GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
วิเคราะห์ตอนจบเกม Final Fantasy VII Remake: สู่อิสรภาพไร้พรมแดนอันน่าสะพรึงกลัว
ลงวันที่ 16/04/2020

สำหรับเกมเมอร์ที่เติบโตมาในยุคคอนโซล PS1 หลายคน เกม Final Fantasy VII Remake คงเป็นเกมที่รอจะได้เล่นมาตลอดชีวิต นับตั้งแต่ที่ได้พบกับ Cloud และผองเพื่อนในร่างหุ่นโพลิก้อนเป็นครั้งแรก ไปสู่การเดินทางเพื่อปกป้องโลก Gaia ของเกม ที่แม้ในความเป็นจริงจะมีตัวตนเป็นเพียงแค่ฉากหลัง 2D คุณภาพต่ำ แต่ก็สวยงามและน่าค้นหาเสมอในจินตนาการของเกมเมอร์ที่ได้เล่น Final Fantasy VII ภาคต้นฉบับ



เมื่อเวลาผ่านไป ความรักและโหยหาของแฟนๆ ต่อการกลับมาของ Final Fantasy VII ก็นำไปสู่การกำเนิดใหม่ในฐานะเกมภาค Remake ที่หลายคนคาดหวังว่าจะเปรียบเสมือนการสรรค์สร้างโลกตามจินตนาการของพวกเขา ให้ออกมามีรูปร่างและชีวิตชีวาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งในแง่หนึ่ง เกมก็ตอบโจทย์ความต้องการของแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี ด้วยเมือง Midgar ของเกม ที่สร้างมาได้อย่างละเอียดและสวยงาม และมีเรื่องราวของตัวเอง ที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยมีมา

แต่ในอีกแง่หนึ่ง Final Fantasy VII Remake ก็เป็นความพยายามของผู้พัฒนา ที่ต้องการจะบอกว่าเกมยังไปได้ไกลกว่าที่แฟนๆ ต้องการหรือคาดหวังจะได้เห็นมากนัก คนที่เล่นภาค Remake จนจบแล้วน่าจะทราบดีว่าตอนจบของเกมแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมต้นฉบับมากๆ และมีนัยยะสำคัญต่อทั้งอดีตและอนาคตของซีรี่ส์ ซึ่งอาจจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ที่แน่ๆ คือมั่นใจได้ว่าแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยผ่านมาอย่างแน่นอน



ทั้งนี้ ด้วยความซับซ้อนของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนจบ อาจจะทำให้หลายคนงงกันได้ง่ายๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โดยเฉพาะสำหรับเกมเมอร์รุ่นใหม่ที่อาจจะไม่ได้ติดตามเนื้อเรื่องของเกม Final Fantasy VII มาก่อน เราจึงอยากจะนำเสนอบทวิเคราะห์ตอนจบของเกมภาค Remake เพื่ออธิบายความสำคัญของตอนจบ และทิศทางอันน่าตื่นเต้นที่ซีรี่ส์ Final Fantasy VII Remake อาจจะดำเนินไปในอนาคต

เสียงกระซิบแห่งอดีต


ก่อนจะเริ่มอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่อง สิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องอธิบายก่อนคือตัวตนที่แท้จริงของเหล่าศัตรูภูติผีปริศนาหรือ "Whisper" ที่ Cloud และเพื่อนๆ พบเจอตลอดเนื้อเรื่องของเกม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเกมภาค Remake นี้อย่างมาก



ตัวตนที่แท้จริงของเหล่า Whisper ถูกเปิดเผยโดยตัวละคร Red XIII ที่เรียกพวกมันว่าเป็น "ผู้คุมแห่งโชคชะตา" (Arbiters of Fate) ที่มีหน้าที่ในการทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ดำเนินไปตามที่ถูกลิขิตมาแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือให้เหตุการณ์สำคัญๆ ในเกมดำเนินไปตามเส้นเรื่องของเกมภาคต้นฉบับนั่นเอง ซึ่งถ้าสังเกติให้ดี เหล่า Whisper มักจะยื่นมือเข้ามามีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องโดยตรง ก็ต่อเมื่อเนื้อเรื่องของเกมภาค Remake ทำท่าจะฉีกออกจากเนื้อเรื่องของเกมดั้งเดิมเท่านั้น เช่น:

  • เข้ามารังควาน Aerith ในช่วงต้นเกม เพื่อให้ Cloud กับ Aerith ได้ทำความรู้จักกันกันครั้งแรกจริงๆ ในโบสถ์หลังการระเบิดเตาปฏิกรณ์ที่ 5

  • ทำให้ Jessie ได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้ Barret จำเป็นต้องขอความร่วมมือจาก Cloud ในการบุกเตาปฏิกรณ์ที่ 5 จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะไม่ใช้ Cloud

  • ยับยั้งไม่ให้ Cloud ลงมือฆ่า Reno ในโบสถ์ของ Aerith และขัดขวางเหล่าทหารชินระ เพื่อให้ Cloud และ Aerith หลบหนีไปได้

  • ช่วยชุบชีวิต Barret ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาโดน Sephiroth ฆ่า แต่กลับปล่อยให้ประธานชินระตาย ทั้งที่ทั้งสองตายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน 

