GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
บทสรุป Dark Souls ตำนานของเกมบทที่ 5 “อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ”
ลงวันที่ 10/12/2019

สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า ความเดิมในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่ The First Flame ได้อ่อนกำลังลง อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายน้อยใหญ่ทั่วปฐพี ไม่ว่าจะเป็น Curse of Undead ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดศาสนาอย่าง Way of White ขึ้นมา, หรือการก่อกบฏที่เกือบจะทำให้ Gwyn ต้องสูญเสียอาญาจักรที่สุดรักสุดหวงของเขา


โดยในบทนี้ผมจะมาเล่าตำนานของวีรบุรุษผู้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อเข้าต่อสู้กับ The Abyss อันเป็นขุมพลังเเห่งความมืดไร้จุดจบ.... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอต้อนรับท่านผู้ชมเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ”


< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 
1. บทที่หนึ่ง
2. บทที่สอง
3. บทที่สาม
4. บทที่สี่


 

มหานครแห่งการจองจำ Ringed City

ย้อนกลับไปในยุคที่ The First Flame ยังคงร้อนแรงและส่องเเสงสว่างให้แก่โลกใบนี้ Gwyn ได้หวาดกลัว Dark Soul ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดา Pygmy Lords ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่านัก Gwyn จึงได้สร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ขึ้นมาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังส่งกองทัพของเขามาคอยดูเเลเเละควบคุมเมืองเเห่งนี้อยู่เบื้องหลัง เเต่ไม้เด็ดจริงๆของ Gwyn ไม่ใช่เหล่ากองทัพทหารกล้าหรือกลอุบายสกปรกเเต่อย่าง เเต่หากเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงของเขานามว่า Filianore เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งดินแดน Lordarn



 ( ภาพประกอบ : บรรยากาศของ Ringed City ภายในเกม )


เวทมนต์เเห่งเเสงคือพลังที่มีพลังเกี่ยวข้องกับกาลเวลา เเละยังสามารถหักเหวิถีของเเสงเพื่อสร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นเวทมนต์ที่ใช้เพื่อย้อนเวลาสิ่งของที่พุพังไปเเล้วให้ย้อนกลับมาเหมือนใหม่โดยที่ไม่ต้องซ่อมเเซ่ม( ดีจัง...) ซึ่งพลังเเห่งเเสงนี่เเหละคือสิ่งที่ Filianore เกิดมาพร้อมกับมัน เเต่ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือนางสามารถใช้พลังบิดเบือนมิติเเละเวลาให้เดินผ่านไปช้าหรือเร็วก็ได้ตามต้องการ ซึ่งนี่เป็นพลังที่แม้แต่น้องชายอย่าง Gwyndolin ผู้มากพรสวรรค์ก็ยังไม่อาจทำได้



 ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Repair หนึ่งในของดีเมือง Oolacile )


                Filianore ได้รับหน้าที่ให้เป็นกงสุลใหญ่เเละคอยทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาเมืองต่างๆของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยื่งกับเมือง Oolacile อันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่เเพ้นครหลวงอย่าง Anor Londo เลยที่เดียว...เเต่การอ่อนกำลังลงของ The First Flame ทำให้ Gwyn ออกคำสั่งให้เธอเดินทางไปยัง Ringed City โดยใช้เหตุผลทางการทูตบังหน้าเเต่ที่จริงเขาต้องการให้ Filianore ใช้พลังบีบห้วงกาลเวลาในเมือง Ringed City ให้เดินไปช้ากว่าโลกภายนอกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ Dark Soul ในตัวของ Pygmy Lords แข็งแกร่งขึ้น เเต่การทำเเบบนี้ Filianore จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาลในการควบคุมเเละยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขจุกจิกมากมาย อย่างเช่น Filianore จำเป็นจะต้องพึ่งพาเครื่องรางที่เป็นสื่อขยายพลังให้ขยายครอบคลุมทั้ง Ringed City เเละนางจะต้องอยู่ในสภาพจำศีลตลอดเวลาโดยห้ามถูกรบกวนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่ม Spear of the Church ที่นำโดยเหล่าผู้ลงทัณฑ์ Judicator ที่จะคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนพิธีกรรมนี้ได้ เเละ Spear of the Church ยังมีไม้ตายก้นหีบเป็นมังกรนิรันดร นาม Midir ! ซึ่งมันถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าเทพเจ้าทำให้ Midir มีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าเป็นอย่างสูง


( ภาพประกอบ : Judicator มีพลังในการเรียกวิญาณของสมาชิก Spear of the Church มาเพื่อใช้ต่อสู้ได้ชั่วคราว )


แม้สมาชิกของ Spear of the Church จะมีอยู่จำนวนไม่มากนัก เเต่พวกเขาก็มักได้รับการช่วยเหลื่อจาก Way of White ที่เดินทางพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมายัง Ringed City เพื่อตรวจตราพฤติกรรมของ Pygmy Lords อยู่เป็นระยะๆ จนประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เป็นคนของ Way of White ทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพราะโลกภายนอกกำลังเผชิญอยู่กับ Curse of Undead อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคที่ Dark Soul กำลังจะเฉิดฉายได้ใกล้เข้ามา เเต่เรื่องนี้กลับถูกปกปิดเป็นไม่ให้เหล่า Pygmy Lords ได้รับรู้ จนกระทั้งเหล่า Pygmy Lords เริ่มสังเกตว่าสมาชิกของ Way of White บางคนมีร่างกายที่เน่าเปื่อยเหมือนกับ Undead และรวมไปถึงพลังของ Dark Soul ที่อยู่ในตัวก็เริ่มทรงพลังขึ้นทุกวันๆ จึงมีการส่งคนไปสืบเสาะหาความจริงจากคณะเดินทางต่างเมืองที่ไม่ใช่คนของ Way of White เเละต้องตกตลึงกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะคนพวกนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Pygmy Lords เลย รวมไปถึงวีรกรรมต่างๆนานาในมหาสงครามมังกรก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน รู้เพียงว่า Ringed City เป็นเเค่เมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบโลกและเป็นที่ประทับของ Filianore เพียงเท่านั้น


( ภาพประกอบ : Ringed City ถูกออกเเบบมาให้สามารถเฝ้าดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords ได้จากทุกมุมเมือง )


เหล่า Pygmy Lords รู้ได้ทันทีว่า Gwyn ไม่ได้ใจซื่อมือสะอาดอย่างที่คิดเสียเเล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นเเค่การหลอกลวงเพื่อให้พวกเขาตายใจ ทั้งความโกรธเเละความผิดหวังถาโถมเข้ามา จึงเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การลุกฮือเพื่อต่อต้านเทพเจ้า ซึ่งนำโดยหนึ่งในบรรดา Pygmy Lord ที่ถูกขนานนามว่า Mad King โดยเขาได้ทำการรื้อฟื้นศาสตร์แห่งมนต์ดำขึ้นมาใหม่และยังเรียกตัวเหล่า Ringed Knight ให้กลับมาสวมชุดเกราะเพื่อทำสงครามกับ Spear of the Church และ Way of White เรื่องราวได้บานปลายกลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เเต่ทางฝั่งเทพเจ้าได้ Shira ซึ่งเป็นหนึ่งใน Spear of the Church ได้ทำการลอบสังหาร Mad King ได้สำเร็จ เเละจับร่างของเขามาผนึกไว้เพื่อไม่ให้คืนชีพได้ ส่วนพวกสมุนอย่าง Ringed Knight ที่ปัจจุบันไม่สามารถดึงพลังจากความมืดมาใช้ได้อีกเเล้ว ก็ถูก Midir ตีแตกพ่ายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ( นี่ถ้าหากเป็นในอดีตละก็ Ringed Knight พวกนี้คงจะสังหาร Midir ตายไปเเล้ว )


( ภาพประกอบ : ร่างกายของ Mad King ถูกตรึงเข้ากับอาวุธในขณะทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปเกิดใหม่ )


ถึงแม้แผนการของ Mad King จะได้ถูกหยุดยั้งไปเเล้ว เเต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใต้ดินของ Ringed City ให้กลายเป็น The Abyss หรือแหล่งพลังความมืดไร้จุดจบที่จะคอยเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่คิดจะต่อต้านเทพเจ้าจะสามารถลงไปยัง The Abyss เพื่อเพิ่มพลังความมืดในตัวได้เสมอ ตอนนี้ใน Ringed City ต่างเต็มไปด้วยสงครามกองโจรขนาดย่อมตามจุดต่างๆ มากกว่าจะเป็นสงครามเเบบยกทัพประจันหน้ากัน


