่นชมพอๆ กันคือการที่เกมแทบจะไม่มีบั๊คหรือปัญหาด้านการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเลยตลอดการเล่นของผู้เขียน อาจจะมีเพียงครั้งเดียวช่วงท้ายเกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเกิดบั๊คเล็กๆ ขึ้นกับเครื่อง Odradek Scanner แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร และเกมก็แก้ไขตัวเองในเวลาไม่นานอีกด้วย ที่สำคัญคือแม้ว่าเกมจะมีรายละเอียดในด้านกราฟิกแค่ไหน แต่ผู้เขียนไม่เคยรู้สึกถึงอาการเฟรมตกหรือกระตุกเลยแม้แต่น้อย นอกจากหน้าจอโหลดที่โผล่ขึ้นมาตอนเข้าเกมครั้งแรก (และอีกประปรายเวลาเข้าหรือออกคัตซีนใหญ่ๆ) เกมก็ไม่มีการโหลดอีกเลย ซึ่งในจุดนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าสดชื่นมาก เพราะขนาดเกมโลกเปิดหลายเกม ที่มีรายละเอียดและระบบการเล่นที่ลึกซึ้งน้อยกว่านี้หลายขุม ยังวางจำหน่ายพร้อมบั๊คเต็มเกมให้เห็นอยู๋บ่อยๆ การมีเกมที่คุณภาพสูงเท่า Death Stranding แต่กลับไม่มีปัญหาด้านเทคนิคจึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจทุกครั้งที่ได้เล่น องค์ประกอบสุดท้ายคงเป็นเรื่องของเสียง (เสียงพากย์คงไม่ต้องพูดถึง ดูจากนักแสดงแต่ละคน) เกมมักเลือกเปิดเพลงขึ้นในจังหวะที่เดินทางใกล้ถึงที่หมาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษ เพราะช่วยเสริมความรู้สึกของการเข้าใกล้ที่หมายได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเพลงที่เกมเลือกใช้ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเพลงจากวงค์ที่ชื่อว่า Low Roar ซึ่งเป็นวงแนว Post-rock จากศิลปินชาวอเมริกันและไอซ์แลนด์ ให้อารมณ์เศร้าๆ เปลี่ยวๆ แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง ต้องชมทีมพัฒนาเกมที่สามารถเลือกเพลงมาให้เสริมอรรถรสของเกมได้กลมกล่มขนาดนี้ ◊ สรุป ◊ ถ้าสุดท้ายต้องตอบว่าเกม Death Stranding สนุกแค่ไหน ก็คงต้องตอบว่าเกมคงไม่ได้สนุกสำหรับทุกคน ด้วยเกมเพลย์ที่ค่อนข้างช้า และเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนเข้าถึงยาก แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้ว ก็คงได้แต่ยอมรับว่า Death Stranding เป็นเกมที่สร้างออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ในแง่ของวิสัยทัศน์เบื้องหลังองค์ประกอบต่างๆ ของเกม แม้ว่าเกมจะแปลกๆ อยู่บ้างตามสไตล์ของคุณโคจิม่า แต่ Death Stranding ก็ยังเป็นเกมที่น่าเล่น อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์การเล่นเกมแบบ เล่นคนเดียวร่วมกับคนอื่น ที่แปลกใหม่ น่าลุ้นว่าในอนาคตคุณโคจิม่าจะสร้างเกมที่ใช้ระบบแบบนี้ออกมาอย่างไรอีกในอนาคต ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="32748"]
01 Nov 2019
รีวิว Fallen Knight เกมมือถือฝีมือคนไทยใน Apple Arcade
มากันอีกหนึ่งเกมในปีนี้แต่รอบนี้มาในรูปแบบฉบับเกมมือถือนั่นคือเกม Fallen knight เกม action Side Scrolling ค่ายน้องใหม่ฝีมือคนไทยอย่าง Fairplay Studios ด้วยเกมเพลย์สไตล์ Rockman โดยการออกแบบตัวละครที่ทันสมัย ให้อารมณ์เหมือน Spiral Knight ผสานกับการดึงข้อดีของเกม action สมัยใหม่มาผสมกันได้อย่างลงตัวและออกมาเป็นตัวเกมในรูปแบบที่ดูสดใหม่และมีการนำเสนอเนื้อที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย เนื้อเรื่อง จะเล่าถึงเรื่องราว ในโลกอนาคตของ กลุ่มอัศวินโต๊ะกลม ที่ได้ค้นพบ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า Holy Grail และยังพบว่ามันสามารถให้พลังงานบริสุทธิ์อันไร้ขีดจำกัดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยมี Cathedral เป็นองค์กรที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลพลังงานศักดิ์สิทธิ์นี้ Cathedral จึงได้ทำการสร้าง หอคอยศักดิ์สิทธิ์ Holy Pilar ขึ้นมา 4 แห่งทั่วโลก เพื่อเป็นแหล่งบรรจุและเป็นตัวกระจายพลังงานศักดิ์สิทธิ์นี้ให้กับทุกๆคน แต่กลุ่มก่อการร้ายที่ขนานนามตัวเองว่า The Purge ได้ประกาศที่จะเปิดเผยความจริงว่า Holy Grail นั้นไม่ใช่พลังงานศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่ทุกคนคิด และจะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ The Purge เริ่มต้นด้วยการก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย 5 จุดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อสร้างความรุนแรงและความโกลาหลให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่ของ Cathedral ซึ่งแต่ละจุดจะมีเหล่ายอดนักรบของThe Purge อย่าง “ผู้ชำระล้างทั้งหก” (The 6 Purifiers) เป็นผู้นำในการก่อสร้างความวุ่นวายในแต่ละจุด ตัวเกมเราจะรับบทเป็น Lancelot และ Galahad (คู่หูของ Lancelot) ในฐานะอัศวินโต๊ะกลม ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ Cathedral ต้องรีบออกไปรับมือกับสถานการณ์ให้เร็วที่สุด ส่วนตัว ที่ได้ดูเนื้อเรื่องครั้งแรกก็ติดว่ามันไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะของที่มาใครเป็นอะไรมาจากไหนแต่นี่ก็อาจจะเป็นความจงใจของผู้พัฒนาใส่ไว้เพื่อให้เราโฟกัสกับเกมเพลย์และเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป เกมเพลย์ มีจุดเด่นในการเล่นคือ การควบคุมและโจมตีที่รวดเร็วลื่นไหล มีระบบแพรี่ และ เค้าเตอร์ศัตรู แถมยังฟื้นตัวด้วยระบบ soul คล้ายกับ hallow knight ในเกมเราต้องทำมิชชั่นเพื่อหยุดยั่ง The 6 Purifiers บอสทั้ง 6 ตัวในเกม ซึ่งมีรูปแบบการต่อสู้ที่แตกต่างกัน ความยากในระดับที่หัวร้อนกันได้เลยทีเดียว ความรู้สึกหลังจากได้บังคับตัวละครเกมนี้สักพัก ว่าการขยับตัว โมชั่นต่างๆ ดูลื่นไหลมากสำหรับเกมมือถือและศัตรูก็ไม่ได้แค่ระเบิดไปเฉยๆแต่ก็มีโมชั่นต่างกันด้วยครับ "ตาแดงๆแบบนี้เตรียมตัวสวนได้เลย" ในเกมยังมีระบบ Customize เป็นระบบปลดล็อคสกิลตัวละคร ทำให้เรามีการเคลื่อนไหว การโจมตีใหม่ๆ เราสามารถปรับแต่งและเลือกอัพได้ตามที่ถนัดครับระบบ Shop ร้านค้าที่ใช้ Honor point ในการเพิ่มระดับความสามารถของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้ดีดูไม่โกงเกินไปหรือดูน่าเบื่อเกินไปเกมดำเนื้อเรื่องได้รวดเร็วตามสไตล์เกม action บอสตัวแรกที่เจอนี่เล่นเอาผมต้องปรับตัวอยู่พักนึงเลยคิดว่าจะหมู แต่การออกท่าโจมตีของบอสในเกมนี้ไม่ธรรมดาจริงๆถ้าใครคิดจะจำท่าทั้งหมดก็คงจะงานหนักหน่อยครับ สรุปหหลังจากที่ได้เล่นเกมนี้ส่วนตัว รู้สึกเหมือนเกมนี้พยายามนำเอาข้อดีของเกมรุ่นพี่หลายๆเกมมาปรับปรุงเพื่อให้เป็นสไตล์ของตัวเองและทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร โมชั่นการขยับตัวต่างๆของศัตรู แม้แต่ฉากหลังของแต่ละด่านก็ทำออกมาได้ดีและใส่ใจในรายละเอียด และทำให้เรารู้สึกย้อนวัยในนึกถึงบรรยากาศที่ชวนคิดถึงเมื่อนานมาแล้ว และ ความประทับใจหลังจากโค่นบรรดาบอสพวกนี้ลงได้ สำหรับใครที่เป็นแฟนร็อคแมนหรือเกมประเภทนี้เกมนี้คือเกมที่คุณต้องผ่านมือสักครั้ง ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="32685"]
01 Nov 2019
รีวิว The Outer Worlds หนึ่งในเกม Action - RPG ยอดเยี่ยมประจำปี 2019
The Outer Worlds ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ใครหลาย ๆ คนจับตามอง เนื่องจากเป็นการทำเกมของยอดทีมงานอย่าง Obsidian Entertainment อีกทั้งยังออกมาชนกับเกมขวัญใจมหาชนอย่าง Call of Duty : Modern Warfare อีก แสดงว่าทีมงานจะต้องมั่นใจในเกมของพวกเขาพอสมควร ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ขอเชิญพบรีวิวกับหนึ่งในเกม Action - RPG ยอดเยี่ยมประจำปี 2019 ที่คุณต้องหามาลองเล่นให้ได้ เนื้อเรื่อง The Outer Worlds ว่าด้วยเรื่องราวของยุคอนาคตที่บริษัทใหญ่ต่างมีอำนาจมากมายมหาศาล และเริ่มที่จะส่งมนุษย์ออกไปยังดาวอาณานิคมต่าง ๆ เราคือหนึ่งในผู้อพยพที่กำลังจะเดินทางไปยังกลุ่มดาว Halcyon แต่แล้วยานโดยสารของเราก็เกิดหลงทางจนไปไม่ถึงยังสถานที่เรากำหนดไว้ แต่แล้วเรากลับถูกช่วยโดย Phineas Welles นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการปลดปล่อยอาณานิคมแห่งนี้ เนื้อเรื่องของเกม The Outer Worlds จะเริ่มต้นด้วยการไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ทำให้ในช่วงแรกของเกมเราอาจจะงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่เมื่อเราเล่นไปสักพักหนึ่งตัวเกมจะเริ่มปล่อยข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Lore ในเกม ผ่านบทสนทนาต่าง ๆ จากการสอบถาม NPC ให้เราทีละนิดจนทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนเราเข้าใจในที่สุด ซึ่งทำออกได้ดีเลยทีเดียว โดยในส่วนของการดำเนินเนื้อเรื่องนั้นแต่ละคนจะออกมาไม่เหมือนกัน เพราะตัวเกมจะมีระบบในการเลือกตอบคำถาม ซึ่งบางค่าจะต้องใช้ Stat ในการตอบด้วย ดังนั้นอย่าแปลกใจที่หากคุณเล่นเกมนี้พร้อมกันกับเพื่อนแล้วเนื้อเรื่องแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เกมเพลย์ The Outer Worlds นำเสนอความเป็น Action - RPG - Sandbox ที่ยอดเยี่ยม ตัวเกมจะให้เราเลือกแนวทางการเล่นตั้งแต่การสร้างตัวละคร โดยเราจะมีทางเลือกในการสร้างตัวละครที่หลากหลายตามแนวทางการเล่น ตั้งแต่สายต่อสู้ระยะประชิดไปจนถึงสายเจรจาที่เน้นการร่วมมือกับคู่หูเป็นต้น ในโลกของ Outer World จะไม่ได้เป็นเกม RPG แบบโลกเปิดเหมือนกับเกมอื่น ๆ แต่จะเป็นแผนที่เล็ก ๆ หลาย ๆ แผนที่ต่อ ๆ กันไป โดยเราจะมียานอวกาศของเราเป็นเสมือนกับแหล่งเชื่อมต่อไปยังดินแดนต่าง ๆ ถึงกระนั้นแม้จะเป็นแผนที่เล็ก ๆ แต่ก็มีความลึกในการสำรวจอีกทั้งยังน่าค้นหาอีกด้วย ซึ่งในเกมนี้ Stat ทุกอย่างมีผลต่อเกมการเล่นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมวดของ Dialog ที่หากค่า Stat บางอย่างของเรามีเพียงพอเควสบางเควสอาจจะจบลงแบบไม่ต้องมีใครนองเลือดหรืออาจจะประหยัดระยะเวลาในการทำเควสไปเลย นอกจากนี้ Stat ในหมวดนี้ยังมีผลต่อการพูดคุยกับ NPC เช่นหากเรามีค่า Medicine สูงพอ เราสามารถที่จะวินิจฉัยโรคให้กับ NPC ได้เลยทันทีทำให้ไม่ต้องไปหาข้อมูลว่าต้องใช้ยาอะไรในการรักษาโรค หรือหาก NPC ป่วยแล้วบอกไม่ให้เราเข้าใกลแต่หากเรามีค่า Strange มากพอ NPC ก็จะเปิดใจกับเราเป็นต้น นอกจากนี้ระบบเควสในเกมจะขึ้นแต่ลูกศรบอก Objective แต่การรับเควสนั้นจะไม่เหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่ NPC จะมีสัญลักษณ์ขึ้นบนหัวชัดเจน เราจะต้องที่จะเข้าไปสอบถามกับ NPC เอง ซึ่งเควสในเกมนี้มีมากมายหลายเควส อีกทั้งแต่ละเควสก็มีความน่าสนใจมาก ๆ จนทำให้เนื้อเรื่องหลักของเราแทบจะไม่เดินเลยทีเดียว ซึ่งการทำเควสนอกจากจะได้ค่าประสบการณ์แล้ว ยังทำให้เราเข้าใจตัวเกมมากขึ้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เกมการเล่นของ Outer Worlds ลึกมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันตัวเกมก็มาพร้อมกับหนึ่งในข้อเสียที่หลาย ๆ คนน่าจะคิดออกนั่นคือเรื่องภาษา เนื่องจากตัวเกมต้องใช้การอ่านเยอะมาก อีกทั้งยังต้องใช้ความเข้าใจในบริบทของการสนทนาเพื่อที่จะตอบคำถาม ทำให้เราต้องเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มิฉะนั้นคำตอบกับสิ่งที่เราอยากจะให้เกิดนั้นอาจจะสวนทางกันได้ ยิ่งคุณเป็นผู้เล่นสาย Skip คุณอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เป็นได้ The Outer Worlds นำเสนอการต่อสู้ในรูปแบบของ Action - RPG คล้าย ๆ กับเกม Fallout ที่เราจะต้องออกไปสู้กับเหล่าศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่มีความอันตรายต่างกันตั้งแต่เหล่าสัตว์ประหลาดไปจนถึงหุ่นยนต์สุดล้ำ โดยในระบบการต่อสู้ของภาคนี้เราจะมี Time Tactical Dilation ที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นถึงจุดอ่อนของศัตรู รวมถึงจุดอ่อนต่าง ๆ ทำให้เราสามารถรับมือได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมี Perk ที่จะทำให้เกมการเล่นของเราสนุกยิ่งขึ้น โดยสิ่งนี้เป็นเหมือนกับ Passive ติดตัวที่จะทำให้เราเก่งขึ้นตามแนวทางที่เราเลือก ซึ่ง Perk จะได้มาในสองรูปแบบคือ การอัปเลเวลและเกิดจากการที่เราทำเงื่อนไขพิเศษบางอย่างของตัวเกมได้เช่น การยิงปืนเลเซอร์จนศัตรูไหม้จนถึงจำนวนที่กำหนดหรือการถูกศัตรูชนิดเดิมโจมตีมาก ๆ เป็นต้น สำหรับอาวุธของเกมนี้ก็มีให้เราเลือกใช้หลายประเภท ตั้งแต่อาวุธระยะประชิดไปจนถึงอาวุธหนัก โดยอาวุธต่าง ๆ จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป  รวมถึงสามารถที่จะ Mod ได้ซึ่งการเลือกจะใส่ Mod ต่าง ๆ ต้องคิดให้ดีเพราะว่าเมื่อเราสวมใส่แล้วเราจะถอดออกไม่ได้ ดังนั้นเราจะต้องเลือกอาวุธดี ๆ ก่อนใส่ Mod ที่จะข้ามไปไม่ได้เลยคือระบบ Companion หรือคู่หู ที่ในเกมนี้เราจะสามารถพาคู่หูติดตามมาด้วยถึงสองคน โดยแต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถที่จะสั่งการพวกเขาให้โจมตีได้หรือใช้สกิลพิเศษได้แบบเท่ ๆ อีกด้วย นอกจากนี้คู่หูแต่ละคนของเราจะมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ อีกทั้งยังเข้าร่วมสนทนากันกับเราได้อย่างลื่นไหลทำให้สิ่งนี้กลายเป็นสีสันให้กับเกมอย่างมากเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ AI ของศัตรูในเกมนี้อาจจะไม่เก่งเท่าที่ควรหาเล่นในโหมด Easy หรือ Regular ทำให้หลาย ๆ คนอาจจะหมดความท้าทายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากคุณต้องการความท้าทายอาจจะต้องปรับความยากให้สูงกว่าปกติ กราฟิก The Outer Worlds มาพร้อมกับภาพกราฟิกที่แม้ว่าดูภายนอกอาจจะตกยุคเมื่อเทียบกับเกมอื่น ๆ แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสวยงาม แสง เงารวมถึง Texture ในเกมต่าง ๆ ล้วนแต่ทำออกมาได้ดี นอกจากนี้ตัวเกมยังไม่ได้กินสเปกมากนัก โดยเครื่องของผู้เขียนสามารถที่จะเล่นได้ในกราฟิกระดับ Epic แบบสบาย ๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทางการ์ดจอตระกูล Geforce ยังไม่ได้อัปเดต Driver (28/10/2019) สำหรับเกมนี้ทำให้ไม่สามารถวัดค่า FPS ของตัวเกมได้ ทำให้ต้องกะด้วยสายตาที่ก็ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล  จะมีปัญหาก็เพียงการกระตุกเล็กน้อยตอนเข้าเกมใหม่ ๆ จากนั้นก็จะไม่พบอาการกระตุกอะไรอีกเลย สรุป The Outer Worlds คือเกม Action RPG ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเกมหนึ่งของปี 2019 มีเรื่องราวที่เข้มข้น แนวทางการเล่นที่หลากหลายและอิสระในการสำรวจ ทำให้หากคุณมองหาเกมดี ๆ ที่เล่นได้ไม่รู้สึกเบื่อเลยสำหรับปีนี้เกมนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณ สำหรับใครที่ต้องการหาเกมนี้มาเล่นก็สามารถซื้อตัวเกมได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้ PC: Epic Games Store, Microsoft Game Store PlayStation 4: PlayStation Store Xbox One: Xbox Store [penci_review id="32380"]
30 Oct 2019
รีวิว Call of Duty Modern Warfare การกลับมาของ Captain Price ขวัญใจมหาชน
ในปัจจุบันมีเกมแนว First Person Shooter (FPS) อยู่มากมายในตลาด แต่ถ้าพูดถึงเกม FPS ที่มีความคลาสสิคที่สุดแล้วละก็ ชื่อของ Call of Duty: Modern Warfare นั้นจะอยู่ในใจหลายๆ คนอย่างแน่นอน วันนี้เกมนี้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพา Captain Price ขวัญใจมหาชนกลับมาด้วย เรื่องราวในภาคนี้ก็ยังคงเข้มข้นสมชื่อ CoD: Modern Warfare เหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมด Multiplayer อีกมากมายให้เลือกเล่นกัน ส่วนเกมนี้จะสนุกขนาดไหนนั้น ไปดูกันเลยครับ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Modern Warfare ภาคก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เนื้อเรื่องภาคนี้ก็ยังคงอยู่กับการปฏิบัติการพิเศษอยู่เหมือนเดิม เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงการมีอยู่ของ Chlorine Gas ในประเทศ  Kastovia และอาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคง ทาง U.S จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ CIA และหน่วยนาวิกโยธิน เข้าไปจัดการเรื่องนี้ ในขณะที่ปฏิบัติการกำลังเป็นไปได้ตามแผนอย่างสวยงาม เหล่าทหารของอเมริกาก็ถูกโจมตีโดยมือที่ 3 ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร และยังถูกช่วงชิง Chlorine Gas ไปอีกด้วย ทางอเมริกาจึงได้ให้ Captain Price เข้ามาช่วยดูแลเรื่องนี้อยากจริงจังนั่นเอง เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงหลายๆ มุมมองไม่ว่าจะเป็นจากฝั่ง Alex เจ้าหน้าที่ CIA ที่ตามหา Chlorine Gas ที่หายไป หรือ Kyle Garrick เจ้าหน้าที่ SAS หน่วยข่าวกรองลับของอังกฤษ ที่กำลังสืบเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในเมือง London อยู่ ทำให้เราได้เห็นหลายๆ เหตุการพร้อมกัน นอกจากนี้ตัวเนื้อเรื่องยังมีความเข้มข้นสุดๆ รวมไปจนถึงมุมมองที่บางครั้งเราต้องยอมทิ้งคนส่วนน้อยเพื่อช่วยคนส่วนมาก ทำให้เรารู้สึกว่านี้แหละคือหน้าที่ของทหารที่ควรกระทำ ตลอดระยะเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ทำให้เราอินกับเนื้อเรื่องมากๆ ถ้าเป็นข้อเสียของเนื้อเรื่องภาคนี้แล้ว คงจะเป็นเรื่องของความรุนแรง ภาคนี้เนื้อเรื่องนั้นจะมีความสมจริงมากขึ้น ดังนั้นคนไหนที่ช่วยไม่ได้ก็คือตายต่อหน้าต่อตาเราเลย ยิ่งการใช้ความรุนแรง, เลือด, ฉากปาดคอ เรียกได้ว่าสมจริงจนไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาเล่นเลย การที่เนื้อเรื่องทั้งหมดอิงตามเหตุการณ์ก่อการร้ายและการสู้รบที่สมจริงเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของการเสริมอรรถรสของเนื้อเรื่องให้ผู้เล่นอินกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าผู้เล่นควรใช้วิจารณญาณในการเล่นเกมด้วยเหมือนกันครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ เวอร์ชั่นที่เราได้ทำการเล่นนั้นเป็นเวอร์ชั่น PC ดังนั้นพูดตรงๆ ว่าเรื่องของภาพนี้คือแบบ "สวยมากเวอร์" ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ต้องการจะทำให้เกมนี้มันออกมาสมจริงที่สุด ทำให้เกมนี้มีภาพสวยมาก ยิ่งตอนที่เป็นฉากคัตซีนยาวๆ นี้แยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็น CG หรือ Live Action (ซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะเป็น CG) ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ในตอนที่เล่น ด้านการนำเสนอก็อย่างที่ได้เขียนไว้ข่างต้น คือ ตัวเกมให้เราได้เห็นหลายๆ มุมมองในเวลาเดียวกัน นับเป็นการชูเนื้อเรื่องให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปในเวลาเดียวกัน และเกมยังมีความเป็น Butterfly Effect เล็กๆ ในหลายๆ ฉากในเกมยกตัวอย่างเช่น มีฉากหนึ่งที่ ผู้ก่อการร้ายเอาปืนจ่อไปที่เด็กคนหนึ่งอยู่พร้อมกับเรียกร้องให้เราเปิดประตู (ซึ่งเราเลือกไม่เปิด) เด็กที่ถูกเอาปืนจ่ออยู่นั้นก็ถูกยิงตาย ถ้าหากเลือกที่จะเปิดประตูในฉากนั้นเด็กอาจจะรอดก็เป็นได้ เหตุการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในเกม และเราทราบมาว่าเนื้อเรื่องจะแตกต่างกันไปเล็กน้อยด้วย นับเป็นจุดที่น่าสนใจมากๆ ของเกมนี้ครับ ◊ เกมเพลย์ ◊ จุดแข็งเลยของภาคนี้คงจะเป็นความหลากหลายอย่างมากในการเล่น เพราะมีโหมดให้เลือกเล่นที่เยอะมากๆ ยกตัวอย่าง , Ground War, Cyber war, Team Deathmatch และอื่นๆอีกมาก นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่ง Loadout ของตัวเองได้ตามใจชอบ, แต่งปืนได้ม เลือกใช้ความสามารถ Perk กับ Field Upgrade ได้อีกมากกว่า 10 รูปแบบ ความหลากหลายในการเล่นนี้เรียกได้ว่าเยอะสุดๆ สมกับที่มีขนาดไฟล์เกมถึง 150 GB จริงๆ ซึ่งในภาคนี้นอกจากโหมดเนื้อเรื่องและโหมด Multiplayer อันเป็นตัวชูโรงของซีรี่ส์แล้ว ในภาคนี้ยังมีโหมด Co-op หรือโหมดร่วมมือเล่นกับเพื่อนเป็นหนึ่งในสามโหมดหลักของเกมอีกด้วย ซึ่งต้องบอกว่าในภาคนี้ทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะโหมด Spec-Ops ของเกมที่ให้ผู้เล่น 4 คนร่วมมือกันทำภารกิจต่างๆ ในแผนที่ Sandbox (กึ่งโลกเปิด) ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่น Far Cry อยู่ เพราะเกมจะเปิดให้ผู้เล่นบรรลุภารกิจได้หลากหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการลอบเร้นเข้าไปในฐานศัตรูอย่างเงียบๆ หรือการบุกตะลุมบอนตรงๆ ก็ได้ ซึ่งแต่ละภารกิจต้องบอกเลยว่าท้าทายมากๆ ถ้าไม่วางแผนและสื่อสารกันให้ดีแทบจะเล่นให้ผ่านไม่ได้เลย ทำให้ผู้เขียนนึกถึงการเล่น Heist ใน GTA: Online ขึ้นมาเลยทีเดียว สำหรับโหมด Spec-Ops Survival ซึ่งเป็นโหมดที่จำกัดไว้ให้ผู้เล่น PS4 เท่านั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นโหมดนี้ในเครื่อง PS4 Pro มาเล็กน้อย ต้องบอกว่าโหมด Survival นี้น่าจะเป็นส่วนที่น่าสนใจน้อยที่สุดแล้วในบรรดาโหมด Co-op ทั้งหลาย เพราะโหมดเป็นเพียงการต่อสู้แบบ Horde Mode ที่ให้ผู้เล่นเอาตัวรอดจากศัตรูเป็นระลอกๆ เท่านั้น ไม่ได้ต้องใช้ความร่วมมือหรือการวางแผนที่ซับซ้อนเหมือนกับโหมด Spec-Ops ทั่วไป ผู้เล่น PC หรือ Xbox ที่รู้สึกน้อยใจที่ไม่ได้เล่นโหมดนี้น่าจะวางใจได้ว่าพวกคุณไม่ได้พลาดอะไรไปมากนักเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังน่าเสียดายที่ตัวเกมเวอร์ชั่นอื่นๆ นอกจาก PS4 ไม่สามารถเล่นโหมด Survivor ได้ ถึงแม้จะเป็นแค่โหมดเล็กๆ ที่ไม่ได้สนุกมากมายอะไรขนาดนั้น เมื่อเทียบกับโหมดอื่นนับสิบของเกมที่เล่นได้ แต่นั้นไม่ได้ปฏิเสธว่า เราถูกจำกัดการเข้าถึงคอนเทนท์ทั้งหมดของเกมอยู่ดี ทำให้รู้สึกขัดใจอยู่พอสมควร ที่ซื้อบนเครื่องอื่นๆ อย่าง PC หรือ Xbox One ด้วยราคาเกือบ 2000 บาท แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงคอนเทนต์อีก 1% ของเกมได้ครับ เกมเพลย์ภาคนี้ก็ยังคงมันสมกับที่เป็น Call of Duty เหมือนเดิม คือมีไดนามิคในการเล่นที่สูงมากๆ ทำให้เราต้องตื่นตัวอยู่เกือบตลอดเวลา แต่การเล่นก็ยังคงจำเจอยู่เหมือนเดิม เกิดมาวิ่งไปยิงกันเหมือนเดิม ฝ่ายไหนเก็บคิลได้เยอะกว่าชนะ ไม่ได้มีระบบการเล่นที่ใหม่อะไรน่าตื่นเต้นขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมายหากเคยเล่น COD ภาคก่อนๆ มา แต่ไม่มีอะไรใหม่ๆ เลยมันก็ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กๆ เหมือนกัน ◊ สรุป ◊ Call of Duty ภาคใหม่นี้ มาพร้อมกับระบบ Multiplayer ที่มีให้เลือกเล่นหลากหลายรูปแบบ เกมเพลย์ที่มีไดดามิคสูงตอนเล่นจะรู้สึกมันมากๆ ด้านเนื้อเรื่องที่ยังคงเข้มข้นสมชื่อ Modern Warfare เหมือนเดิม ทั้งยังนำเสนอหลายมุมมองต่างๆ ได้น่าสนใจมาก แต่มีเนื้อหาของเนื้อเรื่องที่รุนแรงมาก ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ระบบการเล่นที่ไม่ได้ต่างจากภาคก่อนๆ เท่าไหร่ และคนที่ซื้อในเครื่องอื่นที่ไม่ใช่ PS4 ก็โดนจำกัดการเข้าถึงคอนเทนต์ของเกมอีกด้วย จากข้อดีและข้อเสีย เราจึงให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถึงจะน่าหงุดหงิดที่ไม่ได้เล่นคอนเทนต์ของเกมเต็ม 100% แต่ความมันในการเล่นและความหลากหลาย รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่ดี ก็ช่วยให้เกมนี้มีดีพอตัวครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="32415"]
29 Oct 2019
รีวิว Doraemon Story of Seasons เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน 14
Platform : Nintendo Switch, PC (Steam) Release Date : 11 ตุลาคม 2019 (Ver. Eng) Doraemon Story of Seasons คือเกมแนว Farming Simulation ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดจากทีมผู้พัฒนานามว่า Marvelous ที่เคยสร้างเกมปลูกผักในตำนานอย่าง Harvest Moon : Back to Nature (วางจำหน่ายเมื่อปี 1999) จนเป็นกระแสดังเปรี้ยงปร้างชนิดที่ว่าในยุคนั้นหากใครพูดชื่อนี้ขึ้นมา น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก และได้เป็นแรงบันดาลใจการสร้างเกมแนวนี้ต่อมาจนปัจจุบัน (หนึ่งในนั้นคือ Stardew Valley) กลับมาคราวนี้ทาง Marvelous ได้ร่วมมือกับ Brownies สตูดิโอพัฒนาเกมอีกแห่งหนึ่ง เพื่อสร้างโลกที่มีคอนเซปต์คือการรวมเอาระบบการเล่นของเกม Harvest Moon และเรื่องราวการผจญภัยของโนบิตะและผองเพื่อนเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายคือการขยายจักรวาลของซีรีส์ Story of Seasons ให้กว้างขึ้น ส่วนจะเวิร์คหรือไม่นั้น เราคงต้องมาดูกันเป็นข้อๆ ไป เนื้อเรื่อง เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อโนบิตะต้องทำโปรเจคสำหรับช่วงปิดเทอมฤดูร้อนส่งอาจารย์ จึงตัดสินใจปลูกเมล็ดพันธุ์ลวดลายประหลาดที่บังเอิญเจอ เพื่อใช้จดบันทึกเป็นการบ้าน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาด ดูดโดราเอมอน โนบิตะ และเพื่อนๆ ผ่านช่องว่างระหว่างมิติมาโผล่อีกโลกหนึ่ง สำหรับแฟนเดนตายของการ์ตูนซีรีส์อมตะอย่าง "โดราเอมอน" มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือการนำเอาองค์ประกอบจากเนื้อเรื่องภาคเก่าๆ มายำเป็นงานชิ้นใหม่ จึงไม่ค่อยสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ในพาร์ทเนื้อเรื่องซักเท่าไรนัก ยิ่งบวกกับการเล่าที่ค่อนข้างเนิบนาบก็อาจทำให้แฟนเกมบางส่วนต้องเบื่อกันไปซะก่อน ยอมรับว่าในส่วนปฐมบทช่วงแรกผู้เขียนแทบจะหลับคาจอยเลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุณไม่ติดในส่วนที่กล่าวมานี้ คุณก็จะพบกับความเพลิดเพลินของการเปิดลิ้นชักความทรงจำเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัยของโนบิตะและผองเพื่อน เพื่อตามหาของวิเศษของโดราเอมอนที่หายไประหว่างข้ามมิติคืนมา ความน่ารักน่าชังของตัวละครที่กลับมามีชีวิตให้เราได้หายคิดถึงในโมเมนต์ต่างๆ เช่น โดราเอมอนกับของวิเศษที่ไม่เคยพึ่งได้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไจแอนท์เกเรโผงผาง แต่ก็รักเพื่อนพ้อง เป็นต้น กราฟิก นี่น่าจะเป็นจุดดึงดูดที่ทำให้หลายๆ คน หันมาสนใจเกม Doraemon Story of Seasons เนื่องจากถ้าใครได้เห็นตัวอย่างมาบ้าง ก็จะรู้ว่าทีมงานสามารถทำออกมาได้สวยงามน่าประทับใจ โดยส่วนตัว ผมคิดว่ามันคือตัวชูโรงของเกมๆ นี้ เลยทีเดียว คาดว่าทาง Marvelous กับ Brownies น่าจะสร้างเอนจิ้นสำหรับพัฒนาเกมนี้โดยเฉพาะ เพราะเนื้อภาพให้ความรู้สึกเหมือนสีน้ำที่ถูกระบายลงบนกระดาษร้อยปอนด์ ซึ่งช่วยสร้างเอกลักษณ์ และบรรยากาศอบอุ่นที่เข้ากับธีม เนื้อเรื่อง รวมถึงระบบการเล่นได้เป็นอย่างดี ส่วนการเคลื่อนไหวของตัวละครก็ทำได้ดูมีน้ำหนัก น่ารักสมเป็นตัวการ์ตูน เมื่อบวกกับเสียงประกอบต่างๆ  แล้ว ทำให้โลกของ "โดราเอมอน" ดูสมบูรณ์ชัดเจนขึ้นมา เรียกว่าหาที่ติในด้านกราฟิกได้ยากจริงๆ ระบบการเล่น อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น ว่าคอนเซปต์ของ Story of Seasons ภาคนี้ คือการรวมเอาเกม Harvest Moon กับการ์ตูนซีรีส์โดราเอมอนเข้าด้วยกัน แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าระบบเกมมันจะเหมือนกันแบบเป๊ะๆ ราวกับฝาแฝดขนาดนี้ ถ้าใครเคยได้สัมผัสกับ Harvest Moon : Back to Nature มาบ้าง จะรู้ได้เลยว่าโครงสร้างโดยรวมของเกมนั้นเหมือนกันมาก ทั้งองค์ประกอบของหมู่บ้าน ขั้นตอนการพัฒนาฟาร์มและเครื่องมือต่างๆ หรือแม้กระทั่งฉากหลังในหน้าเมนู!!! เพียงแต่เอาธีม "โดราเอมอน" มาฉาบไว้เท่านั้นเอง ระบบการเล่นพื้นฐานของเกมนี้ ก็เหมือนกับเกมทำฟาร์มทั่วไป ที่มีหลักสำคัญคือการบริหารเวลาในแต่ละวันเพื่อหาเงินนำมาพัฒนาฟาร์ม โดยการขายผลผลิตจากการปลูกผัก, เลี้ยงสัตว์, ตกปลา, ขุดแร่ ฯลฯ ระหว่างนั้นก็ต้องเพิ่มความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านเพื่อปลดล็อคเหตุการณ์ต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในภาคนี้ได้ตัดระบบจีบสาวออกไป และเพิ่มเรื่องราวการผจญภัยของกลุ่มเพื่อนโนบิตะเข้ามาแทน ทำให้แฟนเกมบางส่วนรู้สึกเสียดาย แต่ตัวผู้เขียนกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะมันจีบกันมายับๆ ตั้งกี่ภาคแล้ว รอบนี้มาในธีม "โดราเอมอน" มันก็ควรจะเป็นเรื่องราวของ โดราเอมอน, โนบิตะ, ไจแอนท์, ซึเนโอะ และ(กางเกงใน)ชิซุกะสิ! แน่นอนว่าจะให้โนบิตะกับชิซุกะมาผลิตลูกกันมันก็กระไรอยู่ เพราะฉะนั้นเกมมันจึงต้องมีเนื้อเรื่องคุมโทนเป็นการผจญภัยตามการ์ตูนเช่นนี้แล ส่วนแฟนๆ ที่เคยเล่น Harvest Moon มาก่อนก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะถึงแม้ระบบการเล่นจะเหมือนเดิม แต่ทางผู้พัฒนาก็ใส่รายละเอียดยิบย่อยเพิ่มเข้ามา ทำให้มิติของเกมกว้างขึ้น เช่น การตกแต่งบ้านที่ทำได้ค่อนข้างหลากหลาย และลูกเล่นต่างๆ ที่ถูกใส่เข้ามาในแผนที่ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า สิ่งก่อสร้างโบราณที่จะมีส่วนสำคัญในเนื้อเรื่อง อีกทั้งยังมีของวิเศษยอดฮิตจากโดราเอมอนที่ขนมาให้เราได้เห็นตลอดเกม อย่าง ปืนใหญ่อัดอากาศ, ประตูทุกหนแห่ง, วุ้นแปลภาษา, ไม้เท้าตามหาคน ซึ่งบางชิ้นเราสามารถนำมาใช้เพื่อแบ่งเบาภาระในการเล่นได้ด้วยนาจา สรุป จากที่ผมได้ใช้เวลานั่งเล่นอยู่ราวๆ 20 กว่าชั่วโมง ก็สามารถบอกได้ว่า การกลับมาของซีรีส์ Story of Seasons ในครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งจะสร้างระบบการเล่นใหม่ๆ ให้กับเกมแนว Farming Simulation แต่เลือกที่จะทำให้จักรวาลของซีรีส์มีความแข็งแรงขึ้น โดยการนำระบบพื้นฐานดั้งเดิมที่ "เก๋า" อยู่แล้ว มานำเสนอผ่านตัวการ์ตูนอมตะอย่าง "โดราเอมอน" เพื่อสร้างความประทับใจในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็ได้ผล แม้จะยังมีจุดที่ขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง อย่างคัทซีนที่มาถี่ แถมไม่ดึงดูดพอ จนสร้างความรู้สึกติดขัดระหว่างการเล่นอยู่พอสมควร แต่โดยรวมเราก็ยังสามารถสนุกไปกับมันได้อยู่ดี เป็นการกลับมาให้หายคิดถึง แม้ในคราวหน้าเราอาจไม่หลงกลให้กับกระบวนท่านี้อีกแล้วก็ตาม [penci_review id="31749"]    
22 Oct 2019
รีวิวเกมมือถือ Bad 2 Bad: Extinction
เกมแนว Action - Rpg ที่มีความโดดเด่นในด้านตัวละครและเกมเพลย์ จากทีมพัฒนสัญชาติเกาหลี DAWINSTONE ค่ายเกมนี้ดูใส่ใจผู้เล่นมากนะครับ ดูจากการคอมเม้นตอบโต้ผู้เล่นใน Store และ การทำภาษาไทยมา เป็นเกมที่ต่อยอดจากความสำเร็จของภาคก่อนหน้าที่เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ เนื้อเรื่องเกม จะเกี่ยวกับ วันสิ้นโลก ซอมบี้ และรับจะบทเป็นทหารหน่วย Delta ที่เป็นสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพนด้า ลิง หมาป่า และตัวอื่นๆให้เราเลือกใส่ลงในหน่วย ซึ่งตัวเกมจะมีความน่ารักมุ้งมิ้งอยู่ทำให้มันไม่ได้กลิ่นอายถึงความรุนแรงมากนัก รวมถึงตัวเกมมีภาษาไทยภายในเกมในเราได้เล่นด้วย แม้บางคำแปลอาจจะแปลกๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไร ระบบในเกมจะประกอบด้วย ระบบสร้างอาวุธ ปรับแต่งอาวุธจากชิ้นส่วนต่างๆ ที่ดรอบจากมอนหรือรางวัลภาระกิจ สามารถเอาปืนในระดับเดียวกันมาผสมกันเพื่อเป็นปืนแบบใหม่ได้ ระบบหน่วยรบที่สามารถใส่ยูนิตเพิ่มเข้ามาในหน่วยเพื่อทำให้ปฎิบัติภาระกิจได้ง่ายขึ้นมีตนช่วยยิงและรับดาเมจแทน หน่วยรบจะไม่หายไปเมื่อตายนะครับหรือจะชุบเพื่อนเพื่อให้กลับมาทำภาระกิจต่อถ้าตายในภาระกิจก็ได้ ระบบการอัพสกิล ทำให้ตัวละครใช้ปืนได้คล่องขึ้น ทำให้รีโหลดได้เร็ว ยิงได้แรงขึ้น หรือยิงหัวแม่นขึ้น ระบบหุ่นผู้ช่วยโดยเราสามารถซื้อหุ่ยบต์มาช่วยเรารบจะแบ่งเป็าหุ่นที่ช่วยเราโจมตี กับหุ่นยนต์ที่เข้ามาช่วยเราเก็บเหรียญกับเพชรที่ดรอบตามพื้น เกมเพลย์ ในตัวเกมเพลย์จะแบ่งเป็นโซนสำหรับการสำรวจ ทำภาระะกิจ และ ช่วยตัวผู้ที่ติดอยู่ในอาคาร ตัวเกมเริ่มเล่น กวาดล้างซอมบี เมื่อทำความเข้าใจระบบบภายในเกม เกมจะค่อยๆสนุกขึ้นเราจะทำภาระกิจได้มากขึ้น แต่ก็ระวังซอมบี้ในตอนกลางคืนเพราะมันจะมีพลังมากขึ้นไม่ควรละเลยนาฬิกาบนหน้าจออย่างยิ่ง ไม่งั้นคุณอาจจะตายยกหน่วยได้ ในการทำภาระกิจแต่ละครั้งเมื่อเราทำสำเร็จจะ เพิ่ม%ความเสร็จสมบูรณ์เพื่อปลดล็อค คอนเท็นในเกมต่างๆประจำโซนนั้น ถ้าคุณกำลังมองหาเกมยิงซอมบี้ที่มีรายละเอียดในตัวเกมที่กลางๆไม่ลึก ไม่ตื้นมากเกินไปเกมนี้กำลังดีสำหรับสายเดินยิงมีเนื้อเรื่อง และ คาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นแต่ดูสบายตา ความรู้สึกหลังจากได้เล่นเกมนี้​  ตัวเกมคงความสนุกของการยิงซอมบี้​ได้อย่างครบถ้วน ยิ่งเล่นยิ่งปลดล็อคคอนเท็นของเกมยิ่ง​ ชวนให้ผูกพันกับตัวละครที่เราพาไปทำภาระกิจด้วย​ เป็นเกมยิงซอมบี้ที่ทำเกินความคาดหมายและนำเสนอสิ่งต่างๆในรูปแบบแตกต่างจากเกมแบบเดียวกันได้ดี​ สำหรับคนที่กำลังมองหาความแปลกใหม่ในเกมแนวนี้คุณไม่ควรพลาดเกมดีๆแบบนี้ครับ ข้อดีของเกมนี้ ฟรีเขาจะให้ทองคุณฟรีๆทันที ที่คุณดูโฆษณาด้านซ้ายมือ เพชรก็สามารถหาได้ในเกมจากการดรอบ มีระบบการยิง auto ที่ดี ไม่ว่าผู้เล่นหน้าใหม่หรือเก่าก็ไม่ต้องห่วงจะยิงไม่โดน มีอาวุธที่หลากหลาย ตัวละครแต่ละตัวมีบทพูดและบุคลิกภาพที่แสดงออกมาในเกมแตกต่างกันชัดเจนดูแล้วไม่น่าเบื่อ ข้อเสียของเกม การบังคับยังไม่ค่อยลื่นไหลเท่าที่ควร AI ฝั่งเราที่ดูยังไม่ค่อยฉลาดเช่นช่วยเราเก็บ object ไม่ได้ หรือ เก็บที่เติมเลือดเอง การวางฉากที่ดูงงๆซ้ำๆกันไปนิดและจะมีตู้หรือของยื่นออกมาทำให้เราเดินไปติดได้ ปืนบางกระบอกก็ไม่ค่อยดีพอจะเอามาใช้ยิงกับซอมบี้จำนวนมากได้ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
21 Oct 2019
รีวิว Plants vs Zombies Battle For Neighborville มหาสงครามถล่มสวนข้างบ้าน!
ถ้าพูดถึงเกม Plants vs Zombies แล้วใครๆ ก็คงจะรู้จักเกมนี้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากเป็นเกมที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัยแล้ว ตัวเกมยังมีความสนุกอย่างมากด้วย วันนี้เกมนี้กลับมาอีกครั้งในชื่อ Plants vs Zombies Battle For Neighborville ซึ่งเปลี่ยนจากเกมแนว Tower Defence ไปเป็นแนว Third Person Shooter ซะแล้ว! นอกจากนี้ Zombie ที่เราต้องสู้ด้วยในภาคนี้ก็ไม่ใช้ Ai โง้ๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นผู้เล่นด้วยกันเอง ส่วนเกมนี้จะสนุกขนาดไหนนั้น ไปดูกันเลย ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ กราฟิกของเกมนี้ เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนดัง Plants vs Zombie ภาคก่อนๆ ตัวภาพนั้นจะมีความเป็นการ์ตูนสูงมาก ด้วยภาพที่ออกแนวการ์ตูนของเกมทำให้ตอนเล่นรู้สึกสบายตา สามารถเล่นนานๆ โดยไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีภาพที่สวยสมจริงเหมือนเกมในตลาดอื่นๆ แต่ต้องยอมรับว่าสไตล์ภาพแบบนี้ทำให้ตัวเกมมันยูนีคในแบบของตัวเองไปด้วย ท่างด้านการนำเสนอนั้น พูดได้เลยว่า การเคลื่อนไหวของตัวละครทุกตัวนั้นทำออกมาได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Plants ที่เวลาเดินจะต้วมเตี้ยมหน่อยๆ หรือ ฝั่ง Zombies ที่จะเดินเป๋ไปเป๋มา ในส่วนที่เรียกว่าจุดขายของเกมนี้เลยคงจะเป็นความน่ารักของตัวละครทั้งทางฝั่ง Plants และ Zombies ถึงแม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมที่ต้องวิ่งเข้าไปฆ่าฟันกัน แต่ด้วยความน่ารักของตัวละครมันทำให้เกมนี้ดูไม่รุนแรงเลยสักนิด นอกจากการเล่นในแต่ละแมทช์แล้ว ภายในเกมนั้นยังมีเมืองของ Plants หรือ Zombies ให้เข้าไปเดินเล่น ,ซื้อของ ,พูดคุยกับผู้เล่นคนอืนๆ ในเมือง ,แต่งตัว หรือ จะไปซ้อมยิงเป้าก็ได้ เพื่อบางวันเล่นไปหลายแมทช์แล้วเบื่อๆ หรือใครอยากหาเพื่อนเล่นเกมด้วย จะเข้าไปเดินเล่นในเมื่อง พูดคุยกับคนอื่น ก็ดูเป็นการแก้เบื่อที่ดีไม่น้อย ◊ เกมเพลย์ ◊ เกมนี้ใช้ระบบเกมเพลย์ที่เหมือนกับเกม Overwatch คือแบ่งตัวละครออกเป็น 3 ประเภทคือ DPS, Tank, Support แต่ละตัวก็มีความสามารถเป็นของตัวเอง เล่นในโหมดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ในรูปแบบภารกิจ (ดันรถ, ยึดจุด,คอนโทรลพ้อย, บลาๆ) , Team Deathmatch , หรือจะเล่น Co-op แบบช่วยกันสู้กับบอท ก็ได้เช่นกัน แน่นอนว่าสามารถเปลี่ยนไปเล่นตัวละครอื่นๆ ได้เวลาที่ตายแล้วด้วย ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องยอมเปลี่ยนตัวที่เล่นเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เรียกได้ว่ามีความสนุกหลากหลายรูปแบบ ในเกมๆ เดียวเลยทีเดียว ส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ด้วยความที่ ตัวละครของเกมนี้ถูกแบ่งเป็น 2 เซ็ต คือฝั่ง Plants กับ Zombies ตัวละครทั้ง 2 ฝั่งก็มีหลายตัว แต่ละตัวก็มีความสามรถที่ต่างกันไปอีก ทำให้มีความหลากหลายมากๆ นอกจากนี้เรายังสามารถเลือก Passive ให้กับตัวที่เราเล่นได้อีก โดย Passive ก็มีให้เลือกตั้งแต่สกิล Cooldown เร็วขึ้น ,มีเลือดเยอะขึ้น ,วิ่งเร็วขึ้น ด้วยความที่ตัวละครมันหลากหลายมากๆ ความสามารถก็หลากหลายมากๆ แล้ว 1 ตัวละคร ยังใส Passive ได้อีกเป็นสิบๆ แบบ ตอนเล่นนี้บอกเลยว่าไม่มีเบื่อครับตื่นเต้นตลอดเวลาซะด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะเกมเพิ่งจะเปิดใหม่ๆ ทำให้ตอนนี้ยังไม่ค้อยมีคนในเซิฟเวอร์ บางครั้งการหาห้องก็นานมากๆ หรือ นั่งรออยู๋ในห้องคนเดียวแบบนานจัดๆ ก็ยังไม่มีคนเข้ามาเล่นด้วยเลยแม้แต่คนเดียว แต่คิดว่าปัญหานี้คงจะเริ่มหายไปตามการเวลาครับ ดังนั้นถ้าจะซื้อเกมเล่นตอนนี้ก็อาจจะต้องอดทนหน่อยตอนหาห้องนั้นเอง ด้วยความที่สิ่งที่ต้องยิงมันไม่ได้มีรูปร้างเหมือนกันคน อย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ในเกม FPS หรือ Third Person Shooter อื่นๆ ทำให้ต้องปรับตัวอยู่พอสมควร ยิ่งถ้าเล่นเป็นฝั่ง Zombies แล้วต้องยิง Plants นี้บอกเลยว่ายากสุดๆ กลับกันตอนที่เล่นเป็นฝั่ง Plants ก็ต้องยิงเป้าที่เดินเป๋ไปเป๋มา บอกตรงๆ ว่ากะไม่ถูกเลยเหมือนกันครับ ถ้าเล่นไปนานๆ แล้วคิดว่าคงชินไปเอง แต่ก็ต้องมี 5-6 ชั่วโมงอยู่เหมือนกัน ◊ สรุป ◊ สิ่งที่เป็นจุดแข็งแบบถึงที่สุดของเกมนี้ คงเป็นเรื่องของความหลากหลายอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยตัวละครที่หลากหลาย การอัพ Passive ที่ทำได้เป็นสิบๆ แบบ โหมดที่มีให้เลือกเล่นอีกเยอะสุดๆ ทำให้เวลาเล่นเกมนี้ไม่ค้อยจะรู้สึกเบื่อเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังมีภาพสไตล์การ์ตูนที่ทำให้ตอนเล่นรู้สีกสบายตา สามารถเล่นได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากซื้อมาช่วงนี้ก็อาจจะเจอปัญหา รอนานหน่อยเวลาหาห้อง ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีคนเล่นเยอะขนาดไหนในอนาคต และอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พอสมควรจึงจะสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างช่ำชองครับ หากเอาข้อดีมาหักในส่วนข้อเสียออกแล้วละก็ เราให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 9 เต็ม 10 เลยทีเดียว ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีการอัปเดตคอนเทนต์เข้ามาอีกมากขนาดไหน เพราะต่อให้ตอนนี้จะหลากหลายยังไง ถ้าไม่เพิ่มคอนเทนต์เข้ามาเรื่อยๆ ยังไงเกมก็จะน่าเบื่ออยู่ดีในสักวันครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="31592"]
18 Oct 2019
รีวิว Concrete Genie โลกสวยด้วยมือเรา
Platform : PlayStation 4 Release Date : 8 ตุลาคม 2019 Concrete Genie เกมแนว Action Adventure ที่ถูกพัฒนาโดย PixelOpus ซึ่งเป็นทีมผู้พัฒนาที่ทำงานภายใต้ Sony Interactive Entertainment โดยตรง ถือว่าเป็นอีกเกมหนึ่งที่มีภาพลักษณ์ค่อนข้างน่าสนใจ แตกต่างจากเกมระดับ AAA ในกระแสอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความสร้างสรรค์และสดใสจึงสามารถดึงดูดผู้เล่นทั่วไปได้ไม่ยาก จากการตีความฮีโร่ในมุมของศิลปินตัวน้อยที่ต้องตวัดปลายพู่กันแทนดาบเพื่อสร้างสีสันให้กับเมืองของเขา ซึ่งถูกความมืดกลืนกินให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้แล้วส่วนสำคัญอีกข้อที่ทำให้เกม Concrete Genie น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวไทยอย่างเราๆ ก็คือ ตัวเกมรองรับภาษาไทย ทำให้คนที่ภาษาอังกฤษยังไม่แข็งนักสามารถเอ็นจอยไปกับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เนื้อเรื่อง เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในเมือง Denska เมืองท่าที่เคยสดใสและมีชีวิตชีวาเมื่อครั้งอดีต กลับกลายเป็นมืดมนและเสื่อมโทรมหลังจากที่เรือบรรทุกน้ำมันเกิดอุบัติเหตุชนโขดหิน ทำให้น้ำมันจำนวนมหาศาลไหลลงทะเล จนเกิดความมืดปริศนาเข้าเกาะกินตามส่วนต่างๆ ของเมือง ในรูปแบบของรากไม้ลึกลับ โดยเราจะได้รับบทเป็น Ash หนุ่มน้อยผู้มีศิลปะในจิตใจ ซึ่งมีไอเทมคู่กายเป็นสมุดสเก็ตซ์ภาพเล่มเล็ก เขามักจะวาดสิ่งต่างๆ ลงไปในนั้นตามแต่จะนึกคิด ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์รูปร่างน่าเกลียดน่าชัง พืชพรรณรูปทรงประหลาด และแน่นอน ภาพความทรงจำของเมือง Denska ก่อนที่จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนมาวันหนึ่ง ขณะที่ Ash กำลังนั่งวาดรูปอยู่บนรั้วไม้ริมทะเล ก็ถูกก่อกวนโดยแก๊งวัยรุ่นอันธพาลที่เข้ามาวุ่นวาย ถึงขั้นฉีกสมุดสเก็ตซ์โยนทิ้งด้วยความสนุกสนาน และส่งเขาขึ้นกระเช้าลอยฟ้ามุ่งหน้าสู่ภัตตาคารผีสิง นี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในเรื่องราวสุดแฟนตาซี ซึ่งเราจะต้องเป็นคนค้นหาข้อมูล เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวด้วยตนเอง รวมถึงสะสมหน้ากระดาษจากสมุดสเก็ตซ์ภาพที่หายไปตามจุดต่างๆ ของเมือง และแน่นอน การค้นพบพู่กันวิเศษที่สามารถสรรสร้างชีวิตให้กับสัตว์ประหลาดหน้าขนที่จะมาช่วยเราทำภารกิจยิ่งใหญ่อย่างการฟื้นฟูเมือง Denska ให้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ว่ากันตามตรง พล็อตเรื่องก็ไม่ได้แปลกใหม่ซักเท่าไรนัก เพราะเมื่อเราเล่นไปจนถึงช่วงเวลานึง ก็จะรู้ได้ว่าเกมพยายามพูดถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการเพื่อน ต้องการการยอมรับ ต้องต่อสู้กับสังคมรอบตัวรวมถึงความรู้สึกภายในใจของตัวเอง ซึ่งถ้าใครเป็นคอหนังน่าจะได้สัมผัสเรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วความลึกลับที่ปกคลุมเป็นฉากหลัง ก็สามารถผลักดันองค์ประกอบต่างๆ ให้มันไปในทิศทางของมันเองได้ กราฟิก Concrete Genie ถูกนำเสนอด้วยภาพสไตล์ Animation 3D ที่ลายเส้นออกไปทางฝั่งตะวันตก ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียน การออกแบบตัวละครไม่ได้รู้สึกโดดเด่น หรือเป็นที่จดจำเท่าใดนัก กลับกันในส่วนของภาพวาดที่ถูกรังสรรค์โดยตัวละครของเราบนกำแพงต่างๆ นั้นทำได้สวยงามน่าประทับใจ เราจะได้เห็นอากัปกริยาน่ารักน่าชังของ “Genie” มอนสเตอร์หน้าขนที่จะวิ่งไปช่วยเราตามจุดต่างๆ เท่าที่กำแพงจะไปถึงราวสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง การเคลื่อนไหวของดอกไม้ใบหญ้า ละอองเรืองแสงที่ล่องลอยออกมาจากภาพวาดจากปลายพู่กันของเรา สิ่งเหล่านี้ เมื่อตัดกับดีไซน์ของเมืองที่ลงรายละเอียดได้ลึกลับดูน่าค้นหา ก็ช่วยสร้างบรรยากาศของการผจญภัยในโลกเหนือจริงได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังช่วยขับคอนเซ็ปต์ของเกมให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย ถึงอย่างนั้นเกมก็ยังมีปัญหาสำคัญ คือการแสดงผลที่ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร โดยเฉพาะจังหวะหมุนเปลี่ยนมุมกล้องที่แสดงอาการกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบนเครื่อง PS4 ธรรมดา และ PS4 Pro แม้ว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายไปแล้ว ซึ่งทำให้ผู้เล่นเสียอรรถรสไปไม่น้อย ก็ต้องมารอดูกันว่าทาง Sony จะออกแพตช์แก้ออกมาในอนาคตหรือไม่ ระบบการเล่น ระบบการเล่นหลักๆ ของเกมจะเป็นการแก้ปริศนาเพื่อเข้าไปสำรวจตามส่วนต่างๆ ของเมือง ซึ่งออกแบบมาค่อนข้างดี ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป มีการใช้ความสามารถของ Genie แต่ละประเภทในการผ่าน เช่น ธาตุไฟมีความสามารถในการเผา, ธาตุไฟฟ้าสามารถกระตุ้นอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ทำงาน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสะสมชิ้นส่วนเรื่องราว รวมถึงปลดล็อค Genie และแพทเทิร์นการวาดรูปแบบใหม่ๆ ต่อไป ลูกเล่นอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือระบบ "Motion Sensor" ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Nintendo Switch โดยวิธีการวาดรูปบนกำแพงเราจำเป็นต้อง "โยก" หรือ "ลาก" คอนโทรลเลอร์ไปยังทิศทางที่ต้องการแทนที่จะกดแค่ปุ่มทิศทาง (D-pad) ซึ่งก็ให้ความรู้สึกสดใหม่ดี เพียงแต่ตัวเกมไม่ได้ให้อิสระกับผู้เล่นในการวาดเต็มที่ขนาดนั้น แต่จะออกไปในทางจัดองค์ประกอบเสียมากกว่า ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการแต่งเติมสีสันบนกำแพงที่เปรียบเสมือนผ้าใบผืนยักษ์ และเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ที่เราวาดลงไปราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสว่างไสวให้กับเมือง Denska ในระหว่างการดำเนินเนื้อเรื่อง เราต้องคอยหลบหลีกแก๊งอันธพาลที่จะเข้ามาก่อกวน หรือตะโกนหลอกล่อพวกนั้นออกจากจุดที่เราต้องการจะไป ซึ่งผู้เล่นสามารถหลบตามตัวตึก ปีนขึ้นไปบนหลังคา หรือโหนสายไฟไปยังบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังได้ แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมจะถูกจัดอยู่ในหมวด Action Adventure พาร์ทต่อสู้กลับน้อยนิดจนน่าใจหาย เพราะกว่าที่เราจะได้หยิบพู่กันขึ้นมาฟาดกันจริงๆ ก็เป็นช่วงท้ายของเกมแล้ว อีกทั้งระบบการต่อสู้ยังขาดมิติ และความท้าทาย เนื่องจากไม่ว่าเราจะตายจากการตกจากที่สูง หรือจมน้ำ เกมจะให้เราเริ่มเล่นใหม่ตรงจุดเดิมทันที โดยไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งสิ้น ตรงนี้สามารถบอกได้ว่า บางทีกลุ่มเป้าหมายของ PixelOpus อาจจะไม่ใช่ Hardcore Gamer แต่เป็นผู้เล่นทั่วไปที่ต้องการรับรสชาติใหม่ๆ นอกจากเกมเนื้อเรื่องหนักๆ หรือเกมที่เรียกร้องสกิลเพลย์ที่ค่อนข้างสูง สรุป ท้ายที่สุดแล้ว คงจะไม่แฟร์ซักเท่าไรหาก Concrete Genie จะต้องถูกยกไปเทียบกับเกมฟอร์มยักษ์ต่างๆ บนเครื่องคอนโซล เพราะจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสตั้งแต่ต้นจนจบ เกมยังขาดองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่จะทำให้ตัวเกมมีความสมบูรณ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเนื้อเรื่อง กราฟิก และเกมเพลย์ ไหนจะเพลงประกอบที่ยังไม่มีบทบาทเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับเกมแนวนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกเหนือจากข้อเสียจุดเล็กๆ ที่ได้กล่าวไป Concrete Genie ก็ยังถือว่าเป็นเกมดี เราได้เห็นความพยายามของทีม PixelOpus ในการหยิบจับไอเดียใหม่ๆ มาทำเป็นเกม ลำดับการเล่าเรื่องและกราฟิกที่ค่อนข้างสวยจนเหมือนได้นั่งดูแอนิเมชันเรื่องนึง แน่นอนด้วยซับไทย! ที่แปลได้อย่างไร้ที่ติ ไม่พบคำผิดหรือปัญหาสระลอย ถือว่าเป็นอีกเกมหนึ่งที่ซื้อเอามาเล่นแก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี และหากจะให้นิยาม คำว่า "เรียบง่ายแต่งดงาม" ก็คงไม่เกินไปนัก [penci_review id="31260"]
16 Oct 2019
รีวิว Tom Clancys Ghost Recon: Breakpoint การกลับมาของหน่วยผี ในรูปแบบที่ไม่มีใครขอ...
อาจจะไม่ได้เป็นซีรี่ส์ที่คนคิดถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อนึกถึงผู้พัฒนาขวัญใจมหาชนอย่าง Ubisoft ในยุคนี้ แต่ซีรี่ส์ Ghost Recon ครั้งหนึ่งก็เคยได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในซีรี่ส์เกมยิงปืน Tactical Shooter ที่ดีอันดับต้นๆ ในช่วงที่วางจำหน่ายใหม่ๆ ส่งผลให้เกมได้รับภาคต่อมากมายตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา Tom Clancys Ghost Recon: Breakpoint คือภาคล่าสุดของเกม Tactical Shooter ยอดนิยมนั้น ซึ่งต่อยอดระบบต่างๆ จากเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Wildlands กับการพัฒนากราฟฟิคและระบบการเล่นต่างๆ พร้อมกับการผสมผสานระบบเกมเพลย์แบบ RPG ที่พบได้ในเกมของ Ubisoft ที่วางจำหน่ายในช่วงหลังๆ มาอย่าง Assassins Creed: Odyssey และ The Division 2 อีกด้วย แต่แม้ว่าเกม Assassins Creed และ The Division 2 จะได้รับคำชื่นชมมากมายจากการผสมผสานแนวเกมแบบ RPG เข้ากับเกมเพลย์ดั้งเดิมของซีรี่ส์ ระบบ RPG ดังกล่าวกลับกลายเป็นจุดอ่อนถึงตายของเกม Ghost Recon: Breakpoint เลยทีเดียว แม้ว่าเกมเพลย์การยิงปืนและลอบเร้นเบื้องต้นของเกมจะยังสนุกได้อยู่บ้าง แต่ระบบ RPG ของเกมกลับกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาขัดขวางความสนุกมากกว่าเป็นการเสริมเกมในทางบวก ทำให้ Ghost Recon: Breakpoint กลายเป็นเกมที่ขาดแนวทางอันชัดเจน มีความครึ่งๆ กลางๆ อยู่ตลอดระยะเวลาการเล่น สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่นกับเพื่อนๆ ในเกมภาค Wildlands มาก่อนอาจจะสามารถหาความสนุกแบบเดียวกันได้อยู่ แต่ถ้ากล่าวในภาพรวมแล้วนั้น คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Ghost Recon: Breakpoint เป็นเกมที่มีปัญหาอยู่มากเช่นกัน ◊ เนื้อเรื่อง ◊ เนื้อเรื่องของ Ghost Recon: Breakpoint นั้นถือเป็นภาคต่อกลายๆ ของเกม Ghost Recon: Wildlands โดยเนื้อเรื่องในเกมจะติดตามตัวละครผู้เล่นที่ใช้ชื่อว่า Nomad ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้สืบหาเบาะแสการหายสาปสูญไปของเรือ USS Seay ในบริเวณหมู่เกาะ Auroa อันเป็นที่ตั้งของเกมนั่นเอง แต่ภารกิจเกือบจะล่มเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เมื่อเฮลิคอปเตอร์ที่บรรทุก Nomad และสหายหน่วย Ghost อีกหลายชีวิตกลับถูกโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธปริศนาที่ใช้ชื่อว่า Wolves (หมาป่า) จนทำให้เหลือผู้รอดชีวิตเพียงหยิบมือเท่านั้น ผู้เล่นในฐานะ Nomad จึงต้องรวบรวมเหล่าสมาชิกหน่วย Ghost ผู้รอดชีวิตเพื่อร่วมมือกับชาวเกาะ Auroa ในการต่อสู้กับกลุ่ม Wolves ที่นำโดยอดีตทหารหน่วย Ghost อย่าง Cole D. Walker และสืบหาความจริงเบื้องหลังการทรยศครั้งนี้! คนที่คุ้นเคยกับเกมแฟรนไชส์ Tom Clancy อยู่แล้วน่าจะพอนึกภาพออกว่าเนื้อเรื่องของ Ghost Recon: Breakpoint นั้นจะดำเนินไปอย่างไรบ้าง โดยเนื้อเรื่องของ Breakpoint นั้นว่ากันตามตรงว่าค่อนข้างตามสูตรของเกมที่มีเนื้อเรื่องแนวทหารส่วนใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งในจุดนี้ก็แล้วแต่คนจะมองว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย สำหรับผู้เขียนแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ช่วยเสริมอรรถรสหรืออารมณ์ของเกมได้ขนาดนั้นเช่นกัน เหมือนเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงขับให้ตัวละครเฉยๆ แต่ถึงไม่ได้ตั้งใจติดตามก็คงไม่ได้พลาดอะไรไปนัก เหตุผลที่ผู้เขียนไม่ได้รู้สึกมีความสนใจในเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งมาจากวิธีการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมด้วย โดยเกมจะแบ่งย่อยภารกิจหลักต่างๆ รวมถึงภารกิจเนื้อเรื่องออกเป็น ไฟล์การสืบสวน เมื่อผู้เล่นทำภารกิจย่อยๆ สำเร็จก็จะได้พบกับเนื้อเรื่องเพิ่ม ให้ความรู้สึกคล้ายกับการค่อยๆ คลี่คลายเงื่อนงำเพื่อเปิดเผยเส้นเรื่องของภารกิจนั้นๆ นั่นเอง ผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะทำภารกิจย่อยอันไหนก่อนหลังได้อย่างอิสระ ทำให้เส้นทางการดำเนินเรื่องของผู้เล่นแต่ละคนมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งในจุดนี้ก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน เพราะในแง่หนึ่งการเปิดให้ผู้เล่นสามารถดำเนินเส้นเรื่องในแบบที่ตัวเองต้องการได้ก็ช่วยเสริมความอิสระอันเป็นจุดขายของเกมได้ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง การทำแบบนี้บางครั้งก็ทำให้จังหวะการดำเนินเรื่องแปลกๆ ไปได้เหมือนกัน เพราะเราอาจจะทำภารกิจย่อยข้อหนึ่งที่ถ้าดูตามเนื้อเรื่องควรจะเกิดขึ้นหลังอีกภารกิจหนึ่งที่เรายังไม่ได้ทำเป็นต้น แม้ว่าปัญหานี้จะสามารถแก้ได้ด้วยการเล่นเส้นเรื่องอันใดอันหนึ่งจนจบทีละเส้นเรื่องไป แต่การเล่นแบบนั้นก็ค่อนข้างยากสำหรับเกมลักษณะนี้ เพราะเราจะไม่ได้ปลดล๊อกอุปกรณ์เสริมหรืออาวุธใหม่ๆ ที่เป็นของรางวัลจากภารกิจเสริมเช่นกัน อันที่จริงการดำเนินเรื่องในลักษณะนี้ก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจากเกมอื่นๆ ของ Ubisoft อย่าง Assassins Creed Odyssey หรือเกมรุ่นพี่อย่าง Ghost Recon: Wildlands มากนัก ซึ่งคนที่เคยชินหรือชื่นชอบแนวทางการเล่าเรื่องของเกมเหล่านั้นอาจจะไม่ได้รู้สึกติดขัดกับการเล่าเรื่องของ Breakpoint แต่คนที่อยากติดตามเนื้อเรื่องของเกมอย่างจริงจังอาจจะต้องวางแผนการดำเนินภารกิจให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดการทำภารกิจข้ามเนื้อเรื่อง ◊ เกมเพลย์ ◊ ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมซีรี่ส์ Ghost Recon แน่นอนว่าเกมเพลย์ของ Breakpoint ย่อมเน้นไปที่การลอบเร้นและกำจัดศัตรูแบบเงียบๆ ด้วยปืนสไนเปอร์ระยะไกลหรือปืนใส่ที่เก็บเสียงต่างๆ ซึ่งในจุดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Wildlands มากนัก นอกจากการปรับปรุงลูกเล่นต่างๆ เช่นการพรางตัวระหว่างที่หมอบคลานอยู่ การอีพเกรดปืน หรือการตัดรั้วเหล็กเพื่อเปิดทางลอบเข้าสู่ฐานทัพของศัตรูเป็นต้น คนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Wildlands อยู่แล้วน่าจะทำความเคยชินกับการควบคุมของเกมได้ไม่ยาก ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าการควบคุมของเกม Breakpoint อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ทั้งระบบการยิงปืนที่มีการตอบสนองสมจริงและการลอบเร้นที่น่าตื่นเต้น แม้ว่าเมื่อมองในภาพรวมแล้วเกมเพลย์ของ Breakpoint จะยังมีปัญหาอยู่หลายจุดก็ตาม สิ่งแรกที่เป็นปัญหามากๆ เกี่ยวกับเกมเพลย์ของ Breakpoint คือระบบ A.I. ของศัตรูที่ค่อนข้างซื่อบื้อและถูกเอาเปรียบได้ง่าย ซึ่งทำให้เกมเพลย์ที่ควรจะน่าตื่นเต้นของเกมรู้สึกง่ายขึ้นมาเลย ศัตรูในเกมมักจะตอบสนองต่อการพบศพของเพื่อนด้วยวิธีที่คาดเดาได้เสมอ ทำให้เราใช้ศพศัตรูเป็นตัวล่อให้ศัตรูตัวอื่นๆ เดินเข้ามาให้ยิงแบบเรียงตัวได้ตลอดเวลา แถมในกรณีที่ถูกจับได้ การจะหลบหลีกเหล่า A.I. เพื่อเริ่มการลอบเร้นใหม่ หรือกระทั่งการฆ่าล้างบางศัตรูก็ง่ายเหลือเกิน ทำให้ไม่ค่อยอินกับบทบาทนายทหารมือฉกาจที่ต้องต่อสู้กับศัตรูทั้งเกาะด้วยตัวคนเดียวที่เกมพยายามจะมอบให้เท่าไหร่ การปรับเกมให้เป็นโหมดยากก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้เท่าไหร่นักเพราะ A.I. ก็ไม่ได้ฉลาดขึ้นเท่าไหร่นัก อย่างที่สองที่เป็นปัญหามากๆ คือระบบ Gear Score หรือค่าเฉลี่ยไอเทมของผู้เล่นแต่ละคน ซึ่งเป็นระบบ RPG ที่เกมยกมาจากเกมอื่นๆ ของ Ubisoft อย่าง Assassins Creed Odyssey และ The Division 2 แต่กลับไม่มีความจำเป็นเลยในเกม Ghost Recon ที่เน้นการลอบเร้นและการวางแผน เพราะศัตรูมนุษย์ทุกตัวในเกมจะยังพิชิตได้ด้วยการยิงเข้าที่หัวเพียงนัดเดียวอยู่ดี (อาจจะมากกว่านัดเดียวถ้าศัตรูใส่หมวก แต่ก็ไม่เกิน 2-3 นัดแน่นอน) แม้จะเอาปืนเริ่มต้นไปยิงศัตรูระดับสูงที่สุดก็ยังคงตายง่ายๆ ด้วยการยิงหัว ทำให้ระบบดังกล่าวไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่นิดเดียวในเกม Breakpoint นี้ สถานการณ์เดียวที่ Gear Score ของผู้เล่นจะมีความหมายขึ้นมาก็คือในการต่อสู้กับศัตรูชนิดหุ่นโดรนต่างๆ ในเกม ซึ่งจะต้องใช้ปืนที่มีค่าความแรงสูงๆ ถึงจะล้มลงได้ ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องสงสัยว่าจำเป็นต้องมีระบบนี้จริงๆ ไหมถ้ามันจะต้องใช้ในสถานการณ์ที่จำกัดมากๆ แบบนี้ ยังไม่นับว่าการต่อสู้กับหุ่นโดรนทุกครั้งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมอย่าง The Division 2 อยู่มากกว่าเกม Ghost Recon ด้วยซ้ำ จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า Ubisoft มีเจตนาอะไรกันแน่ในการเพิ่มระบบนี้เข้ามาในเกมทั้งๆ ที่เกมเพลย์ดั้งเดิมของซีรี่ส์ไม่ได้เหมาะกับระบบ RPG แบบนี้เลย อีกระบบ RPG ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกม Breakpoint คือระบบคลาสของเกม ที่ให้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ 4 ชนิดด้วยกันคือ Assault (แนวหน้ากล้าบุก), Panther (สายลอบสังหาร), Sharpshooter (สายสไนเปอร์), และ Field Medic (หมอ) นั่นเอง ซึ่งแต่ละคลาสจะมีผังสกิลให้เลือกอัพเกรดได้คล้ายๆ กัน ต่างกันเพียงแค่แต่ละคลาสจะได้รับสกิลพิเศษเฉพาะของตัวเอง (เช่น Panther จะสามารถโยนระเบิดควันเพื่อพรางตัวได้ หรือ Sharpshooter จะมีเซนเซอร์ไว้จับตำแหน่งศัตรู) ซึ่งระบบนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งระบบที่น่าสงสัยว่าจะใส่มาทำไม เพราะความแตกต่างระหว่างแต่ละคลาสมีเพียงนิดเดียวเท่านั้น การจำกัดอุปกรณ์พิเศษอย่างระเบิดควันหรือกล่องปฐมพยาบาลตามคลาสจึงดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ น่าจะเปิดให้ผู้เล่นเลือกเปลี่ยนไปมาได้เหมือนในระบบ Specialization ของเกม The Division 2 เพื่อเสริมความหลากหลายในการเล่นมากกว่า สิ่งที่น่างงมากพอๆ กับการเพิ่มระบบ RPG ที่ไม่จำเป็นเข้ามามากมายก็คือการถอดเอาระบบบางอย่างที่เป็นลายเซ็นของซีรี่ส์ Ghost Recon ออกไป อย่างระบบ Sync-Shot ที่แม้จะยังมีอยู่ แต่ถูกเปลี่ยนจากการร่วมกับ NPC เพื่อนร่วมทีมยิง กลายเป็นการปล่อยโดรนออกไปยิงตัวที่เราไม่ได้เล็งแทน หรือระบบ A.I. เพื่อนร่วมทีมโดยรวมที่หายไปเลย (ผู้เล่นจะต้องเล่นเกมคนเดียวตลอดยกเว้นจะมีคนอื่นมาเล่นด้วยทางออนไลน์) ทำให้ความเป็นหน่วยผี Ghost Recon ที่คุ้ยเคยจากเกมภาคก่อนๆ ต้องเปลี่ยนไป ซึ่งพอดูจากระบบอื่นๆ ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นการแลกกันที่คุ้มค่าหรือไม่ กล่าวโดยสรุป แม้ว่าเกมเพลย์พื้นฐานอย่างการเคลื่อนที่หรือการยิงปืนของเกม Ghost Recon Breakpoint จะอยู่ในจุดที่ดีประมาณหนึ่ง แต่ระบบโดยรอบของเกมกลับไม่ได้ช่วยเสริมกันเองเท่าไหร่ จนในบางครั้งก็กลายเป็นปัญหาจุกจิกน่ารำคาญในการเล่นขึ้นมาจาก A.I. ศัตรูที่น่าผิดหวัง หรือการพะว้าพะวงกับตัวเลข Gear Score และไอเทมสวมใส่ทั้งๆ ที่มีผลต่อเกมน้อยมาก (แต่ก็ต้องทำเผื่อเจอหุ่นโดรนขึ้นมา) จน Ghost Recon Breakpoint รู้สึกเหมือนเป็นเกมที่พยายามรวบรวมระบบเกมเพลย์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดของ Ubisoft มายำรวมกันเฉยๆ จนเสียตัวตนของตัวเองไปในหลายๆ จุด ◊ กราฟฟิค/การนำเสนอ ◊ ในระดับเบื้องต้น Ghost Recon Breakpoint ถือเป็นเกมที่มีกราฟฟิคค่อนข้างสวยทีเดียว ตั้งแต่หน้าตาของตัวละครสำคัญต่างๆ ในคัตซีนที่สมจริงยิ่งกว่าตอน Assassins Creed Odyssey ซะอีก ไปจนถึงการเคลื่อนที่ของต้นไม้ใบหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามลม ทำให้การเดินทางไปบนเกาะ Auroa มีความเพลิดเพลินสบายตาอยู่พอสมควร ซึ่งถือเป็นข้อดีมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องเดินทางไปมาบนเกาะ Auroa เยอะมากๆ ตลอดทั้งเกม ที่น่าชื่นชมอีกจุดคือสภาพแวดล้อมของเกาะ Auroa เอง ที่มีความหลากหลายมากกว่าภาค Wildlands พอสมควร ทั้งส่วนที่เป็นป่าทึบ ภูเขาหิมะขาวโพลน ไปจนถึงอาคารรูปร่างทันสมัยไฮเทคต่างๆ ช่วยทำให้เกาะรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่จริงๆ มากกว่าจะเป็นแค่ฉากหลังให้ผู้เล่น อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือบทบรรยายภาษาไทยของเกม โดย Ghost Recon Breakpoint ถือเป็นเกมแรกจากผู้พัฒนา Ubisoft ที่ทำบทบรรยายไทยไว้ในเกมด้วย ซึ่งในจุดนี้ต้องยอมรับกันตามตรงว่าอาจจะด้วยความที่เป็นครั้งแรก แต่คุณภาพของบทบรรยายและการแปลนั้นยังไม่ค่อยดีนัก ภาษาที่ใช้ยังมีความแข็งๆ ทื่อๆ แถมยังมีแปลผิดอยู่พอสมควรเลย แต่บทบรรยายก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่พอปะติดปะต่อความหมายที่ตัวละครพูดออกมาได้อยู่ จึงถือว่า Ubisoft สอบผ่านสำหรับความพยายามทำซับไทยครั้งแรกนี้ ในด้านของความเสถียรของเกมนั้น ต้องขอชมว่า Ghost Recon Breakpoint ถือเป็นเกมที่มี Performance ค่อนข้างนิ่ง เฟรมเรตไม่ค่อยเหวี่ยง (ผู้เขียนรีวิวเกมบน PC การ์ดจอ 1050TI, 8GB RAM) แต่ก็มักจะพบบั๊คเช่นการ Clipping (เมื่อตัวละครในเกมเดินทะลุพื้นผิวที่ไม่ควรทะลุได้) หรือการที่สิ่งของบางอย่างโหลดช้ากว่าปกติ โดยปัญหาหนึ่งที่ผู้เขียนพบบ่อยคือการที่โหลดเข้าเกมแล้วแต่โมเดลปืนกลับโหลดตามมาทีหลัง ทำให้ตัวละครของผู้เขียนต้องถือปืนล่องหนอยู่เป็นนาที (จะเล็งก็ไม่ได้เพราะมองไม่เห็นทั้ง Scope และ Cross-hair หรือเป้าเล็ง) ก่อนที่จะสามารถมองเห็นปืนได้ ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยพอสมควรเช่นกัน ◊ สรุป ◊ ถ้าให้กล่าวโดยสรุป Ghost Recon Breakpoint เป็นเกมที่มีโครงดีอยู่แล้ว ด้วยเกมเพลย์พื้นฐานและการควบคุมที่ทำได้ค่อนข้างดี รวมไปถึงแนวเกมยิงปืนบุคคลที่สามแบบลอบเร้นที่เล่นกับเพื่อนได้ง่าย แต่เกมกลับทำพลาดอย่างมหันต์ด้วยการเพิ่มระบบ RPG ที่ขัดแย้งกับแนวทางดั้งเดิมของซีรี่ส์อย่างสิ้นเชิง จนทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในตัวตนของเกมว่าพยายามจะเป็นเกมแบบไหนกันแน่ ยังไม่นับรวม Microtransaction (ของที่ใช้เงินจริงซื้อ) ที่แลดูออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาความน่ารำคาญที่เกมสร้างขึ้นมาเองด้วย ทำให้ Ghost Recon Breakpoint เป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดจากผู้พัฒนา Ubisoft ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว [penci_review id="30846"]
11 Oct 2019
รีวิว John Wick Hex สวมบทเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬ Baba Yaga
John Wick ถือว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ Action ที่ได้รับความนิยมมากไปทั่วโลก โดยได้ดารานำอย่าง Keanu Reeve และบทของ Johnathan Wick นี้เองที่ทำให้เขากลับมาเป็นดาราระดับโลกอีกครั้ง จนทำให้มันมีเกมเป็นของตัวเองเลยทีเดียว เมื่อภาพยนตร์ถูกทำมาเป็นเกม ในฐานะผู้เขียนที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้จึงกัดฟันซื้อมารีวิวให้ท่านผู้อ่านชาว GameFever TH ได้รู้ว่าเกมนี้เป็นอย่างไร เนื้อเรื่อง - การต่อสู้ของ Baba Yaga ตัวเนื้อเรื่องนำเสนอเรื่องราวก่อนภาคที่ 1 จักรวาลหนังว่าด้วยเรื่องของ Hex วายร้ายขององค์กรโฉดที่ได้จับตัว Winston และ Charon เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง John Wick ในฐานะของเพื่อนสนิทจึงต้องถือปืนเพื่อออกตามหา Hex แล้วช่วยเหลือเพื่อนของเขา เนื้อเรื่องของเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ตามสไตล์มาตรฐาน เมื่อเราเล่นผ่านฉากไปเรื่อย ๆ ตัวเกมก็จะเปิดเผยเรื่องราวออกมาทีละนิดให้เราได้ซึมซับ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนของหนังคุณจะรู้ดีว่าพวกเขากล่าวถึงอะไร ตุลาการคืออะไร สภาสูงคืออะไร Baba Yaga , Helen หมายถึงใคร ในทางกลับกันหากคุณไม่เคยดูหนังมาก่อน คุณจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวในเกมมากนัก แม้ว่าจะมีการเกริ่นเพื่อให้แฟน ๆ หน้าใหม่บ้างก็ตาม งาน Art Work ที่ไม่เหมือนเกมไหน ๆ เกมนี้เปิดตัวด้วยกราฟิกที่ไม่ได้เน้นความสมจริงดั่งเกมสมัยใหม่ แต่จะเน้นสีฉูดฉาดออกแนวการ์ตูนๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับทำให้เกิดดูเป็นงาน Art ที่น่าสนใจสำหรับใครหลายคน แต่ในบางครั้งตัวกราฟิกของเกมก็มีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะมันทำให้เราเห็นศัตรูบางตัวไม่ชัดหรือไม่เห็นพื้นที่ในการเดินหรือเคลื่อนไหวในบางครั้ง ทำให้เราตัดสินใจพลาดไปบ้าง ซึ่งข้อนี้ก็อยู่ที่ท่านผู้อ่านว่าจะชอบหรือไม่ เกมเพลย์ - สวมวิญญาณของ John Wick จุดเด่นของเกมนี้จริง ๆ คือระบบเกมการเล่นที่เป็นการผสมผสานระหว่างเกมแบบ Strategy กับ Action ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการถึงจุด Check Point ของแต่ละด่านให้เร็วที่สุดและเผชิญหน้ากับเหล่าบอสในฉากสุดท้ายของแต่ละ Location ตามสไตล์ John Wick โดยการกระทำทุกอย่างของผู้เล่นจะมี Time Phase ด้านบนที่จะเดินทุก ๆ ครั้งเราสั่งให้ตัวละครทำ Action ต่าง ๆ จะแสดงให้เราเห็นด้านบนว่าเราทำอะไรบ้าง เมื่อระบบพบเจอศัตรูตัวเกมจะทำการหยุดอัตโนมัติ ให้เราได้เลือกว่าจะวางแผนอย่างไร จะยิงปืนหรือจะโจมตีระยะประชิด ซึ่งบาง Action อาจจะใช้ Focus Point ที่เปรียบเสมือนกับค่าความเหนื่อย หากไม่ค่านี้หมดตัวละครของเราจะใช้ท่าทางพิเศษไม่ได้เลย แม้ว่าเราจะสามารถฟื้นฟูได้แต่พยายามรักษาให้เต็มไว้ตลอด ในส่วนของ Stance ที่ให้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดยการเปลี่ยน Stand จะทำให้ John Wick ได้รับโบนัสความแม่นในการยิงปืนและการหลบหลีกมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการเคลื่อนที่ทุกครั้งจะต้องใช้ค่า Focus รวมถึงไม่สามารถให้การโจมตีระยะประชิดได้ ทำให้เราจะต้องเลือกใช้ให้ถูกจังหวะ นอกจากนี้ก่อนเริ่มภารกิจเรายังมีเหรียญทองที่ใช้ในการเลือกผลพิเศษในด่าน เช่นบางท่าใช้ค่า Focus น้อยลง Action บางอย่างสามารถทำในระยะไกลขึ้น หรือเราจะไม่เอาผลพิเศษก็ได้แต่เราจะเอากระสุนและยาไว้ในฉากสำคัญ ๆ เพื่อทำให้เรามีพลังชีวิตที่พร้อมสู้กับศัตรูได้เสมอก็เป็นได้ ระบบเหล่านี้ทำให้เกมการเล่นของเกมนี้ออกมาอย่างลงตัว เราจะรู้สึกท้าทายในทุก ๆ ฉาก เพราะการตัดสินใจช้าเพียง 1 วินาทีอาจจะทำให้ Game Over เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังทำให้เราตัดสินใจแต่ละครั้งต้องคิดให้ดีเนื่องจากว่าการเล่นของเกมนี้จะเล่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะฆ่าบอสเสร็จถึงจะผ่านฉากไปได้ ทำให้เราต้องเล่นอย่างระมัดระวังเพราะหากไปถึงด่านสุดท้ายแล้วเลือดของเราเหลือน้อย เกมจะกลายเป็นโหมด Very Very Hard ทันที ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยเจอประสบการณ์สู้กับบอสด้วยเลือดเพียงแค่ 1 แต้มมาแล้ว เมื่อเราผ่านแต่ละด่านตัวเกมจะ Replay ให้เราได้ดู ซึ่งจะให้ความรู้เหมือนกับการดูภาพยนตร์ที่ John Wick ต้องต่อสู้กับศัตรูแบบ Non-Stop จนกว่าจะผ่านด่าน แม้ว่ามุมกล้องบางครั้งอาจจะไม่เป็นใจแต่ก็พอดูได้เพลิน ๆ สรุป John Wick Hex คือเกมเกี่ยวกับตัวละคร John Wick ที่ผสมผสานระหว่างความเป็น Action และ Strategy ได้อย่างลงตัว ทำให้ใครที่ชอบเล่นเกมนี้ก็เล่นได้ยาว ๆ แต่หากคุณไม่ค่อยชอบเกมประเภทที่ต้องวางแผนเยอะ ๆ และเหนื่อยกับตัดสินใจให้เฉียบขาดเกมนี้ ก็ข้ามเกมนี้ไปได้เลย John Wick Hex วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 8.99$ หรือประมาณ 271 บาทใน Epic Games Store ใครที่สนใจสามารถที่จะหามาเล่นกันได้ที่นี่ [penci_review id="30797"]
10 Oct 2019
รีวิว The Sims 4 Realm of Magic มาสวมบทเป็นพ่อมดกันเถอะ!