  • ใน Chapter 17 เมื่อ Dr. Hojo กำลังจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับอดีตของ Cloud เขากลับถูกเหล่า Whisper พาตัวไปซะก่อน

  • และอื่นๆ




มาถึงจุดนี้ หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า แล้วสรุปพวก Whisper เป็นตัวร้ายหรือไม่? ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะต้องบอกว่าพวก Whisper ไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู เพราะแม้พวกการกระทำของพวกเขาในบางครั้งเหมือนจะเป็นปฏิปักษ์กับเหล่าตัวเอก แต่อย่าลืมว่าถ้าเนื้อเรื่องทั้งหมดดำเนินไปตามเกมภาคเก่า นั่นหมายความว่า Cloud และพวกจะประสบความสำเร็จในการยับยั้งแผนการทำลายโลกของ Sephiroth เช่นกัน


เทวดาตกสวรรค์ ผู้ท้าทายโชคชะตา


สำหรับคนที่ไม่ได้ทราบถึงประวัติของตัวละคร Sephiroth มาก่อน จำเป็นต้องรู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นอดีตทหารพิเศษ SOLDIER อันดับหัวกะทิของบริษัทชินระ ที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากที่เขาได้รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นมนุษย์ทดลอง ที่ถูกสร้างขึ้นจากพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตปริศนาจากนอกโลกที่ชื่อว่า Jenova ซึ่งทำให้เขาเสียสติและสังหารหมู่ประชากรในเมือง Nibelheim อันเป็นบ้านเกิดของทั้ง Tifa และ Cloud ไปจำนวนมาก



ในความเสียสติของเขา Sephiroth เชื่อว่าเขาคือผู้ถูกเลือกให้เป็นพระเจ้าคนใหม่ของโลก ซึ่งเขาตั้งใจจะได้พลังนั้นมาด้วยการเรียกอุกกาบาตมาชนโลกเพื่อฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และดูดเอาพลังงาน Lifestream จากสิ่งมีชีวิตทั้งโลกมาไว้ในตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าในเนื้อเรื่องของภาคต้นฉบับเขาถูก Cloud และเพื่อนๆ หยุดยั้งเอาไว้ได้ซะก่อนจะทำสำเร็จ



สิ่งที่น่าสนใจในเกมภาค Remake คือ Sephiroth เองก็ดูจะรู้ว่าถ้าเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปเหมือนกับในเกมภาคเก่า เขาก็จะต้องพ่ายแพ้ต่อ Cloud และเพื่อนๆ อีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุผลให้เขาพยายามโน้มน้าวให้ Cloud ต้อง "ต่อสู้กับโชคชะตา" ในภาค Remake เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต ที่เขาถูกลิขิตเอาไว้ให้เป็นผู้แพ้

เหตุการณ์หนึ่งที่สนับสนุนว่า Sephiroth อาจจะมาจากโลกคู่ขนาน หรือจากช่วงเวลาที่ไม่ควรอยู่ คือฉากที่เหล่าตัวเอกหนีออกมาจากตึกชินระใน Chapter 18 และการที่เหล่า Whisper ที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตึกชินระ ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาพร้อมกัน ในจังหวะเดียวกับที่ Sephiroth ก้าวออกมาจากประตูมิติบนทางด่วน ซึ่งเมื่อคำนึงถึงหน้าที่ของเหล่า Whisper ในฐานะ "ผู้คุมแห่งโชคชะตา" ก็ทำให้ตีความได้ว่าเสียงร้องโหยหวนนั้น มาจากการที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงตัวตนที่ "ไม่ควรมีอยู่" นั่นเอง


ปลดผนึกทางเดินใหม่ สู่อนาคตที่ไม่มีใครเดาได้


แล้วทำไมเหล่าตัวเอกถึงต้องเล่นตามแผนของ Sephiroth และตามไปสู้กับเขาต่อในอีกมิติเหมือนที่เกิดขึ้นในเกม? นั่นเป็นเพราะว่าแม้แต่ Aerith เองก็พอเข้าใจในระดับหนึ่ง ว่า Sephiroth กำลังพยายามจะเปลี่ยนโชคชะตาให้ดำเนินไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ ต่างกับ Cloud และเพื่อนๆ ที่ถูกเหล่า Whisper ยื่นมือเข้ามากำหนดทางเดินของพวกเขาเสมอ และเพื่อเอาชนะ Sephiroth และยับยั้งแผนการใหม่ของเขา เหล่าตัวเอกก็จะต้องปลดแอกตัวเองจากโชคชะตาเช่นเดียวกัน แม้ว่าเมื่อทำไปแล้ว จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา และตัวพวกเขาเองจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ดั่งบทพูดของเธอบนทางด่วน เมื่อ Tifa ถามเธอว่าพวกเขาจะพบกับอะไรในอีกฟากของประตูมิติของ Sephiroth ซึ่ง Aerith ตอบว่า "อิสรภาพ... อิสรภาพไร้พรมแดนอันน่าสะพรึงกลัว เหมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด" (Freedom... boundless, terrifying freedom. Like a great, never-ending sky.)



