GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
รีวิว Jump Force ผู้พัฒนายังคงชอบทำอะไรแบบนี้ใช่ไหมในปี 2019 ?
ลงวันที่ 06/03/2019

Jump Force คือหนึ่งในเกมที่เกมเมอร์ทั่งโลก รอคอย กับการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของนิตยสารโชเน็งจัมป์ โดยนำเอาตัวละครจากการ์ตูนมาต่อสู้กันในเกม เพื่อเป็นการสนอง Need แฟนๆ ให้หายคิดถึง และล่าสุดตัวเกมได้วางจำหน่ายเรียบร้อยบนเครื่อง PC, PS4 และ Xbox One ในบทความนี้พวกเราชาว Game Fever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ดี / ไม่ดี ยังไง ควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ไปชมได้เลยจ้า

รีวิว Jump Force




เนื้อเรื่อง


ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่โดนลูกหลงจากการบุกโจมตีของ ฟรีซเซอร์ ตัวร้ายสุดคลาสสิกของการ์ตูรชนดราก้อนบอล และในวินาทีที่เราจะสิ้นใจ ก็ได้ทรังค์อีกหนึ่งตัวละครจากดราก้อนบอลมาช่วยไว้ โดยเขาจะมอบ Umbras Cube ให้กับเรา จนเปลี่ยนให้เรากลายเป็น Jump Man (หนึ่งในทีมงานของเราตั้งให้ 555+) เพราะว่าตัวเรานั้นสามารถใช้สกิลต่างๆของตัวละครในการตูนได้มากมาย เช่น ท่าโจมพิเศษเป็นการเรียกดาบผนึกเห่งแสงของยูกิแต่ท่าไม้ตายเป็นกระสุนวิญญาณของยูสุเกะ ฟังดูก็เข้าท่าไม่เลวนะ



และเราก็จะได้เข้าร่วมกับกองกำลัง J Force เพื่อรวบรวมพรรคพวกต่างๆ ในการ์ตูนที่โดนครอบงำด้วย Cube แดง พร้อมทั้งคอยปราบสิ่งชั่วร้ายทั่วโลก ซึ่งมันก็เรียกได้ว่าเป็นแพทเทิร์นเกมแนวต่อสู้การ์ตูนลูกผู้ชาย เพื่อนไม่ทิ้งกัน ตรงตามแบบฉบับของสไตล์สายหลักของนิตยสาร Shonen Jump เลยก็ว่าได้



แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ทำออกมาได้น่าผิดหวังมากๆ เพราะมันแทบทื่อไม่มีเสน่ห์ใดๆ ทั้งสิ้น และเควสต่างๆ หรือภารกิจเนื้อเรื่องก็จะเป็นแบบเดิมซ้ำๆ หลายเควสติดต่อกัน ยกตัวอย่างภารกิจส่วนใหญ่จะเริ่มด้วย เอ๊ะ !! คนแปลกหน้าคนนี้ถูกครอบงำ (ตัวการ์ตูนในจัมป์นั่นแหละ) เราไปดูหน่อยสิ พอไปถึงก็สู้ๆ เสร็จเก็บคิวบ์ครอบงำมาได้ พวกเราก็รับตัวละครนั้นเข้ากองกำลัง J Force ซึ่งถ้าหากว่าเควสแบบนี้มันมีแค่ 1-2 ภารกิจเราก็ยังพอรับได้ แต่มันมีมากกว่า 80% เลยนี่สิ มันบ่งบอกได้เลยว่าเกมนี้ผู้พัฒนาไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องเสียเท่าไร และเขานั้นขาดชั้นเชิงกับความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก



บทพูดของตัวละครเองก็บ่งบอกได้ว่าผู้พัฒนาไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะในช่วงต้นเกมหรือฉากใหญ่ๆ ตัวละครทุกตัวในฉาก (ยกเว้นตัวเรา) จะมีเสียงพากษ์หมด แต่พออยู่ในเควสมิชชั่น เสียงภาคกับไม่มี กลายเป็นตัวละครพยักหน้า ขยับปาก และมีกล่องคำพูดขึ้นมาแทนซะงั้น

ซึ่งแฟนๆ บางท่านอาจจะโต้แย้งผมในเรื่องประเด็นนี้ว่ามันเป็นปกติของเกมจาก Bandai Namco ที่เขามักจะทำแบบอย่างงี้แหละ แต่ก็อยากจะบอกว่านี่มันเป็นเกมสเกลใหญ่นะครับ เพราะถ้าไม่ให้คงไม่ขายถึง 60$ เท่ากับเกม AAA ที่ทำได้ดีกว่านี้หลายเท่า และไอ้ระบบพวกนี้เนี่ยมันเคยมีมาตั้งแต่สมัย PS2 แล้วนะ ผู้พัฒนาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันบ้างเลยหรือ ?