( ภาพประกอบ : Midir ต้องต่อสู้กับความมืดอยู่ตลอกเวลา จนได้รับฉายาว่า Darkeater หรือผู้ดื่มกินความมืด )


ความโกลาหลครั้งนี้ทำให้ Spear of the Church และ Way of White เลือกที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนและเข้าควบคุมเมืองเเห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เเละจัดการวางกำลังล้อมเมืองเอาไว้ เเต่ดูเหมือนว่าจะมี Pygmy Lord นิรนามคนหนึ่งที่หลบหนีออกจากเมืองมาได้ ซึ่งเขาคิดว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็คือจะต้องนำเอา The Abyss ไปเเพร่กระจายยังโลกภายนอก Pygmy นิรนามจึงได้แฝงตัวไปกับคณะเดินทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนคร Oolacile


 

นครสีทอง Oolacile กับเมืองคนตาย New Londo

เมื่อ Pygmy นิรนามเดินทางมาถึงยังดินแดน Lordran เขาก็พบว่าจำนวนของทหารยามดูน้อยลงผิดปกติโดยเฉพาะกับพวก Silver Knight ที่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นก็เพราะกองทัพส่วนใหญ่ของ Gwyn กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ทำให้พวกที่เหลืออยู่เน้นกำลังไปปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Pygmy นิรนามสามารถเข้ามาในดินเเดน Lordran ได้อย่างไม่ยากเย็น


( ภาพประกอบ : หน้าตาอันหล่อเหลาของ Kaathe อสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ )


เมื่อเข้ามาได้ Pygmy นิรนามก็ได้พบกับ Primordial Serpent ตนหนึ่งนามว่า Kaathe ซึ่งมันก็รู้ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเพราะสามารถสัมพัทธ์ถึงพลัง Dark Soul ที่แข็งแกร่งในตัวของเขาได้ เจ้างูพิษเริ่มพูดยกย่อว่า Pygmy นิรนามเป็นผู้ที่ชะตาขีดมาให้เป็นใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพ และนำทางเหล่ามนุษย์ไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคเเห่งมืด ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันแพร่กระจาย The Abyss ในดินเเดน Lordran โดย Pygmy นิรนาม ได้ถ่ายทอดศาสตร์ต้องห้ามต่างๆให้กับ Kaathe ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dark Hand ที่เป็นเหมือนเครื่องมือใช้ขโมย Humanity จากตัวของมนุษย์คนอื่นได้ ในระหว่างที่แผนการกำลังไปได้สวย Kaathe ก็ได้เสนอเมือง New Londo เป็นที่แรกที่ควรจะสร้าง The Abyss เพราะ;jkประชาชนในเมืองนี้มีความเกลียดชังต่อ Gwyn เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวให้ยอมรับ The Abyss เเต่ทว่า Pygmy นิรนามกลับบอกให้มันลงมือจัดการเรื่องนี้ไปเลยส่วนเขาจะคอยแพร่กระจายความมืดอยู่ที่เมือง Oolacile ด้วยวิธีนี้เเผนการจะเดินหน้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า… แต่จริงๆเเล้วเหตุผลที่เขาไม่ไปจาก Oolacile ก็เพราะว่าดันไปต้องตาต้องใจเจ้าหญิงคนหนึ่งนามของเธอก็คือกุลสตรี Dusk แต่เนื่องจากฐานันดรที่ต่างกันเกินไป ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนความความสัมพันธ์นี้ Dusk จึงได้มอบจี้สร้อยคอของนางให้กับเขาเพื่อเป็นตัวเเทนความรักของทั้งสอง


( ภาพประกอบ : Dark Hand เป็นอาวุธเดียวในเกมที่ให้เราสามารถขโมย Humanity จากผู้เล่นคนอื่นได้ )


                เมือง Oolacile เป็นเมืองที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในดินเเดน Lordran รองจาก Anor Londo เล่ากันว่าในเมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เเละเท่านั้นยังไม่พอเมือง Oolacile ยังขึ้นชื่อในเรื่องการศึกษาเวทมนต์แห่งแสงจนกลายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเเล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองเเห่งการศึกษามันก็ย่อมมาพร้อมกับการทดลองเพื่อคิดค้นหาความรู้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือศาสตร์แห่งความมืด ที่มันเล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะชนหลังจากการล้มสลายของกบฏทมิฬ พวกนักเวทย์แห่ง Oolacile จึงได้แอบทำการทดลองศาสตร์แห่งความมืดกับนักโทษในคุกใต้ดินอย่างลับๆ… ใช่แล้วครับภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงามของเมืองนี้มันได้ซ่อนเอาความบิดเบี้ยวในใจของมนุษย์เอาไว้ เหตุผลที่เมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนั่นก็เพราะ ทุกคนที่ส่อแววเป็นตัวปัญหาจะถูกจับลงมาอยู่คุกใต้ดินเเห่งนี้เเละถูกนำตัวไปทดลองต่างๆนานา ไม่ก็ถูกบังคับให้สู้ในสนามประลองเพื่อความบันเทิง เเละการกระทำที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้ มันกลับยิ่งช่วยให้ Pygmy นิรนามสามารถชักจูงจิตใจของนักเวทย์แห่ง Oolacile ให้ดำดิ่งลงสู่ The Abyss ได้ง่ายขึ้น


( ภาพประกอบ : วิวระยะไกลของลานประลองในเมือง Oolacile )


ทว่าแผนการของเขาก็ต้องพังลงเสียก่อน เพราะหน่วยลอบสังหารของ Gwyn ที่นำโดย Ciaran นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งดินแดน Lordran ได้ตามสืบมาจนพบตัว Pygmy นิรนามเเละลงมือฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังทรมานทางจิตใจเพื่อกระตุ้นให้เขาเข้าสู่ภาวะ Hollow ให้เร็วที่สุด Ciaran ได้โกหกว่านางได้สังหารกุลสตรี Dusk ผู้เป็นคนรักของเขาไปแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและความเคียดแค้นให้กับ Pygmy นิรนามเป็นอย่างมากจนสุดท้ายร่างกายก็ได้เข้าสู่ภาวะ Hollow และตายลงในที่สุด จากนั้น Ciaran ก็นำร่างของเขาไปฝังยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปข้างใต้เมือง Oolacile เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพบศพ ส่วนบรรดาคนที่รู้จัก Pygmy นิรนามก็ถูกให้ข่าวลวงว่าเขาได้เดินทางออกจาก Oolacile ไปเเล้ว เเม้เเต่ Dusk ก็ยังคิดว่านางโดนเขาทิ้ง


( ภาพประกอบ : Ciaran คือมือสังหารที่คอยทำงานสกปรกให้กับ Gwyn )


ทางด้าน Kaathe ที่มุ่งหน้าไปยังเมือง New Londo มันก็ได้เข้าเฝ้า Four Kings ราชันย์ทั้งสี่คนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ โดยได้ทูลว่า The Abyss คือสิ่งที่จะกรุยทางสู่การเป็นมหาอำนาจในยุคเเห่งมืด และจะทำให้เหล่าราชันย์ไม่ต้องเกรงกลัว Gwyn อีกต่อไป หากมองหยาบๆเมือง New Londo อาจจะไม่ดูศิวิไลซ์เท่ากับนคร Oolacile แต่ Four Kings ก็มีนโยบายในการต้อนรับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็น Undead หรือไม่ก็ตามเพราะในสังคมอื่นๆหากว่าคุณเป็น Undead แล้วไม่ยอมเข้าร่วม Way of White ก็จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเศษขยะ ด้วยเหตุนี้เมือง New Londo จึงเป็นเหมือนที่พักพิงของเหล่าผู้ไม่ตาย เเต่ทว่าการมาของ The Abyss กำลังจะเปลี่ยนเมืองนี้ไปตลอดกาล…
Four Kings ได้มีรับสั่งให้ Kaathe จัดตั้งกลุ่มนักรบ Darkwraith ขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนจะยอมรับพลังของ Dark Soul ภายในตัว ( คล้ายกับ Ringed Knight ) เเละออกล่า Humanity ไปทั่วดินแดน Lordran โดยเหยื่อส่วนมากจะ Way of White ซะเป็นส่วนใหญ่


( ภาพประกอบ : Darkwraith คือนักรบที่ยอมรับพลังเเห่งความมืด )