ถ้าพูดถึงเกมเล่นไปเรื่อยๆ แบบชิลล์ๆ แล้วละก็ The Sims คือหนึ่งในเกมที่ถ้าพูดชื่อขึ้นมาทุกคนจะต้องร้องว่า "อ้อ" แน่นอน The Sims 4 ที่เป็นภาคล่าสุดนั้นก็ยังคงออก Expansion ต่างๆ มาเรื่อยๆ จนทำให้ทุกวันนี้เราทำได้แทบจะทุกอย่างที่สามารถทำได้ในโลกความจริงแล้ว ตั้งแต่สร้างบ้าน, ไปเล่นดนตรีข้างถนน, ต้มตุ๋นคนอื่น และล่าสุดก็ยังมีการออก Expansion ตัวใหม่มาในชื่อ Realm of Magic ที่จะทำให้เราสามารถใช้เวทมนต์ดั่งพ่อมดในเรื่อง Harry Portter ได้เลยทีเดียว ส่วนเกมเพลย์จะเป็นยังไง มีอะไรเพิ่มเข้ามาบ้างใน Expansion นี้ ไปดูกันครับ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ The Sims 4 เป็นเกมที่มีอายุพอสมควรแล้ว ดังนั้นในเรื่องกราฟิก จึงไม่ได้มีความสวยงามอะไรมากมายนัก ถึงแม้ว่าจะออก Expansion ใหม่มา แต่ตัวที่ออกมาก็ไม่ได้ช่วยให้กราฟิกในเกมมันใหม่หรือสวยขึ้นไปด้วย แต่ถ้ามองในทางกลับกัน เกมนี้ก็ไม่ต้องการสเปคเครื่องที่สูงในการเล่นเช่นกัน และถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีภาพที่สมจริงอะไร แต่กราฟิกสไตล์การ์ตูนนิดๆ ของเกมก็จัดว่าเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเกมเช่นกัน ในด้านการนำเสนอ สามารถนำเสนอการแสดงออกของอารมณ์ตัวละครได้ดีมาก ในเกมภาคนี้ตัวละครจะมีการแสดงออกถึงอารมณ์ได้ชัดเจนมาก มีการเดินกระทืบเท้าเมื่อโกรธ มีการเดินหอเหี่ยวเมื่อรู้สึกเศร้า เป็นต้น ต่างจากในเกมภาคก่อนๆ ที่ตัวละครจะมีการเคลือนไหวแข็งๆ เหมือนกับหุนยน นอกจากนี้ใน Expansion ใหม่นี้ ก็ยังสามารถทำอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวเวลาใช้เวทมนต์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ตอนเล่นเราจะไม่รู้สึกสะดุด กับการเคลื่อนไหวเลย ถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีอายุถึง 5 ปีแล้วก็ตาม ◊ เกมเพลย์ ◊ ด้านนี้ต้องยอมรับเลยว่าทาง The Sims Studio ออกแบบ Expansion นี้มาได้ดีมากๆ เพราะปกติแล้วเวลาเราเล่น The Sims เราจะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากไปกว่า การดูตัวละครของเราใช้ชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ แต่ใน Realm of Magic นั้นเราจะต้องเลือกว่าตัวละครเราจะเป็น Master ในศาสตร์ด้านไหน เพราะทุกครั้งที่ระดับจอมเวทย์ของเราเลื่อนขั้น เราจะได้ Point มาอัปความสามารถของตัวละคร ในการเป็นพ่อมดนั้นจะมีสาขาวิชาเวทมนต์อยู่ 5 สายคือ เวทมนต์กลั่นแกล้ง, เวทมนต์ต่อสู้, การปรุงยา, เวทมนต์ในการใช้ชีวิต, และการเก็บเกี่ยว ดังนั้นเมื่อได้ Point มาต้องคิดดีๆ ว่าเราอยากเป็นมาสเตอร์ด้านไหนนั้นเอง ทำให้เกมมันดูมีสีสันขึ้นเยอะเลยครับ การใช้ชีวิตในสังคมนั้น มนุษย์มักจะสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมา ในโลกของ Realm of Magic ก็เช่นกัน โลกเวททนต์ภายในเกมจะประกอบด้วยสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เขตร้านค้าที่ขายไม้กายสิทธิ์ ไม้กวาดสำหรับขี่ วัตถุดิบต่างๆ หรือ เขตลานประลองเวทมนต์ที่เอาไว้ชิงความเป็นหนึ่ง ทำให้เวลาที่เราเดินสำรวจสถานที่ต่างๆ ในโลกเวทมนต์นั้น จะเหมือนผจญภัยอยู่ในโลกแฟนตาซีเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ The Sims ก็ยังคงเป็น The Sims อยู่วันยังค่ำ ดั้งเดิมแล้วเกมนี้จะให้เราเล่นและใช้ชีวิตประจำวันอย่างคนปกติ ดังนั้น กิน, นอน, เข้าห้องน้ำ, เข้าสังคม มันก็เป็นสิ่งที่ยังต้องทำอยู่เรื่อยๆ ในเกมเหมือนเดิม เวลาเล่นชีวิตจะเหมือนติดลูป ถึงแม้ว่า Realm of Magic จะทำให้เรามีเป้าหมายในการเล่น แต่การติดลูปของเกมมันทำให้เราเบื่อเวลาเล่นเกมนี้นานๆ นั้นเอง ◊ สรุป ◊ The Sim 4 Realm of Magic เป็น Expansion เสริมที่ทำให้เกม The Sims 4 นั้นดูมีอะไรให้ทำระหว่างเล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยา, ตามหาสมุนไพรหายากต่างๆ, ประลองเวทมนต์ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มเป้าหมายในการเล่นให้กับผู้เล่นกับการเป็นสุดยอดพ่อมดแขนงต่างๆ ด้านการนำเสนอมุมมองต่างๆ ของโลกเวทมนต์ภายในเกมก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน ทำให้การเล่น The Sims มันสนุกมากกว่าที่เคยเป็นไปพอสมควร แต่ก็ยังคงไม่สามารถแก้ข้อเสียเดิมๆ ของเกมได้เช่นกัน การเล่นยังคงเป็นการเล่นแบบติดลูปใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ เหมือนเดิม ถ้าเล่นนานๆ แล้ว ก็อาจจะหลับได้ครับ จากผลสรุปแล้วทำให้เราให้คะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถ้าหากเป็นคนที่เล่นเกมเพียงแค่ประมาณวันละ 1-2 ชั่วโมง เกมนี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีพอสมควร แต่ถ้าหากเป็นสายเล่นเกมวันละ 4-5 ชั่วโมงแล้วละก็ เกมนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์อะไรมากมายนักครับ [penci_review id="30470"]
10 Oct 2019
รีวิว Gears 5 สุดยอดซีรีส์เกมยิงกับการผจญภัยครั้งใหม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม (PC)
ซีรีส์ Gears of War ถือว่าเป็นจุดขายของเครื่อง Xbox และทาง Microsoft มาอย่างยาวนานทำให้ผู้เขียนนั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสซีรีส์นี้เท่าไหร่ แต่เมื่อทาง Microsoft ประกาศว่าเกม Gears 5 จะลง PC พร้อมกับการนำเสนอในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน Gears 5 จะสมกับที่รอคอยหรือไม่ ติดตามได้ในรีวิวนี้เลย การผจญภัยครั้งใหม่ของเหล่า Gears เนื้อเรื่อง Gears 5 จะดำเนินต่อมาจากเกมภาคที่ 4 ทีมของเราได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจยังดินแดน Ausura แต่ระหว่างทางนั้นเอง Kait ก็ได้เห็นนิมิตแปลกประหลาด และระหว่างที่พวกเขากำลังสำรวจดินแดนของนี้อยู่นั่นเอง พวกเขาพบว่าเหล่า Locust ที่ควรจะตายไปแล้วกลับไม่ตาย แต่พวกเขาได้พัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งกว่าเดิมในชื่อ Swarm พร้อมทำสงครามกับเหล่ามนุษย์อีกครั้ง ทำให้ Kait ต้องออกตามหาที่มาของนิมิตประหลาดและหาทางรับมือกับเหล่า Swarm ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ตอนแรกผู้เขียนเองไม่เข้าใจว่าทำไมชื่อเกมภาคนี้ตัดคำว่า of Wars ออกทั้ง ๆ ที่อยู่คู่กับเกมนี้มาอย่างยาวนานและทาง Aaron Greenberg หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Xbox บอกว่าอยากที่จะตัดคำนี้ออกเพราะว่าเกมเมอร์ฺจะสามารถจดจำได้ง่ายขึ้น หลังจากเล่นโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จบจึงเข้าใจนอกจากเหตุผลด้านการตลาดแล้ว เหตุผลด้านเนื้อเรื่องก็มีความสำคัญ Gears 5 จะไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังทำสงครามอยู่ แต่มอบความรู้สึกของการอยากค้นหาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ ที่ทางทีมงานเขียนบทออกมาได้ดีมาก ตัวละครต่าง ๆ จะมีบทที่ดี ทำให้เรารู้สึกอินกับตัวละครมาก ๆ อีกทั้งยังสอดแทรกมุกตลกตามแบบอเมริกัน ทำให้ตัวละครมีสีสันไม่น้อย สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกมภาคก่อนมาก็ไม่ต้องห่วงเพราะตัวเกมจะมีการเล่าย้อนเหตุการณ์ภาคเก่า ๆ ในช่วงแรกของเกม นอกจากนี้ตัวเกมยังใส่จุดหักมุมรวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ในจังหวะที่พอดี ทำให้เนื้อเรื่องของเกมที่มีความยาว 15 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้น เราจะไม่รู้สึกเบื่อเลยเราอยากจะเล่นต่อให้จบ ซึ่งเชื่อผมเถอะว่าซื้อเกมนี้มาเล่นโหมดเนื้อเรื่องก็คุ้มค่าแล้ว การต่อสู้สุดมันกับเหล่า Swarm Gears 5 ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ที่ทำมาอย่างยาวนานในฐานะของเกม Cover base Shooters สุดมัน ที่เน้นการยิงกันเข้าว่า มาในภาคนี้ทางตัวเกมได้ขยับความมันและความเดือนขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่เราสามารถที่จะลอบสังหาร (Stealth) การที่มีหุ่นอย่าง Jack ที่จะคอยช่วยเก็บกระสุน รวมถึงใช้สกิลต่าง ๆ ในการต่อสู้กับเหล่าศัตรู เมื่อประกอบกับระบบ Perfect Reload ที่จะให้โบนัสพิเศษแก่เรา หากกดปุ่ม Reload แล้วกดอีกครั้งให้ถูกจังหวะ ทำให้การต่อสู้ของเกมนี้สนุก ๆ มาก ๆ โดยเฉพาะเกมเมอร์สายยิง ในขณะเดียวกันศัตรูของเกมนี้ก็ไม่ได้ดาหน้าเข้ามาให้เรายิงแบบง่าย ๆ พวกมันจะมีการวางแผน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่ศัตรูโผล่มาทีละหลาย ๆ ตัว ทำให้เราจะต้องใช้ความสามารถในการต่อสู้อย่างเต็มที่ รวมถึงเราต้องจัดลำดับของศัตรูให้ดีไม่งั้นเราจะอยู่ในจุดที่เสียเปรียบสุด ๆ แม้ว่าจะมี Cover ต่าง ๆ มาช่วยเราก็ตาม นอกจากนี้ในบางช่วงของเกมตัวเราจะไม่ได้ยิงแต่ศัตรูเท่านั้น แต่ตัวเกมจะให้เราออกไปสำรวจยังโลกกว้าง ที่จะมีภารกิจหลักและภารกิจเสริมให้เราทำ โดยภารกิจหลักจะมีผลต่อเนื้อเรื่องของเกม แต่ภารกิจรองจะให้รางวัลแก่เราเป็นการอัปเกรดของ Jack ทำให้เราไม่อยากที่จะพลาดภารกิจเสริมเลย อีกทั้งตัวเกมเองยังมีสิ่งของต่าง ๆ ให้เราได้เก็บที่จะทำให้เราเข้าใจจักรวาลของ Gears มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันตัวเกมก็เน้นยังการยิงกันอย่างเดียว ทำให้หากคุณไม่อินกับการยิงกันคุณจะรู้สึกเบื่อเร็วมาก เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวเกมแม้จะมีโหมดลอบเร้นแต่สุดท้ายก็ยิงกันตูมตามอยู่ดี Multiplayer ที่แสนสนุก หลังจากจบโหมดเนื้อเรื่องแล้ว จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือโหมด Multiplayer ที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ไม่ว่าจะเป็นโหมด Versus ที่ให้เราได้ใช้ความสามารถที่เรียนรู้มาจากโหมด Single Player มาจัดการผู้เล่นอีกฝ่ายหรือโหมดอย่าง Horde โหมด Co-op สุดมันที่ให้เราได้ร่วมมือกับผู้เล่นอื่นในการต่อต้านเหล่า Locust และโหมดอย่าง Escape ที่ให้เราผ่าฝูงด่านต่าง ๆ ในแบบ Co-op เพื่อทำเวลาให้ดีที่สุด กราฟิกในเกมที่สวยงามตามสไลต์ Gears Gears 5 ถือว่าเป็นเกมหนึ่งที่มีกราฟิกสวยงามมากเกมหนึ่งในปีนี้ รายละเอีดยต่าง ๆ ฉาก แสงในเกมรวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ใน Cut scene ก็ทำออกมาได้อีกมาก โดยหากคอมพิวเตอร์ของคุณสามารถปรับให้เล่นแบบ Ultra ได้คุณจะเห็นถึงความสวยงามของเกมแบบเต็มตา ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กินสเปกเครื่องมากนัก โดยสเปกขั้นแนะนำของเกมก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยิ่งคุณเล่นในเครื่อง Xbox One X จะสัมผัสได้ถึงความสวยในระดับ 4K นอกจากนี้ตัวเกมยังเอาใจคนสเปกเครื่องแรงด้วยการเพิ่ม Ultra-HD Texture Pack ที่จะทำให้ภาพในเกมสวยยิ่งขึ้นไปอีกแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแลกมากับสเปกเครื่องที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดย FPS จะลดลงไปมากถึง 15- 20 FPS [caption id="attachment_30517" align="alignnone" width="1024"] Gears 5 กับกราฟิกแบบปรับสุด+ Ultra texture[/caption] แต่หลาย ๆ คนอาจจะเจอปัญหาเมื่อเกมเข้าสู่ช่วง Open World จะมีอาการกระตุก ซึ่งผู้เขียนแม้ว่าจะใช้การด์จอระดับ RTX 2060 เฟรมเรตก็ร่วงไปถึง 20-30 FPS จนบางครั้งต่ำกว่า 60 FPS ก็มี ทั้ง ๆ ที่ในฉากอื่น ๆ FPS แทบจะเกิน 120+ ซึ่งคำแนะนำหากยังเล่นได้กระตุกอยู่ก็อาจจะต้องมีการปรับลดคุณภาพของกราฟิกลง รวมถึงในบางครั้งกราฟิกของตัวเกมมีอาการติด Bug ให้เราเห็นบ้างในบางครั้ง สรุป Gears 5 คือแพคเกจของเกม Shooters ขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องที่แสนเข้มข้นและระบบการเล่นที่สนุก ในราคาเริ่มต้นเพียง ฿699.00 (Steam) และยิ่งคุณสมัครสมาชิกของ Xbox Game Pass Ultimate ในช่วงทดลองคุณจะสามารถเล่นเกมนี้ได้ในราคาเพียง 35 บาทเท่านั้น สเปกเครื่องที่ใช้ในการรีวิวเกมนี้ CPU: Intel i5 - 9400F GPU : ZOTAC GAMING GEFORCE RTX2060 - 6GB GDDR6 RAM : 16 GB [penci_review id="30515"]
07 Oct 2019
[Review] Call of Duty: Mobile เมื่อสมรภูมิถูกย่อลงมือถือ นี่คือความมันระดับพระกาฬ
หลังจากตัวเกม Call of Duty: Mobile ได้เปิดให้บริการพร้อมกันทั่วโลกในช่วง 1 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมี Activision เป็นผู้ให้บริการ ส่วนเซิร์ฟเวอร์เอเชียของเรานั้นจะได้ Garena เป็นผู้เปิดให้บริการแทน ถึงแม้ผู้ให้การบริการทั้งสองเจ้าจะคนละเจ้าแต่ความสนุกและความมันชนิดระเบิดเขา เผากระท่อมก็ยังมีอย่างครบครัน ราวกับเอาเกมบน PC มาย่อลงในมือถือให้เล่นกันได้ทุกที่ทุกเวลา ต้องขอย้อนไปช่วงที่ทาง Activision เริ่มลุยเกม Call of Duty ลงบนมือถือตอนแรกๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขอบอกเลยว่าเล่นไปแป๊บเดียวแทบจะลบเกมทิ้ง ณ เดียวนั้นเลย เหมือนรู้สึกว่าตลาดมือถือยังไม่ใช่ทาง จนกระทั่งในปัจจุบันเมื่อมือถือมีศักยภาพมากพอที่สามารถเล่นบนภาพกราฟิคสวยๆ ในราคาที่จับต้องได้ และมีหน้าจอกว้างพอที่เอื้อต่อการบังคับด้วยระบบสัมผัสบนปลายนิ้ว จนเกิดเกม Call of Duty: Mobile ที่พร้อมท้าชนเกมแนว Shooting รุ่นพี่ได้อย่างน่าสนใจ บทความนี้จะเป็นการรีวิวเกมมือถือสุดมันโดยเครื่องที่ใช้เล่นเกมนี้เป็น Samsung Galaxy A50 มือถือสเปคกลางๆ ไม่หวือหว๋า มาดูกันว่ามันจะสนุกไม่แพ้บน PC หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ================================================== มันคือ Call of Duty ที่พกสนามรบไปตบกันได้ทุกหนแห่ง Call of Duty: Mobile เป็นเกมแนว Shooting มุมมองบุคคลที่หนึ่งและมุมมองบุคคลที่สามสำหรับโหมด Battle Royale ที่มีระบบพื้นฐานต่างๆ อ้างอิงมาจากภาค Black Ops 2 เป็นหลัก พร้อมนำจุดเด่นและ Signature ของภาคอื่นๆ มาใส่รวมไว้ในนี้ด้วย แถมมีตัวละครสำคัญๆ อย่าง Ghost, Price, Soap จากภาค Modern Warfare หรือแม้กระทั่ง Alex Mason จากภาค Black Ops และ David Mason ลูกชายของเขาจากภาค Black Ops 2 ก็ยกขบวนมาอยู่ในเกมนี้ด้วย นอกจากนี้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในเกมจะอิงจาก Modern Warfare เป็นหลัก แต่ที่น่าสนใจคือ Signature Weapon หรือ Operator Skill ซึ่งเป็นอาวุธปืนสุด OP จาก Black Ops 3 และ 4 ถูกใช้ในเกมนี้ด้วย หากใครเก่งๆ ได้ฆ่าบ่อยๆ จนเกจเต็มก็สามารถไล่กราดยิงใส่ให้ราบเป็นหน้ากลอง  แต่เห็นเอาระบบต่างๆ จากภาค Modern Warfare และ Black Ops มารวมกันแบบนี้ กลับลงตัวอย่างน่าประหลาดและไม่ได้รู้สึกว่ามันเยอะจนเกินไป ความประทับใจแรกของเกมนี้ เห็นทีมี WOW สิ่งแรกที่ทำได้น่าประทับใจจนไม่น่าเชื่อเลยก็คือการใช้เวลาจับคู่กับผู้เล่นคนอื่นๆ ซึ่งไม่เกินสามวินาทีก็ได้เล่นกันเลย แต่กลับเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะยังไม่ทันจะหยิบขนมเข้าปากเลยเกมก็เริ่มเสียแล้ว (อย่างหลังล้อเล่นนะ) สำหรับในโหมด Battle Royale กลับใช้เวลานานกว่านิดหน่อย ใช้เวลาไม่เกินสามสิบวินาทีโดยเฉลี่ยเพราะต้องจับคู่ทีเดียวหนึ่งร้อยคนต่อหนึ่งแมตช์ซึ่งอันนี้เข้าใจได้แต่ก็ยังถือว่าเร็วมากๆ อยู่ดี ส่วนต่อมาที่ชอบเหมือนกันก็คือระบบกราฟิค ซึ่งเครื่องที่ใช้ในการรีวิวเกมนี้เป็น Samsung Galaxy A50 ที่มีสเปคเครื่องไม่แรงมากนัก แต่สามารถขับ Framerate วิ่งอยู่ที่ 60 FPS ได้อย่างสบายๆ ในระดับ Medium ซึ่งหากปรับ High ก็มีอาการหน่วงอยู่บ้าง Framerate จะอยู่ประมาณ 45 ถึง 50 FPS ก็ยังถือว่าพอรับได้ กลายเป็นว่าเกมนี้มีกราฟิคสวยๆ ลื่นๆ แต่กินสเปคไม่โหดอย่างที่คิด หากใครที่ใช้โทรศัพท์สเปคแรงกว่านี้ก็สามารถทำ Framerate 60FPS ในระดับ High ได้ดีเยี่ยมเลยล่ะ และอีกจุดที่ชอบมากคือ หากคิดว่าเกมนี้ไม่อำนวยต่อผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่มีทักษะเกม Shooting บนมือถือ ระบบการยิงของเกมก็มีการยิงแบบอัตโนมัติง่ายๆ เพียงแค่เลื่อนเป้าปืนให้ตรงกับศัตรูปืนก็จะยิงออกไปอย่างอัตโนมัติ หรือใครชอบความยากชนิด Try Hard ก็สามารถปรับระบบการยิงแบบ Advance ได้ซึ่งจะมีรายละเอียดปรับรูปแบบการยิงให้เหมาะกับสไตล์ที่เราเล่นกับปืนที่ละกระบอก Interface ไม่ซับซ้อนและ Feature เด่นๆ ไม่ซ้ำใคร ในด้านของ Interface และเมนูต่างๆ นั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก ตั้งแต่หน้า Loadout ที่สามารถปรับแต่งได้โดยง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส คำอธิบายเรื่อง Perk เสริมความสามารถต่างๆ บ่งบอกชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย ถือเป็นจุดที่ดีแต่ก็ไม่ได้ถึงกับประทับใจมากนัก หน้า Interface ภายในเกมนั้นแม้ปุ่นมันเยอะจริงๆ แต่ภาพโดยรวมนั้นถือว่าไม่ถึงกับบดบังสายตาจนน่ารำคาญแต่อย่างใด ถือว่าเป็นการจัดหน้า Interface ได้อย่างชาญฉลาดและลงตัวมากสำหรับเกมแนว Shooting ที่ต้องการพื้นที่ในการมองให้มากที่สุดเพื่อความได้เปรียบในการเล่น เมนูร้านค้าต่างๆ ใช้สัญลักษณ์เป็นการบอกหมวดสินค้าซึ่งก็เข้าใจง่ายดี แต่เพราะมันไม่บอกว่าคืออะไรบางคนอาจจะไม่เข้าใจก็ต้องลงไปจิ้มๆ อย่างละเอียดอีกทีว่า ในโหมดนี้มีอะไรขาย ซึ่งปืนในร้านค้าที่เอามาขายนั้นแม้จะเป็นกระบอกใหม่แต่ค่า Status ต่างๆ เท่ากับตัวปืนพื้นฐาน ฉะนั้นหมดกังวลเรื่องปืนเติมเงินมีผลต่อเกม สาย Pay-2-win จะไม่มีในนี้ ซึ่งประทับใจจริงๆ แต่ว่าราคาสินค้ามันสูงไปเสียหน่อย ความน่าซื้อเลยหายไประดับหนึ่ง ส่วนตัวละครนั้นจะมีพื้นฐานให้สามตัวซึ่งสามารถซื้อเพิ่มเติมได้จาก Bundle ในเมนู Shop ของเกม แน่นอนว่าตัวละครอันแสนคุ้นเคยรอสายเปย์มาซื้อไปใช้งานนั้น ราคาก็จะสูงๆ หน่อย แต่อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เกมนี้เปย์เพื่อเอาความเท่ ความสวยงาม ไม่มีผลต่อการเล่นแต่อย่างใดซึ่งมันก็แฟร์ดี อาวุธต่างๆ ในเกมเมื่อเราเล่นจบแต่ละเกมก็จะมีเลเวลของปืนเพิ่มขึ้นเพื่อปลดล็อคอุปกรณ์เสริม หากบางคนขี้เกียจก็สามารถใช้บัตร Weapon XP ในการเร่งเลเวลได้เพียงชั่วพริบตา Signature Weapon หรือ Operator Skill ถือเป็นไพ่ตายของผู้เล่น สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัดเช่น ปืนกล Minigun ที่สามารถสังหารศัตรูได้ทุกระยะเพียงไม่กี่อึดใจ, เครื่องยิงลูกระเบิดที่ยิงออกไปแล้วทำความเสียหายแบบวงกว้าง สามารถสังหารหมู่ได้เพียงนัดเดียว หรือแม้กระทั่งเครื่องพ่นไฟแม้ระยะของไฟจะใกล้แต่หากโดนแล้วไฟจะลามเผาไปทั่วร่างจนตายอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องการได้อาวุธจำพวกนี้มาจะต้องปลดล็อคด้วยเลเวลของตัวผู้เล่นให้ถึงกำหนดเสียก่อนถึงจะใช้งานมันได้ ในด้านโหมด Battle Royale นั้นสามารถเลือกได้ที่จะใช้มุมมองแบบบุคคลที่หนึ่งหรือมุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งแล้วแต่ความถนัด เพิ่มทางเลือกให้ผู้เล่นได้ ส่วนใน Interface ตัวเกมในโหมด Battle Royale นั้นแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากโหมด Multiplayer ปกติ เพียงแต่มีการเสริมปุ่มการสลับมุมมองที่ซ้ายล่างและสามารถปรับโหมดการยิงจากยิงทีละนัดเป็นแบบยิงอัตโนมัติได้ตามสถานะการณ์ และปุ่ม Signature Weapon จะถูกเปลี่ยนเป็น Class Skill แทน Class Skill คือสิ่งที่ช่วยให้เรารอดพ้นสถานะการณ์อันเลวร้ายต่างๆ ในโหมด Battle Royale ได้เป็นอย่างดี ทั้งสกิลฮีลหมู่, สกิลยิงสลิงปีนปายขึ้นที่สูงหรือสกิลตั้งกำแพงเหล็กฉุกเฉิน หากใช้ถูกจังหวะมันจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว Gameplay ที่ โค-ตะ-ระ มัน แต่เวลาสั้นเหลือเกิน แผนที่ต่างๆ ภายในเกมนั้น ก็เอามาจากซีรี่ย์ Black Ops เป็นหลักตั้งแต่ภาคแรกถึงภาคล่าสุด หากใครไม่เคยเล่นภาค Black Ops ก็จะใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับแผนที่สักหน่อย แต่ส่วนตัวจากที่ติดตามและเล่นภาค Black Ops มาทุกภาค จึงปรับตัวได้รวดเร็วและทำให้ชวนคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยเล่นบน PC เนื่องจากมันเกมมือถือ จึงต้องย่นระยะเวลาการเล่นแต่ละเกมให้จบไวขึ้น ยกตัวอย่างเช่นโหมด Team Deathmatch ในเวอร์ชั่น PC ทีมจะต้องฆ่าให้ครบ 75 คะแนนหรือ 100 คะแนน แต่ในเวอร์ชั่นมือถือจะตัดเหลือเพียง 40 คะแนน ในรูปแบบเกม 5 ต่อ 5 แน่นอนว่าความสนุกนั้นไม่ได้กลับหายไป แต่มันแอบสะดุดที่ว่า เกมมันจบไวเกิน อารมณ์มันค้าง ต้องหาเกมใหม่ เล่นแป๊บๆ จบ และก็หาเกมใหม่วนไปเรื่อยๆ มันเลยรู้สึกเล่นไม่เต็มอิ่มเสียเท่าไหร่ และก็รวมถึงโหมด Domination หรือโหมดยึดพื้นที่ ปกติคะแนนที่เราจะชนะอยู่ที่ 200 คะแนน แต่ในมือถือจะเหลือเพียง 100 คะแนน แม้ระยะเวลาการเล่นจะนานขึ้นมานิด แต่ก็รู้สึกจบไว ไม่เต็มอิ่มอยู่ดี เมื่อเกจ Signature Weapon หรือ Operator Skill เต็ม ก็เตรียมเปิดทุ่งสังหารกันได้เลยเพราะเมื่อเราได้ชักอาวุธสุด OP ออกมา แม้ยิงนัดแรกพวกมันจะไม่เป็นไร แต่นัดต่อไปก็จะได้เห็นศัตรูกระเด็นติดกำแพง ใครๆ ก็เห็นว่าตายหมู่ บอกเลยว่าจังหวะนี้เป็นอะไรที่แอบฟินและซาดิสม์นิดๆ กับการยิงไม่เลือกหน้าเพราะของเขาดีจริงๆ แถมสิ่งนี้จะช่วยทำให้เราพลิกเกมกลับมาชนะด้วย แต่ก็ต้องระวังด้วยว่ามันมีระยะเวลาจำกัดในการใช้ จึงต้องเลือกใช้ในสถานะการณ์ที่เหมาะจริงๆ เท่านั้นเนื่องจากแต่ละรอบมันใช้ได้ครั้งเดียว และหากเราตายขณะที่เรากำลังใช้ อาวุธสุด OP ก็จะหายไปด้วย แต่ความมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะเกมนี้ใช้ระบบ Score Streak เก็บคะแนนสะสมจากการฆ่าศัตรู, ช่วยเหลือการยิงหรือการสนับสนุนต่างๆ เมื่อถึงจุดที่กำหนดเราสามารถเรียกการสนับสนุนการยิงได้ต่างๆ มากมายทั้ง Predator Drone ที่ลงกลางหัวศัตรูสามารถสังหารหมู่ได้เพียงครั้งเดียว, เรียก Helicopter ออกมากราดยิงศัตรูเป็นระยะ สร้างความได้เปรียบในการเล่นหรือสามารถเรียก VTOL ซึ่งเป็นเครื่องบืนเพดานสูง เรียกปืนใหญ่ลงถล่มจากภาคพื้นได้โดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมดหรือถูกโจมตีสวนขึ้นมาได้ง่ายๆ เหมือนเรากำลังได้ขยี้สิ่งมีชีวิตตัวน้อยด้วยเพียงปลายนิ้ว อีกทั้งเสียงระเบิดตูมตามสะใจนี่ฟินเสนาะหูดีเหลือเกิน พอมาถึงคิวของโหมด Battle Royale นี่ฉากเปิดตัวอลังการมาก แต่ดันตกม้าตายเพราะไอ้การแปลภาษาไทยข้างล่าง ดด/วว/ปปป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะแปลส่วนนี้มาทำไม ใส่เวลาบอกไปเลยน่าจะดูดีกว่าเยอะ เห็นจุดนี้ทีถึงกับเบ้ปากมองบนเลยล่ะ พอเมื่อเท้าแตะพื้นและได้ลองเล่นโหมดนี้ได้สักพัก กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นหรือหวือหว๋ามากนัก แม้จะมีลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาอย่างการขับ Helicopter,ขับรถหุ้มเกราะ,มีปืนสำหรับยิงต่อต้านยานเกราะและต่อต้านอากาศยาน, มี Class Skill ไว้เพื่อใช้ในสถานะการณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งมีซอมบี้วิ่งไล่ตบแบบสุ่มก็ตาม แต่ใช่ว่ามันไม่สนุกเลย มันโอเคเลยล่ะ เล่นง่ายกว่าเกมแนว Battle Royale หลายเกม ระยะเวลาในการเล่นก็ไม่นานเกินไป เพียงแต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ก็เท่านั้น ================================================== ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะได้เจอในเกม Call of Duty: Mobile แม้ว่าโหมด Zombie จะยังไม่เปิดให้เล่นในตอนนี้ แต่โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีมาก กราฟิคลื่นไหลแม้ใช้มือถือที่สเปคไม่แรง และที่สำคัญเลยคือโหมด Multiplayer ทำออกมาดีงามพระรามแปดไม่แพ้รุ่นพี่บน PC เลยล่ะ โดยเฉพาะตอนได้ขึ้น VTOL แล้วสาดกระสุนปืนใหญ่ลงมา แต่ทว่าในโหมด Battle Royale กลับทำออกมาเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะเกมแนวนี้มีมานานและมีเยอะพอสมควรจึงรู้สึกไม่ค่อยมีอะไรใหม่มากนัก ส่วนใครกลัวว่าเกมนี้อาจจะต้องเจอคนที่เล่นผ่าน Emulator ล่ะก็ขอให้สบายใจได้เพราะทางทีมงานได้ยืนยันแล้วว่าคนที่เล่นผ่าน Emulator ก็จะเจอคนเล่นผ่าน Emulator ด้วยกันทำให้เกิดความแฟร์และหมดกังวลเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบ สุดท้ายนี้ เกม Call of Duty: Mobile เหมาะกับใครหรือเล่นสไตล์ไหน ก็ขอตอบเลยว่าเป็นเกมที่เหมาะกับคอร์เกมสาย Shooting เกมไว หากคนไม่คุ้นเคยอาจจะรู้สึกมึนหัวเสียเล็กน้อย  และสามารถเล่นได้ทั้งแบบเล่นฆ่าเวลาหรือเล่นจริงจังก็ทำได้หมด เพราะนี่คือสมรภูมิย่อส่วนบนมือถือที่ดีที่สุดในขณะนี้ยังไงล่ะ สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
03 Oct 2019
[REVIEW] Mario Kart Tour เกมแข่งรถมาริโอสุดฮิตบนเครื่องมือถือ
หากคุณเป็นสาวก Nintendo เจ้าแห่งเครื่องและเกมคอนโซลจากแดนอาทิตย์อุทัย ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักมาริโอ และเกมการแข่งรถในตำนานของพวกเขา อย่าง Mario Kart แน่นอน  ตัวละครน่ารักน่าชังและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ Gamer ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของวงการเกม กับการพลิกบทบาท ที่ให้พลพรรคมาริโอ ได้ทำมากกว่าการกระโดดโหม่งอิฐ, มุดลงท่อ, เหยียบกระดองเต่า, ชักธง ฯลฯ มาจับพวงมาลัยซิ่งโกคาร์ตแทน นับว่าเป็นเกมในจักรวาล Mario ที่น่าเล่นเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้  ณ วันนี้ Nintendo ได้เปิดตัวเกมใหม่ของซีรี่ย์ Mario Kart ให้เราได้เล่นกันบนมือถือ ทั้งบนระบบ Android และ IOS แล้ว เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ในชื่อ Mario Kart Tour [caption id="attachment_30027" align="aligncenter" width="1500"] Image from: Mario Kart Tour, twitter official account[/caption]   มาทำความรู้จักกับ Mario Kart กันหน่อย Mario Kart เป็นเกม Arcade แข่งรถโกคาร์ต ที่ถูกพัฒนาโดย ชิเงรุ มิยาโมโตะ แห่งบริษัท Nintendo ซึ่งเขานี่แหละ เป็นคนสร้างเกม Super Mario Bros. ขึ้นมา เขาได้ไอเดียในการจับมาริโอ้มาขับโกคาร์ต จากการพูดคุยกับกลุ่มเด็กในเมือง Dayton รัฐ Ohio ซึ่งความสำเร็จของ Mario Kart นั้น ได้มาจากการที่ผู้เล่นสามารถนำตัวละครที่คุ้นเคยจาก Super Mario Bros. มาสนุกกับเกมประเภทแข่งรถแนวใหม่ได้นั่นเอง และแน่นอนว่า เกมนี้ต้องเล่นบนเครื่องคอนโซลของ Nintendo เท่านั้น โดยซีรี่ย์เกมของ Mario Kart ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1992 ชื่อว่า Super Mario Kart บนเครื่องซุปเปอร์แฟมิคอม (Super Famicom) หรือในชื่อเต็มๆว่า Super Nintendo Entertainment System เป็นเครื่องเล่นเกม 16-bit ที่มีประสิทธิภาพด้านกราฟฟิคและเสียงสูงมากในยุคนั้น ต่อมา เมื่อ Nintendo พัฒนาเครื่องเล่นเกมให้มีความทันสมัยมากขึ้น Mario Kart เองก็ได้พัฒนาซีรี่ย์ใหม่ๆ และพาตัวเกมไปบรรจุอยู่ในเครื่องเกมเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเครื่อง Nintendo64 (ปี 1996), เกมบอยแอดวานซ์ (ปี 2001), Nintendo GameCube (ปี 2003), Nintendo DS (ปี 2005), Wii (ปี 2008), Nintendo 3DS (ปี 2011), Wii U (ปี 2014) และ Nintendo Switch ในปี 2017 นอกจากบนเครื่องคอนโซลแล้ว Mario Kart ยังมีเกมบนตู้ Arcade กับเขาด้วยนะ ในชื่อซีรี่ย์ Mario Kart Arcade GP โดยความร่วมมือกับ Bandai Namco ตั้งแต่ปี 2005 และได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนตอนนี้มีทั้งหมด 4 เวอร์ชั่นแล้ว ล่าสุด! Nintendo ได้ฉีกกรอบจากการพัฒนาเกมลงเฉพาะเครื่องคอนโซล มาเป็นเกมในมือถือกับเขาบ้างแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้มีเกมจากซีรี่ย์มาริโอ้อย่าง Mario Run และ Dr. Mario World ออกมาให้ได้เล่นกันก่อน และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ก็ได้นำเกมซีรี่ย์ยอดฮิต Mario Kart มาเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ ในชื่อ Mario Kart Tour แล้วจ้า เริ่มเล่น Mario Kart Tour กันเถอะ! Mario Kart Tour เปิดให้บริการแบบ Free-To-Start ทั้งบนระบบ Android และ iOS เพียงเข้าไปหน้า Play Store หรือ App Store แล้วกดดาวน์โหลดได้เลย เมื่อเข้าเกมมาแล้ว หลายคนอาจจะตกใจ เพราะตัวเกมจะถามหา Nintendo Account ซึ่งถ้าคุณไม่ใช่สาวก Nintendo มาก่อนคงร้อง อ้าว! แน่นอน (เนื่องจาก ปกติหลายๆเกมมักจะให้ล็อคอินผ่าน Faceook ได้เลย) แต่ที่จริงแล้ว การสมัคร Nintendo Account ไม่ได้มีความซับซ้อนหรือเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น ถ้าเรายังไม่มี Nintendo Account ตัวเกมจะพาเราไปยังหน้าเว็บไซต์ของ Nintendo โดยระบบจะให้เราสามารถสร้างบัญชีโดยเชื่อมกับ Facebook, Google หรือ Twitter ได้เลย เพียงกรอกรายละเอียดเพิ่มนิดหน่อย พร้อมยืนยันการสร้างบัญชีผ่านอีเมล ก็เป็นเสร็จเรียบร้อย สิ่งแรกที่เราจะได้ทำตั้งแต่เริ่มเกม คือ.. การสุ่มตัวละคร!! ตัวเกมจะขอให้เราดึงเจ้าท่อสีเขียว หนึ่งใน  Gimmick ของเกมมาริโอ้ เพื่อจุดพลุ จากนั้นจะมีตัวละครสุ่มออกมาให้ เมื่อเรามีตัวละครแล้ว ระบบจะแนะนำวิธีการเล่นเบื้องต้นให้ เมื่อเราจบ Training ก็จะได้สุ่มตัวละครเพิ่มอีก 1 ครั้ง ก่อนลุยสนามจริง ในส่วนของการเริ่มต้นเกม ถือว่าแนะนำได้เข้าใจง่าย สามารถจับจุดการเล่นได้ภายในการฝึกแค่ไม่กี่นาที แถมฝึกจบแล้ว ยังมีตัวละครให้ถึง 2 ตัว ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ในการเลือกตัวละครให้เหมาะสมกับการเล่นในแต่ละสนาม ดีกว่าได้มาตัวเดียว ลงสนามแล้วเสียเปรียบก็ต้องทนใช้ไป ถือได้ว่า แค่ First Impression ก็ซื้อใจคนเล่นได้ค่อนข้างอยู่หมัดทีเดียว ขับรถอย่างไร ใน Mario Kart Tour ขอบอกก่อนว่า เกม Mario Kart Tour สามารถเล่นได้บนแนวตั้งเลย ตามสไตล์เกม Arcade บนมือถือ และเป็นเทรนด์เกมมือถือญี่ปุ่นในขณะนี้ ที่ไม่ต้อง Rotate หรือหมุนจอภาพมาเป็นแนวนอนเพื่อเล่น และสามารถบังคับได้อย่างสะดวกสบายด้วยมือข้างเดียว การเคลื่อนที่ของรถ จริงๆแล้วเรียกว่าเป็นระบบอัตโนมัติก็ไม่เชิง เพราะต่อให้เราไม่ทำอะไรกับหน้าจอเลย รถก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามอัตราความเร็วของรถที่เราปรับแต่งมาแล้ว หากให้เทียบกับการเล่นบนจอยคอนโซล ก็คือระบบจะกดเดินหน้าให้เราอัตโนมัติแล้วนั่นเอง  แต่การออกตัวที่ดี ทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง! ถ้าอยากให้รถที่เราขับนั้นออกตัวได้เร็ว แรง ต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่ก่อนสตาร์ท โดยระหว่างนับถอยหลัง ให้เรากดค้างเพื่อ Boost ความเร็ว เมื่อหน้าจอขึ้นว่า Go เลื่อนนิ้วบนหน้าจอไปข้างหน้าเพื่อผลักรถให้ออกตัว เท่านี้ ต่อให้ลำดับรถเราอยู่รั้งท้าย ก็มีโอกาสพุ่งขึ้นที่ 1 ได้อย่างง่ายดายถ้าเราปล่อยรถถูกจังหวะ แต่ถ้าปล่อยรถพลาด ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปฟรีเพราะเอฟเฟคมึนงงได้นะ แต่หลังออกจากเส้นสตาร์ทแล้ว รถจะเคลื่อนที่เองโดยที่เราไม่ต้องกดอะไรเพิ่ม แค่ควบคุมหน้าจอในการเลี้ยวหรือเข้าโค้งก็พอ ส่วนรถจะแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งของเราเองแล้วล่ะ ในส่วนของการเลี้ยวรถ ก็ทำได้ง่ายๆด้วยการเลื่อนนิ้วไปซ้าย-ขวาตามเส้นทางที่ต้องการ ความพิเศษอยู่ตรงที่ เราสามารถตั้งค่าได้ตั้งแต่ในโหมดการฝึก ว่าการเลื่อนนิ้วของเรา จะเป็นการเลี้ยวเบาๆตามแรงเหวี่ยงของมือ หรือหากชอบความแรงในการเข้าโค้ง เลื่อนนิ้วปุ๊บ รถดริฟ (Drift) ทันที ก็ได้เช่นกัน  การเลี้ยวอีกระบบที่น่าสนใจคือ การตั้งค่าเลี้ยวด้วยการเอียงจอ (Gyro Handling) ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่ต้องการความเซนซิทีฟในการเข้าโค้ง เลี้ยวธรรมดาได้ ดริฟได้ ตามใจชอบ โดยไม่ต้องเกร็งนิ้ว ในระหว่างลงสนามแข่ง เราจะสามารถพบ Item Box ได้ระหว่างทาง ซึ่งเมื่อเราเก็บแล้ว จะได้ไอเท็มที่ช่วยให้การแข่งขันน่าตื่นเต้น และมีการเปลี่ยนแปลงอันดับได้ หากต้องการใช้เมื่อไหร่ แค่จิ้มลงไปบนหน้าจอ ไอเท็มก็จะถูกใช้งานทันที สะดวกสบาย และไม่รบกวนการขับด้วย แนะนำเล็กน้อยสำหรับขาซิ่งที่ชอบการป่วนสนาม หากเรากำลังเร่งเครื่องแซงรถคันหน้า อย่าลืมชนรถคันนั้นด้วยถ้ามีโอกาส เพราะจะทำให้รถที่ถูกชนเสียจังหวะและหยุดกะทันหัน ทำให้เรามีโอกาสทิ้งห่างได้มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น การที่รถถูกชน จะทำให้เหรียญ Coin ที่รถคันนั้นเคยเก็บได้ กระเด็นตกออกมาอยู่บนสนาม ใครขับผ่านก็ลาภปากเก็บไปได้เลย ลงไปสำรวจสนามแข่งกัน สำหรับ Mario Kart Tour จะแบ่งช่วงการแข่งขันออกเป็นทัวร์นาเม้นท์ (ถ้าเทียบกับเกมอื่น คงเรียกว่า “ซีซั่น”) โดยในทัวร์แรกนี้ มีชื่อว่า New York Tour เริ่มเข้าแข่งขันได้ตั้งแต่วันเปิดเกมจนถึง 9 ตุลาคมนี้  ในทัวร์แต่ละครั้ง จะแบ่งสเตจออกเป็นรายการชิงถ้วยรางวัลต่างๆ ในแต่ละถ้วยการแข่งขัน จะมีสนามแข่งให้เราเข้าแข่งขันทั้งหมด 4 สนามแข่ง เพื่อเก็บแต้มคะแนน, ค่าประสบการณ์, เหรียญ Coin และดาว Grand Star แบ่งเป็นการแข่งทำเวลาและอันดับ 3 สนาม ส่วนในสนามที่ 4 เกมจะให้เราเคลียร์ภารกิจที่การแข่งขันกำหนด โดยถ้วยแรกที่เราจะได้เข้าชิงคือ Mario Cup การแข่งขันถ้วยต่อๆไป ก็ได้ใช้ชื่อตัวละครในมาริโอ้มาตั้งเป็นชื่อการแข่งขันทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ตัวเกมได้ทยอยเปิดถ้วยใหม่แบบวันเว้นวัน เราคนเล่นก็ค่อยๆเคลียร์ด่านตามไปแล้วกันเนอะ~ ยิ่งผู้เล่นสะสมดาว Grand Star จากแต่ละด่านได้มากเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถใช้ปลดล็อคการแข่งขันในถ้วยต่อไปได้แล้ว หลังจบทัวร์ฯ ก็จะได้รับรางวัลตามจำนวน Grand Star ที่สะสมไว้ด้วย ส่วนสภาพแวดล้อมของสนามแข่งขันที่ให้เราลงไปขับนั้น ขอบอกเลยว่าถอดแบบจากด่าน Mario Kart ในเวอร์ชั่นคอนโซลมาเป๊ะ! เช่น Cheep Cheep Lagoon, Mario Circuit, Toad Circuit, Rock Rock Mountain ฯลฯ เห็นไหมล่ะ แผนที่เดียวกันเลย ใครที่เคยเล่นมาบ้าง ต้องคุ้นตากันสักด่าน สองด่านอย่างแน่นอน และใน Mario Kart Tour นี้ ไม่มีการตกสนามแข่งนะจ๊ะ ต่อให้หลุดโค้งแค่ไหน ก็ไปต่อได้ แค่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง   มีอะไร ใน Item Box ไอเท็มที่เราสามารถเก็บจากสนามแข่งใน Mario Kart Tour เชื่อว่าสำหรับแฟนเกม Mario Kart ต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแน่นอน เพราะไอเท็มพื้นฐานนั้น เป็นไอเท็มที่เคยปรากฏในภาคก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น เช่น... Mushroom สัญลักษณ์ของเกมมาริโอ้ ที่ใครเห็นก็อยากเก็บ สำหรับใน Mario Kart เจ้าเห็ดสีแดง จะช่วย Boost ความเร็วในการขับขี่ของเราได้ แต่ถ้าหากได้เห็ดสีเหลือง หรือ Mega Mushroom จะช่วยให้เราตัวใหญ่ขึ้น และสามารถชนรถคันอื่นให้ติด Stun ได้สบายเลยล่ะ Shell กระดองเต่า ที่หากโดนแล้วทำให้เสียสมรรถภาพในการขับขี่ทุกคน กระดองสีเขียว เมื่อปาไปข้างหน้าจะกระดอนในบริเวณที่ถูกปล่อย ถ้าเจอก็หักพวงมาลัยหลบกันให้ดี ส่วนกระดองสีแดงและกระดองหนามของ Browser แค่มีผู้เล่นอยู่ในระยะสายตาด้านหน้า มันจะพุ่งไปหาคนเล่นทันที อันนี้ทำใจ.. หลบยากหน่อยนะ Banana ขึ้นชื่อว่าเปลือกกล้วย หากเยียบเข้าอาจทำให้ลื่นล้มได้ เช่นกันกับใน Mario Kart ถ้าเราขับรถทับเจ้าเปลือกกล้วยเมื่อไหร่ รถจะหมุนและเสียจังหวะทันที Blooper ถ้าเห็นเจ้าหมึกมาเต้นบนหัวเมื่อไหร่ เตรียมตัวจอเปื้อนได้เลย เพราะหมึกจะปล่อยน้ำหมึกสีดำ ทำให้ทัศนวิสัยในการขับรถเราแย่ลง ถ้าโดนเข้าแล้วก็ระวังแหกโค้งกันด้วยนะทุกคน Bob-omb น้องระเบิดน้อย ที่เมื่อถูกปล่อยออกมาแล้วมันจะเดินซนไปบนสนาม เมื่อนับถอยหลังครบเวลาแล้ว มันจะระเบิดเป็นพื้นที่กว้างรอบตัว ตอนขับก็อย่าเฉียดเข้าไปใกล้มันนะ เดี๋ยวโดนลูกหลง Bullet Bill เมื่อกดใช้ไอเท็มนี้ นักขับจะแปลงร่างเป็นกระสุนขนาดยักษ์ พุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง นอกจากเป็นไอเท็มที่ช่วยพลิกเกมให้ขึ้นนำแล้ว ยังสามารถก่อกวนผู้เล่นคนอื่นที่ถูกชน ให้ติด Stun ได้เช่นกัน Coin เหรียญทอง ซึ่งปกติมันจะดรอปบนถนนของสนามแข่งอยู่แล้ว แต่ก็สามารถสุ่มได้จาก Item Box เช่นกัน ซึ่งจะยิ่งเพิ่มจำนวนเหรียญให้เราสะสมไปใช้กันได้มากขึ้น   นอกจากนี้ ยังมีไอเท็มพิเศษประจำตัวละคร ซึ่งเราสามารถเช็คได้ในหน้า Driver โดยสังเกตได้จากมุมล่างซ้ายของกรอบตัวละครว่าถ้าใช้ตัวละครนี้ จะได้ไอเท็มอะไร ส่วนรายละเอียด สามารถกดรูปตัวละครและอ่านได้จากส่วน Special Skill    เลือกให้ดี! ก่อนเข้าแข่งขัน ทุกครั้งก่อนเริ่มลงสนาม ตัวเกมจะให้เราเลือกตัวละครเป็นอันดับแรก โดยแต่ละด่าน จะมีบางตัวละครที่มีความได้เปรียบในการเก็บไอเท็ม (เก็บได้ 2 หรือ 3 ชิ้น) ซึ่งยิ่งเก็บได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสทำคอมโบไอเท็มได้ด้วย สมมุติว่าในด่าน Toad Circuit เราเลือกตัวน้องเห็ด Toad ที่สามารถเก็บไอเท็มได้ 3 ชิ้น เมื่อเราขับชน Item Box แล้วได้ Banana ทั้ง 3 ช่อง จะทำให้เราปล่อยเปลือกกล้วยได้ไม่จำกัดจำนวน ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งคอมโบนี้นับว่าป่วนสนามได้อย่างมาก คันที่ขับตามหลังเรา ต้องหลบไม่ได้อย่างแน่นอน ต่อมา คือการเลือกรถ เช่นกัน รถแต่ละแบบจะให้ Bonus point ที่ต่างกันสำหรับแต่ละด่าน หากใครไม่แคร์คะแนนตอนจบเกม ก็สามารถตัดสินใจเลือกรถจาก Special Skill ในหน้า Karts ได้ เช่นบางคันออกตัวได้ดี บางคันทำให้รถเหิน (Jump Boost) ได้ดี Dash ได้ดี หรือเข้าโค้งได้ดี ซึ่งส่วนตัวแนะนำว่า เลือกรถที่เข้ากับสไตล์การเล่นของเราจะดีที่สุด สุดท้าย คือการเลือกเครื่องร่อน (Gliders) ซึ่งในส่วนนี้มีประโยชน์ คือ เพิ่มโอกาสการได้ไอเท็มตามประเภทของเครื่องร่อนที่เราเลือก ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากมุมซ้ายของรูปได้เลย สำหรับในส่วนนี้ จะมีข้อดีในการทำคอมโบไอเท็มได้ง่ายขึ้น และหากเลือกเครื่องร่อนได้เข้ากับสนามแข่ง ก็ยิ่งเพิ่ม Combo Bonus เข้าไปด้วย ระบบเพิ่มเติม ที่นักขับควรรู้ Point หรือผลการนับคะแนนท้ายเกม ขึ้นอยู่กับ 1. Base Point จากการเลือกตัวละคร รถ และเครื่องร่อนก่อนเริ่มเกม 2. Bonus Point จากผลการขับ (Performance) ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการดริฟ, กระโดด, ใช้ไอเท็ม ฯลฯ 3. Position Point หรือลำดับที่เราเข้าเส้นชัยนั่นเอง นอกจากผลคะแนนจะมีไว้เพื่อเก็บสถิติส่วนตัวแล้ว ในทุกๆ 1,000 แต้ม จะทำให้เราได้รับเหรียญ Coin เพิ่มอีก 1 เหรียญด้วย Level ในช่วงเริ่มเกม การรีบเก็บเลเวลนั้นสำคัญมาก เพราะจากเลเวล 2 ไป 3 และจากเลเวล 3 ไปเลเวล 4 เราจะได้รับ cc ของรถเพิ่มขึ้น จาก 50cc เป็น 100cc และ 150cc ตามลำดับ ยิ่ง cc รถมาก ยิ่งทำให้รถของเราวิ่งได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนตั้งแต่เลเวล 5 เป็นต้นไป จะได้รับของขวัญพิเศษตามที่ตัวเกมกำหนด Shop แม้เกมจะโหลดฟรี แต่ก็มีร้านขายของยั่วใจให้เสียเงินอยู่ดี โดยระบบการจับจ่ายส่วนใหญ่ที่ทุกคน ได้ใช้แน่นอน คือ Ruby ในการสุ่มท่อเขียว ซึ่งเราสามารถได้รับเป็นของขวัญจากการเล่นเกม (ในจำนวนเล็กน้อย) หรือถ้าอยากมีไว้ใช้เยอะๆ ก็ต้องเติมตามระเบียบ และในแต่ละช่วง จะมี Special Offer เป็นชุดเซ็ตของใช้ให้เราซื้อด้วยเงินจริง ส่วนเหรียญ Coin ที่เราสะสมจากสนามแข่ง ก็สามารถนำมาใช้ได้ในส่วน Daily Selects ที่มีตัวละคร รถ และเครื่องร่อน สุ่มมาให้เราเลือกซื้อไม่ซ้ำแบบในแต่ละวัน Gold Pass คือระบบบัญชีพิเศษ ที่ต้องเติมเงินรายเดือน เดือนละ 149 บาท เพื่ออัพเกรดบัญชีของเรา หากเราเล่นด้วยบัญชี Gold Pass เราสามารถได้รับของรางวัลพิเศษเพิ่มเติมจากภารกิจต่างๆภายในเกม และที่น่าสนใจที่สุดคือ เราสามารถปลดล็อคความเร็วรถที่ 200cc ได้ แรงแซงโค้งไปเลย~ สำหรับบัญชีผู้เล่นใหม่ ตอนนี้ ทาง Nintendo เปิดให้ลงทะเบียนทดลองใช้ฟรี 2 สัปดาห์ แต่หลังจาก 2 สัปดาห์แล้ว ระบบจะตัดรายเดือนอัตโนมัติ หากไม่ต้องการเสียเงินเพิ่ม อย่าลืมเข้าไปยกเลิก Gold Pass ก่อนครบกำหนดเวลาด้วยล่ะ Tour Gift เมื่อเราเคลียร์ถ้วยการแข่งขันผ่านไปได้ 3 ถ้วย เราจะพบกับกล่องของขวัญ คั่นก่อนเข้าสู่สเตจถัดไป หากเราสะสมดาว Grand Star จากสเตจก่อนหน้าได้ตามที่กล่องของขวัญกำหนด เราจะสามารถเปิดกล่อง Tour Gift และรับของรางวัลภายในกล่องไปได้เลย  Ranking หลังจากเปิด Tour Gift กล่องแรกได้แล้ว เกมจะเปิดระบบ Friends ให้เราเพิ่มเพื่อนในเกมได้ นอกจากนี้ยังมีความประหลาดใจที่ตามมาติดๆ เมื่อเปิด Koopa Troopa Cup นั่นคือ การจัดอันดับประจำสัปดาห์ โดยวิธีการจัดลำดับ มาจากคะแนนสะสมของการแข่งขันทั้ง 3 สนามในสเตจนั้น เมื่อครบสัปดาห์แล้ว คะแนนอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ จะได้รับรางวัลประจำอันดับนั้นไปครองทันที ทั้งนี้ ระบบ Ranking และ Friends ที่เปิดขึ้นมาพร้อมกัน นั่นเพราะ ให้เราสามารถเทียบคะแนนสะสมของเราและเพื่อนในเกมได้ด้วยนั่นเอง   ==================================================   จากใจแฟนเกม Mario Kart ขอบอกเลยว่าประทับใจมาก~ ส่วนตัวผู้เขียนเคยเล่นเกมนี้แบบจริงจังบนเครื่อง Wii มาก่อน และรอคอยมาสักพักใหญ่ๆแล้วว่าจะหาเกมนี้เล่นได้จากที่ไหนอีกนะ?  ให้ซื้อเครื่องคอนโซลมา เราก็ไม่ค่อยเล่นซะด้วย จนมาเห็นบน App store ไม่กี่วันก่อนเปิดนี่แหละ และทาง Nintendo เองก็ไม่ได้ทำให้สาวกเกมอย่างเราผิดหวัง เพราะยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น Mario Kart ไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งบรรยากาศที่คุ้นเคย ระบบเกมที่ยังคงคอนเซปต์เดิมทุกประการ อาจมีปรับเปลี่ยนรายละเอียดบ้างเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับการเล่นบนมือถือ สำหรับผู้เล่นเก่าก็แค่เปลี่ยนวิธีการควบคุม ผู้เล่นใหม่ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แถมตัวเกมยังมีขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่ในโทรศัพท์อีกด้วย ถึงแม้ว่าถ้าจะให้เทียบกับเวอร์ชั่นหลักที่ลงคอนโซล ตัวเกมเวอร์ชั่นมือถือก็อาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่า เพราะเรื่องของความท้าทายของด่านในการเล่น แต่มันก็ถือว่าเป็นเกมมือถือที่สนุก และอาจจะเป็นเกมแข่งรถมือถือที่ดีที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ แต่ที่น่าเสียดายคือ ระบบในตอนนี้ ยังเป็นการเล่นคนเดียว เคลียร์ด่านไปเรื่อยๆ เก็บคะแนนแบบเหงาๆ แข่งกับบอทไปวันๆ เต็มที่ก็แข่ง Ranking กับเพื่อน ทั้งนี้ คงต้องรอดูว่า Mario Kart Tour จะเปิดระบบการเล่นแบบ Multiplayer เมื่อไหร่ แต่เพราะอย่างนี้ เลยทำให้อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า.. Nintendo รีบเปิดเกมหรือเปล่า เลยทำให้โหมดเกมในส่วนนี้ยังไม่เรียบร้อย หรือเป็นความตั้งใจว่าในทัวร์ฯ แรกๆ อยากให้ผู้เล่นเข้ามาทดสอบระบบให้อยู่ตัวก่อนก็เป็นได้ เอาเป็นว่า Mario Kart Tour ได้เปิดตัวไปอย่างสวยงามและประสบความสำเร็จในระดับทลายสถิติ จนทะยานขึ้นที่ 1* ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ ก็คงต้องรอดูกันแล้วว่า ทางผู้พัฒนาของ Nintendo จะมีอะไรเด็ดๆมาเซอร์ไพรส์เราในอนาคตบ้าง เมื่อถึงเวลานั้น พวกเรา Game Fever จะเกาะติดข่าวอัพเดต มาให้ทุกคนได้ทราบในทันทีเลยจ้า   *ข้อมูลจากการจัดอันดับ Top Free Games ของ App Store บนระบบ IOS
30 Sep 2019
รีวิว Home Sweet Home EP.2 ทวีคูณความสยองกว่าเดิม !!
รอกันมากกว่า 2 ปี ตอนนี้ก็ออกมาให้เราเล่นแล้วสำหรับ Home Sweet Home EP.2 เกมสยองขวัญภาคต่อฝีมือคนไทย ที่จะเป็นการสรุปเรื่องราวละปมต่างๆ ของเกมในภาคแรกที่ยังค้างคาอยู่ หลังจากที่ตัวเกมได้สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกและสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยอย่างเรา ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ได้ไปลองเล่นเกมภาคนี้มาเรียบร้อยแล้ว และจะมาเล่าถึงความรู้สึกว่ามันจะยอดเยี่ยมหรือไม่ ? ไปชมกันเลย ปล. นี่เป็นการรีวิวตัวเกมจากประสบการณ์ที่เล่นใน Part 1 เท่านั้น ปมทุกอย่างของเกมจะเฉลยในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ! ซึ่งทางเราจะทำการแก้ไขข้อมูลอีกครั้ง ถ้าหากได้เล่นตัวเกมครบสมบูรณ์ เนื้อเรื่อง เรื่องราวภาคนี้เองก็ยังต่อจากภาคแรก เรานั้นจะได้รับบทเป็นติมที่จะต้องตามหาแฟนที่หายตัวไป ซึ่งในภาคนี้เนื้อเรื่องของเราจะมีการเปิดเผยเรื่องราวของผีนางรำที่เป็นกิมมิคของเกม โดยการดำเนินเรื่องในภาคนี้จะเข้าใจง่ายกว่าภาคที่แล้ว เอกสารต่างๆ จะไม่ได้มีให้อ่านเยอะที่ต้องรวบรวมข้อมูลเอาเองเหมือนภาคแรก แต่ในภาคนี้จะเล่าเรื่องราวผ่าน Flashback ที่จะเฉลยให้เราดูเรื่อยๆ ซึ่งตัวเนื้อเรื่องเองไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรมากมาย ตรงประเด็น ตรงไปตรงมา ซึ่งส่วนตัวชอบนะ เข้าใจง่าย อารมณ์เหมือนได้ดูหนังผีไทยซักเรื่อง ถึงมันจะไม่ได้แบบว่าโอ้วว้าว สุดยอด เดอะเบส ขนาดนั้น แต่ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนมากหรอก ขอแค่มันมีที่มาที่ไปนิดหน่อยก็เพียงพอจะพาเราอินไปกับมันได้ง่ายๆ เพราะเอาตามตรงวัฒนธรรมความเชื่อของไทยมันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรืออ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะต้องหาเหตุผลมารองรับให้ปวดหัวอยู่แล้ว เนื้อเรื่องที่เล่าง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ก็ไม่เลว กราฟิก ในเกมภาคนี้ก็น่าจะใช้ Engine ตัวเดียวกับภาคแรกทำ แต่ความรู้สึกคิดว่าในภาคนี้โมเดลรายละเอียดต่างๆ จะมีความสวยงามและสมจริงกว่าภาคเก่าอยู่หน่อยๆ ถึงแม้ส่วนตัวอาจจะผิดหวังกับโมเดลศัตรูบางตัวอย่างลูกกระจ๊อก หรือกระสือที่ไม่ค่อยน่ากลัวซักเท่าไร ซึ่งเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เน้นในจุดนี้ แต่สิ่งที่ต้องชมคือตัวผีนางรำทำออกมาได้น่ากลัวและสมจริงเป็นอย่างมาก สยบคำพูดของคนทั่วไปที่บอกว่านางรำสวยเกิน อยากจับทำมิดีมิร้ายมากกว่า หึหึหึ !! บอกเลยว่าอยากให้ลองเองจริงๆ เดี๋ยวรู้เลย !! บรรยากาศของเกมในภาคนี้เราจะได้เข้าไปสัมผัสถึงความเป็นไทยมากขึ้น ได้เข้าไปในป่า บ้านไม้ โรงละครโบราณ บวกกับความมึดอันสุดวังเวง หลอนๆ มาเต็มที่สามารถทำให้คุณกลัวได้จนถึงขีดสุด ซึ่งมันเป็นก็ไปได้ที่คนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะได้รับการปลูกฝังเรื่องเล่าสยองๆ ของกิตติศัพท์ผีไทยโบราณ ไศยศาสตร์ มาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องซาวด์ประกอบเองยังทำออกมาได้ดีเช่นเคย ซึ่งแม้เสียงระทึกจะยังใช้ตัวเดียวกับภาคเก่า แต่ก็มีการเพิ่มในส่วนของซาวน์ดนตรีไทย เสียงไม้กระทบกัน เสียงจิ้งจก หรือเสียงกระดิ่งจากตัวผีนางรำที่การันตรีเลยว่า ถ้าคุณได้ยินเสียงนี้ก็เตรียมตัวรับความสยองขวัญ และหาลู่ทางซ่อนในดีๆ เพราะมัน !! อยู่ใกล้ๆ คุณ !! เกมเพลย์ Home Sweet Home EP.2 ก่อนหน้านี้ตัวเกมเผยให้เห็นถึงการสู้ผีต่างๆ นาๆ ส่วนตัวก็คิดว่าเอ~ มันจะน่ากลัวน้อยลงไหม มันจะถูกดัดแปลงจนเกมมันไปเข้าข่ายแนวเดียวกับพวก Resident Evil หรือเปล่า ? (สยองขวัญและมีอาวุธให้สู้ตลอดทาง) แต่ผิดมหันต์เพราะหลังจากที่ได้ลองเล่นมาแล้วนั้น ตัวเกมก็ยังเน้นความเป็น Horror ไม่ต่างจากภาคแรก เราจะต้องลอบเร้นเข้าไปหาของเพื่อผ่านไปยังพื้นที่ต่อไป ซึ่งในภาคนี้ศัตรูที่พบเจอส่วนใหญ่ก็จะเป็นผีนางรำที่เราจะเจอตั้งแต่ช่วงประมาณ 20 นาทีแรกของเกมไปจนถึงจบ Part 1 เลย ซึ่งก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าผีนางรำนี่โหดเหียมมาก น่ากลัวกว่าผีน้องเบลในภาคแรกอีก หูไวตาไว และดุร้ายกว่ามาก ตัวภารกิจปริศนาต่างๆ ที่ได้เล่นบางอันทำได้ดูน่าสนใจดีเหมือนกัน และก็ดูแปลกใหม่ดี แต่ส่วนตัวมีความรู้สึกชอบไอเดียของปริศนาในภาคแรกเสียมากกว่า ปริศนาภาคนี้ก็มีให้คิดบ้าง แต่มันไม่ค่อยเยอะเท่าไร และก็ง่ายไปนิด ส่วนใหญ่ลอบเร้นหนีจากผีนางรำที่ขวางทางผ่านในการทำภารกิจ และอาจจะมีกลับมาที่เดิมบ้าง แต่เราก็ต้องรอดูใน Part 2 ว่าจะมีปริศนาที่น่าสนใจเพิ่มเติมมากขึ้นอีกไหม แต่มันก็มีบางระบบที่ทำให้เกมสนุกขึ้นเช่นกัน อย่างระบบต่อสู้ที่ส่วนตัวรู้สึกชอบนะเวลาสู้กับผีนางรำ เพราะว่าตัวศัตรูนั้นจะปรากฏมาตามหุ่นต่างๆ ถ้าหากเราเอาตะปูไปตอกไว้และบังเอิญว่าศัตรูเกิดมาจุดนั้นพอดี มันจะเป็นการตรึงศัตรูไว้ชั่วขณะทำให้เราโจมตีศัตรูได้ ซึ่งมันตื่นเต้นมากๆ เพราะตัวหุ่นภายในแผนที่มีหลายจุด เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าผีนางรำจะออกมาจากหุ่นตัวไหน มันเป็นความระทึกที่จะต้องลุ้นและท้าทายพอสมควร ถือว่าเป็นเกมการเล่นใหม่ๆ ที่ส่วนตัวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ในจุดนี้ต้องชม รวมถึงตัวเกมก็ยังใส่ระบบต่างๆ เข้ามาเพิ่มอย่างการกินเลือด ทำให้เราสามารถโดนผีจับได้หลายครั้ง แต่นั่นแหละมันก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผีนางรำมันดุกว่าผีน้องเบลนั่นเอง หรือจุดเซฟทำให้เราต้องบริหารและวางแผนการเล่นมากกว่าเดิม ซึ่งก็ถือว่าแปลกใหม่กว่าภาคที่แล้วดี สรุป Home Sweet Home EP2 ก็ยังเป็นเกมที่รักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้ ถึงแม้บางระบบอาจจะดูดรอปๆ ลงไปจากภาคที่แล้ว แต่มันก็มีระบบและการเล่นใหม่ๆ เข้ามาทดแทนได้อย่างยอดเยี่ยม เนื้อเรื่องและเกมเพลย์ของเกมนี้ทำให้เราติดพันจนสามารถเล่นจบได้ในรวดเดียวยิงยาวสบายๆ รวมถึงบรรยากาศของเกมนั้นน่ากลัวกว่าภาคที่แล้วเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะตัวเกมพาเราเข้าสู่ความเป็นไทยมากขึ้น ผีนางรำที่สร้างออกมาได้อย่างสยดสยอง ตัวเกมเล่นกับความมึดและเสียงได้ดีเยี่ยม เผลอๆ ทำได้ดีกว่าเกมสยองขวัญสเกลใหญ่ๆ เสียอีก ที่เพียงแค่คุณได้ยินเสียง คุณก็ขนลุกแล้ว !! นี่คือเกมที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด ไม่ใช่ว่ามันเป็นเกมคนไทยอย่างเดียว แต่มันคือความภาคภูมิใจที่คนไทยสามารถสร้างเกมยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่แพ้ต่างชาติ อยากให้ทุกท่านช่วยสนับสนุนซื้อตัวเกมเพื่อให้ผู้พัฒนา YGGDRAZIL GROUP มีเงินทุนเพื่อสร้างเกมเจ๋งๆ แบบนี้ และสเกลใหญ่กว่านี้ให้เราชาวไทยครับ สั่งซื้อเกม Home Sweet Home EP.2 ได้ที่ : LINK [penci_review id="29748"]
27 Sep 2019
รีวิว Cat Quest 2 เกม RPG Openworld ผจญภัยไปในโลกน้องเหมียว
Cat Quest 2 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่หลายๆ คนสนใจตั้งแต่ภาคแรก เนื่องจากตัวเกมเป็นเกมแนว Action / Fantasy ที่ผสมเอาความน่ารักของน้องแมวและสุนัขมาทำเป็นจุดขายของเกม รวมถึงตัวเกมยังรองรับภาษาไทยอีกด้วยทำให้เกมนี้น่าเล่นเอามากๆ และเกมภาคใหม่นี้มีความสนุกตรงไหน มีความน่าเล่นอย่างไรวันนี้พวกเรา GameFever TH จะนำมาแนะนำท่านผู้อ่านกัน เนื้อเรื่อง Cat Quest 2 ว่าด้วยเรื่องราวโลกเดิมมีดาบขององค์ราชันที่คอยรักษาสมดุลของสิ่งต่าง ๆ แต่แล้วการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธ์ุหมาและแมว ก็ทำให้ดาบนี้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เราและคู่หูในฐานะสองราชาที่ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับสงคราม และรวบรวมดาบเล่มนี้เพื่อนำพาสันติสุขกลับคืนสู่โลกและสองเผ่าพันธ์ุ เนื้อเรื่องถือว่าทำออกมาได้มาตรฐานตามสไตล์เกมแนวผจญภัยที่ทำออกมาได้อย่างสนุกและน่าติดตาม นอกจากนี้ Lore หรือเรื่องราวภายในเกมก็ยังน่าสนใจอีกด้วย ซึ่งเราจะสามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านทางเควสเสริม ที่จะบอกว่าทำไมสองเผ่าพันธ์ุนี้ถึงทำสงครามกัน วิธีการคิดของทั้งสองเผ่าพันธ์ุแตกต่างกันอย่าไง ยิ่งตัวเกมเป็นภาษาไทยการเสพเนื้อก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น กราฟิกสวยงาม น่ารักสดใส ถือว่าเป็นจุดของเกมนี้ไปแล้วกับกราฟิกของเกมในสไตล์น่ารักสดใส ไม่มีความรุนแรงทำให้สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ฉากของสกิลต่าง ๆ แอนิเมชั่นในการโจมตีต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในส่วนของตัวละครนั้นต้องบอกว่า ‘น่ารัก’ มาก ๆ ตั้งแต่ตัวละครเอกไปจนถึงบอสประจำด่าน อีกทั้งยังมีการนำเอาแมวและสุนัขพันธ์ุต่าง ๆ มาเป็นตัวละครในเกมอีกด้วย ระบบการเล่น ความเป็น Action ที่ผสมกับความเป็น RPG ได้ลงตัว Cat Quest 2 เป็นเกม Action ที่เราจะต้องใช้ทั้งฝีมือตามแบบเกม Action Hack n’ Slash เนื่องจากในเกมนี้ศัตรูจะมีระยะการโจมตีออกมาเตือนผู้เล่นเสมอ หากยังตั้งหน้าตั้งตาตีก็อาจจะเจ็บหนักได้ โดยเกมนี้ไม่มีน้ำยารีเลือด/มานา นอกจากสกิลฮีลหรือคุณสมบัติของชุด ดังนั้นเราจะต้องเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาคอยหลบการโจมตีของศัตรูที่ดี โดยเฉพาะสกิลหมู่ที่อาจจะทำให้ตายได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ศัตรูบางตัวการโจมตีไม่สามารถทำอะไรได้ต้องใช้กับสภาพแวดล้อมในการจัดการอย่างเดียว ในส่วนของความเป็น RPG นั้นตัวเกมมีระบบค่าประสบการณ์ที่เมื่อเลเวลของเราเพิ่มขึ้น ค่าสถานะต่าง ๆ ของเราก็จะเพิ่มทั้งเลือดและพลังโจมตี นอกจากนี้เงินในเกมนี้ยังมีความสำคัญเพราะว่าต้องใช้ในการอัปเกรดอาวุธและสกิล ทำให้เราจะต้องออกไปฟาร์มบ้างไม่เช่นนั้นตัวเกมอาจจะยากจนเกินไป ในส่วนของคู่หูเราที่เป็น AI ก็คือว่าทำออกมาได้ดีไม่ว่าจะเป็นจังหวะในการโจมตีหรือการใช้สกิลในการสนับสนุนเรา แต่ในการสู้กับศัตรูที่เก่งกว่านั้น AI ของเรามักจะพลาดบ่อยโดยเฉพาะเหล่าบอส ทำให้เราต้องสู้กับบอสแต่เพียงลำพังหลายครั้ง ดังนั้นถ้าหากเกมมันยากเกินไปฟาร์มมาแล้วก็ยังสู้ไม่ไหว เรียกเพื่อนมาเถอะ อิสระในการเล่น ในเกม RPG หลาย ๆ เกมหากเราเล่นสายไหนเราจะต้องเล่นสายนั้นไปจนจบเกม ทำให้ในบางครั้งหากเราเจอศัตรูที่แพ้ทาง เราจะเข้าสู่โหมดยากของเกมทันทีแต่ในเกมนี้เราสามารถที่จะเปลี่ยนแนวทางการเล่นได้ตลอดเวลา โดยแนวทางการเล่นหรือ Build จะผูกกับสกิลที่เราใช้และไอเทมที่สวมใส่ที่หากเราชอบการโจมตี เราก็ใส่สกิลเพิ่มพลังในการโจมตีและใส่ชุดเพิ่มดาเมจ หรือเราจะเล่นเป็นตัวชนให้เพื่อนเราก็สวมชุดเพิ่มเกราะและเลือดเป็นต้น ทำให้เกมนี้เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยนสายได้ตลอดเวลา โดยหากเราชอบไอเทมไหนมาก ๆ ก็สามารถอัปเกรดเพื่อเพิ่มความสามารถได้อีกด้วย นอกจากนี้ระบบไอเทมของเกมยังสร้างสรรค์มาก โดยในเกม RPG อื่น ๆ หากเราทำการดรอปไอเทมซ้ำจะเป็นการเปลืองช่องในกระเป๋าทำให้เราต้องโยนขายที่ร้านหรือทิ้งไป แต่เกมนี้หากเราได้ไอเทมซ้ำตัวเกมจะอัปเกรดไอเทมขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น เรียกได้ว่ายิ่งได้ไอเทมซ้ำมากเท่าไหร่ยิ่งประหยัดในส่วนของเงินที่ใช้ในการอัปเกรดนี้เท่านั้น โลกที่น่าค้นหา ยิ่งผจญภัยยิ่งเก่ง ตัวเกมเป็นเกมแนว Open World ที่แม้รายละเอียดอาจจะไม่เยอะเหมือนกับเกมอื่น ๆ แต่ตัวเกมก็เต็มไปด้วยดันเจี้ยนและเควสเสริมที่มีอยู่อย่างมากมาย ทำให้เราอยากจะสำรวจและทำเควสของเกม โดยภารกิจเสริมนอกจากจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเกมแล้ว เรายังได้ Exp และเงินเพื่อมาพัฒนาตัวละครของเรา ในขณะดันเจี้ยนจะเป็นเหมือนกับสถานที่ในการอัปเกรดอาวุธและปลดล็อกสกิล ทำให้เราอยากจะสำรวจทุกที่ แต่ถึงกระนั้นตัวเกมก็กลัวว่าผู้เล่นจะลุยทุกดันเจี้ยนเร็วเกินไป ตัวเกมเลยมีการทำเลเวลที่แนะนำก่อนที่จะเข้าดันเจี้ยนไว้ ซึ่งหาเราเลเวล 30 อยากจะลงดันเจียนเวล 99 ย่อมทำได้แต่รับรองว่าไม่รอดอย่างแน่นอน ดังนั้นเข้าเมื่อเลเวลพร้อมจะดีกว่า ประสิทธิภาพดีเยี่ยม เกมนี้เดิมทีมีกำหนดเปิดให้เล่นในวันที่ 24 กันยายน 2019 ในแพลตฟอร์ม PC ส่วน Nintendo Switch , PlayStation 4 และ Xbox One จะตามมาในภายหลัง แต่สำหรับสมาชิก Apple Arcade สามารถเล่นได้เลยตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนได้ลองเล่นใน iPad Air 2019 การตอบสนองต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล กราฟิกสวยงาม โดยผู้เขียนเล่นหลายชั่วโมงเจอ Bug เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าประสิทธิภาพของตัวเกมทำออกได้ดีมาก ๆ สรุป เกมนี้ถือว่าเป็นเกม Action / RPG ที่เล่นได้สนุกเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ดังนั้นหากคุณกำลังหาเกมแนวผจญภัยที่มีกลิ่นอายของความเป็นเกมแนว RPG และ Action รวมถึงกราฟิกที่สวยงาม รวมถึงเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและเต็มไปด้วยรายละเอียดเกมนี้ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว [penci_review id="29259"]
23 Sep 2019
รีวิว FIFA 20 สมจริงขึ้นทุกปี Volta Football ก็โคตรมัน !!
เปิดตัวออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับ FIFA 20 เกมฟุตบอลซีรีส์หลักจากทาง EA ที่ในภาคนี้ได้ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างพร้อมทั้งโหมดใหม่ที่น่าสนใจอย่าง Volta Football ที่จะพาเราไปสัมผัสประสบการณ์ของจุดเริ่มต้นและแก่นของกิฬานี้อย่างสตรีทฟุตบอลนั่นเอง พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มเติมความสมจริงของเกมให้มากขึ้นรวมถึงสายออฟไลน์ตัวเกมก็ได้เพิ่มเติมระบบของ Career Mode ที่จะทำให้คุณสนุกกับการเล่นมากขึ้น ซึ่งพวกเรา GameFeverTH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่ามันจะยังยอดเยี่ยมเหมือนภาคก่อนๆ หน้านี้หรือไม่ ? **ซึ่งพวกเราต้องขอขอบคุณทาง Digitas และ EA ที่ได้ส่งคีย์เกมมาให้เรารีวิวด้วยครับ** โหมดหลัก เกมเพลย์ของ FIFA 20 นี้บอกตามตรงว่ามันแตกต่างจากภาคที่แล้วพอสมควร แอนิเมชั่นของตัวเกมกลับมามีความสมจริงมากขึ้น หลังจากที่ใน FIFA 19 มันออกการ์ตูนๆ หน่อยๆ ตัวเกมเพลย์จะมีสปีดที่ช้ากว่าเก่าภาคเล็กน้อยๆ จะให้อารมณ์ความรู้สึกถึง FIFA 18 อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งส่วนตัวชอบนะมันให้ความรู้สึกถึงความเป็นนักฟุตบอลจริงๆ แต่เมคคานิคการเล่นของภาคนี้ก็ยังคล้ายๆ เดิม เวลาเล่นกับคนจริงๆ ก็ต้องระวังเรื่องของเกมรับเช่นเคย ถ้าวิ่งเพรสซิ่งมั่วๆ นี่อาจจะโดน 3-0 ตั้งแต่ครึ่งแรกก็เป็นได้ เพราะแอนิเมชั่นของตัวละครที่ช้าๆ ในภาคนี้นี่แหละทำให้เกมรับเล่นยาก กะจังหวะไม่ดีหลุดยาวๆ ส่วนเรื่องการส่งบอลในภาคนี้จะมีความสมจริงขึ้น เนื่องด้วยจากข้อจำกัดด้านแอนิเมชั่นทำให้บางจังหวะใน FIFA 19 ทำได้ หรือคิดว่าทำไงได้ฟะ ภายในภาคนี้จะมีให้เห็นน้อยลง Volta Football เป็นโหมดที่เข้ามาแทน The Journey ที่จะพาเราเข้าไปเล่นฟุตบอลแบบสตรีท ตัวเกมเพลย์จะเป็นแนวฟุตบอลรูหนูมีการเล่นแบบ 3v3, 4v4, 5v5 และแบบฟุตซอล ซึ่งแต่ละเกมการเล่นจะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และถือว่าแปลกใหม่เป็นอย่างมาก และถ้าใครคิดว่าตัวเกมจะเหมือนกับ FIFA Street ที่เคยเล่นในสมัย PS2 ก็อาจจะคิดผิด เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีความคล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้น มันไม่ได้แฟนตาซีหรือจะเล่นท่าสวยงามขนาดนั้น ตัวเกมจะเน้นการต่อบอลไวเพื่อส่งบอลเข้าปากประตูซะมากกว่า แต่การเล่นท่าทางก็พอจะทำได้แต่มันก็จะใช้กลไกเดียวกับเกมเพลย์หลักนั่นแหละ สิ่งที่ชอบสำหรับ Volta Football ก็คงจะเป็นในเรื่องของความยากในการยิง เนื่องจากที่ตัวโกลมันเล็กเลยทำให้การที่จะส่งลูกบอลเข้าโกลจะทำได้ยาก เราจะได้กำหนดทิศทางการยิงให้ตรงเข้าเป๊ะๆ ถึงจะสามารถส่งมันไปทำคะแนนได้ ผิดกับในเกมเพลย์หลักที่ขอแค่ทิศทางใกล้เคียงโอกาสเข้าก็สูงแล้ว แต่ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะอะไรที่ยากๆ นี่แหละมันท้าทายสุดๆ บางทีเราอาจจะโดนสวนขึ้นไป แต่มันก็การันตรีไม่ได้ร้อยเปอรเซ็นต์ว่าศัตรูจะสามารถยิงได้หรือไม่ !! แต่ถึงอย่างนั้นการเล่นกับบอทเองก็ยังมีปัญหาเพราะตัว AI ถูกเซ็ตออกมาให้ฉลาดเกินไป มันถูกตั้งค่าให้เล็งเป้าได้ตรงเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ จึงทำให้โหมดนี้ถ้าเล่นกับเพื่อนจะสนุกมากกว่าไม่หัวร้อนด้วย ตัวเกมยังมีโหมดอื่นๆ ให้เล่นด้วยอย่างเช่นโหมดออนไลน์กับผู้เล่นคนอื่นที่จะมีการจัดลีคไต่เต้าขึ้นไปได้เรื่อยๆ สามารถเล่นกับเพื่อนๆ ได้โดยใช้ตัวละครที่เราสร้าง รวมถึงในโหมดนี้เองก็ยังมีโหมดเนื้อเรื่องเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่ในภาคนี้จะแตกต่างจากภาคก่อนๆ เพราะเราจะสามารถเลือกตัวละครได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ต้องมาจมปลักเล่นแต่ Alex Hunter เหมือนภาคก่อนๆ แต่ติดอยู่เล็กน้อยตรงที่ต่อให้เราสร้างตัวละครยังไง ตั้งชื่อแบบไหน NPC ที่เรียกเราว่า REVVY อยู่ดีๆ แต่การตั้งชื่ออาจจะไปใช้ในโหมดออนไลน์แทน ตัวเนื้อเรื่องเองก็ยังมีความดราม่าไม่ต่างจากภาคก่อนหน้า แต่ก็มีติดเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเดิมที่ตัวเกมก็พยายามจะใส่ดราม่าเข้ามาแบบอะไรวะ !! อยู่บ้าง ในภาคนี้ได้ตัดระบบตอบคำถามออกไปและเน้นเนื้อเรื่องเส้นตรงแทน แต่ถามว่ามันแย่กว่าภาคก่อนไหมก็ไม่ !! เพราะภาคก่อนๆ ต่อให้มีคำถามให้เลือก แต่เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้พาเราอินหรือแตกต่างกันมามายอยู่ดีแต่ละเส้นทาง Career Mode ผู้พัฒนาภูมิใจนำเสนอมากๆ เอาใจผู้ชอบเล่นแบบออฟไลน์กับ Career Mode ที่ในภาคนี้จะมีระบบใหม่เพิ่มเข้ามาให้เล่นนอกจากเกมเพลย์แบบเดิมคือเราสามารถปรับแต่งตัวผู้จัดการได้มากขึ้น มีระบบ ถาม/ตอบ ของผู้จัดการช่วง Press Conference ก่อนเกมแมทใหญ่ๆ, หลังเกม หรือการพูดคุยกับนักเตะ ซึ่งทั้หมดจะส่งผลต่อค่า Morale ของผู้เล่น ที่จะส่งผลต่อฟอร์มการเล่น หรือบอร์ดบริหารว่าชอบเราหรือไม่ รวมถึงตัวระบบที่เพิ่มเข้ามาคือ Dynamic Player Potential ศักยภาพของผู้เล่นจะเปลี่ยนไปตามประสิทธิภาพในแต่ละฤดูกาล ถ้าหากผู้เล่นบางคนฟอร์มไม่ดี หรือเวลาที่ได้ลงเล่นน้อย ในฤดูกาลหน้าการพัฒนาของเขาก็อาจจะช้าหรือลดนั่นเอง [caption id="attachment_29357" align="aligncenter" width="1024"] เลือกผู้จัดการได้มากขึ้น และปรับแต่งหน้าตาได้[/caption] เอาตามตรงตัว Career Mode เองไม่ได้มีข้อติอะไรมากมาย กลับอยากรู้สึกขอบคุณทาง FIFA 20 ที่ใส่ใจและนำระบบต่างๆ เข้ามาเพิ่ม เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเล่นโหมดนี้เป็นชีวิตจิตใจเลย การมีระบบใหม่ๆ มามันก็เป็นการสร้างสีสันของการเล่นให้มากขึ้น และหวังว่าใน FIFA ปีหน้าๆ ตัว Career Mode จะมีการเพิ่มระบบเข้ามาอีกเยอะๆ นะ สรุป FIFA 20 ถือว่าเป็นภาคที่มีการพัฒนาใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่มันนิ่งๆ มาตั้งแต่ FIFA 17 ตัวระบบเกมเพลย์หรือเมคคานิคของเกมมีความสมจริงมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งยังคงความยอดเยี่ยมไว้ไม่เสื่อมคลาย และที่สำคัญคือโหมด Volta Football ทำออกมาได้สนุกมาก มีเกมเพลย์ใหม่ๆ ที่เราไม่ค่อยจะได้พบเจอจากเกมไหนๆ เปรียบเสมือนซื้อ 1 และได้ 2 เกมเลยทีเดียว ส่วนใครที่เป็นสายเล่นคนเดียว Career Mode ตัวระบบอาจจะไม่ได้มีการเพิ่มเติมอะไรมากมาย แต่นี่ก็เป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าทางผู้พัฒนาก็เริ่มใส่ใจโหมดนี้บ้างแล้ว และตัวระบบ ถาม/ตอบ นี่ต่อให้มันจะดูทื่อๆ ไปหน่อย แต่มันก็เข้ามาสร้างสีสันและอะไรใหม่ๆ ได้มากโขเลย [penci_review id="29282"]
23 Sep 2019
Review: รีวิวเกม Borderlands 3 "การกลับมาของตัวพ่อเกม Shooting-RPG"
แนวเกม: Shooter-Looter (FPS/RPG) ผู้พัฒนา: Gearbox Software ผู้จัดจำหน่าย: 2K Games เวลาที่ใช้เล่น: ประมาณ 30 กว่าชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง) แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (Epic Games store) รีวิวใน PS4 Pro ถ้าจะให้พูดถึงแนวเกมเกมแนว Shooter-Looter หรือเกมยิงปืน (ทั้งแบบ FPS และบุคคลที่สาม) ที่ผสมผสานองค์ประกอบของเกม RPG เข้าไปด้วย ถือเป็นแนวเกมลูกผสมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคคอนโซลปัจจุบันนี้ ตั้งแต่เกมอย่าง Destiny, Anthem, The Division, Warframe, หรือเกมที่กำลังจะออกอย่าง Ghost Recon: Breakpoint ต่างก็จัดอยู่ในเกมแนว Shooter-Looter ทั้งสิ้น และทุกเกมก็เป็นเกมที่มีคนจับตามองอย่างใกล้ชิดตลอดการพัฒนา (แต่วางจำหน่ายมาแล้วรุ่งหรือร่วงอีกเรื่องหนึ่ง...) อีกหนึ่งเกมแนว Shooter-Looter ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในฐานะผู้ให้กำเนิด (หรืออย่างน้อยก็เป็นเกมที่ทำให้แนวนี้ฮิตขึ้นมา) ซึ่งก็คือเกมซีรี่ส์ Borderlands ที่วางจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 โดยนำเกมเพลย์แบบชู้ตติ้งบุคคลที่ 1 (FPS) มาผนวกเข้ากับระบบการพัฒนาตัวละครและไอเทมของเกม RPG จนทำให้เกมกลายเป็นซีรี่ส์ในดวงใจของคนหลายๆ คนตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนขนาดเกมภาคต่อ Borderlands 2 (วางจำหน่ายเมื่อปี 2012) ยังคงมียอดผู้เล่นหลายล้านคนจวบจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่เว้นช่วงให้คิดถึงไปหลายปี ในที่สุดเกมเมอร์ทั่วโลกก็จะได้มีโอกาสหวนคืนสู่ดาว Pandora อีกครั้งกับเกม Borderlands 3 ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ที่กลับมาพร้อมกับองค์ประกอบด้านกราฟฟิคลายการ์ตูน Cel-Shade อันเป็นเอกลักษณ์ และเกมเพลย์แบบคลาสสิคที่สามารถรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมของซีรี่ส์เอาไว้พร้อมๆ กับการปรับปรุงรายละเอียดเกมเพลย์ให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งน่าจะตอบโจทย์แฟนๆ ดั้งเดิมของซีรี่ส์ที่เฝ้ารอมาตลอดได้เป็นอย่างดี ◊ เนื้อเรื่อง ◊ สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Borderlands 3 จะเกิดขึ้น 5 ปีหลังจากการตายของตัวร้าย Handsome Jack (แจ๊คหน้าหล่อ) จากเกมภาคที่แล้ว โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกรับบทเป็นนักล่าสมบัติ (Vault Hunter) หน้าใหม่ทั้งหมด 4 ตัวเพื่อร่วมมือกับกลุ่มนักสู้ Crimson Raiders ที่นำโดยตัวละครอดีตนักล่าสมบัติจากเกมภาคแรก Lilith เพื่อต่อกรกับสองคู่หูฝาแฝดผู้ชั่วร้าย Calypso Twins และเหล่าลูกสมุนนับล้านจากกลุ่ม Children of the Vault และยับยั้งแผนในการยึดครองจักรวาลของทั้งสองคนนั่นเอง แม้ว่าอาจจะไม่ใช่องค์ประกอบที่ผู้เล่นเกม Borderlands จะคิดถึงเป็นอย่างแรกเมื่อพูดถึงจุดเด่นของเกม แต่เนื้อเรื่องในเกม Borderlands 3 ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยบทอันยียวนกวนประสาทของเกมที่ปล่อยมุกตลกตลอดเวลา ไปจนถึงเหล่าตัวละครทั้งเก่าและใหม่ที่วนเวียนกันเข้ามาสร้างความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ทำให้การเล่นผ่านเควสเนื้อเรื่องที่มีอยู่มากมายของเกมผ่านไปได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ อย่างผู้เขียนใช้เวลาเล่นจนจบเนื้อเรื่อง (เล่นเควสเสริมน้อยมาก) ยังใช้เวลาไปเกือบ 35 ชั่วโมง แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่านานเลยซักนิดเดียว ยังสามารถเล่นต่่อไปได้เรื่อยๆ เพราะอยากเห็นว่าเกมจะมีตัวละครเพี้ยนๆ แปลกๆ อะไรออกมาให้เราเจออีก ที่น่าชมอีกอย่างคือเนื้อเรื่องของภารกิจเสริมหลายๆ อัน ที่มีความละเอียดและต่อเนื่องไม่ต่างกับภารกิจเนื้อเรื่องเลยด้วย แม้จะไม่ใช่ภารกิจเสริมทั้งหมดที่จะมีคุณภาพดีขนาดนั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายภารกิจที่สนุกไม่แพ้เนื้อเรื่องหลัก แถมภารกิจส่วนใหญ่ยังมีวิธีการผ่านที่ค่อนข้างแตกต่างกัน (ไม่ได้แค่ให้ ฆ่ามอน 5 ตัว หรือ เก็บของ 5 ชิ้น) หรือบางอันอาจจะมีเงื่อนไขในการผ่านที่แปลกแหกวแนวในแบบที่เราคาดไม่ถึง ทำให้แม้จะทำไปเยอะแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆ มาให้ตื่นเต้นหรือตลกไปกับมันแทบจะตลอดเวลาเลย แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยความที่เกมเป็นภาคต่อ รวมไปถึงความยาวของเนื้อเรื่องและรูปแบบการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า (เมื่อเทียบกับเกมทั่วไป) อาจจะทำให้ผู้เล่นที่ไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องหรือตัวละครของเกมภาคเก่าๆ มาก่อนรู้สึกงงกับเนื้อเรื่องหรือมุกล้อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออาจจะหงุดหงิดกับการดำเนินเรื่องอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ได้คาดหวังจะได้รับประสบการณ์เนื้อเรื่องแบบจริงจังอย่างในเกมเนื้อเรื่องทั่วๆ ไป ก็น่าจะยังหาความบันเทิงกับมุกตลกหรือตัวละครกาวๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของซีรี่ส์ได้อยู่ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ แม้ว่าเกม Borderlands 3 จะไม่ได้ใช้กราฟฟิคที่สวยสมจริงเหมือนเกมหลายๆ เกม แต่คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าภาพกราฟฟิคลายการ์ตูน Cel-Shade ของเกมนั้นไม่สวย โดยเฉพาะในเกม Borderlands 3 นี้ ที่ผสมผสานกราฟฟิคอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้ากับเทคนิคการแสดงผลแสงและเงาที่ทันสมัย ทำให้สิ่งแวดล้อมของเกม Borderlands 3 มีมิติกว่าทุกครั้ง ซึ่งทำให้การสำรวจแผนที่สนุกกว่าเดิมขึ้นไปอีกขั้น เป็นผลดีมากในภาพรวมเพราะเกม Borderlands มักจะบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเดินทางไปๆ กลับๆ ในแผนที่เดิมหลายต่อหลายครั้งอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าผู้เล่นอยากจะเก็บภารกิจเสริมที่มีอยู่มากมายในเกม การที่ปรับปรุงสภาพแวดล้อมก็ทำให้การเล่นจุดนี้ไม่น่าเบื่อเหมือนหลายๆ ภาคที่ผ่านมา ที่พัฒนาไปอีกขั้นก็คือกราฟฟิคโมเดลของปืนทุกชนิดในเกม ที่เพิ่มความละเอียดขึ้นมาอย่างมาก ปืนทุกกระบอกจะมีรายละเอียดหรือกลไกเล็กๆ น้อยๆ ที่ขยับอยู่ตลอดเวลา ปืนแต่ละชนิดยังมีกราฟฟิคกระสุนและเสียงยิงที่แตกต่างกัน ขนาดปืนที่หน้าตาคล้ายกันสองกระบอกยังอาจจะยิงกระสุนออกมาเป็นคนละแบบอย่างสิ้นเชิง แถมด้วยจำนวนปืนที่เกมมีให้ลองใช้กันเป็นหลักพันล้านกระบอก ทำให้การได้ปืนมาใหม่ซักกระบอกมีความหมายมากกว่าแค่การพัฒนาความสามารถตัวละคร เพราะแม้จะเล่นไปแล้วเป็นสิบชั่วโมง แต่ผู้เขียนก็ยังตื่นเต้นที่จะได้ลองหยิบปืนกระบอกใหม่ๆ แปลกๆ ขึ้นมาลองใช้ตลอดเวลา ความพิเศษอีกอย่างในเกมภาคใหม่นี้คือการเปิดให้ผู้เล่นสามารถเลือกปรับให้เกมแสดงผลโดยเน้น Resolution (ความคมชัด) หรือ Framerate (เฟรมเรต) ได้ด้วย การเลือกโหมด Resolution จะทำให้เกมเน้นแสดงภาพพื้นผิวและแสง/เงาในระดับ 4K แต่จะล๊อคเฟรมเรตไว้ที่ 30FPS ส่วนโหมด Framerate จะทำให้เกมลดความคมชัดของกราฟฟิคลง แลกกับการเล่นที่รู้สึกลื่นไหลมากขึ้น สำหรับผู้เขียนรีวิวเกมในเครื่อง PS4 Pro และเลือกโหมด Framerate ทำให้เกมแสดงผลที่ความชัด 1080p 60FPS จากการทดสอบพบว่าการเลือกโหมด Resolution นั้นทำให้ภาพพื้นผิวทั้งหมดในเกมสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่เกมเองก็ไม่ได้ใช้กราฟฟิคสมจริงเป็นพิเศษด้วยแล้วด้วย เรียกว่าอาจจะใกล้เคียงกับใน PC เลยก็ว่าได้ ในขณะที่การเลือกโหมด Framerate นั้นทำให้ภาพมีความ แบน ลงอย่างชัดเจน ไม่ถึงกับทำให้ภาพไม่สวย แต่ก็ลดความมีมิติลงอย่างชัดเจนเลย แลกมากับการที่เกมปลดล๊อคเฟรมเรตให้ขึ้นไปได้ถึง 60FPS (แม้ว่าเฟรมเรตของเกมมักจะเหวี่ยงไปมาพอสมควรในจังหวะชุลมุน) ทั้งนี้ แม้ว่ากราฟฟิคของเกมในภาพรวมจะถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่เกมก็ยังคงมีปัญหาเรื่องเฟรมตกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาเล่นออนไลน์ ที่บางครั้งเกมก็จอค้างหรือมืดไปเลยในเวลาที่กำลังบู๊ๆ กันอยู่เพราะเอฟเฟกต์กระสุนอันอลังการของทั้งเราและศัตรู แถมบางครั้งเสียงของเกมก็ชอบตัดไปเอง หรืออาจจะช้าตามภาพไม่ทัน ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาที่มักจะพบเจอในเกม Borderlands 2 ซึ่งวางจำหน่ายมาแล้วเกือบ 10 ปีด้วย แม้จะเกิดขึ้นบ่อยหรือรุนแรงจนส่งผลเสียกับความสนุกของเกมขนาดนั้นในความเห็นของผู้เขียน แต่ทั้งหมดก็เป็นปัญหาที่น่าจะแก้ไขให้หมดไปได้นานแล้วอยู่ดี ◊ เกมเพลย์ ◊ เช่นเดียวกับในเกมภาคที่ผ่านๆ มา สิ่งแรกที่ผู้เล่นจะต้องทำเมื่อเริ่มเล่นเกม Borderlands 3 ก็คือการเลือกตัวละครนักล่าสมบัติที่เราจะเล่น (จากทั้งหมด 4 ตัว) ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละตัวจะมาพร้อมกับความสามารถและจุดดี-จุดด้อยที่แตกต่างกันไป อย่างตัวละคร Amara ที่มาพร้อมกับความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดและการสร้างความเสียหายแบบ Elemental (ธาตุ) หรือ FL4K ที่สามารถใช้สัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ ควบคู่ไปกับความสามารถสายนักล่าอย่างการล่องหนเพื่อเพิ่มความเสียหายแบบ Critical Damage (ความเสียหายเมื่อยิงจุดอ่อนศัตรู) เป็นต้น แต่ในขณะที่เกมภาคเก่าๆ จะให้นักล่าสมบัติตัวหนึ่งมีความสามารถพิเศษเพียงอย่างเดียว เกมนี้จะทำให้นักล่าสมบัติแต่ละตัวมีความสามารถพิเศษให้เลือกใช้ถึงตัวละ 3 อย่าง เช่นตัวละคร Zane จะมีความสามารถในการเรียกหุ่นโดรนออกมาช่วยโจมตี หรือสร้างเกราะบาเรียเพื่อป้องกันเพื่อนในทีม หรือจะสร้างร่างแยกขึ้นมาหลอกศัตรูก็ได้ ทำให้นักล่าสมบัติแต่ละตัวมีแนวทางในการพัฒนาที่หลากหลายขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มาก แถมเกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถรีเซ็ตความสามารถของตัวละครเพื่อเปลี่ยนสายได้ตลอดเวลาด้วย (ใช้เงินในเกมเพียงน้อยนิด) ถือเป็นข้อปรับปรุงที่ใหญ่หลวงมากๆ สำหรับเกม เพราะการจะเล่นให้จบเนื้อเรื่องซักครั้งต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมง ทำให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนแนวการเล่นให้รู้สึกใหม่ได้ตลอดเวลาด้วย นอกจากระบบตัวละครที่พัฒนาแล้ว ยังมีเกมเพลย์การยิงปืนและเคลื่อนเบื้องต้นที่ถูกปรับให้ทันสมัยเทียบเท่ากับเกม FPS ยุคใหม่ด้วย โดยในจุดนี้ผู้เขียนยกให้เป็นข้อปรับปรุงที่ดีที่สุดในเกมภาคใหม่นี้เลย คนที่เคยเล่นเกม Borderlands ภาคเก่าๆ มาก่อนน่าจะรู้ดีว่าระบบการยิงปืนในเกมมักจะมีความลอยๆ หวิวๆ แปลกๆ เมื่อเทียบกับเกม FPS ทั่วไป ซึ่งเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ เกม FPS ไม่ค่อยชอบเกมภาคเก่าๆ นั่นเอง แต่ในภาคนี้ปัญหาเหล่านั้นได้หมดไปอย่างสิ้นเชิง ปืนทุกกระบอกให้ความรู้สึกเวลายิงที่ดี แม้ว่าความสามารถประจำตัวของปืนเหล่านั้นจะพิศดารแค่ไหนก็ยังรู้สึกดี มีการตอบสนองทุกครั้งที่ลั่นไก การเคลื่อนที่ของตัวละครแม้จะไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเท่าการยิงปืน แต่ก็เพิ่มความสามารถอย่างการปีนป่ายและการสไลด์ ที่ทำให้การสำรวจแผนที่มีความง่ายและอิสระขึ้นมาเล็กน้อย ในส่วนของระบบปืนนั้น เกม Borderlands 3 ได้เคยโฆษณาเอาไว้อย่างภาคูภูมิว่าเกมจะมีปืนและระเบิดให้เลือกใช้กันได้นับพันล้านชนิด! ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่ได้พูดปากเปล่าแน่นอน จากการเล่นของผู้เขียน พบว่าแม้จะมีปืน/ระเบิดหลายกระบอกที่หน้าตาคล้ายๆ กัน หรือปรับเปลี่ยนแค่เพียงตัวเลขค่าสถานะ แต่ส่วนใหญ่เมื่อนำมาใช้ยิงจริงๆ กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลย แถมหลายๆ กระบอกยังมีความสามารถกวนๆ อย่างปืนที่มีขางอกออกมาวิ่งไล่ยิงศัตรูด้วยตัวเอง หรือปืนที่จะเพิ่มความรุนแรงเมื่อเรายิงตูดศัตรู หรือกระทั่งปืนที่ยิงแล้วมีเสียงตัวร้ายคอยกวนเราตลอดเวลา ทำให้การได้ปืนใหม่ๆ ในเกมเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นทุกครั้งแม้จะมีปืนผ่านมือกี่กระบอกก็ตาม โดยเฉพาะปืนระดับตำนานหรือ Legendary (สีเหลือง) ซึ่งมักจะมีความสามารถเพี้ยนๆ ฮาๆ ที่คาดไม่ถึงติดมาด้วยเสมอ สภาพแวดล้อมที่เพิ่มเข้ามาใหม่อีกมากมายก็มีส่วนช่วยทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้นด้วย เพราะในแต่ละดาวที่เราไปเยือนตามเนื้อเรื่องมักจะมาพร้อมกับศัตรูชนิดใหม่ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราต้องวางแผนการต่อสู้และเปลี่ยนปืนใช้อยู่เสมๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเหล่าทหาร Maliwan ที่เราต้องเจอบนดาว Prometheus ซึ่งมักจะมีเกราะบาเรียติดตัว ทำให้เราต้องใช้อาวุธธาตุสายฟ้าเพื่อทำลายบาเรียซะก่อน หรือศัตรูจากดาว Eden-6 ที่มักจะมีเลือดเยอะ ทำให้เราต้องใช้ปืนธาตุไฟเพื่อลดเลือดเร็วๆ เป็นต้น ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยเสริมระบบปืนอันหลากหลายได้ดี ทำให้ผู้เล่นมีเหตุผลในการหาปืนใหม่ๆ ใช้ตลอดเวลา ความหลากหลายของศัตรูจะเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อสู้กับเหล่าบอสน้อยใหญ่ที่เราพบเจอได้ในเกม ที่มักจะมาพร้อมกับเทคนิคการเอาชนะที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้เล่นต้องใช้การวางแผนแทนการดระโดดเข้าไปสาดกระสุนเฉยๆ เหมือนศัตรูทั่วไป ทำให้การสู้บอสทุกตัวมีความท้าทาย และทำหน้าที่เป็นช่วงขั้นระหว่างการบู๊แหลกได้เป็นอย่างดี องค์ประกอบสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือเรื่องของการเล่นกับเพื่อนหรือโหมด Multiplayer ที่ปรับปรุงมาใหม่เช่นกัน โดยในภาคนี้ได้ใส่ระบบใหม่ที่สำคัญลงไปสองอย่างคือ Loot-Instancing และ Level-scaling โดยอันแรก (Loot-Instancing) นั้นจะทำให้ผู้เล่นทุกคนที่เล่นด้วยกันจะได้รับไอเทมเป็นของตัวเอง ตั้งแต่กระสุน หลอดเพิ่มเลือด ไปจนถึงปืนต่างๆ ที่เก็บได้ตามฉาก ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปแย่งกันเองเหมือนภาคก่อนๆ อีกต่อไป (แต่ก็ยังปรับให้แย่งกันเหมือนภาคเก่าได้นะ) ส่วน Level-scaling จะทำให้ผู้เล่นทุกคนต่อสู้กับศัตรูตามเลเวลของตัวเอง เช่นถ้าตัวละครผู้เล่น A เลเวล 5 ก็จะสู้กับศัตรูเลเวล 5 ในขณะที่ผู้เล่น B ซึ่งเลเวล 20 ที่อยู่ในห้องเดียวกันจะเห็นศัตรูเป็นเลเวล 20 ทั้งหมด หมายความว่าผู้เล่นจะสามารถเข้าร่วมเล่นกับเพื่อนได้ตลอดไม่ว่าเลเวลจะห่างกันแค่ไหน โดยที่เกมจะยังคงมีความท้าทายเหมาะสมกับระดับของผู้เล่นคนนั้นๆ เองด้วย ถือเป็นระบบใหม่ที่น่าสนใจมากๆ เพราะจะหมดปัญหาเรื่องการนัดเวลาเล่นให้ตรงกันไปเลย ทำให้การเล่นกับเพื่อนง่ายกว่าทุกครั้ง เชื่อว่าระบบนี้น่าจะถูกนำไปปรับใช้กับเกมแบบ Multiplayer อื่นๆ อีกในอนาคต พูดมาถึงตรงนี้ คงต้องเอ่ยถึงข้อเสียของเกมซะบ้าง โดยข้อเสียหลักๆ ของเกม Borderlands 3 น่าจะเป็นเรื่องของการแลคหรือกระตุกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยพอสมควร โดยเฉพาะเวลาเล่นออนไลน์กับเพื่อน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงจนทำให้เล่นไม่ได้หรือไม่สนุก แต่ก็เป็นปัญหาที่มีมาตั้งแต่สมัย Borderlands 2 แล้ว และไม่ควรเกิดขึ้นแล้วในเกมที่ออกมาในช่วงนี้ การเลือกปรับให้เกมรันในโหมด Performance อาจจะช่วยตรงจุดนี้ได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ปัญหาตรงนี้หายไปเลยได้อยู่ดี ◊ สรุป ◊ แม้จะไม่ใช่เกมที่เพอร์เฟ๊ค แต่ Borderlands 3 ก็เป็นเกมที่เล่นสนุกมากๆ แทบจะตลอดเวลาที่ได้เล่น ด้วยเกมเพลย์ที่เรียบง่ายแต่เร้าใจ กราฟฟิคลายการ์ตูนสีสันสดใสที่แม้จะผ่านไปเป็นสิบๆ ชั่วโมงก็ยังน่ามองอยู่เสมอ และความหลากหลายของอาวุธปืนและระเบิดที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา ทำให้เกม Borderlands 3 สามารถทวงศักดิ์ศรีในฐานะผู้บุกเบิกแนวเกม Shooter-Looter ได้อย่างสมภาคภูมิ ใครที่ต้องการเกมที่เล่นสนุกๆ กับเพื่อนได้ยาวๆ ไม่ควรพลาด! ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่       [penci_review id="29087"]
20 Sep 2019
รีวิว GreedFall การรวมร่างของ Soul และ Witcher
แนวเกม  Action RPG,Open World,Choice Matter ผู้พัฒนา Spiders ผู้จัดจำหน่าย Focus Home Interactive เวลาที่ใช้เล่น : ประมาณ 8 ชั่วโมง แพลตฟอร์ม Microsoft Windows, PlayStation 4, Xbox One GreedFall เป็นเกม Action RPG จากผู้พัฒนา Spiders เซ็ตติ้งของเกมถูกตั้งไว้ที่ ยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 และเป็นโลกที่มีเวทมนต์ ตัวเกมจะให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ของการสำรวจดินแดนใหม่ ผู้คนที่ไม่รู้จัก ภาษาที่แตกต่าง และการแก้ปัญหาในเชิงของการเมือง ซึ่งบางครั้งก็ต้องใช้ความรุนแรง บางครั้งก็สามารถทำได้ด้วยสันติวิธี ทั้งหมดนั้นเราจะต้องเลือกบนระบบ Choice Matter ที่จะส่งผลถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในอนาคต เกมนี้ยังถูกสร้างมาให้การใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องที่ต้องคิดดีๆ ก่อนเสมอ เนื่องจากศัตรูถูกตั้งค้าไว้เก่งมากๆ จากภาพรวมนั้นทำให้ได้ความรู้สึกว่ากำลังเล่น The Witcher ที่มีความยากระดับเดียวกับ Darksoul นั้นเอง ◊ เนื้อเรื่อง ◊ GreedFall จะกล่าวถึงโรคระบาด Malichor ที่กำลังระบาดอยู่บนแผนดินของ Serene ประชาชนกำลังรู้สึกสิ่นหวังกับการที่ไม่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้ แต่แล้วเหมือนแสงแห่งความหวังก็บังเกิด เมื่อได้รู้ถึงการมีอยู่ของเกาะ Teer Fradee ดินแดนซึ่ง Malichor ไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ เราจึงต้องแบกความหวังของคนทั้งประเทศ เดินทางเข้าสำรวจเกาะอันลึกลับแห่งนี้ พร้อมความหวังที่จะค้นพบวิธีรักษาหรือป้องกันโรคระบาด Malichor ด้านความเข้มข้นของเนื้อเรื่องในประเด็นต่างๆ เรียกว่าทำออกมาได้น่าติดตามอยู่พอสมควร เพราะการออกเดินทางตามหาวิธีรีกษาโรคระบาดนี้ มันทำให้เราต้องเข้าไปมีส่วนรวมในสงครามต่างๆ บนเกาะด้วย เราจะได้เห็นถึงมุมมองของอาณาจักรและชนเผ่าต่างๆ ทั้งยังนำเสนอในด้านความโลภของมนุษย์ออกมาได้เป็นอย่างดี ทางด้าน Side Quest เองก็มักจะมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง(บางอันนี้อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงมากกว่าเนื้อเรื่องหลักซะอีก) โดยภาพรวมทางด้านการดำเนินเรื่องและความสมเหตุสมผลในเหตุการต่างๆ คิดว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้เกม AAA เลยทีเดียว พอเป็นเกมย้อนยุค ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาย้อนยุคไปด้วย จึงกำเนิดข้อเสียของเกมในเรื่องคําศัพท์ต่างๆ ที่ตัวละครพูดออกมา บางอันนี้ไม่เข้าใจความหมายเลยด้วยซ่ำ(เป็นคําศัพท์ที่ไม่ค้อยได้ใช้) แถมยังมีภาษาชนพื้นเมืองที่อยู่บนเกาะ ซึ่งไม่ได้แปลให้ในเกมด้วย (คืออ่านไม่ออกเลย เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้) ในส่วนนี้คิดว่าผู้พัฒนาต้องการใส่มาเพื่อให้เราอินไปกับเนื้อเรื่อง แต่เกมมันเป็น Choice Matter ทำให้ถ้าอ่านไม่ออก มันก็เลือกตัวเลือกที่เราต้องการไม่ได้ เพราะเราอาจจะเข้าใจความหมายของประโยคที่คุยกันไปก่อนหน้าไม่ถูกต้องนั้นเอง ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ Greedfall สามารถทำในเรื่องกราฟิกของตัวละคร, ความสวยงามของสภาพแวดล้อม และเก็บรายละเอียดได้ดี กระทั้งรายละเอียดเล็กๆ อย่างการสั่นไหวของต้นหญ้าเองก็ทำได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเกมที่มีความสวยงามทางด้านกราฟิกเป็นอย่างมากเกมหนึ่งเลยทีเดียว แต่เกมนี้นำเสนอในส่วนของการแสดงอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ไม่ดีนัก สีหน้าของตัวละครบางครั้งมีความแข็งมากเกินไป จึงสื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาได้ไม่ดีพอ ในจุดนี้ถ้าเทียบจากความสามารภในการเก็บรายละเอียดแล้วคิดว่า น่าจะสามารถทำออกมาได้ดีมากกว่านี้อีกนิด แต่เพราะทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดี ก็พอจะทดแทนกันไปได้อยู่ มาว่ากันด้วยเรื่องข้อเสียบ้างดีกว่า ไม่แน่ใจว่ารีบพัฒนารึเปล่า ทำให้ตอนเล่นเจอบัคระหว่างเล่นพอสมควร ประเด็นอยู่ที่ว่าบัคที่เจอบางอันมันร้ายแรงมาก จนทำให้ไม่สามารถทำเควสได้เลยที่เดียว(จุดที่ให้ทำเควส ขึ้นในแผนที่แต่ไม่สามารถกดสำรวจได้) เล่นเอาหงุดหงิดสุดๆ เพราะดันเป็นเควสหลักด้วยทำให้ไปต่อไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องปิดเกมเปิดใหม่ถึงจะสามารถทำเควสได้ สุดท้ายคือในเรื่องของ World Map คือถ้าเป็นเป็นเกม Open World แล้ว เราควรจะสามารถเคลื่อนที่ทะลุป่า บุกเขา ลงห้วยได้แต่เกมนี้เราจะถูกจำกัดเส้นทางที่สามารถเดินไปได้ไว้ อีกทั้งตัวเกมไม่ได้เป็นแบบ World Map ใหญ่ แต่เป็นแบบ Map เล็กหลายๆ อันต่อกันจนเป็นแผ่นที่โลก ทำให้ไม่ได้อารมณ์ของการเล่นเกม Open World ในยุคนี้เท่าไหร่นัก เป็นอารมณ์แบบ Open World กึ่ง Sandbox มากกว่า ◊ เกมเพลย์ ◊ เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องที่ทำให้เกมนี้มันสนุกสุดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเกมที่ทำในด้านของเกมเพลย์ออกมาได้ดีมากในหลายๆ เรื่อง โดยเรื่องแรกที่จะพูดถึงคือระบบต่อสู้ของเกมนี้ที่มันสนุกมากๆ เราสามารถเลือกติดตั้งอาวุธได้ 2 อย่าง สลับออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ทำให้เรามีลูกเล่นในการต่อสู้ที่เยอะมาก บวกกับเกมนี้เวลาเราเจอมอนสเตอร์ มันไม่เคยอยู่ตัวเดียว มันมาแบบเป็นฝูงตลอดและไม่ได้กระจอกด้วย ทุกตัวเก่ง! ทำให้ตอนเล่นเราต้องระวังตัวแทบจะตลอดเวลา ระหว่างเล่นก็จะรู้สึกตื่นเต้นแทบจะตลอดเวลา (โดนแบบ เต็มๆ หนึ่งที่ไปเกิดใหม่ได้เลย) เป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกสนุกสุดยอดไปเลยในเวลาเล่นเกมนี้ Choice Matter อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ทำให้เรานั่งคิดจริงจังว่าจะเลือกหัวข้อไหนดี เพื่อส่งให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดตามที่เราต้องการ ระบบนี้ทำให้เราจะอยากตั้งใจอ่านเนื้อเรื่องอยู่ตลอดเวลา บวกกับเกมนี้ก็ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีเหมือนกัน มันทำให้ทั้งสองอย่างประกอบกันเป็นความสนุกที่ลงตัวและเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของเกมนี้เลย Boss Battle อันนี้โดยส่วนตัวคิดว่าสนุกมากๆ เพราะบอสเกมนี้ทำออกมาได้เก่งสุดๆ เหมือนเล่น Dark Soul อยู่เลย คือเราตีบอสแทบจะไม่เข้าเลย กลับกันเราโดนบอสตบเต็มๆ หนึ่งที่แทบจะหมดหลอดกันเลยทีเดียว (บางตัวตายเป็น สิบๆ รอบเลยที่เดียว) ทำให้เวลาต่อสู้เราจะตั้งใจเล่นมากๆ พอแพ้ถี่ๆ ก็ทำให้อยากจะเรียนรู้การโจมตีของบอสและกลับมาสู้ใหม่จนกว่าจะชนะ จนทำให้คิดว่าการที่เกมทำให้เรารู้สึกอยากจจะเล่น อยากจะชนะได้ มันถือว่าประสบความสำเร็จที่เกิดมาเป็นเกมแล้วนั้นเอง ฟังข้อดีกันไปเยอะแล้วมาฟังข้อเสียบ้าง คือเกมนี้มันมีบัคร้ายแรงมากๆ คือ มีเพลเยอร์หลายๆ คนที่ไม่สามารถ เซฟเกมนี้ได้ (คนเขียนเองเป็นหนึ่งในนั้น) คือเกมนี้เป็นเกมแบบกึ่ง Open World แล้วเซฟไม่ได้? นี้เป็นถือบัคร้ายแรงมากๆ เพราะเกมที่จำเป็นต้องเล่นยาวๆ แล้วเซฟไม่ได้นี้มันบ้าไปแล้ว! (คนเขียนเล่นไปไกลมากๆ วันต่อมากลับไปเริ่มใหม่ตั่งแต่บอสตัวแรก หัวไหม้เลยทีเดียว) ตรงนี้ขอหัก 1.5 คะแนน ◊ สรุป ◊ GreedFall เป็นเกมที่นำเสนอมุมมองของเนื้อเรื่องออกมาได้ดีมากๆ ทั้งยังทำเกมเพลย์ออกมาได้สนุกสุดๆ จากระบบต่อสู้ที่ให้ผู้เล่นสามารถเล่นได้อย่างหลากหลายรูปแบบ สามารถทำให้ความยากของเกมเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเกมได้ ทั้งหมดนี้ทำให้เกมนี้ควรจะเป็นเกมที่ดีมากๆ เกมหนึ่ง แต่ดันไปตกม้าตายในเรื่องของ บัคซึ่งเป็นจุดร้ายแรงของเกม Open World ในเรื่องที่ไม่สามารถเซฟได้ กับระบบเกมที่ถ้าเป็น Open World แบบจริงๆ ไปเลยคงจะดีกว่าเยอะ พอเอาจุดแข็งของเกมมาหักลบกับจุดอ่อนแล้วทำให้ เราให้คะแนนเกมนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10 ถ้าคุณกำลังหาเกมแนว Action RPG ที่สนุกเล่นอยู่ หรืออยากได้เกมที่มีองค์ประกอบทั้งการเล่นและเนื้อเรื่อง เกมน่าจะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้แน่นอน แต่อาจจะต้องมาเสียเวลานั่งแก้บัคของเกมกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง หวังว่าจะมีความสุขกับการเล่นเกมนี้ครับ [penci_review id="28809"]
18 Sep 2019
รีวิว Catherine Full Body มหากาฬรักสี่เส้า ตำนานก็ยังเป็นตำนาน
Title: Catherine: Full Body ผู้พัฒนา: Atlus แพลตฟอร์ม: PS4 (สั่งซื้อเกมนี้แบบกล่อง ในราคาถูกกว่าใคร LINK ) วางจำหน่ายออกมาแล้วสำหรับ Catherine: Full Body เกม Action-Puzzle Thriller ภาค Remake ของเกมที่เคยออกมาให้เราเล่นตั้งแต่ปี 2011 ที่ได้รับความนิยมขายได้มากกว่า 1 ล้านชุดทั่วโลก จากฝีมือผู้พัฒนาแดนปลาดิบขั้นเทพ Atlus ทีมที่เคยฝากฝังผลงานอย่าง Shin Megami Tensei และ Persona มาแล้ว อย่างที่รู้ว่าเกมนี้ได้รับการกล่าวขานปากต่อปาก ถึงความยอดเยี่ยมของเนื้อเรื่องรักสามเศร้าอันเข้มข้นและ Puzzle สุดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องขอบอกตามตรงว่าตัวผู้เขียนนั้นไม่เคยเล่นเกมเวอร์ชั่นแรกมาก่อน แต่จากคำบอกเล่าเองก็อยากที่จะได้ลองสัมผัสเกมนี้ซักครั้ง ซึ่งในวันนี้ตัวผู้เขียนเล่นจบแล้วครับและเรา GameFever TH จะมารีวิว Catherine Full: Body ให้ทุกท่านได้ชมกัน กับการรีวิวเกมโดยคนที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน มันจะดีอย่างที่เขาว่าหรือไม่ ? ไปชมกัน เนื้อเรื่อง ตัวเนื้อเรื่องของเกมเราจะได้รับบทเป็นชายหนุ่ม Vincent คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ที่กำลังคิดหนักเรื่องแฟนสาวนามว่า Katherine ที่อยากจะแต่งงาน แต่ตัวเขานั้นเองยังไม่อยากแต่งเพราะอยากที่จะใช้ชีวิตอิสระให้มากกว่านี้ อยู่มาวันหนึ่งตัวเขานั้นบังเอิญไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับ Catherine สาวสวยที่ตรงสเปกเขาทุกอย่าง จึงทำให้เรื่องวุ่นๆ รักสามเศร้าเกิดขึ้นกระทันหัน และในภาค Remake นี้จะมีการเพิ่มตัวละครเข้ามาใหม่อย่าง Rin หรืออีกชื่อทีเรียกว่า Qaterine จนทำให้กลายเป็นรักสี่เศร้าคิดหนักขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึงตำนานภายในเนื้อเรื่องที่ Vincent และชายหลายๆ คนในเมือง ได้พบเจอกับเรื่องประหลาด ที่เขาจะต้องฝันร้ายทุกๆ คืนว่าจะต้องปีนเขาสุดอันตราย และบางคนถ้าทำไม่สำเร็จจะต้องตายนั่นเอง ซึ่งตัวเรานั้นจะต้องทำการตอบคำถามต่างๆ และจะต้องตัดสินใจว่าเรานั้นจะเลือกใคร ซึ่งตอนจบของเกมนี้ทางผู้พัฒนาบอกว่ามีความเป็นไปได้กว่า 18 แบบ ขึ้นอยู่กับที่เราตอบคำถามยังไง จากที่เล่นเกมนี้จนจบแล้ว 1 รอบต้องบอกเลยว่าตัวเกมนำเสนอเรื่องราวออกมาได้เข้มข้นมากๆ ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องราวของแต่ละวันที่จะมีจุดพีคต่างๆ ให้เราช็อคและตะลึงทุกๆ วัน รวมถึงตัวเนื้อเรื่องเองมีการนำเสนอออกมาได้อย่างชาญฉลาด หลายๆ อย่างที่เราตอบ เราเองแทบจะเดาได้ยากมากว่าตัวเกมจะจบไปในทางไหน หรือบางทีเนื้อเรื่องมันก็ตอกกลับกระแทกหน้าเราอย่างจังกับสิ่งที่เราคิดว่ามันดีแล้ว ฉากที่ใช้ภายในเกมก็ไม่ได้มีโลเคชั่นเยอะคือบ้านของตัวเอก ร้านคาเฟ่ บาร์ และความฝันเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ความน่าเบื่อแต่อย่างใด เพราะนั่นไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุดของเกม ตัวกราฟิกเองก็ยังเป็นตัวเดียวกับภาคก่อน เพียงแต่อัพเกรดให้สวยงามมากขึ้น รวมถึงตัวเกมจะสลับภาพที่เป็น 3D และภาพ Animation สลับกันไป และตัวเนื้อเรื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเองก็มีทั้งสองแบบและสอดแทรกเข้าไปในเนื้อเรื่องเก่าได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ เกมเพลย์ ตัวเกมเพลย์จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ 1. ส่วนเนื้อเรื่องถามตอบ และ 2. ส่วน Puzzle 1. ส่วนเนื้อเรื่องถามตอบ - ในทุกๆ วันจะตัวเอกของเราจะต้องไปพบเจอกับเพื่อนๆ ในบาร์ หรือพบเจอกับสาวๆ บ้าง ซึ่งเราจะต้องตอบคำถามต่างๆ ที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องทุกอย่าง การส่งข้อความพูดคุยกับสาวๆ หรือการตอบคำถามของเนื้อเรื่องจะมีช้อยส์ขึ้นมาให้เลือก แต่เราจะคาดการณ์ไม่ได้เลยว่าตอนจบของเนื้อเรื่องจะไปทางไหน ซึ่งมันขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้เล่นนี่แหละเป็นคนยังไง ส่วนตัวแนะนำให้ลองตอบตามที่ใจอยากตอบดูและรอดูผลลัพธิ์นี่มันสนุกมากเลย เพราะการตอบคำถามต่างๆ จะส่งผลในด้านจิตใจของ Vincent ทั้งหมด และมันก็จะส่งผลตรง Cutscene ของเกมเวลาเจอเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงส่งผลยันไปถึงตอนจบอีกด้วย ซึ่งในส่วนของการตอบคำถามนั้นสำคัญพอๆ กันกับเกมเพลย์อื่นๆ เลย [caption id="attachment_28819" align="aligncenter" width="1024"] การตอบข้อความต่างๆ จะส่งผลต่อตอนจบ และความสัมพันธ์ของผู้หญิงแต่ละคน[/caption] [caption id="attachment_28818" align="aligncenter" width="1024"] การตอบคำถามต่างๆ จะส่งผลกับค่าอารมณ์จิตใจของ Vincent ซึ่งจะมีผลใน Cutscene และเนื้อเรื่องของเกม[/caption] 2. ส่วน Puzzle - จะเป็นเรื่องราวตอนที่ Vincent กำลังฝันอยู่ ซึ่งตัวปริศนาก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากเพียงแค่การที่เราจะต้องต่อ Block เพื่อขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้ ซึ่งตัวปริศนาก็มีความยากให้เราแก้อยู่ในระดับไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไป อาจจะต้องจับทางและอาศัยไหวพริบเล็กๆ น้อยๆ แต่ความมันสนุกก็อยู่ที่ตัว Block นั้นบางอันก็จะมีสถานะต่างๆ มาคอยกวนใจเราบ้างอย่างเช่น Block น้ำแข็งที่เราจะลื่นเวลาเหยียบ หรือ Block กับดักเป็นต้น และยิ่งถ้าหากเราเล่นระดับยากขึ้นมันก็จะมีให้เล่นหลากหลายมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าในส่วน Puzzle มีความสนุกใช้ได้เล่นได้เพลินๆ สำหรับคนที่ชอบความท้าทาย และปริศนาให้คิดมากขนาดว่าเส้นผมบังผู้เขาแต่ทำไมไม่รู้นะท่านจะได้เห็นในเกมแน่นอน ไหนจะมีโหมดแยกอย่างออนไลน์ที่เราจะสามารถเล่นกับคนอื่นได้อีกด้วย รวมถึงภายในโหมดนี้ตอนจบแต่ละด่านก็จะมีคำถามให้ตอบซึ่งมันก็จะส่งผลต่อจิตใจของ Vincent และเนื้อเรื่องของเกมเช่นกัน แต่มันก็ต้องมีข้อติเล็กน้อยในเรื่องของการบังคับที่มันดูเก้ๆ กังๆ และไม่ค่อยจะได้ดั่งใจมากนัก เนื่องจากเราจะต้องบังคับโดยปุ่มอนาล็อก สรุป ต้องยอมรับเลยว่าตัวผู้เขียนนั้นชอบเกมที่มีเนื้อเรื่องกินง่ายไม่ซับซ้อนมากเหมือนเกมนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีปมซ่อนเงื่อนและปริศนามากมายแต่มันก็อยู่ในขอบเขตของชีวิตประจำวัน เรื่องรักๆ ไคร่ๆ ชู้ๆ ที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นในบางฉากตัวเกมก็ตอกหน้าเราด้วยอะไรที่ไม่คาดคิดบ้างซึ่งทำออกมาได้น่าประทับใจ และเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามเป็นอย่างมาก และยิ่งตัวเกมมีตอนจบที่เป็นไปได้กว่า 18 แบบทำให้เราอยากจะกลับไปเล่นเกมใหม่อีกครั้งเรื่อยๆ เพราะการที่เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไป นี่เปลี่ยนแปลงเกือบๆ ทุกอย่างเลย ทั้ง Cutscene บริบทในการพูด หรือ Animetion ก็จะแตกต่างกัน หรือเพิ่มเติมเข้า คุณอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นในรอบที่แล้วก็ได้ ซึ่งมันมีน้อยนะครับสำหรับเกมที่สร้างแรงจูงใจให้เรากลับไปเล่นอีกครั้ง ซึ่งเกมนี้สามารถทำได้ต้องขอชมเลย ส่วนตัว Puzzle นั้นเอาตามตรงมันอาจจะไม่ใช่แนวของผู้เขียนซักเท่าไร แต่ต้องบอกเลยว่าตัวเกมเพลย์มีความท้าทายเป็นอย่างมาก มีปริศนาให้เราคิดเยอะแยะไปหมด และมีอะไรใหม่ๆ มาทุกๆ Chapter ให้เราไม่เบื่อ ซึ่งใครที่อยากหาเกม Puzzle ดีๆ ยอดเยี่ยมและเล่นยาวๆ ซักเกมท่านต้องห้ามพลาด แต่ถ้าใครอยากจะเล่นเฉพาะเนื้อเรื่องก็ยังคุ้มค่ามากๆ อยู่ดี บอกตามตรงว่าเกมนี้ส่วนตัวแทบจะหาข้อเสียไม่ได้เลย สิ่งที่จะพอคิดได้ก็คือคนที่เล่นเกมนี้อาจจะต้องใช้ความสามารถในภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจเลยท่านก็อาจจะไม่อินและเล่นเกมนี้ด้วยความสนุกเต็มร้อยไม่ได้ แต่ข้อดีของมันคือศัพท์ภายในเกมที่ใช้ไม่ได้ยากจนเกินไป ใครที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นเกมนี้สามารถช่วยท่านได้ Caterine Full Body เป็นเกมที่ท่านควรหามาเล่นอย่างยิ่ง อยากได้ความระทึก แนวเกมใหม่ๆ ปริศนาเจ๋งๆ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง สามารถสั่งซื้อเกมนี้ในราคาพิเศษได้ที่ LINK [penci_review id="28765"]
16 Sep 2019
TGS2019: ลองเล่นเกม Project Resistance แนวทางใหม่ของ RE จะรุ่งหรือร่วง?