 




กราฟิก


แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวกราฟิกเองของ Jump Force ก็ทำออกมาได้สมกับการเป็นเกม Next Gen จริงๆ !! ภาพต่างๆ มีความสวยงามตามท้องเรื่องมาก ถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นของตัวละครมันจะดูทื่อๆ ในบางครั้ง แต่พวกสกิลเอฟเฟค การต่อสู้นี่เอาไปเต็มสิบกับความมันสนั่นจอ

ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะมีข้อติอยู่บ้างที่ตัวเกมถ้าหากคุณใช้เครื่อง PS4 Pro แล้วเล่นจอ 4K ตัวเกมจะมีเฟรมเรทดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเล่นในจอ 1080p ปกติตัวเกมก็สามารถคงความลื่อไหลได้ดี



และสิ่งที่ต้องวิพากษ์เลยสำหรับในประเด็นนี้คือตัวเกมใส่ Loading Screen เข้ามาเยอะจนน่ารำคาญ ผู้พัฒนาออกแบบระบบหน้าจอได้โหลโท่ยมากๆ ตัวเกมมี Loading Screen ทุกๆ ฉาก แม้กระทั่งฉากเปิดตัวก่อนเข้าไปหน้าต่อสู้ก็โหลด พอสู้เสร็จมีฉากพูดสองประโยคก็โหลด กลับไปอีกหนึ่งซีนก็โหลด ซึ่งบางทีในบางฉากมันควรจะต่อเนื่องกันหรือไม่ ? ดูอย่างเกม Street Fighter, Mortal Kombat หรือ Justice League เขาออกแบบมาได้ดีเยี่ยมและลื่นไหลกว่า Jump Force เยอะเลย

[caption id="attachment_20137" align="aligncenter" width="1366"] Loading Screen มันทุกๆ 30 วิ น่าเบื่อที่สุด[/caption]




เกมเพลย์


ถ้าจะให้พูดข้อดีอย่างเดียวของ Jump Force ก็คงหนีไม่พ้นตัวเกมเพลย์ ซึ่งถือแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเกมที่เคยทำมาก่อนหน้าอย่างเช่น Dragonball: Xenoverse, Naruto Shippuden: Ultimate Ninja Storm หรือ One Piece: Burning Blood แต่สิ่งที่รู้สึกแปลกตาที่สุดก็คือระบบการจัดทีมตัวละครที่เราสามารถเลือกตัวละครในจั๊มได้ 3 ตัวจาก 40 ตัวที่มีให้เลือก

รวมถึงการกดคอมโบต่างๆ ในภาคนี้ถือว่าง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก เพราะการโจมตีเป็น 2 แบบ คือโจมตีเบา (สี่เหลี่ยม) กับ โจมตีหนัก (สามเหลี่ยม) การป้องกัน, การพุ่งเข้าหา ซึ่งเรียนรู้ได้ไม่ยาก มันเลยทำให้คนที่ไม่ได้เป็นสาย Hardcore เกมแนวต่อสู้ก็สามารถเล่นแบบนี้ได้อย่างสนุกสนาน



นอกจากนี้ยังมีท่าโจมตีพิเศษ ซึ่งจะสามารถใช้ได้ตามเกจ MP ด้านล่างค่าพลังชีวิต ซึ่งแต่ละตัวละครจะมีท่าพิเศษอยู่คนละ 3 ท่า และมีท่าไม้ตายสุดยอดอีกคนละ 1 ท่า โดยแต่ละท่ามีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกัน เช่น การโจมตีระยะใกล้ การโจมตีระยะไกล ซึ่งมันทำให้เราสามารถพลิกแพลงในการต่อสู้ได้หลากหลาย ถือว่าเป็นข้อดีของเกมนี้เลยทีเดียว