เมื่อแผนการสำเร็จ Kaathe ก็ได้กลับไปยังนคร Oolacile แต่กลับพบว่า Pygmy นิรนามได้หายตัวไป เจ้างูพิษจึงใช้สัมผัสตามร่องลอยพลังของ Dark Soul ไปจนพบศพที่ถูกซ่อนเอาไว้ การตายของ Pygmy นิรนามเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในเเผนของ Kaathe ทำให้มันต้องลองใช้วิธีอื่นในการสร้าง The Abyss ที่นี่ โดยเจ้างูพิษได้ทำการล่อลวงให้นักเวทย์แห่งนคร Oolacile ทำพิธีเพื่อปลดปล่อย Dark Soul ในศพของ Pygmy นิรนามออกมา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะพลัง Dark Soul ที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมากมายมหาศาลและบ้าคลั่งเกินกว่าที่ Kaathe จะควบคุมได้ พลังที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดได้กลายเป็น The Abyss เเละเข้ากลืนกินทั้งเมือง Oolacile ภายในเวลาไปไม่ถึงเดือน ใครที่หนีไม่ทันก็จะกลายสภาพเป็นปีศาจคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ร่างสลายกลายเป็นพลัง Humanity บริสุทธิ์


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Humanity บริสุทธิ์ที่มีความคิดเเละสติปัญญาเป็นของตนเอง )


( ภาพประกอบด้านขวา : ประชากรในเมือง Oolacile ที่กลายร่างเป็นปีศาจ )


ทว่าความน่ากลัวจริงๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะ Pygmy นิรนามได้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย...แต่ไม่ใช่ในฐานะของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะจ้าวเเห่งปีศาจผู้เป็นบิดาเเห่งความมืดมิด ผู้คนเรียกขานมันว่า Manus ปีศาจผู้จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า เเม้เเต่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าก็ยังโดนหางเลขไปด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Kaathe ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลัง The Abyss ที่บ้าคลั่ง เเละยังกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปยัง The Abyss ในเมือง New Londo ของเขา



( ภาพประกอบ : นคร Oolacile ที่ได้ถูก The Abyss กลืนกินไปเเล้ว )


การล่มสลายของ Oolacile ได้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วดินเเดน Lordran โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Gwyn ที่เขาเข้าใจว่า The Abyss มียู่เเค่เพียงใน Ringed City เท่านั้น บีบให้ Gwyn ต้องส่งอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาไปจัดการ นามของอัศวินผู้นั้นก็คือ “อัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias”

 

วีรบุรุษ Artorias…

ก่อนหน้านี้ข่าวการจู่โจมของนักรบ Darkwraith เพื่อขโมย Humanity มันยังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะมันก็ไม่ต่างกับอาชญากรรมทั่วไปที่เกิดขึ้นในดินแดน Lordran แต่การปรากฏขึ้นของ The Abyss ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ Gwyn จึงต้องส่งอัศวิน Artorias พร้อมกับผู้ติดตามอีกสามคนให้ออกเดินทางไปยังเมือง New Londo เเละนคร Oolacile เพื่อจัดการกับปัญหานี้



( ภาพประกอบ : Artorias มีอาวุธคู่กายเป็นดาบเล่มใหญ่ที่มือซ้าย และมีโล่คอยป้องกันการโจมตีที่มือขวา )


เมื่อ Artorias เดินทางมาถึงยังเมือง New Londo เขาก็ต้องพบว่า Darkwraith ได้แฝงตัวกลมกลืนไปกับเหล่าผู้คนในเมืองเเห่งนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่ากันแน่ที่เป็นผู้บูชาความมืด เเละเมื่อ Artorias ขอเข้าเฝ้าเหล่า Four Kings ก็ถูกบอกปัดจนปฏิเสธไปจนไม่ได้เข้าเฝ้าสักที นั่นทำให้อศวินหนุ่มผู้นี้เริ่มคิดว่า Four Kings ก็รู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ เมื่อไม่มีความคืบหน้าเหล่าผู้ติดตามของ Artorias ก็ได้แนะนำให้เขาออกเดินทางล่วงหน้าไปยังนคร Oolacile ก่อนเลย ส่วนทางนี้พวกตนจะคอยสืบหาต้นต่อของความมืดเอง ทำให้อัศวินหนุ่มผู้นี้ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่ง
เเต่ตลอดการเดินทางครั้งนี้ Artorias จะต้องปะทะกับสัตว์ป่าที่ถูก The Abyss กลืนกินไปตลอดทาง และเขายังได้ช่วยชีวิตของลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งเอาไว้ เเต่เเทนที่มันจะวิ่งหนีกลับเข้าป่าไปตามสัญชาตญาณมันกลับเดินตามเขาไปทุกหนทุกเเห่ง แม้แต่ในเวลาที่ Artorias ต่อสู้มันก็จะคอยจ้องมองอยู่ห่างๆราวกับว่ากำลังเรียนรู้เพลงดาบของเขาก็ไม่ปาน Artorias จึงตั้งชื่อให้กับมันว่า “ เจ้าขนเงิน Sif ”


( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนึ่งในผู้ติดตามของ Artorias นามว่า Ingward )


( ภาพประกอบด้านขวา : สัตว์ป่าในบริเวณเมือง Oolacile ที่ถูกความมืดกลืนกิน )


ยิ่ง Artorias เดินทางเข้าไปใกล้เมือง Oolacile ก็ยิ่งมีปีศาจโผล่หน้าออกมาไม่ขาดสาย ทำให้การเดินทางเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ในวันหนึ่งขณะที่ Artorias กับ Sif กำลังต่อสู่อยู่กับฝูงปีศาจเหมือนอย่างทุกวัน อยู่ๆก็มีลูกธนูขนาดยักษ์ลอยพุ่งทะลุผ่านร่างของปีศาจเหล่านั้น Artorias รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นฝีมือของ Gough ยักษาผู้เป็นสหายเก่าของเขานั่นเอง Gough เป็นหนึ่งในขุนพลที่มีอายุมากที่สุดของ Gwyn เเละยังได้รับใช้เหล่าเทพเจ้ามาตั้งแต่ในยุคของสงครามมังกร โดยหน้าที่ของเขาก็คือการยิงธนูขนาดยักษ์ใส่พวกมังกรเพื่อให้มันตกจากฟากฟ้า เเต่หลังจากสงครามมังกรสิ้นสุดลงบทบาทเเละหน้าที่ของเขาก็ค่อยๆลดลงตามไปด้วย จนสุดท้าย Gough ได้ตัดสินใจเกษียณตัวเองออกจากสนามรบเเต่ทว่า Gwyn ก็ยังรู้สึกเสียดายฝีมือของเจ้ายักษ์อยู่ จึงให้ Gough ไปประจำอยู่ที่เมือง Oolacile เเต่ทว่าผู้คนในเมืองกลับไม่ชอบใจเสียเท่าไร เพราะ Gough มีนิสัยบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกยักษ์มาเเต่เดิม ซึ่งก็คือการเป็นคนตรงไปตรงมา, คิดยังไงก็เเสดงออกมายังงั้น เเถมพวกยักษ์ยังมีสติปัญญาที่เชื่องช้าเข้าขั้นซื่อ(บื้อ) ทำให้เขามักจะมีปัญหากับคนบางจำพวกในเมือง Oolacile อยู่เป็นประจำโดยเฉพาะกับพวกนักเวทย์เเห่ง Oolacile ที่เเอบทำการทดลองความเเห่งมืด เเต่ด้วยพละกำลังที่มากกว่าของ Gough ทำให้คนพวกนั้นต้องจำยอมเขาอยู่ร่ำไป


( ภาพประกอบ : Hawkeye Gough นักล่ามังกรด้วยธนูที่เก่งที่สุดของ Gwyn เเละเขามีประสาทหูที่ดีสุดๆ )


จนกระทั่งในขณะที่ Gough กำลังหลับลึกอยู่ ก็ได้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเเอบเอารากไม้ไปอุดรูที่ดวงตาในหมวกเหล็กของเขา เเละหลอกว่า Gough ป่วยจนมองไม่เห็น ( เเละพี่เเกก็บ้าจี้เชื่อตาม ) มิหน้ำซ้ำพวกมันยังหลอกว่าจะสร้างหอคอยให้กับเขาเพื่อความปลอดภัย เเต่ความเป็นจริงพวกมันได้สร้างคุกขึ้นมารอบๆตัว Gough เพื่อขังลืมเขาเอาไว้ นานๆทีถึงจะมีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนเขาเป็นครั้งคราว...เเต่เขาก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ Gough มีกิจกรรมในยามว่างก็คือ การใช้หิน Carving ที่เมื่อตกเเตกเเล้วจะส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ โยนใส่ผู้คนตามที่ต่างๆในเมืองเพื่อเเกล้งให้ตกใจ เเม้ต่อมาภายหลัง The Abyss จะเข้ากลืนกินนคร Oolacile ไปเเล้วก็ตาม เเต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเเหกคุกออกไปเเต่อย่างใด ว่ากันว่าเป็นเพราะตัวเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้ที่ปราศจากเหล่ามังกรนิรันดรอย่างในอดีต