ถือเป็นปีที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับค่ายพัฒนารุ่นเก๋าอย่าง Capcom ที่ประสบความสำเร็จจากยอดขายอันยอดเยี่ยมของเกมซีรี่ส์หลักเก่าแก่ของค่ายถึงสองเกมอย่าง Resident Evil 2: Remake และ Devil May Cry 5 ที่วางจำหน่ายท่ามกลางเสียงชื่นชมกึกก้องจากสื่อทุกสำนักทั่วโลกว่าเป็นการคืนชีพทั้งสองซีรี่ส์ในสายตาของผู้เล่น และทำให้ค่าย Capcom กลายเป็นค่ายที่หลายคนเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดอีกครั้งในรอบหลายปีเลยทีเดียว จากความสำเร็จดังกล่าว คงไม่น่าแปลกใจถ้า Capcom จะอยากสร้างเกมใหม่ๆ ขึ้นมาบนพื้นฐานของเกมทั้งสองที่กล่าวไป และเกม Project Resistance ก็คือผลงานชิ้นแรกที่เพิ่งเปิดตัวไปเพียงไม่กี่วันนี้ ที่สร้างจากพื้นฐานของ Resident Evil 2: Remake โดยใช้พื้นฐานเกมเพลย์เดียวกัน แต่เปลี่ยนจากเกม Survival เล่นคนเดียวมาเป็นเกมมัลติเพลย์เยอร์เต็มรูปแบบที่ให้ผู้เล่น 4 คน (ที่เกมเรียกว่า Survivor) พยายามเอาตัวรอดจากศูนย์วิจัยของ Umbrella Corporation ที่ถูกควบคุมโดยชายปริศนาที่ชื่อว่า Mastermind ผู้คอยควบคุมทุกอย่างในศูนย์วิจัย ตั้งแต่กับดักต่างๆ ไปจนถึงเหล่าซอมบี้น้อยใหญ่ที่จะคอยขัดขวางไม่ให้เหล่าผู้เล่นสามารถหนีออกไปได้ โดยลูกเล่นที่น่าสนใจที่สุดของเกมคือ Mastermind เองจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ศัตรู A.I. เหมือนเกม Resident Evil ที่ผ่านมา แต่จะถูกควบคุมโดยผู้เล่นตัวเป็นๆ อีกคนนั่นเอง! การตัดสินใจสร้างเกมแนวมัลติเพลย์เยอร์แบบไม่สมมาตร (Asymmetrical Multiplayer หมายถึงเกมที่ทีมสองทีมมีจำนวนคนไม่เท่ากัน) ถือเป็นความกล้าหาญมากของค่าย Capcom เพราะการทำเกมแนวนี้ให้มีความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้พัฒนาอย่าง Capcom ที่ไม่ค่อยได้ทำเกมมัลติเพลย์เยอร์แบบสองฝ่าย เกมส่วนใหญ่ของค่ายที่มีมัลติเพลย์เยอร์ (ที่ไม่ใช่เกมไฟท์ติ้ง) ก็มักจะเป็นแบบ Co-op หรือให้ผู้เล่นร่วมมือกันมากกว่า การจะโดดมาสร้างเกมมัลติเพลย์เยอร์แบบไม่สมมาตรทันทีจึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นเกม Project Resistance ในงาน Tokyo Game Show 2019 ที่ผ่านมา (ขอบคุณบริษัท SICOM Amusement และ Capcom ที่จัดช่องเวลาไว้ให้ครับ) และแม้ว่าสุดท้ายแล้วผู้เขียนจะรู้สึกว่าเกม Project Resistance เป็นเกมที่สนุกและน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเกมยังขาดความสมดุลอยู่มากจากที่ผู้เขียนได้เล่นมา แต่ถ้า Capcom สามารถกลบจุดอ่อนตรงนี้ไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง Project Resistance จะต้องกลายเป็นเกมมัลติเพลย์เยอร์ที่ยอดเยี่ยมและแปลกใหม่ได้แน่นอน ก่อนจะพูดถึงความรู้เห็นของผู้เขียนที่มีต่อเกม เรามาพูดถึงวิธีการเล่นเบื้องต้นของทั้งฝั่ง Survivor และ Mastermind กันก่อนดีกว่า SURVIVOR วิธีเล่นของฝั่ง Survivor จะอิงการควบคุมจากเกม Resident Evil 2: Remake เป็นพื้นฐาน แต่อาจจะเพิ่มความคล่องตัวของตัวละครขึ้นมาประมาณหนึ่ง การยิงปืนและการเคลื่อนที่ถูกปรับให้เร็วกว่าเกมต้นแบบพอสมควร ใกล้เคียงกับเกมแอคชั่นบุคคลที่ 3 ทั่วไปมากขึ้น แต่ก็ยังมีความหน่วงๆ ช้าๆ จากเกมต้นแบบอยู่บ้าง โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกเล่นเป็นตัวละครทั้งหมด 4 ตัวประกอบไปด้วย Tyrone, Samuel, January, และ Valerie ที่มีความสามารถเป็นสกิลกดใช้แตกต่างกัน เช่น: Tyrone จะมีตำแหน่งแทงค์ มีความสามารถในการลดความเสียหายให้เพื่อนรอบๆ ตัว Samuel: อดีตนักมวยตำแหน่ง Damage Dealer มีความสามารถเปิดโหมดบ้าพลังที่ทำให้สร้างความเสียหายระยะประชิดอันหนักหน่วงด้วยหมัดดุ้นๆ ได้ January: สาวแฮ๊คเกอร์สุดพั๊งค์ที่สามารถแฮ๊คกล้องวงจรปิดในด่านได้ชั่วคราว ซึ่งทำให้ Mastermind ไม่สามารถส่งซอมบี้หรือกับดักลงมาเพิ่มได้ Valerie: สาวแว่นตัวฮีล สามารถวางเสาที่ปล่อยก๊าซเพิ่มเลือดออกมาเพื่อฟื้นฟูพลังของเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ใกล้เคียงได้ โดยตัวละครแต่ละตัวจะสามารถเลือกสกิลรองได้อีก 1 สกิล (จาก 4) ซึ่งทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการเล่นตามสไตล์ที่ตัวเองชอบได้มากขึ้นนั่นเอง (ผู้เขียนมีโอกาสลองเล่นตัวละคร Survivor เพียงสองตัวคือ Tyrone และ Samuel) การเล่นเกม Project Resistance ฝั่ง Survivor นั้นจะมีความใกล้เคียงกับเกมอย่าง Dead by Daylight หรือ Friday the 13th ผสมเข้ากับเกมแนว Horde Mode ทั่วๆ ไป ที่ให้ผู้เล่นช่วยกันผ่านภารกิจต่างๆ ในแต่ละฉากเพื่อผ่านไปฉากต่อไปและเก็บแต้มไปแลกอาวุธหรือไอเทมไว้ใช้เรื่อยๆ นั่นเอง โดยภารกิจที่ผู้เขียนได้เล่นนั้นจะให้ผู้เล่นเก็บสะสมชิ้นส่วนของแผนที่ 3-4 ชิ้นมาประกอบกันให้ครบ ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างธรรมดาสำหรับเกมแนวนี้ MASTERMIND การเล่นของฝั่ง Mastermind น่าจะเป็นจุดที่ผู้เขียนรู้สึกสนใจมากที่สุดแล้ว ผู้เล่นที่เป็น Mastermind จะต้องสลับไปมาระหว่างกล้องวงจรปิดต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามด่านเพื่อขัดขวางเหล่า Survivor ด้วยการวางกับดัก ล๊อคประตู ปิดไฟในห้อง หรือกระทั่งเรียกซอมบี้ชนิดต่างๆ ออกมา ตั้งแต่ซอมบี้ธรรมดาๆ ไปจนถึงตัว Licker หรือกระทั่ง Mr. X เลยทีเดียว โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกตำแหน่งในการวางทั้งหมดได้อย่างอิสระ เช่นอาจจะวางกับดักทุ่นระเบิดเอาไว้บนพื้นข้างๆ ไอเทมเพื่อเล่นงาน Survivor ที่เข้ามาเก็บ หรืออาจจะล๊อคประตูห้องที่ผู้เล่นเพิ่งเดินเข้าไปและเรียก Mr. X ออกมาในห้องนั้นเป็นต้น ในส่วนของ Mastermind จะมีความคล้ายเกมการ์ดอยู่หน่อย ตรงที่ลูกเล่นต่างๆ ที่ผู้เล่นจะสามารถใช้ได้ (นอกจากการล๊อคประตูหรือปิดไฟ) จะถูกกำหนดแบบสุ่ม และการเรียกซอมบี้หรือวางกับดักจะต้องใช้แต้มมากน้อยตามระดับ เช่นการเรียกซอมบี้ธรรมดาอาจจะใช้แต้ม 3 แต้ม แต่ถ้าอยากเรียก Licker อาจจะต้องใช้ 5 แต้มเป็นต้น โดยเมื่อใช้แล้วก็จะ จั่ว การ์ดใบใหม่ขึ้นมาแทนที่ และผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งชุดการ์ดของตัวเองได้ด้วยเมื่อเกมวางจำหน่าย นอกจากนี้ ผู้เล่น Mastermind ยังสามารถกระโดดเข้าไปควบคุมเหล่าซอมบี้ต่างๆ ที่เรียกออกมาได้โดยตรงด้วย (รวมถึง Mr. X ด้วยนะ!) ซึ่งซอมบี้แต่ละชนิดก็จะมีท่าพิเศษให้ใช้ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้เล่นมีโอกาสสลับบทบาทจากเกม RE ทั่วไปที่เป็นคนหนีซอมบี้มาเป็นซอมบี้ให้คนหนีซะเองได้ด้วย (จนกว่าจะถึงกำหนดเวลา หรือซอมบี้ที่ควบคุมอยู่โดนฆ่า) ซึ่งน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับแฟนๆ ซีรี่ส์นี้ ความรู้สึกจากการเล่น ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นทั้งฝ่าย Survivor และฝ่าย Mastermind และต้องบอกเลยว่าในตอนนี้สมดุลของเกมยังเอนเอียงไปฝั่ง Mastermind อยู่ค่อนข้างมาก อาจจะด้วยระบบการควบคุมของฝั่ง Survivor ที่มีความเชื่องช้า แถมด่านที่ได้ลองเล่นยังมีลักษณะเป็นทางเดินแคบๆ ซะเยอะ ทำให้เหล่า Survivor มีปัญหาเรื่องการเดินขวางกันเองหรือการโดนต้อนจนมุมง่ายมาก และถึงแม้ว่าจะสามารถซื้อปืนมาใช้ได้ตั้งแต่ตอนแรกๆ แต่ด้วยกระสุนอันน้อยนิดและปริมาณซอมบี้ที่ Mastermind สามารถเรียกออกมาได้แบบไม่ขาดตอน ทำให้การเล่นเป็น Survivor มีความท้าทายมาก แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถโจมตีระยะประชิดได้ค่อนข้างแรง แต่ระบบการต่อสู้ระยะประชิดก็ยังไม่ค่อยเข้าที่ ทำให้หลายๆ ครั้งการโจมตีที่เหมือนจะโดนกลับไม่โดน แถมอนิเมชั่นก็นาน ตีพลาดทีนึงอาจจะโดนซอมบี้ฟาดคืนสองทีหรือโดนกัดคอเอาง่ายๆ นอกจากนี้ ในแต่ละฉากยังจะมีกำหนดเวลาที่บังคับให้ผู้เล่นฝั่ง Survivor ไม่สามารถค่อยๆ เล่นอย่างระมัดระวังเหมือนในเกม Resident Evil ทั่วไปได้ แถมเวลายังจะลดลงเร็วขึ้นเมื่อโดนโจมตีหรือติดกับดักอีก ทำให้การเล่นเป็น Survivor มีความกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร จะเล่นเร็วมากก็ไม่ได้เพราะเสี่ยงจะโดนซอมบี้รุมตาย แต่จะช้าก็ไม่ได้อีกเพราะเดี๋ยวจะหมดเวลาผ่านด่านซะก่อน แต่ผู้เล่นสามารถเพิ่มเวลาให้ตัวเองได้เช่นกันด้วยการโจมตีซอมบี้หรือการทำภารกิจให้สำเร็จ ในทางกลับกัน การเล่นเป็น Mastermind กลับมีความแปลกใหม่และง่ายกว่ามากด้วยเหตุผลเดียวกับที่กล่าวไปด้านบน แถมการวางแผนดักผู้เล่นฝั่ง Survivor ยังให้ความรู้สึกน่าพอใจทุกครั้งเมื่อทำแผนสำเร็จ เช่นครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนเรียกตัว Licker ออกมาต้อนให้ Survivor ต้องเข้าไปหลบในห้องแคบๆ ก่อนที่จะล๊อคประตูและปิดไฟภายในห้องนั้นพร้อมกับเรียก Mr. X ออกมาลงแขก ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวร้ายสติเฟื่องแสนเจ้าเล่ห์ได้จริงๆ แต่ด้วยความไม่สมดุลของเกมด้วยแล้ว แค่ผู้เล่น Mastermind เรียกซอมบี้ออกมาติดๆ กันเรื่อยๆ ก็สามารถชนะได้ไม่ยากแล้วเหมือนกัน สุดท้ายนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าเกม Project Resistance มีโครงสร้างเบื้องต้นที่น่าสนใจมากพอจะทำให้เกมประสบความสำเร็จได้ แต่ยังต้องผ่านการปรับสมดุลอีกมากเพื่อให้การเล่นทั้งฝั่ง Survivor และ Mastermind มีความแฟร์มากกว่านี้ เพราะถ้าการเล่นฝั่งใดฝั่งหนึ่งยากหรือง่ายเกินไป จนทำให้ผู้เล่นรู้สึกขยาดที่จะเล่นเป็นฝั่งนั้นๆ เกมก็คงไปไม่รอด แบบเดียวกับที่เกม Evolve ต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีใครอยากเล่นเป็นสัตว์ประหลาดให้คนอื่นล่านั่นเอง Project Resistance จะวางจำหน่ายสำหรับเครื่องเกม PS4 และ Xbox One แต่ยังไม่มีข้อมูลเรื่องเวลาวางจำหน่าย ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
14 Sep 2019
ลองเล่นมาแล้ว! พรีวิว Final Fantasy VII Remake "การกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีของ RPG ในตำนาน"
ให้สาธยายกันสามวันสี่คืนก็ไม่จบจริงๆ กับอิทธิพลอันใหญ่หลวงที่เกม Final Fantasy VII มี ทั้งต่อเหล่าเกมเมอร์ที่เติบโตขึ้นในยุคค.ศ. 90 ตอนปลาย ไปจนถึงแนวเกม RPG และวงการเกมในภาพกว้าง ตั้งแต่การใช้กราฟฟิคแบบโพลิกอน 3D ทั้งเกมเป็นเกมแรกๆ ของยุค แนวทางการออกแบบศิล์ปที่ผสมผสานเทคโนโลยีไฮเทคเข้ากับความเป็นแฟนตาซีที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของซีรี่ส์ Final Fantasy จวบจนทุกวันนี้ แถมยังเป็นเกมที่ยกระดับให้ค่ายเกมญี่ปุ่น Square Soft กลายเป็นค่ายเกมแนวหน้าที่รู้จักกันไปทั่วโลกแม้กระทั่งในตลาดตะวันตก แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่เกมวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1997 แต่เกม Final Fantasy VII ก็ยังคงเป็นเกม JRPG โปรดของผู้เล่นเกมหลายๆ คน ที่ยังคงยกให้เกมเป็นหนึ่งใน JRPG ที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมาเลยทีเดียว ด้วยประการต่างๆ ที่ว่าไปข้างต้น ทำให้การมาถึงของเกม Final Fantasy VII Remake สร้างความตื่นเต้นและกังวลให้กับเหล่าแฟนเกมทั่วโลกไปพร้อมๆ กัน ในแง่หนึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหล่าแฟนเกมรุ่นใหญ่จะได้หวนคืนสู่โลก Gaia และเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักที่ถูกสร้างใหม่ด้วยกราฟฟิคอันสวยงามของเกมยุคปัจจุบัน แถมยังเป็นโอกาสอันดีที่เหล่าเกมเมอร์รุ่นเด็กๆ จะได้สัมผัสกับเกม RPG ระดับตำนานนี้เป็นครั้งแรกในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายกว่าการหาเกมยุค PS1 กลับมาเล่นอีกด้วย แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเกม Final Fantasy VII Remake ที่ผู้พัฒนาประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นอันเป็นหัวใจหลักไปอย่างสิ้นเชิง อาจจะทำให้แฟนๆ เกมที่ยังคงรักเกมภาคเก่าหัวปักหัวปำรู้สึกไม่ถูกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเกมในดวงใจ และอาจจะแอบผิดหวังเล็กๆ กับระบบการเล่นใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนการเล่นแบบคลาสสิคที่โหยหาจะได้สัมผัสอีกครั้ง ผู้เขียนได้มีโอกาสลองเล่นเกม Final Fantasy VII Remake ในงาน Tokyo Game Show 2019 ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณ Square Enix และ PlayStation ที่จัดช่องเวลาเอาไว้ให้) โดยเดโมที่ได้ลองเล่นคือฉากการวางระเบิดเตาปฏิกรณ์ Mako ซึ่งมีคนบอกมาว่าคือฉากเปิดเกมภาคดั้งเดิม โดยเราจะสามารถควบคุมตัวละครได้สองตัวคือตัวเอก Cloud Strife และ Barret Wallace สลับไปมาระหว่างตัวละครทั้งสองได้ตลอดเวลา สิ่งแรกที่ผู้เล่นทุกคนน่าจะสังเกตคือภาพกราฟฟิคของเกม ที่ทำออกมาได้สมจริงคมชัดยิ่งกว่าเกมของ Square Enix หลายๆ เกมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ตั้งแต่กราฟฟิคส่วนพื้นผิวของสิ่งของ ไปจนถึง Particle Effect แสงสีระยิบระยับตามฉาก ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีต เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดที่ยิ่งสังเกต ลงไปก็ยิ่งเห็นมากขึ้น เช่นเดียวกับอนิเมชั่นและสีหน้าของตัวละครต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยี Motion-Capture ทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายและใบหน้าของตัวละครมีความลื่นไหลสมจริงมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบที่สามารถเสริมอรรถรสในส่วนของเนื้อเรื่องเกมได้เป็นอย่างดี การเปลี่ยนมาใช้มุมมองแบบบุคคลที่สามก็ช่วยในการสร้างบรรยากาศของเกมได้อีกเช่นกัน เพราะผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครให้สำรวจตามฉากเพื่อหาไอเทมได้อย่างอิสระ โดยมุมมองที่เปลี่ยนไปยังทำให้สถานที่ในฉากที่เคยเป็นเพียงภาพแบนๆ มีมิติขึ้นมา ช่วยสื่อถึงขนาดและ/หรือความตื้นลึกหนาบางของแต่ละสถานที่ได้ดีกว่าเดิม ทำให้ฉากที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน [caption id="attachment_28612" align="aligncenter" width="1024"] ภาพเก่าเอามาเล่าใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม[/caption] ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ระบบการเล่นของเกม Final Fantasy VII Remake จะผสมผสานการควบคุมแบบแอคชั่นเต็มรูปแบบเข้ากับระบบ ATB ที่พบเห็นได้ในเกม Final Fantasy หลายๆ ภาคที่ผ่านมา โดยการต่อสู้จะเน้นใช้การโจมตีธรรมดาเป็นคอมโบเพื่อเก็บเกจ ATB ของตัวละคร ซึ่งจะกลายมาเป็นทรัพยากรสำหรับใช้ท่า Ability ต่างๆ ของตัวละครอีกที ตัวแทนจาก Square Enix ได้อธิบายว่าเกมถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นใช้การโจมตีธรรมดา (ปุ่มสี่เหลี่ยม) เพื่อเพิ่มเกจ ATB เป็นหลักมากกว่าเพื่อสร้างความเสียหาย และใช้ความสามารถพิเศษต่างๆ เพื่อปลิดชีพศัตรูอีกที ถ้าจะให้เปรียบความแอคชั่นของเกมกับเกมอื่นๆ ของผู้พัฒนา Square Enix อย่าง Final Fantasy XV หรือ Kingdom Hearts ผู้เขียนรู้สึกว่า FFVIIR (Final Fantasy VII Remake) น่าจะใกล้เคียงกับ Final Fantasy XV มากกว่า เพราะผู้เล่นก็ยังมีความสามารถในการกลิ้งหลบหรือป้องกันการโจมตีของศัตรูไม่ต่างกัน แต่ในขณะเดียวกัน FFVIIR ก็ยังมีความลื่นไหลมากกว่า Final Fantasy XV อยู่หน่อยจากอนิเมชั่นการโจมตีที่รวบรัดกว่า [caption id="attachment_28613" align="aligncenter" width="1024"] การต่อสู้แบบแอคชั่นที่ดุเดือดรวดเร็ว[/caption] นอกจากนี้ ผู้เล่นยังสามารถสลับไปมาระหว่างตัวละครเพื่อใช้ความสามารถเฉพาะตัวของตัวละครนั้นๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนเป็น Barret เพื่อใช้แขนปืนกลของเขากำจัดศัตรูที่อยู่ที่สูงที่ Cloud ใช้ดาบฟันไม่ถึงนั่นเอง น่าสนใจว่าตัวละครร่วมทีมอื่นๆ จะมีความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันแค่ไหน แต่อาจจะด้วยความที่เดโมถูกปรับให้ง่าย หรืออาจจะเพราะเป็นส่วนเริ่มต้นของเกมก็ดี ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าแทบไม่ได้จำเป็นต้องใช้ท่าพิเศษหรือใช้การวางแผนใดๆ ก็สามารถกำจัดศัตรูธรรมดาๆ อย่างทหารชินระหรือหุ่นโดรนตัวเล็กๆ ตามฉาก ได้แบบไม่มีปัญหาด้วยการกดปุ่มโจมตีซ้ำๆ เฉยๆ ทำให้ยังไม่ค่อยเห็นภาพนักว่าถ้าเกมเริ่มเพิ่มลูกเล่นต่างๆ มากขึ้น (เช่นมนต์ซัมม่อน หรือแค่เพียงเพิ่มตัวละครในปาร์ตี้อีกซักตัวสองตัว) จะทำให้เกมเพลย์ท้าทายมากกว่านี้แค่ไหน แต่โดยเบื้องต้นนั้นถือว่าเกมเพลย์ของ FFVIIR สอบผ่านในแง่ของความรู้สึกอันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะยังไม่ได้ต้องใช้ความคิดหรือฝีมือนักในเดโม นอกจากนี้ เกมยังมีระบบการ Stagger คล้ายๆ กับในเกม Final Fantasy XV ที่เมื่อโจมตีศัตรูจนล้ม (สังเกตได้จากหลอดสีส้มๆ ใต้หลอดเลือด) จะทำให้ศัตรูติดสถานะ Stagger ส่งผลให้โดนความเสียหายแรงขึ้น ซึ่งการเล่นในส่วนหลังๆ น่าจะมีความสำคัญขึ้นมา แต่ในเดโมที่ผู้เขียนเล่นยังไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่นัก [caption id="attachment_28617" align="aligncenter" width="1024"] ท่า Triple Slash สุดคลาสสิค[/caption] ส่วนเดียวของเดโมที่ทำให้ผู้เขียนต้องใช้การวางแผนซักหน่อยก็คือส่วนของบอสหุ่นยนต์แมลงป่องช่วงท้ายเดโม ที่จะคอยยิงจรวดติดตามใส่เราตลอดเวลาทำให้ต้องคอยหยุดโจมตีและหันมาป้องกันหรือกลิ้งหลบบ้าง และยังสามารถเปิดเกราะบาเรียที่ต้องใช้เวทย์สายฟ้า Thunder ของ Barret ใส่เพื่อลบออกก่อนจะโจมตีได้ แถมพอเลือดเหลือน้อยยังสามารถยิงปืนใหญ่เลเซอร์ใส่เราได้อีก ทำให้ผู้เล่นต้องวิ่งไปหลบหลังสิ่งกีดขวางตามฉากเพื่อไม่ให้โดนเลเซอร์ ซึ่งในจุดนี้ก็ทำให้เห็นภาพมากขึ้นว่าระบบต่อสู้ของเกมจะท้าทายผู้เล่นอย่างไรบ้าง [caption id="attachment_28618" align="aligncenter" width="768"] ลุง Barret หล่อกว่าเดิมเยอะเลย[/caption] อีกหนึ่งองค์ประกอบของระบบต่อสู้ที่น่าพูดถึงคือระบบ Tactical Mode ที่จะชะลอการเคลื่อนไหวทั้งหมดในจอเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเลือกใช้ไอเทม สกิล หรือกระทั่งท่าสุดยอดอย่าง Limit Break จากเมนูเหมือนเกม RPG ทั่วไปได้ และสามารถใช้สั่งเพื่อนร่วมทีม A.I. ให้ทำนู่นทำนี่ได้ด้วย (ลองนึกภาพเกมเพลย์ของ Dragon Age: Inquisition แต่ไม่ลึกเท่า) ซึ่งในจุดนี้ผู้เขียนยังไม่รู้สึกถึงความจำเป็นในการใช้ระบบนี้เท่าไหร่นักในเดโมเพราะทุกอย่างรวมถึงบอสสามารถรับมือได้ด้วยการโจมตีธรรมดาๆ หรือการใช้ปุ่มลัดโดยการกด L1 ค้างและกดปุ่มสัญลักษณ์เพื่อใช้สกิลเหมือนเกมแอคชั่น แต่ก็พอจินตนาการได้ว่าถ้าเริ่มเจอศัตรูระดับสูงที่มีจุดอ่อนที่ซับซ้อนกว่านี้ ก็อาจจะกลายเป็นระบบที่จำเป็นมากก็ได้เช่นกัน [caption id="attachment_28619" align="aligncenter" width="768"] เมื่อเข้า Tactical Mode จะทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง และจะมีเมนูขึ้นมาตรงมุมซ้ายล่าง[/caption] ต้องยอมรับตรงๆ ว่าผู้เขียนไม่ใช่คนที่ตื่นเต้นกับเกม Final Fantasy VII Remake มากเท่ากับคนอื่นๆ ที่เป็นแฟนตัวยงของเกม แต่เสี้ยวเดโมที่ได้เล่นก็สนุกและน่าสนใจมากพอที่จะทำให้ผู้เขียนอยากจะเล่นและสำรวจเกมๆ นี้ต่อไปอีกยาวๆ เลยทีเดียว Final Fantasy VII Remake มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 3 มีนาคม 2020 สำหรับเครื่อง PS4 โดยเฉพาะ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
13 Sep 2019
ความรู้สึกหลังได้ลองเล่นเดโม FIFA 20
เผยเดโมออกมาให้เราได้เล่นกันแล้วสำหรับ FIFA 20 เกมฟุตบอลจากทาง EA ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งในภาคนี้ทางผู้พัฒนาเองก็ได้ปรับเปลี่ยนระบบใหม่ๆ เข้ามามากมาย และพิเศษสุดน่าจะเป็นเรื่องของโหมดใหม่อย่าง Volta Football ที่เราจะได้ย้อนกลับไปเล่นฟุตบอลสตรีทอีกครั้ง ซึ่งพวกเรา GameFever TH ได้ไปลองมาแล้วครับและมาเล่าถึงความรู้สึกให้ท่านได้ชมกัน เกมเพลย์หลัก ในเกม FIFA 20 เองก็ยังใช้หน้า Interface หรือสไตล์ต่างๆ คล้ายกับภาค FIFA 19 อยู่เกือบหมดเลย (แอบผิดหวังเล็กๆ ) แต่จากที่ได้ลองเล่นมาก็ต้องบอกเลยว่าสปีดความเร็วของภาคนี้จะมีความช้ากว่าภาคที่แล้วอยู่หน่อยๆ แอนิเมชั่นตัวละครจะมีท่วงท่าที่เยอะและช้ากว่า และมันทำให้ส่วนตัวพอจะจับทางได้เลยว่าซีรีส์นี้ ถ้าหากลงท้ายด้วยเลขคี่ตัวเกมเพลย์จะมีความรวดเร็วหน่อย แต่ถ้าลงท้ายด้วยเลขคู่ก็จะช้าๆ หน่อย ซึ่งพูดตามตรงว่าสนุกทั้งคู่เลย แต่ใครที่เล่นภาคเก่ามาก็อาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย กราฟิกของเกมนี้ในด้านรายละเอียดสนามเองมีความรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากภาคเก่าเลยซักนิด แต่ที่เปลี่ยนไปมากคือโมเดลของตัวละครที่จะมีความสมจริงขึ้นเยอะ แอนิเมชั่นต่างๆ มีความเป็นคนจริงๆ มากกว่าภาคไหนๆ เลยทีเดียว ซึ่งมันมีเสน่ห์มากๆ เพราะส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าไม่ค่อยชอบโมเดลตัวละครในภาค FIFA 19 ซักเท่าไร Volta Football กติกาของเกมนี้จะมีมีเวลาครึ่งละ 3 นาที แต่ใครที่สามารถยิงได้ 4 ลูกก่อนจะเป็นผู้ชนะ ในเดโมจะเปิดให้เล่นเพียงแค่ 3v3 เท่านั้น ตัวเกมจะเป็นเกมแนวสตรีทโดยแท้ การบังคับเหมือนกับเกมเพลย์หลักทุกอย่าง เพียงแต่ว่าตัวเกมจะไม่มีบอลออกขอบสนามเพราะมีกำแพงกั้นไว้ ซึ่งเราสามารถยิงให้เด้งกลับมาหาเราได้ แต่ตัวเกมก็ยังมีระบบฟาล์วถ้าหากว่าสะกัดไม่ดี หรือถ้ายิงสูงเหนือออกกำแพงไป ความสนุกของเกมนี้เป็นเพราะตัวเกมจะใช้โกล์รูหนูมาทำให้เราจะต้องเล็งยิงให้ดีถึงจะเข้า ซึ่งมันเลยมีความท้าทายและยิงกันยากพอสมควร จึงทำให้ประตูเพียงแค่ 4 ลูกจบนี่กำลังดีเลยนะ [caption id="attachment_28592" align="aligncenter" width="1024"] การยิงจะเล็งยากหน่อยเพราะเป็นโกล์รูหนู[/caption] แต่ถ้าใครที่คาดหวังว่า Volta Football จะมีความคล้ายคลึงกับ FIFA Street ที่เคยออกมาในสมัย PS2 ผมก็อยากให้ท่านคิดใหม่ครับ เพราะตัวเกมยังคงความสมจริงและไม่ได้มีการเล่นท่าทางแบบแฟนตาซีขนาดนั้น การเล่นท่าต่างๆ ท่านเองก็จะต้องกดเหมือนกับในเกมเพลย์หลักนั่นแหละ แต่แอนิเมชั่นของตัวละครก็อาจจะมีเล่นท่าแปลกๆ อยู่บ้างถ้าหากเรากดส่งหรือกดโยนบ้าง จากที่เพียงแค่ได้ลองเดโม บอกเลยว่าส่วนตัวชอบมาก ตัวเกมมีความสมจริงในเรื่องโมเดลแอนิเมชั่นของตัวละครมากพอสมควร เล่นแล้วได้ฟิลที่ดีมากๆ ส่วน Volta Football รู้สึกก็ผิดคาดจากที่หวังไว้หน่อยๆ เพราะอยากให้มันมีการเล่นท่าทางที่ง่ายกว่านี้หน่อย อยากให้มันแฟนตาซีกว่านี้หน่อย แต่ถามว่าเกมมันก็ยังสนุกอยู่ดีนะ อันนี้เพียงแค่จริตส่วนตัวเท่านั้น ภาคนี้บอกตามตรงว่าเป็นเกมที่ทุกท่านห้ามพลาด เพราะนอกจากระบบที่พูดไปในเดโมแล้วนั้น Career Mode เองก็ได้ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น หลังจากที่ซ้ำๆ ซากๆ มาหลายปีแล้ว ใครสนใจ FIFA 20 มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 27 กันยายน 2019 บนเครื่อง PC, PS4, Xbox One และ Nintendo Switch เข้าสู่ร้านค้าเกมนี้ LINK 
13 Sep 2019
รีวิว Control เกม Action ไซไฟพลังจิต กับเนื้อเรื่องที่ติสแตก
ออกมาแล้วหลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปีกับค่ายเกมชื่อกระฉ่อนอย่าง Remedy Entertainment ค่ายที่เคยฝากฝังเกมชื่อมาแล้วอย่าง Max Payne 1 - 2, Alan Wake และ Quantum Break โดยครั้งนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับเกมใหม่ Control ภายใต้ผู้จัดจำหน่ายรายใหม่อย่าง 505 Games หลังจากที่จากลากับทาง Microsoft ไป ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ในทุกท่านได้ทราบกันครับว่า Control จะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมรุ่นพี่ที่เคยออกมาได้หรือไม่ ? เนื้อเรื่อง Control จะเล่าเรื่องราวของสาวแกร่งคนหนึ่งนามว่า Jesse Faden ที่ได้รับตำแหน่งให้มาเป็น Director ขององค์กร Federal Bureau of Control (FBC) หน่วยงานลับของรัฐบาลที่คอยจัดการเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่บังเอิญภายในหน่วยงานนี้เองก็ถูกศัตรูลึกลับนามว่า The Hiss เข้าโจมตีในอาคาร จึงทำให้วันแรกที่ทำงานเรานั้นจะต้องแก้ไขสถานการณ์เพื่อฟื้นฟูองค์กรให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง, หาสาเหตุปริศนาของพลังเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น รวมถึงเสาะหาน้องชายของเขาที่สมัยเด็กได้ถูกพาเข้ามาในนี้แล้วหายตัวไป โดยสไตล์การเล่าเรื่องของเกมนี้ก็ต้องบอกเลยว่ามันมีความแปลกใหม่ในการนำเสนอมากๆ ตัวเนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน รวมถึงในช่วงเริ่มต้นเองเราอาจจะยังไม่สามารถจับต้นชนปลายถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องหาตามหาอ่านเรื่องราวตามเอกสาร รวมถึงภายในเรื่องถ้าเล่นไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ เผยรายละเอียดทีละนิด โดยในช่วงแรกๆ ตัวเกมมีปริศนาเยอะมาก เนื่องจากการเล่าเรื่องที่ต้องใช้การตีความ มีกลิ่นอายในความติสแตกเหมือนหนังของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนยุคแรกๆ ยังไงอย่างงั้น แต่ข้อดีคือพอถึงบทสรุปตัวเกมก็เฉลยปมต่างๆ ได้และเคลียดี แต่ข้อเสียของการดำเนินเรื่องแนวนี้คือ ถ้าคนที่ชอบก็คือชอบไปเลย แต่ถ้าคนไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลย เพราะการเล่าเรื่องมันไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่กินง่ายเหมือนเกมอื่น ยิ่งตัวเกมเป็นแนวไซ-ไฟ ที่จะมีศัพท์เทคนิคเข้าใจยากอยู่แล้ว ไหนจะมีปมต่างๆ อีกหลายทบ ไอ้ความติสนี่แหละมันทำให้บางครั้งเราอาจจะตามเนื้อเรื่องไม่ทัน ผิดกับเกมก่อนหน้าอย่าง Quantum Break ที่ต่อให้เป็นแนวไซ-ไฟเหมือนกัน มีศัพท์เทคนิคคล้ายกัน แต่ตัวเนื้อเรื่องเองก็ดำเนินได้ไม่ซับซ้อน มีความซื่อตรงกว่าทำให้เข้าใจง่ายมากกว่า กราฟิก กราฟิกของ Control นั้นต้องชมในเรื่องของแสงเงาที่ผู้พัฒนาใส่ใจรายละเอียดตรงนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากในเวอร์ชั่น PC ของเกมนี้รองรับระบบ Ray Tracing อีกด้วย ตัวกราฟิกเอกก็สวยตามยุคสมัย แต่ธีมของเกมนี้จะเน้นความลึกลับมากกว่าหลายๆ เกม มันจะมีกลิ่นอายความเป็น Psycho อยู่หน่อยๆ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ไม่เลวเลย แต่สิ่งที่รู้สึกผิดหวังก็อาจจะเป็นโมเดลของตัวละครที่รู้สึกว่าจะดรอปกว่าเกมก่อนหน้าอย่าง Quantum Break เป็นอย่างมาก มีความรู้สึกว่าคุณภาพของ Motion Capture ของ Control จะดูด้อยกว่าหน่อยๆ รวมถึงฉากคัทซีนต่างๆ ของเกมนี้ก็จะดูน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และจะเน้นเพียงแค่การที่ NPC ยืนคุยกับเราง่อยๆ เท่านั้น ซึ่งเดาได้ว่างบในการสร้างอาจจะไม่เยอะเท่ากับ Quantum Break ก็เป็นได้เพราะ Microsoft น่าจะมีทุนที่เยอะกว่า 505 Games รวมถึงสิ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือ Performance ของเกมทำออกมาได้ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไร ในเวอร์ชั่น PC เพราะคอมพิวเตอร์ที่ผู้เขียนเล่นนั้นก็แรงในระดับหนึ่ง i7 Gen 8 + 1070 แต่จะต้องปรับ Low หรือเรนเดอร์โมเดลให้ถึง 1080p ไม่ค่อยจะได้ เพราะมันจะเกิดอาการหน่วงๆ เฟรมดรอปลงมาจนน่ารำคาญหลายครั้ง เกมเพลย์ ตัวเกมเพลย์ของ Control เองก็ต้องบอกเลยว่ามันก็จะยังคงความเป็นเกมค่าย Remedy อยู่ ที่จะเป็นเกมแนวเดินหน้ายิง บวกกับความสามารถของตัวละครต่างๆ ที่จะมาช่วยเพิ่มความสนุกให้มากยิ่งขึ้น แต่ความสามารถของตัวละครเอกก็จะแตกต่างตามธีมของเกมไป ซึ่งเกมนี้มีธีมเกี่ยวกับปรากฏการลึกลับเหนือธรรมชาติ มีความเป็นไซ-ไฟบวกอารมณ์ผีสางอยู่หน่อยๆ จึงทำให้ Jesse มีความสามารถในการใช้พลังจิตเป็นหลัก สามารถลอยขึ้นไปในอากาศได้อย่างอิสระ มีพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุเพื่อใช้โจมตีศัตรูต่างๆ นาๆ ปืนที่เราใช้ก็จะเป็น Service Weapon ปืนมีชีวิตที่จะ Reload กระสุนให้เอง ซึ่งเราสามารถเก็บวัตถุดิบต่างๆ เพื่อหาของมาอัพเกรดเปลี่ยนสไตล์ของปืนได้ให้เป็นปืนกล หรือปืนชาร์จยิงบลาๆ รวมถึงเรายังสามารถที่ใส่ MOD เพื่อเพิ่ม Passive ให้กับปืนของเราได้อีกด้วย แต่วัตถุดิบที่มีให้ไม่เยอะ เราก็อาจจะเลือกใช้และเลือกอัพเกรดว่าเราอยากจะเล่นสไตล์ไหน เพราะว่าต่อให้ปืนมีรูปแบบเยอะยังไง เราก็ใส่ได้เพียงแค่ 2 แบบ สไตล์เพลย์เกมนี้จะมีความ Run and Gun มากพอสมควร ที่จะทำให้สปีดของเกมมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และจุดเด่นของ Control ที่ไม่เหมือนเกมอื่นๆ ก็น่าจะเป็นความยากของเกมที่ศัตรูมีความโหดเหียมกว่าหลายๆ เกมที่ผ่านมา ความยากระดับพอๆ กับเกม Max Payne เลยก็ว่าได้ ที่เราอาจจะโดนศัตรูยิงไม่กี่ทีก็ลงไปกอง รวมถึงเหล่าศัตรูเองก็ไม่ได้อยู่เพียงแค่ภาคพื้นดิน มันจะมีบางตัวที่ลอยได้วนเวียนไล่ฆ่าเราทุกทิศทาง ถึงอย่างนั้นใช่ว่าตัวเกมจะไม่มีข้อเสีย เพราะต่อให้เกมนี้จะมีระบบความสามารถที่แปลกใหม่ให้เราได้เล่น แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกตัวผู้เขียนกลับคิดว่ามันมีความหลากหลาย และความว้าวน้อยกว่าเกมก่อนหน้า Quantum Break อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าเกมนี้จะมีจุดเด่นในเรื่องของการเปลี่ยนสไตล์ปืนหรือการใส่ Passive ถึงอย่างนั้นแรงจูงใจของมันก็ไม่เร้าใจพอ เพราะว่าสิ่งที่มันจะมาเพิ่มความว้าวของเราก็คือสกิลใหม่ๆ ที่ได้ลองเล่น และมีผลต่อเกมการต่อสู้มากๆ ซึ่งเกมนี้ต่อให้มีสกิลใหม่ๆ มันก็เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบในการผ่านด่านแต่นั้น อย่างเช่นระบบการบินที่เราไม่สามารถจะไปบินยิงซึ่งๆ หน้ากับศัตรูได้เลย เพราะดาเมจที่ได้รับมันหนักหนาเกินไป ผิดกับ Quantum Break ที่จะมีสกิลสโลว์เวลาให้เราวิ่งเข้าถึงศัตรูอย่างรวดเร็วและ Takedown ศัตรูเป็นต้น พร้อมทั้งการโจมตีบางอย่างมันก็จะดู Over Power เกินไปหน่อย อย่างสกิลพลังจิตที่เราจะสามารถยกของไปโจมตีศัตรูได้ ซึ่งแรกๆ มันก็ท้าทายเพราะสกิลเราไม่แรงเท่าไร แต่พออัพเกรดไประดับสูง ตัว Service Weapon ก็กลายเป็นอาวุธรองไปเลย เพราะเราสามารถใช้พลังจิตโจมตีศัตรูไม่กี่ทีก็ลงไปนอนแล้ว ตัวปืนเป็นส่วนประกอบที่จะทำเพียงแค่ลดดาเมจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อรอคูลดาวน์พลังจิตเท่านั้น สรุป Control ก็ยังเป็นเกมที่มีสูตรสำเร็จและแนวเกมที่ถนัดของค่าย Remedy เช่นเดิม แต่ก็ปรับเปลี่ยนในเรื่องของธีมเกมและการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเสนอการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนขึ้นไปอีก เหมาะสำหรับคนที่ชอบเนื้อเรื่องที่ต้องใช้การตีความต่างๆ นาๆ มีปริศนาและปมให้เราติดตาม และมาตบเนื้อเรื่องสุดเซอร์ไพร์สในตอนท้าย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนดาบสองคมที่ตัวเกมอาจจะต้องใช้ความสามารถในการอ่านและตีความเยอะๆ เพื่อที่จะได้ตามและเข้าใจในการนำเสนอของเกมที่มีการเล่าเรื่องแบบติสๆ งานอาร์ทเยอะๆ แบบนี้ ส่วนในเรื่องของเกมเพลย์ก็ยังทำออกมาได้ดีถ้าหากใครที่ไม่คิดมากในเรื่องนีก็อาจจะเล่นได้เพลินจนจบเกม แต่เสียดายที่ส่วนตัวอยากให้เกมมีความหลากหลายมากกว่านี้ รวมถึงตัวเกมมีการลดสเกลการสร้างในหลายๆ ส่วน (หรืออาจจะเป็นการจงใจก็ได้)  จึงทำให้เกมนี้อาจจะมีติดๆ ขัดๆ ในเรื่องความคิดสำหรับผู้เขียนที่เล่นเกมของค่ายนี้เป็นประจำ และเกม Quantum Break ทำเอาไว้ดีมาก แต่ Control ยังไม่สามารถที่จะก้าวผ่านความยอดเยี่ยมนี้ไปได้ซักเท่าไร อาจจะเป็นในเรื่องปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่เอื้ออำนวยก็เป็นได้   แต่ถามว่ามันแย่ขนาดนั้นไหมก็ไม่ใช่ เพราะยังไงนี่มันก็เป็นเกมที่ดีและอยู๋ในเกณฑ์ของความสนุกเหมือนเดิม ยังสามารถเล่นได้เพลินๆ และติดพันกับมันจนจบเกมได้อย่างสบายๆ เหมาะสมกับราคาของเกมที่สบายประเป๋า ที่ตัวเกมวางจำหน่ายเพียงแค่ 699 บาทเท่านั้น ซึ่งคุณจะสามารถเต็มอิ่มกับเกมได้มากกว่า 8-10 ชั่วโมง อย่างสบายๆ [penci_review id="27913"]
05 Sep 2019
รีวิว The Dark Pictures : Man of Medan ตะลุยเรือผีสิงจากยุคสงคราม
แนวเกม Horror,Choices Matter ผู้พัฒนา Supermassive Games ผู้จัดจำหน่าย BANDAI NAMCO Entertainment เวลาเล่น : ประมาณ 4-6 ชั่วโมง แพลตฟอร์ม Microsoft Windows, PlayStation 4, Xbox One The Dark Pictures เป็นซีรีส์เกมที่จะเล่าถึงเรื่องราวสยองขวัญต่างๆ ในรูปแบบของเกม Choices Matter ทั้งยังเป็นผลงานจากผู้สร้างเกม Until Dawn ชื่อดังอีกด้วย เพลเยอร์สามารถเลือกการกระทำหรือคำพูดของตัวละครภายในตัวเลือกที่มีให้ได้อย่างอิสระ การเลือกของเพลเยอร์จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องโดยตรง ทำให้เกิดฉากจบที่มีมากกว่าหลายสิบแบบ เรื่องแรกที่ออกมาในซีรีส์นี้ก็คือ Man of Medan ที่เป็นเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ดันจับพลัดจับผลูไปขึ้นเรือร้างจากสมัยสงครามโลก แต่เหมือนว่าเรือลำนี้จะไม่ใช่แค่เรือร้างธรรมดาซะนี่ ◊ เนื้อเรื่อง ◊ Man of Medan คือเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่น 5 คนไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดโดยเลือกที่จะไปดำน้ำในพิกัดที่ Brad คนในกลุ่มแนะนำมา ระหว่างที่ดำน้ำอยู่ก็ไปเจอกับเครื่องบินจากสมัยสงครามโลกอับปางอยู่ก้นทะเล แต่แล้วเหตุการไม่คาดฝันต่างๆ ก็เกิดขึ้นจนทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ต้องขึ้นไปสำรวจเรือร้างจากสมัยสงครามโลก เนื้อเรื่องของเกมจะมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก ประหนึ่งดูหนังยาวอยู่เลยก็ว่าได้ โดยการเล่าเรื่องจะเริ่มเล่าในมุมมองของตัวละครต่างๆ ที่เจอเหตุการต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน เราจะได้สัมผัสถึงอารมณ์, ความหวาดระแวง, ความกลัว ของแต่ละคนอย่างใกล้ชิดทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องของเกมเป็นอย่างมาก พอเล่นไปได้สักพักมันก็เกิดความรู้สึกว่า "แล้วบทสรุปของเกมจะเป็นยังไง ใครจะรอด ใครจะตายบ้าง?" มันกลายเป็นความรู้สึกอยากเล่น อยากเห็นบทสรุปของเกม รู้ตัวอีกทีก็ 4ชม. ผ่านไปแล้ว เรียกได้ว่าทำให้เรารู้สึกอยากติดตามอยู่แทบจะตลอดเวลาเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เป็นเกมแนวดำเนินเนื้อเรื่องเพียงอย่างเดียวทำให้แทบจะไม่มีฉากแอคชั่นให้ได้เล่นหรือลุ้นเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าเป็นเพลเยอร์ที่เล่นเกมสายแอคชั่นจัดๆมาโดยตลอด เกมนี้อาจจะไม่ถูกใจคุณ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาเกม Horror ที่เราสามารถเลือกการกระทำและอยากเห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำต่างๆ ที่เราได้เลือกระหว่างเล่นเกมแล้วละก็ เกมนี้อาจจะตอบโจทย์มากกว่าที่คุณคิดลองไปหาเล่นดูครับ สุดท้ายในด้านของตัวละคร บอกตรงๆ ว่า ห่วยแตกมาก ทำออกมาสร้าง Impact ได้น้อยสุดๆ ไม่ค่อยมีความรู้สึกอยากจะให้ตัวนี้รอดหรือตัวนั้นตายเท่าไหร่เลย คือเนื้อเรื่องมันดีนะแต่มาตกม้าตายตรงสร้างตัวละครออกมาไม่น่าจดจำเนี่ยแหละ ในขณะที่เกม Until Dawn ที่ออกมาก่อนกลับทำได้ดีกว่า จึงเป็นจุดที่รู้สึกผิดหวังมากของเกมนี้ ◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊ เพราะเกมถูกออกแบบมาให้เล่นเป็นสไตล์เหมือนดูหนัง ทำให้เราควรจะสามารถรับชมเนื้อเรื่องของเกมนี้ไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันควรจะเป็นจุดแข็งของเกมนี้ แต่ทางด้าน Cut Scene ของเกมนี้กลับมีความกระโดดจากฉากที่เราเล่นอยู่หรือ Cut Scene อันก่อนหน้าในบางครั้ง จนทำให้เกิดความงงกับเหตุการที่เกิดขึ้น เช่นเดินผ่านห้องนี้ไปแล้ว อยู่ดีๆภาพก็กระโดดกลับมาห้องเดิมเฉยเลยหรือ Cut Scene ที่ตัวละครกำลังยกแขนอยู่ แต่พอขึ้น Scene ต่อมาตัวละครกลับเอาแขนลงเรียบร้อยแล้ว ความกระโดดนี้ทำให้อ่านเนื้อเรื่องกำลังอินๆอยู่เจอภาพวาปเข้าไป ก็รุ้สึกหงุดหงิดสุดๆด้วยเหมือนกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "ทำไมถึงไม่เก็บรายละเอียดให้ดีกว่านี้" หรือ "แล้วมันมาอยู่ที่นี้ได้ไงอะ?" เกมที่เน้นไปที่เนื้อเรื่องกลับทำ Cut Scene มาให้ไม่สามารถปะติดปะต่อเนื้อเรื่องได้ คิดยังไงก็เป็นจุดที่แย่ของเกมนี้ตามความรู้สึกของเรา   (2 รูปข้างบนเป็น Cut scene ต่อกันที่ภาพกระโดด) ในส่วนของบรรยากาศของเกมถือว่าทำออกมาได้หลอนมากๆ คือใช้ความมืดภายในเกมได้ดีมากในส่วนของมุมกล้องก็สามารถช่วยสร้างบรรยากาศออกมาได้เป็นอย่างดี ด้านของกราฟิกถือว่าทำกราฟิกในช่วงต่างๆของเกมออกมาได้ดี พอเอาสองเรื่องนี้มารวมกัน เกมนี้ก็เลยสร้างความน่ากลัวออกมาได้ดีมาก เล่นแล้วจะรู้สึกหวาดระแวงตลอดเวลา กลัวแทบทุกอย่างในฉากเลยก็ว่าได้ ถือว่าประสบความสําเร็จในฐานะเกม Horror แล้วนั้นเอง ทางด้านของ UI ก็สามารถออกแบบได้แปลกใหม่และมีความเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ภายในเกมกลับมีการใช้ Jump Scare ที่เรามองว่าเยอะเกินความจำเป็น คือเยอะมากๆ มาแทบจะทุกๆ 10 นาที พอโดนบ่อยๆมันไม่ได้รู้สึกกลัวแต่เป็นรู้สึกรำคาญมากกว่า แค่บรรยากาศมันดีอยู่แล้วแต่ Jump Scare ที่มีเยอะเกินไปเนี่ยแหละทำให้เกมมันสนุกน้อยลง ◊ เกมเพลย์ ◊ เราจะได้เล่นผ่านมุมมองของตัวละครหลักทั้ง 5 ตัว โดยเราจะสามารถเลือกการกระทำหรือคำพูดในเหตุการต่างๆได้อย่างอิสระเหมือน Until Dawn ทุกๆการเลือกของเราจะส่งผลถึงอารมและความความสัมพันธ์ของตัวละครอื่นๆด้วย ทุกอย่างจะส่งผลถึงฉากจบโดยตรง นั้นทำให้ทุกครั้งเราต้องมานั่งเดาว่าถ้าเลือกทางนี้จะดีรึเปล่า,หรือถ้าไม่เลือกเลยจะดีกว่า? เราจะตั้งคำถามกับทุกการกระทำในทุกเหตุการระหว่างเล่น ส่งผลให้เราใช้สมาธิกับเกมเยอะมากๆ รู้ตัวอีกที่ก็รู้สนุกที่จะได้รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าจะออกมาดีหรือจะออกมาร้าย ทำให้เกมนี้มีความสนุกในแบบของตัวเองไปในตัว ภายในเกมยังมีรูปภาพปริศนาถูกแขวนไว้จุดต่างๆ ถ้าหากเข้าไปกดสำรวจรูปภาพเหล่านี้เราจะได้เห็นภาพนิมิตที่เป็นเหมือนคำใบ้ให้เราสามารถดำเนินไปถึงฉากจบที่ดีที่สุดได้ หรือเป็นคำใบ้ถึงเหตุการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เป็นกิมมิคเล็กๆ ที่จะทำให้เราอยากจะเดินไปสำรวจแทบทุกจุดในเกมและกลายเป็นความสนุกอย่างหนึ่งกับการตามหารูปภาพพวกนี้ไปด้วย ภายในเกมยังมีระบบ Quick Time Events ที่ออกมาให้กดเป็นช่วงๆตลอดเกม ถ้าหากกดไม่ทันก็จะส่งผลถึงเนื้อเรื่องของเกมด้วยเหมือนกัน จุดนี้เป็นจุดที่ทำออกมาแก้ความง่วงในเวลาเล่นได้ดีมาก เพราะเราจำเป็นต้องตื่นตัวตลอดเวลามันมักจะมาโดยไม่รู้ตัว แล้วถ้ากด Quick Time Events พลาดผลลัพธ์ก็จะส่งผลถึงเนื่อเรื้องด้วยเหมือนกัน บางครั้งพลาดโง่ๆทีเดียว ก็ทำให้ตัวละครตายไปเลยได้เหมือนกัน ต้องระวังกันไว้ให้ดีนะครับ ◊ สรุป ◊ Man of Medan เป็นเกม Horror แบบ Choices Matter ที่สามารถสร้างบรรยากาศให้รู้สึกหลอนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังนำเสนอมุมมองในด้านของตัวละครอื่นๆได้ดี มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม ผลของการกระทำที่ออกมาเป็นฉากจบที่หลากหลายจนไม่สามารถคาดเดาได้ ทั้งหมดนี้คือข้อดีที่ทำให้เกมนี้น่าเล่น แต่ในทางกลับกัน ตัวละครกลับถูกสร้างออกมาได้ไม่น่าดึงดูดจนทำให้เราไม่มีความรู้สึกรักหรือเกลียดตัวละครไหนเลย (กระทั้งตัวร้ายที่ควรจะเกลียดยังรู้สึกเฉยๆ) การใช้ Jump Scare ที่เยอะมากจนเกินไปทำให้เกมมันออกน่าเบื่อมากกว่าน่ากลัว ทั้งยังทำ Cut Scene ในบ้างฉากได้ไม่มีความต่อเนื้อง เล่นแล้วบ้างครั้งก็งงว่า"มาอยู่ที่นี้ได้ยังไง"หรือ"มันมาอยู่ตรงนี้ตอนไหนวะ"บ่อยๆ โดยรวมแล้วเกมนี้อยู่ในระดับกลางๆ จุดที่สนุกก็มี จุดที่แย่เองก็เยอะ เกมนี้เราจึงให้คะแนนเพียง 6 เต็ม 10 เท่านั้น ถ้าให้พูดตรงๆแล้วคิดว่า Until Dawn ทำออกมาได้ดีดว่าด้วยซ้ำ หวังว่าเนื้อเรื่องต่อไป Little Hope ที่จะออกปีหน้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น [penci_review id="27627"]  
03 Sep 2019
รีวิว Remnant: From the Ashes นี่มันเกม Dark Souls ฉบับยิงปืนชัดๆ !!
เดี๋ยวนี้กระแสเกมแนว Dark Souls เองก็กำลังเป็นที่นิยมมากๆ กับเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงมหากาฬความยากที่เหล่าศัตรูนั้นสามารถฆ่าเราด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ที แต่ถึงอย่างนั้นเกมแนวนี้มันได้มอบความท้าทายของเกมที่หาได้ยากกว่าเกมแนวอื่นๆ ตัวเกมเหมาะสำหรับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่มีสกิลเพลย์สูงๆ ปัจจุบันนี้มันก็มีหลายเกมนะครับ ที่นำเอาระบบของเกมแนวนี้มาใช้เป็นแรงบันดาลใจ เอามาต่อให้ยอดเป็นรูปแบบเกมเพลย์ของตัวเอง อย่างเช่นเกม God of War (2018) ก็ได้นำระบบแนวนี้มาพัฒนาต่อบวกกับเนื้อเรื่องต่างๆ นาๆ ทำให้เกมนี้ได้รับรางวัล Game of the Years ปี 2019 ภายในงาน The Game Awards เลยทีเดียว และ Remnant: From the Ashes เองก็เป็นหนึ่งในเกมที่เอาระบบนี้มาต่อยอดเช่นกัน และได้ทำการดัดแปลงแนวการเล่นจากที่ส่วนใหญ่มักจะใช้อาวุธระยะประชิด ให้กลายมาเป็นการใช้ปืนแทน จากฝีมือผู้พัฒนาที่เคยสร้างเกมดังมาแล้วอย่าง Darksider II และ Darksider III พร้อมกับใส่ความเป็นเกมแนว RPG เข้ามาให้เกมดูแปลกใหม่มากขึ้น ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ชมกันครับว่า มันจะสามารถเข้ามาสู้กับเกมรุ่นพี่อื่นๆ ที่เป็นเกมแนวคล้ายกันได้หรือไม่ ? เนื้อเรื่อง ตัวเกมจะเซ็ตอยู่ในหลังการล่มสลายของโลก ด้วยการบุกรุกของเหล่าอสูรกายในตำนาน โดยเราจะได้รับบทเป็นนักผจญภัย (สร้างตัวละครได้ทั้งชายและหญิง) ที่เราจะต้องหาทางหยุดยั้งหายนะครั้งนี้ แต่เส้นทางของเราบังเอิญได้ไปจับพลัดจับผลูพบกับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บน Ward 13 ที่จะมีผลึก Red Eyes ทำให้เราสามารถวาร์ปไปยังดินแดนต่างๆ ได้อย่างอิสระ รวมถึงเรายังจะได้เสาะหาการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้ก่อตั้ง Ward 13 อีกด้วย โดยเนื้อเรื่องต่างๆ ของเกมนั้นก็จะมีคำตอบให้เราเลือก ซึ่งแต่ละคำตอบเราก็จะได้รับผลลัพธิ์ที่แตกต่างกัน หรือได้รับของรางวัลที่แตกต่างกันบ้าง แต่จากที่ได้ลองเล่นมาก็ต้องบอกเลยว่าตัวเนื้อเรื่องนั้นมันเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบที่ทำให้เรามีเหตุผลต่างๆ นาๆ ไปไล่ฆ่ามอนสเตอร์นั่นแหละ ตัวเนื้อเรื่องอาจจะดูน่าสนใจบ้างถ้ายิ่งเราเล่นไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ขนาดที่ว่าจะดึงอารมณ์ให้พาเราเข้าไปอินขนาดนั้น และถ้าเอาเนื้อเรื่องมาต่อๆ กันมันก็ดูค่อนข้างเนือยๆ พอสมควรเลยทีเดียว เพราะจุดเด่นของเกมนี้มันอยู่ที่เกมเพลย์เสียมากกว่า กราฟิก กราฟิกของเกมนี้ได้ใช้ Unreal Engine ในการพัฒนา ที่เราเองก็น่าจะรู้ถึงความสวยงามของมันดี แต่ก็ต้องบอกว่ารายละเอียดต่างๆ ของเกมก็อาจจะไม่ได้เทียบเท่าขนาดเกมระดับ AAA ซักเท่าไร แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะกราฟิกมันก็ไม่ใช่ทุกอย่าง รวมถึงงบในการสร้างเกมนี้ก็อาจจะไม่ได้เวอร์วังอลังการขนาดนั้น แต่สิ่งที่ต้องชมคือ Performance ของเกมทำได้ลื่นไหลเป็นอย่างมาก ปัญหาต่างๆ ในเรื่องกราฟิกหรือเกมค้างเกมหลุดเองไม่พบเจอให้เห็นซักครั้ง ตัวเกมสามารถปรับแต่งอะไรต่างๆ ได้เยอะ ใครที่คอมแรงก็จัดกราฟิกสูงๆ ไป คุณก็จะได้ภาพที่สวยสดงดงาม แต่ถ้าใครคอมไม่แรงก็อาจจะปรับภาพลงมา ถึงแม้กราฟิกอาจจะดูต่างกันอย่างชัดเจน แต่มันจะแลกมาด้วยเฟรมเรทที่ได้เยอะขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่า แสดงว่าเกมนี้คอมที่ไม่แรงก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา รวมถึงแผนที่ด่านต่างๆ ของเกมนี้ก็เป็นกึ่งๆ Openworld ซึ่งมันก็เลยทำให้เกมไม่กินแรง CPU เราเท่ากับเกมอื่นๆ แต่ขอเสียก็เห็นบ้างอย่างเช่นบัคประปรายของแอนิเมชั่นตัวละครหรือเควสต่างๆ โดยส่วนตัวบัคที่เคยพบเจอก็คือชื่อเควสใหม่ไม่เด้ง หรือบัคศัตรูบอสติดและเรายิงฟรี แต่ถึงอย่างนั้นในวันที่เขียนรีวิวเหมือนผู้พัฒนาจะแก้บัคไปเยอะแล้ว หลังๆ ไม่เห็นเลย เกมเพลย์ อย่างที่บอกว่า Remnant: From the Ashes เป็นเกมแนว Souls ในแบบฉบับการยิงปืน แต่ถ้าใครที่เคยเล่นเกมแนวนี้มาก่อน เกมส่วนใหญ่มันจะเป็นเกมที่ใช้อาวุธระยะประชิด ทำให้ความยากของมันอยู่ที่เราจะต้องเข้าไปใกล้ศัตรูเพื่อโจมตี แต่ส่วนของเกมนี้อาวุธต่างๆ ที่ใช้โจมตีมักจะเป็นอาวุธปืน เลยทำให้เกมนี้อาจจะดูง่ายและได้เปรียบกว่าเกมอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นผู้พัฒนาก็น่าจะรู้ในจุดนี้ จึงทำให้การต่อสู้ของเกมนี้มีสปีดที่สูงกว่าทุกเกม รวมถึงจำนวนของศัตรูเองก็แห่แหนกันมาอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งเวลาสู้บอสศัตรูจะทำการเสกลูกน้องออกมาเป็นสิบๆ ตัวคอยก่อกวนเรา จึงทำให้ตัวเราจะต้องรับมือกับศัตรูหลายๆ ด้านทั้งบอส และลูกกระจ๊อก มันเลยทำให้เกมนี้มีความไม่ง่ายอยู่นั่นเอง เพราะจากที่เล่นมาก็ต้องบอกเลยว่ามันก็ยากและพาหัวร้อนพอสมควร ทั้งมอนสเตอร์ธรรมดา และบอสต่างๆ ก็ต่างพากันตีแรงมากๆ ยิ่งดำเนินเรื่องไปไกลเรื่อยๆ ศัตรูจะดุร้ายขึ้นอีกด้วย ตัวละครของเรานั้นสามารถเลือกคลาสได้ในช่วงแรก ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบคือ Hunter - จะเก่งในระยะไกล ใช้ปืนสไนเปอร์หลัก และอาวุธระยะประชิดเป็นดาบ Ex-Cultist - จะเก่งในระยะกลาง ใช้อาวุธปืนกลเป็นหลัก และอาวุธระยะประชิดเป็นขวานเล็ก Scrapper - จะเก่งในระยะใกล้ ใช้อาวุธลูกซองเป็นหลัก และอาวุธระยะประชิดเป็นค้อน แต่ละคลาสจะได้รับสกิลต่างๆ หรือจุดเด่นในเรื่องของค่าป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถที่จะสลับเปลี่ยนอาวุธ ชุดและสกิลของสายอื่นได้อยู่ดี ระบบ Combat ต่างๆ เองก็อ้างอิงมาจากเกมแนว Souls หลายๆ อย่างเช่นระบบเซฟ Checkpoint ก็คล้ายๆ กัน อย่างเกม Dark Souls จะมี Bonfire ที่จะเพิ่มเลือดและยาให้อัตโนมัติ ส่วนเกมนี้เองก็เช่นกันแต่จะเปลี่ยนเป็นคริสตัล Red Eyes แทน ระบบ Stemina เองก็คล้ายๆ กันที่จะใช้วิ่ง, กระโดดหลบ บลาๆ รวมถึงระบบเพิ่มเลือดก็จะสามารถกดเพิ่มเลือดได้ 3 ครั้ง ซึ่งถ้าอยากจะเติมเลือดก็แค่ไปที่คริสตัลนั่นเอง ระบบการโจมตีเองเป็นสิ่งที่ดีไซน์ออกมาได้ดีมาก เพราะตัวละครเราจะมีอยู่สองปืนที่จะสามารถสลับไปมาได้ (ผู้เขียนเล่นใน PC กดตัว X เพื่อสลับปืน) เวลาจะยิงเราต้องกดเล็งก่อนแล้วถึงยิงได้ แต่ถ้าอยากใช้อาวุธระยะประชิดก็แค่กดโจมตีโดยไม่ต้องเล็ง ซึ่งมันสะดวกมากๆ ในเรื่องของการเล่น เพราะเราจะไม่ต้องมาสลับอาวุธไปๆ มาๆ ให้หลอนประสาทเวลาที่ศัตรูแห่มาตีเราเยอะๆ และจุดเด่นของระบบอาวุธที่ส่วนตัวชอบอีกอย่างคือการ Mod ที่จะเป็น Perk สกิลติดตัวเสริม ให้เราสามารถใช้สกิลได้ถ้าหากเก็บเกจพลังจนเต็ม โดยตัว Mod ยิ่งเราผ่านบอสใหญ่ๆ ได้ มันก็จะมีสกิลใหม่ๆ มาให้เราใช้ที่เหมาะกับสถานะการณ์ต่างๆ อีกด้วย [caption id="attachment_27131" align="aligncenter" width="1024"] Mod ติดปืนสกิลสร้างบาเรียเพื่อป้องกันศัตรูยิงไกลชั่วขณะ[/caption] แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากตัวเกมมีระบบความเป็น RPG เข้ามา ทำให้เราสามารถฟาร์มหรือเก็บของอัพเกรดอาวุธ และชุดต่างๆ ให้ตัวละครเราเก่งในระดับหนึ่งก่อนได้แล้วค่อยมาสู้กับเหล่าบอสทีหลังมันก็จะทำให้เราเล่นได้ง่ายขึ้น หรือจะทำการเล่น Co-op กับเพื่อนๆ เพื่อมาช่วยกันยิงบอสก็ได้ จึงทำให้ความยากของเกมนี้อาจจะพาให้เราหัวร้อนบ้าง ตายวนเวียนกันหลายๆ รอบ แต่มันก็ไม่ถึงขนาดที่จะยากเท่ากับ Bloodborne, Dark Souls หรือ Sekiro ระบบการอัพเกรดนั้นก็ทำออกมาได้ไม่ซับซ้อนเท่าไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะเราก็แค่ไปหาเศษเหล็ก (เงิน) และพวก Material ต่างๆ ที่สามารถหาได้ตามด่าน มาอัพเกรดเป็นขั้นๆ ไป มีการอัพเกรดทั้งชุดอาวุธต่างๆ เป็นการตีบวกไปเรื่อยๆ ยิ่งเลเวลสูงขึ้นก็จะใช้วัสดุที่มากขึ้น หรืออาจจะใช้วัสดุที่ระดับสูงขึ้นแค่นั้น แต่สิ่งที่ไม่ชอบก็เป็นในเรื่องของคอสตูมต่างๆ ที่เป็นชุดเดิมและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใดๆ เลย แต่ละคลาสมีอยู่ชุดเดียวและตีบวกให้เก่งเท่านั้น รวมถึงตัวเกมมีระบบ Status ที่เรียกว่า Trait ที่เราจะสามารถได้รับมาหลังจากปลดเงื่อนไขบางอย่าง ซึ่งแต่ละเลเวลเราจะได้รับ 1 Point หรือสามารถหาเก็บได้ตามแผนที่ต่างๆ โดย Trait แต่ละชนิดจะตันอยู่ที่ 20 เลเวล ซึ่งเราสามารถอัพได้อย่างอิสระ และขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเลือกอัพอะไร ตามสไตล์ที่ท่านชอบได้เลย ระบบการ Co-op เองจะสามารถเล่นได้ทั้งหมด 3 คน ซึ่งมันจะช่วยทำให้คุณผ่านด่านได้ง่ายขึ้น โดยก่อนเริ่มเกมเราสามารถที่จะเปิด Public ให้คนเข้ามาได้ หรือจะเปิดเฉพาะเพื่อน ไม่ก็เล่นแบบออฟไลน์คนเดียวได้หมด และต้องบอกเลยว่าการเล่นกับเพื่อนทำให้เกมนี้มีอรรถรสมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เกมเล่นง่ายขึ้นก็เถอะ แต่เชื่อว่ามันเป็นความยากพอดีที่ไม่ยากจนเกินไป และไม่ง่ายจนเกินไป (เล่นกับเพื่อนสองคนเจอบอสก็ตายอยู่ 3-4 รอบนะกว่าจะผ่าน) สรุป Remnant: From the Ashes เป็นเกมที่นำจุดเด่นของเกมแนว Dark Souls มาใช้เกือบทั้งหมด แต่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างให้เป็นเกมของตัวเองมากขึ้น มีการใส่ระบบ RPG เข้ามาให้ผู้เล่นได้มีแรงจูงใจในการฟาร์มของต่างๆ และทำให้ตัวละครเก่งขึ้น การดีไซน์ระบบการต่อสู้เองก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กับการกดเล็งถึงเป็นการใช้ปืน กดตีธรรมดาเป็นการใช้อาวุธประชิด ซึ่งมันสะดวกมากๆ รวมถึงการเล่นกับเพื่อนนั้นทำให้เกมนี้ทำให้สนุกมากขึ้นด้วย เราอาจจะต้องคุยกับเพื่อนเพื่อหาแบบแผนรองรับต่างๆ นาๆ ยิ่งถ้าเพื่อนที่เล่นด้วยรู้งาน มันจะยิ่งสนุกขึ้น แต่กระนั้นความยากของเกมเองก็อาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่ากับตำนานอย่าง Dark Souls หรือ Sekiro ได้ อาจจะเป็นในเรื่องของที่เราสามารถโจมตีศัตรูได้ในระยะไกลนั่นเอง เราเลยไม่จำเป็นจะต้องโดดเข้าไปใกล้จนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านอยู่ดี เพราะลูกน้องศัตรูมันก็จะแห่มาช่วยลูกพี่มันตีแบบไม่มีพัก ส่วนตัวชอบมากเพราะว่าเกมนี้มีความยากในระดับที่เข้าถึงได้ ไม่ร้อนจนเกินไปอาจจะแค่อุ่นๆ นิดหน่อยเวลาอะไรต่างๆ ไม่ได้ดั่งใจ แต่สิ่งที่ไม่ชอบก็คงเป็นในเรื่องของสีสันด้านภาพที่มันอาจจะไม่ได้เจิดจรัสเท่าเกมอื่นๆ หรือจะเป็นในเรื่องคอสตูมที่แม๊ !! อุส่ามีอุปกรณ์หลายๆ ชิ้นให้ใส่ ผู้พัฒนาก็น่าจะสร้างคอสตูมหรือสร้างชุดแปลกๆ ดีไซน์อื่นๆ มาอีก เพราะเท่าที่มีอยู่มันดูจืดชืดยังไงไม่รู้ รวมถึงอาวุธต่างๆ เองก็อยากให้มีอาวุธเดิมแต่เปลี่ยนดีไซน์เหมือนกัน หรือเป็นอาวุธเดิม และปรับแต่งลูกเล่นมากกว่าจะเป็นอาวุธอีกแบบไปเลย อาวุธที่ดรอปได้ภายในดันเจี้ยนมันไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่อยากให้เราจะหยิบมาใช้เท่าไร เพราะว่าอาวุธหลักเราอัพเกรดไปเยอะแล้ว จากที่เล่นมาผู้เขียนเองยังใช้อาวุธเดิมตั้งแต่เริ่มและอัพเกรดเอาอย่างเดียว ปืนอื่นไม่สนใจ แต่ในเรื่องของอาวุธก็อาจจะมีข้อดีของ Mod สกิลมันมีให้เปลี่ยนหลากหลายซึ่งอันนี้เป็นจุดที่ต้องชื่นชม รวมถึงราคาของเกมเองเพียงแค่ 699 บาทเท่านั้น ไม่แพงเกินเอื้อมคุ้มค่าคุ้มราคา ร้านค้า Remnant: From the Ashes: LINK [penci_review id="27029"]
27 Aug 2019
GENESIS เกม MOBA ไซไฟของ PS4 กับกราฟิกระดับเทพ
เมื่อพูดถึงเกมแนว Multiplayer Online Battle Arena หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า MOBA คงไม่มีชาวเกมคนไหนไม่รู้จักเกมประเภทนี้แน่ สืบเนื่องมาจากความยอดนิยมในอดีตตั้งแต่มีแมพในตำนานอย่าง Defense of the Ancient(DotA) หรอโดต้า ก็ได้สร้างกระแสและรูปแบบการเล่นเกมที่แปลกใหม่และมีเสน่ห์ไม่ซ้ำใครขึ้นมา จึงทำให้มีเกมประเภทนี้เปิดตัวมาใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งบน PC และ Smartphone จวบจนกระทั่งล่าสุด, เกม Genesis ได้เปิดตัวบนแพลตฟอร์มคอนโซลอย่าง Play Station 4 ที่ออกแบบมาเพื่อการบังคับตัวละครด้วยจอยคอนโทรลเลอร์โดยเฉพาะ ทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่และได้เล่นเกมแนว MOBA บนเครื่องคอนโซลกันสักที เนื้อเรื่อง   ว่าด้วยเรื่องราวในยุคของอนาคตปี 2332, ยุคที่ทั่วทั้งจักรวาลมีแต่การแตกดับและความตาย ยุคที่พระเจ้าและผู้คนต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาแหล่งที่อยู่ใหม่ซึ่งเป็นปราการและความหวังสุดท้าย นั่นหมายถึงการรุกรานเอเลี่ยนเจ้าบ้านอย่าง Superviod ผู้บัญชาการที่มีเลือดนักรบสูง พร้อมนำทัพเหล่าแมลงเอเลี่ยนต่างมิติสุดร้ายกาจมาโจมตีมนุษยชาติ แต่ทางฝั่งของเหล่าเทพเจ้าและมนุษย์กลับต้องมีศึกถึงสองด้าน, นอกเหนือจากการต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยน ยังมีการต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจของตำแหน่งแม่ทัพที่ใช้ในการควบคุมเหล่า Dominion ลูกสมุนพร้อมนวัตกรรมบุกดวงดาวล้ำสมัย ตำแหน่งแห่งเกียรติยศที่สามารถควบคุมจักวาลใบใหม่นี้ได้! การบังคับ โดยการใช้ Controller ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ทำให้เกิดความเหมาะสมลงตัวแถมยังครบถ้วนสำหรับเกม MOBA ทุกอย่าง เพื่อตอบสนองต่อผู้เล่นหน้าใหม่ที่เพิ่งเคยสัมผัสกับเกมแนวนี้ และผู้เล่นระดับโปรเพลยเยอร์ที่กำลังเสาะหาประสบการณ์แบบใหม่ในการเล่นเกมแนวนี้อยู่ โหมดการเล่น   นอกเหนือจากการเล่นแบบออนไลน์ 5v5 แล้ว ยังมีโหมดเนื้อเรื่อง(Campaign) ที่จะเป็นด่านความท้าทายให้เราฟอร์มทีมกับเพื่อน(หรือเลือกจะลุยเดี่ยว) ตั้งแต่การทำภารกิจป้องกันฐานทัพจวบจนถึงการจัดการสังหารกับบอสใหญ่ประจำด่าน ได้รับเกียรติยศพร้อมรับรางวัลเป็นไอเท็มแฟชั่นและไอเท็มสวมใส่ที่ช่วยเพิ่มสเตตัสให้กับฮีโร่ พร้อมลุยในการต่อสู้ครั้งถัดไป ความเหมือนที่ดูแตกต่าง Hero ถูกจัดหมวดหมู่ไว้หลากหลายแนว ตั้งแต่การเป็น Tank, Warrior, Psionic, Marksman, Assassin, Support และบางตัวยังเป็นได้ถึง 2 หมวดหมู่ในตัวเดียวกัน นี่แค่การจำแนกฮีโร่ตามสกิลนะ, แต่สายของฮีโร่ที่เราเลือกจริงๆจะเปลี่ยนไปตาม “Perks” และการออก “Items” ที่ง่ายและเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของเกมนี้ ส่วนอีกหนึ่งข้อที่อดพูดไม่ได้คือ โมเดลที่มีเอกลักษณ์ธีม Sci-Fi เป็นของตนเองไม่ซ้ำใคร(แต่สกิลอาจจะซ้ำบ้าง) ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดและประณีตพร้อมกับสกิน, อาวุธ, ปีก, วอร์ด, การวาร์ป และอุปกรณ์ตกแต่งส่วนอื่นๆอีกมากมาย  “Original Skin ดั้งเดิมที่บ่งบอกความเป็นไซไฟสูง”      “Classic Skin โมเดลตามแบบฉบับยุคกรีก” Perk คือระบบการเลือกอัพเกรดความสามารถพิเศษในโหมด 5v5 ตั้งแต่เริ่มต้นเกม(ก่อนจะออกไอเท็มซะอีก) นั่นจึงทำให้เกิดความหลากหลายต่อการเล่นฮีโร่ตัวเดียวเป็นอย่างมาก ความแตกต่างที่ถ้าออกแบบวางแผนมาอย่างดี จะสามารถการันตีชัยชนะจากศึกครั้งนั้นๆได้เลย   “ฮีโร่ทุกตัวได้ถูกแนะนำโดยระบบให้เลือก Perks ที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่การเลือกที่แตกต่าง จะนำพามาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างเช่นกัน ลองคิดดูถึงฮีโร่ Mid lane ที่รวยอยู่แล้วจากการจำกัดครีปและเดินแก๊งเลนอื่นๆ แทนที่จะอัพ Physical เพื่อเพิ่มพลังโจมตี แต่เลือก Perks: Gold ที่ช่วยเพิ่มเงินตอนเริ่มเกมให้ 500 หน่วย แถมยังช่วยเพิ่มอัตราในการเด้งเงินฟรีๆในทุกนาทีอีกด้วย คิดเอาว่าจะรวยขนาดไหน!?” Skill ถูกออกแบบมาให้ใช้อย่างง่ายดายแม้จะใช้คอนโทรลเลอร์ในการเล่น เพราะระยะและทิศทางในการแสดงผลของสกิลจะถูกชี้ออกมาอย่างชัดเจน ว่าเริ่มต้นและสิ้นสุดถึงระยะไหน แม้กระทั่งการโจมตีปกติก็ยังมีระยะบอกที่ชัดเจน เหมือนกับการเล่นบน Smartphone เลยล่ะ(แต่ที่นี่มี 4 สกิล นะ) เมื่อเลเวลของฮีโร่เราอัพ ระบบจะทำการอัพสกิลให้อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว แม้สกิลของบางตัวเราจะคุ้นเคยในเกมแนวนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับเกมนี้สกิลพวกนั้นได้ถูกอัพเกรดให้มีความแรงและความสามารถพิเศษมากขึ้น ทำให้การปะทะกันแต่ละทีนั้นดุเดือดไม่เบาเลยล่ะ “โดนดักกลางป่า แต่เลือดเหลือแค่นี้ ก็เตรียมลาโลกเลยแล้วกัน!”   Item ที่มีความสลับซับซ้อนแต่ไม่งงเลยสักนิด(เพราะความสามารถคล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ) ก็ยังคงเอกลักษณ์ของเกมไว้คือการนำไอเ็มเก่าๆ มาอัพเกรดความสามารถ รวมและผสมกันเป็นอีกอย่างที่ Over Power ไปอีกขั้น เน้นสาดสกิลและไอเท็มใส่กันสุดตัว แถมยังอำนวยความสะดวกโดยการที่ผู้เล่นสามารถออกไอเท็มได้ทุกที่ทุกเวลา แหม สะดวกสุดๆไปเลยครับ Ward ที่ไม่ได้มีแค่เงินก็ออกได้ เพราะในราคา 100 Gold ช่างเป็นเงินที่หายง่ายอะไรขนาดนี้ แต่เดี๋ยวก่อน เพราะเงื่อนไขในการใช้ต่อหนึ่งทีมคือ ห้ามมีวอร์ดเกิน 4 จุดในเวลาเดียวกัน! เอ่าล่ะ คราวนี้ได้เกิดสงครามในทีมเดียวกันแน่ๆ Rune สุดแสนจะอำนวยความสะดวก จะเป็นตัวช่วยให้เราปักวอร์ดมากยิ่งขึ้น เพราะในสมรภูมิแห่งอวกาศนี้ การเกิดของรูนกลางอาวกาศ(แม่น้ำ) จะเกิดแบบจุใจให้ทั้ง 2 ฝั่งในทุกๆ 2 นาทีเช่นเดียวกันครับ Dominion and Behemoth หรือเรียกให้เข้าใจกันง่ายๆว่า “ครีป” และ “ครีปป่า” จะมีความคล้ายคลึงกับต้นฉบับพอสมควร สามารถใช้เทคนิคการ stack ครีปป่าได้ในทุกๆวินาทีที่ 55 เช่นเดียวกันครับ  “วินาทีที่ 55, เทคนิคนี้เคยเรียนมา!” Boss ทั้งสองจุดนี้จะมีความแตกต่างจากเกมต้นฉบับพอสมควร เพราะหลังจากการสุ่มเกิดของบอสชนิดต่างๆ หลังจากการสังหาร เราจะได้ไอเท็มพิเศษที่แตกต่างกันซึ่งไม่สามารถหาซื้อจากร้านค้าได้ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ที่เก็บไอเท็มโดนสังหารล่ะก็ ไอเท็มเหล่านั้นจะตกลงพื้นและเข้าไปสู่กำมือของฝ่ายตรงข้ามทันที! ภาพรวม   Genesis ยังคงเป็นเกมฟรีที่น่าเล่น ที่พร้อมอ้าแขนเปิดรับชาวเกมแนว MOBA ในคอนโซลทั้งมือเก่าและมือใหม่ ซึ่งจะมอบความบันเทิง(หัวร้อน) และประสบการณ์ในการควบคุมด้วยคอนโทรลเลอร์ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนทำได้มาก่อน แม้จะรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับฮีโร่บางตัวที่เราคุ้นเคยมากจากเกมก่อนๆ แต่ความมันส์และความสะดวกรวดเร็วในการเล่นนั้นไม่เป็นสองรองใครแน่นอนครับ คราวหน้าพวกเรา GAMEFEVER จะมาเจาะลึกประวัติและสกิลฮีโร่แต่ละตัวแบบละเอียด พร้อมแนะนำการเลือก Perks และ Items แบบพิศดาร ไว้พบกันใหม่บน Galactic Battlefield วันนี้กระผมผมขอลาไปท่องอวกาศก่อน กราบสวัสดีครับ :)
26 Aug 2019
รีวิว The Cycle (Early Access) เกมฟรีแนวใหม่ ออกทำภารกิจกึ่ง Battle Royale!
The Cycle เกม Free-to-Play ใหม่ล่าสุดจาก Yager Development ทีมผู้พัฒนาที่เคยฝากผลงานดังอย่าง Yager และ Spec Ops: The Line รวมถึงเคยร่วมพัฒนาเกม Dead Island 2 อีกด้วย โดยในเกมล่าสุดของพวกเขา The Cycle เป็นเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (First-Person Shooter) แนวเกม Competitive Quest Shooter (PvEvP) หรือลูกผสมระหว่างวิ่งทำภารกิจ เดินยิงสัตว์ประหลาด รวมถึงเข้าต่อสู้หรือร่วมมือกับผู้เล่นคนอื่น และเอาชีวิตรอดกลับออกไปให้ได้ พูดง่ายๆคือเกม Battle Royale ที่โดดลงไปเพื่อแข่งทำภารกิจยิงสัตว์ประหลาดนั่นเอง! ถือเป็นแนวเกมที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเพิ่งมีเกมนี้เกมแรกที่ทำเกมแนวนี้ขึ้นมานั่นเอง และทางเรา GameFever จะมาทำการ รีวิว The Cycle เกมนี้กัน เนื้อเรื่องของเกมนั้น เราจะรับบทเป็น Prospector ลงจากสถานีอวกาศไปยังพื้นผิวของดาว Fortuna III เพื่อทำภารกิจและเก็บวัตถุดิบต่างๆกลับขึ้นไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ดาวจะเปลี่ยน “วงจร” จากสภาพอากาศปกติเป็นสภาพอากาศอันเลวร้าย ฟ้ามืดครึ้ม และพายุกัมมันตรังสีที่พร้อมจะคร่าชีวิตใครก็ตามที่ยังอยู่บนพื้นผิว อันเป็นที่มาของชื่อเกม “The Cycle” (วงจร, วัฎจักร, การหมุนเวียน) นั่นเอง แล้วระบบ Competitive Quest Shooter ในเกมนี้ทำงานอย่างไร? ในแต่ละเกมจะมีการจัดอันดับผู้เล่นเมื่อเกมจบ คนที่ทำภารกิจสำเร็จได้มากที่สุดและเอาชีวิตรอดกลับขึ้นยานแม่ได้ก็จะเป็นผู้ชนะไป บนดาว Fortuna III นั้นมีภารกิจให้ทำหลายรูปแบบ ซึ่งก็ไม่ง่ายนักเพราะสิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่นนั้นไม่พอใจกับการรุกรานของเราเท่าไหร่ ทำให้เราต้องควักปืนมายิงตอบโต้เพื่อเอาชีวิตรอด และมีโอกาสที่เราจะเจอสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเช่นกัน ซึ่งระหว่างการออกทำภารกิจก็จะมีโอกาสพบเจอผู้เล่นอื่นด้วย เราสามารถร่วมมือเป็นทีมกับเพื่อนที่เจอ ไล่ยิงทุกคนที่ขวางหน้าเพื่อชิงอาวุธ หรือขัดขาคนที่ทำยอดภารกิจได้มากที่สุดก็ย่อมได้ กราฟฟิคของตัวเกม ตัวเกมใช้ Unreal Engine เป็นเอนจิ้นทำกราฟฟิคเกมที่ได้รับความนิยมมากตัวหนึ่ง อีกทั้งเอนจิ้นตัวนี้ยังเป็นตัวเดียวกับเกม Fortnite และ Dauntless ใช้อีกด้วย ลักษณะกราฟฟิคของตัวเกมจะออกแนวการ์ตูนหน่อยๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นโลกต่างดาว ทั้งสีสันของดาว ลักษณะพื้นราบ ต้นไม้ เทือกเขา หรือสัตว์ประหลาดต่างๆที่เราได้พบเจอก็ล้วนทำออกมาได้ดี กราฟฟิคไม่ค่อยกินสเปคเพราะสามารถปรับความคมชัดได้ตามใจ จะปรับต่ำเพื่อให้ภาพลื่น ยิงมอนได้อย่างไม่กระตุกหรือจะปรับสูงเพื่อสัมผัสความเป็นโลกต่างดาวแบบคมชัดก็ได้เช่นกัน ระบบ Gameplay ออกทำภารกิจ เดินยิงสัตว์ประหลาดบนโลกต่างดาว เมื่อเริ่มเกมแล้ว เราจะลงมายังพื้นผิวดาวพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นอีก 20 คน และเวลาอีก 20 นาที แต่ละคนจะถูกกระจายไปทั่วแผนที่ และแข่งกันทำภารกิจให้ได้มากที่สุด โดยภารกิจก็มีถึง 5 แบบ ทั้งการขุดแร่ ส่งมอบวัตถุดิบ ส่งสัญญาณข้อมูลสำคัญ ต่อไฟให้โรงงานกลับมาทำงานอีกครั้ง หรือล่าค่าหัวคนที่ไล่สังหารผู้อื่น (Ruthless) ซึ่งทุกครั้งที่เราทำภารกิจเสร็จ เราจะได้รับดาวมา ผู้เล่นที่ได้ดาวสูงก็จะยิ่งอยู่ในอันดับที่สูงเหนือผู้เล่นอื่นตามไปด้วย (แข่งกันที่จำนวนภารกิจ) แต่ละจุดการทำภารกิจจะมีสัตว์ประหลาดมากมายมารุมโจมตีเรา ทำให้เราต้องใช้ปืนของเรายิงพวกมันเพื่อเอาชีวิตรอดและทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งบางครั้งเราจะได้เจอกับสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งที่จะดรอปวัตถุดิบดีๆให้เราไปคราฟต์อาวุธใหม่ๆมาใช้ได้ด้วย ไม่ต้องไปคุ้ยกล่องเพื่อหาอาวุธดีๆ มีเงินก็ซื้อเลย ตอนเริ่มเกมเราจะมาพร้อมปืนพกเพียงอย่างเดียว หลังจากเราสังหารสัตว์ประหลาดและได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้ว เราสามารถกดซื้อปืนใหม่มาใช้งานได้ เพื่อให้การออกล่านั้นง่ายขึ้น นอกจากอาวุธก็มีพวกไอเท็มช่วยเหลือด้วย เช่น ระเบิดปา ป้อมปืนขนาดเล็ก ช่วยให้เราทำภารกิจได้ง่ายขึ้น เพราะบางครั้งเราก็จะได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดดุร้าย ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องอัพเกรดปืนหรือซื้อปืนดีๆมาใช้เพื่อต่อกรกับมัน ทำภารกิจคนเดียวมันเหนื่อย หาเพื่อนมาช่วยดีกว่า! เมื่อเราพบเจอผู้เล่นอื่นระหว่างเกม เราสามารถชวนเข้าร่วมทีม (Pacting) เพื่อร่วมกันทำภารกิจยากๆ หรือจะช่วยกันยิงตอบโต้ผู้เล่นอื่นที่หมายปองชีวิตพวกเราก็ได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องวัดใจกันหน่อยว่า ผู้เล่นอื่นที่เราจะเจอจะโบกมือชวนเราหรือโบกปืนมาสาดกระสุนใส่กันแน่ ทว่าการรวมกลุ่มกับเพื่อน แลกกับการที่เราจะไม่มีหลอดโล่ ก็เลือกเอาได้ว่าจะเป็นโซโล่เพลย์เยอร์ หรือจะยอมมีเพื่อนช่วยทำดาเมจไปด้วยกัน อุ่นใจกว่า ระบบการ Ping และปักหมุดแมพ เมื่อเราได้จับคู่เล่นกับผู้เล่นอื่นแล้ว ตัวเกมก็มีระบบ Ping สื่อสารกับคนอื่นด้วย ทั้งการปักหมุดแผนที่ การส่งสัญญาณให้ลุย การส่งสัญญาณให้หยุด หรืออื่นๆ ทำให้ง่ายต่อการมุ่งหน้าทำภารกิจไปกับเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ที่เราได้พบเจอ ระบบเลือด เกราะ และเวลาโดนยิงจนทรุด ระบบหลอดเลือดและเกราะของเกมนี้ เมื่อไม่ได้รับดาเมจชั่วขณะหนึ่งจะทำการรีเจนกลับมาอัตโนมัติ แต่หากเราโดนยิงจนบาดเจ็บหนัก เราจะเดินช้าลงและไม่สามารถยิงตอบโต้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง ทว่าตัวเกมก็มีชีวิตที่สองให้เราด้วย เมื่อโดนยิงจนบาดเจ็บหนัก เราสามารถกดขอความช่วยเหลือจากยานแม่ได้ เราจะถูกส่งไปยังจุดอื่นพร้อมเลือดและเกราะที่กลับมาเต็มอีกครั้ง สามารถใช้งานได้เพียง 1 ครั้งต่อเกม แต่หากโดนตามมาซ้ำตอนบาดเจ็บอยู่แล้วล่ะก็จะถูกนำออกจากเกมทันที บ๊ายบายจ้า! เวลาใกล้หมด พายุใกล้มา ต้องรีบกลับยานแม่! เสมือนท้องฟ้าวิกฤตแปรปรวนทันใด ฟ้าครึ้ม สภาพอากาศเริ่มเลวร้าย เราจำเป็นต้องละทิ้งภารกิจต่างๆและมุ่งไปยังท่าเทียบยานเพื่อกลับขึ้นไปยานแม่ก่อนพายุกัมมันตรังสีจะมา ซึ่งบางครั้งจะได้พบเจอกับสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งมากมายระหว่างทาง รวมถึงเหล่าผู้เล่นที่ไม่หวังดีกับเราด้วย ซึ่งในช่วงเวลาที่พายุใกล้มา จะมีเวลาเตือนถึงช่วงเวลาที่ยานลงมาเทียบท่าเพื่อรับเรา ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องไปให้ตรงเวลาก่อนจะถูกทิ้งให้ตายอยู่บนดาวด้วยกัมมันตรังสี เพราะพวกเขาไม่รอคนสายหรอกนะ สิ่งต่างๆ ในหน้าเมนู Launch Bay ทั้ง Tutorial ก็มีให้เล่นอีกรอบ หรือเข้า Training Ground ไปฝึกยิงรอ เกมนี้ไม่จำเป็นต้องไปคนเดียว รวมก๊วนออกสำรวจก็ยังได้ สามารถไปเดี่ยว ไปคู่ หรือตั้ง Squad เพื่อออกสำรวจพร้อมกับเพื่อนๆได้ด้วย SOLO: ลุยเดี่ยวไปพร้อมกับผู้เล่นอีก 20 คน สามารถร่วมทีมกับผู้เล่นที่พบเจอได้ DUO: ไปเป็นคู่กับเพื่อนคู่ใจ แข่งขันกับผู้เล่นอีก 10 คู่ TEAM: ฟูลทีม 4 คน ต่อสู้ทำภารกิจกับผู้เล่นอีก 5 ทีม Loadout สามารถเปลี่ยนปืนพกที่ใช้ สกิลความสามารถ ปรับแต่งหน้า Gear Store ที่เราสามารถซื้อปืนใหม่หรือไอเท็มต่างๆเมื่ออยู่บนผิวดาวได้จากตรงนี้ Crafting วัตถุดิบที่เก็บได้จากผิวดาวจะนำมาใช้ตรงนี้ เราสามารถนำวัตถุดิบต่างๆมาคราฟต์ปืนใหม่ที่แรงกว่าปืนที่มีได้ คราฟต์ได้ทั้งทั้งปืนหลักปืนรอง ไอเท็มต่างๆ และสกิลความสามารถ Faction ฝักฝ่ายต่างๆ เมื่อเริ่มเกมเราสามารถเลือกได้ว่าจะผู้ฝ่ายใด เมื่อทำภารกิจต่างๆตอนอยู่บนดาวก็จะได้ค่า Exp ของฝ่ายที่เราเลือกด้วย ซึ่งยิ่งเวลสูงก็จะได้บัพในการเล่น รวมถึงปลดล็อคสกิลและอาวุธต่างๆได้ Apprerance ในเกมมีตัวละครต่างๆ (Archetype) มาให้เราเลือกเล่นได้ฟรี สามารถปรับแต่งสีผมหรือชุดที่ใส่ได้ตามใจ และที่สำคัญ ไม่มี Pay-to-Win! สิ่งที่เสียเงินซื้อได้ในเกมนี้มีเพียงสกินอาวุธและเครื่องแต่งกายของเหล่า Archetype เพื่อความสวยงามเท่านั้น ไม่มีการใช้เงินจริงเพื่อซื้ออาวุธ แถมทางทีมผู้พัฒนาสัญญาไว้ด้วยว่าเกมนี้จะไม่เป็นเกม Pay-to-Win แน่นอน! สรุป: รีวิว The Cycle เล่นเพลิน ไม่ยากไม่ง่าย พอเล่นสนุก ตัวเกมค่อนข้างอิสระและเปิดกว้างให้เราว่า เราจะทำอะไรก่อนก็ได้ จะมุ่งหน้าทำภารกิจ หรือจะไปยิงคนเพื่อชิงอาวุธ แย่งชิงจุดการทำภารกิจกัน หรือจะร่วมทีมกับผู้เล่นแปลกหน้าที่เราเพิ่งพบเจอก็ยังได้ ในแต่ละตากินเวลาไม่มาก สามารถจบได้ภายใน 20 นาที ยิงคนก็ได้ ยิงสัตว์ประหลาดก็ดี มุ่งหน้าทำภารกิจไปด้วยพลางๆ เป็นอีกแนวการเล่นที่แปลกใหม่ หากคุณชอบทั้งการยิงมอนสเตอร์และไม่หวั่นแม้เจอคนก็อาจถูกใจเกมนี้ได้ไม่ยาก อีกทั้งยังเป็นเกม Free-to-Play แถมไม่มีการ Pay-to-Win ไม่ลองไม่ได้แล้ว! ตัวเกมยังอยู่ในช่วง Early Access ซึ่งน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า ต่อไปจะมีอัพเดตอะไรใหม่ๆน่าสนใจมาให้เราได้เล่นกันหรือไม่ The Cycle (Early Access) เปิดให้เล่นฟรีแล้ววันนี้ และเป็นเกม Exclusive บน Epic Games Store เท่านั้น ติดตามข่าวสารวงการเกมเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟสบุ๊ค GamFever TH!
26 Aug 2019
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเล่น Remnant: From the Ashes [PC, PS4 และ Xbox One]
Title: Remnant: From the Ashes Genre: Third-Person Survival Action Game Platform: PC, PS4 และ Xbox One Release Date: 20 สิงหาคม 2019 Developer: Gunfire Games https://www.youtube.com/watch?v=PqeDvBJraMk https://www.youtube.com/watch?v=F19sUoWk4Hk Remnant: From the Ashes เป็นเกมแนว Third-Person Survival Action Game จากทาง Gunfire Games ทีมผู้สร้างซีรีส์ Darksiders ที่เราจะสามารถสร้างตัวละครให้เหมาะกับสไตล์การเล่นของผู้เล่น สามารถเล่นได้ Singleplayer และ Multiplayer ที่มีจุดเด่นกับการต่อสู้อันดุเดือดทั้งระยะประชิด และระยะไกล มีการสร้างอุปกรณ์มีการพัฒนาตัวละคร เนื้อเรื่อง ในโลกที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังมีเพียงเศษซากของมนุษย์ที่เหลืออยู่ที่ถูกล่าจนใกล้สูญพันธ์ จากสัตว์ประหลาดสุดสยองขวัญของอีกโลกหนึ่ง โดยการใช้ชีวิตของมนุษย์ส่วนใหญ่มีชีวิตเหมือนหนูในซาก แต่มีผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดประตูสู่โลกอื่นเพื่อสู้กับผู้รุกราน พวกเขาจะต้องดิ้นรนเพื่อตั้งหลัก สร้าง และนำสิ่งที่หายไปกลับมาใหม่ Gameplay ต่อสู้, พลิกแพลง, เอาชนะ แต่ละโลกจะนำเสนอความท้าทายและศัตรูต่างๆ ที่เราจะต้องเอาชนะ ตลอดการผจญภัยของเราจะพบเจอกับสัตว์ประหลาดหลายสิบตัวในแต่ละสภาพแวดล้อม คุณจะต้องต่อสู้, ฟันหรือตรึงสิงมีชีวิตทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ตั้งแต่ศัตรูระดับใหญ่เท่าอาคารหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนับไม่ถ้วน โดยเราจะต้องปรับตัวให้เขากับสถานะการณ์เพื่อเอาชนะ หรือจะตาย !! [caption id="attachment_26422" align="aligncenter" width="702"] มีการใช้ทั้งมีดและปืน[/caption] สำรวจสิ่งมหรรศจรรย์กับอาณาจักรที่น่าสะพรึงกลัว โลกอันสวยงามภายในตัวเกมที่สร้างขึ้นแบบไดนามิก โดยสิ่งมีชีวิตภายในโลกจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เราจะต้องสำรวจเพื่อเก็บประสบการณ์และปรับกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเอาตัวรอดจากอันตรายของแต่ละโลก โดยภายในเกมจะมีอยู่ 4 โลกคือ Earth, Yaesha, Rhom และ Corsus Craft. Upgrade. Specialize รวมตัวกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสของเรา มีการปกป้องและผูกมิตรกับ Skilled Tradesmen และใช้บ้านของเราเป็นปีหลบภัยของคนเหล่านั้น ในทางกลับกันพวกเขาจะเสนอทักษะและทรัพยากรที่มีคุณค่า เพื่อช่วยให้เราอัพเกรดฝีมือและพัฒนาอาวุธและอุปกรณ์ของคุณ [caption id="attachment_26423" align="aligncenter" width="725"] มีการพูดคุยตอบคำถามกับ NPC[/caption] [caption id="attachment_26421" align="aligncenter" width="824"] เลือก Class ได้[/caption] Strength in Numbers การบุกรุกโลกอื่นเพื่อค้นหาจุดจบของ Root ที่อันตรายและไม่การันตรีถึงความปลอดภัย การรวมทีมกับคนอื่นอีกสองคนเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด การทำงานเป็นทีมคือสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ผ่านความท้าทายที่ยากสุดของเกม และมันจะสามารถปลดล็อครางวัลที่ยิ่งใหญ่ [caption id="" align="aligncenter" width="752"] ศัตรูที่ตีเราโจมตีแรงในระดับหนึ่ง อารมณ์เกมคล้ายๆ กับ The Evil WIthin แต่ถ้าศัตรูระดับยากอาจจะคล้ายเกม Soul[/caption]
19 Aug 2019
รีวิว Secret Neighbor (Beta) ล้วงความลับ จับเพื่อนบ้าน
เกม Free to Play ที่มาแรงของ Steam ในขณะนี้ คงต้องยกให้ซีรี่ส์ภาคต่อจากเกม Hello Neighbor ที่เพิ่มความสนุกในการค้นหาความลับของเพื่อนบ้านมากขึ้นในชื่อ “Secret Neighbor” ที่ได้เปิดตัว Beta ให้ลองเล่นกันแล้วจ้า โดยคอนเซปต์ของเกมนี้ ยังคงเป็นการเข้าไปในบ้านของลุงข้างบ้าน เพื่อสืบหาปริศนาอะไรบางอย่างถูกซ่อนไว้ แต่คราวนี้ไม่ใช่การเล่นเดินเนื้อเรื่องเหมือนอย่างเคย ใน Secret Neighbor เราจะต้องร่วมเล่นกับผู้เล่นอื่นๆถึง 6 คน ในกลุ่มของพวกเราจะมีหนึ่งคนที่เป็นลุงเจ้าของบ้านปลอมตัวมา หน้าที่ของเหล่าเด็กๆนอกจากจะต้องหากุญแจมาไขห้องลับใต้ดินของเพื่อนบ้านแล้ว ยังต้องคอยระวังการขัดขวางจากเจ้าของบ้านที่ปลอมตัวปะปนในหมู่พวกเราด้วย ได้อารมณ์การเล่น Dead by daylight ผสมกับ Deceit (แต่ภาพน่ารักกว่ามากนะ) ที่ได้ทั้งความระทึกใจและทำลายมิตรภาพไปพร้อมๆกันในเกมเดียว อย่างที่บอกว่าภารกิจหลักของเกม คือการที่กลุ่มเด็กจอมซนเข้าไปในบ้างของลุงเพื่อนบ้าน ซึ่งชาวแก๊งค์จะแบ่งออกได้ 6 คาแรคเตอร์ ซึ่งแต่ละคนก็มีความสามารถติดตัวที่ต่างกันออกไป ซึ่งใครเป็นสายไหนในกลุ่ม ก็สามารถเลือกได้ตามชอบ Bagger หมูอ้วนกับกระเป๋าของเขา สามารถเก็บของได้มากกว่าคนอื่น Leader ที่คอยเชียร์เพื่อนๆ ช่วยให้ตื่นตัวและเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น Detective พร้อมกล้องถ่ายรูปที่จะช่วยหาเบาะแสว่ากุญแจอยู่ตรงไหน Inventor ผู้สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยเด็กๆในการต่อกรกับลุงข้างบ้านได้ดียิ่งขึ้น Scout ลูกเสือสายลุยกับหนังสติ๊กคู่ใจ และสกิลความไวในการเคลื่อนที่ และ Brave สาวเบสบอลสายบวก ที่ยิ่งทำดาเมจ จะได้สกิลหนีจากการโดนจับเป็นของแถม มาทางฝั่งของเพื่อนบ้าน ในตัว Beta นี้จะมีให้เลือก 2 คาแรคเตอร์ คือ คุณลุง ที่เราเคยเจอใน Hello Neighbor นั่นแหละ และตัวตลก ที่ฝีมือไม่ตลกเลย ซึ่งแต่ละตัวก็มีสกิลที่คอยปั่นป่วนทีมได้ อย่างกับดักของคุณลุง หรือการแปลงร่างเป็นไอเท็มในเกมของตัวตลก อีกทั้ง เรายังสามารถจำกัดพื้นที่การเล่นโดยการโยกนาฬิกาเพื่อเปิด-ทางได้ด้วย ก็แน่สิ! นี่บ้านของฉันนะ!! โดยหากเริ่มเกมแล้วเราได้รับเลือกให้เป็น Neighbor เราสามารถสลับระหว่างร่างเด็กและร่างของ Neighbor ได้ ภารกิจของฝ่าย Neighbor คือจับเด็กๆทุกคนให้หายสาบสูญ โดยเมื่อมีเด็กเข้ามาใกล้ สามารถดึงอีกฝ่ายเข้ามาและทำให้กลายเป็นตุ๊กตาจนสลายกลายเป็นใบประกาศเด็กหาย จึงจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ถึงระบบเกมจะรวมจุดเด่นจากหลายแนวเกม แต่การควบคุมนั้นถือว่าง่ายมาก เพราะในเกมจะมีคำแนะนำอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเก็บของ, แปลงร่าง, ใช้สกิลของตัวละคร ให้กดที่ปุ่มไหน เมื่อเจอกุญแจก็มีเสียง กริ๊ง! เป็นสัญญาณ ไม่ต้องกลัวเด๋อให้โดนเพื่อนด่าฟรี รวมไปถึงไอเทมที่เก็บได้ในเกม นอกจากจะมีไว้ปาใส่คนกับหน้าต่างแล้ว บางไอเทมจะมีข้อมูลบอกว่าสามารถกดปุ่มไหน จะใช้ฟังชั่นก์ใดได้บ้างอีกด้วย ถือว่าสะดวกสบาย แม้ไม่ใช่สายเกม PC ก็เล่นเป็นได้อย่างง่ายดาย อย่าลืมลองเล่นไอเท็มให้ครบทุกชิ้น รับรองว่าสนุกสนานเฮฮาจนลืมภารกิจกันเลยทีเดียว     ถึงพื้นที่การเล่นจะดูไม่เยอะ แต่ด้วยไอเท็มที่มีให้เลือกหยิบเยอะเหลือเกิน ทำให้วิ่งอยู่ดีๆก็หลงทางในบ้านได้เหมือนกัน ระหว่างที่หลงก็ลุ้นไปกับเสียงเปิดประตู เสียงเพื่อนวิ่ง เสียงแจ้งเตือนทางเปิดหรือไขกุญแจชั้นใต้ดิน ทำเอากังวลจนต้องเหลียวไปดูว่ามีใครตามมาหรือเปล่า ถ้าได้เป็นฝ่ายเพื่อนบ้านก็ต้องลุ้นอีก ว่าจะโดนเพื่อนปาของสุ่มจับผิดหรือเปล่า จะจับเด็กได้ก่อนหรือโดนจับได้ก่อน เอาเป็นว่าทำเอาใจเต้นพอๆกันไม่ว่าจะถูกเลือกให้เล่นฝ่ายไหน ยิ่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนสนิท ยิ่งปั่นกันมากขึ้น ยิ่งคูณความสนุกไปอีกเป็นเท่าตัว! จึงไม่น่าแปลกเลยที่ Secret Neighbor จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีตั้งแต่วันเปิดตัวในงาน E3 ปี 2018 เพราะแม้จะเป็นตัว Beta แต่ระบบการเล่นและเนื้อหาเกมกลับมีทั้งความโหด มันส์ ฮา จนทำให้ประทับใจได้ขนาดนี้ มารอดูกันว่าตัวเต็มจะสนุกขนาดไหน สำหรับใครที่สนใจ สามารถไปโหลดได้เลยที่ LINK ทดลองเล่นได้ถึงวันที่ 19 สิงหาคมนี้เท่านั้นนะจ๊ะ
13 Aug 2019
ลองเล่นเดโม Home Sweet Home 2 กับความสยองขวัญของผีไทยแท้ !!
ในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้มีโอกาสทดลองเล่นเดโมของเกมไทยชื่อดังอย่าง Home Sweet Home 2 ที่ตัวเกมจริงกำลังจะวางจำหน่ายให้เราเล่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งต้องบอกก่อนว่าตัวเดโมนี้เป็นตัวเดียวกับที่เคยเปิดให้คนทั่วไปเล่นที่งาน Thailand Game Expo by Ais Esports 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้เราจะมารีวิวและเล่าถึงความรู้สึกของการเล่นเดโมตัวนี้คร่าวๆ พร้อมภาพประกอบให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ ** รูปที่โชว์บางรูปจะขอเบลอตรงส่วนหน้านะครับ เพราะทางทีมงานบอกว่าคุณภาพของเดโมยังไม่สมบูรณ์ เราจึงอาจจะให้ทุกคนเห็นภาพต่างๆ ไม่ได้หมดครับ ** บรรยากาศ และกราฟิก จากที่ได้เล่นมาต้องบอกเลยว่าตัวบรรยากาศของเกมนั้นทำออกมาได้ดีมากๆ ตัวเกมเล่นกับความมึดของเราได้ดีทีเดียว รวมถึงในภาคนี้ผู้พัฒนาอยากจะพาเราไปพบเจอกับเรื่องราวของผีสางนางไม้มากขึ้น ฉากต่างๆ ที่เคยอยู่ในมหาลัยดั่งภาคแรกถูกนำออกไป (แต่ไม่รู้ว่าเกมจริงยังจะมีไหม) ซึ่งในภาคนี้เราจะได้อยู่ในป่า ในวัดมากขึ้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าบรรยากาศมันต่างจากภาคแรกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว รวมถึงตัวเกมเน้นความมึดที่ถ้าหากคุณไม่ขี้โกงเปิด Brightness เยอะ บอกเลยว่าถ้าไม่มีไฟฉายนี่แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย เสียงประกอบต่างๆ ตัวเกมก็ทำออกมาได้รู้สึกหวาดระแวงมากๆ ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้พัฒนาหรือไม่ แต่การเดินแต่ละครั้งมันทำให้เรารู้สึกเหมือนคนเดินตามตลอดเวลา ซึ่งมันจะเห็นผลชัดอย่างมากในตอนที่ใส่หูฟังเล่น มันจะหลอนๆ และตระหนกอยู่ตลอดเวลาว่ามันจะมีตัวอะไรออกมาหรือเปล่าฟะ !! 5555+ ถึงแม้จะรู้ว่าในใจลึกๆ แล้วเราอาจจะหลอนไปเอง หรือไม่ก็เป็นเสียงหลอกที่สร้างบรรยากาศเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่าไอ้เสียงแบบนี้แหละถ้าหากมันมีอะไรโผล่มาเกมจริงคงจะกรี๊ดกร๊าดมิใช่น้อย และหลอนกันไปยาวๆ เกมเพลย์ ระบบเกมเพลย์เองก็ยังไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากภาคแรกเท่าไร มีการทำปริศนาต่างๆ ก็ยังมีเหมือนเดิมเฉกเช่นเดียวกับภาคแรก แต่ในเดโมที่ได้เล่นก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้มีอะไรให้ทำมากนัก มันก็อารมณ์คล้ายๆ กับเดโมของภาคแรกนั่นแหละ ซึ่งในเดโมตัวเกมก็จะเน้นกับบรรยากาศ ดั่งที่เคยพูดไปด้านบน และก็จะมีการจั๊มสแกร์บ้าง ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว จังหวะจะโคนพาเราสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นแหละมันก็จะเล่นเราด้วยความตุ้งแช่แบบเต็มๆ ในขณะที่เล่นเราจะได้เห็นการรายงานวิทยุ ซึ่งคาดได้เลยว่าการดำเนินเรื่องของเกมนี้มันก็น่าจะมีเอกสารต่างๆ หรือวิทยุให้เก็บอ่าน หรือฟังตามฉากเหมือนเดิมดั่งในภาคแรกที่ว่า ถ้าหากเราอยากรู้ความเป็นมาของตัวละครให้ลึกซึ่งก็ต้องตามเก็บให้ครบนั่นเอง และศัตรูหรือผีที่เจอนั้นก็ตรงตามที่เดาไว้เลยว่า เราจะได้เจอกันเหล่าผีสางนางไม้ต่างๆ ซึ่งในเดโมเราจะได้เจอกับผีกระสือ และผีป่า (ไม่รู้ว่าคือผีอะไร เป็นเหมือนนางไม้ที่ใส่ชุดสีน้ำตาลนะ 5555+) ซึ่งจากที่ได้เล่นมารูปแบบการโจมตีก็จะคล้ายๆ กับภาคแรก แต่ดูเหมือนว่าเราจะมีหลอดเลือดชัดเจน ซึ่งส่วนตัวลองๆ เดินให้ผีตบเล่นแล้วก็รู้สึกว่าผีน้องเบลของภาคแรกจะดูโหดกว่าหน่อย เพราะน้องแกแทงเราสามทีก็ร่วงแล้วในภาคนี้รู้สึกว่าเราจะถึกกว่าเดิม แต่นี่เป็นแค่เดโมเองจึงสรุปอะไรไม่ได้ รวมถึงระบบ Quick Time Event เองก็ยังมีให้กดเช่นเดิมซึ่งจะเป็นการผลักศัตรูให้ออกไปไกลๆ หรือสลัดหลุดออกจากการถูกจับ ส่วนที่ไม่ชอบของเกมนี้ก็อาจจะมีอยู่เล็กน้อยในเรื่องของโมเดล หรือฉากต่างๆ ที่ยังมีซ้ำกันอยู่ให้เห็น จริตส่วนตัวก็เลยยังไม่ได้อินกับมันเท่าไร แต่จะให้สรุปไปเลยว่ามันไม่ดีก็ไม่ได้เพราะเอาจริงๆ ในเดโมของภาคแรกโมเดลตัวละครผีเองก็ก็ไม่ได้สมจริงเท่ากับเกมจริงที่ออกมา แต่ก็เชื่อใจผู้พัฒนาเถอะ เพราะโมเดลผีน้องเบลนี่ก็น่ากลัวใช่ย่อย และภายในภาค 2 นี้เตรียมสยดสยองได้เลย ♥ เพราะว่าเราจะได้เจอสุดยอดผีอย่าง "ผีนางรำ" ที่เราเคยเห็นถึงความน่ากลัวสยดสยองมาแล้วในภาคแรก   สรุป เดโมของ Home Sweet Home 2 เองก็ทำบรรยากาศออกมาได้น่ากลัวกว่าเดิมมาก ทั้งในเรื่องบรรยากาศ เสียงต่างๆ บอกเลยว่าส่วนตัวไม่เคยเล่นเกมผีที่ไหนแล้วต้องหันซ้ายหันขวาเพราะหลอนเสียงมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นอาจจะมีโมเดลต่างๆ ของเกมที่อาจจะรู้สึกขัดใจเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็เป็นเพียงแค่เดโมเท่านั้น ซึ่งคาดหวังได้เลยว่าในเวอร์ชั่นจริง มันจะต้องสมบูรณ์แบบแน่นอน ไม่รู้ว่าตัวเกมภาคต่อนี้ จะวางจำหน่ายเมื่อไร แค่ส่วนตัวคาดว่าต้องมาในปีนี้แหละ ฉะนั้นก็อยากให้เหล่าเกมเมอร์ทุกท่านซื้อเกมนี้กันเยอะๆ ครับ ไม่ใช้ว่าอยากให้ซื้อเพราะเป็นแค่เกมไทย แต่อยากให้ซื้อเพราะประเทศของเรานั้นมีความสามารถพอที่จะสร้างเกมดีๆ และไม่แพ้เกมจากต่างประเทศได้นั่นเอง และมันจะได้เป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกมไทยให้ก้าวไกลมากขึ้น เพื่อให้บริษัทดีๆ แบบนี้มีโอกาสและมอบโอกาสให้กับคนรุ่นหลังทำเกมแบบนี้ต่อไปได้อีกด้วย ติดตามข่าวสารวงการเกม Facebook: GameFever TH ติดตามคอนเทนท์วิดีโอของเรา Youtube: GameFever TH
08 Aug 2019
รีวิว OLYMPIC GAMES TOKYO 2020 ประเดิมซีรีส์โอลิมปิกตัวแรกจากทาง SEGA
ออกมาแล้วสำหรับหนึ่งในซีรีส์ต้อนรับกิฬาโอลิมปิกปี 2020 จากทางค่าย SEGA กับเกม OLYMPIC GAMES TOKYO 2020 ที่ตัวเกมได้รวบรวมมินิเกมกิฬาที่ใช้แข่งขันโอลิมปิกที่กำลังจะมาในปีหน้าให้เราได้รับบทเป็นผู้เข้าแข่งขันเพื่อชิงเหรียญทอง ซึ่งในวันนี้เรา GameFever จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ และก่อนที่เราจะไปชมกันกระผมก็ต้องขอขอบคุณทาง SEGA ที่ส่งเกมนี้มาให้เรารีวิวครับ!! กราฟิก โดยกราฟิกของเกมนั้นมีโทนที่ไม่ได้ดูจริงจัง จะเทไปในทางการ์ตูนอยู่เยอะ แต่ดูเหมือนว่าผู้พัฒนาจงใจที่อยากจะทำให้เกมออกเป็นโทนนี้ เพื่อที่จะทำให้ตัวเกมมีความเข้าถึงง่ายนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นแสงเงาของเกมนั้นก็ต้องบอกเลยว่าทำได้ดีเป็นอย่างมาก ถึงขนาดคิดว่าสมมติถ้าผู้พัฒนาตั้งใจที่จะทำโมเดลให้สมจริงล่ะก็บอกเลยว่าหนาวแน่ และเนื่องจากที่เกมนี้ถูกสร้างโทนมาให้ไม่มีความจริงจัง ตัวเกมเลยมีการใส่ความแฟนตาซีเข้าไปอย่างเช่นแสงไฟลุกตอนวิ่ง หรือแสง Effect ต่างๆ ให้ดูน่าตื่นเต้นขึ้น ซึ่งส่วนตัวรู้สึกชอบนะและคิดว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าลองย้อนไปดูเกมอื่นๆ ของซีรีส์ OLYMPIC GAMES ที่จะออก ซึ่งจะออกแนวสดใสน่ารักหมด ส่วนตัวจึงแอบเสียดายว่าเอ๊ะ !! ถ้าเกมนี้ทำโทนออกมาจริงจังให้แหวกแนวกับเกมอื่นๆ ก็น่าจะดีมิใช่น้อย !! เกมเพลย์ อย่างที่บอกว่าตัวเกมได้รวบรวมกิฬาต่างๆ ของโอลิมปิกเอาไว้ในนี้ จากที่ได้เล่นนั้นตัวเกมมีให้เล่นทั้งหมด เกมคือ วิ่งร้อยเมตร เบสบอล วิ่งกระโดดข้ามรั้ว บาสเก็ตบอล ขว้างค้อน ฟุตบอล กระโดดไกล บีช วอลเลย์บอล ว่ายน้ำร้อยเมตรฟรีสไตล์ ปิงปอง ว่ายน้ำสองร้อยเมตรเมดเลย์ เทนนิส BMX มวย ซึ่งภายในหนึ่งปีทางผู้พัฒนาจะเพิ่มกิฬาเพิ่มๆ มาอีกด้วยอย่างเช่นยูโดหรือรัคบี้เป็นต้น จากที่ได้ลองเล่นมาก็เหมือนเป็นการรวมเกมมินิเกมหลายๆ เกมเข้าด้วยกัน เพราะแต่ละเกมจะใช้เวลาไม่มากอาจจะราวๆ 1 นาทีไปจนถึง 10 นาทีเท่านั้น รวมถึงตัวเกมยังสามารถเล่นออนไลน์ หรือเล่นกับเพื่อนอีกหนี่งจอยได้ ซึ่งพอเราเล่นแต่จบแต่ละรอบเราจะได้รับเงินในเกมซึ่งสามารถนำไปซื้อเสื้อผ้าต่างๆ ใส่ให้กับตัวละครของเราได้อีกด้วย โดยชุดต่างๆ ก็จะมีความแปลกๆ พิศดาล ชุดฮาๆ เพียบ วิธีการเล่นในแต่ละมินิเกมก็ไม่ได้ซับซ้อนเสียเท่าไร อย่างเช่นกิจกรรมพวกวิ่งแข่งต่างๆ ก็เพียงแค่กดปุ่ม X ตัวเดียวในการวิ่งเท่านั้น หรือต่อให้ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อยากเกินไปอยู่ดี อย่างเช่นการใช้ปุ้มอนาล็อคบังคับทิศทางเป็นต้น ซึ่งเอาตามตรงว่าส่วนหลังนี่ออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว แต่จากที่ได้ลองเล่นมานั้นก็ต้องยอมรับเลยว่าแต่ละมินิเกมนั้นก็ไม่ได้สนุกทุกเกม ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยชอบเกมที่เป็นการแข่งกันด้วยความเร็วเช่นพวกวิ่ง ว่ายน้ำ หรือ BMX ซักเท่าไหร่ เพราะกลไกของเกมเพลย์มันไม่ค่อยทำให้เรารู้สึกสนุกกับมัน อาจจะมีการกดให้ตรงจังหวะบ้าง แต่หลักๆ ก็เพียงแค่การกด X รัวๆ เท่านั้น ซึ่งเล่นได่ตาสองตาก็เบื่อแล้ว รวมถึงบางเกมเองก็ยังทำออกมาได้ขาดๆ เกินๆ อย่างเช่นฟุตบอลที่ต้องยอมรับว่ามันดูแข็งกระด้างไม่มีความลื่นไหลเป็นอย่างยิ่ง หรืออย่างบาสเก็ตบอลที่เอาจริงๆ แล้วทำออกมาได้ดีนะ แต่เวลาแต่ละแมตที่ให้กลับน้อยเกินไปนิดนั่นเอง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย เพราะบางเกมทำออกมาได้ดีจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง เพราะมินิเกมอื่นที่เหลือทำออกมาได้ดีมากๆ มีความลื่นไหลและท้าทายอยู่มากพอสมควร ซึ่งแต่ละเกมเหมาะมากๆ ที่จะเอามาเล่นกับเพื่อนๆ  อย่างเช่นพวกปิงปอง, เทนนิส, บีชวอลเลย์บอลเป็นต้น และที่สนุกที่สุดที่ต้องยอมรับเลยก็คือเกมมวย ที่ดีไซน์ออกมาได้ดีมากๆ การต่อยต่างๆ เราจะตองบังคับด้วยอนาล็อคทั้งซ้ายและขวา เปรียบเสมือนมือทั้งสองข้าง ไหนจะมีระบบหลบ ป้องกัน Parry รวมถึงท่าไม้ตายต่างๆ อีกด้วย ซึ่งตัวเกมมวยนี่บอกตามตรงทำดีๆ สามารถเอามาต่อยอดได้อย่างสบายๆ เลย สรุป ถึงแม้ว่าชื่อเกม หรือดูรวมๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้รู้สึกเชิญชวนให้ซื้อมาเล่นเท่าไรนักกับเกม OLYMPIC GAMES แต่ก็อยากจะบอกว่าเกมนี้ทำออกมาได้น่าพอใจ ถึงแม้ว่าบางเกมอาจจะไม่สนุก หรือโดยรวมมันจะขาดๆ เกินๆ ไปหน่อย แต่การันตรีเลยว่า เกมนี้มันจะสามารถมาสร้างความสีสันให้กับปาร์ตี้ของคุณ ที่อาจจะทำให้คุณขำจนท้องแข็งไปกับเกมมวย ปิงปอง เทนนิส หรือเกมอื่นๆ สามารถนำเกมนี้ไปเล่นกับเพื่อนเพื่อสร้างกิจกรรมต่างๆ หรือชาเลนซ์ต่างๆ ได้ ถ้าหากคุณมีเครื่อง Console เช่น PS4 ถ้าอยากหาเกมปาร์ตี้ติดบ้านก็แนะนำเลย แต่ถ้าหากคุณเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ตคอร์ที่อยากจะลองเข้าไปสัมผัสความเป็นกิฬาอย่างแท้จริง ก็ต้องบอกว่าคุณอาจจะผิดหวังกับมันและเกมนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ในสิ่งที่ควรจะเป็น รวมถึงใครที่มีเครื่อง Switch และมีแผนอยากจะซื้อเกม Mario&Sonic OLYMPIC GAMES อยู่ก็ไม่ต้องรีบร้อนที่จะซื้อเกมนี้ก็ได้ เพราะแค่คอสตูมดีไซน์ต่างๆ ก็กินกันขาดแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมในซีรีส์เดียวกัน และจากผู้พัฒนาเดียวกันก็เถอะ รอดิกว่า !! [penci_review id="25164"]
31 Jul 2019
Warframe เกมนินจาอวกาศตะลุยจักรวาล เกมฟรีและดีที่มีอยู่จริง
Warframe ข้อดี เกมฟรี ไม่มี Pay-to-Win ซะทีเดียว ส่วนมากจะเติมซื้อของตกแต่งตัวละคร ตัว Warframe หลากหลาย มีรูปร่างและความสามารถเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงอาวุธที่มีให้เลือกใช้มากมาย ทำให้สนุกไปกับการหาอะไรใหม่ๆมาใช้ ภาพสวยไม่น้อยไปกว่าเกมอื่นๆ เลย สามารถเล่นได้เพลินๆ มีอะไรให้ทำเยอะมาก ผู้พัฒนาใส่ใจ มีอัพเดตใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ข้อเสีย ผู้เล่นใหม่ในช่วงต้นเกมมักจะทำอะไรไม่ได้มาก ใช้เวลาซักพักใหญ่กว่าจะถึงจุดที่สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระ แต่หากไม่รีบอะไรก็สามารถเล่นได้แบบเพลินๆ เน้นการฟาร์มเพื่อหาของ หากใครที่ไม่ชอบการทำอะไรซ้ำๆ ก็อาจเบื่อเกมนี้ได้ การเคลื่อนที่ในเกมนี้ค่อนข้างไว คนที่ไม่ชินอาจเมามุมกล้องได้ง่าย แนวเกม Action ผู้พัฒนา Digital Extremes ผู้จัดจำหน่าย Digital Extremes เวลาเล่น เล่นได้ยาวๆ ถ้าไม่เบื่อ แพลตฟอร์ม Microsoft Windows, PlayStation 4, Xbox One, Nintendo Switch Warframe คืออะไร Warframe คือชื่อเกม Action Sci-fi มุมมองบุคคลที่สามแบบ Free-To-Play โดย Digital Extremes ที่เปิดให้เราได้ควบคุมหุ่นเกราะในชื่อเดียวกันที่ถูกปลุกขึ้นมาหลังระยะเวลาหลายพันปี หุ่น Warframe ในเกมมีมากถึง 40 ตัวให้เลือกใช้ และจะมีตามมาเพิ่มอีกในอนาคต ทุกตัวเป็นหุ่นที่มีความสามารถสูงและเก่งกาจกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ รวมถึงมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ สามารถต่อกรกับศัตรูทั่วท้องอวกาศได้อย่างไม่กลัวใคร แต่ละตัวก็มีความสามารถที่น่าจดจำและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่าง 3 ตัวแรกที่ผู้เล่นสามารถเลือกก็ได้แก่ Excalibur ที่สามารถเรียกดาบออกมาฟาดฟัน, Mag สาวพลังแม่เหล็กที่สามารถดึงและบนขยี้ศัตรูได้ และ Volt ที่มีพลังสายฟ้าที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อช็อตศัตรู อีกทั้งสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ได้เหมือน The Flash ระบบเนื้อเรื่องน่าสนใจ ระบบเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็เข้มข้นน่าติดตามมากทีเดียว โดยเมื่อเปิดเรื่องมา Warframe ของเราถูกปลุกขึ้นมาหลังระยะเวลาหลายพันปีบนโลกโดย Admiral Vor โดยหวังจับมาใช้งาน ทว่าเราเก่งกาจกว่าและฝ่ากองทัพ Grineer ออกมาได้ เราได้รับการช่วยเหลือโดยผู้หญิงสวมหน้ากากชื่อ ‘Lotus’ เธอเล่าให้เราฟังว่าแท้จริงแล้วชาติพันธุ์ของเราก็คือ Tenno ผู้ผดุงความยุติธรรมและต่อกรกับเหล่าวายร้าย เมื่อขึ้นมาบนยานก็พบว่ามี Ordis ปัญญาประดิษฐ์คอยดูแลยานของเราด้วย และแล้วการผจญภัยของเราก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้นี่เอง เมื่อเราผจญภัยออกไปเรื่อยๆ และลุยเนื้อเรื่องต่อ เราก็จะเริ่มรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเรามากขึ้น และมีอะไรอีกมากมายรอเราเข้าไปค้นหาอยู่ กราฟฟิคสวยงามไม่แพ้เกมตะลุยอวกาศเกมอื่นๆ อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นมากของเกมนี้ก็คือกราฟฟิคของตัวเกม ทั้งที่เป็นเกมฟรีแต่กราฟฟิคก็มีความสวยงามและตระการตามาก ทั้งวิวทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หรือทุ่งหิมะขาวโพลนสลับเทือกเขาสูงชัน สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่โอ่โถงที่เราได้พบเจอ หรือแม้แต่ด่านที่เราได้เข้าไปทำภารกิจก็ล้วนทำออกมาได้ดีงามเหมือนเราได้เข้าไปผจญภัยอยู่ที่นั่นจริงๆ เกมเพลย์สนุก มีอะไรให้ทำมากมาย นอกจากความเป็นเอกลักษณ์และสกิลเฉพาะตัวแล้ว อาวุธต่างๆในเกมก็น่าสนใจและหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหลัก รอง หรือประชิด ให้เราได้เลือกมาลองเล่นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีสัตว์เลี้ยง (Companion) ที่จะคอยช่วยเหลือเราเวลาออกไปทำภารกิจได้ด้วย ภารกิจต่างๆที่เราสามารถทำได้ก็มีภารกิจที่แตกต่างกันถึง 21 แบบ เช่น ภารกิจช่วยเหลือ ภารกิจป้องกัน ภารกิจลอบทำลาย เป็นต้น ซึ่งก็จะมีรูปแบบการสำเร็จภารกิจที่แตกต่างกันไป และยิ่งดาวที่ห่างไกลจากโลกมากเท่าไหร่ก็จะยากมากขึ้นเท่านั้น ระบบภารกิจไม่ได้มีเพียงบนพื้นดาวหรือภายในยานอวกาศ เกมนี้ก็มีอุปกรณ์ Archwing ที่สามารถช่วยให้ Warframe ของเราเคลื่อนที่ในน้ำ บินบนท้องฟ้า และท่องอวกาศได้อย่างอิสระ รวมถึงมีอาวุธให้ใช้ด้วย ทั้งปืนยิงและดาบฟาดฟัน บู๊ได้ไม่หวั่นแม้ไม่ใช่บนพื้นก็ซ่าได้ [caption id="attachment_24839" align="aligncenter" width="1024"] พร้อมลุย![/caption] ในเกมมีเพียง 2 ดาวเท่านั้นที่มีเมืองและสามารถเข้าไปผจญภัยในโลก Open World นั่นก็คือบนโลก (เมือง Cetus และทุ่ง Plains of Eidolon) และดาวศุกร์ (เมือง Fortuna และดินแดน Orb Vallis) ที่เปิดให้เราเข้าไปทำภารกิจ เดินเล่น ตกปลา ขุดแร่ ล่าสัตว์ รวมถึงสามารถล่าบอสขนาดยักษ์ได้ด้วย อีกระบบที่สำคัญนั่นคือการ Crafting, หากเราอยากมี Warframe หรืออาวุธและสิ่งอื่นๆเพิ่มเติม เราต้องรวบรวมแบบแปลนและวัตถุดิบต่างๆมาเพื่อ Craft สิ่งเหล่านั้นออกมา โดยวัตถุดิบพวกนี้ก็มีทั้งหาง่ายและหายากแตกต่างกันไป รวมถึงการฟาร์มหา Mod ที่สามารถนำมาใช้เพิ่มพลังให้กับ Warframe และอาวุธของเราด้วย การฟาร์มเป็นเรื่องธรรมดาของเกมนี้ คนที่รักสวยรักงาม เกมนี้ก็มีให้คุณด้วยเช่นกัน มีของตกแต่งมากมายที่สามารถช่วยเสริมสวยเสริมหล่อให้กับผู้เล่นด้วยเช่นกัน อย่างผ้าคลุมหรือเกราะ หรือแม้แต่ของตกแต่งสัตว์เลี้ยง ของตกแต่งยาน และชุดสีมากมายให้เลือกสรร ทำให้ผู้เล่นหลายๆคนเลือกที่จะเติม แต่ไม่ใช่เพราะต้องการเก่งกว่าคนอื่น ต้องการเพิ่มความเท่ต่างหาก! [caption id="attachment_24834" align="aligncenter" width="1024"] จะตกแต่งยานจัดเต็มขนาดไหนก็ทำได้[/caption] Community & Clan สังคมในเกมนี้เป็นมิตร อยู่คนเดียวก็สามารถไปรวมกลุ่มกับผู้เล่นอื่นเพื่อฟาร์มของก็ได้ เพราะในเกมมีช่องแชท Recruiting ให้เราได้มองหากลุ่มที่มองหาคนร่วมฟาร์มอยู่ หรือแม้แต่การ Trading สิ่งของกับผู้เล่นอื่นก็สามารถทำได้ รวมถึงระบบ Clan คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกอย่างถ้าเล่นเกมนี้แล้วมีเพื่อนเล่นด้วยจะสนุกมากเลย พากันฟาร์มสนุกสนาน อัพเดตต่อไป Warframe: Empyrean เป็นอีกครั้งที่เกมจะมีอัพเดตใหญ่ โดยอัพเดตก่อนหน้าคืออัพเดต Fortuna การมาของเมือง Fortuna และดินแดน Orb Vallis บนดาวศุกร์ ซึ่งสร้างความฮือฮาในเรื่องของธีมเมืองที่ออกมาในแนวนีออน และภูมิทัศน์ภายนอกที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลนทั้งๆที่ดาวศุกร์เป็นดาวที่มีอากาศร้อนมากๆ [embed]https://www.youtube.com/watch?v=wEgRfCef3Q4[/embed] และเป็นอีกครั้งที่เกมได้พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดจากครั้งที่แล้ว จากการประกาศในงาน TennoCon 2019 ที่ผ่านมา ทางทีมผู้พัฒนาได้เผยว่า อัพเดตต่อไปมีชื่อว่า Empyrean ที่มีระบบที่หลายๆคนรอคอย นั่นคือการมาของยาน Empyrean ขนาดยักษ์ที่สามารถขับออกไปจัดการยานศัตรูบนอวกาศร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ขับยานเข้าไปเทียบท่าและส่งเพื่อนเข้าไปทำลายจากภายใน ซึ่งระบบนี้ถูกปล่อยออกมาเป็นเกมเพลย์ออกมาก่อนหน้านี้ภายใต้ชื่อ Railjack โดยรวมแล้วการมาของมันช่างเป็นการขยายสเกลภารกิจให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างน่าตื่นเต้น [embed]https://youtu.be/8DObN_3ha6M[/embed] อีกทั้งโลก Open World ต่อไปที่มีชื่อว่า Duviri Paradox ซึ่งยังไม่ปรากฎว่าจะตั้งอยู่บนดาวดวงไหน แต่จากวิดีโอตัวอย่าง โลกมีความหม่นและมีการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย ยิ่งงุนงงเข้าไปอีกว่า Open World รอบนี้จะออกมาเป็นอย่างไร และเควสเนื้อเรื่องใหม่ New War เป็นอีกเควสที่หลายคนรอคอย เพราะจากเควสเนื้อเรื่องอันก่อนค่อนข้างทิ้งปมใหญ่ๆไว้ให้เราสงสัยและอยากรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อแล้วเต็มที (ไม่สปอยล์หรอก) โดยทางทีมผู้พัฒนาก็ได้ปล่อยวิดีโอเกี่ยวกับสถานที่และสภาพแวดล้อมในเควส ซึ่งทำออกมาได้อลังการและแปลกใหม่ทีเดียว (พี่ยังเป็นเกมฟรีจริงป่ะเนี่ย) ถึงตัวเกมจะอายุ 6 ปีแล้วก็ยังไม่ตาย เรียกได้ว่าเล่นกันไปยาวๆเลยสำหรับเกมนี้ เป็นอีกหนึ่งเกมฟรีเกมดีที่มีอยู่จริง Warframe ให้บริการทั้งบน PC, PS4, Xbox One และ Nintendo Switch ติดตามข่าวสารวงการเกมจากเราเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟสบุ๊ค GameFever TH * ขอบคุณรูปภาพประกอบจากแคลน Forbidden403_Forma ประจำ Alliance Unauthorized401
29 Jul 2019
Review - รีวิวเกม Judgment (PS4): เกมนักสืบกระทืบยากูซ่า
ข้อดี เนื้อเรื่องเข้มข้นน่าติดตาม ไม่แพ้ซีรี่ส์ฝรั่งทุนสร้างสูงๆ เลย เกมเพลย์มีความเรียบง่าย เข้าถึงได้ไม่ยาก เหมาะกับผู้เล่นหลากหลายแบบ กราฟิคบางส่วนทำออกมาดีมาก มินิเกมหลากหลาย มีอะไรให้ทำเยอะมาก เล่นคุ้มแน่นอน ข้อเสีย มีองค์ประกอบเรื่องกราฟิคที่พัฒนาได้อีกมาก เกมเพลย์ยังสามารถทำให้แปลกใหม่ได้มากกว่านี้ (แต่ไม่ได้ถึงกับไม่ดี) ภารกิจเสริมมักมีเนื้อหาที่ขัดกับความจริงจังของเนื้อเรื่อง แนวเกม: แอคชั่น ผู้พัฒนา: Ryu Ga Gotoku Studios จัดจำหน่าย: SEGA เวลาเล่น: ราวๆ 35 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่องโดยเล่นภารกิจเสริมไปเล็กน้อย) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4 (รีวิวใน PS4 Pro) หลังจากที่ง่วนผลิตเกมนักเลงในซีรี่ส์ Yakuza มาเนิ่นนาน ถึงเวลาแล้วที่ค่ายพัฒนามือฉมังของ Sony อย่าง Ryu Ga Gotoku Studio ก็ได้ฤกษ์โชว์ผลงานใหม่กับเค้าซะทีกับเกม Judgment (หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า Judge Eyes) เกมแอคชั่นผจญภัยใหม่ล่าสุด ที่ให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักสืบอิสระ เพื่อสืบสวนเงื่อนงำเบื้องหลังคดีฆาตกรรมโหดในเมืองคามูโระโจ แต่อาจจะด้วยความคุ้นเคยของทีมพัฒนาเอง บวกกับระยะเวลาการพัฒนาที่ค่อนข้างสั้น ทำให้เกม Judgment ยังคงมีความคล้ายคลึงกับเกมซีรี่ส์รุ่นพี่อย่าง Yakuza อยู่ค่อนข้างมาก ตั้งแต่ในเรื่องของกราฟิค การนำเสนอเนื้อเรื่อง ไปจนถึงเกมเพลย์ที่เรียกว่ายกเครื่องมาจาก Yakuza แทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีซะทีเดียว เพราะซีรี่ส์ Yakuza เองก็มีมาตรฐานเกมเพลย์และเนื้อเรื่องอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์ผู้เล่นที่เป็นแฟนๆ เกม Yakuza อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่คาดหวังจะได้รับประสบการณ์เกมเพลย์ที่แปลกใหม่ หรือคนที่ต้องการเล่นเป็นนักสืบแบบลึกซึ้งเข้มข้นแล้ว Judgment อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์คุณเท่าที่คาดหวังไว้ก็เป็นได้ เนื้อเรื่อง สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Judgment นั้นจะให้ผู้เล่นรับบทเป็น Takayuki Yagami อดีตทนายที่ผันตัวมาเปิดสำนักงานนักสืบอิสระ หลังจากที่เค้าได้ช่วยว่าความให้กับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมอันโด่งดังจนหลุดพ้นจากความผิดได้ แต่พ้นผิดได้ไม่ทันไร ผู้ต้องหาคนนั้นกลับก่อเหตุสะเทือนขวัญด้วยการแทงแฟนสาวของตนเองพร้อมจุดไฟเผาเธอทั้งเป็นอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ Yagami รู้สึกสูญเสียความมั่นใจในฐานะทนายจนต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักสืบนั่นเอง เนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มขึ้นสามปีให้หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อวันหนึ่ง Yagami ได้รับจ้างให้ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับรองหัวหน้าแก๊งยากูซ่าตระกูลหนึ่ง หลังจากที่เค้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง จนทำให้ Yagami ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ใหญ่โตกว่าที่ใครๆ คาดคิดเอาไว้ เช่นเดียวกับเกมพี่น้องร่วมค่ายอย่าง Yakuza เนื้อเรื่องของเกม Judgment อาจจะถือเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดตายของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมจะทำออกมาได้อย่างดี มีคุณภาพการเขียนบทและดำเนินเรื่องระดับเดียวกับซีรี่ส์ยาวทางทีวีที่เข้มข้น แต่เมื่อมาอยู่ในเกม การค่อยๆ เล่าเรื่องช้าๆ ผ่านฉากคัตซีนที่มีบทพูดเยอะๆ ก็อาจจะพาลทำให้ผู้เล่นเกมหลายๆ คนเบื่อไปได้เหมือนกัน ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าเกมมีฉากคัตซีนเยอะมากๆ ในบางช่วงแทบจะเป็นคัตซีนติดๆ กันเป็นครึ่งชั่วโมงเลยก็มี ฉะนั้นคนที่ไม่ได้ชอบเสพเนื้อเรื่อง หรือไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องของเกม อาจจะหมดความอดทนกับเกมไปซะก่อน (แต่ก็กดข้ามได้นะถ้าต้องการ) และอาจจะด้วยความที่เนื้อเรื่องเป็นแนวสืบสวนคดีฆาตกรรมแบบนี้ด้วยแล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของ Judgment มักจะมีความมืดมนมากกว่าเกมรุ่นพี่อย่าง Yakuza อยู่ประมาณนึง ซึ่งเมื่อนำมารวมกับเนื้อเรื่องเสริมกวนๆ แปลกๆ อันเป็นลายเซ็นของเกม Yakuza แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนโดนขัดอารมณ์ หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นคนละเกมกันไปเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับคนที่ชอบเกมที่มีเนื้อเรื่องให้ติดตามเยอะๆ หรือชอบดูซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว เกม Judgment อาจจะเป็นเกมที่คุณมองหามาตลอดเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณไม่ชอบนั่งดูคัตซีนทีละนานๆ จะข้ามเกมนี้ไปก่อนก็ไม่เสียหาย เกมเพลย์ ถ้าจะให้พูดถึงเกมเพลย์ของ Judgment อย่างสั้นๆ คงจะบรรยายง่ายๆ เลยว่ามันก็คือเกม Yakuza ที่แปลงกายมาเท่านั้นแหละ! เพราะตั้งแต่ระบบต่อสู้ ระบบการพัฒนาตัวละคร ไปจนถึงระบบเสริมต่างๆ อย่างระบบชื่อเสียงนั้นแทบจะถอดแบบมาจาก Yakuza เกือบทั้งสิ้นเลย สำหรับระบบต่อสู้ของเกมนั้นจะเป็นแนวแอคชั่นเต็มตัว โดยผู้เล่นจะสามารถกดปุ่นสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมสลับกันเพื่อสร้างเป็นคอมโบต่างๆ ได้ (นึกภาพเกมแนว Musou) และสามารถเก็บสิ่งของตามฉากมาใช้เป็นอาวุธได้อีกด้วย โดยในภาคนี้จะมีจุดเด่นที่รูปแบบการต่อสู้ของตัวละคร Yagami ที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้สองแบบคือ Crane (นกกระเรียน) ซึ่งเน้นการโจมตีเป็งวงกว้างด้วยลูกเตะ และ Tiger (เสือ) ที่เน้นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั่นเอง ซึ่งระบบนี้ก็คล้ายๆ กับระบบการเปลี่ยน Style ของเกม Yakuza 0 นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีท่าพิเศษที่เรียกว่า EX Action (หรือก็คือ Heat Action จากเกม Yakuza) ที่ให้เราสามารถเผด็จศึกศัตรูด้วยท่าโจมตีพิเศษต่างๆ อีกด้วย แม้ว่าระบบต่อสู้ของเกมจะค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้มีพื้นที่ให้ผู้เล่นพลิกแพลงอะไรได้มากมายนัก แต่ก็ทำออกมาได้อย่างลื่นไหลกว่าเกม Yakuza ทุกภาคที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบเล่นเกมแนวแอคชั่นเตะ-ต่อยที่ให้ความรู้สึกเกมยุคเก่าๆ เหมือนกัน เช่นเดียวกับระบบต่อสุ้ ระบบการพัฒนาตัวละคร/อัพสกิลก็เรียกว่ายกมาจากเกม Yakuza ทั้งดุ้นเลย โดยผู้เล่นจะได้รับแต้มสกิลที่เรียกว่า SP จากการต่อสู้และการทำกิจกรรมต่างๆ ในเมืองด้วย เพื่อนำมาแลกกับสกิลใหม่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นท่า EX Action ใหม่ๆ ไปจนถึงการเพิ่มเลือด/พลังโจมตี/ความเร็วของตัวละครเป็นต้น ซึ่งระบบก็ค่อนข้างเรียบๆ ไม่ได้มีอะไรให้พลิกแพลงหรือทดลองอะไรมากนัก นอกซะจากสกิลจำนวนน้อยที่ต้องใช้วิธีหา QR Code หรือตำราสกิลตามเมืองเอาเอง จึงไม่ได้มีอะไรจะวิจารณ์นักกับระบบการพัฒนาตัวละครของเกม เพราะมันก็ต้อบโจทย์ของมันได้พอดี แม้จะไม่ได้มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษก็ตาม นอกเหนือจากการต่อสู้และการผ่านภารกิจเนื้อเรื่องนั้น ผู้เล่นเกม Judgment จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมาย ตั้งแต่การทำภารกิจย่อยไปจนถึงกิจกรรมเสริมอย่างการเล่นตู้เกมหรือการหวดเบสบอลนั่นเอง ซึ่งจุดนี้ถือว่ารักษามาตรฐานจากเกม Yakuza มาได้เป็นอย่างดี ทุกกิจกรรมและภารกิจเสริมออกแบบมาได้ค่อนข้างสนุก มีเรื่องราวของตัวเองให้ติดตาม (แม้ว่าบางครั้งจะกระชากอารมณ์ไปนิดเมื่อเทียบกับความจริงจังของเนื้อเรื่องหลัก) ซึ่งนอกจากจะช่วยทำหน้าที่คั่นเวลาระหว่างภารกิจเนื้อเรื่องแล้ว ยังช่วยยืดเวลาการเล่นของเกมขึ้นไปได้อีกเยอะมากๆ เลยทีเดียว เอาใจคนที่ชอบเล่นเกมแบบยาวๆ คุ้มๆ แน่นอน องค์ประกอบเกมเพลย์เพียงอย่างเดียวที่น่าตำหนิก็คือมินิเกมที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีทั้งหลาย ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าเบื่อหรือน่ารำคาญอยู่พอสมควร อย่างมินิเกมการสอบปากคำที่ให้เราเลือกหลักฐานต่างๆ ที่พบมาใช้มัดตัวโจทย์ ที่ไม่ว่าจะเลือกผิดกี่ครั้งก็สามารถกลับไปเลือกใหม่ได้โดยไม่มีผลเสียใดๆ ต่อเราเลย หรือมินิเกมการสะกดรอยตาม ที่ไม่สนุก แถมบางครั้งยังน่ารำคาญด้วยเพราะโจทย์ที่ถูกเราสะกดรอยมักจะชอบหันหลังมามองบ่อยๆ (เซนส์แรงกันเหลือเกิน...) ทำให้เราต้องหลบเข้าที่กำบังและรอจนกว่าโจทย์จะหันหลังกลับไป ซึ่งบางครั้งก็ทำให้รู้สึกเสียเวลาเหมือนกัน ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกมไม่สามารถทำให้ระบบเกมเพลย์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนมีความเข้มข้นหรือท้าทายกว่านี้ ทั้งๆ ที่เป็นจุดขายหลักของเกมอย่างนึง กราฟิค/การนำเสนอ ถ้าจะให้พูดในแง่ภาพรวมโดยกว้างแล้ว คงต้องยอมรับว่ากราฟิคและการนำเสนอของเกม Judgment ยังสามารถทำให้หน้าสนใจได้มากกว่านี้อีกมาก มีองค์ประกอบด้านการนำเสนออย่างกราฟิคพื้นผิวสิ่งของ (Texture) หรืออนิเมชั่นการขยับตัวของตัวละคร ซึ่งยังคงทำออกมาได้แข็งๆ ทื่อๆ เหมือนเกมสมัย PS3 อยู่ในบางจุด แถมกราฟิค U.I. หรือหน้าเมนูต่างๆ ก็ทำออกมาเรียบๆ ไม่ค่อยน่าสนใจนัก เหล่า NPC ตามถนนในเมืองก็หน้าซ้ำกันเยอะแยะมากมาย พูดง่ายๆ คือเกมยังสามารถปรับปรุงเรื่องของกราฟิคได้อีกมากโขเลยถ้าอยากจะเทียบเท่าเกมอันดับต้นๆ ในตลาดตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกัน (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียน) ความแข็งๆ ทื่อๆ ของเกม Judgment เองก็อาจจะถือเป็นเสน่ห์หรือลายเซ็นของเกมอย่างนึงที่คงมาจากซีรี่ส์ Yakuza ก็ได้ เพราะทั้งสองเกมเป็นเกมที่มีเนื้อหาค่อนข้าง ติดดิน ในแง่ที่ว่าทั้งสองเกมเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีอยู่จริง (ย่าน Kamurocho ของเกมออกแบบมาจากย่าน Kabukicho ซึ่งมีอยู่จริง) และทั้งสองเกมก็มีเนื้อหาที่อิงโลกจริงๆ ซึ่งพอมารวมกับกราฟิคที่ดูดาษๆ เรียบๆ แล้วก็ให้ความรู้สึก จริง ที่ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมขึ้นมาได้อย่างดีทีเดียว ใช่ว่าเกมจะมีแต่ข้อเสียซะทีเดียว ยังมีองค์ประกอบด้านการนำเสนอหลายอย่างที่เกมทำได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของเมือง Kamurocho ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ไปจนถึงหน้าตาของตัวละครหลักทุกตัว ที่แสดงรายละเอียดสีหน้าได้ดีเยี่ยม แถมยังมีเรื่องเสียงพากย์ภาษาอังกฤษ ที่แม้จะเป็นครั้งแรกที่เกมของค่าย Ryu Ga Gotoku Studio จะมีเสียงพากย์ภาษาอังกฤษ แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ คุณภาพเสียงพากย์ทุกตัวไม่ต่างจากเสียงนักแสดงในซีรี่ส์ฝรั่งเลยทีเดียว ทั้งนี้ เกมยังมีปัญหาในเรื่องของการโหลดเข้า-ออกคัตซีนอยู่บ้าง โดยเกมมักจะเกิดอาการค้างไปชั่วขณะ หรือไม่ก็กระตุกๆ แปลกๆ บ่อยครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เสียอารมณ์การเล่นไปมากมายนัก แต่ถ้าปรับปรุงได้ก็จะยกระดับเกมขึ้นมาได้อีกนิดหน่อยสำหรับผู้เขียน สรุป แม้จะไม่ได้พลิกแพลงสูตรไปจากเกมรุ่นพี่อย่าง Yakuza ไปเท่าไหร่นัก แต่เกม Judgment ก็ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่ดีสำหรับค่าย Ryu Ga Gotoku Studio และเป็นข้อพิสูจน์ว่าค่ายสามารถรักษามาตรฐานของเกมที่ปล่อยออกมาได้แน่นอน ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม ไปจนถึงเกมเพลย์ที่แม้จะไม่ได้แปลกใหม่ แต่ก็ตอบโจทย์ในสิ่งที่พยายามจะทำได้อย่างน่าพอใจ ใครที่หาเกมเล่นยาวๆ คุ้มๆ ในช่วงเกมออกน้อยอย่างช่วงนี้ควรจะพิจารณาเกมนี้ดูนะ! [penci_review id="24251"]  
09 Jul 2019
รีวิว Days Gone หนึ่งในเกมซอมบี้ยอดเยี่ยมของปีนี้
Days Gone เกมแนวซอมบี้ Openworld จากทาง SIE Bend Studio ของ Sony ที่ได้กลิ่นอายการผสมผสานของซีรีส์ The Walking Dead และ Son of Anachy เข้าด้วยกัน (ผู้พัฒนาบอกว่าได้รับรางบรรดาลใจมาจากสองเรื่องนี้) โดยตัวเกมเปิดตัวมาตั้งแต่งาน E3 2016 แต่ตัวเกมก็อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเกมที่ล่าช้ากว่าปกติด้วยเหตุผลบางประการ จนแฟนๆ ต่างรอกันเหงือกแห้ง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมนี้ก็ออกมาให้เราเล่นสมใจอยากแล้ว และในบทความนี้เรา GamefeverTH จะมารีวิวเกม Days Gone ให้ทุกท่านได้ชมกัน ว่ามันยอดเยี่ยมหรือไม่!! ชอบหรือไม่ชอบยังไง และสมแก่การรอคอยอันเนิ่นนานกว่า 3 ปีไหม? ซึ่งเราก็ต้องขอขอบคุณทาง PlayStation ที่ได้ส่งเกมนี้มาให้ทางเรารีวิวด้วยครับ เนื้อเรื่อง **รูปภาพอาจจะมีสปอยส์เล็กๆ ในบางเนื้อหา** เรื่องราวของเกมนี้จะตั้งอยู่ในโลกหลังจากเกิดซอมบี้ระบาดสองปี ทำให้ผู้คนแบ่งเป็นหลายกลุ่มการปกครอง โดยเราจะได้รับบทเป็น Deacon St. John นักล่าค่าหัว อดีตสมาชิกกลุ่ม Drifter (แก็งค์ช็อปเปอร์) ที่จะต้องใช้ชีวิตให้รอดอยู่ในดินแดนอันว่างเปล่านี้ พร้อมกับหาความลับและความจริงในเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้เข้าไปพบเจอ โดยกลิ่นอายของเนื้อเรื่องก็ยังตามแบบฉบับของเกมในเครือ Sony แต่ที่พิเศษคือตัวเกมนั้นเปิดเรื่องมาไม่ได้ซับซ้อน ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบเนื้อเรื่องก็อาจจะคล้ายๆ กับซีรีส์ The Walking Dead ที่เน้นความสมจริง การอยู่รอดของกลุ่มคนต่างๆ มีการปฏิสัมพันธ์กับคนหลายรูปแบบ แต่เนื้อเรื่องก็จะพาให้เราเข้าใจเรื่องราวและรับรู้ความจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อย การดำเนินเนื้อเรื่องจะแบ่งเป็นเควส ซึ่งจะมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง แต่จะดำเนินภารกิจพร้อมๆ กันไปทุกๆ เควส โดยส่วนตัวต้องขอชมความไม่ซับซ้อนของเนื้อเรื่องเกมนี้ มันเลยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ง่าย แต่มันก็อาจจะมีจุดเสียอยู่บ้าง เพราะบางทีมันก็เปิดเรื่องมาแบบงงๆ ไม่เล่าที่มาที่ไปมากนัก แต่เราก็จะค่อยๆ เข้าใจมันไปทีละนิด รวมถึงในบางเรื่องราว เนื้อหาบางประเด็นอาจจะเล่นไม่สุด !! จุดพีคต่างๆ ของบางเนื้อเรื่องอาจจะเค้นอารมณ์ไม่มากพอทั้งๆ ที่ปูมาดี แต่มันก็เป็นแค่เนื้อเรื่องบางส่วนเท่านั้น เพราะบางเนื้อเรื่องก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม กราฟิก ตัวกราฟิกของเกมนั้นก็ทำออกมาไม่ได้สวยกว่าเกมอื่นๆ เท่าไร แต่มันก็ยังสวยและดูทันสมัยกว่าในตัวอย่างที่เคยออกมา ฉากภายในเกมก็ทำรายละเอียดออกมาได้ดีเยี่ยม แต่ส่วนใหญ่ฉากของเกมก็จะเป็นป่าไปซะหมด ซึ่งเอาตามตรงมันก็จะมีกลิ่นอายคล้ายๆ กับเกม Far Cry อยู่หน่อยๆ เลยทำให้การขับรถกินลมชมวิว ไม่ค่อยอภิรมย์มากนัก NPC ที่จะมี Interactive ตามฉากเราก็อาจจะไม่ได้เห็นมากนักเหมือนเกมอื่น ถึงอย่างนั้นมันก็จะมีอีเวนท์เหตุการณ์สุ่มมาบ้าง แต่ยอมรับตามตรงว่ามันก็ไม่ได้มีชีวิตชีวาเท่าเกมอื่น ที่มีผู้คนทำกิจกรรมภายในแผนที่มากมาย แต่ถ้าจะให้คิดอีกแบบ ที่ผู้พัฒนาทำแบบนี้มันอาจจะเป็นไปตามธีมของเนื้อเรื่องก็เป็นได้ ที่ว่าเกมนั้นเต็มไปด้วยซอมบี้ ผู้คนธรรมดาก็คงจะไม่อยากไปเดินเล่นให้ผีมันไล่กัดเอาก็ได้ 5555+ ส่วนตัวเคยทดสอบเกมนี้ทั้งจอ Full HD และ 4K มาแล้ว ยอมรับตามตรงว่าความสวยงามของทั้งสองจอนี่ห่างชั้นกันเยอะเลย ใครมีจอ 4K และมี PS4 Pro ส่วนตัวบอกเลยว่าคุณจะได้รับประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมของเกมนี้แน่นอน และนอกจากภาพที่ให้อารมณ์มากกว่าแล้วนั้น ตัวเกมยังไม่หน่วงเหมือนบางเกมที่ดัน 4K แล้วเกมเฟรมเรทตก เกมเพลย์ จากตัวอย่างในงาน E3 2016 ใครที่คิดว่าตัวเกมจะเน้นการยิงซอมบี้เป็นฝูง ผมเองก็อยากให้ทุกท่านคิดใหม่เลยครับ เพราะจากที่เล่นมา เกมนี้มีความเป็น Survival อยู่มากพอสมควร โดยเกมนี้ได้เอาระบบความเป็น RPG มาใช้ ในเริ่มต้นตัวเราจะไม่ได้มีอาวุธดีๆ กระสุนเป็นร้อยๆ นัดทันที !! สเตตัสต่างๆ ของตัวเราเองก็ไม่มากพอที่จะสู้กับศัตรูเหล่านั้นไหว เพราะ Freaker (ซอมบี้ในเกมนี้) หรือศัตรูอื่นๆ เนี่ย ตีเราแรงมากๆ ตบเรา 3-4 ทีก็ลงไปนอนแล้ว เลยทำให้รูปแบบการเล่นเน้นไปในทางลอบเร้นจะดูเข้าท่าที่สุดในช่วงแรก เพราะประหยัดกระสุน และทรัพยากรอื่นๆ ได้มากที่สุด รวมถึงตัวช่วยในการรอบเร้นเองก็ทำออกมารองรับเราได้อย่างดี เช่นการใช้หินโยนสร้างความหันเหให้ศัตรูและค่อยๆ เก็บทีละตัว มีหน้าไม้ยิงเก็บเสียง หรือปืนต่างๆ ก็มีปอกเก็บเสียงให้เรารอบเร้นเข้าไป ซึ่งส่วนตัวชอบในระบบนี้นะ เพราะมันทำให้เรามีกลยุทธ์ในการเล่นมากกว่าการประจันหน้าไล่ยิงไล่ฟันซอมบี้เหมือนเกมอื่นๆ ตัวเกมยังสามารถทำให้เรากลัวศัตรูทุกตัวได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกกระจ๊อกก็เถอะ แต่ถ้าหากใครที่อยากจะไฝว้กับ Freaker เป็นฝูง คุณเองก็สามารถทำได้ !! แต่ตัวละครของคุณนั้นจะต้องเก่งหรือว่ามีความสามารถระดับ End Game แล้วนั่นเอง ซึ่งมันก็อาจจะต้องใช้เวลาในการอัพเกรดความสามารถของตัวละครในระดับหนึ่ง และรับประกันเลยต่อให้คุณมีความสามารถที่จะบวกกับซอมบี้เป็นฝูงได้แล้ว แต่ด้วยความท้าทายและความโหดของซอมบี้ที่คุณได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้ มันไม่มีทางที่จะทำให้คุณรู้สึกชิลๆ ในการต่อสู้แน่นอน   ศัตรูสุดโหด และอันตรายรอบด้าน สิ่งที่เราจะต้องปะทะภายในเกมจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดนั่นคือ Freaker ซอมบี้ที่อยู่ทั่วทุกทิศทาง มีจำนวนเยอะแต่ข้อเสียคือความฉลาดจะน้อย, สัตว์ดุร้ายต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหมาป่า ซึ่งจะมีความเร็วในการไล่กวดเรามากสุด หูไวตาไวแต่เลือดน้อย (ยกเว้นหมี) และสุดท้ายคือมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งจะหูไวตาไว มีการเดินหาเวลาเจอสิ่งที่ผิดสังเกตุ และสไนเปอร์ยิงเราร่วงจากรถได้ในระยะไกล แต่ข้อเสียก็มีอยู่บ้างคือ A.I ของเกมนี้ก็อาจจะมีอาการเอ๋อๆ ให้พบเจอเหมือน ในบางจุดที่ควรจะเห็นเราก็ไม่เห็น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีในการผ่านด่าน แต่ข้อเสียคือความท้าทายก็อาจจะลดลงไปนิดหน่อย เลยทำให้ความกดดันของเกมนี้จะอยู่ที่จำนวนของศัตรูในแผนที่ ที่มีมากในระดับหนึ่ง และความแรงในการโจมตีจนทำให้เราไม่อยากจะโดน   เน้นความ Survival และการสำรวจ โดยเกมนี้ผู้พัฒนาน่าจะอยากให้เราสัมผัสความเป็น Survival มากพอสมควร เนื่องจากทรัพยากรต่างๆ ที่มีจำกัด อุปสรรค์ในเรื่องรถเป็นปัจจัยหลักของเกมนี้อีกด้วย เพราะส่วนใหญ่ตัวเราจะใช้เวลาอยู่บนรถช็อปเปอร์คู่ใจของเรา ซึ่งมันจะต้องเติมน้ำมันอยู่ตลอดเวลา โดยมันสามารถหาได้จากการเอาน้ำมันมาเติม ตามปั๊ม, สถานที่หรือแคมป์ต่างๆ รวมถึงตัวรถเองก็มีเลือดของมัน ซึ่งถ้าหากเราโดนศัตรูยิง, หรือขับชน ตัวรถของเราเองก็จะพังและวิ่งไม่ได้ ซึ่งเราก็สามารถไปซ่อมไปตามแคมป์ หรือหาเศษเหล็กตามแผนที่มาซ่อม [caption id="attachment_21382" align="aligncenter" width="1024"] ขับรถมากก็ต้องเติมน้ำมัน ขับชนก็ต้องซ่อม ไม่งั้นรถวิ่งไม่ได้[/caption] การ Fast Travel ของเกมนี้เองก็ทำออกมาได้ไม่เหมือนเกมอื่น เพราะใช่ว่าเราจะสามารถวาร์ปไปไหนก็ได้ตลอดเวลา แต่เราจะต้องใช้น้ำมันในการวาร์ปด้วย อารมณ์เหมือนว่าการวาร์ปเราก็คือการขับรถข้ามเมืองโดยไม่ต้องขับเองนั่นแหละ และที่สำคัญคือ ถ้าหากเส้นทางของเราที่จะไปมันมีรังซอมบี้ขวางทางอยู่ในแผนที่ มันก็จะทำให้เราไม่สามารถวาร์ปได้นั่นเอง ซึ่งเราก็จะต้องไปไล่เผารังของพวกมันก่อนเพื่อจะสามารถ Fast Travel ได้ และลดความอันตรายของแผนที่ด้วย Fast Travel ต้องใช้เวลา และน้ำมัน [caption id="attachment_21386" align="aligncenter" width="1024"] เผารังซอมบี้เพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องเกิดแถวนี้เยอะ[/caption] รวมถึงการสำรวจสถานที่ต่างๆ เองก็เป็นสิ่งที่เราห้ามละเลย เพราะทรัพยากรต่างๆ อย่างเช่นวัสดุที่จะเอามาคราฟของหรือยาต่างๆ นั้นจะต้องหาตามแผนที่ หรือเก็บเอาจากศพที่ฆ่าได้ พร้อมทั้งยังมีการไปสำรวจที่พักนักวิจัยซึ่งมันจะมีไอเท็มอัพเกรดตัวละครในนั้นคือการเพิ่มเลือด, เพิ่ม Stamina และเพิ่มความแม่นในการยิง (จะต้องเลือกเอาว่าจะอัพอะไร) [caption id="attachment_21383" align="aligncenter" width="1024"] หาของคราฟ, ยา, กระสุน ตามบ้านและศพ[/caption] [caption id="attachment_21384" align="aligncenter" width="1024"] งัดรถเพื่อหาเศษเหล็กไว้ซ่อม[/caption] ระบบ Level เวลาฆ่าศัตรูหรือทำเควสเสร็จ ตัวละครเรานั้นจะได้รับ XP มาด้วย ซึ่งถ้าหากเลเวลอัพเราก็จะได้แต้มเพื่อมาอัพความสามารถต่างๆ ได้ โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 สายนั่นคือสายโจมตีระยะใกล้ (ใช้อาวุธระยะประชิด), สาย (สายใช้ปืน) และสายการเอาตัวรอด ซึ่งเราก็สามารถอัพข้ามสายไปมาได้ และแต่ละสายก็จะแบ่งเป็นระดับไป แคมป์ ในการดำเนินเนื้อเรื่องไปสักพัก ตัวเราจะได้เข้าไปพักไปแคมป์ของผู้นำต่างๆ ที่ในนั้นจะมีไอเท็มขายเช่นยา, กระสุน, ปืน, ของแต่งมอเตอร์ไซต์ รวมถึงแหล่งซ่อมรถและเติมน้ำมันก็สามารถซื้อได้ในนี้ ซึ่งมันจะอำนวยความสะดวกเราได้มากมาย แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ที่ว่าตัวแคมป์จะใช้แต้มในการซื้อของ ซึ่งแต่ละแคมป์จะใช้แต้มแยกกัน ไม่สามารถใช้แต้มแคมป์หนึ่งอีกของอีกแคมป์หนึ่งได้ โดยแต้มต่างๆ ก็หาได้จากการทำเควสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแคมป์นั้นๆ เช่นเควสเนื้อเรื่อง หรือเควสล่าค่าหัวนั่นเอง รวมถึงแต่ละแคมป์ก็จะต้องใช้ค่า Trust ที่แต่ละเลเวลของค่านี้จะทำให้เราซื้อของดีๆ ได้มากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าค่านี้แต่ละแคมป์แยกกัน รวมถึงของดีๆ ที่จะซื้อได้ก็ต่างกันด้วย เช่นแคมป์นี้เด่นเรื่องของแต่งมอเตอร์ไซต์ แต่อีกแคมป์จะเด่นเรื่องอาวุธปืนเป็นต้น พร้อมทั้งเรายังสามารถพบเจออีเวนท์พิเศษอื่นๆ ได้ตามแผนที่ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะไปช่วยคนแปลกหน้าและพาเขาไปอยู่ตามแคมป์ต่างๆ ซึ่งเราเองก็จะสามารถได้สิทธิพิเศษของแคมป์นั้นตอบแทนอีกด้วย สรุป Days Gone ก็ยังเป็นเกมที่คงมาตรฐานของเกมในเครือ Sony ได้อย่างดี รูปแบบเกมเพลย์เองก็ทำออกมาได้น่าสนใจ และสามารถทำให้ผู้เล่นนั้นติดพันได้ไม่ยาก เราสามารถจมปลักอยู่กับเกมนี้ได้มากกว่า 30 ชั่วโมงเฉพาะเนื้อเรื่องหลัก และสามารถบวกเวลาเพิ่มได้อีก ถ้าหากคุณเน้นอัพเกรดตัวละครหรือเปิดแผนที่ทำกิจกรรมให้ครบ ซึ่งมันก็จะดูดเวลาคุณเพิ่มขึ้นไปอีก แต่มั่นใจได้ว่าบางคนก็อาจจะผิดหวังที่เราอาจจะไม่ได้เห็นการยิงซอมบี้เป็นฝูงเหมือนในตัวอย่างมากนัก แต่บอกเลยว่าตัวระบบลอบเร้นหรือระบบการต่อสู้ส่วนใหญ่นั้นทำออกมาได้ดีมากๆ และทำให้เรารู้ถึงความท้าทายมากกว่าเกมแนวฝูงซอมบี้ดั่งเกมอื่นๆ มันให้อารมณ์ความรู้สึกว่านี่แหละซอมบี้จริงๆ ที่ควรจะเป็นในเกมสไตล์นี้ และที่เด่นมากที่สุดนั่นคือตัวเนื้อเรื่องของมันที่ทำได้เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย มีการเล่าเรื่องไม่ซับซ้อน ถึงแม้ว่าอาจจะเปิดตัวมาด้วยความไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง แต่นี่มันเป็นความตั้งใจของผู้พัฒนาที่อยากให้เราเรียนรู้ความจริงไปพร้อมๆ กับตัวละครนั่นเอง เพราะเวลาคุณยิ่งรู้ความลับของเกมนี้เรื่อยๆ มันจะยิ่งทำให้คุณสนใจ และอยากรู้มันมากขึ้น แต่เนื้อเรื่องก็จะมีจุดที่น่าเบื่อเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจในระบบเกม Openworld ที่เนื้อเรื่องไม่ได้มีแค่ประเด็นเดียว เลยทำให้ความต่อเนื่องและการเฉลี่ยเนื้อเรื่องอาจจะขาดไป ถึงอย่างนั้นโดยรวมๆ แล้วเนื้อเรื่องก็อยู่ในขั้นที่โอเค แต่อาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเหมือนเกม Sony อื่นๆ [penci_review id="21343"]
25 Apr 2019
รีวิวเกม Sekiro: Shadows Die Twice - นินจาไร้ปราณี ตายกี่รอบก็ไม่พอ
ข้อดี เกมเพลย์ดีมากๆ ท้าทายอย่างยุติธรรม บรรยากาศของเกมมีความน่าสนใจ มีความแฟนตาซีผสมกับความบิดเบี้ยวในแบบฉบับเกมตระกูล Soul เนื้อเรื่องติดตามง่ายกว่าเกม From Software อื่นๆ แต่ก็ยังมีความลับให้สำรวจเยอะมาก ข้อเสีย เกมยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกก จนอาจจะไม่เหมาะกับผู้เล่นทุกคน อนิเมชั่นการปลิดชีพศัตรูซ้ำๆ กันทั้งเกม แนวเกม: แอคชั่น ผู้พัฒนา: From Software จัดจำหน่าย: From Software, Activision เวลาเล่น: ราวๆ 20 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง แต่เวลาเล่นจริงจะผกผันตามฝีมือคนเล่น) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (รีวิวใน PS4 Pro) (รีวิวโดย: Devil Takoyaki) แม้ว่าจะมีประวัติยาวนานมามากกว่า 30 ปี (ค่ายก่อตั้งปี 1986) แต่ค่ายพัฒนา From Software ก็คงไม่ได้ถูกนับเป็นหนึ่งในค่ายพัฒนาระดับแนวหน้าของวงการเกม ที่มีผู้คนรอเล่นเกมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งการมาถึงของเกม Demons Souls เกม RPG มหาโหดของค่ายที่ได้รับการจดจำในฐานะเกมที่ยากอันดับต้นๆ ของยุค แต่กลับสามารถดึงดูดกลุ่มผู้เล่นได้มหาศาล จนก่อนให้เกิดเกมตระกูล Souls (Dark Souls และ Bloodborne ก็นับด้วย) ตามมาอีกหลายภาคตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยแน่นอนว่าเกมทุกภาคยังคงเกมเพลย์ที่ท้าทายชวนหัวร้อนของเกมต้นตำหรับเอาไว้ (และเผลอๆ จะเพิ่มให้หนักขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ด้วย) ด้วยความนิยมอันท่วมท้นของเกมตระกูล Souls จึงไม่แน่แปลกใจที่เกมเมอร์ทั่วโลกจะให้ความสนใจกับเกมใหม่ล่าสุดของค่ายอย่าง Sekiro: Shadows Die Twice เกมแอคชั่นนินจาซีรี่ย์ใหม่ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ได้ลองเล่นจนจบเนื้อเรื่องมาแล้ว ก็พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเกม Sekiro นี้ยากในระดับที่ทำให้เกมตระกูล Souls ที่ผ่านๆ มาดูเป็นเกมเด็กเล่นไปได้เลย ด้วยระบบเกมเพลย์แบบแอคชั่นที่ต้องใช้ฝีมือดิบๆ ล้วนๆ โดยไม่มีเวทย์มนตร์หรืออาวุธพิเศษ (ถ้าไม่นับอาวุธนินจาในแขนกล) มาเป็นตัวช่วย ไม่มีการเก็บเลเวลเพื่อเพิ่มค่าความสามารถ มีเพียงฝีมือในการเล่นเกมเท่านั้นที่จะช่วยให้เราพิชิตเหล่าศัตรูน้อยใหญ่อันร้ายกาจในเกมได้ แต่ก็เพราะแบบนี้เองเช่นกัน ที่ทำให้เกม Sekiro: Shadows Die Twice ถือเป็นหนึ่งในเกมแอคชั่นที่ดีเยี่ยมในลักษณะคล้ายๆ กับเกมอย่าง Devil May Cry 5 ที่เพิ่งวางจำหน่ายไป เพราะทั้งคู่ถือเป็นเกมที่สนุกอย่าง บริสุทธิ์ เป็นเกมที่ต้องใช้ฝีมือและไหวพริบในการเอาชนะเท่านั้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีระบบเล็กๆ ยุบยับไปหมดให้ต้องคำนึงถึง แต่วัดความสำเร็จทั้งหมดจากความสามารถและความคุ้นเคยต่อเกมของผู้เล่นทั้งหมด แม้ว่าจะมีองค์ประกอบในส่วนขอการนำเสนอที่อาจจะปรับปรุงได้บ้าง แต่โดยรวมก็ยังถือว่า Sekiro: Shadows Die Twice เป็นเกมที่ออกแบบมาได้อย่างปราณีตและสนุกมากๆ เหมาะกับเกมเมอร์ที่อยากจะท้าทายตัวเอง ให้รู้กันไปเลยว่าจริงๆ แล้วเราเล่นเกม เก่ง แค่ไหนกันแน่ เนื้อเรื่อง สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Sekiro: Shadows Die Twice นั้นจะติดตามนินจาหนุ่มที่ใช้ชื่อว่า โอคามิ (แปลว่าหมาป่านั่นเอง) ผู้ซึ่งดำรงค์ตำแหน่งนินจาอารักขาขององค์ชายคุโระ ผู้สืบสายเลือดคนสุดท้ายของโชกุน และเป็นผู้สืบ สายเลือดมังกร เป็นคนสุดท้ายด้วย โดยเหตุการณ์ของเกมจะเริ่มขึ้นเมื่อองค์ชายคุโระถูกลักพาตัว โดยโอคมิก็ไม่รอช้ารีบรุกไปช่วยเหลือองค์ชาย แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับซามูไรข้าศึกจนต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่โชคดีของโอคามิ ทำให้เค้าได้รับการช่วยเหลือจากชายแก่ปริศนาคนหนึ่ง ซึ่งมอบแขนกลนินจาให้กับโอคามิ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางเพื่อตามหาองค์ชายผู้เป็นนายอีกครั้ง แม้ว่าเนื้อเรื่องในเกม Sekiro: Shadows Die Twice จะไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเมื่อเทียบกับเกมฟอร์มใหญ่ๆ หลายๆ เกมที่วางจำหน่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เนื้อเรื่องของเกมก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ซึ่งก็คือการมอบแรงขับหรือจุดประสงค์ให้กับการกระทำของโอคามิ (ซึ่งก็คือผู้เล่นนั่นแหละ) ถ้าจะต้องชม ก็คงต้องชมในประเด็นการนำเสนอของเนื้อเรื่อง ที่มีความตรงไปตรงมามากกว่าเกมที่ผ่านๆ มาของผู้พัฒนา From Software (เกมตระกูล Soulsborne ทั้งหลาย) ที่มักจะมีเรื่องราวลึกซึ้ง แต่ต้องอาศัยความพยายามของผู้เล่นในการตามหาข้อมูลเอาเองจาก NPC หรือไอเทมในเกม โดยแม้ว่า Sekiro จะยังคงมีเกร็ดเนื้อเรื่องลับๆ ให้เราได้ตามหาอยู่ แต่อย่างน้อยผู้เล่นที่ไม่ได้อยากจะใช้เวลาในการตามเก็บความลับทุกอย่างก็จะยังพอมีเนื้อเรื่องให้ติดตามอยู่บ้าง ต่างกับเกม Soulsborne อื่นๆ ที่ถ้าไม่พยายามตามหาเอาเองก็แทบจะไม่เล่าอะไรให้เราฟังตรงๆ เลย แน่นอนว่าพวกเกร็ดเนื้อเรื่องเสริมที่เราสามารถพบได้ระหว่างทางก็ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเกมค่าย From Software อยู่แล้วด้วย ซึ่งใน Sekiro ก็มีเนื้อเรื่องเหล่านี้จาก NPC ตามทางมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมได้อย่างดีมากๆ แถมยังช่วยเสริมประเด็นเรื่องความตายของเกมได้มาก ทำให้โลกของเกมรู้สึกลึกและน่าสนใจกว่าเดิม มีความรู้สึกว่าทุกอย่างมีเรื่องราวที่มีความหมายแฝงอยู่ ซึ่งก็ช่วยทำให้การเล่นเกมมีเป้าหมายมากกว่าแค่การตะลุยด่านสู้บอสไปเรื่อยๆ ได้เหมือนกัน กราฟิค/การนำเสนอ เมื่อพูดถึงซีรี่ย์ Soulsborne นั้น แน่นอนว่าสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเกมเพลย์ของซีรี่ย์ แต่อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้ผู้เขียนหลงไหลเกมตระกูล Soulsborne (โดยเฉพาะ Bloodborne) ก็คือลายเซ็นการออกแบบฉากและศัตรูใยนซีรี่ย์ ที่มักจะมีความอัปลักษณ์ บิดเบี้ยว แม้จะเป็นศัตรูที่อิงจากสิ่งมีชีวิตจริงๆ อย่างหมาป่าหรือมนุษย์ก็ตาม ซึ่งเมื่อนำมารวมกับการออกแบบฉากที่เน้นโทนสีมืดๆ ก็ช่วยเสริมบรรยากาศอันน่ากดดันของซีรี่ย์ขึ้นไปอีกระดับ ทำให้รู้สคกว่าศัตรูทั้งหมดในเกมมีความอันตรายจริงๆ ทุกครั้งที่เห็น แม้จะไม่ได้ถือเป็นเกมตระกูล Soulsborne กับเค้าด้วย แต่ Sekiro ก็ยังคงแนวทางการออกแบบฉากและศัตรูแบบเดียวกับเกมรุ่นพี่ด้วย โดยแม้ว่าศัตรูและบอสหลายๆ ตัวในเกมจะเป็นเพียงทหารหรือซามูไรมนุษย์ธรรมดาๆ แต่เมื่อออกแบบในสไตล์ของ From Software แล้วก็ทำให้หน้าตาและรูปร่างของศัตรูเหล่านี้มีความเป็น อมุษย์ อยู่ด้วย ซึ่งก็ช่วยเสริมบรรยากาศอันน่ากดดันของเกม ความบิดเบี้ยวที่ว่านี้ยังครอบคลุมไปถึงการออกแบบฉากด้วย โดยแม้ว่าเกม Sekiro จะไม่ได้ใช้โทนสีทะมึนๆ เพียงอย่างเดียวเหมือนเกม Soulsborne แต่ความสดใสของ Sekiro กลับมาหลายๆ ส่วนที่ทำให้รู้สึกน่าขยะแขยงอยู่ ซึ่งก็ช่วยเสริมบรรยากาศอันตรายของเกมในแบบเดียวกับเกม Soulsborne ได้ด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่าชมทีมออกแบบที่ยังสามารถสร้างโลกที่ให้ความรู้สึกสวยและกดดันพร้อมๆ กันแบบนี้ได้ ทั้งนี้ กราฟิคของเกม Sekiro คงจะไม่ได้ถูกจดจำเป็นพิเศษ อาจจะด้วยสไตล์การออกแบบของค่ายที่ทำให้ไม่สามารถทำให้กราฟิคมีความสมจริงได้มากกว่านี้ แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก ถ้าจะมีอะไรที่อยากจะตำหนิจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องของอนิเมชั่นการปลิดชีพศัตรู ซึ่งค่อนข้างจะคล้ายๆ กันไปหมดไม่ว่าจะใช้ใส่ศัตรูชนิดไหนก็ตาม เห็นไม่กี่ครั้งก็รู้สึกไม่ตื่นเต้นซะแล้ว (แต่เป็นอนิเมชั่นที่ต้องเห็นนับร้อยๆ ครั้งตลอดเวลาที่เล่นเกม) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบย่อยๆ ที่น่าจะเพิ่มความสนุกให้กับเกมได้อีกมากถ้ามีความหลากหลายมากกว่านี้ เกมเพลย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของ From Software เชื่อว่าไม่ต้องบอกก็น่าจะพอรู้กันอยู่บ้างว่าเกมเพลย์ของ Sekiro: Shadows Die Twice นั้นจัดว่ายากมหาหินเลยทีเดียว ในฐานะคนที่เล่นเกมตระกูล Soulsborne จบมาแล้วทุกภาค ผู้เขียนพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเกมเพลย์ของ Sekiro นั้นยากกว่ามากๆ (จะบอกว่าโคตรๆ ก็กลัวหยาบคาย) แต่เช่นเดียวกับในเกม Soulsborne ความยากของเกม Sekiro ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเกมไม่แฟร์ โดยในความเป็นจริงนั้นเกมได้มอบเครื่องมือทั้งหมดที่ต้องใช้มาให้ผู้เล่นแล้วเรียบร้อย เหลือก็แต่ตัวผู้เล่นเองที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจและฝึกฝนจนชำนาญไปเอง สำหรับเกมเพลย์ของ Sekiro นั้นจะเน้นการกระทำเพียง 4 อย่างง่ายๆ ประกอบไปด้วย โจมตี พุ่งหลบ ป้องกัน และอุปกรณ์เสริมจากแขนกลนินจา โดยเกมจะไม่ได้มีระบบ RPG แบบเดียวกับเกมรุ่นพี่ค่ายเดียวกันที่ผ่านๆ มา (มีก็แต่การเพิ่มหลอดเลือด/พลังโจมตี/อัพสกิลเล็กน้อย และใช้ของหายาก) หมายความว่าจะไม่มีการอัพสเตตัสช่วยเพื่อให้ตัวเราถึกขึ้น/โดนโจมตีเบาลง หรือเพื่อใส่อาวุธพิเศษที่เลเวลสูงมากๆ เป็นต้น ทำให้การจะอยู่หรือตายในเกมนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่นในการเลือกการกระทำที่เหมาะสมกับสถานการณ์และจังหวะมากที่สุดเพียงอย่างเดียวเลย เช่นการจดจำจังหวะการโจมตีของบอสเพื่อป้องกัน/หลบหลีกได้ง่าย หรือการเลือกใช้อาวุธลับให้ตรงกับจุดอ่อนของศัตรูที่ต่อสู้ด้วย เป็นต้น อีกระบบที่ทำให้เกม Sekiro แตกต่าง/ยากกว่าเกม Soulsborne นั้นก็คือระบบ การทรงตัว หรือ Posture นั่นเอง โดยใน Sekiro นั้นนอกจากจะมีหลอดเลือดเหมือนเกมทั่วไปแล้ว ศัตรูทั้งหลายในเกมจะยังมีหลอด การทรงตัว เพิ่มเข้ามาด้วย โดยหลอดการทรงตัวจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อศัตรูโดนโจมตีหรือโดนป้องกันการโจมตี (Deflect หรือการกดป้องกันในจังหวะที่ศัตรูโจมตีพอดี) ซึ่งเมื่อหลอดนี้เพิ่มจนเต็ม จะทำให้ผู้เล่นสามารถกดปลิดชีพศัตรูได้เลยทันทีในดาบเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นก็จะมีหลอดการทรงตัวของตัวเองเช่นกัน ซึ่งเมื่อโดนโจมตีจนหลอดเต็มจะทำให้เราป้องกันการโจมตีไม่ได้ไปชั่วขณะ (ซึ่งร้ายแรงมากเพราะศัตรูเกือบทุกตัวฟันเราเข้าทีละครึ่งหลอด) ระบบการทรงตัวนี้ถือเป็นจุดที่ทำให้เกม Sekiro มีความยากกว่าเกมรุ่นพี่หลายขุมเลย เพราะหลอดการทรงตัวนั้นจะค่อยๆ ลดลงเองเมื่อเราเว้นระยะห่างจากศัตรู โดยเฉพาะบอส ทำให้การต่อสู้กับบอสหลายๆ ตัวต้องใช้ความดุดันมากกว่าเกมอย่าง Dark Souls/Bloodborne ที่เน้นการรักษาระยะห่างและหาจังหวะค่อยๆ ตอดเลือดบอสไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเว้นระยะห่างนานเกินไปใน Sekiro จะทำให้ล้มบอสยากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว (แถมบางตัวมีหลอดเลือดมากกว่า 1 หลอดด้วย) ทั้งนี้ เกมดูจะหยิบยื่นความปราณีให้ผู้เล่นในรูปแบบของระบบการคืนชีพ (ที่มาของชื่อเกม Shadows Die Twice/เงาตายได้สองครั้ง) ซึ่งจะเปิดให้ผู้เล่นสามารถฟื้นจากความตายมาสู้ต่อได้ครั้งหนึ่ง (พอคืนชีพแล้วต้องเก็บไอเทมเพื่อให้คืนชีพได้อีกครั้ง) โดยจะฟื้นขึ้นมาด้วยหลอดเลือดครึ่งนึงเท่านั้น โดยระบบนี้ก็ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถลองผิดลองถูกได้มากขึ้นเวลาที่ต่อสู้กับบอสเป็นครั้งแรก แต่ถ้าคิดว่าบอสแต่ละตัวแทบจะฟาดหลอดเลือดเราหายไปทีละครึ่งหลอดอยู่แล้ว การคืนชีพก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้เกมง่ายขึ้นขนาดนั้นสำหรับผู้เล่นหลายๆ คน รู้อย่างนี้แล้ว ผู้เล่นบางคนอาจจะรู้สึกโล่งใจว่าอย่างน้อยเกมก็ยังพอมีควมปราณีให้เราอยู่บ้าง แต่ไม่เลย! เพราะระบบคืนชีพนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียตามมาถ้าใช้บ่อยไป โดยเกมจะมีระบบที่เรียกว่า Dragonrot ซึ่งเป็นโรคร้ายที่จะถูกส่งต่อไปยัง NPC ต่างๆ ที่เราพบเจอตามทาง ซึ่งถ้าโดนโรคกัดกินนานเกินไปก็อาจจะทำให้ NPC เหล่านั้นถึงกับตายไปเลยก็ได้ ซึ่งก็จะทำให้เราไม่สามารถรับเควสหรือความช่วยเหลืออื่นๆ จาก NPC ตัวนั้นๆ ได้อีกต่อไป แน่นอนว่าเกมยังมีไอเทมรักษาโรคให้เราใช้ได้ในยามคับขัน แต่ก็ไม่พอสำหรับ NPC ทุกตัวแน่นอน ผู้เล่นจึงมีแรงจูงใจที่จะ ไม่ตาย อยู่ แม้ว่าจะสามารถคืนชีพได้ก็ตาม เมื่อนำระบบทั้งหมดมารวมกันแล้ว ทำให้เกม Sekiro เป็นเกมที่เรียกร้องความตั้งใจและมุมานะจากผู้เล่นในระดับที่เกมส่วนใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลย ระบบในเกมเกือบทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความกดดันให้ผู้เล่นตลอดเวลา ตั้งแต่การบังคับให้ผู้เล่นต้องเข้าประชิดศัตรูที่พร้อมจะหวดหลอดเลือดเรากระเด็นหายไปเลยในดาบเดียว ไปจนถึงระบบการคืนชีพที่แทนที่จะให้ความรู้สึกปลอดภัยกับผู้เล่น กลับกลายเป็นตัวเลือกที่ยากลำบากทุกครั้งเมื่อต้องแลกมาด้วยความช่วยเหลือของ NPC ต่างๆ ในเกม ซึ่งในจุดนี้เองทำให้เกม Sekiro น่าจะถูกใจแฟนเกมสาย Soulsborne ที่โหยหาความท้าทายที่แม้จะแฟร์แต่ก็ไร้ปราณี แต่ในขณะเดียกวัน ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าแม้ว่าเกม Sekiro จะเป็นเกมที่ดีขนาดไหน แต่เอาตามตรงก็ไม่ใช่เกมที่ใครๆ จะหยิบมาเล่นและสนุกกับมันได้เช่นกัน อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Sekiro เป็นเกมที่เรียกร้องความพยายามและเวลาของผู้เล่นในแบบที่น้อยเกมมากๆ จะทำ ซึ่งคนที่ไม่ได้มีเวลาจะมานั่งเรียนรู้และฝึกฝนระบบทั้งหมดของเกมอย่างจริงจังอาจจะพาลหัวร้อนซะเปล่าๆ ถ้าเล่นเกมนี้ แต่ถ้าพยายามจนช่ำชองแล้วก็ถือเป็นประสบการณ์เกมที่น่าพึงพอใจทุกครั้งที่สามารถเอาชนะบอสตัวใดตัวหนึ่งได้ เพราะกว่าจะผ่านได้แต่ละตัวเล่นกันจนปวดตั้งแต่นิ้วยันหัวไหล่เลยทีเดียว สรุป แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน แต่ Sekiro: Shadows Die Twice ก็ยังถือเป็นเกมแอคชั่นที่สนุกและท้าทายในแบบที่น้อยเกมมากๆ จะสามารถเทียบได้ สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบเกม Sekiro: Shadows Die Twice ก็ตาม แต่ถ้าได้ลองเล่นมันไปซักครั้งแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นเกมที่ลืมไม่ลงไปอีกหลายปีเลยทีเดียว... [penci_review id="20854"]
08 Apr 2019
Review - รีวิวเกม Devil May Cry 5
ข้อดี เกมเพลย์ไร้ที่ติ ดีไปหมดทุกองค์ประกอบ กราฟิคและอนิเมชั่นสวยสมจริงระดับเมพ แต่คงสไตล์อันจัดจ้านของซีรี่ย์ไว้ได้ เป็นเกมที่มีความบริสุทธิ์ เน้นเกมเพลย์สนุกโดยไม่ต้องมีอะไรปรุงแต่ง เกมรันได้อย่างลื่นไหลตลอด แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นบนจอตลอดเวลา ข้อเสีย เนื้อเรื่องมีความเอาใจแฟนๆ สูง ถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อนก็งงได้ แนวเกม: แอคชั่น ผู้พัฒนา: Capcom จัดจำหน่าย: Capcom เวลาเล่น: ราวๆ 15 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (รีวิวใน PS4 Pro) หากพูดถึงซีรี่ย์เกมญี่ปุ่นขวัญใจเกมเมอร์ทั่วโลก เชื่อว่าน่าจะมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่เลือกใส่ซีรี่ย์เกม Devil May Cry ลงไปในรายชื่อเกมสุดรักของตนด้วย จากเกมเพลย์แนวแอคชั่นล้างผลาญอันดุเดือดของเกม รวมไปถึงตัวละครหลักที่ยียวนอย่างมีเสน่ห์อย่าง Dante ที่ทำให้เกมได้รับขนานนามเป็นซีรี่ย์แอคชั่นระดับแนวหน้าของวงการเกมมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PS2 แล้ว แม้ว่าเกมภาคที่ปล่อยมาล่าสุดอย่าง DMC: Devil May Cry จะไม่ได้รับความนิยมเท่าภาคหลักอื่นๆ แต่ Devil May Cry ก็ยังถือเป็นเกมที่มีแฟนๆ รอติดตามอย่างแน่นหนามาเป็นระยะเวลานานเช่นกัน หลังจากที่ปล่อยให้รอกันจนเหงือกแห้งมาเป็นสิบปี (ภาค 4 วางจำหน่ายครั้งแรกปี 2008) ในที่สุดแฟนๆ เกมซีรี่ย์ปีศาจร่ำไห้ก็จะได้หวนคืนสู่เกมที่รักอีกครั้งใน Devil May Cry 5 เกมภาคล่าสุดที่ผู้พัฒนา Capcom วางจำหน่ายอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเกมได้รับคะแนนรีวิวสูงลิบลิ่วจากสื่อต่างชาติแทบทุกสำนักกันเลยทีเดียว ทางทีมงาน GameFever เองก็เพิ่งจะเล่นเกมจนจบเนื้อเรื่องไปเมื่อเร็วๆ นี้ (เพราะผู้เขียนแอบกาก...) และต้องยอมรับจริงๆ ว่า Devil May Cry 5 ถือเป็นนิยามของวลีเด็ด Gameplay is King (เกมเพลย์เท่านั้นที่ครองโลก) จริงๆ เกมสามารถออกแบบระบบต่อสู้แนวแอคชั่นออกมาได้อย่างยืดหยุ่น มีตัวเลือกและท่าโจมตีให้ร้อยเรียงเป็นคอมโบได้ไม่รู้จบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเนี๊ยบของการควบคุมไว้ได้ ทำให้เมื่อเล่นจนคล่องแล้วรู้สึกเหมือนว่าการกระทำของตัวละครทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราตั้งใจ ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าชื่นชมเป็นพิเศษเพราะเกมมีตัวละครที่เล่นไม่เหมือนกันถึง 3 ตัวให้เลือกใช้ นอกจากนี้ กราฟิคและอนิเมชั่นจากอาวุธลับของ Capcom อย่าง RE Engine ก็ยังคงให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเสมอ โดยกราฟิคของเกมภาคล่าสุดนี้ดูจะเพิ่มความ สมจริง เข้าไปมากขึ้น ทั้งในฉากและหน้าตาท่าทางตัวละคร ซึ่งก็ช่วยเสริมความรู้สึก เนี๊ยบ ของเกมขึ้นไปอีกระดับอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสไตล์อันจัดจ้านหลุดโลกของซีรี่ย์เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน สำหรับคนที่ต้องการเกมที่เล่นแล้ว สนุก ในทุกวินาทีที่ได้เล่น หรือคนที่เหน็ดเหนื่อยกับระบบอันยุ่งยากมากมายในเกมสมัยใหม่ และต้องการจะหวนกลับไปสู่อดีตอันหอมหวานที่เกมอยู่หรือตายด้วยความสนุกของเกมเพลย์เพียงอย่างเดียว Devil May Cry 5 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าจะถูกใจคุณมากที่สุดแล้วในขณะนี้ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องในเกมภาค 5 นี้เริ่มขึ้นเมื่อพระเอกจากภาค 4 อย่างเนโรโดนชายปริศนาตัดแขน Devil Bringer ของตนไปโดยราชาปีศาจ Urizen ผู้ซึ่งต้องการจะครองโลกด้วยการแพร่พันธุ์ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ไปทั่วโลก โดยการกระทำนี้ยังปล่อยปีศาจจากนรกขึ้นมาอาละวาดบนโลกด้วย ทำให้แก๊งนักล่าปีศาจร่ำไห้เจ้าเก่าอย่าง Dante, Trish, Lady, Nero และ สมาชิกใหม่อย่าง V ต้องออกเดินทางเพื่อเอาชนะ Urizen ให้ได้ และป้องกันไม่ให้โลกถูกมิตินรกกลืนกิน ออกตัวกันก่อนเลยว่าผู้เขียนไม่ได้เป็นแฟนซีรี่ย์ Devil May Cry มาตั้งแต่ดั้งเดิม เคยเล่นจริงๆ ก็เพียงประปรายสมัย PS2 เท่านั้น จึงอาจจะไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์จากภาคก่อนๆ มาได้มากนัก แต่สิ่งที่ผู้เขียนบอกได้สำหรับเนื้อเรื่องในเกมภาคล่าสุดคือมันยังคงอารมณ์กวนๆ หลุดๆ ของซีรี่ย์เอาไว้ได้อย่างดีเลยทีเดียว แน่นอนว่าคงไม่ได้เป็นเนื้อเรื่องระดับที่จะทำให้ใครๆ พูดถึง แต่ก็ถือว่าช่วยเสริมอารมณ์ของเกมได้ดีอยู่ นอกจากนี้ เกมยังดูมีความตั้งใจจะเอาใจแฟนๆ อย่างเต็มที่ ด้วยการนำตัวละครเก่าๆ อันเป็นที่รัก (ทั้งที่เฉลยแล้วและยังไม่เฉลย...) กลับมากันแทบจะพร้อมหน้าเลย แถมคัตซีนต่างๆ ก็ได้อนิสงค์จาก RE Engine ทำให้ฉากแอคชั่นเลือดเดือดทั้งหลายของเกมดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะพอทุกอย่างดูสมจริงมากๆ ก็ยิ่งทำให้แอคชั่นอันบ้าระห่ำตามสไตล์ของ Devil May Cry ดูสุดโต่งยิ่งกว่าที่ผ่านมาอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น บอกตรงๆ ว่าสำหรับผู้เขียน เนื้อเรื่องของเกม Devil May Cry 5 ไม่ได้มีความสำคัญกับตัวเกมนัก อาจจะช่วยเสริมอารมณ์หรือบรรยากาศของเกมได้พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ดีหรือน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของซีรี่ย์เช่นกัน แต่สำหรับคนที่ติดตาม Devil May Cry อย่างใกล้ชิดมาตลอด บอกเลยว่าเกมตั้งใจทำมาเพื่อพวกคุณโดยเฉพาะ กราฟิค ไม่รู้จะสาธยายยังไงให้จบจริงๆ กับคุณงามความดีของชุดอุปกรณ์ RE Engine ของค่าย Capcom ที่ทำให้เกมหลังๆ ของค่ายได้รับการยกระดับกราฟิคขึ้นมาจนผู้พัฒนาเกมสายฝรั่ง ที่มักจะได้เปรียบค่ายฝั่งญี่ปุ่นในแง่ของเทคโนโลยี ยังต้องยอมศิโรราบกันไปอย่างไร้ทางสู้ ตั้งแต่เกม Resident Evil 7 ต่อไปยังเกม Resident Evil 2 Remake มาจนถึงเกม Devil May Cry 5 นี้ล้วนแล้วแต่มีกราฟิคที่น่าทึ่งทั้งสิ้น และน่าทึ่งขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเกมทั้งสามสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล แทบไม่มีปัญหาด้านเทคนิคเลยตลอดการเล่น (หรืออย่างน้อยก็ไม่รุนแรงเท่าอื่นเกมหลายๆ เกม) สำหรับกราฟิคของ Devil May Cry 5 นั้นดูจะเน้นหนักไปที่ความ สมจริง และความละเอียดมากกว่าเกมภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา อย่างที่เห็นได้จากหน้าตาตัวละครและฉากหลังต่างๆ ที่ทำออกมาให้มี texture เหมือนของจริง มากกว่าจะแซมความเป็นการ์ตูนเข้ามาเหมือนอย่างภาคก่อนๆ เกมให้ความรู้สึกว่าได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบศัตรูและสิ่งของมาจากเกมพี่น้องอย่าง Bayonetta อยู่บ้าง ซึ่งในแง่ของการออกแบบก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมานิดนึงเมื่อนำไปเปรียบกับเกมภาคที่ผ่านๆ มา แต่ถึงเกมดูจะให้ความสำคัญกับความสมจริงมากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะละทิ้งสไตล์แอคชั่นสุดเปรี้ยวที่เป็นลายเซ็นของซีรี่ย์ โดยเหล่านักล่าปีศาจในเกมทุกคนยังคงล้างบางศัตรูไปพร้อมๆ กับการปล่อยมุขตลกและท่าทางยียวนกวนประสาทตลอดเวลา เกมยังคงให้ความสำคัญกับความ เท่ อยู่มากในการต่อสู้ (มีต่อในช่วงเกมเพลย์) และทั้งบทพูดและคัตซีนต่างๆ ก็ยังคงแนวแอคชั่นสุดเว่อร์วังตามแบบฉบับของซีรี่ย์ ซึ่งทั้งหมดก็ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมให้สะใจได้ตลอดเวลาที่เล่น สิ่งที่น่าชมที่สุดเกี่ยวกับกราฟิคของเกมคงเป็นเรื่องของอนิเมชั่นตัวละคร ที่ยังคงดูสมจริงและเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเกมจะเร็วขนาดไหนก็ตาม โดยอนิเมชั่นทั้งหลายมีความลื่นไหลมากพอที่ทำให้ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของคนจริงๆ อยู่บ้าง เมื่อเปรียบกับเกมอย่าง Red Dead Redemption 2 ที่ก็มีความละเอียดในอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวของตัวละครสูงมากๆ อนิเมชั่นของ Devil May Cry 5 ยังอาจจะมีความได้เปรียบอยู่นิดนึงด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดๆ แบบเดียวกับในเกม RDR2 ด้วย เกมเพลย์ พูดถึงข้อดีเรื่องการออกแบบและนำเสนอมาแล้วพอสมควร แต่เอาเข้าจริง สิ่งที่จะทำให้เกม Devil May Cry 5 ถูกจดจำในฐานะเกมที่ดีอันดับต้นๆ ของปี 2019 คงหนีไม่พ้นเกมเพลย์แอคชั่นของเกม ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีตในระดับที่น้อยเกมมากๆ ที่จะทำกันทุกวันนี้ แอคชั่นทุกท่าของตัวละครสามารถต่อเข้าหากันได้อย่างอิสระและลื่นไหล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนจอให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใต้การควบคุมของเราไม่มากก็น้อย เป็นเกมที่ต้องอาศัยฝีมือและทักษะจำเป็นในการเล่นเกมล้วนๆ (ความเร็ว ไหวพริบ ความแม่นยำในการควบคุม ฯลฯ) เพื่อเอาชนะมัน ซึ่งก็ทำให้หวนนึกไปถึงเกมยากๆ สมัยเด็ก ที่คุณภาพแทบจะวัดกันง่ายๆ ด้วยเกมเพลย์เพียงอย่างเดียว ถ้าจะต้องหาคำมานิยามความดีงามของเกมเพลย์ใน Devil May Cry 5 นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคำว่า บริสุทธิ์ น่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่รู้สึกมากที่สุด เกม Devil May Cry 5 นั้นไม่ใช่เกมที่พยายามจะปรุงแต่งการเล่นด้วยระบบเสริมหรือรายละเอียดตามฉากที่สวยเป็นพิเศษ แต่เป็นเกมที่ทุ่มกำลังทั้ง 120% ไปกับเกมเพลย์ทุกๆ วินาทีเลยทีเดียว แม้ว่าระบบการทำคอมโบของเกมอาจจะมีความซับซ้อนอยู่พอสมควรสำหรับผู้เล่นใหม่ แต่เมื่อเล่นจนคล่องแล้วก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สะใจทุกครั้ง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเทพทุกครั้งที่สามารถเรียงท่าการโจมตีออกมาเป็นคอมโบเท่ๆ ยาวๆ ได้ การที่เกมมีตัวละครให้เลือกเล่นถึง 3 ตัว และทั้ง 3 ตัวยังมีสไตล์การเล่นและท่าทางที่แตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์/อุปนิสัยของตัวเอง ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดที่ผู้เขียนชอบมากๆ เกี่ยวกับเกม Devil May Cry 5 เช่นกัน โดยตัวละครทั้ง 3 ตัวที่มีให้เลือกเล่นก็ประกอบไปด้วยนักล่าปีศาจมือเก๋าอย่าง Dante หนุ่มแขนด้วนเลือดร้อน Nero และพ่อหนุ่มปริศนาหน้าใหม่อย่าง V นั่นเอง สำหรับการเล่นของเนโรนั้นสามารถสื่อถึงความอัดอั้นคับแค้นของตัวละครได้เป็นอย่างดี (ก็โดนเค้าดึงแขนขาดไปนี่เนอะ...) จากท่วงท่าการเหวี่ยงดาบมือเดียวแบบทิ้งไปทั้งตัว ราวกับอยากจะใช้ดาบฟาดศัตรูให้เละกระจุยไปเลยมากกว่าการเฉือดเฉือนธรรมดาๆ โดยเกมเพลย์ของเนโรนั้นเรียกได้ว่ามีความตรงไปตรงมาที่สุดจากนักล่าทั้งสาม เน้นการใช้ท่วงท่าของดาบกับการยิงปืนควบคู่กันไป โดยมีลูกเล่นเล็กน้อยจากแขนกลชนิดต่างๆ ที่เลือกใส่ได้ ที่เปิดให้เราสามารถใช้ความสามารถพิเศษแตกต่างกัน เช่นแขนกลเบื้องต้นที่สามารถปล่อยไฟฟ้าเพื่อโจมตีศัตรูได้ หรือแขนกล Ragtime ที่ทำให้เราชะลอเวลาในพื้นที่เล็กๆ ได้ ซึ่งท่วงท่าการโจมตีทั้งหมดสามารถจับมาต่อกันเป็นคอมโบสุดเท่ได้อย่างอิสระเลยทีเดียว โดนเนโรจะเหมาะกับคนที่ชอบเกมเพลย์แบบแอคชั่นเพียวๆ ไม่ต้องพะวงกับระบบปลีกย่อยอื่นๆ เท่ากับตัวละครสองตัวที่เหลือ ส่วนตัวละคร V ก็แทบจะตรงข้ามกับเนโรไปเลย เพราะในขณะที่เนโรจะเน้นเข้าไปคลุกวงในเหล่าปีศาจ การเล่น V จะเน้นการรักษาระยะห่างกับศัตรูไปพร้อมๆ กับการสั่งให้อสูรรับใช้ของ V ต่อสู้แทน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์การเล่นอีกแบบ ทำให้ผู้เล่นต้องแยกประสาทระหว่างการโจมตีในฐานะสัตว์อสูร และการป้องกัน/หลบหลีกในฐานะ V ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นเกมเพลย์แบบที่ไม่ค่อยเห็นในเกมแอคชั่นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความเร็วและความปราณีตในการควบคุมของเกมเอาไว้ได้ทั้งหมดเลย โดยทั้งหมดนี้เองก็ยังสื่อถึงตัวตนของ V ในเนื้อเรื่อง ที่ดูจะเป็นคนที่คอยสังเกติการณ์เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ห่างๆ ในขณะที่ดันเต้และเนโรพุ่งเข้าไปรับมือกับศัตรูซึ่งๆ หน้า และแน่นอนว่าคงจะเป็นเกม Devil May Cry ไปไม่ได้ถ้าขาดลุงนักล่าปีศาจสุดกวนอย่างดันเต้ ที่กลับมาคราวนี้พกลูกเล่นมาเยอะมากจนผู้เขียนเลือกใช้ผิดๆ ถูกๆ ไปเลย ดันเต้ในภาคนี้ให้ความรู้สึกนักล่าปีศาจรุ่นพระกาฬจริงๆ ด้วยสไตล์การต่อสู้ทั้ง 4 และอาวุธพิศดารต่างๆ อีกหลายชิ้น ที่สามารถสลับสับเปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลาระหว่างคอมโบ ทำให้ดันเต้เป็นตัวละครที่เปิดให้ผู้เล่นที่เล่นเก่งแล้วได้โชว์ของกันอย่างเต็มที่เลยทีเดียว แต่เพราะแบบนี้ก็ทำให้ดันเต้เป็นตัวละครที่เล่นให้เก่งจริงๆ ยากที่สุดในตัวละครทั้ง 3 ด้วยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างตัวละครทุกตัวนั้นช่วยเสริมความหลากหลายในการเล่นเกมขึ้นไปอีกมาก เพราะแต่ละตัวก็เล่นไม่เหมือนกันเลยจริงๆ ทำให้ผู้เล่นต้องคอยเปลี่ยนวิธีเล่นอยู่เรื่อยๆ แทนที่จะใช้คอมโบเดิมๆ ซ้ำๆ ตลอดเกม แต่ในขณะเดียวกัน คนที่มีสไตล์การเล่นที่ชื่นชอบเป็นพิเศษก็อาจจะขัดใจได้บ้างเมื่อเกมบังคับให้เราต้องเล่นเป็นตัวละครที่ไม่ถนัดตามเนื้อเรื่อง นอกเหนือไปจากตัวละครของผู้เล่นแล้ว เกม Devil May Cry 5 ก็ยังคงความท้าทายอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรี่ย์เอาไว้ได้เช่นกัน แม้ว่าชนิดของศัตรูในเกมอาจจะไม่ได้มีเยอะมากนัก แต่ศัตรูทุกชนิดก็มีอุปนิสัยและวิธีการรับมือของตัวเอง ที่ทำให้เราต้องเล่นอย่างตั้งใจมากขึ้นกว่าเกมแอคชั่นหลายๆ เกมที่แค่กดปุ่มโจมตีรัวๆ ก็ผ่านไปได้แล้ว ทั้งนี้ ความท้าทายของเกมอาจจะทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนท้อแท้ได้เหมือนกัน เมื่อต้องรับมือกับวิธรการควบคุมของเกมที่แม้จะออกแบบมาได้อย่างดีแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนเกมแอคชั่นอื่นๆ และต้องใช้ความแม่นยำในการกดปุ่มคู่กับการเลือกทิศทางด้วยอนาล๊อค ที่อาจจะทำความเคยชินยากสำหรับผู้เล่นบางคน ยิ่งเมื่อเกมมีความเร็วมากๆ ขนาดนี้ ยิ่งทำให้การกดท่าต่างๆ ในจังหวะเร็วๆ บางครั้งก็ทำได้ยากเหมือนกัน แต่ถ้าฝึกไปเยอะๆ (เกมมีโหมดฝึกซ้อมที่ชื่อ The Void เอาไว้ให้ด้วย) ก็น่าจะกลบปัญหานี้ไปได้ประมาณหนึ่ง อีกเรื่องสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือเรื่องของ Micro-transaction หรือการขายของในเกมด้วยเงินจริง ซึ่งในภาคล่าสุดนี้จะเปิดให้ผู้เล่นสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อ Red Orb หรือหินแดงที่ใช้ในปลดล๊อคความสามารถพิเศษของตัวละคร ทั้งท่วงท่าการต่อสู้ไปจนถึงหลอดเลือดและหลอด Devil Trigger ด้วย ซึ่งในช่วงที่ผู้พัฒนาประกาศข่าวออกมาก็ทำให้ผู้เล่นหลายคนพากันเป็นห่วงว่าจะทำให้สมดุลของเกมเสียไหม หรือว่าเกมจะขี้เหนียวหินแดงเพื่อบังคับให้เราซื้อหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงต้องบอกว่าผู้เขียนเองแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเกมเปิดให้ซื้อหินแดงได้ เพราะเกมให้หินแดงจากการฆ่าศัตรูและการผ่านด่านเยอะมากๆ อยู่แล้ว จนผู้เขียนไม่เคยรู้สึกอยากจะต้องเจียดเงินซื้อเพิ่มเลย ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการมอบทางเลือกให้ผู้เล่น โดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อเกมเพลย์โดยรวมแต่อย่างใด สรุป สำหรับเกม Devil May Cry 5 นั้นคงไม่ต้องสรุปอะไรให้ยืดยาว เป็นเกมที่ทำให้นึกย้อนกลับไปยังสมัยที่เราเริ่มเล่นเกมใหม่ๆ ที่ความสนุกของเกมเพลย์นับเป็นองค์ประกอบเดียวที่สามารถชี้เป็นชี้ตายความสำเร็จของเกมได้ และบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ถ้าเล่นให้เป็นแล้วแทบจะไม่มีจังหวะที่ไม่สนุกเลย สำหรับคนที่ต้องการเกมที่ให้ความสนุกกับเราอย่างเต็มที่ ไม่พยายามปรุงแต่งประสบการณ์ด้วยระบบหรือเนื้อเรื่องซับซ้อน เกมนี้ถือเป็นเกมที่สร้างมาเอาใจคุณโดยเฉพาะ [penci_review id="20469"]
20 Mar 2019
รีวิว Jump Force ผู้พัฒนายังคงชอบทำอะไรแบบนี้ใช่ไหมในปี 2019 ?
Jump Force คือหนึ่งในเกมที่เกมเมอร์ทั่งโลก รอคอย กับการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของนิตยสารโชเน็งจัมป์ โดยนำเอาตัวละครจากการ์ตูนมาต่อสู้กันในเกม เพื่อเป็นการสนอง Need แฟนๆ ให้หายคิดถึง และล่าสุดตัวเกมได้วางจำหน่ายเรียบร้อยบนเครื่อง PC, PS4 และ Xbox One ในบทความนี้พวกเราชาว Game Fever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ดี / ไม่ดี ยังไง ควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ไปชมได้เลยจ้า เนื้อเรื่อง ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่โดนลูกหลงจากการบุกโจมตีของ ฟรีซเซอร์ ตัวร้ายสุดคลาสสิกของการ์ตูรชนดราก้อนบอล และในวินาทีที่เราจะสิ้นใจ ก็ได้ทรังค์อีกหนึ่งตัวละครจากดราก้อนบอลมาช่วยไว้ โดยเขาจะมอบ Umbras Cube ให้กับเรา จนเปลี่ยนให้เรากลายเป็น Jump Man (หนึ่งในทีมงานของเราตั้งให้ 555+) เพราะว่าตัวเรานั้นสามารถใช้สกิลต่างๆของตัวละครในการตูนได้มากมาย เช่น ท่าโจมพิเศษเป็นการเรียกดาบผนึกเห่งแสงของยูกิแต่ท่าไม้ตายเป็นกระสุนวิญญาณของยูสุเกะ ฟังดูก็เข้าท่าไม่เลวนะ และเราก็จะได้เข้าร่วมกับกองกำลัง J Force เพื่อรวบรวมพรรคพวกต่างๆ ในการ์ตูนที่โดนครอบงำด้วย Cube แดง พร้อมทั้งคอยปราบสิ่งชั่วร้ายทั่วโลก ซึ่งมันก็เรียกได้ว่าเป็นแพทเทิร์นเกมแนวต่อสู้การ์ตูนลูกผู้ชาย เพื่อนไม่ทิ้งกัน ตรงตามแบบฉบับของสไตล์สายหลักของนิตยสาร Shonen Jump เลยก็ว่าได้ แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ทำออกมาได้น่าผิดหวังมากๆ เพราะมันแทบทื่อไม่มีเสน่ห์ใดๆ ทั้งสิ้น และเควสต่างๆ หรือภารกิจเนื้อเรื่องก็จะเป็นแบบเดิมซ้ำๆ หลายเควสติดต่อกัน ยกตัวอย่างภารกิจส่วนใหญ่จะเริ่มด้วย เอ๊ะ !! คนแปลกหน้าคนนี้ถูกครอบงำ (ตัวการ์ตูนในจัมป์นั่นแหละ) เราไปดูหน่อยสิ พอไปถึงก็สู้ๆ เสร็จเก็บคิวบ์ครอบงำมาได้ พวกเราก็รับตัวละครนั้นเข้ากองกำลัง J Force ซึ่งถ้าหากว่าเควสแบบนี้มันมีแค่ 1-2 ภารกิจเราก็ยังพอรับได้ แต่มันมีมากกว่า 80% เลยนี่สิ มันบ่งบอกได้เลยว่าเกมนี้ผู้พัฒนาไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องเสียเท่าไร และเขานั้นขาดชั้นเชิงกับความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก บทพูดของตัวละครเองก็บ่งบอกได้ว่าผู้พัฒนาไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะในช่วงต้นเกมหรือฉากใหญ่ๆ ตัวละครทุกตัวในฉาก (ยกเว้นตัวเรา) จะมีเสียงพากษ์หมด แต่พออยู่ในเควสมิชชั่น เสียงภาคกับไม่มี กลายเป็นตัวละครพยักหน้า ขยับปาก และมีกล่องคำพูดขึ้นมาแทนซะงั้น ซึ่งแฟนๆ บางท่านอาจจะโต้แย้งผมในเรื่องประเด็นนี้ว่ามันเป็นปกติของเกมจาก Bandai Namco ที่เขามักจะทำแบบอย่างงี้แหละ แต่ก็อยากจะบอกว่านี่มันเป็นเกมสเกลใหญ่นะครับ เพราะถ้าไม่ให้คงไม่ขายถึง 60$ เท่ากับเกม AAA ที่ทำได้ดีกว่านี้หลายเท่า และไอ้ระบบพวกนี้เนี่ยมันเคยมีมาตั้งแต่สมัย PS2 แล้วนะ ผู้พัฒนาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันบ้างเลยหรือ ?   กราฟิก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวกราฟิกเองของ Jump Force ก็ทำออกมาได้สมกับการเป็นเกม Next Gen จริงๆ !! ภาพต่างๆ มีความสวยงามตามท้องเรื่องมาก ถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นของตัวละครมันจะดูทื่อๆ ในบางครั้ง แต่พวกสกิลเอฟเฟค การต่อสู้นี่เอาไปเต็มสิบกับความมันสนั่นจอ ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะมีข้อติอยู่บ้างที่ตัวเกมถ้าหากคุณใช้เครื่อง PS4 Pro แล้วเล่นจอ 4K ตัวเกมจะมีเฟรมเรทดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเล่นในจอ 1080p ปกติตัวเกมก็สามารถคงความลื่อไหลได้ดี และสิ่งที่ต้องวิพากษ์เลยสำหรับในประเด็นนี้คือตัวเกมใส่ Loading Screen เข้ามาเยอะจนน่ารำคาญ ผู้พัฒนาออกแบบระบบหน้าจอได้โหลโท่ยมากๆ ตัวเกมมี Loading Screen ทุกๆ ฉาก แม้กระทั่งฉากเปิดตัวก่อนเข้าไปหน้าต่อสู้ก็โหลด พอสู้เสร็จมีฉากพูดสองประโยคก็โหลด กลับไปอีกหนึ่งซีนก็โหลด ซึ่งบางทีในบางฉากมันควรจะต่อเนื่องกันหรือไม่ ? ดูอย่างเกม Street Fighter, Mortal Kombat หรือ Justice League เขาออกแบบมาได้ดีเยี่ยมและลื่นไหลกว่า Jump Force เยอะเลย [caption id="attachment_20137" align="aligncenter" width="1366"] Loading Screen มันทุกๆ 30 วิ น่าเบื่อที่สุด[/caption] เกมเพลย์ ถ้าจะให้พูดข้อดีอย่างเดียวของ Jump Force ก็คงหนีไม่พ้นตัวเกมเพลย์ ซึ่งถือแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเกมที่เคยทำมาก่อนหน้าอย่างเช่น Dragonball: Xenoverse, Naruto Shippuden: Ultimate Ninja Storm หรือ One Piece: Burning Blood แต่สิ่งที่รู้สึกแปลกตาที่สุดก็คือระบบการจัดทีมตัวละครที่เราสามารถเลือกตัวละครในจั๊มได้ 3 ตัวจาก 40 ตัวที่มีให้เลือก รวมถึงการกดคอมโบต่างๆ ในภาคนี้ถือว่าง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก เพราะการโจมตีเป็น 2 แบบ คือโจมตีเบา (สี่เหลี่ยม) กับ โจมตีหนัก (สามเหลี่ยม) การป้องกัน, การพุ่งเข้าหา ซึ่งเรียนรู้ได้ไม่ยาก มันเลยทำให้คนที่ไม่ได้เป็นสาย Hardcore เกมแนวต่อสู้ก็สามารถเล่นแบบนี้ได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีท่าโจมตีพิเศษ ซึ่งจะสามารถใช้ได้ตามเกจ MP ด้านล่างค่าพลังชีวิต ซึ่งแต่ละตัวละครจะมีท่าพิเศษอยู่คนละ 3 ท่า และมีท่าไม้ตายสุดยอดอีกคนละ 1 ท่า โดยแต่ละท่ามีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกัน เช่น การโจมตีระยะใกล้ การโจมตีระยะไกล ซึ่งมันทำให้เราสามารถพลิกแพลงในการต่อสู้ได้หลากหลาย ถือว่าเป็นข้อดีของเกมนี้เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จะให้ติในเรื่องนี้ก็คงจะมีแค่อย่างเดียวคือเกจหลอดเลือดที่ 1 รอบมีให้แค่หลอดเดียวเท่านั้น ต่อให้คุณไม่เปลีย่นตัวละครเลย แต่โดนต่อยจนเลือดหมดก็แพ้ได้ เอาจริงๆ ส่วนตัวชอบระบบเลือดในเกม Dragonball: Fighter Z มากกว่าที่มีการปั๊มเลือด มีเลือด 3 หลอด (ตัวละครละ 1 หลอด) ทำให้เกมสามารถพลิกแพลงได้ แต่ต่างกับ Jump Force ที่ทำได้ยากมากในการพลิกเกม ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนตัวละครจะมีผลในรูปเกม และคอมโบอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวมันควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้นะ รวมถึงตัวละครเองถึงแม้ว่าผู้พัฒนาจะใส่มาให้กว่า 40 ตัว แต่อย่างที่ทราบว่านิตยสารโชเน็งจั๊มป์เองมีเป็นร้อยๆ พันๆ เรื่อง แฟนๆ เองก็น่าจะมีตัวละครที่ชอบแตกต่างมากมาย แต่ภายในเกมหลักๆ 7-8 ตัวก็เป็น Dragonball แล้ว ไหนจะมี Naruto และ One Piece ก็รวมกันเป็นสิบๆ ตัว ซึ่งนี่ก็เกินครึ่งละ ส่วนตัวละครจากเรื่องอื่นๆ ก็จะมา เรื่องละ ตัวสองตัว รวมถึงบางตัวที่ควรจะมีก็ไม่มี อย่างผู้เขียนเองเป็นแฟน กินทามะ, นูเบ บลาๆ แต่กลับไม่มีตัวละครนี้ปรากฏเลย หรือว่าตัวละครพวกนี้น่าจะมาในแบบ DLC เพื่อหาเงินในอนาคตงั้นหรือ ? สรุป เอาจริงๆ บางทีตัวผู้เขียนเองอาจจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของ Bandai Namco ในการทำเกมนี้ก็ได้ เขาอาจจะอยากทำเกมเพื่อสนอง Need สาวกจั๊มป์ขนานแท้ หรือที่เนื้อเรื่องไม่เน้นเพราะอยากเน้นการเล่นแบบปาร์ตี้กับเพื่อนสู้ๆ กันไปก็ได้ ? (งั้นหรือ) ถ้าอย่างนั้นส่วนตัวคิดว่า Bandai Namco อย่าทำเกมเนื้อเรื่องเลย มันอาจจะทำให้ความศรัทธาที่มากล้น ค่อยๆ ลดทอนลงไป ยอมรับตามตรงว่าผมนั้นไม่เคยเล่นเกมไหนที่รู้สึกหงุดหงิด และอยากเลิกเล่นตลอดเวลาแบบนี้มาก่อน ในองค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมมันชวนง่วงจริงๆ การต่อสู้ก็ท้าทายดี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการเจอ Loading Screen มากมายขนาดนี้ รวมถึงในเรื่องบทพูดเอง ถ้าจะให้มองแบบคลาสสิค ตัวเกมก็อาจจะอยากพาเราย้อนไปเล่นแบบรูปแบบเก่าๆ ให้ชวนคิดถึง แต่ให้มองในแง่ของการพัฒนา และราคาที่ขายถึง 60$ คาดได้เลยว่าผู้พัฒนาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลยซักนิด ตัวเกม Jump Force ได้นำระบบของเกมเก่าๆ มาใช้ทั้งหมด ซึ่งเข้าใจว่ามันเป็นสูตรสำเร็จที่เขาเคยทำมาเมื่อสมัย PS2 ในการโด่งดังมาจากเกม Dragonball: Budokai รวมถึงเกม Dragonball: Xenoverse เองก็ได้รับคำชมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่านี่มันเป็นปี 2019 แล้วนะ !! ผู้พัฒนาหลายๆ ค่ายต่างเค้นระบบเจ๋งๆ และน่าทึ่งออกมานำเสนอมากมาย แต่ในเกมนี้ Bandai Namco กลับเลือกวิธีเดิมๆ แนวทางความสำเร็จเดิมๆ ในยุคที่แฟนๆ มีตัวเลือกในการเล่นเกมดีๆ มากขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ และอยากจะถามผู้พัฒนาว่า พวกเขาภูมิใจกับการทำอะไรแบบนี้ใช่ไหม ? [penci_review id="20062"]
06 Mar 2019
พรีวิวเกม Days Gone - ความรู้สึกจากการเล่นเดโม 2 ชม.
