GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
10 เกมที่คนเล่นไม่จบ
ลงวันที่ 22/06/2021

ในปัจจุบันเกมนั้นถูกพัฒนาขึ้นมามากมาย โดยมีเป้าหมายในการทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และสนุกสนานไปกับการเล่นเกมเหล่านั้น แต่ไม่ว่าจะเพราะความรู้สึกเคว้งคว้างจากสภาวะซึมเศร้าหลังเล่นเกมจบก็ดี ความน่าเบื่อที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นก็ดี หรือกระทั่งความยากมากเกินกว่าที่จะสามารถเล่นเกมให้จบได้ก็ดี 


ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ไม่ว่าเกมเหล่านั้นจะเป็นเกม AAA ที่ดีมากแค่ไหน หรือเคยได้รางวัลอะไรมาก็ตาม ก็ยังมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถเล่นไปจนถึงฉากจบสุดท้ายของเกมเหล่านั้นได้ 


และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาพบกับเกมที่คนเล่นไม่จบกันค่ะ 


  1. Hades 



Hades เป็นเกมจากค่าย Supergiant Games ที่นำเสนอเกมเพลย์ออกมาในรูปแบบของ Rogue-like และ Dungeon Crawler หรือ เกมแนวสุ่มด่าน สุ่มไอเทม ที่จะทำให้ทุกๆ รอบของผู้เล่น ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่าง และแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลาที่เล่น ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 


โดยตัวเกมจะพาผู้เล่นไปสัมผัสกับบรรยากาศ ของโลกหลังความตายในตำนานเทพกรีก ผ่านมุมมองของ Zagreus บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวแห่ง Hades ที่พยายามหนีออกจากโลกใต้พิภพแห่งนี้ เพื่อไปเข้าร่วมกับเหล่าเทพบนเทือกเขาโอลิมปัส และได้รับการช่วยเหลือจากเทพเจ้าเหล่านั้น ที่จะคอยมอบพลังให้กับเขาในการฝ่าด่านมอสเตอร์ผู้เฝ้าทางเข้า-ออก ในชั้นต่างๆ ของนรกไปให้ได้ 



ซึ่งบอสหลักของเกมที่รอคอยเราอยู่ที่หน้าประตูทางออกนรก หลังจากฝ่าฟันผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาอย่างยากลำบาก ก็จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก Hades พ่อของ Zagreus นั่นเอง


Hades เป็นเกมที่ได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะงานอาร์ตที่มีสไตล์แปลกใหม่ ดนตรีประกอบที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้การต่อสู้ในแต่ละด่านเร้าใจมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่จะค่อยๆ เผยออกมาตามระยะเวลาที่ผู้เล่นใช้ไปกับเกม และสนทนาสร้างปฏิสัมพันธ์กับตัวละครอื่นในเกม


แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าเกมจะถูกเสนอชื่อเข้าชิง Game of the year และคว้ารางวัล Best Indie และ Best Action ประจำเกม 2020 ไปได้อย่างงดงามก็ตาม ก็มีผู้เล่นเพียง 48.9% เท่านั้นที่สามารถเอาชนะ Hades บอสคนสุดท้ายของเกมได้ และมีผู้เล่นเพียง 7.1% ของผู้เล่นใน Steam เท่านั้น ที่จบเกมนี้โดยเล่นไปจนถึงบทสรุปสุดท้ายของเกมได้อย่างสมบูรณ์



ซึ่งอันที่จริงแล้วการที่ผู้เล่นกว่าครึ่งเล่นเกมนี้ไม่จบ ก็มีสาเหตุที่พอจะคาดเดาได้อยู่หลายสาเหตุ อาจเพราะความเบื่อหน่ายกับความหัวร้อน ที่เกิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง และจะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่ตาย หรืออาจเพราะความยากที่เพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบทพูดของบอสบางตัวที่ยั่วยุให้ผู้เล่นอดจะรู้สึกกำหมัด กัดฟันก็เป็นได้ ที่ทำให้ใครหลายๆ คน โยนจอยทิ้งและล้มเลิกความตั้งใจในการเล่นลงกลางทาง


หากอ้างอิงจากเปอร์เซ็นต์ของผู้เล่นที่สามารถเอาชนะ Hades เป็นครั้งแรกได้ ซึ่งห่างกับเปอร์เซ็นของผู้เล่นที่เล่นไปจนถึงฉากจบสุดท้ายของเกมได้ ที่ห่างกันอยู่ถึง 40 กว่าเปอร์เซ็นต์เลย ก็พอจะทำให้เราคาดการณ์ได้ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่พึงพอใจที่จะดื่มดำกับชัยชนะจากบอสหลักของเกมได้ และหมดความสนใจที่จะเล่นเกมนี้ต่อจนถึงฉากจบสุดท้ายแล้วนั่นเอง


  1. Battlefield V



Battlefield V เป็นเกม FPS จากค่าย EA DICE ด้วยพลังของ Frostbite engine ซึ่งเป็นเกมที่ 16 แล้วในแฟรนไชส์ Battlefield ด้วยชื่อเสียงและฐานแฟนคลับที่หลงใหลในกลิ่นอายของการเป็นทหารท่ามกลางไฟสงคราม ก็ทำให้มันเป็นเกมที่ถูกจับตามองอยู่ไม่น้อยในช่วงแรกๆ 


ด้วยเกมการเล่นที่พาเวทีหลักหวนกลับสู่สนามรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผู้เล่นหลายๆ คนล้วนแล้วแต่คิดถึง และก็ยังมีโหมดแคมเปญเนื้อเรื่องต่างๆ อย่าง No Flag War, Nordlys War Story และ Tirailleur War 



อย่างไรก็ดีเกมในซีรีส์ Battlefield ก็เป็นเกมที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการเล่นโหมด Multiplayer มากกว่าอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งเมื่อมารวมเข้ากับวิดีโอโปรโมทที่ชวนให้สับสน รวมถึงการตอบกลับความคิดเห็นจากเหล่าผู้เล่นจำนวนมาก ผ่านทางสื่อออนไลน์ของ DICE ก็ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจจากทางฝ่ายผู้เล่นเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็ส่งผลกระทบไปถึงยอดขายของเกม ที่ตกลงจากที่คาดการณ์เอาไว้เป็นอย่างมากในช่วงแรกที่เกมเปิดตัววางจำหน่าย 


โดยเมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้ว ก็มีผู้เล่นอยู่ 36.80% ที่เล่นเนื้อเรื่องแคมเปญ No Flag War จบ 30.43% เล่นเนื้อเรื่องแคมเปญ Nordlys War Story จบ และอีก 27.76% ที่เล่นเนื้อเรื่องแคมเปญ Tirailleur War จบ


  1. Red Dead Redemption 2



Red Dead Redemption 2 เป็นเกมแอคชันผจญภัยภาคต่อจากค่าย Rockstar ที่เปิดตัวในปี 2018 ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมที่ได้เข้าชิง Game of the year ของปีนั้นเลยทีเดียว


โดยตัวเกมนั้นเป็นภาคต่อของ Red Dead Redemption ในปี 2010 ที่นำเสนอโลกเปิดของคาวบอยตะวันตกในช่วงยุค 1899 ผ่านมุมมองของ Arthur Morgan หนึ่งในแก๊ง Van der Linde กลุ่มอาชญากรที่ค้นพบว่า ยุคสมัยของคนนอกกฎหมายเยี่ยงพวกตนนั้นกำลังจบสิ้นลงแล้ว แต่ก็ยังพยายามที่จะประคับประคองแก๊งให้สามารถดำเนินต่อไปได้



ด้วยบรรยากาศที่ราวกับจะพาผู้เล่นไปผจญภัยอยู่ท่ามกลางทะเลทราย พร้อมม้าคู่ใจจริงๆ นั้นเอง ก็ทำให้เกมภาคนี้ได้รับความสนใจจากผู้เล่นจำนวนมากอย่างล้นหลาม 


แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็ตาม ด้วยการนำเสนอบรรยากาศของความเป็นโลกเปิด ทำให้เกมเพลย์ในบางช่วงระหว่างรอยต่อของเนื้อเรื่องหลัก หรือการขี่ม้าไปยังจุดต่างๆ เป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เกิดความเบื่อหน่าย และเมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็ส่งผลให้มีผู้เล่นเพียง 40.48% เท่านั้นที่สามารถเล่น Red Dead Redemption 2 จนจบสมบูรณ์ได้


  1. Alien Isolation



Alien Isolation เป็นเกมแนวเอาชีวิตรอดสยองขวัญที่ เรียกได้ว่าน่ากลัวที่สุดของค่าย Sega ซึ่งเปิดตัวขึ้นมาในปี 2014 เลยก็ว่าได้ 


โดยตัวเกมจะไม่ได้ยกพล็อตจากหนัง Alien ในภาคแรกมาใช้ตรงๆ แต่จะเป็นการเล่าเหตุการณ์ใหม่ที่ให้อารมณ์คล้ายคลึงกัน ผ่านมุมมองของตัวละครอย่าง Amanda Ripley ผู้ซึ่งพยายามสืบและตามหาแม่ที่หายตัวไปเมื่อ 15 ปีก่อน


ด้วยบรรยากาศกับดนตรีประกอบที่เน้นความสยองขวัญสมจริง รวมถึงเกมเพลย์ที่ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ทุกวิถีทางในการลอบเร้น และมอบความรู้สึกกดดัน หวาดระแวงในทุกๆ ฝีก้าวให้กับผู้เล่น ทำให้ Alien Isolation กลายเป็นการนำเสนอที่ดีที่สุดของ Xenomorph นับตั้งแต่เปิดตัวภาพยนตร์ในแฟรนไชส์นี้ในปี 1979


อ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้ว ก็มีผู้เล่นใน PS3 ที่เล่นเกมจนจบอยู่ที่ 27.41% และอีก 28.14% ของผู้เล่นในเครื่อง PS4 ที่สามารถเล่นมันไปจนถึงฉากจบได้ 



ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะความกดดันของบรรยากาศที่มีการใช้ความเงียบเป็นสื่อนำ การ Jump-scare ง่ายๆ อย่างเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากเจ้าหุ่นยนต์ที่ตั้งอยู่กลางยาน ที่ทำให้ผู้เล่นแทบปาจอยทิ้ง รวมไปถึงการไล่ล่าของเจ้าเอเลี่ยนที่ผู้เล่นแทบไม่สามารถต่อกรอะไรได้เลย นอกจากพยายามแอบให้เนียนที่สุด จนกว่าเจ้าสัตว์ประหลาดต่างดาวตัวนี้...จะล่าถอยไปด้วยตัวเอง


  1. Half - life : Alyx



Half - life เป็นหนึ่งในเกม FPS ที่ลงให้กับเครื่อง VR จาก Valve ที่กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของวงการเกม ด้วยระบบฟิสิกส์สมจริงอย่างที่ไม่ว่าผู้เล่นจะทำสิ่งใดกับวัตถุภายในเกม มันก็จะส่งผลกระทบกับวัตถุชิ้นอื่นๆ ด้วยเช่นกัน รวมถึงระบบแสงเงาที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้ผู้เล่นอินไปกับการนำเสนอของเกมได้อย่างง่ายดาย


โดย Half - life : Alyx จะเป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้น 5 ปีก่อน Half - life 2 ที่โลกตกอยู่ภายใต้การปกครองของ Combine เผ่าพันธุ์ต่างดาวลึกลับ หลังจากความพ่ายแพ้ในสงครามเมื่อ 7 ปีก่อน และผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Alyx Vance ลูกสาวของ Eli Vance หัวหน้ากองกำลังฝ่ายต่อต้านของมนุษย์ โดยมีภารกิจที่จะทำการช่วยเหลือพ่อที่ถูกพวก Combine จับตัวไป 

 


แม้ว่าในตอนแรกกระแสตอบรับจากเหล่าผู้เล่นจะไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะเกม Half - life : Alyx ควรจะเป็นเกม Half - life 3 อย่างที่ทางค่ายสัญญิงสัญญามาโดยตลอดมากกว่าก็ตาม แต่ด้วยระบบการเล่นที่ตอบรับความคิดถึงของเหล่าแฟนๆ ผู้รอคอยอย่างมีความหวัง รวมถึงเนื้อเรื่องที่มีการปูทางเอาไว้อย่างน่าสนใจ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากเกมหนึ่งเลยทีเดียว 


เมื่ออ้างอิงจาก Steam แล้ว ก็มีผู้เล่นอยู่เพียง 27.5% ของผู้เล่นทั้งหมดเท่านั้น ที่สามารถเล่นไปจนถึงบทสุดท้ายของเกมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีผู้เล่นจบเกมนี้ได้น้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเกมที่ทำลงให้กับเครื่อง VR ด้วยนั่นเอง


