ฉลองครบรอบ 30 ปีเกม Final Fantasy III: เกร็ดน่ารู้จากการพัฒนาเกม
ลงวันที่ 30/04/2020
แม้จะไม่ใช่ภาคที่ถูกกล่าวถึงเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือเกม Final Fantasy III มีความสำคัญต่อซีรี่ส์ Final Fantasy โดยรวมอย่างมาก ในฐานะเกมที่บุกเบิกระบบเกมเพลย์และองค์ประกอบที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของเกม Final Fantasy ภาคต่อๆ มาหลายอย่างด้วยกัน
เพื่อฉลองวันครบรอบ 30 ปีวันวางจำหน่ายเกม Final Fantasy III (วันที่ 27 เมษายน 1990) ทางผู้พัฒนา Square Enix ได้ปล่อยยทความสัมภาษณ์อดีตผู้พัฒนาตำแหน่งดีไซเนอร์ (ผู้ออกแบบระบบ) ของเกมคุณ Hiromichi Tanaka ผู้ซึ่งเปิดเผยแรงบันดาลใจ และที่มาขององค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกม ที่กลายเป็นลายเซ็นของ Final Fantasy มาจวบจนทุกวันนี้ ซึ่งหลายข้อมีความน่าสนใจ และอาจจะคาดไม่ถึงสำหรับแฟนๆ ของซีรี่ส์อีกด้วย!
หนึ่งในเอกลักษณ์ของจักรวาล Final Fantasy ที่ถูกบุกเบิกโดยเกม Final Fantasy III คือตัว Moogle ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในมาสคอตหลักของซีรี่ส์ Final Fantasy ในความทรงจำของเกมเมอร์หลายๆ คน (เคียงบ่าเคียงไหล่กับน้อง Chocobo)
สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือทีมพัฒนาเกม Final Fantasy III ไม่เคยตั้งใจจะให้เหล่า Moogle กลายเป็นตัวละครที่รักใคร่ของแฟนๆ เลยซักนิด โดยคุณ Tanaka เล่าว่าเผ่า Moogle ที่พบได้ในเกม ถูกใส่เข้าไปเพียงเพราะทีมอยากให้ผู้เล่นได้พบกับชนเผ่าอะไรซักอย่างซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำ จึงเป็นที่มาของปีกค้างคาวอันเป็นเอกลักษณ์ของมันนั่นเอง
[caption id="attachment_52733" align="aligncenter" width="800"] ภาพวาดตัว Moogle จากเกม Final Fantasy III[/caption]
ระบบมนต์อสูร และท่า Zantetsuken ของ Odin
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของ Final Fantasy ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมภาค 3 คือระบบมนต์อสูรหรือ Summon นั่นเอง โดยในเกม Final Fantasy III จะเปิดให้ตัวละครบาง Job Class สามารถเรียกอสูรอย่าง Ifrit, Bahamut หรือ Leviathan ออกมาช่วยโจมตีได้
จาก Class System ธรรมดา สู่ Job System อันเลื่องลือ
แม้ในเกม Final Fantasy I จะมีระบบ Class เบื้องต้น ที่ให้ผู้เล่นสร้างปาร์ตี้ 4 คนจากตัวละคร 6 คลาส (แต่ละคลาสสามารถพัฒนาเป็นคลาสใหม่ได้อีกคลาสละ 1 ขั้น) ที่ให้เลือกตอนต้นเกม แต่ Final Fantasy III คือเกมภาคแรกที่ตีความระบบนี้ใหม่ให้กลายเป็นระบบ Job System ของจักรวาล Final Fantasy นั่นเอง
ฉลองครบรอบ 30 ปีเกม Final Fantasy III: เกร็ดน่ารู้จากการพัฒนาเกม
30/04/2020
แม้จะไม่ใช่ภาคที่ถูกกล่าวถึงเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือเกม Final Fantasy III มีความสำคัญต่อซีรี่ส์ Final Fantasy โดยรวมอย่างมาก ในฐานะเกมที่บุกเบิกระบบเกมเพลย์และองค์ประกอบที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของเกม Final Fantasy ภาคต่อๆ มาหลายอย่างด้วยกัน
เพื่อฉลองวันครบรอบ 30 ปีวันวางจำหน่ายเกม Final Fantasy III (วันที่ 27 เมษายน 1990) ทางผู้พัฒนา Square Enix ได้ปล่อยยทความสัมภาษณ์อดีตผู้พัฒนาตำแหน่งดีไซเนอร์ (ผู้ออกแบบระบบ) ของเกมคุณ Hiromichi Tanaka ผู้ซึ่งเปิดเผยแรงบันดาลใจ และที่มาขององค์ประกอบหลายๆ อย่างของเกม ที่กลายเป็นลายเซ็นของ Final Fantasy มาจวบจนทุกวันนี้ ซึ่งหลายข้อมีความน่าสนใจ และอาจจะคาดไม่ถึงสำหรับแฟนๆ ของซีรี่ส์อีกด้วย!
หนึ่งในเอกลักษณ์ของจักรวาล Final Fantasy ที่ถูกบุกเบิกโดยเกม Final Fantasy III คือตัว Moogle ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในมาสคอตหลักของซีรี่ส์ Final Fantasy ในความทรงจำของเกมเมอร์หลายๆ คน (เคียงบ่าเคียงไหล่กับน้อง Chocobo)
สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือทีมพัฒนาเกม Final Fantasy III ไม่เคยตั้งใจจะให้เหล่า Moogle กลายเป็นตัวละครที่รักใคร่ของแฟนๆ เลยซักนิด โดยคุณ Tanaka เล่าว่าเผ่า Moogle ที่พบได้ในเกม ถูกใส่เข้าไปเพียงเพราะทีมอยากให้ผู้เล่นได้พบกับชนเผ่าอะไรซักอย่างซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำ จึงเป็นที่มาของปีกค้างคาวอันเป็นเอกลักษณ์ของมันนั่นเอง
[caption id="attachment_52733" align="aligncenter" width="800"] ภาพวาดตัว Moogle จากเกม Final Fantasy III[/caption]
ระบบมนต์อสูร และท่า Zantetsuken ของ Odin
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของ Final Fantasy ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมภาค 3 คือระบบมนต์อสูรหรือ Summon นั่นเอง โดยในเกม Final Fantasy III จะเปิดให้ตัวละครบาง Job Class สามารถเรียกอสูรอย่าง Ifrit, Bahamut หรือ Leviathan ออกมาช่วยโจมตีได้
จาก Class System ธรรมดา สู่ Job System อันเลื่องลือ
แม้ในเกม Final Fantasy I จะมีระบบ Class เบื้องต้น ที่ให้ผู้เล่นสร้างปาร์ตี้ 4 คนจากตัวละคร 6 คลาส (แต่ละคลาสสามารถพัฒนาเป็นคลาสใหม่ได้อีกคลาสละ 1 ขั้น) ที่ให้เลือกตอนต้นเกม แต่ Final Fantasy III คือเกมภาคแรกที่ตีความระบบนี้ใหม่ให้กลายเป็นระบบ Job System ของจักรวาล Final Fantasy นั่นเอง