อย่างที่เกมเมอร์หลายคนน่าจะเคยได้สัมผัสมากับตัวเองไม่มากก็น้อย หนึ่งในเสน่ห์ของเกมแนวซอมบี้ก็คือการต่อสู้เอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้นับร้อยๆ ตัวที่ถาโถมเข้าใส่เหล่าผู้เล่นอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นเกมยอดนิยมอย่าง Left 4 Dead, Dead Rising หรือ Dying Light ล้วนเป็นเกมที่ใช้ธรรมชาติของซอมบี้ที่มักจะอยู่กันเป็นฝูงๆ ได้อย่างดี ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดันจากศัตรูนับไม่ถ้วนที่กรูเข้ามาแบบไม่คิดชีวิต สถานการณ์การต่อสู้กับเหล่าปีศาจกระหายเลือดทีละนับร้อยๆ ตัวนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดขายหลักของเกม Days Gone เกมซอมบี้ PS4 Exclusive ใหม่ล่าสุดจาก Bend Studio เลยก็ว่าได้ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางทีมงาน GameFever ได้มีโอกาสไปร่วมงานเดโมเกม Days Gone ที่จัดโดย Sony Thai และ PlayStation SEA และได้มีโอกาสทดลองเล่นเกม Days Gone แบบยาวๆ ถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว แม้ว่าในเดโมจะไม่ได้มีโอกาสได้ลองต่อสู้กับฝูงซอมบี้กลุ่มใหญ่แบบที่เห็นในเทรลเลอร์ แต่ก็ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสกับการควบคุมและระบบต่างๆ ของเกมนอกไปจากการต่อสู้ ตั้งแต่ภารกิจเนื้อเรื่องไปจนถึงระบบการสร้างอาวุธและปรับแต่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจ จึงอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันซะก่อน เพื่อจะได้เห็นภาพกันว่าเกมนี้เหมาะกับคุณหรือไม่ หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ใช่การรีวิว และความเห็นทั้งหมดที่กล่าวไปในบทความเป็นความเห็นจากการเล่นเกมเวอร์ชั่นที่ยังไม่สมบูรณ์เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการวิจารณ์เกมเวอร์ชั่นสมบูรณ์ กราฟิค/การนำเสนอ ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่องค์ประกอบที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุด นั่นก็คือเรื่องของกราฟิคและการนำเสนอของเกม Days Gone นั่นเอง โดยเกมจะตั้งอยู่ในรัฐ Oregon ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมรีกา รัฐมีลักษณะเป็นป่าทึบและภูเขาเป็นหลัก และมีน้ำตกและทะเลสาบมากมายกระจายอยู่รอบๆ ซึ่งทั้งหมดทำออกมาได้อย่างละเอียดสวยงาม ดูมีชีวิตชีวา และให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปในแต่ละ เขต ของเกมอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับกราฟิคใบหน้าตัวละคร ที่ทำออกมาให้สื่อความรู้สึกนึกคิดได้อย่างชัดเจนทั้งทางใบหน้า บทพูด และภาษากาย ถือเป็นเรื่องสำคัญเลยกับเกมที่ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องเหมือน Days Gone (อ่านต่อได้ในหมวดเนื้อเรื่อง) โดยผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นช่วงชั่วโมงแรกของเกม (ก่อนที่ผู้พัฒนาจะโหลดเซฟให้เล่นส่วนกลางๆ เกม) ที่เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักของเกม ซึ่งต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีในระดับที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอินไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะไม่ได้มีความสนใจเนื้อเรื่องของเกมเป็นพิเศษเลย แต่ถึงแม้ว่าเกมจะทำได้ค่อนข้างดีในเรื่องของกราฟิค สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยชอบก็คือเรื่องของ U.I. หรืออินเตอร์เฟซเกม (พวกหลอดเลือด เมนู ตัวเลขนับกระสุน ฯลฯ) ซึ่งดูแล้วรู้สึกจืดๆ ไม่น่าสนใจ แต่ดันใหญ่คับจอไปหมด ซึ่งก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ก็เป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่ถ้าทำให้ดีได้ก็คงทำให้ผู้เล่นสามารถใส่ใจกับรายละเอียดในฉากได้มากกว่านี้ เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของ Days Gone จะติดตามตัวเอก Deacon St. John อดีตสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์ ที่ต้องกลายเป็นนักล่าค่าหัวพเนจรในโลกซอมบี้ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเกิดขึ้น 2 ปีหลักจากที่เชื้อซอมบี้แพร่ระบาดไปทั่วโลก และจะเน้นไปที่การติดตามชีวิตของตัวละคร Deacon ไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่เขาพยายามจะหาเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ในโลกซอมบี้นี้ หลักจากที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปในตอนที่เชื้อเริ่มระบาด ยอมรับตรงๆ ว่าผู้เขียนไม่เคยสนใจเนื้อเรื่องของเกม Days Gone เลยแม้แต่น้อย เพราะคิดไปเองว่าก็คงไม่ได้มีอะไรให้น่าสนใจเท่าไหร่ ซึ่งการเล่นเกมกว่าสองชั่วโมงนั้นทำให้ผู้เขียนต้องเปลี่ยนความคิดนี้ไปบ้าง เพราะแม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมในส่วนที่ได้ลองเล่นมาจะยังไม่ได้มีอะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ตัวละคร บทพูด และการแสดงกลับมีความติดดิน เป็นเนื้อเรื่องที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกัน มากกว่าการกอบกู้โลกหรือการต่อสู้กับองค์กรชั่ว ซึ่งก็ช่วยทำให้ผู้เขียนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร จนอยากจะเล่นเกมต่อแค่เพื่อจะได้รู้ชะตากรรมของตัวละครเหล่านี้ต่อไปเลยทีเดียว ในตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าจะบอกได้ว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดของ Days Gone จะออกมาดีมากน้อยแค่ไหน แต่จากเวลาสั้นๆ ที่ผู้เขียนได้ใช้ไปกับเกม ก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่อาจจะน่าสนใจที่สุดแล้วก็ได้ในขณะนี้ เกมเพลย์ ถ้าจะให้พูดตรงๆ จากสามองค์ประกอบที่พูดถึงในบทความนี้ (กราฟิค เนื้อเรื่อง เกมเพลย์) เกมเพลย์ของ Days Gone อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจน้อยที่สุดแล้วก็ได้ ด้วยการควบคุมที่รู้สึกติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ไปจนถึงระบบการยิงปืนที่รู้สึกหลวมๆ ยิงยาก ก็ทำให้การเล่นเกม Days Gone เกิดจังหวะที่รู้สึกไม่สนุกขึ้นมาบ่อยๆ เช่นกันเพราะรู้สึกเหมือนตัวละครพยายามจะฝืนการควบคุมของเราตลอดเวลา อีกหนึ่งองค์ประกอบเกมเพลย์ที่สำคัญคือมอเตอร์ไซค์ของเรา ที่ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะเพียงหนึ่งเดียวที่เราจะสามารถหาได้ในเกม โดยมอเตอร์ไซค์ของเกม Days Gone จะบังคับให้ผู้เล่นต้องใส่ใจกับตำแหน่งของมันตลอดเวลา เพราะจะต้องกลับไปที่มอเตอร์ไซค์เป็นระยะๆ เพื่อเดินทางไปรอบๆ แผนที่ แถมยังต้องหมั่นเติมน้ำมันและซ่อมแซมความเสียหายอีก (เหมือนการเลี้ยงม้าใน RDR2 เป๊ะ) ซึ่งจากที่ลองเล่นมาก็ช่วยสร้างประสบการณ์สนุกๆ ได้ อย่างตอนที่ผู้เขียนน้ำมันหมดกลางทางจนต้องแวะสำรวจอาคารใกล้เคียงเพื่อหาน้ำมัน จนพบเข้ากับกลุ่มซอมบี้และต้องต่อสู้เอาตัวรอด หรืออย่างตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ล่อฝูงซอมบี้ให้เข้าไปโจมตีรังโจรเป็นต้น แต่ก็มีสิทธิ์จะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ง่ายๆ เช่นกันถ้าเราเกิดน้ำมันหมดในที่ที่ห่างไกลแหล่งน้ำมัน หรือถ้ารถเกิดเสียหายจนวิ่งไม่ได้จากอุบัติเหตุข้างทาง สำหรับระบบปลีกย่อยอื่นๆ อย่างการปรับแต่งมอเตอร์ไซค์หรืออาวุธนั้น ผู้เขียนได้สัมผัสมาเพียงเล็กน้อย โดยยังไม่เห็นอะไรที่พิศดารหลุดโลกเหมือนในเกมแนวโลกล่มสลายอื่นๆ (ใครหวังจะติดปืนกลบนมอเตอร์ไซค์อาจจะต้องคิดใหม่) และปืน/อาวุธระบะใกล้ที่มีให้ใช้ก็ยังธรรมดาๆ อยู่ เกมมีระบบ RPG เบาๆ ที่ให้ผู้เล่นอัพสกิลของตัวละครเพื่อพัฒนาการเล่นด้านต่างๆ (เช่นการยิงปืน การต่อสู้มือเปล่า การเอาตัวรอด เป็นต้น) แต่โดยรวมก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากถึงขนาดที่จะเปลี่ยนวิธีการเล่นไปได้ ทั้งนี้ ผู้เขียนยังไม่มีโอกาสได้ทดลองการต่อสู้กับฝูงซอมบี้กลุ่มใหญ่เหมือนที่เห็นในเทรลเลอร์ และก็ยังมีองค์ประกอบต่างๆ อย่างการบุกฐานศัตรูมนุษย์และการทำลายรังซอมบี้ (ที่เกมเรียกว่า Freakers) ที่ยังต้องทดสอบอีกเยอะ จึงยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเกมเต็มๆ จะออกมาสนุกแค่ไหน แต่เท่าที่ได้ลองจากเดโมนั้น ต้องบอกว่า Days Gone ยังมีอะไรให้ปรับปรุงได้อีกเยอะก่อนที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 26 เมษยนนี้ สรุป ในความเห็นของผู้เขียน ในตอนนี้ยังอาจจะเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า Days Gone เป็นเกมที่ดีแค่ไหนกันแน่ เพราะยังมีองค์ประกอบสำคัญหลายอย่างที่ผู้เขียนยังไม่ได้ลองเล่นเอง แต่ในเบื้องต้นนั้น Days Gone ยังไม่ได้แสดงอะไรที่จะทำให้รู้สึกว่าเกมแตกต่างไปจากเกมซอมบี้ในตลาดเท่าไหร่ เป็นเกมซอมบี้แนว Third-Person อีกเกมเท่านั้น คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเมื่อได้ลองเล่นเกมตัวเต็มจะทำให้รู้สึกสนุกมากกว่านี้หรือไม่
06 Mar 2019
รีวิวเกม Anthem - โครงเกมที่ดี...ถ้ามีเวลาอีกซัก 6 เดือน
ข้อดี เกมเพลย์สนุกมาก ระบบต่อสู้เล่นได้เรื่อยๆ กราฟิคสวยมาก ละเอียดกว่าเกมคู่แข่งแนวเดียวกันทุกเกมที่ผ่านมา ข้อเสีย เกมบังคับให้ต้องนั่งรอหน้าจอโหลดเกมบ่อยและนานมาก ปัญหาด้านเทคนิคและการออกแบบระบบปลีกย่อยยังเยอะมาก ระบบสกิลมีความจำกัดแปลกๆ ไม่สามารถเลือกได้เท่าที่ควร เนื้อหาน้อย พอจบเนื้อเรื่องแล้วไม่ค่อยรู้สึกอยากเล่นต่อ แนวเกม: Shooter-Looter RPG ผู้พัฒนา: Bioware จัดจำหน่าย: Electronic Arts (EA) เวลาเล่น: 50 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง และ Endgame ประมาณหนึ่ง) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (รีวิวในทั้ง PS4, PC) (ขอบคุณโค้ดรีวิวเกมจาก EA) เพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้อ่านบทความ พรีวิว Anthem - เล่าความรู้สึกจากเดโมครั้งล่าสุด ที่ทาง GameFever ปล่อยออกมาช่วงที่เกมเปิด Open Demo ระหว่างวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อาจจะพอจำกันได้ว่าผู้เขียนถือเป็นแฟนเกมแนว Shooter-Looter อยู่พอสมควร และ Anthem ก็เป็นหนึ่งในเกมที่ผู้เขียนคาดหวังเป็นอันดับต้นๆ ของช่วงต้นปี 2019 นี้เลยทีเดียว และแม้ว่าประสบการณ์ช่วงเดโมจะทำให้หวั่นๆ ใจไปบ้างว่าเกมอาจจะไม่ได้มีเนื้อหามากพอจะดึงความสนใจของผู้เล่นได้นานนัก ผู้เขียนก็ยังคงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ลองเข้าไปเล่นเกมตัวเต็มจริงๆ แต่หลังจากที่ได้เล่นเกมตัวเต็มแล้ว ก็พบว่าปัญหาต่างๆ ที่ผู้เขียนเคยประสบในช่วงเดโมนั้นไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควรเลย หน้าจอโหลดเกมที่รอนานจนหลับคาจอย (เกิดขึ้นจริงมาแล้ว) ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าที่ควรแม้จะมี Day-One Patch มาช่วยก็ตาม (โดยเฉพาะใน PC) ปัญหาการหลุดจากเกมก็ยังคงมีอยู่บ่อยมาก และที่สำคัญที่สุด เนื้อหาที่เกมตัวเต็มมีให้สำหรับคนที่เล่นจนจบเนื้อเรื่องแล้วก็มีอยู่น้อยมากๆ แถมยังไม่ได้แตกต่างจากเกมเพลย์ช่วงต้นหรือกลางเกมเท่าไหร่เลยด้วย ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนถึงตายของเกมแนวนี้เลยทีเดียว [caption id="attachment_19821" align="aligncenter" width="1920"] Roadmap อัพเดทของเกม หวังว่าผู้เล่นจะไม่เลิกกันไปก่อนนะ[/caption] แม้ว่าระบบเกมเพลย์ (การยิงปืน การใช้สกิล การบิน) จะยังคงสนุกอยู่มาก แต่ปัญหาแวดล้อมต่างๆ ของเกมกลับทำให้ประสบการณ์การเล่น Anthem นั้นเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิดจากการหลุด และความเบื่อจากการรอหน้าจอโหลดเกม มากกว่าความสนุกที่ได้รับจากการตะลุยภารกิจซะอีกในหลายๆ ช่วง ถ้าจะให้กล่าวโดยสรุป Anthem เป็นเกมที่มีโครงเกมเพลย์ที่ดีมากๆ และเกมน่าจะสามารถกลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมได้แน่นอนถ้าได้รับการแก้ไขปัญหาและเพิ่มเนื้อหามากกว่านี้ แต่แค่ไม่ใช่ในสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้นเอง กราฟิค/การนำเสนอ ดังที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ กราฟิคของเกม Anthem อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเกมเลยก็ว่าได้ ด้วยแผนที่ที่ออกแบบมาอย่างสวยงามและละเอียด มีสภาพแวดล้อมอันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลสาป ไปจนถึงซากปรักหักพังและถ้ำใต้ดิน ที่ทำให้การบินสำรวจโลกของเกมกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้ เพราะมีสภาพแวดล้อมและรายละเอียดในฉากให้ชื่นชมและค้นหาแทบจะตลอดทางเลยทีเดียว แถมการเพิ่มระบบการบินอย่างอิสระยังทำให้ผู้พัฒนาสามารถซ่อนความลับและ/หรือสมบัติไว้ตามมุมต่างๆ ได้มากกว่าเกมอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้การสำรวจโลกของเกม Anthem เป็นประสบการณ์ที่สนุกและน่าค้นหาอยู่ตลอด คุณภาพของกราฟิคยังครอบคลุมไปถึงชุด Javelin ที่มีรายละเอียดบนชุดเยอะมากๆ แถมรายละเอียดเหล่านี้ยังมีการขยับเขยื้อนไปมาตามการเคลื่อนไหวของเราตลอดเวลาอีกด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่เกมมีตัวเลือกชิ้นส่วนในการตกแต่งชุด Javelin น้อยเหลือเกิน มีตัวเลือกเพิ่มมาเพียงไม่กี่เซ็ตต่อชุดเท่านั้น แถมแต่ละชุดยังต้องใช้เงิน Coin ในเกม (หรือเติมเงิน Premium เอา) เพื่อซื้อ ฃซึ่งการมีตัวเลือกชุดเกราะเยอะๆ ถือเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้เล่นได้อย่างมากมาย แทนที่ทุกคนจะสวมใส่ชุดหน้าตาเหมือนๆ กันหมดทั้งเซิฟเวอร์เหมือนในปัจจุบัน [caption id="attachment_19829" align="aligncenter" width="1920"] ฉากใส่ชุด Javelin ที่ดูสิบครั้งก็เท่สิบครั้ง[/caption] แต่ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ผู้เขียนชอบที่สุดเกี่ยวกับการนำเสนอของเกม คงเป็นการที่เกมใช้ระบบการสั่นของจอยได้ดีมากๆ โดยจอยของเราจะสั่นเป็นจังหวะตามที่หุ่นก้าวเท้าเดิน หรือสั่นตามจังหวะการยิงของปืนเป็นต้น ซึ่งก็ช่วยเสริมความ Immersive หรือความสมจริงของการเล่นขึ้นไปอีกระดับ เหมือนดูหนัง 4D เลยทีเดียว ซึ่งนี่อาจจะเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่หลายคนอาจจะไม่สังเกติด้วยซ้ำในระหว่างที่เล่น แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่เสริมประสบการณ์เกมได้ดีเลยทีเดียว อีกหนึ่งองค์ประกอบการนำเสนอที่เกมทำได้ดีคือกราฟิคหน้าตาตัวละครต่างๆ ในเกม โดยเฉพาะเหล่าตัวละครหลักทั้งหลาย ที่ทำสีหน้าออกมาได้ละเอียด แสดงออกความรู้สึกชัดเจนทั้งทางสีหน้าและภาษากาย ทำให้รู้สึกจริงๆ ว่าตัวละครเหล่านี้มีชีวิตชีวา โดยคุณภาพของการพากย์เสียงก็ช่วยเสริมตรงนี้ได้ดี แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้ทำให้สิ่งที่พูดน่าสนใจขนาดนั้นก็ตาม (อ่านต่อได้ในหมวดเนื้อเรื่อง) [caption id="attachment_19785" align="aligncenter" width="1920"] หน้าตาตัวละครมีชีวิตชีวาใช้ได้[/caption] ในแง่ของความลื่นในการรันเกมนั้น ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนเป็นคนที่เล่นเกมใน PS4 เป็นหลัก และเล่นเกมใน PC น้อยมากๆ จึงอาจจะไม่สามารถออกความเห็นได้ว่าเกม Anthem ถือเป็นเกมที่กิน spec เครื่องหนักมากน้อยกว่าเกมอื่นๆ ในตลาดหรือไม่ แต่ในกรณีของ Anthem ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมบนเครื่อง PC ที่มี spec ดังนี้: Intel Core i7-7th Gen, GTX 1060ti, 8GB RAM สามารถปรับกราฟิคระดับ High ได้ (เกมปรับเองอัตโนมัติ) และสามารถรันเกมได้ที่เฟรมเรตเฉลี่ยประมาณ 30-40 FPS ซะส่วนใหญ่ และมีจังหวะที่เฟรมเรตตกไปถึง 20 นิดๆ ด้วยในบางสถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่ก็ถือว่ายอมรับได้ ความกระตุกหรืออืดอาดที่พบดูเหมือนจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตซะมากกว่า ในส่วนของ PS4 นั้น แม้ว่ากราฟิคจะสู้ใน PC ไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเสถียรของตัวเกม โดยผู้เขียนพบว่าการเล่นเกมใน PS4 นั้นทั้งโหลดเร็วกว่า หลุดน้อยกว่า (แต่ใช่ว่าไม่หลุดเลย) และแม้ว่าเฟรมเรตจะไม่ได้สูงเท่ากับใน PC แต่ก็มีความนิ่งมากกว่า ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกถึงอาการกระตุกหรือหน่วงเท่าใน PC [caption id="attachment_19781" align="aligncenter" width="1920"] หน้าจอที่คุณจะได้เห็นบ่อยที่สุดในเกม[/caption] โดยรวมๆ นั้นการนำเสนอของ Anthem ถือว่าทำออกมาได้ในระดับที่พอใช้ แม้ว่ากราฟิคจะสวยและละเอียดขนาดไหนก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องความเสถียรก็ทำให้ไม่สามารถชมการนำเสนอของเกมโดยรวมได้อย่างเต็มปากนัก ที่สำคัญคือเกมพลาดโอกาสง่ายๆ ในการทำให้เกมเล่นสนุกขึ้นสำหรับผู้เล่น อย่างการเพิ่มตัวเลือกชิ้นส่วนชุดเกราะให้เยอะขึ้น หรือการเพิ่มโมเดลปืนไม่ให้ซ้ำกันไปหมดเป็นต้น เนื้อเรื่อง หนึ่งในสิ่งที่หลายคนคาดหวังจากเกม Anthem มากกว่าเกมคู่แข่งแนวเดียวกันน่าจะเป็นส่วนของเนื้อเรื่อง ที่เป็นจุดอ่อนของเกมคู่แข่งอย่าง Destiny และ The Division มาตลอด ด้วยชื่อเสียงเรียงนามของค่ายผู้พัฒนาเกม RPG ที่โด่งดังมาแล้วมากมายอย่าง Bioware ด้วย จึงทำให้หลายคน (รวมถึงผู้เขียนด้วย) มีความคาดหวังต่อเนื้อเรื่องของเกมมากกว่าเกมอื่นๆ จึงเป็นความหนักใจของผู้เขียนที่ต้องพบว่าเนื้อเรื่องของ Anthem นั้นทำออกมาได้แย่มากๆ ถึงขนาดที่แทบจะจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลยทีเดียว เกมพยายามจะนำเสนอโลกไซไฟ-แฟนตาซีอันลึกซึ้ง มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถเล่าเรื่องราวนั้นออกมาให้น่าติดตามได้ แถมเกมยังพยายามแนะนำตัวละครสำคัญใหม่ๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ โดยที่แทบจะไม่มีคำอธิบายเลยว่าตัวละครตัวนั้นๆ คือใคร มาจากไหน ในขณะที่กลุ่มตัวละครเสริมรอบๆ ตัวพระเอกกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จนสุดท้ายทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมในเนื้อเรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว เนื้อเรื่องหลักของเกมจะให้เรารับบทเป็น Freelancer (นักบินที่ใส่ชุด Javelin) นิรนาม ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับแผนการของกองทัพ The Dominion อันชั่วร้าย ที่ต้องการควบคุมวัตถุลึกลับที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเหล่าเทพผู้สร้างโลก (Shapers) เพื่อจะสามารถควบคุมพลังงานปริศนาที่มีชื่อว่า The Anthem of Creation (บทเพลงแห่งการสรรค์สร้าง) เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง [caption id="attachment_19831" align="aligncenter" width="1212"] ตัวร้ายที่โผล่มาซัก 5 ครั้งตลอดเกม[/caption] อาจจะด้วยรูปแบบของเกมที่ถูกตัดแบ่งออกเป็นภารกิจชัดเจนด้วยแล้ว ทำให้ Anthem ไม่สามารถใช้เวลากับการปูเรื่องราวของโลกและเกมได้เท่าที่ควร ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ กับเกมไซไฟจ๋าๆ ขนาดนี้ในการปูพื้นเรื่องราวของโลกให้ผู้เล่นรู้สึกเข้าใจว่าสิ่งที่ตนทำไปในเนื้อเรื่องมีความสำคัญอย่างไรกันแน่ เมื่อเกมพลาดองค์ประกอบนี้ไป ก็ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ที่ตามมาในเนื้อเรื่องแลดูขาดเหตุผลไปได้เหมือนกัน ซึ่งก็ส่งผลให้ยิ่งเกมดำเนินไปไกลเท่าไหร่ ความสนใจในเนื้อเรื่องมีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะไม่รู้เรื่องแล้วว่ามันคุยอะไรกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่องโหว่และปัญหาในเนื้อเรื่องหลายๆ จุดอาจจะสามารถแก้ได้ถ้าเกิดผู้เล่นเลือกที่จะหาข้อมูลเอาเองจากการคุยกับ NPC ทั้งหลายในเมือง Fort Tarsis ของเกม แต่สำหรับผู้เขียนบทสนทนาเหล่านี้ก็ประสบปัญหาไม่ต่างกับเนื้อเรื่อง นั่นก็คือการขาดอารมณ์ร่วมจากการที่เกมปูพื้นเนื้อเรื่องมาไม่ดีนั่นเอง ซ้ำร้าย ระบบตัวเลือกบทสนทนาของเกมก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นเกมของผู้เล่นโดยตรงแต่อย่างใด จะมีก็เพียงท่าทีของตัวละครบางตัวที่อาจจะเปลี่ยนไปตามทางเลือกของผู้เล่น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีผลเสียอะไรกับเรา ถ้าไม่นับการปลดล๊อคตัวเลือกในการปรับแต่งหุ่นหรือ Blueprint (พิมพ์เขียว) สำหรับการสร้างอาวุธ/ไอเทม ซึ่งไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ดูเหมือนจะปลดล๊อคได้อยู่ดี จนทำให้ผู้เขียนเลือกที่จะกดข้ามบทสนทนาเหล่านี้ไปเลยเพื่อจะได้ไปลุยภารกิจต่อได้เร็วๆ กล่าวโดยสรุป คนที่คาดหวังว่า Anthem จะมีเนื้อเรื่องน่าติดตามในแบบฉบับเกม Bioware อื่นๆ นั้นอาจจะต้องปรับความคาดหวังกันใหม่ทั้งหมดเลย เพราะ Anthem ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งหรือน่าสนใจใกล้เคียงกับเกมอย่าง Dragon Age และ Mass Effect เลยซักนิด อาจจะดีกว่า Destiny ภาคแรกในช่วงที่วางจำหน่ายใหม่ๆ อยู่หน่อยนึง แต่ก็ยังถือว่าไม่ผ่านในความเห็นของผู้เขียน ไม่ได้ช่วยเสริมประสบการณ์ของเกมแต่อย่างใด กลับทำให้เกมแย่ลงด้วยซ้ำ เพราะต้องบังคับให้ผู้เล่นกลับเมืองเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องอยู่ตลอด เป็นการขัดจังหวะการเล่นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความนานในการโหลดของเกม เกมเพลย์ สำหรับผู้เขียนที่ยอมรับตรงๆ ว่าเป็นแฟนเกมแนวนี้อยู่แล้ว เกมเพลย์ของ Anthem ถือเป็นองค์ประกอบที่ทำออกมาได้ดีที่สุดแล้วก็ว่าได้ การเหาะไปในอากาศและการต่อสู้ของเกมยังคงสนุกอยู่แม้ว่าผู้เขียนจะเล่นเกมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ชั่วโมงก็ตาม ด้วยระบบหลายๆ อย่างรวมกันที่ทำให้การเล่นมีมิติมากกว่าแค่เกม Third-Person Shooter (เกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม) ทั่วไป ในส่วนของระบบต่อสู้นั้น แม้ว่าการยิงปืนในตัวของมันเองอาจจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่ Anthem สามารถสร้างควา่มแตกต่างให้ตัวเองด้วยระบบคอมโบของเกม ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมรุ่นพี่ค่ายเดียวกันอย่าง Mass Effect นั่นเอง โดยหุ่นแต่ละชนิดในเกม Anthem จะสามารถใส่ความสามารถพิเศษไปใช้ในการต่อสู้ได้สามชนิดด้วยกัน คือสกิลธรรมดา สกิล Primer และสกิล Detonator นั่นเอง โดยสกิลธรรมดานั้นจะเน้นไปที่การสร้างความเสียหายตรงๆ อย่างเดียว ในขณะที่สกิล Primer จะทำให้ศัตรูติดสถานะผิดปกติ และเมื่อโจมตีศัตรูตัวนั้นซ้ำด้วยสกิล Detonator ก็จะทำให้เกิดคอมโบ ซึ่งจะส่งผลแตกต่างกันไปตามชนิดของหุ่นที่เป็นคนปิดคอมโบอีกด้วย [caption id="attachment_19784" align="aligncenter" width="1920"] ระบบคอมโบถือเป็นจุดแข็งของเกมอย่างหนึ่ง[/caption] ในเบื้องต้นนั้น ระบบคอมโบสามารถทำให้การเล่นเกมมีความหลากหลาย มีมิติมากขึ้นตามสกิลที่ผู้เล่นแต่ละคนเลือกใช้ แต่ในเบื้องลึกขึ้นนั้น ระบบคอมโบสามารถเปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถวางแผนร่วมกันเพื่อก้าวข้ามสถานการณ์ต่างๆ ก็ได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากเอฟเฟกพิเศษจากการปิดคอมโบของหุ่นแต่ละชนิด เช่นเมื่อโดนรุมหนักๆ ก็สามารถให้หุ่น Colossus ปิดคอมโบเพื่อสร้างความเสียหายต่อศัตรูเป็นวงกว้างได้ หรือถ้ามีศัตรูระดับบอสที่หนังเหนียวเอาไม่ลง ก็ให้หุ่น Ranger ข่วยปิดคอมโบเพื่อสร้างความเสียหายต่อบอสมากขึ้นก็ได้เป็นต้น นอกจากนี้ หุ่นแต่ละตัวยังมีแนวทางการเล่นที่แตกต่างกันอย่างมาก ยกตัวอย่างหุ่น Storm ที่มีความสามารถเหมือนอาชีพนักเวทย์ มีสกิลที่สร้างความเสียหายสูงในวงกว้างเยอะ แต่ก็เปราะบางมากๆ เช่นกัน แต่หุ่นจะได้รับเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นเมื่อบินอยู่กลางอากาศ ทำให้ผู้เล่นหุ่น Storm ต้องพยายามหาวิธีต่อสู้กลางอากาศตลอดเวลาเป็นวิธีเอาตัวรอด ในขณะที่หุ่น Colossus นั้นจะเน้นที่พลังล้วนๆ ทั้งสำหรับการโจมตีและป้องกัน สามารถใช้อาวุธหนักอย่างปืน Autocannon และ Grenade Launcher ได้ สามารถดึงโล่ห์ออกมาใช้กันการโจมตีได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จะไม่มีเกราะบาเรียเหมือนหุ่นตัวอื่นๆ (ต้องดึงโล่ห์ออกมากันเท่านั้น) แถมยังอืดอาดกว่า บินนานไม่เท่าหุ่นตัวอื่นๆ และที่สำคัญคือไม่สามารถพุ่งหลบเหมือนหุ่นตัวอื่นๆ ได้เป็นต้น [caption id="attachment_19832" align="aligncenter" width="1920"] หุ่น Storm ที่ต้องเอาตัวรอดด้วยการลอยตัวตลอดเวลา[/caption] อย่างที่เห็นว่าหุ่นทั้งสองตัวก็มีวิธีเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งลึกกว่าความแตกต่างในเรื่องของสกิลหรือค่าสถานะเท่านั้น แถมผู้เล่นคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนหุ่นได้ตลอดก่อนเริ่มภารกิจ ซึ่งก็ช่วยเสริมให้เกมเพลย์มีความหลากหลายมากขึ้นเช่นกัน ถ้าจะต้องตำหนิก็คงเป็นระบบช่องสกิล ที่ทำให้เราไม่สามารถเลือกผสมคอมโบสกิลได้ตามใจเท่าที่ควร โดยหุ่นแต่ละชุดจะมีช่องสกิลอยู่สองช่อง และแต่ละช่องจะมีรายชื่อสกิลที่สวมใส่ได้ตายตัว ยกตัวอย่างเช่นสกิล Burning Orb ของหุ่น Storm ที่ต้องใส่ช่องเดียวกับสกิล Frost Shards ทำให้ผู้เล่นที่อยากจะใช้สกิลสองสกิลนี้คอมโบกันไม่สามารถทำได้เป็นต้น อาจจะไม่ใช่จุดบกพร่องที่สลักสำคัญมากนัก แต่ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ถ้ามีน่าจะทำให้เกมมีความสนุกมากกว่านี้ [caption id="attachment_19826" align="aligncenter" width="3840"] ของในร้านค้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่น่าจะมีตัวเลือกเยอะกว่านี้[/caption] แต่แม้ว่า Anthem จะสนุกขนาดไหนในระหว่างที่ได้ต่อสู้ องค์ประกอบเกมเพลย์อื่นๆ นอกเหนือไปจากการต่อสู้กลับทำได้ไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่เกมเพลย์ส่วนเมือง Fort Tarsis ที่เชื่องช้าและน่าเบื่อ ไปจนถึงระบบการสนทนากับ NPC ที่ก็น่าเบื่อไม่แพ้กัน แต่เกมกลับบังคับให้ผู้เล่นต้องกลับไปที่เมือง Fort Tarsis ทุกครั้งหลังจบภารกิจเพื่อรับเควสและปรับเปลี่ยนอาวุธ/สกิลของหุ่น ทำให้การเล่นเกม Anthem เหมือนขัดจังหวะตัวเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ เนื้อหาที่เกมมีในขนาดนี้ยังถือว่าน้อยมากๆ เช่นจำนวนดันเจี้ยน (หรือที่เกมเรียกว่า Stronghold) ที่มีเพียง 3 ที่เท่านั้น ไปจนถึงไอเทมในเกมที่มีอยู่น้อย และหาได้ไม่ยาก (โดยเฉพาะในระดับเลเวลสูงๆ) ทำให้การเล่นเกมรู้สึกตันเร็ว เล่นไม่นานก็ผ่าน/เก็บหมดทุกอย่างแล้ว (ผู้เขียนใช้เวลาเล่นราว 50 ชั่วโมง ใส่ของระดับ Masterwork เกือบทั้งตัว) ซึ่งสำหรับเกมแนวนี้ ที่ผู้พัฒนาคาดหวังให้ผู้เล่นกลับมาเล่นเรื่อยๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือน/ปี ถือเป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้เกมต้องตายไปก่อนเวลาอันควรได้เลย แม้ว่าผู้พัฒนาจะออกมาพูดถึงเนื้อหาที่จะเพิ่มเข้ามาในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกันว่ากว่าอัพเดทเหล่านี้จะออกมา ผู้เล่นหลายๆ คนอาจจะบอกลาเกมโดยไม่หันหลังกลับไปซะแล้ว ซึ่งจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะผู้เขียนเชื่อจริงๆ ว่า Anthem จะสามารถกลายเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ถ้าเกมมีเวลาพัฒนาเนื้อหาไปอีกซักระยะหนึ่ง [caption id="attachment_19815" align="aligncenter" width="2549"] การสู้บอสตัวยักษ์สนุกดี แต่ดันมีน้อย[/caption] สรุป ถ้าถามผู้เขียนว่า Anthem เป็นเกมที่ สนุก หรือไม่ ผู้เขียนก็คงได้แต่ตอบตามความเห็นตัวเองว่าเกมยัง สนุก อยู่แน่นอนในเรื่องของการต่อสู้ ที่แม้จะเล่นมาแล้วเกิน 50 ชั่วโมงก็ยังไม่รู้สึกเบื่อเลย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าถามผู้เขียนว่า Anthem เป็นเกมที่ ดี หรือไม่ ผู้เขียนคงตอบได้ไม่เต็มปากนัก เพราะแม้เกมจะมีโครงสร้างเกมเพลย์ที่ดีอยู่ แต่ปัญหาด้านอื่นๆ ทั้งในเรื่องของปริมาณเนื้อหาไปจนถึงปัญหาเรื่องหน้าจอโหลดเกมและความเสถียร ก็อยู่ในระดับที่สามารถทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมเสียไปเลยได้เหมือนกันสำหรับหลายๆ คน สำหรับคนที่รู้สึกว่าอาจจะมองข้ามข้อบกพร่องต่างๆ ของเกมไปได้ Anthem น่าจะเป็นเกมที่มอบความเพลิดเพลินให้คุณและเพื่อนๆ ได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าจะต้องแนะนำจริงๆ อยากจะแนะนำให้รอไปก่อนซัก 3-6 เดือน เพื่อให้ผู้พัฒนาได้ปรับปรุงปัญหาต่างๆ และเพิ่มเนื้อหาเข้าไปมากกว่านี้ซะก่อน เพราะผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าถ้าเกมสามารถอยู่รอดไปได้จนถึงตอนนั้น (คือผู้เล่นไม่พากันเบื่อหน่ายหายตัวไปซะก่อน) Anthem ก็มีศักยภาพที่จะกลายเป็นเกมฮิตได้ไม่ต่างจาก Destiny หรือ The Division เลยเช่นกัน [caption id="attachment_19813" align="aligncenter" width="1454"] อนาคตที่สดใส(อาจจะ)รอเราอยู่...[/caption] [penci_review id="19319"]
28 Feb 2019
รีวิว Far Cry New Dawn ดีที่มีไอเดียใหม่ แต่เน้นเกินไปหรือเปล่า ?
Far Cry New Dawn เกมภาคใหม่ซีรีส์ไกลตะโกนจากทาง Ubisoft ที่เปิดตัวอย่างม้ามึดในงาน The Game Awards 2018 กับการต่อยอดเรื่องราวของเกม Far Cry 5 ที่จบได้อย่างตราตรึงใจ และทำให้คนอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อ รวมถึงในครั้งนี้ทางผู้พัฒนาก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นให้ต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง กับการใส่ความเป็น RPG ที่ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ และพวกเราชาว Game Fever TH จะมารีวิวเกมนี้อย่างละเอียด ดี หรือ ไม่ดียังไง ควรค่า !! แก่การซื้อหรือไม่ เราไปชมกันเลยครับ เนื้อเรื่อง ในเกม Far Cry New Dawn เป็นเรื่องราวต่อจาก Far Cry 5 ประมาณ 17 ปี ที่ในตอนจบภาค 5 นั้นเมือง Hope County ได้เกิดระเบิดนิวเคลียร์ลง ซึ่งหลังจากนั้นผู้คนที่หลงเหลือจากการหลบภัยใต้ดินก็ได้ก่อร่างสร้างอริยธรรมขึ้นมาใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้มีกลุ่มโจรนามว่า Highwaymen ผู้นำคือสองฝาแฝดสุดเกรียนอย่าง Mickey และ Lou ที่ต้องการจะปล้นดินแดนนี้ โดยเราจะได้รับบทเป็น Captian (ตัวละครที่สร้างเอง) หนึ่งในทีมผู้ช่วยเหลือที่ได้เดินทางมาเมือง Hope County เพื่อเข้ามากอบกู้ภัยร้ายจากสองฝาแฝดนั่นเอง ถึงแม้ว่าเรื่องราวของภาคนี้กับภาค 5 จะมีระยะห่างกันหลายปี แต่หลังจากได้เล่นมาก็ต้องบอกเลยว่านี่มันคือการสรุปจบเรื่องราวของตัวร้ายหลักในภาคที่แล้วอย่าง Josept Seed ด้วยส่วนหนึ่ง และมีการปูเส้นทางของภาคใหม่ที่เพิ่มตัวร้ายอย่าง Mickey และ Lou เข้ามา แต่ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้ค่อนข้างอ่อนกว่าภาค 3-4-5 เยอะพอสมควร ตัวเนื้อเรื่องจริงๆ แล้วไม่มีความซับซ้อนใดๆ เท่าไร ทั้งที่มีการปูเนื้อเรื่องหลายๆ อย่างที่น่าสนใจเข้ามา !! ในช่วงเริ่มต้นตัวเกมมีการดำเนินเรื่องที่ไวมากๆ ซึ่งส่วนตัวชอบนะเพราะมันจะทำให้เราไม่เบื่อ แต่เปล่าเลย ผมคิดผิด !! เนื้อเรื่องของเกมนี้มันไม่ได้ไว แต่เนื้อเรื่องมันน้อยเกินไปต่างหาก มันเลยดูเหมือนเป็นการเล่าเร็ว แต่แป๊ปๆ เอ้าจบแล้วหรอวะ !! ทั้งๆ ที่มันควรจะขยายความเนื้อเรื่องให้มากกว่านี้เซ่ !! รวมถึงมิติของตัวละครกลับแบนราบไม่ได้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะด้วยเนื้อเรื่องที่น้อยนิดของเกมนี้ บวกกับตัวละครที่ใส่เข้ามามากมาย มันเลยทำให้บทของแต่ละตัวละครเฉลี่ยกันออกมาไม่มากพอ เช่นในบางฉากที่ควรจะดึงดราม่าเรียกความเศร้าสร้อย แต่เนื่องจากความผู้พันธ์ที่น้อยเกินไป เราจึงไม่รู้สึกอินกับมันซักนิด และยิ่งหนักเลยก็คือตัวละครอย่าง Josept Seed ที่ภาค 5 นั้นมีมิติมาก เป็นคนที่น่าค้นหา น่าสงสัย ไม่แพ้กับ Vaas (Far Cry 3) หรือ Pagan Min (Far Cry 4) แต่ในภาค New Dawn เขากลับเป็นตัวละครที่แบนราบ บทน้อย ความเป็นมาเป็นไปในบางสาเหตุก็เล่าได้ไม่ชัดเจน ถึงแม้ตัวละครนี้อาจจะมีบทบาทต่อเนื้อเรื่องในช่วงท้าย แต่การเล่าเรื่องที่น้อยเกินไป มันเลยทำให้ตัวละครนี้ขนาดเสน่ห์เกินกว่าที่จะเป็น กราฟิก สำหรับกราฟิกในภาคนี้ก็ยังใช้ Engine เดียวกับเกม Far Cry 5 ที่เด่นในเรื่องแสงเงาอันสมจริงมาก แต่ก็ได้ปรับปรุงเฉดสีกราฟิกให้มีสีสันมากกว่าเดิม ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าให้มองดีๆ ตัวกราฟิกเองก็เหมือนกับภาคที่แล้วแหละ แต่มันต่างก็คงจะเป็น ในเรื่องทิวทรรศซะที่สีมันสวยขึ้นซะมากกว่า เช่นดอกไม้ใบหญ้า ที่มีสีชมพูเข้ามาตัด สีของชุดตัวละคร ซากปรักหักพังที่มีการทาสีให้สวยงามขึ้นบลาๆ มันเลยทำให้เกมภาค Far Cry New Dawn ดูสบายตามากขึ้น ฟิลของภาคนี้และภาค 5 จะแตกต่างกันอย่างเช่นเจน รวมๆ แล้วภาคก่อนหน้าจะดู Realistic มากกว่า แต่ในภาคนี้ดูเผินๆ จะมีกลิ่นอายความเป็นการ์ตูนนิดๆ แต่อย่างที่บอกว่าถ้ามองในเรื่องรายละเอียดจริงๆ กราฟิกของมันเองไม่ได้การ์ตูนเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่เฉดสีมันทำให้เราคิดไปแบบนั้น ซึ่งอันนี้อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนว่าจะชอบแบบไหนมากกว่า แต่ส่วนตัวรู้สึกชอบนะเพราะมันทำให้สบายตาเวลาเล่นมากกว่าเดิม และเล่นได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกปวดหัวเลย เกมเพลย์ เอาจริงๆ แล้วเกมในซีรีส์ Far Cry หลายๆ ภาคก็ใส่กลิ่นอายของความเป็น RPG เข้าไปเช่นระบบพัฒนาตัวละคร หรือการคราฟของ แต่ในภาคนี้จะเอาความเป็น RPG มาใช้แบบ 100% อย่างเช่นการขึ้นดาเมจการโจมตีแบบชัดเจน ตัวปืนมี Stats ความแรงให้ดูแบบจะๆ ที่ทำให้เราคาดการณ์ได้ดาเมจได้ ตัวปืนเองก็มีรูปแบบชัดเจนเช่น สีขาว, ฟ้า, ม่วง และทอง แต่จะมีการตัดระบบการแต่งปืนออกไปแทน ซึ่งของแต่งปืนจะติดมาให้เลยในอาวุธที่คราฟพวก Scope ซูมต่างๆ นาๆ โดนของแต่งมันจะดีขึ้นตามระดับของปืนอีกด้วย [caption id="attachment_19559" align="aligncenter" width="1024"] เวลายิงศัตรูจะมีเลขดาเมจขึ้นชัดเจน[/caption] [caption id="attachment_19560" align="aligncenter" width="1024"] ระบบปืน หรือรถจะแบ่งเป็นระดับ ที่จะมีความแรงต่างกันชัดเจน รวมถึงของแต่ง[/caption] ระบบการพัฒนาตัวละครทุกอย่างในภาคนี้จะรวมอยู่ด้วยกันเป็นการอัพเกรดบ้าน ถ้าหากว่าเราอัพเกรดในส่วนนี้เราจะได้รับเลือดมากขึ้น หรือ การอัพเกรดตรงนี้จะสามารถคราฟอาวุธระดับสูงได้เป็นต้น โดยการอัพทุกอย่างจะใช้แต้มเดียวกันที่เราสามารถหาได้จากการบุกยึดพื้นที่ศัตรู [caption id="attachment_19561" align="aligncenter" width="1024"] ระบบอัพเกรดบ้าน ที่จะมีจุดให้อัพเกรดหลายจุด และแต่ละจุดก็จะเพิ่มประสิทธิภาพแตกต่างกันไป[/caption] ส่วนบางระบบของเกมที่มีอยู่ในภาค 5 เองก็จะถูกนำมาใช้ในแบบเดียวกัน อย่างเช่นการคราฟของที่เราจะต้องหาวัตถุดิบต่างๆ ตามแผนที่หรือทำการล่าสัตว์ แล้วนำหนังไปขายก็จะได้วัตถุดิบมาเป็นของตอบแทน ระบบคู่หูที่จะมีความสามารถแต่งต่างกันไป สามารถบังคับให้โจมตี เดินไปในจุดต่างๆ ด้วยฟังชั่นสั่งการที่ใช้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง [caption id="attachment_19578" align="aligncenter" width="1024"] ระบบ ROSTER เพื่อนร่วมทางที่จะมีความสามารภแตกต่างกัน และสามารถอัพเลเวลหรืออัพเกรดเพื่อนได้ด้วย (ส่วนตัวใช้แต่หมา 5555+)[/caption] [caption id="attachment_19562" align="aligncenter" width="1024"] สามารถล่าสัตว์แล้วเอาหนังมาขายได้ ซึ่งจะได้วัตถุดิบเป็นของรางวัล[/caption] [caption id="attachment_19579" align="aligncenter" width="1024"] ตามแผนที่จะมีของคราฟให้เก็บ หรือจะสามารถทำเควสเสริมที่ได้รางวัลของคราฟโดยตรงก็ได้[/caption] โดยในเกม Far Cry New Dawn ต้องบอกเลยว่าทางผู้พัฒนานั้นได้ใส่ปัจจัยต่างๆ ให้เราจมลึกอยู่ในเกมเพลย์มากขึ้น ระบบต่างๆ ที่เรียนรู้ไม่อยาก และมันมีแรงจูงใจมากกว่าภาคก่อนๆ ที่จะทำให้เราอยากจะทำให้ตัวละครเราเก่งมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากความเป็น RPG ขนาดแท้ของเกมนี้จะมีระดับของศัตรูออกมาชัดเจน มันทำให้เรารู้ได้เลยว่า อาวุธเพียงแค่นี้ไม่สามารถที่จะจัดการศัตรูไหวแน่ เลยทำให้เราต้องไปหาปืนดีๆ มาใช้ก่อนที่จะทำภารกิจนั้นเป็นต้น จากความคิดเห็นส่วนตัว เอาตามตรงผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยชอบเกม FPS ที่มีความเป็น RPG จ๋าๆ ซะเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้น !! ก่อนที่เล่นเกมนี้ตัวผมเองก็ได้ตัดอคติออกไปทั้งหมด จึงได้รู้ว่าเกมเพลย์ของ Far Cry New Dawn เองมันก็สนุกใช้ได้เลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการนำระบบเก่าๆ ที่เคยมีในเกมเก่าๆ มาใช้ เช่นระบบ RPG เองก็เป็นข้อดีที่เคยทำแล้วประสบความสำเร็จมาในเกม Assassin Creed หรือระบบหลายๆ อย่างก็เป็นการปรับปรุงมาจากภาค 5 แต่ถึงอย่างนั้น โดยรวมของเกมเพลย์เองก็ยังยอดเยี่ยม เพราะในความเป็น RPG นั้น มันก็ยังมีกลิ่นอายของเกม Far Cry อยู่เช่นเดิมไม่เสื่อมคลาย ซึ่งสิ่งนี้แหละที่มันยังคงเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่า ฉันก็คือ Far Cry นะจ๊ะ !! สรุป โดยรวมของเกมนี้ส่วนตัวไม่ดีข้อติในเรื่องเกมเพลย์เลย เพราะมันยังยอดเยี่ยมอยู่เช่นเดิม ถึงแม้ว่าระบบของเกมจะคล้ายๆ กับภาคก่อนหน้า แต่การดีไซน์อะไรใหม่ๆ มันเลยทำให้เรานั้นมีแรงจูงใจในการดื่มด่ำกับเกมเพลย์ได้มากขึ้นกว่า Far Cry ภาคเก่าๆ ที่ต้องยอมรับว่า ผมเล่น Far Cry มาถูก แต่ไม่ค่อยมีความต้องการอยากอัพเกรดตัวละครให้เก่งซักเท่าไร แต่ในภาคนี้ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองต้องเก่งอยู่ตลอดเวลาไม่งั้นสู้เขาไม่ไหว ถึงแม้ระบบการอัพเกรดของมัน จะดูเหมือนเป็นการบังคับให้เราต้องเก่งก็เถอะ แต่ผมเองก็ยอมรับในจุดนี้ได้นะ เพราะพวกปืนม่วง ปืนทองต่างๆ มันน่าเย้ายวนใจให้คราฟมาใช้จริงๆ ส่วนข้อเสียและสิ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือตัวเนื้อเรื่องที่เล่าได้แย่มากกว่าภาคก่อน ส่วนตัวคิดว่าทางผู้พัฒนาอยากจะเน้นในเรื่องเกมเพลย์มากเกินไป เลยทำให้เนื้อเรือ่งอ่อนลงอย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้วเนื้อเรื่องภาคนี้ปูเริ่มมาได้ไม่แย่ แต่เนื่องจากคอนเท้นเนื้อเรื่องที่น้อยเกิน บวกกับต้องการจะดันเกมเพลย์เยอะๆ ดั่งที่กล่าวข้างต้น มันเลยดันเรื่องราวได้ไม่สุดและอินมากพอ เอาตามตรงเนื้อเรื่องของ Far Cry New Dawn น่าจะขยายความให้มากขึ้นอีกซัก 5-10 ชั่วโมงก็ยังดี ตอนนี้ส่วนตัวรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าซักเท่าไร เพราะอย่าลืมว่าจุดเด่นของฟาครายที่คนยังชื่นชอบกันอยู่ ก็คือเรื่องเกมเพลย์บวกกับเนื้อเรื่องที่ลงตัวกันพอดี ถึงแม้ว่ามันอาจจะเทียบชั้นไม่ได้ถ้าให้เปรียบเทียบกับเกมบางเกมก็เถอะ แต่มันก็เพียงพอที่ผู้คนจะหลงไหลกับมันแล้วแหละ ไม่เหมือนภาคนี้ที่เด่นอยู่ตรงแค่เกมเพลย์ส่วนเดียว แต่เรื่องราวแทบไม่มีอะไรให้พูดถึงมากเท่าไร [penci_review id="19318"]
22 Feb 2019
รีวิว Kingdom Hearts 3: จุดจบอันสมเกียรติของมหากาพย์กุญแจแห่งแสง
ข้อดี เกมกราฟิคสวยมาก มีเอกลักษณ์ตามสไตล์ Kingdom Hearts เกมเพลย์แนวแอคชั่นสายฟ้าแล่บยังสนุกไม่เสื่อมคลาย เนื้อเรื่องเอาใจแฟนๆ ของซีรี่ย์สุดชีวิต คลายปมจากเกมทุกภาค ข้อเสีย เกมค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ ในซีรี่ย์ มีอะไรให้ทำน้อย เนื้อเรื่องซับซ้อนมาก ถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อนน่าจะเข้าใจยาก แนวเกม: แอคชั่น RPG ผู้พัฒนา: Square Enix จัดจำหน่าย: Square Enix เวลาเล่น: ราวๆ 25 ชั่วโมง (จบเนื้อเรื่อง) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One (รีวิวใน PS4 Pro) (ขอบคุณโค้ดรีวิวเกมจาก PlayStation SEA) ในช่วงที่เกมออกมาใหม่ๆ ในปี 2002 คงไม่มีใครคาดคิดว่า Kingdom Hearts จะกลายเป็นเกมมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่และยืนยงมานานนับทศวรรษfขนาดนี้ ด้วยคอนเซปสุดพิศดารที่จับเอาตัวละครสุดอมตะของดิสนี่ย์มาผสมกับความเป็น JRPG สไตล์จัดจ้านแบบ Final Fantasy ของ Square Enix ดูเป็นสองรสชาติที่น่าจะจับมาปรุงให้เข้ากันยากประมาณหนึ่ง แต่อย่างที่หลายๆ คนน่าจะได้ค้นพบ เกม Kingdom Hearts กลับกลายเป็นเกมที่สนุกกินใจมากกว่าที่หลายคนคิด และกลายเป็นซีรี่ย์ JRPG ตัวใหญ่ที่มีเกมภาคยิบย่อยปล่อยออกมาให้เล่นกันในเครื่องคอนโซล PS2 และคอนโซลพกพาหลายๆ รุ่นทั้งของโซนี่และนินเทนโด้ถึง 8 ภาคตลอด 16 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงเกม Kingdom Hearts 3 เกมภาคที่ 9 ในซีรี่ย์และภาคสุดท้ายของไตรภาค Xehanort ที่ดำเนินมาตลอดตั้งแต่ Kingdom Hearts ภาคแรกนั่นเอง [caption id="attachment_18135" align="aligncenter" width="1280"] ตาราง Timeline ของซีรี่ย์[/caption] ผู้เขียนเองก็อาจจะถือว่าเป็นแฟนของซีรี่ย์นี้อยู่ประมาณนึง และก็เคยเล่นเกมภาคหลักและภาคเสริมทั้งหลายมาแล้วเกือบทุกภาค (แต่จบบ้างไม่จบบ้าง) จึงมีความตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เห็นจุดจบของการเดินทางของโซระและผองเพื่อนเสียที และในฐานะแฟนก็คงต้องบอกว่าเกม Kingdom Hearts 3 ถือเป็นจุดจบที่น่าพอใจมากๆ สำหรับผู้เขียน เกมสามารถคลายปมที่ผูกเอาไว้จากเกมภาคต่างๆ ได้เกือบหมด และยังคงเกมเพลย์แอคชั่นสุดเท่ของซีรี่ย์ไว้ได้เป็นอย่างดี อาจจะไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดใจกับอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องที่ปูมาตลอดซีรี่ย์นั้นมีความลึกและยาวเกินกว่าจะสามารถเล่าให้เข้าใจแบบสั้นๆ ได้ และการที่เกมพยายามคลายปมทั้งหมดที่ผูกเอาไว้ในเกมภาคเสริมทั้งหลายก็แปลว่าคนที่ไม่เคยเล่นภาคเสริมทั้งหมด (หรืออย่างน้อยไม่รู้เรื่องมาก่อน) ก็อาจจะงงไปกับเหตุการณ์และตัวละครมากมายที่มีอยู่ในเกมได้ง่ายๆ เลย ที่สำคัญที่สุด โครงสร้างของเกมดูจะได้รับอิทธิพลมาจากเกม Final Fantasy 15 มาพอสมควรทั้งในรูปแบบของเกมเพลย์และเนื้อเรื่อง ซึ่งก็อาจจะไปขัดใจหลายๆ คนได้เช่นกัน ถ้าให้สรุปสั้นๆ เกม Kingdom Hearts 3 น่าจะเป็นเกมที่เหมาะกับแฟนๆ ของซีรี่ย์ที่รอคอยเกมนี้มาตลอด แต่ความต้องการจะตอบโจทย์แฟนๆ ก็ทำให้เกมเข้าถึงยากสำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามซีรี่ย์มาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน กราฟิค/การนำเสนอ ดังที่เห็นกันในเทรลเลอร์และสกรีนช๊อตมากมายที่ผ่านมา เกม Kingdom Hearts 3 ยังคงกราฟิคอันสดใสสไตล์ดิสนี่ย์ผสมกับสไตล์อันจัดจ้านของ JRPG สูตร Square Enix เอาไว้ได้เป็นอย่างดี อนิเมชั่นการเคลื่อนไหวและรายละเอียดของตัวละครและสิ่งของตามฉากสามารถรักษาตัวตนของโลกดิสนี่ย์นั้นๆ เอาไว้ได้ ที่สำคัญคือเกมรันอยู่ที่เฟรมเรต 60 FPS (ใน PS4 Pro) แบบคงที่แทบจะตลอดทั้งเกม ซึ่งก็น่าชมเพราะเกมมีเอฟเฟคและแสงสีจากท่าโจมตีพิเศษต่างๆ เยอะแยะเต็มจอแทบจะตลอดเวลา [caption id="attachment_18372" align="aligncenter" width="1920"] มีแสงระยิบระยับเต็มจอตลอดเวลาที่ต่อสู้[/caption] สิ่งที่น่าชมที่สุดเกี่ยวกับกราฟิคของเกมคือการที่เกมสามารถรักษาเอกลักษณ์ของโลกดิสนี่ย์ต่างๆ ไว้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกของเล่นใน Toy Story ไปจนถึงโลกจากหนัง Live-action (หนังคนแสดงจริง) อย่าง Pirates of the Caribbean ทุกโลกล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามโลกนั้นๆ ซึ่งก็ช่วยเสริมบรรยากาศของเกมให้มีความหลากหลายขึ้นมาจริงๆ เพราะโซระในโลกหนึ่งก็อาจจะมีชุดหรือกระทั่ง Texture ตัวละครที่เปลี่ยนไปด้วย แน่นอนว่าข้อปรับปรุงเหล่านี้ทั้งหมดก็ส่งผลต่อคุณภาพของฉากคัตซีนด้วย โดยฉากคัตซีนของ Kingdom Hearts 3 ก็ยังคงลายเซ็นแอคชั่นไร้แรงโน้มถ่วงของผู้กำกับ Tetsuya Nomura เอาไว้ได้ (นึกภาพไม่ออกลองไปดูหนัง Final Fantasy VII: Advent Children) ซึ่งพอนำมารวมกับกราฟิคแนวการ์ตูนของ Kingdom Hearts แล้วก็ทำให้ฉากคัตซีนมีความน่าตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง แถมตัวละครทั้งหลายยังแสดงสีหน้าต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้การสื่ออารมณ์ตามเนื้อเรื่องพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งด้วย [caption id="attachment_18374" align="aligncenter" width="1920"] เห็นน้ำตาตัวละครเป็นหยดๆ[/caption] ข้อปรับปรุงอีกอย่างนึงในเรื่องของการนำเสนอที่ส่งผลต่อเกมเพลย์อย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของแผนที่ ที่เปลี่ยนจากแบบเก่าที่เป็นห้องเล็กๆ หลายๆ ห้องต่อกัน และต้องเข้าหน้าจอโหลดเกมทุกครั้งที่เปลี่ยนห้อง โลกส่วนใหญ่ใน Kingdom Hearts 3 จะมาในรูปแบบของแผนที่กว้างๆ เพียงอันเดียว ซึ่งเปิดโอกาสให้เราสามารถสำรวจโลกได้ลึกกว่าที่ผ่านมา แถมการออกแบบฉากยังสามารถเพิ่มความสูงหรือความกว้างได้มากขึ้น ซึ่งก็ทำให้การเคลื่อนที่อันสุดเหวี่ยงของเกมเปิดกว้างขึ้นไปอีกระดับด้วย เนื้อเรื่อง สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Kingdom Hearts 3 จะเริ่มขึ้นต่อจากเกมภาค Dream Drop Distance ที่วางจำหน่ายสำหรับเครื่อง 3DS ในปี 2012 นั่นเอง โซระและริกุได้เข้ารับการทดสอบ Mark of Mastery เพื่อเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ Keyblade เพื่อเตรียมรับมือกับ Xehanort แต่ในขณะที่ริกุสามารถผ่านการทดสอบได้นั้น โซระกลับทำผิดพลาดจนเกือบโดน Xehanort เข้าครอบงำ และแม้ว่าสุดท้ายโซระจะหลุดพ้นจากการครอบงำมาได้ แต่พลังที่สั่งสมมาตลอดก็ดันโดน Xehanort ดูดเอาไปด้วย จึงไม่ผ่านการทดสอบในที่สุด เนื้อเรื่องของเกม Kingdom Hearts 3 จึงเริ่มขึ้น โดยโซระจะต้องออกเดินทางไปยังโลกดิสนี่ย์ต่างๆ เพื่อฟื้นฟูพลังแห่งแสงในตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่ริกุและราชามิกกี้เมาส์ก็ออกเดินทางเพื่อหาวิธีปลดปล่อยปรมาจารย์ Aqua จากดินแดนแห่งความมืด เพื่อที่จะได้ปลุกชีพ Ventus ขึ้นมาและรวบรวม แสงทั้ง 7 ไว้ต่อกรกับ Xehanort และ ความมืดทั้ง 13 นั่นเอง [caption id="attachment_18375" align="aligncenter" width="1920"] Xehanort และความมืดทั้ง 13[/caption] นอกซะจากว่าคุณจะเป็นแฟนตัวยงที่เล่นเกมภาคเสริมอย่าง Dream Drop Distance และ Birth By Sleep มาก่อน แค่เรื่องย่อด้านบนก็คงทำให้งงหัวหมุนกันไปหมดแล้ว แต่สำหรับแฟนๆ ที่เล่นเกมภาคเสริมมาแล้วนั้น เนื้อเรื่องของเกม Kingdom Hearts 3 เปรียบเสมือนบทสรุปของเหตุการณ์ทั้งหมดในซีรี่ย์ ที่จะนำทุกอย่างกลับมาบรรจบกันเป็นเส้นเรื่องเดียวจนได้ ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับเกมนี้ ในแง่นึงก็ทำหน้าที่ของภาคต่อได้ดีเพราะสามารถคลายปมทั้งหมดได้อย่างน่าพอใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกมดูจะไม่แยแสคนที่ตามเนื้อเรื่องไม่ทันเท่าไหร่เช่นกัน พูดง่ายๆ คือคนที่อยากจะเล่น Kingdom Hearts 3 ให้สนุก จะต้องรู้เรื่องเกมภาคเก่าๆ มาก่อนเป็นอย่างดีประมาณหนึ่ง ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าจะเข้าใจสิ่งที่ตัวละครคุยกันเลย อีกหนึ่งจุดอ่อนของเกมคือปัญหาเรื่อง Pacing หรือการจัดจังหวะของเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องที่มีความไม่สม่ำเสมอ เพราะเกมต้องเล่าทั้งเนื้อเรื่องของเกมเอง และเนื้อเรื่องของการ์ตูนดิสนี่ย์ต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในหลายครั้งก็เกี่ยวข้องกันเพียงเบาบางเท่านั้นเอง จึงมีจังหวะที่ทำให้รู้สึกเหมือนเนื้อเรื่องหลักหยุดอยู่กับที่เหมือนกัน เช่นตอนที่เกมบังคับให้โซระและผองเพื่อนต้องหยุดฟังเอลซ่าร้องเพลง Let It Go (แบบเต็มเพลง) ขนาดที่เพื่อนร่วมทางของโซระอย่าง Goofy และ Donald ยังแซวหลายครั้งตลอดการเดินทางว่า นี่มันใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ?! [caption id="attachment_18376" align="aligncenter" width="1920"] เอาเวลาไปกู้โลกเถอะหนุ่ม Rabbit ไม่ได้กล่าวไว้[/caption] อิทธิพลของเกม Final Fantasy 15 (ซึ่งเป็นเกมที่คุณ Tetsuya Nomura ผู้กำกับเกมมีส่วนช่วยออกแบบเยอะมาก) ออกมาชัดเจนที่สุดในช่วงท้ายเกมในขณะที่เนื้อเรื่องเริ่มเร่งความเร็วสู่ตอนจบ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทำให้รู้สึกเหมือนเกมกำลังพยายามเร่งตัวเองให้จบขึ้นมานิดหน่อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีจังหวะน่าตื่นเต้นและซาบซึ้งเอาใจแฟนๆ มากมายเช่นกัน จึงอาจจะไม่รู้สึกขัดใจเท่ากับในกรณีของ Final Fantasy 15 โดยรวมๆ แล้ว ต้องยอมรับว่าในแง่ของโครงสร้างเนื้อเรื่องเกม Kingdom Hearts 3 ยังคงมีส่วนให้ปรับปรุงได้เยอะเมื่อเทียบกับการเล่าเรื่องในเกมภาคก่อนๆ แต่เกมก็มีตอนจบที่น่าพอใจมากพอที่แฟนๆ ของซีรี่ย์น่าจะทำใจมองข้ามข้อด้อยเหล่านั้นไปได้ แต่คนที่ไม่อินกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่อาจจะรู้สึกขัดๆ คล้ายๆ กับในเกม Final Fantasy 15 เช่นกัน เกมเพลย์ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น Kingdom Hearts 3 ไม่ได้แตกต่างกับเกมภาคก่อนหน้าอย่างภาค 2 เท่าไหร่นัก โดยยังคงใช้ระบบแอคชั่นแบบเลือกจากเมนูเหมือนภาคเก่าๆ เปี๊ยบเลย แตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่เกมเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนที่จากภาค Dream Drop Distance ที่ให้เราสามารถวิ่งไต่กำแพงหรือใช้สิ่งของในฉากในการช่วยต่อสู้ได้ประมาณหนึ่ง และยังมีระบบการใช้ท่าหรืออาวุธพิเศษจาก Birth By Sleep อยู่ด้วย แต่นอกจากนั้นก็ถือว่าการควบคุมยังเหมือนเดิมแทบจะทั้งหมดเลย สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคงจะเป็นระบบอาวุธ Keyblade ที่ก็ดูจะได้รับอิทธิพลมาจากเกม Final Fantasy 15 อีกเช่นกัน โดยในภาคนี้โซระจะสามารถสวมใส่ Keyblade ได้พร้อมกันถึงสามเล่ม ซึ่งสามารถเปลี่ยนไปมาได้ตลอดระหว่างการต่อสู้ และแต่ละเล่มยังมีความสามารถในการกลายร่างเป็นอาวุธชนิดต่างๆ ได้อีก ทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายเปลี่ยนไปตาม Keyblade/อาวุธที่ใช้ในขณะนั้น และสามารถเปลี่ยนอาวุธไปมาได้อย่างอิสระตามสถานการณ์อีกด้วย ซึ่งก็เหมือนกับความสามารถของ Noctis ที่สามารถสวมใส่และสับเปลี่ยนอาวุธได้อย่างอิสระ ซึ่งระบบนี้ก็เพิ่มความหลากหลายในการต่อสู้ได้ประมาณหนึ่ง อย่างอาวุธโล่ห์ Counter-Shield ที่ได้จาก Keyblade ของโลก Olympus ซึ่งมาพร้อมกับความสามารถในการกดกันค้างไว้ได้ (ปกติเวลากันจะกันเพียงพริบตาเดียว ทำให้ต้องกะจังหวะกันดีๆ) และมีท่าโจมตีสวนขึ้นอยู่กับว่ากันการโจมตีได้กี่ครั้ง ซึ่งก็ทำให้วิธีการที่เราต่อสู้กับศัตรูเปลี่ยนไปได้ [caption id="attachment_18243" align="aligncenter" width="1200"] Keyblade จากโลก Olympus กลายร่างเป็นโล่ห์ได้[/caption] แต่ก็ไม่ใช่ Keyblade ทุกเล่มที่จะสามารถเปลี่ยนวิธีเล่นไปได้อย่างชัดเจนเท่าโล่ห์ Counter-Shield เช่นกัน โดยเฉพาะเล่มท้ายๆ เกมที่เริ่มมีความสามารถซ้ำกับ Keyblade ช่วงต้นเกม (เช่น Keyblade จากโลก Tangled และหมีพูห์ ที่เปลี่ยนเป็นปืนทั้งคู่) ซึ่งก็น่าเสียดายที่ระบบนี้ไม่สามารถมอบความหลากหลายได้มากกว่านี้ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นระบบใหม่ที่ทำให้การต่อสู้น่าสนใจมากขึ้นมาได้นิดหน่อย [caption id="attachment_18377" align="aligncenter" width="1024"] ปืนยิงน้ำผึ้ง ของขวัญจากหมีพูห์[/caption] นอกจากนี้ ยังมีท่าพิเศษชุดใหม่ที่เกมเรียกว่า Attraction ซึ่งอิงมาจากเหล่าเครื่องเล่นต่างๆ ในสวนสนุก Disney Land เช่นเรือไวกิ้งหรือม้าหมุนเป็นต้น โดยท่าเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับมินิเกมเล็กๆ ของตัวเอง ซึ่งในแง่หนึ่งก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้การต่อสู้ได้บ้าง แต่เพราะจำนวนท่าที่ค่อนข้างน้อย (มีอยู่เพียง 5-6 ท่าเท่านั้น) แถมแต่ละท่ายังจะมีคัตซีนสั้นๆ ทุกครั้งที่กดใช้อีก และที่สำคัญที่สุด เราจะไม่สามารถเลือกได้ว่าท่าเหล่านี้จะใช้ได้เมื่อไหร่ และเลือกไม่ได้ด้วยว่าพอใช้ได้จะออกมาเป็นท่าไหน เพราะไม่ใช่ทุกท่าที่จะใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ทำให้ช่วงหลังๆ รู้สึกน่ารำคาญขึ้นมามากกว่าจะมีประโยชน์ในบางครั้ง [caption id="attachment_18378" align="aligncenter" width="1920"] เรียกเรือไวกิ้งออกมาชนซะเลย[/caption] อีกหนึ่งระบบที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการต่อสู้คือระบบ Link หรือที่หลายๆ เกมน่าจะเรียกว่าซัมม่อนนั่นเอง โดยโซระจะสามารถเรียกผองเพื่อนตัวละครจากการ์ตูนดิสนี่ย์เช่น Simba (จาก Lion King) หรือ Wreck-it-Ralph ออกมาช่วยต่อสู้กับศัตรูและเพิ่มเลือดของเราไปพร้อมๆ กัน โดยแต่ละตัวจะมาพร้อมกับมินิเกมย่อยๆ ของตัวเองเหมือนกับท่า Attraction แต่เพราะเราสามารถเลือกใช้ได้ทุกเมื่อ ทำให้ท่าเหล่านี้รู้สึกมีประโยชน์กว่า สามารถใช้พลิกสถานการณ์คับขันหรือลดจำนวนศัตรูเวลาโดนรุมได้ สำหรับแฟนๆ ของซีรี่ย์น่าจะคุ้นเคยและทำความเข้าใจกับระบบต่อสู้ของเกมได้ไม่ยากอยู่แล้ว และเอาเข้าจริงน่าจะเล่นได้ง่ายกว่าเกมภาคก่อนๆ ประมาณนึงเพราะโซระดูจะมีตัวเลือกในการโจมตีมากขึ้น จนทำให้เราแทบจะไม่ต้องหลบหรือกันเลยเพราะสามารถบุกได้ตลอดเวลา แต่สำหรับคนทั่วไปอาจจะมีความสับสนอยู่เล็กน้อยด้วยความสามารถของตัวละครที่มีอยู่เยอะ และมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเก็บเลเวลตัวละครสูงขึ้น จึงพูดได้ว่าเกมอาจจะต้องใช้ความเคยชินประมาณหนึ่งซะก่อนถึงจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความลื่นไหลในการต่อสู้ของเกม [caption id="attachment_18379" align="aligncenter" width="1024"] Simba กลับมาด้วยความหัวร้อนกว่าทุกครั้ง[/caption] นอกเหนือจากการต่อสู้นั้น Kingdom Hearts 3 ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรให้ทำเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น โดยความหลากหลายของเกมเพลย์จะมาจากวิธีการเล่นที่แตกต่างกันไปเล็กน้อยในโลกดิสนี่ย์แต่ละใบนั่นเอง เช่นโลก Toy Story ที่ให้เราสามารถขึ้นไปขี่หุ่น Gigas Mech เพื่อต่อสู้กับศัตรู (ที่ก็สามารถขี่หุ่นได้เช่นกัน) หรือระบบการล่องเรือของโลก Pirates of the Caribbean ที่ช่วยทำให้เกมเพลย์ไม่จำเจกันตลอดทั้งเกม แต่ก็เป็นเพียงโบนัสเล็กๆ เท่านั้น และพอจบเนื้อเรื่องของโลกแต่ละใบก็ไม่มีเหตุผลให้เราต้องกลับไปเล่นซ้ำอีก [caption id="attachment_18380" align="aligncenter" width="1486"] ขับเรือโจรสลัดสนุกสนานในโลก Pirates of the Caribbean[/caption] เกมเพลย์อีกส่วนที่เราจะได้สัมผัสบ่อยๆ ตลอดการเดินทางก็คือระบบการขับยาน Gummi Ship ไปมาระหว่างโลกต่างๆ นั่นเอง โดยแม้ว่าในภาคนี้จะพัฒนาระบบนี้ให้จริงจังขึ้นมามากกว่าครั้งก่อนๆ และเปิดให้เราสามารถสำรวจจักรวาลของเกมได้อย่างอิสระ แทนที่จะเป็นด่านแยกๆ กันเหมือนที่ผ่านมา แต่เกมเพลย์ของ Gummi Ship ก็ยังเป็นเพียงตัวขั้นเวลาเล็กๆ ในระหว่างการสำรวจโลกเท่านั้น แถมของรางวัลที่ได้รับจากการเล่นก็มักจะเป็นของที่ใช้ได้ในโหมด Gummi Ship เท่านั้นอีก เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องสนใจกับระบบมากกว่าที่จำเป็นเลย คนที่ไม่ชอบก็จะไม่ต้องใช้เวลากับมัน ซึ่งก็คงเป็นเรื่องดีที่เกมให้ทางเลือกนี้กับผู้เล่น แต่ในอีกแง่ก็น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถทำให้ระบบนี้สนุกได้แบบเดียวกับในเกมอย่าง Nier: Automata ที่มีระบบคล้ายๆ กัน [caption id="attachment_18381" align="aligncenter" width="1920"] ขับยาน Gummi Ship ท่องอวกาศได้แบบอิสระ[/caption] โดยรวมๆ แล้วเกมเพลย์ของ Kingdom Hearts 3 ก็ไม่ได้แตกต่างกับเกมเพลย์ของภาค 2 มากนัก อาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำจากการที่ผู้เล่นมีเครื่องมือสำหรับต่อกรกับศัตรูมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความสนุกและท้าทายในระดับที่ทำให้เกมไม่น่าเบื่อ แม้ว่าเกมเพลย์โดยรวมจะไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมายก็ตาม สรุป 8/10 [caption id="attachment_18382" align="aligncenter" width="1920"] บทสรุปการเดินทางของโซระและผองเพื่อน[/caption] ในฐานะแฟนซีรี่ย์คนหนึ่งที่ติดตาม Kingdom Hearts มาตลอดระยะเวลาหลายปี ผู้เขียนพูดได้เลยว่าเกม Kingdom Hearts 3 คือเกมที่แฟนๆ คาดหวังจะได้เล่นมาตลอด และเป็นเกมที่ตอบคำถามที่ค้างคาใจแฟนๆ ได้อย่างน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเกมจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และยังค่อนข้างจำกัดในเรื่องของกิจกรรมที่มีให้ทำก็ตาม ผู้ที่ติดตามซีรี่ย์มาตลอดไม่ควรพลาดบทสรุปการเดินทางของโซระและผองเพื่อนแน่นอน แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่คาดหวังให้เกมนี้เป็นบทเริ่มต้นเพื่อเข้าสู่ซีรี่ย์ Kingdom Hearts นี่อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน [penci_review id="18192"]
30 Jan 2019
รีวิว Resident Evil 2 Remake ว่าที่ "เกมแห่งปี" มันไม่ได้เวอร์วังเกินไปเลย
ย้อนกลับมาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วทางทีมงาน Invader Studios ได้ปล่อยตัวอย่างเกม Resident Evil 2 แบบฉบับ Fan Made ออกมา ซึ่งตัวเกมเปลี่ยนจากมุมมองแบบมุมสูงให้กลายเป็นแนว 3rd Person แบบเต็มตัวและมันก็ทำให้แฟนเกมหลายๆ คนต่าง Hype และพูดถึงโปรเจคนี้กันยกใหญ่ แต่เวลาต่อมาทาง Capcom เองก็ได้มาสั่งยกเลิกโปรเจคนี้ พร้อมกับอธิบายว่าพวกเขานั้นจะสร้างเกมนี้ขึ้นมาเอง และเชิฐให้ทาง Invader Studios เป็นผู้ร่วมออกไอเดียเกมนี้ จนในเดือนมกราคม ปี 2019 !! ตัวเกม Resident Evil 2 Remake ก็ปล่อยออกมาให้แฟนๆ เล่นกันแล้ว !! กับความสยอง ความน่ากลัวแบบจัดเต็ม !! ที่จะทำให้คุณขนลุกชูชันราวกับปวดท้องเข้าห้องน้ำ !! และในบทความนี้ผมจะมารีวิวเกมนี้แบบละเอียดทุกซอกทุกมุมให้ทุกท่านได้ทราบ กับประสบการณ์ที่ผมได้รับหลังจากไปเล่นเกมนี้มา แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองนั้นก็ไม่ใช่แฟนเกมซีรีส์นี้โดยตรงเท่าไร ด้วยอายุอานามก็ยังไม่โตพอที่จะเล่น Resident Evil 2 ในสมัย PS1 แบบลึกถึงแก่นแก้ แต่ส่วนตัวก็เคยเล่นเกม Resident Evil 7 มาบ้าง จึงทำให้การรีวิวในบทความนี้เป็นความเห็นของเกมเมอร์หน้าใหม่ที่พึ่งเข้าวงการไม่นานนั่นเอง   Story โดยในเกมภาคนี้เราจะดำเนินอยู่ในช่วงปี 1998 เราได้รับบทเป็นสองตัวละครนั่นคือ Leon S Kennedy ตำรวจหน้าใหม่ที่พึ่งจะได้รับหน้าที่ให้มาประจำการเมือง Raccoon City วันแรก และ Claire Redfield น้องสาวของ Chris Redfield เจ้าหน้าที่หน่วย S.T.A.R ตัวเอกจากภาคแรก โดยเธอนั้นมาตามหาพี่ชายที่ประจำการอยู่เมืองนี้เนื่องจากขาดการติดต่อไป และในความซวยนั่นเอง พวกเขาทั้งสองเดินทางมาในเมือง Raccoon City ในช่วงเวลาที่เมืองเกิดวิกฤติซอมบี้ระบาดพอดี ซึ่งในตอนเริ่มเราจะสามารถเลือกเล่นตัวละครใดตัวละครหนึ่งก่อนได้ โดยจะแบ่งเป็นเนื้อเรื่อง A และ B ซึ่งเราจะสามารถเล่นเนื้อเรื่อง Leon แบบ A และ Claire แบบ B Clare แบบ A และ Leon แบบ B รวมๆ แล้วเราสามารถเล่นเกมนี้ได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว ซึ่งระบบนี้ก็มีมาตั้งสมัยเกมเวอร์ชั่น PS1 แล้ว [caption id="attachment_18258" align="aligncenter" width="1500"] ส่วนตัวเล่น Claire แบบ A เนื้อเรื่องจะพาเราเข้าสถานีตำรวจทางด้านหน้า และวิธีการเล่นจะคล้ายกับตัว Demo[/caption] [caption id="attachment_18259" align="aligncenter" width="1500"] เล่น Leon เวอร์ชั่น B จะเข้าสถานีตำรวจอีกทางทำให้เกมเพลย์แตกต่างจากพาร์ทแรก[/caption] ตัวเนื้อเรื่องของทั้งสองจะมีเส้นเรื่องที่ต่างกันออกไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นการเล่าเรื่องของ Leon จะพาให้เราไปเจอกับ FBI สาวชาวจีนอย่าง Ada Wong แต่ตัว Claire นั้นจะไปพบเจอกับเด็กสาวที่ชื่อว่า Sherry Birkin นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่ผมเล่นจบมาทั้งสองแบบแล้ว ตัวมอนสเตอร์หรือบอสต่างๆของทั้งสองตัวละครที่เจอ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่อาจจะมีบอสบางตัวที่ทาง Claire เจอแต่ Leon ไม่เจอ....หรือ.... Leon เจอแต่ Claire ไม่เจอ ความแตกต่างที่เห็นชัดเจนมากๆ ก็คือในช่วงกลางเกม ที่เราจะได้มีโอกาสบังคับตัวละครรอง ซึ่งถ้าหากคุณเล่นเนื้อเรื่อง Leon มันจะมีช่วงที่ให้คุณบังคับ Ada แต่ถ้าคุณเล่นเนื้อเรื่อง Claire มันก็จะมีช่วงที่ให้คุณบังคับ Sherry ซึ่งการเล่าเรื่องจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายเส้นเรื่องต่างๆ ช่วงบั้นปลายมันก็จะไปประจบในจุดเดียวกัน [caption id="attachment_18261" align="aligncenter" width="1500"] เกมเพลย์ของ Ada Wong ในเนื้อเรื่องของ Leon[/caption] [caption id="attachment_18262" align="aligncenter" width="1024"] เกมเพลย์ของ Sherry Birkin ในเนื้อเรื่องของ Claire[/caption] ถึงแม้เนื้อเรื่องจะบรรจบคล้ายๆ กัน แต่มันก็จะมีแรงจูงใจที่จะให้เราเข้าไปเล่นใหม่อีกรอบอยู่ดี !! เพราะมันจะทำให้คุณได้ทราบถึงอีกหนึ่งมุมมอง เนื้อเรื่องด้านใหม่ๆ ที่ถ้าหากว่าคุณเล่นไม่ครบทั้งสองตัวละครมันจะเกิด Plot Hole ที่จะทำให้คุณไม่เข้าใจ หรือความเป็นมาบางอย่างที่เล่าไม่หมดในแต่ละเนื้อเรื่อง ถึงแม้ว่าตอนจบมันจะพาให้เราไปเจอบอสตัวเดียวกันก็เหอะ แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มค่า รวมถึงพวกบทสนทนาของตัวละครบางตัวที่อาจจะพูดแตกต่างกันถ้าหากเราเล่นเนื้อเรื่องคนไหนอีกด้วย ซึ่งนี่มันก็คือหนึ่งในเสน่ห์หลักของเกมนี้เลย กราฟิก ซึ่งเกมภาคนี้ก็ยังใช้ RE Engine ที่เคยสร้าง Resident Evil 7 มาก่อน หน้า Interface, HUD และ Inventery ต่างๆ ก็จะเหมือนเดิมเกือบหมด แต่ในเรื่องเงาต่างๆ ของเกมนี้ก็ต้องบอกเลยว่ามันทำได้ดีกว่าภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าหากว่าคุณคิดว่า Resident Evil 7 ภาพสวยแล้ว ผมว่าภาคนี้ต่อให้โมเดลจะทรงเดิม แต่ภาพมันสวยขึ้นและสมจริงมากขึ้นอีกนะ [caption id="attachment_18276" align="aligncenter" width="1024"] หน้า Inventory และ HUD จะคล้ายกับทาง Resident Evil 7[/caption] และทางผู้พัฒนาได้เปลี่ยนแปลงเกมนี้ให้กลายมาเป็นเกมแนว 3rd Person ซึ่งมันทำให้ความระทึกมันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะในเกมเวอร์ชั่นเก่าเราก็จะรู้สึกว่ามอนสเตอร์หรือบอสต่างๆ มันกำลังไล่ฆ่าตัวละครในเกม แต่การที่มันเป็นมุมมองนี้ มันจะทำให้เรารู้สึกว่ามันกำลังไล่ล่าเราอยู่จริงๆ เพราะเราจะจ้องหน้ากับมันอย่างชัดเจน บรรยากาศที่เน้นความมึด ความน่ากลัวที่ให้อารมณ์ต่างจากภาคก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิงที่จะเป็นความน่ากลัวแบบจิตๆ หลอนประสาท แต่ในภาคจะน่ากลัวในเชิงสัตว์ประหลาดชีวภาพที่จะคอยไล่ฆ่าเรา เกมเพลย์ ต้องบอกว่าด้านเกมเพลย์นั้น Resident Evil 2 Remake ยังคงความเป็นเกมฉบับคลาสสิคไว้อย่างเต็มร้อย ดั่งที่เกม Resident Evil 7 เคยทำมาเมื่อก่อนหน้า โดยตัวเกมจะเน้นการเล่นแบบ Survival จริงๆ ที่ไม่มีความรู้สึกถึงการเป็นเกม Action ดั่งในภาค 5-6 เลย ซึ่งหลักๆ ของเกมจะมีการแก้ไขปริศนาต่างๆ เพื่อหาทางออก รวมถึงตัวแผนที่ของเกมนี้ก็จะถอดแบบมาจากเวอร์ชั่นเก่าเป๊ะ แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนรายละเอียด หรือเปลี่ยนแปลงบางจุดเล็กน้อยตามยุคตามสมัยไป [caption id="attachment_18303" align="aligncenter" width="1024"] ห้อง Library หนึ่งในห้องที่มีอยู่ในเวอร์ชั่นเก่า ถอดแบบมาเป๊ะๆ[/caption] [caption id="attachment_18304" align="aligncenter" width="1500"] ห้องของหน่วย S.T.A.R หรือห้องทำงานของ Chris Redfield พี่ชายของ Claire Redfield ตัวเอก แต่ว่าในภาคนี้เราจะไม่ได้มาพบกับ Leon เหมือนในเวอร์ชั่นเก่าแล้ว[/caption] โดยตัวปริศนาในภาค Remake นี้มีความคล้ายคลึงกับทางเวอร์ชั่นแรกบางส่วน แต่ก็จะมีบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาหรือแตกต่างกันไป หรือไอเท็มบางอันในภาคเก่าหาจุดนี้ แต่ในภาคใหม่หาอีกจุด รวมถึงในบางปริศนาหน้าตาคล้ายกัน แต่มันอาจจะมีจุดประสงค์ที่ไม่เหมือนกันเป็นต้น รวมถึงการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ หรือช่องทางใหม่ๆ ที่เนื้อเรื่องแบบแรกไม่ได้เข้าไปอีกด้วย และในส่วนของเนื้อเรื่อง A และ B ตัวปริศนาจะและเกมเพลย์มีความแตกต่างกัน ถึงแม้ว่ารวมๆ แล้วจะคล้ายกัน แต่การแก้ไขปริศนาจะเปลี่ยนแปลงไปคนละแบบ ซึ่งนี่มันถือว่าเป็นความท้าทายใหม่ถึงแม้โดยรวมมันยังเหมือนเดิม (คำใบ้ปริศนาของเนื้อเรื่อง A และ B จะแตกต่างกัน ดูได้จากรูปด้านล่าง) และในเกมนี้อย่างที่บอกเกมเพลย์มันกลับไปเป็นรูปแบบคลาสสิคที่มีความ Survival อยู่เต็มเปี่ยม !! ทรัพยากรต่างๆ พวกกระสุนยา มันก็จะมีให้เราจำกัด รวมถึงพวกซอมบี้ในเกมนี้มันถึกมากๆ ถึกว่าหลายภาคที่ผ่านมาเลยทีเดียว บางตัวถ้าหากคุณบังเอิญยิงติดคริติคอลแล้วมันตายเลยก็โชคดีไป แต่ในความเป็นจริงการยิงแล้วติดครินี่เป็นเรื่องยากมากๆ อาศัยดวงล้วนๆ ซึ่งปกตินี่ยิงซอมบี้ตัวนึงต้องใช้กระสุนเป็น 10 นัดกว่าจะตาย ซึ่งคุณไม่มีทางที่จะสามารถฆ่าศัตรูทุกตัวแล้วยังมีกระสุนเพียงพอให้ใช้แน่ ถึงแม้ต่อให้คุณจะเล่นเกมนี้ในโหมดง่าย กระสุนที่มีให้เก็บเพิ่มมันก็ไม่พออยู่ดีถ้าไม่ประหยัด ซึ่งบังเอิญถ้าหากคุณตะบี้ตะบันยิงเล่นจนกระสุนหมด และบังเอิ๊ญอีก !! ไปจ๊ะเอ๋กับบอสพอดีในฉากหน้า !! ส่วนตัวก็ต้องบอกว่า กู๊ด ลั๊ค แฮ๊ป ฟัน ! นะจ๊ะ ! อิอิ ซึ่งมันทำให้คุณต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะเอายังไงดี เลือกที่จะฆ่าให้หมดเพราะจุดนี้เราต้องมาบ่อย หรือเลือกที่จะวิ่งหลบเอาเพราะประหยัดกระสุนเป็นต้น รวมถึงพวกระเบิดแฟลช ระเบิดมือ หรือมีด ที่นอกจากจะใช้ปาใส่ศัตรู ใช้ฟันแล้วนั้น ข้อดีของมันคือเอาไว้เคาน์เตอร์มอนสเตอร์ที่มากระโดดงับเราด้านหน้าได้อีกด้วย [caption id="attachment_18301" align="aligncenter" width="1500"] จุดนี้เราต้องวิ่งมาบ่อย เลยต้องฆ่าศัตรูให้หมด[/caption] [caption id="attachment_18307" align="aligncenter" width="1024"] บางทีเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเพื่อประหยัดกระสุน[/caption] [caption id="attachment_18308" align="aligncenter" width="1024"] มีการเคาน์เตอร์ศัตรู เมิ้อถูกศัตรูเล่นงานจากด้านหน้า[/caption] รวมถึงตัว Leon และ Claire นั้นจะมีอาวุธที่แตกต่างกัน ซึ่งตัว Leon จะมีปืนพกตำรวจ อาวุธพิเศษจะเป็นลูกซอง, แม็กนั่ม, ปืนไฟ ส่วนของ Claire จะเป็นปืนลูกโม่, M79 และ ปืนช็อตไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อย่างเช่นตัวปืนพกของ Leon จะมีกระสุนเยอะมากถ้าหากแต่งครบ ซึ่งมันจะทำให้เคลียร์ซอมบี้ได้ง่ายไม่ต้องกังวลเปลี่ยนแม็คบ่อย ต่างกับ Claire ที่ลูกโม่ใส่กระสุนได้ 5 นัดเท่านั้น แต่ผมรู้สึกว่าปืนมันแรงกว่าและยิงศัตรูกระเด็นได้ดีกว่า [caption id="attachment_18309" align="aligncenter" width="1500"] แคลร์จะมีปืน M79 ให้ใช้[/caption] [caption id="attachment_18310" align="aligncenter" width="1500"] Leon จะมีปืนลูกซอง[/caption] และรายละเอียดต่างๆ ของเกมที่จะทำมันสนุกมากขึ้นอย่างเช่นการอัพเกรดอาวุธปืนที่เราจะต้องไปหาคำใบ้หรือปลดล็อคสิ่งต่างๆ ตามฉาก รวมถึงในบางครั้งมันก็จะมีพวกซอมบี้ทะลุกำแพงมาจากทางหน้าต่าง ซึ่งตัวเกมมันก็จะมีระบบรองรับอย่างการเอาไม้ไปปิดเพื่อไม่ให้ศัตรูเข้ามา การคราฟกระสุนหรือยา ที่เราจะต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ตรูจะคราฟอะไรดีฟ๊ะเพื่อประโยชน์ที่สุดนั่นเอง รวมถึงความลับต่างๆ ตามเอกสารที่จะทำให้เรารู้เนื้อเรื่องความเป็นมาของเกมมากขึ้น รวมถึงมันอาจจะมีคำใบ้เกี่ยวกับการแก้ไขปริศนาบางอย่างด้วย   [caption id="attachment_18311" align="aligncenter" width="1500"] มีการคราฟกระสุนหรือยา ที่เหมือนกับภาคที่แล้ว[/caption] [caption id="attachment_18312" align="aligncenter" width="1500"] มีการเอาไม้มาตอกกั้นหน้าต่าง กันผีทะลุออกมาในจุดที่เราต้องวิ่งมาประจำ[/caption] ซึ่งบรรยากาศภายในเกมนั้นก็ต้องบอกเลยว่ามันมีความมึด, ความระทึกกับเหล่าซอมบี้หรือ Licker ที่จะมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง แต่ความระทึกของคุณจะเข้าถึงขั้นขีดสุดก็ต่อเมื่อคุณเจอกับมัน !! เจ้า Mr.X ที่มันจะคอยเดินตามหลอกหลอนฆ่าเราทุกที และที่ระทึกไปกว่านั้นคือ เราฆ่ามันไม่ตาย !! อาจจะมียิงให้มันล้มบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จะกลับมาใหม่ทุกที มันเหมือนเป็นปลิงที่คอยหลอกหลอนเราเวลาที่เรากำลังวิ่งแก้ไข้ปริศนา ซึ่งใครที่เคยเล่น Resident Evil 7 มันก็จะคล้ายๆ กับที่คุณวิ่งหนีไอ้ลุง Baker นั่นแหละ บอกเลยว่าระทึกมาก !! เครียดมาก !! คนที่กลัวเกมสยองขวัญที่แทบจะปิดเกมทิ้งเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับไอ้เจ้าลุงโล้นนี่เลย และถ้าบังเอิ๊ญญญ เราไปเจ๊อะกับ Mr.X ที่ต้องวิ่งหนี อยู่กับเจ้า Licker ที่จะต้องเดินนิ่งๆ ห้ามส่งเสียง นั่นแหละครับคำว่านรกบังเกิดมีจริง 55555555555555+ [caption id="attachment_18313" align="aligncenter" width="1500"] เจอ Licker เจอ Boss ว่าระทึกแล้ว !! แต่มันน้อยนิดมากถ้าหากคุณได้เจอกับ Mr.X !![/caption] ความรู้สึก บอกเลยว่า Resident Evil 2 Remake มันเป็นเกมที่ทำออกมาให้ตอบโจทแฟนๆ มากเลยทีเดียว และต้องบอกเลยว่าในภาคนี้มันเพิ่มสเกลความระทึกและความยากมากกว่า Resident Evil 7 เสียอีก ถึงแม้ว่าความน่ากลัวของภาคนี้ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เน้น Jump Scare แบบภาคที่แล้วให้เรากลัว แต่เนื่องการจำกัดของทรัพยากรที่มีให้น้อย บวกกับความระทึกของมอนสเตอร์ที่ไล่ล่าเราไม่หยุด บวกไปกับบรรยากาศเลือด เศษซากศพ ความเหวอะหวะ ความมึดวังเวงที่ทำออกมาได้ดีมากๆ จึงทำให้ภาพรวมของมันกลายเป็นเกมที่่น่ากลัวไม่แพ้ใครเลยทีเดียว รวมถึงความยากของเกมนี้อยู่ในขั้นพอดี ที่มันไม่ยากมากจนเกินเหตุ แต่ก็ไม่ง่ายจนเกินไป คนที่ไม่ใช่แฟนเกมแนวนี้ก็เล่นได้โดยไม่รู้สึกยากอะไร แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าความยากระดับนี้มันจะถูกใจแฟนๆ สายฮาร์ดคอร์ของเกมนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าให้พูดถึงความรู้สึกส่วนตัวต้องบอกเลยว่า เกมนี้ไม่มีที่ติในเกือบทุกด้าน ถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องผมอาจจะตะขิดตะขวงใจหน่อยๆ เกี่ยวกับ Plot Hole ที่ยังรู้สึกมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในเรื่องเกมเพลย์ที่ระลึก ความสยดสยองมันแทบจะทำให้ลืมข้อเสียของเกมนี้ไปโดยปริยาย และเคยมีสื่อต่างประเทศได้รีวิวเกมนี้ไว้ว่า Capcom ปล่อยว่าที่ Game of the Year มาตั้งแต่ต้นปีเลยหรอ ซึ่งผมต้องบอกเลยว่าคำๆ นี้ที่สื่อต่างประเทศเขากล่าวมา.....มันไม่ได้เวอร์วังเกินไปเลย [penci_review id="18155"]  
29 Jan 2019
รีวิว Alien: Blackout น่ากลัว แต่ยังไม่สนุกพอ
เกมในซีรีส์ Alien ภาคล่าสุดที่ผมเล่นเป็นเกมบน PC เมื่อหลายสิบปีก่อนนู่น สมัยที่ยังซื้อเกมเพราะดูแค่หน้าปกเฉยๆ ซึ่งความน่ากลัวของการได้เล่นเป็นทหารธรรมดาๆ ท่ามกลางเหล่าอสุรกายที่น่าเกรงขามทำให้ต้องเก็บเกมไว้นานเพราะไม่กล้าเล่นต่อ ส่วนความสะใจของการได้เล่นเป็นเอเลี่ยนนับตั้งแต่ตัวเล็กๆ หาอาหารกินจนกลายเป็นฝันร้ายแห่งอวกาศก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์เล่นเป็นตัวร้ายที่สะใจที่สุดครั้งหนึ่ง Alien: Blackout พาความน่ากลัวแบบนั้นกลับมา แต่กลับทิ้งอะไรหลายๆ อย่างที่หลายๆ คนน่าจะจินตนาการไว้เมื่อได้ยินคำว่าเกม Alien ไป จนทำให้นี่กลายเป็นเกมที่น่าผิดหวังอีกเกม Alien: Blackout ให้ผู้เล่นรับบทเป็น Amanda Ripley ตัวเอกประจำซีรีส์ ซึ่งคุณจะได้ซุกตัวอยู่ในท่อหรือห้องแคบๆ ตลอดทั้งเกม ไม่ได้ออกไปพบปะพูดคุย สังหารเอเลี่ยน กับใครเลย หน้าที่หลักของผู้เล่นคือการดูแผนที่ จากนั้นแนะนำลูกเรือผู้รอดชีวิต ผ่านแผนที่ ให้ไปยังจุดหมายที่กำหนด โดยคอยบอกเส้นทางที่ปลอดภัย และแจ้งให้ลูกเรือหลบ ซ่อนตัว รีบวิ่ง หรือเดินอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่ให้เจ้าเอเลี่ยนที่ไต่มาตามท่อสังหารเรา [caption id="attachment_18111" align="alignnone" width="2248"] หน้าตาของห้องที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ ออกไปไหนไม่ได้[/caption] การสำรวจตำแหน่งของเอลี่ยนทำได้ 3 วิธี อย่างแรกคือเปิดเครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหว อย่างที่สองคือดูจากกล้องวงจรปิด และอย่างที่สามคือฟังเสียงเคลื่อนไหวของเอเลี่ยนที่กำลังวิ่งอยู่ในท่อ วิธีป้องกันลูกเรือจากเอเลี่ยนคือบอกให้ซ่อนตัว แนะนำให้เดินไปทางอื่น หรือกดปิดประตูเพื่อกันเอเลี่ยนออกไป วิธีป้องกันตัวเองคือให้กดปิดประตูท่อเมื่อได้ยินเสียงเอเลี่ยนบุกเข้ามา แต่ละด่านจะผ่านได้เมื่อลูกเรือทำตามภารกิจได้ครบ ส่วนการแพ้ของเกมจะเกิดขึ้นเมื่อลูกเรือโดนกินหมด หรือไม่ก็เราโดนเอเลี่ยนบุกเข้ามากิน ป้องกันไม่ทัน [caption id="attachment_18112" align="alignnone" width="2248"] หน้าตาของแผนที่ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่นหลักของเกม[/caption] การต้องคอยสลับหน้าจอไปมาระหว่างแผนที่ กล้องวงจรปิด และภายในท่อ แรกๆ อาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย แต่พอเราชินกับระบบแล้ว กลายเป็นว่านี่เป็นเกมที่สร้างความลุ้นระทึกได้ดีกว่าเกมฟอร์มยักษ์หลายๆ เกมด้วยซ้ำ แม้นี่จะไม่ใช่เกมที่ปล่อยให้เราสำรวจฉากได้อย่างอิสระ แต่ความน่ากลัวของเสียงเอเลี่ยนที่คืบคลานเข้ามา และความพลาดพลั้งที่บังคับให้เราต้องเริ่มด่านใหม่เมื่อตัวละครตายหรือลูกเรือตายหมด โดยไม่มีจุดเซฟระหว่างฉาก ทำให้นี่เป็นเกมบนมือถือที่น่ากลัวจริงๆ [caption id="attachment_18114" align="alignnone" width="2248"] มุมมองจากกล้องวงจรปิด เห็นอะไรแวบๆ หรือเปล่า?[/caption] ความดีของเกมจบอยู่เพียงเท่านั้น ด่านทั้งหมดของเกมที่รวมเวลาเล่นทั้งหมดไม่ถึง 1 ชั่วโมง เต็มไปด้วยความซ้ำซาก แม้แผนที่จะหน้าตาเปลี่ยนไปแต่เราก็ยังคงต้องจ้องแผนที่ไร้ชีวิตจากจอคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ แนะนำลูกเรือแบบเดิมๆ ป้องกันเอเลี่ยนแบบเดิมๆ แม้เกมจะสั้นมากแต่ด้วยความที่เกมมีความยากอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นทำให้เราต้องเล่นด่านเดิมซ้ำๆ และการแพ้ในแต่ละครั้งก็ไม่ได้ทำให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดซักเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้พลาดจากฝีมือ แต่จากตำแหน่งของเอเลี่ยนที่เปลี่ยนไปในแต่ละรอบมากกว่า ชื่อ Blackout ของเกมที่หมายถึงการดับไฟ ซึ่งเป็นระบบหนึ่งของเกมที่บังคับเราต้องผ่านด่านให้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นไฟจะดับ เกมโอเวอร์ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเท่าไหร่ เวลาในแต่ละด่านมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ ความพ่ายแพ้เกิดจากการโดนเอเลี่ยนกินมากกว่า การลงโทษผู้เล่นเมื่อเราทำพลาดด้วยการให้เริ่มด่านใหม่โดยไม่มีจุดเซฟแม้จะช่วยสร้างความน่ากลัวให้กับเกมเป็นอย่างดี แต่เมื่อเกิดขึ้นซ้ำๆ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถบอกได้ว่ารอบหน้าจะเล่นดีขึ้นได้ยังไง เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกว่ารอบนี้ดวงไม่ดี แทนที่จะเป็นว่ารอบนี้เล่นไม่ดี ทำให้เกมกลายเป็นความน่าหงุดหงิดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเราต้องมาฟังบทสนทนาตอนเริ่มด่านซ้ำๆ โดยไม่สามารถกดข้ามได้ [caption id="attachment_18115" align="alignnone" width="2248"] Alien ในเกมดูน่าสะพรึงจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้สู้กับเข้าพวกนี้เลย[/caption] จริงๆ แล้วนี่เป็นเกมที่สนุกทีเดียว เพราะระบบของเกมออกแบบมาได้ดี สร้างความน่ากลัว สร้างความลุ้นระทึกได้ แต่ด้วยปัญหาของเกมอย่างที่กล่าวไปทำให้ความประทับใจในเกมหายไปอย่างรวดเร็ว จนคิดว่าถ้า Alien: Blackout ไม่ใช่เกมเต็ม แต่เป็นเพียงฉากฉากหนึ่งในเกม Alien สักภาค เป็นมินิเกมให้เล่นในเกม Alien อีกที นี่น่าจะแก้ปัญหาเรื่องความซ้ำซากได้อย่างดี เพียงแต่ Alien: Blackout เป็นเกมตัวเต็มที่ผู้เล่นต้องเสียเงินซื้อ ความคาดหวังที่เกมน่าจะมีอะไรมากกว่านี้จึงมากตาม อย่างน้อยก็น่าจะให้มีโอกาสสู้กับเอเลี่ยนหรือเห็นฉากตายโหดๆ บ้าง [penci_review id="18069"]
28 Jan 2019
Florence หนึ่งในประสบการณ์เล่นเกมบนมือถือที่ดีที่สุดในปี 2018
การชวนให้ใครบางคนไปหาเกมบางเกมมาเล่นนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองเหตุผลหลักๆ อย่างแรกคือการหาเพื่อนเล่นเกม ซึ่งเกิดกับเกมยอดนิยมที่เน้นการเล่นหลายคนทั้งหลาย อย่าง RoV, PUBG, Dota 2, หรือ FIFA เหตุผลอย่างที่สองเกิดกับเกมเล่นคนเดียวที่เรารู้สึกว่าทำออกมาดีจนต้องบอกต่อ ซึ่งเบื้องหลังของการแนะนำเกมดีให้เพื่อนเล่นหากจะยอมรับกันจริงๆ แล้วก็คงไม่พ้นความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับรู้ว่าเราเป็นคนแนะนำอะไรดีๆ ให้กับเพื่อนนั่นเอง Florence คือเกมนั้นสำหรับผม เกมที่ผมหวังว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนแนะนำเกมนี้ให้เพื่อนฝูงรู้จักจะทำให้ผมดูดีมีรัศมีของการเป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมดีๆ ตามไปด้วย "Florence คือเรื่องราวความรักของหญิงสาวคนหนึ่งจากวันเวลาที่ความรักเบ่งบานไปจนถึงวันที่ทุกสิ่งเหี่ยวเฉาลง" นี่คือคำโปรยของเกมใน Play Store ซึ่งจะว่ากันตามตรงแล้วก็คือไม่มีความน่าสนใจเลยสักนิด เรายังมีหนัง ละคร นิยายที่พูดเรื่องความรักของผู้หญิงคนหนึ่งไม่พออีกหรือ ทำไมยังจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ในวิดีโอเกมอีก ถ้าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมก็ขอควบม้า ตีป้อม หรือไล่ยิงคนอื่นจะดีกว่าไหม? สารภาพตามตรงว่าผมคงไม่มีทางเสียเงินราคาประมาณ 100 บาทที่สามารถเอาไปสั่งกาแฟร้อนดีๆ ดื่มได้เพื่อซื้อเกมนี้ หากไม่ใช่เพราะว่า Florence คือเกมที่ชนะรางวัล The Game Awards 2018 ในหมวดเกมมือถือยอดเยี่ยมแห่งปี และการตัดสินใจครั้งนี้กลายเป็นสิ่งที่กาแฟดีๆ สักกี่แก้วก็ไม่สามารถทดแทนได้ เพราะกาแฟดีๆ แก้วหนึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตในวันนี้ช่างแสนสมบูรณ์แบบอะไรแบบนี้ แต่การรับบท ฟลอเรนซ์ โหยว หญิงสาวตัวเอกของเกมนี้อาจทำให้คุณมองเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตตัวเอง นึกถึงความสุขและเศร้าจากความรักที่ผ่านมา ทบทวนความสัมพันธ์กับแม่ หรือแม้กระทั่งครุ่นคิดถึงความฝันและความปราถนาของตัวเอง การเล่าเรื่องอันยอดเยี่ยม ถ้าพูดกันตามภาษาเกม ภารกิจอย่างแรกของเกม Florence ก็คือการตื่นขึ้นมาและแปรงฟัน... ซึ่งทำได้ด้วยการใช้นิ้วจิ้มเพื่อกดปิดนาฬิกาปลุก จากนั้นจึงใช้นิ้วถูซ้ายขวาที่หน้าจอเพื่อแปรงฟัน [caption id="attachment_15792" align="alignnone" width="1080"] ภารกิจแรกของเกมคือการกดปิดนาฬิกาปลุก[/caption] [caption id="attachment_15793" align="alignnone" width="1078"] สามารถแปรงฟันได้ด้วยการเลื่อนนิ้วไปมา[/caption] ในขณะที่เกมหลายๆ เกมเริ่มเปิดฉากแรกด้วยเหตุการณ์น่าตื่นเต้นด้วยความหวังว่าจะดึงผู้เล่นให้ติดหนึบอยู่กับเกมตั้งแต่วินาทีแรก Florence กลับใช้อะไรง่ายๆ แบบนี้ เริ่มเกมด้วยเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่มีโอกาสสูงว่าคุณน่าจะเพิ่งทำไปเมื่อเช้านี้ ซึ่งนับเป็นวิธีที่ฉลาดทีเดียว เพราะนี่คือการบอกใบ้ตั้งแต่แรกว่าจริงๆ แล้วชีวิตของ ฟลอเรนซ์​ โหยว ที่คุณกำลังจะได้สำรวจต่อไปนี้ ไม่ได้ต่างไปจากชีวิตของคุณเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงเหมือนเธอ จะใช้แปรงสีฟันสีเดียวกับเธอหรือไม่ก็ตาม เกมเล่าเรื่องต่อไปด้วยการที่ตัวเอกไปทำงาน ตกหลุมรัก ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันกับแฟน เดินทางตามหาความฝัน หมดรัก ชีวิตจืดชืด ทะเลาะกัน แยกทางกัน เริ่มต้นชีวิตใหม่ นี่คือเรื่องราวตั้งแต่ต้นจบจบของเกม ซึ่งเป็นเรื่องราวซ้ำซากที่ถูกเล่ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ Florence ใช้จุดเด่นของการเป็นเกมมือถือยกระดับเรื่องราวเหล่านี้ให้กลายเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมด้วยการให้เราได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเล็กๆ ในการดำเนินชีวิตของตัวละครตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการกดรับโทรศัพท์จากแม่ เลือกของที่จะย้ายมาไว้ที่บ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งช่วยผลักแฟนที่ไม่ค่อยมั่นใจให้ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนดนตรี ทั้งหมดนี้ช่วยดึงเราจากการเป็นแค่ผู้มองเวลาเรารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ผ่านนิยายหรือภาพยนตร์ กลายมาเป็นบุคคลที่พบเจอเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทำให้เราเกิดความรู้สึกร่วมกับเหตุการณ์เหล่านี้มากกว่า แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่ามาเป็นพันครั้งแล้วก็ตาม [caption id="attachment_15821" align="alignnone" width="1080"] คุณแม่โทรมาหา[/caption] [caption id="attachment_15820" align="alignnone" width="1080"] คะยั้นคะยอให้แฟนหนุ่มทำตามฝัน[/caption] การเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นอีกจุดเด่นของเกมนี้ ในขณะที่ภาพยนตร์หลายเรื่องพยายามใช้เทคนิคด้านภาพเพื่อสื่อความหมาย แต่ความหมายเหล่านี้หลายๆ ครั้งก็เข้าถึงยากจนผู้ที่จะเข้าใจได้หรือแม้แต่สังเกตเห็นก็มีแต่คนที่ตั้งใจตีความวิเคราะห์จริงๆ หรือคนสร้างภาพยนตร์เท่านั้นเอง ด้วยความเป็นเกม Florence พาการเล่าเรื่องด้วยภาพไปอีกระดับหนึ่ง ภาพที่หลายๆ คนคุ้นชินอย่างการเห็นตัวละครยืนอยู่ในห้องน้ำคนเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราเห็นเธอยืนกับแฟนมาตลอด เมื่ออยู่ในภาพยนตร์การใช้วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกว่าผู้กำกับพยายามยัดเยียดความหมายมากเกินไป หรืออย่างดีก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะเคยเห็นมาบ่อยแล้ว แต่ใน Florence ที่คุณได้เห็นการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่การใช้ชีวิตคนเดียว ใช้ชีวิตคู่ และกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวอีกครั้ง โดยทั้งหมดคุณได้มีส่วนร่วมในการบังคับตัวละครมาตลอดนั้น ทำให้วิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ใช้กันจนชินตานี้สร้างความเหงาให้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา [caption id="attachment_15822" align="aligncenter" width="504"] ชีวิตที่ว่างเปล่าไม่เหมือนเคย[/caption] นอกจากนี้ Florence เองยังมีการใช้ลูกเล่นของการแบ่งภาพเป็นช่องๆ แบบหนังสือการ์ตูนเพื่อช่วยในการเล่าเรื่อง สลับกับส่วนที่ให้เราบังคับตัวละคร  ซึ่งพอบวกกับสีสันและเสียงประกอบ รวมถึงการเลือกสถานการณ์ที่เลือกมาได้อย่างดีว่าเหตุการณ์ใดที่ควรจะเป็นแค่ภาพการ์ตูนเฉยๆ หรือเหตุการณ์ใดที่เราควรได้มีส่วนร่วม (เพื่อเน้นย้ำอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง) ก็ทำได้อย่างลงตัวจนรู้สึกสนุกเหมือนอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่งอยู่เลย [caption id="attachment_15830" align="aligncenter" width="503"] มีอะไรอยู่ในเจ้ากล่องสีชมพูนี้กันนะ?[/caption] รูปแบบการเล่นสุดสร้างสรรค์ ในวงการเกมนั้นเทคโนโลยีในการเล่นเกมที่สร้างสรรค์มีออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่วิดีโอเกมที่สร้างมาโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนั้นได้ดีจริงๆ จนทำให้รู้สึกสนุกไปกับเกมนั้นนานๆ ทีจะเห็นมีออกมาสักทีหนึ่ง จนทำให้เกมส่วนใหญ่ก็ยังใช้วิธีการเล่นแบบเดิมๆ หรือกลับไปใช้จอยกดแบบเดิมๆ กันอยู่ สำหรับเกมมือถือนั้นเกมที่ผมรู้สึกว่าทำระบบการเล่นออกมาได้สร้างสรรค์จนน่าประทับใจมากๆ ก็คือ Superbrothers: Sword & Sworcery EP ที่ออกมาเมื่อปี 2011 นู่นเลย Florence เองจริงๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนเกมบนเครื่อง PS4 อย่าง Detroit: Become Human นั่นคือเป็นเกมที่เน้นเนื้อเรื่องเป็นหลัก หน้าที่หลักของผู้เล่นจริงๆ คือคอยกดปุ่มตามสถานการณ์เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องของเกมต่อ แม้อาจจะดูเป็นการไม่ยุติธรรมเมื่อนำเกมบนมือถือไปเทียบกับเกมบนเครื่องคอนโซล แต่ที่ต้องนำมาเปรียบเทียบเพราะว่าสำหรับผมแล้ว Florence เป็นเกมที่ความสนุกของเกมนั้นชนะขาดลอย ในขณะที่ Detroit เน้นจุดเด่นที่ระบบทางเลือกที่ส่งผลต่อฉากจบที่หลากหลาย แต่รูปแบบการเล่นของเกมนั้นซ้ำๆ เดิม เป็นการกดปุ่มในแบบเดิมๆ แค่เปลี่ยนสถานการณ์ นั่นทำให้ใครที่ชอบเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะสนุกกับเกมไปเลย แต่คนที่เฉยๆ กับเนื้อเรื่องก็จะพบว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของเกม กลับมาที่ Florence ที่ใช้เพียงระบบสัมผัสของหน้าจอโทรศัพท์กับนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว แต่เกมออกแบบวิธีการใช้การสัมผัสนี้ออกมาได้ดีมาก ซึ่งมีตั้งแต่อะไรพื้นฐานอย่างการกดปุ่มรับโทรศัพท์, กด Like รูปบนโลกโซเชียล, ไปจนถึงอะไรที่ทำให้รู้สึกว้าวอย่างการใช้นิ้วระบายหน้าจอเพื่อวาดความฝันที่ตัวเอกจินตนาการไว้กับแฟนหนุ่ม หรือฉากที่น่าประทับใจอย่างตอนที่ตัวเอกมีปัญหากับแฟนหนุ่ม ซึ่งมีชื่อฉากว่า ปล่อยไป และวิธีการผ่านฉากนี้คือการปล่อยให้ทั้งสองคนเดินห่างออกจากกันเรื่อยๆ แทนที่จะคอยแตะหน้าจอให้ตัวเอกเดินรอแฟนหนุ่มโดยไม่ยอมปล่อยไป [caption id="attachment_15853" align="alignnone" width="1080"] นอนคุยกันถึงความฝัน[/caption] [caption id="attachment_15854" align="alignnone" width="1078"] การปล่อยไปอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด[/caption] ดนตรีประกอบอันประณีต Florence เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่ขึ้นข้อความเตือนผู้เล่นก่อนเริ่มเกมว่าให้ใส่หูฟังเพื่อประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีที่สุด และที่เกมกล้าทำแบบนี้ก็เพราะดนตรีถูกสร้างสรรค์และคัดเลือกมาอย่างดี ผมเชื่อว่าดนตรีประกอบเกมดีๆ ไม่จำเป็นต้องติดหู แต่ต้องทำหน้าที่ในการช่วยทำให้เกมสนุกขึ้น ดนตรีของ Florence เป็นแบบนั้น จริงๆ แล้วถ้าเล่นจบโดยไม่ได้สังเกตก็อาจไม่ได้รู้สึกชื่นชมอะไรกับดนตรีของเกมนี้ขนาดนั้น แต่พอมาเปิดเล่นอีกรอบเพื่อเขียนถึงเลยพบว่าดนตรีถูกเลือกออกมาให้เข้ากับแต่ละฉากเป็นอย่างดี และอธิบายเหตุว่าทำไมฉากทะเลาะกันถึงรู้สึกกดดันขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะในเกมมีเสียงเชลโล่ลุ้นระทึกเป็นฉากหลังอยู่นั่นเอง [caption id="attachment_15856" align="alignnone" width="2199"] ตามเสียงเพลงนั่นไป[/caption] ประสบการณ์ที่ทำให้นึกถึงตัวเอง ด้วยความที่ Florence เลือกเล่าเรื่องง่ายๆ ด้วยวิธีที่ทรงพลัง บวกกับการใช้ประโยชน์จากดนตรีและระบบการเล่นที่สร้างสรรค์ ทำให้เมื่อเราสวมบทบาทเป็นฟลอเรนซ์เราก็เผลอจำลองตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว วันเวลาที่ผ่านไปทำให้เรากับเพื่อนในวัยเด็กห่างเหินกันไปแค่ไหน? เวลาทะเลาะกับแฟนเราฟังหรือเราเถียงเพื่อที่จะชนะ? ในขณะที่เรารู้สึกรำคาญคนที่อยู่ปลายสาย คนคนนั้นโทรหาเราเพื่ออะไร? คำถามทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เกมมอบให้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำถามสำคัญที่กว่าหลายคนจะได้ถามก็สายไปแล้ว [penci_review id="15427"]
24 Dec 2018
รีวิว Kynseed เกม RPG ทำฟาร์มสุดน่ารักจากผู้สร้าง Fable
เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเกม Kynseed ได้ถูกวางขายบน Steam ในรูปแบบ Early Access โดยทีมพัฒนากลุ่มเล็กๆ ที่ใช้ชื่อว่า PixelCount Studios ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Lionhead Studio ทีมพัฒนาเกมดังในอดีตอย่างซีรีส์ Fable ตัวเกมถูกวางคอนเซ็ปต์ไว้ว่าเป็นแนว RPG Adventure + Life Sim ที่ให้คุณได้ออกสำรวจโลกกว้างในรูปแบบ 2D มีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคราฟเบียร์, ทำธุรกิจเปิดร้านขายยาหรือโรงเตี๊ยม, การเกิดแก่เจ็บตายและส่งต่อความสามารถไปสู่รุ่นลูก, พัฒนาความสัมพันธ์กับ NPC ที่มีการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเองและสามารถจดจำทุกการกระทำของเรา, ต่อสู้กับมอนสเตอร์พร้อมตามหาความลับของโลกในเกมที่มาในธีม dark faery tale และสุดท้ายท้ายสุดสิ่งที่ต้องมีแน่นอนคือการทำฟาร์ม ซึ่งจะเป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งที่คุณสามารถเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ [caption id="attachment_14882" align="aligncenter" width="800"] แผนที่โลกในเกมค่อนข้างกว้าง พร้อมรอการสำรวจ[/caption] [caption id="attachment_14883" align="aligncenter" width="800"] ผจญภัยไปกับสัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ ที่จะคอยบอกตำแหน่งสมบัติใต้ดินให้คุณค้นหา[/caption] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกมพูดถึง “Kynseed” เมล็ดพันธุ์ลึกลับ โดยเริ่มอารัมภบทสั้นๆ จากหญิงชราผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านรองเท้า เธอเลี้ยงดูเด็กๆ มากมายด้วยตัวคนเดียว และเหมือนว่ากำลังมีปัญหากับจำนวนของเด็กน้อยเหล่านี้ ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น ด้วยท่าทีอ่อนโยนเขาเลือกรับเลี้ยงฝาแฝดชายหญิงเพื่อไปช่วยดูแลฟาร์มเล็กๆ ในหุบเขาที่ชื่อว่า Quill ดินแดนแสนสงบที่ผู้คนอาศัยอยู่ด้วยความกลมเกลียว แต่กลับรายล้อมไปด้วยอันตรายจากมอนสเตอร์ในป่าลึก และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะรับบทเป็นตัวละครเด็กชายหรือเด็กหญิง [caption id="attachment_14885" align="aligncenter" width="800"] แฝด ชาย-หญิง ตัวละครที่คุณสามารถเลือกเพศในการเล่นได้[/caption] เกมเพลย์ ในด้านเกมเพลย์จริงๆ แล้วยังไม่สามารถสรุปอะไรได้มากนักเพราะเกมยังเป็นเพียงแค่ตัวทดลองที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อหางบเพิ่มในการพัฒนา และเปิดรับความคิดเห็นจากแฟนเกม ภารกิจส่วนใหญ่ที่มีให้ทำจึงเป็นการสอนให้รู้จักระบบของเกมคร่าวๆ เช่น การปลูกผัก, เลี้ยงสัตว์, เก็บผลผลิต, ขุดเหมืองเพื่อนำแร่มาตีอาวุธและอุปกรณ์, ขายของ หรือทำอาหาร ซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่เกมแนว Life Sim พึงมี โดยจะมีมินิเกมเล็กๆ ให้เราเล่นขั้นในบางกิจกรรมก็ช่วยเพิ่มสีสันได้ดี เช่น เมื่อมีการต่อรองระหว่างการขายสินค้า จะมีเกจขึ้นมาให้เรากด ถ้าตรงจังหวะนั่นหมายถึงว่าเราต่อรองชนะ และขายสินค้าได้แพงขึ้น แต่ถ้าพลาดก็ขาดทุน จนแบบจ๋อยๆกันไป [caption id="attachment_14886" align="alignnone" width="800"] อย่าลืมรดน้ำพืชผักในฟาร์ม[/caption] [caption id="attachment_14887" align="alignnone" width="800"] สามารถเช่าแผงลอยเพื่อขายผลผลิตที่คุณหามา[/caption] [caption id="attachment_14888" align="alignnone" width="800"] มินิเกมระหว่างการปรุงอาหาร[/caption] ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้เห็นระบบสุดพิเศษต่างๆ ที่ทางผู้พัฒนาได้เคลมไว้ ด้วยแผนที่ที่ค่อนข้างกว้าง การผจญภัยในบรรยากาศของนิยายปรัมปราเพื่อตามหาความลับของภูติแต่ละชนิดและไอเท็มต่างๆ ที่มาในรูปแบบของบทกลอนตลกๆ หรือข้อความชวนหัว ก็สร้างความเพลิดเพลินได้มิใช่น้อย แต่นั่นก็เรียกร้องสกิลภาษาอังกฤษจากผู้เล่นด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีกิมมิคน่ารักๆ อย่างการบอกเวลาด้วยดอกแดนดิไลออน หรือการขี่หมู (ในโลกของ Kynseed ม้าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว!) ก็สร้างเอกลักษณ์หรือภาพจำให้กับตัวเกมได้เป็นอย่างดี ส่วนที่น่าสนใจอีกข้อคือระบบสกิล ถึงแม้จะยังไม่ค่อยชัดเจน แต่ตัวเกมก็บ่งบอกว่าในอนาคตผู้เล่นสามารถพัฒนาความสามารถของตัวละครได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ชาวสวน, นักตกปลา, ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้, พ่อครัว, นักผจญภัย หรือแม้แต่นักกวี [caption id="attachment_14890" align="alignnone" width="800"] การขี่หมู เทรนด์ใหม่มาแรงในโลกของ Kynseed[/caption] [caption id="attachment_14891" align="alignnone" width="800"] สกิลสายต่างๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีเปิดให้เห็นแค่ Fishing กับ Melee[/caption] กราฟิก Kynseed นำเสนอกราฟิกในรูปแบบของ Pixel Art ซึ่งลงรายละเอียดสีสันในเกมได้ค่อนข้างสวยงาม ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของฉากหลังที่เป็นป่าเขาได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ดึงดูดนักเล่นเกมนอกกระแส หรือผู้เล่นทั่วไปได้ไม่ยาก อีกทั้งเพลงประกอบในเกมก็น่ารักสดใสให้บรรยากาศของเกม RPG แม้จะไม่ถึงกับติดหูแต่ก็กลมกล่อมไปกับตัวเกมได้แบบไม่หลุดธีม [caption id="attachment_14892" align="aligncenter" width="800"] การตกปลาท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง[/caption] สรุป สุดท้ายนี้ จากการที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นในช่วง early access (ราคา189บาท) ก็พบว่าตัวเกมมี bug บานตะไท (แหงสิ!) แต่เกมก็มีทิศทางที่น่าสนใจ ถ้าหากว่าผู้พัฒนาสามารถทำได้อย่างที่ว่าไว้ และพัฒนาระบบการเล่นบางอย่างที่ยังดูไม่ค่อยสมบูรณ์ เช่น การที่ต้องหา NPC บางตัวเพื่อทำภารกิจ ซึ่งบางครั้งหายากเหลือเกินเนื่องจากไม่มีตัวช่วยอะไรเลย ผู้เล่นต้องคลำหาเอง หรือระบบแผนที่ ที่ยังใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ เพราะไม่สามารถย่อ - ขยาย ได้ ทำให้ดูรายละเอียดค่อนข้างยาก แถมยังมาร์คจุดเพื่อกำหนดเป้าหมาย หรือเพื่อกันลืมไม่ได้อีกต่างหาก ทั้งๆที่ควรจะมี และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ NPC ชาวบ้าน ที่ยังขาดความน่าสนใจ หรือเอกลักษณ์ที่สามารถดึงดูดให้ผู้เล่นจมจ่อมอยู่ในโลกของ Kynseed ก็คงได้แต่เฝ้ารอเฝ้าหวังว่าทางผู้พัฒนาจะมองเห็นและแก้ไขเพื่อให้ตัวเกมออกมาสมบูรณ์ที่สุด โดยเกมมีกำหนดวางขายตัวเต็มช่วงปลายปี 2019 ที่กำลังจะถึงนี้ แล้วมาดูกันว่า Kynseed จะสามารถเฉิดฉาย สร้างชื่อให้กับ PixelCount Studios ได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่หนึ่งเกมแป้กที่ติดอยู่ใต้ร่มเงาของ Stardew Valley [caption id="attachment_14894" align="aligncenter" width="800"] แผนที่ในฟาร์มซึ่งดูรายละเอียดค่อนข้างยาก ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร[/caption] [caption id="attachment_14895" align="aligncenter" width="800"] ระบบต่อสู้และฉากหลังที่เหมือนจะยังไม่เรียบร้อยดี (ถึงโดนมอนสเตอร์ตีก็ไม่ตาย)[/caption] สรุปคะแนนในตอนนี้ทางผู้เขียนยังไม่สามารถให้คะแนนได้ เนื่องจากเกมยังเป็นเพียงแค่ Early Access บน Steam เท่านั้น  
11 Dec 2018
รีวิว Battlefield V เจ้าแห่งเกมสงคราม ที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่
แนวเกม: FPS ผู้พัฒนา: DICE จัดจำหน่าย: EA แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (Origin) Battlefield V เกมแนว FPS ภาคต่อจากซีรีส์แนวสงครามของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง EA ที่คุณรู้จักกันดี โดยในภาคนี้ตัวเกมจะพาให้คุณเข้าไปสัมผัสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่ามหาอำนาจอย่างฝ่ายสัมพันธมิตร และ ฝ่ายอักษะ เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง โดยตัวเกมได้พัฒนาระบบต่างๆ ให้แตกต่างจากภาค Battlefield 1 อยู่มากพอสมควรเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวผู้เล่น และถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากสำหรับเกมนี้ที่ต้องบอกว่าพวกเขากล้า !! และอาจจะเป็นมิติใหม่ของเกมที่เราจะได้เห็นไปอีกซักพักสำหรับซีรีส์ Battlefield ภาคถัดๆ ไป ถึงแม้ว่าในช่วงเปิดตัวนั้น ตัวเกมได้รับคำวิจารณ์ในเชิงลบอยู่มากพอสมควร จนทำให้บัลลังค์ชื่อเสียงคำว่าเฟรนไชส์เกมยอดเยี่ยมนั้นสั่นคลอนลงมาเลยทีเดียว ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและไปปรับแก้ระบบต่างๆ จนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ตัวเกมนั้นก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยในบทความนี้พวกเราชาว GamefeverTH จะมารีวิวเกมนี้อย่างละเอียด ดีหรือไม่ดีตรงไหนจากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน พร้อมทั้งการเปรียบเทียบระหว่างภาคนี้กับ Battlefield 1 ที่มันแตกต่างกันยังไง และต้องขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีอย่าง NGIN ที่ส่งแผ่น PS4 เกมนี้มาให้เรารีวิวครับ เอาล่ะเราไปชมกันเลย กราฟิก ถึงแม้ว่าตัวกราฟิกของเกมภาคนี้จะใช้เอ็นจิ้น Frostbite 3 เหมือนในภาคที่แล้ว แอนิเมชั่นต่างๆ ก็จะคล้ายกันในหลายๆ อย่าง แต่ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของภาคนี้กลับทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แสง เสียง เงาต่างๆ ก็ดูสมจริงมากขึ้น เพราะใน Battlefield 1 ที่เราคิดว่าภาพสวยแล้วนั้น แต่มันก็ยังมีความเรียบของดีเทลเล็กน้อยในเรื่องของ แสง เงา ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันยังไม่สมจริงเท่าที่ควร แต่ต่างจากในภาคนี้ เรื่องแสง เงา คือจัดเต็ม !! จัดเต็มมาก !! กะเอาให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด เหมือนต้องการให้เราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจรืงๆ รวมถึงสำหรับสาวก PC ที่คอมแรงก็จะโชคดีกว่าคนอื่น เพราะตัวเกมนี้ก็จะมีระบบ Ray Tracing ที่จะเป็นการสะท้อนเงาฉากในเกมให้เกมสมจริงขึ้นอีกไปอีก แต่ถ้าหากใครที่ต้องการจะใช้ระบบนี้ คุณก็อาจจะต้องใช้การ์ดจอระดับ High End ของค่ายเขียวซีรีส์ 2000 ขึ้นไปด้วย ซึ่งถ้าว่าคอมคุณทำได้ ต้องบอกเลยว่านี่คือเกมที่ภาพสวยที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียว [caption id="attachment_13824" align="aligncenter" width="1280"] ในภาค Battlefield V จะมีรายละเอียดเรื่องแสง และเงาที่สวยกว่า[/caption] Single Player ในภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงคอนเซ็บที่จะเล่าเนื้อเรื่องในหลายๆ มุมของยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ดั่งที่เคยทำมาในเกม Battlefield 1 โดยการนำเสนอของภาคนี้จะเน้นเนื้อเรื่องในอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทุกคนไม่เคยเห็นในแต่ละประเทศ โดยจะมีเนื้อเรื่องอยู่ทั้งหมด 4 บทนั่นคือ Nordlys - สาวน้อยนักฆ่าความสามารถสูงที่จะต้องปลดแอกประเทศ Norway ของตัวเอกจากฝ่ายนาซี พร้อมทั้งต้องช่วยเหลือครอบครัวที่โดนจับตัวไป Under No Flag - เล่าถึงเรื่องโอกาศที่สองของอาชญากรนามว่า Billy Bridger ที่จะต้องเข้าร่วมกองกำลังรบอังกฤษ เพื่อมารับใช้ชาติแทนที่จะเข้าคุก Tirailleur - การต่อสู้ของกองกำลังเซเนกัลประเทศฝรั่งเศษที่จะต้องปกป้อง Homeland พื้นที่ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน The Last Tiger - จะเล่าเรื่องของทหารฝ่ายนาซี กับลูกเรือบนรถถัง The Tiger คนหนึ่งที่เริ่มสงสัยและตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของประเทศตัวเอง (แต่ในเนื้อเรื่องนี้ผมยังไม่ได้เล่น เพราะว่าผู้พัฒนาบอกว่ามันจะตามมาทีหลังนั่นเอง) โดยตัวเกมเพลย์ในภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะระบบการเล่นนั้นจะกลายเป็นรูปแบบ Openworld เต็มตัว มีแนวทางการเล่นหลากหลายมากกว่าก่อน มีอิสระในการผ่านด่านต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างเช่นการบุกประจันหน้าเข้าไป หรือจะเป็นการลอบเร้นเข้าไปก็ได้ อาวุธภายในเกมก็มีหลากหลายเพียงแต่เราอาจจะต้องไปไล่เก็บตามแคมป์ศัตรูต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เราต้องสำรวจมากขึ้นนั่นเอง มีการส่อง Mark ตำแหน่งของศัตรูเพื่อให้เล่นได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นการคอยๆ เก็บทีละตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรู Alert และไปกดเสาสัญญานขอความช่วยเหลือให้เพื่อนมาช่วยเป็นต้น [caption id="attachment_13827" align="aligncenter" width="1280"] โหมดเนื้อเรื่องกลายเป็นแนว Openworld เต็มตัว[/caption] [caption id="attachment_13853" align="aligncenter" width="1280"] มีการส่องกล้องหาศํตรูหรือจุดดรอปปืนเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเรา[/caption] [caption id="attachment_13829" align="aligncenter" width="1280"] สามารถรอบเร้นเข้าไปเก็บทีละคนได้[/caption] แต่เนื่องจากที่ระบบการเล่นแบบนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องใหม่ที่ Battlefield เคยทำ มันเลยทำให้การดีไซน์ต่างๆ ของแผนที่นั้นออกมาไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นภายในเนื้อเรื่องที่เราจะต้องแอบเข้าไปในดงศัตรูเพื่อทำภารกิจ ซึ่งในเนื้อเรื่องของมันก็บังคับแบบกลายๆ แล้วว่าเราจะต้องลอบเร้นเข้าไป แต่ตัวศัตรูนั้นนอกจากที่จะหูไวตาไวแล้ว ข้อจำกัดในการเล่นหรืออาวุธที่เราใช้มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้เราผ่านด่านได้แบบ Perfect เพราะบางครั้งศัตรูเองก็จะไม่เดินไปเดินมาเหมือนเกมอื่น อาวุธเริ่มต้นก็จะไม่มีปืนเก็บเสียงนอกจากมีดลับที่สามารถปาให้เข้าหัวเท่านั้น แต่มันก็จะมีพวกปืนเก็บเสียงบ้างตามแคมป์ ซึ่งมันก็แลกกับการที่เราจะต้องไปควานหามันก่อนที่จะทำภารกิจ โดยถ้าใครชอบระบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนถ้าใครไม่ชอบระบบนี้ก็คงจะน่ารำคาญเล็กน้อย และอย่างที่แย่เลยก็คือใครบางครั้ง ศัตรูนั้นหันหน้าไปทางเดียวกันหมดทุกคน มันเลยทำให้การลอบเร้นยากกว่าเดิมเลยทำให้ความสนุกมันลดทอนลงไป ถ้าให้เปรียบเทียบระบบการลอบเร้นของเกมนี้ มันก็ดูเหมือนเกม Metal Gear Solid V: The Phanton pain เล็กน้อย เพียงแต่เกมนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือกลไกของเกมที่ทำให้เราลอบเร้นสนุกมากกว่าเกมนี้หลายเท่า [caption id="attachment_13832" align="aligncenter" width="1280"] บางพื้นที่ศัตรูหันหน้าทางเดียวกัน ซึ่งมันทำให้การรอบเร้นฆ่าทีละตัวยากกว่าเดิม[/caption] ส่วนตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ เนื่องจากที่แต่ละบทจะใช้เวลาเพียงแค่ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น การเล่าเรื่องในซีนสำคัญๆ มันเลยทำให้เราไม่อินเท่าที่ควร เพราะเราเองก็พึ่งจะรู้จักตัวละครพวกนี้ได้ไม่นาน เราเลยยังไม่ผูกพันธ์พวกเขาเท่าที่ควร แต่ก็ต้องชมเลยว่าในเรื่องของซีนที่จะสื่อถึงความรักชาติ หรือทำให้เรารู้สึกหึกเหิม ตัวเกมจะสื่อออกมาได้ดีมากๆ ซึ่งส่วนตัวของผมนั้นจะชอบในบท Under No Flag มากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องมันจะทำให้เราเอาใจช่วยเจ้าหนูคนนี้ตลอดเวลา   Multiplayer ในเกม Battlefield V ระบบมัลติเพลยเยอร์นั้นก็จะมีโหมดการเล่นอยู่ด้วยกัน โหมดนั่นคือ Conquest - โหมดคลาสสิค ที่มีมาตั้งแต่ภาคเก่าๆ เป็นการต่อสู้ในสเกลใหญ่ที่เราจะต้องยึดพื้นที่ต่างๆ โดยในภาคนี้ระบบจะไม่เหมือนกับภาคก่อนหน้าตรงที่การนับคะแนนคือการตาย ซึ่งถ้าหากว่าเราถูกยึดจุดมากกว่าครึ่งจะทำให้คะแนนลดมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งมันทำให้การ Comeback ของฝ่ายเสียเปรียบทำได้ง่ายขึ้น Domination - การต่อสู้ภาคพื้นดินที่จะสเกลเล็กลงมากว่าโหมด Conqest เราจะพบเจอศัตรูได้ง่ายกว่า Team Deathmatch - โหมดยิงประจันหน้าที่มีอยู่ทุกเกม โดยตัวเราและศัตรูจะสุ่มเกิดในพื้นที่ขนาดเล็กอยู่เรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเข้าไปฝึกยิงให้คล่อง Frontlines - โหมดภารกิจยึดจุด ในธีมที่เหมือนกับการเล่นชักกะเย่อ ถ้าหากว่าฝ่ายเรายึดจุดมากกว่าอีกฝ่ายเราก็จะชนะไป Breakthrough - โหมด Capture the flags ที่เรารู้จักกันดีฝ่ายบุกต้องเข้ายึด ส่วนฝ่ายกันก็จะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้ฝ่ายบุกเข้ามาได้ Grand Oparation - โหมดสเกลใหญ่ที่รวมหลายๆ โหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งตัวโหมดนี้เองก็มีตั้งแต่ภาคก่อนหน้า ตัวเกมใช้เวลาในการเล่นนาน และเนื้อเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้แพ้ชนะของแมทนั้นๆ โดยเกมนี้จะเน้นการเล่นเป็นทีมไม่ต่างจากในเกมภาคที่แล้ว เพียงแต่วิธีการเล่นเป็นทีมจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และระบบต่างๆ จะปรับเปลี่ยนใหม่อย่างเช่น ในเกม Battlefield 1 ตัวละครของเราถ้าหากไม่ใช่คลาส Medic เราก็จะไม่มียาให้เพิ่มเลย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าหากว่าเรารอเวลาซักนิดตัวละครก็จะค่อยๆ ฟืนเลือดมาเรื่อยๆ จนเต็มแต่มันจะเสียเวลา ซึ่งการมี Medic ในทีมนั้นสำคัญเป็นอย่างมากเพราะจะคลาสนี้จะคอยเติมเลือดให้เราได้ไว ส่วนในเกมภาคใหม่ทุกคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะมียาเพิ่มเลือดให้คนละ 1 อัน  แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราไม่มียาเลือดของเรานั้นก็จะเพิ่มไม่เต็มหลอดทำให้เสียเปรียบนั่นเอง ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างอย่างหนึ่ง และการชุบเพื่อนเราไม่จำเป็นต้องรอ Medic อย่างเดียวเหมือนภาคที่แล้ว เพราะในภาคนี้ไม่ว่าคุณจะเล่นคลาสไหน ก็สามารถที่จะชุบเพื่อนได้ เพียงแต่ว่าคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะใช้เวลาชุบที่นานมากกว่านั่นเอง และในภาคนี้ก็จะตัดระบบการวิ่งชาร์จที่มีข้อดีในการเข้ายึดจุดไว หรือ Take Down ศัตรูในทีเดียวออกไป พร้อมทั้งยังตัดระบบชุดเกราะพิเศษในภาค 1 ที่จะทำให้เราถึกขึ้นปืนโหดขึ้น มันเลยทำให้ความแฟนตาซีลดลงไป และให้ความสมจริงมากขึ้น เจาะจงการเล่นเป็นทีมมากขึ้น เกาะกันเป็นกลุ่มมากกว่าแต่เก่านั่นเอง [caption id="attachment_13839" align="aligncenter" width="1280"] เป็นคลาส Assault แต่มียามาให้ 1 ชิ้น[/caption] [caption id="attachment_13840" align="aligncenter" width="1280"] ทุกอาชีพสามารถชุบเพื่อนได้ เพียงแค่ Medic จะสามารถชุบได้เร็วกว่าคลาสอื่นนั่นเอง[/caption] ระบบการต่อสู้แบบเดินเท้าก็จะสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะว่าตัวเกมได้ตัดทอนความสามารถของยานพาหนะให้เก่งน้อยลงกว่าภาคก่อนๆ เยอะ ซึ่งตัวผมเองเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 และเห็นรถถังเดินบู๊ฆ่าแหลกน้อยมาก เพราะตัวรถถังมันโดนทำลายง่ายพอสมควร เนื่องจากที่ฝ่าย Assault นั้นมีปืนระเบิดไว้ทำลายรถถังหลายลูกต่อหนึ่งคน มันเลยทำให้การสู้ด้วยยานพาหนะจะต้องใช้แบบแผนมากยิ่งขึ้นกว่าในภาค Battlefield 1 ที่ก่อนจะปรับสมดุล ตัวรถถังมัน OP มากๆ สามารถบู๊แหลกเก็บทั้งทีมได้สบายๆ พร้อมทั้งระบบ Behemoth ที่มีในเกม Battlefield 1 ก็ได้ตัดออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยระบบนี้จะเป็นการนำยานพาหนะขนาดใหญ่เข้ามาร่วมรบสำหรับฝ่ายที่มีคะแนนน้อยและใกล้แพ้ แต่เอาตามตรงมันก็ไม่ค่อยจะช่วยให้เราชนะซักเท่าไร เพราะตัว Behemoth นั้นมีพื้นที่จำกัดในการเคลื่อนที่ รวมถึงถ้าหากคนที่ใช้ปืนเล่นไม่เก่งและสามารถเก็บฝ่ายศัตรูให้เรียบได้ มันก็แทบจะไร้ประโยชน์เลยทีเดียว แถมมันยังทำให้ผู้เล่นมัวแต่ไปขี่ตัว Behemoth จนไม่มาช่วยกันยึดจุดด้วยซ้ำ ซึ่งในภาคนี้ได้ใส่ระบบแต้มคะแนนของ Squard เข้ามาแทนที่ถ้าหากว่าเราและเพื่อนร่วมทีมสามารถเก็บคะแนนได้เยอะๆ หัวหน้าทีมสามารถเรียกคำสั่งนี้เพื่อที่จะใช้ให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิด ใส่ศัตรู หรือเรียก Supply มาให้ก็ได้ รวมถึงภาคนี้ยังได้ใส่ระบบการก่อสร้างเพื่อเราจะได้สร้างที่กำบังให้สามารถเพิ่มความได้เปรียบกับตัวเราได้ อย่างเช่นการเอาถุงทรายมาเป็นป้อม สร้างถุงทรายให้กลายเป็นกำแพง หรือการซ่อมหน้าต่างที่กำบังในบ้านเพื่อทำที่หลบภัยให้กับสไนเปอร์ รวมถึงตัวเกมยังมีระบบ Peek Over เล็กๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาตัวไปหลบในที่กำบังแล้วกดเล็ง ตัวเราจะชโงกหน้าออกมาเล็งอัตโนมัติ ซึ่งมันเหมาะทั้งในทีมบุกและทีมรับ เพราะตัวทีมบุกเองก็สามารถบุกหลบในหลุมขนาดใหญ่บนพื้น แล้วสร้างที่กำบังเพื่อหลบภัยชั่วครู่แล้วจึงค่อยบุกต่อก็ได้ ส่วนทีมกันก็สามารถสร้างที่หลบภัยเพิ่มเติมถ้าหากว่าตัวสิ่งก่อสร้างมันโดนพังเป็นต้น แต่ข้อเสียของระบบนี้คือตำแหน่งในการสร้างบนภาคพื้นดินจะมีอยู่จำกัดและสร้างที่กำบังไม่ได้ทุกพื้นที่ รวมถึงมันต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมสูง ถ้าหากจะให้ระบบนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเราจะได้ช่วยกันสร้างป้อมทุกมุมได้ไวขึ้น หรือถ้าหากเราเผลอโดนศัตรูยิงก็จะสามารถช่วยกันชุบได้ หรือช่วยกันแจกกระสุน ยาเป็นต้น และพอใช้งานจริงระบบนี้กลับไม่ค่อยจะมีคนนิยมเท่าไร เพราะมันทำให้รูปเกมช้าลงอย่างเห็นได้ชัด คนในเซิร์ฟเลยเลือกที่จะเล่นในแบบเดิมๆ มากกว่า แต่จะมักนิยมสำหรับคนที่เล่น Sniper ที่สามารถยิงปืนได้ในระยะไกลนั่นเอง รวมถึงการ Peek Over ส่วนตัวมันรู้สึกเอ๋อๆ กดได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง ทำไมบางจังหวะมันผิดพลาดไปหมด ระบบคลาสของเกมนี้ในแต่ละคลาสก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปอีก โดยฟังชั่นนี้จะเรียกว่า Combat Role ในการเล่นได้ ซึ่งมันก็จะไปเพิ่ม Passive ให้เราเก่งในสายนั้นๆ อย่างเช่น Role ของฝ่าย Assault ก็จะมี Role ที่จะเน้นระเบิดรถถัง หรือ Role ที่เน้นการยิงเป็นต้น พร้อมทั้งในเกมภาคนี้ได้ตัดระบบ Season Pass ออกไปไม่ต้องเทพทรูอีกแล้ว การได้ของใหม่ๆ ก็จะสามารถเก็บเลเวล รวมถึงแต่ละเลเวลก็จะมีของที่บอกชัดเจนว่าจะปลดล็อคอะไร พร้อมทั้งสกีนต่างๆ ซึ่งเราสามารถทำเควสหรือซื้อด้วยเงินเครดิตในเกมได้เช่นกัน และก่อนหน้านี้ที่ทางผู้พัฒนาโดนโจมตีเรื่องสกีนของตัวละครที่คาดว่าจะมีระบบ Lootbox เข้ามาให้เราเปิดสกีน ซึ่งดูเหมือนว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ตัดระบบนี้ออกไปเลยทำให้สกีนหรือชุดสวมใส่ต่างๆ ก็จะดูไม่แฟนตาซีมาก ซึ่งตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่าระบบสกีนจะมีมาเพิ่มในอนาคตหรือไม่เราต้องรอดูกัน [caption id="attachment_13847" align="aligncenter" width="1280"] ระบบ Combat Role ที่จะเป็นคลาสย่อยของแต่ละคลาสหลักที่จะมีความสามารถแตกต่างกัน[/caption] [caption id="attachment_13848" align="aligncenter" width="1280"] ชุดไม่แฟนตาซี เพราะตัวเกมไม่มีระบบ Lootbox อย่างที่คนกลัวกัน (แต่อนาคตไม่แน่ใจว่าจะมีเข้ามาไหม)[/caption] สรุป ต้องบอกเลยว่าระบบ Singleplayer ของเกมนี้ทำออกมาได้แปลกใหม่ และถือว่าเป็นการเริ่มต้นได้ดีมากๆ เพราะระบบ Openworld ที่เราสามารถเลือกวิธีเล่นได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต้องยอมรับว่ามันยังดีไซน์ออกมาได้ไม่ดีพอ เพราะตัวเกมมีความยากในการเล่น แต่ข้อจำกัดอาวุธที่ใช้ต่างๆ มันทำให้ความสนุกถูกบั่นทอนลงมา แต่ถ้าหากใครที่ชอบแบบนี้มันอาจจะเป็นเรืองดีก็ได้ ส่วนระบบ Multiplayer เกมนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ระบบเดินเท้าทำออกมาได้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราเล่นคนเดียวประสบการณ์ที่เราจะได้รับมันอาจะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าหากคุณมาคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่สนุก เพราะถ้าหากคุณเล่นเป็นงานคุณก็คอยช่วยเหลือเพื่อน หรือช่วยเหลือทีม Squard อื่น เพื่อสร้างความได้เปรียบได้เช่นกัน และเนื่องจากที่มันเน้นความสมจริง สปีดการเล่น หรือเข้าทำก็จะช้าลงกว่าภาคก่อนหน้า เพราะระบบต่างๆ มันเอื้อต่อการเล่นเป็นทีม ซึ่งถ้าหากคุณวิ่งมั่วๆ คุณอาจจะโดนสอยตายได้ง่ายๆ แต่ก็บอกว่านี่แหละมันคือเสน่ห์หลักของภาคนี้เลยทีเดียว เพราะไอ้ความสมจริงนี่แหะมันเลยทำให้เราอินกับคำว่าสงครามโลกมากยิ่งขึ้น นี่อาจจะเป็นเกม Battlefield ภาคที่เปิดตัวออกมาโดนด่ามากที่สุด แต่ทางผู้พัฒนาเองก็ได้แก้ไขจุดต่างๆ เอาใจความคิดเห็นของผู้เล่นมากขึ้น จนทำให้มาตรฐานของมันก็ยังดีเยี่ยมเหมือนอย่างเคย [penci_review id="13607"]
29 Nov 2018
Review: รีวิวเกม Hitman 2 - มือปืนโล้นซ่า ทวงบัลลังค์ราชาเกมลอบเร้น!