  1. Resident Evil 1



Resident Evil หรืออีกชื่อหนึ่งที่ถูกเรียกในประเทศญี่ปุ่นอย่าง Biohazard เป็นเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดชื่อดัง จากค่าย Capcom ที่ลงให้กับเครื่อง PlayStation ในปี 1996 และมีการรีเมคลงให้กับเครื่อง GameCube ในปี 2002 


โดยเนื้อเรื่องของ Resident Evil นี้จะเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละครสองตัวคือ Chris Redfield และ Jill Valentine เจ้าหน้าที่ทีมอัลฟ่าของหน่วย S.T.A.R.S. ที่ถูกส่งมาตามหาทีมบราโว้ที่ขาดการติดต่อไปหลังจากมาทำภารกิจที่ภูเขาอาร์คเลย์ และถูกสัตว์กลายพันธุ์ไล่ให้หนีเข้าไปในคฤหาสน์ลึกลับกลางป่า


ซึ่งผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเป็น Chris หรือ Jill ก็ได้ โดยที่เนื้อเรื่องของตัวละครทั้งสองนั้นจะมีจุดที่แตกต่างกันอยู่ แต่ภารกิจของพวกเขาก็คือ การพยายามเอาชีวิตรอดจากคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยซอมบี้และฝูงสัตว์ประหลาดไปให้จงได้



ซึ่งอ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็มีผู้เล่นอยู่ที่ 12.71% จากผู้เล่นทั้งหมดเท่านั้นที่เล่นจนจบได้ทั้งสองตัวละคร ในขณะที่ผู้เล่นเลือกเล่นตัวละคร Jill จนจบมีอยู่ที่ 21.66% และเลือกเล่นตัวละคร Chris จนจบอยู่ที่ 17.26% 


โดยสาเหตุที่ทำให้คนเลิกเล่นเกมนี้กลางทาง ก็อาจเกิดขึ้นเพราะตัวเกมฉบับ Original เลยนั้นเป็นเกมเก่าที่มีการวางปริศนา กับระดับศัตรูที่ไม่เอาใจคนเล่นส่วนใหญ่ รวมถึงยังเลือกที่จะนำเสนอมุมมองการเล่น เป็นแบบการล็อกกล้องตามจุดต่างๆ ของฉาก ทำให้เกิดข้อจำกัดมากมายและยากที่จะสามารถเล่นผ่านไปได้ 



นอกจากนั้นแม้กระทั่งกับเวอร์ชันรีเมค ที่มีการปรับกราฟิกและพลังของผู้เล่นให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นแล้วก็ตาม ตัวเกมก็จะไม่ยอมให้ผู้เล่นได้เปรียบมากจนเกินไป โดยการเปลี่ยนศัตรูในบางฉากจากซอมบี้เป็น Hunter ศัตรูสุดว่องไวและอันตรายที่สามารถฆ่าผู้เล่นได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว  ที่เมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศสยองขวัญที่ตัวเกมสร้างขึ้นมาได้อย่างลงตัวด้วยแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่แทบจะไม่มีใครเอาชนะความน่ากลัวสุดคลาสสิกนี้ลงได้ 


  1. The Walking Dead: Season 1 Episode 5 



The Walking Dead เป็นเกมแนว Episode Adventure ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 และ No time left ก็คือบทสุดท้ายสุดท้ายของเกมซีรีส์ The Walking Dead: Season 1 


ตัวเกมจะนำเสนอโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่กลายเป็นซอมบี้ ที่ถูกเรียกว่า Walkers และมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ก็พยายามเอาตัวรอดการสถานการณ์นี้ให้ได้ ซึ่งในบท No time left นี้จะเป็นการเล่าต่อจากเนื้อเรื่องในบทก่อน ผ่านมุมมองของ Lee ที่ถูกกัดและพยายามหาทางที่จะไปช่วย Clementine ที่ถูกชายปริศนาจับตัวไป 



เนื้อหาของเกมในบทนี้ที่ปูความสัมพันธ์ของตัวละครมาให้ผู้เล่นเอาใจช่วย ก่อนจะมอบตัวเลือกที่บีบคั้นจิตใจผู้เล่นอย่างถึงที่สุด มาบังคับให้ต้องตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเสน่ห์หลักของเกม ที่ทำให้แฟนๆ กดจอยทั้งนำ้ตากันมานักต่อนัก แต่ในขณะเดียวกันนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุหลักด้วยเช่นกัน ที่เมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้ว ก็ทำให้มีผู้เล่นเพียง 49.08% เท่านั้นที่เล่น The Walking Dead: Season 1 Episode 5 จนจบได้


  1. Beyond: Two Souls



Beyond: Two Souls เป็นเกมผจญภัยกึ่ง Interactive จาก Quantic แนวดราม่ากึ่งวิทยาศาสตร์ ที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2013 


ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องราวของ Jodie Holmes เด็กสาวที่มีวิญญาณอีกหนึ่งดวงที่ชื่อว่า Aiden ที่คอยปกป้องเธออยู่ โดยการเล่าจะไม่ได้ไล่เรียงมันออกมาตรงๆ แต่จะเป็นการตัดสลับเหตุการณ์ในแต่ละช่วงอายุของเธอไป-มา และปล่อยให้ผู้เล่นเป็นคนสร้างบุคลิกของเธอได้ตามที่ต้องการ


จุดเด่นของเกมจะอยู่ที่ตัวเลือกแต่ละอย่างที่ผู้เล่นได้เลือกนั้น จะส่งผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตที่จะตามมา ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและการปูทางให้ผู้เล่นรู้สึกอินไปกับความรู้สึกจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ Jodie ต้องพบเจอ ก็ทำให้มันเป็นหนึ่งในเกมขึ้นหิ้งที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอแม้กระทั่งในปัจจุบัน



แต่ถึง Beyond: Two Souls จะเป็นเกมที่ลึกซึ้งมากแค่ไหน เมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็มีผู้เล่นอยู่เพียง 9.38% เท่านั้นที่สามารถเล่นจนจบทุกฉากจบของเกมได้


ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากระบบการบังคับที่สลับกันระหว่างตัว Jodie กับ Aiden ที่ทำให้ผู้เล่นบางส่วนรู้สึกเบื่อหน่าย และเนื้อเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังจิต ไปจนถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็อาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนรู้สึกเข้าไม่ถึง จนเลิกเล่นไปกลางทางอย่างน่าเสียดาย