ซึ่งสิ่งที่จะให้ติในเรื่องนี้ก็คงจะมีแค่อย่างเดียวคือเกจหลอดเลือดที่ 1 รอบมีให้แค่หลอดเดียวเท่านั้น ต่อให้คุณไม่เปลีย่นตัวละครเลย แต่โดนต่อยจนเลือดหมดก็แพ้ได้ เอาจริงๆ ส่วนตัวชอบระบบเลือดในเกม Dragonball: Fighter Z มากกว่าที่มีการปั๊มเลือด มีเลือด 3 หลอด (ตัวละครละ 1 หลอด) ทำให้เกมสามารถพลิกแพลงได้ แต่ต่างกับ Jump Force ที่ทำได้ยากมากในการพลิกเกม ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนตัวละครจะมีผลในรูปเกม และคอมโบอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวมันควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้นะ



รวมถึงตัวละครเองถึงแม้ว่าผู้พัฒนาจะใส่มาให้กว่า 40 ตัว แต่อย่างที่ทราบว่านิตยสารโชเน็งจั๊มป์เองมีเป็นร้อยๆ พันๆ เรื่อง แฟนๆ เองก็น่าจะมีตัวละครที่ชอบแตกต่างมากมาย แต่ภายในเกมหลักๆ 7-8 ตัวก็เป็น Dragonball แล้ว ไหนจะมี Naruto และ One Piece ก็รวมกันเป็นสิบๆ ตัว ซึ่งนี่ก็เกินครึ่งละ ส่วนตัวละครจากเรื่องอื่นๆ ก็จะมา เรื่องละ ตัวสองตัว รวมถึงบางตัวที่ควรจะมีก็ไม่มี อย่างผู้เขียนเองเป็นแฟน กินทามะ, นูเบ บลาๆ แต่กลับไม่มีตัวละครนี้ปรากฏเลย หรือว่าตัวละครพวกนี้น่าจะมาในแบบ DLC เพื่อหาเงินในอนาคตงั้นหรือ ?






สรุป


เอาจริงๆ บางทีตัวผู้เขียนเองอาจจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของ Bandai Namco ในการทำเกมนี้ก็ได้ เขาอาจจะอยากทำเกมเพื่อสนอง Need สาวกจั๊มป์ขนานแท้ หรือที่เนื้อเรื่องไม่เน้นเพราะอยากเน้นการเล่นแบบปาร์ตี้กับเพื่อนสู้ๆ กันไปก็ได้ ? (งั้นหรือ) ถ้าอย่างนั้นส่วนตัวคิดว่า Bandai Namco อย่าทำเกมเนื้อเรื่องเลย มันอาจจะทำให้ความศรัทธาที่มากล้น ค่อยๆ ลดทอนลงไป



ยอมรับตามตรงว่าผมนั้นไม่เคยเล่นเกมไหนที่รู้สึกหงุดหงิด และอยากเลิกเล่นตลอดเวลาแบบนี้มาก่อน ในองค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมมันชวนง่วงจริงๆ การต่อสู้ก็ท้าทายดี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการเจอ Loading Screen มากมายขนาดนี้ รวมถึงในเรื่องบทพูดเอง ถ้าจะให้มองแบบคลาสสิค ตัวเกมก็อาจจะอยากพาเราย้อนไปเล่นแบบรูปแบบเก่าๆ ให้ชวนคิดถึง แต่ให้มองในแง่ของการพัฒนา และราคาที่ขายถึง 60$ คาดได้เลยว่าผู้พัฒนาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลยซักนิด

ตัวเกม Jump Force ได้นำระบบของเกมเก่าๆ มาใช้ทั้งหมด ซึ่งเข้าใจว่ามันเป็นสูตรสำเร็จที่เขาเคยทำมาเมื่อสมัย PS2 ในการโด่งดังมาจากเกม Dragonball: Budokai รวมถึงเกม Dragonball: Xenoverse เองก็ได้รับคำชมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่านี่มันเป็นปี 2019 แล้วนะ !! ผู้พัฒนาหลายๆ ค่ายต่างเค้นระบบเจ๋งๆ และน่าทึ่งออกมานำเสนอมากมาย แต่ในเกมนี้ Bandai Namco กลับเลือกวิธีเดิมๆ แนวทางความสำเร็จเดิมๆ ในยุคที่แฟนๆ มีตัวเลือกในการเล่นเกมดีๆ มากขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ และอยากจะถามผู้พัฒนาว่า พวกเขาภูมิใจกับการทำอะไรแบบนี้ใช่ไหม ?