แนวเกม: Stealth-Action (แอคชั่น-ลอบเร้น) ผู้พัฒนา: IO Interactive (จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Interactive) แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC เวลาเล่น: จบเนื้อเรื่อง (ราว 8-10 ชั่วโมง) ข้อดี: เกมเพลย์แนวลอบเร้นที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเหมือน มีความท้าทายในระดับที่พอดี ไม่ได้ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ยากจนหงุดหงิด เปิดช่องให้ผู้เล่นได้ใช้ความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ฉากเกมเพลย์มีความน่าสนใจและหลากหลายในตัว เล่นซ้ำได้ไม่เบื่อ ข้อเสีย: รายละเอียดกราฟิคปรับปรุงได้อีกเยอะ เนื้อเรื่องสั้น/ด่านน้อย แถมยังเล่าไม่สนุก โหมดออนไลน์ไม่ค่อยสนุกถ้าไม่ได้เล่นกับเพื่อน เกมซีรี่ย์ Hitman นั้นถือเป็นซีรี่ย์ที่เปลี่ยนแก่นเกมเพลย์ไปน้อยมากๆ แม้ว่าจะวางขายมาแล้วเกือบ 20 ปี (ภาคแรกวางจำหน่ายปี 2000) เกมยังคงให้ผู้เล่นรับบทเป็นสายลับ 47 เหมือนเดิม ยังคงให้เราลอบเข้าไปในฐานศัตรูด้วยการเปลี่ยนชุดปลอมตัวไปเรื่อยๆ เพื่อหาโอกาสลอบสังหารเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆ จะเปลี่ยนไปก็เพียงแค่เรื่องคุณภาพและกราฟิคของเกม ที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เกม Hitman 2 ภาคล่าสุด (คนละภาคกับ Hitman 2: Silent Assassin ปี 2002) ก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงสูตรเกมเพลย์ของซีรี่ย์ไปแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเกมภาคก่อนหน้าอย่าง Hitman (2016) ที่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งในเรื่องของเกมเพลย์และกราฟิค แต่เหตุผลที่เกมไม่เปลี่ยนไปก็ไม่ใช่ว่าเกมจะรู้สึกตกยุคหรือติดขัดแต่อย่างใด กลับกันซะอีก เกมเพลย์การลอบเร้นของ Hitman 2 ยังคงสนุกและท้าทาย แถมยังมีเอกลักษณ์ที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีเกมไหนทำได้เหมือนกัน ต้องใช้ไหวพริบ ความคิดสร้างสรรค์ และความใจเย็นมากกว่าฝีมือในการเล่นเกมยิงปืน แน่นอนว่าเกมก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ด้วยกราฟิคและอนิเมชั่นที่ถือว่ายังปรับปรุงได้มากในหลายจุด แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบเกมแนวลอบเร้นแบบฮาร์ดคอร์ และใฝ่หาเกมที่ท้าทายความคิดเรามากกว่าความแม่นยำ เกม Hitman 2 น่าจะตอบโจทย์ของคุณได้ดีเลย [caption id="attachment_12862" align="aligncenter" width="1920"] เป็นอุบัติเหตุจริ๊งๆ...[/caption] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของเกม Hitman 2 จะติดตามสายลับ 47 ในระหว่างการเดินทางรอบโลกเพื่อค้นหาอดีตอันลึกลับของตัวสายลับ 47 เอง พร้อมๆ กับการตามหาองค์กรลับชั่วร้าย ที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตของเขา และคือผู้ที่ลบความทรงจำของเขาออกไปตั้งแต่แรกนั่นเอง ว่ากันตามตรงว่าเนื้อเรื่องของเกม Hitman 2 ไม่ได้น่าสนใจหรือสำคัญต่อเกมเลยแม้แต่น้อย เกมเลือกที่จะเล่าเหตุการณ์เนื้อเรื่องต่างๆ ผ่านฉากคัตซีนที่ใช้ภาพนิ่งผสมกับกราฟิคไฮเทคต่างๆ ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องของเกมตามยากมากเพราะเล่าแบบโดดไปมาเยอะ แถมเพราะฉากเนื้อเรื่องเหล่านี้มักจะถูกเล่าเฉพาะช่วงก่อนและหลังทำภารกิจเท่านั้น ทำให้การเล่าเรื่่องขาดช่วงไปในระหว่างภารกิจ และแต่ละภารกิจยังมีเนื้อเรื่องย่อมๆ ของตัวเองอยู่แล้วด้วย ยิ่งทำให้การติดตามเนื้อเรื่องของเกมยากเข้าไปใหญ่ พูดง่ายๆ คือผู้เขียนยังไม่สามารถบอกได้อย่างถูกต้อง 100% เลยว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร แม้จะเล่นจนจบและนั่งดูคัตซีนทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 2-3 รอบแล้วก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เนื้อเรื่องของเกมค่อนข้างมีปัญหาก็ไม่ได้ส่งผลต่อความคาดหวังที่มีต่อเกมเท่าไหร่ อาจจะเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ถ้าทำให้ดีได้ก็จะช่วยเสริมเกมให้น่าสนใจกว่าที่เป็นอยู่ แต่สำหรับผู้เขียน การที่เนื้อเรื่องของเกม Hitman 2 มีปัญหามากๆ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย แต่คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวของเกม และไม่ใช่แฟนเกมลอบเร้นอยู่แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เกมสำหรับคุณ กราฟิค/การนำเสนอ สำหรับคนที่เพิ่งเล่นเกม Red Dead Redemption 2 มาอย่างผู้เขียน เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากราฟิคของเกม Hitman 2 ยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับเกมที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Red Dead Redemption 2 หรือกระทั่ง Assassins Creed: Odyssey ไม่ได้หมายความว่าเกมภาพน่าเกลียด เพราะฉากต่างๆ ก็มีการใช้แสงสีที่สดใส ไม่น่าเบื่อ แถมยังออกแบบมาให้มีรายละเอียดเล็กๆ อยู่เต็มด่าน แต่ในขณะที่เกมหลายๆ เกมในตลาดให้ความรู้สึกว่าภาพสวยในแบบที่ สมจริง ภาพของ Hitman 2 กลับมีความปรุงแต่งอย่างชัดเจน และดูเหมือนเป็นวีดีโอเกมตลอดเวลา แต่แม้ว่าเกมจะทำได้ไม่เลวในเรื่องของสีสันและการใช้แสง แต่ในเรื่องของการขยับตัวและสีหน้าของตัวละครก็ยังมีความแข็งๆ เป็นหุ่นยนต์อยู่เยอะ แถมเพราะในแต่ละด่านมี NPC อยู่นับร้อยๆ ตัว ทำให้เกิดปัญหาการใช้โมเดลตัวละครซ้ำขึ้นมาบ้างเวลาเล่น ซึ่งก็ทำให้เกมรู้สึกเหมือนทุนต่ำขึ้นมาได้เหมือนกัน แน่นอนว่าปัญหาที่กล่าวมาไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไร และเอาเข้าจริงส่งผลต่อการเล่นน้อยมากๆ แต่ก็เป็นปัญหาเล็กๆ ที่ผู้พัฒนาเกม AAA หลายๆ ค่ายน่าจะแก้ได้แล้วในยุคนี้ [caption id="attachment_12864" align="aligncenter" width="1920"] แค่ภาพนี้ก็มี NPC หน้าซ้ำหลายตัวแล้ว[/caption] ในส่วนของอินเตอร์เฟซ เกม Hitman 2 ได้กลับไปสู่อินเตอร์เฟซแบบ น้อยได้มาก ของภาคก่อนหน้า ที่เน้นใช้อินเตอร์เฟซเป็นกล่องๆ สี่เหลี่ยมง่ายๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใช้แอพมือถืออยู่อย่างไงอย่างนั้น แม้ในตอนแรกอาจจะรู้สึกดูสบายตา แต่พอไปนานๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเมนูที่ค่อนข้างน่าเบื่อเหมือนกัน เพราะเราจะต้องขุดเมนูเหล่านี้บ่อยๆ ทั้งช่วงก่อนและระหว่างทำภารกิจทุกครั้ง ในแง่นึงก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่ผู้พัฒนาทำให้เมนูของเกมง่ายต่อการใช้ โดยเฉพาะในจังหวะฉุกละหุก (เช่นการทิ้งปืนเวลาโดนศัตรูขอค้นตัว) แต่ผู้พัฒนาเองก็น่าจะหาวิธีนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ให้น่าตื่นเต้นกว่าแค่เป็นเมนูกล่องๆ ธรรมดา ดูไร้ชีวิตจิตใจไปหน่อย เกมเพลย์ ในหลายๆ แง่ เกมเพลย์ของ Hitman 2 ก็ทำให้หวนคิดถึงการเล่นเกมแนวพัซเซิ่ล (แก้ปริศนา) หรือแนว Adventure แบบเต็มตัวมากกว่าจะเป็นเกมแนวแอคชั่น เพราะการประสบความสำเร็จในเกมนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการแก้ปัญหาหรือการสำรวจ/หาของมากกว่าการยิงปืนหรือการต่อสู้ใดๆ (ความจริงเกมแทบจะไม่อยากให้เราต้องต่อสู้เลยด้วยซ้ำ เพราะการฆ่าตัวละครที่ไม่ใช่เป้าหมายจะทำให้โดนลดคะแนนตอนจบด่านด้วย) ถ้ามองผ่านๆ ระบบการเล่นของ Hitman 2 อาจจะไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับเกมแอคชั่น 3rd-Person ทั่วไป มีระบบการย่องหลบในกอหญ้าสูง และระบบการยิงปืนและการเข้าที่กำบังเป็นต้น แต่ระบบเกมเพลย์ที่สำคัญที่สุดของเกม Hitman 2 (หรือจะเรียกว่าที่สุดในทั้งซีรี่ย์เลยก็ได้) ก็คือระบบการปลอมตัว ที่ให้เราสามารถสวมรอยเป็นตัวละคร NPC ตัวไหนก็ได้เพื่อลอบเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม หรือเพื่อหลอกให้เป้าหมายตายใจ โดยระบบนีั้แหละคือสิ่งที่ทำให้เกม Hitman 2 ต่างจากเกมลอบเร้นทั้งหมดในตลาด เพราะเกมนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการไม่ถูกเห็นมากเท่ากับการซ่อนตัวในที่แจ้ง และการหาเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการแก้โจทย์ที่เกมมอบให้ ในการเริ่มด่านแต่ละครั้ง ผู้เล่นจะต้องหาช่องทางต่างๆ ที่จะเปิดช่องให้เราสามารถลอบสังหารเป้าหมายได้ โดยแต่ละด่านจะมีสิ่งที่เรียกว่า Mission Stories ที่เปรียบเหมือนภารกิจย่อยๆ ที่จะเปิดช่องในการสังหารเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆ อย่างในด่านแรกของเกมที่ให้เราต้องลอบสังหารเป้าหมายในงานแข่งรถ ซึ่งมีเป้าหมายต้องกำจัดสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นนักแข่งรถด้วย ในตอนที่ผ่านด่านนี้ครั้งแรก ผู้เขียนบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาของตัวละครตัวหนึ่งที่แต่งชุดมาสคอตนก ปรากฏว่า NPC ตัวนี้เป็นพนักงานของหนึ่งในเป้าหมาย ซึ่งกำลังพยายามจะแบล๊คเมล์เจ้านายตัวเอง โดยมีนัดกับเป้าหมายดังกล่าวเพื่อรับเงินแลกกับเอกสารแบล๊คเมล์ ผู้เขียนจึงจัดการล๊อคคอ NPC จนสลบและเปลี่ยนไปใส่ชุดมาสคอตนกและไปพบกับเป้าหมายตามนัดแทน และก็สามารถรอให้ถึงจังหวะที่เป้าหมายเผลอ และผลักเป้าหมายลงไปตายในช่องลิฟต์ได้ในที่สุด [caption id="attachment_12856" align="aligncenter" width="1920"] ใครจะไปคิดว่าเราเป็นนักฆ่า...[/caption] แน่นอนว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายวิธีที่เราจะเข้าถึงตัวเป้าหมายได้ เราอาจจะปลอมตัวเป็นพนักงานรปภ. เพื่อลักลอบเข้าไปในงานได้โดยไม่ถูกค้นตัว (หรือจะยอมให้ค้นตัวแต่โดยดีก็ได้ถ้าไม่พกปืน) พอมีจังหวะเราก็เปลี่ยนไปปลอมตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร เพื่อจะได้วางยาพิษในเหล้าให้เป้าหมายกิน หรือปลอมตัวเป็นทีมช่างรถแข่งเพื่อถอดน๊อตล้อรถก็ได้ แต่ละทางเลือกก็จะมีโจทย์ที่เราต้องแก้แตกต่างกันไป ทำให้ฉากแต่ละฉากสามารถเล่นซ้ำๆ กันได้หลายครั้งเพื่อค้นพบวิธีการลอบสังหารศัตรูและรายละเอียดเนื้อเรื่องเล็กๆ ในแต่ละด่านเพิ่มได้ตลอดเวลา แถมการผ่านด่านครั้งแรกจะปลดล๊อคทางเลือกเช่นจุดเริ่มต้นตอนเข้าภารกิจ หรืออาวุธที่เราจะพกติดตัวไว้ตอนเริ่มด่าน ซึ่งก็เปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถทดลองวิธีการผ่านด่านเดิมๆ ด้วยวิธีใหม่ได้หลากหลายขึ้นไปอีก [caption id="attachment_12859" align="aligncenter" width="1920"] เข้าไปเปิดดูได้ในเมนู[/caption] ทั้งนี้ ผู้เล่นจะเปิดหรือปิดตัว Mission Marker (ตัวบอกตำแหน่งภารกิจ) ในเกมเพื่อค้นพบ Mission Stories เหล่านี้ด้วยตัวเองจากการแอบฟังบทสนทนา NPC หรือการลักลอบเข้าไปขโมยเอกสารต่างๆ ได้ ซึ่งก็ช่วยเสริมความรู้สึกการแก้ปัญหาของเกมได้ดี ผู้เขียนอยากจะแนะนำให้ทุกคนเริ่มต้นแต่ละด่านมาด้วยการปิดสัญลักษณ์บอกตำแหน่งเหล่านี้ เพื่ออรรถรสสูงสุด เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นผลจากการกระทำของเราจริงๆ แทนที่จะเป็นสิ่งที่เกมกำหนดไว้ให้แล้วนั่นเอง ถ้าเข้าไปแล้วติดไม่รู้จะทำอะไรต่อค่อยเปิดก็ยังไม่สาย (กดเข้าเมนูหลักเพื่อเปิด-ปิดได้ตลอดเวลา) นอกจากโหมดภารกิจทั่วไปแล้ว เกม Hitman 2 ยังมีโหมดการเล่นออนไลน์อีกสองโหมดคือ Sniper Assassin และ Ghost Mode ด้วย สำหรับ Sniper Assassin จะให้เราร่วมมือกับผู้เล่นอีกคนเพื่อลอบสังหารศัตรูด้วยการยิงปืนสไนเปอร์จากระยะไกลเท่านั้น โดยเราจะสามารถสังหารศัตรูด้วยวิธีการสร้างสรรค์ต่างๆ ได้เช่นเดียวกับในภารกิจเนื้อเรื่อง แต่ปัญหาของโหมดนี้คือต้องอาศัยการร่วมมือระหว่างผู้เล่นทั้งสองคนสูงมาก ทำให้ถ้าไม่ได้เล่นกับเพื่อนก็แทบจะวางแผนเท่ๆ อะไรไม่ได้เลย กลายเป็นการพยายามรีบยิงศัตรูให้หมดด่านก่อนที่จะหนีไปเท่านั้น [caption id="attachment_12860" align="aligncenter" width="1280"] ในตอนนี้โหมดมีให้เล่นด่านเดียวเอง[/caption] ส่วนโหมด Ghost Mode จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างผู้เล่นสองคนเพื่อฆ่าเป้าหมายในด่านทั้ง 5 ตัวให้ได้ก่อนคู่แข่ง ซึ่งจะอยู่ในแผนที่เดียวกันแต่ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ (เป็นเหมือนโลกคู่ขนาน) โดยโหมดนี้ก็มีความท้าทายไปอีกแบบจากการลอบฆ่าเป้าหมายในโหมดเนื้อเรื่อง แต่พอมีเรื่องการแข่งขันและการจำกัดเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้เสน่ห์ของเกมอย่างการวางแผนหรือการลอบเข้าไปหาเป้าหมายอย่างช้าๆ หายไปด้วย เพราะผู้เล่นทั้งสองจะต้องพยายามหาวิธีที่เร็วที่สุดเท่านั้น หลายคนอาจจะพอสนุกกับโหมดนี้ได้ถ้าเล่นเกมจนเซียนแล้วจริงๆ แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่าโหมดมีความตรงข้ามกับสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนชอบเกม Hitman 2 ตั้งแต่แรก จึงไม่ได้ถูกใจเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเพื่อนเล่นแข่งกันขำๆ ก็อาจจะดีกว่านี้เหมือนกัน สรุป ในภาพรวมแล้ว เกม Hitman 2 ไม่ใช่เกมที่จะสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับเกมยอดเยี่ยมหลายๆ เกมที่ออกมาในปีนี้ ด้วยกราฟิคระดับกลางๆ และรูปแบบเกมเพลย์ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสูตรดั้งเดิมของซีรี่ย์ แต่ก็ยังเป็นเกมลอบเร้นที่สนุกและท้าทายในแบบที่แตกต่างจากเกมลอบเร้นอย่าง Assassins Creed หรือ Tomb Raider ไปมากเลย เกมอาจจะมีจำนวนด่านน้อยเพียง 5 ด่านเท่านั้น (รวมด่านสอนเล่นด้วย) แต่ด่านทุกด่านกลับสามารถพลิกแพลงวิธีผ่านได้หลากหลายไม่รู้จบ เป็นเกมที่เหมาะกับคนที่อยากท้าทายความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง [caption id="attachment_12858" align="aligncenter" width="1920"] ปลอมเป็นพยาบาลมาฆ่าเป็าหมาย[/caption] [penci_review id="12396"]
21 Nov 2018
Review - รีวิวเกม Red Dead Redemption 2 เกมดีๆ ที่ไม่ต้องสนุกตลอดเวลา
แนวเกม: Action-Adventure ผู้พัฒนา: Rockstar Games แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One เวลาเล่น: ไม่ต่ำกว่า 50 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) ข้อดี เกมสมจริงและละเอียดในระดับที่ไม่เคยเห็นในเกมไหนๆ มาก่อน ระบบยิงปืนสนุก ระทึกใจทุกครั้ง โลกและ NPC ที่มีชีวิต มีอะไรเกิดขึ้นรอบๆ ตัวผู้เล่นตลอดเวลา เนื้อเรื่องจริงจังแต่สนุก มีความเป็นเกมผู้ใหญ่สูง โลกสวยมาก มีภูมิประเทศหลากหลาย มีอะไรให้ค้นหาสำหรับคนที่ชอบผจญภัย เป็นเกมที่น่าทึ่งจนทำให้รู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของคอนโซลเจนถัดไปเลย ข้อเสีย ความสมจริงบางครั้งก็ทำให้เกิดสถานการณ์ที่น่ารำคาญได้เหมือนกัน เกมปลายเปิดเกินไป บางครั้งก็รู้สึกไร้ทิศทางได้ อธิบายระบบต่างๆ ไม่ค่อยดี มีหลายอย่างที่เกมไม่ได้บอก การเดินทางใช้เวลานานมากๆ ทำให้เกมรู้สึกเนือยได้เวลาต้องขี่ม้านานๆ คำเตือน: รีวิวฉบับนี้จะไม่สปอยเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลัก แต่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นแบบแรนด้อมที่ก็อาจจะถือเป็นสปอยได้สำหรับคนที่อยากไปเจอด้วยตัวเอง ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของค่ายพัฒนาในตำนานอย่าง Rockstar Games บวกกับความนิยมของเกมภาคแรกในเครื่อง PS3/Xbox 360 ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆ คนจะคาดหวังกับเกม Red Dead Redemption 2 จนถึงกับยกให้เป็นหนึ่งในเกมตัวเต็งตำแหน่ง Game of the Year ไปได้สบายๆ ตั้งแต่เกมยังไม่วางจำหน่ายด้วยซ้ำ หลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 40-50 ชั่วโมง ผู้เขียนสามารถยืนยันได้เลยว่าในแง่ของคุณภาพและรายละเอียดนั้น เกม Red Dead Redemption 2 ถือเป็นเกมที่ตั้งบรรทัดฐานใหม่ให้กับเกม Open-World ทั้งหมดต่อจากนี้ได้เลย ด้วยกราฟิคและการใช้แสงที่สมจริงจนบางมุมดูเหมือน Live-Action (คนแสดงจริง) ไปแล้ว และโลกของเกมที่มีชีวิต ดำเนินไปได้เองแม้ไม่มีผู้เล่น แถมยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งสามารถเกิดกับตัวผู้เล่นได้ตลอดเวลา ทำให้การเล่นเกม Red Dead Redemption 2 ให้ความรู้สึกเหมือนการใช้ชีวิตจริงในบางครั้ง ที่เราไม่สามารถควบคุมได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ในทางกลับกัน ความพยายามสร้างความสมจริงทุกกระเบียดนิ้วของผู้พัฒนาก็ทำให้มีจังหวะที่รู้สึกไม่สนุกอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน อย่างในเรื่องการขยับตัวและการปฏิสัมพันธ์กับโลกในบางแง่ แถมบางครั้งเกมยังดูจะลงโทษผู้เล่นที่อยากจะแค่เล่นเกมให้เป็นเกม และไม่ได้อยากจะเสียเวลาพะวงหน้าพะวงหลังกับระบบยิบย่อยต่างๆ ในเกมอย่างการกินข้าวหรือการโกนหนวด ที่ล้วนส่งผลต่อตัวผู้เล่นทั้งสิ้น ถามว่าแล้วแบบนี้หมายความว่าเกมไม่ดีหรือเปล่า? ตอบได้เต็มคำว่า ไม่ใช่ Red Dead Redemption 2 ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนเคยเล่นมาในยุค PS4/Xbox One แม้ว่าความสมจริงของเกมจะสร้างความลำบากในการเล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ผู้เขียนกลับมองว่าความไม่เป็นมิตรของเกมกลับช่วยเสริมความสมจริงและเนื้อเรื่องของเกมได้ดี ให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรง่าย และในบางจังหวะที่เกมเป็นเกมจริงๆ ก็ยังสนุกไม่ต่างกับเกมอื่นๆ ของผู้พัฒนาอย่าง GTA V เลย แถมยังชนะขาดในเรื่องของการนำเสนอและความปราณีตในทุกรายละเอียดไปเลย เกม Red Dead Redemption 2 อาจจะไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Rockstar Games ได้สร้างผลงานที่ยกระดับเกมแนว Open-World ขึ้นไปอีกระดับในแบบที่น้อยเกมในประวัติศาสตร์จะสามารถทำได้เช่นกัน เกมอาจจะต้องใช้เวลาและความใจเย็นมากกว่าเกมแนวเดียวกันที่ผ่านมา แต่รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้จะตราตรึงใจผู้เล่นหลายๆ คนไปอีกนาน [caption id="attachment_10782" align="aligncenter" width="3840"] เหมือนภาพถ่ายจริงอย่างน่ากลัว[/caption] การนำเสนอ/กราฟิค ในจุดนี้คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าในเรื่องของการนำเสนอทั้งในด้านกราฟิค เสียงพากย์ตัวละคร ไปจนถึงอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว ทุกอย่างถูกออกแบบมาอย่างปราณีตในระดับที่เกมอื่นๆ ในตลาดเทียบไม่ติดเลยทีเดียว แถมอีกหนึ่งองค์ประกอบที่เกมทำได้ดีมากๆ คือการทำให้ตัวละครและโลกรู้สึกมีชีวิตจริงๆ บทสนทนาและการใช้เสียงพากย์ทำออกมาได้อย่างมีคุณภาพสมชื่อ Rockstar เช่นในฉากเนื้อเรื่องฉากนึงตอนต้น ที่จะมีตัวละคร NPC ผู้หญิงสามคนนั่งรถม้าไปกับเรา พร้อมกับร้องเพลงประสานเสียงไปด้วย โดยจุดที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจมากๆ คือจังหวะที่หนึ่งในตัวละคร NPC ร้องเพลงผิดเนื้อร้อง และหัวเราะเยาะตัวเองและร้องเพลงต่อไปอย่างธรรมชาติ ไม่ต่างกับสิ่งที่คนจริงๆ จะทำเมื่อร้องเพลงผิดเลย [caption id="attachment_10777" align="aligncenter" width="3840"] บางครั้งการตอบทางเลือกที่ถูกก็อาจช่วยให้เลี่ยงการปะทะได้[/caption] แต่อาจจะด้วยความสมจริงที่ผู้พัฒนาต้องการสร้างหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ผู้เขียนเห็นว่าการใช้เมนูต่างๆ ในเกมมีความช้าๆ ขัดๆ มาก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะอยากสร้างความรู้สึกเหมือนเราหยิบสมุดหรือแผนที่ออกมาดูจริงๆ อย่างถ้าจะดูสถานะเช่นอุญภูมิของสถานที่รอบๆ (เกมมีระบบที่ให้เราต้องแต่งตัวให้อุ่นหรือเย็นตามสภาพอากาศ) หรือความสามารถของตัวละคร ก็จะต้องเข้าไปในเมนูของเกมซึ่ง Interface ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมการทำแบบนี้บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะการเล่นได้เหมือนกันเวลาที่พยายามจะทำอะไรง่ายๆ กลับมีขั้นตอนมากมายแบบนี้ และแน่นอนว่าในเกมระดับนี้ ย่อมต้องมีบัคอยู่ไม่มากก็น้อย ต้องพูดว่าสำหรับเกมที่อิสระ กว้าง และละเอียดเท่านี้ จำนวนหรือรูปแบบของบัคที่เจอกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดใจอะไรนัก ส่วนมากจะเป้นเรื่องการ Clipping (สิ่งของทะลุกันเอง) หรือการที่ปุ่มคำสั่งหลายๆ อย่างทำงานช้าๆ ขัดๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพราะอนิเมชั่นกิริยาตัวละครหลายๆ อย่างของเกมสร้างมาอย่างสมจริงจัด ไม่สามารถลัดขั้นตอนหรือท่าทางได้เหมือนเกมอื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนพอรู้สึกว่ายอมแลกกันได้บ้าง โดยรวมแล้วการนำเสนอของเกมนี้ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้น Red Dead Redemption 2 ก็ยังถือว่าเป็นต่อเกมคู่แข่งในตลาดทั้งหมดในแง่นี้เช่นกันเมื่อวัดจากสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกเมื่อได้เล่น เพราะกราฟิคของเกมในบางจังหวะก็ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เราเพิ่งเริ่มเล่นเกมคอนโซลเจนใหม่เป็นครั้งแรก ที่เราตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกมสามารถทำได้เลย [caption id="attachment_10790" align="aligncenter" width="3840"] ธรรมชาติอันงดงามในเกม[/caption] เนื้อเรื่อง อย่างที่บางคนอาจจะทราบกันดี เนื้อเรื่องของ Red Dead Redemption 2 เป็นการเล่าย้อนไปก่อนเหตุการณ์ในเกมภาคแรก โดยเราจะรับบทเป็นนาย Arthur Morgan สิงห์ปืนไวมือขวาของ Dutch Van der Linde ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งโจร Van der Linde ที่ตัวเอก John Marston เคยเป็นสมาชิก และต้องออกตามล่าในเกมภาคแรกนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่การล่มสลายของแก๊งในยุคที่ความเจริญเริ่มคืบคลานเข้ามาในดินแดนคาวบอยอันไร้กฏหมาย [caption id="attachment_10784" align="alignnone" width="3840"] การนั่งพักคุยกับเพื่อนในแคมป์ก็ช่วยพัฒนาตัวละครได้ดี[/caption] เนื้อเรื่องของเกม Red Dead Redemption 2 นั้นไม่ได้เกี่ยวกับการกู้โลกหรือภารกิจใหญ่ๆ เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่เปรียบเหมือนเหตุการณ์เล็กๆ หลายเรื่องที่สะสมจนนำไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ๆ ในชีวิตของตัวละครต่างๆ มากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนการดูซีรี่ย์ ที่จะเล่าเหตุการณ์เล็กๆ ที่เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวกับเส้นเรื่องหลัก แต่ก็ค่อยๆ เล่าและปูทางไปสู่เส้นเรื่องหลักจนได้ โดยการเล่าเรื่องแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง ในแง่นึง การเล่าเรื่องเป็นเหตุการณ์เล็กๆ เช่นนี้ก็ช่วยให้ผู้เล่นได้ทำความรู้จักกับตัวละครในเกมอย่างลึกซึ้ง ทั้งตัวนาย Arthur เอง สมาชิกแก๊ง และเหล่าคนแปลกหน้าที่พบเจอได้ในโลกของเกม แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาสามารถสำรวจเรื่องราวที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับช่วยเสริมตัวละคร Arthur และโลกของเกมได้ดี ยกตัวอย่างเช่นภารกิจการเก็บเงินจากลูกหนี้ ที่ตอนแรกๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นภารกิจที่มีเส้นเรื่องที่ผู้เขียนชอบที่สุดเลยเป็นต้น เพราะทำให้การกระทำของตัวละคร Arthur สามารถตีความให้ลึกซึ้งได้มากขึ้นจากการพัฒนาตัวละครจากภารกิจเสริม ซึ่งถ้าไม่ได้เล่นก็อาจจะทำให้การมองตัวละครของผู้เขียนเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลยก็ได้ [caption id="attachment_10775" align="aligncenter" width="3840"] ขนาดเล่นไป 50 ชั่วโมงยังเปิดแผนที่ไม่หมด[/caption] เช่นเดียวกับเหล่าเนื้อเรื่องเล็กๆ ที่เราอาจจะได้สัมผัสเมื่อเจอเหตุการณ์แรนด้อมข้างทาง เช่นอาจจะมีผู้หญิงขอติดม้าเข้าเมือง หรืออาจจะมีคนกำลังถูกปล้น หรือกระทั่งเราถูกดักปล้นซะเอง โดยเหตุการณ์เหล่านี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือกทางเลือกง่ายๆ ได้ว่าจะพยายามค่อยพูดค่อยจา หรือจะเกรียนใส่อีกฝ่ายก็ได้ ทำให้ตัวละคร Arthur สามารถมีมิติเปลี่ยนไปตามทางเลือกของคนเล่น แต่ในอีกแง่ การเล่าเรื่องแบบเป็นซีรี่ย์เช่นนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะบางครั้งก็มีช่วงที่เนื้อเรื่องถึงจุดเอื่อยเป็นระยะเวลานานๆ และเมื่อรวมกับเวลาการเดินทางที่ค่อนข้างนานไม่แพ้กัน ทำให้บางทีก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเป็นพักใหญ่ๆ ได้เช่นกัน แต่คนที่สามารถมองข้ามจุดบอดเหล่านี้ไปได้จะพบกับเนื้อเรื่องที่เขียนมาได้อย่างปราณีต และมีความเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ผู้พัฒนาหลายๆ เจ้าคงไม่กล้าทำ [caption id="attachment_10785" align="aligncenter" width="3840"] เนื้อเรื่องบางช่วงก็ทำให้ต้องฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกัน[/caption] เกมเพลย์ ในส่วนของแก่นเกมเพลย์นั้น เกม Red Dead Redemption 2 ไม่ได้ต่างจากเกม Action-Adventure Open-World อื่นๆ มากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เกมมีความพิเศษที่สุดก็คือความสมจริงในทุกองค์ประกอบของเกม เรียกว่าสมจริงจน "เยอะ" ในบางจุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพยายามสมจริงของเกมนี้ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกมพิเศษที่สุด และผู้เขียนก็ยอมรับว่าความสมจริงนี้คือต้นตอของความสนุกหลายๆ อย่างในเกมนี้ และคือสิ่งที่ทำให้เกมมีความเหนือชั้นกว่าเกมในตลาดอื่นๆ ในขณะนี้ อย่างสิ่งที่เป็นจุดเด่นจริงๆ คงเป็นเหล่าเหตุการณ์ บังเอิญ ที่เราสามารถเจอได้ในเกม เช่นการเจอคนข้างทางคอยโบกให้ช่วยเหลือด้วยเหตุผลต่างๆ หรือกระทั่งการถูกแก๊งคู่อริดักปล้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมาชาติมากกว่าสิ่งที่เกมเนรมิตขึ้นมาเอง แถมบางภารกิจยังนำไปสู่เหตุการณ์น่าจดจำที่ไม่น่าจะพบได้ในเกมอื่นอีกด้วย [caption id="attachment_10786" align="aligncenter" width="3840"] กินอะไรผิดสำแดงมาล่ะหนุ่ม[/caption] หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผู้เขียนชอบมากๆ เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังขี่ม้าอยู่ในเมือง จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาโบกให้ช่วย โดยบอกกับผู้เขียนว่าต้องการให้ตามขึ้นไปในห้องบนโรงแรม (คิดเหมือนผู้เขียนล่ะสิ) แต่เมื่อขึ้นไปแล้วก็พบศพของผู้ชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ และก็ถูกวานให้นำศพของผู้ชายคนนั้นไปทิ้ง ระหว่างที่ผู้หญิงที่วานให้ช่วยตอนแรกทำลายหลักฐานในห้อง เมื่อผู้เขียนนำศพไปทิ้งกลับมาก็รับรางวัลจากผู้หญิงตามปกติ ในเกมอื่นๆ ภารกิจคงจบตรงนี้ แต่ผู้เขียนเดินผ่านนายอำเภอพอดี เลยกด L2 เพื่อจะทักทายตามประสา และพบว่าสามารถแจ้งความให้นายอำเภอไปจับผู้หญิงที่ให้ภารกิจได้! เมื่อลองกดแจ้งความไปก็ลองเดินตามนายอำเภอไปถึงห้องโรงแรม และนายอำเภอก็จับผู้หญิงคนนี้ไปจริงๆ! ในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นนั้นผู้เขียนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ (ไม่ใช่คัตซีนหรือภารกิจ) ซึ่งก็จะทำให้พลาดเหตุการณ์นี้ไปเลยเช่นกัน แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างของความ สมจริง ที่ผู้พัฒนาต้องการจะสร้างในเกมนี้ และเหตุการณ์ในเกมที่ให้ความรู้สึกละเอียดกว่าเกมทั่วๆ ไปมากๆ [caption id="attachment_10787" align="alignnone" width="3840"] บอกเลยว่าเหี้ยมกว่าตำรวจ GTA เยอะ[/caption] แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าความสมจริงเหล่านี้ก็เป็นต้นตอของความน่ารำคาญและน่าเบื่อของเกมได้ แถมยังมีการตัดสินใจหลายอย่างที่ทำไปเพื่อความสมจริงซะจนรู้สึกว่าทำให้เกมเพลย์ไม่ค่อยสะดวกในบางแง่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องจุกจิกเล็กๆ ซะส่วนมาก เช่นการที่เราไม่สามารถใช้ระบบ Fast Travel เพื่อเดินทางกลับค่ายของแก๊งได้ (สามารถ Fast Travel จากค่ายไปที่อื่นได้ แต่ถ้ากลับค่ายต้องควบม้ากลับเท่านั้น) หรือการที่ถูกบังคับให้ต้องเดินช้าๆ ในบางสถานที่ (จริงๆ มีปัญหากับความเร็วการเดินเกมนี้โดยรวมๆ) ซึ่งทำให้การเล่นเกมรู้สึกจำกัดแบบไม่มีเหตุผลเวลาเจอการตัดสินใจแปลกๆ เหล่านี้ จริงๆ แล้วเกม Red Dead Redemption 2 มีปัญหาใหญ่ๆ ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ในการเล่น แต่เกมมีความลึกซึ้งสูงมากๆ และระบบหลายๆ อย่างก็มีความเกี่ยวโยงกันไปมาอีกด้วย อย่างหลายๆ คน (รวมถึงตัวผู้เขียนด้วยจนไปดูมาจากยูทูป) อาจจะไม่รู้ว่าเกมมีระบบที่ให้เราต้องกินอาหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาน้ำหนักของร่างกายด้วย โดยการกินอาหารมากหรือน้อยเกินไปก็ส่งผลต่อการเล่นเช่นกัน การกินอาหารเยอะจนอ้วนก็จะทำให้เราวิ่งได้ช้าและสั้นลง แต่ทำให้เราอึดทนต่อความบาดเจ็บต่างๆ มากขึ้น ในทางกลับกันถ้ากินน้อยจนผอมก็จะวิ่งเร็วขึ้นแต่โดนยิงแรงขึ้นเป็นต้น และการจะดูว่าเราอยู่ในระดับการกินไหนก็ต้องขุดหาเอาจากเมนูหลายขั้นถึงจะเจอ หรือกระทั่งทริคง่ายๆ ว่าเราสามารถเปิดแผนที่ด้วยการกดปุ่ม Option ค้างไว้แทนการกดเปิดเมนูแล้วเข้าแผนที่ทุกครั้ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนช่วยให้เกมเล่นง่ายขึ้นสำหรับคนเล่น แต่เกมกลับสื่อข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ค่อยดีเลย ขนาดเล่นมาหลายสิบชั่วโมงแล้วก็ยังมีทริคง่ายๆ ที่ถ้าไม่มีคนมาบอกหรือไม่ไปอ่านมาจากที่อื่นก็ไม่มีทางรู้เลย [caption id="attachment_10791" align="aligncenter" width="3840"] เมื่ออารยธรรมเริ่มคืบคลานเข้ามา ก็ถึงคราวสูญพันธ์โจรโฉด[/caption] อีกอย่างคือความบอบบางของ NPC ที่แค่ขี่ม้าเฉี่ยวนิดๆ ก็ตกใจจะเป็นจะตาย รีบวิ่งไปแจ้งนายอำเภอจับเรา ซึ่งนอกจากจะโดนค่าหัวแล้วยังต้องรอหน้าจอโหลดเกมอีกพักใหญ่ อาจจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ถ้า NPC สามารถหลบออกจากเส้นทางได้ด้วยตัวเอง แต่หลายๆ ครั้ง NPC ดูจะเต็มใจให้เราควบม้าเหยียบตลอด และทำให้เราต้องมีปัญหากับตำรวจตลอดเช่นกัน แน่นอนว่าการที่ผู้เขียนเล่นเกมมาหลายสิบชั่วโมงโดยที่ยังอยากเล่นต่อก็หมายความว่าข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้สาหัสถึงขั้นที่รับไม่ได้ แน่นอนว่าเกมคงจะสามารถให้ประสบการณ์การเล่นที่ราบรื่นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็เข้าใจได้ถ้าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถอดทนกับความไม่เป็นมิตรของเกมในหลายๆ ด้านได้เช่นกัน สรุป [caption id="attachment_10788" align="aligncenter" width="3840"] บางครั้งสันติภาพก็ไม่ใช่ทางออก[/caption] Red Dead Redemption 2 ถือเป็นเกมที่น่าทึ่งที่สุดในปี 2018 ได้สบายๆ เลย แม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเกมที่ถือว่าเข้าใกล้เจนคอนโซลต่อไปมากที่สุดในขณะนี้ สามารถทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของเกมในยุคต่อไปอีกครั้ง ยิ่งถ้าโหมด Red Dead Online ที่กำลังจะตามมาสามารถต่อยอดเกมไปได้แบบเดียวกับ GTA: Online แล้ว Red Dead Redemption 2 อาจจะเป็นเกมที่อยู่กับเราไปได้จนถึงเจนคอนโซลต่อไปแบบเดียวกับ GTA V ในขณะนี้ได้สบายๆ [penci_review id="10224"]
02 Nov 2018
Review - รีวิว Assassins Creed Odyssey "เกมที่ดีที่สุดในซีรี่ย์"
แนวเกม: Action RPG ผู้พัฒนา: Ubisoft แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC, Nintendo Switch (ญี่ปุ่นเท่านั้น, Cloud Version) เวลาเล่น: ประมาณ 30 ชั่วโมง (รีวิวบน PS4 Pro - ขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ubisoft ครับ) ข้อดี เกมเพลย์ทำออกมาได้ดี เล่นสนุก มีอะไรหลากหลายให้ทำตลอดเวลา เนื้อเรื่องน่าสนใจ เสริมโดยระบบตัวเลือกบทสนทนา ภาพสวยมาก รายละเอียดเยอะ ระบบ RPG ลึกกว่าเดิมมาก สามารถพัฒนาตัวละครได้ตามสายที่ต้องการ ข้อเสีย โหลดบ่อยและนานพอสมควร ระบบเกมเพลย์หลายส่วนบังคับผู้เล่นให้สู้ตรงๆ เท่านั้น ไม่ว่าคุณจะคิดว่านี่เป็นเกม Assassins Creed หรือไม่ก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกม Action RPG ที่มีคุณภาพมากๆ เกมนึง ด้วยระบบต่อสู้ที่ต่อยอดมาจากภาค Origins ได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังมีระบบการปรับแต่งตัวละครด้วยไอเทมและสกิลแบบ RPG ที่ลึกซึ้ง เปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถสร้างตัวละครที่เข้ากับวิธีการเล่นของตัวเองได้อย่างเหมาะเจาะ แถมยังมีโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยกิจกรรมหลากหลายชนิดให้ทำตลอดเวลา พูดได้เต็มปากเลยว่าในแง่เกมๆ นึง Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกมที่สนุกและคุ้มเงินมากๆ อาจจะเป็นเกมที่ดีที่สุดที่ Ubisoft ปล่อยออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นเกมก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าเกมระดับครูอย่าง The Witcher 3 หรือ God of War ได้ในเรื่องของรายละเอียด อาจจะด้วยเนื้อหาที่อัดแน่นทุกกระเบียดนิ้วของเกม ทำให้ผู้พัฒนาต้องยอมเสียสละคุณภาพของรายละเอียดเล็กๆ ไป เช่นการขยับตัวของตัวละครในฉากสนทนาหรือหน้าตาตัวละครย่อยๆ ที่ยังติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นหลักของเกมมากแต่อย่างใด เรียกว่าเป็นข้อด้อยเล็กๆ เพียงไม่กี่อย่างที่ถ้าแก้ได้ก็จะเป็นเกมระดับเทพได้เลย [caption id="attachment_7405" align="aligncenter" width="3840"] Assassins Creed® Odyssey[/caption] เกมเพลย์ ในส่วนของเกมเพลย์นั้น Assassins Creed Odyssey ก็ไม่ได้หนีจากสูตรเกม Open-world ของ Ubisoft ที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยเล่นเกมภาคที่แล้วอย่าง Assassins Creed Origins มาน่าจะคุ้นเคยกับรูปแบบการเล่นนี้ดีเลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปตามพื้นที่ต่างๆ ของเกมที่แบ่งมาแล้วชัดเจนตามเลเวล เพื่อรับภารกิจเนื้อเรื่องและเควสเสริมตามทาง รวมไปถึงกิจกรรมย่อยๆ อย่างการบุกฐานศัตรูหรือการหาสมบัติในซากโบราณสถาน การทำภารกิจจะมอบรางวัลให้ผู้เล่นเป็นไอเทมสวมใส่ทั้งอาวุธชุดเกราะชนิดต่างๆ รวมไปถึงค่าประสบการณ์สำหรับการพัฒนาเลเวลและสกิลของตัวละครด้วย [caption id="attachment_7396" align="aligncenter" width="1024"] อาวุธ/ชุดเกราะเยอะจนลายตา[/caption] ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดระหว่างเกมภาคนี้และภาคก่อนหน้าคงเป็นความลึกของเกม ที่พัฒนาขึ้นจากเกมภาค Origins ทุกๆ แง่เลยทีเดียว ตั้งแต่ขนาดของเกม ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผู้พัฒนา Ubisoft เคยสร้างมา ไปจนถึงระบบ RPG ที่ลึกและเปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถเล่นตามทางที่ตัวเองต้องการจริงๆ โดยระบบสกิลในเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสามสายคือ Hunter (ธนู), Warrior (ต่อสู้) และ Assassin (ลอบเร้น) ซึ่งแต่ละสายจะให้ความสามารถที่เข้ากับวิธีการเล่นของผู้เล่นแต่ละคน และทุกสายสามารถผ่านภารกิจส่วนใหญ่ของเกมได้ดีพอๆ กัน แถมเกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถรีเซ็ตสกิลได้ตลอดเวลาเมื่ออยากจะลองเปลี่ยนสาย จึงถือเป็นระบบที่สร้างความหลากหลายให้กับเกมเพลย์ได้ดีไม่ว่าจะเล่นไปไกลขนาดไหนก็ตาม แถมเกมยังมีระบบเครื่องสวมใส่คล้ายๆ เกมอย่าง Diablo ที่ให้ของดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจให้ผู้เล่นทดลองเล่นหลายๆ สายเมื่อได้อาวุธเมพๆ ในสายที่เราอาจจะไม่ได้ใช้ หรือแค่เพื่อพัฒนาตัวละครไปเรื่อยๆ ก็ได้ [caption id="attachment_7393" align="aligncenter" width="1024"] สกิลแต่ละสาย สามารถรีเซ็ตได้ตลอดเวลา (มุมขวาล่าง)[/caption] แน่นอนว่าขนาดที่เพิ่มขึ้นของแผนที่ก็เปิดให้ผู้พัฒนาสามารถใส่สถานที่น่าสนใจและกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากขึ้น อย่างระบบการบังคับเรือและการต่อสู้ทางทะเลที่กลับมาเป็นส่วนหลักของซีรี่ย์อีกครั้งเพราะลักษณะของแผนที่กรีกโบราณที่มีความเป็นหมู่เกาะ เมื่อรวมเข้าไปกิจกรรมอื่นๆ ของเกมแล้วหมายความว่าเราแทบจะไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำเลย เพราะวิ่งไปหน่อยเดียวก็เจอถ้ำหรือค่ายโจร ไปอีกหน่อยก็มี NPC ให้ภารกิจย่อย พอลงเรือไปก็มีโจรสลัดมาโจมตี บางทีขนาดยืนอยู่เฉยๆ ก็มีอะไรวิ่งเข้ามาหาเอง อย่างระบบนักล่าค่าหัว Mercenary ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับเอาระบบ Phylakes จากภาค Origins และระบบ Nemesis System ของเกมตระกูล Shadow of Mordor มาผสมกัน โดยภายในเกมจะมีนักล่าค่าหัวเร่ร่อนคอยเดินทางไปมาในโลกของเกมตลอดเวลา และจะออกล่าผู้เล่นเมื่อโดนตั้งค่าหัว (มีเกจคล้ายๆ ดาวตำรวจใน GTA คอยบอก) ซึ่งก็นำไปสู่จังหวะการเล่นระทึกๆ ได้เยอะเวลามีนักล่ามาตามรังควานระหว่างการทำภารกิจหรือกระทั่งการเดินซื้อของในเมือง ในขณะเดียวกัน เกมก็ให้แรงจูงใจให้ผู้เล่นอยากเผชิญหน้ากับเหล่านักล่าเช่นกัน เพราะทุกตัวจะมาพร้อมอาวุธชุดเกราะระดับสูงที่จะดรอปให้ผู้เล่น แถมเกมยังมีระบบ Lieutenant ที่ให้เราชวนศัตรูตัวไหนก็ได้ในเกมมาเป็นลูกน้องบนเรือเราได้ด้วย (ต้องทำให้สลบแทนการฆ่า) [caption id="attachment_7404" align="aligncenter" width="3840"] เจอหมวกแดงๆ แบบนี้ก็รีบหนีนะจ๊ะ (หรือจะตามฆ่าเอาไอเทมดีๆ ก็ได้)[/caption] แต่แม้ว่าเกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นมีอิสระในการเล่นอย่างที่ต้องการ ก็มีบางจังหวะที่ผู้เขียนรู้สึกว่าโดนบังคับให้ต้องเล่นสาย Warrior เท่านั้น อย่างในกิจกรรมสงคราม Conquest Battle ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราล่าผู้นำของเขตแดนต่างๆ ซึ่งจะทำให้กองทัพ Sparta และ Athens เข้ามาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงพื้นที่นั้น โดยเราในฐานะทหารรับจ้างจะเลือกเข้าข้างไหนก็ได้ แต่กิจกรรมนี้จะมีลักษณะเป็นสงครามที่ผู้เล่นต้องตะลุมบอนกับศัตรูซึ่งหน้า ไม่สามารถใช้การลอบเร้นหรือการต่อสู้ระยะไกลได้ หรือการล่าสัตว์ในตำนานที่ซ่อนอยู่ตามแผนที่ ซึ่งไม่สามารถใช้การลอบเร้นได้เช่นกัน แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถรีเซ็ตสกิลของตัวเองได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถหาวิธีที่จะทำให้การเล่นทุกสายมีวิธีผ่านกิจกรรมทั้งหมดแตกต่างกัน แทนที่จะทำให้กิจกรรมหลายอย่างเอื้อต่อการเล่นแบบซึ่งๆ หน้าอย่างเดียว โดยรวมๆ แล้วเกมเพลย์ของ Assassins Creed Odyssey ก็ยังถือว่าสนุก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ที่เน้นแอคชั่นมากขึ้นของภาค Origins เป็นเกมที่มีอะไรให้ทำแบบไม่รู้จบ ยิ่งกว่าเกมอย่าง The Witcher 3 ซะอีก เอาใจคนที่อยากได้เกมแบบเล่นได้ยาวๆ คุ้มๆ [caption id="attachment_7394" align="aligncenter" width="3840"] เล่นมา 30 ชม. แล้วสำรวจแผนที่ไปไม่ถึงครึ่ง[/caption] เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของ Assassins Creed Odyssey ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เกมพัฒนาจากภาค Origins ไปมาก โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเด็กกำพร้าชาว Spartan (เลือกได้ว่าจะเป็นชายหรือหญิง) ที่หนีออกมาจากบ้านเกิดด้วยเหตุผลบางอย่าง และเติบโตขึ้นมาในฐานะทหารรับจ้าง ซึ่งจะต้องเข้าไปพัวพันกับลัทธิชั่วร้าย Cult of Kronos ที่วางแผนจะยึดครองโลกโดยใช้เทคโนโลยีของอารยธรรมแรก (First Civilization) [caption id="attachment_7409" align="aligncenter" width="1920"] สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเป็นหญิง (Kassandra) หรือชาย (Alexios)[/caption] โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ไม่ได้ต่างจากภาคก่อนๆ นัก แม้ว่าจะตั้งอยู่ก่อนการกำเนิดของภาคีนักฆ่า (Assassins Brotherhood) โดยเรายังคงต้องต่อสู้กับองค์กรลับที่คอยชักใยประวัติศาสตร์จากเบื้องหลังไม่ต่างจาก Abstergo (หรือพวก Templars) และเข้าไปมีบทบาทบางอย่างในเหตุการณ์สำคัณทางประวัติศาสตร์อย่างสงครามเพโลพอนนีเซียนระหว่าง Sparta (สปาต้า) และ Athens (เอเธนส์) รวมไปถึงฉากเหตุการณ์ปัจจุบันที่ติดตาม Layla Hassan จากภาคที่แล้วอีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องของ Assassins Creed Odyssey แตกต่างไปคือระบบตัวเลือกบทสนทนา ที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกมสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนละอย่างได้เลยตามทางเลือกของคนเล่น ผู้เล่นจะได้รับทางเลือกว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า NPC สำคัญในเนื้อเรื่องหลายตัว ซึ่งล้วนส่งผลต่อเนื้อเรื่องของเกมทั้งสิ้น รวมไปถึงฉากจบที่มีหลากหลายเป็นครั้งแรกของซีรี่ย์ (หมายเหตุ: ผู้เขียนยังเล่นไม่จบเนื้อเรื่อง แต่ทราบมาว่ามีฉากจบต่างกันถึง 9 แบบ) ระบบอาจจะไม่ได้ลึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ช่วยเพิ่มอรรถรสให้เนื้อเรื่องได้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น เพราะเหตุการณ์ต่างๆ อาจจะมาจากการกระทำ (หรือไม่กระทำ) ของผู้เล่นเอง [caption id="attachment_7401" align="aligncenter" width="3840"] จะช่วยหรือไม่ช่วยดีล่ะ?[/caption] นอกจากทางเลือกในบทสนทนาแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการกระทำเล็กๆ ของผู้เล่นด้วย เช่นในเควสย่อยเควสหนึ่งที่ผู้เขียนเจอ มี NPC บอกว่าให้เราลักลอบเข้าไปขโมยของเงียบๆ แต่ผู้เขียนดันโดนเจอระหว่างลอบเข้าไป เมื่อจะกลับไปส่งภารกิจก็พบว่า NPC ตัวนั้นกำลังโดนคู่อริโจมตีอยู่เพราะผู้เขียนไม่ยอมลอบเข้าไปเงียบๆ อย่างที่ NPC เตือนมานั่นเอง โดยระบบนี้ช่วยเสริมความรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกในเกมจริงๆ และทำให้ต้องใส่ใจคำพูดของ NPC มากกว่าที่ผ่านๆ มาด้วย ซึ่งทำให้เกมรู้สึกเหมือนเป็น RPG คล้ายๆ The Witcher 3 นั่นเอง ทั้งนี้ ข้อติอย่างนึงที่ผู้เขียนพบคือเกมใช้เวลานานมากๆ กว่าที่เนื้อเรื่องจะถึงจุดที่น่าสนใจจริงๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มจริงๆ จังๆ ก็เล่นไปเกือบ 10 ชั่วโมงแล้ว (ไตเติ้ลเพิ่งขึ้น) แถมขนาดของเกมที่ให้ผู้เล่นต้องเดินทางไม่ต่ำกว่า 10-20 นาทีระหว่างสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องรู้สึกขาดช่วงได้เหมือนกันในบางครั้ง แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร [caption id="attachment_7411" align="aligncenter" width="1280"] ลัทธิ Cult of Kronos ซึ่งเป็นเหล่าบรรพบุรุษของพวก Templar[/caption] กราฟิค/การนำเสนอ ถ้ามองจากไกลๆ Assassins Creed Odyssey เป็นเกมที่ทำกราฟิคออกมาได้น่าทึ่งมากๆ ด้วยทิวทัศน์อันหลากหลายและการใช้แสงที่สวยงามของเกม (ใช้ Photo Mode คุ้มเลยจ้า) และสีหน้าตัวละครที่ทำออกมาได้ชัดจนเกือบจะเป็น Live-action อยู่แล้ว แต่เมื่อเจาะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่ายังมีรายละเอียดเล็กๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์นัก โดยเกมยังมีปัญหาเรื่อง Clipping (การที่สิ่งของทะลุกันเองทั้งที่ไม่ควร) เยอะมากๆ ซึ่งเห็นได้ชัดในอนิเมชั่นการลอบสังหาร และยังมีการขยับตัวแปลกๆ ของตัวละครย่อยอยู่ เรียกง่ายๆ ว่าทุกอย่างดูสวยในระดับ texture หรือพื้นผิวเท่านั้น แต่ในรายละเอียดเชิงลึกยังปรับปรุงได้อีกมาก ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเกมกราฟิคไม่ดีหรือไม่สวย แต่ด้วยขนาดของเกมที่ใหญ่และมีสิ่งของต่างๆ มากมายกระจายอยู่ทุกมุมของโลก คงไม่แปลกที่เกมจะต้องยอมเสียสละรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างไปบ้าง แต่อย่างน้อยในประสบการณ์ของผู้เขียนยังไม่เจอบัคหรือปัญหาอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งก็ถือว่ายังดีสำหรับเกม Open-world กราฟิคสวยๆ แบบนี้ [caption id="attachment_7399" align="aligncenter" width="3840"] เกมใหญ่และสวยมาก สามารถเดินถึงทุกที่ที่เห็น[/caption] อีกหนึ่งปัญหาเล็กๆ ที่พบคือเรื่องการโหลด ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่เข้า-ออกฉากสนทนากับ NPC (ซึ่งหมายความว่าเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ในเกมนี้) โดยไม่ได้แค่โหลด 2-3 วิเสร็จ แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนโหลดยาวเป็นนาทีเลยก็มี ซึ่งพอเจอบ่อยๆ เข้าในระยะติดๆ กันก็ทำให้รู้สึกรำคาญขึ้นมาได้เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ส่งผลต่อการเล่นได้สำหรับคนที่มีเวลาเล่นไม่เยอะ สรุป Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกมที่ครบเครื่องที่สุดในซีรี่ย์ Assassins Creed เลยก็ว่าได้ แม้ว่าเกมจะยังไม่ได้ว้าวในระดับเดียวกับเกมใหญ่ๆ อาจจะเน้นปริมาณของเนื้อหามากกว่าคุณภาพในบางจุด แต่ในส่วนที่เกมทำได้ดีก็ถือว่าตอบโจทย์ที่ควรตอบทั้งหมดเช่นกัน ใครที่อยากได้เกมแอคชั่น RPG ที่เล่นได้นานๆ มีอะไรให้ทำให้เก็บตลอดเวลา นี่เป็นเกมที่คุณคู่ควรแน่นอนครับ   [penci_review id="7185"]
10 Oct 2018
รีวิว Mega Man 11 การกลับมาอย่างสวยงามของเจ้าหุ่นสีน้ำเงิน
แพลตฟอร์ม: PS4 (และ Xbox One, Windows, Nintendo Switch) แนวเกม: Action-platform ผู้พัฒนา: Capcom เวลาที่ใช้เล่นเพื่อรีวิว: จบเกม Mega Man 11 (หรือ Rockman 11 ในเวอร์ชันญี่ปุ่น) เป็นการกลับมาอีกครั้งของเกม Mega Man ภาคต้นฉบับ หลังจากที่ภาค 9 กับ 10 ที่เป็นเหมือนการกลับมาครั้งแรกออกมาในปี 2008 และ 2010 โดยกลับไปใช้สไตล์ภาพแบบคลาสสิก คราวนี้อีกแปดปีให้หลังเจ้าหุ่นสีน้ำเงินกลับมาอีกครั้งในรูปโฉมใหม่ เปลี่ยนไปใช้ภาพแบบ 3D ผสมกับ 2D และที่ไม่ธรรมดาคือเป็นการกลับมาฉลองครบรอบ 30 ปีของซีรีส์เสียด้วย [caption id="attachment_7004" align="alignnone" width="3840"] เหล่าหุ่นยนต์ที่กำลังจะถูกล้างสมองกลายเป็นบอสของภาคนี้[/caption] เนื้อเรื่อง | ของ Mega Man 11 ดำเนินตามสูตรของเกม Mega Man ภาคอื่นๆ นั่นคือการที่เจ้าหุ่นยนต์ทั้งหลายถูกควบคุมโดยดอกเตอร์ผู้ชั่วร้ายอย่าง Wily สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับโลก ทำให้ Mega Man ต้องรับหน้าที่กำจัดเหล่าหุ่นยนต์ที่แปรพักตร์เหล่านี้เพื่อนำความสงบสุขของโลกกลับมาอีกครั้ง โดยชนวนความขัดแย้งในครั้งนี้ก็คือเจ้าอุปกรณ์ที่เรียกว่า Double Gear System ที่ Dr. Wily สร้างไว้ในวัยหนุ่ม ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มพลังให้กับหุ่นยนต์แต่อาจมีผลทำให้เกิดอันตรายกับหุ่นตัวนั้นเนื่องจากเป็นการฝืนขีดจำกัดของตัวหุ่นเอง ด้วยเหตุนี้ผลงานของ Dr. Wily จึงแพ้งานวิจัยของ Dr. Light ที่ต้องการพัฒนาหุ่นที่มีความคิดเป็นอิสระจากมนุษย์ Dr. Wily เก็บความแค้นในครั้งนี้เอาไว้เนิ่นนาน แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจสานต่องานที่คั่งค้างไว้ให้เสร็จ และเริ่มแผนการครองโลกครั้งใหม่พร้อมด้วยการติด Double Gear System ให้กับหุ่นทั้งแปดตัว [caption id="attachment_7005" align="alignnone" width="3840"] บอสตัวใหญ่ยักษ์ผู้มีพลังทำลายอันน่ากลัว[/caption] กราฟิก | ของภาคนี้เปลี่ยนไปใช้แบบ 3D ผสมกับ 2D โดยที่โมเดลตัวละครต่างๆ จะเป็นโพลิกอนแต่สภาพแวดล้อมจะเป็นแบบ 2D ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเมื่อเห็นภาพของเกมเมื่อมีข่าวเกมออกมาก็รู้สึกไม่ประทับใจเท่าไหร่นัก เพราะกราฟิกของเกมทำให้นึกไปถึงเกมที่ทำออกมาเพื่อเด็กๆ ที่เน้นความน่ารักน่าเอ็นดูของภาพมากกว่าความสนุกในการเล่น คนที่เล่น Mega Man มาตลอดทุกภาคจะค่อยๆ เห็นพัฒนาการของกราฟิกที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะมาถอยลงในภาค 9 และ 10 ที่เลือกกลับไปใช้สไตล์ภาพแบบคลาสสิก พอมาถึงภาค 11 ความหวังว่าเกมจะถูกพัฒนากราฟิกให้ดีขึ้นก็ต้องถูกทำลายลงด้วยกราฟิกที่ดูจากภาพนิ่งแล้วดูจะไปไม่สุดสักทาง แต่พลังของกราฟิกในภาคนี้จะเผยออกมาจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้นั่งลงเล่นเกมจริงๆ เพราะจุดเด่นของกราฟิกในภาคนี้คือความลื่นไหลของภาพ ความลื่นไหลในส่วนนี้ทำให้การเล่นสนุกขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นการปีนป่าย การกระโดด หรือการยิงก็รู้สึกว่าเป็นไปด้วยความรวดเร็วในแบบที่กำลังพอดี ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป ในขณะเดียวกันความลื่นไหลในส่วนนี้ก็ทำให้ศัตรูต่างๆ ที่เราพบตามฉากเคลื่อนที่ได้แบบมีชีวิตชีวามากขึ้น ดูมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะกับบอสตัวใหญ่ยักษ์ที่พอเห็นวิธีการเดิน วิธีการขยับตัวแล้วรู้เลยว่าหุ่นตัวนี้ต้องโจมตีอย่างหนักหน่วงมากแน่ๆ ข้อดีในจุดนี้ทำให้ลืมความไม่ประทับใจแรกเมื่อเห็นภาพนิ่งของเกมไปเลย จนรู้สึกว่าถ้าเกมเลือกสไตล์ภาพที่ดูจริงจังกว่านี้ก็อาจไม่ได้รู้สึกสนุกเท่านี้ [caption id="attachment_7006" align="alignnone" width="3840"] ตะลุยสวนสนุกก่อนเจอบอส[/caption] รูปแบบการเล่น | ของภาคนี้ยังคงวิธีการเล่นแบบเกม Mega Man ต้นฉบับ นั่นคือเป็นเกม Action แบบ Platform ที่เราจะได้บังคับ Mega Man ตะลุยฉาก 2 มิติสั้นๆ โดยการวิ่งไปทางขวาของฉากเรื่อยๆ โดยจะเจอบอสย่อยกลางฉากและบอสใหญ่ท้ายฉาก เกมเน้นความไวในการโจมตีและหลบศัตรู และความสามารถในการผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ในฉาก เมื่อปราบบอสสำเร็จจะได้อาวุธของบอสตัวนั้นมา ซึ่งเมื่อเอาไปใช้กับบอสที่แพ้ทางอาวุธนั้นจะทำให้ปราบบอสตัวนั้นได้ง่ายมากๆ คนที่เป็นแฟน Mega Man อยู่แล้วและไม่เคยเบื่อไม่ว่าเกมจะออกมาสักกี่ภาคน่าจะถูกใจกับเกมในภาคนี้เหมือนเดิม และในภาคนี้เกมยังเพิ่มระบบใหม่ที่เรียกว่า Double Gear System ที่จะทำให้แฟนเกม Mega Man สนุกกับเกมมากขึ้น และอาจทำให้คนที่ไม่ค่อยสนุกกับเกมในภาคก่อนๆ หันมาสนุกกับเกมนี้ได้เช่นกัน [caption id="attachment_7008" align="alignnone" width="3840"] พลังของ Power Gear ของเล่นใหม่ในภาคนี้[/caption] Double Gear System เป็นระบบใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาในภาคนี้ เป็นเทคนิคที่ได้มาตั้งแต่เริ่มเกม อย่างแรกเรียกว่า Power Gear เมื่อกดใช้แล้วจะทำให้โจมตีได้แรงขึ้น เมื่อใช้พร้อมกับการยิงแบบชาร์จจะเป็นการยิงลูกพลังแบบชาร์จออกไปถึง 2 ลูก และเมื่อใช้คู่กับอาวุธที่ได้มาเมื่อปราบบอสแต่ละตัวจะเป็นการใช้ท่าโจมตีที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากการโจมตีแบบธรรมดาและมีความรุนแรงมากขึ้น เทคนิคอีกอย่างคือ Speed Gear ที่จะทำให้ทั้งฉากกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น ทำให้หลบการโจมตีได้ง่ายขึ้น รวมถึงผ่านฉากในหลายๆ จุดที่ต้องใช้ความเร็วได้ง่ายขึ้นด้วย และเมื่อพลังชีวิตเราลดลงจนถึงจุดวิกฤติเราจะสามารถกดใช้ทั้ง Power Gear และ Speed Gear พร้อมกันได้ด้วย Gear ทั้งสองอย่างนี้จะมีเวลาที่ใช้ได้จำกัด หากใช้จนหมดเวลาจะทำให้เครื่องช็อต ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นจะสามารถใช้ได้ใหม่อีกครั้ง เทคนิคง่ายๆ สองอย่างนี้ทำให้การเล่นเกมมีความหลากหลายขึ้นมาก โดยเฉพาะกับ Speed Gear ซึ่งค่อนข้างจะได้ใช้บ่อยกว่า Power Gear เพราะการออกแบบฉากในหลายๆ จุดมีความจำเป็นให้เราต้องใช้เพื่อหยุดไม่ให้เราโดนสิ่งกีดขวางที่โดนทีเดียวตาย ลูกเล่นง่ายๆ นี้ที่ดูภายนอกเหมือนเป็นลูกเล่นธรรมดาที่ไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่ กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกมภาคนี้สนุกขึ้นมาก และทำให้เกมแตกต่างจากเกมในภาคก่อนๆ ที่คงรูปแบบการเล่นแบบเดิมมาตลอด ถือเป็นการอัปเกรดรูปแบบการเล่นแบบดั้งเดิม โดยไม่ได้ทำให้ความสนุกเก่าๆ หายไปแต่อย่างใด [caption id="attachment_7009" align="alignnone" width="3840"] จับจ่ายใช้สอยที่ห้องแล็บของ Dr. Light[/caption] เกมภาคนี้ยังมีความยากในแบบเดิม แต่กับคนที่ชินกับเกมยากๆ ในยุคนี้อย่างเกมในซีรีส์ Souls หรือเกมอย่าง Cuphead ที่คล้ายคลึงกับเกมนี้มากกว่า น่าจะปรับตัวกับความยากของเกมนี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเกมภาคนี้ก็ถือว่าค่อนข้างง่ายด้วยไอเทมต่างๆ ที่มีให้ซื้อใน Dr. Lights Lab ซึ่งเงินที่เราได้มาจากการผ่านด่านต่างๆ ค่อนข้างจะมีให้ใช้ซื้อไอเทมเหล่านี้อย่างเหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็น Part ที่เป็นไอเทมที่เราสามารถติดไว้ที่ตัวละครอย่างถาวรเพื่อเพิ่มความสามารถต่างๆ อย่างเช่น รองเท้าที่ทำให้ลื่นบนพื้นหิมะน้อยลง ไอเทมที่ชาร์จ Mega Buster ให้โดยอัตโนมัติ ไอเทมที่ทำให้เกจ Double Gear เพิ่มเร็วขึ้น ด้วยไอเทมสนับสนุนประเภท Part ต่างๆ และไอเทมที่ใช้แล้วหมดไปอย่างถัง E (เพิ่มหลอดพลังชีวิต) ถัง W (เพิ่มหลอดพลังอาวุธ) หรือ Continue ที่มีให้ซื้อเพิ่มได้ ทำให้คนที่ไม่อยากเสียเวลาไปกับการฝึกฝนตัวเอง กับการตายซ้ำๆ มากๆ ก็สามารถใช้ไอเทมพวกนี้ช่วยทุ่นแรง ช่วยทำให้ผ่านเกมได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น หรือหากเกมยังยากเกินไปก็สามารถปรับระดับความยากได้หลายระดับตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ไม่ว่าผู้เล่นที่ชำนาญเกมยากๆ หรือผู้เล่นหน้าใหม่ก็สามารถสนุกกับเกมนี้ได้ในแบบของตัวเอง [penci_review id="6975"]  
04 Oct 2018
พรีวิว Ace Combat 7: Skies Unknown จาก TGS 2018
https://www.youtube.com/watch?v=WCviD66new0&feature=youtu.be Ace Combat 7: Skies Unknown เป็นเกมแนว Combat flight action videogame หรือเกมแนวแอคชั่นจำลองการขับขี่อากาศยานและปฏิบัติการสู้รบ จากผู้พัฒนาในเครือ Bandai Namco  อย่าง Project Ace โดยภาคนี้ถือเป็นภาคที่ 17 ของซีรีส์ มีแผนจัดจำหน่ายใน PS4 และ Xbox One วันที่ 18 มกราคม 2019 ส่วน PC จะตามมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 แม้จะถูกทิ้งช่วงจากภาคเก่า Ace Combat Infinity (PS3) ที่ออกมาในปี 2014 ไปถึง 6 ปี และติดโรคเลื่อนจากที่เกมควรจะออกปี 2015 ย้ายมาเป็น 2017 จนกระทั่งประกาศว่าจะออกใน 2019 ล่าสุด GameFever ก็ได้มีโอกาสได้เล่นเดโมในงาน Tokyo Game Show 2018 เสียที เนื้อเรื่องของ Ace Combat 7: Skies Unknown ถูกเซ็ทขึ้นในปี 2019 ที่ประเทศ Erusea ประกาศสงครามกับฝ่าย Osean Federation โดยเราจะได้รับบทให้เป็น Trigger เดนทหารอากาศภายใต้สังกัดของ Osean สู้รับกับโดรนรบของฝั่ง Erusea ทำหน้าที่เป็นตัวล่อศัตรูให้เผยตำแหน่ง ซึ่งทางกองทัพอากาศไม่เห็นค่าชีวิตของเหล่า Trigger เลยแม้แต่น้อย ฟังดูเหมือนจะแย่แต่ถ้าว่ากันตามแบบฉบับของซีรีส์เกม Ace Combat ที่เคยมีมาแล้ว ตัวละครของเราจะค่อยๆ เก็บสะสมความเก่ง จนกลายเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งจนเป็นตำนานได้ในที่สุด ด้านระบบการเล่น เริ่มแรกเกมจะอธิบายภารกิจให้เราฟัง จากนั้นจะให้เราได้เลือกเครื่องบินรบ พร้อมหัวรบ ให้เหมาะกับสไตล์การเล่นและสถานการณ์ ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีข้อจำกัดและจุดแข็งที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องบินบางรุ่นเหมาะสำหรับการใช้โจมตีศัตรูบนบก ส่วนบางรุ่นก็เหมาะกับการใช้ต่อต้านเครื่องบินรบอากาศ โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดในเกมอ้างอิงมาจากนวัตกรรมการรบที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน อย่าง เครื่องบินรบ 3 รุ่นแรกที่ผู้เขียนได้เล่น ได้แก่ F-2A, F-14D และ F-35C ก็มีอยู่จริง ความสนุกอีกอย่างคือเราสามารถเก็บสะสมเครื่องบินรบที่เราได้รับจากการทำภารกิจได้ เหมือนกับได้สะสมของที่ชอบไปในตัว เกมนี้เลยน่าจะถูกใจแฟนๆ ที่ชอบศึกษาเรื่องเครื่องบินรบ หรือมีงานอดิเรกชอบสะสมเครื่องบิน ด้านการบังคับเครื่องบิน แบ่งเป็นสองโหมดคือ ระบบบังคับเอง กับ Auto-pilot ส่วนใหญ่ถ้าทำภารกิจเราจะต้องบังคับเครื่องบินเองมากกว่า ซึ่งเกมก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว เพราะการควบคุมทำได้ไม่ยากมาก ให้อิสระแก่ผู้เล่น สามารถบินควงสว่านได้ ในขณะเดียวกันก็มีลูกศรคอยชี้เป็นไกด์ให้ว่าเป้าหมายของเราอยู่ตรงไหน ทำให้เวลาเล่นมีหลักยึดและไม่รู้สึกเคว้ง สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเล่นเกมขับเครื่องบิน (อย่างเช่นตัวผู้เขียนเอง) ช่วงแรกก็อาจจะรู้สึกเหวอๆ กับการบังคับอยู่บ้าง เหมือนยังกะจังหวะ ความเร็ว หรือความสูงไม่ถูก มีหลายครั้งที่บินผ่านเป้าหมายไป แล้วต้องวนกลับมา ที่สำคัญคือหากบังคับไม่ดีก็อาจจะเอาเครื่องบินโหม่งลงพื้น หรือชนกับภูเขาจนเครื่องบินระเบิดเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน ตอนที่เล่นเอาจริงๆ ก็ตายไป 3 รอบ จนคนที่เล่นเครื่องข้างๆ ถึงกับหันมามอง ส่วนภารกิจไม่ค่อยมีอะไรมาก ให้เราบินไปไปหาเป้าหมาย ล็อกเป้าแล้วกดทิ้งมิสไซล์ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะช่วงแรกเรายังเป็นแค่ทหารเดนตายอยู่ มีหน้าที่อย่างเดียวคือล่อความสนใจของศัตรูให้มาอยู่ที่เรา ทำให้กองทัพของเราทำงานได้ง่ายขึ้น โดยระหว่างการเล่นก็จะต้องคอยหลบมิสไซล์ของศัตรูไปด้วย หากเล่นเกมจริงน่าจะมีภารกิจอะไรที่ท้าทายให้ทำในระหว่างที่เราเลื่อนขั้นผ่านการพิสูจน์ฝีมือการรบ ถ้าเทียบเรื่องการบังคับเครื่องบินแล้ว ถือว่าเกมทำออกมาได้มีประสิทธิภาพ ตอนที่เล่น Ace Combat 7: Skies Unknown ก็ยังแอบแปลกใจ อุส่าห์เตรียมตัวเมารถมาอย่างดีเพราะปกติผู้เขียนเป็นคนที่มึนหัวง่ายกับเกมสไตล์นี้ (ล่าสุดเพิ่งเล่น No Mans Sky ไปแล้วมีโหมดขับยานที่คล้ายกัน ทำเอาเล่นไปซักพักก็มึนหัวจนต้องลุกเดินออกไปทำอะไรก่อน) ทว่าตอนที่จับคันโยกบังคับเครื่องบินรบ บินวนไป หมุนมาก็ยังไม่รู้สึกมึนหัวซักนิด ในมุมมองของคนที่ไม่ใช่แฟนเกมแนวนี้ต้องบอกว่า Ace Combat 7: Skies Unknown ทำออกมาได้น่าประทับใจ ภาพสวย กราฟิกดีและฟิสิกส์สมจริง อย่างเครื่องบินของเราสามารถระเบิดได้เพราะโดนลูกหลงจากการที่เราบินต่ำและปล่อยมิสไซล์ทำลายศัตรู สมกับที่เป็นเกมในซีรีส์ที่ทำรายได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของค่าย Bandai Namco จริงๆ ใครที่เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้ก็น่าจะประทับใจได้ไม่ยาก ที่เหลือก็คงต้องมารอลุ้นกันต่อไปว่าทางผู้พัฒนาจะปล่อยเกมออกมาในปี 2019 จริงๆ หรือเปล่า หรือว่าจะติดโรคเลื่อนอีก ทั้งนี้ Ace Combat 7: Skies Unknown มีแผนจัดจำหน่ายใน PS4 และ Xbox One วันที่ 18 มกราคม 2019 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์จะมีเวอร์ชัน PC ตามมา  
23 Sep 2018
พรีวิว Devil May Cry 5 จากงาน TGS 2018
แม้เกมในตำนานอย่าง Devil May Cry 5 จะพกเซอร์ไพรส์มาเอาใจแฟนๆ มากมายในงาน Tokyo Game Show 2018 ทั้งการเปิดตัวอาวุธอย่าง Rock Buster และเทรลเลอร์ใหม่ที่เผยโฉมทั้งเกมเพลย์ของ Dante ทั้งตัวละครใหม่ ทั้งการกลับมาของสาวๆ อย่าง Trish และ Lady แต่ในส่วนของเดโมที่มีให้เล่นนั้นออกจะน้อยหน้าเกมอื่นๆ ไปหน่อย เนื่องจากใช้เดโมตัวเดียวกับงาน Gamescom เมื่อเดือนที่แล้ว https://www.youtube.com/watch?v=nmZdyeCRgus เดโมตัวนี้เป็นฉากสั้นๆ ที่แนะนำระบบการต่อสู้ ด้วยการให้เราต่อสู้กับปีศาจลูกสมุนตามฉาก ก่อนที่จะพาเราไปปะทะกับบอสขนาดยักษ์นามว่า Goliath ซึ่งทางผู้พัฒนาบอกว่าเป็นความพยายามในการนำประสบการณ์การต่อสู้กับบอส Berial กลับมา แต่ยกระดับขึ้นไปอีก ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ ใครที่ได้เคยดูเกมเพลย์จากงาน Gamescom ไปแล้วอาจข้ามพรีวิวนี้ไปเลยก็ได้ เพราะพรีวิวนี้ไม่มีอะไรใหม่ในแง่ของสิ่งที่แฟนๆ เกมควรรู้ เนื่องจากเป็นเดโมตัวเดิม ซึ่งหลายๆ คนคงรีบดูทันทีที่มีคลิปออกมาให้ชม หรือหากเพิ่งเคยเห็นจากคลิปด้านบน การดูวิดีโอก็น่าจะเป็นทางเลือกให้เห็นภาพได้ชัดเจนกว่า แต่สิ่งที่ผมจะทำในพรีวิวต่อไปนี้คือการเล่าความรู้สึกในฐานะเกมเมอร์ชาวไทยคนหนึ่งที่ตามเล่นเกมในซีรีส์มาทุกภาคและได้มีโอกาสต่อแถวเข้าคิวเพื่อเล่นเดโมเกมในตำนานเกมนี้ สิ่งแรกที่ได้พบเมื่อเปิดเข้าเล่นเดโมก็คือกราฟิกของเกมที่ต้องเรียกได้ว่าไม่ได้น่าประใจเป็นพิเศษในเรื่องของความสวยงาม ซึ่งไม่ใช่เพราะว่ากราฟิกไม่สวย นี่คือ Devil May Cry ที่พัฒนากราฟิกขึ้นกว่าทุกภาค แต่เป็นเพราะซีรีส์นี้ก็ไม่ได้เป็นซีรีส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องกราฟิกอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว เกมในซีรีส์นี้มักจะทำกราฟิกได้สวยตามมาตรฐานของเกมในยุคนั้น แต่ไม่ได้เด่นกว่าเกมอื่นอย่างชัดเจน ความรู้สึกว้าวที่เกิดขึ้นในเรื่องของกราฟิกจึงเกิดขึ้นแค่เพียงตอนเห็นภาพจากเกมครั้งแรก พอได้สัมผัสเกมจริงๆ หลังจากที่ติดตามข่าวมาตลอดจึงไม่ได้ประทับใจอะไรมาก แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือสีหน้าท่าทางของตัวละคร โดยเฉพาะในฉากคัตซีนที่ทำออกมาได้ดีมาก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นสีหน้าของคนจริงๆ ซึ่งตลอดที่เล่นซีรีส์นี้มาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อน พอบวกเข้ากับบทของเกมที่เขียนให้ Nero เป็นคนกวนๆ เลยทำให้การกวนบาทาปีศาจในครั้งนี้ออกมาสะใจได้อารมณ์มากๆ จนถึงกับอมยิ้มออกมา น่าสนใจว่าพอเอาไปปรับใช้กับตัวละครอย่างพวกปีศาจแล้วจะทำได้น่าสนใจมากแค่ไหน ด้านระบบการเล่นต้องเรียกได้ว่าสนุกเหมือนเดิม เกมยังคงมีระบบการเล่นที่ฉับไว สามารถต่อคอมโบได้อย่างไม่มีสะดุด ซึ่งเกมให้ความรู้สึกว่าเป็นเกมที่ไวกว่าภาคก่อนๆ อาจจะไม่ได้ไวกว่าภาค DMC: Devil May Cry มาก แต่ไวกว่าภาค 1-4 มากแน่นอน สิ่งที่น่าสนใจคือแขนกล Devil Breaker ของ Nero จะเป็นไอเท็มที่มีให้เก็บทั่วไปตามฉาก ที่เป็นแบบนี้เพราะแขนกลสามารถแตกได้เมื่อใช้ถึงจุดหนึ่ง จริงๆ แล้วผมเองเพิ่งสังเกตจุดนี้ตอนได้เล่นเดโมด้วยตัวเอง ถ้าได้รู้มาก่อนหน้านี้คงรู้สึกผิดหวังที่เกมมีอาวุธที่ใช้แล้วหมดไป ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาการทำแบบนี้ทำให้เราไม่ได้ใช้อาวุธที่เราชอบจริงๆ เพราะอยากเก็บเอาไว้ใช้กับบอสยากๆ มากกว่า แต่พอได้ลองจริงๆ ก็พบว่าเกมค่อนข้างทำได้อย่างลงตัว พอแขนกลพังก็เลยบังคับให้เราได้ลองแขนใหม่ๆ ลองใช้ท่าใหม่ๆ อย่างเช่นแขนที่แปลงเป็นจรวดได้ ซึ่งตอนที่เห็นในเทรลเลอร์ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร แต่พอได้ใช้จริงๆ นี่กลายเป็นแขนที่ชอบที่สุดไปเลย ผมเข้าใจว่าสำหรับหลายๆ คนแล้ว เกมที่มีระบบต่อสู้ที่ดีคือเกมที่ออกแบบมาให้เราต้องฝึกกดปุ่ม ฝึกจับจังหวะอย่างดี ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ยังเป็นคนที่สนุกกับเกมที่กดปุ่มมั่วๆ แล้วดันทำคอมโบเท่ๆ ทำท่าเท่ๆ ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เกมรู้สึกง่ายเกินไป การต่อสู้กับบอสยักษ์ Goliath ของผมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเท่าที่ลองดูคนอื่นๆ เล่นในระหว่างต่อแถว บอสตัวนี้ดูไม่น่าจะต่อกรได้ง่ายๆ เลย มีเพียงไม่กี่คนที่เล่นจนชนะบอสได้ คนส่วนใหญ่ต้องวางจอยก่อนจะออกจากบูธไปเพราะเกมในเวอร์ชันเดโมไม่มี Continue ต้องกลับไปเล่นใหม่ตั้งแต่แรกอย่างเดียวเท่านั้นหากพลาดพลั้งตายไป ซึ่งเวลาที่เล่นได้แต่ละรอบมีไม่พอให้เล่นจนถึงบอสอีกรอบ แต่พอรู้ตัวอีกทีผมกลับพา Nero ขี่แขนจรวดของตัวเองไต่หลังบอส พาหลอดเลือดของบอสลดฮวบไปกว่าครึ่ง ในขณะที่พลังของตัวเองยังอยู่เกือบเต็มหลอด โดยที่มีตัวอักษรสีทองแสดงคอมโบระดับ SSS อยู่ข้างๆ พร้อมกับความรู้สึกในใจว่ากูชนะแน่ๆ ผสมกับความรู้สึกว่านี่กูทำไปได้ยังไงวะเนี่ย ก่อนที่พริบตาถัดมากลับต้องพาตัวเองออกจากบูธก่อนเวลาอันควรเพราะดันโดนบอสตบตาย ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นกันอยู่​... เอาเป็นว่า Devil May Cry 5 สอบผ่านในเรื่องความสนุกของระบบการเล่นอีกครั้งในภาคนี้ จริงๆ แล้วด้วยความที่ต้องเขียนรีวิวเกมด้วย ทำให้หลายๆ ครั้งแม้จะเล่นเดโมเกมก็เลยอดให้คะแนนเกมไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเดโมก็ตาม ซึ่งต้องบอกเลยว่าการกลับมาของ Devil May Cry 5 ในครั้งนี้ยังไม่ได้สร้างความผิดหวังให้สักอย่าง มีแต่จะเพิ่มคะแนนให้ตลอดเวลาเมื่อมีการประกาศข่าวเซอร์ไพรส์ในแต่ละครั้ง และการที่ Capcom ยอมให้บอสยักษ์อย่าง Goliath มาเป็นบอสให้สู้ในเดโม แสดงว่าบอสที่เหลือจะต้องเป็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้มากๆ แน่ๆ เมื่อเกมออกมาจริงๆ คงให้คะแนนไม่ต่ำกว่า 9 คะแนน (เต็ม 10) ยกเว้นว่าทีมงานจะหาทางมาทำอะไรให้เกมแย่ลง ซึ่งน่าจะเป็นงานที่ยากเอาการ
22 Sep 2018
Resident Evil 2 Remake: พรีวิวเกมเพลย์ Claire Redfield จากงาน Tokyo Game Show 2018
ตั้งแต่สมัยยังละอ่อน ผู้เขียนก็เป็นเกมเมอร์เด็กขี้กลัวที่ไม่ค่อยถนัดเกมแนว Survival Horror เลยเพราะกลัวเกินกว่าจะสนุกกับมันได้ ในขณะที่เพื่อนๆ ของผู้เขียนต่างก็สนุกสนานกับเกม Resident Evil 2 (สมัยนั้นยังเรียก Biohazard กันอยู่เลย) ผู้เขียนก็มักจะปลีกตัวไปเล่นเกมอื่นคนเดียวแทน ผ่านเวลามากว่า 20 ปี ในตอนนี้ผู้เขียนเองก็มีภูมิต้านทานต่อเกมน่ากลัวมากขึ้นพอสมควร พอได้มีโอกาสมาถึงงาน Tokyo Game Show 2018 ทั้งที จะไม่ลองเล่นเกมยอดนิยมอย่าง Resident Evil 2 Remake ก็กระไรอยู่ แถมยังได้ข่าวมาว่าในงานจะเปิดให้ลองเกมเพลย์ฝั่ง Claire Redfield เป็นครั้งแรกอีกด้วย ผู้เขียนก็เลยกัดฟันเดินตรงเข้าไปในบูธเดโมของ Capcom ที่สร้างขึ้นมาให้เหมือนกับสถานีตำรวจ R.P.D. ในเกมนั่นเอง ทันทีที่เดินผ่านประตูสถานีตำรวจที่เต็มไปด้วยถุงเก็บศพ ก็มีทีมงานประจำบูธแต่งตัวชุด Claire เดินมาต้อนรับ พร้อมกับอธิบายว่าผู้เขียนมีเวลาเล่นเกมเพียงห้านาทีเท่านั้น! และถ้าตายก่อนหมดเวลาจะถือว่าหมดสิทธิ์เล่นต่อทันที! (เข้าใจแหละเพราะผู้เขียนเองก็ต้องเข้าแถวเป็นชม.อยู่กว่าจะได้เข้าไปเล่น...) เดโมในงานเปิดให้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นฝั่ง Claire หรือ Leon โดยเดโมของ Leon นั้นจะเป็นตัวเดียวกับที่เปิดให้เล่นในงาน PSX 2018 ที่เมืองไทย (อ่านพรีวิว ที่นี่) ในส่วนของเดโม Claire นั้น ผู้เขียนได้รับทราบก่อนจะเลือกว่าจะไม่มีศัตรูที่เป็นซอมบี้ธรรมดาให้สู้ แต่จะมีเพียงบอส William Birkin ให้สู้เพียงตัวเดียว ได้ยินแล้วก็แอบใจแป้วนิดๆ เพราะบอสตัวนี้คือตัวการที่ทำให้ผูัเขียนขยาดเกม Horror ไปเลยตอนเป็นเด็ก... อย่างที่เคยเห็นในภาพข่าวที่ผู้พัฒนาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ เดโมของฝั่ง Claire จะให้ผู้เล่นได้ต่อสู้กับบอส Birkin ในฉากทางระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งต้องขอชมผู้พัฒนาที่แปลงฉากใต้ดินจากเกมดั้งเดิมออกมาได้น่ากลัวไม่แพ้สมัยผู้เขียนเป็นเด็กเลย หลังจากที่เดินสำรวจได้ซักพัก แอบมีสะดุ้งบ้างในจังหวะที่ท่อน้ำตามฉากพ่นไอน้ำออกมา ผู้เขียนก็พบกับคัตซีนสั้นๆ (ซึ่งทีมงานบูธบอกให้กดข้ามเพื่อรักษาเวลา) ก่อนที่จะถูกส่งเข้าไปเผชิญกับ Birkin ทันที ด่านของบอส Birkin ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเดินแคบๆ ที่มีทางแยกออกไปประปรายตามทาง บางทีก็เป็นทางตัน แต่บางทีก็มีไอเทมอย่างกระสุนหรือยาเขียวให้เก็บบ้าง ซึ่งคนที่เคยเล่นเกมภาคดั้งเดิมอาจจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้เขียนที่เคยเห็นฉากนี้ผ่านๆ แค่ประปราย ถือว่าฉากช่วยขับอารมณ์ความสิ้นหวังและกดดันได้ดีมากๆ ประมาณว่าเราไม่มีที่ไหนให้หนีได้จริงๆ ผู้เขียนรีบชักปืนยิงระเบิด Grenade Launcher ออกมาก่อนเป็นอย่างแรก (ในเดโม Claire จะได้รับปืนระเบิด ปืนกลสั้น และปืนลูกโม่) และบรรจงอัดระเบิดใส่หน้า Birkin รัวๆ จนหมดตัวเลย ซึ่งดูเหมือนจะพอสร้างความเสียหายได้บ้าง แต่ก็ยังไม่พอจะล้มบอส ที่ยังคงค่อยๆ เดินเข้ามาหาผู้เขียนทีละนิดๆ หลังจากที่ชักปืนกลออกมายิงไปได้ซักพัก ลูกตาลูกใหญ่ตรงไหล่ของบอสก็เปิดขึ้น ผู้เขียนไม่รอช้ารีบชักปืนลูกโม่ออกมาเล็งลูกตสทันที ในส่วนของเกมเพลย์การยิงปืนไม่ได้ต่างจากของ Leon โดยผู้เล่นจะต้องกด L2 ค้างไว้ซักพักก่อนที่เป้าเล็งจะหดตัวลงมาแคบพอที่ผู้เขียนจะยิงปืนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้เกมยังคงความกดดันจากภาคดั้งเดิมไว้ได้แม้จะเปลี่ยนมาเป็นระบบการยิงแบบ Third-person (มุมมองบุคคลที่ 3) หลังจากที่เล่นวิ่งไล่จับไปได้อีกแปบนึง (และอัดกระสุนลูกโม่เข้าตาบอสจนหมดตัว) ในที่สุดผู้เขียนก็สามารถพิชิตบอส Birkin ลงได้ทันกำหนดเวลา จนพนักงานบูธถึงกับเอ่ยปากชมฝีมือเลยทีเดียว (ไม่ได้โม้นะจะบอกให้) ก่อนจะนำผู้เขียนออกไปนอกบูธ โดยรวมแล้วประสบการณ์การสู้บอส Birkin ครั้งนี้ถือว่าดีกว่าครั้งแรกที่ผู้เขียนเจอเมื่อ 20 ปีที่แล้วแน่นอน ถ้าถามว่ายังน่ากลัวอยู่ไหมก็คงต้องตอบว่าน่ากลัวจริงๆ ด้วยองค์ประกอบตามฉากและระบบเกมเพลย์ที่เพิ่มความกดดันให้ผู้เล่นตลอดเวลา แม้ว่าสุดท้ายการสู้บอสจะค่อยข้างเรียบง่ายไปซักนิด อาจเพราะอาวุธครบมือ (ไม่รู้ว่าในเกมจริงจะมีปืนระเบิดให้ใช้แบบนี้ไหม) และการโจมตีของบอสที่ค่อนข้างช้า เมื่อรวมกับวิธีการควบคุมตัวละครแบบใหม่ ทำให้การวิ่งหนีออกมาตั้งหลักเพื่อยิงจุดอ่อนง่ายกว่าในภาคดั้งเดิมพอสมควร แต่ด้วยการออกแบบบอสที่มีความน่ากลัวน่าขยะแขยงก็ช่วยให้เรายังคงรู้สึกกดดันทุกครั้งที่ต้องมองบอสค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาช้าๆ ในระหว่างที่รอให้เป้าเล็งค่อยๆ หดลงมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจทีเดียวกับเดโมเกมเพลย์ครั้งนี้ ซึ่งกลบจุดอ่อนของบอสเกม Resident Evil ภาคหลังๆ (ยกเว้นภาค 7) ที่เอาความน่ากลัวแลกกับฉากแอคชั่นเท่ๆ ซะมากกว่า แถมยังเพิ่มความมั่นใจให้ผู้เขียนประมาณนึง จนตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า Day One แน่นอนเกมนี้! Resident Evil 2 Remake จะวางจำหน่ายวันที่ 25 มกราคม 2019 สำหรับ PS4, Xbox One, PC อ่านพรีวิวเกมอื่นๆ จาก Tokyo Game Show 2018 ได้ ที่นี่
22 Sep 2018
ผจญภัยในโลกกว้างไปกับเจ้าหนุ่มหมวกฟาง! - พรีวิว One Piece: World Seeker จากงาน TGS 2018
https://www.youtube.com/watch?v=sZR44R87E6U&feature=youtu.be อีกหนึ่งเกมที่พลาดไม่ได้สำหรับค่ายเกม Bandai Namco ก็คือ One Piece: World Seeker เกมแนวแอคชั่นผจญภัยแบบ Open World ที่ให้ผู้เล่นได้สวมบทบาทเป็น Monkey D. Luffy ออกตามล่าวันพีชพร้อมกับผองเพื่อน เมื่อมาเยือนถึง TGS 2018 แล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะไปทดลองเล่นเกมเพื่อจะได้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง โดยเดโมตัวที่เราเล่น เป็นตัวเดียวกับที่เคยเผยโฉมมาก่อนแล้วในงาน Gamescom 2018 ที่ผ่านมา จากที่ชมในเทรลเลอร์ต่างๆ ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษสำหรับการออกผจญภัยในฐานะ "ลูฟี่" ครั้งนี้ เพราะแทบจะเป็นครั้งแรกที่ One Piece มีเกมแบบ Open World ออกมาให้แฟนเกมได้สัมผัสบรรยากาศของการท่องไปในแกรนด์ไลน์ ทว่าพอได้ลองเล่นจริงๆ ตัวเกมกลับทำได้ไม่น่าประทับใจเท่ากับที่คาดหวังเอาไว้ สิ่งที่ผู้เขียนผิดหวังกับตัวเกมมากที่สุดน่าจะเป็นระบบ Open World ซึ่งถ้าเทียบกับ Marvels Spider-man ที่เป็นเกมแนวแบบเดียวกันแล้ว เรียกได้ว่า One Piece: World Seeker แทบจะไม่ติดฝุ่นไอแมงมุม ในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้จะเปรียบเทียบด้านภาพ มุมกล้อง หรือเนื้อเรื่องของเกม แต่จะพูดถึงความอิสระในเกม จากที่เล่นในเดโม แทบไม่รู้สึกเลยเสียด้วยซ้ำว่าเกมเป็นระบบแบบเปิดที่เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แน่นอนว่าลูฟี่ไม่ได้ใช้มือยางยืดตึ๋งหนืดในการเดินทางบ่อยเท่ากับสไปเดอร์แมนที่พ่นใยอยู่ตลอดเวลา แต่การเดินหรือวิ่งก็มีพื้นที่จำกัดจำเขี่ยมาก ตัวเกมมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยกันไม่ให้เราออกนอกพื้นที่ ชวนให้รู้สึกอึดอัด แทบไม่ต่างจากการเล่นเกมแบบเป็นด่าน ไม่เหมือน Marvels Spider-man ที่ให้อิสระแก่ผู้เล่นในการชักใย ห้อยโหนและกระโจนไปไหนก็ได้ตามใจอยาก โดยไม่มีขอบเขต รวมถึงทุกสถานที่ที่ไปยังมีภารกิจยิบย่อยให้ทำ เสมือนกับว่าเราได้ไปเดินอยู่ในนิวยอร์กแล้วได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในเมืองจริงๆ ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ One Piece: World Seeker ยังขาดไปอยู่ ส่วนการใช้มือยางยืดเพื่อการเคลื่อนที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ในการเล่นแบบ Open World ที่แผนที่ค่อนข้างกว้าง และตัวละครจำเป็นต้องมีท่าที่ทำให้เคลื่อนที่ได้เร็ว ทว่าในความเป็นจริงตัวเกมกลับทำระบบนี้ออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อมือที่ยืดออกไป ยืดได้ไม่ยาวพอ กะระยะยาก อีกทั้งยังใช้ได้กับวัตถุหรือสิ่งของแค่บางอย่าง เช่น ต้นไม้ หรือหอคอยเป็นต้น ไม่สามารถใช้จับขอบเนินดินแล้วปีนขึ้นได้ ต้องคอยเดินไปตามทางลาดที่เกมกำหนด ด้านการต่อสู้ "ลูฟี่" ตัวละครหลักของเราจะต้องเข้าไปสู้รบและประมือกับทหารเรือมากมาย ตัวเกมทำออกมารองรับรูปแบบการเล่นที่มีตั้งแต่การให้ Stealth ไปจนถึงการเปิดตัวด้วยการลุยดะแบบไม่แคร์ใคร สไตล์กัปตันผู้ไม่คิดมาก นอกจากนี้เกมยังถ่ายทอดความเป็นเจ้าหนุ่มหมวกฟางออกมาด้วยการใส่กิมมิคฮาๆ เข้าไปเล็กน้อย อย่างการเข้าไปแอบซ่อนให้ถังเหล้าแล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปแบบ (ไม่) เนียน เป็นต้น ทว่าการต่อสู้ที่น่าจะเป็นจุดขายของเกมแนวแอคชั่นอย่าง One Piece: World Seeker กลับทำออกมาได้ขาดๆ เกินๆ แม้จะมีการอ้างอิงท่าต่อสู้ของลูฟี่มาจากอนิเมะหรือมังกะ อย่างฮาคิ หรือท่ายางยืดต่างๆ แต่กลับไม่ได้มีท่าที่หลากหลายมากพอในการจะสร้างคอมโบต่อสู้แบบมันส์ๆ นอกจากนี้ระบบการต่อสู้ก็ไม่ได้ไหลลื่นอย่างที่คิด ที่ผู้เขียนรู้สึกอึดอัดที่สุดคือ One Piece: World Seeker ถือเป็นเกมที่เล็งเป้ายากเอาการ ทำให้การโจมตีหลายต่อหลายครั้งก็พลาดเป้าได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่แสนจะเบสิค การโจมตีคอมโบ หรือท่าพิเศษก็ตาม นอกจากนี้ในการยืดมือออกไปจับศัตรูแล้วพุ่งไปหาก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่าสนุก ย่นระยะเวลาเดินทางไปได้เยอะ แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อพอพุ่งเข้าไปหาเหล่าทหารเรือแล้วกดใส่คอมโบหรือโจมตีกลับวืดไม่เป็นท่า จนกลายเป็นว่าแทบจะไม่สามารถ "ยืด จับ พุ่ง และโจมตี" ได้เลย แม้ตอนสู้กับ "อาคาอินุ" บอสในเดโม จะค่อนข้างทำให้เกมสนุกขึ้นบ้าง แต่เมื่อเทียบกับระบบการต่อสู้ของ Marvels Spider-man เกมไอแมงมุมกลับทำออกมาได้ดีกว่าเยอะ ทั้งๆ ที่ Spider-man ไม่ได้มีท่าคอมโบหรือท่าที่ใช้โจมตีศัตรูมากเท่ากับท่าของลูฟี่เองเสียด้วยซ้ำ แต่กลับมีการโจมตีแบบคอมโบลื่นไหลกว่า และมันส์กว่า นอกจากนี้ตัวเกมยังขาดความตื่นเต้นและท้าทายอีก ทั้งภารกิจก็ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เราเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครอย่างลูฟี่ หรือเพิ่มความอินกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใด โดยตลอดเวลาที่ตลอดเวลาที่ได้เล่นเกมประมาณ 20 นาทีก็แอบมีจังหวะที่เกิดความรู้สึกเบื่ออยู่บ่อยๆ ภารกิจที่ได้รับแทบจะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ นอกจากเดินไปยังยอดเขาที่ตัวเกมกำหนด ค่อยๆ กำจัดทหารเรือไปทีละตัวสองตัว ตามเปิดกล่องที่กองอยู่บนพื้น แถมยังต้องค่อยๆ เดินไปตามทาง ทำให้นอกจากกำจัดทหารเรือไปเรื่อยๆ แล้วก็แทบไม่มีอะไรให้ทำอีก ที่สำคัญคือเกมขาดความสมจริง ในฐานะเกมที่มีพื้นฐานเนื้อเรื่องมาจากการ์ตูน โดยลูฟี่ที่เราเล่นใน One Piece: World Seeker สามารถถูกโจมตีด้วยกระสุนปืนธรรมดาของทหารเรือ หากจะบอกว่าทหารเรือทุกคน ทุกเมืองใช้กระสุนไคโรอยู่ตลอดก็คงจะไม่ใช่ แม้จะเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากยึดตามเรื่องจริงทั้งหมด ลูฟี่ของเราก็แทบจะเป็นอัมตะ เพราะนอกจากจะโจมตีแบบระยะไกลได้แล้ว ยังแทบไม่มีอะไรมาทำร้ายตัวละครของเราได้ แต่ตรงจุดนี้ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ จนไม่ค่อยอินกับตัวเกมอยู่เหมือนกัน หากจะให้รีบตัดสินว่า One Piece: World Seeker เป็นเกมที่ไม่คุ้มค่าในการเสียเวลาเล่นก็อาจจะเป็นการรีบด่วนสรุปไป ต้องรอดูกันต่อไปว่าเมื่อเกมออกมาแบบเต็มรูปแบบแล้ว จะมีการปูเนื้อเรื่อง สร้างบรรยากาศให้เราอินกับตัวเกมได้ขนาดไหน หรือเมื่อมีเหล่าผองเพื่อนกลุ่มหมวกฟางเข้ามาร่วมจอยอาจทำให้เล่นสนุกขึ้นก็เป็นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะต้องเตรียมใจเผื่อไว้หากเกมไม่ได้สนุกอย่างที่เพื่อนๆ คาดหวัง ทั้งนี้ One Piece: World Seeker จะจัดจำหน่ายให้เล่นผ่าน PlayStation 4, Xbox One และ PC ในปี 2019