  1. Silent Hill 3 



Silent Hill 3 เป็นเกมสยองขวัญเอาชีวิตรอดลือชื่อจากทาง Konami ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานในยุคเดียวกันกับ Resident Evil ซึ่งวางขายครั้งแรกในปี 2003 และได้รับคำชมอย่างล้มหลาม ว่าเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Silent Hill ณ ขณะนั้นเลยทีเดียว


โดยเกมในภาคนี้จะมีเนื้อเรื่องต่อจาก Silent Hill ในภาคแรกและจะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็น Heather เด็กสาวผมทองที่ตื่นขึ้นจากฝันร้ายในห้างสรรพสินค้า ด้วยความรู้สึกไม่ดีที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ เธอก็รีบเดินทางกลับไปยังบ้านของตัวเอง ก่อนจะได้พบว่าพ่อของเธอนั้นได้ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายไปเสียแล้ว และเธอก็ตั้งใจที่จะเดินทางไปยังเมือง Silent Hill เพื่อล้างแค้นให้กับผู้เป็นพ่อ



ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้อาจจะไม่ลึกซึ้งดราม่าเหมือน Silent Hill 2 แต่ด้วยปริศนากับดีไซน์ศัตรูที่มีการเพิ่มระดับความยากขึ้นมา รวมไปถึงระบบที่จะคอยเช็คไอเท็มของผู้เล่นอยู่เสมอ เพื่อสมดุลไอเท็มที่จะให้ในจุดต่างๆ ของเกม เพื่อไม่ให้ตัวเกมง่ายมากเกินไป จนเรียกได้ว่าทุกๆ ย่างก้าวภายในเกมไม่เปิดทางให้ผู้เล่นได้หายใจได้ทั่วท้องเลยแม้แต่น้อย มันก็กลายเป็นภาคที่ตอบโจทย์ผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทายได้อย่างถึงที่สุด


แน่นอนว่านอกจากการนำเสนอที่ไม่เอาใจผู้เล่นท่ามกลางบรรยากาศชวนขนหัวลุก จะทำให้ Silent Hill 3 เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว เมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็มีผู้เล่นอยู่เพียง 38.08% เท่านั้นที่สามารถจบเกมในฉากจบ Normal Ending ได้


  1.  Tiny room Stories: Town Mystery 



Tiny room Stories: Town Mystery เป็นเกมแก้ปริศนาจาก Kiary Games ที่เปิดบริการใน Google Play มาตั้งแต่ปี 2019 ก่อนจะทยอยลงให้กับ App Store และ Steam ในเวลาต่อมา


โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักสืบหนุ่มที่ได้รับจดหมายแปลกๆ จากผู้เป็นพ่อ จึงตัดสินใจที่จะเดินทางกลับมายัง Redcliff เมืองที่พ่อของเขาอาศัยอยู่ ก่อนจะได้พบว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว และทางเดียวที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็คือการที่เราผู้เล่นจะแก้ปริศนาไปตามสถานที่ต่างๆ โดยแกะรอยจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่



ตัวเกมจะนำเสนอมุมมองของภาพเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่สามารถหมุนได้ทั้งสี่ด้าน และอาศัยมุมมองเหล่านั้นในการเก็บซ่อนปริศนารูปแบบต่างๆ เอาไว้ ให้ผู้เล่นได้ลับสมองประลองปัญญา พร้อมกับดนตรีประกอบฉากที่เข้ากับบรรยากาศได้อย่างลงตัว และยิ่งเราเข้าใกล้ความจริงเบื้องหลังปริศนาการหายตัวไปนี้มากแค่ไหน ปริศนาที่เราได้พบก็จะยิ่งเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน


โดยรวมแล้ว Tiny room Stories: Town Mystery ก็เรียกได้ว่าเป็นเกมแนวแก้ปริศนาที่มีการดีไซน์ทั้งฉากและปริศนาออกมาได้อย่างน่าสนใจ แต่เพราะความยากของปริศนาและช่องโหว่ ที่ทำให้ปริศนาจำพวกตัวเลขในหลายๆ ด่าน ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว ทำให้ผู้เล่นติดอยู่กับปริศนาเหล่านั้นเป็นเวลานาน 


ในท้ายที่สุดตัวเกมก็มีผู้เล่นเพียง 31.9% ของผู้เล่นใน Steam เท่านั้น ที่เล่น Tiny room Stories: Town Mystery ไปจนถึงฉากสุดท้ายของเกมได้



อย่างที่ทุกคนได้เห็น เกมทั้ง 10 นั้น หลายเกมก็เป็นเกมที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ชื่นชอบจากผู้เล่นหลายคน ด้วยจากทั้งเกมเพลย์สุดมัน เนื้อเรื่องสุดซึ้ง ปริศนาสุดตราตรึงใจไปจนถึงเพลงประกอบที่ทำให้นำ้ตาคลออย่างง่ายดาย 

ทว่าเหตุผลทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่มีอิทธิพลต่อเปอร์เซ็นของผู้เล่นที่สามารถเคลียด์เกมจนจบได้เลยแม้แต่น้อย ขนาดที่ว่าบางเกมก็ยังไม่ถึงครึ่งของผู้เล่นทั้งหมดเสียด้วยซำ้ไป


ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเล่นเกมจนจบได้เอง ก็อาจจะเป็นเพราะ ภาระหน้าที่ส่วนตัวที่ทำให้ไม่มีเวลาในการเล่นเกมยาวๆ จนจบได้ ความยืดเยื้อในการนำเสนอของเกม ที่ทำให้ผู้เล่นบางส่วนเบื่อและล้มเลิกการเล่นไปกลางทาง กระทั่งความยากที่มากเกินไปจนรู้สึกไม่อยากเล่นต่อ 


แต่การเล่นเกมนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำเพื่อความสนุก และการผ่อนคลายจากความตึงเครียดในชีวิตแต่ละวันอยู่แล้ว  ดังนั้นการพยายามฝืนเล่นเกมที่เราผู้เล่นเอง ก็ไม่ได้รู้สึกสนุกกับมันมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว ก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการในการเล่นมาตั้งแต่แรก


ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะเป็นหนึ่งในคนที่ล้มเลิกการเล่นเกมไปกลางทางก็ตาม มันก็ไม่สำคัญเลยสักนิด ขอเพียงแค่คุณสนุกกับการเล่นมันได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ



Credit: https://psnprofiles.com

https://steamcommunity.com/stats/1145360/achievements/

https://steamcommunity.com/stats/546560/achievements/

https://steamcommunity.com/stats/1259640/achievements/



GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
10 เกมที่คนเล่นไม่จบ
22/06/2021