[penci_review id="20062"]

7
ข้อดี
ข้อเสีย
5
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
รีวิว Jump Force ผู้พัฒนายังคงชอบทำอะไรแบบนี้ใช่ไหมในปี 2019 ?
06/03/2019

Jump Force คือหนึ่งในเกมที่เกมเมอร์ทั่งโลก รอคอย กับการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของนิตยสารโชเน็งจัมป์ โดยนำเอาตัวละครจากการ์ตูนมาต่อสู้กันในเกม เพื่อเป็นการสนอง Need แฟนๆ ให้หายคิดถึง และล่าสุดตัวเกมได้วางจำหน่ายเรียบร้อยบนเครื่อง PC, PS4 และ Xbox One ในบทความนี้พวกเราชาว Game Fever TH จะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ดี / ไม่ดี ยังไง ควรค่าแก่การซื้อหรือไม่ไปชมได้เลยจ้า

รีวิว Jump Force




เนื้อเรื่อง


ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่โดนลูกหลงจากการบุกโจมตีของ ฟรีซเซอร์ ตัวร้ายสุดคลาสสิกของการ์ตูรชนดราก้อนบอล และในวินาทีที่เราจะสิ้นใจ ก็ได้ทรังค์อีกหนึ่งตัวละครจากดราก้อนบอลมาช่วยไว้ โดยเขาจะมอบ Umbras Cube ให้กับเรา จนเปลี่ยนให้เรากลายเป็น Jump Man (หนึ่งในทีมงานของเราตั้งให้ 555+) เพราะว่าตัวเรานั้นสามารถใช้สกิลต่างๆของตัวละครในการตูนได้มากมาย เช่น ท่าโจมพิเศษเป็นการเรียกดาบผนึกเห่งแสงของยูกิแต่ท่าไม้ตายเป็นกระสุนวิญญาณของยูสุเกะ ฟังดูก็เข้าท่าไม่เลวนะ



และเราก็จะได้เข้าร่วมกับกองกำลัง J Force เพื่อรวบรวมพรรคพวกต่างๆ ในการ์ตูนที่โดนครอบงำด้วย Cube แดง พร้อมทั้งคอยปราบสิ่งชั่วร้ายทั่วโลก ซึ่งมันก็เรียกได้ว่าเป็นแพทเทิร์นเกมแนวต่อสู้การ์ตูนลูกผู้ชาย เพื่อนไม่ทิ้งกัน ตรงตามแบบฉบับของสไตล์สายหลักของนิตยสาร Shonen Jump เลยก็ว่าได้



แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ทำออกมาได้น่าผิดหวังมากๆ เพราะมันแทบทื่อไม่มีเสน่ห์ใดๆ ทั้งสิ้น และเควสต่างๆ หรือภารกิจเนื้อเรื่องก็จะเป็นแบบเดิมซ้ำๆ หลายเควสติดต่อกัน ยกตัวอย่างภารกิจส่วนใหญ่จะเริ่มด้วย เอ๊ะ !! คนแปลกหน้าคนนี้ถูกครอบงำ (ตัวการ์ตูนในจัมป์นั่นแหละ) เราไปดูหน่อยสิ พอไปถึงก็สู้ๆ เสร็จเก็บคิวบ์ครอบงำมาได้ พวกเราก็รับตัวละครนั้นเข้ากองกำลัง J Force ซึ่งถ้าหากว่าเควสแบบนี้มันมีแค่ 1-2 ภารกิจเราก็ยังพอรับได้ แต่มันมีมากกว่า 80% เลยนี่สิ มันบ่งบอกได้เลยว่าเกมนี้ผู้พัฒนาไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องเสียเท่าไร และเขานั้นขาดชั้นเชิงกับความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก



บทพูดของตัวละครเองก็บ่งบอกได้ว่าผู้พัฒนาไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะในช่วงต้นเกมหรือฉากใหญ่ๆ ตัวละครทุกตัวในฉาก (ยกเว้นตัวเรา) จะมีเสียงพากษ์หมด แต่พออยู่ในเควสมิชชั่น เสียงภาคกับไม่มี กลายเป็นตัวละครพยักหน้า ขยับปาก และมีกล่องคำพูดขึ้นมาแทนซะงั้น

ซึ่งแฟนๆ บางท่านอาจจะโต้แย้งผมในเรื่องประเด็นนี้ว่ามันเป็นปกติของเกมจาก Bandai Namco ที่เขามักจะทำแบบอย่างงี้แหละ แต่ก็อยากจะบอกว่านี่มันเป็นเกมสเกลใหญ่นะครับ เพราะถ้าไม่ให้คงไม่ขายถึง 60$ เท่ากับเกม AAA ที่ทำได้ดีกว่านี้หลายเท่า และไอ้ระบบพวกนี้เนี่ยมันเคยมีมาตั้งแต่สมัย PS2 แล้วนะ ผู้พัฒนาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันบ้างเลยหรือ ?