22 Sep 2018
ดาบเดียวสังหาร - พรีวิวเกม Sekiro: Shadows Die Twice จากงาน Tokyo Game Show 2018
วันนี้ในงาน Tokyo Game Show 2018 ทาง Sony ได้เปิดให้สื่อมวลชนที่ร่วมงานบางส่วนได้เข้าทดลองเล่นเกม Sekiro: Shadows Die Twice เกมซามูไรสุดโหดจากเจ้าพ่อเกมหัวร้อน From Software อันโด่งดังนั่นเอง ทางทีมงาน GameFever เองก็ได้รับโอกาสในการเข้าเล่นเกมด้วย จึงอยากจะนำความรู้สึกนึกคิดจากเกมมาเล่าสู่กันฟัง ให้เพื่อนๆ ที่รอเล่นเกมอยู่ได้ตื่นเต้นกันก่อนที่เกมจะวางจำหน่ายช่วงต้นปีหน้าจ้า! (ปล. ด้วยปัญหาด้านเทคนิคเล็กน้อย ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีความเบลอไปซะหน่อย ต้องขออภัยเพื่อนๆ ด้วยนะครับ) ถ้ามองผ่านๆ Sekiro: Shadows Die Twice อาจจะดูเป็นเกมที่ง่ายกว่าเกมซีรี่ย์ก่อนๆ ของ From Software อย่าง Dark Souls หรือ Bloodborne ในบางแง่ ด้วยระบบการเคลื่อนที่ที่คล่องตัวและอิสระกว่าเกมอื่นๆ ของค่าย และลูกเล่นใหม่ๆ อย่างการลอบเร้น (Stealth) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถฆ่าศัตรูหลายๆ ตัวได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ในความเป็นจริง Sekiro: Shadows Die Twice เป็นเกมที่รักษาความท้าทายซึ่งเป็นลายเซ็นของ From Software เอาไว้ครบถ้วน แถมยังอาจจะเพิ่มความยากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ ด้วยระบบเกมเพลย์ที่เน้นการหลบ/ป้องกันการโจมตีของศัตรูไปเรื่อยๆ เพื่อหาจังหวะออกดาบสังหารในครั้งเดียว ทำให้แม้กระทั่งการต่อสู้กับศัตรูหลายๆ ครั้ง ต้องใช้สมาธิและความใจเย็นอย่างที่น้อยเกมจะเรียกร้องจากผู้เล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้อย่างเจ็บปวดจากการตายซ้ำๆ ไม่ต่ำกว่า 5-6 ครั้งในระยะเวลา 20 นาทีที่ได้ลองเล่นเกม   เดโม Sekiro: Shadows Die Twice ที่โซนี่ได้นำมาให้เล่นในงานคือเดโมตัวเดียวกับที่เคยปล่อยเกมเพลย์ออกมาให้ดูกันก่อนหน้านี้ ซึ่งสื่อต่างประเทศหลายสำนักได้ปล่อยวีดีโอออกมาให้ดูกันบ้างแล้ว โดยเทรลเลอร์เปิดมาด้วยฉากนอกปราสาทสไตล์ญี่ปุ่นที่มีทหารยืนเฝ้าประตูอยู่ประปราย ซึ่งทำการสอนให้เราใช้แขนกลในการพุ่งไปมาระหว่างหลังคาปราสาทได้ (ตามจุดเขียวๆ ในภาพ) และสามารถลอบฆ่าศัตรูได้ด้วยการกระโดดใส่และกดโจมตีให้ถูกจังหวะ ผู้เขียนสามารถสังหารเหล่าทหารเฝ้าประตูได้ไม่ยากเย็นนักด้วยการกดฟันรัวๆ (ปุ่ม R1) แต่แล้วก็มาติดอยู่ตรงบอสย่อยตัวแรก (จากบอสในเดโมทั้งหมดสามตัว) ที่เป็นแม่ทัพซามูไรตัวเดียวกับในภาพหัวเรื่อง ที่ฟันให้ตายยังไงก็ฟันไม่เข้าซะที จนโดนเก็บอย่างอนาถในเวลาอันสั้น... สิ่งที่ผู้เขียนทำผิดพลาด (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) คือการคิดว่า Sekiro เหมือนเกมตระกูล Souls/Borne ที่เน้นการหลบและสวนบอสทีละนิดไปเรื่อยๆ และไม่ได้สังเกตุเห็นหลอด Stamina สีเหลืองๆ บนหัวศัตรูที่เด้งขึ้นมาเวลาเรากดโจมตีศัตรู สิ่งที่ผู้เขียนเรียนรู้หลังจากที่ตายไปแล้วกว่า 3 ครั้งคือจริงๆ แล้วเกมไม่ได้ต้องการให้เราหลบและสวน แต่ต้องการให้เราหาช่องว่างทำคอมโบเพื่อลดหลอด Stamina ของศัตรูให้หมด ซึ่งจะทำให้มีวงกลมสีแดงๆ ขึ้นบนหัวของศัตรูและจะทำให้เราสามารถสร้างความเสียหายได้เยอะมากๆ ในการโจมตีครั้งเดียว โดยการลด Stamina ทำด้วยการหลบหรือ Parry การโจมตีด้วยการกด L1 ในจังหวะที่ศัตรูฟันมาพอดี ผลที่ออกมาคือเกมเพลย์ที่จะช้าก็ช้า จะเร็วก็เร็ว เพราะการเคลื่อนที่ในเกมทั้งของศัตรูและของผู้เล่นเองมีความรวดเร็วกว่าเกม Souls/Borne อย่างชัดเจน (เร็วกว่า Nioh อีก) แต่ในขณะเดียวกัน เกมก็เตรียมตัวลงโทษคนที่เอาแต่หลบและสวนทีละน้อยเช่นกัน โดยเฉพาะในการสู้บอส เพราะการฟันธรรมดาๆ ของเราแทบจะไม่สะกิดหนังบอสเลยซักนิด ทำให้การต่อสู้ในเกมมีความช้าในจังหวะที่รอหลบ/กันการโจมตีของศัตรู แต่ก็ต้องใช้ความรวดเร็วมากๆ ในการหลบให้ทันและปล่อยคอมโบในจังหวะที่ถูกต้องเพื่อลดหลอด Stamina ของศัตรูเช่นกัน ในส่วนของระบบการการลอบเร้น ผู้เล่นสามารถกดอนาล๊อคขวาเพื่อก้มลงและหลบตามพุ่มหญ้าสูงได้ และสามารถลอบฆ่าศัตรูได้อย่างรวดเร็วถ้าโจมตีศัตรูในขณะที่ซ่อนอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสทดลองระบบนี้มากนัก (ในเดโมเปิดโอกาสให้ลอบฆ่าศัตรูธรรมดาเพียงสองตัว) แต่เท่าที่เล่นมาในเดโมดูเหมือนระบบจะค่อนข้างมีความหยาบอยู่บ้าง บางครั้งศัตรูก็ตาดีมองเราเห็นซะแต่ไกล แต่บางทีก็เดินผ่านหน้าเราไปเฉยๆ เหมือนไม่เห็นทั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้า และที่สำคัญคือตัวผู้เล่นไม่ได้มีความสามารถอะไร (มากกว่าการลอบสังหาร) ที่ทำให้การลอบเร้นรู้สึกพิเศษหรือสำคัญเลย จึงรู้สึกเหมือนระบบถูกเพิ่มเข้ามาให้ใช้ได้ประปรายเป็นรสชาติมากกว่าจะเป็นระบบการเล่นหลัก ด้วยเวลาเล่นที่ค่อนข้างสั้นทำให้ผู้เขียนไม่สามารถทดสอบวิธีใช้อาวุธลับในแขนกลชนิดต่างๆ ได้มากนัก โดยในเดโมมีอาวุธลับให้ใช้สามชนิดคือ ดาวกระจาย ขวาน และเครื่องพ่นไฟ ซึ่งรู้สึกว่าจะมีวิธีใช้ที่ถูกต้องอยู่ (แต่ยังหาไม่เจอ) อาวุธลับชนิดเดียวที่ผู้เขียนได้ทดสอบจริงๆ มีแค่ขวาน ซึ่งมีความสามารถในการโจมตีทะลุการป้องกันของศัตรูและลดหลอด Stamina เยอะกว่าปกติ แต่จะช้ากว่าการใช้ดาบพอสมควร แต่ดาวกระจายกับเครื่องพ่นไฟยังไม่มั่นใจว่าควรใช้ในจังหวะไหนกันแน่ อีกหนึ่งอย่างที่อยากพูดถึงคือเรื่องการรองรับภาษาไทยของเกม ซึ่งต้องชมว่าเมนูและตัวหนังสือเป็นภาษาไทยทั้งหมดจริงๆ และส่วนใหญ่ก็อ่านรู้เรื่องด้วย แต่ในขณะเดียวกันคำแปลหลายส่วนก็แปลออกมาแปร่งๆ อยู่บ้าง อย่างคำสั่งในภาพด้านบนที่อธิบายไว้ว่า ละทิ้ง ซึ่งจริงๆ แล้วคือการหลบซ้ายขวา แต่พอใช้คำว่า ละทิ้ง ก็ทำเอางงอยู่เหมือนกัน ถ้าต้องให้คะแนนความสมบูรณ์คงให้ประมาณ 70-80% ในส่วนของกราฟิคนั้น ผู้เขียนไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะเป็นเดโมหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ในขณะเล่นมีบัคด้านกราฟิคอยู่เยอะ เช่นภาพแตกหรือรายละเอียด Texture หายเป็นต้น แถมอนิเมชั่นบางอย่างเช่นการใช้แขนกลดึงตัวเองขึ้นไปบนหลังคาก็ดูแข็งๆ แปลกๆ อยู่บ้าง ไม่ได้หมายความว่าเกมกราฟิคไม่สวยหรืออะไร แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจในการนำเสนอเท่าที่ควร ซึ่งก็อาจจะถูกแก้ทันเวลาที่เกมออกก็เป็นได้ สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่าเกม Sekiro เป็นเกมที่สนุกไหม ผู้เขียนก็คงบอกว่าเป็นเกมที่สนุกใช้ได้อยู่ เล่นแล้วนึกถึงเกมอย่าง Metal Gear Rising: Revengeance ขึ้นมาแว่บๆ ในบางช่วง ด้วยเกมเพลย์ที่รวดเร็วและท้าทายมากๆ แต่เมื่อฝึกไปซักพักก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนยอดนักดาบที่รับมือกับทุกอย่างได้เช่นกัน (ใช่ว่าผู้เขียนจะทำได้แล้วนะ...) โดยเฉพาะในจังหวะที่ศัตรูฟันมาเป็นชุดแล้วเรา (ฟลุ๊ค) ปัด/หลบการโจมตีของมันได้หมด แต่บอกเลยว่ากว่าจะคล่องนี่ไม่ง่ายแน่นอน Sekiro: Shadows Die Twice จะวางจำหน่ายสำหรับ PS4, Xbox One, PC ในวันที่ 22 มีนาคม 2019
21 Sep 2018
พรีวิว Jump Force จากงาน Tokyo Game Show 2018
https://www.youtube.com/watch?v=tm_-1DnNcXQ&feature=youtu.be ถ้าพูดเกมแนวต่อสู้ที่มีแนวโน้มว่าจะมาแรงในอนาคตก็คงไม่หนีไม่พ้น Jump Force เกมแนวต่อสู้ที่รวบรวมตัวละครจากทั้งอนิเมะและมังกะของ Weekly Shonen Jump มาลงสังเวียน ต่อสู้เพื่อหาความเป็นหนึ่ง โดยเป็นเกมจากผู้พัฒนา Spike Chunsoft และผู้จัดจำหน่ายเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น Bandai Namco ทาง Game Fever ก็ได้เล่น Demo Jump Force ในงานTokyo Game Show 2018 มาเหมือนกัน เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ต้องเกริ่นก่อนว่าเกมนี้มีรูปแบบเกมเป็นการต่อสู้แบบ 3 ต่อ 3 ซึ่งล่าสุดตัวเกมมีตัวละครให้เลือกกว่า 20 ตัว มาจาก 7 ซีรีส์ด้วยกัน ได้แก่ Bleach, Dragon Ball, Hunter x Hunter, Naruto, One Piece, Yu-Gi-Oh! และ Yu Yu Hakusho (มีตัวละครจาก Death Note ด้วย ทว่าจะปรากฎตัวในโหมดเนื้อเรื่องแทน) ด้านภาพ ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะได้ลองเล่น ก็เคยดู Trailer ของ Jump Force มาแล้วหลายตัว รวมถึงไปส่อง Screen Shot มาก็หลายครั้ง พอไปเล่นเองก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทำภาพออกมาได้ค่อนข้างดี ทั้งรายละเอียดหน้าตารูปลักษณ์ตัวละคร ความสวยงามของฉาก ที่เด็ดที่สุดคือเอฟเฟ็กต์การใช้ท่าของตัวละคร ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังได้ดูภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องหนึ่งพร้อมกับเล่นเกมต่อสู้อยู่ ทว่าเกมก็ยังมีปัญหาด้านการให้น้ำหนักกับภาพมากเกินไป อย่างเอฟเฟ็กต์ของตัวละครบางตัวก็ใหญ่เกินไป จนบดบังมุมมอง ทำให้เล่นเกมได้ไม่ค่อยลื่นและทำให้รู้สึกรำคาญในบางครั้งอยู่เหมือนกัน ระบบการต่อสู้ แต่เกมก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีขนาดนั้น แม้ภาพจะสวย แต่การต่อสู้กลับไม่ได้บู๊มันเท่าที่ควร เหมือนกับแค่กดปุ่มไปแล้วรอตัวละครระเบิดพลังออกมาใส่ศัตรูมากกว่า แทบจะไม่ต้องใช้เทคนิคการเล่นอะไรมากมายเหมือนกับต่อสู้แบบ Tekken ทำให้เกมถูกลดเสน่ห์ลงไปพอสมควร ถ้าให้นึกถึง Jump Force ในแง่ของการจัดแข่งขันเกมแนวต่อสู้แล้ว แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ในภาพรวมแล้วเกมทำออกมาได้ในระดับโอเค หากเป็นเกมเมอร์ที่เป็นคอการ์ตูน อยากเล่นเกมไฟต์ติ้งสนุกๆ แบบไม่คิดอะไรมาก เกมนี้ก็อาจเหมาะ ทว่าหากเป็นแฟนเกมที่ชอบบู๊แบบจัดหนักจัดเต็ม เน้นการเล่นแบบใช้เทคนิคแล้วก็อาจจะต้องตัดสินใจดีๆ สิ่งที่เราอาจพอคาดหวังได้ก็คือ Jump Force คล้ายกับเกม J-Stars Victory VS ของ Bandai Namco ที่ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีของนิตยสาร Weekly Shonen Jump เมื่อปี 2014 แล้ว จะเรียกว่าเป็นเวอร์ชันใหม่ของ J-Stars Victory VS ที่ผ่านการปรับปรุงภาพมาแล้วก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะเป็นการรวม All Star เหมือนกัน ระบบการเล่นส่วนใหญ่เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็คล้ายกันมาก อาจคาดหวังได้ในอนาคตว่า Jump Force อาจเจริญรอยตาม J-Stars Victory VS ด้วยการนำตัวละครในเครือที่มีสเกลพลังต่างกัน หรือไม่น่ามีความสามารถในการต่อสู้ และเป็นตัวละครที่ไม่ได้มาจากอนิเมะต่อสู้ อย่าง Ryotsu คุณตำรวจป้อมยาม, Lucky Man หรือแม้กระทั่งไซคิ มางัดกับตัวละครพลังยิ่งใหญ่แบบโงกุน นารูโตะ หรือลูฟี่ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงคงทำให้เกมมีมิติที่แปลกใหม่และแตกต่างจากเกมแนว Fighting อื่นๆ ของค่ายมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีโหมด story เพิ่มเข้ามาอีกก็น่าลุ้นว่าตอนเกมออกมาจริงๆ จะสนุกสมกับที่แฟนๆ รอคอยกันหรือเปล่า ทั้งนี้ทาง Bandai Namco ยังประกาศเปิดตัว 4 ตัวละครใหม่ประจำ Jump Force ที่ดีไซน์โดยคุณ Akira Toriyama โดยตัวละครที่ชื่อ Glover และ Navigator จะเป็นฝ่ายพันธมิตร ส่วน Galena และ Kane จะอยู่ฝั่งศัตรู ทว่ายังไม่มีข้อมูลออกมาแน่ชัดว่าเราจะสามารถเล่นตัวละคร 4 ตัวนี้ได้หรือไม่ หากใครสนใจก็สามารถติดตามข่าวสารกันได้ โดย Jump Force จะจัดจำหน่ายผ่าน PS4, Xbox One และ PC ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019
21 Sep 2018
พรีวิว Kill la Kill the Game
"ภาพลักษณ์น่าตื่นตาแต่มีอะไรให้ทำน้อยเกินไป" นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกเมื่อได้ลองเล่นเกมครั้งแรกในงาน TGS 2018 ในฐานะแฟนอนิเมะ ผมทึ่งกับคุณภาพการดัดแปลงในครั้งนี้มาก ตัวละครและ Ragalias ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแม่นยำและดูเจ๋งเหมือนตอนได้ดูอนิเมะครั้งแรก ภาพเวลาโจมตีและใช้สกิลทำได้เหมือนในอนิเมะ ตัวอักษรคันจิและสีสันบาดตาที่เป็นเอกลักษณ์ของอนิเมะทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ต้องยกความดีให้สตูดิโอ Arc และ Trigger ที่จัดการงานศิลป์ออกมาได้ดีมาก แต่ความดีความชอบด้านงานศิลป์ก็ไม่สามารถชดเชยให้กับเกมเพลย์ที่ยังด้อยอยู่ได้ ในฐานะเกมต่อสู้จากอนิเมะแล้วนี่เป็นเกมที่เรียบง่ายมาก มีปุ่มโจมตีเพียงสองปุ่มเท่านั้น (โจมตีระยะไกล กับโจมตีระยะใกล้) กับอีกหนึ่งปุ่มโจมตีทำลายเกราะ (หรือจะเรียก Parry ก็ได้) เวลาส่วนใหญ่ของผมหมดไปกับการกดปุ่มโจมตีศัตรูเพียงหนึ่งหรือสองปุ่มเท่านั้น คอมโบจะอยู่กับการโจมตีระยะใกล้ แต่สามารถแทรกการโจมตีระยะไกลเข้าไปได้ ก็หวังว่าตัวละครที่มีให้เล่นมากขึ้นตอนเกมออกจะมีการโจมตีหรือท่าต่างๆ ที่หลากหลายกว่านี้ การต่อสู้ในสังเวียนของเกมนี้คล้ายเกมต่อสู้เกมอื่นๆ นั่นคือคุณตายเมื่อพลังชีวิตหมด เกมมีระบบแถบ Power Up ที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อต่อคอมโบได้ แต่สิ่งที่ต่างกันคือแต่ละตัวมีการเพิ่ม Power Up ที่ต่างกัน อย่างเช่น Gamagori จะมีแถบเพิ่มขึ้นมาอีกแถบหนึ่งที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเรา "ทำร้ายตัวเอง" เนื่องจากตัวละครตัวนี้เป็นพวกมาโซคิสม์ชอบความเจ็บปวด จึงได้รับ Power Up เพิ่มขึ้นเมื่อทำร้ายตัวเองจนเจ็บปวดเพียงพอ สิ่งนี้ทำออกมาในเกมได้ดีมาก ตัวละครนี้จะทำร้ายตัวเองในขณะที่สู้กับคุณอยู่เพื่อเพิ่มแถบ Power Up นั้น และใช้ประโยชน์จาก Power Up ที่ได้รับ ความแตกต่างกันระหว่างตัวละครแบบนี้น่าจะสร้างความหลากหลายได้ดีทีเดียว ระบบ Power Up ของเกมนี้สัมพันธ์กับระบบ "ท่าไม้ตาย" ตัวละครที่มีแถบ Power Up มากกว่า 50% จะสามารถใช้ท่าไม้ตายได้ ซึ่งเมื่อกดใช้แล้วผู้เล่นแต่ละคนจะต้องมาเล่นเกม "เป่า ยิ้ง ฉุบ" กัน ถ้าชนะ 3 ครั้ง ผู้เล่นคนนั้นจะใช้ท่าไม้ตายได้ ซึ่งท่าไม้ตายทำภาพออกมาได้สุดยอดมาก แต่ระบบ "เป่า ยิ้ง ฉุบ" นี้ก็เข้ามารบกวนการต่อสู้ที่เรียบง่ายและรวดเร็ว สุดท้ายแล้วระบบนี้เข้ามาทำให้สิ่งที่สุดยอดมากอย่างท่าไม้ตายออกมาง่ายเกินไป โดยรวมแล้ว เราประทับใจกับงานศิลป์ของเกมนี้มาก แต่รู้สึกว่าระบบของเกมเป็นอะไรที่ตื้นเขินแต่สวยงามซึ่งเข้ามารบกวนเกมเพลย์มากเกินไป ก็หวังว่าตัวละครที่หลากหลายจะทำให้เกมมีความสมดุลมากขึ้น
20 Sep 2018
คลิปเกมเพลย์เดโม Mega Man 11 ด่าน Fuse Man จาก TGS 2018
แพลตฟอร์ม​​: PS4, Xbox One, PC, Switch ผู้พัฒนา: Capcom วันวางจำหน่าย: 2 ตุลาคม 2018 ในงาน Tokyo Game Show 2018 รอบพิเศษสำหรับสื่อวันนี้ Capcom ได้เปิดให้เล่น Demo ของ Mega Man 11 ซึ่งมีด่านให้เล่นทั้งหมด 4 ด่าน ซึ่งมากกว่า Demo ที่มีให้โหลดกัน ซึ่งเล่นด่าน Block Man ได้เพียงด่านเดียว ด่านที่เพิ่มเข้ามาได้แก่ด่าน Blast Man, Fuse Man, และ Pile Man สามารถชมคลิปด่าน Fuse Man ซึ่งทีมงาน GameFever ได้ไปทดลองเล่นมาได้ด้านล่าง https://www.youtube.com/watch?v=7fF-C4jKYP4 คลิปด่าน Fuse Man https://www.youtube.com/watch?v=Ka1GVr-4I6Q คลิปสู้บอส Fuse Man ด่าน Fuse Man ค่อนข้างจะง่ายกว่าด่าน Block Man ที่มีให้เล่นกันมากทีเดียว ซึ่งเกิดจากด่านที่มีความเป็นพัซเซิลที่หากเราพลาดจะทำให้เราเสียพลังชีวิต ในขณะที่ด่าน Block Man การพลาดจะเป็นการตกเหวตายไปเลย ส่วนบอสของด่านก็ไม่ยากจนเกินไป  ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะจำการโจมตีได้หลังจากสู้เพียง 1-2 ครั้ง คนที่เคยชินกับการเล่นเกมยากๆ มาในระดับหนึ่งน่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก
20 Sep 2018
พรีวิว: Dragon Quest Builders 2 จากงาน Tokyo Game Show 2018
ถ้าพูดถึงเกมดังจากค่ายผู้พัฒนา Square Enix หนึ่งในเกมยอดฮิตในดวงใจของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นเกมแนว JRPG สุดมันส์อย่าง Dragon Quest ที่เพิ่งออกภาค DRAGON QUEST XI: Echoeds of an Elusive Age เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีเพื่อนๆ หลายคนที่เล่นจบไปแล้ว ต่อไปก็เป็นคิวของเกม Spin-off อย่าง DRAGON QUEST BUILDERS 2 ที่กำลังจะออกในเดือนธันวาคมปีนี้ ทาง GameFever ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมที่งาน Tokyo Game Show 2018 เลยอยากมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้อ่านเป็นออร์เดิร์ฟก่อนเกมออก DRAGON QUEST BUILDERS 2 เป็นเกมพิเศษที่แยกออกมาจากภาคหลัก ทว่าก็ยังคงเนื้อเรื่องหลักพร้อมภารกิจให้ทำ เรียกได้ว่าเป็นเกมลูกผสมระหว่าง JRPG และ Sand box เลยก็ว่าได้ มีหน้าตาทรงลูกบาศก์และระบบการเล่นคล้ายกับเกมดังอย่าง Minecraft ที่จะให้เราออกสำรวจโลก ฟาร์มของ เก็บทรัพยากร และสร้างสรรค์โลกขึ้นมาใหม่ในฐานะ "นักสร้าง" เนื้อเรื่องของ Dragon Quest Builders 2 จะเริ่มต่อจากฉากที่ Shidoh ตัวร้ายจาก Dragon Quest II: Luminaries of the Legendary Line (2530) พ่ายแพ้ให้แก่ผู้กล้า ในขณะที่โลกกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสงบสุขกลุ่ม "Hargon Order" อดีตลูกน้องของบอสตัวแรกๆ ของเกม Hargon ก็พยายามที่จะทำลายโลกอีกครั้ง พร้อมกำจัดเหล่าผู้สร้างที่สามารถกอบกู้อารยธรรมของโลกได้ [caption id="attachment_6017" align="alignnone" width="1280"] Shidoh บอสจาก Dragon Quest II[/caption] โดยเกมก็ละเอียดพอที่จะสร้างบรรยากาศเก่าๆ ให้เราหวนนึกถึง Dragon Quest II ทั้งเพลงตอนเลือกตัวละคร ลักษณะภาพในมินิแมพ รวมไปถึงบอสจากภาคเก่า เรียกได้ว่ารวบรวมความคลาสสิคที่แฟนเกม Dragon Quest จะชื่นชอบไว้อย่างครบครัน เริ่มเกมมาเราจะสามารถเลือกเพศของตัวละครได้ว่าจะเล่นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แตกต่างจาก DRAGON QUEST BUILDERS 1 มีเพลง Love song (Only lonely boy) จากเกมหลักภาค 2 เปิดคลอให้ได้บรรยากาศและความคิดถึงเก่าๆ หลังจากนั้นก็ยังเลือกได้ว่า ตอนเริ่มเกมอยากเริ่มเล่นจากจุดไหนก่อน มีทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน [caption id="attachment_6018" align="alignnone" width="1280"] ผู้กล้าถูกจับโดยกลุ่ม Hargon Order[/caption] แบบแรกคือ การเริ่มเล่นจากตอนที่เราอยู่บนเรือโดยมีเนื้อเรื่องต่อจากตอนจบของ Dragon Quest II (2530) ถือเป็น Tutorial แรกของเกมที่จะสอนเราว่าระบบการเล่นเป็นอย่างไร ตั้งแต่การนอนและกินเพื่อเพิ่มเลือด การต่อสู้แบบมือเปล่า การคราฟท์ของ การเก็บทรัพยากร การต่อสู้กับมอนสเตอร์ รวมไปถึงการยกของ ซึ่งเราจะเรียนรู้ได้จาก Shidoh (Malroth) บอสภาค 2 ที่เป็น NPC อยู่บนเรือคอยป้อนภารกิจที่จะค่อยๆ ทำให้เราชินกับตัวเกม จนเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจบนเรือแล้ว จู่ๆ เรือก็อัปปางเราก็หมดสติไปและตื่นขึ้นมาอยู่บนเกาะที่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัย แบบที่สองคือ การเริ่มจากเราอยู่บนเกาะเลย โหมดนี้จะสอนให้เราเริ่มต้นเก็บทรัพยากร คราฟท์ของ และสร้างบ้าน ผ่าน NPC ต่างๆ ที่จะช่วยสอนระบบการเล่น ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อนที่คอยติดตามเรามาคือบอสจากภาคสอง อย่าง Shidoh ที่มาในร่างเด็กหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำ และได้กลายมาเป็นคู่หูร่วมผจญภัยไปกับเราด้วย ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีฉากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ที่ Shidoh จะกลายมาเป็นบอสในภารกิจสุดท้ายก่อนจบเกมหรือไม่ [caption id="attachment_6016" align="alignnone" width="1280"] ผู้สร้าง และคู่หูบอสเก่า Shidoh[/caption] ด้านกราฟิกทำออกมาได้น่าสนใจมาก ภาพระหว่างเกมสวย ดูสมัยใหม่ ในขณะที่ก็ให้ความรู้สึกคลาสสิคตามแบบฉบับเกมแนว Famicom ผ่านรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างหน้าตาของมินิแมพที่ดูย้อนยุค ลดทอนดีเทลของแผนที่ให้ออกมาในแนวเรโทร นอกจากนี้เมื่อกดปุ่ม touch pad แล้วยังเปลี่ยนมุมมองของมินิแมพให้เป็นมุม Bird eye view ซึ่งก็ใช้สไตล์ที่ย้อนยุค ถูกใจแฟนเกมคลาสสิคแน่นอน   สิ่งที่แตกต่างไปจากภาคก่อนๆ มีดังนี้ น้ำ: น้ำกลายเป็นส่วนสำคัญของเกม ในภาคนี้เราสามารถเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ สร้างภูมิประเทศได้หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโลกใต้น้ำให้เหล่านักสร้าง (Builder) ได้ลงไปสำรวจอีกด้วย EXP:การตีมอนสเตอร์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น เมื่อในภาคนี้ตัวละครของเราสามารถเก็บ Exp ได้จากการฟาร์มมอนสเตอร์ หลอดเลเวลไม่ได้เป็นเลเวลของบ้านเหมือนภาคแรก ทั้งนี้เนื่องจากเราได้ลองเล่นไปแค่ 20 นาทีและยังไม่ได้ไปจนถึงจุดที่สามารถอัพเลเวลได้เยอะๆ เลยยังไม่แน่ใจว่าหลอดเลเวลนี้ส่งผลอย่างไรต่อตัวเกมกันแน่ Builder Point: ภาคนี้มีเกจ Builder Point เพิ่มขึ้นมา โดยทุกครั้งที่เราทำภารกิจเกี่ยวกับการสร้างบ้านสำเร็จ NPC จะแจกหัวใจให้ ซึ่งเราก็ยังไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่าหากเลเวลอัพแล้วจะสามารถทำอะไรได้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่เหมือนกับทั้งเลเวลบ้านและของตอบแทนจากภาคก่อนอย่าง Seed of life แน่นอน ถุงมือยกของ: ภาคนี้เราจะได้เครื่องไม้เครื่องมือมาเพิ่มคือถุงมือวิเศษที่จะช่วยให้เราเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ฟังดูเผินๆ ก็เหมือนจะคล้ายกับภาคแรกที่สามารถยกของได้เลยด้วยมือเปล่า แต่ที่พิเศษกว่าก็คือเราสามารถใช้ถุงมือที่ว่านี่เคลื่อนย้ายดินหรือก้อนหินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาทุบแล้วค่อยขนย้ายให้เสียเวลาเหมือนภาคเก่า ถือว่าเป็นเครื่องทุ่นแรงที่ดีจริงๆ การวิ่ง: ภาคนี้เราสามารถวิ่งได้โดยกด R1 โดยท่าวิ่งจะคล้ายกับท่าวิ่งของอาราเล่ ช่วยลดเวลาในการเคลื่อนย้ายได้มาก ทว่าก็ไม่สามารถใช้ได้ตลอดเพราะเมื่อกดวิ่งจะลดค่า Stamina การนอน: ในภาคก่อนหากเราเลือดลดแล้วต้องการจะฟื้นเลือด เราสามารถนอนได้ซึ่งจะเป็นการผลัดเปลี่ยนวันโดยอัตโนมัติ แต่ภาคนี้การนอนไม่ได้ทำให้เราสามารถข้ามเวลาได้อีกต่อไป เป็นแค่การค่อยๆ เพิ่มเลือดทีละ 2 หน่วยต่อวินาที หากเลือดเต็มแล้ว ตัวละครก็สามารถใช้ชีวิตต่อได้อย่างปกติ จุดนี้น่าจะเป็นเปลี่ยนการดำเนินเรื่องของเกมอยู่พอสมควร เพราะทำให้เราไม่สามารถข้ามตอนกลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาอันตรายไปได้ การคราฟท์: การคราฟท์ของถือเป็นส่วนที่สำคัญมากของเกมแนว Sand box โดยในภาคใหม่นี้ ตัวเกมได้ช่วยลดภาระทำให้การคราฟท์ของง่ายขึ้นอีกเยอะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องแปรรูปทรัพยากรมากเท่าภาคเก่า เช่น หากเราต้องการเชือก เราสามารถฟาร์มจากเถาวัลย์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเก็บใบไม้ไปคราฟท์เป็นเชือกอีกทอด เท่าที่ผู้เขียนได้ลองเล่นเกมมาประมาณ 20 นาที ถือว่า Dragon Quest Builders 2 ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ เหมาะกับแฟนเกมซีรีส์ Dragon Quest ทั้งภาคเก่าและ Builders ที่เคยออกมาแล้ว เพลงและกราฟิกภาพสามารถดึงภาพเก่าๆ ของ Dragon Quest II ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงระบบการเล่นที่ปรับปรุงใหม่ ก็ช่วยลดเวลาและความยุ่งยากไปได้เยอะเลยทีเดียว  
20 Sep 2018
Review | รีวิว Naruto to Boruto: Shinobi Striker เมื่อโลกนินจาน่าอยู่น้อยกว่าที่เคย
แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, Windows (รีวิวบน PS4) แนวเกม: Fighting ผู้พัฒนา: Soleil เวลาที่ใช้เล่นเพื่อรีวิว: 7 ชั่วโมง Naruto to Boruto: Shinobi Striker แหวกแนวเกมไฟท์ติ้งจากมังงะหรืออนิเมะที่ปกติจะตอบสนองความต้องการของผู้เล่นด้วยการให้เราบังคับตัวละครที่เราชื่นชอบ รัวหมัด ละเลงเท้า ปลดปล่อยท่าไม้ตายใส่ตัวละครที่เราหมั่นไส้จากเวอร์ชันต้นฉบับ มาคราวนี้ผู้เล่นอย่างเราจะได้รับบทเป็นนินจาที่เราสร้างขึ้นใหม่ ทั้งชื่อ หน้าตา ทรงผม เครื่องแต่งกาย หรือแม้กระทั่งวิชานินจาที่เลือกใช้ แถมคราวนี้ยังพาเราเข้าทีม 4 คนเพื่อต่อสู้กับทีมฝั่งตรงข้ามอีก 4 คนด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ฟังดูทีเดียวที่คราวนี้เราจะได้เล่นเกมนารูโตะที่ไม่ใช่แค่เพียงอัพเดตกราฟิก อัพเดตตัวละครใหม่เท่านั้น แต่เปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปเลย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามในครั้งนี้กลับทำให้โลกนินจาน่าอยู่น้อยลงกว่าที่เคย [caption id="attachment_5253" align="alignnone" width="1024"] สามารถเลือกนินจาเก่งๆ ที่เราชื่นชอบเป็นอาจารย์ได้[/caption] เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ใครสักคนชื่นชอบในการ์ตูนสักเรื่องหนึ่งก็คือเนื้อเรื่องและตัวละครจากการ์ตูนเรื่องนั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนารูโตะจึงเป็นการ์ตูนในดวงใจหลายๆ คน ทั้งๆ ที่นินจาก็เป็นอะไรที่อยู่คู่กับโลกนี้มานานแล้ว แต่เราไม่เคยมีคาถาอัญเชิญกบยักษ์ ไม่เคยมีหมู่บ้านโคโนะฮะ ไม่เคยมีนินจาขี้แพ้ที่มีจิ้งจอกสถิตอยู่ในร่างอย่างนารูโตะ คาถาและวิชานินจาหลายๆ อย่างยังอยู่ในเกมนี้ แต่ตัวละครที่เรารักกลับกลายเป็นเพียง NPC ที่คอยให้เควสต์ เป็นเพื่อนร่วมปาร์ตี้ หรือเป็นศัตรูเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เกมนี้น่าสนใจน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เพราะเราได้เพียงแค่บังคับตัวละครที่เราไม่มีความผูกพันอะไรมาก่อนหน้านี้เลย ลองนึกภาพเกมสไปเดอร์-แมนที่เราไม่ได้เล่นเป็นพระเอกหนุ่มปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ แต่กลับได้รับบทเป็นหนุ่มน้อยที่มีคุณลุงปีเตอร์คอยเป็นเทรนเนอร์ให้แทน ความรู้สึกของการเล่นเกมนารูโตะแล้วไม่ได้บังคับนารูโตะก็เป็นอะไรประมาณนั้น อย่างที่บอกไปว่าเนื้อเรื่องและตัวละครเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การ์ตูนสักเรื่องสนุก ในเมื่อเกมจากการ์ตูนเกมนี้ทำให้เราผิดหวังกับตัวละครไปแล้ว สิ่งที่น่าจะหวังได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อเรื่อง ซึ่งเนื้อเรื่องของเกมนี้นั้นคือการที่เราได้รับบทเป็นนินจาฝึกหัดที่ต้องการจะเป็นนินจาที่เก่งกาจ ซึ่งเราทำเช่นนั้นด้วยการเข้าต่อสู้ในโปรแกรม VR จำลองเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นั่นหมายความว่าเกมนี้แทบไม่มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองเลย แถมระบบอย่างหนึ่งของเกมนี้ก็คือการเลือกอาจารย์ที่จะช่วยเราต่อสู้และมอบวิชานินจาให้เราเมื่อระดับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น แต่อาจารย์ที่ว่าก็เป็นเพียง VR จำลองอาจารย์อีกเช่นกัน ซึ่งส่งผลอย่างมากในเรื่องความรู้สึก เพราะกลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วเราแทบไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวละครในเวอร์ชันต้นฉบับเลย [caption id="attachment_5254" align="alignnone" width="1024"] ใช้คาถาพ่นไฟ[/caption] เกมเปลี่ยนรูปแบบจากเกมไฟท์ติ้งที่ต่อสู้กันในฉากแคบๆ และเน้นการวัดฝีมือ ทำคอมโบ เพื่อจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว มาเป็นการต่อสู้ในฉากกว้างๆ ที่ใช้ปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มแทน เกมมีลูกเล่นอย่างการให้เราเลือกประเภทของวิชานินจาที่เราใช้ ซึ่งได้แก่ Attack, Range, Defense, และ Heal ซึ่งมีคาถาและอาวุธที่ใช้ได้ รวมถึงวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันตามชื่อประเภทวิชานั่นเอง ถ้าเป็น Attack ก็เน้นโจมตีระยะใกล้ ใช้คาถาโจมตีอย่างกระสุนวงจักร แต่ถ้าเป็น Range ก็จะโจมตีไกลขึ้นหน่อย และใช้คาถาอย่างคาถาพ่นไฟเป็นต้น ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ได้อย่างอิสระ จะเป็นนินจาที่ใช้ทั้งพันปักษา ทั้งคาถาเชิญงูก็ได้ ไม่ว่ากัน แม้จะมีระบบการปรับแต่งที่น่าสนใจ แต่เพราะเกมไปเน้นการเล่นเป็นทีม เน้นโหมดต่างๆ อย่างโหมดชิงธง โหมดยึดฐาน เลยทำให้ความสนุกในการต่อสู้วัดฝีมือกันหายไปเยอะ พอเกมไปเน้นระบบเล่นเป็นทีมที่ให้ความสำคัญกับการเก็บคะแนน เลยทำให้ตัวละครเราตายง่ายมากๆ ต้องไปเน้นการหลบ การป้องกันแทน ช่วงแรกๆ ที่ยังปรับตัวไม่ทันนี่พอเล่นคนเดียวก็รู้สึกว่าเกมง่ายเกินไป แต่พอเล่นหลายคนเจอกับผู้เล่นเก่งๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างดูมั่วซั่วไปหมด ไม่ทันไรก็ตายซะแล้ว ซึ่งเกมไฟท์ติ้งที่สนุกจริงๆ ควรจะให้เราได้มีโอกาสอัดกันให้สนุกกว่านี้ แน่นอนว่า Naruto to Boruto: Shinobi Striker ไม่ใช่เกมไฟท์ติ้งเต็มรูปแบบ แต่สิ่งที่เกมอยากจะเป็นจริงๆ ก็ไม่ได้ทำได้สนุกขนาดนั้น เหมือนกับว่าเกมไปไม่สุดสักทาง จะเป็นเกมไฟท์ติ้งอัดกันอย่างสะใจก็ไม่ใช่ จะเป็นเกมที่เน้นโหมดเล่นเป็นทีมก็สู้โหมดนี้ในเกม Shooting ไม่ได้อีก [caption id="attachment_5255" align="alignnone" width="1024"] เลือกสร้างนินจาในแบบของตัวเองได้ตามใจ[/caption] ถ้าไม่นับโหมดผู้เล่นหลายคนที่ตอนนี้มีให้เล่นแค่ 2 โหมดจากทั้งหมด 4 โหมด ที่เหลือก็เป็นโหมดภารกิจ VR ที่เราสามารถเลือกทำคนเดียวหรือชวนเพื่อนมาทำแบบออนไลน์ได้ ภารกิจแบ่งเป็น Rank ตามระดับความยาก เป็นภารกิจ VR จำลองภารกิจที่เกิดขึ้นในการ์ตูนต้นฉบับ อย่างเช่น ชิงกระดิ่งจากคาคาชิ หรือสืบหาข้อมูลเพน ซึ่งก็ยังใช้ระบบการต่อสู้ป้องกันฐาน ยึดฐาน ปราบศัตรูตามที่กำหนด หรือวิ่งเก็บของตามทาง ไม่ได้น่าสนใจเป็นพิเศษ จะตื่นเต้นหน่อยก็ตอนที่ได้สู้กับบอสตัวใหญ่ๆ อย่างเก้าหาง แปดหาง ตอนแรกดูๆ ไปก็เหมือนจะมีภารกิจให้ทำเยอะอยู่ แม้จะดูซ้ำซากไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีเนื้อเรื่องกำกับนิดหน่อย เปลี่ยนหน้าตาศัตรูก็ยังพอให้สนุกอยู่บ้าง และในตอนแรกดูจากรายชื่อภารกิจที่ยังไม่ปลดล็อคแล้วก็คิดว่าน่าจะมีภารกิจให้ทำมากมายทีเดียว แต่อยู่ดีๆ เกมก็ขึ้นเครดิตจบขึ้นมาเฉยๆ ทำเอาไม่ทันตั้งตัวไม่คิดว่าเกมนี้จะมีฉากจบด้วย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังฉากจบก็คือ ภารกิจเกือบทุกภารกิจในทุก Rank จะปลดล็อคให้เรา ซึ่งผู้เล่นก็จะพบว่าเป็นภารกิจซ้ำๆ ที่เพิ่มระดับความยากเท่านั้นเอง! หลังจากเครดิตขึ้นแล้วทำให้พบว่าตัวเกมจริงๆ แทบไม่ได้มีอะไรให้เราทำเลย มีโหมดภารกิจที่ให้ทำภารกิจซ้ำๆ โหมดผู้เล่นหลายคนที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ต่างกันขนาดนั้น 4 โหมด และนอกนั้นก็เป็นการเก็บของ เก็บคาถา แต่งตัวละคร หมู่บ้านโคโนะฮะก็เป็นเพียงลานแคบๆ ที่เอาไว้รับภารกิจ เอาไว้เป็น Lobby รอเล่นกับคนอื่นเท่านั้นเอง [caption id="attachment_5257" align="alignnone" width="1024"] หมู่บ้านโคโนะฮะ[/caption] [penci_review id="5180"]
08 Sep 2018
Review | รีวิวเกม Marvels Spider-man (PS4)
แนวเกม: Action-Adventure ผู้พัฒนา: Insomniac Games แพลตฟอร์ม: PlayStation 4 เวลาเล่น: ประมาณ 20 ชั่วโมง (รีวิวบน PS4 Pro – ขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony ด้วยครับ) คำเตือน: รีวิวฉบับนี้อาจมีสปอยระบบการเล่นเล็กน้อย แต่ไม่สปอยเนื้อเรื่องแน่นอน (ภาพส่วนใหญ่มาจากเกมเพลย์สามชั่วโมงแรกของเกมและ/หรือเทรลเลอร์ที่ผู้พัฒนาเคยปล่อย เพื่อหลีกเลี่ยงสปอยให้มากที่สุด) ข้อดี ระบบเกมเพลย์การต่อสู้ + โหนใยสนุกมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Spider-man จริงๆ กราฟิค (ส่วนใหญ่) สวยมาก ระบบการพัฒนาตัวละครเข้าใจง่าย กิจกรรมเสริมเพลิดเพลิน ไม่รู้สึกเสียเวลา ฉากคัตซีนหลายๆ ฉากออกแบบมาได้มันส์สุดๆ ข้อเสีย เนื้อเรื่องเล่าช้า ต้องเล่นไปซักพักใหญ่ๆ กว่าจะเริ่มสนุก เกมเพลย์ส่วนที่เล่นเป็นตัวละครอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Spider-man ทำให้รู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะ ภารกิจย่อยไม่ค่อยน่าสนใจ ในหลายๆ แง่สไปเดอร์แมนก็มีความคล้ายกับแบ๊ทแมนของค่าย DC ตรงที่เป็นตัวละครที่ใครๆ ก็รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นแฟนการ์ตูนหรือไม่ก็ตาม ทั้งสองตัวละครยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของค่ายการ์ตูนของตัวเองด้วย ในขณะที่แบ๊ทแมนเป็นตัวละครที่สื่อถึงความมืดมนต์และซีเรียสของจักรวาล DC สไปเดอร์แมนก็เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของความร่าเริงติดตลกของจักรวาลมาร์เวล (อย่างน้อยเมื่อเทียบกับ DC) การเปรียบเทียบนี้ยังคงใช้ได้กับเกม Marvels Spider-man ด้วย เกมที่สามารถบรรยายง่ายๆ ในประโยคเดียวว่า เกม Batman: Arkham ฉบับมาร์เวล ที่สามารถแปลงประสบการณ์ของการเป็นไอ้แมงมุมโหนตึกออกมาในรูปแบบวีดีโอเกมได้แทบจะสมบูรณ์แบบพอๆ กับที่ Batman: Arkham สามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแบ๊ทแมนจริงๆ ด้วยระบบการเล่นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาอย่างชัดเจน (มีฉากนึงเต็มๆ ที่แทบจะลอกแบบกันมาเลย) แต่เปลี่ยนให้สดใสมีชีวิตชีวาในแบบฉบับของมาร์เวล ข้อเสียใหญ่ที่สุดของเกมเพียงหนึ่งเดียวคงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอ แถมยังเดาง่ายตามสูตรหนังมาร์เวลแทบทุกอย่าง ทำให้เกมยังไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับ Batman: Arkham ได้ แต่ Marvels Spider-man ก็ยังคงเป็นเกม Open-World ที่ครบเครื่องและน่าจะถูกใจคนที่ชอบเกมแนว Action-Adventure ทุกคน โดยเฉพาะแฟนๆ ตัวยงของสไปเดอร์แมน เนื้อเรื่อง เกม Marvels Spider-man จะให้เรารับบทเป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (หรือสไปเดอร์แมนนั่นแหละ) ในวัย 23 ปี ซึ่งต้องต่อกรกับทั้งปัญหาในการงานและชีวิตส่วนตัว พร้อมกับรับมือกลุ่มโจรกลุ่มใหม่หรือแก๊ง Demons นำโดยตัวร้าย Mister Negative ที่ฉวยโอกาศที่เจ้าพ่อคนเก่าอย่าง King Pin โดนจับกุมเพื่อเข้ายึดเมืองนิวยอร์คตามจุดประสงค์ลึกลับบางอย่าง ถ้ามองโดยรวมๆ แล้วเนื้อเรื่องของเกม Marvels Spider-man ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ จริงๆ ค่อนข้างจะมีความเป็นหนังมาร์เวลอยู่สูงมากๆ เลยด้วยซ้ำ ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะมองว่าเป็นข้อดี แต่ปัญหาอย่างนึงคือเมื่อนำเนื้อเรื่องตามสูตรหนังมาร์เวลมายืดให้เข้ากับเกมความยาว 20 ชั่วโมงแล้ว สิ่งที่ได้คือความช้าในการดำเนินเรื่อง โดยเฉพาะในฉากที่เกมพยายามจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างปีเตอร์และตัวละครอื่นๆ อย่างป้าเมย์ซึ่งไม่ค่อยน่าสนใจ อีกข้อเสียหนึ่งของหนังมาร์เวลหลายๆ เรื่องคือการเล่าไม่หมด/ไม่ครบเพราะมีเรื่องต้องเล่ามากเกินไป การที่เกมพยายามจะผูกเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของปีเตอร์เข้ากับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้เกมต้องใช้เวลาในการค่อยๆ เล่าความสัมพันธ์ระหว่างปีเตอร์และตัวละครอื่นๆ ซึ่งในบางครั้งก็อดรู้สึกว่าเป็นการขัดจังหวะการเล่นของเกมได้เหมือนกัน (ตะกี้ยังสู้กันมันส์ๆ จู่ๆ ก็ตัดเข้าคัตซีนเอื่อยๆ เฉ้ย) ปัญหานี้มักจะพบเจอบ่อยที่สุดในช่วงต้นเกมที่กำลังปูเนื้อเรื่อง กว่าจะปูเสร็จและเข้าสู่ช่วงที่น่าตื่นเต้นจริงๆ อย่างฉากที่เหล่าตัวร้ายต่างๆ เช่น Electro, Rhino, Scorpian และอื่นๆ พากันแหกคุก (เหมือนในวีดีโอเกมเพลย์ที่ผู้พัฒนาเคยปล่อยออกมา) ก็ปาเข้าไป 2/3 ของเกมแล้ว (เล่นไปแล้วเกิน 10 ชม.) ทำให้ช่วงต้นของเกมรู้สึกว่าเล่าช้า แต่ช่วงท้ายเกมกลับรู้สึกว่ารีบเล่าเหลือเกิน เหล่าแก๊งตัวร้ายมีบทนิดเดียวช่วงก่อนจบเกมเท่านั้น และทำให้ตอนจบซึ่งพยายามจะดึงอารมณ์ผู้เล่นไม่สำเร็จอีกด้วย เพราะปูทุกอย่างจนไม่มีเวลาพัฒนาตัวละครอย่างเป็นจริงเป็นจัง ผู้พัฒนาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าพยายามจะให้ความสำคัญกับทั้งสไปเดอร์แมนและปีเตอร์ให้เท่าๆ กันในเกมภาคนี้ แต่กลับไม่สามารถทำให้เรื่องของปีเตอร์น่าสนใจได้เท่าเรื่องของสไปเดอร์แมนเลยแม้จะมีความสัมพันธ์กันโดยตรงก็ตาม ซึ่งจุดนี้เป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกมไม่สามารถเทียบเท่า Batman: Arkham ได้ เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปด้านบน เกม Marvels Spider-man มีความคล้ายคลึงกับเกม Batman: Arkham หลายจุด ซึ่งส่วนที่เปรียบเทียบได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นระบบต่อสู้ ที่เน้นการทำคอมโบและสวนการโจมตีของศัตรูไปพร้อมๆ กันเมื่อเห็นสัญลักษณ์ขึ้นบนหัว ควบคู่ไปกับการใช้อุปกรณ์ Gadget ต่างๆ ไปด้วย ที่แตกต่างกันก็คือในขณะที่แบ๊ทแมนเป็นปรมจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่สามารถยืนเฉยๆ แล้วรอสวนการโจมตีของศัตรูได้ สไปเดอร์แมนเป็นฮีโร่ที่เน้นใช้ความว่องไวเป็นหลัก ทำให้การเคาน์เตอร์ศัตรูในเกม Batman: Arkham เปลี่ยนไปเป็นการตีลังกาหลบการโจมตีแทน พูดง่ายๆ ก็คือการต่อสู้ในเกม Marvels Spider-man จะเร็วกว่า และอาศัยการเคลื่อนที่ของตัวละครมากกว่าใน Batman: Arkham มาก และในบางครั้งก็ท้าทายกว่าเพราะการกระโดดหลบไม่ได้รับประกันว่าเราจะไม่ได้รับความเสียหาย เราอาจจะกระโดดหลบหมัดศัตรูตัวหนึ่งไปโดนหมัดของอีกตัวหนึ่งแทนได้ แต่เมื่อเล่นจนคล่องแล้วทำให้การต่อสู้ทุกครั้งดูเหมือนฉากบู๊ในหนังมาร์เวลที่ถูกจัดฉากมาแล้วอย่างดีอีกด้วย ดูยังไงก็ไม่เบื่อเลย แต่นอกนั้นก็ค่อนข้างคล้ายๆ กันหมด เช่นชนิดและความสามารถของศัตรูที่แทบจะลอกกันมาเลย มีศัตรูถืออาวุธที่ไม่สามารถโจมตีซึ่งๆ หน้าได้ ศัตรูตัวใหญ่ที่ต้องสตันซะก่อนถึงจะโจมตีได้ ศัตรูถือโล่ห์ที่ต้องลอบไปโจมตีจากด้านหลัง เป็นต้น โดยศัตรูบางชนิดจะมีความสามารถพิเศษเพิ่มเข้ามาตามฝ่ายของศัตรูนั้นๆ เช่นศัตรูถืออาวุธของฝั่ง Demon จะสามารถปล่อยคลื่นพลังใส่เราได้ ในขณะที่ศัตรูของฝ่ายกองกำลัง Sable จะเน้นใช้ปืนและเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งก็ทำให้การต่อสู้ในเกมตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะนอกจากจะต้องคอยหลบการโจมตีธรรมดาๆ แล้วยังต้องคอยคำนึงถึงชนิดของศัตรูและวิธีการรับมือไปพร้อมๆ กันตลอดเวลา ภารกิจเนื้อเรื่องของ Marvels Spider-man ถือเป็นจุดเด่นของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะออกแบบมาให้เล่นสนุกแทบจะทุกภารกิจอย่างละเอียดเลยทีเดียว แถมยังผสมผสานการเล่นทั้งการต่อสู้ Stealth และการเคลื่อนที่ (โหนใย) เอาไว้ด้วยกัน ในขณะที่ภารกิจเสริมส่วนใหญ่ของเกมกลับไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ หลายๆ เควสดูจะแค่ให้เราเดินทางไปที่แห่งนึงและต่อสู้กับศัตรูเป็นกลุ่มเฉยๆ ไม่ได้มีภารกิจที่เนื้อเรื่องพิศดารหรือมีวิธีเล่นพิเศษอะไร (นอกจากภารกิจเสริมชุดนึงที่ให้เราต่อสู้กับตัวร้ายจากการ์ตูนตัวนึง) เมื่อผ่านภารกิจหรือการต่อสู้ เราจะได้รับ EXP จำนวนหนึ่งเพื่ออัพเลเวล ซึ่งทุกครั้งที่อัพเลเวลใหม่เราจะได้รับสกิลพ้อยหนึ่งแต้ม เอาไว้อัพเกรดความสามารถของตัวละคร เช่นการใช้ใยกระชากอาวุธออกจากมือศัตรู หรือความสามารถในการยิงใยสวนการโจมตีของศัตรูเมื่อกดหลบถูกจังหวะ ระบบนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แถมเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ จะสามารถปลดล๊อคสกิลพ้อยพอสำหรับการปลดล๊อคสกิลทั้งหมดอยู่ดี จึงถือว่าเป็นระบบที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ไม่ต้องพะวงว่าจะอัพสกิลผิด ในระหว่างภารกิจ เราจะสามารถเดินทางไปมาในเกาะ Manhattan ของนครนิวยอร์คได้อย่างอิสระเพื่อทำกิจกรรมยิบย่อยต่างๆ ในแผนที่ เมื่อทำสำเร็จจะได้ Token มาพัฒนาอุปกรณ์เสริมและปลดล๊อคชุดของตัวละคร เช่นการเก็บกระเป๋าสะพายที่ปีเตอร์ซ่อนไว้ตามเมืองในวัยเด็ก หรือการปราบอาชญกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองแบบแรนด้อม โดยกิจกรรมแต่ละชนิดจะให้ Token ตามชนิดของกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งการอัพเกรดหรือปลดล๊อคชุดจะใช้ Token หลายๆ ชนิดผสมกันจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นเดินทางและสำรวจกิจกรรมทุกชนิดในเมืองตลอดเวลา กิจกรรมต่างๆ จะถูกเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เมื่อเราปลดล๊อคเสาสัญญาณในพื้นที่เพื่อเปิดแผนที่ ไม่ค่อยต่างจากการปีนหอคอยใน Assassins Creed อาจจะเป็นระบบที่หลายๆ คนไม่ค่อยชอบในเกมอื่นๆ แต่ใน Marvels Spider-man กลับไม่ได้แย่ขนาดนั้นเพราะการโหนใยไปมาในเมืองสนุกมาก! ผู้เล่นสามารถโหนใยโดยอัตโนมัติด้วยการกดปุ่ม R2 ค้างเอาไว้ ผสมผสานกับการพุ่งหรือเหวี่ยงตัวไปข้างหน้าด้วยปุ่ม X ซึ่งการโหนใยจะอิงตามฟิสิกส์ของโลกจริง หมายความว่าสไปเดอร์แมนต้องยิงใยไปติดกับตึกจริงๆ จึงจะสามารถโหนใยได้ แม้จะทำให้เกิดปัญหาบ้างในบางพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีตึกให้โหน แต่ระบบนี้ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้การโหนใยรู้สึกสมจริงมากขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนโหนใยจริงๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนตัวเองรับบทเป็นไอ้แมงมุมอยู่นั่นเอง จุดอ่อนในเรื่องของเกมเพลย์คงจะเป็นฉากเนื้อเรื่องบางช่วงที่ให้เรารับบทเป็นตัวละครอื่นๆ อย่าง Mary Jane (แฟนของปีเตอร์) ซึ่งฉากเหล่านี้ส่วนใหญ่จะให้ผู้เล่นต้องหลบหลีกศัตรูตามฉากแบบ Stealth และจะแพ้ทันทีถ้าโดนศัตรูพบเข้า แม้ว่าฉากเหล่านี้จะไม่ได้ยากเย็นหรือผ่านยากแต่อย่างใด แต่ก็น่ารำคาญอยู่ดีเวลาที่จู่ๆ ก็แพ้เพราะศัตรูตรงมุมห้องที่เราไม่เห็นดันเห็นเราเข้าจากอีกฝากห้อง ทำให้ต้องเริ่มเล่นฉากนั้นๆ ใหม่แต่ต้น ที่สำคัญคือภารกิจเหล่านี้มักถูกแทรกมาในภารกิจเนื้อเรื่อง ทำให้บางทีก็รู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะเพราะกำลังต่อสู้อยู่มันส์ๆ เนื้อเรื่องกำลังถึงจุดน่าตื่นเต้น แต่ดันถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเล่นเกม Stealth แบบช้าๆ ซะงั้น แต่จะไม่มีก็ไม่ได้เพราะฉากเหล่านี้กลับสำคัญต่อเกมเพราะเป็นการเล่าถึงตัวละครรอบๆ ตัวปีเตอร์ตามเจตนาของผู้พัฒนา แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะดีกว่าถ้าไม่มีฉากแบบนี้เช่นกันเพราะจะทำให้เกมดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า กราฟิค/การนำเสนอ เกมจะโดนดาว์นเกรดจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ผู้เขียนมองว่ากราฟิคของเกมนี้ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากอยู่แล้วโดยเฉพาะในฉากคัตซีน ซึ่งมีรายละเอียดทั้งในเรื่องของสิ่งของในฉากและสีหน้าท่าทางตัวละครหลักดีมากๆ แถมเกมยังรันอย่างลื่นไหลตลอด แทบไม่ประสบปัญหาเฟรมตกเลยทั้งระหว่างการโหนใยในเมืองและการต่อสู้ เมื่อคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ และความเร็วของเกมแล้วจึงค่อนข้างน่าทึ่งที่เกมสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดเลยได้ขนาดนี้ สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือรายละเอียดบนชุดต่างๆ ของสไปเดอร์แมนที่ผู้เล่นสามารถปลดล๊อคได้ในเกมที่มีเกือบ 30 ชุด แถมชุดที่เราเลือกใส่จะแสดงในหน้าจอการโหลดและในฉากคัตซีนทั้งหมดอีกด้วย ทำให้เราสามารถเลือกเล่นเป็นสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นโปรดของตัวเองได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเกมเลย ชุดต่างๆ ยังปลดล๊อคท่าพิเศษใหม่ๆ ประจำชุดด้วย (สามารถเลือกพลังพิเศษแยกกับชุดได้) จึงส่งผลต่อการเล่นมากกว่าแค่เป็นสกินตัวละครอย่างเดียว เมืองนิวยอร์คของเกมก็สมควรได้รับคำชม เป็นเมืองที่ดูมีชีวิตชีวาไม่ต่างกับเมืองจริงๆ มีผู้คนและรถเดินไปมาตลอดเวลาด้วย แถมเมืองยังมีความหลากหลายในรูปลักษณ์ของตึกพอสมควร แต่ละเขตของเมืองก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเขต Harlem ซึ่งเป็นเขตที่ผู้คนมักมีรายได้ต่ำ ก็จะมีลักษณะเป็นโรงงานหรือตึกเตี้ยๆ โทรมๆ ซะเยอะ ในขณะที่เขตใจกลางเมืองอย่าง Times Square หรือเขตคนรวยอย่าง Financial District ก็จะมีผู้คนหนาตากว่า มีตึกสูงสวยๆ ให้โหนได้เยอะกว่า เป็นต้น ที่อาจจะทำได้ไม่ค่อยดีคือกราฟิคหน้าตาของตัวละครย่อยๆ ที่นอกจากจะไม่ค่อยมีรายละเอียดแล้ว ตัวละครย่อยหลายๆ ตัวไม่ขยับปากด้วยซ้ำเวลาพูด แถมท่าทางก็เก้งก้างไม่เหมือนตัวละครหลักๆ อย่างชัดเจน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้อด้อยเล็กๆ ที่หลายๆ คนอาจจะไม่สังเกติด้วยซ้ำ แต่ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ถ้าปรับปรุงแล้วจะทำให้เกมดูมีชีวิตขึ้นกว่าเดิมมากๆ สรุป Marvels Spider-man ถือเป็นเกม Action Open-world ที่สนุกตามสูตรของเกมแนวนี้ทุกอย่าง ด้วยระบบการต่อสู้และการเดินทางที่ยอดเยี่ยมและกิจกรรมต่างๆ ในแผนที่อันกว้างและละเอียด ซึ่งเยอะและส่งผลต่อตัวละครโดยตรงทำให้รู้สึกเหมือนเกมมีอะไรให้เราทำตลอดเวลา ข้อเสียอย่างเดียวคือเนื้อเรื่อง ที่ดูจะครึ่งๆ กลางๆ อยู่ระหว่างการเล่าชีวิตของปีเตอร์และการเล่าเรื่องซุปเปอร์ฮีโร่สไตล์มาร์เวล แต่ก็ไม่ถึงกับไม่สนุกหรือน่าเบื่อไปเลย แฟนๆ เกมแอคชั่นและ/หรือ Open-World น่าจะชอบ ส่วนสำหรับแฟนๆ ซุปเปอร์ฮีโร่หรือแฟนๆ สไปเดอร์แมน นี่ถือเป็นเกมสำหรับคุณโดยเฉพาะเลย [penci_review id="4861"]
04 Sep 2018
Review | รีวิว Little Dragons Café
แพลตฟอร์ม: PS4 (เวอร์ชันที่ใช้รีวิว), Switch แนวเกม: Strategy เวลาที่ใช้เล่นเพื่อรีวิว: 12 ชั่วโมง ผมเห็นเทรลเลอร์ Little Dragons Café เมื่อหลายเดือนก่อน แล้วก็เก็บเกมนี้ไว้ในซอกหลืบความทรงจำแบบไม่ไยดี จนเมื่อได้รับรู้ว่านี่คือเกมจากผู้สร้าง Harvest Moon เกมที่สร้างรอยยิ้มให้กับวันหยุดปิดเทอมหลายต่อหลายครั้ง จึงตัดสินใจควักกระเป๋าสตางค์ พาแผ่นเกมเลี้ยงมังกรผสมบริหารคาเฟ่ออกจากร้านขายแผ่นเกม ใส่เข้าเครื่อง PlayStaion 4 เพื่อเตรียมพบเกมที่จริงๆ แล้วรวมความชอบในวัยเด็กของตัวเองไว้ ทั้งการปลูกผักและความชื่นชอบในมังกร [caption id="attachment_4010" align="alignnone" width="1024"] ตัวใหญ่เกินไปเข้ามาข้างในไม่ได้แล้วสินะ[/caption] เนื้อเรื่องของ Little Dragons Café เกิดขึ้นในคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่งในเกาะที่เต็มไปด้วยสัตว์หน้าตาประหลาด (ซึ่งนับเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกว่าไก่ที่ธรรมชาติออกแบบมาน่ารักกว่าไก่ที่อยู่ในเกม) เราจะได้รับบทเป็นหนึ่งในตัวละครสองพี่น้องหญิงหรือชายแล้วแต่เราจะเลือก ตัวละครที่เราไม่ได้เลือกจะกลายเป็นผู้ช่วยเราแทน นอกจากสองพี่น้องแล้วก็มีคุณแม่ที่จะสอนให้เราเรียนรู้ชีวิตในคาเฟ่ ตั้งแต่การออกไปเก็บของป่า เก็บไก่เพื่อเอาไว้ไข่ ตกปลา ทำอาหาร รับออเดอร์ลูกค้า ล้างจาน ก่อนที่อยู่ๆ คุณแม่ของเราก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา พร้อมกับมีตาลุงประหลาดปรากฏตัวออกมา แล้วมอบไข่มังกรให้ บอกให้เราเลี้ยงดูเจ้ามังกรน้อยให้เติบโต เพื่อช่วยคุณแม่ให้ฟื้นจากการหลับใหล [caption id="attachment_4016" align="alignnone" width="1024"] จะเลือกทำเมนูไหนดีน้า[/caption] เราจะต้องคอยบริหารคาเฟ่ สร้างชื่อเสียง ทำเมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อชวนลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา และลูกค้าบางคนจะมาพร้อมกับปัญหาของตัวเอง ซึ่งเราจะต้องช่วยคลี่คลาย ก่อนที่ลูกค้าบางคนจะกลายมาเป็นผู้ช่วยอีกคนหนึ่งของร้านเราในที่สุด ซึ่งนี่คือระบบการเล่าเรื่องของเกมนี้ ผ่านตัวละครต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในคาเฟ่ ซึ่งการจะปลดล็อกให้ตัวละครเหล่านั้นเข้ามาที่คาเฟ่ของเราและผ่านเนื้อเรื่องของตัวละครนั้นก็คือการทำตามเงื่อนไขที่เกมบอกไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วมีไม่กี่อย่าง นั่นคือทำให้ชื่อเสียงของคาเฟ่เพิ่มขึ้น ทำอาหารตามเมนูที่บอก และการนอนหลับตื่นขึ้นมาเพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อ ซึ่งการนอนดูจะเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดจนมีอยู่หลายวันที่ตัวละครตื่นขึ้นมาแล้วทางเลือกที่ดีที่สุดถ้าต้องการผ่านเนื้อเรื่องก็คือนอนต่อแบบข้ามวันเลย ระบบของเกมมีไม่มาก และทุกอย่างเป็นไปอย่างผิวเผิน แม้จะเป็นเกมจากผู้สร้างเกมปลูกผักแต่องค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมที่มีอายุหลายสิบปีกลับไม่ได้อยู่ในเกมนี้ การหาวัตถุดิบเกือบทั้งหมดของเราจะมาจากการเก็บ ไม่ใช่การปลูก ซึ่งจริงๆ แล้วกับของป่ายังพอเข้าใจได้ แต่แม้แต่แปลงผักข้างบ้านเราเองก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ โตของมันเองและรอเวลาให้เราไปเก็บเกี่ยว อยากได้ไข่ก็ไปจับนกไข่ (Egg Bird) มาไว้ แล้วมันจะออกไข่ให้เราเอง ระบบการหาวัตถุดิบของเกมนี้จึงเป็นการวิ่งวนเก็บของซ้ำๆ ใครขยันวิ่งหน่อยก็ได้วัตถุดิบเยอะขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำอย่างนั้น ลำพังอาหารไม่กี่เมนูก็สามารถพาคาเฟ่ของเราชื่อเสียงเพิ่มขึ้นมากพอจนผ่านเนื้อเรื่องได้ [caption id="attachment_4011" align="alignnone" width="1024"] ซ้าย ขวา ซ้าย หั่น ฉับ ฉับ[/caption] การทำอาหารเราจะต้องมีเมนูอาหารชนิดนั้นก่อน ซึ่งได้จากการเก็บชิ้นส่วนสูตรอาหารที่อาจได้มาจากการคุยกับผู้คน ได้มาตามเนื้อเรื่อง หรือเก็บเอาตามทาง จากนั้นเวลาทำอาหารเราจะได้เลือกส่วนผสม ก่อนที่เกมจะตัดเข้ามินิเกมเล็กๆ ให้กดปุ่มตามจังหวะ คล้ายๆ กับเกมดนตรี ซึ่งหากกดไม่พลาดเลยอาหารก็จะออกมามีคุณภาพดีที่สุด นอกจากนี้เรายังมีอิสระในการเลือกส่วนผสมที่นำมาใช้ได้บ้าง ส่วนผสมที่มีระดับดีขึ้นก็จะส่งผลให้อาหารออกมาดีขึ้นตาม แต่ทั้งมินิเกมที่ว่าและการเลือกส่วนผสมก็กลายเป็นสิ่งที่ซ้ำซากไปในภายหลัง การที่ต้องมากดปุ่มทุกๆ ครั้งเวลาทำอาหารให้มังกรกินกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ และเนื่องจากเกมไม่ได้มีความท้าทายขนาดนั้น การมีอาหารที่คุณภาพดีขึ้นก็กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น [caption id="attachment_4012" align="alignnone" width="1024"] อาหารมาเสิร์ฟแล้วคร้าบบบ[/caption] ในส่วนของการบริหารคาเฟ่เราสามารถเลือกเมนูประจำคาเฟ่ได้จากอาหารที่เราเคยทำ เมนูที่ดีก็จะสร้างความพอใจให้ลูกค้ามากขึ้น รวมถึงคอยเปลี่ยนเอาเมนูที่อาจมีวัตถุดิบไม่พอทำออก แต่อย่างที่บอกไปว่าคุณภาพอาหารไม่ได้มีผลกับการผ่านเกมขนาดนั้น การบริหารคาเฟ่ในส่วนนี้จึงไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไหร่ สิ่งที่มีผลกับความพอใจของลูกค้ามากกว่าก็คือการช่วยงานในร้าน รับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร และล้างจานให้ทันท่วงที และทั้งหมดกลับมาที่การกดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มเหมือนกับการเดินเก็บวัตถุดิบนั่นเอง และการรับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร หรือหยิบจานไปล้าง เราจะต้องถือทีละจาน รับทีละออเดอร์เท่านั้น งานในส่วนนี้จึงกลายเป็นความน่าเบื่ออย่างรวดเร็ว ถ้าเด็กๆ เล่นเกมนี้แล้วเอาตัวอย่างการหยิบจานไปล้างทีละจานทั้งๆ ที่มีจานกองอยู่ที่โต๊ะตั้งสามจาน ไม่นานก็คงกลายเป็นเด็กๆ ที่ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับการล้างจานแน่ๆ และนั่นคือทั้งหมดของการบริหารคาเฟ่ ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านั้น แม้แต่การขยับขยายคาเฟ่ก็เป็นไปตามเนื้อเรื่อง ไม่ได้เกิดจากการเก็บวัตถุดิบ เก็บเงิน (ซึ่งในเกมไม่มี) เลย [caption id="attachment_4013" align="alignnone" width="1024"] เจ้ามังกรน้อยหม่ำๆ[/caption] กลับมาที่มังกรน้อยของเรา ซึ่งเราสามารถให้อาหาร ลูบหัว ขอให้ช่วยเก็บวัตุดิบ วิ่งชนสัตว์อื่น (เพื่อล่าวัตุดิบ) รวมถึงขี่เจ้าหนูน้อยได้เมื่อมันโตจนวิ่งเข้ามาเกะกะขวางทางในคาเฟ่ไม่ได้แล้ว อาหารแต่ละอย่างที่เราทำจะมีสีประจำอาหารนั้นอยู่ ซึ่งหากเราให้มังกรกินอาหารสีนั้นบ่อยๆ เจ้ามังกรก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั้นในที่สุด นอกจากอาหารจะมีผลต่อสีของมังกรก็ยังช่วยเพิ่มค่า Stamina ซึ่งจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อมังกรเดิน วิ่ง ช่วยเราเก็บวัตุดิบ หรือเมื่อเราขี่มัน และเมื่อมังกรกินอาหารมังกรจะอึออกมาเอาไว้เร่งความเร็วในการเกิดของวัตถุดิบและเพิ่มระดับ (คุณภาพ) ของวัตถุดิบได้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลต่อการเติบโตของมังกรหรือความรักที่มันมีต่อเราเลย เพราะมังกรน้อยจะเติบโตตามเนื้อเรื่อง และค่า Stamina ก็จะขึ้นจนเต็มทุกครั้งที่ขึ้นวันใหม่ เราสามารถเลี้ยงมันแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ต้องให้อาหารเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้อยากให้มังกรเปลี่ยนสี ความผูกพันกับเราที่มีกับมังกรน้อยที่ปรากฏตัวทั้งในชื่อเกมและปกเกมจึงลดน้อยลงอย่างมาก กับเกมอื่นอย่าง Zelda: Breath of the Wild ที่มีระบบขี่ม้า จับม้า และความสัมพันธ์กับม้า แม้ม้าจะไม่ได้มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง ให้อาหารไม่ได้ ใช้ไปเก็บวัตถุดิบไม่ได้ นอนด้วยกันในบ้านไม่ได้ เราก็ยังจะรู้สึกผูกพันกับม้าในเกมนั้นได้มากกว่า เพราะม้าสามารถตายได้จริงๆ และการชมม้าของเรามีผลต่อความสัมพันธ์และพฤติกรรมของม้าต่อเรา ในขณะที่เกมนี้สิ่งที่เราทำแทบไม่ได้มีความหมายกับมังกรเลย [caption id="attachment_4014" align="alignnone" width="1024"] ทำไมเราถึงต้องแบ่งแยกกันด้วยล่ะ[/caption] เนื่องจากระบบของ Little Dragons Café เป็นไปอย่างผิวเผิน ความหวังอย่างเดียวที่น่าจะฝากไว้ได้ก็คือเนื้อเรื่องของเกมนี้ที่ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของเกม ซึ่งจาก 12 ชั่วโมงที่ผมเล่นไปต้องบอกว่าทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง เนื้อเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาในคาเฟ่ ซึ่งนอกจากโดยส่วนตัวจะรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว ยังไม่ได้เข้าใกล้เนื้อเรื่องหลัก ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แม่จะฟื้น ไม่รู้ว่าทำไมตาลุงลึกลับถึงชอบหายเข้าไปอยู่ในห้องกับแม่ตลอดเวลา หากเล่นไปมากกว่านี้เนื้อเรื่องของเกมเก็บของบริหารคาเฟ่ขี่มังกรเกมนี้อาจจะน่าตื่นเต้นขึ้นจนทำให้เกมนี้กลายเป็นเกมที่สนุกขึ้นมามากๆ แต่นั่นก็อาจเป็นการเรียกร้องเวลาที่ผ่านไปอย่างไม่ได้สนุกเท่าไหร่ของผู้เล่นมากเกินไป [caption id="attachment_4017" align="alignnone" width="1024"] ถึงว่าทำไมผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบให้ออกไปเล่นข้างนอก...[/caption] ด้านกราฟิกของเกมต้องชมในส่วนที่เลือกสไตล์เหมือนภาพจากสมุดระบายสี ซึ่งสร้างบรรยากาศความน่ารักได้ดีมาก แต่พอออกไปนอกคาเฟ่ก็มีส่วนที่น่าติอยู่หลายอย่าง สิ่งแวดล้อมต่างๆ ดูทำออกมาลวกๆ ดูแข็งๆ ขาดความพิถีพิถัน ต่างจากเวลาอยู่ในคาเฟ่ รวมถึงสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนก หรือแมวบินได้ ก็ออกมาแบบได้ประหลาดๆ ไม่ได้มีความน่ารักน่าเอ็นดูอะไรทั้งสิ้น [penci_review id="3981"]
24 Aug 2018
รวมพรีวิวเกมจากงาน PSX
จบกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับงานเกมสุดยิ่งใหญ่จาก Sony อย่าง PlayStation Experience​ South East Asia ที่ยกทัพมาจัดกันถึงที่ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ขนเกมดังที่จะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้มาให้ชาวเกมเมอร์ได้ทดลองเล่นกันก่อนใคร รวมถึงมีเซอร์ไพรส์ประกาศเกมเวอร์ชันภาษาไทยเพิ่มด้วย ทางทีมงาน GameFever ก็ได้รับเกียรติให้เข้าไปลองเล่นเกมในงานเหมือนกัน เลยอยากจะมาบอกเล่าความรู้สึกให้เพื่อนๆ ที่พลาดไม่ได้ไป หรืออาจไปแต่อาจพลาดไม่ได้ลองเกมบางเกม เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้ตัดสินใจเก็บเงินกันตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่พลาดเกมดังที่น่าเล่นเกมไหนไป (สำหรับเกม Marvels Spider-man ทีมงาน GameFever ได้มีโอกาสไปลองเล่นแบบหนำใจ 2 ชั่วโมงที่งาน Press Preview มาก่อนหน้านี้ ไปอ่านพรีวิวตัวนั้นได้ ที่นี่) Kingdom Hearts 3 Kingdom Hearts 3 เป็นเกมแรกที่ผมพาตัวเองไปเล่น เนื่องจากความชอบในภาคก่อนๆ ที่มีอยู่เดิม ในเวอร์ชันที่ได้เล่นนี้มีสองด่านให้เล่น ด่านสู้กับยักษ์ Colossus ที่เราจะได้ไต่หน้าผาและปีนป่ายศัตรูร่างยักษ์ รวมถึงใช้ Summon เรียกรถไฟมาช่วยสู้ด้วย ในฉากนี้รู้สึกว่าบอสตายง่ายไปนิด รวมถึงมุมกล้องมีความแปลกๆ ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนปีนยักษ์ และอีกด่านคือ Toy Story ด่านนี้ผมเล่นไม่จบเพราะเวลาที่ได้ลองหมดก่อน และเป็นฉากที่มีคัทซีนคุยกันค่อนข้างนาน ซึ่งพอมาโผล่เอาฉากนี้ ไม่ได้ติดตามเกมมาตั้งแต่แรกเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าติดตามเท่าไหร่ ส่วนความรู้สึกในระบบต่อสู้ของทั้งสองฉากยังคงเหมือนตอนที่ได้เล่นภาคก่อนๆ นั่นคือความสนุกจากความรวดเร็วในการต่อสู้ยังอยู่ครบ ใครที่เคยชอบระบบต่อสู้ในภาคก่อนๆ ก็น่าจะยังสนุกกับเกมภาคนี้ได้อยู่ แต่นอกจากความสนุกที่ว่าแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเคยได้เห็นฉากเหล่านี้ผ่านตาจากสื่อต่างประเทศมาก่อนแล้ว ตอนเกมตัวเต็มออกจริงๆ คงต้องลุ้นเอาว่าเนื้อเรื่องและฉากที่ยังไม่เห็นจะสร้างความประทับใจให้ได้มากขนาดไหน จะมีลูกเล่นอะไรในโลกต่างๆ บ้าง  มีอะไรมาเซอร์ไพรส์บ้าง - MuscleBoyFirst ความรู้สึกแรกที่ได้รับจากการเล่น Kingdom Hearts 3 ของผมคือ นี่มันเหมือน Kingdom Hearts 2 เลยนี่หว่า! ซึ่งก็อาจจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะในฉากที่สู้กับบอส Colossus ที่มีความรู้สึกแข็งๆ ไปซักหน่อยในเรื่องของ mechanic (วิธีการเล่น) ไม่ค่อยให้ความรู้สึกแตกต่างกับบอสจากเกมภาคเก่าๆ เท่าไหร่ ไม่ได้มีระบบหรือวิธีการสู้ที่หวือหวาหรือให้ความรู้สึกว่า ยกระดับ ขึ้นไปจากตอน Kingdom Hearts 2 นัก ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าเกมไม่สนุก โดยเฉพาะคนที่ชอบภาค 2 และภาค Birth By Sleep ใน PSP น่าจะชอบการต่อสู้ของภาคนี้เป็นพิเศษ เพราะจะมีท่าใหญ่ๆ อลังการๆ มาให้ใช้ตลอดเวลา เกมยังคงความเร็วในการต่อสู้ที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ และด่านที่กว้างขึ้นก็ช่วยทำให้เรามีพื้นที่ในการเล่นมากขึ้น แต่เกมนี้ก็ยังคงเกมเพลย์ของ Kingdom Hearts ที่เราคุ้นเคยเอาไว้อย่างครบถ้วน รวมไปถึงปัญหาในเรื่องของมุมกล้องที่ตามความเร็วของโซระไม่ค่อยทัน หรือเรื่องของระบบล๊อคออน (lock-on) ที่ยังรู้สึกแข็งๆ แปลกๆ ไม่ต่างกับภาคก่อนๆ สรุปสั้นๆ Kingdom Hearts 3 (อย่างน้อยจากที่เล่นมา) จะเป็นเกมที่ตอบโจทย์คนที่โหยหาประสบการณ์แบบเดียวกับ Kingdom Hearts 2 แน่นอน แต่เกมจะมีอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ มาให้แฟนๆ ที่รอคอยมากว่าสิบปีได้ว้าวกันหรือเปล่าคงต้องรอดูอีกทีตอนเกมออกเลยจ้า - OcelotBoy Resident Evil 2 Resident Evil 2 เป็นเกมที่ผมประทับใจมากที่สุดในงานนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าปริศนาในภาคนี้กลับมามีความยากอยู่พอประมาณ ทำให้ต้องเดินวนหาทางไปต่อ พาความรู้สึกเก่าๆ กลับมา จนแอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าก่อนหมดเวลาที่ให้ลองเล่นรอบละ 20 นาทีจะได้ยิงซอมบี้สักตัวไหม ด้านระบบต่อสู้ก็น่าประทับใจตามมาตรฐานของเกมในภาคหลังๆ การยิง การเคลื่อนไหว การใช้อาวุธมีความลื่นไหล พอบวกกับกราฟิกที่ทำออกมาสวย รวมถึงเอฟเฟ็กต์ต่างๆ เวลายิงถูกซอมบี้อย่างเอฟเฟ็กต์เลือดกระจาย ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ และเกมให้ความรู้สึกแบบที่ Capcom บอกไว้ก่อนหน้านี้ คือรู้สึกว่าเกมนี้เป็นเกมใหม่ ไม่ใช่แค่เกม Remake ภาคเก่าธรรมดาๆ พอบวกกับเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว รวมถึงศัตรูๆ ของภาคนี้ที่จะได้เจอในเกมตัวเต็ม คิดว่าเกมภาคนี้ต้องออกมาดีและเป็นเกมที่ห้ามพลาดแน่นอน - MuscleBoyFirst ผมเป็นเกมเมอร์สายขี้กลัวที่พยายามหลีกเลี่ยงเกมผีมาตลอดสมัยเด็กๆ ทำให้อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมเท่าไหร่เมื่อพูดถึงเกม Resident Evil 2 Remake แต่ด้วยกราฟิคและเกมเพลย์ที่ปรับปรุงใหม่ก็ทำให้ผมสนใจเกมขึ้นมาเหมือนกัน เรื่องกราฟิคไม่อยากเน้นเยอะเพราะเห็นๆ กันอยู่แล้วว่าปรับปรุงมาแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากชมคือเรื่องความสมจริงของฟิสิกซ์ในเกม สิ่งที่ปรัทับใจมากๆ คือการที่ร่างกายของซอมบี้ดูจะแสดงความเสียหายสัมพันธ์กับจุดที่โดนยิง เช่นถ้ายิงโดนหัวด้านหน้าก็จะเห็นหัวด้านหน้าแหว่งไปจริงๆ ในด้านเกมเพลย์ ผมเคยแอบสงสัยกับตัวเองมาตลอดว่าเกมจะยังคงความน่ากลัวและท้าทายของการต่อสู้เอาไว้ได้ยังไงเมื่อปรับมาเป็นมุมกล้องแบบ Third-Person เพราะคนที่คุ้นเคยกับการเล่นเกมแนวนั้นก็น่าจะเล็งยิงหัวซอมบี้ได้สบายๆ แต่พอได้เล่นจริงๆ ถึงรู้ว่าเกมทำให้การยิงปืนมีความยากจริงๆ ด้วยการทำให้ตัวละครต้องใช้เวลาตั้งท่าเล็งซะก่อน crosshair (เป้าเล็ง) ถึงจะนิ่งและแคบพอให้เรายิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งต่างกับเกมยิงปืนส่วนใหญ่ที่จะทำให้เป้าโฟกัสทันทีเมื่อกดเล็ง ผลคือความระทึกเมื่อเราต้องถูกบังคับให้ยืนนิ่งๆ มองซอมบี้ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเราซักสองสามก้าวก่อนจะยิงได้อย่างมั่นใจ ในเรื่องของปริศนา ด้วยความที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในซีรี่ย์นี้ บวกกับเวลาเล่นอันน้อยนิด ทำให้ไม่สามารถแก้ปริศนาได้ทันก่อนเวลาหมด แต่ก็รู้สึกว่าระบบทำมาให้เสริมความรู้สึกน่าอึดอัดของเกมได้ดี เพราะเกมจะบังคับให้เราต้องใช้เวลาสอดส่องทุกซอกทุกมุมของฉากเพื่อหาไอเทมที่จะนำไปแก้ปริศนา - OcelotBoy Mega Man 11 นี่เป็นเกมที่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนแรกๆ เพราะไม่ประทับใจกับงานด้านภาพของภาคนี้เท่าไหร่ รวมถึงคิดว่า Capcom ตั้งใจจะปล่อยเดโมมาให้เล่นก่อนเกมออกอยู่แล้วด้วย พอได้ลองเล่นแล้วพบว่าเกมมีความสนุกกว่าที่คิดมากๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะติดภาพว่าพอเกมเลือกใช้ภาพตัวละครแบบ 3D แล้วเกมจะมีความช้า แต่จริงๆ แล้วเกมภาคนี้มีความเร็วกว่าเกมภาคเก่าๆ อีก และเกมยังคงมีความยากในแบบเกมภาคเก่าๆ จำเป็นต้องใช้ทักษะการหลบ การจำวิธีการโจมตีของศัตรู และอาวุธที่มีให้ใช้ซึ่งม่ความสามารถในการทำให้เวลาช้าลงก็เป็นอะไรที่น่าสนใจให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมมากๆ - MuscleBoyFirst Dragon Quest 11 เกมภาคนี้ให้ความรู้สึกเหมือนภาค 8 ด้วยเหตุผลหลักๆ ก็คือภาพที่เลือกใช้เป็นภาพสไตล์เซลเฉดแบบเดียวกัน ในเดโมที่ได้เล่นได้ลองขี่ม้า และลองเข้าฉากต่อสู้เพื่อทดลองระบบต่อสู้ ฉากต่อสู้มีความรวดเร็วน่าประทับใจ ขัดกับความเชื่อเดิมๆ ว่าเกมที่มีฉากต่อสู้แบบเทิร์นเบสจะมีความช้า เกมใช้วิธีตัดเข้าฉากต่อสู้ด้วยการเดินไปชนกับศัตรูที่อยู่ตามแผนที่ หากไม่ต้องการสู้ก็สามารถเดินหลบได้ ด้านการขี่ม้าทำได้ไม่น่าประทับใจนัก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของม้าทำออกมาได้แข็งๆ รู้สึกขัดใจอยู่พอสมควร อีกส่ิงที่ไม่ค่อยชอบคือฉากบทสนทนาของภาคนี้ที่ให้ความรู้สึกว่าค่อนข้างยืดยาด น่าเบื่อไปนิด - MuscleBoyFirst Shadow of the Tomb Raider Tomb Raider ภาคนี้ยังคงระบบการเล่นเช่นเดียวกับสองภาคแรก เรียกว่าใครเคยเล่นภาคก่อนๆ มาก็จับจอยเล่นภาคนี้ต่อได้เลย ระบบการต่อสู้ (คล้ายๆ กับเกม Uncharted) และระบบสำรวจทำได้ดีอยู่แล้ว คงต้องไปลุ้นตอนเกมออกว่าเนื้อเรื่อของงภาคนี้จะทำได้น่าประทับใจแค่ไหน ซึ่งการเลือกใช้ตำนานของชนเผ่ามายาเป็นฉากหลังก็น่าจะสร้างความน่าสนใจได้พอสมควรอยู่ - MuscleBoyFirst Naruto to Boruto: Shinobi Striker ผมได้มีโอกาสลองเล่นเกมอนิเมะในงานทั้ง 2 เกมคือ Shinobi Striker และ Jump Force ซึ่งต้องยอมรับตรงๆ ว่าไม่ค่อยชอบเกมไฟติ้งอนิเมะสไตล์ 3D (ที่ดูจะเป็นแนวนี้ทุกเกม) แต่ Shinobi Striker กลับเป็นเกมที่น่าสนใจกว่าที่คิดไว้มากด้วยระบบการเล่นที่เปลี่ยนไปจากเกมไฟติ้งอนิเมะทั่วไปที่สู้กันในด่านแคบๆ มาเป็นเกมแอคชั่นแบบ PvP ซะมากกว่า สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ Shinobi Striker ไม่เชิงจะเป็นเกมแนวไฟติ้ง แต่เป็นเกมแนวแอคชั่นที่มีระบบ PvP มากกว่า เกมไม่ได้เน้นให้เราต้องเลือกตัวละครที่คอมโบกันได้ดีเป็นหลัก แต่ต้องเลือกตัวละครให้มีความสมดุลในเรื่องของคลาสด้วย เพราะตัวละครแต่ละคลาสก็มีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกันไป เมื่อเล่นออนไลน์เป็นทีมกับคนอื่นก็ต้องร่วมมือกันและใช้ความสามารถของคลาสตัวเองให้ดีที่สุดไม่ต่างกับเกมแนว MOBA เท่าไหร่ เช่นคลาส Attack ก็ต้องเน้นเข้าไปตะลุมบอนเพื่อสร้างความเสียหายใส่คลาส Healer ของศัตรู ในขณะที่คลาส Defense ก็ต้องใช้ความสามารถเพื่อป้องกันเพื่อนๆ ไม่ให้ถูกโจมตี เป็นต้น ทำให้เกมมีความน่าสนใจมากกว่าแค่เกมไฟติ้งที่สู้กันเองสองคน ในเรื่องของด่าน ด่านในเกม Shinobi Striker จะเป็นแผนที่กว้างที่เราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ บวกกับความสามารถในการเดินบนกำแพงด้วย ทำให้ด่านๆ นึงมีความรู้สึกกว้างกว่าที่เห็น เปิดช่องให้ใช้ทีมเวิร์คและการวางแผนต่างๆ มากกว่าแค่การพุ่งเข้าไปตีกันทื่อๆ - OcelotBoy Jump Force ในขณะที่ Shinobi Striker เป็นเกมอนิเมะที่ดีกว่าที่คาดไว้ Jump Force กลับเป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดในทุกเกมที่ผมได้ลองเล่นในงาน เพราะแม้จะมีกราฟิคที่ปรับปรุงใหม่เป็นแนวอนิเมะผสมภาพเสมือนจริงที่น่าสนใจ แต่เกมเพลย์กลับเป็นแค่เกมไฟติ้งอนิเมะแบบเดียวกับเกมอื่นๆ ในตลาด แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย แม้ว่าในเดโมที่ลองจะมีตัวละครให้เลือกเล่นไม่กี่ตัว แต่ทุกตัวก็เล่นคล้ายๆ กันหมด คือมีท่าปล่อยพลังระยะไกล ท่าคอมโบต่อเนื่องระยะใกล้ เป็นต้น แม้แต่กราฟิคที่ปรับปรุงใหม่ก็ใช่ว่าจะดีไปซะหมด เพราะอนิเมชั่นการโจมตีท่าพิเศษที่อลังการบางทีก็ทำให้มองเห็นอะไรต่อมิอะไรไม่ค่อยชัด ปล่อยคลื่นเต่าทีก็เต็มจอมองอะไรไม่เห็นแล้ว ทำให้รู้สึกว่าเกมให้ความสำคัญกับกราฟิคและรูปลักษณ์อื่นๆ มากกว่าเกมเพลย์ - OcelotBoy Sekiro: Shadows Die Twice เกมจากค่ายผู้พัฒนาซีรีส์ Soul ที่แม้ไม่ได้มีให้เล่นในงาน แต่ก็มาพร้อมกับเซอร์ไพรส์ประกาศเวอร์ชันภาษาไทย และคลิปเกมเพลย์ที่มีให้ดูในงานก็ทำให้อยากเล่นขึ้นเป็นกอง ดูจากคลิปแล้วเกมยังมีความยากแบบเดียวกับเกมของค่ายนี้ ซึ่งผู้เล่นจะต้องเน้นบริหารการป้องกัน สวนกลับ และหลบให้ดี แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือธีมของเกม ที่เป็นฉากในญี่ปุ่น ศัตรูจะเป็นพวกนักรบใช้ดาบ ใช้ธนู เลยทำให้รู้สึกว่าความยากในเกมดูมีความสมเหตุสมผลขึ้นมามากๆ โดนฟันแต่ละทีก็ควรจะอันตรายถึงชีวิตจริงๆ และบอสในเกมก็ทำออกมาได้น่าสนใจมาก มีทั้งงูยักษ์ ทั้งคนร่างยักษ์ในแบบญี่ปุ่น ซึ่งให้ความรู้สึกน่ากลัวมากๆ ผิดกับที่เคยเห็นตัวละครพวกนี้ในการ์ตูนจนชิน ชาวเอเชียที่คุ้นเคยกับนินจา ซามูไร น่าจะอินกับเกมนี้ได้ไม่ยาก - MuscleBoyFirst
20 Aug 2018
Review | รีวิว Salt and Sanctuary
เครื่อง: Switch  แนวเกม: Action RPG, Platformer   จำนวนชั่วโมงที่เล่นเพื่อทำการรีวิว: ประมาณ 10 ชั่วโมง   “การตายซ้ำๆ ซากๆ ที่สนุกสุดๆ โดยเฉพาะถ้าได้ตายไปพร้อมๆ กับเพื่อน” คือคำบรรยายสั้นๆ ที่ผมจะให้กับเกมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมซีรีส์ Souls เกมนี้ เกมเริ่มต้นในเรือลำหนึ่งที่กำลังพาเจ้าหญิงจากประเทศไม่ทราบชื่อไปยังประเทศตรงฝ่ายตรงข้ามเพื่อแต่งงานกับกษัตริย์ของประเทศนั้นและหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ทันใดนั้นเรือก็ถูกบุกจู่โจมและปล้นฆ่าโดยกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะถูกซ้ำเติมด้วยสัตว์ประหลาดยักษ์หน้าตาคล้ายปลาหมึก ซึ่งเราจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและปกป้องเจ้าหญิง ก่อนจะพบว่าความพยายามไร้ผล เมื่อสุดท้ายเรือก็ถูกทำลายแตกอยู่ดี ตัวละครของเราตื่นขึ้นอีกทีอย่างโดดเดี่ยวในเกาะบรรยากาศน่ากลัวที่เต็มไปด้วยผีดิบ ซอมบี้ หมาป่ายักษ์กระหายเลือด และบอสสุดโหด ราวๆ 10 ชั่วโมงต่อจากนั้นผมยังคงวงเวียนอยู่กับศัตรูเดิมๆ และฉากหน้าตาเดิมๆ ตายแล้วเกิดใหม่นับครั้งแล้วมากกว่าการตายทั้งหมดในเกมที่เล่นจบไปสามสี่เกมก่อนหน้านี้รวมกัน แต่ถึงอย่างนั้น 10 ชั่วโมงที่ผ่านไปก็เรียกได้ว่าเป็น 10 ชั่วโมงที่สนุกจนลืมเวลา กราฟิก | ของเกมนี้ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนกับเกมจากค่ายอินดี้อีกจำนวนมากที่มีให้เลือกเล่นในร้านค้าออนไลน์ของเครื่องเล่นจากนินเทนโดเครื่องนี้ ซึ่งเมื่อดูจากภาพและเทรลเลอร์แล้วก็ดูไม่ได้น่าสนใจอะไร และบรรยากาศของเกมยังมืดๆ ทึมๆ ดูหน้าตาคล้ายกันไปหมด แต่พอได้สัมผัสแล้วถึงได้รู้ว่างานด้านภาพและเสียงของเกมจะแสดงศักยภาพจริงๆ เมื่อได้ลองเข้าไปเล่นในเกมด้วยตนเอง จุดเด่นเลยก็คือความลื่นไหลของการเดิน การขยับตัว และการออกท่าทางการต่อสู้ต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้เกมรู้สึกเล่นสนุกขึ้นมาก เพราะพอไปรวมกับเอฟเฟ็กต์การกระจายของเลือดเวลาโจมตีโดนศัตรู กับเสียงเวลาใช้อาวุธ เวลาที่ฟันดาบโดนศัตรู เวลาที่ใช้ท่าโหดๆ เพื่อปลิดชีพ ต้องบอกว่าเกมสร้าง “ความสะใจ” ตามสไตล์โหดๆ ของเกมได้ดีมาก อาจจะเรียกได้ว่าทำได้ดีกว่าเกม 3D หลายๆ เกมด้วยซ้ำ เพราะเกมกราฟิกสวยๆ เหล่านั้นไม่ได้มีความลื่นไหล รวดเร็ว ฉับไวขนาดนี้ ระบบการเล่น | ของเกมนี้ต้องเรียกว่าเป็นการผสมกันระหว่างเกม Castlevania และเกมในซีรีส์ Souls เกมเหมือน Castlevania ตรงที่ใช้การเดินฟันด้านข้างในฉากแบบ 2D ขนาดใหญ่ที่เกิดจากแผนที่ย่อยจำนวนมากเชื่อมต่อกัน ส่วนความยากของเกมต้องเรียกว่าถอดแบบมาจากซีรีส์ Souls ผู้เล่นจะต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวละครโดนศัตรูโจมตีให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการกลิ้งหลบ การใช้โล่ป้องกัน และการ Parry สวนการโจมตี ที่จะทำให้ศัตรูมึนและเปิดโอกาสให้เราใช้ท่าปลิดชีพที่รุนแรงกว่าการโจมตีปกติได้ แต่ท่าทางทุกอย่างที่ใช้เพื่อหลบหรือป้องกันการโจมตีจะใช้ค่า Stamina ซึ่งถึงแม้จะฟื้นให้เองอยู่ตลอด แต่ก็หมดไวมากๆ จนต้องบริหารจัดการให้ดี ไม่อย่างนั้นรู้ตัวอีกทีก็ไปเกิดใหม่ได้ง่ายๆ เมื่อเราฆ่าศัตรูได้เราจะได้เงินและสิ่งที่เรียกว่า Salt (เกลือ) มา เงินจะใช้ไปกับการซื้ออาวุธ ชุดเกราะ ไอเทม ส่วนเกลือจะใช้ในการอัพเกรดอาวุธและอัพเลเวลตัวละคร ซึ่งทุกๆ ครั้งที่เราเลเวลขึ้นเราจะได้ Skill Point มาเพื่ออัพเกรด Skill เพิ่มความสามารถให้กับตัวละครได้ ความตายของเกมนี้มีบทลงโทษก็คือการสูญเสียเงินที่พกติดตัวจำนวนหนึ่ง และเกลือที่มีอยู่ทั้งหมด โดยเราสามารถตามไปจัดการกับศัตรูตัวที่เพิ่งฆ่าเราไปเพื่อเก็บเกลือทั้งหมดที่ถูกขโมยไปคืนได้ แต่หากเราดันพลาดตายซะก่อนที่จะเก็บเกลือคืน เกลือที่หายไปจากการตายครั้งก่อนจะหายไปตลอด ไม่สามารถแย่งกลับมาได้อีก  ความรุนแรงในการโจมตีของศัตรู และความยากในการกะจังหวะหลบ Parry และป้องกัน รวมถึงบทลงโทษเมื่อตัวละครตายทำให้เกมนี้มีความยากมาก แต่จุดหนึ่งที่เกมทำได้ดีก็คือการที่จุดเซฟของเกมอยู่ใกล้กับบอสและฉากต่างๆ มาก ทำให้การตายและเกิดใหม่ซ้ำๆ เพื่อสู้กับบอสหรือศัตรูยากๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและน่าหงุดหงิดอย่างที่คิด เพราะเราสามารถเกิดและวิ่งกลับไปฉากเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากความรวดเร็วในการตายแล้วเกิดใหม่แล้ว อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ในเรื่องของกราฟิกก็คือการเคลื่อนไหวต่างๆ มีความรวดเร็วมาก ซึ่งความรวดเร็วทั้งหมดนั้นถือเป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่สร้างความสนุกให้กับเกมนี้ ผู้เล่นสามารถเลือกอาชีพที่ต้องการได้ตั้งแต่ตอนเริ่มเกม โดยอาชีพที่เลือกได้คือ Knight, Mage, Paladin, Thief, Chef (เชฟ), Cleric, Pauper (ขอทาน), และ Hunter แต่ละอาชีพจะมีสกิลติดตัว ค่าสถานะ และอาวุธที่แตกต่างกัน ซึ่งด้วยสกิลและอาวุธติดตัวในตอนแรกที่ต่างกันนี้ทำให้ประสบการณ์ในการเล่นตอนแรกต่างกันไปเลยเหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยความต่างกันในเรื่องของความเร็วของอาวุธที่ใช้ ความต่างในเรื่องความสะใจระหว่างการใช้กระทะทุบของอาชีพเชฟและการยิงลูกไฟของอาชีพนักเวทย์ หรือความต่างของรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าเกรงขามของอัศวินและความดูน่าจะกลับไปเข้าครัวมากกว่าของเชฟ ความต่างทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความน่าสนใจและน่าสนุกที่จะลองเล่นอาชีพอื่นๆ โหมดผู้เล่นหลายคน | ของเกมนี้ทำให้การเล่นสนุกขึ้นมากๆ แม้ว่าจะไม่มีโหมดออนไลน์ และเงื่อนไขอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย คือต้องมีเซฟตัวละครอย่างน้อยสองเซฟ และต้องมีไอเทมที่ใช้สำหรับการเรียกเพื่อนมาช่วยเล่น แต่พอได้ร่วมกันแชร์ความยากและโหดสะใจของเกมแล้ว ต้องเรียกว่าอยากเล่นเกมตั้งแต่ต้นจนจบกับเพื่อนและแอบเสียดายเหมือนกันที่เกมไม่มีโหมดออนไลน์ ต้องเล่นบนเครื่องเดียวกันเท่านั้น เพราะอย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่าการตายและเกิดใหม่ของเกมทำได้อย่างรวดเร็ว เลยช่วยเสริมให้การเล่นกับเพื่อนไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่หากเพื่อนพลาดพลั้งตายไปก่อน ทำให้หลายๆ ครั้งก็ยอมตายเพื่อให้เกิดใหม่เล่นกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ข้อเสียอย่างเดียวของโหมดก็คือจอของเครื่อง Switch ค่อนข้างจะเล็กเกินไปสำหรับการเล่นสองคน ทำให้ต้องอาศัยการต่อเล่นกับโทรทัศน์ช่วย อีกสิ่งที่สนุกจนต้องเรียกว่าห้ามพลาดเลยในการเล่นหลายคนก็คือระบบ PVP ที่ถอดระบบการต่อสู้กับศัตรูในเกมมาทุกอย่าง รวมถึงการ Parry การโจมตีเพื่อสวนกลับด้วย เรียกได้ว่าตอนสู้กับศัตรูแล้วสนุกยังไง ตอน PVP ก็สนุกแบบนั้นเลย แต่บวกความสนุกเข้าไปอีกหลายเท่าจากการลุ้นอยู่ข้างๆ กันว่าใครจะชนะ พอลองเปลี่ยนอาวุธมาใช้มีดเหมือนกัน ก็ทำให้การต่อสู้หลังจากนั้นกลายเป็นการดวลมีดกันแบบตัวต่อตัวที่สนุกและลุ้นระทึกมาก .   .   . โดยรวมแล้ว Salt and Sanctuary เป็นเกมที่มีหลายๆ อย่างลงตัวมาก โดยเฉพาะกับคนที่ชอบความท้าทายในเกม แม้เกมจะออกมาก่อนแล้วให้กับเครื่องอื่นๆ แต่การพอร์ตมาลง Switch ในครั้งนี้ถือว่าทำได้อย่างลงตัวทีเดียว การเล่นในโหมด Handheld ทำได้อย่างดี และเหมาะกับเกมที่เราต้องตายบ่อยๆ อย่างเกมนี้มาก เพราะหลายๆ ครั้งที่ตายจนรู้สึกอยากออกมาจิบชงชา หรือรดน้ำต้นม้งต้นไม้ ออกไปให้อาหารหมีที่เลี้ยงไว้ พักไว้แล้วค่อยกลับมาเล่นต่อ ก็สามารถปิดเครื่องเข้าโหมด Sleep และกลับมาเล่นต่ออีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว [penci_review id="3015"]