ในปัจจุบันเกมนั้นถูกพัฒนาขึ้นมามากมาย โดยมีเป้าหมายในการทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และสนุกสนานไปกับการเล่นเกมเหล่านั้น แต่ไม่ว่าจะเพราะความรู้สึกเคว้งคว้างจากสภาวะซึมเศร้าหลังเล่นเกมจบก็ดี ความน่าเบื่อที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นก็ดี หรือกระทั่งความยากมากเกินกว่าที่จะสามารถเล่นเกมให้จบได้ก็ดี 


ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ไม่ว่าเกมเหล่านั้นจะเป็นเกม AAA ที่ดีมากแค่ไหน หรือเคยได้รางวัลอะไรมาก็ตาม ก็ยังมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถเล่นไปจนถึงฉากจบสุดท้ายของเกมเหล่านั้นได้ 


และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาพบกับเกมที่คนเล่นไม่จบกันค่ะ 


  1. Hades 



Hades เป็นเกมจากค่าย Supergiant Games ที่นำเสนอเกมเพลย์ออกมาในรูปแบบของ Rogue-like และ Dungeon Crawler หรือ เกมแนวสุ่มด่าน สุ่มไอเทม ที่จะทำให้ทุกๆ รอบของผู้เล่น ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่าง และแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลาที่เล่น ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 


โดยตัวเกมจะพาผู้เล่นไปสัมผัสกับบรรยากาศ ของโลกหลังความตายในตำนานเทพกรีก ผ่านมุมมองของ Zagreus บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวแห่ง Hades ที่พยายามหนีออกจากโลกใต้พิภพแห่งนี้ เพื่อไปเข้าร่วมกับเหล่าเทพบนเทือกเขาโอลิมปัส และได้รับการช่วยเหลือจากเทพเจ้าเหล่านั้น ที่จะคอยมอบพลังให้กับเขาในการฝ่าด่านมอสเตอร์ผู้เฝ้าทางเข้า-ออก ในชั้นต่างๆ ของนรกไปให้ได้ 



ซึ่งบอสหลักของเกมที่รอคอยเราอยู่ที่หน้าประตูทางออกนรก หลังจากฝ่าฟันผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาอย่างยากลำบาก ก็จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก Hades พ่อของ Zagreus นั่นเอง


Hades เป็นเกมที่ได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะงานอาร์ตที่มีสไตล์แปลกใหม่ ดนตรีประกอบที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้การต่อสู้ในแต่ละด่านเร้าใจมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่จะค่อยๆ เผยออกมาตามระยะเวลาที่ผู้เล่นใช้ไปกับเกม และสนทนาสร้างปฏิสัมพันธ์กับตัวละครอื่นในเกม


แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าเกมจะถูกเสนอชื่อเข้าชิง Game of the year และคว้ารางวัล Best Indie และ Best Action ประจำเกม 2020 ไปได้อย่างงดงามก็ตาม ก็มีผู้เล่นเพียง 48.9% เท่านั้นที่สามารถเอาชนะ Hades บอสคนสุดท้ายของเกมได้ และมีผู้เล่นเพียง 7.1% ของผู้เล่นใน Steam เท่านั้น ที่จบเกมนี้โดยเล่นไปจนถึงบทสรุปสุดท้ายของเกมได้อย่างสมบูรณ์



ซึ่งอันที่จริงแล้วการที่ผู้เล่นกว่าครึ่งเล่นเกมนี้ไม่จบ ก็มีสาเหตุที่พอจะคาดเดาได้อยู่หลายสาเหตุ อาจเพราะความเบื่อหน่ายกับความหัวร้อน ที่เกิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง และจะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่ตาย หรืออาจเพราะความยากที่เพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบทพูดของบอสบางตัวที่ยั่วยุให้ผู้เล่นอดจะรู้สึกกำหมัด กัดฟันก็เป็นได้ ที่ทำให้ใครหลายๆ คน โยนจอยทิ้งและล้มเลิกความตั้งใจในการเล่นลงกลางทาง


หากอ้างอิงจากเปอร์เซ็นต์ของผู้เล่นที่สามารถเอาชนะ Hades เป็นครั้งแรกได้ ซึ่งห่างกับเปอร์เซ็นของผู้เล่นที่เล่นไปจนถึงฉากจบสุดท้ายของเกมได้ ที่ห่างกันอยู่ถึง 40 กว่าเปอร์เซ็นต์เลย ก็พอจะทำให้เราคาดการณ์ได้ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่พึงพอใจที่จะดื่มดำกับชัยชนะจากบอสหลักของเกมได้ และหมดความสนใจที่จะเล่นเกมนี้ต่อจนถึงฉากจบสุดท้ายแล้วนั่นเอง


  1. Battlefield V



Battlefield V เป็นเกม FPS จากค่าย EA DICE ด้วยพลังของ Frostbite engine ซึ่งเป็นเกมที่ 16 แล้วในแฟรนไชส์ Battlefield ด้วยชื่อเสียงและฐานแฟนคลับที่หลงใหลในกลิ่นอายของการเป็นทหารท่ามกลางไฟสงคราม ก็ทำให้มันเป็นเกมที่ถูกจับตามองอยู่ไม่น้อยในช่วงแรกๆ 


ด้วยเกมการเล่นที่พาเวทีหลักหวนกลับสู่สนามรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผู้เล่นหลายๆ คนล้วนแล้วแต่คิดถึง และก็ยังมีโหมดแคมเปญเนื้อเรื่องต่างๆ อย่าง No Flag War, Nordlys War Story และ Tirailleur War 



อย่างไรก็ดีเกมในซีรีส์ Battlefield ก็เป็นเกมที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการเล่นโหมด Multiplayer มากกว่าอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งเมื่อมารวมเข้ากับวิดีโอโปรโมทที่ชวนให้สับสน รวมถึงการตอบกลับความคิดเห็นจากเหล่าผู้เล่นจำนวนมาก ผ่านทางสื่อออนไลน์ของ DICE ก็ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจจากทางฝ่ายผู้เล่นเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็ส่งผลกระทบไปถึงยอดขายของเกม ที่ตกลงจากที่คาดการณ์เอาไว้เป็นอย่างมากในช่วงแรกที่เกมเปิดตัววางจำหน่าย 


โดยเมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้ว ก็มีผู้เล่นอยู่ 36.80% ที่เล่นเนื้อเรื่องแคมเปญ No Flag War จบ 30.43% เล่นเนื้อเรื่องแคมเปญ Nordlys War Story จบ และอีก 27.76% ที่เล่นเนื้อเรื่องแคมเปญ Tirailleur War จบ