( ภาพประกอบ : หิน Carving เป็นหินที่เมื่อเเตกออกจะส่งเสียงเป็นภาษาได้ เป็นของที่ผู้เล่น PVP ใช้เยาะเย้ยกัน )


                เมื่อ Artorias เดินทางไปถึงยังหอคอยที่คุมขัง Gough เอาไว้เขาก็ต้องพบว่าประตูทางเข้าถูกผนึกเอาไว้ด้วยเวทยมนต์ทำให้เปิดไม่ออก เเต่ Gough ก็บอกกับเขาว่านั่นไม่จำเป็นเพราะตนก็ไม่ได้อยากจะออกไปจากที่นี่อยู่เเล้ว เเต่ Gough ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนคร Oolacile ทั้งหมดให้ Artorias ฟังเเละยังเตือนสหายว่า The Abyss ที่อยู่ใต้ดินของนครเเห่งทรงพลังมาก เเม้เเต่มังกรดำ Kalameet ก็ยังถูกกลืนกินเเละออกอาละวาดไปทั่วดินเเดนนี้ ฉะนั้น Artorias จะเดินดุ่มๆลงไปยัง The Abyss ไม่ได้


( ภาพประกอบ : Kalameet เป็นหนึ่งในมังกรนิรันดรที่เคยเเอบซ่อนอยู่ใต้ดินใกล้เมือง Oolacile )


หลังจากอัศวินหนุ่มทราบเรื่องนี้เขาก็ได้เเต่ครุ่นคิดหาหนทางทีจะลงไปยัง The Abyss ให้ได้ จนสุดท้าย Artorias ก็ได้พบกับ Kaathe ที่คอยจับจ้องเขามานานเเล้ว มันได้เข้ามาเสนอสิ้นค้าซึ่งเป็นแหวนที่จะช่วยให้ Artorias ลงไปยัง The Abyss ได้โดยไม่ถูกกลืนกิน...เเละแม้ว่า Artorias จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจ้าอสรพิษตัวนี้เท่าไรแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องยินยอมสวมเเหวนของมัน ( บางครั้งหากเราอยากจะกำจัดความมืด เราอาจจะต้องกลายเป็นหนึ่งของมันเสียก่อน ) ส่วนแรงจูงใจที่มันเลือกจะช่วย Artorias ก็เพราะกลัวว่าพลังความมืดของ Manus จะไปกระตุ้น The Abyss ในเมือง New Londo จนบ้าคลั่งตามไปด้วย เเละต่อให้ Artorias จะไม่สำเร็จมันก็ยังเป็นการตัดกำลังสำคัญของ Gwyn ไปในตัวอยู่ดี


( ภาพประกอบ : Covenant of Artorias เป็นเเหวนที่ต่อมาจะกลายเป็นเครื่องรางที่บอกเล่าวีรกรรมของ Artorias )


ในขณะที่ Artorias กำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปลุยกับ Manus เขาก็สังเดตว่า Sif ยังคงเดินตามเขาอยู่ไม่ห่าง เเม้จะไล่สักกี่ Sif ก็ไม่ยอมไปไหนราวกับว่ามันจะขอติดตาม Artorias ไปทุกหนทุกแห่งแม้จะต้องลุยผ่านความมืดไปด้วยก็ตาม เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น Artorias จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย เเละก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความมืดเพื่อกำราบ The Abyss... วีรกรรมที่ห้าวหาญของเขาถูกบอกเล่าส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น บางก็เเต่งเสริมเติมแต่งให้ฟังดูอลังการเหนือความเป็นจริง บางก็บอกว่าเป็นเพียงแค่นิทานปรัมปรา แต่ที่แน่ๆเรื่องราวของ Artorias ผู้พิชิตความมืดได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจเเก่คนรุ่นหลังที่อยากจะลุกขึ้นต่อสู้กับความมืด...ต่อสู้กับ The Abyss...


( ภาพประกอบ : รูปร่างของ Manus, ชื่อนี้ยังมีความหมายว่า”มือ” อีกทั้งยังเป็นชื่อเรียกกฏหมายโรมันโบราณที่เกี่ยวข้องกับสามีเเละภรรยา )


กลับมายังสถานการณ์ของ Gwyn เขาได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับไปยังนคร Anor Londo พร้อมกับสร้างเรื่องว่าตนได้มีชัยเหนือเหล่าอสูรเเห่ง Izalith ทั้งที่จริงเขาทำได้เเค่ตรึงกำลังของเหล่าอสูรเเห่ง Izalith เอาไว้เท่านั้น ส่วนข่าวเรื่องที่ว่า Artorias สามารถทำลาย The Abyss ใน Oolacile ลงได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขาที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน เเต่ก็ยังคงเหลือพวก Four Kings กับ Darkwraith ซึ่งยังลอยนวลอยู่ในเมือง New Londo โดยเรื่องนี้ได้ทำให้ Gwyn โกรธสุดๆเพราะว่าในอดีต Gwyn เคยเเบ่ง Soul ที่ทรงพลังของตนเองให้กับเหล่า Four Kings เพื่อเป็นสัญญาใจเเห่งความภักดี เเต่นี่พวกมันกลับมาหักหลังเขาเสียได้ Gwyn จึงได้รับสั่งให้ผู้ติดตามของ Artorias ที่อยู่ในเมือง New Londo ลักลอบเข้าไปปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไหลทะลักเข้าสู่เมือง New Londo ทำให้ทั้งเด็ก, ผู้หญิง, คนแก่ และอีกหลายพันชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมืดต้องจมน้ำเสียชีวิต ส่วนคนที่เหลือรอดเเละพยายามจะว่ายน้ำมายังริมฝั่งก็จะถูก Silver Knight สังหารไปเรื่อยๆ วนไปมาจนกว่าจะกลายเป็น Hollow และตายสนิท ( ในเมื่อเลี้ยงไม่เชื่องมันก็ต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นธรรมดา ) การสังเวยทั้งเมืองเพื่อยับยั้งความมืดในครั้งนี้ได้สร้างคำครหาให้กับเขาเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ Gwyn ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องหยุมหยิมอีกเเล้ว เขาไม่เลือกวิธีการอีกต่อ...ไม่ว่ามันจะโหดร้ายเพียงใดหรือจะทำให้ชื่อเสียงต้องเน่าเหม็นฉาวโฉ่แค่ไหน Gwyn จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักร Lordran ของเขาคงอยู่ต่อไป แม้นั่นจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองก็ตาม…



( ภาพประกอบ : สภาพของเมือง New Londo หลังจากถูกน้ำท่วม )



คุยกันหลังเรื่องเล่า


ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่ 5 “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ” ในบทนี้ผมจำเป็นต้องนำเอาเนื้อหาของเกมภาคสามมาช่วยปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งความท้าทายมากที่สุดของบทนี้ก็คือการต้องเรียบเรียง Timeline ให้สอดคล้องกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


( ภาพประกอบ : Hidetaka Miyazaki หัวเรือใหญ่ของ Fromsoftware ผู้ชอบสร้างเนื้อเรื่องที่มึนงงให้กับผู้เล่น )


Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของค่ายเกม Fromsoftware ซึ่งผลิตเกมตระกูล Dark Souls ออกมา ได้เคยให้เคยสัมภาษณ์ว่าเกม Dark Souls ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Pop Culture หลายอย่าง โดยอันที่เราจะเห็นกันได้ชัดๆก็คืออัศวิน Artorias ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครในการ์ตูน Berserk เป็นต้น เอาเป็นว่าเมื่อผมทำ Lore ของภาคหนึ่งจบลง ผมจะกลับมาทำเกร็ดความรู้ของเกมนี้ให้กับทุกท่านได้อ่านกัน แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวลาไปก่อน และพบกันใหม่ในครั้งหน้าสวัสดีครับ


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Artorias จากเกม Dark Souls )
( ภาพประกอบด้านขวา : Berserker Armor จากการ์ตูน Berserk )


GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทสรุป Dark Souls ตำนานของเกมบทที่ 5 “อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ”
10/12/2019

สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า ความเดิมในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่ The First Flame ได้อ่อนกำลังลง อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายน้อยใหญ่ทั่วปฐพี ไม่ว่าจะเป็น Curse of Undead ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดศาสนาอย่าง Way of White ขึ้นมา, หรือการก่อกบฏที่เกือบจะทำให้ Gwyn ต้องสูญเสียอาญาจักรที่สุดรักสุดหวงของเขา


โดยในบทนี้ผมจะมาเล่าตำนานของวีรบุรุษผู้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อเข้าต่อสู้กับ The Abyss อันเป็นขุมพลังเเห่งความมืดไร้จุดจบ.... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอต้อนรับท่านผู้ชมเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ”


< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 
1. บทที่หนึ่ง
2. บทที่สอง
3. บทที่สาม
4. บทที่สี่


 

มหานครแห่งการจองจำ Ringed City

ย้อนกลับไปในยุคที่ The First Flame ยังคงร้อนแรงและส่องเเสงสว่างให้แก่โลกใบนี้ Gwyn ได้หวาดกลัว Dark Soul ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดา Pygmy Lords ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่านัก Gwyn จึงได้สร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ขึ้นมาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังส่งกองทัพของเขามาคอยดูเเลเเละควบคุมเมืองเเห่งนี้อยู่เบื้องหลัง เเต่ไม้เด็ดจริงๆของ Gwyn ไม่ใช่เหล่ากองทัพทหารกล้าหรือกลอุบายสกปรกเเต่อย่าง เเต่หากเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงของเขานามว่า Filianore เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งดินแดน Lordarn



 ( ภาพประกอบ : บรรยากาศของ Ringed City ภายในเกม )


เวทมนต์เเห่งเเสงคือพลังที่มีพลังเกี่ยวข้องกับกาลเวลา เเละยังสามารถหักเหวิถีของเเสงเพื่อสร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นเวทมนต์ที่ใช้เพื่อย้อนเวลาสิ่งของที่พุพังไปเเล้วให้ย้อนกลับมาเหมือนใหม่โดยที่ไม่ต้องซ่อมเเซ่ม( ดีจัง...) ซึ่งพลังเเห่งเเสงนี่เเหละคือสิ่งที่ Filianore เกิดมาพร้อมกับมัน เเต่ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือนางสามารถใช้พลังบิดเบือนมิติเเละเวลาให้เดินผ่านไปช้าหรือเร็วก็ได้ตามต้องการ ซึ่งนี่เป็นพลังที่แม้แต่น้องชายอย่าง Gwyndolin ผู้มากพรสวรรค์ก็ยังไม่อาจทำได้



 ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Repair หนึ่งในของดีเมือง Oolacile )


                Filianore ได้รับหน้าที่ให้เป็นกงสุลใหญ่เเละคอยทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาเมืองต่างๆของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยื่งกับเมือง Oolacile อันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่เเพ้นครหลวงอย่าง Anor Londo เลยที่เดียว...เเต่การอ่อนกำลังลงของ The First Flame ทำให้ Gwyn ออกคำสั่งให้เธอเดินทางไปยัง Ringed City โดยใช้เหตุผลทางการทูตบังหน้าเเต่ที่จริงเขาต้องการให้ Filianore ใช้พลังบีบห้วงกาลเวลาในเมือง Ringed City ให้เดินไปช้ากว่าโลกภายนอกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ Dark Soul ในตัวของ Pygmy Lords แข็งแกร่งขึ้น เเต่การทำเเบบนี้ Filianore จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาลในการควบคุมเเละยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขจุกจิกมากมาย อย่างเช่น Filianore จำเป็นจะต้องพึ่งพาเครื่องรางที่เป็นสื่อขยายพลังให้ขยายครอบคลุมทั้ง Ringed City เเละนางจะต้องอยู่ในสภาพจำศีลตลอดเวลาโดยห้ามถูกรบกวนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่ม Spear of the Church ที่นำโดยเหล่าผู้ลงทัณฑ์ Judicator ที่จะคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนพิธีกรรมนี้ได้ เเละ Spear of the Church ยังมีไม้ตายก้นหีบเป็นมังกรนิรันดร นาม Midir ! ซึ่งมันถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าเทพเจ้าทำให้ Midir มีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าเป็นอย่างสูง


( ภาพประกอบ : Judicator มีพลังในการเรียกวิญาณของสมาชิก Spear of the Church มาเพื่อใช้ต่อสู้ได้ชั่วคราว )


แม้สมาชิกของ Spear of the Church จะมีอยู่จำนวนไม่มากนัก เเต่พวกเขาก็มักได้รับการช่วยเหลื่อจาก Way of White ที่เดินทางพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมายัง Ringed City เพื่อตรวจตราพฤติกรรมของ Pygmy Lords อยู่เป็นระยะๆ จนประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เป็นคนของ Way of White ทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพราะโลกภายนอกกำลังเผชิญอยู่กับ Curse of Undead อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคที่ Dark Soul กำลังจะเฉิดฉายได้ใกล้เข้ามา เเต่เรื่องนี้กลับถูกปกปิดเป็นไม่ให้เหล่า Pygmy Lords ได้รับรู้ จนกระทั้งเหล่า Pygmy Lords เริ่มสังเกตว่าสมาชิกของ Way of White บางคนมีร่างกายที่เน่าเปื่อยเหมือนกับ Undead และรวมไปถึงพลังของ Dark Soul ที่อยู่ในตัวก็เริ่มทรงพลังขึ้นทุกวันๆ จึงมีการส่งคนไปสืบเสาะหาความจริงจากคณะเดินทางต่างเมืองที่ไม่ใช่คนของ Way of White เเละต้องตกตลึงกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะคนพวกนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Pygmy Lords เลย รวมไปถึงวีรกรรมต่างๆนานาในมหาสงครามมังกรก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน รู้เพียงว่า Ringed City เป็นเเค่เมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบโลกและเป็นที่ประทับของ Filianore เพียงเท่านั้น


( ภาพประกอบ : Ringed City ถูกออกเเบบมาให้สามารถเฝ้าดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords ได้จากทุกมุมเมือง )


เหล่า Pygmy Lords รู้ได้ทันทีว่า Gwyn ไม่ได้ใจซื่อมือสะอาดอย่างที่คิดเสียเเล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นเเค่การหลอกลวงเพื่อให้พวกเขาตายใจ ทั้งความโกรธเเละความผิดหวังถาโถมเข้ามา จึงเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การลุกฮือเพื่อต่อต้านเทพเจ้า ซึ่งนำโดยหนึ่งในบรรดา Pygmy Lord ที่ถูกขนานนามว่า Mad King โดยเขาได้ทำการรื้อฟื้นศาสตร์แห่งมนต์ดำขึ้นมาใหม่และยังเรียกตัวเหล่า Ringed Knight ให้กลับมาสวมชุดเกราะเพื่อทำสงครามกับ Spear of the Church และ Way of White เรื่องราวได้บานปลายกลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เเต่ทางฝั่งเทพเจ้าได้ Shira ซึ่งเป็นหนึ่งใน Spear of the Church ได้ทำการลอบสังหาร Mad King ได้สำเร็จ เเละจับร่างของเขามาผนึกไว้เพื่อไม่ให้คืนชีพได้ ส่วนพวกสมุนอย่าง Ringed Knight ที่ปัจจุบันไม่สามารถดึงพลังจากความมืดมาใช้ได้อีกเเล้ว ก็ถูก Midir ตีแตกพ่ายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ( นี่ถ้าหากเป็นในอดีตละก็ Ringed Knight พวกนี้คงจะสังหาร Midir ตายไปเเล้ว )


( ภาพประกอบ : ร่างกายของ Mad King ถูกตรึงเข้ากับอาวุธในขณะทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปเกิดใหม่ )


ถึงแม้แผนการของ Mad King จะได้ถูกหยุดยั้งไปเเล้ว เเต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใต้ดินของ Ringed City ให้กลายเป็น The Abyss หรือแหล่งพลังความมืดไร้จุดจบที่จะคอยเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่คิดจะต่อต้านเทพเจ้าจะสามารถลงไปยัง The Abyss เพื่อเพิ่มพลังความมืดในตัวได้เสมอ ตอนนี้ใน Ringed City ต่างเต็มไปด้วยสงครามกองโจรขนาดย่อมตามจุดต่างๆ มากกว่าจะเป็นสงครามเเบบยกทัพประจันหน้ากัน