สิ่งที่ตามมาคือการต่อสู้กับบอสของเหล่า Whisper หรือ Whisper Harbinger นั่นเอง โดยในการต่อสู้ บอสจะส่งร่างแทนของตัวเองออกมาสามตัว ซึ่งจะใช้อาวุธเป็นดาบ ปืน และกำปั้น เช่นเดียวกับ Cloud, Barret และ Tifa ด้วย ซึ่งหน้าต่างข้อมูลจากการ Access ศัตรูเหล่านี้จะเปิดเผยว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตจากอนาคต ที่พยายามปกป้องอดีตที่นำไปสู่การกำเนิดของพวกมันเอง จึงพอตีความได้ว่าการต่อสู้นี้อาจจะเป็นการที่ Cloud, Barret และ Tifa ต่อสู้กับชะตาที่ถูกลิขิตไว้ของพวกเขา



สิ่งที่ยังคงเป็นคำถามสำหรับผู้เขียน คือการต่อสู้กับ Sephiroth ครั้งสุดท้ายในตอนจบของเกม หลังจากที่เขาได้พา Cloud ไปยัง "สุดขอบแห่งการรังสรรค์" (Edge of Creation) และพยายามจะโน้มน้าวให้ Cloud มาร่วมกัน "ฝ่าฝืนโชคชะตา" กับเขา โดยผู้เขียนตีความว่านี่อาจจะเป็นจุดประสงค์หลักของ Sephiroth ตั้งแต่แรกหรือเปล่า คือการทำให้ Cloud ปลดแอกตัวเองจากโชคชะตา เพื่อที่จะสามารถร่วมมือกับเขา แทนที่จะต่อต้านเขาตามที่ควรจะเป็น

จุดที่ผู้เขียนยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้คือคำพูด "เหลือเวลา 7 วินาทีก่อนจะถึงตอนจบ" (seven seconds till the end) ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นการบอกใบ้ถึงอนาคตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คงต้องเก็บไว้เป็นปริศนาสำหรับภาคต่อๆ ไปก่อนจะได้รู้ความจริงกัน


การกลับมา (หรือเปล่า?) ของ Zack Fair


อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ควรพูดถึงคือตัวละคร Zack Fair หรือหนุ่ม SOLDIER ผมดำที่พกดาบ Buster Sword ในนิมิตของ Cloud และ Aerith นั่นเอง



ความสัมพันธ์ระหว่าง Zack, Cloud, Aerith, Tifa และ Sephiroth ได้ถูกอธิบายอย่างละเอียดในเกม Final Fantasy VII: Crisis Core ซึ่งเป็นภาค Spin-off ที่วางจำหน่ายในเครื่อง PSP โดยสรุปสั้นๆ ว่า Zack เป็นอดีต SOLDIER หัวกะทิระดับเดียวกับ Sephiroth และเป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Nibelheim ของ Sephiroth ทำให้เขาและ Cloud ถูกจับไปขังโดย Dr. Hojo เพื่อปิดปากพวกเขา และใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือในการทดลอง ก่อนที่เขาจะพา Cloud หนีออกมาได้ และสละชีวิตตัวเองเพื่อสกัดทหารชินระที่พยายามตามมาจับพวกเขา เพื่อให้ Cloud หนีรอดไปยังเมือง Midgar คนเดียว แถมเขายังเป็นคนรักคนแรกที่ Aerith เคยกล่าวถึงอีกด้วย

จากฉากนิมิตที่เราเห็นในตอนจบของเกม ที่เห็น Zack กำลังหิ้วปีก Cloud เดินเข้าเมือง Midgar ดูเหมือนว่าการฝืนโชคชะตาของ Cloud และเพื่อนๆ อาจจะส่งผลไปถึงอดีต ทำให้ Zack สามารถเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเนื้อเรื่องในเกมหลักอย่างมหาศาล เพราะที่จริงแล้ว ความทรงจำในฐานะ SOLDIER ทั้งหมดของ Cloud เป็นความทรงจำของ Zack ที่ผสมปนเปเข้ากับความทรงจำของเขาเองต่างหาก ถ้า Zack ไม่ตายไปเสียก่อน Cloud ก็จะไม่ได้เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็น SOLDIER แต่แรก และอาจจะไม่ได้กลายมาเป็น Cloud ที่เรารู้จักกันเลยก็เป็นได้



แต่ทั้งนี้ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน "จักรวาลคู่ขนาน" มากกว่า จากการที่เห็นใบปลิวลายมาสคอตหมาใส่หมวกสีเขียวหรือ “Stamp” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชี้ทางของกลุ่ม Avalanche ตามที่ Barret อธิบายในฉากทางรถไฟใต้ดินระหว่างทางไปเตาปฏิกรณ์ที่ 5 ได้เปลี่ยนรูปร่างไปจากที่เห็นในเกมก่อนหน้านี้

[caption id="attachment_51065" align="aligncenter" width="250"] Stamp ที่เห็นในเกม[/caption]

[caption id="attachment_51067" align="aligncenter" width="1920"] Stamp ในนิมิตของ Zack[/caption]