  1. Red Dead Redemption 2



Red Dead Redemption 2 เป็นเกมแอคชันผจญภัยภาคต่อจากค่าย Rockstar ที่เปิดตัวในปี 2018 ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมที่ได้เข้าชิง Game of the year ของปีนั้นเลยทีเดียว


โดยตัวเกมนั้นเป็นภาคต่อของ Red Dead Redemption ในปี 2010 ที่นำเสนอโลกเปิดของคาวบอยตะวันตกในช่วงยุค 1899 ผ่านมุมมองของ Arthur Morgan หนึ่งในแก๊ง Van der Linde กลุ่มอาชญากรที่ค้นพบว่า ยุคสมัยของคนนอกกฎหมายเยี่ยงพวกตนนั้นกำลังจบสิ้นลงแล้ว แต่ก็ยังพยายามที่จะประคับประคองแก๊งให้สามารถดำเนินต่อไปได้



ด้วยบรรยากาศที่ราวกับจะพาผู้เล่นไปผจญภัยอยู่ท่ามกลางทะเลทราย พร้อมม้าคู่ใจจริงๆ นั้นเอง ก็ทำให้เกมภาคนี้ได้รับความสนใจจากผู้เล่นจำนวนมากอย่างล้นหลาม 


แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็ตาม ด้วยการนำเสนอบรรยากาศของความเป็นโลกเปิด ทำให้เกมเพลย์ในบางช่วงระหว่างรอยต่อของเนื้อเรื่องหลัก หรือการขี่ม้าไปยังจุดต่างๆ เป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เกิดความเบื่อหน่าย และเมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็ส่งผลให้มีผู้เล่นเพียง 40.48% เท่านั้นที่สามารถเล่น Red Dead Redemption 2 จนจบสมบูรณ์ได้


  1. Alien Isolation



Alien Isolation เป็นเกมแนวเอาชีวิตรอดสยองขวัญที่ เรียกได้ว่าน่ากลัวที่สุดของค่าย Sega ซึ่งเปิดตัวขึ้นมาในปี 2014 เลยก็ว่าได้ 


โดยตัวเกมจะไม่ได้ยกพล็อตจากหนัง Alien ในภาคแรกมาใช้ตรงๆ แต่จะเป็นการเล่าเหตุการณ์ใหม่ที่ให้อารมณ์คล้ายคลึงกัน ผ่านมุมมองของตัวละครอย่าง Amanda Ripley ผู้ซึ่งพยายามสืบและตามหาแม่ที่หายตัวไปเมื่อ 15 ปีก่อน


ด้วยบรรยากาศกับดนตรีประกอบที่เน้นความสยองขวัญสมจริง รวมถึงเกมเพลย์ที่ทำให้ผู้เล่นต้องใช้ทุกวิถีทางในการลอบเร้น และมอบความรู้สึกกดดัน หวาดระแวงในทุกๆ ฝีก้าวให้กับผู้เล่น ทำให้ Alien Isolation กลายเป็นการนำเสนอที่ดีที่สุดของ Xenomorph นับตั้งแต่เปิดตัวภาพยนตร์ในแฟรนไชส์นี้ในปี 1979


อ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้ว ก็มีผู้เล่นใน PS3 ที่เล่นเกมจนจบอยู่ที่ 27.41% และอีก 28.14% ของผู้เล่นในเครื่อง PS4 ที่สามารถเล่นมันไปจนถึงฉากจบได้ 



ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะความกดดันของบรรยากาศที่มีการใช้ความเงียบเป็นสื่อนำ การ Jump-scare ง่ายๆ อย่างเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากเจ้าหุ่นยนต์ที่ตั้งอยู่กลางยาน ที่ทำให้ผู้เล่นแทบปาจอยทิ้ง รวมไปถึงการไล่ล่าของเจ้าเอเลี่ยนที่ผู้เล่นแทบไม่สามารถต่อกรอะไรได้เลย นอกจากพยายามแอบให้เนียนที่สุด จนกว่าเจ้าสัตว์ประหลาดต่างดาวตัวนี้...จะล่าถอยไปด้วยตัวเอง


  1. Half - life : Alyx



Half - life เป็นหนึ่งในเกม FPS ที่ลงให้กับเครื่อง VR จาก Valve ที่กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของวงการเกม ด้วยระบบฟิสิกส์สมจริงอย่างที่ไม่ว่าผู้เล่นจะทำสิ่งใดกับวัตถุภายในเกม มันก็จะส่งผลกระทบกับวัตถุชิ้นอื่นๆ ด้วยเช่นกัน รวมถึงระบบแสงเงาที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้ผู้เล่นอินไปกับการนำเสนอของเกมได้อย่างง่ายดาย


โดย Half - life : Alyx จะเป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้น 5 ปีก่อน Half - life 2 ที่โลกตกอยู่ภายใต้การปกครองของ Combine เผ่าพันธุ์ต่างดาวลึกลับ หลังจากความพ่ายแพ้ในสงครามเมื่อ 7 ปีก่อน และผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Alyx Vance ลูกสาวของ Eli Vance หัวหน้ากองกำลังฝ่ายต่อต้านของมนุษย์ โดยมีภารกิจที่จะทำการช่วยเหลือพ่อที่ถูกพวก Combine จับตัวไป 

 


แม้ว่าในตอนแรกกระแสตอบรับจากเหล่าผู้เล่นจะไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะเกม Half - life : Alyx ควรจะเป็นเกม Half - life 3 อย่างที่ทางค่ายสัญญิงสัญญามาโดยตลอดมากกว่าก็ตาม แต่ด้วยระบบการเล่นที่ตอบรับความคิดถึงของเหล่าแฟนๆ ผู้รอคอยอย่างมีความหวัง รวมถึงเนื้อเรื่องที่มีการปูทางเอาไว้อย่างน่าสนใจ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากเกมหนึ่งเลยทีเดียว 


เมื่ออ้างอิงจาก Steam แล้ว ก็มีผู้เล่นอยู่เพียง 27.5% ของผู้เล่นทั้งหมดเท่านั้น ที่สามารถเล่นไปจนถึงบทสุดท้ายของเกมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีผู้เล่นจบเกมนี้ได้น้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเกมที่ทำลงให้กับเครื่อง VR ด้วยนั่นเอง