09 Aug 2018
Review | รีวิว No Mans Sky NEXT
แนวเกม: Action-adventure survival ผู้พัฒนา: Hello Games แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (Steam)   ข้อดี แต่ละดาวมีความแตกต่างกัน มีระบบ Multi-player เล่นกับเพื่อนได้ มีโหมดการเล่นหลากหลาย รองรับผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมแนว Sandbox ถ่ายรูปได้เพลิน ข้อเสีย ระบบแนะนำการเล่นทำออกมาได้ไม่ดี เนื้อเรื่องไม่เข้มข้น ใช้เวลานานกว่าจะเริ่มตั้งตัวในเกมได้ เล่นแล้วอาจทำให้เวียนหัว   สำรวจจักรวาลอันไกลโพ้นไปกับ No Mans Sky Next  หากเพื่อนๆ เป็นเกมเมอร์ชาวไทยที่ชื่นชอบการเล่นเกมแนว Sandbox ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อเกม No Mans Sky กันมาอยู่บ้าง เพราะถือเป็นเกมแนวเดียวกับเกมระดับตำนานอย่าง Minecraft แต่เปลี่ยนฉากมาเป็นการสำรวจและเอาตัวรอดในห้วงอวกาศแทน สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นมาก่อน No Man’s Sky เป็นเกมแนวเอาชีวิตรอด ที่ผู้เล่นจะต้องดิ้นรนต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต โดยตั้งแต่เริ่มเกมเราจะตื่นขึ้นมาอยู่กลางดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ต้องหาทรัพยากรมาคราฟของที่จำเป็น และซ่อมยานเพื่อที่จะได้บินออกไปสำรวจจักรวาลอันกว้างใหญ่ ซึ่งในทุกดาวที่เราไปจะมีสภาพอากาศ สิ่งมีชีวิต และทรัพยากรที่ต่างกัน โดยทุกอย่างเกิดจากการสุ่มของเกม เรียกได้ว่าจะเดินทางไปเยือนกี่ดาว แต่ละดาวก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากดาวอื่นๆ ถือเป็นจุดขายหนึ่งของเกมเลยก็ว่าได้ ทว่าหากพูดถึงเกม No Mans Sky กับขาเกมเก่าแล้ว ความรู้สึกของคนที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนน่าจะมีความทรงจำที่ไม่ค่อยน่าประทับใจ เพราะตั้งแต่เกมออกมาเมื่อ 2 ปีก่อน ตัวเกมกลับไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ผู้พัฒนาได้โฆษณาและให้สัญญาเอาไว้ ขาดระบบหลักๆ ของเกมหลายอย่าง เหมือนเกมถูกปล่อยออกมา ทั้งๆ ที่ยังพัฒนายังไม่เสร็จ ทำให้แฟนเกมไม่พอใจถึงขั้นขอคืนเงินกันเลยทีเดียว (ตอนเกมออกใหม่ๆ สนนราคาอยู่ที่ 60 USD หรือเกือบ 2,000 บาท) แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ 2 ปีก่อน ล่าสุด Hello Games ผู้พัฒนาได้ปล่อยแพทช์ใหม่ที่มีชื่อว่า Nextโดยมีพระเอกหลักในการอัพเดทครั้งนี้ คือ ระบบ Multi-player (ที่ควรจะมีมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน) มาในรูปแบบของการตั้งห้องให้เพื่อนหรือผู้เล่นแปลกหน้าเข้ามาร่วมจอยปาร์ตี้ได้สูงสุด 4 คน แม้เกมจะไม่ได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นระบบผู้เล่นหลายคนแบบเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่สามารถเดินไปเจอกันได้โดยบังเอิญ แต่แค่การได้ฟาร์มของ แชร์ทรัพยากร สำรวจถ้ำ หรือร่วมสร้างฐานทัพให้ยิ่งใหญ่ไปกับเพื่อน ก็ทำให้เกมสนุกขึ้น ช่วยลดความเหงาไปได้อยู่เหมือนกัน นอกจากนี้แพทช์ Next ยังเพิ่มการออกแบบตัวละคร ให้ผู้เล่นได้เลือกรูปลักษณ์ภายนอกได้ถึง 5 เผ่าพันธุ์ เปลี่ยนชุด เลือกสีกันได้ตามใจชอบ และมีการเพิ่มมุมมองกล้องแบบบุคคลที่ 3 เข้ามา ทำให้เพื่อนๆ สามารถเห็นตัวละครของตัวเองได้ เมื่อพูดถึงภาพในเกม ก็ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีแต่ไม่สุด ภาพดูเรียบๆ ไม่ค่อยมีรายละเอียดมากเท่าที่ควร แต่โดยรวมก็ให้บรรยากาศแบบ Sci-fi รู้สึกถึงความเป็นอวกาศแบบล้ำๆ ดูแปลกตาตั้งแต่สิ่งแวดล้อมบนดาว ไปจนกระทั่งหน้าตาอันหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งหากเปรียบเทียบภาพกับช่วงก่อนหน้านี้ Next ถือเป็นการยกระดับกราฟิกเกมครั้งใหญ่เลยทีเดียว นอกจากนี้หากกดเข้าโหมดถ่ายภาพ ก็อาจได้ภาพสวยๆ เดินถ่ายภาพได้เพลินอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เกมนี้ไม่เหมาะกับคนที่เมารถง่าย เพราะภาพค่อนข้างมึนหัวอยู่พอสมควร อย่างจังหวะกดวิ่งเร็วๆ ที่กล้องจะสั่น การเปลี่ยนทิศทางไปมาในเกมที่เร็วจนเกินไป แต่ภาพที่ชวนเวียนหัวที่สุดต้องยกให้กับการขับขี่ยานอวกาศ เพราะสามารถหมุนได้ 360 องศา บินควงสว่านได้แบบสบายๆ แต่หากช่วงแรกที่ยังไม่ชินมือ ถือว่าบังคับได้ค่อนข้างยาก ไม่ต่างอะไรจากการตีลังกาหมุนไปมา เล่นๆ อยู่ยังต้องหยุดไปพักสายตา รอให้อาการมึนเริ่มหายถึงจะกลับมาเล่นต่อได้ ด้านเสียงไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เสียงในเกมส่วนใหญ่จะเป็นเสียงจากกิจกรรมที่เราทำ อย่าง การวิ่ง ยิงเลเซอร์ สลับกับเสียงของโดรนตำรวจที่บินไปมา และเมื่อออกมานอกชั้นบรรยากาศ จะได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึงอยู่ตลอด  เท่าที่สังเกตในเกมแทบไม่มีเสียง Background โผล่มาให้ได้ยิน มีเด่นๆ ก็แค่ฉากที่ต่อสู้ ถือว่าเสียงไม่ได้ทำหน้าที่เพิ่มอรรถรสให้กับเกมได้ดีเท่าที่ควร [caption id="attachment_2876" align="alignnone" width="786"] No Mans Sky Review GameFever TH[/caption] ส่วนการเล่นเกม ในช่วงแรกจะงงๆ หน่อย เพราะตัวเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องอะไรปูให้มาก่อน  อยู่ดีๆ เราก็ตื่นมาอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง มีปืนเลเซอร์อยู่หนึ่งอัน ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็อาจถูกแก๊สพิษ กัมมันตภาพรังสี หรืออากาศที่ร้อน-หนาวเกินไป ฆ่าตายง่ายๆ ไม่ก็อาจตายด้วยวิธีที่เรียบง่ายที่สุดอย่างอ็อกซิเจนหมด ตอนแรกที่ผู้เขียนเริ่มเล่นใหม่ๆ ก็ตายไปแบบไม่รู้สาเหตุหลายครั้งจนเกือบท้ออยู่เหมือนกัน ขนาดเล่นโหมด Normal ที่ถือว่าเป็นโหมด Survival ที่ง่ายที่สุดของเกม ยังรู้สึกว่าเกมไม่ค่อยเป็นมิตรต่อผู้เล่นใหม่อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการคราฟของหรือทำเควส ผู้เล่นจะต้องงมเอาเองแทบทั้งหมด ทั้งนี้เป็นเพราะเกมไม่ได้ให้เราเข้าสู่ Tutorial โดยตรง มีเพียงแค่ภารกิจหลักให้ทำ แม้จะสามารถเข้าไปดูข้อมูลเควสใน Guide ได้ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเกมไม่ได้ซัพพอร์ทผู้เล่นเสียเท่าไหร่ เหมือนเอาเรามาวางทิ้งไว้แล้วให้หาทางไปต่อเอง แม้เมื่อเล่นไปซักพักจะเริ่มจับจุดได้ แต่ระหว่างการทำภารกิจก็ยังมีจังหวะที่สับสนอยู่บ่อยๆ พอเล่นไปได้ประมาณ 10 ชั่วโมงแล้วก็รู้สึกว่าเกมยังไม่ไปถึงไหน วนอยู่หลักๆ กับแค่การเก็บทรัพยากร คราฟของที่จำเป็น และออกสำรวจดาว แม้ว่าการสำรวจจะเป็นหัวใจหลักของเกม แต่เอาเข้าจริงแล้วเวลาส่วนใหญ่ของเราจะหมดไปกับการฟาร์มของเสียมากกว่า ทรัพยากรบางชนิดกว่าจะยิงเลเซอร์เสร็จก็ใช้เวลานานเกินความจำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นผู้เล่นก็ต้องยอมเสียเวลา เพราะทรัพยากรเป็นของที่ต้องมี เป็นสิ่งที่ต้องใช้ แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติของเกมสไตล์ Survival แต่เครื่องมือเครื่องไม้ที่ใช้ทุ่นแรง อย่าง frigate ยานที่จะช่วยเราฟาร์มของ ก็จะได้มาหลังจากการที่เราเล่นเกมไปแล้วหลายชั่วโมง และหลายชั่วโมงในที่นี้หมายถึงประมาณ 20 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากเนื้อเรื่องที่ไม่เข้มข้นแล้ว นี่ก็ถือเป็นข้อเสียอีกจุดหนึ่งของเกมที่ยังแก้ไม่ได้ และอาจทำให้หลายคนเลิกเล่นเพราะเบื่อไปเสียก่อน แต่หากเราอดทน ค่อยๆ เล่น สร้างเนื้อสร้างตัวไปแบบไม่รีบร้อน เกมก็มีอะไรหลายอย่างให้ทำ เช่น การสแกนหาทรัพยากร หรือสิ่งมีชีวิต การผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่น ให้อาหารสัตว์ประหลาดบนดาว การสู้รบกับโจรสลัดอวกาศ หรือกลายเป็นโจรสลัดเสียเอง นอกจากนี้ยังมีการซื้อหรือสะสมฝูงบินอวกาศ สร้างฐานทัพขนาดใหญ่ และถ่ายรูป เป็นเกมที่สามารถเล่นได้เรื่อยๆ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสำรวจจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด โดยรวมแล้วการอัพเดทแพทช์ Next ครั้งนี้ ทำให้ No Man’s Sky พลิกโฉมจากเวอร์ชันก่อนไปพอสมควร กราฟิกสวยขึ้น มีกิจกรรมให้ทำมากขึ้น และสามารถเล่นกับเพื่อนได้ แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่ากับที่โฆษณาเกมไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนอยู่ดี เป็นเกมที่ต้องใช้เวลาในการเล่นนานกว่าจะได้ของแบบครบๆ แถมระบบ Multi-player ก็ไม่ค่อยให้ความรู้สึกถึงความเป็นปาร์ตี้เดียวกันเท่าที่ควร เหมือนกับว่าแค่มีเพื่อนมาเล่นด้วยแก้เหงามากกว่า แต่ทั้งนี้ก็อาจจะถูกใจคอเกมสาย Survival ที่ใจเย็น ชอบฟาร์มของ  และหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ใครที่เคยลองเล่นมาก่อนอาจจะกลับไปเล่นแล้วชอบก็ได้ ส่วนนักสำรวจมือใหม่อาจต้องตัดสินใจชั่งน้ำหนักดู แม้เกมจะมีข้อเสียและยังทำออกมาได้ดีไม่สุด แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ผู้พัฒนาจะทยอยอัพเดทเกมให้ดีขึ้นอยู่เหมือนกัน หวังว่าสุดท้ายแล้ว No Man’s Sky จะได้กลายเป็นเกมในฝันของใครหลายคนจริงๆ เสียที [penci_review id="2859"]
04 Aug 2018
พรีวิว 2 ชั่วโมงแรกของเกม Marvel’s Spider-man
เมื่อวันที่ 22-23 กรกฏาคมที่ผ่านมา ทีมงาน GameFever ได้มีโอกาสเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมงานอีเว้นท์พิเศษสำหรับเกม Marvel’s Spider-man (ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีจากบริษัท Sony สำหรับคำเชิญครับ) โดยนอกจากจะได้พูดคุยกับนักพัฒนาเกมจากค่าย Insomniac Games อย่างคุณ James Stevenson แล้ว (อ่านบทสัมภาษณ์ ที่นี่) ยังมีโอกาสได้ทดลองเล่นเกม Marvel’s Spider-man ถึงสองชั่วโมง! จึงอยากจะนำความรู้สึกมาแบ่งปันเกี่ยวกับเกม ก่อนที่เพื่อนๆ จะได้สัมผัสด้วยตัวเองในวันที่ 7 กันยายนนี้จ้า! เมื่อพูดถึงเกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดี่ที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำตอบในใจของหลายๆ คนคงหนีไม่พ้นเกมซีรี่ย์ในตำนานอย่างตระกูล Batman: Arkham ที่สื่อและนักวิจารณ์หลายสำนักยกให้เป็นเกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเลยทีเดียว รู้อย่างงี้แล้วจะไม่ให้เอาเกมน้องใหม่อย่าง Marvel’s Spider-man ไปเทียบก็คงจะยาก แน่นอนว่าทั้งสองเกมย่อมมีความแตกต่างกันมากพอๆ กับที่ฮีโร่ตัวเอกของทั้งสองเกมแตกต่างกันราวแสงกับเงา แต่ด้วยความเป็นที่เกมแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนกันแล้วก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคล้ายคลึงกันบ้าง ในระบบต่อสู้ ระบบการซุ่ม (Stealth) และการเคลื่อนที่ไปมาอย่างอิสระในโลก Open-world แต่จากที่เห็นใน 2 ชั่วโมงแรกของเกม สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนพูดได้เต็มปากก็คือ เกม Marvel’s Spider-man สามารถทำให้เรารู้สึกสนุกกับการเป็นไอ้แมงมุมไม่ต่างจากที่ Batman: Arkham ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัศวินรัตติกาลเลย มาเข้าเรื่องกันก่อนเลย เกม Marvel’s Spider-man เป็นเกมแนวแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่แบบ Open-World ไม่ต่างกับเกมอย่าง Batman: Arkham หรือเกมตระกูล Shadow of Mordor ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ในแผนที่เพื่อรับภารกิจตามเนื้อเรื่อง โดยจะมีกิจกรรมย่อยๆ ให้ทำระหว่างทางเช่นการรับภารกิจเสริมหรือการเก็บของสะสมตามสัญลักษณ์ในแผนที่ โดยแผนที่ของเกมจะยังไม่แสดงรายละเอียดหรือจุดสนใจจนกว่าผู้เล่นจะตามซ่อมเสาสัญญาณ Oscorp ตามโซนต่างๆ เพื่อเปิดแผนที่ในเขตนั้นๆ ไม่ค่อยต่างจากเกมอย่าง Assassin’s Creed นัก  ได้ยินอย่างนี้แล้วหลายๆ คนอาจจะกุมขมับ แต่ข้อดีของเกม Marvel’s Spider-man คือระบบการเคลื่อนที่สนุกมาก! และที่สำคัญคือง่ายมากๆ ด้วย การปีนป่ายหรือโหนใยไปตามเมืองนิวยอร์คจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อผู้เล่นกดปุ่ม R2 ค้างเอาไว้ และสามารถกด X เพื่อเหวี่ยงตัวไปให้ใกลขึ้นหรือพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างที่ผู้พัฒนาเปิดเผยไปแล้วว่าเกมจะใช้ระบบฟิสิกส์แบบของจริง แปลว่าใยของสไปเดอร์แมนต้องมีจุดยึดจริงๆ (เช่นตึกหรือเสาไฟฟ้า) จึงจะสามารถโหนได้ ระบบการกด R2 ค้างอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกว่าการเคลื่อนที่อาจจะน่าเบื่อ แต่เพราะระบบการโหนใยที่ให้ความรุ้สึกเป็นอิสระอย่างอธิบายไม่ถูก ทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยรู้สึกขัดกับระบบการเคลื่อนที่ กลับรู้สึกว่าดีด้วยซ้ำ เพราะการโหนใยไปชนตึกหรือติดบันไดหนีไฟคงไม่สนุกเหมือนกัน ภารกิจเนื้อเรื่องในเกมส่วนที่ผู้เขียนได้เล่นมามีความหลากหลายในตัวพอสมควร เกมออกตัวแรงด้วยการให้ผู้เล่นกระโดดเข้าไปร่วมวงการต่อสู้ระหว่างตำรวจ NYPD และเหล่าสมุนของเจ้าพ่อ Kingpin ในตึกออฟฟิศสูงเสียดฟ้าที่พาเราผ่านสถานการณ์มากมายทั้งการต่อสู้กับศัตรูเป็นระลอกๆ แบบเกมแอคชั่นทั่วไป ไปจนถึงการไล่เก็บศัตรูอย่างเงียบๆ ทีละตัว หรือกระทั่งฉากระทึกใจแบบอลังการงานสร้างระดับเดียวกับหนังมาร์เวลที่ออกมาให้ดูกันมากมาย ทั้งหมดรวมกันในฉากเดียว เกมใช้ระบบต่อสู้ที่น่าจะคุ้นเคยสำหรับคนที่เล่นเกมแอคชั่นอย่างตระกูล Arkham มาก่อน ผู้เล่นสามารถกดให้สไปเดอร์แมนโจมตีศัตรูเพื่อค่อยๆ สร้างคอมโบเพื่อนำไปสู่การใช้ท่าสุดยอดต่างๆ และสามารถกดปุ่มเพื่อหลบหลีกการโจมตีของศัตรูเมื่อมีสัญญาณแมงมุมขึ้นบนหัว ความแตกต่างระหว่าง Marvel’s Spider-man และเกมแอคชั่นที่ยกตัวอย่างมาคือความแตกต่างในวิธีต่อสู้ของตัวเอก สไปเดอร์แมนอาจจะไม่สามารถสวนกลับการโจมตีของศัตรูได้จากทุกทิศทางได้เหมือนแบ๊ตแมน การกดปุ่มตามสัญญาณจะทำให้สไปเดอร์แมนกระโดดหลบการโจมตีแทนที่จะสวนกลับ แต่สไปเดอร์แมนก็ทดแทนมาด้วยความว่องไวในการเคลื่อนไหว ที่ทำให้จังหวะการเล่นเกมมีความแตกต่างและท้าทายกว่าในเกมแอคชั่นที่ยกตัวอย่างมาในบางครั้ง เพราะปุ่มกระโดดหลบอาจจะทำให้เรากระโดดเข้าสู่อุ้งเท้าหรือกระสุนของศัตรูตัวอื่นๆ ได้เหมือนกัน ทำให้ต้องแบ่งความสนใจไปสู่ศัตรูรอบตัวมากกว่าเกมตระกูล Arkham ซะอีก (ระหว่างเล่นผู้เขียนยังโดนยิง/แทง/กระทืบตายตั้งหลายรอบเพราะชินกับจังหวะของเกมอื่น...) ศัตรูในเกมก็น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาดีสำหรับคนที่เคยเล่นเกมตระกูล Arkham มาก่อน นอกจากพวกสมุนตัวประกอบใดๆ แล้ว จะมีเหล่าศัตรูที่ถืออาวุธเช่นท่อหรือไม้หน้าสามที่สามารถป้องกันการโจมตีของเราได้ ศัตรูที่ถือโล่ห์ทำให้ต้องอ้อมไปตีจากด้านหลัง หรือกระทั่งศัตรูตัวใหญ่ๆ ที่ต้องเหวี่ยงม้านั่งใส่ (หรือยิงใยเข้าปาก) ให้มึนก่อนถึงจะสามารถโจมตีได้ แน่นอนว่ายังมีศัตรูที่ถือปืนชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปืนอัดลมไปจนถึงบาซูก้า ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งกลายเป้นเหมือนการแสดงเต้นกายกรรมที่สไปเดอร์แมนต้องกระโดดตีลังกาไปมาเพื่อหลบและหาโอกาสโจมตีศัตรูซะเอง แต่ที่แน่ๆ คือการต่อสู้ทุกครั้งทำเอาผู้เขียนใจเต้นตุบตับไปหมดทีเดียว ไม่ว่าจะสู้กับสมุนมาเฟียหรือกุ๊ยปล้นเซเว่นข้างถนน พูดถึงกุ๊ยปล้นเซเว่น เกมมีภารกิจย่อยให้ทำหลากหลายชนิดทั้งที่เกี่ยวกับการต่อสู้และไม่เกี่ยวเลย ในระหว่างการเดินทางไปในนิวยิอร์คหรือทุกครั้งที่เปิดแผนที่ เกมจะแสดงจุดที่กำลังเกิดอาชญกรรมในระยะใกล้เคียงเพื่อให้เราไปหยุดยั้ง หรืออาจจะแสดงของสะสมอย่างกระเป๋าสะพายที่ปีเตอร์ซ่อนไว้ตามเมืองสมัยเด็กๆ ไปจนถึงจุดที่สามารถถ่ายรูปคู่กับสถานที่สำคัญต่างๆ ในนิวยอร์คเช่นสถานีรถไฟ Grand Central Station หรือสวนสาธารณะ Central Park ซึ่งการทำภารกิจย่อยๆ เหล่านี้นอกจากจะให้ค่า XP เพื่อใช้ในการอัพสกิลต่างๆ แล้ว ยังจะให้ Token ตามชนิดของภารกิจ ซึ่งสามารถนำไปแลกชุดสไปเดอร์แมนสไตล์อื่นๆ ได้ โดยแต่ละสไตล์จะมีท่าไม้ตายไม่เหมือนกัน ในเดโมที่ผู้เขียนเล่นมีสไตล์ที่ทำให้เกจคอมโบเพิ่มขึ้นเองตลอดเวลา (ใช้ในการเพิ่มเลือดหรือใช้ไม้ตาย) หรืออีกชุดที่ทำให้เราไม่ได้รับความเสียหายเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นต้น โดยชุดในเกมมีให้ปลดล๊อคได้มากกว่า 24 ชุด (ผู้พัฒนาขอมาว่าให้อุบไว้ก่อนว่ามีชุดอะไรบ้าง จะได้ให้เพื่อนๆ ไปพบเจอกันเอง) อาจจะมีให้ทำหลากหลาย แต่ภารกิจย่อยต่างๆ กลับไม่ได้รู้สึกพิเศษหรือแตกต่างไปกว่าภารกิจในเกมอื่นๆ นัก เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การไปเก็บของเฉยๆ แต่ถ้ามองอีกมุมก็เป็นการสร้างเหตุผลให้เราออกไปสำรวจเมืองนิวยอร์ค ที่สร้างมาได้อย่างสมจริงทั้งในรูปลักษณ์และบรรยากาศ ซึ่งต้องขอชมทีมพัฒนาในเรื่องของการสร้างโลกที่รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างในเกมนี้ ที่มีผู้คนเดินไปมาบนถนนตลอดเวลา และพร้อมจะตบมือ High-Five หรือควักมือถือมาแชะเซลฟี่กับเราได้ทุกเมื่อเวลาลงไปเดินบนถนน แฟนๆ ของตัวละครสไปเดอร์แมนน่าจะรู้ดีถึงความผูกพันธุ์ที่ปีเตอร์มีต่อนครนิวยอร์ค ซึ่งเกมสามารถสร้างเมืองออกมาให้มีเสน่ห์จนไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เมืองนิวยอร์คใน Marvels Spider-man เป็นแผนที่ Open-world ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เงียบเหงาแน่นอน
02 Aug 2018
รีวิวเกม The Banner Saga 3 (PC, Steam) - จุดจบแห่งการเดินทาง!
แนวเกม: Turn-based Tactical RPG ผู้พัฒนา: Stoic แพลตฟอร์ม: Nintendo Switch, PlayStation 4, Xbox One, Windows + Mac (Steam) (รีวิวบน PC - ขอบคุณโค้ดรีวิวจากผู้พัฒนา Stoic ด้วยจ้า) ____________________________________________________________________________ ข้อดี เกมเพลย์สนุก ท้าทาย เนื้อเรื่องแฟนตาซีน่าติดตาม สามารถเปลี่ยนตามทางเลือกผู้เล่น (ถ้าเคยเล่นภาคก่อนๆ ทางเลือกในเกมนั้นๆ จะมีผลด้วย) ภาพวาดมือดูสบายตา ฉากหลังสวย ดนตรีฟังเพลิน ข้อเสีย U.I. ไม่สวย เหมือนเกมเล่นผ่าน Browser เมนูหลายๆ อย่างอธิบายไม่ละเอียด ข้อมูลอ่านยาก ระบบหลายๆ อย่างค่อนข้างซับซ้อนและเกมอธิบายได้ไม่ค่อยดีนัก เนื้อเรื่องต่อจากภาคก่อนๆ ถ้าไม่เคยเล่นก็ไม่รู้เรื่อง ดำเนินมาถึงภาค 3 กันแล้วกับซีรี่ย์เกมอินดี้แนว RPG วางแผน The Banner Saga จากค่ายพัฒนา Stoic สำหรับ The Banner Saga 3 ก็ยังคงเป็นโปรเจ็ค Kickstarter อีกตามเคย โดยคราวนี้ระดมทุนสร้างไปได้ทั้งหมด 4 แสนกว่าเหรียญ (มากกว่าเป้าหมายที่ผู้พัฒนาตั้งไว้ที่ 2 แสนเหรียญไปถึงสองเท่า) แต่แม้จะไม่ใช่เกมที่ทุนสร้างสูง The Banner Saga 3 ก็ยังคงเป็นเกมที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้งในด้านเกมเพลย์ที่ท้ายทาย และภาพกราฟิคที่วาดด้วยมือทั้งหมดตั้งแต่ตัวละครไปถึงฉากหลังที่เหมือนภาพวาดสีน้ำมัน ช่วยสื่ออารมณ์และบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดีทีเดียว บางองค์ประกอบของเกมอาจจะสะท้อนความทุนต่ำไปบ้าง แต่ถ้าวัดกันที่เกมเพลย์และเนื้อเรื่องแล้ว The Banner Saga 3 ก็ยังถือเป็นเกมที่คุ้มค่าแก่การเล่นมากๆ เกมนึงเลย แต่ในขณะเดียวกันเกมก็คาดหวังให้ผู้เล่นเคยเล่นภาคก่อนๆ มาแล้ว เพราะเนื้อเรื่องแทบจะเริ่มต่อจากภาคสองทันที แถมเกมยังไม่ค่อยมีตัวช่วยในการเล่นมากนัก ทำให้ผู้เล่นที่ไม่คุ้นเคยกับระบบต่างๆ ต้องลองผิดลองถูกเองบ้างในการต่อสู้และอัพเกรดตัวละคร สำหรับเนื้อเรื่องโดยคร่าวๆ ของเกม The Banner Saga นั้นเกี่ยวกับการเดินทางของคาราวานชนเผ่าผู้อพยพ ที่ต้องออกเดินทางเพื่อหนีเหล่าปีศาจ Dredge ที่บุกโจมตีดินแดนมนุษย์ โดยเรื่องราวในภาค 3 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับเรื่องราวของคาราวานเมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของดินแดนหรือ Aberrang และอีกส่วนติดตามกลุ่มนักรบที่ติดตามเหล่านักเวทย์ Juno และ Eyvind เพื่อยับยั้งการคืบคลานของความมืดก่อนที่โลกจะถูกกลืนกิน อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงงว่าอะไรคืออะไร นั่นเพราะเกมแทบจะดำเนินเรื่องต่อจากถาคก่อนๆ ทันทีตั้งแต่เริ่มเกมเลย นอกจากหนัง Recap สั้นๆ ที่เราสามารถกดดูได้จากเมนูหลัก (ซึ่งก็แทบจะไม่ได้เล่าอะไรเลย) เกมไม่มีการเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ เลย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เคยเล่นภาคก่อนๆ มาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเนื้อเรื่องของเกมเขียนมาค่อนข้างดีทีเดียว โดยทีมพัฒนา Stoic เองก็มีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้พัฒนามือฉมังจาก Bioware ยุคเก่าทั้งนั้น ทำให้เนื้อเรื่องและการเชื่อมทางเลือกผู้เล่นจากภาคสู่ภาคทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องน่าติดตามคือฉากอันสวยงามของเกมที่วาดด้วยมือทั้งหมด ที่ช่วยเสริมบรรยากาศน่าสิ้นหวังของเกมได้เป็นอย่างดี แม้ว่ากราฟิคในด้าน U.I. และเมนูของเกมอาจจะทำออกมาได้ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ฉากภาพวาดใหญ่ๆ หรือฉากคัตซีนที่เป็นภาพการ์ตูนก็ยังช่วยให้มองข้ามจุดด้อยในด้านการนำเสนอตรงนี้ไปได้พอสมควรเหมือนกัน สำหรับเกมเพลย์ของ The Banner Saga 3 สามารถแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆ ด้วยกัน คือการเดินทางในคาราวานและการต่อสู้ โดยการเดินทางในคาราวานจะเป็นช่วงที่เราดำเนินเนื้อเรื่องต่างๆ และบริหารทรัพยากรเช่นอาหารและจำนวนชาวบ้านหรือนักรบในคาราวาน โดยทรัพยากรเหล่านี้จะสามารถได้มาหรือเสียไปขึ้นอยู่กับทางเลือกของผู้เล่นต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่อง การบริหารเสบียงหรือนักรบให้เพียงพอต่อความต้องการของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญเพราะถ้าบริหารไม่ดีอาจจะทำให้ตัวละครในปาร์ตี้ผู้เล่นบางตัวไม่พอใจจนหนีไป หรือกระทั่งก่อจลาจลได้เลยทีเดียว แถมยังมีผลต่อตอนจบของเกมอีกด้วย จึงน่าเสียดายที่บางทีระบบดูจะขึ้นอยู่กับการเสี่ยงดวงบ่อยไปหน่อย จนรู้สึกว่าเราไม่ได้สามารถควบคุมมันได้จริงๆ เวลาได้หรือเสียทรัพยากรไป การเดินทางในคาราวานจะมีเหตุการณ์ต่างๆ มาขั้นเป็นช่วงๆ ซึ่งบางเหตุการณ์อาจจะนำไปสู่การต่อสู้หรือไม่ขึ้นอยู่กับทางเลือกของผู้เล่นด้วย เลือกผิดก็อาจจะต้องต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ หรืออาจจะได้ตัวละครใหม่มาใช้ในการต่อสู้ถ้าเลือกถูก ข้อดีของระบบนี้อยู่ตรงที่ทางเลือกของผู้เล่นจากภาคก่อนๆ จะส่งผลโดยตรงมายังทางเลือกในภาคนี้ ตัวละครที่เราเคยบาดหมางด้วยในภาคก่อนๆ อาจจะกลับมาแก้แค้น หรืออาจจะมีเพื่อนร่วมศึกที่เก็บความรู้สึกไม่พอใจมาตลอดจากทางเลือกของเรา ซึ่งเกมสามารถสร้างความรู้สึกเจ็บใจเวลาเสียเพื่อนที่ร่วมรบกับเรามาตั้งแต่ภาคแรกได้ดีมากๆ ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่เคยเล่นเกมภาคอื่นๆ มาอาจจะไม่อินกับองค์ประกอบนี้ของเกมนัก สำหรับระบบการต่อสู้ The Banner Saga 3 เป็นเกมแนว Turn-based RPG ที่มีระบบค่อนข้างลึก ผู้เล่นที่คุ้นเคยกับเกมอย่าง Final Fantasy Tactics น่าจะเข้าใจระบบการเดินตัวละครไปตามตารางสีเหลี่ยมเพื่อโจมตีหรือใช้เวทย์มนต์อยู่แล้ว แต่เกมก็มีระบบต่างๆ เพิ่มเข้ามาที่ทำให้ท้าทายความคิดการวางแผนของผู้เล่นตลอดเวลาเช่นกัน เรียกได้ว่าบุกเข้าไปฟันมั่วๆ จะผ่านเกมนี้ยากมากๆ ระบบเด่นอย่างแรกคือระบบสองหลอดเลือด ประกอบไปด้วย Armor และ Strength โดยเกมจะบังคับให้ผู้เล่นต้องโจมตีหลอด Armor หรือเกราะของศัตรูซะก่อนจึงจะสามารถโจมตีเลือดหรือ Strength ของศัตรูได้ ซึ่งผู้เล่นจะต้องเลือกตัวละครให้เหมาะกับสถานการณ์ บางตัวอาจจะถนัดตี Armor ในขณะที่บางตัวแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเจอศัตรูที่มี Armor สูงๆ นอกจากนี้ เกมยังคำนวนดาเมจจากค่า Strength ของตัวละครด้วย หมายความว่ายิ่งตัวละครใกล้ตายก็จะยิ่งตีเบาลงเรื่อยๆ ระบบนี้ทำให้ผู้เล่นต้องบริหารตำแหน่งของตัวละครทั้งของตัวเองและศัตรู เพื่อให้ตัวละครของเราสามารถเข้าถึงศัตรูได้ถูกตัว และกันไม่ให้ศัตรูเข้ามาโจมตีตัวละครเกราะบางของเราเช่นกัน เช่นเดียวกับในเกม RPG ทั่วๆ ไป ตัวละครต่างๆ ของเราจะได้รับค่าประสบการณ์จากการฆ่าศัตรู ซึ่งพอเก็บถึงจุดนึงจะสามารถใช้ค่าประสบการณ์หรือ Renown ในการอัพเลเวลตัวละครได้ โดนการอัพเลเวลแต่ละครั้งจะได้รับค่า Stat 2 หน่วยเพื่อนำมาอัพเกรด Perk ต่างๆ ขึ้นอยู่กับค่า Stat ที่เราเลือก เช่น Perk ที่ทำให้เรากันความเสียหายต่อ Armor ได้สองหน่วยเป็นต้น เป็นระบบที่พอเล่นจริงๆ ก็ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งเกมอธิบายระบบได้ไม่ค่อยดีนัก ผู้เล่นที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน (หรือกระทั่งคนที่เคยเล่นภาคก่อนมาเมื่อนานมากๆ แล้วอย่างผู้เขียน) จึงอาจจะงงได้ง่ายๆ ว่าควรอัพอะไรก่อนบ้าง แถมค่า Perk เหล่านี้ยังมีผลสำคัญมากๆ ในการต่อสู้ ทำให้การเล่นช่วงแรกๆ อาจจะมีความยากกว่าที่ควรถ้าอัพ Perk ไม่ถูก ตัวละครในเกมนี้จะมีคลาสอาชีพที่แบ่งแบบง่ายๆ ได้จากอาวุธที่ใช้ ตัวละครที่มีอาวุธเหมือนกันก็มักจะมีสกิลเดียวกัน แต่ก็จะมีตัวละครส่วนน้อยที่ดันถืออาวุธแบบนึงแต่กลับมีหน้าที่ไม่เหมือนตัวละครตัวอื่น เช่นไวกิ้งถือขวาน Oli ที่เป็นตัวละครระยะใกล แม้จะถือขวานและโล่ห์เหมือนตัวละครอื่นๆ อีกหลายตัวที่โจมตีระยะประชิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้จนลองใช้ตัวละครจริงๆ ทำให้การต่อสู้บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกขัดขาตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย ซึ่งจุดนี้อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่สำหรับผู้ที่รู้จักตัวละครอยู่แล้วจากภาคเก่า นอกจากนี้ เกมยังมีระบบไอเทมแบบง่ายๆ โดยตัวละครแต่ละตัวจะสามารถถือไอเทมได้คนละหนึ่งอย่างเพื่อรับโบนัสต่างๆ เช่นเพิ่มพลังป้องกัน/โจมตี หรือเพิ่มเลเวลของ Perk ต่างๆ เป็นต้น ระบบนี้จริงๆ แล้วก็ส่งผลต่อการต่อสู้เยอะมาก แต่เกมกลับอธิบายค่าพลังโบนัสจากอาวุธได้ไม่ละเอียดตามเคย ทำให้ผู้เล่นต้องลองผิดลองถูกเองซักหน่อยกว่าจะรู้ว่าไอเทมไหนควรให้ตัวไหนถือ เกม The Banner Saga 3 เป็นเกมที่มีเกมเพลย์และเนื้อเรื่องดีจริงๆ แต่ก็เป็นเกมที่ต้องเล่นภาคก่อนๆ มาก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถสนุกกับมันได้ คนที่เคยเล่นเกมภาคก่อนๆ มาไม่ควรพลาดตอนจบของเนื้อเรื่องนี้แน่นอน ส่วนคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนแต่สนใจเกม RPG แนววางแผนก็ยังอาจจะพอหาความสนุกได้บ้างถ้าใจเย็นพอจะศึกษาระบบต่างๆ แต่ทางที่ดีไปหาภาคเก่าๆ มาเล่นก่อนดีกว่าจ้า สรุปคะแนน: 7.5/10 (สำหรับคนทั่วไป ถ้าเคยเล่นภาคก่อนๆ ให้ 8.5/10) [penci_review id="2681"]
31 Jul 2018
รีวิวเกม Earthfall (PC, Steam)
รีวิวเกม Earthfall (PC, Steam) แนวเกม: Co-op FPS ผู้พัฒนา: Holospark แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (Steam) ____________________________________________________________________________ ข้อดี แนวเกมเข้าใจง่าย สนุกเมื่อเล่นกับเพื่อน ราคาใน PC ถูก ข้อเสีย ด่านน้อยและเล็ก เล่นไม่กี่ครั้งก็เบื่อ ไม่ค่อยมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ไม่มีระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เล่นออนไลน์กับคนที่ไม่ใช่เพื่อนแล้วแลค/หลุดบ่อย ระบบการตกแต่งตัวละคร/ปืนไม่น่าสนใจ เกมเมอร์ชาวไทยหลายๆ คนน่าจะมีความทรงจำดีๆ กับเกมซีรี่ย์ Left 4 Dead เกมยอดฮิตประจำร้านเน็ตที่ให้เราร่วมมือกับเพื่อนๆ เพื่อเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้นับร้อยๆ ตัว เพื่อทำภารกิจจากด่านแต่ละด่าน เป็นรูปแบบการเล่นเกมที่ตื่นเต้นและเอื้อต่อการสร้างจังหวะที่น่าจดจำ เช่นจังหวะที่เราช่วยเพื่อนจากการถูก Smoker จับ หรือจังหวะที่เราร่วมมือกันเพืื่อล้ม Tank ลงจนได้ แถมยังสามารถเล่นซ้ำได้เรื่อยๆ เพราะด่านจะสุ่มตำแหน่งของไอเทมและซอมบี้ทุกครั้ง ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เข้าไปเล่น เกม Earthfall เป็นเกมที่สร้างมาเพื่อคนที่โหยหาการเล่นเกมแบบ Left 4 Dead อย่างเต็มรูปแบบ แทบจะเรียกว่ายกเกม Left 4 Dead มาหมดแค่เปลี่ยนซอมบี้เป็นเอเลี่ยนหน้าตาธรรมดาๆ ก็ได้ แต่ด้วยการออกแบบฉากที่ค่อนข้างจำกัด รวมกับความตายตัวในโครงสร้างของด่านแต่ละด่านและองค์ประกอบย่อยอื่นๆ ทำให้เกมขาดความรู้สึกตื่นเต้นของเกม Left 4 Dead ไป Earthfall อาจจะเป็นเกมที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการหาเกมเล่นเพลินๆ กับกลุ่มเพื่อนเมื่อไม่มีอย่างอื่นจะเล่น โดยเฉพาะใน PC ที่เกมราคาถูกมากๆ (ขณะเขียนรีวิวเกมมีราคาใน Steam เพียง 379 บาทเท่านั้น) แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอกลับไปเล่น Left 4 Dead 2 ดีกว่า เกม Earthfall เป็นเกมที่ให้เรารับบทเป็นผู้รอดชีวิต 4 คนในโลกที่ล่มสลายจากการโดนเอเลี่ยนถล่ม ที่ต้องเดินทางไปด้วยกันเพื่อตามหาวิธีเอาตัวรอดจากเหล่าเอเลี่ยน โดยเกมจะตั้งอยู่ในยุคอนาคตอันใกล้ และดำเนินเนื้อเรื่องผ่านบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างตัวละครตอนเริ่มฉาก ซึ่งแฟนๆ เกมแนว Left 4 Dead หรือ Call of Duty: Zombies น่าจะคุ้นเคยกันดี เนื้อเรื่องของเกมแนวนี้อาจจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก แต่การเล่าเรื่องในเกมแบบนี้ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบการเล่นในฉากต่างๆ ให้น่าสนใจได้ อย่างใน Left 4 Dead 2 ที่มีด่านที่ผู้เล่นต้องเติมน้ำมันใส่รถในห้างเพื่อหลบหนี หรือฉากที่ผู้เล่นต้องต่อสู้กับซอมบี้กลางเวทีวงร๊อคเพื่อรอเฮลิคอปเตอร์มาช่วย ซึ่งเนื้อเรื่องใน Earthfall ก็ถือว่าตอบโจทย์ตรงนี้ได้บ้าง แม้ว่าสุดท้ายภารกิตต่างๆ ในด่าน รวมไปถึงตัวด่านเองจะไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าที่ควร จะมีก็เพียงแค่ด่านสุดท้ายของเนื้อเรื่องสองภาคในเกม (ภาคละ 5 ด่าน รวมเป็น 10) ที่พอจะมีความน่าตื่นเต้นอยู่บ้าง เรื่องด่านถือเป็นจุดอ่อนที่สุดของ Earthfall เลยก็ว่าได้ ด่านทุกด่านถูกออกแบบมาค่อนข้างแคบ ทำให้การทำภารกิจในแต่ละด่านต้องวนๆ อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แบ่งเป็นห้องๆ ไม่กี่ห้องในแต่ละด่าน เมื่อรวมกับความซ้ำซากในจุดเกิดของอาวุธและไอเทมในด่าน (ศัตรูยังพอมีสุ่มจุดเกิดกันบ้าง) ทำให้การเล่นด่านเดิมซ้ำๆ ขาดความน่าตื่นเต้นไปพอสมควร เพราะรู้หมดแล้วว่าจังหวะไหนที่ศัตรูจะแห่มาเยอะๆ จังหวะไหนกำลังจะมีของเพิ่มเลือดหรืออาวุธให้เก็บเพิ่ม อีกหนึ่งจุดที่เกมทำได้ไม่ค่อยดีคือเรื่องของเหล่าเอเลี่ยนพันธุ์พิเศษ ที่ลอกมาจาก Left 4 Dead เกือบทุกตัว เช่นเอเลี่ยนที่คอยตะปบคนที่อยู่ห่างจากเพื่อนร่วมทีม เอเลี่ยนที่จะวิ่งมาลากเพื่อนร่วมทีมไปจากกลุ่ม เอเลี่ยนที่ระเบิดเป็นควันพิษ เป็นต้น ซึ่งการที่เหล่าเอเลี่ยนพิเศษทุกตัวมีความคุ้นเคยมากๆ ก็ทำให้เกมขาดความน่าตื่นเต้นไปอีกเช่นกัน สำหรับระบบอื่นๆ ของเกมอย่างระบบ FPS หรือไอเทมพิเศษอย่างรั้วกั้นหรือเครื่องพิมพ์ปืนนั้นทำออกมาได้ค่อยข้างธรรมดาๆ ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่หรือพิเศษอะไรกับเกม โดยข้อด้อยนี้รวมถึงระบบการแต่งชุดตัวละครและปืนด้วย ที่ทำออกมาได้อย่างจืดชืด ไม่ได้น่าสะสมหรือค้นหาเลย การเล่นออนไลน์กับเพื่อนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่การหาห้องเล่นกับคนแปลกหน้ามักจะมีปัญหาเรื่องการหลุดหรือแลคจนเห็นตัวละครคนอื่นหายตัวไปมาได้เลย ซึ่งจุดนี้อาจจะพออนุโลมได้บ้างถ้าเกมมีกราฟิคสวยงามหรือน่าสนใจ แต่กราฟิคของเกมใน PC (ปรับกราฟิคระดับ High ด้วยการ์ดจอ GTX 1050ti) กลับทำให้นึกถึงเกมยุค PS3 ที่ผ่านการ Remaster มากกว่า ถ้าถามว่าสุดท้ายแล้วเกม Earthfall สนุกหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าด้วยรูปแบบการเล่นก็สามารถสร้างความเพลิดเพลินได้บ้างเมื่อมีโอกาสได้เล่นเฮฮากับเพื่อน แต่ก็มีเกมรูปแบบเดียวกันมากมายในตลาดอย่าง Warhammer: Vermintide หรือ Call of Duty: Zombies หรือกระทั่ง Left 4 Dead เองที่มีความน่าสนใจกว่ามากทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และระบบการเล่น [penci_review id="1993"]
16 Jul 2018
Review: Octopath Traveler
แนวเกม: JRPG ผู้พัฒนา: Square Enix แพลตฟอร์ม: Nintendo Switch ข้อดี ระบบต่อสู้สนุก เพลงเพราะ ระบบสำรวจเมืองดี ข้อเสีย เนื้อเรื่องน่าเบื่อ อาร์ตสไตล์น่าอึดอัด Octopath Traveler ผลงานจากค่ายผู้เชี่ยวชาญในการทำเกม JRPG อย่าง Square Enix เป็นเกม RPG เทิร์นเบสที่มีระบบการเล่นและงานด้านภาพและเสียงแบบเดียวกับเกม RPG ในยุคซูเปอร์แฟมิคอมเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว แต่ได้รับการปรับปรุงขึ้นให้มีคุณภาพระดับ HD และเพิ่มลูกเล่นต่างๆ ให้มีความสดใหม่ขึ้น ในเกมนี้จะมีตัวละครหลักทั้งหมด 8 ตัว ตามชื่อของเกม (Octo แปลว่า แปด) แต่ละตัวจะมีอาชีพ เนื้อเรื่อง และทักษะเฉพาะของตัวละคร แบ่งเป็นบทให้เลือกเล่น เกมจะบังคับให้เราสลับไปเล่นตัวละครต่างๆ โดยใช้ข้อจำกัดด้านเลเวลท่ีบทหลังๆ จะมีความยากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถลุยเนื้อเรื่องตัวละครเดียวจนจบได้หากอยากเล่นแบบสบายๆ ไม่ต้องเสียเวลาเก็บเลเวลนานๆ https://www.youtube.com/watch?v=f4S9LQJojJg ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นทำได้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่นักเพราะเกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่เป็นแกนหลัก แต่ตัวละครแต่ละตัวจะมีเนื้อเรื่องแยกออกจากกันไปเลย ตัวละครจะอยู่ด้วยกันแค่ในปาร์ตี้ ในฉากต่อสู้ แต่พอตัดเข้าคัทซีนเนื้อเรื่องของแต่ละตัวครก็จะเหลือแค่ตัวละครเจ้าของเนื้อเรื่องนั้นทันที และเนื้อเรื่องไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไร พอบวกกับวิธีการเล่าเรื่องด้วยข้อความเป็นหลักแบบเกมในยุคเก่าก็ทำให้รู้สึกง่วงหรืออยากกดข้ามอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ทางด้านงานภาพต้องเรียกว่าทำได้ดีแต่ไม่น่าประทับใจ เกมผสมผสานกราฟิก 2D แบบเกมยุคซูเปอร์แฟมิคอมเข้ากับเทคนิคด้านกราฟิกต่างๆ อย่างการเคลื่อนไหวของน้ำ การเคลื่อนไหวของต้นไม้ เมฆ ได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าถ้าเอาไปเทียบกับเกมที่มีงานภาพแบบนี้ Octopath ทำได้ดีกว่าในทุกๆ ด้าน พากราฟิกแนวนี้ไปอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว แต่เพราะเกมมาออกเอาตอนนี้เลยทำให้ความประทับใจที่ได้หายไปเยอะจากการที่เกมเลือกใช้งานภาพแบบ 16 Bit แบบเกมยุคเก่า จุดด้อยอีกอย่างของกราฟิกคือเกมใช้เทคนิคด้านภาพอย่างการโฟกัสที่ทำให้จุดที่ตัวละครอยู่มีความคมชัด ส่วนจุดที่อยู่ไกลออกไปจะมองเห็นเป็นภาพจางๆ ทำให้ฉากดูมีมิติ ซึ่งแม้จะทำให้ฉากมีความสวยขึ้นแต่ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกันเพราะรู้สึกว่าฉากถูกบีบให้มีความแคบไปหมด แม้งานด้านภาพจะมีความล้าสมัยไปบ้างแต่เพลงประกอบต้องเรียกว่าทำได้ยอดเยี่ยม อาจไม่ใช่เพลงที่ฟังแล้วติดหูทันทีอย่างเกมจากซีรีส์ไฟนอลแฟนตาซี แต่เพลงแต่ละเพลงสร้างอารมณ์ร่วมและเลือกมาให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีมาก แต่ละเพลงมีการใช้เครื่องดนตรีจัดเต็มอลังการงานสร้างสุดๆ ใครที่ชอบฟังเพลงประกอบดีๆ ต้องถูกใจแน่นอน ระบบการต่อสู้คือจุดเด่นจริงๆ ของเกมนี้ เกมทำให้การต่อสู้แบบเทิร์นเบสที่ล้าสมัยไปแล้วสนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรายังต้องใช้การเลือกคำสั่งโจมตี ป้องกัน ใช้เวทมนต์ ใช้ไอเทม หนี แบบเกม RPG เทิร์นเบสอื่นๆ แต่เกมเพิ่มระบบใหม่อย่างระบบการ "Break" เกราะของศัตรู ศัตรูแต่ละตัวจะมีเกราะอยู่และมีตัวเลขกำกับไว้ เราจะต้องใช้การโจมตีที่เป็นจุดอ่อนของศัตรูนั้นตีศัตรูไปเรื่อยๆ จนเกราะเหลือ 0 ซึ่งจะทำให้ศัตรูมึนและเสียเทิร์น และการโจมตีของเราหลังจากนั้นจะแรงขึ้นมาก ซึ่งจุดนี้เกมให้ความสำคัญมาก ไม่ได้เป็นแค่โบนัสแต่เป็นสิ่งจำเป็น แม้แต่ศัตรูง่ายๆ เราก็จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากจุดนี้ การต่อสู้แต่ละครั้งจำเป็นต้องวางแผน แม้จะมีเลเวลเท่าๆ กับศัตรูแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ จุดนี้ทำให้เกมมีความยากแต่ก็กลายเป็นส่วนสำคัญของความสนุก ทำให้เกิดความลุ้นระทึก การวางแผน ไม่ใช่กดปุ่มโจมตีไปเรื่อยๆ เฉยๆ เพราะระบบการแพ้ทางข้างต้นเราจึงต้องวางแผนตัวละครที่เราจะจัดเข้าปาร์ตี้ด้วย ซึ่งข้อเสียก็คือตัวละครที่เราไม่ได้เอาเข้าปาร์ตี้จะไม่ได้รับค่าประสบการณ์เลย และการอัพเลเวลจะค่อนข้างยาก แม้การพาตัวละครเลเวลน้อยๆ เข้าปาร์ตี้ไปตีศัตรูเก่งๆ จะทำให้ได้เลเวลเร็วขึ้นแต่ก็ไม่ได้เร็วขึ้นมากแบบเกมอื่นๆ นอกจากอาชีพทั้ง 8 ตามตัวละครแต่ละตัวแล้ว เรายังสามารถเข้าไปใน Shrine ของแต่ละอาชีพเพื่อนำอาชีพทั้ง 8 มาติดตั้งเป็นอาชีพเสริมให้กับตัวละครอื่นๆ ได้ด้วย อย่างเช่นตัวละครที่เป็น Scholar ที่ปกติใช้แต่เวทมนต์ก็อาจติดอาชีพเสริมเป็น Thief เพื่อใช้ประโยชน์จากอาวุธอย่างมีดที่ปกติ Scholar ใส่ไม่ได้ เพื่อทำให้เรามีตัวละครที่สามารถ Break เกราะศัตรูได้เยอะขึ้น จุดนี้ทำให้ระบบการเล่นของเกมมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก ในฉากต่อสู้เกมยังมีระบบการ Boost เพิ่มพลังให้ตัวละครของเราโจมตีได้แรงขึ้น หรือหลายครั้งขึ้น ทั้งโจมตีปกติโจมตีด้วยสกิล หรือเวทมนต์ โดยเราจะได้สิ่งที่เรียกว่า Bonus Point ทุกๆ เทิร์นเอาไว้สำหรับ Boost ซึ่งก็ต้องวางแผนดีๆ อีกเช่นกัน หากเก็บไว้ใช้ทีเดียวก็จะโจมตีได้แรงขึ้นมาก หรืออาจใช้เพื่อให้ตัวละครโจมตีตีได้หลายครั้ง เพื่อทำให้ศัตรูทุกตัวเข้าสู่สภาวะ Break โจมตีเราไม่ได้ แต่หากใช้ช้าเกินไปตัวละครก็อาจโดนบอสตบตายก่อน ลูกเล่นอย่างหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของ Octopath ก็คือระบบสกิลสำรวจของแต่ละตัวละครที่เรียกว่า Path โดยปกติแล้วเกมแนวนี้เวลาอยู่ในเมืองสิ่งที่เราจะทำได้ก็คือพูดคุย รับเควสท์ ซื้อของ นอนพักในโรงแรม แต่ด้วยระบบ Path ของเกมทำให้เราสามารถใช้ทักษะพิเศษของแต่ละตัวละครได้ อย่างตัวละครที่เป็น Thief เราจะสามารถขโมยของจาก NPC ในเมืองได้ และอาวุธและชุดเกราะดีๆ หลายชิ้นจำเป็นต้องได้มาด้วยวิธีนี้ หรือตัวละครอย่าง Scholar เราจะมีความสามารถในการมองตัวละคร NPC อย่างพิจารณาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม อย่างการได้ลดราคาค่าโรงแรม หาที่อยู่ไอเทมลับ เป็นต้น ซึ่งในภารกิจย่อยหลายๆ ภารกิจเราก็จำเป็นต้องใช้ทักษะพวกนี้ในการผ่านด้วย ทำให้เกมมีความหลากหลายในการสำรวจเกมเพิ่มขึ้นมาก โดยรวมแล้วแม้เกมจะมีจุดด้อยในหลายจุด แต่ต้องยอมรับว่าจุดที่สำคัญจริงๆ อย่างความสนุกของเกม เกม JRPG ย้อนยุคเกมนี้ก็ทำได้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นคนชอบเกมแนว RPG เทิร์นเบสอยู่แล้วน่าจะถูกใจกับระบบการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นมากของเกมนี้ คนที่ไม่ชินกับเกมแนวนี้น่าจะต้องใช้การปรับตัวสักหน่อยแต่ก็น่าจะสนุกกับเกมได้เช่นกัน คนที่น่าจะผ่านเกมนี้ไปเลยจริงๆ ก็คือคนที่ไม่ชอบเล่นเกมยากๆ เพราะเกม Octopath Traveler ไม่ยอมให้ผู้เล่นกดปุ่มเดียวไปเรื่อยๆ เพื่อผ่านเกมแน่นอน [penci_review id="1952"]
13 Jul 2018
Review: The Crew 2
Platform: PS4, Xbox One, Windows (รีวิวบน PS4) The Crew 2 เป็นเกม Racing ออนไลน์ที่เราสามารถบังคับได้ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เรือ และเครื่องบิน ซึ่งมาพร้อมกับระบบเกมแบบ Open World สามารถขับตะลุยได้ทั่วทั้งอเมริกา พร้อมด้วยภารกิจมากมายและระบบปรับแต่งรถปรับแต่งตัวละคร ทางทีมงาน GameFever ได้ลองเล่นเกมภาคต่อเกมนี้ทั้งแบบเล่นคนเดียวและเล่นกับเพื่อน จึงอยากนำความรู้สึกหลังจากได้เล่นมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ว่าเกมขับรถเกมนี้จะคุ้มค่าการรอคอยหรือเปล่า เชิญอ่านกันได้เลยจ้า ในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้นั้นจะมีแบบหลวมๆ ไม่ได้เน้นมากนัก โดยเกมจะแบ่งเป็นบ้านใหญ่ๆ 4 บ้านที่เราสามารถเข้าร่วมได้ แต่ละบ้านจะมีชนิดของการแข่งขันที่แข่งได้ต่างกัน หากอยากขับแบบ Street Racing ต้องไปบ้านนี้ อยากขับแบบ Rally ต้องไปบ้านนี้เป็นต้น แต่ละบ้านก็จะมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง มีตัวละครที่มีบทเฉพาะสำหรับบ้านนั้น แต่เนื้อเรื่องที่ว่าก็เป็นเพียงฉากคัทซีนบทสนทนาง่ายๆ หรือบางครั้งก็เป็นเพียงเสียง Voice Over ระหว่างแข่ง ด้วยเวลาที่จำกัดทางทีมงานจึงไม่สามารถเล่นจนจบครบทุกภารกิจได้ แต่เท่าที่ได้เล่นไปส่วนหนึ่งคาดว่าในส่วนเนื้อเรื่องก็น่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอด คือเป็นคัทซีนง่ายๆ อาจจะดูมีอะไรมากหน่อยตอนเปิดเนื้อเรื่องเล่นบ้านนั้นครั้งแรก และน่าจะไปมีอีกทีตอนเล่นจบครบทุกภารกิจของบ้านนั้นเลย เพราะฉะนั้นใครคาดหวังว่าจะได้เนื้อเรื่องเข้มข้นสไตล์หนังแข่งรถอย่าง Fast and Furious อาจจะต้องผิดหวังในส่วนนี้ ในด้านภาพและกราฟิกต้องขอแยกเป็นสองส่วนคือส่วนของยานพาหนะและสภาพแวดล้อม เรื่องยานพาหนะทำได้สวยสมจริงหากมองจากด้านนอก แต่ในส่วนของด้านในรถที่นั่งคนขับยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ยังรู้สึกถึงความแข็ง ขาดรายละเอียดอยู่ ส่วนสภาพแวดล้อมหากดูผ่านๆ อาจดูสวยอยู่ แต่ถ้ามองดูใกล้ๆ จริงๆ จะพบว่าค่อนข้างทำออกมาหยาบไปหน่อย และมีความโล่งกว้างซะเยอะ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีในยุคนี้ เพราะแมพทำออกมากว้างมาก เราสามารถขับรถวนรอบประเทศอเมริกาได้โดยไม่มีการตัดฉากเลย ถ้าขับรถเพลินๆ ชมวิวก็ยังเพลิดเพลินอยู่ แต่ถ้าหยุดแวะชมสาวๆ ระหว่างทางอาจจะผิดหวังได้ โดยเฉพาะกับคนที่ชินกับเกม Open World ที่โลกเล็กกว่านี้แต่รายละเอียดเยอะกว่านี้ รถมีระบบความสกปรกหากขับลุยดินลุยโคลน แต่ก็ไม่ได้มีรายละเอียดสมจริงอะไร ไม่ได้มีรายละเอียดว่าเลอะเยอะเลอะน้อยแบบชัดเจน และที่น่าผิดหวังคือเวลาขับลุยพื้นที่ที่เป็นดินหรือน้ำ เกมใส่รายละเอียดการกระเด็นของน้ำของดินไว้น้อยมาก ทำให้ขาดความสนุกไปเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเกมแข่งรถเกมอื่นๆ ที่ออกมานานแล้วก็มีระบบนี้กัน ด้านระบบการเล่นเราสามารถกดเลือกภารกิจได้จากไอคอนบนแผนที่เลย หรืออาจใช้วิธีขับเล่นตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ก็ได้ หากเข้าใกล้สถานที่เริ่มภารกิจเกมจะขึ้นเตือนขึ้นมาให้กดเข้าร่วมภารกิจได้ทันที เรื่องของภารกิจโดยมากแล้วก็จะเหมือนเกม Racing เกมอื่นๆ คือมีเป้าหมายที่การเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 หรือติดท็อป 1 - 3 หรือไม่ก็ทำคะแนนให้ได้คะแนนตามที่กำหนดหากเล่นภารกิจแบบดริฟต์ จะมีพิเศษหน่อยก็อย่างเช่นการขับเครื่องบิน ที่นอกจากจะมีภารกิจแบบปกติแล้วยังมีแบบที่ให้เล่นท่าผาดโผนให้ได้คะแนนตามที่กำหนด เป็นการเล่นที่เพลินไปอีกแบบ ภารกิจต่างๆ จะปลดล็อกออกมาตามเลเวลของเรา ยิ่งเลเวลสูงยิ่งมีภารกิจให้เลือกเล่นมาก และบางภารกิจเราจำเป็นต้องเก็บเงินซื้อยานพาหนะเฉพาะสำหรับการแข่งประเภทนั้นก่อน หากอยากแข่งดริฟต์ก็ต้องมีรถดริฟต์ก่อน เป็นการปลดล็อกรูปแบบการเล่นแบบใหม่ๆ ด้วยการซื้อรถ หลังจบภารกิจเราจะได้สิ่งที่เรียกว่า Followers มา ซึ่งจริงๆ แล้วก็เทียบได้กับ Exp ในเกมอื่นนั่นเอง เมื่อ Followers ถึงจุดที่กำหนดเราก็จะเวลเวลขึ้น ปลดล็อกภารกิจมากขึ้น โดยการได้ Followers นอกจากการจบภารกิจแบบปกติแล้วก็สามารถได้จากการขับรถผาดโผนเล่นท่าสวยๆ ได้ด้วย (ทำอะไรเจ๋งๆ ได้ก็มีผู้ติดตามมากขึ้นนั่นเอง) นอกจากการแข่งในรูปแบบนี้แล้วยังมีภารกิจพิเศษที่ให้เราไปถ่ายรูปสิ่งต่างๆ ในแผนที่ ถ่ายหมี ถ่ายนกฟลามิงโก ถ่ายหอไอเฟล โดยเกมจะไม่ได้บอกตำแหน่งมา เราต้องไปตามหาในโลกอันกว้างใหญ่ของเกมเอาเอง ภารกิจประเภทนี้คนที่ชอบเก็บอะไรให้ครบ ชอบสำรวจโลกในเกมน่าจะชอบมาก การขับขี่ยานพาหนะจะใช้ระบบเดียวกัน มีปุ่มเร่งเครื่อง ปุ่มเบรก ปุ่มเทอร์โบ (ไนตรัส) แต่พอขยับไปใช้เครื่องบิน ใช้เรือก็อาจมีลูกเล่นมากขึ้นหน่อย บินกลับหัวได้ กดปุ่มให้เรือเพิ่มความเร็วได้เป็นต้น ซึ่งเราสามารถสลับไปเล่นยานพาหนะทั้งสามแบบ คือเรือ เครื่องบิน และรถยนต์ ได้ตลอดเวลาผ่านปุ่มบนจอย โดยไม่ต้องเข้าหน้าจอโหลด ขับเครื่องบินอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นรถยนต์ได้กลางอากาศเลย นอกจากนี้เกมยังมีการแข่งแบบพิเศษที่จะให้เราขับยานพาหนะทั้งสามแบบในการแข่งขันเดียว ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นจุดขายของเกมนี้เพราะเป็นภารกิจแบบแรกที่ให้เล่นตอนเปิดเกมเลย โดยเมื่อแข่งไปถึงจุดหนึ่งเกมจะตัดเปลี่ยนเป็นยานพาหนะอื่นให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างน่าประทับใจอยู่เหมือนกัน (โดยเฉพาะในฉากเปิดเกมต้องเรียกว่าเป็นประสบการณ์ชั้นยอดในการเล่นเกมเลย) ยานพาหนะในส่วนของเรือ เครื่องบิน และมอเตอร์ไซค์นั้นมีให้เลือกใช้ไม่เยอะเท่าไหร่นัก แต่กับรถยนต์ต้องเรียกว่ามาแบบจัดเต็ม มีรถที่ไม่เจอในเกมอื่นๆ ใครที่ชอบสะสมรถต้องถูกใจแน่นอน โดยทุกๆ คันแม้จะไม่มีเงินซื้อก็สามารถกดมาทดลองขับเล่นก่อนได้ โดยมีเวลาจำกัด ยานพาหนะทุกอย่างเราสามารถอัพเกรดได้  โดยแบ่งเป็นสองส่วน อัพเกรดระบบภายในกับอัพเกรดรูปลักษณ์ภายนอก สำหรับภายในอย่างเกียร์ เครื่องยนต์ เราจะได้ส่วนต่างๆ จากการเก็บ Lootbox ที่จะตกมาหลังจากเราผ่านภารกิจ การอัพเกรดในส่วนนี้จะทำให้รถเรามีสมรรถนะดีขึ้น เร็วขึ้น บังคับได้ดีขึ้น และไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเล่นซ้ำซากเพื่อให้ได้ของดีๆ เพราะของที่ตกทุกครั้งจะดีกว่าของที่เรามีเสมอ ถ้าใช้รถแพงๆ ดีๆ แข่ง ของที่ตกก็จะดีกว่าที่รถคันนั้นมีติดตัวมาเสมอ ส่วนการอัพเกรดรูปลักษณ์ภายนอกจะไม่มีผลต่อสมรรถนะของรถ เราสามารถปรับสี ติดโลโก้ เปลี่ยนยาง เปลี่ยนแม็กซ์ เปลี่ยนสีที่นั่งคนขับ เปลี่ยนประโปรงรถ ทำได้อย่างอิสระเลย เรียกได้ว่ายังไม่มีเงินซื้อรถจริง ไม่มีเงินแต่งรถจริง ก็มาลองในเกมก่อนก็ได้ โดยการปรับแต่งในส่วนนี้จะใช้เงินที่หามาได้ในเกม ซึ่งเท่าที่ดูไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายอะไร ลำพังเงินจากการผ่านภารกิจไปเลยๆ ก็เปลี่ยนรถที่ขับเป็นรถในฝันได้ ในส่วนของการเล่นออนไลน์กับเพื่อนนั้นเท่าที่ได้ลองยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เราสามารถชวนเพื่อนเข้า Crew และหลังจากนั้นเมื่อเราหรือเพื่อนเล่นภารกิจ เกมจะส่งคำเชิญไปหาเพื่อนใน Crew ที่ออนไลน์อยู่โดยอัตโนมัติ หากเพื่อนตอบตกลงเราจะเข้าเล่นภารกิจนั้นร่วมกัน และภารกิจจะดำเนินไปเหมือนตามปกติแต่ที่พิเศษคือหากมีใครคนหนึ่งผ่านภารกิจทุกคนใน Crew ที่เข้าเล่นภารกิจนั้นจะผ่านด้วยทันที แม้ว่าเพื่อนอีกคนจะรั้งท้ายอยู่เป็นที่ 8 ก็ตาม นอกจากการเล่นแบบนี้แล้วทางทีมงานยังไม่เจอการเล่นในส่วนอื่นอีก แอบหวังว่าพอขับรถเจอคนอื่นจะกดท้าให้แข่งรถกันได้ตอนนั้น หรือระบบ Crew จะมีอะไรอย่างการตั้งแก๊ง สร้างนู่น สร้างนี่ ท้าแก๊งอื่นแข่งได้ อะไรแบบนั้น ก็หวังว่าพอเกมเปิดจริงๆ แล้วจะมีอะไรให้ทำมากกว่านี้ (เซิร์ฟเวอร์ที่เล่นยังมีเฉพาะสื่อที่ได้รับสิทธิ์ให้เล่นก่อน) หรือไม่งั้นเวลาผ่านไปอาจมีอัพเดตให้ทำอะไรได้มากขึ้น เพราะถ้าทำได้เท่านี้หมดแค่นี้จริงๆ ก็คล้ายๆ กับว่าเกมเป็นเกมเล่นคนเดียวแต่บังคับให้เราต่อออนไลน์เท่านั้นเอง หรือถ้าเห็นรถของผู้เล่นคนอื่นขับกันมากกว่านี้ก็อาจให้ความรู้สึกต่างไปจากเดิม เพราะตอนนี้เจอผู้เล่นคนอื่นในแผนที่น้อยมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อจำกัดของเกมที่จำนวนรถที่เราเจอในแผนที่น้อย หรือว่าเป็นเพราะผู้เล่นที่เล่นในตอนนี้มีน้อยเอง โดยรวมแล้ว The Crew 2 เป็นเกมที่มีนู่นมีนี่ให้ทำ แต่สิ่งที่ทำได้ก็ไม่ได้ต่างจากเกมแข่งรถเกมอื่นๆ นัก แต่เพิ่มลูกเล่นอย่างการกระจายภารกิจเหล่านี้ไปตามโลกแบบ Open World ให้ได้สนุกกัน ใครที่ชอบเล่นเกมขับรถ ชอบรถอยู่แล้วน่าจะสนุกกับเกมนี้ได้ไม่ยาก แต่คนที่ไม่ใช่ขาประจำเกมขับรถอาจไม่ถูกใจเกมนี้นัก เพราะไม่ได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ เกมเป็น Open World แผนที่ใหญ่ก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำนอกจากการขับรถ ขับเครื่องบิน ขับเรือ ขับจักรยานยนต์ ถามว่าเป็นเกมที่สนุกมั๊ยก็สนุกดี แต่ว่ายังไม่ได้สนุกแบบ "ว้าว" แบบที่เกมสัญญาไว้ในเทรลเลอร์ตัวอย่างเท่านั้นเอง [penci_review id="1717"]
02 Jul 2018
[รีวิว] ICEY ฟันฉับๆ สนุกสะใจบน Nintendo Switch
แนวเกม: 2D Side-Scrolling Action Platform: Nintendo Switch วางจำหน่าย: 31 พฤษภาคม 2018 พิเศษสำหรับเวอร์ชัน Switch: เสียงพากษ์ภาษาญี่ปุ่น หมายเหตุ: สามารถอ่านเวอร์ชันย่อได้โดยเลือกอ่านเฉพาะที่เขียนด้วยข้อความตัวหนาสีดำ สารภาพตามตรงว่าผมซื้อ Switch มาเพื่อเล่น Zelda กับ Mario แล้วตั้งใจว่าคงไม่ได้แตะเครื่องอีกเลยจนกว่าจะมีภาคใหม่ของทั้ง 2 เกมออกมา เมื่อได้เห็นเทรลเลอร์ของ ICEY ที่ลงให้กับเครื่อง PlayStation 4, PC, Android, และ iOS ไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้รับเกมจากเพื่อนมาฟรีๆ ก็เลยลองเล่นดูซะหน่อย ไหนๆ ก็ไม่ได้มีเกมอื่นที่อยากเล่นเป็นพิเศษในช่วงนี้อยู่แล้ว หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปกับเกมนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าการนั่งอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปเรื่อยๆ อาจสนุกกว่าการเล่นเกมแอคชั่น 2D Side-Scrolling เกมนี้ หลังจากหันซ้ายหันขวาเห็นเพื่อนฝูงเดินเล่นอยู่จึงรีบส่งเครื่อง Switch ให้เพื่อนๆ ลองเล่นดู เผื่อว่าเพื่อนๆ จะมีความเห็นที่ต่างออกไป เผื่อจะช่วยเพิ่มคะแนนให้กับเกมนี้ได้บ้าง ไม่อยากจะใจร้ายกับเกมมากเกินไป ซึ่ง... เพื่อนๆ ทั้งสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมสนุกในตอนแรกๆ แต่พอผ่านไปสักพัก (ประมาณห้านาที) เกมก็เข้าสู่ความน่าเบื่ออย่างรวดเร็ว ทุกคนลงความเห็นว่ายังไงก็คงให้เกมนี้ไม่เกิน 7 คะแนน ในด้านกราฟิกและเพลงประกอบของเกมนี้ก็ไม่ได้น่าประทับใจเป็นพิเศษ ทำได้ตามมาตรฐานของเกมและเข้ากับธีมเกมได้ดี สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ของเกมนี้และทำให้ห้านาทีแรกของคนที่ได้ลองเล่นเป็นความประทับใจก็คือระบบต่อสู้ของเกม การต่อสู้ของเกมนี้ทำออกมาได้อย่างดีมาก ตัวละครสาว ICEY ของเราจะมีอาวุธคือดาบคู่ใจที่สามารถฟันและต่อคอมโบได้อย่างรวดเร็วมาก รวมถึงตัวละครของเรายังสามารถแดชพุ่งตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกการโจมตี ทำให้การต่อสู้ยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก เกมนี้ยังมีระบบต่อสู้ที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจากเกมอื่น ซึ่งก็คือท่าปลิดชีพและการสวนการโจมตี เมื่อเราโจมตีศัตรูจนศัตรูใกล้ตายเราจะสามารถกดปุ่มเพื่อปลิดชีพศัตรูได้ ซึ่งตัวละครของเราจะออกท่าโจมตีเท่ๆ กำจัดศัตรูและยังเป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเราด้วย เป็นการฟื้นฟูพลังชีวิตทางเดียวของเกมนี้ ส่วนการสวนการโจมตีจะเกิดขึ้นเมื่อเราใช้ท่าแดชสวนในขณะที่ศัตรูโจมตีมาได้ถูกจังหวะ โดยเกมจะเข้าสู่โหมดสโลว์โมชั่น และเราจะสามารถกดปุ่มได้แบบเดียวกับตอนที่เราปลิดชีพศัตรู การโจมตีจะรุนแรงขึ้น และเราจะได้พลังชีวิตคืนมาเช่นกัน แต่ทั้งการปลิดชีพศัตรูและการสวนกลับการโจมตีก็กลายเป็นความน่าเบื่อหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เนื่องจากเกมง่ายเกินกว่าที่เราจะต้องมาพึ่งการฟื้นพลังหรือพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นจากการกระทำทั้งสองอย่าง เพียงแค่เรากดฟันไปเรื่อยๆ ก็สามารถผ่านเกมได้อย่างไม่ยากเย็น  แถมพลังชีวิตของเราก็มีมากพอให้โดนศัตรูโจมตีแบบไม่ต้องใส่ใจนักได้สบายๆ ซึ่งเกมไม่ได้ให้เราเลือกระดับความยากตรงๆ แต่ใช้การถามคำถามซึ่งคำตอบที่เราตอบจะเป็นตัวกำหนดระดับความยากของเกมโดยไม่สามารถเปลี่ยนภายหลังได้ (จริงๆ เปลี่ยนได้แต่ต้องใช้วิธีพิเศษ ไม่ได้มีให้เลือกเปลี่ยนตรงๆ ) การเล่นเกมในโหมด Easy เพื่อฟันศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่รู้จักจบสิ้นในฉากเดิมๆ ที่ไม่ได้เดินไปไหนเลย แบบที่เพื่อนเดินผ่านไปผ่านมาไม่รู้กี่รอบชะโงกหน้ามาดูจอก็ยังเห็นแต่ฉากเดิมๆ เลยกลายเป็นความสนุกที่มากกว่ากวาดบ้านเพียงนิดเดียว เรื่องควรจะจบแค่นั้น แต่ระหว่างนั้นผมลองเข้าไปดูคะแนนเกมในเวอร์ชันที่เคยออกไปก่อนหน้านี้บน Steam แล้วก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อพบว่าคะแนนรีวิวเฉลี่ยจากผู้เล่นสูงจนผมชักไม่แน่ใจว่ากำลังเล่นเกมเดียวกันอยู่หรือเปล่า แต่ก็มีคนที่เขียนอะไรประมาณว่า “คนสร้างเกมบอกให้ผมมารีวิวให้  5 เต็ม 5” อยู่หลายคนเหมือนกัน แต่อีกหลายคนก็ดูเขียนชมเกมจากใจจริง ด้วยความสงสัยผมจึงตัดสินใจเริ่มเกมใหม่อีกรอบ คราวนี้ตั้งใจตอบคำถามให้ได้ความยากระดับ Normal ซึ่งก็ไม่ได้ดั่งใจอีกเช่นเคย เพราะคราวนี้ดันเลือกได้ Hard ความยากที่ผมไม่ค่อยแตะนัก แต่ก็ไม่อยากจะเริ่มเกมใหม่เพื่อตอบคำถามใหม่อีก สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนระดับความยากเป็น Hard ในครั้งนี้ก็คือความประทับใจในระบบต่อสู้ของเกมจากที่เคยมีแค่ห้านาทีแรกกลายเป็นความสนุกสุดยอดตั้งแต่ต้นจนจบเกมชนิดที่แม้เครื่อง Switch จะหนักจนเมื่อยแขนแต่ก็ทนเล่นติดต่อกันโดยไม่อยากวางเลย ที่เป็นแบบนี้เพราะพอเกมปรับระดับความยากขึ้นจากที่เราไม่จำเป็นต้องหลบศัตรูหรือสวนกลับการโจมตีก็ได้ ก็กลายเป็นว่าเราต้องมีสมาธิในการเล่นมากขึ้น จะปล่อยให้โดนโจมตีง่ายๆ แบบตอนเล่นแบบ Easy ไม่ได้อีกแล้ว และพอโดนโจมตีแล้วก็ต้องหาทางสวนกลับเพื่อฟื้นพลังตัวเองให้ได้ ศัตรูตัวเล็กตัวน้อยที่เคยรำคาญตอนสู้กับบอสก็มีความสำคัญขึ้นมา เพราะเจ้าพวกตัวเล็กๆ พวกนี้เราสามารถสวนการโจมตีหรือปลิดชีพได้ง่ายกว่า ทำให้มีโอกาสฟื้นพลังได้มากกว่า ส่วนเรื่องที่ศัตรูดาหน้าเข้ามาไม่หยุดจนเราไม่ได้เดินไปไหนเลยก็เป็นเพียงเพราะว่าผมดันไปเจอความลับของเกมเข้าโดยบังเอิญ นั่นคือด่านพิเศษที่ให้เราได้สู้กับศัตรูทุกตัวรวมถึงบอสเ พื่อพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งถ้าเราไม่ได้ต้องการเล่นในส่วนนั้นตัวเกมก็รวดเร็วเหมือนการต่อสู้ของเกม คนที่ชอบและติดใจระบบต่อสู้ของเกมนี้น่าจะเล่น ICEY จนจบได้โดยไม่ได้มีโอกาสเบื่อเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่ระบบต่อสู้ที่สนุกมากๆ (เมื่อเล่นในระดับที่ไม่ง่ายเกินไป) ก็ทำให้คะแนนเกมนี้ในใจผมเพิ่มขึ้นมากแล้ว  แต่สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างและเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ก็คือความลับในเกม ซึ่งถ้าพูดไปก็จะเป็นการสปอยล์ เอาเป็นว่าถ้าเล่นเกมนี้พยายามอย่าไปทำตามเสียงบรรยายในเกมมากละกันครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงมีคนเขียนรีวิวอะไรแปลกๆ ไว้บน Steam งานนี้คนที่ชอบหาความลับในเกมต้องยิ้มแน่นอนครับ [penci_review id="566"] ICEY ไม่ใช่เกมฟอร์มยักษ์คงจะไปแข่งขันอะไรกับเกมดังจากบริษัทใหญ่ๆ ในหลายๆ เรื่องไม่ได้ รวมถึงเกมยังสั้นมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็จบแล้ว แต่เวลาทุกวินาทีที่ใช้ไปกับเกมนี้คือความสนุกแบบที่เกมฟอร์มยักษ์หลายๆ เกมยังต้องอาย ใครที่มี Switch แล้วมองหาเกมเล่นอยู่ ICEY เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอน (เกมมีราคาแค่ $9.99) ขอแค่อย่าเล่นโหมดง่ายสุดและหลงเข้าไปด่านโบนัสที่ต้องสู้กับศัตรูและบอสไปเรื่อยๆ ในครั้งเดียวก็พอ รีวิวโดย MuscleBoyFirst
31 May 2018
รีวิว Stifled (PS4) พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!
Stifled เป็นเกมสยองขวัญบน Playstation 4 ที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ด้วยการใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในเกม โดยมีคำโปรยต่อท้ายชื่อเกมว่า THEY HEAR YOU FEAR (พวกมันได้ยินเสียงความกลัวของคุณ!) เพื่อนๆ สามารถใช้ Playstation VR และไมโครโฟนเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ตัวเกมออกไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาลง PSN โซนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยการกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทยอีกด้วย ไปดูกันเลยว่าทีมงาน GameFever มีความเห็นอย่างไรหลังจากเล่นเกมที่ได้รับรางวัลด้านความสร้างสรรค์มากมายเกมนี้จนจบ ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เนื้อเรื่องเริ่มต้นของเกมมีแค่นั้นจริงๆ โดยผู้เล่นจะรู้เรื่องราวที่เหลือจากการเล่นเกม ผ่านบันทึก จดหมาย เสียงข้อความที่เพื่อนบ้านฝากไว้กับโทรศัพท์ และสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถสำรวจได้ เกมแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นฉากภายในอาคารซึ่งเป็นส่วนที่เราจะได้เดินสำรวจ ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้มีการใช้ฟังก์ชันเสียงของเกมเท่าไหร่นัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าผู้เล่นไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ต้องการในการเล่นผ่านส่วนนี้จริงๆ ก็คือการเดินไปถึงจุดที่กำหนด รวมถึงสำรวจอะไรที่เกมกำหนดไว้ ส่วนที่สองของเกมคือส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ เป็นส่วนที่ผู้เล่นจะได้ใช้ฟังก์ชันเสียงของเกม เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นลุ้นระทึกกว่า เนื่องจากเป็นส่วนที่เราจะต้องคอยหลบหนีศัตรู รวมทั้งรอบกายเรายังเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยภาพในเกมจะเปลี่ยนเป็นฉากสีดำและเราจะเห็นสิ่งรอบกายเป็นเพียงโครงร่างสีขาวในระยะการมองเห็นที่จำกัดมากๆ จุดนี้เราจะต้องใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง (Echolocation) โดยเราสามารถหยิบข้าวของที่อยู่ตามพื้นเพื่อปาให้เกิดเสียง หรือใช้การส่งเสียงของเราเองผ่านไมโครโฟน (หรือใช้ปุ่มบนจอยในกรณีที่ไม่มีไมโครโฟน) ซึ่งเสียงที่เกิดจากการกระทำทั้งสองอย่างจะไปสะท้อนกับสิ่งรอบตัวเรา ปรากฏเป็นโครงร่างสีขาวขึ้นมา ทำให้พื้นที่การมองเห็นของเรามากขึ้นกว่าเดิม เราจะต้องใช้การสำรวจด้วยเสียงภายในฉากแบบนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่เราใช้เสียงเพื่อสำรวจเส้นทางนั้นเราจะต้องคอยระวังว่าเสียงของเราจะไปถึงเหล่าปีศาจภายในเกมด้วย โดยศัตรูจะมองไม่เห็นเรา แต่หากเราส่งเสียงเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเพียงเสียงเดิน ศัตรูที่เดินอยู่จะพุ่งเข้าโจมตีเราทันที และเราไม่สามารถที่จะจู่โจมกลับได้ ส่วนนี้เราจะต้องหาทางหลอกล่อศัตรูให้ไปทางอื่นด้วยเสียง แบบเดียวกับที่เราใช้เพื่อสำรวจฉาก รูปแบบการเล่นในส่วนนี้ซึ่งเป็นจุดขายของเกมนี้ซึ่งดูเหมือนจะน่าสนใจ เอาเข้าจริงๆ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนของเกมเพราะทำมาได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะบอกว่าเราใช้เสียงเพื่อสำรวจฉากแต่เอาเข้าจริงๆ เรายังต้องใช้การมองเห็นเป็นส่วนหลักของเกมอยู่ดี การส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางน่าสนุกอยู่ในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพูดหรือตะโกนซ้ำๆ เพื่อทำให้ตัวละครเรามองเห็นฉากเท่านั้นเอง ถึงแม้เสียงเบาหรือดังจะมีผลต่อระยะการมองเห็นแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ การหยิบของตามพื้นเพื่อปาล่อศัตรูไปที่อื่นนั้นมีประโยชน์และได้ผลดีกว่ามาก และการสำรวจฉากส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปด้วยการพูดเสียงปกติเนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่การมองเห็นที่มากขึ้นด้วยการพูดเสียงดัง เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาภาพที่เรามองเห็นก็จะกลับมามืดเหมือนเดิมและต้องส่งเสียงใหม่อยู่ดี และการพูดเสียงเบาก็ให้พื้นที่ในการมองเห็นน้อยเกินไป กลายเป็นว่าการสำรวจฉากด้วยวิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการย้ายฟังก์ชันที่อยู่ในปุ่มมาทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง เกมนี้เป็นเกมสยองขวัญที่แทบไม่มีความน่ากลัวเลย สาเหตุอย่างแรกก็คือกราฟิกที่มีคุณภาพต่ำ ความประทับใจแรกที่ผู้เล่นจะได้พบเมื่อสวมแว่น VR เพื่อดำดิ่งเข้าสู่โลกของเกมก็คือสิ่งแวดล้อมที่ดูราวกับเป็นของปลอม และเพราะแบบนั้นประสบการณ์ร่วมจากการคิดว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริงๆ จึงลดลงอย่างมาก ในส่วนที่เราต้องคอยหลบศัตรูซึ่งถึงแม้จะตื่นเต้นกว่าแต่เนื่องด้วยกราฟิกที่เปลี่ยนเป็นสไตล์แบบภาพโครงร่างของสิ่งรอบตัวทำให้เหล่าปีศาจในเกมแทบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย ความตกใจที่เกิดขึ้นเป็นแบบความตกใจแบบที่เกิดขึ้นเวลามีเพื่อนแอบแกล้งให้เราตกใจแค่นั้นเอง ซึ่งพอผู้เล่นปรับตัวให้เข้ากับความตกใจแบบนั้นได้ การเจอศัตรูแต่ละครั้งก็กลายเป็นความรำคาญมากกว่าความล้นระทึก เหล่าปีศาจกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อที่คอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อมากกว่าที่จะเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เราขนลุก และเนื่องจากเราไม่ค่อยจะตกใจกลัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการที่ศัตรูสัมผัสความกลัวจากเสียงตกใจของเราได้จึงแทบไม่ได้ทำงานเลย เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ได้เห็นเกมที่มีทั้งเสียงพากย์และคำบรรยายภาษาไทย เมื่อคิดถึงความรู้สึกร่วมที่มากขึ้นและความเข้าใจเนื้อเรื่องที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับเกมที่ส่วนหนึ่งของเกมคือการค่อยๆ เผยเนื้อเรื่องจากการอ่าน การฟังสิ่งต่างๆ ในเกม คำบรรยายของเกมทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือพวกเอกสารหรือบันทึกต่างๆ ในเกมที่สามารถกดดูคำแปลได้หมด ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องราวในเกมได้ง่ายขึ้นมาก ส่วนเสียงพากย์นั้นถือว่าทำได้น่าผิดหวังพอสมควร นั่นเพราะเสียงของตัวละครหลักมีการเลือกนักพากย์มาได้ไม่เข้ากับตัวละครเลย และน้ำเสียงค่อนข้างขัดกับบรรยากาศอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเล่นแบบไม่ใช้ไมโครโฟน เราจะได้ยินเสียงตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาเมื่อกดปุ่มให้ตัวละครส่งเสียงเพื่อสำรวจเส้นทาง จากบรรยากาศที่ควรจะน่ากลัวก็กลายเป็นว่าตลกไปเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้ใช้เฉพาะคำบรรยายภาษาไทยแต่ใช่เสียงพากย์ต้นฉบับได้ หากอยากเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นก็ต้องแลกมากับเสียงพากย์แบบนี้ สรุปคะแนน: 6.5/10 Stifled เป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ บวกกับกราฟิกที่ทำให้เราไม่อินไปกับเกมความน่ากลัวที่ปรับตัวให้ชินได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อเรื่องที่เราต้องปะติดปะต่อเอาเองก็ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ทำให้เกมนี้สนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ ความคุ้มค่าในการเล่นกับ VR: 2/5 การเล่นกับ VR ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นกว่าการเล่นแบบปกติ หากใครมี VR อยู่แล้วและสนใจเล่นเกมนี้ แนะนำให้เล่นด้วย VR ไปเลย แต่หากยังไม่มี VR มาก่อน เกมนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผลในการซื้อหามาเล่น เพราะทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก
11 May 2018
รีวิว God of War ตัวเต็ม
เชื่อว่าเกมเมอร์หลายๆ คนคงรู้จักกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อยกับเกม God of War ซีรี่ย์แอคชั่นรุ่นเก๋าที่เพิ่งปล่อยภาคใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นการยกเครื่องใหม่กันหมด ตั้งแต่ สถานที่ตั้งของเกม ที่ย้ายจากดินแดนกรีกโบราณมาอยู่ในดินแดนของเหล่าเทพ Norse (เทพไวกิ้งอย่าง ธอร์ หรือ โอดิน นั่นแหละ) ไปจนถึงระบบต่อสู้ ที่เปลี่ยนจากกล้องมุมสูงมาเป็นมุมมองแบบ Third-Person แต่ทีเด็ดจริงๆ ต้องยกให้เนื้อเรื่องและวิธีการเล่า ที่ยกระดับซีรี่ย์นี้ขึ้นไปเทียบเกมในตำนานของเครื่อง PS4 อย่าง The Last of Us หรือ Uncharted ได้สบายๆ ทีมงาน GameFever เองเพิ่งจะเคลียร์โหมดเนื้อเรื่อง จึงอยากจะนำความรู้สึกนึกคิดมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ แบบไม่มีการสปอย กับเกมที่แฟนเกมทุกคนไม่ควรพลาด! สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้ดำเนินต่อจาก God of War 3 (ที่ปล่อยตั้งแต่ปี 2010) โดยเริ่มขึ้นที่การจากไปของคนรักใหม่ของ Kratos ทิ้งไว้เพียงคำขอสุดท้ายให้ Kratos และลูกชายหรือ Atreus นำอัฐิของเธอไปโปรยลงจากยอดเขาที่สูงที่สุด แต่การเดินทางของทั้งสองกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเหล่าเทพเจ้าถิ่นเริ่มสนใจสองพ่อลูกเทพสงครามผู้บุกรุกในดินแดนของตน โดยความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูก Kratos และ Atreus ถือเป็นแกนหลักของเกมเลยก็ว่าได้ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เน้นไปที่การพัฒนาของสองตัวละครอย่างลึกซึ้ง หลายคนคงรู้จัก Kratos ในฐานะเทพสงครามบ้าเลือด แต่เกมนี้กลับสร้างมิติให้ตัวละครในฐานะพ่อ ที่มีความห่วงใยต่อลูกแต่กลับแสดงออกไม่ถูก ด้วยความกลัวว่าลูกจะกลายเป็นเหมือนตัวเองในอดีต จึงทำได้เพียงแค่ปกป้องลูกอยู่ห่างๆ ทั้งจากภัยยันตรายรอบตัว และจากอดีตอันคาวเลือดของตัวเอง ในขณะเดียวกัน Atreus เองก็มีปมที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความรักจากพ่อ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าสามารถดูแลตัวเองได้ แต่แน่นอนว่ายิ่ง Atreus ดูจะพยายามเป็นเหมือนพ่อเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ Kratos ลำบากใจและตีตัวออกห่างมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ Atreus ทำได้แค่ผูกใจเจ็บที่ตัวเองดูจะไม่ดีพอเสียที การใช้เรื่องราวของทั้งสองเป็นแกนหลัก ยังเป็นการสร้างคุณค่าให้กับเกม ให้เป็นมากกว่าแค่เกมแอคชั่นฟาดฟันเกมนึงที่เนื้อเรื่องเคยถูกเมินอีกด้วย และยกระดับ Kratos ในฐานะตัวละครแบนๆ มิติเดียว เป็นตัวละครที่ลึกซึ้งน่าติดตาม มีอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้น แม้ว่าเนื้อเรื่องของเกมมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย (ไม่งั้นคงไม่ใช่ God of War) แต่เทพเหล่านั้นก็ยังถือเป็นตัวประกอบในเรื่องของสองพ่อลูกอยู่ดี จากการเล่นไปเกือบ 30 ชั่วโมงของทีมงาน GameFever พบว่าเกมแทบจะไม่มีการเฟรมตกหรือติดบัคใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าน่าทึ่งมากสำหรับเกมที่ใหญ่และรายละเอียดหนาตาขนาดนี้ แต่ที่สุดยอดที่สุดคงเป็นเรื่องมุมกล้อง ที่ถ่ายต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มจนจบเกมโดยไม่มีการตัดเปลี่ยนฉากหรือเข้าหน้าจอโหลดเกมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ผู้เล่นสามารถชื่นชมความงดงามของฉากได้อย่างเต็มที่ รวมกระทั่งการตัดเข้า-ออกคัตซีนด้วย โดยการเปลี่ยนมุมกล้องนี้ ที่ติดตาม Kratos และ Atreus ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่ตัดไปไหนเลยยังทำให้ผู้เล่นสามารถติดตามอารมณ์ของสองตัวละครตลอดเวลา ทำให้เราเห็นและรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างใกล้ชิด แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องภาคนี้ดูจะมีความติดดินกว่าภาคก่อนๆ ทำให้เกมมีโอกาสในการโชว์ฉากแอคชั่นระเบิดระเบ้อเหมือนภาคเก่าๆ น้อยหน่อย โดยจะเน้นไปที่การเดินทางผ่านป่าเขาหรือซากปรักหักพังแทน แต่ทั้งหมดก็ยังถือว่าสวยมากๆ เป็นเกมที่ดูมาแล้วเป็นสิบๆ ชั่วโมงก็ยังไม่เบื่อเลย สำหรับคนที่เคยเล่นเกมแอคชั่นหรือเกม God of War ภาคก่อนๆ มาอาจจะพอคุ้นเคยกับระบบโจมตีหนัก-เบาอยู่บ้าง โดยเกมภาคล่าสุดก็ยังไม่ทิ้งวิญญาณเกมแอคชั่นล้างผลาญที่มีมาแต่เดิม แต่อาจจะทำให้ช้าลงมาหน่อย การต่อสู้ทำโดยการกดปุ่ม R1 กับ R2 เพื่อโจมตีเบาและหนักตามลำดับ ผู้เล่นสามารถกดการโจมตีทั้งสองแบบสลับกันเพื่อสร้างเป็นคอมโบต่างๆ ได้ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย แต่ก็ลึกซึ้งเมื่อนำมารวมกับระบบอื่นๆในเกมอย่างการใช้โล่ห์ป้องกัน การหลบ หรือกระทั่งการปาขวานระยะใกลเพื่อโจมตี แช่แข็ง หรือขัดขาศัตรูให้ล้มแล้ววิ่งเข้าไปต่อยศัตรูมือเปล่าแทน ซึ่งการต่อสู้มือเปล่าก็มีหน้าที่ของมันในการเก็บหลอด Stun Meter ของศัตรู ซึ่งเมื่อเต็มแล้วจะเปิดโอกาศให้เราเข้าไปทำท่าปลิดชีพสุดโหดอันโด่งดังของซีรี่ได้อีกด้วย อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเรื่องราวของพ่อลูก Kratos และ Atreus ถือเป็นแกนหลักของเกม การต่อสู้ก็เช่นกัน โดยเราจะสามารถสั่งเจ้าลูกชายของเราให้โจมตีศัตรูด้วยธนูได้ ซึ่งนอกจากจะสามารถขัดจังหวะการโจมตีของศัตรูได้แล้ว ยังสามารถเพิ่มหลอด Stun Meter ได้เร็วอีกด้วย โดยเราสามารถอัพสกิลเพื่อเพิ่มความสามารถทั้งของตัวเองและลูกชายได้ ซึ่งระบบผูกเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างแยบยล ด้วยการปลดล๊อคความสามารถบางอย่างของ Atreus ตามจุดที่เราอยู่ในเควสหลัก ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถร่วมมือกับลูกได้ดีมากขึ้น สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ค่อยๆ พัฒนาไปตามเนื้อเรื่อง โดยแรกๆ อาจจะรู้สึกว่าต้องเลือกอัพสกิลให้ดี เพราะการเก็บ EXP ในช้วงแรกค่อยข้างช้า แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ กลับอัพสกิลเต็มหมดแต่เหลือ EXP กระจุย ทำให้ระบบสกิลที่ตั้งใจเล่นอย่างระวังตอนแรกกลายเป็นไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ในท้ายเกม ถ้าระบบสกิลมีความหลากหลายกว่านี้ก็คงจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้ระบบต่อสู้ได้อีกมาก ดูเหมือนง่าย แต่เกมนี้ถือเป็นเกมที่มีความยากพอสมควร โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่เรายังไม่มีชุดเกราะหรือสกิลมารับมือกับศัตรูกลุ่มใหญ่ๆ ที่มักจะเจอตามด่านเป็นระยะ ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ทักษะอันยืดหยุ่นของเกมในการเล่นงานจุดอ่อนของศัตรูแต่ละชนิดอีกด้วย การเพิ่มเลือดระหว่างต่อสู้ก็ค่อนข้างลำบากในหลายๆ ครั้ง ทำให้ต้องระมัดระวังการโจมตีของศัตรูมากเป็นพิเศษ เกมจึงรู้สึกช้าๆ กว่าเกมแอคชั่นเลือดเดือดอย่าง Devil May Cry แต่ใกล้เคียงเกมอย่าง Bloodborne มากกว่า (แต่ไม่ยากขนาดนั้นนะเออ) เกมอาจจะบังคับให้ผู้เล่นใช้ความตั้งใจในการเล่นมากขึ้น แต่เมื่อคล่องแล้วก็สามารถกระโดดเข้าไปล้างบางศัตรูให้สมชื่อเทพสงครามได้เหมือนกัน เกมนี้ถือเป็นเกมแรกในซีรี่ที่ใช้ระบบกึ่งๆ open-world ซึ่งเปิดโอกาศให้ผู้เล่นสามารถดำเนินเนื้อเรื่องได้ตามใจของตัวเอง หรือจะเลือกไปทำภารกิจย่อยต่างๆ ที่ตัวละครอื่นๆ ในเกมมอบให้ก็ได้ ในเกมยังมีความลับและปริศนาต่างๆ ซ่อนไว้ให้ผู้เล่นค้นหา ซึ่งปริศนาในเกมนี้บางทีก็ทำให้เกิดความหัวร้อนจากความยากขึ้นมาได้เหมือนกันในบางครั้ง แต่โดยรวมก็ถือเป็นข้อดี เพราะทำให้เรารู้สึกมีแรงจูงใจในการออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในเกม เพราะบางครั้งการแก้ปริศนาเหล่านี้อาจจะให้รางวัลเราเป็นของเพิ่มหลอดเลือด หรือชิ้นส่วนในการอัพเกรดชุดเกราะหายากที่กำลังต้องการอยู่พอดี การแก้ปัญหาในเกมส่วนใหญ่ทำด้วยการใช้ขวานน้ำแข็งคู่ใจหรือ Leviathan Axe ของเรา ที่นอกจากจะใช้จามศัตรูได้อย่างหนักหน่วงสะใจแล้วยังสามารถนำมาใช้ปาเพื่อตัดเชือกแก้ปริศนาอีก โดยเราสามารถกดปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเรียกขวานให้บินกลับมาเข้ามือ Kratos ได้ตลอดเวลาอีกด้วย (เป็นอะไรที่ทำกี่ทีๆ ก็ไม่เบื่อจริงๆ ) เมื่อเราดำเนินเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มมีความสามารถพิเศษในการใช้แก้ปริศนาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นถ้าเจอปริศนาที่ดูเหมือนไม่มีทางแก้อย่าเพิ่งท้อ เกมอาจจะให้เรากลับมาแก้อีกทีภายหลังก็เป็นได้ แถมการสำรวจที่ต่างๆ ในเกมยังเปิดโอกาสให้ตัวละครพ่อ-ลูกได้คุยกันมากขึ้น ทำให้เราสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในมุมใหม่ๆ ได้อีกด้วย สรุปคะแนน: 9.5/10 ทีมงาน GameFever พูดได้เต็มปากจริงๆ ครับว่าเกม God of War ภาคใหม่นี้ถือเป็นเกมที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ของ PS4 เลยทีเดียว เป็นเกมที่แฟนซีรี่ God of War หรือแฟนเกมแอคชั่นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ยิ่งคนที่ชอบเสพเนื้อเรื่องดีๆ ด้วยแล้ว ควรซื้อมาประดับเพลย์สี่กัน ข้อดี - เนื้อเรื่องระดับท๊อป - ภาพสวยอันดับต้นๆ แม้ในเครื่อง PS4 ธรรมดา - ระบบต่อสู้เข้าใจง่ายแต่ลึกและท้าทาย - เกมเปิดโอกาสให้สำรวจเยอะ มีปริศนาท้าทายให้แก้ตลอดทาง ข้อเสีย - ระบบสกิลมีความสำคัญแค่ต้นเกม ท้ายเกมอัพได้หมดอยู่ดี - ปริศนาบางอันก็ทำหัวร้อนอยู่เหมือนกัน 555  
24 Apr 2018