( ภาพประกอบ : Midir ต้องต่อสู้กับความมืดอยู่ตลอกเวลา จนได้รับฉายาว่า Darkeater หรือผู้ดื่มกินความมืด )


ความโกลาหลครั้งนี้ทำให้ Spear of the Church และ Way of White เลือกที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนและเข้าควบคุมเมืองเเห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เเละจัดการวางกำลังล้อมเมืองเอาไว้ เเต่ดูเหมือนว่าจะมี Pygmy Lord นิรนามคนหนึ่งที่หลบหนีออกจากเมืองมาได้ ซึ่งเขาคิดว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็คือจะต้องนำเอา The Abyss ไปเเพร่กระจายยังโลกภายนอก Pygmy นิรนามจึงได้แฝงตัวไปกับคณะเดินทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนคร Oolacile


 

นครสีทอง Oolacile กับเมืองคนตาย New Londo

เมื่อ Pygmy นิรนามเดินทางมาถึงยังดินแดน Lordran เขาก็พบว่าจำนวนของทหารยามดูน้อยลงผิดปกติโดยเฉพาะกับพวก Silver Knight ที่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นก็เพราะกองทัพส่วนใหญ่ของ Gwyn กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ทำให้พวกที่เหลืออยู่เน้นกำลังไปปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Pygmy นิรนามสามารถเข้ามาในดินเเดน Lordran ได้อย่างไม่ยากเย็น


( ภาพประกอบ : หน้าตาอันหล่อเหลาของ Kaathe อสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ )


เมื่อเข้ามาได้ Pygmy นิรนามก็ได้พบกับ Primordial Serpent ตนหนึ่งนามว่า Kaathe ซึ่งมันก็รู้ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเพราะสามารถสัมพัทธ์ถึงพลัง Dark Soul ที่แข็งแกร่งในตัวของเขาได้ เจ้างูพิษเริ่มพูดยกย่อว่า Pygmy นิรนามเป็นผู้ที่ชะตาขีดมาให้เป็นใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพ และนำทางเหล่ามนุษย์ไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคเเห่งมืด ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันแพร่กระจาย The Abyss ในดินเเดน Lordran โดย Pygmy นิรนาม ได้ถ่ายทอดศาสตร์ต้องห้ามต่างๆให้กับ Kaathe ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dark Hand ที่เป็นเหมือนเครื่องมือใช้ขโมย Humanity จากตัวของมนุษย์คนอื่นได้ ในระหว่างที่แผนการกำลังไปได้สวย Kaathe ก็ได้เสนอเมือง New Londo เป็นที่แรกที่ควรจะสร้าง The Abyss เพราะ;jkประชาชนในเมืองนี้มีความเกลียดชังต่อ Gwyn เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวให้ยอมรับ The Abyss เเต่ทว่า Pygmy นิรนามกลับบอกให้มันลงมือจัดการเรื่องนี้ไปเลยส่วนเขาจะคอยแพร่กระจายความมืดอยู่ที่เมือง Oolacile ด้วยวิธีนี้เเผนการจะเดินหน้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า… แต่จริงๆเเล้วเหตุผลที่เขาไม่ไปจาก Oolacile ก็เพราะว่าดันไปต้องตาต้องใจเจ้าหญิงคนหนึ่งนามของเธอก็คือกุลสตรี Dusk แต่เนื่องจากฐานันดรที่ต่างกันเกินไป ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนความความสัมพันธ์นี้ Dusk จึงได้มอบจี้สร้อยคอของนางให้กับเขาเพื่อเป็นตัวเเทนความรักของทั้งสอง


( ภาพประกอบ : Dark Hand เป็นอาวุธเดียวในเกมที่ให้เราสามารถขโมย Humanity จากผู้เล่นคนอื่นได้ )


                เมือง Oolacile เป็นเมืองที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในดินเเดน Lordran รองจาก Anor Londo เล่ากันว่าในเมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เเละเท่านั้นยังไม่พอเมือง Oolacile ยังขึ้นชื่อในเรื่องการศึกษาเวทมนต์แห่งแสงจนกลายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเเล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองเเห่งการศึกษามันก็ย่อมมาพร้อมกับการทดลองเพื่อคิดค้นหาความรู้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือศาสตร์แห่งความมืด ที่มันเล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะชนหลังจากการล้มสลายของกบฏทมิฬ พวกนักเวทย์แห่ง Oolacile จึงได้แอบทำการทดลองศาสตร์แห่งความมืดกับนักโทษในคุกใต้ดินอย่างลับๆ… ใช่แล้วครับภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงามของเมืองนี้มันได้ซ่อนเอาความบิดเบี้ยวในใจของมนุษย์เอาไว้ เหตุผลที่เมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนั่นก็เพราะ ทุกคนที่ส่อแววเป็นตัวปัญหาจะถูกจับลงมาอยู่คุกใต้ดินเเห่งนี้เเละถูกนำตัวไปทดลองต่างๆนานา ไม่ก็ถูกบังคับให้สู้ในสนามประลองเพื่อความบันเทิง เเละการกระทำที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้ มันกลับยิ่งช่วยให้ Pygmy นิรนามสามารถชักจูงจิตใจของนักเวทย์แห่ง Oolacile ให้ดำดิ่งลงสู่ The Abyss ได้ง่ายขึ้น


( ภาพประกอบ : วิวระยะไกลของลานประลองในเมือง Oolacile )


ทว่าแผนการของเขาก็ต้องพังลงเสียก่อน เพราะหน่วยลอบสังหารของ Gwyn ที่นำโดย Ciaran นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งดินแดน Lordran ได้ตามสืบมาจนพบตัว Pygmy นิรนามเเละลงมือฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังทรมานทางจิตใจเพื่อกระตุ้นให้เขาเข้าสู่ภาวะ Hollow ให้เร็วที่สุด Ciaran ได้โกหกว่านางได้สังหารกุลสตรี Dusk ผู้เป็นคนรักของเขาไปแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและความเคียดแค้นให้กับ Pygmy นิรนามเป็นอย่างมากจนสุดท้ายร่างกายก็ได้เข้าสู่ภาวะ Hollow และตายลงในที่สุด จากนั้น Ciaran ก็นำร่างของเขาไปฝังยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปข้างใต้เมือง Oolacile เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพบศพ ส่วนบรรดาคนที่รู้จัก Pygmy นิรนามก็ถูกให้ข่าวลวงว่าเขาได้เดินทางออกจาก Oolacile ไปเเล้ว เเม้เเต่ Dusk ก็ยังคิดว่านางโดนเขาทิ้ง


( ภาพประกอบ : Ciaran คือมือสังหารที่คอยทำงานสกปรกให้กับ Gwyn )


ทางด้าน Kaathe ที่มุ่งหน้าไปยังเมือง New Londo มันก็ได้เข้าเฝ้า Four Kings ราชันย์ทั้งสี่คนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ โดยได้ทูลว่า The Abyss คือสิ่งที่จะกรุยทางสู่การเป็นมหาอำนาจในยุคเเห่งมืด และจะทำให้เหล่าราชันย์ไม่ต้องเกรงกลัว Gwyn อีกต่อไป หากมองหยาบๆเมือง New Londo อาจจะไม่ดูศิวิไลซ์เท่ากับนคร Oolacile แต่ Four Kings ก็มีนโยบายในการต้อนรับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็น Undead หรือไม่ก็ตามเพราะในสังคมอื่นๆหากว่าคุณเป็น Undead แล้วไม่ยอมเข้าร่วม Way of White ก็จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเศษขยะ ด้วยเหตุนี้เมือง New Londo จึงเป็นเหมือนที่พักพิงของเหล่าผู้ไม่ตาย เเต่ทว่าการมาของ The Abyss กำลังจะเปลี่ยนเมืองนี้ไปตลอดกาล…
Four Kings ได้มีรับสั่งให้ Kaathe จัดตั้งกลุ่มนักรบ Darkwraith ขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนจะยอมรับพลังของ Dark Soul ภายในตัว ( คล้ายกับ Ringed Knight ) เเละออกล่า Humanity ไปทั่วดินแดน Lordran โดยเหยื่อส่วนมากจะ Way of White ซะเป็นส่วนใหญ่


( ภาพประกอบ : Darkwraith คือนักรบที่ยอมรับพลังเเห่งความมืด )