 




กราฟิก


แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวกราฟิกเองของ Jump Force ก็ทำออกมาได้สมกับการเป็นเกม Next Gen จริงๆ !! ภาพต่างๆ มีความสวยงามตามท้องเรื่องมาก ถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นของตัวละครมันจะดูทื่อๆ ในบางครั้ง แต่พวกสกิลเอฟเฟค การต่อสู้นี่เอาไปเต็มสิบกับความมันสนั่นจอ

ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะมีข้อติอยู่บ้างที่ตัวเกมถ้าหากคุณใช้เครื่อง PS4 Pro แล้วเล่นจอ 4K ตัวเกมจะมีเฟรมเรทดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเล่นในจอ 1080p ปกติตัวเกมก็สามารถคงความลื่อไหลได้ดี



และสิ่งที่ต้องวิพากษ์เลยสำหรับในประเด็นนี้คือตัวเกมใส่ Loading Screen เข้ามาเยอะจนน่ารำคาญ ผู้พัฒนาออกแบบระบบหน้าจอได้โหลโท่ยมากๆ ตัวเกมมี Loading Screen ทุกๆ ฉาก แม้กระทั่งฉากเปิดตัวก่อนเข้าไปหน้าต่อสู้ก็โหลด พอสู้เสร็จมีฉากพูดสองประโยคก็โหลด กลับไปอีกหนึ่งซีนก็โหลด ซึ่งบางทีในบางฉากมันควรจะต่อเนื่องกันหรือไม่ ? ดูอย่างเกม Street Fighter, Mortal Kombat หรือ Justice League เขาออกแบบมาได้ดีเยี่ยมและลื่นไหลกว่า Jump Force เยอะเลย

[caption id="attachment_20137" align="aligncenter" width="1366"] Loading Screen มันทุกๆ 30 วิ น่าเบื่อที่สุด[/caption]




เกมเพลย์


ถ้าจะให้พูดข้อดีอย่างเดียวของ Jump Force ก็คงหนีไม่พ้นตัวเกมเพลย์ ซึ่งถือแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเกมที่เคยทำมาก่อนหน้าอย่างเช่น Dragonball: Xenoverse, Naruto Shippuden: Ultimate Ninja Storm หรือ One Piece: Burning Blood แต่สิ่งที่รู้สึกแปลกตาที่สุดก็คือระบบการจัดทีมตัวละครที่เราสามารถเลือกตัวละครในจั๊มได้ 3 ตัวจาก 40 ตัวที่มีให้เลือก

รวมถึงการกดคอมโบต่างๆ ในภาคนี้ถือว่าง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก เพราะการโจมตีเป็น 2 แบบ คือโจมตีเบา (สี่เหลี่ยม) กับ โจมตีหนัก (สามเหลี่ยม) การป้องกัน, การพุ่งเข้าหา ซึ่งเรียนรู้ได้ไม่ยาก มันเลยทำให้คนที่ไม่ได้เป็นสาย Hardcore เกมแนวต่อสู้ก็สามารถเล่นแบบนี้ได้อย่างสนุกสนาน



นอกจากนี้ยังมีท่าโจมตีพิเศษ ซึ่งจะสามารถใช้ได้ตามเกจ MP ด้านล่างค่าพลังชีวิต ซึ่งแต่ละตัวละครจะมีท่าพิเศษอยู่คนละ 3 ท่า และมีท่าไม้ตายสุดยอดอีกคนละ 1 ท่า โดยแต่ละท่ามีรูปแบบการโจมตีที่ต่างกัน เช่น การโจมตีระยะใกล้ การโจมตีระยะไกล ซึ่งมันทำให้เราสามารถพลิกแพลงในการต่อสู้ได้หลากหลาย ถือว่าเป็นข้อดีของเกมนี้เลยทีเดียว