โดย Stamp นั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ชินระใช้ในสื่อโฆษณาชวนเชื่อ สมัยที่สงคราม Wutai ยังคงดำเนินอยู่ ก่อนหน้าที่เนื้อเรื่องของเกม Final Fantasy VII จะเริ่มขึ้น การที่ Stamp ตัวที่เห็นในนิมิตของ Zack แตกต่างไปจากตัวที่เห็นในเกม อาจจะตีความได้ว่าประวัติศาสตร์ของโลกในนิมิตของ Zack ได้เปลี่ยนไปจากประวัติศาสตร์ในเกม Final Fantasy VII Remake ไปแล้วก็เป็นได้

ถ้าถามว่าการรอดชีวิตของ Zack ครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเนื้อเรื่องของเกมภาค Remake ยังอาจจะมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกได้ แต่เมื่อคิดว่าฉากที่ Zack ต่อสู้กับทหารชินระ ดูจะเป็นการนำฉากจบของเกม Crisis Core (ที่ Zack เสียชีวิต) มาทำใหม่แบบฉากต่อฉากเลย ผู้เขียนจึงแอบคิดเล่นๆ ว่า เราอาจจะได้เห็นภาคต่อของเกม Crisis Core ที่ตั้งอยู่ในจักรวาลคู่ขนาน ที่มี Zack เป็นตัวเอกอีกครั้งหรือเปล่านะ?


การนับหนึ่งใหม่ ของตำนานบทเก่า


ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับตอนจบของเกม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ คือนี่เป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้เห็นตัวละครอันเป็นที่รักเหล่านี้ ในสถานการณ์และเรื่องราวที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และคาดเดาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้แม้กระทั่งแฟนๆ ตัวยงของเกม ได้มีโอกาสสัมผัสมุมมองต่างๆ ของเกม “เป็นครั้งแรก” อีกครั้ง Final Fantasy VII Remake จึงไม่ได้เป็นเพียงการ ‘Remake’ เกมภาคดั้งเดิม แต่มันคือการ Remake ของทั้งซีรี่ส์เลยมากกว่า (หมายความว่าทั้งเนื้อเรื่องภาคหลักและ spin-off ทั้งหมด) และสิ่งที่จะตามมาจากนี้ แม้ไม่คุ้นเคย แต่ก็ไม่ซ้ำซากจำเจแน่นอนเช่นกัน


วิเคราะห์ของแถม: สาส์นจากผู้พัฒนา สู้เหล่าเกมเมอร์ผู้คุมชะตาของเกม


ในมุมมองของผู้เขียน Final Fantasy VII Remake เปรียบเสมือนสาส์นที่ผู้พัฒนาตั้งใจจะสื่อถึงผู้เล่นโดยตรง เกี่ยวกับการ Remake เกม และความต้องการของผู้พัฒนาที่จะ "ต่อสู้กับเนื้อเรื่องที่ถูกลิขิตมาอยู่แล้ว" ในการสรรค์สร้างผลงานของตัวเองในฐานะศิลปิน ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของพวกเขาเอง

ในการตีความของผู้เขียน เรื่องราวการเดินทางของ Cloud และเพื่อนๆ สามารถเปรียบได้กับการพัฒนาเกม Final Fantasy VII Remake เอง ที่มักจะถูกกำหนดให้เดินตามหนทางที่กำหนดมาแล้ว ซึ่งก็คือเนื้อเรื่องต้นฉบับเดิม ที่เหล่า Whisper พยายามจะรักษาเอาไว้ทุกครั้งที่เกมทำท่าจะฉีกออกจากทิศทางเดิมนั่นเอง



ส่วนพวก Whisper อาจจะเปรียบได้กับความคาดหวังหรือเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ที่อยากให้เกมเป็น ‘Remake’ ของต้นฉบับแบบตรงๆ ตัว ซึ่งเป็นเหมือน “เสียงกระซิบ” ในใจของผู้พัฒนาที่คอยชักจูงการตัดสินใจของพวกเขา ในช่วงท้ายๆ ที่ Cloud และเพื่อนๆ ตัดสินใจต่อสู้กับโชคชะตา เพื่อกำหนดทางเดินของตัวเอง จึงเปรียบเหมือนการที่ประกาศจุดยืนของผู้พัฒนาต่อผู้เล่น ว่าเราจะกำหนดทิศทางของซีรี่ส์ Final Fantasy VII Remake นี้ด้วยตัวเองในอนาคต 

แน่นอนว่าการตัดสินใจของผู้พัฒนาในครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน เพราะมันคือการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นเรื่องและตัวละครอันเป็นที่บูชายิ่งของเกมเมอร์ ดังที่ Aerith กล่าวไว้ว่าข้างบน เพราะแม้ว่าการตัดสินใจที่จะนำเนื้อเรื่องไปทางนี้ จะนำมาซึ่งอิสรภาพในการกำหนดทิศทางของเกมต่อไป แต่ก็เป็นอิสรภาพที่น่ากลัว เพราะถ้าตัดสินใจพลาด มันอาจจะเป็นการทำลายภาพจำดีๆ ของ Final Fantasy VII ในใจของผู้เล่นที่รักเกมมากๆ

อ้างอิงข้อมูล:

IGN, GamesRadar, Twinfinite

ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่




GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
วิเคราะห์ตอนจบเกม Final Fantasy VII Remake: สู่อิสรภาพไร้พรมแดนอันน่าสะพรึงกลัว
16/04/2020

สำหรับเกมเมอร์ที่เติบโตมาในยุคคอนโซล PS1 หลายคน เกม Final Fantasy VII Remake คงเป็นเกมที่รอจะได้เล่นมาตลอดชีวิต นับตั้งแต่ที่ได้พบกับ Cloud และผองเพื่อนในร่างหุ่นโพลิก้อนเป็นครั้งแรก ไปสู่การเดินทางเพื่อปกป้องโลก Gaia ของเกม ที่แม้ในความเป็นจริงจะมีตัวตนเป็นเพียงแค่ฉากหลัง 2D คุณภาพต่ำ แต่ก็สวยงามและน่าค้นหาเสมอในจินตนาการของเกมเมอร์ที่ได้เล่น Final Fantasy VII ภาคต้นฉบับ



เมื่อเวลาผ่านไป ความรักและโหยหาของแฟนๆ ต่อการกลับมาของ Final Fantasy VII ก็นำไปสู่การกำเนิดใหม่ในฐานะเกมภาค Remake ที่หลายคนคาดหวังว่าจะเปรียบเสมือนการสรรค์สร้างโลกตามจินตนาการของพวกเขา ให้ออกมามีรูปร่างและชีวิตชีวาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งในแง่หนึ่ง เกมก็ตอบโจทย์ความต้องการของแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี ด้วยเมือง Midgar ของเกม ที่สร้างมาได้อย่างละเอียดและสวยงาม และมีเรื่องราวของตัวเอง ที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยมีมา

แต่ในอีกแง่หนึ่ง Final Fantasy VII Remake ก็เป็นความพยายามของผู้พัฒนา ที่ต้องการจะบอกว่าเกมยังไปได้ไกลกว่าที่แฟนๆ ต้องการหรือคาดหวังจะได้เห็นมากนัก คนที่เล่นภาค Remake จนจบแล้วน่าจะทราบดีว่าตอนจบของเกมแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมต้นฉบับมากๆ และมีนัยยะสำคัญต่อทั้งอดีตและอนาคตของซีรี่ส์ ซึ่งอาจจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ที่แน่ๆ คือมั่นใจได้ว่าแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยผ่านมาอย่างแน่นอน



ทั้งนี้ ด้วยความซับซ้อนของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนจบ อาจจะทำให้หลายคนงงกันได้ง่ายๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โดยเฉพาะสำหรับเกมเมอร์รุ่นใหม่ที่อาจจะไม่ได้ติดตามเนื้อเรื่องของเกม Final Fantasy VII มาก่อน เราจึงอยากจะนำเสนอบทวิเคราะห์ตอนจบของเกมภาค Remake เพื่ออธิบายความสำคัญของตอนจบ และทิศทางอันน่าตื่นเต้นที่ซีรี่ส์ Final Fantasy VII Remake อาจจะดำเนินไปในอนาคต

เสียงกระซิบแห่งอดีต


ก่อนจะเริ่มอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่อง สิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องอธิบายก่อนคือตัวตนที่แท้จริงของเหล่าศัตรูภูติผีปริศนาหรือ "Whisper" ที่ Cloud และเพื่อนๆ พบเจอตลอดเนื้อเรื่องของเกม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเกมภาค Remake นี้อย่างมาก



ตัวตนที่แท้จริงของเหล่า Whisper ถูกเปิดเผยโดยตัวละคร Red XIII ที่เรียกพวกมันว่าเป็น "ผู้คุมแห่งโชคชะตา" (Arbiters of Fate) ที่มีหน้าที่ในการทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ดำเนินไปตามที่ถูกลิขิตมาแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือให้เหตุการณ์สำคัญๆ ในเกมดำเนินไปตามเส้นเรื่องของเกมภาคต้นฉบับนั่นเอง ซึ่งถ้าสังเกติให้ดี เหล่า Whisper มักจะยื่นมือเข้ามามีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องโดยตรง ก็ต่อเมื่อเนื้อเรื่องของเกมภาค Remake ทำท่าจะฉีกออกจากเนื้อเรื่องของเกมดั้งเดิมเท่านั้น เช่น:

  • เข้ามารังควาน Aerith ในช่วงต้นเกม เพื่อให้ Cloud กับ Aerith ได้ทำความรู้จักกันกันครั้งแรกจริงๆ ในโบสถ์หลังการระเบิดเตาปฏิกรณ์ที่ 5

  • ทำให้ Jessie ได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้ Barret จำเป็นต้องขอความร่วมมือจาก Cloud ในการบุกเตาปฏิกรณ์ที่ 5 จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะไม่ใช้ Cloud

  • ยับยั้งไม่ให้ Cloud ลงมือฆ่า Reno ในโบสถ์ของ Aerith และขัดขวางเหล่าทหารชินระ เพื่อให้ Cloud และ Aerith หลบหนีไปได้

  • ช่วยชุบชีวิต Barret ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาโดน Sephiroth ฆ่า แต่กลับปล่อยให้ประธานชินระตาย ทั้งที่ทั้งสองตายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน 