เมื่อแผนการสำเร็จ Kaathe ก็ได้กลับไปยังนคร Oolacile แต่กลับพบว่า Pygmy นิรนามได้หายตัวไป เจ้างูพิษจึงใช้สัมผัสตามร่องลอยพลังของ Dark Soul ไปจนพบศพที่ถูกซ่อนเอาไว้ การตายของ Pygmy นิรนามเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในเเผนของ Kaathe ทำให้มันต้องลองใช้วิธีอื่นในการสร้าง The Abyss ที่นี่ โดยเจ้างูพิษได้ทำการล่อลวงให้นักเวทย์แห่งนคร Oolacile ทำพิธีเพื่อปลดปล่อย Dark Soul ในศพของ Pygmy นิรนามออกมา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะพลัง Dark Soul ที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมากมายมหาศาลและบ้าคลั่งเกินกว่าที่ Kaathe จะควบคุมได้ พลังที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดได้กลายเป็น The Abyss เเละเข้ากลืนกินทั้งเมือง Oolacile ภายในเวลาไปไม่ถึงเดือน ใครที่หนีไม่ทันก็จะกลายสภาพเป็นปีศาจคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ร่างสลายกลายเป็นพลัง Humanity บริสุทธิ์


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Humanity บริสุทธิ์ที่มีความคิดเเละสติปัญญาเป็นของตนเอง )


( ภาพประกอบด้านขวา : ประชากรในเมือง Oolacile ที่กลายร่างเป็นปีศาจ )


ทว่าความน่ากลัวจริงๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะ Pygmy นิรนามได้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย...แต่ไม่ใช่ในฐานะของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะจ้าวเเห่งปีศาจผู้เป็นบิดาเเห่งความมืดมิด ผู้คนเรียกขานมันว่า Manus ปีศาจผู้จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า เเม้เเต่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าก็ยังโดนหางเลขไปด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Kaathe ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลัง The Abyss ที่บ้าคลั่ง เเละยังกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปยัง The Abyss ในเมือง New Londo ของเขา



( ภาพประกอบ : นคร Oolacile ที่ได้ถูก The Abyss กลืนกินไปเเล้ว )


การล่มสลายของ Oolacile ได้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วดินเเดน Lordran โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Gwyn ที่เขาเข้าใจว่า The Abyss มียู่เเค่เพียงใน Ringed City เท่านั้น บีบให้ Gwyn ต้องส่งอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาไปจัดการ นามของอัศวินผู้นั้นก็คือ “อัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias”

 

วีรบุรุษ Artorias…

ก่อนหน้านี้ข่าวการจู่โจมของนักรบ Darkwraith เพื่อขโมย Humanity มันยังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะมันก็ไม่ต่างกับอาชญากรรมทั่วไปที่เกิดขึ้นในดินแดน Lordran แต่การปรากฏขึ้นของ The Abyss ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ Gwyn จึงต้องส่งอัศวิน Artorias พร้อมกับผู้ติดตามอีกสามคนให้ออกเดินทางไปยังเมือง New Londo เเละนคร Oolacile เพื่อจัดการกับปัญหานี้



( ภาพประกอบ : Artorias มีอาวุธคู่กายเป็นดาบเล่มใหญ่ที่มือซ้าย และมีโล่คอยป้องกันการโจมตีที่มือขวา )


เมื่อ Artorias เดินทางมาถึงยังเมือง New Londo เขาก็ต้องพบว่า Darkwraith ได้แฝงตัวกลมกลืนไปกับเหล่าผู้คนในเมืองเเห่งนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่ากันแน่ที่เป็นผู้บูชาความมืด เเละเมื่อ Artorias ขอเข้าเฝ้าเหล่า Four Kings ก็ถูกบอกปัดจนปฏิเสธไปจนไม่ได้เข้าเฝ้าสักที นั่นทำให้อศวินหนุ่มผู้นี้เริ่มคิดว่า Four Kings ก็รู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ เมื่อไม่มีความคืบหน้าเหล่าผู้ติดตามของ Artorias ก็ได้แนะนำให้เขาออกเดินทางล่วงหน้าไปยังนคร Oolacile ก่อนเลย ส่วนทางนี้พวกตนจะคอยสืบหาต้นต่อของความมืดเอง ทำให้อัศวินหนุ่มผู้นี้ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่ง
เเต่ตลอดการเดินทางครั้งนี้ Artorias จะต้องปะทะกับสัตว์ป่าที่ถูก The Abyss กลืนกินไปตลอดทาง และเขายังได้ช่วยชีวิตของลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งเอาไว้ เเต่เเทนที่มันจะวิ่งหนีกลับเข้าป่าไปตามสัญชาตญาณมันกลับเดินตามเขาไปทุกหนทุกเเห่ง แม้แต่ในเวลาที่ Artorias ต่อสู้มันก็จะคอยจ้องมองอยู่ห่างๆราวกับว่ากำลังเรียนรู้เพลงดาบของเขาก็ไม่ปาน Artorias จึงตั้งชื่อให้กับมันว่า “ เจ้าขนเงิน Sif ”


( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนึ่งในผู้ติดตามของ Artorias นามว่า Ingward )


( ภาพประกอบด้านขวา : สัตว์ป่าในบริเวณเมือง Oolacile ที่ถูกความมืดกลืนกิน )


ยิ่ง Artorias เดินทางเข้าไปใกล้เมือง Oolacile ก็ยิ่งมีปีศาจโผล่หน้าออกมาไม่ขาดสาย ทำให้การเดินทางเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ในวันหนึ่งขณะที่ Artorias กับ Sif กำลังต่อสู่อยู่กับฝูงปีศาจเหมือนอย่างทุกวัน อยู่ๆก็มีลูกธนูขนาดยักษ์ลอยพุ่งทะลุผ่านร่างของปีศาจเหล่านั้น Artorias รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นฝีมือของ Gough ยักษาผู้เป็นสหายเก่าของเขานั่นเอง Gough เป็นหนึ่งในขุนพลที่มีอายุมากที่สุดของ Gwyn เเละยังได้รับใช้เหล่าเทพเจ้ามาตั้งแต่ในยุคของสงครามมังกร โดยหน้าที่ของเขาก็คือการยิงธนูขนาดยักษ์ใส่พวกมังกรเพื่อให้มันตกจากฟากฟ้า เเต่หลังจากสงครามมังกรสิ้นสุดลงบทบาทเเละหน้าที่ของเขาก็ค่อยๆลดลงตามไปด้วย จนสุดท้าย Gough ได้ตัดสินใจเกษียณตัวเองออกจากสนามรบเเต่ทว่า Gwyn ก็ยังรู้สึกเสียดายฝีมือของเจ้ายักษ์อยู่ จึงให้ Gough ไปประจำอยู่ที่เมือง Oolacile เเต่ทว่าผู้คนในเมืองกลับไม่ชอบใจเสียเท่าไร เพราะ Gough มีนิสัยบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกยักษ์มาเเต่เดิม ซึ่งก็คือการเป็นคนตรงไปตรงมา, คิดยังไงก็เเสดงออกมายังงั้น เเถมพวกยักษ์ยังมีสติปัญญาที่เชื่องช้าเข้าขั้นซื่อ(บื้อ) ทำให้เขามักจะมีปัญหากับคนบางจำพวกในเมือง Oolacile อยู่เป็นประจำโดยเฉพาะกับพวกนักเวทย์เเห่ง Oolacile ที่เเอบทำการทดลองความเเห่งมืด เเต่ด้วยพละกำลังที่มากกว่าของ Gough ทำให้คนพวกนั้นต้องจำยอมเขาอยู่ร่ำไป


( ภาพประกอบ : Hawkeye Gough นักล่ามังกรด้วยธนูที่เก่งที่สุดของ Gwyn เเละเขามีประสาทหูที่ดีสุดๆ )


จนกระทั่งในขณะที่ Gough กำลังหลับลึกอยู่ ก็ได้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเเอบเอารากไม้ไปอุดรูที่ดวงตาในหมวกเหล็กของเขา เเละหลอกว่า Gough ป่วยจนมองไม่เห็น ( เเละพี่เเกก็บ้าจี้เชื่อตาม ) มิหน้ำซ้ำพวกมันยังหลอกว่าจะสร้างหอคอยให้กับเขาเพื่อความปลอดภัย เเต่ความเป็นจริงพวกมันได้สร้างคุกขึ้นมารอบๆตัว Gough เพื่อขังลืมเขาเอาไว้ นานๆทีถึงจะมีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนเขาเป็นครั้งคราว...เเต่เขาก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ Gough มีกิจกรรมในยามว่างก็คือ การใช้หิน Carving ที่เมื่อตกเเตกเเล้วจะส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ โยนใส่ผู้คนตามที่ต่างๆในเมืองเพื่อเเกล้งให้ตกใจ เเม้ต่อมาภายหลัง The Abyss จะเข้ากลืนกินนคร Oolacile ไปเเล้วก็ตาม เเต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเเหกคุกออกไปเเต่อย่างใด ว่ากันว่าเป็นเพราะตัวเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้ที่ปราศจากเหล่ามังกรนิรันดรอย่างในอดีต