  1. Resident Evil 1



Resident Evil หรืออีกชื่อหนึ่งที่ถูกเรียกในประเทศญี่ปุ่นอย่าง Biohazard เป็นเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดชื่อดัง จากค่าย Capcom ที่ลงให้กับเครื่อง PlayStation ในปี 1996 และมีการรีเมคลงให้กับเครื่อง GameCube ในปี 2002 


โดยเนื้อเรื่องของ Resident Evil นี้จะเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละครสองตัวคือ Chris Redfield และ Jill Valentine เจ้าหน้าที่ทีมอัลฟ่าของหน่วย S.T.A.R.S. ที่ถูกส่งมาตามหาทีมบราโว้ที่ขาดการติดต่อไปหลังจากมาทำภารกิจที่ภูเขาอาร์คเลย์ และถูกสัตว์กลายพันธุ์ไล่ให้หนีเข้าไปในคฤหาสน์ลึกลับกลางป่า


ซึ่งผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเป็น Chris หรือ Jill ก็ได้ โดยที่เนื้อเรื่องของตัวละครทั้งสองนั้นจะมีจุดที่แตกต่างกันอยู่ แต่ภารกิจของพวกเขาก็คือ การพยายามเอาชีวิตรอดจากคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยซอมบี้และฝูงสัตว์ประหลาดไปให้จงได้



ซึ่งอ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็มีผู้เล่นอยู่ที่ 12.71% จากผู้เล่นทั้งหมดเท่านั้นที่เล่นจนจบได้ทั้งสองตัวละคร ในขณะที่ผู้เล่นเลือกเล่นตัวละคร Jill จนจบมีอยู่ที่ 21.66% และเลือกเล่นตัวละคร Chris จนจบอยู่ที่ 17.26% 


โดยสาเหตุที่ทำให้คนเลิกเล่นเกมนี้กลางทาง ก็อาจเกิดขึ้นเพราะตัวเกมฉบับ Original เลยนั้นเป็นเกมเก่าที่มีการวางปริศนา กับระดับศัตรูที่ไม่เอาใจคนเล่นส่วนใหญ่ รวมถึงยังเลือกที่จะนำเสนอมุมมองการเล่น เป็นแบบการล็อกกล้องตามจุดต่างๆ ของฉาก ทำให้เกิดข้อจำกัดมากมายและยากที่จะสามารถเล่นผ่านไปได้ 



นอกจากนั้นแม้กระทั่งกับเวอร์ชันรีเมค ที่มีการปรับกราฟิกและพลังของผู้เล่นให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นแล้วก็ตาม ตัวเกมก็จะไม่ยอมให้ผู้เล่นได้เปรียบมากจนเกินไป โดยการเปลี่ยนศัตรูในบางฉากจากซอมบี้เป็น Hunter ศัตรูสุดว่องไวและอันตรายที่สามารถฆ่าผู้เล่นได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว  ที่เมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศสยองขวัญที่ตัวเกมสร้างขึ้นมาได้อย่างลงตัวด้วยแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่แทบจะไม่มีใครเอาชนะความน่ากลัวสุดคลาสสิกนี้ลงได้ 


  1. The Walking Dead: Season 1 Episode 5 



The Walking Dead เป็นเกมแนว Episode Adventure ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 และ No time left ก็คือบทสุดท้ายสุดท้ายของเกมซีรีส์ The Walking Dead: Season 1 


ตัวเกมจะนำเสนอโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่กลายเป็นซอมบี้ ที่ถูกเรียกว่า Walkers และมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ก็พยายามเอาตัวรอดการสถานการณ์นี้ให้ได้ ซึ่งในบท No time left นี้จะเป็นการเล่าต่อจากเนื้อเรื่องในบทก่อน ผ่านมุมมองของ Lee ที่ถูกกัดและพยายามหาทางที่จะไปช่วย Clementine ที่ถูกชายปริศนาจับตัวไป 



เนื้อหาของเกมในบทนี้ที่ปูความสัมพันธ์ของตัวละครมาให้ผู้เล่นเอาใจช่วย ก่อนจะมอบตัวเลือกที่บีบคั้นจิตใจผู้เล่นอย่างถึงที่สุด มาบังคับให้ต้องตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเสน่ห์หลักของเกม ที่ทำให้แฟนๆ กดจอยทั้งนำ้ตากันมานักต่อนัก แต่ในขณะเดียวกันนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุหลักด้วยเช่นกัน ที่เมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้ว ก็ทำให้มีผู้เล่นเพียง 49.08% เท่านั้นที่เล่น The Walking Dead: Season 1 Episode 5 จนจบได้


  1. Beyond: Two Souls



Beyond: Two Souls เป็นเกมผจญภัยกึ่ง Interactive จาก Quantic แนวดราม่ากึ่งวิทยาศาสตร์ ที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2013 


ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องราวของ Jodie Holmes เด็กสาวที่มีวิญญาณอีกหนึ่งดวงที่ชื่อว่า Aiden ที่คอยปกป้องเธออยู่ โดยการเล่าจะไม่ได้ไล่เรียงมันออกมาตรงๆ แต่จะเป็นการตัดสลับเหตุการณ์ในแต่ละช่วงอายุของเธอไป-มา และปล่อยให้ผู้เล่นเป็นคนสร้างบุคลิกของเธอได้ตามที่ต้องการ


จุดเด่นของเกมจะอยู่ที่ตัวเลือกแต่ละอย่างที่ผู้เล่นได้เลือกนั้น จะส่งผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตที่จะตามมา ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและการปูทางให้ผู้เล่นรู้สึกอินไปกับความรู้สึกจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ Jodie ต้องพบเจอ ก็ทำให้มันเป็นหนึ่งในเกมขึ้นหิ้งที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอแม้กระทั่งในปัจจุบัน



แต่ถึง Beyond: Two Souls จะเป็นเกมที่ลึกซึ้งมากแค่ไหน เมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็มีผู้เล่นอยู่เพียง 9.38% เท่านั้นที่สามารถเล่นจนจบทุกฉากจบของเกมได้


ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากระบบการบังคับที่สลับกันระหว่างตัว Jodie กับ Aiden ที่ทำให้ผู้เล่นบางส่วนรู้สึกเบื่อหน่าย และเนื้อเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังจิต ไปจนถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็อาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนรู้สึกเข้าไม่ถึง จนเลิกเล่นไปกลางทางอย่างน่าเสียดาย