  • ใน Chapter 17 เมื่อ Dr. Hojo กำลังจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับอดีตของ Cloud เขากลับถูกเหล่า Whisper พาตัวไปซะก่อน

  • และอื่นๆ




มาถึงจุดนี้ หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า แล้วสรุปพวก Whisper เป็นตัวร้ายหรือไม่? ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะต้องบอกว่าพวก Whisper ไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู เพราะแม้พวกการกระทำของพวกเขาในบางครั้งเหมือนจะเป็นปฏิปักษ์กับเหล่าตัวเอก แต่อย่าลืมว่าถ้าเนื้อเรื่องทั้งหมดดำเนินไปตามเกมภาคเก่า นั่นหมายความว่า Cloud และพวกจะประสบความสำเร็จในการยับยั้งแผนการทำลายโลกของ Sephiroth เช่นกัน


เทวดาตกสวรรค์ ผู้ท้าทายโชคชะตา


สำหรับคนที่ไม่ได้ทราบถึงประวัติของตัวละคร Sephiroth มาก่อน จำเป็นต้องรู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นอดีตทหารพิเศษ SOLDIER อันดับหัวกะทิของบริษัทชินระ ที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากที่เขาได้รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นมนุษย์ทดลอง ที่ถูกสร้างขึ้นจากพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตปริศนาจากนอกโลกที่ชื่อว่า Jenova ซึ่งทำให้เขาเสียสติและสังหารหมู่ประชากรในเมือง Nibelheim อันเป็นบ้านเกิดของทั้ง Tifa และ Cloud ไปจำนวนมาก



ในความเสียสติของเขา Sephiroth เชื่อว่าเขาคือผู้ถูกเลือกให้เป็นพระเจ้าคนใหม่ของโลก ซึ่งเขาตั้งใจจะได้พลังนั้นมาด้วยการเรียกอุกกาบาตมาชนโลกเพื่อฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และดูดเอาพลังงาน Lifestream จากสิ่งมีชีวิตทั้งโลกมาไว้ในตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าในเนื้อเรื่องของภาคต้นฉบับเขาถูก Cloud และเพื่อนๆ หยุดยั้งเอาไว้ได้ซะก่อนจะทำสำเร็จ



สิ่งที่น่าสนใจในเกมภาค Remake คือ Sephiroth เองก็ดูจะรู้ว่าถ้าเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปเหมือนกับในเกมภาคเก่า เขาก็จะต้องพ่ายแพ้ต่อ Cloud และเพื่อนๆ อีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุผลให้เขาพยายามโน้มน้าวให้ Cloud ต้อง "ต่อสู้กับโชคชะตา" ในภาค Remake เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต ที่เขาถูกลิขิตเอาไว้ให้เป็นผู้แพ้

เหตุการณ์หนึ่งที่สนับสนุนว่า Sephiroth อาจจะมาจากโลกคู่ขนาน หรือจากช่วงเวลาที่ไม่ควรอยู่ คือฉากที่เหล่าตัวเอกหนีออกมาจากตึกชินระใน Chapter 18 และการที่เหล่า Whisper ที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตึกชินระ ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาพร้อมกัน ในจังหวะเดียวกับที่ Sephiroth ก้าวออกมาจากประตูมิติบนทางด่วน ซึ่งเมื่อคำนึงถึงหน้าที่ของเหล่า Whisper ในฐานะ "ผู้คุมแห่งโชคชะตา" ก็ทำให้ตีความได้ว่าเสียงร้องโหยหวนนั้น มาจากการที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงตัวตนที่ "ไม่ควรมีอยู่" นั่นเอง


ปลดผนึกทางเดินใหม่ สู่อนาคตที่ไม่มีใครเดาได้


แล้วทำไมเหล่าตัวเอกถึงต้องเล่นตามแผนของ Sephiroth และตามไปสู้กับเขาต่อในอีกมิติเหมือนที่เกิดขึ้นในเกม? นั่นเป็นเพราะว่าแม้แต่ Aerith เองก็พอเข้าใจในระดับหนึ่ง ว่า Sephiroth กำลังพยายามจะเปลี่ยนโชคชะตาให้ดำเนินไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ ต่างกับ Cloud และเพื่อนๆ ที่ถูกเหล่า Whisper ยื่นมือเข้ามากำหนดทางเดินของพวกเขาเสมอ และเพื่อเอาชนะ Sephiroth และยับยั้งแผนการใหม่ของเขา เหล่าตัวเอกก็จะต้องปลดแอกตัวเองจากโชคชะตาเช่นเดียวกัน แม้ว่าเมื่อทำไปแล้ว จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา และตัวพวกเขาเองจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ดั่งบทพูดของเธอบนทางด่วน เมื่อ Tifa ถามเธอว่าพวกเขาจะพบกับอะไรในอีกฟากของประตูมิติของ Sephiroth ซึ่ง Aerith ตอบว่า "อิสรภาพ... อิสรภาพไร้พรมแดนอันน่าสะพรึงกลัว เหมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด" (Freedom... boundless, terrifying freedom. Like a great, never-ending sky.)