( ภาพประกอบ : หิน Carving เป็นหินที่เมื่อเเตกออกจะส่งเสียงเป็นภาษาได้ เป็นของที่ผู้เล่น PVP ใช้เยาะเย้ยกัน )


                เมื่อ Artorias เดินทางไปถึงยังหอคอยที่คุมขัง Gough เอาไว้เขาก็ต้องพบว่าประตูทางเข้าถูกผนึกเอาไว้ด้วยเวทยมนต์ทำให้เปิดไม่ออก เเต่ Gough ก็บอกกับเขาว่านั่นไม่จำเป็นเพราะตนก็ไม่ได้อยากจะออกไปจากที่นี่อยู่เเล้ว เเต่ Gough ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนคร Oolacile ทั้งหมดให้ Artorias ฟังเเละยังเตือนสหายว่า The Abyss ที่อยู่ใต้ดินของนครเเห่งทรงพลังมาก เเม้เเต่มังกรดำ Kalameet ก็ยังถูกกลืนกินเเละออกอาละวาดไปทั่วดินเเดนนี้ ฉะนั้น Artorias จะเดินดุ่มๆลงไปยัง The Abyss ไม่ได้


( ภาพประกอบ : Kalameet เป็นหนึ่งในมังกรนิรันดรที่เคยเเอบซ่อนอยู่ใต้ดินใกล้เมือง Oolacile )


หลังจากอัศวินหนุ่มทราบเรื่องนี้เขาก็ได้เเต่ครุ่นคิดหาหนทางทีจะลงไปยัง The Abyss ให้ได้ จนสุดท้าย Artorias ก็ได้พบกับ Kaathe ที่คอยจับจ้องเขามานานเเล้ว มันได้เข้ามาเสนอสิ้นค้าซึ่งเป็นแหวนที่จะช่วยให้ Artorias ลงไปยัง The Abyss ได้โดยไม่ถูกกลืนกิน...เเละแม้ว่า Artorias จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจ้าอสรพิษตัวนี้เท่าไรแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องยินยอมสวมเเหวนของมัน ( บางครั้งหากเราอยากจะกำจัดความมืด เราอาจจะต้องกลายเป็นหนึ่งของมันเสียก่อน ) ส่วนแรงจูงใจที่มันเลือกจะช่วย Artorias ก็เพราะกลัวว่าพลังความมืดของ Manus จะไปกระตุ้น The Abyss ในเมือง New Londo จนบ้าคลั่งตามไปด้วย เเละต่อให้ Artorias จะไม่สำเร็จมันก็ยังเป็นการตัดกำลังสำคัญของ Gwyn ไปในตัวอยู่ดี


( ภาพประกอบ : Covenant of Artorias เป็นเเหวนที่ต่อมาจะกลายเป็นเครื่องรางที่บอกเล่าวีรกรรมของ Artorias )


ในขณะที่ Artorias กำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปลุยกับ Manus เขาก็สังเดตว่า Sif ยังคงเดินตามเขาอยู่ไม่ห่าง เเม้จะไล่สักกี่ Sif ก็ไม่ยอมไปไหนราวกับว่ามันจะขอติดตาม Artorias ไปทุกหนทุกแห่งแม้จะต้องลุยผ่านความมืดไปด้วยก็ตาม เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น Artorias จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย เเละก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความมืดเพื่อกำราบ The Abyss... วีรกรรมที่ห้าวหาญของเขาถูกบอกเล่าส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น บางก็เเต่งเสริมเติมแต่งให้ฟังดูอลังการเหนือความเป็นจริง บางก็บอกว่าเป็นเพียงแค่นิทานปรัมปรา แต่ที่แน่ๆเรื่องราวของ Artorias ผู้พิชิตความมืดได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจเเก่คนรุ่นหลังที่อยากจะลุกขึ้นต่อสู้กับความมืด...ต่อสู้กับ The Abyss...


( ภาพประกอบ : รูปร่างของ Manus, ชื่อนี้ยังมีความหมายว่า”มือ” อีกทั้งยังเป็นชื่อเรียกกฏหมายโรมันโบราณที่เกี่ยวข้องกับสามีเเละภรรยา )


กลับมายังสถานการณ์ของ Gwyn เขาได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับไปยังนคร Anor Londo พร้อมกับสร้างเรื่องว่าตนได้มีชัยเหนือเหล่าอสูรเเห่ง Izalith ทั้งที่จริงเขาทำได้เเค่ตรึงกำลังของเหล่าอสูรเเห่ง Izalith เอาไว้เท่านั้น ส่วนข่าวเรื่องที่ว่า Artorias สามารถทำลาย The Abyss ใน Oolacile ลงได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขาที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน เเต่ก็ยังคงเหลือพวก Four Kings กับ Darkwraith ซึ่งยังลอยนวลอยู่ในเมือง New Londo โดยเรื่องนี้ได้ทำให้ Gwyn โกรธสุดๆเพราะว่าในอดีต Gwyn เคยเเบ่ง Soul ที่ทรงพลังของตนเองให้กับเหล่า Four Kings เพื่อเป็นสัญญาใจเเห่งความภักดี เเต่นี่พวกมันกลับมาหักหลังเขาเสียได้ Gwyn จึงได้รับสั่งให้ผู้ติดตามของ Artorias ที่อยู่ในเมือง New Londo ลักลอบเข้าไปปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไหลทะลักเข้าสู่เมือง New Londo ทำให้ทั้งเด็ก, ผู้หญิง, คนแก่ และอีกหลายพันชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมืดต้องจมน้ำเสียชีวิต ส่วนคนที่เหลือรอดเเละพยายามจะว่ายน้ำมายังริมฝั่งก็จะถูก Silver Knight สังหารไปเรื่อยๆ วนไปมาจนกว่าจะกลายเป็น Hollow และตายสนิท ( ในเมื่อเลี้ยงไม่เชื่องมันก็ต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นธรรมดา ) การสังเวยทั้งเมืองเพื่อยับยั้งความมืดในครั้งนี้ได้สร้างคำครหาให้กับเขาเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ Gwyn ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องหยุมหยิมอีกเเล้ว เขาไม่เลือกวิธีการอีกต่อ...ไม่ว่ามันจะโหดร้ายเพียงใดหรือจะทำให้ชื่อเสียงต้องเน่าเหม็นฉาวโฉ่แค่ไหน Gwyn จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักร Lordran ของเขาคงอยู่ต่อไป แม้นั่นจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองก็ตาม…



( ภาพประกอบ : สภาพของเมือง New Londo หลังจากถูกน้ำท่วม )



คุยกันหลังเรื่องเล่า


ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่ 5 “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ” ในบทนี้ผมจำเป็นต้องนำเอาเนื้อหาของเกมภาคสามมาช่วยปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งความท้าทายมากที่สุดของบทนี้ก็คือการต้องเรียบเรียง Timeline ให้สอดคล้องกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


( ภาพประกอบ : Hidetaka Miyazaki หัวเรือใหญ่ของ Fromsoftware ผู้ชอบสร้างเนื้อเรื่องที่มึนงงให้กับผู้เล่น )


Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของค่ายเกม Fromsoftware ซึ่งผลิตเกมตระกูล Dark Souls ออกมา ได้เคยให้เคยสัมภาษณ์ว่าเกม Dark Souls ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Pop Culture หลายอย่าง โดยอันที่เราจะเห็นกันได้ชัดๆก็คืออัศวิน Artorias ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครในการ์ตูน Berserk เป็นต้น เอาเป็นว่าเมื่อผมทำ Lore ของภาคหนึ่งจบลง ผมจะกลับมาทำเกร็ดความรู้ของเกมนี้ให้กับทุกท่านได้อ่านกัน แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวลาไปก่อน และพบกันใหม่ในครั้งหน้าสวัสดีครับ


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Artorias จากเกม Dark Souls )
( ภาพประกอบด้านขวา : Berserker Armor จากการ์ตูน Berserk )


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header