ซึ่งสิ่งที่จะให้ติในเรื่องนี้ก็คงจะมีแค่อย่างเดียวคือเกจหลอดเลือดที่ 1 รอบมีให้แค่หลอดเดียวเท่านั้น ต่อให้คุณไม่เปลีย่นตัวละครเลย แต่โดนต่อยจนเลือดหมดก็แพ้ได้ เอาจริงๆ ส่วนตัวชอบระบบเลือดในเกม Dragonball: Fighter Z มากกว่าที่มีการปั๊มเลือด มีเลือด 3 หลอด (ตัวละครละ 1 หลอด) ทำให้เกมสามารถพลิกแพลงได้ แต่ต่างกับ Jump Force ที่ทำได้ยากมากในการพลิกเกม ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนตัวละครจะมีผลในรูปเกม และคอมโบอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวมันควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้นะ



รวมถึงตัวละครเองถึงแม้ว่าผู้พัฒนาจะใส่มาให้กว่า 40 ตัว แต่อย่างที่ทราบว่านิตยสารโชเน็งจั๊มป์เองมีเป็นร้อยๆ พันๆ เรื่อง แฟนๆ เองก็น่าจะมีตัวละครที่ชอบแตกต่างมากมาย แต่ภายในเกมหลักๆ 7-8 ตัวก็เป็น Dragonball แล้ว ไหนจะมี Naruto และ One Piece ก็รวมกันเป็นสิบๆ ตัว ซึ่งนี่ก็เกินครึ่งละ ส่วนตัวละครจากเรื่องอื่นๆ ก็จะมา เรื่องละ ตัวสองตัว รวมถึงบางตัวที่ควรจะมีก็ไม่มี อย่างผู้เขียนเองเป็นแฟน กินทามะ, นูเบ บลาๆ แต่กลับไม่มีตัวละครนี้ปรากฏเลย หรือว่าตัวละครพวกนี้น่าจะมาในแบบ DLC เพื่อหาเงินในอนาคตงั้นหรือ ?






สรุป


เอาจริงๆ บางทีตัวผู้เขียนเองอาจจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของ Bandai Namco ในการทำเกมนี้ก็ได้ เขาอาจจะอยากทำเกมเพื่อสนอง Need สาวกจั๊มป์ขนานแท้ หรือที่เนื้อเรื่องไม่เน้นเพราะอยากเน้นการเล่นแบบปาร์ตี้กับเพื่อนสู้ๆ กันไปก็ได้ ? (งั้นหรือ) ถ้าอย่างนั้นส่วนตัวคิดว่า Bandai Namco อย่าทำเกมเนื้อเรื่องเลย มันอาจจะทำให้ความศรัทธาที่มากล้น ค่อยๆ ลดทอนลงไป



ยอมรับตามตรงว่าผมนั้นไม่เคยเล่นเกมไหนที่รู้สึกหงุดหงิด และอยากเลิกเล่นตลอดเวลาแบบนี้มาก่อน ในองค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกมมันชวนง่วงจริงๆ การต่อสู้ก็ท้าทายดี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการเจอ Loading Screen มากมายขนาดนี้ รวมถึงในเรื่องบทพูดเอง ถ้าจะให้มองแบบคลาสสิค ตัวเกมก็อาจจะอยากพาเราย้อนไปเล่นแบบรูปแบบเก่าๆ ให้ชวนคิดถึง แต่ให้มองในแง่ของการพัฒนา และราคาที่ขายถึง 60$ คาดได้เลยว่าผู้พัฒนาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลยซักนิด

ตัวเกม Jump Force ได้นำระบบของเกมเก่าๆ มาใช้ทั้งหมด ซึ่งเข้าใจว่ามันเป็นสูตรสำเร็จที่เขาเคยทำมาเมื่อสมัย PS2 ในการโด่งดังมาจากเกม Dragonball: Budokai รวมถึงเกม Dragonball: Xenoverse เองก็ได้รับคำชมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่านี่มันเป็นปี 2019 แล้วนะ !! ผู้พัฒนาหลายๆ ค่ายต่างเค้นระบบเจ๋งๆ และน่าทึ่งออกมานำเสนอมากมาย แต่ในเกมนี้ Bandai Namco กลับเลือกวิธีเดิมๆ แนวทางความสำเร็จเดิมๆ ในยุคที่แฟนๆ มีตัวเลือกในการเล่นเกมดีๆ มากขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ และอยากจะถามผู้พัฒนาว่า พวกเขาภูมิใจกับการทำอะไรแบบนี้ใช่ไหม ?






[penci_review id="20062"]


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header