สิ่งที่ตามมาคือการต่อสู้กับบอสของเหล่า Whisper หรือ Whisper Harbinger นั่นเอง โดยในการต่อสู้ บอสจะส่งร่างแทนของตัวเองออกมาสามตัว ซึ่งจะใช้อาวุธเป็นดาบ ปืน และกำปั้น เช่นเดียวกับ Cloud, Barret และ Tifa ด้วย ซึ่งหน้าต่างข้อมูลจากการ Access ศัตรูเหล่านี้จะเปิดเผยว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตจากอนาคต ที่พยายามปกป้องอดีตที่นำไปสู่การกำเนิดของพวกมันเอง จึงพอตีความได้ว่าการต่อสู้นี้อาจจะเป็นการที่ Cloud, Barret และ Tifa ต่อสู้กับชะตาที่ถูกลิขิตไว้ของพวกเขา



สิ่งที่ยังคงเป็นคำถามสำหรับผู้เขียน คือการต่อสู้กับ Sephiroth ครั้งสุดท้ายในตอนจบของเกม หลังจากที่เขาได้พา Cloud ไปยัง "สุดขอบแห่งการรังสรรค์" (Edge of Creation) และพยายามจะโน้มน้าวให้ Cloud มาร่วมกัน "ฝ่าฝืนโชคชะตา" กับเขา โดยผู้เขียนตีความว่านี่อาจจะเป็นจุดประสงค์หลักของ Sephiroth ตั้งแต่แรกหรือเปล่า คือการทำให้ Cloud ปลดแอกตัวเองจากโชคชะตา เพื่อที่จะสามารถร่วมมือกับเขา แทนที่จะต่อต้านเขาตามที่ควรจะเป็น

จุดที่ผู้เขียนยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้คือคำพูด "เหลือเวลา 7 วินาทีก่อนจะถึงตอนจบ" (seven seconds till the end) ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นการบอกใบ้ถึงอนาคตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คงต้องเก็บไว้เป็นปริศนาสำหรับภาคต่อๆ ไปก่อนจะได้รู้ความจริงกัน


การกลับมา (หรือเปล่า?) ของ Zack Fair


อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ควรพูดถึงคือตัวละคร Zack Fair หรือหนุ่ม SOLDIER ผมดำที่พกดาบ Buster Sword ในนิมิตของ Cloud และ Aerith นั่นเอง



ความสัมพันธ์ระหว่าง Zack, Cloud, Aerith, Tifa และ Sephiroth ได้ถูกอธิบายอย่างละเอียดในเกม Final Fantasy VII: Crisis Core ซึ่งเป็นภาค Spin-off ที่วางจำหน่ายในเครื่อง PSP โดยสรุปสั้นๆ ว่า Zack เป็นอดีต SOLDIER หัวกะทิระดับเดียวกับ Sephiroth และเป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Nibelheim ของ Sephiroth ทำให้เขาและ Cloud ถูกจับไปขังโดย Dr. Hojo เพื่อปิดปากพวกเขา และใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือในการทดลอง ก่อนที่เขาจะพา Cloud หนีออกมาได้ และสละชีวิตตัวเองเพื่อสกัดทหารชินระที่พยายามตามมาจับพวกเขา เพื่อให้ Cloud หนีรอดไปยังเมือง Midgar คนเดียว แถมเขายังเป็นคนรักคนแรกที่ Aerith เคยกล่าวถึงอีกด้วย

จากฉากนิมิตที่เราเห็นในตอนจบของเกม ที่เห็น Zack กำลังหิ้วปีก Cloud เดินเข้าเมือง Midgar ดูเหมือนว่าการฝืนโชคชะตาของ Cloud และเพื่อนๆ อาจจะส่งผลไปถึงอดีต ทำให้ Zack สามารถเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเนื้อเรื่องในเกมหลักอย่างมหาศาล เพราะที่จริงแล้ว ความทรงจำในฐานะ SOLDIER ทั้งหมดของ Cloud เป็นความทรงจำของ Zack ที่ผสมปนเปเข้ากับความทรงจำของเขาเองต่างหาก ถ้า Zack ไม่ตายไปเสียก่อน Cloud ก็จะไม่ได้เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็น SOLDIER แต่แรก และอาจจะไม่ได้กลายมาเป็น Cloud ที่เรารู้จักกันเลยก็เป็นได้



แต่ทั้งนี้ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน "จักรวาลคู่ขนาน" มากกว่า จากการที่เห็นใบปลิวลายมาสคอตหมาใส่หมวกสีเขียวหรือ “Stamp” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชี้ทางของกลุ่ม Avalanche ตามที่ Barret อธิบายในฉากทางรถไฟใต้ดินระหว่างทางไปเตาปฏิกรณ์ที่ 5 ได้เปลี่ยนรูปร่างไปจากที่เห็นในเกมก่อนหน้านี้

[caption id="attachment_51065" align="aligncenter" width="250"] Stamp ที่เห็นในเกม[/caption]

[caption id="attachment_51067" align="aligncenter" width="1920"] Stamp ในนิมิตของ Zack[/caption]

