เกมเมอร์หลาย ๆ อาจจะเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไม เวลาเราไปดูหนังจากเกมหรือหนังจากเกม ทำไมมันถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก โดยเฉพาะด้านของคำวิจารณ์ ที่น้อยเรื่องจะเอาชนะใจของนักรีวิวหรือผู้เหล่าเกมเมอร์ที่เข้ามาดูได้ เหตุผลเพราะอะไร วันนี้เรา GameFever TH จะมาคิดวิเคราะห์และมาหาคำตอบกัน
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้หนังจากเกมไม่เวิร์คคือ ศาสตร์ในการนำเสนอที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยการนำเสนอของเกมนั้นสามารถเล่นกับลูกเล่นต่าง ๆ ได้อย่างมาก โดยเฉพาะระบบการเล่นที่ทางผู้พัฒนาเกมสามารถที่จะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ บางเกมแม้จะแนวเดียวกันแต่ระบบการเล่นต่างกันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันแล้ว
ในขณะที่ภาพยนตร์จะเน้นไปยังด้านของการเล่าเรื่องมากกว่า ทำให้หากผู้กำกับไม่เก่งจริงเราจะไม่อินง่ายมาก ยิ่งเป็นเรื่องราวที่เรารู้มาก่อนแล้ว เราจะไม่อินได้ง่ายมาก ยิ่งดูยิ่งตั้งคำถามกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยิ่งบทของหลังไม่ดียิ่งแล้วใหญ่
แม้ว่าปัจจุบันภาพยนตร์จากเกมจะมีทุนในการสร้างสูงขึ้น มีการเลือกนักแสดงที่ดีมากขึ้น แต่ว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นหนังเกรด B มากกว่า ทำให้งาน Production ต่างๆ รวมถึงการ Cast นักแสดงและการเลือกผู้กำกับต้องเลือกในงบประมาณที่จำกัด ผลคือคุณภาพของหนังที่ไม่ค่อยจะดีนัก ยังไม่นับเงินที่จะต้องลงไปยังด้าน Marketing อีก มิหนำซ้ำในบางเรื่องเจ้าของเกมก็ไม่ได้ให้คำแนะนำกับผู้กำกับเลย ทำให้เรามักจะเห็นหนังจากเกมอนาคตไม่ค่อยสดใสนัก
เกมหนึ่งเกมเราใช้เวลาในการเล่นนานมากตั้งแต่ 2 ชั่วโมงจนถึง 100 ชั่วโมง ทำให้เรารู้สึกเต็มอิ่มกับเกมการเล่น ในขณะที่ภาพยนตร์จะเน้นการเล่าเรื่องที่กระชับ ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ทำให้บางประเด็นไม่สามารถเล่าได้อย่างละเอียด ทำให้หนังจะต้องข้ามประเด็นต่างๆ ไปที่สำคัญไป ไม่ก็ต้องเราเล่าเรื่องไปในมุมมองอื่นๆ เลย ซึ่งถ้าเล่าได้ดีก็ดูสนุก ถ้าเล่าได้ไม่ดีก็พัง
เกมเมอร์หลาย ๆ อาจจะเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไม เวลาเราไปดูหนังจากเกมหรือหนังจากเกม ทำไมมันถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก โดยเฉพาะด้านของคำวิจารณ์ ที่น้อยเรื่องจะเอาชนะใจของนักรีวิวหรือผู้เหล่าเกมเมอร์ที่เข้ามาดูได้ เหตุผลเพราะอะไร วันนี้เรา GameFever TH จะมาคิดวิเคราะห์และมาหาคำตอบกัน
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้หนังจากเกมไม่เวิร์คคือ ศาสตร์ในการนำเสนอที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยการนำเสนอของเกมนั้นสามารถเล่นกับลูกเล่นต่าง ๆ ได้อย่างมาก โดยเฉพาะระบบการเล่นที่ทางผู้พัฒนาเกมสามารถที่จะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ บางเกมแม้จะแนวเดียวกันแต่ระบบการเล่นต่างกันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันแล้ว
ในขณะที่ภาพยนตร์จะเน้นไปยังด้านของการเล่าเรื่องมากกว่า ทำให้หากผู้กำกับไม่เก่งจริงเราจะไม่อินง่ายมาก ยิ่งเป็นเรื่องราวที่เรารู้มาก่อนแล้ว เราจะไม่อินได้ง่ายมาก ยิ่งดูยิ่งตั้งคำถามกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยิ่งบทของหลังไม่ดียิ่งแล้วใหญ่
แม้ว่าปัจจุบันภาพยนตร์จากเกมจะมีทุนในการสร้างสูงขึ้น มีการเลือกนักแสดงที่ดีมากขึ้น แต่ว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นหนังเกรด B มากกว่า ทำให้งาน Production ต่างๆ รวมถึงการ Cast นักแสดงและการเลือกผู้กำกับต้องเลือกในงบประมาณที่จำกัด ผลคือคุณภาพของหนังที่ไม่ค่อยจะดีนัก ยังไม่นับเงินที่จะต้องลงไปยังด้าน Marketing อีก มิหนำซ้ำในบางเรื่องเจ้าของเกมก็ไม่ได้ให้คำแนะนำกับผู้กำกับเลย ทำให้เรามักจะเห็นหนังจากเกมอนาคตไม่ค่อยสดใสนัก
เกมหนึ่งเกมเราใช้เวลาในการเล่นนานมากตั้งแต่ 2 ชั่วโมงจนถึง 100 ชั่วโมง ทำให้เรารู้สึกเต็มอิ่มกับเกมการเล่น ในขณะที่ภาพยนตร์จะเน้นการเล่าเรื่องที่กระชับ ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ทำให้บางประเด็นไม่สามารถเล่าได้อย่างละเอียด ทำให้หนังจะต้องข้ามประเด็นต่างๆ ไปที่สำคัญไป ไม่ก็ต้องเราเล่าเรื่องไปในมุมมองอื่นๆ เลย ซึ่งถ้าเล่าได้ดีก็ดูสนุก ถ้าเล่าได้ไม่ดีก็พัง