  1. Silent Hill 3 



Silent Hill 3 เป็นเกมสยองขวัญเอาชีวิตรอดลือชื่อจากทาง Konami ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานในยุคเดียวกันกับ Resident Evil ซึ่งวางขายครั้งแรกในปี 2003 และได้รับคำชมอย่างล้มหลาม ว่าเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Silent Hill ณ ขณะนั้นเลยทีเดียว


โดยเกมในภาคนี้จะมีเนื้อเรื่องต่อจาก Silent Hill ในภาคแรกและจะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็น Heather เด็กสาวผมทองที่ตื่นขึ้นจากฝันร้ายในห้างสรรพสินค้า ด้วยความรู้สึกไม่ดีที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ เธอก็รีบเดินทางกลับไปยังบ้านของตัวเอง ก่อนจะได้พบว่าพ่อของเธอนั้นได้ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายไปเสียแล้ว และเธอก็ตั้งใจที่จะเดินทางไปยังเมือง Silent Hill เพื่อล้างแค้นให้กับผู้เป็นพ่อ



ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้อาจจะไม่ลึกซึ้งดราม่าเหมือน Silent Hill 2 แต่ด้วยปริศนากับดีไซน์ศัตรูที่มีการเพิ่มระดับความยากขึ้นมา รวมไปถึงระบบที่จะคอยเช็คไอเท็มของผู้เล่นอยู่เสมอ เพื่อสมดุลไอเท็มที่จะให้ในจุดต่างๆ ของเกม เพื่อไม่ให้ตัวเกมง่ายมากเกินไป จนเรียกได้ว่าทุกๆ ย่างก้าวภายในเกมไม่เปิดทางให้ผู้เล่นได้หายใจได้ทั่วท้องเลยแม้แต่น้อย มันก็กลายเป็นภาคที่ตอบโจทย์ผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทายได้อย่างถึงที่สุด


แน่นอนว่านอกจากการนำเสนอที่ไม่เอาใจผู้เล่นท่ามกลางบรรยากาศชวนขนหัวลุก จะทำให้ Silent Hill 3 เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว เมื่ออ้างอิงจากเว็บไซต์ PSNProfiles แล้วก็มีผู้เล่นอยู่เพียง 38.08% เท่านั้นที่สามารถจบเกมในฉากจบ Normal Ending ได้


  1.  Tiny room Stories: Town Mystery 



Tiny room Stories: Town Mystery เป็นเกมแก้ปริศนาจาก Kiary Games ที่เปิดบริการใน Google Play มาตั้งแต่ปี 2019 ก่อนจะทยอยลงให้กับ App Store และ Steam ในเวลาต่อมา


โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักสืบหนุ่มที่ได้รับจดหมายแปลกๆ จากผู้เป็นพ่อ จึงตัดสินใจที่จะเดินทางกลับมายัง Redcliff เมืองที่พ่อของเขาอาศัยอยู่ ก่อนจะได้พบว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว และทางเดียวที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็คือการที่เราผู้เล่นจะแก้ปริศนาไปตามสถานที่ต่างๆ โดยแกะรอยจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่



ตัวเกมจะนำเสนอมุมมองของภาพเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่สามารถหมุนได้ทั้งสี่ด้าน และอาศัยมุมมองเหล่านั้นในการเก็บซ่อนปริศนารูปแบบต่างๆ เอาไว้ ให้ผู้เล่นได้ลับสมองประลองปัญญา พร้อมกับดนตรีประกอบฉากที่เข้ากับบรรยากาศได้อย่างลงตัว และยิ่งเราเข้าใกล้ความจริงเบื้องหลังปริศนาการหายตัวไปนี้มากแค่ไหน ปริศนาที่เราได้พบก็จะยิ่งเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน


โดยรวมแล้ว Tiny room Stories: Town Mystery ก็เรียกได้ว่าเป็นเกมแนวแก้ปริศนาที่มีการดีไซน์ทั้งฉากและปริศนาออกมาได้อย่างน่าสนใจ แต่เพราะความยากของปริศนาและช่องโหว่ ที่ทำให้ปริศนาจำพวกตัวเลขในหลายๆ ด่าน ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว ทำให้ผู้เล่นติดอยู่กับปริศนาเหล่านั้นเป็นเวลานาน 


ในท้ายที่สุดตัวเกมก็มีผู้เล่นเพียง 31.9% ของผู้เล่นใน Steam เท่านั้น ที่เล่น Tiny room Stories: Town Mystery ไปจนถึงฉากสุดท้ายของเกมได้



อย่างที่ทุกคนได้เห็น เกมทั้ง 10 นั้น หลายเกมก็เป็นเกมที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ชื่นชอบจากผู้เล่นหลายคน ด้วยจากทั้งเกมเพลย์สุดมัน เนื้อเรื่องสุดซึ้ง ปริศนาสุดตราตรึงใจไปจนถึงเพลงประกอบที่ทำให้นำ้ตาคลออย่างง่ายดาย 

ทว่าเหตุผลทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่มีอิทธิพลต่อเปอร์เซ็นของผู้เล่นที่สามารถเคลียด์เกมจนจบได้เลยแม้แต่น้อย ขนาดที่ว่าบางเกมก็ยังไม่ถึงครึ่งของผู้เล่นทั้งหมดเสียด้วยซำ้ไป


ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเล่นเกมจนจบได้เอง ก็อาจจะเป็นเพราะ ภาระหน้าที่ส่วนตัวที่ทำให้ไม่มีเวลาในการเล่นเกมยาวๆ จนจบได้ ความยืดเยื้อในการนำเสนอของเกม ที่ทำให้ผู้เล่นบางส่วนเบื่อและล้มเลิกการเล่นไปกลางทาง กระทั่งความยากที่มากเกินไปจนรู้สึกไม่อยากเล่นต่อ 


แต่การเล่นเกมนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำเพื่อความสนุก และการผ่อนคลายจากความตึงเครียดในชีวิตแต่ละวันอยู่แล้ว  ดังนั้นการพยายามฝืนเล่นเกมที่เราผู้เล่นเอง ก็ไม่ได้รู้สึกสนุกกับมันมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว ก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการในการเล่นมาตั้งแต่แรก


ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะเป็นหนึ่งในคนที่ล้มเลิกการเล่นเกมไปกลางทางก็ตาม มันก็ไม่สำคัญเลยสักนิด ขอเพียงแค่คุณสนุกกับการเล่นมันได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ



Credit: https://psnprofiles.com

https://steamcommunity.com/stats/1145360/achievements/

https://steamcommunity.com/stats/546560/achievements/

https://steamcommunity.com/stats/1259640/achievements/



บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header