โดย Stamp นั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ชินระใช้ในสื่อโฆษณาชวนเชื่อ สมัยที่สงคราม Wutai ยังคงดำเนินอยู่ ก่อนหน้าที่เนื้อเรื่องของเกม Final Fantasy VII จะเริ่มขึ้น การที่ Stamp ตัวที่เห็นในนิมิตของ Zack แตกต่างไปจากตัวที่เห็นในเกม อาจจะตีความได้ว่าประวัติศาสตร์ของโลกในนิมิตของ Zack ได้เปลี่ยนไปจากประวัติศาสตร์ในเกม Final Fantasy VII Remake ไปแล้วก็เป็นได้

ถ้าถามว่าการรอดชีวิตของ Zack ครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเนื้อเรื่องของเกมภาค Remake ยังอาจจะมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกได้ แต่เมื่อคิดว่าฉากที่ Zack ต่อสู้กับทหารชินระ ดูจะเป็นการนำฉากจบของเกม Crisis Core (ที่ Zack เสียชีวิต) มาทำใหม่แบบฉากต่อฉากเลย ผู้เขียนจึงแอบคิดเล่นๆ ว่า เราอาจจะได้เห็นภาคต่อของเกม Crisis Core ที่ตั้งอยู่ในจักรวาลคู่ขนาน ที่มี Zack เป็นตัวเอกอีกครั้งหรือเปล่านะ?


การนับหนึ่งใหม่ ของตำนานบทเก่า


ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับตอนจบของเกม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ คือนี่เป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้เห็นตัวละครอันเป็นที่รักเหล่านี้ ในสถานการณ์และเรื่องราวที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และคาดเดาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้แม้กระทั่งแฟนๆ ตัวยงของเกม ได้มีโอกาสสัมผัสมุมมองต่างๆ ของเกม “เป็นครั้งแรก” อีกครั้ง Final Fantasy VII Remake จึงไม่ได้เป็นเพียงการ ‘Remake’ เกมภาคดั้งเดิม แต่มันคือการ Remake ของทั้งซีรี่ส์เลยมากกว่า (หมายความว่าทั้งเนื้อเรื่องภาคหลักและ spin-off ทั้งหมด) และสิ่งที่จะตามมาจากนี้ แม้ไม่คุ้นเคย แต่ก็ไม่ซ้ำซากจำเจแน่นอนเช่นกัน


วิเคราะห์ของแถม: สาส์นจากผู้พัฒนา สู้เหล่าเกมเมอร์ผู้คุมชะตาของเกม


ในมุมมองของผู้เขียน Final Fantasy VII Remake เปรียบเสมือนสาส์นที่ผู้พัฒนาตั้งใจจะสื่อถึงผู้เล่นโดยตรง เกี่ยวกับการ Remake เกม และความต้องการของผู้พัฒนาที่จะ "ต่อสู้กับเนื้อเรื่องที่ถูกลิขิตมาอยู่แล้ว" ในการสรรค์สร้างผลงานของตัวเองในฐานะศิลปิน ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของพวกเขาเอง

ในการตีความของผู้เขียน เรื่องราวการเดินทางของ Cloud และเพื่อนๆ สามารถเปรียบได้กับการพัฒนาเกม Final Fantasy VII Remake เอง ที่มักจะถูกกำหนดให้เดินตามหนทางที่กำหนดมาแล้ว ซึ่งก็คือเนื้อเรื่องต้นฉบับเดิม ที่เหล่า Whisper พยายามจะรักษาเอาไว้ทุกครั้งที่เกมทำท่าจะฉีกออกจากทิศทางเดิมนั่นเอง



ส่วนพวก Whisper อาจจะเปรียบได้กับความคาดหวังหรือเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ที่อยากให้เกมเป็น ‘Remake’ ของต้นฉบับแบบตรงๆ ตัว ซึ่งเป็นเหมือน “เสียงกระซิบ” ในใจของผู้พัฒนาที่คอยชักจูงการตัดสินใจของพวกเขา ในช่วงท้ายๆ ที่ Cloud และเพื่อนๆ ตัดสินใจต่อสู้กับโชคชะตา เพื่อกำหนดทางเดินของตัวเอง จึงเปรียบเหมือนการที่ประกาศจุดยืนของผู้พัฒนาต่อผู้เล่น ว่าเราจะกำหนดทิศทางของซีรี่ส์ Final Fantasy VII Remake นี้ด้วยตัวเองในอนาคต 

แน่นอนว่าการตัดสินใจของผู้พัฒนาในครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน เพราะมันคือการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นเรื่องและตัวละครอันเป็นที่บูชายิ่งของเกมเมอร์ ดังที่ Aerith กล่าวไว้ว่าข้างบน เพราะแม้ว่าการตัดสินใจที่จะนำเนื้อเรื่องไปทางนี้ จะนำมาซึ่งอิสรภาพในการกำหนดทิศทางของเกมต่อไป แต่ก็เป็นอิสรภาพที่น่ากลัว เพราะถ้าตัดสินใจพลาด มันอาจจะเป็นการทำลายภาพจำดีๆ ของ Final Fantasy VII ในใจของผู้เล่นที่รักเกมมากๆ

อ้างอิงข้อมูล:

IGN, GamesRadar, Twinfinite

ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่




บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header